Summary DhammaTri v63

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 92

ทบทวนนักธรรมตรี

เวอร์ ช่ ัน ๒๕๖๓
ทบทวนกระทู้ธรรม
ฝึ กเขียนกระทู้จากข้ อสอบที่ผ่านมา
ปี พ.ศ. ภาษิตที่ออกข้ อสอบ อยู่ในหมวด
2562 ททํ มิตตฺ านิ คนฺถติ. ทาน
ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรี ไว้ ได้ . สํ. ส. ๑๕/๓๑๖.
2561 สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ. ชนะ
การให้ ธรรม ย่อมชนะการให้ ทงปวง.
ั้ ขุ. ธ. ๒๕/๖๓.
2560 สาธุ ปาเปน ทุกฺกรํ. กรรม
ความดี อันคนชัว่ ทายาก วิ. จุล. ๗/๑๙๕ ขุ. อุ. ๒๕/๑๖๗.
2559 ผาตึ กยิรา อวิเหฐย ปรํ. บุคคล
ควรทาแต่ความเจริ ญ อย่าเบียดเบียนเขา. ขุ. ชา. สตฺตก. ๒๗/๒๑๒
2558 สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สามัคคี
ความพร้ อมเพรี ยงของหมู่ ให้ เกิดสุข. ขุ. ธ. ๒๕/๔๑. ขุ. อิต.ิ ๒๕/๒๓๘. องฺ. ทสก. ๒๔/๘๐
2557 อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก สุข
ความไม่เบียดเบียน เป็ นสุขในโลก. (พุทธ) วิ. มหา. ๔/๖. ขุ. อุ. ๒๕/๘๖.
2556 โกโธ ทุมเฺ มธโคจโร. โกรธ
ความโกรธเป็ นอารมณ์ของคนมีปัญญาทราม ขุ.ชา.ทสก. ๒๗/๒๘๐
2555 หิริโอตฺตปฺปิยญฺเญว โลกํ ปาเลติ สาธุกํ เบ็ดเตล็ด
หิริและโอตตัปปะ ย่อมรักษาโลกไว้ เป็ นอันดี (ว.ว)
2554 ททมาโน ปิ โย โหติ ทาน
ผู้ให้ ย่อมเป็ นที่รัก องฺ ปญฺจก. ๒๒/๔๔
2553 โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ วาจา
เปล่งวาจางาม ยังประโยชน์ให้ สาเร็จ ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๘
2552 กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา เบ็ดเตล็ด
กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้ อมทังตั
้ วมันเอง ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๘
2551 สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฒ ฺ สิ าธิกา สามัคคี
ความพร้ อมเพรี ยงของปวงชนผู้เป็ นหมู่ ยังความเจริ ญให้ สาเร็จ ส. ส.
2550 โกธาภิภโู ต กุสลํ ชหาติ โกรธ
ผู้ถกู ความโกรธครอบงา ย่อมละกุศลเสีย นัย. ขุ. ชา. ทสก. ๒๗/๒๘๖.
2549 สติมโต สุเว เสยฺโย สติ
คนมีสติ เป็ นผู้ประเสริ ฐทุกวัน. สํ. ส. ๑๕/๓๐๖.
2548 อนตฺถํ ปริวชฺเชติ อตฺถํ คณฺหาติ ปณฺฑโิ ต. บุคคล
บัณฑิตย่อมเว้ นสิ่งที่ไม่เป็ นประโยชน์ ถือเอาแต่สิ่งที่เป็ นประโยชน์. องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๕๙
2547 ขนฺติ หิตสุขาวหา. อดทน
ความอดทน นามาซึง่ ประโยชน์สขุ . ส. ม.
2546 สณฺหํ คิรํ อตฺถวตึ ปมุญเฺ จ. วาจา
ควรเปล่งวาจาไพเราะที่มีประโยชน์. ขุ. ชา. เตรส. ๒๗/๓๕๐
2545 อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตน
ตนแล เป็ นที่พงึ่ แห่งตน. ขุ. ธ. ๒๕/๓๖,๖๖.
2544 อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ อธิคคฺ ณฺหาติ ปณฺฑโิ ต. ไม่ประมาท
บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมได้ รับประโยชน์ทงสอง.
ั้ ขุ. อิต.ิ ๒๕/๒๔๒.
2543 สีลํ โลเก อนุตตฺ รํ. ศีล
ศีลเป็ นเยี่ยมในโลก. ขฺุ ชา. เอก. ๒๗/๒๘
ทบทวน ธรรมวิภาค นักธรรมชัน้ ตรี
หมวด ๒
 ธรรมมีอุปการะมาก ๒ อย่าง
๑. สติ ความระลึกได้
๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตวั
สติ และ สัมปชัญญะ ทังสองนี
้ ้ ชื่อว่า มีอปุ การะมาก เพราะเป็ นคุณธรรมอุดหนุนให้ สาเร็ จกิจในทางดี
ไม่หลงลืม ไม่ผิดพลาด, เป็ นเครื่ องนามาซึง่ ประโยชน์เกื ้อกูลในกิจการทังปวง
้ และเป็ นอุปการะให้ ธรรมเหล่าอื่นเกิดขึ ้น
(ปี 2562, 2545) คนที่ทาอะไรมักพลังพลาด
้ เพราะขาดธรรมอะไร?
ตอบ เพราะขาดสติ ความระลึกได้ ก่อนแต่จะทา และขาดสัมปชัญญะ ความรู้ตวั ในขณะทา ฯ
(ปี 2560) สติ แปลว่าอะไร ? เพราะเหตุไรจึงชื่อว่าเป็ นธรรมมีอปุ การะมาก ?
ตอบ สติ แปลว่า ความระลึกได้ ฯ เพราะช่วยให้ สาเร็ จกิจในทางที่ดี ฯ
(ปี 2557) ธรรมที่ได้ ชื่อว่ามีอปุ การะมาก คือธรรมอะไร? เพราะเหตุไรจึงจัดว่ามีอปุ การะมาก?
ตอบ คือ สติ ความระลึกได้ และสัมปชัญญะ ความรู้ตวั ฯ เพราะเป็ นคุณธรรมอุดหนุนให้ สาเร็ จประโยชน์เกื ้อกูลในกิจทังปวง
้ ฯ
(ปี 2555) สัมปชัญญะ หมายความว่าอย่างไร ตอบ สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตวั
(ปี 2553) ธรรมมีอปุ การะมากมีอะไรบ้ าง? ที่วา่ อุปการะมากนันเพราะเหตุ
้ ไร?
ตอบ มี สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตวั ฯ
ที่วา่ อุปการะมากนันเพราะท
้ าให้ เป็ นผู้ไม่ประมาทในการทากิจกรรมงานใดๆและเป็ นอุปการะให้ ธรรมเหล่าอื่นเกิดขึ ้น ฯ
(ปี 2548) ธรรมมีอปุ การะมาก ได้ แก่อะไรบ้ าง? บุคคลผู้ขาดธรรมนี ้จะเป็ นเช่นไร?
ตอบ ได้ แก่ สติ ความระลึกได้ และ สัมปชัญญะ ความรู้ตวั ฯ จะเป็ นคนหลงลืม จะทาจะพูดหรื อจะคิดอะไรมักผิดพลาด ฯ

 ธรรมเป็ นโลกบาล คือ ธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง


๑. หิริ ความละอายแก่ใจ ได้ แก่ ความละอายใจในการประพฤติชวั่
๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ได้ แก่ ความเกรงกลัวผลชัว่ ไม่กล้ าทาเหตุชวั่
ธรรมเป็ นโลกบาล (เป็ นธรรมคุ้มครองโลก) เพราะเป็ นคุณธรรมทาบุคคลให้ รังเกียจ และเกรงกลัวต่อความชัว่ ไม่กล้ าทา
ชัว่ ทังในที
้ ่ลบั และที่แจ้ ง
(ปี 2562, 2560, 2546 และ 2543) โลก (สังคม) เดือดร้ อนวุน่ วาย (ในปั จจุบนั นี ้) เพราะขาดธรรมอะไร?
ตอบ เพราะขาดธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง คือ ๑) หิริ ความละอายแก่ใจ ๒) โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ฯ
(ปี 2561) ธรรมคุ้มครองโลก มีกี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ? ตอบ มี ๒ อย่าง ฯ คือ ๑. หิริ ความละอายบาป ๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาป
(ปี 2556) หิริ และ โอตตัปปะ ได้ ชื่อว่า ธรรมเป็ นโลกบาล เพราะเหตุไร?
ตอบ เพราะเป็ นคุณธรรมทาบุคคลให้ รังเกียจ และเกรงกลัวต่อบาปทุจริ ต ไม่กล้ าทาความชัว่ ทังในที
้ ่ลบั และที่แจ้ ง ฯ
(ปี 2555) พระพุทธเจ้ าทรงสอนธรรมอะไรไว้ สาหรับคุ้มครองโลก?
ตอบ ทรงสอนไว้ ๒ คือ ๑. หิริ ความละอายต่อบาป ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลบาป ฯ
1|Page
(ปี 2551) การที่บคุ คลพบงูพิษแล้ วสะดุ้งกลัวว่าจะถูกกัดตาย จัดเป็ นโอตตัปปะ ได้ หรื อไม่ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ ไม่ได้ ฯ เพราะไม่ใช่ความเกรงกลัวต่อบาป ฯ
(ปี 2549) หิริกบั โอตตัปปะ ต่างกันอย่างไร?
ตอบ ต่างกันอย่างนี ้ หิริ คือความละอายใจตนเองที่จะประพฤติชวั่ ส่วนโอตตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของความชัว่ ที่ตนจะได้ รับ ฯ
(ปี 2544) ธรรมข้ อนี ้จะคุ้มครองโลกได้ อย่างไร?
ตอบ ธรรมข้ อนี ้จะคุ้มครองโลกได้ เนือ่ งจากปั จจุบนั โลกที่เกิดวิกฤตการณ์ในด้ านต่าง ๆ ส่วนหนึง่ นันเป็
้ นเพราะชาวโลกละทิ ้งธรรม คือ
หิริ และโอตตัปปะ ไม่ละอายแก่ใจ ไม่เกรงกลัวต่อผลแห่งความชัว่ ขาดเมตตา

 ธรรมอันทาให้ งาม ๒ อย่ าง


๑. ขันติ ความอดทน
๒. โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม
เป็ นธรรมทาให้ งาม เพราะผู้ที่สมบูรณ์ด้วยขันติและโสรัจจะ ย่อมมีใจหนักแน่น ไม่แสดงอาการสูง ๆ ต่า ๆ
แม้ จะประสบความดีใจหรื อเสียใจก็อดกลันได้
้ รักษากาย วาจา ใจ ให้ สภุ าพเรี ยบร้ อยเป็ นปกติ
(ปี 2559 และ 2550) ในทางโลก ดูคนงามที่รูปร่างหน้ าตา ส่วนในทางพระพุทธศาสนา ดูคนงามที่ไหน ?
ตอบ ในทางพระพุทธศาสนา ดูคนงามกันที่มีคณ
ุ ธรรมอันทาให้ งาม ๒ ประการ คือ ๑.ขันติ ความอดทน ๒.โสรัจจะ ความเสงี่ยม ฯ
(ปี 2547) ขันติ กับ โสรัจจะ เป็ นธรรมทาให้ งามได้ อย่างไร?
ตอบ ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยธรรมทัง้ ๒ นี ้ ย่อมมีใจหนักแน่นไม่แสดงความวิการออกมาให้ ปรากฏ
แม้ จะประสบความดีใจ เสียใจ ก็อดกลันได้
้ รักษากาย วาจา ใจให้ สภุ าพ สงบเสงี่ยมเป็ นปกติไว้ ได้ จึงทาให้ งาม ฯ
(ปี 2546) บุคคลมีกาย วาจา ใจ งดงาม เพราะปฏิบตั ิธรรมอะไร?
ตอบ เพราะปฏิบตั ิธรรมอันทาให้ งาม ๒ อย่าง คือ ๑) ขันติ ความอดทน ๒) โสรัจจะ ความเสงี่ยม ฯ

 บุคคลหาได้ ยาก ๒ อย่ าง


๑. บุพพการี บุคคลผู้ทาอุปการะก่อน
๒. กตัญญูกตเวที บุคคลผู้ร้ ูอปุ การะที่ทา่ นทาแล้ วและตอบแทน.
(ปี 2562, 2554, 2552 และ 2548) บุพพการี และกตัญญูกตเวทีได้ แก่บคุ คลเช่นไร ?
ตอบ บุพพการี ได้ แก่ บุคคลผู้ทาอุปการะก่อน
กตัญญูกตเวที ได้ แก่ บุคคลผู้ร้ ูอปุ การะที่ผ้ อู ื่นทาแก่ตน แล้ วทาตอบแทน ฯ
(ปี 2561 และ 2547) พระพุทธเจ้ าทรงเป็ นบุพพการี ของพุทธบริ ษัทอย่างไร ? จงอธิบาย
ตอบ พระพุทธเจ้ าทรงกระทาอุปการะแก่พทุ ธบริ ษัทก่อน ด้ วยการทรงแนะนาสัง่ สอน ให้ ร้ ูดีร้ ูชอบตามพระองค์ เพื่อให้ ได้ บรรลุ
ประโยชน์ ทัง้ ๓ คือ ประโยชน์ในโลกนี ้ ประโยชน์ ในโลกหน้ า และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน จึงชื่อว่าเป็ นบุพพการี ฯ
(ปี 2559) ในโลกนี ้ มีบคุ คลประเภทใดบ้ างที่หาได้ ยาก ?
ตอบ มีบคุ คลที่หาได้ ยาก ๒ ประเภท คือ

2|Page
๑. บุพพการี บุคคลผู้ทาอุปการะก่อน ๒. กตัญญูกตเวที บุคคลผู้ร้ ูอปุ การะที่ทา่ นทาแล้ ว และทาตอบแทนท่าน ฯ
(ปี 2558) บุพพการี และ กตัญญูกตเวที หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
ตอบ บุพพการี หมายถึงบุคคลผู้ทาอุปการะก่อน กตัญญูกตเวที หมายถึงบุคคลผู้ร้ ู อุปการะที่ทา่ นทาแล้ ว และ ตอบแทน ฯ
(ปี 2555) กตัญญูกตเวที หมายความว่าอย่างไร? ตอบ กตัญญูกตเวที หมายถึง บุคคลผู้ร้ ูอปุ การะที่ทา่ นทาแล้ ว และตอบแทน ฯ
(ปี 2554, 2552 และ 2548) บุพพการี และกตัญญูกตเวที ได้ แก่บคุ คลเช่นไร? จงยกตัวอย่างมาสัก ๒ คู่
ตอบ บุพพการี ได้ แก่บคุ คลผู้ทาอุปการะก่อน
กตัญญูกตเวที ได้ แก่บคุ คลผู้ร้ ูอปุ การะที่ทา่ นทาแล้ ว และตอบแทน ฯ
(ตอบเพียง ๒ คู)่
คูท่ ี่ ๑ มารดาบิดากับบุตรธิดา
คูท่ ี่ ๒ ครูอาจารย์กบั ศิษย์
คูท่ ี่ ๓ พระราชากับราษฎร
คูท่ ี่ ๔ พระพุทธเจ้ ากับพุทธบริ ษัท ฯ
(ปี 2547) บุพพการี ได้ แก่บคุ คลเช่นไร? พระพุทธเจ้ าทรงดารงอยูใ่ นฐานะบุพพการี ของพุทธบริ ษัทอย่างไร?
ตอบ ได้ แก่ บุคคลผู้ทาอุปการะก่อน ฯ
พระพุทธเจ้ าทรงกระทาอุปการะแก่พทุ ธบริ ษัทก่อน ด้ วยการทรงแนะนาสัง่ สอนให้ ร้ ูดี รู้ชอบตามพระองค์ เพื่อให้ ได้ บรรลุประโยชน์
ทัง้ ๓ คือ ประโยชน์ในโลกนี ้ ประโยชน์ในโลกหน้ า และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน จึงชื่อว่าเป็ นบุพพการี ฯ
(ปี 2545) ได้ ชื่อว่ากตัญญูกตเวทีบคุ คล เพราะปฏิบตั ิตนอย่างไร? ตอบ เพราะเป็ นผู้ร้ ูอปุ การะที่ทา่ นทาแล้ ว และตอบแทน ฯ

หมวด ๓
 รัตนะ ๓ คือ แก้ ว ๓ ดวง
๑. พระพุทธ ท่านผู้สอนให้ ประชาชนประพฤติชอบด้ วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั
๒. พระธรรม พระธรรมวินยั ที่เป็ นคาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้ า
๓. พระสงฆ์ หมูช่ นที่ฟังคาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้ าแล้ วปฏิบตั ิชอบตามพระธรรมวินยั
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ ชื่อว่ารัตนะ เพราะเป็ นของมีคณ
ุ ค่าและหาได้ยาก เหมือนเพชรนิลจินดามีคา่ มาก
นาประโยชน์และความสุขมาให้ แก่ผ้ เู ป็ นเจ้ าของ
 คุณของรตนะ ๓ อย่ าง
๑. พระพุทธเจ้ า รู้ดีร้ ูชอบด้ วยพระองค์เองก่อนแล้ ว สอนผู้อื่นให้ ร้ ูตามด้ วย.
๒. พระธรรม ย่อมรักษาผู้ปฏิบตั ิไม่ให้ ตกไปในที่ชวั่ .
๓. พระสงฆ์ ปฏิบตั ิชอบตามคาสัง่ สอนของพระพุทธแล้ ว สอนผู้อื่นให้ กระทาตามด้ วย.
 อาการที่พระพุทธเจ้ าทรงสั่งสอน ๓ อย่ าง
๑. ทรงสัง่ สอนเพื่อให้ ผ้ ฟู ั งรู้ยิ่งเห็นจริ งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒. ทรงสัง่ สอนมีเหตุที่ผ้ ฟู ั งอาจตรองตามให้ เห็นจริ งได้.

3|Page
๓. ทรงสัง่ สอนเป็ นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบตั ิตามย่อมได้ ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบตั .ิ
(ปี 2562, 2546) รัตนะ ๓ มีอะไรบ้ าง? รัตนะ ๓ นัน้ มีคณ
ุ อย่างไร?
ตอบ มี พระพุทธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ฯ
มีคณ
ุ อย่างนี ้ คือ ๑) พระพุทธเจ้ ารู้ดีร้ ูชอบด้ วยพระองค์เองก่อนแล้ ว สอนผู้อื่นให้ ร้ ูตาม
๒) พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบตั ิไม่ให้ ตกไปในที่ชวั่
๓) พระสงฆ์ปฏิบตั ิชอบตามคาสอนของพระพุทธเจ้ าแล้ ว สอนผู้อื่นให้ กระทาตาม ฯ
(ปี 2560 และ 2548) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ ชื่อว่ารัตนะ เพราะเหตุไร ?
ตอบ เพราะเป็ นของมีคณ
ุ ค่าและหาได้ ยาก เหมือนเพชรนิลจินดามีคา่ มาก นาประโยชน์และความสุขมาให้ แก่ผ้ เู ป็ นเจ้ าของ ฯ
(ปี 2559 และ 2544) พระรัตนตรัย กับไตรสรณคมน์ เป็ นอย่างเดียวกัน หรื อต่างกันอย่างไร ?
การเปล่งวาจาถึงรัตนะ ๓ เป็ นที่พงึ่ จัดเป็ นอย่างไหน ใน ๒ อย่างนัน้ ?
ตอบ ต่างกัน คือ พระรัตนตรัย หมายถึง สิง่ ที่เป็ นที่พงึ่ ๓ ประการ ได้ แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ส่วนไตรสรณคมน์ หมายถึง การยอมรับนับถือพระรัตนตรัยไว้ เป็ นที่พงึ่ ของตน หรื อการถึง(เข้ าถึง) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯ
จัดเป็ นไตรสรณคมน์ ฯ
(ปี 2558, 2553 และ 2549) พระธรรม คืออะไร ? มีคณ
ุ ต่อผู้ปฏิบตั ิอย่างไร ?
ตอบ พระธรรม คือคาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้ า ฯ มีคณ
ุ คือย่อมรักษาผู้ปฏิบตั ิไม่ให้ ตกไปในที่ชวั่ ฯ
(ปี 2557) รัตนะ ๓ อย่าง คืออะไรบ้ าง? รัตนะที่ ๒ มีคณ
ุ อย่างไร?
ตอบ คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ฯ ย่อมรักษาผู้ปฏิบตั ิไม่ให้ ตกไปในที่ชวั่ ฯ
(ปี 2554) พระพุทธเจ้ าคือใคร? ทรงสัง่ สอนเป็ นอัศจรรย์อย่างไร?
ตอบ พระพุทธเจ้ า คือท่านผู้สอนให้ ประชุมชนประพฤติชอบด้ วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั ฯ
ทรงสัง่ สอนเป็ นอัศจรรย์ คือ ผู้ปฏิบตั ิตามย่อมได้ ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบตั ิ ฯ
(ปี 2552) อาการที่พระพุทธเจ้ าทรงสัง่ สอนมีกี่อย่าง? ข้ อที่วา่ “ทรงสัง่ สอนเป็ นอัศจรรย์” นันคื
้ ออย่างไร?
ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ผู้ปฏิบตั ิตามย่อมได้ ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบตั ิ ฯ
(ปี 2551) พระสงฆ์ในรัตนตรัยมีคณ
ุ อย่างไร?
ตอบ พระสงฆ์ในรัตนตรัยมีคณ
ุ คือ ท่านปฏิบตั ิชอบตามคาสอนของพระพุทธเจ้ าแล้ ว สอนให้ ผ้ อู ื่นกระทาตามด้ วย ฯ
(ปี 2545) รัตนะที่ ๑ หมายถึงใคร? จงอธิบาย
ตอบ หมายถึงพระพุทธเจ้ า ฯ ได้ แก่ทา่ นผู้สอนให้ ประชุมชนประพฤติชอบด้ วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั ที่ทา่ นเรี ยกว่า
พระพุทธศาสนา ฯ

 โอวาท ๓ คือ ๑.เว้ นจากทุจริ ต ๒.ประกอบสุจริ ต ๓.ทาจิตใจให้ หมดจดจากเครื่ องเศร้ าหมอง มีโลภ โกรธ หลง เป็ นต้ น
 พระพุทธศาสนาสอนเรื่ องการทาใจของตนให้ หมดจดจากเครื่องเศร้ าหมอง เพราะใจเป็ นธรรมชาติสาคัญ ถ้ า
ใจเศร้ าหมอง ก็เป็ นเหตุให้ ทาชัว่ การทาชัว่ มีผลเป็ นความทุกข์ ถ้ าใจผ่องแผ้ ว ก็เป็ นเหตุให้ทาดี การทาดีมีผลเป็ น
ความสุข
4|Page
 ทุจริต ๓ คือ ประพฤติชวั่ ทางกาย วาจา ใจ
กายทุจริต ๓ ประพฤติชวั่ ทางกาย คือ ฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ประพฤติทางกาม
วจีทุจริต ๔ ประพฤติชวั่ ทางวาจา คือ พูดเท็จ, พูดส่อเสียด, พูดคาหยาบ, พูดเพ้ อเจ้ อ
มโนทุจริต ๓ ประพฤติชวั่ ทางใจ คือ โลภอยากได้ ของเขา, พยาบาทปองร้ ายเขา, เห็นผิดจากคลองธรรม(เช่น
เห็นว่า บุญบาปไม่มี บิดามารดาไม่มีพระคุณ คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ไม่ม)ี
 สุจริต ๓ คือ ประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ
กายสุจริต ๓ ประพฤติชอบทางกาย คือ เว้ นจากฆ่าสัตว์, เว้ นจากลักทรัพย์, เว้ นจากประพฤติทางกาม
วจีสุจริต ๔ ประพฤติชอบทางวาจา คือ เว้ นจากพูดเท็จ, เว้ นจากพูดส่อเสียด, เว้ นจากพูดคาหยาบ,
เว้ นจากพูดเพ้ อเจ้ อ
มโนสุจริต ๓ ประพฤติชอบทางใจ คือ ไม่โลภอยากได้ ของเขา, ไม่พยาบาทปองร้ ายเขา,
เห็นชอบตามคลองธรรม
(ปี 2561) ทุจริ ต คืออะไร ? พูดใส่ร้ายผู้อื่น จัดเข้ าในทุจริ ตข้ อไหน ? ตอบ ทุจริ ต คือ ความประพฤติชวั่ ฯ จัดเข้ าในวจีทจุ ริ ต ฯ
(ปี 2555) กายทุจริ ต หมายความว่าอย่างไร? ตอบ กายทุจริ ต หมายถึง ความประพฤติชวั่ ทางกาย
(ปี 2554) เห็นผิดจากคลองธรรม คือเห็นอย่างไร? จัดเข้ าในทุจริ ตข้ อไหน?
ตอบ เห็นผิดจากคลองธรรม คือเห็นผิดจากความจริ ง เช่น เห็นว่า บุญบาปไม่มี บิดามารดาไม่มีพระคุณเป็ นต้ นฯ จัดเข้ าในมโนทุจริ ตฯ
(ปี 2553) พระโอวาทของพระพุทธเจ้ า หรื อที่เรี ยกกันว่าหัวใจพระศาสนา มีกี่ข้อ? อะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๓ ข้ อ ฯ คือ ๑. เว้ นจากทุกจริ ต คือประพฤติชวั่ ด้ วยกาย วาจา ใจ
๒. ประกอบสุจริ ต คือประพฤติดีด้วยกาย วาจา ใจ
๓. ทาใจของตนให้ หมดจดจากเครื่ องเศร้ าหมอง มีโลภ โกรธ หลง เป็ นต้ น ฯ
(ปี 2553) ทุจริ ตคือะไร? ความเห็นว่าคุณของบิดามารดาครูบาอาจารย์ไม่มี บุญบาปไม่มี จัดเป็ นทุจริ ตข้ อไหน?
ตอบ ทุจริ ต คือ ประพฤติชวั่ ด้ วยกาย วาจา ใจ ฯ จัดเป็ นมโนทุจริ ต ฯ
(ปี 2551, 2549 และ 2545) โอวาทของพระพุทธเจ้ ามีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๓ อย่าง คือ ๑. เว้ นจากทุจริ ต คือ ประพฤติชวั่ ด้ วยกาย วาจา ใจ
๒. ประกอบสุจริ ต คือ ประพฤติชอบด้ วยกาย วาจา ใจ
๓. กระทาใจของตนให้ หมดจดจากเครื่ องเศร้ าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลงเป็ นต้ น ฯ
(ปี 2550) มโนสุจริ ตคืออะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ มโนสุจริ ต คือ การประพฤติชอบด้ วยใจ ฯ มี ๑.ไม่โลภอยากได้ ของเขา ๒.ไม่พยาบาทปองร้ ายเขา ๓.เห็นชอบตามคลองธรรม ฯ
(ปี 2547) เพราะเหตุไร หลักคาสอนในทางพระพุทธศาสนาจึงสอนเรื่ องการทาใจของตนให้ หมดจดจากเครื่ องเศร้ าหมอง?
ตอบ เพราะใจเป็ นธรรมชาติสาคัญ ถ้ าใจเศร้ าหมอง ก็เป็ นเหตุให้ ทาชัว่ การทาชัว่ มีผลเป็ นความทุกข์ ถ้ าใจผ่องแผ้ ว ก็เป็ นเหตุให้ ทา
ดี การทาดีมีผลเป็ นความสุข ฯ
(ปี 2543) คนที่รับปากรับคาเขาไว้ แล้ ว แต่ไม่ทาตามนันจั
้ ดเข้ าในทุจริ ตข้ อไหน? ตอบ จัดเข้ าในวจีทจุ ริ ต

5|Page
 อกุศลมูล ๓ รากเหง้ าของอกุศล
๑. โลภะ อยากได้ ของเขา
๒. โทสะ คิดประทุษร้ ายเขา
๓. โมหะ หลงไม่ร้ ูจริ ง
เมื่ออกุศลมูลเหล่านี ้มีอยูแ่ ล้ ว อกุศลอื่นที่ยงั ไม่เกิดก็เกิดขึ ้น ที่เกิดขึ ้นแล้ วก็เจริ ญมากขึ ้น เหตุนนั ้ ควรละเสีย.
(ปี 2556) จงให้ ความหมายของคาว่า อกุสลมูล ตอบ หมายถึง รากเหง้ าของอกุศล
(ปี 2554) รากเหง้ าของอกุศลเรี ยกว่าอะไร? มีอะไรบ้ าง? เพราะเหตุใดจึงควรละเลีย?
ตอบ เรี ยกว่า อกุศลมูล ฯ มี โลภะ โทสะ โมหะ ฯ เหตุที่ต้องละเสียเพราะเมื่ออกุศลมูลเหล่านี ้มีอยู่ อกุศลอื่นที่ยงั ไม่เกิดก็เกิดขึ ้น ที่เกิด
แล้ วก็เจริ ญมากขึ ้น
(ปี 2552 และ 2543) มูลเหตุที่ทาให้ บคุ คลทาความชัว่ เรี ยกว่าอะไร? มีอะไรบ้ าง? เมื่อเกิดขึ ้นแล้ วควรปฏิบตั ิอย่างไร ?
ตอบ เรี ยกว่า อกุศลมูล ฯ มี ๑. โลภะ อยากได้ ๒. โทสะ คิดประทุษร้ ายเขา ๓. โมหะ หลงไม่ร้ ูจริ ง ฯ
เมื่อเกิดขึ ้นแล้ วควรละเสีย ด้ วย ทาน ศีล ภาวนา ฯ

 กุศลมูล ๓ รากเหง้ าของกุศล


๑. อโลภะ ไม่อยากได้ ของเขา
๒. อโทสะ ไม่คิดประทุษร้ ายเขา
๓. อโมหะ ไม่หลงงมงาย
ถ้ ากุศลมูลเหล่านี ้มีอยูแ่ ล้ ว กุศลอื่นที่ยงั ไม่เกิดก็เกิดขึ ้น ที่เกิดแล้ วก็เจริ ญมากขึ ้น เหตุนนั ้ ควรให้ เกิดมีในสันดาน.
(ปี 2549) คนเราจะประพฤติดีหรื อประพฤติชวั่ มีมลู เหตุมาจากอะไร?
ตอบ คนประพฤติดีมีมลู เหตุมาจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ ส่วนคนประพฤติชวั่ มีมลู เหตุมาจากโลภะ โทสะ โมหะ ฯ

 สัปปุริสบัญญัติ ๓ ข้ อที่สตั บุรุษตังไว้


้ หรื อเรี ยกอีกอย่างว่า บัณฑิตบัญญัติ
๑. ทาน สละสิง่ ของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผ้ อู ื่น
๒. ปั พพัชชา ถือบวช เป็ นอุบายเว้ นจากเบียดเบียนกันและกัน
๓. มาตาปิ ตุอุปัฏฐาน การบารุงบิดามารดาของตนให้ เป็ นสุข
(ปี 2555) มาตาปิ ตุอปุ ั ฏฐาน หมายความว่าอย่างไร? ตอบ มาตาปิ ตุอปุ ั ฏฐาน หมายถึง การบารุงบิดามารดาของตนให้ เป็ นสุข

 บุญกิริยาวัตถุ ๓ สิง่ เป็ นที่ตงแห่


ั ้ งการบาเพ็ญบุญ
๑. ทานมัย บุญสาเร็ จด้ วยการบริ จาคทาน
๒. สีลมัย บุญสาเร็ จด้ วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสาเร็ จด้ วยการเจริ ญภาวนา
(ปี 2562, 2543) สิง่ เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งการบาเพ็ญบุญเรี ยกว่าอะไร? โดยย่อมีเท่าไร? อะไรบ้ าง?
6|Page
ตอบ เรี ยกว่า บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ คือ ๑) ทานมัย บุญสาเร็ จด้ วยการบริ จาคทาน ๒) สีลมัย บุญสาเร็ จด้ วยการรักษาศีล
๓) ภาวนามัย บุญสาเร็ จด้ วยการเจริ ญภาวนา
(ปี 2558) บุญกิริยาวัตถุ คืออะไร ? โดยย่อมีเท่าไร ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ คือสิง่ เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งการบาเพ็ญบุญ ฯ มี ๓ ฯ คือ
๑. ทานมัย บุญสาเร็ จด้ วยการบริ จาคทาน
๒. สีลมัย บุญสาเร็ จด้ วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสาเร็ จด้ วยการเจริ ญภาวนา ฯ
(ปี 2556) การทาบุญโดยย่อมีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง? ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ทาน ศีล ภาวนา ฯ
(ปี 2547) บุญกิริยาวัตถุ คืออะไร? ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ นัน้ ข้ อไหนกาจัดความโลภ ความโกรธ และ ความหลง?
ตอบ คือ สิง่ เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งการบาเพ็ญบุญ ฯ ทานมัยกาจัดความโลภ สีลมัยกาจัดความโกรธ ภาวนามัยกาจัดความหลง ฯ

 สามัญลักษณะ ๓ (ไตรลักษณะ ๓) คือ ลักษณะ ๓ ประการของสังขารทังปวง


้ ได้ แก่
๑. อนิจจตา ความเป็ นของไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา ความเป็ นทุกข์
๓. อนัตตตา ความเป็ นของไม่ใช่ตน
(ปี 2560 และ 2553) ไตรลักษณ์ ได้ แก่อะไรบ้ าง?
ตอบ ๑. อนิจจตา ความเป็ นของไม่เที่ยง ๒. ทุกขตา ความเป็ นทุกข์ ๓. อนัตตตา ความเป็ นของไม่ใช่ตน
(ปี 2556) จงให้ ความหมายของคาว่า อนัตตตา ตอบ อนัตตตา ความเป็ นของไม่ใช่ตน

หมวด ๔
 วุฑฒิ ๔ ธรรมเป็ นเครื่ องเจริ ญ ๔ อย่าง
๑. สัปปุริสสังเสวะ คบสัตบุรุษ
๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟั งคาสัง่ สอนของท่านโดยเคารพ
๓. โยนิโสมนสิการ ตริ ตรองให้ ร้ ูจกั สิง่ ที่ดีหรื อชัว่ โดยอุบายที่ชอบ
๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึง่ ได้ ตรองเห็นแล้ ว ฯ
(ปี 2545) บุคคลผู้หวังความเจริ ญ ควรตังอยู
้ ใ่ นธรรมอะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ ควรตังอยู
้ ใ่ นวุฑฒิธรรม ฯ มี ๑) คบสัตบุรุษ ๒) ฟั งคาสัง่ สอนของท่านโดยเคารพ ๓) ตริ ตรองให้ ร้ ูจกั สิง่ ที่ดีหรื อชัว่ โดยอุบายที่ชอบ
๔) ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึง่ ได้ ตรองเห็นแล้ ว ฯ

 จักร ๔ ธรรมเป็ นดุจล้ อรถนาไปสูค่ วามเจริ ญ.


๑.ปฏิรูปเทสวาสะ อยูใ่ นประเทศอันสมควร
๒.สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ
7|Page
๓.อัตตสัมมาปณิธิ ตังตนไว้
้ ชอบ
๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็ นผู้ได้ ทาความดีไว้ ในปางก่อน
(ปี 2558 และ 2546) ธรรมดุจล้ อรถนาไปสูค่ วามเจริ ญ เรี ยกว่าอะไร ? จงบอกมาสัก ๒ ข้ อ
ตอบ เรี ยกว่า จักร ฯ ได้ แก่ ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยูใ่ นประเทศอันสมควร
๒. สัปปุริสปู ั สสยะ คบสัตบุรุษ
๓. อัตตสัมมาปณิธิ ตังตนไว้
้ ชอบ
๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็ นผู้ได้ ทาความดีไว้ ในปางก่อน ฯ
(เลือกตอบเพียง ๒ ข้ อ)
(ปี 2555 และ 2546) ปุพเพกตปุญญตา หมายความว่าอย่างไร?
ตอบ ปุพเพกตปุญญตา หมายถึง ความเป็ นผู้ได้ ทาความดีไว้ ในปางก่อน
(ปี 2548) ธรรม ๔ อย่าง ดุจล้ อรถนาไปสูค่ วามเจริ ญ ข้ อว่า “คบสัตบุรุษ คือคนดี” นัน้ จะนาไปสูค่ วามเจริ ญได้ อย่างไร?
ตอบ เมื่อคบสัตบุรุษแล้ วย่อมเป็ นเหตุให้ คิดดีพดู ดีทาดี อันก่อให้ เกิดความสุขความเจริ ญ ทังแก่
้ ตนเองและผู้อื่น พ้ นจากความทุกข์
ความเดือดร้ อน ทังยั
้ งให้ ถึงความเจริ ญอย่างที่สดุ คือพระนิพพานได้ ฯ
(ปี 2543) หลักธรรมดุจล้ อรถนาไปสูค่ วามเจริ ญ มีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๔ อย่างคือ ๑) ปฏิรูปเทสวาสะ อยูใ่ นประเทศอันสมควร
๒) สัปปุริสปู ั สสยะ คบสัตบุรุษ
๓) อัตตสัมมาปณิธิ ตังตนไว้
้ ชอบ
๔) ปุพเพกตปุญญตา ความเป็ นผู้ได้ ทาความดีไว้ ในปางก่อน

 อคติ ๔ ความประพฤติที่ผิดด้ วยความลาเอียง ด้ วยความไม่เที่ยงธรรม


๑. ฉันทาคติ ลาเอียงเพราะรักใคร่กนั
๒. โทสาคติ ลาเอียงเพราะไม่ชอบกัน
๓. โมหาคติ ลาเอียงเพราะโง่เขลา
๔. ภยาคติ ลาเอียงเพราะกลัว
(ปี 2558) บุคคลผู้รักษาความยุติธรรมไว้ ได้ ควรเว้ นจากธรรมอะไร ? ธรรมนันมี
้ อะไรบ้ าง ?
ตอบ ควรเว้ นจากอคติ ๔ ฯ มี
๑. ความลาเอียงเพราะรักใคร่กนั เรี ยกว่า ฉันทาคติ
๒. ความลาเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรี ยกว่า โทสาคติ
๓. ความลาเอียงเพราะเขลา เรี ยกว่า โมหาคติ
๔. ความลาเอียงเพราะกลัว เรี ยกว่า ภยาคติ ฯ
(ปี 2555) ผู้จะดารงความยุติธรรมไว้ ได้ ต้ องประพฤติอย่างไรบ้ าง?
ตอบ ต้ องประพฤติดงั นี ้
8|Page
๑. ไม่ลาเอียงเพราะรักใคร่กนั อันเรี ยกว่า ฉันทาคติ
๒. ไม่ลาเอียงเพราะไม่ชอบกัน อันเรี ยกว่า โทสาคติ
๓.ไม่ลาเอียงเพราะเขลา อันเรี ยกว่า โมหาคติ
๔.ไม่ลาเอียงเพราะกลัว อันเรี ยกว่า ภยาคติ ฯ
(ปี 2551) ธรรมหมวดหนึง่ เป็ นเหตุให้ ผ้ ปู ระพฤติขาดความเที่ยงธรรมชื่อว่าอะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ ชื่อว่า อคติ ความลาเอียง ฯ มี
๑. ฉันทาคติ ลาเอียงเพราะรักใคร่กนั
๒. โทสาคติ ลาเอียงเพราะไม่ชอบกัน
๓. โมหาคติ ลาเอียงเพราะเขลา
๔. ภยาคติ ลาเอียงเพราะกลัว ฯ

 อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ๔ อย่ าง
๑. อดทนต่อคาสัง่ สอนไม่ได้ คือเบื่อต่อคาสัง่ สอนขี ้เกียจทาตาม.
๒. เป็ นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากไม่ได้.
๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้ สขุ ยิ่ง ๆ ขึ ้นไป.
๔. รักผู้หญิง.
(ปี 2559) ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ควรเว้ นอันตราย ๔ อย่าง คืออะไรบ้ าง ?
ตอบ ควรเว้ นอันตราย ๔ อย่าง คือ
๑. อดทนต่อคาสอนไม่ได้ คือเบื่อหน่ายต่อคาสัง่ สอน ขี ้เกียจทาตาม
๒. เป็ นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนต่อความอยากไม่ได้
๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้ สขุ ยิ่งๆ ขึ ้นไป
๔. รักผู้หญิง ฯ
(ปี 2543) อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ข้ อไหนเป็ นอันตรายที่สดุ ? เพราะเหตุไร?
ตอบ ข้ อ ๓ คือ เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้ สขุ ยิ่ง ๆ ขึ ้นไป เป็ นอันตรายที่สดุ เพราะอันตรายข้ ออื่น ๆ ย่อมรวมลงในกาม
คุณทังสิ
้ ้น

 ปธาน คือความเพียร ๔ อย่าง หรื อเรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า สัมมัปปธาน ๔


๑. สังวรปธาน เพียรระวังมิให้ ปาปเกิดขึ ้นในสันดาน.
๒. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ ้นแล้ ว.
๓. ภาวนาปธาน เพียรให้ กศุ ลเกิดขึ ้นในสันดาน.
๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ ้นแล้ วไม่ให้ เสือ่ ม.
ความเพียร ๔ อย่างนี ้ เป็ นความเพียรชอบ ควรประกอบให้ มีในตน.
9|Page
(ปี 2549) ปธานคือความเพียร ๔ มีอะไรบ้ าง? งดเหล้ าเข้ าพรรษาอนุโลมเข้ าในปธานข้ อไหน?
ตอบ มี ๑.สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้ บาปเกิดขึ ้นในสันดาน
๒.ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ ้นแล้ ว
๓.ภาวนาปธาน เพียรให้ กศุ ลเกิดขึ ้นในสันดาน
๔.อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ ้นแล้ วมิให้ เสือ่ ม ฯ
งดเหล้ าเข้ าพรรษาอนุโลมเข้ าในปหานปธาน ฯ
(ปี 2546) เพียรระวังตนให้ หา่ งไกลจากสิง่ เสพติด จัดเข้ าในปธานข้ อไหน? ตอบ จัดเข้ าในสังวรปธาน ฯ
(ปี 2544) คนเสพยาเสพย์ติด เพียรพยายามจะเลิกให้ ได้ ชื่อว่าตังอยู
้ ใ่ นปธานข้ อไหน? ตอบ ตังอยู
้ ใ่ นปหานปธาน

 อธิษฐานธรรม ๔ คือ ธรรมที่ควรตังไว้


้ ในใจ ๔ อย่าง
๑. ปั ญญา รอบรู้สงิ่ ที่ควรรู้.
๒. สัจจะ ความจริ งใจ คือประพฤติสงิ่ ใดก็ให้ ได้ จริ ง.
๓. จาคะ สละสิง่ ที่เป็ นข้ าศึกแก่ความจริ งใจ.
๔. อุปสมะ สงบใจจากสิง่ ที่เป็ นข้ าศึกแก่ความสงบ.
(ปี 2543) อธิษฐานธรรมคือธรรมที่ควรตังไว้
้ ในใจ มีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง?

 อิทธิบาท ๔ คุณธรรมเครื่ องให้ สาเร็ จความประสงค์


๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิง่ นัน้
๒. วิริยะ เพียรประกอบสิง่ นัน้
๓. จิตตะ เอาใจฝั กใฝ่ ในสิง่ นัน้ ไม่วางธุระ
๔. วิมังสา หมัน่ ตริ ตรองพิจารณาเหตุผลในสิง่ นัน้
(ปี 2562, 2560 และ 2543) ผู้ที่ทางานไม่สาเร็ จผลตามที่มงุ่ หมายเพราะขาดคุณธรรมอะไรบ้ าง?
ตอบ เพราะขาดอิทธิบาท คือ คุณเครื่ องให้ สาเร็ จความประสงค์ ๔ อย่าง คือ
๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิง่ นัน้
๒. วิริยะ เพียรประกอบสิง่ นัน้
๓. จิตตะ เอาใจฝั กใฝ่ ในสิง่ นันไม่
้ วางธุระ
๔. วิมงั สา หมัน่ ตริ ตรองพิจารณาเหตุผลในสิง่ นัน้
(ปี 2557) คุณธรรมเครื่ องให้ สาเร็ จความประสงค์ คืออะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ คืออิทธิบาท ๔ ฯ มี
๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิง่ นัน้
๒. วิริยะ เพียรประกอบสิง่ นัน้
๓. จิตตะ เอาใจฝั กใฝ่ ในสิง่ นันไม่
้ วางธุระ
10 | P a g e
๔. วิมงั สา หมัน่ ตริ ตรองพิจารณาเหตุผลในสิง่ นัน้ ฯ
(ปี 2553) นักเรี ยนผู้ต้องการจะเรี ยนหนังสือให้ ได้ ผลดี จะนาอิทธิบาทมาใช้ อย่างไร?
ตอบ ในเบื ้องต้ น ต้ องสร้ างฉันทะคือความพอใจในการศึกษาเล่าเรี ยนก่อน เมื่อมีความพอใจ จะเป็ นเหตุให้ ขยันศึกษาหาความรู้ที่
เรี ยกว่าวิริยะ และเกิดความใฝ่ ใจใครรู้สงิ่ ต่างๆ มากขึ ้น ที่เรี ยกว่าจิตตะ เมื่อเรี ยนรู้แล้ วก็ต้องนาความรู้นนมาใคร่
ั้ ครวญพิจารณาให้
เข้ าใจเหตุและผลอย่างถูกต้ องที่เรี ยกว่าวิมงั สา ดังนี ้ก็จะประสบผลสาเร็ จในการศึกษาเล่าเรี ยนได้
(ปี 2545) ผู้ประกอบกิจการงานสาเร็ จตามความประสงค์เพราะประพฤติธรรมอะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ เพราะประพฤติอิทธิบาท ๔ มี ๑) ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิง่ นัน้
๒) วิริยะ เพียรประกอบสิง่ นัน้
๓) จิตตะ เอาใจฝั กใฝ่ ในสิง่ นัน้ ไม่วางธุระ
๔) วิมงั สา หมัน่ ตริ ตรองพิจารณาเหตุผลในสิง่ นัน้ ฯ

 ปาริสุทธิศีล ๔ ข้ อปฏิบตั ิที่ทาให้ ศีลบริ สทุ ธิ์


๑. ปาติโมกขสังวร สารวมในพระปาติโมกข์ เว้ นข้ อที่พระพุทธเจ้ าห้ าม ทาตามข้ อที่พระองค์ทรงอนุญาต.
๒. อินทรียสังวร สารวมอินทรี ย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ไม่ให้ ยินดียินร้ าย ในเวลาเห็นรูป ฟั งเสียง ดมกลิน่ ลิ ้มรส กาย
สัมผัส รู้ธรรมารมณ์.
๓. อาชีวปาริสุทธิ เลี ้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี ้ยงชีวิต.
๔. ปั จจยปั จจเวกขณะ พิจารณาเสียก่อนจึงบริ โภคปั จจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้ วยตัณหา.
(ปี 2556) จงให้ ความหมายของคาว่า อินทรี ยสังวร ตอบ หมายถึง ความสารวมอินทรี ย์
(ปี 2555) การสารวมอินทรี ย์ ได้ แก่การกระทาอย่างไร? เมื่อกระทาเช่นนันแล้
้ วจะได้ รับประโยชน์อะไร?
ตอบ การสารวมอินทรี ย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ไม่ให้ ยินดี ยินร้ าย เมือ่ เห็นรูป ได้ ยินเสียง ดมกลิน่ ลิ ้มรส กายสัมผัส รู้
ธรรมารมณ์ ฯ ได้ ประโยชน์ คือ ไม่เกิดความยินดี ไม่เกิดความยินร้ าย ในเวลาเห็นรูป ได้ ยินเสียง เป็ นต้ น ฯ
(ปี 2551) อินทรี ยสังวร คือสารวมอินทรี ย์ อินทรี ย์ได้ แก่อะไรบ้ าง ? ตอบ อินทรี ย์ ได้ แก่ ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ฯ
(ปี 2550) ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่จะต้ องมีอินทรี ยสังวร คือสารวมอินทรี ย์ สารวมอินทรี ย์นนั ้ คืออย่างไร ?
ตอบ สารวมอินทรี ย์ คือระวังตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ไม่ให้ ความยินดียินร้ ายครอบงาได้ ในเวลาเห็นรูป ฟั งเสียง ดมกลิน่ ลิ ้มรส ถูกต้ อง
โผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ ฯ
(ปี 2548) ปั จจยปั จจเวกขณะ หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ หมายความว่า พิจารณา (ถึงคุณและโทษของปั จจัย ๔) ก่อน จึงบริ โภคปั จจัย ๔
คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริ โภคด้ วยตัณหา ฯ
(ปี 2546) จงอธิบายความหมายของคาต่อไปนี ้?
ก. ปั จจยปั จจเวกขณะ ข. อภิณหปั จจเวกขณะ
ตอบ ก. ปั จจยปั จจเวกขณะคือพิจารณาเสียก่อนจึงบริ โภคปั จจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริ โภคด้ วยตัณหา ฯ

11 | P a g e
ข. อภิณหปั จจเวกขณะคือพิจารณาทุก ๆ วันว่า เรามีความแก่ มีความเจ็บมีความตายเป็ นธรรมดา ไม่ลว่ งพ้ นความแก่ เจ็บ ตายไป
ได้ เราต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น เรามีกรรมเป็ นของ ๆ ตน เราทาดี จักได้ ดี ทาชัว่ จักได้ ชวั่ ฯ

 พรหมวิหาร ๔ ธรรมเป็ นเครื่ องอยูข่ องท่านผู้ใหญ่


๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้ เป็ นสุข.
๒. กรุ ณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้ พ้นทุกข์.
๓. มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ ด.ี
๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เมื่อผู้อื่นถึงความวิบตั .ิ
(ปี 2557)เมื่อเพื่อนร่วมงานได้ เลือ่ นตาแหน่ง ไม่คิดริ ษยา พลอยยินดีกบั เขาด้ วย ชื่อว่าปฏิบตั ิตามพรหมวิหารธรรมข้ อใด?ตอบมุทิตาฯ
(ปี 2553) พรหมวิหาร ๔ มีอะไรบ้ าง? ตอบ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฯ

 ธาตุกัมมัฏฐาน ๔ การกาหนดพิจารณาร่างกายที่ประกอบด้ วยธาตุ ๔ คือ


๑. ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
๒. อาโปธาตุ ธาตุน ้า
๓. เตโชธาตุ ธาตุไฟ
๔. วาโยธาตุ ธาตุลม
(ปี 2551) ธาตุ ๔ มีธาตุอะไรบ้ าง? ธาตุมีลกั ษณะแข้ นแข็ง คือธาตุอะไร?
ตอบ ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน ้า ธาตุไฟ ธาตุลม ฯ ธาตุมีลกั ษณะแข้ นแข็ง คือ ธาตุดิน ฯ
(ปี 2546) ธาตุกมั มัฏฐาน มีอะไรบ้ าง? กาหนดพิจารณาอย่างไร เรี ยกว่า ธาตุกมั มัฏฐาน?
ตอบ มี ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน ้า ธาตุไฟ ธาตุลม ฯ
กาหนดพิจารณากายนี ้ ให้ เห็นว่าเป็ นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น ้า ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรี ยกว่า ธาตุกมั มัฏฐาน ฯ

 อริยสัจ ๔ ความจริ งอันประเสริ ฐ


๑. ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
๒. สมุทัย เหตุให้ ทกุ ข์เกิด คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
๓. นิโรธ ความดับทุกข์
๔. มรรค ข้ อปฏิบตั ิให้ ถึงความดับทุกข์ คือ มรรคมีองค์ ๘
 ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ได้ ชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็ นของทนได้ ยาก.
 ตัณหา คือความทะยานอยาก ได้ ชื่อว่าสมุทัย เพราะเป็ นเหตุให้ ทกุ ข์เกิด.
 ตัณหานัน้ มี ๓ ประเภท คือ
ความอยากในอารมณ์ที่นา่ รักใคร่ เรี ยกว่า กามตัณหา
ความอยากเป็ นโน่นเป็ นนี่ เรี ยกว่า ภวตัณหา
12 | P a g e
ความอยากไม่เป็ นโน่นเป็ นนี่ เรี ยกว่า วิภวตัณหา
 ความดับตัณหาได้ สิ ้นเชิง ทุกข์ดบั ไปหมด ได้ ชื่อว่านิโรธ เพราะเป็ นความดับทุกข์.
 ปั ญญาอันเห็นชอบว่า สิง่ นี ้ทุกข์ สิง่ นี ้เหตุให้ ทกุ ข์เกิด สิง่ นี ้ความดับทุกข์ สิง่ นี ้ทางให้ ถึงความดับทุกข์
ได้ ชื่อว่า มรรค เพราะเป็ นข้ อปฏิบตั ิให้ ถึงความดับทุกข์.
 มรรคนัน้ มีองค์ ๘ ประการ คือ ปั ญญาอันเห็นชอบ ๑ ดาริ ชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี ้ยงชีวิตชอบ ๑
เพียรชอบ ๑ ตังสติ
้ ชอบ ๑ ตังใจชอบ
้ ๑. [หมายเหตุ ปั ญญาอันเห็นชอบ เรานิยมพูดสันๆ
้ ว่า “ความเห็นชอบ” ]

(ปี 2561) อริ ยสัจ ๔ มีอะไรบ้ าง ? ความไม่สบายกายไม่สบายใจ จัดเป็ นอริ ยสัจ ข้ อไหน ?
ตอบ มี ๑. ทุกข์ ๒. สมุทยั คือเหตุให้ เกิดทุกข์ ๓. นิโรธ คือความดับทุกข์ ๔. มรรค คือข้ อปฏิบตั ิให้ ถึงความดับทุกข์ ฯ จัดเป็ นทุกข์ ฯ
(ปี 2557 และ 2556) เหตุให้ เกิดทุกข์ในอริ ยสัจ ๔ คืออะไร? ตอบ คือตัณหา ความทะยานอยาก ฯ
(ปี 2554 และ 2545) ทุกข์ในอริ ยสัจ ๔ คืออะไร? เหตุให้ เกิดทุกข์คืออะไร?
ตอบ ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ เหตุให้ เกิดทุกข์คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
(ปี 2552) ปั ญญาอันเห็นชอบอย่างไร จึงชื่อว่ามรรคในอริ ยสัจ ๔? เพราะเหตุไร?
ตอบ ปั ญญาอันเห็นชอบว่าสิง่ นี ้ทุกข์ สิง่ นี ้เหตุให้ ทกุ ข์เกิด สิง่ นี ้ความดับทุกข์ สิง่ นี ้ทางให้ ถึงความดับทุกข์ ได้ ชื่อว่ามรรค ฯ เพราะเป็ น
ข้ อปฏิบตั ิให้ ถึงความดับทุกข์ ฯ
(ปี 2544) อริ ยสัจ ๔ มีอะไรบ้ าง? ปรารถนาสิง่ ใด ไม่ได้ สมหวัง จัดเป็ นอริ ยสัจข้ อไหน ?
ตอบ มี ๑) ทุกข์ ๒) สมุทยั คือ เหตุให้ ทกุ ข์เกิด ๓) นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ๔) มรรค คือ ข้ อปฏิบตั ิให้ ถึงความดับทุกข์
จัดเป็ นทุกข์ ฯ

หมวด ๕
 อนันตริยกรรม ๕ กรรมอันเป็ นบาปหนักที่สดุ ห้ ามสวรรค์ ห้ ามนิพพาน ตังอยู
้ ใ่ นฐานปาราชิกของผู้ถือพระพุทธศาสนา ห้ าม
ไม่ให้ ทาเป็ นเด็ดขาด.
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา.
๒. ปิ ตุฆาต ฆ่าบิดา.
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์.
๔. โลหิตุปบาท ทาร้ ายพระพุทธเจ้ าจนถึงยังพระโลหิตให้ ห้อขึ ้นไป.
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้ แตกจากกัน.
(ปี 2562, 2544) กรรมที่เป็ นบาปหนักที่สดุ มีชื่อเรี ยกว่าอะไร ? คืออะไรบ้ าง ?
ตอบ มีชื่อเรี ยกว่า อนันตริ ยกรรม ฯ
คือ ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิ ตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
13 | P a g e
๔. โลหิตปุ บาท ทาร้ ายพระพุทธเจ้ าจนถึงยังพระโลหิตให้ ห้อขึ ้นไป
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้ แตกจากกัน ฯ
(ปี 2558) กรรมอันเป็ นบาปหนักที่สดุ ห้ ามสวรรค์ ห้ ามนิพพาน คือกรรมอะไร ? จงยกตัวอย่างสัก ๓ ข้ อ
ตอบ คืออนันตริ ยกรรม ฯ มี ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิ ตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตปุ บาท ทาร้ ายพระพุทธเจ้ าจนถึงยังพระโลหิตให้ ห้อขึ ้นไป
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้ แตกจากกัน ฯ
(เลือกตอบเพียง ๓ ข้ อ)
(ปี 2547) ในพระพุทธศาสนา บุคคลผู้ฆา่ มารดาบิดา ได้ ชื่อว่าเป็ นผู้ทาอนันตริ ยกรรม จะได้ รับโทษอย่างไร ?
ตอบ จะได้ รับโทษคือ ต้ องไปสูท่ คุ ติ ห้ ามสวรรค์ ห้ ามนิพพาน ฯ
(ปี 2544) กรรมที่เป็ นบาปหนักที่สดุ มีชื่อเรี ยกว่าอะไร? คืออะไรบ้ าง? เพราะเหตุไรจึงเป็ นกรรมที่เป็ นบาปหนักที่สดุ ?
ตอบ มีชื่อเรี ยกว่า อนันตริ ยกรรม ฯ คือ ๑) มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒) ปิ ตุฆาต ฆ่าบิดา
๓) อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔) โลหิตปุ บาท ทาร้ ายพระพุทธเจ้ าจนถึงยังพระโลหิตให้ ห้อขึ ้นไป
๕) สังฆเภท ยังสงฆ์ให้ แตกจากกัน ฯ
เพราะห้ ามสวรรค์ ห้ ามนิพพาน ตังอยู
้ ใ่ นฐานปาราชิกของผู้นบั ถือพระพุทธศาสนา ห้ ามไม่ให้ ทาเป็ นเด็ดขาด ฯ

 อภิณหปั จจเวกขณ์ ๕ สิง่ ที่ควรพิจารณาทุกวัน ๆ


๑. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่ า เรามีความแก่ เป็ นธรรมดา ไม่ ล่วงพ้ นความแก่ ไปได้.
ประโยชน์คือ เพื่อบรรเทาความเมาในความเป็ นเด็กหรื อในความเป็ นหนุม่ เป็ นสาว เห็นแก่ความสนุกเพลิดเพลิน ให้
ตังใจศึ
้ กษาเล่าเรี ยน และทากิจที่ควรทาในขณะที่ยงั ไม่แก่.
๒. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่ า เรามีความเจ็บเป็ นธรรมดา ไม่ ล่วงพ้ นความเจ็บไปได้.
ประโยชน์คือ เพื่อบรรเทาความเมาในความไม่มีโรคภัยไข้ เจ็บแล้ ว รี บเร่งศึกษาเล่าเรี ยน และทากิจที่ควรทาในขณะที่ยงั
ไม่มีโรค.
๓. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่ า เรามีความตายเป็ นธรรมดา ไม่ ล่วงพ้ นความตายไปได้.
ประโยชน์คือ เพื่อบรรเทาความเมาในชีวิต แล้ วรี บเร่งทากิจที่ควรทาให้ สาเร็ จก่อนที่ควรตายจะมาถึง.
๔. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่ า เราจะต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทัง้ สิน้ .
ประโยชน์คือ เพื่อบรรเทาความยึดมัน่ ถือมัน่ ว่า สิง่ นัน้ คนนัน้ เป็ นที่รักของเรา จักไม่ต้องเสียใจในเมื่อต้ องพลัดพราก
จริ ง ๆ.
๕. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่ า เรามีกรรมเป็ นของตัว เราทาดีจักได้ ดี ทาชั่วจักได้ ช่ ัว.

14 | P a g e
ประโยชน์คือ เพื่อบรรเทาความเห็นผิดว่า คนจะดีก็ดีเอง จะชัว่ ก็ชวั่ เอง จะได้ สขุ ทุกข์ก็ได้ เอง แล้ วรี บเร่งทาแต่กรรมดี งด
เว้ นกรรมชัว่ .
(ปี 2561) สิง่ ที่พระพุทธเจ้ าทรงสอนให้ พิจารณาเนืองๆ มีอะไรบ้ าง ? ทรงให้ พิจารณาอย่างไร ?
ตอบ มี ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความพลัดพราก และกรรม ฯ
ทรงสอนให้ พิจารณาว่า
๑. เรามีความแก่เป็ นธรรมดาไม่ลว่ งพ้ นความแก่ไปได้
๒. เรามีความเจ็บไข้ เป็ นธรรมดาไม่ลว่ งพ้ นความเจ็บไข้ ไปได้
๓. เรามีความตายเป็ นธรรมดาไม่ลว่ งพ้ นความตายไปได้
๔. เราจะต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น
๕. เรามีกรรมเป็ นของตัวเรา ทาดีจกั ได้ ดีทาชัว่ จักได้ ชวั่ ฯ
(ปี 2556) อภิณหปั จจเวกขณ์ คือข้ อที่ควรพิจารณาเนือง ๆ ๕ อย่าง ทรงสอนให้ พิจารณาอะไรบ้ าง?
ตอบ ทรงสอนให้ พิจารณา
๑. ความแก่ ว่าเรามีความแก่เป็ นธรรมดาไม่ลว่ งพ้ นความแก่ไปได้
๒. ความเจ็บไข้ ว่าเรามีความเจ็บไข้ เป็ นธรรมดาไม่ลว่ งพ้ นความเจ็บไข้ ไปได้
๓. ความตาย ว่าเรามีความตายเป็ นธรรมดาไม่ลว่ งพ้ นความตายไปได้
๔. ความพลัดพราก ว่าเราจะต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น
๕. กรรม ว่าเรามีกรรมเป็ นของตัวเราทาดีจกั ได้ ดีทาชัว่ จักได้ ชวั่ ฯ
(ปี 2554) อภิณหปั จจเวกขณ์ข้อว่า ควรพิจารณาทุกๆ วันว่า เราจะต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น ดังนี ้ ผู้พิจารณาได้ รับ
ประโยชน์อย่างไร? ตอบ ประโยชน์คือ ช่วยบรรเทาความพอใจรักใคร่ในของรักของชอบใจและป้องกันความทุกข์โทมนัส ในเวลาเมื่อ
ตนต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
(ปี 2550) ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า เราจะต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น ข้ อความนี ้อยูใ่ นหมวดธรรมอะไร? ท่านให้
พิจารณาอย่างนี ้เพื่ออะไร? ตอบ อยูใ่ นธรรมหมวดอภิณหปั จจเวกขณ์ ๕ ฯ เพื่อบรรเทาความยึดมัน่ ถือมัน่ ว่า สิง่ นัน้ คนนัน้ เป็ นที่รัก
ของเรา จักไม่ต้องเสียใจในเมื่อต้ องพลัดพรากจากสิง่ นัน้ คนนัน้ จริ ง ๆ ฯ
(ปี 2546) จงอธิบายความหมายของคาต่อไปนี ้?
ก. ปั จจยปั จจเวกขณะ ข. อภิณหปั จจเวกขณะ
ตอบ ก.ปั จจยปั จจเวกขณะ คือ พิจารณาเสียก่อนจึงบริ โภคปั จจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริ โภคด้ วยตัณหา ฯ
ข.อภิณหปั จจเวกขณะ คือ พิจารณาทุก ๆ วันว่า เรามีความแก่ มีความเจ็บมีความตายเป็ นธรรมดา ไม่ลว่ งพ้ นความแก่ เจ็บ ตายไป
ได้ เราต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น เรามีกรรมเป็ นของ ๆ ตน เราทาดี จักได้ ดี ทาชัว่ จักได้ ชวั่ ฯ

 องค์ แห่ งพระธรรมกถึก ๕ คุณสมบัติของนักเทศน์


(ปี 2557) การจะเป็ นนักเทศก์ที่ดีจะต้ องมีคณ
ุ สมบัติอะไรบ้ าง? จงตอบมาสัก ๓ ข้ อ
ตอบ ๑. แสดงธรรมโดยลาดับ ไม่ตดั ลัดให้ ขาดความ
15 | P a g e
๒. อ้ างเหตุผลแนะนาให้ ผ้ ฟู ั งเข้ าใจ
๓. ตังจิ
้ ตเมตตาปรารถนาให้ เป็ นประโยชน์แก่ผ้ ฟู ั ง
๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ
๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือไม่ยกตนเสียดสีผ้ อู ื่น ฯ
(เลือกตอบเพียง ๓ ข้ อ)

 อานิสงส์ แห่ งการฟั งธรรม ๕ อย่ าง


(ปี 2558) อานิสงส์แห่งการฟั งธรรม มีอะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ ฟังสิง่ ที่ยงั ไม่เคยฟั ง
๒. สิง่ ใดได้ เคยฟั งแล้ ว แต่ไม่เข้ าใจชัด ย่อมเข้ าใจสิง่ นันชั
้ ด
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
๔. ทาความเห็นให้ ถกู ต้ องได้
๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ฯ

 พละ ๕ ธรรมเป็ นกาลัง ๕ อย่าง (หรื อ จะเรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า อินทรีย์ ๕ เพราะเป็ นใหญ่ในกิจของตน)
๑. สัทธา ความเชื่อ
๒. วิริยะ ความเพียร
๓. สติ ความระลึกได้
๔. สมาธิ ความตังใจมั
้ น่
๕. ปั ญญา ความรอบรู้ ฯ
(ปี 2552) ธรรมเป็ นกาลัง ๕ อย่าง คืออะไรบ้ าง? ธรรม ๕ อย่างนัน้ เรี ยกว่าอินทรี ย์ เพราะเหตุไร?
ตอบ ธรรมเป็ นกาลัง ๕ อย่าง คือ ๑) สัทธา ความเชื่อ ๒)วิริยะ ความเพียร ๓)สติ ความระลึกได้ ๔)สมาธิ ความตังใจมั
้ น่
๕)ปั ญญา ความรอบรู้ ฯ ธรรม ๕ อย่างนัน้ เรี ยกว่าอินทรี ย์ เพราะเป็ นใหญ่ในกิจของตน ฯ

 นิวรณ์ ๕ ธรรมอันกันจิ
้ ตไม่ให้ บรรลุความดี
๑. กามฉันทะ พอใจรักใคร่อารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป เป็ นต้ น
๒. พยาบาท ปองร้ ายผู้อื่น
๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหูแ่ ละเคลิบเคลิ ้ม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและราคาญ
๕. วิจิกิจฉา ลังเลไม่ตกลงได้
(ปี 2560 และ 2550) ธรรมอันเป็ นเครื่ องกันจิ
้ ตไม่ให้ บรรลุความดี คืออะไร ? มีอะไรบ้ าง ?
ตอบ คือ นิวรณ์ ๕ ฯ มี ๑. กามฉันท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็ นต้ น

16 | P a g e
๒. พยาบาท ปองร้ ายผู้อื่น
๓. ถีนมิทธะ ความทีจ่ ิตหดหูแ่ ละเคลิบเคลิ ้ม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและราคาญ
๕. วิจิกิจฉา ลังเลไม่ตกลงใจ ฯ
(ปี 2556) จงให้ ความหมายของคาว่า กามฉันท์ ตอบ หมายถึง ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็ นต้ น ฯ
(ปี 2555)คิดอย่างไรเรี ยกว่าพยาบาท? คิดอย่างนันเกิ
้ ดโทษอะไร? ตอบ คิดปองร้ ายผู้อื่นฯ เกิดโทษคือปิ ดกันจิ
้ ตใจไม่ให้ บรรลุความดีฯ
(ปี 2549) อุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านและราคาญ จัดเข้ าในขันธ์ไหนในขันธ์ ๕? เพราะเหตุไร?
ตอบ จัดเข้ าในสังขารขันธ์ ฯ เพราะความฟุ้งซ่านและราคาญ เป็ นเจตสิกธรรมที่เกิดขึ ้นกับใจ ฯ
(ปี 2547) ธรรมอันกันจิ
้ ตไม่ให้ บรรลุความดี เรี ยกว่าอะไร? ความดีท่ ถี กู กัน้ ไว้ ไม่ ให้ บรรลุ หมายถึง ความดีอย่ างไหน?
ตอบ เรี ยกว่า นิวรณ์ ฯ
หมายถึงความดีทกุ ๆ อย่าง ความดีที่ถกู กันไว้
้ ไม่ให้ บรรลุแต่เมื่อกล่าวโดยตรง ได้ แก่สมาธิ คือการทาจิตใจให้ สงบ ฯ

 ขันธ์ ๕ " ขันธ์ " แปลว่า " กอง " คือ กายกับใจ
๑. รูป ธาตุ ๔ คือ ดิน น ้า ไฟ ลม มาประชุมกันเป็ นกายนี ้
๒. เวทนา ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ
๓. สัญญา ความจาได้ หมายรู้
๔. สังขาร สิง่ ที่ปัจจัยปรุงแต่ง หรื อ ความคิด (คิดปรุง คิดดีบ้าง คิดชัว่ บ้ าง คิดไม่ดีไม่ชวั่ บ้ าง ความคิดปรุงแต่งจิต ให้ มีอาการต่าง ๆ)
๕. วิญญาณ ความรู้แจ้ งอารมณ์ ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตาเป็ นต้ น
 ขันธ์ ๕ นี ้ เรี ยกโดยย่อว่า นามรูป. เวทนา สัญญา สังขาร วิ ญญาณ รวมเข้ าเป็ นนาม, รู ปคงเป็ นรูป.
(ปี 2559) กายกับใจของเรานี ้แบ่งออกเป็ นกี่กอง ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ แบ่งออกเป็ น ๕ กอง ฯ คือ ๑. กองรูป ๒. กองเวทนา ๓. กองสัญญา ๔.กองสังขาร ๕. กองวิญญาณ ฯ
(ปี 2556) ขันธ์ ๕ ได้ แก่อะไรบ้ าง ? ย่อเป็ น ๒ อย่างไร?
ตอบ ได้ แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ฯ
อย่างนี ้คือ รูปขันธ์ คงเป็ นรูป เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ๔ ขันธ์นี ้เป็ นนาม ฯ
(ปี 2551 และ 2548) ขันธ์ ๕ ได้ แก่อะไรบ้ าง? โดยย่อเรี ยกว่าอะไร?
ตอบ ขันธ์ ๕ ได้ แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ โดยย่อเรี ยกว่า นามรูป ฯ

หมวด ๖
 คารวะ ๖ คือ ความเคารพ เอื ้อเฟื อ้ มี ๖ อย่าง
๑. ความเคารพในพระพุทธเจ้ า (พุทธคารวะ) คือเคารพเอื ้อเฟื อ้ นับถือบูชาด้ วยอามิสและด้ วยการปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบ ทาง
กายวาจาใจ อันประกอบด้ วยความเชื่อความเลือ่ มใสในพระพุทธเจ้ า แม้ ดบั ขันธปริ นิพพานนานแล้ ว ก็ไม่ลบหลูด่ หู มิ่น แม้ ทาท่า
เล่นพูดเล่นเพื่อสรวลเสเฮฮา ก็ไม่ควร ต้ องเคารพสารวมกิริยามารยาท

17 | P a g e
๒. ความเคารพในพระธรรม (ธัมมคารวะ) คือเคารพเอื ้อเฟื อ้ เลือ่ มใสในพระธรรม คือคาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้ าทังหมด
้ แม้
วัตถุที่จารึกพระธรรมก็ต้องให้ ความเคารพ ไม่เหยียบย่าข้ ามกราย.
๓. ความเคารพในพระสงฆ์ (สังฆคารวะ) คือเคารพเอื ้อเฟื อ้ เลือ่ มใสในพระสงฆ์ คือภิกษุ (สามเณร) ทังที
้ ่เป็ นอริ ยสงฆ์ ทังที
้ ่
เป็ นสมมติสงฆ์ แม้ กาสาวพัสตร์ คือผ้ าย้ อมน ้าฝาดที่พระสงฆ์นงุ่ ห่ม อันเป็ นดุจธงชัยในพระพุทธศาสนา ก็ต้องให้ ความเคารพ. ไม่
แสดงกิริยาอาการล้ อเล่นดูถกู ดูหมิ่นพระสงฆ์ ซึง่ เป็ นผู้สอนพระธรรมรักษาพระธรรม นาพระศาสนาสืบต่อมาไม่ขาดสาย. ตังใจ

กราบไหว้ และปฏิบตั ิตาม คาสอนของพระสงฆ์ ซึง่ เป็ นผู้แทนพระพุทธเจ้ า.
๔. ความเคารพในการศึกษา (สิกขาคารวะ) คือเคารพเอื ้อเฟื อ้ ในความศึกษา ตังใจศึ
้ กษาหาความรู้ความเข้ าใจความชานาญ
ในสิง่ ที่ควรรู้ ทังทางโลก
้ (ได้ แก่ศิลปวิชาสาขาต่าง ๆ ซึง่ เป็ นทางให้ ดารงชีพอยูโ่ ดยผาสุกในโลก) และทางธรรม (ได้ แก่ไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ และปั ญญา)
๕. ความเคารพในความไม่ ประมาท (อัปปมาทคารวะ) คือเคารพเอื ้อเฟื อ้ ในความไม่ประมาท คือ มีสติควบคุมกาย วาจา จิต
ในกาลทาพูดคิดอย่าให้ ผิดสม่าเสมอ ไม่พลังเผลอ
้ ในที่ทกุ สถาน ในกาลทุกเมื่อ.
๖. ความคารพในการต้ อนรับ (ปฏิสันถารคารวะ) คือความเคารพเอื ้อเฟื อ้ ในปฏิสนั ถาร ๒ อย่าง คือ
ก. อามิสปฏิสันถาร ต้ อนรับแขกด้ วยวัตถุสงิ่ ของ เช่น ที่นงั่ ที่พกั ข้ าว น ้า เป็ นต้ น.
ข. ธรรมปฏิสันถาร ต้ อนรับแขก ด้ วยการกล่าวเชื ้อเชิญสนทนาปราศรัยด้ วยไมตรี จิต และจัดแจงอามิสให้ พอสมควรแก่
ฐานะของแขก ตามสมควรแก่ฐานะของตน
(ปี 2552) คารวะ คืออะไร? มีกี่อย่าง? ข้ อว่า คารวะในความศึกษา หมายถึงอะไร ?
ตอบ คารวะ คือ ความเคารพ เอื ้อเฟื อ้ ฯ มี ๖ อย่าง ฯ คารวะในความศึกษา หมายถึง ความเคารพ เอื ้อเฟื อ้ ในไตรสิกขา ฯ

 สาราณิยธรรม ๖ ธรรมเป็ นที่ตงแห่


ั ้ งความให้ ระลึกถึง
๑. เข้ าไปตังกายกรรมประกอบด้
้ วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทังต่
้ อหน้ าและลับหลัง คือช่วยขวนขวายกิจธุระของเพื่อนกัน ด้ วย
การมีพยาบาลภิกษุไข้ เป็ นต้ น ด้ วยจิตเมตตา.
๒. เข้ าไปตังวจี
้ กรรมประกอบด้ วยเมตตา ฯลฯ ด้ วยวาจา เช่นกล่าวสัง่ สอนเป็ นต้ น
๓. เข้ าไปตังมโนกรรมประกอบด้
้ วยเมตตา ฯลฯ คือคิดแต่สงิ่ ที่เป็ นประโยชน์แก่เพื่อนกัน.
๔. แบ่งปั นลาภที่ตนได้ มาแล้ วโดยชอบธรรม ให้ แก่เพื่อนภิกษุสามเณร ไม่หวงไว้ บริ โภคจาเพาะผู้เดียว.
๕. รักษาศีลบริ สทุ ธิ์เสมอกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่ทาตนให้ เป็ นที่รังเกียจของผู้อื่น.
๖. มีความเห็นว่าร่วมกันกับภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่วิวาทกับใคร ๆ เพราะมีความเห็นผิดกัน.
ธรรม ๖ อย่ างนี ้ ทาผู้ประพฤติให้ เป็ นที่รักเคารพของผู้อื่น เป็ นไปเพื่อความสงเคราะห์กนั และกัน เป็ นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน
เป็ นไปเพื่อความสามัคคีเป็ นอันหนึง่ อันเดียวกัน.
(ปี 2547) สาราณิยธรรม แปลว่าอะไร? ธรรมข้ อนี ้ย่อมอานวยผลแก่ผ้ ปู ฏิบตั ิตามอย่างไร?
ตอบ ธรรมเป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความให้ ระลึกถึง ฯ ทาผู้ปฏิบตั ิตามให้ เป็ นที่รัก เป็ นที่เคารพของผู้อื่น เป็ นไปเพื่อความสงเคราะห์กนั และกัน
เป็ นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน เป็ นไปเพื่อความพร้ อมเพรี ยงกัน เป็ นไปเพื่อความเป็ นอันหนึง่ อันเดียวกัน ฯ
(ปี 2545) "รู้รักสามัคคี" เกิดขึ ้นเพราะปฏิบตั ิธรรมอะไร? ตอบ สาราณิยธรรม ฯ
18 | P a g e
 ๑.ตา ๒.หู ๓.จมูก ๔.ลิ ้น ๕.กาย ๖.ใจ เรี ยกว่า อายตนะภายใน ๖ เพราะทัง้ ๖ นี ้เป็ นของเนื่องอยูใ่ นร่างกาย คือในตัว
และเพราะเป็ นเครื่ องต่อหรื อเป็ นบ่อเกิด คือเป็ นเครื่ องต่อกับอายตนะภายนอก ๖ เช่นตาสาหรับต่อกับรูป, หูสาหรับต่อกับ
เสียงเป็ นต้ น. หรื อตาเป็ นบ่อเกิดปรากฏแห่งรูป, หูเป็ นบ่อเกิดปรากฏแห่งเสียงเป็ นต้ น
 ๑.ตา ๒.หู ๓.จมูก ๔.ลิ ้น ๕.กาย ๖.ใจ เรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า อินทรีย์ ๖ เพราะเป็ นใหญ่ในกิจของตน คือตาเป็ นใหญ่ใน
กิจคือการเห็นรูป หูเป็ นใหญ่ในกิจคือการฟั งเสียง จมูกเป็ นใหญ่ในกิจคือการรับสัมผัส ลิ ้นเป็ นใหญ่ในกิจคือการลิ ้มรส การ
เป็ นใหญ่ในกิจคือการรับสัมผัส ใจเป็ นใหญ่ในกิจคือรับรู้เรื่ อง. จะสับเปลีย่ นกันไม่ได้ เลย เช่นจะใช้ ตาฟั งเสียง หรื อใช้ หดู รู ูป
ไม่ได้ .
 ๑.ตา ๒.หู ๓.จมูก ๔.ลิ ้น ๕.กาย ๖.ใจ เรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า ทวาร ๖ เพราะเป็ นประตูแห่งอารมณ์ ๖, คืออารมณ์มีรูปา
รมณ์ (อารมณ์คือรูป) เป็ นต้ น เข้ ามาภายในบุคคล ก็ต้องผ่านเข้ ามาทางจักษุทวาร ประตูคือตา เป็ นต้ น.
 ๑.รูป ๒.รส ๓.กลิน่ ๔.เสียง ๕.โผฏฐัพพะ(คืออารมณ์ที่มาถูกต้องกาย) ๖.ธรรม(คืออารมณ์เกิดกับใจ) เรี ยกว่า อายตนะ
ภายนอก ๖ เพราะเป็ นเครื่ องต่อกับอายตนะภายใน ๖ เช่นรูปต่อกับตา เป็ นต้ น. และเพราะรูปเป็ นต้ นนี ้เป็ นของอยู่
นอกจากร่างกายออกไป
 ๑.รูป ๒.รส ๓.กลิน่ ๔.เสียง ๕.โผฏฐัพพะ(คืออารมณ์ที่มาถูกต้ องกาย) ๖.ธรรม(คืออารมณ์เกิดกับใจ)
เรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า อารมณ์ ๖ เพราะเป็ นที่หน่วงเหนี่ยวของจิต หรื อเป็ นที่ยินดีของตาเป็ นต้ น จึงมีชื่อเรี ยก ดังนี ้ :-
๑. รูปารมณ์ สิง่ เป็ นที่หน่วงเหนี่ยวจิต คือ รูป เป็ นที่ยินดีของตา เข้ ามาทางประตูคือตา.
๒. สัททารมณ์ สิง่ เป็ นที่หน่วงเหนี่ยวจิต คือ เสียง เป็ นที่ยินดีของหู เข้ ามาทางประตูคือหู.
๓. คันธารมณ์ สิง่ เป็ นที่หน่วงเหนี่ยวจิต คือ กลิน่ เป็ นที่ยินดีของจมูก เข้ ามาทางประตูคือลิ ้น.
๔. รสารมณ์ สิง่ เป็ นที่หน่วงเหนี่ยวจิต คือ รส เป็ นที่ยินดีของลิ ้น เข้ ามาทางประตูคือลิ ้น.
๕. โผฐัพพารมณ์ สิง่ เป็ นที่หน่วงเหนี่ยวจิต คือ สิง่ ถูกกาย เป็ นที่ยินดีของกาย เข้ ามาทางประตูคือกาย.
๖. ธรรมารมณ์ สิง่ เป็ นที่หน่วงเหนี่ยวจิต คือ เรื่ อง เป็ นที่ยินดีของใจ เข้ ามาทางประตูคือใจ
 วิญญาณ ๖ ความรู้ หรื อความรู้แจ้ งอารมณ์
อาศัยรูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยก จักขุวิญญาณ
อาศัยเสียงกระทบหู เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยก โสตวิญญาณ
อาศัยกลิน่ กระทบจมูก เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยก ฆานวิญญาณ
อาศัยรสกระทบลิ ้น เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยก ชิวหาวิญญาณ
อาศัยโผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยก กายวิญญาณ
อาศัยธรรมเกิดกับใจ เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยก มโนวิญญาณ.
เพราะอาศัย ๒ สิง่ คือ อายตนะภายใน ๑ อายตนะภายนอก ๑ กระทบกัน, หรื อทวาร ๑ อารมณ์ ๑ ประจวบกัน จึงเกิด
วิญญาณ คือความรู้ขึ ้น, ความรู้ที่เกิดขึ ้นนัน้ มีชื่อเรี ยกไปตามชื่อของอายตนะภายใน เช่น จักขุวิญญาณ แปลว่า ความรู้ทางตาเป็ นต้ น.
วิญญาณทัง้ ๖ นี ้ รวมเข้ าเป็ นกองหนึง่ เรี ยกว่า วิญญาณขันธ์

19 | P a g e
 สัมผัส ๖ การกระทบกันระหว่างอายตนะภายในมีตาเป็ นต้ น กับอายตนะภายนอกมีรูปเป็ นต้ น วิญญาณ มีจกั ขุวิญญาณ
เป็ นต้ น เพราะอาศัย ๓ สิง่ คือ อายตนะภายใน ๑ อาตนะภายนอก ๑ วิญญาณ ๑ ประชุมกันเข้ า จึงเรี ยกว่า สัมผัส
สัมผัสมี ๖ อย่าง เรี ยกชื่อตามอายตะนะภายใน คือ จักขุสัมผัส กระทบทางตา, โสตสัมผัส กระทบทางหู, ฆานสัมผัส
กระทบทางจมูก, ชิวหาสัมผัส กระทบทางลิ ้น กายสัมผัส กระทบทางกาย, มโนสัมผัส กระทบทางใจ.

(ปี 2561) อายตนะภายนอก ๖ ได้ แก่อะไรบ้ าง ?


ตอบ ได้ แก่ รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ที่มาถูกต้ องกาย ธรรม คืออารมณ์ที่เกิดกับใจ ฯ
(ปี 2559 และ 2543) อินทรี ย์ ๖ กับอารมณ์ ๖ มีความสัมพันธ์กนั อย่างไร? อะไรเรี ยกว่า สัมผัส?
ตอบ มีความสัมพันธ์กนั อย่างนี ้
ตา เป็ นใหญ่ในการเห็นอารมณ์ คือรูป
หู เป็ นใหญ่ในการฟั งอารมณ์ คือเสียง
จมูก เป็ นใหญ่ในการสูดดมอารมณ์ คือกลิน่
ลิ ้น เป็ นใหญ่ในการลิ ้มอารมณ์ คือรส
กาย เป็ นใหญ่ในการถูกต้ องอารมณ์ คือโผฏฐัพพะ
ใจ เป็ นใหญ่ในการรู้อารมณ์ คือธรรม ฯ
การกระทบกันระหว่างอายตนะภายในมี ตา เป็ นต้ น กับอายตนะภายนอก มีรูปเป็ นต้ น เกิดความรู้ขึ ้น เรี ยกว่า จักขุวิญญาณ เป็ นต้ น
ทัง้ ๓ อย่างนี ้รวมกันในขณะเดียวกัน เรี ยกว่า สัมผัส ฯ
(ปี 2554) อายตนะภายใน ๖ ได้ แก่อะไรบ้ าง? ตอบ ได้ แก่ ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ ฯ

หมวด ๗
 อปริหานิยธรรม ๗ ธรรมไม่เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความเสือ่ ม เป็ นไปเพื่อความเจริ ญฝ่ ายเดียว
(ปี 2548) อปริ หานิยธรรม คืออะไร? ข้ อที่ ๔ ความว่าอย่างไร?
ตอบ คือ ธรรมไม่เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความเสือ่ ม เป็ นไปเพื่อความเจริ ญฝ่ ายเดียว ฯ
ข้ อที่ ๔ ความว่า ภิกษุเหล่าใดเป็ นผู้ใหญ่เป็ นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่านัน้ เชื่อฟั งถ้ อยคาของท่าน ฯ
(ปี 2545) อปริ หานิยธรรม คืออะไร? มีกี่ข้อ? จงแสดงมา ๑ ข้ อ
ตอบ คือธรรมไม่เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความเสือ่ ม มี ๗ ข้ อ ฯ (ตอบข้ อใดข้ อหนึง่ ) คือ
๑)หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒)เมื่อประชุมก็พร้ อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้ อมเพรียงกันเลิกและพร้ อมเพรียงกันช่ วยทากิจที่สงฆ์ จะต้ อง
ทา
๓)ไม่ บัญญัติส่ งิ ที่พระพุทธเจ้ าไม่ บัญญัติขึน้ ไม่ ถอนสิ่งที่พระองค์ ทรงบัญญัติไว้ แล้ ว สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทตามที่
พระองค์ ทรงบัญญัติไว้
๔)ภิกษุเหล่ าใดเป็ นผู้ใหญ่ เป็ นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่ านัน้ เชื่อฟั งถ้ อยคาของท่ าน
๕)ไม่ ลุอานาจแก่ ความอยากที่เกิดขึน้
20 | P a g e
๖)ยินดีในเสนาสนะป่ า
๗)ตัง้ ใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณรซึ่งเป็ นผู้มีศีล ซึ่งยังไม่ มาสู่อาวาส ขอให้ มาที่มาแล้ ว ขอให้ อยู่เป็ นสุข ฯ

 อริยทรัพย์ ๗
ทรัพย์ คือคุณความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริ ฐ เรี ยก อริยทรัพย์ มี ๗ อย่างคือ
๑. สัทธา เชื่อสิง่ ที่ควรเชื่อ.
๒. สีล รักษากาย วาจา ให้ เรี ยบร้ อย.
๓. หิริ ความละอายต่อบาปทุจริ ต.
๔. โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป.
๕. พาหุสัจจะ ความเป็ นคนเคยได้ ยินได้ ฟังมาก คือทรงธรรมและรู้ศิลปวิทยามาก.
๖. จาคะ สละให้ ปันสิง่ ของของตนแก่คนที่ควรให้ ปัน.
๗. ปั ญญา รอบรู้สงิ่ ที่เป็ นประโยชน์และไม่เป็ นประโยชน์.
อริยทรัพย์ ๗ ประการนี ้ ดีกว่ าทรัพย์ ภายนอก เพราะอริ ยทรัพย์เป็ นคุณธรรม เครื่ องบารุงจิตใจให้ ปลื ้มให้ อบอุน่ มีแล้ วไม่ต้องเป็ น
ทุกข์กงั วลในการคุ้มครองป้องกันโจรภัยเป็ นต้ น ใครแย่งชิงไปไม่ได้ ใช้ เท่าใดก็ไม่ต้องกลัวหมดสิ ้น ไม่ต้องเสีย่ งภัยในการแสวงหา เป็ น
ต้ น ทังสามารถติ
้ ดตามเป็ นที่พงึ่ ในสัมปรายภพได้ ด้วย
(ปี 2556) จงให้ ความหมายของคาว่า พาหุสจั จะ ตอบ หมายถึง ความเป็ นผู้ศกึ ษามาก
(ปี 2549) อริ ยทรัพย์ คือทรัพย์เช่นไร ? เมื่อเทียบกับทรัพย์สนิ มีเงินทอง เป็ นต้ น ดีกว่ากันอย่างไร?
ตอบ คือ คุณงามความดีอย่างประเสริ ฐที่เกิดมีขึ ้นในสันดาน มี ศรัทธา ศีล เป็ นต้ น ฯ
ดีกว่ากัน เพราะเป็ นคุณธรรมเครื่ องบารุงจิตให้ อบอุน่ ไม่ต้องกังวล เดือดร้ อน ใครจะแย่งชิงไปไม่ได้ ใช้ เท่าใดก็ไม่ต้องกลัวหมดสิ ้น ทัง้
สามารถติดตามไปได้ ถึงชาติหน้ า เป็ นที่พงึ่ ในสัมปรายภพได้ ด้วย ฯ
(ปี 2546) พาหุสจั จะ หมายความว่าอย่างไร? พาหุสจั จะ เป็ นอริ ยทรัพย์อย่างหนึง่ นัน้ อธิบายอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า ความเป็ นผู้เคยได้ ยินได้ ฟังมามาก ฯ
อธิบายว่า พาหุสจั จะ คือความเป็ นผู้เคยได้ ยินได้ ฟังมามากนัน้ (ทรงจาธรรมและศิลปวิทยามาก) ได้ ชื่อว่าอริ ยทรัพย์ เพราะเป็ นเหตุให้
ได้ อิฏฐผล มีลาภ ยศ สรรเสริ ญ สุข และไมตรี เป็ นต้ น ทังไม่
้ เป็ นภาระแก่เจ้ าของและที่ดีพิเศษกว่าทรัพย์สนิ เงินทองทัว่ ไปคือยิ่งใช้ ยิ่งมีฯ
(ปี 2544) ทรัพย์ประเภทไหนเรี ยกว่าอริ ยทรัพย์? อริ ยทรัพย์ดีกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะเหตุไร?
ตอบ ทรัพย์ คือคุณความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริ ฐ เรี ยกว่า อริ ยทรัพย์ มี ศรัทธา ศีล เป็ นต้ น ฯ
ดีกว่า เพราะอริ ยทรัพย์ เป็ นคุณธรรม เครื่ องบารุงจิตใจให้ ปลื ้มให้ อบอุน่ มีแล้ วไม่ต้องเป็ นทุกข์กงั วลในการคุ้มครองป้องกันโจรภัยเป็ น
ต้ น ใครแย่งชิงไปไม่ได้ ใช้ เท่าใดก็ไม่ต้องกลัวหมดสิ ้น ไม่ต้องเสีย่ งภัยในการแสวงหา เป็ นต้ น ทังสามารถติ
้ ดตามเป็ นที่พงึ่ ใน
สัมปรายภพได้ ด้วย ฯ

 สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของสัตบุรุษ
๑. ธัมมัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั เหตุ เช่นรู้จกั ว่า สิง่ นี ้เป็ นเหตุแห่งความสุข สิง่ นี ้เป็ นเหตุแห่งทุกข์.

21 | P a g e
๒. อัตตถัญญุตา ความเป็ นผู้รักจักผล เช่นรู้จกั ว่า สุขเป็ นผลแห่งเหตุอนั นี ้ ทุกข์เป็ นผลแห่งเหตุอนั นี ้.
๓. อัตตัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั ตน ว่าเราก็โดยชาติตระกูลยศศักดิ์ สมบัติ บริ วาร ความรู้ และคุณธรรม เพียงเท่านี ้ ๆ แล้ ว
ประพฤติตนให้ สมควรแก่ที่เป็ นอยูอ่ ย่างไร.
๔. มัตตัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั ประมาณ ในการแสวงหาเครื่ องเลี ้ยงชีวิตแต่โดยทางที่ชอบ และรู้จกั ประมาณในการ
บริ โภคแต่พอสมควร.
๕. กาลัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั กาลเวลา อันสมควรในอันประกอบกิจนัน้ ๆ.
๖. ปริสัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั ชุมชน และกิริยาที่ต้องประพฤติตอ่ ประชุมชนนัน้ ๆ ว่า หมูน่ ี ้เมื่อเข้ าไปหา จะต้ องทากิริยา
อย่างนี ้ จะต้ องพูดอย่างนี ้ เป็ นต้ น.
๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั เลือกบุคคลว่า ผู้นี ้เป็ นคนดีควรคบ ผู้นี ้เป็ นคนไม่ดีไม่ควรคบ เป็ นต้ น.
(ปี 2557) จงให้ ความหมายของคาต่อไปนี ้๑. ธัมมัญญุตา ๒. มัตตัญญุตา ๓. กาลัญญุตา
ตอบ ๑. ธัมมัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั เหตุ เช่นรู้จกั ว่า สิง่ นี ้เป็ นเหตุแห่งสุข สิง่ นี ้เป็ นเหตุแห่งทุกข์
๒. มัตตัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูประมาณ ในการแสวงหาเครื่ องเลี ้ยงชีวิตแต่โดยทางที่ชอบ และรู้ประมาณในการบริ โภคแต่พอสมควร
๓. กาลัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูจกั กาลเวลาอันสมควรในอันประกอบกิจนันๆ
้ ฯ
(ปี 2545) มัตตัญญุตา ความเป็ นผู้ร้ ูประมาณ ในสัปปุริสธรรม มีอธิบายไว้ อย่างไร?
ตอบ ความเป็ นผู้ร้ ูประมาณในการแสวงหาเครื่ องเลี ้ยงชีวิตแต่โดยทางที่ชอบและรู้จกั ประมาณในการบริ โภคแต่พอควร ฯ

หมวด ๘
 โลกธรรม ๘ ธรรมที่ครอบงาสัตวโลกอยู่ และสัตวโลกย่อมเป็ นไปตามธรรมนัน้
๑.มีลาภ ๒.ไม่มีลาภ
๓.มียศ ๔.ไม่มียศ
๕.นินทา ๖.สรรเสริ ญ
๗.สุข ๘.ทุกข์
ในโลกธรรม ๘ ประการนี ้ อย่างใดอย่างหนึง่ เกิดขึ ้น ควรพิจารณาว่า สิง่ นี ้เกิดขึ ้นแล้ วแก่เรา ก็แต่วา่ มันไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ มีความ
แปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็ นจริ ง อย่าให้ มนั ครอบงาจิตได้ คือ อย่ายินดีในส่วนที่นา่ ปรารถนา อย่ายินร้ ายในส่วนที่ไม่นา่
ปรารถนา.
(ปี 2559) เมื่อโลกธรรม ๘ เกิดขึ ้นแก่ตน ควรพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ ควรพิจารณาว่า สิง่ นี ้เกิดขึ ้นแล้ วแก่เรา ก็สกั แต่วา่ เกิดขึ ้น มันไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา เมื่อพิจารณาเห็น
แล้ วก็อย่ายินดี ในส่วนที่นา่ ปรารถนา และอย่ายินร้ ายในส่วนที่ไม่นา่ ปรารถนา ฯ
(ปี 2555) โลกธรรม ๘ มีอะไรบ้ าง? ตอบ คือ ๑.มีลาภ ๒.ไม่มีลาภ ๓.มียศ ๔.ไม่มียศ ๕.นินทา ๖.สรรเสริ ญ ๗.สุข ๘.ทุกข์
(ปี 2547) โลกธรรม คืออะไร? เมื่อเกิดขึ ้นแล้ วควรพิจารณาอย่างไร?
ตอบ คือ ธรรมที่ครอบงาสัตวโลกอยู่ และสัตวโลกย่อมเป็ นไปตามธรรมนัน้ ฯ

22 | P a g e
ในโลกธรรม ๘ ประการนี ้ อย่างใดอย่างหนึง่ เกิดขึ ้น ควรพิจารณาว่า สิง่ นี ้เกิดขึ ้นแล้ วแก่เรา ก็แต่วา่ มันไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ มีความ
แปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็ นจริ ง อย่าให้ มนั ครอบงาจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ ายในส่วนที่ไม่ปรารถนา ฯ
(ปี 2544) โลกธรรมมีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง? ท่านสอนให้ ปฏิบตั ิตอ่ โลกธรรมอย่างไร?
ตอบ มี ๘ อย่าง ฯ คือ มีลาภ ๑ ไม่มีลาภ ๑
มียศ ๑ ไม่มียศ ๑
สรรเสริ ญ ๑ นินทา ๑
สุข ๑ ทุกข์ ๑ ฯ
สอนอย่างนี ้ คือในโลกธรรมทัง้ ๘ อย่างนี ้ อย่างใดอย่างหนึง่ เกิดขึ ้น ควรพิจารณาว่า สิง่ นี ้เกิดขึ ้นแล้ วแก่เรา มันเป็ นของไม่เที่ยง เป็ น
ทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็ นจริ ง อย่าให้ ครอบงาจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ ายในส่วนที่
ไม่ปรารถนา ฯ

 มรรคมีองค์ ๘ ทางปฏิบตั ิให้ ถึงความดับทุกข์


๑.สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔(ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
๒.สัมมาสังกัปปะ ดาริ ชอบ คือดาริจะออกจากกาม ๑ ดาริในอันไม่ พยาบาท ๑ ดาริในอันไม่ เบียดเบียน ๑.
๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเว้ นจากวจีทุจริต ๔ (เท็จ ส่ อเสียด หยาบ เพ้ อเจ้ อ)
๔.สัมมากัมมันตะ การงานชอบ คือเว้ นจากกายทุจริต ๓(ฆ่ าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม)
๕.สัมมาอาชีวะ เลี ้ยงชีวิตชอบ คือเว้ นจากความเลี ้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด
๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรในที่ ๔ สถาน (สัมมัปปธาน ๔) คือ เพียรระวังไม่ ให้ บาปเกิดขึน้ เพียรละบาปทีเกิดขึน้
แล้ ว เพียรให้ กุศลเกิดขึน้ เพียรรักษากุศลที่เกิดขึน้ แล้ ว
๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ คือระลึกในสติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม)
๘.สัมมาสมาธิ ตังใจไว้
้ ชอบ คือเจริญฌาน ๔

ในองค์ทงั ้ ๘ นัน,้ เห็นชอบ ดาริ ชอบ สงเคราะห์เข้ าในปั ญญาสิกขา.


วาจาชอบ การงานชอบ เลี ้ยงชีพชอบ สงเคราะห์เข้ าในสีลสิกขา.
เพียรชอบ ระลึกชอบ ตังใจไว้
้ ชอบ สงเคราะห์เข้ าในจิตตสิกขา.

(ปี 2561) สัมมากัมมันตะ ทาการงานชอบ คือทาอย่างไร ?


ตอบ คือ ทาโดยเว้ นจากกายทุจริ ต ๓ ได้ แก่ เว้ นจากการฆ่าสัตว์ เว้ นจากการลักทรัพย์ เว้ นจากการประพฤติผิดในกาม ฯ
(ปี 2560 และ 2545) คาว่า เจรจาชอบ ในมรรคมีองค์ ๘ นัน้ คือเจรจาอย่างไร?
ตอบ คือเว้ นจากพูดเท็จ เว้ นจากพูดส่อเสียด เว้ นจากพูดคาหยาบ และเว้ นจากพูดเพ้ อเจ้ อ ฯ
(ปี 2555 และ 2548) สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรอย่างไร?

23 | P a g e
ตอบ เพียรในที่ ๔ สถาน (สัมมัปปธาน ๔) คือ ๑.เพียรระวังไม่ให้ บาปเกิดขึ ้น ๒.เพียรละบาปทีเกิดขึ ้นแล้ ว ๓.เพียรให้ กศุ ลเกิดขึ ้น ๔.
เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ ้นแล้ ว ฯ
(ปี 2550) มรรคมีองค์แปดจัดเข้ าในสิกขา ๓ ได้ หรื อไม่ ? ถ้ าได้ จงจัดมาดู
ตอบ ได้ ฯ จัดดังนี ้ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ จัดเข้ าในปั ญญาสิกขา
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้ าในสีลสิกขา
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้ าในจิตตสิกขา ฯ
(ปี 2546) สัมมาสังกัปปะ ดาริ ชอบ คือ ดาริ อย่างไร? มรรคมีองค์ ๘ ข้ อใดบ้ างสงเคราะห์เข้ าในสีลสิกขา?
ตอบ คือ ดาริ จะออกจากกาม ๑ ดาริ ในอันไม่พยาบาท ๑ ดาริ ในอันไม่เบียดเบียน ๑ ฯ
วาจาชอบ การงานชอบ เลี ้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้ าในสีลสิกขา ฯ

หมวด ๙
 มละ ๙ คือ มลทิน
๑.โกธะ (โกรธ) แก้ ด้วยเจริ ญเมตตา ....(*ข้ อนีเ้ คยออกข้ อสอบ)
๒.มักขะ (ลบหลูบ่ ญ
ุ คุณท่าน) แก้ ด้วยกตัญญูกตเวที ....(*ข้ อนีเ้ คยออกข้ อสอบ)
๓.อิสสา (ริ ษยา) แก้ ด้วยมุทิตา
๔.มัจฉริยะ (ตระหนี่) แก้ ด้วยทาน
๕.มายา (มายา หรื อ มารยา) แก้ ด้วย อุช,ุ อาชวะ ความซื่อตรง
๖.สาเถยยะ (มักอวด) แก้ ด้วยอัตตัญญุตา, อปจายนะ
๗.มุสาวาท (พูดปด) แก้ ด้วยสัจจวาจา
๘.ปาปิ จฉา (มีความปรารถนาลามก) แก้ ด้วยสันโดษ, มักน้ อย
๙.มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) แก้ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ....(*ข้ อนีเ้ คยออกข้ อสอบ)
(ปี 2552 และ 2550) มละ คืออะไร? เป็ นศิษย์ได้ ดีแล้ วทามึนตึงกับอาจารย์ จัดเข้ าในมละอย่างไหน และควรชาระมละอย่างนันด้
้ วย
ธรรมอะไร? ตอบ มละคือมลทิน ฯ เป็ นศิษย์ได้ ดีแล้ วทามึนตึงกับอาจารย์ จัดเข้ าใน มักขะ ลบหลูค่ ณ
ุ ท่าน และควรชาระด้ วยกตัญญู
กตเวทิตา ความรู้คณ
ุ ท่านแล้ วตอบแทน ฯ
(ปี 2543) มละคือมลทิน หมายถึงอะไร? มลทินข้ อที่ ๑ และข้ อที่ ๙ คืออะไร? แก้ ด้วยธรรมอะไร?
ตอบ หมายถึงกิเลสเป็ นเครื่ องทาจิตให้ เศร้ าหมอง ไม่ผอ่ งใส ฯ
มลทินข้ อที่ ๑ คือ โกรธ แก้ ด้วยเจริ ญเมตตา และมลทินข้ อที่ ๙ คือ เห็นผิด แก้ ด้วยสัมมาทิฏฐิ

หมวด ๑๐
 ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๑๐ อย่ าง
๑. บัดนี ้ เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ ว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ เราต้ องทาอาการกิริยานันๆ

๒. การเลี ้ยงชีวิตของเราเนื่องด้ วยผู้อื่น เราควรทาตัวให้ เขาเลี ้ยงง่าย

24 | P a g e
๓. อาการทางกาย วาจา อย่างอื่นที่เราจะต้ องทาให้ ดีขึ ้นไปกว่านี ้ยังมีอยูอ่ ีก ไม่ใช่เพียงเท่านี ้
๔. ตัวเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้ หรื อไม่
๕. ผู้ร้ ูใคร่ครวญแล้ วติเตียนเราโดยศีลได้ หรื อไม่
๖. เราจะต้ องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ
้ ้น
๗. เรามีกรรมเป็ นของตัว เราทาดีจกั ได้ ดี ทาชัว่ จักได้ ชวั่
๘. วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี ้ เราทาอะไรอยู่
๙. เรายินดีในที่สงัดหรื อไม่
๑๐. คุณวิเศษของเรามีอยูห่ รื อไม่ ที่จะทาให้ เราเป็ นผู้ไม่เก้ อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง
(ปี 2556) บรรพชิตผู้พิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี ้เราทาอะไรอยู่ จะได้ รับประโยชน์อะไร?
ตอบ จะได้ รับประโยชน์คือเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร งดเว้ นสิง่ ที่เป็ นโทษ ทาในสิง่ ที่เป็ นประโยชน์ ฯ

 นาถกรณธรรม ๑๐
๑. ศีล รักษากายวาจาให้ เรี ยบร้ อย.
๒. พาหุสัจจะ ความเป็ นผู้ได้ สดับตรับฟั งมาก.
๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็ นผู้มีเพื่อนดีงาม.
๔. โสวจัสสตา ความเป็ นผู้วา่ ง่ายสอนง่าย.
๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยันช่วยเอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร.
๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมทีช่ อบ.
๗. วิริยะ เพียรเพื่อจะละความชัว่ ประพฤติความดี.
๘. สันโดษ ยินดีด้วยผ้ านุง่ ผ้ าห่ม อาหาร ที่นอนที่นงั่ และยาตามมีตามได้.
๙. สติ จาการที่ทา และคาที่พดู แล้ วแม้ นานได้ .
๑๐. ปั ญญา รอบรู้ในกองสังขารตามเป็ นจริ งอย่างไร.
(ปี 2545) นาถกรณธรรมคืออะไร? นาถกรณธรรมข้ อว่า กัลยาณมิตตตา หมายความว่าอย่างไร?
ตอบ คือธรรมทาที่พงึ่ ฯ ความเป็ นผู้มีเพื่อนดีงาม ไม่คบคนชัว่ ฯ

คิหิปฎิบัติ หลักปฏิบัติของคฤหัสถ์
(ปี 2549) คิหิปฏิบัติ คืออะไร? หมวดธรรมต่อไปนี ้ คือ
๑. อิทธิบาท ๔
๒. สังคหวัตถุ ๔
๓. อธิษฐานธรรม ๔
๔. ทิฏฐธัมมิกตั ถประโยชน์ ๔
๕. ปาริ สทุ ธิศีล ๔

25 | P a g e
หมวดไหนมีในคิหิปฏิบตั ิ ?
ตอบ คือ หลักปฏิบตั ิของคฤหัสถ์ ฯ ข้ อ ๒. และข้ อ ๔. มีในคิหิปฏิบตั ิ ฯ

หมวด ๔
 อบายมุข คือ เหตุเครื่ องฉิบหาย หรื อ ทางแห่งความเสือ่ ม
อบายมุข ๔ มี ๔ อย่างดังนี ้
๑.ความเป็ นนักเลงหญิง ๒.ความเป็ นนักเลงสุรา
๓.ความเป็ นนักเลงเล่นการพนัน ๔.ความคบคนชัว่ เป็ นมิ ตร
อบายมุข ๖ มี ๖ อย่างดังนี ้
๑.ดืม่ น้าเมา ๒.เที่ยวกลางคืน
๓.เที่ยวดูการเล่น ๔.เล่นการพนัน
๕.คบคนชัว่ เป็ นมิ ตร ๖.เกียจคร้ านทาการงาน

โทษของคบคนชั่วเป็ นมิตร คือ (มาจากอบายมุข ๔ และ อบายมุข ๖)


๑.ทาให้ เป็ นนักเลงการพนัน ๒. ทาให้ เป็ นนักเลงเจ้ าชู้
๓. ทาให้ เป็ นนักเลงเหล้ า ๔. ทาให้ เป็ นคนลวงเขาด้ วยของปลอม
๕. ทาให้ เป็ นคนโกงเขาซึง่ หน้ า ๖. ทาให้ เป็ นนักเลงหัวไม้ ฯ
(ปี 2560) อบายมุข ๔ มีอะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๑. ความเป็ นนักเลงหญิง ๒. ความเป็ นนักเลงสุรา ๓. ความเป็ นนักเลงเล่นการพนัน ๔. ความคบคนชัว่ เป็ นมิตร ฯ
(ปี 2559) การคบคนชัว่ เป็ นมิตร เป็ นเหตุให้ เกิด ความเสียหายอย่างไร ?
ตอบ เป็ นเหตุให้ เกิดความเสียหายอย่างนี ้ คือการร่วมกินร่วมนอน ร่วมเที่ยว ร่วมพรรคร่วมพวก ร่วมไปมาหาสูก่ บั คนชัว่ มักจะถูกคน
ชัว่ ชักจูงไปในทางชัว่ เช่น คนไม่เคยเป็ นนักเลงหญิง ไม่ติดสุรา ไม่เล่นการพนัน ไม่เป็ นอันธพาล ก็ยอ่ มถูกชักจูงไปจนกลายเป็ นนักเลง
หญิงได้ เป็ นต้ น ฯ
(ปี 2552) อบายมุข คืออะไร ? คบคนชัว่ เป็ นมิตรมีโทษอย่างไร ?
ตอบ อบายมุข คือ ทางแห่งความเสือ่ ม ฯ
คบคนชัว่ เป็ นมิตรมีโทษอย่างนี ้ คือ ๑.นาให้ เป็ นนักเลงการพนัน ๒.นาให้ เป็ นนักเลงเจ้ าชู้ ๓.นาให้ เป็ นนักเลงเหล้ า
๔.นาให้ เป็ นคนลวงเขาด้ วยของปลอม ๕.นาให้ เป็ นคนลวงเขาซึง่ หน้ า ๖.นาให้ เป็ นคนหัวไม้ ฯ

โทษของการดื่มสุรา (มาจากอบายมุข ๖ เรื่องดื่มนา้ เมา)


๑. เสียทรัพย์ ๒. ก่อการทะเลาะวิวาท
๓. เกิดโรค ๔ ถูกติเตียน
๕. ไม่ร้ ูจกั อาย ๖. ทอนกาลังปั ญญา ฯ

26 | P a g e
(ปี 2562, 2560, 2546) อบายมุข คืออะไร? ดื่มน ้าเมามีโทษอย่างไรบ้ าง?
ตอบ คือ เหตุเครื่ องฉิบหาย ฯ
มีโทษ ๖ อย่าง คือ ๑. เสียทรัพย์ ๒. ก่อการทะเลาะวิวาท ๓. เกิดโรค ๔. ถูกติเตียน ๕. ไม่ร้ ูจกั อาย ๖. ทอนกาลังปั ญญา ฯ
(ปี 2557) อบายมุข คืออะไร? ความเป็ นนักเลงสุราจัดเป็ นอบายมุขเพราะเหตุไร?
ตอบ คือเหตุเครื่ องฉิบหาย ฯ เพราะเป็ นเหตุให้ เสียทรัพย์ ก่อการทะเลาะวิวาท เกิดโรค ต้ องติเตียน ไม่ร้ ูจกั อาย ทอนกาลังปั ญญา ฯ
(ปี 2553) จงบอกโทษของการดื่มสุรามาสัก ๓ ข้ อ
โทษของการเที่ยวกลางคืน (ใน อบายมุข ๖)
(ปี 2544) การเที่ยวกลางคืนมีโทษอย่างไรบ้ าง?
ตอบ มีโทษ ๖ อย่างคือ ๑) ชื่อว่าไม่รักษาตัว ๒) ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย ๓) ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๔) เป็ นที่ระแวงของคนทังหลาย

๕) มักถูกใส่ความ ๖) ได้ ความลาบากมาก

 ธรรมที่เป็ นไปเพื่อประโยชน์ ในปั จจุบัน เรี ยกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์


๑.อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยความหมัน่ ในการประกอบกิจเครื่ องเลี ้ยงชีวิตก็ดี ในการศึกษาเล่าเรี ยนก็ดี ในการทาธุระหน้ าที่
ของตนก็ดี
๒.อารักขสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการรักษา คือรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ ด้วยความหมัน่ ไม่ให้ เป็ นอันตรายก็ดี รักษาการงาน
ของตน ไม่ให้ เสือ่ มเสียไปก็ดี
๓.กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็ นคนดี ไม่คบคนชัว่
๔.สมชีวิตา ความเลี ้ยงชีวิตตามสมควรแก่กาลังทรัพย์ที่หาได้ ไม่ให้ ฝื ดเคืองนัก ไม่ให้ ฟมู ฟายนัก
 เมื่อปฏิบตั ิตามทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ผลที่ต้องการในปั จจุบนั ทันตาเห็นนี ้ ได้ แก่ ทรัพย์ ยศ ไมตรี เป็ นต้ น
(ปี 2562) ผู้หวังประโยชน์ปัจจุบนั จะต้ องปฏิบตั ิอย่างไรจึงจะได้ สมหวัง ?
ตอบ ต้ องปฏิบตั ิตามหลักทิฏฐธัมมิกตั ถประโยชน์ ๔ ประการ คือ
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยความหมัน่ ในการประกอบกิจการงานในการศึกษาเล่าเรี ยนในการทาธุระหน้ าที่ของตน
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการรักษาทังทรั
้ พย์และการงานไม่ให้ เสือ่ มไป
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็ นคนดี ไม่คบคนชัว่
๔. สมชีวิตา ความเลี ้ยงชีวิตตามสมควรแก่กาลังทรัพย์ที่หาได้ ฯ
(ปี 2558) ธรรม ๔ ประการ ที่เป็ นไปเพื่อประโยชน์เกื ้อกูลเพื่อสุขในปั จจุบนั เรี ยกว่าอะไร ? มีอะไรบ้ าง ?
ตอบ เรี ยกว่า ทิฏฐธัมมิกตั ถประโยชน์ ฯ มี
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยความหมัน่ ในการประกอบกิจอันควร
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการรักษา ทังทรั
้ พย์และการงานของตน ไม่ให้ เสือ่ มไป
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็ นคนดี ไม่คบคนชัว่
๔. สมชีวิตา ความเลี ้ยงชีวิตตามสมควรแก่กาลังทรัพย์ที่หาได้ ฯ
(ปี 2552) ธรรมที่เป็ นไปเพื่อประโยชน์ในปั จจุบนั เรี ยกว่าอะไร? มีอะไรบ้ าง?
27 | P a g e
(ปี 2548) บุคคลจะได้ รับประโยชน์ปัจจุบนั จะต้ องปฏิบตั ิตามหลักธรรมอะไร?
ตอบ ต้ องปฏิบตั ิตามหลักทิฏฐธัมมิกตั ถประโยชน์ ๔ ประการ คือ
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยความหมัน่ ในการประกอบกิจการงาน ในการศึกษาเล่าเรี ยน ในการทาธุระหน้ าที่ของตน
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการรักษา ทังทรั
้ พย์และการงาน ไม่ให้ เสือ่ มไป
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็ นคนดี ไม่คบคนชัว่
๔. สมชีวิตา ความเลี ้ยงชีวิตตามสมควรแก่กาลังทรัพย์ที่หาได้ ฯ
(ปี 2543) เหตุให้ เกิดประโยชน์ในปั จจุบนั เรี ยกว่าอะไร? มีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง? เมื่อปฏิบตั ิตามเหตุนนแล้
ั ้ วจะได้ รับผลอะไร?
ตอบ เรี ยกว่าทิฏฐธัมมิกตั ถะ ฯ มี ๔ อย่าง ฯ คือ ๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยความหมัน่
๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการรักษา
๓) กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็ นคนดี
๔) สมชีวิตา ความเลี ้ยงชีวิตตามสมควร ฯ
จะได้ รับผล คือ ทรัพย์ ยศ ไมตรี เป็ นต้ นในปั จจุบนั ฯ

 มิตรแท้ ๔
๑.มิตรมีอปุ การะ ๒.มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์
๓.มิตรแนะประโยชน์ ๔.มิตรมีความรักใคร่
(ปี 2560, 2558, 2556 และ 2545) มิตรแท้ มีกี่ประเภท ? อะไรบ้ าง ?

มิตรมีอุปการะ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรแท้ )


๑.ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ ว ๒.ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ ว
๓.เมื่อมีภยั เอาเป็ นที่พงึ่ พานักได้ ๔.เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์ให้ เกินกว่าที่ออกปาก

มิตรร่ วมสุขร่ วมทุกข์ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรแท้ )


๑.ขยายความลับของตนแก่เพื่อน ๒.ปิ ดความลับของเพื่อนไม่ให้ แพร่งพราย
๓.ไม่ละทิ ้งในยามวิบตั ิ ๔.แม้ ชีวิตก็อาจสละแทนได้

มิตรแนะประโยชน์ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรแท้ )


๑.ห้ ามไม่ให้ ทาความชัว่ ๒.แนะนาให้ ตงอยู
ั ้ ใ่ นความดี
๓.ให้ ฟังสิง่ ที่ยงั ไม่เคยฟั ง ๔.บอกทางสวรรค์ให้

มิตรมีความรักใคร่ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรแท้ )


๑.ทุกข์ ทุกข์ด้วย ๒.สุข สุขด้ วย

28 | P a g e
๓.โต้ เถียงคนที่พดู ติเตียนเพื่อน ๔.รับรองคนที่พดู สรรเสริ ญเพื่อน

 มิตรเทียม ๔ หรื อเรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่า มิตรปฏิรูป


๑.คนปอกลอก ๒.คนดีแต่พดู
๓.คนหัวประจบ ๔.คนชักชวนในทางฉิบหาย

มิตรปอกลอก มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรเทียม)


๑.คิดเอาแต่ได้ ฝ่ายเดียว ๒.เสียให้ น้อย คิดเอาให้ ได้ มาก
๓.เมื่อมีภยั แก่ตวั จึงรับทากิจของเพื่อน ๔.คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว

มิตรดีแต่ พูด มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรเทียม)


๑.เก็บเอาของที่ลว่ งแล้ วมาปราศรัย ๒.อ้ างเอาของที่ยงั ไม่มีมาปราศรัย
๓.สงเคราะห์ด้วยสิง่ ที่หาประโยชน์มิได้ ๔.ออกปากพึง่ มิได้

มิตรหัวประจบ มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรเทียม)


๑.จะทาชัว่ ก็คล้ อยตาม ๒.จะทาดีก็คล้ อยตาม
๓.ต่อหน้ าว่าสรรเสริ ญ ๔.ลับหลังตังนิ
้ นทา

มิตรชักชวนในทางฉิบหาย มี ๔ ลักษณะ (ในเรื่องมิตรเทียม)


๑.ชักชวนดื่มน ้าเมา ๒.ชักชวนเที่ยวกลางคืน
๓.ชักชวนให้ มวั เมาในการเล่น ๔.ชักชวนเล่นการพนัน
(ปี 2554) คนชักชวนในทางฉิบหาย มีลกั ษณะอย่างไร?
(ปี 2553) จงจับคูข่ ้ อทางซ้ ายมือกับข้ อทางขวามือให้ ถกู ต้อง
ก. จะทาดีทาชัว่ ก็ต้องคล้ อยตาม ๑. มิตรดีแต่พดู
ข. ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ ว ๒. มิตรหัวประจบ
ค. สงเคราะห์ด้วยสิง่ หาประโยชน์มิได้ ๓. มิตรมีความรักใคร่
ง. ห้ ามไม่ให้ ทาความชัว่ ๔. มิตรมีอปุ การะ
จ. ทุกข์ ๆ ด้ วย สุข ๆ ด้ วย ๕. มิตรแนะประโยชน์
ตอบ ข้ อ ก. คูก่ บั ข้ อ ๒.
ข้ อ ข. คูก่ บั ข้ อ ๔
ข้ อ ค คูก่ บั ข้ อ ๑
ข้ อ ง คูก่ บั ข้ อ ๕

29 | P a g e
ข้ อ จ คูก่ บั ข้ อ ๓.
(ปี 2551) ข้ อว่า “แม้ ชีวิตก็อาจสละแทนได้ ” ดังนี ้ เป็ นลักษณะของมิตรแท้ ประเภทใด ? ตอบ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ฯ
(ปี 2549) นาย ก เป็ นผู้ฉลาดในการเล่นพนันฟุตบอล เขาหวังให้ นาย ข ผู้เป็ นเพื่อน มีเงินทองไว้ ก่อร่างสร้ างตัว จึงชักชวน นาย ข ให้
เล่นด้ วย นาย ก จัดเข้ าในประเภทมิตรแนะประโยชน์ได้ หรื อไม่? เพราะเหตุไร?
ตอบ ไม่ได้ ฯ เพราะ นาย ก กาลังชักชวนในทางฉิบหาย ผิดลักษณะมิตรแนะประโยชน์ ฯ
(ปี 2549) พระพุทธเจ้ าทรงสอนให้ ปฏิบตั ิตอ่ พวกมิตรเทียมอย่างไร?
ตอบ ทรงสอนให้ หลีกเลีย่ งไม่ควรคบเป็ นมิตร เหมือนคนเดินทางหลีกเลีย่ งทางที่มีภยั อันตรายเสีย ฉะนัน้
(ปี 2544) มิตรปฏิรูปได้ แก่คนพวกไหนบ้ าง? พระพุทธเจ้ าทรงสอนให้ ปฏิบตั ิตอ่ คนพวกนี ้อย่างไร?
ตอบ ได้ แก่ ๑) คนปอกลอก ๒) คนดีแต่พดู ๓) คนหัวประจบ ๔) คนชักชวนในทางฉิบหาย ฯ
ทรงสอนให้ หลีกเลีย่ งไม่ควรคบเป็ นมิตร เหมือนคนเดินทางหลีกเลีย่ งทางที่มีภยั อันตรายเสีย ฉะนัน้ ฯ

 ธรรมเป็ นเครื่ องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ ได้ คือ สังคหวัตถุ ๔


๑.ทาน ให้ สงิ่ ของของตนแก่ผ้ อู ื่นที่ควรให้ ปัน
๒.ปิ ยวาจา เจรจาวาจาที่ออ่ นหวาน
๓.อัตถจริยา ประพฤติสงิ่ ที่เป็ นประโยชน์แก่ผ้ อู ื่น
๔.สมานัตตา ความเป็ นคนมีตนสม่าเสมอไม่ถือตัว
(ปี 2561, 2556, 2554, 2551 และ 2546) คุณธรรมเป็ นเครื่ องยึดเหนี่ยวน ้าใจของผู้อื่นไว้ ได้ คืออะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ คือ สังคหวัตถุ ๔ ฯ มี ๑. ทาน ให้ ปันสิง่ ของของตนแก่ผ้ อู ื่นที่ควรให้ ปัน
๒. ปิ ยวาจา เจรจาวาจาที่ออ่ นหวาน
๓. อัตถจริ ยา ประพฤติสงิ่ ที่เป็ นประโยชน์แก่ผ้ อู ื่น
๔. สมานัตตตา ความเป็ นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว ฯ

 สุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่ าง
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริ โภค
๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็ นหนี ้
๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ
(ปี 2562) ความสุขของผู้ครองเรื อนตามหลักพระพุทธศาสนาเกิดมาจากเหตุอะไรบ้ าง ?
ตอบ เกิดจากเหตุ ๔ อย่าง คือ ๑)สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ๒)สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริ โภค
๓)สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็ นหนี ้ ๔)สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ฯ
(ปี 2548) มนุษย์ทกุ คนล้ วนปรารถนาความสุข พระพุทธศาสนาแสดงความสุขของผู้ครองเรื อนไว้ อย่างไร?
ตอบ ความสุขของผู้ครองเรื อน แสดงไว้ ๔ อย่าง คือ ๑)สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ๒)สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริ โภค
30 | P a g e
๓)สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็ นหนี ้ ๔)สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ฯ

 ความปรารถนาที่สมหมายได้ ยาก ๔ อย่ าง


๑. ขอสมบัติ จงเกิดมีแก่เราโดยทางที่ชอบ.
๒. ขอยศ จงมีแก่เรากับญาติพวกพ้ อง.
๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ ยนื นาน.
๔. เมื่อสิ ้นชีพแล้ ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์ .
 ธรรมเป็ นเหตุให้ สมหมาย ๔ อย่ าง (หรื อเรี ยกอีกหนึง่ ว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ภายหน้ า ๔ อย่าง)
๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยศรัทธา
๒. สีลสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยศีล
๓. จาคสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการบริ จาคทาน
๔. ปั ญญาสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยปั ญญา
(ปี 2547) สมบัติ ยศ อายุยืน สวรรค์ ท่านว่าเป็ นผลที่ได้ สมหมายยาก บุคคลพึงบาเพ็ญธรรมอะไร จึงจะได้ สมหมาย ?
ตอบ พึงบาเพ็ญธรรมเป็ นเหตุให้ ได้ สมหมาย ๔ อย่าง คือ ๑) สัทธาสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยศรัทธา ๒) สีลสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยศีล
๓) จาคสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยการบริ จาคทาน ๔) ปั ญญาสัมปทา ถึงพร้ อมด้ วยปั ญญา ฯ

 ตระกูลอันมั่งคั่งจะตัง้ นานไม่ ได้ เพราะสถาน ๔


๑.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ ว
๒.ไม่บรู ณะพัสดุที่คร่ าคร่า
๓.ไม่ร้ ูจกั ประมาณในการบริ โภคสมบัติ
๔.ตังสตรี
้ หรื อบุรุษทุศีลให้ เป็ นแม่เรื อนพ่อเรื อน
(ปี 2555) ตระกูลอันมัง่ คัง่ จะตังนานไม่
้ ได้ เพราะเหตุอะไร?
ตอบ เพราะเหตุ ๔ อย่าง คือ ๑.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ ว ๒.ไม่บรู ณะพัสดุที่คร่ าคร่า ๓.ไม่ร้ ูจกั ประมาณในการบริ โภคสมบัติ
๔. ตังสตรี
้ หรื อบุรุษทุศีลให้ เป็ นแม่เรื อนพ่อเรื อน
(ปี 2543) ตระกูลอันมัง่ คัง่ จะตังอยู
้ ไ่ ด้ นานเพราะสถานใดบ้ าง?
ตอบ เพราะสถาน ๔ คือ ๑.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ ว ๒.ไม่บรู ณะพัสดุที่คร่ าคร่า ๓.ไม่ร้ ูจกั ประมาณในการบริ โภคสมบัติ
๔. ตังสตรี
้ หรื อบุรุษทุศีลให้ เป็ นแม่เรื อนพ่อเรื อน

 ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมะสาหรับการอยูค่ รองเรื อนของคฤหัส


๑.สัจจะ สัตย์ซื่อต่อกัน
๒.ทมะ รู้จกั ข่มจิตของตน
๓.ขันติ ความอดทน
31 | P a g e
๔.จาคะ สละให้ ปันสิง่ ของของตนแก่คนที่ควรให้ ปัน
(ปี 2561, 2559 และ 2543) ฆราวาสผู้ครองเรื อนควรตังอยู
้ ใ่ นธรรมข้ อใดบ้ าง ?
ตอบ ควรตังอยู
้ ใ่ นฆราวาสธรรม ๔ ประการ คือ ๑. สัจจะ สัตย์ซื่อต่อกัน ๒. ทมะ รู้จกั ข่มจิตของตน ๓. ขันติ อดทน
๔. จาคะ สละให้ ปันสิง่ ของของตนแก่คนที่ควรให้ ปัน ฯ
(ปี 2555) การอยูค่ รองเรื อนนัน้ ควรมีธรรมอะไร? อะไรบ้ าง?
(ปี 2549) ผู้อยูค่ รองเรื อนควรมีธรรมของฆราวาสเป็ นหลักปฏิบตั ิจึงจะอยูเ่ ป็ นสุข ธรรมของฆราวาสนันมี
้ อะไรบ้ าง ?

หมวด ๕
 ประโยชน์ เกิดแต่ การถือโภคทรัพย์ ๕ อย่ าง
(ปี 2550) เมื่อแสวงหาโภคทรัพย์ได้ โดยทางที่ชอบแล้ ว ควรทาอะไรบ้ างเพื่อให้ เกิดประโยชน์ในโภคทรัพย์ที่ได้ มานัน?

ตอบ ควรทา ประโยชน์เกิดแต่การถือโภคทรัพย์ ๕ อย่าง
๑.เลีย้ งตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่ าวไพร่ ให้ เป็ นสุข
๒.เลีย้ งเพื่อนฝูงให้ เป็ นสุข
๓.บาบัดอันตรายที่เกิดแต่ เหตุต่าง ๆ
๔.ทาพลี ๕ อย่ าง คือ
๔.๑ ญาติพลี สงเคราะห์ ญาติ
๔.๒ อติถพ ิ ลี ต้ อนรับแขก
๔.๓ ปุพพเปตพลี ทาบุญอุทิศให้ ผ้ ตู าย
๔.๔ ราชพลี ถวายเป็ นหลวง มีภาษีอากรเป็ นต้ น
๔.๕ เทวตาพลี ทาบุญอุทิศให้ เทวดา
๕.บริจาคทานในสมณพราหมณ์ ผ้ ปู ระพฤติชอบ ฯ
(ปี 2545) คาต่อไปนี ้แปลว่าอย่างไร? ก)อติถิพลี ข)ปุพพเปตพลี

 ศีล ๕ แปลว่า ความปกติ ๕ อย่าง คือ ความประพฤติดีทางกายวาจา


๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้ นจากทาชีวิตสัตว์ให้ ตกล่วงไป.
๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้ นจากถือเอาสิง่ ของที่เจ้ าของไม่ได้ ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้ นจากประพฤติผิดในกาม.
๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้ นจากพูดเท็จ.
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้ นจากดื่มน ้าเมา คือสุราและเมรัย อันเป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความประมาท.

(ปี 2561, 2556 และ 2553) ศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็ นนิตย์ คือศีลอะไร ? ได้ แก่อะไรบ้ าง ?
ตอบ คือ ศีล ๕ ฯ ได้ แก่
๑. เว้ นจากทาชีวิตสัตว์ให้ ตกล่วงไป

32 | P a g e
๒. เว้ นจากถือเอาสิง่ ของที่เจ้ าของไม่ได้ ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย
๓. เว้ นจากประพฤติผิดในกาม
๔. เว้ นจากพูดเท็จ
๕. เว้ นจากดื่มน ้าเมาคือสุราและเมรัยอันเป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความประมาท ฯ
(ปี 2544) จงเขียนศีล ๕ ข้ อที่ ๓ พร้ อมทังค
้ าแปล ตอบ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้ นจากการประพฤติผิดในกาม
(ปี 2543) จงเขียนศีล ๕ ข้ อที่ ๕ พร้ อมทังค
้ าแปล
ตอบ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี แปลความว่า เว้ นจากการดื่มน ้าเมา คือสุราและเมรัย อันเป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความประมาท

 มิจฉาวณิชชา ๕ คือ การค้ าขายไม่ชอบธรรม ๕ อย่าง เป็ นข้ อห้ ามอุบาสกอุบาสิกาไม่ให้ ประกอบ
๑.ค้ าขายเครื่ องประหาร ๒.ค้ าขายมนุษย์
๓.ค้ าขายสัตว์เป็ นสาหรับฆ่าเพื่อเป็ นอาหาร ๔.ค้ าขายน ้าเมา
๕.ค้ าขายยาพิษ
 อุบาสกอุบาสิกา ได้ แก่ คฤหัสถ์ผ้ ถู ึงพระรัตนตรัยเป็ นสรณะ
(ปี 2554 และ 2544) อุบาสกอุบาสิกา ได้ แก่บคุ คลเช่นไร? การค้ าขายที่ห้ามอุบาสกอุบาสิกาประกอบ คืออะไรบ้ าง?
ตอบ อุบาสกอุบาสิกา ได้ แก่ คฤหัสถ์ผ้ ถู ึงพระรัตนตรัยเป็ นสรณะ ฯ ห้ ามค้ าขายคือ ๑.ค้ าขายเครื่ องประหาร ๒.ค้ าขายมนุษย์ ๓.
ค้ าขายสัตว์เป็ นสาหรับฆ่าเพื่อเป็ นอาหาร ๔.ค้ าขายน ้าเมา ๕.ค้ าขายยาพิษ ฯ
(ปี 2552) มิจฉาวณิชชา คืออะไร? การค้ าขายเด็ก การค้ าขายยาเสพติด การค้ าขายเบ็ดตกปลา จัดเป็ นมิจฉาวณิชชาข้ อใด?
ตอบ มิจฉาวณิชชา คือ การค้ าขายไม่ชอบธรรม ฯ
การค้ าขายเด็ก จัดเข้ าในค้ าขายมนุษย์
การค้ าขายยาเสพติด จัดเข้ าในค้ าขายน ้าเมา
การค้ าขายเบ็ดตกปลา จัดเข้ าในค้ าขายเครื่ องประหาร ฯ
(ปี 2551) การค้ าขายสุรา เป็ นอาชีพที่ถกู ต้ องตามกฎหมาย ในทางพระพุทธศาสนา มีความเห็นไว้ อย่างไร?
ตอบ การค้ าขายสุราทางพระพุทธศาสนา จัดเป็ นมิจฉาวณิชชา การค้ าขายไม่ชอบธรรม เป็ นข้ อห้ าม อุบาสกไม่ควรประกอบ ฯ
(ปี 2550) การค้ าขายสัตว์เพื่อเอาไปฆ่าเป็ นอาหาร เป็ นการผิดศีลข้ อปาณาติบาตหรื อไม่? เพราะเหตุไร? อุบาสกควรปฏิบตั ิอย่างไร
ในเรื่ องนี ้? ตอบ ไม่ผิด ฯ เพราะไม่ได้ เป็ นผู้ฆา่ หรื อสัง่ ให้ ฆา่ ฯ อุบาสกควรเว้ นการค้ าขายชนิดนี ้เสีย ฯ
(ปี 2545) คาว่า อุบาสก อุบาสิกา แปลว่าอะไร? การค้ าขายยาเสพติดมียาบ้ าเป็ นต้ นจัดเข้ าในมิจฉาวณิชชาข้ อไหน?
ตอบ อุบาสก แปลว่า ชายผู้เข้ าถึงพระรัตนตรัย อุบาสิกา แปลว่า หญิงผู้เข้ าถึงพระรัตนตรัย ฯ การค้ าขายน ้าเมา ฯ

 สมบัติและวิบัติ ๕
สมบัติของอุบาสกอุบาสิกา ๕ ประการ
๑. ประกอบด้ วยศรัทธา.
๒. มีศีลบริ สทุ ธิ์.

33 | P a g e
๓. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือ เชื่อกรรมไม่เชื่อมงคล.
๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา.
๕. บาเพ็ญบุญแต่ในพุทธศาสนา.
ตรงข้ ามกับสมบัติทงั ้ ๕ นี ้ เป็ นวิบัติของอุบาสกอุบาสิกา
(ปี 2557) อุบาสกอุบสิกาควรตังอยู
้ ใ่ นคุณสมบัติอะไรบ้ าง?
(ปี 2543) สมบัติและวิบตั ิของอุบาสกอุบาสิกามีอะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๑) ประกอบด้ วยศรัทธา ๒) มีศีลบริ สทุ ธิ์
๓) ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล ๔) ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา
๕) บาเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา
ตรงข้ ามกับสมบัติทงั ้ ๕ นี ้ เป็ นวิบตั ิของอุบาสกอุบาสิกา

หมวด ๖
 ทิศ ๖ บุคคลประเภทต่างๆ ที่เราต้ องเกี่ยวข้ องสัมพันธ์ทางสังคมดุจทิศที่อยูร่ อบตัว
๑.ทิศเบือ้ งหน้ า บิดามารดา ๒.ทิศเบือ้ งขวา ครูอาจารย์
๓.ทิศเบือ้ งหลัง บุตรภรรยา ๔.ทิศเบือ้ งซ้ าย มิตร
๕.ทิศเบือ้ งล่ าง บ่าว ๖.ทิศเบือ้ งบน สมณพราหมณ์
(ปี 2557) ในทิศ ๖ ทิศเหล่านี ้หมายถึงใคร?
ก. ทิศเบื ้องหน้ า ข. ทิศเบื ้องขวา
ค. ทิศเบื ้องหลัง ง. ทิศเบื ้องซ้ าย จ. ทิศเบื ้องบน
ตอบ ก. มารดาบิดา ข. ครูอาจารย์ ค. บุตรภรรยา ง. มิตร จ. สมณพราหมณ์ ฯ
(ปี 2550) ทิศ ๖ ในคิหิปฏิบตั ิ มีอะไรบ้ าง? แต่ละทิศหมายถึงใคร?

บุตรพึงบารุ งมารดาบิดา ๕ สถาน (ในเรื่องทิศ ๖)


๑.ท่านได้ เลี ้ยงมาแล้ ว เลี ้ยงท่านตอบ ๒.ช่วยทากิจของท่าน
๓.ดารงวงศ์สกุล ๔.ประพฤติตนให้ เป็ นคนควรรับทรัพย์มรดก
๕.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ ว ทาบุญอุทิศให้ ทา่ น
(ปี 2558) บุตรธิดาพึงปฏิบตั ิตอ่ มารดาบิดาอย่างไร ?
(ปี 2555) มารดาบิดาได้ เลี ้ยงดูบตุ รธิดาแล้ ว บุตรธิดาพึงปฏิบตั ิตอ่ ท่านอย่างไร?

ศิษย์ พึงปฏิบัติต่อครูอาจารย์ ๕ สถาน (ในเรื่องทิศ ๖)


๑. ลุกขึ ้นยืนรับ ๒. เข้ าไปยืนคอยรับใช้
๓. เชื่อฟั ง ๔. อุปัฏฐาก

34 | P a g e
๕.เรี ยนศิลปวิทยาโดยเคารพ
(ปี 2559) ศิษย์ที่ดีพงึ ปฏิบตั ิตอ่ ครูอาจารย์ อย่างไรบ้ าง?

 คฤหัสถ์ ควรบารุ งบรรพชิตด้ วยการทา การพูด การคิดประกอบด้ วยเมตตา ด้ วยความเป็ นผู้ไม่ปิดประตู คือมิได้ ห้ามเข้ า
บ้ านเรื อน ด้ วยให้ อามิสทาน
 บรรพชิตควรอนุเคราะห์ ต่อคฤหัสถ์ ด้วยห้ ามไม่ให้ กระทาความชัว่ ให้ ตงอยู
ั ้ ใ่ นความดี อนุเคราะห์ด้วยน ้าใจอันงาม ให้ ได้
ฟั งสิง่ ที่ยงั ไม่เคยฟั ง ทาสิง่ ที่เคยฟั งมาแล้ วให้ แจ่ม บอกทางสวรรค์ให้
(ปี 2547) คฤหัสถ์ และบรรพชิต มีหน้ าที่จะพึงปฏิบตั ิแก่กนั และกันอย่างไรบ้ าง?
ตอบ คฤหัสถ์ควรบารุงบรรพชิตด้ วยการทา การพูด การคิดประกอบด้ วยเมตตา ด้ วยความเป็ นผู้ไม่ปิดประตู คือมิได้ ห้ามเข้ าบ้ านเรื อน
ด้ วยให้ อามิสทาน
ส่วนบรรพชิตควรอนุเคราะห์ตอ่ คฤหัสถ์ด้วยห้ ามไม่ให้ กระทาความชัว่ ให้ตงอยู
ั ้ ใ่ นความดี อนุเคราะห์ด้วยน ้าใจอันงาม ให้ ได้ ฟังสิง่ ที่ยงั
ไม่เคยฟั ง ทาสิง่ ที่เคยฟั งมาแล้ วให้ แจ่ม บอกทางสวรรค์ให้ ฯ
(ปี 2545) การถือมงคลตื่นข่ าวคือถืออย่างไร? พระพุทธศาสนาสอนให้ ถืออย่างนันหรื
้ ออย่างไร?
สมณพราหมณ์ เมื่อได้ รับการบารุงแล้ ว ย่อมอนุเคราะห์กลุ บุตรอย่างไรบ้ าง ?
ตอบ ถือว่ านีฤ้ กษ์ ดี ยามดี เป็ นมงคลดี นีฤ้ กษ์ ไม่ ดี ยามไม่ ดี ไม่ เป็ นสวัสดิมงคล ฯ
พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ ถือเช่นนัน้ สอนให้ เชื่อว่า เรามีกรรมเป็ นของของตน เราทาดีจกั ได้ ดี ทาชัว่ จักได้ ชวั่ ฯ
อย่างนี ้ คือ ๑) ห้ ามไม่ให้ กระทาความชัว่ ๒) ให้ ตงอยู
ั ้ ใ่ นความดี
๓) อนุเคราะห์ด้วยน ้าใจอันงาม ๔) ให้ ได้ ฟังสิง่ ที่ยงั ไม่เคยฟั ง
๕) ทาสิง่ ที่เคยฟั งแล้ วให้ แจ่ม ๖) บอกทางสวรรค์ให้ ฯ

35 | P a g e
ทบทวน พุทธประวัติ นักธรรมชัน้ ตรี
ความหมาย/ประโยชน์ วิชาพุทธประวัติ
(ปี 2561) พุทธประวัติ คืออะไร? การเรี ยนรู้พทุ ธประวัตินนได้
ั ้ ประโยชน์อย่างไร?
ตอบ คือ เรื่ องที่พรรณนาความเป็ นไปของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ า ฯ
ได้ ประโยชน์ คือทาให้ ทราบความเป็ นมาของพระพุทธเจ้ า และแนวทางในการดาเนินชีวิตตามพระพุทธจริ ยา ฯ
(ปี 2559 และ 2552) การเรี ยนรู้พทุ ธประวัติได้ ประโยชน์ อย่างไร ?
ตอบ ได้ ประโยชน์ ๒ ประการ คือ
๑. ในด้ านการศึกษา ทาให้ ทราบความเป็ นมาของพระพุทธเจ้ า เช่นเดียวกับการศึกษาตานานความเป็ นมาของชาติตน ทาให้ บคุ คลได้
ทราบว่า ชาติของตนเป็ นมาอย่างไร มีความสาคัญอย่างไร เป็ นต้ น
๒. ในด้ านปฏิบตั ิ ทาให้ บคุ คลได้ แนวในการดาเนินชีวิตตามพระพุทธจริ ยา อันเป็ นปฏิปทานาความสุขความเจริ ญมาให้ แก่บคุ คลตาม
สมควรแก่การประพฤติปฏิบตั ิ ฯ
(ปี 2558 และ 2543) พุทธประวัติ คืออะไร ? มีความสาคัญอย่างไรจึงต้ องเรี ยนรู้ ?
ตอบ คือเรื่ องที่พรรณนาความเป็ นไปของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ า ฯ มีความสาคัญ ในการศึกษาและปฏิบตั ิพระพุทธศาสนา
เพราะแสดงพระพุทธจริ ยาให้ ปรากฏ ฯ
(ปี 2549) พุทธประวัติว่าด้ วยเรื่องอะไร? มีความสาคัญอย่างไรที่ต้องเรี ยนรู้?
ตอบ ว่าด้ วยเรื่ องความเป็ นมาของพระพุทธเจ้ า เป็ นการแสดงพระพุทธจริ ยาในด้ านต่างๆ ของพระองค์ให้ ปรากฏ ฯ
มีความสาคัญในการศึกษาและปฏิบตั ิพระพุทธศาสนา เพราะแสดงพระพุทธจริ ยาให้ ปรากฏ เช่นเดียวกับตานานย่อมมีความสาคัญต่อ
ชาติของตนที่ให้ ร้ ูได้ วา่ ชาติได้ เป็ นมาแล้ วอย่างไร ฯ
(ปี 2545) พุทธประวัติวา่ ด้ วยเรื่องอะไร? การเรี ยนรู้พทุ ธประวัติได้ ประโยชน์อย่างไร?
ตอบ ว่าด้ วยเรื่ องความเป็ นมาของพระพุทธเจ้ า เป็ นการแสดงพระพุทธจริ ยาในด้ านต่างๆ ของพระองค์ให้ ปรากฏ ฯ
ได้ ประโยชน์ ๒ ประการ คือ
๑) ในด้ านการศึกษา ทาให้ ทราบความเป็ นมาของพระพุทธเจ้ า เช่นเดียวกับการศึกษาตานานความเป็ นมาของชาติตน ทาให้
บุคคลได้ ทราบว่าชาติของตนเป็ นมาอย่างไร มีความสาคัญอย่างไรเป็ นต้ น
๒) ในด้ านปฏิบตั ิ ทาให้ บคุ คลได้ แนวในการดาเนินชีวิตตามพระพุทธจริ ยา อันเป็ นปฏิปทานาความสุขความเจริ ญมาให้ แก่
บุคคล ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบตั ิ ฯ

ชมพูทวีป
 วรรณะ ๔ ได้ แก่ กษัตริย์(ปกครองบ้ านเมือง) ,พราหมณ์ (สัง่ สอน ทาพิธีกรรม), แพศย์ (เป็ นทานาค้ าขาย),
ศูทร (รับจ้ างทางาน เป็ นกรรมกร)
(ปี 2562) พระพุทธเจ้ าสืบเชื ้อสายมาจากชนชาติใด ? ชนชาตินนมาตั
ั้ งถิ
้ ่นฐานในชมพูทวีปได้ อย่างไร ?
ตอบ สืบเชื ้อสายมาจากชนชาติอริ ยกะ ฯ

1|Page
ชาวอริ ยกะนันเป็
้ นผู้เจริ ญด้ วยความรู้และขนบธรรมเนียม มีสติปัญญามากกว่าพวกมิลกั ขะ เจ้ าของถิ่นเดิม เมื่อข้ ามภูเขาหิมาลัยมา ก็
รุกไล่พวกมิลกั ขะ เจ้ าของถิ่นเดิมให้ ถอยเลือ่ นลงมาทางใต้ แล้ วเข้ าตังถิ
้ ่นฐานในชมพูทวีปแทน ฯ
(ปี 2561) เจ้ าชายสิทธัตถะอุบตั ิขึ ้นในวรรณะใด ? ชนชาติไหน ? ตอบ วรรณะกษัตริ ย์ ฯ ชนชาติอริ ยกะ ฯ
(ปี 2560, 2554 และ 2546) ประชาชนในชมพูทวีป มีกจี่ าพวก ? พระพุทธเจ้ าสืบเชื ้อสายมาจากชนชาติใด ?
ตอบ มี ๒ จาพวก คือ ๑)มิลกั ขะ เจ้ าของถิ่นเดิม ๒) อริ ยกะ พวกอพยพมาใหม่ ฯ สืบเชื ้อสายมาจากชนชาติอริ ยกะ ฯ
(ปี 2559) วรรณะทัง้ ๔ มีหน้ าที่ตา่ งกันอย่างไร ?
ตอบ มีหน้ าที่ตา่ งกันอย่างนี ้
๑. วรรณะกษัตริ ย์ มีหน้ าที่ปกครอง ๒. วรรณะพรามหณ์ มีหน้ าที่ทางฝึ กสอนและทาพิธีกรรม
๓. วรรณะแพศย์ มีหน้ าที่ทางทานาค้ าขาย ๔. วรรณะศูทร มีหน้ าที่รับจ้ าง ฯ
(ปี 2557) ชมพูทวีปแบ่งเป็ น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คืออะไรบ้ าง? ตอบ คือมัชฌิมชนบท และ ปั จจันตชนบท ฯ
(ปี 2556) คนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็ นกี่วรรณะ? อะไรบ้ าง?
ตอบ แบ่งเป็ น ๔ วรรณะ ฯ คือ วรรณะกษัตริ ย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร ฯ
(ปี 2551) คนในชมพูทวีปแบ่งเป็ นกี่วรรณะ? อะไรบ้ าง? พระพุทธบิดาอยูใ่ นวรรณะอะไร?
ตอบ แบ่งเป็ น ๔ วรรณะ ฯ คือ วรรณะกษัตริ ย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร ฯ อยูใ่ นวรรณะกษัตริ ย์ ฯ
(ปี 2548) ประชาชนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็ นกี่วรรณะ? อะไรบ้ าง? มีหน้ าที่ตา่ งกันอย่างไร?
ตอบ แบ่งออกเป็ น ๔ วรรณะ คือ ๑. กษัตริ ย์ มีหน้ าที่ปกครอง ๒. พราหมณ์ มีหน้ าที่ทางฝึ กสอนและทาพิธี
๓. แพศย์ มีหน้ าที่ทางทานาค้ าขาย ๔. ศูทร มีหน้ าที่รับจ้ าง ฯ
(ปี 2544) ในครัง้ พุทธกาล ชาวชมพูทวีปส่วนมากนับถือศาสนาอะไร?
ชนเหล่านันมี
้ ความคิดเห็น เรื่ องความตาย และความเกิด โดยสรุปอย่างไร?
ตอบ ศาสนาพราหมณ์ ฯ เห็นอย่างนี ้ คือเห็นว่าตายแล้ วเกิดอย่างหนึง่ เห็นว่าตายแล้ วสูญอย่างหนึง่ ฯ

ศากยวงศ์
 ศากยวงศ์ สืบเชื ้อสายมาจาก ชนชาติอริยกะ เป็ นชนชาติที่มีความเจริ ญด้ วยความรู้และขนบธรรมเนียม มีอานาจมากกว่า
พวกมิลักขะเป็ นเจ้ าของถิ่นเดิม เมื่อชาวอริ ยกะข้ ามภูเขาหิมาลัยก็มารุกไล่ชาวมิลกั ขะเจ้ าของถิ่นเดิมให้ ถอยร่นลงมาทางใต้
แล้ วชาวอริ ยกะก็ตงถิ
ั ้ ่นฐานที่ชมพูทวีปแทน
 พระเจ้ าโอกกากราช เป็ นต้ นวงศ์ของศากยสกุล
 สักชนบท แบ่ งออกเป็ น ๓ นคร คือ ๑.นครเดิมของพระเจ้ าโอกกากราช ๒.นครกบิลพัสดุ์ ๓.นครเทวทหะ
 (ปี 2555) พระเจ้ าสีหหนุ ปู่ ของพระพุทธเจ้ า
 (ปี 2560 และ 2547) พระเจ้ าสุทโธทนะ พ่อของพระพุทธเจ้ า
 (ปี 2560 และ 2547) พระนางสิริมหามายา แม่ของพระพุทธเจ้ า (ท่านสวรรคตแล้ ว ไปเกิดที่สวรรค์ชนดุ
ั ้ สติ )
 (ปี 2559 และ 2555) พระนางมหาปชาบดีโครตมี พระน้ านางของพระพุทธเจ้ า

2|Page
 (ปี 2560 และ 2547) พระนันทะ น้ องชายต่างมารดาของพระพุทธเจ้ า (พระเจ้ าสุทโธทนะ+พระนางมหาปชาบดีโครตมี)
 รูปนันทา น้ องสาวต่างมารดาของพระพุทธเจ้ า (พระเจ้ าสุทโธทนะ+พระนางมหาปชาบดีโครตมี)
 (ปี 2555) พระนางพิมพา หรือ ยโสธรา พระชายาของพระพุทธเจ้ า
(ปี 2560) พระเจ้ าสุทโธทนะ มีพระราชโอรสพระราชธิดากี่พระองค์ ? มีพระนาม ว่าอะไรบ้ าง ?
ตอบ มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ ๑. พระสิทธัตถกุมาร ๒. พระนันทกุมาร
มีพระราชธิดา ๑ พระองค์ คือ พระนางรูปนันทา ฯ
(ปี 2559 และ 2549) อสิตดาบส (กาฬเทวิลดาบส) และ มหาปชาบดีโคตมี เกี่ยวข้ องกับเจ้ าชายสิทธัตถะอย่างไร?
ตอบ อสิตดาบส (กาฬเทวิลดาบส) คือ ดาบสผู้เป็ นที่ค้ นุ เคยของราชสกุล ได้ เข้ าเฝ้ าพระเจ้ าสุทโธทนะ เมื่อเจ้ าชายสิทธัตถะ ประสูติ
ใหม่ๆ และพยากรณ์วา่ พระราชกุมารจะได้ เป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิราช หรื อศาสดาเอกในโลก ฯ
ส่วน มหาปชาบดีโคตมี เป็ นพระมาตุจฉา คือพระน้ านางของเจ้ าชายสิทธัตถะ
(ปี 2556) พระพุทธบิดาทรงมีพระนามว่าอะไร ? ทรงปกครองแคว้ นอะไร ? เมืองหลวงชื่ออะไร ?
ตอบ พระนามว่าพระเจ้ าสุทโธทนะ ฯ แคว้ นสักกะ ฯ ชื่อกบิลพัสดุ์ ฯ
(ปี 2553 และ 2547) ศากยวงศ์สบื เชื ้อสายมาจากชนชาติใด? ชนชาตินนมาตั
ั้ งถิ
้ ่นฐานในชมพูทวีปได้ อย่างไร?
ตอบ สืบเชื ้อสายมาจากชนชาติอริ ยกะ ฯ ชาวอริ ยกะนันเป็
้ นผู้เจริ ญด้ วยความรู้และขนบธรรมเนียม มีอานาจมากกว่าพวกมิลกั ขะ
เจ้ าของถิ่นเดิม เมื่อข้ามภูเขาหิมาลัยมาก็รุกไล่พวกมิลกั ขะ เจ้ าของถิ่นเดิมให้ ถอยร่นลงมาทางใต้ แล้ วเข้ าตังถิ
้ ่นฐานในชมพูทวีปแทน ฯ
(ปี 2550) เจ้ าชายนันทกุมารกับเจ้ าหญิงรูปนันทา เป็ นพระโอรสและพระธิดาของใคร? มีความเกี่ยวข้ องกับเจ้ าชายสิทธัตถกุมาร
อย่างไร? ตอบ เป็ นพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้ าสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตมี ฯ มีความเกี่ยวข้ องกับเจ้ าชายสิทธัตถกุมาร
โดยเป็ นพระกนิฏฐภาดาและ กนิฏฐภคินีตา่ งพระมารดา ฯ
(ปี 2546) กษัตริ ย์พระองค์ใดที่เป็ นต้ นศากยวงศ์?
พระโอรสและพระธิดาของเจ้ าศากยะไปสร้ างพระนครขึ ้นใหม่ชื่อว่าเมืองอะไร? ที่ชื่ออย่างนันเพราะเหตุ
้ ไร?
ตอบ พระเจ้ าโอกกากราช ฯ เมืองกบิลพัสดุ์ ฯ เพราะเป็ นที่อยูข่ องกบิลดาบสมาก่อน ฯ
(ปี 2544) กาฬเทวิลดาบส กราบที่พระบาทพระราชโอรสของพระเจ้ าสุทโธทนะ เพราะเหตุไร?
ตอบ เพราะเห็นพระราชโอรสนันมี
้ ลกั ษณะต้ องด้ วยตารับมหาบุรุษลักษณะครัน้ เห็นอัศจรรย์เช่นนันแล้
้ วก็มีความเคารพนับถือจึงกราบ
ที่พระบาทของพระราชโอรสนัน้

กลุ่มคนและบุคคลในพุทธกาล
 สหชาติ ๗ (คน ๔ สัตว์ ๑ ต้ นไม้ ๑ สิง่ ของ ๑)
๑.พิมพา (ยโสธรา)
๒.อานนท์
๓. (ปี 2560, 2555 และ 2547) ฉันนะ เป็ นผู้ตามเสด็จคราวเสด็จออกบวช
๔.กาฬุทายี
๕.ม้ ากัณฐกะ (ตายแล้ ว ไปเกิดที่ดาวดึงส์ )

3|Page
๖.ต้ นพระศรีมหาโพธิ์
๗.ขุมทรัพย์ ทงั ้ ๔
 อสิตดาบส (เรียกอีกชื่อว่ า กาฬเทวิลดาบส) เมื่อเจ้ าชายสิทธัตถะประสูติใหม่ๆ อสิตดาบสได้ เข้ าเฝ้ าและทายพระ
ลักษณะว่า ถ้ าอยูค่ รองสมบัติจะได้ เป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิ ถ้ าออกบวชจะได้ เป็ นศาสดาเอกของโลก
 (ปี 2560 และ 2547) วิศวามิตร ป็ นครูผ้ สู อนศิลปวิทยาของเจ้ าชายสิตธัตถะ เมื่อยังทรงพระเยาว์

(ปี 2561 และ 2551) อสิตดาบสได้ ทานายสิทธัตถกุมารว่าอย่างไร ?


ตอบ ทานายว่า ถ้ าอยูค่ รองสมบัติ จักได้ เป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิ์ ถ้ าออกบวช จักได้ เป็ นพระศาสดาเอกในโลก ฯ
(ปี 2557) อสิตดาบสกล่าวทานายพระมหาบุรุษไว้ วา่ อย่างไร?
ตอบ ว่ามีคติเป็ น ๒ คือ ถ้ าอยูค่ รองฆราวาสจักได้ เป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิ ถ้ าออกบวชจักได้ ตรัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ า ฯ
(ปี 2556) อสิตดาบส อาฬารดาบส และอุทกดาบส มีความเกี่ยวข้ องกับพระมหาบุรุษอย่างไร?
ตอบ อสิตดาบส เป็ นผู้ค้ นุ เคยเป็ นที่เคารพนับถือของศากยสกุล ในเวลาที่พระมหาบุรุษประสูติใหม่ๆ ท่านได้ ไปเยี่ยม และได้ พยากรณ์
ทานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ ว่ามีคติเป็ น ๒ ก่อนคนอื่นทังหมด

อาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็ นผู้ที่พระองค์ได้ เคยอยูอ่ าศัยศึกษาลัทธิของท่านทัง้ ๒ ฯ

เหตุการณ์ ในระหว่ างพระชนย์ ของพระพุทธเจ้ า


ตอนประสูตใิ หม่ ๆ อสิตดาบส(กาฬเทวิลดาลส) เข้ าเฝ้ าและทายพระลักษณะ
๕ วัน ขนานพระนาม (ตังชื
้ ่อ) ว่า “สิทธัตถกุมาร”
๗ วัน พระมารดาสวรรคต
๗ ปี พระราชบิดาตรัสสัง่ ให้ ขดุ สระโบกขรณี ๓ สระในพระราชวัง ให้ เป็ นที่เล่นสาราญแก่พระองค์ และ ทรงศึกษาศิลปวิทยา (เรี ยน)
๑๖ ปี พระราชบิดาตรัสสัง่ ให้ สร้ างปราสาท ๓ หลัง เพื่อเป็ นที่เสด็จอยูใ่ น ๓ ฤดู และตรัสขอพระนางยโสธรามาอภิเษกเป็ นพระชายา
๒๙ ปี ได้ พระโอรสนามว่าพระราหุล และเสด็จออกบรรพชา
๓๕ ปี ตรัสรู้
๘๐ ปี ปริ นิพพาน
(ปี 2562 และ 2559) พระพุทธเจ้ าเสด็จออกผนวช ตรัสรู้ และปริ นิพพาน เมื่อมีพระชนมายุเท่าไรบ้ าง ?
ตอบ เสด็จออกผนวช เมื่อมีพระชนมายุ ๒๙ ปี
ตรัสรู้ เมื่อมีพระชนมายุ ๓๕ ปี
ปริ นิพพาน เมื่อมีพระชนมายุ ๘๐ ปี ฯ
(ปี 2561, 2560, 2558, 2549 และ 2543) เจ้ าชายสิทธัตถะทรงปรารภอะไรจึงเสด็จออกบวช ? ทรงบวชได้ กี่ปี จึงตรัสรู้ ?
ตอบ ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ ฯ ๖ ปี จึงตรัสรู้ ฯ
(ปี 2557) พระมหาบุรุษประสูติที่ไหน? เมื่อไร?
ตอบ ลุมพินีวนั ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กบั กรุงเทวทหะ ฯ วันเพ็ญ เดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี ฯ

4|Page
(ปี 2556) เมื่อเจ้ าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระราชบิดาโปรดให้ ทาอะไรเพื่อพระราชกุมารบ้ าง?
ตอบ โปรดให้ ชมุ นุมพระญาติวงศ์ และเสนามาตย์พร้ อมกับเชิญพราหมณ์ร้อยแปดคนมาฉันโภชนาหาร แล้ วทามงคลรับพระลักษณะ
และขนานพระนามว่าสิทธัตถกุมาร ฯ
(ปี 2554) เมื่อพระมหาบุรษมีพระชนมายุได้ ๕ วัน ๗ วัน ๗ ปี ๑๖ ปี ๒๙ ปี มีเหตุการณ์สาคัญเกิดแก่พระองค์อะไรบ้ าง?
(ปี 2553) พระพุทธเจ้ าเสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้ และปริ นิพพาน เมื่อมีพระชนมายุเท่าไรบ้ าง ?
ตอบ เสด็จออกบรรพชา เมื่อมีพระชนมายุ ๒๙ ปี
ตรัสรู้ เมื่อมีพระชนมายุ ๓๕ ปี
ปริ นิพพาน เมื่อมีพระชนมายุ ๘๐ ปี ฯ
(ปี 2553) ภายใน ๗ วัน หลังจากสิทธัตถะราชกุมารประสูติแล้ ว มีเหตุการณ์สาคัญเกิดขึ ้นแก่พระองค์อย่างไรบ้ าง?
ตอบ ๑. เมื่อประสูติแล้ วใหม่ ๆ อสิตดาบส (หรื อกาฬเทวิลดาบส) เข้ าไปเฝ้ าเยี่ยมและทานายพระลักษณะ
๒. วันที่ ๕ พระเจ้ าสุทโธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารและขนานพระนามพระราชกุมารว่าสิทธัตถกุมาร
๓. วันที่ ๗ พระราชมารดาทิวงคต ฯ
(ปี 2558) พระพุทธเจ้ าประสูติ ตรัสรู้ ปริ นิพพานที่ใต้ ต้นไม้ อะไร ?
ตอบ ประสูติและปริ นิพพาน ใต้ ต้นสาละ ฯ ตรัสรู้ ใต้ ต้นโพธิ์ (อัสสัตถพฤกษ์) ฯ
(ปี 2550) พระพุทธเจ้ าประสูติ ตรัสรู้ และปริ นิพพาน ในวันใด? ที่ไหน?
ตอบ ประสูติในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี
ตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี
และปริ นิพพานในวันเพ็ญเดือน ๖ ปี ตังต้
้ นพุทธศก ฯ
ส่วนสถานที่นนั ้ คือ ประสูติที่ใต้ ร่มไม้ สาละในลุมพินีวนั ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ
ตรัสรู้ที่ใต้ ต้นโพธิ์ (อัสสัตถพฤกษ์) ริ มฝั่ งแม่น ้าเนรัญชรา
ปริ นิพพานที่ป่าไม้ สาละ (สาลวโนทยาน) เมืองกุสนิ ารา ฯ
(ปี 2550 และ 2544) เมื่อพระพุทธเจ้ าประสูติได้ ๕ วัน และ ๗ วัน มีเหตุการณ์สาคัญอะไรเกิดขึ ้น?
ตอบ เมื่อประสูติได้ ๕ วัน พระราชบิดาเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหาร ทานายพระลักษณะและขนานพระนาม
และเมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาเสด็จสวรรคต ฯ
(ปี 2549) พระพุทธเจ้ าประสูติ ตรัสรู้ ปริ นิพพานที่ใต้ ต้นไม้ อะไร ?
ตอบ ประสูติ และ ปริ นิพพาน ใต้ ต้นสาละ
ตรัสรู้ ใต้ ต้นโพธิ์ (อัสสัตถพฤกษ์) ฯ

พิธีแรกนาขวัญ (พิธีวัปปมงคล)
(ปี 2550) เหตุการณ์ที่เงาต้ นหว้ าในเวลาบ่ายแล้ วไม่คล้ อยไปตามตะวัน กลับตังอยู
้ ด่ จุ เวลาเที่ยง ปรากฏเมื่อคราวพระมหาบุรุษทรงทา
อะไรอยู?่ ตอบ ทรงนัง่ ขัดบัลลังก์สมาธิ เจริ ญอานาปานสติกมั มัฏฐาน ทาปฐมฌาน ให้ เกิดขึ ้น ฯ
(ปี 2548) ในวันเสด็จแรกนาขวัญ พระเจ้ าสุทโธทนะบังคมสิทธัตถราชกุมารผู้ประทับนัง่ ใต้ ต้นหว้ า เพราะเหตุไร?
5|Page
ตอบ เพราะทรงเห็นอัศจรรย์ในขณะที่สทิ ธัตถราชกุมารประทับนัง่ ใต้ ต้นหว้ า เงาของต้ นหว้ าไม่คล้ อยไปตามตะวัน แม้ จะเป็ นเวลาบ่าย
แล้ ว ยังดารงอยูเ่ สมือนเที่ยงวัน ฯ

เสด็จออกบวช
 บรรพชา ริ มฝั่ งแม่น ้าอโนมา ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้ นมัลละ
 อาฬารดาบส มหาบรุษได้ ไปศึกษาด้ วยจนสาเร็ จ สมาบัติ ๗ (รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๓)
 อุททกดาบส มหาบรุษได้ ไปศึกษาด้ วยจนสาเร็ จ สมาบัติ ๘ (อรูปฌาณ ๔)
(ปี 2562) อาฬารดาบสและอุทกดาบส มีความเกี่ยวข้ องกับพระพุทธเจ้ าอย่างไร ?
ตอบ อาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็ นผู้ที่พระองค์ได้ เคยอยูอ่ าศัยศึกษาลัทธิของท่านทัง้ ๒ ฯ
(ปี 2556) อสิตดาบส อาฬารดาบส และอุทกดาบส มีความเกี่ยวข้ องกับพระมหาบุรุษอย่างไร?
ตอบ อสิตดาบส เป็ นผู้ค้ นุ เคยเป็ นที่เคารพนับถือของศากยสกุล ในเวลาที่พระมหาบุรุษประสูติใหม่ๆ ท่านได้ ไปเยี่ยม และได้ พยากรณ์
ทานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ ว่ามีคติเป็ น ๒ ก่อนคนอื่นทังหมด
้ ฯ
อาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็ นผู้ที่พระองค์ได้ เคยอยูอ่ าศัยศึกษาลัทธิของท่านทัง้ ๒ ฯ

(ปี 2562) อะไรเป็ นมูลเหตุให้ เจ้ าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ?


ตอบ พระอรรถกถาจารย์แสดงตามนัยมหาปทานสูตรว่า ได้ ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทัง้ ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรง
สังเวชเพราะได้ ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๓ ข้ างต้ น ยังความพอพระหฤทัยในการออกผนวชให้ เกิดขึ ้น เพราะได้ ทอดพระเนตรเห็น
สมณะ ฯ
(ปี 2560, 2558, 2549 และ 2543) เจ้ าชายสิทธัตถะทรงปรารภอะไรจึงเสด็จออกบวช ? ทรงบวชได้ กี่ปี จึงตรัสรู้ ?
ตอบ ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ ฯ ๖ ปี จึงตรัสรู้ ฯ
(ปี 2556) พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย และบรรพชิตแล้ วทรงดาริ อย่างไร?
ตอบ เมื่อทรงเห็นคนแก่คนเจ็บคนตายแล้ ว ทรงน้ อมเข้ ามาเปรี ยบกับพระองค์เอง เกิดความสังเวชว่า เราจะต้ องแก่ต้องเจ็บต้ องตาย
เช่นกัน เมื่อทรงเห็นบรรพชิต ทรงดาริ วา่ สาธุโขปพฺพชฺชา บวชดีนกั แล ฯ
(ปี 2555) พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทรงปรารภเหตุอะไร?
ตอบ พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันครอบงามหาชนทุกคน อีกนัยหนึ่ง เพราะ
ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทัง้ ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสลดพระทัยเพราะไม่เคยพบเห็นมาแต่ก่อน ครัน้ ได้
ทอดพระเนตรเห็นสมณะเข้ าเกิดพระทัยในการบรรพชา ฯ
(ปี 2552) เทวทูต ๔ ที่เจ้ าชายสิทธัตถะทรงเห็นคืออะไรบ้ าง? ทรงเห็นแล้ ว มีพระดาริ อย่างไร?
ตอบ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ
ทรงมีพระดาริ วา่ บุคคลทัว่ ไปถูกความเจ็บ ความแก่ ความตายครอบงา ไม่ลว่ งพ้ นไปได้ ถึงพระองค์เองก็มีอย่างนันเป็
้ นธรรมดา ควร
แสวงหา อุบายเครื่ องพ้ น แต่ฆราวาสเป็ นที่คบั แคบ ดุจเป็ นทางที่มาแห่งธุลี บรรพชาเป็ นช่องว่าง พอที่จะแสวงหาอุบายนันได้
้ จึงน้ อม
พระหฤทัยไปในบรรพชา ฯ
6|Page
(ปี 2548) พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทอดพระเนตรเห็นอะไร? และเมื่อเห็นแล้ วทรงพระดาริ อย่างไร?
ตอบ เพราะทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงพระดาริ วา่ บุคคลทัว่ ไปเมาอยูใ่ นวัย ในความไม่
มีโรค และในชีวิต ถูกความเจ็บ ความแก่ ความตายครอบงา ไม่ลว่ งพ้ นไปได้ ถึงพระองค์เองก็มีอย่างนันเป็
้ นธรรมดา ควรแสวงหา
อุบายเครื่ องพ้ น ธรรมดาสภาวะทังปวงย่
้ อมมีของที่เป็ นฝ่ ายตรงกันข้ ามแก้ กนั เช่นมีร้อนก็ต้องมีเย็นแก้ มีมืดก็ต้องมีสว่างแก้ แต่
ฆราวาสเป็ นที่คบั แคบ ดุจเป็ นทางทีม่ าแห่งธุลี บรรพชาเป็ นช่องว่าง พอที่จะแสวงหาอุบายนันได้
้ จึงน้ อมพระทัยไปในบรรพชา ฯ
(ปี 2547) การที่พระราชบิดาและพระญาติวงศ์ คิดผูกพันเจ้ าชายสิทธัตถะไว้ ให้ เพลิดเพลินอยูใ่ นกามสุขเพราะเหตุไร?
และด้ วยวิธีใด?
ตอบ เพราะพระราชบิดาและพระญาติวงศ์ได้ ทรงฟั งคาทานายของอสิตดาบสว่า พระราชกุมารนี ้จักมีคติเป็ นสอง คือ ถ้ าอยูค่ รองราช
สมบัติจกั ได้ เป็ นจักรพรรดิราช หรื อถ้ าออกบรรพชาจักได้ เป็ นศาสดาเอกในโลก จึงปรารถนาให้ อยูค่ รองราชสมบัติมากกว่าที่จะยอม
ให้ เสด็จออกบรรพชา ฯ
ด้ วยการตรัสให้ ขดุ สระโบกขรณีในพระราชนิเวศน์ ๓ สระ เพื่อให้ เป็ นที่เล่นสาราญพระราชหฤทัย ให้ จดั เครื่ องทรง คือจันทน์สาหรับทา
ผ้ าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ ผ้ าทรงสะพัก พระภูษา ล้ วนเป็ นของประณีต ให้ สร้ างปราสาท ๓ หลังสาหรับเป็ นที่ประทับทัง้ ๓ ฤดู
ตรัสขอพระนางยโสธรามาอภิเษกเป็ นพระชายา ฯ
(ปี 2545) พระมหาบุรุษทรงอธิษฐานเพศเป็ นบรรพชิตที่ไหน ? ตอบ ที่ริมฝั่ งแม่น ้าอโนมา ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้ นมัลละ ฯ
(ปี 2544) อะไรเป็ นมูลเหตุให้ เจ้ าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช? พระสิทธัตถะทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ด้ วยวิธีอย่างไรบ้ าง?
ตอบ พระอรรถกถาจารย์แสดงตามนัยมหาปทานสูตรว่า ได้ ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทัง้ ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ
ทรงสังเวช เพราะได้ ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๓ ข้ างต้ น ยังความพอพระหฤทัยในการออกผนวชให้ เกิดขึ ้น เพราะได้ ทอดพระเนตร
เห็นสมณะ ฯ
วิธีแรก ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา
วิธีที่สอง ทรงผ่อนกลันลมอั
้ สสาสะปั สสาสะ
วิธีที่สาม ทรงอดพระกระยาหาร ฯ

(ปี 2554) พระมหาบุรุษได้ ทรงศึกษาในสานักอาฬารดาบสและอุทกดาบสจนจบวิชาความรู้ของอาจารย์ การที่จะกล่าวว่า พระองค์


ตรัสรู้ชอบด้ วยพระองค์เองโดยไม่มีใครเป็ นครูอาจารย์ นันเพราะเหตุ
้ ไร?
ตอบ เพราะความรู้ที่เรี ยนในสานักดาบสทัง้ ๒ นัน้ เป็ นโลกิยธรรม ส่วนความรู้ที่ตรัสรู้เอง เป็ นโลกุตรธรรมที่ไม่มีใครรู้มาก่อน

บาเพ็ญทุกรกิริยา
(ปี 2556) พระมหาบุรุษเสด็จประทับบาเพ็ญเพียรจนถึงตรัสรู้ ณ ตาบลใด? ตอบ ณ ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ฯ
(ปี 2555) ทุกรกิริยา คืออะไร? พระมหาบุรุษทรงบาเพ็ญทุกรกิริยาด้ วยอย่างไรบ้าง? จงบอกมา ๑ ข้ อ
ตอบ ทุกรกิริยา คือ การทรมานกายให้ ลาบาก ฯ
พระพุทธเจ้ าทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ๓ วาระ

7|Page
๑.ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กัดฟั น) กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (เอาลิ ้นดุนเพดาน) ไว้ จนแน่จนพระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากพระ
กัจฉะ (รักแร้ )
๒.ทรงผ่อนกลันลมหายใจเข้
้ าออก
๓.ทรงอดพระกระยาหาร ฯ
(ปี 2554) พระมหาบุรุษทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ณ ที่ไหน? ผู้ที่ร้ ูเห็นเป็ นพยานในเรื่ องนี ้คือใคร?
ตอบ ณ ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้ นมคธ ที่ร้ ูเห็นเป็ นพยานคือ พระปั ญจวัคคี
(ปี 2552) การที่พระมหาบุรุษทรงเลิกบาเพ็ญทุกกรกิริยานัน้ เพราะเหตุไร?
ตอบ เพราะทรงดาริ วา่ ทุกกรกิริยาที่ทรงบาเพ็ญนันจะยิ
้ ่งไปกว่านี ้ไม่มี แต่ก็ไม่เป็ นทางให้ ตรัสรู้ได้ การบาเพ็ญเพียรทางจิตจักเป็ นทาง
ตรัสรู้ได้ กระมัง แต่คนซูบผอมเช่นนี ้ไม่สามารถทาได้ จึงทรงเลิกบาเพ็ญทุกกรกิริยา กลับมาเสวย พระอาหารตามปกติ ฯ

ก่ อนตรัสรู้
 (ปี 2555) นางสุชาดา เป็ นผู้ถวายข้ าวมธุปายาสก่อนตรัสรู้
(ปี 2544) ในวันตรัสรู้ทรงอธิษฐานพระหฤทัยที่ใต้ ต้นมหาโพธิ์วา่ อย่างไร?
ตอบ ทรงอธิษฐานพระหฤทัยว่า "ยังไม่ บรรลุโพธิญาณเพียงใด จักไม่ ลุกขึน้ เพียงนัน้ เนือ้ เลือดแห้ งไป เหลือหนังหุ้มกระดูก
ก็ตาม"
(ปี 2544) พระสิทธัตถะทรงผจญมารได้ ชยั ชนะด้ วยบารมีธรรมอะไรบ้ าง?
ตอบ ด้ วยบารมีธรรม ๑๐ อย่าง คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปั ญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

(ปี 2548) พระญาณที่เกิดขึ ้นแก่พระมหาบุรุษในวันที่ตรัสรู้นนั ้ คืออะไรบ้ าง?


ตอบ คือ ๑.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณเป็ นเครื่ องระลึกถึงชาติหนหลังของพระองค์ได้
๒.จุตปู ปาตญาณหรื อทิพพจักขุญาณ ญาณหยัง่ รู้การจุติและการเกิดของสัตว์ทงหลายที
ั้ ่เป็ นไปตามกรรม
๓.อาสวักขยญาณ ญาณเป็ นเหตุสิ ้นอาสวะอันหมักหมมอยูใ่ นจิตตสันดาน ฯ
(เรื่องญาณ ๓ ปี 2545 และ 2543) ในราตรี แห่งการตรัสรู้ พระมหาบุรุษทรงบรรลุญาณอะไรในแต่ละยาม?
ตอบ ทรงบรรลุปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ ในปฐมยาม
ทรงบรรลุจตุ ปู ปาตญาณหรื อทิพพจักษุญาณ ในมัชฌิมยาม
ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ในปั จฉิมยาม ฯ
(ปี 2543) ญาณข้ อไหน ที่ทาให้ พระองค์ทรงสาเร็ จความเป็ นพุทธะโดยสมบูรณ์ ? ตอบ ญาณ ข้ อที่ ๓

หลังตรัสรู้
(ปี 2553) เมื่อพระพุทธเจ้ าตรัสรู้ใหม่ ๆ พระองค์ทรงพิจารณาบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ โดยเปรี ยบเทียบกับบัว ๓ เหล่า อย่างไร
บ้ าง? ตอบ บัว ๓ เหล่ า

8|Page
๑.ดอกบัวที่โผล่ พ้นนา้ แล้ ว เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์ ก็พร้ อมที่จะเบ่ งบานทันที คือผู้เข้ าใจเร็ วพลัน เพียงท่านยกหัวข้ อธรรมขึ ้น
แสดง (กิเลสน้ อย อินทรี ย์กล้ า)
๒.ดอกบัวที่อยู่เสมอนา้ พร้ อมจะบานในวันพรุ่ ง คือผู้ร้ ูและเข้ าใจได้ ตอ่ เมื่อท่านอธิบายขยายเนื ้อความจึงรู้แจ้ ง (กิเลสปานกลาง
อินทรี ย์ปานกลาง)
๓.ดอกบัวที่อยู่ใต้ นา้ พร้ อมที่จะบานในวันต่ อๆ ไป คือผู้พอแนะนาพร่ าสอนบ่อยๆ ค่อยเข้ าใจได้ (กิเลสหนา อินทรี ย์ออ่ น)
(ปี 2558) ผู้ประกาศตนเป็ นอุบาสกด้ วยการถึงรัตนะ ๒ เป็ นครัง้ แรก คือใคร ? ได้ พบพระพุทธเจ้ าที่ไหน ?
ตอบ คือตปุสสะ และภัลลิกะ ฯ ที่ใต้ ต้นราชายตนะ ฯ
(ปี 2551) พระกระยาหารมื ้อแรกของพระพุทธเจ้ าหลังตรัสรู้คืออะไร? ใครเป็ นผู้ถวาย?
ตอบ คือ ข้ าวสัตตุผง ข้ าวสัตตุก้อน ฯ พ่อค้ า ๒ คน ชื่อตปุสสะและภัลลิกะ ฯ
(ปี 2545) พระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์เพราะทรงพิจารณาอย่างไร?
ตอบ เพราะทรงพิจารณาว่า บุคคลผู้มีกิเลสน้ อยเบาบางก็มี หนาก็มี ผู้มีอินทรี ย์กล้ าก็มี อ่อนก็มี เป็ นผู้จะพึงสอนให้ ร้ ูได้ โดยง่ายก็มี
โดยยากก็มี เป็ นผู้สามารถจะรู้ได้ ก็มี ไม่สามารถจะรู้ได้ ก็มี เปรี ยบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่า เมื่อเป็ นเช่นนัน้ พระธรรมเทศนาคงไม่ไร้ ผล
จักยังประโยชน์ให้ สาเร็ จแก่คนทุกเหล่า เว้ นแต่จาพวกที่มิใช่เวไนยสัตว์ที่เปรี ยบด้ วยดอกบัวอันเป็ นภักษาแห่งปลาและเต่า ฯ
(ปี 2544) พระสิทธัตถะทรงบาเพ็ญเพียรอยูเ่ ป็ นเวลากี่ปีจึงได้ ตรัสรู้ ? ตอบ เป็ นเวลา ๖ ปี

(ปี 2556) เมื่อพระศาสดาเสด็จไปเมืองพาราณสีเพื่อโปรดปั ญจวัคคีย์ ทรงพบใครในระหว่างทาง? และหลังสนทนากันแล้ วผู้นนได้


ั้
บรรลุผลอะไร? ตอบ ทรงพบอุปกาชีวก ฯ ไม่ได้ บรรลุผลอะไร ฯ
(ปี 2547) หลังจากตรัสรู้แล้ ว ในระหว่างทางที่เสด็จไปป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน พระพุทธองค์ทรงสนทนากับใคร? และผู้นนได้
ั ้ บรรลุ
ธรรมชันไหน?
้ ตอบ ทรงพบอุปกาชีวก ฯ อุปกาชีวกไม่ได้ บรรลุธรรมชันไหนเลย
้ ฯ

(ปี 2545) พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ ว ในพรรษาแรกเสด็จประทับอยูท่ ี่ไหน? และทรงบาเพ็ญพุทธกิจไว้ อย่างไร?


ตอบ ประทับอยู่ ณ ป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ
ได้ ทรงบาเพ็ญพุทธกิจที่สาคัญไว้ ดงั นี ้
๑)ทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุปัญจวัคคีย์ให้ ได้ สาเร็ จมรรคผลสูงสุด
๒)ทรงแสดงธรรมโปรดพระยสะพร้ อมด้ วยสหายอีก ๕๔ คน จนสาเร็ จพระอรหัตผลทังหมด

๓)ทรงแสดงธรรมโปรดบิดามารดาและภรรยาเก่าของพระยสะให้ ได้ ดวงตาเห็นธรรม แล้ วแสดงตนเป็ นอุบาสกอุบาสิกา ผู้ถึงพระ
รัตนตรัยก่อนกว่าชนทังปวงในโลก

๔) ทรงส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ องค์ ไปประกาศพระศาสนายังถิ่นต่างๆ เพื่อประโยชน์สขุ แก่ชาวโลก ฯ

9|Page
ปั ญจวัคคีย์
 ปั ญจวัคคีย์ (คอยอุปัฏฐาก) ได้ แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ
วันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้ าแสดงธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร บรรพชิตไม่ควรเสพ ๑.กามสุขลั ลิกานุโยค ๒.อัตตกิลมถานุ
โยค มัชฌิมาปฏิปทา ข้ อปฏิบตั ิอนั เป็ นทางสายกลางอริ ยมรรคมีองค์ ๘ และอริยสัจ ๔]
บรรลุเป็ นพระอรหันต์พร้ อมกันทังหมดในวั
้ นแรม ๕ ค่าเดือน ๘ ด้ วยธรรมะชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร (ขันธ์ทงั ้ ๕ เป็ นของไม่
เที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ไม่ควรยึดมัน่ )
 พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดเป็ นธรรมดา สิ่งนัน้ ทัง้ หมดมีความดับไป
เป็ นธรรมดา”
 ปั ญจวัคคีย์ -> ได้ ฟัง ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร มัชฌิมาปฏิปทา อริ ยสัจ ๔ และอัตตลักขณสูตร
(ปี 2562, 2554) พระอัญญาโกณฑัญญะได้ ชื่อว่าเป็ นปฐมสาวก เพราะเหตุไร ?
ตอบ เพราะได้ ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้ ดวงตาเห็นธรรมแล้ วอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเป็ นองค์แรก ฯ
(ปี 2561 และ 2555) พระพุทธเจ้ าทรงตัดสินพระทัย จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนเพราะเหตุไร?
ตอบ เพราะทรงระลึกถึงอุปการคุณของปั ญจวัคคีย์ที่ได้ คอยอุปัฏฐากพระองค์เมื่อครัง้ ทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ฯ
(ปี 2559) พระอรหันตสาวก ๕ รูปแรก คือใครบ้ าง ?
ตอบ ๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ ๒. พระวัปปะ ๓. พระภัททิยะ ๔. พระมหานามะ ๕. พระอัสสชิ เรี ยกว่า พระปั ญจวัคคีย์ ฯ
(ปี 2559) หลังจากตรัสรู้แล้ ว พระพุทธเจ้ าทรงพระประสงค์จกั แสดงธรรมแก่ใครก่อน? และสมพระประสงค์หรื อไม่ ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ ทรงพระประสงค์จกั แสดงแก่อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ฯ
ไม่สมพระประสงค์ ฯ เพราะท่านทัง้ ๒ นันสิ
้ ้นชีพเสียแล้ ว ฯ
(ปี 2558) ปั ญจวัคคีย์ ได้ แก่ใครบ้ าง ? ท่านเหล่านันอุ
้ ปสมบทด้ วยวิธีอะไร ?
ตอบ ได้ แก่พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และ พระอัสสชิ ฯ ด้ วยวิธีเอหิภิกขุอปุ สัมปทาฯ
(ปี 2557) พระพุทธเจ้ าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ใคร และบังเกิดผลเลิศอย่างไร?
ตอบ แก่พระปั ญจวัคคีย์ ฯ บังเกิดผลเลิศ คือพระอัญญาโกณฑัญญะได้ ดวงตาเห็นธรรมแล้ วทูลขอบรรพชา ฯ
(ปี 2553) ปั ญจวัคคีย์ คือใคร? มีความเกี่ยวข้ องกับพระพุทธเจ้ าขณะที่ยงั ทรงบาเพ็ญทุกรกิริยาอย่างไร?
ตอบ คือ นักบวชกลุม่ หนึง่ มีทงหมด
ั้ ๕ คน มีทา่ นโกณทัญญะเป็ นหัวหน้ า ฯ ได้ ตามเสด็จ คอยอุปัฏฐากรับใช้ อยูต่ ลอดเวลา ฯ
(ปี 2546) ปั ญจวัคคีย์ ได้ แก่ใครบ้ าง? ท่านเหล่านันอุ
้ ปสมบทด้ วยวิธีอะไร? และบรรลุอรหัตผลที่ไหน?
ตอบ ได้ แก่ พระอัญญาโกณฑัญญะ ๑ พระวัปปะ ๑ พระภัททิยะ ๑ พระมหานามะ ๑ พระอัสสชิ ๑ ฯ
อุปสมบทด้ วยวิธีเอหิภิกขุอปุ สัมปทา ฯ บรรลุอรหัตผลที่ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี ฯ
(ปี 2544) จงให้ ความหมายของคาว่า ปฐมเทศนา และมัชฌิมาปฏิปทา
ดอบ ปฐมเทศนา คือการแสดงธรรมครัง้ แรก มัชฌิมาปฏิปทา คือข้ อปฏิบตั ิอนั เป็ นทางสายกลาง
(ปี 2543) พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาเมื่อไร? ใจความแห่งปฐมเทศนานันว่
้ าด้ วยเรื่ องอะไร?
ตอบ เมื่อวันเพ็ญ เดือนอาสาฬหะ สองเดือนหลังจากตรัสรู้
ว่าด้ วยที่สดุ สองอย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ, มัชฌิมาปฏิปทา, และอริ ยสัจ ๔
10 | P a g e
ยสะกุลบุตร
 ยสกุลบุตร -> ได้ ฟัง อนุปพุ พีกถา และ อริ ยสัจ ๔
(ปี 2562, 2559, 2555 และ 2544 ออกแทบทุกปี ) คาว่า "ที่นี่วนุ่ วายหนอ ที่นี่ขดั ข้ องหนอ" เป็ นคาอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึง
อุทานเช่นนัน้ ? ตอบ ของยสกุลบุตร ฯ เพราะเห็นอาการพิกลต่าง ๆ ของหมูช่ นบริ วารที่นอนหลับ ไม่เป็ นที่ตงแห่
ั ้ งความยินดีเหมือน
เมื่อก่อน หมูช่ นบริวารเหล่านันปรากฏแก่
้ ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ ้งอยูใ่ นป่ าช้ า ครัน้ เห็นแล้ วเกิดความสังเวชสลดใจ คิดเบื่อหน่าย จึง
ได้ ออกอุทานเช่นนัน้ ฯ
(ปี 2558) อนุปพุ พีกถา ๕ ว่าด้ วยเรื่ องอะไร ? ทรงแสดงครัง้ แรกแก่ใคร ?
ตอบ ว่าด้ วยทาน ศีล สวรรค์ โทษแห่งกาม และอานิสงส์แห่งการออกจากกาม ฯ แก่ยสกุลบุตร ฯ
(ปี 2557) คาว่า “ที่นี่ไม่วนุ่ วาย ที่นี่ไม่ขดั ข้ อง” เป็ นวาจาของใคร? กล่าวกะใคร? ตอบ ของพระพุทธเจ้ า ฯ กะยสกุลบุตร ฯ
(ปี 2554) ที่น่ ีว่ ุนวายหนอ ที่น่ ีขัดข้ องหนอ” เป็ นคาอุทานของใคร? ความวุ่นวายขัดข้ องนัน้ สงบลงได้ อย่ างไร
ตอบ คาอุทานของ ยสะกุลบุตร ความวุน่ วายขัดข้ องนันสงบลงได้
้ โดยการฟั งพระธรรมเทศนา อนุปพุ พีกถาและอริ ยสัจ ๔ ที่
พระพุทธเจ้ าแสดงโปรด

ชฎิล ๓ พี่น้อง
 ชฎิล ๓ พี่น้อง -> ได้ ฟัง อาทิตตปริ ยายสูตร
 ชฎิล ๓ พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ และบริวาร ๑,๐๐๐ คน พระพุทธเจ้ าแสดงอาทิตตปริยาย
สูตร ที่ตาบลคยาสีสะ ใกล้ แม่น ้าคยา ใจความว่า “อายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็ นของร้ อนๆ เพราะไฟกิเลสมีความ
กาหนัด ความโกรธหรื อความหลง เผาลนจิตใจ และร้ อนเพราะไฟทุกข์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศก ร่ าไร ราพัน ความ
คับแค้ นใจ เป็ นต้ น มาเผาลนให้ ร้อน”
(ปี 2551) พระพุทธเจ้ าทรงแสดงอาทิตตปริ ยายสูตรแก่ใคร? ที่ไหน?
ตอบ แก่ชฎิล ๓ พี่น้อง และบริ วาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ที่ตาบลคยาสีสะ ใกล้ แม่น ้าคยา ฯ

โปรดพระเจ้ าพิมพิสาร
 ลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุม่ ) เมืองราชคฤห์ แคว้ นมคธ เป็ นสถานที่แสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้ าพิมพิสารและข้ าราชบริ พารจน
สาเร็ จเป็ นพระโสดาบัน (๑๑ นหุต บรรลุโสดาบัน ส่วนอีก ๑ นหุตขอถึงพระรัตนตรัย) นหุต คือหนึง่ หมื่น
(ปี 2552) พระพุทธเจ้ าทรงเลือกแคว้ นมคธเป็ นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็ นแห่งแรก เพราะเหตุไร ?
ตอบ เพราะแคว้ นมคธ เป็ นแคว้ นใหญ่มีอานาจและบริ บรู ณ์ด้วยสมบัติ มีประชาชนมาก มีเจ้ าลัทธิมาก จึงทรงเลือก ฯ
(ปี 2549) เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้ าทรงเลือกแคว้ นมคธเป็ นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็ นครัง้ แรก ?
ตอบ เพราะแคว้ นมคธเป็ นเมืองใหญ่มีอานาจและบริ บรู ณ์ด้วยสมบัติ คับคัง่ ด้ วยประชาชน พระเจ้ าพิมพิสารทรงปกครองโดยสิทธิ์ขาด
ทังเป็
้ นที่อยูแ่ ห่งครูเจ้ าลัทธิมากกว่ามาก ฯ
(ปี 2545) พระราชาของแคว้ นไหนทีน่ บั ถือพระพุทธศาสนาเป็ นองค์แรก? และทรงพระนามว่าอะไร?

11 | P a g e
ความปรารถนาว่า "ขอให้ ข้าพเจ้ ารู้ทวั่ ถึงธรรมของพระอรหันต์" เป็ นความปรารถนาของใคร? และความปรารถนานันส
้ าเร็ จบริ บรู ณ์
เมื่อไร? ตอบ พระราชาของแคว้ นมคธ ทรงพระนามว่า พิมพิสาร ฯ
ของพระเจ้ าพิมพิสารครัง้ ยังทรงเป็ นพระราชกุมาร ฯ สาเร็ จบริ บรู ณ์ในวันที่ได้ ฟังอนุปพุ พีกถาและอริ ยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้ าทรงแสดง
โปรด ณ สวนตาลหนุม่ จนได้ ดวงตาเห็นธรรม ฯ
(ปี 2543) พระพุทธองค์เสด็จกรุงราชคฤห์ครัง้ แรกภายหลังตรัสรู้ประทับที่ไหน? ทรงรับถวายพระอารามแห่งแรกชื่ออะไร?
ตอบ ประทับ ณ ลัฏฐิ วนั สวนตาลหนุม่ ฯ ชื่อว่าเวฬุวนารามฯ

พระอัสสชิ พระสารีบุตร พระพระโมคคัลลานะ


 พระอัสสชิ แสดงธรรมให้ อปุ ติสสะว่า “ธรรมเหล่ าใดเกิดแต่ เหตุ พระพุทธเจ้ าทรงแสดงเหตุแห่ งธรรมเหล่ านัน้ และ
ความดับของธรรมเหล่ านัน้ พระองค์ มีปกติตรัสอย่ างนี”้
 พระสารีบุตร(อุปติสสะ) สาเร็ จเป็ นพระโสดาบันเพราะฟั งธรรมจากพระอัสสชิ ได้ ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มี
ความเกิดเป็ นธรรมดา สิ่งนัน้ ทัง้ หมดมีความดับไปเป็ นธรรมดา” และหลังบวชได้ ๑๕ วันบรรลุพระอรหันต์
 พระโมคคัลลานะ(โกลิตะ) สาเร็ จเป็ นพระโสดาบันเพราะฟั งธรรมจากพระสารี บตุ ร ได้ ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟั งธรรมจาก
พระสารี บตุ ร และหลังบวชได้ ๗ วันบรรลุพระอรหันต์
(ปี 2561) พระสารี บตุ รสาเร็ จเป็ นพระโสดาบัน เพราะได้ ฟังธรรมจากใคร ? ธรรมนันมี
้ ใจความว่าอย่างไร ?
ตอบ จากพระอัสสชิเถระ ฯ ใจความว่า "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนัน้ และความดับแห่งธรรมนัน"้ ฯ
(ปี 2560 และ 2552) พระอัครสาวกทัง้ ๒ องค์สาเร็ จเป็ นพระโสดาบัน เพราะฟั งธรรมจากใคร ?
ตอบ พระสารี บตุ ร ฟั งธรรมจากพระอัสสชิเถระ ฯ พระโมคคัลลานะ ฟั งธรรมจากพระสารี บตุ ร ฯ
(ปี 2557) พระสารี บตุ ร พระโมคคัลลานะ ได้ ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟั งธรรมจากใคร?
ตอบ พระสารี บตุ รฟั งธรรมจากพระอัสสชิ พระโมคคัลลานะฟั งธรรมจากพระสารี บตุ ร ฯ
(ปี 2553) คาว่า ดวงตาเห็นธรรม นันคื
้ อเห็นอย่างไร? พระโมคคัลลานะและพระสารี บตุ รได้ ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟั งธรรมจากใคร?
ตอบ คือเห็นว่า สิง่ ใดสิง่ หนึง่ มีความเกิดขึ ้นเป็ นธรรมดา สิง่ นันทั
้ งมวลมี
้ ความดับเป็ นธรรมดา ฯ พระโมคคัลลานะได้ ดวงตาเห็นธรรม
เพราะฟั งธรรมจากพระสารี บตุ ร และพระสารี บตุ รได้ ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟั งธรรมจากพระอัสสชิเถระ ฯ

จาตุรงคสันนิบาต (วันมาฆบูขา)
 จาตุรงคสันนิบาต เกิดขึ ้นที่วดั เวฬุวนั
(ปี 2551) จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมที่ประกอบด้ วยองค์อะไรบ้ าง?
ตอบ ด้ วยองค์ คือ ๑. พระสาวกผู้เข้ าประชุมนัน้ ล้ วนเป็ นพระอรหันต์
๒. ทุกท่านล้ วนได้ รับเอหิภิกขุอปุ สัมปทา
๓. ไม่ได้ มีการนัดหมาย ต่างมาประชุมพร้ อมกันเอง
๔. วันนันเป็
้ นวันเพ็ญเดือนมาฆะ และพระศาสดาประทาน
พระบรมพุทโธวาท ซึง่ เรี ยกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ฯ
12 | P a g e
(ปี 2548) ในวันจาตุรงคสันนิบาต พระศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ใคร? ที่ไหน? ทรงยกธรรมข้ อใดขึ ้นแสดงเป็ นข้ อต้ น?
ตอบ ทรงแสดงแก่พระอรหันตขีณาสพ จานวน ๑,๒๕๐ องค์ ฯ ณ เวฬุวนาราม ยกธรรมข้ อขันติขึ ้นแสดงเป็ นข้ อต้ น

พระธรรมเทศนาพระสูตร
 อริยสัจ ๔
(ปี 2549) ในปฐมเทศนา พระพุทธเจ้ าทรงแสดงอริ ยสัจไว้ เท่าไร? อะไรบ้ าง?
ตอบ ทรงแสดงอริ ยสัจไว้ ๔ ประการ ฯ คือ ๑.ทุกข์ ๒.สมุทยั ๓.นิโรธ ๔.มรรค ฯ

 อนัตตลักขณสูตร (ขันธ์ทงั ้ ๕ เป็ นของไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ไม่ควรยึดมัน่ ) มีผลให้ พระปั ญจวัคคีทงั ้ ๕ บรรลุ
อรหัตตผล
(ปี 2552) อนัตตลักขณสูตร ว่าด้ วยเรื่ องอะไร? ทรงแสดงเมื่อไร? ผลเป็ นอย่างไร?
ตอบ ว่าด้ วย ขันธ์ ๕ เป็ นอนัตตา ฯ เมื่อวันแรม ๕ ค่า เดือน ๘ ฯ ผลคือจิตของพระปั ญจวัคคีย์ทงั ้ ๕ พ้ นแล้ วจากอาสวะ ไม่ถือมัน่ ด้ วย
อุปาทาน ฯ
(ปี 2543) พระธรรมเทศนาต่อไปนี ้ พระพุทธองค์ทรงแสดงที่ไหน และมีผลอย่างไร ?
ก.อนัตตลักขณสูตร ข.อาทิตตปริ ยายสูตร
ตอบ ก.ทรงแสดงที่ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน มีผลให้ พระปั ญจวัคคีย์ทงั ้ ๕ ได้ บรรลุอรหัตตผล
ข.ทรงแสดงที่ตาบลคยาสีสะ ใกล้ แม่น ้าคยา มีผลให้ พระภิกษุปรุ าณชฎิลบรรลุอรหัตตผล

 อนุปุพพีกถา
(ปี 2558) อนุปพุ พีกถา ๕ ว่าด้ วยเรื่ องอะไร ? ทรงแสดงครัง้ แรกแก่ใคร ?
ตอบ ว่าด้ วยทาน ศีล สวรรค์ โทษแห่งกาม และอานิสงส์แห่งการออกจากกาม ฯ แก่ยสกุลบุตร ฯ
(ปี 2548) อนุปพุ พีกถา คืออะไรบ้ าง? ทรงแสดงแก่ใครเป็ นครัง้ แรก?
ตอบ คือ ทาน ศีล สวรรค์ กามาทีนพ และเนกขัมมานิสงส์ ฯ แก่ยสกุลบุตร ฯ

 อาทิตตปริยายสูตร ที่ตาบลคยาสีสะ ใกล้ แม่น ้าคยา ใจความว่า “อายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็ นของร้ อนๆ เพราะ
ไฟกิเลสมีความกาหนัด ความโกรธหรื อความหลง เผาลนจิตใจ และร้ อนเพราะไฟทุกข์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศก ร่ า
ไร ราพัน ความคับแค้ นใจ เป็ นต้ น มาเผาลนให้ ร้อน” มีผลทาให้ ชฎิล บรรลุอรหัตตผล

 เวทนาปริคคหสูตร แก่ทีฆนขปริ พาชก ณ ถ ้าสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์ ฯ มีใจความว่า “ให้ พิจารณา


ร่างกาย ซึง่ มีความแตกทาลายไม่ยงั่ ยืน และแสดงผลเสียของการยึดมัน่ พร้ อมกับตรัสให้ ละเลิกทิฏฐิ อย่างนันเสี
้ ย”
(ปี 2545) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมต่อไปนี ้แก่ใคร? ที่ไหน?
ก) โอวาทปาฏิโมกข์ ข) เวทนาปริ คคหสูตร
13 | P a g e
ตอบ ก) แก่พระอรหันตขีณาสพ ๑,๒๕๐ องค์ ณ เวฬุวนาราม แคว้ นมคธ
ข) แก่ทีฆนขปริ พาชก ณ ถ ้าสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์ ฯ

สิ่งแรก/สิ่งสุดท้ าย ที่น่าจา
(ปี 2562, 2554) พระอัญญาโกณฑัญญะได้ ชื่อว่าเป็ นปฐมสาวก เพราะเหตุไร ?
ตอบ เพราะได้ ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้ ดวงตาเห็นธรรมแล้ วอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเป็ นองค์แรก ฯ
(ปี 2561) ปฐมสาวกและปั จฉิมสาวก คือใคร ? ตอบ ปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ปั จฉิมสาวก คือ พระสุภทั ทะ ฯ
(ปี 2560, 2555 และ 2546) เทศนากัณฑ์แรก ชื่ออะไร ? ปั จฉิมสักขิสาวก คือสาวกองค์สดุ ท้ าย ที่ได้ เห็นพระศาสดา ได้ แก่ใคร ?
ตอบ เทศนากัณฑ์แรก ชื่อ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ ปั จฉิมสักขิสาวก ได้ แก่ พระสุภทั ทะ ฯ
(ปี 2560 และ 2550) ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมนัน้ คือเห็นว่าอย่างไร? ได้ เกิดขึ ้นแก่ ผู้ใดเป็ นคนแรก?
ตอบ เห็นว่า “สิง่ ใดสิง่ หนึง่ มีความเกิดขึ ้นเป็ นธรรมดา สิง่ นันทั
้ งหมดล้
้ วนมีความดับเป็ นธรรมดา” ฯ เกิดแก่โกณฑัญญพราหมณ์เป็ น
คนแรก ฯ
(ปี 2558) ผู้ประกาศตนเป็ นอุบาสกด้ วยการถึงรัตนะ ๒ เป็ นครัง้ แรก คือใคร ? ได้ พบพระพุทธเจ้ าที่ไหน ?
ตอบ คือตปุสสะ และภัลลิกะ ฯ ที่ใต้ ต้นราชายตนะ ฯ
(ปี 2558) ใครถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ และก่อนปริ นิพพาน ?
ตอบ ก่อนตรัสรู้ คือนางสุชาดา ก่อนปริ นิพพาน คือนายจุนทะ ฯ
(ปี 2556) บุคคลผู้แสดงตนเป็ นอุบาสกด้ วยการถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ เป็ นคนแรกคือใคร ?
ตอบ ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือตปุสสะและภัลลิกะ ฯ ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือ บิดาพระยสะ ฯ
(ปี 2555) พระโสดาบัน องค์ แรก เรี ยกว่าเป็ น ปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ
(ปี 2555) พระอรหันต์ มีครัง้ แรก คือ พระปั ญจวัคคีย์
(ปี 2560 และ 2552) คฤหัสถ์ที่บรรลุพระอรหัตผลคนแรกคือใคร ? เพราะฟั งธรรมอะไร ?
ตอบ คือ ยสกุลบุตร ฯ เพราะฟั งอนุปพุ พีกถา และอริ ยสัจ ๔ ฯ
(ปี 2552) พระพุทธเจ้ าทรงเลือกแคว้ นมคธเป็ นทีป่ ระดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็ นแห่ งแรก เพราะเหตุไร ?
ตอบ เพราะแคว้ นมคธ เป็ นแคว้ นใหญ่มีอานาจและบริ บรู ณ์ด้วยสมบัติ มีประชาชนมาก มีเจ้ าลัทธิมาก จึงทรงเลือก ฯ
(ปี 2551) พระอรหันตสาวก ๕ รูปแรก คือใครบ้ าง? ตอบ คือ ๑. พระโกณฑัญญะ ๒. วัปปะ ๓. ภัททิยะ ๔. มหานามะ ๕. อัสสชิ
(ปี 2549) ผู้ใดได้ ถวายภัตตาหารมื ้อแรกหลังจากตรัสรู้ และภัตตาหารมื ้อสุดท้ ายก่อนปริ นิพพานแก่พระพุทธเจ้ า?
ตอบ ตปุสสะและภัลลิกะ ๒ พาณิช ได้ ถวายภัตตาหารมื ้อแรกหลังจากตรัสรู้แล้ ว
นายจุนทกัมมารบุตร ได้ ถวายภัตตาหารมื ้อสุดท้ ายก่อนปริ นิพพาน ฯ
(ปี 2548) อนุปพุ พีกถา คืออะไรบ้ าง? ทรงแสดงแก่ใครเป็ นครัง้ แรก?
ตอบ คือ ทาน ศีล สวรรค์ กามาทีนพ และเนกขัมมานิสงส์ ฯ แก่ยสกุลบุตร ฯ
(ปี 2545) พระพุทธองค์ประทับจาพรรษาสุดท้ าย ณ ที่ใด? พระองค์ทรงปลงอายุสงั ขารเมื่อใด?
ตอบ ณ บ้ านเวฬุวคาม กรุงเวสาลี แคว้ นวัชชี ฯ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ คือ ๓ เดือนก่อนเสด็จดับขันธปริ นิพพาน ฯ
14 | P a g e
(ปี 2543) พระพุทธองค์เสด็จกรุงราชคฤห์ครัง้ แรกภายหลังตรัสรู้ประทับที่ไหน? ทรงรับถวายพระอารามแห่งแรกชือ่ อะไร?
ตอบ ประทับ ณ ลัฏฐิ วนั สวนตาลหนุม่ ฯ ชื่อว่าเวฬุวนารามฯ

ก่ อนปรินิพพาน
(ปี 2562 และ 2547) การปลงอายุสงั ขารของพระพุทธองค์ ถือโดยใจความว่าอย่างไร ? และทรงปลงอายุสงั ขารเมื่อใด ?
ตอบ ถือโดยใจความว่า พระองค์ทรงปรารภถึงสังขารว่า ทรงพระชราล่วงกาลผ่านไปไม่สามารถ บาเพ็ญพุทธกิจต่อไปได้ อีกแล้ ว ฯ
เมื่อวันเพ็ญ เดือน ๓ ก่อนวันปริ นิพพาน ๓ เดือน ฯ
(ปี 2550) พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสงั ขาร คือทรงทาอย่างไร? ทีไ่ หน? เมื่อไร?
ตอบ คือทรงกาหนดพระหฤทัยว่า “จักปริ นิพพานในอีก ๓ เดือนข้ างหน้ า” ฯ ทรงทาที่ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี แคว้ นวัชชี ฯ
เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ ก่อนปริ นิพพาน ๓ เดือน (วันมาฆบูชา) ฯ
(ปี 2545) พระพุทธองค์ประทับจาพรรษาสุดท้ าย ณ ที่ใด? พระองค์ทรงปลงอายุสงั ขารเมื่อใด?
ตอบ ณ บ้ านเวฬุวคาม กรุงเวสาลี แคว้ นวัชชี ฯ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ คือ ๓ เดือนก่อนเสด็จดับขันธปริ นิพพาน ฯ
(ปี 2543) พระพุทธองค์ทรงจาพรรษาสุดท้ ายที่เมืองอะไร? ทรงรับภัตตาหารมื ้อสุดท้ ายที่เมืองอะไร?
ตอบ ที่เวฬุวคาม เขตเมืองเวสาลีฯ ที่ปาวานคร ฯ

(ปี 2544) พระพุทธองค์ได้ ตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวไว้ อย่างไรบ้ าง ? จงบอกมา ๕ สาเหตุ


ตอบ ตรัสถึงสาเหตุดงั ต่อไปนี ้ (เลือกตอบเพียง ๕ ข้ อ)
๑) ลมกาเริ บ
๒) ท่านผู้มีฤทธิ์บนั ดาล
๓) พระโพธิสตั ว์จตุ ิจากดุสติ ลงสูพ่ ระครรภ์
๔) พระโพธิสตั ว์ประสูติ
๕) พระพุทธเจ้ าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๖) พระพุทธเจ้ ายังธรรมจักรให้ เป็ นไป
๗) พระพุทธเจ้ าทรงปลงอายุสงั ขาร
๘) พระพุทธเจ้ าปริ นิพพานด้ วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

(ปี 2550) พระพุทธเจ้ าเสวยพระกระยาหารอะไร ก่อนแต่เสด็จปริ นิพพาน? ใครถวาย?


ตอบ เสวยมังสะสุกรอ่อน (สูกรมัททวะ) ฯ นายจุนทกัมมารบุตรถวาย ฯ

(ปี 2545) เมื่อจะเสด็จดับขันธปริ นิพพาน พระพุทธองค์ได้ ประทานพระโอวาทเรื่ องศาสดาแทนพระองค์ไว้ อย่างไร?


พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสถึงวิธีปฏิบตั ิตอ่ ภิกษุผ้ ถู กู ลงพรหมทัณฑ์ไว้ อย่างไร?

15 | P a g e
ตอบ ได้ ประทานพระโอวาทว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใด อันเราได้ แสดงแล้ ว ได้ บัญญัติแล้ วแก่ ท่านทัง้ หลาย
ธรรมและวินัยนัน้ จักเป็ นศาสดาแห่ งท่ านทัง้ หลาย โดยกาลที่ล่วงไปแล้ วแห่ งเรา" ฯ
ตรัสไว้ วา่ "ภิกษุนนจะพึ
ั้ งปรารถนาเจรจาคาใด ก็พงึ เจรจาคานัน้ ภิกษุทงหลายไม่
ั้ พงึ ว่า ไม่พงึ โอวาท ไม่พงึ สัง่ สอนเลย" ฯ
(ปี 2544) พระพุทธเจ้ าทรงแสดงแก่พระอานนท์เกี่ยวกับการที่ภิกษุจะพึงปฏิบตั ิตอ่ สตรี ไว้ อย่างไร?
ตอบ ทรงแสดงว่า " ไม่ เห็นเสียเลยดีกว่ า ถ้ าจาเป็ นจะต้ องเห็นก็อย่ าพูดด้ วย ถ้ าจาเป็ นจะต้ องพูดก็ให้ มีสติสารวมระวังอย่ า
ให้ แปรปรวนไปด้ วยราคะ "

(ปี 2548) พระปั จฉิมโอวาท มีใจความว่าอย่างไร? ทรงประทานที่ไหน?


ตอบ พระปั จฉิมโอวาท มีใจความ “ดูกรภิกษุทงหลาย
ั้ บัดนี ้เราขอเตือนท่านทังหลายว่
้ า สังขารทังปวงมี
้ ความเสือ่ มไปเป็ นธรรมดา
ท่านทังหลายจงยั
้ งกิจของตนและของคนอื่นให้ ถึงพร้ อม ด้ วยความไม่ประมาทเถิด” ทรงประทานที่ สาลวโนทยาน เมืองกุสนิ ารา แคว้ น
มัลละ

(ปี 2561 และ 2553) พระพุทธเจ้ าทรงสรรเสริ ญปฏิบัติบูชายิ่งกว่าอามิสบูชาเพราะเหตุไร ?


ตอบ การปฏิบัติบูชา ถ้ าปฏิบตั ิสมควรแก่ธรรม ก็จะเป็ นเหตุปัจจัยให้ ตรัสรู้ธรรมได้ เป็ นไปตามจุดมุง่ หมายสูงสุดในพระศาสนา เป็ น
พุทธประสงค์หลักในการเผยแผ่ศาสนา และทาให้ ศาสนาตังอยู
้ ไ่ ด้ นาน

ถูปารหบุคคล คือ บุคคลที่ควรแก่การบรรจุอฐั ิ ธาตุไว้ ในสถูปเพื่อบูชา มี ๔ ประเภท ได้ แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ า, พระปั จเจกพุทธเจ้ า,
พระอรหันตสาวก และพระเจ้ าจักรพรรดิ์
(ปี 2559) ถูปารหบุคคล มีกี่ประเภท ? คือใครบ้ าง ?
ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้ า ๒. พระปั จเจกพุทธเจ้ า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจ้ าจักรพรรดิ์ ฯ
(ปี 2554 และ 2546) ถูปารหบุคคล คือบุคคลเช่นไร? ได้ แก่ใครบ้ าง?

หลังปรินิพพาน
(ปี 2558) สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรี ระ ชื่อว่าอะไร ? ตังอยู
้ ใ่ นเมืองอะไร ? ตอบ ชื่อว่า มกุฏพันธนเจดีย์ ฯ เมืองกุสนิ ารา ฯ
(ปี 2557) ผู้ที่กล่าวสุนทรพจน์ระงับไม่ให้ เกิดสงครามแย่งชิงพระบรมสารี ริกธาตุ คือใคร? ตอบ โทณพราหมณ์ ฯ
(ปี 2546) เมื่อวันพระศาสดาปริ นิพพาน มีพระสาวกผู้ใหญ่อยูใ่ นที่นนกี
ั ้ ่รูป? ใครบ้ าง?
หลังพุทธปริ นิพพานแล้ ว ได้ มีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรี ระที่ไหน? เมื่อไร?
ตอบ มี ๒ รูป คือ พระอนุรุทธเถระ และพระอานนทเถระ ฯ ที่ มกุฏพันธนเจดีย์ ฯ หลังพุทธปริ นิพพานได้ ๗ วัน ฯ

สังคายนา
(ปี 2547) พระพุทธศาสนาสืบเนื่องมาถึงปั จจุบนั นี ้ได้ อย่างไร?

16 | P a g e
ตอบ ได้ ด้วยการที่บริ ษัททัง้ ๔ ปฏิบตั ิตามพระธรรมวินยั และด้ วยวิธีที่พระสงฆ์สาวกผู้ใหญ่ มีพระมหากัสสปะเป็ นต้ น เป็ นประธาน
จัดทาสังคายนาพระธรรมวินยั วางแบบแผนที่ถกู ต้ องลงไว้ ในพระพุทธศาสนาเป็ นครัง้ แรก เพื่อให้ บริ ษัท ๔ ได้ เล่าเรี ยนปฏิบตั ิตาม เมื่อ
มีสงิ่ ไรไม่เป็ นธรรมเกิดขึ ้นในพระพุทธศาสนา พระอริ ยสงฆ์ในยุคนันๆ
้ ได้ ช่วยกันทาสังคายนาเป็ นครัง้ ที่ ๒ และครัง้ ที่ ๓ เป็ นลาดับมา
เพื่อชาระสัทธรรมปฏิรูปนันเสี
้ ย จนได้ จารึกไว้ ในพระคัมภีร์ให้ แพร่หลาย รวมทังจั
้ ดการส่งพระสงฆ์ไปประกาศพระพุทธศาสนาใน
ดินแดนต่างๆ ให้ ชมุ ชนในดินแดนนันๆ
้ เลือ่ มใสปฏิบตั ิตาม จึงทาให้ พระพุทธศาสนาสืบเนื่องมาจนปั จจุบนั นี ้ ฯ

สถานที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ า
สังเวชนีสถาน ๔
 ประสูติ ใต้ ต้นสาละ สวนลุมพินีวนั
 ตรัสรู้ ต้ นพระศรี มหาโพธิ์ ริ มฝั่ งแม่น ้าเนรัญชรา ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม
 ปฐมเทศนา ป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้ นมคธ
 ปรินิพพาน ใต้ ต้นสาละคู่ ณ สาลวัน (สาลวโนทยาน) เมืองกุสนิ ารา แคว้ นมัลละ
(ปี 2557) สังเวชนียสถาน ๔ ตาบล เป็ นสถานที่ให้ ระลึกถึงเหตุการณ์สาคัญอะไรบ้ าง?
ตอบ เหตุการณ์ที่พระพุทธองค์
๑. ประสูติ
๒. ตรัสรู้
๓. ทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเป็ นครัง้ แรก
๔. เสด็จปริ นิพพาน ฯ
(ปี 2553 และ 2544) สังเวชนียสถาน ๔ ได้ แก่ที่ใดบ้ าง?
ตอบ ได้ แก่ ๑. สถานที่ประสูติ ๒. สถานที่ตรัสรู้ ๓. สถานที่แสดงปฐมเทศนา ๔. สถานที่ปริ นิพพาน ฯ
(ปี 2551) สถานที่ตอ่ ไปนี ้เกี่ยวข้ องกับพระพุทธเจ้ าอย่างไร
ก. ลุมพินีวนั ข. อิสปิ ตนมฤคทายวัน ค. สาลวโนทยาน
ตอบ ก. ลุมพินีวนั เป็ นสถานทีป่ ระสูติ
ข. อิสปิ ตนมฤคทายวัน เป็ นสถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา
ค. สาลวโนทยาน เป็ นสถานที่ปริ นิพพาน

สถานที่อ่ ืนๆ
 ป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้ นมคธ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปั ญจวัคคีย์
 ลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุม่ ) เมืองราชคฤห์ แคว้ นมคธ เป็ นสถานที่แสดงอนุปพุ พีกถาและอริ ยสัจ ๔ เพื่อโปรดพระเจ้ าพิมพิสารและ
ข้ าราชบริ พารจนสาเร็ จเป็ นพระโสดาบัน (๑๑ นหุต บรรลุโสดาบัน ส่วนอีก ๑ นหุตขอถึงพระรัตนตรัย) นหุต คือหนึง่ หมื่น
 วัดเวฬุวัน (สวนไม้ ไผ่ หรื อ เวฬุวนาราม) เมืองราชคฤห์ แคว้ นมคธ วัดแรกในพระพุทธศาสนา พระเจ้ าพิมพิสาร เป็ นผู้สร้ างถวาย
เป็ นสถานที่พระพุทธเจ้ าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันตขีณาสพ ๑,๒๕๐ องค์

17 | P a g e
 วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้ นโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็ นผู้สร้ างถวาย และพระพุทธองค์ประทับจาพรรษานานถึง ๑๙
พรรษา
 สาลวัน (สาลวโนทยาน) เมืองกุสนิ ารา แคว้ นมัลละ ทรงแสดงมรรคมีองค์แปดแก่สภุ สั ททปริ พาชก เป็ นสถานที่ปริ นิพพาน
*** แนวข้ อสอบมักจะถามว่ า ครัง้ พุทธกาล วัด(สถานที่)นัน้ ตังอยู
้ เ่ มืองอะไร? ใครเป็ นผู้สร้ างถวาย? สถานที่นนเกี
ั ้ ่ยวข้ องกับพระบรม
ศาสดาอย่างไร? แสดงธรรมอะไรในที่นน?
ั ้ ***
(ปี 2562 และ 2555) ครัง้ พุทธกาล วัดเชตวัน ตังอยู
้ ท่ ี่เมืองอะไร ? ใครเป็ นผู้สร้ างถวาย ?
ตอบ เมืองสาวัตถี ฯ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็ นผู้สร้ างถวาย ฯ
(ปี 2554 และ 2546) สถานที่ตอ่ ไปนี ้เกี่ยวข้ องกับพระบรมศาสดาอย่างไร?
๑. ลุมพินีวนั ๒. อิสปิ ตนมฤคทายวัน ๓. ลัฏฐิ วนั ๔. เวฬุวนั ๕. สาลวัน
ตอบ ๑. ลุมพินีวนั เป็ นสถานที่ประสูติ
๒. อิสปิ ตนมฤคทายวัน เป็ นสถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปั ญจวัคคีย์
๓. ลัฏฐิ วนั เป็ นสถานที่ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้ าพิมพิสารและบริ วารจนสาเร็ จเป็ นพระโสดาบัน
๔. เวฬุวนั เป็ นสถานที่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
๕. สาลวัน เป็ นสถานที่ทรงแสดงมรรคมีองค์แปดแก่สภุ ทั ทปริ พาชก และเป็ นสถานที่เสด็จดับขันธปริ นิพพาน ฯ
(ปี 2546) สถานที่ตอ่ ไปนี ้เกี่ยวข้ องกับพระพุทธเจ้ าอย่างไร ?
ก. ลัฏฐิ วนั ข. เชตวัน
ตอบ ก.ลัฏฐิ วนั เป็ นสถานที่ที่พระศาสดาทรงแสดงอนุปพุ พีกถาและอริ ยสัจ ๔ แด่พระเจ้ าพิมพิสารพร้ อมด้ วยข้ าราชบริ พารผู้เสด็จไป
เข้ าเฝ้ า ณ ที่นนั่ ฯ
ข. เชตวัน เป็ นพระอารามซึง่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี สร้ างถวาย และพระพุทธองค์ประทับจาพรรษานานถึง ๑๙ พรรษา ฯ
(ปี 2545) สถานที่ตอ่ ไปนี ้มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธองค์อย่างไร ?
ก) เวฬุวนั ข) สาลวัน
ตอบก)เป็ นพระราชอุทยานของพระเจ้ าพิมพิสารซึง่ ทรงถวายเป็ นที่ประทับของพระพุทธองค์พร้ อมกับพระสงฆ์ เป็ นสังฆารามแห่งแรกฯ
ข) เป็ นสถานที่แสดงธรรมโปรดสุภทั ทปริ พาชกผู้เป็ นปั จฉิมสักขิสาวก และเป็ นสถานที่ปริ นิพพาน ฯ

ประเภทของเจดีย์
๑.ธาตุเจดีย์ บรรจุพระบรมสารี ริกธาตุ
๒.บริโภคเจดีย์ สิง่ ของหรื อสถานที่ที่พระพุทธเจ้ าเคยทรงใช้ สอย มี สังเวชนียสถาน, บาตร, จีวร, กุฏ,ิ วิหาร,ตุมพสถูป (สถูปบรรจุ
ทะนานทองที่ใช้ ตวงพระธาตุ เมื่อพระพุทธเจ้ าปริ นิพพานแล้ ว) ,อังคารสถูป
๓.ธรรมเจดีย์ สิง่ ที่จารึกคาสอนพระพุทธเจ้ า เช่น คาภีร์ พระไตรปิ ฎก ใบลาน แผ่นศิลา หนังสือ
๔.อุทเทสิกเจดีย์ พระพุทธรูป
(ปี 2552) พระพุทธรูป สังเวชนียสถาน ตุมพสถูป และ อังคารสถูป อย่างไหนเป็ นบริ โภคเจดีย์และอุทเทสิกเจดีย์ ?
ตอบ สังเวชนียสถาน ตุมพสถูป และ อังคารสถูป เป็ นบริ โภคเจดีย์
18 | P a g e
พระพุทธรูป เป็ นอุทเทสิกเจดีย์ ฯ

อื่น ๆ
(ปี 2547) ในพิธีศวิ าราตรี ถือว่าการอาบน ้าชาระร่างกายในแม่น ้าเป็ นการลอยบาป ส่วนในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้ าทรงแสดง
วิธีลอยบาปไว้ อย่างไร?
ตอบ ทรงแสดงไว้ วา่ การยังบาปให้ สงบระงับจากสันดาน ละกิเลสที่ทาให้ เป็ นผู้ดรุ ้ ายเย่อหยิ่งและกิเลสที่ย้อมจิตให้ ติดแน่นใน
กามารมณ์ เป็ นการลอยบาป ฯ

ศาสนพิธ๊
ศาสนพิธี คือ แบบอย่างหรื อแบบแผนต่างๆ ที่พงึ ปฏิบตั ิในทางพระพุทธศาสนา แยกออกเป็ น ๔ หมวด ดังนี ้
๑.กุศลพิธี (หมายถึง พิธีการบาเพ็ญกุศล) เป็ นพิธีกรรมทาความดีแก่ตนเอง ได้ แก่ พิ ธีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ พิ ธีเวียนเทียนใน
วันสาคัญทางพุทธศาสนา พิ ธีรกั ษาอุโบสถ
๒.บุญพิธี (หมายถึง พิธีการทาบุญ) เป็ นพิธีบญ
ุ เนื่องด้ วยประเพณีในครอบครัวของชาวพุทธ เกี่ยวกับชีวิตของคนไทยทัว่ ไป เกี่ยวกับ
เรื่ องฉลองบ้ าน เรื่ องต้ องการให้ เกิดสิริมงคลบ้ าง เรื่ องตายบ้ าง จึงเกิดมีพิธีกรรมที่จะต้ องปฏิบตั ิขึ ้น และถือปฏิบตั ิสบื ๆ กันมาตังแต่

โบราณกาล ได้ แก่ ทาบุญงานมงคล ทาบุญงานอวมงคล
๓.ทานพิธี พิธีถวายทานต่างๆ มีการ ถวายสังฆทาน เป็ นต้ น
๔.ปกิณกพิธี ข้ อปฏิบตั ิในพิธีกรรมทัว่ ๆ ไปที่ชาวพุทธนิยมทากัน แต่ยงั ไม่เป็ นหมวดมารวบรวมเป็ นหมวดหมู่ ได้ แก่ การแสดงความ
เคารพพระ การประเคนของพระ การทาหนังสืออาราธนาและใบปวารณาถวายจตุปัจจัย การอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนา
พระปริ ตร และ การกรวดน้า
(ปี 2562, 2559) ศาสนพิธี คืออะไร ? ผู้ที่ได้ เรี ยนรู้แล้ วได้ รับประโยชน์อย่างไรบ้ าง ?
ตอบ คือ แบบอย่าง หรื อแบบแผนต่าง ๆ ที่พงึ ปฏิบตั ิในทางพระศาสนา ฯ
ย่อมได้ รับประโยชน์ คือ เป็ นผู้ฉลาดในพิธีกรรมที่เกี่ยวด้ วยการบาเพ็ญกุศล การทาบุญและการถวายทาน สามารถในการจัดพิธีตา่ ง ๆ
ได้ ถกู ต้ องตามระเบียบแบบแผน ชื่อว่า เป็ นผู้รักษาขนบประเพณีอนั งดงามของพระพุทธศาสนาไว้ ได้ ด้วย ฯ
ปี 2557) ศาสนพิธี คืออะไร? มีหมวดอะไรบ้ าง?
ตอบ คือแบบอย่างหรื อแบบแผนต่างๆ ที่พงึ ปฏิบตั ิในทางพระพุทธศาสนา ฯ มี
๑. หมวดกุศลพิธี ๒. หมวดบุญพิธี
๓. หมวดทานพิธี ๔. หมวดปณิณกะ ฯ
(ปี 2556) บุญพิธีมีกี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๒ อย่าง ฯ คือ ๑. การทาบุญงานมงคล ๒. การทาบุญงานอวมงคล ฯ
(ปี 2550, 2544) ศาสนพิธี คืออะไร? เมื่อแยกเป็ นหมวดจะได้ หมวดอะไรบ้ าง การทาบุญขึ ้นบ้ านใหม่จดั อยูใ่ นหมวดไหน?
ตอบ คือ แบบอย่างหรื อแบบแผนต่าง ๆ ที่พงึ ปฏิบตั ิในทางพระพุทธศาสนา ฯ
จะได้ ๑. หมวดกุศลพิธี ๒. หมวดบุญพิธี ๓. หมวดทานพิธี ๔. หมวดปกิณกะ ฯ

19 | P a g e
จัดอยูใ่ นหมวดบุญพิธี ฯ
(ปี 2549) กุศลพิธี หมายถึง? บุญพิธี หมายถึง?
(ปี 2548) ศาสนพิธี คืออะไร? ผู้ที่ได้ เรี ยนรู้แล้ วได้ รับประโยชน์อย่างไรบ้ าง?
ตอบ คือ แบบอย่าง หรื อแบบแผนต่าง ๆ ที่พงึ ปฏิบตั ิในทางพระศาสนา ฯ ย่อมได้ รับ
ประโยชน์ คือ เป็ นผู้ฉลาดในพิธีกรรมที่เกี่ยวด้ วยการบาเพ็ญกุศล การทาบุญ และการถวายทาน สามารถในการจัดพิธตี า่ งๆ ได้ ถกู ต้ อง
ตามระเบียบแบบแผน ชื่อว่าเป็ นผู้รักษาขนบประเพณีอนั งดงามของพระพุทธศาสนาไว้ ได้ ด้วย ฯ
(ปี 2547) ในพิธีทาบุญต่างๆ มีผ้ เู กี่ยวข้ องในการปฏิบตั ิกี่ฝ่าย? คือใครบ้ าง?
ตอบ มีผ้ เู กี่ยวข้ องในการปฏิบตั ิ ๒ ฝ่ าย คือ
๑. ฝ่ ายเจ้ าภาพ คือทายกทายิกา ผู้ประกอบการทาบุญ
๒. ฝ่ ายปฏิคาหก คือผู้รับทานและประกอบพิธีกรรมตามประสงค์ ของเจ้ าภาพ ซึง่ เป็ นบรรพชิต เรี ยกอีกอย่างว่า ฝ่ ายพระสงฆ์ ฯ
(ปี 2546 และ 2543) ท่านได้ ศกึ ษาศาสนพิธีแล้ ว เข้ าใจเรื่ องต่อไปนี ้อย่างไร?
ก.บุญพิธี ข.ทานพิธี
ตอบ ก.บุญพิธี ว่าด้ วยพิธีทาบุญ มี ๒ อย่าง คือ
๑) ทาบุญงานมงคล เช่น ทาบุญขึ ้นบ้ านใหม่ ทาบุญอายุเป็ นต้ น
๒) ทาบุญงานอวมงคล เช่น งานศพ เป็ นต้ น ฯ
ข.ทานพิธี ว่าด้ วยพิธีถวายทานต่าง ๆ เช่น ถวายสังฆทานเป็ นต้ น ฯ

พุทธมามกะ (กุศลพิธี) หมายถึง ผู้ที่ประกาศตนว่าเป็ นผู้รับนับถือพระพุทธเจ้ า เป็ นการแสดงตนให้ ปรากฏว่ายอมรับนับถือ


พระพุทธศาสนาประจาชีวิตของตน
(ปี 2561 และ 2558) การแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ หมายถึงอะไร ?
ตอบ หมายถึง การประกาศตนของผู้แสดงว่า ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาประจาชีวิตของตน ฯ
(ปี 2553) พุทธมามกะหรื อพุทธมามิกาหมายถึงบุคคลเช่นไร?
(ปี 2549) พุทธมามกะ หมายถึง?
(ปี 2544) พิธีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ หมายถึงอะไร?
ตอบ หมายถึง การประกาศตนของผู้แสดงว่าเป็ นผู้รับนับถือพระพุทธเจ้ าเป็ นของตน เป็ นการแสดงตนให้ ปรากฏว่า ยอมรับนับถือ
พระพุทธศาสนาประจาชีวิตของตน

การแสดงความเคารพในศาสนพิธี มี ๓ อย่ าง (ปกิณกพิธ)ี


ประนมมือ (อัญชลี) คือการไหว้ กระพุม่ มือทังสองประกบกั
้ นไว้ ระหว่างอกโดยให้ ทกุ นิ ้วของมือ ทังสองแนบชิ
้ ดติดตรงกัน
ไหว้ (วันทา หรื อ นมัสการ) คือการยกมือที่ประนมขึ ้นพร้ อมก้ มศีรษะเล็กน้ อย ให้ มือประนมจรดหน้ าผาก นิ ้วมือทัง้ ๒ อยูร่ ะหว่างคิ ้ว
กราบ (อภิวาท) คือการแสดงอาการกราบราลงพื ้นด้ วยเบญจางคประดิษฐ์

20 | P a g e
(ปี 2556) การแสดงความเคารพพระสงฆ์มีกี่วิธ?ี อะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๓ วิธี ฯ คือ ๑. ประนมมือ เรี ยกว่า อัญชลี
๒. ไหว้ เรี ยกว่า นมัสการ
๓. กราบ เรี ยกว่า อภิวาท ฯ
(ปี 2552) การแสดงความเคารพในศาสนพิธีมีอะไรบ้ าง? ในแต่ละอย่างมีวิธีปฏิบตั อิ ย่างไร?
ตอบ มี ประนมมือ ๑ ไหว้ ๑ กราบ ๑ ฯ
ประนมมือ คือการกระพุม่ มือทังสองประกบกั
้ นไว้ ระหว่างอก โดยให้ ทกุ นิ ้วของมือทังสองแนบชิ
้ ดติดตรงกัน
ไหว้ คือการยกมือที่ประนมขึ ้นพร้ อมก้ มศีรษะเล็กน้ อยให้ มือประนมจรดหน้ าผาก นิ ้วมือทัง้ ๒ อยูร่ ะหว่างคิ ้ว
กราบ คือการแสดงอาการกราบราบลงพื ้นด้ วยเบญจางคประดิษฐ์ ฯ
(ปี 2549) การแสดงความเคารพพระมีกี่วิธี ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๓ วิธี ฯ คือ ๑.ประนมมือ ในบาลีเรี ยกว่า ทาอัญชลี
๒.ไหว้ ในบาลีเรี ยกว่า นมัสการ
๓.กราบ ในบาลีเรี ยกว่า อภิวาท ฯ
(ปี 2546) การแสดงความเคารพมีกี่วิธ?ี อะไรบ้ าง? ในแต่ละวิธีนนั ้ มีวิธีปฏิบตั ิอย่างไร?
ตอบ มี ๓ วิธีคือ ประนมมือ ๑ ไหว้ ๑ กราบ ๑ ฯ
ประนมมือ คือการกระพุม่ มือทังสองประกบกั
้ นไว้ ระหว่างอก โดยให้ ทกุ นิ ้วของมือทังสองแนบชิ
้ ดติดตรงกัน
ไหว้ คือการยกมือที่ประนมขึ ้นพร้ อมก้ มศีรษะเล็กน้ อยให้ มือประนมจรดหน้ าผาก นิ ้วมือทัง้ ๒ อยูร่ ะหว่างคิ ้ว
กราบ คือการแสดงอาการกราบราบลงพื ้นด้ วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้ แก่กราบด้ วยองค์ ๕ คือ หน้ าผาก ๑ ฝ่ ามือ ๒ เข่า ๒ จรดพื ้น ฯ
(ปี 2545 และ 2543) การกราบด้ วยเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึงอย่างไร?
ตอบ หมายถึงการกราบพร้ อมด้ วยองค์ ๕ คือให้ หน้ าผาก กับฝ่ ามือสองข้ าง เข่าสองข้ างจดพื ้น ฯ

การประเคนของ (ปกิณกพีธ)ี
(ปี 2553) ในการประเคนของถวายพระ มีวิธีปฏิบตั ิอย่างไร?
ตอบ จับของที่ประเคนด้ วยมือทังสอง
้ ยกขึ ้นสูงเล็กน้ อยแล้ วน้ อยไปประเคนพระ ซึง่ พระท่านจะยื่นมือมารับ ถ้ าผู้ประเคนเป็ นผู้หญิง
พระผู้รับท่านจะปูผ้ารับประเคนแล้ วผู้ประเคนก็เอาของวางบนผ้ ารับประเคน เสร็ จพึงไหว้ หรื อกราบก็เป็ นอันเสร็ จ
(ปี 2544) จงอธิบายวิธีปฏิบตั ิในการประเคนของถวายพระ

การเผดียงสงฆ์ /การอาราธนา
การเผดียงสงฆ์ (ปกิณกพิธ)ี หมายถึง การแจ้ งความประสงค์ให้ สงฆ์ทราบ
การอาราธนา (ปกิณกพิธ)ี หมายถึง การนิมนต์พระสงฆ์ในพิธีให้ ศีล สวดพระปริ ตร หรื อแสดงธรรม
(ปี 2561) การเผดียงสงฆ์และการอาราธนา ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันคือ การเผดียงสงฆ์ ได้ แก่ การแจ้ งความประสงค์ให้ สงฆ์ทราบ

21 | P a g e
การอาราธนา ได้ แก่ การนิมนต์พระสงฆ์ในพิธีให้ ศีล สวดพระปริ ตร หรื อแสดงธรรม ฯ
(ปี 2547) การเผดียงสงฆ์ และ การอาราธนา หมายถึงอะไร?
(ปี 2545) คาว่า "เผดียงสงฆ์" หมายถึงอะไร ?

ปาฏิบุคลิกทาน คือ ทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะพระรูปนันรู


้ ปนี ้
สังฆทาน คือ ทานที่ถวายไม่เจาะจงพระรูปใด มอบเป็ นของกลางให้ สงฆ์เฉลีย่ กันใช้ สอย
(ปี 2560, 2549 และ 2544) ปาฏิบคุ ลิกทาน และ สังฆทาน หมายถึงอะไร ?
(ปี 2554) ปาฏิบคุ ลิกทานต่างจากสังฆทานอย่างไร?

งานมงคล/อวมงคล (บุญพิธี)
(ปี 2555 และ 2545) เจริ ญพระพุทธมนต์ กับ สวดพระพุทธมนต์ ใช้ ในพิธีตา่ งกันอย่างไร?
ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ ใช้ ในพิธีมงคล
สวดพระพุทธมนต์ ใช้ ในพิธีอวมงคล
(ปี 2551) คาอาราธนาพระสงฆ์มาสวดมนต์ในพิธีทาบุญงานมงคลกับในพิธีทาบุญงานอวมงคล ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ในงานมงคล ใช้ คาว่า ขออาราธนาเจริ ญพระพุทธมนต์
ส่วนในงานอวมงคล ใช้ คาว่า ขออาราธนาสวดพระพุทธมนต์
(ปี 2551)ในพิธีทาบุญงานมงคล เจ้ าภาพพึงจุดเทียนน ้ามนต์ เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สตู รใด? ตอบ มงคลสูตร ฯ
(ปี 2544) ในงานมงคลควรจุดเทียนน ้ามนต์เมื่อไร?
ตอบ เมื่อพระสงฆ์เจริ ญพระพุทธมนต์ ถึงมงคลสูตร ขึ ้นต้ นบทว่า อเสวนา จ พาลาน

พิธีเวียนเทียนในวันสาคัญทางพุทธศาสนา (กุศลพิธี)
วันสาคัญทางศาสนา มี ๔ วัน (พิธีเวียนเทียนในวันสาคัญทางพุทธศาสนา)
๑.วันมาฆบูชา ขึ ้น ๑๕ ค่าเดือน ๓ เป็ นวันคล้ ายวันที่พระพุทธเจ้ าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในท่ามกลางพระอริ ยสงฆ์จานวน
๑,๒๕๐ องค์
๒.วันวิสาขบูชา ขึ ้น ๑๕ ค่าเดือน ๖ เป็ นวันคล้ ายวันที่พระพุทธเจ้ า ประสูติ ตรัสรู้ ปริ นิพพาน
๓.วันอัฏฐมีบูชา แรม ๘ ค่าเดือน ๖ เป็ นวันคล้ ายวันถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้ า
๔.วันอาสาฬหบูชา ขึ ้น ๑๕ ค่าเดือน ๘ เป็ นวันคล้ ายวันที่พระพุทธเจ้ าทรงแสดงปฐมเทศนา

(ปี 2562 และ 2558) วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา กาหนดไว้ กี่วนั ? มีวนั อะไรบ้ าง?
ตอบ ๔ วัน ฯ มีวนั วิสาขบูชา วันอัฏฐมีบชู า วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ฯ
(ปี 2560) วันสาคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมประกอบพิธีการบูชาเป็ นพิเศษ ในปี หนึง่ ๆ มีวนั อะไรบ้ าง ?
ตอบ วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบชู า วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ฯ

22 | P a g e
(ปี 2559) วันแรม ๘ ค่า เดือน ๖ เป็ นวันอะไร ? มีเหตุการณ์สาคัญอะไรเกิดขึ ้นในวันนัน้ ?
ตอบ เป็ นวันอัฏฐมีบชู า ฯ เป็ นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรี ระ ฯ
(ปี 2550) วันสาคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมประกอบพิธีกรรมมีการบูชาเป็ นต้ น ปี หนึง่ ๆ มีวนั อะไรบ้ าง?
ตอบ วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบชู า วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ฯ
(ปี 2550) การเดินเวียนเทียนรอบปูชนียสถานในวันสาคัญทางพระศาสนา เดินเวียนซ้ ายหรื อเดินเวียนขวา?
เดินเวียนกี่รอบ? แต่ละรอบพึงปฏิบตั ิอย่างไร
ตอบ การเดินเวียนเทียนรอบสถานที(่ ปูชนียสถาน) เดินเวียนขวา คือ เดินเวียนไปทางที่มือขวาของตน หันเข้ าหาสถานที่ที่เวียนนัน้
เวียน ๓ รอบ พึงปฏิบตั ิอย่างนี ้
รอบที่ ๑ พึงตังใจระลึ
้ กถึงพระพุทธคุณโดยนัยบท อิติปิ โส ภควา อรห ฯลฯ
รอบที่ ๒ พึงตังใจระลึ
้ กถึงพระธรรมคุณโดยนัยบท สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ฯลฯ
รอบที่ ๓ พึงตังใจระลึ
้ กถึงพระสังฆคุณโดยนัยบท สุปฏิปนฺโ ภควโต สาวกสงฺโฆ ฯลฯ
(ปี 2548) วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันอะไรทางจันทรคติ? มีความสาคัญอย่างไร?
ตอบ ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๘ ก่อนวันเข้ าปุริมพรรษา ๑ วัน ฯ มีความสาคัญ เพราะเป็ นวันที่พระพุทธเจ้ าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรด
พระปั ญจวัคคีย์ที่ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในปี ที่ตรัสรู้ใหม่ และผลของการแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์นี ้ เป็ นเหตุ
ให้ พระโกณฑัญญะได้ ดวงตาเห็นธรรม และทูลขอบรรพชาอุปสมบท เป็ นพระอริ ยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา จึงเป็ นวันที่มีรัตนะ
ครบ ๓ บริ บรู ณ์ เรี ยกว่าพระรัตนตรัย ฯ
(ปี 2545) วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา กาหนดไว้ กี่วนั ? มีวนั อะไรบ้ าง ?
วันแรม ๘ ค่า เดือน ๖ เป็ นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างไร ?
ตอบ ๔ วัน มีวนั วิสาขบูชา วันอัฏฐมีบชู า วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ฯ
เป็ นวันอัฏฐมีบชู า คือวันคล้ ายกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรี ระ ฯ

อุโบสถ กับ ปกติอุโบสถ


(ปี 2548) อุโบสถ กับ ปกติอโุ บสถ หมายถึงอะไร?
ตอบ อุโบสถ หมายถึง การเข้ าจา คือการจาศีล เป็ นอุบายขัดเกลากิเลสอย่างหยาบให้ เบาบาง เป็ นทางแห่งความสงบระงับอันเป็ น
ความสุขอย่างสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ปกติอุโบสถ หมายถึง อุโบสถที่รักษากันในวันพระตามปกติเฉพาะวันหนึง่ คืนหนึง่ อย่างที่อบุ าสกอุบาสิการักษาอยูป่ ั จจุบนั

บทสวดต้ องท่ องไปสอบ ให้ ฝึกเขียนให้ ถกู ต้ องทุกบท ()


คาอาราธนาศีล ๕ (ออกปี 2555 และ 2551)
มย ภนฺเต วิสุ วิสุ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห, ปญฺจ สีลานิ ยาจาม
ทุติยมฺปิ, มย ภนฺเต วิสุ วิสุ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห, ปญฺจ สีลานิ ยาจาม
ตติยมฺปิ, มยฺ ภนฺเต วิสุ วิสุ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห, ปญฺจ สีลานิ ยาจาม

23 | P a g e
คาอาราธนาพระปริตร (ออกปี 2557, 2554 , 2545)
วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสทิ ฺธิยา
สพฺพทุกฺขวินาสาย ปริ ตฺต พฺรูถ มงฺคล
วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสทิ ฺธิยา
สพฺพภยวินาสาย ปริ ตฺต พฺรูถ มงฺคล
วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสทิ ฺธิยา
สพฺพโรควินาสาย ปริ ตฺต พฺรูถ มงฺคล

คาสมาทานอุโบสถศีล (ออกปี 2552) => อยู่ในหมวดกุศลพิธี


๑.ปาณาติปาตา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ
๒.อทินฺนาทานา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ
๓.อพฺรหฺมจริ ยา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ
๔.มุสาวาทา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ
๕.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ
๖.วิกาลโภชนา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ
๗.นจฺจคีตวาทิตวิสกู ทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภสู นฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ
๘.อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ
(ปี 2552) อุโบสถศีล มีกี่ข้อ? ข้ อที่ ๓ ว่าอย่างไร? การเข้ าจาอุโบสถศีลนี ้อยูใ่ นหมวดไหนของศาสนพิธี?
ตอบ มี ๘ ข้ อ ฯ ข้ อที่ ๓ ว่า อพฺรหฺมจริ ยา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ ฯ อยูใ่ นหมวดกุศลพิธี

การกรวดนา้ (ปกิณกพิธี ปี 2549 ปี 2547 ปี 2543)


(ปี 2549 และ 2543) การกรวดน ้ามีวิธีทาอย่างไรบ้ าง ? คากรวดน ้าแบบย่อที่สดุ ว่าอย่างไร ?
ตอบ วิธีกรวดน ้าคือ เตรี ยมน ้าสะอาดใส่ไว้ ในภาชนะที่ใส่น ้ากรวด พอพระสงฆ์เริ่ มอนุโมทนาด้ วยบทว่า ยถา… ก็เริ่ มกรวดน ้า เวลาริ น
ไม่ให้ น ้าขาดสาย โดยตังใจนึ
้ กอุทิศส่วนบุญฯ
คากรวดน ้า แบบย่อว่า อิท เม ญาตีน โหตุ แปลว่า ขอบุญกุศลนี ้ จงสาเร็ จแก่ญาติทงหลายของข้
ั้ าพเจ้ าเถิด (หรื อ สุขิตา โหนฺตุ
ญาตโย แปลว่า ขอญาติทงหลายจงเป็
ั้ นสุขๆ เถิดๆ)
(ปี 2547) เพื่อปฏิบตั ิให้ ถกู ต้ องตามหลักศาสนพิธี เจ้ าภาพพึงกรวดน ้าและประนมมือรับพรตอนไหน?
ตอบ เมื่อพระสงฆ์เริ่ มอนุโมทนาด้ วยบทว่า ยถา วาริ วหา ฯเปฯ เจ้ าภาพพึงกรวดน ้า ไม่ใช้ นิ ้วมือรอง เวลาริ นไม่ให้ น ้าขาดสาย พอว่า
บท สพฺพีติโย ฯเปฯ ริ นน ้าให้ หมดแล้ วประนมมือรับพรต่อไปจนจบ ฯ

24 | P a g e
(คาลากลับบ้ าน ปี 2546) คาว่า หนฺททานิ มย ภนฺเต อาปุจฺฉาม พหุกิจฺจา มย พหุกรณียา ใครเป็ นผู้กล่าว และกล่าวในโอกาสอะไร?
ใครเป็ นผู้กล่าวตอบคานัน้ และกล่าวว่าอย่างไร?
ตอบ อุบาสกอุบาสิกาผู้ไปฟั งธรรมในวันธัมมัสสวนะเป็ นผู้กล่าวในโอกาสลากลับบ้ าน ฯ
พระสงฆ์กล่าว และกล่าวว่า ยสฺสทานิ ตุมฺเห กาล มญฺญถ ฯ

คาถวายสังฆทานพร้ อมคาแปล (ปี 2543)


อิมานิ มย ภนฺเต, ภตฺตานิ, สปริ วารานิ, ภิกฺขสุ งฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุโน ภนฺเต, ภิกฺขสุ งฺโฆ, อิมานิ, ภตฺตานิ สปริ วารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ
, อมฺหาก, ทีฆรตฺต, หิตาย, สุขาย
แปล
ข้ าแต่พระสงฆ์ผ้ เู จริ ญ ข้ าพเจ้ าทังหลายขอน้
้ อมถวายซึง่ ภัตตาหารกับของที่เป็ นบริ วาร ทังหลายเหล่
้ านี ้แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับซึง่
ภัตตาหารกับของที่เป็ นบริ วารทังหลาย
้ เหล่านี ้เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้ าทังหลายสิ
้ ้นกาลนานเทอญ

25 | P a g e
ทบทวน วินัยมุข
เรื่องการบวช
วิธีอุปสมบทมี ๓ อย่ าง
๑.เอหิภกิ ขุอุปสัมปทา พระพุทธเจ้ าบวชให้ ด้ วยวาจาว่า “เธอจงเป็ นภิกษุมาเถิด”
๒.ติสรณคมนูปสัมปทา พระสาวกบวชให้ อุปสมบทด้ วยการให้ ถึงสรณะ ๓ ในปั จจุบนั เป็ นการบวชเณร
๓.ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา มอบให้ สงฆ์เป็ นใหญ่ในการอุปสมบท อุปสมบทด้ วยกรรมมีญตั ติเป็ นที่ ๔
(ปี 2547) อุปสัมปทา (การอุปสมบท) มี ๓ วิธี ในปั จจุบนั ใช้ วิธีไหน? กาหนดสงฆ์อย่างต่าไว้ เท่าไร?
ตอบ ใช้ ญตั ติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การอุปสมบทด้ วยกรรมมีญตั ติเป็ นที่ ๔ ฯ
กาหนดสงฆ์อย่างต่าไว้ คือ ในมัธยมประเทศ ๑๐ รูป ในปั จจันตชนบท ๕ รูป ฯ

ความหมายพระวินัย
พระวินัย ได้ แก่ พระพุทธบัญญัติ และอภิสมาจาร [ทัง้ ๒ นี ้เรี ยกว่า พระวินยั ]
พุทธบัญญัติ คือ ข้ อห้ ามที่พระพุทธเจ้ าทรงตังขึ
้ ้นเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผ้ ลู ว่ งละเมิด
ด้ วยปรับอาบัติหนักบ้ าง เบาบ้ าง
อภิสมาจาร คือ ขนบธรรมเนียมที่ทรงแต่งตังขึ
้ ้นเพื่อชักนาความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ ดีงาม

(ปี 2562, 2558) พระวินยั คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินยั แล้ ว ย่อมได้ อานิสงส์อะไร ?


ตอบ คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ ได้ อานิสงส์ คือไม่ต้องเดือดร้ อนใจ ได้ รับความแช่มชื่นว่า ได้ ประพฤติดงี าม
จะเข้ าหมูภ่ ิกษุผ้ มู ีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้ าน ฯ
(ปี 2555) ภิกษุผ้ ปู ฏิบตั ิอย่างไร จึงชื่อว่ามีศีล?
ตอบ ภิกษุสารวมกายวาจาให้ เรี ยบร้ อย เว้ นข้ อที่ทรงห้ าม ทาตามข้ อที่ทรงอนุญาต จึงชื่อว่ ามีศีล
(ปี 2553) พระวินยั ได้ แก่อะไร? สิกขาบทที่เป็ นอเตกิจฉา คือที่ภิกษุลว่ งละเมิด แล้ วไม่สามารถจะแก้ ไขได้ ได้ แก่อะไร?
ตอบ ได้ แก่ พระพุทธบัญญัติ และอภิสมาจาร ฯ ได้ แก่ ปาราชิก ๔
(ปี 2552) พุทธบัญญัติและอภิสมาจาร คืออะไร? ทัง้ ๒ รวมเรี ยกว่าอะไร?
ตอบ พุทธบัญญัติ คือข้ อห้ ามที่พระพุทธเจ้ าทรงตังขึ
้ ้น เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผ้ ลู ว่ ง
ละเมิดด้ วยปรับอาบัติหนักบ้ าง เบาบ้ าง ส่วนอภิสมาจาร คือขนบธรรมเนียมที่ทรงแต่งตังขึ
้ ้น เพื่อชักนาความประพฤติของ
ภิกษุสงฆ์ให้ ดีงาม ฯ ทัง้ ๒ นีร้ วมเรียกว่ า พระวินัย ฯ
(ปี 2550) พระศาสดาทรงบัญญัติพระวินยั ไว้ เพื่ออะไร?
ตอบ เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายของภิกษุสงฆ์ และเพื่อชักนาความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ ดีงาม
(ปี 2549) ทาไมต้ องมีพระวินยั สาหรับปกครองหมูภ่ ิกษุ และหมูภ่ ิกษุทาไมต้ องประพฤติตามพระวินยั ?

1|Page
ตอบ หากจะไม่มีพระวินยั สาหรับปกครอง หรื อหมูภ่ ิกษุจะไม่ประพฤติตามพระวินยั ก็จะเป็ นหมูภ่ ิกษุที่เลวทราม ไม่เป็ น
ที่ตงแห่
ั ้ งศรัทธาและเลือ่ มใส แต่ถ้าต่างรูปประพฤติตามพระวินยั ก็จะเป็ นหมูภ่ ิกษุที่ดี ทาให้ เกิดศรัทธาเลือ่ มใส พระวินยั จึง
รักษาหมูภ่ ิกษุให้ ตงอยู
ั ้ เ่ ป็ นอันดี และทาให้ เป็ นหมูท่ ี่งดงาม ฯ
(ปี 2549) พระศาสดาผู้เป็ นสังฆบิดรดูแลภิกษุสงฆ์ ทรงทาหน้ าที่ทางพระวินยั อย่างไร ?
ตอบ ทรงทาหน้ าที่ ๒ ประการ คือ
๑.ทรงตังพุ
้ ทธบัญญัติเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผ้ ลู ว่ งละเมิดด้ วยปรับอาบัติหนักบ้ าง เบา
บ้ าง
๒.ทรงตังขนบธรรมเนี
้ ยม ซึง่ เรี ยกว่าอภิสมาจารเพื่อชักนาความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ ดีงาม
(ปี 2548) ในพระวินยั กาหนด ๑ ปี มีกี่ฤดู? อะไรบ้ าง? ตังแต่
้ วนั แรม ๑ ค่าเดือน ๘ ถึงวันขึ ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๒ เป็ นฤดู
อะไร? ตอบ ๓ ฤดู คือ ฤดูหนาว ๑ ฤดูร้อน ๑ ฤดูฝน ๑ ฯ ฤดูฝน ฯ
(ปี 2546) ข้ อความว่า “ พระศาสดาทรงตังอยู
้ ใ่ นที่เป็ นพระธรรมราชาผู้ปกครอง ” หมายความว่าอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า ทรงตังพระพุ
้ ทธบัญญัติเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ผ้ ลู ว่ งละเมิด ด้ วยปรับ
อาบัติหนักบ้ าง เบาบ้ าง อย่างเดียวกับพระเจ้ าแผ่นดินทรงตราพระราชบัญญัติ ฯ
(ปี 2546) พระบัญญัติที่ทรงตังไว้
้ เดิมเรี ยกว่าอะไร ? ตอบ เรี ยกว่า มูลบัญญัติ ฯ
(ปี 2545) พระวินยั คืออะไร? ตอบ คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
(ปี 2545) "อาทิกมั มิกะ" ความหมายอย่างไร? ตอบ ภิกษุผ้ กู ่อเหตุให้ ทรงบัญญัติสกิ ขาบทขึ ้น
(ปี 2544) พุทธบัญญัติ มูลบัญญัติ อนุบญ
ั ญัติ คืออะไร?
ตอบ พุทธบัญญัติ คือข้ อที่พระพุทธเจ้ าทรงตังไว้
้ เป็ นบทบังคับให้ ภิกษุประพฤติ
มูลบัญญัติ คือข้ อที่ทรงบัญญัติไว้ เดิม
อนุบัญญัติ คือข้ อที่ทรงบัญญัติเพิ่มเติมภายหลัง
(ปี 2544) ท่านเปรี ยบพระวินยั เหมือนด้ ายร้ อยดอกไม้ หมายความว่าอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า ด้ ายร้ อยดอกไม้ ควบคุมดอกไม้ ไว้ ไม่ให้ กระจัดกระจายฉันใด พระวินยั ย่อมรักษาสงฆ์ให้ ตงอยู
ั ้ เ่ ป็ นอัน
ดีฉนั นัน้

อานิสงส์ ของผู้รักษาวินัยดี
๑.ไม่เดือดร้ อนใจภายหลัง (เกิดวิปฏิสาร)
๒.ได้ รับความแช่มชื่นใจ เพราะรู้สกึ ว่าตนประพฤติดีงามแล้ ว
๓.มีความองอาจในหมูภ่ ิกษุผ้ มู ีศีล
(ปี 2559) ภิกษุปฏิบตั ิศีล สมาธิ ปั ญญาดีแล้ ว จะได้ รับประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ ย่อมได้ รับประโยชน์ คือ

2|Page
ปฏิบตั ิศีล ทาให้ เป็ นผู้มีกาย วาจาเรี ยบร้ อย
ปฏิบตั ิสมาธิ ทาให้ ใจสงบมัน่ คง ไม่ฟ้ งซ่
ุู าน
ปฏิบตั ิปัญญา ทาให้ รอบรู้ในกองสังขาร ฯ
(ปี 2558) พระวินยั คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินยั แล้ ว ย่อมได้ อานิสงส์อะไร ?
ตอบ คือพระพุทธบัญญัตแิ ละอภิสมาจาร ฯ ได้ อานิสงส์ คือไม่ต้องเดือดร้ อนใจ ได้ รับความแช่มชื่นว่า ได้ ประพฤติดีงาม
จะเข้ าหมูภ่ ิกษุผ้ มู ีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้ าน ฯ
(ปี 2554 และ 2544) พระภิกษุผ้ รู ักษาพระวินยั ดีโดยถูกทางแล้ ว ย่อมได้ อานิสงส์อะไร?

ความหมายสิกขา สิกขาบท อาบัติ


สิกขา ได้ แก่ ข้ อที่ภิกษุควรศึกษา มี ๓ อย่าง คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา และ ปั ญญาสิกขา
สิกขาบท ได้ แก่ พระบัญญัติมาตราหนึง่ ๆ (มาในพระปาติโมกข์ และมานอกปาติโมกข์)
อาบัติ ได้ แก่ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าห้ าม
(ปี 2561) สิกขา คืออะไร ? มีอะไรบ้ าง ?
ตอบ คือ ข้ อที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ
มี ๑. ศีล ความรักษากาย วาจา ให้ เรี ยบร้ อย
๒. สมาธิ ความรักษาใจมัน่
๓. ปั ญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร ฯ
(ปี 2560) สิกขา กับ สิกขาบท ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี ้ สิกขา ได้ แก่ข้อที่ควรศึกษา คือศีล สมาธิ และปั ญญา ฯ สิกขาบท ได้ แก่พระบัญญัติมาตราหนึง่ ๆ ฯ
(ปี 2558) สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์มีเท่าไร ? สิกขาบทว่าด้ วยปาราชิกมีอะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ มี ๑. เสพเมถุน
๒. ภิกษุถือเอาของที่เจ้ าของเขาไม่ได้ ให้ ได้ ราคา ๕ มาสก
๓. ภิกษุแกล้ งฆ่ามนุษย์ให้ ตาย
๔. ภิกษุอวดอุตตริ มนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ฯ
(ปี 2557) สิกขา และ สิกขาบท ได้ แก่อะไร? ตอบ สิกขา ได้ แก่ข้อที่ควรศึกษา สิกขาบท ได้ แก่พระบัญญัติมาตราหนึง่ ๆ ฯ
(ปี 2556) อาบัติ คืออะไร? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติมี ๖ อย่าง จงบอกมาสัก ๓ อย่าง ฯ
ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าทรงห้ าม ฯ
(เลือกตอบเพียง ๓ ข้ อ)
๑. ต้ องด้ วยไม่ละอาย ๒. ต้ องด้ วยไม่ร้ ูวา่ สิง่ นี ้จะเป็ นอาบัติ
๓. ต้ องด้ วยสงสัยแล้ วขืนทาลง ๔. ต้ องด้ วยสาคัญว่าควรในของที่ไม่ควร

3|Page
๕. ต้ องด้ วยสาคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๖. ต้ องด้ วยลืมสติฯ
(ปี 2554) สิกขา สิกขาบท และอาบัติ ได้ แก่อะไร?
(ปี 2552 ,2547 และ 2545) สิกขากับสิกขาบท ต่างกันอย่างไร? อย่างไหนมีเท่าไร? อะไรบ้ าง?
ตอบ สิกขา คือ ข้ อที่ภิกษุควรศึกษา มี ๓ ได้ แก่ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปั ญญาสิกขา
ส่วนสิกขาบท คือ พระบัญญัติมาตราหนึง่ ๆ เป็ นสิกขาบทหนึง่ ๆ มี ๒๒๗ สิกขาบท ได้ แก่ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓
อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ และ อธิกรณสมถะ ๗ ฯ
(ปี 2551) อะไรเรี ยกว่า สิกขาบท? มาจากไหน?
ตอบ พระบัญญัติมาตราหนึง่ ๆ เรี ยกว่า สิกขาบท ฯ มาในพระปาติโมกข์ ๑ มานอกพระปาติโมกข์ ๑ ฯ
(ปี 2550 และ 2545) สิกขาบทที่มีมาในพระปาติโมกข์ มีเท่าไร? ว่าโดยหมวดมีอะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ มี ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔
เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ฯ
(ปี 2545) สิกขา ๓ เมื่อศึกษาแล้ วจะได้ ประโยชน์อย่างไร?
ตอบ ย่อมได้ ประโยชน์ดงั นี ้ ศึกษาเรื่ องศีล ทาให้ เป็ นผู้มีกาย วาจาเรี ยบร้ อย ศึกษาเรื่ องสมาธิทาให้ ใจสงบมัน่ คง ไม่ฟ้ งซ่
ุ าน
ศึกษาเรื่ องปั ญญา ทาให้ รอบรู้ในกองสังขาร ฯ

อาบัติท่ เี ป็ นโลกวัชชะ/อาบัติท่ เี ป็ นปั ณณัตติวัชชะ


(ปี 2552 และ 2544) อาบัติ คืออะไร? อาบัติที่เป็ นโลกวัชชะและที่เป็ นปั ณณัตติวชั ชะหมายความว่าอย่างไร?จง
ยกตัวอย่างประกอบด้ วย
ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าห้ าม ฯ
อาบัติท่ เี ป็ นโลกวัชชะหมายความว่า อาบัติที่มีโทษซึง่ ภิกษุทาเป็ นความผิดความเสีย คนสามัญทาก็เป็ นความผิดความ
เสียเหมือนกัน เช่น ทาโจรกรรม เป็ นต้ น ส่วนที่เป็ นปั ณณัตติวัชชะหมายความว่า อาบัติที่มีโทษเฉพาะภิกษุทา แต่คน
สามัญทาไม่เป็ นความผิดความเสีย เช่น ขุดดิน เป็ นต้ น ฯ

อนุศาสน์ ๘
นิสสัย ๔ คือ ปั จจัยเครื่ องอาศัยของบรรพชิต
๑.เที่ยวบิณฑบาต ๒.นุง่ ห่มผ้ าบังสกุล
๓.อยูโ่ คนไม้ ๔.ฉันยาดองด้ วยน ้ามูตรเน่า
อกรณียกิจ ๔ คือ กิจที่ไม่ควรทา
๑.เสพเมถุน ๒.ลักของเขา
๓.ฆ่าสัตว์ ๔.พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน

4|Page
(ปี 2562 และ 2553) นิสสัยคืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ คือปั จจัยเครื่ องอาศัยของบรรพชิต ฯ มี ๔ อย่าง ฯ
ได้ แก่ ๑. เที่ยวบิณฑบาต ๒. นุง่ ห่มผ้ าบังสุกลุ ๓. อยูโ่ คนต้ นไม้ ๔. ฉันยาดองด้ วยน ้ามูตรเน่า ฯ
(ปี 2561 และ 2559) กิจที่บรรพชิตไม่ควรทา เรี ยกว่าอะไร ? มีอะไรบ้ าง ?
ตอบ เรี ยกว่า อกรณียกิจ ฯ มี ๔ คือ ๑. เสพเมถุน ๒. ลักทรัพย์ ๓. ฆ่าสัตว์ ๔. พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
(ปี 2560, 2547 และ 2544) นิสสัย และ อกรณียกิจ คืออะไร ? ทัง้ ๒ อย่างรวมเรี ยกว่าอะไร ?
ตอบ นิสสัยคือ ปั จจัยเครื่ องอาศัยของบรรพชิต อกรณียกิจคือ กิจที่บรรพชิตไม่ควรทา ฯ
ทัง้ ๒ อย่าง รวมเรี ยกว่า อนุศาสน์ ฯ
(ปี 2558) ปั จจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตเรี ยกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ เรี ยกว่านิสสัยฯ มี ๔ อย่างฯ คือ๑.เที่ยวบิณฑบาต ๒.นุง่ ห่มผ้ าบังสุกลุ ๓.อยูโ่ คนต้ นไม้ ๔.ฉันยาดองด้ วยน ้ามูตรเน่าฯ
(ปี 2556) อกรณียกิจ คือกิจที่บรรพชิตไม่ควรทา มีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง?
ตอบ มี ๔ อย่าง ฯ คือ ๑. เสพเมถุน ๒. ลักของเขา ๓. ฆ่าสัตว์ ๔. พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
(ปี 2555) นิสสัย ๔ ในอนุศาสน์ ๘ อย่าง หมายถึงอะไร? มีอะไรบ้ าง?
(ปี 2551) อรณียกิจ ๔ คืออะไร? ข้ อที่ ๓ ว่าอย่างไร ตอบ คือ กิจที่ไม่ควรทา ๔ ฯ ว่า ฆ่าสัตว์ ฯ
(ปี 2549 และ 2548) กิจที่บรรพชิตไม่ควรทาซึง่ เรี ยกว่า อกรณียกิจ มีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง?

อาบัติมีโทษ ๓ สถาน
 อย่ างหนัก ยังผู้ต้องให้ ขาดจากความเป็ นภิกษุ
 อย่ างกลาง ยังผู้ต้องให้ อยูก่ รรม คือประพฤติวตั รอย่างหนึง่ เพื่อทรมานตน
 อย่ างเบา ยังผู้ต้องให้ ประจานตนต่อหน้ าภิกษุด้วยกัน ฯ
อาบัติมีโทษ ๒ สถาน
 อเตกิจฉา อาบัติที่แก้ ไขไม่ได้
 สเตกิจฉา อาบัติที่แก้ ไขได้

(ปี 2561) อาบัติ คืออะไร ? มีโทษกี่สถาน ? อะไรบ้ าง ?


ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าทรงห้ าม ฯ
มี ๓ สถาน ฯ
คือ อย่างหนัก ยังผู้ต้องให้ ขาดจากความเป็ นภิกษุ
อย่างกลาง ยังผู้ต้องให้ อยูก่ รรม คือประพฤติวตั รอย่างหนึง่ เพื่อทรมานตน
อย่างเบา ยังผู้ต้องให้ ประจานตนต่อหน้ าภิกษุด้วยกัน ฯ

5|Page
(หรือจะตอบว่ า มี ๒ สถาน คือ แก้ ไขได้ และแก้ ไขไม่ ได้ ก็ได้)
(ปี 2557) จงอธิบายความหมายของอาบัติตอ่ ไปนี ้
ก. สเตกิจฉา ข. สจิตตกะ
ตอบ ก. ได้ แก่อาบัติที่แก้ ไขได้ ข. ได้ แก่ อาบัติท่ ตี ้ องเพราะมีเจตนา ฯ
(ปี 2555 ,2545 และ 2544) อเตกิจฉา และสเตกิจฉา ได้ แก่อาบัติอะไร? ทัง้ ๒ อย่างนัน้ ภิกษุต้องเข้ าแล้ ว จะเกิดโทษ
อย่างไร? ตอบ อเตกิจฉา อาบัติที่แก้ ไขไม่ได้ คือ ปาราชิก ทาให้ ขาดจากความเป็ นภิกษุ ฯ
สเตกิจฉา อาบัติที่แก้ ไขได้ คือ สังฆาทิเสส และอาบัตอิ ีก ๕ ที่เหลือ ฯ สังฆาทิเสสต้ องอยูก่ รรมจึงพ้ นได้ อาบัติอีก ๕ ที่
เหลือพึงแสดงต่อหน้ าสงฆ์หรื อคณะหรื อรูปใดรูปหนึง่ จึงพ้ นได้ ฯ
(ปี 2554) ครุกาบัติ ที่แก้ ไขได้ ก็มี ที่แก้ ไขไม่ได้ ก็มี ที่แก้ ไขได้ ได้ แก่อาบัติอะไร?
ตอบ ที่แก้ ไขได้ ได้ แก่ อาบัติสงั ฆาทิเสส ที่แก้ ไม่ได้ ได้ แก่อาบัติปาราชิก
(ปี 2550) เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้ ว จะพึงปฏิบตั ิอย่างไร? ตอบ พึงบอกภิกษุด้วยกันในวันนัน้ และพึงแก้ ไขตามวิธีนนั ้ ๆ ฯ
(ปี 2549 และ 2544) คาว่า ต้ องอาบัติ หมายความว่าอย่างไร? อาบัติมีโทษกี่สถาน? อะไรบ้ าง?
ตอบ หมายความว่า ต้ องโทษ คือมีความผิดฐานละเมิดข้ อที่พระพุทธเจ้ าทรงห้ าม ฯ
มี ๓ สถาน คือ อย่ างหนัก อย่ างกลาง และ อย่ างเบา
(หรือจะตอบว่ า มี ๒ สถาน คือ แก้ ไขได้ และแก้ ไขไม่ ได้ ก็ได้)

สจิตตกะ/อจิตตกะ
สจิตตกะ อาบัติทตี่ ้ องเพราะมีเจตนาล่วงละเมิด
อจิตตกะ อาบัติที่ต้องแม้ ไม่มีเจตนาล่วงละเมิด
(ปี 2559) ปาราชิกทัง้ ๔ สิกขาบท เป็ นสจิตตกะหรื ออจิตตกะ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ เป็ นสจิตตกะ ฯ เพราะมีเจตนาล่วงละเมิด ฯ
(ปี 2557) จงอธิบายความหมายของ สจิตตกะ
(ปี 2548) สจิตตกะ และ อจิตตกะ มีความหมายอย่างไร
ตอบ สจิตตกะ อาบัติที่ต้องเพราะมีเจตนาล่วงละเมิด
อจิตตกะ อาบัติที่ต้องแม้ ไม่มีเจตนาล่วงละเมิด ฯ

อาการที่ภกิ ษุต้องอาบัติ ๖ อย่ าง


๑.ต้ องด้ วยไม่ละอาย
๒.ต้ องด้ วยไม่ร้ ูวา่ สิง่ นี ้จะเป็ นอาบัติ
๓.ต้ องด้ วยสงสัยแล้ วขืนทา
๔.ต้ องด้ วยสาคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
6|Page
๕.ต้ องด้ วยสาคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖.ต้ องด้ วยลืมสติ
(ปี 2560, 2559 และ 2543) อาบัติคืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ ๖ อย่างนัน้ อย่างไหนเสียหายมากที่สดุ ?
ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าห้ าม ฯ ต้ องด้ วยไม่ละอาย จัดว่าเสียหายมากที่สดุ ฯ
(ปี 2556) อาบัติ คืออะไร? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติมี ๖ อย่าง จงบอกมาสัก ๓ อย่าง ฯ
ตอบ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าทรงห้ าม ฯ
(เลือกตอบเพียง ๓ ข้ อ)
๑. ต้ องด้ วยไม่ละอาย
๒. ต้ องด้ วยไม่ร้ ูวา่ สิง่ นี ้จะเป็ นอาบัติ
๓. ต้ องด้ วยสงสัยแล้ วขืนทาลง
๔. ต้ องด้ วยสาคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕. ต้ องด้ วยสาคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖. ต้ องด้ วยลืมสติฯ
(ปี 2554) อาการที่ภิกษุจะต้ องอาบัติ มีอะไรบ้ าง?
(ปี 2550) อาการที่ภิกษุจะต้ องอาบัติ มีเท่าไร? ต้ องด้ วยไม่ละอาย มีอธิบายอย่างไร?
ตอบ มี ๖ อย่าง ฯ ภิกษุร้ ูอยูแ่ ล้ ว และละเมิดพระบัญญัติด้วยใจด้ านไม่ร้ ูจกั ละอาย ชื่อว่าต้ องด้ วยไม่ละอาย ฯ
(ปี 2547) อาการที่ภิกษุจะต้ องอาบัติข้อที่วา่ ต้ องด้ วยสงสัยแล้ วขืนทาลง มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ มีอธิบายว่า ภิกษุสงสัยอยูว่ า่ ทาอย่างนันๆ
้ ผิดพระบัญญัติหรื อไม่ แต่ขืนทาด้ วยความสะเพร่าเช่นนี ้ ถ้ าการที่ทานัน้
ผิดพระบัญญัติก็ต้องอาบัติตามวัตถุ ถ้ าไม่ผิด ก็ต้องอาบัติทกุ กฏเพราะสงสัยแล้ วขืนทา ฯ
(ปี 2545) อาการที่ภิกษุจะต้ องอาบัติมีเท่าไร? อะไรบ้ าง?

อาบัติว่าโดยชื่อมี ๗ อย่ าง คือ


๑.ปาราชิก
๒.สังฆาทิเสส
๓.ถุลลัจจัย
๔.ปาจิตตีย์
๕.ปาฏิเทสนียะ
๖.ทุกกฏ
๗.ทุพภาสิต
(ปี 2557) อาบัติ คืออะไร? ว่าโดยชื่อมีอะไรบ้ าง?

7|Page
ตอบ อาบัติ คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้ อที่พระพุทธเจ้ าห้ าม ฯ
มี ๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย ๔. ปาจิตตีย์
๕. ปาฏิเทสนียะ ๖. ทุกกฏ ๗. ทุพภาสิต ฯ
(ปี 2553) อาบัติวา่ โดยชื่อมีกี่อย่าง? อะไรบ้ าง?

อนุปสัมบัน หมายถึง บุคคลที่มิใช่ภิกษุ


(ปี 2554) อนุปสัมบัน หมายถึง?

เภสัช ๕ ได้ แก่ เนยใส เนยข้ น น ้ามัน น ้าผึ ้ง น ้าอ้ อย พระภิกษุรับประเคนแล้ วเก็บไว้ ฉันได้ ๗ วัน
(ปี 2561 และ 2543) เภสัช ๕ มีอะไรบ้ าง? น ้าตาลทรายจัดเข้ าในเภสัชประเภทใด?
ตอบ เภสัช ๕ มี เนยใส เนยข้ น น ้ามัน น ้าผึ ้ง น ้าอ้ อย น ้าตาลทรายจัดเข้ าในน ้าอ้ อย
(ปี 2557) เภสัช ๕ ได้ แก่อะไรบ้ าง? ตอบ ได้ แก่ เนยใส เนยข้ น น ้ามัน น ้าผึ ้ง น ้าอ้ อย ฯ
(ปี 2554 และ 2548) เภสัช ๕ ได้ แก่อะไรบ้ าง? ภิกษุรับประเคนแล้ วเก็บไว้ ฉนั ได้ กี่วนั เป็ นอย่างยิ่ง?
(ปี 2551) เภสัช ๕ ในปั ตตวรรคที่ ๓ ได้ แก่อะไรบ้ าง? รับประเคนแล้ วเก็บไว้ ฉนั ได้ กี่วนั ?

ไตรครอง/อติเรกจีวร/จีวรกาล
จีวรกาล หมายถึง คราวที่เป็ นฤดูถวายจีวร (คืออยูจ่ าพรรษาแล้ ว ถ้ าไม่ได้ กรานกฐิ น นับแต่วนั ปวารณาไป ๑ เดือน ถ้ าได้
กรานกฐิ น เพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนในฤดูหนาว)
ไตรจีวร ประกอบด้ วย ผ้ าสังฆาฏิ (ผ้ าคลุม) ผ้ าอุตตราสงค์ (จีวร หรื อ ผ้ าห่ม) และอันตรวาสก (สบง หรื อ ผ้ านุง่ )
ผ้ าไตรครอง เป็ นผ้ าที่ภิกษุอธิษฐาน มีจานวนจากัด คือ ๓ ผืน
อติเรกจีวร หมายถึง จีวรที่ไม่ใช่จีวรอธิษฐาน [หรื อ ผ้ าที่นอกเหนือจากผ้ าไตรครองมีได้ ไม่จากัดจานวน]
ผ้ าจานาพรรษา ได้ แก่ผ้าที่ทายกถวายแก่ภิกษุผ้ ปู วารณาออกพรรษาแล้ ว

(ปี 2561) ผ้ าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ ภิกษุอธิษฐานไว้ ใช้ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ?


ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. สังฆาฏิ (ผ้ าคลุม) ๒. อุตตราสงค์ (ผ้ าห่ม) ๓. อันตรวาสก (ผ้ านุง่ ) ฯ
(ปี 2557) อติเรกจีวร และผ้ าจานาพรรษา ได้ แก่ผ้าเช่นไร?
ตอบ อติเรกจีวร ได้ แก่ผ้ายาว ๘ นิ ้ว กว้ าง ๔ นิ ้วขึ ้นไป พอใช้ ประกอบเข้ าเป็ นเครื่ องนุง่ ห่มได้ นอกจากผ้ าที่อธิษฐาน
ผ้ าจานาพรรษา ได้ แก่ผ้าที่ทายกถวายแก่ภิกษุผ้ ปู วารณาออกพรรษาแล้ ว ฯ
(ปี 2556) ไตรจีวร อติเรกจีวร ได้ แก่จีวรเช่นไร?
ตอบ ไตรจีวร ได้ แก่จีวร ๓ ผืน ประกอบด้ วย อุตตราสงค์ (ผ้ าห่ม) อันตรวาสก (ผ้ านุง่ ) และสังฆาฏิ (ผ้ าคลุมหรื อผ้ าทาบ) ฯ

8|Page
อติเรกจีวร ได้ แก่ผ้ามีขนาดกว้ าง ๔ นิ ้วยาว ๘ นิ ้ว ซึง่ อาจนาไปทาเป็ นเครื่ องนุง่ ห่มได้ นอกจากผ้ าที่อธิษฐาน ฯ
(ปี 2554) อติเรกจีวร หมายถึง? จีวรกาล หมายถึง?
ตอบ อติเรกจีวร หมายถึงจีวรที่ไม่ใช่จีวรอธิษฐาน ฯ
จีวรกาล หมายถึงคราวที่เป็ นฤดูถวายจีวร (คืออยูจ่ าพรรษาแล้ ว ถ้ าไม่ได้ กรานกฐิ น นับแต่วนั ปวารณาไป ๑ เดือน ถ้ าได้
กรานกฐิ น เพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนในฤดูหนาว)
(ปี 2552) ผ้ าไตรครอง มีอะไรบ้ าง? ต่างจากอติเรกจีวรอย่างไร?
ตอบ มี สังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ฯ ต่างกันอย่างนี ้ ผ้ าไตรครองเป็ นผ้ าที่ภิกษุอธิษฐาน มีจานวนจากัด คือ ๓ ผืน
ส่วนอติเรกจีวร คือผ้ าที่นอกเหนือจากผ้ าไตรครอง มีได้ ไม่จากัดจานวน ฯ
(ปี 2548) ผ้ าไตรจีวรคือผ้ าอะไร? ได้ แก่อะไรบ้ าง?
(ปี 2548) อติเรกบาตร คืออะไร? ภิกษุเก็บไว้ เกินกี่วนั ต้ องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย?์
ตอบ คือ บาตรนอกจากบาตรอธิษฐาน ฯ เกิน ๑๐ วัน ฯ
(ปี 2546) อติเรกจีวร ได้ แก่จีวรเช่นไร? การที่ทรงห้ ามไม่ให้ ภิกษุเก็บอติเรกจีวร ด้ วยมีพระพุทธประสงค์อย่างไร?
ตอบ ได้ แก่ จีวรนอกจากจีวรอธิษฐาน ฯ ด้ วยมีพระพุทธประสงค์เพื่อป้องกันความสุรุ่ยสุร่าย และความมักมากของภิกษุ ฯ

ปาจิตตีย์
(ปี 2560) ภิกษุต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ หรื ออาบัติปาจิตตีย์ มีวิธีแสดงอาบัติ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้ องเสียสละวัตถุอนั เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัตินนเสี
ั ้ ยก่อน จึงแสดงอาบัติได้ ส่วนอาบัติปาจิตตีย์นนั ้
ภิกษุพงึ แสดงอาบัติได้ เลย ไม่มีวตั ถุใด ๆ ที่ต้องสละ ฯ
(ปี 2549 , 2546 และ 2544) นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่าอย่างไร? ภิกษุต้องอาบัตินี ้แล้ ว ทาอย่างไรจึงจะพ้ น?
ตอบ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่า อาบัติปาจิตตีย์ที่จาต้ องสละสิง่ ของ ฯ
ภิกษุต้องอาบัตินี ้แล้ วต้ องสละสิง่ ของอันเป็ นเหตุให้ ต้องอาบัตินนก่
ั ้ อนแล้ วแสดงอาบัติจึงพ้ นจากอาบัตินนได้
ั้ ฯ
(ปี 2547) จีวรที่เป็ นนิสสัคคีย์แล้ ว ควรสละให้ แก่ใคร? ถ้ าจีวรนันสู
้ ญหาย พึงปฏิบตั ิเช่นไร?
ตอบ ควรสละให้ แก่สงฆ์ก็ได้ แก่คณะก็ได้ แก่บคุ คลก็ได้ ฯ ถ้ าจีวรนันสู
้ ญหาย พึงแสดงอาบัติเท่านัน้ ฯ
(ปี 2544) ปาจิตตีย์แบ่งเป็ น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ และสุทธิกปาจิตตีย์ เพราะเหตุไร?
ตอบ เพราะว่านิสสัคคิยปาจิตตีย์นนั ้ จาต้ องเสียสละวัตถุอนั เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัตินนเสี
ั ้ ยก่อน จึงแสดงอาบัติได้ ส่วนสุทธิก
ปาจิตตีย์นนั ้ ภิกษุพงึ แสดงอาบัติได้ เลย ไม่มีวตั ถุใด ๆ ที่จาต้ องสละ
(ปี 2543) ในปาจิตตีย์ ๙ วรรคนัน้ วรรคที่เท่ าไร มี ๑๒ สิกขาบท? ตอบ วรรคที่ ๘ (สหธรรมิกวรรค)

บริขาร ๘
(ปี 2543) บริขาร ๘ มีอะไรบ้ าง?

9|Page
ตอบ บริ ขาร ๘ มี ๑)สังฆาฏิ ๒)อุตตราสงค์ ๓)อันตรวาสก ๔)บาตร ๕)มีดโกน ๖)กล่องเข็ม ๗)ประคดเอว ๘)ผ้ ากรองน ้า

อาบัติท่ ไี ม่ มีมูล กาหนดโดยอาการอย่ างไร?


๑.ไม่ได้ เห็นเอง
๒.ไม่ได้ ยินเอง
๓.ไม่ได้ เกิดรังเกียจสงสัย
(ปี 2560, 2552 และ 2545) อาบัติไม่มีมลู กาหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้ วยอาบัติไม่มีมลู เป็ น อาบัติอะไร ?
ตอบ กาหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้ เห็นเอง ๑ ไม่ได้ ยิน ๑ ไม่ได้ รังเกียจ ๑ ว่าภิกษุนนต้
ั ้ องอาบัติชื่อนัน้ ฯ
โจทด้ วยอาบัติปาราชิกต้ องสังฆาทิเสส
โจทด้ วยอาบัติสงั ฆาทิเสสต้ องปาจิตตีย์
โจทด้ วยอาบัติอื่นจากนี ้ต้ องปาจิตตีย์ ในสัมปชานมุสาวาทสิกขาบท ฯ
(ปี 2558) ภิกษุโจทภิกษุอนื่ ด้ วยอาบัติปาราชิกอย่างไร ภิกษุผ้ โู จทจึงต้ องอาบัติสงั ฆาทิเสส ?
ตอบ ภิกษุโกรธเคือง แกล้ งโจทภิกษุอื่นด้ วยอาบัติปาราชิกไม่มีมลู และภิกษุโกรธเคือง แกล้ งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้ วยอาบัติ
ปาราชิก

อาบัติท่ ตี ้ องให้ ท่องจาเป็ นชุดๆ


(ปี 2546) ภิกษุต้องอาบัติเพราะความซุกซน มีอย่ างไรบ้ าง?
ภิกษุซ่อนบาตร ซ่ อนปากกาของภิกษุอ่ ืนเพื่อล้ อเล่ น ต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ มีอย่างนี ้ คือ เล่นจี ้ เล่นน ้า หลอนภิกษุ ซ่อนของเพื่อล้ อเล่น พูดเย้ าให้ เกิดราคาญ ฯ
ซ่อนบาตร ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ซ่อนปากกา ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ

ซ่ อนบริขาร
 ภิกษุซอ่ นบริ ขาร คือ บาตร จีวร ผ้ าปูน่ ัง กล่ องเข็ม ประคดเอว สิง่ ใดสิง่ หนึง่ ของภิกษุอื่น ด้ วยคิดว่ าจะ
ล้ อเล่ น ต้ องปาจิตตีย์
 ภิกษุซอ่ นบริ ขารอื่น(ไม่ใช่บาตร จีวร ผ้ าปูนงั่ กล่องเข็ม ประคดเอว) หรื อซ่อนของอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ) เป็ น
ทุกกฏ
 เก็บบริ ขารไม่ได้ หมายจะล้ อเล่น เห็นวางไม่ดี ช่วยเก็บให้ ไม่ เป็ นอาบัติ
(ปี 2561) ภิกษุซอ่ นบาตร จีวร ร่ม และรองเท้ าของเพื่อนภิกษุเพื่อล้ อเล่น ต้ องอาบัติอะไรบ้ าง ?
ตอบ ซ่อนบาตร จีวร ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ซ่อนร่ม รองเท้ า ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2551) ภิกษุซอ่ นผ้ าอาบน ้าฝน บาตร จีวร กล่องเข็ม ด้ าย ของเพื่อนภิกษุหรื อสามเณรเพื่อล้ อเล่น เป็ นอาบัติอะไร?

10 | P a g e
ตอบ ซ่อนผ้ าอาบน ้าฝน ด้ าย ของเพื่อนภิกษุ เป็ นอาบัติทกุ กฏ
ซ่อน บาตร จีวร กล่อมเข็ม ของเพื่อนภิกษุ เป็ นอาบัติปาจิตตีย์
ซ่อนของสามเณรทุกอย่างเป็ นอาบัติทกุ กฏ
ลักทรัพย์ ท่ เี จ้ าของไม่ ได้ ให้ ต้ อง…
ทรัพย์ มีราคาตังแต่
้ ๕ มาสกขึ ้น เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติปาราชิก
ทรัพย์ มีราคาไม่ถืง ๕ มาสก แต่มากกว่า ๑ มาสก เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติถลุ ลัจจัย
ทรัพย์ มีราคาตังแต่
้ ๑ มาสกลงมา เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติทกุ กฏ
(ปี 2558) ในอทินนาทานสิกขาบท กาหนดราคาทรัพย์ เป็ นวัตถุแห่งอาบัติไว้ อย่างไรบ้ าง ?
ตอบ ทรัพย์มีราคาตังแต่
้ ๕ มาสก ขึ ้นไป เป็ นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
ทรัพย์มีราคาต่ากว่า ๕ มาสก แต่สงู กว่า ๑ มาสก เป็ นวัตถุแห่งอาบัติถลุ ลัจจัย
ทรัพย์มีราคาตังแต่
้ ๑ มาสก ลงไป เป็ นวัตถุแห่งอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2552) ในสิกขาบทที่ ๒ แห่ งอาบัติปาราชิก ทรัพย์ เป็ นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก อาบัติถุลลัจจัย และอาบัติ
ทุกกฏ มีกาหนดราคาไว้ เท่ าไร?
ตอบ ทรัพย์ มีราคาตังแต่
้ ๕ มาสกขึ ้น เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติปาราชิก
ทรัพย์ มีราคาไม่ถืง ๕ มาสก แต่มากกว่า ๑ มาสก เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติถลุ ลัจจัย
ทรัพย์ มีราคาตังแต่
้ ๑ มาสกลงมา เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติทกุ กฏ

ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ อง...
ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ องกายหญิง ต้ องสังฆาทิเสส
ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ องกายกะเทย(บัณเฑาะก์) ต้ องถุลลัจจัย
ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ องกายบุรุษ จับต้ องสัตว์ดิรัจฉานทังเพศผู
้ ้ เพศเมีย ต้ องทุกกฏ
(ปี 2559) ภิกษุมีความกาหนัด จับต้ องกายอนุปสัมบัน ต้ องอาบัติอะไร ?
ตอบ ต้ องอาบัติดงั นี ้
๑. จับต้ องกายหญิง ต้ องอาบัติสงั ฆาทิเสส
๒. จับต้ องกายกะเทย(บัณเฑาะก์) ต้ องอาบัติถลุ ลัจจัย
๓. จับต้ องกายบุรุษ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2549 และ 2545) ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ องกายหญิง กะเทย บุรุษ สัตว์ดิรัจฉานเพศผู้ สัตว์ดิรัจฉานเพศเมีย ต้ อง
อาบัติอะไร?

พระภิกษุจับต้ องวัตถุอนามาสโดยไม่ มีความกาหนัด เป็ นอาบัติทุกกฏ


วัตถุอนามาส คือ สิง่ ที่พระไม่ควรแตะต้ อง มี ๖ ประเภท ดังนี ้
11 | P a g e
๑.คนหญิง คนกะเทย เครื่ องแต่งกายของคนเหล่านัน้ แต่ที่เขาสละแล้ วไม่นบั ตุ๊กตาหญิง สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย
๒.ทอง เงิน มุกดา มณี ไพฑูรย์ ประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์ที่ขดั แล้ ว ศิลาชนิดดี เช่น หยก โมรา
๓.ศัสตราวุธต่างชนิด ที่ใช้ ทาร้ ายชีวิตร่างกาย
๔.เครื่ องดักสัตว์บก-น ้า
๕.เครื่ องประโคม
๖.ข้ าวเปลือกและผลไม้ อนั เกิดอยูใ่ นที่

ภิกษุแกล้ งฆ่ าสัตว์ ให้ ตาย ต้ องอาบัต…



ฆ่ามนุษย์ให้ ตาย ต้ องอาบัติปาราชิก
ฆ่าอมนุษย์ให้ ตาย และ การปลงชีวิตมนุษย์แต่ไม่สาเร็ จ คือไม่ตาย เป็ นแค่บาดเจ็บ ต้ องอาบัติถลุ ลัจจัย
ฆ่าสัตว์เดรัจฉานให้ ตาย ต้ องอาบัติปาจิตตีย์
พยายามฆ่าตนเอง ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2559) ภิกษุทาคนอื่นให้ ถึงแก่ความตาย ต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่ ?
ตอบ ถ้ าไม่จงใจ ไม่เป็ นอาบัติ แต่ถ้าจงใจประสงค์จะให้ เขาตาย เป็ นอาบัติ ฯ
(ปี 2557) ภิกษุฆา่ มนุษย์ ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน ต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ ฆ่ามนุษย์ ต้ องอาบัติปาราชิก ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
(ปี 2556) ภิกษุพยายามฆ่าตนเอง แต่ทาไม่สาเร็ จ จะต้ องอาบัติอะไร? ตอบ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2554) ภิกษุแกล้ งฆ่าสัตว์ให้ ตาย ต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ ฆ่ามนุษย์ให้ ตาย ต้ องอาบัติปาราชิก
ฆ่าอมนุษย์ให้ ตาย และ การปลงชีวิตมนุษย์แต่ไม่สาเร็ จ คือไม่ตาย เป็ นแค่บาดเจ็บ ต้ องอาบัติถลุ ลัจจัย
ฆ่าสัตว์เดรัจฉานให้ ตาย ต้ องอาบัติปาจิตตีย์
พยายามฆ่าตนเอง ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2548 และ 2544) ภิกษุฆา่ สัตว์ให้ ตายและพยายามฆ่าตนเอง ต้ องอาบัติอะไร?
(ปี 2546) การปลงชีวิตอย่างไร ต้ องอาบัติถลุ ลัจจัย?
ตอบ การปลงชีวิตมนุษย์แต่ไม่สาเร็ จ คือไม่ตาย เป็ นแค่บาดเจ็บ ๑
ปลงชีวิตอมนุษย์ มียกั ษ์ เปรต เป็ นต้ น ๑ ฯ

ภิกษุโจทภิกษุอ่ นื ด้ วยอาบัติไม่ มีมลู ต้ องอาบัต…



โจทด้ วยอาบัติปาราชิก เป็ นอาบัติสงั ฆาทิเสส
โจทด้ วยอาบัตินอกจากนี ้ เป็ นอาบัติปาจิตตีย์

12 | P a g e
(ปี 2553) ภิกษุโจทภิกษุอ่ นื ด้ วยอาบัติไม่ มีมูล เป็ นอาบัติอะไรบ้ าง
ตอบ โจทด้ วยอาบัติปาราชิก เป็ นอาบัติสงั ฆาทิเสส
โจทด้ วยอาบัตินอกจากนี ้ เป็ นอาบัติปาจิตตีย์

ภิกษุร้ ูอยู่ น้ อมลาภเพื่อ… ต้ องอาบัต…



น้ อมมาเพื่อตน เป็ นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
น้ อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็ นอาบัติปาจิตตีย์
น้ อมมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมูอ่ ื่น เป็ นอาบัติทกุ กฏ
(ปี 2559 และ 2546) ภิกษุร้ ูอยู่ น้ อมลาภที่เขา จะถวายสงฆ์มาเพื่อตนต้ องอาบัติอะไร ? ลาภนัน้ ได้ แก่อะไรบ้ าง ?
ตอบ ต้ องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
ได้ แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ซึง่ เรี ยกว่าปั จจัย ๔ และของที่เป็ นกัปปิ ยะอย่างอื่นอีก ฯ
(ปี 2556) มีผ้ นู าอาหารบิณฑบาตมาถวายแก่สงฆ์ ภิกษุแนะนาให้ ถวายแก่ตนเองและได้ มา เช่นนี ้จะต้ องอาบัติหรื อไม่ ?
ถ้ าต้ อง จะต้ องอาบัติอะไร ? ตอบ ต้ องอาบัติ ฯ ต้ องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
(ปี 2553 และ 2547) ภิกษุร้ ูอยู่ น้ อมลาภที่เขาน้ อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตน เพื่อบุคคลอื่น เพื่อเจดีย์ เพือ่ สงฆ์หมูอ่ ื่น
จะต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ น้ อมมาเพื่อตน เป็ นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
น้ อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็ นอาบัติปาจิตตีย์
น้ อมมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมูอ่ ื่น เป็ นอาบัติทกุ กฏ

(ปี 2551) ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ ใช่ ภกิ ษุ) เป็ นอาบัตหิ รือไม่ อย่ างไร?
ตอบ ถ้ าเป็ นผู้ชาย เกินกว่ า ๓ คืน เป็ นอาบัติปาจิตตีย์
ถ้ าเป็ นผู้หญิง แม้ ในคืนแรก เป็ นอาบัติปาจิตตีย์

เสขิยวัตร ๗๕ คือ ธรรมเนียมหรื อวัตรที่ภิกษุพงึ ศึกษา มี ๗๕ ข้ อ ภิกษุไม่ปฏิบตั ิตาม ต้ องอาบัติทกุ กฏ


แบ่ งออกเป็ น ๔ หมวด ดังนี ้
๑.สารูป ว่าด้ วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้ าบ้ าน
๒.โภชนปฏิสังยุต ว่าด้ วยธรรมเนียมรับบิณฑบาตและฉันอาหาร (การขบฉัน) หมวด๒ ออกข้ อสอบบ่ อย**
๓.ธัมมเทสนาปฏิสังยุต ว่าด้ วยธรรมเนียมไม่ให้ แสดงธรรมแก่บคุ คลผู้แสดงอาการไม่เคารพ
๔.ปกิณกะ ว่าด้ วยธรรมเนียมถ่ายอุจจาระ ปั สสาวะ หมวด๔ ออกข้ อสอบบ่ อย**
(ปี 2562 และ 2556) เสขิยวัตร คืออะไร ? โภชนปฏิสงั ยุต ว่าด้ วยเรื่ องอะไร ?
ตอบ คือ วัตรหรื อธรรมเนียมที่ภิกษุจาต้ องศึกษา ฯ ว่าด้ วยเรื่ องการรับและการฉันอาหาร ฯ
13 | P a g e
(ปี 2561, 2548 และ 2544) เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่เอื ้อเฟื อ้ ในเสขิยวัตรนัน้ ต้ องอาบัติอะไร ?
ตอบ คือ วัตรหรื อธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2559) เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่ปฏิบตั ิตาม ต้ องอาบัติอะไร ?
ตอบ คือธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2557) วัตรที่ภิกษุสามเณรจะต้ องศึกษา เรี ยกว่าอะไร? มีทงหมดกี
ั้ ่ข้อ? ตอบ เรี ยกว่าเสขิยวัตร ฯ มี ๗๕ ข้ อ ฯ
(ปี 2556) ภิกษุไม่เอื ้อเฟื อ้ ในเสขิยวัตร ปฏิบตั ิผิดธรรมเนียมไป ต้ องอาบัติอะไร? ตอบ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2553) เสขิยวัตร คืออะไร? แบ่งเป็ นกี่หมวด? หมวดที่ ๒ ว่าด้ วยเรื่ องอะไร?
ตอบ คือ ธรรมเนียมหรื อวัตรที่ภิกษุพงึ ศึกษา ฯ แบ่งเป็ น ๔ หมวด ฯ
ว่าด้ วยเรื่ อง โภชนปฏิสงั ยุต คือธรรมเนียมว่าด้ วยเรื่ องการขบฉัน ฯ
(ปี 2551) เสขิยวัตร คืออะไร? มีทงหมดกี
ั้ ่ข้อ? ตอบ คือ ธรรมเนียมหรื อวัตรที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ มี ๗๕ ข้ อ ฯ
(ปี 2549) เสขิยวัตร คืออะไร? มีกี่ข้อ? ภิกษุละเมิดต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ คือวัตรที่ภกิ ษุจะต้ องศึกษา ฯ มี ๗๕ ข้ อ ฯ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2546) เสขิยวัตร คืออะไร? หมวดที่ ๒ ว่าด้ วยเรื่ องอะไร?
ภิกษุไม่เอื ้อเฟื อ้ ในเสขิยวัตร ปฏิบตั ิผิดธรรมเนียม ต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ คือ วัตรหรื อธรรมเนียมที่ควรศึกษา ฯ หมวดที่ ๒ ว่าด้ วยธรรมเนียมรับบิณฑบาตและฉันอาหาร ฯ ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ

อธิกรณ์ ๔
อธิกรณ์ ๔ คือ เรื่ องที่เกิดขึ ้นแล้ วจะต้ องจัดต้ องทา เมื่อเกิดขึน้ แล้ วต้ องระงับด้ วยอธิกรณสมถะอย่ างใดอย่ างหนึ่ง
ตามสมควรแก่ อธิกรณ์ นัน้ ๆ มี ๔ ประเภท ดังนี ้
๑.วิวาทาธิกรณ์ คือ วิวาท การเถียง ได้ แก่ การเถียงว่ า สิ่งนัน้ เป็ นธรรมเป็ นวินัย สิ่งนีไ้ ม่ ใช่ ธรรมไม่ ใช่ วินัย นี ้จะต้ อง
ได้ รับชี ้ขาดว่าถูกว่าผิด
๒.อนุวาทาธิกรณ์ คือ การโจทกันด้ วยอาบัติ นี ้จะต้ องได้ รับวินิจฉัยว่าจริ งหรื อไม่จริ ง
๓.อาปั ตตาธิกรณ์ คือ กิริยาที่ต้องอาบัติหรื อถูกปรับอาบัติ นี ้จะต้ องทาคืน คือทาให้ พ้นโทษ
๔.กิจจาธิกรณ์ คือ กิจธุระที่สงฆ์จะพึงทา เช่น ให้ อปุ สมบท นี ้จะต้ องทาให้ สาเร็ จ

อธิกรณสมถะ คือ ธรรมเครื่ องระงับอธิกรณ์ มี ๗ อย่ าง เช่น เยภุยยสิกา เป็ นต้ น


การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้ างมาก เรี ยกว่า เยภุยยสิกา (อันนี ้ออกข้ อสอบบ่อย)

(ปี 2561 และ 2556) ภิกษุเถียงกันด้ วยเรื่ องอะไร จึงเรี ยกว่า วิวาทาธิกรณ์?
ตอบ เถียงกันด้ วยเรื่ อง สิง่ นันเป็
้ นธรรมเป็ นวินยั สิง่ นี ้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินยั ฯ
(ปี 2558) การเถียงกันด้ วยเรื่ องอะไรจึงจัดเป็ นวิวาทาธิกรณ์ ?
14 | P a g e
ตอบ การเถียงกันว่า สิง่ นันเป็
้ นธรรมเป็ นวินยั สิง่ นี ้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินยั ฯ
(ปี 2557) อธิกรณ์ อธิกรณสมถะ คืออะไร?
ตอบ อธิกรณ์ คือเรื่ องที่เกิดขึ ้นแล้ วจะต้ องจัดต้ องทา
อธิกรณสมถะ คือธรรมเครื่ องระงับอธิกรณ์ ฯ
(ปี 2554) อธิกรณ์คืออะไร? การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้ างมาก เรี ยกว่าอะไร?
ตอบ อธิกรณ์ คือ เรื่ องที่เกิดขึ ้นแล้ วจะต้ องจัดต้ องทา ฯ เรี ยกว่า เยภุยยสิกา ฯ
(ปี 2552) อธิกรณ์ คืออะไร? เมื่อเกิดขึ ้นแล้ วต้ องทาอย่างไร?
ตอบ คือ เรื่ องที่เกิดขึ ้นแล้ วจะต้ องจัดต้ องทา ฯ
ต้ องระงับด้ วยอธิกรณสมถะอย่างใดอย่างหนึง่ ตามสมควรแก่อธิกรณ์นนั ้ ๆ ฯ
(ปี 2551) อธิกรณสมถะ คืออะไร? มีกี่อย่าง? การตัดสินตามเสียงข้ างมาก เรี ยกว่าอะไร?
ตอบ คือ ธรรมเครื่ องระงับอธิกรณ์ ฯ มี ๗ อย่าง ฯ เรี ยกว่า เยภุยยสิกา ฯ
(ปี 2551) วิวาทาธิกรณ์กบั อนุวาทาธิกรณ์ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ วิวาทาธิกรณ์ คือการเถียงว่า สิง่ นันเป็
้ นธรรมเป็ นวินยั สิง่ นี ้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินยั ส่วนอนุวาทาธิกรณ์ คือการโจทกัน
ด้ วยอาบัติ ฯ
(ปี 2546) อธิกรณ์ คืออะไร? อธิกรณ์ยอ่ มระงับได้ ด้วยอะไร?
การแสดงอาบัติจดั เข้ าในอธิกรณสมถะข้ อไหน? สาหรับระงับอธิกรณ์อะไร?
ตอบ คือ เรื่ องที่เกิดขึ ้นแล้ วจะต้ องจัดต้ องทา ฯ ระงับได้ ด้วยอธิกรณสมถะ คือธรรมสาหรับระงับอธิกรณ์ ฯ
จัดเข้ าในปฏิญญาตกรณะ ฯ สาหรับระงับอาปั ตตาธิกรณ์ ฯ
(ปี 2543) การอุปสมบทจัดเป็ นอธิกรณ์อะไร? ใครเป็ นผู้ระงับอธิกรณ์นน?
ั้
ตอบ จัดเป็ นกิจจาธิกรณ์ สงฆ์เป็ นผู้ระงับอธิกรณ์นนั ้
(ปี 2543) ภิกษุเถียงกันเรื่ องการแก้ ปัญหาจราจรเป็ นอธิกรณ์อะไรหรื อไม่
ตอบ ไม่จดั เป็ นอธิกรณ์ เพราะไม่ใช่การเถียงกันปรารถพระธรรมวินยั

เรื่องอื่นๆน่ าจะไม่ ออกข้ อสอบ


(ปี 2545 ยาก ไม่ ได้ ออกนานแล้ ว) ผ้ าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ ใช้ ได้ ทาด้ วยวัตถุกี่ชนิด? อะไรบ้ าง?
ตอบ ๖ ชนิด คือ ๑.ทาด้ วยเปลือกไม้ เช่น ผ้ าลินิน
๒.ทาด้ วยฝ้ าย คือ ผ้ าสามัญ
๓.ทาด้ วยไหม คือ ผ้ าแพร
๔.ทาด้ วยขนสัตว์ เช่น ผ้ าสักหลาด
๕.ทาด้ วยเปลือกไม้ เช่น ผ้ าป่ าน (สาณะ)

15 | P a g e
๖.ทาด้ วยสัมภาระเจือกัน ฯ

รายละเอียดอาบัตเิ ป็ นข้ อๆ
ปาราชิก ๔
 สิกขาบทที่ ๑ ภิกษุเสพเมถุน (ร่วมประเวณี, ร่วมสังวาส) ต้ องปาราชิก
 สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุถือเอาของที่เจ้ าของไม่ได้ ให้ ได้ ราคา ๕ มาสก ต้ องปาราชิก
 สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุแกล้ ง (จงใจ) ฆ่ามนุษย์ให้ ตาย ต้ องอาบัติปาราชิก
 สิกขาบทที่ ๔ ภิกษุอวดอุตริ มนุสสธรรม(คือธรรมอันยิ่งยวดของมนุษย์)ที่ไม่มีในตน ต้ องปาราชิก

(ปี 2562 และ 2545) ปาราชิก ๔ สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ ให้ คนอื่นทาก็ต้องอาบัติถึงที่สดุ ?


ตอบ สิกขาบทที่ ๒ และสิกขาบทที่ ๓ ฯ
(ปี 2558) สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์มีเท่าไร ? สิกขาบทว่าด้ วยปาราชิกมีอะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ มี ๑. เสพเมถุน
๒. ภิกษุถือเอาของที่เจ้ าของเขาไม่ได้ ให้ ได้ ราคา ๕ มาสก
๓. ภิกษุแกล้ งฆ่ามนุษย์ให้ ตาย
๔. ภิกษุอวดอุตตริ มนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ฯ

(ปี 2558) ในอทินนาทานสิกขาบท กาหนดราคาทรัพย์ เป็ นวัตถุแห่งอาบัติไว้ อย่างไรบ้ าง ?


ตอบ ทรัพย์มีราคาตังแต่
้ ๕ มาสก ขึ ้นไป เป็ นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
ทรัพย์มีราคาต่าากว่า ๕ มาสก แต่สงู กว่า ๑ มาสก เป็ นวัตถุแห่งอาบัติถลุ ลัจจัย
ทรัพย์มีราคาตังแต่
้ ๑ มาสก ลงไป เป็ นวัตถุแห่งอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2557) สังหาริ มทรัพย์ และ อสังหาริ มทรัพย์ ได้ แก่ทรัพย์เช่นไร?
ตอบ สังหาริ มทรัพย์ ได้ แก่ทรัพย์หรื อสิง่ ของที่เคลือ่ นที่ได้ เช่น สัตว์ เงินทอง เป็ นต้ น ฯ
อสังหาริ มทรัพย์ ได้ แก่ทรัพย์หรื อสิง่ ของที่เคลือ่ นที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน ต้ นไม้ เรื อน เป็ นต้ น ฯ
(ปี 2550) สังหาริ มทรัพย์ และ อสังหาริ มทรัพย์คือทรัพย์เช่นไร? ภิกษุจะต้ องอาบัติถึงที่สดุ ในเพราะลักทรัพย์ทงั ้ ๒ อย่าง
นันเมื
้ ่อใด? ตอบ สังหาริ มทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลือ่ นที่ได้ อสังหาริ มทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลือ่ นที่ไม่ได้ ฯ
สาหรับสังหาริ มทรัพย์ ภิกษุจะต้ องอาบัติถึงที่สดุ ในเมื่อทาให้ ทรัพย์นนเคลื
ั ้ อ่ นจากที่เดิม ส่วนอสังหาริ มทรัพย์ จะต้ อง
อาบัติถึงที่สดุ ในเมื่อเจ้ าของทอดกรรมสิทธิ์ ฯ
(ปี 2545) สังหาริ มทรัพย์ และอสังหาริ มทรัพย์ ได้ แก่ทรัพย์เช่นไร ?

16 | P a g e
การถือเอาทรัพย์ทงั ้ ๒ อย่างนัน้ กาหนดว่าถึงที่สดุ ไว้ อย่างไร?
ตอบ สังหาริ มทรัพย์ ได้ แก่ทรัพย์หรื อสิง่ ของที่เคลือ่ นที่ได้ ทังที
้ ่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ เช่นสัตว์และเงินทองเป็ นต้ น ฯ
ส่วนอสังหาริ มทรัพย์ ได้ แก่ทรัพย์หรื อสิง่ ของที่เคลือ่ นที่ไม่ได้ โดยตรงได้ แก่ที่ดิน โดยอ้ อมนับของที่ติดเนื่องอยูก่ บั ที่นนด้
ั ้ วย
เช่น ต้ นไม้ และเรื อนเป็ นต้ น ฯ
สังหาริ มทรัพย์ กาหนดว่าถึงที่สดุ ด้ วยทาให้ เคลือ่ นจากฐาน ฯ
อสังหาริ มทรัพย์ กาหนดว่าถึงที่สดุ ด้ วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้ าของ ฯ
(ปี 2549 และ 2545) คาว่า "ไถยจิต" หมายถึงอะไร? ในอทินนาทานสิกขาบท กาหนดราคาทรัพย์เป็ นวัตถุแห่งอาบัติไว้
อย่างไรบ้ าง? ตอบ หมายถึงจิตคิดจะลัก คือจิตคิดถือเอาของที่เจ้ าของไม่ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย ฯ
กาหนดไว้ อย่างนี ้
ทรัพย์มีราคาตังแต่
้ ๕ มาสก ขึ ้นไป เป็ นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
ทรัพย์มีราคาต่ากว่า ๕ มาสก แต่สงู กว่า ๑ มาสก เป็ นวัตถุแห่งอาบัติถลุ ลัจจัย
ทรัพย์มีราคาตังแต่
้ ๑ มาสก ลงไป เป็ นวัตถุแห่งอาบัติทกุ กฏ ฯ

(ปี 2562) พูดอย่างไรเรี ยกว่า อวดอุตตริ มนุสสธรรม ? ตอบ พูดอวดคุณพิเศษอันยิ่งของมนุษย์ เช่น ฌาน วิโมกข์ สมาธิ
สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน เรี ยกว่า อวดอุตตริ มนุสสธรรมฯ
(ปี 2549) อุตตริ มนุสสธรรม คืออะไร? มีอะไรบ้ าง?
ตอบ คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ หรื อคุณอย่างยวดยิ่งของมนุษย์ ฯ มี ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน ฯ
(ปี 2544) ภิกษุพดู อวดอุตตริ มนุสสธรรมซึง่ ไม่มีจริ งในตน เมื่อคนอื่นฟั งแล้ วเข้ าใจแต่ไม่เชื่อ ภิกษุนี ้จะต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ ต้ องอาบัติปาราชิก
(ปี 2543) ปาราชิก ๔ ข้ อไหนเป็ นสจิตตกะ ข้ อไหนเป็ นอจิตตกะ? ทาไมเป็ นเช่นนัน?

ตอบ ปาราชิก ๔ ข้ อ เป็ นสจิตตกะ ที่เป็ นเช่นนัน้ เพราะต้ องด้ วยจงใจ เกิดขึ ้นโดยมีเจตนาเป็ นสมุฏฐาน

สังฆาทิเสส ๑๓
 ๑. ภิกษุแกล้ งทาน ้าอสุจิเคลือ่ น
 ๒. ภิกษุมีความกาหนัดอยู่ จับต้ องกายหญิง
 ๓. ภิกษุมีความกาหนัดอยู่ พูดเกี ้ยวหญิง
 ๔. ภิกษุมีความกาหนัดอยู่ พูดล่อให้ หญิงบาเรอตนด้ วยกาม
 ๕. ภิกษุชกั สือ่ ให้ ชายหญิงเป็ นผัวเมียกัน

17 | P a g e
 ๖. ภิกษุสร้ างกุฎิที่ต้องก่อและ โบกด้ วยปูนหรื อดิน เป็ นเจ้ าของจาเพาะเป็ นที่อยูข่ องตน ต้ องทาให้ ได้ ประมาณ
โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต กว้ างเพียง ๗ คืบพระสุคต (๑ คืบพระสุคต = ๒๕ ซม) และต้ องให้ สงฆ์แสดงที่ให้
ก่อน ถ้ าไม่ให้ พระสงฆ์แสดงที่ให้ ก็ดี ทาให้ เกินประมาณก็ดี ต้ องสังฆาทิเสส
 ๗. ถ้ าที่อยูซ่ งึ่ จะสร้ างขึ ้นนัน้ มีทายกเป็ นเจ้ าของ ทาให้ เกินประมาณนันได้
้ แต่ต้องให้ สงฆ์ แสดงที่ให้ ก่อน ถ้ า
ไม่ให้ สง)แสดงที่ให้ ก่อนต้ อง สังฆาทิเสส
 ๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้ งโจทภิกษุอื่นด้ วยอาบัติปาราชิกไม่มีมลู ต้ องสังฆาทิเสส
 ๙. ภิกษุโกรธเคือง แกล้ งหาเลศโจทภิกษุอื่นด้ วยอาบัติปาราชิก ต้ องสังฆาทิเสส
 ๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทาลายพระสงฆ์ให้ แตกกัน ภิกษุอื่นห้ ามไม่ฟังสงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ ละข้ อที่ประพฤติ
นัน้ ถ้ าไม่ละ ต้ องสังฆาทิเสส
 ๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผ้ ทู าลายสงฆ์นนั ้ ภิกษุอื่นห้ ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ ละข้ อที่ประพฤตินนั ้ ถ้ า
ไม่ละ ต้ องสังฆาทิเสส
 ๑๒. ภิกษุวา่ ยากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ ละประพฤตินนั ้ ถ้ าไม่ละ ต้ องสังฆาทิเสส
 ๑๓. ภิกษุประทุษร้ ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับติเตียนสงฆ์ ภิกษุอื่นห้ ามไม่ฟัง สงฆ์สวด
กรรมเพื่อจะให้ ละข้ อที่ประพฤตินนั ้ ถ้ าไม่ละ ต้ องสังฆาทิเสส

สังฆาทิเสส ๙ สิกขาบทข้ างต้ นให้ ต้องอาบัติแต่แรกที่เราเรี ยกว่า “ปฐมาปั ตติกะ”


ส่วน ๔ สิกขาบทข้ างปลาย ให้ ต้องอาบัติตอ่ เมื่อสงฆ์สวดประกาศห้ ามครบ ๓ ครัง้ เรี ยกว่า “ยาวตติยกะ”
อาบัติหนักในฝ่ ายอาบัติที่จะแก้ ไขได้ เรี ยกว่า ครุ กาบัติ มีเรื่ องหยาบคายอยูม่ าก จึงเรี ยกว่า ทุฏฐุ ลลาบัติ ภิกษุผ้ ตู ้ องแล้ ว
จะทาได้ ด้วยอยูก่ รรม จึงเรี ยกว่า วุฏฐานคามินี

(ปี 2562 และ 2546) คาว่า "ภิกษุประทุษร้ ายตระกูล" ในสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งสังฆาทิเสสหมายถึงการทาอย่างไร ?


ตอบ หมายถึงการที่ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมตนให้ เขาใช้ สอย เช่น เดินส่งข่าวให้ เขาเป็ นต้ น หรื อด้ วยการเอาเปรี ยบโดย
เชิงให้ สงิ่ เล็กน้ อยด้ วยหวังได้ มาก ฯ
(ปี 2560) คาว่า มาตุคาม ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๒ และ ๓ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ในสิกขาบทที่ ๒ หมายรวมทังหญิ
้ งที่ร้ ูเดียงสาและไม่ร้ ูเดียงสา โดยที่สดุ แม้ เกิดในวันนัน้
ส่วนในสิกขาบทที่ ๓ หมายเฉพาะหญิงที่ร้ ูเดียงสาแล้ วเท่านัน้ ฯ
(ปี 2547 และ 2544) คาว่า มาตุคาม ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๒, ๓, ๔ และ ๕ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ มาตุคามในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ หมายหญิงมนุษย์โดยที่สดุ แม้ เกิดในวันนันรวมทั
้ งหญิ
้ งที่ร้ ูเดียงสาและไม่ร้ ู
เดียงสา ส่วนมาตุคามในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓, ๔ และ ๕ หมายเฉพาะหญิงผู้ร้ ูเดียงสาแล้ วเท่านัน้ ฯ
(ปี 2558) ภิกษุประพฤติอย่างไร ชื่อว่าประทุษร้ ายตระกูล ? ตอบ ประจบคฤหัสถ์ ฯ
18 | P a g e
(ปี 2557) ภิกษุมีความกาหนัด จับต้ องกายอนุปสัมบัน ต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ อนุปสัมบันเป็ นหญิง ต้ องอาบัติสงั ฆาทิเสส
อนุปสัมบันเป็ นบัณเฑาะก์ ต้ องอาบัติถลุ ลัจจัย
อนุปสัมบันเป็ นชาย ต้ องอาบัติทกุ กฏ ฯ
(ปี 2556) ข้ อความว่า ภิกษุชกั สือ่ ให้ ชายหญิงเป็ นผัวเมียกัน ตามสิกขาบทที่ ๕ แห่งสังฆาทิเสสนัน้ หมายถึงการทา
อย่างไร? ตอบ หมายถึงการที่ภิกษุบอกความประสงค์ของชายแก่หญิง หรื อบอกความประสงค์ของหญิงแก่ชายในความ
เป็ นผัวเมีย ฯ
(ปี 2551) สังฆาทิเสส มีกี่สกิ ขาบท? ภิกษุต้องอาบัตินี ้จะพ้ นได้ ด้วยวิธีอย่างไร?
ตอบ มี ๑๓ สิกขาบท ฯ ด้ วยวิธีอยูก่ รรม ที่เรี ยกว่า วุฏฐานคามินี ฯ
(ปี 2550) ภิกษุร้ ูตวั ว่าต้ องอาบัติสงั ฆาทิเสส จึงแสดงอาบัตินนต่
ั ้ อภิกษุอีกรูปหนึง่ อย่างนี ้จะพ้ นจากอาบัตินนได้
ั ้ หรื อไม่
เพราะเหตุไร? ตอบ พ้ นไม่ได้ เพราะอาบัติสงั ฆาทิเสสนัน้ ภิกษุผ้ ตู ้ องจะพ้ นได้ ด้วยอยูก่ รรม ฯ
(ปี 2546) คาว่า “ภิกษุประทุษร้ ายตระกูล” ในสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งสังฆาทิเสส หมายถึงการทาอย่างไร ?
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท ที่ชื่อว่า ยาวตติยกะ หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ หมายถึงการที่ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมตนให้ เขาใช้ สอย เช่นเดินส่งข่าวให้ เขาเป็ นต้ น หรื อ ด้ วยการเอาเปรี ยบโดย
เชิงให้ สงิ่ เล็กน้ อยด้ วยหวังได้ มาก ฯ
ที่ชื่อว่า ยาวตติยกะ เพราะให้ ต้องอาบัติตอ่ เมื่อสงฆ์ประกาศห้ ามครบ ๓ ครัง้ ฯ
(ปี 2546) “ภิกษุวา่ ยากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ ละข้ อที่ประพฤตินนั ้ ถ้ าไม่ละต้ องสังฆาทิเสส”
คือสิกขาบทที่เท่าไร ทรงบัญญัติเพื่อประสงค์ใด?
ตอบ สิกขาบทที่ ๑๒ แห่งสังฆาทิเสส เพื่อป้องกันไม่ไห้ ภิกษุดื ้อด้ าน ฯ
(ปี 2545) สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบทไหนบ้ างต้ องอาบัติตงแต่
ั ้ แรกทา? มีชื่อเรี ยกอย่างไร?
ตอบ สิกขาบทที่ ๑ ถึงที่ ๙ ฯ เรี ยกว่า ปฐมาปั ตติกะ ฯ
(ปี 2543) เพราะเหตุไร สังฆาทิเสส จึงเรี ยกว่า ครุกาบัติ ทุฏฐุลลาบัติ วุฏฐานคามิน?ี
ตอบ เพราะเป็ นอาบัติหนัก จึงเรี ยกว่า ครุกาบัติ
เพราะมีเรื่ องหยาบคายมาก จึงเรี ยกว่า ทุฏฐุลลาบัติ
เพราะภิกษุผ้ ตู ้ องแล้ วจะทาได้ ด้วยอยูก่ รรม จึงเรี ยกว่า วุฏฐานคามินี

อนิยต ๒ แปลว่า วางอาบัติไว้ ไม่แน่


 ภิกษุนงั่ ในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ ามีคนที่ควรเชื่อได้ มาพูดขึ ้นด้ วยธรรม ๓ อย่าง คือ ปาราชิก หรื อ
สังฆาทิเสส หรื อปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึง่ ภิกษุรับอย่างใดให้ ปรับอย่างนันหรื
้ อเขาว่าจาเพาะธรรมอย่างใดให้
ปรับอย่างนัน้

19 | P a g e
 ภิกษุนงั่ ในที่ลับหูกบั หญิงสองต่อสอง ถ้ ามีคนที่ควรเชื่อได้ มาพูดขึ ้นด้ วยธรรม ๒ อย่าง คือ สังฆาทิเสส หรื อ
ปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึง่ ภิกษุรับอย่างใดให้ ปรับอย่างนันหรื
้ อเขาว่าจาเพาะธรรมอย่างใดให้ ปรับอย่างนัน้
(ปี 2550) ที่ลบั ตา กับที่ลบั หู ต่างกันอย่างไร? ที่ลบั ทัง้ ๒ นัน้ เป็ นทางให้ ปรับอาบัติได้ มากน้ อยกว่ากันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี ้ ที่ที่มีสงิ่ กาบัง เห็นกันไม่ได้ เรี ยกว่า ที่ลบั ตา ที่ที่ไม่มีสงิ่ กาบัง เห็นกันได้ แต่ฟังเสียงพูดกันไม่ได้ ยิน
เรี ยกว่า ที่ลบั หู ฯ
ที่ลบั ตา เป็ นทางให้ ปรับอาบัติได้ มากกว่า คือตังแต่
้ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถึง ปาจิตตีย์
ส่วนที่ลบั หู เป็ นทางให้ ปรับอาบัติตงแต่
ั ้ สงั ฆาทิเสสลงมา ฯ
(ปี 2547) ในอนิยต ที่ลบั ตา และที่ลบั หู ได้ แก่ที่เช่นไร? ภิกษุอยูก่ บั มาตุคามสองต่อสองในที่เช่นนัน้ เป็ นทางปรับอาบัติ
อะไรได้ บ้าง?
ตอบ ที่ลบั ตา ได้ แก่ ที่มีวตั ถุกาบัง แลเห็นไม่ได้ ที่ลบั หู ได้ แก่ ที่แจ้ ง แลเห็นได้ แต่หา่ ง ไม่ได้ ยินเสียงพูด ฯ
ในที่ลบั ตา เป็ นทางปรับอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส และ ปาจิตตีย์
ในที่ลบั หู เป็ นทางปรับอาบัติสงั ฆาทิเสส และ ปาจิตตีย์ ฯ

ถุลลัจจัย
 ฆ่าอมนุษย์ให้ ตาย ต้ องอาบัติถลุ ลัจจัย
 ภิกษุลกั ทรัพย์ มีราคาไม่ถืง ๕ มาสก แต่มากกว่า ๑ มาสก เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติถลุ ลัจจัย
 ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ องกายกะเทย ต้ องถุลลัจจัย

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
(ปี 2560) ภิกษุต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ หรื ออาบัติปาจิตตีย์ มีวิธีแสดงอาบัติ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้ องเสียสละวัตถุอนั เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัตินนเสี
ั ้ ยก่อน จึงแสดงอาบัติได้ ส่วนอาบัติปาจิตตีย์นนั ้
ภิกษุพงึ แสดงอาบัติได้ เลย ไม่มีวตั ถุใด ๆ ที่ต้องสละ ฯ

 จีวรและบาตรนอกจากจีวรและบาตรที่อธิษฐาน เก็บเกิน ๑๐ วัน ต้ องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ (ในนิสสัคคิย


ปาจิตตีย์ จีวรวรรค และปั ตตวรรค)
(ปี 2555) อติเรกจีวร อติเรกบาตร ได้ แก่จีวรและบาตรเช่นไร? จีวรและบาตรชนิดนี ้ ภิกษุเก็บไว้ ได้ กี่วนั ?
 ภิกษุอยูป่ ราศจากไตรจีวรแม้ เพียงคืนหนึง่ ต้ องอาบัตนิ ิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่ได้ สมมติ (สงฆ์ตกลงกันให้ อยู่
ปราศจากไตรจีวรได้ ) (ในนิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรค) ต้ องสละไตรจีวรผืนที่อยู่ปราศจากนัน้ แล้ วแสดง
อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อได้ รับผ้ ากลับคืนมาแล้ ว ต้ องอธิษฐานใหม่
(ปี 2562 และ 2553) ไตรจีวร มีอะไรบ้ าง ? ภิกษุอยูป่ ราศจากไตรจีวรแม้ คืนหนึง่ ต้ องอาบัติอะไร ?

20 | P a g e
ตอบ มี สังฆาฏิ คือผ้ าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้ าห่ม และอันตรวาสก คือผ้ านุง่ ฯ ต้ องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
(ปี 2559) ผ้ าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ ภิกษุอธิษฐานไว้ ใช้ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ?
ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. สังฆาฏิ (ผ้ าคลุม) ๒. อุตตราสงค์ (ผ้ าห่ม) ๓. อันตรวาสก (ผ้ านุง่ ) ฯ
(ปี 2554) ไตรจีวรประกอบด้ วยผ้ าอะไรบ้ าง? ภิกษุอยูป่ ราศจากไตรจีวร ต้ องปฏิบตั ิอย่างไร?
ตอบ ไตรจีวร ประกอบด้ วย ผ้ าสังฆาฏิ (ผ้ าคลุม) ผ้ าอุตตราสงค์ (จีวร หรื อ ผ้ าห่ม) และอันตรวาสก (สบง หรื อ
ผ้ านุง่ ) ต้ องสละไตรจีวรผืนที่อยูป่ ราศจากนัน้ แล้ วแสดงอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อได้ รับผ้ ากลับคืนมาแล้ ว
ต้ องอธิษฐานใหม่
 ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผ้ ไู ม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา (คือไม่ได้ บอกให้ ขอ) ได้ มา ต้ องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่มี
สมัยที่จะขอจีวรได้ คือเวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรื อมีจีวรอันฉิบหายเสีย
(ปี 2558) พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผ้ ไู ม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ได้ ในสมัยใดบ้ าง ?
ตอบ ในสมัยที่ภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรื อมีจีวรอันฉิบหายเสีย ฯ
(ปี 2556) ภิกษุขอจีวรต่อสามีของน้ องสาวแล้ วได้ มา เธอจะต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่?
ตอบ ถ้ าสามีของน้ องสาวเป็ นญาติก็ดีมิใช่ญาติแต่ปวารณาก็ดี ไม่ต้องอาบัติ
ถ้ ามิใช่ญาติและมิได้ ปวารณา เป็ นเพียงน้ องเขย ต้ องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
เว้ นไว้ แต่สมัย (คือในเวลาจีวรถูกขโมยหรื อเสียหาย) ฯ
 น้ อมมาเพื่อตน เป็ นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ (ในนิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรค)
(ปี 2556) มีผ้ นู าอาหารบิณฑบาตมาถวายแก่สงฆ์ ภิกษุแนะนาให้ ถวายแก่ตนเองและได้ มา เช่นนี ้จะต้ องอาบัติ
หรื อไม่ ? ถ้ าต้ อง จะต้ องอาบัติอะไร ? ตอบ ต้ องอาบัติ ฯ ต้ องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ

ปาจิตตีย์ ๙๒ หรือเรียกอีกอย่ างว่ า สุทธิกปาจิตตีย์


 ภิกษุนอนในที่มงุ ที่บงั อันเดียวกันกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ เช่น คฤหัสถ์ผ้ ชู าย สามเณร) เกิน ๓ คืนขึ ้นไป ต้ อง
อาบัติปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรค)
(ปี 2561 และ 2553) ภิกษุนอนในที่มงุ ที่บงั เดียวกันกับสามเณร จะเป็ นอาบัติหรื อไม่?
ตอบ นอนได้ ๓ คืนไม่อาบัติ เกินกว่านันต้
้ องอาบัติปาจิตตีย์
 ภิกษุนอนในที่มงุ ที่บงั อันเดียวกันกับผู้หญิง แม้ ในคืนแรกต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรค)
 ภิกษุบอกอุตตริ มนุสธรรม (ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ คือ คุณวิเศษ ได้ แก่ ฌาณ วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค
ผล)ที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ) ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรค)
(ปี 2560) ในปาจิตตีย์ ภิกษุต้องอาบัติเพราะพูดเรื่ องจริ ง มีหรื อไม่ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ มี ฯ เพราะบอกอุตตริ มนุสสธรรมที่มีจริ งแก่อนุปสัมบัน ตามสิกขาบทที่ ๘ แห่งมุสาวาทวรรค และเพราะ
บอกอาบัติชวั่ หยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้ นไว้ แต่ได้ รับสมมติ ตามสิกขาบท ที่ ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ

21 | P a g e
(ปี 2545) ภิกษุพดู ปดต้ องอาบัตินนทราบแล้
ั้ ว แต่ถ้าพูดเรื่ องจริ ง จะต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่?
ตอบ ต้ องอาบัติเหมือนกันคือ บอกอุตตริ มนุสสธรรมที่มีจริ งแก่อนุปสัมบัน ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่
๘ แห่งมุสาวาทวรรค บอกอาบัติชวั่ หยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้ นไว้ แต่ได้ รับสมมติ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ตาม
สิกขาบทที่ ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
(ปี 2560 และ 2544) พูดอย่างไรเรี ยกว่า อวดอุตตริ มนุสสธรรม?
ตอบ พูดอวดคุณพิเศษอันยิ่งของมนุษย์ คือพูดว่าข้ าพเจ้ าได้ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน
เรี ยกว่า อวดอุตตริ มนุสสธรรม
 พูดปด ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรค) และ ภิกษุดื่มน ้าเมา ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สุราปาน
วรรค)
(ปี 2552) พระ ก. นาเบียร์ มาให้ พระ ข. ดื่ม โดยหลอกว่าเป็ นน ้าอัดลม พระ ข. หลงเชื่อจึงดื่มเข้ าไป ถามว่าพระ
ก. และพระ ข. ต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่? ตอบ พระ ก. เป็ นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะพูดปด ส่วนพระ ข. เป็ นอาบัติ
ปาจิตตีย์ เพราะดื่มน ้าเมา แม้ ไม่ร้ ูก็ต้องอาบัติ เพราะสิกขาบทนี ้เป็ นอจิตตกะ(คือไม่เจตนา สาคัญว่ามิใช่น ้าเมา
ดื่มเข้ าไปก็คงเป็ นอาบัต)ิ
 ด่าภิกษุ ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรค)
[ประดับความรู้ ไม่ ต้องจา] อักโกสวัตถุ เรื่ องสาหรับด่า มี ๑๐ อย่าง คือ
๑. ชาติ ได้ แก่ชนหรื
ั ้ อกาเนิดของคน ๒. ชื่อ ๓. โคตร คือตระกูลหรื อแซ่
๔. การงาน ๕. ศิลปะ ๖. โรค
๗. รูปพรรณสัณฐาน ๘. กิเลส ๙. อาบัติ
๑๐. คาสบประมาทอย่างอื่นๆ
โอมสวาท คือ คาพูดเสียดแทงให้ เจ็บใจ
(ปี 2559) พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพดู อย่างนันต้
้ องอาบัติอะไร ?
ตอบ เก็บความข้ างนี ้ไปบอกข้ างโน้ น เก็บความข้ างโน้ นมาบอกข้ างนี ้ ด้ วยประสงค์จะให้ เขารักตน หรื อให้ เขา
แตกกัน ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ฯ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
(ปี 2546) โอมสวาท หมายถึง? อักโกสวัตถุ หมายถึง?
ตอบ โอมสวาท คือ คาพูดเสียดแทงให้ เจ็บใจ ฯ อักโกสวัตถุ คือ เรื่ องสาหรับด่า ๑๐ อย่าง ฯ
 ภิกษุเอาเตียง ตัง่ ฟูก เก้ าอี ้ ของสงฆ์ไปตังในที
้ ่แจ้ งแล้ วเมื่อหลีกไปจากที่นนั ้ ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ ให้ ผ้ อู ื่นเก็บก็ดี ไม่
มอบหมายแก่ผ้ อู ื่นก็ดี ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ ภูตคามวรรค)
(ปี 2558) ภิกษุนาเก้ าอี ้ของสงฆ์ไปใช้ ในที่แจ้ ง เมื่อหลีกไปจากที่นนั ้ พึงปฏิบตั ิอย่างไร ? ถ้ าไม่ปฏิบตั ิ อย่างนัน้
ต้ องอาบัติอะไร ? ตอบ พึงเก็บเอง หรื อใช้ ให้ ผ้ อู ื่นเก็บ หรื อมอบหมายแก่ผ้ อู ื่น ฯ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

22 | P a g e
(ปี 2555) ภิกษุนาเก้ าอี ้ของสงฆ์ไปใช้ ในที่กลางแจ้ งแล้ ว เมื่อจะหลีกไป พีงปฏิบตั ิอย่างไร? ถ้ าไม่ปฏิบตั ิเช่นนัน้
ต้ องอาบัติอะไร? ตอบ พึงปฏิบตั ิอย่างนี ้ คือ เก็บเอง ใช้ ให้ ผ้ อู ื่นเก็บ หรื อ มอบหมายแก่ผ้ อู ื่น ถ้ าไม่ปฏิบตั ิเช่นนัน้
ต้ องอาบัติปาจิตตีย์
(ปี 2552) ภิกษุนาตัง่ ของสงฆ์ไปตังใช้
้ ในที่แจ้ ง จะหลีกไปสูว่ ดั อื่นต้ องทาอย่างไรจึงจะไม่เป็ นอาบัต?ิ
ตอบ ต้ องเก็บด้ วยตนเอง หรื อใช้ ให้ ผ้ อู ื่นเก็บ หรื อมอบหมายให้ ผ้ อู ื่นจึงจะไม่เป็ นอาบัติ
(ปี 2544) ภิกษุนา เตียง ตัง่ ฟูก เก้ าอี ้ ของสงฆ์ ไปใช้ ในที่แจ้ งแล้ ว ครัน้ หลีกไปจากที่นนั ้ ไม่เก็บหรื อไม่มอบหมาย
ให้ ผ้ อู ื่นเก็บให้ เรี ยบร้ อย ต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่? ภิกษุเข้ าบ้ านในเวลาวิกาล โดยไม่บอกลาภิกษุอื่นในวัด ต้ อง
อาบัติอะไรหรื อไม่? ตอบ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่มีกิจรี บด่วน ฯ
 ภิกษุพรากของเขียวซึง่ เกิดอยูก่ บั ที่ ให้หลุดจากที่ ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ ภูตคามวรรค)
(ปี 2543) ภิกษุยกผักตบชวาที่ลอยอยูใ่ นแม่น ้า มาไว้ ในสระจะต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ถือการยกออกจากที่เดิมเป็ นประมาณ ผักตบชวาจะตายหรื อไม่ ไม่สาคัญ
 ภิกษุฉนั ของเคี ้ยวของฉันที่เป็ นอาหารในเวลาวิกาล คือ ตังแต่
้ เที่ยงแล้ วไปจนถึงวันใหม่ ต้ องปาจิตตีย์ (ใน
ปาจิตตีย์ โภชนวรรค)
(ปี 2553) ภิกษุ ก อาพาธ ได้ รับคาแนะนาให้ ฉนั อาหารในเวลาวิกาลเพื่อช่วยให้ หายป่ วยเร็ ว แล้ วฉันตาม
คาแนะนานัน้ มีวินิจฉัยตามพระวินยั อย่างไร? ตอบ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุ ก ต้ องอาบัติปาจิตตีย์
 ภิกษุกลืนกินอาหารที่ยงั ไม่มีผ้ ใู ห้ คือ ยังไม่ได้ รับประเคนให้ ลว่ งช่องปากเข้ าไป ต้ องปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่น ้าและไม้
สีฟัน (ในปาจิตตีย์ โภชนวรรค)
(ปี 2552) ลักษณะการประเคนประกอบด้ วยองค์อะไรบ้ าง? การช่วยกันยกโต๊ ะอาหารขึ ้นประเคนก็ดี การจับผ้ าปู
โต๊ ะประเคนก็ดี ทัง้ ๒ วิธีนี ้ถูกต้ องหรื อไม่? เพราะเหตุไร?
ตอบ ลักษณะการประเคน ประกอบด้ วยองค์ตอ่ ไปนี ้
๑.ของที่จะพึงประเคนนันไม่
้ ใหญ่โต หรื อหนักเกินไป พอคนปานกลางยกได้ คนเดียว
๒.ผู้ประเคนเข้ ามาอยูใ่ นหัตถบาส (บ่วงมือ หรื อที่ใกล้ ตวั นัง่ ห่างกันไม่เกิน ๑ ศอก)
๓.เขาน้ อมเข้ ามา
๔.กิริยาที่น้อมเข้ ามาในนัน้ ด้ วยกายก็ได้ ด้ วยของเนื่องด้ วยกายก็ได้ ด้ วยโยนให้ ก็ได้
๕.ภิกษุรับด้ วยกายก็ได้ ด้ วยของเนื่องด้ วยกายก็ได้
การช่วยกันยกโต๊ ะอาหารขึ ้นมาประเคนก็ดี การจับผ้ าปูโต๊ ะประเคนก็ดี ทัง้ ๒ วิธีไม่ถกู ต้ อง เพราะไม่ต้องลักษณะ
องค์ประเคน การช่วยกันยกโต๊ ะอาหารขึ ้นมาประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๑ และการจับผ้ าปูโต๊ ะประเคนผิด
ลักษณะองค์ที่ ๓

23 | P a g e
 ภิกษุขอปั จจัย ๔ ต่อผู้ท่ ปี วารณาไว้ ถ้ าเขาปวารณาโดยมีกาหนดเวลา พึงขอได้ เพียงกาหนดเวลานัน้ แต่ถ้าเขา
ปวารณาโดยไม่ได้ กาหนดเวลา พึงขอได้ เพียง ๔ เดือนเท่านัน้ เว้ นไว้ แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็ นนิตย์
(ในปาจิตตีย์ อเจลกวรรค)
(ปี 2555) ภิกษุขอปั จจัย ๔ ต่อผู้ที่ปวารณาไว้ มีพระพุทธานุญาตให้ ปฏิบตั ิอย่างไร?
ตอบ ให้ ปฏิบตั ิดงั นี ้ ถ้ าเขาปวารณาโดยมีกาหนดเวลา พึงขอได้ เพียงกาหนดเวลานัน้ แต่ถ้าเขาปวารณาโดย
ไม่ได้ กาหนดเวลา พึงขอได้ เพียง ๔ เดือนเท่านัน้ เว้ นไว้ แต่เขาปวารณาอีก หรื อปวารณาเป็ นนิตย์ ฯ

คนปวารณา(คนบอกให้ ขอปั จจัยเมื่อต้ องการ) จาแนกอธิบาย ๔ อย่างดังนี ้


๑.ปวารณากาหนดปั จจัย หมายความว่า ปวาณาที่กาหนดชนิดสิง่ ของ เช่น จีวร หรื อ บิณฑบาตเป็ น หรื อ
กาหนดจานวนสิง่ ของ เช่น ผ้ ากี่ผืน บิณฑบาตมีราคาเท่าไร เป็ นต้ น (ข้ อนีเ้ คยออกข้ อสอบถามความหมาย)
๒.ปวารณากาหนดกาล
๓.ปวารณากาหนดทัง้ ๒ อย่ าง
๔.ปวาณาไม่ กาหนดทัง้ ๒ อย่ าง
(ปี 2551) คาว่า ปวารณากาหนดปั จจัย หมายความว่าอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า ปวารณาที่กาหนดชนิดสิง่ ของ เช่นจีวร หรื อบิณฑบาตเป็ นต้ น หรื อกาหนดจานวนสิง่ ของ
เช่น ผ้ ากี่ผืน บิณฑบาตมีราคาเท่าไร เป็ นต้ น ฯ
 ภิกษุให้ ของเคี ้ยวของฉันแก่นกั บวชนอกศาสนา ด้ วยมือของตนต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ อเจลกวรรค)
(ปี 2548) บุคคลที่เรี ยกว่า ปริ พาชก และ ปริ พาชิกา คือใคร? ภิกษุให้ ของเคี ้ยวก็ดี ของกินก็ดี แก่บคุ คลเหล่านัน้
อย่างไรเป็ นอาบัติและอย่างไรไม่เป็ นอาบัต?ิ
ตอบ ปริ พาชก คือนักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา ปริ พาชิกา คือนักบวชผู้หญิงนอกพระพุทธศาสนา ฯ ให้
ด้ วยมือของตนต้ องอาบัติปาจิตตีย์ สัง่ ให้ ให้ ก็ดี วางให้ ก็ดี ไม่เป็ นอาบัติ ฯ
 ภิกษุซอ่ นบริ ขาร คือ บาตร จีวร ผ้ าปูน่ ัง กล่ องเข็ม ประคดเอว สิง่ ใดสิง่ หนึง่ ของภิกษุอื่น ด้ วยคิดว่ าจะ
ล้ อเล่ น ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค)
 ภิกษุได้ จีวรใหม่ ต้ องพินทุ (ทาวงกลมๆ เหมือนหยาดน ้า) ด้ วยสี ๓ อย่าง คือ เขียวคราม โคลน ดาคล ้า อย่างใด
อย่างหนึง่ ก่อน จึงนุง่ ห่มได้ ถ้ าไม่ทาพินทุก่อนแล้ วนุง่ ห่ม ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค)
(ปี 2562 และ 2545) จีวร ผ้ านิสที นะ อังสะ ผ้ าเช็ดหน้ า ย่ามผ้ า เมื่อจะใช้ สอย อย่างไหนควรพินทุ อย่างไหน
ไม่ควร? เพราะเหตุใด?
ตอบ จีวร และอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ หม่
ผ้ านิสที นะ ผ้ าเช็ดหน้ า และย่ามผ้ า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ ใช้ นงุ่ ห่ม ฯ
(ปี 2548) เมื่อภิกษุได้ จีวรใหม่มา ก่อนที่จะนุง่ ห่ม ต้ องทาพินทุด้วยสี ๓ สี อย่างใดอย่างหนึง่ คือสีอะไรบ้ าง?

24 | P a g e
(ปี 2543) คาว่า “พินทุกปั ปะ” คืออะไร?
ตอบ คือการทาให้ เสียสี (วัตถุสาหรับทาให้ เสียสี คือเขียวคราม โคลน ดาคล ้า ทาให้ เป็ นจุดวงกลมใหญ่เท่าแวว
ตานกยูง เล็กเท่าหลังตัวเรื อด)
 ภิกษุ(เอานิ ้ว) จี ้ภิกษุ ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค)
 ภิกษุวา่ ยน ้าเล่น ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค)
 ภิกษุหลอนภิกษุให้ กลัวผี ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค)
 ฆ่าสัตว์เดรัจฉานให้ ตาย ต้ องอาบัตปิ าจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สัปปาณวรรค)
 น้ อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็ นอาบัติปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สหธรรมิกวรรค)
 โจทด้ วยอาบัติที่ไม่ใช่ปาราชิก เป็ นอาบัติปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สหธรรมิกวรรค)
 ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่ ภิกษุแกล้ งพูดให้ เธอคลายอุตสาหะ ต้ องปาจิตตีย์ (ในปาจิตตีย์ สหธรรมิกวรรค)
(ปี 2549) ภิกษุกาลังฟั งพระปาฏิโมกข์อยู่ กล่าวขึ ้นว่า “จะสวดไปทาไม ฟั งก็ไม่ร้ ูเรื่ อง น่าเบื่อน่าราคาญ” เช่นนี ้
ต้ องอาบัติอะไร? เพราะเหตุไร? ตอบ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ เพราะก่นสิกขาบท
 ภิกษุเข้ าบ้ านไม่บอกลาภิกษุอื่นผู้มีอยูใ่ นอาวาสในเวลาวิกาล (ตังแต่
้ หลังเที่ยงวันไป) เป็ นอาบัติปาจิตตีย์ เว้ นไว้
แต่มีกิจด่วน (ในปาจิตตีย์ รตนวรรค)
(ปี 2562 และ 2544) ภิกษุเข้ าบ้ านในเวลาวิกาล โดยไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยูใ่ นวัด ต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่ ?
ตอบ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่มีกิจรี บด่วน ฯ
(ปี 2555) ภิกษุเข้ าบ้ านโดยไม่ได้ บอกลาภิกษุอื่นผู้มีอยูใ่ นอาวาส ต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่? จงอธิบาย
ตอบ ถ้ าเข้ าบ้ านในเวลาที่เป็ นกาล ตังแต่
้ เช้ าถืงเวลาก่อนเที่ยงวัน ไม่ต้องอาบัติ ถ้ าเข้ าบ้ านในเวลาวิกาล คือ
ตังแต่
้ หลังเที่ยงวันไป ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่มีกิจด่วน (หรื อผู้อยูใ่ นนิสสัย)
 ภิกษุทาผ้ าอาบน ้าฝน พึงทาให้ ได้ ประมาณ ๆ นัน้ ยาว ๖ คืบพระสุคต กว้ าง ๒ คืบครึ่ง ถ้ าทาให้ เกินกาหนดนี ้
ต้ องปาจิตตีย์ ต้ องตัดให้ ได้ ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก (ในปาจิตตีย์ รตนวรรค)
(ปี 2550) ผ้ าอาบน ้าฝนมีกาหนดขนาดไว้ เท่าใด? ถ้ าทาเกินกว่าขนาดนันต้
้ องอาบัติ ก่อนจะแสดงอาบัตินนั ้ ต้ อง
ทาอย่างไร? ตอบ ยาว ๖ คืบ กว้ าง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบพระสุคต ฯ ต้ องตัดให้ ได้ ขนาดเสียก่อน
 ภิกษุรับนิมนต์ไปฉันโภชนะทัง้ ๕ แล้ ว จะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นนั ้ ในเวลาก่อนฉันก็ดี ฉันกลับมาแล้ วก็ดี ต้ อง
ลาภิกษุที่มีอยูใ่ นวัดก่อนจึงจะไปได้ ถ้ าไม่ลาก่อนเที่ยวไป ต้ องปาจิตตีย์ เว้ นไว้ แต่สมัย คือ จีวรกาล(คราวถวาย
จีวร) และเวลาทาจีวร(เวลาตัดจีวร) (ในปาจิตตีย์ อเจลกวรรค)
(ปี 2550) ภิกษุรับนิมนต์แล้ ว จะไปที่อื่นก่อนหรื อหลังฉัน ต้ องปฏิบตั ิอย่างไร? ถ้ าไม่ทาเช่นนัน้ ต้ องอาบัติอะไร?
ตอบ ต้ องปฏิบตั ิอย่างนี ้ คือ ต้ องบอกลาภิกษุอื่นก่อน ฯ ต้ องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

ปาฏิเทสนียะ ไม่ ออกข้ อสอบ


25 | P a g e
ทุกกฏ
 พระภิกษุจบั ต้ องวัตถุอนามาสโดยไม่มีความกาหนัด เป็ นอาบัติทกุ กฏ
(ปี 2555) ภิกษุจบั ต้ องกายมารดาในเวลาพยาบาลไข้ ด้วยจิตกตัญญู ปรับเป็ นอาบัติทกุ ฏผิดหรื อถูก
เพราะเหตุไร? ตอบ เป็ นอาบัตทิ กุ กฏ เพราะมารดาเป็ นวัตถุอนามาส
 น้ อมมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมูอ่ ื่น เป็ นอาบัติทกุ กฏ
 ภิกษุลกั ทรัพย์ มีราคาตังแต่
้ ๑ มาสกลงมา เป็ นเหตุให้ ต้องอาบัติทกุ กฏ
 ภิกษุซอ่ นบริ ขารอื่น(ไม่ใช่บาตร จีวร ผ้ าปูนงั่ กล่องเข็ม ประคดเอว) หรื อซ่อนของอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ) เป็ น
ทุกกฏ
 ภิกษุมีความกาหนัดจับต้ องกายบุรุษ จับต้ องสัตว์ดิรัจฉานทังเพศผู
้ ้ เพศเมีย ต้ องทุกกฏ
 ฝื นคาที่รับปากเขาไว้ เรี ยกว่า ปฏิสสวะทุกกฏ อาบัติทกุ กฏ
(ปี 2545) ปฏิสสวะทุกกฏ คืออะไร?
ตอบ คืออาบัติทกุ กฏที่เกิดจากการรับคาด้ วยจิตบริ สทุ ธิ์ แต่ภายหลังไม่ได้ ทาตามคาที่รับปากไว้ ฯ

เสขิยวัตร ๗๕
 ภิกษุนงั่ พูดเสียงดังในบ้ านจะต้ องอาบัติทกุ กฏ (ในเสขิยวัตร สารูป)
(ปี 2555) ภิกษุนงั่ ในบ้ านพูดเสียงดังจะต้ องอาบัติอะไร?
 ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราจักนุง่ ห่มให้ เรี ยบร้ อย (ในเสขิยวัตร สารูป)
(ปี 2560 และ 2545) การนุง่ เป็ นปริ มณฑล คือการนุง่ อย่างไร?
ตอบ คือ นุง่ เบื ้องบนปิ ดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื ้องล่างปิ ดหัวเข่าทัง้ ๒ ลงมาเพียงครึ่งแข้ ง ไม่คลุมข้ อเท้ า ฯ
 เราจักไม่เอามือค ้ากายนัง่ ในบ้ าน จะต้ องอาบัติทกุ กฏ (ในเสขิยวัตร สารูป)
(ปี 2550) หมวดสารูปในเสขิยวัตร ว่าด้ วยเรื่ องอะไร ? ข้ อว่า “ไม่เอามือค ้ากายนัง่ ในบ้ าน” คือไม่ทาอย่างไร ?
ตอบ ว่าด้ วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้ าบ้ าน ฯ คือ ไม่นงั่ เท้ าแขนข้ างเดียวก็ตาม สองข้ างก็ตามในบ้ าน ฯ
 เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ (ในเสขิยวัตร โภชนปฏิสงั ยุต)
(ปี 2561 และ 2558) ในการรับบิณฑบาต ภิกษุพงึ ปฏิบตั ิอย่างไรจึงถูกต้ องตามเสขิยวัตร ? จงตอบมาเพียง ๒
ข้ อ ตอบ รับโดยเคารพ แลดูแต่ในบาตร รับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก รับแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ
(เลือกตอบเพียง ๒ ข้ อ)
(ปี 2553) ข้ อว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ นันมี
้ อธิบายอย่างไร?
ตอบ มีอธิบายว่า รับโดยแสดงความเอื ้อเฟื อ้ ในบุคคลผู้ให้ ไม่ดหู มิ่น และให้ แสดงความเอื ้อเฟื อ้ ในของที่เขาให้
ไม่ทาดังรับเอามาเล่นหรื อเอามาทิ ้งเสีย ฯ
(ปี 2545) เสขิยวัตรว่าด้ วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ จงระบุมาเพียง ๒ ข้ อ

26 | P a g e
ตอบ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้ อ)
ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ
 ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ (ในเสขิยวัตร โภชนปฏิสงั ยุต)
(ปี 2547) ข้ อว่า ภิกษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ นัน้ มีอธิบายอย่างไร?
ตอบ มีอธิบายว่า ภิกษุฉนั บิณฑบาต แม้ เป็ นของเลว ก็ไม่แสดงอาการวิการ คือฉันโดยปกติ และเมื่อฉัน ก็ไม่ฉนั
พลางทากิจอื่นพลาง ฯ
 ภิกษุฉนั พลางทากิจอื่นพลาง ต้ องอาบัติทกุ กฏ (ในเสขิยวัตร โภชนปฏิสงั ยุต)
(ปี 2562 และ 2560) ภิกษุฉนั พลางพูดพลาง จะต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่?
ตอบ พูดทังที
้ ่ยงั มีอาหารอยูใ่ นปาก ต้ องอาบัติทกุ กฏ พูดไม่มีอาหารอยูใ่ นปาก ไม่ต้องอาบัติ ฯ
(ปี 2554) ภิกษุฉนั พลางทากิจอื่นพลาง ต้ องอาบัติอะไรหรื อไม่? ตอบ ต้ องอาบัติทกุ กฏ
 ภิกษุผ้ ไู ม่ไข้ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปั สสาวะ และบ้ วนน ้าลายลงในของเขียว และในน ้า จะต้ องอาบัติทกุ กฏ (ในเสขิย
วัตร ปกิณกะ)
(ปี 2555) ในเสขิยวัตรมีสกิ ขาบทที่พระพุทธเจ้ าทรงบัญญัติให้ ภิกษุชว่ ยกันรักษาสิง่ แวดล้ อมโดยอนุโลมไว้
อย่างไร?

ทุพภาสิต ไม่ ได้ เพ่ งความเจ็บใจหรือความอัปยศ พูดล้ อเล่ นกระทบวัตถุ เรื่องมีชาติกาเนิด ชาติตระกูล เป็ นต้ น
กับอนุปสัมบันก็ตาม พูดเจาะตัวก็ตาม พูดเปรยๆ ก็ตาม เป็ นทุพภาษิตเหมือนกัน ไม่ ออกข้ อสอบ

27 | P a g e

You might also like