Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 18

เอกสารความรู้ 1

เลขยกกาลังทีม่ ีเลขชี้กาลังเป็ นจานวนเต็มบวก

บทนิยาม ถ้า a เป็ นจานวนจริ งใด ๆ และ n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว


a n  a
a

a a

n ตัว

ทฤษฏีบท 1 ถ้า a เป็ นจานวนจริ งใด ๆ และ m,n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว
a m  a n  a m n

ทฤษฎีบท 2 ถ้า a เป็ นจานวนจริ งใด ๆ และ m,n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว
a m n  a mn
ทฤษฎีบท 3 ถ้า a,b เป็ นจานวนจริ งใด ๆ และ n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว
 abn  an bn

ทฤษฎีบท 4 ถ้า a ,b เป็ นจานวนจริ ง และ b  o และ n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว


n n
a a
b
  bn

ทฤษฎีบท 5 ถ้า a เป็ นจานวนจริ ง และ a o และ m,n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว
am am
กรณี ที่ 1 ถ้า m = n แล้ว  1
an am
a m m n
กรณี ที่ 2 ถ้า m > n แล้ว m – n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว n  a
a
am 1
กรณี ที่ 3 ถ้า m < n แล้ว n – m เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว n  nm
a a
ตัวอย่างที่ 1 (1) a 3 b 4 c 2  a 2 c 5  a 5 b 4 c 7
a7b4 a7 b4
(2) 2 3  2 3  a 7  2 b 4 3  a 5 b
a b a b
(3) x 3 y 5 4  x 3 4 y 5 4  x 12 y 20
a3 a 4 a 3 a 4 a 3 4 a 7
(4) 6   
b b 2 b 6 b 2 b 62 b 8

2 2 x 3 
2 2 2
 2x 4 y 3   2x 3  4x 6
(5)  4       2
 xy   y  y 2 y

ตัวอย่างที่ 2 ถ้า n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว จงหาค่าของ


3  2 n  4  2 n 1
2 n  2 n 1
3  2 n  4  2 n 1 3 2 n  4  2  2 n
วิธีทา  n
2 n  2 n 1 2  22 n
2 n  3  8
 n
2 1  2 
5
 , เนื่องจาก 2 n  0
1
 5
ตัวอย่างที่ 3 ถ้า n เป็ นจานวนเต็มบวก แล้ว จงหาค่าของ
9  3 n 1  2  3 n  2  4  3 n  3
5  3 n  4  3 n 1  3  3 n  2
9  3 n 1  2  3 n  2  4  3 n 3 9  3 n 1  2  3  3 n 1  4  3 2  3 n 1
วิธีทา 
5  3 n  4  3 n 1  3  3 n  2 53 n  4 33 n  332 3 n
3 n 1  9  6  36 
 n
3  5  12  27 
3  21 
  10
63
 10
3
 6
10
เอกสารความรู้ 2

เลขยกกาลังทีม่ ีเลขชี้กาลังเป็ นจานวนเต็มลบ

บทนิยาม a 0  1 เมื่อ a เป็ นจำนวนจริ ง และ a  0

1
บทนิยาม a  n  n เมื่อ a เป็ นจำนวนจริ ง , a  0 และ n เป็ นจำนวนเต็มบวก
a
ตัวอย่างที่ 1 (1) 10  1
0
(2) 1  1
2
 
(3)  2 0  1
(4)   3 0  1
1 1
ตัวอย่างที่ 2 (1) 2 4   16
24
1 1
(2)  2 6   8
 2 6
1
2
1
(3)    2  25
5 1
 
5
 
3
1
(4)   1   1 3  1  8
 2  1
  8
 2
ทฤษฎี บทที่จะกล่ำวต่อไปนี้ เป็ นคุ ณสมบัติของเลขยกกำลังที่มีเลขชี้ กำลังเป็ นจำนวนเต็ม
คุณสมบัติดงั กล่ำวนี้ มีลกั ษณะเหมือนกับคุณสมบัติของเลขยกกำลังที่มีเลขชี้ กำลังเป็ นจำนวนเต็มบวกที่
กล่ำวไปแล้ว

ทฤษฎีบท 6 ถ้ำ a เป็ นจำนวนจริ งไม่เท่ำกับ 0 และ m,n เป็ นจำนวนเต็ม แล้ว
a m  a n  a m n

ทฤษฎีบท 7 ถ้ำ a เป็ นจำนวนจริ งที่ไม่เท่ำกับ 0 และ m,n เป็ นจำนวนเต็ม แล้ว
a m  n  a mn
ทฤษฎีบท 8 ถ้ำ a,b เป็ นจำนวนจริ งที่ไม่เท่ำกับ 0 และ n เป็ นจำนวนเต็ม แล้ว
 ab  n  a n b n

ทฤษฎีบท 9 ถ้ำ a,b เป็ นจำนวนจริ งที่ไม่เท่ำกับ 0 และ n เป็ นจำนวนเต็มแล้ว


n n
a a
b
  bn
ทฤษฏีบท 10 ถ้ำ a เป็ นจำนวนจริ งที่ไม่เท่ำกับ 0 และ m,n เป็ นจำนวนเต็มแล้ว
a m m n
a
an
2
 2 2 a 3 b 2 
ตัวอย่างที่ 3 ถ้ำ a,b เป็ นจำนวนจริ งที่ไม่เท่ำกับ 0 แล้ว จงเขียน  2 b 3  ในรู ปอย่ำงง่ำย
 2 a 
ซึ่ งมีเลขชี้กำลังเป็ นจำนวนเต็มบวก
2
 2 2 a 3 b 2 
วิธีทา 
2 a 2 b 3   2 21 a 3 2  b 23 2  2 3 a 5 b 5 2
 
2 6 b10
 2 3 2 a 5 2 b 5 2  2 6 a 10 b10  10
a
ตัวอย่างที่ 4 ถ้ำ x และ y เป็ นจำนวนจริ งที่ไม่เท่ำกับ 0 แล้ว จงหำคำตอบของ
2 3
 x 5 y 4   x 4 y 5 
 x 2 y 2    x 3 y 7  ในรู ปเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็ นจำนวนเต็มบวก
   
2  3
 x 5 y 4   x 4 y 5 
วิธีทา  2 2    3 7   x 52 y 4  2    x 4 3 y 5 7  
2 3
x y  x y 
 x 7 y 6 2  xy 2 3
  x 7 2 y 6 2  x  3 y 2 3
y6
 x14 y12 x 3 y 6  x 17 y 6 
x 17
2 n 3 6  n  2
ตัวอย่างที่ 5 ถ้ำ n เป็ นจำนวนเต็มแล้ว จงหำค่ำของ  n 1  n 1
15 5
2 n 3 6  n  2 2 n 3  3  2  n 2
วิธีทา  n 1  n 1  
15 5  5  3   n 1 5 n 1
2 n 3 3n 2  3n 2
 
5n 1  3n 1 5 n 1
2 n 3n 2  3 n 2 n 1 2 5  33
  n 1  n 1  0  2 5  33  864
5 5
เอกสารความรู้ 3

บทนิยาม ให้ a และ b เป็ นจำนวนจริ ง จะเรี ยก b ว่ำเป็ นรำกที่ 2 ของ a ก็ต่อเมื่อ b 2  a

ตัวอย่างที่ 1 (1) เนื่องจำก 2 2  4 และ   2  2  4


ดังนั้น รำกที่ 2 ของ 4 คือ 2 และ -2
 1 2 1  1 2 1
(2) เนื่องจำก  5   25 และ   5   25
   
1 1 1
ดังนั้น รำกที่ 2 ของ 25 คือ 5 และ  5
(3) เนื่องจำก 0 2  0
ดังนั้น รำกที่ 2 ของ 0 คือ 0

บทนิยาม ให้ a  0 รำกที่ 2 ไม่เป็ นลบของ a เรี ยกว่ำ ค่ำหลักของรำกที่ 2 ของ a และเขียนแทน
ด้วยสัญลักษณ์ a

ตัวอย่างที่ 2 (1) ค่ำหลักของรำกที่ 2 ของ 4 คือ 4 2


(2) ค่ำหลักของรำกที่ 2 ของ 16 คือ 16  4
(3) ค่ำหลักของรำกที่ 2 ของ 7 คือ 7
(4) รำกที่ 2 ของ 3 คือ 3 และ  3

ทฤษฎีบท 1 ถ้ำ a  0 และ b  0 แล้ว a  b  ab

a a
ทฤษฎีบท 2 ถ้ำ a  0 และ b  0 แล้ว  b
b
ตัวอย่างที่ 3 (1) 3  5  3 5  15
(2) 6  10  610  60
30 30
(3)  2  15
2
8 8 3 24
(4)   3
3 3 3
บทนิยาม ให้ a ,b เป็ นจำนวนจริ ง และ n เป็ นจำนวนเต็มบวกที่มำกกว่ำ 1
b เป็ นรำกที่ n ของ a ก็ต่อเมื่อ b n  a

ตัวอย่างที่ 4 (1) รำกที่ 4 ของ 625 คือ 5 และ-5


ทั้งนี้เพรำะ 5 4  625 และ   5  4  625
(2) รำกที่ 5 ของ 1,024 คือ 4
ทั้งนี้เพรำะ 4 5  1,024
(3) รำกที่ 7 ของ -128 คือ -2
ทั้งนี้เพรำะ   2  7  128

บทนิยาม ให้ a เป็ นจำนวนจริ ง และ n เป็ นจำนวนเต็มบวกที่มำกกว่ำ 1


(1) ถ้ำ a  0 และ n เป็ นจำนวนคู่แล้ว ค่ำหลักของรำกที่ n ของ a หมำยถึง
รำกที่ n ของ a ที่ไม่เป็ นลบ เขียนแทนด้วย n a
(2) ถ้ำ aR และ n เป็ นจำนวนคี่ แล้ว ค่ำหลักของรำกที่ n ของ a หมำยถึง
รำกที่ n ของ a เขียนแทนด้วย n a

บทนิยาม ถ้ำ a เป็ นจำนวนจริ งที่มีรำกที่ n แล้วจำนวนจริ ง b จะเป็ นค่ำหลักของรำกที่ n ของ a


ก็ต่อเมื่อ
(1) b เป็ นรำกที่ n ของ a
(2) ab  0
ตัวอย่างที่ 5 (1) 4 625  ค่ำหลักของรำกที่ 4 ของ 625  5
(2) 6 729  ค่ำหลักของรำกที่ 6 ของ 729  3
(3) 5 1,024  ค่ำหลักของรำกที่ 5 ของ 1,024  4
(4) 7 128  ค่ำหลักของรำกที่ 7 ของ –128  –2
หมายเหตุ (1) เรี ยกเครื่ องหมำย n ว่ำเครื่ องหมำยกรณฑ์ และเรี ยก n ว่ำเป็ นอันดับที่
หรื อดัชนีของกรณฑ์ เช่น 3 เป็ นเครื่ องหมำยกรณฑ์ที่มีดชั นีเท่ำกับ 3
(2) ในกรณี ที่ n = 2 จะเขียน แทน 2
(3) ถ้ำ a เป็ นจำนวนจริ ง จะเรี ยกจำนวนที่เขียนในรู ป n a ว่ำ กรณฑ์ และอ่ำนว่ำ
กรณฑ์ ที่ n ของ a หรือ ค่ าหลักของรากที่ n ของ a
ตัวอย่างที่ 6 (1) 3 9 อ่ำนว่ำ กรณฑ์ที่ 3 ของ 9 หรื อ ค่ำหลักของรำกที่ 3 ของ 9
(2) 4 15 อ่ำนว่ำ กรณฑ์ที่ 4 ของ 15 หรื อ ค่ำหลักของรำกที่ 4 ของ 15
(3) 5 50 อ่ำนว่ำ กรณฑ์ที่ 5 ของ –50 หรื อ ค่ำหลักของรำกที่ 5 ของ –50
ทฤษฎีบท 3 ถ้า a เป็ นจานวนจริ งที่มีรากที่ n แล้ว n a n  a

ทฤษฎีบท 4 ถ้า a และ b เป็ นจานวนจริ งที่มีรากที่ n แล้ว n a  n b  n ab

ตัวอย่างที่ 1 (1) 3 4 3 2  3 4 2  38 =2
(2) 3 4  3  16  3 4  16   3  64 = –4

(3) 3 8   27   3 8  3  27  2   3  = –6
(4) 4 1681  4 16  4 81  2  3  6
n a
ทฤษฎีบท 5 ถ้า a, b เป็ นจานวนจริ งที่มีรากที่ n และ b  0 แล้ว n a
n b b

3
ตัวอย่างที่ 2 (1) 72
 3
72
 3
8  2
3
9 9
4
(2) 324
4
 4
324
 4
81 3
4 4
3
(3) 3 
125
 125
 5
5
8 3
8 2 2
81  16  81  16 81  16 9 4
(4)   5  36
25 25 25 5

ทฤษฎีบท 6 ถ้า a เป็ นจานวนจริ งใด ๆ และ n เป็ นจานวนเต็มบวกโดยที่ n  2 แล้ว


n n
(1) a a เมื่อ n เป็ นจานวนคี่
n n
(2) a a เมื่อ n เป็ นจานวนคู่

3 3
ตัวอย่างที่ 3 (1) 5 =5
(2) 3  53 = 5

(3) 4
64 = 6 =6
(4) 6
 16 = 1 =1
ตัวอย่างที่ 4 ถ้า a และ b เป็ นจานวนจริ งแล้ว
(1) a6 b4  a6  b4
 a 3 2  b 2 2  a 3  b 2  b2 a3
(2) 4 81a 8  b 12  4 81  4 a 8  4 b12
 4 34  4 a 2 4  4 b 3 4  3  a 2  b 3  3a 2 b 3
ตัวอย่างที่ 5 กาหนดให้ a  0 , b  0 และ c < 0 จะได้วา่
a 4 b6 a 4 b6 a 4  b6
 
c4 c4 c4


a 2 2  b 3 2  a 2  b 3   a 2 b 3
c 2 2 c2 c2

ทฤษฎีบท 7 ถ้า x เป็ นจานวนจริ ง ซึ่งมีรากที่ m และรากที่ n แล้ว x มีรากที่ mn

ทฤษฎีบท 8 ถ้า a เป็ นจานวนจริ ง ซึ่งทาให้ n a เป็ นจานวนจริ ง และ m เป็ นจานวนเต็ม ซึ่ง
m  2 และทาให้ m n a เป็ นจานวนจริ งแล้ว m n a  mn a

ตัวอย่างที่ 6 (1) 3 a6  6 a6  a
(2) 4 a16  8 a16  8 a 2 8  a 2  a 2
1
(3) 5 3 a 30  15 a 30  15 a 2 15  a 2  2
a
ตัวอย่างที่ 7 (1) 8 2 4  42 2 4  2

(2) 9   4  3  33   4  3  3  4
(3) 15 125  53   5  3  5  5
(4) 12 256  43 4 4  3 4
ตัวอย่างที่ 8 จงหาคาตอบของ 12 x 3 y 5 z 2 ในรู ปอย่างง่าย เมื่อ x,y,z เป็ นจานวนจริ งที่ไม่เป็ นลบ
วิธีทา 12 x 3 y 5 z 2  4x 2 y 4 z2 3xy   4 x 2 y 4 z 2  3xy

 2xy z  3xy 
2 2
2 xy 2 z 3xy  2 xy 2 z 3xy
เอกสารความรู้ 4

หลักการหาผลบวกและผลต่ างของกรณฑ์
กรณฑ์ที่มีอนั ดับเท่ากัน และมีจานวนที่อยูภ่ ายในเครื่ องหมายกรณฑ์เท่ากัน สามารถจะนามา
บวกและลบกันได้โดยอาศัยคุณสมบัติการแจกแจงของระบบจานวนจริ ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่างที่ 1 3 8  2  32 = 3 4.2  2  16  2
= 3 4  2  2  16 2
= 6 2  2  4 2 =  6 1  4  2 = 9 2

ตัวอย่างที่ 2 3 81  3 192  3 24 = 3 33  3  3 4 3  3  3 2 3  3

= 3 33  3 3  3 4 3  3 3  3 2 3  3 3
= 33 3  4 3 3  2 3 3 =  3  4  2  3 3 = 5 3 3
1 3
ตัวอย่างที่ 3 3 12  10 3  3 = 3  4  3  10 3  9
3
= 3  4  3  10 3 
9
1 49
= 6 3  10 3  3 3 = 3 3

หลักการหาผลคูณและผลหารของกรณฑ์
ถ้า a, b เป็ นจานวนจริ งที่มีรากที่ n แล้ว
(1) n a  n b = n ab
n a a
(2) n = n b เมื่อ b  0
b
ในกรณี ที่กรณฑ์ซ่ ึ งนามาคูณและหารกัน มีอนั ดับของกรณฑ์ไม่เท่ากัน จะต้องทาให้อนั ดับ
ของกรณฑ์เท่ากันเสี ยก่อน
ถ้า a เป็ นจานวนจริ ง ซึ่ง n a เป็ นจานวนจริ ง แล้ว
(1) mn a m  n a เมื่อ m เป็ นจานวนคี่
(2) mn a m  n a เมื่อ m เป็ นจานวนคู่ และ a  0
ตัวอย่างที่ 4 จงหาผลคูณ 3 6  2 3
วิธีทา 3 6  2 3 = 3 2  6 3 = 6 6  3 = 6 18
= 6 9 2 = 6 9  2 = 18 2
ตัวอย่างที่ 5 จงหาผลคูณ 6  3 9
วิธีทา 6 = 32 6 3 = 6 6 3 และ 3 9 = 32 9 2 = 6 92
ดังนั้น 6  3 9 = 6 63  6 9 2 = 6 63  92 = 6 2 3  33  3 4
= 6 8 3 7 = 6 36  6 8  3 = 36 24
80 80
ตัวอย่างที่ 6 (1)   16  4
5 5
3 2 3 2 3 3 6 6
(2)   
5 3 5 3 3 15 5
3
5 32 32
(3) 3 = 53 2 = 53 16 = 53 2 3  2 = 5 2  3 2 = 10 3 2
2
3
ตัวอย่างที่ 7 จงเขียนเศษส่ วน โดยไม่มีเครื่ องหมายกรณฑ์ที่ตวั ส่ วน
2 3  7
3 3 2  3   7
วิธีทา = 
2 3  7 2  3   7 2  3   7
= 32  23  7 2 =
63 3 3 7
2  3    7  4  4 3  3  7
63 3 3 7 6  3 3  3 7  3
= =
4 3 4 3 3
6 3  3 3   3 21 2 3  3  21
= = 4
4 3
2 3 3 2 4 3 2 2
ตัวอย่างที่ 8 จงหาผลบวกของ 
3 2 3 2 2
2 3 3 2  2 3  3 2  3  2 
วิธีทา =
3 2  3  2  3  2 
2 3   2 6  3 6  3 2 
= 32 = 12  5 6
4 3 2 2  4 3  2 2  3  2 2 
=
3 2 2  3  2 2  3  2 2 
4  3   8 6  2 6  4  2  20  10 6
= = 5 = 4 2 6
3  4 2 
2 3 3 2 4 3 2 2
ดังนั้น  = 12  5 6     4  2 6  = 8  7 6
3 2 3 2 2
เอกสารความรู้ 5

ถ้ากาหนดให้ x  0 , y  0 และ x  2 y  0 แล้ว เราจะมีวธิ ีการหารากที่สองของ x  2 y


ได้อย่างไร
การหารากที่สองของ x  2 y ให้พิจารณาจากการกระจาย  a  b 2 เมื่อ a  0
และ b  0 จะพบว่า
 a  b 2 = a  2 a b  b
=  a  b   2 ab
ดังนั้น ถ้าให้ x = a  b และ y = ab จะได้วา่
x  2 y =  a  b   2 ab
แสดงว่า x  2 y =  a  b 2
ดังนั้น (1) รากที่ 2 ของ x  2 y = รากที่ 2 ของ  a  b 2
= a  b และ   a  b 
(2) รากที่ 2 ของ x  2 y = รากที่ 2 ของ  a  b 2
= a  b และ   a  b 

หลักการหารากที่ 2 ของ x  2 y
(1) หาจานวนจริ ง a  0 , b  0 ซึ่งทาให้
x = a + b และ y = ab
(2) จะได้ รากที่ 2 ของ x  2 y  a  b และ   a  b 
รากที่ 2 ของ x  2 y  a  b และ   a  b 

ตัวอย่างที่ 1 จงหารากที่ 2 ของ 11  2 24


วิธีทา 11  2 24 =  8 3   2 8  3
=  8 2  2 8  3   3 2
=  8  3 2
ดังนั้น รากที่ 2 ของ 11 2 24 = 8  3 และ  8  3
ตัวอย่างที่ 2 จงหารากที่ 2 ของ 18 8 5
วิธีทา จัดนิพจน์ 18 8 5 ให้อยูใ่ นรู ป x  2 y ดังนี้
18 8 5 = 18  2  4 5
= 18  2 4 2  5
= 18  2 80
=  10  8   2 10  8
=  10  2  2 10  8   8 2
=  10  8 2 =  10  2 2 2
ดังนั้น รากที่ 2 ของ 18 8 5 = 10  2 2 และ  10  2 2
ตัวอย่ างที่ 3 จงหาค่าของ 14  2 45
วิธีทา 14  2 45 คือ ค่าหลักของรากที่ 2 ของ 14  2 45
ซึ่งหมายถึง รากที่ 2 ของ 14 + 2 45 ที่ไม่เป็ นลบ
14  2 45 =  9  5   2 9  5
=  9 2  2 9  5   5 2
=  9  5 2
= 9  5 = 3 5
ตัวอย่างที่ 4 จงหาค่าของ 15 2 26
วิธีทา 15 2 26 คือ ค่าหลักของรากที่ 2 ของ 15  2 26
ซึ่งหมายถึง รากที่ 2 ของ 15  2 26 ที่ไม่เป็ นลบ
15 2 26 =  13  2   2 13  2
=  13 2  2 13  2   2 2
=  13  2 2
=13  2
ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่าของ 2 2  12  2 32
วิธีทา 12  2 32 =  8  4   2 8 4
 8 2  2 8  4   4 2
=
=  8  4 2 = 8  4 = 2 2  2
จะได้วา่ 2 2  12  2 32 = 2 2   2 2  2 
= 2
เอกสารความรู้ 6

หลักการแก้ สมการทีอ่ ยู่ในรู ปกรณฑ์


ใช้วธิ ี การกาจัดเครื่ องหมายกรณฑ์โดยอาศัยหลักของการยกกาลัง ที่กล่าวว่า ถ้าสมการ a = b
เป็ นจริ ง แล้ว an = bn จะเป็ นจริ ง สาหรับจานวนเต็มบวก n ทุกจานวน

หมายเหตุ (1) บทกลับของหลักของการยกกาลังไม่เป็ นความจริ ง กล่าวคือ


ถ้าสมการ a n = b n เป็ นจริ งแล้ว a = b อาจจะเป็ นเท็จได้ เช่น
1 2 =   1 2 เป็ นจริ ง แต่ 1 = –1 เป็ นเท็จ
(2) ดังนั้น ในการแก้สมการ a = b ด้วยวิธีการยกกาลัง n แล้ว แก้สมการ a n = b n
คาตอบที่ได้จากสมการนี้ อาจจะไม่เป็ นคาตอบของสมการ a = b ก็ได้
ดังนั้น จึงต้องมีการตรวจสอบคาตอบอีกครั้งในตอนท้ายเสมอ

ตัวอย่างที่ 1 จงแก้สมการ 3 2 x  1  5 = 0
วิธีทา 3 2 x 1  5
ยกกาลัง 3 ทั้งสองข้าง จะได้
3 2 x  1 3
=   5 3
2x 1 = – 125
2x = – 126
x = – 63

ตรวจสอบคาตอบ
พบว่า สมการ 3 2 x  1  5 = 0 เป็ นจริ ง
แสดงว่า – 63 เป็ นคาตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคาตอบ คือ   63
ตัวอย่างที่ 2 จงแก้สมการ x  7  5  x
วิธีทา จัดสมการใหม่ ดังนี้
x 7 = x 5
 x  7 2 =  x  5 2
x 7 = x 2  10 x  25
x 2  11x  18 = 0
 x  2  x  9  = 0
ดังนั้น x = 2 หรื อ x = 9

ตรวจสอบคาตอบ
พบว่า เมื่อ x = 2 สมการ 2  7  5 = 0 เป็ นเท็จ
แสดงว่า 2 ไม่เป็ นคาตอบ
เมื่อ x = 9 สมการ 9  7  5 = 9 เป็ นจริ ง
แสดงว่า 9 เป็ นคาตอบ
ดังนั้น เซตคาตอบ คือ 9

ตัวอย่างที่ 3 จงแก้สมการ x  3  x  5 = 4
วิธีทา จัดสมการใหม่ ดังนี้
x 3 = 4  x 5
 x  3  2 =  4  x  5 2
x  3 = 16  8 x  5   x  5 
 24 = 8 x  5
3 = x 5
ดังนั้น 3 2 =  x  5 2
9 = x+5
x = 4

ตรวจสอบคาตอบ
พบว่า สมการ x  3  x  5 = 4 เป็ นจริ ง
แสดงว่า 4 เป็ นคาตอบ
ดังนั้น เซตคาตอบ คือ  4
เอกสารความรู้ 7

บทนิยาม ถ้า n เป็ นจานวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 และ a เป็ นจานวนจริ งที่มีรากที่ n แล้ว


a1 / n  n a
ตัวอย่างที่ 1 (1) 21 / 2  2 (2)   5 1 / 7  7  5
(3)   2 1 / 3  3  2 (4)   11 / 2 ไม่นิยาม เพราะ 1 ไม่มีรากที่ 2

บทนิยาม ให้ m ,n เป็ นจานวนเต็ม โดยที่ n > 0 และ ห.ร.ม. m และ n เป็ น 1 ถ้า a เป็ นจานวนจริ ง
ที่หาค่า a1 / n ได้ แล้ว a m / n  a1 / n m โดยเมื่อ m  0 แล้ว a  0
8 2 / 3  81 / 3   3 8   2 2  4
2 2
ตัวอย่างที่ 2 (1)

 4    4   23  13  1
 1 / 2 3
3 / 2 3
(2) 4
2 8
(3)  3
  32 3/ 5    32 1/ 5  5  32 3   2 3  8
5/ 2 1/ 2 5 5 5
 9     9     9    3   243
  4    4   2  32
(4)  
4  
(5)  162 / 4   161 / 2  หาค่าไม่ได้
คุณสมบัติของเลขยกกาลังที่มีเลขชี้กาลังเป็ นจานวนตรรกยะ
ทฤษฎีบท 1 ถ้า a เป็ นจานวนจริ งที่มีรากที่ m และ n เป็ นจานวนเต็มที่ทาให้ a n เป็ นจานวนจริ ง
แล้ว a n จะมีรากที่ m

ทฤษฎีบท 2 ถ้า m, n เป็ นจานวนตรรกยะ และ a เป็ นจานวนจริ งที่ทาให้ a m และ a n เป็ นจานวนจริ ง
แล้ว a m  a n  a m  n

ทฤษฎีบท 3 ถ้า n เป็ นจานวนตรรกยะ และ a, b เป็ นจานวนจริ งที่ทาให้ an และ bn เป็ นจานวนจริ ง
แล้ว  ab  n  a n b n

ทฤษฎีบท 4 ถ้า n เป็ นจานวนตรรกยะ และ a, b เป็ นจานวนจริ ง ซึ่งทาให้ a n และ b n เป็ นจานวนจริ ง
 a n a n
และ b  0 แล้ว  b   n
  b
ทฤษฎีบท 5 ให้ m, n เป็ นจานวนตรรกยะ และ a เป็ นจานวนจริ งที่ไม่เท่ากับ 0 ซึ่งทาให้
m
a m n
a m และ a n เป็ นจานวนจริ ง แล้ว n a
a
1 3 1 3
 2
ตัวอย่างที่ 3 (1) 2 2 2 2  2 2 2  2  4
1 4 1 4
 1 1
   5  1   5   5
3 3 3 3
(2)   5    5     5
5
1 2
  1 5

1
ตัวอย่างที่ 4 (1)   32    32 5 2  32 2  32  4 2
3
 
 
1 1 2
(2)  
  32  2 3 2
   32  3    32  3
ตัวอย่างที่ 5 ถ้า a และ b เป็ นจานวนจริ งบวก แล้ว
1 1 1 1
(1)  6 6 3
 6 6
27 a b  27 3  a 3  b 3    
3
2 2 2 2 3b
 3 27 a  b  3a b  2
a
1 1 1 1
(2)  2 4  2
625 a b  2 2  2 4  2
 625  a b    
1 1 2 2
 1 1 2 b
  625  2  a  b  25 a b  25 a
ตัวอย่างที่ 6 ถ้า a และ b เป็ นจานวนจริ งบวก แล้ว
2 2 2 2
3 3
 27 a  3 27 a 3
    27 3  a 3
3
 
 b6   2  2
  6 3
b  6
b 3
2
3 27 2  a 3 3
  2 2
3 a 9a
2
 4  4  4
b b b
1
ตัวอย่างที่ 7 จงพิจารณาการหาค่า  2
 9 4  ต่อไปนี้
1 1
1
วิธีที่ 1  
  9  2 4    9  2 4    9    9 ซึ่ งพบว่าไม่จาเป็ นจานวนจริ ง
2

1 1
วิธีที่ 2  2 
  9  4  81 4  4 81  3 ซึ่ งเป็ นคาตอบที่ถูกต้อง ดังนั้น ควรเลือกวิธีที่ 2
เอกสารความรู้ 8

ทฤษฎีบท 6 ถ้า a เป็ นจานวนจริ ง โดยที่ a  0 และ m,n เป็ นจานวนเต็ม โดยที่ n  2 ซึ่ง
1 1 1 m 1
m
   m
a n และ a n เป็ นจานวนจริ ง แล้ว  a n   a n    
 
4 1 1 1
 1
ตัวอย่างที่ 1 (1)  5 3

 4
 5 3

  4
 
ทั้งนี้เพราะ 5 3 และ 5 3 เป็ นจานวนจริ ง
 
3 1 1 1
1

  5
 
(2)   2  5     2  3 5 ทั้งนี้เพราะ   2  และ   2  3 5 เป็ นจานวนจริ ง
 
2 1 1
1

  4
(3)   3  4     3  2 4 ทั้งนี้เพราะ   3  ไม่เป็ นจานวนจริ ง ถึงแม้วา่
 
1
  3 2 
4 จะเป็ นคาตอบจริ งก็ตาม
n 2  n 1
3 6
ตัวอย่างที่ 2 ถ้า n เป็ นจานวนเต็ม จงหาค่าของ  n  2 n 3
8 4
n  2  n 1 n 2 n  2  n 1  n 1
3 6 3  3 2  n1 3 3 2
วิธีทา  
8
 n  2 n 3
4 2  
3 n2 2 n3
2 2  
3  n  2  2  n 3 
2
n  2  n 1  n 1
3 2 3 n 13 n 62 n 6 1
 3 n  6 2 n 6  3 2  27 2  54
2 2
4 2
ตัวอย่างที่ 3 จงแก้สมการ x 3 10 x 3  9  0
4 2
วิธีทา x 3 10 x 3  9  0
2
 2 2
 x 3  10 x 3  9  0
 
 
 2  2 
 x 3  1  x 3  9   0
  
  
2 2
ดังนั้น x 3 1  0 หรื อ x 3 90
2 2
x 3 1 x 3 9
3 3
 2  2
 x 3   13  x 3   93
   
   
2 2 3
x 1 x 9
x  1, 1 x  27 , 27
การตรวจสอบคาตอบ พบว่า 1,1 , 27 และ 27 เป็ นคาตอบของสมการ
3 1
ตัวอย่างที่ 4 จงหาเซตคาตอบของสมการ x 2  6 x 2  8  3x
3 1
วิธีทา x 2  6 x 2  8  3x
 3   1
 x 2  8    3x  6 x 2   0
   
   
 1  3  1 1 
3
 x 2   2   3 x 2  x 2  2   0
   



 1  1  1 1 
 x 2  2  x  2 x 2  4   3 x 2  x 2  2   0
    
    
 1  1 
 x 2  2  x  5 x 2  4   0
  
  
 1  1  1 
 x 2  2  x 2  1  x 2  4   0
   
   
1 1 1
เนื่องจาก x 2  x  0 เมื่อ x  0 ดังนั้น x 2  1  0 และ x 2  4  0
1
ดังนั้น x 2  2  0
1
2
x 2  2 ดังนั้น x  2  4
2  1
ตรวจสอบสมการ 4 3  6 4 2   8  3 4  เป็ นจริ ง แสดงว่า เซตคาตอบ คือ 4
 
 

You might also like