Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 80

โดย พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)

ที่ระลึกงานทอดกฐิน
๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓
ณ วัดใหม่ปลายห้วย
ต�ำบลเนินปอ อ�ำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร
2 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ค�ำอนุญาต
หนังสือเล่มนีห้ ลวงปูท่ า่ นประสงค์แจกให้เป็นธรรมทาน
แก่พุทธบริษัท และผู้สนใจอย่างแท้จริงทุกท่าน ฉะนั้นหาก
ท่านใดหรือคณะใดมีความประสงค์จะน�ำไปพิมพ์เผยแพร่เป็น
ธรรมทาน โดยไม่มกี ารเรียกร้องหรือรับค่าตอบแทน ไม่วา่ ใน
รูปแบบใดทั้งสิ้น จะกระท�ำได้ต้องได้รับอนุญาตจากหลวงปู่
ท่านก่อน เช่นเดียวกับหนังสือเล่มอื่นๆ ทุกๆ เล่ม ที่ได้เคย
พิมพ์แจกจ่ายไปแล้ว
แต่หากเป็นการพิมพ์เพื่อจ�ำหน่าย หรือมีค่าตอบแทน
ใดๆ หลวงปู่ท่านขอสงวนสิทธิ์ทุกๆ เล่ม
ค�ำน�ำ
หนังสือ “ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑” นี้ เป็นการรวบรวม
ธรรมเทศนาของพระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปูท่ องดี อนีโฆ) ทีไ่ ด้
เทศนาสอนลูกศิษย์หลังจากร่วมกันสวดมนต์ตอนเทีย่ งและ ๖ โมง
เย็นของทุกวันทางไลน์ในกลุม่ บ้านปันสุข เพือ่ แจกเป็นธรรมทาน
ในงานทอดกฐิน ณ วัดใหม่ปลายห้วย
หวังเป็นอย่างยิง่ ว่าผูท้ อี่ า่ นหนังสือเล่มนีจ้ ะได้รบั ประโยชน์
บ้าง มากน้อยตามภูมริ ภู้ มู ธิ รรมของแต่ละบุคคล และยังด�ำรงตน
ให้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ละชั่วสร้างแต่กรรมดี
หากหนังสือเล่มนีม้ ขี อ้ ผิดพลาดในการรวบรวมประการใด
โปรดอโหสิกรรมและขออย่าได้เป็นกรรมติดตัวข้าพเจ้าต่อไป
ความส�ำเร็จและคุณค่าของหนังสือเล่มนีม้ ขี นึ้ ได้ ด้วยการ
ได้รบั ความเมตตาจากพระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปูท่ องดี อนีโฆ)
พระครูวิวัฒน์วรสถิตย์ (พระอุดร ฐานุตฺตโร) และขออนุโมทนา
บุญกับคุณบวรลักษณ์ ประดิษฐาวรานนท์ คุณศรัญญา พวงจ�ำปา ที่
ได้รวบรวมธรรมะจากไลน์กลุม่ บ้านปันสุขและถอดเป็นบทความ
เพือ่ ลงพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ พร้อมด้วยญาติธรรมทุกท่านทีเ่ ป็น
เจ้าภาพร่วมพิมพ์และให้ความร่วมมือแบ่งเบาภาระในทุกๆ ด้าน

นางอัมพร ตระกูลทิวากร
๑๕ กันยายน ๒๕๖๓
ค�ำอุทิศ
อานิสงส์ทเี่ กิดจากการสร้างและแจกหนังสือ “ธรรมะบ้าน
ปันสุข เล่ม ๑” เป็นธรรมทานในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศถวาย
เป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจก
พุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ บูชาคุณของพระธรรม บูชาคุณของ
พระอริยสงฆ์เจ้าทัง้ หลาย บูชาคุณของพระพิศาลญาณวงศ์ บูชา
คุณบิดา-มารดา คุณครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่านที่มีมา
ในทุกภพทุกชาติ และอุทิศให้กับสามี บุตรธิดา ญาติสนิทมิตร
สหาย เทพบุตร เทพธิดา ผู้ปกป้องคุ้มครอง เปรต สัมภเวสี
เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า และสรรพสัตว์ทั้งปวง
จงอยูเ่ ป็นสุข มีจติ วิญญาณเป็นอิสระจากความพยาบาทเบียดเบียน
ซึ่งกันและกัน
ข้าพเจ้าอธิษฐานเอาอานิสงส์จากทานนี้ เป็นพลวปัจจัย
ให้ขา้ พเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงโลกุตตรธรรม ส�ำเร็จมรรค
ผล นิพพานในชาติปัจจุบัน หากยังต้องเวียนตาย - เกิดด้วย
เหตุ-ปัจจัยยังไม่ถงึ พร้อม ขอให้ขา้ พเจ้าได้เกิดเฉพาะในสุคติภมู ิ
ได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบกัลยาณมิตร มีสัมมาทิฏฐิ มีดวง
ตาเห็นธรรมตราบจนเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

นางอัมพร ตระกูลทิวากร
สารบัญ
ประพฤติปฏิบัติด้วยศรัทธา ๑
มนุษย์คือผู้สร้าง ๓
สั่งสมบุญ ๗
จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ๑๐
ความรู้ตัวทั่วพร้อม ๑๓
ฝึกสติให้เป็นฐาน ๑๖
พิจารณากายเป็นอสุภะ ๑๘
อย่าละความเพียร ๒๐
ทุกคนต้องเจอโลกธรรม ๘ ๒๒
ท�ำความเพียรเป็นกิจวัตร ๒๕
ฝึกพิจารณาสังขาร ๒๘
เกิด ตาย ของคู่โลก ๓๒
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในรูปสังขาร ๓๕
ฝึกสติสัมปชัญญะ ๓๘
ปัจฉิมโอวาท ๔๐
ปล่อยวางได้ ใจก็เป็นบุญ ๔๓
บ�ำเพ็ญเพียรเพื่อออกจากวัฏสงสาร ๔๕
เมตตา ความนิ่ง ความอดทน ๔๘
ความเที่ยงมันไม่มี ๕๑
ดูตัวเรา มีสติและรู้เท่าทัน ๕๓
รู้อารมณ์ และอยู่กับปัจจุบัน ๕๕
อวิชชาเป็นเหตุปัจจัยแห่งการเกิด ๕๗
ฝึกสติให้แข็งแกร่ง ๕๙
รายชื่อเจ้าภาพร่วมพิมพ์หนังสือ ๖๑
ประพฤติปฏิบตั ดิ ว้ ยศรัทธา
ก็ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดขึน้ มีกบั พวกเราทุกคน ที่
ได้เข้ามาสวดมนต์ในบ้านปันสุขในวันนี้
กุศลผลบุญทัง้ หลายใครท�ำคนนัน้ ก็ได้ ใครไม่ทำ� คนนัน้
ก็ไม่ได้ สุดแท้แต่ว่า พวกเรานัน้ จะขวนขวายเอาบุญเอากุศล
ใส่ไว้ในจิตในใจ ใส่ไว้ในตัวของเรามากน้อยไม่เท่ากัน
เพราะ “บุญ” นัน้ อาศัย “ก�ำลังใจ” ถ้าก�ำลังใจของ
พวกเรานัน้ สูง เราก็จะได้บญ ุ มาก แต่ถา้ ก�ำลังใจของเรา
มีเพียงเล็กน้อย เราก็จะได้บุญน้อย
การที่พวกเราทุกคนได้เข้ามาสวดมนต์นนั้ ขอให้พวก
เรานัน้ พยายามตัง้ “สัจอธิษฐาน” ว่า เราตัง้ ใจทีจ่ ะมาสวดมนต์
กันจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่ามาสวดมนต์เพื่อจะให้การงาน ธุรกิจ
หรือท�ำอะไรแล้วได้ดี ขอให้เราเข้ามาสวดมนต์ด้วยความ
“ศรัทธาปสาทะ” คือมีความเชื่อ ความเลื่อมใส ว่าขณะที่
พวกเราสวดมนต์บชู าพระกันนัน้ กิเลสทีม่ นั อยูใ่ นใจของพวก
เรา เราไม่มอี ารมณ์คดิ ฟุง้ ซ่านแส่สา่ ยไปในทางอืน่ จิตใจของ
เรานั้นจดจ่ออยู่แต่การสวดมนต์ภาวนา อันนี้แหละจะได้ช่อื
ว่าก�ำลังใจที่สูงและเป็นก�ำลังใจที่จะได้บุญมหาศาล
เมื่อเราได้บุญมหาศาลแล้ว เมื่อก�ำลังบุญของพวก
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 1
เราเต็มที่ หรือว่าก�ำลังบุญของเรานั้นสูง เราจะท�ำอะไรมัน
ก็เจริญงอกงามขึ้นมาเอง โดยเราไม่ต้องไปขอร้องอ้อนวอน
ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าก�ำลังบุญเราน้อย ให้เราไปอ้อนวอน
ต่อสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ สิง่ นัน้ อาจไม่สำ� เร็จ เพราะอะไร เพราะก�ำลัง
บุญของเรามีน้อย
จึงอยากให้พวกเราทุกคนที่เข้ามาสวดมนต์นี้ ให้ใช้
ก�ำลังใจที่เกิดจาก “ศรัทธาปสาทะ” คือความเชื่อ ความ
เลื่อมใส ในการประพฤติในการปฏิบัติในการสวดมนต์ของ
พวกเราในวันนี้
สุดท้ายก็ขออนุโมทนากุศลผลบุญทีเ่ กิดขึน้ กับพวกเรา
ทุกคน ขอให้ทกุ คนจงมีแต่ความเจริญ มีแต่ความงอกงามทัง้
ทางโลกและทางธรรม ขอค�ำว่า “ไม่ส�ำเร็จ” อย่าพึงบังเกิด
ขึน้ มีกบั พวกเรา ขอให้พวกเราจงมีแต่ความเจริญ มีแต่ความ
คล่องตัว ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดขึน้ มีกบั พวกเราทุกคน
เทอญ

2 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


มนุษย์คอื ผูส้ ร้าง
ต่อไปให้พวกเราจงก�ำหนดจิต ส�ำรวมกาย ส�ำรวม
วาจา ส�ำรวมใจให้เป็นปกติที่เรียกว่าศีล
ศีลนั้นคือการส�ำรวมกาย วาจา ใจให้เป็นปกติ
เมื่ อ เรามี ศี ล แล้ ว ก็ ข อให้ เ ราจงตั้ ง ใจที่ จ ะประพฤติ
ปฏิบัติกรรมฐานสัก ๒ นาที ไม่ต้องเอามาก เอาแค่ ๒ นาที
ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม
สังโฆ ที่พูดอย่างนี้เพื่ออะไร
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเป็นมนุษย์นั้นเราเป็น
ผู้สร้าง คือเราต้องให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เราจะขาด
สิง่ หนึง่ สิง่ ใดไปไม่ได้ ๓ อย่างนี้ ขอให้เราทัง้ หลายนัน้ จงหมัน่
ให้ทานและพยายามที่จะมีศีล แล้วก็ภาวนา
ทานนัน้ ให้ได้ดว้ ยหลายอย่าง แล้วเราทัง้ หลายนัน้
เมือ่ มีศลี เราก็รกั ษาศีล ขณะทีเ่ ราก�ำลังสวดมนต์ สวดมนต์
ได้ชื่อว่าเป็นภาวนา
ทุกสิง่ ทุกอย่างในโลกนีท้ เี่ กิดขึน้ มาแล้ว อุบตั บิ งั เกิดขึน้
มาแล้วในโลกนี้ทั้งหมดทั้งสิ้นนัน้ ล้วนแล้วแต่มเี หตุ มีปัจจัย
ให้มันเกิดขึ้นมาทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีใครสร้าง ไม่ได้มีใคร
ดลบันดาลขึ้นมา ชีวิตพวกเราทุกคนนั้นที่เราได้เกิดมาเป็น
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 3
มนุษย์นี้ก็อาศัยกรรม คือพวกเราทุกคนนั้นเคยประพฤติ
ปฏิบัติเคยสร้างกรรมดีเอาไว้ จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อ
เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราได้มาพบพระพุทธศาสนา
นับว่าเป็นโชคดี บางคนอาจจะเกิดมารวย บางคนอาจจะ
เกิดมาบ้านฐานะปานกลาง บางคนอาจจะเกิดมาจน ก็อาศัย
เกณฑ์แห่งกรรมนีแ่ หละ เพราะว่ากรรมนัน้ มันส่งผลแล้วค่อย
ดลบันดาลให้
ถ้าเราหมั่นให้ทานเราก็จะมีอันจะกิน มีฐานะ
เราหมั่นรักษาศีล เราก็จะมีความสวยงาม
เราหมั่นเจริญภาวนา เราก็จะมีปัญญา
เพราะฉะนั้นแล้ว กรรมทั้งหลายทัง้ ปวงนั้นไม่ได้มใี คร
สร้างให้เรา ตัวเราเองนี่แหละเป็นคนสร้างขึ้นมา เมื่อเรารู้
อย่างนี้แล้วก็ขอให้เราจงสงเคราะห์ อนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้
ถามพวกเราทุกคนจริงๆว่าถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา
ไม่มคี นจน ไม่มสี ตั ว์เดรัจฉาน แมว หมาอะไรก็ตามก็แล้วแต่
เราจะให้ทานได้อย่างไร แต่นี่เรานับว่าเป็นผู้โชคดีแล้วที่เรา
เกิดมาเพื่อสงเคราะห์ผู้ยากไร้คนยากจนทัง้ หลาย นับว่าเรา
ให้ทานทีต่ รงจุด คือให้ทานทีถ่ กู ต้อง อันนีแ้ หละทีเ่ รียกว่าเรา
ได้สงเคราะห์ชาวโลก หรือได้สงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เพราะฉะนัน้ แล้ว ทุกสิง่ ทุกอย่างนัน้ เราท�ำกรรมอะไรไว้
4 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
เหมือนที่เราสวดกันตอนเย็นว่า กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
จะเป็นกรรมดีกต็ าม กรรมชัว่ ก็ตาม ถ้าเราประพฤติปฏิบตั ิ
แล้วเราต้องได้รับสิง่ นัน้ อย่างแน่นอน โดยทีเ่ ราไม่สามารถที่
จะหนีพ้นไปได้สักคนเดียว และหลวงปู่ขอเตือนทุกคนว่า
ขณะใดก็แล้วแต่ที่เราหลงเพลิดเพลินในความสุข
สุขนัน้ ทีเ่ กิดจากกิเลส ไม่ใช่เกิดจากการประพฤติปฏิบตั ิ
ให้เกิดสุข แต่ความเพลิดเพลินในสุขนัน้ คือสุขทีเ่ กิดจาก
กิเลส ขณะนัน้ แหละพวกเราทัง้ หลายถูกราคะ ถูกกิเลส
มันหลอกล่อเอาเสียแล้ว
ขณะใดก็แล้วแต่ถ้าเรารู้สกึ ร�ำคาญในทุกข์ บางที
เราทุกข์จิต ทุกข์ใจ ก็เพราะว่าเราถูกโทสะกิเลสมัน
ครอบง�ำเอาไว้
เพราะฉะนั้นแล้ว ขณะใดก็แล้วแต่ที่เราไม่สุขไม่
ทุกข์ ก็ยังไม่พ้นถูกโมหะกิเลสครอบง�ำเอาไว้
การทีเ่ ราจะชนะสิง่ ทัง้ หลายทัง้ ปวงนัน้ คือพวกเราต้อง
มีสติ มีสมั ปชัญญะ มีร้ตู วั ตลอดเวลา มีปญ ั ญาทีส่ ามารถจะ
เอาชนะกิเลสสิ่งเหล่านี้ได้
สุ ด ท้ า ยนี้ ห ลวงปู ่ ก็ ข อน้ อ มจิ ต น้ อ มใจอนุ โ มทนา
สาธุการกับพวกเราทุกคน ที่ได้เข้ามาสวดมนต์ในห้องบ้าน
ปันสุขหลังนี้ ขอให้ทุกคนจงมีความเจริญทั้งทางโลกและ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 5
ทางธรรม ท�ำอะไรก็ขอให้มีแต่ความคล่องตัว ขอให้มีแต่
ความส�ำเร็จ ขอให้เจอแต่กัลยาณมิตรที่สูงชาติ เจอนัก
ปราชญ์ทชี่ าญฉลาดทัง้ หลาย และขอค�ำว่า “ไม่สำ� เร็จ” และ
ค�ำว่า “ไม่ม”ี อย่าพึงบังเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน

6 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


สัง่ สมบุญ
ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญกับพวกเราทุกคน ที่ได้มา
สร้างประโยชน์ สร้างคุณอันประเสริฐให้เกิดแก่จิตใจของ
พวกเราเอง เพื่อจะได้ให้จิตใจของเรานัน้ มีความสุข
เพราะองค์ ส มเด็ จ พระอนุ ต ตรสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า
พระองค์ทรงตรัสว่า “สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโยติ การ
สั่งสมบุญย่อมน�ำสุขมาให้” เมื่อพวกเราทุกคนนัน้ ได้น้อม
จิตน้อมใจ เอาใจเอากายนี้น้อมเข้าหาบุญเข้าหากุศล เพื่อ
จะได้สะสมเป็นเสบียงทิพย์ ให้มันเกิดขึ้นกับใจของพวกเรา
พวกเราทุกคนทีเ่ กิดมาในโลกนีไ้ ม่มใี ครทีจ่ ะไม่มกี เิ ลส
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์จะ
ออกผนวชนัน้ ทุกคนก็มกี เิ ลสด้วยกันหมดทุกคน แต่พระองค์
นัน้ ปฏิบตั เิ พือ่ ละออกจากกิเลสทัง้ หลายทัง้ ปวง เมือ่ พระองค์
ประพฤติปฏิบัติเพื่อละออกจากกิเลสได้เกิดเป็น “พุทธะ”
คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นจอมอรหันต์ที่ให้พวกเราได้
กราบไหว้วันทากันจนถึงทุกวันนี้
เมือ่ พวกเราทุกคนนัน้ มีใจเป็นบุญ เป็นกุศล เกิดขึน้ มา
แล้ว ถึงแม้วา่ ขณะนีเ้ รายังมีกเิ ลส มีตณ
ั หาอะไรก็แล้วแต่ แต่
ถ้าเราหมั่นท�ำ หมั่นท�ำไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนโคลนที่ฉาบ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 7
ทากระจกเงา กระจกเงาไม่สามารถจะส่องให้เห็นใบหน้า
เราได้ แต่ถ้าเราหมั่นล้าง หมั่นท�ำความสะอาดทุกวัน ทุกวัน
ทุกวัน สักวันหนึ่งนั้นกระจกนัน้ ย่อมจะส่องให้เราเห็นเราได้
เพราะฉะนั้น บุญก็เหมือนกันถ้าเราหมั่นท�ำ เราหมั่น
ปฏิบัติทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน บุญกุศลทั้งหลายที่เราท�ำนี้ เรา
อย่าไปดูถกู แม้เพียงน้อยนิด เพราะบุญถ้ามันเกิดขึน้ ในใจของ
เราแล้ว มันก็สามารถที่จะไปชนะเอาความโลภ ความโกรธ
ความหลง ทีม่ นั อยู่ภายในจิตใจของพวกเรานีแ่ หละ พวกเรา
ไม่ต้องไปละทีไ่ หน ขอให้ละทีใ่ จของพวกเรา ถ้าพวกเราละที่
ใจของพวกเราได้แล้ว เราจะได้เดินตามทางแห่งองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีพ่ ระองค์ทรงออกจากห้วงแห่งความ
ทุกข์นี้ไปแล้ว
พวกเราอย่ า จมอยู ่ กั บ ความทุ ก ข์ จงอุ ต ส่ า ห์
พยายามที่จะเดินหาหนทางให้ตัวเองนั้นพ้นจากความ
ทุกข์ พ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง
ขอให้เราลองนึกถึงว่า ประโยชน์ของกิเลสนั้นมันคือ
อะไร ท�ำไมเราต้องไปหลงอยู่กับไอ้ประโยชน์ของกิเลส

8 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ถ้าเราเห็นแล้วและเอามาพิจารณาด้วยปัญญา
เราจะเห็นว่ากิเลสนัน้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรือ่ งของทุกข์ทงั้ สิน้
ไม่ใช่เรื่องของสุข ที่เรายังมองเห็นกิเลสเป็นของสุขนั้น
ก็เพราะว่าเรายังไม่มีปัญญาที่จะเข้าไปรู้แทงความเป็น
จริง เข้าไปรู้แทงธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดแี ล้ว
เพราะฉะนั้นแล้ว หลวงปู่ก็ขอบอกให้กับทุกคนว่า ถึง
แม้เราจะสวดมนต์วนั ละเล็กละน้อย ถ้าเราท�ำบ่อยๆ เข้า มัน
ก็จะกลายเป็นบุญใหญ่ข้นึ มาเอง อย่างน้อยวันละ ๔๐ นาที
ตอนเช้า ตอนกลางวัน ๔๐ นาที ตอนเย็น ๔๐ กว่านาที
เพราะฉะนั้นแล้ว บุญนี่แหละจะเป็นที่พึ่งของเรา
และบุญนี่แหละจะน�ำมาซึ่งความสุขทางใจของเรา
สุดท้ายนี้หลวงปู่ก็ขออนุโมทนากับทุกคนที่ได้เข้ามา
ร่วมสวดมนต์ในบ้านปันสุขหลังนี้

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 9
จงตัง้ ตนอยูใ่ นความไม่ประมาท
วันนีจ้ ะขอเตือนพวกเราทุกคนว่า พวกเราทุกคนนัน้ ได้
ใช้ชีวิตมาอย่างน้อยไม่ต�่ำกว่า คนละ ๔๐ ปี ๕๐ ปีหรือ ๕๐
กันหมดแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนนัน้ จงมามองดูวา่ ชีวติ ทีเ่ รา
ใช้ไปนัน้ มันเดินมาค่อนทางของชีวติ เราแล้ว การเดินมาค่อน
ทางของชีวิตเรา บางคน ๔๐ กว่า บางคน ๕๐ กว่า บางคน
๖๐ เอาอะไรแน่นอนไม่ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัส
ว่า “บุคคลที่ประมาทในการใช้ชีวิต เปรียบประดุจว่า
บุคคลนั้นได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว”
ก็เลยอยากจะเตือนพวกเราทุกคนว่า ขอให้เราทุกคน
นัน้ อย่าใช้ชวี ติ อย่างประมาท เมือ่ เราไม่ใช้ชวี ติ อย่างประมาท
แล้ว เราจงเอาคุณพระพุทโธ คุณพระธัมโม คุณพระสังโฆ
มาเป็นที่ระลึกไว้ในดวงจิตดวงใจของเรา และขอให้เราทุก
คนนั้นไม่ต้องไปมองคนอื่น คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรเรื่อง
ของเขา แต่เรื่องของเรานั้นขอให้ทุกคนจงเอาปัญญา เอา
สติสมั ปชัญญะมาระลึกรูอ้ ยูภ่ ายในใจของเรา ว่าบัดนีห้ นอใจ
ของเรานั้นยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง มีกามตัณหา ภวตัณหา
และตัณหาทั้งหลายทัง้ ปวงมากน้อยเพียงใด
10 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ถ้าเรารูเ้ ท่าทันว่าภายในจิตใจของเรานัน้ ยังมีกเิ ลส
ทีห่ นา ถ้าเรารูว้ า่ ภายในใจของเรานัน้ ยังมีกเิ ลสทีห่ นาก็
ขอให้เราจงใช้สติสมั ปชัญญะ ใช้ปญ ั ญา ละ ลอกเอากิเลส
ทัง้ หลายเหล่านัน้ ค่อยๆ ทิง้ เอาไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะ
เราไม่รวู้ า่ เราจะมีอายุยนื กันอีกสักเท่าไหร่ เพราะว่าตอนนีพ้ วก
เรานัน้ ก็ได้ใช้ชวี ติ มาค่อนทางแล้ว ให้เราลองเปรียบเทียบว่า
ตลอดระยะเวลาทีเ่ ราใช้ชวี ติ มาค่อนทางนัน้ เรามีโลภ มีโกรธ
มีหลง มีตณ ั หา มีภวตัณหา มีวภิ วตัณหาอยู่เต็มภายในจิต
ภายในใจของพวกเรา ถ้าเรารูอ้ ย่างนีว้ า่ เราไม่รวู้ า่ ชีวติ ของเรา
นัน้ จะยัง่ ยืนไปกันได้อกี ซักกีส่ บิ ปี เมือ่ เราไม่รวู้ า่ อายุของพวก
เรานัน้ จะได้ยนื ยงหรือจะมีอายุนานอีกกีส่ บิ ปี ก็ขอให้พวกเรา
นัน้ จงพยายามคิดดี ท�ำดี พูดดี และขอให้พวกเรานัน้ จงค่อยๆ
ละกิเลสภายในจิตใจของเราออกให้หมด
ขอให้พวกเราจงจ�ำไว้ว่า ไม่มีใครสามารถท�ำให้เรา
ทุกข์ได้ นอกจากตัวเราเท่านั้นที่ทำ� ให้ตัวเรานั้นเป็นคนทุกข์
ถ้าใจของเราไม่รับเอาโลภ โกรธ หลงหรือกิเลสทั้งหลายทัง้
ปวงแล้ว เราก็จะเป็นผู้มีความสุข เหมือนที่องค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า “การสั่งสมบุญนั้น
ย่อมน�ำสุขมาให้”
บุญคือการท�ำดี ถ้าเราท�ำดีทกุ วัน ท�ำดีบอ่ ยๆ ความ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 11
สุขมันจะเกิดขึน้ ภายในจิตภายในใจของพวกเรา
เพราะฉะนัน้ แล้ว ก็ขอพูดธรรมะสัน้ ๆ ให้พวกเราได้ใช้
ปัญญา ได้ใช้ความรู้ สติสมั ปชัญญะเป็นแง่คดิ ให้แก่พวกเรา
วั น นี้ ห ลวงปู ่ ก็ ข ออนุ โ มทนาน้ อ มจิ ต ในกุ ศ ลผลบุ ญ
ที่พวกเราทุกคนนั้นได้เข้ามาสวดธรรมจักร สวดมนต์บท
อื่นๆ ต่างๆ ขอกุศลผลบุญนี้จงน้อมน�ำให้พวกเราทุกคนนั้น
จงมีแต่ความคล่องตัว จงมีแต่คำ� ว่าส�ำเร็จ ค�ำว่าไม่มอี ย่าพึง
บังเกิดขึน้ กับพวกเธอทัง้ หลาย และขอให้พวกเธอนัน้ จงเจริญ
ทั้งทางโลกและเจริญทั้งทางธรรม ขอให้พวกเธอทั้งหลาย
จงมีความสุขกายสุขใจ มีสขุ ภาพร่างกายทีแ่ ข็งแรง ปรารถนา
สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่เหลือวิสัยของกรรมที่ท�ำไว้แล้ว ขอความ
ปรารถนานัน้ จงพึงส�ำเร็จ จงพึงส�ำเร็จ จงพึงส�ำเร็จแก่พวก
เธอทัง้ หลายเทอญ

12 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ความรูต้ วั ทัว่ พร้อม
ขอให้พวกเราใช้เวลาสัก ๒ นาที ค่อยๆหลับตาลงอย่าง
มีสติ แล้วก�ำหนดตัวรู้
ค�ำว่า “ตัวรู้” นั้นคือตัวสติ รู้หายใจเข้า หายใจออก
หรือจะภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ได้
ใช้ระยะเวลาสัก ๒ นาที
เพราะฉะนั้ น แล้ ว ใครก็ ต ามแต่ ที่ จ ะท� ำ กรรมฐาน
ภาวนา บางคนนั้นท�ำกรรมฐานภาวนาไม่เป็น เมื่อเกิดทุกข์
ขึ้นมาจิตใจจะพยายามผลักไสความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
ออกไป เพื่อจะแสวงหาความสุขให้เกิดขึ้นในจิตในใจ
เพราะฉะนั้นแล้ว ที่เราทุกคนนั้นมาปฏิบัติพระกรรม
ฐานนัน้ เพือ่ จะให้รวู้ า่ ชีวติ ของเราหรือว่าจิตใจของเรานัน้ เรา
อยู่ด้วยกิเลส คือราคะ โทสะ โมหะ
เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เราจะท�ำกรรมฐานให้ได้สงบ
ขึ้นนั้น ก็คือการที่เราอย่าปล่อยให้ตัวรู้นั้นขาดหายไปจาก
สติ คือตัวรู้ได้
ถ้าเรามีสติรู้ตัวตลอด เราก�ำหนดจิตภาวนาว่า พุทโธ
ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถ้าเราก�ำหนดจิตของเรารูอ้ ยู่
อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะใช้ระยะเวลาไม่นาน จิตของเราก็
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 13
จะรวม เมื่อจิตของพวกเรารวมแล้ว ก็จะเกิดความสงบ เมื่อ
เกิดความสงบจิตมันจะตัง้ มั่น เมื่อจิตตั้งมั่นนั่นแหละที่เรียก
ว่าสมาธิได้เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนแล้ว เมื่อสมาธิเกิดขึ้น
ความสุขทั้งหลายมันก็เกิดขึ้นตาม มันจะอิ่มในจิตในใจของ
พวกเราทุกคน
เพราะฉะนัน้ แล้ว ถ้าเราหมัน่ ท�ำกรรมฐานบ่อย ๆ โดย
ก�ำหนดองค์รู้ คือ สติ สัมปชัญญะ รูใ้ นพุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ รู้แค่น้แี หละ เราไม่ต้องไปรู้อะไรมาก
รู้อีกทีหนึ่งก็คือจิตมันรวม จิตมันสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เอาล่ะวันนีก้ ใ็ ช้เวลาพอสมควร หลวงปูก่ ข็ ออนุโมทนา
ในกุศลผลบุญทุกดวงจิต ทุกรูป ทุกนาม ในมนุษย์โลกก็ดี ใน
เทวโลกก็ดี ในพรหมโลกก็ดี ขออนุโมทนากับพวกเราทุกคน
ที่เข้ามาสวดมนต์กันอยู่ตรงนี้ ขออานิสงส์ผลบุญทัง้ หลายที่
พวกเราทุกคนได้เข้ามาสวดมนต์และเจริญกรรมฐานเพียง
เล็กน้อย ขออานิสงส์ผลบุญนัน้ ขอให้พวกเราทุกคนอย่าได้
มีอปุ สรรค ขอให้พวกเราทุกคนจงมีแต่ความคล่องตัว ขอให้
พวกเราท�ำอะไรจงมีแต่ความส�ำเร็จ และขอให้พวกเราทุกคน
นั้นจงเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป
เพราะฉะนั้นแล้ว ความสุขมันอยู่ท่ใี จของเรา เหมือน
นักปราชญ์ทงั้ หลายท่านแต่งว่า
14 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
สุขทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส
ถ้าไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ
ถ้าเราอยากได้ความสุข
เราจะไปนั่งทุกข์เพื่ออะไร.
ก็ขออนุโมทนาบุญในกุศลจิตกับพวกเราทุกคนด้วย
เทอญ..สาธุ

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 15
ฝึกสติให้เป็นฐาน
ให้พวกเราค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ เมื่อพวกเรา
หลับตาลงแล้ว ขอให้เราจงก�ำหนดจิตโดยมีตวั สติเป็นตัวรับรู้
สติเปรียบเหมือนฐาน ถ้าฐานดีแล้ว สติที่เราฝึก
ดีแล้ว เมื่อเราฝึกสติดีแล้วนั้น เรียกว่าเรามีฐานที่ดี
สามารถที่จะรองรับทุกสิ่งทุกอย่างได้
เมือ่ เรามีสติดแี ล้ว ให้เราก�ำหนดรูท้ จี่ ติ ของเราว่าพุทโธ
ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้เราทุกคนภาวนาไปเรือ่ ยๆ
ภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ จนกว่าเราจะมีปัญญาได้
การที่เราจะมีปัญญาได้นั้นมันต้องเกิดจากการ
พิจารณา ให้พวกเราทั้งหลายลองพิจารณาถึงความ
นึกคิด ให้เราทั้งหลายทุกคนพิจารณาในกายของเรา
ให้เราจงมองและเพ่งเห็นโทษ ให้เราพิจารณาถึงความ
ทุกข์ ทุกข์คอื อะไร พิจารณาถึงความสุข
แล้วให้เราเอามาพิจารณาว่า อะไรคือสุข อะไรคือ
ทุกข์ อะไรท�ำให้จติ ใจของพวกเรานัน้ หวัน่ ไหว และอะไร
ท�ำให้จติ ใจของเราเศร้าหมอง ให้เรามาพิจารณาสิง่ เหล่านี้
และให้เราทัง้ หลายนัน้ จงพิจารณากันว่า อะไรกันเล่าเป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์ทั้งหลายทัง้ ปวง
16 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ทุกข์ที่มันเกิดขึ้นนั้นมันมีทุกข์ทางใจ แล้วก็ทุกข์ทาง
กาย ขอให้เราจงเอาปัญญาเข้ามาพิจารณาในแต่ละสิ่งใน
แต่ละอย่าง ที่มันเกิดขึ้นกับใจก็ดี กับกายก็ดี มันไม่มีอะไร
แน่แท้ เพราะว่าสังขารร่างกายไม่ใช่ตัวตนของเรา สักแต่ว่า
เรายืมบ้านนี้ เปรียบประดุจดังว่าเหมือนบ้านเช่าที่เราได้มา
เช่าเขาอยู่ ผลสุดท้ายเราก็ต้องจากบ้านเช่าหลังนี้ไป ไม่มี
อะไรแน่นอนสักอย่างเดียวกับชีวิต กับการเกิดมาในแต่ละ
ภพในแต่ละชาติ
ขอให้เราอย่าปิดแม้บุญเพียงน้อยนิด อย่างพวกเรา
ทุกคนนี่ตอนเที่ยงสวดมนต์กัน อย่างน้อยเรียกว่าพวกเรา
ทุกคนนัน้ ได้ทำ� ความดีให้เกิดมีขนึ้ กับตัวเอง จะใช้ระยะเวลา
ประมาณ ๓๐ กว่านาที จากการที่พวกเราทุกคนนัน้ ได้มา
รวมตัวกันอยู่ในห้องบ้านปันสุข
บ้านปันสุขแท้ที่จริงแล้ว เราปันสุขให้แก่ตัวเราเอง
เพราะเราเป็นผู้ให้ เราก็ย่อมได้รับความสุข ถ้าพวกเราสวด
มนต์ใจมันสบาย ใจจะมีความสุข ตัวเราเองนี่แหละมันมี
ความสุขภายในจิตภายในใจของพวกเราเองทุกคน
หลวงปูก่ ข็ ออนุโมทนาในกุศลบารมีทพี่ วกเราทุกคนได้
สร้างได้สะได้สมแม้เพียงวันละเล็กวันละน้อย ก็ยังดีกว่าวัน
หนึ่งนั้น เราไม่ได้สะสมบุญกุศลอะไรให้เกิดขึ้นมาเลย
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 17
พิจารณากายเป็นอสุภะ
ต่อไปให้พวกเราค่อยๆ หลับตาลงอย่างมีสติ เราจะใช้
เวลาประมาณสัก ๒ นาที เพื่อก�ำหนดสติให้เกิดเป็นความรู้
อยู่ทุกขณะ คือเราจะตั้งสติของเรานัน้ ให้มีตัวรู้
ที่พวกเราไม่มี “ตัวรู้” เพราะอะไร
ก็เพราะเราถูกอวิชชา อวิชชาคือความโง่ทงั้ หลาย
มันปิดบังดวงปัญญาของพวกเราเอาไว้ เราจึงไม่เห็น
ขอให้เราจงพิจารณาภายในกายของเรา ดูอวัยวะน้อย
ใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงในร่างกายของเรา ถ้าเราผ่าออกมา
ได้ เราจะเห็นอวัยวะน้อยใหญ่ ตับ ไต ไส้ ตลอดจนน�้ำเลือด
น�้ำหนอง เป็นต้น ถ้าเราเอามาพิจารณาแล้ว ร่างกายเราก็ดี
ร่างกายของคนอืน่ ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นความสกปรกโสโครก
ทัง้ ปวง ทีเ่ ราต้องท�ำความสะอาด คืออาบน�ำ้ เช้า อาบน�ำ้ เย็น
แปรงฟัน นี่ก็เพื่อจะให้ไล่สิ่งสกปรกโสโครกที่มันติดในกาย
ของพวกเรานัน้ ให้ออกไป 
ถ้าเราทั้งหลายมาเพ่งใช้ปัญญาพิจารณาถึงความ
สกปรกโสโครกในร่างกายเหล่านี้แล้ว ให้เราปลงเป็นอสุภ
กรรมฐาน
อสุภกรรมฐาน คือการคิดพิจารณาร่างกายของ
18 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
เรานั้นเป็นของสกปรกโสโครกทั้งปวง 
ถ้าเราพิจารณาเห็นความเป็นจริง ว่าร่างกายของเรา
เป็นของสกปรกโสโครกทัง้ ปวงแล้ว เราจะไม่ยดึ ติดในร่างกาย
ของเราหรือร่างกายของบุคคลอืน่ ก็ดี เพราะว่ามันมีแต่ของเน่า
เหม็นทัง้ หลายทัง้ ปวง ให้เราลองใช้ปญั ญาพิจารณาถึงเรือ่ งนี้
ว่าเราจะเห็นตามความเป็นจริงรึเปล่า ว่าร่างกายของเรานัน้
ล้วนแล้วแต่เป็นของสกปรกโสโครกทัง้ ปวง
วันนี้ก็ขอพูดธรรมะเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเราได้ฟัง
เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เป็นเครื่องจรรโลงปัญญาของพวก
เรา ขอให้เราท�ำความเพียรอีกพักหนึ่ง
ต่อไปค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างมีสติ เมื่อเรามีสติแล้ว
ขอให้พวกเราจงแผ่ส่วนกุศลบุญบารมีที่พวกเราได้ฝึกกัน
ดีแล้วในวันนี้ ให้แก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทมี่ คี ณุ ต่อเรา แม้แต่
สัตว์เดรัจฉานก็มคี ณ ุ ต่อเรา ท�ำไมถึงว่าสัตว์เดรัจฉานนัน้ ก็มี
คุณต่อเรา เรากินไก่ กินหมู กินปลา กินกุ้ง กินหอย อะไรก็
แล้วแต่ พวกเขาเหล่านั้นก็มีชีวิตเหมือนเรา เขาเป็นผู้มีคุณ
กับเรา ท�ำให้ร่างกายของเรานัน้ ยังสามารถยังอัตภาพให้อยู่
เพือ่ ประพฤติปฏิบตั ธิ รรมได้ เราจงแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์
ทั้งหลายเหล่านัน้ พร้อมกัน

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 19
อย่าละความเพียร
ต่ อ ไปให้ พ วกเราท� ำ กรรมฐานใช้ เ วลาสั ก ๒ นาที
ก�ำหนดรู้ ก�ำหนดเห็นในจิตของตัวเราเอง โดยตั้งจิตของเรา
ไว้ทคี่ ำ� บริกรรมภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ถ้าพวกเราทั้งหลายหมั่นสวดมนต์และหมั่นฝึกดูจิต
ดูใจของเราตลอดเวลา คือหมัน่ รูอ้ ารมณ์ทมี่ นั เกิดขึน้ ภายใน
จิตใจของเรา ถ้าพวกเราทุกคนนั้น ถ้าเราทั้งหลายไม่ขาด
ความเพียร เราไม่ทิ้ง ไม่ละ ไม่เลย ถ้าเราทุกคนนัน้ ไม่ปล่อย
ไว้ซึ่งความดีทั้งหลาย บารมีของพวกเราทั้งหลายนั้นก็จะ
ต้องยิ่งสูงยิ่งๆ ขึ้นไป
เพราะฉะนัน้ แล้ว พวกเราจะท�ำกรรมฐานกันแค่ ๒ นาที
แต่ ๒ นาทีนนั้ มันมีคา่ ทีว่ า่ ๒ นาทีนนั้ มันมีคา่ นัน้ ก็เพราะว่า
ถ้าเราสามารถท�ำจิตใจของเราให้สงบตัง้ มัน่ จวบจนเป็นสมาธิ
ขัน้ แรกได้แล้ว คือมีจติ รวมเป็นหนึง่ มีความสงบเกิดขึน้ แม้
จะใช้ระยะเวลาเพียง ๒ นาที แต่บญ ุ ทีเ่ กิดขึน้ นัน้ มันมหาศาล
เพราะฉะนั้นแล้ว ขอให้พวกเราทั้งหลายอย่าทิ้ง
ความเพียร อย่าละ อย่าหนีไปจากไหน ขอให้พวกเรา
ทัง้ หลายนัน้ จงประพฤติปฏิบตั ใิ นพระธรรมทีอ่ งค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์นั้นได้ทรงตรัสสั่งสอน
20 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
แก่เวไนยสัตว์ทงั้ หลาย ก็คอื พวกเรานีใ้ ห้เดิน ให้ละ ออก
จากความทุกข์ทงั้ หลายทัง้ ปวง เมือ่ เราละออกจากความ
ทุกข์ เราละได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เราก็จะพบแต่ความ
สุขที่พวกเราทุกคนปรารถนา ก็คอื พระนิพพาน
เมือ่ เราพบพระนิพพานแล้ว เราจะรูว้ า่ พระนิพพานนัน้
เป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ทิ้ง ไม่ละความเพียรทั้งหลาย มีขันติ
บารมีเป็นที่ตงั้ มีสัจจบารมีเป็นที่ตั้ง
ค�ำว่า “สัจจบารมี” นั้นก็คืออธิษฐานบารมี อธิษฐาน
บารมี สัจจบารมี ขันติบารมี วิริยบารมี เป็นต้น แปลว่าเรา
มีสัจจะว่าเวลาเที่ยงเราจะสวดมนต์ เวลาหกโมงเย็นพวก
เราจะสวดมนต์ นี่แหละจะเป็นบารมี เป็นสัจจบารมี เป็น
อธิษฐานบารมี อันเกิดขึ้นภายในจิตใจของพวกเราได้
ต่ อ ไปนี้ก็ ข อให้ พ วกเราค่ อ ยๆลืม ตาขึ้น อย่ า งช้ า ๆ
เพราะว่าหมดเวลา ๒ นาทีแล้ว ก็ขออนุโมทนาในกุศลจิต
เจตนากับพวกเราทุกคน

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 21
ทุกคนต้องเจอโลกธรรม ๘
ต่อไปให้เราสงบจิตท�ำกรรมฐานสัก ๒ นาที ท�ำให้ ๒
นาทีของเรานัน้ มีประโยชน์ มีค่ามหาศาล
พวกเราทั้งหลายนั้นที่เวียนว่ายตายเกิดกันไม่มีที่สิ้น
สุดนั้น เพราะอะไร
เพราะกิเลสตัวเดียวแท้ ๆ กิเลสนี่แหละที่เป็นเหตุ
ให้พวกเราทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ไม่มีที่ส้นิ สุด
ถ้าพวกเราทุกคนนัน้ บ�ำเพ็ญเพียรภาวนาได้ทกุ วัน ทุกวัน
ถ้าเราบ�ำเพ็ญเพียรภาวนาได้ทุกวัน ท�ำความจริงให้มันเกิด
ขึ้นกับจิตใจของพวกเราตลอด พวกเรานั้นก็จะสามารถ
ค่อยๆ ท�ำลายล้างตัวกิเลสทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น
คนเราส่วนมากนัน้ มีความอยาก เมือ่ มีความอยากแล้ว
จึงท�ำให้จิตใจของเราเป็นผู้ประมาท
เมื่อพวกเราเป็นผู้ประมาทแล้ว ส่วนมากนั้นถ้า
เราจะพูดถึงว่าความประมาทส่วนมากพวกเรามีความ
ประมาทตัง้ อยูใ่ นจิตอยูใ่ นใจ ให้เราพิจารณาว่า ในจิตใจ
ของเรานั้นยังอยู่หรือยังหลงอยู่ในโลกโลกีย์ หรืออยู่ใน
โลกนี้ก็เพราะความอยากเป็นเหตุ
22 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
เพราะฉะนั้นแล้ว ที่เราท�ำความดีนั่งกรรมฐานสัก
๒ นาที ความดีที่เราท�ำนั้นมันจะไม่ไปไหน เราท�ำความชั่ว
ความชั่วมันก็ไม่ไปไหนเช่นเดียวกัน มันอยู่ที่จิตอยู่ที่ใจของ
เราเองนี่แหละ
พวกเราทุกคนไม่ว่าใครทั้งหมดทั้งสิ้น แม้กระทั่ง
หลวงปู ่ มนุษย์ทกุ คนต้องตกอยูใ่ นโลกธรรมทัง้ ๘ ทัง้ หมด
ไม่มคี นไหนในโลกนีท้ ไี่ ม่ตกอยูใ่ นใต้โลกธรรมทัง้ ๘ ไม่มี
ใครทีจ่ ะมารักเราหมดทุกคน แล้วก็ไม่มใี ครทีจ่ ะมาเกลียด
เราหมดทุกคน มันเป็นธรรมดาของโลก มีคนรักก็ตอ้ งมี
คนเกลียดเป็นของธรรมดา มีสขุ ก็ตอ้ งมีทกุ ข์ มีลาภก็ตอ้ ง
เสือ่ มลาภ มียศก็ตอ้ งเสือ่ มยศ เป็นของธรรมดา
ให้เราจงพิจารณาไว้ภายในจิตใจของเรา ขอให้เราจง
คิดว่าชีวิตของเราที่เกิดมานี้ คือชีวิตแห่งการต่อสู้ สู้อะไร
สูไ้ ด้หมด แต่ถา้ เราสูก้ บั กิเลส สูก้ บั ความคิด สูก้ บั ความอยาก
สูก้ บั ตัณหาทัง้ หลายทัง้ ปวง ขอให้พวกเราอย่าแพ้กบั สิง่ เหล่านี้
ขอให้พวกเราจงชนะกับสิง่ เหล่านี้ ถ้าเราสามารถชนะได้ นัน่
แหละที่เรียกว่า ชิตังเม ชิตังเม เราเป็นผู้ชนะแล้ว
วันนี้ก็ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับพวกเราทุกคน ที่ได้
มาสวดมนต์ภาวนา เพือ่ ให้เกิดความสงบในจิตใจของพวกเรา
เพือ่ ให้เกิดความสุข ความเบิกบานในจิตใจของพวกเรา หลวงปู่
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 23
ก็ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญกับพวกเราทุกคน ขอให้พวก
เราทัง้ หลายจงมีแต่ความคล่องตัว ขอให้เราจงมีแต่ความสุข
ความเจริญทัง้ ทางโลกและทางธรรม และขอกุศลทัง้ หลาย
ทีพ่ วกเราได้ทำ� กันแล้ว จงเป็นเสบียง เป็นหนทางเข้าสู่มรรค
ผล นิพพานด้วยกันหมดทุกคนเทอญ ขออนุโมทนาสาธุการ

24 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ท�ำความเพียรเป็นกิจวัตร
ต่ อ ไปให้ พ วกเราเจริ ญ กรรมฐาน โดยส� ำ รวมจิ ต
ส�ำรวมใจ ส�ำรวมกาย ส�ำรวมวาจา ส�ำรวมใจ ให้เป็นปกติ
หรือให้มันอยู่น่งิ โดยใช้ระยะเวลาสัก ๒ นาที
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัส
ว่า “อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว,
นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา” พระพุทธ
องค์ทรงตรัสเช่นนี้ว่า ขอให้เราท�ำความเพียรเป็นกิจวัตร
คือสิ่งที่เราต้องท�ำทุกวันนี้ อย่างเช่นพวกเราได้สวดมนต์
ท�ำกรรมฐานสัก ๒ นาที สิ่งนี้แหละที่พระองค์ทรงตรัสสอน
พวกเราเอาไว้ว่า “ความเพียรนั้นเป็นกิจ เป็นธุระ เป็น
ภาระ ที่เราต้องเอาใจใส่”
เพราะไม่รู้ว่าใครจะรู้ความตาย แม้แต่ในวันรุ่งพรุ่งนี้
เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าความตายนั้นจะมาเยือนเราเมื่อ
ไหร่ เพราะการผัดเพีย้ นต่อพญามัจจุราชซึง่ มีเสนามากมาย
นั้นท�ำให้เราจะตายในวันหนึ่งคืนใดก็ได้
เพราะฉะนัน้ แล้ว ขันธ์ทงั้ ๕ เป็นของหนัก เป็นของทีเ่ รา
แบกเอาไว้ เราไปที่ไหนเราก็แบกขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไปด้วย เพราะ
ขันธ์ทั้ง ๕ นั้น ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 25
หนักเช่นขันธ์ ๕ นี้ เป็นความทุกข์ท่สี ุดในโลก
ถ้าเรารู้จักการสลัดของหนักทิ้งลงเสีย มันก็จะเกิด
ความสุขขึน้ มา เหมือนพระอริยเจ้า พระโพธิสตั ว์เจ้าทัง้ หลาย
ที่ท่านสลัดทิ้งของหนัก คือร่างกายของท่านลงเสียได้แล้ว
เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้ง
ปวงนั้นเป็นของไม่จรี ังและยั่งยืน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ
ไปเป็นของธรรมดา ไม่ควรที่จะไปยึดติด หรือเอาใจไปยึด
ติดกับมันจนเกินเหตุ
ถ้าเราเอาจิตใจของเรานั้นไปยึดติดกับมันจนเกินเหตุ
ความทุกข์กจ็ ะเกิดขึน้ ภายในจิตใจของเรา เมือ่ ความทุกข์เกิด
ขึ้น ถ้าพวกเราไม่มธี รรมะ เราก็จะไม่รู้ว่าเราจะทิ้งของหนัก
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนัน้ แล้ว การทีเ่ ราท�ำกิจวัตรทุกวันนีเ้ ป็นภาระ
เป็นธุระที่พวกเราต้องท�ำ
ท�ำเพือ่ อะไร ก็เพือ่ ขจัดความโลภ โกรธ หลง ทีม่ นั
สิงสถิตอยูภ่ ายในจิตใจของพวกเราให้มนั หายสิน้ สูญไป
หรือท�ำลายล้างอวิชชา คือความโง่ทงั้ หลายทัง้ ปวงทีม่ นั
ปิดบังดวงปัญญาของพวกเราเอาไว้ ไม่เห็นตามความ
เป็นจริงว่า สิง่ ไหนทีเ่ ป็นภาระ สิง่ ไหนทีไ่ ม่ควรเอามาเป็น
ภาระของพวกเรา
26 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
สุดท้ายนี้ ก็พดู มาเป็นเวลา ๒ นาทีแล้ว ก็ขออนุโมทนา
น้อมจิตนี้อนุโมทนาบุญกับพวกเราทุกคนที่ได้ท�ำกิจวัตร
ประจ�ำวัน คือได้ท�ำวัตรตอนเที่ยงและท�ำวัตรสวดมนต์ตอน
หกโมงเย็น

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 27
ฝึกพิจารณาสังขาร
ต่อไปให้เรากรวดน�ำ ้ “อุททิสสนาธิฏฐานะ” คือการ
อุทศิ ส่วนบุญทีเ่ ราได้สวดมนต์กนั ขึน้ แล้วในวันนี้ เพือ่ อุทศิ ให้
สรรพสัตว์น้อยใหญ่ท่เี กิดมาร่วมโลกกับเรา มีเกิด แก่ เจ็บ
ตาย มีความพลัดพรากจากสิง่ ทีร่ กั ทีพ่ อใจด้วยกันทัง้ หมดทัง้
สิน้ โดยไม่เลือกชนชัน้ วรรณะ จะยากดีมจี น เป็นเศรษฐี มหา
เศรษฐีหรือเป็นยาจก ตลอดจนถึงเหล่าเทพบุตร เทพธิดา
เหล่าพรหมทัง้ หลายบนสรวงสวรรค์ ให้ได้อนุโมทนาสาธุการ
กับพวกเราทีไ่ ด้เจริญท�ำวัตรเย็น สวดธัมมจักฯกันในวันนี้ ได้
เจริญเมตตา เราเมตตาโดยที่เราไม่รู้ตัว 
ค�ำที่ว่า “เราเมตตาโดยที่เราไม่รู้ตัว” นั้น เมตตานี้
เกิดขึ้นเพราะ
หนึ่งเราได้อุทศิ บุญที่เราท�ำแล้วให้แก่ผู้มพ ี ระคุณ
ทั้งหลาย ตลอดจนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย 
และเมตตาอันที่สอง คือการแผ่เมตตาที่พวกเรา
ได้แผ่เมตตากันทุกวัน 
นี่แหละที่เรียกว่า จิตของเราจะเกิดเป็นเมตตาแบบที่
เราไม่รู้ตัว คือเราเมตตาแบบไม่ตงั้ ใจ แต่เราก็ได้ช่อื ว่าตั้งใจ
เมตตาแล้ว
28 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
หลวงปูก่ ข็ ออนุโมทนากับกุศลผลบุญกับพวกเราทุกคน
องค์สมเด็จพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
ตรัสว่า 
“สัพเพ สังขารา อนิจจา” สังขารคือร่างกาย จิตใจ
และรูปธรรม นามธรรมทัง้ หมดทัง้ สิน้ มันไม่เทีย่ ง เกิดขึน้ แล้ว
ดับไป มีแล้วหายไป
“สัพเพ สังขารา ทุกขา” สังขารคือร่างกาย จิตใจ
และรูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก
เพราะเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องพบกับความแก่ เจ็บและก็ตายไป
ในที่สุด
“สัพเพ ธัมมา อนัตตา” สิง่ ทัง้ หลายทัง้ ปวงทัง้ ทีเ่ ป็น
สังขารและมิใช่สงั ขารทัง้ หมดทัง้ สิน้ ไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตนของเรา
ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา 
เพราะชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน ความตายเป็นของยั่งยืน
อันพวกเรานัน้ จะพึงตายเป็นแน่แท้ ชีวิตของพวกเรามีความ
ตายเป็นทีส่ ดุ รอบ ชีวติ ของเราเป็นของไม่เทีย่ ง ความตายของ
พวกเราเป็นของเที่ยง ควรที่จะละสังเวชร่างกายนี้ เพราะ
ร่างกายของเรานัน้ ไม่สามารถจะตั้งได้อยู่นาน
ครั้นร่างกายของพวกเรานั้นปราศจากวิญญาณแล้ว
เขาก็เอาร่างกายของเราไปเผา เอาไปฝัง เอาไปทิ้ง แล้วแต่
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 29
เขาจะท�ำเช่นไรกับร่างกาย เพราะร่างกายขาดวิญญาณ
แล้ว มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้ เปรียบประดุจดังว่าเป็นท่อนไม้
และท่อนฟืน หาประโยชน์อะไรมิได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
อนิจจา วต สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
อุปปาทวยธัมมิโน มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
เตสัง วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบ ระงับสังขาร
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นสุขอย่างยิ่ง
เหมือนที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัด
บ้านไร่ ท่านเคยสอนลูกศิษย์ของท่าน ท่านเอาง่ายๆ ท่าน
บอกว่า “อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน สังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา” นี่ท่านยกเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัส
ไว้แล้ว ท่านยกเอามาพิจารณาแค่ค�ำว่า “สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อมไปเป็น
ธรรมดา” ท่านยังมีปัญญา มีจักษุเห็นดวงตาธรรม
ถ้าเราทัง้ หลายลองพิจารณาเหมือนทีห่ ลวงปูพ่ ดู ให้ฟงั
แล้ว ถึงว่าร่างกายชีวติ เรานัน้ ถ้าปราศจากวิญญาณก็เปรียบ
ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน ขอให้ทุกคนลองพิจารณา
30 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ดู อย่าให้กิเลสมันหนา เราต้องท�ำลายกิเลสไปเรื่อยๆทุกวัน
ไม่ใช่อยู่ทุกวันนี้ปล่อยให้กิเลสมันทับถมดวงจิตดวงใจของ
พวกเรา
เพราะฉะนั้นแล้ว มนุษย์ได้ช่อื ว่าเป็นสัตว์ผู้ประเสริฐ 
ค�ำว่า “ผู้ประเสริฐ” มันสูงอยู่ท่จี ิตใจของพวกเรา
เมื่อเรามีจิตใจสูงแล้ว เราจะท�ำอะไร เราก็สามารถท�ำ
ในสิง่ นัน้ ออกมาแต่ความดี เพราะเราทัง้ หลายพยายาม
จะละความชัว่ ออกจากจิตจากใจ ออกจากการประพฤติ
ผิดในกามคุณ ออกจากการประพฤติผดิ ในกาย วาจา ใจ
และหลวงปู่ขอฝากพวกเราเอาไว้ว่า ใครจะเกลียด
เราเรื่องของเขา เราอย่าไปเกลียดเขาก็แล้วกัน ใคร
จะเกลียดเรา เรารักเขา เราก็จะไม่ทุกข์ ถ้าเราเกลียด
ใคร เราไม่รักเขา เราไปเกลียดเขาตอบ มันก็จะมีความ
เกลียดชังกันตลอดเวลา ใครเกลียดเรา เราจงอย่า
เกลียดเขา จงจ�ำกันไว้ให้ดนี ะ จะเชื่อไม่เชื่อ หลวงปู่ไม่ได้ว่า
อะไร เพราะมันอยู่ท่ใี จของพวกเราทุกคน

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 31
เกิด ตาย ของคูโ่ ลก
ต่อไปให้พวกเราส�ำรวมจิต ก�ำหนดอารมณ์ให้ผ่องใส
ก�ำหนดใจให้เบิกบานและผ่องแผ้ว ยินดีด้วยบุญที่เราได้ท�ำ
มาแล้ว ก็จะขอพูดธรรมะสั้นๆ สัก ๒ นาที เพื่อเป็นเครื่อง
เตือนสติ เป็นเครื่องเสริมปัญญา ให้พวกเราทัง้ หลายนั้นได้
เข้าใจถึงสภาวะความเป็นจริง
วันนี้จะขอพูดว่าพวกเราทุกคนที่เกิดมานั้น เมื่อเกิด
แล้ว แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา การตายนัน้ จึงเป็นเพียง
สภาวะหนึ่งเท่านัน้ ที่มันอยู่คู่กับการเกิด เมื่อความตายอยู่คู่
กับความเกิด มันอยู่กับมนุษย์เราตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว
มันก็มีเกิดที่ไหน ก็มีตายที่นั่น เราเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ใน
โลกียภูมิเท่านั้น ถ้าสูงระดับโลกุตตรภูมิแล้ว จะไม่มีความ
ตายมาปรากฏเกิดขึ้นให้เราเห็นอีกต่อไป
เพราะอะไร เพราะว่านิพพานนัน้ คือทีไ่ ม่ตอ้ งกลับ
มาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนีใ้ ห้ทกุ ข์กนั อีกต่อไป 
ขอให้เราจงพิจารณาว่ากิจวัตรประจ�ำวันของพวกเรา
นัน้ เปรียบประดุจหนึง่ ว่า เช้าขึน้ มาเราก็ทำ� งาน ตอนเย็นเรา
กินข้าว อาบน�ำ ้ แล้วก็นอน เป็นกิจวัตรประจ�ำวัน ประดุจดัง่
พระอาทิตย์ท่ขี ึ้นตอนเช้า ตกตอนเย็น ขึ้นตอนเช้า ตกตอน
32 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
เย็น ถ้าเรามีหน้าทีท่ ำ� อยู่แค่นี้ เราก็จะต้องพบกับความเวียน
ว่ายตาย-เกิดไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนัน้ แล้ว พวกเราทัง้ หลายมีโอกาสทีไ่ ด้มาเจอ
พระพุทธศาสนา มีโอกาสที่จะท�ำดีได้ ก็ขอให้พวกเรานั้น
จงมี “สัมมาทิฏฐิ” คือความเห็นชอบประกอบด้วยธรรม
ที่จะพยายามประพฤติปฏิบัติ ท�ำให้ใจของพวกเราคือตัวเรา
เองแท้ๆ นั้น ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง ปราศจากเครื่อง
กิเลสทั้งหลายทั้งปวง ที่มันครอบง�ำดวงจิต ดวงปัญญาของ
พวกเราเอาไว้
เพราะฉะนัน้ แล้ว ให้เราพิจารณาอยูเ่ สมอว่า เรามีเกิด
เมื่อไหร่ เราก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ ตายเมื่อนัน้ มันเป็นของคู่กัน
มาตั้งแต่โลกนี้ยังไม่เกิดขึ้นมาแล้ว
เพราะฉะนั้นแล้ว เราต้องตายด้วยกันหมดทุก
คน ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไม่ตาย เมื่อพวกเราเกิดมา
แล้วต้องตาย เราต้องพยายามสู้รบประหารกับกิเลส
ทัง้ หลาย แม้แต่ตวั พระสงฆ์องค์เจ้าก็ตอ้ งสูก้ บั กิเลสเป็น
ของธรรมดาในโลกนี้ ไม่มใี ครในโลกนีท้ เี่ กิดมาแล้วจะไม่
เกิด แก่ เจ็บ ตาย 
พวกเราเกิดมาเพือ่ อะไร เกิดมาเพือ่ แสวงหากุศล เพือ่
ละอกุศลทัง้ หลายทีย่ งั มีอยูใ่ นใจของพวกเราได้ เหมือนทีเ่ คย
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 33
พูดอยูเ่ สมอว่า ถ้าพวกเราสามารถชนะจิตชนะใจของพวกเรา
ได้ ที่เรียกว่า “ชิตังเม ชิตังเม” เราเป็นผู้ชนะแล้ว เราเป็น
ผูช้ นะแล้ว คือชนะทีใ่ จของเรานีแ่ หละ ไม่ตอ้ งไปชนะทีค่ นอืน่
สุดท้ายนี้ก็ขออนุโมทนาสาธุการกับพวกเราทุกคนที่
ได้เข้ามาสวดมนต์ มาสร้างบารมีให้ตัวเราเอง ขอให้สิ่งที่เรา
ได้ทำ� กันทุกวันนีท้ ำ� ให้พวกเราทุกคนจงมีบารมีสงู ยิง่ ๆ ขึน้ ไป
ขอให้ทกุ คนจงมีสขุ ภาพพลานามัยทีแ่ ข็งแรง ต่อสูก้ บั โรคร้าย
ทั้งหลาย ทั้งโรคใจและโรคกายให้มลายหายสิ้นสูญไปด้วย
ธรรมะของพระพุทธองค์ ขอให้พวกเราจงมีแต่ความสุข
ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดขึ้นมีกับพวกเราทุกคนเทอญ

34 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในรูปสังขาร
ต่อไปนี้ขอให้พวกเราจงส�ำรวมกาย วาจา ใจ ส�ำรวม
สติ ภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ โดย
เราจะท�ำกรรมฐานกันใช้ระยะเวลา ๒ นาที
การที่เราได้ท�ำกรรมฐานนั้น ก็เพื่อให้เราเห็นว่ารูป
สังขารหรือร่างกายของพวกเราทั้งหลาย ล้วนเป็นอนิจจัง
คือมันไม่เที่ยง...มันไม่เที่ยงตรงไหน
ขอให้เราจงพิจารณาว่า ร่างกายที่ว่าอนิจจังมันเป็น
ของไม่เที่ยงนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มันแปรปรวนตั้งแต่เกิดจน
แก่เฒ่าชรา ถ้าเราลองใช้สติพิจารณาว่า ค�ำว่า “อนิจจังไม่
เทีย่ ง” ในร่างกายนัน้ ตัง้ แต่เราอยูใ่ นครรภ์ของแม่เรา จนเรา
คลอดออกมาเป็นเด็กทารกน้อย แล้วค่อยๆ เจริญเติบโตมา
จนถึงทุกวันนี้ ก็เริ่มมีอายุ เริ่มแก่เฒ่าชรา เมื่อเรามีสังขาร
มีร่างกายนัน้ มันต้องพบกับ “ทุกขัง”
ทุกขัง คือความเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ในกาย คือ
ทุกข์ในสังขาร ทุกข์ในร่างกาย
ถ้าเราพิจารณาว่าความทุกข์ในร่างกายคืออะไร ให้
เราพิจารณาว่าถ้าเราไม่ได้กนิ ไม่ได้ดื่มหรือไม่ได้ท�ำกิจวัตร
ประจ�ำวัน สิง่ เหล่านัน้ ก็จะมากระทบกับกาย แล้วพลอยให้ใจ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 35
นั้นไม่สบายไปด้วย เพราะสภาวะเป็นความทุกขังนั้น บางที
เราก็ทนอยู่ไม่ได้ บางคนอาจเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึง
เข้าโรงหมอ โรงพยาบาล รักษาไม่หายก็ต้องตาย
เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเราพบกับอนิจจังคือความไม่
เที่ยงแล้ว เราก็ต้องพบกับความทุกขัง ไม่มีใครที่จะหนีพ้น
ได้สักคนเดียว แม้แต่องค์สมเด็จพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธ
เจ้าพระองค์ก็ยังหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ไปได้ไม่พ้น 
เมื่อเราหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ไปได้ไม่พ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
เมือ่ มันดับไป เมือ่ มันดับไปในทีส่ ดุ แล้ว มันก็เป็นอนัตตา คือ
ความไม่มีตัวตนของพวกเรา เนื้อหนังมังสานั้นก็ถูกไฟเผา
ท�ำลายไป เหลือแต่กระดูกที่เรียกว่า “เถ้าดิน” 
เพราะฉะนั้นแล้ว ค�ำว่า “ไม่มีตัวตน” ในที่นี้จะหมาย
ถึงว่า ร่างกายของเราทีเ่ รายึดมัน่ เป็นร่างกายนี้ เมือ่ ถึงความ
ตายเขาเอาร่างกายของเราไปเผา มันก็ไม่มอี ะไรเป็นแก่นแท้
แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนของเรา เพราะทุกอย่างนัน้
มันย่อมสลายไปในที่สุด
ขอให้พวกเรานั้นจงน้อมจิตพิจารณาเห็นตามความ
เป็นจริงทีห่ ลวงปู่ได้พดู ให้พวกเราได้ฟงั เพือ่ เป็นเครือ่ งเสริม
สติ เป็นเครื่องเสริมปัญญาของพวกเรา ถ้าเราทุกคนนัน้ ได้
ฟังแล้วน้อมเอามาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง นัน่ แหละ
36 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ถึงจะเรียกว่า สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง คือ ฟังด้วยดีย่อม
เกิดปัญญา
สัพพะระสัง ธัมมะระโส ชินาติ รสใดๆ ในโลกนี้จะ
สูร้ สแห่งพระสัจธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่
ได้แล้ว
ก็ขอให้พวกเรานั้นจงมีสติสัมปชัญญะที่ตั้งมั่นที่จะ
สามารถประหัตประหารกับกองกิเลส กองทุกข์ทั้งหลายทัง้
ปวงได้ หลวงปู่ก็ขอฝากธรรมะ ๒ นาทีไว้เพียงเท่านี้
ขอน้อมจิตนี้อนุโมทนาในกุศลผลบุญกับพวกเราทุก
คน ที่ได้เข้ามาสวดมนต์และได้เจริญภาวนาในวันนี้
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม ขอพระสัจธรรมขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงตั้งอยู่ชั่วกาลนานเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 37
ฝึกสติสมั ปชัญญะ
การที่ พ วกเราทุ ก คนนั้ น มี ส ติ ถ้ า เราทุ ก คนมี ส ติ
เราได้พิจารณาอย่างต่อเนื่องนั้น สติของเรามันก็ค่อยๆ
สะสมจิต ค่อยๆ สะสมความรู้ มันก็อยากจะสร้างสะสม
คุณงามความดีเอาไว้ภายในจิตภายในใจของเราให้มากๆ
เพราะถ้าพวกเรามีสตินนั้ พวกเราทุกคนจะเป็นคนทีม่ อี ารมณ์
ทัง้ หลายนัน้ อารมณ์ทมี่ นั เกิดขึน้ กับพวกเรามันจะมีความสุข
มีความสงบ มีความเยือกเย็นภายในจิตใจของพวกเรา 
และเมื่อเรามีสติดีแล้ว เราก็จะเป็นผู้ไม่หวั่นไหวไป
กับกิเลสทัง้ หลายได้งา่ ย ๆ เพราะเราไม่ปล่อยให้อารมณ์จติ
อารมณ์ใจของพวกเรานั้นคล้อยตามอารมณ์กิเลสตัณหา
ทัง้ หลายทัง้ ปวงได้ เพราะว่าเรามีสติ มีสมั ปชัญญะ เป็นตัว
ก�ำหนดรู้ เป็นตัวก�ำหนดดู ดูอย่างนี้ รูอ้ ย่างนี้ ให้เห็นตลอดเวลา
เมื่อพวกเราทุกคนท�ำได้แล้ว คนที่จะได้รับความสุข
นั้นไม่ใช่ใครอื่นเลย ก็คือตัวของพวกเราทุกคน ที่เราทุกคน
นั้นพยายามที่จะสรรสร้างความสุขให้กับตัวพวกเราเอง
ในเมือ่ พวกเราพยายามสรรสร้างความสุขให้ตวั เองมันจะปน
ไปด้วยโลกียสุขก็ตาม โลกุตตรสุขก็ตาม 
ก็ขอให้พวกเรานั้นจงพยายามแยกแยะให้ออก
38 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ว่า สิ่งไหนเป็นโลกียะ สิ่งไหนเป็นโลกุตตระ ก็ให้ใช้
สติสัมปชัญญะนี่แหละเป็นตัวแยก เป็นตัวพิจารณาดู
ในสภาวะที่อารมณ์มันเกิดขึ้นกับใจของพวกเรา
วันนีก้ ข็ อพูดเท่านี้ และขออนุโมทนาบุญกุศลทีพ่ วกเรา
ทุกคนได้สวดมนต์ บางคนนั่งเจริญภาวนาฟังการสวดมนต์
ท�ำให้จติ ส�ำรวมเป็นสมาธิ หลวงปูก่ ข็ ออนุโมทนาบุญกับพวก
เราทุกคนที่มาสวดมนต์ในวันนี้

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 39
ปัจฉิมโอวาท
ต่อไปให้พวกเราส�ำรวมจิต ส�ำรวมใจ ส�ำรวมกาย เพือ่
ให้จิตของเรานัน้ ตั้งมั่นอยู่ด้วยความสุข โดยใช้ระยะเวลาสัก
๒ นาที เพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมในเวลากลางวันนี้
องค์สมเด็จพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
ทรงตรัสว่า “หันทะทา นิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ อะยัง
ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา” แปลใจความว่า “ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขาร
ทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง
ท�ำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี่เป็นพระวาจามี
ในครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นแล้ว ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงตักเตือนสั่งสอนพวกเรานั้น ก็คือไม่ให้ตั้งอยู่ด้วยความ
ประมาท เพราะความประมาทนั้นเปรียบประดุจว่ามันเป็น
หนทางแห่งความตาย
ถ้ า เราสามารถน้ อ มจิ ต น้ อ มใจของเรามี
สติสัมปชัญญะรู้อยู่ตลอดเวลา นั่นแหละจึงจะได้ชื่อว่า
“เราเป็นผู้ไม่ประมาท”
40 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ไม่ประมาทนั้นเมื่อเราเกิดมาแล้ว
เราอย่าไปประมาทว่าอายุของพวกเรานั้นจะยั่งยืนกันไปอีก
กี่สิบปี ของอะไรในโลกนี้ไม่มอี ะไรแน่นอนสักอย่างเดียว ขอ
ให้เราจงพิจารณาและเชื่อว่า ท�ำดีเราต้องได้ดี ท�ำชั่วเรา
ต้องได้ชวั่ แต่ว่า “ดี” มันจะส่งผลให้เราตอนไหน “ชัว่ ” มัน
จะส่งผลให้เราตอนไหนเท่านัน้ เอง เราท�ำอะไรไว้ เราก็ต้อง
ได้รับในสิ่งเหล่านั้น
เพราะฉะนัน้ แล้ว เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจงใช้ปญ ั ญา
ของเรานัน้ พิจารณา มอง เพ่ง เล็ง ให้เห็นโทษของกามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหาหรือกามคุณทัง้ หลาย ว่าสิง่ เหล่านีม้ นั
มีโทษต่อจิตต่อใจของพวกเราแค่ไหน
เพราะฉะนัน้ แล้ว ดัง่ พระวาจาทีอ่ งค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทีต่ กั เตือนสัง่ สอนเราไว้ คือให้พวกเรานัน้ จงอย่า
ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะชีวิตของพวกเรานั้นหรือชีวิต
ของเรานัน้ ควรแยกให้ได้วา่ อะไรควรจ�ำไว้ประทับใจ อะไร
ควรจ�ำไว้ที่เราไม่ต้องจดจ�ำมัน
เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างเรานั้น สิ่งไหนไม่ดีเราก็
ไม่ตอ้ งไปจ�ำมันเอาไว้ สิง่ ไหนดีกข็ อให้พวกเราจ�ำกันเอา
ไว้ เมือ่ เราจ�ำแต่สงิ่ ทีด่ ๆี เราก็จะได้รบั แต่สงิ่ ทีด่ ๆี ถ้าพวก
เราจ�ำแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็ได้รับในสิ่งที่ไม่ดี
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 41
หลวงปูข่ ออนุโมทนาบุญกับพวกเราทุกคน ขอให้พวก
เราทุกคนจงมีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม และขอ
ท�ำอะไรก็ขอให้มแี ต่ความคล่องตัว มีแต่คำ� ว่า “ส�ำเร็จ” ค�ำว่า
“ไม่ส�ำเร็จ” อย่าพึงบังเกิดขึ้นมี และค�ำว่า “ไม่มี” ทั้งหลาย
นั้นอย่าพึงบังเกิดขึ้นมีกับเรา ขอให้เรามีสุขภาพพลานามัย
ร่างกายที่แข็งแรง ขอให้พวกเราจงเจริญ เจริญด้วยปัญญา
ด้วยกันหมดทุกคนเทอญ

42 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ปล่อยวางได้ ใจก็เป็นบุญ
ต่อไปนี้ขอให้พวกเราส�ำรวมกาย วาจา ใจของเราให้
ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
บุคคลใดก็แล้วแต่ทจี่ ะมีความสุขได้นนั้ บุคคลนัน้ ต้อง
ท�ำกรรมฐานสมาธิให้เกิดขึน้ เพราะเมือ่ จิตของเราสงบตัง้ มัน่
แล้ว ความสุขนัน้ ย่อมเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน 
วันนีเ้ ป็นวันธรรมสวนะหรือเป็นวันพระ พวกเราทัง้ หลาย
ได้พร้อมใจกันเข้ามาสวดมนต์แห่งบ้านปันสุขนั้น การที่เรา
สวดมนต์นั้นได้ชื่อว่าเรามีจิตสงบอยู่กับค�ำบริกรรมภาวนา
คือพวกเรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา 
การที่พวกเราทุกคนนั้นมีสติสัมปชัญญะ ถ้าเราท�ำ
จิตของเรานั้นให้ใสให้ได้ตลอดวัน เมื่อเรามีสติแล้ว สติจะ
เป็นตัวที่จะท�ำจิตท�ำใจของเราให้ใสได้ตลอดวัน คือจะไม่มี
อารมณ์ขุ่นมัวนั้นเข้ามาแทรกให้เราเกิดความทุกข์ได้ และ
สิ่งส�ำคัญที่สุดนั้น การที่เราจะท�ำอย่างไรที่เราจะท�ำให้ใจ
ของเราเป็นบุญ 
ท�ำให้ใจของเราเป็นบุญ ถ้าเราสามารถท�ำได้ เรารู้จัก
ปล่อยวางสภาวะอารมณ์ตา่ งๆ นัน้  ถ้าเรารูจ้ กั ปล่อยวางเรือ่ ง
บางเรื่องได้ ถ้าเราท�ำแค่นี้ ความสุขทั้งหลายนั้นก็ย่อมจะ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 43
เกิดขึน้ มีกบั พวกเราทุกคน เมือ่ เราทุกคนรูจ้ กั วาง วางไว้ดว้ ย
อารมณ์อเุ บกขา ความสุขก็ย่อมจะเกิดขึน้ กับพวกเราทุกคน
เพราะฉะนัน้ แล้ว ความสุขทีแ่ ท้จริงนัน้ ก็คอื การทีพ่ วก
เราท�ำจิตท�ำใจของเราให้เกิดเป็นอารมณ์แห่งสมาธิ 
สมาธิ คือ ความตั้ ง ใจมั่ น เมื่อ พวกเราทุ ก คนนั้ น มี
อารมณ์ มีความตัง้ ใจมัน่ แล้ว ความสุขทัง้ หลายก็ยอ่ มบังเกิด
ขึ้นมีกับพวกเราทุกคน
วั น นี้ เ ป็ น วั น พระธรรมสวนะ ก็ ข อให้ เ รานั้ น จงมี
สติสัมปชัญญะ ส�ำรวมกาย วาจา ใจ ที่เรียกว่าประพฤติ
ปฏิบตั ิ ให้สงิ่ นัน้ มีอยูก่ บั พวกเราเท่าทีพ่ วกเราจะสามารถท�ำได้ 
ก็ขออนุโมทนาสาธุการกับพวกเราทุกคน ขอกุศลบุญ
ราศี บุญบารมีสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับหลวงปู่แล้ว ขอให้ทุกคนนัน้
จงมีสว่ นได้ในบุญนัน้ และสิง่ ใดทีเ่ กิดกับพวกเราทุกคน หลวง
ปู่ก็ขอน้อมจิตน้อมใจ ขออนุโมทนากุศลผลบุญกับพวกเรา
ทุกคน ขอให้พวกเราจงมีแต่ความสุข สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ
ขอให้พวกเราจงเจริญ มีความคล่องตัวทั้งทางโลกและทาง
ธรรม นึกคิดสิ่งใดหากไม่เกินวิสัยแห่งกรรมแล้วไซร้ ขอค�ำ
ว่า ส�ำเร็จ จงพึงบังเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน หลวงปู่ก็ขอ
อนุโมทนาสาธุการขึ้นกับพวกเราทุกคนด้วยเทอญ

44 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


บ�ำเพ็ญเพียรเพือ่ ออกจากวัฏสงสาร
ต่อไปหลวงปู่ก็จะพูดธรรมะเล็กๆ น้อยๆ สัก ๒ นาที
เพื่อให้พวกเรานั้นเผื่อจะได้เข้าใจว่าพวกเรานั้นสวดมนต์ได้
ชื่อว่าพวกเราได้ท�ำความดี ความดีท้ังหลายนั้นที่พวกเรา
ท�ำมันไม่หนีไปไหน ถ้าเราเอามาตั้งไว้ มันก็อยู่ภายในจิตใจ
ของพวกเรานี่แหละ ที่เรามีจิตว้าวุ่น จิตเกาะอยู่กับความ
ทุกข์ เพราะอะไร..
เพราะเรารู้ไม่เท่าทันสภาวะอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ถ้า
เราจะพูดง่ายๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่มันท�ำให้เราทุกข์ เพราะ
ว่าจิตเราส่งออกข้างนอกเลยเป็นสมุทัย
สมุทยั เป็นกิเลส กิเลสตัวเดียวแท้ๆ เป็นกิเลสทีแ่ ท้
จริง ที่มันเป็นเหตุให้พวกเราทั้งหลายต้องเวียนว่ายอยู่
ในวัฏสงสาร ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มที ี่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราตั้งจิตสงบให้เป็นสมาธิได้ ถ้า
เราบ�ำเพ็ญเพียรภาวนาทุกวัน ทุกวัน ท�ำความจริงให้มนั เกิด
ขึน้ กับจิตกับใจของเราตลอดไป เราก็จะสามารถค่อยๆ ช�ำระ
ล้างตัวกิเลสทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น ให้มันหายสิ้นจากใจของ
พวกเรา คนเราส่วนมากมีความอยาก เมื่อมีความอยากกัน
แล้วจึงท�ำให้คนเรานัน้ ตั้งอยู่เป็นผู้ประมาท
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 45
เมือ่ พวกเราประมาทแล้ว ความดีทเี่ ราจะท�ำนัน้ ถ้าเรา
มัวผลัดวันประกันพรุง่ ว่าเรายังไม่ตาย เรายังมีชวี ติ ยืนต่อไป
อีก ให้เราพิจารณา โดยเอาของจริงมาพิจารณา เราลองมอง
รุ่นพ่อรุ่นแม่ ตลอดจนผู้ทมี่ อี ายุ เราจะสังเกตว่าเขาเหล่านัน้
ไม่สามารถที่จะมาวัดมาวาไหว มาท�ำบุญมาท�ำกุศลไม่ไหว
เพราะเดินไม่ค่อยคล่อง
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราใช้ปัญญามองให้เห็นตาม
ความเป็ น จริ ง แล้ ว ก็ ข อให้ พ วกเราทั้ ง หลายจงส� ำ นึ ก
ส�ำเหนียกอยู่ในใจว่า ตอนนีเ้ รายังมีกำ� ลัง เรายังมีพละก�ำลัง
ที่แข็งแรง ก็ขอให้พวกเราจงพยายามขวนขวายสิ่งที่เป็นบุญ
เป็นกุศล เอามาไว้ในจิตในใจของเราให้มาก 
ขอให้พวกเรานัน้ อย่ามัวหลงระเริงหรือหลงอยู่ในโลก
โลกีย์ หรืออยู่ในโลกโลกีย์ท่ีมันมีความอยากเป็นเหตุ มันมี
ความอยากไม่มที ี่สิ้นสุด เมื่อมันมีความอยากนัน้ เราก็ต้อง
ตัดความอยากออกจากจิตออกจากใจของพวกเราให้ได้
ถ้าเราสามารถตัดความอยากออกจากจิตออกจากใจ
ได้แล้ว เรานัน้ จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความสุข
ก็ขอให้พวกเรานั้น จงใช้ปัญญาพิจารณาและมองให้
เห็นตามความเป็นจริง
หลวงปู่ก็ขออนุโมทนาในกุศลบุญบารมีที่พวกเราทุก
46 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
คนได้เข้ามาสวดมนต์ ได้เข้ามานัง่ ภาวนา แม้จะเป็นเพียงแค่
ระยะเวลาชัว่ ครู่ชวั่ ขณะก็ไม่เป็นไร ชือ่ ว่าวันนีเ้ ราได้ทำ� ความ
ดีแล้ว ขอกุศลบุญบารมีอันใดที่เกิดกับหลวงปู่แล้ว ขอให้
พวกเราทุกคนจงได้กุศลผลบุญนัน้ ด้วย และถ้าผลบุญกุศล
ใดที่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนแล้ว หลวงปู่ก็ขออนุโมทนาใน
กุศลผลบุญกับพวกเราทุกคน สาธุ สาธุ ขอความสุขสวัสดี
จงพึงบังเกิดขึ้นมีกับพวกเรา

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 47
เมตตา ความนิง่ ความอดทน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัพพะระสัง ธัมมะระโส ชินาติ
รสใดๆ ในโลกนี้ จะสู้รสแห่งพระธรรมไม่ได้”
การที่พวกเรานั้น ยังมีความโลภ ความโกรธ ความ
หลง นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของวิสัยที่พวกเรานั้นยังมีกิเลส
ด้วยกันหมดทุกคน
ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้เราจงชนะความโกรธ
ด้วยเมตตา  
เมื่อเรามีเมตตาแล้วใครจะด่า ใครจะว่าเรามันก็เรื่อง
ของเขา ใครจะท�ำให้เราโกรธแต่ถ้าเรามีเมตตาแล้ว เราจะ
โกรธเขาไม่ลง เพราะเมตตานัน้ คือความรัก ความปรารถนาดี
อยากให้เขาทัง้ หลายนั้นพ้นจากความทุกข์
นักปราชญ์ทา่ นทัง้ หลายยังได้กล่าวว่า “ถ้าเราโกรธใคร
ถ้าเขาด่าเรา เรารับมันก็เป็นของเรา ถ้าเราไม่รับ มันก็เป็น
ของเขา”
ถ้าเราท�ำใจของเราให้มีเมตตา ชนะความโกรธได้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การชนะความโกรธได้นั้น ได้ชื่อ
ว่าชนะตัวเองด้วย และมีความรักคือความเมตตา ถ้าเรายัง
มองด้วยปัญญาว่า ดูแม้ลกู ยังฆ่าแม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่า
48 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
มีความโกรธ มีความโกรธที่เรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เพราะ
ลูกโมโห ลูกมีความโกรธแท้ๆ จึงฆ่าแม่ของตัวเองได้
เพราะฉะนั้นแล้ว จึงอยากจะให้พวกเรานั้น จงชนะ
ความโกรธด้วยเมตตา จงชนะความนินทาด้วยความนิง่
จงชนะทุกสิ่งด้วยความอดทน
ค�ำว่าจงชนะความนินทาด้วยความนิ่งนั้น ขอให้เรา
คิดเสียว่าใครด่าเรา ใครนินทาเรา แล้วเขามีความสุขแสดง
ว่าเราได้บุญแล้ว เพราะเราท�ำให้เขามีความสุข ที่เขาได้
กล่าวโทษได้นนิ ทาเรา ใครจะว่าเราก็เรื่องของเขา เหมือนที่
เขาบอกว่า
ใครจะรักใครจะชังช่างเขาเถิด ใครจะเชิดใครจะชูก็ช่างเขา
ใครจะด่าใครจะบ่นก็ทนเอา ใจเราร่มเย็นนัน้ เป็นพอ..
ใครจะชอบใครจะชังช่างเขาเถิด ใครจะเชิดใครจะชูก็ช่างเขา
ใครจะด่าใครจะบ่นก็ทนเอา ขอให้ใจเราร่มเย็นนัน้ เป็นพอ
เพราะถ้าเรามีความนิ่งได้ ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่ว่าอะไร
ใครจะนินทา ใครจะเกลียดเราก็เรื่องของเขา ไอ้คนที่มัน
เกลียดเรา มันนินทาเรา แสดงว่าคนเหล่านัน้ มันมีความทุกข์
โดยทีม่ นั ไม่ได้รตู้ วั เลยว่าการด่าเขา การนินทาเขานัน้  มันเป็น
สิ่งที่ตัวเองดีแล้วหรือ ถึงไปนินทา ถึงไปด่าเขา ถ้าตัวเองยัง
ไม่ดีก็ควรมองที่ตัวเองด้วย

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 49
จงชนะทุ ก สิ่ ง ด้ ว ยความอดทนอดกลั้ น เพราะ
ธรรมดากิเลสทั้ง ๕ นั้น มันเข้าครอบง�ำพวกเราได้ตลอด
เวลา ถ้าเรามีขนั ติบารมี มีความอดทนอดกลัน้ ต่อทุกๆ สิง่ ได้
ไม่ว่าใครจะท�ำอะไร เราก็มคี วามอดทนอดกลัน้ ถ้าเราท�ำได้
อย่างนี้ ชีวติ ของพวกเรานัน้ ก็จะมีแต่ความสุข ขอให้พวกเรา
จงจ�ำไว้ว่า
จงชนะความโกรธด้วยเมตตา
จงชนะความนินทาด้วยความนิ่ง
จงชนะทุกสิ่งด้วยความอดทน
ถ้าเราท�ำสามอย่างนี้ได้ ตัวเราก็มแี ต่ความสุข
สุดท้ายนี้ก็ขอความสุขความสวัสดี จงบังเกิดมีกับ
พวกเราทุกคน ขอให้พวกเราจงมีกำ� ลังใจทีเ่ ข้มแข็ง สามารถ
ฟันฝ่ากิเลสทั้งหลายไปได้พร้อมกันหมดทุกคน

50 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ความเทีย่ งมันไม่มี
ต่อไปจะได้พูดกรรมฐานหรือพูดธรรมะเล็กๆ น้อยๆ
เพื่อให้พวกเราได้ฟัง โดยใช้ระยะเวลาประมาณ ๒-๓ นาที
ความเที่ยงมันไม่มี อยากจะพูด ๒-๓ นาที พอพูดแล้วมันก็
เลยไปถึง ๕ นาทีบ้าง ๖ นาทีบ้าง นีแ่ หละ ความเทีย่ งมันไม่มี
พวกเราทั้ ง หลายนั้ น องค์ ส มเด็ จ พระบรมครู เ จ้ า
พระองค์ทรงสอนเราทั้งหลาย ที่เป็นพุทธบริษัททั้งหลาย
ว่า ให้เราก�ำหนดรู้ทุกข์ ถ้าเราก�ำหนดรู้ทุกข์ได้แล้วนั้น เรา
ทั้งหลายจะไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ หรือเป็นผู้จมอยู่กับความทุกข์
เพราะความไม่รู้ว่านี่ทุกข์ เราจึงเข้าไปยึด เมื่อเราเข้าไปยึด
ทุกข์แล้ว ทุกข์มันก็เกิดขึ้น
 ผู้ใดก็แล้วแต่ไม่ก�ำหนดรู้ทุกข์ ก็ต้องแบกทุกข์
เรื่อ ยไป เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้า เราทั้ง หลายได้ป ระพฤติ
ได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่
พระองค์ตรัส หาหนทางทัง้ หลายทัง้ ปวงให้พวกเรานัน้ ได้พน้
จากห้วงแห่งความทุกข์ทงั้ หลายทั้งปวงได้ 
ความทุกข์อยูท่ ไี่ หน ความทุกข์มนั ก็อยูท่ ใี่ จและมัน
ก็อยู่ที่กาย ถ้าทุกข์ใจทุกข์กาย มันก็สารพัดทุกข์
ถ้าเรารู้จักค�ำว่า กายก็ทุกข์อย่างหนึ่ง ใจก็ทุกข์
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 51
อย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถแยกแยะออกได้ มันก็เหมือน
แยกรูปกับแยกนามออกได้ว่า อะไรคือความทุกข์ทาง
กาย อะไรคือความทุกข์ทางใจ
เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราทั้งหลายที่เกิดมา เกิดมา
เพื่ออะไร
เกิดมาเพือ่ ละออกจากความทุกข์ทงั้ หลายทัง้ ปวงนีใ้ ห้
ได้ ถ้าพวกเราเกิดมาแล้วละออกจากความทุกข์ทงั้ หลายทัง้
ปวงนี้ได้ นับว่าเราได้ทรัพย์อริยะอันประเสริฐ คือทรัพย์อัน
ประเสริฐด้วยอริยทรัพย์
เพราะฉะนั้นแล้ว ขอให้พวกเราทัง้ หลาย จงพยายาม
ขวนขวาย สิ่งใดที่เป็นประโยชน์จงรักษาไว้ สิ่งใดที่เป็นโทษ
ขอให้เราจง “ละ” สิ่งเหล่านั้นเสีย
เอาล่ะหลวงปู่กพ็ ดู มากพอสมควร ก็ขอพูดให้พวกเรา
พอเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่เข้าใจ ก็สุดแท้แต่ปัญญาของ
แต่ละคน
เพราะฉะนั้นแล้ว หลวงปู่ก็ขอน้อมจิตอนุโมทนากุศล
ผลบุญกับพวกเราทุกคน ที่ได้เข้ามาสวดมนต์ในวันนี้

52 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ดูตวั เรา มีสติและรูเ้ ท่าทัน
ต่อไปขอให้พวกเราจงส�ำรวมจิตส�ำรวมใจฟังธรรมะ
เล็กๆ น้อยๆ ที่หลวงปู่จะได้อธิบายให้พวกเราฟัง เพื่อเป็น
เครื่องเสริมสติปัญญาให้กับพวกเราทุกคนที่อยู่ในห้องบ้าน
ปันสุขจ�ำนวน ๖๔ คน
พวกเราทั้งหลายถ้าเราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม
การปฏิบตั ธิ รรมทีแ่ ท้จริงนัน้ คือการทีพ่ วกเราทัง้ หลายนัน้ มา
ค้นหาจิต เห็นจิต รูจ้ ติ ด้วยตัวเราเอง เพือ่ เรานัน้ จะช�ำระจิตของ
เรานัน้ ให้บริสทุ ธิไ์ ด้โดยสิน้ เชิง เหมือนทีห่ ลวงปูบ่ อกนัน่ แหละ
ว่า การประพฤติปฏิบตั ธิ รรมทีแ่ ท้จริงนัน้ คือ “การเฝ้ารู”้
รูอ้ ะไร คือการเฝ้ารูก้ าย รูใ้ จ รูภ้ ายในของตัวเราเองอยู่
เสมอ ในทุกอิรยิ าบถ ถ้าเรามีสติ เรามีสัมปชัญญะที่ถูกต้อง
แล้ว ทุกการกระท�ำเหมือนทีเ่ จ้าเอยพูดเมือ่ วานนีแ้ หละว่า มี
อารมณ์ความโกรธขึน้ มา ถ้าเรารูเ้ ท่าทันมันได้ ด้วยการระลึก
ดูลมหายใจเข้า-ออก ก็สามารถที่จะยับยัง้ มันได้ 
เพราะฉะนั้นแล้ว การปฏิบัติธรรมนั้นคือเรามีสติ
รู้อิริยาบถทุกการกระท�ำ ไม่ว่าเราจะพูด หรือจะคิดใน
ขณะปัจจุบนั ทีต่ วั เรารูอ้ ยูเ่ สมอ ถ้าตัวเราไม่รู้ แสดงว่าเรา
ขาดสติ ถ้าเรามีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีราคะ
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 53
ตัณหาทั้งหลาย ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันมัน นั่นแหละเรียกว่า
เราปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแล้ว คือเรามีสติรู้เท่าทันตัวกิเลส
ทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้นภายในจิตภายในใจของพวกเรา
บุคคลใดก็แล้วแต่ หลวงปู่เคยไปอยู่กับหลวงปู่เรือง
ท่านได้สอนว่า “จิตใดรู้ทันและบริสุทธิ์ จิตนั้นหลุดพ้น
จิตใดไม่ยดึ ติด จิตนัน้ ไม่ทกุ ข์ จิตใดยึด จิตนัน้ ทุกข์” ท่าน
สอนอย่างนี้ เรามาพิจารณาดูแล้ว ว่าจิตใดทีเ่ รารูเ้ ท่าทันและ
มีความรู้ด้วยความบริสุทธิ์ ได้ช่อื ว่า “จิตนั้นหลุดพ้น”
ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใน
วัฏสงสาร ก็ขอให้เรามีสติรู้เท่าทันอารมณ์ทางกาย ทางใจ
รู้เท่าทันความคิดทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น
จะขอพูดว่า ธรรมแท้นั้นมีไม่มาก แค่ “รู้” แล้วไม่
ทุกข์ทางใจเท่านั้นเอง
ธรรมแท้มีแค่นี้เอง คือธรรมล้วนๆอันเป็นแก่น ไม่ใช่
เป็นกระพีเ้ ป็นเปลือกอยูข่ า้ งนอก แก่นธรรมจริงๆ นัน้ คือ “รู้
แล้วไม่ทกุ ข์” เราสามารถปล่อยวางอารมณ์แห่งโลภ โกรธ
หลงได้ เท่านีแ้ หละชีวติ ของพวกเราก็จะอยูก่ นั อย่างมีความสุข 
หลวงปูก่ พ็ ดู มาพอเป็นเวลาสมควรแล้ว ก็ขออนุโมทนา
บุญกับพวกเราทุกคน ทีไ่ ด้เข้ามาสวดมนต์จำ� นวน ๖๔ คนใน
วันนี้
54 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
รูอ้ ารมณ์และอยูก่ บั ปัจจุบนั
ต่อไปให้เราท�ำใจของเราให้สบาย ก�ำหนดรู้ ลมหายใจ
เข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ มีสติอยู่กับลมหายใจเข้าแบบสบาย
ผ่อนคลายให้ตัวเอง
พวกเราทั้งหลายนั้นยังเป็นปุถุชน ค�ำว่า “ปุถุชน”
นั้นคือพวกเรานั้นถือเอาอารมณ์เป็นใหญ่ สิ่งที่ชอบก็ว่าดี
ไม่ชอบก็ว่าไม่ดี อันที่จริงแล้วมันเหมือนกัน เพราะทุกสิ่งทุก
อย่างนั้นมันต้องสลายเหมือนกัน ทุกข์-สุขก็เหมือนกัน
เพราะฉะนั้ น แล้ ว เราอย่ า ไปยึ ด ติ ด กั บ สิ่ ง เหล่ า นี้ 
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หากเรายึดว่าเที่ยง มันก็เป็น
ของทุกข์ บุคคลที่ปราศจากทุกข์แล้วก็คือพระพุทธเจ้าและ
พระอรหันต์ทงั้ หลาย 
ทีป่ ราศจากทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเหล่าพระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์นั้นไม่กังวลหรือถือมั่น เห็นก็รู้ มีเหตุก็
ดับไป เห็นความตระหนักในอารมณ์ ไม่ล�ำเอียงไปทางหนึ่ง
ทางใด 
เพราะอะไร เพราะว่าใจของพวกเรานัน้ ใจทีม่ นั สกปรก
มืดมัว เร่าร้อน มันย่อมทุรนทุรายเป็นอารมณ์ ถ้าเราหลงว่า
รูปสวย เราก็จะเพลิดเพลินไปกับมัน มันสั่งให้เป็นอะไร เรา
ก็จะเชื่อมัน
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 55
ถ้าเราไม่อยากเป็นคนหลง ก็ขอให้พวกเราทุกคนนั้น
ขอให้พวกเรารู้จักการว่า เราต้องฝึกจิตฝึกใจให้อยู่กับอะไร
เราต้องฝึกจิตฝึกใจนั้นให้อยู่กับค�ำว่า “ปัจจุบัน”
ถ้าเราอยู่กับค�ำว่า “ปัจจุบัน” ได้ คือมีอารมณ์รู้
เท่าในสภาวะทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิด อย่าอยู่กับสมมติ
บัญญัติ ถ้าเราอยูก่ บั สมมติบญ ั ญัติ จนยึดติดกับความคิด
ให้เราพิจารณา “รู้ตัว”
ถ้าเรามีความรู้ตวั และดูมนั ไว้ตลอดเวลา ให้ว่าสิง่ ไหน
มันเกิดขึน้ ผลสุดท้ายก็ให้มนั ดับไปเอง แล้วเราจะไม่หลง ถ้า
ท�ำไม่ได้เราก็หลงกันอยู่วนั ยันค�ำ ่ เพราะฉะนัน้ แล้ว ขอให้เรา
พิจารณาค�ำว่า “หลง” นี้กันให้ได้ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลาย
นั้น ไม่มีอะไรหนีพ้นในกฎแห่งพระไตรลักษณ์ไปได้สักอย่าง
เดียว แม้แต่รปู ร่างกายของเราก็เปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา
หลวงปู่ก็พูดมา ก็ใช้เวลา ๒ นาที ขอกุศลบุญบารมี
สิ่งใดที่กระท�ำกันแล้ว ขอบุญกุศลนั้นขอให้พวกเราพบแต่
ความสุข ขอให้มีปัญญา ขอให้พวกเราทั้งหลายนั้น จงพบ
แต่ค�ำว่า “คล่องตัว” พบแต่ค�ำว่า “ส�ำเร็จ” ขอค�ำว่า “ไม่มี”
ทั้งหลาย อย่าพึงบังเกิดขึ้นมีกับพวกเรา ขอให้เรารู้จักทุกข์
แล้วละออกจากทุกข์นกี้ นั ให้ได้ ถ้าเราละออกจากทุกข์เหล่า
นีไ้ ด้ เราจะมีความสุข ใครได้รบั ความสุข ก็คอื ตัวของพวกเราเอง
ก็ขอความสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแก่พวกเราทุกคน
56 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
อวิชชาเป็นเหตุปจั จัยแห่งการเกิด
ต่อไปขอให้พวกเราส�ำรวมกาย วาจา ใจให้เป็นปกติ
แล้วน้อมที่จะฟังธรรมะที่หลวงปู่จะพูดให้พวกเราได้ฟัง
โดยใช้ระยะเวลาประมาณ ๒-๓ นาที
ขอให้พวกเราจงจ�ำไว้วา่ คนเราทีเ่ กิดขึน้ มาแล้วหรือว่า
อุบตั บิ งั เกิดขึน้ มาแล้วในโลกใบนี้ เมือ่ เราเกิดมาแล้วนัน้ ล้วน
แล้วแต่มเี หตุมีปัจจัยให้มันเกิดขึ้นมาทั้งหมดทั้งสิ้น
ให้เราพิจารณาว่าในโลกนี้ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครดล
บันดาลขึ้นมา ชีวิตมนุษย์หรือชีวิตพวกเราก็เหมือนกัน ที่มัน
เกิดขึน้ มานัน้ ทุกสิง่ ทุกอย่างมันต้องมีเหตุ มีผล มีปจั จัยให้มนั
เกิดขึน้ ให้มนั เกิดทัง้ หมดทัง้ สิน้ ว่าสิง่ ทีเ่ ป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้
เราเกิดมีชีวิต มีรูป มีนาม มีสังขารต่างๆ ขึ้นมา เพราะอะไร
เพราะ “อวิชชา” คือความไม่รู้ คือความไม่รใู้ นทุกขัง
อนิจจัง อนัตตา คือไม่รู้ในกฎแห่งพระไตรลักษณ์ จิตใจของ
พวกเรานั้นเวลากิเลสมันครอบง�ำ จิตใจของพวกเรานั้นจึง
อ่อนหวานหรืออ่อนไหวไปตามสิ่งที่มันยั่วยุ ตามอ�ำเภอใจ
ของมัน
แต่ถ้าพวกเราพิจารณาโดยธรรมอันเป็นหลักแล้ว เรา

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 57
จะเห็นว่าเหตุปจั จัยนัน้ มันเกิดขึน้ เพราะกรรม กรรมทีพ่ วก
เราได้สร้างกันเอาไว้ในอดีตชาติกด็ ี ในปัจจุบนั ชาติกด็ ี เมือ่ เรา
สร้างกรรมอะไรเอาไว้ เราก็ตอ้ งได้รบั ผลของกรรมเหล่านัน้
เหตุปจั จัยทีเ่ กิดขึน้ ก็เพราะว่าพวกเราทุกคนนัน้ มีบญ ุ
มีกุศล ที่เคยท�ำเอาไว้ จึงได้มาอุบัตบิ ังเกิดเป็นมนุษย์ ได้มา
เกิดเป็นคน ถ้าพวกเราไม่เคยสร้างกรรมดี ไม่เคยเริ่มสร้าง
บารมีเอาไว้ เราอาจจะไปเกิดในสัตว์ ในอบายภูมิทั้ง ๔ มี
สัตว์เดรัจฉานทัง้ หลาย เป็นต้น
ขอให้เราจงส�ำนึกส�ำเหนียกอยู่ในใจว่า เราเกิดมา
ดีแล้ว เมื่อเราเกิดมาดีแล้ว เราอย่าให้เสียทีที่เราเกิด ขอให้
เราจงพยายามปฏิบตั ธิ รรมให้เกิดขึน้ รูต้ วั ตลอดเวลา เพราะ
เช่นนั้นแล้ว เมื่อกรรมดีที่เราสร้าง มันจะได้พบแต่ความสุข
ความเจริญ
วันนี้หลวงปู่ก็พูดมาพอเป็นเวลาอันสมควร ขอความ
สุขสวัสดีทั้งหลาย จงบังเกิดขึ้นมีกับพวกเราทุกคน ที่ได้เข้า
มาสวดมนต์ในห้องบ้านปันสุขในวันนี้
ต่อไปเราก็จะอุทศิ กุศลผลบุญทีเ่ ราได้สวดมนต์ภาวนา
กัน ให้แก่เทพเทวา ตลอดจนเพื่อนมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย ทั่ว
หมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาล

58 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


ฝึกสติให้แข็งแกร่งเกิด
ต่อไปขอให้พวกเราจงพยายามตัง้ ใจฟัง แล้วก็นอ้ มจิต
น้อมใจของเรานัน้ ให้เกิดเป็นอารมณ์แห่งความสบาย เกิดขึน้
ภายในจิตภายในใจของพวกเรา
หลวงปู่พูดถึงค�ำว่า “จิต” นัน้ บางคนก็เข้าใจ บางคน
ก็ยังไม่เข้าใจ ค�ำว่า “จิต” นั้นคืออะไร ค�ำว่า “จิต” นั้น จิต
เป็นผู้รู้โดยธรรมชาติ
ค�ำว่า “จิตเป็นผู้รู้โดยธรรมชาติ” นั้น เป็นแต่เพียง
“สักว่ารู้” คือรู้สึก รู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น รู้ได้เห็น ได้ยิน
ได้ฟัง แล้วรู้ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสถูกต้องสิ่งสารพัดทั้งปวง
ไม่รู้จักพินิจพิจารณา คือจิตนั้นไม่รู้จักตัดสินว่าอะไรไม่ได้
ทั้งนั้น จึงเป็นอันว่าไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักผิด ไม่รู้จักถูก
ส่วนตัว “สติ” นั้นเป็นตัวควบคุมจิต
ค�ำว่า “เอาสติมาควบคุมจิต” นัน้ คืออะไร
เพราะตัวสตินนั้ เป็นตัวรู้ มีอำ� นาจอยูเ่ หนือจิต สามารถ
รูเ้ ท่าทันจิตและรูเ้ รือ่ งของจิตได้ดี ว่าเวลานีจ้ ติ ดี เวลานีจ้ ติ ไม่ดี
ตลอดมีความสามารถท�ำการปกครองจิตของเราให้ดไี ด้จริงๆ
เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราทั้งหลายจะเป็นผู้ประพฤติ
ปฏิบัติใหม่ หรือเคยประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้ว ในหลัก
พระพุทธศาสนาทีอ่ งค์สมเด็จพระบรมศาสดาทีพ่ ระองค์ทรง
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 59
สอนพวกเรานัน้ ก็พึงก�ำหนดเอา “ตัวรู้” คือผู้รู้มีอ�ำนาจอยู่
เหนือจิตนัน้ ก็คือ “สติ”
ขอให้เราเอา “สติ” มาตั้งลงตรงหน้า เมื่อเรามีสติตั้ง
ลงตรงหน้าเป็นสติ สติก็จะท�ำหน้าที่ก�ำหนดรู้อาการของจิต
และรวมเอาดวงจิตดวงใจนัน้ เข้าตัง้ ไว้ในจิต พยายามจนกว่า
จิตของพวกเราทีก่ ำ� ลังประพฤติปฏิบตั ิ หรือก�ำลังฟังกันอยูน่ ี้
จะรวมเป็นหนึง่ เมือ่ จิตของพวกเรารวมกันเป็นหนึง่ แล้ว ท่าน
จึงจะเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะพร้อมบริบูรณ์
ในขณะเดียวกัน ถ้าจิตของเรานั้นยังไม่สงบ จิตของ
เรายังฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปตามรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ทงั้ หลายทั้งปวง อันนั้นเพราะว่าเราขาดการฝึก
สติให้มนั แข็งแกร่ง ถ้าเราฝึกสติของเราให้แข็งแกร่งแล้ว คือ
ให้เรารู้เท่าทันจิตที่มันเกิดขึ้น ที่มันไปรับรู้อารมณ์ท้ังหลาย
ทัง้ ปวง เมื่อเรามีสติเป็นตัวรับรู้อารมณ์ทงั้ หลายทัง้ ปวงแล้ว
ถ้าสติเราแข็งแกร่งพอ เราก็จะสามารถควบคุมจิตนั้นไว้ได้
วันนี้หลวงปู่ก็พูดธรรมะมาพอเวลา ๒-๓ นาที ก็ขอ
ความสุขสวัสดีจงบังเกิดขึน้ มีกบั พวกเราทุกคน ขอให้พวกเรา
ทุกคนนัน้ จงเจริญในธรรม และจงเจริญในทางโลกควบคูก่ นั
ไป ขอให้พวกเราทัง้ หลายมีแต่ความสุขความเจริญ ขอความ
สุขสวัสดีจงพึงบังเกิดมีกับพวกเราทุกคน

60 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)


รายชือ่ เจ้าภาพร่วมพิมพ์หนังสือ
1. คุณนริศรา-เอกรินทร์ อินก�ำแหง และครอบครัว ๙,๙๐๐
2. คุณเพ็ญพร พงษ์พรรณเจริญ และครอบครัว
คุณติณณ์ อินทพิเชฎฐ์ ๕,๐๐๐
3. คุณสุนัย-สุจรรยา สานตะพงษ์ และครอบครัว ๔,๐๐๐
4. คณะผู้ถือศีลอุโบสถวัดใหม่ปลายห้วย ๓,๔๔๐
5. คุณมิญช์ อินทพิเชฎฐ์ ๓,๐๐๐
6. คุณเทพชัย สนธยานนท์ ๓,๐๐๐
7. คุณรัศมี-นรุตม์ ธันยธร ๓,๐๐๐
8. คุณแม่เหนียม หรุ่นโพธิ์ พร้อมลูกหลาน ๒,๕๐๐
9. คุณปรีชา ศรีอัศวกุล ๒,๐๐๐
10. คุณอรุณวดี ธนวลีกุล และครอบครัว ๒,๐๐๐
11. คุณเพ็ชรรัตน์ พงษ์สุรพิพัฒน์และครอบครัว ๒,๐๐๐
12. พระบวร ฐิตเมโธ (ดิษฐ์บ�ำรุง)-แม่ชพี รทิพย์ ชมชื่น -
ลีน่า เจียรธนะกานนท -นิรมล เกียรติสมทรัพย์ ๒,๐๐๐
13. คุณอรรถพล ฉัตรตระการ ๒,๐๐๐
14. คุณกัญชริญา เนียมประเสริฐพร ๑,๒๐๐
15. คุณธนู เนียมประเสริฐพร ๑,๒๐๐
16. คุณธนวัฒน์ ฉันทจิตปรีชา ๑,๒๐๐
17. ด.ช.ธนากฤต ฉันทจิตปรีชา ๑,๒๐๐
18. คุณนันทรัตน์ เนียมประเสริฐพร ๑,๒๐๐
19. คุณโอภาส-สุกัญรัตน์ น่วมบาง และครอบครัว ๑,๒๐๐
20. คุณสุรพงษ์-มาลี-ยุพา-ธนัชชา บูรณะบุญวงศ์

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 61
และครอบครัวลูกหลาน ๑,๑๐๐
21. พระครูววิ ัฒน์วรสถิตย์ ๑,๐๐๐
22. เด็กท้ายกุฏ
ิ ๑,๐๐๐
23. คุณสุรศักดิ์–บุญ ผ่อง–กนกกร ทิมะณี ๑,๐๐๐
24. คุณรุ่งพันธุ์–พรรณทิพา กลมดวง ๑,๐๐๐
25. คุณเอกประภู ศรีม่วง และครอบครัว ๑,๐๐๐
26. คุณวิทยา-พิชฎา และครอบครัว ๑,๐๐๐
27. คุณธีษิณ-เขมปภาสร ทรงอุดมวัฒนา และครอบครัว ๑,๐๐๐
28. คุณศราวุธ-รุ่งทิพย์ โภชนะสมบัติ ๑,๐๐๐
29. คุณโกเมศ -ธนาภรณ์ แก้วผลึก ๑,๐๐๐
30. นายแพทย์ศราวุธ ศรีดี ๑,๐๐๐
31. คุณศิวัช เหมือนฤทธิ์ ๑,๐๐๐
32. คุณพัฒนา-ชูใจ พิศกนก ๑,๐๐๐
33. คุณติณณารัตน์ ชลสุข ๑,๐๐๐
34. คุณจิโรตต์ บูรณะบุญวงศ์ และครอบครัว ๑,๐๐๐
35. คุณนพดล เลื่อมนรินทร์ และครอบครัว ๑,๐๐๐
36. คุณบัญชา ใช่ยั่งยืน และครอบครัว ๑,๐๐๐
37. คุณปนัดดา จันทร์ศรี และครอบครัว ๑,๐๐๐
38. คุณสรวัชร์ ยืนยงค์ และครอบครัว ๑,๐๐๐
39. คุณแม่ไน้-สุภัค และครอบครัวศรีสง่ากุล ๑,๐๐๐
40. คุณจิรายุฑธ มหวานิช–ณิชาภา ศิวะมนตรี ๑,๐๐๐
41. ผอ.อดิศร–นภากร-ภูวดล ทิพย์ท�ำ ๑,๐๐๐
42. คุณภิเษก โพพิศ และครอบครัว ๑,๐๐๐
43. คุณจอม และครอบครัว ๑,๐๐๐
44. คุณนงลักษณ์ จารุณัฐเกียรติ พร้อมบุตร ๑,๐๐๐
45. คุณเพ็ญบุญ-วิชาญ ศิริวัฒนาสุนทร ๑,๐๐๐
62 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
46. คุณปริชาติ ฟิชเชอร์ และครอบครัว ๑,๐๐๐
47. คุณวราภรณ์ เข็มทอง ๑,๐๐๐
48. คุณวิฑูรย์ พวงจันทร์ และครอบครัว ๑,๐๐๐
49. คุณอุดมจิต ลิ้มปิติ ๑,๐๐๐
50. คุณสิภาลักษณ์ ธรรมพีรสิงห์ ๑,๐๐๐
51. ป๋าจือ-แม่สิวกี้ แซ่หลี-อ้ามฮั่น-แม่ลัดดา ก่อผล-แม่เนย ๑,๐๐๐
52. คุณพีรพงศ์ เพชรจิราวุฒิ และครอบครัว ๑,๐๐๐
53. คุณทวีชัย โชติชินศรี ๑,๐๐๐
54. นพ.พีรพงศ์ เจียมจิรชาติ-คุณแม่อชิรญา ประภากรทธา ๑,๐๐๐
55. คุณมัทฑนา กันน�ำ้ อ่าง ๑,๐๐๐
56. คุณการะเกต ดาราเรือง และครอบครัว ๑,๐๐๐
57. คุณรัชกฤช สุทธาชีพ ๑,๐๐๐
58. คุณกันต์กนิษฐ์ สิริวรเกษม และเพื่อนๆ ๑,๐๐๐
59. คุณอ�ำนวย-ประภาพรรณ ตัณฑ์ศุภศิริ ๑,๐๐๐
60. ดร.เกศศิณี ตระกูลทิวากร ๑,๐๐๐
61. คุณแม่กิ้มจันทร์ ทองสงค์ ๑,๐๐๐
62. คุณแถม ข�ำชัย ๑,๐๐๐
63. คุณพงษ์พิสุทธิ์-รมณียา ศิริแตง ๑,๐๐๐
64. คุณประภาพร จันท�ำ ๑,๐๐๐
65. คุณพรหมสร-พชร อมรสิทธิพพิ ัฒน์-วรนุช เล้าอรุณ ๑,๐๐๐
66. คุณสุนทรี-ญาณิศา-ภัทรภร จิรภาวสุทธิ์ ๑,๐๐๐
67. คุณพนิดา อินจันทร์ ๑,๐๐๐
68. คุณกฤษฎา-กนกวรรณ-กรพัฒน์ อินจันทร์ ๑,๐๐๐
69. คุณภูมินทร์-อัมพร-กัญจน์ฉัตร-ปวริศา ตระกูลทิวากร ๑,๐๐๐
70. คุณอรพินท์-อรมาศ-อภิชญา ประภาพัน์ ๘๐๐
71. คุณทวี-มะปราง-กนกวรรณ อ�ำนวยศิลป์ ๖๐๐
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 63
72. พระธนากร จิรวฑฺฒโน ๕๐๐
73. คุณสุวรรณี ทวีเพิ่มทรัพย์ ๕๐๐
74. คุณสุรางค์ ลิมป์ปีตวิ รกุล และครอบครัว ๕๐๐
75. คุณณัฐฐารักษ์ เจริญจิตเกษม ๕๐๐
76. แม่ชีธนัท กฤษกรธนา ๕๐๐
77. พ.ญ.สุทธาทิพย์ สระพรม และครอบครัว ๕๐๐
78. คุณณัฐธิดา อุ่นแก้ว ๕๐๐
79. คุณฉันท์ชนก ดุรงค์ฤทธิ์ชัย ๕๐๐
80. คุณสุพรรณี คล�้ำมณี และครอบครัว ๕๐๐
81. คุณวรรณาพร หวานล�ำ ้ และครอบครัว ๕๐๐
82. คุณนิรันดร์ เพชรพงษ์- เนตรนภา แพทอง ๕๐๐
83. คุณจุฑาพร ทรัพย์ส�ำราญ ๕๐๐
84. คุณวณิชย์ หลายประสิทธิ์ และครอบครัว ๕๐๐
85. คุณผกาภรณ์ พลายสังข์ และครอบครัว ๕๐๐
86. คุณชิต-คุณนายแดง ห่านพงษ์ศักดิ์ ๕๐๐
87. คุณสิรินรินทร์ สุขหร่อง และครอบครัว ๕๐๐
88. คุณวิสุทธิ์ แสงดอกไม้ ๕๐๐
89. คุณเตียง แซ่ตงั้ ๕๐๐
90. คุณประไพ ทิพย์โกศัย ๕๐๐
91. แม่ชีสาธิตา รัศมีข่วงโชติ ๕๐๐
92. คุณสุณีย์ เจิดเมธาวุฒิ ๕๐๐
93. คุณอรวรรณ โอสถานนท์-คุณมนัส-ปรมะ-
วัชรวิชย์ คุณธนังกุล ๕๐๐
94. คุณนพวีท์ สุพรรณสมบูรณ์ และครอบครัว ๕๐๐
95. คุณธงชัย-สมหมาย เทียนหล�ำ ๕๐๐
96. คุณสหวัฒน์ วรวุฒจิ งสถิต และครอบครัว ๕๐๐
64 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
97. ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ๕๐๐
98. คุณสุนันทา อัมพรพฤติ และลูกหลาน ๕๐๐
99. ดร.จงดี ว่องพินัยรัตน์ ๕๐๐
100. คุณบุญเรือน-วัชระ นาควิโรจน์ ๕๐๐
101. คุณนิกร-จ�ำเรียง อินจันทร์ ๕๐๐
102. คุณกิตติพงศ์ อินจันทร์ ๕๐๐
103. คุณณรินทร์-นพรัตน์ เพชรพงษ์ และครอบครัว ๕๐๐
104. คุณอนันต์-รัตนา ครองสกุล บาท ๕๐๐
105. คุณเดชณรงค์ ครองสกุล ๕๐๐
106. คุณวิชุตา-ภาณุ สุวเิ ชียร และครอบครัว ๕๐๐
107. คุณเสริม-สมหวัง กองเต๊ก และครอบครัว ๕๐๐
108. คุณฐิติศักดิ์ วงศ์สว่างและครอบครัว ๕๐๐
109. คุณแมนฤทธิ์-แป้งร�่ำ ยงเจริญ ๔๐๐
110. คุณกชกร-หิรัณยา-ภัคพร แสงอุ่น ๔๐๐
111. คุณศรัญญา พวงจ�ำปี และครอบครัว ๔๐๐
112. คุณเรณู-ปณิธิ-ปิยณัฐ องคนิกูล ๔๐๐
113. คุณเอก-ปุ้ม-ปุ้ย-เป้ ๔๐๐
114. คุณหมอแจง และญาติธรรม ๔๐๐
115. พระวณัฐพงศ์ จารุณัฐเกียรติ ๓๐๐
116. ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ๓๐๐
117. คุณศุภมาศ ลีลือสาย ๓๐๐
118. ครอบครัววงศ์เกียรติ์ขจร-แซ่หลิม
และครอบครัวรอดเสถียร ๓๐๐
119. คุณศิริวรรณ-หนูส้ม และครอบครัวลิขิตวรวรรณ ๓๐๐
120. คุณนรภร กิตติจิระกุล ๓๐๐
121. คุณอ�ำไพ ทองตัน ๓๐๐
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 65
122. คุณเฉิดโฉม ชัยอาภา ๓๐๐
123. คุณอมรรัตน์ อินทรวัลทิพย์ ๓๐๐
124. คุณวิภาภรณ์ อมรฉัตร ๓๐๐
125. คุณสุดใจ ป้านพลู และครอบครัว ๓๐๐
126. คุณวันเพ็ญ-ประภาพร บ�ำรุงเดช-พิมพ์พิกา ผิวพรรณ ๓๐๐
127. คุณสุรชาติ-ช่อฟ้า ฉัตรสุทธิพงษ์ ๓๐๐
128. รท.นราธิป-ขนิษฐา อินจันทร์ และครอบครัว ๓๐๐
129. คุณปานรัตน อินทริต ๓๐๐
130. คุณธิดาวรรณ วงศ์สว่าง ๓๐๐
131. คุณธนภูมิ มูลสัน ๒๐๐
132. คุณส�ำเนียง บุญตา ๒๐๐
133. ด.ญ.สุภาวิตา ปะสุตะ และบิดามารดา ๒๐๐
134. ครอบครัวเอี่ยมศิริธ�ำรง ๒๐๐
135. คุณอมรรัตน์-ธนกฤต-อาทิมา อภัยเทศพานิช ๒๐๐
136. คุณชุลีพร มากกุญชร และครอบครัว ๒๐๐
137. คุณดาราวรรณ อาษารบ และครอบครัว ๒๐๐
138. คุณวราภรณ์ วรางกูร ๒๐๐
139. คุณพวงทิพย์ พงศิษย์ ๒๐๐
140. คุณพนัญญา บวรนันทกุล และครอบครัว ๒๐๐
141. คุณฐิติรัตน์ สิริวรโชติโภคิน ๒๐๐
142. คุณกมลทิพย์ สหัสรังสินี และครอบครัว ๒๐๐
143. คุณธีรนันท์ เทพมาศ พร้อมบุตร ๒๐๐
144. คุณแม่บุญชู เทพมาศ ๒๐๐
145. คุณพัชรี ลู่วิโรจน์ ๒๐๐
146. คุณป้าสมพงค์ บัวดี ๒๐๐
147. คุณกนกพร อยู่บ้านคลอง และครอบครัว ๒๐๐
66 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
148. คุณประวิน แก้งโผงเผง และครอบครัว ๒๐๐
149. คุณยายบุญเนือง เบี้ยจั่น ๒๐๐
150. คุณภัทรภร ซื่อตรง ๒๐๐
151. คุณเอื้องฟ้า ปิ่นทอง ๒๐๐
152. แม่ชีเจียน มณีโชติ ๒๐๐
153. คุณธวัฒน์-บุญรอด-เจนจิรา พวงทอง ๒๐๐
154. คุณสมควร เชิงห้วย ๒๐๐
155. ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ๒๐๐
156. คุณแม่สะอาด กัวหา ๒๐๐
157. คุณอภิชิต เข็มทอง ๒๐๐
158. คุณจิตรลัดดา สุทธินันท์ ๒๐๐
159. คุณเจนวิทย์ อภิชัยนันท์ ๒๐๐
160. คุณพรทิพย์ พงษ์พรรณเจริญ ๒๐๐
161. คุณสมพงษ์ พงษ์พรรณเจริญ ๒๐๐
162. คุณกอบกุล นิมิตรบรรณสาร ๒๐๐
163. คุณผ่องศรี เอี่ยมสุวรรณ ๒๐๐
164. คุณจีรุส อินทิศ ๒๐๐
165. คุณสมใจ ศิริแตง ๒๐๐
166. คุณพัชรีภรณ์ ไชยสงค์ ๒๐๐
167. คุณจิรัชยา ยอดนิล ๒๐๐
168. คุณสุนันทา คุ้มจุ้ย ๒๐๐
169. คุณสุนีย์ วรทรัพย์ไพศาล ๒๐๐
170. คุณทัศนีย์ กุดาสา ๒๐๐
171. คุณนุกูล อินจันทร์ ๒๐๐
172. คุณมนัสวี เนียมประเสริฐพร ๒๐๐
173. คุณสุวรรณา แซ่ล้(ี เล้า) ๒๐๐
ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 67
174. คุณโศภิษฐ์ ทวิวรดิลก ๒๐๐
175. คุณสุธิดา ประศาสตรานุวัตรและครอบครัว ๒๐๐
176. คุณไพลิน แจ้งโม้ ๑๙๙
177. คุณสุพัตรา ชื่นวิทยา ๑๙๙
178. คุณศักรพล ทองอร่าม และครอบครัว ๑๕๐
179. คุณชญาณัศฐ์ เหลืองพิทักษ์ และครอบครัว ๑๕๐
180. คุณจิรภัทร์ เหมือนแก้ว ๑๐๙
181. คุณนงเยาว์-สมพงษ์-รัตนาภรณ์ ปานพิม ๑๐๐
182. คุณนิชาภา จูเจี่ย ๑๐๐
183. คุณวรพจน์ สินทิพย์เทวัญ ๑๐๐
184. คุณตุ๊กตา มณียา ๑๐๐
185. คุณกิรณาพร อัคคไพบูลย์ ๑๐๐
186. คุณธรรมรัตน์ วนะโพธิ์ ๑๐๐
187. คุณชฎิล เอมซ์บุตร ๑๐๐
188. คุณปาริชาต ประฉิมมะ และครอบครัว ๑๐๐
189. คุณธีรพงษ์ แพทอง และครอบครัว ๑๐๐
190. คุณทนง-เลื่อน แพทอง ๑๐๐
191. คุณบันเทิง เหล่าภักดี ๑๐๐
192. มล.จีรวัฒน์ เกษมสันต์ ๑๐๐
193. คุณเลไล โสฬสรัตนพร ๑๐๐
194. ดร.ปนัดดา ชิลวา ๑๐๐
195. คุณเพ็ญจันทร์ แซ่เตีย ๑๐๐
196. คุณพรเทพ ศันสนียานนท์ ๑๐๐
197. คุณนันทิชา พัฒนานุสรณ์ ๑๐๐
198. คุณวรากร เหล่าภักดี ๑๐๐
199. คุณคมข�ำ ฉัตราคม ๑๐๐
68 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
200. คุณอดิศยา ใจกล้า ๑๐๐
201. คุณล�ำพึง-ดา สงค์ประเสริฐ ๑๐๐
202. คุณทอง-ล�ำเจียก บุญเหลือ ๑๐๐
203. คุณสมชาย-ประนอม กลิ่นแก้ว ๑๐๐
204. คุณตี๋ -ถุงเงิน สงค์ประเสริฐ ๑๐๐
205. คุณบุญเกิด ศิริ ๑๐๐
206. คุณญาณี รอดเกิด ๑๐๐
207. คุณทิม-แจ๋ว ฉิมสุด ๑๐๐
208. คุณประจวบ ม่วงอยู่ ๑๐๐
209. คุณบุญรอด โตทุ้ย ๑๐๐
210. คุณศิริเนช ม่วงอยู่ ๑๐๐
211. คุณละออง สงค์ประเสริฐ ๑๐๐
212. คุณสงบและครอบครัว ๑๐๐
213. ป้าเยาว์และครอบครัว ๑๐๐
214. คุณล�ำยองและครอบครัว ๑๐๐
215. คุณรัตนาภรณ์ เดชฟุ้ง ๑๐๐
216. คุณพ่อนัย-แม่บุญเรือน เพ็งลาภ ๑๐๐
217. คุณอัครวงค์ ยอดทอง ๑๐๐
218. คุณสุวิทย์ นาควิโรจน์ ๑๐๐
219. คุณจิ๋มและครอบครัว ๕๐
220. คุณหนิงและครอบครัว ๕๐

ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑ 69
อนุโมทนาบุญ

ขอบุญบารมีกศุ ลความดี
และความเป็นมหามงคลอันสูงสุดทัง้ ทางโลกและทางธรรม
จงบังเกิดมีแก่ผบ้ ู ริจาคทรัพย์ เพือ่ จัดพิมพ์หนังสือ
“ธรรมะบ้านปันสุข เล่ม ๑”
และผูท้ กี่ ำ� ลังเดินทางไปสูค่ วามพ้นทุกข์ทกุ ๆ ท่าน

ออกแบบและจัดพิมพ์ที่ : บริษัท โฟกัส พริ้นติ้ง จ�ำกัด จ.พิษณุโลก


โทร. 055-225037, 081-6742377

You might also like