Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 10

สิ่งที่ได้รับจากการเขียนภาวนา

จากบทเรียนและความประทับใจของผู้เรียนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

“ประทับใจที่การฝึกเขียนขณะหายใจออก ใหม่ๆก็อึดอัดและวิตกกังวลบ้าง แต่พอเขียนบ่อยขึ้นทำให้เขียนแบบ


สบายๆ ผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล เพราะครูสอนให้ไม่คาดหวัง ไม่คิดล่วงหน้า ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ
แต่เป็นความรู้สึก จากประสบการณ์จริง ได้ฝึกกำหนดจิตพิจารณาไตร่ตรอง แลศึกษาเรียนรู้ธรรมะไปพร้อมกัน
คุณครูแนะนำให้แก้ไขข้อบกพร่อง และทำความเข้าใจดีมาก รู้สึกมีกำลังใจและมีความสุขที่ได้เขึยน ตั้งใจจะ
ฝึกฝนต่อไปเรื่อยให้เป็นนิสัย

“ทำให้เป็นคนใจเย็น มีความรอบคอบ มีสมาธิและมีสติมากขึ้น ไม่ท้อถอยพยายามคิดทบทวน ศึกษาเพิ่มเติม


และแก้ไขเมื่อได้รับคำแนะนำจากครูทุกครั้ง ได้รับความสุขจากการได้เขียน ได้ปลดปล่อย ได้ละวางจากสิ่งที่
ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้คิดบวก มองโลกในแง่ดีขึ้น จิตใจไม่เศร้าหมอง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรบกวนจิตใจมากเหมือน
ก่อน เกิดปัจจัยที่ทำให้ตื่นรู้และหลุดพ้นจากทุกข์ "โพชฌงค์' มีสติมากขึ้น ได้ศึกษาใฝ่เรียนรู้ธรรม มีความ
เพียรพยายาม มีปิติเห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้น มีความสงบเย็น มีสมาธิ และ อุเบกขาวางใจเป็นกลาง ยอมรับสิ่ง
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง และปล่อยวาง

“สอนให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง พิจารณาหัวใจตนเอง รับรู้ เข้าใจ ความเป็นไปของชีวิต ย่อมมีได้ มีเสีย มี


สมหวัง มีผิดหวัง มีพบ ก็มีพลัดพราก มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีนิวรณ์ และอกุศลที่เกิดขึ้นกับชีวิตและเปลี่ยนแปลง
อยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรให้ผ่านพ้นความทุกข์จากปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้ โดยฝึกการเฝ้าดูกายขณะหายใจ
เข้าและหายใจออกขณะเขียน เฝ้าดูเวทนาอารมณ์ความรู้สึก กำหนดจิตจดจ่อไม่ให้ปรุงแต่ง ทำใจให้ปลอด
โปร่ง และพิจารณาธรรม ความอยากได้อยากมี การยึดติดสิ่งต่างดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นอย่างไร และจะให้ดับ
ลงอย่างไร ตระหนักรู้ และฝึกจิตให้ว่าง ไม่ยึดถือตัวตน เพื่อการพ้นทุกข์และสงบร่มเย็น"

คุณสายอรุณ (สาย) อาชีพ รับราชการครู [ ผู้เรียนปี 2563 ]

“ดีกว่าที่คาดหวังไว้มากค่ะ การฝึกภาวนาโดยการเขียน ทำให้สัมผัสได้ถึงหลักธรรมต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ บท


เรียน และ เทคนิคการสอนดีมาก โดยเฉพาะครูโอเล่ ชี้แนะ นำทางความคิดให้อย่างชัดเจน และ แม่นยำ บาง
บทเรียนกระทบใจมาก และช่วยพาตัวเราออกจากเรื่องที่ติดกับอยู่ค่ะ

“ได้ตระหนักรู้ถึงการอยากและยึดติด ในตัวตน ของเราเอง ได้เรียนรู้การละวาง การตัดสิน และ อัตตา ได้เรียนรู้


ว่าความทุกข์ในใจ หายไปได้ ถ้าเราไม่ยึดติดกับอัตตา การให้คุณค่าและไขว่คว้าสิ่งภายนอก ไม่ใช่ความสุข
ที่แท้จริงของชีวิต การอยากเป็นอะไรและไม่เป็นอะไร เป็นตัวทำให้เราเกิดทุกข์ การมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงใน
ตัวเรา การใช้ชีวิตที่พอดี พอควร ตามหลัก มรรค 8

“การเขียนภาวนาสอนให้เราช้าลง ไม่วิ่งไล่ตามความคิด ไม่หลงไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น สอนให้เห็นความอยาก


ความยึดในใจ ขัดจังหวะใจที่กำลังปรุงแต่ง ทำให้เราเกิดความสงบ สติ และ สมาธิ”

คุณนริศรา (นิด) อาชีพ นักธุรกิจ [ ผู้เรียนปี 2563 ]

“สิ่งที่ได้มากที่สุด คือสติ ระลึกรู้อยู่ว่าทำอะไร อยู่กับปัจจุบัน สมาธิ การได้นิ่งสงบ ได้พบตัวเอง พบกับความว่าง


เมื่อใจหยุดคิดเพียงชั่วขณะ อุเบกขา ความมีใจเป็นกลางไม่เอนเอียงไปหาสิ่งใด ไม่ยึดติด ปล่อยไปตามสถาวะ
ปัจจุบันที่เป็น นิ่งได้ รอได้ หาข้อสรุปได้

“ทุกหัวข้อที่เขียน มีสิ่งที่สอนเหมือนๆกันคือ เรื่องของลมหายใจ และความนิ่ง สงบอยู่ใจเป็นกลาง มีสติ และมี


ความเพียร สามารถควบคุมตนเองต่อสิ่งเร้ารอบๆตัวได้ ยอมให้ตัวเองอยู่ได้กับสภาวะปัจจุบันไม่คิดปรุงเแต่งจิต
ไปเอง ช่วยขัดเกลาตัวเองได้ด้วยตนเอง มองตามความเป็นจริง”

คุณกาญจนาภรณ์ (นก) อาชีพ ครูสอนพิเศษ [ ผู้เรียนปี 2563 ]

“ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ที่ได้เรียนคอร์สเขียนภาวนา นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตตั้งแต่เกิดมา


ในทุกๆวันได้มีกิจกรรม มีภาวะความรู้สึกที่เคล้าเคลียอยู่กับการภาวนา การเรียนรู้กายใจตลอด

กิจกรรมหัวข้อต่างๆที่ลงมือทำ ก่อให้เกิดการเห็น ความเข้าใจ การยอมรับสภาวะต่างๆ คลายความหนัก ความ


ยึดถือลงเนืองๆ คำสนทนา การชี้สภาวะหรือสิ่งที่ติดอยู่จากครู อาจไม่ใช่คำชื่นชมให้กำลังใจทั้งหมด จนบาง
ครั้งเกิดความขุ่นมัวในใจ แต่เมื่อม่านหมอกกิเลสนั้นสลายไป ได้เห็นว่าทุกคำชี้แนะนั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด
และกลับก่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกที่ควรมากยิ่งๆขึ้น

“ความฟุ้งซ่าน นิวรณ์ห้า รู้สึกลดลง มีสมาธิมีสภาวะตั้งมั่นมากขึ้น มีความอดทน ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรทำ แม้ใน


ตอนเริ่มต้นก่อนที่จะลงมือทำกิเลสจะหลอกให้เราหยุด ในกับทั้งทางการภาวนาและบทบาทหน้าที่ทางโลก
อุเบกขา เป็นสิ่งที่มักมองข้าม จนทำให้ทุกข์ รู้สึกผิด และเบียดเยียนตัวเอง ได้เข้าใจสิ่งนี้มากขึ้น

“อิสระนั้นมิได้หมายถึงการทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก แต่การทำตามใจอยากนั้นแหละ อาจเป็นคุกที่คุมขังเราไว้


เรามิได้เดินเพื่อถึงจุดหมายใด แต่เพื่อทำให้ทุกย่างก้าวมีคุณค่าอย่างแท้จริง ยิ่งรีบ ยิ่งเร่ง ยิ่งออกไป ยิ่งค้นหา
ยิ่งไม่เจอ”

คุณจักรทิพย์ (โจ๊ก) อาชีพ วาวแผนการเงินและการประกันชีวิต [ ผู้เรียนปี 2563 ]

“สอนใจตัวเองเลยค่ะ ว่าการยึดติด ความอยาก เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์จริง การปล่อยวางต่างหากที่จะทำให้จิตเรา


หลุดพ้นจากการบีบคั้นต่างๆ พอจิตคลายไม่กำแน่นไว้ ทั้งกายและจิตจะโล่งโปร่งสบาย สมองที่เคยตื้อ ก็เบาขึ้น
โรคไมเกรนที่เป็นบ่อยๆก็คลายลง เราไม่ควรเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยให้มันเป็นไปตาม
ที่มันควรจะเป็น ทุกสิ่งมันเป็นอนิจจัง ไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อส่ิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี มันเป็นเช่น
นั้นเอง

“การอบรมครั้งนี้ฝึกการเรียงลำดับความคิดได้ดีขึ้น มีความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ต้องทำ ควรทำได้มากขึ้น


เปลี่ยนทัศนคติบางอย่างไป จากที่เคยยึดติดบางอย่างแบบแน่นหนา ก็เริ่มจะปล่อยวางบ่อยขึ้น เห็นจิตตัวเองที่
อึดอัด ขัดข้อง ขุ่นมัว โทสะมา หรือ ยินดี มีความสุข ได้เร็วขึ้น ได้ฝึกภาวนา ได้มากขึ้น

“การเขียนภาวนาสอนเรื่องความอดทนมาก สอนให้รอคอย สอนให้เห็นจิตตัวเอง ได้ทบทวนสิ่งที่จะทำจะเขียน


ก่อนเขียนหรือทำลงไป เห็นขณะ ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ ระหว่าง ลมหายใจเข้าและหายใจออก ได้ฝึกการรู้ตัว
ไม่ปล่อยมันให้มันไหลไปจมอารมณ์ ความคิด เห็นเลยว่าจิตเรามันเร็วจริงบางคราวคิดเขียนสิ่งนี้พอหยุดไปตอน
หายใจเข้า หายใจออก ความคิดเปลี่ยนไปแล้ว”

คุณปริยากร (กลอย) อาชีพ ผลิตเครื่องสำอางสมุนไพร, แพทย์แผนไทย [ ผู้เรียนปี 2562 ]

“ชอบการทำกิจกรรมบันทึก ทบทวน บทเรียน และการนำไปใช้ เพราะทำให้ได้เรียนรู้กิเลส ปัญหา และปมต่างๆ


ของตนเองที่อาจเกิดขึ้นจากการพบเห็นสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ตลอดจนแนวทางแก้ไขและปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น คือละความยึดและปล่อยวางให้มากขึ้นเพื่อให้มีความ
ทุกข์น้อยลง เป็นการปูทางสำหรับการพ้นทุกข์อย่างถาวรต่อไป

“สิ่งที่ได้พัฒนาตนเอง :

- การมีสติมากขึ้นจนรู้เท่าทันจิตใจตนเอง ช่วยแก้ปัญหาชีวิตในยามคับขันด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง และเข้าใจโลก


ตามความเป็นจริง

- การเห็นคุณค่าของตัวเองตามความเป็นจริงและรักตัวเองในทางที่ถูกเพือสร้างความรู้สึกที่ดีและมีเมตตาต่อ
ตนเอง อันจะนำไปสู่ความรักความเมตตาที่มีต่อผู้อื่น

- การเห็นกิเลส ปัญหา และปมในใจของตนเอง อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด คือละความยึดและ


ปล่อยวาง

- การมองเห็นทุกสิ่งทั้งดีและไม่ดีที่เกิดขึ้นหรือพบพานในชีวิตว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เราและไม่ว่าใครๆต้องพบปะ
เจอะเจอ และมีท่าทีที่ถูกต้องคือ ดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญา รู้เท่าทันความเป็นธรรมดาตามความเป็นจริง นำไปสู่
การละความยึดมั่นและปล่อยวางในที่สุด

- - การมองเห็นสิ่งดีหรือแง่ดีในทุกเหตุการณ์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาให้เป็นโอกาสในการ
พัฒนาตนเอง ทำนองเห็นวิกฤติเป็นโอกาส

- การเข้าใจโลกภายนอกหรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ว่าไม่ใช่ตัวตน ไมีอยู่ในบังคับหรือความควบคัุม เพื่อไม่ยึดและ


รู้จักปล่อยวาง ทำให้ทุกข์ลดน้อยลง”

คุณกมลวรรณ (กุ๊ก) อาชีพ รับราชการ [ ผู้เรียนปี 2562 ]

“ความรู้สึกเมื่อเริ่มอบรมมีความสงสัย ว่าการเขียนภาวนาคืออะไร เมื่ออยู่ระหว่างการอบรมเริ่มเรียนรู้จากการ


ฝึกปฏิบัติแล้ว เริ่มเข้าใจว่า การเขียนภาวนาคืออะไร เขียนเปลี่ยนชีวิตคืออะไร และหลังอบรมนั้นพอจะรู้แล้วว่า
เขียนเปลี่ยนชีวิตจริงๆ

“ได้เริ่มต้นเรียนรู้จากไม่รู้ และได้เริ่มฝึกทักษะจากการฟังเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นเป็นการอ่าน การหายใจ การ


คิด การทำความเข้าใจความคิด การคิดใหม่ การรับฟังแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง การไม่ยึดติดอยู่กับกรอบ
ความคิดที่เคยติดมากับตัว กรอบความดี ไม่ดี อยากไม่อยาก รู้จักรอ รู้จักลด ละ รู้จักความเพียร ความพอดี
รู้จักความรู้ ความไม่รู้ รู้จักการได้มา การเสียไป ความพอใจ ความอึดอัดขัดใจ ความพลัดพราก ความตั้งตน
ชอบ ความไม่หลงเมามัว ความเป็นจริง สิ่งปรุงแต่ง ความรอบคอบถี่ถ้วน ไม่ประมาท ฯลฯ

“สอนให้เรารู้จักหน้าที่ รู้จักปัจจุบัน รู้จักตัวเอง ณ ขณะนั้น รู้จักร่างกาย รู้จักการลงมือทำ ที่มีการเริ่มต้น ดำเนิน


ไป และสิ้นสุดตามเหตุปัจจัย สอนให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา และมีปัญญาในการคิด การตัดสินใจที่จะเลือก หรือ
ปล่อยวางสิ่งใดๆให้ผ่านไป สอนให้เราไม่ประมาท และรู้จักใช้ความเพียรในการฝึกเขียน ฝึกหายใจ รวมทั้ง
สะท้อนผลการฝึกฝนตนเองให้ผู้รู้ได้แนะนำ ซึ่งจะเป็นผลสืบเนื่องสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตของเราตลอดใน
ทุกๆ กิจกรรม”

คุณศุภวรรณ (ฝน) อาชีพ ค้าขาย [ ผู้เรียนปี 2562 ]

“รู้สึกดีใจที่ได้รับความเมตตามาเรียนคอร์สนี้ สัมผัสได้ถึงการตระเตรียมงานอย่างดีของครูโอเล่และทีมงาน มี
ความเป็นครูและโค้ชที่ตรวจการบ้านและตั้งคำถามฉุกคิด ทำให้ ทำให้พวกเราได้ยกระดับจิตใจ ขอบคุณอย่าง
สูงที่เสียสละค่ะ เรียนแล้วมีทัศนคติในการทำงาน ช้าลง แต่มีคุณภาพมากขึ้นทั้งภายในและภายนอก เวลา เห็น
และได้ยินเสียง มีความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อก่อน คือ ลดการปรุงแต่งลงไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ชีวิตเบา
สบายขึ้นได้อีก ตราบเท่าที่เรายังคงฝึกอยู่ต่อไป ไม่บังคับให้ตนเองทำงานดีเลิศที่สุด ถึงแม้จะเป็นเพื่อส่วนรวม
ก็ตาม ได้ความคิดใหม่ คือ ทำแค่ปัจจุบัน และทำต่อเนื่อง ไม่พัก ไม่เพียร รู้สึกอุ่นใจ ไม่พุ่งไปข้างหน้าจนเกินไป
ก่อทุกข์ให้หงุดหงิดใจภายหลัง ความรู้สึกนี้ บังคับให้เกิดเองไม่ได้ แต่เกิดจากการเขียนภาวนา และการตอบ
คำถาม และทบทวนตัวเองโดยมีครูเมตตาชี้แนะให้ต่อเนื่องค่ะ

“สอนตัวเองให้กลับมาอยู่กับ กายใจ อย่างเป็นกลาง หมั่นฝึกฝนต่อไป โดยไม่ต้องคาดหวัง แล้งผลลัพธ์จะเกิด


ตามเหตุเอง ไม่รีบร้อน ไม่ละเลย และเห็นคุณค่าของการใชัชีวิตมากขึ้น เห็นตัวความจำ ความปรุงแต่งที่ผลักดัน
สิ่งต่างๆในชีวิต จนถึงวันนี้ และเลือกใช้ชีวิตแบบที่มีสติ และอภัยตนเอง และ ผู้อื่นได้ในทุกๆวัน ยอมทำอะไรที่
ช้าๆได้ และยังได้เห็นความจริงว่า ถึงรีบไปได้ผลลัพธ์มากกว่าทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ก็ไม่ได้แปลว่าอะไรทั้งสิ้น
สุดท้ายแล้ว การอยู่กับปัจจุบันอย่างยอดเยี่ยมที่สุด คืออยู่และรู้ตามจริง นั่นคือ ผลลัพธ์ที่งดงามที่สุดที่ธรรมชาติ
มอบให้แล้ว และแน่นอน การงานก็ย่อมได้ผลดีไม่แพ้กันเลย จากการทดลองทำในชีวิตประจำวันด้วยพบว่า
เป็นสุขใจ มากขึ้น รู้ตัวได้มากกว่าเดิม และ มีความเบาสบายกว่าเดิม ปัญญาก็เฉียบคมขึ้น ทำงานช้าลงแต่
คุณภาพ ละมุนใจ ส่งต่อให้คนรอบข้างอย่างมีคุณภาพยิ่งขึ้นด้วยค่ะ”

คุณสุธารัตน์ (หลิน) อาชีพ ธุรกิจส่วนตัว , โค้ช [ ผู้เรียนปี 2562 ]

“เป็นประสบการณ์การอยู่กับตัวเองโดยการเขียนประกอบกับลมหายใจที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้มากก่อน ,
สามารถฝึกต่ออย่างต่อเนื่องด้วยตัวเองได้ , เรียนได้ง่ายเวลาใหนก็ได้ที่สะดวก , รู้สึกโชคดีที่ได้เรียนคอร์สนี้ ,
ครูโอเล่ตอบกลับเร็วมาก..และให้กำลังใจตลอด

“ทำให้ใจเย็นลง พิจารณาจิตใจอยู่กับความรู้สึกของตัวเองอย่างช้าๆมากขึ้น.ใช้ความคิด หาเหตุผลที่จะเข้ามาส


นับสนุนความต้องการของตัวเองน้อยลง ปล่อยวางมากขึ้นเพราะลดความอยาก ลดการตความการแปลความที่
ปรุงแต่งอารมณ์ตัวเรา สะกดอารมณ์ในทางลบได้มากขึ้นด้วยการใช้ลมหายใจดึงสติตนเองกลับมา ฟุ้งซ่านน้อย
ลง

“รู้จักหยุดยั้งเพื่อรอจังหวะหยุดความคิดหยุดการกระทำเพื่อตั้งหลักชีวิตก็เช่นกันต้องมีจังหวะในการเดิน , บท
เรียนที่ไม่ผ่านต้องฝึกซ้ำๆ..ใจต้องนิ่ง กายต้องพร้อมและใช้ความเพียรพยายาม , การเรียนการเขียนต้องใช้
สมาธิและสติอย่างมากฉะนั้นการที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จเราจึงต้องมีสติและสมาธิคู่กัน

“การบันทึกหลังการเขียนเป็นการสะท้อนความคิดตัวเราว่าคิดอย่างไรในขณะนั้น เมื่อเวลาผ่านไปนำกลับมา
อ่านใหม่เหมือนได้ทบทวนตัวเราเอง ได้มองดูตัวดูใจเราเองโดยข้อคิดเห็นจากครูเป็นตัวเตือนสติ..เตือนความ
คิดเรา บางบทเรียนไม่ผ่านต้องลดอัตตา..และทำซ้ำๆเสมือนให้โอกาสฝึกตัวเอง”

คุณจุไรรัตน์ (หง่าว) อาชีพ พยาบาล [ ผู้เรียนปี 2561 ]

“รู้สึกเลยว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่ง เพราะเราเริ่มเห็นตัวตนและสิ่งที่ก่อทุกข์ และได้เรียนรู้วิธี


การที่จะเป็นหนทางแก้ไขปัญหาชัดเจนขึ้น , เป็นช่วงเวลาผ่าตัดหัวใจตัวเอง ค้นหาคำตอบ ซึ่งแม้บางทียังไม่ได้
คำตอบชัดเจน แต่ก็เป็นแนวทางแก้ไข ให้ไปต่อยอดค้นหาตัวตนลึกเข้าไปอีก รู้สึกดีที่มีโอกาสได้เรียนคอร์สนี้
ค่ะ

“เป็นบทเรียนที่เปิดใจเราให้เราค้นหา ทุกบทเรียนให้เราเรียนและใช้ปัญญาไปพัฒนาแก้ไขปัญหาเอง เราเอา


ตัวเราจมอยู่กับปัญหา โดยที่ไม่แยกออกมาเป็นผู้เห็น ทุกอย่างก็เลยเป็นเรื่องยาก บทเรียนนี้ให้เราตั้งสติเพื่อ
ให้ค่อย ๆ เห็นเรื่องราวและแก้ไขสิ่งที่เราต้องการ , บันทึกในบางหัวข้อ จะมีคำตอบบางเรื่องที่เราสงสัย บาง
เรื่องอยากจะทำอีก ทำให้การมองอะไรที่มีการพิจารณามากขึ้น ด้วยมายาทางโลก กับกิเลสที่มากมาย การ
เรียนเขียนภาวนา สามารถกระตุกความคิดที่นอกกรอบเข้ามาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
และอยู่กับตัวเองมากขึ้นด้วย(ไม่หลง), ได้เห็นว่าตนเองคาดหวังความสมบูรณ์แบบเกินไป มันก็ก่อให้เกิดความ
อยากและความทุกข์ตามกันมา เมื่อเราเห็นเช่นนี้ก็เริ่มต้นที่จะเห็นต้นเหตุและหนทางดับทุกข์ อันไหนที่ยึดก็ต้อง
หัดวาง ตั้งสติฝึกสมาธิ เพื่อไปถึงจุดที่เห็นว่าไม่มีอะไรให้เรายึดได้เลย เพราะนั่นเป็นหนทางพ้นทุกข์”

คุณกนกวรรณ (หมี) อาชีพ แม่บ้าน [ ผู้เรียนปี 2561 ]

“การฝึกสติในรูปแบบของการเขียน ทำให้เราได้ฝึกสติเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่ดูลมหายใจเข้า ออก แต่


ต้องให้สอดคล้องกับการเขียนด้วย และประทับใจที่ครูโอเล่ได้กระเทาะตัวตนของเราออกมา ที่บางครั้งเราเองยัง
ไม่รู้ตัว ทุกบทเรียนมีความงดงามลึกซึ้งและเป็นสัจธรรมสำหรับชีวิตด้วย การทำแบบฝึกหัดจึงต้องใช้ความคิด
อย่างลุ่มลึกปราณีต ต้องตอบจากส่วนลึกของจิตใจ อีกทั้งต้องฝึกสติในการเขียน การอบรมการเขียนภาวนาครั้ง
นี้ ทำให้เห็นส่วนความคิดส่วนลึกของตัวเอง ในช่วงหลังมีความสงบผ่อนคลายจากการฝึกสติในการเขียนมาก
ขึ้น และได้ลดความเป็นตัวตนของตัวเองลงไปได้บ้างจากการบอกกล่าวของคุณครู

“ได้รู้ว่าเรื่องของจิตใจเป็นรื่องที่ซับซ้อน การเขียนเป็นการสะท้อนตัวตนของเราได้ดีที่สุด และจากบันทึกของ


ตนเองก็ได้เห็นเรื่องราวหลากหลายทั้งในอดีต ความฝันในอนาคต ได้เห็นบาดแผล ได้เห็นตัวตนความภาค
ภูมิใจของตัวเอง จากบันทึกเหล่านั้น นอกจากเนื้อหาที่ปรากฎ ยังมีบทเรียนที่คุณครูได้สะท้อนจากการฝึกสติ
ด้วย จึงคิดว่าตัวเองยังมีความเป็นปุถุชนมีตัวตนอย่างเต็มเปี่ยม ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการฝึกสติ”

คุณวรินทร (แนน) อาชีพ ที่ปรึกษา [ ผู้เรียนปี 2561 ]

“ประทับใจในการฝึกภาวนาผ่านรูปแบบการเขียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน เมื่อได้ลงมือปฏิบัติทำให้เห็น


ตัวตนภายในของเราที่ถูกสะท้อนผ่านการเขียน และประทับใจในความเอาใจใส่ของครูอนุรักษ์ ที่ให้คำแนะนำ
และให้มุมมองอีกด้านที่เราไม่ได้คิดถึง รู้สึกได้ถึงความรัก ความเมตตา และการเป็นผู้ให้ของครูที่สะท้อนกลับ
มาในข้อความที่ครูส่งกลับจากการส่งการบ้าน เป็นการฝึกกลับมาอยู่กับตัวเอง ได้พัฒนาในเรื่องการตามดู
อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับกายและใจ การปล่อยวางความคิดขณะที่ลงมือทำอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เราเขียน
ออกมาได้ง่ายและดีขึ้น การฝึกให้ตัวเองมีความมุ่งมั่นและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ มุมมองชีวิตมีทั้งด้านบวก และ
ด้านลบ เราควรหมั่นชื่นชมและให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็ไม่ให้หลงตัวเอง หรือมองเห็นแต่ในด้านลบของตัวเองจน
รู้สึกไม่เห็นค่าตัวเอง

“สิ่งที่ฉันค้นหาอยู่ที่ภายในของตัวเอง เพียงแค่เรากลับมาสำรวจใจของเรา ว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไร และ


ทำสิ่งนั้นโดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับความรักหรือการยอมรับจากคนอื่น หากมันเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง ไม่
เบียดเบียนใคร เราทำแล้วมีความสุข เพราะเหนือสิ่งใด ความรักตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ”

คุณรัสรินทร์ (ปุ้ม) อาชีพ เจ้าของธุรกิจ [ ผู้เรียนปี 2561 ]

“รู้สึกสุขใจ มีอารมณ์นิ่งสงบลง หลักการอบรม ตลอดเวลาการอบรมแม้จะทิ้งช่วงเวลาหายไป ไม่ต่อเนื่อง ครูโอ


เล่ก็ให้โอกาสและกำลังใจ ยินดีกับการเริ่มต้นของดิฉันเสมอ ชอบหัวข้อ “อารมณ์แห่งใจ” “ฝนอิฐเป็นกระจก
เงา” และ “ภาระความรู้” ในการเขียนภาวนา ทำให้เราเข้าใจ ได้ฟังลมหายใจ ร่างกายตัวเอง กลับมาสะท้อน
ย้อนคิดตัวตน รู้สึกรักและยินดีกลับการได้มีและใช้ชีวิตอยู่มากขึ้น เข้าใจความจริงของชีวิตเราในจักรวาล ผ่อน
คลายกับความรู้สึกที่เคยอึดอัด ไม่เข้าใจในตัวเอง

“การกลับมาที่ลมหายใจ เข้า ออก ทำให้เรารู้ยั้งความคิดและการกระทำตนจากการปะทะกับปัจจัยที่ทำให้เกิด


อารมณ์ต่างๆ ขึ้น ละวางการยึดในตัวตนให้ความสำคัญและเข้าใจคนอื่นว่าแท้จริงเรามีความแตกต่าง ถูก
จักรวาลสร้างมาให้ต่างกันไป เขาเป็นเขา เราเป็นเรา”

คุณริยา (ป้อม) อาชีพ ครู/คนกลางไกล่เกลี่ยคดีครอบครัว [ ผู้เรียนปี 2560 ]

“การเขียนดึงเรากลับมาอยู่กับตัวเองได้ ดึงมาที่ลมหายใจ จากเป็นคนที่ชอบคิดดราม่าให้ตัวเองจมกับอารมณ์


แย่ๆ เหมือนเสพติดความเศร้า แต่พอมาได้เริ่มเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จมกับสภาวะแบบนั้นนานนัก แรกๆ
อึดอัดมากเพราะกลั้นลมหายใจ แต่เมื่อเขียนไปเราเริ่มรู้จักจังหวะ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องมีเนื้อหาดีอะไร แต่แค่อยู่กับ
ลมหายใจก่อน ชอบตอนที่ครูให้กลับมาแก้ไข ให้เขียนเรื่องราวดีๆของคนที่เรานึกถึง มันมีความรู้สึกด้านบวก
เกิดขึ้น ลื่นไหลไปตามจริง ไม่ใช่ความคิดไม่ใช่การวางแผนพยายามเขียนให้ตรงตามหัวข้อ ได้เห็นภาพดีๆทั้งที่
ตัวเองชอบมองอะไรในแง่ร้าย ชอบกังวล ชอบกลัวอะไรล่วงหน้าเกินเหตุ แต่ตอนที่เขียนเรารู้สึกว่ามีสิ่งดีๆตั้ง
เยอะทำไมเราไม่เคยโฟกัส เลย… ชอบตอนที่เขียน”ดวงตาลิขิต”เขียนสิ่งที่เห็นโดยไม่แสดงความรู้สึกเห็นอะไร
เขียนแบบไหนแค่เขียนไม่ต้องคิด รู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายและอยู่กับลมหายใจมากที่สุด

“เรากลัวการที่ต้องอยู่คนเดียวการอยู่กับตัวเองกลัวที่จะได้เห็นได้รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรต้องโทรหาเพื่อนคุย ต้องดู
หนัง เล่นเฟส คุยไลน์ สุดท้ายก็กลับมาคิดวนๆซ้ำๆอยู่ดี แต่การเขียนให้เราอยู่กับตัวของเราเอง ยอมรับทีละลม
หายใจ ถ้าฝืน ถ้าอยากเขียนมาก เขียนนาน เอาจะอึดอัดจะเหนื่อย เราจะค่อยๆปรับจนรู้จังหวะรู้พอดี รู้ว่าแค่นี้
เหมาะกับเรา ที่ประทับใจและชอบคือ ทำให้ไม่ผลักไสการอยู่คนเดียว ตั้งใจอย่างมากที่จะเขียน ไดอารี่ สิ่งที่
ประสบพบเจอเล่าเรื่องต่างๆผ่านภาพถ่าย จากสถานที่ต่างๆที่เราไป ความรู้สึก ของเรา แต่ใช้การเขียน ทีละลม
หายใจเข้ามาช่วย ไม่ได้คาดหวังอะไรแค่อยากอยู่กับตัวเอง และไม่ให้อารมณ์ต่างๆจากความคิดมากลากเราไป
ทางนู้นทีทางนี้ที วุ่นวายใจไม่สงบเลยแต่พอได้เขียนรู้สึกดีขึ้นมาก ”

คุณพัชรี (โนรี) อาชีพ เภสัชกร [ ผู้เรียนปี 2560 ]

“หัวข้อ” คือ กรอบความคิด ที่กำหนดเราให้มีFocus ในขณะเดียวกัน ก็ให้ความเป็นอิสระกับเราผู้เขียน เห็น


ธรรมชาติภายใน เชื่อมโยง ให้เราใส่ใจตัวเอง โดยเรา คือ ผู้สะท้อนคนเองผ่านบันทึก แยกเรา(ตัวปลอม)ออก
ผ่านกระบวนการ ลมหายใจ…กำกับใจ..เชื่อมโยงความรู้สึก ดำดิ่ง ภายใน จนสามารถแย้มกำแพงประตูแห่ง
จิต(จิตใต้สำนึก)ออกได้ อย่างที่เราผู้เขียนก็ Amazing กับการเรียนรู้ครั้งนี้เช่นกัน.

“ชอบหัวข้อ”อารมณ์แห่งใจ” สามารถพาเราผู้เขียนย้อนเวลาไป สังเกต ความทรงจำบางอย่าง ที่เราอาจลืมไป


แล้วด้วยซ้ำว่า ยังคงอยู่ ตกตะกอนติด คราบลึกฝังแน่น เหมือนอุปสรรค(ด้านลึก) ที่เคลือบติดผนังแห่งจิต เป็น
เครื่องกีดขวางการพัฒนาชีวิตภายใน การเขียนภาวนาหัวข้อนี้ พาเรา ลอกเปลือกหุ้มความรู้สึก เป็นบทเรียนรู้
ผ่านลมหายใจ..ออก..ยาวพอที่จะผลักประตูแห่งจิตเปิดออก เห็นที่ว่างภายในมีแสงสาดส่อง เสียงประตูเปิดออก
อย่างบางเบา

“คอร์สนี้ พาเรา ฝึกพิจารณา ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ด้วยความซื่อสัตย์ ความรู้สึกตัว ในลมหายใจ มีเรื่องราวให้


เรา สังเกตมอง อย่างเป็นกลาง ได้อย่างดี พาเราฝึก ลด – ละ อารมณ์เหตุแห่งความทุกข์ได้ ผ่านอักษร ที่เขียน
ได้ อย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมเราลงสู่ใจกลาง ความรู้สึกภายใน เรียนรู้การฟังเสียงธรรมชาติภายใน(Inner
Voice) ที่เรา ไม่เคยได้ยิน…ผ่านใจ เพื่อพาตัวเราเป็นผู้ฟัง และให้โอกาสตัวเรา เริ่มต้นใหม่ ฟังว่า เราต้องการ
สิ่งใดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ได้ในทุกๆวัน

“การเรียนรู้คอร์สนี้ ทำให้เราย้อนกลับมาให้เวลา ใส่ใจตัวเอง ฝึกเป็นเพียง”ผู้สังเกต” และ เป็น”ผู้ฟัง”ตัวเรา


อย่างเข้าใจ ทำให้เราสามารถก้าวข้ามความไม่รู้ ก้าวข้ามความกลัว ให้อภัยตัวเรา ให้โอกาสตัวเรา และ โอบ
กอดตัวเราด้วยความรู้สึก อย่างเข้าใจ จนสามารถพาตัวเราเข้าถึง พื้นที่ “ขุมทรัพย์ภายใน” เรียนรู้ เพื่อการ
ปรับปรุงซ่อมแซม(บ้านภายใน) เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยให้ชีวิตด้านใน ได้ตื่นขึ้น รับรู้ พัฒนาชีวิต อย่างเบิกบานใน
แต่ละวัน ด้วยความไม่ประมาทต่อโลกใบนี้

คุณณัฐฐิญา (มด) อาชีพ ครูโยคะ [ ผู้เรียนปี 2560 ]

“ได้ฝึกเขียนเฉพาะตอนลมหายใจออก ซื่อสัตย์ต่อตัวเองไม่เบ่งลมหายใจเพื่อให้เขียนจนจบคำ ไม่ยึดติดกับคำ


หรือประโยค หายใจเข้าตรงไหนหยุดตรงนั้นก่อน ฝึกมีสติมากขึ้น ฝึกกายใจสัมพันธ์กัน เขียนช้าแต่ไม่เฉื่อย
เขียนออกมาจากใจ เขียนแบบไม่ต้องปรุงแต่งให้สละสลวย รู้จักตัวเอง ได้โอบรับความรู้สึก ความผิดพลาดใน
อดีตของตัวเอง ให้อภัยและเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็คลายความเป็นตัวเองมากขึ้น รัก
ในสิ่งที่ทำ รักในสิ่งที่เป็น มั่นใจในตัวเองยิ่งขึ้น

“เรียนรู้อะไรๆมามากแล้ว ต้องเริ่มเรียนรู้ตัวเองอย่างจริงจังเสียที ละทิ้งความยึดมั่นหลายๆอย่างออกไปแม้


กระทั่งตัวเรา ลดทิฐิ ลดความเห็นผิดทั้งหลาย ทำใจให้เบา เปิดใจรับสิ่งใหม่ ด้วยศรัทธาและเข้าใจในศาสตร์
ของพระพุทธศาสนาได้ยิ่งขึ้น ”

คุณนงพงา (เอ) อาชีพ พนักงานบริษัท [ ผู้เรียนปี 2560 ]

“การเขียนภาวนาสอนอะไรเราบ้าง : สอนให้เราได้มีสติ สมาธิอยู่กับลมหายใจและกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้า สอน


ให้เรารู้หน้าที่จากการเขียนเมื่อลมหายใจออก และหยุดพักเมื่อลมหายใจเข้า ทำให้เรารู้จักที่รอได้ และลงมือทำ
ในเวลาที่ต้องทำ สอนให้เราปล่อยวางจากการยึดติดในสิ่งที่เราเคยชิน สอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน

“สิ่งที่ได้ฝึก และเรียนรู้จากหัวข้อต่างๆ : ฝึกการมอง การฟังและสังเกตสิ่งที่ต่างๆ รอบๆ ตัวเราอย่างที่มันเป็น


ไม่ใช่อย่างที่เราคิดปรุงแต่งตลอดมา ฝึกตัวเองให้หยุดพักความคิดช่วงระยะหนึ่งแล้วรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความ
เป็นจริง ทำให้ได้เรียนรู้ว่าที่ผ่านมาเราใช้ความคิด ประสบการณ์ปรุงแต่ง ตีความทุกสิ่งรอบตัวอย่าง ไม่ได้
สังเกตอย่างถี่ถ้วน ไม่ได้เห็น ฟังตามความเป็นจริง ข้อนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ฝึกรับรู้หลายๆ อย่าง
ในชีวิตประจำวันอย่างที่เป็น ฝึกการยอมรับ และรักตัวเองได้ในทุกอย่างที่เราเป็น ที่คนอื่นเป็น ไม่ยึดว่าสิ่งนั้นสิ่ง
นี้ต้องเป็นอย่างใจเรา เราถึงจะรักและยอมรับ แม้สิ่งที่เราไม่ชอบใจเราสามารถยอมรับและให้ความรักได้ แล้ว
พัฒนาปรับปรุงให้เหมาะสมตามความเป็นจริง เป็นการเรียนรู้ความรู้สึกที่ดีแบบใหม่ที่เราไม่เคยสัมผัส คือการ
รักอย่างไม่ยึด

“ทำให้เรากล้าเผชิญหน้ากับทุกอย่างทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แม้กระทั่งอดีตที่เราเพิกเฉยความรู้สึกตัวเอง ไม่


กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นๆ การได้ยอมรับและให้ความรักกับตัวเองในทุกขณะในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกเป็น
อิสระจากความคิดและความรู้สึกที่กักขังตัวเองเอาไว้มานานแสนนาน ทำให้เราได้เรียนรู้กับตัวเองอย่างแท้จริง
ว่าไม่ยึด ไม่ปรุง ไม่แต่ง ไม่ทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ดีอย่างไร”

คุณจิตรลดา (เจี๊ยบ) อาชีพ ธุรกิจส่วนตัว [ ผู้เรียนปี 2559 ]

“เมื่อเริ่มเขียน เรายังคงเห็นความอยากดี อยากเอาให้ดี

แฝงอยู่ ขณะเขียนใจไม่ได้อยู่ที่ลมหายใจออกตลอดเวลา

ชั่วระยะเวลาไม่กี่นาที ใจกระเพื่อมไปเรื่องโน้น วนมาเรื่องนี้

ที่สุดกลับเห็นว่ามันไม่มีอะไรคงอยู่ แม้แต่เรื่องที่คิด

เกิดขึ้นและจบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราใส่ใจลมหายใจ รู้ว่าลมหายใจเป็นสิ่งมีค่า

เมื่อเขียนเสร็จแล้ว

เราเกิดกำลังใจขึ้นมา ยอมรับกับตัวเองได้ว่า

อดีตที่ผ่านไปกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปกังวลเลย

ปัจจุบันที่ยังหายใจอยู่นี่ต่างหาก สำคัญมากที่สุด

“ปกติถ้าเราไม่ได้เขียน แม้เราจะเริ่มคิดในทางที่ดี คิดหาทางแก้ไขปัญหา เราคิดวนไปวนมา คิดถึงเรื่องราวที่ไม่


ชอบใจ รู้สึกไม่ยุติธรรม ทั้งที่มันจบไปนานแล้ว เราตั้งใจบอกตัวเองว่ามันจบแล้ว มันผ่านไปนานแล้ว แต่แล้วเรา
เผลอตามใจไม่ทัน คิดแล้วมีอารมณ์ความรู้สึก ฉุนเฉียว น้อย ใจ โกรธ เรื่องเดิมซ้ำ ๆ ไม่มีหลักฐาน คิดได้ทีหลัง
ก็ตั้งใจจะไม่ปล่อยให้อารมณ์พาจิตใจไม่ดีอีก ตั้งใจแล้วก็เผลอคิดอีก โกรธอีก

แต่พอเราเขียนออกมา เหมือนมันเน้นมันย้ำมันชัด เช่น

เราเคยถูกกระแทกประตูใส่ ตาเราเห็นประตู ใจเผลอไปคิดแว่บแรก อารมณ์ก่อตัว เรานึกออก มาอีกแล้ว แบบ


เดิมเลย เราเห็นตัวหนังสือเราเด่นขึ้นมา แล้วเราก็หายใจ

หายใจเรียกสติกลับคืน

“ปกติแม้แต่ก่อนจะฝึกสังเกต ยังเห็นหนังสือเป็นของเรา

อยากเล่า อยากประกาศว่าดียังไง ทรงคุณค่าต่อเรายังไง

อยากให้คนอื่นได้อ่านและได้ประโยชน์อย่างเรา

รู้สึกว่าผู้เขียนเป็นครูของเรา เป็นของเราทั้งหมด

หลังการสังเกต มองเป็นหนังสือที่มีคุณค่า แต่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น คือ เนื้อหามีประโยชน์อยู่แล้วแต่ก็


เหมือนหนังสือดี ๆ เล่มอื่น ๆ ที่ตรงใจผู้อ่านไม่เท่ากัน”

คุณสุนีรัตน์ (อั้ม) อาชีพ ค้าขาย-ขายวัสดุอุปกรณ์เบเกอรี่ [ ผู้เรียนปี 2559 ]

“การเขียนภาวนาสอนอะไรแก่เราและสิ่งสำคัญที่เราได้ฝึกและเรียนรู้มีอะไรบ้าง

การเขียนภาวนาสอนให้เรามีสติ รู้เท่าทันตนเอง ให้เราได้สื่อสารกับภายในตนเอง เห็นความกลัว เห็นอารมณ์


เห็นความหลง เห็นความยึดติดในตนเอง ผ่านการเขียน ผ่านตัวอักษร โดยใช้ลมหายใจช่วยนำพาให้ผ่อนคลาย
สงบ ตระหนักรู้และเห็นบางอย่างในตนเองได้ชัดเจนขึ้น

“สิ่งสำคัญที่ได้จากการฝึกนั่นคือ

ละวางความทุกข์ เลิกยึดติดในความสุข ใช้ชีวิตตามลมหายใจ ผ่อนคลาย หายใจเข้า รู้ หายใจออก วาง


เป็นไปตามธรรมชาติ ลื่นไหล ไม่ฉวยหยิบจับ ทั้งสุขและทุกข์มาเป็นของตน

“ขอบคุณอาจารย์ที่ให้คำแนะนำในการเรียนเขียนครั้งนี้ ได้ความรู้ ได้เยียวยา ได้ฝึกตัวเอง ขอบคุณที่อาจารย์


ใส่ใจกับนักเรียนทุกขั้นตอน”

คุณกนกธร (น้อท) อาชีพ แม่บ้าน [ ผู้เรียนปี 2559 ]

“ช่วงนี้การภาวนา เป็นไปอย่างยอมรับความจริงครับ

ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เพราะเราก็อายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ได้ฟัง " อิสระจริงแท้เป็นเช่นปลา "

ครูมีความลึกซึ้งในการมองนะคับ เพราะที่ผมเคยได้ยินเวลาภาวนา

เราไม่เข้าใจความจริง เหมือนนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

แต่เมื่อมองในเรื่องความอยาก การเป็นปลาที่อยู่ในบ่อ ก็เปรียบเสมือนการที่เรามีศีล ข้อวัตร คอยกำกับใจ

เพราะเมื่อเราไม่มีความอยาก ความจริง หรือ สัจจะ ก็อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว

มีอยู่ในเรือนกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีใจครองนี้ เองครับ...

“การมาเรียนเขียนภาวนา ก็เหมือนเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการภาวนาเลย

นับว่าทำให้ได้หลักของใจได้มากโขเลยทีเดียวครับ”

คุณวิโรจน์ (โหน่ง) อาชีพ Technical Support [ ผู้เรียนปี 2559 ]

“การเขียนภาวนาสอนอะไรแก่เราบ้าง?

1. สอนให้เข้าใจว่า 'สมาธิ' เป็นสิ่งสำคัญเราจะกำกับใจให้อยู่กับปัจจุบันได้ ต้องมีสมาธิตั้งมั่น จดจ่อกับสิ่งที่อยู่


ตรงหน้าพอสมควร

2. สมาธิอย่างเดียวไม่พอต้องมี 'สติ' ด้วยเมื่อใดที่เสียสมาธิ จิตใจวอกแวกไปเรื่องอื่น สติจะเป็นตัวช่วยดึงจิต


เราให้กลับมาอยู่กับสิ่งตรงหน้าที่เรากำลังทำ

3. 'ลมหายใจที่ลึกและช้า' ช่วยพัฒนาให้เรามีสมาธิที่ดีขึ้น แข็งแรงขึ้นและช่วยพลาสติกลับมาอยู่ที่ตัวเราได้


เสมอ

4. การเขียนภาวนาช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ของสมาธิ สติ และลมหายใจทำงานร่วมกันได้อย่างมี


ประสิทธิผล เกิดความรู้ตัว สามารถกำกับใจให้อยู่กับปัจจุบันได้เร็วและนานขึ้น

5. เมื่อเราสามารถกำกับและดูแลใจให้อยู่กับปัจจุบันได้ เราจะเห็นทุกอย่างไปตามจริง ตามนั้น ตามที่มันเป็น


อาจจะจริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด ชอบหรือไม่ชอบ ทุกข์หรือสุข มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เราเพียง
รับรู้มองดูด้วยใจที่เป็นกลางเราก็จะเข้าใจไม่คาดหวังอยากให้เป็นอย่างใจ หรือเผลอไปยึดว่าต้องเป็นอย่างใจ
ใจก็จะสามารถสบายและเบาขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง

“ช่วงหนึ่งอาทิตย์มานี้เห็นทุกข์ 3-4 ครั้งค่ะ เกิดจากความคาดหวังอยากให้เป็นอย่างใจ มองด้วยใจกลางๆ ได้


ไม่นานก็กลับไปคาดหวังอีก วนเป็นวงจรหลายรอบ แต่ก็รู้สึกได้ค่ะ ว่าเรารักษาใจให้เป็นกลางได้นานขึ้นเรื่อยๆ
ในแต่ละรอบ มีแวบๆบ้างพยายามไม่ให้จมค่ะ”

คุณสุพัตรา (สุ) อาชีพ ร้านสังฆทาน [ ผู้เรียนปี 2559 ]

_________________________________________________

วิดีโออ่านบันทึกของผู้เรียน

• "ฉันตัวเล็ก แต่ภายในมีผู้ชายคนหนึ่งหลบซ่อนอยู่” https://youtu.be/gIfQV2H7Uj8

• “ขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เรามาพบกัน...ภาวนา” https://youtu.be/1Qgo6ifJtG4

• “มีความอยากเกิดขึ้นมากมายในใจฉัน” https://youtu.be/8apfbPZ1Gz0

• “ฉันพลัดพรากเพื่อเรียนรู้” https://youtu.be/3wQiObRHmf0

• “เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง ประตูบานอื่นจะเปิดออก” https://youtu.be/m2PyI8HoS3Q

• “ปัญหาอยู่ที่เราแก้มัดตัวเองไม่ได้” https://youtu.be/GG-x52_7gc4

• “เมื่อเรามอบความรักให้แก่ตนเอง เราจะตั้งต้นมองหาสิ่งที่ดีให้แก่ตัวเรา” https://youtu.be/


7ItWe1-520U

• “ฉันผ่อนปรนกับตัวเอง” https://youtu.be/3mdSeINCRWg

• “ที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตเหมือนการเขียนทั่วๆ ไป” https://youtu.be/Rn3tp6_eX-A

_________________________________________________

การฝึกฝนและบทเรียนจากคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” 5 เดือน

อ่านได้ที่เว็บไซต์ www.dhammaliterary.org/บทเรียนครูเขึยนภาวนา/

_________________________________________________

รวมบทเรียนและความประทับใจจากผู้ผ่านการอบรม “เขียนภาวนา”

อ่านได้ที่เว็บไซต์ www.dhammaliterary.org/รวมบทเรียน-เขียนภาวนา/

_________________________________________________

ดำเนินการสอนโดย

สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ปีที่ 8 - 12

เว็บไซต์ www.dhammaliterary.org

เพจเฟสบุ๊ค www.facebook.com/khianpianchiwit/

อีเมล dhammaliterary@gmail.com

You might also like