Professional Documents
Culture Documents
7.burn Wound Management (Sutthathip 23.5.57)
7.burn Wound Management (Sutthathip 23.5.57)
สุทธาทิพย์ แซ่หมู่
อ.อรวรรณ ชาญสันติ
ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น1
การรักษาพยาบาลเบื้องต้น มีหลักการที่สําคัญ 2 ประการ คือ หยุดกระบวนการบาดเจ็บ และ ทําให้บาดแผล
อยู่ในภาวะที่เย็นลง โดยการนําผู้บาดเจ็บออกจากในสถานที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด ถอดเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือ สิ่งที่
สัมผัสกับความร้อนและตัวผู้บาดเจ็บออก ใช้น้ําที่อุณหภูมิห้องชําระผ่านบาดแผล อย่างน้อย 20 นาที และในขณะ
เดียวกัน ก็พยายามรักษาอุณหภูมิร่างกาย ในบริเวณอื่นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน ไม่ควร
ใช้น้ําแข็ง เนื่องจากจะทําให้เกิดเส้นเลือดหดตัว และอุณหภูมิ ร่างกายลดต่ําลง (Hypothermia) การใช้ผ้าเปียก
เพื่อห่อหุ้มร่างกายนั้น อาจไม่เพียงพอในการลดความร้อน แต่จะใช้ได้ในกรณีทไี่ ม่สามารถหาน้ําเปล่าได้ หากจําเป็น
ควรใช้ผ้าชื้น 2 ผืน และเปลี่ยนทุก 30 วินาที หากเป็นบาดแผลที่เกิดจากสารเคมีชนิดฝุ่นผง ควรปัดออกให้มากที่สุด
แล้วค่อยชําระด้วยน้ํา และหากสาร เคมีนั้นเข้าตา ควรล้างด้วยน้ําเกลือสามัญให้มากที่สุด และตรวจสอบความเป็น
กรดด่าง จนอยู่ในภาวะ เป็นกลาง และนําผู้ป่วยส่งต่อสถานพยาบาลให้เร็วที่สุด
พยาธิสภาพของผิวหนังที่เกิดจากไฟไหม้ น้ําร้อนลวก
บริเวณของผิวหนังที่ได้รับการบาดเจ็บ แบ่งเป็น 3 Zone ตาม Jackson’s zone of injury ดังนี้
1. Zone of coagulation เป็นบริเวณที่มกี ารตายของเนื้อเยื่ออย่างถาวร (Irreversible change)
2. Zone of stasis เป็นบริเวณที่เนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บแต่สามารถกลับเป็นปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาที่เหมาะสม
หรืออาจกลายเป็น Coagulative necrosis ก็ได้ หากการรักษาไม่เหมาะสม
3. Zone of hyperemia เป็นบริเวณที่เกิด Vasodilatation จากการเกิดการอักเสบรอบๆ บาดแผล โดยบริเวณนี้เป็น
Viable tissue ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิด Tissue necrosis
Shallow burn
1. First degree burn เกิดการบาดเจ็บเฉพาะชั้น Epidermis เช่น Sun burn โดยลักษณะผิวหนังจะ แดง แห้ง ปวด
ไม่มี Bleb แผลประเภทนี้จะใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน โดยไม่มีรอยแผลเป็น ยกเว้นมีการติดเชื้ออักเสบ
การรักษา คือ การใช้ยาทาแผลเฉพาะภายนอก (Topical antibiotic treatment)
ตารางที่ 1 แสดงการประเมินขนาดของบาดแผลตาม Lund Browder Chart
2. Superficial second degree burn เกิดการบาดเจ็บในชั้น Epidermis และ Superficial dermis ลักษณะ
แผลจะเป็นตุ่มน้ําใส ปวดแสบร้อน ถ้าเอา Bleb ออก จะเห็นเป็นพื้นสีชมพูและเปียกแฉะ แผลชนิดนี้
ยังมีเซลล์ที่สามารถเจริญทดแทนส่วนที่ตายได้ จึงหายได้เร็ว และไม่เป็นแผลเป็นเช่นกัน แผลจะหายใน 2-3
สัปดาห์
การรักษา คือ การใช้ยาทาแผลเฉพาะภายนอก (Topical antibiotic treatment) หรือปิดด้วยผลิตภัณฑ์
ปิดแผลชนิดต่าง ๆ
ภาพที่ 3 แสดงระดับความลึกของบาดแผลเทียบกับชั้นผิวหนัง
Deep burn
1. Deep second degree burn เกิดการบาดเจ็บในชั้น Epidermis และ Deep dermis ลักษณะ ของแผลจะมี
Bleb แต่พื้นของแผลจะเป็น Mottle pink to white color ขึ้นกับว่ายังมีเลือดไหลเวียนมากเท่าไร และถ้า
กดที่แผลจะพบว่า Slow capillary refill แผลลักษณะนี้มัก จะหายใน 3-9 สัปดาห์ การใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่
จะช่วยให้แผลไม่ติดเชื้อ
2. Third degree burn เกิดการบาดเจ็บในชั้น Epidermis และ Dermis ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ รูขุมขน
และเซลล์ประสาท แผลจะเป็นสีขาว ดํา หรือ Cherry red ลักษณะ แข็ง แห้ง (Leathery form) และไม่เจ็บปวด
เนื่องจากปลายประสาทถูกทําลาย ในบางรายอาจเห็น Thrombosis of subdermal vessels และสุดท้าย
จะกลายเป็น Eschar บาดแผลประเภทนีจ้ ะไม่หายเอง จําเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง
นอกจากนี้จะมีการดึงรั้งของแผลทําให้ข้อยึดติด เมื่อหายแล้วจะเป็นแผลเป็น บางรายจะพบแผลที่มีลักษณะ
นูนมาก (Hypertrophic scar)
3. Fourth degree burn เกิดการบาดเจ็บในชั้น Subcutaneous fat และ Deep structure
4-D 4-E
ภาพที่ 4 แสดงลักษณะบาดแผลตามระดับความลึก
4-A First degree burn, 4-B Superficial second degree burn, 4-C Mid-partial thickness burn,
4-D Deep partial thickness second degree burn, 4-E Full thickness burn
Concept
• Cleansing ทําความสะอาดแผล ล้างสิ่งสกปรกและผิวหนังที่ตายออก รวมทั้งสารคัดหลั่งและคราบเลือดต่างๆ
• Debridement ตกแต่งบาดแผล เนื้อเยื่อที่ตาย และ Eschar
• Dressing เลือกใช้วิธีทําแผลที่เหมาะสม ให้แผลมีความชื้นที่พอดี ลดปริมาณ Exudate ที่เกิดขึ้น ไม่เกิด
Wound bed colonization สามารถเปลี่ยนได้ง่ายโดยไม่ปวดและป้องกันการรบกวนต่อ Epithelialization
• Pressure เพื่อลดอาการบวม และทําให้เกิดแผลเป็นน้อยที่สุด
1. Shallow wound
เป็นบาดแผลทีร่ ักษาโดยการใช้ยาทาแผลเฉพาะภายนอก (Topical antibiotic treatment) หรือปิดด้วย
ผลิตภัณฑ์ปิดแผลชนิดต่างๆ เนื่องจากบาดแผลสามารถหายเองได้ และไม่มีรอยแผลเป็น
Topical antibiotic ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ 1% Silver sulfadiazine เพราะมีฤทธิ์กว้างในการครอบคลุม
เชื้อแบคทีเรีย ในกรณีที่ใช้ไปนาน ๆ เกิดเชื้อดื้อยา อาจเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นตาม Sensitivity ของเชื้อ เช่น
Gentamicin cream ถ้าเป็นเชื้อ gram negative หรือใช้ Fucidine cream ถ้าเป็นเชื้อ Gram positive เช่น
Streptococcus, Staphylococcus หรือเชื้อ MRSA หรือใช้ Oxoferin เพื่อช่วยกระตุ้น Wound epithelialization
ได้ดีในกรณีที่บาดแผลใกล้หายแล้ว
Burn wound dressing product มีหลายผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันแพร่หลาย เช่น Acticoat, Urgotul SSD, Aquacel
Ag, Mepitel, Askina calgitrol Ag เป็นต้น ทุกผลิตภัณฑ์ใช้ได้ผลดี ถ้าเราเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะแผล
ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อใช้กับบาดแผลตื้นแบบ Superficial second degree burn เท่านั้น ถ้าเป็นบาดแผลลึกตั้งแต่ Deep
second degree ขึ้นไป การรักษาด้วยการผ่าตัด จะได้ผลดีกว่า ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป
การดูแลรักษาบาดแผลที่มีความรุนแรงน้อยและป็นเฉพาะที่ สามารถให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยล้าง
แผลให้สะอาด ซับให้แห้ง ให้ยาปฏิชีวนะชนิดทาและให้ยากันบาดทะยัก สามารถใช้อุปกรณ์ติดแผลที่เป็น Non-
adhesive หรือปิดทับด้วย Biological dressing ได้เลย และใช้ผ้าก๊อซหลาย ๆ ชั้นปิดทับ อีกครั้ง (Occlusive
dressing) และสามารถเปลี่ยนแผลได้หลังจากนั้น 48-72 ชั่วโมง
การดูแลบาดแผลในบริเวณเฉพาะต่างๆ 1,3
- ใบหน้า หู ลําคอ ควรทาแผลด้วย 1% Chloramphenicol ointment และเปิดแผลทิ้งไว้ ควรทายาบ่อยๆ วันละ 3-4
ครั้ง เพื่อไม่ให้แผลแห้ง ถ้าจะใช้ 1% silver sulfadiazine ต้องหลีกเลี่ยงบริเวณดวงตา
- มือ และ นิ้ว ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก นิ้วมืออาจบวมมาก หลังจากทายาและปิดแผลแล้ว จึงแนะนําให้ใช้
ผ้าพันแผลรวบทั้งนิ้วมือและมือตามรูปที่ 5-C และใส่เฝือกดาม ยกมือและแขนสงกว่าระดับหัวใจ แต่จะทําให้
การทํางานและการขยับของมือไม่สะดวก หลังจาก 72 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถถอดเฝือก ออก เมื่อเริ่มยุบบวมลงแล้ว
สามารถใช้ผ้าพันแผลแยกแต่ละนิ้วดังรูปที่ 5-B และเริ่มทําการบริหาร กล้ามเนื้อ บริเวณทีม่ ีแผลอย่างต่อเนื่อง
- ขา และเท้า หลังจากทายาและปิดแผลแล้ว ให้ยกขาสูงและ Bed rest นาน 72 ชั่วโมง แล้วจึงให้เริ่ม เดินได้ ถ้าไม่มี
แผลที่ฝ่าเท้า แต่หากมีแผลที่เม้า ควรใช้อุปกรณ์ที่รองรับทั้งนิ้วเท้าและฝ่าเท้าโดยให้ Position ของนิ้วเท้าเป็น
ปกติที่สุด
- อวัยวะเพศ ให้เปิดแผลทิ้งไว้หลังจากทายาแล้วโดยไม่ต้องปิดแผล ล้างแผลและทายาใหม่ ทุกครั้ง หลังถ่าย
- บริเวณข้อต่าง ๆ ที่มีแผลค่อนข้างลึก อาจเกิดแผลเป็นดึงรั้งได้ มีผลให้ข้อต่าง ๆ ยึดติด เคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่
ผิดรูปร่างไปจากเดิมและอาจเกิดความพิการได้ ควรบริหารข้อต่อนัน้ ๆ อย่างสม่ําเสมอ
- บาดแผลที่ไม่ลึก โดยทั่วไปจะหายภายใน 3 สัปดาห์ ถ้าบาดแผลลึกจะมี Eschar หนา จําเป็นต้องรีบตัด Eschar ออก
มิฉะนั้นจะมีการติดเชื้อเกิดขึ้น
- บาดแผลไฟไหม้ระดับลึก ที่เป็นรอบบริเวณแขนและขา จะต้องตรวจดูการไหลเวียนที่บริเวณปลายนิ้วบ่อย ๆ แนะนํา
ให้ประเมินทุกครึ่งชั่วโมง ถ้าพบว่าการไหลเวียนไม่ดีจะต้องรีบกรีด Eschar ทันที
PROPERTIES SILVER SULFADIAZINE MAFENIDE ACETATE SILVER NITRATE
Active component 1.0% in water miscible 11.1% in water miscible
0.5% in aqueous solution
base base
Spectrum of antimicrobial Gram negative – good
Gram negative – good Gram negative – poor
activity Gram positive – good
Gram positive – good Gram positive – good
(excepted
Yeast – good Yeast – good
Staphylococcus)
Herpes – good
Yeast – poor
Method of wound care Exposure or single layer
Exposure Occlusive dressing
dressing
Advantages - Painless
- Painless
- Wound appearance
- No hypersensitivity reaction
readily monitored when
- Best penetrate eschar - No gram negative
exposure method used
- Joint motion resistance
- Easily applied
unrestricted - Dressing reduce
- Joint motion
- No gram negative evaporative heat loss
unrestricted when
resistance - Greater effectiveness
exposure method used
against yeasts
- Greater effectiveness
against yeast
Disadvantages - Painful on partial - Deficits of sodium,
thickness burns potassium, calcium and
- Neutropenia, - Susceptibility to chloride
thrombocytopenia metabolic acidosis as - No eschar penetration
- Hypersensitivity : a result of carbonic - Limitation of joint motion by
infrequent anhydrase inhibition dressings
- Limited eschar - Hypersensitivity - Methemoglobinemia – rare
penetration reactions in 7% of - Frequency used q 2-4 hr.
- Pseudoeschar patients for keep moist
- Delayed eschar - Staining of environment and
separation equipment
ตารางที่ 3 แสดง Topical antimicrobial agents for burn wound care
5-A 5-B
ภาพที่ 5-A และ 5-B แสดงการพันแผลบริเวณมือและนิ้วมือ
เมื่อแผลหายดีแล้ว ต้องระวังไม่ให้ถกู แสงแดด 3-6 เดือน และใช้น้ํามันหรือครีมโลชั่นทาที่ผิวหนัง เพื่อลดอาการ
แห้งและคัน สําหรับแผลที่หายโดยใช้เวลามากกว่า 3 สัปดาห์ หรือแผลที่หายหลังจากทําการผ่าตัด Skin graft แนะนําให้
ใส่ผ้ายืด (Pressure garment) เพื่อป้องกันการเกิด Hypertrophic scar
6-A 6-B
6-C 6-D
ภาพที่ 6 แสดงบาดแผลที่เป็น Blister หลังจากเจาะถุงน้ําออก; 6-A เจาะถุงน้ํา, 6-B ระบายน้ํา ทําความสะอาดแผล
ยกแขนสูง, 6-C วันที่ 9 หลังทําแผล, 6-D บาดแผลหาย
2. Deep wound
เป็นที่ทราบกันดีว่าแผลที่ลึกตั้งแต่ Deep second degree burn จะใช้เวลาหายของแผลมากกว่า 3 สัปดาห์
ทําให้เสี่ยงต่อการเกิด Hypertrophic scar จึงมีแนวคิดเกี่ยวกับ Early excision and grafting ในการรักษาแผลที่คาดว่า
จะใช้เวลาหายมากกว่า 3 สัปดาห์
• Type of excision
1. Tangential (Sequential) excision
เป็นการใช้ใบมีดตัดแผลทํามุมแหลมที่สุดกับพื้นผิวของบาดแผล แล้วตัดเอาเฉพาะเนื้อเยื่อที่ตายออก
จนถึงชั้น เนื้อเยื่อที่ดี ซึ่งจะเห็นเลือดซึมออกจากบาดแผล (Brisk punctate bleeding) สําหรับชั้น Dermis
ที่ดีนั้น จะเห็น Shiny white color แต่ Healthy fat จะมีสี Light yellow and shiny
ตามปกติในครั้งแรกของการ Escharectomy สามารถตัดเอา Eschar ออกได้อย่างมากที่สุด ประมาณ
18-25% TBSA หากสามารถเอาออกได้ง่ายและทําใน 1-3 วันแรก ส่วนการเอา Eschar ออกในภายหลัง
ให้เอาออกแค่ 9% ของ TBSA เพื่อลด Bleeding จากนั้นให้ทําการหยุดเลือดโดยอาจใช้จี้ (Electrocautery)
หรือใช้ผ้าก๊อซชุบ Adrenaline ปิดไว้บนแผล แต่ควรใช้หลังจากประเมินแล้วว่าได้ตัดเนื้อที่ตายออกได้อย่าง
เพียงพอ เพราะหากใช้ก่อนจะทําให้ Punctuate bleeding ลดลง ซึ่งจะประเมินแผลได้ยากขึ้น
2. Fascial excision
เหมาะสําหรับแผลขนาดใหญ่และลึกในระดับ Full thickness ขึ้นไป ซึ่งมี Donor site จํากัด
โดยถ้าทําการผ่าตัดภายในช่วงไม่กี่วันหลังจากบาดเจ็บ จะทําได้ง่ายเนื่องจากการมี Edematous fluid
ช่วยแยกชั้น Subcutaneous fat กับ Fascia และควรตัดออกไม่เกิน 18-20% TBSA แต่ถ้าทําในช่วงหลัง
ได้รับการบาดเจ็บหลายวันแล้วจะทํายาก เนื่องจากการแยกชั้นเนื้อเยื่อไม่ดี เลือดออกมาก และยังมีโอกาส
ติดเชื้อมากขึ้น เพราะมี Colonization ของ Subeschar space
TYPE OF EXCISION ข้อดี ข้อเสีย
Tangential excision 1. Optimal function และ Cosmetic 1. Blood loss มาก
1. ทําได้เร็ว 2. การประเมิน Endpoint
อาจทําได้ยาก
3. การ Excise อาจทําไม่พอเหมาะ
อาจมากหรือน้อยเกินไป
Fascial excision 1. ทําได้เร็ว และเสียเลือดน้อย 1. ความเสี่ยงต่อ Nerve injury
2. การประเมิน Endpoint ทําได้ง่าย 2. ความเสี่ยงต่อ Distal edema
3. สามารถใช้ Tourniquet ได้เพราะ เพราะไปตัดเอา Superficial vein
Endpoint คือ ตัดถึง Fascia layer และ Lymph ออก
ไม่ใช่ Brisk bleeding 3. ความเสี่ยงในการ Expose ต่อ Joint
4. สามารถใช้ Mesh ขนาดใหญ่ หรือ Tendon
คลุมแผลได้ 4. Cosmetic ไม่ค่อยดี
• Donor site
ตามปกติใช้จาก Unburned tissue โดยมักใช้จาก Buttock, Thigh, abdomen แต่ก็อาจใช้จากส่วนอื่น
ก็ได้ถ้าจําเป็น พบว่า Scalp เป็น Donor site ที่ดีที่สุดของร่างกาย ถ้านํา Graft จาก Donor site อื่น จะต้องใช้
เวลาอย่างน้อย 14 วันจึงสามารถใช้ใหม่ได้อีกครั้ง แต่ Scalp ใช้เวลาเพียงแค่ 7 วัน ก็สามารถนํามาใช้ได้
และสามารถใช้ได้บ่อยถึง 3-4 ครั้ง Ideal thickness skin graft ในผู้ใหญ่ ประมาณ 0.012 นิ้ว แต่ความหนา 0.012-
0.014 นิ้ว ใช้กับใบหน้า คอ มือ และข้อต่อได้ดีกว่าเนื่องจากมี Dermis มากขึ้น แผลเป็นจึงน้อยกว่า
ในกรณีที่ไม่มี Donor site ที่เพียงพอ อาจใช้ Skin substitutes ซึ่งจะกล่าวในภายหลังต่อไป
พบว่าใน 48 ชั่วโมงแรก บาดแผลจะถูก Colonization โดย Gram positive bacteria จาก Hair follicle หรือ
Skin appendage ที่อยู่ข้างเคียง ต่อมา Gram negative bacilli จะเข้ามาหลังเกิดบาดแผล 5-7 วัน
Diagnosis
สําหรับการวินจิ ฉัย Burn wound infection นั้น ต้องใช้ Tissue diagnosis โดยต้องพบลักษณะ Invasion ของ
Organism เข้าสู่ Viable tissue วิธีนี้ถือว่าเป็น Goal standard แต่บางครั้งอาจใช้ Quantitative tissue culture
ถ้าขึ้นเชื้อมากกว่า 105 CFU ต่อเนื้อเยื่อ 1 กรัม ก็อาจช่วยในการวินิจฉัยได้
Treatment
ควรเริ่มให้ยาฆ่าเชื้อชนิดฉีดอย่างเหมาะสมกับเชื้อก่อโรค และทำ Burn wound excision โดยให้ตัด
เนื้อเยื่อที่สงสัยว่าติดเชื้อและเนื้อที่ตาย จนถึง Viable tissue และอาจทำหรือไม่ทํา Graft coverage ก็ได้
Wound surveillance
ควรส่งเพาะเชือ้ เนื้อเยื่อจาก Eschar อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อดู Evidence ของ Organism invasion
แต่อย่างไรก็ตามเชื้อทีไ่ ด้จากแผลชั้นบน อาจไม่ตรงกับเชื้อในชั้นลึก ๆ แต่ก็สามารถดูการ เปลี่ยนแปลงของ
เชื้อโรคได้
• Skin substitutes
ในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการช่วยรักษาบาดแผลไฟไหม้น้ําร้อนลวก โดยพบว่า Autograft จาก
Uninjuried skin ยังเป็นสิ่งที่นํามาใช้แล้วได้ผลดีที่สุด อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บรุนแรง และ
บาดแผลขนาดใหญ่มาก ๆ อาจมี Skin donor site ที่ไม่เพียงพอ ทําให้มีการใช้ Skin replacement โดยวิธี
อื่นๆ ซึ่งเราเรียกว่า Skin substitutes
Skin substitutes มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่ ลดอาการปวดได้ ป้องกันบาดแผลจากการติดเชื้อ
กระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ๆ ป้องกันการสูญเสียความร้อน มีความสวยงามหลังการหายของแผล และเพิ่ม
Survivial
เราแบ่ง Skin substitutes เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Temporary และ Permanent skin substitutes โดย
Temporary skin substitutes มีข้อดี คือ ช่วยในการรักษา Partial thickness burn ปิดแผลที่เป็น Clean excised
wound จนกว่าได้ผิวหนังที่สามารถใช้ Grafting ได้ โดยทั่วไป Temporary skin substitutes จะไม่มี Living cell
สําหรับ Permanent skin substitutes จะใช้แทนที่ผิวหนังทั้งชั้น Epidermis หรือ Dermis หรือทั้ง 2 Component
นอกจากนี้ยังให้ คุณภาพของผิวหนังดีกว่า Skin graft จึงต่างกับ Temporary ที่ Permanent skin substitutes จะมี
Viable skin cell รวมทั้ง Component of dermal matrix
ข้อดี ข้อเสีย
1. เป็น Bilayer component ของทั้ง Epidermis และ Dermis 1. Epidermis เกิด Rejection
2. หลัง Revascularization สามารถอยู่ได้ 3-4 สัปดาห์ 2. หา Donor ยากและเก็บรักษาลําบาก
3. Dermal incorporate to burn wound 3. ความเสี่ยงของ Disease transfer
4. ราคาแพง
5. ต้องเก็บใน Cryopreserve
(2) Xenograft 9
ก่อนหน้านี้มีการใช้ผิวหนังจากสัตว์หลายชนิดในการทำ Skin graft แต่ปัจจุบันใช้เฉพาะจากหมูเท่านั้น
(Porcine xenograft) หลังจากได้ตัว Graft ชั้น Epidermis จะถูกลอกออกจนเหลือแต่ Dermis แล้วใช้วางใน
Clean base wound ตามปกติ Porcine xenograft จะไม่เกิด Revascularization แต่ใช้เพื่อคลุมบาดแผลเดิม
เพื่อลดปวดจนกว่าแผลจะหาย
Primary indication : Cover partial thickness burns ในระหว่าง Wound healing หรือก่อนทํา Skin
grafting
ข้อดี ข้อเสีย
1. Good adherence 1. ไม่เกิด Revascularization และจะเกิด slough หลุดไปเอง
2. ลดปวด 2. Short term use
3. Available กว่า Allograft 3. จําเป็นต้องเก็บเป็น Fresh product frozen
4. Bioactive (collagen) inner surface with fresh product
5. ราคาถูกกว่า Allograft
ข้อดี ข้อเสีย
1. ทําหน้าที่เป็น Biologic barrier ของ Skin 1. การเตรียม, ได้มาและเก็บรักษาทําได้ยาก
2. ลดปวด 2. ต้องเปลี่ยน Amniotic membrane ทุก 2 วัน
3. ใช้ง่ายและเอาออกง่าย 3. สลายตัวง่าย
4. โปร่งใส 4. Risk ของ Disease transfer
(4) Oasis wound matrix 11
ทำมาจาก Submucosa ของลําไส้เล็กหมูโดยมี Collagen และ Matrix structure คล้ายในชั้น Dermis
ของมนุษย์ จากนั้นมาเข้าขบวนการทําให้ Sterile และ Non-immunogenicity ตามปกติ Oasis wound matrix จะ
Incorporate กับ Wound bed หลัง 7 วัน และอาจต้อง Reapply ถ้าแผลยังไม่หาย
Primary indication : Cover partial thickness burn และ Skin graft donor site
ข้อดี ข้อเสีย
1. Excellent adherence 1. มีเฉพาะ Dermal component
2. ลดปวด 2. อาจต้อง Reapply บ่อยๆ
3. ให้ Bioactive dermal like properties
4. เก็บรักษาได้นานและเก็บในอุณหภูมิห้องได้
5. ราคาไม่สูงมาก
ข้อดี ข้อเสีย
1. Bilayer analogs 1. มี Direct bioactive action น้อย
2. Excellent adherence 2. การเอาออกจากแผลลําบากถ้าปิดไว้นานเกิน 2 สัปดาห์
3. ลดปวด
4. Maintain flexibility
5. ราคาไม่สูงมาก
(6) Transcyte 14
เป็น Bilayer skin substitution เช่นกัน ชั้นนอก Outer epidermal analog เป็น Thin nonporous silicone
film with barrier function ชั้นใน Inner dermal analog ซึ่งเป็น Human neonatal foreskin fibroblast
จะสร้างสารพวก Collagen type I, Fibronectin และ Glycosaminoglycans เป็นหลัก ทําหน้าที่กระตุ้น Wound
healing process และ Maintain wound surface สําหรับ Epidermal migration, Transcyte จะหลุดลอก
เองหลังเกิด Re-epithelialization
Primary indication : Cover clean superficial to middermal burn wound โดยเฉพาะในเด็กและ
Temporary grafting ก่อนทํา Skin graft
ข้อดี ข้อเสีย
1. Bilayer analogs 1. ต้องเก็บในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส เพื่อรักษา
2. Excellent adhere to superficial to middermal wound Bioactive ของ Dermal matrix
3. ลดปวด 2. ราคาค่อนข้างแพง
4. มี Bioactive dermal component
5. Maintain flexibility
6. Good outer barrier function
ข้อดี ข้อเสีย
1. Own keratinocyte 1. ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์หลัง Biopsy จึงจะเริ่มใช้ได้
2. Small skin biopsy 2. มีเฉพาะ Epidermal component แลไม่แข็งแรง
3. ใช้ Cover very large surface 3. ต้องใช้ทันทีหลังได้มา
4. ราคาแพงมาก
(2) Alloderm 16
เป็นการนํา Human allograft แล้วนําเอา Epidermis ออก เหลือเพียงชั้น Dermis จึงทําหน้าที่เป็น Dermal
implantation ดังนั้นยังต้องการ Thin epidermal autograft เสริมอีกครั้ง
Primary indication : ใช้แทนที่ Soft tissue defect และไม่ค่อยใช้ใน Burn area ที่ใหญ่
ข้อดี ข้อเสีย
1. เก็บได้ง่าย ไม่ต้องการ Skin bank 1. ต้องใช้ 2 Procedure จึงจะได้ Bilayer skin
2. มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก 2. ราคาค่อนข้างแพง
(3) Integra 17
ประกอบด้วย Epidermal และ Dermal analog ซึ่ง Epidermal analog เป็น Thin silicone elastomer
ทําหน้าที่เป็นเพียง Temporary protection หลังจาก Dermal analog incorporate และ Revascularization ที่ 2-
3 สัปดาห์ แล้วให้เอา Silicone ออก แล้วนํา Very thin skin graft หรือ CEA ปิดทับอีกครั้ง
Dermal analog เป็น Biodegradable bovine collagen glycosaminoglycan copolymer matrix โดยทั้ง
collagen และ Glycosaminoglycan จะเกิด Cross link กันและ Incorporate เข้ากับแผล Integra จําเป็นต้อง
Immobilize 2 สัปดาห์เพื่อป้องกัน Devascularization
Primary indication : Large deep burn หรือใช้ในการ Reconstruction
ข้อดี ข้อเสีย
1. มี Dermal analog ที่หนาและแข็งแรง 1. ต้องใช้ Epidermis จากผู้ป่วย
2. เก็บไว้ได้นาน 2. Dermal cell ต้องมาจากผู้ป่วย และต้องรอ Incorporate
3. ไม่มี Transmission disease 3. ต้องใช้ 2 Procedures
4. ราคาไม่แพงมาก
5. ใช้ใน Large burn ได้ดี
WHAT DRESSING DRESSING OPTIONS DRESSING PRODUCT DRESSING APPLICATION
• Silicone/foam Silicone e.g. • Apply to clean wound bed
• Film • Mepilex® • Cover with fixation/retention
• Vaseline gauze • Mepilex Lite® dressing
• Silver • Allevyn® • Change 3-7 days depending on
• Hydrocolloid Also available with silver level of exudate
• Mepilex Ag®
• Hydrocolloid Hydrocolloid e.g. • Apply to clean wound bed
• Film • Comfeel® • Change 3-4 days depending on
• Silicone • Duoderm® level of exudate
• Vaseline gauze
• Silver
1. Clinical Practice Guidelines: Burn Patient Management ACI Statewide Burn Injury Service August 2011 ;
Available from : http://www.aci.health.nsw.gov.au/__data/assets/pdf_file/ 0019/162631/Clinical_Practice_
Guidelines_2012.pdf.
2. สุภาพร โอภาสานนนท์; การดูแลรักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ําร้อนลวก, ศิริราชพยาบาล ; Available from :
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/911_1.pdf.
3. Advance Burn Life Spport Course : Provider’s manual, American Burn Association 2007, Available from :
http://ameriburn.org/ABLSProviderManual_20101018.pdf.
4. Robert HD, Leslie D. Managing the burn wound. Burnsurgery.org 2004.
5. จันทร์คํา บุญมาก, อภิชัย อังสพัทธ์. Current management in burn patients.Surgical Reviews Chulalongkorn
University 2548: 452-78.
6. Karl S, Scott D. Burn wound infections. Emedicine 2005.
7. Cleon G. Burn wound management. Current surgical therapy, 8th edition 2004 : 1025-29.
8. Herndon DN. Perspectives in the use of allograft. J Burn Care Rehab 1997 ; 18 : 56.
9. Elliot RA Jr, Hoekn JG. Use of commercial porcine skin for wound dressing. Plast Reconst Surg 1973 ;
12 : 401-5.
10. Ramakrisknan KM, Jayaramas V. Management of partial thickness burn wounds by amniotic membrane
: a cost effective treatment in developing countries. Burns 1997 ; 23 (suppl 1 ) : 533-6.
11. Brown-Estris M, Cutshall W, Hiles M. A new biomaterial derived from small intestinal submucosa and
developed into a wound matrix device. Wounds 2002;4:150-66.
12. Smith DJ Jr. Use of biobrane in wound management. J Burn Care Rehab 1995; 16:317-20.
13. Yang J, Tsai Y. Clinical comparison of commercially available Biobrane preparations. Burns 1989
;15:197-203.
14. Demling RH, DeSanti L. Management of partial thickness facial burns (comparison of topical antibiotics
and bio-engineered skin substitutes). Burns 1999; 25:256-261.
15. Sheridan RL, Tompkins RG. Cultured autologous epithelium in patients with burns of ninety percent or
more of the body surface. J Trauma 1995;38:48-50.
16. Rue LW III, Cioffi WG, McManus WF, Pruitt BA Jr. Wound closure and outcome in extensively burned
patients treated with cultured autologous keratinocytes. J Trauma 1993; 34:662-7.
17. Buinewicz B, Rosen B. Acellular cadaveric dermis (AlloDerm): a new alternative for abdominal hernia
repair. Ann Plast Surg 2004;52:188-94.
18. Navsaria HA, Ojeh NO, Moiemen N, Griffiths MA, Frame JD. Re-epithelialization of a full-thickness burn
from stem cells of hair follicles micrografted into a tissue-engineered dermal template (Integra). Plast
Reconstr Surg 2004;113:978-81.