Professional Documents
Culture Documents
52 Dissemin ตำรา ผศ วิภพ
52 Dissemin ตำรา ผศ วิภพ
52 Dissemin ตำรา ผศ วิภพ
บทที่ 1
พื้นฐานระบบควบคุม
ความเป็นมาของระบบควบคุม
ทฤษฎี ร ะบบควบคุ ม ถู ก น ามาประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นงานอุ ต สาหกรรมตั้ ง แต่ อ ดี ต ถึ ง ปั จ จุ บั น มี
พัฒนาการโดยแบ่งออกเป็น 3 สมัยดังนี้
1.ระบบควบคุมในสมัยโบราณเริ่มจากการใช้ลูกตุ้มเหวี่ยงหนีศูนย์กลางเป็นระบบควบคุมมีมา
แต่โบราณกาล ตัวอย่างเช่นนาฬิกาน้าของกรีก (Clepsydra) ชาวเคตสซิบิออส (Ktesibios) ใน
เมืองอเล็ กซานเดรี ย ประเทศอียิ ปต์ โดยใช้การรักษาระดับของน้าในถังในการบอกเวลา ถือเป็น
จุดเริ่มต้นของการประยุกต์ใช้หลักการของระบบควบคุมโดยหลักการทางานของนาฬิกาน้า ดังแสดงไว้
ในภาพที่ 1.1
2
2.ระบบควบคุมในสมัยใช้แบบจาลองคณิตศาสตร์
ในสมัยก่อนหน้านี้การออกแบบระบบควบคุมนั้นเป็นไปในลักษณะลองผิดลองถูกไม่ได้มีการ
ใช้คณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ออกแบบระบบจนในปีค.ศ.1840 นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษจอร์จแอรี
(George Airy) ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมทิศทางของกล้องดูดาวโดยอุปกรณ์นี้จะหมุนกล้องดูดาว
เพื่อชดเชยกับการหมุนของโลกโดยอัตโนมัติในระหว่างการออกแบบแอรีได้สังเกตถึงความไม่เสถียร
ของระบบจึ งใช้ส มการเชิงอนุ พัน ธ์ในการจาลองและวิเคราะห์ พฤติกรรมของระบบการวิเคราะห์
เสถียรภาพของระบบนี้เป็นหัวใจสาคัญของทฤษฎีระบบควบคุม
3.ระบบควบคุมในสมัยใช้ทฤษฎีเสถียรภาพ
ปี ค.ศ. 1868 เจมส์เคลิร์กแมกซ์เวลล์ เป็นบุคคลแรก ที่ทาการศึกษาถึงเสถียรภาพของ ลูก
เหวี่ยงหนีศูนย์กลางของ เจมส์ วัตต์ โดยใช้แบบจาลองสมการเชิงอนุพันธ์เชิงเส้น(Linear Differential
Equation) ทฤษฎีเสถียรภาพของระบบเชิงเส้นของแมกซ์เวลล์นี้ พิจารณาเสถียรภาพของระบบจาก
รากของสมการคุณลักษณะ (Characteristic Equation) ของระบบ
ปี ค.ศ. 1875 เฮอร์วิธ และเร้าท์ ค.ศ. 1905 ได้ทาการศึกษาปัญหาของการระบุกฎเกณฑ์
เสถียรภาพสาหรับระบบเชิงเส้น (Linear Eystem)
ปี ค.ศ. 1893 เลียปูนอฟ นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซียได้ทาการศึกษาถึงเสถียรภาพของระบบ
ไม่ เ ป็ น เชิง เส้ น (Nonlinear System) และสร้า งทฤษฎีเ สถีย รภาพของเลี ย ปูน อฟ (Lyapunov
Stability)
ปี ค.ศ. 1749-1827 ลาปลาซ และ ปีค.ศ. 1758-1830 ฟูริเยร์ได้ทาการศึกษาและพัฒนา
กรอบแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่สาคัญสาหรับทฤษฎีการวิเคราะห์ระบบ
ปี ค.ศ. 1930 มีการออกแบบการขยายแบบป้อนกลับ ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเบลโดย
อาศัยหลักการของผลตอบสนองทางความถี่ และการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงซ้อน
ปี ค.ศ.1932 ไนควิ ทช์ ไ ด้อ ภิ ปรายผลในบทความเรื่อ ง“ทฤษฎีก ารก าเนิ ด ย้อ นกลั บ ”
(Regeneration Theory) อธิบายการคานวณหาค่าเสถียรภาพของระบบโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ใน
โดเมนความถีแ่ ละมีการศึกษาขยายผลเพิ่มเติมโดยโบดและนิโคล
ปี ค.ศ 1945 ถัดจากนั้น 15 ปี ส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีด้านระบบ
ควบคุม
ปี ค.ศ. 1948 อีแวน ได้ศึกษาการออกแบบระบบควบคุมโดยอาศัยหลักการของแมกซ์เวลล์
และเร้าท์ โดยทาการศึกษาพฤติกรรมทางเดินของราก (Root Locus) ของสมการคุณลักษณะ
(Characteristic Equation)
4
นิยามคาศัพท์พื้นฐานของระบบควบคุม
ระบบควบคุม (Control System) หมายถึง การควบคุมระบบหรือสิ่งที่ผู้ออกแบบต้องการ
ควบคุมให้ได้ค่าผลลัพธ์ในรูปแบบของเอาต์พุตที่ต้องการซึ่งทาได้โดยการป้อนค่าอินพุตให้กับระบบโดย
นิยามศัพท์พื้นฐานของวิชาระบบควบคุมมีดังนี้
1. อินพุต (Input) หมายถึง การสัญญาณเข้าที่ต้องการป้อนให้กับระบบรับรู้ซึ่งอาจแสดงใน
รูปแบบของสัญญาณทางไฟฟ้า
2. ระบบ (System) หมายถึงสิ่งที่ต้องการหรือระบบที่ต้องการควบคุม ซึ่งจะประกอบด้วยชุด
ควบคุมกระบวนการ (Process) ซึ่งอาจเป็นเครื่องมืออุปกรณ์หรือเครื่องจักร
3. ระบบควบคุมวงเปิด (Open-Loop Control) หมายถึงระบบควบคุมที่ไม่ได้ใช้สัญญาณ
จากเอาต์พุต มาบ่งบอกถึงลักษณะการควบคุม
4. ระบบควบคุมวงปิด (Closed-Loop Control) หรือระบบป้อนกลับ (Feedback
Control) หมายถึงระบบควบคุ มที่ใช้สั ญญาณจากเอาต์พุตมาบ่ งบอกหรือ คานวณค่า ที่เหมาะสม
สาหรับการควบคุม
5. เอาท์พุต (Output) หมายถึง ผลของการทางานของระบบที่ผ่านการควบคุมซึ่งจะแสดงใน
รูปแบบ ผลตอบสองทางกล (Mechanical Response) และผลตอบสนองทางไฟฟ้า (Electrical
Response)
5
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบควบคุม
ในการพิจารณางานที่ต้องการประยุกต์ใช้การควบคุม สามารถเขียนองค์ประกอบในรูปแบบ
ของระบบดังนั้นพื้นฐานของระบบควบคุมจะมีองค์ประกอบดังภาพที่ 1.3
ประเภทของระบบควบคุม
ระบบควบคุมสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop Control System)
2.ระบบควบคุมแบบปิด (Close Loop Control System)
(Controller
30 circuit)
30
อธิบายการทางานระบบเป็นระบบการควบคุมน้าระดับน้าประปาในถังโดยวาล์วตัวที่ 1
ทาหน้าที่ควบคุมการไหลเข้าของน้าในถัง ดังนั้นวาล์วตัวที่ 1เสมือนอินพุต การควบคุมความสูงของ
ระดับน้าในถังคือกระบวนการ และวาล์วตัวที่ 2 คือเอาท์พุตทาหน้าที่ควบคุมการไหลออกของน้าใน
ถังการเปิดและปิดของวาล์วตัวที่ 1 จะขึ้นอยู่กับระดับความสูงของน้าในถัง ส่วนวาล์วตัวที่ 2 จะส่งผล
ต่อความสูงของระดับน้าในถัง (เมื่อเปิดใช้งาน) ดังนั้นระบบนี้จึงเป็นเสมือนระบบแบบเปิดคือไม่มีการ
8
อธิบายการทางานของระบบ เป็นระบบการควบคุมน้าระดับน้าประปาอัตโนมัติโดย
วาล์วตัวที่ 1 ทาหน้าที่ควบคุมการไหลเข้าของน้าในถัง เมื่อระดับน้าสูงถึงระดับที่กาหนด สวิตช์วัด
ระดับน้าสูงจะส่งสัญญาณไปยังชุดควบคุมทาให้วาล์วตัวที่ 1 ปิด ขณะเดียวกันวาล์วตัวที่ 2 จะเปิดให้
น้าไหล จนกระทั่งระดับน้าต่า สวิตช์วัดระดับน้าต่าทางานส่งสัญญาณไปยังชุดควบคุมเพื่อสั่งให้วาล์ว
ตัวที่ 2 ปิด และวาล์ วตัวที่ 1 เปิด จะสังเกตว่าระบบจะทางานแบบวงรอบปิด (Close-Loop
Control) ดังนั้นระบบนี้จึงมีเสถียรภาพของระบบที่ดีกว่า ระบบแบบเปิดในตัวอย่างที่ 2
ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม
จากหัวข้อที่ผ่านมาจะเห็ นได้ว่าประเภทของระบบควบคุมแบบเปิดและแบบปิด สามารถ
นามาประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม ในส่วนของงานอุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่จะเป็น
ระบบควบคุม อัตโนมั ติที่ มีเ ครื่ องควบคุม (Controller) เป็ นอุป กรณ์ที่ ควบคุ มการท างานของ
เครื่องจักรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ โดยตัวอย่างระบบควบคุมอัตโนมัติดังนี้
1.ระบบควบคุมการหมุน (Motion Control)
ตัวอย่างเป็ นการควบคุมการหมุนของจานรับสัญญาณดาวเทียมโดยมีชุดควบคุม
ทิศทาง(Control Panel) ใช้สาหรับปรับทิศทางการหมุนของจานรับตัวควบคุม (Controller) ทา
หน้าที่ควบคุมให้มอเตอร์หมุนจานรับไปในทิศทางเป้าหมาย (Set Point) ชุดเซ็นเซอร์วัดตาแหน่ง
(Position-Sensor) ทาหน้าที่ตรวจสอบตาแหน่งและส่งสัญญาณป้อนกลับไปที่ตัวควบคุม ทาการ
ประมวลผล(Processing) ดังภาพที่ 1.10
10
Position
Sensor
Output
Amplifier Relay
สรุป
สาหรับในบทนี้ ต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบถึง พื้นฐานความเป็นมาของระบบควบคุมและนิยาม
ศัพท์พื้นฐาน ประเภทของระบบควบคุมรวมถึงตัวอย่างการประยุกต์ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม
เพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจก่อนจะศึกษาในหน่วยถัดไป ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสาคัญประจาบทดังนี้
1. ยุคความเป็นมาของระบบควบคุมแบ่งเป็น 3 สมัย ได้แก่ ยุคโบราณเริ่มจากจากการใช้
ลูกตุ้มเหวี่ยงหนีศูนย์กลางยุคระบบควบคุมในสมัยใช้แบบจาลองคณิตศาสตร์ยุคระบบควบคุมในสมัย
ใช้ทฤษฎีเสถียรภาพ
2. ระบบควบคุม คือ การควบคุมหรือสิ่งที่ผู้ออกแบบต้องการควบคุม ระบบหรืออุปกรณ์
ที่ตอบสนองกับ อิน พุต (Input) เพื่อให้ ได้ค่าผลลั พ ธ์ในรูปแบบของเอาต์พุ ต (Output)ที่ต้องการ
3. ระบบควบคุมสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop
Control System) และระบบควบคุมแบบปิด (Close Loop Control System)
4. ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop Control System) คือระบบที่มีการป้อนอินพุตซึ่ง
อาจอยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้าเข้าที่ระบบ (System) และได้สัญญาณออกหรือเอาท์พุต โดยไม่มีการ
นาสัญญาณป้อนกลับมาที่ระบบ
5. ระบบควบคุมแบบปิด (Close Loop Control System)คือระบบที่มีการป้อนอินพุต
ซึ่งอาจอยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้าเข้าที่ระบบ (System) และมีอุปกรณ์เครื่องมือวัด(Measurement)
น าสั ญ ญาณเอาท์พุ ต ป้ อ นกลั บ สู่ ร ะบบเพื่ อเปรี ยบเที ยบกั บผลตอบสนองของสั ญ ญาณเอาท์พุ ต ที่
ต้องการ
6. ตัวอย่างระบบควบคุมแบบเปิด เช่น ระบบควบคุมน้าในถังประปาอย่างง่าย ระบบควบคุม
ตาแหน่งแขนกลที่ไม่ใช้การป้อนกลับ
7. ตัวอย่างระบบควบคุมแบบปิด เช่น ระบบควบคุมระดับน้าในถังอัตโนมัติ ระบบควบคุม
ตาแหน่งการหมุนจานรับสัญญาณดาวเทียม ระบบควบคุมเครื่องกัด ซีเอ็นซี ระบบควบคุมอุณหภูมิ
ของเตาเผาอุตสาหกรรม
13
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้
1. จงบอกประวัติความเป็นมาของทฤษฎีระบบควบคุมโดยสังเขป
2. จงอธิบายนิยามความหมายของคาศัพท์เกี่ยวกับระบบควบคุมต่อไปนี้
2.1 ระบบ (System)
2.2 กระบวนการ (Process)
2.3 อินพุต (Input)
2.4 เอาท์พุต (Output)
2.5 ระบบควบคุมวงรอบเปิด (Open loop control system)
3. จงยกตัวอย่างและอธิบายตัวอย่างระบบควบคุมที่ใช้หลักการควบคุมแบบวงรอบเปิด
4. จงยกตัวอย่างและอธิบายตัวอย่างระบบควบคุมที่ใช้หลักการควบคุมแบบวงรอบปิด
5. จงเขียนไดอะแกรมของระบบควบคุมของกระบวนการควบคุมในงานอุตสาหกรรมพร้อมอธิบาย
หลักการที่สอดคล้องกับทฤษฎีการควบคุม
6. ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม มีความจาเป็นอย่างไรกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน จงอธิบาย
7. องค์ประกอบพื้นฐานของระบบควบคุมมีอะไรบ้าง พร้อมอธิบาย
8. ให้ยกตัวอย่างของระบบควบคุมการทางานของนาฬิกาน้า(Clepsydra) มาพอเข้าใจ
9. ใครเป็นบุคคลแรกที่ทาการศึกษาถึงเสถียรภาพของลูกเหวี่ยงหนีศูนย์กลางของ เจมส์ วัตต์
10. เครื่องจักรไอน้าคิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชื่ออะไร และเกิดขึ้นที่ไหน
14
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 1
พื้นฐานระบบควบคุม
ความเป็นมาของระบบควบคุม
ทฤษฎี ร ะบบควบคุ ม ถู ก น ามาประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นงานอุ ต สาหกรรมตั้ ง แต่ อ ดี ต ถึ ง ปั จ จุ บั น มี
พัฒนาการโดยแบ่งออกเป็น 3 สมัยดังนี้
1.ระบบควบคุมในสมัยโบราณเริ่มจากการใช้ลูกตุ้มเหวี่ยงหนีศูนย์กลางเป็นระบบควบคุมมีมา
แต่โบราณกาล ตัวอย่างเช่นนาฬิกาน้าของกรีก (Clepsydra) ชาวเคตสซิบิออส (Ktesibios) ใน
เมืองอเล็ กซานเดรี ย ประเทศอียิ ปต์ โดยใช้การรักษาระดับของน้าในถังในการบอกเวลา ถือเป็น
จุดเริ่มต้นของการประยุกต์ใช้หลักการของระบบควบคุมโดยหลักการทางานของนาฬิกาน้า ดังแสดงไว้
ในภาพที่ 1.1
2
2.ระบบควบคุมในสมัยใช้แบบจาลองคณิตศาสตร์
ในสมัยก่อนหน้านี้การออกแบบระบบควบคุมนั้นเป็นไปในลักษณะลองผิดลองถูกไม่ได้มีการ
ใช้คณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ออกแบบระบบจนในปีค.ศ.1840 นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษจอร์จแอรี
(George Airy) ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมทิศทางของกล้องดูดาวโดยอุปกรณ์นี้จะหมุนกล้องดูดาว
เพื่อชดเชยกับการหมุนของโลกโดยอัตโนมัติในระหว่างการออกแบบแอรีได้สังเกตถึงความไม่เสถียร
ของระบบจึ งใช้ส มการเชิงอนุ พัน ธ์ในการจ าลองและวิเคราะห์ พฤติกรรมของระบบการวิเคราะห์
เสถียรภาพของระบบนี้เป็นหัวใจสาคัญของทฤษฎีระบบควบคุม
3.ระบบควบคุมในสมัยใช้ทฤษฎีเสถียรภาพ
ปี ค.ศ. 1868 เจมส์เคลิร์กแมกซ์เวลล์ เป็นบุคคลแรก ที่ทาการศึกษาถึงเสถียรภาพของ ลูก
เหวี่ยงหนีศูนย์กลางของ เจมส์ วัตต์ โดยใช้แบบจาลองสมการเชิงอนุพันธ์เชิงเส้น(Linear Differential
Equation) ทฤษฎีเสถียรภาพของระบบเชิงเส้นของแมกซ์เวลล์นี้ พิจารณาเสถียรภาพของระบบจาก
รากของสมการคุณลักษณะ (Characteristic Equation) ของระบบ
ปี ค.ศ. 1875 เฮอร์วิธ และเร้าท์ ค.ศ. 1905 ได้ทาการศึกษาปัญหาของการระบุกฎเกณฑ์
เสถียรภาพสาหรับระบบเชิงเส้น (Linear Eystem)
ปี ค.ศ. 1893 เลียปูนอฟ นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซียได้ทาการศึกษาถึงเสถียรภาพของระบบ
ไม่ เ ป็ น เชิง เส้ น (Nonlinear System) และสร้า งทฤษฎีเ สถีย รภาพของเลี ย ปูน อฟ (Lyapunov
Stability)
ปี ค.ศ. 1749-1827 ลาปลาซ และ ปีค.ศ. 1758-1830 ฟูริเยร์ได้ทาการศึกษาและพัฒนา
กรอบแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่สาคัญสาหรับทฤษฎีการวิเคราะห์ระบบ
ปี ค.ศ. 1930 มีการออกแบบการขยายแบบป้อนกลับ ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเบลโดย
อาศัยหลักการของผลตอบสนองทางความถี่ และการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงซ้อน
ปี ค.ศ.1932 ไนควิ ทช์ ไ ด้อ ภิ ป รายผลในบทความเรื่อ ง“ทฤษฎีก ารก าเนิ ด ย้อ นกลั บ ”
(Regeneration Theory) อธิบายการคานวณหาค่าเสถียรภาพของระบบโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ใน
โดเมนความถีแ่ ละมีการศึกษาขยายผลเพิ่มเติมโดยโบดและนิโคล
ปี ค.ศ 1945 ถัดจากนั้น 15 ปี ส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีด้านระบบ
ควบคุม
ปี ค.ศ. 1948 อีแวน ได้ศึกษาการออกแบบระบบควบคุมโดยอาศัยหลักการของแมกซ์เวลล์
และเร้าท์ โดยทาการศึกษาพฤติกรรมทางเดินของราก (Root Locus) ของสมการคุณลักษณะ
(Characteristic Equation)
4
นิยามคาศัพท์พื้นฐานของระบบควบคุม
ระบบควบคุม (Control System) หมายถึง การควบคุมระบบหรือสิ่งที่ผู้ออกแบบต้องการ
ควบคุมให้ได้ค่าผลลัพธ์ในรูปแบบของเอาต์พุตที่ต้องการซึ่งทาได้โดยการป้อนค่าอินพุตให้กับระบบโดย
นิยามศัพท์พื้นฐานของวิชาระบบควบคุมมีดังนี้
1. อินพุต (Input) หมายถึง การสัญญาณเข้าที่ต้องการป้อนให้กับระบบรับรู้ซึ่งอาจแสดงใน
รูปแบบของสัญญาณทางไฟฟ้า
2. ระบบ (System) หมายถึงสิ่งที่ต้องการหรือระบบที่ต้องการควบคุม ซึ่งจะประกอบด้วยชุด
ควบคุมกระบวนการ (Process) ซึ่งอาจเป็นเครื่องมืออุปกรณ์หรือเครื่องจักร
3. ระบบควบคุมวงเปิด (Open-Loop Control) หมายถึงระบบควบคุมที่ไม่ได้ใช้สัญญาณ
จากเอาต์พุต มาบ่งบอกถึงลักษณะการควบคุม
4. ระบบควบคุมวงปิด (Closed-Loop Control) หรือระบบป้อนกลับ (Feedback
Control) หมายถึงระบบควบคุ มที่ใช้สั ญญาณจากเอาต์พุตมาบ่ งบอกหรือ คานวณค่า ที่เหมาะสม
สาหรับการควบคุม
5. เอาท์พุต (Output) หมายถึง ผลของการทางานของระบบที่ผ่านการควบคุมซึ่งจะแสดงใน
รูปแบบ ผลตอบสองทางกล (Mechanical Response) และผลตอบสนองทางไฟฟ้า (Electrical
Response)
5
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบควบคุม
ในการพิจารณางานที่ต้องการประยุกต์ใช้การควบคุม สามารถเขียนองค์ประกอบในรูปแบบ
ของระบบดังนั้นพื้นฐานของระบบควบคุมจะมีองค์ประกอบดังภาพที่ 1.3
ประเภทของระบบควบคุม
ระบบควบคุมสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop Control System)
2.ระบบควบคุมแบบปิด (Close Loop Control System)
(Controller
30 circuit)
30
อธิบายการทางานระบบเป็นระบบการควบคุมน้าระดับน้าประปาในถังโดยวาล์วตัวที่ 1
ทาหน้าที่ควบคุมการไหลเข้าของน้าในถัง ดังนั้นวาล์วตัวที่ 1เสมือนอินพุต การควบคุมความสูงของ
ระดับน้าในถังคือกระบวนการ และวาล์วตัวที่ 2 คือเอาท์พุตทาหน้าที่ควบคุมการไหลออกของน้าใน
ถังการเปิดและปิดของวาล์วตัวที่ 1 จะขึ้นอยู่กับระดับความสูงของน้าในถัง ส่วนวาล์วตัวที่ 2 จะส่งผล
ต่อความสูงของระดับน้าในถัง (เมื่อเปิดใช้งาน) ดังนั้นระบบนี้จึงเป็นเสมือนระบบแบบเปิดคือไม่มีการ
8
อธิบายการทางานของระบบ เป็นระบบการควบคุมน้าระดับน้าประปาอัตโนมัติโดย
วาล์วตัวที่ 1 ทาหน้าที่ควบคุมการไหลเข้าของน้าในถัง เมื่อระดับน้าสูงถึงระดับที่กาหนด สวิตช์วัด
ระดับน้าสูงจะส่งสัญญาณไปยังชุดควบคุมทาให้วาล์วตัวที่ 1 ปิด ขณะเดียวกันวาล์วตัวที่ 2 จะเปิดให้
น้าไหล จนกระทั่งระดับน้าต่า สวิตช์วัดระดับน้าต่าทางานส่งสัญญาณไปยังชุดควบคุมเพื่อสั่งให้วาล์ว
ตัวที่ 2 ปิด และวาล์ วตัวที่ 1 เปิด จะสังเกตว่าระบบจะทางานแบบวงรอบปิด (Close-Loop
Control) ดังนั้นระบบนี้จึงมีเสถียรภาพของระบบที่ดีกว่า ระบบแบบเปิดในตัวอย่างที่ 2
ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม
จากหัวข้อที่ผ่านมาจะเห็ นได้ว่าประเภทของระบบควบคุมแบบเปิดและแบบปิด สามารถ
นามาประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม ในส่วนของงานอุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่จะเป็น
ระบบควบคุม อัตโนมั ติที่ มีเ ครื่ องควบคุม (Controller) เป็ นอุป กรณ์ที่ ควบคุ มการท างานของ
เครื่องจักรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ โดยตัวอย่างระบบควบคุมอัตโนมัติดังนี้
1.ระบบควบคุมการหมุน (Motion Control)
ตัวอย่างเป็ นการควบคุมการหมุนของจานรับสัญญาณดาวเทียมโดยมีชุดควบคุม
ทิศทาง(Control Panel) ใช้สาหรับปรับทิศทางการหมุนของจานรับตัวควบคุม (Controller) ทา
หน้าที่ควบคุมให้มอเตอร์หมุนจานรับไปในทิศทางเป้าหมาย (Set Point) ชุดเซ็นเซอร์วัดตาแหน่ง
(Position-Sensor) ทาหน้าที่ตรวจสอบตาแหน่งและส่งสัญญาณป้อนกลับไปที่ตัวควบคุม ทาการ
ประมวลผล(Processing) ดังภาพที่ 1.10
10
Position
Sensor
Output
Amplifier Relay
สรุป
สาหรับในบทนี้ ต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบถึง พื้นฐานความเป็นมาของระบบควบคุมและนิยาม
ศัพท์พื้นฐาน ประเภทของระบบควบคุมรวมถึงตัวอย่างการประยุกต์ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม
เพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจก่อนจะศึกษาในหน่วยถัดไป ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสาคัญประจาบทดังนี้
1. ยุคความเป็นมาของระบบควบคุมแบ่งเป็น 3 สมัย ได้แก่ ยุคโบราณเริ่มจากจากการใช้
ลูกตุ้มเหวี่ยงหนีศูนย์กลางยุคระบบควบคุมในสมัยใช้แบบจาลองคณิตศาสตร์ยุคระบบควบคุมในสมัย
ใช้ทฤษฎีเสถียรภาพ
2. ระบบควบคุม คือ การควบคุมหรือสิ่งที่ผู้ออกแบบต้องการควบคุม ระบบหรืออุปกรณ์
ที่ตอบสนองกับ อิน พุต (Input) เพื่อให้ ได้ค่าผลลั พ ธ์ในรูปแบบของเอาต์พุ ต (Output)ที่ต้องการ
3. ระบบควบคุมสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop
Control System) และระบบควบคุมแบบปิด (Close Loop Control System)
4. ระบบควบคุมแบบเปิด (Open Loop Control System) คือระบบที่มีการป้อนอินพุตซึ่ง
อาจอยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้าเข้าที่ระบบ (System) และได้สัญญาณออกหรือเอาท์พุต โดยไม่มีการ
นาสัญญาณป้อนกลับมาที่ระบบ
5. ระบบควบคุมแบบปิด (Close Loop Control System)คือระบบที่มีการป้อนอินพุต
ซึ่งอาจอยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้าเข้าที่ระบบ (System) และมีอุปกรณ์เครื่องมือวัด(Measurement)
น าสั ญ ญาณเอาท์พุ ต ป้ อ นกลั บ สู่ ร ะบบเพื่ อเปรี ยบเที ยบกั บผลตอบสนองของสั ญ ญาณเอาท์พุ ต ที่
ต้องการ
6. ตัวอย่างระบบควบคุมแบบเปิด เช่น ระบบควบคุมน้าในถังประปาอย่างง่าย ระบบควบคุม
ตาแหน่งแขนกลที่ไม่ใช้การป้อนกลับ
7. ตัวอย่างระบบควบคุมแบบปิด เช่น ระบบควบคุมระดับน้าในถังอัตโนมัติ ระบบควบคุม
ตาแหน่งการหมุนจานรับสัญญาณดาวเทียม ระบบควบคุมเครื่องกัด ซีเอ็นซี ระบบควบคุมอุณหภูมิ
ของเตาเผาอุตสาหกรรม
13
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้
1. จงบอกประวัติความเป็นมาของทฤษฎีระบบควบคุมโดยสังเขป
2. จงอธิบายนิยามความหมายของคาศัพท์เกี่ยวกับระบบควบคุมต่อไปนี้
2.1 ระบบ (System)
2.2 กระบวนการ (Process)
2.3 อินพุต (Input)
2.4 เอาท์พุต (Output)
2.5 ระบบควบคุมวงรอบเปิด (Open loop control system)
3. จงยกตัวอย่างและอธิบายตัวอย่างระบบควบคุมที่ใช้หลักการควบคุมแบบวงรอบเปิด
4. จงยกตัวอย่างและอธิบายตัวอย่างระบบควบคุมที่ใช้หลักการควบคุมแบบวงรอบปิด
5. จงเขียนไดอะแกรมของระบบควบคุมของกระบวนการควบคุมในงานอุตสาหกรรมพร้อมอธิบาย
หลักการที่สอดคล้องกับทฤษฎีการควบคุม
6. ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม มีความจาเป็นอย่างไรกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน จงอธิบาย
7. องค์ประกอบพื้นฐานของระบบควบคุมมีอะไรบ้าง พร้อมอธิบาย
8. ให้ยกตัวอย่างของระบบควบคุมการทางานของนาฬิกาน้า(Clepsydra) มาพอเข้าใจ
9. ใครเป็นบุคคลแรกที่ทาการศึกษาถึงเสถียรภาพของลูกเหวี่ยงหนีศูนย์กลางของ เจมส์ วัตต์
10. เครื่องจักรไอน้าคิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชื่ออะไร และเกิดขึ้นที่ไหน
14
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 2
แบบจำลองทำงคณิตศำสตร์ของระบบควบคุม
ในการศึกษาพฤติกรรมทางพลวัตของระบบทางกายภาพ สามารถอธิบายได้จากสมการทาง
คณิตศาสตร์หรือในรูปแบบของชุดสมการ ในบทนี้จะกล่าวถึงแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของระบบซึง่
มีความสาคัญมากในการวิเคราะห์ระบบควบคุม ทั้งระบบที่เป็นเชิงเส้น และระบบที่ไม่เป็นเชิงเส้น
โดยแบบจาลองสามารถสร้างจากคุณลักษณะทางกายภาพของระบบนั้นๆ จากนั้นจึงนามาวิเคราะห์
ซึ่งจะช่วยทาให้เข้าใจและสามารถออกแบบระบบพลศาสตร์ที่เหมาะสมได้
แบบจำลองทำงคณิตศำสตร์
โดยทั่วไประบบควบคุมประกอบด้วย ระบบเชิงเส้น ระบบไม่เชิงเส้น ระบบต่อเนื่องทางเวลา
และระบบไม่ต่อเนื่องทางเวลา ในที่ นี้ขอกล่าวถึงระบบเชิงเส้น ต่อเนื่องทางเวลาซึ่ง แบบจาลองทาง
คณิตศาสตร์สามารถอธิบายได้ด้วย สมการเชิงอนุพันธ์ ซึ่งสามารถเขียนให้อยู่ในรูปแบบของสมการ
สเตต หรือฟังก์ชั่นถ่ายโอน
1. สมการสเตต
การสร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของระบบโดยใช้ตัวแปรเสเตต ทาให้สามารถอธิบาย
พฤติกรรมของระบบ เพราะทุกโมด (Mode) ของระบบถูกรวมเข้าในสมการสเตต โดยสมการสเตต
ประกอบด้วยจ านวนตัวแปรที่น้อ ยที่ สุ ดของตัวแปร x(t) ที่ เ วลาเริ่มต้น t0 ซึ่ง สามารถอธิบ าย
พฤติกรรมของระบบที่เวลา t ≥ t0 กาหนดให้สัญญาณเข้า u(t) ที่เวลา t ≥ t0 จานวนตัวแปรและ
การเลื อ กตั วแปรขึ้ นกั บ ระดั บ ของรายละเอี ยดที่ ต้ อ งการของแบบจ าลองที่ เ ลือ กอธิ บ ายระบบ
แบบจาลองของระบบอันดับ n มีตัวแปรสเตต n ตัวที่สอดคล้องกับสมการเชิงอนุพันธ์อันดับที่หนึ่ง
n สมการ สามารถเขียนสมการสเตต ได้ดังสมการที่ 2-1
̇ = (2-1)
̇ =
.
.
̇ =
สัญญาณออกสามารถเขียนในรูปแบบของสมการพีชคณิต สาหรับระบบที่มีตัวแปรสัญญาณ
ออก p ตัว สามารถเขียนสมการได้ดังสมการที่ 2-2
= (2-2)
16
=
.
.
=
̇ = + (2-4)
= +
(2-5)
[ ] (2-6)
17
[ ]
จะได้
[ ]
[ ]
หาความสัมพันธ์ของสมการเอาต์พุตกับสมการอินพุต
[ ]
(2-7)
[ ]
(2-8)
2.2 การเขียนแบบจาลองคณิตศาสตร์ของระบบไฟฟ้า
อุปกรณ์พื้นฐานในระบบหรือวงจรไฟฟ้าประกอบด้วย แหล่งจ่าย (Source) กระแส
(Current Source) แหล่งจ่ายแรงดัน (Voltage Source) อุปกรณ์พื้นฐานที่สาคัญได้แก่ ตัวต้านทาน
(Resister) ตัวเก็บประจุ (Capacitor) และขดลวดเหนี่ยวนา (Inductor) นอกจากนั้นยังรวมถึง
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุ ปกรณ์ขยายสัญญาณทรานซีสเตอร์ (Transisters) ออปแอมป์
(Opamp) เมื่อต้องการทราบพฤติกรรมของระบบนั้น จึงทาการป้อนสัญญาณเข้า(Input) ให้กับระบบ
จากนั้นทาการวัดหรือวิเคราะห์ผ ลของสัญญาณออก (Output) ทาการเปรียบเทียบพฤติก รรมที่
สัมพันธ์กับคุณสมบัติทางกายภาพของอุปกรณ์เหล่านั้น สาหรับวงจรไฟฟ้ามีอุปกรณ์พื้นฐาน 3 ชนิด
ดังตารางที่ 2-1
18
อุปกรณ์พื้นฐำน
สมกำรพื้นฐำนของระบบ สัญลักษณ์
วงจรไฟฟ้ำ
ความต้านทาน (R)
𝑣𝑖 𝑖 𝑣𝑜
วิธีทำ 1. เขียนสมการจากกฎของเคอร์ชอฟฟ์
2. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์แทนอุปกรณ์ในระบบตามกฎทางฟิสิกส์
∫
19
4. หาอัตราส่วนระหว่างสมการทางเอาต์พุตต่อสมการทางอินพุตที่แปลงลาปลาซ
แล้ว
𝑉 𝑖 𝐶 𝑣𝑜
วิธีทำ 1. เขียนสมการกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์จะได้
เมื่อ
2. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์ของอุปกรณ์ในวงจรไฟฟ้า
∫ (1)
20
∫ (2)
4. ทาการหาอัตราส่วนระหว่างสมการทางเอาต์พุตต่อสมการทางอินพุตที่แปลง
ลาปลาซจะได้
C Va a
R2
Vi R1
Vb Vo
R3
(1)
(2)
3. หาฟังก์ชั่นถ่ายโอนจาก
เมื่อ
(3)
[ ]
22
R3
R1
a
R2
Vi C Vo
วิธีทำ 1. เมื่อพิจารณาแรงดันไฟฟ้าที่จุด a
(1)
2. และจากแรงดันไฟฟ้าทีจ่ ุด b
(2)
3. หาค่าฟังก์ชั่นถ่ายโอนจาก
เมื่อ
(3)
23
ตอบ
2.3 การเขียนแบบจาลองระบบทางกลด้วยสมการคณิตศาสตร์
ด้วยตัวแปรที่ใช้ในระบบทางกล คือ ระยะทาง (x) ความเร็ว (v) อัตราเร่ง (a)
กฎที่ใช้ คือ กฎของนิวตัน การเขียนสมการเชิงอนุพันธ์แทนอุปกรณ์ในระบบทางกลจะเขียนตามกฎ
ทางฟิสิกส์ของระบบทางกล
มวล (Mass) m m v
สปริง (Spring) k
k
เมื่อ คือ ค่าของสปริง x1 x2
24
ตัวหน่วง (Damper) b v1 v2
k
m
∑ (1)
25
5. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์ของระบบ
( ) (2)
หรือ
(3)
6. ทาการแปลงลาปลาซในสมการที่ 3 ทีละเทอมจะได้
[ ] ̇
[ ]
[ ]
8. เขียนอัตราส่วนระหว่างสมการเอาท์พุตของระบบต่อสมการอินพุตของระบบ
ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบ =
26
k
y
m
u
4. จัดรูปสมการที่ (2)
(3)
5. เขียนอัตราส่วนระหว่างสมการเอาท์พุตของระบบต่อสมการอินพุตของระบบ
ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบ = ตอบ
2.3.1 การเขียนแบบจาลองคณิตศาสตร์ของระบบทางกลที่เคลื่อนที่ด้วย
การหมุนสาหรับระบบทางกลแบบเคลื่อนที่ด้วยการหมุนประกอบด้วยตัวแปร 3 อย่าง คือ ความเร็ว
เชิงมุม (𝝎), การเคลื่อนที่เชิงมุม (Ѳ) และอัตราเร่งเชิงมุม ( ) โดยมีสัญลักษณ์และสมการดัง
ตารางที่ 2.3
27
k
สปริง (Spring)
𝜃 𝜃
ตัวหน่วง (Damper)
𝜔 𝑏 𝜔
T j k b
28
วิธีทำ 1. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์ของระบบ
(1)
(2)
(3)
4. เขียนสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบจะได้คาตอบ
𝑖𝑓 Lf
𝑣𝑓 𝑣𝑎
𝜃 𝑗 𝑓
(4)
( )
30
2.3.2 การเขียนแบบจาลองระบบควบคุมด้วยไดอะแกรมแผนภาพ
สาหรับอีกวิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ของระบบ
ควบคุม คือ ไดอะแกรมแผนภาพหรือบล็อกไดอะแกรม (Block Diagram) โดยส่วนประกอบของ
บล็อกไดอะแกรมประกอบด้วย สัญญาณเข้า (Input) ฟังก์ชันถ่ายโอน (Transfer Function) และ
สัญญาณออก (Output) ไดอะแกรมแผนภาพรูปร่างพื้นฐาน ดังภาพที่ 2.1
(Summing point)
+
X(s) X(s)-B(s)
_
B(s)
+ E(s)
X(s) G(s) Y(s)
_
H(s)
B(s)
จากความสัมพันธ์ของสัญญาณเอาท์พุต
=
32
= =
= (2-10)
𝐺 𝑠
X(s) 𝐺 𝑠 𝐻 𝑠 Y(s)
บล็อกไดอะแกรมต้นฉบับ บล็อกไดอะแกรมเทียบเคียง
5
34
6
𝑢
𝐺
7 x xG
+ xG-uG
G
-
u uG
G
𝐺
35
10
11
x 1 + y
x + y G2 G2 G1
G1
12
G2
x + y G1
G1 x y
13 1 + G 1G 2
G2
36
H2
X(s) + + + Y(s)
G1 G2 G3
+
H1
X(s) + + + Y(s)
G1 G2 G3
+
1 H1
H2
G1
X(s) + + G 1 G2 Y(s)
1 G 1G 2 G3
X(s) + G 1 G2 G 3 Y(s)
1 G 1G 2H1 +3G1G2H2
4. ใช้วิธีที่ 4 ลดรูปบล็อกจะทาให้ได้บล็อกไดอะแกรมที่สามารถหาฟังก์ชั่นถ่ายโอน
G 1 G2 G 3
X(s) Y(s)
1 G 1G 2H1 +3G2G3H2 + G 1G 2 G 3
Y(s) G 1 G2 G 3
=
X(s) 1 G 1G 2H1 +3G2G3H2 + G 1G 2 G 3
38
X(s) + 1 C2 s 1 Y(s)
C1 s C1 s R1C 2 s + 1 C2 s
+
+
R1
จะได้บล็อกไดอะแกรมใหม่ด้านล่าง
X(s) + C2 s 1 Y(s)
1
C1 s C1 s R1C 2 s + 1 C2 s
C1 s
+
+
R1 C2 s
X(s) + + C2 s 1 Y(s)
1
C 1s C2 s R 1C 2 s + 1 C2 s
C1 s
R1
R1 C2s
39
X(s) + 1 1 Y(s)
R 1C 1 s + 1 R 2C 2 s + 1
R 1C 2 s
4. ใช้วิธีที่ 4 ลดรูปบล็อกจะทาให้ได้บล็อกไดอะแกรมที่สามารถหาฟังก์ชั่นถ่าย
โอนดังนี้
1
X(s) R 1C 1R 2 C 2 s +(R 1C 1R 2 C 2 + R 1C 2 )s +1
2 Y(s)
สมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนจะมีค่าเท่ากับ
Y(s) 1
=
X(s) R 1C 1R 2 C 2 s +(R 1C 1R 2 C 2 + R 1C 2 )s +1
2
g 1,2
x1 x2
คำศัพท์เกี่ยวข้อง ควำมหมำย
กับทำงเดินของสัญญำณ
โหนด (Node) หมายถึง จุดหรือโหนดใช้แทนตัวแปรหรือสัญญาณ
อินพุตโหนด (Input Node ) หมายถึง โหนดที่มีเฉพาะเส้นสัญญาณทางออก
ทรานสมิตแตนซ์ (Transmittance) หมายถึง อัตราขยายระหว่างโหนดหรือจุด 2 จุด
สาขา (Branch) หมายถึง สาขาหรือเส้นตรงทีเ่ ชื่อมต่อระหว่างโหนดหรือจุด 2 จุด
เอาท์พุตโหนด (Output Node) หมายถึง โหนดที่มีเฉพาะสัญญาณพุ่งเข้า(กรณีต้องการให้โหนด
เอาต์พุตมีทงั้ สัญญาณพุง่ เข้า และพุ่งออกจะต้องทาเป็นโหนดที่รับ
สัญญาณซึ่งเรียกว่าดัมมี่ โดยสมมติให้มีอัตราขยายเป็นหนึ่งและมี
ทิศทางพุ่งเข้าโหนดดัมมี่
โหนดร่วม (Mixed Node) หมายถึง โหนดที่มสี ัญญาณพุง่ เข้าและพุ่งออก
พาธ (Path) หมายถึง เส้นทางเดินตามทิศทางของสาขา (Branch) ถ้าพาธนั้น
ผ่านโหนดใดเพียงครัง้ เดียว จะเรียกว่าพาะเปิด แต่ถ้าพาธเริม่ ต้นจาก
โหนด และวนกลับมาสิ้นสุดที่โหนดเดิม โดยผ่านโหนดอื่นเพียงครั้ง
เดียว เรียกว่า พาธลูปปิด(Close Loop Path)
คำศัพท์เกี่ยวข้อง ควำมหมำย
กับทำงเดินของสัญญำณ
ลูปตัวเอง (Self Loop) หมายถึง ลูปป้อนกลับ ประกอบด้วยเส้นสัญญาณเพียงเส้นเดียวจาก
โหนดเดิมและย้อนกลับมาที่โหนดเดิม
อัตตราขยายของพาธ (Path Gain) หมายถึง ผลคูณของเส้นสัญญาณที่มอี ัตราขยายของเส้นทางที่
กาหนด
อัตราขยายลูป (Loop Gain) หมายถึง ผลคูณของเส้นสัญญาณทีม่ ีอัตราขยายของลูป ตามที่
กาหนด
ทำงเดินสัญญำณ เส้นทำงเดินสัญญำณที่เทียบเคียง
a
= x1 x2
a b
ab
x1 x2 x3
x1 x3
a
a+b
x1 x2
x1 x2
b
42
a x1 ac
c
x3 x4 x4
b bc
x2
x2 ab x3
a b
x1
x1 x3
c bc
43
เส้นทำงเดินสัญญำณ แผนภำพบล็อกไดอะแกรม
G(s)
X(s) G(s) Y(s)
X(s) Y(s)
-H(s) H(s)
N(s) N(s)
H(s)
-H(s)
N(s) N(s)
1
X(s) + E(s) + Y(s)
1 G (s) 1 G (s)
X(s) Y(s)
E(s) C(s) +
-H(s)
H(s)
44
เส้นทำงเดินสัญญำณ แผนภำพบล็อกไดอะแกรม
1. โหนดอินพุต (Input Node) 1. สัญญาณอินพุต (Input Signal)
2. โหนดเอาท์พุต (Output Node) 2. สัญญาณเอาท์พุต (Output Signal)
3. สาขา (Branch) 3. บล็อก (Block)
4. ทรานสมิตแตนซ์ (Transmittance) 4. อัตราขยายของบล็อก (Gain of Block)
ตัวแปร ควำมหมำย
อัตราขยายของทางเดิน k ระหว่างโหนดอินพุทและเอาท์พุต
ดีเทอร์มิแนนท์ของกราฟซึ่งพิจารณาเฉพาะทางเดิน k และเป็นค่าของ
สาหรับส่วนนั้นๆ ของกราฟวิ่งไม่แตะทางเดิน k
ดีเทอร์มิแนท์ของกราฟ (Determinant) หาได้จาก
∑ ∑ ∑ ∑
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูปทัง้ หมด
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูป 2 ลูปไม่ติดกัน
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูป 3 ลูปไม่ติดกัน
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูป n ลูปไม่ติดกัน
45
สรุปขั้นตอนวิธีการหาฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้กฎของเมสัน
1. หาอัตราขยายของทางเดินจากโหนดอินพุตไปยังเอาท์พุต
2. หาลูปเดี่ยวๆ ทั้งหมด
3. หาลูป 2 ลูป หรือ 3 ลูป และ 4 ลูป ที่ไม่ติดกัน
4. หาค่าดีเทอร์มิแนนท์ของสัญญาณทางเดิน
5. หาดีเทอร์มิแนนท์ของเส้นทาง T1 , T2 , T3 …….
6. แทนค่าในสมการของเมสัน
x1 x2 x3 x4 x5
a 23 x x4 x5
x1 x2 3
46
a 44
a34
x1 x2 x3 x4 x5
a 35
a45
x1 x2 x3 x4 x5
a 44
7. หาฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้กฎของเมสัน
N
∑
k=1
7.1 หาค่าอัตราขยายของทางเดินจากโหนดทางเข้าไปยังโหนดทางออก
=
a12 a23 a 35
7.2 หาค่าลูปทั้งหมด
a23
a32
a23 a 34
a42
a 44
a23 a 34 a45
a 52
48
a23 a 35
a 52
a23
a 44
a 32
a 44
a23 a 35
a 52
แทนค่าในสูตรของเมสันจะได้
H2
Xi + + + Yo
G1 G2 G3
+ +
H1
G4
วิธีทำ 1. เขียนเส้นทางเดินสัญญาณของรูปด้านบน
H2
N
Xi 1 1 G1 G2 G3 1 1 YO
H1
H1 G4
50
2. จากกฎของเมสัน
∑
k=1
3. หาค่าอัตราขยายของทางเดินจากโหนดทางเข้าไปยังโหนดทางออก
แสดงภาพเส้นทางเดินสัญญาณด้านล่าง
Xi 1 1 G1 G2 G3 1 1 YO
4. หาค่าลูปหรือวงรอบปิดทัง้ หมด
แสดงภาพเส้นสัญญาณทางเดิน ด้านล่าง
G1 G2
H1
แสดงภาพเส้นสัญญาณทางเดิน ด้านล่าง
-H2
G2 G3
51
แสดงภาพเส้นสัญญาณทางเดิน ด้านล่าง
1 G1 G2 G3
-1
5. หาค่าดีเทอร์มิแนนท์ของเส้นสัญญาณทางเดิน
7. แทนค่าในสูตรของเมสันเพราะฉะนั้น
ตอบ
52
สรุป
ในบทนี้ได้กล่าวถึงแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) โดยการแทน
ระบบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ สาหรับ ใช้ในการบรรยายคุณลัก ษณะทางไดนามิ ก (Dynamic
Model) ทาได้โดยการใช้วิธีการแทนค่าพารามิเตอร์ในระบบด้วยสมการดิฟเฟอร์เรนเซียล จากนั้นใช้
การแปลงลาปลาซ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างสมการทางอินพุตกับสมการทางเอาต์พุท ซึ่งอยู่ใน
เอสโดเมน ผลลัพท์ที่ได้จะเรียกว่าฟังก์ชั่นถ่ายโอน(Transfer Function) และนาผลลัพท์ ที่ได้นี้ไปใช้
ในการวิเคราะห์
ดังนั้นการจาลองระบบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ที่ดีจะต้องเข้าใจง่าย มีความแม่นยาให้ผล
ใกล้เคียงกับระบบจริง การจาลองระบบจึงมีความสาคัญมากในการวิเคราะห์ระบบ รูปแบบของ
แบบจาลองของระบบพอสรุปได้ดังนี้
- ระบบทางกล (Mechanical System) ระบบทางกลจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
คือ
1. ระบบทางกลที่ มี ก ารเคลื่อ นที่ แ บบเชิ ง เส้น (Mechanical Translational
System)
2. ระบบทางกลที่มีการเคลื่อนที่แบบเชิงมุม (Mechanical Rotation System)
- ระบบทางไฟฟ้า (Electrical System) ตัวแปรที่ใช้ในระบบทางไฟฟ้ามี 3 ตัว คือ กระแส (I)
แรงดัน (E) ประจุ (Q) การเขียนสมการเชิงอนุพันธ์แทนอุปกรณ์ใน วงจรไฟฟ้าพื้นฐานของระบบมี
อุปกรณ์ 3 ชนิด คือ ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนาและตัวเก็บประจุ
- การเขียนแบบจาลองระบบควบคุมด้วยไดอะแกรมแผนภาพ ใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์
ของระบบควบคุมคือไดอะแกรมแผนภาพหรือบล็อกไดอะแกรม (Block Diagram) โดยส่วนประกอบ
ของบล็อกไดอะแกรมประกอบด้วย สัญญาณเข้า(Input) ฟังก์ชันถ่ายโอน(Transfer Function) และ
สัญญาณออก (Output)
- พีชคณิตของบล็อกไดอะแกรมคือการลดรูปบล็อกไดอะแกรมของระบบที่มีความซับซ้อนให้
อยู่ในรูปอย่างง่ายได้ เพื่อลดเวลาในการวิเคราะห์ระบบ
- การแสดงระบบด้วยเส้นทางเดินของสัญญาณคือวิธีการ หาค่าฟังก์ชั่นถ่ายโอนระบบโดยใช้
กราฟทางเดินของสัญญาณ ทาให้สามารถแทนระบบที่ซบั ซ้อนได้ การใช้ทางเดินของสัญญาณมักแทน
ระบบให้เป็นสมการพีชคณิตในเอสโดเมน (S -Domain)
53
คำถำมทบทวน
ให้นักศึกษำแสดงวิธีทำและตอบคำถำมต่อไปนี้
1. จงหาสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนหรือทรานเฟอร์ฟังก์ชั่นของวงจรไฟฟ้าต่อไปนี้
𝑅 𝑅 𝐿
𝑣𝑖 𝑖 𝐶 𝑣𝑜
X(s) + + + Y(s)
G1 G2 G3
+
1 H1
3. จากแผนภาพบล็อกไดอะแกรมต่อไปนี้จงเขียนเส้นสัญญาณทางเดิน
N(s)
H(s)
54
4. จงเขียนแผนภาพเส้นทางเดินสัญญาณต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปของบล็อกไดอะแกรม
N(s)
1
1 G (s) 1
X(s) Y(s)
E(s) C(s)
-H(s)
5. วิธีการหาทรานเฟอร์ฟังก์ชั่นมีลาดับขั้นตอนอย่างไรบ้าง
6. ฟังก์ชั่นถ่ายโอน (Transfer Function) มีลักษณะเป็นอย่างไร จงอธิบายมาพอเข้าใจ
7. จงยกตัวอย่างความหมายศัพท์เกี่ยวข้องกับทางเดินของสัญญาณ มาอย่างน้อย 4 ตัวอย่างพร้อม
อธิบาย
8. การลดรูปบล็อกไดอะแกรมมีวิธีการอย่างไรบ้าง จงยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย
9. จงยกตัวอย่าง แผนภาพระบบควบคุมแบบบล็อกไดอะแกรมและเส้นสัญญาณทางเดิน อย่างน้อง 3
ตัวอย่าง
10. จงสรุปขั้นตอนวิธีการหาฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้กฎของเมสัน มาเป็นข้อๆ
55
เอกสำรอ้ำงอิง
บทที่ 2
แบบจำลองทำงคณิตศำสตร์ของระบบควบคุม
ในการศึกษาพฤติกรรมทางพลวัตของระบบทางกายภาพ สามารถอธิบายได้จากสมการทาง
คณิตศาสตร์หรือในรูปแบบของชุดสมการ ในบทนี้จะกล่าวถึงแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของระบบซึง่
มีความสาคัญมากในการวิเคราะห์ระบบควบคุม ทั้งระบบที่เป็นเชิงเส้น และระบบที่ไม่เป็นเชิงเส้น
โดยแบบจาลองสามารถสร้างจากคุณลักษณะทางกายภาพของระบบนั้นๆ จากนั้นจึงนามาวิเคราะห์
ซึ่งจะช่วยทาให้เข้าใจและสามารถออกแบบระบบพลศาสตร์ที่เหมาะสมได้
แบบจำลองทำงคณิตศำสตร์
โดยทั่วไประบบควบคุมประกอบด้วย ระบบเชิงเส้น ระบบไม่เชิงเส้น ระบบต่อเนื่องทางเวลา
และระบบไม่ต่อเนื่องทางเวลา ในที่ นี้ขอกล่าวถึงระบบเชิงเส้น ต่อเนื่องทางเวลาซึ่ง แบบจาลองทาง
คณิตศาสตร์สามารถอธิบายได้ด้วย สมการเชิงอนุพันธ์ ซึ่งสามารถเขียนให้อยู่ในรูปแบบของสมการ
สเตต หรือฟังก์ชั่นถ่ายโอน
1. สมการสเตต
การสร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของระบบโดยใช้ตัวแปรเสเตต ทาให้สามารถอธิบาย
พฤติกรรมของระบบ เพราะทุกโมด (Mode) ของระบบถูกรวมเข้าในสมการสเตต โดยสมการสเตต
ประกอบด้วยจ านวนตัวแปรที่น้อ ยที่ สุ ดของตัวแปร x(t) ที่ เ วลาเริ่มต้น t0 ซึ่ง สามารถอธิบ าย
พฤติกรรมของระบบที่เวลา t ≥ t0 กาหนดให้สัญญาณเข้า u(t) ที่เวลา t ≥ t0 จานวนตัวแปรและ
การเลื อกตั วแปรขึ้ นกั บ ระดั บ ของรายละเอี ยดที่ ต้ อ งการของแบบจ าลองที่ เ ลือ กอธิ บ ายระบบ
แบบจาลองของระบบอันดับ n มีตัวแปรสเตต n ตัวที่สอดคล้องกับสมการเชิงอนุพันธ์อันดับที่หนึ่ง
n สมการ สามารถเขียนสมการสเตต ได้ดังสมการที่ 2-1
̇ = (2-1)
̇ =
.
.
̇ =
สัญญาณออกสามารถเขียนในรูปแบบของสมการพีชคณิต สาหรับระบบที่มีตัวแปรสัญญาณ
ออก p ตัว สามารถเขียนสมการได้ดังสมการที่ 2-2
= (2-2)
16
=
.
.
=
̇ = + (2-4)
= +
(2-5)
[ ] (2-6)
17
[ ]
จะได้
[ ]
[ ]
หาความสัมพันธ์ของสมการเอาต์พุตกับสมการอินพุต
[ ]
(2-7)
[ ]
(2-8)
2.2 การเขียนแบบจาลองคณิตศาสตร์ของระบบไฟฟ้า
อุปกรณ์พื้นฐานในระบบหรือวงจรไฟฟ้าประกอบด้วย แหล่งจ่าย (Source) กระแส
(Current Source) แหล่งจ่ายแรงดัน (Voltage Source) อุปกรณ์พื้นฐานที่สาคัญได้แก่ ตัวต้านทาน
(Resister) ตัวเก็บประจุ (Capacitor) และขดลวดเหนี่ยวนา (Inductor) นอกจากนั้นยังรวมถึง
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุ ปกรณ์ขยายสัญญาณทรานซีสเตอร์ (Transisters) ออปแอมป์
(Opamp) เมื่อต้องการทราบพฤติกรรมของระบบนั้น จึงทาการป้อนสัญญาณเข้า(Input) ให้กับระบบ
จากนั้นทาการวัดหรือวิเคราะห์ผ ลของสัญญาณออก (Output) ทาการเปรียบเทียบพฤติก รรมที่
สัมพันธ์กับคุณสมบัติทางกายภาพของอุปกรณ์เหล่านั้น สาหรับวงจรไฟฟ้ามีอุปกรณ์พื้นฐาน 3 ชนิด
ดังตารางที่ 2-1
18
อุปกรณ์พื้นฐำน
สมกำรพื้นฐำนของระบบ สัญลักษณ์
วงจรไฟฟ้ำ
ความต้านทาน (R)
𝑣𝑖 𝑖 𝑣𝑜
วิธีทำ 1. เขียนสมการจากกฎของเคอร์ชอฟฟ์
2. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์แทนอุปกรณ์ในระบบตามกฎทางฟิสิกส์
∫
19
4. หาอัตราส่วนระหว่างสมการทางเอาต์พุตต่อสมการทางอินพุตที่แปลงลาปลาซ
แล้ว
𝑉 𝑖 𝐶 𝑣𝑜
วิธีทำ 1. เขียนสมการกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์จะได้
เมื่อ
2. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์ของอุปกรณ์ในวงจรไฟฟ้า
∫ (1)
20
∫ (2)
4. ทาการหาอัตราส่วนระหว่างสมการทางเอาต์พุตต่อสมการทางอินพุตที่แปลง
ลาปลาซจะได้
C Va a
R2
Vi R1
Vb Vo
R3
(1)
(2)
3. หาฟังก์ชั่นถ่ายโอนจาก
เมื่อ
(3)
[ ]
22
R3
R1
a
R2
Vi C Vo
วิธีทำ 1. เมื่อพิจารณาแรงดันไฟฟ้าที่จุด a
(1)
2. และจากแรงดันไฟฟ้าทีจ่ ุด b
(2)
3. หาค่าฟังก์ชั่นถ่ายโอนจาก
เมื่อ
(3)
23
ตอบ
2.3 การเขียนแบบจาลองระบบทางกลด้วยสมการคณิตศาสตร์
ด้วยตัวแปรที่ใช้ในระบบทางกล คือ ระยะทาง (x) ความเร็ว (v) อัตราเร่ง (a)
กฎที่ใช้ คือ กฎของนิวตัน การเขียนสมการเชิงอนุพันธ์แทนอุปกรณ์ในระบบทางกลจะเขียนตามกฎ
ทางฟิสิกส์ของระบบทางกล
มวล (Mass) m m v
สปริง (Spring) k
k
เมื่อ คือ ค่าของสปริง x1 x2
24
ตัวหน่วง (Damper) b v1 v2
k
m
∑ (1)
25
5. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์ของระบบ
( ) (2)
หรือ
(3)
6. ทาการแปลงลาปลาซในสมการที่ 3 ทีละเทอมจะได้
[ ] ̇
[ ]
[ ]
8. เขียนอัตราส่วนระหว่างสมการเอาท์พุตของระบบต่อสมการอินพุตของระบบ
ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบ =
26
k
y
m
u
4. จัดรูปสมการที่ (2)
(3)
5. เขียนอัตราส่วนระหว่างสมการเอาท์พุตของระบบต่อสมการอินพุตของระบบ
ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบ = ตอบ
2.3.1 การเขียนแบบจาลองคณิตศาสตร์ของระบบทางกลที่เคลื่อนที่ด้วย
การหมุนสาหรับระบบทางกลแบบเคลื่อนที่ด้วยการหมุนประกอบด้วยตัวแปร 3 อย่าง คือ ความเร็ว
เชิงมุม (𝝎), การเคลื่อนที่เชิงมุม (Ѳ) และอัตราเร่งเชิงมุม ( ) โดยมีสัญลักษณ์และสมการดัง
ตารางที่ 2.3
27
k
สปริง (Spring)
𝜃 𝜃
ตัวหน่วง (Damper)
𝜔 𝑏 𝜔
T j k b
28
วิธีทำ 1. เขียนสมการเชิงอนุพันธ์ของระบบ
(1)
(2)
(3)
4. เขียนสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบจะได้คาตอบ
𝑖𝑓 Lf
𝑣𝑓 𝑣𝑎
𝜃 𝑗 𝑓
(4)
( )
30
2.3.2 การเขียนแบบจาลองระบบควบคุมด้วยไดอะแกรมแผนภาพ
สาหรับอีกวิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ของระบบ
ควบคุม คือไดอะแกรมแผนภาพหรือบล็อ กไดอะแกรม (Block Diagram) โดยส่วนประกอบของ
บล็อกไดอะแกรมประกอบด้วย สัญญาณเข้า (Input) ฟังก์ชันถ่ายโอน (Transfer Function) และ
สัญญาณออก (Output) ไดอะแกรมแผนภาพรูปร่างพื้นฐาน ดังภาพที่ 2.1
(Summing point)
+
X(s) X(s)-B(s)
_
B(s)
+ E(s)
X(s) G(s) Y(s)
_
H(s)
B(s)
จากความสัมพันธ์ของสัญญาณเอาท์พุต
=
32
= =
= (2-10)
𝐺 𝑠
X(s) 𝐺 𝑠 𝐻 𝑠 Y(s)
บล็อกไดอะแกรมต้นฉบับ บล็อกไดอะแกรมเทียบเคียง
5
34
6
𝑢
𝐺
7 x xG
+ xG-uG
G
-
u uG
G
𝐺
35
10
11
x 1 + y
x + y G2 G2 G1
G1
12
G2
x + y G1
G1 x y
13 1 + G 1G 2
G2
36
H2
X(s) + + + Y(s)
G1 G2 G3
+
H1
X(s) + + + Y(s)
G1 G2 G3
+
1 H1
H2
G1
X(s) + + G 1 G2 Y(s)
1 G 1G 2 G3
X(s) + G 1 G2 G 3 Y(s)
1 G 1G 2H1 +3G1G2H2
4. ใช้วิธีที่ 4 ลดรูปบล็อกจะทาให้ได้บล็อกไดอะแกรมที่สามารถหาฟังก์ชั่นถ่ายโอน
G 1 G2 G 3
X(s) Y(s)
1 G 1G 2H1 +3G2G3H2 + G 1G 2 G 3
Y(s) G 1 G2 G 3
=
X(s) 1 G 1G 2H1 +3G2G3H2 + G 1G 2 G 3
38
X(s) + 1 C2 s 1 Y(s)
C1 s C1 s R1C 2 s + 1 C2 s
+
+
R1
จะได้บล็อกไดอะแกรมใหม่ด้านล่าง
X(s) + C2 s 1 Y(s)
1
C1 s C1 s R1C 2 s + 1 C2 s
C1 s
+
+
R1 C2 s
X(s) + + C2 s 1 Y(s)
1
C 1s C2 s R 1C 2 s + 1 C2 s
C1 s
R1
R1 C2s
39
X(s) + 1 1 Y(s)
R 1C 1 s + 1 R 2C 2 s + 1
R 1C 2 s
4. ใช้วิธีที่ 4 ลดรูปบล็อกจะทาให้ได้บล็อกไดอะแกรมที่สามารถหาฟังก์ชั่นถ่าย
โอนดังนี้
1
X(s) R 1C 1R 2 C 2 s +(R 1C 1R 2 C 2 + R 1C 2 )s +1
2 Y(s)
สมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนจะมีค่าเท่ากับ
Y(s) 1
=
X(s) R 1C 1R 2 C 2 s +(R 1C 1R 2 C 2 + R 1C 2 )s +1
2
g 1,2
x1 x2
คำศัพท์เกี่ยวข้อง ควำมหมำย
กับทำงเดินของสัญญำณ
โหนด (Node) หมายถึง จุดหรือโหนดใช้แทนตัวแปรหรือสัญญาณ
อินพุตโหนด (Input Node ) หมายถึง โหนดที่มีเฉพาะเส้นสัญญาณทางออก
ทรานสมิตแตนซ์ (Transmittance) หมายถึง อัตราขยายระหว่างโหนดหรือจุด 2 จุด
สาขา (Branch) หมายถึง สาขาหรือเส้นตรงทีเ่ ชื่อมต่อระหว่างโหนดหรือจุด 2 จุด
เอาท์พุตโหนด (Output Node) หมายถึง โหนดที่มีเฉพาะสัญญาณพุ่งเข้า(กรณีต้องการให้โหนด
เอาต์พุตมีทงั้ สัญญาณพุง่ เข้า และพุ่งออกจะต้องทาเป็นโหนดที่รับ
สัญญาณซึ่งเรียกว่าดัมมี่ โดยสมมติให้มีอัตราขยายเป็นหนึ่งและมี
ทิศทางพุ่งเข้าโหนดดัมมี่
โหนดร่วม (Mixed Node) หมายถึง โหนดที่มสี ัญญาณพุง่ เข้าและพุ่งออก
พาธ (Path) หมายถึง เส้นทางเดินตามทิศทางของสาขา (Branch) ถ้าพาธนั้น
ผ่านโหนดใดเพียงครัง้ เดียว จะเรียกว่าพาะเปิด แต่ถ้าพาธเริม่ ต้นจาก
โหนด และวนกลับมาสิ้นสุดที่โหนดเดิม โดยผ่านโหนดอื่นเพียงครั้ง
เดียว เรียกว่า พาธลูปปิด(Close Loop Path)
คำศัพท์เกี่ยวข้อง ควำมหมำย
กับทำงเดินของสัญญำณ
ลูปตัวเอง (Self Loop) หมายถึง ลูปป้อนกลับ ประกอบด้วยเส้นสัญญาณเพียงเส้นเดียวจาก
โหนดเดิมและย้อนกลับมาที่โหนดเดิม
อัตตราขยายของพาธ (Path Gain) หมายถึง ผลคูณของเส้นสัญญาณที่มอี ัตราขยายของเส้นทางที่
กาหนด
อัตราขยายลูป (Loop Gain) หมายถึง ผลคูณของเส้นสัญญาณทีม่ ีอัตราขยายของลูป ตามที่
กาหนด
ทำงเดินสัญญำณ เส้นทำงเดินสัญญำณที่เทียบเคียง
a
= x1 x2
a b
ab
x1 x2 x3
x1 x3
a
a+b
x1 x2
x1 x2
b
42
a x1 ac
c
x3 x4 x4
b bc
x2
x2 ab x3
a b
x1
x1 x3
c bc
43
เส้นทำงเดินสัญญำณ แผนภำพบล็อกไดอะแกรม
G(s)
X(s) G(s) Y(s)
X(s) Y(s)
-H(s) H(s)
N(s) N(s)
H(s)
-H(s)
N(s) N(s)
1
X(s) + E(s) + Y(s)
1 G (s) 1 G (s)
X(s) Y(s)
E(s) C(s) +
-H(s)
H(s)
44
เส้นทำงเดินสัญญำณ แผนภำพบล็อกไดอะแกรม
1. โหนดอินพุต (Input Node) 1. สัญญาณอินพุต (Input Signal)
2. โหนดเอาท์พุต (Output Node) 2. สัญญาณเอาท์พุต (Output Signal)
3. สาขา (Branch) 3. บล็อก (Block)
4. ทรานสมิตแตนซ์ (Transmittance) 4. อัตราขยายของบล็อก (Gain of Block)
ตัวแปร ควำมหมำย
อัตราขยายของทางเดิน k ระหว่างโหนดอินพุทและเอาท์พุต
ดีเทอร์มิแนนท์ของกราฟซึ่งพิจารณาเฉพาะทางเดิน k และเป็นค่าของ
สาหรับส่วนนั้นๆ ของกราฟวิ่งไม่แตะทางเดิน k
ดีเทอร์มิแนท์ของกราฟ (Determinant) หาได้จาก
∑ ∑ ∑ ∑
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูปทัง้ หมด
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูป 2 ลูปไม่ติดกัน
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูป 3 ลูปไม่ติดกัน
∑ ผลรวมของเส้นทางเดินของลูป n ลูปไม่ติดกัน
45
สรุปขั้นตอนวิธีการหาฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้กฎของเมสัน
1. หาอัตราขยายของทางเดินจากโหนดอินพุตไปยังเอาท์พุต
2. หาลูปเดี่ยวๆ ทั้งหมด
3. หาลูป 2 ลูป หรือ 3 ลูป และ 4 ลูป ที่ไม่ติดกัน
4. หาค่าดีเทอร์มิแนนท์ของสัญญาณทางเดิน
5. หาดีเทอร์มิแนนท์ของเส้นทาง T1 , T2 , T3 …….
6. แทนค่าในสมการของเมสัน
x1 x2 x3 x4 x5
a 23 x x4 x5
x1 x2 3
46
a 44
a34
x1 x2 x3 x4 x5
a 35
a45
x1 x2 x3 x4 x5
a 44
7. หาฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้กฎของเมสัน
N
∑
k=1
7.1 หาค่าอัตราขยายของทางเดินจากโหนดทางเข้าไปยังโหนดทางออก
=
a12 a23 a 35
7.2 หาค่าลูปทั้งหมด
=
a23
a32
a23 a 34
a42
a 44
a23 a 34 a45
a 52
48
a23 a 35
a 52
a23
a 44
a 32
a 44
a23 a 35
a 52
แทนค่าในสูตรของเมสันจะได้
H2
Xi + + + Yo
G1 G2 G3
+ +
H1
G4
วิธีทำ 1. เขียนเส้นทางเดินสัญญาณของรูปด้านบน
H2
N
Xi 1 1 G1 G2 G3 1 1 YO
H1
H1 G4
50
2. จากกฎของเมสัน
∑
k=1
3. หาค่าอัตราขยายของทางเดินจากโหนดทางเข้าไปยังโหนดทางออก
แสดงภาพเส้นทางเดินสัญญาณด้านล่าง
Xi 1 1 G1 G2 G3 1 1 YO
4. หาค่าลูปหรือวงรอบปิดทัง้ หมด
แสดงภาพเส้นสัญญาณทางเดิน ด้านล่าง
G1 G2
H1
แสดงภาพเส้นสัญญาณทางเดิน ด้านล่าง
-H2
G2 G3
51
แสดงภาพเส้นสัญญาณทางเดิน ด้านล่าง
1 G1 G2 G3
-1
5. หาค่าดีเทอร์มิแนนท์ของเส้นสัญญาณทางเดิน
7. แทนค่าในสูตรของเมสันเพราะฉะนั้น
ตอบ
52
สรุป
ในบทนี้ได้กล่าวถึงแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) โดยการแทน
ระบบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ สาหรับ ใช้ในการบรรยายคุณลัก ษณะทางไดนามิ ก (Dynamic
Model) ทาได้โดยการใช้วิธีการแทนค่าพารามิเตอร์ในระบบด้วยสมการดิฟเฟอร์เรนเซียล จากนั้นใช้
การแปลงลาปลาซ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างสมการทางอินพุตกับสมการทางเอาต์พุท ซึ่งอยู่ใน
เอสโดเมน ผลลัพท์ที่ได้จะเรียกว่าฟังก์ชั่นถ่ายโอน(Transfer Function) และนาผลลัพท์ ที่ได้นี้ไปใช้
ในการวิเคราะห์
ดังนั้นการจาลองระบบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ที่ดีจะต้องเข้าใจง่าย มีความแม่นยาให้ผล
ใกล้เคียงกับระบบจริง การจาลองระบบจึงมีความสาคัญมากในการวิเคราะห์ระบบ รูปแบบของ
แบบจาลองของระบบพอสรุปได้ดังนี้
- ระบบทางกล (Mechanical System) ระบบทางกลจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
คือ
1. ระบบทางกลที่ มี ก ารเคลื่อ นที่ แ บบเชิ ง เส้น (Mechanical Translational
System)
2. ระบบทางกลที่มีการเคลื่อนที่แบบเชิงมุม (Mechanical Rotation System)
- ระบบทางไฟฟ้า (Electrical System) ตัวแปรที่ใช้ในระบบทางไฟฟ้ามี 3 ตัว คือ กระแส (I)
แรงดัน (E) ประจุ (Q) การเขียนสมการเชิงอนุพันธ์แทนอุปกรณ์ใน วงจรไฟฟ้าพื้นฐานของระบบมี
อุปกรณ์ 3 ชนิด คือ ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนาและตัวเก็บประจุ
- การเขียนแบบจาลองระบบควบคุมด้วยไดอะแกรมแผนภาพ ใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์
ของระบบควบคุมคือไดอะแกรมแผนภาพหรือบล็อกไดอะแกรม (Block Diagram) โดยส่วนประกอบ
ของบล็อกไดอะแกรมประกอบด้วย สัญญาณเข้า(Input) ฟังก์ชันถ่ายโอน(Transfer Function) และ
สัญญาณออก (Output)
- พีชคณิตของบล็อกไดอะแกรมคือการลดรูปบล็อกไดอะแกรมของระบบที่มีความซับซ้อนให้
อยู่ในรูปอย่างง่ายได้ เพื่อลดเวลาในการวิเคราะห์ระบบ
- การแสดงระบบด้วยเส้นทางเดินของสัญญาณคือวิธีการ หาค่าฟังก์ชั่นถ่ายโอนระบบโดยใช้
กราฟทางเดินของสัญญาณ ทาให้สามารถแทนระบบที่ซบั ซ้อนได้ การใช้ทางเดินของสัญญาณมักแทน
ระบบให้เป็นสมการพีชคณิตในเอสโดเมน (S -Domain)
53
คำถำมทบทวน
ให้นักศึกษำแสดงวิธีทำและตอบคำถำมต่อไปนี้
1. จงหาสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนหรือทรานเฟอร์ฟังก์ชั่นของวงจรไฟฟ้าต่อไปนี้
𝑅 𝑅 𝐿
𝑣𝑖 𝑖 𝐶 𝑣𝑜
X(s) + + + Y(s)
G1 G2 G3
+
1 H1
3. จากแผนภาพบล็อกไดอะแกรมต่อไปนี้จงเขียนเส้นสัญญาณทางเดิน
N(s)
H(s)
54
4. จงเขียนแผนภาพเส้นทางเดินสัญญาณต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปของบล็อกไดอะแกรม
N(s)
1
1 G (s) 1
X(s) Y(s)
E(s) C(s)
-H(s)
5. วิธีการหาทรานเฟอร์ฟังก์ชั่นมีลาดับขั้นตอนอย่างไรบ้าง
6. ฟังก์ชั่นถ่ายโอน (Transfer Function) มีลักษณะเป็นอย่างไร จงอธิบายมาพอเข้าใจ
7. จงยกตัวอย่างความหมายศัพท์เกี่ยวข้องกับทางเดินของสัญญาณ มาอย่างน้อย 4 ตัวอย่างพร้อม
อธิบาย
8. การลดรูปบล็อกไดอะแกรมมีวิธีการอย่างไรบ้าง จงยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย
9. จงยกตัวอย่าง แผนภาพระบบควบคุมแบบบล็อกไดอะแกรมและเส้นสัญญาณทางเดิน อย่างน้อง 3
ตัวอย่าง
10. จงสรุปขั้นตอนวิธีการหาฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้กฎของเมสัน มาเป็นข้อๆ
55
เอกสำรอ้ำงอิง
บทที่ 3
ผลตอบสนองเชิงเวลา
สัญญาณป้อนสาหรับทดสอบผลตอบสนองของระบบ
1. สัญ ญาณป้ อ นหรือ อิ น พุต แบบหนึ่ง หน่ วย (Step Function) แสดงได้ด้ วยสมการ
คณิตศาสตร์ดังนี้
เมื่ อ
เมื่ อ
กาหนดให้ เป็นค่าคงที่ (Constant)
- เมื่อทาการแปลงให้อยู่ในรูปสมการลาปลาซจะได้
𝐴
(3-3)
𝑠
โดยสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วยมีลักษณะดังภาพที่ 3.1
( )
=X𝑢 ( )
𝐴
(3-4)
𝑠2
59
โดยสัญญาณอินพุตแบบลาดมีลักษณะดังภาพที่ 3.2
( )
t
Slop=X
=X𝑢 ( )
𝑥 𝑡 𝑋𝑡 2 𝑢𝑠 𝑡
X(s) 1 Y(s)
𝑇𝑠 1
สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณอินพุตและสัญญาณเอาท์พุตของ
ระบบได้ดังนี้
1
(3-6)
𝑇 1
สาหรับการวิเคราะห์ผลตอบสนองของระบบ ทาได้โดยการป้อนสัญญาณต่างๆที่ได้กล่าวมา
ข้างต้นให้กับระบบโดยต้องกาหนดให้ค่าเงื่อนไขเริ่มต้น (Initial Condition) เป็นศูนย์
1. ผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่งจากสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วย
สาหรับผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่งเมื่อทาการป้อนสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วยเมื่อ
ท าการแปลงลาปลาซแล้ ว จะได้ 1 ผลตอบสนองของสั ญ ญาณจะได้ เ ป็ น
𝑠
1 1
. (3-7)
𝑠 𝑇𝑠 1
y(t)
e(t) -t/T
1-e
1.0
-t/T
e
𝑇 1 . (3-10)
สัญญาณความคลาดเคลื่อน หาได้จาก
(3-11)
y(t)
e(t) -t/T
y(t)= 1-e
1.0
0.632
63.2%
86.5%
98.2%
99.3%
95%
T 2T 3T 4T 5T
- ทาการแปลงลาปลาซผกผันสมการที่ (3-13)
𝑇 (1 )
- สัญญาณความคลาดเคลื่อน หาได้จาก
𝑇 (1 ) (3-14)
x(t) x(t)
y(t)
t ) y(t)
6T e(
4T
2T
2T 4T 6T t
1
𝑇 1
.( ) (3-15)
1
𝑦 𝑡 . 𝑒𝑇
𝑇
65
y(t)
6T
4T
2T
t
2T 4T 6T
E(s)
X(s) + Y(s)
ฟังก์ชันถ่ายโอนของลูป คือ
(3-17)
เมื่อสมการคุณลักษณะของลูปปิด คือ
(3-18)
การวิเคราะห์คุณสมบัติของระบบอันดับสอง จะพิจารณาในเทอมของตัวแปรสองตัวคือ
และ โดยแบ่งการพิจารณาออกเป็น 4 กรณีคือ
1. กรณี Undamped ( = 0 )
กรณีนี้รากของสมการคุณลักษณะหรือ Pole ของลูป ปิดจะอยู่บนแกนจินตภาพ
(Imaginary) ในระนาบ s ซึ่งเอาท์พุตของระบบจะเกิดการแกว่ง (Oscillate) อย่างต่อเนื่อง
2. กรณี Under Damped ( 0 < <1)
กรณีนี้รากของสมการคุณลักษณะจะเป็นปริมาณเชิงซ้อน (Complex Conjugate)
และอยู่ทางครึ่งซ้ายในระนาบ s และระบบจะเป็นแบบ Under Damped ซึ่งผลตอบสนองชั่วครู่ของ
ระบบเกิดการแกว่งภายใต้การหน่วง
67
2
𝑌 𝑠 𝜔𝑛
𝑋 𝑠 𝑠2 𝜔𝑛 𝜔𝑛 2
เมื่อ ( =0 ) จะได้
สมการคุณลักษณะของลูปปิดคือ
รากของสมการคุณลักษณะคือ
68
(3-19)
(3-20)
- รากของสมการคุณลักษณะคือ
(3-21)
(3-22)
- ผลตอบสนองของระบบจะเกิดการแกว่งชั่วครู่ด้วยความถี่ และแปรค่าไปตามอัตรา
ความหน่วง ค่าความคลาดเคลื่อนจะหาได้จาก
(3-23)
(3-24)
- ผลตอบสนองเวลาของระบบอันดับสองนี้ไม่มกี ารแกว่ง
4.1.3 กรณี Over Damped ( >-) กรณีนี้รากของสมการคุณลักษณะจะ
มีค่าไม่เท่ากันโดยเป็นค่าจริงที่เป็นลบทั้งสองค่าคือ
(3-27)
ผลตอบสนองของระบบอันดับสองในกรณีนี้จะคล้ายกับผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่ง
และประกอบไปด้วยเทอมของฟั งก์ชั่นเอ็กโพเนนเชียล (Exponential) ที่ ลดลงซึ่ง อาจจะตัดทิ้งได้
เพราะมีผลต่อผลตอบสนองระบบมีค่าน้อย
สาหรับการวิเคราะห์ผลการตอบสนองของระบบและค่าต่างๆ ที่ใช้ในการอธิบายคุณสมบัติ
ของระบบแสดงดังภาพที่ 3.11 จะเห็นว่าผลการตอบสนองที่ค่าอัตราการหน่วงของระบบ (Damping
Ratio) ในกรณีของ Underdamped ถือว่าเป็นการตอบสนองที่ดีที่สุดของระบบอันดับสองเนื่องจาก
ให้ Rise Time และ Settling Time ที่ดีที่สุด
71
คุณลักษณะการวิเคราะห์ผลตอบสนองของระบบควบคุมอันดับสอง
การวิเคราะห์ผลการตอบสนองโดยทั่วไปของระบบอันดับสอง (Second Order) เมื่อป้อน
สัญญาณอินพุตมาตรฐานที่เป็นแบบสัญญาณระดับ (Unit Step Function) โดยสามารถตรวจสอบ
คุณสมบัติบางประการของระบบควบคุมได้โดยการวิเคราะห์จากค่าต่างๆ ดังนี้
1. เวลาไต่ขึ้น (Rise Time)
Tr คือเวลาที่วัดจากผลตอบสนองที่มีขนาดเพิ่มขึ้นจาก 10% ถึง 90% ของค่าสุดท้าย
(Final) สาหรับระบบควบคุมอันดับสอง ที่อยู่ในสภาวะความหน่วงน้อย (Underdamped) ปกติจะใช้
0% ถึง 100% สาหรับระบบในสภาวะความหน่วงมาก (Overdamped) ปกติจะใช้ 10% ถึง 90%
2. เวลาสูงสุด (Peak Time )
Tp คือเวลาที่ระบบควบคุมมีการตอบสนองสูงสุดคานวณได้จากสมการ
𝑇 (3-28)
√
3. ผลตอบสนองสูงสุด (Maximum Overshoot )
คือตัวบ่งบอกถึงความคลาดเคลื่อนสูงสุดระหว่างสัญญาณอินพุตและเอาต์พตุ
ที่ ส ภาวะชั่ว ครู่ (Transient State) และเป็นสิ่ง ที่ ใช้ป ระเมิ นผลเสถีย รภาพของระบบควบคุ ม
72
2
. √1
𝑇 (3-29)
โดยลักษณะการตอบสนองชั่วขณะของระบบอันดับสองสามารถแสดงดังภาพที่ 3.12
ความสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่งของโพลและการตอบสนองของระบบอันดับสอง
ความสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่งของโพล (Pole) และการตอบสนองของระบบอันดับสองแบบ
Underdamped แบ่งตามลักษณะของโพล ได้ดังนี้
1. เมื่อโพลมีค่าส่วนจริงคงที่ (Constant Real Part) ผลการตอบสนองของระบบต่ออินพุต
แบบ Unit Step Function มีอัตราการลดลงของการตอบสนองเหมือนกัน แต่การตอบสนองจะมี
ความถี่ของสัญญาณซายน์ที่ต่างกันดังแสดงในภาพที่ 3.13
73
e(t)
Envelope the same
s-plane
Pole motion
Pole motion
t
e(t)
Same Overshoot
s-plane
Pole motion
E(s)
X(s) + Y(s)
- ค่าเวลาไต่ขึ้น 𝑇 มีค่า
3.
𝑇
โดยที่ หาได้จาก 3
.
75
เพราะฉะนั้น
.1 .
𝑇 . วินาที
- ค่าเวลาสูงสุด 𝑇
.1
𝑇 . วินาที
- ค่าการตอบสนองสูงสุด
3
. หรือ .
- ค่าเวลาสูส่ มดุลย์ 𝑇 หาคาตอบได้สองกรณีคือ
3 3
- กรณีไม่เกิน 𝑇
3
1 วินาที
- กรณีไม่เกิน 𝑇
3
1. วินาที
E(s)
X(s) + 𝐾 Y(s)
𝑆 𝑆 1
1 𝐾𝑏 𝑆
76
จะได้ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบเท่ากับ
2 1 .
เมื่อเปรียบเทียบกับฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบควบคุมอันดับสองโดยทั่วไปจะมีความสัมพันธ์
ดังนี้
2
และ
1 .
.√
- หาค่า K และค่า Kb และเมือ่ ต้องการ Mp=0.2 และ tp=1 วินาที
1. 1
2
√1
- จากสมการ 1
- หรือ .1
- ดังนั้น .
√
- จะทาให้อัตราขยาย K มีค่าเท่ากับ
2
. 2 1 .
- ค่าเวลาไต่ขึ้น (Rise Time) ของระบบหาได้จากสมการ
𝑇
- เมื่อค่า 1. 1.1
- เพราะฉะนั้นค่า 𝑇 . วินาที
77
- ค่าเวลาสูส่ มดุลของระบบเท่ากับ
3
- ในกรณี 5% ค่า 𝑇 1. วินาที
𝑇 1 𝑇 1 𝑇 1
𝑇 1 𝑇2 1 (𝑇 1)
E(s)
X(s) + Y(s)
𝐺 𝑠
การหาผลตอบสนองระบบจากฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้โปรแกรม Matlab
เมื่อเราทราบฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบแล้ว เราสามารถวิเคราะห์ ค่าความคลาด
เคลื่อนของระบบ (Steady State Error) โดยทาการป้อนสัญ ญาณอินพุตแบบต่างๆ เช่น Step
Function, Ramp Function, Impulse Function โปรแกรม Matlab จะมีฟังก์ชั่นอานวยความ
สะดวกใช้ในการวิเคราะห์ ทาให้การวิเคราะห์ระบบมีความง่ายและรวดเร็วมากขึ้น โดยมีฟังก์ชั่นดังนี้
1. ผลตอบสนองของระบบต่อสัญญาณแบบหนึ่งหน่วย (Unit Step Function)
คาสั่ง ความหมาย
tf(num,den) การสร้างฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยมี num เป็นค่าสัมประสิทธิ
ของเศษและ den เป็นค่าสัมประสิทธิ์ของส่วน
Step(sys) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของระบบ
Step(sys,t) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของระบบในช่วงเวลา t
Step(sys1,’color’,sys2,’line’) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของสองระบบเปรียบเทียบกัน
79
- กาหนดค่าตัวแปรต่างๆ บนหน้าต่างคาสั่งและหาค่าผลตอบสนองต่อสัญญาณ
อินพุตแบบหนึ่งหน่วย (Unit Step Function)
- คีย์คาสั่งนี้ลงบน Command Windows ของโปรแกรม Matlab
>> sys1=tf([10 10],[1 10 10]);
>> U1=step(sys1);
>> plot(U1);
>> axis([0 100 0 1.5]);
>> xlabel('t');ylabel('amplitude');
>>title('step-response curves')
- จะได้ผลตอบสนองของระบบดังภาพข้างล่าง
step-response curves
1.4
1.2
0.8
0.6
0.4
0.2
0
0 5 10 15 20 25 30 35
80
1.2
0.8
Amplitude
0.6
0.4
0.2
0
0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 5
Time (sec)
>>t=[0:0.01:5];
>>step(sys1,’r’,sys2,’- -‘,t);
- จะได้ผลตอบสนองของระบบสองระบบเปรียบเทียบกันดังภาพข้างล่าง
Step Response
1.4
1.2
1 𝑠 1
𝐺 𝑠
1 𝑠2 1 𝑠 1
0.8
Amplitude
0.6
𝐹 𝑠
0.4 𝑠2 𝑠
0.2
0
0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 5
Time (sec)
คาสั่ง ความหมาย
tf(num,den) การสร้างฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยมี num เป็นค่าสัมประสิทธิของ
เศษและ den เป็นค่าสัมประสิทธิ์ของส่วน
Impulse(sys) การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์ (Impulse Response)
ของระบบ
Impulse (sys,t) การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์ (Impulse Response)
ของระบบในช่วงเวลา t
Impulse (sys1,’color’,sys2,’line’) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของสองระบบเปรียบเทียบกัน
82
ตัวอย่างที่ 3-6 จาก Closed Loop Transfer Function ต่อไปนี้จงใช้โปรแกรม Matlab แสดงค่า
ผลตอบสนองของระบบเมื่อป้อนสัญญาณอินพุตแบบอิมพัลส์ (Impulse Function)
Impulse Response
5
4.5
3.5
3
Amplitude
2.5
1.5
0.5
0
0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5
Time (sec)
83
ตัวอย่างที่ 3-7 จาก Closed Loop Transfer Function ต่อไปนี้จงใช้โปรแกรม Matlab แสดงค่า
ผลตอบสนองของระบบเมื่อป้อนสัญญาณอินพุตแบบอิมพัลส์ (Impulse Function)
วิธีทา - จาก Closed Loop Transfer Function
2 2
Impulse Response
4.5
3.5
2.5
Amplitude
1.5
0.5
-0.5
0 2 4 6 8 10 12 14
Time (sec)
84
- และระบบในตัวอย่างที3่ -7
2 2
Impulse Response
5
3
Amplitude
-1
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
Time (sec)
85
สรุป
ในบทนี้ไ ด้ก ล่าวถึ ง เนื้อ หาวิธีก ารการวิเ คราะห์ผ ลตอบสนองเชิง เวลา (Time Domain
Response Analysis) อั นได้แก่ การวิเ คราะห์ผ ลตอบสนองชั่วขณะ (Transient Response
Analysis) และ การวิเคราะห์ผลตอบสนองเชิง สถิต หรือสภาวะคงที่ (Steady State Response)
ของระบบอันดับหนึ่งและระบบอันดับสอง ประเด็นสาคัญคือความต้องการของการศึกษาพฤติกรรม
ของระบบ (Behavior Of System) ต่อสัญญาณมาตรฐานที่ป้อนที่นิยมใช้สัญญาณแบบหนึ่งหน่วย
(Step Function) แบบอิมพัลล์ (Impulse Function) แบบลาด (Ramp Function) และแบบซายน์
(Sinusoidal Function) ในช่วงท้ายหน่วยเป็นเนื้อหาการประยุกต์ใช้โปรแกรม Matlab ในการหาค่า
และแสดงผลตอบสนองของระบบซึ่งช่วยในการอานวยความสะดวกในการวิเคราะห์ผลตอบสนองทาง
เวลา
- สรุปคาสั่งในโปรแกรม Matlab ที่ช่วยอานวยความสะดวกในการหาผลตอบสนองของ
ระบบในโดเมนเวลา
- tf(num,den) หมายถึง การสร้างฟังก์ชันถ่ายโอนโดยมี Num คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัว
เศษและค่า den คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัวส่วน
- step(sys) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได
- step(sys,t) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันไดในช่วงเวลา t
- impulse(sys) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์
- impulse(sys,t) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์ในช่วงเวลา t
- [z,p,k]=tf2zp(num,den) หมายถึง การหาตาแหน่งโพล ซีโร่และค่าอัตราขยาย (Gain)
ของฟังก์ชันถ่ายโอน
- [num,den]=zp2tf(z,p,k) หมายถึง การหาฟัง ก์ ชันถ่ายโอนเมื่ อก าหนดตาแหน่ง โพล
และซีโร่ ค่าอัตราขยาย
- zplane(zero,pole) หมายถึง การพล็อตกราฟ โพลและซีโร่ บนระนาบ
86
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาแสดงวิธีทาและตอบคาถามต่อไปนี้
1. จากฟั ง ก์ชั่นถ่ายโอนของระบบต่อไปนี้จ งแสดงวิธีก ารคานวณหาค่า ของระบบเมื่ อป้อน
สัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วยซึ่งมี มีค่า 4% ค่า 𝑇 มีค่า 2 วินาที
2 2
3. จงหาค่า ของระบบควบคุมแบบป้อนกลับเป็นหนึ่งจากฟังก์ชั่นถ่ายโอนแบบลูปปิด
4. จากบล็อกไดอะแกรมของระบบดังภาพ จงแสดงวิธีการหาค่าผลตอบสนองของระบบเมื่อป้อน
สัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วย
E(s)
X(s) + Y(s)
𝟓𝟎
𝑺 𝑺 𝟑
𝟐𝑺 𝟏
5. จากบล็อกไดอะแกรมของระบบดังภาพ จงแสดงวิธีการหาค่าผลตอบสนองของระบบควบคุม
ป้อนกลับแบบเป็นหนึ่ง (Unity Feedback) โดยกาหนดให้มีการป้อนสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วย
87
E(s)
X(s) + Y(s)
𝑺 𝟏 𝟐𝟎
𝑺𝟐
6. จากฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบต่อไปนี้จงแสดงผลตอบสนองของระบบโดยใช้โปรแกรม Matlab
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 3
ผลตอบสนองเชิงเวลา
สัญญาณป้อนสาหรับทดสอบผลตอบสนองของระบบ
1. สัญ ญาณป้ อ นหรือ อิ น พุ ต แบบหนึ่ง หน่ วย (Step Function) แสดงได้ด้ วยสมการ
คณิตศาสตร์ดังนี้
เมื่ อ
เมื่ อ
กาหนดให้ เป็นค่าคงที่ (Constant)
- เมื่อทาการแปลงให้อยู่ในรูปสมการลาปลาซจะได้
𝐴
(3-3)
𝑠
โดยสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วยมีลักษณะดังภาพที่ 3.1
( )
=X𝑢 ( )
𝐴
(3-4)
𝑠2
59
โดยสัญญาณอินพุตแบบลาดมีลักษณะดังภาพที่ 3.2
( )
t
Slop=X
=X𝑢 ( )
𝑥 𝑡 𝑋𝑡 2 𝑢𝑠 𝑡
X(s) 1 Y(s)
𝑇𝑠 1
สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณอินพุตและสัญญาณเอาท์พุตของ
ระบบได้ดังนี้
1
(3-6)
𝑇 1
สาหรับการวิเคราะห์ผลตอบสนองของระบบ ทาได้โดยการป้อนสัญญาณต่างๆที่ได้กล่าวมา
ข้างต้นให้กับระบบโดยต้องกาหนดให้ค่าเงื่อนไขเริ่มต้น (Initial Condition) เป็นศูนย์
1. ผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่งจากสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วย
สาหรับผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่งเมื่อทาการป้อนสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วยเมื่อ
ท าการแปลงลาปลาซแล้ ว จะได้ 1 ผลตอบสนองของสั ญ ญาณจะได้ เ ป็ น
𝑠
1 1
. (3-7)
𝑠 𝑇𝑠 1
y(t)
e(t) -t/T
1-e
1.0
-t/T
e
𝑇 1 . (3-10)
สัญญาณความคลาดเคลื่อน หาได้จาก
(3-11)
y(t)
e(t) -t/T
y(t)= 1-e
1.0
0.632
63.2%
86.5%
98.2%
99.3%
95%
T 2T 3T 4T 5T
- ทาการแปลงลาปลาซผกผันสมการที่ (3-13)
𝑇 (1 )
- สัญญาณความคลาดเคลื่อน หาได้จาก
𝑇 (1 ) (3-14)
x(t) x(t)
y(t)
t ) y(t)
6T e(
4T
2T
2T 4T 6T t
1
𝑇 1
.( ) (3-15)
1
𝑦 𝑡 . 𝑒𝑇
𝑇
65
y(t)
6T
4T
2T
t
2T 4T 6T
E(s)
X(s) + Y(s)
ฟังก์ชันถ่ายโอนของลูป คือ
(3-17)
เมื่อสมการคุณลักษณะของลูปปิด คือ
(3-18)
การวิเคราะห์คุณสมบัติของระบบอันดับสอง จะพิจารณาในเทอมของตัวแปรสองตัวคือ
และ โดยแบ่งการพิจารณาออกเป็น 4 กรณีคือ
1. กรณี Undamped ( = 0 )
กรณีนี้รากของสมการคุณลักษณะหรือ Pole ของลูป ปิดจะอยู่บนแกนจินตภาพ
(Imaginary) ในระนาบ s ซึ่งเอาท์พุตของระบบจะเกิดการแกว่ง (Oscillate) อย่างต่อเนื่อง
2. กรณี Under Damped ( 0 < <1)
กรณีนี้รากของสมการคุณลักษณะจะเป็นปริมาณเชิงซ้อน (Complex Conjugate)
และอยู่ทางครึ่งซ้ายในระนาบ s และระบบจะเป็นแบบ Under Damped ซึ่งผลตอบสนองชั่วครู่ของ
ระบบเกิดการแกว่งภายใต้การหน่วง
67
2
𝑌 𝑠 𝜔𝑛
𝑋 𝑠 𝑠2 𝜔𝑛 𝜔𝑛 2
เมื่อ ( =0 ) จะได้
สมการคุณลักษณะของลูปปิดคือ
รากของสมการคุณลักษณะคือ
68
(3-19)
(3-20)
- รากของสมการคุณลักษณะคือ
(3-21)
(3-22)
- ผลตอบสนองของระบบจะเกิดการแกว่งชั่วครู่ด้วยความถี่ และแปรค่าไปตามอัตรา
ความหน่วง ค่าความคลาดเคลื่อนจะหาได้จาก
(3-23)
(3-24)
- ผลตอบสนองเวลาของระบบอันดับสองนี้ไม่มกี ารแกว่ง
4.1.3 กรณี Over Damped ( >-) กรณีนี้รากของสมการคุณลักษณะจะ
มีค่าไม่เท่ากันโดยเป็นค่าจริงที่เป็นลบทั้งสองค่าคือ
(3-27)
ผลตอบสนองของระบบอันดับสองในกรณีนี้จะคล้ายกับผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่ง
และประกอบไปด้วยเทอมของฟั งก์ชั่นเอ็ กโพเนนเชียล (Exponential) ที่ ลดลงซึ่ง อาจจะตัดทิ้งได้
เพราะมีผลต่อผลตอบสนองระบบมีค่าน้อย
สาหรับการวิเคราะห์ผลการตอบสนองของระบบและค่าต่างๆ ที่ใช้ในการอธิบายคุณสมบัติ
ของระบบแสดงดังภาพที่ 3.11 จะเห็นว่าผลการตอบสนองที่ค่าอัตราการหน่วงของระบบ (Damping
Ratio) ในกรณีของ Underdamped ถือว่าเป็นการตอบสนองที่ดีที่สุดของระบบอันดับสองเนื่องจาก
ให้ Rise Time และ Settling Time ที่ดีที่สุด
71
คุณลักษณะการวิเคราะห์ผลตอบสนองของระบบควบคุมอันดับสอง
การวิเคราะห์ผลการตอบสนองโดยทั่วไปของระบบอันดับสอง (Second Order) เมื่อป้อน
สัญญาณอินพุตมาตรฐานที่เป็นแบบสัญญาณระดับ (Unit Step Function) โดยสามารถตรวจสอบ
คุณสมบัติบางประการของระบบควบคุมได้โดยการวิเคราะห์จากค่าต่างๆ ดังนี้
1. เวลาไต่ขึ้น (Rise Time)
Tr คือเวลาที่วัดจากผลตอบสนองที่มีขนาดเพิ่มขึ้นจาก 10% ถึง 90% ของค่าสุดท้าย
(Final) สาหรับระบบควบคุมอันดับสอง ที่อยู่ในสภาวะความหน่วงน้อย (Underdamped) ปกติจะใช้
0% ถึง 100% สาหรับระบบในสภาวะความหน่วงมาก (Overdamped) ปกติจะใช้ 10% ถึง 90%
2. เวลาสูงสุด (Peak Time )
Tp คือเวลาที่ระบบควบคุมมีการตอบสนองสูงสุดคานวณได้จากสมการ
𝑇 (3-28)
√
3. ผลตอบสนองสูงสุด (Maximum Overshoot )
คือตัวบ่งบอกถึงความคลาดเคลื่อนสูงสุดระหว่างสัญญาณอินพุตและเอาต์พตุ
ที่ ส ภาวะชั่ว ครู่ (Transient State) และเป็นสิ่ง ที่ ใช้ป ระเมิ นผลเสถีย รภาพของระบบควบคุ ม
72
2
. √1
𝑇 (3-29)
โดยลักษณะการตอบสนองชั่วขณะของระบบอันดับสองสามารถแสดงดังภาพที่ 3.12
ความสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่งของโพลและการตอบสนองของระบบอันดับสอง
ความสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่งของโพล (Pole) และการตอบสนองของระบบอันดับสองแบบ
Underdamped แบ่งตามลักษณะของโพล ได้ดังนี้
1. เมื่อโพลมีค่าส่วนจริงคงที่ (Constant Real Part) ผลการตอบสนองของระบบต่ออินพุต
แบบ Unit Step Function มีอัตราการลดลงของการตอบสนองเหมือนกัน แต่การตอบสนองจะมี
ความถี่ของสัญญาณซายน์ที่ต่างกันดังแสดงในภาพที่ 3.13
73
e(t)
Envelope the same
s-plane
Pole motion
Pole motion
t
e(t)
Same Overshoot
s-plane
Pole motion
E(s)
X(s) + Y(s)
- ค่าเวลาไต่ขึ้น 𝑇 มีค่า
3.
𝑇
โดยที่ หาได้จาก 3
.
75
เพราะฉะนั้น
.1 .
𝑇 . วินาที
- ค่าเวลาสูงสุด 𝑇
.1
𝑇 . วินาที
- ค่าการตอบสนองสูงสุด
3
. หรือ .
- ค่าเวลาสูส่ มดุลย์ 𝑇 หาคาตอบได้สองกรณีคือ
3 3
- กรณีไม่เกิน 𝑇
3
1 วินาที
- กรณีไม่เกิน 𝑇
3
1. วินาที
E(s)
X(s) + 𝐾 Y(s)
𝑆 𝑆 1
1 𝐾𝑏 𝑆
76
จะได้ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบเท่ากับ
2 1 .
เมื่อเปรียบเทียบกับฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบควบคุมอันดับสองโดยทั่วไปจะมีความสัมพันธ์
ดังนี้
2
และ
1 .
.√
- หาค่า K และค่า Kb และเมือ่ ต้องการ Mp=0.2 และ tp=1 วินาที
1. 1
2
√1
- จากสมการ 1
- หรือ .1
- ดังนั้น .
√
- จะทาให้อัตราขยาย K มีค่าเท่ากับ
2
. 2 1 .
- ค่าเวลาไต่ขึ้น (Rise Time) ของระบบหาได้จากสมการ
𝑇
- เมื่อค่า 1. 1.1
- เพราะฉะนั้นค่า 𝑇 . วินาที
77
- ค่าเวลาสูส่ มดุลของระบบเท่ากับ
3
- ในกรณี 5% ค่า 𝑇 1. วินาที
𝑇 1 𝑇 1 𝑇 1
𝑇 1 𝑇2 1 (𝑇 1)
E(s)
X(s) + Y(s)
𝐺 𝑠
การหาผลตอบสนองระบบจากฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยใช้โปรแกรม Matlab
เมื่อเราทราบฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบแล้ว เราสามารถวิเคราะห์ ค่าความคลาด
เคลื่อนของระบบ (Steady State Error) โดยทาการป้อนสัญ ญาณอินพุตแบบต่างๆ เช่น Step
Function, Ramp Function, Impulse Function โปรแกรม Matlab จะมีฟังก์ชั่นอานวยความ
สะดวกใช้ในการวิเคราะห์ ทาให้การวิเคราะห์ระบบมีความง่ายและรวดเร็วมากขึ้น โดยมีฟังก์ชั่นดังนี้
1. ผลตอบสนองของระบบต่อสัญญาณแบบหนึ่งหน่วย (Unit Step Function)
คาสั่ง ความหมาย
tf(num,den) การสร้างฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยมี num เป็นค่าสัมประสิทธิ
ของเศษและ den เป็นค่าสัมประสิทธิ์ของส่วน
Step(sys) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของระบบ
Step(sys,t) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของระบบในช่วงเวลา t
Step(sys1,’color’,sys2,’line’) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของสองระบบเปรียบเทียบกัน
79
- กาหนดค่าตัวแปรต่างๆ บนหน้าต่างคาสั่งและหาค่าผลตอบสนองต่อสัญญาณ
อินพุตแบบหนึ่งหน่วย (Unit Step Function)
- คีย์คาสั่งนี้ลงบน Command Windows ของโปรแกรม Matlab
>> sys1=tf([10 10],[1 10 10]);
>> U1=step(sys1);
>> plot(U1);
>> axis([0 100 0 1.5]);
>> xlabel('t');ylabel('amplitude');
>>title('step-response curves')
- จะได้ผลตอบสนองของระบบดังภาพข้างล่าง
step-response curves
1.4
1.2
0.8
0.6
0.4
0.2
0
0 5 10 15 20 25 30 35
80
1.2
0.8
Amplitude
0.6
0.4
0.2
0
0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 5
Time (sec)
>>t=[0:0.01:5];
>>step(sys1,’r’,sys2,’- -‘,t);
- จะได้ผลตอบสนองของระบบสองระบบเปรียบเทียบกันดังภาพข้างล่าง
Step Response
1.4
1.2
1 𝑠 1
𝐺 𝑠
1 𝑠2 1 𝑠 1
0.8
Amplitude
0.6
𝐹 𝑠
0.4 𝑠2 𝑠
0.2
0
0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 5
Time (sec)
คาสั่ง ความหมาย
tf(num,den) การสร้างฟังก์ชั่นถ่ายโอนโดยมี num เป็นค่าสัมประสิทธิของ
เศษและ den เป็นค่าสัมประสิทธิ์ของส่วน
Impulse(sys) การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์ (Impulse Response)
ของระบบ
Impulse (sys,t) การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์ (Impulse Response)
ของระบบในช่วงเวลา t
Impulse (sys1,’color’,sys2,’line’) การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได (Step Response)
ของสองระบบเปรียบเทียบกัน
82
ตัวอย่างที่ 3-6 จาก Closed Loop Transfer Function ต่อไปนี้จงใช้โปรแกรม Matlab แสดงค่า
ผลตอบสนองของระบบเมื่อป้อนสัญญาณอินพุตแบบอิมพัลส์ (Impulse Function)
Impulse Response
5
4.5
3.5
3
Amplitude
2.5
1.5
0.5
0
0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5
Time (sec)
83
ตัวอย่างที่ 3-7 จาก Closed Loop Transfer Function ต่อไปนี้จงใช้โปรแกรม Matlab แสดงค่า
ผลตอบสนองของระบบเมื่อป้อนสัญญาณอินพุตแบบอิมพัลส์ (Impulse Function)
วิธีทา - จาก Closed Loop Transfer Function
2 2
Impulse Response
4.5
3.5
2.5
Amplitude
1.5
0.5
-0.5
0 2 4 6 8 10 12 14
Time (sec)
84
- และระบบในตัวอย่างที3่ -7
2 2
Impulse Response
5
3
Amplitude
-1
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
Time (sec)
85
สรุป
ในบทนี้ไ ด้ก ล่าวถึ ง เนื้อ หาวิธีก ารการวิเ คราะห์ผ ลตอบสนองเชิง เวลา (Time Domain
Response Analysis) อั นได้แก่ การวิเ คราะห์ผ ลตอบสนองชั่วขณะ (Transient Response
Analysis) และ การวิเคราะห์ผลตอบสนองเชิง สถิต หรือสภาวะคงที่ (Steady State Response)
ของระบบอันดับหนึ่งและระบบอันดับสอง ประเด็นสาคัญคือความต้องการของการศึกษาพฤติกรรม
ของระบบ (Behavior Of System) ต่อสัญญาณมาตรฐานที่ป้อนที่นิยมใช้สัญญาณแบบหนึ่งหน่วย
(Step Function) แบบอิมพัลล์ (Impulse Function) แบบลาด (Ramp Function) และแบบซายน์
(Sinusoidal Function) ในช่วงท้ายหน่วยเป็นเนื้อหาการประยุกต์ใช้โปรแกรม Matlab ในการหาค่า
และแสดงผลตอบสนองของระบบซึ่งช่วยในการอานวยความสะดวกในการวิเคราะห์ผลตอบสนองทาง
เวลา
- สรุปคาสั่งในโปรแกรม Matlab ที่ช่วยอานวยความสะดวกในการหาผลตอบสนองของ
ระบบในโดเมนเวลา
- tf(num,den) หมายถึง การสร้างฟังก์ชันถ่ายโอนโดยมี Num คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัว
เศษและค่า den คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัวส่วน
- step(sys) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันได
- step(sys,t) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบขั้นบันไดในช่วงเวลา t
- impulse(sys) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์
- impulse(sys,t) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองแบบอิมพัลส์ในช่วงเวลา t
- [z,p,k]=tf2zp(num,den) หมายถึง การหาตาแหน่งโพล ซีโร่และค่าอัตราขยาย (Gain)
ของฟังก์ชันถ่ายโอน
- [num,den]=zp2tf(z,p,k) หมายถึง การหาฟัง ก์ ชันถ่ายโอนเมื่ อก าหนดตาแหน่ง โพล
และซีโร่ ค่าอัตราขยาย
- zplane(zero,pole) หมายถึง การพล็อตกราฟ โพลและซีโร่ บนระนาบ
86
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาแสดงวิธีทาและตอบคาถามต่อไปนี้
1. จากฟัง ก์ชั่นถ่ายโอนของระบบต่อ ไปนี้จ งแสดงวิธีก ารคานวณหาค่า ของระบบเมื่ อป้อน
สัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วยซึ่งมี มีค่า 4% ค่า 𝑇 มีค่า 2 วินาที
2 2
3. จงหาค่า ของระบบควบคุมแบบป้อนกลับเป็นหนึ่งจากฟังก์ชั่นถ่ายโอนแบบลูปปิด
4. จากบล็อกไดอะแกรมของระบบดังภาพ จงแสดงวิธีการหาค่าผลตอบสนองของระบบเมื่อป้อน
สัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วย
E(s)
X(s) + Y(s)
𝟓𝟎
𝑺 𝑺 𝟑
𝟐𝑺 𝟏
5. จากบล็อกไดอะแกรมของระบบดังภาพ จงแสดงวิธีการหาค่าผลตอบสนองของระบบควบคุม
ป้อนกลับแบบเป็นหนึ่ง (Unity Feedback) โดยกาหนดให้มีการป้อนสัญญาณอินพุตแบบหนึ่งหน่วย
87
E(s)
X(s) + Y(s)
𝑺 𝟏 𝟐𝟎
𝑺𝟐
6. จากฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบต่อไปนี้จงแสดงผลตอบสนองของระบบโดยใช้โปรแกรม Matlab
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 4
ผลตอบสนองเชิงความถี่
ในบทที่ผ่านมาได้กล่าวถึงเรื่องผลตอบสนองทางเวลาของระบบ สิ่งหนึ่งที่สาคัญในการศึกษา
วิชาระบบควบคุม คือผลตอบสนองทางความถี่ (Frequency Response) ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานใน
การวิเคราะห์ระบบควบคุม ในบทนี้นาเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผลตอบสนองทาง
ความถี่ ด้วยแผนภาพโบด และการวิเ คราะห์เ สถียรภาพของระบบด้ วยแผนภาพไนควิส ต์ การ
ประยุกต์ใช้โปรแกรม Matlab ช่วยในการทาความเข้าใจเกี่ยวกับผลตอบสนองของความถี่ เพิ่มเติม
ต่อไป
4.1 ผลตอบสนองทางความถี่ (Frequency Response)
ผลตอบสนองทางความถี่ คือ ผลตอบสนองที่สภาวะคงที่ของระบบควบคุม โดยเมื่อป้อน
สัญ ญาณอินพุ ต คือ ในลัก ษณะสั ญ ญาณไซนูซ อยด์ (Sinusidal) ที่ ค่าความถี่ ต่าง ๆ กั น โดย
ผลตอบสนองจะมีลักษณะเป็นสัญญาณไซนูซอยด์ เช่นเดียวกับสัญญาณอินพุต แต่มีขนาดและมุม
เฟสที่เปลี่ยนไปตามความถี่ของสัญญาณอินพุต และสามารถพิสูจน์ได้ดังนี้ พิจารณาระบบเชิงเส้นที่
เสถียรภาพ ดังต่อไปนี้
x(s) Y(s)
G(s)
เมื่อกาหนดให้สัญญาณอินพุตซึ่งเป็นสัญญาณไซนูซอยด์คือ
( ) (4-1)
𝑌(𝑠) 𝑌(𝑠)
เมื่อท𝐺าการแปลงลาปลาซแล้
(𝑠) วจะได้สัญญาณออกคือ (4-2)
𝑋(𝑠) (𝑠 + 𝑠1)(𝑠 + 𝑠2)(𝑠 + 𝑠3) … . (𝑠 + 𝑠𝑛 )
89
( ) (4-3)
จะได้
( ) ( ). (4-4)
และเมือ่ ทาการแปลงลาปลาซผกผันกลับจะได้
𝑦 (𝑡 ) 𝑦𝑠𝑖𝑛(𝜔𝑡 + 𝜑) (4-5)
โดย
| ( )| (4-6)
( )
| ( )| | | (4-7)
( )
มุมเฟสของ ( ) จะเปลี่ยนแปลงตามความถี่ของสัญญาณอินพุตดังนี้
𝑌(𝑗𝜔)
𝐺 (𝑗𝜔) (4-8)
𝑋(𝑗𝜔)
4.2 กราฟของผลตอบสนองเชิงความถี่
เมื่อกาหนดให้ ( )คือฟังชั่นถ่ายโอนของระบบควบคุมใด ๆ จะสามารถเขียน ( )
ให้อยู่ในรูปโดเมนความถี่ดังนี้
90
( ) ( ) ( )+ ( ) (4-9)
เมื่อ
( ) | ( )| คือส่วนที่เป็นค่าจริงของ ( )
( ) | ( )| คือส่วนที่เป็นค่าจินตภาพของ ( )
นอกจากนี้ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของ ( ) ยังสามารถเขียนในรูปแบบของขนาดและมุมเฟสของ
ได้ดังนี้
( ) | ( ) | | ( )| ( ) (4-10)
โดยขนาดของ ( ) หาได้จากสมการ
| ( )| √ ( )2 + ( )2 (4-11)
91
เส้นกราฟที่แสดงผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบที่เขียนขึ้นโดยอาศัยสมการในการหาค่าและระบบ
พิกัดที่ใช้ในกรณีนี้จะใช้แกนนอนเป็นส่วนของค่าจริงและแกนตั้งเป็นส่วนของแกนจินตภาพของ
4.3 พื้นฐานของการวิเคราะห์ผลตอบสนองเชิงความถี่
ในการวิเ คราะห์ผลตอบสนองเชิง ความถี่โดยทั่วไปที่ นิยมมี 2 แบบคือ การวิเคราะห์ด้วย
แผนภาพโบด (Bode Plot) และการวิเคราะห์ด้วยแผนภาพไนควิสต์
4.3.1 การวิเคราะห์ด้วยแผนภาพโบด (Bode Plot)
เฮนดริก ดับบลิว นาเสนอหลักการวิเ คราะห์โ ดยรียกว่า แผนภาพโบด ประกอบด้วย
- แผนภาพแสดงผลของการเปลี่ ยนแปลงขนาดต่อความถี่อิน พุต (Amplitude
Graph)
- แผนภาพที่แสดงผลของการเปลี่ยนแปลงมุมเฟสต่อความถี่อินพุต (Phase Graph)
เนื่องจากต้องการให้แผนภาพสามารถวิเคราะห์ผลตอบสนองความถี่ในย่านที่กว้าง
ดังนั้นตัวแปรความถี่ในแนวแกนนอนจึงถูกทาให้มีลักษณะการเพิ่มค่าเป็นแบบล็อกสเกล
4.3.2 การเขียนแผนภาพโบด
การเขียนแผนภาพโบดทาได้โดยการแยกเทอมของฟังก์ชั่นถ่ายโอนที่แทนที่ตัวแปรเอส (s)
ด้วยความถี่เชิงซ้อน ( ) ออกเป็นหลายๆเทอม แล้วสร้างแผนภาพโบดย่อยของผลตอบสนองของ
แต่ล ะเทอม แล้วจึ ง นาผลตอบสนองทุ ก เทอมมารวมเป็ นแผนภาพเดียวกั น ซึ่ง เป็ นแผนภาพ
ผลตอบสนองรวมของทั้งระบบ เมื่อพิจารณาสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนดังนี้
( + 1 )( + 2 ) … ( + )
( ) (4-13)
( + 1 )( + 2 ) … ( + )
ขนาดของผลตอบสนองทางความถี่หรือ ( ) จะมีค่าเท่ากับผลคูณของขนาดของแต่ละเทอมดัง
สมการ
| ||( )|| |…| |
| ( )| (4-14)
| ||( )||( )|…|( )|
ขนาด ( ) 1 | | (4-15)
92
ดังนั้นเมื่อทราบขนาดของแต่ละเทอมของสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอน สามารถเอาขนาดมาบวก
ลบกันได้เขียนความสัมพันธ์สมการที่ 4-13 และ 4-15 จะได้
( ) ( + 1 + 2 + )
( + 1 + 2 + )
เมื่อ
จากที่นาเสนอมาสามารถแบ่งลักษณะของเทอมต่าง ๆ ของฟังก์ชั่นถ่ายโอนแบ่งเป็น 4 รูปแบบคือ
1. เมื่อค่า Gain เป็นค่าคงที่ K
2. เมื่อโพลหรือซีโร่เป็นค่าบนจุดกาเนิด (Origin) นั่นคือ1/s หรือ s
3. เมื่อโพลหรือซีโร่เป็นค่าบนแกนจริง (Real)
4. เมื่อโพลหรือซีโร่เป็นค่าบนจุดเป็นค่าเชิงซ้อน (Complex)
สาหรับการวิเคราะห์ด้วยแผนภาพโบดของรูปแบบต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้
4.3.2.1 รูปแบบของฟังก์ชั่นถ่ายโอนมี Gain เป็นค่าคงที่
| ( )| 1 | |
และคานวณมุมเฟสจะได้
เขียนแผนภาพโบดได้ดังนี้
K=10
(dB) (Degree)
40 180
20 90
0 0 K
-20 -90
-40 -180 K
-60 -270
0.01 0.1 1 10 100 1000 0.01 0.1 1 10 100 1000
4.3.2.2 รูปแบบของฟังก์ชั่นถ่ายโอนเมื่อโพลหรือซีโร่เกิดขึ้นบนจุดกาเนิด
(Origin)
1 1
- เมื่อโพลของระบบเท่ากับ ( ) ( ) สามารถ
คานวณหาค่าขนาดของผลตอบสนองได้จาก
| ( )| 𝑙𝑜𝑔1 | | (4-16)
(dB)
40
20
0
-20
-40
-60
0.01 0.1 1 10 100 1000
คานวณมุมเฟสของเทอมที่มีโพลที่จุดกาเนิดได้จาก
( ) ( )−1 (4-17)
(Degree)
180
90
0
-90
-180
-270
0.01 0.1 1 10 100 1000
สามารถคานวณหาค่าขนาดของผลตอบสนองได้จาก
| ( )| 𝑙𝑜𝑔1 | |
n=2
(dB)
40
20
0
-20
-40
-60
0.01 0.1 1 10 100 1000
(Degree)
180
90
0
-90
-180
-270
0.01 0.1 1 10 100 1000
4.3.2.4 รูปแบบของฟังก์ชั่นถ่ายโอนเมื่อโพลหรือซีโร่เกิดขึ้นบนแกนจริง
(Real Axis)
- เมื่อโพลเกิดขึ้นบนแกนจริงจะมีฟังก์ชั่นถ่ายโอนคือ
( ) เมื่อ ( ) (4-19)
การวิเคราะห์การตอบสนองความถี่ของระบบจะพิจารณาย่านความถี่ของ มี 2 กรณีคือ
1. กรณี น้อยกว่า a มากๆ ย่านความถี่ นี้เป็นช่วงความถี่ต่า (Low Frequency)
2. กรณี มากกว่า a มากๆ ย่านความถี่ นี้เป็นช่วงความถี่ต่าสูง (High Frequency)
คานวณขนาดผลตอบสนองได้จาก
−1
2
| ( | (√ + ( ) ) (4-20)
2
หรือ | ( )| 1 [ +( ) ]
| ( )| 1 (4-21)
97
| ( )| 1 (4-22)
สามารถเขียนแผนภาพขนาดดังภาพที่ 4.7
20
0
-20 Slop=-20dB/decade
-40
-60
0.01b 0.1b b 10b 100b 1000b
การคานวณหามุมเฟสเมื่อโพลอยูบ่ นแกนจริงหาได้จากสมการ
( ) (
+
) (4-23)
45o
0o Actual line
Estimate line Slop= -45o
-45o
/decade
90o
-135o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
98
135o
90o Actual line
45o Slop=45o
Estimate line /decade
0o
-45o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
( ) , แทน ,
( ) (4-24)
2
| ( )| √ +( ) (4-25)
ถ้าค่า หาค่าขนาดได้จาก
| ( )| 1 (4-26)
หรือถ้าค่า หาค่าขนาดได้จาก
| ( )| 𝑙𝑜𝑔1 (4-27)
99
เขียนแผนภาพโบดเมื่อซีโร่มีค่าบนแกนจริงได้ดังภาพที่ 4.9
dB
60
40
20 Actual line
0 Estimate line
-20
0.01b 0.1b b 10b 100b 1000b
Conner frequency
การคานวณมุมเฟสของซีโร่บนแกนจริงหาได้จากสมการ
+
( ) ( ) (4-28)
ถ้าค่า หาค่ามุมเฟสได้จาก
𝑜
( )
ในกรณีซีโร่วางอยู่ทางด้านซ้ายมือของระนาบเอส สมการมุมเฟสจะได้เป็น
𝑜
( ) ( )
ในกรณีค่าความถี่อินพุตมีค่าเท่ากับความถี่ที่จุด a และซีโร่วางอยู่ด้านซ้ายมือของระนาบเอส
สมการมุมเฟสจะได้เป็น
𝑜
( ) ( )
100
และเมื่อซีโร่วางอยู่ด้านขวามือของระนาบเอส สมการมุมเฟสจะได้เป็น
𝑜
( ) ( )
135o
90o Actual line
45o Slop=45o
Estimate line /decade
0o
-45o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
45o
0o Actual line
Estimate line Slop= -45o
-45o
/decade
90o
-135o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
( ) (4-29)
2
( ) (4-30)
2
101
คานวณหาขนาดได้จาก
| ( )| (4-31)
√( − ) (2 )
สามารถเขียนแผนภาพขนาดดังภาพที่ 4.11
dB
40
20
0
-20
-40
-60 Estimate line
0.01 0.1 10 100
และคานวณมุมเฟสได้จากสมการ
( ) ( ) (4-32)
สามารถเขียนแผนภาพมุมเฟสดังภาพที่ 4.12
45o
0o
หาค่า จาก
เมื่อ 2
√
แผนภาพขนาดและเฟสของสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนดังรูป
Bode Diagram
20
0
Magnitude (dB)
-20
-40
-60
0
-45
Phase (deg)
-90
-135
-180
-1 0 1 2
10 10 10 10
Frequency (rad/sec)
103
ฟังก์ชั่น ความหมาย
[z,p,k]=tf2zp(num,den) การหาตาแหน่งของโพล ซีโร่และค่าอัตราขยายของฟังก์ชั่นถ่าย
โอน
bode(sys) การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sys
bode(sys,{wmin,wmax}) การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sysในช่วงความถี่
wmin ถึง wmax
bode(sys,w) การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sysในช่วงความถี่ w
bode(sys1,’r’,sys2’y-- การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sys1,sys2,sys3
‘,sys3,’gx’) เปรียบเทียบกัน
3 1
เมื่อระบบมีฟังก์ชั่นถ่ายโอนคือ ( )
−
2. การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sys1
Transfer function:
s^2 + 3 s + 1
-------------
s^2 + 6 s - 6
>> bode(sys1)
>> grid
-5
Magnitude (dB)
-10
-15
-20
45
0
Phase (deg)
-45
-90
-135
-180
-2 -1 0 1 2
10 10 10 10 10
Frequency (rad/sec)
4.5 การวิเคราะห์ผลตอบสนองทางความถี่ด้วยวิธีของไนควิสต์
ในการวิเคราะห์ระบบควบคุมในโดเมนความถี่เป็นวิธีการแบบเดิมที่นิยมสาหรับการออกแบบ
และระบบวิเคราะห์ระบบควบคุมโดยวิธีการของไนควิสต์ พิจารณาดังนี้ระบบควบคุมแบบป้อนกลับ
ดังภาพ 4.13
105
H(s)
+ ( ) ( ) (4-34)
( ) ( )
( 1)( 2)
จะได้สมการคุณลักษณะเป็น
( ) + ( ) ( )
+(
1)( 2)
106
( + . + . )( + . . )
( + )( + )
( ) ( + )
+(
2 2)(3 2)
. .
Imaginary Imaginary
axis axis
2 1+j2 2
S-plane 1 1
-2 -2
imag
j
B
S-plane
Real
C
A Nyquist path
j
F(s)=G(s)H(s)
4
2 3
1
R
-1 3 1
4
+ (4-35)
2
H(s) 2S+5S+1 Y(s)
S 2+2S+3
จะได้ผลการพล็อตกราฟของระบบด้วยวิธีการของไนควิสต์ ดังภาพต่อไปนี้
Nyquist Diagram
2
1.5
0.5
Imaginary Axis
-0.5
-1
-1.5
-2
-1 -0.5 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3
Real Axis
สรุป
- ผลตอบสนองทางความถี่ (Frequency Response) คือการศึกษาการตอบสนองของระบบ
เชิง เส้น (Linear System) กั บสัญญาณอินพุตที่ ป้อนซึ่ง เป็นสัญญาณรูปคลื่นไซน์ (Sinusoidal)
- การเขียนโพล่าร์พล็อตคือการเขียนความสัมพันธ์ระหว่างอินพุตและเอาต์พุตให้อยู่ในรูปของ
ขนาด (Magnitude) และมุม (Phase) บนแกนโพล่าร์
- การเขียนโบดพล็อตคือการเขียนฟังก์ชันถ่ายโอน ( )ด้วยกราฟ 2 อย่างคือกราฟ
ขนาดของ ( ) อยู่ในหน่วยของเดซิเบลต่อความถี่ และกราฟของมุมต่างเฟสของ ( )
- การเขียนกราฟผลตอบสนองทางความถี่วิธีของไนควิสต์คือการแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ฟังก์ชั่นถ่านโอนแบบเปิดของผลตอบสนองทางความถี่ ( ) ( ) กับจานวนซีโร่และ
จานวนโพลของสมการ + ( ) ( )
- สรุปคาสั่งในโปรแกรม Matlab ที่ช่วยอานวยความสะดวกในการหาผลตอบสนองของ
ระบบในโดเมนความถี่
- tf(num,den) หมายถึง การสร้างฟังก์ชันถ่ายโอนโดยมี num คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัว
เศษและค่า den คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัวส่วน
- nyquist(sys) หมายถึ ง การพล็ อ ตผลตอบสนองทางความถี่ ไ นควิ ส ต์ ข องระบบ
- nyquist(sys,w) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองทางความถี่ไนควิสต์ของระบบในช่วง
ความถี่ที่ต้องการ nyquist(sys) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองทางความถี่ไนควิสต์ของระบบ
- bode(sys) หมายถึง การพล็อตโบด ผลตอบสนองทางความถี่ของระบบ
- bode(sys,w) หมายถึง การพล็อตโบด ผลตอบสนองทางความถี่ของระบบในช่วงความถี่ที่
ต้องการ
110
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้
1. จงเขียนกราฟโพลาร์ของฟังก์ชั่นถ่ายโอนต่อไปนี้
( ) ( ) 3 2
+ +
2. จงเขียนกราฟของโบดพล็อตที่ประกอบด้วยขนาดและมุมเฟสของฟังก์ชั่นถ่ายโอนแบบปิดต่อไปนี้
โดยประยุกต์ใช้โปรแกรม Matlab ในการช่วยในการวิเคราะห์
.
2.1 ( ) 2.2 ( ) 2
2.3 ( ) 2.4 ( )
3. จากบล็อกไดอะแกรมของระบบควบคุมต่อไปนี้จงเขียนกราฟผลตอบสนองของความถี่
𝑆 2 + 3𝑆 +
X(s) 𝑆2 + 𝑆 Y(s)
𝑆2 + 𝑆 +
X(s) 𝑆3 + 𝑆2 + 𝑆 +
Y(s)
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 4
ผลตอบสนองเชิงความถี่
ในบทที่ผ่านมาได้กล่าวถึงเรื่องผลตอบสนองทางเวลาของระบบ สิ่งหนึ่งที่สาคัญในการศึกษา
วิชาระบบควบคุม คือผลตอบสนองทางความถี่ (Frequency Response) ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานใน
การวิเคราะห์ระบบควบคุม ในบทนี้นาเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผลตอบสนองทาง
ความถี่ ด้วยแผนภาพโบด และการวิเ คราะห์เ สถียรภาพของระบบด้ วยแผนภาพไนควิส ต์ การ
ประยุกต์ใช้โปรแกรม Matlab ช่วยในการทาความเข้าใจเกี่ยวกับผลตอบสนองของความถี่ เพิ่มเติม
ต่อไป
4.1 ผลตอบสนองทางความถี่ (Frequency Response)
ผลตอบสนองทางความถี่ คือ ผลตอบสนองที่สภาวะคงที่ของระบบควบคุม โดยเมื่อป้อน
สัญ ญาณอิ นพุ ต คือ ในลัก ษณะสั ญ ญาณไซนูซ อยด์ (Sinusidal) ที่ ค่าความถี่ ต่าง ๆ กั น โดย
ผลตอบสนองจะมีลักษณะเป็นสัญญาณไซนูซอยด์ เช่นเดียวกับสัญญาณอินพุต แต่มีขนาดและมุม
เฟสที่เปลี่ยนไปตามความถี่ของสัญญาณอินพุต และสามารถพิสูจน์ได้ดังนี้ พิจารณาระบบเชิงเส้นที่
เสถียรภาพ ดังต่อไปนี้
x(s) Y(s)
G(s)
เมื่อกาหนดให้สัญญาณอินพุตซึ่งเป็นสัญญาณไซนูซอยด์คือ
( ) (4-1)
𝑌(𝑠) 𝑌(𝑠)
เมื่อท𝐺าการแปลงลาปลาซแล้
(𝑠) วจะได้สัญญาณออกคือ (4-2)
𝑋(𝑠) (𝑠 + 𝑠1)(𝑠 + 𝑠2)(𝑠 + 𝑠3) … . (𝑠 + 𝑠𝑛 )
89
( ) (4-3)
จะได้
( ) ( ). (4-4)
และเมือ่ ทาการแปลงลาปลาซผกผันกลับจะได้
𝑦 (𝑡 ) 𝑦𝑠𝑖𝑛(𝜔𝑡 + 𝜑) (4-5)
โดย
| ( )| (4-6)
( )
| ( )| | | (4-7)
( )
มุมเฟสของ ( ) จะเปลี่ยนแปลงตามความถี่ของสัญญาณอินพุตดังนี้
𝑌(𝑗𝜔)
𝐺 (𝑗𝜔) (4-8)
𝑋(𝑗𝜔)
4.2 กราฟของผลตอบสนองเชิงความถี่
เมื่อกาหนดให้ ( )คือฟังชั่นถ่ายโอนของระบบควบคุมใด ๆ จะสามารถเขียน ( )
ให้อยูใ่ นรูปโดเมนความถี่ดังนี้
90
( ) ( ) ( )+ ( ) (4-9)
เมื่อ
( ) | ( )| คือส่วนที่เป็นค่าจริงของ ( )
( ) | ( )| คือส่วนที่เป็นค่าจินตภาพของ ( )
นอกจากนี้ฟังก์ชั่นถ่ายโอนของ ( ) ยังสามารถเขียนในรูปแบบของขนาดและมุมเฟสของ
ได้ดังนี้
( ) | ( ) | | ( )| ( ) (4-10)
โดยขนาดของ ( ) หาได้จากสมการ
| ( )| √ ( )2 + ( ) 2 (4-11)
91
เส้นกราฟที่แสดงผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบที่เขียนขึ้นโดยอาศัยสมการในการหาค่าและระบบ
พิกัดที่ใช้ในกรณีนี้จะใช้แกนนอนเป็นส่วนของค่าจริงและแกนตั้งเป็นส่วนของแกนจินตภาพของ
4.3 พื้นฐานของการวิเคราะห์ผลตอบสนองเชิงความถี่
ในการวิเ คราะห์ผลตอบสนองเชิง ความถี่โดยทั่วไปที่ นิยมมี 2 แบบคือ การวิเคราะห์ด้วย
แผนภาพโบด (Bode Plot) และการวิเคราะห์ด้วยแผนภาพไนควิสต์
4.3.1 การวิเคราะห์ด้วยแผนภาพโบด (Bode Plot)
เฮนดริก ดับบลิว นาเสนอหลักการวิเ คราะห์โ ดยรียกว่า แผนภาพโบด ประกอบด้วย
- แผนภาพแสดงผลของการเปลี่ ยนแปลงขนาดต่อความถี่อิน พุต (Amplitude
Graph)
- แผนภาพที่แสดงผลของการเปลี่ยนแปลงมุมเฟสต่อความถี่อินพุต (Phase Graph)
เนื่องจากต้องการให้แผนภาพสามารถวิเคราะห์ผลตอบสนองความถี่ในย่านที่กว้าง
ดังนั้นตัวแปรความถี่ในแนวแกนนอนจึงถูกทาให้มีลักษณะการเพิ่มค่าเป็นแบบล็อกสเกล
4.3.2 การเขียนแผนภาพโบด
การเขียนแผนภาพโบดทาได้โดยการแยกเทอมของฟังก์ชั่นถ่ายโอนที่แทนที่ตัวแปรเอส (s)
ด้วยความถี่เชิงซ้อน ( ) ออกเป็นหลายๆเทอม แล้วสร้างแผนภาพโบดย่อยของผลตอบสนองของ
แต่ล ะเทอม แล้วจึ ง นาผลตอบสนองทุ ก เทอมมารวมเป็ นแผนภาพเดียวกั น ซึ่ง เป็ นแผนภาพ
ผลตอบสนองรวมของทั้งระบบ เมื่อพิจารณาสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนดังนี้
( + 1 )( + 2 ) … ( + )
( ) (4-13)
( + 1 )( + 2 ) … ( + )
ขนาดของผลตอบสนองทางความถี่หรือ ( ) จะมีค่าเท่ากับผลคูณของขนาดของแต่ละเทอมดัง
สมการ
| ||( )|| |…| |
| ( )| (4-14)
| ||( )||( )|…|( )|
ขนาด ( ) 1 | | (4-15)
92
ดังนั้นเมื่อทราบขนาดของแต่ละเทอมของสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอน สามารถเอาขนาดมาบวก
ลบกันได้เขียนความสัมพันธ์สมการที่ 4-13 และ 4-15 จะได้
( ) ( + 1 + 2 + )
( + 1 + 2 + )
เมื่อ
จากที่นาเสนอมาสามารถแบ่งลักษณะของเทอมต่าง ๆ ของฟังก์ชั่นถ่ายโอนแบ่งเป็น 4 รูปแบบคือ
1. เมื่อค่า Gain เป็นค่าคงที่ K
2. เมื่อโพลหรือซีโร่เป็นค่าบนจุดกาเนิด (Origin) นั่นคือ1/s หรือ s
3. เมื่อโพลหรือซีโร่เป็นค่าบนแกนจริง (Real)
4. เมื่อโพลหรือซีโร่เป็นค่าบนจุดเป็นค่าเชิงซ้อน (Complex)
สาหรับการวิเคราะห์ด้วยแผนภาพโบดของรูปแบบต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้
4.3.2.1 รูปแบบของฟังก์ชั่นถ่ายโอนมี Gain เป็นค่าคงที่
| ( )| 1 | |
และคานวณมุมเฟสจะได้
เขียนแผนภาพโบดได้ดังนี้
K=10
(dB) (Degree)
40 180
20 90
0 0 K
-20 -90
-40 -180 K
-60 -270
0.01 0.1 1 10 100 1000 0.01 0.1 1 10 100 1000
4.3.2.2 รูปแบบของฟังก์ชั่นถ่ายโอนเมื่อโพลหรือซีโร่เกิดขึ้นบนจุดกาเนิด
(Origin)
1 1
- เมื่อโพลของระบบเท่ากับ ( ) ( ) สามารถ
คานวณหาค่าขนาดของผลตอบสนองได้จาก
| ( )| 𝑙𝑜𝑔1 | | (4-16)
(dB)
40
20
0
-20
-40
-60
0.01 0.1 1 10 100 1000
คานวณมุมเฟสของเทอมที่มีโพลที่จุดกาเนิดได้จาก
( ) ( )−1 (4-17)
(Degree)
180
90
0
-90
-180
-270
0.01 0.1 1 10 100 1000
สามารถคานวณหาค่าขนาดของผลตอบสนองได้จาก
| ( )| 𝑙𝑜𝑔1 | |
n=2
(dB)
40
20
0
-20
-40
-60
0.01 0.1 1 10 100 1000
(Degree)
180
90
0
-90
-180
-270
0.01 0.1 1 10 100 1000
4.3.2.4 รูปแบบของฟังก์ชั่นถ่ายโอนเมื่อโพลหรือซีโร่เกิดขึ้นบนแกนจริง
(Real Axis)
- เมื่อโพลเกิดขึ้นบนแกนจริงจะมีฟังก์ชั่นถ่ายโอนคือ
( ) เมื่อ ( ) (4-19)
การวิเคราะห์การตอบสนองความถี่ของระบบจะพิจารณาย่านความถี่ของ มี 2 กรณีคือ
1. กรณี น้อยกว่า a มากๆ ย่านความถี่ นี้เป็นช่วงความถี่ต่า (Low Frequency)
2. กรณี มากกว่า a มากๆ ย่านความถี่ นี้เป็นช่วงความถี่ต่าสูง (High Frequency)
คานวณขนาดผลตอบสนองได้จาก
−1
2
| ( | (√ + ( ) ) (4-20)
2
หรือ | ( )| 1 [ +( ) ]
| ( )| 1 (4-21)
97
| ( )| 1 (4-22)
สามารถเขียนแผนภาพขนาดดังภาพที่ 4.7
20
0
-20 Slop=-20dB/decade
-40
-60
0.01b 0.1b b 10b 100b 1000b
การคานวณหามุมเฟสเมื่อโพลอยูบ่ นแกนจริงหาได้จากสมการ
( ) (
+
) (4-23)
45o
0o Actual line
Estimate line Slop= -45o
-45o
/decade
90o
-135o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
98
135o
90o Actual line
45o Slop=45o
Estimate line /decade
0o
-45o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
( ) , แทน ,
( ) (4-24)
2
| ( )| √ +( ) (4-25)
ถ้าค่า หาค่าขนาดได้จาก
| ( )| 1 (4-26)
หรือถ้าค่า หาค่าขนาดได้จาก
| ( )| 𝑙𝑜𝑔1 (4-27)
99
เขียนแผนภาพโบดเมื่อซีโร่มีค่าบนแกนจริงได้ดังภาพที่ 4.9
dB
60
40
20 Actual line
0 Estimate line
-20
0.01b 0.1b b 10b 100b 1000b
Conner frequency
การคานวณมุมเฟสของซีโร่บนแกนจริงหาได้จากสมการ
+
( ) ( ) (4-28)
ถ้าค่า หาค่ามุมเฟสได้จาก
𝑜
( )
ในกรณีซีโร่วางอยู่ทางด้านซ้ายมือของระนาบเอส สมการมุมเฟสจะได้เป็น
𝑜
( ) ( )
ในกรณีค่าความถี่อินพุตมีค่าเท่ากับความถี่ที่จุด a และซีโร่วางอยู่ด้านซ้ายมือของระนาบเอส
สมการมุมเฟสจะได้เป็น
𝑜
( ) ( )
100
และเมื่อซีโร่วางอยู่ด้านขวามือของระนาบเอส สมการมุมเฟสจะได้เป็น
𝑜
( ) ( )
135o
90o Actual line
45o Slop=45o
Estimate line /decade
0o
-45o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
45o
0o Actual line
Estimate line Slop= -45o
-45o
/decade
90o
-135o
0.01a 0.1a a 10a 100a 1000a
( ) (4-29)
2
( ) (4-30)
2
101
คานวณหาขนาดได้จาก
| ( )| (4-31)
√( − ) (2 )
สามารถเขียนแผนภาพขนาดดังภาพที่ 4.11
dB
40
20
0
-20
-40
-60 Estimate line
0.01 0.1 10 100
และคานวณมุมเฟสได้จากสมการ
( ) ( ) (4-32)
สามารถเขียนแผนภาพมุมเฟสดังภาพที่ 4.12
45o
0o
หาค่า จาก
เมื่อ 2
√
แผนภาพขนาดและเฟสของสมการฟังก์ชั่นถ่ายโอนดังรูป
Bode Diagram
20
0
Magnitude (dB)
-20
-40
-60
0
-45
Phase (deg)
-90
-135
-180
-1 0 1 2
10 10 10 10
Frequency (rad/sec)
103
ฟังก์ชั่น ความหมาย
[z,p,k]=tf2zp(num,den) การหาตาแหน่งของโพล ซีโร่และค่าอัตราขยายของฟังก์ชั่นถ่าย
โอน
bode(sys) การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sys
bode(sys,{wmin,wmax}) การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sysในช่วงความถี่
wmin ถึง wmax
bode(sys,w) การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sysในช่วงความถี่ w
bode(sys1,’r’,sys2’y-- การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sys1,sys2,sys3
‘,sys3,’gx’) เปรียบเทียบกัน
3 1
เมื่อระบบมีฟังก์ชั่นถ่ายโอนคือ ( )
−
2. การพล็อตผลตอบสนองเชิงความถี่ของระบบ sys1
Transfer function:
s^2 + 3 s + 1
-------------
s^2 + 6 s - 6
>> bode(sys1)
>> grid
-5
Magnitude (dB)
-10
-15
-20
45
0
Phase (deg)
-45
-90
-135
-180
-2 -1 0 1 2
10 10 10 10 10
Frequency (rad/sec)
4.5 การวิเคราะห์ผลตอบสนองทางความถี่ด้วยวิธีของไนควิสต์
ในการวิเคราะห์ระบบควบคุมในโดเมนความถี่เป็นวิธีการแบบเดิมที่นิยมสาหรับการออกแบบ
และระบบวิเคราะห์ระบบควบคุมโดยวิธีการของไนควิสต์ พิจารณาดังนี้ระบบควบคุมแบบป้อนกลับ
ดังภาพ 4.13
105
H(s)
+ ( ) ( ) (4-34)
( ) ( )
( 1)( 2)
จะได้สมการคุณลักษณะเป็น
( ) + ( ) ( )
+(
1)( 2)
106
( + . + . )( + . . )
( + )( + )
( ) ( + )
+(
2 2)(3 2)
. .
Imaginary Imaginary
axis axis
2 1+j2 2
S-plane 1 1
-2 -2
imag
j
B
S-plane
Real
C
A Nyquist path
j
F(s)=G(s)H(s)
4
2 3
1
R
-1 3 1
4
+ (4-35)
2
H(s) 2S+5S+1 Y(s)
S 2+2S+3
จะได้ผลการพล็อตกราฟของระบบด้วยวิธีการของไนควิสต์ ดังภาพต่อไปนี้
Nyquist Diagram
2
1.5
0.5
Imaginary Axis
-0.5
-1
-1.5
-2
-1 -0.5 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3
Real Axis
สรุป
- ผลตอบสนองทางความถี่ (Frequency Response) คือการศึกษาการตอบสนองของระบบ
เชิง เส้น (Linear System) กั บสัญญาณอินพุตที่ ป้อนซึ่ง เป็นสัญญาณรูปคลื่นไซน์ (Sinusoidal)
- การเขียนโพล่าร์พล็อตคือการเขียนความสัมพันธ์ระหว่างอินพุตและเอาต์พุตให้อยู่ในรูปของ
ขนาด (Magnitude) และมุม (Phase) บนแกนโพล่าร์
- การเขียนโบดพล็อตคือการเขียนฟังก์ชันถ่ายโอน ( )ด้วยกราฟ 2 อย่างคือกราฟ
ขนาดของ ( ) อยู่ในหน่วยของเดซิเบลต่อความถี่ และกราฟของมุมต่างเฟสของ ( )
- การเขียนกราฟผลตอบสนองทางความถี่วิธีของไนควิสต์คือการแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ฟังก์ชั่นถ่านโอนแบบเปิดของผลตอบสนองทางความถี่ ( ) ( ) กับจานวนซีโร่และ
จานวนโพลของสมการ + ( ) ( )
- สรุปคาสั่งในโปรแกรม Matlab ที่ช่วยอานวยความสะดวกในการหาผลตอบสนองของ
ระบบในโดเมนความถี่
- tf(num,den) หมายถึง การสร้างฟังก์ชันถ่ายโอนโดยมี num คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัว
เศษและค่า den คือค่าสัมประสิทธิ์ของตัวส่วน
- nyquist(sys) หมายถึ ง การพล็ อ ตผลตอบสนองทางความถี่ ไ นควิ ส ต์ ข องระบบ
- nyquist(sys,w) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองทางความถี่ไนควิสต์ของระบบในช่วง
ความถีท่ ี่ต้องการ nyquist(sys) หมายถึง การพล็อตผลตอบสนองทางความถี่ไนควิสต์ของระบบ
- bode(sys) หมายถึง การพล็อตโบด ผลตอบสนองทางความถี่ของระบบ
- bode(sys,w) หมายถึง การพล็อตโบด ผลตอบสนองทางความถี่ของระบบในช่วงความถี่ที่
ต้องการ
110
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้
1. จงเขียนกราฟโพลาร์ของฟังก์ชั่นถ่ายโอนต่อไปนี้
( ) ( ) 3 2
+ +
2. จงเขียนกราฟของโบดพล็อตที่ประกอบด้วยขนาดและมุมเฟสของฟังก์ชั่นถ่ายโอนแบบปิดต่อไปนี้
โดยประยุกต์ใช้โปรแกรม Matlab ในการช่วยในการวิเคราะห์
.
2.1 ( ) 2.2 ( ) 2
2.3 ( ) 2.4 ( )
3. จากบล็อกไดอะแกรมของระบบควบคุมต่อไปนี้จงเขียนกราฟผลตอบสนองของความถี่
𝑆 2 + 3𝑆 +
X(s) 𝑆2 + 𝑆 Y(s)
𝑆2 + 𝑆 +
X(s) 𝑆3 + 𝑆2 + 𝑆 +
Y(s)
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 7
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับและการควบคุม
ในบทนี้ จ ะได้ ก ล่ า วถึ ง เนื้ อ หาทฤษฏี ม อเตอร์ ไ ฟฟ้ า กระแสสลั บ 3 เฟส แบบพื้ น ฐาน
โครงสร้างและหลักการทางานของมอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับ 3 เฟส แต่เนื้อหาในบทนี้ จะกล่าวถึง
เฉพาะระบบไฟฟ้า 3 เฟส และระบบการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ โดยจะกล่าวถึงเฉพาะ
เรื่อง การควบคุมความเร็ว ของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ การควบคุมการออกตัว การยกตัวอย่าง
งานวิ จั ย และบทความทางวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ งานวิ จั ย เพื่ อ พั ฒ นา ระบบการควบคุ ม ในงาน
อุตสาหกรรมชนบท
(7-1)
(7-2)
(7-3)
การเกิดสนามแม่เหล็กหมุนขึ้นในช่องอากาศระหว่างสเตเตอร์ กับโรเตอร์ด้วยความเร็ว
ซิงโครนัส (Synchronouse Speed) และหากเป็นโรเตอร์ชนิดวาวล์ โรเตอร์จะประกอบด้วย
ขดลวดสามชุดเช่นเดียวกันคือ และ แต่หากเป็นโรเตอร์แบบแท่งตัวนาหรือกรงกระรอก
จะมีการลัดวงจรที่ปลายของขดลวดตัวนาด้วยวงแหวน
160
120𝑓
𝑁s (7-4)
𝑝
จากสมการที่ (7-4) สามารถอธิบายได้ว่า ความเร็วของสนามแม่เหล็กหมุนจะแปร
ผันโดยตรงกับความถี่ของระบบไฟฟ้าและแปรผกผันกับจานวนขั้วแม่เหล็กของมอเตอร์
2. ความเร็วและความถี่ของโรเตอร์ เมื่อโรเตอร์ของมอเตอร์หมุนด้วยความเร็วที่น้อย
กว่าความเร็ ว สนามแม่เ หล็ กหมุ น ซึ่งความแตกต่างระหว่างความเร็ ว ของสนามแม่เ หล็ กหมุ น
กับความเร็วของโรเตอร์ก็คือความเร็วสลิป (Slip-Speed) จะมีค่า ดังสมการที่ (7-5)
(7-5)
(7-6)
ค่าความเร็วสลิปจะขึ้นอยู่กับโหลดนั่น คือเมื่อโหลดมากขึ้นจะทาให้โรเตอร์หมุนช้า
ลงส่งผลทาให้ความเร็วสลิปมีค่ามากขึ้น ทาให้โรเตอร์ถูกสนามแม่เหล็กหมุนตัดด้วยอัตราเร็วมากขึ้น
เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาและกระแสไหลในตัวโรเตอร์มากขึ้น และด้วยหลักการเดียวกันกับ
161
หม้อแปลงเมื่อกระแสด้านทุติยภูมิมีค่ามากขึ้นก็ส่งผลให้กระแสในสเตเตอร์ ซึ่งเป็นกระแสด้านปฐม
ภูมิ มีค่ามากขึ้นด้วย ภาระทางกลจะถูกส่งผ่านภาระทางไฟฟ้าในรูปของสลิปนั่นเอง จากความ
แตกต่างของอัตราระหว่างสนามแม่เหล็กหมุนและโรเตอร์ ทาให้เกิดแรงเคลื่อนเหนี่ยวนาขึ้นที่โรเตอร์
ซึ่งความถี่ของแรงดันที่ป้อนให้กับสเตเตอร์ จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเร็วสลิป ดังสมการที่ (7-7)
𝑁𝑠𝑙𝑖𝑝 𝑁𝑠 𝑁𝑟 (7-7)
𝑓𝑟 .𝑓 . 𝑓𝑠 𝑠𝑓𝑠
𝑁𝑠 𝑠 𝑁𝑠
(7-10)
(7-11)
ดังนั้นกาลังทางกลสามารถหาได้จากสมการ
(7-12)
แรงบิดที่มอเตอร์สร้างขึ้นสามารถหาได้จากสมการ
𝑃𝑚
𝑇 (7-13)
𝜔𝑚
𝑚
TL
V
0 T
ประสิทธิภาพของมอเตอร์จะลดลงมากด้วย เพราะต้องการค่าความต้านทานขนาดใหญ่ขึ้นในวงจร
ทุติยภูมิทาให้การสูญเสียจากค่าความต้านทานดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากเกินไป
2. การควบคุมความเร็วรอบโดยการกระตุ้นด้านทุติยภูมิหรือด้านโรเตอร์การควบคุม
ความเร็วรอบโดยใช้ค่าความต้านทานด้านทุติยภูมิดังกล่าวมาแล้วไม่เป็นการประหยัดพลังงานโดยที่จะ
มีการสู ญเสี ย จากค่าความต้านทานด้านทุติยภูมิส่ ว นในการควบคุมความเร็ว รอบโดยการกระตุ้น
ด้านทุติยภูมินั้น จะมีอุปกรณ์สาหรับถ่ายป้อนกาลังต่ออยู่กับวงจรด้านทุติยภูมิเพื่อให้การควบคุม
ความเร็วรอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการสูญเสียพลังงานระบบควบคุมโดยการ
กระตุ้นด้านทุติยภูมิดังกล่าว เช่นระบบเซอร์เบียส ซึ่งเหมาะสาหรับใช้กับโหลดประเภทมีสมบัติแรงบิด
คงที่ โดยที่มีการป้อนกาลังไฟฟ้ากลับเข้าสู่แหล่งจ่ายไฟดังภาพที่ 7.10 และระบบเครมเมอร์ซึ่งเหมาะ
สาหรับโหลดประเภทมีสมบัติกาลังใช้งานคงที่ โดยที่มีการเพิ่มกาลังทางกลศาสตร์ให้แก่เพลาขับโดย
อาศัยมอเตอร์กระแสตรง ดังแสดงในภาพที่ 7.11
L1 L2 L3
Fuse
Magnetic
Overload
Motor
7.5 การประยุกต์ใช้งานระบบควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
เนื่องจากความสาคัญอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลต่างๆ จาเป็นต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการ
ขับเคลื่อนเป็นหลัก ดังนั้นการพัฒนาระบบควบคุมที่เหมาะสมจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพด้านการ
ประหยัดพลังงานตัวอย่างเช่น การใช้เทคนิคการลดกระแสด้วยการต่อวงจรควบคุมแบบ สตาร์-เดลต้า
โดยขณะเริ่มเดิน จะต่อวงจรแบบสตาร์เพื่อช่วยลดกระแส และเมื่อมอเตอร์หมุนได้ความเร็วตามพิกัด
จึงสลับการต่อเป็นแบบเดลต้า การเริ่มเดินมอเตอร์แบบ สตาร์-เดลต้านี้ช่วยลดกระแสลงขณะเริ่ม
เดินเครื่องได้อย่างไรก็ตามข้อเสียคือแรงบิดก็ลดลงด้วย ขณะเดียวกันเมื่อมอเตอร์ทางานที่ความเร็ว
ปกติแล้ว รับ โหลดทางกลมอเตอร์จะดึงกระแสไฟจากแหล่งจ่ายไฟโดยให้แรงบิดสู งสุดตลอดเวลา
จะเห็นได้ว่าในทางปฏิบัติมีความจาเป็นต้องพิจารณาการทางานของเครื่องจักรนั้นเพื่อออกแบบวิธี
การควบคุมมอเตอร์ที่เหมาะสมกับรูปแบบของงานนั้นๆ
Star-Delta R
Tryristor
Start S
Set Motor T
Phase N
angle
control
Hydrolic Valve
Cerrent Voltage
Transmitor Transmitor
PLC
สรุป
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current Motor ) หรือ มอเตอร์ไฟฟ้าชนิด
เหนี่ยวนา (Induction Motor) คือ เครื่องกลไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นพลังงาน
กลชนิดหมุน โดยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ ซิงโครนัส
มอเตอร์ (Synchronous Motor) และอะซิงโครนัสมอเตอร์ (Asynchronous Motor) โครงสร้าง
ส่วนประกอบที่สาคัญ คือ ส่วนที่อยู่กับที่หรือสเตเตอร์ (Stator) ส่วนเคลื่อนที่หรือโรเตอร์ (Rotor)
และอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ตัวรองลื่น (Bearing) ตัวโครงมอเตอร์ (Frame) เป็นต้น
การควบคุมความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับมีวิธีการต่างๆพอสรุปได้ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนแรงดันที่ขั้วของมอเตอร์ (Supply Voltage Adjustable Method)
2. การปรับเปลี่ยนความถี่ (Frequency Adjustable Method)
3. การปรับด้วยวิธีปรับความต้านทานโรเตอร์ (Rotor Resistance Adjustable Method)
4. การควบคุมแบบวิธีเวกเตอร์คอนโทรล (Vector Control Method)
การควบคุมการออกตัวมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับมีวิธีการต่างๆพอสรุปได้ดังนี้
1. การออกตัวด้วยวิธีออกตัวโดยตรง (Direct on starting method)
2. การออกตัวด้วยวิธีระดับแรงดันต่า (Low Voltage Starting Method)
3. การออกตัวแบบใช้หม้อแปลงแบบออโต้ (Auto-transformer Starting)
4. การออกตัวมอเตอร์ด้วยวิธีนุ่มนวล (Soft Starting Method)
173
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. จงอธิบายโครงสร้างส่วนประกอบพื้นฐานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
2. จงบอกวิธีการควบคุมความเร็วพื้นฐานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
3. จงอธิบายคุณลักษณะการควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ในแต่ละวิธี
4. จงเขียนบล็อกไดอะแกรมของระบบควบคุมความเร็วมอเตอร์แบบปิดของระบบควบคุมแบบ V/F
5. จงอธิบายหลักการของระบบควบคุมความเร็วมอเตอร์แบบปิดของระบบควบคุมแบบ V/F
6. จงอธิบายหลักการควบคุมความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบบเวกเตอร์คอนโทรล
7. จงบอกวิธีการควบคุมการออกตัวพื้นฐานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
8. จงอธิบายคุณลักษณะการควบคุมการออกตัวของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ในแต่ละวิธี
9. วิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบโดยตรงเหมาะสาหรับมอเตอร์เหนี่ยวนาขนาดเท่าไร
10. จงบอกข้อดีและข้อเสียวิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบโดยตรง
11. วิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบสตาร์-เดลต้าเหมาะสาหรับมอเตอร์เหนี่ยวนาขนาดเท่าไร
12. จงบอกข้อดีและข้อเสียวิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบแบบสตาร์-เดลต้า
13. จงอธิบายหลักการของระบบควบคุมการออกตัวแบบนิ่มนวล(Soft starting method)
14. จงอธิบายหลักการควบคุมความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบบเวกเตอร์คอนโทรล
174
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 7
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับและการควบคุม
ในบทนี้ จ ะได้ ก ล่ า วถึ ง เนื้ อ หาทฤษฏี ม อเตอร์ ไ ฟฟ้ า กระแสสลั บ 3 เฟส แบบพื้ น ฐาน
โครงสร้างและหลักการทางานของมอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับ 3 เฟส แต่เนื้อหาในบทนี้ จะกล่าวถึง
เฉพาะระบบไฟฟ้า 3 เฟส และระบบการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ โดยจะกล่าวถึงเฉพาะ
เรื่อง การควบคุมความเร็ว ของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ การควบคุมการออกตัว การยกตัวอย่าง
งานวิ จั ย และบทความทางวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ งานวิ จั ย เพื่ อ พั ฒ นา ระบบการควบคุ ม ในงาน
อุตสาหกรรมชนบท
(7-1)
(7-2)
(7-3)
การเกิดสนามแม่เหล็กหมุนขึ้นในช่องอากาศระหว่างสเตเตอร์ กับโรเตอร์ด้วยความเร็ว
ซิงโครนัส (Synchronouse Speed) และหากเป็นโรเตอร์ชนิดวาวล์ โรเตอร์จะประกอบด้วย
ขดลวดสามชุดเช่นเดียวกันคือ และ แต่หากเป็นโรเตอร์แบบแท่งตัวนาหรือกรงกระรอก
จะมีการลัดวงจรที่ปลายของขดลวดตัวนาด้วยวงแหวน
160
120𝑓
𝑁s (7-4)
𝑝
จากสมการที่ (7-4) สามารถอธิบายได้ว่า ความเร็วของสนามแม่เหล็กหมุนจะแปร
ผันโดยตรงกับความถี่ของระบบไฟฟ้าและแปรผกผันกับจานวนขั้วแม่เหล็กของมอเตอร์
2. ความเร็วและความถี่ของโรเตอร์ เมื่อโรเตอร์ของมอเตอร์หมุนด้วยความเร็วที่น้อย
กว่าความเร็ ว สนามแม่เ หล็ กหมุ น ซึ่งความแตกต่างระหว่างความเร็ ว ของสนามแม่เ หล็ กหมุ น
กับความเร็วของโรเตอร์ก็คอื ความเร็วสลิป (Slip-Speed) จะมีค่า ดังสมการที่ (7-5)
(7-5)
(7-6)
ค่าความเร็วสลิปจะขึ้นอยู่กับโหลดนั่น คือเมื่อโหลดมากขึ้นจะทาให้โรเตอร์หมุนช้า
ลงส่งผลทาให้ความเร็วสลิปมีค่ามากขึ้น ทาให้โรเตอร์ถูกสนามแม่เหล็กหมุนตัดด้วยอัตราเร็วมากขึ้น
เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาและกระแสไหลในตัวโรเตอร์มากขึ้น และด้วยหลักการเดียวกันกับ
161
หม้อแปลงเมื่อกระแสด้านทุติยภูมิมีค่ามากขึ้นก็ส่งผลให้กระแสในสเตเตอร์ ซึ่งเป็นกระแสด้านปฐม
ภูมิ มีค่ามากขึ้นด้วย ภาระทางกลจะถูกส่งผ่านภาระทางไฟฟ้าในรูปของสลิปนั่นเอง จากความ
แตกต่างของอัตราระหว่างสนามแม่เหล็กหมุนและโรเตอร์ ทาให้เกิดแรงเคลื่อนเหนี่ยวนาขึ้นที่โรเตอร์
ซึ่งความถี่ของแรงดันที่ป้อนให้กับสเตเตอร์ จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเร็วสลิป ดังสมการที่ (7-7)
𝑁𝑠𝑙𝑖𝑝 𝑁𝑠 𝑁𝑟 (7-7)
𝑓𝑟 .𝑓 . 𝑓𝑠 𝑠𝑓𝑠
𝑁𝑠 𝑠 𝑁𝑠
(7-10)
(7-11)
ดังนั้นกาลังทางกลสามารถหาได้จากสมการ
(7-12)
แรงบิดที่มอเตอร์สร้างขึ้นสามารถหาได้จากสมการ
𝑃𝑚
𝑇 (7-13)
𝜔𝑚
𝑚
TL
V
0 T
ประสิทธิภาพของมอเตอร์จะลดลงมากด้วย เพราะต้องการค่าความต้านทานขนาดใหญ่ขึ้นในวงจร
ทุติยภูมิทาให้การสูญเสียจากค่าความต้านทานดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากเกินไป
2. การควบคุมความเร็วรอบโดยการกระตุ้นด้านทุติยภูมิหรือด้านโรเตอร์การควบคุม
ความเร็วรอบโดยใช้ค่าความต้านทานด้านทุติยภูมิดังกล่าวมาแล้วไม่เป็นการประหยัดพลังงานโดยที่จะ
มีการสู ญเสี ย จากค่าความต้านทานด้านทุติยภูมิส่ ว นในการควบคุมความเร็ว รอบโดยการกระตุ้น
ด้านทุติยภูมินั้น จะมีอุปกรณ์สาหรับถ่ายป้อนกาลังต่ออยู่กับวงจรด้านทุติยภูมิเพื่อให้การควบคุม
ความเร็วรอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการสูญเสียพลังงานระบบควบคุมโดยการ
กระตุ้นด้านทุติยภูมิดังกล่าว เช่นระบบเซอร์เบียส ซึ่งเหมาะสาหรับใช้กับโหลดประเภทมีสมบัติแรงบิด
คงที่ โดยที่มีการป้อนกาลังไฟฟ้ากลับเข้าสู่แหล่งจ่ายไฟดังภาพที่ 7.10 และระบบเครมเมอร์ซึ่งเหมาะ
สาหรับโหลดประเภทมีสมบัติกาลังใช้งานคงที่ โดยที่มีการเพิ่มกาลังทางกลศาสตร์ให้แก่เพลาขับโดย
อาศัยมอเตอร์กระแสตรง ดังแสดงในภาพที่ 7.11
L1 L2 L3
Fuse
Magnetic
Overload
Motor
7.5 การประยุกต์ใช้งานระบบควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
เนื่องจากความสาคัญอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลต่างๆ จาเป็นต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการ
ขับเคลื่อนเป็นหลัก ดังนั้นการพัฒนาระบบควบคุมที่เหมาะสมจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพด้านการ
ประหยัดพลังงานตัวอย่างเช่น การใช้เทคนิคการลดกระแสด้วยการต่อวงจรควบคุมแบบ สตาร์-เดลต้า
โดยขณะเริ่มเดิน จะต่อวงจรแบบสตาร์เพื่อช่วยลดกระแส และเมื่อมอเตอร์หมุนได้ความเร็วตามพิกัด
จึงสลับการต่อเป็นแบบเดลต้า การเริ่มเดินมอเตอร์แบบ สตาร์-เดลต้านี้ช่วยลดกระแสลงขณะเริ่ม
เดินเครื่องได้อย่างไรก็ตามข้อเสียคือแรงบิดก็ลดลงด้วย ขณะเดียวกันเมื่อมอเตอร์ทางานที่ความเร็ว
ปกติแล้ว รับ โหลดทางกลมอเตอร์จ ะดึงกระแสไฟจากแหล่งจ่ายไฟโดยให้แรงบิดสู งสุดตลอดเวลา
จะเห็นได้ว่าในทางปฏิบัติมีความจาเป็นต้องพิจารณาการทางานของเครื่องจักรนั้นเพื่อออกแบบวิธี
การควบคุมมอเตอร์ที่เหมาะสมกับรูปแบบของงานนั้นๆ
Star-Delta R
Tryristor
Start S
Set Motor T
Phase N
angle
control
Hydrolic Valve
Cerrent Voltage
Transmitor Transmitor
PLC
สรุป
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current Motor ) หรือ มอเตอร์ไฟฟ้าชนิด
เหนี่ยวนา (Induction Motor) คือ เครื่องกลไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นพลังงาน
กลชนิดหมุน โดยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ ซิงโครนัส
มอเตอร์ (Synchronous Motor) และอะซิงโครนัสมอเตอร์ (Asynchronous Motor) โครงสร้าง
ส่วนประกอบที่สาคัญคือ ส่วนที่อยู่กับที่หรือสเตเตอร์ (Stator) ส่วนเคลื่อนที่หรือโรเตอร์ (Rotor)
และอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ตัวรองลื่น (Bearing) ตัวโครงมอเตอร์ (Frame) เป็นต้น
การควบคุมความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับมีวิธีการต่างๆพอสรุปได้ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนแรงดันที่ขั้วของมอเตอร์ (Supply Voltage Adjustable Method)
2. การปรับเปลี่ยนความถี่ (Frequency Adjustable Method)
3. การปรับด้วยวิธีปรับความต้านทานโรเตอร์ (Rotor Resistance Adjustable Method)
4. การควบคุมแบบวิธีเวกเตอร์คอนโทรล (Vector Control Method)
การควบคุมการออกตัวมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับมีวิธีการต่างๆพอสรุปได้ดังนี้
1. การออกตัวด้วยวิธีออกตัวโดยตรง (Direct on starting method)
2. การออกตัวด้วยวิธีระดับแรงดันต่า (Low Voltage Starting Method)
3. การออกตัวแบบใช้หม้อแปลงแบบออโต้ (Auto-transformer Starting)
4. การออกตัวมอเตอร์ด้วยวิธีนุ่มนวล (Soft Starting Method)
173
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. จงอธิบายโครงสร้างส่วนประกอบพื้นฐานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
2. จงบอกวิธีการควบคุมความเร็วพื้นฐานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
3. จงอธิบายคุณลักษณะการควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ในแต่ละวิธี
4. จงเขียนบล็อกไดอะแกรมของระบบควบคุมความเร็วมอเตอร์แบบปิดของระบบควบคุมแบบ V/F
5. จงอธิบายหลักการของระบบควบคุมความเร็วมอเตอร์แบบปิดของระบบควบคุมแบบ V/F
6. จงอธิบายหลักการควบคุมความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบบเวกเตอร์คอนโทรล
7. จงบอกวิธีการควบคุมการออกตัวพื้นฐานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
8. จงอธิบายคุณลักษณะการควบคุมการออกตัวของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ในแต่ละวิธี
9. วิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบโดยตรงเหมาะสาหรับมอเตอร์เหนี่ยวนาขนาดเท่าไร
10. จงบอกข้อดีและข้อเสียวิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบโดยตรง
11. วิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบสตาร์-เดลต้าเหมาะสาหรับมอเตอร์เหนี่ยวนาขนาดเท่าไร
12. จงบอกข้อดีและข้อเสียวิธีการออกตัวของมอเตอร์แบบแบบสตาร์-เดลต้า
13. จงอธิบายหลักการของระบบควบคุมการออกตัวแบบนิ่มนวล(Soft starting method)
14. จงอธิบายหลักการควบคุมความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบบเวกเตอร์คอนโทรล
174
เอกสารอ้างอิง
บุญเลิศ โพธิ์ขา. (2548). เอกสารประกอบการสอนมอเตอร์ไฟฟ้าและการควบคุม. นครพนม :
วิทยาลัยเทคนิคนครพนม.
ธนเจต สครรัมย์.(2552). มอเตอร์ไฟฟ้าและการควบคุม. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริม
อาชีวะ.
พรจิต ประทุมสุวรรณ. (2547). พื้นฐานการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยอิเล็กทรอนิกส์กาลัง.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์.
ธุวยัษฎี อุจวาที.(2545). การควบคุมการประหยัดพลังงานในการขับเคลื่อนมอเตอร์เหนี่ยวนาด้วย
วิธีปรับตามสนามโดยอ้อม. วิทยานิพนธ์วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
วิศวกรรมไฟฟ้า ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยี.
พระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
ศุภชัย ปลายเนตร ธราธิป ภูร่ ะหงษ์ ณัฐชนันท์ ปลายเนตร วิชิต แก่นตา.(2555). การพัฒนาระบบ
พีแอลซีสาหรับเครื่องตีเหล็กมีดพร้าขนาดชุมชน. เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมทาง
วิชาการประจาปี2555 สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น
16-19 กุมภาพันธ์ 2555 หน้า 511-516.
Fitzgerald A. E., Kingsley Charles, Mans Stepphen D.(2003). Electric Machine. 6th
Edition.New York : McGrawhill Companies,Inc.
Dubay G.K. (1989). Power Semiconductor Controlled Drives.Newjensey:
Prentice-Hall,Inc.
Bimal K. Bose.(2002). Modern Power Electronic and AC Drives. Prentice-Hall,Inc.
Characteristic starting of induction motor. (n.d.). [Online]. Available from http : //
www.hmin.tripod.com/als/andysm/pages/3power08.html#3PHM-87. Retrieved
June, 6, 2015.
Induction motor ABB Automation Technology.(n.d.). [Online]. Available from
http://www.ab.com. Retrieved June, 6, 2015.
Characteristic starting of induction motor.(n.d.). [Online]. Available from
http://www.inverter-china.com. Retrieved June, 6, 2015.
175
บทที่ 8
การประยุกต์ใช้ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม
ในบทที่ผ่านเป็นเนื้อหาเกี่ยวมอเตอร์ และการควบคุมซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สาคัญและนิยมใช้งาน
อุตสาหกรรม สาหรับบทนี้จะได้กล่าวถึง พื้นฐานระบควบคุมพีแอลซี การประยุกต์ใช้ระบบควบคุม
ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ การประยุกต์ใช้พีแอลซีกับงานควบคุมในลักษณะต่างๆ หลักการทางาน
และโครงสร้างพื้นฐานของพีแอลซี การควบคุมแบบลาดับขั้น (Sequence Control) การควบคุม
แบบเปิดปิด (ON-OFF Control) การควบคุมแบบพีไอดี (PID Control) พร้อมทั้งได้อธิบาย
หลักการทางาน โครงสร้าง ของของระบบควบคุมแต่ละแบบ และตัวอย่างการประยุกต์ใช้ PLC ใน
งานควบคุมระบบไฟฟ้าสาหรับอุตสาหกรรม ตัวอย่างงานวิจัยที่ประยุกต์ใช้ในระบบงานอุตสาหกรรม
8.1 พื้นฐานระบบควบคุมพีแอลซี
พีแอลซี (Programmable Logic Controller) หรือนิยมเรียกสั้นว่า PLC เป็นอุปกรณ์ที่นิยม
ใช้ในงานระบบควบคุมอุตสาหกรรม มีหลั กการทางานคล้ ายกับคอมพิวเตอร์ ใช้สาหรับควบคุม
กระบวนการทางานของเครื่องจักรอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบมีความน่าเชื่อถือสูง สามารถแก้ไข
ปรับปรุงระบบได้ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับระบบควบคุมแบบรีเลย์ จากข้อได้เปรียบนี้จึงทาให้ PLCเป็น
ที่นิยมเนื่องจาก ในปัจจุบันราคาลดลงมากทาให้ โรงงานอุตสาหกรรมนิยมนามาใช้งาน
โครงสร้างพื้นฐานของ PLC ประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจา หน่วยรับ
ข้ อ มู ล หน่ ว ยแสดงผลข้ อ มู ล และหน่ ว ยโปรแกรม ทั้ ง หมดจะถู ก รวมกั น ในลั ก ษณะแผงวงจร
อิเล็กทรอนิกส์และไอซี โดยรายละเอียดของหน่วยต่างๆมีดังนี้
8.1.1 หน่วยประมวลผลกลาง(Central Processing Unit) หรือ CPU เป็นส่วนประมวลผล
ของระบบ ภายใน CPU ประกอบไปด้วยวงจรลอจิก(Logic Gate) ชนิดต่างๆ ใช้สาหรับแทนอุปกรณ์
จาพวกรีเลย์ (Relay) เคาน์เตอร์ (Counter) ไทเมอร์ (Timer) และซีเควนเซอร์ (Sequencers)
เพื่อให้ผู้ใช้ได้ออกแบบใช้วงจรรีเลย์แลดเดอร์ลอจิก (Relay Ladder Logic)
8.1.2 หน่วยความจาของ PLC ประกอบด้วย หน่วยความจาชั่วคราวและหน่วยความจา
ถาวรหรือนิยมเรียก RAM และROM โดยหน่วยความจาชนิด RAM ทาหน้าที่เก็บโปรแกรมของผู้ใช้
และข้อมูลสาหรับใช้ในการปฏิบัติงานของ PLC และ ROM ทาหน้าที่เก็บโปรแกรมสาหรับใช้ในการ
ปฏิบัติงานของ PLC
8.1.3 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หรืออินพุตทาหน้าที่ต่อร่วมกับชุดควบคุมเพื่อรับ
สภาวะและสัญญาณต่างๆ เช่น รับสัญญาณหรือสภาวะแล้วส่งไปยัง CPU เพื่อประมวลผล เมื่อ CPU
ประมวลผลแล้ ว จะส่ งให้ ส่ ว นของเอาต์พุต ทาให้ อุปกรณ์ทางานตามที่โ ปรแกรมที่ผู้ ใช้ออกแบบไว้
โดยอุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญญาณอินพุต ได้แก่ พรอกซิมิตี้สวิตช์ (Proximility Switch) ลิมิตสวิตช์
(Limit Switch) ไทเมอร์ (Timer) โฟโตอิเล็กืริกสวิตช์ (Photoelectric Switch) เอ็นโค้ดเดอร์
(Encoder) เคาน์เตอร์ (Counter) เป็นต้น
176
อินพุต
สวิตช์ หน่วยความจา เอาต์พุต
โมดูล
โปรเซสเซอร์ โมดูล
แหล่งจ่ายไฟ
- วงจรควบคุมด้วยระบบรีเลย์และวงจรควบคุมด้วยระบบ PLC
178
- วงจรควบคุมสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้าด้วยระบบ PLC
วิธีทา จากไดอะแกรมของระบบดังภาพด้านล่าง
อธิบายการทางานของวงจร
จากวงจรเป็นการนาสัญญาณแรงดันของกระบวนการจริง (PV) และสัญญาณแรงดันของค่าที่
ต้องการ (Sp) มาเปรียบเทียบกัน โดยนาค่าทั้งสองมาลบกันเพื่อให้เอาต์พุตออกมาเป็นสัญญาณค่า
ผิดพลาด (Error, E) หรือสัญญาณที่บอกค่าความแตกต่างระหว่าง Sp และ PV โดยสัญญาณค่า
ผิดพลาดนี้จะนาไปเข้าสู่วงจรในส่วนที่เป็นรูปแบบการควบคุม (Control Algorithm)
∆𝑜𝑢𝑡𝑝𝑢𝑡 ∝ ∆ 𝑖𝑛𝑝𝑢𝑡
∆𝑜𝑢𝑡𝑝𝑢𝑡
𝐾𝑝 = (8-1)
∆𝑖𝑛𝑝𝑢𝑡
b 0 c
ภาพที่ 8.4 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างค่าความผิดพลาดและเอาต์พุตของระบบควบคุมพีคอนโทรล
วิธีทา - จากสมการอินพุตของระบบในโดเมนเวลามีค่าเท่ากับ
( )= ( ) (1)
เมื่อระบบที่ถูกควบคุมเป็นระบบอันดับหนึ่ง ดังนั้นสามารถเขียนฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบใน
โดเมนความถี่เท่ากับ
𝐾
𝐶 (𝑠) = 𝑈(𝑠) − 𝑅2 (𝑠) ( )) (2)
1 + 𝑇𝑠)
ผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่งโดยใช้การควบคุมด้วยพีคอนโทรล
อธิบายการทางาน
จากกราฟผลตอบสนองของระบบอั นดับหนึ่งเมื่อป้อนสัญญาณอินพุตแบบลาดับขั้น (Unit
step) ผลจากการปรับค่าอัตราขยายคงที่ของพีคอนโทรล (Gain constant) มีผลทาให้ผลตอบสนอง
ของระบบเปลี่ยนแปลงโดยเมื่อปรับค่า K เพิ่มขึ้นสูงขึ้นจะทาให้การแกว่งของระบบลดลง ทาให้ค่า
ความคลาดเคลื่อนของระบบก่อนเข้าสู่สภาวะอยู่ตัวลดลง (Reduced Steady Stat Error)
8.4.2 การควบคุมแบบไอ (Integral)
การควบคุมแบบไอหรืออาจเรียกว่าการควบคุมแบบปริพันธ์ (Integral) ใช้หลักการ
ทางานคือการให้ค่าเอาต์พุตเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงไปเรื่อย ๆ ถ้าค่าอินพุตยังไม่เป็น 0 การ
ทางานแบบ Integral ก็จะทาการเปลี่ยนแปลงค่าเอาต์พุต เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปจนกว่าอินพุต
185
Feedback Signal
Output
t
Error
Feedback Signal
System
Set Point Error P I
+ System output
Controller Controller
Feedback Signal
Feedback Signal
I
Controller
Feedback Signal
Set Point
Error
P Error
t
ภาพที่ 8.11 กราฟผลตอบสนองของระบบควบคุมพีไอคอนโทรล
188
Feedback Signal
P
Controller
Error
Set Point + I System output
Controller System
D
Controller
Feedback Signal
8.5 ตัวอย่างงานวิจัยการประยุกต์ใช้งานระบบควบคุม
จะเห็นได้ว่าหลักการพื้นฐานของการควบคุมเริ่มต้นจาก การควบคุมแบบเปิดปิด การควบคุม
แบบลาดับขั้น ซึ่งเหมาะสมกับระบบที่ไม่ต้องการความยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่
นิยมใช้งานกันมากคือพีแอลซี ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างมากสามารถใช้งานได้ ครอบคลุมไม่ว่าจะ
เป็นระบบแบบอนาล็อกหรือดิจิตอล โดยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานดังนี้
สรุป
1. โครงสร้างพื้นฐานของ PLC ประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจา หน่วย
รับข้อมูล หน่วยแสดงผลข้อมูล และหน่วยโปรแกรม
2. การควบคุมแบบลาดับขั้นคือการควบคุม ที่ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ หลาย ๆ ขั้นตอน
ทางานเรียงลาดับกันตามที่ได้กาหนดหรืออาจเรียกว่าอนุกรม
3. การควบคุมแบบลอจิกเปิด-ปิด (Logic ON-OFF Control) คือระบบควบคุมที่ใช้กับ
กระบวนการมีการทางานแค่สองสถานะคือเปิดและปิด
4. การควบคุมแบบอนาลอกเปิด-ปิด (Analog ON-OFF Control) คือการควบคุมเปิดปิด
แบบต่อเนื่อง
5. สรุปข้อดีและข้อเสียของรูปแบบวิธีการควบคุมในงานอุตสาหกรรมดังตารางด้านล่างนี้
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. จงบอกโครงสร้างและหลักการทางานพื้นฐานของระบบควบคุมพีแอลซี
2. จงอธิบายหลักการทางานพื้นฐานของระบบควบคุมพีแอลซี
3. จงยกตัวอย่างระบบกลไกเครื่องจักรที่ใช้พีแอลซีควบคุมพร้อมเขียนโปรแกรมควบคุมอย่างง่าย
4. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบลอจิกปิดเปิดพร้อมยกตัวอย่าง
5. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบอนาลอกเปิดปิดพร้อมยกตัวอย่าง
6. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบพีคอนโทรลพร้อมบอกข้อดีและข้อเสียของวิธีการควบคุมด้วยวิธีนี้
7. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบไอคอนโทรลพร้อมบอกข้อดีและข้อเสียของวิธีการควบคุมด้วยวิธีนี้
8. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบพีไอดีคอนโทรลพร้อมบอกข้อดีและข้อเสียของวิธีการควบคุมด้วยวิธีนี้
9. จงเขียนกราฟผลตอบสนองของระบบควบคุมแบบพีไอดีคอนโทรล
10. ให้นักศึกษายกตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานอุตสาหกรรมพร้อมอธิบายหลักการทางานให้เหตุผล
ของการประยุกต์ใช้งานระบบควบคุม
194
เอกสารอ้างอิง
ธนเจต สครรัมย์.(2552).มอเตอร์ไฟฟ้าและการควบคุม. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ.
สานักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม.(2552). ระบบควบคุม. สานักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ
อุตสาหกรรม.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
ออมรอน อีเลคทรอนิคส์ เอกสารประกอบประกอบการฝึกอบรมหลักสูตรการใช้ PLC ระดับ 2.
กรุงเทพฯ : บริษัท ออมรอน อีเลคทรอนิคส์ จากัด.
ศุภชัย ปลายเนตร ธราธิป ภูร่ ะหงษ์ ณัฐชนันท์ ปลายเนตร วิชิต แก่นตา.(2555). การพัฒนาระบบ
พีแอลซีสาหรับเครื่องตีเหล็กมีดพร้าขนาดชุมชน. เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมทาง
วิชาการประจาปี2555 สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น
16-19 กุมภาพันธ์ 2555 หน้า 511-516.
Dubay G.K. (1989). Power Semiconductor Controlled. Drives.Newjensey:
Prentice-Hall,Inc.
Bimal K. Bose.(2002). Modern Power Electronic and AC Drives. Prentice-Hall,Inc.
R.S. Burn. (2001). Advance Control engineering. Butterworth-Heinemann Linacre
House, Jordan Hill.A division of Reed Education and Professional Publishing
Ltd.
Allen-Bradley home , Auger Dispenser.(n.d.). [Online]. Available from
http://www.ab.com\product_apps\auger_a\auger_a.html. Retricved June , 6 ,
2015
175
บทที่ 8
การประยุกต์ใช้ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม
ในบทที่ผ่านเป็นเนื้อหาเกี่ยวมอเตอร์ และการควบคุมซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สาคัญและนิยมใช้
งานอุตสาหกรรม สาหรับบทนี้จะได้กล่าวถึง พื้นฐานระบควบคุมพีแอลซี การประยุกต์ใช้ระบบ
ควบคุ ม ซึ่ งในที่นี้จ ะกล่ า วถึ งเฉพาะ การประยุกต์ ใ ช้พี แ อลซีกั บ งานควบคุมในลัก ษณะต่า งๆ
หลั ก การท างานและโครงสร้ า งพื้ น ฐานของพี แ อลซี การควบคุ ม แบบล าดั บ ขั้ น (Sequence
Control) การควบคุมแบบเปิด ปิด (ON-OFF Control) การควบคุมแบบพีไอดี (PID
Control) พร้อมทั้งได้อธิบายหลักการทางาน โครงสร้าง ของของระบบควบคุมแต่ละแบบ และ
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ PLC ในงานควบคุมระบบไฟฟ้าสาหรับอุตสาหกรรม ตัวอย่างงานวิจัยที่
ประยุกต์ใช้ในระบบงานอุตสาหกรรม
8.1 พื้นฐานระบบควบคุมพีแอลซี
พีแอลซี (Programmable Logic Controller) หรือนิยมเรียกสั้นว่า PLC เป็นอุปกรณ์ที่นิยม
ใช้ในงานระบบควบคุมอุตสาหกรรม มีหลั กการทางานคล้ ายกับคอมพิวเตอร์ ใช้สาหรับควบคุม
กระบวนการทางานของเครื่องจักรอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบมีความน่าเชื่อถือสูง สามารถแก้ไข
ปรับปรุงระบบได้ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับระบบควบคุมแบบรีเลย์ จากข้อได้เปรียบนี้จึงทาให้ PLCเป็น
ที่นิยมเนื่องจาก ในปัจจุบันราคาลดลงมากทาให้ โรงงานอุตสาหกรรมนิยมนามาใช้งาน
โครงสร้างพื้นฐานของ PLC ประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจา หน่วยรับ
ข้ อ มู ล หน่ ว ยแสดงผลข้ อ มู ล และหน่ ว ยโปรแกรม ทั้ ง หมดจะถู ก รวมกั น ในลั ก ษณะแผงวงจร
อิเล็กทรอนิกส์และไอซี โดยรายละเอียดของหน่วยต่างๆมีดังนี้
8.1.1 หน่วยประมวลผลกลาง(Central Processing Unit) หรือ CPU เป็นส่วนประมวลผล
ของระบบ ภายใน CPU ประกอบไปด้วยวงจรลอจิก(Logic Gate) ชนิดต่างๆ ใช้สาหรับแทนอุปกรณ์
จาพวกรีเลย์ (Relay) เคาน์เตอร์ (Counter) ไทเมอร์ (Timer) และซีเควนเซอร์ (Sequencers)
เพื่อให้ผู้ใช้ได้ออกแบบใช้วงจรรีเลย์แลดเดอร์ลอจิก (Relay Ladder Logic)
8.1.2 หน่วยความจาของ PLC ประกอบด้วย หน่วยความจาชั่วคราวและหน่วยความจา
ถาวรหรือนิยมเรียก RAM และROM โดยหน่วยความจาชนิด RAM ทาหน้าที่เก็บโปรแกรมของผู้ใช้
และข้อมูลสาหรับใช้ในการปฏิบัติงานของ PLC และ ROM ทาหน้าที่เก็บโปรแกรมสาหรับใช้ในการ
ปฏิบัติงานของ PLC
8.1.3 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หรืออินพุตทาหน้าที่ต่อร่วมกับชุดควบคุมเพื่อรับ
สภาวะและสัญญาณต่างๆ เช่น รับสัญญาณหรือสภาวะแล้วส่งไปยัง CPU เพื่อประมวลผล เมื่อ CPU
ประมวลผลแล้ ว จะส่ งให้ ส่ ว นของเอาต์พุตทาให้ อุปกรณ์ทางานตามที่โ ปรแกรมที่ผู้ ใช้ออกแบบไว้
โดยอุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญญาณอินพุต ได้แก่ พรอกซิมิตี้สวิตช์ (Proximility Switch) ลิมิตสวิตช์
(Limit Switch) ไทเมอร์ (Timer) โฟโตอิเล็กืริกสวิตช์ (Photoelectric Switch) เอ็นโค้ดเดอร์
(Encoder) เคาน์เตอร์ (Counter) เป็นต้น
176
อินพุต
สวิตช์ หน่วยความจา เอาต์พุต
โมดูล
โปรเซสเซอร์ โมดูล
แหล่งจ่ายไฟ
- วงจรควบคุมด้วยระบบรีเลย์และวงจรควบคุมด้วยระบบ PLC
178
- วงจรควบคุมสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้าด้วยระบบ PLC
วิธีทา จากไดอะแกรมของระบบดังภาพด้านล่าง
อธิบายการทางานของวงจร
จากวงจรเป็นการนาสัญญาณแรงดันของกระบวนการจริง (PV) และสัญญาณแรงดันของค่าที่
ต้องการ (Sp) มาเปรียบเทียบกัน โดยนาค่าทั้งสองมาลบกันเพื่อให้เอาต์พุตออกมาเป็นสัญญาณค่า
ผิดพลาด (Error, E) หรือสัญญาณที่บอกค่าความแตกต่างระหว่าง Sp และ PV โดยสัญญาณค่า
ผิดพลาดนี้จะนาไปเข้าสู่วงจรในส่วนที่เป็นรูปแบบการควบคุม (Control Algorithm)
∆𝑜𝑢𝑡𝑝𝑢𝑡 ∝ ∆ 𝑖𝑛𝑝𝑢𝑡
∆𝑜𝑢𝑡𝑝𝑢𝑡
𝐾𝑝 = (8-1)
∆𝑖𝑛𝑝𝑢𝑡
b 0 c
ภาพที่ 8.4 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างค่าความผิดพลาดและเอาต์พุตของระบบควบคุมพีคอนโทรล
วิธีทา - จากสมการอินพุตของระบบในโดเมนเวลามีค่าเท่ากับ
( )= ( ) (1)
เมื่อระบบที่ถูกควบคุมเป็นระบบอันดับหนึ่ ง ดังนั้นสามารถเขียนฟังก์ชั่นถ่ายโอนของระบบใน
โดเมนความถี่เท่ากับ
𝐾
𝐶 (𝑠) = 𝑈(𝑠) − 𝑅2 (𝑠) ( )) (2)
1 + 𝑇𝑠)
ผลตอบสนองของระบบอันดับหนึ่งโดยใช้การควบคุมด้วยพีคอนโทรล
อธิบายการทางาน
จากกราฟผลตอบสนองของระบบอั นดับหนึ่งเมื่อป้อนสัญญาณอินพุตแบบลาดับขั้น (Unit
step) ผลจากการปรับค่าอัตราขยายคงที่ของพีคอนโทรล (Gain constant) มีผลทาให้ผลตอบสนอง
ของระบบเปลี่ยนแปลงโดยเมื่อปรับค่า K เพิ่มขึ้นสูงขึ้นจะทาให้การแกว่งของระบบลดลง ทาให้ค่า
ความคลาดเคลื่อนของระบบก่อนเข้าสู่สภาวะอยู่ตัวลดลง (Reduced Steady Stat Error)
8.4.2 การควบคุมแบบไอ (Integral)
การควบคุมแบบไอหรืออาจเรียกว่าการควบคุมแบบปริพันธ์ (Integral) ใช้หลักการ
ทางานคือการให้ค่าเอาต์พุตเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงไปเรื่อย ๆ ถ้าค่าอินพุตยังไม่เป็น 0 การ
ทางานแบบ Integral ก็จะทาการเปลี่ยนแปลงค่าเอาต์พุต เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปจนกว่าอินพุต
185
Feedback Signal
Output
t
Error
Feedback Signal
System
Set Point Error P I
+ System output
Controller Controller
Feedback Signal
Feedback Signal
I
Controller
Feedback Signal
Set Point
Error
P Error
t
ภาพที่ 8.11 กราฟผลตอบสนองของระบบควบคุมพีไอคอนโทรล
188
Feedback Signal
P
Controller
Error
Set Point + I System output
Controller System
D
Controller
Feedback Signal
8.5 ตัวอย่างงานวิจัยการประยุกต์ใช้งานระบบควบคุม
จะเห็นได้ว่าหลักการพื้นฐานของการควบคุมเริ่มต้นจาก การควบคุมแบบเปิดปิด การควบคุม
แบบลาดับขั้น ซึ่งเหมาะสมกับระบบที่ไม่ต้องการความยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่
นิยมใช้งานกันมากคือพีแอลซี ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างมากสามารถใช้งานได้ ครอบคลุมไม่ว่าจะ
เป็นระบบแบบอนาล็อกหรือดิจิตอล โดยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานดังนี้
สรุป
1. โครงสร้างพื้นฐานของ PLC ประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจา หน่วย
รับข้อมูล หน่วยแสดงผลข้อมูล และหน่วยโปรแกรม
2. การควบคุมแบบลาดับขั้นคือการควบคุม ที่ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ หลาย ๆ ขั้นตอน
ทางานเรียงลาดับกันตามที่ได้กาหนดหรืออาจเรียกว่าอนุกรม
3. การควบคุมแบบลอจิกเปิด-ปิด (Logic ON-OFF Control) คือระบบควบคุมที่ใช้กับ
กระบวนการมีการทางานแค่สองสถานะคือเปิดและปิด
4. การควบคุมแบบอนาลอกเปิด-ปิด (Analog ON-OFF Control) คือการควบคุมเปิดปิด
แบบต่อเนื่อง
5. สรุปข้อดีและข้อเสียของรูปแบบวิธีการควบคุมในงานอุตสาหกรรมดังตารางด้านล่างนี้
คาถามทบทวน
ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. จงบอกโครงสร้างและหลักการทางานพื้นฐานของระบบควบคุมพีแอลซี
2. จงอธิบายหลักการทางานพื้นฐานของระบบควบคุมพีแอลซี
3. จงยกตัวอย่างระบบกลไกเครื่องจักรที่ใช้พีแอลซีควบคุมพร้อมเขียนโปรแกรมควบคุมอย่างง่าย
4. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบลอจิกปิดเปิดพร้อมยกตัวอย่าง
5. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบอนาลอกเปิดปิดพร้อมยกตัวอย่าง
6. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบพีคอนโทรลพร้อมบอกข้อดีและข้อเสียของวิธีการควบคุมด้วยวิธีนี้
7. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบไอคอนโทรลพร้อมบอกข้อดีและข้อเสียของวิธีการควบคุมด้วยวิธีนี้
8. จงอธิบายวิธีการควบคุมแบบพีไอดีคอนโทรลพร้อมบอกข้อดีและข้อเสียของวิธีการควบคุมด้วยวิธีนี้
9. จงเขียนกราฟผลตอบสนองของระบบควบคุมแบบพีไอดีคอนโทรล
10. ให้นักศึกษายกตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานอุตสาหกรรมพร้อมอธิบายหลักการทางานให้เหตุผล
ของการประยุกต์ใช้งานระบบควบคุม
194
เอกสารอ้างอิง
ธนเจต สครรัมย์.(2552).มอเตอร์ไฟฟ้าและการควบคุม. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ.
สานักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม.(2552). ระบบควบคุม. สานักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ
อุตสาหกรรม.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
ออมรอน อีเลคทรอนิคส์ เอกสารประกอบประกอบการฝึกอบรมหลักสูตรการใช้ PLC ระดับ 2.
กรุงเทพฯ : บริษัท ออมรอน อีเลคทรอนิคส์ จากัด.
ศุภชัย ปลายเนตร ธราธิป ภูร่ ะหงษ์ ณัฐชนันท์ ปลายเนตร วิชิต แก่นตา.(2555). การพัฒนาระบบ
พีแอลซีสาหรับเครื่องตีเหล็กมีดพร้าขนาดชุมชน. เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมทาง
วิชาการประจาปี2555 สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น
16-19 กุมภาพันธ์ 2555 หน้า 511-516.
Dubay G.K. (1989). Power Semiconductor Controlled. Drives.Newjensey:
Prentice-Hall,Inc.
Bimal K. Bose.(2002). Modern Power Electronic and AC Drives. Prentice-Hall,Inc.
R.S. Burn. (2001). Advance Control engineering. Butterworth-Heinemann Linacre
House, Jordan Hill.A division of Reed Education and Professional Publishing
Ltd.
Allen-Bradley home , Auger Dispenser.(n.d.). [Online]. Available from
http://www.ab.com\product_apps\auger_a\auger_a.html. Retricved June , 6 ,
2015