Professional Documents
Culture Documents
ชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
ชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
Teacher Script
ชีววิทยำ ม. 5
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ตามผลการเรียนรู้ เล่ม 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
พิมพครั้งที่ 1
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3548015
ค� ำ แนะน� ำ กำรใช้
คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
จัดท�าขึ้นส�าหรับให้ครูผู้สอนใช้เปนแนวทางวางแผนการจัดการเรียน
การสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพ
ผูเ้ รียนตามนโยบายของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
(สพฐ.)
เพทโดยเลือก Trim
ิ่ม คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได
เพ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน โซน 1
อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขัน้ นํา
โครงสรางและ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ
ิ่ม หนวยการเรียนรูที่
เพ คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด
2. ใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ
เรียนรูที่ 1
3. ครูนาํ ภาพตนไผและตนมะมวง แลวใหนกั เรียน
เปรียบเทียบภาพทั้งสอง
4. ครูถามคําถาม Big Question
1 หนาทีข่ องพืชดอก
พืชดอกประกอบดวยอวัยวะตาง ๆ ได้แก่ ราก ล�าต้น ใบ ดอก และผลทีม
่ สี ว่ นประกอบและหน้าที่
แตกต่างกัน การท�างานของอวัยวะพืชมีความสัมพันธ์กนั ท�าให้พชื ด�ารงชีวติ อยูไ่ ด้ โดยอวัยวะเหล่านี้
5. ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนบั น ทึ ก คํ า ถาม Under ประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิดที่จ�าเพาะต่อการท�าหน้าที่ในพืชแต่ละชนิด อวัยวะเหล่านี้เหมือน
ิ่ม Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ standing Check ลงในสมุดบันทึกของตนเอง หรือแตกต่างกันอย่างไร นักเรียนจะได้ศึกษารายละเอียดจากบทเรียนนี้
เพ แลวพิจารณาขอความตามความเขาใจของ
นักเรียนวาถูกหรือผิด •· äÁÅ µŒ ¹ ¢Í§µŒ ¹ 伋 ¡Ñ º µŒ ¹ ÁÐÁ‹ Ç § ¨Ö §
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹
• ÍÇÑÂÇТͧ¾×ª· ˹ŒÒ·ÕèÊÑÁ¾Ñ¹¸¡Ñ¹Í‹ҧäÃ
• à¾ÃÒÐà˵Ø㴾תʋǹãËÞ‹¨Ö§¤Ò¹ ã¹àÇÅÒ
ประสิทธิภาพ ઌÒ
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย
เนื้อเยื่อพืช คือ กลุ่มเซลล์ที่มีหน้าที่แตกต่างกันมาอยู่รวมกัน
รากพืชดูดซึมธาตุอาหารด้วยกระบวนการออสโมซิส
การคายน�้าของพืชเกิดขึ้นที่บริเวณปากใบเท่านั้น
แนวตอบ Understanding Check ทิศทางการล�าเลี้ยงน�้าและธาตุอาหารของพืช คือ ล�าเลียงจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช
1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด พืชอาศัยแรงดึงจากการคายน�้าเข้ามาช่วยล�าเลียงอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของเนื้อเยื่อพืช และเขียนแผนผังเพื่อสรุปชนิดของเนื้อเยื่อพืช
2. สังเกต อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายในของรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและรากพืชใบเลี้ยงคู่จากการตัดตามขวาง
3. สังเกต อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายในของล�ำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและล�ำต้นพืชใบเลี้ยงคู่จากการตัดตามขวาง
4. สังเกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง
5. สืบค้นข้อมูล สังเกต และอธิบายการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน�ำ้ ของพืช
6. สืบค้นข้อมูล และอธิบายกลไกการล�ำเลียงน�้ำและธาตุอาหารของพืช
7. สืบค้นข้อมูล อธิบายความส�ำคัญของธาตุอาหาร และยกตัวอย่างธาตุอาหารที่สำ� คัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
8. อธิบายกลไกการล�ำเลียงอาหารในพืช
9. สืบค้นข้อมูล และสรุปการศึกษาที่ได้จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
10. อธิบายขั้นตอนที่เกิดขึ้นในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C3
11. เปรียบเทียบกลไกการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในพืช C3 พืช C4 และ พืช CAM
12. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปปัจจัยความเข้มของแสง ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ และอุณหภูมิ ที่มีผลต่อการสังเคราะห์
ด้วยแสงของพืช
13. อธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก
14. อธิบาย และเปรียบเทียบกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอก และอธิบายการปฏิสนธิของพืชดอก
15. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผลของพืชดอก โครงสร้างของเมล็ดและผล และยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างต่าง ๆ ของ
เมล็ดและผล
16. ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ด และบอกแนวทางในการแก้สภาพพักตัว
ของเมล็ด
17. สืบค้นข้อมูล อธิบายบทบาทและหน้าที่ของออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเกี่ยวกับการ
น�ำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
18. สืบค้นข้อมูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
รวม 18 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คูมือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
ชี
ววิ ทยำ ม.5 เล่ม 1 รวมถึงสือ่ การเรียนรูร้ ายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา ชัน้ ม.5
ผูจ้ ดั ท�าได้ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเปนวิธกี ารจัดการเรียนรูแ้ ละเทคนิคการสอนทีเ่ ปย มด้วยประสิทธิภาพ
และมีความหลากหลายให้กบั ผูเ้ รียน เพือ่ ให้ผเู้ รียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิต์ ามผลการเรียนรู ้ รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�าหนดไว้ โดยครูสามารถน�าไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึง่ ในรายวิชานี ้ ได้นา� รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ (5Es Instructional Model) มาใช้ในการออกแบบการสอน ดังนี้
ด้วยจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วย
ุนความสนใจ
ให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสร้างสรรค์ กระต
คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส�าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเปนระบบ ผู้จัดท�าจึงได้เลือกใช้
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรู้ที่มุ่งหมายให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้าง
องค์ความรูด้ ว้ ยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือท�า โดยใช้
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เปนเครือ่ งมือส�าคัญเพือ่ พัฒนาทักษะ
bo 4 3
n
El a
tio
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรูแ้ ห่งศตวรรษที ่ 21 a
rat lan
ขย
รู
คว ion Exp
าม
คว
าย
ามเ าย
ขาใจ อ ธิบ
1 1. อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของเนื้อเยื่อพืช - ทักษะการสังเกต
และเขียนแผนผังเพื่อสรุปชนิดของเนื้อเยื่อพืช - ทักษะการจัดกลุ่ม
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- ตรวจแบบฝึกหัด
- หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
โครงสร้าง 2. สังเกต อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายใน - ทักษะการ - ตรวจใบงาน - ใบงาน
ของรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและรากพืชใบเลี้ยงคู่จาก เปรียบเทียบ - ประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน
และหน้าที่ของ การตัดตามขวาง - ทักษะการจำ�แนก - ประเมินการนำ�เสนอผลงาน - แบบทดสอบหลังเรียน
พืชดอก 3. สังเกต อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายใน ประเภท - สังเกตการปฏิบัติการ - ภาพยนตร์สารคดีสั้น Twig
ของล�ำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและล�ำต้นพืชใบเลี้ยงคู่ - ทักษะการสำ�รวจ - สังเกตพฤติกรรมการทำ�งาน - QR Code
จากการตัดตามขวาง - ทักษะการระบุ รายบุคคล
4. สงั เกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชจาก - ทักษะการสรุปย่อ
- ทักษะการนำ�
26 - สังเกตพฤติกรรมการทำ�งาน
กลุ่ม
- PowerPoint
ประกอบการสอน
การตัดตามขวาง ชั่วโมง
5. สืบค้นข้อมูล สังเกต และอธิบายการแลกเปลี่ยน ความรู้ไปใช้ - สังเกตคุณลักษณะ - อุปกรณ์การทดลอง
แก๊สและการคายน�้ำของพืช - ทักษะการรวบรวม อันพึงประสงค์
6. สืบค้นข้อมูล และอธิบายกลไกการล�ำเลียงน�้ำและ ข้อมูล - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
ธาตุอาหารของพืช
7. สืบค้นข้อมูล อธิบายความส�ำคัญของธาตุอาหาร
และยกตัวอย่างธาตุอาหารที่ส�ำคัญที่มีผลต่อการ
เจริญเติบโตของพืช
8. อธิบายกลไกการล�ำเลียงอาหารในพืช
3 1. อธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก
2. อธิบาย และเปรียบเทียบกระบวนการสร้างเซลล์
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการจัดกลุ่ม
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
- ตรวจแบบฝึกหัด
- หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ม.5 เล่ม 1
การสืบพันธุ์ สืบพันธุเ์ พศผูแ้ ละเพศเมียของพืชดอก และอธิบาย - ทักษะการ - ตรวจใบงาน - ใบงาน
การปฏิสนธิของพืชดอก เปรียบเทียบ - ประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน
ของพืชดอก 3. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผลของพืชดอก - ทักษะการ - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - แบบทดสอบหลังเรียน
และการเจริญ โครงสร้างของเมล็ดและผล และยกตัวอย่างการใช้
ประโยชน์จากโครงสร้างต่าง ๆของเมล็ดและผล
จ�ำแนกประเภท
- ทักษะการระบุ 13 - สังเกตการปฏิบัติการ
- สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น Twig
เติบโต 4. ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อ - ทักษะการส�ำรวจ ชั่วโมง รายบุคคล
- QR Code
การงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ด และบอก ค้นหา - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - PowerPoint
แนวทางในการแก้สภาพพักตัวของเมล็ด กลุ่ม ประกอบการสอน
- สังเกตคุณลักษณะ - อุปกรณ์การทดลอง
อันพึงประสงค์
- ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หนวยการเรียนรู้ที่ 1 โครงสร้ำงและหน้ำที่ของ T2 T6 T8
พืชดอก
• เนื้อเยื่อพืช T9-T16
• อวัยวะและหน้าที่ของอวัยวะของพืช T17-T42
• การแลกเปลี่ยนแกสและการคายนํ้าของพืช T43-T48
• การลําเลียงนํ้าและธาตุอาหารของพืช T49-T52
• การลําเลียงอาหารของพืช T53-T56
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T57-T65
หนวยการเรียนรู้ที่ 2 กำรสังเครำะหดว
้ ยแสง T66 T68 T70
• การค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง T71-T81
• กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง T82-T102
• กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของแกสคาร์บอนไดออกไซด์ T103-T105
ในพืช C4
• กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของแกสคาร์บอนไดออกไซด์ T106-T108
ในพืช CAM
• ปจจัยบางประการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง T109-T118
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 T119-T129
• วัฏจักรชีวิตของพืชดอก T135-T136
• การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก T137-T165
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 T166-T171
• การตอบสนองของพืชต่อสารเคมี T175-T188
• การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม T189-T196
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 T197-T201
บรรณำนุกรม T202
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายเกี่ยวกับชนิดและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
เนื้อเยื่อพืช - หนังสือเรียนชีววิทยา ลักษณะของเนื้อเยื่อพืช หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
ม.5 เล่ม 1 ได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
3 - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. จำ� แนกประเภทและ
ม.5 เล่ม 1 เขียนแผนผังสรุปชนิด
Instruction
Model)
- ตรวจแบบฝึกหัดจาก
Topic Question
เปรียบเทียบ
- ทกั ษะการจ�ำแนก
การท�ำงาน
ชั่วโมง
- ใบงาน ของเนื้อเยื่อพืชได้ (P) - ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภท
- ภาพประกอบการสอน 3. เปรียบเทียบความ เนื้อเยื่อเจริญของพืช - ทักษะการทดลอง
- QR Code แตกต่างระหว่างชนิด - ตรวจใบงาน เรื่อง
- PowerPoint ประกอบ และลักษณะของเนื้อเยือ่ ระบบเนื้อเยื่อถาวร
การสอน พืชได้ (P) ของพืช
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ - ตรวจผังมโนทัศน์
งานที่ได้รับมอบหมาย เรื่อง เนื้อเยื่อพืช
(A) - ประเมินการนำ�เสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายโครงสร้างภายใน แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครงสร้างและ ม.5 เล่ม 1 ของรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
หน้าที่ของราก - แบบฝึกหัดชีววิทยา และรากพืชใบเลี้ยงคู่ (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 จากการตัดตามขวาง Instructional - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
5 - ใบงาน (K) Model) โครงสร้างภายใน - ทกั ษะการจ�ำแนก
- อุปกรณ์การทดลอง 2. เปรียบเทียบโครงสร้าง ของรากพืช ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ภายในของรากพืชใบ - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการทดลอง
Twig เลี้ยงเดีย่ วและรากพืชใบ ประเภทของราก
- ภาพประกอบการสอน เลี้ยงคู่ได้ (P) - ตรวจรายงาน เรื่อง
- PowerPoint ประกอบ 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ การเจริญของรากพืช
การสอน งานที่ได้รับมอบหมาย - ประเมินแบบจำ�ลอง
(A) โครงสร้างภายในราก
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและ
พืชใบเลี้ยงคู่
- ประเมินนำ�เสนอผลงาน
- สังเกตการปฏิบัติการ
จากการทำ�กิจกรรม
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายโครงสร้างภายในของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครงสร้างและ ม.5 เล่ม 1 ล�ำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
หน้าที่ของล�ำต้น - แบบฝึกหัดชีววิทยา ล�ำต้นพืชใบเลี้ยงคู่จากการ (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 ตัดตามขวางได้ (K) Instructional - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
5 - อุปกรณ์การทดลอง 2. เปรียบเทียบโครงสร้าง Model) หน้าที่และชนิดของ - ทกั ษะการจ�ำแนก
- ภาพประกอบการสอน ภายในของล�ำต้นพืชใบเลี้ยง ลำ�ต้น ประเภท
ชั่วโมง
- PowerPoint ประกอบ เดีย่ วและล�ำต้นพืชใบเลี้ยงคู่ - ตรวจ PowerPoint - ทกั ษะการทดลอง
การสอน ได้ (P) หน้าที่และชนิดของ
3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ ลำ�ต้น
ประโยชน์จากล�ำต้นของพืช - ตรวจแบบจำ�ลอง
(A) โครงสร้างภายในลำ�ต้น
ของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
และพืชใบเลี้ยงคู่
- ประเมินการนำ�เสนอ
ผลงาน
- สังเกตการปฏิบัติการ
จากการทำ�กิจกรรม
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายโครงสร้างภายใน แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
โครงสร้างและ ม.5 เล่ม 1 ใบพืชจากการตัดตามขวาง หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการจัดกลุม่ - ใฝ่เรียนรู้
หน้าที่ของใบ - แบบฝึกหัดชีววิทยา ได้ (K) (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 2. อธิบายโครงสร้างภายนอก Instruction - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
3 - ใบงาน ของใบได้ (K) Model) ชนิดและหน้าที่ของใบ - ทกั ษะการจ�ำแนก
- ใบไม้ตัวอย่าง 3. เปรียบเทียบการจัดเรียงของ - ตรวจรายงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพประกอบการสอน เส้นใบของพืชแต่ละชนิดได้ ความสำ�คัญของใบพืช
- อุปกรณ์การทดลอง (P) - ประเมินการนำ�เสนอ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 4. ตระหนักถึงความส�ำคัญของ ผลงาน
Twig ใบพืช (A) - สังเกตการปฏิบัติการ
- PowerPoint ประกอบ จากการทำ�กิจกรรม
การสอน - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T3
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการแลกเปลี่ยน แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การแลกเปลี่ยน ม.5 เล่ม 1 แก๊สและการคายน�้ำของ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการรวบรวม - ใฝ่เรียนรู้
แก๊ส และการคาย - แบบฝึกหัดชีววิทยา พืชได้ (K) (5Es Topic Question ข้อมูล - มุ่งมั่นใน
น�ำ้ ของพืช ม.5 เล่ม 1 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผล Instructional - สังเกตการปฏิบัติการ - ทกั ษะการเชือ่ มโยง การท�ำงาน
- ใบความรู้ ต่อการคายน�ำ้ ของพืช Model) จากการทำ�กิจกรรม
3 - ภาพประกอบการสอน (P) - สังเกตพฤติกรรม
ชั่วโมง
- อุปกรณ์การทดลอง 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การทำ�งานรายบุคคล
- PowerPoint ประกอบ และงานที่ได้รับ - สังเกตพฤติกรรม
การสอน มอบหมาย (A) การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกลไกการ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การล�ำเลียงน�้ำ ม.5 เล่ม 1 ล�ำเลียงน�ำ้ ของพืชได้ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการ - ใฝ่เรียนรู้
ของพืช - แบบฝึกหัดชีววิทยา (K) (5Es Topic Question เปรียบเทียบ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 2. เปรียบเทียบรูปแบบการ Instructional - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการรวบรวม การท�ำงาน
5 - ใบงาน ล�ำเลียงน�ำ้ ของพืชได้ Model) การลำ�เลียงน้ำ�และ ข้อมูล
- ภาพประกอบการสอน (P) ธาตุอาหารของพืช - ทกั ษะการเชือ่ มโยง
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง
Twig และงานที่ได้รบั การลำ�เลียงน้ำ�และ
- QR Code มอบหมาย (A) ธาตุอาหารของพืช
- PowerPoint ประกอบ - ประเมินการนำ�เสนอ
การสอน ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 7 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายความส�ำคัญของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
ธาตุอาหาร ม.5 เล่ม 1 ธาตุอาหารที่มีต่อพืชได้ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
ของพืช - แบบฝึกหัดชีววิทยา (K) (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 2. เปรียบเทียบลักษณะ Instructional - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
2 - ใบงาน ของพืชที่ขาดธาตุ Model) ธาตุอาหารของพืช - ทกั ษะการจ�ำแนก
- ภาพประกอบการสอน อาหารชนิดต่าง ๆ ได้ - ตรวจรายงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- PowerPoint ประกอบ (P) ธาตุอาหารของพืช - ทกั ษะการรวบรวม
การสอน 3. ตระหนักถึงความส�ำคัญ - ประเมินการนำ�เสนอ ข้อมูล
ของธาตุอาหารที่มีต่อ ผลงาน
พืช (A) - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T4
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 8 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกลไกการล�ำเลียง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การล�ำเลียง ม.5 เล่ม 1 อาหารของพืชได้ (K) หาความรู้ หลังเรียน - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
อาหารของพืช - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. วเิ คราะห์กลไกการล�ำเลียง (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 อาหารของพืช (P) Instructional - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เปรียบเทียบ การท�ำงาน
2 - QR Code 3. ตระหนักถึงความส�ำคัญ Model) Topic Question - ทกั ษะการ
- ภาพประกอบการสอน ของพืช (A) - ตรวจแผ่นพับ เรื่อง จ�ำแนกประเภท
ชั่วโมง
- วีดิทัศน์ประกอบการ กลไกการลำ�เลียง - ทกั ษะการรวบรวม
สอนจากสื่อ Youtube อาหารของพืช ข้อมูล
- PowerPoint ประกอบ - ตรวจแผ่นพับ เรื่อง
การสอน พืชสร้างอาชีพ
- ตรวจรายงาน เรื่อง
โครงสร้างและหน้าที่
ของพืชดอก
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T5
Chapter Concept Overview
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืช แบ่งออกได้เปน 2 ประเภท คือ เนื้อเยื่อเจริญและเนื้อเยื่อถาวร สามารถสรุปเปนแผนผังได้ ดังนี้
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อเจริญ เนื้อเยื่อถาวร
กลุ่มมัดท่อล�าเลียงเรียงตัว กลุ่มมัดท่อล�าเลียงเรียงตัว
อย่างเปนระเบียบในแนวรัศมี กระจัดกระจาย
ท่อไซเล็มเรียงตัวเปนแฉก ท่อไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ
จ�านวน 3-4 แฉก มีหลายแฉก
พืชใบเลี้ยงคู พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
T6
หนวยการเรียนรูที่ 1
การแลกเปลี่ยนแกสและการคายนํ้าของพืช
พืชส่วนใหญ่คายน�้าออกทางปากใบ โดยแสงมีผลต่อเซลล์คุมซึ่งควบคุมการเปด-ปดของปากใบ ดังภาพ
ไม่มีแสง มีแสง
สารละลายโพแทสเซียม
สารละลายโพแทสเซียม จะแพร่เข้าสู่เซลล์คุม
จะแพร่ออกจากเซลล์คุม
ความเข้มข้นภายในเซลล์คุมต�่า ความเข้มข้นภายในเซลล์คุมสูง
น�้าออสโมซิสออก น�้าจากเซลล์ข้างเคียงออสโมซิส
จากเซลล์คุม เข้าสู่เซลล์คุม
การลําเลียงนํ้าและธาตุอาหารของพืช
แรงดึงจากการคายน�า้ ของพืช ส่งผลให้รากดูดน�า้ และธาตุอาหารที่
ละลายน�้าในรูปของสารละลาย แล้วล�าเลียงเข้าสู่ท่อล�าเลียงไซเล็ม
ปากใบ ได้มากขึ้น โดยมีแรงแอดฮีชันและโคฮีชันช่วยล�าเลียงน�้าจากรากไป
ยังยอดพืชอย่างไม่ขาดสาย
แรงดึงจากการคายน�้า รูปแบบการล�าเลียงน�้าของพืชมี 2 รูปแบบ ดังนี้
- แบบอโพพลาสต เปนรูปแบบการล�าเลียงน�้าในดินเข้าสู่ราก
แอดฮีชัน
ผ่านชัน้ คอร์เทกซ์ไปจนถึงชัน้ เอนโดเดอร์มสิ โดยน�า้ จะผ่านทาง
ผนังเซลล์หรือช่องว่างระหว่างเซลล์
- แบบซิมพลาสต เปนรูปแบบการล�าเลียงน�า้ ผ่านทางไซโทพลาซึม
หรือพลาสโมเดสมาตาก่อนเข้าสู่ท่อล�าเลียงไซเล็ม
น�้าล�าเลียงผ่าน โคฮีชัน เอนโดเดอร์มิส
ท่อล�าเลียงไซเล็ม
โมเลกุลน�้า แคสพาเรียนสตริป
เอพิเดอร์มิส
ขนราก
แบบซิมพลาสต์
อนุภาคดิน
รากพืชดูดน�้า
การลําเลียงอาหารของพืช
ไซเล็ม โฟลเอ็ม แบบอโพพลาสต์
เซลล์คอมพาเนียน
น�้า ใบ (แหล่งสร้าง)
อาหารหรือน�้าตาลที่สังเคราะห์ขึ้นจากใบพืชจะถูกล�าเลียงเข้าสู่
ท่ อ ล� า เลี ย งโฟลเอ็ ม ในรู ป ของน�้ า ตาลซู โ ครสอาศั ย กระบวนการ
แอกทีฟทรานสปอร์ต และน�้าจากเซลล์เข้าเคียงออสโมซิสเข้ามาดัน
ให้สารละลายซูโครสเคลื่อนที่ไปตามท่อล�าเลียงสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช
น�้า ผล (แหล่งใช้)
T7
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
โครงสรางและ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ หนวยการเรียนรูที่
2. ใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ
เรียนรูที่ 1
3. ครูนาํ ภาพตนไผและตนมะมวง แลวใหนกั เรียน
เปรียบเทียบภาพทั้งสอง
4. ครูถามคําถาม Big Question
1 หนาทีข่ องพืชดอก
พืชดอกประกอบดวยอวัยวะตาง ๆ ได้แก่ ราก ล�าต้น ใบ ดอก และผลทีม
่ สี ว่ นประกอบและหน้าที่
แตกต่างกัน การท�างานของอวัยวะพืชมีความสัมพันธ์กนั ท�าให้พชื ด�ารงชีวติ อยูไ่ ด้ โดยอวัยวะเหล่านี้
5. ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนบั น ทึ ก คํ า ถาม Under ประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิดที่จ�าเพาะต่อการท�าหน้าที่ในพืชแต่ละชนิด อวัยวะเหล่านี้เหมือน
standing Check ลงในสมุดบันทึกของตนเอง หรือแตกต่างกันอย่างไร นักเรียนจะได้ศึกษารายละเอียดจากบทเรียนนี้
แลวพิจารณาขอความตามความเขาใจของ
นักเรียนวาถูกหรือผิด •· äÁÅ µŒ ¹ ¢Í§µŒ ¹ 伋 ¡Ñ º µŒ ¹ ÁÐÁ‹ Ç § ¨Ö §
ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹
• ÍÇÑÂÇТͧ¾×ª· ˹ŒÒ·ÕèÊÑÁ¾Ñ¹¸¡Ñ¹Í‹ҧäÃ
• à¾ÃÒÐà˵Ø㴾תʋǹãËÞ‹¨Ö§¤Ò¹ ã¹àÇÅÒ
ઌÒ
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิดแล้วบันทึกลงในสมุด
เนื้อเยื่อพืช คือ กลุ่มเซลล์ที่มีหน้าที่แตกต่างกันมาอยู่รวมกัน
รากพืชดูดซึมธาตุอาหารด้วยกระบวนการออสโมซิส
การคายน�้าของพืชเกิดขึ้นที่บริเวณปากใบเท่านั้น
ทิศทางการล�าเลี้ยงน�้าและธาตุอาหารของพืช คือ ล�าเลียงจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช
พืชอาศัยแรงดึงจากการคายน�้าเข้ามาช่วยล�าเลียงอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช
แนวตอบ Understanding Check
1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด
4. ถูก 5. ผิด
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
เนื้ อ เยื่ อ พื ช แตกต า งจาก 1. เนือ้ เยือ่ พืช 1. ใหนกั เรียนรวมกันสืบคนขอมูลเพือ่ ตอบคําถาม
เนื้อเยื่อสัตวอยางไร Prior Knowledge
พืชดอกด�ารงชีวิตอยู่ได้จากการท�างานของอวัยวะต่าง ๆ
ได้แก่ ราก ล�าต้น ใบ ดอก และผล โดยอวัยวะแต่ละส่วนมีสว่ นประกอบ 2. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน โดยให
และหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งอวัยวะเหล่านี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ แตละกลุม สืบคนขอมูล เรือ่ ง เนือ้ เยือ่ เจริญของ
หลายชนิดที่จ�าเพาะต่อโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะนั้น ๆ พืช
เนื้อเยื่อพืช (plant tissue) เป็นกลุ่มเซลล์ของพืชจ�านวนมากที่มีลักษณะคล้ายกันมาอยู่ 3. ใหแตละกลุม ทําใบงาน เรือ่ ง เนือ้ เยือ่ เจริญของ
รวมกันแล้วท�าหน้าที่เดียวกัน ในการจ�าแนกเนื้อเยื่อของพืชมีหลักเกณฑ์มากมาย เช่น รูปร่าง พืช
โครงสร้าง ต�าแหน่ง หน้าที ่ แต่สว่ นมากจะใช้ความสามารถในการแบ่งเซลล์เพิม่ จ�านวนของเนือ้ เยือ่ 4. ใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอใบงาน
เป็นเกณฑ์ ซึ่งสามารถแบ่งเนื้อเยื่อพืชออกเป็น 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อเจริญและเนื้อเยื่อถาวร 5. ใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู เรื่อง เนื้อเยื่อ
เจริญของพืช ลงในสมุดบันทึกของตนเอง
1.1 เนื้อเยื่อเจริญ (meristematic tissue)
เนือ้ เยือ่ เจริญประกอบด้วยเซลล์เจริญ ซึง่ เป็นกลุม่ เซลล์ทมี่ ผี นังเซลล์ปฐมภูม ิ มีลกั ษณะบาง
สม�า่ เสมอกัน มักมีนวิ เคลียสขนาดใหญ่เมือ่ เทียบกับขนาดของเซลล์ และเซลล์สามารถคงคุณสมบัติ
ของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) เอาไว้ 1 ได้ตลอดชีวิต เนื้อเยื่อเจริญจึงเป็นเนื้อเยื่อที่ท�าให้
พืชเจริญเติบโตได้อย่างไม่สนิ้ สุดตลอดในช่วงทีพ่ ชื ยังคงมีชวี ติ อยู ่ ด้วยเหตุนเี้ ราจึงสังเกตเห็นล�าต้น
และรากยืดยาว หรือแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อย ๆ หรือมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มมากขึ้น
B iology
Focus ผนังเซลลพืช
เซลล์พืชทุกชนิดมีผนังเซลล์ที่เรียกว่า ผนังเซลล์ปฐมภูมิ (primary cell wall) เป็นผนัง
เซลล์ชั้นแรกที่อยู่ด้านนอกสุดของเซลล์ มีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ ซึ่งถูกยึดไว้ด้วยมิดเดิล
พลาสโมเดสมาตา ลาเมลลา (middle lamella) เซลล์บางชนิด
ของพื ช จะมี ผ นั ง เซลล์ ทุ ติ ย ภู มิ (secondary
cell wall) เป็นผนังชัน้ ในสุดทีม่ ลี กิ นิน (lignin)
เป็นองค์ประกอบส�าคัญ นอกจากนี้ผนังเซลล์
ผนังเซลล์ปฐมภูมิ ของพืชจะมีช่องว่างเรียกว่า พลาสโมเดสมาตา
ผนังเซลล์ทุติยภูมิ (plasmodesmata) เชื่อมต่อกันระหว่างเซลล์
ไซโทพลาซึม ท�าให้สามารถส่งสารเคมี น�้า และธาตุอาหาร
ระหว่างกันได้ แนวตอบ Prior Knowledge
เยื่อหุ้มเซลล์ เนื้อเยื่อพืชประกอบดวยเซลลที่มีผนังหนา
ภาพที่ 1.1 ส่วนประกอบของผนังเซลล์
ที่มา : http://www.yourarticlelibrary.com ซึ่งเปนสารประเภทเซลลูโลส และมีแวคิวโอลที่
มีขนาดใหญกวา และมีคลอโรพลาสตเปนองค-
โครงสร้างและ 3
ประกอบ ทําหนาที่สังเคราะหดวยแสง แตกตาง
หน้าที่ของพืชดอก
กับเนือ้ เยือ่ สัตวทปี่ ระกอบดวยเซลลทไี่ มมผี นังเซลล
มีแวคิวโอลขนาดเล็กกวา และไมมีคลอโรพลาสต
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ หากแบ่งเนือ้ เยือ่ เจริญตามต�าแหน่งทีอ่ ยูใ่ นส่วนต่าง ๆ ของพืช จะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
ทําใบงาน เรื่อง เนื้อเยื่อเจริญของพืช โดยใช เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ และเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง
แนวคําถาม ดังนี้ 1. เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem) ถ้าพบตามปลายยอดของล�าต้นหรือ
ï• เนือ้ เยือ่ เจริญของพืชดอกแบงออกเปนกีช่ นิด กิ่งก้านจะเรียกเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด (shoot apical meristem) เมื่อแบ่งเซลล์จะท�าให้ล�าต้น
(แนวตอบ เนื้อเยื่อเจริญของพืชมี 3 ประเภท หรือกิ่งก้านยืดยาวออกและเกิดการสร้างใบ แต่ถ้าพบที่ส่วนปลายของรากจะเรียกเนื้อเยื่อเจริญ
ไดแก เนือ้ เยือ่ เจริญสวนปลาย เนือ้ เยือ่ เจริญ ส่วนปลายราก (root apical meristem) เมื่อแบ่งเซลล์จะท�าให้รากยาวขึ้น โดยการเจริญเติบโต
เหนือขอ และเนื้อเยื่อเจริญดานขาง) ที่ท�าให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชมีความสูงหรือความยาวเพิ่มมากขึ้น เรียกการเจริญลักษณะเช่นนี้ว่า
•ï เนื้อเยื่อเจริญมีความสําคัญกับพืชอยางไร การเติบโตปฐมภูมิ (primary growth)
(แนวตอบ เนือ้ เยือ่ เจริญเปนเนือ้ เยือ่ ทีม่ สี มบัติ
การแบงเซลลได ทําใหพืชเจริญเติบโตได
อยางไมมสี นิ้ สุด โดยเนือ้ เยือ่ เหลานีจ้ ะเจริญ
ตอไปจนกระทั่งทําหนาที่เฉพาะ เรียกวา
เนื้อเยื่อถาวร โดยมียีนหรือสารพันธุกรรม
เปนตัวกําหนดรูปราง ขนาด และหนาที่ให
สอดคลองกับโครงสรางเฉพาะสวนตาง ๆ
ของพืช)
2. เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ (interca-
lary meristem) พบอยู่ระหว่างข้อ (node)
ตรงบริเวณเหนือข้อล่างหรือปล้อง (internode)
บริเวณเหนือโคนของปล้องบน ท�าให้บริเวณ 1
ดังกล่าวยืดยาวขึ้น เนื่องจากข้อหรือปล้อง
บริเวณนีจ้ ะแบ่งเซลล์ได้ยาวนานกว่าบริเวณอืน่
ในปล้องเดียวกัน ส่วนใหญ่มักจะพบในพืช
ใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น หญ้า ข้าว ข้าวโพด ไผ่
ภาพที่ 1.4 เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อของไผ่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4 เนื้อเยื่อเจริญปลายราก
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. เนือ้ เยือ่ เจริญด้านข้าง (lateral meristematic) เป็นเนือ้ เยือ่ เจริญทีอ่ ยูใ่ นแนวขนานกับ 2. หลังจากอภิปราย ครูอาจใชภาพจาก Power-
เส้นรอบวง ส่วนใหญ่พบในพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น ต้นมะม่วง ถั่ว พริก และพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว Point ประกอบการสอน และชีส้ ว นตาง ๆ ของพืช
บางชนิ ด เช่ น หมากผู ้ ห มากเมี ย เข็ ม กุ ดั่ น ศรนารายณ์ เนื้ อ เยื่ อ ชนิ ด นี้ จ ะแบ่ ง เซลล์ แล ว ระบุ ว า มี เ นื้ อ เยื่ อ บริ เ วณใดเป น องค -
เพิ่มจ�านวนออกทางด้านข้าง เรียกว่า แคมเบียม (cambium) ท�าให้ล�าต้นและรากมีขนาดใหญ่ขึ้น ประกอบ
หากพบเนื้อเยื่อนี้อยู่ระหว่างเนื้อเยื่อท่อล�าเลียงน�้าและเนื้อเยื่อท่อ 3. ครูถามนักเรียนวา การเจริญเติบโตปฐมภูมิ
คอร์กแคมเบียม
ล�าเลียงอาหารจะเรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) (cork cambium) สงผลอยางไรกับพืช จากนั้นสุมนักเรียนออก
ซึ่งจะแบ่งเซลล์ท�าให้เกิดเนื้อเยื่อท่อล�าเลียง คอร์ก มาอธิบายคําตอบ
(vascular tissue) เพิ่มขึ้น และถ้าพบ (cork) (แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยมี
เนือ้ เยือ่ นีอ้ ยูใ่ นชัน้ เอพิเดอร์มสิ หรือชัน้ แนวคําตอบวา การเจริญปฐมภูมมิ ผี ลทําใหพชื
ถัดเข้าไปจะเรียกว่า คอร์กแคมเบียม สูงยาวขึ้น)
(cork cambium) เมื่อเซลล์เกิด 4. ครูใหนักเรียนจับคู แลวเปายิงฉุบกัน โดย
การแบ่งตัวจะท�าให้เกิดเนื้อเยื่อ วาสคิวลาร์แคมเบีบม
ผูช นะเปนฝายถามคําถามทาทายการคิดขัน้ สูง
คอร์ก (cork) โดยการเจริญเติบโตที่ (vascular cambium)
(H.O.T.S.) และผูแพเปนผูตอบคําถาม จากนั้น
ท�าให้ล�าต้น หรือรากพืชมีขนาด
ครูใหผชู นะนําเสนอคําตอบของคูต นเอง พรอม
เส้ น ผ่ า นศู น ย์ ก ลางเพิ่ ม มากขึ้ น
เรียกการเจริญลักษณะเช่นนี้ว่า ภาพที่ 1.5 เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง
เสนอแนวคําตอบของตนเองรวมกับของเพื่อน
การเติบโตทุติยภูมิ (secondary growth) ที่มา : http://www.bio.miami.edu/dana/dox/stem.html
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 3 กลุม โดยให เซลล์คุม 1. ระบบเนื้อเยื่อผิว (epidermal tissue system)
แตละกลุมสืบคนขอมูล เรื่อง ระบบเนื้อเยื่อ มีดังนี้
ถาวร โดยแบงหนาที่ความรับผิดชอบแตละ 1) เอพิเดอร์มิส (epidermis) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่รอบ
กลุม ดังนี้ นอกสุดของส่วนต่าง ๆ ของพืช ท�าหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่ออื่น ๆ
- กลุมที่ 1 ศึกษาหัวขอระบบเนื้อเยื่อผิว ที่อยู่ภายใน เอพิเดอร์มิสของล�าต้นและใบประกอบด้วยเซลล์
- กลุมที่ 2 ศึกษาหัวขอระบบเนื้อเยื่อพื้น หลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นเซลล์ผิว (epidermal cell) ที่เรียงตัวกัน
- กลุมที่ 3 ศึกษาหัวขอระบบเนื้อเยื่อลําเลียง เพียงชั้นเดียว แต่ในพืชบางชนิดอาจพบเนื้อเยื่อชั้นนี้มากกว่า
2. ใหแตละกลุม ทําใบงาน เรือ่ ง ระบบเนือ้ เยือ่ ถาวร หนึ่งชั้น เซลล์ผิวมีรูปร่างที่แตกต่างกันหลายแบบ ภายในเซลล์
ของพืช มักไม่พบคลอโรพลาสต์ เซลล์เรียงชิดติดกันไม่มชี อ่ งว่างระหว่าง
- กลุมที่ 1 ทําตอนที่ 1 ระบบเนื้อเยื่อผิว เซลล์ ตัวอย่างเช่น ชัน้ เอพิเดอร์มสิ ของเซลล์ใบพืช ประกอบด้วย
รูปากใบ เซลล์ผิวที่พบเฉพาะผนังเซลล์ปฐมภูมิซึ่ง1ผนังเซลล์ด้านนอกมัก
- กลุมที่ 2 ทําตอนที่ 2 ระบบเนื้อเยื่อพื้น
ภาพที่ 1.6 ลักษณะของปากใบ หนากว่าด้านในและเคลือบด้วยสารคิวทินเพื่อลดการระเหยของ
- กลุมที่ 3 ทําตอนที่ 3 ระบบเนื้อเยื่อลําเลียง ที่มา : http://www.artasaweap-
3. ใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอใบงาน on.info น�้า นอกจากนี้ ยังพบเซลล์คุม (guard cell) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายไต
4. ใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู เรื่อง ระบบ หรือเมล็ดถัว่ แดงเป็นคูป่ ระกบกัน ภายในเซลล์คมุ มีคลอโรพลาสต์
เนื้อเยื่อถาวร ลงในสมุดบันทึกของตนเอง ส่วนชัน้ เอพิเดอร์มสิ ในรากพืชประกอบด้วยเซลล์ผวิ และเซลล์ขน
ราก แต่ไม่พบเซลล์คุม
2) เพริเดิร์ม (periderm) เป็นเนื้อเยื่อที่เกิดจากการ
แบ่งตัวของเนื้อเยื่อบริเวณเส้นรอบวงของรากและล�าต้น ท�า
ให้เอพิเดอร์มิสแตกออก เนื้อเยื่อชนิดนี้จึงเข้ามาแทนที่ ส่งผล
ให้รากและล�าต้นขยายขนาดขึ้น พบในพืชที่มีอายุมาก เพริ
เดิร์มประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ชั้นนอกสุด คื2อ คอร์กหรือเฟลเลม
(phellem) เซลล์กลุ่มนี้สะสมสารซูเบอริน (suberin) เหนือผนัง
เซลล์เพื่อป้องกันการระเหยของน�้า เมื่อเซลล์แก่จะตายและมี
อากาศเข้ามาแทนที ่ ชัน้ ถัดมา คือ คอร์กแคมเบียมหรือเฟลโลเจน
(phellogen) ท�าหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อเพริเดิร์ม และชั้นถัดมา คือ
เฟลโลเดิร์ม (phelloderm) ซึ่งประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาอยู่
ภาพที ่ 1.7 เนือ้ เยือ่ เพริเดิรม์ (สีแดง) ติดกับชั้นคอร์เทกซ์ (cortex)
เนือ้ เยือ่ พาเรงคิมา (สีฟา้ )
ที่มา : http://irrecenvhort.ifas.
ufl.edu
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. ระบบเนื้อเยื่อพื้น (ground tissue system) มีดังนี้ 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
1) พาเรงคิมา (parenchyma) ประกอบด้วยเซลล์ ใบงาน เรื่อง ระบบเนื้อเยื่อถาวรของพืช โดย
พาเรงคิมา (parenchyma cell) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีชีวิต ภายใน นําภาพเนื้อเยื่อพืชตัวอยางมาใหนักเรียนรวม
มีแวคิวโอลขนาดใหญ่ โดยทัว่ ไปมีผนังเซลล์ปฐมภูม ิ และมีความหนา กันตอบคําถามวาเปนเนื้อเยื่อชนิดใด
บางสม�า่ เสมอกันทัง้ เซลล์ เซลล์มรี ปู ร่างแตกต่างกันไป เช่น ค่อน ตัวอยางคําถาม เชน บริเวณ A และ B คือ
ข้างกลม ทรงกระบอกหรือรี แต่ส่วนใหญ่มีรูปร่างค่อนข้างกลม เนื้อเยื่ออะไร
การเรียงตัวของเซลล์จงึ ท�าให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ (intercel-
lular space) อยูเ่ สมอ เซลล์พาเรงคิมาทีพ่ บในบริเวณแตกต่างกัน A
อาจมีส่วนประกอบแตกต่างกัน และมีหน้าที่ได้หลากหลาย เช่น
การสังเคราะห์ดว้ ยแสง สะสมอาหาร หรือสารต่าง ๆ ทีจ่ า� เป็นต่อ ภาพที่ 1.8 เนื้อเยื่อพาเรงคิมา B
การด�ารงชีวิตของพืช ที่มา : http://learn.mindset.co.za
2) คอลเลงคิมา (collenchyma) เป็นเนือ้ เยือ่ ทีใ่ ห้ความ
แข็งแรงแก่โครงสร้างพืช พบมากบริเวณใต้ชั้นเอพิเดอร์มิสของ
ล�าต้น ก้านใบ และแผ่นใบ แต่ไม่พบในราก เกิดจากกลุ่มเซลล์ ( แนวตอบ บริ เ วณ A คื อ สเกลอเรงคิ ม า
ชนิดเดียวกันเรียกว่า เซลล์คอลเลงคิมา (collenchyma cell) ซึ่ง เนือ่ งจากมีผนังเซลลคอ นขางหนา สวนบริเวณ
เป็นเซลล์ที่มีชีวิต B คือ พาเรงคิมา เนื่องจากเซลลคอนขางกลม
เซลล์คอลเลงคิมามีลักษณะคล้ายกับเซลล์พาเรงคิมา มีผนังเซลลหนาบางสมํ่าเสมอกันทั้งเซลล)
แต่ มี ผ นั ง เซลล์ ป ฐมภู มิ ค ่ อ นข้ า งหนาและมี ค วามหนาบาง
ไม่สม�่าเสมอกัน ส่วนที่หนามักอยู่ตามมุมของเซลล์ ผนังเซลล์
ประกอบด้วยเซลลูโลส (cellulose) กับเพกทิน (pectin) นอกจากนี้ ภาพที่ 1.9 เนื้อเยื่อคอลเลงคิมา
ยังพบในส่วนของพืชที่ยังอ่อน จึงยืดตัวและท�าให้พืชมีการเจริญ ทีม่ า : http://biofile.ru/bio/17602.html
เติบโต
B iology
Focus เซลลูโลส
เซลลูโลส (C6H10O5)n เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เกิดจากกลูโคสประมาณ 50,000 โมเลกุล
มาเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว แต่ละสายของเซลลูโลสเรียงขนานกัน มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างสาย ท�าให้มี
ลักษณะเป็นเส้นใย สะสมไว้ในพืช ไม่พบในเซลล์สตั ว์ เซลลูโลสไม่ละลายน�า้ และมนุษย์ไม่สามารถย่อย
สลายได้ เซลลูโลสช่วยในการกระตุ้นล�าไส้ใหญ่ให้เคลื่อนไหว เพิ่มเนื้ออุจจาระ และกระตุ้นให้ล�าไส้ใหญ่
หลั่งเมือก (mucous) ออกมา จึงลดโอกาสเป็นโรคริดสีดวงทวาร
โครงสร้างและ 7
หน้าที่ของพืชดอก
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม โดยครูทําสลากที่มีชื่อ 3) สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma) เป็นเนื้อเยื่อที่ Biology
เนื้อเยื่อ ดังนี้ ไดแก เอพิเดอรมิส เพริเดิรม in real life
ท�าหน้าที่ช่วยพยุงและให้ความแข็งแรงแก่ส่วนต่าง ๆ ของพืช
พาเรงคิมา คอลเลงคิมา สเกลอเรงคิมา ไซเล็ม ในปัจจุบันกระดาษท�ามาจาก
ประกอบด้วยเซลล์ทเี่ รียกว่า เซลล์สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma เปลือกไม้ ผ่านกระบวนการผลิต
และโฟลเอ็ม cell) ซึง่ เป็นเซลล์ทไี่ ม่มชี วี ติ มีทงั้ ผนังเซลล์ปฐมภูมแิ ละผนังเซลล์ เยือ่ ให้ได้เส้นใย ซึง่ ประกอบด้วย
3. ครูแจกสลากใหกบั นักเรียน โดยนักเรียนแตละ ทุติยภูมิที่ค่อนข้างหนา ซึ่งประกอบด้วยเซลลูโลส (cellulose) เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส นอกจากนี้
คนจะไดรับฉลากชื่อเนื้อเยื่อเพียง 1 ชื่อ และ ลิกนิน (lignin) เพกทิน (pectin) และซูเบอริน (suberin) ยังมีลิกนิน ซึ่งท�าหน้าที่เชื่อม
หามไมใหเพื่อนเห็นสลากของนักเรียน เซลล์สเกลอเรงคิมาจ�าแนกออกเป็น 2 ชนิด ตามลักษณะ เส้นใยให้อยูด่ ว้ ยกัน ในกระบวน
รูปร่างของเซลล์ ได้แก่ เซลล์เส้นใยหรือไฟเบอร์ (fiber) และ การผลิตกระดาษ จ�าเป็นต้อง
4. ครูพดู ชือ่ ระบบเนือ้ เยือ่ ถาวรแตละระบบ แลวให ก�าจัดลิกนินออก เพราะหากมี
นักเรียนยืนขึน้ ตามระบบทีน่ กั เรียนไดรบั สลาก สเกลอรีด (sclereid) เซลล์ทั้ง 2 ชนิด มักพบในบริเวณ ลิกนินหลงเหลืออยู่ในกระดาษ
เนือ้ เยือ่ นัน้ จากนัน้ จึงแสดงสลากของตนเองให หรื อ อวั ย วะของพื ช ที่ ไ ม่ มี ก ารเจริ ญ เติ บ โตแล้ ว เนื่ อ งจาก เมื่ อ กระดาษถู ก แสงแล้ ว จะ
เพื่อนดู เซลล์ ไ ม่ ส ามารถยื ด ตั ว ได้ เช่ น ส่ ว นที่ แ ข็ ง ของเปลื อ กไม้ ท� า ให้ ก ระดาษเปลี่ ย นเป็ น
เปลือกเมล็ด สีเหลืองเมื่อได้รับแสง
5. ครูและนักเรียนรวมกันประเมินวาถูกหรือไม
อยางไร
ภาพที ่ 1.10 เซลล์เส้นใยหรือไฟเบอร์ เป็นเซลล์ทมี่ รี ปู ร่าง ภาพที ่ 1.11 สเกลอรีดมีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปหลาย
เรียวยาว หัวท้ายแหลม เหลี่ยม รูปดาว เป็นต้น
ที่มา : https://kk.wikipedia.org ทีม่ า : https://en.wikipedia.org/wiki/Ground_tissue
B iology
Focus เพกทิน
1
เพกทินเป็นสารพอลิแซ็กคาไรด์ ((polysaccharide) พบได้ทวั่ ไปในผนังเซลล์ของพืชทีม่ อี ายุนอ้ ย
ท�าหน้าที่เป็นโครงสร้างเซลล์และยึดเหนี่ยวเซลล์พืชให้เชื่อมติดกันในบริเวณชั้นมิดเดิลลาเมลลา
รวมถึงเป็นสารตั้งต้นของเอนไซม์เพกทิเนส และเป็นส่วนประกอบส�าคัญของเนื้อเยื่อพาเรงคิมา
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
3. ระบบเนื้อเยื่อท่อล�าเลียง (vascular tissue system) มีดังนี้ 1. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
1) ไซเล็ม (xylem) เป็นเนือ้ เยือ่ ทีท่ ำ� หน้ำทีล่ ำ� เลียงน�ำ้ และธำตุอำหำรจำกรำกไปยังส่วน 2. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
ต่ำง ๆ ของพืช ประกอบด้วยเซลล์หลำยชนิด ได้แก่ เซลล์พำเรงคิมำ เซลล์ไฟเบอร์ เซลล์ที่ท�ำ ม.5 เลม 1
หน้ำที่ล�ำเลียงน�้ำมี 2 ชนิด คือ เทรคีด (tracheid) และเวสเซลเมมเบอร์ (vessel member)
เซลล์ทั้ง 2 ชนิด เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีชีวิตและมี ขัน้ สรุป
1 ผนังเซลล์หนำ ซึ่งเป็นผนังเซลล์ทุติยภูมิ ตรวจสอบผล
สะสม ยกเว้นบริเวณไส้ไม้หรือพิธ (pith) ซึ่งเป็นบริเวณผนังเซลล์ที่บำง ส่งผลให้
ที่มีสำรลิกนินมำสะสม
น�้ำสำมำรถไหลผ่ำนจำกเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งได้ ลักษณะของเทรคีดและเวสเซลเมมเบอร์ ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรือ่ ง เนือ้ เยือ่
แตกต่ำงกันโดยเทรคีดเป็นเซลล์ที่มีรูปร่ำงยำวเรียวรูปกระสวย ไม่พบช่องทะลุที่หัวท้ำยของเซลล์ พืช จากนัน้ ใหนกั เรียนทําผังมโนทัศนสรุปจําแนก
ส่วนเวสเซลเมมเบอร์มรี ปู ร่ำง เทรคีด ประเภทและสรุปชนิดของเนือ้ เยือ่ พืช ลงในกระดาษ
อ้วนสัน้ กว่ำเทรคีดรูปกระบอก เวสเซล
A4 ตกแตงใหสวยงาม พรอมนําเสนอหนาชัน้ เรียน
และมักมีขนำดใหญ่กว่ำ บริเวณ
ด้ำนหัวและท้ำยของเซลล์มชี อ่ ง
รอยปรุ
ทะลุถึงกัน ซึ่งมีลักษณะเป็น พิธ
รอยปรุหรือรูพรุน (perforation
เวสเซลเมมเบอร์
plate) เมื่อเวสเซลเมมเบอร์ 100 μm
หลำย ๆ เซลล์เรียงต่อกันจะ
มีลักษณะคล้ำยท่อน�้ำเรียกว่ำ พิธ
เวสเซล (vessel) ท�ำให้ลำ� เลียง
45 μm เวสเซล เทรคีด
น�้ำได้อย่ำงต่อเนื่อง
ภาพที่ 1.12 ลักษณะของเทรคีดและเวสเซลเมมเบอร์
ที่มา : http://intranet.tdmu.edu.ua
โครงสร้างและ 9
หน้าที่ของพืชดอก
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู นอกจากเซลล์ที่กล่าวมาแล้ว ยังพบเซลล์ประกบหรือเซลล์คอมพาเนียน (companion
ที่ 1 cell) ที่ประกบติดกับซีฟทิวบ์เมมเบอร์เสมอ เนื่องจากเซลล์ทั้งสองก�าเนิดมาจากเซลล์เจริญเซลล์
2. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5 เดียวกัน ท�าหน้าที่ควบคุมการท�างานของซีฟทิวบ์เมมเบอร์ และอาจพบเซลล์พาเรงคิมาและ
เลม 1 เซลล์ไฟเบอร์แทรกตัวอยู่ในเนื้อเยื่อล�าเลียงอาหารได้เช่นเดียวกับเนื้อเยื่อล�าเลียงน�้า
3. ตรวจใบงาน เรื่อง เนื้อเยื่อเจริญของพืช
4. ตรวจใบงาน เรื่อง ระบบเนื้อเยื่อถาวรของพืช ซีฟทิวบ์เมมเบอร์
5. ตรวจผังมโนทัศน เรือ่ ง เนือ้ เยือ่ พืช โดยใชแบบ พลาสโมเดสมาตา
ประเมินชิ้นงาน
6. ประเมินการนําเสนอผลงาน ซีฟเพลต
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล นิวเคลียส
8. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ
เซลล์คอมพาเนียน
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
9. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ ภาพที่ 1.13 ลักษณะของโฟลเอ็มภาพวาด (ซ้าย) ภาพที่ถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (ขวา)
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค ที่มา : www.slideshare.net
Topic
Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. เนื้อเยื่อเจริญแตกต่างกับเนื้อเยื่อถาวรอย่างไร จงยกตัวอย่างเนื้อเยื่อแต่ละชนิด
2. เนื้อเยื่อถาวรชนิดหนึ่ง มีน�้าตาลสะสมอยู่ ผนังเซลล์มีความหนาบางสม�่าเสมอ คือเนื้อเยื่อชนิดใด
3. เนื้อเยื่อในล�าต้นของต้นไผ่กับต้นถั่วมีความเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร
4. เนื้อเยื่อไซเล็มและโฟลเอ็มท�าหน้าที่อะไร และประกอบด้วยเซลล์อะไรบ้าง
5. เมื่อน�าเนื้อเยื่อบริเวณล�าต้นมาศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ จะทราบได้อย่างไรว่า เนื้อเยื่อบริเวณนี้
เป็นเนื้อเยื่อไซเล็มหรือโฟลเอ็ม
10
ลาดับที่
1
รายการประเมิน
การจัดรูปแบบรายงาน
4 3
ระดับคะแนน
2 1 มีเนื้อเยื่อเจริญดานขาง
2
3
ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
4. เนื้อเยื่อไซเล็ม ทําหนาที่ลําเลียงนํ้าและธาตุอาหาร ประกอบดวย
เวสเซล เทรคีดไฟเบอร และพาเรงคิมา สวนเนื้อเยื่อโฟลเอ็ม ทําหนาที่
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................/................
เกณฑ์การประเมิน
รายการประเมิน
1. การจัดรูปแบบ
4
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
3
ระดับคะแนน
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
2
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
1
รู ปเล่ มรายงานมี
ลําเลียงอาหารประเภทนํา้ ตาล ประกอบดวย ซีฟทิวบ เซลลคอมพาเนียน
ไฟเบอร และพาเรงคิมา
และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
5. เนื้อเยื่อไซเล็มเปนเนื้อเยื่อที่ประกอบดวยเซลลที่ไมมีชีวิต มีรูปทรง
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12
7-9
4-6
0-3
ดีมาก
ดี
พอใช้
ปรับปรุง
ประกอบดวยเซลลทยี่ งั คงมีชวี ติ มีรปู รางเปนทรงกระบอก หัวทายเซลล
มีรูเล็กๆ คลายตะแกรง มักประกบคูกับเซลลที่มีนิวเคลียส
T16
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
อวัยวะของพืชทํางาน 2. อวัยวะและหนาทีข่ องอวัยวะของพืช 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
สัมพันธกันอยางไร 2. กระตุนความสนใจของนักเรียนโดยนําภาพ
เมื่อเนื้อเยื่อชนิดต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นอวัยวะที่ส�าคัญ
ของพืช ได้แก่ ราก ล�าต้น ใบ และดอก โดยอวัยวะแต่ละส่วน เกีย่ วกับการเจริญของรากตนถัว่ มาใหนกั เรียน
มีหน้าที่เฉพาะที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดท�างานสัมพันธ์กัน เพื่อให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ ศึกษา ซึ่งมีแนวภาพ ดังนี้
2.1 โครงสรางและหนาที่ของราก
รากเป็นอวัยวะแรกที่งอกออกจากเมล็ด และเมื่อรากงอกออกจากเมล็ดแล้ว จะมีการเจริญ
เติบโตโดยมีขนาด ความยาว และจ�านวนที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปรากเจริญอยู่ใต้ระดับผิวดิน ท�าหน้าที่
ดูดซึมน�้าและธาตุอาหาร รวมทั้งสารอาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในดินไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช นอกจากนี้ 3. หลังจากดูภาพ ครูสุมเรียกเลขที่ของนักเรียน
รากช่วยค�้าจุน หรือช่วยยึดส่วนของพืชที่อยู่เหนือดินให้คงตัวอยู่กับที่ได้ ประมาณ 3-4 คน ตอบคําถามคนละ 1 ขอ
เมื่อน�าปลายรากมาตัดตามยาวและตัดตามขวาง แล้วศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์จะเห็น โดยมีแนวคําถาม ดังนี้
โครงสร้างภายในของปลายราก ดังนี้ ï• การเจริญของรากตนถั่วเปนอยางไร
1. โครงสร้างภายในของปลายรากตัดตามยาว (แนวตอบ ยาวขึ้นและมีขนาดใหญขึ้น)
•ï รากตนถั่วประกอบดวยเนื้อเยื่อประเภทใด
โครงสรางบริเวณปลายราก
ยกตัวอยางชนิดของเนื้อเยื่อมาอยางนอย 3
1 บริเวณเปลี่ยนสภาพและเจริญเต็มที่ของเซลล์ (region of cell ตัวอยาง
differentiation and maturation) : บริเวณทีเ่ ซลล์มกี ารเปลีย่ นแปลงไป
ท�าหน้าที่เฉพาะและเจริญเติบโตเต็มที่ เช่น เซลล์ขนราก มัดท่อล�าเลียง (แนวตอบ เนื้อเยื่อเจริญ ไดแก เนื้อเยื่อเจริญ
1 น�้าและอาหาร ปลายราก เนือ้ เยือ่ เจริญดานขาง หรือวาสคิว-
ลารแคมเบียม และเนื้อเยื่อถาวร เชน เซลล
2 บริเวณยืดตามยาวของเซลล์ (region of cell elongation) : บริเวณที่ ขนราก ทอไซเล็ม โฟลเอ็ม)
อยู่ถัดจากเนื้อเยื่อเจริญ โดยเซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์จะมีการขยาย
2 ขนาดและยืดตัวตามความยาวของราก ï• รากทําหนาที่อะไรบาง นอกจากดูดนํ้าและ
ธาตุอาหาร
3 บริเวณการแบ่งเซลล์ (region of cell division) : ส่วนทีอ่ ยูถ่ ดั จากหมวกราก (แนวตอบ สะสมอาหาร หายใจ พยุงลําตน)
3 ขึ้นมา ซึ่งเซลล์บริเวณนี้ คือ เนื้อเยื่อเจริญปลายราก (root apical
meristem) ที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนสืบคนขอมูล หรือศึกษาเนื้อหาและ 2. โครงสร้างภายในของปลายรากตัดตามขวาง
ภาพโครงสรางภายในของปลายรากที่ตัดตาม
ขวางในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 โครงสรางภายในของรากพืช
2. ครูถามนักเรียนวา โครงสรางภายในรากที่
ตัดตามขวางแบงออกเปนกีช่ นั้ ไดแกอะไรบาง 1 เอพิเดอรมิส (epidermis) พืชใบเลีย
้ งคู
(แนวตอบ 3 ชั้น ไดแก ชั้นนอกสุดหรือเอพิ- เป็นชั้นที่อยู่นอกสุด เซลล์จะเรียงตัวเป็นแถวเดียว 1
เดอรมิส ชั้นถัดเขามาหรือชั้นคอรเทกซ และ โดยมีคิวทิน (cutin) เคลือบอยู่บนผนังชั้นนอกของ
เซลล์ ช่วยป้องกันเนือ้ เยือ่ ภายใน เนือ่ งจากเซลล์ชนั้ นี้
ชั้นในสุดหรือชั้นสตีล) มีผนังเซลล์บาง บางส่วนของเซลล์ชนั้ นีจ้ ะยืน่ ออกไป
3
3. ใหนกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 3 กลุม โดยแตละ ท�าหน้าที่ดูดน�้าและธาตุอาหารต่าง ๆ เรียกบริเวณนี้
ว่า บริเวณขนราก (root hair zone)
กลุมมีหนาที่ศึกษาหัวขอ ดังนี้
- กลุ ม ที่ 1 ศึ ก ษารายละเอี ย ดภายในชั้ น
เอพิเดอรมิส 2 คอรเทกซ (cortex)
ไซเล็ม
- กลุ ม ที่ 2 ศึ ก ษารายละเอี ย ดภายในชั้ น เป็ น ชั้ น ที่ อ ยู ่ ถั ด จากชั้ น เอพิ เ ดอร์ มิ ส ส่ ว นใหญ่ (xylem)
คอรเทกซ ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาเรียงตัวกันหลายแถว
- กลุมที่ 3 ศึกษารายละเอียดภายในชั้นสตีล ไม่มีคลอโรพลาสต์ ท�าหน้าที่สะสมอาหาร ซึ่งชั้น
ในสุดของคอร์เทกซ์ประกอบด้วยเซลล์ขนาดเล็ก
4. เมื่ อ แต ล ะกลุ ม สื บ ค น และศึ ก ษาข อ มู ล แล ว เรียงตัวแถวเดียว เรียกว่า เอนโดเดอร์มสิ (endodermis)
ให นั ก เรี ย นจั บ กลุ ม กลุ ม ละ 3 คน โดย ซึ่ ง มี ส ารซู เ บอริ น (suberin) มาสะสมเป็ น แถบ เพริไซเคิล
เรียกว่า แถบแคสพาเรียน หรือ แคสพาเรียนสตริป (pericycle)
สมาชิกภายในกลุมตองมาจากกลุมที่ศึกษา (casparian strip) ท�าหน้าทีป่ อ้ งกันการเคลือ่ นทีข่ อง
รายละเอียดภายในชั้นเอพิเดอรมิส คอรเทกซ น�า้ และธาตุอาหาร เมือ่ เซลล์มอี ายุมากขึน้ จะมีลกิ นิน
และสตีล ตามลําดับ มาสะสม จะเห็นชัดเจนในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ภาพที่ 1.15 โครงสร้างภายในของปลายรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและ
พืชใบเลี้ยงคู่
การเติบโตทุตย
ิ ภูมข
ิ องราก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• ส่วนใหญ่พบในพืชใบเลี้ยงคู่ แต่ไม่พบการเติบโตทุติยภูมิในรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
• การเติบโตทุติยภูมิเกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อถาวรเพิ่มจากการแบ่งเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญด้านข้างของราก คือ
วาสคิวลาร์แคมเบียมและคอร์กแคมเบียม
• วาสคิวลาร์แคมเบียมที่คั่นระหว่างไซเล็มปฐมภูมิกับโฟลเอ็มปฐมภูมิจะแบ่งเซลล์สร้างไซเล็มทุติยภูมิ (secondary
xylem) ทางด้านใน และสร้1 างโฟลเอ็มทุติยภูมิ (secondary phloem) ทางด้านนอก
• ในพืชใบเลี้ยงคู่ เพริไซเคิลเปลี่ยนสภาพเป็นคอร์กแคมเบียมท�าให้เกิดการเติบโตทุติยภูมิ สร้างคอร์กแทนเนื้อเยื่อ
ผิวเดิม
12
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ใหสมาชิกภายในกลุม อธิบายสิง่ ทีต่ นเองศึกษา
ใหเพื่อนฟงภายในกลุมใหเขาใจ
2. ครูแจกใบงาน เรื่อง โครงสรางภายในของราก
พืช แลวใหแตละกลุม ศึกษาคําชีแ้ จง และลงมือ
พืชใบเลีย
้ งเดีย
่ ว 3 สตีล (stele) ปฏิบัติ
เป็ น ชั้ น ที่ อ ยู ่ ถั ด จำกชั้ น เอนโดเดอร์ มิ ส เข้ ำ ไป 3. ใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอคําตอบ
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลำยชนิด ได้แก่
2 • เพริไซเคิล (pericycle) : ประกอบด้วยเซลล์ ในใบงาน โดยครูและนักเรียนรวมกันเฉลยและ
พำเรงคิมำ เรียงเป็นวงชั้นเดียว หรือหลำยชั้น อภิปรายคําตอบ
แล้วแต่ชนิดพืช เซลล์สำมำรถเปลี่ยนสภำพเป็น 4. ให นั ก เรี ย นทุ ก คนสรุ ป ความรู ที่ ไ ด จ ากการ
เนื้อเยื่อเจริญและเกิดกำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ได้อีก ท�ำให้เกิดรำกแขนง ทําใบงานลงในสมุดบันทึก
• มัดท่อล�าเลียง (vascular bundle) : ประกอบ
ด้วยโฟลเอ็มปฐมภูมิ (primary phloem) และ
ไซเล็มปฐมภูมิ (primary xylem) โดยไซเล็มเรียง
ตัวเป็นแฉก (arch) อยู่ตรงกลำงของรำก และ
มี โ ฟลเอ็ ม อยู ่ ร ะหว่ ำ งแฉก ซึ่ ง พื ช แต่ ล ะชนิ ด
โฟลเอ็ม มีจ�ำนวนแฉกของไซเล็มแตกต่ำงกัน โดยพืช
(phloem) ใบเลีย้ งคูม่ จี ำ� นวนแฉกน้อยกว่ำพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว
- ไซเล็ม (xylem) : ท�ำหน้ำทีล่ ำ� เลียงน�ำ้ และธำตุ
อำหำร ประกอบด้วยเซลล์หลำยชนิด ได้แก่
เวสเซลเมมเบอร์ เทรคีด เซลล์พำเรงคิมำ
และเซลล์ไฟเบอร์ เวสเซลเมมเบอร์เรียงต่อกัน
เอนโดเดอรมิส เป็นท่อยำว โดยน�ำ้ จะผ่ำนทำงช่องทะลุหวั ท้ำย
(endodermis) ของเวสเซลเมมเบอร์เซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์
หนึ่ง ส่วนเทรคีดไม่พบช่องทะลุที่หัวท้ำยของ
เซลล์ น�้ำจึงไหลผ่ำนจำกเซลล์หนึ่งไปยังอีก
เซลล์หนึ่งได้ทำงพิธ
คอร์เทกซ์ที่ถูกเบียดออก - โฟลเอ็ม (phloem) : ท�ำหน้ำที่ล�ำเลียงอำหำร
โดยอำหำรถู ก ล� ำ เลี ย งผ่ ำ นซี ฟ เพลตเข้ ำ สู ่
เพริไซเคิลที่เปลี่ยนแปลง ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ถดั ไป โดยมีเซลล์คอมพำเนียน
เป็นคอร์กแคมเบียม ควบคุมกำรล�ำเลียง นอกจำกนี้ยังพบเซลล์
ไซเล็มทุติยภูมิ พำเรงคิมำและเซลล์ไฟเบอร์แทรกอยู่ด้วย
วำสคิวลำร์แคมเบียม • พิธ (pith) : อยู่บริเวณตรงกลำงของรำกที่ไม่ใช่
ไซเล็มปฐมภูมิ ส่วนใหญ่พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
แต่ไม่พบในพืชใบเลี้ยงคู่
โฟลเอ็มทุติยภูมิ
ภาพที่ 1.16 กำรเติบโตทุติยภูมิของรำกพืชใบเลี้ยงคู่
ที่มา : http://www.nana-bio.com
โครงสร้างและ 13
หน้าที่ของพืชดอก
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูนําภาพเกี่ยวกับประเภทของรากพืชมาให 3. หน้าที่และชนิดของราก รากเป็นอวัยวะแรกที่งอกออกจากเมล็ด รากในระยะแรกจะ
นักเรียนศึกษา โดยมีแนวภาพ ดังนี้ เรียกว่า แรดิเคิล (radicle) ซึง่ จะเจริญไปเป็นรากแก้ว ส่วนมากรากแก้วในพืชใบเลีย้ งคูจ่ ะเจริญเติบโต
เพิม่ ความยาวไปเรือ่ ย ๆ และมีการสร้างรากสาขาทีเ่ รียกว่า รากแขนง (lateral root) ขณะทีพ่ ชื ใบเลีย้ งเดีย่ ว
รากแก้วจะหยุดการเจริญเติบโตตัง้ แต่พชื ยังเล็ก แต่จะมีรากพิเศษเกิดขึน้ แทน หากแบ่งรากพืชตาม
การก�าเนิดจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1) รากปฐมภูมิ (primary root) เป็นรากที่เกิดมาจากรากแรกเกิดหรือแรดิเคิล ในขณะ
ที่เป็นเอ็มบริโออยู่ในเมล็ดแล้วเจริญเติบโตยืดยาวออกมา ซึ่งจะติดอยู่กับล�าต้น มีขนาดใหญ่และ
เรียวเล็กลงเรื่อย ๆ หรือที่เรียกว่า รากแก้ว (tap root)
2. หลังจากดูภาพ ครูถามคําถามนักเรียน เพื่อ 2) รากทุตยิ ภูม ิ (secondary root) เป็นรากทีเ่ จริญจากรากแก้วอีกทีหนึง่ เรียกว่า รากแขนง
ใหนักเรียนสืบคนขอมูลจากแหลงเรียนรู หรือ ซึ่งจะแตกแขนงออกไปได้อีก โดยรากแขนงนี้จะแตกออกจากส่วนเพริไซเคิลของราก
จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 โดยมี 3) รากพิเศษหรือรากวิสามัญ (adventious root) เป็นรากที่เกิดจากกิ่ง ใบ หรือล�าต้น
แนวคําถาม ดังนี้ ซึ่งไม่ได้เกิดมาจากแรดิเคิลหรือรากแก้วโดยตรง สามารถแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ตามรูปร่างและ
ï• จากภาพ รากทั้งสองมีลักษณะแตกตางกัน หน้าที่ ดังนี้
อยางไร
(แนวตอบ ภาพซาย รากมีขนาดใหญและเรียว
เล็กลง และภาพขวา รากมีการแตกแขนง
ออกไป)
ï• ภาพซายเปนรากประเภทใด
(แนวตอบ รากแกว)
ï• ภาพขวาเปนรากประเภทใด
(แนวตอบ รากฝอย)
ï• ภาพซายเปนรากที่มีแหลงกําเนิดมาจาก
อะไร
(แนวตอบ รากแรกเกิดหรือแรดิเคิล) ภาพที่ 1.17 รากเกาะ ภาพที่ 1.18 รากฝอย
ï• ภาพขวาเป น รากที่ มี แ หล ง กํ า เนิ ด มาจาก ที่มา : https://bullsapbio.wordpress.com ที่มา : www.murvegetalpatrickblanc.com
อะไร รากเกาะ (climbing root) รากฝอย (fibrous root)
รากที่แตกออกมาจากบริเวณข้อของล�าต้น แล้วมาเกาะ รากเส้นเล็ก ๆ จ�านวนมาก ซึ่งงอกออกมาจากรอบโคน
(แนวตอบ เพริไซเคิล) ตามหลักหรือเสา เพือ่ พยุงล�าต้นให้มนั่ คงและชูล�าต้นขึน้ ต้นแทนรากแก้วทีฝ่ อ่ ไป หรือ หยุดเจริญเติบโตไป ส่วนใหญ่
ที่สูง เช่น รากของพลู พริกไทย กล้วยไม้ พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
14
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 3-4 คน
ทําใบงาน เรื่อง ประเภทของราก ตอนที่ 1
4. ใหนักเรียนกลุมเดิมรวมกันสืบคนขอมูลเกี่ยว-
กับรากพิเศษ หรือรากวิสามัญ แลวทําใบงาน
ในตอนที่ 2
อธิบายความรู้
1. สงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงาน
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายความรูจ ากการ
ภาพที่ 1.19 รากค�้าจุน ภาพที่ 1.20 รากอากาศ ทําใบงาน
ที่มา : www.murvegetalpatrickblanc.com ที่มา : www.gardensonline.com.au
รากค�้า (prop root) รากอากาศ (aerial root)
รากทีแ่ ตกออกมาจากข้อของล�าต้นทีอ่ ยูใ่ ต้ดนิ และเหนือ รากที่แตกออกมาจากบริเวณข้อของล�าต้น แล้วห้อยลง
ดินขึ้นมาเล็กน้อย พุ่งแทงลงไปในดิน เพื่อพยุงล�าต้น มาในอากาศ ไม่เจริญลงดิน ท�าหน้าที่ดูดความชื้นใน
ไม่ให้ลม้ พบในพืชบริเวณทีม่ นี �้าท่วมขังตลอดเวลา หรือ อากาศ และส่วนปลายยังสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้
พื้นเป็นดินโคลน เช่น ต้นล�าแพน โกงกาง เช่น รากกล้วยไม้ ไทร
โครงสร้างและ 15
หน้าที่ของพืชดอก
กิจกรรม ทาทาย
ใหนกั เรียนศึกษาคนควาเพิม่ เติมจากแหลงเรียนรูต า ง ๆ เชน
อินเทอรเน็ต หนังสือ วารสารวิชาการ เพือ่ สรุปสาระสําคัญ และ
จําแนกความแตกตางของโครงสรางเนื้อเยื่อภายในรากพืชใบ
เลีย้ งเดีย่ วและพืชใบเลีย้ งคู แลวสรุปลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตง
ในรูปแบบทีส่ วยงาม
T21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน เพื่อทํา • การสังเกต
กิจกรรม การเจริญของรากพืช ในหนังสือเรียน การเจริญเติบโตของรากพืช • การวัด
• การค�านวณ
ชีววิทยา ม.5 เลม 1 จิตวิทยาศาสตร์
2. ครูใชรปู แบบการเรียนรูแ บบรวมมือ : เทคนิค จุดประสงค์ • ความสนใจใฝ่รู้
• ความรับผิดชอบ
คูคิดสี่สหาย มาจัดกระบวนการเรียนรู โดย อธิบายและเปรียบเทียบการงอกและการเจริญเติบโตของรากพืชใบเลีย้ ง • การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
สร้างสรรค์
กํ า หนดให ส มาชิ ก แต ล ะคนภายในกลุ ม มี เดี่ยวและรากพืชใบเลี้ยงคู่ได้
บทบาทหนาทีข่ องตนเอง ดังนี้
สมาชิกคนที่ 1 : ทําหนาทีเ่ ตรียมวัสดุอปุ กรณ วัสดุอปุ กรณ์
สมาชิกคนที่ 2 : ทํ า หน า ที่ อ า นวิ ธี ก ารทํ า 1. เมล็ดถั่วเขียว 10 เม็ด 4. กระดาษทิชชู
กิจกรรม และนํามาอธิบาย 2. เมล็ดข้าวโพด 10 เม็ด 5. ด้ายหรือเชือกเส้นเล็ก
ใหสมาชิกภายในกลุมฟง 3. ก ล่องพลาสติกใสรูปสีเ่ หลีย่ มทีม่ คี วามยาวประมาณ 6. ไม้บรรทัด
สมาชิกคนที่ 3 : ทํ า หน า ที่ บั น ทึ ก ผลการ 20 เซนติเมตร จ�านวน 4 กล่อง
ทดลอง
วิธปี ฏิบตั ิ
สมาชิกคนที่ 4 : ทํ า หน า ที่ นํ า เสนอผลการ
ทดลอง 1. นา� เมล็ดถัว่ เขียวและเมล็ดข้าวโพด แช่นา�้ ไว้ประมาณ 6-12 ชัว่ โมง จากนัน้ น�าเมล็ดแต่ละชนิดแบ่งออกเป็น
2 ส่วน น�าแต่ละส่วนเพาะลงในกล่องพลาสติกใสบนกระดาษทิชชูทชี่ นื้ วางเมล็ดให้กระจายบนกระดาษทิชชู
รดน�้าจนชุ่ม ปิดฝากล่อง (ให้ปริมาณน�้าในแต่ละกล่องเท่ากัน)
1 3
2 4
16
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. หลังจากทํากิจกรรม ใหนักเรียนแตละกลุมจัด
3. สงั เกตการงอกของเมล็ดการเปลีย่ นแปลงความยาวและจ�านวนรากถัว่ เขียวในกล่องหมายเลข 1 และ 2 และ
ทํารายงาน เรื่อง การเจริญของรากพืช โดย
รากข้าวโพดในกล่องหมายเลข 3 และ 4 ทุก ๆ วันเป็นเวลา 3 วัน วัดความยาวรากจากภายนอกกล่องโดย
ใช้ด้ายหรือไม้บรรทัด แล้วสังเกตดูว่าขนรากที่เกิดขึ้นมานั้นเจริญมาจากส่วนใด ตองมีองคประกอบของรายงานครบถวน และ
นําเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวของกับการทํากิจกรรม
การเจริญของรากพืชใหตรงกับจุดประสงคของ
1 2 3 กิจกรรม ผลการทํากิจกรรมในรูปแบบตาราง
4 หรือรูปแบบการนําเสนอที่นาสนใจ
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากกิจกรรม
เรื่อง การเจริญของรากพืช
ภาพที ่ 1.23 กิจกรรมการเจริญเติบโตของรากพืช 3. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. บันทึกผลและหาค่าเฉลี่ยความยาวของรากในแต่ละวัน พร้อมทั้งวาดภาพเมล็ดที่งอก
?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. ส่วนใดของเมล็ดที่งอกออกมาก่อน และงอกออกมาจากต�าแหน่งใดของเมล็ด
2. ต�าแหน่งที่มีการงอกออกมาของเมล็ดถั่วเขียวและเมล็ดข้าวโพดเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร
3. การงอกของรากถั่วเขียวและข้าวโพดเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร
อภิปรายผลกิจกรรม
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน เพื่อทํา • การสังเกต
กิจกรรม โครงสรางภายในของปลายรากพืช โครงสร้างภายในของปลายรากพืช จิตวิทยาศาสตร
• ความสนใจใฝรู
ตอนที่ 1 โดยสมาชิกในกลุมมีหนาที่ ดังนี้ • ความรับผิดชอบ
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
4. ลา้ ง HCl ออกจากเนือ้ เยือ่ ปลายราก โดยใช้หลอด 5. หยดสีซาฟรานีนหรือสีผสมอาหารสีแดงลงไปพอ ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม เดิ ม เพื่ อ ทํ า กิ จ กรรม
หยดดูด HCl ออกจนหมด แล้วเติมน�้าลงไปให้ ท่วมราก ทิ้งไว้ 5 นาที ล้างสีส่วนเกินออก โดย โครงสรางภายในของปลายรากพืช ตอนที่ 2 โดย
ท่วมราก แช่ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วดูดน�้าออก เติม การดูดน�้าสีออกแล้วเติมน�้า จากนั้นดูดน�้าออก สมาชิกในกลุมมีหนาที่ ดังนี้
น�า้ ใหม่แล้วดูดออก ท�าเช่นนีป้ ระมาณ 3 ครัง้ เพือ่ ท�าเช่นนี้ประมาณ 3 ครั้ง - สมาชิกคนที่ 1 เตรียมอุปกรณ
ล้างกรดออกให้หมด
- สมาชิกคนที่ 2 และ 3 ทําการทดลอง
- สมาชิกคนที่ 4 บันทึกผลการทํากิจกรรม
- สมาชิกคนที่ 5 หรือ 6 นําเสนอผลที่ไดจาก
กิจกรรม
อธิบายความรู้
ตอนที่ 2 โครงสรางภายในของราก
โครงสร้างและ 19
หน้าที่ของพืชดอก
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด 3. ใช้พู่กันแตะชิ้นส่วนของรากที่เฉือนออกมา แล้ว 4. น� า ชิ้ น ส่ ว นที่ บ างไปย้ อ มสี วางลงบนหยดน�้ า
ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5 เลม 1 แช่ในน�้าสีที่ใส่ในจานเพาะเชื้อ โดยแยกเป็นจาน บนสไลด์แล้วปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ แล้วน�าไป
ละชนิด ส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ขัน้ สรุป
รากต้น รากต้น
ตรวจสอบผล ทานตะวัน ข้าว
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรือ่ ง โครงสราง
และหนาที่ของดอก
1. ตรวจแบบฝกหัด
2. ตรวจใบงาน เรื่อง โครงสรางภายในของราก
3. ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภทของราก ?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
4. สังเกตการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม 1. โ ครงสร้างภายในของรากจากการตัดตามยาวในพืชใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยวเหมือนกันหรือแตกต่างกัน
5. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล อย่างไร
2. ก ารเจริญเติบโตปฐมภูมิและการเจริญเติบโตทุติยภูมิของรากแตกต่างกันอย่างไร และสามารถพบได้ทั้งใน
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม รากพืชใบเลี้ยงคู่และรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรือไม่
7. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค
อภิปรายผลกิจกรรม
รากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว รากพืชใบเลี้ยงคู
T26
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
2.2 โครงสรางและหนาที่ของลําตน 1. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนโดยครูอาจ
ล�าต้นเป็นอวัยวะของพืชที่โดยทั่วไปเจริญอยู่เหนือระดับผิวดินถัดขึ้นมา ล�าต้นพืชบางชนิด นําตนพืชขนาดเล็ก เชน ตอยติง่ ตนถัว่ ทีเ่ พาะไว
จะมีข้อ ปล้อง บริเวณข้อจะมีใบ ที่ซอกใบมีตา ล�าต้นท�าหน้าที่ชูกิ่ง ใบ ดอก และผล ให้อยู่เหนือ มาใหนักเรียนศึกษา
ระดับผิวดิน ล�าเลียงน�้า ธาตุอาหาร และอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช 2. ครูถามนักเรียนวา นักเรียนรูไดอยางไรวา
เมือ่ น�าล�าต้นพืชใบเลีย้ งเดีย่ วและพืชใบเลีย้ งคูม่ าศึกษา พบว่า การเจริญเติบโตของพืชแต่ละ บริเวณใดเปนลําตน
ชนิดแตกต่างกัน โดยการเติบโตปฐมภูมิจะท�าให้พืชมีล�าต้นสูงขึ้น พบทั้งในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและ (แนวตอบ ลําตนมักมีสีเขียวหรือสีอื่นรวม มีใบ
พืชใบเลี้ยงคู่ ส่วนการเติบโตทุติยภูมิจะท�าให้พืชมีล�าต้นขยายออกทางด้านข้าง พบเฉพาะใน เจริญออกดานขางของลําตนตรงตําแหนงขอที่
พืชใบเลี้ยงคู่ เห็นไดชัดเจน โดยเฉพาะพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เชน
ตนขาว ไผ จะเห็นขอและปลองชัดเจนกวาพืช
B iology ใบเลี้ยงคู)
Focus โครงสรางบริเวณปลายยอด
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
5. ครูใหนักเรียนแบงกลุมดวยวิธีการจับสลาก 1. โครงสร้างภายในของล�าต้นระยะการเติบโตปฐมภูมิ เมื่อตัดตำมขวำง แล้วน�ำมำ
หมายเลข 1-4 เพือ่ แบงกลุม นักเรียนออกเปน 4 ศึกษำด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นโครงสร้ำงแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ดังนี้
กลุม จากนั้นครูนํากลองจุลทรรศน และสไลด
ตั ว อย า งของลํ า ต น พื ช ใบเลี้ ย งเดี่ ย วและพื ช โครงสรางภายในของลําตน
ใบเลี้ยงคูมาใหนักเรียนแตละกลุมศึกษา
6. ครูมอบหมายใหแตละกลุม ทําชิน้ งานวาดภาพ 1 เอพิเดอรมิส พืชใบเลีย
้ งเดีย
่ ว
โครงสรางภายในของลําตนเมือ่ ตัดตามขวางที่ (epidermis) 1
เป็ น เนื้ อ เยื่ อ ที่ อ ยู ่ ชั้ น นอกสุ ด ท� ำ
ศึกษาจากกลองจุลทรรศนลงในกระดาษ A4 หน้ำที่ปองกันอันตรำยให้กับเนื้อเยื่อ
กลุ่มท่อ-
ล�ำเลียง ลําต้นพืช
พรอมระบุสวนประกอบกอบตาง ๆ พรอมนํา ภำยในของล�ำต้น ส่วนใหญ่เซลล์จะ ใบเลี้ยงเดี่ยว
เรียงตัวเพียงชั้นเดียว พืชบำงชนิด พิธ
เสนอหนาชั้นเรียน พิธ
เอพิเดอร์มิสมีกำรเปลี่ยนแปลงไป 2
เป็นขน
อธิบายความรู้ โฟลเอ็ม โฟลเอ็ม
1. แตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอชิ้นงาน 2 คอรเทกซ
2. ครูอธิบายใหนกั เรียนเขาใจโดยใชคาํ ถาม ดังนี้ (cortex)
ไซเล็ม
ï• การจัดเรียงตัวของกลุม มัดทอลําเลียงภายใน เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจำกเอพิเดอร์มิส
เข้ ำ ไป ประกอบด้ ว ยเซลล์ ห รื อ
ลําตนพืชใบเลีย้ งเดีย่ วและใบเลีย้ งคูแ ตกตาง เนื้ อ เยื่ อ หลำยชนิ ด ส่ ว นใหญ่ เ ป็ น มัดท่อล�ำเลียง
กันหรือไม อยางไร เนือ้ เยือ่ พำเรงคิมำและมีคอลเลงคิมำ
อยู ่ ใ ต้ เ ซลล์ ผิ ว ในพื ช ใบเลี้ ย งเดี่ ย ว
(แนวตอบ แตกตางกัน กลุม มัดทอลําเลียงใน บำงชนิดอำจเห็นส่วนคอร์เทกซ์ไม่ชดั ไซเล็ม เอพิเดอร์มิส
ลําตนพืชใบเลีย้ งเดีย่ วจะกระจายทัว่ เนือ้ เยือ่
แต จ ะเรี ย งตั ว เป น ระเบี ย บในลํ า ต น พื ช
ขอแตกตางระหวางลําตนพืชใบเลีย
้ งเดีย
่ วและลําตนพืชใบเลีย
้ งคู
ใบเลี้ยงคู)
ล�าต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ล�าต้นพืชใบเลี้ยงคู่
ï• วาสคิวลารแคมเบียมทําหนาที่อะไร และ
1. กลุ่มท่อล�ำเลียงกระจำยทั่วไปในเนื้อเยื่อพื้น 1. กลุ่มท่อล�ำเลียงเรียงเป็นระเบียบในแนวรัศมี
เนื้อเยื่อชนิดนี้พบไดในพืชชนิดใด (ground tissue)
( แนวตอบ ทํ า หน า ที่ แ บ ง เซลล ทํ า ให เ กิ ด 2. ส่วนใหญ่ไม่พบเนือ้ เยือ่ เจริญวำสคิวลำร์แคมเบียม 2. มีเนื้อเยื่อเจริญวำสคิวลำร์แคมเบียมระหว่ำง
เนื้ อ เยื่ อ ท อ ลํ า เลี ย ง ส ว นมากพบในพื ช ยกเว้นหมำกผู้หมำกเมียและพืชวงศ์ปำล์ม โฟลเอ็มและไซเล็ม จึงมีกำรเติบโตทุติยภูมิ
ใบเลี้ยงคู) 3. เนื้อเยื่อพิทจะพบกลุ่มท่อล�ำเลียงกระจำยอยู่เต็ม 3. เห็นขอบเขตของเนื้อเยื่อพิธอย่ำงชัดเจน
ท�ำให้ไม่เห็นขอบเขตของพิธ
ï• ชองพิธพบไดในพืชชนิดใด
4. ส่วนใหญ่ไม่มีกำรเติบโตทุติยภูมิ ซึ่งบริเวณพิท 4. พิทถูกแทนที่ด้วยไซเล็ม เมื่อมีกำรเติบโตทุติยภูมิ
(แนวตอบ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว สวนพิธในลําตน และเนือ้ เยือ่ อืน่ ๆ อำจสลำยไปกลำยเป็นช่องกลำง
พืชใบเลี้ยงคูจะถูกแทนที่ดวยไซเล็ม) ล�ำต้นเรียกว่ำ ช่องพิธ (pith cavity)
22
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ครู นํ า ภาพโครงสร า งภายในของลํ า ต น เมื่ อ
ตัดตามขวางมาใหนกั เรียนรวมกันตอบคําถาม
จากภาพ โดยมีแนวคําถาม ดังนี้
ภาพที่ 1 ภาพที่ 2
พืชใบเลีย
้ งคู 3 สตีล
1 (stele)
กลุ่มท่อ ชัน้ ทีถ่ ดั จำกชัน้ คอร์เทกซ์เข้ำมำจนถึง
ลําต้นพืช ล�ำเลียง ส่วนกลำงของล�ำต้น และแบ่งแยก
ใบเลี้ยงคู 3 ออกจำกชั้นคอร์เทกซ์ได้ไม่ชัดเจน
พิธ
โดยทั่วไปสตีลมีขอบเขตกว้ำงมำก
พิธ 2 ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่ส�ำคัญ ได้แก่
วำสคิวลำร์ • วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular
แคมเบียม โฟลเอ็ม
cambium) : พบในพืชใบเลี้ยง ï• ภาพที่ 1 เปนภาพของเนื้อเยื่อที่อยูภายใน
โฟลเอ็ม คู่ เป็นเนื้อเยื่อพำเรงคิมำที่อยู่ ลําตนชนิดใด
ระหว่ำงกลุ่มท่อล�ำเลียง โดยเรียง (แนวตอบ ลําตนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว)
ไซเล็ม ตัวกันเป็นวงเชือ่ มต่อระหว่ำงคอร์-
เทกซ์และพิธ ï• ภาพที่ 2 เปนภาพของเนื้อเยื่อที่อยูภายใน
คอร์เทกซ์
• พิธ (pith) : เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ส่วน ลําตนชนิดใด
กลำงของล�ำต้น ส่วนใหญ่เป็น
เอพิเดอร์มิส เนื้อเยื่อประเภทพำเรงคิมำ จึง (แนวตอบ ลําตนพืชใบเลี้ยงคู)
ท�ำหน้ำที่ในกำรสะสมสำรต่ำง ๆ
ไซเล็ม
มัดท่อล�ำเลียง
ภาพที่ 1.27 โครงสร้ำงภำยในของล�ำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โครงสร้างและ 23
หน้าที่ของพืชดอก
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนสืบคนขอมูล และศึกษาเนื้อหาจาก 2. ล�าต้นในระยะการเติบโตทุตยิ ภูมิ จะท�ำให้ลำ� ต้นมีเส้นรอบวงเพิม่ ขึน้ และมีโครงสร้ำง
แหลงการเรียนรู เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต แตกต่ำงไปจำกเดิม เนื่องจำกมีกำรสร้ำงเนื้อเยื่อเพริเดิร์ม และเนื้อเยื่อท่อล�ำเลียงทุติยภูมิเพิ่มขึ้น
หนังสือเรียน โดยครูกําหนดหัวขอ เรื่อง ลําตน ท�ำให้ล�ำต้นพืชเจริญขยำยออกทำงด้ำนข้ำง
ขยายขนาดเปนวงกวางไดอยางไร
2. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน สืบคน
กำรสร้ำงเนือ้ เยือ่ ท่อล�ำเลียงทุตยิ ภูมิ เกิด
ขึน้ โดยเนือ้ เยือ่ เจริญทีอ่ ยูร่ ะหว่ำงเนือ้ เยือ่ ไซเล็ม
ขอมูลวา ทําไมเนื้อไมจึงมีสีเขมและสีออน พิธ
ไซเล็มปฐมภูมิ ปฐมภูมิและโฟลเอ็มปฐมภูมิ เรียกว่ำ วาสคิว-
แตกตางกัน เอพิเดอร์มิส
วำสคิวลำร์แคมเบียม ลาร์แคมเบียม (vascular cambium) จะแบ่ง
โฟลเอ็มปฐมภูมิ คอร์เทกซ์ เซลล์ได้ 2 ทิศทำง คือ แบ่งเข้ำทำงด้ำนใน
และด้ำนนอก
กำรแบ่งเซลล์เข้ำด้ำนในของวำสคิวลำร์
ไซเล็มปฐมภูมิ
ไซเล็มทุติยภูมิ แคมเบียมเกิดได้เร็วกว่ำด้ำนนอก และเจริญ
วำสคิวลำร์แคมเบียม คอร์ก เป็ น เนื้ อ เยื่ อ ไซเล็ ม เรี ย กไซเล็ ม ที่ เ กิ ด จำก
โฟลเอ็มทุติยภูมิ คอร์กแคมเบียม
โฟลเอ็มปฐมภูมิ วำสคิวลำร์แคมเบียมว่ำ ไซเล็มทุตยิ ภูมิ (secondary
ปแรก xylem) ส่ ว นเซลล์ ที่ แ บ่ ง ออกทำงด้ ำ นนอก
ปที่สอง
เจริ ญ เป็ น เนื้ อ เยื่ อ โฟลเอ็ ม เรี ย กโฟลเอ็ ม ที่
ไซเล็มทุติยภูมิ เปลี่ ย นแปลงมำจำกวำสคิ ว ลำร์ แ คมเบี ย ม
ว่ำ โฟลเอ็มทุติยภูมิ (secondary phloem)
วำสคิวลำร์แคมเบียม
โฟลเอ็มทุติยภูมิ ดังนั้น กำรเติบโตทุติยภูมิท�ำให้ไซเล็ม
เปลือกไม้ คอร์กแคมเบียม
คอร์ก ชั้นในสุดของล�ำต้นมีอำยุมำกที่สุด และไซเล็ม
ภาพที่ 1.28 กำรเจริญเติบโตของล�ำต้นในระยะทุติยภูมิ ที่มีอำยุน้อยอยู่ถัดออกมำก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
การสร้างเนื้อเยื่อเพริเดิร์ม เกิดขึ้นโดยเนื้อเยื่อเจริญที่ Biology 1. ครู นํ า เกมหรื อ ความบั น เทิ ง ช ว ยกระตุ น ให
พัฒนามาจากเนื้อเยื่อในชั้นคอร์เทกซ์ เรียกว่า คอร์กแคมเบียม in real life นักเรียนมีสวนรวม และเลือกตัวแทนนักเรียน
(cork cambium) หรือ เฟลโลเจน (phllogen) ท�าหน้าที่สร้าง ไม้ ค อร์ ก หรื อ จุ ก ขวดปิ ด ปาก 3-4 คน ออกมานําเสนอชิ้นงาน เรื่อง ลําตน
ชั้นเนื้อเยื่อที่ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใน โดย ขวดไวน์ท�ามาจากเปลือกไม้ ขยายขนาดไดอยางไร แลวใหนักเรียนทุกคน
ของต้นโอ๊ก เมื่อต้นโอ๊กมีอายุ
เนื้อเยื่อเพริเดิร์มจะไปแทนที่เอพิเดอร์มิสที่แตกออกหรือแห้ง ประมาณ 25 - 30 ป จะเริ่ม รวมกันอภิปรายสิ่งที่ตัวแทนนักเรียนนําเสนอ
แล้วหลุดออกไป เซลล์ทไี่ ด้จากการแบ่งเซลล์ของคอร์กแคมเบียม ลอกเปลือกเพื่อท�าไม้คอร์ก ไม้ ขอมูล
นั้น ถ้าเซลล์ที่อยู่ด้านนอกของคอร์กแคมเบียมจะเป็นเซลล์ที่ คอร์ ก ที่ ไ ด้ ค รั้ ง แรกจะยั ง ไม่ มี 2. ใหตวั แทนกลุม ออกมานําเสนอขอมูลวา ทําไม
เปลี่ยนสภาพไปเป็นเซลล์คอร์ก (cork cell) เมื่อเจริญเต็มที่ คุณสมบัติที่เหมาะสมในการใช้ เนือ้ ไมจงึ มีสเี ขมและออนแตกตางกัน จากนัน้ ครู
จะสะสมสารประกอบพวกซูเบอริน (suberin) ที่ผนังเซลล์เป็น เป็นจุกปิดปากขวดไวน์ ต่อมา พิจารณาขอมูลทีต่ วั แทนนักเรียนนําเสนอ โดยมี
ประมาณ 9 - 11 ป ชั้นของไม้
ปริมาณมาก ท�าให้เซลล์ตายในทีส่ ดุ ชัน้ ของเซลล์คอร์กทีเ่ กิดขึน้ คอร์กจะเกิดขึ้นมาใหม่ และมี แนวคําตอบวา เนือ้ ไม ประกอบดวย แกนไม
นีเ้ รียกว่า คอร์ก (cork) หรือ เฟลเลม (phellem) ช่วยป้องกันการ การลอกไม้คอร์กมาใช้ประโยชน์ และกระพี้ไม ซึ่งแกนไม เปนบริเวณที่มีไซเล็ม
สูญเสียน�้าภายในล�าต้น และถ้าเป็นเซลล์ที่อยู่ด้านในของคอร์ก ทุก 9 - 11 ป ต้นโอ๊กที่ควรน�า ที่มีอายุมาก มีการสะสมของสารอินทรียจึง
แคมเบียมจะเป็นเซลล์ทมี่ ผี นังบางคล้ายเซลล์พาเรงคิมาเรียกว่า มาผลิตจุกขวดควรมีอายุอย่าง
ทําใหบริเวณนี้มีสีเขมและไมสามารถลําเลียง
เฟลโลเดิร์ม (phelloderm) ท�าให้ชั้นคอร์เทกซ์มีขนาดใหญ่ขึ้น น้อย 50 ป
นํ้าได สวนกระพี้ไม เปนบริเวณที่มีไซเล็มที่
ซึ่งทั้งคอร์ก คอร์กแคมเบียม และเฟลโลเดิร์ม รวมเรียกว่า
มีอายุนอ ย สามารถลําเลียงนํา้ และธาตุอาหาร
เพริเดิร์ม (periderm)
ในล�าต้นที่มีอายุมากเอพิเดอร์มิสจะหลุดสลายไปเหลือแต่เนื้อเยื่อคอร์ก (cork) และคอร์ก ได เนื่องจากยังไมมีสารอินทรียมาสะสมจึง
แคมเบียม (cork cambium) โดยเนื้อเยื่อเพริเดิร์มและโฟลเอ็มทุติยภูมิที่สร้างขึ้นมาใหม่ รวมเรียก ทําใหบริเวณนี้มีสีออน
ว่า เปลือกไม้ (bark) ส�าหรับล�าต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น ปาล์ม มะพร้าว ไผ่ ข้าวโพด
พืชเหล่านี้จะมีการเติบโตทุติยภูมิ แต่มีลักษณะและขั้นตอนต่างออกไปจากพืชใบเลี้ยงคู่
B iology
Focus วงป
ใน 1 ป วาสคิวลาร์แคมเบียมแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นตามมาก
หรื อ น้ อ ยต่ า งกั น ในแต่ ล ะฤดู ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู ่ กั บ ปริ ม าณน�้ า และ
อาหาร ท�าให้การสร้างเนื้อไม้ในแต่ละฤดูมีขนาดมากน้อย
แตกต่ า งกั น เซลล์ ชั้ น ไซเล็ ม ที่ ส ร้ า งขึ้ น ในฤดู ฝ นจะเจริ ญ
เร็ ว มี ข นาดใหญ่ ท� า ให้ ไ ซเล็ ม กว้ า งและมั ก มี สี จ าง ส่ ว น
ฤดู แ ล้ ง เซลล์ จ ะมี ข นาดเล็ ก และมี สี เ ข้ ม ลั ก ษณะดั ง กล่ า ว
ท� า ให้ เ นื้ อ ไม้ มี สี จ างและสี เ ข้ ม สลั บ กั น มองเห็ น เป็ น วง เรี ย กว่ า
วงป (annual ring) ภาพที่ 1.30 วงป
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โครงสร้างและ 25
หน้าที่ของพืชดอก
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนักเรียนศึกษากิจกรรม โครงสรางภายใน • การสังเกต
ของลําตน ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 โครงสรางภายในของล�าตน จิตวิทยาศาสตร์
• ความสนใจใฝ่รู้
2. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน โดยให • ความรับผิดชอบ
วิธปี ฏิบตั ิ
1. น�าล�าต้นหญ้าและถั่วเขียวมาลอกใบออกจนเห็น 2. ใช้พู่กันแตะชิ้นส่วนของล�าต้นหญ้าและถั่วเขียวที่
ข้ อ และปล้ อ ง ล้ า งให้ ส ะอาด และตั ด บริ เ วณ ตัดเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วน�ามาแช่ในน�้าสีที่ใส่ในจาน
กึ่งกลางปล้องให้เป็นชิ้นบาง ๆ เพาะเชื้อที่ 1 และ 2 ตามล�าดับ
จานเพาะเชื้อที่ 1 จานเพาะเชื้อที่ 2
สไลด์ที่ 1 สไลด์ที่ 2
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ค�าถามท้ายกิจกรรม 1. ครูสมุ ตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอผลจากการ
?
ทํากิจกรรม
เนื้อเยื่อของล�ำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่มีโครงสร้ำงเหมือนหรือแตกต่ำงกัน อย่ำงไร
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
กิจกรรม เพือ่ ใหไดขอ สรุปวา โครงสรางภายใน
จำกกิจกรรม เมื่อน�ำเนื้อเยื่อของล�ำต้นพืชที่เติบโตเต็มที่มำตัดตำมขวำง พบว่ำ โครงสร้ำงภำยในล�ำต้น
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชนิดต่ำง ๆ ที่เหมือนกันซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 บริเวณ ดังนี้ ลําตนประกอบดวยเนือ้ เยือ่ ตาง ๆ แบงออกได
1. เอพิเดอร์มิส เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุด ส่วนใหญ่เซลล์เรียงตัวเพียงชั้นเดียว เปน 3 บริเวณ คือ เอพิเดอรมสิ คอรเทกซ และ
2. คอร์เทกซ์ เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจำกเอพิเดอร์มิสเข้ำไป ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพำเรงคิมำในพืชใบเลี้ยง สตีล
เดี่ยวบำงชนิดเห็นส่วนคอร์เทกซ์ไม่ชัดเจน
3. สตีล อยู่ถัดจำกชั้นคอร์เทกซ์ เข้ำมำจนถึงใจกลำงของล�ำต้น ประกอบด้วยเนื้อเยื่อกลุ่มท่อล�ำเลียง
วำสคิวลำร์แคมเบียม (พบในพืชใบเลี้ยงคู่) และพิธ
ล�ำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่มีบำงบริเวณที่แตกต่ำงกัน แต่ที่เห็นได้อย่ำงชัดเจน คือ กลุ่ม
ท่อล�ำเลียงที่มีกำรจัดเรียงตัวที่แตกต่ำงกัน
3. หน้าที่และชนิดของล�าต้น ล�ำต้นเป็นอวัยวะที่เป็นแกนหลักของพืชที่อยู่เหนือระดับ
พื้นดิน หน้ำที่หลักของล�ำต้น คือ ชูกิ่งก้ำนและใบเพื่อรับแสง ล�ำเลียงน�้ำและธำตุอำหำร รวมทั้ง
อำหำรที่พืชสร้ำงขึ้นส่งไปยังส่วนต่ำง ๆ ของพืช นอกจำกนี้ล�ำต้นยังมีหน้ำที่พิเศษอื่น ๆ อีกตำม
ลักษณะภำยนอกของล�ำต้นที่พบ เช่น สะสมอำหำร สังเครำะห์ด้วยแสง ช่วยในกำรคำยน�้ำ ใช้ใน
กำรขยำยพันธุ์
หำกแบ่งประเภทของล�ำต้นตำมต�ำแหน่งที่พบ สำมำรถ
แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
1) ล�าต้นเหนือดิน (aerial stem) เป็นต้นที่ขนำน แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
อยู่เหนือพื้นดินทั่ว ๆ ไป นอกจำกจะพบล�ำต้นขนำดใหญ่ที่ เนื้อเยื่อชั้นตางๆ ของลําตนพืชใบเลี้ยงคูและ
ท�ำหน้ำที่เป็นแกนหลักของพืชแล้ว ยังพบล�ำต้นลักษณะอื่น ๆ ที่ ลําตนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวประกอบไปดวยชั้นเนื้อเยื่อ
เปลี่ยนแปลงรูปร่ำงและท�ำหน้ำที่ต่ำงกันออกไป ดังนี้ ที่คลายกัน คือ เอพิเดอรมิส มัดทอลําเลียงกับ
- ล�าต้นเกาะเลื้อย (creeping stem) เป็นต้นที่ขนำน พิธ แตแตกตางกันที่พืชใบเลี้ยงคูระหวางไซเล็ม
ไปกับผิวดินหรือผิวน�้ำ ส่วนใหญ่มีล�ำต้นอ่อน ตั้งตรงไม่ได้ จึง ภาพที ่ 1.32 ล�ำต้นเกำะเลื้อย
ที่มา : คลังภาพ อจท. กั บ โฟลเอ็ ม จะมี เ นื้ อ เยื่ อ แคมเบี ย มคั่ น แต พื ช
ต้องเลื้อยขนำนไปกับผิวดินหรือผิวน�้ำ เช่น ผักกระเฉด แตงโม ใบเลี้ยงเดี่ยวไมมีเนื้อเยื่อแคมเบียมคั่น และในพืช
ฟักทอง ใบเลี้ ย งคู จ ะเห็ น ขอบเขตบริ เ วณพิ ธ ชั ด เจน
โครงสร้างและ 27
หน้าที่ของพืชดอก
นอกจากนี้ การจัดเรียงตัวของมัดทอลําเลียงในพืช
ใบเลี้ยงคูจะเปนระเบียบมากกวาพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนกั เรียนจับสลาก เพือ่ แบงกลุม นักเรียนออก - ล�าต้นเลื้อยขึ้นสูง หรือล�าต้นไต่ (climbing stem) มีล�าต้นที่อ่อน และไต่ขึ้นสูงไปตาม
เปน 2 กลุม โดยแตละกลุม มีหนาทีส่ บื คนหัวขอ หลักหรือต้นไม้ที่อยู่ติดกัน เช่น แตงกวา พลูด่าง เฟื่องฟ้า
ตอไปนี้ - ล�าต้นคล้ายใบ (cladophyll) ล�าต้นที่เปลี่ยนไปอาจแผ่แบนคล้ายใบหรือเป็นเส้นเล็ก
- กลุมนักเรียนที่จับสลากไดหมายเลข 1 : ยาวและยังมีสีเขียว ท�าหน้าที่แทนใบในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ นอกจากนั้นยังมีล�าต้นอวบน�้า
ศึกษาลําตนเหนือดิน เป็นล�าต้นของพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้งป้องกันการคายน�้า เช่น สนทะเล กระบองเพชร
- กลุมนักเรียนที่จับสลากไดหมายเลข 2 :
ศึกษาลําตนใตดิน
2. ใหนักเรียนแตละกลุมทํา PowerPoint โดยให
นักเรียนภายในกลุมรวมกันแบงหนาที่สมาชิก
ภายในกลุมออกเปนกลุมยอย ๆ ดังนี้
- นักเรียนกลุมที่ 1 : ศึกษาและรวบรวมขอมูล
- นักเรียนกลุมที่ 2 : ทําขอมูลนําเสนอในรูป
แบบ PowerPoint
- นักเรียนกลุมที่ 3 : นําเสนอขอมูล
ภาพที่ 1.33 ล�าต้นที่เลื้อยขึ้นสูงโดยเปลี่ยนเป็นมือเกาะ ภาพที่ 1.34 ล�าต้นคล้ายใบของต้นกระบองเพชร
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายความรู้
1. ใหตัวแทนกลุมออกมานําเสนอขอมูล แลวให B iology
Focus ลักษณะการไตขึ้นสูงของล�าตน
นักเรียนบันทึกขอมูลที่ตัวแทนนําเสนอลงใน
สมุดบันทึกของตนเอง ลักษณะการไต่ขึ้นสูงของล�าต้น มีดังนี้
2. ใหนักเรียนนําขอมูลที่รวบรวมได ทําใบงาน 1. ลา� ต้นพันหลักเปนเกลียวขึน้ ไป หรือไม้พนั เลือ้ ย (twinter) : การพันอาจเวียนซ้ายหรือเวียนขวา เช่น
เรื่อง หนาที่และชนิดของลําตน บอระเพ็ด เถาวัลย์ ต้นถั่วฟักยาว
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลทีไ่ ดจากการ 2. ล �าต้นเปลี่ยนเปนมือเกาะ (tendril) : มือจะบิดเกาะเป็นเกลียวคล้ายสปริงเพื่อให้มีการยืดหยุ่น เช่น
แตงกวา บวบ
ทําใบงาน 3. ร ากพัน (root climber) : เป็นล�าต้นที่ไต่ขึ้นสูงโดยงอกรากออกมาบริเวณข้อยึดกับหลักหรือ
ต้นไม้อื่น รากนี้หากยึดกับต้นไม้จะไม่แทงรากเข้าไปในล�าต้นของพืชที่เกาะ เช่น พริกไทย
ขยายความเข้าใจ พลูด่าง พลู
ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา 4. ล � า ต้ น เปลี่ ย นเป น หนาม (stem spine) : เป็ น ล� า ต้ น ที่ เ ปลี่ ย นแปลงไปเป็ น หนามรวมทั้ ง
ม.5 เลม 1 ขอเกี่ยว เพื่อใช้ส�าหรับไต่ขึ้นที่สูงและท�าหน้าที่ป้องกันอันตราย โดยหนามแตกออกมาจากบริเวณ
ซอกใบ เช่น เฟื่องฟ้า ไมยราบ
28
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
2) ล�าต้นใต้ดิน (underground stem) เป็นล�าต้นที่เจริญอยู่ใต้ระดับผิวดิน ล�าต้นใต้ดิน ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายโครงสรางและ
ของพืชหลายชนิดท�าหน้าที่พิเศษในการสะสมอาหาร ซึ่งล�าต้นมีขนาดใหญ่ อวบหนา มักจะสะสม หนาทีข่ องลําตน จากนัน้ ใหนกั เรียนจับกลุม กลุม ละ
แป้งหรือน�้ามันไว้ภายในเซลล์ 4-5 คน เพื่อสรางแบบจําลองโครงสรางภายใน
หากแบ่งล�าต้นใต้ดินตามลักษณะรูปร่าง สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแบบ ดังนี้ ลําตนพืชใบเลีย้ งเดีย่ วและพืชใบเลีย้ งคู โดยรวมกัน
ออกแบบใชวัสดุที่เหมาะสมกับแบบจําลอง เชน
ตะเกียบ หลอด หนังยาง แลวนําเสนอหนาชัน้ เรียน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5
ภาพที่ 1.35 ล�าต้นของข่า ภาพที่ 1.36 ล�าต้นของเผือก
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท. เลม 1
2. ตรวจใบงาน เรื่อง หนาที่และชนิดของลําตน
เหงา (rhizome) คอรม (corm)
ล�าต้นที่อยู่ใต้ดิน เห็นข้อปล้องชัดเจน ตามข้อมีใบ ล�าต้นมีลักษณะตั้งตรง เก็บอาหารไว้ในล�าต้น จึงมี 3. ประเมินชิน้ งาน โครงสรางภายในลําตนเมือ่ ตัด
สีน�้าตาล ลักษณะเป็นเกล็ดเรียกว่า ใบเกล็ด หุ้มตา ลักษณะอวบใหญ่ ทางด้านล่างมีรากเส้นเล็ก ๆ หลาย ตามขวาง
เอาไว้ มีรากงอกออกจากเหง้า ตาแตกแขนงเป็นใบ เส้น ที่ข้อมีใบเกล็ดบาง ๆ หุ้ม ตาแตกออกมาจาก 4. ประเมิ น ชิ้ น งาน PowerPoint โดยใช แ บบ
อยู่เหนือดิน หรืออาจเป็นล�าต้นอยู่ใต้ดิน เช่น ขิง ข้อ มีใบชูขึ้นสูงหรืออาจเป็นล�าต้นใต้ดินต่อไป เช่น ประเมินชิ้นงาน
ข่า ขมิ้น เผือก แห้ว
5. ประเมินแบบจําลองโครงสรางภายในลําตน
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู โดยใชแบบ
ประเมินการนําเสนอผลงาน
6. สังเกตการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม โดย
ใชแบบประเมินการปฏิบัติการ
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดย
ภาพที่ 1.37 หอม ภาพที่ 1.38 มันฝรั่ง ใชแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
8. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ
หัวกลีบ (bulb) ทูเบอร (tuber)
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ล�าต้นทีม่ ลี กั ษณะตัง้ ตรง มีขอ้ ปล้องสัน้ มาก ตามปล้อง ล�าต้นทีป่ ระกอบด้วยข้อและปล้อง 3 - 4 ปล้อง ไม่มใี บ
มีใบเกล็ด ท�าหน้าที่สะสมอาหารซ้อนห่อหุ้มล�าต้นไว้ ภายในล�าต้นมีอาหารสะสม ท�าให้อวบกลม บริเวณ 9. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ
หลายชัน้ จนเห็นเป็นหัวลักษณะกลม ใบชัน้ นอกสุดจะ ปล้องมีตาซึง่ ตามักจะบุม ลงไป ตาเหล่านีส้ ามารถงอก ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
ลีบแบนไม่สะสมอาหาร ส่วนด้านล่างของล�าต้นมีราก เป็นต้นใหม่ได้ เช่น มันฝรั่ง
เป็นกระจุก เช่น หอม กระเทียม
โครงสร้างและ 29
หน้าที่ของพืชดอก
ยึดเกาะกับตนไมใหญ
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
ขอความใดกลาวถูกตอง
3 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
4 วิธีการนาเสนอผลงาน
5 ความสวยงามของใบงาน
รวม
5. ก. ข. และ ค.
(วิเคราะหคําตอบ ลําตนของถั่วลันเตา พวงชมพู องุนเปลี่ยนไป
เปนมือเกาะ ดังนั้น ตอบขอ 2.)
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
T35
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูนําใบพืชตัวอยางมาใหนักเรียนสังเกตและ 2.3 โครงสรางและหนาที่ของใบ
ศึกษาโครงสรางภายนอกของใบ ใบเป็นอวัยวะที่เจริญออกไปบริเวณด้านข้าง อยู่บริเวณข้อปล้องของล�าต้นและกิ่งท�าหน้าที่
2. ครูถามคําถามกระตุนความคิดของนักเรียน หลักในสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง
โดยมีแนวคําถาม ดังนี้
1. โครงสร้างและการเจริญเติบโตของใบ ใบต้องมีโครงสร้างที่เอื้อต่อการรับแสง การ
ï• ลักษณะของใบพืชทั่วไปเปนอยางไร แลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และการล�าเลียงน�้า สารอาหาร และอาหารที่เหมาะสม
(แนวตอบ มีลักษณะแบน ผิวใบดานบน
คอนขางมัน สวนใหญมีสีเขียว) โครงสรางของใบ
ï• หนาที่หลักสําคัญของใบพืชคืออะไร โครงสราง
1 ภายนอกของใบ
(แนวตอบ สังเคราะหดวยแสง เพื่อผลิต
อาหารใหกับพืช) 1 ก้านใบ (petiole) : อยู่ระหว่าง
ตัวใบและล�าต้น ซึ่งในพืชใบ
ï• ลักษณะของใบพืชทั่วไปเหมาะสมตอการ เลี้ยงเดี่ยวมักมีก้านใบแผ่เป็น
สรางอาหารของพืชอยางไร แผ่นหุ้มข้อของล�าต้น เรียกว่า
กาบใบ (leaf sheath)
(แนวตอบ ชวยเพิ่มพื้นที่ผิวในการรับแสง ซึ่ง 2
มีผลตอการสังเคราะหดวยแสง) 2 แผ่นใบ (blade) : ส่วนทีเ่ ป็นแผ่น
แบน โดยมีรปู ร่างลักษณะแตก
ต่างกัน ขึน้ อยูก่ บั ชนิดของพืช
ขัน้ สอน 1
3 เส้นใบ (vein) : ประกอบด้วย 3
สํารวจค้นหา ท่อไซเล็มและท่อโฟลเอ็มเรียง 4
ตัวอยู่
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน สํารวจ
4 หูใบ (stipule) : เป็นส่วน
สวนพฤกษศาสตรภายในโรงเรียน หรือตนไม ที่ ยื่ น ออกมาตรงโคนใบที่ ติ ด
บริเวณภายในชุมชน แลวเลือกตนไมตวั อยางมา กั บ ล� า ต้ น ท� า หน้ า ที่ ป ้ อ งกั น
1 ชนิด บันทึกชือ่ ตนไม สังเกต และวาดภาพ อันตรายให้กบั ตาอ่อน พบทัว่ ไป
ในพืชใบเลี้ยงคู่ แต่ไม่ค่อยพบ
ลักษณะภายนอกของใบลงในสมุดบันทึก ในพื ช ใบเลี้ ย งเดี่ ย ว หู ใ บมั ก
2. ใหนักเรียนนําใบไมจากตนไมตัวอยางที่กลุม มีอายุไม่นานและจะหลุดร่วงไป
ภาพที่ 1.39 โครงสร้างและส่วนประกอบของใบพืช
นักเรียนเลือกมาทํากิจกรรม โครงสรางภายนอก ที่มา : คลังภาพ อจท.
และโครงสรางภายในของใบไม
ลักษณะการจัดเรียงเสนใบ
พืชใบเลี้ยงคู เส้นกลางใบ พื ช ใบเลี้ ย งเดี่ ย ว
เส้นใบจะแยกออกจาก เส้นใบจะเรียงขนาน
เส้นกลางใบ และแตก เส้นใบ หรื อ ตั้ ง ฉากกั บ เส้ น
แขนงเป็นร่างแห กลางใบ โดยไม่ มี
เส้นใบย่อย การแตกแขนงเป็ น
ร่างแห
30
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาข อ มู ล เกี่ ย วกั บ โครงสร า ง
ภายนอกของใบไม จากหนังสือเรียนชีววิทยา
ม.5 เลม 1 แลวระบุองคประกอบที่ศึกษาได
ลงในสมุดบันทึก
4. ครูเขียนคําศัพทบนกระดาน และใหนักเรียน
โครงสราง สืบคนความหมายของคําศัพท ตอไปนี้
2 ภายในของใบ
1 - upper epidermis
1 เอพิเดอร์มิส (epidermis) : อยู่
ชัน้ นอกสุดของใบทัง้ ด้านบน หรือ
- bundle sheath
หลังใบ (upper epidermis) และ - lower epidermis
ด้ า นล่ า ง หรื อ ท้ อ งใบ (lower - vascular bundle
epidermis) ประกอบด้วยเซลล์
ผิวเซลล์คุม และอาจมีขน มีคิว - palisade mesophyll
ทินเคลือบที่ด้านนอกเพื่อป้องกัน - spongy mesophyll
การระเหยของน�า้ ออกจากใบ โดย
เอพิเดอร์มิสด้านบนมักมีคิวทิน อธิบายความรู้
เคลือบหนากว่าเอพิเดอร์มสิ ด้านล่าง
2 กลุม่ ท่อล�าเลียง (vascular bundle) : 1. ใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอผลจาก
ง 1
3 แทรกอยูใ่ นชัน้ มีโซฟิลล์ ในบริเวณ การสืบคนโครงสรางภายในและภายนอกของ
ก้านใบ เส้นใบ และเส้นใบย่อย ใบไม
ประกอบด้วยไซเล็มและโฟลเอ็ม ใน
พืชบางชนิดมัดท่อล�าเลียงจะล้อม 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายโครงสร า ง
2 รอบด้ว2ยกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า บัน ภายในและภายนอกของใบไม เพื่อใหไดขอ
เดิลชีท ( (bundle sheath) ซึ
) ซึ่งช่วย
ท�าให้มัดท่อล�าเลียงแข็งแรงขึ้น สรุปวา โครงสรางภายนอกของใบประกอบดวย
3 มโี ซฟลล์ (mesophyll) : อยูร่ ะหว่าง กานใบ แผนใบ เสนใบ หูใบ และโครงสราง
เอพิเดอร์มิสด้านบนและด้านล่าง ภายในของใบประกอบดวย เอพิเดอรมิส กลุม
ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาที่มี มัดทอลําเลียง และมีโซฟลล
คลอโรพลาสต์ (chloroplast) ซึง่ มี
รูปร่างต่างกัน 2 แบบ ได้แก่
แพลิเซดมีโซฟลล (palisade mesophyll) : อยูต่ ดิ กับเอพิเดอร์มสิ ด้านบน ประกอบ
ด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างยาวเรียงตัวกันในแนวตั้งฉากกับเอพิเดอร์มิส โดยไม่มีช่องว่าง
ระหว่างเซลล์ ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์อยู่จ�านวนมาก จึงเป็นบริเวณที่มีการ
สังเคราะห์ด้วยแสงมากที่สุด
สปนจีมีโซฟลล (spongy mesophyll) : อยู่ถัดลงมาจากแพลิเซดมีโซฟิลล์จนถึง
เอพิเดอร์มสิ ด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ทมี่ รี ปู ร่างค่อนข้างกลม เรียงตัวหลวม ๆ อย่าง
ไม่เป็นระเบียบ ภายในเซลล์มคี ลอโรพลาสต์จา� นวนมากแต่นอ้ ยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์
โครงสร้างและ 31
หน้าที่ของพืชดอก
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนักเรียนแบงกลุมเดิม และใชใบไมตัวอยาง • การสังเกต
ทํากิจกรรม โครงสรางภายนอกและโครงสราง โครงสรางภายนอกและโครงสรางภายในของใบไม จิตวิทยาศาสตร์
• ความสนใจใฝ่รู้
ภายในของใบไม • ความรับผิดชอบ
3. รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะโครงสร้างภายนอกของใบ เพื่อระบุประเภทของพืช
32
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตอนที่ 2 ศึกษาโครงสรางภายในของใบ 1. ใหตวั แทนกลุม นําเสนอผลจากการทํากิจกรรม
หนาชั้นเรียน
1. เลื อ กใบไม้ ตั ว อย่ า งที่ น� า มา 2. นา� ส่วนของใบทีต่ ดั แล้วใส่ลงไป 3. น�าสไลด์ไปศึกษาโครงสร้าง 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
ศึกษา 2 ชนิด เป็นใบของพืช ในจานเพาะเชือ้ ทีม่ นี า�้ สี ใช้พกู่ นั ภายในด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่ 3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลการทํ า
ใบเลี้ ย งคู ่ 1 ชนิ ด และพื ช เลือกชิน้ ทีบ่ างและสมบูรณ์ทสี่ ดุ ก�าลังขยายต่าง ๆ บันทึกผล
กิจกรรม
ใบเลี้ยงเดี่ยว 1 ชนิด 2-3 ชิน้ วางบนหยดน�า้ บนสไลด์
ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
ภาพที่ 1.41 กิจกรรมโครงสร้างภายนอกและภายในของใบไม้ ตอนที่ 2
ที่มา : คลังภาพ อจท. 1. ได เนือ่ งจากพืชใบเลีย้ งคูจ ะมีเสนใบแยกออก
จากเสนกลางใบและแตกแขนงเปนรางแห สวน
พืชใบเลีย้ งเดีย่ วจะมีเสนใบเรียงขนานตลอดทัง้
ค�าถามท้ายกิจกรรม ใบ
? 2. แตกตางกัน พืชใบเลี้ยงคูจะพบทั้งแพลิเซด
1. ลักษณะภายนอกของใบที่เห็นสามารถจ�าแนกได้หรือไม่ว่า พืชชนิดใดเป็นพืชใบเลี้ยงคู่และพืชชนิดใด มีโซฟลลและสปนจีมโี ซฟลล แตพชื ใบเลีย้ งเดีย่ ว
เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มั ก พบเพี ย งสป น จี มี โ ซฟ ล ล ล อ มรอบมั ด ท อ
2. โครงสร้างภายในใบของพืชใบเลี้ยงคู่และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร ลําเลียง
3. โครงสร้างและการเรียงตัวของเซลล์ในเนื้อเยื่อชั้นต่าง ๆ สัมพันธ์กับหน้าที่ของใบหรือไม่
3. ชัน้ นอกสุดเปนเนือ้ เยือ่ เอพิเดอรมสิ ทีบ่ าง เซลล
บางชนิดเปลี่ยนแปลงรูปรางไปเปนเซลลคุม
ทําหนาที่ควบคุมการเปด-ปดของปากใบ ซึ่ง
อภิปรายผลกิจกรรม
เกีย่ วของกับการคายนํา้ ของพืช ภายในเซลลคมุ
จากการศึกษาโครงสร้างภายนอกของใบพืช พบว่า ใบพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะทีเ่ หมือนกัน คือ ใบประกอบด้วย มีคลอโรพลาสต ทําหนาที่เกี่ยวของกับการ
ก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลางใบที่แยกออกเป็นเส้นใบ และหูใบ แต่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีการเรียงเส้นใบต่างไป สังเคราะหดว ยแสง ชัน้ ถัดจากเอพิเดอรมสิ ดาน
จากพืชใบเลีย้ งคู ่ คือ เส้นใบของพืชใบเลีย้ งเดีย่ วจะเรียงขนานหรือตัง้ ฉากกับเส้นกลางใบ โดยไม่มกี ารแตกแขนง บนลงมาเปนแพลิเซดมีโซฟลล แตละเซลลจะมี
ส่วนพืชใบเลี้ยงคู่เส้นใบจะแยกออกจากเส้นกลางใบและแตกแขนงเป็นร่างแห เมื่อน�าใบพืชใบเลี้ยงคู่และพืช คลอโรพลาสตอยูห นาแนน ทําใหมองเห็นผิวใบ
ใบเลี้ยงเดี่ยวมาตัดตามขวางแล้วศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พบว่า ลักษณะการจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อชั้นมี
ดานบนมีสเี ขียวเขมกวาผิวใบดานลาง ชัน้ ถัดมา
โซฟิลล์แตกต่างกัน รวมทั้งกลุ่มมัดท่อล�าเลียงด้วย
คือ สปนจีมโี ซฟลล มีมดั ทอลําเลียงแทรกอยู ซึง่
ประกอบดวย ทอลําเลียงไซเล็ม ทําหนาทีล่ าํ เลียง
โครงสร้างและ 33
หน้าที่ของพืชดอก นํ้ า และธาตุ อ าหารต า ง ๆ และท อ ลํ า เลี ย ง
โฟลเอ็ม ทําหนาทีล่ าํ เลียงอาหาร
T39
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน สืบคน 2. ชนิดและหน้าที่ของใบ หน้าที่หลักของใบพืช คือ สร้างอาหารโดยกระบวนการ
และศึกษาขอมูลเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของ สังเคราะห์ด้วยแสง แลกเปลี่ยนแก๊สและคายน�้า นอกจากนี้ใบพืชยังมีหน้าที่อื่น ๆ อีกตามชนิดของ
ใบพืชนอกเหนือจากการสังเคราะหดวยแสง ใบ ดังนี้
เพื่อทําใบงาน เรื่อง ชนิดและหนาที่ของใบ 1) ใบเลีย้ ง (cotyledon) ท�าหน้าทีส่ ะสมอาหารเพือ่ เลีย้ งต้นอ่อนขณะงอก โดยพืชใบเลีย้ งคู่
2. ครูเขียนคําศัพทตอไปนี้บนกระดาน แลวให มีใบเลี้ยง 2 ใบ แต่ถ้าเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีใบเลี้ยงเพียงใบเดียว
นักเรียนรวมกันสืบคนความหมายและหนาที่ 2) ใบแท้ (foliage leaf) เป็นส่วนของพืชที่เกิดจากตาใบท�าหน้าที่สร้างอาหารด้วย
ของคําศัพท ดังนี้ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง แลกเปลี่ยนแก๊สและคายน�้า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
- cotyledon - bract - ใบเดี่ยว (simple leaf) คือ ใบ
- foliage leaf - scale leaf ที่มีแผ่นใบเพียงแผ่นเดียว หรือใบเดียวติดอยู่
- simple leaf - f loating leaf กับก้านใบที่แตกออกมาจากล�าต้นหรือกิ่ง เช่น
- compound leaf - leaf tendril กล้วย ชมพู่ มะม่วง ใบเดี่ยวบางชนิดถึงแม้จะ
- leafl f let - leaf spine มีลกั ษณะหยักเว้ามากจนคล้ายกับมีใบย่อยเกิด
- petiolule - carnivorous leaf ขึ้น แต่เนื้อเยื่อของแผ่นใบยังไม่แหว่งจนหลุด
- modifi fied leaf - storage leaf ออกจากกัน จึงถือว่าเป็นใบเดีย่ ว เช่น มะละกอ
มันส�าปะหลัง ฟักทอง ต�าลึง ตาล
- ใบประกอบ (compound leaf)
คือ ใบทีแ่ ยกออกเป็นใบเล็ก ๆ ตัง้ แต่ 2 ใบขึน้ ไป
ติ ด อยู ่ กั บ ก้ า นใบก้ า นเดี ย วเรี ย กว่ า ใบย่ อ ย
(leaflet) ก้านใบของใบย่อยเรียกว่า ก้านใบย่อย
(petiolule) ใบประกอบของพืชบางชนิด เช่น ใบ
มะขาม กระถิน มะพร้าว จะมีแกนกลางต่อจาก
ปลายก้านใบและมีใบย่อยเรียงกันเป็นแถวบน
แกนกลางนัน้ แต่ใบประกอบบางชนิด เช่น ใบ
ภาพที ่ 1.42 ตัวอย่างภาพบน คือ พืชใบเดีย่ ว (ใบมะม่วง)
และภาพล่าง คือ พืชใบประกอบ (ใบมะขาม) หนวดปลาหมึ ก จะไม่มแี กนกลาง ใบย่อยจึงติด
ที่มา : คลังภาพ อจท. อยูบ่ ริเวณปลายก้านใบในต�าแหน่งเดียวกัน
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
- ใบประดับ (bract) คือ ใบที่ 1. สุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงาน เรื่อง
เปลี่ยนแปลงไปเพื่อรองรับดอก ส่วนมากอยู่ ชนิดและหนาที่ของใบ
บริเวณก้านดอก มีสีเขียว พืชบางชนิดมีใบ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายความรูท ไี่ ดจาก
ประดับที่สีสวยงามคล้ายกลีบดอก ท�าหน้าที ่ ใบงาน
ล่อแมลง เช่น หน้าวัว คริสต์มาส เฟือ่ งฟ้า 3. ครูถามคําถามทบทวนความรูโ ดยมีแนวคําถาม
ดังนี้
- ใบเกล็ด (scale leaf) คือ ใบ ภาพที่ 1.43 ใบประดับของดอกหน้าวัว
ที่มา : คลังภาพ อจท. ï• เพราะเหตุใดใบของพืชจึงมีลักษณะแบน
ที่ เ ปลี่ ย นมาจากใบแท้ เ พื่ อ ท� า หน้ า ที่ ป ้ อ งกั น
(แนวตอบ ใบพืชที่มีลักษณะแบน เพื่อเพิ่ม
อันตรายให้กับตาและยอดอ่อน พบในเผือก
ต้นพีแคน ขิงข่า แห้วจีน พื้นที่ผิวในการรับแสงสงผลดีตอกระบวน
การสังเคราะหดวยแสงของพืช)
- ทุน่ ลอย (floating leaf) พืชน�า้ •ï ยกตัวอยางพืชที่มีกาบใบที่นักเรียนรูจักมา
บางชนิดสามารถลอยน�า้ อยูไ่ ด้ โดยอาศัยก้านใบ อยางนอย 3 ตัวอยาง
พองโตออก ภายในมีเนื้ออยู่กันอย่างหลวม ๆ ( แนวตอบ ขึ้ น อยู กั บ ดุ ล ยพิ นิ จ ของครู แ ละ
และมีช่องว่างอากาศท�าให้มีอากาศอยู่มาก จึง ภาพที่ 1.44 ใบเกล็ดของต้นพีแคน คําตอบของนักเรียน ตัวอยางพืชที่มีกาบใบ
ช่วยพยุงให้ล�าต้นลอยน�้าได้ เช่น ผักตบชวา ที่มา : คลังภาพ อจท. เชน ขาว กวนอิม พุทธรักษา กลวย)
- มือเกาะ (leaf tendril) คือ ใบ •ï ยกตัวอยางพืชที่มีใบเดี่ยวที่นักเรียนรูจักมา
ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะเพื่อยึดและพยุง อยางนอย 3 ตัวอยาง
ล� า ต้ น ให้ ขึ้ น สู ง อาจเปลี่ ย นแปลงมาจากใบ ( แนวตอบ ขึ้ น อยู กั บ ดุ ล ยพิ นิ จ ของครู แ ละ
ทั้งใบ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของใบ เช่น บานบุรี คําตอบของนักเรียน ตัวอยางพืชทีม่ ใี บเดีย่ ว
สีม่วง มะระ ดองดึง หวายลิง เชน มะละกอ มันสําปะหลัง ฟกทอง ตําลึง
1 ตาล กลวย ชมพู มะมวง)
- หนาม ( หนาม leaf spine) คือ ใบที่ ภาพที่ 1.45 ใบของต้นองุ่นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ï• ยกตัวอยางพืชทีม่ ใี บประกอบทีน่ กั เรียนรูจ กั
เปลี่ยนแปลงเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตราย
จากสัตว์ และลดการคายน�า้ ซึง่ หนามทีเ่ กิดอาจ มาอยางนอย 3 ตัวอยาง
มีการเปลี่ยนแปลงทั้งใบกลายเป็นหนาม หรือ ( แนวตอบ ขึ้ น อยู กั บ ดุ ล ยพิ นิ จ ของครู แ ละ
บางส่วนของใบกลายเป็นหนาม เช่น หนามของ คํ า ตอบของนั ก เรี ย น ตั ว อย า งพื ช ที่ มี ใ บ
ต้นเหงือกปลาหมอเปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบ ประกอบ เชน มะขาม กระถิน มะพราว)
และหูใบ หนามของต้นกระบองเพชรเปลีย่ นแปลง
ขยายความเข้าใจ
มาจากใบ หนามมะขามเทศเปลีย่ นแปลงมาจาก
หูใบ ภาพที ่ 1.46 ใบของต้นกระบองเพชรทีล่ ดรูปกลายเป็นหนาม 1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
ที่มา : คลังภาพ อจท. ม.5 เลม 1
โครงสร้างและ 35
หน้าที่ของพืชดอก 2. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายโครงสรางและ - ใบกับดักแมลง (carnivorous leaf) คือ ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง
หนาที่ของใบ และใหนักเรียนเลือกพืชตัวอยางมา หรือสัตว์เล็ก ภายในกับดักจะมีต่อมสร้างน�้าย่อยอาหารจ�าพวกโปรตีน พบในต้นกาบหอยแครง
1 ชนิด เพือ่ ทํารายงาน เรือ่ ง ความสําคัญของใบพืช หม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดน�้าค้าง เป็นต้น
ซึ่งภายในรายงานตองมีเนื้อหาที่ครอบคลุมทั้ง
โครงสรางภายในและภายนอกของพืช ชนิด และ
หนาที่ของใบพืชตัวอยาง
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5
เลม 1
2. ตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question ภาพที่ 1.47 ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง มีหม้อที่บรรจุ ภาพที่ 1.48 หยาดน�้าค้างมีต่อมหนวดที่มีสารเหนียวใช้
3. ตรวจใบงาน เรื่อง ชนิดและหนาที่ของใบ ของเหลวที่มีลักษณะเป็นน�้าหรือน�้าเชื่อม ใช้ส�าหรับให้ ดักจับและย่อยเหยื่อ
เหยื่อจมน�้าตายและย่อยเหยื่อ ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ตรวจรายงาน เรื่อง ความสําคัญของใบพืช ที่มา : คลังภาพ อจท.
5. สังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติการ โดยใชแบบ
ประเมินการปฏิบัติการ - ใบขยายพันธุ์ (reproductive organ) คือ ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วยขยายพันธุ์
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช โดยบริเวณของใบมีลักษณะเว้าเข้าเล็กน้อย และมีตาที่งอกต้นเล็ก ๆ ออกมา เช่น ต้นโคมญี่ปุ่น
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล เศรษฐีพันล้าน
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ Topic
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม Question
8. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค 1. วาสคิวลาร์แคมเบียมพบในอวัยวะใดของพืช
2. จากภาพที่ 1.49 พืชชนิดนี้มีการจัดเรียงเส้นใบเป็นอย่างไร และ
เนื้อเยื่อชนิดนี้พบในอวัยวะใดของพืช
3. โครงสร้างภายในล�าต้นเมื่อตัดตามขวางของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและ
พืชใบเลี้ยงคู่แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
4. แก่นและกระพี้แตกต่างกันอย่างไร
5. ใบและล�าต้นของกระบองเพชรแตกต่างไปจากพืชทั่วไปอย่างไร ภทีาพที ่ 1.49 เนื้อเยื่อพืช
่มา : คลังภาพ อจท.
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
36
1
2
รายการประเมิน
การจัดรูปแบบรายงาน
ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
4 3
ระดับคะแนน
2 1 4. แกนไม คือ ทอลําเลียงไซเล็มที่ไมทํางานแลว และแปรสภาพมาจาก
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
เกณฑ์การประเมิน
ระดับคะแนน
และลําตนมีลักษณะอวบ บางชนิดเปลี่ยนแปลงไปทําหนาที่คลายใบ มี
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/
ตาราง
ภาพมี ความสอดคล้ อง
กับเนื้อหา มีภาพมีความ
คมชัด สวยงาม ตารางที่
นาเสนอมีความถูกต้อง
ภาพมี ความสอดคล้ อง
กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด
ตารางที่นาเสนอมีความ
ถูกต้อง
ภ า พส อด ค ล้ องกั บ
เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ
คมชัด ตารางที่นาเสนอ
ถูกต้อง
ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
ตารางที่ น าเสนอไม่
ถูกต้อง
สีเขียว สามารถสังเคราะหดวยแสงได
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T42
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
การคายนํ้ า ของพื ช ส ว น 3. การแลกเปลีย่ นแกสและการคาย ครูถามคําถาม Prior Knowledge และใช
ใหญเกิดขึ้นที่ใด นํา้ ของพืช คํ า ถามอื่ น กระตุ น ความสนใจนั ก เรี ย น โดยมี
แนวคําถาม ดังนี้
กระบวนการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน�้าของพืชเป็น ï• เซลลชนิดใดมีสว นชวยควบคุมสมดุลของนํา้
กระบวนการส� า คั ญ อย่ า งหนึ่ ง ในการด� า รงชี วิ ต ของพื ช ซึ่ ง
ภายในรางกายของพืช
เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างอาหารของพืช และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล�าเลียงสารของพืช
(แนวตอบ เซลลคุม)
พืชมีการแลกเปลีย่ นแก๊สและการคายน�า้ ผ่านทางปากใบ โดยการเปิด-ปิดของปากใบพืชมีผล
ต่อการแลกเปลี่ยนแก๊ส เมื่อความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศภายนอกต�่ากว่าภายในใบพืช ï• นักเรียนคิดวา ปากใบของพืช เปรียบเสมือน
จะท�าให้น�้าภายในพืชระเหยเป็นไอออกมาทางรูปากใบ เรียกว่า การคายน�้า อวัยวะใดของรางกาย เพราะเหตุใดนักเรียน
(transpiration) การคายน�้าที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดแรงดึงภายในท่อล�าเลียง จึงคิดเชนนั้น
เรียกว่า แรงดึงจากการคายน�้า (transpiration pull) เลนทิเซล (แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ความคิดเห็นของนักเรียน
การเปิด-ปิดของปากใบไม่ได้มีจุดประสงค์หลักในการแลก และดุลยพินิจของครู โดยมีแนวทางในการ
เปลี่ยนแก๊สเพื่อน�าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้เพียงอย่าง ตอบ คือ จมูก เพราะทําหนาที่แลกเปลี่ยน
เดียวเท่านั้น แต่ยังท�าให้พืชสามารถล�าเลียงน�้าจากรากขึ้น แกส)
มาถึงยอดโดยอาศัยแรงดึงจากการคายน�้าในขณะที่ปากใบ ï• ต น ไม บ างชนิ ด มี ร อยแตกบริ เ วณลํ า ต น
เปิดอีกด้วย นักเรียนคิดวา รอยแตกนี้เกิดขึ้นไดอยางไร
การคายน�า้ นอกจากจะเกิดขึน้ ทีบ่ ริเวณปากใบแล้ว และมีประโยชนกับพืชหรือไม
ยังสามารถเกิดขึน้ ได้บริเวณช่องอากาศทีเ่ รียกว่า เลนทิเซล (แนวตอบ เลนทิเซลเปนรอยแตกที่เกิดจาก
(lenticel) ซึ่งเป็นรอยแตกที่เปลือกของล�าต้นพืช โดย การแบงเซลลของคอรกแคมเบียม ทําให
จะมีพืชบางชนิดเท่านั้นที่มีเลนทิเซล ส่วนใหญ่พบใน ภาพที่ 1.50 ลักษณะของเลนทิเซล ที่พบ
ลําตนมีรัศมีกวางขึ้น นํ้าภายในลําตนบาง
บนล�าต้นพืช
พืชที่มีการเติบโตทุติยภูมิ เช่น มะยม หม่อน ที่มา : คลังภาพ อจท. สวน จึงระเหยออกมาทางเลนทิเซล)
B iology
Focus ต�าแหนงของปากใบ
ต�าแหน่งปากใบพืชสามารถพบได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1. ปากใบแบบธรรมดา (ordinary stoma) เป็นปากใบของพืชทั่วไปที่เจริญในบริเวณที่มี
น�้าสมบูรณ์ ปากใบลักษณะนี้เซลล์คุมและเซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวอยู่ในระดับเดียวกัน
2. ปากใบแบบจม (sunken stoma) เป็นปากใบของพืชทีอ่ ยูใ่ นบริเวณทีแ่ ห้งแล้ง ปากใบลักษณะนี้
เซลล์คุมอยู่ในระดับต�่ากว่าเนื้อเยื่อชั้นผิว
3. ปากใบแบบยกสูง (raised stoma) เป็นปากใบของพืชทีเ่ จริญอยูใ่ นน�า้ หรือบริเวณทีม่ นี า�้ มาก
ปากใบลักษณะนี้เซลล์คุมจะถูกยกขึ้นในระดับที่สูงกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิว
โครงสร้างและ 37
หน้าที่ของพืชดอก แนวตอบ Prior Knowledge
สวนใหญเกิดขึ้นที่ใบ
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน โดยสมาชิก เซลล์คุม
การคายน�า้ ของพืชส่วนใหญ่เกิดขึน้ บริเวณปากใบ จากการ
ภายในกลุมแบงหนาที่ออกเปน 2 ทีม เพื่อ H2O ศึกษาพบว่า ปากใบในชั้นเอพิเดอร์มิสประกอบด้วย เซลล์คุม
H2O
ศึกษาใบความรู ดังนี้ (guard cell) อยู่กันเป็นคู่ ๆ มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว หรือคล้ายไต
H 2O
- ทีมที่ 1 ศึกษาใบความรู เรื่อง การปรับตัว เซลล์คุม 2 เซลล์ จะหันด้านเว้า และมีความหนามากกว่า
โครงสรางภายในใบของพืชและสรุปเปน มาประกบกันท�าให้เกิดช่องว่าง เรียกว่า รูปากใบ (stomatal pore)
แผนผังมโนทัศน เรือ่ ง การปรับตัวโครงสราง การทีป่ ากใบเปิดหรือปิดขึน้ อยูก่ บั ความเต่งและการสูญเสีย
ภายในใบของพืช H2O
ความเต่ ง ของเซลล์ คุ ม ลั ก ษณะดั ง กล่ า วขึ้ น อยู ่ กั บ ความ
H 2O เข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์เป็นปัจจัยก�าหนด กล่าวคือ
- ทีมที่ 2 ศึกษาใบความรู เรือ่ ง กลไกการคาย
นํ้าของพืช และสรุปลงในกระดาษรายงาน เมือ่ พืชได้รบั แสงจะมีการล�าเลียงโพแทสเซียมไอออนเข้าสูเ่ ซลล์คมุ
รูปากใบ
ในรูปแบบที่ตนเองเขาใจ ในปริมาณมาก ท�าให้ความเข้มข้นของสารละลายในเซลล์คมุ เพิม่
ภาพที่ 1.51 ลักษณะปากใบเปิด
2. ใหทีมที่ 1 และ 2 ของแตละกลุมแลกเปลี่ยน ที่มา : http://docplayer.net มากขึน้ น�า้ จากเซลล์ขา้ งเคียงจึงออสโมซิลเข้าสูเ่ ซลล์คมุ ท�าให้
ความรูกันภายในกลุม เซลล์คมุ เต่งจนท�าให้ปากใบเปิด ในทางตรงข้ามเมือ่ ไม่ได้รบั แสง
การล�าเลียงโพแทสเซียมไอออนเข้าสูเ่ ซลล์คมุ ลดลง ความเข้มข้น
H2O H2O ของสารละลายภายในเซลล์ คุ ม จึ ง ลดลง น�้ า จึ ง ออสโมซิ ส
ออกจากเซลล์คุมท�าให้เซลล์เหี่ยว ปากใบจึงปิด
H2O การเปิด-ปิดของปากใบส่งผลโดยตรงต่อการคายน�้าของ
พืช โดยการเปิด-ปิดของปากใบจะขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยภายในและ
H2O ปัจจัยภายนอก
H2O 1. ปัจจัยภายนอก มีดังนี้
- อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิของอากาศสูง จะท�าให้ปาก
ภาพที่ 1.52 ลักษณะปากใบปิด ใบเปิด เกิดการคายน�า้ ได้มากและรวดเร็วขึน้ เพราะอุณหภูมทิ สี่ งู
ที่มา : http://docplayer.net 1
ที่ส่งผลให้อุณหภูมิของน�้าในใบสูงขึ้น และความชื้นสัมพัทธ์
ในอากาศก็ลดลง ท�าให้นา�้ ระเหยออกจากใบได้มากและเร็วขึน้ แต่ถา้ อุณหภูมสิ งู จนเกินไปปากใบจะ
ปิดเพื่อป้องกันการสูญเสียน�้า
- ความเข้มของแสง ในสภาพปกติ ถ้าความเข้มของแสงสูงขึ้นจะส่งผลให้ปากใบของ
พืชเปิดมากขึน้ เกิดการคายน�า้ มากขึน้ ในทางตรงข้ามถ้าความเข้มของแสงลดลง รูปากใบของพืช
จะแคบลงและท�าให้พืชคายน�้าลดลง ในกรณีที่พืชขาดน�้า แม้ว่าจะมีความเข้มของแสงสูง ปากใบ
ของพืชจะปิด
- ความชืน้ ในอากาศ ถ้าความชืน้ ในอากาศลดลง จะเกิดความแตกต่างระหว่างความชืน้
ภายนอกและภายในใบมากขึ้น ท�าให้ไอน�้าแพร่ออกจากรูปากใบได้มากและเร็วขึ้น
38
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
- แกสคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าน�าพืชไปไว้ในบริเวณทีม่ ปี ริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 1. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอและอธิบาย
สูงกว่าปกติ รูปากใบของพืชจะแคบลง แม้วา่ จะมีแสงก็ตาม แต่ถา้ น�าพืชไปไว้ในบริเวณทีม่ ปี ริมาณ ความรูที่ไดจากการแลกเปลี่ยนความรูภายใน
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ต�่า ปากใบของพืชก็จะเปิดกว้างขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่มีแสงก็ตาม กลุม
- สภาพน�้าในดิน ถ้าน�้าในดินมีปริมาณน้อยมากจนท�าให้เกิดสภาวะเครียดพืชจะ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
1
สังเคราะห์กรดแอบไซซิก (abscisic acid; ABA) ขึน้ ซึง่ เป็นฮอร์โมนพืชชนิดหนึง่ ท�าให้รปู ากใบปิด ศึกษาใบความรู
เพื่อลดการสูญเสียน�้าจากการคายน�้า 3. ใหนกั เรียนรวมกันวิเคราะหและแสดงความคิด
- ความกดอากาศ ในบริเวณทีม่ คี วามกดอากาศต�า่ อากาศจะบางลงและมีความหนาแน่น เห็นวา ปจจัยใดบางที่มีสวนเกี่ยวของกับการ
น้อย ท�าให้ไอน�้าในใบระเหยออกมาได้ง่าย แต่ถ้าความกดอากาศสูง อากาศจะมีความหนาแน่น คายนํ้าของพืช โดยมีแนวตอบ ดังนี้
มากท�าให้ไอน�้าในใบระเหยออกมาน้อยลง (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็นของนักเรียน
- กระแสลม กระแสลมที่พัดผ่านใบท�าให้ความกดอากาศบริเวณใบลดลง แสงมีผลให้ และดุลยพินิจของครู โดยมีแนวคําตอบ ดังนี้
ไอน�า้ ระเหยออกจากปากใบได้มากขึน้ ขณะเดียวกันกระแสลมจะช่วยพัดพาไอน�า้ ทีร่ ะเหยออกจากใบ ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ การคายนํ้ า ของพื ช มี ทั้ ง
รวมทั้งที่อยู่รอบ ๆ ใบ ให้หลุดจากผิวใบ ท�าให้การระเหยของไอน�้าออกจากใบมากขึ้นเช่นกัน ปจจัยภายในและปจจัยภายนอก ดังนี้
2. ปัจจัยภายใน ดังนี้ 1. ปจจัยภายใน มีดงั นี้
- ขนาดและรูปร่างของใบ ใบพืชทีม่ ขี นาดใหญ่และกว้างจะมีการคายน�า้ มากกว่าใบเล็กแคบ - ขนาดและรูปรางของใบ
- การจัดเรียงตัวของใบ ถ้าพืชหันทิศทางอยูใ่ นมุมทีต่ รงกันข้ามกับแสงอาทิตย์เป็นมุมแคบ - การจัดเรียงตัวของใบ
จะเกิดการคายน�้าน้อยกว่าใบที่อยู่ในมุมที่ตรงกันข้ามกับแสงอาทิตย์เป็นมุมกว้าง - จํานวนราก
- จ�านวนราก พืชทีม่ รี ากจ�านวนมาก จะคายน�า้ มาก เนือ่ งจากอัตราการดูดซึมน�า้ จะมีมาก 2. ปจจัยภายนอก มีดงั นี้
B iology - อุณหภูมิ
Focus สภาพของน�้าในดิน - ความเขมของแสง
ภายในดินจะมีช่องว่างซึ่งมีน�้าและอากาศ เป็นองค์ประกอบ แบ่งออกเป็น 5 สภาวะ ได้แก่ - ความชืน้ ในอากาศ
1. สภาพดินที่อิ่มตัวด้วยน�้า ได้แก่ ดินที่อยู่ในสภาพน�้าขัง - แกสคารบอนไดออกไซด
2. สภาพดินที่ไม่อิ่มตัวด้วยน�้า ได้แก่ ดินที่ใช้ท�าเกษตรกรรมทั่วไป
- สภาพนํ้าในดิน
3. สภาพความจุความชื้นภาคสนาม คือ สภาพของดินที่สามารถอุ้มน�้าหรือดูดยึดน�้าได้มาก
ที่สุดซึ่งอยู่ในช่วงความลึกจากผิวดินลงไป 6 นิ้ว - ความกดอากาศ
4. สภาพน�า้ เยือ่ เป็นสภาพทีน่ า�้ จะอยูใ่ นรูปเยือ่ บาง ๆ รอบอนุภาคดิน ซึง่ เป็นพืชทีไ่ ม่สามารถน�า - กระแสลม)
ไปใช้ประโยชน์
5. สภาพจุดเหี่ยวถาวรของพืช เป็นสภาพที่ช่องว่างของดินมีขนาดเล็ก มีปริมาณน�้าอยู่น้อย
ประกอบกับมีแรงยึดระหว่างดิน จึงท�าพืชเหี่ยวเฉาถาวร
โครงสร้างและ 39
หน้าที่ของพืชดอก
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน ศึกษา • การสังเกต
อภิปรายผลกิจกรรม
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
เวลา ขวดที่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
(นาที) พืชทั่วไปจะคายนํ้าออกทางบริเวณในขอใดมากที่สุด
1 1. ริมใบ
5 2 2. หลังใบ
1
ียน
10 3. ทองใบ
เร
2
นัก
อง
1 4. ขอบใบ
ข
20
รม
2 5. ปลายใบ
กร
กิจ
1
30
ผล
45 2
1
60 2
หมายเหตุ พืชในขวดที่ 1 จะมีอตั ราการคายนํา้ ตํา่ กวาพืชในขวดที่ 2
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ศึกษา
ปากใบของพืช • การค�านวณ กิจกรรม เรื่อง ปากใบของพืช
จิตวิทยาศาสตร์
• ความสนใจใฝ่รู้
2. ใหสมาชิกภายในกลุมแบงหนาที่และความ
จุดประสงค์ • ความรับผิดชอบ รับผิดชอบ โดยสมาชิกในกลุมมีบทบาทและ
• การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
โครงสร้างและ 41
หน้าที่ของพืชดอก
T47
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการแลกเปลีย่ น ค�าถามท้ายกิจกรรม
?
และการคายนํ้ า ของพื ช เพื่ อ ให ไ ด ข อ สรุ ป ว า
1. ป ากใบมีลักษณะอย่างไร เซลล์ที่เป็นองค์ประกอบของปากใบแตกต่างจากเซลล์อื่น ๆ ในชั้นเอพิเดอร์มิส
กระบวนการแลกเปลี่ยนแกสและการคายนํ้าของ อย่างไร
พืชสวนใหญเกิดขึ้นที่ปากใบ ซึ่งการคายนํ้าของ 2. ค วามหนาแน่นของปากใบในชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบนและด้านล่างของใบพืชแต่ละชนิดแตกต่างกันหรือไม่
พืชทําใหเกิดแรงดึงจากการคายนํ้า ทําใหรากพืช อย่างไร
ดูดนํ้าและธาตุอาหารไดดีขึ้น 3. จ งเปรียบเทียบความหนาแน่นของปากใบของพืชในแต่ละกลุ่ม
42
บาย เนื่องจากในเวลาบายความเขมของแสงสูงกวา
7. มีผลทําใหรากพืชดูดนํ้าและธาตุอาหารไดมากขึ้น
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
8. บริเวณที่มีความกดอากาศตํ่า พืชจะคายนํ้าไดมาก
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่่าเสมอ ให้
................/.............../...............
3 คะแนน
9. ใบของตนมะมวงมีขนาดใหญและกวางจึงคายนํ้าไดมากกวาใบของ
ตนคุณนายตื่นสายที่มีขนาดเล็ก
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 1 คะแนน
14-15
11-13
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
10. ถาใบพืชอยูตรงขามกับดวงอาทิตยเปนมุมแคบจะคายนํ้าไดนอยกวา
ใบที่ทํามุมกวาง
8-10 พอใช้
ต่่ากว่า 8 ปรับปรุง
T48
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
เนือ
้ เยือ
่ ทอลําเลียงนํา้ และ 4. การลําเลียงนํ้าและธาตุอาหาร 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
ธาตุอาหารของพืช ของพืช 2. ครู นํ า รากพื ช จํ า ลองที่ ตั ด ตามขวางมาให
คืออะไร 1 นักเรียนรวมกันวิเคราะห และถามนักเรียน
พืชชั้นต�่า เช่น มอส เป็นพืชที่มีขนาดเล็กไม่มีท่อล�าเลียง วา นํ้าและธาตุอาหารที่อยูภายในดินเขาสูทอ
แต่เซลล์ทุกเซลล์ได้รับน�้าอย่างทั่วถึงด้วยการแพร่ของน�้าจาก
ลําเลียงไซเล็มไดอยางไร
เซลล์หนึง่ ไปยังอีกเซลล์หนึง่ ส่วนพืชชัน้ สูงเป็นพืชขนาดใหญ่และมีความสูง จ�าเป็นต้องมีทอ่ ล�าเลียง
น�้าหรือไซเล็มส�าหรับล�าเลียงน�้าและธาตุอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ
โดยปกติแล้วสารละลายภายในเซลล์ขนรากมีความเข้มข้นสูงกว่าภายนอก ดังนัน้ น�า้ ในดินจะ
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
แพร่ผา่ นเยือ่ หุม้ เซลล์เข้าสูเ่ ซลล์ขนราก จากการศึกษาโครงสร้างภายในของรากทิศทางการเคลือ่ นที่
ของน�้าภายในรากเริ่มตั้งแต่เซลล์ขนรากและล�าเลียงผ่านชั้นคอร์เทกซ์ซึ่งมีชั้นเอนโดเดอร์มิส 1. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม เพื่ อ สื บ ค น รู ป แบบการ
เป็นชั้นในสุด ผ่านเพริไซเคิลและเข้าสู่ไซเล็ม ตามล�าดับ โดยการเคลื่อนที่ของน�้าในแนวระนาบ ลําเลียงนํ้าและธาตุอาหารในแนวระนาบ แลว
แล้วล�าเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืชในแนวดิง่ ซึง่ ทิศทางการเคลือ่ นทีด่ งั กล่าวเกิดขึน้ 2 แบบ ดังนี้ สรุปลงในกระดาษ A4 พรอมนําเสนอในรูป
1. แบบอโพพลาสต์ (apoplast) น�้าในดินจะเข้าสู่รากผ่านชั้นคอร์เทกซ์ของรากไปจนถึง แบบที่สวยงาม
ชั้นเอนโดเดอร์มิสโดยน�้าจะผ่านจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งทางผนังเซลล์ หรือผ่านทางช่อง 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
ว่างระหว่างเซลล์ สืบคนรูปแบบการลําเลียงนํ้าและธาตุอาหาร
2. แบบซิมพลาสต์ (symplast 2 ) น�้าจะเคลื่อนผ่านเซลล์หนึ่งผ่านไปอีกเซลล์หนึ่งทาง อธิบายความรู้
ไซโทพลาซึม พลาสโมเดสมาตา และเยื่อหุ้มเซลล์ ผ่านชั้นเอนโดเดอร์มิสก่อนเข้าสู่ไซเล็มต่อไป 1. ครูเขียนคําศัพทบนกระดาน ดังตอไปนี้
เยื่อหุ้มเซลล์ - apoplast - casparian strip
เวสเซล อโพพลาสต์ - symplast - endodermis
- plasmodesmata - cortex
2. ใหนักเรียนเขียนความหมายคําศัพทแตละคํา
ซิมพลาสต์ พร อ มอธิ บ ายความเชื่ อ มโยงเกี่ ย วกั บ การ
ขนราก ลําเลียงนํ้าของพืช
มัดท่อล�าเลียง เอนโดเดอร์มิส คอร์เทกซ์ เนื้อเยื่อชั้นผิว
การล�าเลียงแบบอโพพลาสต
การล�าเลียงแบบซิมพลาสต
3. ใหนกั เรียนจับคูแ ลกเปลีย่ นความรู ความหมาย
ภาพที่ 1.55 การเคลื่อนที่ของน�้าเข้าสู่ท่อไซเล็ม และความเชื่อมโยงของคําศัพท
ที่มา : คลังภาพ อจท.
น�้าถูกล�าเลียงทั้งแบบอโพพลาสต์และแบบซิมพลาสต์ผ่านเซลล์ขนรากและเซลล์ต่าง ๆ ใน
ชั้นคอร์เทกซ์ เมื่อมาถึงชั้นเอนโดเดอร์มิส น�้าที่ถูกล�าเลียงไปตามผนังเซลล์ด้านที่มีแถบแคสพา
เรียนสตริปจะเปลี่ยนรูปแบบการล�าเลียงเป็นซิมพลาสต์เพื่อหลีกเลี่ยงแถบแคสพาเรียนสตริป
ก่อนเข้าสู่ท่อล�าเลียงไซเล็ม
โครงสร้างและ 43
หน้าที่ของพืชดอก แนวตอบ Prior Knowledge
ทอไซเล็ม
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงกลุมศึกษารูปแบบการลําเลียง การล� า เลี ย งน�้ า ในท่ อ ไซเล็ ม เกิ ด ขึ้ น ไซเล็ม
นํ้าและธาตุอาหารในแนวดิ่ง เนื่ อ งจากมี แ รงดึ ง น�้ า ที่ อ ยู ่ ใ นท่ อ ไซเล็ ม ขึ้ น มา มีโซฟิลล์
2. ใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การลําเลียงนํ้าและ ทดแทนน�้ า ที่ พื ช คายออกสู ่ บ รรยากาศ แรง ปากใบ
ธาตุอาหารของพืช ดึงนี้จะถูกถ่ายทอดไปยังราก ท�าให้รากดึง โมเลกุลน�้า
อากาศ
น�้าจากดินเข้ามาในท่อไซเล็มได้ โดยน�้า ไซเล็ม
อธิบายความรู้ จะถู ก ล� า เลี ย งอย่ า งต่ อ เนื่ อ งไม่ ข าดตอน แอดฮีชัน
เนื่องจากน�้ามีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ผนังเซลล์
1. ครูสุมเรียกนักเรียนออกมานําเสนอใบงาน โคฮีชัน
2. ครูและนักเรียนอภิปรายผลจากการทําใบงาน ของน�้าด้วยกันเอง เรียกว่า แรงเชื่อมติด หรือ
โคฮี ชั น ( cohesion ) นอกจากนี้ ยั ง มี แ รงยึ ด โมเลกุลน�้า
ระดับคะแนน
เกณฑ์การประเมิน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................/................ (วิเคราะหคําตอบ พืชที่มีลําตนสูงตองอาศัยแรงจํานวนมากใน
รายการประเมิน
1. การจัดรูปแบบ
4
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
3
ระดับคะแนน
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
2
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
1
รู ปเล่ มรายงานมี
การลําเลียงนํ้าทั้งแรงดันจากรากและรากดึงจากใบ ไดแก แรงดัน
ราก แรงแคพิลลารี และแรงดึงจากการคายนํ้า รวมทั้งแรงแอดฮี-
และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
ตอบขอ 5.)
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T50
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
พืชแต่ละชนิดต้องการชนิดและปริมาณของธาตุอาหารทีแ่ ตกต่างกัน ธาตุอาหารทีจ่ า� เป็นต่อ ครูเปรียบเทียบรางกายของมนุษยเหมือนกับ
การเจริญเติบโตของพืชแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ ตนไม แลวถามนักเรียนวา ถาหากรางกายมนุษย
1. ธาตุอาหารหลัก (macronutrients) เป็นสารอาหารทีพ่ ชื ต้องการในปริมาณมาก ประกอบ ไมไดรับสารอาหารจะมีลักษณะเปนอยางไร
ด้วยธาตุ 9 ชนิด ได้แก่ ธาตุคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O) มักพบในสารอินทรีย์ (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับการแสดงความคิด
และธาตุอื่น ๆ ดังตารางที่ 1.1 เห็นของนักเรียนและดุลยพินิจของครู โดย
มีแนวตอบ ดังนี้ ผอม เปนโรค ไมมีแรงหรือ
ตารางที่ 1.1 : หน้าที่ของธาตุและอาการตอบสนองหรืออาการที่พืชแสดงออกเมื่อขาดธาตุอาหารหลัก เคลื่อนไหวได)
อาการที่พืชแสดงออก
ธาตุ หน้าที่
เมื่อขาดธาตุอาหาร ขัน้ สอน
ไนโตรเจน (N) เป็นองค์ประกอบที่ส�าคัญของสารภายในเซลล์ เช่น ใบเหลือง ใบมีขนาดเล็กลง สํารวจค้นหา
1 2
โปรตีน คลอโรฟิลล์ ATP กรดอะมิ
กรดอะมิโน กรดนิวคลีอิก ล�าต้นแคระแกร็น และให้
ฮอร์โมน เป็นต้น ผลผลิตต�่า 1. ใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 3-4 คน สืบคน
ขอมูลเกี่ยวกับหนาที่และความสําคัญของธาตุ
โพแทสเซียม (K) ควบคุมแรงดันออสโมติก รักษาสมดุลไอออน ควบคุม พืชจะไม่แข็งแรง ล�าต้น
โดยใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมาจับสลาก
การสังเคราะห์น�้าตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการ อ่อนแอ ขอบใบและปลาย
เคลื่อนย้ายน�้าตาลจากใบไปสู่ผล ใบไหม้ หมายเลข 1-13 โดยแตละหมายเลขใหศึกษา
ขอมูลเกี่ยวกับธาตุอาหาร ดังนี้
ฟอสฟอรัส (P) ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของราก ระบบรากจะไม่ เ จริ ญ เติ บ โต
1 : ธาตุแคลเซียม 8 : ธาตุคลอรีน
ควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด ใบแก่จะเปลีย่ นจากสีเขียวเป็น
สีแดงหรือสีมว่ งแล้วกลายเป็น 2 : ธาตุไนโตรเจน 9 : ธาตุโบรอน
สีน�้าตาล และหลุดร่วง ล�าต้น 3 : ธาตุฟอสฟอรัส 10 : ธาตุสังกะสี
แคระแกร็นไม่ผลิดอกออกผล 4 : ธาตุโพแทสเซียม 11 : ธาตุแมงกานีส
แคลเซียม (Ca) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ ช่วยในการแบ่งเซลล์ ใบที่เจริญใหม่จะหงิกงอ
5 : ธาตุแมกนีเซียม 12 : ธาตุทองแดง
กระตุ้นการท�างานของเอนไซม์หลายชนิดกระตุ้น ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดด�า 6 : ธาตุกํามะถัน 13 : ธาตุโมลิบดินัม
การงอกของเมล็ด ที่เส้นใบ รากสั้นและผลแตก 7 : ธาตุเหล็ก
แมกนีเซียม (Mg) ช่วยเสริมสร้างสารคลอโรฟิลล์ ช่วยในการเคลื่อน ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ 2. ให นั ก เรี ย นนํ า ข อ มู ล ที่ ไ ด จ ากการสื บ ค น
ย้ายธาตุฟอสฟอรัสและช่วยกระตุ้นการท�างานของ เกิดจุดสีแดงบนใบ และใบจะร่วง มาเปรียบเทียบกับตนไมที่อยูบริเวณใกลเคียง
เอนไซม์ในพืช หล่นเร็ว มี ลั ก ษณะดั ง กล า วหรื อ ไม บั น ทึ ก ภาพและ
ก�ามะถัน (S) เป็นองค์ประกอบส�าคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และ ใบอ่อนและใบแก่จะมี รวบรวมไวในรายงาน
วิตามินซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสง และ สีเหลืองซีด และล�าต้น
เมแทบอลิซึมของกรดไขมัน อ่อนแอ
โครงสร้างและ 45
หน้าที่ของพืชดอก
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอ 2. ธาตุอาหารรอง (micronutrients) เป็นสารอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อย แต่
ขอมูลหนาชั้นเรียน ไม่สามารถขาดได้ ประกอบด้วยธาตุ 9 ชนิด ได้แก่ คลอรีน (Cl) เหล็ก (Fe) โบรอน (B) สังกะสี
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ (Zn) แมงกานีส (Mn) ทองแดง (Cu) โมลิบดินัม (Mo) นิกเกิล (Ni) และซิลิคอน (Si)
นําเสนอและสรุปหนาที่ ความสําคัญของธาตุ ธาตุอาหารเหล่านีจ้ ะละลายผสมกับน�า้ ภายในดินอยูใ่ นรูปสารละลาย ซึง่ จะถูกล�าเลียงเข้า
แตละชนิดที่เพื่อนนําเสนอลงในสมุดบันทึก สูท่ อ่ ไซเล็มไปยังเซลล์ตา่ ง ๆ ของพืช ธาตุอาหารทีพ่ ชื ล�าเลียงเข้าไปในไซเล็มนัน้ เป็นสารอนินทรีย์
ที่ประกอบด้วยธาตุอาหารหลายชนิด ซึ่งจ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิตและการเจริญเติบโตของพืช
ขยายความเข้าใจ
1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
ม.5 เลม 1
2. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการลําเลียงนํา้
ภาพที่ 1.58 ใบของต้นที่ขาดฟอสฟอรัส (ภาพซ้าย) และขาดแมกนีเซียม (ภาพขวา)
และธาตุอาหารของพืช และใหนกั เรียนทําแผนผัง ที่มา : คลังภาพ อจท.
มโนทัศน เรื่อง ธาตุอาหารของพืช ลงในกระดาษ
A4 พรอมตกแตงใหสวยงาม Topic
Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
ขัน้ ประเมิน 1. การเคลื่อนที่ของน�้าแบบอโพพลาสต์เกิดขึ้นเมื่อใด และมีลักษณะอย่างไร
ตรวจสอบผล
2. การเคลื่อนที่ของน�้าแบบซิมพลาสต์เกิดขึ้นเมื่อใด และมีลักษณะอย่างไร
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5 3. พลาสโมเดสมาตาคืออะไร
เลม 1 4. ต้นสนอาศัยกลไกใดในการล�าเลียงน�้าจากปลายรากไปสู่ปลายยอด
2. ตรวจรายงาน เรื่อง ธาตุอาหารของพืช 5. โคฮีชันและแอดฮีชันแตกต่างกันอย่างไร
3. ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง ธาตุอาหารของพืช 6. ในสภาวะที่อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูง จะส่งผลต่อแรงภายในท่อไซเล็มอย่างไร
4. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ 7. ไฮดาโทดเหมือนหรือแตกต่างกับปากใบอย่างไร
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 8. หากดินมีธาตุอาหารน้อย รากพืชจะล�าเลียงอาหารแบบใด
5. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ 9. หากใบพืชที่เจริญใหม่หงิกงอ ตายอดไม่เจริญ มีจุดด�าที่เส้นใบ พืชชนิดนี้ขาดธาตุอาหารอะไร
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค 10. พืชต้องการธาตุอาหารในปริมาณที่แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
46
ระดับคะแนน
เกิดขึ้นระหวางโมเลกุลนํ้ากับผนังทอลําเลียง
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
8. ออสโมซิส
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
9. ธาตุแคลเซียม
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
เนือ
้ เยือ
่ ทีท
่ าํ หนาทีล่ าํ เลียง 5. การลําเลียงอาหารของพืช 1. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยนํา
อาหารของพืชไดแก ลูกบอลมา 1 ลูก แลวใหนักเรียนสงลูกบอล
การสร้างอาหารของพืชเกิดจากกระบวนการสังเคราะห์
อะไรบาง
ด้วยแสงจนได้ผลผลิตเป็นน�า้ ตาล และมักสะสมอยูใ่ นรูปของแป้ง ตอไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเพลงหยุด ลูกบอลอยู
ซึง่ เป็นคาร์โบไฮเดรต การสร้างอาหารของพืชส่วนใหญ่จะเกิดขึน้ ทีน่ กั เรียนคนใด ใหนกั เรียนคนนัน้ ตอบคําถาม
ที่ใบ แล้วล�าเลียงอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช Prior Knowledge
2. เมื่อนักเรียนตอบคําถามแลวใหนักเรียนเลือก
5.1 การทดลองเกีย่ วกับผลผลิตที่ ไ ดจากกระบวนการสังเคราะหดว ยแสง เพื่อนมาอีก 1 คน เพื่ออภิปรายคําตอบของ
ในป พ.ศ. 2229 มาร์เซลโล มัลพิจิ (Marcello นักเรียน
Malpighi) ทดลองการล�าเลียงอาหารของพืช โดย
การควั่นล�าต้นพืชใบเลี้ยงคู่ตั้งแต่เปลือกไม้จนถึง
ชั้นแคมเบียมออกห่างกันประมาณ 2 เซนติเมตร
แล้วปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่ง พบว่า บริเวณเหนือรอย
ควั่นมีลักษณะพองออก ทั้งนี้เพราะอาหารส่วนใหญ่
ถูกสร้างขึ้นที่ใบ ดังนั้น บริเวณรอบล�าต้น อาหาร
จะถูกล�าเลียงจากบนไปส่วนล่างเสมอ ถ้าตัดท่อ
ล�าเลียงอาหารของพืชโดยการควัน่ เปลือกนอก
ของล�าต้นออกรอบทั้งล�าต้น ท�าให้อาหารถูก
ล�าเลียงลงมาจากใบไม่สามารถผ่านต่อลงไปได้
จึงสะสมอยู่บริเวณปลายสุดของท่อล�าเลียงอาหาร
ในป พ.ศ. 2471 ที จี เมสัน (T.G. Mason) และ ภรอยควั าพที่ 1.59 การพองของเปลือกของล�าต้นเหนือ
่น
อี เจ มัสเคล (E.J. Maskell) ได้ศกึ ษาการทดลองของ ที่มา : คลังภาพ อจท.
มัลพิจ ิ และพบว่า รอยควัน่ เปลือกต้นไม้ไม่มผี ลต่อการคายน�า้ เพราะไซเล็มยังสามารถล�าเลียงน�า้ ได้
การศึกษาทิศทางการล�าเลียงน�้าตาลในรูปของสารละลาย ซึ่งเป็นอาหารที่ได้จากการ
สั ง เคราะห์ ด ้ ว ยแสงของพื ช ภายในโฟลเอ็ ม เพื่ อ อธิ บ ายว่ า มี ทิ ศ ทางในการล� า เลี ย งอย่ า งไร
มีผู้ศึกษาโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์ที่มีธาตุกัมมันตรังสี 14C เป็นองค์ประกอบ โดยการเตรียม
คาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของสารละลาย ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของสารละลายนี้จะระเหย
เป็นแก๊ส เมือ่ พืชเกิดการสังเคราะห์ดว้ ยแสงพืชจะน�าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทเี่ ป็นธาตุกมั มันตรังสี
14C นี้ไปใช้
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 3 กลุม แลวให หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 35 นาที น�าพืชมาท�าการแช่แข็ง (freeze-dried) เพื่อท�าให้แห้ง
แต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนกลุ ม ออกมาจั บ สลาก จากนัน้ หัน่ เป็นชิน้ บาง ๆ แล้วน�าไปวางบนแผ่1 นฟิลม์ ถ่ายรูปในห้องมืด เมือ่ ล้างฟิลม์ ก็จะทราบได้วา่
หมายเลข 1-3 โดยแตละหมายเลขใหนักเรียน ส่วนใดของพืชที่ได้รับสารกัมมันตภาพรังสี ซึ่งจะเป็นส่วนที่ตรวจพบว่าน�้าตาลที่มี 14C อยู่
แตละกลุมศึกษาหัวขอ ตอไปนี้
14CO
หมายเลข 1 : ศึกษาการพองของเปลือกของ 2
ลําตนเหนือรอยควั่น 14CO
หมายเลข 2 : ศึกษาการลําเลียงนํ้าตาลในพืช 2
โดยใช 14C
14CO
หมายเลข 3 : ศึกษาการลําเลียงอาหารภายใน 2
ทอโฟลเอ็มโดยเพลี้ยออน
2. ใหแตละกลุมสรุปสาระสําคัญลงกระดาษ A4
ข.
ก. ค.
ภาพที่ 1.60 การศึกษาการล�าเลียงน�้าตาลในพืชโดยใช้ 14C
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ซิมเมอรแมนไดทดลองวางยาสลบขณะทีเ่ พลีย้ ออนกําลังดูดของเหลวโดยงวงของเพลีย้ ออน 1. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอหนา
ยังคงแทงอยูในเนื้อไมและติดอยูกับทอลําเลียงโฟลเอ็ม จากนั้นตัดใหเหลือเพียงแตสวนของงวง ชั้นเรียน
แลวใชหลอดคะปลลารีดูดของเหลวที่ยังคงไหลออกมาศึกษา พบวา ของเหลวดังกลาวสวนใหญ 2. ใหนักเรียนในหองเขียนคําถามที่ตนเองสงสัย
เปนนํ้าตาลซูโครส และสารอื่น ๆ เชน กรดอะมิโน ฮอรโมน ธาตุอาหาร หรือตั้งคําถามลงในสมุดบันทึกของตนเอง
3. ครูสุมนักเรียน 5-6 คน อานคําถามของตนเอง
แล ว ให ก ลุ ม นั ก เรี ย นที่ นํ า เสนอข อ มู ล เรื่ อ ง
หยดของเหลว หลอดคะปลลารี
ดังกลาว เปนผูตอบคําถามและอธิบายคําตอบ
ใหเขาใจ
เพลี้ยออน หยดของเหลว 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาอั ต ราการเคลื่ อ นที่ ข อง
ตัดงวงออก
นํ้าตาลในทอโฟลเอ็มจาก Biology Focus
งวงที่ถูกตัดออก
ซีฟทิวบ
ก. ข.
ภาพที่ 1.61 การศึกษาการลําเลียงอาหารภายในทอโฟลเอ็ม
ภาพ ก. เพลี้ยออนดูดของเหลวจากโฟลเอ็มจนมีหยดของเหลวออกมาที่กน
ภาพ ข. ตัดงวงของเพลี้ยออนออกพบวา ของเหลวยังคงไหลออกมาจากงวง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
B iology
Focus อัตราการเคลื่อนที่ของนํ้าตาลในโฟลเอ็ม
ซิมเมอรแมน เปนนักชีววิทยาที่สนใจ และศึกษาความเร็วในการลําเลียงอาหารภายใน
ทอโฟลเอ็มโดยการใชคารบอน 14C เปนองคประกอบในการสังเคราะหดว ยแสงของพืช จากนัน้ ใหเพลีย้
ออนแทงงวงเขาทอโฟลเอ็มในตําแหนงที่ตางกัน ทําใหสามารถหาอัตราการเคลื่อนที่ของนํ้าตาลใน
โฟลเอ็มได ผลการศึกษาพบวา นํา้ ตาลเคลือ่ นทีภ่ ายในทอโฟลเอ็มดวยความเร็วประมาณ 100 เซนติเมตร
ตอชั่วโมง
โครงสร้างและ 49
หน้าที่ของพืชดอก
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให นั ก เรี ย นศึ ก ษาวี ดิ ทั ศ น เรื่ อ ง กลไกการ 5.2 กลไกการลําเลียงอาหารของพืช
ลําเลียงอาหารของพืช จาก Youtube เรื่อง
การลําเลียงในโฟลเอ็ม (https://www.you- แบบจ�าลองกลไกการล�าเลียงอาหารของมึนซ
tube.com/watch?v=aAy0qTKc66U)
1 น�้าตาลถูกสร้างในแหล่งสร้าง (source) โดยน�้าตาล
2. ใหนักเรียนสรุปความรูและสาระสําคัญลงใน ซีฟทิวบ์ต้นทาง ส่ ว นหนึ่ ง ถู ก ล� า เลี ย งออกมาในไซโทพลาซึ ม แล้ ว
สมุดบันทึกของตนเอง ไซเล็ม โฟลเอ็ม เปลี่ยนเป็นน�้าตาลซูโครส ท�าให้ความเข้มข้นของ
น�้าตาลภายในเซลล์เพิ่มสูงขึ้น น�้าตาลจึงถูกล�าเลียง
เซลล์คอม- ไปยังเซลล์ข้างเคียงไปเรื่อย ๆ
อธิบายความรู้ น�้า พาเนียน แหล่งสร้าง
1. ใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นเพือ่ แลกเปลีย่ นความรู 3 2 ซูโครสเคลื่อนย้ายจากเซลล์ที่เป็นแหล่งสร้างไป
2 1 ยังโฟลเอ็ม โดยเข้าสู่ซีฟทิวบ์ของโฟลเอ็ม (อาศัย
และสาระสําคัญ เรือ่ ง กลไกการลําเลียงอาหาร กระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต) ท�าให้ความเข้มข้น
ของพืช ใหกับคูของตนเอง ของสารละลายในซีฟทิวบ์ต้นทางสูงขึ้น
2. ใหนักเรียนแตละคูทําแผนพับ เรื่อง กลไกการ โมเลกุลน�้าตาลซูโครส 3 น�้าจากเซลล์ข้างเคียงออสโมซิสเข้าไปในซีฟทิวบ์
ลําเลียงอาหารของพืช ท�าให้ซีฟทิวบ์มีแรงดันเต่งสูงขึ้น ท�าให้สารละลาย
3. ครูสมุ ตัวแทนนักเรียน 5-6 คู นําเสนอขอมูลใน น�้ า ตาลซู โ ครสล� า เลี ย งไปตามท่ อ ซี ฟ ทิ ว บ์ จ นถึ ง
เนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งใช้ (sink)
แผนพับ และอธิบายกลไกการลําเลียงอาหาร
ของพืช 4 4 ซโู ครสออกจากซีฟทิวบ์เข้าสูเ่ ซลล์ในเนือ้ เยือ่ เหล่านัน้
4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลทีไ่ ดจากการ 5 ด้วยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ตอีกครั้ง ท�าให้
น�้า ซีฟทิวบ์ปลายทางมีความเข้มข้นของสารละลายลดลง
ทํากิจกรรมภายในหองเรียน เซลล์คอม- แหล่งใช้
พาเนียน 5 น�้ า จากซี ฟ ทิ ว บ์ ป ลายทางออสโมซิ ส ออกสู ่ เ ซลล์
ซิฟทิวบ์ปลายทาง ข้างเคียง ส่งผลให้ซฟี ทิวบ์ปลายทางมีแรงดันน้อยกว่า
ภาพที่ 1.62 กลไกการล�าเลียงอาหารของพืช ซีฟทิวบ์ตน้ ทาง จึงมีการล�าเลียงอาหารอย่างต่อเนือ่ ง
ที่มา : คลังภาพ อจท. ตลอดเวลาที่พืชมีการสังเคราะห์ด้วยแสง
Topic
Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. ทิศทางการล�าเลียงน�้ากับอาหารของพืชเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร
2. การล�าเลียงอาหารและการล�าเลียงน�้าของพืชเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร
3. พืชล�าเลียงอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ในรูปแบบใด
4. การล�าเลียงอาหารของพืชจากแหล่งสร้างไปยังท่อล�าเลียงใช้กระบวนการใด
5. การล�าเลียงอาหารของพืชไปตามท่อล�าเลียงอย่างต่อเนื่องใช้กระบวนการใด
50 การลําเลียงอาหารของพืช
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNB11
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
Biology 1. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
in real life น�้ายางพารา 2. ใหนักเรียนศึกษา เรื่อง นํ้ายางพารา จาก
Biology in real life แลวรวมกันวิเคราะห
หนังยาง หรือยางรัดแกง มีลักษณะเป็นวง มีความยืดหยุ่นสูง
จึงสามารถน�ามาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ใช้รัดผม ใช้ผูก โครงสรางและหนาทีข่ องตนยางพารา แลวให
สิ่งของ หรือยึดสิ่งของให้อยู่ด้วยกัน ซึ่งยางเหล่านี้ผลิตขึ้นมาจาก นักเรียนจัดทําแผนพับสรุปความรู พรอมนําเสนอ
อาหารของพืชเรียกว่า น�้ายาง หนาชัน้ เรียน
3. ใหนกั เรียนทํา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความ
ภาพที่ 1.63 การกรีดยางพารา เขาใจของตนเอง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดประจําหนวยการเรียน
น�้ายางเป็นอาหารของต้นยางพาราที่ประกอบด้วยส่วน 1 รูที่ 1
ที่เป็นเนื้อยางและส่วนที่ ไม่ ใช่เนื้อยาง ได้แก่ โปรตีน เรซิน 5. ใหนกั เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวยการ
คาร์โบไฮเดรต และสารอนินทรีย์อื่น ๆ โดยน�้ายางจะล�าเลียงโดย เรียนรูที่ 1
ท่อล�าเลียงอาหาร (pholem) ทีม่ ชี อื่ เรียกว่า ท่อน�า้ ยาง (Latexvessel)
ซึง่ เกิดจากการแบ่งเซลล์ของเนือ้ เยือ่ เจริญแคมเบียม (cambium)
โดยการแบ่งเซลล์ของเนือ้ เยือ่ ชนิดนีจ้ ะแบ่งเซลล์ออกทางด้านนอก
ภาพที่ 1.64 ท่อน�้ายาง
เป็นเปลือกยางซึง่ เป็นทีอ่ ยูข่ องท่อน�า้ ยาง และถ้าแบ่งเซลล์เข้าทาง ที่มา : https://botweb.uwsp.edu
ด้านในจะเป็นเนื้อไม้ซึ่งเป็นที่อยู่ของท่อล�าเลียงน�้า
การเรียงตัวของท่อน�้ายางจะเรียงตัวรอบล�าต้นตามแนวดิ่งเป็นชั้น ๆ โดยทั่วไปอยู่ในลักษณะ
เอียงไปทางขวาจากแนวดิ่งเล็กน้อยประมาณ 2.1 - 2.7 องศา ดังนั้นจะเห็นว่าชาวสวนยางพารา
จึงต้องกรีดเปลือกยางให้เป็นร่องจากซ้ายไปขวาตามแนวเฉียง เพื่อให้ตัดจ�านวนท่อน�้ายางได้มาก
และท�าให้การไหลของน�า้ ยางอยูใ่ นอัตราความเร็วทีเ่ หมาะสมและมีปริมาณสูง ซึง่ น�า้ ยางทีไ่ ด้จะถูกท�าให้
อยู่ ในรูปของแผ่นยางก่อนน�าไปแปรรูป
เป็ น ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ใ นอุ ต สาหกรรมต่ า ง ๆ
เช่น หนังยาง ยางรถยนต์ ยางลบ ถุงยาง
อนามัย
โครงสร้างและ 51
หน้าที่ของพืชดอก
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรือ่ ง โครงสราง
Summary
และหน า ที่ ข องพื ช ดอก แล ว สรุ ป ความรู จ าก โครงสรางและหนาที่
หนวยการเรียนรูที่ 1 ทั้งหมด จัดทําเปนรายงาน ของพืชดอก
เรื่ อ ง โครงสร า งและหน า ที่ ข องพื ช ดอก โดย เนื้อเยื่อพืช
รายงานตองมีองคประกอบครบสมบรูณ เนื้อเยื่อพืช (plant tissue) เป็นกลุ่มเซลล์ของพืชหลำยล้ำนเซลล์ที่มีลักษณะคล้ำยกันมำอยู่รวมกันและ
ท�ำหน้ำที่เดียวกัน เนื้อเยื่อพืชแบ่งประเภทออกเป็นแผนผังได้ ดังนี้
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อเจริญ เนื้อเยื่อถาวร
อวัยวะและหนาที่ของอวัยวะพืช
อวัยวะของพืช ได้แก่ รำก ล�ำต้น ใบ และดอก ต่ำงท�ำหน้ำที่กัน เพื่อให้พืชด�ำรงชีวิตอยู่ได้
ตารางที่ 1.2 : โครงสรางและหนาที่ของรากและลําตนของพืช
เน�้อเยื่อโครงสร้าง ภาพโครงสร้างภายใน
อวัยวะ หน้าที่ ภายใน
พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชใบเลี้ยงคู่
รำก 1. ดูดซึมน�้ำและธำตุ 1. เอพิเดอร์มิสมีขน 1. ไซเล็มเรียงเป็นแฉก 1. ไซเล็มเรียงเป็นแฉก 2-4
อำหำร 2. คอร์เทกซ์กว้ำง มำกกว่ำ 6 แฉก แฉก
2. ค�้ำจุนและยึดส่วน 3. สตีลแคบ 2. ไม่มีกำรเติบโตขั้นที่สอง 2. มี ก ำรเติ บ โตขั้ น ที่ ส องจึ ง
ต่ำง ๆ ของพืช 4. เอนโดเดอร์มิส จึงไม่พบแคมเบียม พบแคมเบียมคั่นระหว่ำง
5. เพริไซเคิล ท่อไซเล็มกับโฟลเอ็ม
ล�ำต้น 1. ชูกิ่งก้ำนและใบ 1. เอพิเดอร์มิสอำจมี 1. กลุ่มมัดท่อล�ำเลียง 1. กลุม่ มัดท่อล�ำเลียงเรียงตัว
2. ล�ำเลียงน�้ำและธำตุ ขนหรือเปลี่ยนเป็น เรียงตัวกระจำยทั่วล�ำต้น ในแนวรัศมี
อำหำร หนำม 2. ไม่มกี ำรเติบโตขัน้ ทีส่ องจึง 2. มี ก ำรเติ บ โตขั้ น ที่ ส องจึ ง
3. สะสมอำหำร 2. คอร์เทกซ์แคบ ไม่พบแคมเบียม พบแคมเบียมคั่นระหว่ำง
4. สังเครำะห์ด้วยแสง 3. สตีลกว้ำง 3. ล�ำต้นกลวงเนือ่ งจำกพิธ โฟลเอ็มและไซเล็ม
5. ขยำยพันธุ์ สลำยกลำยเป็นช่องพิธ 3. ชัน้ คอร์เทกซ์รวมกับท่อ
โฟลเอ็มกลำยเป็นเปลือกไม้
52
กิจกรรม ทาทาย
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุม 5-6 คน รวมกันสํารวจหาตนที่
สามารถสังเกตเห็นวงปชดั เจน ภายในชุมชนของตนเอง จากนัน้ ให
แตละกลุม บันทึกภาพดวยกลองดิจทิ ลั หรือวาดภาพลงในสมุด พรอม
ทํานายอายุของตนไม บรรยาย และระบุองคประกอบตาง ๆ ให
ถูกตอง
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ใบ 1. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู
โครงสร้างภายในของใบ ประกอบด้วยชั้นต่าง ๆ 3 ชั้น ดังนี้ ที่ 1
• เอพิเดอร์มิส เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ทั้งด้านบนและ 2. ตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question
เอพิเดอร์มิส ด้านล่างของใบ ประกอบด้วยปากใบซึ่งมีจ�านวน 3. ตรวจแบบฝกหัดประจําหนวยการเรียนรูที่ 1
มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช 4. ตรวจแผนพับ เรื่อง กลไกลการลําเลียงอาหาร
• มโี ซฟลล์ เซลล์สว่ นใหญ่เป็นคอลเลงคิมา ท�าหน้าที่
แพลิเซด
สังเคราะห์ด้วยแสง แบ่งเป็น 2 ชั้น คือ แพลิเซด
ของพืช โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน
มีโชฟิลล์
สปันจี มีโซฟิลล์และสปันจีมีโซฟิลล์ 5. ครูประเมินแผนพับ เรื่อง พืชสรางอาชีพ โดย
มีโชฟิลล์ มัดท่อ • มัดท่อล�าเลียง ประกอบด้วยไซเล็มและโฟลเอ็มอยู่ ใชแบบประเมินชิ้นงาน
ล�าเลียง
ภายในบันเดิลชีท ส่วนใหญ่อยูใ่ นชัน้ สปันจีมโี ซฟิลล์ 6. ตรวจรายงาน เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของ
ภาพที่ 1.66 โครงสร้างภายในของใบ พืช โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน
ที่มา : http://nchsbands.info
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช
หน้าทีข่ องใบ ได้แก่ สร้างอาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง แลกเปลีย่ นแก๊สหรือการหายใจ ควบคุม แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ดุลยภาพของน�้าโดยวิธีการคายน�้า นอกจากนี้ ใบยังช่วยยึด ค�้าจุนล�าต้น และดักจับแมลง 8. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
การแลกเปลี่ยนแกสและการคายน�้าของพืช
9. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ
• ปจั จัยภายนอก ได้แก่ อุณหภูม ิ ความเข้มของแสง ความชืน้ สภาพน�า้ ในดิน และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
• ปจั จัยภายใน ได้แก่ ขนาดและรูปร่างของใบ และการจัดเรียงตัวของใบ ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
การล�าเลียงน�้าและธาตุอาหารของพืช
กลไกลการเคลื่อนที่ของน�้าเข้าสู่ไซเล็ม
เวสเซล พลาสโมเดสมาตา ผนังเซลล์
ทิศทางการเคลื่อนที่ของน�้าไปยัง
อโพพลาสต์ ท่อไซเล็มเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ
• อโพพลาสต์ น�า้ ผ่านทางผนัง
เซลล์หรือช่องว่างระหว่าง
ซิมพลาสต์ เซลล์
ขนราก • ซมิ พลาสต์ น�า้ ผ่านทางพลาส-
มัดท่อ เอนโดเดอร์มิส เนื้อเยื่อชั้นผิว โมเดสมาตาของเซลล์
ล�าเลียง คอร์เทกซ์
ภาพที่ 1.67 การเคลื่อนที่ของน�้าเข้าสู่ท่อล�าเลียงไซเล็ม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
โครงสร้างและ 53
หน้าที่ของพืชดอก
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3
ระดับคะแนน
2 1
5. ไซเล็ม ลําตนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว 1
2
3
การจัดรูปแบบรายงาน
ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
1. การจัดรูปแบบ
4
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
3
ระดับคะแนน
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
2
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
1
รู ปเล่ มรายงานมี
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามที่หัวข้อก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. ก ารสังเคราะห์ด้วยแสงส่วนมากเกิดขึ้นที่ใบเนื่องจากบริเวณผิวใบ 1.2
มีเนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิส
2. ไซเล็มทุติยภูมิจะถูกดันเข้าสู่แกนกลางของล�าต้น เรียกว่า กระพี้ 2.2
ซึ่งเป็นเซลล์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ สามารถล�าเลียงน�้าได้
3. เมือ่ ความเข้มของแสงมากขึน้ ปริมาณ K+ ในเซลล์จะลดลง ท�าให้ความ
ุ ด
3.
ส ม
ใ น
เต่งของเซลล์มากขึ้น มีผลท�าให้ปากใบเปิด
ล ง
ท ึ ก
บ ั น
4. พืชอาศัยแรงดึงจากการคายน�้า ช่วยให้น�้าไหลไปตามท่อล�าเลียงอย่าง 4.
ต่อเนื่อง
5. น�้าตาลซูโครสเข้าสู่ท่อไซเล็มด้วยกระบวนการออสโมซิส 5.2
54
ขอสอบเนน การคิด
จากภาพ จงระบุสวนประกอบลงในหมายเลขที่กําหนดให พรอมอธิบายหนาที่ของสวนประกอบ
1
คอรเทกซ 2
สตีล 3
2
3
4
(วิเคราะหคําตอบ
1. เอพิเดอรมิส เปนเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด มีเซลลที่เรียงตัวกันเพียงชั้นเดียวและผนังเซลลบาง
ไมมีคลอโรพลาสต บางเซลลจะเปลี่ยนแปลงไปเปนขนราก
2. ไซเล็ม ทําหนาที่ลําเลียงนํ้าและธาตุอาหารจากรากไปยังสวนตางๆ
3. โฟลเอ็ม ทําหนาที่ลําเลียงอาหารจากใบไปสูสวนตางๆ
4. พิธ สวนใหญเปนเนือ้ เยือ่ พาเรงคิมา ทําหนาทีส่ ะสมสารตางๆ)
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit
คําชี้แจง :
Question 1
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
1. 1.1 พาเรงคิมา มีเนือ้ เยือ่ ทีบ่ างสมํา่ เสมอกัน แต
คอลเลงคิมามีเนื้อเยื่อที่บางไมสมํ่าเสมอกัน
และพาเรงคิมาเปนเนื้อเยื่อพื้นอยูในสวน
1. จงเปรียบเทียบเนื้อเยื่อต่อไปนี้ ประกอบตาง ๆ ของพืช มีหนาที่ที่หลาก-
1.1 พาเรงคิมากับคอลเลงคิมา หลาย เชน สังเคราะหดว ยแสง สะสมอาหาร
และสารตาง ๆ สวนคอลเลงคิมา ทําหนาทีใ่ ห
1.2 ไซเล็มกับโฟลเอ็ม
ความแข็งแรงแกโครงสรางพืช
1.3 คอร์กแคมเบียมกับวาสคิวลาร์แคมเบียม 1.2 ไซเล็มและโฟลเอ็มเปนเนื้อเยื่อลําเลียงที่มี
1.4 เอพิเดอร์มิสกับเอนโดเดอร์มิส เนื้อเยื่อพาเรงคิมาชวยสะสมอาหาร และ
1.5 ไฟเบอร์กับสเกลอรีด ไฟเบอรชวยเพิ่มความแข็งแรง แตไซเล็ม
แตกตางกับโฟลเอ็ม คือ ไซเล็มมีเซลลลาํ เลียง
2. จากภาพ ก. ข. ค. และ ง. เป็นโครงสร้างของอวัยวะและพืชชนิดใด เพราะเหตุใด
นํา้ ประกอบไปดวย เทรคีดซึง่ เปนเซลลทมี่ ี
รูปรางยาวเรียว ทรงกระสวย มีรูพรุนดาน
ขาง เเละเวสเซลเปนเซลลทมี่ รี ปู รางอวนสัน้
ทรงกระบอกหัวทายมีรทู ะลุตอ กันเหมือนทอ
ประปา ทัง้ สองเซลลเปนเซลลทไี่ มมชี วี ติ สวน
โฟลเอ็มมีเซลลลําเลียงอาหาร ประกอบไป
ดวยซีฟทิวบ ใชลาํ เลียงอาหาร เปนเซลลที่
มีชวี ติ เเตไมมนี วิ เคลียส เพือ่ เพิม่ พืน้ ทีใ่ นการ
ลําเลียงอาหาร ถูกควบคุมโดยเซลลคอม-
ก. ข. พาเนียน ทีห่ วั ทายมีตะเเกรง เรียกวา ซีฟเพลต
1.3 คอรกแคมเบียมเปนเยื่อเจริญดานขางที่อยู
ระหวางคอรกับโฟลเอ็ม สวนวาสคิวลาร
แคมเบี ย มเป น เนื้ อ เยื่ อ เจริ ญ ด า นข า งอยู
ระหวางไซเล็มกับโฟลเอ็ม
1.4 เอพิเดอรมิสและเอนโดเดอรมิสเปนเซลลที่
เรียงตัวแถวเดียว โดยเอพิเดอรมสิ เปนชัน้ ที่
อยูนอกสุด สวนเอนโดเดอรมิสเปนชั้นที่อยู
ค. ง. ในสุดของคอรเทกซ
1.5 ไฟเบอรและสเกลอรีดเปนเนือ้ เยือ่ สเกลอเรง-
ภาพที่ 1.69 โครงสร้างเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ ของพืช คิมา ซึง่ ไฟเบอรมลี กั ษณะเปนเสนใย มีรปู ราง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ยาวเรียว หัวทายแหลม สวนสเกลอรีดมี
โครงสร้างและ
หน้าที่ของพืชดอก
55 รูปรางหลายแบบ เชน รูปดาว รูปหลาย
เหลีย่ ม
2. ก. ลําตนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เนื่องจากกลุมมัดทอ
ลําเลียงกระจายอยูใ นชัน้ สตีล
ข. รากพืชใบเลีย้ งคู เนือ่ งจากมีจาํ นวนแฉกของ
ไซเล็มประมาณ 3-4 แฉก
ค. ใบของพืชทัว่ ไป (พืช C3) เนือ่ งจากภายใน
โครงสรางใบมีเซลล 2 ชัน้ คือ แพลิเซดมีโซ-
ฟลลกบั สปนจีมโี ซฟลล
ง. ลําตนของพืชใบเลีย้ งคู เนือ่ งจากมัดทอลําเลียง
เรียงตัวอยางเปนระเบียบ
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
1
2
4 3
56
T62
นํา สอน สรุป ประเมิน
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน
58
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
โครงสร้างและ 59
หน้าที่ของพืชดอก
T65
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายและสรุป แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การค้นคว้าที่ - หนังสือเรียนชีววิทยา การทดลองของ หาความรู้ ก่อนเรียน - ทกั ษะการจัดกลุม่ - ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวข้องกับ ม.5 เล่ม 1 นักวิทยาศาสตร์ในอดีต (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
กระบวนการ - แบบฝึกหัดชีววิทยา ที่เกีย่ วข้องกับ Instruction - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เปรียบเทียบ การท�ำงาน
สังเคราะห์ด้วย ม.5 เล่ม 1 กระบวนการสังเคราะห์ Model) Topic Question - ทกั ษะการจ�ำแนก
แสง - ใบงาน ด้วยแสงได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภท
- ภาพประกอบการสอน 2. เปรียบเทียบผล การทดลองการ - ทกั ษะการส�ำรวจ
4 - PowerPoint ประกอบ การทดลองของ สังเคราะห์ด้วยแสง
ชั่วโมง การสอน นักวิทยาศาสตร์ - ประเมินชิ้นงาน
ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับ - สังเกตพฤติกรรม
กระบวนการสังเคราะห์ การทำ�งานรายบุคคล
ด้วยแสงได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การทำ�งานกลุ่ม
และงานที่ได้รับ - สังเกตคุณลักษณะ
มอบหมาย (A) อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายโครงสร้างของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครงสร้าง ม.5 เล่ม 1 คลอโรพลาสต์ได้ (K) หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
คลอโรพลาสต์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. วเิ คราะห์และสรุป (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 กระบวนการสังเคราะห์ Instruction - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
3 - ใบงาน ด้วยแสงที่เกิดขึ้นใน Model) โครงสร้างและหน้าที่ - ทกั ษะการจ�ำแนก
- อุปกรณ์การทดลอง คลอโรพลาสต์ได้ (P) ของคลอโรพลาสต์ ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพประกอบการสอน 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - ประเมินชิ้นงาน - ทกั ษะการทดลอง
- QR Code และงานที่ได้รับมอบ - สังเกตการปฏิบัติการ
- PowerPoint หมาย (A) จากการทำ�กิจกรรม
ประกอบการสอน - สังเกตพฤติกรรมการ
ทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการ
ทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T66
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกระบวนการ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
กระบวนการ ม.5 เล่ม 1 สังเคราะห์ด้วยแสงของพืช หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
สังเคราะห์ด้วย - แบบฝึกหัดชีววิทยา ได้ (K) (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
แสงของพืช ม.5 เล่ม 1 2. วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก Instruction - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
- ใบงาน กระบวนการสังเคราะห์ด้วย Model) ปฏิกิริยาแสง - ทกั ษะการจ�ำแนก
2 - อุปกรณ์การทดลอง แสงของพืชได้ (P) - ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 3. รับผิดชอบต่อหน้าทีแ่ ละงาน กระบวนการสังเคราะห์ - ทกั ษะการทดลอง
Twig ที่ได้รับมอบหมาย (A) ด้วยแสง
- ภาพประกอบการสอน - ประเมินชิ้นงาน
- PowerPoint ประกอบ - สังเกตการปฏิบัติการ
การสอน จากการทำ�กิจกรรม
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกลไกการตรึง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
กลไกการตรึง ม.5 เล่ม 1 คาร์บอนไดออกไซด์ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
คาร์บอนได- - แบบฝึกหัดชีววิทยา ในพืชได้ (K) (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ออกไซด์ของพืช ม.5 เล่ม 1 2. เปรียบเทียบกลไกการตรึง Instruction - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
- ใบงาน คาร์บอนไดออกไซด์ Model) กลไกการตรึงแก๊ส - ทกั ษะการจ�ำแนก
2 - บัตรคำ� ในพืช (P) คาร์บอนไดออกไซด์ ประเภท
ชั่วโมง
- QR Code 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และงาน ของพืช CAM - ทกั ษะการทดลอง
- PowerPoint ที่ได้รับมอบหมาย (A) - ประเมินชิ้นงาน
ประกอบการสอน - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อภิปรายและสรุปปัจจัยที่มี แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
ปัจจัยที่มีผลต่อ ม.5 เล่ม 1 ผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง หาความรู้ หลังเรียน - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
การสังเคราะห์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา ของพืชได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ด้วยแสงของพืช ม.5 เล่ม 1 2. วิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นกับพืช Instruction - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เปรียบเทียบ การท�ำงาน
- ใบไม้ตัวอย่าง ได้แก่ ที่ขาดปัจจัยที่มีผลต่อการ Model) Topic Question - ทกั ษะการจ�ำแนก
5 ใบเดีย่ วและใบประกอบ สังเคราะห์ด้วยแสง (P) - ตรวจแบบฝึกหัดประจำ� ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพประกอบการสอน 3. เปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นกับ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 - ทกั ษะการทดลอง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น พืชที่ขาดปัจจัยที่มีผลต่อการ - ประเมินรายงาน เรื่อง
Twig สังเคราะห์ด้วยแสง (P) ปัจจัยที่มีผลต่อการ
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่และงาน สังเคราะห์ด้วยแสง
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T67
Chapter Concept Overview
การค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
• ฌองแบบติสท์แวนเฮลมองท์ : นำ้าหนักของต้นหลิวเพิ่มมา • เองเกล มัน : สาหร่ายสไปโรไจราดูดกลืนความยาวคลื่น
จากนำ้าเท่านั้น ในช่วงแสงสีแดงและนำ้าเงินเพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง
• โจเซฟพริสต์ลีย์ : พืชทำาให้อากาศเสียเปลี่ยนเป็นอากาศดีได้ มากที่สุด ซึ่งได้ออกซิเจนเป็นผลิตภัณฑ์ ทำาให้บริเวณนั้นมี
• แจนอินเก็นฮูซ : การทดลองของโจเซฟจะสำาเร็จก็ต่อเมื่อมี aerobic bacteria มาเกาะเป็นจำานวนมาก
แสงและพืชเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารอินทรีย์ • แวนนีล: การสังเคราะห์ด้วยแสงของแบคทีเรียน่าจะคล้ายกับ
• ฌองซีนบี เิ ยร์ : การเผาไหม้และการหายใจได้คาร์บอนไดออกไซด์ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
และใช้ออกซิเจน • แซม รูเบน และมาร์ติน คาเมน : ยืนยันการทดลองของ
• นิโคลาส ธีโอดอร์ เดอ โซซูร์ : การทดลองของฌอง แบบ แวน นีลว่า ออกซิเจนมาจากโมเลกุลนำ้า
ติสท์ แวน เฮลมองท์ นำ้าหนักของต้นหลิวที่เพิ่มขึ้นมาจาก • โรบิน ฮิลล์ : พบว่า ปฏิกิริยาโฟโตลิซิส หรือปฏิกิริยาที่แสง
คาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช่นำ้า ทำาให้นำ้าแตกตัวได้ออกซิเจนก็ต่อเมื่อมีตัวรับอิเล็กตรอน
• จูเลียส ซาซ : สารอินทรีย์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นนำ้าตาล และ • แดเนียล อาร์นอน : เกิดแนวคิดว่า ขั้นตอนการสังเคราะห์
สามารถเขียนสมการได้ว่า ด้วยแสงแบ่งออกเป็นปฏิกิริยาที่ต้องใช้แสงและปฏิกิริยาที่ไม่
6CO2 + 6H2O C6H12O6 + 6CO2 ใช้แสง
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ปฏิกิริยาแสงและการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
เยื่อหุ้มไทลาคอยด์
สโตรมา
สโตรมา
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ในพืช C4
เนื้อเยื่อ
T68
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ในพืช CAM
CO2 H2O CO2 พืช CAM มีกลไกการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งแรกเกิดขึ้นในเวลากลางคืน โดยมีเอนไซม์ PEP carboxylase
CO2 H2O H2O ช่วยตรึง CO2 กับ PEP ได้สารประกอบคาร์บอน 4 อะตอมหรือ
HCO3-
OAA PEP Triose P Triose P มาเลต แล้วเก็บสะสมไว้ที่แวคิวโอลในรูปของกรดมาลิก
ไพรูเวต
Pi
แป้ง แป้ง ครัง้ ทีส่ องเกิดขึน้ เมือ่ มีแสง กรดมาลิกจะถูกล�ำเลียงจากแวคิวโอล
NADH CO2 ไปยังบันเดิลชีท จากนั้นสารประกอบคาร์บอน 4 อะตอม หรือมาลิก
NAD+ จะเปลีย่ นรูปเป็นมาเลต แล้วสลายตัวให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้า
มาเลต คลอโรพลาสต์ มาเลต คลอโรพลาสต์ สู่วัฏจักรคัลวินเพื่อผลิตน�้ำตาลต่อไป
กรดมาลิก กรดมาลิก
แวคิวโอล แวคิวโอล
ช่วงกลางคืน ช่วงมีแสง
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
• แสงและความเข้มแสง
C3 - ไลต์คอมเพนเซชันพอยต์ คือ ช่วงความเข้มแสงที่อัตราการ
30 ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์
อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง (μmol m-2 s-1)
C4
- พืช C4 มีไลต์คอมเพนเซชันพอยต์สูงกว่า พืช C3
- จุดอิ่มตัวแสง คือ จุดที่ความเข้มแสงเพิ่มขึ้น แต่อัตราการ
20 สังเคราะห์ด้วยแสงไม่เพิ่ม
- พืช C4 จุดอิ่มตัวแสงสูงกว่าพืช C3
• ความเข้มของคาร์บอนไดออกไซด์
10
- ค าร์ บ อนไดออกไซด์ ค อมเพนเซชั น พอยต์ คื อ ช่ ว ง
ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ท�ำให้อัตราการตรึง
0 คาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์
0 200 400 600 800 1000 - พืช C4 คาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชันพอยต์ต�่ำกว่าพืช
CO2 (ppm)
C3
- จดุ อิม่ ตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ คือ จุดทีค่ วามเข้มข้นของ
พืช C3 คาร์บอนไดออกไซด์เพิม่ ขึน้ แต่อตั ราการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
40
พืช C4 ไม่เพิ่ม
- พืช C4 มีจุดอิ่มตัวแสงต�่ำกว่า พืช C3
อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง (μmol m-2 s-1)
พืช CAM
30 • อณุ หภูมิ อุณหภูมมิ ผี ลต่อเอนไซม์ทเี่ กีย่ วข้องในการสังเคราะห์
ด้วยแสง ดังนัน้ อุณหภูมทิ เี่ หมาะสมจะช่วยให้พชื สังเคราะห์ดว้ ย
20 แสงได้มาก
• อายุใบ ใบพืชทีแ่ ก่เกินไปหรืออ่อนเกินไป ส่งผลให้การสังเคราะห์
10 ด้วยแสงลดลง
• ปริมาณน�ำ้ ทีพ่ ชื ได้รบั ปริมาณน�ำ้ ในดินและความชืน้ ในอากาศมี
ผลต่อการเปิดปิดของปากใบพืช ซึ่งมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วย
0
0 10 20 30 40 50
แสงของพืช
อุณหภูมิ (oC) • ธาตุอาหาร ได้แก่ ธาตุแมกนีเซียม ไนโตรเจน เหล็ก แมงกานีส
คลอรีน ล้วนอยูใ่ นองค์ประกอบส�ำคัญทีเ่ กีย่ วข้องกับกระบวนการ
สังเคราะห์ด้วยแสง
T69
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การสังเคราะห
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ หนวยการเรียนรูที่
2. ใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ
เรียนรูที่ 2
3. ใหนกั เรียนทํากิจกรรมภายในหองเรียนเพือ่ เลือก
ตัวแทนนักเรียนตอบคําถาม Big Question
4. ใหนักเรียนแตละคนบันทึกคําถาม Under-
2 ดวยแสง
การสังเคราะหด้วยแสง เป็นกระบวนการสร้างอาหารของพืช โดยมีใบเป็นอวัยวะสําคัญ ภายใน
ใบของพืชมีสารคลอโรฟิลล์ทสี่ ามารถนําพลังงานแสงมาเปลีย่ นให้เป็นพลังงานเคมี และมีเอนไซม์
standing Check ลงในสมุดบันทึกของตนเอง ที่สามารถตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศมาผลิตอาหารเก็บไว้ในรูปสารอินทรีย์ได้
แลวพิจารณาขอความตามความเขาใจของ สิง่ ทีน่ า่ สนใจ คือ พืชนําปัจจัยเหล่านีม้ าใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้อย่างไร
นักเรียนวาถูกหรือผิด
• ¡Ãкǹ¡ÒÃÊѧà¤ÃÒÐË´ŒÇÂáʧ¢Í§¾×ª
ᵋÅЪ¹Ô´ÁÕ¢Ñ鹵͹·Õèᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ËÃ×ÍäÁ‹
Í‹ҧäÃ
• µŒ¹ÁÐÁ‹Ç§ ¢ŒÒÇâ¾´ áÅСÃкͧྪÃ
ÁÕ ¡ Åä¡¡ÒõÃÖ § ¤Òà º ͹ä´ÍÍ¡ä«´ ·Õè
ᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ËÃ×ÍäÁ‹ Í‹ҧäÃ
• ÊÀÒ¾áÇ´ÅŒÍÁÊ‹§¼Åµ‹Í¡Ãкǹ¡ÒüÅÔµ
ÍÒËÒâͧ¾×ªÍ‹ҧäÃ
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ให้นักเรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิดแล้วบันทึกลงในสมุด
นํ้าเป็นทั้งสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นที่ใบเท่านั้น
แก๊สที่พืชใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมีส่วนช่วยทําให้ไฟติด
ในวันที่อากาศมีอุณหภูมิสูง พืชจะมีอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงสูงขึ้น
อาหารที่พืชผลิตขึ้นจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง คือ แป้ง
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ผิด 3. ผิด
4. ถูก 5. ผิด
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
นักวิทยาศาสตรได 1. การค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
ศึกษาคนควาเกี่ยวกับ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 2. ใหนกั เรียนแบงกลุมออกเปน 8 กลุม จากนั้น
กระบวนการสังเคราะห สงตัวแทนกลุมมาจับสลากหมายเลข 1-8 โดย
ดวยแสงอยางไร นักวิทยาศาสตร์หลายท่านศึกษาเกีย่ วกับปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ ใหนักเรียนแตละกลุมศึกษา ดังนี้
ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การศึกษาบางประเด็นต้อง
หมายเลข 1 ศึกษาการทดลองของฌอง แบบ
ใช้ระยะเวลานาน ทั้งยังต้องอาศัยความสามารถในการค้นคว้าหาความรู้ของนักวิทยาศาสตร์จาก
ติสท แวน เฮลมองท
หลาย ๆ ยุค ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับการสังเคราะห์ด้วยแสงขณะนี้ล้วนเป็นผลจากการค้นคว้าของ
นักวิทยาศาสตร์ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน หมายเลข 2 ศึ ก ษาการทดลองของโจเซฟ
ในปี พ.ศ. 2191 ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (Jean Baptiste van Helmont) ได้ทดลอง พริสตลีย
ปลูกต้นหลิวหนัก 5 ปอนด์ในถังที่บรรจุดินที่แห้งสนิทหนัก 200 ปอนด์ และปิดฝาถังให้มิดชิด หมายเลข 3 ศึกษาการทดลองของแจน อินเก็น
เพื่อป้องกันสัตว์มาขุดคุ้ย ป้องกันไม่ให้ใบหลิวร่วงหล่นลงไปในกระถาง ฮูซ
ระหว่างทําการทดลองได้รดนํ้าต้นหลิวด้วยนํ้าฝนทุก ๆ วัน เป็นระยะ หมายเลข 4 ศึ ก ษาการทดลองของนิ โ คลาส
เวลา 5 ปี แล้วนําต้นหลิวและดินแห้งไปชั่งนํ้าหนัก พบว่า ดินมี ธีโอดอร เดอ โซซูร
นํ้าหนักน้อยกว่าดินที่ใช้ก่อนทําการทดลองเพียง 2 ออนซ์ แต่ 1 ต้น หมายเลข 5 ศึกษาการทดลองของจูเลียส ซาซ
หลิวมีนํ้าหนักเพิ่มขึ้นเป็น 169 ปอนด์ ดังภาพ หมายเลข 6 ศึกษาการทดลองของแวน นีล
ทดลองปลูกต้นหลิว หมายเลข 7 ศึกษาการทดลองของโรบิน ฮิลล
หนัก 5 ปอนด์ หมายเลข 8 ศึ ก ษาการทดลองของแดเนี ย ล
ดินแห้งสนิท 200 ปอนด์
ในถังที่มีฝาปิด อารนอน
3. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม บั น ทึ ก ข อ มู ล ที่ สื บ ค น
ลงในกระดาษ A4 พรอมนําเสนอขอมูลใน
รูปแบบที่นาสนใจหนาชั้นเรียน
เปิดฝารดนํ้า
เป็นระยะเวลา 5 ปี
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ใหนักเรียนกลุมที่จับไดหมายเลข 1-4 ออกมา ในปี พ.ศ. 2315 โจเซฟ พริสต์ลีย์ (Joseph Priestley) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวว่า
นําเสนอขอมูลตามสลากที่กลุมตนเองไดรับ “การหายใจ การเน่าเปอย และการตายของสัตว์ ทําให้เกิดอากาศเสีย แต่พืชจะทําให้อากาศเสีย
โดยอาจนําเสนอในรูปของผังมโนทัศน แผนพับ นั้นบริสุทธิ์ขึ้นและมีประโยชน์ต่อการดํารงชีวิต” โดยโจเซฟได้ทําการทดลอง 2 การทดลอง ดังนี้
รายงาน หรือแสดงขอมูลบนแผนฟวเจอรบอรด
2. ใหนกั เรียนเลือกการทดลองของนักวิทยาศาสตร การทดลองที่1
ในอดีตที่เกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะห จุดเทียนไขไว้ในครอบแก้ว พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งเทียนไขดับลง และเมื่อนํา
ดวยแสงที่ตนเองสนใจ แลวเขียนคําถามลงใน หนูที่มีชีวิตไปไว้ในครอบแก้วที่เทียนไขดับแล้ว ปรากฏว่าหนูตายเกือบทันที
สมุดบันทึกของตนเอง อยางนอย 2 คําถาม
โดยการทดลองที่นักเรียนสนใจอาจมีมากกวา
2 การทดลอง สักครู่
ภาพที่2.2 การทดลองของพริสต์ลีย์ที่เริ่มจากการเผาไหม้ของเทียนไข
ที่มา : คลังภาพ อจท.
สักครู่ สักครู่
ภาพที่2.3 การทดลองของพริสต์ลีย์ที่เริ่มจากกระบวนการหายใจของหนูทดลอง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
62
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
การทดลองที่2 3. ครูสุมเรียกตัวแทนนักเรียนประมาณ 10 คน
เพื่ อ ระบุ ว า ตนเองสนใจการทดลองของนั ก
นําพืชสีเขียวใส่ในครอบแก้วที่เคยจุดเทียนไขเอาไว้ก่อนแล้ว จากนั้นทิ้งไว้เป็นเวลา 10 วัน
เมื่อจุดเทียนไขในครอบแก้วนั้นใหม่ พบว่าเทียนไขลุกไหม้อยู่ได้ระยะหนึ่งโดยไม่ดับทันที วิทยาศาสตรทา นใด จากนัน้ อานคําถามในสมุด
บันทึกของตนเอง
4. ครู สุ ม เรี ย กสมาชิ ก ภายในกลุ ม ที่ ศึ ก ษาการ
10 วันต่อมา ทดลองทีต่ วั แทนนักเรียนสนใจตอบคําถามและ
อธิบายคําตอบใหเพื่อนฟง
5. ครูพิจารณาและเพิ่มเติมคําตอบของนักเรียน
ภาพที่2.4 การนําพืชเข้ามาทดลองของพริสต์ลีย์ ใหสมบูรณขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เมือ่ ทําการทดลองอีกครัง้ โดยนําพืชสีเขียวใส่ในครอบแก้วทีเ่ คยจุดเทียนไขไว้และดับไปแล้ว
จากนั้นทิ้งไว้เป็นเวลา 10 วัน จึงนําเทียนไขออกและใส่หนูเข้าไปในครอบแก้วที่มีพืชอยู่ พบว่า
หนูยังคงมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานาน
10 วันต่อมา
ภาพที่2.5 การทดลองของพริ
การทดลองของพริสต์ลีย์ที่แสดงให้เห็นว่า พืชช่วยให้หนูมีชีวิตอยู่ในครอบแก้วนานขึ้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
หลังจากนั้นพริสต์ลีย์ทําการทดลองเพิ่มเติม โดยแบ่งอากาศภายในครอบแก้วที่เทียนไขดับ
แล้วออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึง่ นําพืชไปใส่ไว้ และอีกส่วนหนึง่ ใส่เพียงแก้วทีบ่ รรจุนาํ้ ไว้เท่านัน้ แล้ว
ตัง้ ทิง้ ไว้ระยะเวลาหนึง่ จากนัน้ จึงจุดเทียนไขในอากาศทัง้ 2 ส่วน พบว่า เทียนไขในอากาศส่วนทีม่ ี
พืชอยู่เท่านั้นที่มีการลุกไหม้ 1และลุกไหม้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น จากการทดลองดังกล่าว พริสต์ลีย์
สรุปว่า “พืชสามารถเปลี่ยนอากาศเสียให้กลับมาเป็นอากาศดีได้”
อากาศเสีย อากาศดี
ภาพที่2.6 พืชเปลี่ยนอากาศเสียให้เป็นอากาศดี
ที่มา : คลังภาพ อจท. การสังเคราะห์ 63
ด้วยแสง
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ใหนกั เรียนกลุม ทีจ่ บั ไดหมายเลข 5-8 นําเสนอ ในปี พ.ศ. 2322 แจน อินเก็น ฮูซ (Jan Ingen Housz) ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การทดลองของ
ขอมูลในรูปแบบผังมโนทัศน แผนพับ รายงาน พริสต์ลีย์จะได้ผลก็ต่อเมื่อพืชได้รับแสงสว่างเท่านั้น พืชจึงจะสามารถเปลี่ยนอากาศเสียให้เป็น
หรือแสดงขอมูลบนแผนฟวเจอรบอรด อยางใด อากาศดีได้
อยางหนึ่ง ฮูซออกแบบการทดลองโดยใช้ครอบแก้วไว้ 2 ชุด โดยชุดแรกนําไปไว้ในที่มืด ส่วนชุดที่ 2
7. ใหนักเรียนคนอื่นๆ เลือกการทดลองที่ตนเอง นําไปไว้ในบริเวณทีไ่ ด้รบั แสงได้ด ี ทิง้ ไว้เป็นเวลา 7 วัน แล้วจุดเทียนไขในครอบแก้วทัง้ 2 ชุด พบว่า
สนใจ แลวเขียนคําถามลงในสมุดบันทึกของ เทียนไขในครอบแก้วที่ได้รับแสงเท่านั้นที่สามารถลุกไหม้ได้ ดังภาพ
ตนเอง อยางนอย 2 คําถาม โดยการทดลองที่ ชุดที่1
นักเรียนสนใจอาจมีมากกวา 2 การทดลอง
8. ครูสุมตัวแทนนักเรียนโดยจับสลากเรียกเลขที่ 7 วันต่อมา
ของนักเรียนประมาณ 10 คน
ชุดที่2 แสง
7 วันต่อมา
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สออกซิเจน
(CO2) (O2)
ภาพที่2.8 แสงเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้พืชเปลี่ยนอากาศเสียให้เป็นอากาศดีได้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
64
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1 9. ใหตัวแทนนักเรียนระบุวา ตนเองสนใจการ
ในปี พ.ศ. 2329 ฮูซ ยังค้นพบอีกว่า พืชเก็บธาตุคาร์บอนไว้ในรูปของสารอินทรีย์
แสง ทดลองของนักวิทยาศาสตรทานใด จากนั้น
อานคําถามในสมุดบันทึกของตนเอง
แก๊สออกซิเจน
10. ครูสุมเรียกสมาชิกภายในกลุมที่ศึกษาการ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
สารอินทรีย์ ทดลองที่ตัวแทนนักเรียนสนใจตอบคําถาม
และอธิบายคําตอบใหเพื่อนฟง
ภาพที่2.9 พืชเก็บธาตุคาร์บอนไว้ในรูปของสารอินทรีย์
11. ครูพิจารณาและเพิ่มเติมคําตอบของนักเรียน
ที่มา : คลังภาพ อจท. ใหสมบูรณขึ้น
ในปี พ.ศ. 2339 ฮูซเสนอข้อมูลจากการทดลองว่า “พืชเก็บธาตุคาร์บอน ซึ่งได้มาจากแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในรูปของสารอินทรีย ์ และปลดปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมา” โดยฮูซได้ทาํ การ
ทดลองคล้ายกับพริสต์ลีย์ แต่ใช้ส่วนประกอบของพืชที่มีสีเขียว เช่น ลําต้น ใบ กิ่ง ใส่ไว้ในที่ครอบ
แก้วไว้ 2 ชุด โดยชุดที่ 1 ทิ้งไว้ในที่มืด ส่วนชุดที่ 2 ไว้ในที่สว่างเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น
จึงจุดเทียนไขในครอบแก้ว ดังภาพ
ชุดที่1
ใบ กิ่ง ลําต้น
ชุดที่2
แสง แสง แสง
ใบ กิ่ง ลําต้น
ภาพที่2.10 การทดลองของฮูซ ชุดที่ 1 ในที่มืด และชุดที่ 2 ในที่สว่าง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากการทดลอง พบว่า เทียนไขในครอบแก้วชุดที ่ 1 ไม่ตดิ ไฟ ส่วนเทียนไขในชุดที ่ 2 ซึง่ วางไว้
ที่บริเวณที่มีแสงสามารถจุดเทียนไขให้ติดไฟได้
การสังเคราะห์ 65
ด้วยแสง
T75
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม ออกเป น 4 กลุ ม ทํ า จากการทดลองของฮูซ จะเห็นได้วา่ การเจริญเติบโตของพืชส่งผลให้นาํ้ หนักของพืชเพิม่ ขึน้
กิจกรรม ตรวจสอบแปงในใบพืช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการสังเคราะห์สารอินทรีย์ โดยนํ้าหนักของพืชที่เพิ่มขึ้นมาจาก
2. ครู เ ตรี ย มอุ ป กรณ ใ ห นั ก เรี ย นอย า งละกลุ ม แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่พืชนําเข้าไป และพืชยังปล่อยแก๊สออกซิเจนออกสู่บรรยากาศในช่วงที่
ดังนี้ บีกเกอรขนาด 250 cm3 หลอดทดลอง พืชได้รับแสง
ขนาดใหญ ตะเกียงแอลกอฮอล และที่กั้นลม ในปี พ.ศ. 2347 นิโคลาส ทีโอดอร์ เดอ โซซูร์ (Nicolas Theodore de Soussure) ทําการ
พรอมตะแกรง หลอดหยด ปากคีบ ใบไม ทดลองพบว่า พืชมีการดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
นํ้าเปลา กระจกนาฬกา สารละลายไอโอดีน ซึง่ สอดคล้องกับการทดลองของฮูซ นอกจากนี ้ เดอ โซซูร ์ ยังทดลองให้เห็นว่า นํา้ หนักของพืชทีเ่ พิม่ ขึน้
เอทิลแอลกอฮอล มากกว่านํา้ หนักของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทพี่ ชื ได้รบั จึงสันนิษฐานว่านํา้ หนักทีเ่ พิม่ ขึน้ บางส่วน
3. ครูอธิบายขัน้ ตอนการทํากิจกรรมทีละขอ แลว เป็นนํ้าหนักของนํ้าที่พืชได้รับ
ใหนักเรียนแตละกลุมลงมือปฏิบัติตาม ในปี พ.ศ. 2405 จูเลียส ซาซ (Julius Sachs) ได้ทําการทดลองโดยใช้โคมไฟฉายแสงให้กับ
1) ตมนํา้ ในบีกเกอรปริมาตร 100 cm3 ใหเดือด พืชสีเขียวหลายชนิด และพบว่าใบพืชสามารถสังเคราะห์แป้งขึน้ มาได้ และเมือ่ ปิดไฟเป็นเวลานาน
นําใบไมใสลงในบีกเกอร ตมประมาณ 2 แป้งก็จะสลายไป ซึง่ ปริมาณของแป้งสามารถตรวจสอบด้วยสารละลายไอโอดีน ดังนัน้ การทดลองนี้
นาที จึงแสดงให้เห็นว่า สารอินทรีย์ที่พืชสังเคราะห์ขึ้นมา คือ แป้ง ซึ่งเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต
2) ใชปากคีบ คีบใบพืชทีต่ ม ในนํา้ เดือด มาตม แสง
ในหลอดทดลองที่ มี แ อลกอฮอล ป ริ ม าณ
20 cm3 ซึ่งวางอยูในบีกเกอรที่มีนํ้าเดือด
ตมจนกระทั่งสังเกตเห็นใบพืชมีสีซีด แลว แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์โบไฮเดรต
จึงใชปากคีบ คีบใบพืชออก
นํ้า แก๊สออกซิเจน
3) นําใบพืชทีต่ ม ซีดไปลางในนํา้ เย็นและคีบใส
กระจกนาฬกา
4) หยดสารละลายไอโอดีน 2-3 หยด ลงบน ภาพที่2.11 ผลิตภัณฑ์ที่พืชได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง คือ แก๊สออกซิเจนและแป้ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ใบพืช ทิง้ ไว 3 นาที สังเกตการเปลีย่ นแปลง
ต่อมานักวิทยาศาสตร์เรียกกระบวนการสร้างอาหารของพืชที่อาศัยแสงนี้ว่า กระบวนการ
อธิบายความรู้ สังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis)
1. ครูสุมเรียกตัวแทนกลุมนําเสนอผลกิจกรรม ในปี พ.ศ. 2438 เองเกลมัน (T.W. Engelmann) ทดลองโดยใช้แบคทีเรียที่เจริญโดยใช้
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป ว า เมื่ อ หยด แก๊สออกซิเจนเป็นตัวทดสอบวัดปริมาณแก๊สออกซิเจนที่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
สารละลายไอโอดีนลงในใบพืช พบวา สีของ ของสาหร่ายสไปโรไจรา (Spirogyra sp.) ซึ2 ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวชนิดหนึ่ง โดยใช้ปริซึมแยกแสง
1
สารละลายไอโอดีนเปลี่ยนเปนสีดําแสดงให ออกเป็นสเปกตรัมให้แก่สาหร่ายสไปโรไจรา ที่เจริญอยู่ในนํ้าร่วมกับแบคทีเรียที่ใช้แก๊สออกซิเจน
เห็นวา พืชสะสมอาหารประเภทแปงในใบพืช ในการเจริญอยู่ด้วย
66
T76
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
จากการทดลอง พบว่า แบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจนในการเจริญมารวมกลุ่มกันบริเวณ ครูตั้งคําถามวา ในการทดลองของเองเกลมัน
ที่สาหร่ายได้รับแสงสีม่วง สีนํ้าเงิน สีส้ม และสีแดง เป็นจํานวนมาก แสดงว่าบริเวณนั้นมี ทําไมจึงตองใชแบคทีเรียที่ตองการออกซิเจนใน
แก๊สออกซิเจนมากกว่าบริเวณอื่น ซึ่งการทดลองนี้คล้ายกับคุณสมบัติในการดูดแสงสีต่าง ๆ ของ กระบวนการหายใจมาใชในการทดลอง และทําไม
สารสีเขียวในคลอโรพลาสต์ที่เรียกว่า คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) แบคทีเรียเหลานี้จึงเกาะกลุมเพียงบางบริเวณ ให
เองเกลมันสรุปว่า “คลอโรฟิลล์เป็นสารสีที่สําคัญที่ทําหน้าที่ดูดซับพลังงานแสงเพื่อให้เกิด นักเรียนสืบคนขอมูล และตอบคําถามลงในสมุด
การสังเคราะห์อาหารขึ้น” บันทึกของตนเอง
แสง
ปริซึม อธิบายความรู้
1. ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อนแลกเปลี่ยนคําตอบ
690 660 600 530 480 ของตนเอง และอภิปรายคําตอบรวมกัน
แบคทีเรียที่ใช้
ออกซิเจนในการเจริญ 2. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 คน อธิบายคําตอบ
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเพื่ อ ให ไ ด
นิวเคลียส สาหร่าย ขอสรุปวา ในการทดลองของเองเกลมันใช
สไปโรไจรา
คลอโรพลาสต์ แบคทีเรียที่ตองการออกซิเจนในการทดลอง
เพื่ อ ต อ งการตรวจสอบผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ไ ด จ าก
ภาพที่ 2.12 การทดลองของเองเกลมันแสดงให้เห็นว่า บริเวณทีม่ แี บคทีเรียมาเกาะกลุม่ กระบวนการสังเคราะหดวยแสง ซึ่งเกิดขึ้น
คือ บริเวณที่มีแก๊สออกซิเจนซึ่งได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงของสาหร่ายสไปโรไจรา บริเวณที่สาหรายไดรับแสงสีมวง นํ้าเงิน สม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1 และแดง
ในปี พ.ศ. 2473 แวน นีล (Van Niel) พบว่า แบคที แบคทีเรียบางชนิดสามารถสังเคราะห์ด้วยแสง
2
แต่ใช้ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) แทน และผลทีไ่ ด้จากการสังเคราะห์ดว้ ยแสงแทนทีจ่ ะ
ได้โดยไม่ใช้นาํ้ แต่
ได้แก๊สออกซิเจน (O2) แต่กลับได้ซัลเฟอร์ (S) ออกมาแทน แสดงว่าซัลเฟอร์เกิดจากการสลายตัว
ของไฮโดรเจนซัลไฟด์
แสง
คาร์โบไฮเดรต
แบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้
นํ้า
แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซัลเฟอร์
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน ทํา แวน นีลจึงเสนอสมมติฐานว่า การสังเคราะห์ด้วยแสงของแบคทีเรียน่าจะคล้ายกับ
ใบงาน เรื่อง การทดลองการสังเคราะหดวย การสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช นัน่ คือ ในการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช โมเลกุลของนํา้ จะถูกแยก
แสง สลายได้ออกซิเจนอิสระ
2. ใหนักเรียนนักเรียนจับกลุมเดิม จากนั้นให ในปี พ.ศ. 2484 สมมติฐานของแวน นีล ได้รับการสนับสนุนจากการทดลองของแซม
นักเรียนสืบคนจากแหลงการเรียนรูเพิ่มเติม รูเบน (Sam Ruben) และมาร์ติน คาเมน (Martin Kamen) ซึ่งทําการทดลองโดยใช้สาหร่าย
เกี่ยวกับปฏิกิริยารีดอกซซึ่งเกี่ยวของกับการ สีเขียวปริมาณเท่ากันใส่ลงในขวดแก้วสองใบ แล้วใส่นาํ้ และคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปในขวดทัง้ สอง
ทดลองของแวน นีล โรบิน ฮิลล และแดเนียล แสง
อารนอน
3. ครูเขียนคําศัพทบนกระดาน แลวใหนักเรียน C16O2 18O
2
เขี ย นความหมายของคํ า ศั พ ท บ นกระดาน
ลงในสมุดบันทึก ดังนี้ สาหร่าย
H218O
สาหร่าย
- Redox
- Oxidation ก.
- Reduction
แสง
C18O2 16O
2
ข.
ภาพที่2.14 การทดลองของแซม รูเบน และมาร์ติน คาเมน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
จากภาพ ก. ใส่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีออกซิเจนปกติ (C16O2) แต่ใส่นํ้าที่ประกอบด้วย
ออกซิเจนหนัก คือ H218O ส่วนภาพ ข. ใส่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีออกซิเจนหนัก คือ C18O2
แต่ใส่นํ้าที่มีออกซิเจนปกติ จากนั้นนําขวดแก้วทั้งสองไปตั้งไว้ในที่มีแสง เมื่อสาหร่ายได้รับแสง
จะให้ออกซิเจนออกมาทั้งสองขวด แต่เมื่อนําออกซิเจนที่เกิดขึ้นมาทดสอบ ปรากฏว่าออกซิเจน
จากภาพ ก. เท่านั้นที่เป็น 18O2 ส่วนภาพ ข. เป็นออกซิเจนปกติ
รูเบนและคาเมนจึงสรุปว่า “ออกซิเจนทีไ่ ด้จากกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงมาจากโมเลกุล
ของนํ้าเท่านั้น”
68
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ในปี พ.ศ. 2475 โรบิน ฮิลล์ (Robin Hill) ทําการทดลองโดยสกัดคลอโรพลาสต์ออก 1. Fe 3++ e - Fe 2+ เป น ปฏิ กิ ริ ย ารี ดั ก ชั น
มาจากใบผักโขม แล้วนํามาผสมกับนํ้า จากนั้นแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกเติม (Reduction) และเรียก Fe3+ วา ตัวออกซิไดส
เกลือเฟอริก (Fe3+) ส่วนอีกชุดไม่เติมเกลือเฟอริก แล้วฉายแสงให้แก่หลอดทดลองทั้งสองชุด 2. NADP++ H2O NADPH+H++ O2 เรียก
พบว่า ชุดที ่ 1 เกิดเกลือเฟอรัส (Fe2+) และมีแก๊สออกซิเจนเกิดขึน้ ส่วนชุดที ่ 2 ไม่พบแก๊สออกซิเจน NADP+ วา ตัวออกซิไดส และ H2O เปนตัว
รีดิวซ
แสง แสง 3. ครู ย กตั ว อย า งปฏิ กิ ริ ย าที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การ
ทดลองการสังเคราะหดวยแสง
อธิบายความรู้
นํ้า เกลือเฟอรัส (Fe2+) ไม่เกิดแก๊ส
คลอโรพลาสต์ที่สกัด และแก๊สออกซิเจน นํ้า ออกซิเจน 1. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงานหนา
จากผักโขม ชั้นเรียน
คลอโรพลาสต์ที่
เกลือเฟอริก (Fe3+)
สกัดจากผักโขม 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
ชุดที่ 1 ชุดที่ 2 ทําใบงาน
ภาพที่2.15 การทดลองของโรบิน ฮิลล์ ขยายความเข้าใจ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
จากการทดลอง พบว่า หลอดทดลองทีเ่ ติมเกลือเฟอริก (Fe3+) ลงไป เกลือเฟอริกจะเปลีย่ น ม.5 เลม 1
เป็นเกลือเฟอรัส (Fe2+) และมีแก๊สออกซิเจน (O2) เกิดขึน้ ส่วนหลอดทดลองทีไ่ ม่เติมเกลือเฟอริกจะ 2. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
ไม่มีออกซิเจนเกิดขึ้น
โดยทั่วไปเกลือเฟอริกจะเปลี่ยนเป็นเกลือเฟอรัสได้จะต้องได้รับไฮโดรเจน ดังนั้น ปฏิกิริยา
ที่เกิดขึ้นในการทดลองนี้ไฮโดรเจนที่แตกตัวมาจากโมเลกุลนํ้าจะมีเกลือเฟอริกมารับ แล้วได้แก๊ส
ออกซิเจนเป็นผลิตภัณฑ์ ดังนั้น เกลือเฟอริกจึงทําหน้าที่เป็นตัวรับไฮโดรเจน
การทดลองของฮิลล์สามารถสรุปได้ว่า “ไฮโดรเจนที่เกลือเฟอริกได้รับและออกซิเจนที่เกิด
ขึ้นมาจากการแตกตัวของนํ้า”
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการทดลองนี้มีการปล่อยแก๊สออกซิเจนเช่นเดียวกับพืช แต่ฮิลล์ใช้
เพียงคลอโรพลาสต์ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่พบในเซลล์พืช จากการทดลองนี้จึงนําไปสู่แนวคิด
ทีว่ า่ ปฏิกริ ยิ าการสังเคราะห์ดว้ ยแสงน่าจะมีอย่างน้อย 2 ขัน้ ตอนใหญ่ คือ ขัน้ ทีป่ ล่อยแก๊สออกซิเจน
กับขั้นที่เกี่ยวข้องกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เรียกปฏิกิริยานี้ว่า ปฏิกิริยาฮิลล์ (Hill’s reaction)
โดยต่อมาเรียกว่า โฟโตไลซิส (photolysis) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่นํ้าแตกตัวออกโดยแสงและได้
แก๊สออกซิเจนออกมา
การสังเคราะห์ 69
ด้วยแสง
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญและเสนอ ในปี พ.ศ. 2494 แดเนียล อาร์นอน (Daniel Arnon) และคณะแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่
ความคิดเห็นวา ผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร เบิรก์ ลีย ์ ได้ศกึ ษารายละเอียดและทดลองต่อจากการทดลองของฮิลล์ โดยใส่นาํ้ และคลอโรพลาสต์
1 2 ลง
ในอดีตที่เกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะหดวย +
ในหลอดทดลอง ก. จากนัน้ เติม NADP และ ADP + Pi แล้วให้แสง ปรากฏว่าเกิด NADPH+H และ +
+
และ
แสง มีสวนสนับสนุนขอเท็จจริงของกระบวนการ ATP และแก๊สออกซิเจนขึ้น ในขณะที่หลอดทดลอง ข. เติมเพียง ADP + Pi โดยไม่เติม NADP+
สังเคราะหดวยแสงในปจจุบันอยางไร แลวให แล้วให้แสง ปรากฏว่าไม่มีแก๊สออกซิเจนเกิดขึ้น แต่เกิด ATP เพียงอย่างเดียว
นั ก เรี ย นทํ า แผ น พั บ เรื่ อ ง การทดลองของนั ก แสง แสง
วิทยาศาสตรในอดีตที่เกี่ยวของกับกระบวนการ
สังเคราะหดวยแสง
นํ้า นํ้า
NADPH+H+ + ATP + O2 ATP
คลอโรพลาสต์ที่สกัด คลอโรพลาสต์ที่สกัด
จากผักโขม จากผักโขม
NADP+ + ADP + Pi ADP + Pi
ก. ข.
ภาพที่2.16 การทดลองของอาร์นอนเมื่อให้แสงแต่ไม่ให้ CO2 (ก.) เติม NADP (ข.) ไม่เติม NADP+
+
ที่มา : คลังภาพ อจท.
นํา้
นํ้าตาล + ADP + Pi + NADP+
คลอโรพลาสต์ที่สกัด
จากผักโขม
CO2 + ATP + NADPH+H+
ภาพที่2.17 การทดลองของอาร์นอนโดยไม่ให้แสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
70
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
การศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยาใน Biology 1. ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู
อดีตทําให้เราสามารถสรุปได้ว่า ในระบบนิเวศ พืชเป็นผู้ผลิตที่ in real life ที่ 2
ในปัจจุบันมีการนําพืชนํ้ามา 2. ตรวจแบบฝกหัดในหนังสือแบบฝกหัดชีววิทยา
สามารถผลิตอาหารเองได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ใช้บําบัดนํ้าเสียในชุมชน อาศัย
โดยมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และนํา้ เป็นวัตถุดบิ และผลผลิตที่ หลั ก การสั ง เคราะห์ ด ้ ว ยแสง ม.5 เลม 1
ได้ คือ นํา้ ตาล ซึง่ เก็บสะสมอยูใ่ นรูปของแป้งตามส่วนต่าง ๆ ของ ของพื ช มาช่ ว ยเพิ่ ม ปริ ม าณ 3. ตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question
พืช และแก๊สออกซิเจนปล่อยออกสูบ่ รรยากาศให้กบั สิง่ มีชวี ติ นํา ออกซิ เ จนให้ กั บ นํ้ า โดยการ 4. ตรวจใบงาน เรื่อง การทดลองการสังเคราะห
ปล่อยให้นาํ้ เสียขังในแปลงพืชนํา้
ไปใช้ในกระบวนการหายใจ นอกจากนีแ้ สงและสารคลอโรฟิลล์มี ที่ระดับความสูง 30 เซนติเมตร ดวยแสง
บทบาทสําคัญที่ทําให้พืชสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้อีกด้วย จากพื้นแปลง เป็นเวลาอย่าง 5. ประเมินชิ้นงาน เชน แผนพับ รายงาน ผังสรุป
น้อย 1 วัน โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช
Topic แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
Question 7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ
ค�าชี้แจง:ให้นักเรียนตอบคําถามต่อไปนี้ สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
1. จากการทดลองของฌอง แบบติสท์ ทําไมต้องปิดฝาถังตลอดเวลาและเปิดฝาเฉพาะเวลารดนํ้า 8. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ
2. การทดลองของนักวิทยาศาสตร์คนใดสามารถระบุได้ว่า แก๊สที่ทําให้เทียนไขดับส่งผลให้หนูตาย และ ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
แก๊สที่ทําให้หนูตายส่งผลให้เทียนไขดับ คือแก๊สชนิดเดียวกันหรือไม่ และเป็นแก๊สอะไร
3. สารอินทรียท์ สี่ ะสมในส่วนต่าง ๆ ของพืชมาจากไหน และเป็นสารชนิดใด สามารถตรวจสอบได้อย่างไร
4. จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายท่านสามารถสรุปได้หรือไม่ว่า แสงเป็นปัจจัยสําคัญต่อ
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
5. แก๊สออกซิเจนที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นมาจากสารตั้งต้นชนิดใด เพราะเหตุใด
6. จากการทดลองของเองเกลมันได้ข้อสรุปว่าอย่างไร
7. ในการทดลองของโรบิน ฮิลล์ เกลือเฟอริกเปลี่ยนไปเป็นเกลือเฟอรัสได้อย่างไร
8. จากการทดลองของแดเนียล สาร NADP+ ที่เติมลงไปมีผลต่อการสร้าง ATP และ O2หรือไม่ อย่างไร
9. ในการทดลองของแดเนียล อาร์นอน ถ้าเปลีย่ นสารตัง้ ต้นจากแก๊สคาร์บอนได้ออกไซด์เป็นแก๊สออกซิเจน
ผลการทดลองจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
10. จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ 71
ด้วยแสง
ออกซิเจนอะตอมของนํ้า ลาดับ
ที่
คะแนน
ชื่อ–สกุล
ของนักเรียน
การแสดง
ความคิดเห็น
การยอมรับฟัง
คนอื่น
การทางาน
ตามที่ได้รับ
มอบหมาย
ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมในการ
ปรับปรุง
รวม
15
7. ไดรับไฮโดรเจนอะตอมที่แตกตัวออกมาจากโมเลกุลของนํ้า
8. มีผลตอการสราง O2 แตไมมีผลตอการสังเคราะห ATP
9. เปลี่ยนแปลง คือ จะไมไดนํ้าตาลเปนผลิตภัณฑ
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................/.............../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่่ากว่า 8 ปรับปรุง
T81
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge กลไกการสั ง เคราะห ด ว ย 2. กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
2. ครูเปดสื่อวีดิทัศน https://www.youtube. แสงของพืชเปนอยางไร พืชต้องการแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และนํ้าเป็นวัตถุดิบ
com/watch?v=tzKEnpCJlcU ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยมีคลอโรพลาสต์เป็น
3. หลังจากดูวีดิทัศน ใหนักเรียนเขียนคําถาม ออร์แกเนลล์สําคัญพบในทุกเซลล์ของอวัยวะพืชที่มีสีเขียว
ที่ ต นเองสงสั ย 1 คํ า ถาม และลงชื่ อ ที่ มุ ม กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ ปฏิกิริยาแสง
กระดาษ แลวพับกระดาษใหเปนสลาก และ (light reaction) และการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (carbondioxide fixation)
รวบรวมสงมาใหครูเพื่อทํากิจกรรม ดังนี้
- ครู สุ ม หยิ บ สลากขึ้ น มา 1 คํ า ถาม แล ว 2.1 โครงสร้างของคลอโรพลาสต์
ใหเจาของคําถามออกมาเขียนคําถามบน คลอโรพลาสต์ส่วนใหญ่มีรูปร่างกลมรี มีความยาวประมาณ 5 ไมโครเมตร กว้าง 2
กระดาน ไมโครเมตร หนา 1-2 ไมโครเมตร พบมากในเซลล์ของใบ ซึ่งแต่ละเซลล์ของพืชจะมีจํานวน
- ครูสุมเรียกนักเรียนอีกหนึ่งคน ตอบคําถาม คลอโรพลาสต์แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์และชนิดของพืช
บนกระดาน
- ครูสมุ หยิบสลากคําถามตอไป แตใหเจาของ โครงสร้างของคลอโรพลาสต
คําถามคนกอนหนาเปนฝายตอบคําถาม 1 เยื่อหุ้มชั้นนอก (outer membrane) : มี
1
- ครูสมุ หยิบสลากตอไปอีกประมาณ 10 สลาก ลักษณะเรียบ ประกอบด้วยฟอสโฟลิพิด 2
4. ใหนักเรียนบันทึกคําถามลงในสมุดบันทึกและ และโปรตีน ทําหน้าที่ควบคุมการผ่านของ
สารในไซโทพลาซึมกับในคลอโรพลาสต์
คําตอบของเพื่อนลงในสมุดบันทึก
2 เยือ่ หุม้ ชัน้ ใน (inner membrane) : เยือ่ หุม้
ชั้นถัดเข้ามาจากเยื่อหุ้มชั้นนอก
3
3 ไทลาคอยด์ (thylakoid) : เนือ้ เยือ่ ส่วนทีพ่ บั 4
เหมือนเป็นถุงที่มีลักษณะแบนซ้อนทับกัน
5
เป็นชั้น ภายในมีช่องที่เรียกว่า ลูเมน
(lumen) ซึ่งมีของเหลวและรงควัตถุต่าง ๆ
บรรจุอยู่ 6
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ไทลาคอยด์ประกอบด้วยเยือ่ หุม้ 2 ชัน้ ซึง่ มีคลอโรฟิลล์และสารสีอนื่ ๆ ติดอยูบ่ นแผ่นไทลาคอยด์ 1. ใหนักเรียนศึกษาโครงสรางของคลอโรพลาสต
และกรานุมจํานวนมากซึ่งมีขนาดแตกต่างกัน โดยภายในกรานุมที่มีขนาดใหญ่จะมีกลุ่มของ ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1
สารสีระบบแสง I และสารสีระบบแสง II ซึ่งกรานุมจะทําหน้าที่รับพลังงานแสงทําให้อิเล็กตรอนมี 2. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4-5 คน ทําใบงาน
พลังงานสูงขึน้ ส่วนกรานุมทีม่ ขี นาดเล็กจะเป็นทีอ่ ยูข่ องเอนไซม์ตา่ ง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับกระบวนการ เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของคลอโรพลาสต
ถ่ายทอดอิเล็กตรอนในปฏิ 1 กิริยาใช้
2 แสง ส่วนในสโตรมาจะมีเอนไซม์ที่จําเป็นสําหรับการสังเคราะห์ ตอนที่ 1
ด้วยแสง รวมทั้งมี DNA RNA และไรโบโซม ทําให้คลอโรพลาสต์สามารถจําลองตัวเอง และผลิต
โปรตีนที่เป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ อธิบายความรู้
1. ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนกลุมออกมา
2.2 สารสี ใ นปฏิกิริยาแสง
นําเสนอใบงาน ตอนที่ 1
จากการทดลองสกัดคลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยด์จากใบของพืชชนิดหนึง่ แล้วผ่านแสงแต่ละ
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
สีเข้าไปในสารละลายของคลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยด์ จากนั้นวัดปริมาณแสงที่คลอโรฟิลล์และ
ใบงาน โดยใชคําถาม ดังนี้
แคโรทีนอยด์ดูดกลืนไว้แล้วนํามาเขียนกราฟได้ ดังภาพ
ï• คลอโรพลาสตมีเยื่อหุมกี่ชั้น
80 (แนวตอบ มี 2 ชั้น คือ เยื่อหุมชั้นในและเยื่อ
คลอโรฟิลล์เอ หุมชั้นนอก)
การดูดกลืนแสง (%)
T83
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนศึกษากราฟการดูดกลืนแสงของ จากการศึกษาอัตราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืชในช่วงความยาวคลืน่ ทีแ่ ตกต่างกัน พบว่า
ใบพืชตัวอยาง ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นมากในช่วงที่สารสีต่าง ๆ ดูดกลืนแสงได้มาก แสดงให้เห็นว่า
เลม 1 ความสามารถในการดูดกลืนแสงของสารสีต่าง ๆ มีผลโดยตรงต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
2. ครูเขียนคําถามบนกระดาน แลวใหนักเรียน ของพืช ดังภาพ
สืบคนขอมูลและตอบคําถามลงในสมุดบันทึก
ï• สารสีที่สกัดไดจากใบพืช ไดแกอะไรบาง
( แนวตอบ คลอโรฟ ล ล เ อ คลอโรฟ ล ล บี
อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
แคโรทีนอยด)
ï• อัตราการสังเคราะหดวยแสงเกิดขึ้นในชวง
ความยาวคลื่นเทาใด
(แนวตอบ ประมาณชวง 400-500 และชวง
600-700 นาโนเมตร)
400 500 600 700
ï• พื ช แต ล ะชนิ ด มี ส ารสี ที่ เ หมื อ นกั น หรื อ ไม
ความยาวคลื่น (nm)
เพราะเหตุใด
(แนวตอบ ไมเหมือนกัน สังเกตไดจากเรามอง ภาพที่2.20 กราฟแสดงอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ
เห็นพืชมีสีที่แตกตางกัน) ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. ให นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ กลุ ม สารสี
ที่เกี่ยวของกับปฏิกิริยาแสงทั้งในพืชและสิ่งมี จากกราฟจะเห็นว่า ในช่วงความยาวคลื่น 500 - 600 นาโนเมตร ซึ่งสารสีทั้ง 3 ชนิดไม่มี
ชีวติ อืน่ จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 การดูดกลืนแสงนั้น แต่ยังพบอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นอกจากสารสีทั้ง
3 ชนิดแล้ว ในพืชอาจมีสารสีชนิดอื่นที่สามารถดูดกลืนแสงและเกิดการสังเคราะห์ด้วยแสงได้
B iology
Focus แอนโทไซยานิน
แอนโทไซยานินเป็นรงควัตถุ หรือสารสีในกลุม่ ฟลาโวนอยด์ มักพบในพืชทัง้ ในดอกและในผล
ให้สีแดง สีนํ้าเงินม่วง ละลายนํ้าได้ดี แอนโทไซยานินจะดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่น 490-550
นาโนเมตร แอนโทไซยานินมีบทบาทต่อการป้องการเกิดโรคเรือ้ รังต่าง ๆ เช่น โรคเกีย่ วกับหลอดเลือด
หัวใจ (cardiovascular disease) โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน
74
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับสาร
สิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้มีทั้งสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอต เช่น พืชและสาหร่าย
ต่าง ๆ จะพบสารสีอยู่ในคลอโรพลาสต์ และสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอต จะพบสารสีต่าง ๆ อยู่ใน สีในสิ่งมีชีวิตตางๆ จากตารางที่ 2.1 เพื่อใหได
เยื่อหุ้มเซลล์หรือองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงมาจากเยื่อหุ้มเซลล์ ขอสรุปวา สิ่งมีชีวิตประเภทยูคาริโอตและโพร-
คาริโอตบางชนิดลวนมีแคโรทีนอยดเปนองค-
ตารางที่ 2.1 : สารสีที่พบในสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ประกอบ สวนคลอโรฟลลดี และไฟโคบิลินจะพบ
คลอโรฟิลล์ แบคเทอริโอคลอโรฟิลล์ ในสาหรายสีแดงและไซยาโนแบคทีเรีย ทําให
ชนิดของสิ่งมีชีวิต แคโรทีนอยด์ ไฟโคบิลิน
เอ บี ซี ดี เอ บี ซี ดี จําแนกสาหรายสีแดงและไซยาโนแบคทีเรียออก
ยูคาริโอต จากสิ่งมีชีวตอื่นได
มอส + + - - + - - - - -
เฟิร์น + + - - + - - - - -
พืชดอก + + - - + - - - - -
สาหร่ายสีเขียว + + - - + - - - - -
ไดอะตอม + - + - + - - - - -
สาหร่ายสีนํ้าตาล + - + - + - - - - -
สาหร่ายสีแดง + - - + + + - - - -
โพรคาริโอต
ไซยาโนแบคทีเรีย + - - + + + - - - -
โปรคลอโรไฟต์ + + - - + - - - - -
แบคทีเรียสีเขียว - - - - + - + - +/- +/-
(เครื่องหมาย + หมายถึง มี และ - หมายถึง ไม่มี)
การสังเคราะห์ 75
ด้วยแสง
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให นั ก เรี ย นเลื อ กสารสี ที่ ต นเองสนใจ ตาม ในสิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถพบสารสีมากกว่า 1 ชนิด และปริมาณของสารสีแต่ละชนิด
คําตอบของตัวแทนนักเรียน ดังนี้ จะแตกต่างกัน ดังนั้นการที่สิ่งมีชีวิตมีสีแตกต่างกันนั้น จึงน่าจะเกี่ยวข้องกับปริมาณของสารสี
- กลุมที่ 1 คลอโรฟลล ที่แตกต่างกัน
- กลุมที่ 2 แคโรทีนอยด
- กลุมที่ 3 ไฟโคบิลิน
- กลุมที่ 4 แบคเทอริโอคลอโรฟลล
2. ใหทงั้ 4 กลุม ตัง้ คําถามอยางนอย 5 คําถาม
- กลุมที่ 1 ตั้งคําถามเกี่ยวกับสารสีแคโรที-
นอยด แลวใหกลุม ที่ 2 รวมกันระดมความคิด
อธิบายคําตอบ โกสน
- กลุมที่ 2 ตัง้ คําถามเกีย่ วกับสารสีไฟโคบิลนิ
ภาพที่2.21 พืชที่มีสารสีที่แตกต่างกันทําให้พืชมีสีที่แตกต่างกัน
แล ว ให ก ลุ ม ที่ 3 ร ว มกั น ระดมความคิ ด ที่มา : คลังภาพ อจท.
อธิบายคําตอบ 1.คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นสารสีเขียว พบในพืช สาหร่าย และไซยาโนแบคทีเรีย
- กลุมที่ 3 ตัง้ คําถามเกีย่ วกับสารสีแบคเทอริ- เป็นสารสีสําคัญที่ทําให้พืชสามารถนําพลังงานจากแสงมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้
โอคลอโรฟลล แลวใหกลุม ที่ 4 รวมกันระดม และดูดกลืนคลื่นแสงสีนํ้าเงินและแสงสีแดงได้ดี ซึ่งคลอโรฟิลล์มี 4 ชนิด ดังนี้
ความคิด อธิบายคําตอบ 1) คลอโรฟิลล์เอ(chlorophyll a) มีสีเขียวแกมนํ้าเงิน พบในพืชและสาหร่ายทุกชนิด
- กลุมที่ 4 ตั้งคําถามเกี่ยวกับสารสีคลอโร- ดูดกลืนคลื่นแสงได้ดีในช่วงความยาวคลื่น 450 และ 680 นาโนเมตร นั่นคือ ดูดกลืนแสงสีม่วง
ฟลล แลวใหกลุม ที่ 1 รวมกันระดมความคิด และสีนํ้าเงินได้ดีที่สุด รองลงมา คือ แสงสีแดง และดูดกลืนแสงสีเขียวได้น้อยที่สุด
อธิบายคําตอบ 2) คลอโรฟิลล์บี (chlorophyll b)
มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืช สาหร่ายทุก
ชนิด และยูกลีนา ดูดกลืนคลื่นแสงได้ดีในช่วง
ความยาวคลืน่ 460 และ 647 นาโนเมตร นัน่ คือ
ดูดกลืนแสงสีนํ้าเงินได้ดีที่สุด รองลงมา คือ
แสงสีสม้ และดูดกลืนแสงสีเขียวได้นอ้ ยทีส่ ดุ โดย
มักพบคลอโรฟิลล์บรี วมอยูก่ บั คลอโรฟิลล์เอ
1 3) คลอโรฟิลล์ซี (chlorophyll c)
ภาพที่ 2.22 คลอโรฟิลล์ซี พบในสาหร่ายเคลป์ ซึ่งเป็น
สาหร่ายสีนํ้าตาล มีสีเขียว พบในสาหร่ายสีนํ้าตาล ไดอะตอม
ที่มา : คลังภาพ อจท. และไดโนแฟลเจลเลต
4) คลอโรฟิลล์ดี(chlorophyll d) มีสีเขียว พบในสาหร่ายสีแดงและแบคทีเรียสีเขียว
76
T86
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2.แคโรทีนอยด์ (carotenoid) เป็นสารประกอบจําพวกไขมัน 3. ครูเฉลยคําตอบทีถ่ กู ตอง แลวใหแตละกลุม นับ
พบได้ ใ นสิ่ ง มี ชี วิ ต ทุ ก ชนิ ด ที่ สั ง เคราะห์ ด ้ ว ยแสงได้ เช่ น พื ช คะแนนของตนเอง
สาหร่าย แบคทีเรียที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ แคโรทีนอยด์พบอยู่ 4. เรียงลําดับคะแนนจากมากที่สุดไปนอยสุด
ในคลอโรพลาสต์ตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ดอกไม้ ผลไม้สกุ เพื่อจัดทําผังมโนทัศน แผนพับ รายงาน และ
หรือใบไม้ที่แก่ ซึ่งแคโรทีนอยด์ประกอบด้วยสารสี 2 ชนิด ปายนิเทศ ตามลําดับคะแนนจากมากที่สุดไป
ดังนี้ นอยที่สุด แลวสงตัวแทนออกมานําเสนอหนา
1) แคโรทีน (carotene) เป็นสารสีแดงหรือสีส้ม ชั้นเรียน
พบได้ในพืชและสาหร่ายทุกชนิด ซึง่ แคโรทีนสามารถ 5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับสารสี
ถูกสังเคราะห์ต่อไปเป็นวิตามินเอในร่างกายของ ไดแก คลอโรฟลล แคโรทีนอยด ไฟโคบิลิน
สัตว์ได้ และแบคเทอริโอคลอโรฟลล
2) แซนโทฟิลล์ (xanthophyll) เป็นสาร
ภาพที่ 2.23 แคโรทีนพบมากในผักผลไม้ที่มีสีแดง
สีเหลืองหรือสีนํ้าตาล พบในพืชและสาหร่าย ส้ม เหลือง และเขียว
ทุกชนิด ที่มา : คลังภาพ อจท.
3.ไฟโคบิลนิ (phycobilin) เป็นสารสีทมี่ อี ยูเ่ ฉพาะในสาหร่ายสีแดงและไซยาโนแบคทีเรีย
ซึ่งประกอบด้วยสารสี 2 ชนิด ดังนี้
1) ไฟโคอีรที ริน(phycoerythrin) เป็นสารสีแดงแกมนํา้ ตาล พบในสาหร่ายสีแดง สามารถ
ดูดกลืนแสงสีเขียวที่มีความยาวคลื่น 495 และ 565 นาโนเมตร ได้มากที่สุด
2) ไฟโคไซยานิน (phycocyanin) เป็นสารสีเขียวแกมนํ้าเงิน พบในสาหร่ายสีเขียว
แกมนํ้าเงิน สามารถดูดกลืนแสงสีเขียวและสีแดงที่มีความยาวคลื่น 550 และ 615 นาโนเมตร
ได้มากที่สุด
4.แบคเทอริโอคลอโรฟิลล์ (bacteriochlorophyll) เป็นสารสีเขียวคล้ายคลอโรฟิลล์เอ
แต่เนื่องจากมีสารสีพวกแคโรทีนอยด์หุ้มอยู่ภายนอก จึงเห็นเป็นสีแดง สีม่วง หรือสีเหลือง
พบในแบคทีเรียชนิดเพอเพิลซัลเฟอร์แบคทีเรีย (purple sulfur bacteria) และเพอเพิล-นอนซัลเฟอร์
แบคทีเรีย (purple non-sulfur bacteria) สําหรับแบคทีเรียสีเขียว (green bacteria) มีสารสีทเี่ รียกว่า
แบคทีริโอไวริดิน (bacterio-viridin) ซึ่งเป็นสารสีที่มีโครงสร้างเหมือนกับแบคทีริโอคลอโรฟิลล์
แต่ไม่มีแคโรทีนอยด์หุ้ม จึงเห็นเป็นสีเขียว
กลุ่มของสารสีเหล่านี้จะฝังตัวอยู่บนเยื่อไทลาคอยด์ในคลอโรพลาสต์ ซึ่งทําหน้าที่
รับพลังงานแสงแล้วส่งต่อไปตามลําดับจนถึงคลอโรฟิลล์เอโมเลกุลพิเศษทีเ่ ป็นศูนย์กลางปฏิกริ ยิ า
(reaction center) ของระบบแสง ซึ่งกลุ่มสารสีที่ทําหน้าที่รับและส่งพลังงานแสงเหล่านี้ เรียกว่า
1
แอนเทนนา (antenna)
การสังเคราะห์ 77
ด้วยแสง
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนักเรียนจับกลุม 5-6 คน ทํากิจกรรม ความ • การสังเกต
สามารถในการดู ด กลื น แสงของสารสี ช นิ ด ความสามารถในการดูดกลืนแสงของสารสีชนิดต่าง ๆ • การทดลอง
• การจัดกระทําและสื่อ
ตางๆ จิตวิทยาศาสตร์
2. ใหสมาชิกภายในกลุม แบงภาระหนาทีร่ บั ผิดชอบ จุดประสงค์ • ความสนใจใฝ่รู้
• ความรับผิดชอบ
โดยสมาชิกในกลุมมีบทบาทและหนาที่ของ 1. สกัดสารสีจากใบไม้ได้ • ความรอบคอบ
วิธปี ฏิบตั ิ
1. สกัดสารสีจากพืช โดยมีขนั้ ตอน ดังนี้
1.1 นําใบไม้หรือพืชผักต่าง ๆ มาล้างนํ้าให้สะอาด แล้วตัดเป็นชิ้น Safety first
เล็ก ๆ นําไปบดให้ละเอียด สารละลายเฮกเซนและไอระเหย
1.2 นําใบไม้ที่บดละเอียดแล้วมาชั่งให้ได้ประมาณ 20 กรัม ใส่ใน มีความไวไฟสูง ต้องหลีกเลี่ยง
ขวดรูปชมพู่ ความร้อนและประกายไฟขณะ
1.3 เติมแอลกอฮอล์ 95% จํานวน 50 ml และปิโตรเลียมอีเทอร์ ใช้งาน
(หรือเฮกเซน) 35 ml คนให้เข้ากัน
1.4 ปิดฝา แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เขย่าขวดเป็นครั้งคราว
1.5 กรองสารละลายที่สกัดได้ด้วยกระดาษกรอง ใส่ในขวดแก้ว
รูปชมพู่ ควรปิดฝาขวดเพื่อป้องกันการระเหย
1.6 ตั้งทิ้งไว้ สารละลายจะแยกออกเป็น 2 ชั้น รินสารละลายแต่ละ
ชั้นใส่หลอดทดลอง แล้วนําไปส่องดูการดูดกลืนแสง
78
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
แอลก
อฮอล
ปโิ ตร
เลยี ม
3. ในระหวางการทํากิจกรรมใหสมาชิกภายใน
ใบไม้บดละเอียด อเี ทอ
ใบไม้ ์ ร์ กลุมตั้งคําถามเกี่ยวกับขั้นตอนการทดลองที่
ตนเองสงสัย เชน เพราะเหตุใดจึงตองเติม
แอลกอฮอล แ ละป โ ตรเลี ย มอี เ ทอร แล ว ให
สมาชิกรวมกันสืบคนจากแหลงขอมูลเพือ่ ตอบ
คําถาม
4. หลังจากทํากิจกรรมแลว ใหนักเรียนศึกษา
โครงสรางของเยื่อหุมไทลาคอยดในหนังสือ
กระดาษกรอง เรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1
ภาพที่2.24 กิจกรรมความสามารถในการดูดกลืนแสงของสารสีชนิดต่าง ๆ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
2. จัดชุดอุปกรณ์
1 การดูดกลืนแสง ดังภาพที่ 2.25 เปิดสวิตช์ไฟให้แสงส่องผ่านไปที่แผ่นเกรตติง แสงที่กระทบ
แผ่นเกรตติงนี้จะทําให้เกิดแถบสีรุ้งหรือสเปกตรัมออกมา ซึ่งจะปรากฏอยู่บนฉากรับแสง
2
ฉากรับแสง เกรตติง เลนส์รวมแสง ช่องแสงผ่าน
โคมไฟ
หม้อแปลงไฟฟ้า
ภาพที่2.25 การจัดชุดอุปกรณ์การดูดกลืนแสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
3. นําหลอดทดลองที่ใส่สารละลายที่สกัดได้ในแต่ละชั้นไปส่องดูการดูดกลืนแสง โดยการนําหลอดทดลอง
วางไว้ที่ด้านหน้าของแหล่งกําเนิดแสง จากนั้นมองดูแถบสี เปรียบเทียบกับการมองแถบสีในครั้งแรก
จะสังเกตเห็นว่า แถบสีบางแถบหายไปหรือความกว้างของแถบสีแคบลง แถบสีที่หายไปหรือแคบลงนั้น
เป็นแถบสีที่ถูกสารสีดูดกลืนไว้
การสังเคราะห์ 79
ด้วยแสง
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ให ตั ว แทนของแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ ค�าถามท้ายกิจกรรม
?
ผลจากการทํากิจกรรม และอธิบายขอสงสัย
1. เพราะเหตุใดจึงต้องสกัดสารสีจากใบไม้และผักต่าง ๆ ออกมาก่อนที่จะนําไปทดสอบการดูดกลืนแสง
ที่สมาชิกภายในกลุมตั้งคําถาม และนําเสนอ
2. ใบไม้และผักต่าง ๆ มีสารสีเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ผลจากการสืบคนคําตอบ
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม อภิปรายผลกิจกรรม
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
ทํากิจกรรม จากกิจกรรม พบว่า สารละลายแยกออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นบนจะเป็นชั้นของปิโตรเลียมอีเทอร์ซึ่งมีสารสี
4. ใหนักเรียนศึกษา เรื่อง โครงสรางสารคลอโร- เขียวละลายอยู ่ ส่วนชัน้ ล่างเป็นชัน้ ของเอทานอลซึง่ มีสารสีอนื่ ละลายอยู ่ เมือ่ นําสารสีทสี่ กัดได้ไปทดสอบความ
ฟลล ในกรอบ Biology Focus เพือ่ ใหนกั เรียน สามารถในการดูดกลืนแสง จะพบว่าสารสีแต่ละชนิดดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลืน่ ต่างกัน โดยหากแสงสีใด
หายไป หรือความกว้างของแถบลดลง แสดงว่าสารสีดูดกลืนแสงที่ช่วงความยาวคลื่นนั้นไว้ เช่น สารสีเขียว
เขาใจถึงหลักการการสกัดสารสีคลอโรฟลล
สามารถดูดกลืนแสงสีนํ้าเงิน (ความยาวคลื่นประมาณ 450-500 nm) และแสงสีแดง (ความยาวคลื่นประมาณ
มากขึ้น
700-750 nm)
B iology
Focus โครงสร้างคลอโรฟลล
คลอโรฟิลล์ทพี่ บในธรรมชาติมอี ยูด่ ว้ ยกันหลายชนิด ซึง่ แต่ละชนิดจะมีโครงสร้างหลักทีเ่ หมือนกัน
คือ ประกอบด้วยวงแหวนไพรอล (pyrrole ring) จํานวน 4 วง และ โซ่ข้าง (side chain)
โซ่ข้าง ถ้าโซ่ข้างเป็นหมู่เมทิล (-CH3) จะเป็น
โมเลกุลของคลอโรฟิลล์เอ
ถ้าโซ่ข้างเป็นหมู่แอลดีไฮด์ (-CHO) จะ
เป็นโมเลกุลของคลอโรฟิลล์บี
ภาพที่2.26 โครงสร้างคลอโรฟิลล์
ที่มา : de.gowikipedia.org
จากโครงสร้างคลอโรฟิลล์ที่มีโซ่ข้างต่างกัน ส่งผลให้คลอโรฟิลล์ต่างมีสมบัติที่แตกต่างกัน โดย
คลอโรฟิลล์บมี ขี วั้ มากกว่าคลอโรฟิลล์เอเล็กน้อย และคลอโรฟิลล์เอละลายในตัวทําละลายอินทรียแ์ ต่ไม่
ละลายในนํ้า
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. เพื่อใหสารสีอยูในสภาพสารละลาย
80
2. มีสารสีเหมือนกัน แตแตกตางกันทีป่ ริมาณ ซึง่
มีมากหรือนอยขึ้นอยูกับพืชแตละชนิด
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2.3 โครงสรางของเยื่อหุมไทลาคอยด 5. ครูถามคําถามทบทวนความรู เรือ่ ง โครงสราง
เยื่อหุมไทลาคอยดเปนสวนที่ก้ันระหวางสโตรมาที่อยูภายนอกไทลาคอยดกับลูเมนที่อยู ของเยือ่ หุม ไทลาคอยดกอ นเริม่ เขาสูห วั ขอถัดไป
ภายในไทลาคอยด ซึ่งการจัดเรียงตัวบนเยื่อหุมไทลาคอยด คือ ระบบแสง II (photosystem; PSII) ดังนี้
ระบบไซโทโครม (cytochrome system) และระบบแสง I (photosystem; PSI) ï• เยือ่ หุม ไทลาคอยดเปนสวนทีก่ นั ระหวางสวน
ประกอบใดของคลอโรพลาสต
โครงสร้างของเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (แนวตอบ สโตรมากับลูเมน)
1 2 3
ï• กลุม โปรตีนทีจ่ ดั เรียงอยูบ นเยือ่ หุม ไทลาคอยด
ไดแกอะไรบาง
P680 P700 (แนวตอบ ระบบแสง I ระบบแสง II และ
ไซโทโครมคอมเพล็กซ)
ï• ระบบแสง I รับพลังงานแสงขัน้ ตํา่ ทีส่ ดุ เทาใด
ระบบแสง II ไซโทโครมคอมเพล็กซ ระบบแสง I ATP synthase (แนวตอบ 700 นาโนเมตร)
ï• ระบบแสง II รับพลังงานแสงขั้นตํ่าที่สุด
ภาพที่ 2.27 โครงสรางของเยื่อหุมไทลาคอยด
ที่มา : คลังภาพ อจท. เทาใด
1 ระบบแสง II : มีคลอโรฟลลเอเปนศูนยกลาง 2 ไซโทโครมคอมเพล็กซ : ทําหนาที่สงผาน (แนวตอบ 680 นาโนเมตร)
ปฏิ กิ ริ ย า รั บ พลั ง งานแสงขั้ น ตํ่ า ที่ สุ ด ที่ อิ เ ล็ ก ตรอน ซึ่ ง พลั ง งานจากการเคลื่ อ นที่ ï• ไซโทโครมคอมเพล็กซ ทําหนาที่อะไร
ความยาวคลื่น 680 นาโนเมตร เรียกศูนยกลาง ของอิเล็กตรอนจะทําใหโปรตอนเคลื่อนที่จาก (แนวตอบ สงผานอิเล็กตรอน)
ปฏิกิริยาแสง II นี้วา P680 ซึ่งทําหนาที่รับ ภายนอกไทลาคอยดหรือสโตรมาเขามาภายใน
พลั ง งานแสงจากศู น ย เ กิ ด ปฏิ กิ ริ ย าและส ง ไทลาคอยด หรือลูเมน ขยายความเข้าใจ
อิเล็กตรอนไปสูไ ซโทโครมตาง ๆ และระบบแสง I
1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
3 ระบบแสง I : เปนระบบแสงที่มีคลอโรฟลลเอเปนศูนยกลางปฏิกิริยา รับพลังงานแสงขั้นตํ่าที่สุดที่
ความยาวคลื่น 700 นาโนเมตร เรียกศูนยกลางปฏิกิริยาแสง I นี้วา P700 ซึ่งระบบแสง I ถูกกระตุนโดย ม.5 เลม 1
อิเล็กตรอนทีถ่ กู สงผานมาจากระบบไซโทโครมและสงตอไปเพือ่ ทําให NADP+ เปลีย่ นเปน NADPH+H+ 2. ใหนักเรียนตอบคําถาม H.O.T.S. ในหนังสือ
เรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 หนา 82
2.4 ปฏิกิริยาแสง
ปฏิกิริยาแสง (light reaction) เปนปฏิกิริยาที่เปลี่ยนพลังงานแสงใหเปนพลังงานเคมี โดย
แสงจะออกซิไดซโมเลกุลสารนี้ที่ไทลาคอยดของคลอโรพลาสต ทําใหเกิดการถายทอดอิเล็กตรอน
ไดผลิตภัณฑเปน ATP กับ NADPH+H+ ซึง่ พืชนําสารทัง้ สองไปใชได ปฏิกริ ยิ าจะเกิดขึน้ ทีเ่ ยือ่ หุม
ไทลาคอยด โดยแอนเทนนาซึ่งประกอบดวยสารสีตาง ๆ ประมาณ 350 โมเลกุล จะถายทอด
พลังงานแสงทีส่ ารสีดดู กลืนไวไปยังคลอโรฟลลเอชนิดพิเศษทีเ่ ปนศูนยกลางปฏิกริ ยิ าทีฝ่ ง ตัวอยูใ น
กลุมของโปรตีน ซึ่งทําหนาที่เปนตัวรับและถายทอดอิเล็กตรอนตอ ๆ ไปตามลําดับ โดยเรียกกลุม
ของโปรตีน สารสี และตัวรับอิเล็กตรอนนี้วา ระบบแสง (photosystem; PS) การสังเคราะห์ 81
ด้วยแสง
T91
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายโครงสรางและ แสง
แสง สโตรมา แสง
หนาทีข่ องคลอโรพลาสต และใหนกั เรียนทําใบงาน
เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของคลอโรพลาสต ใน
พลังงานลดลง
ตอนที่ 2 แอนเทนนา
แนวตอบ H.O.T.S.
ชวยในการดูดกลืนแสงทําใหเกิดการถายทอด
อิ เ ล็ ก ตรอนเป น ลํ า ดั บ ซึ่ ง การเคลื่ อ นที่ ข อง สถานะพื้น สถานะถูกกระตุ้น สถานะพื้น
อิเล็กตรอนกอใหเกิดพลังงานเคมี หากไมมีสารสี ภาพที่2.30 การเปลี่ยนแปลงระดับของอิเล็กตรอนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน
พืชจะไมสามารถดูดกลืนแสงและผลิตพลังงานเคมี ที่มา :คลังภาพ อจท.
82
เพือ่ ใชในกระบวนการสังเคราะหดว ยแสง หรือผลิต
อาหารได
T92
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
ADP + P
ส ง ต อ อิ เ ล็ ก ตรอนของโมเลกุ ล สารสี ไ ปยั ง
ของ H+ ตํ่า)
P680 P700
- ใหกลุมที่ 4 ตอบคําถาม : หากไมมีสารสี
จะสงผลตอกระบวนการสังเคราะหดว ยแสง
อยางไร
ลูเมน (ความเข้มข้น
H2 O
ของ H+ สูง)
1 O2 + 2 H+ H+ H+ H+ H+ H+ H+
2
การถ่ายทอด
H+ H+ H+ H+ H+ ขัน้ สอน
ระบบแสง II อิเล็กตรอน ระบบแสง I H+ H+ ATP synthase สํารวจค้นหา
ภาพที่2.31 การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักรบนเยื่อไทลาคอยด์ 1. ใหนกั เรียนศึกษาขอมูลเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
B iology ระดับของอิเล็กตรอนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
Focus สารประกอบโปรตีนเชิงซ้อนที่ทําหน้าที่รับส่งอิเล็กตรอน พลังงาน
นอกจากระบบแสง I ระบบแสง II และระบบไซโทโครมแล้ว ยังมีสารประกอบโปรตีนเชิงซ้อน 2. ครูแจกใบงาน เรื่อง ปฏิกิริยาแสง ใหนักเรียน
ที่ทําหน้าที่รับส่งอิเล็กตรอน เช่น พลาสโทควิโนน (plastoquinone : Pq) เป็นโปรตีนที่ฝังอยู่ในเยื่อ แตละกลุมลงมือทําใบงาน โดยใหแตละกลุม
ไทลาคอยด์ ทําหน้าทีร่ บั และส่งอิเล็กตรอนในระยะสัน้ พลาสโทไซยานิน (plastocyanin : Pc) เป็นโปรตีน ศึกษาหัวขอ ดังนี้
ทีม่ ธี าตุทองแดงเป็นองค์ประกอบ ฝังอยูท่ เี่ ยือ่ ด้านในของไทลาคอยด์ สามารถเคลือ่ นทีไ่ ด้เล็กน้อย และ - ใหกลุม ที่ 1 และ 2 ศึกษา เรือ่ ง การถายทอด
เฟอริดอกซิน (ferredoxin : Fd) เป็นโปรตีนที่มีธาตุเหล็กและกํามะถันเป็นองค์ประกอบ ฝังอยู่ในเยื่อ
ไทลาคอยด์ ทําหน้าที่รับและส่งอิเล็กตรอนไปยัง NADP+ ซึ่งอยู่ในสโตรมา อิเล็กตรอนแบบไมเปนวัฏจักร
- ใหกลุม ที่ 3 และ 4 ศึกษา เรือ่ ง การถายทอด
การสังเคราะห์ 83 อิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักร
ด้วยแสง
3. ครู ว าดภาพโปรตี น ที่ เ รี ย งตั ว อยู บ นเยื่ อ หุ ม
ไทลาคอยดบนกระดาน
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดคือลําดับการถายทอดอิเล็กตรอนแบบไมเปนวัฏจักรในกระบวนการสังเคราะหดวยแสง
1. ตัวนําอิเล็กตรอน P680 P700 NADPH+H+ H2O
2. H2O P680 ตัวนําอิเล็กตรอน P700 NADPH+H+
3. H2O P700 ตัวนําอิเล็กตรอน P680 NADPH+H+
4. H2O ตัวนําอิเล็กตรอน P680 P700 NADPH+H+
5. H2O P680 P700 ตัวนําอิเล็กตรอน NADPH+H+
(วิเคราะหคําตอบ เมื่อรงควัตถุระบบแสงที่ 1 และรงควัตถุระบบแสงที่ 2 ถูกกระตุนดวยแสงพรอม
กัน อิเล็กตรอนของรงควัตถุระบบแสงที่ 1 จะถูกสงตอไปเปนทอดๆ ทําใหรงควัตถุระบบแสงที่ 1 ขาด
อิเล็กตรอน โมเลกุลของนํ้าจึงแตกตัวเพื่อใหอิเล็กตรอนและถูกสงไปยังรงควัตถุระบบแสงที่ 2 และสง
ตอไปยังพลาสโทควิโนน ไซโทโครมคอมเพล็กซ พลาสโทไซยานิน รงควัตถุระบบแสงที่ 1 และเฟอริ-
ดอกซิน ตามลําดับ จากนั้น NADP+ จะมารับอิเล็กตรอนเปนตัวสุดทายได NADPH+H+ ดังนั้น ตอบ
ขอ 2.)
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมตัวแทนนักเรียน 6 คน ตอบคําถาม การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เปนวัฏจักร
ชื่อโปรตีนหมายเลข 1-6 ซึ่งจัดเรียงตัวอยูบน
เยื่อหุมไทลาคอยด
ตั ว รั บ อิ เ ล็ ก ตรอน
2. หลังจากตอบคําถามบนกระดาน ครูใหตวั แทน ตัวรับอิเล็กตรอน ลําดับแรก
การ Fd 6
กลุมออกมานําเสนอใบงาน ลําดับแรก ถ่าย 2e- NADP+
Pq ทอด 3 +
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ 1 2e- อิเล NADP รีดักเทส 2H+
ไซโทโครม ็กตรอน 2e- NADPH
ทํากิจกรรมและการทําใบงานภายในหองเรียน
ระดับพลังงาน
คอมเพล็กซ์ +
5 H+
4. ครู สุ ม เรี ย กนั ก เรี ย น 3-4 คน ออกมาสรุ ป 2H+
2 H2O Pc
+ 2e- แสง
ขั้นตอนการถายทอดอิเล็กตรอนแบบไมเปน 1 O
2 2
4
P700
วัฏจักร แสง P680
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
โมเลกุลของนํ้าที่เกิดการแตกตัวจะเกิดขึ้นภายในลูเมนของไทลาคอยด์ ทําให้ภายใน 7. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม จากนั้น
ลู เ มนมี โ ปรตอนจํ า นวนมาก นอกจากนี้ ข ณะที่ อิ เ ล็ ก ตรอนถู ก ส่ ง ผ่ า นพลาสโทควิ โ นนและ ให นั ก เรี ย นแต ล ะที ม ร ว มกั น แข ง ขั น ตอบ
ไซโทโครมคอมเพล็กซ์จะเกิดการเคลือ่ นทีข่ องโปรตอนจากสโตรมาเข้าสูล่ เู มน ทําให้โปรตอนภายใน คําถาม ซึ่งครูจะอานคําถามเพียงครั้งเดียว
ลูเมนมีความเข้มข้นสูงกว่าในสโตรมามาก จึงจําเป็นต้องส่งโปรตอนออกจากลูเมน มี 8 ขอ ตัวอยางคําถาม มีดังนี้
การส่งโปรตอนจากลูเมนออกไปยังสโตรมาจะทําให้เกิดการสังเคราะห์ ATP ขึ้นภายใน - โฟโตเรสไพเรชันเกิดขึ้นเมื่อใด
สโตรมาโดยอาศัยการทํางานของเอนไซม์ ATP synthase ซึง่ เป็นโปรตีนอยูท่ เ่ี ยือ่ ไทลาคอยด์ ซึง่ กลไก - โฟโตออกซิเดชันคืออะไร
ที่มีการสร้าง ATP จะเกิดควบคู่กับการลดความแตกต่างของระดับโปรตอนเรียกว่า เคมิออสโมซิส - ตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดทายของกระบวนการ
(chemiosmosis) ส่วนออกซิเจนที่เกิดจากการแตกตัวของโมเลกุลนํ้าจะกลายเป็นแก๊สออกซิเจน ถายทอดอิเล็กตรอนแบบไมเปนวัฏจักรคือ
เข้าสู่บรรยากาศต่อไป อะไร
2. การถายทอดอิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักร(cyclic electron transfer) เป็นการถ่ายทอด - ถาในคลอโรพลาสตมีนํ้า 20 โมเลกุล จะ
อิเล็กตรอนทีเ่ กิดขึน้ ในระบบแสง I เท่านัน้ เนือ่ งจากระบบแสง II ไม่ทาํ งาน หรือขาดประสิทธิภาพ แตกตัวใหโปรตอนและอิเล็กตรอนกี่ตัว
เพราะถูกยับยัง้ ด้วยสารเคมีบางชนิด หรือได้รบั แสงทีม่ คี วามยาวคลืน่ มากกว่า 680 นาโนเมตร ซึง่ - ตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดทายของกระบวนการ
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักรจะอยู่ในบางช่วงของการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็น ถายทอดอิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักรคืออะไร
วัฏจักร - หากวัดคา pH ของสโตรมาในขณะทีเ่ กิดการ
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักร
ถายทอดอิเล็กตรอนจะเปนอยางไร
- ในปฏิกริ ยิ าแสงพลังงาน ATP ถูกสรางขึน้ ใน
ตัวรับอิเล็กตรอน
ลําดับแรก
กระบวนการใดบาง
ตัวรับอิเล็กตรอน Fd - เอนไซมชนิดใดทําหนาทีส่ งั เคราะห ATP ใน
ลําดับแรก
Pq 1
ปฏิกิริยาแสง
ไซโทโครม
คอมเพล็กซ์
Pc
2
พลังงานในการ
สังเคราะห์ PSI
ATP
PSII
ภาพที่2.33 การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1 เมื่อโมเลกุลของคลอโรฟิลล์เอใน PSI ถูกกระตุ้น 2 เกิดการสังเคราะห์ ATP ด้ ว ยปฏิ กิ ริ ย า
จากพลังงานแสง จะปล่อยอิเล็กตรอนออกมา ออซิ เ ดที ฟ โฟโตฟอสโฟรี เ ลชั น โดยไม่ มี
ซึ่งจะถูกถ่ายทอดไปถึงเฟอริดอกซิน จากนั้นจะ NADPH+H+ และออกซิเจนเกิดขึ้น
ถ่ายทอดไปยังไซโทโครมคอมเพล็กซ์ แล้วส่งกลับ
ไปยัง PSI ซึ่งวนเป็นวัฏจักรต่อไป
การสังเคราะห์ 85
ด้วยแสง
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายปฏิกิริยาแสง ในขณะที่เกิดการถ่ายทอดอิเล็กตรอนนั้น พลังงานที่ H. O. T. S.
และใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง ปฏิกิริยาแสง แลว อิเล็กตรอนถ่ายทอดออกมาจะนําไปสร้างพลังงานในรูป ATP คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
นําเสนอในรูปแบบที่สวยงาม และยังทําให้โปรตอนเคลื่อนย้ายจากสโตรมาเข้าสู่ลูเมน ทําให้ หากระบบแสง
เซลล์
ได้รับเยืแสงที
อ่ บุขา้ งแก้
่มี ม
เกิดความแตกต่างของความเข้มข้นของโปรตอนระหว่างสโตรมา
และลูเมน แต่การเคลือ่ นย้ายโปรตอนจากลูเมนออกสูส่ โตรมาใน ความยาวคลื่น
550 682 และ 701 นาโนเมตร
ตอนนี้จะเกิดการสังเคราะห์ ATP ขึ้นเท่านั้น ไม่มี NADPH+H+ ตามลําดับ จะเกิดกาถ่ายทอด
และออกซิเจนเกิดขึ้นเช่นเดียวกับการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบ อิเล็กตรอนเหมือนกันหรือไม่
ไม่เป็นวัฏจักร อย่างไร
2.5 การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 fixation) เกิดขึ้นในสโตรมาหลังจากเกิดปฏิกิริยาแสง
และเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้แสง โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบิสโกนําคาร์บอนไดออกไซด์จาก
สิ่งแวดล้อมมาสร้างสารประกอบประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอาศัยพลังงาน ATP และ NADPH+H+
ที่ได้จากปฏิกิริยาแสงและเกิดขึ้นเป็นวัฏจักร
ในปี พ.ศ. 2493 เมลวิน คัลวิน (Melvin Calvin) แอนดรู Biology
เอ เบนสัน (Andrew A. Benson) และคณะวิจยั แห่งมหาวิทยาลัย in real life
แคลิฟอร์เนียพยายามศึกษาว่าพืชนําผลิตภัณฑ์จากปฏิกริ ยิ าแสง ในปั จ จุ บั น นิ ย มปลู ก ต้ น ไม้
1
ไปใช้ได้อย่างไร จึงทําการทดลองโดยใช้สาหร่ายคลอเรลลา ซึ่ง บริ เ วณเกาะกลางถนน หรื อ
2
แนวตอบ H.O.T.S.
เป็นสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียว ใส่ในขวดแก้วชนิดพิเศษที่มีนํ้า ริปริมมถนนเป็
นจํานวนมาก เพือ่ ลด
าณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
บรรจุอยู่ จากนั้นเติมคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสารกัมมันตรังสี จากท่อไอเสียรถยนต์ เนื่องจาก
ไม เ หมื อ นกั น หากระบบแสงได รั บ แสงที่ มี (14C) ซึ่งอยู่ในรูปของไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (HCO3-) ลง ต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นสามารถดูด
ความยาวคลื่น 550 นาโนเมตร จะไมเกิดการ ไปในขวด ซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้
ถายทอดอิเล็กตรอน เนื่องจาก ระบบแสง I และ II เมื่อให้แสงอย่างเพียงพอจะมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วย เฉลี่ยปีละ 9-15 กิโลกรัม
ตองไดการกระตุนจากพลังงานแสงประมาณ 680 แสงเกิดขึน้ หลังจากเกิดการสังเคราะห์ดว้ ยแสงเป็นเวลา 1 นาที
และ 700 นาโนเมตร ตามลําดับ ถาแสงมีเพียง เมือ่ นําสาหร่ายและนํา้ ไปวิเคราะห์และตรวจหา 14C พบว่า 14C มี
ความยาวคลื่น 682 นาโนเมตร จะมีเพียงระบบ อยู่ในสารประกอบหลายชนิด แต่เมื่อให้การสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วินาที พบว่า
14C อยู่ในสารประกอบที่มีคาร์บอน 3 อะตอม คือ ฟอสโฟกลีเซอเรต (phosphoglycerate) หรือ
แสงที่ II ทีไ่ ดรบั การกระตุน จึงไมเกิดกระบวนการ
ถายทอดอิเล็กตรอน แตถาแสงที่ความยาวคลื่น กรดฟอสโฟกลีเซอริก (phosphoglyceric acid; PGA)
701 นาโนเมตร จะกระตุ น เพี ย งระบบแสง I
ทําใหเกิดกระบวนการถายทอดอิเล็กตรอนแบบ
เปนวัฏจักรได แตกตางจากระบวนการถายทอด 86
อิเล็กตรอนแบบไมเปนวัฏจักรซึ่งจําเปนตองถูก
กระตุนพรอมกันทั้งระบบแสง I และ II
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กรวยสําหรับเติมสาร 1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน สืบคน
ขอมูลการทดลองของเมลวิน คัลวิน และแอน
ดรูว เอ. เบนสัน จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5
เลม 1
2. ใหนักเรียนแตละกลุมสรุปลงในกระดาษ A4
3. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน โดยให
หลอดติดกับเครื่อง สาหร่ายสีเขียวที่ได้รับแสง สมาชิกภายในกลุมสืบคนขอมูล ดังนี้
ควบคุมสมดุลของสาร แสง - สมาชิกคนที่ 1 ศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยาที่เกิด
และแก๊สภายในขวดแก้ว
ขึ้นในขั้นคารบอกซิเลชัน
- สมาชิกคนที่ 2 ศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยาที่เกิด
หลอดสําหรับเติม H14CO-3 ขึ้นในขั้นรีดักชัน
ลิ้น - สมาชิกคนที่ 3 ศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยาที่เกิด
เครื่องควบคุม ขึ้นในขั้นรีเจเนอเรชัน
การปิด-เปิด ช่องลิ้น
4. ให นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นข อ มู ล ที่ ไ ด จ ากการ
หลอดเก็บตัวอย่างสาหร่
1 ายเป็นระยะ ๆ
ภายในบรรจุเมทานอลที่ร้อน สืบคน แลวใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง กระบวน
เพื่อฆ่าสาหร่ายในทันที การสังเคราะหดวยแสง
ภาพที่2.34 ชุดทดลองเพื่อศึกษาผลที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสมุ ตัวแทนแตละกลุม ออกมานําเสนอใบงาน
วัฏจักรคัลวินเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วย
เรื่อง กระบวนการสังเคราะหดวยแสง ปฏิกิริยา 3 ขั้นตอน คือ คาร์บอกซิเลชัน (carboxylation) รีดักชัน (reduction) และรีเจเนอเรชัน
2. ใหนกั เรียนจดบันทึกคําศัพทและหาความหมาย (regeneration)
และความเกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะห
3C
ดวยแสง แลวบันทึกลงในสมุดบันทึก CO2
- Carboxylation คาร์บอกซิเลชัน
- Reduction
- Regeneration รูบิสโก
- Photorespiration 3P C C C C C P 6C C C P
3-ฟอสโฟกลีเซอเรต
ไรบูโลสบิสฟอสเฟต 6 ATP
3. ครูสุมนักเรียน 3 คน ออกมาหนาชั้นเรียน โดย (RuBP) 6ADP
3ADP+3Pi วัฏจักร
ใหนักเรียนแตละคนทําหนาที่ ดังนี้ 3 ATP
คัลวิน
6P C C C P
- คนที่ 1 วาดภาพวัฏจักรคัลวิน 1, 3-บิสฟอสโฟกลีเซอเรต 6 NADPH+H+
6NADP +
- คนที่ 2 ระบุสารตั้งตนและผลิตภัณฑของ 6 Pi
5C C C P
แตละขั้นตอน รีเจเนอเรชัน G3P 6C C C P รีดักชัน
กลีเซอรัลดีไฮด์-3-ฟอสเฟต
- คนที่ 3 สรุปวัฏจักรคัลวินใหไดใจความที่ (G3P)
เขาใจและถูกตอง
1C C C P
G3P
น�้าตาล
ภาพที่2.35 วัฏจักรคัลวิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
88
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ปฏิกิริยาขั้นตอนที่ 2 รีดักชัน : เปนการเปลี่ยนแปลง PGA ทั้ง 6 โมเลกุล โดยแตละโมเลกุล 4. ใหนกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 4 กลุม แตละกลุม
ของ PGA จะรับหมูฟอสเฟตเพิ่มอีก 1 หมูจาก ATP กลายเปน 1,3-บิสฟอสโฟกลีเซอเรต เขียนคําถามลงในสลากคําถาม 5 ขอ และมี
(1, 3-bisphosphoglycerate) จากนั้นจะถูกรีดิวซโดยรับอิเล็กตรอนจาก NADPH+H+ กลายเปน สลากคําถามจากครูอีก 4 ขอ
นํ้าตาลที่มีคารบอน 3 อะตอม เรียกวา กลีเซอรอลดีไฮด 3-ฟอสเฟต (glyceraldehyde 3-phos- 5. ใหตัวแทนกลุมจับสลากเลือกชุดคําถามและ
phate; G3P) หรือฟอสโฟกลีเซอรัลดีไฮด (phosphoglyceraldehyde; PGAL) ดังนัน้ หลังจากสิน้ สุด จับสลากคําถามจากครูอกี 1 ขอ โดยชุดคําถาม
ขั้นตอนนี้จะเกิด G3P ขึ้น 6 โมเลกุล ซึ่งนํ้าตาลที่มีคารบอน 3 อะตอมนี้ถือเปนนํ้าตาลชนิดแรก ตองไมซํ้ากับกลุมของตนเอง
ที่เกิดขึ้นในวัฏจักรคัลวิน 6. ใหเจาของชุดคําถามเปนฝายอานคําถามและ
ปฏิกิริยาขั้นตอนที่ 3 รีเจเนอเรชัน : เปนขั้นตอนที่จะสราง RuBP ขึ้นมาใหม เพื่อกลับไปรับ เฉลยคําตอบ จากนั้นนับคะแนนที่ตอบถูก
CO2 เขาสูวัฏจักรคัลวินใหม โดย G3P ที่เกิดขึ้น 5 โมเลกุล จะถูกนําไปสราง RuBP ได 3 โมเลกุล 7. ครูอานสลากคําถามของครู และเฉลยคําตอบ
ซึ่งจะตองอาศัย ATP ที่ไดจากปฏิกิริยาแสง โดยมีแนวคําถาม ดังนี้
นํ้าตาล G3P ที่เหลืออีก 1 โมเลกุลจะถูกนําไปสรางนํ้าตาลกลูโคสและนํ้าตาลไดแซ็กคาไรด - คําถามหมายเลข 1 : หากในบรรยากาศ
เชน ซูโครส เพื่อลําเลียงไปยังสวนตาง ๆ ของพืช หรืออาจสะสมไวในรูปของเม็ดแปงภายใน จํ า ลองที่ ห นึ่ ง มี ค าร บ อนไดออกไซด 38
คลอโรพลาสต หรือนําไปสรางสารประกอบอินทรียอื่น ๆ เชน กรดไขมัน กรดอะมิโน
โมเลกุล พืช A จะผลิตนํ้าตาลไดกี่โมเลกุล
ในอดีตการตรึงคารบอนไดออกไซดเรียกวา ปฏิกิริยาไมใชแสง (dark reaction) เพราะ
- คําถามหมายเลข 2 : ในการผลิตนํ้าตาล 3
คิ ด ว า เป น กระบวนการที่ ไ ม ต อ งใช แ สง แต ป จ จุ บั น พบว า แสงมี บ ทบาทสํ า คั ญ ต อ การตรึ ง
คารบอนไดออกไซด เนือ่ งจากแสงจะกระตุน การทํางานของเอนไซมหลายชนิดในวัฏจักรคัลวินและ โมเลกุล ของพืชชนิดหนึง่ จะตองใชพลังงาน
ยังมีอทิ ธิพลตอการลําเลียง G3P ออกจากคลอโรพลาสต และการเคลือ่ นทีข่ องไอออนตาง ๆ กี่ ATP
- คําถามหมายเลข 3 : RuBP และ RuBisCo
คืออะไร และแตกตางกันอยางไร
H2O CO2
NADP+
ADP+Pi
ปฏิกริ ยิ า วัฏจักรคัลวิน
แสง
ATP
NADPH+H+
O2 นํา้ ตาลกลูโคส
ภาพที่ 2.36 สรุปกระบวนการสังเคราะหดวยแสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การสังเคราะหดวยแสงของพืช 89
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNB21
การสังเคราะหดวยแสงของพืช
T99
www.aksorn.com/interactive3D/RKB21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครู เ กริ่ น นํ า เกี่ ย วกั บ เอนไซม รู บิ ส โกว า เป น จะเห็นว่า แก๊สออกซิเจนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ส่วนหนึ่งจะถูกนําไป
เอนไซมที่สามารถจับกับออกซิเจนและแกส ใช้ในการสลายสารอาหารระดับเซลล์ซึ่งเกิดขึ้นในไมโทคอนเดรียเช่นเดียวกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
คารบอนไดออกไซดได ครูถามนักเรียนวา หาก อืน่ ๆ และออกซิเจนอีกส่วนหนึง่ จะแข่งขันกับคาร์บอนไดออกไซด์ในการเข้าจับกับเอนไซม์รบู สิ โก
ออกซิเจนจับกับเอนไซมรบู สิ โก จะเปนอยางไร เรียกกระบวนการนีว้ า่ โฟโตเรสไพเรชัน (photorespiration) เป็นกระบวนการทีเ่ กิดขึน้ จากการตรึง
2. ใหนักเรียนสืบคนกระบวนการเกิดโฟโตเรส- ออกซิเจนของเอนไซม์รูบิสโก (rubisco) เช่นเดียวกับการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในวัฏจักร
ไพเรชัน แลวสรุปลงในสมุดบันทึกของตนเอง คัลวิน (calvin cycle) ทัง้ ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เมือ่ เข้าทําปฏิกริ ยิ าจะเข้าจับกับเอนไซม์
3. ใหนกั เรียนจับคูก บั เพือ่ นแลกเปลีย่ นขอมูล แลว รูบิสโกได้ในตําแหน่งเดียวกัน เนื่องจากโมเลกุลทั้งสองชนิดมีขนาดใกล้เคียงกัน ดังนั้นโมเลกุล
ทําผังสรุป เรือ่ ง โฟโตเรสไพเรชัน พรอมนําเสนอ ทั้งสองชนิดจึงเหมือนกับต้องแข่งขันกันเพื่อเข้าจับกับเอนไซม์รูบิสโกเพื่อทําปฏิกิริยากับไรบูโลส
ในรูปแบบทีส่ วยงาม 1, 5-บิสฟอสเฟต (RuBP) ซึ่งเป็นสารตั้งต้น แม้ว่าเอนไซม์รูบิสโกจะสามารถเร่งปฏิกิริยาทั้งสอง
ชนิดได้ แต่เอนไซม์รบู สิ โกมีความสามารถในการจับกับคาร์บอนไดออกไซด์สงู กว่าออกซิเจน ดังนัน้
กระบวนการสร้างสารอินทรียจ์ ากวัฏจักรคัลวินจึงเกิดขึน้ อย่างเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช
ATP CO2 O2 ATP
RuBP RuBP
นํ้าตาล CO2
B iology
Focus เอนไซมรูบิสโก
เอนไซม์รูบิสโก (rubisco) เป็นเอนไซม์ที่สําคัญของวัฏจักรคัลวิน ประกอบด้วยโปรตีนที่ละลาย
นํ้าได้ และเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในพืชประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และ 30 เปอร์เซ็นต์ของโปรตีน
ทั้งหมดที่มีในใบพืช C3 และพืช C4 ตามลําดับ จึงเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในโลก เนื่องจาก พบใน
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ เช่น พืช สาหร่ายสีเขียว ไซยาโนแบคทีเรีย เป็นต้น
90
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
การตรึงออกซิเจนด้วย RuBP ท�าให้ RuBP สลายเป็น PGA 1 โมเลกุล และสารประกอบ 1. ครูสุมตัวแทนออกมา 4-5 คู ออกมานําเสนอ
ไดฟอสโฟไกลโคเลต ซึ่งมีคาร์บอน 2 อะตอม อีก 1 โมเลกุล ผังสรุป
2. ครูเพิ่มเติมขอมูลที่นักเรียนออกมานําเสนอ
H 3. ครู อ าจนํ า ภาพมาให นั ก เรี ย นเปรี ย บเที ย บ
H H C O PO2-3 ผลิตภัณฑที่เกิดขึ้นจากการจับแกสออกซิเจน
H C O PO2-3 C O และแกสคารบอนไดออกไซด ตัวอยางภาพ
C
C O -O O-
O2 CO2
ออกซิเจน + H C OH ไตรฟอสโฟกลีเซอเรต (PGA)
รูบิสโก + การหายใจแสง การสังเคราะห
H C OH
O O ดวยแสง
H C O PO2-3 C
H H C O PO2-3
ของเสีย พลังงาน
H
ไรบูโลส 1, 5- บิสฟอสเฟต ไดฟอสโฟไกลโคเลต
4. ครู ถ ามคํ า ถามแล ว ให นั ก เรี ย นยกมื อ ตอบ
คําถาม ตอไปนี้
ภาพที่ 2.38 การตรึงออกซิเจนด้วยไรบูโลส 1, 5-บิสฟอสเฟต - เมื่อออกซิเจนและคารบอนไดออกไซดจับ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
RuBP จะให PGA กี่โมเลกุล ตามลําดับ
พืชน�าไตรฟอสโฟกลีเซอเรต (PGA) ไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ส่วนคาร์บอน 2 อะตอม - นักเรียนคิดวา โฟโตเรสไพเรชันมีประโยชน
จะถูกเปลี่ยนกลับไปเป็น RuBP อีกครั้ง โดยคาร์บอน 2 อะตอม หรือไดฟอสโฟกลีโคเลสจ�านวน กับพืชอยางไร
3 โมเลกุลจะเปลี่ยนเป็น RuBP ซึ่งมีคาร์บอน 5 อะตอม 1 โมเลกุล ส่วนคาร์บอนที่เหลืออีก 1 - สารอิ น ทรี ย ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากกระบวนการ
อะตอมจะถูกปลดปล่อยในรูปของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โฟโตเรสไพเรชันจะถูกเปลีย่ นเปนคารบอน-
ปัจจุบนั มีการทดลองทีแ่ สดงให้เห็นว่าโฟโตเรสไพเรชันช่วยป้องกันความเสียหายให้แก่ระบบ ไดออกไซด โดยผานออรแกเนลลใดบาง
ร่างกายของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่มีแสงแดดจัด อากาศร้อนและแห้งแล้ง พืชจะลดการ
สูญเสียน�้าด้วยการปิดปากใบ ท�าให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศผ่านเข้ามาทางปากใบได้
น้อยมาก รวมทัง้ ออกซิเจนทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าแสงไม่สามารถปล่อยออกสูบ่ รรยากาศได้ ก็จะสะสม ขยายความเข้าใจ
อยู่ในคลอโรพลาสต์มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นได้น้อย พืชจะเกิดการ ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
หายใจแสง หรือโฟโตเรสไพเรชันเพื่อตรึงออกซิเจนที่สะสมคั่งค้างอยู่เแทนสารอิ
1 นทรีย์ที่เกิดขึ้นจะ ม.5 เลม 1
ถูกขนส่งออกจากคลอโรพลาสต์และถูกน�าออกไปสลายโดยเพอรอกซิโซม (peroxisome) และไมโท-
คอนเดรีย ซึ่งจะท�าให้ได้คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และจะถูกน�าไปใช้ในการสร้างน�้าตาลต่อไป
การสังเคราะห์ 91
ด้วยแสง
กิจกรรม ทาทาย
สื่อ Digital
ใหนกั เรียนเขียนแผนผังวัฏจักรคัลวิน โดยระบุชอื่ เอนไซม สาร
ตัง้ ตน และพลังงานทีใ่ ชในการผลิตนํา้ ตาลกลูโคส 1 โมเลกุล ลงใน ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
สมุดบันทึกของนักเรียน การหายใจแสง จาก Youtube เรือ่ ง กระบวน
การเกิดโฟโตเรสไพเรชัน (https://www.
youtube.com/watch?v=hHGnhuWvsTA)
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับโฟโต-
เรสไพเรชัน แลวใหนักเรียนสรุปความรูที่ไดลงใน คลอโรพลาสต์ เพอรอกซิโซม ไมโทคอนเดรีย
H2C OPO32-
กระดาษ A4 พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน O2 COO-
2-Phosphoglycolate
O2
rubisco
H2C OPO32-
ขัน้ ประเมิน O C
-O
C O CO2
ตรวจสอบผล HC OH HC OH
HC OH H2C OPO32-
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกชีววิทยา ม.5 เลม 1 H2C OPO32- 3-Phosphoglycerate
Ribulose-1, 5-
2. ตรวจใบงาน เรื่อง ปฏิกิริยาแสง bisphosphate
92
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
5. ฟอสโฟกลีเซอเรต
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
เกณฑ์การประเมิน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................/................
6. กระบวนการที่ออกซิเจนจับกับเอนไซมรูบิสโก
รายการประเมิน
1. การจัดรูปแบบ
4
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
3
ระดับคะแนน
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
2
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
1
รู ปเล่ มรายงานมี
7. แตกตางกันที่สารตั้งตนที่จับกับเอนไซมรูบิสโก
8. เพอรอกซิโซมและไมโทคอนเดรีย
และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
9. เพอรอกซิโซม
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
10. ชวยลดอันตรายจากสารพลังงานสูงเหลือใชจากปฏิกิริยาแสง
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T102
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
พืชนําแกส 3. กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
คารบอนไดออกไซดใน แกสคาร์บอนไดออกไซด์ ในพืช C4 2. ครู แ จกบั ต รคํ า ชื่ อ พื ช ประเภทต า งๆ ให กั บ
อากาศมาใชได นักเรียน
อยางไร พืชแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการตรึง CO2 ไม่เท่ากัน 3. ครูเขียนคําวา พืช C3 พืช C4 และพืช CAM
พืชที่มีการตรึง CO2 ในวัฏจักรคัลวิน แล้วได้สารประกอบ
บนกระดาน จากนั้นครูพูดชื่อประเภทของพืช
คาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอม เรียกว่า พืช C3 ต่อมามีการศึกษา
แลวใหนักเรียนพิจารณาชื่อพืชตามบัตรคําที่
พบว่าพืชบางชนิดสามารถสร้างสารประกอบคาร์บอนทีเ่ สถียรชนิดแรกเป็นสารทีม่ คี าร์บอน 4 อะตอม
ด้วยกลไกที่นอกเหนือไปจากวัฏจักรคัลวิน เรียกพืชกลุ่มนี้ว่า พืชC4 ตนเองไดรับ แลวออกมาเขียนชื่อพืชใหตรง
ตามประเภทบนกระดาน โดยครูใหนักเรียน
3.1 โครงสร้างของใบพืช C3 และใบพืช C4 ศึกษาเนื้อหาในบทเรียนกอนจะเฉลยคําตอบ
พืชส่วนใหญ่เป็นพืช C3 เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่ว พืชทั่ว ๆ ไป ส่วนพืช C4 ที่ถูกตอง
มักพบในเขตร้อนหรือกึ่งร้อนซึ่งมีประมาณ 1,500 ชนิด เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หญ้าแพรก บาน
ไม่รู้โรย อ้อย ผักโขมจีน ขัน้ สอน
คิวทิเคิล สํารวจค้นหา
เอพิเดอร์มสิ ด้านบน 1. ใหนักเรียนจับกลุมประเภทของพืชที่นักเรียน
แพลิเซดมีโซฟิลล์ บันเดิลชีท ออกมาเขียนชื่อพืชบนกระดาน โดยแบงกลุม
ท่อลําเลียง
ท่อลําเลียง ออกเปน 3 กลุม โดยกลุมที่ 1 2 และ 3 คือ
บันเดิลชีท
สปันจีมีโซฟิลล์ กลุมที่นักเรียนเขียนชื่อพืชในกลุมพืช C3 C4
และ CAM ตามลําดับ
2. ใหนกั เรียนแตละกลุม ศึกษาลักษณะ โครงสราง
เอพิเดอร์มิสด้านล่าง ภายในของใบ และตัวอยางพืชตามชนิดของ
พืช C3 พืช C4
ภาพที่2.40 ใบพืชตัดตามขวางเปรียบเทียบระหว่างพืช C3 และพืช C4 พืชที่ไดรับมอบหมาย แลวสรุปลงในกระดาษ
ที่มา : คลังภาพ อจท. A4 พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน
ใบพืช C3 และใบพืช C4 มีโครงสร้างภายในที่แตกต่างกัน โดยโครงสร้างของใบพืช C3 จะ 3. ใหนักเรียนแบงกลุมเดิม เพื่อสืบคนกลไกการ
มีเซลล์ในชั้นมีโซฟิลล์ 2 ชนิด คือ แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) และสปันจีมีโซฟิลล์ ตรึงแกสคารบอนไดออกไซดของพืชตามชนิด
(spongy mesophyll) และจะพบคลอโรพลาสต์ภายในมีโซฟิลล์ทงั้ 2 ชนิดอย่างชัดเจน และบันเดิลชีท ที่ไดรับมอบหมาย แลวสรุปลงในกระดาษ A4
(bundle sheath) อาจมีหรือไม่มกี ไ็ ด้ ซึง่ หากมีบนั เดิลชีทมักไม่พบคลอโรพลาสต์ในบันเดิลชีท ส่วน พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ
โครงสร้างของใบพืช C4 พบว่า มีเซลล์มีโซฟิลล์อยู่ติดกับบันเดิลชีท มีพลาสโมเดสมาตา (plas-
modesmata) เชื่อมระหว่างเซลล์ทั้งสองชนิด นอกจากนี้ยังพบคลอโรพลาสต์ในเซลล์มีโซฟิลล์และ
บันเดิลชีทอย่างชัดเจน
แนวตอบ Prior Knowledge
โครงสรางของใบพืช C3 93
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNB12 พืช C3 จะใช RuBP สวนพืช C4 และ CAM
จะใช PEP ตรึงคารบอนไดออกไซดในอากาศ
โครงสรางของใบพืช C3
www.aksorn.com/interactive3D/RKB12 T103
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสรุปโครงสรางและกลไกการตรึงแกสคาร- 3.2 วัฏจักรคาร์บอนของพืช C4
บอนไดออกไซดของพืชแตละประเภทเปนภาพ จากการศึกษาพบว่า ปฏิกริ ยิ าแสงทีพ่ บในพืชทัว่ ไปทัง้ ในพืช C3 และพืช C4 จะไม่แตกต่างกัน
หรือตารางเพื่อใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติม ในขณะที่การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชทั้ง 2 ชนิดจะแตกต่างกัน กล่าวคือ สารเสถียรชนิด
2. ครูเขียนคําถามบนกระดาน แลวใหนักเรียน แรกที่เกิดจากการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในพืช C3 และพืช C4 เป็นคนละชนิดกัน
จดคําถามและตอบคําถามลงในสมุด จากนั้น เซลล์ที่ทําหน้าที่ในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C4 มี 2 ชนิด คือ เซลล์บันเดิลชีท
ใหนักเรียนจับคูแลกเปลี่ยนคําตอบของตนเอง และเซลล์มีโซฟิลล์ ซึ่งเซลล์บันเดิลชีทจะเรียงตัวกันหนาแน่นรอบเส้นใบและถัดออกมาจะเป็น
ตัวอยางคําถาม มีดังนี้ เซลล์มีโซฟิลล์
ï• จงยกตัวอยางพืช C3 มาอยางนอย 4 ชนิด วัฏจักรคาร์บอนของพืช C4 เกิดขึ้นในเซลล์บันเดิลชีท คาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้าสู่
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ดุลยพินจิ ของครู ตัวอยาง วัฏจักรนั้นได้มาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของสารอินทรีย์ในเซลล์มีโซฟิลล์ ดังนั้น
เชน มะมวง ขาว ขาวสาลี ถั่ว ขาวบารเลย) จึงกล่าวได้ว่า ในพืช C4 มีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกในเซลล์มีโซฟิลล์ และ
ï• จงยกตัวอยางพืช C4 มาอยางนอย 4 ชนิด ครั้งที่สองในเซลล์บันเดิลชีท
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ดุลยพินจิ ของครู ตัวอยาง
เชน ขาวโพด ออย บานไมรูโรย ขาวฟาง)
ï• จงยกตัวอยางพืช CAM มาอยางนอย 4 ชนิด เซลล์มีโซฟิลล์
CO2
ในอากาศ
(แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ดุลยพินจิ ของครู ตัวอยาง PEP
carboxylase
เชน สับปะรด กระบองเพชร วานหางจระเข OAA(4C) PEP(3C)
ศรนารายณ)
มาเลต(4C) ATP
ขยายความเข้าใจ ไพรูเวต(3C)
เซลล์
บันเดิลชีท CO2
1. ใหนักเรียนตรวจสอบความถูกตองจากการ
แบ ง ประเภทของบั ต รคํ า ที่ นั ก เรี ย นได รั บ ว า วัฏจักร
คัลวิน
จําแนกประเภทของพืชถูกตองหรือไม จากการ
ทํากิจกรรมตนชั่วโมง นํ้าตาล
2. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
ม.5 เลม 1 เซลล์โฟลเอ็ม
ภาพที่2.41 แผนภาพวัฏจักรคาร์บอนของพืช C4
ที่มา : คลังภาพ อจท.
94
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครั้งแรก เกิดขึ้นในเซลล์มีโซฟิลล์ เริ่มจากคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศรวมตัวกับ ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายสรุปกลไกการ
ฟอสโฟอีนอลไพรูเวต (phosphoenolpyruvate) หรือกรดฟอสโฟอีนอลไพรูวกิ (phosphoenolpyruvic เพิ่มความเขมขนของแกสคารบอนไดออกไซดใน
acid; PEP) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอมในเซลล์มีโซฟิลล์ โดยอาศัยเอนไซม์ฟอสโฟอีนอล- พืช จากนัน้ ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน
ไพรูเวตคาร์บอกซิเลส (phosphoenolpyruvate carboxylase) เกิดเป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 4 สรางแบบจําลองโครงสรางของใบพืช C3 และ C4
อะตอม ที่เรียกว่า ออกซาโลแอซีเทต (oxaloacetate) หรือกรดออกซาโลแอซีติก (oxaloacetic โดยใชวัสดุที่เหมาะสม พรอมเขียนกลไกการตรึง
acid; OAA) ซึ่งเป็นสารเสถียรชนิดแรกที่ได้จากการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้น OAA จะ แกสคารบอนไดออกไซดลงในกระดาษ A4 พรอม
ถูกเปลี่ยนเป็นมาเลต (malate) หรือกรดมาลิก (malic acid) แล้วถูกส่งออกจากเซลล์มีโซฟิลล์ไป นําเสนอหนาชัน้ เรียน
ยังเซลล์บันเดิลชีทผ่านทางพลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata)
ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในเซลล์ H. O. T. S.
1 บันเดิลชีท โมเลกุลของมาเลต คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
จะถูกสลายได้เป็นไพรูเวตและคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้น
โครงสร้างภาย
คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกตรึงโดยการรวมตัวกับไรบูโลส 1,5 เซลล์เยือ่ บุขา้ งแก้
ในใบของพื ช ม
บิสฟอสเฟตแล้วเข้าสู่วัฏจักรคัลวินภายในคลอโรพลาสต์ของ C3 และ พืช
เซลล์บนั เดิลชีทต่อไป ส่วนไพรูเวตจะถูกส่งผ่านพลาสโมเดสมาตา C4 แตกต่างกันหรือไม่เพราะ
กลับไปยังเซลล์มีโซฟิลล์ตามเดิมเพือ่ เปลีย่ นเป็น PEP โดยอาศัย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
พลังงานจาก ATP
จะเห็นว่า วัฏจักรคาร์บอนของพืช C4 จะทําให้พชื ซึง่ ได้รบั คาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ
ในปริมาณน้อย สามารถเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ภายในบันเดิลชีทได้มากขึ้น
ทําให้เกิดการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการตรึงออกซิเจน ทําให้พืช C4
มีการสูญเสียคาร์บอนอะตอมจากกระบวนการโฟโตเรสไพเรชันน้อยมาก
Topic
Question แนวตอบ H.O.T.S.
ค�าชี้แจง:ให้นักเรียนตอบคําถามต่อไปนี้ เนือ่ งจากพืช C4 เปนพืชเขตรอนทีพ่ บกระจาย
1. เพราะเหตุใดพืช C4 จึงมีกลไกการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์แตกต่างจากพืช C3 ตัวตามเขตศูนยสูตร เชน ขาวโพด ออย ซึ่งได
2. พืช C4 มีกลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์อย่างไร รับคารบอนไดออกไซดจากบรรยากาศตํ่า ดังนั้น
3. สารประกอบคาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกของพืช C3 และ C4 คืออะไร โครงสรางของพืช C4 จึงมีความแตกตางจากพืช
4. พืช C3 และ C4 มีเอนไซม์ที่ใช้ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร C3 คือ มีเนื้อเยื่อบันเดิลชีทที่หนาลอมรอบทอ
5. คาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้าสู่วัฏจักรคัลวินในพืช C3 และ C4 แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ลําเลียงและไมแบงชัน้ มีโซฟลล ซึง่ โครงสรางของ
พืช C4 ลักษณะนี้ ชวยเพิม่ ประสิทธิภาพในการตรึง
การสังเคราะห์ 95
คารบอนไดออกไซดทบี่ นั เดิลชีทไดมากขึน้ และลด
ด้วยแสง
การสูญเสียคารบอนอะตอมจากกระบวนการโฟโต-
เรสไพเรชัน
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
1. ใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกับสภาพแวดลอม พืชในทะเลทรายมีกลไก 4. กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ
ของพืช CAM แกสคาร์บอนไดออกไซดในพื
2. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง กลไกการตรึงแกสคารบอน-
การสังเคราะหดว ยแสง
เหมือนหรือตางจากพืช
์ ช CAM
ไดออกไซดของพืช CAM ทัว่ ไปอยางไร พื ช บางชนิ ด สามารถเจริ ญ เติ บ โตได้ ใ นสภาวะที่ มี แ สง
แดดจัดและแห้งแล้ง เช่น ในทะเลทราย พืชจะสูญเสียนํ้าได้ง่าย
3. ใหนักเรียนนําขอมูลที่ไดจากการสืบคนขอมูล
ในเวลากลางวันเนือ่ งจากเป็นช่วงทีม่ อี ณ
ุ หภูมสิ งู และความชืน้ ตํา่ พืชจึงมีววิ ฒ
ั นาการในการลดการ
ทําใบงาน เรื่อง กลไกการตรึงแกสคารบอน-
สูญเสียนํ้า เช่น การลดรูปของใบให้มีขนาดเล็กลงเพื่อลดพื้นที่ในการคายนํ้า หรือมีลําต้นและใบ
ไดออกไซดของพืช CAM อวบนํ้าเพื่อรักษานํ้าไว้ใช้ในกระบวนการต่าง ๆ
พืชCAM (crassulacean acid metabolism plant) ส่วนใหญ่เป็นพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง
อธิบายความรู้
ซึ่งมีการปรับตัวเพื่อลดอัตราการสูญเสียนํ้า แต่การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญที่สุด คือ กระบวนการ
1. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมานําเสนอใบงาน สังเคราะห์ด้วยแสงที่ต่างไปจากพืช C3 และ C4 กล่าวคือ พืชในกลุ่มนี้จะเปิดปากใบเฉพาะในเวลา
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวา ในเวลา กลางคืนเพื่อตรึงคาร์บอนไดออกไซด์พืชและสะสมสารประกอบคาร์บอนไว้ในแวคิวโอลในรูป
กลางคืน พืชตรึงคารบอนไดออกไซดไดแตไม ของกรดอินทรีย์ และปิดปากใบในเวลากลางวันเพื่อลดการสู 1 ญเสียนํ้า โดยกระบวนการสังเคราะห์
สามารถสรางนํ้าได เพราะขาด NADPH+H+ ด้วยแสงจะได้รับคาร์บอนไดออกไซด์จากกรดอินทรีย์ที่สะสมไว้ ซึ่งกรดอินทรีย์ดังกล่าวจะเกิดการ
และ ATP พื ช CAM จึ ง ต อ งมี ก ารตรึ ง เปลี่ยนแปลงและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่คลอโรพลาสต์เพื่อเข้าสู่วัฏจักรคัลวินต่อไป
แกสคารบอนไดออกไซดไวในรูปสารทีป่ ระกอบ กลไกการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชในกลุ่มนี้จะมีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครั้ง ซึ่ง
ดวยคารบอน 4 อะตอม เพื่อเก็บสะสมไวกอน คล้ายกับพืช C4 แต่เกิดขึ้นต่างเวลากัน
เมื่อพืชไดรับแสงในเวลากลางวัน จึงสามารถ
กลางคืน กลางวัน
สราง NADPH+H+ และ ATP มาใชในวัฏจักร
คัลวินเพื่อสรางนํ้าตาลได OAA
C C C C
มาเลต
C C C C
มาเลต วัฏจักรคัลวิน
C C C C C CO2
CO2 C
แวคิวโอล
C C C C C C
แป้ง ไพรูเวต เซลล์มีโซฟิลล์
96 กลไกการตรึงแกสคารบอนไดออกไซดของพืช CAM
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ครั้ ง แรก เกิ ด ขึ้ น ในเวลากลางคื น เนื่ อ งจากอากาศมี 3. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา พืชทีม่ กี ารตรึงคารบอน-
อุณหภูมิตํ่าและความชื้นสูง ปากใบของพืช CAM จะเปด แกส ไดออกไซดลักษณะเชนนี้วา Crussulacean
คารบอนไดออกไซดจะเขาทางรูปากใบในรูปของไฮโดรเจน Acid Metabolism Plant เรี ย กย อ ๆ ว า
คารบอเนตไอออน (HCO3-) ไปยังเซลลมีโซฟลล สารประกอบ พืช CAM เนื่องจากการคนพบกระบวนการ
PEP จะตรึงคารบอนไดออกไซดไวโดยเอนไซมเพปคารบอกซิเลส ตรึงคารบอนไดออกไซดแบบนี้ในพืชพวกวงศ
(PEP carboxylase) ไดออกซาโลแอซีเตต (OAA) ซึ่งเปนสาร Crussulace เปนพืชอวบนํ้า ขยายพันธุไดงาย
ตัวกลางที่ไมเสถียรมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเปนสารประกอบ โดยใชสว นประกอบตางๆ ของพืช เชน กุหลาบ
ที่มีคารบอน 4 อะตอม คือ มาเลตหรือกรดมาลิก โดยอาศัย หิ น ควํ่ า ตายหงายเป น ต อ มาในภายหลั ง
เอนไซมมาเลตดีไฮโดรจีเนส (malate dehydrogenase) เรง พบวา พืชที่ขึ้นในที่แลง เชน กระบองเพชร
ปฏิกิริยา และจะลําเลียงมาสะสมไวในแวคิวโอล สับปะรด
กลวยไม สับปะรด
ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในเวลากลางวัน เมื่อเริ่มมีแสงปากใบ
จะปดเพือ่ ลดการสูญเสียนํา้ กรดมาลิกจะแพรออกจากแวคิวโอล ขยายความเข้าใจ
และเปลี่ยนเปนไพรูเวตและแกสคารบอนไดออกไซด จากนั้น 1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
แก ส คาร บ อนไดออกไซด จ ะถู ก ลํ า เลี ย งไปยั ง คลอโรพลาสต ม.5 เลม 1
เพื่อเขาสูวัฏจักรคัลวินตอไป แตเนื่องจากการปดปากใบทําให 2. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
คารบอนไดออกไซดแพรออกนอกใบไดยาก ความเขมขนของ
คารบอนไดออกไซดในเซลลจงึ สูง ทําใหอตั ราโฟโตเรสไพเรชันลด
ลงมาก สวนไพรูเวตจะเปลี่ยนกลับไปเปน PEP โดยใชพลังงาน
ATP จากปฏิกริ ยิ าแสงเพือ่ ไปทําหนาทีต่ รึงไฮโดรเจนคารบอเนต กระบองเพชร
ไอออนตอไป
กระบวนการตรึงคารบอนไดออกไซดในพืชดังกลาว ถูก
คนพบครั้งแรกในพืชตระกูลแครสซูลาซี (crassulaceae) และ
เรียกการปรับตัวใหเขากับสภาวะแสงแดดจัดและแหงแลงโดยใช
กระบวนการสังเคราะหดว ยแสงดังกลาววา เมแทบอลิซมึ ของกรด-
อินทรียใ นพืชแครสซูลาซี (crassulaceae acid metabolism; CAM)
ตอมายังพบวามีพชื อืน่ ๆ ทีม่ กี ารปรับตัวแบบเดียวกับพืชแครสซู-
ลาซีดวย จึงเรียกพืชเหลานั้นรวม ๆ วา พืชซีเอเอ็ม (CAM) เชน
กระบองเพชร กลวยไม สับปะรด ศรนารายณ ศรนารายณ
ภาพที่ 2.43 ตัวอยางพืช CAM
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การสังเคราะห์ 97
ด้วยแสง
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดถูกตองเกี่ยวกับการตรึง CO2 ของพืช C3 C4 และ CAM
1. พืช C3 และ C4 ไดผลิตภัณฑตัวแรกที่เสถียร คือ OAA และ PGA ตามลําดับ
2. พืช C4 และ CAM มีเอนไซมที่ใชในการตรึง CO2 จากบรรยากาศเหมือนกัน คือ รูบิสโก
3. พืช C4 และ CAM มีจํานวนครั้งของการตรึง CO2 ตางกัน คือ 2 ครั้งและ 1 ครั้ง ตามลําดับ
4. พืช C3 และ CAM มีวัฏจักรคัลวินเกิดขึ้นในเวลาตางกัน คือ กลางวันและกลางคืน ตามลําดับ
5. พืช C4 และ CAM มีวัฏจักรคัลวินเกิดขึ้นที่ตําแหนงของเซลลตางกัน คือ เซลลบันเดิลชีท และ
เซลลมีโซฟลล ตามลําดับ
(วิเคราะหคําตอบ พืช C3 และ C4 ไดผลิตภัณฑตัวแรกที่เสถียร คือ PGA และ OAA ตามลําดับ
พืช C4 และ CAM มีเอนไซมที่ใชในการตรึง CO2 จากบรรยากาศเหมือนกัน คือ PEP carboxylase
พืช C4 และ CAM มีจํานวนครั้งของการตรึง CO2 สองครั้ง และพืช C3 และ CAM มีวัฏจักรคัลวิน
เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน คือ กลางวัน ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T107
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูเขียนตารางเปรียบเทียบกลไกการตรึงแกส จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า พืช C3 C4 หรือ CAM เป็นพืชเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่
คารบอนไดออกไซดของพืช C3 C4 และ CAM แตกต่างกัน ดังนั้น พืชแต่ละชนิดจึงมีกลไกการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมือนและแตกต่างกัน
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันสรุปและเปรียบ- ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังตารางที่ 2.2
เทียบเปนตารางสรุปลงในกระดาษ A4 ตารางที่ 2.2 : เปรียบเทียบกลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชC3C4และCAM
ข้อเปรียบเทียบ พืชC3 พืชC4 CAM
ขัน้ ประเมิน ตัวอย่างพืช พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชกลุ่ม crussulacean
ตรวจสอบผล และใบเลี้ยงคู่ทั่วไป เขตร้อน เช่น ข้าวโพด เช่น กระบองเพชร
เช่น ต้นมะม่วง สับปะรด
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5
เลม 1 ตําแหน่งของแพลิเซด- เรียงเป็นชั้นในแนวตั้ง ล้อมรอบมัดท่อลําเลียง -
มีโซฟิลล์ ฉากกับเอพิเดอร์มิส
2. ตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question ด้านบน
3. ตรวจใบงาน เรือ่ ง กลไกการตรึงแกสคารบอน- ลักษณะบันเดิลชีท ไม่มีคลอโรพลาสต์ มีคลอโรพลาสต์ ไม่มีบันเดิลชีท
ไดออกไซดของพืช CAM จํานวนครั้งในการตรึง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง
4. ประเมินแผนพับ โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน CO2
5. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช ตําแหน่งที่มีการตรึง มีโซฟิลล์ ครั้งที่ 1 มีโซฟิลล์ ครั้งที่ 1 มีโซฟิลล์
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล CO2 ครั้งที่ 2 บันเดิลชีท ครั้งที่ 2 มีโซฟิลล์
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ สารที่ใช้ตรึง CO2 RuBP ครั้งที่ 1 PEP ครั้งที่ 1 PEP
ครั้งที่ 2 RuBP ครั้งที่ 2 RuBP
ประเมินสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ สารโมเลกุลแรกที่ได้ PGA (3C) OAA (4C) OAA (4C)
หลังการตรึง CO2
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
การเกิดวัฏจักรคัลวิน เกิดในทุกเซลล์ที่มี เกิดในเซลล์บันเดิลชีท เกิดในทุกเซลล์ที่มี
คลอโรพลาสต์ คลอโรพลาสต์
Topic
Question
ค�าชี้แจง:ให้นักเรียนตอบคําถามต่อไปนี้
1. พืช C4 และพืช CAM มีกลไกการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศแตกต่างกันอย่างไร
2. เพราะเหตุใดพืช CAM จึงจําเป็นต้องตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลากลางคืน
3. สารประกอบคาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกของพืช CAM คืออะไร
4. พืช CAM สังเคราะห์กรดมาลิกแล้วลําเลียงไปสะสมที่ใด ซึ่งแตกต่างกับพืช C4 หรือไม่ อย่างไร
5. หากเปรียบเทียบระหว่างพืช C3 กับพืช CAM พืชชนิดใดมีอัตราการเกิดโฟโตเรสไพเรชัน
ที่มากกว่า เพราะเหตุใด
98
ชื่อ–สกุล
ของนักเรียน
การแสดง
ความคิดเห็น
การยอมรับฟัง
คนอื่น
การทางาน
ตามที่ได้รับ
มอบหมาย
ความมีน้าใจ
การมี
ส่วนร่วมในการ
ปรับปรุง
ผลงานกลุ่ม
รวม
15
โดยตรง ซึง่ แตกตางกับคารบอนไดออกไซดทเี่ ขาสูว ฏั จักรคัลวินของพืช
CAM ซึ่งไดมาจากการสลายตัวของกรดมาลิก
คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่่ากว่า 8 ปรับปรุง
T108
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ปจจัยใดบางทีม่ ผี ลตอ 5. ปจ จัยบางประการทีม่ ผี ลตออัตรา 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
การสังเคราะหดว ยแสง การสังเคราะห์ดว้ ยแสง 2. ครูถามคําถามทบทวนความรูเ ดิมของนักเรียน
ของพืช แลวใหนกั เรียนเขียนสมการสังเคราะหดว ยแสง
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชมีความสําคัญอย่างมาก 3. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน แลวให
เพราะไม่เพียงแต่ผลิตอาหารให้แก่ผู้บริโภค แต่ยังเป็นการลด
แตละกลุมรวมกันวิเคราะหวา ปจจัยใดที่มีผล
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิม่ แก๊สออกซิเจนให้แก่ระบบนิเวศอีกด้วย ดังนัน้ การศึกษาเกีย่ วกับ
ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการสังเคราะห์ดว้ ยแสงจึงมีความสําคัญ จากการศึกษา พบว่า อัตราการสังเคราะห์ ตอการสังเคราะหดวยแสงบาง
ด้วยแสงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ 4. ครูเปดเพลงแลวใหแตละกลุมสงลูกบอลไป
เรื่อยๆ จนกวาครูจะปดเพลง ลูกบอลอยูที่
5.1 แสงและความเข้มของแสง กลุมใด ใหกลุมนั้นตอบคําถาม
แสงที่ส่องมายังโลกมีปริมาณแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตําแหน่งบนพื้นโลกและฤดูกาล 5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวา ปจจัยที่
แสงบางส่วนจะถูกดูดและสะท้อนโดยบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก แสงที่สามารถผ่านบรรยากาศมา มีผลตอการสังเคราะหดวยแสง ไดแก แสง
กระทบผิวใบนัน้ พืชสามารถดูดกลืนไว้ได้เพียงร้อยละ 40 และยังมีบางส่วนทีเ่ กิดการสะท้อนกลับ ซึง่ และความเข ม ของแสง ความเข ม ของแก ส
พืชแต่ละชนิดต้องการแสงทีม่ คี วามเข้มทีแ่ ตกต่างกัน บางชนิดเจริญได้ดใี นทีร่ ม่ บางชนิดเจริญได้ดี คารบอนไดออกไซด อุณหภูมิ อายุใบ ปริมาณนํา้
ในที่โล่งแจ้ง และธาตุอาหาร
B iology
Focus พืชในร่มและพืชกลางแจ้ง
พืชในร่ม (indoor plants) เป็นพืชที่
ต้องการความเข้มของแสงตํ่า นิยมปลูกในที่ร่ม
บริเวณที่มีแสงรําไร ซึ่งเป็นบริเวณที่ส่งผลให้
พืชมีการสังเคราะห์ด้วยแสงดี อย่าให้ถูกแดดจัด
เพราะจะทําให้ใบไหม้และตายได้ เช่น เฟิรน์ ต่าง ๆ
สาวน้อยประแป้ง บอนสี ภาพที่2.44 สาวน้อยประแป้ง
พืชกลางแจ้ง (outdoor plants) เป็น ที่มา : คลังภาพ อจท.
พืชที่ต้องการความเข้มของแสงสูง เช่น บริเวณ
กลางแจ้ง หรือบริเวณที่มีแสงแดดจัด เนื่องจาก
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชจะเกิด
ขึ้ น ได้ ดี เช่ น กุ ห ลาบ เข็ ม ยี่ โ ถ ดาวเรื อ ง
ดาวกระจาย ชวนชม เฟองฟ้า
ภาพที่2.45 ดาวกระจาย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
T109
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนกั เรียนศึกษาหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 • การตีความหมายข้อมูลและ
เกีย่ วกับแสงและความเขมของแสงมีผลอยางไร ความเข้มของแสง ลงข้อสรุป
จิตวิทยาศาสตร์
ตอกระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพืช • ความสนใจใฝ่รู้
วิธปี ฏิบตั ิ
1. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับความเข้มของแสงที่มีผลต่ออัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิของต้นอ้อย ข้าว
และมะม่วงในช่วง 0-2,000 μmol m-2 s-1
2. บันทึกข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นเป็นกราฟโดยให้แกนนอน คือ ความเข้มของแสง (μmol m-2 s-1) และ
แกนตั้ง คือ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิ (μmol m-2 s-1)
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม 3. วิเคราะห์ข้อมูลจากกราฟและอภิปรายผลกิจกรรม
1. ความเขมของแสงที่เพิ่มขึ้น สงผลใหอัตราการ
สังเคราะหดวยแสงเพิ่มขึ้น ?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
2. อั ต ราการตรึ ง คาร บ อนไดออกไซด สุ ท ธิ เ ป น 1. ความเข้มของแสงมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชอย่างไร
ลบ เนื่องจากกระบวนการหายใจมีมากกวา 2. ในที่ไม่มีแสง อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชทั้ง 3 ชนิดเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
อั ต ราการตรึ ง คาร บ อนไดออกไซด เ พื่ อ ใช 3. ไลต์คอมเพนเซชันพอยต์คืออะไร
ในการสังเคราะหดวยแสง 4. จากกราฟไลต์คอมเพนเซชันพอยต์ของต้นอ้อย ข้าว และมะม่วงมีค่าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
3. จุดความเขมแสงทีท่ าํ ใหอตั ราการตรึงคารบอน- 5. จุดอิ่มตัวคืออะไร
ไดออกไซดสุทธิเปนศูนย เนื่องจากอัตราการ 6. จากกราฟจุดอิ่มตัวของแสงของต้นอ้อย ข้าว และมะม่วงมีค่าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
ปล อ ยคาร บ อนไดออกไซด จ ากกระบวนการ
หายใจเทากับอัตราการตรึงคารบอนไดออกไซด 100
จากกระบวนการสังเคราะหดวยแสง
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ใหแตละกลุม สงตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอผล
ที่ไดจากการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
อภิปรายผลกิจกรรม 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
จากการสืบค้นข้อมูลสามารถเขียนกราฟได้ ดังนี้ 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
35 อ้อย ทํากิจกรรม
30
อัตราการตรึง CO2 สุทธิ (μmol m-2 s-1)
25
20 ข้าว
15
10
มะม่วง
5
0
-5 500 1,000 1,500 2,000
ความเข้มของแสง (μmol ของโฟตอน m-2 s-1)
ภาพที่2.46 ผลของความเข้มข้นของแสงต่ออัตราการตรึง CO2 ของต้นอ้อย ข้าว และมะม่วง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
จากกราฟ พบว่า พืชทั้ง 3 ชนิดมีอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิต่างกัน แม้ว่าความเข้มแสง
จะเท่ากัน เมื่อความเข้มแสงสูง พืชจะมีอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิสูงเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่า 4. ไลตคอมเพนเซชันพอยตของตนออยและขาว
ในบริเวณที่ที่ไม่มีแสงอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจะเป็นลบ เนื่องจากคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อย มีประมาณเทากัน คือ 30 ไมโครโมลโฟตอน
ออกมาจากกระบวนการหายใจมีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ทใี่ ช้ในการตรึง โดยไลต์คอมเพนเซชันพอยต์ (light ตอเมตรวินาที สวนไลตคอมเพนเซชันพอยต
compensation point) คือ จุดตัดของเส้นกราฟบนแกนนอน เมื่อความเข้มของแสงเพิ่มขึ้นจนกระทั่งอัตรา ของมะมวงประมาณ 100 ไมโครโมลโฟตอน
การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากกระบวนการหายใจเท่ากับอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อใช้ใน ตอเมตรวินาที
กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง เรียกค่าความเข้มของแสงนีว้ า่ ไลต์คอมเพนเซชันพอยต์ (light compensation 5. จุดที่เมื่อเพิ่มความเขมของแสงแลวอัตราการ
point) ซึ่งเป็นจุดตัดของเส้นกราฟบนแกนนอน จะเห็นว่าพืชทั้ง 3 ชนิดมีค่านี้แตกต่างกัน โดยมะม่วงซึ่งเป็น
พืช C3 จะมีค่าไลต์คอมเพนเซชันพอยต์มากกว่าอ้อยซึ่งเป็นพืช C4 ตรึงคารบอนไดออกไซดสทุ ธิจะไมเพิม่ ขึน้
เมือ่ ให้ความเข้มของแสงเพิม่ ขึน้ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สทุ ธิจะเพิม่ ขึน้ และเมือ่ เพิม่ ความเข้ม 6. จากกราฟ ออยมีจุดอิ่มตัวของแสงประมาณ
ของแสงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจะไม่เพิ่มขึ้น เรียกค่าความเข้ม 1,500 ไมโครโมลโฟตอนตอเมตรวินาที ขาวมี
ของแสง ณ จุดนี้ว่า จุดอิ่มตัวของแสง (light saturation point) ซึ่งพืชส่วนใหญ่จะมีจุดอิ่มตัวของแสงในช่วง จุดอิม่ ตัวของแสงมากกวา 2,000 ไมโครโมลโฟ-
แสงประมาณ 300-1,000 ของโฟตอน (m-2 s-1) และจากกราฟจะเห็นว่า พืช C4 มีจุดอิ่มตัวของแสงมากกว่า ตอน แตการทดลองนีข้ า วมีความเขมแสงเพียง
พืช C3 2,000 ไมโครโมลโฟตอนตอเมตรวินาที สวน
มะมวงนาจะมีจดุ อิม่ ตัวของแสงประมาณ 1,500
ไมโครโมลโฟตอนตอเมตรวินาที เนือ่ งจากอัตรา
การสังเคราะห์ 101 การสังเคราะหดว ยแสงของพืชเปลีย่ นแปลงไป
ด้วยแสง
ตามความเขมของแสงในแตละวัน
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดเปนขอสรุปที่ไดจากกราฟ 35 อ้อย
1. ไลตคอมเพนเซชันพอยตของออยมีคา สูงกวามะมวง 30
อัตราการตรึง CO2 สุทธิ
25
(μmolm-2 s-1)
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม 4 คน ทํ า กิ จ กรรม • การสังเกต
การวัดอัตราการสังเคราะหด้วยแสงของพืชที่ความ
การวัดอัตราการสังเคราะหดวยแสงของพืชที่ เข้มของแสงต่าง ๆ
• การทดลอง
• การคํานวณ
ความเขมของแสงตางๆ โดยสมาชิกในกลุมมี จิตวิทยาศาสตร์
บทบาทและหนาที่ของตนเอง ดังนี้ จุดประสงค์ • ความรอบคอบ
102
T112
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ใส่นาํ้ จนเต็มหลอดทดลอง แล้วควํา่ หลอดทดลอง 4. วางให้โคมไฟให้อยู่ห่างจากสาหร่ายหางกระรอก 1. ใหแตละกลุม สงตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอผล
ให้ครอบก้านกรวยแก้ว (ระวังอย่าให้เกิดฟอง 100 เซนติเมตร เปิดไฟตั้งทิ้งไว้ 3-10 นาที การทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน
อากาศขึ้นในหลอดทดลอง) นับจํานวนฟองอากาศที่เกิดขึ้นจากการทดลอง 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
ในเวลา 1 นาที และบันทึกลงในสมุดบันทึก กิจกรรม
3. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
100 cm
5. ปฏิบตั เิ หมือนข้อ 4.- 5. แต่เลือ่ นโคมไฟให้อยูห่ า่ ง 6. เขียนกราฟ โดยให้ความเข้มแสงเป็นแกนนอน
จากสาหร่ายหางกระรอกในระยะ 50 25 และ 12.5 และจํานวนฟองอากาศเป็นแกนตั้ง
เซนติเมตร ตามลําดับ
ภาพที่2.47 การวัดอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ที่ความเข้มแสงต่าง ๆ กัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. การเลือ่ นโคมไฟให้อยูใ่ นตําแหน่งทีแ่ ตกต่างกันมีผลต่อความเข้มของแสงทีส่ าหร่ายหางกระรอกได้รบั อย่างไร
2. ความเข้มของแสงมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงหรือไม่ อย่างไร
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม
1. ระยะหางโคมไฟมาก ความเขมแสงจะนอย
จากกิจกรรม พบว่า เมื่อวางหลอดไฟห่างจากสาหร่ายหางกระรอกในระยะ 100 เซนติเมตร (ความเข้ม ในทางกลับกันระยะหางโคมไฟนอย ความเขม
ของแสงน้อย) จะนับฟองอากาศในหลอดทดลองได้นอ้ ยทีส่ ดุ แต่เมือ่ ขยับหลอดไฟเข้าใกล้สาหร่ายหางกระรอก
เพิม่ มากขึน้ (ความเข้มของแสงเพิม่ ขึน้ ) จะนับฟองอากาศได้มากขึน้ ดังนัน้ ความเข้มของแสงจึงมีผลต่ออัตรา ของแสงจะเพิม่ ขึน้
การสังเคราะห์ด้วยของพืช 2. มีผล เนือ่ งจากถาเพิม่ ความเขมของแสงมากขึน้
อัตราการสังเคราะหดว ยแสงจะเพิม่ ขึน้ แตจะ
การสังเคราะห์ 103 เพิม่ ขึน้ ไดระดับหนึง่ เมือ่ เพิม่ ความเขมของแสง
ด้วยแสง
อัตราการสังเคราะหดว ยแสงจะไมเพิม่ ขึน้ แตจะ
มีคา คงที่
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเกริน่ นําวา ความเขมของคารบอนไดออกไซด 5.2 ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์
ในอากาศเป น อี ก ป จ จั ย หนึ่ ง ที่ มี ผ ลต อ การ คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
สังเคราะหดวยแสง กล่าวคือ ถ้าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ตาํ่ มาก พืชจะสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้นอ้ ย แต่หาก
2. ใหนักเรียนบันทึกกราฟความเขมของแสงตอ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้น พืชจะสามารถตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ได้
อัตราการตรึงคารบอนไดออกไซดของตนขาว มากขึ้นการสังเคราะห์ด้วยแสงก็จะเกิดมากขึ้นด้วย
ขาวโพด และออย ถ้าอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงน้อยกว่าอัตรา
3. ครูมอบหมายใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการหายใจ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิ
ความเขมขนของคารบอนไดออกไซดในอากาศ จะเป็นลบ แต่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ไปถึงระดับหนึ่งที่ทําให้อัตราการตรึง
มีผลตอการตรึงคารบอนไดออกไซดของตน คาร์บอนไดออกไซด์ดว้ ยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงเท่ากับอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ขาว ขาวโพด และออยอยางไร ใหนักเรียน จากกระบวนการหายใจ เรียกความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ณ จุดนีว้ า่ คาร์บอนไดออกไซด์-
บันทึกผลลงในกระดาษกราฟ คอมเพนเซชันพอยต์ (carbondioxide compensation point) โดยเป็นจุดตัดของเส้นกราฟ
4. ครูใหนักเรียนเปรียบเทียบระหวางกราฟความ บนแกนนอน ซึ่งเป็นจุดที่พืชมีอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเท่ากับศูนย์
เขมของแสงกับความเขมขนของคารบอน- เมื่อความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง อัตราการตรึง
ไดออกไซดที่มีผลตออัตราการตรึง CO2 สุทธิ คาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจะไม่เพิ่มขึ้น เรียกค่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ณ จุดนี้ว่า
ของตนขาว ขาวโพด และออย
จุดอิ่มตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ (carbondioxide saturation point)
45
ข้าว
ข้าวโพด
อัตราการตรึง CO2 สุทธิ (μmol m-2 s-1)
35
อ้อย
25
15
104
T114
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
จากภาพ ข้าวโพดและอ้อยซึ่งเป็นพืช C4 จะมีคาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชันพอยต์ที่ 1. ครูสมุ เรียกนักเรียน 2-3 คน โดยครูใหนกั เรียน
ระดับตํา่ กว่าข้าวซึง่ เป็นพืช C3 เนือ่ งจากพืช C4 มีกลไกเพิม่ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ใน โยนลูกบอลยางตอไป จนกระทั่งครูนับเลข
เซลล์บนั เดิลชีท ทําให้การสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์โดยกระบวนการโฟโตเรสไพเรชันมีนอ้ ยมาก 1-10 หากบอลยางอยู ที่ นั ก เรี ย นคนใดให
อย่างไรก็ตาม ในสภาพที่มีออกซิเจนน้อย โฟโตเรสไพเรชันในพืช C3 เกิดขึ้นได้น้อย ทําให้ค่าของ นักเรียนคนนั้นลุกขึ้นตอบคําถาม
คาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชันพอยต์ระหว่างพืช C3 และพืช C4 มีความแตกต่างกันน้อยมาก ตัวอยางคําถาม มีดังนี้
นอกจากนี้ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิในพืช C4 (ข้าวโพดและอ้อย) จะเข้าสู่ ï• คารบอนไดออกไซดคอมเพนเซชันพอยต
ช่วงระยะอิ่มตัวที่ระดับตํ่ากว่าพืช C3 (ข้าว) เนื่องจากที่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ใน ของพืชแตละชนิดเปนอยางไร
บรรยากาศระดับปกติ (ความเข้มข้นประมาณ 350 ppm) พืช C4 H. O. T. S. (แนวตอบ ขาวโพดและออยซึ่งเปนพืช C4 มี
จะมีกลไกเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเซลล์ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง คารบอนไดออกไซดคอมเพนเซชันพอยตที่
บันเดิลชีทได้ดีจนเอนไซม์รูบิสโกทํางานได้ดี จึงทําให้อัตราการ เพราะเหตุใด ตํ่ากวาขาวซึ่งเปนพืช C3)
ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเข้าสู่ระยะอิ่มตัวทําให้กราฟเริ่มจะ พืเซลล์
ช เCยือ่ 3บุ จึขา้ งงแก้
มี ม ï• จุดอิ่มตัวของคารบอนไดออกไซดของพืช
คงที่ ในขณะที่เอนไซม์รูบิสโกของพืช C3 ต้องการความเข้มข้น จุดอิ่มตัวของ
แตละชนิดเปนอยางไร
ของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศสูงถึง 850 ppm จึงจะ คาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่า
(แนวตอบ จุดอิ่มตัวของคารบอนไดออกไซด
ทําให้อตั ราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สทุ ธิเข้าสูช่ ว่ งระยะอิม่ ตัว พืช C4
ของข า วโพดสู ง กว า อ อ ยและข า ว ตาม
5.3 อุณหภูมิ ลํ า ดั บ ดั ง นั้ น พื ช C 4 มี จุ ด อิ่ ม ตั ว ของ
โดยทัว่ ไปอัตราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงจะเพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ และจะมากทีส่ ดุ เมือ่ ถึงอุณหภูมหิ นึง่ คารบอนไดออกไซดตํ่ากวาพืช C3)
ซึ่งถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นกว่านี้ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดตํ่าลงตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายกราฟความ
เพราะเอนไซม์ทาํ งานได้ดใี นช่วงอุณหภูมทิ เี่ หมาะสม หากอุณหภูมสิ งู เกินไปเอนไซม์จะเสือ่ มสภาพ เขมขนของคารบอนไดออกไซดในอากาศที่มี
ทําให้ประสิทธิภาพในการทํางานของเอนไซม์ลดลง ผลตอการตรึงคารบอนไดออกไซดสุทธิของ
เมื่ออุณหภูมิสูงถึงระดับหนึ่งจะมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง ดังนี้ ตนขาว ขาวโพด และออย
1. อัตราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงลดลง เนือ่ งจากอัตราการหายใจ และอัตราโฟโตเรสไพเรชัน
เพิ่มขึ้น ทําให้อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
1
ลดลง
2. เมือ่ อุณหภูมสิ งู จะทําให้เอนไซม์ทเี่ กีย่ วข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงเสียสภาพ แนวตอบ H.O.T.S.
ไป อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจึงลดลง พื ช C 4 มี ก ลไกเพิ่ ม ความเข ม ข น ของ
3. เมือ่ อุณหภูมสิ งู หรือตํ2า่ กว่าอุณหภูมทิ เี่ หมาะสมต่อการสังเคราะห์ดว้ ยแสงมาก ๆ จะส่งผล คารบอนไดออกไซดในเซลลบันเดิลชีท ทําให
ให้สมบัติการเป็นเยื่อเลือกผ่านของเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์ต่าง ๆ ที่จําเป็นต่อกระบวนการสังเคราะห์
เอนไซมรูบิสโกของพืช C4 ทํางานไดดีกวา สงผล
ด้วยแสงสูญเสียความสามารถในการทํางาน ทําให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงลดลง
ใหอัตราการตรึงคารบอนไดออกไซดสุทธิเขาสู
ระยะอิม่ ตัว ประมาณ 350 ppm ในขณะทีเ่ อนไซม
รู บิ ส โกของพื ช C 3 ต อ งการความเข ม ข น ของ
การสังเคราะห์ 105
คารบอนไดออกไซดในบรรยากาศสูงถึง 650 ppm
ด้วยแสง
จึงจะทําใหอตั ราการตรึงคารบอนไดออกไซดสทุ ธิ
เขาสูชวงระยะอิ่มตัว
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูถามคําถามทบทวนความรูเ ดิมวา ปจจัยทีม่ ี เมื่อศึกษาเปรียบเทียบถึงผลของอุณหภูมิตออัตราการ Biology
ผลตอกระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพืช สังเคราะหดวยแสงในพืช C3 และพืช C4 พบวา พืช C3 สามารถ in real life
ไดแกอะไรบาง สังเคราะหดวยแสงไดในชวงอุณหภูมิ 1 - 45 Cํ และสังเคราะห ปจจุบันโลกมีสภาพแวดลอม
ที่แปรปรวนอยูตลอดเวลา ซึ่ง
(แนวตอบ แสงและความเขมของแสง ความ ดวยแสงไดดีที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 25 ํC สวนพืช C4 สามารถ ส ง ผลกระทบต อ กระบวนการ
เขมขนของคารบอนไดออกไซด อุณหภูมิ อายุใบ สังเคราะหดวยแสงไดในชวงอุณหภูมิ 8-58 Cํ และสังเคราะห สั ง เคราะห ด ว ยแสงของพื ช
ปริมาณนํ้าที่พืชไดรับ ธาตุอาหาร) ดวยแสงไดดีที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 35 Cํ จากคาชวงอุณหภูมิ ดั ง นั้ น เรื อ นเพาะชํ า จึ ง เป น
สถานที่ ที่ ม นุ ษ ย ส ร า งขึ้ น เพื่ อ
2. ใหนักเรียนศึกษาและสืบคนขอมูลในหนังสือ ที่สังเคราะหดวยแสงได และชวงอุณหภูมิที่เหมาะสมของพืช
ควบคุมสภาพแวดลอมเหลานี้
เรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 C4 จะสูงกวาพืช C3 นั่นคือ พืช C3 สามารถเจริญเติบโตไดดีใน เชน เรือนเพาะชําแบบ cold-
3. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม โดยให เขตหนาว เขตอบอุนและเขตรอน สวนพืช C4 สามารถเจริญ frame หรื อ sunframe ที่
เติบโตไดดใี นเขตอบอุน เขตรอน และเขตรอนจัด เชน ทะเลทราย สามารถควบคุมอุณหภูมภิ ายใน
ตัวแทนกลุมออกมาจับสลากหมายเลข 1-4 โรงเรือนใหเหมาะสมกับพืช
โดยแตละหมายเลขใหแตละกลุมศึกษาหัวขอ
ตอไปนี้
- หมายเลข 1 ศึกษา อุณหภูมิ
- หมายเลข 2 ศึกษา อายุใบ อัตราการสังเคราะหดวยแสง
- หมายเลข 3 ศึกษา ปริมาณนํ้าที่พืชไดรับ
- หมายเลข 4 ศึกษา ธาตุอาหาร พืช C4
พืช C3
20 40 60
อุณหภูมิ (oC)
ภาพที่ 2.49 ผลของอุณหภูมิตอการสังเคราะหดวยแสงของพืช C3 และ C4
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1
นอกจากนีย้ งั พบวาพืชเศรษฐกิจอายุสนั้ เชน ขาวโพด ฝาย H. O. T. S.
คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ถั่วเหลือง เปนตน ซึ่งเจริญไดดีในภูมิอากาศเขตรอน ตองการ
อุณหภูมิที่เหมาะสมตอการสังเคราะหดวยแสงสูงกวาพืชที่เจริญ หากนําสตรอว-
เซลลเยืรอ่ ีไบุปปลู
เบอร ขา งแกกมที่
แนวตอบ H.O.T.S. เติบโตในเขตหนาว เชน มันฝรั่ง ขาวสาลี ประเทศอี ยิ ป ต
สตรอวเบอรรีไมเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด จะเปนอยางไร
เนื่องจากอุณหภูมิไมเหมาะสมตอการทํางานของ
เอนไซม ซึ่ ง เกี่ ย วข อ งกั บ การสั ง เคราะห ด ว ยแสง
สงผลใหสตรอวเบอรรีไมสามารถสรางอาหารและ 106
เจริญเติบโตได โดยอุณหภูมิเฉลี่ยที่เหมาะสมควร
อยูในชวงประมาณ 17-20 องศาเซลเซียส
T116
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
5.4 อายุใบ 1. ใหนักเรียนแตละกลุมสรุปเนื้อหาตามหัวขอที่
ใบพืชทีเ่ จริญเติบโตเต็มทีจ่ ะมีความสามารถในการสังเคราะห์ดว้ ยแสงสูงกว่าใบพืชทีแ่ ก่หรือ กลุมตนเองไดรับมอบหมายลงในสมุดบันทึก
อ่อนจนเกินไป เพราะใบที่แก่เกินไปจะมีการสลายตัวของกรานุมและคลอโรฟิลล์ และใบที่อ่อน ของตนเอง
เกินไป การพัฒนาการของคลอโรฟิลล์ยังเจริญไม่เต็มที่ ทําให้การสังเคราะห์ด้วยแสงลดลง 2. ใหแตละกลุมสงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอ
หัวขอที่ตนเองไดรับหนาชั้นเรียน
5.5 ปริมาณน�้าที่พืชได้รับ 3. นักเรียนบันทึกขอมูลและสรุปใจความสําคัญ
ปริมาณนํ้าในดินและความชื้นในอากาศยังมีผลต่อการปิดเปิดปากใบของพืช ซึ่งการปิดเปิด จากการนําเสนอของเพื่อนกลุมอื่น
ปากใบจะมีผลต่อกระบวนการแพร่ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และแก๊สออกซิเจนทีแ่ พร่เข้าออก
ผ่านปากใบ ดังนั้นปริมาณนํ้าที่พืชได้รับจึงมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช อธิบายความรู้
ในกรณีทพี่ ชื ขาดนํา้ อัตราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงจะลดลง เนือ่ งจากปากใบของพืชจะปิดเพือ่ 1. ครูสุมตัวแทนนักเรียน 3-4 คน สรุปปจจัยที่มี
ลดการสูญเสียนํ้า ซึ่งทําให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์แพร่ผ่านปากใบเข้าสู่เซลล์พืชได้ยากขึ้น และ ผลตอการสังเคราะหดวยแสง
ในพืชบกทั่วไป ถ้าอยู่ในสภาพนํ้าท่วมหรือดินชุ่มไปด้วยนํ้า รากพืชขาดแก๊สออกซิเจนที่ใช้ใน 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
การหายใจ ทําให้การสร้างพลังงาน ATP ลดลง กระบวนการต่าง ๆ ที่ใช้พลังงาน ATP จะลดระดับ ศึกษาปจจัยที่มีผลตอการสังเคราะหดวยแสง
การทํางานลง มีผลทําให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงลดลงด้วย
เพื่อใหไดขอสรุปวา พืชจําเปนตองการแสง
5.6 ธาตุอาหาร ความเขมขนของคารบอนไดออกไซด อุณหภูมิ
คลอโรฟิลล์เป็นสารสีสาํ คัญทีใ่ ช้ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ซึง่ พืชนําธาตุอาหารมาใช้ ที่พอเหมาะ นอกจากนี้ อายุของใบ ปริมาณ
ในกระบวนการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ เอนไซม์ รวมทั้งสารเร่งปฏิกิริยาต่าง ๆ ดังนั้น พืชจึงจําเป็น นํ้าและธาตุอาหารที่พืชไดรับ ลวนสงผลตอ
ต้องได้รับธาตุอาหารในดินที่อยู่ในรูปของสารละลายอย่างเพียงพอ กระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพืช
สโตรมา
Fe2+
P680
ลูเมน
การสังเคราะห์ 107
ด้วยแสง
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
3. ครูทบทวนความเขาใจของนักเรียน โดยถาม ธาตุ แ มกนี เ ซี ย มและธาตุ ไ นโตรเจนมี
คําถามตอไปนี้ ความสําคัญต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
ï• อุณหภูมมิ ผี ลตอการสังเคราะหดว ยแสงของ ของพืช เพราะธาตุดงั กล่าวเป็นองค์ประกอบอยู ่
พืชอยางไร ในโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ดังนั้นถ้าในดินขาด
(แนวตอบ อุณหภูมทิ เี่ หมาะสมจะสงผลใหพชื ธาตุทงั้ สองจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการสร้าง
มีอัตราการสังเคราะหดวยแสงไดดี ซึ่งพืช สารคลอโรฟิลล์ ทําให้พชื สังเคราะห์ดว้ ยแสงลด
แตละชนิดมีอัตราการสังเคราะหดวยแสงที่ ลง นอกจากนี้ยังทําให้พืชเกิดอาการใบเหลือง
ตางกัน พืช C3 สามารถสังเคราะหดวยแสง ซีด ที่เรียกว่า คลอโรซิส (chlorosis)
ไดดีในชวงอุณหภูมิ 1-45 องศาเซลเซียส ธาตุเหล็กจําเป็นต่อการสร้างคลอโรฟิลล์
สวนพืช C4 สามารถสังเคราะหแสงไดดีใน และเป็ น องค์ ป ระกอบสํ า คั ญ ของไซโทโครม
ชวงอุณหภูมิ 8-58 องศาเซลเซียส เนือ่ งจาก คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอน
อุ ณ หภู มิ ที่ เ หมาะสมมี ผ ลต อ การทํ า งาน ถ้าในดินมีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ การสังเคราะห์
ภาพที่2.52คลอโรซิส คลอโรฟิ ล ล์ จ ะเกิ ด ขึ้ น ไม่ ไ ด้ และมี ผ ลต่ อ
ของเอนไซม ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ กระบวนการ ที่มา : คลังภาพ อจท.
สังเคราะหดวยแสง) กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ï• อายุของใบมีผลตอการสังเคราะหดวยแสง ธาตุแมงกานีสและธาตุคลอรีนจําเป็นต่อกระบวนการแตกตัวของนํ้าในปฏิกิริยาโฟโตไลซิส
ของพืชอยางไร ซึ่งมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเช่นกัน นอกจากนี้ธาตุแมงกานีสยังเป็นตัวเร่ง
(แนวตอบ ใบทีเ่ จริญเต็มทีจ่ ะมีความสามารถ การทํางานของเอนไซม์หลายชนิดที่มีบทบาทในการสังเคราะห์ด้วยแสงด้วย
ในการสังเคราะหดวยแสงสูงกวาใบพืชที่แก Topic
หรือออนเกินไป เนื่องจากออรแกเนลลที่อยู Question
ภายในใบที่แกจะเริ่มเสื่อมลง สวนใบที่ออน ค�าชี้แจง:ให้นักเรียนตอบคําถามต่อไปนี้
เกินไป การพัฒนาของเซลลและสารบางชนิด 1. ความเข้มของแสงมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชอย่างไร
ยังไมสมบูรณ) 2. จงเปรียบเทียบไลต์คอมเพนเซชันพอยต์ และคาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชันพอยต์ของพืช C3 และ
C4
ขยายความเขาใจ 3. จงเปรียบเทียบจุดอิ่มตัวของแสงและคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช C3 และ C4
1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา 4. อุณหภูมิมีผลต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชอย่างไร
ม.5 เลม 1 5. จงยกตัวอย่างผลกระทบจากกรณีที่พืชได้รับนํ้าไม่เพียงพอมาอย่างน้อย 2 ตัวอย่าง
2. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question 6. ธาตุอาหารใดบ้างที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
7. คลอโรซิสที่เกิดขึ้นกับพืชเป็นอย่างไร และเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
108
T118
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
Biology 3. ใหนักเรียนศึกษา Biology in real life เรื่อง
in real life ปรากฏการณขี้ปลาวาฬ ปรากฏการณขี้ปลาวาฬ แลวใหนักเรียนทํา
ทะเลเป็นแหล่งท่องเทีย่ วและเป็นสถานที่ใช้ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ปัจจุบนั พบว่า ผังสรุปวาปรากฏการณนี้มีความเกี่ยวของกับ
ในแต่ละปีทะเลมีปริมาณขยะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องมาจากการกระทําของมนุษย์ เช่น การปล่อยสิ่งปฏิกูล
การทิ้งเศษอาหาร สิ่งเหล่านี้เป็นการเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ให้กับนํ้า ซึ่งเป็นสารตัง้ ต้น
กระบวนการสังเคราะหดวยแสงอยางไร
ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช ส่งผลให้เกิดมลภาวะและปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ตามมา 4. ใหนกั เรียนทํา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความ
ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (red tide) หรือ เขาใจของตนเอง
ปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง (algal bloom) 5. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ประจํ า หน ว ยการ
เป็ น ปรากฏการณ์ ที่ มี ส าเหตุ ม าจากปริ ม าณ เรียนรูที่ 2
คาร์บอนไดออกไซด์ ในนํ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทําให้ 6. ใหนกั เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวยการ
จุลินทรีย์หรือแพลงก์ตอนพืชในทะเลมารวม
เรียนรูที่ 2
กลุ่มกันเป็นจํานวนมาก ซึ่งแพลงก์ตอนพืชเป็น
สิ่ ง มี ชี วิ ต เซลล์ เ ดี ย วที่ มี ลั ก ษณะคล้ า ยพื ช
สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ เนื่องจากมีสารสี ขัน้ สรุป
หรือรงควัตถุชนิดต่าง ๆ เช่น คลอโรฟิลล์เอและ ภาพที่2.53นํ้าทะเลสีแดง ตรวจสอบผล
ซี มักมีสีเหลือง เขียว นํ1้าตาลหรือแดง ที่มา : คลังภาพ อจท.
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการสังเคราะห
ไดโนแฟลเจลเลตเป็นแพลงก์ตอนพืชเมื่อเจริญมากขึ้นจะทําให้นํ้าทะเลเปลี่ยนเป็นสีแดง
และสร้างสารพิษทีส่ ง่ ผลกระทบต่อระบบประสาท นอกจากนี้ในระหว่างการเพิม่ จํานวนของแพลงก์ตอน
ดวยแสง แลวใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ
พืช ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในนํา้ จะไม่เพียงพอ ทําให้เกิดกระบวนการโฟโตเรสไพเรชันมากกว่า 5-6 คน ทํารายงาน เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอการ
กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง เสมือนเป็นการแย่งออกซิเจนจากสัตว์นาํ้ ทําให้สตั ว์นาํ้ ตายเป็นจํานวน สังเคราะหดวยแสงของพืช แลวนําเสนอใน
มาก แต่ในทางกลับกันอัตราการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืชจะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิด รูปแบบที่สวยงาม
ปรากฏการณ์นี้ จึงไม่ควรทิ้งขยะ เศษอาหาร หรือสิ่งปฏิกูลลงในนํ้า รวมไปถึงการทํากิจกรรมใด ๆ
ที่ส่งผลให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในนํ้าสูงขึ้น
ภาพที่2.54ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ
ที่มา : http://saintpetersblog.com
การสังเคราะห์ 109
ด้วยแสง
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
2. ครูถามคําถามนักเรียน แลวใหนักเรียนตอบ
Summary
คําถามลงในสมุดบันทึก ดังนี้ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง
ï• นํ้ามีผลตอการสังเคราะหดวยแสงของพืช
อยางไร การค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะหด้วยแสง
(แนวตอบ นํ้ามีผลตอการเปด-ปดของปากใบ พ.ศ. 2100
หากพืชขาดนํา้ อัตราการสังเคราะหดว ยแสง
จะลดลง เนื่องจากปากใบพืชจะปด เพื่อ พ.ศ. 2191 ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์: ทดลองปลูกต้นหลิวและพบว่านํ้าหนักของต้นหลิวที่เพิ่มขึ้น
มาจากนํ้า
รักษาสมดุลนํ้าในรางกายพืช) พ.ศ. 2200
ï• ธาตุอาหารชนิดใดมีผลตอการสังเคราะห
ดวยแสงของพืช จงยกตัวอยาง พ.ศ. 2300 พ.ศ. 2315 โจเซฟพริสต์ลีย์ : พืชสามารถเปลี่ยนอากาศเสียให้กลับมาเป็นอากาศดีได้
(แนวตอบ ธาตุแมกนีเซียมเปนองคประกอบ พ.ศ. 2322 แจนอินเก็นฮูซ: พิสูจน์ให้เห็นว่าคํากล่าวของพริสต์ลีย์จะได้ผลก็ต่อเมื่อพืชได้รับแสงสว่าง
สําคัญในสารประกอบคลอโรฟลล ธาตุเหล็ก พ.ศ. 2347
เท่านั้น
นิโคลาสทีโอดอร์เดอโซซูร์: พืชมีการดูด CO2 ไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และ
เปนองคประกอบสําคัญของระบบแสง II) นํ้าหนักของพืชที่เพิ่มขึ้นบางส่วนเป็นนํ้าหนักของนํ้าที่พืชได้รับ
พ.ศ. 2400 พ.ศ. 2405 จูเลียส ซาซ : สารอินทรีย์ที่พืชสังเคราะห์ขึ้นมา คือ แป้ง ซึ่งต่อมาเรียกกระบวนการสร้าง
อาหารของพืชที่อาศัยแสงนี้ว่า กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
พ.ศ. 2473 แวนนีล : การสังเคราะห์ด้วยแสงของแบคทีเรียน่าจะคล้ายกับการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
พ.ศ. 2475 ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองของแซม รูเบน และมาร์ติน คาเมน
โรบิน ฮิลล์ : ปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสงมี 2 ขั้นตอนใหญ่ คือ ขั้นที่ปล่อย O2 กับ
ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับ CO2
พ.ศ. 2494 แดเนียลอาร์นอน : เกิดแนวคิดว่าขั้นตอนการสังเคราะห์ด้วยแสงแบ่งออกเป็น ปฏิกิริยาที่ต้อง
พ.ศ. 2500 ใช้แสงและปฏิกิริยาที่ไม่ใช้แสง
กระบวนการสังเคราะหด้วยแสง
โครงสร้างของคลอโรพลาสต์ สารสีในปฏิกิริยาแสง
เยื่อหุ้มชั้นนอก เยื่อหุ้มชั้นใน • คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียว พบในพืชและ
ลูเมน สาหร่าย คลอโรฟิลล์มี 4 ชนิด คือ คลอโร-
ฟิลล์เอ บี ซี และดี
• แคโรทีนอยด์ พบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่
สังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ ประกอบด้วยแคโรทีน
ไทลาคอยด์
กรานุม และแซนโทฟิลล์
สโตรมา • ไฟโคบิ
1 ลนิ เป็
เป็นสารสีทมี่ อี ยูเ่ ฉพาะในสาหร่าย
สีแดง และไซยาโนแบคทีเรีย ประกอบด้วย
สโตรมาลาเมลลา ไฟโคไซยานิน และไฟโคอีรที ริน
• แ บคเทอริ โ อคลอโรฟิ ล ล์ สารสี เ ขี ย วที่ มี
ภาพที่2.55 โครงสร้างของคลอโรพลาสต์ แคโรทีนอยด์หุ้มอยู่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
110
ไมมีระยะที่มีแฟลเจลลาในวัฏจักรของชีวิต มีเม็ดสี phycoerythrin ซึ่งเปนสาร อยูใ น PGA และ RuBP พบวา ปริมาณของ PGA RuBP
ในกลุมเดียวกับสาหรายสีนํ้าเงินแกมเขียว โดยสาหรายสีแดงจะพบตามชายฝง เพิม่ ขึน้ สวน RuBP ลดลง แตเมือ่ ดูด 14CO2 ออก มีแสง ไมมีแสง
ดูด CO2 ณ ที่จุดนี้
ทะเลเขตรอน แตบางชนิดอยูในนํ้าจืด รูปรางของสาหรายสีแดงสวนมากจะเปน ไป ไดผลดังภาพ ขอใดสรุปถูกตองทีส่ ดุ
เสนยาวๆ แบบ ffii ilaments ทีแ่ ตกกิง่ กานสาขา สวนฐานจะยึดเกาะกับวัตถุได ซึง่ 1. PGA เปลี่ยนเปนสารอื่น
เซลลสืบพันธุของสาหรายสีแดงจะไมมีแฟลเจลลาอาศัยกระแสนํ้าเปนตัวพาไป 2. RuBP เปลี่ยนเปนสารอื่น
ใหเกิดการปฏิสนธิ 3. RuBP ไมตอ งมี CO2 ก็เปลีย่ นเปนสารอืน่ ได
4. PGA ไดรับ CO2 เทานั้น จึงเปลี่ยนเปนสารอื่น
5. RuBP จะเปลี่ยนเปนสารอื่นไดจะตองไดรับ CO2
(วิเคราะหคําตอบ RuBP จับกับแกส CO2 แลวเปลี่ยนเปน PGA
เมือ่ ดูด CO2 ออก และอยูใ นทีท่ ไี่ มมแี สง ปริมาณ RuBP มีมากกวา
PGA แสดงวา RuBP เปลี่ยนเปน PGA ไดก็ตอเมื่อมี CO2 ดังนั้น
ตอบขอ 5.)
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ปฏิกิริยาแสง 1. ตรวจแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5 เลม 1
• เป็นกระบวนการเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเคมี ได้แก่ ATP และ NADPH+H+ โดยการถ่ายทอดอิเล็กตรอน 2. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู
ซึ่งเกิดขึ้น 2 แบบ คือ การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักรและการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร ที่ 2
• กระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 3
C
CO2 3. ตรวจ Self Check หากนักเรียนพิจารณา
คาร์บอกซิเลชัน ขอความไมถูกตอง ใหกลับไปทบทวนเนื้อหา
รูบิสโก
ตามที่หัวขอกําหนดให
4. ตรวจแบบฝกหัดประจําหนวยการเรียนรูที่ 2
3P C C C C C P 6C C C P
ไรบูโลสบิสฟอสเฟต 3-ฟอสโฟกลีเซอเรต 6 ATP
(RuBP) 6ADP
3ADP วัฏจักร
คัลวิน
3 ATP 6P C C C P
1,3-บิสฟอสโฟกลีเซอเรต 6 NADPH+H+
6NADP+
6 Pi
5C C C P
รีเจเนอเรชัน G3P 6C C C P รีดักชัน
กลีเซอรัลดีไฮด์-3-ฟอสเฟต
(G3P)
1C C C P
G3P
น�้าตาล
ภาพที่2.56 วัฏจักรคัลวิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
• การเกิดโฟโตเรสไพเรชัน
การตรึงออกซิเจนด้วย RuBP แล้วปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เกิดขึ้นเมื่อพืชได้รับแสงและมีคาร์บอนไดออกไซด์
ในอากาศน้อย
ATP CO2 O2 ATP
RuBP RuBP
นํ้าตาล CO2
T121
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
5. ครูประเมินรายงาน เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอการ กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคารบอนไดออกไซดในพืช C4
สังเคราะหดว ยแสง โดยใชแบบประเมินชิน้ งาน โครงสร้างของใบพืชC3และพืชC4
6. สังเกตการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม โดย คิวติเคิล
ใชแบบประเมินการปฏิบัติการ เอพิเดอร์มสิ ด้านบน
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานของนักเรียน โดย แพลิเซดมีโซฟิลล์ บันเดิลชีท
ท่อลําเลียง
ใชแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ท่อลําเลียง
บันเดิลชีท
8. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ สปันจีมีโซฟิลล์
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
9. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ พืช C3
เอพิเดอร์มิสด้านล่าง
พืช C4
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค ภาพที่2.58 ใบพืชตัดตามขวางเปรียบเทียบระหว่างพืช C3 และพืช C4
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วัฏจักรคาร์บอนของพืชC4 กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของแกสคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชCAM
CO2
เซลล์มีโซฟิลล์ ในอากาศ
PEP
กลางคืน กลางวัน
carboxylase
OAA(4C) PEP(3C)
OAA มาเลต
มาเลต(4C) ATP CC C C CC C C
ไพรูเวต(3C) มาเลต วัฏจักรคัลวิน
เซลล์ CO2 CC C C C CO
2
บันเดิลชีท CO2 C
วั ฏ จั ก ร
คัลวิน
แวคิวโอล
น�้าตาล CC C CC C
แป้ง ไพรูเวต เซลล์มีโซฟิลล์
เซลล์โฟลเอ็ม
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
เกณฑ์การประเมิน
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
4 3 2 1
1. การจัดรูปแบบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รู ปเล่ มรายงานมี
และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
T122
0-3 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความวาถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาข้อความไมถูกต้องให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามที่หัวข้อก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. แก๊สออกซิเจนและนํ้าเป็นวัตถุดิบในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 1.
2. พืชทุกชนิดตรึงคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศด้วยเอนไซม์รูบิสโก 2.4
ุด
3. พ ืชส่วนใหญ่มีแนวโน้มอัตราการเกิดโฟโตเรสไพเรชันในตอนกลางคืน 3.
ส ม
ใ น
มากกว่าเวลาเช้า
ล ง
ท ึ ก
บ ั น
6. ข้าวฟ่างมีค่าอิ่มตัวแสงตํ่ากว่าข้าวสาลี 6.1
การสังเคราะห์ 113
ด้วยแสง
ขอสอบเนน การคิด
ในปฏิกิริยาแสง การถายทอดอิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักรแตกตางกับการถายทอดอิเล็กตรอน
แบบไมเปนวัฏจักรอยางไร
1. แบบแรกให ATP สวนแบบหลังให NADPH+H+
2. แบบแรกใหเฉพาะ ATP สวนแบบหลังให NADPH+H+ และ ATP
3. แบบแรกให NADPH+H+ และ ATP สวนแบบหลังใหเฉพาะ ATP
4. แบบแรกให NADPH+H+ และ ATP สวนแบบหลังใหเฉพาะ NADPH+H+
5. แบบแรกใหเฉพาะ NADPH+H+ สวนแบบหลังให NADPH+H+ และ ATP
(วิเคราะหคําตอบ การถายทอดอิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักรจะใหพลังงาน ATP สวนการถายทอด
อิ เ ล็ ก ตรอนแบบไม เ ป น วั ฏ จั ก รนอกจากจะได พ ลั ง งาน ATP แล ว จะได NADPH+H+ ดั ง นั้ น
ตอบขอ 2.)
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
100 100
5 ปี ต่อมา
50 50
0 0
เริ่มทดลอง หลังทดลอง เริ่ม หลัง เริ่ม หลัง
ก. ข.
ภาพที่2.61 การทดลองของฌอง แบบติสท์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1.1 จากภาพการทดลอง ผู้ทดลองสรุปว่านํ้าหนักต้นหลิวที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากอะไร
1.2 ในปัจจุบนั ความรูท้ างวิทยาศาสตร์กา้ วหน้ามากขึน้ ดังนัน้ จึงสามารถบอกได้วา่ นํา้ หนักของ
ต้นหลิวที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร
1.3 หากทําการทดลองดังภาพในห้องมืด นักเรียนคิดว่า นํ้าหนักของต้นหลิวจะเป็นอย่างไร
เพราะเหตุใด
2. นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งได้ทําการทดลอง ดังภาพ จงตอบคําถามต่อไปนี้
O2
CO2
A B C
ภาพที่2.62 การทดลองความสําคัญของพืชต่อสิ่งมีชีวิต
ที่มา : คลังภาพ อจท.
114
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
NADPH+H+ ATP
ATP นํ้าตาล
O2 NADPH+H+
O2
A B C D
ภาพที่ 2.64 สารสกัดคลอโรพลาสต์จากใบพืชชนิดหนึง่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การสังเคราะห์ 115
ด้วยแสง
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
8. 1. ไทลาคอยด
2. สโตรมาลาเมลลา
3. กรานุม 8. จงระบุโครงสร้างของคลอโรพลาสต์ พร้อมทัง้ บอกหน้าทีแ่ ละลักษณะของโครงสร้างนัน้
4. เยือ่ หุม ไทลาคอยด
5. สโตรมา
9. ได เพราะกะหลํ่าปลีสีมวงใชสารคลอโรฟลล 4
แคโรทีนอยด และแอนโทไซยานิน 2
1
10. อาศัยการดูดกลืนแสงของรงควัตถุที่ความยาว 3
คลื่ น ต า งๆ มาใช ใ นปฏิ กิ ริ ย าแสงเพื่ อ ผลิ ต 5
พลังงานเคมีมาใชในกระบวนการสังเคราะห
ภภาพที
าพที่2.65 โครงสร้างของคลอโรพลาสต์
ดวยแสงเพื่อผลิตนํ้าตาล ที่มา : คลังภาพ อจท.
11. 2 ขั้นตอน คือ ปฏิกิริยาแสงและการตรึงแกส
คารบอนไดออกไซด 9. ใบกะหลํ่าปลีสีม่วงสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้หรือไม่ อย่างไร
12. เกิดขึ้นบนเยื่อหุมไทลาคอยด โดยปฏิกิริยา 10. พืชนําพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์มาใช้ได้อย่างไร
แสงเปนปฏิกิริยาที่เปลี่ยนพลังงานแสงใหเปน 11. กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง
พลังงานเคมี เพื่อนําไปใชในกระบวนการผลิต 12. ปฏิกิริยาแสงเกิดขึ้นบริเวณใด และจําเป็นกับพืชอย่างไร
นํ้าตาล 13. จากภาพ องค์ประกอบ A C และ D คืออะไร และมีความสําคัญอย่างไร
13. A คือ PSII
B คือ ไซโทโครม A B C H+ ATP
ADP + Pi
C คือ PSI
D คือ ATP synthase แสง แสง NADP+ NADPH+H+
+ +
H H D
P680 P700
H2 O
1 O2 + 2 H+ H+ H+ H+ H+ H+ H+
2
+ + + + +
H H H H H
H+ H+
ภาพที่2.66 กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ที่มา : คลังภาพ อจท.
116
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
16.
แผนผังการถายทอดอิเล็กตรอนแบบไมเปนวัฏจักร แผนผังการถายทอดอิเล็กตรอนแบบเปนวัฏจักร
แสง
แสง
PSII PSI
PSI
T127
นํา สอน สรุป ประเมิน
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน
30 28. พืชแตละชนิดมีอัตราการสังเคราะหดวยแสงที่
B ตางกัน พืช C3 สามารถสังเคราะหดว ยแสงไดดี
20 ในชวงอุณหภูมิ 1-45 องศาเซลเซียส สวนพืช C4
10 A สามารถสังเคราะหดว ยแสงไดดใี นชวงอุณหภูมิ
0
8-58 องศาเซลเซียส
29. นํ้ามีผลตอการเปด-ปดของปากใบ หากพืช
-10
ขาดนํ้าอัตราการสังเคราะหดวยแสงจะลดลง
0 20 40 60 80 100 เนื่องจากปากใบพืชจะปด เพื่อรักษาสมดุลนํ้า
ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซต์ในอากาศ (ppm) ในรางกายพืช
ภาพที่2.70กราฟความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชสองชนิด 30. ธาตุแมกนีเซียมและไนโตรเจน เปนธาตุอาหาร
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่สําคัญในกระบวนการสังเคราะหสารคลอโร-
ฟลล ถาขาดธาตุเหลานีพ้ ชื จะสรางคลอโรฟลล
27.1 จุด A คืออะไร ไมได ใบจะเหลืองซีดเรียกอาการนีว้ า คลอโรซิส
27.2 จุด B คืออะไร ทํ า ให ก ารสั ง เคราะห ด ว ยแสงของพื ช ลดลง
27.3 จ ากข้อมูลในจุด A และ B พืช C และ D มีแนวโน้มจะเป็นพืชชนิดใด เพราะเหตุใด
เนื่องจากใบขาดคลอโรฟลล
28. ร ะดับอุณหภูมิมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชอย่างไร
29. น ํ้ามีความสําคัญกับพืชอย่างไร
30. จ งอธิบายว่า ธาตุแมกนีเซียมและไนโตรเจนมีความสําคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของ
พืชอย่างไร
การสังเคราะห์ 119
ด้วยแสง
T129
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. สืบค้นข้อมูลและอธิบาย แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
วัฏจักรชีวิตของ - ห นังสือเรียนชีววิทยา วัฏจักรชีวิตของพืชดอก หาความรู้ ก่อนเรียน - ทกั ษะการจัดกลุม่ - ใฝ่เรียนรู้
พืชดอก ม.5 เล่ม 1 ได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการเปรียบ - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. วิเคราะห์และสรุปเกี่ยว Instruction - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เทียบ การท�ำงาน
1 ม.5 เล่ม 1 กับวัฏจักรชีวิตของพืช Model) Topic Question - ทกั ษะการจ�ำแนก
- ใบงาน ดอกได้ (P) - ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- อุปกรณ์การทดลอง 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ วัฏจักรชีวิตของพืชดอก - ทกั ษะการส�ำรวจ
- ภาพประกอบการสอน งานที่ได้รับมอบหมาย - ตรวจชิ้นงาน เรื่อง
- QR Code (A) วัฏจักรชีวิตของพืช
- PowerPoint ประกอบ ชนิดอื่น
การสอน - สังเกตการปฏิบัติการ
จากการทำ�กิจกรรม
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกระบวนการ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การสร้างเซลล์ ม.5 เล่ม 1 สร้างเซลล์สืบพันธุ์และ หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
สืบพันธุ์ของ - แบบฝึกหัดชีววิทยา การปฏิสนธิของพืชดอก (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
พืชดอก ม.5 เล่ม 1 ได้ (K) Instruction - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
- ใบงาน เรื่อง ประเภท 2. เปรียบเทียบกระบวนการ Model) ประเภทของดอก - ทกั ษะการจ�ำแนก
4 ของดอก สร้างเซลล์สบื พันธุเ์ พศผู้ - ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- ใบงาน และเพศเมียของพืชดอก การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ - ทกั ษะการทดลอง
- อุปกรณ์การทดลอง ได้ (P) ของพืชดอก
- QR Code 3. รบั ผิดชอบต่อหน้าทีแ่ ละ - ตรวจใบงาน เรื่อง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น งานที่ได้รับมอบหมาย การปฏิสนธิของพืชดอก
Twig (A) - ตรวจผังมโนทัศน์
- ภาพประกอบการสอน เรื่อง การถ่ายเรณู
- PowerPoint ประกอบ - สังเกตพฤติกรรม
การสอน การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T130
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการเกิดเมล็ดและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การปฏิสนธิของ ม.5 เล่ม 1 ผลของพืชดอกได้ (K) หาความรู้ - ตรวจแบบฝึกหัดจาก - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
พืชดอก - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. สร้างแบบจ�ำลองโครงสร้าง (5Es Topic Question - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
ม.5 เล่ม 1 ของผลได้ (P) Instruction - ตรวจใบงาน เรื่อง เปรียบเทียบ การท�ำงาน
3 - ใบงาน 3. ประยุกต์โครงสร้างต่าง ๆ ของ Model) โครงสร้างของเมล็ดพืช - ทกั ษะการจ�ำแนก
- อุปกรณ์การทดลอง เมล็ดและผลไปใช้ประโยชน์ - ประเมินชิ้นงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ได้ (P) ประเภทของผล - ทกั ษะการทดลอง
Twig 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ - ประเมินรายงาน เรื่อง
- ภาพประกอบการสอน งานที่ได้รับมอบหมาย (A) โครงสร้างเมล็ด
- QR Code - ประเมินชิ้นงาน
- PowerPoint ประกอบ เรื่อง โครงสร้างของ
การสอน ผลและเมล็ด
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การงอกของ - หนังสือเรียนชีววิทยา ทีม่ ีผลต่อการงอกของเมล็ด หาความรู้ หลังเรียน - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
เมล็ดพืช ม.5 เล่ม 1 และสภาพพักตัวของเมล็ด (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ได้ (K) Instruction - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เปรียบเทียบ การท�ำงาน
5 ม.5 เล่ม 1 2. บอกแนวทางในการแก้สภาพ Model) Topic Question - ทกั ษะการจ�ำแนก
- อุปกรณ์การทดลอง พักตัวของเมล็ดได้ (P) - ตรวจแบบฝึกหัด ประเภท
ชั่วโมง
- QR Code 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ ประจำ�หน่วย - ทกั ษะการทดลอง
- PowerPoint ประกอบ งานที่ได้รับมอบหมาย (A) การเรียนรู้ที่ 3
การสอน - ตรวจรายงาน
เรื่อง โครงสร้างและ
ปัจจัยที่มีผลต่อการ
งอกของเมล็ด
- ตรวจผังมโนทัศน์
เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อ
การงอกของเมล็ด
- สังเกตการปฏิบัติการ
จากการทำ�กิจกรรม
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T131
Chapter Concept Overview
วัฏจักรชีวิตของพืชดอก
พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ คือ ระยะสปอโรไฟต์ (sporophyte) สลับกับระยะแกมีโทไฟต์ (gametophyte)
ดิพลอยด์
แฮพลอยด์
แกมีโทไฟต์เพศเมีย
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก
• โครงสรางและประเภทของดอก พืชดอกประกอบด้วย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกครบส่วน แต่
พืชดอกบางชนิดอาจมีองค์ประกอบไม่ครบทั้ง 4 ส่วน เรียกว่า ดอกไม่ครบส่วน ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับสืบพันธุ์ของพืชดอกโดยตรง คือ
เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย หากดอกของพืชชนิดใดมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกสมบูรณ์เพศ แต่ถ้าขาดอย่างใด
อย่างหนึ่งจะเรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์เพศ
• การสรางสปอรและเซลลสืบพันธุของพืชดอก พืชดอกมีการสร้างสปอร์ 2 ชนิด คือ ไมโครสปอร์ซึ่งจะเจริญเปนเรณูเพื่อสร้างเซลล์
สืบพันธุ์เพศผู้ และเมกะสปอร์ซึ่งจะเจริญเปนถุงเอ็มบริโอเพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
• การถายเรณู การถ่ายเรณูเปนกระบวนการที่เรณูไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย โดยอาศัยตัวกลาง เช่น ลม นำ้า แมลง
• การปฏิสนธิของพืชดอก เมือ่ เรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย เรณูจะแบ่งเซลล์เพือ่ งอกหลอดเรณูแทงเข้าไปยังรังไข่ทางรูไมโครไพล์ และ
เซลล์เจเนอเรทีฟจะแบ่งเซลล์ ได้สเปร์มจำานวน 2 เซลล์ โดยสเปร์มตัวหนึ่งจะไปผสมกับเซลล์ไข่ และสเปร์มอีกตัวหนึ่งจะไปผสมกับ
โพลาร์นิวคลีไอ ไมโครปอร์ เรณู
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ การถ่ายเรณู
กลีบดอก ไมโอซิส ไมโทซิส
เพศผู้
ยอดเกสร
เพศเมีย เซลล์กำาเนิด เซลล์ทิวบ์
ก้านชูเกสร ไมโครสปอร์ เซลล์เจเนอเรทีฟ
เพศเมีย
เกสร อับเรณู หลอดเรณู
เพศเมีย
เกสรเพศผู้
รังไข่
ออวุล ก้านชูอับเรณู
กลีบเลี้ยง
เมกะสปอร์ แอนติโพแดล
ไมโอซิส
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ทิวบ์นิวเคลียส สเปร์ม
เพศเมีย
โพลาร์นิวคลีไอ
เซลล์ไข่
เซลล์กำาเนิดเมกะสปอร์ เมกะสปอร์
ซินเนอร์จิด
T132
หนวยการเรียนรูที่ 3
โครงสร้างของผลและเมล็ด
• ผนังผล ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ได้แก่
ผนังชั้นนอก ผนังชั้นกลาง ผนังชั้นใน
เรียกว่า เปลือก มีลักษณะต่าง ๆ เช่น ผลบางชนิดมีผนังชัน้ กลางหนา บางชนิด ประกอบด้วยเนือ้ เยือ่ ชัน้ เดียวหรือหลายชัน้
ผิวเรียบ ผิวมัน ผิวขรุขระ บางชนิดมี บางมาก บางชนิดเนือ้ อ่อนนุม่ รับประทาน จนมีลักษณะหนา และบางชนิดมีเนื้อ
หนาม ได้ เช่น ผลมะพร้าว อ่อนนุ่ม รับประทานได้
เปลือก เอนโดสเปร์ม
พลูมูล
เอ็มบริโอ
แรดิเคิล เอนโดสเปร์ม ใบเลี้ยง
เอ็มบริโอ พลูมูล เอ็มบริโอ
รูไมโครไพล์ ใบเลี้ยง
แรดิเคิล
เมล็ดถั่ว เมล็ดขาวโพด
ใบเลี้ยง เอพิคอทิล
ใบเลี้ยง โคลีออพไทล์ ใบแท้
ไฮโพคอทิล
ไฮโพคอทิล ใบเลี้ยง ไฮโพคอทิล
แรดิเคิล
เปลือกเมล็ด
แรดิเคิล
T133
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ หนวยการเรียนรูที่ การสืบพันธุข องพืชดอก
2. ใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวย
การเรียนรูท ี่ 3
3. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม Big Question
4. ใหนักเรียนจับคู แลวแลกเปลี่ยนคําตอบและ
อภิปรายคําตอบกับคูของตนเองใหไดคําตอบ
3 และการเจริญเติบโต
ดอกไมแตละชนิดมีสี รูปร่าง ขนาด และโครงสร้างของดอกแตกต่างกัน บางชนิดมีกลีบดอกซ้อน
กันหลายชัน้ บางชนิดมีกลีบดอกชัน้ เดียว บางชนิดมีกลิน่ หอม บางชนิดมีกลิน่ ฉุน หรืออาจไม่มกี ลิน่
ที่สมบูรณ แต่อย่างไรก็ตาม ดอกไม้ทุกชนิดมีหน้าที่เหมือนกัน คือ เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช
5. ครูสุมเรียกนักเรียน 5-6 คู ออกมานําเสนอ
คําตอบ
6. ใหนักเรียนแตละคนบันทึกคําถาม Under- • ´Í¡ÁÕ¤ÇÒÁÊÓ¤ÑޡѺ¾×ªÍ‹ҧäÃ
standing Check ลงในสมุดบันทึกของตนเอง • ¡Ãкǹ¡ÒÃÊÌҧà«ÅÅÊ׺¾Ñ¹¸Øà¾È¼ÙŒáÅÐ
à¾ÈàÁÕÂᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ Í‹ҧäÃ
แลวพิจารณาขอความตามความเขาใจของ • ¡Òû¯Ôʹ¸Ô¢Í§¾×ª´Í¡ÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸
นักเรียนวาถูกหรือผิด Í‹ Ò §äÃ¡Ñ º ¡ÒÃà¨ÃÔ Þ áÅÐ¾Ñ ² ¹Ò¢Í§
àÍçÁºÃÔ âÍ
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ให้นกั เรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิดแล้วบันทึกลงในสมุด
พืชทุกชนิดมีดอกเป็นอวัยวะเพื่อใช้ในการสืบพันธุ์
เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของพืชดอก คือ เรณู และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย คือ เซลล์ ไข่
การปฏิสนธิของพืชเกิดขึ้นภายในรังไข่
ภายหลังการปฏิสนธิจะมีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียที่พัฒนาไปเป็นเมล็ดและผล
แสงเป็นปัจจัยส�าคัญในการงอกของเมล็ดพืชบางชนิด
แนวตอบ Understanding Check
1. ผิด 2. ผิด 3. ถูก
4. ผิด 5. ถูก
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
ดอกไม มี ค วามสํ า คั ญ กั บ 1. วัฏจักรชีวติ ของพืชดอก 1. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม Prior Knowledge
วงจรชีวิตของพืช 2. ครูเขียนคําศัพทบนกระดาน แลวใหนักเรียน
พืชแต่ละต้นไม่ว่าจะเป็นพืชดอกหรือพืชไร้ดอก จะมีช่วง
อยางไร
ระยะทีแ่ ตกต่างกัน 2 ระยะสลับกัน คือ ระยะทีส่ ร้างสปอร์ เรียกว่า สืบคนขอมูลจากแหลงการเรียนรู เพือ่ หาความ
ระยะสปอโรไฟต์ (sporophyte) และระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ เรียกว่า ระยะแกมีโทไฟต์ หมายของคําศัพท ตัวอยางเชน
(gametophyte) ï• sporophyte
พืชดอกเป็นพืชที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในอาณาจักรพืช มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมี (แนวตอบ ระยะที่พืชมีการสรางสปอร)
1 วเจริญเป็นแกมีโทไฟต์ท2ี่ท�าหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์
ดอกเป็นอวัยวะที่ท�าหน้าที่สร้างสปอร์ แล้ ï• gametophyte
ดังนั้นวัฏจักรชีวิตของพืชดอกจึงเป็น วัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) ดังภาพ (แนวตอบ ระยะทีพ่ ชื มีการสรางเซลลสบื พันธุ)
3. ครูแจกใบงาน เรื่อง วัฏจักรชีวิตของพืชดอก
สปอโรไฟต์
ใหนักเรียนศึกษาคําชี้แจงและลงมือทําใบงาน
= ดิพลอยด์ (2n)
= แฮพลอยด์ (n) อธิบายความรู้
อับเรณู
เมล็ด 1. ครูสุมเรียกนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบใน
ใบงานหนาชั้นเรียน
(เซลล์ก�าเนิดไมโครสปอร์) 2. ครูสุมเรียกนักเรียน 2 คน ชวยกันสรุปวัฏจักร
รังไข่
เอนโดสเปิร์ม ชีวิตของพืชดอก
ออวุล
ไซโกต (เซลล์ก�าเนิดเมกะสปอร์) 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
ใบงาน
ระยะสปอโรไฟต์
การปฏิสนธิ ไมโอซิส ขยายความเข้าใจ
ระยะแกมีโทไฟต์
1. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
เรณู
(แกมีโทไฟต์เพศผู้) ม.5 เลม 1
ไมโครสปอร์ เมกะสปอร์ 2. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวัฏจักรชีวติ ของพืช จะเห็นว่าเมื่อพืชเข้าสู่ระยะสปอโรไฟต์ เซลล์ก�าเนิดสปอร์หรือสปอร์มาเทอร์เซลล์ (spore
ดอก จากนั้นใหนักเรียนสรุปวัฏจักรชีวิตของพืช mother cell) ทีอ่ ยูใ่ นอับเรณูของเกสรเพศผูแ้ ละอยูภ่ ายในรังไข่ของเกสรเพศเมีย จะแบ่งเซลล์แบบ
ชนิดอืน่ เชน มอส เฟน แลวใหสรุปและวาดวัฏจักร ไมโอซิสเพื่อสร้างสปอร์ที่มีโครโมโซมเพียง 1 ชุด โดยสปอร์ของพืชดอกมี 2 ชนิด คือ
ชีวิตของพืชลงในกระดาษ A4 พรอมตกแตงให ไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ ซึ่งอาจสร้างภายในดอกเดียวกันหรือต่างต้นกัน โดยไมโครสปอร์จะ
สวยงามและนําเสนอหนาชั้นเรียน เจริญและพัฒนาเป็นแกมีโทไฟต์เพศผู้ เรียกว่า เรณู (pollen) ส่วนเมกะสปอร์จะเจริญและพัฒนา
เป็นแกมีโทไฟต์เพศเมีย เรียกว่า ถุงเอ็มบริโอ (embryo sac)
ขัน้ ประเมิน เมื่อพืชเข้าสู่ระยะแกมีโทไฟต์ เซลล์จะอยู่ในสภาพแฮพลอยด์ (haploid; n) โดยแกมีโทไฟต์
ตรวจสอบผล เพศผู้หรือเรณูจะสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ คือ สเปร์ม (sperm) ส่วนแกมีโทไฟต์เพศเมียหรือ
1. ครู ต รวจแบบทดสอบก อ นเรี ย น หน ว ยการ ถุงเอ็มบริโอจะสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย คือ ไข่ (egg) H. O. T. S.
เรียนรูที่ 3
หลังจากเกิดการปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มกับไข่กลายเป็น คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ไซโกต (zygote) ทีม่ จี า� นวนโครโมโซม 2 ชุด หรืออยูใ่ นสภาพดิพลอยด์
2. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5 หากพืชไม่มี
(diploid; 2n) จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) เพื่อเพิ่ม เซลล์
เยือ่ บุขา้ งแก้ม
กระบวนการ
เลม 1
จ�านวนเซลล์ และพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ (embryo) แล้วเจริญต่อ ปฏิสนธิ พืช
3. ตรวจแบบฝกหัดจาก Topic Question ไปเป็นต้นสปอโรไฟต์ ซึง่ เป็นต้นพืชทีอ่ ยูอ่ ย่างอิสระทีส่ งั เกตเห็น จะมีวงจรชีวิตแบบใด เพราะ
4. ครูตรวจใบงาน เรื่อง วัฏจักรชีวิตของพืชดอก อยู่ได้ทั่วไป เหตุใด
5. ประเมินชิน้ งาน เรือ่ ง วัฏจักรชีวติ ของพืชชนิดอืน่
B iology
โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน Focus โครโมโซม
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช โครโมโซม (chromosome) คือ สารพันธุกรรมในร่างกายของพืชและสัตว์ เป็นตัวก�าหนด
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ลักษณะต่าง ๆ เช่น ความสูง โครโมโซมท�าหน้าที่ควบคุมการท�างานต่าง ๆ ภายในร่างกาย จึง
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ พบโครโมโซมอยูใ่ นทุกเซลล์ของร่างกาย โดยปกติทวั่ ไปจ�านวนโครโมโซมร่างกายจะมีจา� นวนเป็น 2 เท่า
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ของจ�านวนโครโมโซมเพศ เช่น มะเขือเทศมีจ�านวนโครโมโซม 24 แท่ง หรือ 12 คู่ ดังนั้นเซลล์ไข่ หรือ
สเปิร์มของมะเขือเทศจะมีจ�านวนโครโมโซมเซลล์ 12 แท่ง หรือ 6 คู่
8. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
Topic
Question
ค�าชี้แจง:ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. สปอร์มาเทอร์เซลล์ (spore mother cell) ท�าหน้าที่อะไร
แนวตอบ H.O.T.S. 2. สปอร์ของพืชดอกมีกี่ชนิด อะไรบ้าง
3. แกมีโทไฟต์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอกคืออะไร ท�าหน้าที่อะไร
พืชจะไมมรี ะยะดิพลอยดหรือระยะสปอโรไฟต 4. ระยะแกมีโทไฟต์แตกต่างกับระยะสปอโรไฟต์อย่างไร
จึงทําใหพืชไมสามารถสรางสปอรและเจริญเปน 5. กระบวนการแบ่งเซลล์แบบใดท�าให้เซลล์อยู่ในสภาพแฮพลอยด์และดิพลอยด์ ตามล�าดับ
ตนสปอโรไฟตได ทําใหพืชไมสามารถสรางเซลล 122
สืบพันธุ ไมสามารถขยายพันธุ และสูญพันธุใน
ที่สุด
ระดับคะแนน
เปนระยะที่มีจํานวนโครโมโซม 2 ชุด
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
3
ระดับคะแนน
2 1
เซลลที่อยูในสภาพดิพลอยดเกิดจากการรวมกันของเซลล 2 เซลล ซึ่ง
1. การจัดรูปแบบ
2. ความถูกต้องและ
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
และมี องค์ ประกอบ
ครบถ้วน
เนื้อหาในรายงานมีความ
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
และมี องค์ ประกอบ
ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่
เนื้อหาในรายงานมีความ
รูปเล่มรายงานมีระเบียบ
และมี องค์ ประกอบ
ครบถ้วนเพียงบางส่วน
เนื้อหาในรายงานมีความ
รู ปเล่ มรายงานมี
อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน
เนื้ อหาในรายงานไม่
แตละเซลลมีจํานวนโครโมโซม 1 ชุด
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T136
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
พืชสืบพันธุแบบอาศัยเพศ 2. การสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
ไดอยางไร ของพืชดอก 2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยครูให
นักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม จากนั้นครู
การสืบพันธุ์เป็นกระบวนการส�าคัญที่ท�าให้พืชสามารถ แจกดอกไม 4 ประเภท ไดแก ดอกชบา ดอก
ด�ารงพันธุ์ได้ โดยพืชดอกจะมีดอกเป็นอวัยวะสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งดอกไม้แต่ละชนิดจะมี
ฟกทอง ดอกเฟองฟา และดอกกุหลาบ
โครงสร้างที่แตกต่างกันไปตามชนิดของพืช
2.1 โครงสร้างและประเภทของดอก
ดอกมีโครงสร้างหลักส�าคัญ 4 ส่วนทีต่ ดิ อยูบ่ นฐานดอก (receptacle) ได้แก่ กลีบเลีย้ ง (sepal)
กลีบดอก (petal) เกสรเพศผู ้ (stamen) และเกสรเพศเมีย (pistil) ซึง่ มีเพียงบางส่วนเท่านัน้ ทีเ่ กีย่ วข้อง
กับการสืบพันธุ์โดยตรง คือ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย
1. กลีบเลี้ยง (sepal) เป็นส่วนที่อยู่นอกสุด เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากใบ จึงมักมีสีเขียว
ท�าหน้าทีห่ อ่ หุม้ ป้องกันอันตรายให้แก่สว่ นของดอกทีอ่ ยูภ่ ายใน กลีบเลีย้ งของพืชบางชนิดท�าหน้าที่
ช่วยล่อแมลงในการผสมเกสร นอกจากนี้ยังช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้อีกด้วย
2. กลีบดอก (petal) เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยงเข้าไป มักมีสีสันสวยงาม เนื่องจากมี
สารสีชนิดต่าง ๆ อยู่ภายในเซลล์ เช่น กลีบดอกสีแดง สีน�้าเงิน สีม่วง เนื่องจากมีสารสีชนิด
แอนโทไซยานิน (1anthocyanin) หรือกลีบดอกสีเหลือง เนื่องจากมีสารสีแคโรทีนอยด์ (carotenoid)
กลีบดอกและกลีบเลีย้ งทีต่ ดิ อยูเ่ ป็นวงบนฐานดอกเรียกรวมกันว่า วงกลีบ ในพืชบางชนิดกลีบเลีย้ ง
และกลีบดอกมีลักษณะเหมือนกันจนแยกกันไม่ออกจึงเรียกชั้นนี้ว่า วงกลีบรวม (perianth)
ยอดเกสรเพศเมีย
อับเรณู
ก้านชูเกสรเพศเมีย
ก้านชูอับเรณู
รังไข่
กลีบดอก
ออวุล
ฐานดอก กลีบเลี้ยง
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให นั ก เรี ย นสื บ ค น ข อ มู ล จากหนั ง สื อ เรี ย น 3. เกสรเพศผู ้ (stamen) เป็นส่วนทีอ่ ยูถ่ ดั จากกลีบดอกเข้าไป ท�าหน้าทีส่ ร้างเซลล์สบื พันธุ์
ชีววิทยา ม.5 เลม 1 เกี่ยวกับโครงสรางและ เพศผู้ ซึ่งเกสรเพศผู้แต่ละอันประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้
ประเภทของดอก
2. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันสํารวจและเขียน อับเรณู
(anther)
สวนประกอบของดอก โดยใหตวั แทนกลุม เขียน มีลักษณะเป็นพู จ�านวน 2 พู ภายในแบ่ง
สวนประกอบของดอกบนกระดานหนาชัน้ เรียน เป็นถุงเล็ก ๆ 4 ถุง เรียกว่า โพรงอับเรณู เรณู
3. ครู นํ า ดอกไม ข องแต ล ะกลุ ม มาให นั ก เรี ย น (pollen sac) ซึง่ บรรจุไมโครสปอร์มาเทอร์-
เซลล์ (microspore mother cell) จ�านวน
รวมกันวิเคราะหวา ตัวแทนกลุมเขียนคําตอบ มากที่พร้อมจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพื่อ
โพรงอับเรณู
ถูกตองหรือไม โดยมีแนวคําตอบ ดังนี้ สร้างไมโครสปอร์ (microspore) ต่อไป
ï• ดอกชบา อับเรณู
(แนวตอบ ประกอบดวยเกสรเพศผู เกสรเพศ กานชูอับเรณู
(filament)
เมีย กลีบดอก กลีบเลี้ยง) มี ลั ก ษณะเป็ น ก้ า นหรื อ ท่ อ ท� า
ï• ดอกฟกทอง หน้าที่ชูอับเกสรเพศผู้หรืออับเรณู
(แนวตอบ ประกอบดวยเกสรเพศเมีย กลีบ ภาพที่3.3 องค์ประกอบของเกสรเพศผู้
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ดอก กลีบเลี้ยง)
ï• ดอกเฟองฟา 4. เกสรเพศเมีย (pistil) เป็นส่วนที่อยู่ในสุด เปลี่ยนแปลงมาจากใบเพื่อท�าหน้าที่สร้าง
(แนวตอบ ประกอบดวย เกสรเพศเมีย เกสร เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย ซึ่งเกสรเพศเมียประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
เพศผู กลีบเลี้ยง) ยอดเกสรเพศเมีย
(stigma)
ï• ดอกหนาวัว มีลกั ษณะเป็นตุม่ แผ่แบนเป็นแฉกหรือ
(แนวตอบ ประกอบดวยเกสรเพศผู เกสรเพศ เป็นพู และมีสารเหนียว ๆ หรือขน
เมีย) เพื่อช่วยให้เรณูมาติด กานชูเกสรเพศเมีย
(style)
ï• ดอกบานเย็น มี ลั ก ษณะเป็ น ท่ อ หรื อ ก้ า นเล็ ก ๆ
(แนวตอบ ประกอบดวยเกสรเพศผู เกสรเพศ รังไข
เชื่อมต่อจากยอดเกสรเพศเมียลงสู่
รังไข่ ซึ่งเป็นทางให้สเปิร์มนิวเคลียส
เมีย กลีบเลี้ยง) (ovary)
เข้าไปผสมกับเซลล์ไข่
มี ลั ก ษณะเป็ น กระเปาะอยู ่ ติ ด กั บ
ฐานดอก หรืออาจฝังอยู่ในฐานดอก ออวุล
ภายในมีลกั ษณะเป็นพู ซึง่ อาจมีเพียง
1 พู หรือมากกว่าก็ได้ ถ้ามีมากกว่า ไมโครไพล์
1 พู มักจะมีผนังกั้น (septum)
ภาพที่ 3.4 องค์ประกอบของเกสรเพศเมีย
ที่มา : คลังภาพ อจท.
124 โครงสรางของดอก
https://www.aksorn.com/interactive3D/RNB31
ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบของพืชดอก จาก QR
Code 3D เรื่อง โครงสรางดอกไม
โครงสรางดอกไม
T138 www.aksorn.com/interactive3D/RKB31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมื่อพิจารณาส่วนประกอบดอกของพืชแต่ละชนิดจะมีโครงสร้างแตกต่างกัน บางชนิดมี 4. ใหนักเรียนวาดรูปและสรุปองคประกอบของ
โครงสร้างหลักครบทัง้ 4 ส่วนเรียกว่า ดอกสมบูรณ์ (complete flower) บางชนิดอาจขาดโครงสร้างใด ดอกลงในสมุดบันทึก
โครงสร้างหนึ่ง เรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) และดอกที่มีทั้งเกสรเพศผู้และ 5. ใหนกั เรียนวิเคราะหวา ดอกไมทคี่ รูนาํ มาใชใน
เกสรเพศเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน เรียกว่า ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) เช่น ดอกชบา การเรียนการสอนเปนดอกสมบูรณเพศหรือไม
ดอกกุหลาบ ดอกบัว ดอกพริก แต่หากมีเกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมียเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นครูเขียนคําบนกระดาน ดังนี้
เรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) เช่น ดอกมะพร้าว ดอกฟักทอง ดอกแตงกวา ï• ดอกครบสวนคืออะไร
ดอกบวบ ดอกต�าลึง โดยดอกที่มีเฉพาะเกสรเพศผู้เรียกว่า ดอกเพศผู้ ส่วนดอกที่มีเฉพาะ (แนวตอบ ดอกที่มีสวนประกอบครบทั้ง 4
เกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกเพศเมีย สวน คือ เกสรเพศผู เกสรเพศเมีย กลีบเลีย้ ง
กลีบดอก)
ï• ดอกไมครบสวนคืออะไร
(แนวตอบ ดอกที่มีสวนประกอบไมครบทั้ง 4
สวน)
ï• ดอกไมสมบูรณเพศคืออะไร
(แนวตอบ ดอกที่มีเพียงเกสรเพศผูหรือเกสร
เพศเมียอยางใดอยางหนึ่ง)
ก. ดอกสมบูรณ์เพศ ï• ดอกสมบูรณเพศคืออะไร
(แนวตอบ ดอกทีม่ ที งั้ เกสรเพศผูแ ละเกสรเพศ
เมีย)
ดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้
ข. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 125
และการเจริญเติบโต
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
6. ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับดอกเดี่ยวและ เมือ่ พิจารณาจากตําแหนงของรังไขเทียบกับตําแหนงของวงกลีบ สามารถจําแนกประเภท
ดอกชอจากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.5 เลม 1 ของดอกได ดังนี้
7. ครูแจกใบงาน เรื่อง ประเภทของดอก แลวให 1) ดอกที่มีรังไขอยูเหนือวงกลีบ (hypogynous flower) คือ ดอกที่รังไขติดอยูบนฐาน
นักเรียนศึกษาคําชี้แจงแลวลงมือทําใบงาน ดอกในตําแหนงสูงกวาวงกลีบ (superior ovary) เชน มะเขือ จําป บัว มะละกอ พริก บานบุรี ยี่หุบ
เปนตน
รังไข
วงกลีบ
ภาพที่ 3.6 ดอกทิวลิปที่มีรังไขอยูเหนือวงกลีบ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
วงกลีบ
รังไข
126
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสมุ ตัวแทนนักเรียน 4-5 คน ออกมานําเสนอ
เมื่อพิจารณาตามจ�านวนดอกที่อยู่บนก้านดอก สามารถจ�าแนกประเภทของดอกได้ ดังนี้
ใบงานหนาชั้นเรียน
1) ดอกเดี่ยว (solitary flower) คือ ดอกที่มีจ�านวนดอกบนก้านดอกเพียงดอกเดียว เช่น
ดอกมะเขือ ดอกกุหลาบ ดอกชบา ดอกจ�าป ดอกฟักทอง 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
2) ดอกช่อ (inflorescence) คือ ดอกที่ประกอบด้วยดอกย่อยหลายดอกอยู่บนแกนช่อดอก ใบงาน เพื่อใหไดขอสรุปวา พืชดอกมีอวัยวะ
เดียวกัน ซึ่งมีหลายแบบ ตัวอย่างเช่น คือ ดอก ทําหนาทีเ่ กีย่ วของกับการสืบพันธุข อง
• ช่อกระจะ หรือ ราซีม (raceme) มีดอกย่อยแตกออกมาจากแกนกลางโดยไม่อยู่ใน พืชดอก โดยดอกมีทั้งดอกเดี่ยวและดอกชอ
ระดับเดียวกัน เช่น ราชพฤกษ์ ขี้เหล็ก ดอกบางชนิดมีรังไขอยูเหนือวงกลีบ บางชนิด
• ช่อเชิงลด หรือ สไปค์ (spike) มีลักษณะคล้ายกับราซีม แต่ดอกย่อยไม่มีก้านดอก มีรังไขอยูใตวงกลีบ ซึ่งเกสรเพศผูทําหนาที่
เช่น กระถินณรงค์ มะพร้าว สรางเซลลสืบพันธุเพศผู และเกสรเพศเมียทํา
• ช่อแยกแขนง หรือ แพนิเคิล (panicle) มีช่อดอกย่อยแตกออกมาจากช่อดอกใหญ่ หนาที่สรางเซลลสืบพันธุเพศเมีย นอกจากนี้
เช่น ไฮเดรนเยีย ยั ง มี ก ลี บ เลี้ ย งทํ า หน า ที่ ห อ หุ ม และป อ งกั น
• ช่อซี่ร่ม หรือ อัมเบล (umbel) มีแกนกลางสั้น ดอกย่อยจะเกือบอยู่ในระดับเดียวกัน อันตรายใหแกสวนของดอกที่อยูภายใน และ
ซึ่งมีลักษณะคล้ายร่ม เช่น ผักชี หอม กลีบดอกที่มีสีสันสวยงามทําหนาที่ลอแมลง
• ช่อกระจุกแน่น หรือ เฮด (head) มีก้านช่อดอกหดสั้นและแกนกลางขยายแผ่ออกเป็น ใหมาชวยผสมเกสร หากจําแนกองคประกอบ
วงคล้ายจาน เรียกว่า ฐานดอกร่วม (common receptacle) เช่น ทานตะวัน ดาวเรือง บานไม่รู้โรย ของดอก สามารถแบงไดเปน 4 ประเภท ไดแก
ดอกครบสวน ดอกไมครบสวน ดอกสมบูรณเพศ
และดอกไมสมบูรณเพศ
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน ทํากิจกรรม • การสังเกต
เรื่อง โครงสรางของดอก โครงสรางของดอก • การจ�าแนกประเภท
จิตวิทยาศาสตร์
2. ใหสมาชิกภายในกลุมแบงภาระหนาที่รับผิด • ความสนใจใฝ่รู้
128
บันทึก กิจกรรม
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ค�าถามท้ายกิจกรรม 1. ใหตัวแทนของแตละกลุมออกมานําเสนอผล
?
จากการทํากิจกรรม และอธิบายขอสงสัยที่
1. ดอกชนิดใดเป็นดอกสมบูรณ์ และดอกชนิดใดเป็นดอกไม่สมบูรณ์
สมาชิกภายในกลุมตั้งคําถาม และนําเสนอผล
2. ดอกชนิดใดมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย
3. ดอกชนิดใดบ้างมีเพียง 1 ดอกบนก้านดอก และดอกชนิดใดบ้างมีดอกมากกว่า 1 ดอกบนก้านดอก จากการสืบคนคําตอบ
4. ดอกชนิดใดมีรังไข่เหนือวงกลีบ และดอกชนิดใดมีรังไข่ใต้วงกลีบ 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
5. ดอกชนิดใดที่รังไข่มีเพียงออวุลเดียว และดอกชนิดใดที่รังไข่มีออวุลจ�านวนมาก 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
กิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม
2.2 การสร้างสปอร์และเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก
ในระยะสปอโรไฟต์พืชจะมีกระบวนการสร้างสปอร์ (sporogenesis) ด้วยการแบ่งเซลล์
แบบไมโอซิส (meiosis) โดยพืชมีการสร้างสปอร์ 2 ชนิด คือ ไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ ดังนี้
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
การสร้างไมโครสปอร์ เกิดขึ้นที่อับเรณูภายในมีอับไมโครสปอร์
(microsporogenesis) มีเนื้อเยื่อพิเศษที่แบ่งเซลล์ได้เนื้อเยื่อ 1. ดอกสมบูรณ ไดแก กลวยไม ทานตะวัน มะเขือ
สองชั้น ซึ่งเนื้อเยื่อชั้นหนึ่งจะพัฒนาเป็น พุทธรักษา และกุหลาบ สวนดอกไมสมบูรณ
ไมโครสปอร์ ไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ (microspore ไดแก ฟกทอง มะละกอ และตําลึง
ไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ mother cell) และแบ่งตัวแบบไมโอซิส
เพื่อสร้างไมโครสปอร์จ�านวน 4 กลุ่ม 2. กลวยไม ทานตะวัน มะเขือ พุทธรักษา กุหลาบ
3. ดอกที่มีเพียง 1 ดอก บนกานดอก คือ มะเขือ
เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ เกิดขึ้นที่รังไข่ภายในมีออวุล (ovule)
ประกอบด้วยเนือ้ เยือ่ ทีเ่ รียกว่า นิวเซลลัส สวนดอกที่มีดอกมากกวา 1 ดอกบนกานดอก
เมกะสปอร์
(nucellus) ทีถ่ กู หุม้ ด้วยผนังออวุล ภายใน คือ กลวยไม ทานตะวัน พุทธรักษา
นิวเซลลัสจะพบเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์
(megaspore mother cell) 1 เซลล์ ที่ 4. ดอกที่มีรังไขเหนือวงกลีบ ไดแก เข็ม มะเขือ
การสร้างเมกะสปอร์ มีขนาดใหญ่และแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส และมะละกอ สวนดอกทีม่ รี งั ไขใตวงกลีบ ไดแก
(megasporogenesis) เพื่ อ สร้ า งเมกะสปอร์ (megaspore)
ภาพที่3.10 การสร้างสปอร์ของพืชดอก จ�านวน 4 เซลล์ กลวย ตําลึง และพุทธรักษา
ที่มา : คลังภาพ อจท. 5. ดอกทีม่ รี งั ไขเพียงออวุลเดียว ไดแก เข็ม มะเขือ
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 129
และการเจริญเติบโต
มะลิ และมะละกอ สวนดอกที่รังไขมีออวุล
จํานวนมาก ไดแก กลวย ตําลึง และพุทธรักษา
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 2 กลุม โดยแตละ ในระยะแกมีโทไฟต์หรือระยะทีพ่ ชื สร้างเซลล์สบื พันธุ ์ ไมโครสปอร์และเมกะสปอร์จะเจริญเป็น
กลุมมีหนาที่ ดังนี้ แกมีโทไฟต์เพศผูแ้ ละเพศเมีย ตามล�าดับ ซึง่ แกมีโทไฟต์แต่ละต้นจะท�าหน้าทีส่ ร้างเซลล์สบื พันธุ ์ ดังนี้
- กลุ ม ที่ 1 ศึ ก ษาการสร า งเซลล สื บ พั น ธุ
เพศผู
การสรางเซลลสืบพันธุ
- กลุ ม ที่ 2 ศึ ก ษาการสร า งเซลล สื บ พั น ธุ
เพศเมีย 1 การสรางเซลลสืบ
2. ใหสมาชิกในกลุม ที่ 1 จับคูก บั สมาชิกในกลุม ที่ พันธุเพศผู
(microgametogenesis)
2 แลวใหนักเรียนแตละคูแลกเปลี่ยนขอมูล
จากนั้นทําใบงาน เรื่อง การสรางเซลลสืบพันธุ 1 ภายในอับเรณู มีกลุ่มเซลล์ เรียกว่า
ไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ (micro-
ของพืชดอก spore mother cell) (2n)
2 ไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์แต่ละเซลล์
จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส อับเรณู
1
3 หลังการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจะได้
เซลล์ ใ หม่ เรี ย กว่ า ไมโครสปอร์ ไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ (2n)
(microspore) (n) จ�านวน 4 ไมโครสปอร์ ไมโอซิส 2
130
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
T145
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. หลังจากจบการอภิปราย ครูอาจใชคาํ ถามเพือ่ 2.3 การถายเรณู
นําเขาสูบทเรียนถัดไป โดยมีแนวคําถาม ดังนี้ เมื่อเรณูภายในอับเรณูแก่เต็มที่แล้ว อับเรณูจะแตกออก
ï• กระบวนการผสมเกสรของพื ช เกิ ด ขึ้ น ได ท�าให้เรณูกระจายออกไปและตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย ซึ่ง
อยางไร ในธรรมชาติอาจเกิดขึ้นโดยอาศัยตัวกลาง เช่น ลม น�้า แมลง
(แนวตอบ เกิดขึ้นจากเรณูไปตกลงบนยอด ช่วยน�าเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย แต่พืชบางชนิด
เกสรเพศเมีย) อาจอาศัยลักษณะและต�าแหน่งของเกสรเพศผู้และเกสรเพศ
ï• การถายเรณูของพืชดอกมีกี่แบบ อยางไร เมียภายในดอกที่เอื้อให้เรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมียได้เอง
(แนวตอบ 2 แบบ คือ การถายเรณูในดอก โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เรียกกระบวนการนี้ว่า การถ่ายเรณู
เดียวกัน และการถายเรณูขามตน) ภาพที่ 3.12 แมลงมีความส�าคัญต่อ (pollination)
การถ่ายเรณู
ï• การปฏิสนธิคืออะไร ที่มา : คลังภาพ อจท.
(แนวตอบ กระบวนการทีส่ เปรม เขาไปผสมกับ
เซลลไขที่อยูภายในรังไข) การถ่ายเรณูภายในดอกหรือต้นเดียวกัน การถ่ายเรณูข้ามต้น
4. ครู อ าจยกตั ว อย า งจากดอกไม จ ริ ง มาให (self-pollination) (cross-pollination)
เป็นการถ่ายเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมียภายใน เป็นการถ่ายเรณูจากดอกของพืชต้นหนึ่งไปยัง
นักเรียนไดศึกษาและอธิบาย ดังนี้ ดอกเดียวกันหรือคนละดอกแต่เป็นพืชต้นเดียวกัน ยอดเกสรเพศเมียของพืชอีกต้นหนึ่ง
- ดอกชบา 1 ดอก : อาจเกิดการถายเรณู
ภายในดอกเดียวกัน
- ดอกฟกทองเพศผูแ ละดอกฟกทองเพศเมีย : เรณู เรณู
เกิดการถายเรณูขา มดอกภายในตนเดียวกัน
- ตนมะละกอ ซึ่งเปนตนแยกเพศที่มีเฉพาะ
ดอกเพศผูแ ละดอกเพศเมียเทานัน้ : เกิดการ
ถายเรณูขามดอกและขามตน
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.4 การปฏิสนธิของพืชดอก ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน ทําใบงาน
เมื่อเรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย เซลล์ทิวบ์จะแบ่งเซลล์เพื่องอกหลอดเรณูไปตามก้าน เรื่อง การปฏิสนธิของพืชดอก
เกสรเพศเมียแทงเข้าไปทางไมโครไพล์เข้าสู่ออวุล และทิวบ์นิวเคลียสจะงอกหลอดไปแทงเข้าไป
อธิบายความรู
ยังรังไข่เจเนอเรทีฟเซลล์จะเคลือ่ นตัวไปตามหลอดเรณูและแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปิรม์ จ�านวน
2 เซลล์ โดยสเปิรม์ ตัวหนึง่ จะเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ได้เป็นไซโกต (zygote) ซึง่ มีโครโมโซมจ�านวน ครูสมุ ตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอใบงาน เรือ่ ง
2 ชุด แล้วพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ ส่วนสเปิรม์ อีกตัวหนึง่ จะเข้าไปผสมกับโพลาร์นวิ คลีไอได้เป็น การปฏิสนธิของพืชดอก
เอนโดสเปร์ม(endosperm)ซึ่งมีจ�านวนโครโมโซม 3 ชุด เรียกการปฏิสนธิแบบนี้ว่า การปฏิสนธิ
ซ้อน (double fertilization) ขัน้ สรุป
เรณู ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการสืบพันธุ
สเปิร์มผสมโพลาร์นิวคลีไอ (3n)
แอนติโพแดล ทิวบ์เซลล์ แบบอาศัยเพศของพืชดอก แลวใหนักเรียนทํา
ผังสรุปกระบวนการสรางเซลลสบื พันธุข องพืชดอก
และใหนักเรียนทําผังมโนทัศน เรื่อง การถายเรณู
เจเนอเรทีฟ
เซลล์ พรอมนําเสนอในรูปแบบที่นาสนใจ
เซลล์ไข่
โพลาร์-
ขัน้ ประเมิน
นิวคลีไอ ซินเนอร์จิด ทิวบ์นิวเคลียส ตรวจสอบผล
สเปิร์ม 2 เซลล์ สเปิร์มผสมเซลล์ไข่ (2n)
ภาพที่3.15 กระบวนการปฏิสนธิซ้อนของพืชดอก
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
ที่มา : http://www.macmillanhighered.com ม.5 เลม 1
B IOLOGY 2. ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภทของดอก
FOCUS ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกหลอดเรณู 3. ตรวจใบงาน เรื่อง การสรางเซลลสืบพันธุของ
ปจจัยที่มีผลตอการงอกของหลอดเรณูมีหลายปจจัย ไดแก สภาพภูมิอากาศ พันธุกรรม ความ พืชดอก
เปนกรด-เบส แสง อุณหภูมิ ความชืน้ และนํา้ ตาล แตจากผลการศึกษางานวิจยั ตาง ๆ พบวา ในธรรมชาติ 4. ตรวจใบงาน เรื่อง การปฏิสนธิของพืชดอก
ยอดเกสรเพศเมียจะขับสารจําพวกนํ้าตาลออก 5. ประเมินชิ้นงาน เรื่อง การสรางเซลลสืบพันธุ
จากเซลลผิวนั่นคือ นํ้าตาลซูโครส ซึ่งเปนนํ้าตาล ของพืชดอก โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน
ที่สามารถชักนําใหเรณูที่ตกบนยอดเกสรเพศเมีย 6. ประเมินผังมโนทัศน เรื่อง การถายเรณู โดยใช
เกิดการงอกของหลอดเรณู โดยนํ้าตาลซูโครส แบบประเมินชิ้นงาน
ทําหนาทีค่ วบคุมสมดุลของนํา้ ภายในและภายนอก
ภาพที่3.16 การงอกหลอดเรณู
ที่มา : https://commons.wikimedia.org เซลลของเรณู และยังเปนอาหารของเรณูอกี ดวย
การปฏิสนธิของพืช 133
ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน
4 3 2 1
(วิเคราะหคําตอบ พืชที่มีลักษณะการงอกโดยชูใบเลี้ยงขึ้นเหนือ
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
ดิน ไดแก พริก มะขาม ถั่วแดง ละหุง ดังนั้น ตอบขอ 1.) เกณฑ์การประเมิน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................/................
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
4 3 2 1
1. การจัดรูปแบบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รู ปเล่ มรายงานมี
และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T147
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนกอนเขาสู 2.5 โครงสร้างของผลและเมล็ด
บทเรียน โดยใหนักเรียนเลนเกมแขงกันบอกชื่อ
หลังการปฏิสนธิ รังไข่จะเจริญไปเป็นผลซึ่งประกอบด้วยผนังผลและเมล็ด
ดอกไม โดยครูกําหนดจํานวนพยางค ดังนี้
1. ผนังผล (pericarp) เป็นส่วนทีเ่ ปลีย่ นแปลงมาจากผนังรังไข่ มีลกั ษณะต่าง ๆ ซึง่ ผนังผล
ï• 1 พยางค
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ดังนี้
(แนวตอบ เข็ม บัว)
ï• 2 พยางค
ผนังชั้นนอก
(แนวตอบ กุหลาบ มะลิ ชบา) (exocarp)
ï• 3 พยางค เรียกว่า เปลือก ซึ่งมีลักษณะต่างกัน
(แนวตอบ เบญจมาศ ทานตะวัน กระดุมทอง) เช่น ผิวเรียบ ผิวมัน ผิวขรุขระ หรือ
อาจมีหนาม มีขน
ï• 4 พยางค
(แนวตอบ บานไมรโู รย คุณนายตืน่ สาย) ผนังชั้นกลาง
(mesocarp)
ผลบางชนิดมีผนังชั้นกลางหนา บาง
ขัน้ สอน ชนิดบางมาก และบางชนิดเป็นเนื้อ
อ่อนนุ่มซึ่งใช้รับประทานได้
สํารวจคนหา
ผนังชั้นใน
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน สืบคน (endocarp)
ขอมูลหรือศึกษา เรื่อง โครงสรางของผล ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นเดียว หรือ
2. ใหแตละกลุมสรางแบบจําลองโครงสรางของ ภาพที่3.17 โครงสร้างของผลและเมล็ด หลายชั้นจนมีลักษณะหนามาก และ
ผลโดยใชดินนํ้ามันที่ครูเตรียมไวให ที่มา : คลังภาพ อจท. บางชนิดเป็นเนือ้ นุม่ ซึง่ รับประทานได้
อธิบายความรู B iology
1. ครูสมุ ตัวแทนกลุม นําเสนอแบบจําลองโครงสราง Focus มะพราว
ผลชั้นใน(endocarp)
มีลักษณะแข็งเหมือนเนื้อไม้ ซึ่งเรียก
อี ก อย่ า งว่ า กะลามะพร้ า ว ภายใน
ภาพที่3.18 ส่วนประกอบของผลมะพร้าว มีเอนโดสเปิร์ม ประกอบด้วยน�้าและ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เนื้อมะพร้าวนิยมน�ามาบริโภค
134
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
พืชดอกแต่ละชนิดมีจา� นวนรังไข่ทแ่ี ตกต่างกัน ท�าให้สามารถแบ่งลักษณะการเกิดผลออกเป็น 1. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 3 กลุม โดยให
3 ประเภท ดังนี้ แต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนกลุ ม ออกมาจั บ สลาก
1. ผลเดี่ยว (simple fruit) คือ ผลที่เจริญมาจากรังไข่ของดอก 1 ดอก ที่มีเกสรเพศเมีย หมายเลข 1-3 โดยแตละหมายเลขมีหนาที่
เพียง 1 อัน ซึ่งดอก 1 ดอกนั้นอาจเป็นดอกเดี่ยว เช่น ตะขบ หรือดอกช่อที่รังไข่ของดอกย่อย ศึกษาเนื้อหาตอไปนี้
แต่ละดอกเจริญเป็นผลเดี่ยว และแต่ละผลเจริญแยกกันเป็นอิสระ เช่น มะม่วง ถั่วลันเตา - หมายเลข 1 คือ กลุมที่หนึ่งศึกษาผลเดี่ยว
2.ผลกลุ่ม (aggregate fruit) คือ ผลที่เจริญมาจากรังไข่ของดอก 1 ดอก ที่มีเกสรเพศเมีย - หมายเลข 2 คือ กลุมที่สองศึกษาผลกลุม
มากกว่า 1 อัน โดยรังไข่แต่ละอันเจริญเป็นผลย่อย แต่ละผลย่อยติดอยู่บนฐานดอกเดียวกัน ซึ่ง - หมายเลข 3 คือ กลุมที่สามศึกษาผลรวม
ผลย่อยแต่ละผลอาจเบียดแน่นชิดกันจนดูคล้ายเป็นผลหนึ่งผล เช่น น้อยหน่า สตรอว์เบอร์รี จ�าป 2. ใหนักเรียนแบงกลุมใหม กลุมละ 3 คน ที่มี
จ�าปา ราสเบอร์รี สมาชิกมาจากกลุมเดิม คือ กลุมที่1 2 และ 3
3.ผลรวม (multiple fruit) คือ ผลที่เจริญมาจากรังไข่ของดอกย่อยในดอกช่อ โดยขณะที่ ตามลําดับ
เจริญเป็นผลนั้นรังไข่ของดอกย่อยแต่ละดอกอาจเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน หรือเบียดชิดกันมากจน 3. ให ส มาชิ ก ภายในกลุ ม แลกเปลี่ ย นความรู
มองดูคล้ายผลหนึ่งผล เช่น ยอ สับปะรด ขนุน หม่อน สาเก จากเรื่องที่ตนเองศึกษามาภายในกลุม แลว
ผลเดี่ยว ผลกลุ่ม ผลรวม สรุปลงในกระดาษ A4 เรื่อง ประเภทของผล
รังไข่ เกสรเพศ ดอก
เมีย ย่อย ตกแตงใหสวยงาม พรอมนําเสนอหนาชัน้ เรียน
อธิบายความรู
1. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมานําเสนอชิ้นงาน
ดอกสับปะรด(ดอกช่อ)
ดอกของถั่วลันเตา ดอกราสเบอร์รี เรื่อง ประเภทของผล
เมล็ด
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
ผล
ศึ ก ษาประเภทของผลว า เนื่ อ งจากดอกไม
รังไข่ของ
ดอกย่อย ของพืชแตละชนิดมีจํานวนรังไขที่แตกตางกัน
ผล ทําใหผลซึ่งเจริญมารังไขแบงออกไดเปน 3
ถั่วลันเตา ราสเบอร์รี สับปะรด ประเภท คือ ผลเดี่ยวซึ่งเปนผลที่เจริญมาจาก
ดอกของถั่วลันเตา รังไข่ ดอกของราสเบอร์รีมีเกสร รังไข่ของดอกย่อยแต่ละอัน ดอกเดี่ยวเพียงหนึ่งดอกและมีเกสรเพศเมีย
แต่ มี ห ลายออวุ ล ท� า ให้ เพศเมียมากกว่า 1 อัน ซึ่ง พัฒนากลายเป็นผล หลอม
ถั่วลันเตา 1 ผล มีหลาย แต่ละอันมี 1 รังไข่ ท�าให้ รวมกันกลายเป็นสับปะรด เพียง 1 อัน ผลกลุมซึ่งเปนที่เจริญมาจากดอก
เมล็ด ราสเบอร์รีเกิดจากผลย่อย 1 ผล หนึง่ ดอกทีม่ เี กสรเพศเมียมากกวา 1 อัน สงผล
มาอัดชิดกันเป็นกลุ่ม ใหรงั ไขแตละอันเจริญเปนดอกยอยทีต่ ดิ อยูบ น
ภาพที่3.19 การเกิดผลเดี่ยว ผลกลุ่ม และผลรวม ฐานดอกเดียวกัน และผลรวมเจริญมาจากดอก
ที่มา : คลังภาพ อจท. ยอย สงผลใหรงั ไขของแตละดอกยอยเชือ่ มติด
เปนเนื้อเดียว
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 135
และการเจริญเติบโต
T149
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครู ว าดแผนผั ง เรื่ อ ง โครงสร า งเมล็ ด บน 1
2. เมล็ด (seed) พัฒนามาจากออวุล โดยพืชดอกแต่ละชนิดมีลกั ษณะและรูปร่างของเมล็ด
กระดาน หรือแจกใบงาน เรื่อง โครงสรางของ ที่แตกต่างกัน ซึ่งโครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
เมล็ดพืช แลวใหนักเรียนเติมคําลงในแผนผัง 1)เปลือกเมล็ด(seed coat) มีลักษณะหนา เหนียว แข็งท�าหน้าที่ป้องกันอันตรายให้
ใหสมบูรณ แก่เอ็มบริโอที่อยู่ภายในเมล็ดป้องกันการสูญเสียน�้า และในพืชบางชนิดยังช่วยป้องกันไม่ให้เมล็ด
2. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปนกลุมละ 5-6 คน งอกจนกว่าจะได้รับสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
จากนั้นครูใหนักเรียนแตละกลุมทํารายงาน
ไฮลัม
เกี่ ย วกั บ โครงสร า งของเมล็ ด ที่ ก ลุ ม ตนเอง (hilum)
ตองการศึกษา รอยแผลเป็นเล็ก ทีเ่ กิดจากก้านออวุล
ที่หลุดออกไป
ไมโครไพล
(micropyle)
รูเล็ก ๆ ใกล้รอยแผลเป็น ซึ่งเป็นส่วน
แรกที่เมล็ดเริ่มงอก แรดิเคิลจะงอก
ออกมาทางไมโครไพล์
ภาพที่3.20 เปลือกของเมล็ดถั่ว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
136
T150
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูสุมเรียกตัวแทนเฉลยแผนผังใหสมบูรณ
3)เอนโดสเปรม์ (endosperm) เป็นเนือ้ เยือ่ ทีท่ า� หน้าทีเ่ ก็บสะสมอาหารส�าหรับการเจริญ
หากคํ า ตอบยั ง ไม ถู ก ต อ ง ครู แ ละนั ก เรี ย น
เติบโตของเอ็มบริโอ ซึ่งอาหารที่สะสมไว้ส่วนใหญ่เป็นอาหารจ�าพวกแป้ง น�้าตาล โปรตีน หรือ
รวมกันอภิปรายคําตอบใหถูกตอง
ลิพดิ ขึน้ อยูก่ บั ชนิดของพืช แต่ในเมล็ดพืชใบเลีย้ งคูบ่ างชนิดไม่มเี อนโดสเปิรม์ หรือมีเอนโดสเปิรม์
ขนาดเล็ ก เช่ น ถั่ ว มะขาม ส่ ว นพื ช ใบเลี้ ย งคู ่ บ างชนิ ด เช่ น ละหุ ่ ง จะมี เ อนโดสเปิ ร ์ ม 2. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอรายงาน
ที่ท�าหน้าที่สะสมอาหาร ท�าให้มองเห็นเอนโดสเปิร์มชัดกว่าใบเลี้ยง และพืชบางชนิดเอนโดสเปิร์ม เรื่อง โครงสรางของเมล็ด โดยใหนักเรียน
อาจไม่พัฒนา เช่น กล้วยไม้ แตละกลุม ออกมานําเสนอโครงสรางของเมล็ด
ที่กลุมตนเองเลือกศึกษา ผูนําเสนออาจวาด
เปลือกเมล็ด เอพิคอทิล ภาพโครงสรางเมล็ดหนากระดาน หรือทําเปน
ไฮโพคอทิล
ใบความรูเกี่ยวกับโครงสรางเมล็ดของกลุม
แรดิเคิล ตนเองมาแจกใหเพื่อนในหอง เพื่อประกอบ
ใบเลี้ยง
การอธิบายใหเขาใจและเห็นภาพชัดเจนมาก
ยิ่งขึ้น
ภาพที่ 3.21 ส่วนประกอบของเมล็ดถัว่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เปลือกเมล็ด
เอนโดสเปิร์ม
ใบเลี้ยง
เอพิคอทิล
ไฮโพคอทิล
แรดิเคิล
ภาพที่3.22 ส่วนประกอบของเมล็ดละหุ่ง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ผนังผลและเปลือกเมล็ด
ใบเลี้ยง
1
เอนโดสเปิร์ม
โคลีออพไทล์ เอพิคอทิล
(ปลายหุ้มยอดแรกเกิด)
ไฮโพคอทิล
โคลีโอไรซา แรดิเคิล
2
ภาพที่3.23 ส่
ส่วนประกอบของเมล็ดข้าวโพด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 137
และการเจริญเติบโต
T151
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ใหนักเรียนศึกษาขอมูลเกี่ยวกับการเจริญของ หลังการปฏิสนธิ ออวุลจะเจริญและพัฒนาไปเป็นเมล็ด (seed) ส่วนรังไข่จะเจริญและพัฒนา
ไซโกต จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1 ไปเป็นผลห่อหุม้ เมล็ด (fruit) ภายในเมล็ดมีเอ็มบริโอทีพ่ ฒ ั นามาจากไซโกต และอาจมีเอนโดสเปิรม์
4. ครูวาดภาพหรือนําภาพการเจริญและพัฒนา ที่เจริญไปพร้อม ๆ กับเอ็มบริโอ โดยเอนโดสเปิร์มจะเจริญไปเป็นอาหารของเอ็มบริโอ แต่พืชบาง
ของเอ็มบริโอภายหลังการปฏิสนธิของพืชดอก ชนิดเอนโดสเปิร์มจะหยุดการเจริญและสลายไป ดังนั้นอาหารสะสมของพืชกลุ่มนี้จะอยู่ภายใน
มาใหนักเรียนศึกษา ใบเลี้ยงของเอ็มบริโอ
5. ครูถามคําถาม เพื่อตรวจสอบความเขาใจของ การเจริญของไซโกตไปเป็นเอ็มบริโอเกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสครัง้ แรกได้จา� นวน 2
นักเรียน ดังนี้ เซลล์ คือ เซลล์ที่อยู่ด้านล่างซึ่งอยู่ติดกับรูไมโครไพล์ เรียกว่า เซลล์ฐาน (basal cell) จะแบ่ง
ï• การเจริญของไซโกตไปเปนเอ็มบริโอเกิดจาก เซลล์เพิ่มจ�านวนขึ้น เรียกว่า เซลล์สนับสนุน (suspensor) ท�าหน้าที่ยึดเอ็มบริโอ ส่วนเซลล์ที่อยู่
การแบงแบบใดและเกิดขึ้นกี่ครั้ง ด้านบน เรียกว่า เซลล์แอพิคลั (apical cell) จะแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็วและอยูท่ างด้านบนของเซลล์
(แนวตอบ แบบไมโทซิส จํานวน 2 ครั้ง) สนับสนุน โดยเซลล์แอพิคลั จะมีการเปลีย่ นแปลงไปเป็นเนือ้ เยือ่ และส่วนต่าง ๆ ของเอ็มบริโอต่อไป
ï• ไซโกตทีเ่ กิดจากการแบงเซลลแลวติดอยูก บั
รูไมโครไพลเรียกวาอะไร เอ็มบริโอ
(แนวตอบ เซลลฐาน) เซลล์เเอพิคัล เซลล์
สนับสนุน
ï• เซลลสนับสนุนทําหนาที่อะไร เซลล์ฐาน
(แนวตอบ ยึดเอ็มบริโอ) เอ็มบริโอ
ï• บริ เ วณใดของเอ็ ม บริ โ อจะเปลี่ ย นแปลง
เนื้อเยื่อและสวนตางๆ เพื่อทําหนาที่เฉพาะ ไซโกต
(แนวตอบ เซลลแอพิคัล) ใบเลี้ยง
ปลายยอด
ขยายความเข้าใจ เอนโดสเปิร์ม
เปลือกหุ้มเมล็ด
ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา
ม.5 เลม 1
ภาพที่3.24 การเจริญและพัฒนาของเอ็มบริโอและเอนโดสเปิร์มภายหลังการปฏิสนธิ
ที่มา : คลังภาพ อจท.
138
T152
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
นอกจากเมล็ ด พื ช จะท� า หน้ า ที่ แ พร่ พั น ธุ ์ ใ ห้ กั บ พื ช โดยมี ผ ลซึ่ ง ท� า หน้ า ที่ ห ่ อ หุ ้ ม เมล็ ด ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายโครงสรางของ
แล้ว ปัจจุบันมนุษย์น�าเมล็ดและผลไปใช้ประโยชน์มากมาย ส่วนใหญ่นิยมน�าผนังผลชั้นกลาง ผลและเมล็ด แลวใหนกั เรียนยกตัวอยางประโยชน
(mesocarp) หรือเนือ้ ผลไม้ และเมล็ดพืชบางชนิด เช่น เมล็ดทานตะวัน มาบริโภคโดยตรง หรือน�า ทีไ่ ดจากโครงสรางตางๆ ของเมล็ดและผล โดยครู
ผลไม้มาท�าเป็นอาหารแปรรูป เช่น ผลไม้ดอง ผลไม้กระป๋อง นอกจากนีเ้ มล็ดพืชบางชนิดสามารถ อาจใหนักเรียนแตละคนยกตัวอยาง 1 ตัวอยาง
น�าไปแปรรูปเป็นอาหาร เช่น น�า้ เต้าหู ้ หรือน�าไปสกัดเป็นส่วนผสมในตัวยาและผลิตภัณฑ์บา� รุงผิว และใหนักเรียนนําความรู เรื่อง โครงสรางของผล
และเส้นผม เช่น น�้ามันมะกอก และเมล็ด มาประยุกตใชในชีวิตประจําวัน ดวย
การออกแบบหรือสรางชิ้นงานขึ้นมา 1 ชิ้น พรอม
อธิบายประโยชน หรือสรรพคุณของชิ้นงานนั้นๆ
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5
เลม 1
2. ตรวจใบงาน เรื่อง โครงสรางของเมล็ดพืช
3. ประเมินชิ้นงาน เรื่อง ประเภทของผล โดยใช
ภาพที่3.25 ผลไม้แปรรูปสับปะรดกระป๋อง ภาพที่3.26 เมล็ดทานตะวันท�ามาบริโภคได้โดยตรง
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท. แบบประเมินชิ้นงาน
4. ประเมินรายงาน เรื่อง โครงสรางเมล็ด โดยใช
แบบประเมินชิ้นงาน
5. ประเมินชิ้นงาน เรื่อง โครงสรางของผลและ
เมล็ด โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
8. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ
ภาพที่3.27 น�้ามันมะกอกสกัดจากไขมันของผลมะกอก ภาพที่3.28 น�้าเต้าหู้จากเมล็ดถั่วเหลือง ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
ที่มา : คลังภาพ อจท. ที่มา : คลังภาพ อจท.
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 139
และการเจริญเติบโต
ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน
5. โคลีออพไทลและโคลีโอไรซา
4 3 2 1
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T153
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยนําเกม 2.6 การงอกของเมล็ด
หรื อ ความบั น เทิ ง มาให นั ก เรี ย นมี ส ว นร ว มใน
เมื่อเมล็ดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เอ็มบริโอจะเจริญเป็นต้นพืช ซึ่งกระบวนการที่
ชัน้ เรียน โดยครูนาํ ภาพเมล็ดพืชชนิดตางๆ มาให
เอ็มบริโอในเมล็ดเจริญเป็นต้นพืช เรียกว่า การงอก (germination)
นักเรียนทายวาเปนเมล็ดพืชชนิดใด
1. ประเภทการงอกของเมล็ด หากแบ่งการงอกของพืชสามารถแบ่งได้ 2 แบบ ได้แก่
ขัน้ สอน 1) การงอกเหนือดินหรือการงอกโดยชูใบเลีย้ งขึน้ เหนือดิน (epigeal germination) เป็นการ
สํารวจค้นหา งอกที่ไฮโพคอทิลเจริญและยืดตัวเร็วมาก จึงดึงเอาใบเลี้ยงและส่วนของเอพิคอทิลออกจากเปลือก
เมล็ดและชูตัวขึ้นมาเหนือดิน หลังจากนั้นไฮโพคอทิลจะตั้งตรง ใบเลี้ยงกางออก ท�าให้เอพิคอทิล
1. ครูถามนักเรียนวา นักเรียนทราบหรือไมวา
เมล็ดพืชแตละชนิดมีลักษณะการงอกที่แตก และพลูมูลยืดตัวขึ้นมา ซึ่งใบเลี้ยงที่กางออกจะท�าหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหารเพียง
ตางกันหรือไม อยางไร ระยะหนึง่ แล้วจะเหีย่ วแห้งไป เหลือเพียงเอพิคอทิลเจริญไปเป็นใบแท้ ซึง่ การงอกในลักษณะนีพ้ บใน
(แนวตอบ บางชนิดมีลักษณะการงอกที่เหมือน เมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น พริก ถั่วเขียว มะขาม
กัน เชน ถั่วเขียว ถั่วเหลือง แตบางชนิดมี ใบแท้
ลักษณะการงอกที่แตกตางกัน เชน การงอก
ของเมล็ดขาวโพดแตกตางกับเมล็ดถั่วเขียว) ใบเลี้ยง เอพิคอทิล
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน เลือก ไฮโพคอทิล ใบเลี้ยง
พืชมา 1 ชนิด สืบคนและศึกษาวาพืชชนิดนั้น ไฮโพคอทิล ใบเลี้ยง ไฮโพคอทิล
มีลักษณะการงอกอยางไร
แรดิเคิล
เปลือกเมล็ด
ภาพที่3.29 การงอกของเมล็ดถั่วโดยชูใบเลี้ยงขึ้นเหนือดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
B iology
Focus การงอกของหอมหัวใหญ
หอมหัวใหญ่ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีการงอกโดย
ชูใบเลี้ยงขึ้นเหนือดิน โดยใบเลี้ยงซึ่งมีอยู่ใบเดียวจะยืดยาว
มีลกั ษณะโค้งงอแล้วโผล่ขนึ้ มาเหนือดิน เพือ่ ท�าหน้าทีส่ งั เคราะห์
ด้วยแสงจนกว่าใบแท้จะเจริญขึ้นมา และสามารถสร้างอาหาร
เองได้
ภาพที่3.30 หอมหัวใหญ่
ที่มา : คลังภาพ อจท.
140
T154
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) การงอกใต้ดิน หรือการงอกโดยที่ใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน (hypogeal germination) คือ 1. ครูสมุ ตัวแทนกลุม นําเสนอรูปแบบการงอกของ
การงอกของเมล็ดที่เมื่อพืชเจริญเติบโตเป็นต้นอ่อนแล้วใบเลี้ยงยังคงอยู่ใต้ดิน การงอกในลักษณะ เมล็ดพืช
นี้เกิดขึ้นเนื่องจากเอพิคอทิลเจริญเติบโตเร็วกว่าไฮโพคอทิล ดังนั้นเอพิคอทิลและพลูมูลจะงอก 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการ
ขึ้นมาอยู่บนดินโดยมีโคลีออพไทล์หุ้มอยู่เพื่อป้องกันอันตราย ซึ่งโคลีออพไทล์จะหยุดการเจริญ สืบคนวา การงอกของเมล็ดพืชแบงออกไดเปน
เมื่อได้รับแสงและปล่อยให้เอพิคอทิลเจริญเป็นใบแท้ต่อไป ส่วนไฮโพคอทิลและใบเลี้ยงยังคง 2 แบบ คือ การงอกโดยชูใบเลีย้ งขึน้ เหนือดิน ซึง่
อยู่ในดิน การงอกในลักษณะนี้มักพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าว ข้าวโพด แต่ก็มีพืชใบเลี้ยงคู่ ใบเลีย้ งจะโผลพน ขึน้ มาเหนือดิน และการงอก
บางชนิดด้วย เช่น ถั่วลันเตา โดยใบเลี้ยงอยูใตดิน ซึ่งใบแทของพืชเหลานี้
จะโผลพนเหนือดิน และมีใบเลี้ยงอยูใตดิน
3. ครูถามนักเรียนวา การงอกของเมล็ดถั่วเขียว
ใบแท้
โคลีออพไทล์ ตางกับเมล็ดขาวโพดอยางไร
( แนวตอบ ต า งกั น ที่ ไ ฮโพคอทิ ล ของเมล็ ด
ถั่วเขียวจะเจริญไดเร็วกวาเอพิคอทิล ทําให
ใบเลี้ยงเจริญขึ้นมาเหนือดิน สวนเมล็ดขาว-
โพดเอพิคอทิลจะเจริญเร็วกวา ไฮโพคอทิล
แรดิเคิล ทําใหใบเลี้ยงยังคงอยูใตดิน)
ภาพที่3.31 การงอกของเมล็ดข้าวโพดที่มีลักษณะการงอกที่มีใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เอพิคอทิล
ไฮโพคอทิล
ใบเลี้ยง
ไฮโพคอทิล
ภาพที่3.32 การงอกของเมล็ดถั่วลันเตาที่มีลักษณะการงอกที่มีใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การงอกของเมล็ด 141
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน กลุมละ 5-6 คน • การสังเกต
อภิปรายผลกิจกรรม
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
พืชทั้งสองชนิดมีลักษณะการงอกที่แตกตางกัน แตเมล็ดทั้งสองชนิดมี พืชในขอใดมีใบเลี้ยงหนา สามารถดูดซึมอาหารจากเอนโด-
แรดิเคิลงอกออกมาลําดับแรกเหมือนกัน เมือ่ เพาะเมล็ดทัง้ สองชนิดเปนเวลา 10 สเปรมมาสะสมไวที่ใบเลี้ยงได
วัน สามารถเปรียบเทียบลักษณะการงอกของเมล็ดไดดังตาราง 1. มะขาม ละหุง
ขอเปรียบเทียบ เมล็ดขาวโพด เมล็ดถั่วเขียว 2. ถั่วเหลือง ละหุง
3. มะขาม ขาวโพด
สวนที่งอกหลังจาก โคลีออพไทลหรือ ไฮโพคอทิล
แรดิเคิลงอกออกจาก เยื่อหุมยอดแรกเกิด 4. ถั่วเหลือง มะขาม
เมล็ด 5. ขาวโพด ถั่วเหลือง
ตําแหนงของใบเลี้ยง อยูใตดิน อยูเหนือดิน (วิเคราะหคําตอบ พื ช ใบเลี้ ย งคู ส ว นใหญ มี ใ บเลี้ ย งที่ ส ามารถ
ดูดซึมอาหารจากใบเลี้ยงขณะที่ลําตนงอกออกจากเมล็ดได เชน
ถั่วเหลือง มะขาม ยกเวน พืชใบเลี้ยงคูบางชนิด เชน ละหุง
ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T156
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด เมล็ดที่เอ็มบริโอไม่สมบูรณ์ หรือมีความผิดปกติ 1. ครูถามคําถามทบทวนจากการทํากิจกรรมการ
มักจะไม่งอกและไม่สามารถเจริญเป็นต้นใหม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งเมื่อน�าเมล็ดมาเพาะ งอกของเมล็ด ดังนี้
จะพบว่า มีทั้งเมล็ดที่งอกและเมล็ดที่ไม่งอก ทั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ ï• เมล็ดถัว่ เขียวและเมล็ดขาวโพดทีน่ กั เรียนนํา
1)ปัจจัยภายนอกทีม่ ผี ลต่อการงอกของเมล็ด โดยปกติเมล็ดพืชทีแ่ ก่เต็มทีจ่ ะมีความชืน้ มาเพาะ เจริญเปนตนออนทุกเมล็ดหรือไม
ต�่าประมาณร้อยละ 10-15 มีอัตราการหายใจต�่า และมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีภายในเมล็ด (แนวตอบ ขึ้นอยูกับผลการทํากิจกรรมของ
น้อยมาก ซึ่งการที่เมล็ดจะงอกได้นั้นจ�าเป็นต้องได้รับปัจจัยภายนอกที่เหมาะสม ดังนี้ นักเรียน)
• น�า้ หรือความชืน้ เมือ่ เมล็ดได้รบั น�า้ หรือความชืน้ ï• ในการปลูกตนถัว่ เขียวและขาวโพด นักเรียน
เปลือกหุ้มเมล็ดจะอ่อนตัวลง ท�าให้รากแทงผ่านขึ้นมาได้สะดวก คิดวา มีปจจัยใดบางที่มีสวนสําคัญในการ
มากขึ้น ขณะเดียวกันน�้าและออกซิเจนจะสามารถผ่านเข้าไป งอกของเมล็ด
ในเมล็ดได้มากขึน้ ส่งผลให้เมล็ดขยายขนาดและมีนา�้ หนักเพิม่ ขึน้ ( แนวตอบ ขึ้ น อยู กั บ คํ า ตอบของนั ก เรี ย น
นอกจากนี ้ น�า้ ยังเป็นตัวกระตุน้ ปฏิกริ ยิ าทางชีวเคมีตา่ ง ๆ ภายใน ตัวอยางคําตอบควรมีนํ้า ความชื้น)
เมล็ด กระตุ้นการสร้างเอนไซม์เพื่อย่อยสลายสารอาหารที่สะสม 2. ใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกับปจจัยทีม่ ผี ลตอ
ในเมล็ด เช่น เอนไซม์อะไมเลส (amylase) ท�าหน้าที่ย่อยแป้ง ภาพที่ 3.34 น�้ากระตุ้นให้ต้นอ่อนเจริญ การงอกเมล็ดจากแหลงการเรียนรู จากนัน้ สรุป
ให้เป็นมอลโทส เอมไซม์โปรตีเอส (protease) ท�าหน้าทีย่ อ่ ยโปรตีน งอกออกจากเมล็ดได้สะดวกขึ้น เปนผังมโนทัศน พรอมตกแตงใหสวยงาม
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ให้เป็นกรดอะมิโน ซึ่งสารอาหารต่าง ๆ ที่ได้จากการย่อยจะแพร่ 3. ใหนกั เรียนจับคูแ ลกผังมโนทัศนของตนเองและ
1
เข้าไปในเอ็มบริโอเพือ่ ใช้ในกระบวนการหายใจทีม่ ผี ลท�าให้เกิดการเจริญเติบโต นอกจากนีน้ า�้ ยังเป็น รวมกันแลกเปลี่ยนความรูกับเพื่อน
ตัวท�าละลายสารอืน่ ๆ ทีส่ ะสมในเมล็ดและช่วยล�าเลียงสารไปให้เอ็มบริโอเพือ่ ใช้ในการงอกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากเมล็ดพืชบางชนิดได้รับน�้าปริมาณมากเกินไปจะท�าให้เมล็ดเข้าสู่สภาพพักตัว
หรืออาจท�าให้เมล็ดเน่าได้
• ออกซิเจน ในขณะที่เมล็ดงอกจะมีอัตราการ Biology
in real life
หายใจสูง และต้องการออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการสลาย
2 นอกจากสภาพแวดล้อมที่เป็น
สารอาหารเพื่อให้ได้พลังงานไว้ใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึม ปัจจัยต่อการงอกของเมล็ดแล้ว
(metabolism) เมล็ดโดยทั่วไปจะงอกได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มี วั ส ดุ อุ ป กรณ์ แ ละเทคนิ ค การ
แก๊สออกซิเจนประมาณร้อยละ 20 แต่พืชบางชนิด เช่น พืชน�้า หยอดเมล็ดมีผลต่อการงอกของ
สามารถงอกได้ดีในสภาวะที่มีแก๊สออกซิเจนต�่า ความชื้นสูง เมล็ดเช่นกัน โดยอุปกรณ์ควร
ขณะทีเ่ มล็ดพืชหลายชนิดจะไม่งอกเลยถ้ามีปริมาณออกซิเจนไม่ มีลักษณะแบน หน้ากว้าง มีรู
เพียงพอแม้ความชืน้ จะสูงก็ตาม เช่น เมล็ดวัชพืชหลายชนิดทีฝ่ งั ระบายน�้าออก ได้สะดวก และ
ควรหยอดเมล็ ด เป็ น แถวเพื่ อ
ลึกอยู่ในดิน จะอยู่ในสภาพพักตัวจนกว่าจะมีการไถพรวนขึ้นมา ความสะดวกต่อการย้ายต้นกล้า
จึงจะสามารถงอกได้
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 143
และการเจริญเติบโต
T157
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูเขียนคําถามบนกระดานและใหนกั เรียนลอก • อุณหภูม ิ เมล็ดพืชแต่ละชนิดต้องการอุณหภูมทิ เี่ หมาะสมในการงอกทีแ่ ตกต่างกัน
คําถามและตอบคําถามลงในสมุดบันทึกของ โดยเมล็ดพืชเขตหนาวจะงอกได้ดีในช่วงอุณหภูมิต�่า เช่น หอมหัวใหญ่ ผักกาดหัว ซึ่งงอกได้ดีที่
ตนเอง ดังนี้ อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ขณะที่เมล็ดพืชเขตร้อนจะงอกได้ดีในช่วงอุณหภูมิสูง เช่น เมล็ด
ï• ปจจัยที่มีผลตอการงอกเมล็ดแบงออกเปน ข้าวโพด งอกได้ดที อี่ ณ
ุ หภูมปิ ระมาณ 34 องศาเซลเซียส แต่กม็ เี มล็ดพืชบางชนิดต้องการอุณหภูมิ
กี่ประเภท อะไรบาง ในช่วงกลางวันและกลางคืนทีต่ า่ งกัน หรือให้อณ
ุ หภูมติ า�่ สลับกับอุณหภูมสิ งู การงอกจึงจะเกิดได้ดี
(แนวตอบ 2 ประเภท คือ ปจจัยภายในและ เช่น บวบเหลี่ยม โดยหากให้อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 16 ชั่วโมง สลับกับอุณหภูมิ
ปจจัยภายนอก) 30 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 8 ชั่วโมง เมล็ดจึงจะงอกได้ดี
ï• ปจจัยภายนอกทีม่ ผี ลตอการงอกเมล็ด ไดแก ตารางที่ 3.1 : อุณหภูมิที่เมล็ดพืชแต่ละชนิดสามารถงอกได้
อะไรบาง อุณหภูมิ(�C)
(แนวตอบ นํ้าหรือความชื้น ออกซิเจน แสง พืช
ต�่าสุด เหมาะสม สูงสุด
(สําหรับพืชบางชนิด) และอุณหภูมิ) ข้าว 10-20 20-30 40-42
ï• ปจจัยภายในที่มีผลตอการงอกเมล็ด ไดแก ข้าวบาร์เลย์ 8-10 25 40-44
อะไรบาง ข้าวสาลี 3-5 15-20 30-43
(แนวตอบ เปลือกหุมเมล็ด เอนโดสเปรม ถั่วเหลือง 8 20-35 40
เอ็มบริโอ)
มะเขือเทศ 20 20-30 35-40
ï• สภาพพักตัวของเมล็ดคืออะไร
ยาสูบ 10 24 30
( แนวตอบ สภาพเมล็ ด ที่ ยั ง คงมี ชี วิ ต แต
แคนตาลูป 16-19 20-30 45-50
ไมสามารถงอกเปนตนใหมได)
• แสง เมล็ดพืชบางชนิด เช่น หญ้า ยาสูบ ผักกาดหอม สาบเสือ ปอ จะงอกได้ดีต่อ
เมือ่ มีแสง เมล็ดพืชอีกหลายชนิดไม่ตอ้ งการแสงในขณะงอก ดังนัน้ การเพาะเมล็ดเหล่านีจ้ งึ มักต้อง
กลบดินปิดเมล็ดเสมอ เช่น กระเจี๊ยบ แตงกวา ผักบุ้งจีน ฝ้าย ข้าวโพด แต่ปัจจุบันพืชเศรษฐกิจ
หลายชนิด เช่น ยาสูบ ผักกาดหอม ได้มกี ารพัฒนาสายพันธุใ์ ห้เมล็ดสามารถงอกได้โดยไม่ตอ้ งใช้แสง
นอกจากแสงจะจ�าเป็นในขณะ
ที่เมล็ดพืชก�าลังงอกแล้ว ยังมีความจ�าเป็นต่อ
พืชหลังการงอกอีกด้วย กล่าวคือ ขณะที่พืช
ยังเป็นต้นอ่อน ปริมาณแสงที่พอเหมาะจะเป็น
ปัจจัยที่ท�าให้ต้นอ่อนแข็งแรงและเจริญเติบโต
ได้ดี ภาพที่3.35 แสงจ�าเป็นต่อพืชที่งอกออกจากเมล็ด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
144
ขอสอบเนน การคิด
จากผลการทดลองในตาราง สามารถสรุปไดวาอยางไร สภาพแวดลอมภายนอก จํานวนเมล็ด จํานวนเมล็ด
1. ความชื้นมีอิทธิพลตอการงอกของเมล็ด ที่ใช ที่งอก
2. เมล็ดที่งอกในที่แหงเกิดจากความผิดพลาด แสง ชื้น 78 70
3. แสงจําเปนตอการงอกของเมล็ด หากไมมีแสง เมล็ด แหง 78 2
จะไมงอก อุณหภูมิ ชื้น 78 16
๐
4. แสง ความชื้น และอุณหภูมิเปนตัวกําหนดปจจัยใน 40 º C แหง 78 1
การงอกของเมล็ด มืด ชื้น 78 68
5. การทดลองนี้ไมสามารถสรุปผลได แหง 78 4
(วิเคราะหคําตอบ จากตาราง พบวา ในทีแ่ หงเมล็ดงอกนอยมาก ซึง่ แสงและทีอ่ ณุ หภูมิ 40 º๐C ไมมผี ลตอการงอกของเมล็ด แตเมล็ด
จะงอกไดดีในที่ที่มีความชื้น ถึงแมวาจะมีแสงหรือไมมีแสง ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T158
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) ปัจจัยภายในที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด การงอกของเมล็ดนอกจากจะขึ้นอยู่กับ 2. ครูสมมติสถานการณขนึ้ มาใหนกั เรียนวิเคราะห
ปัจจัยภายนอกที่เหมาะสมแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในด้วย ได้แก่ เปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และ สาเหตุและแกไขสถานการณ
เอนโดสเปิร์ม โดยโครงสร้างของเปลือกเมล็ดที่แตกต่างกันในพืชแต่ละชนิด การเจริญเต็มที่ของ ï• นาย A นําเมล็ดขาวโพดมาเพาะในกระบะ
เอ็มบริโอ รวมทั้งปริมาณของเอนโดสเปิร์มล้วนมีผลต่อการงอกของเมล็ด ที่มีกระดาษทิชชูที่เปยกชื้น ตั้งไวในที่ที่มี
พืชบางชนิดเมือ่ เก็บเกีย่ วมาใหม่ ๆ และน�าเมล็ดไปเพาะทันที เมล็ดจะไม่งอก แม้จะมี อากาศถายเท และมีแสงแดดสองถึง เมื่อ
สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมเพียงพอต่อการงอกก็ตาม เนื่องจากเมล็ดเหล่านั้นมีเอ็มบริโอที่ยังไม่ เวลาผานไป 2 วัน เมล็ดขาวโพดไมเกิดการ
เจริญ หรือยังเจริญไม่เต็มที ่ แต่เมือ่ เก็บไว้สกั ระยะหนึง่ ให้เอ็มบริโอเจริญเต็มทีแ่ ล้วน�าไปเพาะเมล็ด เปลี่ยนแปลง เพราะเหตุใดจึงเปนเชนนั้น
เหล่ า นั้ น จึ ง สามารถงอกได้ ซึ่ ง เมล็ ด ที่ มี ส ภาพของเมล็ ด สมบู ร ณ์ แ ต่ ยั ง ไม่ ง อกหรื อ งอกช้ า นักเรียนมีวิธีแกไขอยางไร
เรียกสภาพนี้ว่า สภาพพักตัวของเมล็ด (seed dormancy) (แนวตอบ ควรนําเมล็ดขาวโพดไปเพาะในที่
สภาพพักตัวของเมล็ด หมายถึง สภาพเมล็ดที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่สามารถงอกเป็น มืด เนื่องจากแสงมีผลตอการงอกของเมล็ด
ต้นใหม่ได้ เมล็ดพืชบางชนิดมีระยะการพักตัวสั้นมาก เช่น ขนุน มะละกอ มะขามเทศ ซึ่ง พืชบางชนิด เชน หญา ยาสูบ ผักกาดหอม
พบว่า เมล็ดของพืชในกลุม่ นีส้ ามารถงอกได้ขณะทีย่ งั อยูใ่ นผล ในขณะเมล็ดพืชบางชนิด เช่น โกงกาง ปอ)
จะไม่ มี ส ภาพพั ก ตั ว ของเมล็ ด เลย หรื อ พื ช บางชนิ ด มี ส ภาพพั ก ตั ว ที่ ย าวนาน โดยทั่ ว ไป
ï• นาย B นําเมล็ดยาสูบมาเพาะในกระบะที่มี
เมื่อเมล็ดได้รับน�้า ออกซิเจน และอุณหภูมิที่เหมาะสม สภาพพักตัวของเมล็ดนั้น ๆ จะหมดไป
กระดาษทิชชูที่เปยกชื้น ตั้งไวในหองมืด ที่
ท�าให้เอ็มบริโอเจริญเติบโตต่อไปได้ พืชบางชนิดแม้จะได้รบั สภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม แต่เมล็ดยังคง
อยู่ในสภาพพักตัว โดยอาจเกิดจากปัจจัยภายในบางประการของเมล็ด ตัวอย่างเช่น มีอุณหภูมิสูงกวา 35 องศาเซลเซียส เมื่อ
1) เปลือกเมล็ด อาจมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ เวลาผานไป 2 วัน เมล็ดยาสูบไมเกิดการ
• เปลือกเมล็ดหนาและแข็ง ท�าให้เมล็ดอยู่ในสภาพพักตัวจนมีปัจจัยบางประการที่ เปลี่ยนแปลง เพราะเหตุใดจึงเปนเชนนั้น
ท�าให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลงหรือแตกออก เมล็ดจึงจะงอกได้ เช่น มะม่วง โพธิ ์ ไทร ตะขบ ตะเคียน นักเรียนมีวิธีแกไขอยางไร
มะค่าโมง สัก ฟักข้าว ( แนวตอบ ควรนํ า เมล็ ด ยาสู บ ไปเพาะใน
บริเวณที่มีอุณหภูมิเหมาะสม คือ 24 องศา
เซลเซียส)
T159
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ครูสมมติสถานการณขนึ้ มาใหนกั เรียนวิเคราะห โดยปกติเมือ่ เมล็ดได้รบั น�้าอย่างเพียงพอ เปลือกเมล็ดจะอ่อนตัวลง แต่เมล็ดพืชบาง
สาเหตุและแกไขสถานการณ ชนิดมีเปลือกเมล็ดหนาและแข็งมาก ท�าให้น�้าไม่สามารถผ่านเข้าไปในเมล็ดได้ ซึ่งในธรรมชาติจะ
ï• นาย C นําเมล็ดฟกขาวมาปลูกสลับกับเมล็ด มีจุลินทรีย์ในดินช่วยท�าลายสภาพพักตัวของเมล็ดดังกล่าว หรืออาศัยการผ่านระบบย่อยอาหาร
แตงโมในแปลงของตนเอง เมื่อเวลาผานไป ของสัตว์ เช่น นกกินผลของลูกโพธิ์ ลูกไทร ตะขบ แล้วถ่ายเมล็ดออกมา เปลือกของเมล็ดของ
1 สัปดาห เมล็ดไมงอก เพราะเหตุใดจึงเปน พืชเหล่านี้จะถูกย่อยสลายซึ่งเป็นการช่วยท�าลายสภาพพักตัวของเมล็ดได้อีกวิธีหนึ่ง นอกจากนี ้
เชนนั้น นักเรียนมีวิธีแกไขอยางไร ไฟป่าก็สามารถช่วยท�าลายสภาพพักตัวของเมล็ดพืชในป่าได้หลายชนิด เช่น หญ้า ไผ่ ตะเคียน
(แนวตอบ เปลือกของเมล็ดฟกขาวคอนขาง สัก เนื่องจากความร้อนจะท�าให้เมล็ดพืชเหล่านี้แตกออก
แข็ง จึงเปนสาเหตุใหเมล็ดอยูใ นสภาพพักตัว นอกจากนี ้ มนุษย์ยงั สามารถแก้ไขสภาพพักตัวของเมล็ดทีม่ เี ปลือกเมล็ดหนาและแข็ง
สามารถแกไขดวยการนําเมล็ดไปแชนํ้าอุน ซึง่ มีหลายวิธ ี เช่น การน�าไปแช่ในสายละลายกรดเพือ่ ให้เปลือกเมล็ดอ่อนนุม่ ลง การปาดหรือตัดปลาย
หรือนํ้ารอนเพื่อทําใหเปลือกออนนุม) เมล็ดออก การกระเทาะเปลือกหุม้ เมล็ด การขัดเมล็ดด้วยกระดาษ Biology
ï• นาย D อยากเพาะเมล็ ด กล ว ยไม พั น ธุ ทราย การเผาหรือการลนไฟเพื่อท�าให้เซลล์เปลือกเมล็ดแยกตัว in real life
เศรษฐกิจขาย แตเมล็ดไมงอก นักเรียน ออก รวมทั้งการใช้ความร้อนสลับกับความเย็นและเก็บไว้ในที่ เมล็ดพืชส่วนใหญ่ไม่ต้องการ
คิ ด ว า เกิ ด จากสาเหตุ ใ ด และมี วิ ธีแ ก ไ ข
อุณหภูมิต�่าระยะหนึ่งก่อนน�าไปเพาะ แสงในการงอกเมล็ด แต่เมล็ด
• เปลือกเมล็ดมีสารทีไ่ ม่ยอมให้นา�้ ซึมผ่าน เช่น ไข พืชบางชนิดต้องการแสงและ
อยางไร
(wax) คิวทิน (cutin) ซูเบอริน (suberin) ลิกนิน (lignin) ซึง่ สะสม อุณหภูมิที่เหมาะสมด้วย เช่น
(แนวตอบ เมล็ดกลวยไมอาจมีปริมาณเอนโด- เมล็ ด ผั ก สลั ด พั น ธุ ์ Grand
บนผนังเซลล์ของเปลือกเมล็ด พบในพืชหลายชนิด เช่น ถัว่ เขียว Rapids ต้องการแสงเพียง 1-2
สเปรมภายในเมล็ดนอย จึงเปนสาเหตุให ถั่วเหลือง ถั่วด�า ถั่วแดง แตงโม บวบ โดยวิธีแก้สภาพพักตัว นาที ที่อุณหภูมิ 25 องศา-
เมล็ดอยูในสภาพพักตัว สามารถแกไขดวย ของเมล็ดทีม่ ลี กั ษณะดังกล่าวท�าได้โดยการน�าไปแช่ในน�า้ อุน่ หรือ เซลเซียส
ไมคอรไรซาซึ่งเปนราชนิดหนึ่งที่เจริญรวม น�้าร้อนเพื่อล้างสารที่เคลือบเปลือกเมล็ดออกและท�าให้เปลือก
กับเมล็ดพืช โดยไมคอรไรซาจะชวยยอย เมล็ดอ่อนนุ่ม
สลายสารอินทรีย เพือ่ เปนอาหารใหแกเมล็ด
ที่กําลังงอก)
ก. เมล็ดถั่วด�า ข. เมล็ดแตงโม
ภาพที่3.38 ตัวอย่างเมล็ดที่เปลือกเมล็ดมีสารที่ไม่ยอมให้น�้าซึมผ่าน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
146
T160
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
• เปลือกเมล็ดไม่ยอมให้แกสออกซิเจนแพร่ผา่ น มักเกิดขึน้ ในเมล็ดพืชวงศ์หญ้าทีเ่ ป็น 4. ครูสุมเรียกนักเรียนตอบคําถาม ตอไปนี้
วัชพืช เมล็ดข้าว และข้าวสาลี โดยมักเป็นการพักตัวในระยะสั้น ๆ ซึ่งเมื่อเก็บเมล็ดไว้สักพักหนึ่ง •ï สภาพพักตัวของเมล็ดที่มีถิ่นกําเนิดในเขต
โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการใดก็สามารถน�าไปเพาะได้ หรืออาจท�าลายการพักตัวของเมล็ดโดย อบอุนและเขตหนาว ตัวอยางเชน แปะกวย
การทุบเพื่อท�าให้เปลือกหุ้มเมล็ดแตกออก และสนบางชนิด มักมีสาเหตุมาจากอะไร
2) เอ็มบริโอ สภาพพักตัวของเมล็ดอาจมีสาเหตุมาจากเอ็มบริโอ เนื่องจากในขณะ (แนวตอบ เอ็มบริโอทีอ่ ยูภ ายในเมล็ดยังเจริญ
ที่เมล็ดถูกเก็บเกี่ยวหรือร่วงหล่นจากต้น เอ็มบริโอที่อยู่ภายในเมล็ดยังเจริญและพัฒนาไม่เต็มที่ และพัฒนาไมเต็มที่)
ท�าให้เมล็ดไม่สามารถงอกได้ และอยู่ในสภาพพักตัวระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการพักตัวในลักษณะนี้พบ ï• ไมคอรไรซาชวยแกไขสภาพพักตัวของเมล็ด
มากในพืชที่มีถิ่นก�าเนิดในเขตอบอุ่นและในเขตหนาว เช่น แปะก๊วย สนบางชนิด หรือในเขตร้อน ไดอยางไร
เช่น มะพร้าว หมาก ปาล์มน�้ามัน (แนวตอบ ไมคอรไรซาชวยยอยสลายสาร
วิธีแก้สภาพพักตัวของเมล็ดในกลุ่มนี้ คือ เก็บเมล็ดไว้ระยะเวลาหนึ่งจนเอ็มบริโอ อินทรียเพื่อเปนอาหารใหแกเมล็ดที่กําลัง
เจริญเต็มที่ ซึ่งอาจจะใช้เวลาอย่างน้อยตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึงหลายเดือน งอก)
3) เอนโดสเปร์ม เมล็ดพืชบางชนิดมีเอนโดสเปิร์ม
H. O. T. S.
น้อยมาก เมล็ดจึงงอกได้ยาก เนื่องจากไม่มีอาหารเพียงพอ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ส�าหรับเอ็มบริโอในระหว่างที่มีการงอก โครงสร้างส่วน
ในธรรมชาติการงอกของเมล็ 1 ดพืชทีม่ เ
ี อนโดสเปิ
ร ม
์ ใดของเมล็ ด ที่
น้อยพบว่า ต้องอาศัยไมคอร์ไรซา (mycorrhiza) บางชนิดซึง่ เป็น มี ผ ลต่ อ สภาพ
ราที่เจริญร่วมกับเมล็ดพืช โดยไมคอร์ไรซาจะช่วยย่อยสลายสาร พักตัวของเมล็ดถั่วมากที่สุด
อินทรีย์เพื่อเป็นอาหารให้แก่เมล็ดที่ก�าลังงอก เช่น กล้วยไม้ ซึ่ง เพราะเหตุใด
ปัจจุบันมนุษย์สามารถท�าลายสภาพพักตัวของเมล็ดกล้วยไม้ได้
2
โดยการน�าเมล็ดมาเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์และเติมสาร
กระตุ้นการงอกของเมล็ด
แนวตอบ H.O.T.S.
ภาพที่3.39 เมล็ดกล้วยไม้ ภาพที่ 3.40 วิธแี ก้สภาพพักตัวของเมล็ดกล้วยไม้ โดยการ เอ็มบริโอ เนือ่ งจากถาเอ็มบริโอทีอ่ ยูภ ายในเมล็ด
ที่มา : คลังภาพ อจท. เพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ ยังเจริญและพัฒนาไมเต็มที่ เปนสาเหตุใหเมล็ด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 147
อยูในสภาพพักตัวตอไปจนกวาเมล็ดจะเจริญและ
และการเจริญเติบโต
พัฒนาเต็มที่ โดยไมมีวิธีทางกายภาพ หรือทางเคมี
ที่ทําใหสภาพพักตัวของเมล็ดมีระยะเวลาสั้นลงได
T161
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
5. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม จากคํ า ถามสถานการณ 4) สารเคมี เป็นสาเหตุทที่ า� ให้เกิดสภาพพักตัวของเมล็ด มีหลายชนิด เช่น กรดแอบไซซิก
ตัวอยางตอไปวา นอกจากเมล็ด เอ็มบริโอ ซึ่งมีสมบัติยับยั้งการท�างานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการงอก
เอนโดสเปรม แลว สารเคมียงั มีสว นทําใหเมล็ด การแก้ไขสภาพพักตัวของเมล็ดในกลุม่ นีท้ า� ได้โดยวิธที างธรรมชาติโดยอาศัยฝน ซึง่
อยูในสภาพพักตัว โดยเฉพาะกรดแอบไซซิก ฝนจะช่วยชะล้างสารเคมีที่เคลือบเมล็ดออกไป ท�าให้เมล็ดสามารถงอกได้ ส่วนมนุษย์สามารถแก้
ที่ มี ส มบั ติ ยั บ ยั้ ง การทํ า งานของเอนไซม ที่ สภาพการพักตัวของเมล็ดในกลุ่มนี้ได้โดยการชะล้างสารเคมี แล้วผึ่งเมล็ดให้แห้งก่อนน�าไปเพาะ
เกีย่ วของกับกระบวนการงอกของเมล็ดพืช ทาง นอกจากนี้อาจแก้ไขสภาพพักตัวของเมล็ดโดยการตัดใบเลี้ยงของเอ็มบริโอพืชออก หรือการใช้
แกทดี่ ี คือ ใหนา้ํ ฝนชวยชะลางสารเคมีทเี่ คลือบ สารเร่งการงอก เช่น จิบเบอเรลลิน (gibberellin) ซึ่งจะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น
เมล็ดเหลานี้ออกไป หรืออาจถามความเห็น จากการศึกษาเมล็ดพืชในเขตอากาศหนาว เช่น แอปเปิล เชอร์รี พบว่า เมล็ดพืช
จากนักเรียนวา นักเรียนมีวิธีแกไขอยางอื่น ต้องได้รับอุณหภูมิต�่าในฤดูหนาว เมล็ดจึงจะงอกได้ เนื่องจากอุณหภูมิต�่าจะมีผลต่อปริมาณ
อีกหรือไม กรดแอบไซซิกที่ท�าหน้าที่ยับยั้งการงอกของเมล็ดให้มีปริมาณลดลง รวมทั้งอุณหภูมิต่�าสามารถ
ท�าให้เมล็ดสร้างจิบเบอเรลลินและไซโทไคนิน (cytokinin) ที่ส่งเสริมการงอกของเมล็ดเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การใช้จิบเบอเรลลินหรือไซโทไคนินจึงสามารถกระตุ้นการงอกของเมล็ดได้
สภาพพั ก ตั ว ของเมล็ ด เป็ น กลไกทางธรรมชาติ
ทีจ่ า� เป็นส�าหรับพืช หากพืชไม่มสี ภาพพักตัว เมือ่ อยูใ่ นธรรมชาติ
เมล็ดพืชอาจได้รบั อันตรายได้ เช่น ถูกสัตว์กดั กินได้งา่ ย จึงต้องมี
เปลือกเมล็ดแข็งและหนา ในทางกลับกัน ต้นโกงกางทีเ่ มล็ดไม่มี
สภาพพักตัวและจะงอกตัง้ แต่อยูบ่ นต้น ท�าให้เมือ่ ฝักตกลงมาปัก
ลงบนดินเลนจะได้โกงกางต้นใหม่ ถ้าเมล็ดโกงกางมีสภาพพัก
ตัวและไม่งอกตั้งแต่อยู่บนต้น โอกาสที่จะรอดชีวิตและแพร่พันธุ์
จะน้อยมาก เนื่องจากฝักของต้นโกงกางลอยน�้าได้ จึงถูกน�้าพัด
พาได้ง่ายท�าให้โอกาสที่จะเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่บนดินเลน
ภ าพที่ 3.41 ลั ก ษณะเมล็ ด ของ
เป็นไปได้ยากขึ้น ดังนั้นเมล็ดที่อยู่ตามธรรมชาติจึงต้องอาศัย
โกงกางขณะอยู่บนต้น สภาพพักตัวเป็นกลไกในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ด�ารงพันธุ์
B iology
Focus สารเคมีที่มีผลตอการงอกของเมล็ด
สารเคมีตา่ ง ๆ ได้แก่ กรดแอบไซซิก จิบเบอเรลลิน และไซโทไคนินทีม่ ผี ลต่อการงอกของเมล็ด
ล้วนแต่เป็นสารเคมีทพี่ ชื สามารถสร้างขึน้ ได้เองหรือเรียกว่า ฮอร์โมนพืช (plant hormone) ซึง่ โดยปกติ
พืชจะมีกลไกควบคุมการสร้างสารเคมีเหล่านี้เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของพืชได้ แต่ในปัจจุบัน
มนุษย์สามารถสังเคราะห์สารเคมีที่มีสมบัติคล้ายฮอร์โมนพืชเหล่านี้ เพื่อใช้ในการเร่งหรือยับยั้ง
การเจริญเติบโตของพืชตามความต้องการได้
148
T162
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. การตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ ์ การปลูกพืชให้ประสบความส�าเร็จนัน้ ส่วนหนึง่ 1. ครูถามคําถามเกริน่ นํากอนเขาสูห วั ขอถัดไปวา
ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสภาพของเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกเพื่อให้ได้ เมล็ดพันธุดีคือเมล็ดที่ดี มีลักษณะอยางไร
ผลผลิตตามที่ต้องการ การน�าเมล็ดมาเพาะปลูก หรือน�าออกจ�าหน่ายจ�าเป็นต้องตรวจสอบคุณภาพ (แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน ตัวอยาง
ของเมล็ดพันธุว์ ่ามีคุณภาพหรือเสื่อมคุณภาพหรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ์นั้น คําตอบ เชน เมล็ดพันธุด คี วรมีสสี ด ไมเกา ขุน
สามารถท�าได้หลายวิธ ี เช่น การตรวจสอบความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ ์ ความสามารถในการงอก หรือ มัว ไมควรมีเศษหรือรอยแตกหัก ไมมรี อยเจาะ
ความมีชวี ติ ของเมล็ดพันธุ ์ ความบริสทุ ธิข์ องเมล็ดพันธุ ์ ความชืน้ ของเมล็ดพันธุ ์ ซึง่ ในทีน่ จี้ ะกล่าวถึง ของแมลง มีความชื้นตํ่า ปราศจากสิ่งเจือปน
เฉพาะการตรวจสอบความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ์พืชโดยการวัดดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์ และโรค มีความแข็งแรงสูง)
ความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ์พืช หมายถึง ลักษณะของเมล็ดพืชหลาย ๆ ประการ 2. นั ก เรี ย นมี วิ ธีต รวจสอบคุ ณ ภาพเมล็ ด พั น ธุ
ซึง่ เป็นลักษณะเด่นทีเ่ มล็ดพืชสามารถแสดงออกมา โดยเมือ่ น�าเมล็ดนัน้ ไปเพาะในสภาพแวดล้อม อยางไรบาง โดยครูใหนกั เรียนตอบตามความ
ทีไ่ ม่เหมาะสม เมล็ดทีม่ คี วามแข็งแรงสูงจะสามารถงอกได้ด ี ส่วนเมล็ดทีม่ คี วามแข็งแรงต�า่ จะงอก คิดเห็นกอน แลวจึงมอบหมายใหนกั เรียนสืบคน
ได้น้อย หรือไม่สามารถงอกได้1 ซึ่งการตรวจสอบความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ์มีหลายวิธี เช่น ขอมูลจากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1
การเร่งอายุของเมล็ดพันธุ์ การวัดดัชนีการงอกของเมล็ด (แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน ตัวอยาง
การวัดดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ ์ เหมาะส�าหรับเกษตรกรทีจ่ ะใช้ตรวจสอบคุณภาพของ
คํ าตอบ เช น สั ง เกตจากลั ก ษณะภายนอก
เมล็ดพันธุ์ก่อนที่จะน�าไปเพาะปลูก โดยอาศัยหลักการที่ว่าเมล็ดพันธุ์ที่มีความแข็งแรงสูงย่อมจะ
ตรวจสอบความแข็งแรงดวยการนําไปเพาะ
งอกได้เร็วกว่าเมล็ดพันธุ์ที่มีความแข็งแรงต�่า ซึ่งวิธีการวัดดัชนีการงอกท�าได้โดยการน�าตัวอย่าง
เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่ต้องการตรวจสอบมาเพาะแล้วนับจ�านวนเมล็ดที่งอกทุกวันจนกระทั่งไม่มี ตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ด การหาคาดัชนี
เมล็ดใดงอกเพิม่ อีก จากนัน้ น�ามาค�านวณหาค่าดัชนีการงอกโดยเปรียบเทียบกับเมล็ดพันธุพ์ ชื ชนิด การงอก)
เดียวกันจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งใช้สูตรค�านวณ ดังนี้ 3. เพื่อใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจ และ
สามารถลงมือปฏิบัติได ใหนักเรียนแบงกลุม
กลุมละ 5-6 คน เพื่อทํากิจกรรม การตรวจ
ดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์ = ผลบวกของ จ�านวนเมล็ดที่งอกในแต่ละวัน
จ�านวนวันหลังเพาะ สอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ
T163
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
4. ใหสมาชิกภายในกลุมแบงภาระหนาที่รับผิด • การสังเกต
อภิปรายผลกิจกรรม
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
คาดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุคํานวณไดจากผลรวมของอัตราสวนจํานวน จงหาคาดัชนีการงอกเมล็ดพันธุถ วั่ เหลืองแหลงที่ 1 และ 2 ตามลําดับ
เมล็ดที่งอกตอจํานวนวันหลังเพาะ หากแหลงใดมีคาดัชนีการงอกเมล็ดสูงกวา
ผลการงอกเมล็ด
แสดงวาเมล็ดพันธุแหลงนั้นมีความแข็งแรงมากกวา แหลง
วันที่ 1 วันที่ 2 วันที่ 3 วันที่ 4 วันที่ 5 วันที่ 6 วันที่ 7
แหลง 27 20 15
ที่ 1
แหลง 42 21 16 15
ที่ 2
1. 14 และ 30 2. 14 และ 35 3. 17 และ 30
4. 17 และ 35 5. 30 และ 35
(วิเคราะหคําตอบ
ดัชนีการงอกเมล็ดถั่วแหลงที่ 1 ; 27 20 15
3 + 4 + 5 = 17
ดัชนีการงอกเมล็ดถั่วแหลงที่ 2 ; 42 21 16 15
2 + 3 + 4 + 5 = 35
ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T164
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
Topic
Question
ค�าชี้แจง:ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
1. จงอธิบายกระบวนการสร้างสปอร์และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียของพืช
2. การปฏิสนธิซ้อนของพืชดอกเกิดขึ้นเมื่อใด
3. พืชที่ได้รับการผสมเกสรจะมีพัฒนาการอย่างไร
4. โครงสร้างของเมล็ดพืชประกอบด้วยอะไรบ้าง
5. โครงสร้างของผลประกอบด้วยอะไรบ้าง
6. สตรอว์เบอร์รี น้อยหน่า มะม่วง ล�าไย มังคุด มะละกอ ราสเบอร์รี จัดเป็นผลไม้ประเภทใดบ้าง หาก
พิจารณาจากต�าแหน่งของรังไข่เป็นเกณฑ์
7. จงเปรียบเทียบรูปแบบการงอกของเมล็ดข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลือง
8. สภาพพักตัวของเมล็ดคืออะไร และยกตัวอย่างการแก้สภาพพักตัวของเมล็ดมาอย่างน้อย 3 ข้อ
9. เอ็มบริโอที่อยู่ในเมล็ดพันธุ์ที่มีเอนโดสเปิร์มน้อยจะได้รับอาหารอย่างไร
10. การหาค่าดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์ท�าได้อย่างไร
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 151
และการเจริญเติบโต
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
4. ครูอาจเพิม่ เติมความรูใ หแกนกั เรียนศึกษาเรือ่ ง Biology
เมล็ดขาว ซึง่ เปนเมล็ดพันธุท คี่ นเอเชียสวนใหญ in real life ขาว
นิยมปลูกและนํามาผานกระบวนการวิธีตางๆ ประชากรในเอเชียส่วนใหญ่นิยมบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ซึ่งข้าวที่น�ามารับประทานนั้นจะ
ต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน โดยเริ่มจากการปลูกข้าวจนกระทั่งเก็บเกี่ยวรวงข้าวได้เป็น
ก อ นนํ า มาหุ ง รั บ ประทาน ซึ่ ง ส ว นประกอบ ข้าวเปลือก ซึ่งข้าวเปลือกที่ได้จะถูกน�าเข้าสู่โรงสีข้าวเพื่อผลิตข้าวสาร ซึ่งมีขั้นตอนการสีมีหลาย
ของเมล็ดขาวสามารถนํามาใชประโยชนตา งๆ ขัน้ ตอน ได้แก่ การท�าความสะอาดและแยกสิง่ เจือปน การกะเทาะเปลือกออก การขัดมัน หรือการขัด
ไดมากมาย ชั้นร�าข้าวออก และการคัดขนาดข้าวสาร
5. ใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมจากกรอบ Biology in ส่วนประกอบของเมล็ดข้าวที่ได้จากการสี สามารถน�ามาใช้ประโยชน์ ได้มากมาย ดังนี้
real life แลวครูอาจตัง้ คําถามวา สวนประกอบ เปลือกข้าว (seed coat) หรือเรียกว่า แกลบ เป็น
แกลบ 20%
ของเมล็ดขาวนํามาใชประโยชนอยางไรบาง ส่วนที่อยู่นอกสุด เป็นวัตถุดิบที่เหลือจากการ
( แนวตอบ เปลื อ กข า วหรื อ แกลบนิ ย มนํ า มา จมูกข้าว 1-2% สีข้าว นิยมน�ามาเป็นส่วนผสมในอาหารของ
ผสมในอาหารของสัตวปก เยื่อหุมเมล็ดหรือ สั ตว์ ป ก เนื่ อ งจากมี เ ส้ น ใยสู ง นอกจากนี้ ยั ง
สามารถน�ามาท�าเป็นปุย๋ เพือ่ ช่วยปรับสภาพดิน
รําขาวนิยมนํามาสกัดทําเปนนํ้ามันรําขาว ใช เสื่อมโทรมให้สามารถกลับมาปลูกพืชได้
ร�าข้าว 8-9%
ประกอบอาหาร เอ็มบริโอหรือจมูกขาวนิยมนํา
ร�าข้าว (rice bran) มีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ
มาผสมในเครือ่ งดืม่ ประเภทนม เพิม่ คุณคาทาง
ข้าวขาว 70% ห่อหุ้มเมล็ดข้าว มีสีแดงน�้าตาล เป็นส่วนที่อุดม
โภชนาการ และเอนโดสเปรม หรือขาวขาวนิยม ไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ประกอบด้วยโปรตีน
นํามาหุงรับประทาน) ไขมัน ใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ
6. ใหนกั เรียนทํา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความ โดยส่วนนี้เป็นส่วนที่ถูกขัดสีออกให้กลายเป็น
เขาใจของตนเอง ข้าวขาว แต่ถา้ ไม่ถกู ขัดสีออกจะเรียกว่า ข้าวกล้อง
7. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ประจํ า หน ว ยการ ดังนั้น ข้าวกล้องจึงมีคุณค่าทางอาหารมากกว่า
ข้าวขาว
เรียนรูที่ 3
8. ใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวย จมูกข้าว (embryo) คือ ส่วนปลายเมล็ดค่อน
การเรียนรูที่ 3 ไปทางด้านข้าง มีสารอาหารมากมายที่เป็น
ประโยชน์ตอ่ การเจริญเอ็มบริโอทีอ่ ยูภ่ ายในเมล็ด
และคน
ภาพที่3.43ส่วนประกอบของเมล็ดข้าว ข้าวขาว (endosperm) คนส่วนใหญ่นิยมน�ามา
ที่มา : คลังภาพ อจท. หุงรับประทาน ซึ่งข้าวขาวประกอบด้วยแป้ง
และน�้าตาลซึ่งให้พลังงานสูง
152
T166
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
Summary ตรวจสอบผล
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการสืบพันธุ
การสืบพันธุข์ องพืชดอก ของพื ช ดอกและการเจริ ญ เติ บ โต จากนั้ น ให
และการเจริญเติบโต นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน เลือกศึกษา
วัฏจักรชีวิตของพืชดอก
เมล็ ด พั น ธุ พื ช มา 1 ชนิ ด ทํ า รายงาน เรื่ อ ง
พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) คือ ระยะที่สร้างสปอร์หรือระยะสปอโรไฟต์ โครงสรางและปจจัยที่มีผลตอการงอกของเมล็ด
(sporophyte) สลับกับระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์หรือระยะแกมีโทไฟต์ (gametophyte) พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน
การสร้างสปอร์เพศผู้
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 153
และการเจริญเติบโต
กิจกรรม ทาทาย
แบบประเมินชิ้นงาน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
ใหนักเรียนเขียนขั้นตอนการสรางเซลลสืบพันธุเพศผูและ
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
เกณฑ์การประเมิน
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
กับนําเสนอหนาชัน้ เรียน
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
T167
0-3 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
ใบเลี้ยง เอพิคอทิล
ใบเลี้ยง โคลีออพไทล์ ใบแท้
ไฮโพคอทิล
ไฮโพคอทิล ใบเลี้ยง ไฮโพคอทิล
แรดิเคิล
เปลือกเมล็ด แรดิเคิล
ภาพที่3.45 การงอกโดยชูใบเลี้ยงขึ้นเหนือดิน (ภาพซ้าย) และการงอกโดยที่ใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน (ภาพขวา)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้องให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามที่หัวข้อก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. พ ืชทุกชนิดมีวงจรชีวิตแบบสลับ 1.
2. ดอกสมบูรณ์เพศจัดเป็นดอกครบส่วน 2.2
3. ไมโครสปอร์เจริญเป็นเรณู และเมกะสปอร์เจริญเป็นรังไข่ 2.2
ม ุ ด
น ส
4. การถ่ายเรณูแบบข้ามต้นจะได้ลูกหลานที่มีความหลากหลาย 2.3
ง ใ
ึ ก ล
ท
5. พืชทุกชนิดจะเกิดกระบวนการปฏิสนธิซ้อนเสมอ 2.4
บ ั น
154
T168
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit
คําชี้แจง :
Question 3
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
1. พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบดวย
ระยะสปอโรไฟตและระยะแกมีโทไฟต ในระยะ
สปอโรไฟตเซลลตน กําเนิดจะมีโครโมโซม 2 ชุด
1. จงอธิบายลักษณะวัฏจักรชีวิตของพืชดอกมาพอสังเขป (2n) เจริญมาจากเอ็มบริโอซึง่ พัฒนามาจากไซโกต
2. ให้นักเรียนระบุส่วนประกอบต่าง ๆ ของดอก ลงในภาพที่ก�าหนดให้ด้านล่าง เปนระยะที่มีการสรางสปอรโดยการแบงเซลล
7 แบบไมโอซิส ในระยะแกมีโทไฟตซงึ่ เจริญมาจาก
8 5
6
สปอรมเี ซลลตน กําเนิดทีม่ โี ครโมโซม 1 ชุด (n)
9 เป น ระยะที่ ส ร า งเซลล สื บ พั น ธุ แ ละเกิ ด การ
ปฏิสนธิ
2. หมายเลข 1 ฐานรองดอก (receptacle)
หมายเลข 2 กลีบเลีย้ ง (sepal)
3 หมายเลข 3 กลีบดอก (petal)
4
หมายเลข 4 ออวุล (ovule)
1 2 หมายเลข 5 รังไข (ovary)
หมายเลข 6 กานชูเกสรเพศเมีย (style)
ภาพที่3.46 ส่วนประกอบของดอก หมายเลข 7 ยอดเกสรเพศเมีย (stigma)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
หมายเลข 8 อับเรณู (anther)
3. เกสรเพศผู้อยู่บริเวณใดของดอก และมีลักษณะอย่างไร หมายเลข 9 กานชูอบั เรณู (fif ilament)
4. เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของพืชดอกมีชื่อเรียกว่าอะไร และมีกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์อย่างไร 3. เพราะบริ เ วณที่ แ บคที เ รี ย มาเกาะกลุ ม คื อ
5. ดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่สมบูรณ์เพศมีลกั ษณะอย่างไร จงอธิบายพร้อมทัง้ ยกตัวอย่างประกอบ บริเวณที่มีออกซิเจนซึ่งเปนผลิตภัณฑที่ไดจาก
6. จากภาพ เมื่อพิจารณาจ�านวนดอกที่อยู่บนก้านดอก ดอกไม้แต่ละชนิดจัดเป็นดอกประเภทใด กระบวนการสังเคราะหดวยแสงของสาหราย
เพราะเหตุใด สไปโรไจรา
4. เซลลสืบพันธุเพศผูของพืชดอก เรียกวา เรณู
เจริ ญ อยู ภ ายในโพรงเรณู ข องอั บ เรณู การ
พัฒนาเรณูเริ่มจากไมโครสปอรมาเทอรเซลลที่
มีโครโมโซม 2 ชุด แบงเซลลแบบไมโอซิสได 4
ไมโครสปอร ซึง่ มีจาํ นวนโครโมโซม 1 ชุด จากนัน้
ไมโครสปอรจะแบงนิวเคลียสแบบไมโทซิสได
2 นิวเคลียส และสรางผนังหนา 2 ชัน้ หุม รอบ
ภาพที่3.47 ทุ่งดอกทานตะวัน เซลล เรียกโครงสรางนีว้ า เรณู
ที่มา : คลังภาพ อจท.
5. ดอกสมบูรณเพศ หมายถึง ดอกทีม่ ที งั้ เกสรเพศ
การสืบพันธุ์ของพืชดอก 155 ผูและเกสรเพศเมียอยูภายในดอกเดียวกัน เชน
และการเจริญเติบโต
มะมวง กุหลาบ ชบา ตอยติง่ มะเขือ พริก บัว
ผักบุง ดอกไมสมบูรณเพศ หมายถึง ดอกที่มี
เพียงเกสรเพศผูหรือเกสรเพศเมียอยางใดอยาง
หนึง่ เชน ขาวโพด ตําลึง ฟกทอง มะละกอ เงาะ
มะยม
6. จากภาพ คือ ดอกทานตะวัน เมื่อพิจารณาจํานวนดอกบนกานดอกแลว ดอกทานตะวันจัดเปนดอกประเภท ดอกชอ คือ ดอกที่ประกอบดวยดอกยอย
หลายดอกอยูบ นแกนชอดอกเดียวกัน ดอกทานตะวันจัดเปนดอกชอแบบเฮด คือ ดอกชอทีก่ า นชอดอกจะหดสัน้ และขยายแผออกเปนวงคลายจานเรียกวา
ฐานดอกรวม (common receptacle) สวนทีเ่ ห็นคลายเปนกลีบดอกติดอยูท วี่ งรอบนอกของฐานดอกรวม คือ ดอกยอยทีเ่ ล็กกวาดอกยอยวงนอก ซึง่ มักเปน
ดอกเพศเมีย ถัดเขามาจะเห็นดอกยอย มีลกั ษณะเปนหลอดอยูเ บียดกันแนนบริเวณตรงกลางของฐานดอกรวม เรียกวา ดอกยอยวงใน มักเปนดอกสมบูรณเพศ
T169
นํา สอน สรุป ประเมิน
T170
นํา สอน สรุป ประเมิน
T171
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบก่อนเรียน 1. อธิบายบทบาทและ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
การตอบสนอง - หนังสือเรียนชีววิทยา หน้าที่ของออกซิน หาความรู้ ก่อนเรียน - ทกั ษะการจัดกลุม่ - ใฝ่เรียนรู้
ของพืชต่อ ม.5 เล่ม 1 ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการ - มุ่งมั่นใน
สารเคมี - แบบฝึกหัดชีววิทยา เอทิลนี และกรด Instruction - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เปรียบเทียบ การท�ำงาน
ม.5 เล่ม 1 แอบไซซิกได้ (K) Model) Topic Question - ทกั ษะการจ�ำแนก
3 - ใบงาน 2. สามารถประยุกต์ใช้สาร - ตรวจใบงาน เรื่อง ประเภท
ชั่วโมง
- อุปกรณ์การทดลอง เคมีที่มีโครงสร้างคล้าย ฮอร์โมนพืช - ทกั ษะการส�ำรวจ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ฮอร์โมนพืชเพือ่ ประโยชน์ - สังเกตการปฏิบัติการ
Twig ทางการเกษตรได้ (P) จากการทำ�กิจกรรม
- ภาพประกอบการสอน 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง
- QR Code งานที่ได้รับมอบหมาย สารควบคุมการเจริญ
- PowerPoint ประกอบ (A) เติบโตของพืช
การสอน - สังเกตการปฏิบัติการ
จากการทำ�กิจกรรม
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายเกี่ยวกับสิ่งเร้า แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
ตอบสนอง - หนังสือเรียนชีววิทยา ภายนอกที่มีผลต่อ หาความรู้ หลังเรียน - ทกั ษะการระบุ - ใฝ่เรียนรู้
ของพืชต่อ ม.5 เล่ม 1 การเจริญเติบโตของพืช (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการเปรียบ - มุ่งมั่นใน
สิ่งแวดล้อม - แบบฝึกหัดชีววิทยา ได้ (K) Instruction - ตรวจแบบฝึกหัดจาก เทียบ การท�ำงาน
ม.5 เล่ม 1 2. เปรียบเทียบผลการ Model) Topic Question - ทกั ษะการจ�ำแนก
2 - อุปกรณ์การทดลอง ทดลองเกี่ยวกับสิ่งเร้า - ตรวจแบบฝึกหัดประจำ� ประเภท
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ภายนอกที่มีผลต่อการ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 - ทกั ษะการทดลอง
Twig เจริญเติบโตของพืชได้ - ประเมินชิ้นงาน เรื่อง
- ภาพประกอบการสอน (P) การตอบสนองของพืช
- QR Code 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตการปฏิบัติการ
- PowerPoint ประกอบ และงานที่ได้รับมอบ จากการทำ�กิจกรรม
การสอน หมาย (A) - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
T172
หนวยการเรียนรูที่ 4
การตอบสนองของพืชตอสารเคมี
สารเคมีที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช เปนสารอินทรีย์ที่ครอบคลุมทั้งฮอร์โมนพืชและสารสังเคราะห์ที่มีผลคล้ายฮอร์โมนพืช
ฮอร์โมนพืช เปนสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก โดยพืชสามารถผลิตได้จากบริเวณเนื้อเยื่อส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วลำาเลียงไปยังเนื้อเยื่อ
เปาหมาย ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและควบคุมกระบวนการทางสรีระวิทยาของพืชได้
ฮอร์โมน แหล่งที่สร้าง หน้าที่
ออกซิน ปลายยอดและใบอ่อน ควบคุมการยืดยาวของลำาต้น สนับสนุนการเจริญของราก ควบคุมการสร้าง
ผล
ไซโทไคนิน ราก ยับยั้งการพักตัวของเมล็ด ส่งเสริมการเจริญของตาข้าง เร่งการเจริญของ
ราก
จิบเบอเรลลิน ตายอด ใบอ่อน และเมล็ด กระตุ้นการแบ่งเซลล์และการขยายขนาดของเซลล์ทำาให้เซลล์ยาวขึ้น ชะลอ
การแก่ของเซลล์ กระตุ้นการเกิดดอก
กรดแอบไซซิก ทุกส่วน ยับยั้งการเจริญเติบโต สนับสนุนการปดปากใบในภาวะแห้งแล้ง สนับสนุน
การแก่ของใบ
เอทิลีน ทุกส่วน เร่งให้ผลสุกและการหลุดร่วงของใบ ยับยั้งการยืดยาวของลำาต้น และ
สนับสนุนการเจริญของราก
การตอบสนองของพืชตอสิ่งแวดล้อม
การเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก แบ่งออกเปน 2 ประเภท
• การเคลื่อนไหวแบบทรอปก เปนการเคลื่อนไหวของพืชที่มีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่งเร้าภายนอก โดยพืชอาจเบนเข้าหรือเบนออกจาก
สิ่งเร้า เช่น แสง แรงโน้มถ่วง สารเคมี นำ้า การสัมผัส
แสง
แรงโน้มถ่วง
T173
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การตอบสนอง
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ หนวยการเรียนรูที่
2. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวย
การเรียนรูท ี่ 4
3. ครูใหนักเรียนรับชมวีดิทัศนเกี่ยวกับการตอบ
สนองตอสิ่งเรา เมื่อนักเรียนชมการตอบสนอง
ต อ สิ่ ง เร า ของพื ช แล ว ครู ถ ามคํ า ถาม Big
4
พืชมีการตอบสนองตอสิง
่ เราทีม
ของพืช
อาจเป็นสารเคมีทพ
่ ากระตุน ี่ ชื สร้างขึน้ และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
เช่น แสง แรงโน้มถ่วง ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช อย่างไรก็ตาม พืชสามารถรับรู้
Question กอนเริ่มบทเรียน และตอบสนองต่อสิง่ เร้าเหล่านีแ้ ละมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างไร นักเรียนจะได้ศกึ ษาต่อไป
4. ใหนักเรียนแตละคนบันทึกคําถาม Under-
standing Check ลงในสมุดบันทึกของตนเอง
แลวพิจารณาขอความตามความเขาใจของ • ÊÔè § àÃŒ Ò ÁÕ ¼ ŵ‹ Í ¡ÒÃà¨ÃÔ Þ àµÔ º ⵢͧ¾× ª
นักเรียนวาถูกหรือผิด Í‹ҧäÃ
• ¡Òõͺʹͧµ‹ Í ÊÔè § àÃŒ Ò ¢Í§¾× ª ÁÕ ¤ ÇÒÁ
ÊÓ¤ÑÞÍ‹ҧäÃ
• àÃÒÊÒÁÒö¹Ó¤ÇÒÁÃÙŒà¡ÕèÂǡѺ¡Òõͺ
ʹͧµ‹ Í ÊÔè § àÃŒ Ò ¢Í§¾× ª ÁÒ»ÃÐÂØ ¡ µ ã ªŒ ä ´Œ
Í‹ҧäÃ
�
U n de r s t a n d i ng
Che�
ให้นกั เรียนพิจารณาข้อความตามความเข้าใจของนักเรียนว่าถูกหรือผิดแล้วบันทึกลงในสมุด
สารเคมีหรือฮอร์โมนที่พืชสร้างขึ้นจัดเป็นสารอินทรีย์
บริเวณปลายยอดพืชที่โค้งเข้าหาแสงมีออกซินสะสมอยู่เป็นจ�านวนมาก
เอทิลีนมีผลท�าให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น
รากและยอดพืชมีทิศทางการเจริญตามแรงโน้มถ่วงของโลก
แสงมีอิทธิพลต่อการหุบและกางใบของต้นไมยราบ
แนวตอบ Understanding Check
1. ถูก 2. ถูก 3. ถูก
4. ผิด 5. ผิด
T174
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
สารเคมีทมี่ ผี ลตอการเจริญ 1. การตอบสนองของพืชต่อสารเคมี 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
เติบโตของพืช 2. ใหนักเรียนศึกษาความหมายของคําวา สาร
สารเคมี ที่ พื ช ผลิ ต ขึ้ น เองตามส่ ว นต่ า ง ๆ ของพื ช
มีอะไรบาง
เป็นสิ่งเร้าภายในที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช มนุษย์จึง ควบคุมการเจริญเติบโตของพืชกับฮอรโมนพืช
ศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของสารเคมีเหล่านี้และสังเคราะห์สารเหล่านี้ขึ้นมาประยุกต์ใช้กับพืช ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม 1
เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิต และยืดอายุของผลิต 3. ใหนักเรียนแบงกลุมออกเปนกลุมละ 5-6 คน
จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน พบว่า การเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช ทํากิจกรรม เรื่อง การตอบสนองตอแสงของ
ตลอดจนสิง่ มีชวี ติ แทบทุกชนิด จ�าเป็นต้องอาศัยสารบางอย่างทีเ่ กีย่ วข้องกับการควบคุมการเจริญ ปลายโคลีออพไทล (coleoptile) ของพืช
เติบโตและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (plant growth regulators; PGRs) เป็นสารประกอบ
อินทรีย์ที่ครอบคลุมทั้งฮอร์โมนพืชซึ่งเป็นสารที่พืชสามารถผลิตได้เอง และสารเคมีสังเคราะห์ที่มี
โครงสร้างและคุณสมบัตทิ างเคมีคล้ายกับฮอร์โมนพืช สารดังกล่าวจึงมีผลในการควบคุมการเจริญ
เติบโตและท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของพืช
ฮอร์โมนพืช (plant hormones หรือ phytohormones) เป็นสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก
โดยพืชสามารถผลิตได้เองบริเวณเนื้อเยื่อส่วนใดส่วนหนึ่งและล�าเลียงไปยังเนื้อเยื่อเปาหมายเพื่อ
ส่งสัญญาณ ซึ่งสามารถควบคุมกระบวนการทางสรีรวิทยาของพืชได้ เช่น การแสดงออกของ
สารพันธุกรรมในพืช กิจกรรมของเอนไซม์ ความเข้มข้นของประจุในไซโทพลาซึมภายใน 1
เซลล์เปาหมาย
B iology
Focus สารอินทรีย
สารประกอบที่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก และมีธาตุอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบร่วม เช่น
ธาตุ H, O, N, P เป็นต้น
ตัวอย่างสารอินทรีย์ฮอร์โมนพืช เช่น
H H O O H OH
O OH COOH C C OH
H H HO H COOH
NH
แอบไซซิก เอทิลีน ออกซิน จิบเบอเรลลิน
ภาพที่ 4.1 โครงสร้างทางเคมีของฮอร์โมนพืช
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ฮอรโมนพืช
แนวตอบ Prior Knowledge
การตอบสนองของพืช 159
มีทั้งเรงการเจริญเติบโต เชน ทําใหเซลลยืด
ยาว มีขนาดเพิ่มขึ้น มีการแบงเซลลมากขึ้น และ
ยับยั้งการเจริญเติบโต
T175
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
4. ใหสมาชิกภายในกลุมแบงภาระหนาที่รับผิด • การสังเกต
การตอบสนองตอแสงของปลายโคลีออพไทล
ชอบ โดยสมาชิกในกลุมมีบทบาทและหนาที่ (coleoptile) ของพืช
• การลงความเห็นจากข้อมูล
จิตวิทยาศาสตร์
ของตนเอง ดังนี้ • ความสนใจใฝรู้
อุปกรณ ศึกษาผลการตอบสนองต่อแสงของปลายโคลีออพไทล์ของพืช
- สมาชิกคนที่ 2 : ทํ า หน า ที่ อ า นวิ ธี ก ารทํ า
กิจกรรม และนํามาอธิบายใหสมาชิกภายใน วัสดุอปุ กรณ์
กลุมฟง 1. เมล็ดข้าวโพด 4. กระดาษตะกั่วหรือกระดาษสีด�า
- สมาชิกคนที่ 3 และ 4 : ทําหนาที่บันทึกผล 2. กระบะเพาะเมล็ด 5. ภาชนะและวัสดุส�าหรับปลูก
3. กล่องกระดาษทึบ
การทํากิจกรรม
- สมาชิกคนที่ 5 และ 6 : ทําหนาทีน่ าํ เสนอผล วิธปี ฏิบตั ิ
ที่ไดจากการทํากิจกรรม
1. เพาะเมล็ดข้าวโพดในกระบะเพาะเมล็ดโดยเก็บไว้ในที่มืด 1-2 วัน จนเมล็ดข้าวโพดงอก มีโคลีออพไทล์
อธิบายความรู้ สูงประมาณ 2 เซนติเมตร แล้วน�ามาปลูกลงในภาชนะ จ�านวน 9 ต้น โดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 ต้น ดังนี้
กลุม่ ที ่ 1 ตัดปลายโคลีออพไทล์ออกประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร (ก.) กล่องกระดาษ
1. ใหตัวแทนของแตละกลุมออกมานําเสนอผล กลุ่มที่ 2 น�ากระดาษตะกั่วหรือกระดาษสีด�าพับเป็นหมวกครอบ
จากการทํากิจกรรม ปลายโคลีออพไทล์ไว้ (ข.) ก. ข. ค. แสง
2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม กลุ่มที่ 3 อยู่ในสภาพปกติ (ค.)
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา 2. เจาะรู บ ริ เ วณด้ า นหนึ่ ง ของกล่ อ งกระดาษทึ บ ให้ มี ข นาดเส้ น ผ่ า น
กิจกรรม ศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร และอยู่ในระดับเดียวกับปลายโคลีออพไทล์
ภาพที่ 4.2 การตอบสนองต่อแสง
ของข้าวโพด แล้วน�ากล่องมาครอบภาชนะในข้อที่ 1. ของปลายโคลีออพไทล์
3. ตั้งชุดการทดลองนี้ไว้ใกล้บริเวณหน้าต่าง ประมาณ 1 วัน ที่มา : คลังภาพ อจท.
?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. การเจริญของต้นกล้าของข้าวโพดทั้ง 3 กลุ่ม เหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร
2. นักเรียนสรุปผลการทดลองนี้ว่าอย่างไร
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
ปลายยอดออนของตนขาวโพดในกลุม ค. เทานัน้ จะโคงงอเขาหาแสง เนือ่ งจาก ขอใดเปนสาเหตุทําใหปลายโคลีออพไทลของพืชโคงงอ
ตนกลาในกลุม ค. ไดรับแสงและมีสวนปลายโคลีออพไทลซึ่งเปนแหลงผลิต 1. แสงทําใหเนื้อเยื่อบริเวณปลายยอดเจริญไมเทากัน
สารเคมีที่ตอบสนองตอแสงสวาง 2. แสงทําใหบริเวณปลายยอดสังเคราะหดวยแสงมากขึ้น
3. แสงทําใหเซลลบริเวณปลายยอดเตง เนื่องจากนํ้าเขาสู
เซลล
4. แสงทําใหเซลลบริเวณปลายยอดเหี่ยว เนื่องจากนํ้าระเหย
ออก
5. แสงทําใหบริเวณปลายยอดเกิดแรงดึงจากการคายนํ้าได
มากขึ้น
(วิเคราะหคําตอบ แสงมี ผ ลต อ การเคลื่ อ นที่ ข องออกซิ น ที่ อ ยู
บริเวณปลายยอดพืช สงผลใหเนื้อเยื่อบริเวณปลายยอดเจริญ
ไมเทากัน โดยบริเวณที่มีออกซินมาก เนื้อเยื่อจะเจริญยืดยาว
มากกวา ทําใหปลายยอดโคงงอเขาหาแสง ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T176
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ในปี พ.ศ. 2423 ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) และฟรานซิส ดาร์วิน (Francis Darwin) 1. กอนเขาสูบทเรียนครูอาจทบความรูเดิมหลัง
สังเกตเห็นส่วนยอดหรือโคลีออพไทล์ของพืชตระกูลหญ้าชนิดหนึ่ง (canary grass) เอนเข้าหาแสง ทํากิจกรรม เรื่อง การตอบสนองตอแสงของ
เสมอ จึงท�าการศึกษาโดยตัดส่วนปลายยอดอ่อนทิ้ง แล้วน�ากระดาษตะกั่วและกระดาษแก้วใส ปลายโคลีออพไทลของพืชวา แสงเปนสิ่งเรา
มาหุ้มส่วนปลายยอดไว้ และน�าโลหะทึบแสงมาหุ้มส่วนโคนต้นอ่อน ดังภาพ ที่ไปกระตุนสารบางอยางที่อยูบริเวณปลาย
ยอดพืช ทําใหปลายยอดของพืชโคงงอเขาหา
กล่องทึบแสง แสง
ตัดปลาย กระดาษ กระดาษ
ยอดออก ตะกั่ว แก้ว 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา สารเคมีทมี่ ผี ลทําให
แสง ลําตนเอนเขาหาแสงไดนั้นคืออะไร โดยครูให
โลหะทึบแสง นักเรียนรวมกันสืบคนคําตอบจากหนังสือเรียน
ชีววิทยา ม.5 เลม 1
กล่องทึบแสง
กระดาษ กระดาษ
ตะกั่ว แก้ว
แสง
โลหะทึบแสง
T177
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูนําภาพการทดลองของชาลส ดารวินและ ในปี พ.ศ. 2456 ปีเตอร์ บอยเซน-เจนเซน (Peter Boysen-Jensen) นักพฤกษศาสตร์
ฟรานซิส ดารวิน ซึ่งเปนนักวิทยาศาสตรที่คน ชาวเดนมาร์ก ท�าการทดลองโดยตัดปลายยอดของต้นหญ้าออก แล้วน�าแผ่นวุน้ มาวางคัน่ ไว้ระหว่าง
พบฮอรโมนพืชเปนครั้งแรก มกา 1
ปลายยอดและส่วนยอดทีเ่ หลือ พบว่า ต้นอ่อนของหญ้าเจริญโค้งเข้าหาแสง แต่เมือ่ น�าแผ่นแร่ไมกา
ตัวอยางภาพ (mineral mica) มาวางแทนที่แผ่นวุ้น พบว่า ต้นอ่อนของหญ้าเจริญตั้งตรง จึงสรุปได้ว่า สัญญาณ
ที่ท�าให้ส่วนยอดเจริญโค้งงอเข้าหาแสงนั้นเป็นสารเคมีที่เคลื่อนที่ได้
แสง
แผ่นวุ้น แผ่นแร่ไมกา
สารเคมีเคลื่อนที่
ผ่านแผ่นวุ้นลงไป
2. ครูสมุ เรียกนักเรียน 2-3 คน ลุกขึน้ ตอบคําถาม
จากภาพ ดังนี้
ï• นักเรียนคิดวา พืชตนใดเอนเขาหาแสงบาง ภาพที่ 4.5 การทดลองของปีเตอร์ บอยเซน-เจนเซน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
เพราะเหตุใด
(แนวตอบ พืชตนที่ 1 4 และ 5 เนื่องจาก ในปี พ.ศ. 2469 ฟริตส์ เวนต์ (Fritz Went) นักพฤกษศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้ดัดแปลง
บริเวณปลายยอดพืชสามารถผลิตออกซิน เทคนิคการทดลองของบอยเซน-เจนเซน โดยตัดโคลีออพไทล์ของข้าวโอ๊ตมาวางบนก้อนวุ้นนาน
ได) 1-2 ชั่วโมง แล้วน�าก้อนวุ้นไปวางด้านใดด้านหนึ่งบนปลายโคลีออพไทล์ที่ถูกตัดออกไป ผลการ
•ï นักเรียนคิดวา พืชตนใดไมเอนเขาหาแสง ทดลองพบว่า ปลายโคลีออพไทล์นั้นโค้งงอได้ เวนต์จึงสรุปว่า มีการเคลื่อนย้ายของสารออก
บาง เพราะเหตุใด จากส่วนปลายโคลีออพไทล์ลงบนแผ่นวุ้น และเคลื่อนย้ายจากแผ่นวุ้นลงไปในยอดต้นอ่อนได้ ซึ่ง
(แนวตอบ พืชตนที่ 2 และ 3 เนือ่ งจากบริเวณ ต้นอ่อนทีไ่ ด้รบั สารเคมีตวั นีจ้ ะเติบโตมากกว่าด้านทีไ่ ม่ได้รบั สาร จึงท�าให้ยอดโค้งงอไปด้านตรงกัน
ปลายยอดพืชไมสามารถผลิตออกซินได) ข้ามกับด้านทีไ่ ด้รบั สารตัวนี ้ ในท�านองเดียวกันต้นทีโ่ ดนแสงด้านหนึง่ ปลายยอดจะโค้งงอเข้าหาแสง
ï• นักเรียนคิดวา ภาพการทดลองของชาลส แสดงว่าด้านที่ไม่โดนแสงต้องมีสารเคมีตัวนี้ไปกระตุ้นให้เติบโตมากกว่า จึงตั้งชื่อสารเคมี
ดารวินและฟรานซิส ดารวิน สอดคลองกับ ชนิดนี้ว่า ออกซิน (auxin)
กิจกรรม เรื่อง การตอบสนองตอแสงของ แสง 1-2 ชั่วโมง
ปลายโคลีออพไทลของพืชหรือไม อยางไร
(แนวตอบ สอดคลองกัน ซึ่งสารเคมีที่อยู แผ่นวุ้น
บริเวณปลายโคลีออพไทลจะตอบสนองตอ
แสงทําใหสวนยอดโคงเขาหาแสง หากพืช
ไมมีปลายยอด หรือบริเวณปลายยอดไมได
รับแสง ปลายยอดของพืชจะไมโคงงอเขาหา ภาพที่ 4.6 การทดลองของฟริตส์ เวนต์
ที่มา : คลังภาพ อจท.
แสง) 162
T178
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ด้านที่มีออกซินน้อย ต่อมามีนกั วิทยาศาสตร์อธิบายว่า ทีป่ ลายสุดของยอดอ่อน 3. ครูนําภาพการทดลองของปเตอร บอยเซน-
(ด้านที่รับแสงมาก)
จะสร้างและปล่อยออกซินออกมาในปริมาณทีเ่ ท่ากันจากบริเวณ เจนเซน นักพฤกษศาสตรชาวเดนมารกมาให
ยอดแรกเกิดหรือพลูมูล (plumule) ไม่ว่าจะมีแสงหรือไม่มีแสง นักเรียนเห็นภาพชัดขึ้น
ก็ตาม แต่เมื่อมีแสงออกซินจะแพร่หนีจากด้านที่โดนแสงไป ตัวอยางภาพ
แสง อยู่ด้านที่ไม่โดนแสง และไปกระตุ้นให้เซลล์บริเวณนั้นขยายตัว
ด้านที่มี
ออกซินมาก ตามแนวยาว ส่วนด้านที่โดนแสง การเติบโตของเซลล์จะลดลง
(ด้านที่รับ เนื่องจากปริมาณของออกซินมีน้อย ซึ่งการตอบสนองต่อแสงที่
แสงน้อย)
ไม่เท่ากันนี ้ จะพบเสมอในพืชทีป่ ลูกในทีร่ ม่ ซึง่ จะโค้งไปทางด้าน
ภาพที่ 4.7 ความเข้มข้นของออกซิน ที่มีแสงอยู่
ต่อการโค้งงอของโคลีออพไทล์พืช
ที่มา : คลังภาพ อจท.
4. ครูถามนักเรียนวา ถาครูนําแผนวุนไปวางไว
B iology ยอดพืช B ของภาพการทดลองของชาลส ดารวนิ
Focus การเพิ่มความยาวและการขยายขนาดของเซลลพืช
และฟรานซิส ดารวิน ยอดพืช B จะเอนเขา
เมื่อมีสารควบคุมการเจริญเติบโต คือ ออกซิน สามารถจับกับตัวรับภายในเซลล์ ซึ่งจะมีผลไป
หาแสงหรือไม เพราะเหตุใด
กระตุ้นโปรตีนส่งผ่านสารให้ขับไฮโดรเจนไอออน (H+) ออกจากไซโทพลาซึมไปยังผนังเซลล์ส่งผลให้
ผนังเซลล์มีสภาพเป็นกรด และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (cell plasticity and elasticity) ซึ่งในสภาวะ (แนวตอบ ไมโคงงอ เนื่องจากสารที่ผลิตจาก
ที่มีความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออนสูงจะกระตุ้นการท�างานของโปรตีนเอกซ์แพนซิน (expansins) บริเวณปลายยอดไมสามารถเคลื่อนที่ได)
ที่อยู่ในผนังเซลล์พืช ส่งผลต่อการจัดเรียงตัวของเซลลูโลส ท�าให้น�้าสามารถแพร่เข้าสู่ภายในเซลล์ได้ 5. ครูใหนักเรียนศึกษากลไกการเอนเขาหาแสง
มากขึ้น เซลล์จึงมีขนาดยาวและใหญ่ขึ้น ของปลายยอดพื ช จาก QR Code เรื่ อ ง
ออกซินกระตุ้นโปรตีนส่งผ่านสาร การโคงงอของโคลีออพไทลพืช แลวบันทึก
น�้า
ผนังเซลล์ ขอมูลลงในสมุดบันทึกของตนเอง
ผนังเซลล์
กระตุ้น
เยื่อหุ้มเซลล์
ไซโทพลาซึม
เอกซ์แพนซิน
โมเลกุลของเซลลูโลส
ภาพที่ 4.8 กลไกการเพิ่มความยาวและการขยายขนาดของเซลล์พืช
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การโคงงอของโคลีออพไทลพชื 163
กิจกรรม ทาทาย
ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน ปลูกตนไม 1 ตน จากนัน้
ออกแบบการทดลองเพือ่ พิสจู นทฤษฎีในบทเรียนวา ออกซินทีผ่ ลิต
ขึน้ จากตายอดมีผลไปยังยัง้ การเจริญของตาขางจริงหรือไม โดยให
นักเรียนออกแบบตารางบันทึกผล กําหนดตัวแปรตน ตัวแปรตาม
และตัวแปรควบคุม จากนัน้ ใหตวั แทนกลุม ออกมานําเสนอผลการ
ทดลอง
T179
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเกริน่ นําวา นอกจากออกซินแลว ยังมีฮอรโมน จากการศึกษาต่อมาพบว่า สารอินทรีย์ที่พืชสร้างขึ้นในปริมาณเล็กน้อยและล�าเลียงไปยัง
ชนิดอื่นที่สงผลตอการเจริญของพืช เนื้อเยื่อต�าแหน่งต่าง ๆ ของพืช สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของพืชได้ เรียกว่า ฮอร์โมนพืช
2. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ใหแตละ (plant hormone) แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 5 กลุ่ม ได้แก่ ออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน
กลุมสงตัวแทนกลุมออกมาจับสลากหมายเลข เอทิลีน และกรดแอบไซซิก
ซึ่งแตละหมายเลขใหศึกษาฮอรโมนพืช ดังนี้ 1.1 ออกซิน
- หมายเลข 1 ศึกษาออกซิน
ออกซิน (auxins) เป็นฮอร์โมนพืชที่สร้างจากเนื้อเยื่อเจริญ (meristematic tissue) บริเวณ
- หมายเลข 2 ศึกษาไซโทไคนิน ปลายยอดอ่อนของต้นกล้าและใบอ่อน แล้วแพร่กระจายจากยอดผ่านมัดท่อล�าเลียง (vascular bundle)
- หมายเลข 3 ศึกษาจิบเบอเรลลิน ไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช ออกซินแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ออกซินธรรมชาติและออกซิน
- หมายเลข 4 ศึกษาเอทิลีน สังเคราะห์
- หมายเลข 5 ศึกษากรดแอบไซซิก ออกซินในธรรมชาติ (natural auxin) ได้แก่ กรดอินโดลแอซีตกิ (indole-3-acetic acid; IAA)
มีบทบาทและมีความส�าคัญมากที่สุด โดยสังเคราะห์จากกรดอะมิโนทริปโตเฟน (tryptophan) และ
กรดอินโดลบิวไทริก (indole-3-butyric acid; IBA)
ออกซินสังเคราะห์ (synthetic auxin) เป็นสารที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อใช้ในทางการ
เกษตร ได้แก่ กรดแนฟทาลีนแอซีติก (naphthaleneacetic acid; NAA) กรด 2,4-ไดคลอโร-
ฟีนอกซีแอซีติก (2,4-dicholophenoxyacetic acid; 2,4-D) และกรดไตรคลอโรฟีนอกซีแอซีติก
(2,4,5-Trichlorophenoxy acetic acid; 2,4,5-T)
ออกซินมีบทบาทส�าคัญด้านการเพิ่มขนาดของเซลล์ (cell enlargement) และการเพิ่มความ
ยาวของเซลล์ (cell elongation) เกี่ยวข้องกับการเจริญของล�าต้นและราก การขยายขนาดของ
ใบและผล การออกดอก การติดผล ชะลอการหลุดร่วงของใบ ดอก และผล ตลอดจนควบคุม
การเจริญของตาข้าง (lateral bud)
ตายอด (apical bud) เป็นแหล่งส�าคัญในการสร้างออกซิน แล้วล�าเลียงลงสู่ส่วนล่างของพืช
ซึ่งมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของตาข้างและใบด้านข้าง
ตายอด ชิ้นวุ้นที่มีออกซิน
ตาข้าง
T180
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ออกซินในปริมาณที่เหมาะสมจะกระตุ้นให้เนื้อเยื่อพืชขยายขนาดและช่วยให้เกิดรากได้เร็ว 3. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน โดย
และมากขึ้น แต่หากความเข้มข้นสูงเกินไปจะยับยั้งการเจริญเติบโตของราก นอกจากนี้ออกซิน สมาชิกตองมาจากกลุม เดิมทีอ่ ยูก ลุม หมายเลข
ยังส่งเสริมการเกิดรากและการพัฒนาในระยะแรกของราก แต่จะยับยั้งการยืดตัวของราก ดังนั้น 1 2 3 4 และ 5
ในระยะหลังของการเกิดรากจึงต้องการออกซินในปริมาณต�่า 4. ใหสมาชิกภายในกลุมแลกเปลี่ยนความรูเกี่ยว
กับฮอรโมนพืชตางๆ
5. ครู แ จกใบงาน เรื่ อ ง ฮอร โ มนพื ช แล ว ให
นักเรียนแตละกลุมลงมือทําใบงาน
100
ล�าต้น
0
ราก
ตา
-100
10-6 10-5 10-4 10-3 10-2 10-1 1 10 100 1,000
ความเข้มข้นของออกซิน (ppm)
ภาพที่ 4.11 ความเข้มข้นของออกซินในระดับต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตในราก ตา และล�าต้น
ที่มา : คลังภาพ อจท.
ในการเร่งการเจริญเติบโตของพืชนั้น อวัยวะแต่ละส่วนของพืชจะตอบสนองต่อออกซิน
ทีม่ ปี ริมาณแตกต่างกัน โดยทัว่ ไปความเข้มข้นของออกซินทีเ่ หมาะสมต่อการเจริญเติบโตของล�าต้น
จะสูงกว่าความเข้มข้นที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของตาและราก ตามล�าดับ
การตอบสนองของพืช 165
T181
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมานําเสนอขอมูลที่ ความเข้มข้นของออกซินที่ควบคุมการเจริญเติบโตของ H. O. T. S.
กลุม ตนเองไดรบั สวนนักเรียนคนอืน่ ๆ ใหบนั ทึก ล�าต้น ตา และราก โดยทัว่ ไปจะอยูใ่ นช่วง 10-4 - 10-5, 10-8 - 10-9, คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ขอมูลการนําเสนอลงในสมุดบันทึกของตนเอง และ 10-10 - 10-11 โมลาร์ ตามล�าดับ ซึ่งหากความเข้มข้นสูง ในการเพาะเลี้ยง
เซลล์
เนือ้ เยืเยือ่ อ่ บุบนอาหาร
ขา้ งแก้ม
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา เกินไปจะท�าให้เกิดการยับยั้งการเจริญเติบโต
ใบงานวา ฮอรโมนพืชเปนสารเคมีชนิดหนึ่งที่ อย่ า งไรก็ ต าม พื ช จะมี ก ลไกควบคุ ม ปริ ม าณออกซิ น แข็งของพืชชนิด
หนึง่ เพือ่ ให้ได้ตน้ อ่อนทีแ่ ข็งแรง
มีผลตอการเจริญเติบโตของพืช มีทั้งเรงการ เพราะหากมีปริมาณมากเกินไปจะเกิดผลเสียต่อพืชได้ นอกจากนี้ และปราศจากโรคก่อนน�าไปปลูก
เจริญเติบโตและยับยั้งการเจริญเติบโต ดังนั้น การท�างานของออกซินยังขึ้นอยู่กับสิ่งกระตุ้นภายนอก เช่น ลงดิน ควรให้ปริมาณออกซินแก่
มนุ ษ ย จึ ง เล็ ง เห็ น ประโยชน ข องฮอร โ มนพื ช แสงสว่าง แรงโน้มถ่วง รวมถึงสิง่ สัมผัสต่าง ๆ แคลลัสปริมาณเท่าใดบ้าง เพราะ
เหลานี้ จึงสังเคราะหสารเคมีที่มีโครงสราง เหตุใด
คลายกับฮอรโมนพืช เพื่อนําไปใชประโยชน 1.2 ไซโทไคนิน
ทางการเกษตร เชน NAA แทนออกซิน BAP ไซโทไคนิน (cytokinins) เป็นฮอร์โมนพืชทีก่ ระตุน้ การแบ่งเซลล์ การเปลีย่ นแปลงรูปร่างของ
แทนไซโทไคนิน เซลล์ และเกีย่ วข้องกับกระบวนการทางสรีรวิทยาอีกมากมาย แหล่งสร้างหลักอยูท่ บี่ ริเวณเนือ้ เยือ่
เจริญปลายราก ซึง่ เป็นสารซิเอทิน (zeatin) และสามารถเคลือ่ นย้ายไปยังใบ ล�าต้น และส่วนต่าง ๆ
ของพืชโดยผ่านทางไซเล็ม (xylem) อีกทัง้ ยังพบมากตามส่วนต่าง ๆ ของพืชทีม่ กี ารแบ่งเซลล์หรือ
2
การเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เช่น ในเอนโดสเปร์มเหลว (liquid endosperm) แคมเบียม (cambium)
แคลลัส (callus) ส่วนสารสังเคราะห์ในกลุ่มไซโทไคนิน ได้แก่ ไคเนติน 1(kinetin) และ BAP
(6-Benzylaminopurine)
นอกจากนี้ ไซโทไคนินยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชในด้านอื่น ๆ ดังนี้
1. ยับยั้งการพักตัวของเมล็ด และช่วยปองกันไม่ให้เซลล์เข้าสู่ภาวะแก่ตัว (senescence)
จึงใช้เพื่อชะลอความแก่ของพืช ผัก ดอกไม้ และผลไม้ Biology
2. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของตาข้าง และท�าให้เมล็ด in real life
งอกได้เร็วขึ้น ปัจจุบันไซโทไคนินเป็นสารที่
3. ควบคุมการเปดปดของปากใบ โดยในพืชทัว่ ไปปากใบ สามารถหาซือ้ ได้ตามท้องตลาด
แต่ ถ ้ า หากต้ อ งการลดต้ น ทุ น
จะเปดเมื่อมีแสง และปดเมื่อไม่มีแสง แต่ไซโทไคนินมีผลท�าให้ สามารถผลิตหัวเชื้อไซโทไคนิน
ปากใบเปดในที่ไม่มีแสงได้ ได้เองจากหัวไชเท้า โดยคั้นน�้า
4. ส่งเสริมการสร้างโปรตีนในพืช โดยไซโทไคนินสามารถ จากหั ว ไชเท้ า ประมาณ 100
ดึงกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ มาสังเคราะห์โปรตีน และสร้าง RNA ซี ซี ผสมกั บ กลู โ คสผง 100
แนวตอบ H.O.T.S. และ DNA กรัม จากนั้นท�าให้เจือจางด้วย
5. เร่งการเจริญของรากในต้นพืชที่เติบโตจากการเพาะ น�้าเปล่า ในอัตราส่วน 100 ซีซี
ควรให ใ นปริ ม าณที่ เ หมาะสมเป น สั ด ส ว นกั บ ต่อน�้า 10 ลิตร
ไซโทไคนิน หากตองการกระตุน แคลลัสใหเจริญเปน เลี้ยงเนื้อเยื่อ และเร่งการเจริญของตาของพืชบางชนิด
ยอดควรใชปริมาณออกซินนอยกวาไซโทไคนิน และ 166
หากตองการกระตุน แคลลัสใหเจริญเปนรากควรใช
ปริมาณออกซินมากกวาไซโทไคนิน
T182
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ปัจจุบันมีสารในกลุ่มไซโทไคนินถูกน�ามาใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยใช้ร่วมกับออกซิน 3. ใหนกั เรียนเปรียบเทียบลักษณะตนขาวทีไ่ ดรบั
ในสัดส่วนที่พอเหมาะ เพื่อกระตุ้นเนื้อเยื่อพืชให้แบ่งตัวอย่างรวดเร็วเกิดเป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า และไมไดรบั จิบเบอเรลลิน จากภาพในหนังสือ
แคลลัส (callus) ซึ่งจะเจริญพัฒนาไปจนเป็นต้นอ่อนที่ประกอบด้วย ต้น ใบ และราก ซึ่งสามารถ เรียน ชีววิทยา ม.5 เลม 1
เจริญต่อไปจนกระทั่งได้พืชที่สมบูรณ์ 4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เพื่อใหได
ไม่มีการเจริญ เกิดแคลลัส เกิดยอด เกิดราก ขอสรุปวา จิบเบอเรลลินเปนฮอรโมนพืชที่
มีผลไปกระตุนการแบงเซลลและการขยาย
ขนาดของเซลลใหยืดยาวขึ้น นอกจากนี้ ยัง
ชวยกระตุนการงอกของเมล็ด โดยใหนักเรียน
ศึกษากลไกการงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ออกซิน 0 mg/l 2 mg/l 0.02 mg/l 2 mg/l ใน Biology Focus แลวอภิปรายรวมกันวา
ไซโทไคนิน 0.2 mg/l 0.2 mg/l 1 mg/l 0.02 mg/l
จิบเบอเรลลินมีสวนเกี่ยวของกับการงอกของ
ภาพที่ 4.12 ความเข้มข้นของออกซินและไซโทไคนินที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อพืช
ที่มา : คลังภาพ อจท. เมล็ดพืชอยางไร
1.3 จิบเบอเรลลิน
จิบเบอเรลลิน (gibberellin) ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุน ซึ่งศึกษาโรคข้าวชนิด
หนึ่งที่เกิดจากรา Gibberella fujikuroi โดยราชนิดนี้สร้างสารที่มีผลเร่งการยืดยาวของล�าต้น
ท�าให้ตน้ พืชสูงมากกว่าปกติ และอ่อนแอ ซึง่ ท�าให้ตน้ พืชล้มและตาย ต่อมาได้มกี ารแยกสารนีอ้ อก
มาจากราในรูปสารบริสุทธิ์และเรียกสารนี้ว่า จิบเบอเรลลิน
จิบเบอเรลลิน เป็นชื่อที่ใช้เรียกทั่ว ๆ ไป
ของกลุ่มสารประเภทนี้ ปัจจุบันถูกค้นพบแล้ว
ไม่น้อยกว่า 80 ชนิด และที่รู้จักโดยทั่วไป คือ
กรดจิบเบอเรลลิก (GA3) เป็นชนิดที่พบมาก
และได้รับความสนใจมากกว่าชนิดอื่น ๆ
แหล่ ง สร้ า งจิ บ เบอเรลลิ น มี ไ ด้ ห ลาย
บริเวณ เช่น พบในเมล็ดขณะที่พัฒนาปลาย
ต้นข้าวที่ไม่ได้รับจิบเบอเรลลิน ต้นข้าวที่ได้รับจิบเบอเรลลิน ยอด ปลายรากอับเรณู ผล
ภาพที่ 4.13 การทดลองจิบเบอเรลลินในต้นข้าว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
การตอบสนองของพืช 167
T183
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
5. ครูอธิบายตอไปวา นอกจากนี้ จิบเบอเรลลินยัง ผลของจิบเบอเรลลินที่มีต่อการเจริญเติบโตของพืช มีดังนี้
ชวยกระตุนการงอกของเมล็ด โดยใหนักเรียน 1. กระตุ้นการแบ่งเซลล์และการขยายขนาดของเซลล์
ศึกษากลไกการงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ท�าให้เซลล์ยาวขึ้น
ใน Biology Focus แลวอภิปรายรวมกันวา 2. กระตุ้นการงอกของเมล็ดและการติดผล
จิบเบอเรลลินมีสวนเกี่ยวของกับการงอกของ 3. กระตุ้นให้ช่อองุ่นโปร่ง ท�าให้ผลองุ่นมีขนาดใหญ่ขึ้น
เมล็ดพืชอยางไร และท�าให้องุ่นบางพันธุ์ไม่มีเมล็ด
(แนวตอบ ทําใหเนื้อเยื่อที่อยูระหวางชั้นเปลือก 4. ช่วยเปลีย่ นดอกเพศผูเ้ ป็นดอกเพศเมียในพืชตระกูลแตง
ภาพที่ 4.14 จิบเบอเรลลินช่วย
หุมเมล็ดและเอนโดสเปรมสรางเอนไซมอะ- 5. ชะลอการแก่ของเซลล์ (senescence) ในใบพืช กระตุน้ ให้ชอ่ องุน่ โปร่ง ท�าให้ผลองุน่
ไมเลส ชวยยอยแปงใหเปนนํ้าตาลเพื่อเปน 6. ส่งเสริมการงอกของตาและยับยั้งการงอกของราก มีขนาดใหญ่ขึ้น
อาหารของเอ็มบริโอ และชวยทําใหเยื่อหุม 7. ช่วยท�าให้พชื บางชนิดเกิดการพัฒนาของผลแบบไม่มี 1 ที่มา : คลังภาพ อจท.
เมล็ดแตกออก ทําใหตนออนงอกออกจาก เมล็ด (1parthenocarpic fruit) เช่น มะเขือเทศ ส้ม
เมล็ด) 8. กระตุ้นการเกิดดอกโดยจิบเบอเรลลินสามารถทดแทนความยาวของวันที่จ�าเป็นต่อการ
ออกดอกในพืชบางชนิด และทดแทนความหนาวเย็นเพื่อกระตุ้นการออกดอกในพืชที่ต้องการ
อุณหภูมิต�่า (vernalization)
B iology
Focus การงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
เมื่อเมล็ดได้รับน�้าและเริ่มงอก เอ็มบริโอจะสร้างจิบเบอเรลลินออกมา ท�าให้ชั้นเนื้อเยื่อ
ที่อยู่ระหว่างเปลือกหุ้มเมล็ด (seed coat) และเอนโดเสปร์ม (endosperm) สร้างเอนไซม์ไฮโดรไลทิก
(hydrolytic enzymes) ออกมา เช่น อะไมเลส (amylase) ซึ่งจะย่อยแปงของเอนโดสเปร์มให้เป็น
น�้าตาลส�าหรับการเติบโตของเอ็มบริโอและเอนไซม์เหล่านี้จะท�าให้เยื่อหุ้มเมล็ดแตกออก ช่วยให้ส่วน
ปลายรากแรกเกิด (radicle) และปลายหุ้มยอดแรกเกิดหรือโคลีออพไทล์ (coleoptile) งอกออกมา
นอกเยื่อหุ้มเมล็ด
เอนโดสเปร์ม
GA
α-amylase น�้าตาล
น�้าตาล
GA
ใบเลี้ยง
รากแรกเกิด
ภาพที่ 4.15 การงอกเมล็ด
ที่มา : คลังภาพ อจท.
168
T184
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1.4 เอทิลีน Biology 6. ครูถามคําถามทบทวนความรูข องนักเรียน ดังนี้
in real life ï• ฮอรโมนเอทิลีนมีผลตอพืชอยางไร
เอทิลนี (ethylene) เป็นฮอร์โมนพืชทีอ่ ยูใ่ นรูปของแก๊ส ซึง่ คนส่วนใหญ่นิยมใช้ ethephon
แตกต่างจากฮอร์โมนพืชชนิดอืน่ เกิดจากกระบวนเมแทบอลิซมึ (แนวตอบ ชวยเรงการสุกของผลไม)
เป็นสารที่สามารถปลดปล่อย
ของพืช โดยเฉพาะช่วงที่ผลไม้ใกล้สุกจะมีแก๊สเอทิลีนปริมาณ แก๊สเอทิลนี ออกมาได้ เป็นสาร ï• ฮอรโมนพืชชนิดใดทําหนาที่เปนสัญญาณ
มาก และยังพบว่า แก๊สนี้สามารถกระตุ้นผลไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ให้สุก กึ่งแข็งคล้ายขี้ผึ้ง ละลายได้ทั้ง เตือนวา พืชเขาสูการเสื่อมอายุ
ได้เร็วขึ้นกระตุ้นการร่วงของใบ กระตุ้นการเกิดรากฝอยและราก ในน�้าและแอลกอฮอล์ ปัจจุบัน (แนวตอบ กรดแอบไซซิก)
จ�าหน่ายทัง้ ในรูปสารละลาย และ 7. ครู ย กตั ว อย า งการนํ า ฮอร โ มนเอทิ ลี น มาใช
แขนงนอกจากผลไม้จะสร้างแก๊สเอทิลีนได้เองแล้ว ส่วนต่าง ๆ รูปครีม โดยมีชื่อการค้าต่าง ๆ
ของพืชก็สามารถสร้างได้ เช่น ดอก ใบ ล�าต้น ราก หัว เมล็ด กัน เช่น อีเทรล ซีฟา อีเทรล- ประโยชนทางเกษตร เชน บมผลไม กระตุน
แต่สร้างได้ในปริมาณน้อย ลาเท็กซ์ การออกดอกของพืชบางชนิด เชน สับปะรด
เรงการไหลของนํ้ายาง กระตุนใหเกิดดอก
ปัจจุบันมีการน�าเอทิลีนมาใช้ประโยชน์ทางการ เพศเมียในพืชตระกลูแตง จากนั้นใหนักเรียน
เกษตร เช่น ใช้ในการบ่มผลไม้ กระตุ้นการออกดอก สืบคนการนําฮอรโมนเอทิลีนมาใชประโยชน
ของสับปะรด กระตุ้นให้เกิดดอกเพศเมียมากขึ้นในพืช ทางเกษตรนอกเหนือจากที่ครูยกตัวอยางลง
ภาพที่ 4.16 อิทธิพลของเอทิลีน ตระกูลแตง เร่งการไหลของน�้ายางพารา และเพิ่มปริมาณ ในกระดาษ A4 พรอมนําเสนอหนาชั้นเรียน
ท�าให้ผลไม้สุกได้เร็วขึ้น น�้ายางของมะละกอเพื่อผลิตปาเปน (papain)
ที่มา : คลังภาพ อจท.
1.5 กรดแอบไซซิก
กรดแอบไซซิก (abscisic acid; ABA) เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของพืช
ทั้งในแง่การยับยั้งและส่งเสริม และท�าหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนว่าพืชเข้าสู่การเสื่อมตามอายุ
ABA มีบทบาทส�าคัญมากในการท�าให้พชื ด�ารงชีวติ อยูไ่ ด้
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เกี่ยวข้องกับการท�าให้
ปากใบ พื ช รอดพ้ น สภาพวิ ก ฤติ ต ่ า ง ๆ เช่ น การลดการสู ญ เสี ย น�้ า
ในสภาวะแห้งแล้ง การพักตัวในสภาวะทีอ่ ากาศหนาวจัด ปองกัน
สภาวะเครี ย ดที่ เ กิ ด จากเกลื อ และอุ ณ หภู มิ และมี บ ทบาท
ในการพัฒนาการของเอ็มบริโอ
หน้าทีห่ ลักของ ABA ในพืช คือ ท�าให้ปากใบปด เมือ่ เกิด
การขาดน�า้ หรือเมือ่ มีระดับของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพิม่ ขึน้
ในเซลล์ปากใบ เช่น ตอนกลางคืน เมือ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสงหยุด
ภาพที่ 4.17 ผลของ ABA ที่ ลง แต่การหายใจยังคงด�าเนินต่อไป ABA มีผลท�าให้โพแทสเซียม
ควบคุมการเปด-ปดของปากใบ
ที่มา : คลังภาพ อจท. ไอออน (K+) เคลื่อนที่ออกจากเซลล์คุม ซึ่งท�าให้ปากใบปด
การตอบสนองของพืช 169
T185
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนกั เรียนทดลองใชเคมีสงั เคราะหกบั พืช เพือ่ • การสังเกต
2 2
170
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
ตนไมกระถางที่ 5 จะแตกกิ่งกานสาขา หรือแตกตาขางมากกวาตนไม ขอใดคือสวนประกอบของพืชทีต่ อบสนองตอออกซิน แตไมตอบ
กระถางตนอื่นๆ เนื่องจากตนไมกระถางที่ 5 มีการตัดปลายยอดซึ่งเปนแหลง สนองตอจิบเบอเรลลิน
ผลิตฮอรโมนออกซิน และมีการใหสารลาโนลินผสมกับเบนซิลลามิโนพิวรีน ที่ 1. ใบ
เปนสารสังเคราะหแทนฮอรโมนไซโทไคนินที่พืชผลิต ทําใหตนไมกระถางที่ 5 2. ผล
แตกกิ่งกานสาขามากที่สุด 3. ราก
4. ดอก
5. ลําตน
(วิเคราะหคาํ ตอบ ออกซินใชกระตุน กิง่ ไมทนี่ าํ มาใชในการตอนกิง่
ใหงอกราก แตจบิ เบอเรลลินไมมผี ลตอการงอกของราก เนือ่ งจาก
เปนสารที่ทําใหเซลลตรงชวงบริเวณขอ เกิดการยืดตัว จึงใชยืด
ชอองุน ทําใหไมดอกมีขนาดใหญขนึ้ รวมทัง้ กานดอกยาวขึน้ หรือ
ทําใหองุน บางพันธุไ มมเี มล็ด ดังนัน้ ตอบขอ 3.)
T186
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ตัดยอดต้นมะลิผสมในกระถางที่ 3 เช่นเดียวกับ 4. ทาลาโนลินที่มี BAP เข้มข้น 1.5 mM ที่ตาข้าง 1. ใหตัวแทนของแตละกลุมออกมานําเสนอผล
ข้อ 2. แล้วทายอดที่ตัดด้วยลาโนลินที่มี NAA ของต้นมะลิในกระถางที ่ 4 โดยไม่ตอ้ งตัดยอดของ จากการทํากิจกรรม
เข้มข้น 1% ต้นมะลิ 2. ครูถามคําถามทายกิจกรรม
ลาโนลินที่มี ลาโนลินที่มี
NAA 1% BAP 1.5 mM 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลจากการทํา
กิจกรรม
3 3 4 4 ขยายความเข้าใจ
1
1 2 3 2
3
T187
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการเรียนรู ค�าถามท้ายกิจกรรม
?
ที่ 4
1. การเจริญของกิ่งที่เกิดจากตาข้างของต้นมะลิในกระถางที่ 1-5 มีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
2. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5 2. ออกซินมีผลต่อการแตกตาข้างอย่างไร
เลม 1 3. ไซโทไคนินมีผลต่อการแตกตาข้างอย่างไร
3. ตรวจใบงาน เรื่อง ฮอรโมนพืช 4. มะม่วงดิบหมายเลข 1 2 และ 3 สุกพร้อมกันหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
4. ตรวจผังมโนทัศน โดยใชแบบประเมินชิ้นงาน
5. สังเกตการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม โดย อภิปรายผลกิจกรรม
ใชแบบประเมินการปฏิบัติการ จากกิจกรรมในตอนที่ 1 พบว่า ต้นไม้ในกระถางที่ 3 และ 4 มีการเจริญของตาข้างหรือแตกกิ่งก้านสาขา
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช ได้นอ้ ยกว่าต้นไม้ในกระถางที ่ 1 เนือ่ งจากมีการให้กรดแนฟทาลีนแอซีตกิ หรือสารสังเคราะห์ทใี่ ช้แทนฮอร์โมน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ออกซินในกระถางที่ 3 และฮอร์โมนออกซินที่ถูกผลิตขึ้นบริเวณปลายยอด มีผลไปยับยั้งการเจริญตาข้าง ส่วน
7. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ ตาข้างของต้นไม้ทปี่ ลูกในกระถางที ่ 2 และ 5 แตกกิง่ ก้านสาขาได้มากกว่าต้นไม้ในกระถางที ่ 1 เนือ่ งจากบริเวณ
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ยอดของต้นไม้ในกระถางที่ 2 และ 5 ถูกตัดออก นอกจากนี้ ยังพบว่า เบนซิลลามิโนพิวรีน หรือสารสังเคราะห์
ที่ใช้แทนฮอร์โมนไซโทไคนิน ท�าให้ต้นไม้ในกระถางที่ 5 มีการแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่มมากขึ้น
8. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ จากกิจกรรมตอนที่ 2 พบว่า มะม่วงสุกมีฮอร์โมนเอทิลีนช่วยให้ผลไม้ที่อยู่ใกล้เคียงสุกเร็วขึ้น ดังนั้น
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค มะม่วงดิบหมายเลข 3 จึงสุกเร็วกว่ามะม่วงดิบหมายเลขอื่น
Topic
Question
ค�าชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�าถามต่อไปนี้
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม 1. สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชคืออะไร
1. แตกตางกัน เนื่องจากตนมะลิที่ถูกตัดตายอด 2. เพราะเหตุใดปลายยอดอ่อนของพืชจึงเอนเข้าหาแสง
จะเกิดปรากฏการณตายอดขมตาขาง ทําให 3. แหล่งสร้างหลักของฮอร์โมนออกซินและไซโทไคนินอยู่ที่ส่วนใดของพืช
ตาขางเจริญเปนกิ่งอยางรวดเร็ว นอกจากนี้ 4. จงเรียงล�าดับปริมาณความเข้มข้นของออกซินที่เหมาะสมต่อการเจริญของอวัยวะพืชจากมากไปน้อย
ยังเกี่ยวของกับสัดสวนของออกซิน (NAA) และ 5. ยกตัวอย่างสารสังเคราะห์ที่ใช้แทนฮอร์โมนออกซินและไซโทไคนินมีอะไรบ้าง
6. จิบเบอเรลลินถูกค้นพบในสิ่งมีชีวิตชนิดใด และมีบทบาทกับพืชอย่างไร
ไซโทไคนิน (BAP) ทําใหการเจริญของกิ่งที่เกิด
7. การงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเกี่ยวข้องอย่างไรกับฮอร์โมนจิบเบอเรลลิน
จากตาขางของตนมะลิในกระถางที่ 1-5 มีความ
8. เอทิลีนแตกต่างจากฮอร์โมนพืชชนิดอื่นอย่างไร
แตกตางกัน
9. เอทิลีนมีบทบาทส�าคัญกับพืชอย่างไร
2. ยับยั้งการเจริญตาขาง 10. กรดแอบไซซิกมีบทบาทส�าคัญกับพืชอย่างไร
3. กระตุนการเจริญตาขาง
4. ไมพรอมกัน มะมวงหมายเลข 3 จะสุกกอน 172
มะมวงหมายเลขอื่น เนื่องจากมะมวงหมายเลข
3 อยูใกลกับมะมวงสุกที่มีฮอรโมนเอทิลีน
งอกของตาและยับยั้งการงอกของราก
................./................/................
7. ยับยั้งการงอกของเมล็ด
8. มีสถานะเปนแกส
9. กระตุนการสุกของผลไม กระตุนการออกดอกของสับปะรด
10. ทําใหพืชดํารงชีวิตอยูไดในสภาวะที่ไมเหมาะสม
T188
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
พืชมีการตอบสนองตอ 2. การตอบสนองของพืชต่อสิง่ แวดล้อม 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge
สิ่งเราจากสภาพแวดลอม 2. ครูนําภาพมาใหนักเรียนทายวา เปนการตอบ
ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการเจริญเติบโตของพืช แบ่งเป็น 2 ประเภท
ภายนอกอยางไร
ใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยจากภายในและปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม สนองของพืชตอสิ่งใด
พืชจะเจริญเติบโตได้ดีนั้นต้องอาศัยการพึ่งพาทั้ง 2 ปัจจัย จึงจะ
ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา พืชสามารถตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกได้เช่นเดียวกับ ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ โดยอาจเรียกปัจจัยเหล่านี้ว่า สิสิ่งเร้า (1stimulus)
สิ่งเร้าจะไปกระตุ้นให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชกระจายไปยังส่วน ครูถามคําถามวา กระบวนการสื่อสารระหวาง
ต่าง ๆ ในปริมาณทีไ่ ม่เท่ากัน ส่งผลให้พชื มีการตอบสนองต่อสิง่ เร้าเพือ่ ความอยูร่ อดในสภาพแวดล้อม เซลลประกอบดวยขั้นตอนใดบาง แตละขั้นตอน
นั้น ๆ เปนอยางไร แลวใหนักเรียนสืบคนขอมูลจาก
การตอบสนองของพืชต่อสิง่ เร้าจากสภาพแวดล้อมภายนอกเกีย่ วข้องกับกระบวนการสือ่ สาร หนังสือเรียน ชีววิทยา ม.5 เลม 1 แลวบันทึกขอมูล
ระหว่างเซลล์ให้เป็นไปตามล�าดับ ดังนี้ ลงในสมุดบันทึกของตนเอง
การรับสัญญาณ (reception) หมายถึง การที่พืชได้รับสัญญาณจากสิ่งเร้าที่มากระตุ้น เช่น
กลไกการรับแสงของสารสี (pigment) ในเซลล์พืชในกระบวนการตอบสนองต่อทิศทางของแสง อธิบายความรู้
การส่งสัญญาณ (transduction) หมายถึง การที่พืชส่งสัญญาณที่ได้รับจากสิ่งเร้าไปให้เซลล์ 1. ใหนกั เรียนจับคูแ ลกเปลีย่ นขอมูลทีไ่ ดจากการ
ที่ตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นนั้น ซึ่งสัญญาณนั้น ได้แก่ ศักย์ไฟฟาเคมี หรือสารเคมีต่าง ๆ สืบคนกับคูของตนเอง
เช่น ฮอร์โมนพืช 2. ครู สุ ม ตั ว แทนคู อ ธิ บ ายกระบวนการสื่ อ สาร
การตอบสนองของพืช (response) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ระหวางเซลลใหเพื่อนในหองฟง
หรือปัจจัยที่มากระตุ้น 3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายการตอบ
สนองของพื ช ต อ สิ่ ง เร า มี ค วามเกี่ ย วข อ งกั บ
กระบวนการสื่อสารระหวางเซลล
ภายนอกเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม
1. การรับสัญญาณ 2. การส่งสัญญาณ 3. การตอบสนอง
เซลล์มีการ
เซลล์เปาหมาย ตอบสนอง
โมเลกุลของสารเคมีหลายชนิดเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณ
โมเลกุลสัญญาณ 2 แนวตอบ Prior Knowledge
เมื่อพืชไดรับสัญญาณจากสิ่งเราจากภายนอก
ภาพที่ 4.20 กระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ พื ช จะส ง สั ญ ญาด ว ยการผลิ ต สารเคมี เรี ย กว า
ที่มา : คลังภาพ อจท. ฮอรโมน ลําเลียงไปทัว่ รางกายของพืช ทําใหเซลลมี
การตอบสนองของพืช 173
การตอบสนองตอสิง่ เราทีม่ ากระตุน สงผลใหพชื เกิด
การเปลีย่ นแปลงทางสรีรวิทยา เพือ่ ความอยูร อดใน
สภาพแวดลอมตางๆ
T189
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนยกตัวอยางสิ่งเราที่นักเรียนรูจักมา 2.1 การเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก
คนละ 1 อยาง การเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก (paratonic movement) เป็นการตอบ
(แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน ตัวอยาง สนองที่เกิดจากการเจริญเติบโตของพืช ตัวอย่างเช่น
คําตอบ เชน แสง นํ้า ความชื้น สารเคมี แรง 1. การเคลื่อนไหวแบบทรอปก (tropic movement) หรือการเบน (tropism) เป็นการ
โนมถวง การสัมผัส) เคลือ่ นไหวของพืชทีม่ ที ศิ ทางสัมพันธ์กบั สิง่ เร้าภายนอก โดยทิศทางอาจเบนเข้าหาสิง่ เร้า (positive
2. ให นั ก เรี ย นจั บ กลุ ม กั บ เพื่ อ นที่ ต อบคํ า ถาม tropism) หรือเบนออกจากสิ่งเร้า (negative tropism) ซึ่งการ
เหมือนกัน สืบคนขอมูลเกีย่ วกับสิง่ เราทีน่ กั เรียน เคลื่อนไหวของพืชในลักษณะนี้ มีดังนี้
ตอบมานัน้ จัดเปนสิง่ เราประเภทใด 1) การเคลือ่ นไหวทีต่ อบสนองต่อแสง (phototropism)
(แนวตอบ ทรอปกมูฟเมนต) เช่น การที่ล�าต้นของพืชโค้งเข้าหาแสง (positive phototropism)
เป็นผลมาจากการสะสมของออกซินในด้านตรงข้ามกับแสง ท�าให้
เซลล์มกี ารยืดยาวกว่าด้านทีร่ บั แสง หรือการทีป่ ลายรากเจริญหนี ภาพที่ 4.21 การตอบสนองของพืช
แสง (negative phototropism) ต่อแสง
ที่มา : คลังภาพ อจท.
B iology
Focus การตอบสนองของพืชตอแสงในชวงวัน (photoperiodism)
การเปลีย่ นแปลงระยะเวลาทีพ่ ชื ได้รบั แสงในแต่ละช่วงของ 24 ชั่วโมง
วันมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยความยาวของช่วงวันที่มี
ผลต่อการออกดอกของพืช เรียกว่า ช่วงวันวิกฤติ (critical day
length) ซึ่งช่วงวิกฤติของพืชส่วนใหญ่ คือ 14-16 ชั่วโมง โดย
สามารถแบ่งพืชตามการตอบสนองของช่วงแสงได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. พืชวันยาว (long day plant) หมายถึง พืชที่ต้องการ ช่วงวันวิกฤติ
พืชวันสั้น
ช่วงแสงในวันหนึง่ ๆ ยาวกว่าช่วงวันวิกฤติจงึ จะออกดอก เช่น ข้าว
24 ชั่วโมง
สาลี ผักกาดหอม ผักโขม
2. พืชวันสั้น (short day plant) หมายถึง พืชที่ต้องการ
ช่วงแสงในวันหนึ่ง ๆ สั้นกว่าช่วงวันวิกฤติจึงจะออกดอก เช่น ต้น
คริสต์มาส เก๊กฮวย เบญจมาศ
3. พืชที่ไม่ตอบสนองต่อช่วงแสง (day neutral plants) ช่วงวันวิกฤติ
หมายถึง พืชทีส่ ามารถออกดอกได้โดยไม่เกีย่ วข้องกับความสัน้ ยาว พืชวันยาว
ของวัน ทัง้ นี ้ เนือ่ งจากการออกดอกของพืชจ�าพวกนีข้ นึ้ อยูก่ บั อายุ ได้รับแสง ไม่ได้รับแสง
ของพืชชนิดนั้น ๆ เช่น ข้าวโพด มะเขือเทศ แตงกวา
ภาพที่ 4.22 การตอบสนองของพืช
ต่อแสงในช่วงวัน
ที่มา : คลังภาพ อจท.
174
T190
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) การเคลื่อนไหวที่ตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของ H. O. T. S. 1. ครู เ กริ่ น นํ า ว า จะเห็ น ว า สิ่ ง ที่ นั ก เรี ย นยก
โลก (geotropism หรือ gravitotropism) โดยรากพืชจะเจริญ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง ตั ว อย า งมาเป น การตอบสนองที่ มี ทิ ศ ทาง
เข้าหาแรงโน้มถ่วงของโลก (positive geotropism) เพือ่ รับน�า้ และ หากทดลองน� า สัมพันธกับสิ่งเราที่มากระตุน หรือเรียกวา
ธาตุอาหารที่อยู่ในดิน ส่วนยอดพืชจะเจริญในทิศทางตรงข้ามกับ เซลล์
พื ช เไยือ่ ปบุขปา้ งแก้
ลู กมใ น ทรอปกมูฟเมนต
แรงโน้มถ่วงของโลก (negative geotropism) เพื่อชูใบรับแสง ยานอวกาศทีล่ อย 2. ครู สุ ม เรี ย กนั ก เรี ย น 2-3 คน อธิ บ ายการ
คว้างอยู่ในอวกาศ โดยภายใน
ยานยังคงมีออกซิเจนและแสง เคลื่อนไหวแบบทรอปกมูฟเมนตในความคิด
เพี ย งพอต่ อ การเจริ ญ ของพื ช ของตนเอง
นักเรียนคิดว่า พืชจะมีลักษณะ 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลเพื่อใหได
ราก อย่างไร ขอสรุปวา ทรอปกมูฟเมนตเปนการเคลือ่ นไหว
ราก
ของพื ช ที่ มี ทิ ศ ทางสั ม พั น ธ กั บ สิ่ ง เร า ที่ ม า
กระตุน เชน แสง นํ้า ความชื้น แรงโนมถวง
ออกซิน
ออกซิน
ถ้าวางพืชในแนวนอน ออกซินจะล�าเลียงไปยังล�าต้นและราก รากโค้งงอตามแรงโน้มถ่วงของโลก
แนวตอบ H.O.T.S.
ภาพที่ 4.24 ผลของออกซินต่อการตอบสนองของปลายยอดและปลายรากของพืช
ที่มา : คลังภาพ อจท. พื ช จะมี รู ป ร า งที่ แ ตกต า งกั น ไม มี รู ป แบบที่
การตอบสนองของพืช 175
แนนอน เนื่องจากขาดแรงโนมถวง โดยเฉพาะ
รากพืชจะเจริญหาเขาหาความชื้น หรือบริเวณที่มี
อาหาร สวนปลายยอดพืชจะเจริญเขาหาแสง
T191
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม ทํากิจกรรม เรือ่ ง การตอบ • การสังเกต
สนองของพืชตอแรงโนมถวงของโลก การตอบสนองของพืชตอแรงโนมถวงของโลก • การลงความเห็นจากข้อมูล
• การทดลอง
2. ใหสมาชิกภายในกลุมแบงภาระหนาที่รับผิด • การตั้งสมมติฐาน
3. ไมเหมือนกัน เพราะแสงมีผลตอการเจริญปลาย
ยอดและปลายราก
บันทึก กิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
รากพืชจะเจริญทะลุออกจากเปลือก แลวเบนเขาหาแรงโนมถวง หรือเจริญ การเจริญของรากพืชเปนการตอบสนองตอปจจัยในขอใด
โคงเขาหาพื้นดินตามแรงโนมถวงของโลก ในทางกลับกันปลายยอดพืชจะเบน 1. แสง
เขาหาแสง หรือเจริญในทิศตรงขามกับแรงโนมถวง 2. สารเคมี
3. อุณหภูมิ
4. การสัมผัส
5. แรงโนมถวง
(วิเคราะหคาํ ตอบ รากพืชจะเจริญตามแรงโนมถวงซึง่ มีทศิ ทางตรง
ขามกับแสง ดังนัน้ ตอบขอ 5.)
T192
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
เรณู
ยอดเกสรเพศเมีย 3) การเคลื่อนไหวที่ตอบสนองต่อสารเคมี (chemo- ครูและนักเรียนอาจรวมกันอภิปรายหาขอสรุป
tropism) เป็นการตอบสนองของพืชโดยการเจริญเข้าหาสาร ใหไดวา การเคลื่อนไหวแบบทรอปก เปนการ
หลอดเรณู
เคมี (positive chemotropism) หรือหนีจากสารเคมี (negative ตอบสนองตอสิ่งเราที่มีทิศทางสัมพันธกับสิ่งเรา
สเปร์ม chemotropism) เช่น การงอกของหลอดเรณูไปยังรังไข่ของพืชดอก ภายนอกที่มากระตุน โดยทิศทางที่พืชตอบสนอง
ก้านชูเกสรเพศเมีย โดยมีสารเคมีจากรังไข่เป็นสิ่งเร้า มี 2 แบบ คือ เบนเขาหา (positive tropism) และ
4) การเคลือ่ นไหวทีต่ อบสนองต่อน�า้ (hydrotropism) เบนออก (negative tropism) ไดแก แสง เชน ดอก
รังไข่
โดยรากพืชเจริญเข้าหาน�้าหรือความชื้น (positive hydro- ทานตะวันหันหนาเขาหาดวงอาทิตย แรงโนมถวง
tropism) เพื่อดูดน�้าเข้าสู่ล�าต้นและน�าเข้าสู่เซลล์พืช ส่วนปลาย เชน รากเจริญตามแรงโนมถวง สารเคมี เชน
ยอดพืชเจริญหนีน�้า (negative hydrotropism) การงอกหลอดเรณู ไ ปตามก า นเกสรเพศเมี ย
ไมโครไพล์
5) การเคลื่อนไหวที่ตอบสนองต่อการสัมผัสสิ่งเร้า การสัมผัส เชน การเจริญของมือเกาะของตนตําลึง
(thigmotropism) เป็นการตอบสนองของพืชบางชนิดโดยมีการ ไปพันรอบวัตถุที่มาสัมผัส
ภาพที่ 4.26 การงอกของหลอดเรณู
ที่มา : คลังภาพ อจท. สัมผัสเป็นสิ่งเร้าท�าให้เกิดการเคลื่อนไหวของพืช ซึ่งมีฮอร์โมน
ออกซินและเอทิลนี เข้ามามีบทบาทในการตอบสนอง เช่น ต้นองุน่
ที่มีล�าต้นผอมสามารถเจริญตั้งตรงได้โดยไม่ต้องมีสิ่งค�้าจุน
เนื่องจากมีการเจริญของมือเกาะ (tendril) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่
เปลี่ยนแปลงมาจากใบยื่นออกไปพันหลักหรือเกาะบนต้นไม้อื่น
โดยเซลล์ภายในมือเกาะด้านทีส่ มั ผัสกับวัตถุอนื่ จะหยุดการขยาย
ขนาดของเซลล์ ซึ่งตรงข้ามกับด้านที่ไม่มีการสัมผัสกับวัตถุจะ
มีการขยายขนาดของเซลล์ ท�าให้มือเกาะม้วนเป็นวงรอบวัตถุ
ที่สัมผัส หลังจากนั้นเซลล์ทั้งสองบริเวณจะมีอัตราการขยายตัว
ภาพที่ 4.27 การเจริญของมือเกาะ
ที่พันรอบวัตถุที่สัมผัส เท่ากันทั้งสองด้าน นอกจากจะพบในองุ่นแล้วยังพบในพืชอื่น ๆ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เช่น ต้นต�าลึง ต้นพริกไทย พืชตระกูลแตง กะทกรก เป็นต้น
2. การเคลื่อนไหวแบบแนสติก (nastic movement) Biology
เป็นการเคลื่อนไหวที่มีทิศทางไม่สัมพันธ์กับสิ่งเร้า มีปัจจัย in real life
ภายนอกทีส่ า� คัญ ได้แก่ แสงและอุณหภูม ิ ซึง่ กลไกการตอบสนอง ในปั จ จุบันการปลูกถั่วฝักยาว
ของพืชอาจเกิดได้จากการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันของส่วน ซึล�า่ งต้เป็นเป็ น พื ช พั น ธุ ์ ไ ม้ เ ลื้ อ ย มี
นเถาเลื้อย และมีมือ
ต่าง ๆ หรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของแรงดันเต่ง (turgor จับ (tendril) ชาวสวนจึงนิยม
pressure) ตัวอย่างการการเคลื่อนไหวแบบนี้ เช่น การหุบและ น�าเสาหรือไม้มาปักลงดินแล้ว
การบานของดอกไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการ ใช้ลวดขึง เรียกการท�าแบบนีว้ า่
กระตุ้นของแสง เรียกว่า โฟโตนาสตี (photonasty) การท�าค้าง เพื่อให้ล�าต้นของ
ถัว่ ฝักยาวยึดเกาะ
การตอบสนองของพืช 177
T193
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูเกริ่นนําวา นอกจากพืชจะเคลื่อนที่สัมพันธ ดอกบัวส่วนมากจะหุบในเวลากลางคืนและบานในเวลากลางวัน ในขณะทีด่ อกกระบองเพชร
กับสิ่งเราแลว ยังมีการเคลื่อนไหวอีกแบบหนึ่ง ส่วนมากจะบานในเวลากลางคืนและหุบในเวลากลางวัน
ที่ไมสัมพันธกับสิ่งเราภายนอก
2. ใหนกั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกับการเคลือ่ นไหว
แบบแนสติก (nastic movement) จากหนังสือ
เรียน ชีววิทยา ม.5 เลม 1
3. ใหนักเรียนยกตัวอยางพืชที่มีการเคลื่อนไหว
แบบแนสติก (nastic movement)
การบานของดอกบัวในเวลากลางวัน การหุบของดอกบัวในเวลากลางคืน
ภาพที่ 4.28 การตอบสนองต่อแสงของดอกบัว
ที่มา : คลังภาพ อจท.
กลุ่มเซลล์
ด้านใน การบานของดอกไม้
เกิดจากกลุ่มเซลล์ที่อยู่ด้านในของกลีบ
ดอกมี ก ารเจริ ญ เติ บ โตเร็ ว กว่ า กลุ ่ ม
เซลล์ที่อยู่ด้านนอก เรียกว่า เอพินาสตี
(epinasty)
ภาพที่ 4.29 การเจริญของกลุม่ เซลล์ด า้ นในและด้านนอก
ที่มา : คลังภาพ อจท.
178 การหุบและการบานของดอกไม
T194
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
พืชบางชนิดสามารถตอบสนองต่อการสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว โดยการสัมผัสท�าให้แรงดันเต่ง 1. ครูเขียนคําถามบนกระดานแลวใหนักเรียน
ภายในเซลล์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่ถาวร เช่น ใบของต้นไมยราบที่เมื่อถูกสัมผัส ใบจะ ตอบคําถามลงในสมุดบันทึก ดังนี้
หุบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เมือ่ น�าโคนของก้1 านไมยราบมาศึกษาพบว่า ก้านใบมีลกั ษณะพองออก ï• ตนไมยราบมีการตอบสนองสิ่งเราอยางไร
เป็นกระเปาะ และมีกลุม่ เซลล์ทเี่ รียกว่า พัพัลไวนัส (pulvinus) ซึง่ เป็นเซลล์2พาเรงคิมาขนาดใหญ่และมีผนังบาง (แนวตอบ เมื่อสัมผัสจะทําใหแรงดันเตงภาย
มีความไวสูงต่อสิง่ เร้าทีม่ ากระตุน้ เมือ่ ถูกสัมผัสจะท�าให้แรงดันเต่งภายในเซลล์พลั ไวนัสลดลงอย่าง ในเซลลพัลไวนัสลดลงอยางรวดเร็ว เซลล
รวดเร็ว เซลล์จะสูญเสียน�า้ ให้แก่เซลล์ขา้ งเคียงท�าให้ใบหุบลงทันที หลังจากนัน้ เมือ่ เวลาผ่านไปสักครู ่ จึงสูญเสียนํ้า ทําใหใบไมยราบหุบ เมื่อเวลา
หนึง่ น�า้ จากเซลล์ขา้ งเคียงจะแพร่เข้าสูเ่ ซลล์พลั ไวนัส แรงดันเต่งภายในเพิม่ ขึน้ เซลล์เต่งขึน้ ท�าให้ ผานไปนํ้าจากเซลลขางเคียง ทําใหแรงดัน
ใบกางออกตามปกติ ซึ่งการตอบสนองในลักษณะนี้ไม่ใช่การตอบสนองที่เกิดจากการเจริญเติบโต เตงภายในเซลลพัลไวนัสเพิ่มขึ้น เซลลเตง
ของพืช แต่เป็นการตอบสนองเนื่องจากการสัมผัสที่เกี่ยวข้องกับแรงดันเต่งภายในเซลล์ สงผลใหใบไมยราบกางออก)
ใบย่อย ï• การหุบและบานของดอกบัวกับการหุบและ
แรงดันเต่งใน กางใบของตนไมยราบแตกตางกันอยางไร
สัมผัส เซลล์พาเรงคิมา
พัลไวนัส ลดลง (แนวตอบ ตางกันสิ่งเราที่มากระตุน โดย
การหุบและบานของดอกบัวมีแสงเปนสิง่ เรา
สวนการหุบและกางใบของตนไมยราบจะมี
เนื้อเยื่อท่อล�าเลียง แรงดันเต่งในเซลล์ การสัมผัสเปนสิ่งเรา)
พาเรงคิมามีมาก
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวา การเคลือ่ น
ภาพที่ 4.30 พัลไวนัสที่โคนก้านใบของไมยราบ ไหวแบบแนสติ ก จะมี แ สงและอุ ณ หภู มิ เ ป น
ที่มา : คลังภาพ อจท. ปจจัยภายนอกที่สําคัญ ซึ่งปจจัยนี้จะสงผล
นอกจากนี ้ พืชบางชนิดยังมีกลไกในการ ใหเกิดการหุบและบานของดอกไม เนื่องจาก
ปรับตัวและตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อ การเจริญของเซลลภายในและภายนอกบริเวณ
ประโยชน์ต่อการอยู่รอด เช่น พืชที่มีใบเป็น กลีบดอกแตกตางกัน
กระเปาะและมีสสี นั สวยงามล่อให้แมลงตกลงไป 3. ครูอธิบายตอไปวา นอกจากสิ่งเราภายนอก
พืชทีม่ ขี นตรงปลายใบและมีตอ่ มหลัง่ สารเมือก แลว พืชยังตอบสนองตอสิง่ เราภายใน ทําใหพชื
ล่อให้แมลงมาติด และพืชที่ใบลักษณะเป็นกรง มีการเคลื่อนไหว 2 แบบ คือ การเคลื่อนไหว
ภาพที่ 4.31 กาบหอยแครงเป็นพืชกินแมลงทีเ่ ปลีย่ นแปลง
รูปร่างของใบ เพื่อท�าหน้าที่จับแมลง เพื่ อ ดั ก จั บ แมลง ซึ่ ง พื ช เหล่ า นี้ จ ะมี ก าร แบบส า ยหรื อ นิ ว เทชั น มู ฟ เมนต และการ
ที่มา : คลังภาพ อจท. เปลี่ยนแปลงรูปร่างของใบเพื่อท�าหน้าที่จับ เคลื่อนไหวแบบบิด
แมลง โดยภายในใบจะมีกลุ่มเซลล์หรือขนเล็ก ๆ ที่ไวต่อสิ่งเร้าอยู่บริเวณด้านในของใบ เมื่อแมลง
บินมาสัมผัสเซลล์จะเกิดการสูญเสียน�้า ท�าให้ใบหุบทันที แล้วจึงปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยแมลง
ให้เป็นกรดอะมิโน จากนั้นจึงดูดซึมเข้าสู่เซลล์ของใบ
การตอบสนองของพืช 179
T195
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูยกตัวอยางการนําความรูเกี่ยวกับการตอบ 2.2 การเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน
สนองของพืชมาประยุกตใชในชีวิตประจําวัน การเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน หรือการเคลื่อนไหวแบบอัตโนวัติ
เชน มนุษยอาศัยการเคลือ่ นไหวแบบเปนเกลียว (autonomic movement) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ของพืชมาดัดแปลงใหพมุ ไมเลือ้ ยมีรปู รางตางๆ 1. การเคลื่อนไหวแบบส่ายหรือนิวเทชันมูฟเมนต์
โดยนําเหล็กมาดัดใหเปนรูปตางๆ Biology
(nutation หรือ nutation movement) เป็นการเคลื่อนไหว in real life
2. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ที่เกิดเฉพาะส่วนยอดของพืช เนื่องจากเนื้อเยื่อทั้งสองด้านของ ในปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้การ
ม.5 เลม 1 ยอดเจริญไม่เท่ากัน ท�าให้ยอดพืชโยกไปมาขณะที่ปลายยอด เคลื่อนไหวแบบเป็นเกลียวของ
3. ใหนักเรียนตอบคําถาม Topic Question ก�าลังเจริญเติบโต พืชมาสร้างเป็นซุม้ ไม้เลือ้ ย โดย
4. ใหนกั เรียนทํา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความ 2. การเคลือ่ นไหวแบบบิดเป็นเกลียว (spiral movement ใช้โครงเหล็กมาดัดให้เป็นรูป
เขาใจ หรือ circumnutation) เป็นการเคลื่อนไหวที่ปลายยอดค่อย ๆ ต่ า ง ๆ เช่ น ท� า เป็ น รู ป สั ต ว์
ซุ้มประตู แล้วน�าพืชไม้เลื้อย
5. ใหนกั เรียนทําแบบฝกหัดประจําหนวยการเรียนรู บิดเป็นเกลียวขึ้นไปเมื่อพืชเจริญเติบโตขึ้น เนื่องจากเซลล์ เช่น พลูด่าง มาใส่ให้เจริญไป
ที่ 4 บริเวณล�าต้นทั้งสองด้านเจริญเติบโตไม่เท่ากันเช่นเดียวกับการ ตามโครงเหล็กเพื่อใช้ประดับ
6. ให นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบหลั ง เรี ย นหน ว ย เคลื่อนไหวแบบส่าย ท�าให้ล�าต้นบิดเป็นเกลียวพันรอบแกนหรือ ตกแต่งสวนให้สวยงาม
การเรียนรูที่ 4 พันอ้อมหลักขึ้นไป เช่น การพันหลักของต้นมะลิวัลย์ ต้นพลู
ต้นลัดดาวัลย์
T196
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
Biology ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการตอบสนอง
in real life ไรองุน ของพืชตอสิง่ แวดลอม แลวใหนกั เรียนยกตัวอยาง
ปัจจุบนั ประเทศไทยมีไร่องุน่ อยูใ่ นหลายพืน้ ที ่ ส่วนมากจะอยูท่ างด้านตะวันออกของประเทศ 1 ตัวอยางเกี่ยวกับการนําความรูที่ไดจากการ
นอกจากไร่องุ่นจะเป็นสถานที่เพาะพันธุ์องุ่นแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยม
ชมความสวยงามของไร่ด้วย องุ่นเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยที่ตอบสนองต่อการสัมผัสของสิ่งเร้า ถ้าสังเกต ศึกษา เรื่อง การตอบสนองของพืช มาประยุกต
ไร่องุ่นจะเห็นว่า ชาวไร่จะน�าเสาคู่มาปักลงดินตามแนวยาวของแปลงแล้วใช้ลวดขึง วิธีนี้เรียกว่า ใชในชีวิตประจําวันลงในกระดาษ A4 พรอมนํา
การท�าค้าง เพื่อให้ใบยื่นที่เปลี่ยนแปลงเป็น เสนอหนาชั้นเรียน
มือเกาะ (tendril) มาพันเสาหลัก นอกจากนี้
ชาวไร่จ�าเป็นต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับการตอบ ขัน้ ประเมิน
สนองต่ อ สิ่ ง เร้ า ของพื ช มาควบคุ ม การเจริ ญ ตรวจสอบผล
เติบโตขององุ่น ดังนี้
ชาวไร่ จ ะคอยตั ด แต่ ง กิ่ ง องุ ่ น เสมอ 1. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรู
เนือ่ งจากในระหว่างทีต่ น้ องุน่ เจริญเติบโต ตาข้าง ที่ 4
จะเจริญไปพร้อมกับตายอด ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ 2. ตรวจแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.5
จะท�าให้ต้นองุ่นโทรม ผลผลิตน้อย เนื่องจาก ภาพที่ 4.34 ต้นองุ่นต้องได้รับการดูแลและตัดแต่งกิ่ง เลม 1
ตายอดเป็นแหล่งส�าคัญในการสร้างสารออกซิน ที่มา : คลังภาพ อจท. 3. ตรวจชิ้ น งาน เรื่ อ ง การตอบสนองของพื ช
ที่มีบทบาทในการลดการเจริญของตาข้าง ดังนั้น ชาวไร่จะคอยตัดตายอดเพื่อให้ตาข้างเจริญแล้ว
เลือกกิ่งก้านสาขาที่แข็งแรงและมีช่อดอกให้ยาวประมาณ 50 เซนติเมตรมาผูกกับเสาหลัก และ
มาประยุกตใชในชีวิตประจําวัน โดยใชแบบ
ตัดตายอดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นซุ้มยาว นอกจากนี้ชาวไร่จ�าเป็นต้องใช้สารเคมีหรือ ประเมินชิ้นงาน
ฮอร์โมนพืชบางชนิด คือ จิบเบอเรลลิน ฉีดไปทั่วทั้งบริเวณช่อดอกและล�าต้น เพื่อช่วยให้ช่อดอก 4. สังเกตการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม โดย
ยืดยาวขึ้นเนื่องจากจิบเบอเรลลินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการแบ่งเซลล์และขยายขนาดให้เซลล์ ใชแบบประเมินการปฏิบัติการ
ยาวขึ้น ท�าให้ช่อโปร่ง ผลองุ่นมีขนาดใหญ่ขึ้น สีสวย รสชาติหวาน กรอบ จึงจะขายได้ราคาดี 5. สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล โดยใช
แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยใชแบบ
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
7. สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค โดยใชแบบ
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค
ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน
4 3 2 1
1 การจัดรูปแบบรายงาน
2 ความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา
3 ภาพประกอบ/ตาราง
รวม
เกณฑ์การประเมิน
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
4 3 2 1
1. การจัดรูปแบบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รูปเล่มรายงานมีระเบียบ รู ปเล่ มรายงานมี
และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ และมี องค์ ประกอบ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ไ ม่
ครบถ้วน ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ ครบถ้วนเพียงบางส่วน ครบถ้วน
2. ความถูกต้องและ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้อหาในรายงานมีความ เนื้ อหาในรายงานไม่
คุณภาพ ของ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง ครบทุ กหั วข้ อ ถู กต้ อง และไม่ ครบ
เนื้อหา และมีภาษาที่สละสลวย เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางส่วน ตามที่กาหนด
เข้าใจง่าย
3. ภาพประกอบ/ ภาพมี ความสอดคล้ อง ภาพมี ความสอดคล้ อง ภ า พส อด ค ล้ องกั บ ภาพไม่ สอดคล้ องกั บ
ตาราง กับเนื้อหา มีภาพมีความ กับเนื้อหา ภาพไม่คมชัด เนื้ อหาบางส่ ว น ภาพ เนื้อหา ภาพไม่คมชัด
คมชัด สวยงาม ตารางที่ ตารางที่นาเสนอมีความ คมชัด ตารางที่นาเสนอ ตารางที่ น าเสนอไม่
นาเสนอมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T197
นํา สอน สรุป ประเมิน
การตอบสนองของพืชตอสารเคมี
เป็นสารอินทรีย์ที่ครอบคลุมทั้งฮอร์โมนพืชและสารสังเคราะห์ที่มีผลคล้ายฮอร์โมนพืช
ฮอร์โมนพืช เป็นสารอินทรีย์ที่พืชสร้างขึ้นจากกลุ่มเซลล์พิเศษ
• ออกซิน ท�าให้ล�าต้นและยอดอ่อนของต้นกล้ายืดยาว
• ไซโทไคนิน ท�างานร่วมกับฮอร์โมนออกซิน กระตุ้นการเจริญของยอด ราก ตาข้าง และผล
• จิบเบอเรลลิน ท�าให้ต้นพืชมีล�าต้นที่ยาวขึ้น ช่วยให้เมล็ดงอก
• เอทิลีน ชักน�าให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโต เร่งการสุกของผลไม้
• กรดแอบไซซิก กระตุน้ ให้ปากใบปดในสภาพแวดล้อมทีแ่ ห้งแล้ง ชักน�าและรักษาให้เมล็ดเข้าสูร่ ะยะพักตัว
การตอบสนองของพืชตอสิ่งแวดลอม
• ก ารเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเจริญเติบโต
ของพืช เช่น การตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของโลก การหุบและการบานของดอกไม้
• การเคลื่อนไหวของพืชที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน เช่น การพันหลักของต้นมะลิวัลย์
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามที่หัวข้อก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. กรดแนฟทาลีนแอซีติกมีโครงสร้างสารคล้ายกับฮอร์โมนไซโทไคนิน 1.1
2. ไซโทไคนินนิยมใช้ร่วมกับออกซินในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 2.2
ุด
ส ม
3. จิบเบอเรลลินช่วยขยายขนาดของเซลล์ 1.3
ใ น
ล ง
4. กรดแอบไซซิกมีผลต่อโซเดียมไอออนส่งผลต่อการเปด-ปดของปากใบพืช ท ึ ก
1.5
บ ั น
182
T198
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit
คําชี้แจง :
Question 4
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
1. ตองเปนสารอินทรียท ปี่ ระกอบไปดวยธาตุ C H
หรือ O โดยอาจเปนสารทีพ่ ชื สรางขึน้ หรือเปน
สารสังเคราะหทมี่ นุษยสรางขึน้ และตองเปนสาร
1. ปัจจัยใดบ้างที่บ่งบอกว่าสารนั้นเป็นสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ทีไ่ มเปนธาตุอาหารของพืช แตเปนสารทีม่ ผี ลตอ
2. เพราะเหตุใดบริเวณยอดของพืชจึงมีกิ่งก้านน้อยกว่าบริเวณล�าต้นด้านล่าง การเปลีย่ นแปลงทางสรีรวิทยาของพืช เชน การ
สังเคราะหดว ยแสง การหายใจ การเจริญเติบโต
3. นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียมสามารถจ�าแนกยีนกลายพันธุ์ที่ท�าให้ต้น Arabidopsis thaliana
สร้างฮอร์โมนออกซินมาก นักเรียนคิดว่า พืชต้นนี้จะมีลักษณะอย่างไร ของพืช
4. ปริมาณความเข้มข้นของออกซินมีผลต่อการเจริญของเนื้อเยื่อแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร 2. เพราะบริเวณตายอดมีการสรางฮอรโมนออกซิน
ปริมาณมาก ทําหนาทีย่ บั ยัง้ การแตกกิง่ กานและ
5. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อควรใช้ฮอร์โมนชนิดใดบ้าง เพราะเหตุใด
การเจริญของตาขาง
6. เอทิลีนมีผลต่อกระบวนการทางสรีรวิทยาและการเจริญเติบโตของพืชอย่างไร และสามารถน�ามา
ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างไร 3. พืชชนิดนีจ้ ะสูงขึน้ แตจะไมมกี ารเจริญเติบโตของ
ราก เนือ่ งจากออกซินทีม่ ปี ริมาณมากเกินไปจะ
7. จากรูป จงเปรียบเทียบอัตราการแบ่งเซลล์และปริมาณออกซินในต�าแหน่ง a, b, c, และ d
กระตุน ใหเนือ้ เยือ่ ยืดตัวและขยายขนาดใหญขนึ้
แสง แตยบั ยัง้ การเจริญเติบโตของราก
a b 4. แตกตางกัน โดยลําตน ตา และรากตองการ
ผิวดิน ความเขมขนออกซินทีเ่ หมาะสม คือ 10-4-10-5,
c d
ภาพที่ 4.36 ปริมาณออกซินต่อการแบ่งเซลล์ของพืช 10-8-10-9และ 10-10-10-11ตามลําดับ
ที่มา : คลังภาพ อจท. 5. ฮอร โ มนออกซิ น และไซโทไคนิ น ในสั ด ส ว นที่
8. การทดลองผลของฮอร์โมนจิบเบอเรลลินและกรดแอบไซซิก ได้ผลดังตาราง เหมาะสม เนือ่ งจากไซโทไคนินจะกระตุน การเกิด
ตารางที่ 4.1 : ผลการทดลองการงอกของเมล็ดที่เคลือบดวยฮอรโมนจิบเบอเรลลินและ ยอดและออกซินกระตุน การเกิดรากพืช
กรดแอบไซซิก
6. เอทิลนี ชวยเรงการสุกของผลไม กระตุน การหลุด
เมล็ดพืช ชุดควบคุม เคลือบด้วย GA เครือบด้วย ABA
รวงของใบ และการผลัดใบตามฤดูกาล โดย
ก่อนทดลอง เอทิ ลี น สามารถนํ า มาประยุ ก ต ใ ช ป ระโยชน
ทางการเกษตร เชน ใชในการบมผลไม กระตุน
หลังทดลอง
การออกดอกของสับปะรด กระตุน การเกิดดอก
เพศเมียในพืชตระกูลแตง เรงการไหลของนํา้ ยาง
และเพิ่มปริมาณนํ้ายางของมะละกอ เพื่อผลิต
1) ตัวแปรอิสระในการทดลองนี้คืออะไร ปาเปน
2) จงอธิบายผลของฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดที่ใช้ในการทดลอง 7. อัตราการแบงเซลลมากที่สุด คือ ตําแหนง d
9. สารชนิดหนึง่ เมือ่ ใส่ให้ไม้ประดับจะท�าให้ตน้ ไม้เตีย้ แคระแกร็น นักเรียนคิดว่า สารชนิดนีน้ า่ จะยับยัง้ รองลงมา c b และ a ตามลําดับ สวนบริเวณที่
การสร้างฮอร์โมนพืชชนิดใด มีปริมาณออกซินมากทีส่ ดุ คือ ตําแหนง d รอง
การตอบสนองของพืช 183 ลงมา คือ c b และ a ตามลําดับ
8. 1) การเคลือบเมล็ดดวยฮอรโมน
2) เมล็ดทีเ่ คลือบดวยจิบเบอเรลลิน (GA) จะงอกเร็วกวาเมล็ดทีเ่ ปนชุดควบคุม สวนเมล็ดทีเ่ คลือบดวยกรดแอบไซซิก (ABA) เมล็ดจะไมงอก ดังนัน้ ฮอรโมน
จิบเบอเรลลินมีผลกระตุน การงอกเมล็ด แตกรดแอบไซซิกมีผลยับยัง้ การงอกของเมล็ด
9. จิบเบอเรลลิน ถาพืชขาดฮอรโมนชนิดนีจ้ ะทําใหพชื มีลกั ษณะเตีย้ และแคระแกร็น
T199
นํา สอน สรุป ประเมิน
184
T200
นํา สอน สรุป ประเมิน
แนวทางการจัดทํากิจกรรม
Fun Science Activity
Fun Sc ence ครูแนะนําหรือเสนอแนะหลักการที่ใชในการ
Activity ปฏิบตั กิ จิ กรรม ตนไมกระดาษดูดนํา้ เพือ่ ใหนกั เรียน
มีแนวทางการเลือกใชอุปกรณ แนวทางการปฏิบัติ
ตนไมกระดาษดูดนํา้ กิจกรรมไดอยางถูกตอง และเขาใจหลักการทาง
วิทยาศาสตรที่นําประยุกตใชในกิจกรรมนี้มากขึ้น
วัสดุและอุปกรณ
ดังนี้
1. น�้าร้อน 6. กระดาษ A4 • ครูอาจเสนอแนวทางการเลือกใชกระดาษที่มี
2. กรรไกร 7. กระดาษทิชชู ความหนามาก เชน กระดาษ 100 ปอนด แทน
3. แก้วน�้าใส 8. ผงกาแฟหรือผงโกโก้
4. สกอตเทป 9. ช้อนคน
กระดาษ A4 เนือ่ งจากกระดาษ 100 ปอนด
5. อุปกรณ์เครื่องเขียน ทัว่ ไปมีความหนาประมาณ 200 แกรม จะทําให
เช่น ดินสอ ยางลบ เห็นผลการทดลองไดชัดเจนกวาและรวดเร็ว
ต้นไม้กระดาษดูดน�้า
ที่มา : คลังภาพ อจท. เป็นต้น กวา เนื่องจากกระดาษที่มีความหนามากขึ้น
จะยิง่ ดูดซับนํา้ ไดดยี งิ่ ขึน้
วิธีปฏิบัติ • ครูอาจถามคําถามเพื่อกระตุนความคิดของ
1. เทน�้าร้อนลงในแก้วน�้า แล้วเติมผงกาแฟหรือผงโกโก้ลงไป ทิ้งไว้ นักเรียนวา เพราะเหตุใดการทดลองนีจ้ งึ ตอง
ระยะหนึ่งแล้วใช้ช้อนคนให้เข้ากัน นํ า กระดาษทิ ช ชู ม าติ ด กั บ กระดาษก อ นนํ า
2. นา� กระดาษ A4 มาตัดให้มคี วามยาว 14 เซนติเมตร วัดขอบกระดาษ
ทัง้ 2 ด้านให้มคี วามยาว 2 เซนติเมตร แล้วใช้ดนิ สอลากเส้นก�ากับ ไปจุม สารละลาย จากนัน้ ครูและนักเรียนรวม
ติดกระดาษทิชชูกับกระดาษที่มี
3. น�ากระดาษทิชชูมาวางทาบและติดกับกระดาษข้อ 2. ความยาว 14 ซม. กันอภิปรายเพือ่ ใหไดขอ สรุปวา กระดาษทิชชู
4. ม ้วนกระดาษในข้อ 2. แล้วใช้สกอตเทปติดให้เป็นทรงกระบอกยาว ทีม่ า : คลังภาพ อจท. เปรียบเสมือนทอลําเลียงไซเล็มที่ลําเลียงนํ้า
จากนั้นใช้กรรไกรตัดปลายทั้งสองด้านที่มีความยาว 4 เซนติเมตร และธาตุอาหารในดินเขาสูร ากดวยกระบวนการ
ให้มีลักษณะเป็นซี่ ๆ เพื่อให้ด้านหนึ่งแทนราก และอีกด้านแทนใบ
ของต้นไม้ แพร แตในความเปนจริงตนไมจะอาศัยเพียง
5. ยัดกระดาษทิชชูหรือส�าลี ให้แน่นลงในกระดาษทรงกระบอกในข้อ 4. กระบวนการแพรไมได เนือ่ งจากตนไมบางสาย
6. น�าต้นไม้กระดาษไปจุ่มลงในน�้าที่เตรียมไว้จากข้อ 1. แล้วสังเกต พันธุม ลี าํ ตนสูงจําเปนตองอาศัยแรงดึงจากการ
ทิศทางการล�าเลียงน�้าและธาตุอาหาร
ตัดปลายทรงกระบอกเป็นซี่ ๆ คายนํา้ แรงดันราก แรงแอดฮีชนั และแรงโคฮี-
ที่มา : คลังภาพ อจท. ชันเพือ่ ลําเลียงนํา้ ไมใหขาดสายจากรากไปยัง
หลักการทางวิทยาศาสตร
สวนตางๆ ของพืชได
ต้นไม้มรี ากเป็นอวัยวะทีท่ า� หน้าทีด่ ดู น�า้ และธาตุอาหารจากดินไปยังส่วนต่าง ๆ โดยน�า้ ท�าหน้าทีเ่ ป็นตัวละลาย
ธาตุอาหารให้อยูใ่ นรูปของสารละลายแล้วแพร่เข้าสูร่ าก ซึง่ ภายในรากและล�าต้นจะมีเนือ้ เยือ่ ล�าเลียงไซเล็ม ซึง่
มีหน้าที่ล�าเลียงน�้าและธาตุอาหาร
185
T201
บรรณานุ ก รม
กระทรวงศึกษาธิการ. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2551. ชีววิทยา เล่ม 3. กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2554. การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (ม.ป.ป.) คู่มือการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส�ำหรับหลักสูตร
อนาคต ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
Berg, L. 2007. Introductory Botany. Australia: Thomson Brooks/Cole.
Boone, K. 2007. Biology Expression. Singapore: EPB Pan Pacific.
Cambell, N.A., Reece, J.B, Urry, L.A., Cain, M.L., Wasserman, S.A., Minorsky, P.V., and Jackson, R.B. (2015).
Biology: A Global Approach. 10th edition. Boston: Pearson Education.
Fong, J., Kwan, P.L., Lam, E., Lee, C.and Lim, P.L. 2016. Science Matters Volume B. 5th edition. Malaysia: Marshall
Cavendish Education Pte Ltd.
Heyworth, R. M. 2013. All About Science Volume B. Singapore: Pearson Education South Asia Pte Ltd.
Leng, P.H. 2010. Inscience Express/Normal (Academic) Volume 1. 3nd edition. Singapore: Star Publishing Pte Ltd.
Tay, B. 2007. Biology insights. Singapore: Pearson Education.
T202