Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 7 คลื่นเสียง
บทที่ 7 คลื่นเสียง
คลื่นเสียง
ความเข้มของคลื่นเสียงในตัวกลาง
การแทรกสอดของคลื่นเสียง
บีตส์
การได้ยนิ
ปรากฎการณ์โดปป์ เลอร์
ซอนิกบูม
1
คลื่ นเสียง
➢ คลื่นเสียงเป็ นคลื่นกลชนิดคลื่นตามยาวซึ่งสามารถเคลื่อน
ผ่านตัวกลางที่เป็ นทั้งของแข็ง ของเหลวและแก๊ส
➢ บริเวณที่มีความหนาแน่นและความดันสูงกว่าตาแหน่งสมดุลคือ
ส่วนอัดและบริเวณที่มีความหนาแน่นและความดันต ่ากว่า
ตาแหน่งสมดุลคือ ส่วนขยาย
2
การกระจัดของคลื่ นเสียง
เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่ในแนวแกน x การกระจัด
ของอนุภาคที่ตาแหน่ง x และ เวลา t คือ
( x, t ) = A cos(kx - t )
A คือ แอมพลิจูด
k คือ เลขคลื่น
คือ ความถี่เชิงมุม
3
ความดันในของไหลเมื่อคลื่ นเสียงเคลื่ อนที่ผา่ น
➢ เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่านของไหล ความดันของของไหลจะเปลี่ยน
➢ ถ้า p(x,t) คือความดันของของไหล ณ ตาแหน่ง x และเวลา t และ
Peg คือความดันของของไหลในภาวะสมดุล ความดันที่เปลี่ยนไปคือ
p ( x, t ) = p( x, t ) - peq
4
อัตราเร็วของเสียงในแก๊สอุดมคติ
➢ ในแก๊สอุดมคติอตั ราเร็วของเสียงมีค่า V=
B
เมื่อ คือความ
หนาแน่นของแก๊ส
B RT RT
= ดังนัน้ V=
M M
Y
➢ อัตราเร็วของเสียงในของแข็งมีค่า V =
คือ ความหนาแน่นของของแข็ง
6
ตัวอย่าง 8ก ในสมัยก่อนอินเดียนแดงสามารถรูไ้ ด้ว่ารถไฟกาลังวิ่งมา
โดยการแนบหูกบั รางรถไฟจะได้ยนิ คลื่นเสียงเคลื่อนที่มา
กับรางรถไฟ ถ้ารางรถไฟเป็ นเหล็กซึ่งมีค่ามอดูลสั ของยัง
(Young’s Modulus) เท่ากับ 2.7 x 1010 นิวตัน/ตารางเมตร
และความหนาแน่นเป็ น 3 x 103 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
จงหาความเร็วของคลื่นเสียงดังกล่าวเป็ นเมตร/วินาที
วิธีทา ∵ ความเร็วของคลื่นเสียงที่เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่เป็ นของแข็ง คือ
y
v= ในที่น้ ี y = 2.7 x 1010 N/m2 , = 3 x 103 kg/m3
2.7 x 1010 N / m2
แทนค่าจะได้ v = = 9 x106 m / s
3 x 103 kg / m3
v = 3x103 m / s
7
ตัวอย่าง 8ข ถ้าประมาณให้ค่าคงตัว = Cp/Cv 1.7 มีค่าเท่ากันสาหรับ
แก๊สทุกชนิด และ R = 8.31 J•mol-1K-1 มวลโมเลกุลของแก๊ส
ฮีเลียมและไนโตรเจนเป็ น 4 และ 28 g•mol-1 จงหาว่าที่
อุณหภูมิหอ้ ง (30°C) ความเร็วของเสียงในฮีเลียมจะ
มากกว่าความเร็วของเสียงในไนโตรเจนกี่เท่า
RT ในที่น้ ี = 1.7, R = 8.31 J•mol-1K-1 , T = 30°C
วิธีทา v=
จาก
M , MHe = 4 g•mol-1 , M N = 28 g mol -1
2
(1.7)(8.31)(273 + 30)
แทนค่าจะได้ vHe = −3
→ (1)
4 x10
(1.7)(8.31)(273 + 30)
vN 2 = −3
→ (2)
28 x10
➢ ความเข้มของคลื่นเสียงจะหาค่าได้จากอัตราการทางานของคลื่นต่อ
ตัวกลางซึ่งมีค่าเท่ากับกาลังของคลื่นเสียงต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ หรือ
P 1 1
I= =F = P ( S ) = P = −B
S t S t S t x t
= −kA sin ( kx − t ) , = A sin ( kx − t )
x t
I = B kA2 sin 2 ( kx − t )
9
ความเข้มเฉลี่ยของคลื่ นเสียงในตัวกลาง
➢ คือค่าเฉลี่ยของความเข้มของคลื่ นเสียงในการสั่น 1 รอบ ซึ่ งมีค่า
1 2
I ave = B kA
2
p = − B = BkA sin( kx − t ) p = BkA
x max
2
( pmax )
I ave =
2 Bk
2
➢ จากความสัมพันธ์ / k = v B = v
และ
I ave =
(p max )
2
2v 10
ตัวอย่าง 8ค จงหาความเข้มเฉลี่ยเป็ นวัตต์ตอ่ ตารางเมตรของคลื่นเสียง
ในแก๊สไฮโดรเจน ซึ่งมีแอมพลิจูดความดันเท่ากับ 0.9
นิวตัน/ตารางเมตร ถ้าความหนาแน่นของแก๊สไฮโดรเจน
เท่ากับ 9x10-2 กิโลกรัม/ลูกบาศก์ เมตร และความเร็วของ
คลื่นเสียงในแก๊สไฮโดรเจนเท่ากับ 1000 เมตร/วินาที
(pmax )2
วิธีทา =
I ave
2v
จาก
ในที่น้ ี pmax = 0.9 N/m2 , v = 1000 m/s , = 9 x 10-2 kg/m3
I ave =
( 0.9 N / m )
2 2
0.081
= = 4.5 x10−3 W / m 2
180
11
ความเข้มเฉลี่ยที่ระยะ r
➢ ถ้า Pave เป็ นกาลังเฉลี่ยของคลื่ นเสียง จะได้ความเข้มเฉลี่ยที่ระยะ r มีค่า
Pave
I ave =
4 r 2
ความเข้มเฉลี่ยเปรียบเทียบ
➢ ถ้า r1 และ r2 เป็ นตาแหน่งที่ห่างจากแหล่งกาเนินคลื่น 2 ตาแหน่ง จะหา
ความเข้มเฉลี่ยเปรียบเทียบได้จาก
Pave Pave
1ave = , I 2 ave =
4 r1
2 4 r22
12
การแทรกสอดของคลื่ นเสียง
➢ เมื่อคลื่ นเสียงจากแหล่งกาเนิด 2 แหล่งพบกันที่จุด ๆ หนึ่ ง การกระจัด
รวมของคลื่ นเสียงทัง้ 2 จะเป็ นไปตามหลักการซ้อนทับกันของคลื่ น
(Principle of Superposition of Waves)
➢ ถ้าคลื่นเสียงเป็ นคลื่นฮาร์มอนิกที่มีความถี่เท่ากัน คลื่นรวมที่ตาแหน่ง
ใด ๆ จะขึ้นอยูก่ บั ความต่างเพส
➢ ถ้าคลื่ นทัง้ 2 มีเฟสเท่ากันจะเกิดการแทรกสอดแบบเสริมกัน ซึ่ งจะ
ได้คลื่ นรวมมีแอมพลิจูดสูงสุด
➢ ถ้าคลื่นทั้ง 2 มีเฟสตรงกันข้ามจะเกิดการแทรกสอดแบบหักล้างกัน
ซึ่งจะได้คลื่นรวมมีแอมพลิจูดเป็ นศูนย์
➢ หลักของการแทรกสอดจะมีประโยชน์ในการออกแบบห้องบันทึ กเสียง
และการสร้างลาโพง
13
บีตส์ (beats)
y1 = A sin 2 f1t
y2 = A sin 2 f 2 t
14
สมการของคลื่ นรวม: y = y1 + y2
=A sin 2 f1t + A sin 2 f 2t
f1 + f2 f1 - f2
=A 2 sin 2 t.cos 2 t
2 2
f1 - f2 f1 + f2
= 2 A cos 2 t . sin 2 t
2 2
f1 + f2
y = B sin 2 t
2
แอมพลิจูดของคลื่ นรวม : f1 − f2
B = 2 A cos 2 t
2
ความถี่เฉลี่ย : f1 + f 2
2
15
กราฟของการเกิดบีตส์
กราฟของ y1 :
กราฟของ y2 :
กราฟของ (y1+y2) :
กราฟของบีตส์ :
16
การหาค่าบีตส์
➢ เนื่องจากบีตส์ คือ จานวนของค่าแอมพลิจูด (B) ที่สูงสุด หรือ
ต ่าสุด เราอาจหาค่าบีตส์ได้ดงั นี้
➢ เนื่องจากบีตส์เกิดขึ้นเมื่อ B มีค่าสูงสุดหรือต ่าสุด ดังนั้นจะได้
f1 − f 2
cos 2 t = 1
2
f1 − f2
หรือ cos 2 t = cos n , n = 0, 1, 2, 3,
2
f −f n
ดังนั้น 2 1 2 t = n t =
2 f1 − f 2
17
1 2
ถ้าให้ n = 1 หรือ n = 2 จะได้ t1 = , t2 =
f1 − f 2 f1 − f 2
2 1 1
ดังนั้น t t2 − t1 = − =
( f1 − f 2 ) ( f1 − f 2 ) ( f1 − f 2 )
1
จานวนของค่าสูงสุดใน 1 วินาทีคือ = f1 − f 2
t
ทานองเดียวกัน :
1
จานวนของค่าตา่ สุดใน 1 วินาทีคือ = f1 − f 2
t
∵ความถี่ของอันที่สองจะน้อยลง จึงทาให้ f1 − f 2
มากขึ้น
342 − f 2 = 4
f 2 = 342 − 4
= 338 Hz
19
การได้ยิน
➢ มนุษย์ได้ยนิ เสียงเมื่อมีคลื่นเสียงเคลื่อนที่มาถึงหู โดยหูจะเปลี่ยนคลื่น
เสียงเป็ นคลื่นที่ประสาทหูรบั รูไ้ ด้แล้วส่งต่อไปยังสมองเพื่อการตีความ
➢ ความดังของเสียงจะเกี่ยวพันกับความเข้มของเสียง
➢ คุณภาพของเสียงขึ้นอยูก่ บั รูปแบบ (waveform) ของเสียง
20
อวัยวะในการรับรูเ้ สียง
Cochle
a
Outer
ear Eardru
m
100 10-2
90 10-3
70
10-4
10-5
10-7
40 10-8
30 10-9
Whisper
20 10-10
10 10-11
Threshold of hearing
0 10-12
➢ สมการของระดับความเข้มกับ คือ
I
= 10 log10
Io
เมื่อ I คือ ความเข้มของเสียง
Io = 10-12 W/m2 คือความเข้มของเสียง เมื่อ = 0
➢ หน่วยของระดับความเข้มของเสี ยง คือ เดซิ เบล (decibel) แทนด้วย dB
Io 10−12
= 10 ( log1.1 + log107 )
= 10 ( 0.04 + 7 log10 )
= 10 ( 0.04 + 7 x 1)
= 10 ( 7.04 )
= 70.4 dB
25
ปรากฏการณ์โดปป์ เลอร์ (Doppler effect)
26
สูตรการคานวณ
1. กรณีผสู ้ งั เกตเคลื่อนที่เข้าหาแหล่งกาเนิดที่อยูน่ ิ่ง
( v=f)
vo vo f
f= f + = f + ,
v
v + vo
f= f
v 27
2. กรณีผสู ้ งั เกตเคลื่อนออกจากแหล่งกาเนิดเสียง
v − vo
จะได้ความถี่ปรากฏ f= f
v
v vo
สูตรการคานวณในกรณีท่ี ผูส้ งั เกตเคลื่ อนที่ : f= f
v
เครื่องหมาย ( + ) แสดงถึง O เคลื่อนที่เข้าหาแหล่งกาเนิดคลื่น S
เครื่องหมาย ( - ) แสดงถึง O เคลื่อนที่ ออกจากแหล่งกาเนิดคลื่น S
28
3. กรณีแหล่งกาเนิดเคลื่อนออกจากผูส้ งั เกต
vf
ความถี่ปรากฏ : f=
v + vs
4. กรณีแหล่งกาเนิดเคลื่อนเข้าหาผูส้ งั เกต
vf
ความถี่ปรากฏ : f=
v − vs
vf
สูตรการคานวณในกรณีท่ีแหล่งกาเนิดเคลื่ อนที่ f=
v vs
เครื่องหมาย ( - ) แสดงถึง S เคลื่อนที่เข้าหา O
เครื่องหมาย ( + ) แสดงถึง S เคลื่อนที่ออกห่าง O
29
ตัวอย่าง 8ฉ รถพยาบาลคันหนึ่งกาลังเปิ ดไซเรนด้วยเสียงที่มีความถี่
1200 เฮิรตซ์ ถ้านักศึกษาคนหนึ่งขี่รถจักรยานยนต์ผ่าน
รถพยาบาลดังกล่าวด้วยความเร็ว 34 เมตร/วินาที เขาจะได้ยนิ
เสียงไซเรนด้วยความถี่ลดลงกี่เปอร์เซ็นต์ กาหนดให้ความเร็ว
ของคลื่นเสียงในอากาศเท่ากับ 340 เมตร/วินาที
v + vo
วิธีทา เมื่อเคลื่อนเข้าหา : f เข้า = f → (1) ,
v
= f
v − vo
เมื่อเคลื่อนออกห่าง : fออก → (2)
v
v + vo v + vo 2 fvo
(1)-(2) : fเข้า − fออก = f v − f v = v
fเข้า − fออก
2vo 2(34 m / s )
= = = 0.2
f v 340 m / s
ความถี่ลดลง = 20 % 30
Doppler Effect of Light
➢ คือปรากฏการณ์ที่ความถี่หรือความยาวคลื่นของแสงที่เปล่งออกมา
จากดวงดาวเปลี่ยนไปเมื่อวัดบนพื้นโลก
➢ ถ้าดวงดาวเคลื่ อนเข้าหาโลก ความยาวคลื่ นของเส้นสเปกตรัม
จะลดลงหรือเกิด Violet Shift
➢ ถ้าดวงดาวเคลื่อนออกจากโลก ความยาวคลื่นของเส้นสเปกตรัม
34
3. กีตาร์ตวั หนึ่งตั้งสายตึงเกินไปทาให้เสียงเพี้ยนเมื่อเล่นโน้ตตัว D
เทียบกับเสียงมาตรฐานที่มีความถี่ 294 Hz พบว่าเกิดบีตส์ 4 ครั้ง/
วินาที ถ้ากาหนดให้ความยาวของสายกีตาร์ = 1.5 เมตร และมีมวล
ต่อความยาว 0.1 g/m จงหาความถี่และแรงตึงของสายกีตาร์ที่เกิด
เสียงเพี้ยน
4. ถ้านักศึกษาคนหนึ่งกาลังทดสอบระบบเสียงจากลาโพงโดย
ตอนแรกยืนห่างจากลาโพง 1 เมตร และเมื่อถอยห่างออกไปเป็ น
ระยะ r เมตร จากลาโพง เขาได้ยนิ เสียงจากลาโพงด้วยระดับความ
เข้มลดลง 40 เดซิเบล จงหาค่าของ r
5. ถ้าต้องการให้ความเร็วของเสียงเพิ่มขึ้น 10 % จากค่าความเร็วเสียง
ที่ 0๐C จะต้องเพิ่มอุณหภูมิเป็ นกี่องศาเซลเซียส
35
6. ระดับความเข้มเสียงของการจราจรเท่ากับ 80 dB ชายสองคนสนทนา
กันด้วยระดับความเข้มเสียง 70 dB ความเข้มเสียงรวมเป็ นเท่าใดใน
หน่วย W/m2
36