Professional Documents
Culture Documents
สรุปย่อวิฃาประสบการณ์วิชาชีพบริหารรัฐกิ33
สรุปย่อวิฃาประสบการณ์วิชาชีพบริหารรัฐกิ33
บทที่ 1
การเมืองและการการบริหาร
-------------------------------------------------------
บทที่ 2
การบริหารรัฐกิจกับกฎหมายปกครอง
หลักการสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน
1. การปกครองระบอบประชาธิปไตยมี 2 หลักการ คือ
1.1 หลักประชาธิปไตยมี3 หลัก คือ
1.1.1 หลักอำนาจสู งสุ ดเป็ นของประชาชน เนื่องจากรัฐประกอบไปด้วย ดินแดน
ประชาชน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย
1.1.2 หลักสิ ทธิ เสรี ภาพ และหลักความเสมอภาคประชาชน
1.1.3 หลักการปกครองโดยเสี ยงข้างมากแต่คุม้ ครองเสี ยงข้างน้อย
1.2 หลักนิติรัฐ คือ เป็ นหลักที่ยดึ กฎหมายเป็ นใหญ่ ผูป้ กครองที่แท้จริ ง คือ กฎหมาย ไม่ใช่
มนุษย์ ทุกองค์กรของรัฐต้องอยูภ่ ายใต้กฎหมายโดยไม่มีขอ้ ยกเว้นมี ดังนี้ คือ
1.2.1 หลักการแบ่ งแยกอำนาจ คือ อำนาจนิติบญั ญัติใช้อำนาจโดยรัฐสภา อำนาจ
บริ หารใช้อำนาจโดยรัฐบาล และอำนาจตุลาการใช้อำนาจโดยศาล อำนาจที่แบ่งแยกออกเป็ น 3 ด้าน
ต้องตรวจสอบถ่วงดุล การใช้อำนาจซึ่ งกันและกันเพื่อป้ องกันเผด็จการ
1.2.2 หลักความเป็ นกฎหมายสู งสุ ดของรัฐธรรมนูญ คือ การปกครองระบอบ
ประชาธิ ปไตยยึดหลักนิติรัฐที่ยดึ กฎหมายเป็ นใหญ่มิใช่คน
1.2.3. หลักการประกันสิ ทธิ เสรีภาพของประชาชน คือ ในประเทศที่ปกครองด้วย
ระบอบประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนเมื่อเกิดมาในประเทศย่อมมีสิทธิ และเสรี ภาพอย่างเต็มที่ตราบที่ไม่มี
กฎหมายมาจำกัด
1.2.4. หลักไม่มีกฎหมาย ไม่ มีอำนาจ คือ เป็ นหลักของนิติรัฐที่มุ่งปกป้ องคุม้ ครอง
สิ ทธิ เสรี ภาพของประชาชน การที่รัฐจะปฏิบตั ิจนกระทบต่อเสรี ภาพของประชาชนนั้นได้ ก็ต่อเมื่อมี
กฎหมายบัญญัติให้รัฐกระทำเช่นนั้นได้
1.2.5. หลักความเป็ นอิสระของผู้พพิ ากษา คือ มาจากความต้องการให้อำนาจ
ตุลาการมีความเป็ นกลาง เที่ยงธรรม ปราศจากอคติโดยแท้
แนวคิดในการบริหารจัดการภาครัฐ
1. .อำนาจบริหารในฐานะรัฐบาลเป็ นผู้ใช้ อำนาจ เรี ยกว่า อำนาจบริ หาร ระดับรัฐบาล เป็ นอำนาจใน
การกำหนดนโยบาย หรื ออำนาจทางการเมือง
5
4. หลักการทั่วไปในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่ นดินของไทย
4.1 การบริหาราชการส่ วนกลาง ได้แก่ การบริ หารที่ยดึ หลักการรวมอำนาจ เช่น กระทรวง
ทบวง กรม และหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และองค์การอิสระ
4.2 การบริหารราชการส่ วนภูมิภาค ได้แก่ การบริ หารที่ยดึ หลักการแบ่งอำนาจการปกครอง
ไปไว้ที่ภูมิภาค
4.3 การบริหารราชการส่ วนท้ องถิน่ คือ การบริ หารราชการที่ยดึ หลักการกระจายอำนาจ
ของรัฐในการปกครองบางส่ วนไปให้หน่วยงานการปกครองอื่น ที่ไม่ใช่ราชการบริ หารส่ วนกลางเป็ นผูจ้ ดั
ทำบริ การสาธารณะบางอย่าง
ปัจจุบนั องค์กรปกครองส่ วนท้ องถิ่น (ข้ อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2557) รวมทั้งสิ้น 7,853 แห่ งมี 5
ประเภท ได้ แก่
1. องค์การบริ หารส่ วนจังหวัด จำนวน 76 แห่ง
2. เทศบาล จำนวน 2,440 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาลนคร 30 แห่ง เทศบาลเมือง 176
แห่ง และเทศบาลตำบล 2,234 แห่ง
3. องค์การบริ หารส่ วนตำบล จำนวน 5,335 แห่ง
4. องค์กรปกครองท้องถิ่นรู ปแบบพิเศษ 2 แห่ง ได้ กรุ งเทพมหานคร และเมืองพัทยา
ความสัมพันธ์ ระหว่างกฎหมายปกครองกับการบริหารราชการแผ่ นดิน
1. การกระทำของรัฐ มีลกั ษณะสำคัญ 3 ประการ คือ
1. ต้องเป็ นการกระทำโดยบุคคลผูไ้ ด้รับการแต่งตั้งโดยชอบกฎหมายให้ทำหน้าที่แทนรัฐ ถ้ามิใช่
เป็ นผูไ้ ด้รับการแต่งตั้งโดยชอบ การกระทำโดยบุคคลนั้นมิใช่การกระทำของรัฐ
2. บุคคลผูไ้ ด้รับการแต่งตั้งต้องกระทำในฐานะเป็ นองค์กรของรัฐมิใช่กระทำในฐานะส่ วนตัว
3. การกระทำต้องเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมและปกป้ องสิ ทธิ ส่วนบุคคล
เครื่องมือในรู ปของอำนาจทางปกครองและเครื่องมือในรู ปของสั ญญาทางปกครอง คือ
1. เครื่องมือในรู ปของอำนาจทางปกครอง ได้แก่ เครื่ องมือในการจัดทำกิจการของรัฐและบริ การ
สาธารณะ คือ การออกกฎ คำสัง่ และการกระทำ
2. เครื่องมือในรู ปของสัญญาทางปกครอง หมายถึง สัญญาที่คู่สญ ั ญาอย่างน้อยฝ่ ายหนึ่งเป็ นหน่วย
งานทางปกครองหรื อบุคคลซึ่ งเป็ นเอกชนที่ได้รับมอบหมายให้กระทำแทนรัฐ ตกลงเข้าทำสัญญากับฝ่ าย
6
4. เงือ่ นไขที่จะทำให้ คำสั่งทางปกครองไม่ ชอบด้ วยกฎหมาย มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) ของ พรบ.จัด
ตั้งศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 กำหนดไว้ 8 ประการ
1. เป็ นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ
2. เป็ นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่
3. เป็ นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
4. เป็ นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรู ปแบบขั้นตอน หรื อวิธีการอันเป็ นสาระสำคัญที่กำหนด
ไว้สำหรับการกระทำนั้น
5. เป็ นการกระทำโดยไม่สุจริ ต
6. เป็ นการกระทำที่มีลกั ษณะเป็ นการเลือกปฏิบตั ิที่ไม่เป็ นธรรม
7. เป็ นการกระทำที่มีลกั ษณะเป็ นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็ น หรื อสร้างภาระให้เกิดกับ
ประชาชนเกินสมควร
8. เป็ นการกระทำที่เป็ นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
สิ ทธิชองประชาชนที่ได้รับจากกฎหมายว่าด้ วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
1. สิ ทธิได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ซ่ ึ งมีความเป็ นกลาง
2. สิ ทธิในการมีที่ปรึ กษาหรื อผูทำ
้ การแทน
3. สิ ทธิที่จะได้รับคำแนะนำและแจ้งสิ ทธิ หน้าที่ต่างๆ ในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่
4. สิ ทธิได้รับการพิจารณาโดยสมบูรณ์
5. สิ ทธิรับทราบข้อเท็จจริ ง
6. สิ ทธิในการขอดูเอกสารที่จำเป็ น
7. สิ ทธิได้รับการพิจารณาโดยเร็ ว
8. สิ ทธิได้รับทราบเหตุผลของการวินิจฉัยสัง่ การ
9. สิ ทธิได้รับแจ้งการอุทธรณ์โต้แย้ง
9
-------------------------------------------
บทที่ 3
พัฒนาการและเทคนิคการบริหารรัฐกิจ
2. การวางแผนที่เน้นการพยากรณ์
3. การวางแผนที่เน้นปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอก
4. การจัดการเชิงยุทธศาสตร์
การพัฒนาการวางแผนยุทธศาสตร์ มี 5 ระยะ
1. ระยะการควบคุมทางการเงินและงบประมาณ
2. ระยะการวางแผนระยะยาว
3. ระยะการวางนโยบายทางธุรกิจ
4. ระยะการวางแผนกิจการ
5. ระยะการบริ หารเชิงยุทธศาสตร์
การบริหารเชิงยุทธศาสตร์ ครอบคลุมในเรื่องต่ างๆ ดังนี้
1. การจัดวางยุทธศาสตร์ 2. การนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบตั ิ
3. การควบคุมและการประเมินผลเชิงยุทธศาสตร์
การวางแผนยุทธศาสตร์ ในการบริหารภาครัฐกิจ หมายถึง กระบวนการที่องค์การกำหนดวิสยั ทัศน์
ด้วยการพยายามสร้างภาพขององค์การในอนาคตว่าควรจะเป็ นอย่างไร พร้อมกันนั้นก็ได้พฒั นาแนวทาง
การดำเนินงาน รวมทั้งวิธีการปฏิบตั ิต่างๆ เพื่อให้บรรลุผลดังกล่าว โดยการประเมินผลกระทบจากสิ่ ง
แวดล้อม การกำหนดพันธกิจและเป้ าหมายหลัก และการกำหนดยุทธศาสตร์ และแผนยุทธศาสตร์ ซึ่ งเป็ น
แผนโดยรวมขององค์การที่บ่งบอกทิศทางและวิธีการนำพาองค์การไปสู่ ความก้าวหน้าในอนาคต หรื ออาจ
เพื่อความอยูร่ อดขององค์กร
ลักษณะการวางแผนยุทธศาสตร์
1. การมุ่งเน้นอนาคต 2. การมุ่งเน้นจุดมุ่งหมายรวมขององค์การ
3. การมุ่งเน้นกระบวนการ 4. การมุ่งเน้นภาพรวม
ความจำเป็ นของการวางแผนยุทธศาสตร์
1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ ว
2. ผูบ้ ริ หารองค์การจำเป็ นต้องพิจารณาจัดสรรทรัพยากรขององค์การที่มีอยูอ่ ย่างจำกัดให้เกิด
ประโยชน์สูงสุ ด
3. การขยายตัวและความซับซ้อนขององค์การ
กระบวนการวางแผนยุทธศาสตร์ มี 4 ขั้นตอน
1. การกำหนดพันธกิจว่ามีสิ่งใดบ้างที่จะต้องปฏิบตั ิซ่ ึ งจะกำหนดจากข้อมูล/สารสนเทศที่ได้
จากคำตอบสำหรับคำถามที่วา่ องค์การต้องการทำอะไร
2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การและการประเมินสถานะขององค์การซึ่ งจะกำหนด
จากข้อมูล/สารสนเทศที่ได้จากคำตอบสำหรับคำถามที่วา่ ปั จจุบนั สถานภาพขององค์การเป็ นอย่างไร
3. การกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การกำหนดจากข้อมูล/สารสนเทศที่ได้จากคำตอบสำหรับ
คำถามที่วา่ องค์การต้องการทำอะไรให้สำเร็ จ
4. แผนยุทธศาสตร์ซ่ ึ งเป็ นการวางแนวทางในการบรรลุวตั ถุประสงค์ขององค์การ ซึ่ งองค์การ
กำหนดจากข้อมูล/สารสนเทศที่ได้จากคำตอบสำหรับคำถามที่วา่ องค์การจะต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุ
วัตถุประสงค์ขององค์การ
เทคนิคด้ านการบริหารการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ หมายถึง ทำให้ส่วนราชการสามารถ
ปรับปรุ งและยกระดับคุณภาพการบริ หารงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนได้ตาม
นโยบายของรัฐบาน
11
ขั้นตอนและวิธีการในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัตริ าชการ
1. ส่ วนราชการทบทวนวิสยั ทัศน์ พันธกิจ แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบตั ิราชการ
2. หน่วยงานในสังกัดส่ วนราชการทบทวนแผนปฏิบตั ิราชการประจำปี จัดทำความเชื่อมโยงกับ
แผนยุทธศาสตร์ส่วนราชการและแผนที่ยทุ ธศาสตร์
- ส่ วนราชการจัดทำร่ างคำรับรองการปฏิบตั ิราชการตัวชี้ วดั ค่าเป้ าหมาย เกณฑ์การประเมิน
ผล
- เจรจาคำรับรองการปฏิบตั ิราชการ
- พิธีลงนามคำรับรองการปฏิบตั ิราชการ
- การลงนามคำรับรองการปฏิบตั ิราชการ หัวหน้าส่ วนราชการ รองหัวหน้าส่ วน
ราชการ/ที่ปรึ กษา รองหัวหน้าส่ วนราชการ-หน่วยงาน
- ดำเนินการตามคำรับรองการปฏิบตั ิราชการและจัดทำการประเมินผลตนเอง รอบ 6
เดือน/12 เดือน
- ประเมินผล
- รับสิ่ งจูงใจตามระดับของผลงาน
เทคนิคการบริหารการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมายถึง ช่วยให้การให้องค์การภาค
รัฐสามารถได้ให้บริ การสาธารณะทุกภาคส่ วนเป็ นที่พึงพอใจของประชาชน
วิธีการจัดทำการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
1. การนำองค์การ
2. การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์
3. การให้ความสำคัญกับผูร้ ับบริ การและผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสี ย
4. การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู ้
5. การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล
6. การจัดการกระบวนการ
7. ผลลัพธ์การดำเนินการ
PMQA (Public Sector Management Quality Award) หมายถึง เป็ นรางวัลคุณภาพที่ใช้กบั ภาค
ราชการ โดยสำนักงาน ก.พ.ร. ร่ วมกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติให้รางวัลนี้ กบั ส่ วนราชการและองค์กร
ภาครัฐที่ให้บริ การประชาชนอย่างมีประสิ ทธิ ภาพโดยสำนักงาน ก.พ.ร. ได้นำเกณฑ์สากลมาดัดแปลงแล้ว
ดังเป็ นเกณฑ์คุณภาพการบริ หารจัดการภาครัฐ
เทคนิคการงบประมาณในการบริ หารรัฐกิจ
ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้ นผลงานตามยุทธศาสตร์ คือ เป็ นวิธีการที่เป็ นระบบในการระบุพนั ธ
กิจขอองค์การ เป้ าหมายและวัตถุประสงค์ และมีการประเมินผลสำเร็ จอย่างสม่ำเสมอ โดยการเชื่อมโยง
ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรที่ใช้เพื่อให้ได้ผลผลิต และผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันกับเป้ าหมายวัตถุประสงค์ พันธ
กิจ และยุทธศาสตร์ เป็ นระบบที่มีการบริ หารจัดการทรัพยากร การเงิน และการพัสดุโดยการสะท้อนให้เห็น
ผลสำเร็ จของงานหรื อพันธกิจต่างๆ ขององค์การหรื อของรัฐภายใต้การระบบการบริ หารกิจการบ้านเมือง
และสังคมที่ดี
หลักสำคัญของระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้ นผลงานตามยุทธศาสตร์
1. การบริ หารแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์
12
------------------------------------------------
บทที่ 4
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ภาครัฐและการพิทักษ์ ระบบคุณธรรม
1. ระบบอุปถัมภ์ คือ การบริ หารทรัพยากรมนุษย์ที่เป็ นการอุปถัมภ์ค ้ำชูโดยผูบ้ ริ หาร หรื อผูบ้ งั คับ
บัญชาตามอัธยาศัย โดยมิได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้เป็ นทางปฏิบตั ิที่ชดั เจน
2. ระบบคุณธรรม คือ การบริ หารทรัพยากรมนุษย์ที่มีกฎเกณฑ์ชอบด้วยกฎหมายและมีความชอบ
ธรรม โดยมีหลักสำคัญคือ
2.1 หลักความเสมอภาค 2.2 หลักความสามารถ
2.3 หลักความมัน่ คงในอาชีพราชการ 2.4 หลักความเป็ นกลางทางการเมือง
กระบวนการและผู้รับผิดชอบในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ภาครัฐ ได้ แก่
1. การจัดระบบฐานข้อมูลทรัพยากรมนุษย์
2. การวิเคราะห์ทรัพยากรมนุษย์ของหน่วยงาน
3. การวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์
4. การกำหนดนโยบายและวางแผนยุทธศาสตร์ดา้ นทรัพยากรมนุษย์
5. การนำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ดา้ นทรัพยากรมนุษย์มาดำเนินการในทางปฏิบตั ิ
6. การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลการบริ หารทรัพยากรมนุษย์
ทีม่ าของคณะกรรมการพิทักษ์ ระบบคุณธรรม คือ คณะกรรมการพิทกั ษ์ระบบคุณธรรมเกิดขึ้น
ตามมาตรา 24 พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรื อน พ.ศ.2551 โดยมีผทู ้ ี่ทำหน้าที่คดั เลือก ก.พ.ค. ตามที่บญั ญัติ
ใน พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน มาตรา 26 ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสู งสุ ดเป็ นประธาน รองประธานศาล
ฎีกาที่ได้รับมอบหมายจากประธานศาลฎีกาหนึ่งคน กรรมการ ก.พ.ผูท้ รงคุณวุฒิหนึ่งคน ซึ่ งได้รับเลือกโดย
ก.พ.และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็ นกรรมการและเลขานุการ
สถานภาพของคณะกรรมการพิทักษ์ ระบบคุณธรรม ได้ แก่
1. เป็ นองค์กรในฝ่ ายบริ หารที่ทำหน้าที่คุม้ ครองและพิทกั ษ์ระบบคุณธรรมให้แก่ขา้ ราชการพลเรื อน
2. มีความเป็ นอิสระจากฝ่ ายการเมือง
3. มีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี
4. ทำงานเต็มเวลา
อำนาจหน้ าที่ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ได้ แก่
1. เสนอแนะต่อ ก.พ.หรื อองค์กรกลางบริ หารบุคคลเพื่อ ก.พ. หรื อองค์กรกลางบริ หารงานบุคคลอื่น
ดำเนินการจัดให้มี หรื อปรับปรุ งนโยบายการบริ หารทรัพยากรบุคคลในส่ วนเกี่ยวกับการพิทกั ษ์ระบบ
คุณธรรม
2. พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสัง่ ลงโทษทางวินยั หรื อคำสัง่ ให้ออกจากราชการของข้าราชการ ระยะ
การพิจารณาอุทธรณ์ 120 วัน ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 60 วัน
3. พิจารณาวินิจฉัยเรื่ องร้องทุกข์ของข้าราชการพลเรื อน ระยะเวลาการพิจารณาร้องทุกข์ 90 วัน
ขยายไม่เกิน 2 ครั้งๆ ละ 30 วัน
4. พิจารณาเรื่ องการคุม้ ครองระบบคุณธรรม
5. ออกกฎ ก.พ.ค. ระเบียบหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อปฏิบตั ิการตามพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรื อน พ.ศ.2551
6. แต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็ นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ หรื อเป็ นกรรมการวินิจฉัยเรื่ องร้องทุกข
ปัจจัยทีจ่ ะสนับสนุนให้ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ภาครัฐมีประสิ ทธิภาพ ได้ แก่
1. ปัจจัยภายใน
1.1 การที่องค์กรกลางบริ หารบุคคลภาครัฐ มีกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่ชดั เจน
เกี่ยวกับการดำเนินการทางปฏิบตั ิดา้ นทรัพยากรมนุษย์ เช่น หลักกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินยั
16
--------------------------------
บทที่ 5
การบริหารการเงินการคลัง
การเงินการคลัง หมายถึง การรับ/จ่าย เก็บรักษาและบริ หารเงิน ในระดับรัฐบาล และระดับส่ วน
ราชการ ทั้งที่เป็ นเงินในงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ
การบริหารการเงินการคลังของประเทศไทยจำแนกได้ 3 ระดับ ได้ แก่
1. การบริ หารการคลังของรัฐบาล
17
การบริหารการเงินการคลังในระดับรัฐบาล
20
การทำงานของระบบปฏิบัติการ GFMIS
21
---------------------------------------------------------
บทที่ 6
การบริหารพัสดุ
การบริหารพัสดุ หมายถึง เป็ นกระบวนการบริ หารที่เริ่ มต้นตั้งแต่ การวางแผนและกำหนดโครงการ
การกำหนดความต้องการ การจัดหา การแจกจ่าย การควบคุม การบำรุ งรักษา และการจำหน่ายพัสดุ โดยที่
การบริ หารพัสดุภาครัฐจะเริ่ มตั้งแต่การจัดหาจนถึงการจำหน่ายพัสดุ
แนวคิดการจัดซื้อจัดจ้ างภาครัฐของต่ างประเทศ คือ มีวตั ถุประสงค์เพื่อให้การจัดซื้ อจัดจ้าง มี
ความประหยัดและเกิดประสิ ทธิภาพสู งสุ ด โดยไม่มีการเลือกปฏิบตั ิ มีการแข่งขันอย่างเป็ นธรรม และมี
ความโปร่ งใส รวมทั้งมีขอ้ กำหนดให้ผปู้ ระกอบการสามารถร้องทุกข์ในกรณี ที่ไม่ได้รับความเป็ นธรรมได้
แนวคิดการบริ หารพัสดุของประเทศไทย คือ เน้นหลักการจัดหาพัสดุและหลักการควบคุม และการ
จำหน่ายพัสดุ
กฎหมายและระเบียบต่ างๆ ของการบริหารพัสดุ
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.255
2. กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี
3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
4. กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง
5. กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของงานราชการ
6. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักการและวิธีการบริ หารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
7. กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
8. ระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยวินยั ทางงบประมาณและการคลัง
วิธีการจัดหาพัสดุภาครัฐของไทยมี 2 วิธีคอื
1. วิธีการแข่ งขัน คือ
1.1 วิธีสอบราคา คือ กำหนดวงเงินเกิน 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท
23
แนวคิดการควบคุมและจำหน่ ายพัสดุ
หลักการควบคุมพัสดุภาครัฐที่ดี
1. การควบคุมทางบัญชีหรื อทะเบียน เพื่อให้ทราบว่ามีการเบิกจ่ายไปใช้จริ งและมีการใช้ให้สม
ประโยชน์
2. การยืมจะต้องมีหลักฐานการยืม การอนุมตั ิให้ยมื และการติดตามทวงคืนพัสดุที่ยมื ภายในกำหนด
เวลายืม
3. มีการควบคุมดูแลและเก็บรักษาในที่ที่เหมาะสม อยูใ่ นสภาพที่ใช้งานได้ตลอดเวลาและทันตาม
ความต้องการในการใช้งาน
4. มีการตรวจสอบการรับและจ่ายพัสดุอย่างน้อยปี ละ 1 ครั้ง
หลักการจำหน่ ายพัสดุภาครัฐที่ดี
1. มีผรู้ ับผิดกรณี พสั ดุชำรุ ดซึ่ งไม่ได้เกิดจากการใช้งานตามปกติ หรื อสู ญหาย
2. เป็ นประโยชน์ในการตัดตอนความรับผิดชอบระหว่างกัน
3. สามารถใช้เป็ นข้อมูลในการจัดหาต่อไป
4. มีการจำหน่ายในเวลาที่เหมาะสม เพื่อลดภาระในการบำรุ งรักษา และอาจนำไปใช้ประโยชน์ต่อ
หน่วยงานอื่นได้
ปัญหาสำคัญของการจัดหาพัสดุ
1. การวางแผนการจัดหาพัสดุไม่เหมาะสมหรื อไม่ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
2. การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะหรื อแบบรู ปรายการละเอียดไม่ชดั เจนหรื อไม่ครบถ้วน
3. การกำหนดคุณสมบัติของผูเ้ ข้ามาเสนอราคาที่สูงหรื อต่ำเกินไป
4. การเผยแพร่ ขา่ วสารการจัดหาไม่ทวั่ ถึงและให้เวลาในการเสนอราคาไม่เพียงพอ
5. การพิจารณาราคาไม่โปร่ งใสและมักจะไม่คำนึงถึงความคุม้ ค่าในการจัดหาพัสดุที่ตอ้ งการ
6. การตรวจรับพัสดุหรื อตรวจงานจ้างล่าช้าและไม่เป็ นไปตามสัญญา
ปัญหาที่เกีย่ วกับการควบคุมพัสดุ
1. ไม่ลงบัญชีหรื อทะเบียนพัสดุที่ทางราชการได้รับหรื อลงทะเบียนไม่ครบถ้วน
24
2. ไม่ควบคุมการเบิกจ่ายพัสดุให้รัดกุม
3. ไม่ดุแลรักษาพัสดุให้ใช้งานได้ตลอดเวลาและไม่มีการทำประวัติการใช้งาน
4. ไม่มีการทำหลักฐานการยืมและคืนพัสดุ
5. ไม่มีการตรวจสอบพัสดุประจำปี
แนวทางการเสริมสร้ างประสิทธิภาพการบริหารพัสดุ
1. การหาความจำเป็ นหรื อความต้องการในการใช้งาน
2. การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะรู ปแบบ/รายการละเอียด
3. การเลือกวิธีการจัดหา
4. การคัดเลือกผูป้ ระกอบการที่ดี
6. การพิจารณาราคา
7. การตรวจรับพัสดุหรื อตรวจการจ้าง
8. การควบคุมพัสดุ
9. การจำหน่ายพัสดุ
--------------------------------------
บทที่ 7
การเสริมสร้ างคุณธรรมและจริยธรรม
และจรรยาวิชาชีพบริหารรัฐกิจ
จริยธรรม หมายถึง กฎเกณฑ์แห่งความประพฤติ หรื อหลักการความจริ งที่เป็ นแนวทางแห่งความ
ประพฤติ
ความสำคัญของจริยธรรม คือ เป็ นเครื่ องมือยุทธศาสตร์ของชาติ และสังคม เครื่ องชี้ วดั ความเจริ ญความ
เสื่ อมของสังคม จริ ยธรรมเป็ นเรื่ องที่จำเป็ นยิง่ สำหรับทุกคน ทุกหมู่เหล่า และทุกอาชีพ สังคมจะอยูร่ อดและ
เป็ นสุ ขได้กด็ ว้ ยจริ ยธรรม
บุคคลผู้มีคุณธรรม หมายถึง บุคคลที่มีความเป็ นอยูอ่ ย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ และหลักการเหตุผล
ของธรรมชาติ
ความสำคัญของคุณธรรม
1. เป็ นเครื่ องเสริ มบุคลิกภาพ
2. เป็ นเครื่ องธำรงศักดิ์ศรี ของความเป็ นมนุษย์
3. เป็ นเครื่ องเสริ มมิตรภาพ
4. เป็ นเครื่ องส่ งเสริ มความสำเร็ จและความมัน่ คง ปลอดภัย ในการประกอบอาชีพและดำรงชีวิต
ความรับผิดชอบต่ อสังคมขององค์การ คือ องค์การมีผลการปฏิบตั ิงานหรื อการปฏิบตั ิภารกิจที่คำนึง
ถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม ก็จะทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในส่ วนต่างๆ เหล่านี้ได้อย่าง
มีประสิ ทธิ ภาพมากขึ้น ไม่วา่ จะเป็ น ผูร้ ับบริ การ ผูจ้ ดั หา ชุมชนท้องถิ่น เจ้าของกิจการ คู่แข่งทางธุรกิจ
ลูกจ้างพนักงาน ผูค้ ุมกฎระเบียบของรัฐ องค์กรการเงิน สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ก็จะทำให้องค์การนั้น
เป็ นองค์การที่มีความรับผิดชอบทางศีลธรรมและจริ ยธรรมต่อสังคมสู งขึ้น
ความโปร่ งใสตรวจสอบได้ หมายถึง องค์การนั้นปราศจากการคอร์รัปชัน ความโปร่ งใสตรวจสอบ
ได้จึงมีความสำคัญในฐานะที่เป็ นสิ่ งบ่งชี้วา่ องค์การและสังคมนั้นจะไม่ได้รับความเสี ยจากการทุจริ ตและ
ประพฤติมิอบ ความเสี ยหายอันอาจจะเกิดขึ้นกับสังคมและองค์อนั เนื่องมาจากความไม่โปร่ งใส
25
2. การประเมินความรับผิดชอบทางสังคม
3. การประเมินความโปร่ งใสตรวจสอบได้
4. การสำรวจ ทบทวน และการกำหนดค่านิยมขององค์การ
ปัจจัยหลักที่เป็ นอุปสรรคต่ อการเสริมสร้ างคุณธรรมและจริยธรรมขององค์ การ ได้แก่ ความเครี ยด
ความมุ่งมัน่ ในผลสำเร็จมากเกินไป การขาดภาวะผูนำ ้ การมีตวั อย่างที่ไม่ดีในองค์การ การทำงานใน
วัฒนธรรมที่ไม่คุน้ เคยและการกล่าวโทษกัน ความล้มเหลวในการสร้างสำนึกรับผิดชอบในเรื่ องคุณธรรม
และศีลธรรมของแต่ละบุคคล
คุณธรรม หมายถึง ความดีงามที่จิตใจซึ่ งทำให้เคยชินประพฤติดี
หลักคุณธรรมมี 4 ประการ คือ
1. ความรอบคอบ คือ การเล็งเห็นหรื อหยัง่ รู ได้ง่ายและชัดเจนว่าอะไรควรพฤติหรื อไม่ควรประพฤติ
2. ความกล้าหาญ คือ การกล้าเสี่ ยต่อการเข้าใจผิด กล้าเผชิญต่อการใส่ ร้ายและเยาะเย้ย เมื่อมัน่ ใจตน
กระทำความดี
3. การรู้ จักประมาณ คือ การรู้จกั ควบคุมความต้องการและการกระทำต่างๆ ให้อยูใ่ นขอบเขตอัน
ควรแก่สภาพและฐานะของ
4. ความยุติธรรม คือ การให้แก่ทุกคนและแต่ละคนตามความเหมาะสม
ความสำคัญของคุณธรรม
1. เป็ นเครื่ องธำรงศักดิ์ศรี ของความเป็ นมนุษย์
2. เป็ นเครื่ องเสริ มบุคลิกภาพ
3. เป็ นเครื่ องเสริ มมิตรภาพ
4. เป็ นเครื่ องสร้างความสบายใจ
5. เป็ นเครื่ องส่ งเสริ มความสำเร็ จและความมัน่ คงปลอดภัยในการประกอบอาชีพและดำรงชีพ
จรรยาวิชาชีพ หมายถึง กฎเกณฑ์ความประพฤติหรื อมารยาทในการประกอบอาชีพของผูป้ ระกอบ
วิชาชีพแต่ละสาขา
จรรณยาบรรณ หมายถึง วินยั ภายในตนเองของบุคลากร
ความสำคัญของจรรยาวิชาชีพ
ผู้บริหาร คือ จะต้องเป็ นผูนำ ้ และทำตัวอย่างในการักษาคุณธรรมและจรรยาวิชาชีพเพื่อให้บุคคลากร
ในปกครองของตนทำตาม
-------------------------------------------
บทที่ 8
การบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ
การศึกษาบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบก่อน ค.ศ.1974
นักวิชาการที่สนับสนุนแนวคิดนี้ คือ โรเบิร์ต ดาห์ ล เป็ นผูเ้ ริ่ มต้นในการเรี ยกร้องให้มีการศึกษาเกี่ยว
กับระบบบริ หารต่างๆ ของทุกประเทศอย่างจริ งจัง ต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริ การวมถึงองค์การระหว่าง
ประเทศหลายแห่งได้สนับสนุนทางการเงินแก่นกั วิชาการไปศึกษาวิจยั ในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ต่อ
28
9. เป็ นรัฐบาลที่กระจายอำนาจ
10. เป็ นรัฐบาลที่อิงกลไกตลาด
การปฏิรูประบบราชการไทนพระราชกฤษฎีกาว่ าด้ วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้ านเมืองที่ดี
พ.ศ.2546
1. การปรับปรุ งบทบาทของภาครัฐ
2. การปรับปรุ งระบบบริ หาร
3. การปรับปรุ งโครงสร้าง
4. การปรับปรุ งกลไกและกฎเกณฑ์
5. การปรับปรุ งระบบข้าราชการ
6. การปรับปรุ งวัฒนธรรมและค่านิยมของระบบราชการ
7. การปรับปรุ งระบบเทคโนโลยี
----------------------------------------------
บทที่ 9
การวิเคราะห์ ปัญหาและการตัดสิ นใจ
ปัญหา คือ สถานการณ์ บุคคล หรื อสิ่ งของ ที่เกิดขึ้นจริ ง ซึ่ งเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็ น หรื อสิ่ งที่
คาดหมายไว้รวมทั้งสิ่ งเป็ นข้อสงสัย ข้อขัดแย้ง ซึ่ งจำเป็ นต้องได้รับการให้ความสนใจ หรื อได้รับการแก้ไข
โดยอาศัยการขบคิดและจัดการโดยอาศัยหลักการเชิงตรรกวิทยา และสิ่ งที่ยากที่จะทำความเข้าใจ และสิ่ งที่
จะดำเนินการให้บรรลุผลได้ค่อนข้างยากลำบาก
ประเภทปัญหา
1. ปัญหาขัดข้ องหรือปัญหาที่ต้องแก้ ไข คือ สถานการณ์ สิ่ งของ พฤติกรรมหรื อการกระทำอย่างใด
อย่างหนึ่ง ซึ่ งเกิดขึ้นและดำรงอยูต่ ามปรกติมาจนถึงปั จจุบนั เกิดปั ญหา หรื อเกิดข้อขัดข้อง อุปสรรค หรื อ
เกิดการเบี่ยงเบนไปจากที่เคยเป็ น เบี่ยงเบนไปจากที่เคยพึงพอใจมาแต่เดิม เกิดสิ่ งที่ทำให้ไม่สามารถดำเนิน
หรื อสิ่ งที่ทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้ าหมายได้
2. ปัญหาป้ องกัน หมายถึง สถานการณ์ สิ่ งของ พฤติกรรมหรื อการกระทำซึ่ งเกิดขึ้นและดำรงอยู่
ตามปรกติมาจนถึงปัจจุบนั และดำรงอยูต่ ามปรกติในอนาคตได้อีกช่วงระยะหนึ่ง แต่จะเกิดปั ญหาหรื อเกิด
ข้อขัดข้อง อุปสรรค หรื อเกิดการเบี่ยงเบนไปจากที่เคยเป็ นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต หากไม่มี
ป้ องกันปั ญหา ข้อขัดข้อง หรื ออุปสรรที่จะเกิดขึ้นนั้น จึงมีการดำเนินการหรื อมีมาตรการที่จดั การกับปั ญหา
หรื อข้อขัดข้องที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า
3. ปัญหาเชิงพัฒนา หมายถึง สถานการณ์ สิ่ งของ พฤติกรรมหรื อการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่ งเกิดขึ้นและดำรงอยูต่ ามปรกติตลอดไปจนถึงอดีตจนถึงปั จจุบนั และนำจะเป็ นปรกติตลอดไปจนถึง
อนาคตโดยไม่มีปัญหา ข้อขัดข้อง หรื ออุปสรรคใด เพียงแต่มีความเห็นว่าน่าจะต้องมีการทำให้ดีข้ ึน เพียงแต่
มีความเห็นว่าน่าจะต้องมีการทำให้ดีข้ ึน โดยมีการวางแผน และดำเนินการ เพื่อให้สถานการณ์ สิ่ งของ ทำให้
มีการกระทำหรื อพฤติกรรมที่ดีข้ ึนนับแต่ปัจจุบนั
แนวคิดเกีย่ วกับการวิเคราะห์ ปัญหาประกอบ ด้ วย
1. แนวคิดในการวิเคราะห์ปัญหาบนพื้นฐานของหลักการ หลักวิชาด้านต่างๆ
31
2. แนวคิดในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ปัญหาเชิงระบบ
3. แนวคิดในการวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องสอดคล้อง หรื อสัมพันธ์กนั
4. แนวคิดในการวิเคราะห์ปัญหาเชิงสาเหตุและผลกระทบ
กระบวนการวิเคราะห์ ปัญหามี 4 กิจกรรม คือ
1. รวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องปั ญหา
2. การตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร
3. การวิเคราะห์และระบุสาเหตุของปั ญหา
4. การแก้ไขปัญหา
กระบวนการวิเคราะห์ ปัญหา สาเหตุ และการแก้ ไขปัญหา ตามหลักอริยสั จ 1
1. ทุกข์ คือ เปรี ยบได้กบั ปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้อง และความไม่พึงพอใจ
2. สมุทัย คือ เปรี ยบได้กบั สาเหตุของปั ญหา
3. นิโรธ คือ เปรี ยบได้กบั แนวทางแก้ไขปั ญหา
4. มรรค คือ เปรี ยบได้กบั ข้อปฏิบตั ิในการแก้ไขปั ญหา
---------------------------------------------
บทที่ 10
พฤติกรรมของผู้นำ
----------------------------------------------
บทที่ 11
การทำงานเป็ นทีม
กระบวนการกลุ่มและการทำงานเป็ นทีม
ลักษณะเฉพาะของกลุ่ม
1. กลุ่มต้องประกอบด้วยบุคคลอย่างน้อยที่สุด 2 คน
2. คนในกลุ่มจะต้องมีปฏิสมั พันธ์ต่อกัน
3. มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีแบบแผน
4. ต้องพึ่งพากัน
5. ถือว่าตนเองเป็ นสมาชิกของกลุ่ม และสมาชิกอื่นในกลุ่มก็ยอมรับเช่นนั้น
6. ส่ งอิทธิพลต่อกันและกัน
7. เห็นว่าการรวมกลุ่มดีมีประโยชน์
8. มุ่งวัตถุประสงค์เดียวกัน
องค์ ประกอบของกลุ่ม
1. บทบาท (Roles) คือ เป็ นพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดปฏิสมั พันธ์ระหว่าง
กันของสมาชิกและช่วยให้การดำเนินภารกิจของกลุ่มประสบความสำเร็ จ
2. ปัทสถาน (Norms) คือ พฤติกรรมและบทบาทภายในสังคมหรื อกลุ่ม มีลกั ษณะเป็ นกฎซึ่ งกลุ่มใช้
สำหรับแยกแยะค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม
3. ค่ านิยม (Values) คือ ความเชื่อหลักอันเป็ นสิ่ งที่ดีงามของกลุ่ม
4. รู ปแบบการสื่อสาร (Communication patterns) คือ การไหลเวียนของข้อมูล สารสนเทศหรื อ
ข่าวสารต่างๆ ภายในกลุ่ม ได้แก่ การสื่ อสารแบบรวมศูนย์ และการสื่ อสารแบบการกระจายการสื่ อสาร
5. ความแตกต่ างระหว่างสถานภาพ (Status differentials) คือ ฐานะ เช่น ตำแหน่ง ความชำนาญ
ทรงคุณวุฒิ
ประโยชน์ การอยู่รวมเป็ นกลุ่ม
1. ผลิตภาพของกลุ่มมักจะสู งกว่าผลติภาพของบุคคลที่ทำงานตามลำพัง
2. กลุ่มตัดสิ นใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพมากกว่าบุคคลที่ทำงานตามลำพัง
3. สมาชิกภาพของกลุ่มก่อให้เกิดความรัก ความเมตตา ความห่วงใจในสมาชิกคนอื่นๆ สร้างความ
รับผิดชอบในตัวตน
36
5. การผูกขาดบทบาทภายในกลุ่ม
6. การเงียบเฉย
สิ่ งทีม่ ีอทิ ธิพลต่ อการเกิดทัศนคติ คือ
1. การอบรมเลี้ยงดุที่ได้รับจากบิดามารดาหรื อผูป้ กครอง
2. การอบรมสัง่ สอนและการประพฤติปฏิบตั ิของครู
3. การศึกษา
4. สื่ อมวลชน
ลักษณะและพฤติกรรมของบุคคลในการทำงานเป็ นทีม
1. ต้องกำหนดเป้ าหมายการทำงานร่ วมกัน
2. ต้องการวางแผนร่ วมกัน
3. ต้องปฏิบตั ิงานร่ วมกัน และการประสานงานร่ วมกัน
4. ต้องสรุ ปและประเมินผลการทำงานร่ วมกัน
การใช้ กระบวนการกลุ่มในกรแก้ปัญหา
ประเด็นในการจัดกลุ่มเพือ่ แก้ปัญหา ได้ แก่
1. การเลือกสมาชิกของกลุ่ม
2. การจัดองค์ประกอบ
3. การพัฒนาของกลุ่ม
การพัฒนากลุ่มมีข้นั ตอนการดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ
- การร่ วมกลุ่ม - การขัดแย้งระหว่างสมาชิกในกลุ่ม
- การกำหนดปัทสถานของกลุ่ม - การปฏิบตั ิงานของกลุ่ม
กลุ่มแก้ ปัญหา
1. กลุ่มเผชิญหน้ า คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเรี ยนรู ้ทกั ษะในการติดสื่ อสาร การเข้าใจและการติดต่อ
สัมพันธ์กบั ผูอ้ ื่น ความอ่อนไหวต่อความรู้สึก ความคิดเห็น และทัศนคติของผูอ้ ื่น มีลกั ษณะการจัด
ประสบการณ์กลุ่มในห้องทดลอง
2. กลุ่มสังคม คือ ให้ความสำคัญเพื่อพบประสังสรรค์ในบรรยากาศที่เป็ นกันเอง มีวตั ถุประสงค์เพื่อ
สังคมมีการเรี ยนรู้และการทำงานร่ วมกันได้
3. กลุ่มศึกษา คือ เป็ นการศึกษาเรี ยนรู ้ในกลุ่มของสมาชิก เช่น การเรี ยนดนตรี การเรี ยนทำดอกไม้
แต่การเรี ยนรู ้จะมีประสิ ทธิภาพก็ต่อเมื่อผูเ้ รี ยนตระหนักว่าเรี ยนรู ้เริ่ มต้นที่ตวั เอง
4. กลุ่มทำงาน คือ มุ่งเน้นสำหรับกลุ่มทำงานมีประสิ ทธิ ภาพมากที่สุดในการะบุปัญหาหรื อในการ
ประชุมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา ได้แก่กลุ่มระดมสมอง กลุ่มในนาม และกลุ่มวิเคราะห์พลังสนาม
การประเมินพฤติกรรมกลุ่ม
1. เหตุผลในการประเมินพฤติกลุ่ม คือ เพื่อนำผลไปปรับปรุ งประสิ ทธิ ภาพการทำงานของกลุ่ม
2.ประโยชน์ ของการประเมินพฤติกรรมกลุ่ม คือ
2.1 ได้ข่าวสารข้อมูลว่ากลุ่มทำสิ่ งใดสำเร็ จไปแล้วบ้า
2.2 วัดและประเมินว่าวัตถุประสงค์ที่ต้ งั ไว้เดิมยังเหมาะสมอยูห่ รื อไม่เพียงไร
2.3 ให้ขอ้ มูลย้อนกลับแก่สมาชิกวาผลงานของเขาเป็ นอย่างไร
2.4 ช่วยให้ผนำู้ กลุ่มได้ประเมินประสิ ทธิ ภาพของตนเอง
2.5 สร้างแรงจูงใจแก่สมาชิกในการปฏิบตั ิงานของกลุ่มให้ดียงิ่ ขึ้นไป
2.6 ช่วยให้สมาชิกกลุ่มวางแผนกิจกรรมและทิศทางในการทำงานเพิ่มเติมจากที่คิดไว้เดิม
38
------------------------------------------------
บทที่ 12
การบริหารเครือข่ าย
เครือข่ าย หมายถึง รู ปแบบความสัมพันธ์ของสมาชิกในเครื อข่าย ซึ่ งอาจเป็ นบุคคล องค์กร ชุมชน
หรื อประเทศ ในการแลกเปลี่ยนทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร และทำงานร่ วมกัน เพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์ที่
กำหนดไว้
ความสำคัญของเครือข่ าย
1. สร้างกระบวนการเรี ยนรู้ 2. สร้างขวัญกำลังใจ
3.สร้างการทำงานเป็ นทีม 4. สร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง
5. สร้างการมีส่วนร่ วม 6. สร้างพลังอำนาจ
7. สร้างศูนย์กลางแลกเปลี่ยนและระดมทรัพยากร 8. สร้างประสิ ทธิ ผล
9. สร้างประสิ ทธิภาพ 10. สร้างความได้เปรี ยบทางการแข่งขัน
ประเภทของเครือข่ าย
1. มิติตามแหล่งกำเนิด 2. มิติความสัมพันธ์
3. มิติผจู้ ดั ตั้งเครื อข่าย 4. มิติความคิด
39
5. มิติอาชีพ 6. มิติการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
7. มิติการประสานงาน 8. มิติการรวมตัวของสมาชิก
9. มิติกฎหมาย 10. มิติกลุ่มเป้ าหมาย
11. มิติลกั ษณะงาน 12. มิติความใกล้ชิดของสมาชิกในเครื อข่าย
13. มิติขนาดของเครื อข่าย
หลักการบริหารเครือข่ าย
1. หลักการรวมพลัง 2. หลักพันธะผูกพัน
3. หลักความเสมอภาค 4. หลักผลประโยชน์ส่วนรวม
5. หลักความรับผิดชอบ 6. หลักการแลกเปลี่ยน
7. หลักความไว้วางใจ 8. หลักการเสริ มพลัง
9. หลักการพึ่งพากันและกัน
กระบวนการบริหารเครือข่ าย ได้ แก่
การสร้ างเครือข่ าย หมายถึง การจัดรู ปแบบความสัมพันธ์ของบุคคล องค์กร ชุมชน หรื อชุมชน
โดยสมัครใจ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร และทำงานร่ วมกันเพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์
ที่กำหนดไว้
การสร้ างเครือข่ ายมีวธิ ีการสำคัญ คือ
1. การสร้างความตระหนักและจุดร่ วมของผลประโยชน์
2. การแสวงหาแกนนำและสมาชิก
3. การวางแผนและการจัดโครงสร้าง
4. การจัดระบบการสื่ อสารและระบบการติดตามประเมินผล
5. การจัดหาทรัพยากรทางการเงิน
6. การจัดกิจกรรมเครื อข่าย
การพัฒนาเครือข่ าย หมายถึง การขยายแนวคิด กิจกรรมเครื อข่ายให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากร
ข้อมูลข่าวสาร และทำงานร่ วมกันเพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์ที่กำหนดไว้
การพัฒนาเครือข่ ายมีวธิ ีการสำคัญ คือ การขยายเครื อข่าย การปรับปรุ งเครื อข่าย และการพัฒนา
ศักยภาพของสมาชิกเครื อข่าย
การธำรงรักษาเครือข่ าย หมายถึง การักษาสถานภาพของเครื อข่ายให้ยงั คงอยูเ่ พื่อดำเนินการตาม
วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
การธำรงรักษาเครือข่ ายมีวธิ ีการสำคัญ คือ
1. การสร้างแรงจูงใจให้แก่สมาชิกเครื อข่าย
2. การรักษาความผูกพันใกล้ชิดของสมาชิกเครื อข่าย
3. การดำเนินกิจกรรมเครื อข่ายอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาของการบริหารเครือข่ ายในทางปฏิบัติ
ปัญหาด้ านการเกิดขึน้ ของเครือข่ าย
คำถามที่วา่ “ทำไมเครือข่ ายจึงไม่ เกิดขึน้ ” มีสาเหตุสำคัญมาจาก
1. ขาดแกนนำในการสร้างเครื อข่าย 2. ขาดการระดมทรัพยากร
สาเหตุของปัญหาความไม่ ยงั่ ยืนของเครือข่ าย ได้ แก่
1. วัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินงานไม่ชดั เจน
2. ขาดกิจกรรมและการขยายตัวไม่ต่อเนื่อง
40
5. การเรี ยนรู้บูรณาการ
6. สภาผูนำ้
ความสำเร็จของเครือข่ ายไม้ เรียง
1. ผูนำ
้ ที่เข้มแข็งและมีประสิ ทธิผล
2. การวางแผนดำเนินการอย่างชัดเจน
3. การจัดหาทรัพยากรเพียงพอต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
4. การจัดกิจกรรมและการาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
5. การติดตามประเมินผลและการปรับปรุ งอย่างต่อเนื่อง
--------------------------------------------------------------
บทที่ 13
ความรับผิดชอบในการบริหารรัฐกิจ
แนวทางปฏิบัติของผู้บริหารทีม่ ีความรับผิดชอบในการบริหารรัฐกิจ
1. รู ้งานและทำงาน โดยไม่หลีกเลี่ยงหรื อหนีปัญหา
2. มีความรับผิดชอบต่องานที่ผบู้ งั คับบัญชามอบหมายอย่างเต็มที่
3. ให้ความเอาใจใส่ สนใจความรู้สึกและความต้องการของประชาชน
4. ให้ความร่ วมมือกับเพื่อนร่ วมงาน
5. อำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นด้วยความเต็มใจ
6. สอนแนะงานและดูแลการทำงานของผูใ้ ต้บงั คับบัญชาให้มีประสิ ทธิ ภาพ
วัตถุประสงค์และขอบเขตของการพัฒนาบุคลากรของรัฐ คือ การก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
พฤติกรรมของผูป้ ฏิบตั ิงานตามที่ตอ้ งการ เช่น จากการปฏิบตั ิงาน จากผลงาน และจากวิธีการทำงาน
ขอบเขตของการพัฒนาบุคลาของรัฐ
1. ด้านความรู้ (knowledge) 2. ด้านทักษะ (Skill)
3. ด้านทัศนคติ (Attitude)
การพัฒนาจิตใจเพือ่ การเปลีย่ นแปลงทางพฤติกรรม
1. พฤติกรรมของพลเมืองดี หมายถึง พฤติกรรมซื่ อสัตย์ รับผิดขอบต่อตนเองและผูอ้ ื่น เอื้อเฟื้ อเผือ่
แผ่ เป็ นที่ยอมรับของสังคม
2. พฤติกรรมเอือ้ ต่ อการพัฒนาประเทศ หมายถึง พฤติกรรมการปรับตนให้สามารถทำงานแปลก
ใหม่ได้เป็ นอย่างดี
3. พฤติกรรมในหน้ าที่ราชการ หมายถึง พฤติกรรมการใช้ความรู ้ ความสามารถ ความชำนาญการ
ในการทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มกำลังสามารถ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์
ส่ วนตนหรื อพวกพ้อง
แนวทางการมุ่งเน้ นการพัฒนาเพือ่ สร้ างเสริมความรับผิดชอบในการบริหารรัฐกิจ
1. การเน้นการทำงานเป็ นทีม
2. การเสริ มสร้างความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้องในการทำงาน
3. การสร้างเสริ มจิตสำนึกที่ถูกต้องในการให้บริ การประชาชน
4. การส่ งเสริ มให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
แนวทางปฏิบัติของผู้บริหารทีม่ ีความรับผิดชอบในการบริหารรัฐกิจ
1. รู ้งานและทำงานโดยไม่หลีกเลี่ยงหรื อหนีปัญหา
44
2. ให้ความเอาใจใส่ ความรู้สึกและความต้องการของประชาชน
3. ให้ความร่ วมมือกับเพื่อนร่ วมงาน
4. สอนแนะงานและดูแลการทำงานของผูใ้ ต้บงั คับบัญชาให้มีประสิ ทธิ ภาพ
กลยุทธ์ ที่ช่วยในการพัฒนาจิตใจของบุคลากรของรัฐ เพือ่ ให้ เกิดความสั มฤทธิผลสู งขึน้
1. ใช้ผชู้ กั จูงที่เป็ นบุคคลน่าเชื่อถือมาทำการชักจูง
2. หาวิธีช้ ีให้เห็นโทษหรื ออันตรายจากการไม่กระทำในสิ่ งที่ถูกต้อง
3. สร้างระบบให้รางวัลผูก้ ระทำดีและลงโทษผูก้ ระทำผิด
4. จัดหาตัวแบบที่ได้รับรางวัลหรื อได้รับโทษมาแสดงตามความเหมาะสม
-----------------------------------------------
บทที่ 14
บุคลิกภาพและการพัฒนาบุคลิกภาพ
1. การสำรวจตนเอง
2. การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
3. การลงมือปฏิบตั ิเพื่อพัฒนา
การทำความเข้ าใจตนเองและคนอืน่
ทฤษฎีหน้ าต่ างของนักวิชา โจฮารี ได้แก่
1. ส่ วนเปิ ดเผย คือ การรู้ตวั และเข้าใจพฤติกรรมและบุคลิกของตนว่าเป็ นอย่างไร
2. ส่ วนจุดบอด คือ พฤติกรรมและบุคลิกในตัวที่ตวั เองไม่ทราบ แต่คนอื่นทราบ
3. ส่ วนซ่ อนเร้ น คือ เราจะรู้วา่ มีพฤติกรรมและบุคลิกอะไร แต่พยายามปิ ดบังไม่ให้คนอื่นรู ้
4. ส่ วนลึกลับ คือ เป็ นส่ วนที่เจ้าของพฤติกรรมและคนอื่นไม่รู้ ไม่เคยเห็นไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมี
พฤติกรรมและบุคลิกภาพเป็ นเช่นนั้น
1. การสำรวจตนเอง
1.1 การวิเคราะห์ ตนเอง หมายถึง เป็ นการที่บุคคลวิเคราะห์ตนเองด้วยใจเป็ นกลาง เช่น ด้านร่ างกาย
ด้านความรู ้ ด้านอุปนิสยั ด้านสังคม
1.2 การประเมินเปรียบเทียบ หมายถึง การค้นหาตัวแบบ การพิจารณาสังคม และการศึกษา
คุณลักษณะของบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ในวิชาชีพ ดังนี้
1. การค้นหาตัวแบบ 2. การพิจารณาสังคม
3. การศึกษาคุณลักษณะของบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ในวิชาชีพ
1.3 การใช้แบบสอบวัด เช่น การใช้แบบสำรวจบุคลิกภาพ
2. การรับฟังความคิดเห็นของคนอืน่
1. พูดในลักษณะให้ขอ้ เท็จจริ ง
2. พูดในลักษณะให้ความเห็น
3. พูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์
4. พูดในลักษณะแนะนำสัง่ สอน
5. พูดในลักษณะติเตียน
การนำข้ อคิดเห็นของคนอืน่ มาปรับปรุ งบุคลิกภาพของตนเอง คือ
1. การอธิบายการกระทำมากกว่าเป็ นการประเมิน
2. ทำให้ผรู้ ับรู้สึกว่าข้อมูลที่ให้น้ นั เป็ นประโยชน์สำหรับเขา
3. จะต้องให้เหมาะสมกับกาลเทศะ
4. เปิ ดโอกาสให้ผรู้ ับซักถามความไม่เข้าใจ
การพัฒนาบุคลิกภาพของเจ้ าหน้ าที่รัฐ
การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกของเจ้ าหน้ าที่ของรัฐ
ลักษณะของบุคลิกภาพทางกายที่ดขี องเจ้ าหน้ าที่ของรัฐ ได้แก่
1. รู ปร่ างหน้าตา ท่วงทีดี 2. การแต่งกายเหมาะสม
3. การรักษาสุ ขภาพอนามัย 4. อาการเคลื่อนไหว
ลักษณะของบุคลิกภาพทางด้ านวาจา ได้แก่
1. การใช้วาจาสุ ภาพนุ่มนวล 2. การใช้ภาษาที่เข้าใจ จำง่าย
47
-----------------------------------
บทที่ 15
การเสริมสร้ างความมั่นคงและคุณภาพชีวติ การทำงาน
4. บุคคลได้รับการตอบสนองในเรื่ องของความต้องการความมัน่ คง
5. บุคลากรเกิดการพัฒนาศักยภาพ
6. เป็ นเครื่ องมือในการธำรงรักษาบุคลากรไว้กบั องค์การ
ต่ องาน หมายถึง ครอบคลุมไปถึงการประเมินสถานในลักษณะต่างๆ ของงาน การสร้างสมดุล
ระหว่างงานและชีวิตของบุคลา คุณภาพชีวิตการทำงานจะให้ความสำคัญกับผลงานที่มีต่อบุคคล และ
ประสิ ทธิ ภาพขององค์การ รวมทั้งความพอใจของบุคลากรกับการแก้ปัญหาและการตัดสิ นใจขององค์การ
ต่ อองค์การ
1. องค์การจะมีโอกาสพัฒนาและเพิ่มผลิตภาพได้อย่างต่อเนื่อง
2. องค์การมีบุคลากรที่มีคุณภาพและบรรลุเจตนารมณ์ของการสร้างองค์การแห่งความสุ ข
3. องค์การได้รับการยอมรับจากหน่วยงานอื่นและประชาชนโดยทัว่ ไป
การทำงานอย่างมั่นคงและมีคุณค่า
1. การวิเคราะห์จิตลักษณะระดับปัจเจกบุคคล ได้แก่ การรับรู ้ บุคลิกภาพ การจูงใจ ทัศนคติ
2. การวิเคราะห์จิตลักษณะระดับกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมกลุ่ม หลักสำคัญในการสร้างกลุ่ม
3. การวิเคราะห์จิตลักษณะระดับองค์การ