Professional Documents
Culture Documents
Udrr
Udrr
Teacher Script
คณิตศำสตร์ ม. 5
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ตามผลการเรียนรู้ เล่ม 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผู้เรียบเรียงหนังสือเรียน ผู้ตรวจหนังสือเรียน บรรณาธิการหนังสือเรียน
นางกนกวลี อุษณกรกุล ผศ.รุจิรา พิพิธพจนการณ์ นางสาวจันทร์เพ็ญ ชุมคช
รศ. ดร.อ�าพล ธรรมเจริญ นางสาวทองดี กุลแก้วสว่างวงศ์
นายไอศุริย สุดประเสริฐ นางสาวบูรนาถ เฉยฉิน
นางจินดา อยู่เป็นสุข
นายรณชัย มาเจริญทรัพย์
นายวุฒิชัย ศรีวสุธากุล
นางนพรัตน์ วันแก้ว
นางสาวสายสุณี สุทธิจักษ์
ผู้เรียบเรียงคู่มือครู บรรณาธิการคู่มือครู
นางสาวจันทร์เพ็ญ ชุมคช นางสาวชลรวี นาคสัมพันธ์ุ
นายธีระพงษ์ มวานนท์ นางสาววรรณทัศน์ เลิศอภิสิทธิ
พิมพครั้งที่ 1
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3546009
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครู รายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร ม.5 เล่มนี้ จัดทำาขึ้น
สำาหรับให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนการจัดการเรียนการสอน
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพผู้เรียน
ตามนโยบายของสำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.)
S ดาวเทียม
สอนจริง
d
ิ่ม ตัวรับสัญญาณ E
โซน 3
โซน 2
T8
ผลการเรียนรู้
1. เข้าใจฟังก์ชนั ตรีโกณมิตแิ ละลักษณะกราฟของฟังก์ชนั ตรีโกณมิติ และน�ำไปใช้ในการแก้ปญั หา
2. แก้สมการตรีโกณมิติ และน�ำไปใช้ในการแก้ปญั หา
3. ใช้กฎของโคไซน์และกฎของไซน์ในการแก้ปญั หา
4. เข้าใจความหมาย หาผลลัพธ์ของการบวกเมทริกซ์ การคูณเมทริกซ์กบั จ�ำนวนจริง การคูณระหว่างเมทริกซ์
และหาเมทริกซ์สลับเปลีย่ น หาดีเทอร์มแิ นนต์ของเมทริกซ์ n × n เมือ่ n เป็นจ�ำนวนนับทีไ่ ม่เกินสาม
5. หาเมทริกซ์ผกผันของเมทริกซ์ 2 × 2
6. แก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้เมทริกซ์ผกผัน และการด�ำเนินการตามแถว
7. หาผลลัพธ์ของการบวก การลบเวกเตอร์ การคูณเวกเตอร์ดว้ ยสเกลาร์ หาผลคูณเชิงสเกลาร์ และผลคูณเชิงเวกเตอร์
8. น�ำความรูเ้ กีย่ วกับเวกเตอร์ในสามมิตไิ ปใช้ในการแก้ปญั หา
รวม 8 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติม
คณิ ตศาสตร์ ม.5 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ชั้น ม.5 เล่ม 1 ผู้จัดท�ำได้
ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและ
มีความหลากหลายให้กบั ผูเ้ รียน เพือ่ ให้ผเู้ รียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิต์ ามผลการเรียนรู้ รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�ำหนดไว้ โดยครูสามารถน�ำไปใช้ส�ำหรับจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม
ส�ำหรับ Pedagogy หลักที่น�ำมาใช้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย
ขั้นการใช้ความรู้เดิมเชื่อมโยงความรู้ใหม่ ขั้นเข้าใจ
ขั้นรู้ ขั้นลงมือท�ำ
1 1. เข้าใจฟังก์ชันตรีโกณมิติและ
ลักษณะกราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการระบุ
- ตรวจใบงานที่ 1.1-1.3
- ตรวจแบบฝึกทักษะ
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
ฟังก์ชัน และนำ�ไปใช้ในการแก้ปัญหา - ทักษะการเปรียบเทียบ ในหนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
ตรีโกณมิติ 2. แก้สมการตรีโกณมิติ และนำ�ไปใช้ - ทักษะการตีความ - ตรวจสอบแบบฝึกหัด เล่ม 1
ในการแก้ปัญหา - ทักษะการเชื่อมโยง ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ - แบบฝึกหัด
3. ใช้กฎของโคไซน์และกฎของไซน์ - ทักษะการให้เหตุผล - การน�ำเสนอผลงาน รายวิชาเพิ่มเติม
ในการแก้ปัญหา - ทักษะการวิเคราะห์ - ตรวจผังมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ ม.5
- ทักษะการนำ�ความรู้ไปใช้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เล่ม 1
- ทักษะการประยุกต์ใช้ 40 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ - ใบงาน
ความรู้ ชั่วโมง - สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
2 1. เข้าใจความหมาย หาผลลัพธ์ของ
การบวกเมทริกซ์ การคูณเมทริกซ์กับ
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการระบุ
- ตรวจใบงานที่ 2.1- 2.2
- ตรวจแบบฝึกทักษะ
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
เมทริกซ์ จำ�นวนจริง การคูณระหว่างเมทริกซ์ - ทักษะการเปรียบเทียบ ในหนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
และหาเมทริกซ์สลับเปลี่ยน - ทักษะการเชื่อมโยง - ตรวจสอบแบบฝึกหัด เล่ม 1
หาดีเทอร์มิแนนต์ของเมทริกซ์ n × n - ทักษะการให้เหตุผล ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ - แบบฝึกหัด
เมื่อ n เป็นจำ�นวนนับที่ไม่เกินสาม - ทักษะการวิเคราะห์ - การน�ำเสนอผลงาน รายวิชาเพิ่มเติม
2. หาเมทริกซ์ผกผันของเมทริกซ์ 2 × 2 - ทักษะการนำ�ความรู้ไปใช้ - ตรวจผังมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ ม.5
3. แก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้
เมทริกซ์ผกผัน และการดำ�เนินการ
- ทักษะการประยุกต์ใช้
ความรู้
20 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
เมทริกซ์
เล่ม 1
- ใบงาน
ชั่วโมง
ตามแถว - สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
3 1. หาผลลัพธ์ของการบวก การลบ
เวกเตอร์ การคูณเวกเตอร์ด้วย
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการระบุ
- ตรวจใบงานที่ 3.1- 3.6
- ตรวจแบบฝึกทักษะ
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
เวกเตอร์ สเกลาร์ หาผลคูณเชิงสเกลาร์ - ทักษะการเปรียบเทียบ ในหนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
ในสามมิติ และผลคูณเชิงเวกเตอร์ - ทักษะการเชื่อมโยง - ตรวจสอบแบบฝึกหัด เล่ม 1
2. นำ�ความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิติ - ทักษะการให้เหตุผล ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ - แบบฝึกหัด
ไปใช้ในการแก้ปัญหา - ทักษะการวิเคราะห์ - การน�ำเสนอผลงาน รายวิชาเพิ่มเติม
- ทักษะการนำ�ความรู้ไปใช้ - ตรวจผังมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ ม.5
- ทักษะการประยุกต์ใช้
ความรู้
20 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
เวกเตอร์ในสามมิติ
เล่ม 1
- ใบงาน
ชั่วโมง
- สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
สารบั ญ
Chapter Teacher
Chapter Title Overview Script
หน่วยการเรียนรู้ท
ี่ 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ T2 - T7 T8 - T9
ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ T293 - T301
อภิธานศัพท์ T302 - T303
บรรณานุกรม T304
บันทึก T305- T306
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาความยาวส่วนโค้ง Inductive - ตรวจใบงานที่ 1.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
การวัดความยาว เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ และพิกัดของ Method - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ส่วนโค้งและพิกัด ม.5 เล่ม 1 จุดปลายส่วนโค้ง - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการตีความ 3. มุ่งมั่น
ของจุดปลาย - แบบฝึกหัดรายวิชา ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ ในการท�ำงาน
ส่วนโค้ง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. ใช้ความรู้ ทักษะ - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง
ม.5 เล่ม 1 และกระบวนการทาง การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะ
2 - ใบงานที่ 1.1 คณิตศาสตร์ในการ - สังเกตความมีวินัย การให้เหตุผล
ชั่วโมง แก้ไขปัญหาได้อย่าง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการวิเคราะห์
เหมาะสม (P) ในการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ความรู้ไปใช้
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายวิธีการเปลี่ยน Concept - ตรวจใบงานที่ 1.2 - ทักษะการระบุ 1. มีวินัย
ฟังก์ชัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ มุมจากหน่วยองศา Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.4 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติ ม.5 เล่ม 1 เป็นเรเดียนและจาก Teaching - ตรวจ Exercise 1.4 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
ของมุม - แบบฝึกหัดรายวิชา เรเดียนเป็นองศาได้ - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
3 ม.5 เล่ม 1 2. อธิบายวิธีการหา การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
ชั่วโมง - ใบงานที่ 1.2 อัตราส่วนตรีโกณมิติ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ของรูปสามเหลี่ยม การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
มุมฉากได้ (K) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
3. เขียนแสดงขั้นตอน ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
วิธีการเปลี่ยนมุมจาก ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
หน่วยองศาเป็น
เรเดียนและจาก
เรเดียนเป็นองศา
ได้ (P)
4. เขียนแสดงขั้นตอน
การหาอัตราส่วน
ตรีโกณมิติของ
รูปสามเหลี่ยม
มุมฉากได้ (P)
5. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T3
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาคาบแอมพลิจูด Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.6 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
กราฟของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ และเรนจ์ของกราฟ Based - ตรวจ Exercise 1.6 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ฟังก์ชัน ม.5 เล่ม 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ 3. มุ่งมั่น
ตรีโกณมิติ - แบบฝึกหัดรายวิชา ได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. เขียนกราฟฟังก์ชัน การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
3 ม.5 เล่ม 1 ตรีโกณมิติได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
T4
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 8 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ใช้ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.8 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ฟังก์ชัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ สองเท่า สามเท่า Based - ตรวจ Exercise 1.8 - ทักษะการตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติของ ม.5 เล่ม 1 และครึ่งเท่าของ Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
สองเท่า สามเท่า - แบบฝึกหัดรายวิชา จ�ำนวนจริงหรือมุม - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
และครึ่งเท่าของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหาได้ การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
จ�ำนวนจริง ม.5 เล่ม 1 (K) - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
2. เขียนแสดงขั้นตอน การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
3 การหาค่าของฟังก์ชัน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง ตรีโกณมิติสองเท่า ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
สามเท่า และครึ่งเท่า ในการท�ำงาน
ของจ�ำนวนจริงหรือมุม
ได้ (P)
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T5
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 10 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาค่าของตัวผกผันของ Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ตัวผกผัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Method 1.10 - ทักษะการตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
ของฟังก์ชัน ม.5 เล่ม 1 ที่กำ� หนดให้ได้ (K) - ตรวจ Exercise 1.10 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
ตรีโกณมิติ - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - การน�ำเสนอผลงาน การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ วิธีการหาตัวผกผัน - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
4 ม.5 เล่ม 1 ของฟังก์ชันตรีโกณมิติ การท�ำงานรายบุคคล การให้เหตุผล
ชั่วโมง ที่กำ� หนดให้ พร้อมให้ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการวิเคราะห์
เหตุผลประกอบได้ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการน�ำ
อย่างสมเหตุสมผล - สังเกตความมีวินัย ความรู้ไปใช้
(P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ในการท�ำงาน
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T6
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 12 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความสัมพันธ์ Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
กฎของไซน์และ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ กฎของโคไซน์และ Based 1.12 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
โคไซน์ ม.5 เล่ม 1 กฎของไซน์ได้ (K) Teaching - ตรวจ Exercise 1.12 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนเหตุผลประกอบ - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ ในการท�ำงาน
3 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การพิสูจน์กฎของ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 โคไซน์และกฎของไซน์ การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
ได้อย่างสมเหตุสมผล - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
(P) การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
3. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
การน�ำกฎของโคไซน์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการประยุกต์
และกฎของไซน์ไปใช้ ในการท�ำงาน ใช้ความรู้
แก้ปัญหาได้อย่าง
สมเหตุสมผล (P)
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T7
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
1
เตรียม
1. ครู ก ระตุ น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
หน่วยการเรียนรู้ที่
นักเรียนดูภาพหนาหนวยการเรียนรูที่ 1 ใน
หนังสือเรียน หนา 2 จากนั้นครูถามคําถาม
วา “นักเรียนคิดวา GPS มีความเกี่ยวของกับ
ฟงกชันตรีโกณมิติอยางไร”
ฟังก์ชน
ั ตรีโกณมิติ
หมายเหตุ : ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถาม
“GPS เปนเทคโนโลยีที่ ใชชวยในการระบุตําแหนง ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò GPS
ประจําหนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน หนา 2
ของวัตถุหรือบุคคลบนพื้นผิ วโลกโดยใชการสงคลื่น ÁÕ¤ÇÒÁà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñº
หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรูท ี่ 1 สัญญาณจากพื้นผิ วโลกไปยังดาวเที ยม จากนั้นจึง ¿˜§¡ªÑ¹µÃÕ⡳ÁÔµÔ
สงตอกลับมายังผูร ับที่อยูบ นพืน้ ผิ วโลกอีกครั้งหนึง่ ” Í‹ҧäÃ
S ดาวเทียม
d
ตัวรับสัญญาณ E
L
R
ผลการเรียนรู้
• เขาใจฟงกชันตรีโกณมิติและลักษณะกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติ และนําไปใชในการแกปญหา
กําหนด d แทนระยะหางระหวางตัวรับ • แกสมการตรีโกณมิติ และนําไปใชในการแกปญหา
• ใชกฎของโคไซนและกฎของไซนในการแกปญหา
สัญญาณ GPS กับดาวเทียม สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
RE แทนรัศมีของโลก • ฟงกชันตรีโกณมิติ • เอกลักษณและสมการตรีโกณมิติ
• ฟงกชันตรีโกณมิติผกผัน • กฎของโคไซนและกฎของไซน
RS แทนรัศมีวงโคจรของดาวเทียม
พิจารณา ∆SER โดยใชกฎของโคไซน
จะได d 2 = RE2 + RS 2 - 2(RE)(RS) cos L
T8
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
เตรียม
อัตราสวนตรีโกณมิติ
B ความยาวของดานตรงขามมุม A
ไซนของมุม A หรือ sin A คือ ความยาวของดานตรงขามมุมฉาก
c ความยาวของดานประชิดมุม A
a โคไซนของมุม A หรือ cos A คือ ความยาวของดานตรงขามมุมฉาก
ความยาวของดานตรงขามมุม A
แทนเจนตของมุม A หรือ tan A คือ ความยาวของดานประชิดมุม A
A b C
แบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน ฟงกชันตรีโกณมิติ 3
T9
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
เตรียม
4. ครูวาดรูปวงกลมที่มีรัศมียาวหนึ่งหนวยและ
มีจุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0) บนกระดาน
1.1 การวัดความยาวสวนโคงและพิกดั ของจุดปลาย
พรอมระบุพิกัด (1, 0), (0, 1), (-1, 0) และ สวนโคง
(0, -1) แลวถามนักเรียนวา นักเรียนเคยทราบมาแลววา ความสัมพันธ { (x, y)∊R × R x2 + y2 = r2 } เปน
• การหาความยาวเสนรอบวงของวงกลม ความสัมพันธที่มีกราฟเปนวงกลมที่มีจุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0) รัศมียาว r หนวย แตถา
มีสูตรวาอยางไร ความสัมพันธ { (x, y)∊R × R x2 + y2 = 1 } เปนความสัมพันธทมี่ กี ราฟเปนวงกลม มีจดุ ศูนยกลาง
(แนวตอบ 2πr) อยูที่จุด (0, 0) รัศมียาว 1 หนวย และมีความยาวเสนรอบวงเทากับ 2π หนวย เรียกวงกลม
• วงกลมรูปนี้มีความยาวเสนรอบวงเทากับ นี้วา วงกลมหนึ่งหนวย (unit circle)
เทาไร วงกลมหนึ่งหนวย เมื่อวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมเปนระยะ θ หนวย
(แนวตอบ วงกลมรูปนี้มีความยาวเสนรอบวง จะมีจุดสิ้นสุดเพียง 1 จุดเทานั้น คือ จุดปลายสวนโคงคูอันดับ (x, y) ดังรูป
เทากับ 2π(1) = 2π หนวย) Y
(0, 1)
(x, y) θ
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง (-1, 0) O X
(1, 0)
1. ครูอธิบายวา วงกลมหนึ่งหนวย เมื่อวัดระยะ
จากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมเปน (0, -1)
ระยะ θ หนวย จะมีจดุ สิน้ สุดเพียง 1 จุดเทานัน้ รูปที่ 1 θ> 0
คือ จุดปลายสวนโคงคูอันดับ (x, y) ดังรูปที่ 1
ในหนังสือเรียน หนา 4 จากรูปที่ 1 ถา θ > 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง
2. ครูอธิบายตอวา ในหนังสือเรียน หนา 4 จาก ทวนเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
Y
รูปที่ 1 ถา θ > 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบน (0, 1)
สวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง
ทวนเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย และจาก O X
(-1, 0) (1, 0)
รูปที่ 2 ถา θ < 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบน
สวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง (x, y)
(0, -1)
θ
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
3. ครูใหนักเรียนดูรูปที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 5
รูปตอไปนี้ เปนการแสดงตําแหนงของจุดปลายสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวย เมื่อกําหนด θ
ซึง่ เปนการแสดงตําแหนงของจุดปลายสวนโคง
ใหมีคาตาง ๆ กัน ดังนี้
ของวงกลมหนึง่ หนวย เมือ่ วัดระยะจากจุด (1, 0)
Y
(0, 1)
Y ไปบนสวนโคงของวงกลมเปนระยะ θ = π2
จะเห็นวา วงกลมรัศมี 1 หนวย มีความยาว
เสนรอบวงเทากับ 2π หนวย จะแบงเปน 4 สวน
O X
(1, 0) (-1, 0) O X
(1, 0) เทาๆ กัน และวัดในทิศทางทวนเข็มนาฬกา
แลว θ มีคาเปนบวก และดูรูปที่ 8 ซึ่งเปนการ
แสดงตํ า แหน ง ของจุ ด ปลายส ว นโค ง ของ
รูปที่ 3 θ = π2 รูปที่ 4 θ = π วงกลมหนึ่งหนวยเปนระยะ θ = - π2 จะเห็นวา
วงกลมรัศมี 1 หนวย จะแบงเปน 4 สวน
Y Y เทาๆ กัน แตวัดในทิศทางตามเข็มนาฬกา
แลว θ มีคาเปนลบ
4. ครูใหนักเรียนดูรูปที่ 7 ในหนังสือเรียน หนา 5
O X
O X จะเห็นวา ตําแหนงของจุดปลายสวนโคงของ
วงกลมหนึ่งหนวยเปนระยะ θ = 2π + π2 = 52π
(1, 0) (1, 0)
(0, -1)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 5
3. θ = -π 4. θ = 32π
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.1 เรื่อง การหา Y
(0, 1)
Y
ตํ า แหน ง ของจุ ด ปลายส ว นโค ง ของวงกลม
หนึ่งหนวย เมื่อทําเสร็จแลวครูสุมนักเรียนออกมา
X X
นําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบ (-1, 0) O (1, 0) O (1, 0)
ความถูกตอง
T12
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
3. ครูใหนักเรียนดูตาราง ในหนังสือเรียน หนา 7
จากตารางเขียนความสัมพันธระหวาง θ กับ y ได ดังนี้
และกล า วว า สามารถเขี ย นความสั ม พั น ธ
ระหวาง θ กับ y ได ซึ่งความสัมพันธดังกลาว {(0, 0), (π2 , 1), (π, 0), ( 32π , -1), (2π, 0)}
จะไมมีสองคูอันดับใดใชสมาชิกตัวหนาซํ้ากัน ถา g เปนความสัมพันธระหวาง θ กับ y ซึ่งไมมีสองคูอันดับใดใชสมาชิกตัวหนาซํ้า
จะเรียกความสัมพันธนี้วา ฟงกชันไซน จะไดวา
4. ครูใหนกั เรียนพิจารณารูปที่ 14 ในหนังสือเรียน g = { (θ, y)∊R × R y = g(θ) }
หนา 8 และกลาววา จุดปลายสวนโคงทีย่ าว θ เรียกความสัมพันธนี้วา ฟงกชันไซน เมื่อ y = sine θ หรือ y = sin θ
มีพิกัด (x, y) ซึ่งเขียนแทนดวย (cos θ, sin θ) ดังนั้น g = { (θ, y)∊R × R y = sin θ }
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน
หนา 8 จากนั้นครูยกตัวอยางเพิ่มเติม ดังนี้ 2. คาของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซน
Y
ใหนักเรียนเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ (x, y)
หนวย ในรูป (cos θ, sin θ) ของ θ ในแตละขอ จากรูปวงกลมหนึ่งหนวยและความสัมพันธ
ตอไปนี้ x = cos θ และ y = sin θ จะเห็นวา ถาจุดปลาย
X สวนโคงที่ยาว θ มีพิกัด (x, y) แลวพิกัด (x, y)
• -π O (1, 0)
(แนวตอบ θ = -π เขียนในรูป (cos θ, sin θ) จะเขียนแทนดวย (cos θ, sin θ) ดังตัวอยาง
ไดเปน (cos (-π), sin (-π)))
• 32π รูปที่ 14
(แนวตอบ θ = 32π เขียนในรูป (cos θ, sin θ) ตัวอย่างที่ 1
ไดเปน (cos 32π, sin 32π) ) ใหเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย ของ θ ในแตละขอตอไปนี้ ในรูป
(cos θ, sin θ)
เปรียบเทียบและรวบรวม 1) π 2) π2 3) -2π 4) - 32π
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา 1) (cos π, sin π) 2) (cos π2 , sin π2 )
หนา 8 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 3) (cos (-2π), sin (-2π)) 4) 3π 3π
(cos (- 2 ), sin (- 2 ))
“ลองทําดู”
ลองทําดู
ใหเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย ของ θ ในแตละขอตอไปนี้ ในรูป (cos θ, sin θ)
1) 2π 2) 32π
3) - π2 4) -π
8
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 2
1 หนา 9 และกลาววา จากความสัมพันธ x = cos θ
Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวยที่กําหนด2 ใหหาคาของ
(0, 1) และ y = sin θ จะไดวา ที่ θ เทากับคาใดๆ นั่นคือ
ฟ ง ก ชั น ไซน แ ละฟ ง ก ชั น โคไซน ใ นแต ล ะข อ
ตอไปนี้ จุดปลายสวนโคงจะกําหนดพิกัด (x, y) ซึ่งเปน
X 1) sin 0 2) cos π2 จุดบนวงกลมหนึ่งหนวยไดเพียงพิกัดเดียว
(-1, 0) 0 (1, 0)
3) sin 2 3π 4) cos 2π
เปรียบเทียบและรวบรวม
5) sin (- 2 ) π 6) cos (- 32π )
(0, -1)
7) sin (-π) 8) cos (-2π) 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 9 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีทํา จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ จะไดวา คําตอบ “ลองทําดู”
1) sin 0 = 0 2) cos π2 = 0 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับขอสังเกตที่ไดจาก
3) sin 32π = -1 4) cos 2π = 1 “ลองทําดู” วา จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย
5) sin (- π2 ) = -1 6) cos (- 32π ) = 0 จะไดวา
7) sin (-π) = 0 8) cos (-2π) = 1 P(nπ) = (1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคู
P(nπ) = (-1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคี่
ลองทําดู
Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวยที่กําหนด ใหหาคาของ
(0, 1)
ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนในแตละขอตอไปนี้
1) cos 0 2) sin π2
(-1, 0) 0 X
(1, 0)
3) cos 32π 4) sin 2π
π
5) cos (- 2 ) 6) sin (- 32π )
(0, -1) 7) cos (-π) 8) sin (-2π)
Y
(0, 1)
ให P(θ) แทนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย
X จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา
(-1, 0) 0 (1, 0) P(nπ) = (1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคู
P(nπ) = (-1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคี่
(0, -1)
รูปที่ 15
ฟงกชันตรีโกณมิติ 9
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
การหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงบวก
ฟงกชันโคไซนของ sin π4 และ cos π4 โดยวาด
1) การหาคาของ sin π4 และ cos π4
รูปที่ 16 ในหนังสือเรียน หนา 10 บนกระดาน
และกลาววา จุด P(x, y) เปนจุดกึ่งกลางของ Y Y
B(0, 1)
สวนโคง AB ทําใหไดวา สวนโคง AP ยาวเทากับ P(x, y) Pʹ P( 22 , 22 )
สวนโคง PB นัน่ คือ คอรด AP ยาวเทากับคอรด
X X
PB ดังนั้น AP = PB O A(1, 0) O (1, 0)
2. ครูใหนักเรียนชวยกันหาความยาวของคอรด
Pʺ P‴
AP และคอรด PB แลวสงตัวแทนมาเขียน
แสดงวิธีการหาคําตอบบนกระดาน รูปที่ 16 รูปที่ 17
3. ครูอธิบายและแสดงวิธีการหาคาของ x และ y
จากสมการ AP = PB บนกระดาน จากรูปที่ 16 ใหจุด P(x, y) เปนจุดกึ่งกลางของสวนโคง AB
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุดปลายสวนโคง เนื่องจาก สวนโคง AB ยาว π2 หนวย
ที่ยาว π4 หนวย คือ จุด ( 22 , 22 ) ทําใหไดวา แสดงวา สวนโคง AP ยาวเทากับสวนโคง PB ซึ่งยาว π4 หนวย
cos π4 = 22 และ sin π4 = 22 จะไดวา คอรด AP ยาวเทากับคอรด PB
ดังนั้น AP = PB
(x - 1)2 + (y - 0)2 = (x - 0)2 + (y - 1)2
x2 - 2x + 1 + y2 = x2 + y2 - 2y + 1
x =y
จาก x + y2
2
= 1 (สมการวงกลมของวงกลมหนึง่ หนวย)
จะได 2x2 =1
x =±1
2
เนื่องจาก (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 จะไดวา x > 0 และ y > 0
ดังนั้น x = 1 = 22 และ y = 1 = 22
2 2
นั่นคือ จุดปลายสวนโคงที่ยาว π4 หนวย คือ จุด ( 22 , 22 )
ทําใหไดวา cos π4 = 22 และ sin π4 = 22
10
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครูอธิบายการหาคาของฟงกชันไซนและ
จากรูปที่ 17 นักเรียนสามารถหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง ฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง
3π , 5π , 7π , ..., (2n + 1)π เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และ - 3π , - 5π , - 7π , ..., 3π , 5π , 7π , ... , (2n + 1)π
4 4 4 4 4 4 4 4 4 4 4
(2n
- 4 + 1)π เมื อ
่ n เป น จํ า นวนเต็ ม บวก เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และ
ตัวอย่างที่ 3
- 34π , - 54π , - 74π , ... , - (2n +4 1)π
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก
1) cos 34π 2) sin 34π 3) cos 54π 4) sin 54π โดยวาดรูปที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 10 บน
กระดาน แลวใหนกั เรียนชวยกันหาคาแตละคา
5) cos (- π4 ) 6) sin (- π4 ) 7) cos (- 34π ) 8) sin (- 34π ) รวมกับครู
6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 3
วิธีทํา Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา
ในหนังสือเรียน หนา 11 และเปดโอกาสให
(- 22 , 22 ) ( 22 , 22 ) จุด ( 22 , 22 ), (- 22 , 22 ), (- 22 , - 22 ) และ นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ โดยครู
( 22 , - 22 ) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม เนนยํ้ากับนักเรียนในเรื่องของระบบพิกัดฉาก
O (1, 0)
X
หนึ่งหนวยที่ยาว ∣π4 ∣, ∣ 34π ∣, ∣ 54π ∣ และ ∣ 74π ∣ ดังนี้
ตามลําดับ เมื่อวัดจากจุด (1, 0) 1) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 แลว
(- 22 , - 22 ) ( 22 , - 22 ) x > 0 และ y > 0
2) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 2 แลว
ในทํานองเดียวกัน จุด ( 22 , - 22 ), (- 22 , - 22 ), (- 22 , 22 ) และ ( 22 , 22 ) ก็เปน x < 0 และ y > 0
จุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีย่ าว ∣- π4 ∣, ∣- 34π ∣, ∣- 54π ∣ และ ∣- 74π ∣ ตามลําดับ 3) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 3 แลว
เมื่อวัดจากจุด (1, 0) เชนกัน x < 0 และ y < 0
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบน 4) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 4 แลว
วงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา x > 0 และ y < 0
1) cos 34π = - 22 2) sin 34π = 22
3) cos 54π = - 22 4) sin 54π = - 22
5) cos (- π4 ) = 22 6) sin (- π4 ) = - 22
7) cos (- 34π ) = - 22 8) sin (- 34π ) = - 22
ฟงกชันตรีโกณมิติ 11
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 12 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
“ลองทําดู”
1) cos 74π 2) sin 74π 3) cos 114π 4) sin 114π
สอนหรือแสดง 5) cos (- 74π ) 6) sin (- 74π ) 7) cos (- 54π ) 8) sin (- 54π )
1. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
ฟงกชันโคไซนของ sin π6 และ cos π6 โดยวาด 2) การหาคาของ sin π6 และ cos π6
รูปที่ 18 ในหนังสือเรียน หนา 12 บนกระดาน Y Y
B(0, 1)
และกลาววา จุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB
ทําใหไดวา สวนโคง AP ยาว π6 หนวย และ P(X, y) Pʹ P( 23 , 12 )
สวนโคง AB ยาว π2 หนวย นั่นคือ สวนโคง PB O X
A(1, 0) O
X
A(1, 0)
ยาว π2 - π6 = π3 หนวย P‴(X, -y) Pʺ P‴
2. ครูกําหนดจุด P‴(x, y) เปนภาพที่เกิดจาก
การสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน X เปน รูปที่ 18 รูปที่ 19
เส น สะท อ น จากนั้ น ให นั ก เรี ย นช ว ยกั น หา
ความสัมพันธระหวางสวนโคง AP‴ กับสวนโคง จากรูปที่ 18 ใหจุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB ที่ทําใหสวนโคง AP ยาว π6 หนวย
AP และหาความยาวสวนโคง PP‴ แลวถาม เนื่องจาก สวนโคง AB ยาว π2 หนวย
คําถาม ดังนี้ จะไดวา สวนโคง PB ยาว π2 - π6 = π3 หนวย
• สวนโคง PP‴ กับสวนโคง PB มีความยาว ใหจุด P‴(x, -y) เปนภาพที่เกิดจากการสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน X เปนเสนสะทอน
เทากันหรือไม จะไดวา สวนโคง AP‴ ยาวเทากับสวนโคง AP
(แนวตอบ เทากัน) ดังนั้น สวนโคง PP‴ ยาว π6 + π6 = π3 หนวย
3. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา สวนโคง PP‴ ยาวเทากับ นั่นคือ สวนโคง PP‴ ยาวเทากับสวนโคง PB
สวนโคง PB ทําใหไดวา คอรด PP‴ ยาวเทากับ ดังนั้น คอรด PP‴ ยาวเทากับคอรด PB
คอรด PB และแสดงวิธีการหาคาของ x และ y จะไดวา PP‴ = PB
จากสมการ PP‴ = PB บนกระดาน (x - x) + (y + y)2 = (x - 0)2 + (y - 1)2
2
4y2 = x2 + y2 - 2y + 1
4y2 + 2y - 2 = 0 (เนื่องจาก x2 + y2 = 1)
2y2 + y - 1 = 0
(2y - 1)(y + 1) = 0
12
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุดปลายสวนโคง
เนื่องจาก (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 จะไดวา x > 0 และ y > 0
ดังนั้น y = 12 และ x = 32 ที่ยาว π6 หนวย คือ จุด ( 23 , 12 ) ทําใหไดวา
นั่นคือ จุดปลายสวนโคงที่ยาว π6 หนวย คือ จุด ( 32 , 12 ) cos π6 = 23 และ sin π6 = 12
จะไดวา cos π6 = 32 และ sin π6 = 12 5. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
จากรูปที่ 19 นักเรียนสามารถหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง ฟ ง ก ชั น โคไซน ข องจํ า นวนจริ ง 2n π ± π6 ,
2nπ ± π6 , 2nπ ± 56π , 2nπ ± 76π และ 2nπ ± 116π เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม เชน - 56π , - π6 , 2nπ ± 56π , 2nπ ± 76π และ 2nπ ± 116π
7π , 13π , 19π เปนตน เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม โดยวาดรูปที่ 19 ใน
6 6 6
หนังสือเรียน หนา 12 บนกระดาน แลวให
ตัวอย่างที่ 4
นักเรียนชวยกันหาคาแตละคารวมกับครู
ใหใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนในแตละขอตอไปนี้
1) cos 56π 2) sin 56π 3) cos 76π 4) sin 76π 6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 4
5) cos (- π6 ) 6) sin (- π6 ) 7) cos (- 56π) 8) sin (- 56π) ในหนังสือเรียน หนา 13 และเปดโอกาสให
นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
วิธีทํา Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา
จุด ( 32 , 12 ), (- 32 , 12 ), (- 32 , - 12 ) และ
(- 23 , 12 ) ( 23 , 12 )
( 32 , - 12 ) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
O (1, 0)
X
หนึ่งหนวยที่ยาว ∣ π6 ∣, ∣ 56π ∣, ∣ 76π ∣ และ ∣116π ∣
(- 23 , - 12 ) ( 23 , - 12 ) ตามลําดับ เมื่อวัดจากจุด (1, 0)
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 14 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ใหใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนในแตละขอตอไปนี้
“ลองทําดู”
1) cos 116π 2) sin 116π 3) cos 176π 4) sin 176π
สอนหรือแสดง 5) cos (- 76π ) 6) sin (- 76π ) 7) cos (- 116π) 8) sin (- 116π)
1. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
ฟงกชันโคไซนของ sin π3 และ cos π3 โดยวาด 3) การหาคาของ sin π3 และ cos π3
Y Y
รูปที่ 20 ในหนังสือเรียน หนา 14 บนกระดาน B(0, 1) P( 12 , 23 )
Pʹ(-x, y) P(x, y) Pʹ
และกลาววา จุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB
ทําใหไดวา สวนโคง AP ยาว π3 หนวย
X X
2. ครูกําหนดจุด P′(-x, y) เปนภาพที่เกิดจาก O A(1, 0) O A(1, 0)
การสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน Y เปน
เส น สะท อ น จากนั้ น ให นั ก เรี ย นช ว ยกั น หา Pʺ P‴
ความสัมพันธระหวางสวนโคง PP′ กับสวนโคง รูปที่ 20 รูปที่ 21
PA จากรูปที่ 20 ใหจุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB ที่ทําใหสวนโคง AP ยาว π3 หนวย
3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา สวนโคง PP′ ยาวเทากับ ใหจุด P′(-x, y) เปนภาพที่เกิดจากการสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน Y เปนเสนสะทอน
สวนโคง PA ทําใหไดวา คอรด PP′ ยาวเทากับ จะไดวา สวนโคง PP′ ยาวเทากับสวนโคง PA ซึ่งยาว π3 หนวย
คอรด PA และแสดงวิธีการหาคาของ x และ ดังนั้น คอรด PP′ ยาวเทากับคอรด PA
y จากสมการ PP′ = AP บนกระดาน จะไดวา PP′ = AP
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุดปลายสวนโคง (x + x)2 + (y - y)2 = (x - 1)2 + (y - 0)2
ที่ยาว π3 หนวย คือ จุด ( 12 , 23 ) ทําใหไดวา 4x2 = x2 - 2x + 1 + y2
cos π3 = 12 และ sin π3 = 23 4x2 + 2x - 2 = 0 (เนื่องจาก x2 + y2 = 1)
2
2x + x - 1 = 0
(2x - 1)(x + 1) = 0
เนื่องจาก (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 จะไดวา x > 0 และ y > 0
ดังนั้น x = 12 และ y = 32
นั่นคือ จุดปลายสวนโคงที่ยาว π3 หนวย คือ จุด ( 12 , 32 )
จะไดวา cos π3 = 12 และ sin π3 = 32
14
เกร็ดแนะครู
การหาจุดปลายของสวนโคง เมื่อ θ = π3 ครูควรใชคําถามใหนักเรียน
ไดคิดวิเคราะห เชน
• ถาใชการสะทอน P(x, y) ตามแกน X นักเรียนคิดวาจะหาคาของ x
และ y ไดหรือไม เพราะเหตุใด
• เพราะเหตุใด เมื่อใชการสะทอนจุด P(x, y) ตามแกน Y จึงหาคาของ x
และ y ได
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
จากรูปที่ 21 นักเรียนสามารถหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง
ฟ ง ก ชั น โคไซน ข องจํ า นวนจริ ง 2n π ± π3 ,
2nπ ± π3 , 2nπ ± 23π, 2nπ ± 43π และ 2nπ ± 53π เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม เชน - 53π, - π3 , 53π,
2nπ ± 23π , 2nπ ± 43π และ 2nπ ± 53π
10π, 14π เปนตน
3 3 เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม โดยวาดรูปที่ 21 ใน
หนังสือเรียน หนา 14 บนกระดาน แลวให
ตัวอย่างที่ 5
นักเรียนชวยกันหาคาแตละคารวมกับครู
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ 6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 5
1) sin 43π 2) cos 43π 3) sin 53π 4) cos 53π ในหนังสือเรียน หนา 15 และเปดโอกาสให
5) sin (- 23π ) 6) cos (- 23π ) 7) sin (- 73π ) 8) cos (- 73π ) นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 15
T21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หนา 16 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
“ลองทําดู” 1) sin 23π 2) cos 23π 3) sin 73π 4) cos 73π
สอนหรือแสดง 5) sin (- 43π ) 6) cos (- 43π ) 7) sin (- 53π) 8) cos (- 53π )
ครูอธิบายตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน หนา 16
ซึง่ แตกตางจากการหาคา sin θ และ cos θ จากเดิม ตัวอย่างที่ 6
16
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ฟงกชันตรีโกณมิติ 17
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7 ใน
ตัวอย่างที่ 7
หนังสือเรียน หนา 18 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ใหหาคาของ sin (- π4 ) และ cos (- π4 )
เปรียบเทียบและรวบรวม
วิธีทํา จาก sin (-θ) = -sin θ และ cos (-θ) = cos θ จะไดวา
sin (- π4 ) = -sin π4 = - 22 และ cos (- π4 ) = cos π4 = 22
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 18 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ลองทําดู
“ลองทําดู”
ใหหาคาของ sin (- π6 ) และ cos (- π6 )
สอนหรือแสดง
1. ครูวาดรูปที่ 23 ในหนังสือเรียน หนา 18 บน 1) การหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ π2 < θ < π
กระดาน และใหนักเรียนชวยกันหาระยะทาง Y
ระหวางจุด (1, 0) กับจุด P(x, y) Pʹ(-x, y) P(x, y)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จุด P(x, y) เปนภาพที่
X
เกิดจากการสะทอนจุด P′(-x, y) โดยมีแกน Y B(-1, 0) O A(1, 0)
เปนเสนสะทอน
3. ครูถามคําถาม ดังนี้
• สวนโคง P′B กับสวนโคง AP มีความยาว รูปที่ 23
เทากันหรือไม จากรูปที่ 23 กําหนด π2 < θ < π และจุด P′(-x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
(แนวตอบ เทากัน) หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย
• จุด P′(-x, y) อยูในจตุภาคใด ให α = π - θ จะไดวา 0 < α < π2
(แนวตอบ จตุภาคที่ 2) เนื่องจาก สวนโคง AP′ ยาว θ หนวย
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา sin (π - α) = sin α ดังนั้น สวนโคง P′B ยาว α หนวย
และ cos (π - α) = -cos α เมื่อ 0 < α < π2 ใหจุด P(x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P′(-x, y) โดยมีแกน Y เปน
เสนสะทอนจากสวนโคง P′B ยาว α หนวย จะไดวา สวนโคง AP ยาว α หนวย
ดังนั้น จุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จากจุด (1, 0) เปนระยะ
α หนวย
จะไดวา x = cos α และ y = sin α
แต -x = cos θ = cos (π - α) และ y = sin θ = sin (π - α)
18
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 8 ใน
จึงสรุปไดวา sin (π - α) = sin α และ cos (π - α) = -cos α
หนังสือเรียน หนา 19 แลวแลกเปลี่ยนความรู
เมื่อ 0 < α < π2
กับคูของตนเอง พรอมกับตอบคําถามตอไปนี้
• นักเรียนสามารถเขียน 45π ใหอยูในรูปของ
ตัวอย่างที่ 8 π
5 ไดหรือไม ถาเขียนไดจะเขียนอยางไร
กําหนด sin π5 = 0.59 และ cos π5 = 0.81 ใหหา (แนวตอบ เขียนได คือ 45π = π - π5 )
1) sin 45π 2) cos 45π 6. ครูวาดรูปที่ 24 ในหนังสือเรียน หนา 19 บน
กระดาน และอธิบายการหาระยะทางระหวาง
วิธีทํา 1) sin 45π = sin (π - π5 )
จุด (1, 0) กับจุดปลายสวนโคง P″(-x, -y) และ
= sin π5 (จาก sin (π - α) = sin α เมื่อ 0 < α < π2 ) ถามคําถาม ดังนี้
= 0.59 • จุด P″(-x, -y) สามารถเขียนใหอยูใ นรูปของ
2) cos 45π = cos (π - π5 ) ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนไดอยางไร
(แนวตอบ -x = cos θ และ -y = sin θ)
= -cos π5 (จาก cos (π - α) = -cos α เมื่อ 0 < α < π2 )
7. ครูกําหนด α = π - θ แลวอธิบายการหา
= -0.81
ความยาวของสวนโคง AB และสวนโคง BP″
ลองทําดู
π = 0.31 และ cos π = 0.95 ใหหา
เปรียบเทียบและรวบรวม
กําหนด sin 10 10
9 ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
π
1) sin 10 2) cos 910π หนา 19 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
“ลองทําดู”
2) การหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ π < θ < 32π
Y
Pʹ(-x, y) P(x, y)
O X
B(-1, 0) A(1, 0)
Pʺ(-x, -y)
รูปที่ 24
ฟงกชันตรีโกณมิติ 19
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครูอธิบายรายละเอียดเกีย่ วกับการสะทอนของ
จากรูปที่ 24 กําหนด π < θ < 32π และจุด P″(-x, -y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
จุด P(x, y), P′(-x, y) และ P″(-x, -y) แลวถาม
หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา -x = cos θ และ -y = sin θ
คําถาม ดังนี้
ให α = θ - π จะได θ = π + α เมื่อ 0 < α < π2
• ความยาวของสวนโคง AP ยาวเทากับเทาใด
(แนวตอบ สวนโคง AP ยาว α หนวย) เนื่องจาก สวนโคง AB ยาว π หนวย จะไดวา สวนโคง BP′′ ยาว θ - π = α หนวย
2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุด P(x, y) เปน ใหจุด P′(-x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P″(-x, -y) โดยมีแกน X เปน
จุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จาก เสนสะทอนและจุด P(x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P′(-x, y) โดยมีแกน Y เปน
จุด (1, 0) เปนระยะ α หนวย จะไดวา x = cos α เสนสะทอน
และ y = sin α แตจาก -x = cos θ = cos (π + α) จะไดวา สวนโคง AP ยาว α หนวย
ดังนั้น จุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปน
และ -y = sin θ = sin (π + α) จึงสรุปไดวา
ระยะ α หนวย
sin (π + α) = -sin α และ cos (π + α) = -cos α
จะไดวา x = cos α และ y = sin α
เมื่อ 0 < α < π2 แตจาก -x = cos θ = cos (π + α) และ -y = sin θ = sin (π + α)
3. ใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือเรียน
หนา 20 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง จึงสรุปไดวา sin (π + α) = -sin α และ cos (π + α) = -cos α
พรอมกับตอบคําถามตอไปนี้ เมื่อ 0 < α < π2
• นักเรียนทราบหรือไมวา 65π สามารถเขียน
ใหอยูในรูป π5 ไดอยางไร ตัวอย่างที่ 9
(แนวตอบ 65π = π + π5 ) กําหนด sin π5 = 0.59 และ cos π5 = 0.81 ใหหา
1) sin 65π 2) cos 65π
20
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
π = 0.31 และ cos π = 0.95 ใหหา หนา 21 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
กําหนด sin 10 10 “ลองทําดู”
1) sin 1110π 2) cos 1110π
สอนหรือแสดง
3) การหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ 32π < θ < 2π 1. ครูอธิบายการหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ
3π < θ < 2π โดยวาดรูปที่ 25 ในหนังสือเรียน
Y 2
P(x, y) หนา 21 บนกระดาน พรอมกับใหนกั เรียนตอบ
คําถาม ดังนี้
O X • สวนโคง P′A มีความยาวเทากับเทาใด
A(1, 0)
ถากําหนดให α = 2π - θ
Pʹ(x, -y) (แนวตอบ สวนโคง P′A ยาว 2π - θ
รูปที่ 25 = 2π - 2π + α = α หนวย)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมและสรุปวา
จากรูปที่ 25 กําหนด 32π < θ < 2π และจุด P′(x, -y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม sin (2π - α) = -sin α และ
หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา x = cos θ และ -y = sin θ cos (2π - α) = cos α เมื่อ 0 < α < π2
ให α = 2π - θ จะไดวา θ = 2π - α เมื่อ 0 < α < π2
เนื่องจาก เสนรอบวงของวงกลมหนึ่งหนวยยาว 2π หนวย จะไดวา สวนโคง P′A ยาว
2π - θ = 2π - 2π + α = α หนวย
ใหจุด P(x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P′(x, -y) โดยมีแกน X เปน
เสนสะทอน
จะไดวา สวนโคง AP ยาว α หนวย
ดังนั้น จุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จากจุด (1, 0) เปนระยะ
α หนวย
จะไดวา x = cos α และ y = sin α
แตจาก x = cos θ = cos (2π - α) และ -y = sin θ = sin (2π - α)
จึงสรุปไดวา sin (2π - α) = -sin α และ cos (2π - α) = cos α
เมื่อ 0 < α < π2
ฟงกชันตรีโกณมิติ 21
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 10 ใน
ตัวอย่างที่ 10
หนังสือเรียน หนา 22 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง พรอมกับตอบคําถามตอไปนี้ กําหนด sin π5 = 0.59 และ cos π5 = 0.81 ใหหา
• นักเรียนทราบหรือไมวา 95π สามารถเขียน 1) sin 95π 2) cos 95π
ใหอยูในรูป π5 ไดอยางไร วิธีทํา 1) sin 95π = sin (2π - π5 )
(แนวตอบ 95π = 2π - π5 )
= -sin π5 (จาก sin (2π - α) = -sin α เมื่อ 0 < α < π2 )
4. ครูอธิบายการหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ
= -0.59
θ > 2π โดยการวาดรูปในหนังสือเรียน หนา 22
บนกระดาน แลวใหนกั เรียนจับคูเ พือ่ ชวยกันหา 2) cos 95π = cos (2π - π5 )
ขอสรุป แลวเขียนใสกระดาษ A4 = cos π5 (จาก cos (2π - α) = cos α เมื่อ 0 < α < π2 )
5. ครูสุมนักเรียน 2 คู ออกมานําเสนอขอสรุป = 0.81
หนาชัน้ เรียน จากนัน้ ครูสรุปวา การหาจุดปลาย
สวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จากจุด (1, 0) ลองทําดู
เปนระยะ θ หนวย เมื่อ θ > 2π สามารถหาได กําหนด sin 10π = 0.31 และ cos π = 0.95 ใหหา
10
จากจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั 1) sin 1910π 2) cos 1910π
จากจุด (1, 0) เปนระยะ α หนวย เมือ่ θ = 2nπ + α
และ 0 ≤ α ≤ 2π จึงสรุปไดวา sin (2nπ + α)
4) การหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ θ > 2π
= sin α และ cos (2nπ + α) = cos α Y คณิตน่ารู้
P(x, y)
การหาคา sin θ และ cos θ
เมือ่ 0 < -2π หาไดจากสมบัติ
O X ที่วา
(1, 0)
sin (-θ) = -sin θ
cos(-θ) = cos θ
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด cos π6 = 0.87 ใหหาวา cos 116π เทากับขอใด
1. 0.435 2. -0.435 3. 0.87 4. -0.87
(เฉลยคําตอบ cos 116π = cos (2π - π6 ) = cos π6
= 0.87
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
6. ครูเขียน 253π และ 616π บนกระดาน แลวถาม
จะเห็นวา จุด P(x, y) ที่เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปน
ระยะ θ หนวย และจุด P(x, y) ที่เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) คําถาม ดังนี้
เปนระยะ α หนวย เปนจุดเดียวกัน • 253π และ 616π สามารถเขียนใหอยูในรูป
2nπ + α ไดอยางไร
ดังนั้น การหาจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย
เมื่อ θ > 2π สามารถหาไดจากจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปน (แนวตอบ 253π = 8π + π3 , 616π = 10π + π6 )
ระยะ α หนวย เมื่อ θ = 2nπ + α และ 0 ≤ α < 2π จึงสรุปไดวา 7. ครูและนักเรียนรวมกันศึกษาตัวอยางที่ 11
ในหนังสือเรียน หนา 23 และเปดโอกาสให
sin (2nπ + α) = sin α นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
cos (2nπ + α) = cos α
เปรียบเทียบและรวบรวม
ตัวอย่างที่ 11 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ใหหาคาของฟงกชันไซนและโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ หนา 23 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
1) cos 253π 2) sin (- 616π ) คําตอบ “ลองทําดู”
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.2 ในแบบฝกหัด
วิธีทํา 1) cos 253π = cos (8π + π3 ) เปนการบาน
= cos (2(4)π + π3 )
= cos π3 (จาก cos (2nπ + α) = cos α , 0 ≤ α < 2π)
ขัน้ สรุป
สรุป
= 1
2 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
2) sin (- 616π ) = -sin ( 616π ) (จาก sin (-θ) = -sin θ, θ > 0) นักเรียน ดังนี้
= -sin (10π + π6 ) • คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของ
= -sin (2(5)π + π6 ) จํานวนจริงใดๆ หาไดอยางไร
= -sin π6 (จาก sin (2nπ + α) = sin α, 0 ≤ α < 2π) (แนวตอบ
1) การหาคาของ sin θ และ cos θ
= - 12
เมื่อ π2 < θ < π จะไดวา
sin (π - α) = sin α
ลองทําดู
และ cos (π - α) = -cos α
ใหหาคาของฟงกชันไซนและโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
เมื่อ 0 < α < π2
1) cos 314π 2) sin (- 503π ) 2) การหาคาของ sin θ และ cos θ
เมื่อ π < θ < 32π จะไดวา
ฟงกชันตรีโกณมิติ 23
sin (π + α) = -sin θ
และ cos (π + α) = -cos θ
เมื่อ 0 < α < π2
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
สรุป
3) การหาคาของ sin θ และ cos θ
แบบฝึกทักษะ 1.2
เมื่อ 32π < θ < 2π จะไดวา
sin (2π - α) = -sin α ระดับพื้นฐาน
และ cos (2π - α) = cos α 1. ใหเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว ∣θ∣ หนวย ของ θ ในแตละขอตอไปนี้ในรูป (cos θ, sin θ)
เมื่อ 0 < α < π2 1) 0 2) 10π 3) - 32π 4) -10π
4) การหาคา sin θ และ cos θ 2. ใหหาคาของ cos θ และ sin θ เมื่อ θ เปนจํานวนจริง ในแตละขอตอไปนี้
เมื่อ θ > 2π และ θ = 2nπ + α 1) θ = 4π + π3 2) θ = 193π 3) θ = 314π 4) θ = - 296π
เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก
3. กําหนด sin θ = 32 และ cos θ = 12 ใหหาคาของ
และ 0 ≤ α < 2π จะไดวา 1) sin (-θ) 2) cos (-θ)
sin (2nπ + α) = sin α และ 3) sin (π - θ) 4) cos (π - θ)
cos (2nπ + α) = cos α) 5) sin (π + θ) 6) cos (π + θ)
7) sin (2π - θ) 8) cos (2π - θ)
นําไปใช 9) sin (2π + θ) 10) cos (2π + θ)
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ 4. ใหหาจํานวนจริง θ ที่สอดคลองกับฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง เมื่อ -4π ≤ θ ≤ 4π
และเก ง ) ให อ ยู ก ลุ ม เดี ย วกั น แล ว ร ว มกั น ทํ า 1) sin θ = - 12 2) sin θ = 32 3) cos θ = - 12 4) cos θ = - 22
แบบฝ ก ทั ก ษะ 1.2 ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 24 ระดับกลาง
จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา
5. ใหหาคาของ cos θ และ sin θ เมื่อ θ เปนจํานวนจริง ในแตละขอตอไปนี้
นําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบ
1) θ = 3π + π6 2) θ = 5π - π4 3) θ = -π - π4 4) θ = -2π + π6
ความถูกตอง
6. กําหนด sin θ = 12 และ cos θ = 32 ใหหาคาของ
ขัน้ ประเมิน 1) sin (-π + θ) 2) cos (-π + θ)
3) sin (-π - θ) 4) cos (-π - θ)
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.2 5) sin (-2π + θ) 6) cos (-2π + θ)
2. ครูตรวจ Exercise 1.2 7) sin (-2π - θ) 8) cos (-2π - θ)
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 9) sin (θ - 4π) 10) cos (θ - 7π)
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ระดับทาทาย
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู 7. กําหนด sin (- 9118π ) = 0.17 ใหหาจํานวนจริง θ ที่ทําให sin θ = sin (- 9118π ) มา 4 จํานวน
มุงมั่นในการทํางาน เมื่อ -10π ≤ θ ≤ 10π พรอมอธิบายเหตุผลประกอบ
24
3. sin 74π
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T30
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ฟงกชันตรีโกณมิติ 25
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
การหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ แยกพิจารณาจาก 4 กรณีตอไปนี้
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
ดังนี้ 1) กรณี 0 < θ < π2
• คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 1 เนื่องจาก 0 < sin θ < 1 และ 0 < cos θ < 1 เมื่อ 0 < θ < π2
เปนอยางไร sin θ ดังนั้น tan θ > 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ > 1
θ
(แนวตอบ จตุภาคที่ 1 sin θ และ cos θ
มีคาเปนบวก) cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ > 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ > 1
3. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
อื่นๆ กรณี 0 < θ < π2 โดยใชรูปวงกลม สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ 0 < θ < π2 คาของฟงกชันตรีโกณมิติทุกคา
หนึ่งหนวย มีคาเปนจํานวนบวก
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 12 ใน
ตัวอย่างที่ 12
หนังสือเรียน หนา 26 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan π3 2) cot π3 3) sec π3 4) cosec π3
ใชทฤษฎี หลักการ
sin π3 3
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา 1) tan π3 = = 21 = 3
cos π3 2
หนา 26 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
cos π3 1
“ลองทําดู” 2) cot π3 = = 23 = 3
sin π3 3
2
3) sec π3 = 1 π 1
= 1 = 2
cos 3 2
4) cosec π3 = 1 π = 1 = 23
sin 3 3 3
2
ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan π4 2) cot π4 3) sec π4 4) cosec π4
26
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
2) กรณี π2 < θ < π
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
เนื่องจาก 0 < sin θ < 1 และ -1 < cos θ < 0 เมื่อ π2 < θ < π ดังนี้
sin θ ดังนั้น tan θ < 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ < -1 • คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 2
θ
เปนอยางไร
cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ < 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ > 1
(แนวตอบ จตุภาคที่ 2 sin θ มีคาเปนบวก
และ cos θ มีคาเปนลบ)
สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ π2 < θ < π คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคเซแคนต 2. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
มีคาเปนจํานวนบวก สวนฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ มีคาเปนจํานวนลบ อื่นๆ กรณี π2 < θ < π โดยใชรูปวงกลม
หนึ่งหนวย
ตัวอย่างที่ 13
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 13 ใน
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ หนังสือเรียน หนา 27 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1) tan 23π 2) cot 23π 3) sec 23π 4) cosec 23π กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
sin 23π 3
วิธีทํา 1) tan 23π = = 21 = -3 ใชทฤษฎี หลักการ
cos 23π -2 Ô´
á¹Ðá¹Ç¤ ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
cos 2π -1 sin 23π = sin (π - π3 ) หนา 27 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
2) cot 23π = 23π = 32 = - 33
sin 3 = sin π3 “ลองทําดู”
2
3) sec 23π = 12π = 11 = -2 cos 23π = cos (π - π3 )
cos 3 -2 = -cos π3
4) cosec 23π = 12π = 13 = 23
3
sin 3 2
ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan 56π 2) cot 56π 3) sec 56π 4) cosec 56π
ฟงกชันตรีโกณมิติ 27
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
3) กรณี π < θ < 32π
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
ดังนี้ เนื่องจาก -1 < sin θ < 0 และ -1 < cos θ < 0 เมื่อ π < θ < 32π
• คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 3 sin θ ดังนั้น tan θ > 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ < -1
θ
เปนอยางไร
cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ > 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ < -1
(แนวตอบ จตุภาคที่ 3 sin θ และ cos θ
มีคาเปนลบ)
2. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ π < θ < 32π คาของฟงกชันแทนเจนตและฟงกชันโคแทนเจนต
มีคาเปนจํานวนบวก สวนฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ มีคาเปนจํานวนลบ
อื่นๆ กรณี π < θ < 32π โดยใชรูปวงกลม
หนึ่งหนวย
ตัวอย่างที่ 14
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 14 ใน
หนังสือเรียน หนา 28 แลวแลกเปลี่ยนความรู ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน 1) tan 43π 2) cot 43π 3) sec 43π 4) cosec 43π
ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan 54π 2) cot 54π 3) sec 54π 4) cosec 54π
28
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
4) กรณี 32π < θ < 2π
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
เนื่องจาก -1 < sin θ < 0 และ 0 < cos θ < 1 เมื่อ 32π < θ < 2π ดังนี้
sin θ ดังนั้น tan θ < 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ > 1 • คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 4
θ
เปนอยางไร
cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ < 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ < -1 (แนวตอบ จตุภาคที่ 4 sin θ มีคาเปนลบ
และ cos θ มีคาเปนบวก)
สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ 32π < θ < 2π คาของฟงกชันโคไซนและฟงกชันเซแคนต 2. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
มีคาเปนจํานวนบวก สวนฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ มีคาเปนจํานวนลบ อื่นๆ กรณี 32π < θ < 2π โดยใชรูปวงกลม
หนึ่งหนวย
ตัวอย่างที่ 15 3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 15 ใน
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ หนังสือเรียน หนา 29 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1) tan 53π 2) cot 53π 3) sec 53π 4) cosec 53π กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan 116π 2) cot 116π 3) sec 116π 4) cosec 116π
ฟงกชันตรีโกณมิติ 29
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายตารางแสดงคาของฟงกชนั ตรีโกณมิติ
ตารางแสดงคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงบางจํานวน เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2
ของจํานวนจริงบางจํานวน เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2
ในหนังสือเรียน หนา 30 อยางละเอียด θ sin θ cos θ tan θ cosec θ sec θ cot θ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู แ ล ว สลั บ กั น ถาม-ตอบ 0 0 1 0 ไมนิยาม 1 ไมนิยาม
เกี่ ย วกั บ ค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข อง
จํานวนจริงบางจํานวน เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2 ที่อยู π 1 3 3 2 23 3
6 2 2 3 3
ในตารางอยางนอยคนละ 5 ครั้ง
π 2 2 1 2 2 1
4 2 2
ใชทฤษฎี หลักการ
π 3 1 3 23 2 3
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมชวยกันทํา “Thinking Time” 3 2 2 3 3
ในหนังสือเรียน หนา 30 จากนั้นครูสุมตัวแทน π 1 0 ไมนิยาม 1 ไมนิยาม 0
นักเรียน 1 คู มาเฉลยคําตอบ “Thinking Time” 2
หนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
Thinking Time
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ ถา θ เปนจํานวนจริงใด ๆ แลว tan (-θ), cot (-θ), sec (-θ) และ cosec (-θ)
1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 16 ใน มีคาเปนเทาใด
หนังสือเรียน หนา 30 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ตัวอย่างที่ 16
2. ครูสรางโจทยคลายๆ ตัวอยางที่ 16 บนกระดาน ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1 ขอ แลวสุม นักเรียน 1 คน ออกมาแสดงวิธกี าร 1) tan (- π4 ) 2) sec (- π4 ) 3) cot (- π4 ) 4) cosec (- π4 )
หาคาของฟงกชันตรีโกณมิติบนกระดานหนา
ชั้นเรียน วิธีทํา 1) tan (- π4 ) = -tan π4 = -1
2) sec (- π4 ) = sec π4 = 2 = 2
2
3) cot (- π4 ) = -cot π4 = -1
4) cosec (- π4 ) = -cosec π4 = - 2 = - 2
2
30
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 31 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ “ลองทําดู”
1) tan (- π6 ) 2) sec (- π6 ) 3) cot (- π6 ) 4) cosec (- π6 )
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ตัวอย่างที่ 17
1. ครูยกตัวอยางโจทยที่สอดคลองกับ
ใหหาคา sin 76π cos (- 133π) + tan 134π cot 94π tan (2nπ + α) = tan α
วิธีทํา เนื่องจาก sin 76π = sin (π + π6 ) cot (2nπ + α) = cot α
ใหกับนักเรียนบนกระดาน เพื่อเกริ่นนําเขาสู
= -sin π6
ตัวอยางที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 31
= - 12
2. ครูใหนักเรียนทุกคนเขียน 134π และ 94π ใหอยู
cos (- 133π) = cos 133π ในรูปของ 2nπ + α โดยทําลงในสมุดของตนเอง
= cos (4π + π3 ) และอธิบายการหาคาของฟงกชันในตัวอยาง
= cos π3 ที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 31 อยางละเอียด
= 12 ใชทฤษฎี หลักการ
tan 134π = tan (2π + 54π) 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= tan 54π หนา 31 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
=1 คําตอบ “ลองทําดู”
cot 94π = cot (2π + π4 )
= cot π4
=1
จะไดวา sin 76π cos (- 133π) + tan 134π cot 94π = (- 12 )( 12 ) + (1)(1)
= 3
4
ดังนั้น sin 76π cos (- 133π) + tan 134π cot 94π = 3
4
ลองทําดู
ใหหาคาของ sin (- 194π) cot 134π - cos 316π sin (- 203π)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 31
T37
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
2. ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4 คน คละ แนวข้อสอบ PAT 1
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหแตละกลุม ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตอง
ศึ ก ษาแนวข อ สอบ PAT1 ในหนั ง สื อ เรี ย น π sin 7π sin 13π sin 19π > 0
1. sin 15 15 15 15
หนา 32 แลวครูอธิบายวิธีทําอยางละเอียด 2. 0 ≤ sin θ ≤ 1 สําหรับทุกจํานวนจริง θ ใด ๆ
จากนั้นใหแตละกลุมสืบคนหาขอสอบ PAT1 3. cos 413π sin (- 413π) > sin π7 cos (- π7 )
เรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืนๆ กลุมละ 1 ขอ 4. cos θ < 0 เมื่อ 32π < θ < 2π
แลวออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและ
5. cos π5 cos 45π cos 75π > 0
นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายขอสอบใน
แตละขอ แนวคิด
1. เนื่องจาก 0 < 15 π < π , 0 < 7π < π , π < 13π < π และ π < 19π < 3π
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.3 ในแบบฝกหัด 2 15 2 2 15 15 2
จะไดวา sin 15 π > 0, sin 7π > 0, sin 13π > 0 และ sin 19π < 0
เปนการบาน 15 15 15
ดังนั้น sin 15 π sin 7π sin 13π sin 19π < 0
15 15 15
ขัน้ สรุป นั่นคือ ขอ 1. ไมถูกตอง
ตรวจสอบและสรุป
2. เนื่องจาก sin 32π = -1 ซึ่งนอยกวา 0
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ ดังนั้น ขอ 2. ไมถูกตอง
นักเรียน ดังนี้ 3. เนื่องจาก 0 < 413π < π2 และ 0 < π7 < π2
• ในจตุภาคที่ 1 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน จะไดวา cos 413π > 0, sin (- 413π) = -sin 413π ซึ่ง -sin 413π < 0, sin π7 > 0
จํานวนบวก
และ cos (- π7 ) = cos π7 ซึ่งมากกวา 0
(แนวตอบ ฟงกชันตรีโกณมิติทุกคามีคาเปน
ดังนั้น cos 413π sin (- 413π) < 0 และ sin π7 cos (- π7 ) > 0
จํานวนบวก)
• ในจตุภาคที่ 2 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน ทําใหไดวา cos 413π sin (- 413π) < sin π7 cos (- π7 )
จํานวนบวก นั่นคือ ขอ 3. ไมถูกตอง
(แนวตอบ ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคเซแคนต 4. สําหรับทุกจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ 32π < θ < 2π
มีคาเปนจํานวนบวก) cos θ > 0
ดังนั้น ขอ 4. ไมถูกตอง
5. เนื่องจาก 0 < π5 < π2 , π2 < 45π < π และ π < 75π < 32π
จะไดวา cos π5 > 0, cos 45π < 0 และ cos 75π < 0
ดังนั้น cos π5 cos 45π cos 75π > 0
32 นั่นคือ ขอ 5. ถูกตอง
เกร็ดแนะครู
ครูควรนําแนวขอสอบ PAT1 มาใหนักเรียนทําบอยๆ เพื่อใหนักเรียนไดฝก
คิดวิเคราะหและไมประมาทเวลาเจอขอสอบจริง
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• ในจตุภาคที่ 3 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน
แบบฝึกทักษะ 1.3
จํานวนบวก
ระดับพื้นฐาน (แนวตอบ ฟงกชันแทนเจนตและฟงกชัน
โคแทนเจนตมีคาเปนจํานวนบวก)
1. กําหนด sin θ = 35 และ cos θ = 45 ใหหาคาของ
1) tan θ 2) sec θ • ในจตุภาคที่ 4 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน
3) cot θ 4) cosec θ จํานวนบวก
(แนวตอบ ฟงกชนั โคไซนและฟงกชนั เซแคนต
2. กําหนด sin θ = - 35 และ cos θ = 45 ใหหาคาของ มีคาเปนจํานวนบวก)
1) tan θ 2) sec θ
3) cot θ 4) cosec θ ฝกปฏิบตั ิ
3. กําหนด sin θ = 35 และ cos θ = 45 ใหหาคาของ ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
1) tan (-θ) 2) sec (-θ) ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
3) cot (-θ) 4) cosec (-θ)
และเก ง ) ให อ ยู ก ลุ ม เดี ย วกั น แล ว ช ว ยกั น ทํ า
4. ใหหาคาของ แบบฝกทักษะ 1.3 ในหนังสือเรียน หนา 33 จากนัน้
1) sin π3 + sin 23π + sin 43π + sin 53π ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอคําตอบ
2) sin π4 + cos 54π + tan 34π + sin π4 หนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
3) sin 54π cos 43π - cos 23π tan 34π
ขัน้ ประเมิน
ระดับกลาง 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.3
5. กําหนด 0 < θ < π2 และ sin θ = 13 ใหหาคาของ 2. ครูตรวจ Exercise 1.3
1) sin θ + cos θ 2) cot θ + cosec θ 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
3) cos θ - tan θ 4) sec θ - cos θ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. กําหนด -π < θ < - π2 และ tan θ = 23 ใหหาคาของ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
1) sin θ + cos θ 2) sin θ - sec θ 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
3) cos θ + cot θ 4) cos θ - sec θ มุงมั่นในการทํางาน
7. ใหหาคาของ
1) cos π6 sin π3 + cos π3 sin π6 + tan π3 cot π3
2) sin (- π2 ) cos (- 34π) + tan (- 74π) cos(-2π)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 33
tan 3 cos 4 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
3 2
= 3 ( 1 ) - 1 - 8 ( 23 )
3 2
3
2 2
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
= 3 ( 33 ) - ( 2 ) - 8 ( 23 )
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
2
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
3 3 4
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
= 3 ( 27 ) - 2 - 4 3
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
= 33 - 2 - 4 3 = - 6 + 11 3
3
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.) T39
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
θ มีขนาด 1 เรเดียน
34 รูปที่ 27
T40
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 27 ในหนังสือเรียน
จากรูปที่ 27 จะเห็นวา เปนวงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย และมุม θ เปนมุมที่จุดศูนยกลาง
หนา 34 จากนั้นครูอธิบายวา วงกลมนี้เปน
ซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่ยาว r หนวย ดังนั้น θ จึงมีขนาด 1 เรเดียน
เนื่องจาก วงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย จะมีเสนรอบวงยาว 2πr หนวย วงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย และมุม θ เปน
ดังนั้น มุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงของวงกลมที่มีความยาว 2πr หนวย และรัศมี มุมที่จุดศูนยกลาง ซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่
r หนวย จะมีขนาด 2πr r เรเดียน หรือ 2π เรเดียน จึงกลาวไดวา ขนาดของมุมที่จุดศูนยกลางของ ยาว r หนวย ดังนั้น θ จึงมีขนาด 1 เรเดียน
วงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย ที่ไดจากการหมุนรัศมีไปครบ 1 รอบ มีขนาด 2π เรเดียน แตขนาด 5. ครูอธิบายการหาความยาวสวนโคงของวงกลม
ของมุมนี้เมื่อวัดเปนหนวยในระบบองศา จะเทากับ 360 องศา และรวมสรุปกับนักเรียนวา ความยาวสวนโคง
ดังนั้น 360 องศา เทากับ 2π เรเดียน ของวงกลม 1 รอบ เทากับ 2π เรเดียน พรอมกับ
จะไดวา 180 องศา เทากับ π เรเดียน สอนใหนักเรียนรูจักสูตรการเปลี่ยนมุมองศา
นั่นคือ 1 องศา เทากับ 180 π เรเดียน
ใหเปนมุมในระบบเรเดียน คือ 1 เรเดียน เทากับ
360 องศา หรือ 180 องศา
และ 1 เรเดียน เทากับ 360 180
2π องศา หรือ π องศา 2π π
¢ŒÍ¤ÇÃÃÐÇѧ 6. ครูเนนยํ้าความรูในกรอบ “ขอควรระวัง” ใน
หนังสือเรียน หนา 35 ใหกับนักเรียน
การเขียนขนาดของมุมที่มีหนวยเปนเรเดียน จะไมนิยมเขียนหนวยกํากับไว
7. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 18 ใน
หนังสือเรียน หนา 35 และสลับกันสรางโจทย
ตัวอย่างที่ 18
เพื่อฝกฝนการเปลี่ยนหนวยใหแมนยํา
1) เปลี่ยน 30 องศา ใหมีหนวยเปนเรเดียน
2) เปลีย่ น π5 เรเดียน ใหมีหนวยเปนองศา เขาใจ (Understanding)
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 28 ในหนังสือเรียน
2. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุม
หนา 36 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา
∧
BAC มีจุดยอดมุมอยูที่จุด (0, 0) และมี AC ในหัวขอ 1.2 นักเรียนไดศึกษาฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงใด ๆ ซึ่งกําหนด
∧
และ AB เปนแขนของมุม เราจะเรียก BAC วา ไดจากวงกลม 1 หนวย ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศกึ ษาเกีย่ วกับฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุมและความ
มุมที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน สัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงกับฟงกชันตรีโกณมิติของมุม ซึ่งตองเขียนมุม
2. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 29 ในหนังสือเรียน ในวงกลม 1 หนวย ดังนี้
หนา 36 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา Y Y
cos ของจํานวนจริง θ หมายถึง cos ของมุม B B (cos θ, sin θ)
θ เรเดียน และ sin ของจํานวนจริง θ หมายถึง θ
sin ของมุม θ เรเดียน A
0
θ C X
A
0
θ C X
(1, 0) (1, 0)
รูปที่ 28 รูปที่ 29
∧
จากรูปที่ 28 จะเห็นวา BAC มีจุดยอดมุมอยูที่จุด (0, 0) มี AC และ AB เปนแขนของมุม
∧
โดย AC ทับแกน X ทางบวก เรียก BAC วามุมที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน (standard position)
∧
จากรูปที่ 29 จะเห็นวา BAC เปนมุมที่จุดศูนยกลางของวงกลมรัศมียาว 1 หนวย ซึ่งมี
ขนาด θ เรเดียน และจากเรื่องหนวยการวัดมุมในระบบเรเดียนนักเรียนทราบมาแลววา สวนโคง
ของวงกลมหนึ่งหนวยที่รองรับมุมที่จุดศูนยกลางขนาด 1 เรเดียน จะตองยาว 1 หนวย ดังนั้น
∧ ∧
สวนโคงที่รองรับ BAC จึงยาว θ หนวย และจะเห็นวา AB ซึ่งเปนแขนของ BAC ตัดกับวงกลม
หนึ่งหนวยเพียงจุดเดียวและเปนจุดเดียวกันกับจุดปลายของสวนโคงที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ
θ หนวย ในทิศทางเดียวกันกับ θ จึงกลาวไดวา บนวงกลมหนึ่งหนวย
36
T42
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 19 ใน
ตัวอย่างที่ 19
หนังสือเรียน หนา 37 แลวแลกเปลี่ยนความรู
ใหหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
1) θ = 30 ํ 2) θ = -60 ํ
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา เนื่องจาก 30 ํ = π6 เรเดียน และ 60 ํ = π3 เรเดียน จะไดวา
1) sin θ = sin 30 ํ = sin π6 = 12 ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 37 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
cos θ = cos 30 ํ = cos π6 = 23 คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
¹Ç¤Ô´
2) sin θ = sin (-60 ํ) = sin (- π3 ) = -sin π3 = - 23 á¹Ðá
sin (-θ) = -sin θ รู (Knowing)
cos θ = cos (-60 ํ) = cos (- π3 ) = cos π3 = 12 cos (-θ) = cos θ 1. ครูอธิบายวา ในเรือ่ งนีเ้ ปนความสัมพันธระหวาง
ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข องจํ า นวนจริ ง ใดๆ กั บ
ลองทําดู ฟงกชันตรีโกณมิติของมุมของรูปสามเหลี่ยม
มุมฉาก โดยนักเรียนตองใชความรูจากวงกลม
ใหหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ หนึ่งหนวย มุมที่จุดศูนยกลาง และอัตราสวน
1) θ = 135 ํ 2) θ = -150 ํ ของรูปสามเหลี่ยมที่คลายกัน
3. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุมของรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก
ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาความสัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงใด ๆ
กับฟงกชันตรีโกณมิติของมุมของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยใชความรูจากวงกลมหนึ่งหนวย
มุมที่จุดศูนยกลาง และอัตราสวนของรูปสามเหลี่ยมที่คลายกัน ดังนี้
B B
Y Y
D D (cos θ, sin θ)
A X A X
0 (1, 0)C 0 E (1, 0) C
3. 1 4. 23
(เฉลยคําตอบ sin 420 ํ = sin (360 ํ + 60 ํ)
= sin 60 ํ
= 23
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 30 ในหนังสือเรียน
จากรูปที่ 30 มี ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งมีมุม C เปนมุมฉาก และมีมุม A เปน
หนา 37 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา มุมที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน และแขน AB ตัดวงกลมที่จุด D
ABC เปนรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ซึง่ มีมมุ C เปน
จากรูปที่ 31 ลาก DE ตั้งฉากกับแกน X จะไดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADE ซึ่งมุม A เปนมุม
มุมฉาก และแขน AB ตัดวงกลมที่จุด D
ที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน และจุด D จะมีคูอันดับเปน (cos θ, sin θ)
3. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 31 ในหนังสือเรียน
จากรูปสามเหลี่ยม ADE โดยอัตราสวนตรีโกณมิติ จะไดวา AE = cos θ, DE = sin θ และ
หนา 37 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา
AD = 1
เมือ่ ลาก DE ตัง้ ฉากกับแกน X จะไดวา ADE เปน
รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งมีมุม A เปนมุมฉาก เนื่องจาก รูปสามเหลี่ยม ADE คลายกับรูปสามเหลี่ยม ABC
4. ครูใหนกั เรียนชวยกันวิเคราะหและตอบคําถาม จะไดวา AD AE DE
AB = AC = BC อัตราสวนของดานที่สมนัยกัน
ดังนี้ AE AD DE AD
• รูปสามเหลีย่ ม ABC และรูปสามเหลีย่ ม ADE
AC = AB และ BC = AB
cos θ = 1 และ sin θ = 1
เปนรูปสามเหลีย่ มคลายกันหรือไม ถาคลายกัน AC AB BC AB
ใหนกั เรียนหาอัตราสวนดานทีส่ มนัยกัน cos θ = AC
AB และ sin θ = AB
BC
(แนวตอบ คลายกัน จะไดวา sin θ = BC
AD = AE = DE ) tan θ = cos θ AC
AB AC BC BC
5. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปคาอัตราสวน ดังนั้น tan θ = AC
ตรีโกณมิติ จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC ซึ่งนักเรียนทราบคาอัตราสวนตรีโกณมิติ sin A, cos A และ
tan A มาแลว ซึ่งจะมีคา ดังนี้
sin A = BC AC
AB , cos A = AB , tan A = AC
BC
ความยาวดานตรงขามมุม θ
sin θ = ความยาวด านตรงขามมุมฉาก
ความยาวดานประชิดมุม θ
cos θ = ความยาวด านตรงขามมุมฉาก
tan θ = ความยาวด านตรงขามมุม θ
ความยาวดานประชิดมุม θ
38
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
6. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 20 ใน
ตัวอย่างที่ 20
หนังสือเรียน หนา 39 และชวยกันหาอัตราสวน
ใหหาอัตราสวนตรีโกณมิติของมุม A ทุกอัตราสวน ตรีโกณมิตขิ องมุม C ของรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก
C วิธีทํา BC
=35
sin A = AC ABC
AB (แนวตอบ sin C = 45 , cos C = 35 , tan C = 43 ,
=45
cos A = AC
5 cot C = 34 , sec C = 53 , cosec C = 54 )
3 tan A = BC
=34
AB
A cot A = tan1 A
= 13 = 43 เขาใจ (Understanding)
4 B
4
1
sec A = cos A = 14 = 54 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
5 หนา 39 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
1
cosec A = sin A = 13 = 53 คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
5 ถูกตอง
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ
ลองทําดู ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
ใหหาอัตราสวนตรีโกณมิติของมุม A ทุกอัตราสวน และเก ง ) ให อ ยู ก ลุ ม เดี ย วกั น แล ว ช ว ยกั น
C วิเคราะหและพิจารณาคําถามของแบบฝกทักษะ
13 1.4 ในหนังสือเรียน หนา 40-41 ขอ 1.-8.
5
จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน 2 กลุม ออกมานําเสนอ
A 12 B หนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC และทฤษฎีบทพีทาโกรัส
หนา 40 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ จะได AC2 = AB2 + BC2
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ 22 = 12 + BC2
ถูกตอง BC2 = 3
2. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.2 เรื่อง การหาคา BC = 3
ของ tan θ, cot θ, sec θ และ cosec θ ดังนั้น sin A = ACBC = 3
2
เมื่อทราบคาของมุม เปนการบาน BC
tan A = AB =13 = 3
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.4 ในแบบฝกหัด
เปนการบาน cot A = tan1 A = 13
sec A = cos1 A = 2
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ cosec A = sin1 A = 2
3
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวชวยกันวิเคราะห ลองทําดู
และพิจารณาคําถามของแบบฝกทักษะ 1.4 ใน รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC มีมุม B เปนมุมฉาก และ cos A = 103 ใหหา sin A, tan A,
หนังสือเรียน หนา 41 ขอ 9. จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน cos A, sec A และ cosec A
2 กลุม ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
แบบฝึกทักษะ 1.4
ขัน้ สรุป ระดับพื้นฐาน
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ 1. เปลี่ยนมุม θ ในหนวยองศาแตละขอตอไปนี้ใหมีหนวยเปนเรเดียน
นักเรียน ดังนี้ 1) θ = 75 ํ 2) θ = 120 ํ
• 360 องศา เทากับกี่เรเดียน 3) θ = 270 ํ 4) θ = -60 ํ
(แนวตอบ 2π เรเดียน) 5) θ = -135 ํ 6) θ = -315 ํ
• 180 องศา เทากับกี่เรเดียน 2. เปลี่ยนมุม θ ในหนวยเรเดียนแตละขอตอไปนี้ใหมีหนวยเปนองศา
(แนวตอบ π เรเดียน) 1) θ = π4 2) θ = 23π
• 1 องศา เทากับกี่เรเดียน 3) θ = 53π 4) θ = - 116π
π
(แนวตอบ 180 เรเดียน)
5) θ = - 73π 6) θ = - 92π
• 1 เรเดียน เทากับกี่องศา
(แนวตอบ 360 180
2π องศา หรือ π องศา)
40
ขอสอบเนน การคิด
รูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ABC ทีม่ มี มุ C เปนมุมฉาก ดาน BC ยาว 3 หนวย และมุม B มีขนาด 60 ํ
ใหหาความยาวของดาน AB และ AC
1. AB = 6 และ AC = 5.196 2. AB ≈ 6 และ AC = 5.196
3. AB = 6 และ AC ≈ 5.196 4. AB ≈ 6 และ AC ≈ 5.196
(เฉลยคําตอบ ให a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C ของรูปสามเหลีย่ ม
ABC ตามลําดับ B
60 ํ
เนื่องจาก cos 60 ํ = ca
c
a=3 จะไดวา c = 3
A cos 60 ํ
b C
b = 31
เนื่องจาก tan 60 ํ = a 2
จะไดวา b = 3 tan 60 ํ = 6
=3 3 นั่นคือ ดาน AB ยาวเทากับ 6 และดาน AC ยาวประมาณ
≈ 5.196 5.196
T46 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
• cos ของจํานวนจริง θ หมายถึงอะไร
(แนวตอบ cos ของมุม θ เรเดียน)
3. ใหหาคา sin θ และ cos θ ในแตละขอตอไปนี้ • sin ของจํานวนจริง θ หมายถึงอะไร
1) θ = 45 ํ 2) θ = 120 ํ
3) θ = 150 ํ 4) θ = 210 ํ (แนวตอบ sin ของมุม θ เรเดียน)
5) θ = -30 ํ 6) θ = -135 ํ • sin θ เปนความยาวของดานของ
7) θ = -240 ํ 8) θ = -300 ํ รูปสามเหลี่ยมมุมฉากดานใดตอดานใด
ความยาวของดานตรงขามมุม θ
4. ใหหาอัตราสวนตรีโกณมิติทุกอัตราสวนของมุม θ ในแตละขอตอไปนี้ (แนวตอบ sin θ = ความยาวของด านตรงขามมุมฉาก
)
1) 2) • cos θ เปนความยาวของดานของ
8 13
รูปสามเหลี่ยมมุมฉากดานใดตอดานใด
θ θ ความยาวของดานประชิดมุม θ
6 12 (แนวตอบ cos θ = ความยาวของด านตรงขามมุมฉาก
)
5. ถา tan θ = 1 แลว sin θ, cos θ, cot θ, sec θ และ cosec θ มีคาเทาใด • tan θ เปนความยาวของดานของ
2
รูปสามเหลี่ยมมุมฉากดานใดตอดานใด
ระดับกลาง (แนวตอบ tan θ = ความยาวของด านตรงขามมุม θ
ความยาวของดานประชิดมุม θ
)
6. ใหหาคา tan θ, cot θ, sec θ และ cosec θ ในแตละขอตอไปนี้
1) θ = 120 ํ 2) θ = -150 ํ ขัน้ ประเมิน
3) θ = 210 ํ 4) θ = -300 ํ 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.2
Ô´
7. ใหหาคาของ á¹Ðá¹Ç¤ 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.4
1) 4 cos (-30 ํ) + sin (-60 ํ) sin2 θ = sin θ • sin θ 3. ครูตรวจ Exercise 1.4
2) 5 tan 315 ํ cos (-390 ํ) cos2 θ = cos θ • cos θ 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
2 2 2
3) 2 sin (-45 ํ) cos (-120 ํ) tan (135 ํ) tan2 θ = tan θ • tan θ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
cos 420 ํ + sin (-810 )
ํ
4) cos (-450 ํ) + sin (-270 ํ) 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
8. ถา tan θ • cot2 θ = 33 แลว θ มีคาเปนเทาใด เมื่อ -360 ํ ≤ θ ≤ 360 ํ 7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน
ระดับทาทาย
9. กําหนด 2 sin θ = 1 เมื่อ 0 ํ < θ < 90 ํ ใหหาคาของ
1) sin (90 ํ - θ) 2) cos (90 ํ - θ)
3) tan (90 ํ - θ) 4) cot (90 ํ - θ)
5) sec (90 ํ - θ) 6) cosec (90 ํ - θ)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 41
เดียวกัน
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T47
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
การเปดตารางหาคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ
42
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียนเชื่อมโยงความรู
จากตารางคาของฟงกชันตรีโกณมิตินักเรียนจะเห็นวา ดานบนและดานลางจะมีชื่อฟงกชัน
ดังนี้
ตรีโกณมิติแตกตางกัน ดังนั้น การอานคาฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนตั้งแต 0 ถึง π4 หรือของ
• sin 45 ํ 20′´ มีคาเทาใด
มุมตั้งแต 0 ํ ถึง 45 ํ ใหอานทางดานซายของตารางโดยอานจากบนลงลาง แตถาคาฟงกชัน
ตรีโกณมิติของจํานวนจริงตั้งแต π4 ถึง π2 หรือของมุมตั้งแต 45 ํ ถึง 90 ํ ใหอานทางขวามือ (แนวตอบ sin 45 ํ 20 ′´ = 0.7112)
ของตารางโดยอานจากลางขึ้นบน ดังตัวอยางตอไปนี้ • cos 30 ํ 10′´ มีคาเทาใด
(แนวตอบ cos 30 ํ 10 ′´ = 0.8646)
ตัวอย่างที่ 22 • tan 60 ํ 50′ มีคาเทาใด
ใหหาคาฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ นแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ (แนวตอบ tan 60 ํ 50 ′´ = 1.7917)
1) sin 43 ํ 20′ 2) cos 45 ํ 50′ 3) tan 46 ํ 10′ 3. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หา ในหนังสือเรียน
4) cot 0.7941 5) sec 0.7738 6) cosec 0.8145 หนา 43 และชวยกันทําตัวอยางที่ 22 ขอ 1)-4)
โดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
วิธีทํา จากตารางจะได 4. ครูอธิบายตัวอยางที่ 22 ขอที่ 5) และ 6)
1) sin 43 ํ 20′ = 0.6862 ในหนังสือเรียน หนา 43 และเปดโอกาสให
2) cos 45 ํ 50′ = 0.6967 นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
3) tan 46 ํ 10′ = 1.0416
เขาใจ (Understanding)
4) cot 0.7941 = 0.9827
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
1
5) เนื่องจาก sec 0.7738 = cos 0.7738 หนา 43 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
จากตารางจะได cos 0.7738 = 0.7153 คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
1 ≈ 1.3980
ดังนั้น sec 0.7738 = 0.7153 ถูกตอง
1
6) เนื่องจาก cosec 0.8145 = sin 0.8145 2. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.3 เรื่อง การใช
ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ เปนการบาน
จากตารางจะได sin 0.8145 = 0.7274
1 ≈ 1.3748
ดังนั้น cosec 0.8145 = 0.7274
ลองทําดู
ใหหาคาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
1) sin 28 ํ 40′ 2) cos 64 ํ 10′ 3) tan 13 ํ 30′
4) cot 0.7127 5) sec 0.5963 6) cosec 1.3294
ฟงกชันตรีโกณมิติ 43
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนเปดตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
สําหรับการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือของมุมที่ไมไดแสดงในตาราง
ในภาคผนวกของหนั ง สื อ เรี ย น หาค า ของ
จะใชความรูจากการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวน ดังตัวอยางตอไปนี้
sin 14 ํ° 16′ จากนั้นถามนักเรียน ดังนี้
ตัวอย่างที่ 23
• นักเรียนสามารถหาคาของ sin 14 °ํ 16′ โดยใช
ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติไดหรือไม ใหหาคาฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ นแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ
(แนวตอบ ไมสามารถหาคาของ sin 14 °ํ 16′ ได)
1) sin 14 ํ 16′ 2) cos 73 ํ 42′ 3) tan 0.4225
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา เราสามารถหาคา วิธีทํา 1) จากตารางจะได sin 14 ํ 10′ = 0.2447
ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข องจํ า นวนจริ ง หรื อ sin 14 ํ 20′ = 0.2476
ของมุมทีไ่ มไดแสดงในตารางได โดยใชความรู จากคาของฟงกชันตรีโกณมิติขางตน จะไดวา
จากการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวน คาของมุมเพิ่มขึ้น 10′ คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0029
3. ครูอธิบายตัวอยางที่ 23 ขอ 1)-3) ในหนังสือเรียน คาของมุมเพิ่มขึ้น 6′ คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0029
10 × 6 ≈ 0.0017
หนา 44 ใหนกั เรียนดูบนกระดานทีละขัน้ ตอน ดังนั้น sin 14 ํ 16′ ≈ 0.2447 + 0.0017 = 0.2464
อยางละเอียด พรอมกับใหนกั เรียนเปดตาราง 2) จากตารางจะได cos 73 ํ 40′ = 0.2812
หาคาฟงกชนั ตรีโกณมิตไิ ปพรอมๆ กัน cos 73 ํ 50′ = 0.2784
จากคาของฟงกชันตรีโกณมิติขางตน จะไดวา
เขาใจ (Understanding) คาของมุมเพิ่มขึ้น 10′ คาของฟงกชันโคไซนลดลง 0.0028
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน คาของมุมเพิ่มขึ้น 2′ คาของฟงกชันโคไซนลดลง 0.0028 10 × 2 ≈ 0.0006
′
ดังนั้น cos 73 ํ 42 ≈ 0.2812 - 0.0006 = 0.2806
หนา 44 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คํ า ตอบหน า ชั้ น เรี ย น โดยครู ต รวจสอบความ 3) จากตารางจะได tan 0.4218 = 0.4487
ถูกตอง tan 0.4247 = 0.4522
จากคาของฟงกชันตรีโกณมิติขางตน จะไดวา
คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น 0.0029 คาของฟงกชันแทนเจนตเพิ่มขึ้น 0.0035
คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น 0.0007 คาของฟงกชันแทนเจนตเพิ่มขึ้น d
จะไดวา 0.0035 d = 0.0007
0.0029
d =0.0007
0.0029 × 0.0035 ≈ 0.0008
ดังนั้น tan 0.4225 ≈ 0.4487 + 0.0008 = 0.4495
ลองทําดู
ใหหาคาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
1) sin 14 ํ 28′ 2) cos 78 ํ 12′ 3) tan 0.6759
44
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนศึกษากรอบ “ขอควรระวัง” ใน
¢ŒÍ¤ÇÃÃÐÇѧ
หนังสือเรียน หนา 45 วา ถาฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ด
การหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือของมุมที่ไมไดแสดงในตารางโดยใชความรูจาก มีคา ของฟงกชนั ลดลง เมือ่ ขนาดของมุมเพิม่ ขึน้
การเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวน ถาฟงกชันตรีโกณมิติใดมีคาของฟงกชันลดลงเมื่อขนาดของ ค า ที่ ไ ด จ ากการเที ย บบั ญ ญั ติ ไ ตรยางศ ห รื อ
มุมเพิ่มขึ้น คาที่ไดจากการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวนตองนําไปลบออกจากคาตั้งตน
สัดสวนตองนําไปลบออกจากคาตั้งตน
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 24 ใน
นอกจากนี้ ยังสามารถใชตารางแสดงคาของฟงกชันตรีโกณมิติหาคาของจํานวนจริงหรือมุม หนังสือเรียน หนา 45 แลวแลกเปลี่ยนความรู
เมื่อทราบคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมนั้น ๆ ดังตัวอยางตอไปนี้ กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 24
หนา 45 จากตัวอยางที่ 24 ขอ 2) วา เนื่องจาก
กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให
คาของ sin θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π มี 2 คา คือ
1) cos θ = 0.8843 2) sin θ = 0.4780
sin θ และ sin (π - θ) ดังนั้น ขอ 2) จึงได θ
วิธีทํา 1) จากตารางจะได cos 0.4858 = 0.8843 เทากับ 0.4983 และ π - 0.4983
ดังนั้น θ มีคา เทากับ 0.4858
เขาใจ (Understanding)
2) เนื่องจาก sin θ = 0.4780 มีคาอยูระหวาง sin 0.4974 กับ sin 0.5003
จากตารางจะได sin 0.4974 = 0.4772 และ sin 0.5003 = 0.4797 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0025 คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น 0.0029 หนา 45 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0008 คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น d คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
จะไดวา 0.0029 d = 0.0008 ถูกตอง
0.0025
คณิตน่ารู้
d = 0.0008
0.0025 × 0.0029
เนือ่ งจากคาของ sin θ เมือ่
≈ 0.0009 0 ≤ θ ≤ π มี 2 คา คือ sin θ
ดังนั้น sin(0.4974 + 0.0009) = 0.4780 และ sin(π - θ) ดังนั้น ขอ 2)
sin 0.4983 = 0.4780 จึงได θ เทากับ 0.4983 และ
นั่นคือ θ มีได 2 คา คือ 0.4983 หรือ π - 0.4983 π - 0.4983
ลองทําดู
กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให
1) cos θ = 0.9013 2) sin θ = 0.6424
ฟงกชันตรีโกณมิติ 45
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
มุมเทคโนโลยี
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวทํากิจกรรม ในปจจุบัน การใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติเพื่อหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่
ดังนี้ ตองการไมเปนที่นิยม เนื่องจากสามารถใชเครื่องคิดเลขหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่
• ใหนักเรียนศึกษามุมเทคโนโลยี ในหนังสือ- ตองการไดละเอียดกวาการใชตาราง
เรียน หนา 46 แลวใชเครื่องคิดเลขคํานวณ
1
คาของฟงกชันตรีโกณมิติในแบบฝกทักษะ สวนประกอบหลักบนเครื่องคิดเลข
1.5 ขอ 2. ในหนังสือเรียน หนา 47 1. หนาจอแสดงผลการทํางาน
• เมื่ อ นั ก เรี ย นทุ ก กลุ ม ทํ า เสร็ จ แล ว ครู สุ ม 2. ปุมเปดเครื่อง
3. ปุม MODE/SETUP ใชสําหรับเลือก
ตัวแทนนักเรียน 4 คน ออกมาแสดงวิธกี ารใช
โหมดหรือตั้งคาเครื่อง
เครื่องคิดเลขในการหาคาฟงกชันที่กําหนด 4. ปุม SHIFT สําหรับเรียกใชคําสั่งที่
ในแบบฝกทักษะ 1.5 ขอ 2. 4 2 เปนสีเหลือง แลวตามดวยปุมคําสั่ง
• เมื่อนักเรียนนําเสนอเสร็จ ครูใหนักเรียนที่ 5 3 นั้น ๆ
เปนตัวแทนกลุมที่ออกมานําเสนอเปนคน 7 6 5. ปุม ALPHA สําหรับเรียกใชคําสั่งที่
คิดโจทยใหเพือ่ นๆ ในหองชวยกันหาคําตอบ เปนตัวอักษรสีแดง แลวตามดวยปุม
คําสั่งนั้น ๆ
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง 8
6. ปุมควบคุมทิศทาง ใชเลื่อนดูคําตอบ
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.5 ขอ 1. และ หรือแกไขการคํานวณ
ขอ 3.-5. ในหนังสือเรียน หนา 47 เปนการบาน 7. ปุมฟงกชันและสูตรการคํานวณ
4. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.5 ในแบบฝกหัด 8. ปุม ตัวเลข/เครือ่ งหมายการดําเนินการ
เปนการบาน
ตัวอยาง 1) ใหหา sin 38 ํ โดยใชเครื่องคิดเลข
ลงมือทํา (Doing)
กดปุม MODE MODE 1 sin 3 8 =
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ จะปรากฏจํานวน 0.615661475
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง ดังนั้น sin 38 ํ เทากับ 0.6157
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แล ว ช ว ยกั น ทํ า 2) ใหหา cos 0.7912 โดยใชเครื่องคิดเลข
แบบฝกทักษะ 1.5 ขอ 6. ในหนังสือเรียน หนา 47 กดปุม MODE MODE 2 cos 0 . 7 9 1 2 =
จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 กลุม ออกมานําเสนอ จะปรากฏจํานวน 0.702992385
หนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง ดังนั้น cos 0.7912 เทากับ 0.7030
หมายเหตุ ปุมกดบนเครื่องคิดเลขแตละรุนจะมีความแตกตางกัน ใหอางอิงวิธีการตามเครื่องคิดเลขรุนนั้น ๆ
46
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
แบบฝึกทักษะ 1.5
• ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติใชประโยชน
ระดับพื้นฐาน อยางไร
1. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้โดยใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ (แนวตอบ ใชหาคาฟงกชันตรีโกณมิติหรือ
1) sin 38 ํ 40′ 2) cos 62 ํ 28′ ตรวจสอบคําตอบคาฟงกชันตรีโกณมิติ)
3) tan 0.1542 4) cot 1.1560 • คาของฟงกชันตรีโกณมิติที่ไมสามารถเปด
5) sec 41 ํ 6) cosec 77 ํ 10′ ตารางคาฟงกชนั ตรีโกณมิตไิ ดจะทําอยางไร
7) sin 42 ํ 18′ 8) tan 12 ํ 36′ (แนวตอบ ใชความรูจากการเทียบบัญญัติ
2. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้โดยใชเครื่องคิดเลข ไตรยางศหรือสัดสวน)
1) sin 63 ํ 2) tan 11 ํ • ถาในตารางการหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ
3) cos 0.7436 4) tan 0.4558 ไมมีคา cot θ, sec θ และ cosec θ จะหา
คาของฟงกชันดังกลาวไดอยางไร
ระดับกลาง ( แนวตอบ cot θ หาได จ ากส ว นกลั บ ของ
3. กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให tan θ, sec θ หาไดจากสวนกลับของ cos θ
1) sin θ = 0.3700 2) cos θ = 0.9159 และ cosec θ หาไดจากสวนกลับของ sin θ)
3) tan θ = 0.4765 4) cot θ = 1.5204
5) sec θ = 1.2232 6) cosec θ = 2.7902 ขัน้ ประเมิน
7) tan θ = 0.4684 8) sin θ = 1.0785 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.3
∧ ∧
4. ถา ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่มี CAB เปนมุมฉาก ABC เทากับ 32 องศา และ 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.5
มีดานตรงขามมุมฉากยาว 14 เซนติเมตร อยากทราบวา ความยาวของดาน AB และ AC 3. ครูตรวจ Exercise 1.5
เปนเทาใด 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
∧
5. ถา ∆ PQR เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่มี RPQ เปนมุมฉาก ดานตรงขามมุมฉากยาว 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
∧
13 เซนติเมตร และดานประกอบมุมฉากดานหนึ่งยาว 5 เซนติเมตร อยากทราบวา PQR 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
∧
และ QRP มีขนาดเปนเทาใด 7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน
ระดับทาทาย
6. เสนตรงเสนหนึ่งตัดเสนตรงคูหนึ่งซึ่งมีมุม A และมุม B เปนมุมที่อยูภายในขางเดียวกันของ
เสนตัด ถา cot A = 1.3270 และ tan B = 0.3249 อยากทราบวา เสนตรงคูนี้ขนานกัน
หรือไม เพราะเหตุใด
ฟงกชันตรีโกณมิติ 47
เดียวกัน ลาดับที่
1
รายการประเมิน
การแสดงความคิดเห็น
4
3
ระดับคะแนน
2
1
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T53
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
นักเรียนสรางตารางตอไปจากเดิม แตเปลี่ยน y 0 1 2 3 1 3 2 1 0
2 2 2 2 2 2
ชวงของ x จาก 0 ≤ x ≤ π เปน 0 ≤ x ≤ 2π
จากนัน้ ครูใหนกั เรียนนําคาของ x และ y ทีเ่ พิม่ Y
มาไปเขียนกราฟ เมื่อนักเรียนแตละคนเขียน 1.000
.866
กราฟเสร็จ ครูใหนักเรียนแลกเปลี่ยนกราฟกับ .707
เพื่อนขางๆ เพื่อตรวจสอบความถูกตอง .500
3. ครูใหนักเรียนตรวจสอบความถูกตองอีกครั้ง
X
จากในหนังสือเรียน หนา 48-49 0 π π
6 4 3
π π
2
2π 3π 5π
3 4 6
π
48
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
Y 4. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หา ในหนังสือเรียน
1
หนา 49 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง
จนเปนที่เขาใจรวมกัน
5. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา จาก sin (2nπ + α) = sin α
0 X เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชนั
π π 5π π 7π 3π 11π 2π
6 2 6 6 2 6 ไซนเหมือนกับกราฟของ y = sin x เมือ่ -2π ≤ x
≤ 2π ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้
-1
• กราฟแบงแกน X ออกเปนชวงยอยทีส่ นั้ ทีส่ ดุ
2 ชวง แตละชวงยอยมีความยาวเทากันและ
จาก sin (2nπ + α) = sin α เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชันไซน ดังนี้ มีลักษณะเหมือนกัน เรียกความยาวของ
กราฟของ y = sin x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π ชวงยอยวา คาบ และเรียกฟงกชนั ของกราฟ
Y วา ฟงกชันที่เปนคาบ
1 • กราฟมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จะเรียกคา
X ที่เทากับครึ่งหนึ่งของคาสูงสุดของฟงกชัน
-2π -π 0 π 2π
ลบดวยคาตํ่าสุดของฟงกชันที่เปนคาบวา
-1
1 คาบ 1 คาบ แอมพลิจูด
• ฟงกชัน y = sin x มีคาบเทากับ 2π
จากกราฟของ y = sin x ขางตน จะเห็นวา กราฟจะแบงแกน X ออกเปนชวงยอยที่สั้นที่สุด 6. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ
2 ชวง โดยที่ชวงยอยแตละชวงมีความยาวเทากัน และกราฟในแตละชวงยอยมีลักษณะเหมือนกัน นักเรียน ดังนี้
เรียกความยาวของชวงยอยดังกลาววา คาบ (period) และเรียกฟงกชันของกราฟวา ฟงกชัน • พิจารณากราฟในชวง -2π ≤ x ≤ -π
ที่เปนคาบ (periodic function)
จะเห็นวา กราฟมีลกั ษณะเปนเสนโคงเปดลง
และจากกราฟขางตนเปนกราฟที่มีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด ซึ่งจะเรียกคาที่เทากับครึ่งหนึ่งของ ดานลาง แลวกราฟมีคาตํ่าสุดหรือคาสูงสุด
คาสูงสุดลบดวยคาตํ่าสุดของฟงกชันที่เปนคาบวา แอมพลิจูด (amplitude) ซึ่งเปนไปตาม
เทาใด
บทนิยามตอไปนี้
(แนวตอบ มีคาสูงสุดเทากับ 1)
บทนิยาม
แอมพลิจูดของฟงกชันที่เปนคาบ เทากับ คาสูงสุด 2- คาตํ่าสุด
• พิจารณากราฟในชวง -π ≤ x ≤ 0 จะเห็นวา
กราฟมีลักษณะเปนเสนโคงเปดขึ้นดานบน
แลวกราฟจะมีคาตํ่าสุดหรือคาสูงสุดเทาใด
(แนวตอบ มีคาตํ่าสุดเทากับ -1)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 49
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากฟงกชัน y = sin x มีแอมพลิจูดเทากับ
จากกราฟของ y = sin x จะเห็นวา -2π ≤ x ≤ 0 และ 0 ≤ x ≤ 2π เปนชวงที่มีความยาว
เทาใด 2π เทากัน และกราฟบนชวงนี้มีลักษณะเหมือนกัน จึงกลาวไดวา ฟงกชัน y = sin x มีคาบ
(แนวตอบ 1 - 2(-1) = 1) เทากับ 2π และเมื่อพิจารณากราฟในชวง -2π ≤ x ≤ 0 จะเห็นวา กราฟของฟงกชันเปนกราฟ
• โดเมนและเรนจของฟงกชันไซนคืออะไร เสนโคงเปดลงดานลางตัง้ แตชว ง -2π ถึง -π ซึง่ มีคา สูงสุด เทากับ 1 และเปนกราฟเสนโคงเปดขึน้
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง ดานบนตั้งแตชวง -π ถึง 0 ซึ่งมีคาตํ่าสุด เทากับ -1 ดังนั้น ฟงกชัน y = sin x มีแอมพลิจูด
และเรนจ คือ [-1, 1]) เทากับ 1 - 2(-1) = 1
• กราฟของฟงกชนั ไซนตดั แกน X ทีจ่ ดุ (x, 0) โดเมนของฟงกชันไซน คือ เซตของจํานวนจริง
เมื่อ x คือเทาใด เรนจของฟงกชันไซน คือ [-1, 1]
(แนวตอบ ... , -2π, -π, 0, π, 2π, ... ) กราฟของฟงกชันไซนตัดแกน X ที่จุด (x, 0) เมื่อ x คือ ..., -2π, -π, 0, π, 2π, ...
• กราฟของฟงกชันไซนตัดแกน Y ที่จุดใด กราฟของฟงกชันไซนตัดแกน Y ที่จุด (0, 0)
(แนวตอบ (0, 0))
7. ครูใหนักเรียนศึกษากราฟของ y = cos x เมื่อ 2. กราฟของ y = cos X
-2π ≤ x ≤ 2π ในหนังสือเรียน หนา 50 กราฟของ y = cos x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π มีลักษณะการเขียนกราฟคลายกับกราฟของ
8. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ y = sin x
จาก cos(2nπ + α) = cos α เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชันโคไซน ดังนี้
นักเรียน ดังนี้
• พิจารณากราฟในชวง - 32π ≤ x ≤ - π2
Y
50
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• โดเมนและเรนจของฟงกชันโคไซนคืออะไร
ตัวอย่างที่ 25
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง
เขียนกราฟของ y = sin x, y = 2 sin x และ y = 3 sin x บนระบบพิกัดฉากเดียวกัน
และเรนจ คือ [-1, 1])
เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสาม
• กราฟของฟงกชันโคไซนตัดแกน X ที่จุด
วิธีทํา π 3π ( x, 0 ) เมื่อ x คือเทาใด
x 0 π 2π
2 2 (แนวตอบ ... , - 32π, - π2 , π2 , 32π, ...)
y = sin x 0 1 0 -1 0
• กราฟของฟงกชันโคไซนตัดแกน Y ที่จุดใด
y = 2 sin x 0 2 0 -2 0
(แนวตอบ (0, 1))
y = 3 sin x 0 3 0 -3 0 9. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 25 แลวถาม
จากตารางเขียนกราฟได ดังนี้ คําถาม ดังนี้
Y • เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ของกราฟ y = sin x
3 y = 3 sin x คือเทาใด
2 y = 2 sin x (แนวตอบ เรนจ คือ [-1, 1] คาบ คือ 2π และ
1 y = sin x แอมพลิจูด คือ 1)
X
-2π - 3π -π
2 - π2 0 π
2
π 3π
2
2π • เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ของกราฟ y = 2 sin x
-1
คือเทาใด
-2
(แนวตอบ เรนจ คือ [-2, 2] คาบ คือ 2π และ
-3
แอมพลิจูด คือ 2)
จากกราฟจะไดเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสาม ดังนี้ • เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ของกราฟ y = 3 sin x
คือเทาใด
ฟงกชัน เรนจ คาบ แอมพลิจูด
1 - (-1) = 1
(แนวตอบ เรนจ คือ [-3, 3] คาบ คือ 2π และ
y = sin x [-1, 1] 2π
2 แอมพลิจูด คือ 3)
y = 2 sin x [-2, 2] 2π 2 - (-2) = 2
2 เขาใจ (Understanding)
y = 3 sin x [-3, 3] 2π 3 - (-3) = 3
2 ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 51 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
ลองทําดู คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
เขียนกราฟของ y = sin x, y = 12 sin x และ y = 14 sin x บนระบบพิกัดฉากเดียวกัน
เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสาม
ฟงกชันตรีโกณมิติ 51
T57
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. จากตัวอยางที่ 25 และลองทําดู ในหนังสือเรียน
จากตัวอยางที่ 25 การหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันไซนในรูปทั่วไป เปนดังนี้
หนา 51 ครูและนักเรียนรวมกันสรุปการหา
แอมพลิจดู และเรนจของฟงกชนั ไซนในรูปทัว่ ไป กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a sin (nx) เมื่อ n > 0
2. ครูใหนักเรียนเขียนกราฟของ y = 4 sin 2x ซึ่ง จะไดวา เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a]
เปนโจทยของตัวอยางที่ 26 ในหนังสือเรียน คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ
หนา 52 โดยนักเรียนจะยังไมเปดหนังสือเรียน แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a
เมือ่ นักเรียนเขียนกราฟเสร็จ ใหครูถามคําถาม จากรูปทัว่ ไปของฟงกชนั ไซน จะพบวา คาบของฟงกชนั เทากับ 2nπ และแอมพลิจดู ของฟงกชนั
นักเรียน ดังนี้ เทากับ a ทําใหการเขียนกราฟของฟงกชันไซนทําไดรวดเร็วขึ้น ดังตัวอยางตอไปนี้
• เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
ตัวอย่างที่ 26
y = 4 sin 2x คือเทาใด
(แนวตอบ เรนจ คือ [-4, 4] คาบ คือ π และ เขียนกราฟของ y = 4 sin 2x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และ
แอมพลิจูด คือ 4) แอมพลิจูด
วิธีทํา จาก y = 4 sin 2x จะได a = 4 และ n = 2
เขาใจ (Understanding) ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-4, 4]
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 22π = π
หนา 52 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 4 = 4
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง เขียนกราฟของ y = 4 sin 2x ได ดังนี้
Y
4
3
2
1
-2π - 3π -π 0 3π 2π X
- π2 π
2
π
2 -1 2
-2
-3
-4
ลองทําดู
เขียนกราฟของ y = 12 sin 2x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และ
52 แอมพลิจูด
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนเขียนกราฟของ y = 8 sin 6x ซึ่ง
ตัวอย่างที่ 27
เปนโจทยของตัวอยางที่ 27 ในหนังสือเรียน
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 8 sin 6x หนา 53 โดยนักเรียนจะยังไมเปดหนังสือเรียน
เมือ่ นักเรียนเขียนกราฟเสร็จ ใหครูถามคําถาม
วิธีทํา จาก y = 8 sin 6x จะได a = 8 และ n = 6 นักเรียน ดังนี้
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-8, 8] • เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 26π = π3 y = 8 sin 6x คือเทาใด
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 8 = 8 (แนวตอบ เรนจ คือ [ -8, 8 ] คาบ คือ π3 และ
แอมพลิจูด คือ 8)
ลองทําดู 2. ครูกลาวในทํานองการหาแอมพลิจูด เรนจ
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 2 sin x2 และคาบของฟงกชันโคไซนในรูปทั่วไป
3. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 28 ในหนังสือเรียน
การหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันโคไซนในรูปทั่วไป เปนดังนี้ หนา 53 บนกระดาน จากนั้นครูถามคําถาม
นักเรียน ดังนี้
กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a cos (nx) เมื่อ n > 0 • เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
จะไดวา เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] y = 2 cos 2x คือเทาใด
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ (แนวตอบ เรนจ คือ [ -2, 2 ] คาบ คือ π และ
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a แอมพลิจูด คือ 2)
4. ครูใหนกั เรียนแตละคนเขียนกราฟของตัวอยาง
ตัวอย่างที่ 28
ที่ 28 ในหนังสือเรียน หนา 53 ดวยตนเอง
เขียนเสร็จแลวใหเปดหนังสือเรียน หนา 54
เขียนกราฟของ y = 2 cos 2x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ
และแอมพลิจูด เพื่อตรวจสอบความถูกตองของกราฟ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 53
ขอสอบเนน การคิด
คาบและแอมพลิจดู ของฟงกชนั y = -5 cos 2x เทากับขอใด
1. คาบ = π และแอมพลิจูด = 5
2. คาบ = -π และแอมพลิจูด = 5
3. คาบ = 2π และแอมพลิจูด = 5
4. คาบ = -2π และแอมพลิจูด = 5
(เฉลยคําตอบ จาก y = -5 cos 2x จะได a = -5 และ n = 2
นั่นคือ คาบของฟงกชัน เทากับ 22π = π
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = -5 = 5
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน Y
หนา 54 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง 2
X
-2π - 3π -π - π 0 π π 3π 2π
รู (Knowing) 2 2 2 2
-2
ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 29 ในหนังสือเรียน
หนา 54 บนกระดาน จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน
ดังนี้ ลองทําดู
• เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
เขียนกราฟของ y = 3 cos 3x เมือ่ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทัง้ หาเรนจ คาบ และแอมพลิจดู
y = 2 cos x4 คือเทาใด
(แนวตอบ เรนจ คือ [-2, 2] คาบ คือ 8π และ ตัวอย่างที่ 29
แอมพลิจูด คือ 2)
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 2 cos 4x
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา จาก y = 2 cos x4 จะได a = 2 และ n = 14
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-2, 2]
หนา 54 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 21π = 8π
4
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 2 = 2
รู (Knowing)
1. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา การเขียนกราฟของฟงกชนั ลองทําดู
ตรีโกณมิตบิ างฟงกชนั อาจตองใชความรูเ รือ่ ง
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 3 cos x3
การเลื่อนขนาน โดยใชการเลื่อนขนานกราฟ
รูปมาตรฐานในแนวแกนนอนหรือแนวแกนตัง้
การเขียนกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติบางฟงกชันอาจตองใชความรูเรื่องการเลื่อนขนานโดย
ใชการเลื่อนขนานกราฟรูปมาตรฐานในแนวแกนนอนหรือแนวแกนตั้ง ดังตัวอยางตอไปนี้
54
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูอธิบายการเขียนกราฟจากตัวอยางที่ 30 ใน
ตัวอย่างที่ 30
หนังสือเรียน หนา 55 บนกระดานอยางละเอียด
เขียนกราฟของ y = 2 sin 3(x - π6 ) และเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามในสวนที่
ไมเขาใจ
วิธีทํา เนื่องจาก กราฟของ y = 2 sin 3(x - π6 ) เปนกราฟที่เกิดจากการเลื่อนขนานกราฟ
ของ y = 2 sin 3x ไปทางขวา π6 หนวย เขาใจ (Understanding)
ดังนั้น การเขียนกราฟของ y = 2 sin 3(x - π6 ) จึงมีขั้นตอน ดังนี้ ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ขั้นตอนที่ 1 เขียนกราฟของ y = 2 sin 3x หนา 55 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
ขั้นตอนที่ 2 เลื่อนกราฟของ y = 2 sin 3x ไปทางขวา π6 หนวย จะไดกราฟของ คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
y = 2 sin 3(x - π6 ) ดังรูป
Y รู (Knowing)
y = 2 sin 3(x - 6 )
π
2 ครูอธิบายการเขียนกราฟจากตัวอยางที่ 31 ใน
X หนังสือเรียน หนา 55-56 บนกระดานอยางละเอียด
0 π 2π 3π 4π 5π
-2 6 6 6 6 6
y = 2 sin 3x
ลองทําดู
เขียนกราฟของ y = 3 sin 2(x - π4 )
ตัวอย่างที่ 31
ฟงกชันตรีโกณมิติ 55
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ขั้นตอนที่ 2 เลื่อนกราฟของ y = -3 cos 2x ใหขนานกับแกน X ไปทางซาย π6 หนวย
หนา 56 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
จะไดกราฟของ y = -3 cos 2(x + π6 ) หรือ y = -3 cos(2x + π3 )
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
แลวเลื่อนกราฟของ y = -3 cos 2(x + π6 ) ขึ้น 2 หนวย จะไดกราฟของ
ถูกตอง
y = -3 cos 2(x + π6 ) + 2 หรือ y = -3 cos(2x + π3 ) + 2 ดังรูป
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.6 ขอ 1.-3.
Y
ในหนังสือเรียน หนา 59-60 เปนการบาน
6
5
รู (Knowing) 4
1. ครูกลาววา การเขียนกราฟฟงกชันตรีโกณมิติ 3
2
อื่นๆ นักเรียนควรทราบโดเมนของฟงกชัน 1 y = -3 cos (2x + π3 ) + 2
ตรีโกณมิติ 0 2π 3π X
- π6 -1
π
4 4 4
π
y = -3 cos (2x + π3 )
-2
-3 y = -3 cos 2x
ลองทําดู
เขียนกราฟของ y = -2 cos (2x - π3 ) + 3
ในการเขียนกราฟฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ นักเรียนควรทราบโดเมนของฟงกชันตรีโกณมิติ
ดังนี้
โดเมนของฟงกชันแทนเจนต คือ { x x∊R, x nπ + π2, n∊I }
โดเมนของฟงกชันเซแคนต คือ { x x∊R, x nπ + π2, n∊I }
โดเมนของฟงกชันโคแทนเจนต คือ { x x∊R, x nπ, n∊I }
โดเมนของฟงกชันโคเซแคนต คือ { x x∊R, x nπ, n∊I }
3. กราฟของ y = tan X
พิจารณากราฟของ y = tan x เมื่อ - π2 < x < π2
x - π3 - π4 - π6 0 π
6
π
4
π
3
y -3 -1 - 33 0 3
3 1 3
56
T62
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
Y 2. ครูใหนกั เรียนแตละคนศึกษากราฟของ y = tan x
3 ในหนังสือเรียน หนา 56-57 จากนั้นครูถาม
1 คําถามนักเรียน ดังนี้
3
3 • จากกราฟ y = tan x ในแตละคาบมีคา ตํา่ สุด
หรือคาสูงสุด และมีแอมพลิจูดหรือไม
- π2 - π3 - π4 - π6 0 π π π π
X
(แนวตอบ กราฟของ y = tan x ในแตละคาบ
6 4 3 2
ไมมีคาตํ่าสุดและคาสูงสุด ดังนั้น จึงทําให
- 33
-1
ไมมีแอมพลิจูด)
3. ครูอธิบายกราฟ y = tan x เมื่อพิจารณาเปน
- 3
กราฟยอย จะไดวาแตละชวงยอยมีลักษณะ
จาก tan (nπ + α) = tan α เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชันแทนเจนต ดังนี้ เหมือนกันและมีความยาวเทากับ π ดังนั้น
Y ฟงกชันแทนเจนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและ
มีคาบเทากับ π
0 3π 2π 5π X
- 52π -2π - 3π -π - π
2 2
π π
2 2 2
ฟงกชันตรีโกณมิติ 57
เกร็ดแนะครู
ครูควรตั้งคําถามใหนักเรียนไดคิดวิเคราะหเกี่ยวกับความแตกตางของ
กราฟของ y = sin x, y = cos x และ y = tan x วามีความแตกตางกันอยางไร
เพราะเหตุใด
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษากราฟของฟ ง ก ชั น
สําหรับกราฟของฟงกชันโคเซแคนต ฟงกชันเซแคนต และฟงกชันโคแทนเจนต ซึ่งทั้ง
โคเซแคนต ฟงกชันเซแคนต และฟงกชัน
3 ฟงกชัน เปนสวนกลับของฟงกชันไซน ฟงกชันโคไซน และฟงกชันแทนเจนต ตามลําดับ
โคแทนเจนต ในหนังสือเรียน หนา 58-59 ซึ่ง
ทั้ง 3 ฟงกชัน เปนสวนกลับของฟงกชันไซน 4. กราฟของ y = cosec x
ฟงกชันโคไซน และฟงกชันแทนเจนต จากนั้น พิจารณากราฟของ y = cosec x
ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ Y
• จากกราฟของ y = cosec x คาของฟงกชัน
โคเซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน ยกเวน
คาใด 1
(แนวตอบ คาระหวาง -1 กับ 1) -2π -π π 2π
0 X
• จากกราฟ y = cosec x เรนจของฟงกชัน - 52π - 32π -π
2
π
2
3π
2
5π
2
-1
โคเซแคนตคือเทาใด
(แนวตอบ (- ∞, -1] [1, ∞))
• ฟงกชันโคเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบ
และมีคาบเทากับเทาใด จากกราฟของ y = cosec x จะเห็นวา คาของฟงกชันโคเซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน
(แนวตอบ 2π) ยกเวนคาระหวาง -1 กับ 1
• จากกราฟ ฟงกชนั โคเซแคนตมคี า สูงสุดหรือ เรนจของฟงกชันโคเซแคนต คือ (-∞, -1] [1, ∞)
คาตํ่าสุด และมีแอมพลิจูดหรือไม ฟงกชันโคเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและมีคาบเทากับ 2π
(แนวตอบ กราฟของ y = cosec x ไมมี ฟงกชันโคเซแคนตไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด
คาตํ่าสุดและคาสูงสุด ดังนั้น จึงทําใหไมมี
5. กราฟของ y = sec x
แอมพลิจูด)
• จากกราฟของ y = sec x คาของฟงกชัน พิจารณากราฟของ y = sec x
Y
เซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน ยกเวน
คาใด
(แนวตอบ คาระหวาง -1 กับ 1)
• จากกราฟ y = sec x เรนจของฟงกชัน - 52π - 32π - π2
1 π
2
3π
2
5π
2
เซแคนตคือเทาใด -2π -π 0 π 2π
X
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากกราฟ ฟงกชันเซแคนตมีคาสูงสุดหรือ
จากกราฟของ y = sec x จะเห็นวา คาของฟงกชันเซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน
ยกเวนคาระหวาง -1 กับ 1 คาตํ่าสุด และมีแอมพลิจูดหรือไม
เรนจของฟงกชันเซแคนต คือ (-∞, -1] [1, ∞) (แนวตอบ กราฟของ y = sec x ไมมีคาตํ่าสุด
ฟงกชันเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและมีคาบเทากับ 2π และคาสูงสุด ดังนัน้ จึงทําใหไมมแี อมพลิจดู )
ฟงกชันเซแคนตไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด 5. ครูใหนักเรียนสังเกตกราฟ y = cot x แลว
อธิบายวา กราฟ y = cot x เปนสวนกลับของ
6. กราฟของ y = cot x กราฟ y = tan x ทําใหฟงกชันนี้เปนฟงกชันที่
พิจารณากราฟของ y = cot x เปนคาบและมีคาบเทากับ π และกราฟดังกลาว
Y
ไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 1.6 ในหนังสือ-
X
-π - π 0 π
2 2
π 3π 2π 5π
2 2
เรียน หนา 60 ขอ 4.-5. จากนั้นครูสุมนักเรียน
ออกมานําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.6 ในแบบฝกหัด
จากกราฟของ y = cot x จะเห็นวา คาของฟงกชันโคแทนเจนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและ เปนการบาน
มีคาบเทากับ π
ลงมือทํา (Doing)
ฟงกชันแทนเจนตไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
แบบฝึกทักษะ 1.6 และเกง) ใหอยูก ลมุ เดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ระดับพื้นฐาน
• ใหนักเรียนแตละกลุมทําแบบฝกทักษะ 1.6
ในหนังสือเรียน หนา 60 ขอ 6.
1. ใหหาคาบและแอมพลิจูดของฟงกชันในแตละขอตอไปนี้ • เมื่ อ นั ก เรี ย นทุ ก กลุ ม ทํ า เสร็ จ แล ว ครู สุ ม
1) y = 5 sin x 2) y = 12 sin x
ตั ว แทนออกมาแสดงวิ ธีทํ า อย า งละเอี ย ด
3) y = sin 8x 4) y = sin x3 หนาชัน้ เรียน โดยมีครูและเพือ่ นรวมชัน้ เรียน
5) y = 6 cos x2 6) y = 12 cos x2 คอยตรวจสอบความถูกตอง
7) y = 3 cos x 8) y = 12 cos 4x
ฟงกชันตรีโกณมิติ 59
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
2. เขียนกราฟของ y = a sin nx หรือ y = a cos nx ในแตละขอตอไปนี้ เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π
• โดเมนและเรนจของกราฟ y = sin x คืออะไร 1) y = 4 sin x 2) y = sin 4x
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง 1
3) y = 3 sin x2 4) y = 25 sin 2x
และเรนจ คือ [-1, 1] )
5) y = 6 cos x 6) y = 3 cos x4
• โดเมนและเรนจของฟงกชัน y = cos x
คืออะไร 7) y = cos x3 8) y = 3 cos 4x
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง 3. ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
และเรนจ คือ [-1, 1] ) 1) y = 14 sin x3 2) y = 16 sin 45 x
• เราจะหาคาแอมพลิจูดของกราฟได กราฟ 3) y = 17 cos x8 4) y = 38 cos 34 x
ดังกลาวตองมีคา อะไรบาง และคาแอมพลิจดู
หาไดจากสูตรใด ระดับกลาง
(แนวตอบ จะตองมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด 4. ใหหาคาบและแอมพลิจูดของฟงกชันในแตละขอตอไปนี้
และคาแอมพลิจูด = คาสูงสุด - คาตํ่าสุด
) 1) y = 45 sin 7x - 1 2) y = 47 sin (2x - 34π)
2
3) y = 27 cos 8x + 35 4) y = 2 cos (5x + 78π) + 1
ขัน้ ประเมิน 5. เขียนกราฟของ y = a sin nx หรือ y = a cos nx ในแตละขอตอไปนี้ เมือ่ -2π ≤ x ≤ 2π
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.6 1) y = 3 sin 2x + 3 2) y = 3 sin 4 (x + π8 )
2. ครูตรวจ Exercise 1.6 3) y = 2 sin 3 (x - π6 ) + 3 4) y = 74 cos 3x - 2
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 5) y = 23 cos x2 + 1 6) y = 35 cos (2x - π8 ) + 10
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ระดับทาทาย
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
6. ใหเขียนฟงกชันตรีโกณมิติจากกราฟที่กําหนดใหตอไปนี้
มุงมั่นในการทํางาน Y
2
1
0 X
-2π -π π 2π
-1
-2
60
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T66
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ฟงกชันตรีโกณมิติ 61
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนศึกษาเนื้อหา ในหนังสือเรียน
ดังนั้น PP3 = P1P2
หนา 61-62 จากนั้นครูอธิบายการพิสูจนที่
นํามาซึ่งที่มาของสูตร (x3 - 1)2 + (y3 - 0)2 = (x1 - x2)2 + (y1- y2)2
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β (x3 - 1)2 + (y3 - 0)2 = (x1 - x2)2 + (y1 - y2 )2
หรื อ โคไซน ข องผลต า งระหว า งจํ า นวนจริ ง (x23 - 2x3 + 1) + y23 = (x21 - 2x1x2 + x22 ) + (y21 - 2y1y2 + y22 )
สองจํานวนหรือมุมสองมุม และเปดโอกาสให (x23 + y23 ) - 2x3 + 1 = (x21 + y21 ) + (x22 + y22 ) - 2x1x2- 2y1y2
นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ 1 - 2x3 + 1 = 1 + 1 - 2x1x2 - 2y1y2
เนือ่ งจากจุ ด (x1, y1) เปนจุ ดที่
2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาหาคาของ x3 = x1x2 + y1y2 อยูบนวงกลมหนึง่ หนวย ดังนั้น
สมการวงกลมที่ผ านจุ ด (x1, y1)
cos (α + β) บนกระดาน โดยครูตรวจสอบ จาก (1), (2) และ (3) สรุปไดวา คือ x12 + y12 = 1
ความถูกตอง
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β
ที่กลาวมาขางตนเปนการหาคาของ cos (α - β) หรือโคไซนของผลตางระหวางจํานวนจริง
สองจํานวนหรือมุมสองมุม ซึง่ สามารถนําคาของ cos (α - β) ไปใชในการหาคาของฟงกชนั อืน่ ๆ
คือ cos (α + β), sin (α + β) และ sin (α - β) ซึ่งจะไดกลาวตอไป
การหาคาของ cos (α + β) ทําได ดังนี้
cos (α + β) = cos (α - (-β)) sin (-θ) = -sin θ
= cos α cos (-β) + sin α sin (-β) cos (-θ) = cos θ
= cos α cos β + sin α (-sin β)
= cos α cos β − sin α sin β
สรุปไดวา
cos (α + β) = cos α cos β − sin α sin β
ตอไปจะเปนการหาคาของ sin (α + β) ซึ่งตองใชคาของ cos (π2 - α) และ sin (π2 - α)
มาชวยในการหา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ พิจารณาคาของ cos (π2 - α)
cos (π2 - α) = cos π2 cos α + sin π2 sin α
= 0(cos α) + 1(sin α)
= sin α
สรุปไดวา
cos (π2 - α) = sin α
62
กิจกรรม ทาทาย
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
จากนัน้ ครูเขียนโจทยบนกระดานแลวใหนกั เรียนชวยกันคิดวา โจทย
ขอนี้ใชสูตร cos (α - β) หรือสูตร cos (α + β) พรอมหาคําตอบ
จากโจทย
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูอธิบายวา การหาคาของ sin (α + β) ตอง
จาก cos (π2 - α) = sin α
ใชคา cos (π2 + α) และ sin (π2 - α) มาชวย
แทนคา α ดวย π2 - β ในการหา จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
จะได cos (π2 - (π2 - β)) = sin (π2 - β) • cos ( π2 + α) เทากับเทาใด
สรุปไดวา (แนวตอบ cos ( π2 + α) = sin α)
sin (π2 - β) = cos β
• sin ( π2 - α) เทากับเทาใด
เนื่องจาก cos (π2 - α) = sin α และ sin (π2 - β) = cos β (แนวตอบ sin ( π2 - β) = cos β)
จะได sin (α + β) = cos (π2 - (α + β)) • sin (α + β) เทากับเทาใด
= cos ((π2 - α) - β) (แนวตอบ sin (α + β)
= sin α cos β + cos α sin β)
= cos (π2 - α) cos β + sin (π2 - α) sin β
• sin (α - β) เทากับเทาใด
= sin α cos β + cos α sin β (แนวตอบ sin (α - β)
สรุปไดวา = sin α cos β - cos α sin β)
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
พิจารณาการหาคาของ sin (α - β) ดังนี้
sin (α - β) = sin (α + (-β))
= sin α cos (-β) + cos α sin (-β)
= sin α cos β + cos α (-sin β)
= sin α cos β - cos α sin β
สรุปไดวา
sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β
นักเรียนสามารถหาคาของ tan (α + β) และ tan (α - β) ได เมื่อทราบคาของ sin (α + β)
และ cos (α + β) ดังนี้
ฟงกชันตรีโกณมิติ 63
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู แ ล ว ช ว ยกั น หาค า ของ sin(α + β)
tan (α + β) = cos( α + β)
tan (α + β) และ tan (α - β) จาก
tan (α + β) = cos sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
(α + β) cos α cos β - sin α sin β
จากนั้นสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทํา โดยครู sin α cos β + cos α sin β
= cos α cos β cos α cos β
และเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความ cos α cos β - sin α sin β , เมื่อ cos α 0 และ cos β 0
cos α cos β cos α cos β
ถูกตอง
= 1tan- tan
α + tan β
α tan β
เขาใจ (Understanding) สรุปไดวา
ครูใหนักเรียนคูเดิมทํา “Thinking Time” ใน tan (α + β) = 1tan- tan
α + tan β
α tan β
หนังสือเรียน หนา 64 จากนั้นครูและนักเรียน
รวมกันเฉลย “Thinking Time” พรอมทัง้ เปดโอกาส
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา
ใหนักเรียนซักถามขอสังสัย tan (α - β) = 1tan α - tan β
+ tan α tan β
Thinking Time
ใหแสดงวา cot (α + β) = cot α cot β - 1 cot α cot β + 1
cot β + cot α และ cot (α - β) = cot β - cot α
ตัวอย่างที่ 32
ใหหาคาของ
1) cos (56π + 34π) 2) sin (30 ํ - 45 ํ)
64
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 32-33 ใน
2) จาก sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β
จะได sin (30 ํ - 45 ํ) = sin 30 ํ cos 45 ํ - cos 30 ํ sin 45 ํ หนั ง สื อ เรี ย น หน า 64-65 จากนั้ น ครู ถ าม
คําถามนักเรียน ดังนี้
= ( 12 )( 22 ) - ( 23 )( 22 )
• นักเรียนสามารถหาคาของ cos ( 56π + 34π )
= ( 2 4- 6 ) ไดอยางไร
ดังนั้น sin (30 ํ - 45 ํ) = ( 2 4- 6 ) (แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
ผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน คือ
ลองทําดู cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β)
ใหหาคาของ • นักเรียนสามารถหาคาของ cos (30 ํ - 45 ํ)
1) sin (π6 - π4 ) 2) cos (60 ํ + 45 ํ) ไดอยางไร
(แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
ตัวอย่างที่ 33
ผลตางของมุมสองมุม คือ sin (α - β) =
ใหหาคาของ
sin α cos β - cos α sin β)
1) tan 512π 2) cos 420 ํ
• นั ก เรี ย นสามารถหาค า ของ t a n 512π ได
วิธีทํา 1) จาก tan 512π = tan (23π - π4 ) อยางไร
และ tan (α - β) = 1tan α - tan β (แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
+ tan α tan β ผลตางของจํานวนจริงสองจํานวน คือ
จะได tan 512π = tan (23π - π4 )
tan 23π - tan π4 tan(α - β) = 1ta+ntαan-αtatannββ
=
1 + tan 23π tan π4 โดยการจัดรูปของ tan 512π ใหอยูในรูปของ
= -3-1 ผลตางจํานวนจริงสองจํานวนที่ทําใหไดคา
1 + (- 3)(1) ของ tan 512π คือ tan ( 23π - π4 ) )
= -(1 + 3) × 1 + 3
1- 3 1+ 3
= -1 -1 2- 33 - 3
= 2+ 3
2) จาก cos 420 ํ = cos (360 ํ + 60 ํ)
และ cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β
จะได cos (360 ํ + 60 ํ) = cos 360 ํ cos 60 ํ - sin 360 ํ sin 60 ํ
= cos 60 ํ
ดังนั้น cos 420 ํ = 12 ฟงกชันตรีโกณมิติ 65
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• นักเรียนสามารถหาคาของ cos 420 ํ ได ลองทําดู
อยางไร
(แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ ใหหาคาของ
π
1) tan 12 2) cos 300 ํ
ผลบวกของจํ า นวนจริ ง สองจํ า นวน คื อ
cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β ตัวอย่างที่ 34
โดยการจัดรูปของ cos 420 ํ ใหอยูในรูป ใหหาคาของ
ของผลบวกของมุมสองมุมทีท่ าํ ใหไดคา ของ 1) tan (180 ํ + α) เมื่อ 0 < α < 90 ํ 2) cos (-225 ํ)
cos 420 ํ คือ cos (360 ํ + 60 ํ))
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 34 ใน วิธีทํา 1) จาก tan (α + β) = 1tan- tan
α + tan β
α tan β
หนังสือเรียน หนา 66 แลวแลกเปลี่ยนความรู tan 180 ํ + tan α
จะได tan (180 ํ + α) = 1 - tan 180 ํ tan α
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
0
=1-0 + tan α
ลองทําดู
ใหหาคาของ
1) tan (360 ํ + α) เมื่อ 0 < α < 90 ํ 2) sin 135 ํ
นอกจากที่กลาวมาแลว ยังสามารถใชฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของมุม
เมื่อโจทยหาคาฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ รวมทั้งโจทยที่ตองแสดงการพิสูจน ดังตัวอยางตอไปนี้
66
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 35-36 ใน
ตัวอย่างที่ 35
หนังสือเรียน หนา 67-68 แลวแลกเปลี่ยน
กําหนด sin A = 35 และ cos B = - 23 เมื่อ π2 < A < π และ π < B < 32π ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ใหหา tan (A + B)
2. ครูถามคําถาม ดังนี้
วิธีทํา จาก sin A = 35 เมื่อ π2 < A < π • จากตัวอยางที่ 35 และ 36 ตองใชความรูใน
จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา Y เรื่องใดมาชวยหาพิกัดของ x และ y
1 (แนวตอบ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส)
x2 + ( 35 )2 = 12 เมื่อ x < 0 (x, 35 )
(0, 35)
x = ± 45 3
A
5 X
แต x < 0 จะได x = - 45 -1 0 (1, 0)
ดังนั้น cos A = - 45
-1
จาก cos B = - 23 เมื่อ π < B < 32π
จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา
Y
(- 23 ) + y = 1
2 2 2
เมื่อ y < 0 1
y = ± 12
(- 23, 0)
แต y < 0 จะได y = - 12 -1
B X
(1, 0)
ดังนั้น sin B = - 12 -( 23 , y)
- 23
3 -1
จากขอกําหนด จะไดวา tan A = cos sin A = 5 = - 3
A -4 4
5
1
tan B = cossin B = - 2 = 1 = 3
B - 3 3 3
2
ดังนั้น tan (A + B) = 1tan- tanA + tan B
A tan B
3
- + 3
= 4 3
1 - (- 34 )( 33 )
-9 + 4 3
= 12
1 + 3123
ฟงกชันตรีโกณมิติ 67
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูยกตัวอยางเพิ่มเติม ดังนี้ -9 + 4 3
กําหนดให 5 sin A - 3 = 0 และ 2 cos B + 3 = 0 = 12
12 + 3 3
เมือ่ π2 < A < π และ π < B < 32π 12
= -9 + 4 3
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ 12 + 3 3
• sin A และ cos B เทากับเทาใด นั่นคือ tan (A + B) = -9 + 4 3
12 + 3 3
(แนวตอบ sin A = 35 และ cos B = - 23 )
• จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส cos A และ sin B ลองทําดู
เทากับเทาใด กําหนด sin A = - 45 และ cos B = 12 เมื่อ 32π < A < 2π และ 0 < B < π2
(แนวตอบ cos A = - 45 และ sin B = - 12 ) ใหหา tan (A - B)
• คาของ sin (A - B) เทากับเทาใด ตัวอย่างที่ 36
(แนวตอบ กําหนด 13 sin α + 5 = 0 และ 13 cos β - 12 = 0 เมื่อ 180 ํ < α < 270 ํ และ
sin (A - B) = sin A cos B - cos A sin B 270 ํ < β < 360 ํ ใหหาคาของ cos (α + β)
= ( 35 ) (- 23 ) - (- 45 )(- 12 )
วิธีทํา จาก 13 sin α + 5 = 0 เมื่อ 180 ํ < α < 270 ํ
= - 4 +103 3 ) จะได sin α = - 135 Y
• คาของ cos (A - B) เทากับเทาใด จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา 1
(แนวตอบ x2 + (- 135 )2 = 12 เมื่อ x < 0
cos (A - B) = cos A cos B + sin A sin B x = ± 12
13 -1 -5 0
α
(1, 0)
X
12 13 (0, - 135 )
= (- 45 ) ( - 23 ) + ( 35 )(- 12 ) แต x < 0 จะได x = - 13 ( 135 )
x, -
ดังนั้น cos α = - 12 -1
= -3 +104 3 ) 13
จาก 13 cos β - 12 = 0 เมื่อ 270 ํ < β < 360 ํ
จะได cos β = 12 13 Y
จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา 1
y2 + (12 2
13 ) = 1
2
เมื่อ y < 0
12
y = ± 135 13
-1 β0 (1, 0)
แต y < 0 จะได y = - 135 12
(13 , y)
ดังนั้น sin β = - 135 -1
68
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จากขอกําหนด จะได sin α = - 135 และ cos α = - 12 13 หนา 68-69 เมื่อนักเรียนทําเสร็จแลว ครูและ
5
sin β = - 13 และ cos β = 13 12
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ดังนั้น cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.7 ขอ 1.-4.
= (- 12 12 5 5
13 )(13 ) - (- 13 )(- 13 ) ในหนังสือเรียน หนา 72 เปนการบาน
= -1
นั่นคือ cos (α + β) = -1 รู (Knowing)
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 37 ในหนังสือเรียน
ลองทําดู หนา 69 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
กําหนด 5 sin A + 4 = 0 และ tan B + 1 = 0 เมื่อ 270 ํ < A < 360 ํ และ • จากตัวอยางที่ 37 ขอ 1) นักเรียนใชสูตรใด
90 ํ < B < 180 ํ ใหหาคาของ sin (A + B) ในการหาคําตอบ
(แนวตอบ
ตัวอย่างที่ 37
sin A cos B + cos A sin B = sin (A + B))
ใหหาคาของ • จากตัวอยางที่ 37 ขอ 2) นักเรียนใชสูตรใด
π cos 3π + cos π sin 3π
1) sin 10 20 10 20 ในการหาคําตอบ
2) cos 65 ํ cos 35 ํ + cos 25 ํ cos 55 ํ (แนวตอบ
π cos 3π + cos π sin 3π = sin π + 3π cos A cos B + sin A sin B = cos (A - B))
วิธีทํา 1) sin 10 20 10 20 (10 20 )
= sin 520π
= sin π4
= 22
π cos 3π + cos π sin 3π = 2
ดังนั้น sin 10 20 10 20 2
2) cos 65 ํ cos 35 ํ + cos 25 ํ cos 55 ํ = cos 65 ํ cos 35 ํ + sin 65 ํ sin 35 ํ
= cos (65 ํ - 35 ํ)
= cos 30 ํ
= 3
2
ดังนั้น cos 65 ํ cos 35 ํ + cos 25 ํ cos 55 ํ = 23
ฟงกชันตรีโกณมิติ 69
T75
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 38 ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 70 จากนัน้ ครูถามคําถาม ดังนี้
ใหหาคาของ
• จากตัวอยางที่ 38 นักเรียนใชสตู รใดในการ
tan 38π + tan 724π
หาคําตอบ 1) 2) sin 118 ํ cos 25 ํ - cos 118 ํ sin 25 ํ
(แนวตอบ 1 - tan 38π tan 724π
sin A cos B + cos A sin B = sin (A + B) และ ตัวอย่างที่ 38
cos A cos B - sin A sin B = cos (A + B))
ใหหาคาของ sin α cos (45 ํ - α) + cos α sin (45 ํ - α)
cos α cos (60 ํ - α) - sin α sin (60 ํ - α)
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา sin α cos (45 ํ - α) + cos α sin (45 ํ - α) sin [α + (45 ํ - α)]
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน cos α cos (60 ํ - α) - sin α sin (60 ํ - α) = cos [α + (60 ํ - α)]
หนา 70 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทํา = sin 45 ํ
cos 60 ํ
บนกระดาน โดยครูและนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกัน 2
ตรวจสอบความถูกตอง = 21
2
รู (Knowing) = 2
1. ครูอธิบายตัวอยางที่ 39 ในหนังสือเรียน หนา 70 ดังนั้น sin α cos (45 ํ - α) + cos α sin (45 ํ - α)
cos α cos (60 ํ - α) - sin α sin (60 ํ - α) = 2
โดยครู ก ล า วว า การพิ สู จ น โ ดยใช ค า ของ
ฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของ ลองทําดู
จํานวนจริงหรือมุม ในตัวอยางนี้ใชสูตรของ ใหหาคาของ sin A cos (60 ํ - A) + cos A sin (60 ํ - A)
sin (A - B) = sin A cos B - cos A sin B และ cos A cos (30 ํ - A) - sin A sin (30 ํ - A)
sin (A + B) = sin A cos B + cos A sin B ตัวอย่างที่ 39
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 71
ขอสอบเนน การคิด
ใหหาคาของ cos 105 ํ + sin 75 ํ - tan 15 ํ เทากับเทาใด
1. - 4 + 3 22 - 2 3 2. - 4 + 22 + 2 3 3. - 4 - 22- 2 3 4. - 4 - 3 22 + 2 3
(เฉลยคําตอบ cos 105 ํ + sin 75 ํ - tan 15 ํ
= cos (60 ํ + 45 ํ) + sin (45 ํ + 30 ํ) - tan (45 ํ - 30 ํ)
= (cos 60 ํ cos 45 ํ - sin 60 ํ sin 45 ํ) + (sin 45 ํ cos 30 ํ + cos 45 ํ sin 30 ํ) - tan 45 ํ - tan 30 ํ
1 + tan 45 ํ tan 30 ํ
1 - 3
= [( 12 )( 22 ) - ( 23 ) ( 22 )] + [( 22 ) ( 23 ) + ( 22 ) ( 12 )] - 3 = 22 - 12 -66 3
1 + (1) ( 33 )
= 42 - 46 + 46 + 42 - 3 - 3 = 22 - 4 - 22 3
3+ 3
2
= 4 - 2 3 - 3 •
(3 - 3
) = - 4 - 22- 2 3
3+ 3 3- 3
2 3 2 - 2(3)( 3) + ( 3) 2 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
= 2 -
3 2 - ( 3)2
= 22 - 9 - 96 -33 + 3
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
แบบฝึกทักษะ 1.7
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร (อ อ น ระดับพื้นฐาน
ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน 1. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ โดยใชฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและ
• ใหนักเรียนแตละกลุมทําแบบฝกทักษะ 1.7 ผลตางของจํานวนจริงหรือมุม
ขอ 5.-11. ในหนังสือเรียน หนา 72-73 1) sin (60 ํ + 45 ํ) 2) cos ( 32π - π6 ) 3) sin 75 ํ
• เมื่ อ นั ก เรี ย นทุ ก กลุ ม ทํ า เสร็ จ แล ว ครู สุ ม
4) cos 15 ํ 5) tan 105 ํ 6) sin 712π
นักเรียนออกมาแสดงวิธีทําอยางละเอียด
หน า ชั้ น เรี ย น โดยมี ค รู แ ละนั ก เรี ย นใน 7) cos 1712π 8) tan 1112π 9) tan (- 512π )
ชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 2. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) cos 10 π cos π - sin π sin π
15 10 15 2) sin 37π cos 221π - cos 37π sin 221π
3) cos 45π cos 20π + sin 4π sin π
5 20 4) sin 5 ํ cos 25 ํ + cos 5 ํ sin 25 ํ
5) cos 20 ํ cos 40 ํ - sin 20 ํ sin 40 ํ 6) cos 75 ํ cos 45 ํ - cos 15 ํ cos 315 ํ
3. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1) sin ( π2 + θ) = cos θ 2) cos (32π - θ) = -sin θ
3) tan ( π2 + θ) = -cot θ 4) sin (90 ํ - A) = cos A
5) cos (270 ํ + B) = sin B 6) tan (90 ํ - A) = cot A
7) sin (π + θ) = -sin θ 8) cos (90 ํ + A) = -sin A
4. กําหนด sin A = 12 และ cos B = 12 เมื่อ 0 < A < π2 และ 0 < B < π2
ใหหาคาของ sin (A + B) และ cos (A - B)
ระดับกลาง
5. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1) cot (270 ํ + A) = -tan A
2) cot (2π - θ) = -cot θ
3) cot (32π - θ) = tan θ
6. กําหนด tan A = - 43 และ cos B = 45 เมื่อ π2 < A < π และ 0 < B < π2
ใหหาคาของ tan (A + B)
72
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
7. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ • cos (α - β) หาไดอยางไร
tan 13 ํ + tan 32 ํ
1) tan 2) 1tan 25 ํ - tan 85 ํ (แนวตอบ
13 ํ tan 32 ํ - 1 + tan 85 ํ tan 25 ํ
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β)
3) -tan 15 ํ - 1
tan 15 ํ - 1 4) cot 25 ํ cot 20 ํ - 1
cot 25 ํ + cot 20 ํ • cos (α + β) หาไดอยางไร
5) tan 75 ํ - tan 30 ํ - tan 75 ํ tan 30 ํ 6) cot 75 ํ + cot 60 ํ + cot 75 ํ cot 60 ํ (แนวตอบ
8. ใหเขียนฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ในรูปของฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและ cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β)
ผลตางของจํานวนจริงหรือมุม • sin (α + β) หาไดอยางไร
(แนวตอบ
1) 12 cos θ + 23 sin θ
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β)
2) 1 sin θ - 1 cos θ • sin (α - β) หาไดอยางไร
2 2
1 + tan θ (แนวตอบ
3) 3 tan θ sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β)
1- • tan (α + β) หาไดอยางไร
3
9. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง (แนวตอบ tan (α + β) = 1ta-ntαan+αttaannββ )
1) cos ( π6 + A) cos ( π6 - A) - sin ( π6 + A) sin ( π6 - A) = 12 • tan (α - β) หาไดอยางไร
2) sin 3θ cos θ + cos 3θ sin θ = 2 sin 2θ cos 2θ (แนวตอบ tan (α - β) = 1ta+ntαan-αtatannββ )
3) 1tan- tan
4A + tan 3A = tan 7A
4A tan 3A
4θ cos θ - 1 cot 3θ cot 2θ - 1 ขัน้ ประเมิน
4) cot
cot θ + cot 4θ = cot 2θ cot 3θ 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.7
10. กําหนด 1tan- tan
A + tan B = 3 เมื่อ 0 < A < 90 ํ และ 0 < B < 90 ํ
A tan B 3 2. ครูตรวจ Exercise 1.7
ใหหาคาของ A + B 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ระดับทาทาย 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
sin (A - B) = 5 ใหหาคาของ tan A • cot B 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
11. กําหนด sin (A + B) 7 มุงมั่นในการทํางาน
ฟงกชันตรีโกณมิติ 73
= cos 75 ํ
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T79
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• นักเรียนสามารถหา cos 2α ไดอยางไร
3) การหาคาของ tan 2α
เนื่องจาก tan 2α = tan (α + α) (แนวตอบ cos 2α หาไดจากสูตร
cos (A + B) = cos A cos B - sin A sin B
= 1tan- tan
α + tan α
α tan α ซึ่งจะไดวา cos 2α = cos (α + α)
= 2 tan α
= cos α cos α - sin α sin α
1 - tan2α
สรุปไดวา = cos2 α - sin2 α)
tan 2α = 2 tan α2 2. ครูเขียน cos 2α = cos2 α − sin2 α บนกระดาน
1 - tan α
และกําหนดใหเปนสมการ (1) จากนั้นครูบอก
ตัวอย่างที่ 41 กับนักเรียนวา sin2 α + cos2 α = 1 เสมอ
กําหนด sin θ = 45 และ cos θ < 0 เมื่อ π2 < θ < π ใหหาคาของ เพราะเปนเอกลักษณตรีโกณมิติ จากนั้นครู
1) sin 2θ 2) cos 2θ 3) tan 2θ ถามคําถาม ดังนี้
• ถานักเรียนแทนคา cos2 α = 1 - sin2 α
วิธีทํา เนื่องจาก sin2 θ + cos2 θ = 1 ลงในสมการ (1) แลวคาของ cos 2α เทากับ
( 45 ) + cos θ = 1
2 2
จะได เทาใด
cos2 θ = 1 - 16
25 (แนวตอบ cos 2α = 1 - 2 sin2 α)
cos2 θ = 259 • ถานักเรียนแทนคา sin2 α = 1 - cos2 α
cos θ = ± 35 ลงในสมการ (1) แลวคาของ cos 2α เทากับ
เนื่องจาก cos θ < 0 จะได cos θ = - 35 เทาใด
( 4) (แนวตอบ cos 2α = 2 cos2 α - 1)
tan θ sin
= cos θ = 53 = - 43
θ
3. ครูถามคําถามนักเรียนโดยครูยังไมใหนักเรียน
(- 5 )
เปดหนังสือเรียนวา
1) sin 2θ = 2 sin θ cos θ = 2 ( 45 )(- 35) = - 24
25 • tan 2α สามารถหาไดอยางไร
ดังนั้น sin 2θ = - 24
25 (แนวตอบ หาไดโดยจัดรูป ta n 2α ใหอยูใน
2) cos 2θ = 2 cos2θ - 1 = 2 (- 35)2 - 1 = - 257 รูป ta n (α + α) แลวใชสูตร
ดังนั้น cos 2θ = - 257 ta n (A + B) = 1ta-ntAan+AttaannBB
2(- 43 ) 24 จะไดวา ta n (2α) = tan (α + α)
3) tan 2θ = 2 tan θ2 = =
1 - tan θ 1 - (- 4 )2 7
3 = 1ta-ntαan+αttaannαα
ดังนั้น tan 2θ = 247 = 2 tan α2 )
1 - tan α
ฟงกชันตรีโกณมิติ 75 4. ครูยกตัวอยางที่ 41 ในหนังสือเรียน หนา 75
บนกระดาน และเปดโอกาสใหนักเรียนถาม
เมื่อเกิดขอสงสัย
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
5. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 42 ใน
ลองทําดู
หนังสือเรียน หนา 76 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน กําหนด cos θ = 135 และ sin θ > 0 เมื่อ 0 < θ < π2 ใหหาคาของ
1) sin 2θ 2) cos 2θ 3) tan 2θ
เขาใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 42
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ใหแสดงวา tan θ sin 2θ = 1 - cos 2θ
หนา 76 เมื่อทําเสร็จแลว ครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ วิธีทํา sin θ • (2 sin θ cos θ)
tan θ sin 2θ = cos θ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.8 ขอ 1. และ = 2 sin2θ
ขอ 5. ในหนังสือเรียน หนา 80 = 1 - (1 - 2 sin2 θ)
= 1 - cos 2θ
รู (Knowing)
ดังนั้น tan θ sin 2θ = 1 - cos 2θ
1. ครูถามนักเรียนวา
• การหาคาของ sin 3α ตองใชความรูเรื่องใด ลองทําดู
(แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ ใหแสดงวา 1 -sincos
2A = cot A
ของผลบวกของจํานวนสองจํานวน โดยจัด 2A
รูป sin 3α ใหอยูในรูป sin (2α + α))
2. ครูและนักเรียนรวมกันหาคาของ sin 3α 2. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องสามเทาของจํานวนจริงหรือมุม
จนสรุปไดวา sin 3α = 3 sin α - 4 sin3 α 1) การหาคาของ sin 3α
เนื่องจาก sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
จะได sin 3α = sin (2α + α)
= sin 2α cos α + cos 2α sin α
= (2 sin α cos α)cos α + (cos2 α - sin2 α)sin α
= 2 sin α cos2 α + cos2 α sin α - sin3 α
= 2 sin α(1 - sin2 α) + (1 - sin2 α)sin α - sin3 α
= 2 sin α - 2 sin3 α + sin α - sin3 α - sin3 α
= 3 sin α - 4 sin3 α
สรุปไดวา
sin 3α = 3 sin α - 4 sin3 α
76
T82
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูถามนักเรียนวา
2) การหาคาของ cos 3α
เนื่องจาก cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β • การหาคาของ cos 3α ตองใชความรูเ รือ่ งใด
จะได cos 3α = cos (2α + α) (แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ
= cos 2α cos α - sin 2α sin α ของผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน โดย
= (2 cos2 α - 1)cos α - (2 sin α cos α) sin α จัดรูป cos 3α ใหอยูในรูป cos (2α + α))
= 2 cos3 α - cos α - 2 sin2 α cos α 4. จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
= 2 cos3 α - cos α - 2(1 - cos2 α) cos α วิธีการหาคาของ cos 3α จนสรุปไดวา
= 2 cos3 α - cos α - 2 cos α + 2 cos3 α cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α
= 4 cos3 α - 3 cos α 5. ครูถามนักเรียนวา
สรุปไดวา • การหาคาของ tan 3α ตองใชความรูเรื่องใด
cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α (แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ
3) การหาคาของ tan 3α ของผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน โดย
จัดรูป ta n 3α ใหอยูในรูป ta n (2α + α))
เนื่องจาก tan (α + β) = 1tan- tan
α + tan β
α tan β 6. จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
จะได tan 3α = tan (2α + α) วิธีการหาคาของ ta n 3α จนสรุปไดวา
= 1tan- tan
2α + tan α 3
2α tan α ta n 3α = 3 tan α - ta2n α
2 tan α2 + tan α 1 - 3 tan α
= 1 - tan α
1 - 1 2- tan α
tan2 α • tan α
2 tan α + tan α(1 - tan2 α)
= 1 - tan 1 - tan2 α
2 α - 2 tan2 α
1 - tan2 α
3
= 2 tan α1 +- tan α - tan α
3 tan2 α
3
= 3 tan α - tan α
2
1 - 3 tan α
สรุปไดวา
3
tan 3α = 3 tan α - tan α
1 - 3 tan2 α
ฟงกชันตรีโกณมิติ 77
T83
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
7. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 43-44 ใน
ตัวอย่างที่ 43
หนังสือเรียน หนา 78 จากนั้นครูถามคําถาม
นักเรียน ดังนี้ กําหนด cos 17 ํ = 0.9563 ใหหาคาของ cos 51 ํ
• ในตัวอยางที่ 43 สิง่ ทีโ่ จทยกาํ หนดใหคอื อะไร วิธีทํา จาก cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α
(แนวตอบ cos 17 ํ = 0.9563) จะได cos 51 ํ = cos 3(17 ํ)
• ในตัวอยางที่ 43 นักเรียนสามารถหา cos 51 ํ = 4 cos3 17 ํ - 3 cos 17 ํ
ไดอยางไร และมีคาเทากับเทาใด = 4(0.9563)3 - 3(0.9563)
(แนวตอบ จัดรูป cos 51 ํ จัดใหอยูในรูปของ ≈ 3.4982 - 2.8689
78
T84
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
สรุปไดวา 2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 45 ใน
cos α2 = ± 1 + 2cos α หนังสือเรียน หนา 79 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2) การหาคาของ sin α2
เนื่องจาก cos α = cos 2(α2 ) เขาใจ (Understanding)
cos α = 1 - 2 sin2 α2 1. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “Thinking Time” จากนัน้
sin2 α2 = 1 - cos α
ครูสมุ นักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบนกระดาน
2
sin α2 = ± 1 - cos α
Thinking Time โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบ
2
สรุปไดวา ใหแสดงวา ความถูกตอง
tan α2 = ± 11 +- cos α 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.8 ขอ 3.-4.
sin α2 = ± 1 - cos
2
α cos α
และ ขอ 7. ในหนังสือเรียน หนา 80 จากนั้น
ตัวอย่างที่ 45
ครูสุมนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบนกระดาน
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
ใหหาคาของ sin 15 ํ
ลงมือทํา (Doing)
วิธีทํา จาก sin α2 = ± 1 - cos 2
α
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
จะได sin 15 ํ = sin ( 302 ํ )
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
= ± 1 - cos 2
30 ํ และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ทําแบบฝกทักษะ
1- 3 1.8 ขอ 8.-10. ในหนังสือเรียน หนา 81 จากนัน้
= ± 22 ครูสุมนักเรียน 3 กลุม ออกมาเฉลยวิธีการหา
ดังนั้น sin 15 ํ = ± 2 -4 3 คําตอบบนกระดาน โดยครูและเพือ่ นในชัน้ เรียน
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
ฟงกชันตรีโกณมิติ 79 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.8 ในแบบฝกหัด
เปนการบาน
= ±
1 - cos α
1 + cos α
T85
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ ลองทําดู
• สูตรการหาคาของ sin (2α) คืออะไร
ใหหาคาของ cos 22.5 ํ
(แนวตอบ sin (2α) = 2 sin α cos α)
• สูตรการหาคาของ cos (2α) คืออะไร
(แนวตอบ cos (2α) = cos2 α - sin2 α แบบฝึกทักษะ 1.8
= 1 - 2 sin2 α = 2 cos2 α - 1)
ระดับพื้นฐาน
• สูตรการหาคาของ tan (2α) คืออะไร
(แนวตอบ ta n (2α) = 2 ta n α2 ) 1. กําหนด cos A = 178 และ 0 < A < 90 ํ ใหหาคาของ
1 - ta n α 1) sin 2A 2) cos 2A 3) tan 2A
• สูตรการหาคาของ sin (3α) คืออะไร 2. กําหนด sin A = 135 และ 0 < A < π2 ใหหาคาของ
(แนวตอบ sin (3α) = 3 sin α - 4 sin3 α) 1) sin 3A 2) cos 3A 3) tan 3A
• สูตรการหาคาของ cos (3α) คืออะไร
3. กําหนด sin A = 35 และ 0 < A < 90 ํ ใหหาคาของ
(แนวตอบ cos (3α) = 4 sin3 α - 3 cos α) 1) sin A2 2) cos A2 3) tan A2
• สูตรการหาคาของ tan (3α) คืออะไร
3
(แนวตอบ ta n (3α) = 3 ta n α - ta2n α ) ระดับกลาง
1 - 3 ta n α
• สูตรการหาคาของ sin ( α2 ) คืออะไร 4. ใหหาคาของ
1) sin2 15 ํ + sin2 45 ํ
(แนวตอบ sin (α2 ) = ± 1 - cos
2 )
α
2) cos2 15 ํ + cos2 45 ํ
• สูตรการหาคาของ cos ( α2 ) คืออะไร 3
15 ํ + sin3 15 ํ
3) cos
cos 15 ํ + sin 15 ํ
(แนวตอบ cos ( α2 ) = ± cos α2 + 1 )
5. กําหนด cot A = 12 เมื่อ 0 ≤ A ≤ 90 ํ ใหหาคาของ 1 +sincos
2A
2A
ขัน้ ประเมิน 6. แสดงใหเห็นวา ฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.8 1) 1 +sincos 2α
2α = cot α 2) 1 +sincosα α
α = tan 2
2. ครูตรวจ Exercise 1.8 3) cot α - tan α = 2 cot 2α cot2 α = cosec 2α
4) 1 2+cot α
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน cos 3 α - sin 3α 3 3
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 5) cos α + sin α = 1 - 2 sin 2α 6) 4 sin sin α + sin 3α 4 cos α - cos 3α
α + cos α =6
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 7. กําหนด A + B = 55 ํ และ 4 sin (A - B) cos (A - B) = 1 ใหหาคาของ B
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 80
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T86
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร
sin α cos β + cos α sin β
1. กําหนด sin (α + β) = ............................................................. .....(1) 2. หาคาของ 2 cos α cos β และ 2 sin α sin β จากผลบวกและผลตาง
sin α cos β - cos α sin β
sin (α - β) = .............................................................. .....(2) ของ cos (α + β) ถึง cos (α - β) ดังนี้
(1) + ...........
........... 2 sin α cos β .
(2) จะได sin (α + β) + sin (α - β) = .................................... cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β .....(1)
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β .....(2)
สรุปไดวา
(1) + (2) จะได cos (α + β) + cos (α - β) = 2 cos α cos β
sin (α + β) + sin....................
2 sin α cos β = .................................... (α - β)
(2) - (1) จะได cos (α - β) - cos (α + β) = 2 sin α sin β
(1) - ...........
........... 2 cos α sin β .
(2) จะได sin (α + β) - sin (α - β) = ....................................
สรุปไดวา
sin (α + β) - sin....................
2 cos α sin β = .................................... (α - β)
T87
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. จากการทํากิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน
จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะไดวา
หนา 81 ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β .....(1)
• sin (α + β) เทากับเทาใด
(แนวตอบ sin α cos β + cos α sin β) sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β .....(2)
• sin (α - β) เทากับเทาใด (1) + (2) จะได sin (α + β) + sin (α - β) = 2 sin α cos β
(แนวตอบ sin α cos β - cos α sin β) สรุปไดวา
• sin (α + β) + sin (α - β) เทากับเทาใด 2 sin α cos β = sin (α + β) + sin (α - β)
(แนวตอบ 2 sin α cos β) (1) - (2) จะได sin (α + β) - sin (α - β) = 2 cos α sin β
• sin (α + β) - sin (α - β) เทากับเทาใด
สรุปไดวา
(แนวตอบ 2 cos α sin β)
2 cos α sin β = sin (α + β) - sin (α - β)
3. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมตอบคําถามตอไปนี้
• นักเรียนสามารถหาคาของ 2 cos α cos β ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถหาคาของ 2 cos α cos β และ 2 sin α sin β โดยใชวิธี
และ 2 sin α sin β โดยใชวิธีเดียวกับการหา เดียวกันกับการหาคาของ 2 sin α cos β และ 2 cos α sin β ซึ่งมีคา ดังนี้
คาของ 2 sin α cos β และ 2 cos α sin β
ไดอยางไร 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β)
(แนวตอบ 2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β)
2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β)
และ
นอกจากความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติดังกลาว
ยังมีความสัมพันธอื่น ๆ อีก ดังนี้
2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β))
4. ครูเขียนความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง กําหนด x+y = α .....(1)
และผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติอื่นๆ บน x-y = β .....(2)
กระดาน ดังนี้ (1) + (2) จะได 2x = α + β
กําหนด x + y = α .....(1) x = α 2+ β
x-y=β .....(2) (1) - (2) จะได 2y = α - β
แลวถามคําถามนักเรียนวา y = α 2- β
• นักเรียนหาคําตอบของระบบสมการ
ไดอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ขึ้ น อยู กั บ พื้ น ฐานความรู เช น ใช ส มบั ติ
การเทากันและแกสมการหาคา x แลวนําคา x 82
ที่ไดไปแทนคาเพื่อหาคา y ตอไป)
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• คําตอบของระบบสมการขางตนเทากับเทาใด
เนื่องจาก sin (x + y) + sin (x - y) = 2 sin x cos y
(แนวตอบ x = α 2+ β และ y = α 2- β )
แทนคา x = α 2+ β และ y = α 2- β จะได
5. ครูเขียนความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง
sin ( α 2+ β + α 2- β ) + sin ( α 2+ β - α 2- β ) = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) และผลคูณของฟงกชนั ตรีโกณมิตอิ นื่ ๆ เพิม่ เติม
sin α + sin β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) บนกระดาน ดังนี้
สรุปไดวา sin (x + y) + sin (x - y) = 2 sin x cos y
sin α + sin β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) แลวครูถามคําถามนักเรียนวา
• ถานักเรียนแทนคา x และ y ในความสัมพันธ
ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถหาคาของ sin α - sin β, cos α + cos β และ cos α - cos β ขางตน จะไดผลลัพธเปนอยางไร
โดยใชวิธีเดียวกันกับการหาคาของ sin α + sin β ซึ่งมีคา ดังนี้ (แนวตอบ
sin α - sin β = 2 cos α 2+ β sin α 2- β sin ( α 2+ β + α 2- β ) + sin ( α 2+ β - α 2- β )
cos α + cos β = 2 cos α 2+ β cos α 2- β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) )
cos α - cos β = -2 sin α 2+ β sin α 2- β 6. ครูขอตัวแทนนักเรียนออกมาหาคาของ
sin α - sin β, cos α + cos β และ
ตัวอย่างที่ 46 cos α - cos β โดยใชวธิ เี ดียวกับการหาคาของ
sin α + sin β
ใหหาคาของ 2 cos 55 ํ cos 5 ํ - cos 50 ํ
(แนวตอบ
วิธีทํา เนื่องจาก 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β) sin α - sin β = 2 cos ( α 2+ β ) sin ( α 2- β )
จะได 2 cos 55 ํ cos 5 ํ - cos 50 ํ = [cos (55 ํ + 5 ํ) + cos (55 ํ - 5 ํ)] - cos 50 ํ
= (cos 60 ํ + cos 50 ํ) - cos 50 ํ cos α + cos β = 2 cos ( α 2+ β) cos ( α 2- β)
= cos 60 ํ cos α - cos β = -2 sin ( α 2+ β) cos ( α 2- β) )
= 12
ดังนั้น 2 cos 55 ํ cos 5 ํ - cos 50 ํ = 12
ลองทําดู
ใหหาคาของ 2 cos 50 ํ cos 70 ํ - cos 20 ํ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 83
กิจกรรม สรางเสริม
ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาความสัมพันธของฟงกชัน
ตรีโกณมิติที่กําหนดใหตอไปนี้วา มีความจําเปนตองเปลี่ยนใหอยู
ในรูปผลบวกและผลตางหรือไม เพราะเหตุใด และเมื่อใชสูตร
ผลที่เกิดขึ้นเปนอยางไร
1. cos 80 ํ
2. cos 40 ํ
3. cos 160 ํ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
7. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 46-48 ใน
ตัวอย่างที่ 47
หนังสือเรียน หนา 83-84 จากนั้นแลกเปลี่ยน
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ใหหาคาของ sin (56π - θ) + sin ( 56π + θ) - cos θ
8. จากตัวอยางที่ 48 ในหนังสือเรียน หนา 84 ครู วิธีทํา เนื่องจาก sin α + sin β = 2 sin α 2+ β cos α 2- β
อธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ใหนักเรียนฟงวา
จะได sin (56π - θ) + sin (56π + θ) - cos θ
cos 10 ํ = sin 80 ํ และ sin 70 ํ = cos 20 ํ นั้น
เปน Cofunction และ cos (-θ) = cos θ นั้น [(56π - θ) + (56π + θ)] [(56π - θ) - (56π + θ) ]
= 2 sin 2 cos 2 - cos θ
มาจากบทพิสูจนในหนังสือเรียน หนา 17 5 π
= 2 sin 6 cos (-θ) - cos θ
เขาใจ (Understanding) = 2 ( 12 ) cos θ - cos θ
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน =0
หนา 83-85 เมื่อทําเสร็จแลวครูและนักเรียน ดังนั้น sin (56π - θ) + sin (56π + θ) - cos θ = 0
รวมกันเฉลยคําตอบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.9 ขอ 1.-6. ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 85 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน
ใหหาคาของ [sin (34π + 116π ) - sin (34π - 116π )] tan (π6 )
ออกมาเฉลยคํ า ตอบหน า ชั้ น เรี ย น โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง ตัวอย่างที่ 48
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.9 เปนการบาน
ใหหาคาของ sin 40sinํ +70cosํ 10 ํ
ลงมือทํา (Doing)
วิธีทํา sin 40 ํ + cos 10 ํ = sin 40 ํ + sin 80 ํ
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ sin 70 ํ cos 20 ํ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 2 sin (40 ํ +2 80 ํ) cos (40 ํ 2- 80 ํ)
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ = cos 20 ํ
• ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.9 ขอ 7.-8. = 2 sin 60 ํ cos (-20 )ํ
cos 20 ํ Ô´
ในหนังสือเรียน หนา 85 á¹Ðá¹Ç¤
2 3 cos 20 ํ
• ใหนักเรียนแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู = (2) cos 10 í = sin 80 í
จนเปนที่เขาใจรวมกัน cos 20 ํ sin 70 í = cos 20 í
• ครูสุมนักเรียนในแตละกลุมออกมาเฉลย = 3 cos (-θ) = cos θ
คําตอบอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน ดังนั้น sin 40 ํ + cos 10 ํ = 3
sin 70 ํ
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 84
= tan (A 2+ B ) cot ( A 2- B ) )
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
ลองทําดู นักเรียน ดังนี้
• ความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และ
sin 110 ํ + sin 20 ํ
ใหหาคาของ cos ผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติมีอะไรบาง
110 ํ + cos 20 ํ
(แนวตอบ
2 sin α cos β = sin (α + β) + sin (α - β)
แบบฝึกทักษะ 1.9 2 cos α sin β = sin (α + β) - sin (α - β)
ระดับพื้นฐาน 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β)
1. ใหหาคาของ 2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β)
1) 2 sin 35 ํ cos 10 ํ - sin 25 ํ 2) 2 cos 35 ํ cos 25 ํ - cos 10 ํ sin α + sin β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β )
4) 2 sin 715π cos 215π - sin 35π
sin α - sin β = 2 cos ( α 2+ β ) sin ( α 2- β )
3) 2 cos 50 ํ sin 10 ํ + sin 40 ํ
2. ใหหาคาของ
1) sin 50 ํ + sin 10 ํ - cos 20 ํ 2) cos 70 ํ + cos 50 ํ + cos 170 ํ cos α + cos β = 2 cos (α 2+ β) cos (α 2- β)
3) sin 75 ํ - sin 15 ํ 4) cos 70 ํ - cos 20 ํ cos α - cos β = -2 sin (α 2+ β) sin ( α 2- β ) )
cos 15 ํ + cos 75 ํ sin 20 ํ - sin 70 ํ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 85
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
T91
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายบทนิยามของฟงกชัน arcsine คือ
พิจารณากราฟของฟงกชัน { (x, y) y = sin x, - π2 ≤ x ≤ π
2 } และกราฟของฟงกชัน เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = sin y และ
{ (x, y) y = arcsin x }
Y - π2 ≤ y ≤ π2
π
(1, 2 ) y = x
π
2 4. ครูใหนกั เรียนศึกษาความรูใ นกรอบ “คณิตนารู”
1 π,
( 2 1) ในหนังสือเรียน หนา 86
y = sin x 5. ครูเขียนกราฟของ y = arcsin x บนกระดาน
y = arcsin x
-1 0 1
X จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
- π2 π
2 • โดเมนของฟงกชัน arcsine คืออะไร
π
(- 2 , -1) -1 (แนวตอบ [-1, 1])
π
- π2 • เรนจของฟงกชัน arcsine คืออะไร
(-1, - 2 )
(แนวตอบ [- π2 , π2 ] )
y = arcsin x, -1 ≤ x ≤ 1 และ - 2π ≤ y ≤ 2π
6. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 49 ในหนังสือเรียน
จากกราฟจะเห็นวา โดเมนของฟงกชนั arcsine คือ [-1, 1] และเรนจของฟงกชนั arcsine คือ หนา 87-88 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
-π, π
[ 2 2] • y ที่อยูในชวง - π2 ถึง π2 จะตองมีคาเทากับ
เทาใด จึงจะทําให sin y มีคาเทากับ 22
ตัวอย่างที่ 49 (แนวตอบ y = π4 )
ใหหาคาของ • arcsin 22 เทากับเทาใด
1) arcsin 22 2) arcsin (- 23 )
(แนวตอบ arcsin 22 = π4 )
วิธีทํา 1) ให arcsin 22 = y • y ที่อยูในชวง - π2 ถึง π2 จะตองมีคาเทากับ
โดยบทนิยาม จะได sin y = 22 เมื่อ y∊[- π2 , π2 ] เทาใด จึงจะทําให sin y มีคาเทากับ - 23
เนื่องจาก sin π4 = 22 สําหรับทุก y∊[- π2 , π2 ] (แนวตอบ y = - π3 )
ฟงกชันตรีโกณมิติ 87
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2) ให arcsin (- 23 ) = y
หนา 88 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 1. ขอยอย 1)
และ 4) ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูและ โดยบทนิยาม จะได sin y = - 23 เมื่อ y∊[- π2 , π2 ]
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ เนื่องจาก sin (- π3 ) = - 23 สําหรับทุก y∊[- π2 , π2 ]
จะไดวา y = - π3
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ดังนั้น arcsin (- 23 ) = - π3
1. ครูเขียนกราฟของ y = cos x บนกระดาน แลว
ถามนักเรียนวา
• จากกราฟ y = cos x จะเปนฟงกชัน 1-1 ลองทําดู
เมื่อใด ใหหาคาของ
(แนวตอบ เมื่อกําหนดโดเมนของ y = cos x 1) arcsin 12 2) arcsin (- 22 )
เปน { x 0 ≤ x ≤ π })
จากนั้นครูอธิบายวา เมื่อกําหนดโดเมนของ 2. ตัวผกผันของฟงกชนั โคไซน
y = cos x แลวทําใหความสัมพันธของ พิจารณากราฟของ y = cos x
{ (x, y) y = cos x } เปนฟงกชัน 1-1 ทําให Y
ได ฟ ง ก ชั น ผกผั น เรี ย กฟ ง ก ชั น ผกผั น นี้ ว า 1
arccosine
X
2. ครูอธิบายบทนิยามของฟงกชนั arccosine คือ -2π - 3π
2
-π - π 0
2 -1
π
2
π 3π 2π
2
เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = cos y และ
0≤y≤π 1
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาความรูใ นกรอบ “คณิตนารู” จากกราฟจะเห็นวา ความสัมพันธ { (x, y) y = cos x } ไมเปนฟงกชนั 1-1 แตถา กําหนดโดเมน
ในหนังสือเรียน หนา 88 ของ y = cos x เปน { x 0 ≤ x ≤ π } จะไดวา { (x, y) y = cos x, 0 ≤ x ≤ π } เปนฟงกชัน 1-1
ทําใหไดฟงกชันผกผัน คือ { (x, y) x = cos y, 0 ≤ y ≤ π } เรียกฟงกชันผกผันนี้วา arccosine
2
บทนิยาม ฟงกชัน arccosine คือ เซตของคูอันดับ ((x, y) โดยที่ x = cos y และ 0 ≤ y ≤ π
คณิตน่ารู้
ถา (x, y)∊arccosine จะได y = arccosine x หรือเขียนสั้น ๆ ไดเปน y = arccos x
โดย y = arccos x มีความหมายเดียวกันกับ x = cos y เมื่อ 0 ≤ y ≤ π
88
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูเขียนกราฟของ y = arccos x บนกระดาน
พิจารณากราฟของฟงกชัน { (x, y)y = cos x, 0 ≤ x ≤ π } และกราฟของฟงกชัน
{ (x, y) y = arccos x } จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
Y • โดเมนของฟงกชัน arccosine คืออะไร
(-1, π) π y=x (แนวตอบ [-1, 1] )
• เรนจของฟงกชัน arccosine คืออะไร
y = arccos x
π (แนวตอบ [0, π] )
2
(0, 1) 5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 50 ในหนังสือเรียน
-1
X หนา 89 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
(1, 0) π π
-1 2
y = cos x (π, -1) • y ที่อยูในชวง 0 ถึง π จะตองมีคาเทากับ
เทาใด จึงจะทําให cos y มีคาเทากับ 1
y = arccos x, -1 ≤ x ≤ 1 และ 0 ≤ y ≤ π (แนวตอบ y = 0)
จากกราฟจะเห็นวา โดเมนของฟงกชัน arccos คือ [-1, 1] และเรนจของฟงกชัน arccos คือ • arccos 1 เทากับเทาใด
[0, π] (แนวตอบ arccos 1 = 0)
• y ที่อยูในชวง 0 ถึง π จะตองมีคาเทากับ
ตัวอย่างที่ 50 เทาใด จึงจะทําให cos y มีคาเทากับ - 12
ใหหาคาของ
(แนวตอบ y = 23π )
1) arccos 1 2) arccos (- 12)
• arccos (- 12 ) เทากับเทาใด
วิธีทํา 1) ให arccos 1 = y
(แนวตอบ arccos (- 12 ) = 23π )
โดยบทนิยาม จะได cos y = 1 เมื่อ y∊[0, π]
เนื่องจาก cos 0 = 1 สําหรับทุก y∊[0, π]
จะไดวา y =0
ดังนั้น arccos 1 = 0
2) ให arccos (- 12) =y
โดยบทนิยาม จะได cos y = - 12 เมื่อ y∊[0, π]
เนื่องจาก cos 23π = - 12 สําหรับทุก y∊[0, π]
จะไดวา y = 23π
ดังนั้น arccos (- 12) = 23π
ฟงกชันตรีโกณมิติ 89
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 90 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 1. ขอยอย 2)
ใหหาคาของ
และ 5) ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1) arccos 23 2) arccos (- 22 )
คณิตน่ารู้
ถา (x, y)∊arctangent จะได y = arctangent x หรือเขียนสั้น ๆ ไดเปน y = arctan x
โดย y = arctan x มีความหมายเดียวกันกับ x = tan y เมื่อ - π2 < y < π2
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
Y
y = tan x 4. ครูเขียนกราฟของ y = arctan x บนกระดาน
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• โดเมนของฟงกชัน arctangent คืออะไร
π
2 y = arctan x (แนวตอบ R)
1 • เรนจของฟงกชัน arctangent คืออะไร
X
- π2 -1 -1 0 1 π
2 (แนวตอบ (- π2 , π2 ) )
- π2
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 51 ในหนังสือเรียน
หนา 91 หลังจากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• y ทีอ่ ยูร ะหวาง - π2 กับ π2 จะตองมีคา เทากับ
y = arctan x, -∞ < x < ∞ และ - 2π < y < 2π
1 2 เทาใด จึงจะทําให tan y มีคาเทากับ 33
จากกราฟจะเห็นวา โดเมนของฟงกชัน arctan คือ R และเรนจของฟงกชัน arctan คือ (แนวตอบ y = π6 )
π π
(- 2 , 2 ) • arctan 33 เทากับเทาใด
ตัวอย่างที่ 51 (แนวตอบ arctan 33 = π6 )
ใหหาคาของ • y ทีอ่ ยูร ะหวาง - π2 กับ π2 จะตองมีคา เทากับ
1) arctan 33 2) arctan (-1) เทาใด จึงจะทําให tan y มีคาเทากับ -1
วิธีทํา 1) ให arctan 33 = y (แนวตอบ y = - π4 )
• arctan (-1) เทากับเทาใด
โดยบทนิยาม จะได tan y = 33 เมื่อ y∊(- π2 , π2 )
(แนวตอบ arctan (-1) = - π4 )
เนื่องจาก tan π6 = 33 สําหรับทุก y∊(- π2 , π2 )
จะไดวา y = π6
ดังนั้น arctan 33 = π6
2) ให arctan (-1) = y
โดยบทนิยาม จะได tan y = -1 เมื่อ y∊(- π2 , π2 )
เนื่องจาก tan (- π4 ) = -1 สําหรับทุก y∊(- π2 , π2 )
จะไดวา y = - π4
ดังนั้น arctan (-1) = - π4
ฟงกชันตรีโกณมิติ 91
T97
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หนา 92 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 1. ขอยอย 3)
ใหหาคาของ
และ 6) ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูและ
นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1) arctan 3 2) arctan (- 33 )
y = sin x, - 2π ≤ x ≤ 2π y = arcsin x, -1 ≤ x ≤ 1
92
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
Y 4. ครูอธิบายตัวอยางที่ 52 ในหนังสือเรียน หนา 93
π บนกระดาน พรอมเปดโอกาสใหนักเรียนถาม
Y เมื่อเกิดขอสังสัย
1 π
5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา สําหรับโจทยที่เกี่ยวกับ
π 2 ตั ว ผกผั น ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ บ างโจทย
2 π
X
0
-1 X นักเรียนอาจตองเปดตารางคาฟงกชนั ตรีโกณ-
-1 0 1
มิติหรือใชความรูจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
y = cos x, 0 ≤ x ≤ π y = arccos x, -1 ≤ x ≤ 1 ผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม
Y
Y
π
1 2
X 0 1 X
- π2 0 π -1
-1 2
- π2
ตัวอย่างที่ 52
ใหหาคาของ cos (arctan 3)
วิธีทํา ให arctan 3 =θ
จะได tan θ = 3 เมื่อ θ∊(- π2 , π2 )
เนื่องจาก tan π3 = 3 สําหรับทุก θ∊(- π2 , π2 )
จะได arctan 3 = π3
ดังนั้น cos (arctan 3) = cos π3 = 12
ลองทําดู
ใหหาคาของ tan (arcsin 23 )
ฟงกชันตรีโกณมิติ 93
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 53-56
สําหรับโจทยที่เกี่ยวกับตัวผกผันของฟงกชันตรีโกณมิติบางโจทย นักเรียนอาจตองเปดตาราง
ในหนังสือเรียน หนา 94-95 แลวใหนักเรียน คาฟงกชันตรีโกณมิติหรือใชความรูจากฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริง
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่ หรือมุม ดังตัวอยางตอไปนี้
เขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน 4 คน ออกมา
ตัวอย่างที่ 53
แสดงวิธที าํ อยางละเอียด พรอมกับถามคําถาม
นักเรียนในหอง ใหนักเรียนรวมกันตรวจสอบ ใหหาคาของ arcsin 0.2079
พรอมกับแสดงแนวคิดที่ตางกันหรือวิธีการที่ วิธีทํา ให arcsin 0.2079 = θ
หลากหลาย จะได sin θ = 0.2079 เมื่อ θ∊[-90 ํ, 90 ํ]
7. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ จากการเปดตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
• arcsin 0.2079 เทากับ arccos 0.9781 หรือไม จะได sin 12 ํ = 0.2079 สําหรับทุก θ∊[-90 ํ, 90 ํ]
(แนวตอบ เทากัน เพราะ arccos 0.9781 = 12 )ํ ดังนั้น θ = 12 ํ
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 93-96 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 2.-5.
ใหหาคาของ tan (arccos 135 - arcsin 12
13) ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 96 จากนั้ น ครู แ ละ
ตัวอย่างที่ 55 นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ใหหาคาของ cos (2 arcsin 14) 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.10 ในแบบฝกหัด
เปนการบาน
วิธีทํา ให arcsin 14 = θ
จะได sin θ = 14 เมื่อ θ∊[- π2 , π2 ] ขัน้ สรุป
ดังนั้น cos (2 arcsin 14) = cos 2θ ตรวจสอบและสรุป
= 1 - 2 sin2 θ
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
= 1 - 2(14)2
นักเรียน ดังนี้
= 78
• ฟงกชัน arcsine มีนิยามวาอยางไร
นั่นคือ cos (2 arcsin 14) = 78 (แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
โดยที่ x = sin y และ - π2 ≤ y ≤ π2 )
ลองทําดู
• โดเมนของฟงกชัน arcsine คืออะไร
ใหหาคาของ tan (2 arccos 35 )
(แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน arcsine คือ
ตัวอย่างที่ 56 [-1, 1])
ใหแสดงวา 2 arctan 13 = arctan 34 • เรนจของฟงกชัน arcsine คืออะไร
(แนวตอบ เรนจของฟงกชัน arcsine คือ
วิธีทํา ให arctan 13 = θ
[- π2 , π2 ] )
จะได tan θ = 13 เมื่อ θ∊(- π2 , π2 )
พิจารณา tan (2 arctan 13) = tan 2θ • ฟงกชัน arccosine มีนิยามวาอยางไร
(แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
= 2 tan θ2
1 - tan θ โดยที่ x = cos y และ 0 ≤ y ≤ π)
21 • โดเมนของฟงกชัน arccosine คืออะไร
= (31) 2 (แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน arccosine
1 - (3)
= 34 คือ [-1, 1] )
• เรนจของฟงกชัน arccosine คืออะไร
จะได tan (2 arctan 13) = 34 (แนวตอบ เรนจของฟงกชัน arccosine คือ
ดังนั้น 2 arctan 13 = arctan 34 [0, π] )
ฟงกชันตรีโกณมิติ 95 • ฟงกชัน arctangent มีนิยามวาอยางไร
(แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
โดยที่ x = tan y และ - π2 < y < π2 )
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• โดเมนของฟงกชัน arctangent คืออะไร
ลองทําดู
(แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน a rcta ngent
คือ (- ∞, ∞)) ใหแสดงวา 2 arctan 38 = arctan 48
55
• เรนจของฟงกชัน arctangent คืออะไร
(แนวตอบ เรนจของฟงกชัน a rcta ngent แบบฝึกทักษะ 1.10
คือ (- π2 , π2 ) ) ระดับพื้นฐาน
ฝกปฏิบตั ิ 1. ใหหาคาของ
1) arcsin 1 2) arccos 22 3) arctan 1
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 4) arcsin (- 12 ) 5) arccos (- 23 ) 6) arctan (- 3)
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ 2. ใหหาคาในแตละขอตอไปนี้โดยใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ทําแบบฝกทักษะ 1.10 1) arcsin 0.4695 2) arcsin 0.5688 3) arccos 0.7451
ขอ 6. ในหนังสือเรียน หนา 96 4) arccos 0.8158 5) arctan 0.3839 6) arctan 1.1171
• ใหนักเรียนแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู
ระดับกลาง
ภายในกลุมและทําความเขาใจรวมกัน
• ครู สุ ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมาเฉลย 3. ใหหาคาของ
คําตอบอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน 1) sin (arccos 14 ) 2) cos (arctan (-3)) 3) tan (arcsin (- 32 ))
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 4) cosec (arcsin 12 ) 5) sec (arccos (- 23 )) 6) cot (arcsin 1)
7) sin (arccos 0.5640) 8) cos (arctan 0.4348) 9) tan (arccos (-0.7771))
ขัน้ ประเมิน 4. ใหหาคาของ
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.10 1) sin ( 12 arccos 45 ) 2) cos ( 12 arccos 45 )
2. ครูตรวจ Exercise 1.10 3) sin (2 arccos (- 45 )) 4) tan (2 arcsin (- 12
13))
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 5. ใหหาคาของ
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 1) sin (arcsin 45 + arcsin 135 ) 2) tan (arcsin 12 - arccos 13 )
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 3) cos (arcsin 12 4 4) cos (arctan (- 43 ) + arcsin 12
13 + arcsin 5 ) 13)
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน ระดับทาทาย
6. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1) arcsin 1 + arcsin 2 = π2 2) cos (2 arcsin x) = 1 - 2x2
5 5
96
= 1 - 2 sin2 θ - 1
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
2
= 1 - 2 ( 13 ) - 1
เกณฑ์การให้คะแนน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../............... = - 29
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T102
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T103
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 57-59 ใน
ตัวอย่างที่ 58
หนังสือเรียน หนา 97-98 แลวแลกเปลี่ยน
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ใหพิสูจนวา 1 +sincos
θ = 1 - cos θ
θ sin θ
จากนั้ น ครู ถ ามคํ า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความ วิธีทํา sin θ sin θ 1 - cos θ
เขาใจของนักเรียน ดังนี้ 1 + cos θ = 1 + cos θ × 1 - cos θ
= sin θ(1 - cos θ)
• จากตัวอยางที่ 57 เพราะเหตุใดจึงนําคา 1 - cos2 θ
Ô´
1 + tan2 x แทนคา sec2 x = sin θ(1 -2 cos θ)
sin θ á¹Ðá¹Ç¤
(แนวตอบ เพราะตองการจัดรูป sec x ใหอยู ¤Ù³·Ñé§àÈÉáÅÐʋǹ´ŒÇÂ
= 1 -sincos θ
1 - cos θ
ในรูป tan x) θ
θ = 1 - cos θ
ดังนั้น 1 +sincos θ sin θ
ลองทําดู
ใหพิสูจนวา 1 cos θ 1 + sin θ
- sin θ = cos θ
ตัวอย่างที่ 59
sin 7x - sin 3x - sin 5x + sin x = tan 2x
ใหพิสูจนวา cos 7x + cos 3x - cos 5x - cos x
sin 7x - sin 3x - sin 5x + sin x = (sin 7x - sin 3x) - (sin 5x - sin x)
วิธีทํา cos 7x + cos 3x - cos 5x - cos x (cos 7x + cos 3x) - (cos 5x + cos x)
= 22cos
cos 5x sin 2x - 2 cos 3x sin 2x
5x cos 2x - 2 cos 3x cos 2x
= 2 cos 2x(cos 5x
2 sin 2x(cos - cos 3x)
5x - cos 3x)
sin 2x
= cos 2x
= tan 2x
ดังนั้น cos 7x + cos 3x - cos 5x - cosx x = tan 2x
sin 7x - sin 3x - sin 5x + sin
ลองทําดู
sin 4x - sin (-2x) - sin 6x + sin (-4x) = cot x
ใหพิสูจนวา cos (-2x) - cos 4x - cos (-4x) + cos 6x
98
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากตัวอยางที่ 58 เพราะเหตุใดจึงนําคา
ในการพิสูจนเอกลักษณที่เกี่ยวของกับรูปสามเหลี่ยม จะพบวาโจทยกําหนดเงื่อนไข เชน
“ในรูปสามเหลี่ยม ABC หรือ A + B + C = 180 ํ” หลักการพิสูจนจะใชความสัมพันธของ 1 - cos2 θ แทนคา sin2 θ
มุมประกอบหนึ่งมุมฉาก หรือมุมประกอบสองมุมฉาก ดังตัวอยางตอไปนี้ (แนวตอบ เพราะตองการจัดรูป cos x ใหอยู
ในรูป sin x)
ตัวอย่างที่ 60 • จากตัวอยางที่ 59 ใชความสัมพันธใดของ
กําหนด A + B + C = 180 ํ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ใหพิสูจนวา cos A + cos B + cos C = 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 ( แนวตอบ ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งผลบวก
ของฟงกชันตรีโกณมิติที่วา
วิธีทํา cos A + cos B + cos C = 2 cos (A +2 B) cos ( A 2- B ) + cos C sin α - sin β = 2 cos ( α 2+ β ) sin ( α 2- β ) )
= 2 sin C2 cos ( A 2- B ) + 1 - 2 sin2 C2 4. ครูอธิบายวา การพิสูจนเอกลักษณที่เกี่ยวของ
= [2 sin C2 cos ( A 2- B ) - 2 sin2 C2 ] + 1 กับรูปสามเหลี่ยมจะใชหลักการความสัมพันธ
= 2 sin C2 [cos ( A 2- B ) - sin C2 ] + 1 ของมุมประกอบหนึ่งมุมฉาก หรือมุมประกอบ
สองมุมฉาก จากนั้นครูยกตัวอยางที่ 60 ใน
= 2 sin C2 [cos ( A 2- B ) - cos (A +2 B)] + 1 หนังสือเรียน หนา 99 บนกระดาน แลวถาม
= 2 sin C2 (2 sin A2 sin B2 ) + 1 นักเรียนวา
= 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 • จากตัวอยางที่ 60 ใชความสัมพันธใดของ
ฟงกชันตรีโกณมิติ
ดังนั้น cos A + cos B + cos C = 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 (แนวตอบ ความสัมพันธระหวางผลบวกของ
ฟงกชันตรีโกณมิติที่วา
ลองทําดู
cos α + cos β = 2 cos (α 2+ β) cos (α 2- β))
กําหนด A + B + C = 180 ํ
ใหพิสูจนวา sin A + sin B - sin C = 4 sin A2 sin B2 sin C2 เขาใจ (Understanding)
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2. สมการตรีโกณมิติ (Trigonometric Equations) หนา 97-99 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
นักเรียนทราบมาแลววา ฟงกชนั ตรีโกณมิตโิ ดยทัว่ ไปไมเปนฟงกชนั 1-1 ทําใหคา ของฟงกชนั คําตอบ
ตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ อาจจะมีคาซํ้ากันได เชน sin π6 และ sin 56π มีคาซํ้ากัน
คือ 12
ดังนั้น ในการหาคําตอบของสมการตรีโกณมิติ ถาโจทยไมไดกําหนดใหคําตอบอยูในชวงใด
ชวงหนึ่ง คําตอบจะอยูในรูปของคาทั่วไป
ฟงกชันตรีโกณมิติ 99
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู อ ธิ บ ายว า ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ โ ดยทั่ ว ไป
ตัวอย่างที่ 61
ไมเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง ซึ่งทําใหคาของ
ฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมใดๆ แกสมการ cos x = 23 เมื่อ 0 < x < π2
อาจจะมีคาซํ้ากันได ดังนั้น ในการหาคําตอบ วิธีทํา เนื่องจาก 0 < x < π2 จะไดวา คาของ x ในชวงนี้ที่ทําให cos x = 23 คือ π6
ของสมการตรีโกณมิติ ถาโจทยไมไดกาํ หนดให ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {π6 }
คําตอบอยูในชวงใดชวงหนึ่ง คําตอบจะอยูใน
รูปของคาทั่วไป ลองทําดู
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 61-64 ใน แกสมการ tan x = - 3 เมื่อ - π2 < x < 0
หนังสือเรียน หนา 100-101 แลวแลกเปลี่ยน
ตัวอย่างที่ 62
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
3. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ แกสมการ tan θ = 1
3
นักเรียน ดังนี้
วิธีทํา Y จากวงกลมหนึ่งหนวย จะเห็นวาคา θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π ที่
• จากตัวอยางที่ 61 x ที่อยูในจตุภาคที่ 1 ทําให tan θ = 1 คือ π6 และ 76π
จะตองมีคาเทากับเทาใด จึงจะทําให cos x P1
3
มีคาเทากับ 23 และ tan (2nπ + 6 ) = tan π6 = 1 เมื่อ n∊I
π
0 X 3
(1, 0) 7 7 1
(แนวตอบ x = π6 ) P2
π
tan (2nπ + 6 ) = tan 6 = π
3
เมื่อ n∊I
• จากตัวอยางที่ 62 θ ที่อยูในชวง 0 ถึง 2π เนื่องจากโจทยไมไดกําหนดใหคําตอบอยูในชวงใดชวงหนึ่ง
จะตองมีคาเทากับเทาใด จึงจะทําให tan θ ดังนัน้ คาทัว่ ไปของ θ ทีท่ าํ ใหสมการเปนจริง คือ 2nπ + π6
เทากับ 1 และ 2nπ + 76π เมือ่ n∊I
3
(แนวตอบ θ = π6 และ 76π ) ลองทําดู
แกสมการ cos θ = 12
ตัวอย่างที่ 63
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากตัวอยางที่ 63 ในหนังสือเรียน หนา
จะได sin θ = 12 หรือ sin θ = 1
100-101 นั ก เรี ย นจะมี วิ ธีก ารแก ส มการ
เนื่องจาก คา θ เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให sin θ = 12 คือ π6 และ 56π cos 2θ + 3 sin θ = 2 ไดอยางไร
คา θ เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให sin θ = 1 คือ π2 (แนวตอบ เปลี่ยน cos 2θ เปน 1 - 2 sin2 θ
นั่นคือ คําตอบของสมการในชวง [0, 2π] คือ π6 , 56π และ π2 จะได (1 - 2 sin2 θ) + 3 sin θ = 2 จากนั้น
ดังนั้น คาทั่วไปของ θ ที่ทําใหสมการเปนจริง คือ 2nπ + π6 , 2nπ + 56π แกสมการ 2 sin2 θ - 3 sin θ + 1 = 0 โดย
และ 2nπ + π2 เมื่อ n∊I การแยกตัวประกอบ)
• จากตัวอยางที่ 64 ในหนังสือเรียน หนา 101
ลองทําดู นั ก เรี ย นจะมี วิ ธีก ารแก ส มการ 2 cos 2 x
แกสมการ cos 2θ - 1 = 0 + 2 cos2x = 1 ไดอยางไร
(แนวตอบ เปลี่ยน cos 2x เปน 2 cos2 x - 1
ตัวอย่างที่ 64
จะได 2 cos2 x + 2(2cos2 x - 1) = 1 จากนั้น
แกสมการ 2 cos2 x + 2 cos 2x = 1 แกสมการ 6 cos2 x = 3)
วิธีทํา 2 cos2 x + 2 cos 2x = 1
ลงมือทํา (Doing)
2 cos2 x + 2(2 cos2 x - 1) = 1
2 cos2 x + 4 cos2 x - 2 = 1 1. ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
6 cos2 x = 3 • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
cos x = ± 1 ความสามารถทางคณิตศาสตร
2
จะได cos x = 1 หรือ cos x = - 1 • ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ช ว ยกั น ทํ า แบบฝ ก
2 2 ทักษะ 1.11 ในหนังสือเรียน หนา 102 แลว
เนื่องจาก คา x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให cos x = 1 คือ π4 และ 74π
2 แลกเปลี่ยนความรูภายในกลุม
คา x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให cos x = - 1 คือ 34π และ 54π • ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม ออกมาเฉลยคําตอบ
2
นั่นคือ คําตอบของสมการในชวง [0, 2π] คือ π4 , 34π , 54π และ 74π อยางละเอียด โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
ดังนั้น คาทั่วไปของ x ที่ทําใหสมการเปนจริง คือ 2nπ + π4 , 2nπ + 34π , 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.11 ในแบบฝกหัด
2nπ + 54π และ 2nπ + 74π เมื่อ n∊I เปนการบาน
ลองทําดู
แกสมการ 4 cos2 x - 4 cos 2x + 2 = 5
ฟงกชันตรีโกณมิติ 101
T107
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ แบบฝึกทักษะ 1.11
• สมการทีม่ ฟี ง กชนั ตรีโกณมิตอิ ยูเ รียกวาอะไร
(แนวตอบ สมการตรีโกณมิติ) ระดับพื้นฐาน
• เพราะเหตุใดสมการ cos2 θ + sin2 θ = 1 1. ใหพิสูจนเอกลักษณตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
จึงเปนเอกลักษณตรีโกณมิติ 1) cos θ (tan θ + cot θ) = cosec θ 2) sin 2θ cot θ - 1 = cos 2θ
(แนวตอบ เพราะสมการนี้ เปนจริงสําหรับ 3) sin θ + cos θ = 1 - 12 sin θ
4 4 2
4) sec2 θ + cosec2 θ = sec2 θ cosec2 θ
ทุก θ) 5) tan2 θ - sin2 θ = tan2 θ sin2 θ 6) cossin2θ2θ+ +cossinθ θ+ 1 = tan θ
ขัน้ ประเมิน ระดับกลาง
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.11 2. ใหพิสูจนเอกลักษณตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
2. ครูตรวจ Exercise 1.11 1) cos 4x = 4 cos 2x + 8 sin4 x - 3
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 2) tan (π4 - x) = 1 cos 2x
+ sin 2x
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 3) 1 + cos x + cos 2x + cos 3x = 4 cos x cos 3x2 cos x2
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3. กําหนด A + B + C = 180 ํ ใหพิสูจนวา tan A + tan B + tan C = tan A tan B tan C
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 4. แกสมการในแตละขอตอไปนี้ เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π
1) cot x + 2 sin x = cosec x
2) 4 tan x sin2 x + 3 = 4 sin2 x + 3 tan x
3) cot x cos 2x + tan x sin 2x = cot x
4) cot x - 2 cos x = 2 cosec x - 4
5. แกสมการในแตละขอตอไปนี้
1) 2 cos2 θ + 2 cos 2θ = 1
2) 2 sin θ (cos θ + sin θ) = 2 sin θ
3) 2 sec θ = tan θ + cot θ
4) sin θ + 8 cos θ = 2 cos3θ + 6 cos θ
ระดับทาทาย
6. กําหนด a = sin 3x cos 2x - 2 sin x cos x cos 3x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π
ใหหาคา x ที่ทําให 2 a2 - 3 3 a - 6 = 0
102
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T108
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T109
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• ความยาวของดาน CD เทากับเทาใด
จาก (1), (2) และ (3) จะไดวา
(แนวตอบ CD = b sin A)
1 bc sin A = 1 ca sin B = 1 ab sin C
• พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC ที่มี AB 2 2 2
เปนฐาน เทากับเทาใด 2
คูณดวย abc โดยตลอด จะไดวา
(แนวตอบ sin A = sin B = sin C
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC a b c
= 12 × AB × CD เรียกความสัมพันธดังกลาววา กฎของไซน
= 12 × c × (b sin A) กฎของไซน ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ
= 12 bc sin A) ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C ตามลําดับ จะไดวา
sin A = sin B = sin C
2. ครูใหนกั เรียนพิจารณารูปทีค่ รูเขียนบนกระดาน a b c
แลวใหหาพืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม ABC ทีม่ ดี า น
BC และดาน CA เปนฐาน ตัวอย่างที่ 65
พืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม ABC ทีม่ ี BC เปนฐาน และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B = 75 ํ, C = 60 ํ และ b = 4 หนวย
ใหหาความยาวของ c
= 12 ca sin B
พืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม ABC ทีม่ ี CA เปนฐาน วิธีทํา จากกฎของไซน จะได sin B = sin C
b c
= 12 a b sin C) sin 75 ํ = sin 60 ํ
4 c
3. ครูใหนกั เรียนนําสมการของพืน้ ทีร่ ปู สามเหลีย่ ม c = 4 ( sin 60 ํ
ABC ที่มีดาน AB ดาน BC และดาน CA sin 75 ํ )
3
ทีเ่ ปนฐานมาเทากัน แลวใหนกั เรียนสังเกตเห็น =4 2
ความสัมพันธ sina A = sinb B = sincC จากนั้น 3+1
22
ครู ก ล า วว า เราจะเรี ย กความสั ม พั น ธ นี้ ว า
“กฎของไซน” = 4 [ 2(3)(2
( 2)
3 + 1) ]
≈
2 6)
4 ( 5.46
≈ 3.59
ดังนั้น c มีความยาวประมาณ 3.59 หนวย
104
T110
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
ลองทําดู ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามมุม A มุม B ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร (อ อ น
∧ ∧
และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B = 45 ํ, C = 60 ํ และ b = 2 3 หนวย
ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ทํา
ใหหาความยาวของ c
“Thinking Time” ในหนังสือเรียน หนา 103
ตัวอย่างที่ 66 • ใหนักเรียนในแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู
กําหนดรูปสามเหลีย่ ม ABC เปนรูปสามเหลีย่ มทีม่ คี วามยาวดานตรงขามมุม A มุม B จนเปนที่เขาใจรวมกัน
∧
และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย C = 60 ,ํ b = 6 หนวย และ c = 10 หนวย • ครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาแสดงการ
ใหหาขนาดของมุม B พิสูจนอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความสมเหตุ
วิธีทํา จากกฎของไซน จะได sin B = sin C
b c สมผลของการพิสูจน
sin B = sin 60 ํ
6 10 รู (Knowing)
sin B = 6 102
( 3) ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 65-66 ใน
หนังสือเรียน หนา 104-105 จากนัน้ ครูถามคําถาม
= 3103 นักเรียน ดังนี้
≈ 0.5196 • จากตัวอยางที่ 65 ใชความสัมพันธคูใดของ
เนื่องจาก sin B = 0.5196 มีคาอยูระหวาง sin 31 ํ 10′ กับ sin 31 ํ 20′ กฎของไซนในการหาความยาวดาน c
จากตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ จะได sin 31 ํ 10′ = 0.5175 (แนวตอบ ใชความสัมพันธของ sinb B = sincC
sin 31 ํ 20′ = 0.5200 ซึ่งจะไดวา sin475 ํ = sinc60 ํ )
เนื่องจาก คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0025 คาของมุมเพิ่มขึ้น 10′ • จากตัวอยางที่ 66 ใชความสัมพันธคูใดของ
คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0021 คาของมุมเพิ่มขึ้น 0.0021 × 10
0.0025 ≈ 8′ กฎของไซนในการหาขนาดของมุม B
จะไดวา (sin 31 ํ 10′ + 8′) = sin 31 ํ 18′ ≈ 0.5196 (แนวตอบ ใชความสัมพันธของ sinb B = sincC
ดังนั้น B ≈ 31 ํ 18′ ซึ่งจะไดวา sin6 B = sin1060 ํ )
แตเนื่องจาก sin B > 0 จะไดวา 0 < B < 180 ํ
ดังนั้น B ≈ 31 ํ 18′ หรือ B ≈ 180 ํ - 31 ํ 18′ = 148 ํ 42′ เขาใจ (Understanding)
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 105-106 เมื่อทําเสร็จแลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 105
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดเปนความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลีย่ มหนาจัว่ ABC ซึง่ มีดา น BC เปนฐานยาว 30 หนวย และมีขนาดของมุมยอดเปน
30 องศา
1. 57.954 หนวย 2. 115.908 หนวย 3. 130.954 หนวย 4. 145.908 หนวย
∧
(เฉลยคําตอบ ให ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว ที่มีดาน BC เปนฐานยาว 30 หนวย และ BAC = 30 ํ
∧ ∧
A จากกฎของไซน sinBC BAC = sin ABC
AC
∧
30 ํ AC = sin ABC∧• BC
sin BAC
= sin7530ํ • 30
sin
ํ
B C 0.9659 × 30 × 2
≈
30 = 57.954
จะไดวา ABC = 180 ํ 2- 30 ํ = 150 ํ นั่นคือ ความยาวของเสนรอบรูป = 2(57.954) + 30 = 145.908 หนวย
∧
2 = 75 ํ ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
T111
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาบทพิ สู จ น ก ฎของ ลองทําดู
โคไซน ในหนังสือเรียน หนา 106 แลวแลกเปลีย่ น
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน กําหนดรูปสามเหลีย่ ม ABC เปนรูปสามเหลีย่ มทีม่ คี วามยาวดานตรงขามมุม A มุม B และ
∧
มุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย A = 30 ํ, a = 11 หนวย และ c = 17 หนวย
จากนั้นครูถามนักเรียนวา
ใหหาขนาดของมุม C
• การพิสูจนกฎของโคไซน ตองใชความรู
เรื่องใดมาชวยในการพิสูจน 2. กฎโคไซน (The Laws of Cosines)
(แนวตอบ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส) กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC ที่เปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมและมุมปาน จากนั้นลาก CD
2. ครูอธิบายซํา้ อีกครัง้ เพือ่ ใหนกั เรียนเขาใจมาก ตั้งฉากกับดาน AB ที่จุด D ดังนี้
ยิ่งขึ้น ดังนี้
C C
ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใดๆ ถา a, b และ
a a
c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ b
h h b
C ตามลําดับ จะไดวา
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A 180 ํ-A
A x D c-x B D x A B
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B c c
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม รูปสามเหลี่ยมมุมปาน
พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ABC
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADC จะได cos A = xb
เขาใจ (Understanding)
x = b cos A
ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ และโดยทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะได b = h + x2
2 2
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 67-68 ใน
กฎของไซน ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ
ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C ตามลําดับ จะไดวา หนังสือเรียน หนา 107-108 จากนัน้ ครูถามคําถาม
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน ดังนี้
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B • จากตัวอยางที่ 67 ใชความสัมพันธใดของ
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C กฎของโคไซนในการหาความยาวดาน a
(แนวตอบ ใชความสัมพันธของ
ตัวอย่างที่ 67 a2 = b2 + c2 - 2bc cos A)
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A • จากตัวอยางที่ 68 ใชความสัมพันธใดของ
∧
มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย A = 30 ,ํ b = 6 หนวย และ c = 10 หนวย กฎของโคไซนในการหาขนาดของมุม A
ใหหาความยาวของ a (แนวตอบ ใชความสัมพันธของ
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A)
วิธีทํา เนื่องจาก a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
= 62 + 102 - 2(6)(10) cos 30 ํ
= 36 + 100 - 120 23
≈ 32.08
จะได a ≈ 5.66
ดังนั้น a มีคาความยาวประมาณ 5.66 หนวย
ลองทําดู
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
∧
มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B = 45 ,ํ a = 4 หนวย และ c = 9 หนวย
ใหหาความยาวของ b
ตัวอย่างที่ 68
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย a = 10 หนวย, b = 2 หนวย
และ c = 2 หนวย ใหหาขนาดของมุม A
วิธีทํา จากกฎของโคไซน a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
จะได ( 10)2 = 22 + ( 2)2 - 2(2)( 2) cos A
10 = 4 + 2 - 4 2 cos A
ฟงกชันตรีโกณมิติ 107
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดคือขนาดของมุมทีใ่ หญทสี่ ดุ ของรูปสามเหลีย่ มทีม่ ดี า นทัง้ สามยาว x, y และ
x2 + 3xy + y2 หนวย
1. 90 องศา 2. 120 องศา 3. 150 องศา 4. 180 องศา
(เฉลยคําตอบ เนือ่ งจากดานทีย่ าว x 2 + 3xy + y 2 หนวย เปนดานทีย่ าวทีส่ ดุ ดังนัน้ มุมตรงขาม
ดานที่ยาว x 2 + 3xy + y 2 หนวย จึงเปนมุมที่ใหญที่สุด
x
θ
y
x 2 + 3xy + y 2
โดยกฎของโคไซน
จะได ( x 2 + 3xy + y 2 )2 = x 2 + y 2 - 2xy cos θ cos θ = - 23
x 2 + 3xy + y 2 = x 2 + y 2 - 2xy cos θ θ = 150 ํ
3xy = -2xy cos θ ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
3xy
cos θ = -2xy
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
4 2 cos A = 6 - 10
หนา 107-108 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมา cos A = -4
แสดงวิธีทําอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน 42
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง cos A = - 1
2
2. ครูใหนักเรียนจับคูทําแบบฝกทักษะ 1.12 ขอ ดังนั้น A = 135 ํ
1.-7. ในหนังสือเรียน หนา 108-109 จากนั้น
ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมาแสดงวิ ธีทํ า โดยครู ลองทําดู
ตรวจสอบความถูกตอง กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.12 ในแบบฝกหัด มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย a = 6 หนวย, b = 13 หนวย และ
เปนการบาน c = 14 หนวย ใหหาขนาดของมุม B
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ แบบฝึกทักษะ 1.12
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A มุม B
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ
• ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.12 ขอ 8. ใน
หนังสือเรียน หนา 109 ระดับพื้นฐาน
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ทําความเขาใจรวมกัน 1. ใหใชกฎของไซนเพื่อหาคาในแตละขอตอไปนี้
หลั ง จากนั้ น ครู สุ ม นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ ม ∧ ∧
1) ใหหาความยาวของ a เมื่อ A = 30 ํ, C = 45 ํ และ c = 8 หนวย
ออกมาเฉลยคํ า ตอบอย า งละเอี ย ด โดย ∧ ∧
2) ใหหาความยาวของ b เมื่อ A = 45 ํ, B = 60 ํ และ a = 7 หนวย
ครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบ ∧
3) ใหหาขนาดของมุม B เมื่อ A = 60 ํ, a = 3 2 หนวย และ b = 2 3 หนวย
ความถูกตอง ∧
4) ใหหาขนาดของมุม C เมื่อ B = 45 ํ, b = 2 2 หนวย และ c = 2 3 หนวย
2. ใหใชกฎของโคไซนเพื่อหาคาในแตละขอตอไปนี้
∧
1) ใหหาความยาวของ b เมื่อ B = 60 ํ, a = 3 หนวย และ c = 3 3 หนวย
∧
2) ใหหาความยาวของ a เมื่อ A = 60 ํ, b = 20 หนวย และ c = 30 หนวย
3) ใหหาขนาดของมุม A เมื่อ a = 25 หนวย, b = 31 หนวย และ c = 7 2 หนวย
4) ใหหาขนาดของมุม C เมื่อ a = 15 หนวย, b = 7 หนวย และ c = 13 หนวย
108
T114
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
ระดับกลาง • กฎของไซนมีความสัมพันธวาอยางไร
3. ใหหาความยาวดานหรือมุมภายในทีเ่ หลือของรูปสามเหลีย่ ม ABC จากสิง่ ทีก่ าํ หนดในแตละขอ (แนวตอบ sina A = sinb B = sincC )
ตอไปนี้ • กฎของโคไซนมีความสัมพันธวาอยางไร
1) a = 2, b = 2 3, c = 2 (แนวตอบ a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
∧ ∧
2) A = 75 ํ, B = 30 ํ, b = 8 b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
∧
3) a = 4, B = 135 ํ, b = 4 c2 = a2 + b2 - 2ab cos C)
∧ ∧
4) A = 45 ํ, B = 105 ํ, c = 5 2
ขัน้ ประเมิน
4. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มี a = 4 หนวย b = 4 3 หนวย และ c = 4 หนวย ใหหาขนาด 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.12
ของมุมที่ใหญที่สุด
2. ครูตรวจ Exercise 1.12
5. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มีมุม A และมุม B เปนมุมแหลม โดย cos A = 45 , sin B = 12 13 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
และ b = 30 หนวย ใหหาความยาวของ c 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
∧ ∧
6. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มี B = 45 ํ, C = 120 ํ และ a = 20 หนวย ใหหาความสูง 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ของรูปสามเหลี่ยม ABC ที่วัดจากจุด A 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
7. กําหนด ABCDEF เปนรูปหกเหลี่ยมดานเทามุมเทา โดยที่แตละดานยาว 6 นิ้ว ใหหา มุงมั่นในการทํางาน
ความยาวของเสนทแยงมุม AD และ AC
ระดับทาทาย
8. กําหนดรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนานมีมมุ มุมหนึง่ มีขนาด 120 องศา และความยาวของดานประกอบ
มุมนี้ยาว 4 และ 8 เซนติเมตร ใหหาความยาวของเสนทแยงมุมทั้งสองเสนของรูปนี้
ฟงกชันตรีโกณมิติ 109
กี่ตารางเมตร
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T115
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T116
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= 100 sin 15 ํ cos 15 ํ
3 หนา 111 เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
2
จากนั้นครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
= ( 100 )(2 sin 15 ํ cos 15 ํ) วิธีทําบนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
3
100
= (sin 2 (15 ํ))
3 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
100
= (sin 30 ํ)
3 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 70 ในหนังสือเรียน
100
= (12) หนา 111-112 แลวถามคําถามนักเรียนวา
3 • จากตัวอยางที่ 70 นักเรียนสามารถหา
≈ 29
ระยะหางของเรือสองลําไดอย∧ างไร ∧
เนื่องจาก เกงสูง 185 เซนติเมตร เทากับ 1.85 เมตร
ดังนั้น ยอดตึกสูงประมาณ 29 + 1.85 = 30.85 เมตร (แนวตอบ ใชกฎของไซน sinAD DCA = sin DAC)
CD
2. จากนั้นครูอธิบายซํ้าอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน
ลองทําดู เขาใจมากยิง่ ขึน้ พรอมทัง้ เปดโอกาสใหนกั เรียน
วิทยายืนอยูบนพื้นราบมองเห็นระเบียงของอาคารแหงหนึ่งเปนมุมเงย 15 องศา และ ถามเมื่อเกิดขอสงสัย
เมื่อเดินเขาไปหาอาคารแหงนั้น 80 เมตร เขามองเห็นระเบียงเปนมุมเงย 60 องศา
ถาวิทยาสูง 170 เซนติเมตร แลวระเบียงของอาคารสูงเทาใด ใชทฤษฎี หลักการ
ตัวอย่างที่ 70 ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
เจาหนาทีบ่ นหอคอยแหงหนึง่ มองเห็นเรือสองลําลอยอยูก ลางทะเลเปนมุมกม 45 องศา หนา 112 เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
และ 75 องศา ตามลําดับ ถาหอคอยสูง 15 เมตร แลวเรือทั้งสองลําอยูหางกัน จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดงวิธที าํ
เทาใด บนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
วิธีทํา กําหนด BC เปนความสูงของหอคอย E C
45 ํ 75 ํ
CE เปนเสนระดับสายตา
จุด A เปนตําแหนงของเรือลําแรก 15 ม.
จุด D เปนตําแหนงของเรือลําที่สอง
∧ ∧ ∧
จาก ACE = 45 ํ และ DCE = 75 ํ จะได DCA = 30 ํ A D B
∧ ∧
และจาก AB // CE จะได BAC = 45 ํ และ BDC = 75 ํ
พิจารณา ∆ DBC จะได sin 75 ํ = CD BC
ดังนั้น CD = sin1575 ํ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 111
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 71 ในหนังสือเรียน
= 1 15
+ 3
หนา 112-113 แลวถามคําถามนักเรียนวา
• นักเรียนสามารถหาระยะทางทีส่ ชุ าติอยูห า ง 22
≈ 15.53
จากจุดเริ่มตนไดอยางไร พิจารณา ∆ ADC โดยกฎของไซน
(แนวตอบ ใชกฎของโคไซน ∧
sin DCA = sin DAC
∧
T118
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
∧ ∧
ครูยกตัวอยางเพิ่มเติมบนกระดาน พรอมทั้ง
จากกฎของไซน sin BAC a = b
sin ABC
∧
ถามคําถามนักเรียน ดังนี้
sin BAC = sin 60 ํ สมชายและสมชาติยืนอยูจุดเดียวกันและวิ่ง
10 10 3
sin BAC = 10 × 23
∧ ออกพรอมกันจากจุดที่ยืนอยู โดยสมชายวิ่งไป
10 3 ยังจุด A เปนระยะทาง 4 กิโลเมตร และสมชาติ
= 12 วิ่งไปยังจุด B เปนระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ถา
∧ ∧
จะได BAC = 30 ํ และ N1AC = 30 ํ + 30 ํ = 60 ํ ทั้งสองคนวิ่งออกจากกันโดยทํามุม 45 องศา
ดังนั้น สุชาติอยูหางจากจุดเริ่มตนเปนระยะทาง 10 3 กิโลเมตร ไปในแนวเฉียงไปทาง จงหาระยะหางระหวางจุด A และจุด B
ทิศตะวันออก โดยทํามุม 60 องศา กับทิศเหนือ • โจทยตองการทราบอะไร
(แนวตอบ หาระยะหางระหวางจุด A และ
ลองทําดู
จุด B)
เอกขับรถจากจุด A ไปในแนวเฉียงไปทางทิศตะวันตก โดยทํามุม 70 องศา กับทิศตะวันตก • นักเรียนสามารถหาระยะหางระหวางจุด A
เปนระยะทาง 40 กิโลเมตร ไปยังจุด B จากนั้นเขาขับรถตอไปในแนวเฉียงไปทางทิศ
และจุด B ไดอยางไร
ตะวันออกโดยทํามุม 30 องศา กับทิศตะวันออกเปนระยะทาง 20 กิโลเมตร ไปยังจุด
C ใหหาวา เอกอยูหางจากจุดเริ่มตนเปนระยะทางเทาใด และอยูในทิศใดของจุดเริ่มตน (แนวตอบ ใชกฎของโคไซน
กําหนดให ระยะหางระหวางจุด A และ
a = 20 C
W2 B 30 ํ E2
จุด B เทากับ c
จะได c = a2 + b2 - 2ab cos C)
2
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวชวยกันทํา ระดับกลาง
แบบฝกทักษะ 1.13 ในหนังสือเรียน หนา 113- 3. นักสํารวจคนหนึ่งยืนอยูทิศตะวันออกเฉียงใตของภูเขาลูกหนึ่ง มองเห็นยอดเขาเปนมุมเงย
114 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง 60 องศา เมือ่ เขาเดินตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตเปนระยะทาง 400 เมตร จะมองเห็นยอด
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูสุมนักเรียน เขาเปนมุมเงย 45 องศา ภูเขาลูกนี้สูงเทาใด
ออกมาเฉลยอยางละเอียดบนกระดาน โดย 4. รถยนต 3 คัน จอดทีจ่ ดุ A, B และ C บนพืน้ ระดับ และอยูใ นแนวเสนตรงเดียวกันกับอนุสาวรีย
ครูและนักเรียนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบ แหงหนึ่ง มุมยกขึ้นของยอดอนุสาวรีย เมื่อสังเกตจากจุด A, B และ C เปน 30, 45 และ
ความถูกตอง 60 องศา ตามลําดับ ถา BC = 20 เมตร ใหหาความสูงของอนุสาวรีย และระยะทางระหวาง
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.13 ในแบบฝกหัด จุด A กับอนุสาวรีย
เปนการบาน 5. จากจุด A ที่อยูทางทิศใตของเสาไฟฟาและทํามุมเงย 60 องศา กับยอดเสา จุด B อยูทาง
ทิศตะวันออกของจุด A มองยอดเสาไฟฟาเปนมุมเงย 30 องศา ถาระยะหางจากจุด A และ
จุด B เทากับ 60 เมตร เสาไฟฟาสูงกี่เมตร
ระดับทาทาย
6. ธีระชัยอยูบ นดาดฟาของตึกสูง 30 เมตร มองเห็นบุตรชายของเขาอยูบ นพืน้ ดินทางทิศใตของ
ตึกเปนมุมกม 30 องศา และเห็นบุตรสาวของเขาอยูบนพื้นดินทางทิศตะวันออกของตึกเปน
มุมกม 60 องศา บุตรชายและบุตรสาวอยูหางกันกี่เมตร
ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนวยนี้แลว ใหนักเรียนบอกสัญลักษณที่ตรงกับระดับความสามารถของตนเอง
ควร
ดี พอใช ปรับปรุง
1. สามารถหาจุดปลายสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจาก
จุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย ได
2. สามารถหาคาฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมได
3. สามารถหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติโดยใชตารางคาฟงกชัน
ตรีโกณมิติได
4. เขาใจและเขียนกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติได
5. แกสมการตรีโกณมิติและนําไปใชในการแกปญหาได
6. ใชกฎของโคไซนและกฎของไซนในการแกปญหาได
114
[ ( 22 )( 23 ) - ( 12 )( 22 )
]
81.85 เมตร
พิจารณา ∆ ACD โดยกฎของไซน
= 81.85 ×
จะได sin 15 ํ = sin 75 ํ
AC CD ( 22 )( 23 ) + ( 12 )( 22 )
ดังนั้น AC = CD × sin 15 ํ
sin 75 ํ = 81.85 × ( 6 - 2 )
6+ 2
= 81.85 × sin (45 ํ - 30 ํ) ≈ 21.93 AB C
sin (45 ํ + 30 ํ)
นั่นคือ สุธีอยูหางจากพระปรางคเปนระยะทางประมาณ 21.93 เมตร
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง คูคิด (Think Pair Share) ดังนี้
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
พระปรางควัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร จากคณิตศาสตรในชีวติ จริง ในหนังสือเรียน
พระปรางควัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือเรียกสั้น ๆ วา พระปรางควัดอรุณฯ เปน หนา 115
หนึ่งในสถาปตยกรรมที่สวยงามที่สุดแหงหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร และมีความสูง 81.85 เมตร ซึ่ง • ใหนักเรียนกับเพื่อนแลกเปลี่ยนคําตอบกัน
เปนพระปรางคที่มีความสูงที่สุดในโลก สนทนาซักถามซึง่ กันและกันจนเปนทีเ่ ขาใจ
รวมกัน
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
สถานการณ
สุธีเดินทางไปชมพระปรางคที่วัดอรุณ ฯ เมื่อไปถึงเขายืนอยูริมฝงแมนํ้าเจาพระยาซึ่งอยูตรง
ขามกับพระปรางควัดอรุณฯ ซึ่งมีความสูง 81.85 เมตร อยากทราบวา
1. สุธีอยูหางจากพระปรางคเปนระยะทางเทาใด เมื่อเขามองไปยังยอดพระปรางคเปนมุมเงย
เทากับ 75 ํ
2. ถาสุธีเดินเขาใกลพระปรางคไปอีก 5 เมตร แลวมองไปยังยอดพระปรางคอีกครั้ง นักเรียน
คิดวาเขาจะมองเห็นยอดพระปรางคดวยมุมเงยมากกวาหรือนอยกวาเดิม ใหอธิบายโดยใช
หลักการของตรีโกณมิติ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 115
≈ 21.93 tan 75 ํ
16.93
≈ 1.3 tan 75 ํ
ดังนั้น ถาสุธีเดินเขาใกลพระปรางคอีก 5 เมตร สุธีจะมองดวยมุมเงย
มากกวาเดิม
T121
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
1. ครูใหนักเรียนศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก” ใน
สรุปแนวคิดหลัก
หนังสือเรียน หนา 116-119 จากนัน้ ใหนกั เรียน ฟังก์ชน
ั ตรีโกณมิติ
นําความรูที่ไดมาเขียนเปนผังมโนทัศนหนวย
การวัดความยาวส่วนโค้งและพิกัดของจุดปลายส่วนโค้ง
การเรี ย นรู ที่ 1 ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ลงใน
กระดาษ A4 ตกแตงใหสวยงาม เมือ่ ทําเสร็จแลว • วงกลมที่เปนกราฟของความสัมพันธ { (x, y)∊R × R x2 + y2 = 1 } เรียกวา วงกลมหนึ่งหนวย
(unit circle)
นําสงครูเพื่อตรวจสอบความถูกตอง • การวัดความยาวสวนโคงและพิกัดของจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวย เปนดังนี้
2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ Y
นักเรียน ดังนี้ p(θ)
(0, 1)
θ>0 θ>0 จะวัดสวนโคงจากจุด (1, 0) ไปในทิศทาง
• คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของ ทวนเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
0, π2 , π, π4 , π3 , π6 หาไดอยางไร X
θ = 0 จุดปลายสวนโคงคือจุด (1, 0)
(-1, 0) O (1, 0) θ < 0 จะวัดสวนโคงจากจุด (1, 0) ไปในทิศทาง
(แนวตอบ สามารถหาไดโดยการใชวงกลม
ตามเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
หนึ่ ง หน ว ย หรื อ การพิ จ ารณากราฟของ p(θ) θ<0
(0, -1)
ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน)
• ในจตุภาคที่ 1 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน ค่าของฟังก์ชันไซน์และฟังก์ชันโคไซน์
จํานวนบวก • ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
(แนวตอบ ฟงกชันตรีโกณมิติทุกคามีคาเปน - ฟงกชันโคไซน คือ f = { (θ, x)∊R × R x = cos θ }
จํานวนบวก) - ฟงกชันไซน คือ g = { (θ, y)∊R × R y = sin θ }
• ในจตุภาคที่ 2 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน • คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงใด ๆ
จํานวนบวก กําหนด θ เปนจํานวนจริงใด ๆ จะไดวา sin (π - α) = sin α sin (2nπ + α) = sin α
1. cos (-θ) = cos θ cos (π - α) = -cos α cos (2nπ + α) = cos α
(แนวตอบ ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคเซแคนต
2. sin (-θ) = -sin θ sin (π + α) = -sin α sin (2π - α) = -sin α
เปนจํานวนบวก) cos (π + α) = -cos α cos (2π - α) = cos α
• ในจตุภาคที่ 3 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน
จํานวนบวก ฟังก์ชันตรีโกณมิติอื่น ๆ
ขอสอบเนน การคิด
คาของ cot 65 ํ cos 25 ํ cos 41 ํ เทากับขอใด
sec 45 ํ sin 49 ํ sin 25 ํ
1. 0 2. 12 3. 22 4. 2
(เฉลยคําตอบ จากโจทย จะสังเกตเห็นวา มุม 65 ํ + 25 ํ = 90 ํ และ 41 ํ + 49 ํ = 90 ํ จะไดวา
cot 65 ํ cos 25 ํ cos 41 ํ = tan 25 ํ cos 25 ํ sin 49 ํ
sec 45 ํ sin 49 ํ sin 25 ํ sec 45 ํ sin 49 ํ sin 25 ํ
= tan 25 ํ cos 25 ํ
sec 45 ํ sin 25 ํ
= tan 25 ํ
sec 45 ํ tan 25 ํ
= sec145 ํ
= 22
ดังนั้น คําตอบคือ ขอ 3.)
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
• 360 องศา เทากับกี่เรเดียน
(แนวตอบ 2π เรเดียน)
ฟังก์ชันตรีโกณมิติของมุม
• 180 องศา เทากับกี่เรเดียน
• การเปลี่ยนหนวยองศาเปนเรเดียนและการเปลี่ยนหนวยเรเดียนเปนองศาทําได ดังนี้
1 π (แนวตอบ π เรเดียน)
1. มุมในหนวยเรเดียน เทากับ มุมในหนวยองศา × 180
• 1 องศา เทากับกี่เรเดียน
2. มุมในหนวยองศา เทากับ มุมในหนวยเรเดียน × 180 π เรเดียน)
π (แนวตอบ 180
การใช้ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ • 1 เรเดียน เทากับกี่องศา
• ถา 0 ≤ θ ≤ 45 ํ ใชคาฟงกชันที่กําหนดในแถวบน โดยอานจากบนลงลาง (แนวตอบ 360 180
2π องศา หรือ π องศา)
• ถา 45 ํ ≤ θ ≤ 90 ํ ใชคาฟงกชันที่กําหนดในแถวลาง โดยอานจากลางขึ้นบน • ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติใชประโยชน
อยางไร
กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
(แนวตอบ ใชหาคาฟงกชันตรีโกณมิติหรือ
• ลักษณะของกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติแตละฟงกชัน เปนดังนี้
ตรวจสอบคําตอบคาฟงกชันตรีโกณมิติ)
1. กราฟของ y = sin x Y
• คาของฟงกชันตรีโกณมิติที่ไมสามารถเปด
กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a sin(nx) เมื่อ n > 0 1
- π2 ตารางคาฟงกชนั ตรีโกณมิตไิ ดจะทําอยางไร
จะไดวา เรนจของฟงกชัน คือ [-a, a] X
คาบของฟ2งกชัน คือ 2nπ -1 0
π
2 (แนวตอบ จะใชความรูจากการเทียบบัญญัติ
แอมพลิจูดของฟงกชัน คือ a ไตรยางศหรือสัดสวน)
Y
• ถาในตารางการหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ
2. กราฟของ y = cos x 1
กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a cos(nx) เมื่อ n > 0
π
2 π
X
ไมมคี า cot θ, sec θ และ cosec θ นักเรียน
0
จะไดวา เรนจของฟงกชัน คือ [-a, a] -1 จะหาคาฟงกชันดังกลาวไดอยางไร
คาบของฟงกชัน คือ 2nπ (แนวตอบ cot θ หาไดจากสวนกลับของ tan θ,
แอมพลิจูดของฟงกชัน คือ a Y
sec θ หาไดจากสวนกลับของ cos θ และ
3. กราฟของ y = tan x cosec θ หาไดจากสวนกลับของ sin θ)
1
โดเมนของฟงกชัน คือ { x x∊R, x nπ + π2 , n∊I } X
0
คาบของฟงกชัน คือ π - π2 -1 π
2
ไมมีแอมพลิจูด
4. กราฟของ y = cosec x
Y
โดเมนของฟงกชัน คือ { x x∊R, x nπ, n∊I }
เรนจของฟงกชัน คือ (-∞, -1] [1, ∞) 1
คาบของฟงกชัน คือ 2π -π 0 π
X
-1
ไมมีแอมพลิจูด
ฟงกชันตรีโกณมิติ 117
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• คาแอมพลิจูดหาไดจากสูตรใด Y
5. กราฟของ y = sec x
(แนวตอบ คาแอมพลิจูดหาไดจาก โดเมนของฟงกชัน คือ { x x∊R, x = nπ + π2 , n∊I } 1
คาสูงสุด - คาตํ่าสุด เรนจของฟงกชัน คือ (-∞, -1] [1, ∞)
2
) คาบของฟงกชัน คือ 2π
-π- π
2 -1
0 ππ
2
X
• ใหนักเรียนยกตัวอยางฟงกชันตรีโกณมิติ ไมมีแอมพลิจูด
Y
ของสองเท า สามเท า และครึ่ ง เท า ของ 6. กราฟของ y = cot x
จํานวนจริง โดเมนของฟงกชัน คือ { x x∊R, x nπ, n∊I }
คาบของฟงกชัน คือ π -π 0 π
X
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย ไมมีแอมพลิจูด
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู)
• ใหนกั เรียนยกตัวอยางความสัมพันธระหวาง ฟังก์ชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลต่างของจํานวนจริง หรือมุม
ผลบวก ผลตาง และผลคูณของฟงกชัน • กําหนด α และ β เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ จะไดวา
ตรีโกณมิติ 1. sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β 2. sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย 3. cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β 4. cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู) 5. tan (α + β) = tan α + tan β 6. tan (α - β) = 1tan α - tan β
+ tan α tan β
1 - tan α tan β
7. cot (α + β) = cot α cot β - 1
cot β + cot α 8. cot (α - β) = cotcotαβcot β+1
- cot α
8. cos α2 = ± 1 + 2cos α
9. tan α2 = ± 11 +- cos α
cos α
118
ขอสอบเนน การคิด
ปลองไฟปลองที่ 1 สูงกวาปลองที่ 2 เทากับ 15 ฟุต ชายคนหนึ่งยืนอยูหางจากปลองไฟปลองที่ 2 เทากับ 50 ฟุต สังเกตเห็นวา
เสนตรงที่เชื่อมระหวางยอดปลองไฟทั้งสองเอียงทํามุม 27 ํ กับพื้นราบ จงหาความสูงของปลองทั้งสอง (กําหนดให tan 27 ํ = 0.51)
1. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 22.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 37.5 ฟุต D
2. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 25.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 40.5 ฟุต 15 ฟุต E
3. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 27.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 43.5 ฟุต
4. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 29.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 44.5 ฟุต x
(เฉลยคําตอบ จากรูป ∆ BEC 27 ํ
∧
A B C
จะได BEC = 180 ํ - 90 ํ - 27 ํ = 63 ํ 50 ฟุต
จากกฎของไซน จะไดวา
sin 27 ํ = sin 63 ํ นั่นคือ ความสูงของปลองไฟปลองที่ 1 สูงเทากับ 25.5 ฟุต
x BC ความสูงของปลองไฟปลองที่ 2 สูงเทากับ 25.5 + 15
x = sin 27 ํ • 50 = 40.5 ฟุต
sin 63 ํ
= tan 27 ํ • 50 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
เอกลักษณ์และสมการตรีโกณมิติ
• สมการที่มีฟงกชันตรีโกณมิติปรากฏอยู เรียกวา สมการตรีโกณมิติ
• กําหนด θ เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ
เรียก สมการตรีโกณมิติที่เปนจริงสําหรับทุก θ วา เอกลักษณตรีโกณมิติ
เชน sin2 θ + cos2 θ = 1
1 + tan2 θ = sec2 θ
1 + cot2 θ = cosec2 θ
กฎของไซน์และโคไซน์
• กฎของไซน
ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C
ตามลําดับ จะไดวา
sin A = sin B = sin C
a b c
• กฎของโคไซน
ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C
ตามลําดับ จะไดวา
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C
ฟงกชันตรีโกณมิติ 119
ขอสอบเนน การคิด
จงพิจารณาสมการตอไปนี้
ก. sin2 31 ํ + sin2 59 ํ = 1 ข. sin 35 ํ sec 75 ํ = 1 ค. tan 42 ํ + sin 15 ํ - sec 37 ํ = cot 48 ํ + cosec 75 ํ - cos 53 ํ
cosec 15 ํ cos 55 ํ
ขอใดถูกตอง
1. ก. และ ข. ถูก แต ค. ผิด 2. ก. และ ค. ถูก แต ข. ผิด
3. ข. และ ค. ถูก แต ก. ผิด 4. ข. ถูก แต ก. และ ค. ผิด
(เฉลยคําตอบ ก. ถูก เพราะ 31 ํ + 59 ํ = 90 ํ ทําให sin2 31 ํ + sin2 59 ํ = sin2 31 ํ + cos2 31 ํ
จากสูตร sin2 (A) + cos2 (A) = 1 เสมอ
ข. ถูก เพราะ 35 ํ + 55 ํ = 90 ํ และ 15 ํ + 75 ํ = 90 ํ ทําให sin 35 ํ = cos 55 ํ และ sec 75 ํ = cosec 15 ํ
จะได sin 35 ํ sec 75 ํ = cos 55 ํ cosec 15 ํ = 1
cosec 15 ํ cos 55 ํ cosec 15 ํ cos 55 ํ
ค. ผิด เพราะ 42 ํ + 48 ํ = 90 ํ, 15 ํ + 75 ํ = 90 ํ และ 37 ํ + 53 ํ = 90 ํ
ทําให tan 42 ํ = cot 48 ํ, sin 15 ํ = cosec 75 ํ และ sec 37 ํ = cosec 53 ํ
จะได tan 42 ํ + sin 15 ํ - sec 37 ํ cot 48 ํ + cosec 75 ํ - cosec 53 ํ
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ฝกปฏิบตั ิ
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
แบบฝึกทักษะ ประจําหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ชวยกันทําแบบฝกทักษะ 1. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
ประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ในหนังสือเรียน 1) tan2 80 ํ - cos2 35 ํ - cosec2 57 ํ - sec2 80 ํ - sin2 35 ํ + cot2 57 ํ
2
หนา 120-121 แลวแลกเปลี่ยนความรู สนทนา 2) 3 tan θ2 + 3 + sin2 θ cot2 θ - cot2 θ + cosec2 θ + sin2 θ
sec θ
ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน 3) [cos (π2 - θ) - cos θ]2 + [sin (π2 - θ) + sin θ]2
• ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทําบนกระดาน
โดยครูและนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบ 4) sin 390 ํ - cos (-150 ํ) + tan (-315 ํ)
2 2 2
ความถูกตอง 5) sin (-325 ํ) + 2cos (-145 ํ) + cot (-225 ํ)
1 - sin 240 ํ 1 - cosec2 405 ํ
sin 53π + cos 73π + tan (- 53π)
6)
sin 116π + cos 23π + tan 74π
7) sin (4πcot - θ) tan (3π - θ) cot (5π - θ)
(2π + θ) tan (θ - π)
2. กําหนด f(θ) = sin ( θ +4 π ) ใหหาคาของ (f(-5πf()π+) f(0))
3. กําหนด 3 sin2 θ + 7 cos θ - 5 = 0 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2 ใหหาคาของ sin(-θ) + tan(-θ)
4. แกสมการ sin2 2x + 6 cos 2x - 6 = 0
5. กําหนด sin (A - B) = 25 , cos (A + B) = 15 และ cos A = 35 เมื่อ A, B∊[0, π2 ]
ใหหาคาของ sin B
6. ใหหาคาของ
1) sin2 θ + sin2(60 ํ + θ) + sin2(60 ํ - θ)
2) cos2 θ + cos2(60 ํ + θ) + cos2(60 ํ - θ)
7. ใหหาคาของ
1) sin 80sinํ +70cosํ 50 ํ
2) 1tan+ 182 ํ - tan 47 ํ
tan 182 ํ tan 47 ํ
3) sin 3θ cos 3θ
sin θ - cos θ
120
ขอสอบเนน การคิด
ชายคนหนึ่งยืนอยูระหวางตึกสองหลัง ถาชายคนนี้มองยอดตึกที่หนึ่งดวยมุมเงย 30 ํ แลวหันหลังกลับ เขาจะมองเห็นยอดตึกที่สอง
ดวยมุมเงย 60 ํ สมมติวาตึกที่สองสูงกวาตึกที่หนึ่ง 20 3 เมตร และตึกทั้งสองหางกัน 100 เมตร ชายคนนี้จะยืนอยูหางจากตึกที่หนึ่ง
กี่เมตร
1. 30 3 เมตร 2. 40 2 เมตร 3. 60 เมตร 4. 70 เมตร
(เฉลยคําตอบ จากรูป ∆ ABC จากรูป ∆ AED
∧ ∧
จะได BCA = 180 ํ - 90 ํ - 30 ํ = 60 ํ จะได AED = 180 ํ - 90 ํ - 60 ํ = 30 ํ
จากกฎของไซน จะไดวา จากกฎของไซน จะไดวา
E
sin 30 ํ = sin 60 ํ sin 60 ํ = sin 30 ํ
BC AB ED AD
20 3 3 1
1 3 C
2 = 2 2 = 2
x y x
20 3 + x 100 - 3x
x x = 20 3
y = 3x 30 ํ A 60 ํ
จะไดวา AB = 3 x B y D นั่นคือ ชายคนนี้ยืนอยูหางจากตึกที่หนึ่งเทากับ
100 ความยาวดาน AB = 3(20 3) = 60 เมตร
T126 ดังนั้น AD = 100 - 3 x
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.13
2. ครูตรวจ Exercise 1.13
8. ใหหาคาของ tan 81 ํ - tan 63 ํ - tan 27 ํ + tan 9 ํ
3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวย
9. กําหนด sin A - 2 sin B = 0 และ 3 cos 2A - 2 cos 2B = -3 เมื่อ A, B∊[0, π2 ] การเรียนรูที่ 1
ใหหาคาของ 5 sin (A - B) 4. ครูตรวจผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูที่ 1
10. กําหนด cos A = 1 -4 5 ฟงกชันตรีโกณมิติ
ใหหาคาของ sin (A + B) + sin (2A - B) - sin (A - B) - sin (2A + B) 5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
11. กําหนด arctan 3x - arctan x = π6 ใหหาคาของ sin (arctan 3x + arctan x) 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
12. แกสมการ 2 cos2 θ + 1 = -cos θ + 2 2 cos2 θ + cos θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π 8. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
13. แกสมการ cos4 θ - sin4 θ = 1 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π มุงมั่นในการทํางาน
14. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามมุม A มุม B
และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดยมี (a + b + c)(a - b - c) = -3bc และ
2a2 = 3b2 ใหหาคาของ sin2(3A + 2B) + 1
15. จากจุด A ซึ่งอยูทางทิศใตของตึก หากมองขึ้นไปจะเห็นยอดตึกเปนมุมเงย 60 องศา
แตถามองจากจุด B ซึ่งอยูทางทิศตะวันตกของจุด A อีก 10 เมตร จะเห็นยอดตึกเปน
มุมเงย 45 องศา ใหหาความสูงของตึก
16. กลายืนอยูบนพื้นราบมองเห็นยอดเสาแหงหนึ่งเปนมุมเงย 45 องศา และเมื่อเดินเขาไปหา
ยอดเสาตามเนินเอียงที่ทํามุม 15 องศา กับแนวราบเปนระยะทาง 400 เมตร เขาไดมอง
ไปที่ยอดเสาอีกครั้งปรากฏวา เขามองเห็นยอดเสาเปนมุมเงย 75 องศา อยากทราบวา
ยอดเสาสูงเทาใด
17. ชายคนหนึ่งอยูบนหนาผาที่ติดกับทะเล เขามองเห็นเรือสองลําเปนมุมกม 35 องศา และ
80 องศา ตามลําดับ ถาเรือสองลําอยูหางกัน 120 เมตร และชายคนนี้สูง 185 เซนติเมตร
อยากทราบวาหนาผาสูงจากระดับนํ้าทะเลเทาใด
ฟงกชันตรีโกณมิติ 121
ของตนมะพราวไดอยางไร และความสูงของตนมะพราวเปนเทาใด
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
T127
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกความหมายของ Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ระบบสมการ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ สมการเชิงเส้นได้ (K) Method - ตรวจ Exercise 2.1 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
เชิงเส้น ม.5 เล่ม 1 2. หาค�ำตอบของระบบ - การน�ำเสนอผลงาน การเชื่อมโยง 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา สมการเชิงเส้นได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
2 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 3. เขียนแสดงขั้นตอนวิธี การท�ำงานรายบุคคล การให้เหตุผล
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 การแก้ระบบสมการ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการวิเคราะห์
โดยใช้วิธีการก�ำจัด การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการน�ำ
ตัวแปร (P) - สังเกตความมีวินัย ความรู้ไปใช้
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ที่ได้รับมอบหมาย (A) ในการท�ำงาน
T128
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. น�ำความรู้เกี่ยวกับ Deductive - ตรวจใบงานที่ 2.2 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ดีเทอร์มิแนนต์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เมทริกซ์ไปใช้ในการ Method - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.4 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ม.5 เล่ม 1 แก้ปัญหาได้ (K) - ตรวจ Exercise 2.4 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
4 - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
ชั่วโมง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การหาดีเทอร์มิแนนต์ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ม.5 เล่ม 1 ของเมทริกซ์ n × n การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
- ใบงานที่ 2.2 เมื่อ n เป็นจ�ำนวนนับ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ที่ไม่เกินสามได้ (P) การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
3. บอกความหมายของ - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ดีเทอร์มิแนนต์ เมทริกซ์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ตัวประกอบร่วมเกี่ยว ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
และเมทริกซ์ผูกพันได้
(K)
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T129
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
2
กําหนดขอบเขตของปญหา
1. ครู ก ระตุ น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
หน่วยการเรียนรู้ที่
นั ก เรี ย นดู ภ าพหน า หน ว ยการเรี ย นรู ที่ 2
หน า 122 จากนั้ น ให นั ก เรี ย นร ว มกั น ตอบ
คําถามหนาหนวย ในหนังสือเรียน หนา 122 วา
“นักเรียนสามารถนําความรูเ รือ่ ง เมทริกซ มาใช
เมทริกซ์
ในการหากระแสไฟฟ า ที่ ไ หลในวงจรไฟฟ า
“การหากระแสไฟฟ าที่ ไหลในวงจรไฟฟ าจะต อง ¹Ñ¡àÃÕ¹ÊÒÁÒö
ไดอยางไร”
เขี ย นสมการโดยอาศั ย กฎของเคอร ช อฟฟ ซึ่ ง จะ ¹Ó¤ÇÒÁÃÙŒàÃ×èͧàÁ·ÃÔ¡«
หมายเหตุ : ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย ทํ า ให ไ ด ร ะบบสมการเชิ ง เส น มาชุ ด หนึ่ง จากนั้ น ÁÒ㪌㹡ÒÃËÒ¡ÃÐáÊä¿¿‡Ò
คําถามประจําหนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน จึ ง แก ร ะบบสมการเชิ ง เส น เพื่ อ หาคํ า ตอบตาม ·ÕèäËÅã¹Ç§¨Ãä¿¿‡Òä´Œ
หนา 122 หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรู ที่ตองการ” Í‹ҧäÃ
ที่ 2
ผลการเรียนรู้
• เขาใจความหมาย หาผลลัพธของการบวกเมทริกซ การคูณเมทริกซกับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซ และหาเมทริกซ
สลับเปลี่ยน หาดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ n × n เมื่อ n เปนจํานวนนับที่ไมเกินสาม
• หาเมทริกซผกผันของเมทริกซ 2 × 2
• แกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซผกผัน และการดําเนินการตามแถว
สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หน้า 122 • เมทริกซ และเมทริกซสลับเปลี่ยน • การบวกเมทริกซ การคูณเมทริกซกับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซ
เราสามารถใชความรูเรื่อง เมทริกซผกผัน กฎ • ดีเทอรมิแนนต
• การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซ
• เมทริกซผกผัน
T130
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กําหนดขอบเขตของปญหา
T131
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สมการเชิงเสน
คือ สมการที่มีเลขชี้กําลังของตัวแปรทุกตัว
2.1 ระบบสมการเชิงเสน (System of Linear Equations)
เปนหนึ่ง ความรูในเรื่องระบบสมการเชิงเสน สามารถนําไปใชในการแกโจทยปญหาทางคณิตศาสตร
2. ครูเขียนโจทยตอไปนี้ บนกระดาน วิทยาศาสตร หรือปญหาในชีวิตประจําวัน เชน การพยากรณอากาศ การวางแผนการลงทุน
1) -8x + 4 = 6 การนําไปประยุกต ใช ในการคํานวณทางวิทยาศาสตร
2) 3x - 2y = 5
3) 2x - 3y + z = -5 1. สมการเชิงเสน (Linear Equations)
แลวถามคําถามนักเรียน ดังนี้ สมการเชิงเสน คือ สมการที่มีเลขชี้กําลังของตัวแปรทุกตัวเปนหนึ่ง ดังบทนิยามตอไปนี้
• สมการในขอใดบางที่เปนสมการเชิงเสน
เพราะเหตุใด บทนิยาม ให a1, a2, ..., an และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a1, a2, ..., an ไมเปนศูนยพรอมกัน
เรียกสมการ a1x1 + a2x2 + ... + anxn = b วา สมการเชิงเสน n ตัวแปร เมื่อ x1, x2, ..., xn เปนตัวแปร
(แนวตอบ สมการในขอ 1), 2) และ 3)
เปนสมการเชิงเสน เพราะตัวแปรทุกตัว จากบทนิยาม นักเรียนจะเห็นวา
ของทุกสมการมีเลขชี้กําลังเปนหนึ่ง)
• สมการในโจทยขอ 1) มีกี่ตัวแปร -8x + 4 = 6 เปนสมการเชิงเสนตัวแปรเดียว โดยที่ x เปนตัวแปร
(แนวตอบ มี 1 ตัวแปร คือ ตัวแปร x) 3x - 2y = 5 เปนสมการเชิงเสนสองตัวแปร โดยที่ x และ y เปนตัวแปร
• สมการในโจทยขอ 2) มีกี่ตัวแปร 2x - 3y + z = -5 เปนสมการเชิงเสนสามตัวแปร โดยที่ x, y และ z เปนตัวแปร
(แนวตอบ มี 2 ตัวแปร คือ ตัวแปร x การเขียนสมการเชิงเสน n ตัวแปร นิยมใชตัวแปร ดังนี้
และ y) ถา n = 2 นิยมใหตัวแปรเปน x, y เชน 14x + y = -5
• สมการในโจทยขอ 3) มีกี่ตัวแปร ถา n = 3 นิยมใหตัวแปรเปน x, y และ z เชน -14x - 13y + 8z = 100
(แนวตอบ มี 3 ตัวแปร คือ ตัวแปร x, y ถา n = 4 นิยมใหตัวแปรเปน x, y, z และ t เชน 50x - 7y + 5z - 9t = 0
และ z) ถา n ≥ 5 นิยมใหตัวแปรเปน x1, x2, ..., xn เชน 7x1 - 6x2 + ... + 10xn = -11
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป ว า เราจะเรี ย ก
สมการขางตนวา สมการเชิงเสน n ตัวแปร 2. ระบบสมการเชิงเสน (System of Linear Equations)
เชน ขอ 1) เรียกวา สมการเชิงเสนตัวแปรเดียว ระบบสมการเชิงเสน ประกอบดวยสมการเชิงเสนตั้งแตสองสมการขึ้นไป ตัวอยางเชน
ขอ 2) เรียกวา สมการเชิงเสนสองตัวแปร และ
x + 2y = 6
ขอ 3) เรียกวา สมการเชิงเสนสามตัวแปร เรียกวา ระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร
3x - y = 2
โดยที่ x และ y เปนตัวแปร
124
T132
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูอธิบายวา ระบบสมการเชิงเสนประกอบดวย
2x - y + 4z = 0
สมการเชิงเสนตั้งแตสองสมการขึ้นไป พรอม
-x + 5y = 5z เรียกวา ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปร
ยกตัวอยาง ดังนี้
y + 7z = x
1) x + 2y = 6
โดยที่ x, y และ z เปนตัวแปร 3x - y = 2
โดยที่ x และ y เปนตัวแปร จะเห็นวา ขอ 1)
บทนิยาม ระบบสมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, …, xn เปนตัวแปร หมายถึง ชุดของสมการเชิงเสนที่
ประกอบดวยสมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, …, xn เปนตัวแปร จํานวน m สมการ โดยที่ m ≥ 2 คําตอบ มีสมการเชิงเสนสองตัวแปร 2 สมการ ดังนัน้
ของระบบสมการนี้ คือ จํานวน n จํานวน ที่นําไปแทนตัวแปร x1, x2, x3, …, xn ในทุก ๆ สมการ ตามลําดับ จะเรียกวา ระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร
แลวไดสมการที่เปนจริงทั้งหมด 2) 2x - y + 4z = 0
-x + 5y = 5z
รูปแบบของระบบสมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, …, xn เปนตัวแปร และประกอบดวยสมการ y + 7z = x
เชิงเสน m สมการ โดยที่ m ≥ 2 คือ โดยที่ x, y และ z เปนตัวแปร จะเห็นวา
a11x1 + a12x2 + a13x3 + … + a1nxn = b1 ข อ 2) มี ส มการเชิ ง เส น สามตั ว แปร 3
สมการ ดังนั้น จะเรียกวา ระบบสมการ
a21x1 + a22x2 + a23x3 + … + a2nxn = b2
เชิงเสนสามตัวแปร
a31x1 + a32x2 + a33x3 + … + a3nxn = b3 5. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา ระบบสมการ
เชิงเสนที่มี x1, x2, x3, ..., xn เปนตัวแปร
…
เมทริกซ 125
T133
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
6. ครูอธิบายวา การแกระบบสมการที่มีจํานวน
ตัวอย่างที่ 1
สมการเทากับจํานวนตัวแปรสามารถทําได
แกระบบสมการตอไปนี้
หลายวิธี เชน การกําจัดตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง
x + y - 2z = 3
การใชความรูเ รือ่ ง เมทริกซ การใชความรูเ รือ่ ง 2x - y + z = 8
ดีเทอรมิแนนต x - y + 3z = 1
7. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน
หนา 126 จากนั้นครูอธิบายอยางละเอียด วิธีทํา กําหนด x + y - 2z = 3 .....(1)
อีกครัง้ เพือ่ ใหนกั เรียนเขาใจมากยิง่ ขึน้ 2x - y + z = 8 .....(2)
8. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน x - y + 3z = 1 .....(3)
(1) + (2) จะได 3x - z = 11 .....(4)
หนา 126 (1) + (3) จะได 2x + z = 4 .....(5)
(4) + (5) จะได 5x = 15
ใช้ทฤษฎี หลักการ
x =3
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน แทน x = 3 ใน (5) จะได
หนา 126 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 2(3) + z = 4 คณิตน่ารู้
“ลองทําดู” z = -2 คําตอบของระบบสมการนิยม
แทน x = 3 และ z = -2 ใน (1) จะได เขียนในรูปของ n สิ่งอันดับ
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 3 + y - 2(-2) = 3 (ordered n - tuple) เชน
1. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 2 y = -4 (x1, x2, ..., xn)
ในหนังสือเรียน หนา 126-127 ดังนั้น คําตอบของระบบสมการ คือ (3, -4, -2)
2. ครูใหนักเรียนจับคูแลวทํากิจกรรม “ทนาย
ลองทําดู
ชางซัก (Rally Robin)” โดยใหแตละคูพูดคุย
แกระบบสมการตอไปนี้
ซักถามกันในเรื่อง การแกระบบสมการ ใน
5x + 4y - z = 9
ตัวอยางที่ 2 x - 5y + z = 18
3. จากนัน้ ครูกบั นักเรียนพูดคุย ซักถามกัน จนได 6x + 3y - z = 16
ขอสรุปวา ระบบสมการในตัวอยางที่ 2 นี้
ตัวอย่างที่ 2
เปนระบบสมการที่มีหลายคําตอบ
แกระบบสมการตอไปนี้
x + y + 5z = 8
x + 2y + 7z = 12
2x - y + 4z = 4
126
ขอสอบเนน การคิด
กําหนดให A + B + C = -6, 2A - 3B - C = 10 และ 3A - B - C = 14 จงหาคาของ 3A + 2B + C
1. -2 2. -1 3. 0 4. 1
(เฉลยคําตอบ A + B + C = -6 .....(1) 2A - 3B - C = 10 .....(2)
3A - B - C = 14 .....(3)
นําสมการ (1) + (3) จะได 4A = 8
A = 2
แทนคา A = 2 ในสมการ (2) และ (3) จะได 4 - 3B - C = 10 .....(4)
6 - B - C = 14 .....(5)
นําสมการ (4) - (5) จะได -2 - 2B = -4
-2B = -2
B = 1
แทนคา A = 2 และ B = 1 ในสมการ (1) จะได 2 + 1 + C = -6
C = -9
นั่นคือ 3A + 2B + C = 6 + 2 - 9 = -1
T134 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา กําหนด x + y + 5z = 8 .....(1)
หนา 127 จากนั้นใหนักเรียนคูเดิมทํากิจกรรม
x + 2y + 7z = 12 .....(2)
“ทนายชางซัก (Rally Robin)” โดยใหนักเรียน
2x - y + 4z = 4 .....(3)
พูดคุย ซักถามกันวา คําตอบของระบบสมการใน
(2) - (1) จะได y + 2z = 4 .....(4)
“ลองทําดู” ตรงกันหรือไม พรอมทัง้ อธิบายซึง่ กัน
2 × (4) จะได 2y + 4z = 8 .....(5)
และกัน จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน โดยครูตรวจสอบ
(2) - (5) จะได x + 3z = 4 .....(6)
จาก (4) จะได y = 4 - 2z ความถูกตอง
จาก (6) จะได x = 4 - 3z แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
เมื่อแทน x และ y ใน (1) จะได
(4 - 3z) + (4 - 2z) + 5z = 8 1. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน
8 =8 หนา 128 บนกระดาน โดยครูจะยังไมใหนกั เรียน
เมื่อแทน x และ y ใน (2) จะได เปดหนังสือเรียน
(4 - 3z) + 2(4 - 2z) + 7z = 12 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
12 = 12 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
เมื่อแทน x และ y ใน (3) จะได และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวใหนักเรียน
2(4 - 3z) - (4 - 2z) + 4z = 4 แตละกลุม ทํากิจกรรม “รวมหัวคิด (Numbered
4 = 4 Heads Together)” โดยใหนักเรียนแตละกลุม
ดังนั้น (4 - 3z, 4 - 2z, z) สอดคลองกับสมการ (1), (2) และ (3) ชวยกันหาคําตอบของระบบสมการบนกระดาน
จะไดวา คําตอบของระบบสมการ คือ (4 - 3z, 4 - 2z, z) เมื่อ z∊R เมื่อนักเรียนในแตละกลุมทําเสร็จแลว ครูสุม
หรือเซตของคําตอบของระบบสมการ คือ เรียกตัวแทนกลุมใหตอบคําถาม
{ (x, y, z) x = 4 - 3z, y = 4 - 2z, z∊R } 3. ครูสุมถามนักเรียนทุกกลุมจนไดคําตอบ
หรือ { (4 - 3z, 4 - 2z, z) z∊R } เดียวกันวา ระบบสมการนี้ไมมีคําตอบ
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ลองทําดู
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
แกระบบสมการตอไปนี้
หนา 128 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
-4x - y - 6z = 3
“ลองทําดู”
2x + y + 5z = -2
6x - 2y - 5z = -1
เมทริกซ 127
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนคูเดิมทํากิจกรรม “ซักไซไลเรียง
ตัวอย่างที่ 3
(Round Robin)” โดยใหแตละคูผ ลัดกันพูดคําตอบ
ของตนเอง แลวตรวจสอบวาตรงกับคูของตนเอง แกระบบสมการตอไปนี้
หรื อ ไม ถ า ไม ต รงกั น ให ช ว ยกั น ตรวจสอบข อ x + 2y - z = 1
ผิดพลาด พรอมทั้งอธิบายซึ่งกันและกัน จนเปนที่ 2x + 2y - 3z = 4
เขาใจรวมกัน 3x + 4y - 4z = 7
128
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• ระบบสมการเชิงเสนมีความหมายวาอยางไร
จากตัวอยางที่ 1-3 จะเห็นวา คําตอบของระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปร มี 3 ลักษณะ คือ
(แนวตอบ สมการเชิงเสนที่มีมากกวาหนึ่ง
1) ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปรที่มีคําตอบเดียว สมการ)
2) ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปรที่มีหลายคําตอบ หรือเรียกวา มีคําตอบอนันต • การแกระบบสมการเชิงเสนทําไดอยางไร
3) ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปรที่ไมมีคําตอบ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ระบบสมการเชิงเสนชุดหนึ่ง ๆ จะใหคําตอบของระบบสมการเพียงลักษณะเดียวเทานั้น ขึน้ อยูก บั พืน้ ฐานความรูข องนักเรียนแตละคน
เชน การกําจัดตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง)
แบบฝึกทักษะ 2.1
ขัน้ ประเมิน
ระดับพื้นฐาน 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.1
1. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้ 2. ครูตรวจ Exercise 2.1
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
1) x + 3y = 8 2) x - 3y = 4 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
x - 2y = 3 -2x + 6y = 2 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3) x + y + z = 6 4) 3x + 2y - z = 4 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
x-y+z = 2 5x - 3y + z = 1 มุงมั่นในการทํางาน
x+y-z = 0 x - 6y + 2z = 7
5) x + y =2 6) 2x + y - z = 2
x + 3y + z = 5 2x + 2y - 4z = 5
3x + y - z = 3 4x + 3y - 5z = 9
ระดับกลาง
2. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้
1) 2x + 2y + 2z + 2t = 11 2) 2x - y + 3z - w = -3
x + y + 2z + 2t = 5 3x + 2y - z + w = 13
2y + 5z + 2t = 5 x - 3y + z - 2w = -4
x + y + 3z + 4t = 1 -x + y + 4z + 3w = 0
เมทริกซ 129
1
รายการประเมิน
การแสดงความคิดเห็น
4
3
ระดับคะแนน
2
1
ชั้นเรียนชวยกันตรวจสอบความถูกตอง
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T137
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T138
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูกําหนดเมทริกซใหนักเรียนจําแนกประเภท
3 14 เปนเมทริกซที่มี 2 แถว และ 2 หลัก จึงมีมิติเปน 2 × 2
โดยใชเกณฑทคี่ รูไดอธิบายไวขา งตน ซึง่ ครูกาํ หนด และเรียกเมทริกซนี้วา 2 × 2 เมทริกซ
-10 5
เมทริกซ ดังนี้
• A = [0] เปนเมทริกซประเภทใดบาง 1.9 -1.4 1.6 เปนเมทริกซที่มี 3 แถว และ 3 หลัก จึงมีมิติเปน 3 × 3
(แนวตอบ เมทริกซแถว เมทริกซหลัก เมทริกซ
12 4 2 และเรียกเมทริกซนี้วา 3 × 3 เมทริกซ
จัตุรัส และเมทริกซศูนย)
• B = [1] เปนเมทริกซประเภทใดบาง 4 -7 1
1
(แนวตอบ เมทริกซแถว เมทริกซหลัก เมทริกซ 4) เมทริกซศูนย (zero matrix or a null matrix) คือ เมทริกซที่มีสมาชิกทุกตัวเปนศูนย
จัตุรัส และเมทริกซเอกลักษณ) เขียนแทนดวยสัญลักษณ 0 เชน
• C = [1, 0] เปนเมทริกซประเภทใดบาง
0 0 0
(แนวตอบ เมทริกซแถว) [0], 0 0 และ 0 0 0 คณิตน่ารู้
• D = [-32 ] เปนเมทริกซประเภทใดบาง 0 0 0 0 0
(แนวตอบ เมทริกซหลัก) กําหนดเมทริกซ A เปน
5) เมทริกซเอกลักษณ (identity matrix or unit matrix) เมทริกซจตั รุ สั ทีม่ มี ติ เิ ปน n × n
• E = [ 00 00 ] เปนเมทริกซประเภทใดบาง คือ เมทริกซจัตุรัสที่มีสมาชิกในแนวทแยงหลักเปน 1 ทั้งหมด จะกล า วว า แนวทแยงหลั ก
(แนวตอบ เมทริกซจัตุรัสและเมทริกซศูนย) และสมาชิกที่ไมไดอยูในแนวทแยงหลักเปนศูนย เขียนแทน (Main Diagonal) ของเมทริกซ
A ประกอบไปดวย สมาชิกใน
• F = [ 10 01 ] เปนเมทริกซประเภทใดบาง ดวยสัญลักษณ In เมื่อ n เปนจํานวนแถวและจํานวนหลักของ
แถวที่ i หลักที่ j เมื่อ i = j
เมทริกซ เชน
(แนวตอบ เมทริกซจัตุรัสและเมทริกซ สําหรับทุก i∊{ 1, 2, ..., n }
เอกลักษณ) 1 0 0 และ j∊{ 1, 2, ..., n }
I2 = 1 0 และ I3 = 0 1 0
เมื่อนักเรียนทําเสร็จแลว ครูและนักเรียนรวมกัน 0 1 0 0 1
เฉลยคําตอบ
แนวทแยงหลัก
การใชสัญลักษณเกี่ยวกับเมทริกซ จะใชตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพใหญ A, B, C, …
แทนเมทริกซ และใชตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพเล็ก a, b, c, … ที่มีตัวเลขกํากับไวทาง
ขวามือเพื่อบอกลําดับแถวและลําดับหลัก แทนสมาชิกของเมทริกซ A, B, C, … ตามลําดับ เชน
A = a11 a12 a13
เมทริกซ A เปน 1 × 3 เมทริกซ มีสมาชิก เชน a11 อานวา “เอ หนึ่ง หนึ่ง” เปนสมาชิก
ของเมทริกซที่อยูในแถวที่ 1 หลักที่ 1 หรือเปนสมาชิกในตําแหนงที่หนึ่ง หนึ่ง
132
0 ... 0
9 8 7
4. 6 5 4 5. -14 6. [1 0 5 ]
3 2 1
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
b11 b12 b13 ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 4 ในหนังสือเรียน
B = b21 b22 b23 หนา 133 แลวถามคําถาม ดังนี้
b31 b32 b33
• a11 เทากับเทาใด
เมทริกซ B เปน 3 × 3 เมทริกซ มีสมาชิก เชน b23 อานวา “บี สอง สาม” เปนสมาชิก (แนวตอบ a11 = 2)
ของเมทริกซที่อยูในแถวที่ 2 หลักที่ 3 หรือเปนสมาชิกในตําแหนงที่สอง สาม • a12 เทากับเทาใด
นอกจากนี้การเขียนเมทริกซ ในรูปแบบขางตน นักเรียนอาจเขียนเมทริกซ ใด ๆ ในรูปทั่วไป (แนวตอบ a12 = 3)
อีกแบบหนึ่ง โดยใช A = aij m n ซึ่ง aij แทนสมาชิกในตําแหนงแถวที่ i หลักที่ j แลวบอกมิติ
×
• a13 เทากับเทาใด
ของเมทริกซ เชน (แนวตอบ a13 = 3)
จากเมทริกซ A เขียนแทนดวย A = aij 1× 3 หมายถึง เมทริกซ A เปน 1 × 3 เมทริกซ • a21 เทากับเทาใด
ที่มีสมาชิกตําแหนงที่ ij เปน aij เมื่อ i∊{ 1 } และ j∊{ 1, 2, 3 } (แนวตอบ a21 = 4)
จากเมทริกซ B เขียนแทนดวย B = bij 3×3 หมายถึง เมทริกซ B เปน 3 × 3 เมทริกซ • a22 เทากับเทาใด
ที่มีสมาชิกตําแหนงที่ ij เปน bij เมื่อ i∊{ 1, 2, 3 } และ j∊{ 1, 2, 3 } (แนวตอบ a22 = 2)
จากการเขียนเมทริกซ ในรูปแบบขางตน นักเรียนสามารถสรุปเปนรูปทั่วไปได ดังนี้ • a23 เทากับเทาใด
(แนวตอบ a23 = 3)
A = aij m n หมายถึง เมทริกซ A เปน m × n เมทริกซ ที่มีสมาชิกตําแหนงแถวที่ i
× ใช้ทฤษฎี หลักการ
หลักที่ j เขียนเปน aij เมื่อ i∊{ 1, 2, …, m } และ j∊{ 1, 2, …, n }
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 134 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ตัวอย่างที่ 4 คําตอบ “ลองทําดู”
กําหนด A = aij × และ aij = 4 เมื่อ i > j และ aij = 3 เมื่อ i < j และ aij = 2
2 3
เมื่อ i = j ใหหาคาของ a21 + a22 - a13 + a11
= 24 32 33
ดังนั้น a21 + a22 - a13 + a11 = 4 + 2 - 3 + 2 = 5
เมทริกซ 133
3. 04 20 36 4. 01 20 35
(เฉลยคําตอบ จาก A = [aij ]2 × 3
a a a
จะไดวา A = [ a1121 a1222 a1323 ]
เนื่องจาก a11, a21 และ a22 ตรงกับเงื่อนไข aij = i - j, i ≥ j
และ a12, a13 และ a23 ตรงกับเงื่อนไข aij = i × j, i < j
จะไดวา A = [ 01 20 36 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)
T141
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนศึกษาการเทากันของเมทริกซ ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 134 แลวถามคําถาม ดังนี้ กําหนด B = bij × และ bij = 10 เมื่อ i > j และ bij = -3 เมื่อ i < j และ bij = 25
2 3
• นักเรียนมีหลักการสังเกตเมทริกซที่เทากัน เมื่อ i = j ใหหาคาของ b11 - b12 + b23 - b22
อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย 1. การเทากันของเมทริกซ (Equal Matrices)
ตามขอสังเกตของแตละคน เชน มีสมาชิก
ในตําแหนงเดียวกันเหมือนกัน และมีมิติ บทนิยาม กําหนด A = aij
m ×n
และ B = bij m ×n
เดียวกัน) A เทากับ B ก็ตอเมื่อ aij = bij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, …, m } และ j∊{ 1, 2, 3, …, n }
และเขียนแทน A เทากับ B ดวย A = B
ใช้ทฤษฎี หลักการ ใหนักเรียนพิจารณาเมทริกซที่กําหนดใหแตละคูตอไปนี้
ครูใหนักเรียนจับคูทํา “Thinking Time” ใน
1) A = 3 กับ B = -3 Thinking Time
หนังสือเรียน หนา 134 จากนั้นครูสุมนักเรียน 9 3+6
ถาเมทริกซ A และ B
ออกมานําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูและ 2 มีมติ เิ ดียวกัน นักเรียนคิดวา
เพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 2) C = [2 3 4] กับ D = 3 เมทริกซ A และ B เทากัน
4
ไดหรือไม เพราะเหตุใด
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 3) E = [0] กับ F = [0 0]
1. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 5 ในหนังสือเรียน จากเมทริกซที่กําหนดใหขางตน จะเห็นวา
หนา 134 บนกระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้ 1) เมทริกซ A และ B มีมิติเหมือนกัน และสมาชิกแตละตําแหนงของ A และ B เทากัน
• จากการเทากันของเมทริกซ นักเรียนจะหา ทุกคา คือ 3 = -3 และ 9 = 3 + 6 ดังนั้น A เทากับ B หรือ A = B
คาของ x และ y ไดอยางไร 2) เมทริกซ C และ D มีมิติตางกัน ดังนั้น C ไมเทากับ D หรือ C D
(แนวตอบ นําสมาชิกของเมทริกซในตําแหนง 3) เมทริกซ E และ F มีมิติตางกัน ดังนั้น E ไมเทากับ F หรือ E F
เดียวกันมาเทากัน และแกระบบสมการ) ตัวอย่างที่ 5
134
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
เมทริกซ 135
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2. เมทริกซสลับเปลีย่ น (Transpose of a Matrix)
หนา 135 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
“ลองทําดู” กิจกรรม คณิตศาสตร์
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
บทนิยาม กําหนด A = aij 2. ครูอธิบายบทนิยามของเมทริกซสลับเปลี่ยน
m×n
ถา B = bij n m ที่ bij = aji สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, n } และ j∊{ 1, 2, …, m }
×
ในหนังสือเรียน หนา 137 ใหนักเรียนฟง แลว
แลวจะเรียก B วา เมทริกซสลับเปลี่ยนของ A และเขียนแทนดวยสัญลักษณ At รวมกันสรุปวา จะเรียก B วา เมทริกซสลับเปลีย่ น
(อานวา “เอ ทรานสโพส”) ของ A และเขียนแทน B ดวย At
พิจารณาเมทริกซ ในแตละขอตอไปนี้ คณิตน่ารู้ 3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
0 หนา 137 1 5
1) A = [0 -7] โดยบทนิยาม จะไดวา At =
4. ครูเขียนเมทริกซ A = -52 และ B = 0 4
-7 ถา A = aij m n ×
1 7 แลว At = aji n m 2 3
2) B = 3 4 โดยบทนิยาม จะไดวา Bt = 1 3 5 ×
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
สื่อ Digital
1. X + Y = 35 52 61 30 40 35
50 35 33 + 40 30 35 ครูเปดสื่อการเรียนรู เรื่อง การบวกเมทริกซโดยใชโปรแกรม Microsoft
35 + 30 52 + 40 61 + ....... 35 Excel 2016 ในหนังสือเรียน หนา 137 ดวยการสแกน QR Code
= ....... 35 + .......
50 + 40 ....... 30 .......
33 + .......
35
96
65 92 .......
= .......
90 .......
65 .......
68
2. ผลบวกของสมาชิกในแถวและหลักเดียวกันของเมทริกซ X และ Y
T145
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายบทนิยามของการบวกเมทริกซ ใน
จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะเห็นวา เมื่อนําเมทริกซสองเมทริกซที่มีมิติเดียวกันมาบวกกัน
หนังสือเรียน หนา 138 ใหนักเรียนฟง แลว ผลบวกที่ไดจะเปนเมทริกซที่สมาชิกในแตละแถวและหลักเกิดจากสมาชิกที่อยูในแถวและหลัก
รวมกันสรุปวา เขียนสัญลักษณแทน A บวก เดียวกันของทั้งสองเมทริกซมาบวกกัน ซึ่งการหาผลบวกของเมทริกซ ในกรณีทั่วไป เปนไปตาม
กับ B ดวย A + B บทนิยามตอไปนี้
2. ครูเขียนตัวอยางที่ 7 ในหนังสือเรียน หนา 138
บนกระดาน จากนัน้ ครูใหนกั เรียนออกมาเขียน บทนิยาม กําหนด A = aij
m×n
และ B = bij m × n
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูคอยถามคําถาม เมทริกซ A บวกกับเมทริกซ B คือ cij m n เมื่อ cij = aij + bij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, m }
×
ลองทําดู
ใหหาผลบวกของเมทริกซ ในแตละขอตอไปนี้
-9 8 3 -5 -10 8 13
14 - 8
1) 11 - 11 + 7 3 2) 4 +
23 8 -11 - 5 7 1 67 10 11 5
12 - 21
138
(เฉลยคําตอบ A - B + C = [ 23 84 ] - [10 4 1 0
9 3 ] + [ -1 0 ]
= [ 3 2- -9 10 +1 8-4+0
+ (-1) 4 - 3 + 0 ]
= [ -7 4
-7 1 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมคณิ ต ศาสตร ใน
4. การคูณเมทริกซ (Multiplication of Matrix)
หนังสือเรียน หนา 139 แลวครูถามคําถาม
1) การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว (Multiplication of a Matrix by a Scalar) ดังนี้
• นักเรียนคิดวา การคูณ 2 กับเมทริกซ M
กิจกรรม คณิตศาสตร์
ทําไดอยางไร
ถาแตละรานตองการสํารองจํานวนยางลบแตละยี่หอใหมีจํานวนเปน 2 เทา จากยอดขายของราน ก. (แนวตอบ นํา 2 คูณกับสมาชิกแตละตัว
และราน ข. ในเดือนพฤษภาคม เมื่อยอดขายยางลบแตละยี่หอของราน ก. และราน ข. ในเดือนพฤษภาคม ในเมทริกซ M)
ที่แสดงโดยเมทริกซ M เปนดังนี้
ยี่หอ A ยี่หอ B ยี่หอ C
• 2 คูณกับเมทริกซ M เปนเทาใด
(แนวตอบ [122 70 120 100 )
M = 35
61
60
44
50 ราน ก.
37 ราน ข. 88 74 ]
เจาของรานจะสามารถหาจํานวนยางลบที่ตองการสํารวจไดจากการนํา 2 ไปคูณกับเมทริกซ M
2. ครูอธิบายบทนิยามของการคูณเมทริกซดวย
ซึ่งจะเขียนแทนดวยสัญลักษณ 2M คาคงตัว ในหนังสือเรียน หนา 139 ใหนกั เรียน
ฟง แลวรวมกันสรุปวา เขียนแทนผลคูณของ c
จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนเติมจํานวนลงในชองวางใหสมบูรณ แลวตอบคําถามที่กําหนด กับเมทริกซ A ดวย cA
1. 2M = 2 35 60 50
61 44 37
= 2 × 35 2 × 60 2 × ......
...... × 61 ....................... .......................
70 120 ......
= ...... ...... ......
ขอสอบเนน การคิด
0 1 , B = 0 -1 และ C = 4 -2
กําหนด A = -5 2 2 3 3 1
แลว A + 2B + C เทากับขอใด
1. 42 -29 2. 49 -22
3. 42 -39 4. 49 -32
(เฉลยคําตอบ
A + 2B + C = [ -5 0 1 + 2 0 -1 + 4 -2
2 ] [2 3 ] [3 1 ]
0 1 + 2 × 0 2 × (-1) + 4 -2
= [ -5 2 ] [ 2 × 2 2 × 3 ] [3 1 ]
0 1 + 0 -2 + 4 -2
= [ -5 2 ] [4 6 ] [3 1 ]
= [ 24 -39 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
T147
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูเขียนตัวอยางที่ 8 ในหนังสือเรียน หนา 140
ตัวอย่างที่ 8
บนกระดาน จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 คน
1 4 -1 2
ออกมาแสดงวิธีการดําเนินการหา 3A และ กําหนด A = 5 7 และ B = -1 4 ใหหา 3A, (-2)B และ 3A + (-2)B
(-2)B โดยครู แ ละเพื่ อ นในชั้ น เรี ย นร ว มกั น 0 -3 0 5
ตรวจสอบความถูกตอง และครูคอยถามคําถาม 1 4 3×1 3×4 3 12
แนะแนวคิด ดังนี้ วิธีทํา 3A = 3 5 7 = 3 × 5 3 × 7 = 15 21
• คาคงตัวคูณกับเมทริกซไดอยางไร 0 -3 3 × 0 3 × (-3) 0 -9
(แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิก -1 2 (-2) × (-1) (-2) × 2 2 -4
แตละตัวในเมทริกซ) (-2)B = (-2) -1 4 = (-2) × (-1) (-2) × 4 = 2 -8
• 3A + (-2)B หาไดอยางไร 0 5 (-2) × 0 (-2) × 5 0 -10
( แนวตอบ นํ า ค า คงตั ว ไปคู ณ กั บ สมาชิ ก 3 12 2 -4 5 8
แตละตัวในเมทริกซกอนแลวจึงพิจารณา 3A + (-2)B = 15 21 + 2 -8 = 17 13
0 -9 0 -10 0 -19
วาเมทริกซ 3A กับเมทริกซ (-2)B บวกกัน
ไดหรือไม ถาเมทริกซทั้งสองมีมิติเดียวกัน
แสดงวาสามารถบวกกันได ใหนําสมาชิก ลองทําดู
ที่ อ ยู ใ นแถวและหลั ก เดี ย วกั น ของทั้ ง สอง
กําหนด A = 10 -8 -4 -3 15 9
20 24 6 และ B = -30 21 6
เมทริกซมาบวกกัน)
ใหหา 2A, 23 B และ 2A + 23 B
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 140 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย จากตัวอยางที่ 8 จะเห็นวา ถา A และ B เปนเมทริกซที่มีมิติเดียวกัน และ α, β เปน
คําตอบ “ลองทําดู” คาคงตัว แลวนักเรียนสามารถหา αA + βB ไดเสมอ ในทํานองเดียวกัน นักเรียนยังสามารถหา
αA - βB ได เมื่อกําหนดบทนิยามของ αA - βB ดังนี้
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
บทนิยาม กําหนด A = aij , B = bij m × n และ α, β เปนคาคงตัว จะไดวา
1. ครูอธิบายบทนิยามการลบเมทริกซ ในหนังสือ- αA
m×n
- βB = cij เมื่อ cij = αaij - βbij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, m } และ j∊{ 1, 2, …, n }
m×n
เรียน หนา 140 ใหนักเรียนฟงแลวรวมกันสรุป
วา αA - βB = [cij]m × n เมื่อ cij = αaij + βbij
สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, ..., m } และ j∊{ 1,
2, 3, ..., n }
140
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 9
หนา 141 จากนัน้ ครูถามคําถาม ดังนี้
กําหนด A = -10 11 -23 และ B = -12 -23 10 • A - B หาไดอยางไร
ใหหา A - B และ 2A - 3B (แนวตอบ พิจารณามิติของเมทริกซ A และ
B วามีมิติเดียวกันหรือไม ถามีมิติเดียวกัน
วิธีทํา A - B = -10 11 -23 - -12 -23 01 แสดงวาสามารถลบกันได ใหนาํ สมาชิกทีอ่ ยู
ในแถวและหลักเดียวกันของทัง้ สองเมทริกซ
= -10--(-1)
2 1 - (-2) -2 - 1
1-3 3-0 มาลบกัน)
• 2A - 3B หาไดอยางไร
= -20 - 32 -33
( แนวตอบ นํ า ค า คงตั ว ไปคู ณ กั บ สมาชิ ก
2A - 3B = 2 -10 11 -23 - 3 -12 -23 10 แตละตัวในเมทริกซกอ น แลวจึงพิจารณาวา
2(0) - 3(2) 2(1) - 3(-2) 2(-2) - 3(1) เมทริกซ 2A กับเมทริกซ 3B มีมิติเดียวกัน
= 2(-1) - 3(-1) 2(1) - 3(3) 2(3) - 3(0) หรือไม ถามีมิติเดียวกันแสดงวาสามารถ
ลบกันได ใหนําสมาชิกที่อยูในแถวและหลัก
= -61 -78 -76
เดียวกันของทั้งสองเมทริกซมาลบกัน)
เมทริกซ 141
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนศึกษาและทําความเขาใจสมบัติ สมบัติ สมบัติของเมทริกซเกี่ยวกับการบวก การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว และเมทริกซสลับเปลี่ยน
ของเมทริกซเกีย่ วกับการบวก การคูณเมทริกซ กําหนดให A, B, C และ 0 เปน m × n เมทริกซ
ดวยคาคงตัว และเมทริกซสลับเปลี่ยน ใน 1. A + B เปน m × n เมทริกซ (สมบัติปดของการบวก)
หนังสือเรียน หนา 142 2. A + B = B+A (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
3. A + (B + C) = (A + B) + C (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 10 ในหนังสือเรียน
4. A + 0 = 0+A = A (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
หนา 142-143 แลวถามคําถาม ดังนี้ เรียก 0 วาเปนเอกลักษณการบวกภายในเซตของเมทริกซมิติ m × n
• นักเรียนจะหาเมทริกซ X ที่ทําให 2A + X 5. A + (-A) = (-A) + A = 0 (การมีตัวผกผันของการบวก)
= 13 (X + A) ไดอยางไร เรียก -A วาเปนตัวผกผัน หรืออินเวอรสการบวกของ A
6. c(A + B) = cA + cB เมื่อ c เปนคาคงตัว
(แนวตอบ ใชสมบัติการเทากันในการแก
7. (c + d)A = cA + dA เมื่อ c, d เปนคาคงตัว
สมการเมทริกซ) 8. (cd)A = c(dA) เมื่อ c, d เปนคาคงตัว
9. 1A = A
10. 0A = 0
11. (A + B)t = At + Bt และ (A - B)t = At - Bt
t t
12. (A ) = A
13. (cAt) = c(At) เมื่อ c เปนคาคงตัว
ตัวอย่างที่ 10
วิธีทํา จาก 2A + X = 13 (X + A)
จะไดวา 2A + X = 13 X + 13 A
(2A + X) - 13 X = ( 13 X + 13 A) - 13 X
2A + (X - 13 X) = ( 13 A + 13 X) - 13 X
2A + (1 - 13 ) X = 13 A + ( 13 X - 13 X)
2A + 23 X = 13 A + 0
2A + 23 X = 13 A
(2A + 23 X) - 2A = 13 A - 2A
142
T150
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
( 23 X + 2A) - 2A
= ( 13 - 2) A
หนา 143 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
2 X + (2A - 2A) = - 53 A
3 คําตอบ “ลองทําดู”
2X + 0= - 53 A
3
2X
= - 53 A แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3
X = - 52 A 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมคณิ ต ศาสตร ใน
หนังสือเรียน หนา 143-144 โดยใชเทคนิค
นั่นคือ X = - 52 A = - 52 2 -2 4 = -5 5 -10
0 6 -8 0 -15 20 “คู คิ ด (Think P a ir Sh a re)” ตามขั้ น ตอน
ดังนั้น เมทริกซ X คือ -5 5 -10 ตอไปนี้
0 -15 20
• ใหนกั เรียนคิดคําตอบของตนเองจากกิจกรรม
ลองทําดู คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 130
1 • ให นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น
กําหนด A = - 3 3 ใหหาเมทริกซ X ที่ทําให - 47 A + 2X = 37 (X + A) คําตอบกัน สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ
4 -8
รวมกัน
2) การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ (Multiplication of a Matrix by another Matrix) • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
กิจกรรม คณิตศาสตร์ ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
จากกิจกรรมคณิตศาสตรหนา 139 เรารูแลววา ยอดขายยางลบแตละยี่หอของราน ก. และราน ข.
ในเดือนพฤษภาคม เปนดังนี้
ยี่หอ A ยี่หอ B ยี่หอ C
M = 35 60 50 ราน ก.
61 44 37 ราน ข.
สมมติวายางลบยี่หอ A ราคากอนละ 10 บาท ยี่หอ B กอนละ 15 บาท และยี่หอ C กอนละ 20 บาท
เมื่อนําราคายางลบแตละยี่หอมาเขียนใสเมทริกซโดยใหสมาชิกในแตละแถวแทนยี่หอยางลบ และสมาชิก
ในแตละหลักแทนราคายางลบ จะไดเมทริกซที่มีมิติ 3 × 1 ดังนี้
ราคา
10 ยี่หอ A
N = 15 ยี่หอ B
20 ยี่หอ C
ถาเจาของรานตองการทราบยอดขายยางลบของแตละรานในเดือนพฤษภาคม เขาสามารถทําไดโดย
นําเมทริกซ M คูณกับ N ซึ่งจะเขียนแทนดวยสัญลักษณ MN
เมทริกซ 143
T151
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนศึกษาขั้นตอนการคูณเมทริกซ
กับเมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 144-145 จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนเติมจํานวนลงในชองวางใหสมบูรณ แลวตอบคําถามที่กําหนด
พรอมทั้งเนนยํ้ากับนักเรียนวา เมทริกซ A คูณ 10
1. MN = 35 60 50 15
กับเมทริกซ B ได ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของ 61 44 37 20
เมทริกซ A เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B (35 × 10) + (60 × 15) + (50 × ......)
= (...... × 10) + (...... × ......) + (...... × ......)
......
=
......
จํานวนหลัก = จํานวนแถว
144
กิจกรรม สรางเสริม
ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวเขียนโจทยบนกระดานลงในกระดาษ A4
เพื่อชวยกันหาคําตอบ ดังนี้
0 -1
กําหนด A = 5 -3 1 และ B = 6 0
[ ]
-2 9
ใหหา AB
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T152
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายความรูในกรอบ “คณิตนารู” ใน
เมื่อพิจารณาการคูณของเมทริกซ M และ N จะพบวามีขั้นตอน ดังนี้
หนังสือเรียน หนา 144
1) นําสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 1 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 1
4. ครูอธิบายบทนิยามของการคูณเมทริกซดวย
ของเมทริกซ N สมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 2 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในแถวที่ 2 หลักที่
1 ของเมทริกซ N และสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 3 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในแถวที่ 3 เมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 146 แลวรวมกัน
หลักที่ 1 ของเมทริกซ N จากนั้นนําผลคูณที่ไดมาบวกกัน และผลบวกที่ไดจะเปนสมาชิกในแถว สรุปวา AB = [cij]m × r เมื่อ c = ai1b1j +
ที่ 1 หลักที่ 1 ของเมทริกซ P ai2b2j + ... + ainbnj สําหรับทุก i∊{ 1, 2,
..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., r }
M N P
10
35 60 50 (35 × 10) (60 × 15) (50 × 20)
15 =
61 44 37 b
20
2,250
=
b
2) นําสมาชิกในแถวที่ 2 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในหลักที่ 1 ของเมทริกซ N
ในทํานองเดียวกันกับขั้นตอนกอนหนานี้ จากนั้นนําผลคูณที่ไดมาบวกกัน และผลบวกที่ไดจะเปน
สมาชิกในแถวที่ 2 หลักที่ 1 ของเมทริกซ P
M N P
10
35 60 50 2,250
15 =
61 44 37 (61 × 10) (44 × 15) (37 × 20)
20
2,250
= 2,010
เมทริกซ 145
T153
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 11 ในหนังสือเรียน บทนิยาม กําหนด A = aij และ B = bij n × r จะไดวา
หนา 146 แลวถามคําถาม ดังนี้ m×n
AB = cij m r เมื่อ cij = ai1b1j + ai2b2j + … + ainbnj สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, m }
×
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันไดอยางไร และ j∊{ 1, 2, …, r } นั่นคือ
n n n
(แนวตอบ เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกัน a11 a12 ... a1n b11 b12 ... b1r Σa b
k=1 1k k1
Σa b
k=1 1k k2
Σ a1kbkr
... k=1
ได ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของเมทริกซ A a21 a22 ... a2n b21 b22 ... b2r n
Σa b
n
Σa b
n
Σ a2kbkr
... k=1
= k=1 2k k1 k=1 2k k2
เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B) ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮
am1 am2 ... amn bn1 bn2 ... bnr n n n
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B คูณกันไดหรือไม Σ a b Σ a b ... Σ amkbkr
k=1 mk k1 k=1 mk k2 k=1
เพราะเหตุใด n
Σ aikbkj = ai1b1j + ai2b2j + ... + ainbnj
เมื่อ k=1
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ A
เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B) ตัวอย่างที่ 11
• เมทริกซ B กับเมทริกซ A จะคูณกันไดอยางไร กําหนด A = 1 2 และ B = 21 02 43 ใหหา
(แนวตอบ เมทริกซ B กับเมทริกซ A จะคูณกัน 0 1
1) AB 2) BA
ได ก็ ต อ เมื่ อ จํ า นวนหลั ก ของเมทริ ก ซ B
เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ A) วิธีทํา 1) เนื่องจาก A เปน 2 × 2 เมทริกซ และ B เปน 2 × 3 เมทริกซ
• เมทริกซ B กับเมทริกซ A คูณกันไดหรือไม จะไดวา จํานวนหลักของ A เทากับจํานวนแถวของ B
เพราะเหตุใด ดังนั้น AB หาคาได ดังนี้
( แนวตอบ ไม ไ ด เพราะจํ า นวนหลั ก ของ
เมทริกซ B ไมเทากับจํานวนแถวของเมทริกซ AB = 1 2 2 0 4
0 1 1 2 3
A)
= (1 × 2) + (2 × 1) (1 × 0) + (2 × 2) (1 × 4) + (2 × 3)
(0 × 2) + (1 × 1) (0 × 0) + (1 × 2) (0 × 4) + (1 × 3)
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 4 4 10
1 2 3
หนา 146 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 2) เนื่องจาก B เปน 2 × 3 เมทริกซ และ A เปน 2 × 2 เมทริกซ
“ลองทําดู” จะไดวา จํานวนหลักของ B ไมเทากับจํานวนแถวของ A
ดังนั้น ไมสามารถหา BA ได
ลองทําดู
4 -8 3 4 -5 0
กําหนด A = 2 3 10 และ B = 7 1 4 ใหหา
5 8 1 3
1) AB 2) BA
146
T154
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 11
จากตัวอยางที่ 11 จะเห็นวา AB BA กลาวไดวา เมทริกซไมมีสมบัติการสลับที่ของ
การคูณ ในหนังสือเรียน หนา 146 จะเห็นวา AB BA
กลาวไดวา เมทริกซไมมีสมบัติการสลับที่ของ
ตัวอย่างที่ 12 การคูณ
11 2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 12 ในหนังสือเรียน
กําหนด A = 1 2 , B = 105 96 87 และ C = 12 หนา 147 แลวถามคําถาม ดังนี้
4 3 13
ใหหา AB, BC, A(BC) และ (AB)C • เมทริกซ B กับเมทริกซ C คูณกันไดหรือไม
เพราะเหตุใด
วิธีทํา AB = 1 2 5 6 7
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ
4 3 10 9 8
B เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ C)
= 1(5) + 2(10) 1(6) + 2(9) 1(7) + 2(8)
4(5) + 3(10) 4(6) + 3(9) 4(7) + 3(8) • ผลคูณของเมทริกซ AB กับเมทริกซ C
= 25 24 23
50 51 52
คูณกันไดหรือไม เพราะเหตุใด
11 (แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ
BC = 5 6 7 12 AB เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ C)
10 9 8 13
• A(BC) กับ (AB)C เทากันหรือไม
5(11) + 6(12) + 7(13)
= 10(11) (แนวตอบ เทากัน)
+ 9(12) + 8(13)
= 218
322
A(BC) = 1 2 218
4 3 322
= 1(218) + 2(322)
4(218) + 3(322)
= 862
1,838
(AB)C = 25 24 23 11
50 51 52 12 13
= 25(11) + 24(12) + 23(13)
50(11) + 51(12) + 52(13)
= 862
1,838
เมทริกซ 147
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 12
ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 147 จะเห็นวา A(BC) = 3
(AB)C กลาวไดวา เมทริกซมสี มบัตกิ ารเปลีย่ น กําหนด A = 8 1 , B = 95 31 -2 -4 และ C = 2
4 2 -1
หมูของการคูณ
ใหหา AB, BC, A(BC) และ (AB)C
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน จากตัวอยางที่ 12 จะเห็นวา A(BC) = (AB)C กลาวไดวา เมทริกซมีสมบัติการเปลี่ยนหมู
หนา 148 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ของการคูณ
คําตอบ “ลองทําดู”
ตัวอย่างที่ 13
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
กําหนด A = 4 1 , B = 1 0 และ C = 2 -2
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 13 ใน 0 -1 2 3 -1 0
หนังสือเรียน หนา 148-149 แลวใหนักเรียน ใหหา A(B + C), AB + AC, (A + B)C และ AC + BC
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง สนทนา
ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูถาม วิธีทํา A(B + C) = 4 1 ( 1 0 + 2 -2 )
0 -1 2 3 -1 0
คําถามนักเรียน ดังนี้
• A(B + C) กับ AB + AC เทากันหรือไม = 4 1 3 -2
0 -1 1 3
(แนวตอบ เทากัน) 4(3) + 1(1) 4(-2) + 1(3)
= 0(3)
• (A + B)C กับ AC + BC เทากันหรือไม + (-1)(1) 0(-2) + (-1)(3)
(แนวตอบ เทากัน) = 13 -5
-1 -3
AB + AC = ( 4 1 1 0 ) + ( 4 1 2 -2 )
0 -1 2 3 0 -1 -1 0
4(1) + 1(2) 4(0) + 1(3) + 4(2) + 1(-1) 4(-2) + 1(0)
= 0(1) + (-1)(2) 0(0) + (-1)(3) 0(2) + (-1)(-1) 0(-2) + (-1)(0)
= 6 3 + 7 -8
-2 -3 1 0
= 13 -5
-1 -3
148
T156
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 13
(A + B)C = ( 4 1 + 1 0 ) 2 -2
0 -1 2 3 -1 0 ในหนังสือเรียน หนา 147 จะเห็นวา
A(B + C) = AB + AC และ
= 5 1 2 -2
2 2 -1 0 (A + B)C = AC + BC
= 5(2) + 1(-1) 5(-2) + 1(0) กลาวไดวา เมทริกซมสี มบัตกิ ารแจกแจง
2(2) + 2(-1) 2(-2) + 2(0)
ใช้ทฤษฎี หลักการ
= 9 -10
2 -4 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
AC + BC = ( 4 1 2 -2 ) + ( 1 0 2 -2 ) หนา 149 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
0 -1 -1 0 2 3 -1 0
คําตอบ “ลองทําดู”
4(2) + 1(-1) 4(-2) + 1(0) + 1(2) + 0(-1) 1(-2) + 0(0)
= 0(2) + (-1)(-1) 0(-2) + (-1)(0) 2(2) + 3(-1) 2(-2) + 3(0)
= 7 -8 + 2 -2
1 0 1 -4
= 9 -10
2 -4
ลองทําดู
กําหนด A = 52 -41 , B = 23 12 และ C = 1 0
7 10
ใหหา (A + B)C, AC + BC, A(B + C) และ AB + AC
เมทริกซ 149
T157
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 14 ใน
ตัวอย่างที่ 14
หนังสือเรียน หนา 148 แลวใหนักเรียนแลก-
เปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม กําหนด A = 1 1 และ B = 0 -3 ใหหา (AB)t และ BtAt
2 0 1 4
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนี้ วิธีทํา At = 1 2 และ Bt = 0 1
1 0 -3 4
• (AB)t กับ BtAt เทากันหรือไม 1(0) + 1(1) 1(-3) + 1(4) = 1 1
(แนวตอบ เทากัน) AB = 1 1 0 -3 =
2(0) + 0(1) 2(-3) + 0(4)
2 0 1 4 0 -6
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 14 ใน
(AB)t = 1 0
หนังสือเรียน หนา 150 จะเห็นวา (AB)t = BtAt 1 -6
BtAt = 0 1 1 2 = 0(1) + 1(1) 0(2) + 1(0) = 1 0
ใช้ทฤษฎี หลักการ -3 4 1 0 -3(1) + 4(1) -3(2) + 4(0) 1 -6
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 150 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ลองทําดู
คําตอบ “ลองทําดู” กําหนด A = 4 0 และ B = 10 20 ใหหา (AB)t และ BtAt
2 -5 4 2
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
จากตัวอยางที่ 14 จะเห็นวา (AB)t = BtAt
1. ครู อ ธิ บ ายบทนิ ย ามเมทริ ก ซ เ อกลั ก ษณ ใน
หนังสือเรียน หนา 150 ใหนักเรียนฟง แลว บทนิยาม สําหรับจํานวนเต็มบวก n ใด ๆ กําหนด I = I
n jk n × n เมื่อ j และ k เปนจํานวนเต็มบวก
เป ดโอกาสให นั กเรี ยนถามคํ า ถามในส ว นที่ ที่นอยกวาหรือเทากับ n ซึ่งมีสมาชิก ดังนี้
ไมเขาใจ Ijk =
1 เมื่อ j = k
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เมทริกซเอกลักษณมิติ 0 เมื่อ j k
n × n อาจเขียนแทนดวย I หรือ In เรียก In วา เมทริกซเอกลักษณมิติ n × n
ในกรณีที่ไมเกิดความสับสนเกี่ยวกับเมทริกซแลว อาจเขียน I แทน In ได
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 15 ใน
หนังสือเรียน หนา 151 แลวใหนักเรียนแลก- จากบทนิยาม จะไดวา I1 = [1] เปนเมทริกซเอกลักษณมิติ 1 × 1
เปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม I2 = 1 0 เปนเมทริกซเอกลักษณมิติ 2 × 2
0 1
ดังนี้
• AI กับ A เทากันหรือไม 1 0 0
I3 = 0 1 0 เปนเมทริกซเอกลักษณมิติ 3 × 3
(แนวตอบ เทากัน) 0 0 1
150
T158
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
• IA กับ A เทากันหรือไม
ตัวอย่างที่ 15
(แนวตอบ เทากัน)
กําหนด A = 4 5 ใหแสดงวา AI = IA = A • AI, IA และ A เทากันหรือไม
-1 -3
(แนวตอบ เทากัน)
วิธีทํา AI = 4 5 1 0 = -1(1) 4(1) + 5(0) 4(0) + 5(1) 4 5
-1 -3 0 1 + (-3)(0) -1(0) + (-3)(1) = -1 -3
ใช้ทฤษฎี หลักการ
IA =
1 0 4 5 = 1(4) + 0(-1) 1(5) + 0(-3) = 4 5
0 1 -1 -3 0(4) + 1(-1) 0(5) + 1(-3) -1 -3 1. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น AI = IA = A หนา 151 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู 2. ครูใหนักเรียนคูเดิมทํา “Thinking Time” ใน
กําหนด A = -41 25 ใหแสดงวา AI = IA = A หนังสือเรียน หนา 151 จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนี้
• A กับ In คูณกันไดหรือไม เพราะเหตุใด
Thinking Time (แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของ A เทากับ
“ถา A เปน m × n เมทริกซ แลว AIn = ImA = A” จํานวนแถวของ In )
นักเรียนคิดวาขอความดังกลาวเปนจริงหรือไม เพราะเหตุใด • A กับ In คูณกันไดเทาใด
(แนวตอบ AIn = A)
• Im กับ A คูณกันไดหรือไม เพราะเหตุใด
สมบัติ สมบัติของเมทริกซเกี่ยวกับการคูณเมทริกซดวยเมทริกซ และเมทริกซสลับเปลี่ยน
กําหนด A = aij m n , B = bij n p และ C = cij p q
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของ Im เทากับ
1. A(BC) = (AB)C
× × ×
จํานวนแถวของ A)
2. (cA)B = A(cB) = c(AB) เมื่อ c เปนคาคงตัว • Im กับ A คูณกันไดเทาใด
3. AIn = A , ImA = A เมื่อ In และ Im เปนเมทริกซเอกลักษณ (แนวตอบ ImA = A)
4. A0 = 0 , 0A = 0 • AIn = ImA = A เทากันหรือไม เพราะเหตุใด
5. (AB)t = B tA t
6. (A + E)B = AB + EB เมื่อ E เปน m × n เมทริกซ
(แนวตอบ เทากัน เพราะ AIn = A และ
7. A(B + D) = AB + AD เมื่อ D เปน n × p เมทริกซ ImA = A ดังนั้น AIn = ImA = A)
เมทริกซ 151
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาสมบัตขิ องเมทริกซเกีย่ วกับ
ในการคูณเมทริกซบางครั้งอาจคูณเมทริกซ ใด ๆ กับตัวเอง เชน เมทริกซ A คูณกับ
การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ และเมทริกซ
เมทริกซ A ผลลัพธที่ไดจะเขียนเปน AA เพื่อสะดวกอาจเขียนเปน A2 ได ซึ่งในที่นี้จะมี
สลับเปลี่ยน ในหนังสือเรียน หนา 151 จากนั้น การใชสัญลักษณดังกลาวตอไปนี้
ครูอธิบายพรอมยกตัวอยางใหนักเรียนฟงอีก ถา A เปน n × n เมทริกซ แลว
ครั้ง เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น A1 หมายถึง A
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 16 ในหนังสือเรียน Ak หมายถึง AAk-1 เมื่อ k เปนจํานวนเต็มบวกที่มากกวา 1
หนา 152 แลวถามคําถาม ดังนี้ นั่นคือ A2 = AA2-1 = AA
• A2 หาไดอยางไร A3 = AA3-1 = AA2 = AAA
(แนวตอบ นํา A คูณกับ A จะได A2)
• A3 หาไดอยางไร ตัวอย่างที่ 16
(แนวตอบ นํา A คูณกับ A2 จะได A3) กําหนด A = 2 0 ใหหา A2, A3 และ A4
• A4 หาไดอยางไร -1 1
(แนวตอบ นํา A คูณกับ A3 จะได A4) วิธีทํา A2 = 2 0 2 0
-1 1 -1 1
2(2) + 0(-1) 2(0) + 0(1)
= (-1)(2) + 1(-1) (-1)(0) + 1(1)
= 4 0
-3 1
A3 = AA2
= 2 0 4 0
-1 1 -3 1
2(4) + 0(-3) 2(0) + 0(1)
= (-1)(4) + 1(-3) (-1)(0) + 1(1)
= 8 0
-7 1
A4 = AA3
= 2 0 8 0
-1 1 -7 1
2(8) + 0(-7) 2(0) + 0(1)
= (-1)(8) + 1(-7) (-1)(0) + 1(1)
= 16 0
-15 1
152
T160
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 153 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนด A = -34 -5
-2 ใหหา A2, A3 และ A4
คําตอบ “ลองทําดู”
T161
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 17 ใน
AB = 3 0 1 0
หนังสือเรียน หนา 147 จะเห็นวา 1 2 -1 -3
(A + B)2 A2 + 2AB + B2 และ = 1(1) ++ 0(-1)
3(1)
2(-1)
3(0) + 0(-3)
1(0) + 2(-3)
A2 - B2 (A - B)(A + B) 3 0
=
-1 -6
ใช้ทฤษฎี หลักการ ดังนั้น A 2 + 2AB + B2 = 9 0 +2 3 0 + 1 0
5 4 -1 -6 2 9
1. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 9 + 6 + 1 0 + 0 + 0
หนา 154 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย =
5 - 2 + 2 4 - 12 + 9
คําตอบ “ลองทําดู” = 16 0
5 1
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 3) A2 - B2 = 9 0 - 1 0 = 8 0
5 4 2 9 3 -5
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหทาํ กิจกรรม
ดังนี้ 4) A - B = 3 0 - 1 0 = 2 0
1 2 -1 -3 2 5
• ใหนกั เรียนทํา “Thinking Time” ในหนังสือเรียน (A - B)(A + B) = 2 0 4 0
หนา 154 2 5 0 -1
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ทําความเขาใจรวมกัน = 2(4) + 0(0) 2(0) + 0(-1)
2(4) + 5(0) 2(0) + 5(-1)
จากนั้ น ครู สุ ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมา 8 0
เฉลยคําตอบ และใหนกั เรียนทัง้ หมดอภิปราย =
8 -5
แสดงความคิดเห็นรวมกัน
3. ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ขอ 1.-9. ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 155-156 4 11 5 -7
กําหนด A = -7 9 และ B = 1 2
4. ใหนักเรียนทําใบงานที่ 2.1 เรื่อง คูณเมทริกซ
ดวยเมทริกซ และ Exercise 2.2 เปนการบาน ใหหา (A + B)2, A2 + 2AB + B2, A2 - B2 และ (A - B)(A + B)
Thinking Time
กําหนด A และ B เปน n × n เมทริกซ ใหแสดงวา
(A + B)2 = A2 + 2AB + B2 ก็ตอเมื่อ AB = BA
154
T162
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
แบบฝึกทักษะ 2.2
นักเรียน ดังนี้
ระดับพื้นฐาน • เมทริกซที่เทากันเปนอยางไร
1. ใหหาคาของตัวแปรที่เปนจํานวนจริงในแตละขอตอไปนี้ที่ทําให A = B (แนวตอบ มีสมาชิกในตําแหนงเดียวกัน
เหมือนกัน และมีมิติเดียวกัน)
5 x 5
1) A = 0 และ B = y • ถา A = [ -1 t
2 4 ] แลว A เทากับเทาใด
-1 -1 2
(แนวตอบ At = [ -1 5 4 ])
2) A = x 7 5 และ B = 0 7 5 • เมทริกซสองเมทริกซจะบวกกันไดอยางไร
3 y 2 3 1 2
(แนวตอบ เมทริกซสองเมทริกซจะบวกกันได
3) A = 3 x - 2 y และ B = 3 1 5 ก็ตอ เมือ่ มีมติ เิ ดียวกัน คือ เมทริกซทกี่ าํ หนด
2 4 1 2 4 z
มีจาํ นวนแถวและจํานวนหลักเทากัน แลวนํา
4) x + y 5 และ B = 3 5 สมาชิกที่อยูในแถวและหลักเดียวกันของทั้ง
4 1 4 x-y
สองเมทริกซมาบวกกัน)
• การคูณเมทริกซกบั คาคงตัวจะคูณไดอยางไร
2. กําหนด A = 1 2 , B = 2 -1 และ C = -2 4 ใหหา (แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิกแตละ
1 3 0 1 3 0
1) A + B 2) B + A ตัวในเมทริกซ)
3) (A + B) + C 4) A + (B + C) • เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันได
อยางไร
3. กําหนด A = 2 -1 และ B = 3 -5 ใหหา (แนวตอบ เมทริกซ A คูณกับเมทริกซ B ได
0 1 1 2 ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของเมทริกซ A เทากับ
1) 2A + 2B 2) 2(A + B) 3) 3A + 5A จํานวนแถวของเมทริกซ B)
4. ใหหาผลคูณของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้
-2 1 5
1) [1 1 0] 1 2) [4 2 0] 2 3) [0 2 1 0] 00
1 1
3 -6
เมทริกซ 155
T163
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ฝกปฏิบตั ิ
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง ระดับกลาง
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ชวยกันทําแบบฝก- 2
ทักษะ 2.2 ขอ 10. ในหนังสือเรียน หนา 156 จากนัน้ 5. กําหนด A = x - 1 34 และ B = 0 3
x y -y 1
ครูสุมตัวแทนออกมานําเสนอวิธีทําหนาชั้นเรียน ใหหาจํานวนจริง x และ y ที่ทําให A = B
โดยครู แ ละเพื่ อ นในชั้ น เรี ย นร ว มกั น ตรวจสอบ
6. ใหหาเมทริกซ X ที่สอดคลองกับสมการในแตละขอตอไปนี้
ความถูกตอง
1) 2 1 + 1 2 + X = 0 -1 2) 1 2 + X = 1 2
-1 3 0 4 1 2 -3 0 -3 0
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.1 7. ใหหาเมทริกซ X จากสมการในแตละขอตอไปนี้
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 1) 5X + 2 1 2 = 7 -1
3. ครูตรวจ Exercise 2.2 -5 1 0 -3
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 2) -1 2 = 3 1 4 - 2X
-2 3 2 3
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 3) 2A + X = B - 2X เมื่อ A = 1 0 และ B = 5 -3
-2 3 2 6
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 8. กําหนด A = 2 1 ใหหา A2 - 2A + I2
3 -1
4 8 7 1 -b 1
9. กําหนด A = 1 1 2 และ B = 2 2 3
-3 0 -10 a 4 -6
1) ใหหา AB และ BA
-8 72 -14
2) ถา AB = -5 17 -8 แลว a และ b มีคาเปนเทาใด
37 -61 57
ระดับทาทาย
10. กําหนด A = 1 2 ใหหา B = bij 2×2 ที่ทําให A2 - B2 = (A - B)(A + B)
2 -1
156
2 3 - 2 0
X = [ -3 1 ] [ -2 4 ]
0 3
= [ -1
เกณฑ์การให้คะแนน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../............... -3 ]
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
0 3 )
ดังนั้น X = [ -1 -3 ]
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T164
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
AB = BA = In
แลวจะเรียก B วาเปน เมทริกซผกผันของ A และเขียนแทน B ดวย A-1
7 -3 1 3
2) BA = [ -2 1 ][ 2 7 ]
= [(7 × 1) + [(-3) × 2] (7 × 3) + ((-3) 7)
........ × ........
((-2) 1 )(1 × 2)
........ × ........ ((-2) 3 ) + (.......
........ × ........ 7 )]
1 × ........
1 .......
= [ ........ 0
1 ]
0 ........
........
T165
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากกิจกรรม
ตัวอย่างที่ 18
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 157 จะเรียก
B วา เมทริกซผกผันของเมทริกซ A กําหนด A = 2 3 ใหแสดงวา A ไมมีเมทริกซผกผัน
4 6
3. ครู อ ธิ บ ายบทนิ ย ามของเมทริ ก ซ ผ กผั น ใน
หนังสือเรียน หนา 157 แลวเปดโอกาสให b b
วิธีทํา สมมติ B = b11 b12 เปนเมทริกซผกผันของ A
นักเรียนถามคําถามในสวนที่ไมเขาใจ 21 22
ลองทําดู
1
กําหนด A = - 2 5 ใหแสดงวา A ไมมีเมทริกซผกผัน
-1 10
158
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด A = [ 36 12 ] ใหหาเมทริกซผกผันของ A วาตรงกับขอใด
1. [ 63 41 ] 2. 12 [ 63 41 ] 3. 14 [ 63 4
1] 4. ไมมีเมทริกซผกผัน
b b
(เฉลยคําตอบ สมมติ B = [ b1121 b1222 ] เปนเมทริกซผกผันของ A
จากบทนิยามเมทริกซผกผัน จะไดวา พิจารณาสมการ (2) จะไดวา
AB = [ 01 01 ] 2(3b11 + b21) = 0
b b 2(1) = 0
[ 63 12 ] [ b1121 b1222 ] = [ 01 01 ] 2 = 0
3b + b 3b + b
[ 6b1111 + 2b2121 6b1212 + 2b2222] = [ 01 01 ] ซึ่งเปนสมการที่เปนเท็จ
แสดงวา สมการ (1) และ (2) ทําใหเกิดขอขัดแยง
จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ จะไดวา ดังนั้น ไมมีเมทริกซ B ที่มีมิติ 2 × 2
3b11 + b21 = 1 .....(1)
ซึ่งทําให AB = I2
6b11 + 2b21 = 0 .....(2)
นั่นคือ A ไมมีเมทริกซผกผัน
T166 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 19 ใน
ตัวอย่างที่ 19
หนังสือเรียน หนา 159-160 แลวแลกเปลี่ยน
-2 2 3 -4 -5 3
กําหนด A = 1 -1 0 และ B = 13 -4 -8 3 ความรูกับคูของตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่
0 1 4 1 2 0 เขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ใหแสดงวา B เปนเมทริกซผกผันของ A • จะแสดงไดอยางไรวา B เปนเมทริกซผกผัน
ของ A
วิธีทํา สมมติ B เปนเมทริกซผกผันของ A (แนวตอบ แสดงใหเห็นวาเมทริกซ B คูณกับ
โดยบทนิยามเมทริกซผกผัน จะไดวา AB = BA = I3 เมทริกซ A แลวได I3 และเมทริกซ A คูณ
-2 2 3 -4 -5 3 กับเมทริกซ B แลวได I3)
AB = 1 -1 0 13 -4 -8 3
0 1 4 1 2 0 เขาใจ (Understanding)
-2 2 3 -4 -5 3
= 1 1 -1 0 -4 -8 3 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
3 0 1 4 1 2 0 หนา 160 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
8 - 8 + 3 10 - 16 + 6 -6 + 6 + 0 คําตอบ “ลองทําดู”
= 1 -4 + 4 + 0 -5 + 8 + 0 3-3+0
3
0 -4+4 0- 8 +8 0+3+0
3 0 0
= 1 0 3 0
3 0 0 3
1 0 0
= 0 1 0
0 0 1
-4 -5 3 -2 2 3
BA = 1 -4 -8 3 1 -1 0
3 1 2 0 0 1 4
-4 -5 3 -2 2 3
= 13 -4 -8 3 1 -1 0
1 2 0 0 1 4
8 -5+0 -8 + 5 + 3 -12 + 0 + 12
= 13 8 - 8 + 0 -8 + 8 + 3 -12 + 0 + 12
-2 + 2 + 0 2 -2+0 3+0+ 0
เมทริกซ 159
T167
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เมทริกซไมมสี มบัติ 3 0 0
สลับที่การคูณ จึงทําใหเมทริกซบางเมทริกซ = 13 0 3 0
0 0 3
ไมมีเมทริกซผกผัน
1 0 0
2. ครูอธิบายขั้นตอนการหาเมทริกซผกผันตาม = 0 1 0
ขัน้ ตอน ในหนังสือเรียน หนา 160 บนกระดาน 0 0 1
อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนเขาใจรวมกัน ดังนั้น B เปนเมทริกซผกผันของ A
3. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา ถา A = [a] และ
a 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน และ ลองทําดู
A-1 = 1 [ a] -3 3 4 1 7 4
กําหนด A = 1 -1 0 และ B = 14 1 3 4
เมทริกซผกผันของ 1 × 1 เมทริกซ จะมีสมาชิก 0 1 -1 1 3 0
เปนสวนกลับของเมทริกซนั้น ที่ไมเทากับ 0 ใหแสดงวา B เปนเมทริกซผกผันของ A
4. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน
หนา 161-162 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข อง เนือ่ งจาก เมทริกซไมมสี มบัตสิ ลับทีข่ องการคูณ จึงทําใหเมทริกซบางเมทริกซไมมเี มทริกซผกผัน
ตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถาม ดังนั้น การหาเมทริกซผกผันจึงมีความยุงยากและมีวิธีหาไดหลายวิธี ดังตอไปนี้
คําถามนักเรียน ดังนี้ พิจารณาการหา A-1 เมื่อกําหนด A = [a] และ a 0
• จากการศึกษาเนื้อหาในหนังสือเรียน ให A-1 = [x]
หนา 161-162 นักเรียนไดขอสรุปอะไร จะได AA-1 = A-1A = I1
(แนวตอบ ถา A = [ ca db ] และ ad - bc 0 ดังนั้น [a][x] = [1] และ [x][a] = [1]
[ax] = [1]
แลว A มีเมทริกซผกผัน และ จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ จะไดวา
A-1 = ad 1- bc [ d-c -b
a ]) x = 1a
นําไปตรวจสอบผลคูณ จะพบวา
AA-1 = A-1A = I1
จึงไดขอสรุปวา ถา A = [a] และ a 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน
และ A-1 = [ 1a ]
160
T168
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
เมทริกซ 161
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
((3) × d) - ((4) × b) ; (adx2 + bdx4) - (bcx2 + bdx4) = 0 - b
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง adx2 - bcx2 = -b
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหทาํ กิจกรรม (ad - bc)x2 = -b
ดังนี้ x2 = ad -b- bc
• ใหนักเรียนทํา “Thinking Time”
((4) × a) - ((3) × c) ; (acx2 + adx4) - (acx2 + bcx4) = a - 0
ในหนังสือเรียน หนา 162
adx4 - bcx4 = a
• ให นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ ม ทํ า ความเข า ใจ (ad - bc)x4 = a
รวมกัน จากนั้นครูสุมนักเรียนแตละกลุม x4 = ad a- bc
ออกมาเฉลยคําตอบ และใหนกั เรียนทุกกลุม
d -b
รวมกันอภิปรายแสดงความเห็น -1
จะไดวา A = -c ad - bc ad - bc 1 d -b
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะที่ 2.3 a = ad - bc -c a
ad - bc ad - bc
ในหนังสือเรียน หนา 163
นําไปตรวจสอบผลคูณ จะพบวา
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.3 ในแบบฝกหัด
AA-1 = A-1A = I2
เปนการบาน
จึงไดขอสรุปวา ถา A = a b และ ad - cd 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน
c d
และ A-1 = ad 1- bc d -b
-c a
Thinking Time
กําหนด A = 1 2 , B = 0 -2 , C = -1 -5 และ D = 2 3
3 4 5 -7 -3 2 4 -6
-1 -1 -1 -1
ใหหา A , B , C และ D
162
= - 12 [-3
4 -2
1]
1 2 5
= - 17 [ 3 -1 ]
-2 1
= 3 -1 - 2 - 17 5
2 2 = 17 3 1
- 17 17
B-1 = 0(-7) -1(-2)(5) [ -7 2
-5 0 ]
D-1 = 2(-6) 1- 3(4) [ -6 -3
-4 2 ]
1 [ -7 2 ]
= 10 -5 0 1 [ -6 -3 ]
= - 24 -4 2
7 1
- 10
= 1 5 1 1
-2 0 = 41 51
6 - 12
T170
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
แบบฝึกทักษะ 2.3
• จะแสดงไดอยางไรวา A มีเมทริกซผกผัน
ระดับพื้นฐาน (แนวตอบ AA-1 = A-1A = In)
1. ใหตรวจสอบวา เมทริกซในแตละขอตอไปนี้มีเมทริกซผกผันหรือไม ถามีใหหา • วิธีการหาเมทริกซผกผัน 2 × 2 มิติ
เมทริกซผกผัน หาไดอยางไร
(แนวตอบ ถา A = [ ca db ] และ
1) A = 5 3 2) B = 3 0
4 2 1 3 ad - bc 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน
3) C = 4 -1 4) D = -3 -4 และ A-1 = ad 1- bc [ d-c -b
a ])
5 -2 6 8
5) E = 0 5 6) F = 2 4
1 4 1 2 ขัน้ ประเมิน
2. กําหนด A = 2 5 และ B = 3 1 ใหหา 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.3
1 3 0 2 2. ครูตรวจ Exercise 2.3
-1 -1 3) (A-1)-1 4) (B-1)-1
1) A 2) B 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
5) A-1B-1 6) B-1A-1 7) (AB)-1 8) (BA)-1 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
1 1 0 1 -1 1 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3. กําหนด A = 0 1 1 และ B = 12 1 1 -1 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
1 0 1 -1 1 1 มุงมั่นในการทํางาน
ใหแสดงวา B เปนเมทริกซผกผันของ A
Ô´
ระดับกลาง
á¹Ðá¹Ç¤
4. กําหนด A และ B เปน 2 × 2 เมทริกซ โดยมี ¡íÒ˹´ A ໚¹ n × n
àÁ·ÃÔ ¡« ¨Ð䴌NjÒ
- 26 15 (A-1)-1 = A
(AB)-1 = 48 28 และ B = 0 4 ใหหา A
2 3
8 -8
5. กําหนด A-1 + B-1 = 1 -1 และ 2B-1 - A-1 = 2 4 ใหหา A และ B
3 2 0 4
เมทริกซ 163
det(C) = 15 - (-5) = 20
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
เมทริกซ C มีเมทริกซผกผัน)
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T171
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ตัวอย่างที่ 20
กําหนด A = 4 -3 ใหหา
0 5
1) ไมเนอรของสมาชิกทุกตัวของ A
2) M22(A) + M21(A) - M12(A)
3) M21(A) - M11(A) + M22(A)
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายบทนิยามของดีเทอรมิแนนตที่มีมิติ
2) M22(A) + M21(A) - M12(A) = 4 + (-3) - 0 = 1
1 × 1 และบทนิยามของไมเนอร ในหนังสือเรียน
3) M21(A) - M11(A) + M22(A) = -3 - 5 + 4 = -4
หนา 164
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 20 ในหนังสือ-
ลองทําดู เรียน หนา 164 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
กําหนด A = -0.5 4 ใหหา • M11(A) คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่ได
17 6 จากการตัดแถวใด หลักใด และมีคาเทาใด
1) ไมเนอรของสมาชิกทุกตัวของ A (แนวตอบ ไดจากการตัดแถวที่ 1 หลักที่ 1
2) M12(A) - M22(A) - M11(A) และ M11(A) = 5)
3) M11(A) + M21(A) + M22(A) • M22(A) คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่ได
จากบทนิยามไมเนอร จะเห็นวา การหาไมเนอรของสมาชิกของ n × n เมทริกซ เมือ่ n ≥ 2 จากการตัดแถวใด หลักใด และมีคาเทาใด
จะตองมีการหาดีเทอรมแิ นนตของเมทริกซดว ย ซึง่ ในตอนนีน้ กั เรียนไดรเู พียงการหาดีเทอรมแิ นนต (แนวตอบ ไดจากการตัดแถวที่ 2 หลักที่ 2
ของ 1 × 1 เมทริกซ นักเรียนจึงสามารถหาไมเนอรของสมาชิก 2 × 2 เมทริกซไดเทานั้น และ M22(A) = 4)
ซึ่งการหาไมเนอรของสมาชิก n × n เมทริกซ เมื่อ n > 2 จะตองมีการกําหนดทฤษฎีบทและ ใชทฤษฎี หลักการ
บทนิยามเพื่อใชหาดีเทอรมิแนนต ซึ่งนักเรียนจะไดเรียนในลําดับถัดไป
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2) ตัวประกอบรวมเกีย่ ว (Cofactor) หนา 165 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
บทนิยาม กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2 ตัวประกอบรวมเกี่ยวของ aij คือ ผลคูณของ (-1)i + j กับ Mij(A)
n×n
เขียนแทนตัวประกอบรวมเกี่ยวของ aij ดวย Cij(A)
กําหนด A = 5 6 ใหหาตัวประกอบรวมเกี่ยวของสมาชิกทุกตัวของ A
7 8
วิธีทํา จาก A = 5 6 จะไดวา C11(A) = (-1)1+1 M11(A) = M11(A) = 8
7 8
C12(A) = (-1)1+2 M12(A) = -M12(A) = -7
C21(A) = (-1)2+1 M21(A) = -M21(A) = -6
C22(A) = (-1)2+2 M22(A) = M22(A) = 5
เมทริกซ 165
กิจกรรม สรางเสริม
ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวใหสงตัวแทน
ออกมาจับสลากโจทยเมทริกซเพื่อนําไปหาตัวประกอบรวมเกี่ยว
ของเมทริกซนั้นๆ เมื่อทําเสร็จแลวครูสุมตัวแทนกลุมออกมา
นําเสนอ พรอมอธิบายวิธีการทําอยางละเอียด โดยครูและเพื่อน
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน
T173
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายบทนิยามของตัวประกอบรวมเกี่ยว ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 165 ใหนักเรียนฟง แลว 1
รวมกันสรุปวา ถา A = [aij]n × n เมื่อ n ≥ 2 กําหนด A = 4 -0.5 ใหหาตัวประกอบรวมเกี่ยวของสมาชิกทุกตัวของ A
แลว Cij(A) = (-1)i + j Mij(A) 1 4
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน
หนา 165 จากนัน้ ครูถามคําถาม ดังนี้ บทนิยาม กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2 ดีเทอรมิแนนตของ A คือ
n×n
• C12(A) หาไดอยางไร และมีคาเทาใด ai1Ci1(A) + ai2Ci2(A) + ai3Ci3(A) + … + ainCin(A) เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n }
a1jC1j(A) + a2jC2j(A) + a3jC3j(A) + … + anjCnj(A) เมื่อ j∊{ 1, 2, 3, ..., n }
(แนวตอบ หาไดจาก (-1)1 + 2 M12(A) และ เขียนดีเทอรมิแนนตของ A ดวย det(A) หรือ
C12(A) = -7) a11 a12 ... a1n
• C21(A) หาไดอยางไร และมีคาเทาใด a21 a22 ... a2n
(แนวตอบ หาไดจาก (-1)2 + 1 M21(A) และ ⋮ ⋮ ⋮
C21(A) = -6) an1 an2 ... ann
ใชทฤษฎี หลักการ
จากบทนิยาม การหาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 โดยหาผลลัพธ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ของ ai1Ci1(A) + ai2Ci2(A) + ai3Ci3(A) + … + ainCin(A) เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n } จะเรียกวา
หนา 166 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย การหาดีเทอรมิแนนตโดยกระจายตามแถวที่ i และการหาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ
คําตอบ “ลองทําดู” เมื่ อ n ≥ 2 โดยหาผลลั พ ธ ข อง a 1j C 1j (A) + a 2j C 2j (A) + a 3j C 3j (A) + … + a nj C nj (A)
เมื่อ j∊{ 1, 2, 3, ..., n } เรียกวา การหาดีเทอรมิแนนตโดยกระจายตามหลักที่ j
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
จากบทนิยาม กําหนด A = aij 2×2 จะได det(A) ดังนี้
1. ครูอธิบายบทนิยามการหาดีเทอรมิแนนตของ
(1) กระจายตามแถวที่ i
n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 ในหนังสือเรียน
กรณี i = 1 จะไดวา
หนา 166 ใหนักเรียนฟงบนกระดานอยาง
ละเอียด det(A) = aa11 aa12
21 22
= a11C11(A) + a12C12(A)
= a11(-1)1+1M11(A) + a12(-1)1+2M12(A)
= a11a22 - a12a21
= a11a22 - a21a12
166
T174
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมใน
กรณี i = 2 จะไดวา
หนังสือเรียน หนา 166-167 จากนั้นครูถาม
det(A) = aa11 aa12 คําถามนักเรียน ดังนี้
21 22
= a21C21(A) + a22C22(A) • การหาดีเทอรมิแนนตของ 2 × 2 เมทริกซ
= a21(-1)2+1M21(A) + a22(-1)2+2M22(A) โดยกระจายตามแถวที่ i เมื่อ i = {1, 2} หรือ
= -a21a12 + a22a11 กระจายตามหลักที่ j เมื่อ j = {1, 2} จะได
= a11a22 - a21a12 คาคงตัวเทากัน คือเทาใด
(แนวตอบ a11 a22 - a21 a22)
(2) กระจายตามหลักที่ j
กรณี j = 1 จะไดวา
det(A) = aa11 aa12
21 22
= a11C11(A) + a21C21(A)
= a11(-1)1+1M11(A) + a21(-1)2+1M21(A)
= a11a22 - a21a12
= a11a22 - a21a12
กรณี j = 2 จะไดวา
det(A) = aa11 aa12
21 22
= a12C12(A) + a22C22(A)
= a12(-1)1+2M12(A) + a22(-1)2+2M22(A)
= -a12a21 + a22a11
= a11a22 - a21a12
จะเห็ น ว า การหาดี เ ทอร มิ แ นนต ข อง 2 × 2 เมทริ ก ซ โ ดยกระจายตามแถวที่ i
เมื่อ i = { 1, 2 } หรือกระจายตามหลักที่ j เมื่อ j = { 1, 2 } จะไดคาคงตัวเทากัน คือ
a11a22 - a21a12
เมทริกซ 167
= 110 - 30
= 80
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.) T175
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 22 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 22
หนา 168 จากนัน้ ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงอีกครัง้
เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น กําหนด A = -1 -5 , B = 3 -2 และ C = -8 4 ใหหา
4 10 1 -1 -4 2
1) det(A) 2) det(B) 3) det(C)
ใช้ทฤษฎี หลักการ
วิธีทํา 1) เนื่องจาก A เปน 2 × 2 เมทริกซ จะไดวา
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
det(A) = a11a22 - a21a12
หนา 168 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง
= (-1)(10) - (4)(-5)
สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครู
= -10 + 20
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
= 10
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 2) เนื่องจาก B เปน 2 × 2 เมทริกซ จะไดวา
det(B) = b11b22 - b21b12
1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
= (3)(-1) - (1)(-2)
หนา 168 วา ถา A = [aij]n × n เมื่อ n ≥ 2 แลว
= -3 + 2
det(A) อาจเปนจํานวนลบ ศูนย หรือจํานวน
= -1
บวก
3) เนื่องจาก C เปน 2 × 2 เมทริกซ จะไดวา
det(C) = c11c22 - c21c12
= (-8)(2) - (-4)(4)
= -16 + 16
= 0
ลองทําดู
กําหนด A = 3 2 , B = 7 9 และ C = -2 1 ใหหา
-3 0 6 1 6 -3
1) det(A) 2) det(B) 3) det(C)
คณิตน่ารู้
ถา A = aij เมื่อ n ≥ 2 แลว det(A) อาจเปนจํานวนลบ หรือศูนย หรือจํานวนบวก
2×2
168
จะไดวา 2B = 2 [ -7 3 -14 6
7 5 ] = [ 14 10 ]
และ det(2B) = (-14)(10) - (14)(6)
= -140 - 84 = -224
นั่นคือ det(5A) - det(2B) = -700 - 224 = -924
T176 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 23
ตัวอย่างที่ 23
ในหนังสือเรียน หนา 169 จากนั้นครูอธิบาย
กําหนด A = 1 2 และ B = -2 1 ใหแสดงวา det(AB) = det(A) • det(B) ใหนักเรียนฟงอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียนเขาใจ
0 -1 1 0
มากยิ่งขึ้น
วิธีทํา จาก A = 1 2 และ B = -2 1 3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษากรอบ “คณิตนารู”
0 -1 1 0
ในหนังสือเรียน หนา 169 แลวแลกเปลี่ยน
จะได det(A) = (-1) - 0 = -1
det(B) = 0 - 1 = -1 ความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปน
ดังนั้น det(A) • det(B) = (-1)(-1) = 1 ทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
อภิปรายจนไดขอสรุปวา นักเรียนสามารถหา
และจาก AB = 1 2 -2 1 = (-2) +2 1+0 0 1
0 + (-1) 0 + 0 = -1 0 คาดีเทอรมิแนนตไดโดยการหาผลคูณในแนว
0 -1 1 0
จะได det(AB) = 0 - (-1) = 1 ทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง ลบกับผลคูณ
นั่นคือ det(AB) = det(A) • det(B) ในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
ใชทฤษฎี หลักการ
ลองทําดู ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
1 หนา 169 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนด A = 2 5 และ B = -2 4 ใหแสดงวา det(AB) = det(A) • det(B) คําตอบ “ลองทําดู”
1 -4 -8 -5
คณิตน่ารู้
กําหนด A = a b
c d
det(A) = ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง - ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไป
ขวาบน
ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึน้ ไปขวาบน
a b
c d
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
จะไดวา ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง เทากับ ad
ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน เทากับ cb
ดังนั้น det(A) = ad - cb
เมทริกซ 169
T177
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายทฤษฎีบท 1 ในหนังสือเรียน หนา 170
จากตัวอยางที่ 23 การหาดีเทอรมิแนนตของเมทริกซเปนไปตามทฤษฎีบทตอไปนี้
ใหนักเรียนฟง แลวรวมกันสรุปวา
det(AB) = det(A)det(B) ทฤษฎีบท 1 กําหนด A และ B เปน n n เมทริกซ จะไดวา
×
170
T178
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายขั้นตอนการหาดีเทอรมิแนนตของ
ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
3 × 3 เมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 170-171
a11 a12 a13 a11 a12 อีกครัง้ เพือ่ เนนยํา้ ใหนกั เรียนเขาใจมากยิง่ ขึน้
a21 a22 a23 a21 a22
a31 a32 a33 a31 a32
a11a22a33 a12a23a31 a13a21a32
ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
a31a22a13 a32a23a11 a33a21a12
a11 a12 a13 a11 a12
a21 a22 a23 a21 a22
a31 a32 a33 a31 a32
a11a22a33 a12a23a31 a13a21a32
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
จากซายลางขึ้นไปขวาบน
a31a22a13 + a32a23a11 + a33a21a12
a11 a12 a13 a11 a12
a21 a22 a23 a21 a22
A = a31 a32 a33 a31 a32
a11a22a33 + a12a23a31 + a13a21a32
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
จากซายบนลงมาขวาลาง
เมทริกซ 171
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 24 ใน
ตัวอย่างที่ 24
หนังสือเรียน หนา 172 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1 2 3
กับคูของตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่ กําหนด A = 4 0 2 ใหหา det(A)
เขาใจรวมกัน แลวถามคําถาม ดังนี้ 5 -1 1
• ดีเทอรมแิ นนตของ A สามารถหาไดอยางไร
(แนวตอบ หาได 2 วิธี ไดแก ใชบทนิยาม หรือ
วิธีทํา การหา det(A) ทําได 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 หา det(A) โดยใชบทนิยาม
การนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอ
จากบทนิยามหา det(A) โดยกระจายตามแถวที่ 1 จะไดวา
จากหลักที่ 3 ของ A จากนั้นนําผลบวกของ
det(A) = a11C11(A) + a12C12(A) + a13C13(A)
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
= (1)(-1)1+1M11(A) + (2)(-1)1+2M12(A) + (3)(-1)1+3M13(A)
ลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจาก
ซายลางขึ้นไปขวาบน) = -10 21 - 2 54 12 + 3 45 -10
= (0 - (-2)) - 2(4 - 10) + 3(-4 - 0)
ใชทฤษฎี หลักการ = 2 + 12 - 12
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 2
หนา 172 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีที่ 2 หา det(A) โดยการนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอจากหลักที่ 3
ของ A จากนั้นนําผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
คําตอบ “ลองทําดู”
ลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
0 -2 8
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 1 2 3 1 2
1. ครูกลาววา นักคณิตศาสตรไดแบงประเภทของ 4 0 2 4 0
5 -1 1 5 -1
เมทริกซจัตุรัส โดยใชดีเทอรมิแนนต จากนั้น 0 20 -12
ครูอธิบายบทนิยามใหนักเรียนฟง ดังนี้ det(A) = (0 + 20 - 12) - (0 - 2 + 8) = 8 - 6 = 2
กําหนด A เปน n × n เมทริกซ ลองทําดู
• A เปนเมทริกซเอกฐาน (Singular Matrix) 0 -5 0
เมื่อ det(A) = 0 กําหนด A = -7 11 1 ใหหา det(A)
• A เปนเมทริกซไมเอกฐาน (Non-Singular 2 1 9
Matrix) เมื่อ det(A) 0 นักคณิตศาสตรไดแบงประเภทของเมทริกซจัตุรัส โดยใชดีเทอรมิแนนตตามบทนิยามตอไปนี้
บทนิยาม กําหนด A เปน n × n เมทริกซ
A เปนเมทริกซเอกฐาน (Singular Matrix) เมื่อ det(A) = 0
A เปนเมทริกซไมเอกฐาน (Non-Singular Matrix) เมื่อ det(A) 0
172
T180
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 25
ตัวอย่างที่ 25
ในหนังสือเรียน หนา 173 จากนั้นครูอธิบาย
1 1 2 1 1 2 -3 1 2
กําหนด A = 1 1 -1 , B = 2 2 -2 และ C = -3 1 -1 ใหหา ตัวอยางที่ 25 ใหนักเรียนฟงอีกครั้ง เพื่อให
1 2 1 1 2 1 -3 2 1 นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
t
1) det(A) และ det(A ) 2) det(B) และ det(C) 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จากตัวอยางที่ 25
ขอ 1) จะเห็นวา det(A) = det(At) และ
1 1 2 ขอ 2) จะเห็นวา det(B) = 2det(A) และ
วิธีทํา 1) จาก A = 1 1 -1
1 2 1 det(C) = -det(A)
1 1 1
จะได At = 1 1 2 ใช้ทฤษฎี หลักการ
2 -1 1
1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น det(A) = (1 - 1 + 4) - (2 - 2 + 1) = 3 หนา 173 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
det(At) = (1 + 4 - 1) - (2 - 2 + 1) = 3
คําตอบ “ลองทําดู”
2) จากโจทย จะได det(B) = (2 - 2 + 8) - (4 - 4 + 2) = 6 2. ครูใหนกั เรียนทําใบงานที่ 2.2 เรือ่ ง ดีเทอรมแิ นนต
det(C) = (-3 + 3 - 12) - (-6 + 6 - 3) = -9 3 × 3 เปนการบาน
ลองทําดู
2 4 -3 2 4 -3 2 -12 -3
กําหนด A = 1 4 5 , B = 1 4 5 และ C = 1 -12 5
10 2 1 30 6 3 10 -6 1
ใหหา
1) det(A) และ det(At) 2) det(B) และ det(C)
เมทริกซ 173
T181
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 26 ใน
ตัวอย่างที่ 26
หนังสือเรียน หนา 174 2 1 0 -1 1 0 2 0 1
2. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา จากตัวอยางที่ 26 จะเห็น กําหนด A = -1 1 0 B = 2 1 0 และ C = -1 0 1
วา เมทริกซ B เกิดจากการสลับแถวที่ 1 กับ 2 0 2 -1 0 2 -1 0 -1 2
ของเมทริกซ A และเมทริกซ C เกิดจากการสลับ ใหหา det(A), det(B) และ det(C)
หลักที่ 2 กับ 3 ของเมทริกซ A ดีเทอรมแิ นนต
วิธีทํา det(A) = (-2 + 0 + 0) - (0 + 0 + 1) = -3
ของเมทริกซ B และดีเทอรมแิ นนตของเมทริกซ
det(B) = (1 + 0 + 0) - (0 + 0 - 2) = 3
C ทีไ่ ดเทากับจํานวนตรงขามของดีเทอรมแิ นนต
det(C) = (0 + 0 + 1) - (0 - 2 + 0) = 3
ของเมทริกซ A
174
T182
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
สมบัติ สมบัติของดีเทอรมิแนนต
กําหนด A = aij n n และ B = bij n n เมื่อ n ≥ 2 จะไดวา
× ×
เมทริกซ 175
T183
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนนําสมบัติของดีเทอรมิแนนตมา
จากสมบัติของดีเทอรมิแนนตที่กลาวมา นักเรียนสามารถนํามาใชในการหาดีเทอรมิแนนต
ศึกษาตัวอยางที่ 28 ในหนังสือเรียน หนา 176 ของเมทริกซได ดังตัวอยางตอไปนี้
3. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอแนวคิ ด และ
ตัวอย่างที่ 28
คําตอบที่ไดจากตัวอยางที่ 28 ในหนังสือเรียน
หนา 176 โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน กําหนด A = aij 3×3, B = bij 3×3, det(A) = 2 และ det(B) = -4 ใหหา
ตรวจสอบความถูกตอง 1) det(At) 2) det(AB)
4. ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ในหนังสือเรียน 3) det(2AB) 4) det(A2B-1)
หนา 176 ใหนักเรียนฟง เพื่อทําความเขาใจ วิธีทํา 1) จากสมบัติขอ 4 จะไดวา
รวมกัน det(At) = det(A) = 2
2) จากทฤษฎีบท 1 จะไดวา
ใช้ทฤษฎี หลักการ
det(AB) = det(A) • det(B)
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = (2)(-4)
หนา 176 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง = -8
สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้น 3) จากสมบัติขอ 6 และทฤษฎีบท 1 จะไดวา
ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” det(2AB) = det(2A) • det(B)
= 23det(A) • det(B)
= (8)(2)(-4)
Ô´
= -64 á¹Ðá¹Ç¤
4) จากทฤษฎีบท 1 จะไดวา ¡íÒ˹´ A = [aij]n × n
det(A2B-1) = det(AAB-1) àÁ×èÍ n -> 2 ¨Ð䴌NjÒ
1
= det(A) • det(A) det(B) det(A-1) = 1
det(A)
= (2)(2)(-41 ) àÁ×èÍ det(A) =/ 0
= -1
ลองทําดู
กําหนด A = aij , B = bij , det(A) = 15 และ det(B) = -3 ใหหา
3×3 3×3
1) det((BA)t) 2) det(2A-1)
-1
3) det(5B A) 4) det(BtA2)
176
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด A = [aij]3 3, B = [bij]3 3, C = [cij]3 3, det(A) = 5, det(B) = -2 และ det(C) = 8 ใหหา
× × ×
1) det(ABt) 2) 2det(B3C-1) 3) 1
det(A-1BC2)
(เฉลยคําตอบ
1) det(ABt) = det(A) • det(Bt) 3) 1 = 1
det(A-1BC 2) det(A-1BC C)
= det(A) • det(B)
= 1
= (5)(-2) det(A-1) • det(B) • det(C) • det(C)
= -10 1
3 = 1
2) 2det(B C ) = 2det(BBBC-1)
-1
det(A) • det(B) • det(C) • det(C)
= 2 • det(B) • det(B) • det(B) • det(C-1)
1 = det(A)
= 2 • det(B) • det(B) • det(B) • det(C) det(B) • det(C) • det(C)
= 2(-2)(-2)(-2)( 18 ) 5
= (-2)(8)(8)
= -2
5 )
= - 128
T184
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาแนวขอสอบ PAT 1
แนวข้อสอบ PAT 1 ในหนังสือเรียน หนา 177
xx x x x y z 2. ครู อ ธิ บ ายบทนิ ย ามของเมทริ ก ซ ผู ก พั น ให
กําหนด A = y y y y และ B = x y z นักเรียนฟง พรอมกับสรุปใหนักเรียนฟง แลว
zz z z 1 1 1
ใหนกั เรียนแตละคูแ ลกเปลีย่ นความรูก บั คูข อง
เมื่อ x, y และ z เปนจํานวนจริงบวกที่แตกตางกัน คาของ det(B) ตรงกับขอใดตอไปนี้ ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน
1. xyz(det(A)) 2. - xyz(det(A)) 3. xyz(det(A)) จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมาอธิบายวิธคี ดิ หนา
2 2 2
4. -xyz(det(A)) 5. x y z (det(A)) ชั้นเรียนวา เมทริกซผูกพันของ A คือ เมทริกซ
แนวคิด [Cij(A)]t เขียนแทนเมทริกซผูกพันของ A ดวย
จากโจทย จะไดวา adj(A)
det(B) = det(Bt) 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จากบทนิยามนี้ นักเรียน
x x 1 จะเห็นวา เมทริกซผูกพันเปนเมทริกซสลับ-
=y y 1 เปลี่ยนของเมทริกซตัวประกอบรวมเกี่ยวของ
z z 1
x x x x คูณสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 1 ดวย x เมทริกซนั้น
= ( x • y • z) y y y y คูณสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 2 ดวย y
z z z z คูณสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 3 ดวย z
= xyz(det(A))
จากบทนิยามนักเรียนจะเห็นวา เมทริกซผูกพันเปนเมทริกซสลับเปลี่ยนของเมทริกซ
ตัวประกอบรวมเกี่ยวของ A
เมทริกซ 177
T185
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 29 ใน
ตัวอย่างที่ 29
หนังสือเรียน หนา 178-179 แลวแลกเปลี่ยน 0 -1 2
ความรูซึ่งกันและกัน สนทนา ซักถาม จนเปน กําหนด A = 3 2 1 ใหหา det(A), adj(A), Aadj(A) และ adj(A)A
ที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ 2 0 -1
• นักเรียนจะหาเมทริกซผูกพันไดอยางไร 0 -1 2
(แนวตอบ หาไดโดยการนําเมทริกซตัว- วิธีทํา จาก A = 3 2 1
ประกอบรวมเกี่ยวมาสลับเปลี่ยน) 2 0 -1
จะได det(A) = (0 - 2 - 0) - (8 + 0 + 3)
= -13
หา Cij(A) เมื่อ i = 1, 2, 3 และ j = 1, 2, 3
จาก adj(A) = [Cij(A)]t
C11(A) C12(A) C13(A) t
จะได adj(A) = C21(A) C22(A) C23(A)
C31(A) C32(A) C33(A)
t
M11(A) -M12(A) M13(A)
= -M21(A) M22(A) -M23(A)
M31(A) -M32(A) M33(A)
เนื่องจาก M11(A) = 2 1 = -2, M12(A) = 3 1 = -5,
0 -1 2 -1
M13(A) = 3 2 = -4, M21(A) = -1 2 = 1,
2 0 0 -1
M22(A) = 0 2 = -4, M23(A) = 0 -1 = 2,
2 -1 2 0
M31(A) = -1 2 = -5, M32(A) = 0 2 = -6
2 1 3 1
และ M33(A) = 0 -1 =3
3 2
-2 5 -4 t -2 -1 -5
จะไดวา adj(A) = -1 -4 -2 = 5 -4 6
-5 6 3 -4 -2 3
178
ขอสอบเนน การคิด
3 -1 9
กําหนด A = -3 2 7 ใหหา det(A) และ adj(A)
4 1 6
3 -1 9
(เฉลยคําตอบ จาก A = -3 2 7 เนื่องจาก M11(A) = ∣ 21 7
6∣ = 5 M23(A) = ∣ 34 -1 = 7
1∣
4 1 6 7 9
จะได det(A) = (36 - 28 - 27) - (72 + 21 + 18) M12(A) = ∣ -3
4 6 ∣ = -46 M31(A) = ∣ -1
2 7 ∣ = -25
= -19 - 111 -3 2 = -11 3
M32(A) = ∣ -3 9 = 48
M13(A) = ∣ 4 1∣ 7∣
= -130 9 3 -1 = 3
M21(A) = ∣ -1
1 6 ∣ = -15 และ M33(A) = ∣ -3 2∣
หา Cij(A) เมื่อ i = 1, 2, 3 และ j = 1, 2, 3
t
จาก adj(A) = [Cij(A)] จะได M22(A) = ∣ 34 9 = -18
6∣
C11(A) C12(A) C13(A) t 5 46 -11 t 5 15 -25
adj(A) = 21 C (A) C 22(A) C 23(A) จะได ว า
adj(A) = 15 -18 -7 = 46 -18 -48 )
C31(A) C32(A) C33(A) -25 -48 3 -11 -7 3
M11(A) -M12(A) M13(A) t
= 21(A) M22(A) -M23(A)
-M
T186 M31(A) -M32(A) M33(A)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
0 -1 2 -2 -1 -5 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จากตัวอยางที่ 29 ใน
Aadj(A) = 3 2 1 5 -4 6
2 0 -1 -4 -2 3 หนังสือเรียน หนา 179 จะเห็นวา
-13 0 0 Aadj(A) = adj(A)A = I3det(A)
= 0 -13 0 ซึ่งเปนไปตามทฤษฎีบท 2
0 0 -13
1 0 0 ใช้ทฤษฎี หลักการ
= (-13) 0 1 0
0 0 1 ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= det(A) • I3 หนา 179 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
= I3det(A) “ลองทําดู”
-2 -1 -5 0 -1 2
adj(A)A = 5 -4 6 3 2 1
-4 -2 3 2 0 -1
-13 0 0
= 0 -13 0
0 0 -13
1 0 0
= (-13) 0 1 0
0 0 1
= det(A) • I3
= I3det(A)
ลองทําดู
1 -4 3
กําหนด A = 0 2 5 ใหหา det(A), adj(A), Aadj(A) และ adj(A)A
3 1 -2
เมทริกซ 179
T187
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายทฤษฎีบท 2 และ 3 ใหนักเรียนฟง
2) การหาเมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมือ่ n ≥ 2 โดยใชเมทริกซผกู พัน
พรอมกับใหนักเรียนซักถามหากมีขอสงสัย
จากทฤษฎีบททั้งสองนี้ ทฤษฎีบท 3 กําหนด A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 จะไดวา
180
ขอสอบเนน การคิด
1 3 0
กําหนด At = 1 -1 -2 ใหหา A-1 (ถามี)
2 0 -2
1 1 2 t
(เฉลยคําตอบ จากโจทย จะได A = 3 -1 0 2 6 -6
1 -2
0 -2 -2 = (-4) -2 2
และ det(A) = (2 + 0 - 12) - (0 + 0 - 6) = -4 2 6 -4
t
โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา A มีเมทริกซผกผัน ดังนั้น 1 62 -2
= (-4)
2
-2 6
1 adj(A)
A-1 = det(A) -6 2 -4
C11(A) C12(A) C13(A) t - 12 12 - 12
1
= (-4) C21(A) C22(A) C23(A) = - 32 12 - 32 )
C (A) C (A) C (A)
31 32 33 3 -1 1
t 2 2
0 -∣ 30 0 3 -1
∣ -1
-2 -2 ∣ -2 ∣ ∣ 0 -2 ∣
1 2
1 -∣ -2
= (-4) -2 ∣ ∣ 10 2 1 1
-2 ∣ -∣ 0 -2 ∣
1 2 -∣ 13 2 1 1
T188 ∣ -1 0∣ 0 ∣ ∣ 3 -1 ∣
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
20 -45 6 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
167 167 167 นักเรียน ดังนี้
= 9 - 62 - 14
167 167 167 • ดีเทอรมิแนนตสามารถหาไดอยางไร
10 61 3
167 167 167 (แนวตอบ หาได 2 วิธี ไดแก ใชบทนิยาม หรือ
การนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอ
จากหลักที่ 3 ของ A จากนั้นนําผลบวกของ
ลองทําดู
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวา
1 -1 3
กําหนด A = 2 4 0 ใหหา A-1 (ถามี) ลางลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
3 1 1 จากซายลางขึ้นไปขวาบน)
• การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดยใชวิธีการ
แบบฝึกทักษะ 2.4 คูณทแยงมีกี่ขั้นตอน อะไรบาง
(แนวตอบ การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดย
ระดับพื้นฐาน ใชวิธีการคูณทแยงมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ใหหาดีเทอรมิแนนตของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้ ขั้นที่ 1 นําหลักที่ 1 และหลักที่ 2 ของ A มา
เขียนตอจากหลักที่ 3 ของ A
1) 3 2 2) 1 5
5 1 0 -2 ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบน
3) -1 -1 4) 2 3 ลงมาขวาลาง
3 4 1 -1 ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง
1 -3 0
5) 4 -2 6) 3 5 2 ขึ้นไปขวาบน
6 -1 2 1 1 ขั้นที่ 4 นําผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
1 4 0 2 1 5 จากซายบนลงมาขวาลาง ลบดวย
7) 3 1 1 8) 0 -1 1 ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
0 2 1 1 -2 2 จากซายลางขึ้นไปขวาบน จะได
2. ใหตรวจสอบวา เมทริกซ ในขอใดเปนเมทริกซ ไมเอกฐาน และหาเมทริกซผกผัน ผลลัพธเปน det(A))
1) 3 -4 2) -5 3
1 2 4 -9
1 -1 1 0 3 2
3) 0 1 2 4) -1 1 0
5 3 0 2 4 -2
เมทริกซ 181
T189
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• เมทริกซผูกพันจะสามารถหาไดอยางไร
(แนวตอบ หาไดจากเมทริกซสลับเปลี่ยนของ 3. กําหนด A = aij 3×3 และ B = bij 3×3 ซึ่ง det(A) = 5 และ det(B) = -2
เมทริกซตัวประกอบรวมเกี่ยว) ใหหาดีเทอรมิแนนตในแตละขอตอไปนี้โดยใชสมบัติของดีเทอรมิแนนต
1) det(At) 2) det(Bt) 3) det(A-1) 4) det(AB)
ฝกปฏิบตั ิ 5) det(2A) 6) det(2B) 2
7) det((B ) )t 8) det((A2)t)
ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.4 ใน
หนังสือเรียน หนา 181-182 ระดับกลาง
4. ใหหาคาของ x จากดีเทอรมิแนนตในแตละขอตอไปนี้
ขัน้ ประเมิน x - 3 2 -1
1) 2x x - 3 = 3 2) -2 0 1 =0
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.2 5 2 2x -3 x + 1
2. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 2.4 -8 b -1
3. ครูตรวจ Exercise 2.4 5. กําหนด A = a 3 0
2 6 0.5
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
ถา C12(A) = 5 และ C23(A) = -40 แลว a และ b มีคาเปนเทาใด
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม x y + 2 -1
6. กําหนด A = 1 x 3 เมื่อ x, y∊R โดยที่ M11(A) = 9 และ M23(A) = 2
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู 1 -1 2
มุงมั่นในการทํางาน ใหหา det(A)
7. กําหนด A = aij 3×3, B = bij 3×3 และ C = cij 3×3 โดยที่ det(A) = -1, det(B) = 2
และ det(C) = 1 ใหหาดีเทอรมิแนนตในแตละขอตอไปนี้โดยใชสมบัติของดีเทอรมิแนนต
1) det(ABC) 5) det(2ABC-1)
3 3
4) det(A B C ) 3 3) det(A2B2)
2) det(AtBtCt) 6) det(2A2B-1C)
ระดับทาทาย
8. กําหนด A-1 = 4 1 และ B = -3 -1 เมื่อ x, y∊R ที่ x 0 และ y 0
-x 5 0 y
- 13 - 14
ถา B-1(A-1)t = 19 59 แลว det(3B2At) เปนเทาใด
-3 -3
182
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T190
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
จาก AX = B จะได
a11 a12 ... a1n x1 b1
a21 a22 ... a2n x2 b2
⋮ ⋮ ⋮ ⋮ = ⋮
an1 an2 ... ann xn bn
เมทริกซ 183
T191
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูอธิบายการแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช
ถา det(A) 0 จะได A-1AX = A-1B
เมทริกซผกผัน ในหนังสือเรียน หนา 183-184 -1
IX = A B
อยางละเอียด แลวรวมกันสรุปวา ระบบสมการ X = A-1B
ที่มี n สมการ และ n ตัวแปร สามารถเขียนให ดังนั้น สามารถหาคําตอบของระบบสมการเชิงเสนขางตนไดจาก X = A-1 B ซึ่งนักเรียน
อยูในรูปสมการเมทริกซ AX = B เมื่อ A เปน จะไดศึกษาจากตัวอยางตอไปนี้
เมทริกซของสัมประสิทธิ์ของตัวแปร X เปน
ตัวอย่างที่ 31
เมทริกซของตัวแปร และ B เปนเมทริกซของ
คาคงตัว ถา det(A) 0 คําตอบของระบบ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
สมการหาไดจาก X = A-1B 2x + y = 7
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 31 ในหนังสือเรียน 3x + 2y = 11
หนา 184 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของ วิธีทํา เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ ดังนี้
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน A X B
2 1 x = 7 Ô´
แลวครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ 3 2 y 11 á¹Ðá¹Ç¤ a b
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 1 มาจาก ¡íÒ˹´ A = c d
จะได det(A) = 2(2) - 3(1) = 1
อะไร ¨Ð䴌NjÒ
นั่นคือ A-1 = 11 2 -1 = 2 -1 A-1 = 1 -c d -b
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร x ของระบบ -3 2 -3 2 det(A) a
สมการที่กําหนด) จะได x = 2 -1 7 = 14 - 11 = 3
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 2 มาจาก y -3 2 11 -21 + 22 1
อะไร ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (3, 1)
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร y ของระบบ ลองทําดู
สมการที่กําหนด)
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
4. ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ในหนังสือเรียน -x - 2y = 1
หนา 184 ใหนักเรียนฟง พรอมกับเปดโอกาส 4x + 3y = -9
ใหนักเรียนไดซักถามหากมีขอสงสัย
ตัวอย่างที่ 32
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
2x + y - z = 1
x - 2y + z = 2
3x + 3y = z + 3
184
ขอสอบเนน การคิด
ใหนักเรียนแกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
5x + 4y = 3
-2x + 6y = 1
(เฉลยคําตอบ เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ ดังนี้
A X B
5 4 x = 3
[ -2 6 ] [ y ] [ 1 ]
จะได det(A) = 5(6) - (-2)(4) = 30 + 8 = 38
6 -4 3 -2
นั่นคือ A = 38 [ 2 5 ] = 2 5 = 1 519
-1 1 6 -4 38 38 19
38 38 19 38
3 -2 9 - -2 11
x 3
จะได [ y ] = 1 5 [ 1 ] = 3 5 = 19
19 19 19 ( 19 )
1
19 38 19 - 38 38
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 11 1
T192 19 , 38 ) )
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ ดังนี้ หนา 184 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
A X B “ลองทําดู”
2 1 -1 x 1
1 -2 1 y = 2
3 3 -1 z 3 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 32 ใน
จะได det(A) = (4 + 3 - 3) - (6 + 6 - 1) = 4 - 11 = -7
หนังสือเรียน หนา 184-185 แลวแลกเปลี่ยน
-2 1 - 1 1 1 -2 t
3 -1 3 -1 3 3 ความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปน
ทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน
นั่นคือ A-1 = -71 - 1 -1 2 -1 - 2 1
3 -1 3 -1 3 3 ดังนี้
1 -1 - 2 -1 2 1 • สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 1 มาจาก
-2 1 1 1 1 -2 อะไร
Ô´
-1 4 9 t á¹Ðá¹Ç¤ (แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร x ของระบบ
=-71 -2 1 -3 ¡íÒ˹´ A = [ aij ]3 × 3
สมการที่กําหนด)
-1 -3 -5 ¨Ð䴌NjÒ
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 2 มาจาก
-1 -2 -1 A-1 = 1 adj(A)
1 det(A) อะไร
=-7 4 1 -3
9 -3 -5 (แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร y ของระบบ
8 สมการที่กําหนด)
x -1 -2 -1 1 -1 - 4 - 3 7
จะได y = -71 4 1 -3 2 = -71 4 + 2 - 9 = 37 • สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 3 มาจาก
z 9 -3 -5 3 9 - 6 - 15 12 อะไร
7 (แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร z ของระบบ
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 87 , 37 , 127 ) สมการที่กําหนด)
2. ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู หนา 185 ใหนักเรียนฟง พรอมกับเปดโอกาส
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน ใหนักเรียนไดซักถามหากมีขอสงสัย
x + 2y - z = 1
3x - 4y - z = 5
-x + 3y + 4z = -3
เมทริกซ 185
T193
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2. การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชกฎของคราเมอร
หนา 185 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ทฤษฎีบท 4 กฎของคราเมอร (Cramer’s Rule)
กําหนดระบบสมการเชิงเสนที่มี n สมการ และ n ตัวแปร โดย AX = B เปนสมการ
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ เมทริกซที่สัมพันธกับระบบสมการเชิงเสน และ A เปนเมทริกซไมเอกฐาน (det(A) 0)
x1 b1
1. ครูอธิบายเกี่ยวกับการแกระบบสมการเชิงเสน
ให X = x2 และ B = b2
โดยใชกฎของคราเมอร โดยเขียนอธิบายทฤษฎี- ⋮ ⋮
บท 4 ในหนังสือเรียน หนา 186 บนกระดาน xn bn
อยางละเอียด พรอมกับรวมกันสรุปวา สมการ det(A1) det(A2) det(An)
จะไดวา x1 = ,x = , …, xn =
เมทริกซ AX = B ถา det(A) 0 แลว det(A) 2 det(A) det(A)
xn = det(A n)
det(A) เมือ่ Ai คือ เมทริกซทไี่ ดจากการ ตัวอย่างที่ 33
แทนหลักที่ i ของ A ดวยหลักของ B สําหรับ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
ทุก i∊{1, 2, 3, …, n } x = 3y + 4
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 33 ในหนังสือเรียน x = 4y - 1
หนา 186 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ วิธีทํา จัดรูประบบสมการเชิงเสนใหมเพื่อที่จะแกระบบสมการโดยใชกฎของคราเมอรได ดังนี้
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 1 มาจาก x - 3y = 4
อะไร x - 4y = -1
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร x ของระบบ เขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ
สมการที่กําหนด) A = 1 -3 , X = x และ B = 4
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 2 มาจาก 1 -4 y -1
อะไร จาก A = 1 -3 จะได det(A) = 1(-4) - 1(-3) = -1 0
1 -4
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร y ของระบบ 4 -3
สมการที่กําหนด) โดยกฎของคราเมอร จะไดวา x = det(A)-4 = -16-1- 3 = 19
-1
1 4
1 -1 = -1 - 4 = 5
y = det(A) -1
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (19, 5)
186
ขอสอบเนน การคิด
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
5x + y = 20
x - 2y = 14
แลวคาของ x + y ตรงกับขอใด
1. 112 2
2. - 11 4
3. 11 4
4. - 11
(เฉลยคําตอบ จากโจทยสามารถเขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ
A = [ 15 -21 ], X = [ yx ] และ B = [ 20
14 ]
5 1
จาก A = [ 1 -2 ] จะได det(A) = 5(-2) - 1 = -11 0
∣ 20
14
1
∣
โดยกฎของคราเมอร จะไดวา x = det(A) = -40-11- 14 = 54
-2
11
∣ 5 20 14 ∣ = 70 - 20 = - 50
y = 1det(A) -11 11
นั่นคือ คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 11 , - 11 ) จะไดวา x + y = 54
54 50 50 4
11 + (- 11 ) = 11
T194 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 187 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร คําตอบ “ลองทําดู”
y = -2x - 2
y = -3x + 1 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 34 ใน
ตัวอย่างที่ 34
หนังสือเรียน หนา 187-188 จากนั้นครูอธิบาย
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร ตัวอยางที่ 34 ใหนักเรียนฟงอยางละเอียดอีกครั้ง
2x - 5y = -9 เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
5y + 7z = 26
9x - 4z = -30
วิธีทํา เขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ
2 -5 0 x -9
A = 0 5 7 , X = y และ B = 26
9 0 -4 z -30
จะได det(A) = (-40 - 315 - 0) - (0 + 0 + 0) = -355 0
โดยกฎของคราเมอร จะไดวา
-9 -5 0
26 5 7
x = -30 0 -4
det(A)
= (180 + 1,050 +-355
0) - (0 + 0 + 520)
= -2
2 -9 0
0 26 7
y = 9 -355
-30 -4
T195
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 2 -5 -9
หนา 188 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย 0 5 26
คําตอบ “ลองทําดู” z = 9 -355 0 -30
T196
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมศึกษาเรือ่ ง การดําเนินการ
พิจารณาระบบสมการตอไปนี้
ตามแถว ในหนังสือเรียน หนา 189-190 แลว
3x - 2y = 5
x+y = 5 แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง สนทนา
ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน
เขียนเปนเมทริกซแตงเติมไดเปน 3 -2 5 หรือ A B 4. ครูอธิบายเรื่อง การดําเนินการตามแถว ให
1 1 5
2) การดําเนินการตามแถว (Row Operation) นั ก เรี ย นฟ ง อย า งละเอี ย ดอี ก ครั้ ง เพื่ อ ให
การดําเนินการตามแถวเปนการแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซแตงเติม พัฒนา นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
รูปแบบมาจากการแกระบบสมการเชิงเสนโดยการกําจัดตัวแปร ซึ่งตองใชสมบัติของจํานวนจริง 5. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา การแกระบบ
เชน สมบัติการสลับที่ สมบัติการเทากันของการบวกและการคูณ สมบัติการมีตัวผกผันของ สมการเชิงเสนโดยใชการดําเนินการตามแถว
การคูณ ทํ า ได โ ดยเขี ย นเมทริ ก ซ แ ต ง เติ ม ของระบบ
สมการ แลวใชการดําเนินการตามแถวเพื่อ
บทนิยาม ให A เปน m × n เมทริกซ เรียกการดําเนินการตอไปนี้วาเปนการดําเนินการตามแถว ใหไดเมทริกซแตงเติมของระบบสมการที่มี
กับเมทริกซ A
(1) สลับแถวที่ i และ k ของ A เขียนแทนดวย Ri → Rk หรือ Rik
คําตอบเปนชุดเดียวกันกับคําตอบของระบบ
(2) คูณสมาชิกในแถวที่ i ดวยคาคงตัว c ที่ c 0 เขียนแทนดวย cRi สมการที่กําหนด
(3) เปลี่ยนสมาชิกในแถวที่ i ของ A โดยนําคาคงตัว c คูณสมาชิกในแถวที่ k (k i)
แลวนําไปบวกกับสมาชิกแตละตัวในแถวที่ i เขียนแทนดวย Ri + cRk
เมทริกซ 189
T197
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
6. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 35 ใน
ตัวอยางของเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว ไดแก
หนังสือเรียน หนา 190-191 จากนั้นครูอธิบาย
ใหนกั เรียนฟงในประเด็นทีไ่ มเขาใจอีกครัง้ และ 1 2 3 0 1 2 3
0, In, 1 -3 , 0 1 -1 , 0 0 1 3
เปดโอกาสใหนักเรียนซักถามหากมีขอสงสัย 0 1 0 0 1 0 0 0 0
การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชการดําเนินการตามแถวทําไดโดยเขียนเมทริกซแตงเติม
ของระบบสมการ แลวใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว
โดยเมทริกซที่ไดจะเปนเมทริกซแตงเติมของระบบสมการที่มีคําตอบเปนชุดเดียวกันกับคําตอบ
ของระบบสมการที่กําหนด
ตัวอย่างที่ 35
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x+y+z = 7
2x + 3y - z = 0
3x + 4y + 2z = 11
190
ขอสอบเนน การคิด
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x - y + 3z = -3
3x + 2y - z = 0
-x - 3y + z = -1 1 -1 3 -3
(เฉลยคําตอบ จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนดเขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้ 3 2 -1 0
-1 -3 1 -1
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวได ดังนี้
1 -1 3 -3 1 0 1 - 65 R1 + R2
1 -1 3 -3 1 -1 3 -3 9 1 9
3 2 -1 0 ∼ 0 5 -10 9 R2 - 3R1 ∼ 0 1 -2 5 5 R2 ∼ 0 1 -2 5
-1 -3 1 -1 0 -4 4 -4 R3 + R1 0 0 1 - 45 R3 - R2
0 1 -1 1 - 14 R3
1 0 0 - 25 R1 - R3 นั่นคือ x = - 25 , y = 15 และ z = - 45
∼ 0 1 0
1
5 R2 + 2R3 เนือ่ งจากคําตอบของระบบสมการนีเ้ ปนคําตอบชุดเดียวกันกับคําตอบของระบบสมการทีก่ าํ หนด
0 0 1 - 45 ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (- 25 , 15 , - 45 ) )
T198
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1 0 4 21 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
∼ 0 1 -3 -14 หนา 191 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
0 0 1 2 12 R3
คําตอบ “ลองทําดู”
1 0 4 21
จะได 0 1 -3 -14 เปนเมทริกซแตงเติมของระบบสมการ แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
0 0 1 2
1. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม จากตั ว อย า งที่ 35 ใน
x + 4z = 21 หนังสือเรียน หนา 190-191 วา ถานักเรียนใช
y - 3z = -14 การดําเนินการตามแถว ทําใหเมทริกซแตงเติม
z = 2 ของระบบสมการเป น เมทริ ก ซ ที่ มี รู ป แบบ
ดังนั้น z = 2, y = 3(2) -14 = -8 และ x = -4(2) + 21 = 13 ขัน้ บันไดแบบแถวทีม่ สี มบัตวิ า ถา 1 ตัวนําอยูใ น
เนื่องจาก คําตอบของระบบสมการนีเ้ ปนคําตอบชุดเดียวกันกับคําตอบของระบบสมการ หลักใด แลวสมาชิกตัวอื่นในหลักนั้นตองเปน
ที่กําหนด ศูนย จากนัน้ จึงหาระบบสมการทีม่ เี มทริกซนนั้
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (13, -8, 2) เปนเมทริกซแตงเติม จะทําใหหาคําตอบของ
ระบบสมการไดงายและเร็วยิ่งขึ้น
ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
3x - 3y - 7z = 4
-x + 2y - z = -21
x + 5y + 2z = 5
จากตัวอยางที่ 35 ถานักเรียนใชการดําเนินการตามแถวทําใหเมทริกซแตงเติมของระบบ
สมการเปนเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันไดแบบแถวทีม่ สี มบัตวิ า ถา 1 ตัวนําอยูใ นหลักใด แลวสมาชิก
ตัวอื่นในหลักนั้นตองเปนศูนย จากนั้นจึงหาระบบสมการที่มีเมทริกซนั้นเปนเมทริกซแตงเติม
จะทําใหหาคําตอบของระบบสมการไดงายและเร็วขึ้น ซึ่งจะไดศึกษาเพิ่มเติมจากตัวอยางตอไปนี้
เมทริกซ 191
T199
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูกลาววา ในหัวขอ 2.1 นักเรียนไดทราบ
ตัวอย่างที่ 36
มาแลววา คําตอบของระบบสมการเชิงเสนมี
3 ลักษณะ คือ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
w + 3x - 2y + z = -4
1) ระบบสมการเชิงเสนที่มีคําตอบเดียว
3w + 4x - 4y + 8z = -9
2) ระบบสมการเชิงเสนที่มีหลายคําตอบ
4w + 7x - 4y + 17z = 3
หรือเรียกวา มีคําตอบอนันต w + 7x - 5y - 3z = -12
3) ระบบสมการเชิงเสนที่ไมมีคําตอบ เมื่อใช
วิธกี ารดําเนินการตามแถวกับเมทริกซแตง- วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนขางตน เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้
เติมของระบบสมการเชิงเสน จะสามารถ 1 3 -2 1 -4
บอกไดวาระบบสมการเชิงเสนที่กําหนดมี 3 4 -4 8 -9
คําตอบหรือไมมีคําตอบ และในกรณีที่มี 4 7 -4 17 3
คําตอบ จํานวนคําตอบเปนอนันตหรือไม 1 7 -5 -3 -12
3. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 36 ในหนังสือเรียน
หนา 192-193 บนกระดาน จากนั้นครูให จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันได
นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละความ แบบแถวได ดังนี้
สามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 1 3 -2 1 -4 1 3 -2 1 -4
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวใหนักเรียน 3 4 -4 8 -9 0 -5 2 5 3 R2 - 3R1
แตละกลุมศึกษาตัวอยางที่ 36 4 7 -4 17 3
∼
0 -5 4 13 19 R3 - 4R1
4. ครูสมุ นักเรียนออกมาแสดงขัน้ ตอนการคิดของ 1 7 -5 -3 -12 0 4 -3 -4 -8 R4 - R1
โจทยในตัวอยางที่ 36 หนาชั้นเรียน โดยครู
และนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบความ 1 3 -2 1 -4
ถูกตอง 0 -5 2 5 3
∼
0 0 2 8 16 R3 - R2
0 4 -3 -4 -8
1 3 -2 1 -4
0 1 1 -1 5 -R2 - R4
∼
0 0 1 4 8 12 R3
0 4 -3 -4 -8
192
T200
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1 0 -5 4 -19 R1 - 3R2 ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
0 1 1 -1 5 หนา 193 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง
∼
0 0 1 4 8 สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครู
0 0 -7 0 -28 R4 - 4R2 และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
1 0 0 24 21 R1 + 5R3
0 1 0 -5 -3 R2 - R3
∼
0 0 1 4 8
0 0 1 0 4 - 17 R4
1 0 0 24 21
0 1 0 -5 -3
∼
0 0 1 4 8
0 0 0 -4 -4 R4 - R3
1 0 0 24 21
0 1 0 -5 -3
∼
0 0 1 4 8
0 0 0 1 1 - 14 R1
1 0 0 0 -3 R1 - 24R4
0 1 0 0 2 R2 + 5R4
∼
0 0 1 0 4 R3 - 4R4
0 0 0 1 1
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (-3, 2, 4, 1)
ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
w + x + 3y + 8z = 40
-2w - x - y + z = -4
2w + x + 2y + 2z = 17
-4w - x + 5y + 9z = 26
เมทริกซ 193
T201
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 37 ใน
ตัวอย่างที่ 37
หนังสือเรียน หนา 194 จากนั้นครูอธิบายตัวอยาง
ที่ 37 ใหนกั เรียนฟงอีกครัง้ เพือ่ ใหเขาใจมากยิง่ ขึน้ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x - 2y - 3z = 4
ใช้ทฤษฎี หลักการ 2x - 3y + z = 5
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้
หนา 194 แลวแลกเปลีย่ นคําตอบกับคูข องตนเอง 1 -2 -3 4
สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครู 2 -3 1 5
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันได
แบบแถวได ดังนี้
1 -2 -3 4 ∼ 1 -2 -3 4
2 -3 1 5 0 1 7 -3 R2 - 2R1
∼
1 0 11 -2 R1 + 2R2
0 1 7 -3
นําเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวที่ไดเขียนเปนระบบสมการได ดังนี้
x + 11z = -2
y + 7z = -3
จะเห็นวา สมการทัง้ สองมี x และ y สัมพันธกบั z จึงจัด x และ y ในรูปของ z ได ดังนี้
x = -11z - 2
y = -7z - 3
จะไดวา คําตอบของระบบสมการมีจํานวนอนันต
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (-11z - 2, -7z - 3, z) เมื่อ z∊R
ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
4x - y + z = 7
-x + y + 2z = 3
194
ขอสอบเนน การคิด
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x - 2y + 4z = 1
2x - 3y + 5z = -1
(เฉลยคําตอบ จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมไดเปน 21 -3 -2 4 1
5 -1
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวได ดังนี้
1 -2 4 1 1 -2 4 1 1 0 -2 -5 R1 + 2R2
2 -3 5 -1 ∼ 0 1 -3 -3 R2 - 2R1 ∼ 0 1 -3 -3
นําเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวที่ไดเขียนเปนระบบสมการได ดังนี้
x - 2z = -5 จะไดวา คําตอบของระบบสมการมีจํานวนอนันต
y - 3z = -3 ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (2z - 5, 3z - 3, z)
จะเห็นวา สมการทั้งสองมี x และ y สัมพันธกับ z จึงจัด x เมื่อ z∊R)
และ y ในรูปของ z ได ดังนี้
x = 2z - 5
T202 y = 3z - 3
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 38 ใน
ตัวอย่างที่ 38
หนังสือเรียน หนา 195 จากนั้นครูอธิบายตัวอยาง
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
ที่ 38 ใหนกั เรียนฟงอีกครัง้ เพือ่ ใหเขาใจมากยิง่ ขึน้
x + 2y - 4z = 3
x + 3y + z = 11 ใชทฤษฎี หลักการ
2x + 4y - 8z = 5
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้ หนา 195 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง
1 2 -4 3 สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้น
1 3 1 11 ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
2 4 -8 5
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันได แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
แบบแถวได ดังนี้ 1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากตัวอยางที่ 38 ใน
1 2 -4 3 1 2 -4 3 หนังสือเรียน หนา 195 จะเห็นวา ถาไดเมทริกซ
1 3 1 11 ∼ 0 1 5 8 R2 - R1 ที่มีแถวหนึ่งในรูป [ 0 0 0 ...⋮C ] จะไดวา
2 4 -8 5 0 0 0 -1 R3 - 2R1
ระบบสมการเชิงเสนไมมีคําตอบ นอกจากนี้
นําเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวที่ไดเขียนเปนระบบสมการได ดังนี้ เมทริกซแตงเติมและการดําเนินการตามแถวจะ
x + 2y - 4z = 3 ชวยแกระบบสมการเชิงเสนไดแลว ยังสามารถ
0x + y + 5z = 8 ใชหาเมทริกซผกผันได
0x - 0y + 0z = -1
จะเห็นวาไมมีจํานวนจริง x, y, z ที่สอดคลองกับสมการ 0x + 0y + 0z = -1
ดังนั้น ระบบสมการที่กําหนดไมมีคําตอบ
ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
-2x + y - 3z = 3
3x + 6y - 3z = -1
x + 2y - z = 3
จากตัวอยางที่ 38 จะเห็นว1า ถาไดเมทริกซที่มีแถวใดแถวหนึ่งในรูป [0 0 0 ... C] จะไดวา
ระบบสมการเชิงเสนไมมีคําตอบ
เมทริกซ 195
T203
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
เมทริกซแตงเติมและการดําเนินการตามแถว นอกจากจะชวยในการแกระบบสมการเชิงเสนแลว
เกี่ยวกับเมทริกซแตงเติมและการดําเนินการ ยังสามารถใชหาเมทริกซผกผันได ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาจากรายละเอียดตอไปนี้
ตามแถวอยางละเอียด ในหนังสือเรียน หนา
196-197 แล ว แลกเปลี่ ย นความรู กั บ คู ข อง กําหนด A = 13 24
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน เนื่องจาก det(A) = 4 - 6 = -2 0 ดังนั้น A-1 หาคาได
จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงอีกครั้ง พรอม ให A-1 = wy xz จะไดวา
เปดโอกาสใหนักเรียนซักถามในประเด็นที่ไม 1 2 w x = 1 0
เขาใจ 3 4 y z 0 1
w + 2y x + 2z = 1 0
3w + 4y 3x + 4z 0 1
จากสมการเมทริกซขางตน เขียนใหอยูในรูประบบสมการเชิงเสนได ดังนี้
w + 2y = 1 .....(1)
x + 2z = 0 .....(2)
3w + 4y = 0 .....(3)
3x + 4z = 1 .....(4)
-1
นักเรียนสามารถหาคา w และ y ซึ่งเปนสมาชิกของ A ไดจากการเขียนเมทริกซแตงเติม
ของระบบสมการที่ประกอบไปดวยสมการ (1) และ (3) จากนั้นใชการดําเนินการตามแถวเพื่อให
ไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
จากระบบสมการ (1) และ (3) เขียนเมทริกซแตงเติมไดเปน 1 2 1
3 4 0
ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวไดเปน
1 2 1 ∼ 1 0 -23
3 4 0 0 1 2
จะไดวา (w, y) = (-2, 32 )
ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถหาคา x และ z ซึ่งเปนสมาชิกของ A-1 ไดจากการเขียน
เมทริกซแตงเติมของระบบสมการที่ประกอบไปดวยสมการ (2) และ (4) จากนั้นใชการดําเนินการ
ตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว
1 2 0 ∼ 1 0 11
3 4 1 0 1 -2
196
T204
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
จะไดวา (x, z) = (1, - 12 )
หนา 197 ใหนักเรียนฟง
-2 1 4. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 39
ดังนั้น A-1 = 3 - 1
2 2 ในหนังสือเรียน หนา 197 ดวยตนเองอยาง
คณิตน่ารู้ ละเอียด
กําหนด A เปน n × n เมทริกซ โดยที่ det(A) 0 กําหนด A = a b
A-1 หาไดจากเขียนเมทริกซแตงเติม A In แลว c d ใช้ทฤษฎี หลักการ
จะไดวา
ใชการดําเนินการตามแถวจนไดเมทริกซแตงเติม In B A I2 = ac db 1 0 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จะไดวา B = A-1 0 1 หนา 197 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
ตัวอย่างที่ 39
กําหนด A = 4 5
-3 -5
ใหหาเมทริกซผกผันของ A โดยใชการดําเนินการตามแถว (ถามี)
วิธีทํา เนื่องจาก det(A) = -20 + 15 = -5 0 จะไดวา A-1 หาคาได
A I2 = 4 5 1 0
-3 -5 0 1
∼
1 0 1 1
-3 -5 0 1
∼
1 0 1 1
0 -5 3 4
1 0 1 1
∼
0 1 - 35 - 45
1 1
ดังนั้น A-1 = - 3 - 4
5 5
ลองทําดู
กําหนด A = 5 7
-4 3
ใหหาเมทริกซผกผันของ A โดยใชการดําเนินการตามแถว (ถามี)
เมทริกซ 197
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ แบบฝกทักษะ 2.5 ขอ 1.-4.
แบบฝึกทักษะ 2.5
ในหนังสือเรียน หนา198 แลวแลกเปลีย่ นคําตอบ
กับคูข องตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจ ระดับพื้นฐาน
รวมกัน จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย 1. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
คําตอบ 1) 5x + 3y = 24 2) 7x + y = 10
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.5 ในแบบฝกหัด 3y - 5x = 5 -5x - 5y = -20
เปนการบาน 2. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
1) x + 2y + z = 0 2) 2x + 4y + z = 1
3x + y - 2z = 5 x + 2y = -2
2x - 3y - 3z = 9 -x - 3y + 2z = 3
3) x + 2y - 2z = 1 4) y + z = x
2x + 2y - z = 4 3x = 2y
3x + 4y =6 2x + 3z = 2 + y
3. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
1) y = 3x + 5 2) x - 2y = 10
4y + 12x = 20 -2x + 4y = -20
3) -3x + y - z = 4 4) x + y + z =0
6x - 2y + 2z = 1 2y - z + t - 4 = 0
x + 2y + 3z = 7 y - 2z - 2t - 3 = 0
2y - z - 2t + 2 = 0
4. ใหหาเมทริกซผกผันของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว (ถามี)
1 -1 1
1) 1 3 2) 0 -2 1
2 -5 -2 -3 0
ระดับกลาง
5. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
1) 0.5x - y + 3z = 12.1 2) 2x + y - z - 3t = 10
-3x + 15 y + z = 5 x - 3y - z - 2t = -2
x + 0.2y + 2z = 9.6 3x - 2y + 3z + 4t = 4
2x + y + z + 3t = 6
198
T206
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ใหนักเรียนฟง
3) 2x + y - 2z = -1 4) 2x - y - z + 2t = -4 พรอมกับเปดโอกาสใหนักเรียนไดซักถามหากมี
x + 3z - t =2 y - 2z + 3t = -13 ขอสงสัย
-2x + y + 2z + t = 0 x - 2y + 3z - t = 14
x - y + 3z + t = 1 y + 2z + t =3 ใช้ทฤษฎี หลักการ
6. ใหหาเมทริกซผกผันของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้ 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
1 0 2 0 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
Ô´
1) -1 -1 1 -1 á¹Ðá¹Ç¤ และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหแตละกลุม
2 1 0 3 㪌ÊÁºÑµ¢Ô ͧ´Õà·ÍÃÁáÔ ¹¹µ ชวยกันทําแบบฝกทักษะ 2.5 ขอ 5.-6. ใน
1 2 -3 2 à¾×è͵ÃǨÊͺNjÒàÁ·ÃÔ ¡« หนังสือเรียน หนา 198-199 จากนัน้ ใหนกั เรียน
1 0 0 -1 ã¹¢ŒÍ 1) áÅÐ 2) ໚¹ แลกเปลี่ยนคําตอบกันภายในกลุม สนทนา
2) 1 1 0 1 àÁ·ÃÔ ¡«àÍ¡°Ò¹ËÃ× ÍäÁ‹ ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2 2 0 0
-1 -2 2 4 2. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาแสดงวิธกี าร
หาคําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความ
ถูกตอง
ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนวยแลว ใหนักเรียนบอกสัญลักษณที่ตรงกับระดับความสามารถของตนเอง
ควร
ดี พอใช ปรับปรุง
1. เขาใจความหมายของเมทริกซ
2. สามารถหาผลลัพธของการบวกเมทริกซ การคูณเมทริกซ
กับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซได
3. สามารถหาเมทริกซสลับเปลี่ยนได
4. สามารถหาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ เมื่อ n เปน
จํานวนนับที่ไมเกินสามได
5. สามารถหาเมทริกซผกผันของเมทริกซ 2 × 2 ได
6. สามารถแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชการกําจัดตัวแปร
เมทริกซผกผัน กฎของคราเมอร และการดําเนินการตามแถวได
เมทริกซ 199
T207
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
“คูคิด (Think Pair Share)” ดังนี้ คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
จากคณิตศาสตรในชีวติ จริง ในหนังสือเรียน การวิเคราะหวงจรไฟฟากระแสตรงโดยใชกฎของเคอรชอฟฟ
หนา 200 กฎของเคอรชอฟฟเปนกฎที่ชวยในการวิเคราะหวงจรไฟฟากระแสตรง ซึ่งมีหลักการ ดังนี้
• ให นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นคํ า ตอบกั บ คู ข อง 1) กฎกระแสไฟฟาของเคอรชอฟฟ กลาววา “กระแสไฟฟาที่ไหลเขาจุดใดจุดหนึ่งในวงจรไฟฟา
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ จะเทากับกระแสไฟฟาที่ไหลออกจากจุดนั้น” ซึ่งสามารถเขียนในรูปทั่วไปได ดังนี้
รวมกัน
Σ Iกระแสไหลเขา - Σ Iกระแสไหลออก = Σ I = 0
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น 2) กฎแรงดันไฟฟาของเคอรชอฟฟ กลาววา “ผลบวกของแรงดันไฟฟาทีจ่ า ยใหในวงจรไฟฟาปด
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง จะมีคา เทากับผลบวกของแรงดันไฟฟาตกครอมความตานทานในวงใจไฟฟาปดนัน้ ” ซึง่ สามารถเขียนใน
รูปทั่วไปได ดังนี้
ΣE = 0
5V I1 4Ω I2 10 V
200
∣ 46 55 ∣ 30 - 20 10 5
y = det(A) = 26 = 26 = 13
T208
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
สรุปแนวคิดหลัก ตรวจสอบและสรุป
1. ครูใหนักเรียนศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก” ใน
เมทริกซ์ หนังสือเรียน หนา 201-204 จากนัน้ ใหนกั เรียน
ระบบสมการเชิงเส้้น
นําความรูที่ไดมาเขียนเปนผังมโนทัศนหนวย
• ให a1, a2, ..., an และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a1, a2, ..., an ไมเปนศูนยพรอมกัน เรียก การเรียนรูที่ 2 เมทริกซ ลงในกระดาษ A4
สมการ a1x1 + a2x2 + ..., anxn วา สมการเชิงเสน n ตัวแปร เมื่อ x1, x2, ..., xn เปนตัวแปร ตกแตงใหสวยงาม เมื่อทําเสร็จแลวนําสงครู
• ระบบสมการเชิงเสนประกอบดวยสมการเชิงเสนตั้งแตสองสมการขึ้นไป เพื่อตรวจสอบความถูกตอง
• คําตอบของระบบสมการเชิงเสนมี 3 ลักษณะ คือ ระบบสมการเชิงเสนที่มีคําตอบเดียว ระบบสมการ 2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
เชิงเสนที่มีหลายคําตอบ หรือเรียกวา มีคําตอบเปนอนันต และระบบสมการเชิงเสนที่ไมมีคําตอบ
นักเรียน ดังนี้
เมทริกซ์ • การแกระบบสมการเชิงเสนทําไดอยางไร
• เมทริกซ คือ ชุดของจํานวนที่เขียนเรียงกัน m แถว (Row) n หลัก (Column) เมื่อ m และ n (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
เปนจํานวนเต็มบวกภายในเครื่องหมายวงเล็บ ดังนี้ ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรูของนักเรียนแตละ
สมาชิกของเมทริกซ คน เชน การกําจัดตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง)
หลัก แถว
a11 a12 ... a1n แถวที่ 1 (R1) • เมทริกซที่เทากันเปนอยางไร
a21 a22 ... a2n แถวที่ 2 (R2) (แนวตอบ มีสมาชิกในตําแหนงเดียวกัน
A= ⋮ ⋮ ⋮ เหมือนกัน และมีมิติเดียวกัน)
am1 am2 ... amn แถวที่ m (Rm)
• เมทริกซสลับเปลี่ยนของเมทริกซ A
หลักที่ 1 หลักที่ 2 หลักที่ n เปนอยางไร
(C1) (C2) (Cn) (แนวตอบ เมทริกซที่มีการสลับแถวและหลัก
A เปนเมทริกซที่มี m แถว n หลัก มีมิติเปน m × n เรียกเมทริกซ A วา m × n เมทริกซ ของเมทริกซ A)
และเขียนแทน A ดวย aij เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n }
m ×n
การเทากันของเมทริกซ
• กําหนด A = aij และ B = bij เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n }
m n× m n
×
a11 a12 a a a
A = a21 a22 จะไดวา At = a11 a21 a31
12 22 32
a31 a32
เมทริกซ 201
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• เมทริกซสองเมทริกซจะบวกกันไดอยางไร การบวกเมทริกซ
(แนวตอบ เมทริกซจะบวกกันได ก็ตอเมื่อ • กําหนด A = aij และ B = bij
× m n m n ×
มีมติ เิ ดียวกัน คือ เมทริกซทกี่ าํ หนดมีจาํ นวน A และ B จะหาผลบวกได ก็ตอเมื่อ A และ B มีมิติเดียวกัน
และผลบวกของ A และ B คือ cij เมื่อ cij = aij + bij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, ..., m } และ
แถวเทากันและมีจํานวนหลักเทากัน) j∊{ 1, 2, ..., n } เชน
m n ×
• คาคงตัวคูณกับเมทริกซไดอยางไร a11 a12 a13 b11 b12 b13 a11 + b11 a12 + b12 a13 + b13
(แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิก a21 a22 a23 + b21 b22 b23 = a21 + b21 a22 + b22 a23 + b23
แตละตัวในเมทริกซ) การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันได • กําหนด A = aij และ c เปนคาคงตัว จะไดวา cA = bij
× m n m n ×
อยางไร เมื่อ bij = caij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n } เชน
a a ca ca
(แนวตอบ เมทริกซ A คูณกับเมทริกซ B ได c a11 a12 = ca11 ca22
21 22 21 22
ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของ A เทากับจํานวน การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ
แถวของ B) • กําหนด A เปนเมทริกซที่มีมิติเปน m × n และ B เปนเมทริกซที่มีมิติ p × q
• จะแสดงไดอยางไรวา A มีเมทริกซผกผัน ผลคูณของเมทริกซ A และ B หาคาได ก็ตอเมื่อ n = p (จํานวนหลักของ A เทากับ จํานวน
แถวของ B) และเมทริกซที่เปนผลคูณจะมีมิติเปน m × q เชน
(แนวตอบ AA-1 = A-1A = In ) A B C
• วิธกี ารหาเมทริกซผกผันทีม่ มี ติ ิ 2 × 2 หาได a11 a12 b11 a11 b11 + a12 b21
a a b = a b +a b
อยางไร 21 22 21 21 11 22 21
T210
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• ดีเทอรมิแนนตหาไดอยางไร
เมทริกซ์ผกผัน
(แนวตอบ หาได 2 วิธี ไดแก ใชบทนิยาม หรือ
เมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมทริกซผกผันของ 2 × 2 เมทริกซ
การนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอ
• กําหนด A และ B เปน n × n เมทริกซ • กําหนด A = a b
B เปนเมทริกซผกผันของ A ก็ตอเมื่อ c d จากหลักที่ 3 ของ A จากนั้นนําผลบวกของ
AB = BA = In จะไดวา A-1 = ad 1- bc d-c -ba ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวา
เขียนแทน B ดวย A-1 ลางลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
ดีเทอร์มิแนนต์
จากซายลางขึ้นไปขวาบน)
ไมเนอร ตัวประกอบรวมเกี่ยว • การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดยใชวิธี
• กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2
n n
×
• กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2
n n×
การคูณทแยงมีกี่ขั้นตอนอะไรบาง
Mij(A) คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ จะไดวา Cij(A) = (-1)i + jMij(A) (แนวตอบ การหาดีเทอรมแิ นนตของ A โดยใช
ที่ไดจากการตัดแถวที่ i และหลักที่ j ของ วิธีการคูณทแยงมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
A ออก
ขั้นที่ 1 นําหลักที่ 1 และหลักที่ 2 ของ A
ดีเทอรมิแนนตของ 2 × 2 เมทริกซ ดีเทอรมิแนนตของ 3 × 3 เมทริกซ
มาเขียนตอจากหลักที่ 3 ของ A
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
ผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง gec + hfa + idb ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบน
A= a b ขึ้นไปขวาบน เทากับ cb ลงมาขวาลาง
c d a b c a b
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบน A= d e f d e ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง
ลงมาขวาลาง เทากับ ad g h i g h
aei + bfg + cdh ขึ้นไปขวาบน
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง ขั้นที่ 4 นําผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
ให p แทนผลคูณในแนวทแยงจากซายบน ให p ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง จากซายบนลงมาขวาลางลบดวย
ลงมาขวาลาง จากซายบนลงมาขวาลาง ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจาก
q แทนผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง q ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
ขึ้นไปขวาบน จากซายลางขึ้นไปขวาบน ซายลางขึน้ ไปขวาบน จะไดผลลัพธ
จะไดวา det(A) = p - q จะไดวา det(A) = p - q เปน det(A))
ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่มีมิติ n × n เมื่อ n ≥ 2
• กําหนด aij เมื่อ n ≥ 2 ดีเทอรมิแนนตของ A คือ
m n
×
ai1 Ci1(A) + ai2 Ci2(A) + ..., ain Cin(A) เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., n }
หรือ a1j C1j(A) + a2j C2j(A) + ..., anj Cnj(A) เมื่อ j∊{ 1, 2, ..., n }
เมทริกซเอกฐาน
กําหนด A เปน n × n เมทริกซ
• A เปนเมทริกซเอกฐาน เมื่อ det(A) = 0 • A เปนเมทริกซไมเอกฐาน เมื่อ det(A) 0
เมทริกซ 203
T211
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• เมทริกซผูกพันจะหาไดอยางไร เมทริกซผกผัน
(แนวตอบ หาเมทริกซสลับเปลี่ยนของ กําหนด A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2
• Aadj(A) = adj(A)A = Indet(A) • adj(A) = [ Cij(A) ]t
เมทริกซตัวประกอบรวมเกี่ยว)
เมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2
• การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซ 1 adj(A) เมื่อ A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n
• A-1 = det(A) ≥ 2 และ det(A) 0
มีกี่วิธี อะไรบาง
(แนวตอบ 3 วิธี ไดแก การใช้เมทริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น
1) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช ใชเมทริกซผกผัน
เมทริกซผกผัน • เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ AX = B เมื่อ A เปนเมทริกซสัมประสิทธิ์ของ
ตัวแปร X เปนเมทริกซของตัวแปร และ B เปนเมทริกซของคาคงตัว คําตอบของระบบสมการหาได
2) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช จาก X = A-1 B
กฎของคราเมอร
ใชกฎของคราเมอร
3) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช • คําตอบของระบบสมการเชิงเสนที่มี n สมการ และ n ตัวแปร โดย AX = B เปนสมการเมทริกซที่
การดําเนินการตามแถว) สัมพันธกับระบบสมการเชิงเสน คือ x1 = det(A 1) det(A2) det(An)
det(A) , x2 = det(A) , ..., xn = det(A)
เมื่อ Ai คือ เมทริกซที่ไดจากการแทนหลักที่ i ของ A ดวยหลักของ B
สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, ..., n }
ใชการดําเนินการตามแถว
• ถาเมทริกซแตงเติมของระบบสมการเชิงเสนระบบหนึง่ คือ [ A B ] แลวคําตอบของระบบสมการเชิงเสน
หาไดโดยใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซแตงเติม [ I C ] จะได C เปนเมทริกซทมี่ สี มาชิก
เปนคําตอบของระบบสมการ
สมบัติและทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับดีเทอรมิแนนต
• ให A = aij และ B = bij จะไดวา
× n n n n
×
1) ถาสมาชิกในแถวใดแถวหนึ่งหรือหลักใดหลักหนึ่งของ A เปนศูนยทุกตัว แลว det(A) = 0
2) ถา B ไดจากการสลับแถว 2 แถว หรือสลับหลัก 2 หลักของ A แลว det(B) = -det(A)
3) ถา A มีสมาชิกของแถวสองแถวหรือหลักสองหลักเหมือนกัน แลว det(A) = 0
4) det(At) = det(A)
5) ถานําคาคงตัว c คูณสมาชิกทุกตัวในแถวใดแถวหนึง่ หรือหลักใดหลักหนึง่ ของ A แลวดีเทอรมแิ นนต
ของเมทริกซที่ได เทากับ c • det(A)
6) det(cA) = cn • det(A) เมื่อ c เปนคาคงตัว
7) det(AB) = det(A) • det(B)
8) ถา B ไดจาก A โดยเปลี่ยนเฉพาะสมาชิกในแถวที่ j ของ A โดยใชคาคงตัว c คูณกับสมาชิก
ทุกตัวในแถวที่ i ของ A เมื่อ i j แลวนําไปบวกกับสมาชิกแตละตัวในแถวที่ j ของ A นั่นคือ
bjk = caik + ajk สําหรับทุก k∊{ 1, 2, 3, ..., n } แลว det(B) = det(A) สมบัติขอนี้ยังคงเปนจริง
เมื่อเปลี่ยนจากแถวเปนหลัก
204
T212
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ฝกปฏิบตั ิ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
T213
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกพิกัดของจุดใน Concept - ตรวจใบงานที่ 3.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ระบบพิกัดฉาก เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ระบบพิกัดฉากสามมิติ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.1 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
สามมิติ ม.5 เล่ม 1 ได้ (K) Teaching - ตรวจ Exercise 3.1 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนจุดที่ก�ำหนดให้ - การน�ำเสนอผลงาน การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
2 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ลงในระบบพิกัดฉาก - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการวิเคราะห์
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 สามมิติได้ (P) การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะการน�ำ
- ใบงานที่ 3.1 3. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตพฤติกรรม ความรู้ไปใช้
- QR Code หาระยะทางระหว่าง การท�ำงานกลุ่ม
จุดสองจุดในระบบ - สังเกตความมีวินัย
พิกัดฉากสามมิติได้ (P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ในการท�ำงาน
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T214
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. เขียนเวกเตอร์ใด ๆ ใน Concept - ตรวจใบงานที่ 3.3 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
เวกเตอร์ในระบบ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ระบบพิกัดฉากสองมิติ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.3 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
พิกัดฉาก ม.5 เล่ม 1 และสามมิติในรูป Teaching - ตรวจ Exercise 3.3 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา เวกเตอร์หนึ่งหน่วย - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
5 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ i , j หรือ k ได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 2. หาขนาดของเวกเตอร์ การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
- ใบงานที่ 3.3 ในระบบพิกัดฉาก - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
สองมิติและสามมิติได้ การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
(K) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
3. หาเวกเตอร์หนึ่งหน่วย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ในระบบพิกัดฉาก ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
สองมิติและสามมิติได้
(K)
4. เขียนแสดงขั้นตอน
การหาโคไซน์แสดง
ทิศทางของเวกเตอร์
ที่ก�ำหนดให้ได้ (P)
5. ตรวจสอบได้ว่า
เวกเตอร์ที่ก�ำหนดให้
มีคู่ใดบ้างเป็นเวกเตอร์
ที่มีิทิศทางเดียวกัน
มีทิศทางตรงข้ามกัน
และขนานกัน โดยใช้
โคไซน์แสดงทิศทาง
(P)
6. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T215
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. สามารถหาผลคูณ Concept - ตรวจใบงานที่ 3.4 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ผลคูณเชิง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เชิงสเกลาร์ได้ (K) Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.4 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
สเกลาร์ ม.5 เล่ม 1 2. น�ำสมบัติของผลคูณ Teaching - ตรวจ Exercise 3.4 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา เชิงสเกลาร์ไปใช้ใน - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ ในการท�ำงาน
3 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การแก้ปัญหา - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 คณิตศาสตร์ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
- ใบงานที่ 3.4 3. ตรวจสอบได้ว่า - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
เวกเตอร์ใดเป็น การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
เวกเตอร์ที่ตั้งฉากกัน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
โดยใช้สมบัติของผล ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
คูณเชิงสเกลาร์ (P) ในการท�ำงาน
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)
T216
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. น�ำความรู้เกี่ยวกับ Concept - ตรวจใบงานที่ 3.6 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เวกเตอร์ในสามมิติ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.6 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกีย่ วกับเวกเตอร์ ม.5 เล่ม 1 ไปใช้แก้ปัญหาได้ (K) Teaching - ตรวจ Exercise 3.6 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
ในสามมิติไปใช้ ใน - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจแบบฝึกทักษะ การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
การแก้ปัญหา เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ วิธีการแก้โจทย์ปัญหา ประจ�ำหน่วยการเรียนรู้ - ทักษะ
ม.5 เล่ม 1 ทางคณิตศาสตร์ ที่ 3 การเชื่อมโยง
2 - ใบงานที่ 3.6 เกี่ยวกับเวกเตอร์ - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะ
ชั่วโมง ในสามมิติได้ (P) หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การให้เหตุผล
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ เวกเตอร์ในสามมิติ - ทักษะการวิเคราะห์
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการน�ำ
- สังเกตพฤติกรรม ความรู้ไปใช้
การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะการประยุกต์
- สังเกตพฤติกรรม ใช้ความรู้
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
T217
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
3
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
1. ครู ก ระตุ ้ น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให้
หน่วยการเรียนรู้ที่
นั ก เรี ย นดู ภ าพหน้ า หน ว ย ในหนั ง สื อ เรี ย น
หน้า 206 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียนวา
“อยากทราบวาวัดโพธิ์อยูหางจากปายบอก
ทางเปนระยะทางเทาใด” แล้วให้นักเรียนรวม
เวกเตอร์ในสามมิติ
กันตอบคําถาม
“ปายบอกทางเปนสัญลักษณที่ ใชแสดงถึงทิศทาง
หมายเหตุ : ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย
และระยะทางจากปายบอกทางไปยังจุ ดหมาย ÍÂÒ¡·ÃҺNjÒÇѴ⾸Ôì
คําถามประจําหนวยการเรียนรู้ ในหนังสือเรียน ซึ่งแสดงถึงแนวคิดเกี่ยวกับ เวกเตอร” ÍÂÙ‹Ë‹Ò§¨Ò¡»‡Òº͡·Ò§
หน้า 206 หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรู้ ໚¹ÃÐÂзҧ෋Òã´
ที่ 3
ผลการเรียนรู้
• หาผลลัพธของการบวก การลบเวกเตอร การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร หาผลคูณเชิงสเกลาร และผลคูณเชิงเวกเตอร
• นําความรูเ กี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใชในการแกปญหา
สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
• เวกเตอร นิเสธของเวกเตอร
• การบวก การลบเวกเตอร การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร
• ผลคูณเชิงสเกลาร ผลคูณเชิงเวกเตอร
T218
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่มีมิติ 2 × 2
กําหนด A = a b
c d
cb
จะไดวา det A = ac b
d
ad
= ad - cb
ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่มีมิติ 3 × 3
a11 a12 a13
กําหนด A = a21 a22 a23
a31 a32 a33
โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกต้อง ใหเลือกคําตอบที่ถูกที่สุด
แบบทดสอบพืน
้ ฐานกอนเรียน
5
Y
ให ใชขอมูลตอไปนี้ตอบคําถามขอ 4. - 6.
กําหนดให A = [ 4 – 3] , B = [ – 3 1 ]
1 5
1 4 –7 5
ให ใชขอมูลตอไปนี้ตอบคําถามขอ 9. - 10.
กําหนดให A = 5[ –1 4
]
–2 a [
1 0 –1
และ B = 3 4 b
–5 10 0 ]
10. 2a2 + b9 มีคาตรงกับขอใด
1. 1,012
2. 1,112
[ ]
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
4 •D และ C = 2 9. ถา det (A) = 4 และ det (B) = –70 3. 1,212
3 •F – 0.4 10 4. 1,312
2 แลว a และ b มีคาตรงกับขอใด
B• 1 4. det (A), det (B) และ det (C) ตรงกับขอใด
•A X 1. a = 10 และ b = 2
5 4 3 2 1 10 1 2 3 4 5 1. 13, – 22 และ 3 2. a = 20 และ b = 2
E•
เดียวกัน
2 2. 19, – 8 และ 7
3 3. a = 30 และ b = 4
4 •C 3. 13, – 8 และ 3 4. a = 40 และ b = 4
5
4. 19, – 8 และ 3
5. (det (A))2 – (det (C))2 ตรงกับขอใด
1. คูอันดับใดตอไปนี้เปนพิกัดของจุด A, B, C, D, E 1. 312 2. 160
และ F ตามลําดับ 3. 352 4. 120
1. (0, 5), (– 2, 1), (– 4, 3), (4, 0), (– 3, – 2) 6. ผลลัพธในขอใดเทากับ 55
และ (1, 3) 1. 5det (A) + det4(B) – 10det (C)
2. (5, 0), (– 2, 1), (– 4, 3), (4, 0), (– 3, – 2) 2. det (A) + det (B) + 6det (C)
และ (1, 3) 3. 3det (A) – det (B) + det (C)
3. (5, 0), (– 2, 1), (3, – 4), (0, 4), (– 3, – 2) 4. 2det (A) – 3det (B) – det (C)
และ (1, 3) 4 –1 0
4. (0, 5), (1, – 2), (– 4, 3), (4, 0), (– 3, – 2) [ ]
7. ดีเทอรมิแนนตของ 5 10 3 ตรงกับขอใด
–4 –7 4
และ (1, 3)
1. 14 2. – 22
2. จุดใดตอไปนี้อยูบนแกน X 3. 276 4. 68
1. จุด D 2. จุด C
8. เมทริกซใดตอไปนี้มีดีเทอรมิแนนตเทากับ 80
3. จุด B 4. จุด A
4 0 –1
3. จุดใดตอไปนี้อยูบนแกน Y [
1. –9 5 1
4 0 3 ] 2. [ 5 5 ]
6 10
1. จุด D 2. จุด C
1 5 –10
3. จุด B 4. จุด A
[
3. 3 1 –2
1 2 6 ] 4. [ –4 3 ]
–20 5
T219
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครู อ ธิ บ ายความรู ้ เ กี่ ย วกั บ ระบบพิ กั ด ฉาก
สามมิติ ในหนังสือเรียน หน้า 208
3.1 ระบบพิกัดฉากสามมิติ
(Three-Dimensional Coordinate Systems)
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นยกมื อ ซ้ า ยและมื อ ขวาขึ้ น มา
จากนั้นให้นักเรียนงอนิ้วเหมือนรูปที่ 1 และ ระบบพิกัดฉากสามมิติ เปนระบบที่มีการกําหนดใหมีเสนตรงสามเสน โดยแตละเสนตั้งฉาก
รูปที่ 2 ในหนังสือเรียน หน้า 208 จากนั้นครู ซึ่งกันและกันและตัดกันที่จุดจุดหนึ่ง เรียกจุดนี้วา จุดกําเนิด (origin) เขียนแทนดวยจุด O และ
อธิบายวา จากกฎมือซ้ายและกฎมือขวา จะ เรียกเสนตรงทั้งสามเสนวา แกน X แกน Y และแกน Z
เห็นวา เมื่องอนิ้วทั้งสี่เข้าหาข้อแขนและงอนิ้ว การเขียนแกนในระบบพิกดั ฉากสามมิติ จะเขียนโดยยึดมือซายและมือขวา เรียกวา กฎมือซาย
โปงให้ตั้งฉากกับสันนิ้วทั้งสี่ที่งอและตั้งฉาก (left-handed rule) และกฎมือขวา (right-handed rule) ดังรูปที่ 1 และ 2
กับข้อแขน จะทําให้ได้ระบบพิกัดฉากสามมิติ Z Z
โดยกําหนดนิว้ โปงแทนด้วยแกน Z ข้อแขนแทน
ด้วยแกน Y และสันนิ้วทั้งสี่งอแทนด้วยแกน X
O X O Y
Y X
รูปที่ 1 รูปที่ 2
กฎมือซาย กฎมือขวา
T220
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาเนื้อหาในหนังสือ-
การเขียนระบบพิกดั ฉากสามมิตโิ ดยทัว่ ไปนิยมเขียนแกน X แกน Y และแกน Z เฉพาะทางบวก
เรียน หนา 209 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคู
ซึ่งมีลูกศรกํากับ ดังรูปที่ 4
ของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครู
Z Z ถามคําถาม ดังนี้
• ระบบพิกัดฉากสองมิติ แกน X และแกน Y
แบงระนาบออกเปนกี่สวน และแตละสวน
เรียกวาอะไร
O Y O Y (แนวตอบ ระบบพิกดั ฉากสองมิติ แกน X และ
แกน Y แบงระนาบออกเปน 4 สวน และ
X แตละสวนเรียกวา จตุภาค)
X • ระบบพิกัดฉากสามมิติ แกน X แกน Y และ
รูปที่ 4
Y แกน Z แบงระนาบออกเปนกีส่ ว น และแตละ
สวนเรียกวาอะไร
ในระบบพิกัดฉากสองมิติ แกน X และแกน Y (แนวตอบ ระบบพิกดั ฉากสามมิติ แกน X แกน
จตุภาคที่ 2 จตุภาคที่ 1
จะแบงระนาบออกเปน 4 สวน แตละสวนเรียกวา Y และแกน Z แบงระนาบออกเปน 8 สวน
X
จตุภาค (quadrant) ซึ่งการบอกลําดับจตุภาคที่ 1 O
และแตละสวนเรียกวา อัฐภาค)
จตุภาคที่ 2 จตุภาคที่ 3 และจตุภาคที่ 4 ใชทิศทาง จตุภาคที่ 3 จตุภาคที่ 4
เวกเตอรในสามมิติ 209
T221
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูให้นกั เรียนดูรปู ที่ 7 ในหนังสือเรียน หน้า 210
จากรูปที่ 6 กําหนดระนาบสามระนาบได ดังนี้
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันกําหนดลําดับ
1) ระนาบอางอิง XY หรือระนาบ XY เปนระนาบที่กําหนดดวยแกน X และแกน Y
อัฐภาค
2) ระนาบอางอิง XZ หรือระนาบ XZ เปนระนาบที่กําหนดดวยแกน X และแกน Z
5. ครูวาดรูปที่ 8 ในหนังสือเรียน หน้า 210 บน
กระดาน แล้วถามคําถามนักเรียน ดังนี้ 3) ระนาบอางอิง YZ หรือระนาบ YZ เปนระนาบที่กําหนดดวยแกน Y และแกน Z
• จุด F อยูบนระนาบใด และมีระยะหางจาก การกําหนดลําดับอัฐภาค จะพิจารณาโดยใชระนาบ XY ดังนี้ Z
อีกสองระนาบกี่หนวย อัฐภาคที่ 1 ถึงอัฐภาคที่ 4 เปนบริเวณที่อยู
(แนวตอบ อยูบนระนาบ XY หางจากระนาบ เหนือระนาบ XY หรือแกน Z ทางบวก โดยการ
YZ ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย และ เรียกลําดับของอัฐภาคจะนับทวนเข็มนาฬกาไป
หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปน ตามลําดับเชนเดียวกับระบบพิกดั ฉากสองมิติ และ
ระยะ 2 หนวย) อัฐภาคที่ 5 ถึงอัฐภาคที่ 8 เปนบริเวณที่อยูใต X
Y
• จุด E อยูบนแกนใด และมีระยะหางจาก
ระนาบ XY หรือแกน Z ทางลบ ดังรูปที่ 7 รูปที่ 7
ระนาบกี่หนวย
(แนวตอบ อยูบนแกน X หางจากระนาบ YZ
ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย) 1. การกําหนดพิกัดของจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ
จุดในแตละอัฐภาคจะเขียนแทนดวยจํานวนจริงสามจํานวน ซึง่ เปนจํานวนบวก หรือจํานวนลบ
หรือจํานวนศูนย เขียนเรียงลําดับกันตามแนวแกน X แกน Y และแกน Z เรียกวา สามสิ่งอันดับ
(ordered triple) ตามทิศทางทวนเข็มนาฬกา เพื่อใหนักเรียนเขาใจการบอกพิกัดของจุดในระบบ
พิกัดฉากสามมิติ ใหนักเรียนพิจารณาทรงเรขาคณิต ABCDEFGO ตอไปนี้
Z
จากรูปที่ 8 นักเรียนจะเห็นวา มีจุดยอด 3 จุด
6 D C อยูบนระนาบ XY ระนาบ XZ และระนาบ YZ
B4 ไดแก จุด F จุด A และจุด C ตามลําดับ
A
มีจุดยอด 3 จุด อยูบนแกน X แกน Y และ
2 แกน Z ไดแก จุด E จุด G และจุด D ตามลําดับ
2
O G Y มีจุดยอด 1 จุด ซึ่งไมอยูบนระนาบทั้งสามและ
2 4
4E ไมอยูบนแกนทั้งสาม ไดแก จุด B
X
F
รูปที่ 8
2D C
A O B 4 Y
G
3
E F
X
(เฉลยคําตอบ จุด A อยูบนระนาบ XZ และมีพิกัด (3, 0, 2)
จุด B ไมอยูบนระนาบทั้งสาม และมีพิกัด (3, 4, 2)
จุด C อยูบนระนาบ YZ และมีพิกัด (0, 4, 2)
จุด D อยูบนแกน Z และมีพิกัด (0, 0, 2)
จุด E อยูบนแกน X และมีพิกัด (3, 0, 0)
จุด F อยูบนระนาบ XY และมีพิกัด (3, 4, 0)
T222 จุด G อยูบนแกน Y และมีพิกัด (0, 4, 0))
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
• จุด B อยูบนแกนหรือบนระนาบใด และมี
จุด F อยูบนระนาบ XY หางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย และ
ระยะหางจากอีกสองระนาบกี่หนวย
หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย ดังนั้น จุด F มีพิกัด (3, 2, 0)
เขียนแทนดวย F(3, 2, 0) (แนวตอบ ไมอยูบ นแกนและบนระนาบทัง้ สาม
แตหางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X เปน
จุด A อยูบนระนาบ XZ หางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย และ
ระยะ 3 หนวย หางจากระนาบ XZ ตาม
หางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ 6 หนวย ดังนัน้ จุด A มีพกิ ดั (3, 0, 6)
แนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย และหาง
เขียนแทนดวย A(3, 0, 6)
จากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ
จุด C อยูบนระนาบ YZ หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย และ 6 หนวย)
หางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ 6 หนวย ดังนั้น จุด C มีพิกัด 6. ครู ว าดรู ป ที่ 9 ในหนั ง สื อ เรี ย น หน้ า 211
(0, 2, 6) เขียนแทนดวย C(0, 2, 6) บนกระดาน แล้วถามคําถามนักเรียน ดังนี้
จุด E อยูบนแกน X หางจากระนาบ YZ เปนระยะ 3 หนวย ดังนั้น จุด E มีพิกัด (3, 0, 0) • ถา x = 0 แลวพิกัดของจุด P อยูที่ใด
เขียนแทนดวย E(3, 0, 0) (แนวตอบ บนระนาบ YZ)
จุด G อยูบนแกน Y หางจากระนาบ XZ เปนระยะ 2 หนวย ดังนั้น จุด G มีพิกัด (0, 2, 0) • ถา y = 0 และ z = 0 แลวพิกัดของจุด P
เขียนแทนดวย G(0, 2, 0) อยูที่ใด
จุด D อยูบนแกน Z หางจากระนาบ XY เปนระยะ 6 หนวย ดังนั้น จุด D มีพิกัด (0, 0, 6) (แนวตอบ บนแกน X)
เขียนแทนดวย D(0, 0, 6)
จุด B ไมอยูบนแกนทั้งสามและไมอยูบนระนาบทั้งสาม แตหางจากระนาบ YZ ตามแนว
แกน X เปนระยะ 3 หนวย หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย
และหางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ 6 หนวย ดังนั้น จุด B มีพิกัด
(3, 2, 6) เขียนแทนดวย B(3, 2, 6)
กําหนดจุด P เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ ดังนี้
Z จากรูปที่ 9 P(x, y, z) มีความหมาย ดังนี้
จุด P อยูหางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X
P(x, y, z) ทางบวกหรือทางลบเปนระยะ x หนวย
จุด P อยูหางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y
O Y ทางบวกหรือทางลบเปนระยะ y หนวย
จุด P อยูหางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z
X ทางบวกหรือทางลบเปนระยะ z หนวย
รูปที่ 9
เวกเตอรในสามมิติ 211
T223
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
7. ครูให้นกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน คละความ-
ถา z = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนระนาบ XY เขียนแทนดวย P(x, y, 0)
สามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
ถา y = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนระนาบ XZ เขียนแทนดวย P(x, 0, z)
และเกง) ให้อยูก ลุม เดียวกัน แล้วรวมกันศึกษา
ถา x = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนระนาบ YZ เขียนแทนดวย P(0, y, z)
ตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน หน้า 212 แล้ว
แลกเปลี่ยนความรู้กันภายในกลุม จนเปนที่
ถา y = 0 และ z = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนแกน X เขียนแทนดวย P(x, 0, 0)
เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูสุมตัวแทนออกมา ถา x = 0 และ z = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนแกน Y เขียนแทนดวย P(0, y, 0)
เฉลยคําตอบหน้าชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบ ถา x = 0 และ y = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนแกน Z เขียนแทนดวย P(0, 0, z)
ความถูกต้อง เรียก (x, y, z) หรือ P(x, y, z) วา พิกัดของจุด P
ตัวอย่างที่ 1
Z
ใหหาพิกัดของจุด B, C, D, E, F และ G
C B
D A(2, 5, 4)
O Y
E G
X
F
212
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 2
เข้าใจ (Understanding)
ใหเขียนจุด A(-2, 5, 2), B(3, 2, -1) และ C(1, -4, 5) ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติ ครูให้นกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 213 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีทํา จุด A(-2, 5, 2) เปนจุดที่หางจากระนาบทั้งสามตามแนวแกน X ทางลบเปนระยะ คําตอบ “ลองทําดู”
2 หนวย แกน Y ทางบวกเปนระยะ 5 หนวย และแกน Z ทางบวกเปนระยะ 2 หนวย
จุด B(3, 2, -1) เปนจุดที่หางจากระนาบทั้งสามตามแนวแกน X ทางบวกเปนระยะ
3 หนวย แกน Y ทางบวกเปนระยะ 2 หนวย และแกน Z ทางลบเปนระยะ 1 หนวย
จุด C(1, -4, 5) เปนจุดที่หางจากระนาบทั้งสามตามแนวแกน X ทางบวกเปนระยะ
1 หนวย แกน Y ทางลบเปนระยะ 4 หนวย และแกน Z ทางบวกเปนระยะ 5 หนวย
เขียนจุด A, B และ C ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติได ดังนี้
Z
B(3, 2, -1)
X
ลองทําดู
ใหเขียนจุด A(-1, 5, 3), B(6, 3, -2,) และ C(2, -5, 3) ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติ
เวกเตอรในสามมิติ 213
T225
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูกลาวทบทวน ดังนี้
2. ภาพฉายของจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
• ระบบพิกัดฉากสามมิติ เปนระบบที่มีการ
กําหนดให้มีเส้นตรงสามเส้น แตละเส้นตัด พิจารณาทรงเรขาคณิตสามมิติที่กําหนด
Z
กันที่จุดกําเนิด เรียกวา แกน X แกน Y และ
แกน Z V(0, 0, z) R(0, y, z)
• แกน X แกน Y และแกน Z แบงระนาบออก S(x, 0, z) P(x, y, z)
เปน 8 สวน และเรียกแตละสวนวา อัฐภาค
Y
• จุดในแตละอัฐภาคเขียนแทนด้วยจํานวนจริง O U(0, y, 0)
สามจํานวน T(x, 0, 0) Q(x, y, 0)
2. ครูวาดรูปทรงสี่เหลี่ยมจากจุด A(2, 5, 4), X
รูปที่ 10
B(0, 5, 4), C(0, 0, 4), D(2, 0, 4), E(2, 0, 0),
F(2, 5, 0), G(0, 5, 0) และ O(0, 0, 0) จาก จากรูปที่ 10 จะเห็นวา Q(x, y, 0) เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY และอยูตรงขามกับจุด
นั้นครูถามคําถาม ดังนี้ P(x, y, z) เรียกจุด Q(x, y, 0) วาเปนภาพฉาย (projection) ของจุด P บนระนาบ XY
• จุด F(2, 5, 0) อยูบนระนาบใด และจุดที่อยู ในทํานองเดียวกัน เรียกจุด R(0, y, z) วาเปนภาพฉายของจุด P บนระนาบ YZ และเรียก
ตรงขามกับจุด F คือจุดใด S(x, 0, z) วาเปนภาพฉายของจุด P บนระนาบ XZ และเรียกจุด T(x, 0, 0), U(0, y, 0) และ
(แนวตอบ จุด F(2, 5, 0) อยูบนระนาบ XY V(0, 0, z) วาเปนภาพฉายของจุด P บนแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ
และจุดที่อยูตรงขาม คือ จุด A(2, 5, 4)) คณิตน่ารู้
3. จากคําถามครูอธิบายวา จุด F(2, 5, 0) เปน
ภาพฉายของจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ เปนเสนตั้งฉากจากจุดนั้นกับระนาบใดระนาบหนึ่ง
ภาพฉายของจุด A บนระนาบ XY จากนั้นครู จึงทําใหจุดที่เปนภาพฉายจะมีพิกัด X หรือพิกัด Y หรือพิกัด Z คาใดคาหนึ่งเทากับ 0
ถามนักเรียนวา
• จุดที่เปนภาพฉายของจุด A บนระนาบ YZ
ตัวอย่างที่ 3
และ XZ คือจุดใด Z
(แนวตอบ จุด B(0, 5, 4) เปนภาพฉายของ จากรูป ใหหาภาพฉายของจุด A(2, 3, 5)
จุด A บนระนาบ YZ และจุด D(2, 0, 4) เปน บนแกน X แกน Y แกน Z ระนาบ X Y
ภาพฉายของจุด A บนระนาบ XZ) A(2, 3, 5) ระนาบ YZ และระนาบ XZ
O Y
214
X
จากรูป ใหหาภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน X แกน Y
แกน Z ระนาบ XY ระนาบ YZ และระนาบ XZ
(เฉลยคําตอบ
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน X คือ จุด (3, 0, 0)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน Y คือ จุด (0, 1, 0)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน Z คือ จุด (0, 0, 4)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนระนาบ XY คือ จุด (3, 1, 0)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนระนาบ YZ คือ จุด (0, 1, 4)
T226 ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนระนาบ XZ คือ จุด (3, 0, 4))
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” จากหนังสือเรียน
วิธีทํา ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนแกน X คือ จุด (2, 0, 0)
หนา 214 จากนัน้ ครูยกตัวอยางเพือ่ ใหนกั เรียน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนแกน Y คือ จุด (0, 3, 0)
เขาใจมากยิ่งขึ้น
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนแกน Z คือ จุด (0, 0, 5)
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 3 ใน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนระนาบ XY คือ จุด (2, 3, 0)
หนังสือเรียน หนา 214-215 แลวแลกเปลี่ยน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนระนาบ YZ คือ จุด (0, 3, 5)
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนระนาบ XZ คือ จุด (2, 0, 5)
เขาใจ (Understanding)
ลองทําดู
ครูใหนักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
Z จากรูป ใหหาภาพฉายของจุด A(1, 4, 3) บนแกน เรียน หนา 215 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
X แกน Y แกน Z ระนาบ XY ระนาบ YZ และ
ระนาบ XZ คําตอบ “ลองทําดู”
A(1, 4, 3)
รู (Knowing)
O Y
1. ครูอธิบายความรูเกี่ยวกับระยะทางระหวางจุด
X
สองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ ในหนังสือ-
เรียน หนา 215-216 พรอมสรุปเปนทฤษฎีบท
1 ในหนังสือเรียน หนา 216
3. ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ
การหาระยะทางระหวางจุดสองจุดใด ๆ ใน Z
ระบบพิกัดฉากสามมิติ ทําไดโดยใชความรูจาก B(x2, y2, z2)
ภาพฉายของจุดทั้งสองบนระนาบ XY และ E(x2, y2, z1)
ความรูจากทฤษฎีบทพีทาโกรัส ดังนี้ A(x1, y1, z1)
ใหจดุ C และจุด D เปนภาพฉายของจุด A
และจุด B บนระนาบ XY ตามลําดับ แลวสราง Y
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก จะไดเปนรูปสามเหลี่ยม D(x2, y2, 0)
มุมฉาก ABE ดังรูปที่ 11 C(x1, y1, 0)
X
รูปที่ 11
เวกเตอรในสามมิติ 215
T227
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูแสดงวิธีหาคําตอบของตัวอยางที่ 4 ใน
จากความรูเรื่องระยะทางระหวางจุดบนระนาบ XY
หนังสือเรียน หนา 216 ใหนกั เรียนดูบนกระดาน
อยางละเอียด จะได CD = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2
เนื่องจาก AE = CD และ BE = z2 - z1
เขาใจ (Understanding) และ AB2 = AE2 + BE2
1. ครูใหนักเรียนจับคูทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ- ดังนั้น AB2 = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
เรียน หนา 216 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
นั่นคือ ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2)
เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
2. ครูใหนักเรียนคูเดิมชวยกันทําแบบฝกทักษะ หรือ AB เทากับ (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 หนวย
3.1 ในหนังสือเรียน หนา 217 จากนั้นครูสุม
ตั ว แทนแต ล ะคู อ อกมาเฉลยคํ า ตอบหน า ทฤษฎีบท 1 ระยะทางระหวางจุด A (x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2)
ชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน หรือ AB เทากับ (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 หนวย
ตรวจสอบความถูกตอง
3. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 3.1 เรื่อง ระยะทาง ตัวอย่างที่ 4
ระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ ใหหาระยะทางระหวางจุด A(-1, 3, 0) และ B(5, 1, 3)
และ Exercise 3.1 เปนการบาน
วิธีทํา จากสูตร AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
จะได AB = (5 - (-1))2 + (1 - 3)2 + (3 - 0)2
= 36 + 4 + 9
= 49
=7
ดังนั้น ระยะทางระหวางจุด A(-1, 3, 0) และ B(5, 1, 3) เทากับ 7 หนวย
ลองทําดู
ใหหาระยะทางระหวางจุด A(3, -1, 4) และ B(0, 2, -1)
216
T228
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
แบบฝึกทักษะ 3.1
• การแบงระนาบออกเปน 8 สวน เรียกวา
ระดับพื้นฐาน อะไร
1. Z จากรูป กําหนดจุด A(4, 8, 5) ใหหาพิกัดของ (แนวตอบ อัฐภาค)
5 C B จุด B, C, D, E, F และ G • การหาระยะทางระหวางจุดในระบบพิกัด-
ฉากสามมิติหาไดอยางไร
D A(4, 8, 5) (แนวตอบ หาไดจากสูตร
O G
Y AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
8
หนวย)
E
4 F
X ขัน้ ประเมิน
Z 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.1
2. จากรูป ใหหาพิกัดของจุดยอดมุมที่เหลือ
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.1
3. ครูตรวจ Exercise 3.1
E D(2, 12, 4)
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
O F G 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
Y
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
H C
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
X
A(5, 5, 0) B มุงมั่นในการทํางาน
ระดับกลาง
3. ใหเขียนจุด A(-2, 3, 5), B(4, 2, -1) และ C(1, -4, 2) ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติ
4. ใหหาภาพฉายของจุด A(2, -5, 8) และ B(-1, 4, 3) บนระนาบ XY ระนาบ YZ
และระนาบ XZ ตามลําดับ
5. ใหหาภาพฉายของจุด P(-5, -1, 7) บนแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ
6. ใหหาระยะทางระหวางจุดสองจุดที่กําหนดใหตอไปนี้
1) A(-3, 1, 0) กับ B(0, 2, -5)
2) A(0, 0, 0) กับ B(2, 2, 2)
3) A(-1, 0, 2) กับ B(0, -3, 0)
เวกเตอรในสามมิติ 217
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T229
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน A
สอนหรือแสดง รูปที่ 12
1. ครูอธิบายนักเรียนวา ปริมาณแบงออกเปน รูปที่ 12 แสดงเวกเตอรจาก A ไป B อานวา เวกเตอร เอบี เขียนแทนดวย AB หรือ AB
2 ประเภท คือ ปริมาณทีม่ ขี นาดเพียงอยางเดียว เรียก A วา จุดเริ่มตน (initial point) ของเวกเตอร และเรียก B วา จุดสิ้นสุด (terminal point)
เรี ย กว า ปริ ม าณสเกลาร และปริ ม าณที่ มี ของเวกเตอร ความยาวของสวนของเสนตรง AB หรือ BA คือ ขนาดของเวกเตอร AB
ทัง้ ขนาดและทิศทาง เรียกวา ปริมาณเวกเตอร
เขียนแทนดวย AB
หรือเรียกสั้นๆ วา เวกเตอร
ในกรณีที่ตองการกลาวถึงเวกเตอรใด ๆ ที่ไมตองการระบุ
จุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุดจะใชตัวอักษรเพียงตัวเดียวเทานั้น ซึ่งมี u
เครื่องหมาย “ ” หรือ “ __ ” กํากับไว เชน u หรือ u และใช
สัญลักษณ u แทนขนาดของ u ดังรูปที่ 13
รูปที่ 13
218
เกร็ดแนะครู
ครูควรยกตัวอยางข้อความหรือประโยคที่เกี่ยวกับปริมาณกอน แล้วจึงบอก
บทนิยามของปริมาณสเกลารและปริมาณเวกเตอร
T230
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
2. ครูให้นกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน
v จากรูปที่ 14 u กับ v เปนเวกเตอรที่อยูใน
หน้า 218-219 แล้วแลกเปลีย่ นความรูก้ บั คูข อง
แนวเสนตรงเดียวกัน และมีหวั ลูกศรไปทางเดียวกัน
ตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
u กับ a และ v กับ a เปนเวกเตอรที่อยูในแนว
θ
a 3. ครูให้นักเรียนแตละคู วาดรูปเวกเตอรตาม
เสนตรงที่ขนานกัน และมีหัวลูกศรไปทางเดียวกัน คําสั่ง ดังนี้
θ
u เรียก u กับ v, u กับ a และ v กับ a วาเปน • u กับ v เปนเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน
เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน • a กับ b เปนเวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันข้าม
w
สวน w กับ a เปนเวกเตอรทอี่ ยูใ นแนวเสนตรง • c กับ d เปนเวกเตอรที่ขนานกัน
รูปที่ 14 เดียวกัน แตมีหัวลูกศรไปทางตรงกันขาม w กับ u • e กับ f เปนเวกเตอรที่เทากัน
และ w กับ v เปนเวกเตอรที่อยูในแนวเสนตรง • ให้สร้าง g จากนั้นสร้าง -g
ที่ขนานกัน แตมีหัวลูกศรไปทางตรงกันขาม เรียก w กับ a, w กับ u และ w กับ v วาเปน 4. เมื่อนักเรียนแตละคูวาดรูปเวกเตอรเสร็จแล้ว
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับเวกเตอรที่มีทิศทาง
บทนิยาม u และ v ขนานกัน ก็ตอเมื่อ เวกเตอรทั้งสองมีทิศทางเดียวกันหรือทิศทางตรงกันขาม
เดี ย วกั น เวกเตอร ที่ มี ทิ ศ ทางตรงกั น ข้ า ม
เขียนแทนดวย u // v เวกเตอรที่ขนานกัน เวกเตอรที่เทากัน และ
นิเสธของเวกเตอร
จากรูปที่ 15 กําหนด AB, CD และ EF เปน
B เวกเตอรที่มีขนาดเทากัน จะเห็นวา AB กับ CD
D เปนเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน แต EF เปน
E เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขามกับ AB และ CD
A
ซึ่งกลาววา AB เทากับ CD เขียนแทนดวย
C
AB = CD และ EF เปนนิเสธกับ AB และ CD
F
เขียนแทนดวย EF = -AB และ EF = -CD
รูปที่ 15
การเทากันของเวกเตอรและนิเสธของเวกเตอร
มีบทนิยาม ดังนี้
บทนิยาม u เทากับ v ก็ตอเมื่อ เวกเตอรทั้งสองมีขนาดเทากันและทิศทางเดียวกัน
เขียนแทนดวย u = v
เวกเตอรในสามมิติ 219
3. 4.
w
t
T231
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 5 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 5
หนา 220 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของ
ดนัยขับรถจักรยานยนตไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต ใชเวลา 112 ชั่วโมง
ตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ดวยความเร็ว 60 กิโลเมตรตอชั่วโมง ใหเขียนเวกเตอรแสดงการเคลื่อนที่ของดนัย
เปรียบเทียบและรวบรวม วิธีทํา เวลา 1 12 ชั่วโมง ดนัยขับรถไดระยะทาง 90 กิโลเมตร N
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน เขียนเวกเตอรโดยใชมาตราสวน 1 ซม. : 30 กม.
W E
หนา 220 เมือ่ เสร็จแลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ขนาดของเวกเตอรเทากับ 3 เซนติเมตร
60 กม./ชม.
คําตอบ “ลองทําดู” S
สอนหรือแสดง
1. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 6 ในหนังสือ- ลองทําดู
เรียน หนา 220 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ ชาติชายขับรถยนต ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือใชเวลา 1 ชั่วโมง ดวยความเร็ว 100
• เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกันกับเวกเตอรที่มี กิโลเมตรตอชั่วโมง ใหเขียนเวกเตอรแสดงการเคลื่อนที่ของชาติชาย
ทิศทางตรงกันขาม ตางกันอยางไร ตัวอย่างที่ 6
(แนวตอบ เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกันและ D C
กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน
เวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางตรงกันขามเปนเวกเตอร ดังรูป ใหหาเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางเดียวกัน เวกเตอร O
ที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกัน หรืออยูในแนว ที่มีทิศทางตรงกันขาม เวกเตอรที่เทากัน และ
เสนตรงที่ขนานกัน แตเวกเตอรที่มีทิศทาง เวกเตอรที่เปนนิเสธกันอยางละ 2 คู A B
เดียวกันจะมีหัวลูกศรไปทางเดียวกัน และ
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขามจะมีหัวลูก- วิธีทํา เนื่องจาก ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน
ศรไปทางตรงกันขาม) จะได AB = DC, AB // DC, AD = CB, AD // CB, BO = OD และ AO = CO
• เวกเตอรที่เทากันจะมีลักษณะอยางไร จากรูป เวกเตอรที่มีิทิศทางเดียวกัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
(แนวตอบ เวกเตอร 2 เวกเตอรจะมีขนาดเทากัน เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม คือ AD กับ CB และ AO กับ CO
ก็ตอเมื่อเวกเตอรทั้งสองมีขนาดเทากันและ ดังนั้น เวกเตอรที่เทากัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
ทิศทางเดียวกัน) เวกเตอรที่เปนนิเสธกัน คือ AD กับ CB และ AO กับ CO
• นิเสธของเวกเตอรใดๆ จะมีลกั ษณะอยางไร
(แนวตอบ นิเสธของเวกเตอรใดๆ คือ เวกเตอร คณิตน่ารู้
ที่มีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขาม) เสนทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูนยาวไมเทากัน แตแบงครึ่งซึ่งกันและกัน
220
2 เซนติเมตร
W E
S )
T232
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
2. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หน้า 220 ให้กับนักเรียน
กําหนด PQRS เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ดังรูป
S R เปรียบเทียบและรวบรวม
ลองทําดู
T S
กําหนด MNOPQRST เปนปริซึมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังรูป
1) ใหหาเวกเตอรที่เทากันกับ MP Q R
2) ใหหาเวกเตอรที่เปนนิเสธกับ NM และ NR P O
M N
เวกเตอรในสามมิติ 221
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ดังรูป
A B
O
D C
ใหหาเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม เวกเตอรที่เทากัน และเวกเตอร
ที่เปนนิเสธกันอยางละ 2 คู
(เฉลยคําตอบ เนื่องจาก ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา
จะได AB = DC, AB // DC, DA = BC, DA // BC, CO = AO และ BO = OD
จากรูป เวกเตอรที่มีิทิศทางเดียวกัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม คือ DA กับ BC และ CO กับ AO
ดังนั้น เวกเตอรที่เทากัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
เวกเตอรที่เปนนิเสธกัน คือ DA กับ BC และ CO กับ AO
T233
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
คณิตน่ารู้
หนา 222 วา เสนทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมขนม-
เปยกปูนยาวไมเทากัน แตแบงครึ่งซึ่งกันและกัน การกําหนดทิศทางของเวกเตอร โดยใชระบบตัวเลขสามตัว จะใชขนาดของมุมเปนองศาในการ
บอกทิศทาง โดยเริ่มวัดจากทิศเหนือไปตามเข็มนาฬกาตามขนาดของมุมที่กําหนด โดยขนาดของมุม
ที่อยูระหวาง 0 กับ 100 องศา จะเปน 0 นําหนา เชน ขนาดของมุม 60 องศา เขียนแทนดวย 060
องศา ซึ่งเขียนเวกเตอรได ดังรูป
N
60 ํ
W E
แบบฝึกทักษะ 3.2 ก
ระดับพื้นฐาน
1. ใหพิจารณาขอความที่กําหนดตอไปนี้ วาเปนปริมาณสเกลารหรือปริมาณเวกเตอร
1) ตูเสื้อผาใบหนึ่งสูง 210 เซนติเมตร
2) แตงโมผลหนึ่งมีนํ้าหนัก 3 กิโลกรัม
3) เสือตัวหนึ่งวิ่งไปทางทิศใตดวยความเร็ว 40 กิโลเมตรตอชั่วโมง
4) ปกรณเดินไปทางทิศเหนือเปนระยะทาง 300 เมตร
5) คมสันตออกแรงผลักโตะไปขางหนาเปนระยะทาง 25 เมตร
6) ปรานีใชเวลาทําการบาน 35 นาที
2. กันยาขับรถไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตดวยความเร็ว 100 กิโลเมตรตอชั่วโมง เปนเวลา
45 นาที ใหเขียนเวกเตอรแสดงการเคลื่อนที่ของกันยา
222
T234
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
3. กําหนด ABCDEF เปนรูปหกเหลี่ยมดานเทา ดังรูป “คูคิด (Think Pair Share)” ดังนี้
A B
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
F C จากแบบฝกทักษะ 3.2 ก ในหนังสือเรียน
หนา 222-223
E D
• ให นั ก เรี ย นจั บ คู กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น
ใหหาเวกเตอรที่กําหนดตอไปนี้ คําตอบกัน สนทนา ซักถามซึ่งกันและกัน
1) เวกเตอรที่ขนานกัน 2 คู จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2) เวกเตอรที่เทากัน 2 คู • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
3) เวกเตอรที่เปนนิเสธกัน 2 คู ชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
4. กําหนดเวกเตอรทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ดังรูป
E F
D
C
H G
A B
1) ใหหาเวกเตอรที่เทากันกับ AD และ AH
2) ใหหาเวกเตอรที่เปนนิเสธกับ BC และ BA
ระดับกลาง
5. ใหเขียนสวนของเสนตรงที่มีทิศทางแทนปริมาณเวกเตอรที่กําหนดตอไปนี้
1) 90 เมตร ไปทางทิศใต 2) 45 กิโลเมตร ไปทางทิศ 045 องศา
3) 60 เมตร ไปทางทิศ 320 องศา 4) 20 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
6. ชัยทัศนปน จักรยานไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปนระยะทาง 3 กิโลเมตร แลวปนจักรยาน
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเปนระยะทาง 3 กิโลเมตร ใหหาวาชัยทัศนอยูห า งจากจุดเริม่ ตน
เปนระยะทางเทาใด และอยูในทิศใดของจุดเริ่มตน
7. ถา w แทนการเดินทาง 40 กิโลเมตร ไปทางทิศ 060 องศา ใหอธิบายการเดินทางที่แทน
ดวย -w
เวกเตอรในสามมิติ 223
T235
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครูกําหนด u และ v ไว้บนกระดาน ดังนี้
1. การบวกและการลบเวกเตอร
(Addition and Subtraction of Vector)
u v จากแนวคิดการบวกและการลบของจํานวนจริง ซึ่งเปนการนับตอหรือหักออกจากตัวตั้ง
และใชบทนิยามการเทากันของเวกเตอรที่เทากับตัวบวกหรือตัวลบมานิยามการบวกและการลบ
2. ครูให้นกั เรียนวาด u จากนัน้ ให้นาํ จุดเริม่ ต้น เวกเตอร
ของ v มาตอกับจุดสิ้นสุดของ u และให้ 1) การบวกเวกเตอร (Addition of Vector)
นักเรียนใช้สันตรงลากเส้นจากจุดเริ่มต้น ใหนักเรียนพิจารณาการบวก u และ v ที่กําหนดดังรูปที่ 16 การหาผลบวกของ u
ของ u ไปยังจุดสิน้ สุดของ v และให้นกั เรียน กับ v เขียนแทนดวย u + v โดยที่ u เปนตัวตั้ง และ v เปนตัวบวก ทําไดโดยสรางเวกเตอร w
กําหนดชื่อเปน a ซึ่งจะได้รูป ดังนี้ ที่เทากับ v แลวนําจุดเริ่มตนของ w มาตอกับจุดสิ้นสุดของ u จะไดผลบวกของเวกเตอรหรือ
เวกเตอรผลลัพธ ซึ่งเปนเวกเตอรที่มีทิศทางจากจุดเริ่มตนของ u ไปยังจุดสิ้นสุดของ w
v
u u u w
v
a
u+w=u+v
3. ครูอธิบายวา เราจะเรียก a วาเปนเวกเตอร รูปที่ 16
ผลบวกของ u และ v ซึ่งเวกเตอร a เกิดจาก
บทนิยาม ให u และ v เปนเวกเตอรใด ๆ
การลากเส้นจากจุดเริม่ ต้นอยูท จี่ ดุ เริม่ ต้นของ u ผลบวกของ u และ v เขียนแทนดวย u + v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตนของ
ไปยังจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v ดังนั้น u และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
ผลบวกของ u และ v เขียนแทนด้วย u + v
4. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน คณิตน่ารู้
หน้า 224 ให้กับนักเรียน นักเรียนอาจหาผลบวกของ u และ v โดยการนําจุดเริ่มตนของ v มาตอกับจุดสิ้นสุดของ u
ผลบวกของเวกเตอรหรือเวกเตอรผลลัพธของ u และ v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตนของ
u และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
u v
v u
u+v
224
แล้วให้นักเรียนหา u + w + t , v + w + u
T236
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครูให้นกั เรียนดูรปู ที่ 17 ในหนังสือเรียน หน้า 225
พิจารณาการบวกเวกเตอร u, v และ w ที่กําหนด ดังรูปที่ 17
v จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
u v u • u + v เทากับ w ใชหรือไม เพราะเหตุใด
w w (แนวตอบ ไมใช เพราะผลบวกของ u และ
u+v+w
รูปที่ 17 v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตน
จากรูปที่ 17 จะเห็นวา ผลบวกของ u + v + w เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนและจุดสิ้น ของ u จุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v แต
สุดเปนจุดเดียวกัน เรียกวา เวกเตอรศูนย (zero vector) w มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดสิ้นสุดของ v และจุด
สิ้นสุดอยูที่จุดเริ่มตนของ u ดังนั้น ผลบวก
บทนิยาม เวกเตอรศูนย คือ เวกเตอรที่มีขนาดเปนศูนย เขียนดวย 0
ของ u และ v เทากับ - w )
• v + w เทากับ -u ใชหรือไม เพราะเหตุใด
Thinking Time
(แนวตอบ ใช เพราะ -u มีจุดเริ่มตนอยูที่
กําหนดจุด A ดังนี้
จุดเริ่มตนของ v จุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุด
•A
นักเรียนคิดวา จุด A เปนเวกเตอรศูนยหรือไม ของ w )
6. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ บทนิ ย ามของ
2) การลบเวกเตอร (Subtraction of Vector) เวกเตอรศูนย ในหนังสือเรียน หน้า 225
ใหนักเรียนพิจารณาการลบ u และ v ที่กําหนด ดังรูปที่ 18 การหาผลลบของ u กับ เปรียบเทียบและรวบรวม
v เขียนแทนดวย u - v โดยที่ u เปนตัวตั้ง และ v เปนตัวลบ ใหสรางเวกเตอร w ที่เทากับ v
ครูให้นกั เรียนทํา “Thinking Time” ในหนังสือ-
แลวนําจุดเริ่มตนของ w มาตอกับจุดเริ่มตนของ u จะไดผลลบของเวกเตอรหรือเวกเตอรผลลัพธ
เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนจากจุดสิ้นสุดของ w ไปยังจุดสิ้นสุดของ u เรียน หน้า 225 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “Thinking Time”
u
สอนหรือแสดง
u
v u-w=u-v 1. ครูกําหนด u และ v ไว้บนกระดาน ดังนี้
w
u v
รูปที่ 18
บทนิยาม ให u และ v เปนเวกเตอร ใด ๆ
ผลลบของ u และ v เขียนแทนดวย u - v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ u เฉลย Thinking Time
เวกเตอรในสามมิติ 225
เมื่อเขียนเวกเตอรจาก A ไป A จะเห็นวามีจุด
เริ่มตนและจุดสิ้นสุดเปนจุดเดียวกัน ดังนั้น จุด A
เปนเวกเตอรศูนย
T237
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
2. ครูใหนักเรียนวาด u จากนั้นใหนําจุดเริ่มตน คณิตน่ารู้
ของ v มาตอกับจุดเริ่มตนของ u และให
นักเรียนใชสนั ตรงลากเสนจากจุดสิน้ สุดของ v นักเรียนอาจหาผลบวกของ u และ v โดยการหาผลบวกของ u และนิเสธของ v ดังนี้
ไปยังจุดสิ้นสุดของ u และใหนักเรียนกําหนด
ชื่อเปน a ซึ่งจะไดรูป ดังนี้ u
-v
u u-v
v -v
u a u
v ดังนั้น u - v = u + (-v)
C
รูปที่ 20
226
T238
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 8 ใน
จากรูปที่ 20 จะเห็นวา เสนทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABDC จะเปนเวกเตอร
หนังสือเรียน หนา 227-228 แลวแลกเปลี่ยน
ผลลัพธ ดังนี้
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
เสนทแยงมุม AD จะเปนเวกเตอรผลลัพธของ u + v กลาวคือ AD = u + v
จากนั้นครูอธิบายตัวอยางที่ 8 อีกครั้ง เพื่อให
เสนทแยงมุม CB จะเปนเวกเตอรผลลัพธของ u - v กลาวคือ CB = u - v นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น และเปดโอกาสให
เสนทแยงมุม BC จะเปนเวกเตอรผลลัพธของ v - u กลาวคือ BC = v - u นักเรียนซักถามในประเด็นที่ไมเขาใจ
ตัวอย่างที่ 8
a c d
e
b
ใหหาเวกเตอรผลลัพธของ
1) a + c 2) b - c 3) a + e + b
4) b - e - c 5) a + e - c
วิธีทํา 1) a+c 2)
b-c
a c c
b
3) 4)
b
a b-e-c c
e
a+e+b=0
e
b
เวกเตอรในสามมิติ 227
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด a, b และ c ดังนี้
a b c
ใหหาเวกเตอรผลลัพธของ
1) a + b 2) b - c 3) c + a + b
(เฉลยคําตอบ 1) 2) b-c
a+b
b c
a b
' 3) c+a+b
c
b
a )
T239
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
5)
เรียน หน้า 228 เมือ่ เสร็จแล้วครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ “ลองทําดู” c a+e-c
สอนหรือแสดง
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือ- a
เรียน หน้า 228 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้กับคูของ e
ตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูอธิบาย
ตัวอยางที่ 9 อีกครั้ง เพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่ง ลองทําดู
ขึ้น และเปดโอกาสให้นักเรียนซักถามในประเด็น กําหนด p, q, r, s และ e ดังนี้
ที่ไมเข้าใจ
p q r s e
ใหหาเวกเตอรผลลัพธของ
1) p + q 2) r - s 3) p + q + s
4) q - r - e 5) e + q - r
ตัวอย่างที่ 9
จากปริซึมสามเหลี่ยม ABCDEF E z D
กําหนด BA = u, BC = v, AE = w w
และ DE = z ใหหา AC, AD และ FC A F
C
ในรูปของ u, v, w และ z u v
B
F D
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
T240 เดียวกัน
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
แบบฝึกทักษะ 3.2 ข
ระดับพื้นฐาน
1) AB + DA + BD
2) DE + BE
3) CE + AD + AB
4) (AE + DE) - (DB + BC)
2. E D จากรูป กําหนด BC = a, BA = b, FE = c และ DB = d
c d
ใหเขียนเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ในรูปของ a, b, c
C
และ d
F
a
A b B
1) BF 2) AE
3) AD 4) BE
เวกเตอรในสามมิติ 229
T241
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครูกําหนด u ไว้บนกระดาน ดังนี้
ระดับกลาง
2. ครูให้นักเรียนวาด u จากนั้นให้นําจุดเริ่มต้น a f
ของ u มาตอกันอีก 3 อัน ดังนี้ c
d
b e
u
4. D C
จากรูป ใหหาผลบวกของ EC + BA + EA
u
u E
230
E D
จากรูป ใหหาผลบวกของ
1) AB - BO + OA 2) ED + DC + DF + FE
(เฉลยคําตอบ 1) AB - BO + OA = (AB + OA) - BO
= BO + BO
= 2BO
2) ED + DC + DF + FE = ( ED + DC + DF ) + FE
= EF + FE
= EF + (-EF)
T242 = 0)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
บทนิยาม ให a เปนสเกลาร และ u เปนเวกเตอร ผลคูณของเวกเตอร u ดวยสเกลาร a • ถานํา 3 คูณกับ v จะไดเวกเตอรใน
เปนเวกเตอร เขียนแทนดวย au โดยที่ ลักษณะใด
1) ถา a = 0 แลว au = 0 (แนวตอบ 3 v มีขนาดเปนสามเทาของ v
2) ถา a > 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au และมีทิศทางเดียวกับ u
และมีทิศทางเดียวกับ v )
3) ถา a < 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au แตมีทิศทางตรงกันขามกับ u
• ถานํา -2 คูณกับ v จะไดเวกเตอรใน
ตัวอย่างที่ 10 ลักษณะใด
กําหนด u เปนเวกเตอรที่มี u = 2 หนวย ซึ่งมีทิศทาง ดังรูป (แนวตอบ -2v มีขนาดเปนสองเทาของ v และ
มีทิศทางตรงกันขามกับ v )
7. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 10 ในหนังสือ-
เรียน หน้า 231 จากนั้นครูอธิบายให้นักเรียน
ใหหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรตอไปนี้ พรอมทั้งเขียนแสดงเวกเตอร ฟงอยางละเอียดอีกครั้ง
1) 2u 2) -3u
เปรียบเทียบและรวบรวม
วิธีทํา 1) เนื่องจาก 2 > 0 ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น 2u มีขนาดเทากับ 2u = 22 = 4 หนวย 2u หน้า 231 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
และมีทิศทางเดียวกับ u คําตอบ “ลองทําดู”
2) เนื่องจาก -3 < 0
ดังนั้น -3u มีขนาดเทากับ -3u = -32 = 6 หนวย
แตมีทิศทางตรงกันขามกับ u -3u
ลองทําดู
กําหนด a เปนเวกเตอรที่มี a = 3 หนวย ซึ่งมีทิศทาง ดังรูป
ใหหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ พรอมทั้งเขียนแสดงเวกเตอร
1) 3a 2) -4a เวกเตอรในสามมิติ 231
T243
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 10 ใน
ตัวอย่างที่ 11
หนังสือเรียน หน้า 232 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้กับ
คูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน กําหนด u และ v ดังนี้
u v
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ- ใหหาเวกเตอรผลลัพธที่กําหนดใหตอไปนี้
เรียน หน้า 232 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน 1) u + 2v 2) 3u - 2v
เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
วิธีทํา 1) 2)
u 2v
3u
u + 2v
3u - 2v
2v
ลองทําดู
กําหนด a และ b ดังนี้
a b
ใหหาเวกเตอรผลลัพธที่กําหนดใหตอไปนี้
1) 2a + b 2) 5a - 2b
232
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ
ตัวอย่างที่ 12
A
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด D จุด E และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน รวมกันศึกษาตัวอยาง
และจุด F เปนจุดกึ่งกลางของ BC, AB ที่ 12 ในหนังสือเรียน หนา 233 แลวแลกเปลี่ยน
F E และ CA ตามลําดับ ใหเขียนเวกเตอร ความรูภายในกลุมของตนเอง จนเปนที่เขาใจ
แทนการบวกของ AD + CE + BF รวมกัน จากนัน้ ครูสมุ ตัวแทนนักเรียนออกมาแสดง
C
D B วิธหี าคําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความ
ถูกตอง
วิธีทํา แบบที่ 1 ใชบทนิยามการบวกเวกเตอร สรางเวกเตอรที่เทากับเวกเตอรที่เปนตัวบวก
โดยใหจุดเริ่มตนของตัวบวกกับจุดสิ้นสุดของตัวตั้งเปนจุดเดียวกัน
A
F E
C B
D
จากรูป จะเห็นวา AD + CE + BF = 0
แบบที่ 2 ใชบทนิยามการคูณเวกเตอรดวยสเกลาร หาเวกเตอรผลลัพธของ
AD + CE + BF
จากจุด D จุด E และจุด F เปนจุดกึ่งกลางของ BC , AB และ CA
ตามลําดับ และ BD = BD , BE = BE และ AF = AF
เมื่อใชบทนิยามของการคูณเวกเตอรดวยสเกลาร จะได
BD = 12 BC, BE = 12 BA และ AF = 12 AC
ดังนั้น AD + CE + BF = (AB + BD) + (CB + BE) + (BA + AF)
= (AB + CB + BA) + (BD + BE + AF)
= CB + ( 12 BC + 12 BA + 12 AC)
= CB + ( 12 BC + 12 BC)
= CB + BC
=0
เวกเตอรในสามมิติ 233
T245
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครู ใ ห นั ก เรี ย นกลุ ม เดิ ม ทํ า “ลองทํ า ดู ” ใน ลองทําดู
หนังสือเรียน หนา 234 จากนั้นครูและนักเรียน A B กําหนดรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD
ทุกกลุมรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ใหเขียนเวกเตอรแทนการบวกของ CA + DB
E
สอนหรือแสดง
D C
1. ครูอธิบายทฤษฎีบท 2 และ 3 ในหนังสือเรียน
หนา 234
ทฤษฎีบท 2 ให u และ v เปนเวกเตอร ใด ๆ บนระนาบ โดยที่ u 0 และ v 0
2. ครูแสดงวิธีการหาคําตอบตัวอยางที่ 13 ใน u ขนานกับ v ก็ตอเมื่อ มีจํานวนจริง a 0 ที่ทําให u = av
หนังสือเรียน หนา 234 บนกระดาน และเปด
โอกาสใหนกั เรียนซักถามในประเด็นทีไ่ มเขาใจ
ทฤษฎีบท 3 ให u และ v เปนเวกเตอร ใด ๆ บนระนาบ โดยที่ u 0 และ v 0
u ไมขนานกับ v ถา au + bv = 0 แลว a = 0 และ b = 0
เปรียบเทียบและรวบรวม
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 13
หนา 234 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” กําหนด u, v และ w ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนานกับ v
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 3.2 เปนการบาน เมื่อ 4u - 3v = 2v และ u ขนานกับ w เมื่อ 3u - 2w = w + 5u
วิธีทํา จากทฤษฎีบท 2 จะไดวา
4u - 3v = 2v และ 3u - 2w = w + 5u
4u = 2v + 3v 3u - 5u = w + 2w
4u = 5v -2u = 3w
5
u = 4v u = - 32 w
ดังนั้น u ขนานกับ v และ u ขนานกับ w
ลองทําดู
กําหนด a, b และ c ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดง a ขนานกับ b เมื่อ 2a - 5b = b
และ a ขนานกับ c เมื่อ 2a + 3c = c - a
234
T246
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาแนวขอสอบ PAT 1
แนวข้อสอบ PAT 1
ในหนังสือเรียน หนา 235 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กําหนด u และ v มีทิศทางเดียวกันและไมเปนเวกเตอรศูนย ใหหาคาของ x ที่เปนจํานวนจริง ซึ่งกันและกัน จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ซึ่งทําให 6u + 8v = (2x2 + x)u - 3v
แนวคิด ขัน้ สรุป
จากโจทย 6u + 8v = (2x2 + x)u - 3v สรุป
8v + 3v = 2x2u + xu - 6u ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
11v = (2x2 + x - 6)u นักเรียน ดังนี้
u = ( 2 11 v โดยมี 2 11 • เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรที่มี
2x + x - 6 )
เปนจํานวนจริง
2x + x - 6 ทิศทางตรงกันขาม ตางกันอยางไร
จากทฤษฎีบท 2 ถา u = av และ a > 0 แลว u ขนานกับ v และมีทิศทางเดียวกัน (แนวตอบ เวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางเดียวกัน เวกเตอร
จะได 11 > 0 ทีม่ ที ศิ ทางตรงกันขาม เปนเวกเตอรทอี่ ยูใ น
2x2 + x - 6
11 3 แนวเสนตรงเดียวกันหรืออยูในแนวเสนตรง
(2x - 3)(x + 2) > 0 เมื่อ x 2 หรือ x -2 ที่ขนานกัน แตเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน
11(2x - 3)(x + 2) > 0 จะมีหัวลูกศรไปทางเดียวกัน และเวกเตอร
(2x - 3)(x + 2) > 0 ที่มีทิศทางตรงกันขามจะมีหัวลูกศรไปทาง
ตรงกันขาม)
+ -2 - 3 +
2 • เวกเตอรที่ขนานกันจะมีลักษณะอยางไร
ดังนั้น x∊(-∞, -2) ( 32 , ∞) (แนวตอบ เวกเตอร 2 เวกเตอรจะขนานกัน
ก็ตอเมื่อเวกเตอรทั้งสองมีทิศทางเดียวกัน
หรือทิศทางตรงกันขาม)
แบบฝึกทักษะ 3.2 ข • เวกเตอรที่เทากันจะมีลักษณะอยางไร
(แนวตอบ เวกเตอร 2 เวกเตอรจะมีขนาด
ระดับพื้นฐาน เท า กั น ก็ ต อ เมื่ อ เวกเตอร ทั้ ง สองมี ข นาด
1. กําหนด a เปนเวกเตอรที่มี a = 2 หนวย ซึ่งมีทิศทาง ดังรูป เทากันและทิศทางเดียวกัน)
a
ใหหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ พรอมทั้งเขียนแสดงเวกเตอร
1) -4a 2) 3a
เวกเตอรในสามมิติ 235
T247
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
สรุป
• นิเสธของเวกเตอรใดๆ จะมีลกั ษณะอยางไร 2. กําหนด u และ v ดังนี้
(แนวตอบ นิเสธของเวกเตอรใดๆ คือ เวกเตอร
ที่มีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขาม) u v
นําไปใช้ ใหหาเวกเตอรผลลัพธในแตละขอตอไปนี้
ให้นกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 3.2 ค ในหนังสือ- 1) 2u + 3v 2) v - 3u 3) u - 2v
เรียน หน้า 235-236
ระดับกลาง
ขัน้ ประเมิน 3. กําหนด u และ v ไมเปนเวกเตอรศูนย และ u = av ใหหาคา a เมื่อ u = 2 และ v = 4
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.2 4. กําหนด u และ v ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนานกับ v
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.2 1) 2u = 7v 2) 8u + 6v = 0
3. ครูตรวจ Exercise 3.2 3) 5u + 6v = 4u + 2v 4) 2u + 5v = 4u - v
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 5. กําหนด u และ v ไมขนานกันและไมเปนเวกเตอรศูนย ใหหาคาของ a และ b ที่ทําให
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล (2a + 3b - 1)u + (3a - 2b - 3)v = 0
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 6. กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งมีจุด M และจุด N เปนจุดกึ่งกลางของ BC
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้ และ CD ตามลําดับ ใหแสดงวา AB = 43 u - 23 v เมื่อ u = AM และ v = AN
มุงมั่น ในการทํางาน 7. กําหนดรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD ที่มีจุด E จุด F จุด G และจุด H เปนจุดกึ่งกลางของ
ดานทั้งสี่ ตามลําดับ ใหหาผลบวกของ DE + DF + BG + BH
ระดับทาทาย
8. E D จากรูป กําหนด F เปนจุดกึ่งกลางของ AD และ
AB = ED = 2BC ใหหาคาของ a + b ที่ทําให
F
AF = aBC + bDC
A B C
9. D C กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน และให
CE = 23 CB, AO = aAE และ OB = bDB ใหหา
O E
คาของ a และ b
A B
236
ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
ระดับคะแนน 9 = ∣a∣3
9
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
∣a∣ = 3
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
∣a∣ = 3
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ให้
ให้
4
3
คะแนน
คะแนน
a=3
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T248
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T249
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การเขียนเวกเตอรใน
ตัวอย่างที่ 14
ระบบพิกัดฉากสองมิติโดยทั่วไป เขียนแทน
a
ด้ ว ย [ b] ซึ่ ง เป น ผลบวกของเวกเตอร ส อง ใหเขียน -22 และ 13 โดยมีจุดเริ่มตนที่จุด O(0, 0) และจุด P(2, 1) ตามลําดับ
เวกเตอร คือ เวกเตอร u มีขนาด a หนวย
ถ้า a > 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทางขนานกับแกน วิธีทํา Y
X ไปทางขวา ถ้า a < 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทาง
ขนานกับแกน X ไปทางซ้าย เวกเตอร v มีขนาด
b หนวย ถ้า b > 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทาง
P(2, 1)
ขนานกับแกน Y ไปข้างบน ถ้า b < 0 เวกเตอร O(0, 0)
X
นี้จะมีทิศทางขนานกับแกน Y ไปด้านลาง
3. ครูอธิบายตัวอยางที่ 14 ในหนังสือเรียน หน้า
238 บนกระดาน และเปดโอกาสให้นักเรียน ลองทําดู
ซักถามในประเด็นที่ไมเข้าใจ ใหเขียนเวกเตอร -34 และ -21 โดยมีจดุ เริม่ ตนทีจ่ ดุ O(0, 0) และจุด P(2, -3) ตามลําดับ
เข้าใจ (Understanding)
คณิตน่ารู้
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 238 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย เมื่อ a เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด O จะมีจุดสิ้นสุดที่จุด ( a, b)
b
คําตอบ “ลองทําดู”
v
A(x1, y1)
u
X
O
รูปที่ 22
238
A (1, 1)
O (0, 0) X
T250
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
สําหรับ u มีจดุ เริม่ ตนที่ A(x1, y1) และ u = a จะไดพกิ ดั ของจุดสิน้ สุดของ u คือ (x1 + a, y1)
หน้า 238-239 จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา
และจาก v มีจดุ เริม่ ตนที่ (x1 + a, y1) และ v = b จะไดพกิ ดั ของจุดสิน้ สุดของ v คือ (x1 + a, y1 + b)
ถ้ากําหนดให้ A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปน
ดังรูปที่ 23
Y จุดใดๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ แล้ว
B (x1 + a, y1 + b) x2 - x1
AB = y - y
2 1
v 3. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 15 ใน
(x1 + a, y1) หนังสือเรียน หน้า 239 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
A (x1, y1) u
O X กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
รูปที่ 23
วิธีทํา 1) AB = 4 - (-3) = 7
3-2 1
2) BC = 0 - 4 = -4
-5 - 3 -8
3) CA = -3 - 0 = -3
2 - (-5) 7
เวกเตอรในสามมิติ 239
T251
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
ลองทําดู
เรียน หน้า 240 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” กําหนด A มีพิกัด (2, 5), B มีพิกัด (5, 0) และ C มีพิกัด (-2, 3) ใหหา AB, BC และ CA
ตัวอย่างที่ 16
รู้ (Knowing)
กําหนด AB = -53 มีจุดเริ่มตนที่ A(3, 2) ใหหาพิกัดของจุด B
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 16 ในหนังสือ-
เรียน หน้า 240 ด้วยตนเอง แล้วครูอธิบายซํ้า วิธีทํา ใหจุด B มีพิกัด (x1, y1)
อีกครั้งอยางละเอียดบนกระดาน และเปดโอกาส
จาก AB = -53 มีจุดเริ่มตนที่ A(3, 2)
ให้นักเรียนซักถามในประเด็นที่ไมเข้าใจ
x -3 x -3
จะไดวา AB = y1 - 2 แสดงวา -53 = y1 - 2
เข้าใจ (Understanding) 1 1
w
OP
O Y
u
v
X
รูปที่ 24
240
T252
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
a 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา กําหนดให้ a, b และ c
จากรูป ใชบทนิยามการบวกเวกเตอร จะได OP = u + v + w = b ซึ่งเวกเตอรในระบบ a
พิกัดฉากสามมิติมีบทนิยาม ดังนี้ c เปนจํานวนจริง เรียก b วา เวกเตอรในระบบ
c
บทนิยาม a พิกัดฉากสามมิติหรือเวกเตอรในสามมิติ
กําหนดให a, b และ c เปนจํานวนจริง เรียก b วา เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
c 3. ครูแสดงตัวอยางที่ 17 ในหนังสือเรียน หน้า 241
หรือเวกเตอรในสามมิติ
ให้นักเรียนดูบนกระดาน
ตัวอย่างที่ 17
ใหหาเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด O และมีจุดสิ้นสุดที่จุด A(2, 4, 3), เข้าใจ (Understanding)
จุด B(4, -2, 4) และจุด C(-4, -4, -2) พรอมทัง้ เขียนเวกเตอรทไี่ ดลงในระบบพิกดั ฉาก ครูให้นกั เรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 241 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีทํา จากบทนิยาม จะไดวา
2 4 -4 คําตอบ “ลองทําดู”
OA = 4 , OB = -2 และ OC = -4
3 4 -2 รู้ (Knowing)
เขียนเวกเตอรลงในระบบพิกัดฉากได ดังนี้ 1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
Z
หน้า 241 ให้กับนักเรียน
B A
C
O Y
ลองทําดู
ใหหาเวกเตอรทมี่ จี ดุ เริม่ ตนทีจ่ ดุ กําเนิด O และมีจดุ สิน้ สุดทีจ่ ดุ A(4, 3, 5), จุด B(-3, 4, 6)
และจุด C(-2, -3, -4) พรอมทั้งเขียนเวกเตอรที่ไดลงในระบบพิกัดฉาก
คณิตน่ารู้
a
เมื่อเวกเตอร b เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด O จะมีจุดสิ้นสุดที่จุด (a, b, c)
c
เวกเตอรในสามมิติ 241
T253
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
ในกรณีทั่วไป เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ AB มีจุดเริ่มตน A(x1, y1, z1) และ
หน้า 242-243 จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา
จุดสิ้นสุด B(x2, y2, z2) โดย AB = u + v + w ซึ่ง u = a, v = b และ w = c และ u, v
ถ้ากําหนดให้ A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2)
และ w ขนานกับแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ ดังรูปที่ 25
เปนจุดใดๆ ในระบบพิกัด ฉากสามมิ ติ แล้ ว Z
x2 - x1 B(x2, y2, z2)
AB = y2 - y1 A(x1, y1, z1)
z2 - z1 w
v u
O Y
รูปที่ 25
(x1 + a, y1 + b, z1)
(x1 + a, y1, z1)
O Y
X
รูปที่ 26
T254
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 18-19 ใน
นั่นคือ ถา A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
หนังสือเรียน หน้า 243 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
x 2 - x1 กับคูข องตนเอง จนเปนทีเ่ ข้าใจรวมกัน จากนัน้
แลว AB = y2 - y1
z2 - z1 ครูสุมนักเรียนออกมาอธิบายวิธีการหาคําตอบ
หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวม
ตัวอย่างที่ 18 กันตรวจสอบความถูกต้อง
กําหนด A มีพิกัด (-4, 2, 6), B มีพิกัด (0, 4, -3) และ C มีพิกัด (5, -2, 0)
ใหหา AB และ BC เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
0 - (-4) 4 5-0 5
วิธีทํา AB = 4 - 2 = 2 BC = -2 - 4 = -6 หน้า 243-244 แล้วแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของ
-3 - 6 -9 0 - (-3) 3 ตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู
กําหนด A มีพิกัด (5, 0, -4), B มีพิกัด (-4, 3, -2) และ C มีพิกัด (0, -4, 6) ใหหา
AB และ BC
ตัวอย่างที่ 19
3
กําหนด AB = -5 โดยมี A เปนจุดเริ่มตนที่มีพิกัด (2, 1, 2) ใหหาพิกัดของ
จุดสิ้นสุด B 4
เวกเตอรในสามมิติ 243
T255
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
ลองทําดู
หนา 244 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมาอธิบาย 3
เกี่ ย วกั บ การเท า กั น ของเวกเตอร การบวก กําหนด AB = -3 โดยมี A เปนจุดเริม่ ตนทีม่ พี กิ ดั (-1, 3, 0) ใหหาพิกดั ของจุดสิน้ สุด B
เวกเตอร เวกเตอรศูนย นิเสธของเวกเตอร 6
การลบเวกเตอร และการคูณเวกเตอรดวย
สเกลารในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ สําหรับการเทากันของเวกเตอร การบวกเวกเตอร เวกเตอรศูนย นิเสธของเวกเตอร การลบ
ตามความเข า ใจของตนเอง เพื่ อ เป น การ เวกเตอร และการคูณเวกเตอรดวยสเกลารในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ จะเปนไปตาม
ทบทวนความรู ครูคอยเสริมความรูใ นบางสวน บทนิยามตอไปนี้
ใหสมบูรณ บทนิยาม เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติ เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
a d
การเทากัน a = c ก็ตอเมื่อ a = c และ b = d b = e ก็ตอเมื่อ a = d, b = e
b d c f
และ c = f
a d a + d
การบวกเวกเตอร a + c = a + c b + e = b + e
b d b + d c f c + f
0 0
เวกเตอรศูนย เวกเตอรศูนย คือ 0 เวกเตอรศูนย คือ 0
0
a a -a
นิเสธของเวกเตอร นิเสธของ a คือ - a หรือ -a นิเสธของ b คือ - b หรือ -b
b b -b c c -c
a d a - d
การลบเวกเตอร a - c = a - c b - e = b - e
b d b - d c f c - f
a λa
การคูณเวกเตอร λ
a = λa λ b = λb
b λb
c λc
ดวยสเกลาร
เมื่อ λ เปนจํานวนจริงใด ๆ
เมื่อ λ เปนจํานวนจริงใด ๆ
244
T256
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 20 ในหนังสือ-
ตัวอย่างที่ 20
3 x -1 เรียน หน้า 245 ด้วยตนเอง แล้วครูอธิบาย
กําหนด u = 4 , v = -y และ w = 2 โดยที่ v = -2w อยางละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ
5 z 1
ใหหา u + v, v - w, -v และ u + w มากยิ่งขึ้น
x -1 2
วิธีทํา จาก v = -2w จะไดวา -y = (-2) 2 = -4 เข้าใจ (Understanding)
z 1 -2 2 1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น x = 2, y = 4 และ z = -2 นั่นคือ v = -4
-2 หน้า 245 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
3 2 5 คําตอบ “ลองทําดู”
ทําใหไดวา u + v = 4 + -4 = 0
5 -2 3
2 -1 3
v-w = -4 - 2 = -6
-2 1 -3
2 -2
-v = - -4 = 4
-2 2
3 -1 2
u+w = 4 + 2 = 6
5 1 6
ลองทําดู
3 a 0
กําหนด u = 1 , v = b และ w = -2 โดยที่ v = -2u
4 c 5
ใหหา u + v, u - v, v + w, และ u - w
แบบฝึกทักษะ 3.3 ก
ระดับพื้นฐาน
1
1. ใหหา AB และ BA เมื่อกําหนดพิกัดจุด A และจุด B ในแตละขอตอไปนี้
1) A(4, -5), B(-3, 1) 2) A(5, 4), B(7, 3)
3) A(-3, 8), B(9, -4) 4) A(5, 0, 2), B(6, -2, 5)
5) A(-6, 7, 0) B(1, 1, 3) 6) A(0, 2, 9), B(-6, 5, 2)
เวกเตอรในสามมิติ 245
ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.3 ก ใน 0
2. กําหนด AB = -75 และ PQ = -7 ใหหาพิกัดในแตละขอตอไปนี้
หนังสือเรียน หนา 245-246 เปนการบาน 4
1) พิกัดของ A เมื่อ B มีพิกัด (6, -4)
รู (Knowing) 2) พิกัดของ B เมื่อ A มีพิกัด (2, -6)
1. ครูกําหนดจุดตางๆ ในพิกัดฉากสองมิติบน 3) พิกัดของ P เมื่อ Q มีพิกัด (7, 3, 2)
กระดาน เชน จุด A(1, 2), B(5, 2) และจุด 4) พิกัดของ Q เมื่อ P มีพิกัด (-4, 0, 8)
C(5, 5) จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ระดับกลาง
• ระยะทางระหวางจุด A(1, 2) กับ B(5, 2) 1 7
เปนเทาใด และมีวิธีการหาอยางไร 3. กําหนด u = -52 , v = -17 , p = 5 และ q = -6 ใหหาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
(แนวตอบ ระยะทางระหวางจุด A(1, 2) กับ 2 8
1) 2u + v 2) u - 3v
B(5, 2) มีระยะทาง 4 หนวย หาไดโดยการ 3) -p + 2q 4) 5p - 2q
นําคา x ของจุด B คือ 5 มาลบกับคา x ของ 5) นิเสธของ 3u + 4v 6) นิเสธของ 4p - 3q
จุด A คือ 1 ซึ่งมีผลลัพธเทากับ 4)
• ระยะทางระหวางจุด B(5, 2) กับ C(5, 5) 4. กําหนด u = 53 , v = -26 , w = 13 , p = 43 , q = -46 และ r = 08
เปนเทาใด และมีวิธีการหาอยางไร ใหหาคาของ a และ b ในแตละขอตอไปนี้
(แนวตอบ ระยะทางระหวางจุด B(5, 2) กับ 1) w = au + bv 2) u + av + bw = 0
C(5, 5) มีระยะทาง 3 หนวย หาไดโดยการ 3) br = ap - q 4) r = ap - bq
นําคา y ของจุด C คือ 5 มาลบกับคา y ของ 5. กําหนด u = 34 และ v = 43 ใหเขียน 18 17 ในรูป au + bv
จุด B คือ 2 ซึ่งมีผลลัพธเทากับ 4) 1 -7 -11
6. กําหนด u = 2 และ v = 0 ใหเขียน 6 ในรูป au + bv
3 5 19
ระดับทาทาย
7. พิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้คูใดบางที่ขนานกัน
1) 13 , 31 , 93 , 40 , 14 , 80 , 26 และ -3 -12
1 -2 1 3 2 -1
2) 3 , 0 , 1 , 3 , 0 และ 3
1 -3 3 9 -3 -1
- 13
246
T258
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
3. ขนาดของเวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ
หนา 247 จากนั้นครูใหนักเรียนดูรูปการหา
ขนาดของเวกเตอรใด ๆ หมายถึง ความยาวของสวนของเสนตรงทีร่ ะบุทศิ ทางทีแ่ ทนเวกเตอร
ขนาดของเวกเตอรในสองมิติ ในหนังสือเรียน
นั้น ๆ
Y หนา 247 และครูอธิบายนักเรียนวา ขนาดของ
จากรูป กําหนดจุด P มีพิกัดเปน (x1, y1) เวกเตอรในสองมิติหาไดจาก
Q(x2, y2)
จุด Q มีพิกัดเปน (x2, y2)
PQ PQ = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2
b จะได PQ เปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉาก
x -x ซึ่ ง การหาขนาดของเวกเตอร ใ นสองมิ ติ นั้ น
สองมิติ โดยที่ PQ = y2 - y1
P(x1, y1) a 2 1 เราสามารถนําความรูเรื่อง ระยะทางระหวาง
O X จุ ด สองจุ ด ในระบบพิ กั ด ฉากสองมิ ติ เ ข า มา
ชวยได
โดยใชความรูเรื่องระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสองมิติ จะไดวา 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ถาให x2 - x1 = a และ
2
PQ = (x2 - x1) + (y2 - y1)
2
y2 - y1 = b จะได PQ = [ba] ดังนั้น
PQ = a2 + b2
ถาให x2 - x1 = a และ y2 - y1 = b จะได PQ = ab ดังนั้น PQ = a2 + b2
4. ครูใหนักเรียนดูรูปการหาขนาดของเวกเตอร
Z
B(x2, y2, z2) ในสามมิติ ในหนังสือเรียน หนา 247 และ
AB จากรูป กําหนดจุด A มีพิกัดเปน (x1, y1, z1) ครูอธิบายนักเรียนวา ขนาดของเวกเตอรใน
A(x1, y1, z1) จุด B มีพิกัดเปน (x2, y2, z2) สามมิติหาไดจาก
จะได AB เปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉาก AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
x2 - x1
O Y สามมิติ โดยที่ AB = y2 - y1 ซึ่ ง การหาขนาดของเวกเตอร ใ นสามมิ ติ นั้ น
z2 - z1
เราสามารถนําความรูเรื่อง ระยะทางระหวาง
จุดสองจุดในระบบพิกดั ฉากสามมิตเิ ขามาชวย
X
ได
จากทฤษฎีบท 1 ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ จะได 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ถาให x2 - x1 = a,
AB= (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 y2 - y1 = b และ z2 - z1 = c จะได
a a
AB = b ดังนั้น AB = a2 + b2 + c2
ถาให x2 - x1 = a, y2 - y1 = b และ z2 - z1 = c จะได AB = b c
c
ดังนั้น AB = a2 + b2 + c2
เวกเตอรในสามมิติ 247
T259
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
6. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 21
หน้า 248 จากนั้นครูอธิบายอีกครั้ง เพื่อให้
นักเรียนเข้าใจมากยิง่ ขึน้
ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
1) u = 158
เข้าใจ (Understanding) 2) AB โดยที่ A มีพิกัดเปน (1, -2, 8) และ B มีพิกัดเปน (-1, 2, 4)
1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา 1) เนื่องจากเวกเตอร ab ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2
หน้า 248 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ดังนั้น 2 2
u = 8 + 15 = 289 = 17
2. ครูแจกใบงานที่ 3.3 เรื่อง ขนาดเวกเตอรใน 2) จาก A มีพิกัดเปน (1, -2, 8) และ B มีพิกัดเปน (-1, 2, 4)
ระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ ให้นกั เรียน -1 - 1 -2
จะไดวา AB = 2 - (-2) = 4
ทํา จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 4 -8 -4
ใบงานที่ 3.3 a
เนื่องจากเวกเตอร b ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2 + c2
c
รู้ (Knowing)
ดังนั้น AB = (-2)2 + 42 + (-4)2 = 36 = 6
1. ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับเวกเตอรหนึ่งหนวย
วา เวกเตอรหนึ่งหนวย หมายถึง เวกเตอรที่มี ลองทําดู
ขนาดหนึ่งหนวย ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
4 1) u = 68
2. ครูให้นักเรียนพิจารณาเวกเตอร u = 53 ,
5 2) AB โดยที่ A มีพิกัดเปน (2, 1, -3) และ B มีพิกัดเปน (-1, 4, 2)
5
- 13 7
v = 12 และ w = 25 ในหนังสือเรียน 4. เวกเตอรหนึง่ หนวยในระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ
13 - 2425
บทนิยาม เวกเตอรหนึ่งหนวย (Unit Vector) หมายถึง เวกเตอรที่มีขนาดหนึ่งหนวย
หน้า 248 แล้วให้นักเรียนศึกษาความรู้ใน
หนังสือเรียน หน้า 249 เรือ่ ง เวกเตอรหนึง่ หนวย 4 -5 7
พิจารณา u = 53 , v = 13 และ w = 25
ในสองมิติ 12 - 24
5 13 25
u = ( 4 ) + ( 3 ) = 16 + 9 = 25 = 1
2 2
จะไดวา 5 5 25 25 25
v = (- 5 ) + (12) = 25 + 144 = 169 = 1
2 2
13 13 169 169 169
w = ( 7 ) + (- 24 ) = 49 + 576 = 625 = 1
2 2
25 25 625 625 625
248
T260
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ซึ่งสามารถเขียน u, v และ w ในรูปการคูณสเกลารกับเวกเตอรใด ๆ ได ดังนี้ เวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติ
u = 15 4 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ไดจากการคูณสเกลาร 15 กับ 4 จากนั้นครูเขียน v = 125 บนกระดาน แล้ว
3 3 ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีการหาเวกเตอร
และมีทิศทางเดียวกับ 4
3 หนึ่งหนวยที่ไมใชเวกเตอรศูนยตามเงื่อนไข
-5
v = 13 12 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ไดจากการคูณสเกลาร 131 กับ 12
1 -5 ดังนี้
-5
และมีทิศทางเดียวกับ 12 • เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางเดียวกับ u
(แนวตอบ 131 125 )
7 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ไดจากการคูณสเกลาร 1 กับ 7
w = 251 -24 25 -24 • เวกเตอร 1 หนวย ทีม่ ที ศิ ทางตรงกันขามกับ
7
และมีทิศทางเดียวกับ -24 u
(แนวตอบ - 131 125 )
ในกรณีทั่วไป จะไดวา สําหรับ a ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2
b • เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ u
เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางเดียวกับ a ใด ๆ ที่ไมใชเวกเตอรศูนย คือ 2 1 2 a (แนวตอบ ± 131 125 )
b a +b b
4. ครูอธิบายวา เวกเตอรหนึ่งหนวยกับเวกเตอร
เวกเตอร 1 หนวย ทีม่ ที ศิ ทางตรงกันขามกับ a ใด ๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย คือ - 2 1 2 a
a
b
1 a a +b b ใดๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติมีแนวคิดเชน
เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ ใด ๆ คือ ± 2 2 เดียวกับการหาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบ
b a +b b
พิกัดฉากสองมิติ
เวกเตอร k หนวย ที่ขนานกับ a ใด ๆ คือ ± 2 k 2 a
b a +b b
ความสัมพันธของเวกเตอรหนึ่งหนวยกับเวกเตอรใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติมีแนวคิด
เชนเดียวกับการหาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติ
a
ในกรณีทั่วไป จะไดวา สําหรับ b ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2 + c2
c
a a
เวกเตอร 1 หนวย ทีม่ ที ศิ ทางเดียวกับ b ใด ๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย คือ 2 1 2 2 b
c a +b +c c
a
เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางตรงกันขามกับ b ใด ๆ ที่ไมใชเวกเตอรศูนย คือ
a c
- 2 12 2 b
a +b +c c
เวกเตอรในสามมิติ 249
T261
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครู อ ธิ บ ายว า เวกเตอร ห นึ่ ง หน ว ยในระบบ a a
เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 1 2 2 b
พิกัดฉากสองมิติที่สําคัญและเปนพื้นฐานของ c a +b +c c
การเขียนเวกเตอรใดๆ คือ [10] เขียนแทนด้วย a a
เวกเตอร k หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 k 2 2 b
i และ [01] เขียนแทนด้วย j c a +b +c c
6. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เวกเตอรหนึ่งหนวยใน พิจารณาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติ
ระบบพิกดั ฉากสามมิตทิ สี่ าํ คัญและเปนพืน้ ฐาน Y
1
ของการเขียนเวกเตอรใดๆ คือ 0 เขียนแทน
0 (0, 1)
0 0 j
ด้วย i , 1 เขียนแทนด้วย j และ 0 เขียน O X
0 1 i (1, 0)
แทนด้วย k
เวกเตอรหนึง่ หนวยในระบบพิกดั ฉากสองมิตทิ เี่ ปนเวกเตอรหนึง่ หนวยทีส่ าํ คัญและเปนพืน้ ฐาน
ของการเขียนเวกเตอรใด ๆ คือ
1 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน X เขียนแทน 1 ดวย i
0 0
0 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน Y เขียนแทน 0 ดวย j
1 1
พิจารณาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสามมิติ
Z
(0, 0, 1)
k j
i O Y
(0, 1, 0)
(1, 0, 0)
เวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสามมิติที่สําคัญและเปนพื้นฐานของการเขียนเวกเตอร
ใด ๆ คือ
250
T262
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1 1 7. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
0 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน X เขียนแทน 0 ดวย i
0 0 หน้า 250-251 อยางละเอียด จากนัน้ ครูอธิบาย
0 0 เกี่ ย วกั บ การเขี ย นเวกเตอร ใ ดๆ ในระบบ
1 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน Y เขียนแทน 1 ดวย j พิกัดฉากสองมิติและสามมิติในรูปเวกเตอร
0 0 หนึ่งหนวย i , j และ k ดังนี้
0 0 • เวกเตอรใดๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ
0 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน Z เขียนแทน 0 ดวย k
1 1 u = [ba] = a i + b j
การเขียนเวกเตอรใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติในรูปเวกเตอรหนึ่งหนวย i , j • เวกเตอรใดๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
หรือ k a
u = b = ai + bj + ck
พิจารณา a ซึ่งเปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติ c
b
u = a = a + 0 = a 1 + b 0 = ai + bj
b 0 b 0 1
ดังนั้น จึงสามารถเขียน u = a
b
ใหอยูในรูปของ i และ j ได
นั่นคือ u = a = ai + bj
b
a
ในทํานองเดียวกัน พิจารณา b ซึ่งเปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
c
a a 0 0 1 0 0
u= b = 0 + b + 0 = a 0 + b 1 + c 0 = a i + b j + ck
c 0 0 c 0 0 1
a
ดังนั้น จึงสามารถเขียน u = b
c
ใหอยูในรูปของ i , j และ k ได
a
นั่นคือ u = b = a i + b j + ck
c
เวกเตอรในสามมิติ 251
T263
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
8. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 22 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 22
หน้า 252 ด้วยตนเอง แล้วครูอธิบายให้นกั เรียน
กําหนดเวกเตอรมจี ดุ เริม่ ตนที่ P(3, 2) จุดสิน้ สุดที่ Q(-4, 1) ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวย
ฟ ง อี ก ครั้ ง เพื่ อ ให้ นั ก เรี ย นเข้ า ใจมากยิ่ ง ขึ้ น
ที่ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i และ j
และเปดโอกาสให้นกั เรียนซักถามในประเด็นที่
ไมเข้าใจ วิธีทํา จากเวกเตอรที่กําหนดมีจุดเริ่มตนที่ P(3, 2) และจุดสิ้นสุดที่ Q(-4, 1)
จะได PQ = -41 -- 32 = -7 -1
เข้าใจ (Understanding)
ดังนั้น PQ = (-7)2 + (-1)2 = 49 + 1 = 50 = 5 2
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 252 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย เนื่องจากเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ ab คือ ± 2 1 2 ab
a +b
คําตอบ “ลองทําดู” ดังนั้น เวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ -1 คือ ± 1 -7
-7 = ± 102 -7
5 2 -1 -1
รู้ (Knowing) 7 2 2 7 2
หรือ - 10 i - 10 j และ 10 i + 10 j 2
ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 23 ใน
หนังสือเรียน หน้า 252 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้ ลองทําดู
กับคูของตนเองจนเปนที่เข้าใจรวมกัน กําหนดเวกเตอรมีจุดเริ่มตนที่ P(-3, 6) จุดสิ้นสุดที่ Q(-1, 3) ใหหาเวกเตอรหนึ่งหนวย
ที่ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i และ j
ตัวอย่างที่ 23
กําหนดเวกเตอรมจี ดุ เริม่ ตนที่ P(1, 2, 3) จุดสิน้ สุดที่ Q(-3, -2, -1) ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวย
ที่ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i , j และ k
วิธีทํา จากเวกเตอรที่กําหนดมีจุดเริ่มตนที่ P(1, 2, 3) และจุดสิ้นสุดที่ Q(-3, -2, -1)
-3 - 1 -4
จะได PQ = -2 - 2 = -4
-1 - 3 -4
ดังนั้น PQ = (-4)2 + (-4)2 + (-4)2 = 16 + 16 + 16 = 48 = 4 3
a a
เนื่องจากเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ b คือ ± 2 1 2 2 b
c a +b +c c
-4 -4 -4
ดังนั้น เวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ -4 คือ ± 1 -4 = ± 123 -4
-4 4 3 -4 -4
หรือ - 33 i - 33 j - 33 k และ 33 i + 33 j + 33 k
252
T264
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
T265
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 24 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 24
หน้า 254 แล้วครูอธิบายให้นักเรียนฟงอีกครั้ง 1
เพือ่ ให้นกั เรียนเข้าใจมากยิง่ ขึน้ และเปดโอกาส กําหนด v = -2 ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของ v
ให้นักเรียนซักถามในประเด็นที่ไมเข้าใจ 3
5. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 25 ใน 1
วิธีทํา จาก v = -2 จะได v = 12 + (-2)2 + 32 = 1 + 4 + 9 = 14
หนังสือเรียน หน้า 254 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้ 3
กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน ดังนั้น โคไซนแสดงทิศทางของ v คือ 1 , - 2 , 3 หรือ 1414 , - 14 , 3 14
14 14 14 7 14
เข้าใจ (Understanding) ลองทําดู
ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 2
กําหนด u = 3 ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของ u
หน้า 254 แล้วแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง -1
สนทนา ซักถาม จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้น ตัวอย่างที่ 25
ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมาแสดงวิ ธีก ารหาคํ า ตอบ ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่ P(1, 1, -4) และมีจุดสิ้นสุดที่
หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน Q(-3, -2, 0)
ตรวจสอบคําตอบ “ลองทําดู” -3 - 1 -4
วิธีทํา จาก P(1, 1, -4) และ Q(-3, -2, 0) จะได PQ = -2 - 1 = -3
รู้ (Knowing) 0 - (-4) 4
2 2 2
1. ครูอธิบายบทนิยามของเวกเตอรที่มีทิศทาง และ PQ = (-4) + (-3) + 4 = 16 + 9 + 16 = 41
เดียวกันและมีทิศทางตรงกันข้าม ในหนังสือ- ดังนั้น โคไซนแสดงทิศทางของ PQ คือ - 4 , - 3 , 4
41 41 41
เรียน หน้า 254 หรือ - 44141 , - 34141 , 44141
ลองทําดู
ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่ P(-1, 2, 1) และมีจุดสิ้นสุดที่
Q(-3, -2, 0)
จากที่นักเรียนไดศึกษาโคไซนแสดงทิศทางมาแลว ตอไปนักเรียนจะไดศึกษาการใชโคไซน
แสดงทิศทางเพื่อสรุปความสัมพันธระหวางเวกเตอรทั้งสองตามบทนิยามตอไปนี้
บทนิยาม เวกเตอรสองเวกเตอรมีทิศทางเดียวกัน ก็ตอเมื่อ มีโคไซนแสดงทิศทางชุดเดียวกัน และ
มีทิศทางตรงกันขาม ก็ตอเมื่อ โคไซนแสดงทิศทางเทียบแตละแกนของเวกเตอรหนึ่งเปนจํานวนตรงขาม
กับโคไซนแสดงทิศทางของอีกเวกเตอรหนึ่ง
254
T266
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูอธิบายตัวอยางที่ 26 ในหนังสือเรียน หน้า 255
ตัวอย่างที่ 26
ให้ นั ก เรี ย นฟ ง อย า งละเอี ย ดบนกระดาน
ใหตรวจสอบวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ เวกเตอรคูใดมีทิศทางเดียวกัน เวกเตอร
พร้อมกับให้นกั เรียนถามคําถามหากมีขอ้ สงสัย
คูใดมีทิศทางตรงกันขาม และเวกเตอรคูใดขนานกัน
1) MN มีจุดเริ่มตนที่ M(-2, 1, -3) มีจุดสิ้นสุดที่ N(4, 3, -2)
2) PQ มีจุดเริ่มตนที่ P(-6, -3, 1) มีจุดสิ้นสุดที่ Q(6, 1, 3)
3) v = -6 i - 2 j - k
วิธีทํา 1) จากจุดเริ่มตน M(-2, 1, -3) และจุดสิ้นสุด N(4, 3, -2)
4 - (-2) 6
จะได MN = 3 - 1 = 2
-2 - (-3) 1
ดังนั้น MN = 62 + 22 + 12 = 41
นั่นคือ โคไซนแสดงทิศทางของ MN คือ 6 , 2 , 1 หรือ 64141 , 24141 , 41
41
41 41 41
2) จากจุดเริ่มตน P(-6, -3, 1) และจุดสิ้นสุด Q(6, 1, 3)
6 - (-6) 12
จะได PQ = 1 - (-3) = 4
3-1 2
2
ดังนั้น PQ = 12 + 4 + 2 = 2 41 2 2
T267
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หน้า 256 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ใหตรวจสอบวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ เวกเตอรคูใดมีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรคูใด
2. ครูให้นักเรียนทํา Exercise 3.3 เปนการบ้าน มีทิศทางตรงกันขาม และเวกเตอรคูใดขนานกัน
1) AB มีจุดเริ่มตนที่ A(4, -2, 5) มีจุดสิ้นสุดที่ B(3, 1, 2)
ลงมือทํา (Doing) 2) PQ มีจุดเริ่มตนที่ P(-3, 4, 0) มีจุดสิ้นสุดที่ Q(-2, 1, 3)
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ 3) u = -2 i + 6 j - 6k
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วให้ทํากิจกรรม
ดังนี้ แบบฝึกทักษะ 3.3 ข
• ให้ นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ทั ก ษะ 3.3 ข ใน
ระดับพื้นฐาน
หนังสือเรียน หน้า 256-257
• ให้ นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ ม ทํ า ความเข้ า ใจ 1. ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
รวมกัน หลังจากนัน้ ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม 1) 23 , -34 , -24 -7 , -8
ออกมาเฉลยคําตอบ และให้นกั เรียนทัง้ หมด 15
1 4 -2
รวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 2) 2 , 5 , -3
-3 -6 0
3) PQ เมื่อพิกัดของ P คือ (1, 2) และพิกัดของ Q คือ (-3, 4)
4) MN เมื่อมีจุดเริ่มตนที่ M(4, -3, 2) และมีจุดสิ้นสุดที่ N(-2, 1, -3)
2. ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
1) u + v เมื่อ u = -47 และ v = -36
256
T268
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรู้รวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
4. ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวยทีม่ ที ศิ ทางเดียวกับเวกเตอรทกี่ าํ หนดในแตละตอไปนี้ โดยเขียนในรูป • เวกเตอรในระบบพิกัดฉากคืออะไร
ของ i และ j ในระบบพิกัดฉากสองมิติ และเขียนในรูปของ i , j และ k ในระบบพิกัดฉาก (แนวตอบ เวกเตอรทเี่ ขียนอยูใ นรูปของผลบวก
สามมิติ ของเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางในแนวแกนอางอิงใน
-3
1) u = 32 2) v = -1 ระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ)
4
3) MN โดยที่ M(-2, 5) และ N(4, -3) 4) PQ โดยที่ P(1, -2, 4) และ Q(-3, -1, 0)
ขัน้ ประเมิน
ระดับกลาง 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.3
5. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 2 หนวย และมีทิศทางเดียวกับ u = 45 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.3
6. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 3 หนวย และมีทิศทางตรงกันขามกับ AB ที่มี A(5, -3) 3. ครูตรวจ Exercise 3.3
และ B(2, -6) 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
7. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 4 หนวย และมีทิศทางตรงกันขามกับ v = -27 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
8. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 2 หนวย และขนานกับ PQ โดยที่ P(-1, 2, 3) และ Q(-2, 4, -3)
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้
9. ใหหาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ พรอมทั้งบอกขนาดและโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอร
มุงมั่นในการทํางาน
ซึ่งมีจุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุด ดังนี้
1) จุดเริ่มตน P(2, 3, 4) และจุดสิ้นสุด Q(2, -3, 1)
2) จุดเริ่มตน P(-1, 4, 2) และจุดสิ้นสุด Q(-2, 4, 3)
10. ใหตรวจสอบวาเวกเตอรที่กําหนดในแตละตอไปนี้ เวกเตอรใดบางเปนเวกเตอรที่มีทิศทาง
เดียวกัน มีทิศทางตรงกันขาม และขนานกัน
1) เวกเตอร PQ มีจุดเริ่มตนที่ P(-2, 4, -3) และมีจุดสิ้นสุดที่ Q(4, 2, -1)
2) เวกเตอร OA มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด และมีจุดสิ้นสุดที่ A(-6, 2, -2)
3
3) v = -1
1
ระดับทาทาย
11. รูปสามเหลี่ยม ABC มี A(x, y), B(6, 4) และ C(2, 3) เปนจุดยอดมุม ถาจุด P เปนจุด
บนดาน AB และอยูหางจากจุด A เทากับ 35 ของระยะระหวาง A กับ B ถา CP = i + 3 j
แลว xy เทากับเทาไร
เวกเตอรในสามมิติ 257
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
4 ความมีน้าใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T269
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T270
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
เวกเตอรในสามมิติ 259
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูและนักเรียนรวมกับพิสูจนสมบัติที่สําคัญ
ในที่นี้ จะยกตัวอยางการพิสูจนสมบัติขอ 2 และขอ 3 ดังนี้
ของผลคูณเชิงสเกลารข้อ 1) ในหนังสือเรียน
หน้า 259 2) ถา θ เปนมุมระหวาง u และ v โดยที่ 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ แลว u • v = u v cos θ
4. ครูอธิบายนักเรียนเพิม่ เติมวา การหามุมระหวาง Z
พิสูจน กําหนด OP1 = u และ OP2 = v
เวกเตอรนนั้ เราจะใช้สตู ร u • v = u v cos θ จะได P2P1 = u - v
ซึ่งมุมที่หาได้นั้นจะมีขนาด 0 ํ ถึง 180 ํ P1 x1 x2
u
u-v
P2 ให u = y 1 และ v = y2
θ v
z1 z2
O Y
x1 - x2
X จะได u - v = y1 - y2
z1 - z2
จากกฎของโคไซน จะไดวา
(P2P1)2 = (OP1)2 + (OP2)2 - 2(OP1)(OP2) cos θ
2 2 2
u - v = u + v - 2 u v cos θ
นั่นคือ (x1 - x2)2 + (y1 - y2)2 + (z1 - z2)2 = (x21 + y21 + z21) + (x22 + y22 + z22)
- 2u v cos θ
เนื่องจาก (x1 - x2)2 + (y1 - y2)2 + (z1 - z2)2 = (x21 + y21 + z21) + (x22 + y22 + z22)
- 2(x1x2 + y1y2 + z1z2)
จะไดวา x1x2 + y1y2 + z1z2 = u v cos θ
และจาก u • v = x1x2 + y1y2 + z1z2
ดังนั้น u • v = u v cos θ
3) ถา u และ v เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนยแลว u ตั้งฉากกับ v ก็ตอเมื่อ u • v = 0
พิสูจน กําหนด θ เปนมุมระหวาง u กับ v โดยที่ 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
จาก u • v = u v cos θ
ถา u ตั้งฉากกับ v จะได มุมระหวาง u และ v เทากับ 90 ํ
ดังนั้น u • v = u v cos 90 ํ = u v (0) = 0
และในทํานองเดียวกัน ถา u • v = 0 แลว u ตั้งฉากกับ v
ดังนั้น u ตั้งฉากกับ v ก็ตอเมื่อ u • v = 0
260
T272
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 29 ใน
ตัวอย่างที่ 29
หนังสือเรียน หน้า 261 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
ใหพิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
3 1 กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
1) 35 , -26 2) 45 , -45 3) -3 , 3 6. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
1 6
หน้า 261 ให้กับนักเรียน
วิธีทํา 1) 35 • -26 = 3(-2) + 5(6)
เข้าใจ (Understanding)
= -6 + 30
= 24 ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 261 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ดังนั้น 35 และ -26 เปนเวกเตอรที่ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน
คําตอบ “ลองทําดู”
2) 45 • -45 = 4(5) + 5(-4)
= 20 - 20
=0
ดังนั้น 45 และ -45 เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากซึ่งกันและกัน
3 1
3) -3 • 3 = 3(1) + (-3)(3) + 1(6)
1 6 = 3-9+6
=0
3 1
ดังนั้น -3 และ 3 เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากซึ่งกันและกัน
1 6
ลองทําดู
ใหพิจารณาวาเวกเตอรในขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
1 3
1) -35 , 106 2) 23 , -21 3) -1 , 1
1 -2
คณิตน่ารู้
y -y
เวกเตอรที่ตั้งฉากกับ xy คือ -x หรือ x
เวกเตอรในสามมิติ 261
T273
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 30 ในหนังสือเรียน ตัวอย่างที่ 30
หน้า 262 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
กําหนด u = 3 i + 2 j และ v = 9 i + 6j ใหหามุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v
• มุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v หาได
อยางไร วิธีทํา จาก u = 3 i + 2 j = 32 และ v = 9 i + 6 j = 96
(แนวตอบ หาไดจากสูตร u • v = uv cos θ)
จะได u • v = 32 • 96 = 3(9) + 2(6) = 27 + 12 = 39
เข้าใจ (Understanding) u = 32 + 22= 9 + 4 = 13
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 92 + 62 = 81 + 36 = 117 = 3 13
v
หน้า 262 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย เนื่องจาก u•v = u v cos θ
คําตอบ “ลองทําดู” จะไดวา 39= 13 • 3 13 cos θ
ดังนั้น cos θ 39 = 1
= 3(13)
รู้ (Knowing) เนื่องจาก cos 0 ํ
= 1
ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 31 ในหนังสือเรียน ดังนั้น θ = 0ํ
หน้า 262 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ นั่นคือ u และ v ทํามุมกัน 0 องศา
• จะแสดงไดอยางไรวารูปสามเหลี่ยม PQR
เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ลองทําดู
(แนวตอบ ตองแสดงวาผลคูณเชิงสเกลารของ กําหนด u = 4 i + 10 j และ v = 2 i + 5 j ใหหามุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v
เวกเตอรหนึ่งคูไดผลลัพธเทากับ 0) ตัวอย่างที่ 31
เข้าใจ (Understanding) ใหแสดงวารูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอด P(2, -2, -3), Q(3, 0, 4) และ R(1, -5, -2)
เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 263 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย วิธที าํ จากโจทย P(2, -2, -3), Q(3, 0, 4) และ R(1, -5, -2)
คําตอบ “ลองทําดู” 3-2 1 1-2 -1
จะได PQ = 0 - (-2) = 2 และ PR = -5 - (-2) = -3
4 - (-3) 7 -2 - (-3) 1
1 -1
และ PQ • PR = 2 • -3 = 1(-1) + 2(-3) + 7(1) = 0
7 1
นั่นคือ PQ ตั้งฉากกับ PR
ดังนั้น PQR เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
262
T274
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 32 ใน
ลองทําดู
หนังสือเรียน หน้า 263 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
ใหแสดงวารูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอด P(3, 4, 0), Q(3, 4, 12) และ R(6, 8, 0) กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ตัวอย่างที่ 32 เข้าใจ (Understanding)
กําหนด u = 3, v = 4 และ u - v = 7 ใหหาคาของ u + v ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 263 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธที าํ จากสมบัติ u • u = u 2
2 คําตอบ “ลองทําดู”
จะไดวา u - v = (u - v) • (u - v)
= u • u - 2u • v + v • v รู้ (Knowing)
= u 2 - 2u • v + v 2
ดังนั้น 2 2
u - v = u - 2u • v + v
2 .....(1) 1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู”้ ในหนังสือเรียน
แทน u = 3, v = 4 และ u - v = 7 ใน (1) จะได หน้า 263 ให้กับนักเรียน
72 = 32 - 2u • v + 42 2. ครูให้นักเรียนพิสูจนข้อความในกรอบ “คณิต
49 = 9 - 2u • v + 16 นารู”้ วาเปนจริงหรือไม โดยครูกําหนดให้
2u • v = -24 u = 4 i + 2j - 5k และ v = 5 i - 3 j + 3k และ
u • v = -12 ให้นักเรียนรวมกันแสดงการพิสูจน
ในทํานองเดียวกัน u + v 2 = u 2 + 2u • v + v 2 .....(2)
แทน u = 3, v = 4 และ u • v = -12 ใน (2) จะได เข้าใจ (Understanding)
2 2 2
u + v = 3 + 2(-12) + 4
= 9 - 24 + 16 1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
=1 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
ดังนั้น u + v = 1 = 1 และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วทํากิจกรรม
ดังนี้
ลองทําดู • ให้นักเรียนแตละกลุมทําใบงานที่ 3.4 เรื่อง
กําหนด u = 2, v = 4 และ u - v = 5 ใหหาคาของ u + v ผลคูณเชิงสเกลาร
คณิตน่ารู้ • ให้นกั เรียนแตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน
หลังจากนัน้ ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม ออกมา
ถา u และ v เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนย แลว
เฉลยคําตอบ และให้นกั เรียนทัง้ หมดรวมกัน
1) u + v 2 = u 2 + 2u • v + v 2
2) u - v 2 = u 2 - 2u • v + v 2 อภิปรายแสดงความคิดเห็น
เวกเตอรในสามมิติ 263
กิจกรรม ทาทาย
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน
แล้วชวยกันสร้างเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ
เพื่อนํามาแสดงวิธีทําโดยใช้ความรู้จากกรอบ “คณิตนารู้” ใน
หนังสือเรียน หน้า 263 ลงในกระดาษ A4 อยางละเอียด เมื่อทํา
เสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
T275
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูให้นักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.4 ข้อ 1.-6.
แบบฝึกทักษะ 3.4
ในหนังสือเรียน หน้า 264 และทํา Exercise
3.4 ในแบบฝกหัด เปนการบ้าน ระดับพื้นฐาน
1. ใหหาคาของ u • v เมื่อกําหนด u และ v ในแตละขอตอไปนี้
ลงมือทํา (Doing)
1) u = 56 , v = -23 2) u = 4 i - 9 j , v = -2 i + 3 j
ครูให้นักเรียนจับคูทําแบบฝกทักษะ 3.4 ข้อ 9.
3 7
ในหนังสือเรียน หน้า 264 แล้วแลกเปลี่ยนคําตอบ 3) u = -4 , v = 6 4) u = 2 i - 3 j + 5k , v = -3 i + 4 j - 2k
กับคูข องตนเอง จนเปนทีเ่ ข้าใจรวมกัน จากนัน้ ครู 5 -4
ขออาสาสมัครนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบหน้า 2. ใหหาขนาดของมุมระหวางเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
ชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง 1) u = 3 i + j และ v = -2 i + 6 j 2) u = -34 และ v = -53
1 1
3) u = - i + j - k และ v = i - j + k 4) u = -1 และ v = 1
ขัน้ สรุป 1 -1
3. กําหนด u = 56 และ v = -1 -4 ให ห า
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรู้รวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ 1) (u + v) (u + v)
• 2) (u - v) • (u - v) 3) (u + v) • (u - v)
-5 1
• ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v ผลลัพธที่ 4. กําหนด u = 2 และ v = -7 ใหหาคาเชนเดียวกับขอ 3.
ไดจะเปนอยางไร 3 4
5. ใหพิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
(แนวตอบ ผลลัพธที่ไดจะเปนสเกลาร) 3 1 -1 -1
• เวกเตอรสองเวกเตอรจะตั้งฉากกันเมื่อใด 1) 98 , -89 2) 47 , -31 3) 4 , -2 4) 4 , 2
-5 -1 7 -1
(แนวตอบ ผลคูณเชิงสเกลารของเวกเตอร 6. กําหนด u = 8, v = 3 และ u + v = 5 ใหหาคาของ u - v
ทั้งสองไดผลลัพธเทากับ 0)
• มุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v หาได ระดับกลาง
-5 1
อยางไร 7. ใหหาคา a ที่ทําให a ตั้งฉากกับ -1
-2 1
(แนวตอบ หาไดจากสูตร u • v = uv cos θ)
8. กําหนด u และ v เปนเวกเตอรที่ทํามุมกัน 120 ํ และ u = 4, v = 3 ใหหามุมระหวาง
C
u + v และ u
ระดับทาทาย
9. จากรูป ใหแสดงวา เสนมัธยฐานที่ลากจากจุดยอดของ
รูปสามเหลี่ยมหนาจั่วตั้งฉากกับฐาน A D B
264
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T276
ประเมิน นําา
นํ สอน สรุป
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.4
3.5 ผลคูณเชิงเวกเตอร (Vector Product) 2.
3.
ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.4
ครูตรวจ Exercise 3.4
ในหัวขอที่ผานมา นักเรียนไดศึกษาเกี่ยวกับผลคูณของเวกเตอรสองเวกเตอรที่ไดผลลัพธ 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
เปนสเกลารซึ่งเรียกวา ผลคูณเชิงสเกลาร โดยในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาเกี่ยวกับผลคูณ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ของเวกเตอรสองเวกเตอรที่ไดผลลัพธเปนเวกเตอร เรียกวา ผลคูณเชิงเวกเตอร โดยเวกเตอรที่ 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
เปนผลลัพธนี้จะตองเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกับเวกเตอรทั้งสอง ดังรูป 7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้
Z Z มุงมั่นในการทํางาน
u×v
v v
k
θ
u
k
θ u ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)
j j v×u การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
Y Y
i i
1. ครูทบทวนเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
โดยครูถามคําถามวา
X X • เวกเตอรศูนยเขียนไดอยางไร
การหาผลคูณเชิงเวกเตอร จะตองนําความรูจากสมบัติ u • v = 0 และการแกระบบสมการ 0
(แนวตอบ 0 )
เชิงเสนสามตัวแปรมาใช เชน ให u = u1 i + u2 j + u3k, v = v1 i + v2 j + v3k และ w เปนเวกเตอรที่ 0
ตั้งฉากกับ u และ v จะไดสมการ u • w = 0 และ v • w = 0 จัดรูปสมการสองสมการและแกระบบ 2. ครู ท บทวนกฎมื อ ขวาในการหาทิ ศ ทางของ
สมการเชิงเสนสามตัวแปรจะไดเวกเตอร w ซึ่งไดมีการนําความรูเกี่ยวกับการหาดีเทอรมิแนนต ผลคูณเชิงเวกเตอรได้ ดังรูปที่ 2 ในหนังสือเรียน
โดยใชการตัดแถวและตัดหลักมาเขียนเวกเตอร w ในรูป i , j และ k ตามบทนิยาม ดังนี้ หน้า 208
บทนิยาม u1 v1
ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u = u2 และ v = v2 คือ
ขัน้ สอน
u3 v3 รู้ (Knowing)
u2 v3 - u3 v2
u u u u u u 1. ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับผลคูณเชิงเวกเตอร
u3 v1 - u1 v3 หรือ 2 3 i - 1 3 j + 1 2 k ในหนังสือเรียน หน้า 265 บนกระดานอยาง
v2 v3 v1 v3 v1 v2
u1 v2 - u2 v1
ละเอียดให้กับนักเรียน และตอบคําถามหาก
เขียนแทนผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v ดวย u × v อานวา เวกเตอรยูครอสเวกเตอรวี
นักเรียนมีข้อสงสัย
คณิตน่ารู้ 2. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาบทนิยามของผลคูณ
เชิงเวกเตอร ในหนังสือเรียน หน้า 265 จากนัน้
การหาผลคูณเชิงเวกเตอรสามารถหาไดในเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติเทานั้น ครู อ ธิ บ ายให้ นั ก เรี ย นฟ ง อี ก ครั้ ง พร้ อ มยก
ตัวอยางให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เวกเตอรในสามมิติ 265 3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
หน้า 265 ให้กับนักเรียน
T277
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูยกตัวอยางที่ 33 ในหนังสือเรียน หน้า 266 ตัวอย่างที่ 33
โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน 2 -3
กําหนด u = -1 และ v = 5 ใหหา u × v
6 1
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา จากบทนิยาม จะไดวา
-1(1) - 6(5) -1 - 30 -31
หน้า 266 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย u × v = 6(-3) - 2(1) = -18 - 2 = -20
คําตอบ “ลองทําดู” 2(5) - (-1)(-3) 10 - 3 7
266
T278
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูยกตัวอยางที่ 35 ในหนังสือเรียน หน้า 267
ตัวอย่างที่ 35
-1 2 โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน จากนั้น
กําหนด u = -2 , v = 4 และ k = -2 ใหหา (ku) × v และ k(u × v) ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
3 6 • จากตั ว อย า งที่ 35 นั ก เรี ย นสั ง เกตเห็ น
-1 2 ความสัมพันธอะไรหรือไม
วิธีทํา จาก ku = (-2) -2 = 4
3 -6 (แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาเห็นหรือไมเห็น
ก็ได แตครูควรชี้แนะใหนักเรียนสังเกตเห็น
จะไดวา (ku) × v = 44
-6 i - 2 -6 j + 2
6 2 6 2
4 k = 48 i - 24 j
4 วา ( ku) × v = k( u × v ))
และจาก u × v = -24 63 i - -12 63 j + -12 -2 k = -24 i + 12 j
4 เข้าใจ (Understanding)
จะได k(u × v) = -2(-24 i + 12 j ) = 48 i - 24 j
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู หน้า 267 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
3 -1 คําตอบ “ลองทําดู”
กําหนด u = 4 , v = 5 และ k = 3 ใหหา (ku) × v และ k(u × v)
-2 2 รู้ (Knowing)
จากตัวอยางที่ 34-35 จะเห็นวา ผลคูณเชิงเวกเตอรเปนจริงตามสมบัติตาง ๆ ที่สําคัญตอไปนี้ 1. ครูให้นกั เรียนรวมกันสังเกตวา ตัวอยางที่ 34-35
สมบัติ สมบัติที่สําคัญของผลคูณเชิงเวกเตอร
มีผลคูณเชิงเวกเตอรเปนจริงตามสมบัติตางๆ
1) u, v และ w เปนเวกเตอร ใด ๆ ในสามมิติ และ k เปนจํานวนจริงใด ๆ จะไดวา จากนัน้ ครูอธิบายสมบัตขิ องผลคูณเชิงเวกเตอร
(1) u × v = -(v × u) หน้า 267
(2) (u + v) × w = (u × w ) + (v × w)
(3) u × (v + w) = (u × v ) + (u × w)
(4) u × (kv) = k(u × v)
(5) (ku) × v = k(u × v)
(6) u × u = 0
(7) i × j = k, j × k = i , k × i = j
2) ถา u, v และ w เปนเวกเตอร ใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
แลว u • (v × w) = (u × v) • w
3) ถา u 0, v 0 แลว u × v = uv sin θ
เมื่อ θ เปนมุมระหวาง u และ v, 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
4) ให u และ v เปนเวกเตอร ในระบบพิกัดฉากสามมิติ ซึ่งไมใชเวกเตอรศูนยและ
ไมขนานกัน จะไดวา u × v ตั้งฉากกับ u และ v
เวกเตอรในสามมิติ 267
T279
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูให้นักเรียนศึกษาการพิสูจนสมบัติข้อที่ 3)
ในที่นี้ จะยกตัวอยางการพิสูจนสมบัติขอ 3) ดังนี้
ในหนังสือเรียน หน้า 268 หลังจากนั้นครูสุม
นักเรียนออกมาอธิบายการพิสูจน ในหนังสือ- 3) ถา u 0 และ v 0 แลว u × v = uv sin θ เมื่อ θ เปนมุมระหวาง u และ v,
เรียน หน้า 268 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
a1 b1
เข้าใจ (Understanding) พิสูจน ให u = a2 และ v = b2
a3 b3
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ a a a a a a
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง จะได u × v = b2 b3 i - b1 b3 j + b1 b2 k
2 3 1 3 1 2
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วให้ทํากิจกรรม
ดังนี้ = (a2b3 - a3b2) i - (a1b3 - a3b1) j + (a1b2 - a2b1) k
• ให้แตละกลุมทําใบงานที่ 3.5 เรื่อง ผลคูณ ดังนั้น u × v
2 = (a2b3 - a3b2)2 + (a1b3 - a3b1)2 + (a1b2 - a2b1) 2
เชิงเวกเตอร = a22 b32 - 2a2a3b2b3 + a32 b22 + a12 b32 - 2a1a3b1b3
• ให้แตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน จากนัน้
ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม ออกมาเฉลยคําตอบ + a32 b12 + a12 b22 - 2a1a2b1b2 + a22 b12
และให้นกั เรียนทัง้ หมดรวมกันอภิปรายแสดง = (a12 b12 + a22 b22 + a32 b32) + a22 b23 + a32 b22 + a12b23 + a32 b12
ความคิดเห็น + a12 b22 + a22 b12 - (a12 b12 + a22 b22 + a32 b32) - 2a2a3b2b3
รู้ (Knowing) - 2a1a3b1b3 - 2a1a2b1b2
ครูยกตัวอยางที่ 36 ในหนังสือเรียน หน้า 269 = (a12 + a22 + a32)(b12 + b22 + b32) - (a1b1 + a2b2 + a3b3)2
โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน และให้ = u2v2 - u • v2
นักเรียนศึกษาไปพร้อมกันแล้วแลกเปลีย่ นความรู้
จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม = u2v2 - u2v2 cos2 θ
นักเรียน ดังนี้ = u2v2 (1 - cos2 θ)
• ไซนของมุมระหวาง u และ v หาไดอยางไร = u2v2 sin2 θ
(แนวตอบ หาไดจากสูตร u × v = uv sin θ)
ทําใหไดวา u × v = uv sin θ > 0 แสดงวา 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
ดังนั้น u × v =uv sin θ เมื่อ θ เปนมุมระหวาง u และ v, 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
268
T280
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 36
หน้า 269 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนด u = i + 2 j และ v = 2 i - j + 3k ใหหาไซนของมุมระหวาง u กับ v คําตอบ “ลองทําดู”
วิธีทํา เนื่องจาก u × v = -12 03 i - 21 30 j + 12 -12 k
รู้ (Knowing)
= (6 - 0) i - (3 - 0) j + (-1 - 4)k
= 6 i - 3 j - 5k 1. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 37 ใน
หนั ง สื อ เรี ย น หน้ า 269 แล้ ว แลกเปลี่ ย น
จะไดวา u × v = 62 + (-3)2 + (-5)2 = 36 + 9 + 25 = 70
2 2
ความรู้กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
จาก u = 1 + 2 = 1 + 4 = 5
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
2 2 2
v = 2 + (-1) + 3 = 4 + 1 + 9 = 14
• จากตัวอยางที่ 37 คาของ u • (u × v ) มีคา
และ u × v = uv sin θ
เทาใด
จะไดวา 70 = 5 14 sin θ (แนวตอบ u • ( u × v) = 0)
ดังนั้น sin θ = 70 = 1 • จากตัวอยางที่ 37 คาของ v • (u × v ) มีคา
5 14
เทาใด
ลองทําดู (แนวตอบ v • ( u × v) = 0)
กําหนด u = 3 i + j - 2k และ v = 2 i - j ใหหาไซนของมุมระหวาง u กับ v • จากตัวอยางที่ 37 นักเรียนสังเกตเห็นความ
สัมพันธอะไรหรือไม
ตัวอย่างที่ 37
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาเห็นหรือไมเห็น
กําหนด u = i + 2 j - 2k และ v = 3 i + k ใหหาคา u • (u × v) และ v • (u × v) ก็ได แตครูควรชี้แนะใหนักเรียนสังเกตเห็น
วิธีทํา จาก u = i + 2 j - 2k และ v = 3 i + k วา u • ( u × v) = 0 และ v • ( u × v) = 0
จะไดวา u × v เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกับ u
จะไดวา u × v = 02 -21 i - 31 -21 j + 13 20 k และ v)
= (2 - 0) i - (1 + 6) j + (0 - 6)k
เข้าใจ (Understanding)
= 2 i - 7 j - 6k
1 2 1. ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
ดังนั้น u (u × v) = 2 • -7 = 1(2) + 2(-7) + (-2)(-6) = 0
• เรียน หน้า 270 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
-2 -6 เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
3 2
และ v • (u × v) = 0 • -7 = 3(2) + 0(-7) + 1(-6) = 0 2. ครูให้นักเรียนทํา Exercise 3.5 เปนการบ้าน
1 -6
เวกเตอรในสามมิติ 269
T281
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หน้า 270 ให้กับนักเรียน
กําหนด u = i + 2 j - k และ v = -2 i + 3 k ใหหา u • (u × v) และ v • (u × v)
ลงมือทํา (Doing) คณิตน่ารู้
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ ถา u ขนานกับ v แลว u × v = 0
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง ถา u × v เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกับ u และ v จะไดวา u • (u × v) = 0 และ v • (u × v) = 0
และเก ง ) ให้ อ ยู ก ลุ ม เดี ย วกั น แล้ ว ช ว ยกั น ทํ า
แบบฝกทักษะ 3.5 ในหนังสือเรียน หน้า 270
แบบฝึกทักษะ 3.5
ขัน้ สรุป
ระดับพื้นฐาน
ครูถามคําถามเพือ่ ประเมินความรูร้ วบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ 1. ใหหาเวกเตอร u × v และ v × u เมื่อกําหนด
1 3
• ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v เขียน 1) u = -32 , v = -51 2) u = 2 , v = 1
แทนดวยสัญลักษณไดอยางไร และอานได 1 -2
อยางไร 3) u = 2 i + j + k, v = 2 i - j 4) u = 3 i + 2 j - k, v = 3 i + 5 j - k
(แนวตอบ เขียนแทนดวย u × v อานวา 2. เวกเตอรที่กําหนดใหในแตละขอตอไปนี้ เวกเตอรคูใดขนานกัน
เวกเตอรยูครอสเวกเตอรวี) 3 6 0 1
1) u = -1 , v = 2 2) u = 1 , v = 0
• ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v ผลลัพธที่ 1 -2 1 1
ไดจะเปนอยางไร 3) u = i + 2 j , v = 2 i - j + 3k 1 1
4) u = i - 4 j - 4 k , v = 8 i + 2 j + 2k
(แนวตอบ ผลลัพธที่ไดจะเปนเมทริกซ)
ระดับกลาง
ขัน้ ประเมิน 3. กําหนด u = 3 i + a j - 2k ขนานกับ v = -4 i - 9 j + 83 k ใหหาคา a
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.5 4. กําหนด u = 5 i - x j + 3k ขนานกับ v = -10 i + 2 j - 6k ใหหาคา x
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.5 5. กําหนด a = 2 i - j และ b = 2 i + j + k ใหหาไซนของมุมระหวาง a และ b
3. ครูตรวจ Exercise 3.5
ระดับทาทาย
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 6. ถา u และ v เปนเวกเตอรหนึ่งหนวย มุมระหวาง u กับ v เทากับ 135 ํ ใหหาคา u × v
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 7. กําหนด u = 3, v = 4 และ u × v = 6 ใหหามุมระหวาง u กับ v
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้
มุงมั่นในการทํางาน 270
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T282
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
T283
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 39
หน้า 271 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
รูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด A(9, 12, 6), B(0, 2, 2) และ C(8, 8, -2) เปนจุดยอด
คําตอบ “ลองทําดู”
ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมรูปนี้
รู้ (Knowing) วิธีทํา พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 12 AB × AC
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 39 ในหนังสือ- 0-9 -9 8- 9 -1
จาก AB = 2 - 12 = -10 และ AC = 8 - 12 = -4
เรียน หน้า 272 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน 2-6 -4 -2 - 6 -8
ดังนี้ (-10)(-8) - (-4)(-4)
• พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC หาไดอยางไร จะไดวา AB × AC = (-4)(-1) - (-9)(-8)
(-9)(-4) - (-10)(-1)
(แนวตอบ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC หา
= (80 - 16) i + (4 - 72) j + (36 - 10)k = 64 i - 68 j + 26k
ไดจาก 12 AB × AC)
ดังนั้น 12 AB × AC = 12 642 + (-68)2 + 262
เข้าใจ (Understanding) = 12 (32 • 2)2 + (34 • 2)2 + (13 • 2)2
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 12 22(322 + 342 + 132) = 2,349 = 9 29
หน้า 272 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย นั่นคือ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 9 29 ตารางหนวย
คําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู
รู้ (Knowing) รูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด A(2, 6, 2), B(1, 9, 6) และ C(4, 2, 8) เปนจุดยอด ใหหา
1. ครูอธิบายการใช้เวกเตอรในการหาปริมาตร พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมรูปนี้
ของทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน ในหนังสือเรียน 2. การใชเวกเตอรในการหาปริมาตรของทรงสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
หน้า 272-273 u×v H G จากรูปทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน
ABCDEFGH กําหนดให AB = u,
D C AE = v, AD = w, h เปนความสูง และ
E F มีพนื้ ทีฐ่ านของทรงสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
w h
v
เทากับ u × v ตารางหนวย และ θ
θ
A
u เปนมุมระหวาง w และ u × v
K B
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก AKD
จะได cos θ = ADAK = h
w
h = w cos θ
272
T284
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
จากปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน = พื้นที่ฐาน × ความสูง
หนา 273 ใหกับนักเรียน
= u × v w cos θ
3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 40 ในหนังสือ-
= w • (u × v)
เรียน หนา 273 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน
เนื่องจาก ปริมาตรตองเปนบวก
ดังนี้
ดังนั้น ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • (u × v) ลูกบาศกหนวย และใน
• ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานหาได
ทางเรขาคณิต w • (u × v) เทากับปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u, v และ w เปน
ดานของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน อยางไร
(แนวตอบ ปริมาตรของทรงสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
คณิตน่ารู้ หาไดจาก w • ( u × v) ที่มี u, v และ w
• ถา u v และ w อยูบนระนาบเดียวกัน แลวผลคูณเชิงเวกเตอรของ w กับ u × v เทากับ 0 เปนดานของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน)
นั่นคือ w • (u × v) = 0
• จากเวกเตอรสองเวกเตอรใด ๆ ที่เทากัน จะได u • ( v × v ) = 0 และ v • (u × u) = 0
ตัวอย่างที่ 40
ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 2 i + 3 j - 4k, v = i - j + k
และ w = i + j + 2k เปนดาน
วิธีทํา ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • (u × v)
จะไดวา u × v = -13 -41 i - 12 -41 j + 21 -13 k
= (3 - 4) i - (2 + 4) j + (-2 - 3)k
= - i - 6 j - 5k
ดังนั้น w • (u × v) = ( i + j + 2k) • (- i - 6 j - 5k)
= 1(-1) + 1(-6) + 2(-5)
= -1 - 6 - 10
= -17
= 17
นั่นคือ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ 17 ลูกบาศกหนวย
เวกเตอรในสามมิติ 273
T285
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หน้า 274 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 3 i + j + 2k, v = 4 i + 5 j + k
และ w = i + 2 j + 4k เปนดาน
รู้ (Knowing)
à¡Ãç ´ ¹ è ÒÃÙ é
ครูให้นักเรียนศึกษาประวัตินักคณิตศาสตรใน Sir. Willam Rowan Hamilton
กรอบ “เกร็ดนารู้” ในหนังสือเรียน หน้า 274 ให้ Sir William Rowan Hamilton (¤.È. 1805-1885) ໚¹¼Ù¤Œ ´Ô ¤Œ¹¤ÇÍà·ÍÃà¹Õ¹ (Quaternion)
กับนักเรียน «Ö§è ·Óãˌ䴌·Ò§ÍÍ¡¢Í§¡ÒäٳàÇ¡àµÍÃã¹ÃкºÊÒÁÁÔµÔ â´Âä´ŒÃºÑ ¡ÒþÔʨ٠¹áÅÐÂÍÁÃѺ
Ç‹Ò໚¹¾×é¹°Ò¹¢Í§ÇÔªÒ¾Õª¤³ÔµÊÁÑÂãËÁ‹ ¤ÇÍà·ÍÃà¹Õ¹໚¹¨Ó¹Ç¹·Õèà¢Õ¹ã¹ÃÙ» w + ix
+ jy + kz â´Â·Õè W, X, Y áÅÐ Z ໚¹¨Ó¹Ç¹¨ÃÔ§
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วทํากิจกรรม กิจกรรม คณิตศาสตร์
ดังนี้ ใหนักเรียนแบงกลุม 4 กลุม กลุมละเทา ๆ กัน แลวชวยกันทํากิจกรรมตอไปนี้
• ให้แตละกลุมทําใบงานที่ 3.6 เรื่อง การนํา
ความรู้เกี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใช้ใน อุปกรณ
1. กานลูกโปง 2. กระดาษกาว
การแก้ปญหา 3. ปากกาเคมีคละสี 4. กรรไกร
• ให้แตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน จากนัน้
ครู สุ ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมาเฉลย 1. ใหแตละกลุมสรางระบบพิกัดฉากสามมิติโดยใชกานลูกโปงในการสรางแกน X แกน Y และแกน Z โดย
คํ า ตอบ และให้ นั ก เรี ย นทั้ ง หมดร ว มกั น ใชกระดาษกาวในการยึดแกน
อภิปรายแสดงความคิดเห็น 2. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมาจับสลากจุดในระบบพิกัดฉากโดยกําหนดจุด ดังนี้
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นกลุ ม เดิ ม ร ว มกั น ทํ า กิ จ กรรม A (1, -3, 2) B (2, 0, -5)
คณิตศาสตร ตามในหนังสือเรียน หน้า 274 C (-3, 4, -1) D (7, -2, 6)
E (2, 2, -6)
คําตอบขึ้นอยูที่ดุลยพินิจของครูผูสอน
ขอสอบเนน การคิด
ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับเทาใด เมื่อ u = i + 4 j - 3 k , v = 2 i + 3 j + k และ
w = - i + 2 j + 2 k เปนดาน
(เฉลยคําตอบ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • ( u × v)
4 -3 1 -3 1 4
จะไดวา u × v = ∣ 3 1 ∣ i - ∣ 2 1 ∣ j + ∣ 2 3 ∣k
= (4 + 9) i - (1 + 6) j + (3 - 8) k
= 13 i - 7 j - k
ดังนั้น w • ( u × v) = ( - i + 2 j + 2 k ) • (13 i - 7 j - k )
= ( -1)(13) + 2(-7) + 2(-1)
= -13 - 14 - 2
= -29
= 29
นั่นคือ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ 29 ลูกบาศกหนวย)
T286
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
3. ครูให้นกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 3.6 ในหนังสือ-
แบบฝึกทักษะ 3.6
เรียน หน้า 275 เมือ่ ทําเสร็จแล้วครูและนักเรียน
ระดับพื้นฐาน รวมกันเฉลยคําตอบ
1. ใหหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD เมื่อ AB = 7 i + 3 j และ AD = 5 i + j 4. ครูให้นักเรียนทํา Exercise 3.6 ในแบบฝกหัด
2. ใหหาพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน PQRS เมือ่ PQ = 2i - j + 3k และ PS = -i - 2j + 4k เปนการบ้าน
3. ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เมื่อ AB = 2 i - 2 j - 2k และ AC = i + 2 j - k
4. ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 2 i - 6 j + 2k, v = 4 i - 2k และ
w = 2 i + 2 j - 4k เปนดาน
ระดับกลาง
5. รูปสามเหลี่ยม PQR มีจุด P(0, 2, 1), Q(1, -1, 2) และ R(2, 0, -1) เปนจุดยอด
ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมนี้
6. ใหหาปริมาตรของกลองรูปทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี AB, AC และ AD เปนดานประกอบ
เมื่อ A(1, 1, 1), B(2, 0, 3), C(3, -1, -2) และ D(4, 1, 7)
ระดับทาทาย
7. ใหหาปริมาตรของปริซึม ดังรูป A
ที่มี AB = 2 i + j + 2k
ย
และ AC = 4 i + j - 3k เปนดาน B C 4 หนว
ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนวยแลว ใหนักเรียนบอกสัญลักษณที่ตรงกับระดับความสามารถของตนเอง
ควร
ดี พอใช ปรับปรุง
1. เขาใจและสามารถหาเวกเตอร และนิเสธของเวกเตอรได
2. สามารถหาผลลัพธการบวกการลบเวกเตอร การคูณเวกเตอร
ดวยสเกลารได
3. หาผลคูณเชิงสเกลารและผลคูณเชิงเวกเตอรได
4. นําความรูเกี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใชในการแกปญหาได
เวกเตอรในสามมิติ 275
T287
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
และเกง) ให้อยูก ลุม เดียวกัน แล้วทํากิจกรรม ดังนี้
• ให้นกั เรียนทํา “คณิตศาสตรในชีวติ จริง” ใน กีฬาเบสบอล (baseball)
หนังสือเรียน หน้า 276 เบสบอล เปนกีฬาประเภททีม โดยแบงออกเปน 2 ทีม คือ ทีมรุกและทีมรับ ซึ่งขณะทําการ
• ให้แตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน จากนัน้ แขงขัน 1 ทีม จะมีผูเลนทีมละ 9 คน โดยทีมรุกจะขึ้นมาตีลูกทีละหนึ่งคน เรียกวา ผูตี (batter) และ
ครู สุ ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมาเฉลย ทีมรับมีหนาที่ยับยั้งการทําคะแนนของทีมรุก โดยการทําคะแนนในเกมนั้นจะเกิดจากการที่ผูตีวิ่งไป
คํ า ตอบ และให้ นั ก เรี ย นทั้ ง หมดร ว มกั น สัมผัสฐาน หรือเบส (base) ซึ่งวางอยูตามจุดตาง ๆ 4 จุด ตามลําดับ
อภิปรายแสดงความคิดเห็น
สถานการณ
ในการแขงขันกีฬาเบสบอลรายการหนึ่งปรากฏวา ผูตี (batter) จากทีมหนึ่งซึ่งยืนอยูที่จุด
(0, 0) ตีลูกออกไปจากสนามดานซายที่จุด (-3, 6) ดังรูป
Y
Center Field
Left Field Right Field
ขอสอบเนน การคิด
ใหหาปริมาตรของปริซึมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังรูป
ที่มี PQ = 3 i - j + 2 k P Q
และ PS = i + 4 j - k 4 หนวย
S R
(เฉลยคําตอบ
ปริมาตรของปริซึมสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทากับ 4 • ( PQ × PS)
-1 2 3 2 3 -1
จะไดวา PQ × PS = ∣ 4 -1 ∣ i - ∣ 1 -1 ∣ j + ∣ 1 4 ∣k
= (1 - 8) i - (-3 - 2) j + (12 + 1) k
= -7 i + 5 j + 13 k
ดังนั้น 4 • ( PQ × PS) = 4 • (-7 i + 5 j + 13 k )
= -28 i + 20 j + 52 k
= (-28)2 + 20 2 + 522
= 3,888
= 36 3
T288 นั่นคือ ปริมาตรของปริซึมเทากับ 36 3 ลูกบาศกหนวย)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
สรุปแนวคิดหลัก 1. ครูใหนักเรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิด
หลัก” ในหนังสือเรียน หนา 277-278 แลวเขียน
เวกเตอร์ในสามมิติ ผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง เวกเตอร
ในสามมิติ ลงในกระดาษ A4
ระบบพิกัดฉากสามมิติ
2. ครูถามคําถามเพือ่ ประเมินความรูร วบยอดของ
• ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ นักเรียน ดังนี้
ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2) หรือ
• เวกเตอรคืออะไร
AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 หนวย
(แนวตอบ ปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง)
เวกเตอร์
• เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่ A และจุดสิ้นสุดที่
• การบวกเวกเตอร
B เขียนแทนดวยสัญลักษณใด
ให u และ v เปนเวกเตอรใด ๆ (แนวตอบ AB)
ผลบวกของ u และ v เขียนแทนดวย u + v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตนของ u และ
จุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
• การลบเวกเตอร
ให u และ v เปนเวกเตอรใด ๆ
ผลลบของ u และ v เขียนแทนดวย u - v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ u
• การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร
ให a เปนสเกลาร และ u เปนเวกเตอร ผลคูณของเวกเตอร u ดวยสเกลาร a เปนเวกเตอร
เขียนแทนดวย au โดยที่
1) ถา a = 0 แลว au = 0
2) ถา a > 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au และมีทิศทางเดียวกับ u
3) ถา a < 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au แตมีทิศทางตรงขามกับ u
เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก
• ถา A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ
x -x
แลว AB = y2 - y1 และขนาดของ AB หรือ AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2
2 1
• ถา A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
x2 - x1
แลว AB = y2 - y1 และขนาดของ AB หรือ AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
z2 - z1
เวกเตอรในสามมิติ 277
T289
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
• ขนาดของเวกเตอร u เขียนแทนดวย
สัญลักษณใด และหาอยางไร
(แนวตอบ u = x2 + y 2 + z2 a a
• เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางเดียวกับ b ใด ๆ ที่ไมใชเวกเตอรศูนย คือ 2 1 2 2 b
เมื่อ u = x i + y j + zk) c
a
a +b +c c
a
• ถา u • v = u v cos 90 ํ = 0 แสดงวา u • เวกเตอร 1 หนวย แตมที ศิ ทางตรงกันขามกับ b ใด ๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย คือ - 2 1 2 2 b
c a +b +c c
และ v มีความสัมพันธกันอยางไร a
1 a
• เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 2 2 b
(แนวตอบ u และ v ตั้งฉากกัน) c a +b +c c
a a
• ถา u × v = u v sin 0 ํ = 0 แสดงวา u • เวกเตอร k หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 k 2 2 b
และ v มีควาสัมพันธกันอยางไร c a +b +c c
• โคไซนแสดงทิศทาง
(แนวตอบ u และ v ขนานกัน) a
- ให v = b เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนย โคไซนแสดงทิศทางของ v เทียบกับแกน X
c
แกน Y และแกน Z ตามลําดับ คือ av , bv , cv
- เวกเตอรสองเวกเตอรมีทิศทางเดียวกัน ก็ตอเมื่อ มีโคไซนแสดงทิศทางชุดเดียวกัน และมีทิศทาง
ตรงกันขามกัน ก็ตอ เมือ่ โคไซนแสดงทิศทางเทียบแตละแกนของเวกเตอรหนึง่ เปนจํานวนตรงขามกับ
โคไซนแสดงทิศทางของอีกเวกเตอรหนึ่ง
ผลคูณเชิงสเกลาร์
• ถา u = x1 i + y1 j และ v = x2 i + y2 j แลวผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v คือ x1 x2 + y1 y2
ถา u = x1 i + y1 j + z1k และ v = x2 i + y2 j + z2k แลวผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v คือ
x1 x2 + y1 y2 + z1 z2 เขียนแทนผลคูณเชิงสเกลารของ u • v
• ถา θ เปนมุมระหวาง u และ v ซึ่ง 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ แลว u • v = uv cos θ
ผลคูณเชิงเวกเตอร์
a2 b3 - a3 b2
a a a a a a
• ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v คือ a3 b1 - a1 b3 หรือ b2 b3 i - b1 b3 j + b1 b2 k
a1 b2 - a2 b1 2 3 1 3 1 2
ซึ่งเขียนแทนดวย u × v โดยที่ u = a1 i + a2 j + a3k และ v = b1 i + b2 j + b3k
การนําความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิติไปใช้ในการแก้ปัญหา
• พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ u × v เมื่อ u และ v เปนดานประกอบมุมของรูปสี่เหลี่ยม
ดานขนาน โดยที่ 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
• ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • (u × v) เมื่อ u, v และ w เปนดานของทรงสี่เหลี่ยม
ดานขนาน
278
T290
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
3. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
แบบฝึกทักษะ ประจําหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วชวยกันทํา
แบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู้ที่ 3 ใน
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
หนังสือเรียน หน้า 279-280 ลงในกระดาษ A4
1. จากรูป ใหหาพิกัดของจุด A, C, D, E, F และ G เมื่อกําหนดจุด B(5, 10, 5) 4. ครู สุ ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอคํ า ตอบหน้ า
Z
ชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน
D C ตรวจสอบความถูกต้อง
A B(5, 10, 5)
Y
E H
F G
X
2. ใหหาระยะทางระหวางจุดสองจุดที่กําหนดใหในแตละขอตอไปนี้
1) A(-2, 1, 5) กับ B(1, 3, 0) 2) A(2, 3, -2) กับ B(4, 5, 6)
3) A(-1, 1, 7) กับ B(8, 5, 2) 4) A(2, 1, -5) กับ B(0, 2, -1)
3. ใหพิจารณาขอความในแตละขอตอไปนี้ วาเปนปริมาณสเกลารหรือปริมาณเวกเตอร
1) ใบเฟรนหนัก 45 กิโลกรัม
2) โบมีที่ดิน 2 ไร กับอีก 1 งาน
3) สมยศขับรถไปจังหวัดชุมพรดวยความเร็ว 120 กิโลเมตรตอชั่วโมง
4) วารีออกแรงดึงหนังสติ๊กเปนเวลา 30 วินาที
5) สมซือ้ ผลไมไปฝากคุณยายทีบ่ า นอยูห า งกันไปทางทิศตะวันออกเปนระยะทาง 500 เมตร
4. จากปริซึมฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใหหาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
E
1) เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน
C 2) เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขามกัน
D
3) เวกเตอรท่เี ทากัน
A B
0 7
5. กําหนด p = -1 ,q= 3 ,u= 4 และ v = 6 ใหหา
1 5 -2 -3
1) 3p + q 2) นิเสธของ 5p - 2q
3) -4u + 5v 4) นิเสธของ 3u - v
เวกเตอรในสามมิติ 279
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.6
2. ครูตรวจ Exercise 3.6 6. D F C จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD มี AE และ AF
3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู เปนจุดกึ่งกลางของ CB และ CD ตามลําดับ
ที่ 3 E ใหหาผลบวกของ AE + AC + AF
4. ครูตรวจผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูที่ 3
เวกเตอรในสามมิติ A B
5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 7. ใหหา AB และ BA เมื่อกําหนด A และ B ในแตละขอตอไปนี้
7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 1) A(3, -2), B(6, 5) 2) A(-1, 4), B(2, 7)
3) A(1, 3, 5), B(3, -2, 8) 4) A(-5, -1, 0), B(1, 1, 2)
8. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 8. ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
-3
1) -2 2) 10 3) 0
5 -5 3
4) 9 i - 2 j 5) i + 3 j - 4k 6) -4 i + 5k
= 6i + 6j - 6k
1 2 2 2 2 1
2. u × v = ∣ 1 4 ∣ i - ∣ 3 4 ∣ j + ∣ 3 1 ∣k
= (4 - 2) i - (8 - 6) j + (2 - 3) k
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง
ให้
ให้
ให้
3
2
1
คะแนน
คะแนน
คะแนน = 2i - 2j - k)
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง
T292
นํา สอน สรุป ประเมิน
ภาคผนวก
ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ
Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine
0 ํ 00′ .0000 .0000 .0000 1.0000 1.5708 90 ํ 00′
10′ .0029 .0029 .0029 343.77 1.0000 1.5679 50′
20′ .0058 .0058 .0058 171.89 1.0000 1.5650 40′
30′ .0087 .0087 .0087 114.59 1.0000 1.5621 30′
40′ .0116 .0116 .0116 85.940 .9999 1.5592 20′
50′ .0145 .0145 .0145 68.750 .9999 1.5563 10′
1 ํ 00′ .0175 .0175 .0175 57.290 .9998 1.5533 89 ํ 00′
10′ .0204 .0204 .0204 49.104 .9998 1.5504 50′
20′ .0233 .0233 .0233 42.964 .9997 1.5475 40′
30′ .0262 .0262 .0262 38.188 .9997 1.5446 30′
40′ .0291 .0291 .0291 34.368 .9996 1.5417 20′
50′ .0320 .0320 .0320 31.242 .9995 1.5388 10′
2 ํ 00′ .0349 .0349 .0349 28.636 .9994 1.5359 88 ํ 00′
10′ .0378 .0378 .0378 26.432 .9993 1.5330 50′
20′ .0407 .0407 .0407 24.542 .9992 1.5301 40′
30′ .0436 .0436 .0437 22.904 .9990 1.5272 30′
40′ .0465 .0465 .0466 21.470 .9989 1.5243 20′
50′ .0495 .0494 .0495 20.206 .9988 1.5213 10′
3 ํ 00′ .0524 .0523 .0524 19.081 .9986 1.5184 87 ํ 00′
10′ .0553 .0552 .0553 18.075 .9985 1.5155 50′
20′ .0582 .0581 .0582 17.169 .9983 1.5126 40′
30′ .0611 .0610 .0612 16.350 .9981 1.5097 30′
40′ .0640 .0640 .0641 15.605 .9980 1.5068 20′
50′ .0669 .0669 .0670 14.924 .9978 1.5039 10′
4 ํ 00′ .0698 .0698 .0699 14.301 .9976 1.5010 86 ํ 00′
10′ .0727 .0727 .0729 13.727 .9974 1.4981 50′
20′ .0756 .0756 .0758 13.197 .9971 1.4952 40′
30′ .0785 .0785 .0787 12.706 .9969 1.4923 30′
40′ .0814 .0814 .0816 12.251 .9967 1.4893 20′
50′ .0844 .0843 .0846 11.826 .9964 1.4864 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees 281
ขอสอบเนน การคิด
Z
E เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
C B
ดังนั้น จุด E มีพิกัดเปน (5, 3, 0)
D A (5,5,4) Y
H F เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
G ดังนั้น จุด F มีพิกัดเปน (5, 5, 0)
E F
X G เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
ดังนั้น จุด G มีพิกัดเปน (2, 5, 0)
ใหหาพิกัดของจุด B, C, D, E, F, G และ H
H เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
(เฉลยคําตอบ B เปนจุดที่ไมอยูบนแกนและระนาบทั้งสาม
ดังนั้น จุด H มีพิกัดเปน (2, 3, 0))
ดังนั้น จุด B มีพิกัดเปน (2, 5, 4)
C เปนจุดที่ไมอยูบนแกนและระนาบทั้งสาม
ดังนั้น จุด C มีพิกัดเปน (2, 3, 4)
D เปนจุดที่ไมอยูบนแกนและระนาบทั้งสาม
ดังนั้น จุด D มีพิกัดเปน (5, 3, 4)
T293
นํา สอน สรุป ประเมิน
282
ขอสอบเนน การคิด
ใหหาระยะทางระหวางจุด A(0, -1, 5) กับ B(3, 5, -2) และ
C(8, -3, 0) กับ D(1, 2, 3)
(เฉลยคําตอบ
จากสูตร AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1) 2
= (3 - 0)2 + (5 - (-1))2 + (-2 - 5)2
= 9 + 36 + 49
= 94
และ CD = (1 - 8)2 + (2 - (-3))2 + (3 - 0) 2
= 49 + 25 + 9
= 83
ดังนั้น ระยะทางระหวางจุด A(0, -1, 5) กับ B(3, 5, -2) เทากับ
94 หนวย และระยะทางระหวางจุด C(8, -3, 0) กับ
T294 D(1, 2, 3) เทากับ 83 หนวย)
นํา สอน สรุป ประเมิน
283
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด u, v , w และ z ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนานกับ v , v ขนานกับ w และ
w ขนานกับ z เมื่อ 3u + v = -2 v , -5 v + 3w = 2 v และ - w - 4 z = 9 z
(เฉลยคําตอบ จากทฤษฎีบท 2 จะไดวา
จาก 3u + v = -2 v และจาก -w - 4 z = 9 z
3u = -2 v - v -w = 9 z + 4 z
3u = -3 v - w = 13 z
u = -v w = -13 z
จาก -5 v + 3 w = 2 v ดังนั้น u ขนานกับ v , v ขนานกับ w และ
-5 v - 2 w = -3 w w ขนานกับ z )
-7v = -3 w
v = 37 w
T295
นํา สอน สรุป ประเมิน
284
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด A มีพิกัด (-1, 5), B มีพิกัด (3, 7) และ AC = -9
6
ใหหา AB และพิกัดของจุด C ที่มีจุด A เปนจุดเริ่มตน
(เฉลยคําตอบ AB = 37- -(-1) 5
= 2 4
ดังนั้น AB = 42
ใหจุด C มีพิกัด (x1, y1)
จาก AC = -96 มีจุดเริ่มตนที่ A(-1, 5)
จะไดวา AC = xy1 +- 69
1
แสดงวา 6 = y1 +- 69
-9 x
1
ดังนั้น -9 = x1 + 9 และ 6 = y1 - 6
x1 = -18 y1 = 12
T296 นั่นคือ จุด C มีพิกัด (-18, 12))
นํา สอน สรุป ประเมิน
285
ขอสอบเนน การคิด
1 -x -4
กําหนด u = 2 , v = y และ w = 3 โดยที่ v = 3 w ใหหา u + v , v - w , -u และ -u + w
3 z -1
(เฉลยคําตอบ จาก v = 3w
-x -4 -12
จะไดวา y = 3 3 = 9
z -1 -3
-12
ดังนั้น x = 12, y = 9 และ z = -3 นั่นคือ v = 9
-3
1 -12 -11 1 -1
ทําใหไดวา u + v = 2 + 9 = 11 -u = - 2 = -2
3 -3 0 3 -3
-12 -4 -8 -1 -4 -5
v-w = 9 - 3 = 6 -u + w = -2 + 3 = 1 )
-3 -1 -2 -3 -1 -4
T297
นํา สอน สรุป ประเมิน
286
ขอสอบเนน การคิด
กําหนดเวกเตอรมีจุดเริ่มตนที่ P(3, 0, -1) จุดสิ้นสุดที่ Q(4, -2, 3) ใหหาเวกเตอรหนึ่งหนวยที่
ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i , j และ k
(เฉลยคําตอบ จากเวกเตอรที่กําหนด มีจุดเริ่มตนที่ P(3, 2, -1) และจุดสิ้นสุดที่ Q(-1, -2, 3)
4-3 1
จะได PQ = -2 - 0 = -2
3 - (-1) 4
ดังนั้น PQ = 12 + (-2) 2 + 42 = 1 + 4 + 16 = 21
a a
เนื่องจากเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ b คือ ± 2 1 2 2 b
c a +b +c c
1 1 1
ดังนั้น เวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ -2 คือ ± 1 -2 = ± 21
21 -2 หรือ
4 21 4 4
21 2 21 4 21 21 2 21 4 21
21 i - 21 j + 21 k และ - 21 i + 21 j - 21 k )
T298
นํา สอน สรุป ประเมิน
287
ขอสอบเนน การคิด
ใหพิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
8 , -1 5 4 1 2
1) -3 7 2) -2 , 1 3) 2 , -9
6 0 4 4
(เฉลยคําตอบ
1 2
1) -38 • -17 = 8(-1) + (-3)(7) 3) 2 • -9 = 1(2) + 2(-9) + 4(4)
= -8 - 21 4 4 = 2 - 18 + 16
= -29 =0
8 -1
ดังนั้น -3 และ 7 เปนเวกเตอรที่ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน 1 2
ดังนั้น 2 และ -9 เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากซึ่งกัน
5 4 4 4
2) -2 1 = 5(4) + (-2)(1) + 6(0)
• และกัน)
6 0 = 20 - 2 + 0
= 18
5 4
ดังนั้น -2 และ 1 เปนเวกเตอรที่ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน
6 0
T299
นํา สอน สรุป ประเมิน
288
ขอสอบเนน การคิด
ใหตรวจสอบวารูปสามเหลีย่ มทีม่ จี ดุ ยอด P(2, 3, 4), Q(8, 3, 1)
และ R(8, 7, 1) เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากหรือไม
(เฉลยคําตอบ จากโจทย P(2, 3, 4), Q(8, 3, 1) และ R(8, 7, 1)
8-2 6
จะได PQ = 3 - 3 = 0
1-4 -3
8-2 6
และ PR = 7 - 3 = 4
1-4 -3
6 6
และ PQ • PR = 0 • 4
-3 -3
= 6(6) + 0(4) + (-3)(-3)
= 36 + 0 + 9
= 45
นั่นคือ PQ ไมตั้งฉากกับ PR
T300 ดังนั้น PQR ไมเปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก)
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขอสอบเนน การคิด
กําหนด u = 6, v = 8 และ u - v = 9 ใหหาคาของ u + v
(เฉลยคําตอบ
จากสมบัติ u • u = u2 ในทํานองเดียวกัน u + v 2 = u2 + 2 u • v + v2 …..(2)
จะไดวา u - v 2 = ( u - v ) • ( u - v ) แทน u = 6, v = 8 และ u - v = 9 ใน (2) จะได
= u • u - 2u • v + v • v u + v 2 = 62 + 2 ( 19 ) + 82
2
= u2 - 2 u • v + v2 = 36 + 19 + 64
ดังนั้น u - v 2 = u2 - 2 u • v + v2 …..(1)
= 119
แทน u = 6, v = 8 และ u - v = 9 ใน (1) จะได
ดังนั้น u + v = 119 )
9 2 = 62 - 2u • v + 8 2
81 = 36 - 2u • v + 64
2u • v = 19
u • v = 19
2
T301
นํา สอน สรุป ประเมิน
อภิธานศัพท์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
ฟงกชันเปนคาบ ฟงกชันคาจริง f เปนฟงกชันเปนคาบ ก็ตอเมื่อ
(periodic function) มีจํานวนจริง a ที่ทําให f(x + a) = f(x) สําหรับทุก x
ในโดเมนเรียกจํานวน a ขางตนที่เปนจํานวนบวกที่นอย
ที่สุดวา คาบ (period) ของฟงกชัน
มุมกม มุมที่มีแขนขางหนึ่งอยูในแนวระดับสายตา สวนแขน
(angle of depression) อีกขางหนึ่งอยูในแนวเสนตรงจากตาของผูสังเกตไปยัง
วัตถุที่อยูตํ่ากวาแนวระดับสายตาของผูสังเกต
มุมเงย มุมที่มีแขนขางหนึ่งอยูในแนวระดับสายตา สวนแขน
(angle of elevation) อีกขางหนึ่งอยูในแนวเสนตรงจากตาของผูสังเกตไปยัง
วัตถุที่อยูสูงกวาแนวระดับสายตาของผูสังเกต
เรเดียน หนวยของการวัดมุมบนระนาบ โดยกําหนด 1 เรเดียน
(radian) คือ ขนาดของมุมที่เกิดที่จุดศูนยกลางของวงกลม
เมื่อความยาวของสวนของเสนรอบวงที่อยูตรงขามกับ
มุมนี้มีความยาวเทากับรัศมีของวงกลม
วงกลมหนึ่งหนวย วงกลมที่มีรัศมี 1 หนวย จุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0)
(unit circle)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เมทริกซ์
เมทริกซจัตุรัส เมทริกซที่มีจํานวนแถวและจํานวนหลักเทากัน
(square matrix)
เมทริกซแตงเติม เมทริกซที่ไดจากเมทริกซสัมประสิทธิ์ของระบบสมการ
(augmented matrix) เชิงเสน โดยการเพิม่ หลักสุดทายดวยหลักทีป่ ระกอบดวย
คาคงตัวทางดานขวาของเครื่องหมาย = ในระบบสมการ
290
ขอสอบเนน การคิด
รูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด A(5, 11, 4), B(10, 7, 14) และ C(3, -8, 0) เปนจุดยอด ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมรูปนี้
(เฉลยคําตอบ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 12 AB × AC
10 - 5 5
จะได AB = 7 - 11 = -4 ดังนั้น 12 AB × AC = 12 206 2 + 40 2 + 1032
14 - 4 10
3-5 -2 = 12 54,645
AC = -8 - 11 = -19
0-4 -4 = 54,645
2
(-4)(-4) - (10)(-19) นั่นคือ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ
จะไดวา AB × AC = (10)(2) - (5)(-4)
(-4)(-2) - (-19)(5) 54,645 ตารางหนวย)
2
= (16 + 190) i + (20 + 20) j + (8 + 95) k
= 206 i + 40 j + 103 k
T302
นํา สอน สรุป ประเมิน
291
ขอสอบเนน การคิด
ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 3 i - j + 2 k, v = -2 i + 3 j + k และ
w = i + 2 j - 4 k เปนดาน
(เฉลยคําตอบ
ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • ( u × v)
-1 2 3 2 3 -1
จะไดวา u × v = ∣ 3 1 ∣ i - ∣ -2 1 ∣ j + ∣ -2 3 ∣k
= (-1 - 6) i - (3 + 4) j + (9 - 2) k
= -7 i - 7 j + 7 k
จะไดวา w • ( u ×
v) = ( i + 2 j - 4 k ) • (-7 i - 7 j + 7 k)
= 1(-7) + 2(-7) + (-4)(7)
= -7 - 14 - 28
= -49
= 49
นั่นคือ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ 49 ลูกบาศกหนวย)
T303
บรรณานุ ก รม
กนกวลี อุษณกรกุล และคณะ. (2562). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1. พิมพ์ครั้ง
ที่ 2. กรุงเทพมหานคร : ไทยร่มเกล้า.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2553). ศัพท์คณิตศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์
พับลิเคชั่นส์.
_______. (2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
ศศิเกษม สัทธรรมสกุล และเอกสิทธิ์ เกิดกฤษฎานนท์. (2561). คู่มือเตรียมสอบ AKSORN พิชิต O-NET คณิตศาสตร์ ม.6.
พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : ไทยร่มเกล้า.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
_______. (2561). คู่มือการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย). สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2562,
จาก https://drive.google.com/drive/folders/12a0Y3CvLirAKeza_ClV_lwIrtdqMtcCR
T304
บั น ทึ ก
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
T305
บั น ทึ ก
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
T306