Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 314

คู่มือครู

Teacher Script

คณิตศำสตร์ ม. 5
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ตามผลการเรียนรู้ เล่ม 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผู้เรียบเรียงหนังสือเรียน ผู้ตรวจหนังสือเรียน บรรณาธิการหนังสือเรียน
นางกนกวลี อุษณกรกุล ผศ.รุจิรา พิพิธพจนการณ์ นางสาวจันทร์เพ็ญ ชุมคช
รศ. ดร.อ�าพล ธรรมเจริญ นางสาวทองดี กุลแก้วสว่างวงศ์
นายไอศุริย สุดประเสริฐ นางสาวบูรนาถ เฉยฉิน
นางจินดา อยู่เป็นสุข
นายรณชัย มาเจริญทรัพย์
นายวุฒิชัย ศรีวสุธากุล
นางนพรัตน์ วันแก้ว
นางสาวสายสุณี สุทธิจักษ์

ผู้เรียบเรียงคู่มือครู บรรณาธิการคู่มือครู
นางสาวจันทร์เพ็ญ ชุมคช นางสาวชลรวี นาคสัมพันธ์ุ
นายธีระพงษ์ มวานนท์ นางสาววรรณทัศน์ เลิศอภิสิทธิ

พิมพครั้งที่ 1
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3546009
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครู รายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร ม.5 เล่มนี้ จัดทำาขึ้น
สำาหรับให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนการจัดการเรียนการสอน
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพผู้เรียน
ตามนโยบายของสำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.)

ิ่ม คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได


เพ
อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
โซน 1
ิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา ขัน้ นํา (Inductive Method)
เพ
1
เตรียม
1. ครู ก ระตุ  น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด นักเรียนดูภาพหนาหนวยการเรียนรูที่ 1 ใน
หน่วยการเรียนรู้ที่

หนังสือเรียน หนา 2 จากนั้นครูถามคําถาม


วา “นักเรียนคิดวา GPS มีความเกี่ยวของกับ
ฟังก์ชน
ั ตรีโกณมิติ
ิ่ม ฟงกชันตรีโกณมิติอยางไร”

เพ Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ หมายเหตุ : ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถาม


ประจําหนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน หนา 2
“GPS เปนเทคโนโลยีที่ ใชชวยในการระบุตําแหนง
ของวัตถุหรือบุคคลบนพื้นผิ วโลกโดยใชการสงคลื่น
¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò GPS
ÁÕ¤ÇÒÁà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñº
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรูท ี่ 1 สัญญาณจากพื้นผิ วโลกไปยังดาวเที ยม จากนั้นจึง ¿˜§¡ªÑ¹µÃÕ⡳ÁÔµÔ
สงตอกลับมายังผูร ับที่อยูบ นพืน้ ผิ วโลกอีกครั้งหนึง่ ” Í‹ҧäÃ
ประสิทธิภาพ
ิ่ม Teacher Guide Overview ชวยใหเห็นภาพรวมของการ
เพ
จั ด การเรี ย นการสอนทั้ ง หมดของรายวิ ช าก อ นที่ จ ะลงมื อ เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หนา 2

S ดาวเทียม
สอนจริง
d

ิ่ม ตัวรับสัญญาณ E

เพ Chapter Overview ชวยสรางความเขาใจและเห็นภาพรวม L


R
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย ผลการเรียนรู้
• เขาใจฟงกชันตรีโกณมิติและลักษณะกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติ และนําไปใชในการแกปญหา
กําหนด d แทนระยะหางระหวางตัวรับ • แกสมการตรีโกณมิติ และนําไปใชในการแกปญหา

ิ่ม ขอสอบเนนการคิด/ขอสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม


• ใชกฎของโคไซนและกฎของไซนในการแกปญหา
สัญญาณ GPS กับดาวเทียม
เพ
สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
RE แทนรัศมีของโลก • ฟงกชันตรีโกณมิติ • เอกลักษณและสมการตรีโกณมิติ
• ฟงกชันตรีโกณมิติผกผัน • กฎของโคไซนและกฎของไซน
RS แทนรัศมีวงโคจรของดาวเทียม
ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ พิจารณา ∆SER โดยใชกฎของโคไซน
จะได d 2 = RE2 + RS 2 - 2(RE)(RS) cos L

ิ่ม กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่จะชวยพัฒนา


เพ เกร็ดแนะครู กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค
ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต ในการเรียนการสอนเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ ครูควรเลือกใชวิธีถาม-ตอบ
นักเรียน เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนและยกตัวอยางเพิ่มเติมบน
ครูควรปลูกฝงใหนักเรียนมีระเบียบวินัย เชน การแตงกายมา
โรงเรียนใหถูกระเบียบ และกอนเริ่มเรียนชั่วโมงแรกครูอาจสราง
ในโลกแหงศตวรรษที่ 21 กระดาน แลวใหนกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น ครูควรชีแ้ นะใหนกั เรียนเห็น
ความสําคัญเกี่ยวกับ “ฟงกชันตรีโกณมิติ” เพื่อนําไปใชในการแกปญหาเกี่ยวกับ
ขอตกลงกับนักเรียนเกี่ยวกับความมีวินัย เชน การสงการบานหรือ
ชิ้นงานควรสงตรงตามเวลาที่กําหนด หากใครสงไมตรงตามเวลา
ระยะทางและความสูง อาจถูกตัดคะแนนความรับผิดชอบ (ครูและนักเรียนรวมกันสราง
ขอตกลงดังกลาว)

โซน 3
โซน 2
T8

โซน 1 ช่วยครูจัด โซน 2 ช่วยครูเตรียมสอน


การเรียนการสอน
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครูผู้สอน โดยประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำาหรับ
โดยแนะนำาขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอย่างละเอียด ครู เพื่อนำาไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน
เพื่อให้นักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามผลการเรียนรู้ เกร็ดแนะครู
ความรู้เสริมสำาหรับครู ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต แนวทางการจัด
นํา สอน สรุป ประเมิน
กิจกรรมและอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน
นักเรียนควรรู
ความรูเ้ พิม่ เติมจากเนือ้ หา สำาหรับอธิบายเสริมเพิม่ เติมให้กบั นักเรียน
โดยใช้ หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร ม.5 และแบบฝกหัดคณิตศาสตร ม.5 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน์
อจท. จ�ากัด เป็นสื่อหลัก (Core Materials) ประกอบการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับผล
การเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ซึ่งคู่มือครูเล่มนี้มีองค์ประกอบที่ง่ายต่อการใช้งาน ดังนี้

โซน 1 นํา นํา สอน สรุป ประเมิน


โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
ขัน้ นํา
เตรียม

¤ÇÃÃÙŒ¡‹Í¹àÃÕ¹ 2. ครูทบทวนความรูของนักเรียน โดยใหนักเรียน ประกอบด้ ว ยแนวทางส� า หรั บ การจั ด กิ จ กรรมและ


ศึกษาควรรูก อ นเรียน ในหนังสือเรียน หนา 3 และ
กราฟของคูอันดับบนระบบพิกัดฉาก
Y
ใหนักเรียนทําแบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน
โดยการสแกน QR Code ในหนังสือเรียน
เสนอแนะแนวข้อสอบ เพือ่ อ�านวยความสะดวกให้แก่ครูผสู้ อน
3 จากระบบพิกัดฉาก จะไดวา หนา 3
จตุภาคที่ 2 2 จตุภาคที่ 1 ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 แลว x > 0 และ y > 0 3. ครูถามคําถามเพือ่ นําเขาสูบ ทเรียนและกระตุน
กิจกรรม 21st Century Skills
1
X ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 2 แลว x < 0 และ y > 0 ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น ดังนี้
-3 -2 -1-10 1 2 3
ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 3 แลว x < 0 และ y < 0 • คูอันดับ (2, 1) อยูในจตุภาคใด
จตุภาคที่ 3 -2 จตุภาคที่ 4
-3 ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 4 แลว x > 0 และ y < 0 (แนวตอบ (2, 1) อยูในจตุภาคที่ 1)
• คูอันดับ (-2, -1) อยูในจตุภาคใด กิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ประยุกต์ ใช้ความรู้ที่เรียนรู้มาสร้าง
(แนวตอบ (-2, -1) อยูในจตุภาคที่ 3)
ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
c
D จากรูป สามารถสรุปเปนทฤษฎีบทพีทาโกรัสได 2 แบบ ดังนี้
1. ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กําลังสองของความยาว
• คูอันดับ (-2, 1) อยูในจตุภาคใด
(แนวตอบ (-2, 1) อยูในจตุภาคที่ 2)
ชิ้นงาน หรือท�ากิจกรรมรวบยอดเพื่อให้เกิดทักษะที่จ�าเป็น
E
c c
c
Ba I
a a
ของดานตรงขามมุมฉากเทากับผลบวกของกําลังสองของ
ความยาวของดานประกอบมุมฉาก
• คูอันดับ (2, -1) อยูในจตุภาคใด
(แนวตอบ (2, -1) อยูในจตุภาคที่ 4)
ในศตวรรษที่ 21
A b Ca H
2. ในรูปสามเหลีย่ มมุมฉากใด ๆ พืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั บน
ดานตรงขามมุมฉากเทากับผลบวกของพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ ม
b b
G b F
จัตุรัสบนดานประกอบมุมฉาก
กําลังสองของความยาวดาน AB
หรือพื้นที่ของ □ ABDE
ข้อสอบเน้นการคิด
กําลังสองของความยาวดาน BC
หรือพื้นที่ของ □ BCHI
a2 + b2 = c2
กําลังสองของความยาวดาน AC
หรือพื้นที่ของ □ ACFG
ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อม
อัตราสวนตรีโกณมิติ เฉลยอย่างละเอียด
B ความยาวของดานตรงขามมุม A
ไซนของมุม A หรือ sin A คือ ความยาวของดานตรงขามมุมฉาก
ความยาวของดานประชิดมุม A
ข้อสอบเน้นการคิดแนว PAT 1
c a โคไซนของมุม A หรือ cos A คือ ความยาวของด านตรงขามมุมฉาก
ความยาวของดานตรงขามมุม A
แทนเจนตของมุม A หรือ tan A คือ ความยาวของดานประชิดมุม A
A b C
ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิดวิเคราะห์ และสอดคล้องกับ
แบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน ฟงกชันตรีโกณมิติ 3
แนวข้อสอบ PAT 1 มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อมเฉลยอย่าง
กิจกรรม สรางเสริม สื่อ Digital
ละเอียด
ใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ครูอาจใหนักเรียนดูสื่อการเรียนรูเพื่อทบทวนความรูเดิมผาน
ABC ที่มีมุม B เปนมุมฉาก พรอมกับกําหนดความยาวของดาน
ทั้งสามดาน และใหแตละคูหาอัตราสวนตรีโกณมิติของ sin A,
www.youtube.com โดยใชคําสืบคนวา “ทฤษฎีบทพีทาโกรัส” หรือ
“อัตราสวนตรีโกณมิติ” เชน https://www.youtube.com/watch?v กิจกรรมเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์
cos A, tan A, sin C, cos C และ tan C แลวใหนกั เรียนแตละกลุม =XprWibxGOBc
สลับโจทยกันทําจนครบทุกกลุม
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
กิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนด้านคุณธรรม
จริยธรรม ค่านิยม ตามที่หลักสูตรก�าหนด
โซน 3
โซน 2
กิจกรรมท้าทาย
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ต่อยอดส�าหรับนักเรียน
T9
ที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และต้องการท้าทายความสามารถใน
ระดับที่สูงขึ้น
กิจกรรมสร้างเสริม
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมส�าหรับนักเรียน
ที่ควรได้รับการพัฒนาการเรียนรู้
บูรณาการอาเซียน
ความรู้เสริมหรือการเชื่อมโยงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาคม
อาเซียน
สื่อ Digital เฉลยละเอียด
แนะน�าแหล่งเรียนรู้และแหล่งค้นคว้าจากสื่อ Digital ต่าง ๆ
หนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5 เล่ม 1
แนวทางการวัดและประเมินผล สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่
เสนอแนะแนวทางการบรรลุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน www.aksorn.com
ตามผลการเรียนรู้ที่หลักสูตรก�าหนด
ค� ำ อธิ บ ายรายวิ ช า
คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 เวลาเรียน 80 ชั่วโมง / ภาคเรียน

ศึกษาเกี่ยวกับฟังก์ชันตรีโกณมิติ การวัดความยาวส่วนโค้งและพิกัดของจุดปลายส่วนโค้ง ค่าของฟังก์ชันไซน์และ


โคไซน์ ฟังก์ชันตรีโกณมิติอื่น ๆ ฟังก์ชันตรีโกณมิติของมุม การใช้ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
ฟังก์ชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลต่างของจ�ำนวนจริงหรือมุม ฟังก์ชันตรีโกณมิติของสองเท่า สามเท่า และครึ่งเท่าของ
จ�ำนวนจริงหรือมุม ความสัมพันธ์ระหว่างผลบวก ผลต่าง และผลคูณของฟังก์ชันตรีโกณมิติ ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
เอกลักษณ์ และสมการตรีโกณมิติ กฎของไซน์และโคไซน์ และการหาระยะทางและความสูง ระบบสมการเชิงเส้น การหา
เมทริกซ์ผกผันของเมทริกซ์ 2 × 2 ดีเทอร์มิแนนต์ของเมทริกซ์ n × n เมื่อ n เป็นจ�ำนวนนับที่ไม่เกินสาม และการใช้
เมทริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น ระบบพิกัดฉากสามมิติ เวกเตอร์ เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก ผลคูณเชิงสเกลาร์ ผลคูณ
เชิงเวกเตอร์ และการน�ำเวกเตอร์ในสามมิติไปใช้ในการแก้ปัญหา
โดยการจัดประสบการณ์หรือสร้างสถานการณ์ในชีวติ ประจ�ำวันทีใ่ กล้ตวั ให้ผเู้ รียนได้ศกึ ษา ค้นคว้า ฝึกทักษะ โดยการ
ปฏิบัติจริง ทดลอง สรุป รายงาน เพื่อพัฒนาทักษะ กระบวนการในการคิดค�ำนวณ การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อ
ความหมายทางคณิตศาสตร์ และน�ำประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทักษะและกระบวนการทีไ่ ด้ไปใช้ในการเรียนรูส้ งิ่ ต่าง ๆ
และใช้ในชีวิตประจ�ำวันอย่างสร้างสรรค์
เพื่อให้เห็นคุณค่าและมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ สามารถท�ำงานได้อย่างเป็นระบบ มีระเบียบ รอบคอบ มีความ
รับผิดชอบ มีวิจารณญาณ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง

ผลการเรียนรู้
1. เข้าใจฟังก์ชนั ตรีโกณมิตแิ ละลักษณะกราฟของฟังก์ชนั ตรีโกณมิติ และน�ำไปใช้ในการแก้ปญั หา
2. แก้สมการตรีโกณมิติ และน�ำไปใช้ในการแก้ปญั หา
3. ใช้กฎของโคไซน์และกฎของไซน์ในการแก้ปญั หา
4. เข้าใจความหมาย หาผลลัพธ์ของการบวกเมทริกซ์ การคูณเมทริกซ์กบั จ�ำนวนจริง การคูณระหว่างเมทริกซ์
และหาเมทริกซ์สลับเปลีย่ น หาดีเทอร์มแิ นนต์ของเมทริกซ์ n × n เมือ่ n เป็นจ�ำนวนนับทีไ่ ม่เกินสาม
5. หาเมทริกซ์ผกผันของเมทริกซ์ 2 × 2
6. แก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้เมทริกซ์ผกผัน และการด�ำเนินการตามแถว
7. หาผลลัพธ์ของการบวก การลบเวกเตอร์ การคูณเวกเตอร์ดว้ ยสเกลาร์ หาผลคูณเชิงสเกลาร์ และผลคูณเชิงเวกเตอร์
8. น�ำความรูเ้ กีย่ วกับเวกเตอร์ในสามมิตไิ ปใช้ในการแก้ปญั หา
รวม 8 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติม
คณิ ตศาสตร์ ม.5 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ชั้น ม.5 เล่ม 1 ผู้จัดท�ำได้
ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและ
มีความหลากหลายให้กบั ผูเ้ รียน เพือ่ ให้ผเู้ รียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิต์ ามผลการเรียนรู้ รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�ำหนดไว้ โดยครูสามารถน�ำไปใช้ส�ำหรับจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม
ส�ำหรับ Pedagogy หลักที่น�ำมาใช้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย

รูปแบบการสอน Concept Based Teaching

ขั้นการใช้ความรู้เดิมเชื่อมโยงความรู้ใหม่ ขั้นเข้าใจ

1 Prior Knowledge 2 Knowing 3 Understanding 4 Doing

ขั้นรู้ ขั้นลงมือท�ำ

เลือกใช้รูปแบบการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : Concept Based Teaching เนื่องจากคณิตศาสตร์เป็นวิชา


ที่เป็นเครื่องมือในการด�ำเนินชีวิต โดยอาศัยหลักการและความคิดรวบยอดต่าง ๆ เพื่อประยุกต์ใช้ ดังนั้น Concept Based
Teaching เป็นการจัดการเรียนการสอนที่น�ำพาผู้เรียน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ และเกิดความคิดรวบยอด
ผลของการจัดการเรียนการสอนในลักษณะนี้ จะท�ำให้ผู้เรียนได้ความรู้ และมีทักษะในการค้นหาความคิดรวบยอด ซึ่งจะเป็น
ทักษะส�ำคัญติดตัวผู้เรียนไปตลอดชีวิต

วิธีสอน (Teaching Method)

เลือกใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย เช่น อุปนัย นิรนัย การสาธิต แบบสาธิต แบบแก้ปัญหา แบบบรรยาย เพื่อ


ส่งเสริมการเรียนรู้และเกิดความเข้าใจในเนื้อหาคณิตศาสตร์อย่างถ่องแท้ โดยจะเน้นใช้วิธีสอนแบบอุปนัย (Inductive
Method) เนื่องจากเป็นการสอนที่ผู้เรียนจะได้ค้นหาสิ่งที่มีอยู่ร่วมกัน จากตัวอย่างสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนกับ
การจัดการเรียนการสอนแบบ Concept Based Teaching ที่ทำ� ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการ ซึ่งท�ำให้ได้ความคิดรวบยอด
ที่ส�ำคัญ

เทคนิคการสอน (Teaching Technique)

เลือกใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกับเรื่องที่เรียน เช่น การใช้ค�ำถาม การใช้ตัวอย่างกระตุ้น


ความคิด การใช้แผนภาพ การใช้สื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพื่อส่งเสริมวิธีการสอนและรูปแบบการสอนให้มีประสิทธิภาพ
ในการจัดการเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และสามารถฝึกฝนทักษะการเรียนรู้
ในศตวรรษที่ 21 ได้
Teacher Guide Overview
คณิ ต ศาสตร์ ม.5 เล่ ม 1
หน่วย
ผลการเรียนรู้ ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

1 1. เข้าใจฟังก์ชันตรีโกณมิติและ
ลักษณะกราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการระบุ
- ตรวจใบงานที่ 1.1-1.3
- ตรวจแบบฝึกทักษะ
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
ฟังก์ชัน และนำ�ไปใช้ในการแก้ปัญหา - ทักษะการเปรียบเทียบ ในหนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
ตรีโกณมิติ 2. แก้สมการตรีโกณมิติ และนำ�ไปใช้ - ทักษะการตีความ - ตรวจสอบแบบฝึกหัด เล่ม 1
ในการแก้ปัญหา - ทักษะการเชื่อมโยง ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ - แบบฝึกหัด
3. ใช้กฎของโคไซน์และกฎของไซน์ - ทักษะการให้เหตุผล - การน�ำเสนอผลงาน รายวิชาเพิ่มเติม
ในการแก้ปัญหา - ทักษะการวิเคราะห์ - ตรวจผังมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ ม.5
- ทักษะการนำ�ความรู้ไปใช้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เล่ม 1
- ทักษะการประยุกต์ใช้ 40 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ - ใบงาน
ความรู้ ชั่วโมง - สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

2 1. เข้าใจความหมาย หาผลลัพธ์ของ
การบวกเมทริกซ์ การคูณเมทริกซ์กับ
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการระบุ
- ตรวจใบงานที่ 2.1- 2.2
- ตรวจแบบฝึกทักษะ
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
เมทริกซ์ จำ�นวนจริง การคูณระหว่างเมทริกซ์ - ทักษะการเปรียบเทียบ ในหนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
และหาเมทริกซ์สลับเปลี่ยน - ทักษะการเชื่อมโยง - ตรวจสอบแบบฝึกหัด เล่ม 1
หาดีเทอร์มิแนนต์ของเมทริกซ์ n × n - ทักษะการให้เหตุผล ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ - แบบฝึกหัด
เมื่อ n เป็นจำ�นวนนับที่ไม่เกินสาม - ทักษะการวิเคราะห์ - การน�ำเสนอผลงาน รายวิชาเพิ่มเติม
2. หาเมทริกซ์ผกผันของเมทริกซ์ 2 × 2 - ทักษะการนำ�ความรู้ไปใช้ - ตรวจผังมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ ม.5
3. แก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้
เมทริกซ์ผกผัน และการดำ�เนินการ
- ทักษะการประยุกต์ใช้
ความรู้
20 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
เมทริกซ์
เล่ม 1
- ใบงาน
ชั่วโมง
ตามแถว - สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

3 1. หาผลลัพธ์ของการบวก การลบ
เวกเตอร์ การคูณเวกเตอร์ด้วย
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการระบุ
- ตรวจใบงานที่ 3.1- 3.6
- ตรวจแบบฝึกทักษะ
- หนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม
เวกเตอร์ สเกลาร์ หาผลคูณเชิงสเกลาร์ - ทักษะการเปรียบเทียบ ในหนังสือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
ในสามมิติ และผลคูณเชิงเวกเตอร์ - ทักษะการเชื่อมโยง - ตรวจสอบแบบฝึกหัด เล่ม 1
2. นำ�ความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิติ - ทักษะการให้เหตุผล ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ - แบบฝึกหัด
ไปใช้ในการแก้ปัญหา - ทักษะการวิเคราะห์ - การน�ำเสนอผลงาน รายวิชาเพิ่มเติม
- ทักษะการนำ�ความรู้ไปใช้ - ตรวจผังมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ ม.5
- ทักษะการประยุกต์ใช้
ความรู้
20 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
เวกเตอร์ในสามมิติ
เล่ม 1
- ใบงาน
ชั่วโมง
- สังเกตพฤติกรรม - QR Code
การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน
สารบั ญ

Chapter Teacher
Chapter Title Overview Script
หน่วยการเรียนรู้ท
ี่ 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ T2 - T7 T8 - T9

1.1 การวัดความยาวส่วนโค้งและพิกัดของจุดปลายส่วนโค้ง T10 - T12


1.2 ค่าของฟังก์ชันไซน์และฟังก์ชันโคไซน์ T13 - T30
1.3 ฟังก์ชันตรีโกณมิติอื่น ๆ T31 - T39
1.4 ฟังก์ชันตรีโกณมิติของมุม T40 - T47
1.5 การใช้ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ T48 - T53
1.6 กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ T54 - T66
1.7 ฟังก์ชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลต่างของจ�ำนวนจริงหรือมุม T67 - T79
1.8 ฟังก์ชันตรีโกณมิติของสองเท่า สามเท่า และครึ่งเท่าของจ�ำนวนจริงหรือมุม T80 - T86
1.9 ความสัมพันธ์ระหว่างผลบวก ผลต่าง และผลคูณของฟังก์ชันตรีโกณมิติ T87 - T91
1.10 ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ T92 - T102
1.11 เอกลักษณ์ตรีโกณมิติและสมการตรีโกณมิติ T103 - T108
1.12 กฎของไซน์และโคไซน์ T109 - T115
1.13 การหาระยะทางและความสูง T116 - T120
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T121 - T127

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เมทริกซ์ T128 - T129 T130 - T131

2.1 ระบบสมการเชิงเส้น T132 - T137


2.2 เมทริกซ์ T138 - T164
2.3 เมทริกซ์ผกผัน T165 - T171
2.4 ดีเทอร์มิแนนต์ T172 - T190
2.5 การใช้เมทริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น T191 - T207
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 T208 - T213

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เวกเตอร์ในสามมิติ T214 - T217 T218 - T219

3.1 ระบบพิกัดฉากสามมิติ T220 - T229


3.2 เวกเตอร์ T230 - T248
3.3 เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก T249 - T269
3.4 ผลคูณเชิงสเกลาร์ T270 - T276
3.5 ผลคูณเชิงเวกเตอร์ T277 - T282
3.6 การน�ำความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิติไปใช้ในการแก้ปัญหา T283 - T287
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 T288 - T292

ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ T293 - T301
อภิธานศัพท์ T302 - T303
บรรณานุกรม T304
บันทึก T305- T306
Chapter Overview

แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาความยาวส่วนโค้ง Inductive - ตรวจใบงานที่ 1.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
การวัดความยาว เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ และพิกัดของ Method - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ส่วนโค้งและพิกัด ม.5 เล่ม 1 จุดปลายส่วนโค้ง - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการตีความ 3. มุ่งมั่น
ของจุดปลาย - แบบฝึกหัดรายวิชา ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ ในการท�ำงาน
ส่วนโค้ง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. ใช้ความรู้ ทักษะ - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง
ม.5 เล่ม 1 และกระบวนการทาง การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะ
2 - ใบงานที่ 1.1 คณิตศาสตร์ในการ - สังเกตความมีวินัย การให้เหตุผล
ชั่วโมง แก้ไขปัญหาได้อย่าง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการวิเคราะห์
เหมาะสม (P) ในการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ความรู้ไปใช้
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาค่าของฟังก์ชันไซน์ Inductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.2 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


ค่าของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ และฟังก์ชันโคไซน์ได้ Method - ตรวจ Exercise 1.2 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ฟังก์ชันไซน์และ ม.5 เล่ม 1 (K) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ 3. มุ่งมั่น
ฟังก์ชันโคไซน์ - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การหาค่าของฟังก์ชัน การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
5 ม.5 เล่ม 1 ไซน์และฟังก์ชันโคไซน์ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง ได้ (P) การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ที่ได้รับมอบหมาย (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้

แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาค่าของฟังก์ชัน Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.3 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


ฟังก์ชัน เพิม่ เติม คณิตศาสตร์ ตรีโกณมิติอื่น ๆ ได้ Method - ตรวจ Exercise 1.3 - ทักษะการตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติอื่น ๆ ม.5 เล่ม 1 (K) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
3 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การหาค่าของฟังก์ชัน การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 ตรีโกณมิติอื่น ๆ ได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
ในการท�ำงาน

T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายวิธีการเปลี่ยน Concept - ตรวจใบงานที่ 1.2 - ทักษะการระบุ 1. มีวินัย
ฟังก์ชัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ มุมจากหน่วยองศา Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.4 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติ ม.5 เล่ม 1 เป็นเรเดียนและจาก Teaching - ตรวจ Exercise 1.4 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
ของมุม - แบบฝึกหัดรายวิชา เรเดียนเป็นองศาได้ - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
3 ม.5 เล่ม 1 2. อธิบายวิธีการหา การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
ชั่วโมง - ใบงานที่ 1.2 อัตราส่วนตรีโกณมิติ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ของรูปสามเหลี่ยม การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
มุมฉากได้ (K) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
3. เขียนแสดงขั้นตอน ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
วิธีการเปลี่ยนมุมจาก ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
หน่วยองศาเป็น
เรเดียนและจาก
เรเดียนเป็นองศา
ได้ (P)
4. เขียนแสดงขั้นตอน
การหาอัตราส่วน
ตรีโกณมิติของ
รูปสามเหลี่ยม
มุมฉากได้ (P)
5. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายได้ว่าฟังก์ชัน Concept - ตรวจใบงานที่ 1.3 - ทักษะการระบุ 1. มีวินัย


การใช้ตาราง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ของจ�ำนวนจริงคือ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.5 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
ค่าฟังก์ชัน ม.5 เล่ม 1 ขนาดของมุมใดได้ Teaching - ตรวจ Exercise 1.5 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
ตรีโกณมิติ - แบบฝึกหัดรายวิชา (K) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. อธิบายการเปิด - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
2 ม.5 เล่ม 1 ตารางหาค่าของ การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
ชั่วโมง - ใบงานที่ 1.3 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
การให้เหตุผล
- QR Code ได้ถูกต้อง (K) การท�ำงานกลุ่ม
- ทักษะการวิเคราะห์
3. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตความมีวินัย
- ทักษะการน�ำ
การหาค่าฟังก์ชัน ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ความรู้ไปใช้
ตรีโกณมิติโดยใช้ ในการท�ำงาน
การเทียบบัญญัติ
ไตรยางศ์หรือ
สัดส่วนได้ (P)
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

T3
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาคาบแอมพลิจูด Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.6 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
กราฟของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ และเรนจ์ของกราฟ Based - ตรวจ Exercise 1.6 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ฟังก์ชัน ม.5 เล่ม 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ 3. มุ่งมั่น
ตรีโกณมิติ - แบบฝึกหัดรายวิชา ได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. เขียนกราฟฟังก์ชัน การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
3 ม.5 เล่ม 1 ตรีโกณมิติได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้

แผนฯ ที่ 7 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ใช้ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.7 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


ฟังก์ชัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ของผลบวกและผลต่าง Based - ตรวจ Exercise 1.7 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติ ม.5 เล่ม 1 ของจ�ำนวนจริงหรือมุม Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ 3. มุ่งมั่น
ของผลบวก - แบบฝึกหัดรายวิชา ในการแก้ปัญหาได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
และผลต่างของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. เขียนแสดงขั้นตอน การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
จ�ำนวนจริงหรือ ม.5 เล่ม 1 การหาค่าฟังก์ชัน - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
มุม ตรีโกณมิติของผลบวก การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
และผลต่างของ - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
3 จ�ำนวนจริงและมุม ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง ได้ (P) ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

T4
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 8 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ใช้ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.8 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ฟังก์ชัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ สองเท่า สามเท่า Based - ตรวจ Exercise 1.8 - ทักษะการตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติของ ม.5 เล่ม 1 และครึ่งเท่าของ Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
สองเท่า สามเท่า - แบบฝึกหัดรายวิชา จ�ำนวนจริงหรือมุม - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
และครึ่งเท่าของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหาได้ การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
จ�ำนวนจริง ม.5 เล่ม 1 (K) - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
2. เขียนแสดงขั้นตอน การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
3 การหาค่าของฟังก์ชัน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง ตรีโกณมิติสองเท่า ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
สามเท่า และครึ่งเท่า ในการท�ำงาน
ของจ�ำนวนจริงหรือมุม
ได้ (P)
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 9 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความสัมพันธ์ Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.9 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


ความสัมพันธ์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ระหว่างผลบวก ผลต่าง Based - ตรวจ Exercise 1.9 - ทักษะการตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
ระหว่างผลบวก ม.5 เล่ม 1 และผลคูณของฟังก์ชัน Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
ผลต่าง และ - แบบฝึกหัดรายวิชา ตรีโกณมิติได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
ผลคูณของ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. เขียนแสดงขั้นตอน การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
ฟังก์ชัน ม.5 เล่ม 1 การน�ำความสัมพันธ์ - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
ตรีโกณมิติ ระหว่างผลบวก ผลต่าง การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
และผลคูณของฟังก์ชัน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
3 ตรีโกณมิติในการ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
ชั่วโมง
แก้ปัญหาได้ (P) ในการท�ำงาน
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

T5
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 10 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาค่าของตัวผกผันของ Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ตัวผกผัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ฟังก์ชันตรีโกณมิติ Method 1.10 - ทักษะการตีความ 2. ใฝ่เรียนรู้
ของฟังก์ชัน ม.5 เล่ม 1 ที่กำ� หนดให้ได้ (K) - ตรวจ Exercise 1.10 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
ตรีโกณมิติ - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - การน�ำเสนอผลงาน การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ วิธีการหาตัวผกผัน - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
4 ม.5 เล่ม 1 ของฟังก์ชันตรีโกณมิติ การท�ำงานรายบุคคล การให้เหตุผล
ชั่วโมง ที่กำ� หนดให้ พร้อมให้ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการวิเคราะห์
เหตุผลประกอบได้ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการน�ำ
อย่างสมเหตุสมผล - สังเกตความมีวินัย ความรู้ไปใช้
(P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ในการท�ำงาน
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 11 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความหมาย Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


เอกลักษณ์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ของเอกลักษณ์ Based 1.11 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ตรีโกณมิติ ม.5 เล่ม 1 ตรีโกณมิติได้อย่าง Teaching - ตรวจ Exercise 1.11 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
และสมการ - แบบฝึกหัดรายวิชา เหมาะสม (K) - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
ตรีโกณมิติ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. พิสูจน์เอกลักษณ์ของ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการตีความ
ม.5 เล่ม 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติได้ การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
3 (P) - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง
ชั่วโมง 3. เขียนแสดงขั้นตอน การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะ
การน�ำเอกลักษณ์ - สังเกตความมีวินัย การให้เหตุผล
ตรีโกณมิติไปใช้ในการ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการวิเคราะห์
แก้สมการตรีโกณมิติ ในการท�ำงาน - ทักษะการน�ำ
ได้อย่างเหมาะสม (P) ความรู้ไปใช้
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

T6
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 12 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. อธิบายความสัมพันธ์ Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
กฎของไซน์และ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ กฎของโคไซน์และ Based 1.12 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
โคไซน์ ม.5 เล่ม 1 กฎของไซน์ได้ (K) Teaching - ตรวจ Exercise 1.12 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนเหตุผลประกอบ - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการตีความ ในการท�ำงาน
3 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การพิสูจน์กฎของ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 โคไซน์และกฎของไซน์ การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
ได้อย่างสมเหตุสมผล - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
(P) การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
3. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
การน�ำกฎของโคไซน์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการประยุกต์
และกฎของไซน์ไปใช้ ในการท�ำงาน ใช้ความรู้
แก้ปัญหาได้อย่าง
สมเหตุสมผล (P)
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 13 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. น�ำความรู้เรื่องฟังก์ชัน Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


การหาระยะและ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ตรีโกณมิติไปแก้ปัญหา Method 1.13 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ความสูง ม.5 เล่ม 1 ระยะและความสูงที่ - ตรวจ Exercise 1.13 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา ก�ำหนดให้ได้ (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
4 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. เขียนแสดงขั้นตอน ประจ�ำหน่วยการเรียนรู้ - ทักษะการตีความ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 วิธีการแก้ปัญหาระยะ ที่ 1 - ทักษะ
และความสูงที่กำ� หนด - ตรวจผังมโนทัศน์ การเชื่อมโยง
พร้อมให้เหตุผล หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 - ทักษะ
ประกอบได้อย่าง ฟังก์ชันตรีโกณมิติ การให้เหตุผล
สมเหตุสมผล (P) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการวิเคราะห์
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการประยุกต์
ที่ได้รับมอบหมาย (A) การท�ำงานรายบุคคล ใช้ความรู้
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

T7
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Inductive Method)

1
เตรียม
1. ครู ก ระตุ  น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
หน่วยการเรียนรู้ที่
นักเรียนดูภาพหนาหนวยการเรียนรูที่ 1 ใน
หนังสือเรียน หนา 2 จากนั้นครูถามคําถาม
วา “นักเรียนคิดวา GPS มีความเกี่ยวของกับ
ฟงกชันตรีโกณมิติอยางไร”
ฟังก์ชน
ั ตรีโกณมิติ
หมายเหตุ : ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําถาม
“GPS เปนเทคโนโลยีที่ ใชชวยในการระบุตําแหนง ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Ô´Ç‹Ò GPS
ประจําหนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน หนา 2
ของวัตถุหรือบุคคลบนพื้นผิ วโลกโดยใชการสงคลื่น ÁÕ¤ÇÒÁà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñº
หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรูท ี่ 1 สัญญาณจากพื้นผิ วโลกไปยังดาวเที ยม จากนั้นจึง ¿˜§¡ªÑ¹µÃÕ⡳ÁÔµÔ
สงตอกลับมายังผูร ับที่อยูบ นพืน้ ผิ วโลกอีกครั้งหนึง่ ” Í‹ҧäÃ

เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หนา 2

S ดาวเทียม

d
ตัวรับสัญญาณ E
L
R

ผลการเรียนรู้
• เขาใจฟงกชันตรีโกณมิติและลักษณะกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติ และนําไปใชในการแกปญหา
กําหนด d แทนระยะหางระหวางตัวรับ • แกสมการตรีโกณมิติ และนําไปใชในการแกปญหา
• ใชกฎของโคไซนและกฎของไซนในการแกปญหา
สัญญาณ GPS กับดาวเทียม สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
RE แทนรัศมีของโลก • ฟงกชันตรีโกณมิติ • เอกลักษณและสมการตรีโกณมิติ
• ฟงกชันตรีโกณมิติผกผัน • กฎของโคไซนและกฎของไซน
RS แทนรัศมีวงโคจรของดาวเทียม
พิจารณา ∆SER โดยใชกฎของโคไซน
จะได d 2 = RE2 + RS 2 - 2(RE)(RS) cos L

เกร็ดแนะครู กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค


ในการเรียนการสอนเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ ครูควรเลือกใชวิธีถาม-ตอบ ครูควรปลูกฝงใหนักเรียนมีระเบียบวินัย เชน การแตงกายมา
นักเรียน เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนและยกตัวอยางเพิ่มเติมบน โรงเรียนใหถูกระเบียบ และกอนเริ่มเรียนชั่วโมงแรกครูอาจสราง
กระดาน แลวใหนกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น ครูควรชีแ้ นะใหนกั เรียนเห็น ขอตกลงกับนักเรียนเกี่ยวกับความมีวินัย เชน การสงการบานหรือ
ความสําคัญเกี่ยวกับ “ฟงกชันตรีโกณมิติ” เพื่อนําไปใชในการแกปญหาเกี่ยวกับ ชิ้นงานควรสงตรงตามเวลาที่กําหนด หากใครสงไมตรงตามเวลา
ระยะทางและความสูง อาจถูกตัดคะแนนความรับผิดชอบ (ครูและนักเรียนรวมกันสราง
ขอตกลงดังกลาว)

T8
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
เตรียม

¤ÇÃÃÙŒ¡‹Í¹àÃÕ¹ 2. ครูทบทวนความรูของนักเรียน โดยใหนักเรียน


ศึกษาควรรูก อ นเรียน ในหนังสือเรียน หนา 3 และ
กราฟของคูอันดับบนระบบพิกัดฉาก ใหนักเรียนทําแบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน
Y โดยการสแกน QR Code ในหนังสือเรียน
3 จากระบบพิกัดฉาก จะไดวา หนา 3
จตุภาคที่ 2 2 จตุภาคที่ 1 ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 แลว x > 0 และ y > 0
1
3. ครูถามคําถามเพือ่ นําเขาสูบ ทเรียนและกระตุน
X ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 2 แลว x < 0 และ y > 0 ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น ดังนี้
-3 -2 -1-10 1 2 3
ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 3 แลว x < 0 และ y < 0 • คูอันดับ (2, 1) อยูในจตุภาคใด
จตุภาคที่ 3 -2 จตุภาคที่ 4
-3 ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 4 แลว x > 0 และ y < 0 (แนวตอบ (2, 1) อยูในจตุภาคที่ 1)
• คูอันดับ (-2, -1) อยูในจตุภาคใด
ทฤษฎีบทพีทาโกรัส (แนวตอบ (-2, -1) อยูในจตุภาคที่ 3)
D จากรูป สามารถสรุปเปนทฤษฎีบทพีทาโกรัสได 2 แบบ ดังนี้ • คูอันดับ (-2, 1) อยูในจตุภาคใด
c 1. ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กําลังสองของความยาว (แนวตอบ (-2, 1) อยูในจตุภาคที่ 2)
E c
ของดานตรงขามมุมฉากเทากับผลบวกของกําลังสองของ • คูอันดับ (2, -1) อยูในจตุภาคใด
c Ba I
c ความยาวของดานประกอบมุมฉาก (แนวตอบ (2, -1) อยูในจตุภาคที่ 4)
a a
A b Ca H
2. ในรูปสามเหลีย่ มมุมฉากใด ๆ พืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั บน
ดานตรงขามมุมฉากเทากับผลบวกของพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ ม
b b
จัตุรัสบนดานประกอบมุมฉาก
G b F กําลังสองของความยาวดาน AB
หรือพื้นที่ของ □ ABDE
a2 + b2 = c2
กําลังสองของความยาวดาน BC กําลังสองของความยาวดาน AC
หรือพื้นที่ของ □ BCHI หรือพื้นที่ของ □ ACFG

อัตราสวนตรีโกณมิติ
B ความยาวของดานตรงขามมุม A
ไซนของมุม A หรือ sin A คือ ความยาวของดานตรงขามมุมฉาก
c ความยาวของดานประชิดมุม A
a โคไซนของมุม A หรือ cos A คือ ความยาวของดานตรงขามมุมฉาก
ความยาวของดานตรงขามมุม A
แทนเจนตของมุม A หรือ tan A คือ ความยาวของดานประชิดมุม A
A b C

แบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน ฟงกชันตรีโกณมิติ 3

กิจกรรม สรางเสริม สื่อ Digital


ใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ครูอาจใหนักเรียนดูสื่อการเรียนรูเพื่อทบทวนความรูเดิมผาน
ABC ที่มีมุม B เปนมุมฉาก พรอมกับกําหนดความยาวของดาน www.youtube.com โดยใชคําสืบคนวา “ทฤษฎีบทพีทาโกรัส” หรือ
ทั้งสามดาน และใหแตละคูหาอัตราสวนตรีโกณมิติของ sin A, “อัตราสวนตรีโกณมิติ” เชน https://www.youtube.com/watch?v
cos A, tan A, sin C, cos C และ tan C แลวใหนกั เรียนแตละกลุม =XprWibxGOBc
สลับโจทยกันทําจนครบทุกกลุม
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T9
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
เตรียม
4. ครูวาดรูปวงกลมที่มีรัศมียาวหนึ่งหนวยและ
มีจุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0) บนกระดาน
1.1 การวัดความยาวสวนโคงและพิกดั ของจุดปลาย
พรอมระบุพิกัด (1, 0), (0, 1), (-1, 0) และ สวนโคง
(0, -1) แลวถามนักเรียนวา นักเรียนเคยทราบมาแลววา ความสัมพันธ { (x, y)∊R × R  x2 + y2 = r2 } เปน
• การหาความยาวเสนรอบวงของวงกลม ความสัมพันธที่มีกราฟเปนวงกลมที่มีจุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0) รัศมียาว r หนวย แตถา
มีสูตรวาอยางไร ความสัมพันธ { (x, y)∊R × R  x2 + y2 = 1 } เปนความสัมพันธทมี่ กี ราฟเปนวงกลม มีจดุ ศูนยกลาง
(แนวตอบ 2πr) อยูที่จุด (0, 0) รัศมียาว 1 หนวย และมีความยาวเสนรอบวงเทากับ 2π หนวย เรียกวงกลม
• วงกลมรูปนี้มีความยาวเสนรอบวงเทากับ นี้วา วงกลมหนึ่งหนวย (unit circle)
เทาไร วงกลมหนึ่งหนวย เมื่อวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมเปนระยะ θ หนวย
(แนวตอบ วงกลมรูปนี้มีความยาวเสนรอบวง จะมีจุดสิ้นสุดเพียง 1 จุดเทานั้น คือ จุดปลายสวนโคงคูอันดับ (x, y) ดังรูป
เทากับ 2π(1) = 2π หนวย) Y
(0, 1)
(x, y) θ
ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง (-1, 0) O X
(1, 0)
1. ครูอธิบายวา วงกลมหนึ่งหนวย เมื่อวัดระยะ
จากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมเปน (0, -1)
ระยะ θ หนวย จะมีจดุ สิน้ สุดเพียง 1 จุดเทานัน้ รูปที่ 1 θ> 0
คือ จุดปลายสวนโคงคูอันดับ (x, y) ดังรูปที่ 1
ในหนังสือเรียน หนา 4 จากรูปที่ 1 ถา θ > 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง
2. ครูอธิบายตอวา ในหนังสือเรียน หนา 4 จาก ทวนเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
Y
รูปที่ 1 ถา θ > 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบน (0, 1)
สวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง
ทวนเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย และจาก O X
(-1, 0) (1, 0)
รูปที่ 2 ถา θ < 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบน
สวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง (x, y)
(0, -1)
θ

ตามเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย รูปที่ 2 θ< 0


จากรูปที่ 2 ถา θ < 0 ใหวัดจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยไปในทิศทาง
ตามเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
4

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใชคําถามเพื่อทบทวนความสัมพันธ x2 + y2 = r2 และ x2 + y2 = 1 ใหนักเรียนจับคูแลวสลับกันสรางโจทยเกี่ยวกับสวนโคงบน
และแนะนําการวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมในทิศทาง วงกลมหนึ่งหนวยคนละ 5 ขอ โดยมีกติกาวา ใหกําหนดทิศทาง
ทวนเข็มนาฬกาและตามเข็มนาฬกา ซึ่งครูอาจกําหนด θ เปน ± π2 , ±π, ± 32π ของสวนโคงวาตามเข็มนาฬกาหรือทวนเข็มนาฬกา และกําหนด
และ ±2π แลวใหนักเรียนหาจุดปลายสวนโคง จากนั้นใหนักเรียนรวมกันหา จุดสิน้ สุดของจุดปลายสวนโคงวาอยูท จี่ ตุภาคใด แลวสลับกันตรวจ
คําตอบ
ขอสรุป
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T10
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
3. ครูใหนักเรียนดูรูปที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 5
รูปตอไปนี้ เปนการแสดงตําแหนงของจุดปลายสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวย เมื่อกําหนด θ
ซึง่ เปนการแสดงตําแหนงของจุดปลายสวนโคง
ใหมีคาตาง ๆ กัน ดังนี้
ของวงกลมหนึง่ หนวย เมือ่ วัดระยะจากจุด (1, 0)
Y
(0, 1)
Y ไปบนสวนโคงของวงกลมเปนระยะ θ = π2
จะเห็นวา วงกลมรัศมี 1 หนวย มีความยาว
เสนรอบวงเทากับ 2π หนวย จะแบงเปน 4 สวน
O X
(1, 0) (-1, 0) O X
(1, 0) เทาๆ กัน และวัดในทิศทางทวนเข็มนาฬกา
แลว θ มีคาเปนบวก และดูรูปที่ 8 ซึ่งเปนการ
แสดงตํ า แหน ง ของจุ ด ปลายส ว นโค ง ของ
รูปที่ 3 θ = π2 รูปที่ 4 θ = π วงกลมหนึ่งหนวยเปนระยะ θ = - π2 จะเห็นวา
วงกลมรัศมี 1 หนวย จะแบงเปน 4 สวน
Y Y เทาๆ กัน แตวัดในทิศทางตามเข็มนาฬกา
แลว θ มีคาเปนลบ
4. ครูใหนักเรียนดูรูปที่ 7 ในหนังสือเรียน หนา 5
O X
O X จะเห็นวา ตําแหนงของจุดปลายสวนโคงของ
วงกลมหนึ่งหนวยเปนระยะ θ = 2π + π2 = 52π
(1, 0) (1, 0)

ซึง่ θ > 2π แสดงวา วัดความยาวสวนโคงจาก


(0, -1)
จุด (1, 0) เกิน 1 รอบ
รูปที่ 5 θ = 32π รูปที่ 6 θ = 2π 5. ครูใหนกั เรียนดูรปู ที่ 12 ในหนังสือเรียน หนา 6
จะเห็นวา ตําแหนงของจุดปลายสวนโคงของ
Y Y วงกลมหนึง่ หนวยเปนระยะ θ = (-2π) + (-2π)
(0, 1) + (- π2 ) = - 92π ซึ่ง θ > 2π แสดงวา
วัดความยาวสวนโคงจากจุด (1, 0) เกิน 1 รอบ
O X
O X แตวัดในทิศทางตามเข็มนาฬกา
(1, 0) (1, 0)

(0, -1)

รูปที่ 7 θ = 52π รูปที่ 8 θ = - π2

ฟงกชันตรีโกณมิติ 5

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันพิจารณารูปตอไปนี้ ขอใด ครูควรใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรม โดยใหนักเรียนคนแรกกําหนดคาของ θ
ไมถูกตอง เทากับ ± π2 , ±π, ± 32π, ±2π หรือมากกวาหรือนอยกวา 2π แลวใหนักเรียน
1. θ = π 2. θ = - π2 อีกคนเขียนแสดงระยะบนวงกลมหนึ่งหนวย จากนั้นใหผลัดเปลี่ยนหนาที่กัน

3. θ = -π 4. θ = 32π

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.1 เรื่อง การหา Y
(0, 1)
Y
ตํ า แหน ง ของจุ ด ปลายส ว นโค ง ของวงกลม
หนึ่งหนวย เมื่อทําเสร็จแลวครูสุมนักเรียนออกมา
X X
นําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบ (-1, 0) O (1, 0) O (1, 0)
ความถูกตอง

ขัน้ สรุป รูปที่ 9 θ = -π รูปที่ 10 θ = - 32π


สรุป Y Y
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
• ถาวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคง O X
(1, 0) O X
(1, 0)
ของวงกลมหนึ่งหนวยในทิศทางทวนเข็ม
นาฬกาและตามเข็มนาฬกา แลวคาของ θ (0, -1)
เปนอยางไร รูปที่ 11 θ = -2π รูปที่ 12 θ = - 92π
(แนวตอบ ทิศทางทวนเข็มนาฬกา คาของ θ
เปนบวก และทิศทางตามเข็มนาฬกา คาของ
คณิตน่ารู้
θ เปนลบ) จากรูปที่ 3 - 6 และ 8 - 11 จะเห็นวา θ ≤ 2π แสดงวา วงกลมหนึ่งหนวยเปนวงกลม
วัดความยาวสวนโคงจากจุด (1, 0) ไมเกิน 1 รอบ แตรูปที่ 7 ทีม่ รี ศั มีเทากับ 1 หนวย ดังนัน้
นําไปใช และ 12 จะเห็นวา θ > 2π แสดงวา วัดความยาวสวนโคงจาก วงกลมหนึ่ ง หน ว ยจะมี เ ส น
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ รอบวงยาวเทากับ 2π(1) = 2π
จุด (1, 0) เกิน 1 รอบ หนวย
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวตอบคําถาม Thinking Time
“Thinking Time” ในหนังสือเรียนหนา 6 จากนั้น ใหนักเรียนตอบคําถามในแตละขอตอไปนี้
ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดย 1) จุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย บนวงกลมหนึ่งหนวยของรูปที่ 3 - 12 เปนเทาใด
ครูตรวจสอบความถูกตอง 2) จุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย บนวงกลมหนึ่งหนวยของรูปที่ 3 - 12 รูปใดบาง
ที่เปนจุดเดียวกัน
ขัน้ ประเมิน 3) ถาวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของวงกลมเปนระยะ θ หนวย ดวย θ
1. ครูตรวจใบงานที่ 1.1 ทีแ่ ตกตางกันหลายคา แลวพิกดั ของจุดปลายสวนโคงทีย่ าว θ หนวย จะเปนจุดเดียวกัน
2. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน ไดหรือไม เพราะเหตุใด
3. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 6
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
5. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน
เฉลย Thinking Time
1) จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 3 คือ (0, 1) 2) รูปที่ 3 รูปที่ 7 และรูปที่ 10 มีจุดปลายสวนโคง คือ (0, 1)
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 4 คือ (-1, 0) รูปที่ 4 และรูปที่ 9 มีจุดปลายสวนโคง คือ (-1, 0)
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 5 คือ (0, -1) รูปที่ 5 รูปที่ 8 และรูปที่ 12 มีจุดปลายสวนโคง คือ (0, -1)
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 6 คือ (1, 0) รูปที่ 6 และรูปที่ 11 มีจุดปลายสวนโคง คือ (1, 0)
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 7 คือ (0, 1) 3) อาจจะเปนจุดเดียวกันหรือไมเปนจุดเดียวกันก็ได เชน ถา θ1 = π2 และ θ2 = - 32π
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 8 คือ (0, -1) จะมีจุดปลายสวนโคงเปนจุดเดียวกัน คือ (0, 1) แตถา θ1 = π2 และ θ2 = 32π
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 9 คือ (-1, 0) จะมีจุดปลายสวนโคง คือ (0, 1) และ (0, -1) ตามลําดับ ซึ่งไมเปนจุดเดียวกัน
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 10 คือ (0, 1)
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 11 คือ (1, 0)
จุดปลายสวนโคงของรูปที่ 12 คือ (0, -1)

T12
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Inductive Method)


เตรียม

1.2 คาของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซน ครูทบทวนความรูเรื่อง อัตราสวนตรีโกณมิติ


และวงกลมหนึ่งหนวย โดยถามคําถาม ดังนี้
ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคโซนของจํานวนจริงใด ๆ • นักเรียนสามารถหาคาของ sin A ไดอยางไร
ความยาวของดานตรงขามมุม A
ซึ่งตองใชการเชื่อมโยงความรูจากการหาภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุดปลายสวนโคงบน (แนวตอบ sin A = ความยาวของด านตรงขามมุมฉาก
)
วงกลมหนึ่งหนวยที่ยาว θ หนวย เมื่อ θ เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ โดยมีแกน X หรือแกน Y เปน • นักเรียนสามารถหาคาของ cos A ไดอยางไร
เสนสะทอน ความยาวของดานประชิดมุม A
(แนวตอบ cos A = ความยาวของด )
านตรงขามมุมฉาก
1. ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซน (Sine Function and Cosine • นักเรียนสามารถหาคาของ tan A ไดอยางไร
Function) (แนวตอบ tan A = ความยาวของด านตรงขามมุม A
ความยาวของดานประชิดมุม A
)
Y พิจารณาพิกัดของ (x, y) จะเห็นวา • ถา θ > 0 จะตองวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบน
(0, 1)
(x, y) เมื่อ θ = 0 จุดปลายสวนโคงที่ยาว 0 มีพิกัด (1, 0) สวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยในทิศทางใด
θ = π จุดปลายสวนโคงที่ยาว ∣ π ∣ มีพิกัด (0, 1) (แนวตอบ ทิศทางทวนเข็มนาฬกา)
O X 2 2 • ถา θ < 0 จะตองวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบน
(-1, 0) (1, 0) θ = π จุดปลายสวนโคงที่ยาว π มีพิกัด (-1, 0)
สวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยในทิศทางใด
θ = 3π จุดปลายสวนโคงที่ยาว ∣ 3π ∣ มีพิกัด (0, -1)
(0, -1) 2 2 (แนวตอบ ทิศทางตามเข็มนาฬกา)
θ = 2π จุดปลายสวนโคงที่ยาว 2π มีพิกัด (1, 0)
รูปที่ 13
ขัน้ สอน
จึงกลาวไดวา คาของ θ หนึง่ คา จะกําหนดพิกดั (x, y) ซึง่ เปนจุดบนวงกลมหนึง่ หนวยไดเพียง สอนหรือแสดง
พิกดั เดียว นัน่ คือ θ หนึง่ คา กําหนดคาของ x ไดหนึง่ คา และกําหนดคาของ y ไดหนึง่ คา ดังตาราง
1. ครูใหนกั เรียนพิจารณารูปที่ 13 ในหนังสือเรียน
θ 0 π π 3π 2π หนา 7 และกลาววา คาของ θ หนึง่ คา จะกําหนด
2 2
x 1 0 -1 0 1 พิกัด (x, y) ซึ่งเปนจุดบนวงกลมหนึ่งหนวย
y 0 1 0 -1 0 ไดเพียงพิกัดเดียว นั่นคือ θ หนึ่งคา กําหนด
คาของ x ไดหนึ่งคา และกําหนดคาของ y ได
จากตารางเขียนความสัมพันธระหวาง θ กับ x ได ดังนี้
หนึ่งคา
{(0, 1), (π2 , 0), (π, -1), ( 32π , 0), (2π, 1)} 2. ครูใหนักเรียนดูตาราง ในหนังสือเรียน หนา 7
ถา f เปนความสัมพันธระหวาง θ กับ x ซึ่งไมมีสองคูอันดับใดใชสมาชิกตัวหนาซํ้า และกล า วว า สามารถเขี ย นความสั ม พั น ธ
จะไดวา ระหวาง θ กับ x ได ซึ่งความสัมพันธดังกลาว
f = { (θ, x)∊R × R  x = f(θ) } จะไมมีสองคูอันดับใดใชสมาชิกตัวหนาซํ้ากัน
เรียกความสัมพันธนี้วา ฟงกชันโคไซน เมื่อ x = cosine θ หรือ x = cos θ จะเรียกความสัมพันธนี้วา ฟงกชันโคไซน
ดังนั้น f = { (θ, x)∊R × R  x = cos θ }
ฟงกชันตรีโกณมิติ 7

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวเติมคําตอบใหถูกตอง ครูควรตั้งคําถามเพื่อทบทวนความรูเรื่อง การสะทอนและภาพที่ไดจาก
การสะทอนตามแนวแกน X และแกน Y โดยเชื่อมโยงความรูจากหนังสือเรียน
θ 0 - π2 -π - 32π -2π หนา 4 วา θ แตละคาจะมีจุดปลายเพียง 1 จุดเทานั้น แลวใหนักเรียนเขียน
x 1 0 ความสัมพันธโดยใชตาราง จากนั้นครูอธิบายฟงกชันโคไซนและฟงกชันไซน
y -1 0 0

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T13
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
3. ครูใหนักเรียนดูตาราง ในหนังสือเรียน หนา 7
จากตารางเขียนความสัมพันธระหวาง θ กับ y ได ดังนี้
และกล า วว า สามารถเขี ย นความสั ม พั น ธ
ระหวาง θ กับ y ได ซึ่งความสัมพันธดังกลาว {(0, 0), (π2 , 1), (π, 0), ( 32π , -1), (2π, 0)}
จะไมมีสองคูอันดับใดใชสมาชิกตัวหนาซํ้ากัน ถา g เปนความสัมพันธระหวาง θ กับ y ซึ่งไมมีสองคูอันดับใดใชสมาชิกตัวหนาซํ้า
จะเรียกความสัมพันธนี้วา ฟงกชันไซน จะไดวา
4. ครูใหนกั เรียนพิจารณารูปที่ 14 ในหนังสือเรียน g = { (θ, y)∊R × R  y = g(θ) }
หนา 8 และกลาววา จุดปลายสวนโคงทีย่ าว θ เรียกความสัมพันธนี้วา ฟงกชันไซน เมื่อ y = sine θ หรือ y = sin θ
มีพิกัด (x, y) ซึ่งเขียนแทนดวย (cos θ, sin θ) ดังนั้น g = { (θ, y)∊R × R  y = sin θ }
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน
หนา 8 จากนั้นครูยกตัวอยางเพิ่มเติม ดังนี้ 2. คาของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซน
Y
ใหนักเรียนเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ (x, y)
หนวย ในรูป (cos θ, sin θ) ของ θ ในแตละขอ จากรูปวงกลมหนึ่งหนวยและความสัมพันธ
ตอไปนี้ x = cos θ และ y = sin θ จะเห็นวา ถาจุดปลาย
X สวนโคงที่ยาว θ มีพิกัด (x, y) แลวพิกัด (x, y)
• -π O (1, 0)
(แนวตอบ θ = -π เขียนในรูป (cos θ, sin θ) จะเขียนแทนดวย (cos θ, sin θ) ดังตัวอยาง
ไดเปน (cos (-π), sin (-π)))
• 32π รูปที่ 14
(แนวตอบ θ = 32π เขียนในรูป (cos θ, sin θ) ตัวอย่างที่ 1

ไดเปน (cos 32π, sin 32π) ) ใหเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย ของ θ ในแตละขอตอไปนี้ ในรูป
(cos θ, sin θ)
เปรียบเทียบและรวบรวม 1) π 2) π2 3) -2π 4) - 32π
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา 1) (cos π, sin π) 2) (cos π2 , sin π2 )
หนา 8 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 3) (cos (-2π), sin (-2π)) 4) 3π 3π
(cos (- 2 ), sin (- 2 ))
“ลองทําดู”
ลองทําดู
ใหเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย ของ θ ในแตละขอตอไปนี้ ในรูป (cos θ, sin θ)
1) 2π 2) 32π
3) - π2 4) -π
8

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรทบทวนคาของฟงกชัน โดยกําหนดฟงกชัน เชน f(x) = 2x2 - 3x + 4 ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวสงตัวแทนหนึง่ คนไปจับสลากทีค่ รูคนละ
แลวใหนักเรียนหา f(-2), f(3) หรือ f(x) = log3 (2x - 5) แลวใหนักเรียนหา f(3) 1 แผน โดยสลากแตละแผนจะมีความยาวสวนโคง θ นักเรียน
และ f(7) ครูอาจใหนกั เรียนบอกความหมายคาของฟงกชนั และบอกความสัมพันธ จะตองนําความยาวสวนโคงนั้นมาเขียนในรูป (cos θ, sin θ)
คาของฟงกชันกับเรนจ และจากตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน หนา 8 ครูควร หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
ถามนักเรียนวา เปนโจทยเกี่ยวกับคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนหรือไม
เพราะเหตุใด

T14
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 2
1 หนา 9 และกลาววา จากความสัมพันธ x = cos θ
Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวยที่กําหนด2 ใหหาคาของ
(0, 1) และ y = sin θ จะไดวา ที่ θ เทากับคาใดๆ นั่นคือ
ฟ ง ก ชั น ไซน แ ละฟ ง ก ชั น โคไซน ใ นแต ล ะข อ
ตอไปนี้ จุดปลายสวนโคงจะกําหนดพิกัด (x, y) ซึ่งเปน
X 1) sin 0 2) cos π2 จุดบนวงกลมหนึ่งหนวยไดเพียงพิกัดเดียว
(-1, 0) 0 (1, 0)
3) sin 2 3π 4) cos 2π
เปรียบเทียบและรวบรวม
5) sin (- 2 ) π 6) cos (- 32π )
(0, -1)
7) sin (-π) 8) cos (-2π) 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 9 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีทํา จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ จะไดวา คําตอบ “ลองทําดู”
1) sin 0 = 0 2) cos π2 = 0 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับขอสังเกตที่ไดจาก
3) sin 32π = -1 4) cos 2π = 1 “ลองทําดู” วา จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย
5) sin (- π2 ) = -1 6) cos (- 32π ) = 0 จะไดวา
7) sin (-π) = 0 8) cos (-2π) = 1 P(nπ) = (1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคู
P(nπ) = (-1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคี่
ลองทําดู
Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวยที่กําหนด ใหหาคาของ
(0, 1)
ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนในแตละขอตอไปนี้
1) cos 0 2) sin π2
(-1, 0) 0 X
(1, 0)
3) cos 32π 4) sin 2π
π
5) cos (- 2 ) 6) sin (- 32π )
(0, -1) 7) cos (-π) 8) sin (-2π)
Y
(0, 1)
ให P(θ) แทนจุดปลายสวนโคงที่ยาว θ หนวย
X จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา
(-1, 0) 0 (1, 0) P(nπ) = (1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคู
P(nπ) = (-1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคี่
(0, -1)
รูปที่ 15
ฟงกชันตรีโกณมิติ 9

กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู


ครูแจกกระดาษใหนักเรียนคนละ 1 แผน ใหนักเรียนแตละคน 1 คาของฟงกชันไซน เปนคาของ y ณ จุดปลายของความยาวสวนโคง
สรางโจทยการหาคาของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนคนละ 2 ขอ ที่กําหนดและเปนคาคงตัวตั้งแต -1 ถึง 1
จากวงกลมหนึ่งหนวยรูปที่ 15 ในหนังสือเรียน หนา 9 โดยที่ 2 คาของฟงกชันโคไซน เปนคาของ x ณ จุดปลายของความยาวสวนโคง
P(nπ) = (1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคู ที่กําหนดและเปนคาคงตัวตั้งแต -1 ถึง 1
P(nπ) = (-1, 0) เมื่อ n เปนจํานวนคี่
เมื่อสรางโจทยเสร็จแลวใหสลับโจทยกับเพื่อน โดยนําโจทยของ
ตนเองไปใหเพื่อนที่มีเลขที่ถัดจากตนเอง เชน ถานักเรียนเลขที่ 1
ใหนาํ โจทยไปใหเพือ่ นเลขที่ 2 เสร็จแลวใหนาํ มาสงครูเพือ่ ตรวจสอบ
คําตอบวาถูกตองหรือไม

T15
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
การหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงบวก
ฟงกชันโคไซนของ sin π4 และ cos π4 โดยวาด
1) การหาคาของ sin π4 และ cos π4
รูปที่ 16 ในหนังสือเรียน หนา 10 บนกระดาน
และกลาววา จุด P(x, y) เปนจุดกึ่งกลางของ Y Y
B(0, 1)
สวนโคง AB ทําใหไดวา สวนโคง AP ยาวเทากับ P(x, y) Pʹ P( 22 , 22 )
สวนโคง PB นัน่ คือ คอรด AP ยาวเทากับคอรด
X X
PB ดังนั้น AP = PB O A(1, 0) O (1, 0)
2. ครูใหนักเรียนชวยกันหาความยาวของคอรด
Pʺ P‴
AP และคอรด PB แลวสงตัวแทนมาเขียน
แสดงวิธีการหาคําตอบบนกระดาน รูปที่ 16 รูปที่ 17
3. ครูอธิบายและแสดงวิธีการหาคาของ x และ y
จากสมการ AP = PB บนกระดาน จากรูปที่ 16 ใหจุด P(x, y) เปนจุดกึ่งกลางของสวนโคง AB
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุดปลายสวนโคง เนื่องจาก สวนโคง AB ยาว π2 หนวย
ที่ยาว π4 หนวย คือ จุด ( 22 , 22 ) ทําใหไดวา แสดงวา สวนโคง AP ยาวเทากับสวนโคง PB ซึ่งยาว π4 หนวย
cos π4 = 22 และ sin π4 = 22 จะไดวา คอรด AP ยาวเทากับคอรด PB
ดังนั้น AP = PB
(x - 1)2 + (y - 0)2 = (x - 0)2 + (y - 1)2
x2 - 2x + 1 + y2 = x2 + y2 - 2y + 1
x =y
จาก x + y2
2
= 1 (สมการวงกลมของวงกลมหนึง่ หนวย)
จะได 2x2 =1
x =±1
2
เนื่องจาก (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 จะไดวา x > 0 และ y > 0
ดังนั้น x = 1 = 22 และ y = 1 = 22
2 2
นั่นคือ จุดปลายสวนโคงที่ยาว π4 หนวย คือ จุด ( 22 , 22 )
ทําใหไดวา cos π4 = 22 และ sin π4 = 22

10

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรเชื่องโยงความรูเรื่อง การหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ครูใหนักเรียนจับคูแลววาดรูปที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 10
เมื่อ θ = 0, ± π2 , ±π, ± 32π และ ±2π จากหนังสือเรียน หนา 7-9 มาสู θ ลงในกระดาษ A4 และชวยกันหาพิกดั ของจุด P′, P″ และ P‴ ทีอ่ ยู
ที่เปนจํานวนจริงบวกใดๆ โดยใชคําถามกระตุนความคิดวา คาของฟงกชันไซน ในจตุภาคที่ 2 จตุภาคที่ 3 และจตุภาคที่ 4 ตามลําดับ
และฟงกชันโคไซน เมื่อ θ = ± π6 , ± π4 และ ± π3 หาไดอยางไร ตองใชความรู หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
เรื่องอะไรบาง และครูอาจจะใหนักเรียนชวยกันนําเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับ
ความสัมพันธของ π6 , π4 และ π3 วามีความสัมพันธกับ π2 อยางไร

T16
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครูอธิบายการหาคาของฟงกชันไซนและ
จากรูปที่ 17 นักเรียนสามารถหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง ฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง
3π , 5π , 7π , ..., (2n + 1)π เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และ - 3π , - 5π , - 7π , ..., 3π , 5π , 7π , ... , (2n + 1)π
4 4 4 4 4 4 4 4 4 4 4
(2n
- 4 + 1)π เมื อ
่ n เป น จํ า นวนเต็ ม บวก เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และ
ตัวอย่างที่ 3
- 34π , - 54π , - 74π , ... , - (2n +4 1)π
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก
1) cos 34π 2) sin 34π 3) cos 54π 4) sin 54π โดยวาดรูปที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 10 บน
กระดาน แลวใหนกั เรียนชวยกันหาคาแตละคา
5) cos (- π4 ) 6) sin (- π4 ) 7) cos (- 34π ) 8) sin (- 34π ) รวมกับครู
6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 3
วิธีทํา Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา
ในหนังสือเรียน หนา 11 และเปดโอกาสให
(- 22 , 22 ) ( 22 , 22 ) จุด ( 22 , 22 ), (- 22 , 22 ), (- 22 , - 22 ) และ นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ โดยครู
( 22 , - 22 ) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม เนนยํ้ากับนักเรียนในเรื่องของระบบพิกัดฉาก
O (1, 0)
X
หนึ่งหนวยที่ยาว ∣π4 ∣, ∣ 34π ∣, ∣ 54π ∣ และ ∣ 74π ∣ ดังนี้
ตามลําดับ เมื่อวัดจากจุด (1, 0) 1) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 แลว
(- 22 , - 22 ) ( 22 , - 22 ) x > 0 และ y > 0
2) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 2 แลว
ในทํานองเดียวกัน จุด ( 22 , - 22 ), (- 22 , - 22 ), (- 22 , 22 ) และ ( 22 , 22 ) ก็เปน x < 0 และ y > 0
จุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีย่ าว ∣- π4 ∣, ∣- 34π ∣, ∣- 54π ∣ และ ∣- 74π ∣ ตามลําดับ 3) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 3 แลว
เมื่อวัดจากจุด (1, 0) เชนกัน x < 0 และ y < 0
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบน 4) ถาคูอันดับ (x, y) อยูในจตุภาคที่ 4 แลว
วงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา x > 0 และ y < 0
1) cos 34π = - 22 2) sin 34π = 22
3) cos 54π = - 22 4) sin 54π = - 22
5) cos (- π4 ) = 22 6) sin (- π4 ) = - 22
7) cos (- 34π ) = - 22 8) sin (- 34π ) = - 22

ฟงกชันตรีโกณมิติ 11

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


หาคาของ sin 74π วามีคาเทากับขอใด กอนที่จะใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 11 ครูควร
ทบทวนความรูเกี่ยวกับสัญลักษณและความหมายของคาสัมบูรณ
1. 12 2. - 23 3. 22 4. - 22
(เฉลยคําตอบ จากวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา จุด ( 22 , - 22 )
เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่ยาว ∣ 74π ∣ หนวย
เมื่อวัดจากจุด (1, 0)
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ
เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด
(1, 0) เปนระยะ θ  หนวย
จะไดวา sin 74π = - 22
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T17
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 12 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
“ลองทําดู”
1) cos 74π 2) sin 74π 3) cos 114π 4) sin 114π
สอนหรือแสดง 5) cos (- 74π ) 6) sin (- 74π ) 7) cos (- 54π ) 8) sin (- 54π )
1. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
ฟงกชันโคไซนของ sin π6 และ cos π6 โดยวาด 2) การหาคาของ sin π6 และ cos π6
รูปที่ 18 ในหนังสือเรียน หนา 12 บนกระดาน Y Y
B(0, 1)
และกลาววา จุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB
ทําใหไดวา สวนโคง AP ยาว π6 หนวย และ P(X, y) Pʹ P( 23 , 12 )
สวนโคง AB ยาว π2 หนวย นั่นคือ สวนโคง PB O X
A(1, 0) O
X
A(1, 0)
ยาว π2 - π6 = π3 หนวย P‴(X, -y) Pʺ P‴
2. ครูกําหนดจุด P‴(x, y) เปนภาพที่เกิดจาก
การสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน X เปน รูปที่ 18 รูปที่ 19
เส น สะท อ น จากนั้ น ให นั ก เรี ย นช ว ยกั น หา
ความสัมพันธระหวางสวนโคง AP‴ กับสวนโคง จากรูปที่ 18 ใหจุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB ที่ทําใหสวนโคง AP ยาว π6 หนวย
AP และหาความยาวสวนโคง PP‴ แลวถาม เนื่องจาก สวนโคง AB ยาว π2 หนวย
คําถาม ดังนี้ จะไดวา สวนโคง PB ยาว π2 - π6 = π3 หนวย
• สวนโคง PP‴ กับสวนโคง PB มีความยาว ใหจุด P‴(x, -y) เปนภาพที่เกิดจากการสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน X เปนเสนสะทอน
เทากันหรือไม จะไดวา สวนโคง AP‴ ยาวเทากับสวนโคง AP
(แนวตอบ เทากัน) ดังนั้น สวนโคง PP‴ ยาว π6 + π6 = π3 หนวย
3. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา สวนโคง PP‴ ยาวเทากับ นั่นคือ สวนโคง PP‴ ยาวเทากับสวนโคง PB
สวนโคง PB ทําใหไดวา คอรด PP‴ ยาวเทากับ ดังนั้น คอรด PP‴ ยาวเทากับคอรด PB
คอรด PB และแสดงวิธีการหาคาของ x และ y จะไดวา PP‴ = PB
จากสมการ PP‴ = PB บนกระดาน (x - x) + (y + y)2 = (x - 0)2 + (y - 1)2
2

4y2 = x2 + y2 - 2y + 1
4y2 + 2y - 2 = 0 (เนื่องจาก x2 + y2 = 1)
2y2 + y - 1 = 0
(2y - 1)(y + 1) = 0
12

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายวา จะตองทําอยางไรจึงจะหา ใหนักเรียนจับคูกันแลววาดรูปที่ 19 ในหนังสือเรียน หนา 12
จุดปลาย เมื่อ θ = π6 ได และใหนักเรียนเสนอแนวคิดการหาจุดปลายสวนโคง ลงในกระดาษ และชวยกันหาพิกัดของจุด P′, P″ และ P‴ ที่อยูใน
เมื่อ θ = π6 ถานําความสัมพันธ π6 = 13 (π2 ) และใชสูตรระยะทาง นักเรียนคิดวา จตุภาคที่ 2 จตุภาคที่ 3 และจตุภาคที่ 4 ตามลําดับ
จะหาคาของ x และ y ไดหรือไม เพราะเหตุใด หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
ครูควรใหนักเรียนจับคูศึกษาการหาคําตอบของ x และ y จากวิธีการ
ในหนังสือเรียน หนา 12-13 แลวใหนักเรียนใชความรูจากการสะทอนตาม
แกน X และแกน Y สรุปคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน เมื่อ θ = ± π6 ,
± 5π , ± 7π และ ± 11π แลวสรุป เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม
6 6 6

T18
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุดปลายสวนโคง
เนื่องจาก (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 จะไดวา x > 0 และ y > 0
ดังนั้น y = 12 และ x = 32 ที่ยาว π6 หนวย คือ จุด ( 23 , 12 ) ทําใหไดวา
นั่นคือ จุดปลายสวนโคงที่ยาว π6 หนวย คือ จุด ( 32 , 12 ) cos π6 = 23 และ sin π6 = 12
จะไดวา cos π6 = 32 และ sin π6 = 12 5. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
จากรูปที่ 19 นักเรียนสามารถหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง ฟ ง ก ชั น โคไซน ข องจํ า นวนจริ ง 2n π ± π6 ,
2nπ ± π6 , 2nπ ± 56π , 2nπ ± 76π และ 2nπ ± 116π เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม เชน - 56π , - π6 , 2nπ ± 56π , 2nπ ± 76π และ 2nπ ± 116π
7π , 13π , 19π เปนตน เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม โดยวาดรูปที่ 19 ใน
6 6 6
หนังสือเรียน หนา 12 บนกระดาน แลวให
ตัวอย่างที่ 4
นักเรียนชวยกันหาคาแตละคารวมกับครู
ใหใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนในแตละขอตอไปนี้
1) cos 56π 2) sin 56π 3) cos 76π 4) sin 76π 6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 4
5) cos (- π6 ) 6) sin (- π6 ) 7) cos (- 56π) 8) sin (- 56π) ในหนังสือเรียน หนา 13 และเปดโอกาสให
นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
วิธีทํา Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา
จุด ( 32 , 12 ), (- 32 , 12 ), (- 32 , - 12 ) และ
(- 23 , 12 ) ( 23 , 12 )
( 32 , - 12 ) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
O (1, 0)
X
หนึ่งหนวยที่ยาว ∣ π6 ∣, ∣ 56π ∣, ∣ 76π ∣ และ ∣116π ∣
(- 23 , - 12 ) ( 23 , - 12 ) ตามลําดับ เมื่อวัดจากจุด (1, 0)

ในทํานองเดียวกัน จุด ( 32 , - 12 ), (- 32 , - 12 ), (- 32 , 12 ) และ ( 32 , 12 ) ก็เปนจุด


ปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่ยาว ∣- π6 ∣, ∣- 56π ∣, ∣- 76π ∣ และ ∣- 116π ∣ ตามลําดับ
เมื่อวัดจากจุด (1, 0) เชนกัน
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบน
วงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา
1) cos 56π = - 32 2) sin 56π = 12
3) cos 76π = - 32 4) sin 76π = - 12
5) cos (- π6 ) = 32 6) sin (- π6 ) = - 12
7) cos (- 56π ) = - 32 8) sin (- 56π ) = - 12 ฟงกชันตรีโกณมิติ 13

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


cos 116π มีคาเทากับขอใด ก อ นจะหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละฟ ง ก ชั น โคไซน ใ นตั ว อย า งที่ 4 ใน
หนังสือเรียน หนา 13 ครูควรตั้งคําถามกับนักเรียนวา คาของฟงกชันในขอใด
1. 23 2. - 23
3. 12 4. - 22 เปนจํานวนบวกและจํานวนลบ และคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนใน
(เฉลยคําตอบ จากวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา จุด ( 23 , - 12 ) แตละขอจะใชจุดปลายจุดใดหาภาพสะทอน
เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่ยาว ∣ 116π ∣ หนวย
เมื่อวัดจากจุด (1, 0)
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ
เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด
(1, 0) เปนระยะ θ  หนวย
จะไดวา cos 116π = 23
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)

T19
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 14 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ใหใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนในแตละขอตอไปนี้
“ลองทําดู”
1) cos 116π 2) sin 116π 3) cos 176π 4) sin 176π
สอนหรือแสดง 5) cos (- 76π ) 6) sin (- 76π ) 7) cos (- 116π) 8) sin (- 116π)
1. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
ฟงกชันโคไซนของ sin π3 และ cos π3 โดยวาด 3) การหาคาของ sin π3 และ cos π3
Y Y
รูปที่ 20 ในหนังสือเรียน หนา 14 บนกระดาน B(0, 1) P( 12 , 23 )
Pʹ(-x, y) P(x, y) Pʹ
และกลาววา จุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB
ทําใหไดวา สวนโคง AP ยาว π3 หนวย
X X
2. ครูกําหนดจุด P′(-x, y) เปนภาพที่เกิดจาก O A(1, 0) O A(1, 0)
การสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน Y เปน
เส น สะท อ น จากนั้ น ให นั ก เรี ย นช ว ยกั น หา Pʺ P‴
ความสัมพันธระหวางสวนโคง PP′ กับสวนโคง รูปที่ 20 รูปที่ 21
PA จากรูปที่ 20 ใหจุด P(x, y) เปนจุดบนสวนโคง AB ที่ทําใหสวนโคง AP ยาว π3 หนวย
3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา สวนโคง PP′ ยาวเทากับ ใหจุด P′(-x, y) เปนภาพที่เกิดจากการสะทอนจุด P(x, y) โดยมีแกน Y เปนเสนสะทอน
สวนโคง PA ทําใหไดวา คอรด PP′ ยาวเทากับ จะไดวา สวนโคง PP′ ยาวเทากับสวนโคง PA ซึ่งยาว π3 หนวย
คอรด PA และแสดงวิธีการหาคาของ x และ ดังนั้น คอรด PP′ ยาวเทากับคอรด PA
y จากสมการ PP′ = AP บนกระดาน จะไดวา PP′ = AP
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุดปลายสวนโคง (x + x)2 + (y - y)2 = (x - 1)2 + (y - 0)2
ที่ยาว π3 หนวย คือ จุด ( 12 , 23 ) ทําใหไดวา 4x2 = x2 - 2x + 1 + y2
cos π3 = 12 และ sin π3 = 23 4x2 + 2x - 2 = 0 (เนื่องจาก x2 + y2 = 1)
2
2x + x - 1 = 0
(2x - 1)(x + 1) = 0
เนื่องจาก (x, y) อยูในจตุภาคที่ 1 จะไดวา x > 0 และ y > 0
ดังนั้น x = 12 และ y = 32
นั่นคือ จุดปลายสวนโคงที่ยาว π3 หนวย คือ จุด ( 12 , 32 )
จะไดวา cos π3 = 12 และ sin π3 = 32
14

เกร็ดแนะครู
การหาจุดปลายของสวนโคง เมื่อ θ = π3 ครูควรใชคําถามใหนักเรียน
ไดคิดวิเคราะห เชน
• ถาใชการสะทอน P(x, y) ตามแกน X นักเรียนคิดวาจะหาคาของ x
และ y ไดหรือไม เพราะเหตุใด
• เพราะเหตุใด เมื่อใชการสะทอนจุด P(x, y) ตามแกน Y จึงหาคาของ x
และ y ได

T20
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ไซน แ ละ
จากรูปที่ 21 นักเรียนสามารถหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริง
ฟ ง ก ชั น โคไซน ข องจํ า นวนจริ ง 2n π ± π3 ,
2nπ ± π3 , 2nπ ± 23π, 2nπ ± 43π และ 2nπ ± 53π เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม เชน - 53π, - π3 , 53π,
2nπ ± 23π , 2nπ ± 43π และ 2nπ ± 53π
10π, 14π เปนตน
3 3 เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม โดยวาดรูปที่ 21 ใน
หนังสือเรียน หนา 14 บนกระดาน แลวให
ตัวอย่างที่ 5
นักเรียนชวยกันหาคาแตละคารวมกับครู
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ 6. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 5
1) sin 43π 2) cos 43π 3) sin 53π 4) cos 53π ในหนังสือเรียน หนา 15 และเปดโอกาสให
5) sin (- 23π ) 6) cos (- 23π ) 7) sin (- 73π ) 8) cos (- 73π ) นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ

วิธีทํา Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย จะไดวา


(- 12 , 23 ) ( 12 , 23 ) จุด ( 12 , 32 ), (- 12 , 32 ), (- 12 , - 32 ) และ
( 12 , - 32 ) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
X
O (1, 0) หนึ่งหนวยที่ยาว ∣ π3 ∣, ∣ 23π ∣, ∣ 43π ∣ และ ∣ 53π ∣
ตามลําดับ เมื่อวัดจากจุด (1, 0)
(- 12 , - 23 ) ( 12 , - 23 )

ในทํานองเดียวกัน จุด ( 12 , - 32 ), (- 12 , - 32 ), (- 12 , 32 ) และ ( 12 , 32 ) ก็เปนจุดปลาย


สวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่ยาว ∣- π3 ∣, ∣- 23π ∣, ∣- 43π ∣ และ ∣- 53π ∣ ตามลําดับ
เมื่อวัดจากจุด (1, 0) เชนกัน
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบน
วงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา
1) sin 43π = - 32 2) cos 43π = - 12
3) sin 53π = - 32 4) cos 53π = 12
5) sin (- 23π ) = - 32 6) cos (- 23π ) = - 12
7) sin (- 73π ) = - 32 8) cos (- 73π ) = 12

ฟงกชันตรีโกณมิติ 15

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


sin (- 83π ) มีคา เทากับขอใด จากตัวอยางที่ 5 ในหนังสือเรียน หนา 15 ครูควรใหนักเรียนเสนอแนวคิด
การหาค า ของฟ ง ก ชั น ที่ ส ะดวกและรวดเร็ ว แล ว ให นั ก เรี ย นร ว มกั น แสดง
1. 12 2. 23 3. - 23
4. - 22
ความคิดเห็นวาเหมาะสมหรือไมเหมาะสม และใหนักเรียนแตละคนเลือกวิธีที่
(เฉลยคําตอบ จากวงกลมหนึง่ หนวย จะไดวา จุด (- 12 , 23 ) เปน เหมาะสมกับตนเอง
จุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีย่ าว ∣ - 83π ∣ หนวย เมือ่ วัด
จากจุด (1, 0)
จากความสัมพันธ x = cos θ และ y = sin θ
เมื่อ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด
(1, 0) เปนระยะ θ  หนวย
จะไดวา sin (- 83π ) = - 23
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)

T21
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หนา 16 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1
ให ใชวงกลมหนึ่งหนวยหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
“ลองทําดู” 1) sin 23π 2) cos 23π 3) sin 73π 4) cos 73π
สอนหรือแสดง 5) sin (- 43π ) 6) cos (- 43π ) 7) sin (- 53π) 8) cos (- 53π )
ครูอธิบายตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน หนา 16
ซึง่ แตกตางจากการหาคา sin θ และ cos θ จากเดิม ตัวอย่างที่ 6

ที่กําหนดคา θ แลวใหหาความยาวสวนโคง แต ใหหาจํานวนจริง θ ทีส่ อดคลองกับฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนในแตละขอตอไปนี้


ในตัวอยางนี้จะใหคาของความยาวสวนโคงมา 1) sin θ = - 22 เมื่อ -2π ≤ θ ≤ 0
แลวใหหาคา θ ที่สอดคลองกับฟงกชันไซนและ 2) cos θ = 32 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 4π
ฟงกชันโคไซนที่กําหนด
วิธีทํา 1) Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย เมื่อ -2π ≤ θ ≤ 0
(- 22 , 22 ) ( 22 , 22 ) จะไดวา จุด (x, y) ที่เปนจุดปลายสวนโคง
บนวงกลมหนึ่งหนวยที่มีคา y = - 22 เมื่อ
X
(1, 0) วัดจากจุด (1, 0) จะมีความยาวเปน ∣- π4 ∣
และ ∣- 34π ∣
(- 22 , - 22 ) ( 22 , - 22 )

ดังนั้น θ ที่สอดคลองกับ sin θ = - 22 เมื่อ -2π ≤ θ ≤ 0 คือ - π4 และ - 34π


2) Y จากรูปวงกลมหนึ่งหนวย เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 4π
จะไดวา จุด (x, y) ที่เปนจุดปลายสวนโคง
-( 23 , 12 ) 3, 1
( 2 2) บนวงกลมหนึ่งหนวยที่มีคา x = 32 เมื่อวัด
(1, 0)
X จากจุด (1, 0) จะมีความยาวเปน ∣π6 ∣, ∣116π∣,
13π 23π
(- 23 , - 12 ) ( 23 , - 12 ) ∣ 6 ∣ และ ∣ 6 ∣

ดังนั้น θ ที่สอดคลองกับ cos θ = 32 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 4π คือ π6 , 116π , 136π


และ 236π

16

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน ใหนกั เรียนแตละคนหาจํานวนจริง θ ทีส่ อดคลองกับฟงกชนั ไซน
หนา 16 แลวใหนักเรียนพิจารณาจํานวนจริง θ กับจํานวนรอบที่กําหนดและ และฟงกชันโคไซนในแตละขอตอไปนี้
ควรใหนักเรียนสรุปความสัมพันธระหวางจํานวนจริง θ ที่สอดคลองกับสมการ 1. sin θ = 23 เมื่อ -2π ≤ θ ≤ 0
2. cos θ = - 22 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 4π
นักเรียนควรรู โดยมีกติกาวา นักเรียนที่มีเลขที่เปนเลขคี่ใหทําขอ 1. และ
1 คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน เมื่อกําหนดความยาวสวนโคง 2π นักเรียนที่มีเลขที่เปนเลขคูใหทําขอ 2.
(1 รอบ) จะมีจํานวนจริง θ ที่สอดคลอง 2 จํานวนเสมอ

T22
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม

ลองทําดู ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


ใหหาจํานวนจริง θ ที่สอดคลองกับฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ หนา 17 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
“ลองทําดู”
1) cos θ = 12 เมือ่ 0 ≤ θ ≤ 4π
2) sin θ = - 32 เมือ่ -2π ≤ θ ≤ 2π สอนหรือแสดง
1. ครูเกริน่ นําเกีย่ วกับเนือ้ หาในหัวขอนีว้ า จากเดิม
3. คาของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนของจํานวนจริงใด ๆ ที่นักเรียนไดศึกษาการหาคาของฟงกชันไซน
ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงใด ๆ และฟงกชนั โคไซนไปแลว ตอไปนักเรียนจะได
โดยใชความรูจากการหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงบางจํานวนและ ศึกษาการหาคาของฟงกชันไซนและฟงกชัน
ใชการสะทอนจุด P(x, y) ใด ๆ ซึ่งอยูบนเสนรอบวงของวงกลมหนึ่งหนวย ซึ่งมีแกน X หรือ โคไซน ข องจํ า นวนจริ ง ใดๆ โดยใช ค วามรู 
แกน Y เปนเสนสะทอน เกี่ยวกับการสะทอน ซึ่งมีแกน X หรือแกน Y
Y
เปนเสนสะทอน
(x, y) 2. ครูวาดรูปที่ 22 ในหนังสือเรียน หนา 17 บน
กระดาน และอธิบายการวัดระยะจากจุด (1, 0)
X ไปยังจุดปลายสวนโคง (x, y) แลวถามคําถาม
O (1, 0) ดังนี้
• ระยะทางจากจุด (1, 0) ไปยังจุดปลายสวนโคง
(x, -y)
(x, -y) เทากับเทาใด
รูปที่ 22
(แนวตอบ -θ  หนวย)
จากรูปที่ 22 พิจารณา θ > 0 และ (x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่ 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมพรอมกับเขียนจุด (x, y) ใน
วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย ใหจุด (x, -y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด รูปของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน จากนั้น
(x, y) โดยมีแกน X เปนเสนสะทอน จึงไดวาจุด (x, -y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม สุมนักเรียน 1 คน เพื่อมาเขียนพิกัดจุดปลาย
หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ -θ หนวย สวนโคง (x, -y) ใหอยูในรูปของฟงกชันไซน
จากจุด (x, y) = (cos θ, sin θ) และ (x, -y) = (cos (- θ), sin (- θ)) และฟงกชันโคไซนบนกระดาน
จะไดวา x = cos θ, y = sin θ และ x = cos (- θ) และ -y = sin (- θ)) 4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเกีย่ วกับความสัมพันธ
ระหวางฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจุด
จึงสรุปไดวา sin (- θ) = -sin θ (x, y) และจุด (x, -y) วา sin (-θ) = -sin θ และ
cos (- θ) = cos θ cos (-θ) = cos θ

ฟงกชันตรีโกณมิติ 17

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


คาของ sin (- π3 ) เมือ่ θ > 0 ตรงกับขอใด ครูควรใชคาํ ถามกระตุน ความคิดของนักเรียน เชน นักเรียนคิดวาการหาคา
ของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนของจํานวนจริงใดๆ จะตองใชความรูเ รือ่ งใดบาง
1. 23 2. - 12 3. 22 4. - 23

(เฉลยคําตอบ sin (- π3 ) = -sin π3


= - 23
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T23
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7 ใน
ตัวอย่างที่ 7
หนังสือเรียน หนา 18 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ใหหาคาของ sin (- π4 ) และ cos (- π4 )

เปรียบเทียบและรวบรวม
วิธีทํา จาก sin (-θ) = -sin θ และ cos (-θ) = cos θ จะไดวา
sin (- π4 ) = -sin π4 = - 22 และ cos (- π4 ) = cos π4 = 22
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 18 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ลองทําดู
“ลองทําดู”
ใหหาคาของ sin (- π6 ) และ cos (- π6 )
สอนหรือแสดง
1. ครูวาดรูปที่ 23 ในหนังสือเรียน หนา 18 บน 1) การหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ π2 < θ < π
กระดาน และใหนักเรียนชวยกันหาระยะทาง Y
ระหวางจุด (1, 0) กับจุด P(x, y) Pʹ(-x, y) P(x, y)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จุด P(x, y) เปนภาพที่
X
เกิดจากการสะทอนจุด P′(-x, y) โดยมีแกน Y B(-1, 0) O A(1, 0)
เปนเสนสะทอน
3. ครูถามคําถาม ดังนี้
• สวนโคง P′B กับสวนโคง AP มีความยาว รูปที่ 23
เทากันหรือไม จากรูปที่ 23 กําหนด π2 < θ < π และจุด P′(-x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
(แนวตอบ เทากัน) หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย
• จุด P′(-x, y) อยูในจตุภาคใด ให α = π - θ จะไดวา 0 < α < π2
(แนวตอบ จตุภาคที่ 2) เนื่องจาก สวนโคง AP′ ยาว θ หนวย
4. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา sin (π - α) = sin α ดังนั้น สวนโคง P′B ยาว α หนวย
และ cos (π - α) = -cos α เมื่อ 0 < α < π2 ใหจุด P(x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P′(-x, y) โดยมีแกน Y เปน
เสนสะทอนจากสวนโคง P′B ยาว α หนวย จะไดวา สวนโคง AP ยาว α หนวย
ดังนั้น จุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จากจุด (1, 0) เปนระยะ
α หนวย
จะไดวา x = cos α และ y = sin α
แต -x = cos θ = cos (π - α) และ y = sin θ = sin (π - α)
18

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายโดยเชื่อมโยงความรูเรื่อง ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันวิเคราะหรปู ที่ 23 ในหนังสือเรียน
การสะทอนตามแกน Y จากจุดปลายสวนโคง 0 < α < π2 เพื่อใหนักเรียนได หนา 18 วา เพราะเหตุใดสวนโคง AP ยาว α หนวย เทากับความยาว
ความคิดรวบยอด ของสวนโคง P′B โดยจัดทําลงสมุดของตนเอง
cos θ = cos (π - α) = -x และ sin θ = sin (π - α) = y หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T24
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 8 ใน
จึงสรุปไดวา sin (π - α) = sin α และ cos (π - α) = -cos α
หนังสือเรียน หนา 19 แลวแลกเปลี่ยนความรู
เมื่อ 0 < α < π2
กับคูของตนเอง พรอมกับตอบคําถามตอไปนี้
• นักเรียนสามารถเขียน 45π ใหอยูในรูปของ
ตัวอย่างที่ 8 π
5 ไดหรือไม ถาเขียนไดจะเขียนอยางไร
กําหนด sin π5 = 0.59 และ cos π5 = 0.81 ใหหา (แนวตอบ เขียนได คือ 45π = π - π5 )
1) sin 45π 2) cos 45π 6. ครูวาดรูปที่ 24 ในหนังสือเรียน หนา 19 บน
กระดาน และอธิบายการหาระยะทางระหวาง
วิธีทํา 1) sin 45π = sin (π - π5 )
จุด (1, 0) กับจุดปลายสวนโคง P″(-x, -y) และ
= sin π5 (จาก sin (π - α) = sin α เมื่อ 0 < α < π2 ) ถามคําถาม ดังนี้
= 0.59 • จุด P″(-x, -y) สามารถเขียนใหอยูใ นรูปของ
2) cos 45π = cos (π - π5 ) ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนไดอยางไร
(แนวตอบ -x = cos θ และ -y = sin θ)
= -cos π5 (จาก cos (π - α) = -cos α เมื่อ 0 < α < π2 )
7. ครูกําหนด α = π - θ แลวอธิบายการหา
= -0.81
ความยาวของสวนโคง AB และสวนโคง BP″
ลองทําดู
π = 0.31 และ cos π = 0.95 ใหหา
เปรียบเทียบและรวบรวม
กําหนด sin 10 10
9 ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
π
1) sin 10 2) cos 910π หนา 19 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
“ลองทําดู”
2) การหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ π < θ < 32π
Y

Pʹ(-x, y) P(x, y)

O X
B(-1, 0) A(1, 0)

Pʺ(-x, -y)

รูปที่ 24
ฟงกชันตรีโกณมิติ 19

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันวิเคราะหรปู ที่ 24 ในหนังสือเรียน ครูควรใหนักเรียนพิจารณาความสัมพันธระหวาง π5 และ 45π วาสอดคลอง
หนา 19 วา บนวงกลมหนึง่ หนวยนี้ นักเรียนคิดวามีสว นโคงใดบาง กับ α = π - θ โดย α = π5 และ θ = 45π อยางไร
ที่มีความยาวเทากัน
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T25
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครูอธิบายรายละเอียดเกีย่ วกับการสะทอนของ
จากรูปที่ 24 กําหนด π < θ < 32π และจุด P″(-x, -y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม
จุด P(x, y), P′(-x, y) และ P″(-x, -y) แลวถาม
หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา -x = cos θ และ -y = sin θ
คําถาม ดังนี้
ให α = θ - π จะได θ = π + α เมื่อ 0 < α < π2
• ความยาวของสวนโคง AP ยาวเทากับเทาใด
(แนวตอบ สวนโคง AP ยาว α หนวย) เนื่องจาก สวนโคง AB ยาว π หนวย จะไดวา สวนโคง BP′′ ยาว θ - π = α หนวย
2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา จุด P(x, y) เปน ใหจุด P′(-x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P″(-x, -y) โดยมีแกน X เปน
จุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จาก เสนสะทอนและจุด P(x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P′(-x, y) โดยมีแกน Y เปน
จุด (1, 0) เปนระยะ α หนวย จะไดวา x = cos α เสนสะทอน
และ y = sin α แตจาก -x = cos θ = cos (π + α) จะไดวา สวนโคง AP ยาว α หนวย
ดังนั้น จุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปน
และ -y = sin θ = sin (π + α) จึงสรุปไดวา
ระยะ α หนวย
sin (π + α) = -sin α และ cos (π + α) = -cos α
จะไดวา x = cos α และ y = sin α
เมื่อ 0 < α < π2 แตจาก -x = cos θ = cos (π + α) และ -y = sin θ = sin (π + α)
3. ใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือเรียน
หนา 20 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง จึงสรุปไดวา sin (π + α) = -sin α และ cos (π + α) = -cos α
พรอมกับตอบคําถามตอไปนี้ เมื่อ 0 < α < π2
• นักเรียนทราบหรือไมวา 65π สามารถเขียน
ใหอยูในรูป π5 ไดอยางไร ตัวอย่างที่ 9
(แนวตอบ 65π = π + π5 ) กําหนด sin π5 = 0.59 และ cos π5 = 0.81 ใหหา
1) sin 65π 2) cos 65π

วิธีทํา 1) sin 65π = sin (π + π5 )


= -sin π5 (จาก sin (π + α) = -sin α เมื่อ 0 < α < π2 )
= -0.59
2) cos 65π = cos (π + π5 )
= -cos π5 (จาก cos (π + α) = -cos α เมื่อ 0 < α < π2 )
= -0.81

20

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรเชื่อมโยงการหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ π2 < θ < π กับ π
กําหนด sin 10 = 0.31 ใหหาวา sin 11 π
10 เทากับขอใด
การหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ π < θ < 32π
1. 0.31 2. -0.31 3. 0.62 4. -0.62
ครูควรใหนกั เรียนดูรปู ที่ 24 ในหนังสือเรียน หนา 19 และใหนกั เรียนบรรยาย
การสะทอนจากจุด P มายังจุด P′ และจุด P′ มายังจุด P″ และใชการถาม-ตอบ (เฉลยคําตอบ sin 1110π = sin (π + 10
π = -sin π
) 10
ประกอบคําอธิบายใหนักเรียนไดความคิดรวบยอด = -0.31
cos (π + α) = cos α = -x และ sin (π + α) = sin α = -y ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)

T26
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
π = 0.31 และ cos π = 0.95 ใหหา หนา 21 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
กําหนด sin 10 10 “ลองทําดู”
1) sin 1110π 2) cos 1110π
สอนหรือแสดง
3) การหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ 32π < θ < 2π 1. ครูอธิบายการหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ
3π < θ < 2π โดยวาดรูปที่ 25 ในหนังสือเรียน
Y 2
P(x, y) หนา 21 บนกระดาน พรอมกับใหนกั เรียนตอบ
คําถาม ดังนี้
O X • สวนโคง P′A มีความยาวเทากับเทาใด
A(1, 0)
ถากําหนดให α = 2π - θ
Pʹ(x, -y) (แนวตอบ สวนโคง P′A ยาว 2π - θ
รูปที่ 25 = 2π - 2π + α = α หนวย)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมและสรุปวา
จากรูปที่ 25 กําหนด 32π < θ < 2π และจุด P′(x, -y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลม sin (2π - α) = -sin α และ
หนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย จะไดวา x = cos θ และ -y = sin θ cos (2π - α) = cos α เมื่อ 0 < α < π2
ให α = 2π - θ จะไดวา θ = 2π - α เมื่อ 0 < α < π2
เนื่องจาก เสนรอบวงของวงกลมหนึ่งหนวยยาว 2π หนวย จะไดวา สวนโคง P′A ยาว
2π - θ = 2π - 2π + α = α หนวย
ใหจุด P(x, y) เปนภาพสะทอนที่เกิดจากการสะทอนจุด P′(x, -y) โดยมีแกน X เปน
เสนสะทอน
จะไดวา สวนโคง AP ยาว α หนวย
ดังนั้น จุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จากจุด (1, 0) เปนระยะ
α หนวย
จะไดวา x = cos α และ y = sin α
แตจาก x = cos θ = cos (2π - α) และ -y = sin θ = sin (2π - α)
จึงสรุปไดวา sin (2π - α) = -sin α และ cos (2π - α) = cos α
เมื่อ 0 < α < π2

ฟงกชันตรีโกณมิติ 21

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันวิเคราะหรปู ที่ 25 ในหนังสือเรียน ครูควรตั้งคําถามใหนักเรียน เชน 32π < θ < 2π เปนความยาวสวนโคง
หนา 21 และรายละเอียดตางๆ นักเรียนจะทราบวา สวนโคง AP ที่จุดปลายอยูในจตุภาคใด พิกัดของคูอันดับเปนจํานวนบวกหรือจํานวนลบ
ยาว α หนวย และสวนโคง AP′ ยาว θ หนวย ใหนกั เรียนหาความยาว ครูอาจใหนกั เรียนศึกษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน หนา 21 และตัง้ คําถามเพือ่ ประเมิน
ของสวนโคง PP′ โดยทําลงในกระดาษ A4 ความเขาใจสูตรใหนักเรียนไดคิดวิเคราะห
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T27
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 10 ใน
ตัวอย่างที่ 10
หนังสือเรียน หนา 22 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง พรอมกับตอบคําถามตอไปนี้ กําหนด sin π5 = 0.59 และ cos π5 = 0.81 ใหหา
• นักเรียนทราบหรือไมวา 95π สามารถเขียน 1) sin 95π 2) cos 95π
ใหอยูในรูป π5 ไดอยางไร วิธีทํา 1) sin 95π = sin (2π - π5 )
(แนวตอบ 95π = 2π - π5 )
= -sin π5 (จาก sin (2π - α) = -sin α เมื่อ 0 < α < π2 )
4. ครูอธิบายการหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ
= -0.59
θ > 2π โดยการวาดรูปในหนังสือเรียน หนา 22
บนกระดาน แลวใหนกั เรียนจับคูเ พือ่ ชวยกันหา 2) cos 95π = cos (2π - π5 )
ขอสรุป แลวเขียนใสกระดาษ A4 = cos π5 (จาก cos (2π - α) = cos α เมื่อ 0 < α < π2 )
5. ครูสุมนักเรียน 2 คู ออกมานําเสนอขอสรุป = 0.81
หนาชัน้ เรียน จากนัน้ ครูสรุปวา การหาจุดปลาย
สวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั จากจุด (1, 0) ลองทําดู
เปนระยะ θ หนวย เมื่อ θ > 2π สามารถหาได กําหนด sin 10π = 0.31 และ cos π = 0.95 ใหหา
10
จากจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึง่ หนวยทีว่ ดั 1) sin 1910π 2) cos 1910π
จากจุด (1, 0) เปนระยะ α หนวย เมือ่ θ = 2nπ + α
และ 0 ≤ α ≤ 2π จึงสรุปไดวา sin (2nπ + α)
4) การหาคา sin θ และ cos θ เมื่อ θ > 2π
= sin α และ cos (2nπ + α) = cos α Y คณิตน่ารู้
P(x, y)
การหาคา sin θ และ cos θ
เมือ่ 0 < -2π หาไดจากสมบัติ
O X ที่วา
(1, 0)
sin (-θ) = -sin θ
cos(-θ) = cos θ

กําหนด θ > 2π และจุด P(x, y) เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด


(1, 0) เปนระยะ θ หนวย
จาก θ > 2π และเสนรอบวงของวงกลมหนึ่งหนวยยาว 2π หนวย จะไดวา θ = 2nπ + α
เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และ α เปนระยะของจุด P(x, y) ที่วัดจากจุด (1, 0) เมื่อ 0 ≤ α < 2π
22

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด cos π6 = 0.87 ใหหาวา cos 116π เทากับขอใด
1. 0.435 2. -0.435 3. 0.87 4. -0.87
(เฉลยคําตอบ cos 116π = cos (2π - π6 ) = cos π6
= 0.87
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)

T28
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
6. ครูเขียน 253π และ 616π บนกระดาน แลวถาม
จะเห็นวา จุด P(x, y) ที่เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปน
ระยะ θ หนวย และจุด P(x, y) ที่เปนจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) คําถาม ดังนี้
เปนระยะ α หนวย เปนจุดเดียวกัน • 253π และ 616π สามารถเขียนใหอยูในรูป
2nπ + α ไดอยางไร
ดังนั้น การหาจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ θ หนวย
เมื่อ θ > 2π สามารถหาไดจากจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจากจุด (1, 0) เปน (แนวตอบ 253π = 8π + π3 , 616π = 10π + π6 )
ระยะ α หนวย เมื่อ θ = 2nπ + α และ 0 ≤ α < 2π จึงสรุปไดวา 7. ครูและนักเรียนรวมกันศึกษาตัวอยางที่ 11
ในหนังสือเรียน หนา 23 และเปดโอกาสให
sin (2nπ + α) = sin α นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
cos (2nπ + α) = cos α
เปรียบเทียบและรวบรวม
ตัวอย่างที่ 11 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ใหหาคาของฟงกชันไซนและโคไซน ในแตละขอตอไปนี้ หนา 23 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
1) cos 253π 2) sin (- 616π ) คําตอบ “ลองทําดู”
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.2 ในแบบฝกหัด
วิธีทํา 1) cos 253π = cos (8π + π3 ) เปนการบาน
= cos (2(4)π + π3 )
= cos π3 (จาก cos (2nπ + α) = cos α , 0 ≤ α < 2π)
ขัน้ สรุป
สรุป
= 1
2 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
2) sin (- 616π ) = -sin ( 616π ) (จาก sin (-θ) = -sin θ, θ > 0) นักเรียน ดังนี้
= -sin (10π + π6 ) • คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของ
= -sin (2(5)π + π6 ) จํานวนจริงใดๆ หาไดอยางไร
= -sin π6 (จาก sin (2nπ + α) = sin α, 0 ≤ α < 2π) (แนวตอบ
1) การหาคาของ sin θ และ cos θ
= - 12
เมื่อ π2 < θ < π จะไดวา
sin (π - α) = sin α
ลองทําดู
และ cos (π - α) = -cos α
ใหหาคาของฟงกชันไซนและโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
เมื่อ 0 < α < π2
1) cos 314π 2) sin (- 503π ) 2) การหาคาของ sin θ และ cos θ
เมื่อ π < θ < 32π จะไดวา
ฟงกชันตรีโกณมิติ 23
sin (π + α) = -sin θ
และ cos (π + α) = -cos θ
เมื่อ 0 < α < π2

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


คาของ sin (- 376π ) - cos 193π เทากับขอใด ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เชน
1. 0 2. -0.5 • θ ที่กําหนดมากกวา 2π หรือไม
3. 1 4. -1 • ตองใชความสัมพันธใดในการหาคาของ θ
(เฉลยคําตอบ sin (- 376π ) - cos 193π • ถาเขียน θ ในรูปของ 2nπ + α เมื่อ 0 < α < π2 จะได α เทากับเทาใด
• คาของ cos 23π เทากับเทาใด
= -sin ( 376π ) - cos 193π • การหาคาของ sin (- 616π) ตองใชความสัมพันธใดกอน เพราะเหตุใด
= -sin (6π + π6 ) - cos (6π + π3 ) และ θ > 2π หรือไม
= -sin π6 - cos π3
= - 12 - 12
= -1
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T29
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
สรุป
3) การหาคาของ sin θ และ cos θ
แบบฝึกทักษะ 1.2
เมื่อ 32π < θ < 2π จะไดวา
sin (2π - α) = -sin α ระดับพื้นฐาน
และ cos (2π - α) = cos α 1. ใหเขียนจุดปลายสวนโคงที่ยาว ∣θ∣ หนวย ของ θ ในแตละขอตอไปนี้ในรูป (cos θ, sin θ)
เมื่อ 0 < α < π2 1) 0 2) 10π 3) - 32π 4) -10π
4) การหาคา sin θ และ cos θ 2. ใหหาคาของ cos θ และ sin θ เมื่อ θ เปนจํานวนจริง ในแตละขอตอไปนี้
เมื่อ θ > 2π และ θ = 2nπ + α 1) θ = 4π + π3 2) θ = 193π 3) θ = 314π 4) θ = - 296π
เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก
3. กําหนด sin θ = 32 และ cos θ = 12 ใหหาคาของ
และ 0 ≤ α < 2π จะไดวา 1) sin (-θ) 2) cos (-θ)
sin (2nπ + α) = sin α และ 3) sin (π - θ) 4) cos (π - θ)
cos (2nπ + α) = cos α) 5) sin (π + θ) 6) cos (π + θ)
7) sin (2π - θ) 8) cos (2π - θ)
นําไปใช 9) sin (2π + θ) 10) cos (2π + θ)
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ 4. ใหหาจํานวนจริง θ ที่สอดคลองกับฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน ในแตละขอตอไปนี้
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง เมื่อ -4π ≤ θ ≤ 4π
และเก ง ) ให อ ยู  ก ลุ  ม เดี ย วกั น แล ว ร ว มกั น ทํ า 1) sin θ = - 12 2) sin θ = 32 3) cos θ = - 12 4) cos θ = - 22
แบบฝ ก ทั ก ษะ 1.2 ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 24 ระดับกลาง
จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา
5. ใหหาคาของ cos θ และ sin θ เมื่อ θ เปนจํานวนจริง ในแตละขอตอไปนี้
นําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบ
1) θ = 3π + π6 2) θ = 5π - π4 3) θ = -π - π4 4) θ = -2π + π6
ความถูกตอง
6. กําหนด sin θ = 12 และ cos θ = 32 ใหหาคาของ
ขัน้ ประเมิน 1) sin (-π + θ) 2) cos (-π + θ)
3) sin (-π - θ) 4) cos (-π - θ)
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.2 5) sin (-2π + θ) 6) cos (-2π + θ)
2. ครูตรวจ Exercise 1.2 7) sin (-2π - θ) 8) cos (-2π - θ)
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 9) sin (θ - 4π) 10) cos (θ - 7π)
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ระดับทาทาย
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู 7. กําหนด sin (- 9118π ) = 0.17 ใหหาจํานวนจริง θ ที่ทําให sin θ = sin (- 9118π ) มา 4 จํานวน
มุงมั่นในการทํางาน เมื่อ -10π ≤ θ ≤ 10π พรอมอธิบายเหตุผลประกอบ
24

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม สรางเสริม


ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม จากการทํ า ใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันแสดงวิธีการหาคําตอบในแตละขอ
แบบฝกทักษะ 1.2 ในขั้นนําไปใช โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก ตอไปนี้
แบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1
1. cos (2π - π3 )
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่


2. sin (π + π6 )
ตรงกับระดับคะแนน

3. sin 74π
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

4. cos 56π + sin 23π

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T30
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)


กําหนดขอบเขตของปญหา

1.3 ฟงกชนั ตรีโกณมิตอิ น่ื ๆ 1. ครูทบทวนความรูเ กีย่ วกับการหาคาของฟงกชนั


ไซนและฟงกชนั โคไซน
นอกจากฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนที่กลาวมาแลว ยังมีฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ อีกที่มี 2. ครูเกริน่ นําวา นอกจากฟงกชนั ไซนและฟงกชนั
ความสัมพันธกับฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนตามบทนิยามที่กําหนดตอไปนี้ โคไซนแลว ยังมีฟงกชันตรีโกณมิติอื่นๆ ที่มี
1. ฟงกชันแทนเจนต (Tangent Function) ความสัมพันธกบั ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซน
บทนิยาม สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ
sin θ เมื่อ cos θ 0
tangent θ = cos θ
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
เขียนแทน tangent θ ดวย tan θ (อานวา แทนทีตา)
sin θ เมื่อ cos θ 0 1. ครูอธิบายบทนิยามของฟงกชนั ตรีโกณมิตอิ นื่ ๆ
ดังนั้น tan θ = cos θ ในหนังสือเรียน หนา 25 จากนัน้ ใหนกั เรียนปด
2. ฟงกชันโคแทนเจนต (Cotangent Function) หนังสือแลวชวยกันตอบคําถาม ดังนี้
บทนิยาม สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ • tan θ สามารถเขียนใหอยูในรูปของ sin θ
cotangent θ = cos θ
sin θ เมื่อ sin θ 0
และ cos θ ไดอยางไร
(แนวตอบ tan θ = cossin θ เมื่อ cos θ 0)
เขียนแทน cotangent θ ดวย cot θ (อานวา คอตทีตา) θ
ดังนั้น cot θ = cos θ
sin θ เมื่อ sin θ 0
• cot θ สามารถเขียนใหอยูในรูปของ sin θ
และ cos θ ไดอยางไร
3. ฟงกชันเซแคนต (Secant Function)
(แนวตอบ cot θ = cos θ
sin θ เมื่อ sin θ 0)
บทนิยาม สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ
secant θ = cos1 θ เมื่อ cos θ 0 • cosec θ สามารถเขียนใหอยูใ นรูปของ sin θ
ไดอยางไร
เขียนแทน secant θ ดวย sec θ (อานวา เซคทีตา)
(แนวตอบ cosec θ = sin1 θ เมื่อ sin θ 0)
ดังนั้น sec θ = cos1 θ เมื่อ cos θ 0
• sec θ สามารถเขียนใหอยูในรูปของ cos θ
4. ฟงกชันโคเซแคนต (Cosecant Function) ไดอยางไร
บทนิยาม สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ
(แนวตอบ sec θ = cos1 θ เมื่อ cos θ 0)
cosecant θ = sin1 θ เมื่อ sin θ 0

เขียนแทน cosecant θ ดวย cosec θ (อานวา โคเซคทีตา)


ดังนั้น cosec θ = sin1 θ เมื่อ sin θ 0

ฟงกชันตรีโกณมิติ 25

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวรวมกันสรางรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ABC ครูควรเชื่อมโยงความรูจากอัตราสวนตรีโกณมิติ โดยตั้งคําถามและอธิบาย
ทีม่ มี มุ B เปนมุมฉาก แลวหาความสัมพันธของดานทัง้ สามดานกับ บทนิยามของฟงกชันตรีโกณมิติอื่นๆ ในหนังสือเรียน หนา 25
ฟงกชันตรีโกณมิติ ดังนี้
• tan θ
• cot θ
• sec θ
• cosec θ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T31
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
การหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ แยกพิจารณาจาก 4 กรณีตอไปนี้
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
ดังนี้ 1) กรณี 0 < θ < π2
• คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 1 เนื่องจาก 0 < sin θ < 1 และ 0 < cos θ < 1 เมื่อ 0 < θ < π2
เปนอยางไร sin θ ดังนั้น tan θ > 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ > 1
θ
(แนวตอบ จตุภาคที่ 1 sin θ และ cos θ
มีคาเปนบวก) cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ > 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ > 1
3. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
อื่นๆ กรณี 0 < θ < π2 โดยใชรูปวงกลม สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ 0 < θ < π2 คาของฟงกชันตรีโกณมิติทุกคา
หนึ่งหนวย มีคาเปนจํานวนบวก
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 12 ใน
ตัวอย่างที่ 12
หนังสือเรียน หนา 26 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan π3 2) cot π3 3) sec π3 4) cosec π3
ใชทฤษฎี หลักการ
sin π3 3
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา 1) tan π3 = = 21 = 3
cos π3 2
หนา 26 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
cos π3 1
“ลองทําดู” 2) cot π3 = = 23 = 3
sin π3 3
2
3) sec π3 = 1 π 1
= 1 = 2
cos 3 2
4) cosec π3 = 1 π = 1 = 23
sin 3 3 3
2

ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan π4 2) cot π4 3) sec π4 4) cosec π4

26

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายและควรเชื่อมโยงความรูเรื่อง คาของ cot2 π3 + sec3 π3 ตรงกับขอใด
การหาคาของ tan θ จาก sin θ และ cos θ เพื่อใหไดขอสรุปวา tan θ เปน 1. 19
3 2. 233 3. 25
3 4. 31
3
จํานวนบวกใดๆ เมื่อ 0 < θ < π2 cos 2π
(เฉลยคําตอบ cot 2 π3 + sec3 π3 = 2 π3 + 13 π
sin 3 cos 3
2
cos π3 3
= π + 1π
sin 3 cos 3
1 2
3
= 2 + 11
3
2 2
2
= ( 33 ) + 2 3
= 39 + 8
= 25
T32 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
3
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
2) กรณี π2 < θ < π
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
เนื่องจาก 0 < sin θ < 1 และ -1 < cos θ < 0 เมื่อ π2 < θ < π ดังนี้
sin θ ดังนั้น tan θ < 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ < -1 • คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 2
θ
เปนอยางไร
cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ < 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ > 1
(แนวตอบ จตุภาคที่ 2 sin θ มีคาเปนบวก
และ cos θ มีคาเปนลบ)
สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ π2 < θ < π คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคเซแคนต 2. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
มีคาเปนจํานวนบวก สวนฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ มีคาเปนจํานวนลบ อื่นๆ กรณี π2 < θ < π โดยใชรูปวงกลม
หนึ่งหนวย
ตัวอย่างที่ 13
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 13 ใน
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ หนังสือเรียน หนา 27 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1) tan 23π 2) cot 23π 3) sec 23π 4) cosec 23π กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
sin 23π 3
วิธีทํา 1) tan 23π = = 21 = -3 ใชทฤษฎี หลักการ
cos 23π -2 Ô´
á¹Ðá¹Ç¤ ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
cos 2π -1 sin 23π = sin (π - π3 ) หนา 27 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
2) cot 23π = 23π = 32 = - 33
sin 3 = sin π3 “ลองทําดู”
2
3) sec 23π = 12π = 11 = -2 cos 23π = cos (π - π3 )
cos 3 -2 = -cos π3
4) cosec 23π = 12π = 13 = 23
3
sin 3 2

ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan 56π 2) cot 56π 3) sec 56π 4) cosec 56π

ฟงกชันตรีโกณมิติ 27

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


คาของ tan2 23π + cosec2 23π ตรงกับขอใด ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เชน θ = 23π เปนความยาว
1. 53 2. 11 3 3. 13
3 4. 17
3 สวนโคงที่มีจุดปลายอยูในจตุภาคใด
2
sin 3 2π
(เฉลยคําตอบ tan 2 23π + cosec2 23π = 2 2π
+ 21 2π
cos 3 sin 3
2
sin 23π 2
= 2 π
+ 12π
cos 3 sin 3
2
3 2
= 1 + 1
2
-2 3
2 2
= (- 3 )2 + ( 233 )
= 3 + 43
= 133
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.) T33
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
3) กรณี π < θ < 32π
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
ดังนี้ เนื่องจาก -1 < sin θ < 0 และ -1 < cos θ < 0 เมื่อ π < θ < 32π
• คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 3 sin θ ดังนั้น tan θ > 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ < -1
θ
เปนอยางไร
cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ > 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ < -1
(แนวตอบ จตุภาคที่ 3 sin θ และ cos θ
มีคาเปนลบ)
2. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ π < θ < 32π คาของฟงกชันแทนเจนตและฟงกชันโคแทนเจนต
มีคาเปนจํานวนบวก สวนฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ มีคาเปนจํานวนลบ
อื่นๆ กรณี π < θ < 32π โดยใชรูปวงกลม
หนึ่งหนวย
ตัวอย่างที่ 14
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 14 ใน
หนังสือเรียน หนา 28 แลวแลกเปลี่ยนความรู ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน 1) tan 43π 2) cot 43π 3) sec 43π 4) cosec 43π

ใชทฤษฎี หลักการ sin 43π - 3


วิธีทํา 1) tan 43π = = 12 = 3
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน cos 43π -2
หนา 28 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ cos 4π -1
2) cot 43π = 43π = 23 = 1 = 33
“ลองทําดู” sin 3 -2 3
3) sec 43π = 14π = 11 = -2
cos 3 -2

4) cosec 43π = 14π = 1 = - 2 = - 2 33


sin 3 - 32 3

ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan 54π 2) cot 54π 3) sec 54π 4) cosec 54π

28

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายและควรเชื่อมโยงความรูเรื่อง คาของ cot2 43π + cosec2 43π ตรงกับขอใด
การหาคาของ cosec θ และ sec θ จาก sin θ และ cos θ ตามลําดับ เพื่อใหได 1. 1 2. 53 3. -1 4. - 53
ขอสรุปวา cosec θ และ sec θ เปนจํานวนลบใดๆ เมื่อ π < θ < 32π cos2 43π
(เฉลยคําตอบ cot 3 + cosec 3 = 2 4π + 21 4π
2 4π 2 4π
sin 3 sin 3
2
cos 43π 2
= 4 π
+ 14π
sin 3 sin 3
2
- 12 2
= + 1
- 23 - 23
2 2
3
= ( 3 ) + (- 3 ) 2 3
= 13 + 43
= 53
T34 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ว าดวงกลมหนึ่ ง หน ว ยบนกระดานเพื่ อ
4) กรณี 32π < θ < 2π
ทบทวนคาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
เนื่องจาก -1 < sin θ < 0 และ 0 < cos θ < 1 เมื่อ 32π < θ < 2π ดังนี้
sin θ ดังนั้น tan θ < 0
tan θ = cos sec θ = cos1 θ ดังนั้น sec θ > 1 • คาของ sin θ และ cos θ ในจตุภาคที่ 4
θ
เปนอยางไร
cot θ = cos θ
sin θ ดังนั้น cot θ < 0 cosec θ = sin1 θ ดังนั้น cosec θ < -1 (แนวตอบ จตุภาคที่ 4 sin θ มีคาเปนลบ
และ cos θ มีคาเปนบวก)
สําหรับจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ 32π < θ < 2π คาของฟงกชันโคไซนและฟงกชันเซแคนต 2. ครู อ ธิ บ ายการหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
มีคาเปนจํานวนบวก สวนฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ มีคาเปนจํานวนลบ อื่นๆ กรณี 32π < θ < 2π โดยใชรูปวงกลม
หนึ่งหนวย
ตัวอย่างที่ 15 3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 15 ใน
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ หนังสือเรียน หนา 29 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1) tan 53π 2) cot 53π 3) sec 53π 4) cosec 53π กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน

sin 53π - 23 ใชทฤษฎี หลักการ


วิธีทํา 1) tan 53π = = 1 =-3
cos 53π 2 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
cos 5π 1 หนา 29 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
2) cot 53π = 53π = 23 = - 33 “ลองทําดู”
sin 3 -2
3) sec 53π = 15π = 11 = 2
cos 3 2
4) cosec 53π = 15π = 1 = - 2 33
sin 3 - 32

ลองทําดู
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) tan 116π 2) cot 116π 3) sec 116π 4) cosec 116π

ฟงกชันตรีโกณมิติ 29

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


คาของ sec 53π + tan2 53π ตรงกับขอใด ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายและใหนักเรียนตรวจสอบวา
1. 5 2. 4 3. 3 4. 2 3π < 5π < 2π หรือไม
2 3
sin2 53π ครูควรเชื่อมโยงความรูเพิ่มเติม เชน
(เฉลยคําตอบ sec 53π + tan 2 53π = 1 5π +
cos 3 cos 2 53π tan (2nπ + α) = cos sin (2nπ + α)
2
(2nπ + α)
1 sin 53π sin α
= cos
= + α
cos 53π cos 53π
2
= tan α
- 3
= 11 + 12
2 2
= 2 + (- 3 )2
=2+3
=5
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายตารางแสดงคาของฟงกชนั ตรีโกณมิติ
ตารางแสดงคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงบางจํานวน เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2
ของจํานวนจริงบางจํานวน เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2
ในหนังสือเรียน หนา 30 อยางละเอียด θ sin θ cos θ tan θ cosec θ sec θ cot θ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล ว สลั บ กั น ถาม-ตอบ 0 0 1 0 ไมนิยาม 1 ไมนิยาม
เกี่ ย วกั บ ค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข อง
จํานวนจริงบางจํานวน เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2 ที่อยู π 1 3 3 2 23 3
6 2 2 3 3
ในตารางอยางนอยคนละ 5 ครั้ง
π 2 2 1 2 2 1
4 2 2
ใชทฤษฎี หลักการ
π 3 1 3 23 2 3
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมชวยกันทํา “Thinking Time” 3 2 2 3 3
ในหนังสือเรียน หนา 30 จากนั้นครูสุมตัวแทน π 1 0 ไมนิยาม 1 ไมนิยาม 0
นักเรียน 1 คู มาเฉลยคําตอบ “Thinking Time” 2
หนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
Thinking Time
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ ถา θ เปนจํานวนจริงใด ๆ แลว tan (-θ), cot (-θ), sec (-θ) และ cosec (-θ)
1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 16 ใน มีคาเปนเทาใด
หนังสือเรียน หนา 30 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ตัวอย่างที่ 16
2. ครูสรางโจทยคลายๆ ตัวอยางที่ 16 บนกระดาน ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1 ขอ แลวสุม นักเรียน 1 คน ออกมาแสดงวิธกี าร 1) tan (- π4 ) 2) sec (- π4 ) 3) cot (- π4 ) 4) cosec (- π4 )
หาคาของฟงกชันตรีโกณมิติบนกระดานหนา
ชั้นเรียน วิธีทํา 1) tan (- π4 ) = -tan π4 = -1
2) sec (- π4 ) = sec π4 = 2 = 2
2
3) cot (- π4 ) = -cot π4 = -1
4) cosec (- π4 ) = -cosec π4 = - 2 = - 2
2

30

เฉลย Thinking Time กิจกรรม สรางเสริม


sin (-θ)
tan (-θ) = cos sin θ = -tan θ
= - cos
(-θ) θ ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยโดยใชตารางแสดง
cot (-θ) = tan1(-θ) = - ta1n θ คาของฟงกชันตรีโกณมิติ ในหนังสือเรียน หนา 30 คูละ 1 ขอ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
sec (-θ) = cos1(-θ) = cos1 θ

cosec (-θ) = sin 1(-θ) = - sin1 θ

T36
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 31 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ “ลองทําดู”
1) tan (- π6 ) 2) sec (- π6 ) 3) cot (- π6 ) 4) cosec (- π6 )
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ตัวอย่างที่ 17
1. ครูยกตัวอยางโจทยที่สอดคลองกับ
ใหหาคา sin 76π cos (- 133π) + tan 134π cot 94π tan (2nπ + α) = tan α
วิธีทํา เนื่องจาก sin 76π = sin (π + π6 ) cot (2nπ + α) = cot α
ใหกับนักเรียนบนกระดาน เพื่อเกริ่นนําเขาสู
= -sin π6
ตัวอยางที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 31
= - 12
2. ครูใหนักเรียนทุกคนเขียน 134π และ 94π ใหอยู
cos (- 133π) = cos 133π ในรูปของ 2nπ + α โดยทําลงในสมุดของตนเอง
= cos (4π + π3 ) และอธิบายการหาคาของฟงกชันในตัวอยาง
= cos π3 ที่ 17 ในหนังสือเรียน หนา 31 อยางละเอียด
= 12 ใชทฤษฎี หลักการ
tan 134π = tan (2π + 54π) 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= tan 54π หนา 31 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
=1 คําตอบ “ลองทําดู”
cot 94π = cot (2π + π4 )
= cot π4
=1
จะไดวา sin 76π cos (- 133π) + tan 134π cot 94π = (- 12 )( 12 ) + (1)(1)
= 3
4
ดังนั้น sin 76π cos (- 133π) + tan 134π cot 94π = 3
4

ลองทําดู
ใหหาคาของ sin (- 194π) cot 134π - cos 316π sin (- 203π)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 31

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ ครูควรทบทวนการหาคาของฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนทกุ ครัง้ ทีม่ กี ารนํา
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน มาใชในหัวขอนี้ เพื่อเนนยํ้าใหนักเรียนจําไดรวดเร็วขึ้น
จากนัน้ ใหชว ยกันสรางโจทยทคี่ ลายกับตัวอยางที่ 17 ในหนังสือเรียน
หนา 31 กลุมละ 2 ขอ พรอมแสดงวิธีทําอยางละเอียดลงใน
กระดาษ A4

T37
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
2. ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4 คน คละ แนวข้อสอบ PAT 1
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหแตละกลุม ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตอง
ศึ ก ษาแนวข อ สอบ PAT1 ในหนั ง สื อ เรี ย น π sin 7π sin 13π sin 19π > 0
1. sin 15 15 15 15
หนา 32 แลวครูอธิบายวิธีทําอยางละเอียด 2. 0 ≤ sin θ ≤ 1 สําหรับทุกจํานวนจริง θ ใด ๆ
จากนั้นใหแตละกลุมสืบคนหาขอสอบ PAT1 3. cos 413π sin (- 413π) > sin π7 cos (- π7 )
เรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติอ่ืนๆ กลุมละ 1 ขอ 4. cos θ < 0 เมื่อ 32π < θ < 2π
แลวออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและ
5. cos π5 cos 45π cos 75π > 0
นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายขอสอบใน
แตละขอ แนวคิด
1. เนื่องจาก 0 < 15 π < π , 0 < 7π < π , π < 13π < π และ π < 19π < 3π
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.3 ในแบบฝกหัด 2 15 2 2 15 15 2
จะไดวา sin 15 π > 0, sin 7π > 0, sin 13π > 0 และ sin 19π < 0
เปนการบาน 15 15 15
ดังนั้น sin 15 π sin 7π sin 13π sin 19π < 0
15 15 15
ขัน้ สรุป นั่นคือ ขอ 1. ไมถูกตอง
ตรวจสอบและสรุป
2. เนื่องจาก sin 32π = -1 ซึ่งนอยกวา 0
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ ดังนั้น ขอ 2. ไมถูกตอง
นักเรียน ดังนี้ 3. เนื่องจาก 0 < 413π < π2 และ 0 < π7 < π2
• ในจตุภาคที่ 1 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน จะไดวา cos 413π > 0, sin (- 413π) = -sin 413π ซึ่ง -sin 413π < 0, sin π7 > 0
จํานวนบวก
และ cos (- π7 ) = cos π7 ซึ่งมากกวา 0
(แนวตอบ ฟงกชันตรีโกณมิติทุกคามีคาเปน
ดังนั้น cos 413π sin (- 413π) < 0 และ sin π7 cos (- π7 ) > 0
จํานวนบวก)
• ในจตุภาคที่ 2 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน ทําใหไดวา cos 413π sin (- 413π) < sin π7 cos (- π7 )
จํานวนบวก นั่นคือ ขอ 3. ไมถูกตอง
(แนวตอบ ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคเซแคนต 4. สําหรับทุกจํานวนจริง θ ใด ๆ ที่ 32π < θ < 2π
มีคาเปนจํานวนบวก) cos θ > 0
ดังนั้น ขอ 4. ไมถูกตอง
5. เนื่องจาก 0 < π5 < π2 , π2 < 45π < π และ π < 75π < 32π
จะไดวา cos π5 > 0, cos 45π < 0 และ cos 75π < 0
ดังนั้น cos π5 cos 45π cos 75π > 0
32 นั่นคือ ขอ 5. ถูกตอง

เกร็ดแนะครู
ครูควรนําแนวขอสอบ PAT1 มาใหนักเรียนทําบอยๆ เพื่อใหนักเรียนไดฝก
คิดวิเคราะหและไมประมาทเวลาเจอขอสอบจริง

T38
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• ในจตุภาคที่ 3 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน
แบบฝึกทักษะ 1.3
จํานวนบวก
ระดับพื้นฐาน (แนวตอบ ฟงกชันแทนเจนตและฟงกชัน
โคแทนเจนตมีคาเปนจํานวนบวก)
1. กําหนด sin θ = 35 และ cos θ = 45 ใหหาคาของ
1) tan θ 2) sec θ • ในจตุภาคที่ 4 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน
3) cot θ 4) cosec θ จํานวนบวก
(แนวตอบ ฟงกชนั โคไซนและฟงกชนั เซแคนต
2. กําหนด sin θ = - 35 และ cos θ = 45 ใหหาคาของ มีคาเปนจํานวนบวก)
1) tan θ 2) sec θ
3) cot θ 4) cosec θ ฝกปฏิบตั ิ
3. กําหนด sin θ = 35 และ cos θ = 45 ใหหาคาของ ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
1) tan (-θ) 2) sec (-θ) ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
3) cot (-θ) 4) cosec (-θ)
และเก ง ) ให อ ยู  ก ลุ  ม เดี ย วกั น แล ว ช ว ยกั น ทํ า
4. ใหหาคาของ แบบฝกทักษะ 1.3 ในหนังสือเรียน หนา 33 จากนัน้
1) sin π3 + sin 23π + sin 43π + sin 53π ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอคําตอบ
2) sin π4 + cos 54π + tan 34π + sin π4 หนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
3) sin 54π cos 43π - cos 23π tan 34π
ขัน้ ประเมิน
ระดับกลาง 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.3
5. กําหนด 0 < θ < π2 และ sin θ = 13 ใหหาคาของ 2. ครูตรวจ Exercise 1.3
1) sin θ + cos θ 2) cot θ + cosec θ 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
3) cos θ - tan θ 4) sec θ - cos θ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. กําหนด -π < θ < - π2 และ tan θ = 23 ใหหาคาของ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
1) sin θ + cos θ 2) sin θ - sec θ 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
3) cos θ + cot θ 4) cos θ - sec θ มุงมั่นในการทํางาน
7. ใหหาคาของ
1) cos π6 sin π3 + cos π3 sin π6 + tan π3 cot π3
2) sin (- π2 ) cos (- 34π) + tan (- 74π) cos(-2π)

ฟงกชันตรีโกณมิติ 33

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


คาของ 3 cot3 π3 - sec2 π4 - 8 cos π6 ตรงกับขอใด ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากแบบฝกทักษะ 1.3
1. - 6 +3 3 2. - 6 + 313 3 ในขั้นฝกปฏิบัติ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของ
แผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1
3. - 6 + 311 3 4. - 4 +36 3
(เฉลยคําตอบ 3 cot 3 π3 - sec 2 π4 - 8 cos π6
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่


ตรงกับระดับคะแนน
3 2
= 3 1 π - 1 π - 8 cos π6
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน

tan 3 cos 4 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

3 2
= 3 ( 1 ) - 1 - 8 ( 23 )
3 2
3
2 2
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............

= 3 ( 33 ) - ( 2 ) - 8 ( 23 )
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน

2
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

3 3 4
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ

= 3 ( 27 ) - 2 - 4 3
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

= 33 - 2 - 4 3 = - 6 + 11 3
3
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.) T39
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครูทบทวนความรูเรื่อง รูปวงกลมหนึ่งหนวย
โดยมีการวัดระยะจากจุด (1, 0) ไปบนสวนโคงของ
1.4 ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุม
(Trigonometric Functions of any angle)
วงกลมหนึ่งหนวยในทิศทางทวนเข็มนาฬกาและ
∧ ∧
ตามเข็มนาฬกา และในเรือ่ งนีน้ กั เรียนจะไดเรียนรู กําหนด MN สราง NMP และ NMQ ใหมีขนาด θ หนวย เทากัน โดยใชโปรแทรกเตอร
การวัดมุมทีจ่ ดุ ศูนยกลางของวงกลม ทีร่ องรับดวย วัดขนาดของมุม ซึ่งสามารถวัดขนาดของมุมที่ตองการสรางได 2 แบบ คือ การวัดในทิศทาง
สวนโคงของวงกลม ซึ่งสามารถวัดขนาดของมุม ทวนเข็มนาฬกาและการวัดในทิศทางตามเข็มนาฬกา ดังนี้
P
ที่ตองการสรางได 2 แบบ คือ การวัดในทิศทาง
ทวนเข็มนาฬกาและตามเข็มนาฬกา เรียกจุด M วา จุดยอด (vertex) ของมุม
θ
เรียก MN วา ดานเริ่มตน (initial side) ของมุม
ขัน้ สอน M
θ
N เรียก MP และ MQ วา ดานสิ้นสุด (terminal side)
รู (Knowing) ของมุม
1. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 26 ในหนังสือเรียน Q
รูปที่ 26
หนา 34 จากนัน้ ครูอธิบายการวัดมุมในทิศทาง
ทวนเข็มนาฬกาและตามเข็มนาฬกา ซึ่งขนาด ดังนั้น การวัดขนาดของมุมทําไดโดยวัดจากดานเริ่มตนของมุุมไปยังดานสิ้นสุดของมุม
ของมุ ม จะเป น จํ า นวนบวกและจํ า นวนลบ ถาวัดมุมในทิศทางทวนเข็มนาฬกา ขนาดของมุมจะเปนจํานวนบวก ถาวัดมุมในทิศทางตาม
ตามลําดับ เข็มนาฬกาขนาดของมุมจะเปนจํานวนลบ
2. ครูอธิบายการเปลีย่ นหนวยในรูปขององศาเปน นักเรียนทราบมาแลววาหนวยที่ใชในการวัดมุม คือ องศา (degree) เขียนแทนดวย ํ ซึ่ง
ลิปดาและฟลิปดา แบงหนวยยอยเปนลิปดา ( ′ ) และฟลิปดา ( ″ ) ดังนี้
3. ครูเกริ่นเขาสูเนื้อหาเรื่อง หนวยการวัดมุมใน 1 ํ = 60′
1′ = 60″
ระบบเรเดียน โดยกลาววา “มุม 1 เรเดียน
หนวยวัดมุมที่สําคัญอีกหนวยหนึ่ง คือ เรเดียน (radian)
เปนมุมทีจ่ ดุ ศูนยกลางของวงกลม ทีร่ องรับดวย
สวนโคงของวงกลมทีม่ รี ศั มียาวเทากับรัศมีของ 1. หนวยการวัดมุมในระบบเรเดียน
วงกลมนั้น” มุม 1 เรเดียน เปนมุมทีจ่ ดุ ศูนยกลางของวงกลม ซึง่ รองรับดวยสวนโคงของวงกลมทีม่ คี วามยาว
เทากับรัศมีของวงกลมนั้น
r
θ
0 r

θ มีขนาด 1 เรเดียน
34 รูปที่ 27

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใหนักเรียนศึกษาเนื้อหา ในหนังสือเรียน หนา 34 มากอนลวงหนา ครูใหนักเรียนจับคูแลวสลับกันสรางโจทย เพื่อฝกการเปลี่ยน
หรือครูใหคําแนะนําแกนักเรียนในการนําความรูเดิมมาประยุกตใชในหัวขอนี้ หนวยในการวัดมุมจากองศาเปนลิปดาและฟลิปดา
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T40
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 27 ในหนังสือเรียน
จากรูปที่ 27 จะเห็นวา เปนวงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย และมุม θ เปนมุมที่จุดศูนยกลาง
หนา 34 จากนั้นครูอธิบายวา วงกลมนี้เปน
ซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่ยาว r หนวย ดังนั้น θ จึงมีขนาด 1 เรเดียน
เนื่องจาก วงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย จะมีเสนรอบวงยาว 2πr หนวย วงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย และมุม θ เปน
ดังนั้น มุมที่จุดศูนยกลางซึ่งรองรับดวยสวนโคงของวงกลมที่มีความยาว 2πr หนวย และรัศมี มุมที่จุดศูนยกลาง ซึ่งรองรับดวยสวนโคงที่
r หนวย จะมีขนาด 2πr r เรเดียน หรือ 2π เรเดียน จึงกลาวไดวา ขนาดของมุมที่จุดศูนยกลางของ ยาว r หนวย ดังนั้น θ จึงมีขนาด 1 เรเดียน
วงกลมที่มีรัศมียาว r หนวย ที่ไดจากการหมุนรัศมีไปครบ 1 รอบ มีขนาด 2π เรเดียน แตขนาด 5. ครูอธิบายการหาความยาวสวนโคงของวงกลม
ของมุมนี้เมื่อวัดเปนหนวยในระบบองศา จะเทากับ 360 องศา และรวมสรุปกับนักเรียนวา ความยาวสวนโคง
ดังนั้น 360 องศา เทากับ 2π เรเดียน ของวงกลม 1 รอบ เทากับ 2π เรเดียน พรอมกับ
จะไดวา 180 องศา เทากับ π เรเดียน สอนใหนักเรียนรูจักสูตรการเปลี่ยนมุมองศา
นั่นคือ 1 องศา เทากับ 180 π เรเดียน
ใหเปนมุมในระบบเรเดียน คือ 1 เรเดียน เทากับ
360 องศา หรือ 180 องศา
และ 1 เรเดียน เทากับ 360 180
2π องศา หรือ π องศา 2π π
¢ŒÍ¤ÇÃÃÐÇѧ 6. ครูเนนยํ้าความรูในกรอบ “ขอควรระวัง” ใน
หนังสือเรียน หนา 35 ใหกับนักเรียน
การเขียนขนาดของมุมที่มีหนวยเปนเรเดียน จะไมนิยมเขียนหนวยกํากับไว
7. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 18 ใน
หนังสือเรียน หนา 35 และสลับกันสรางโจทย
ตัวอย่างที่ 18
เพื่อฝกฝนการเปลี่ยนหนวยใหแมนยํา
1) เปลี่ยน 30 องศา ใหมีหนวยเปนเรเดียน
2) เปลีย่ น π5 เรเดียน ใหมีหนวยเปนองศา เขาใจ (Understanding)

วิธีทํา 1) เนื่องจาก 180 องศา เทากับ 1 เรเดียน ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


π
ดังนั้น 30 องศา เทากับ 30 × 180 π เรเดียน หนา 35 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
= π6 เรเดียน
2) เนื่องจาก 1 เรเดียน เทากับ 180 π
องศา
ดังนั้น π π 180
5 เรเดียน เทากับ 5 × π องศา
= 36 องศา
ลองทําดู
1) เปลี่ยน 60 องศา ใหมีหนวยเปนเรเดียน
2) เปลี่ยน 34π เรเดียน ใหมีหนวยเปนองศา
ฟงกชันตรีโกณมิติ 35

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคําตอบในแตละขอตอไปนี้ ครูควรเนนยํ้ากับนักเรียนวา ถาตองการเปลี่ยนหนวยองศาเปนเรเดียน
π
1. เปลี่ยน 270 องศา ใหมีหนวยเปนเรเดียน ใหนํา 180 คูณจํานวนองศา และถาตองการเปลี่ยนหนวยเรเดียนเปนองศา
2. เปลี่ยน 34π เรเดียน ใหมีหนวยเปนองศา 180
ใหนํา π คูณจํานวนเรเดียน
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T41
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 28 ในหนังสือเรียน
2. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุม
หนา 36 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา

BAC มีจุดยอดมุมอยูที่จุด (0, 0) และมี AC ในหัวขอ 1.2 นักเรียนไดศึกษาฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงใด ๆ ซึ่งกําหนด

และ AB เปนแขนของมุม เราจะเรียก BAC วา ไดจากวงกลม 1 หนวย ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศกึ ษาเกีย่ วกับฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุมและความ
มุมที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน สัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงกับฟงกชันตรีโกณมิติของมุม ซึ่งตองเขียนมุม
2. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 29 ในหนังสือเรียน ในวงกลม 1 หนวย ดังนี้
หนา 36 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา Y Y
cos ของจํานวนจริง θ หมายถึง cos ของมุม B B (cos θ, sin θ)
θ เรเดียน และ sin ของจํานวนจริง θ หมายถึง θ
sin ของมุม θ เรเดียน A
0
θ C X
A
0
θ C X
(1, 0) (1, 0)

รูปที่ 28 รูปที่ 29

จากรูปที่ 28 จะเห็นวา BAC มีจุดยอดมุมอยูที่จุด (0, 0) มี AC และ AB เปนแขนของมุม

โดย AC ทับแกน X ทางบวก เรียก BAC วามุมที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน (standard position)

จากรูปที่ 29 จะเห็นวา BAC เปนมุมที่จุดศูนยกลางของวงกลมรัศมียาว 1 หนวย ซึ่งมี
ขนาด θ เรเดียน และจากเรื่องหนวยการวัดมุมในระบบเรเดียนนักเรียนทราบมาแลววา สวนโคง
ของวงกลมหนึ่งหนวยที่รองรับมุมที่จุดศูนยกลางขนาด 1 เรเดียน จะตองยาว 1 หนวย ดังนั้น
∧ ∧
สวนโคงที่รองรับ BAC จึงยาว θ หนวย และจะเห็นวา AB ซึ่งเปนแขนของ BAC ตัดกับวงกลม
หนึ่งหนวยเพียงจุดเดียวและเปนจุดเดียวกันกับจุดปลายของสวนโคงที่วัดจากจุด (1, 0) เปนระยะ
θ หนวย ในทิศทางเดียวกันกับ θ จึงกลาวไดวา บนวงกลมหนึ่งหนวย

cos ของจํานวนจริง θ หมายถึง cos ของมุม θ เรเดียน


sin ของจํานวนจริง θ หมายถึง sin ของมุม θ เรเดียน

36

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูแบงกลุม ใหนกั เรียน กลุม ละ 3-4 คน แลวชวยกันตอบคําถาม
ครูควรเชือ่ มโยงความรูใ นเรือ่ งของมุม 1 เรเดียน มุม θ เรเดียน และความยาว
ตอไปนี้
สวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวย
จากรูปที่ 29 ในหนังสือเรียน หนา 36 ถา θ มีขนาดใหญขึ้น
ทําให AB อยูในจตุภาคที่ 2 แลวพิกัดของจุด (x, y) เขียนใหอยู
ในรูปของ sin θ และ cos θ ไดอยางไร
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T42
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 19 ใน
ตัวอย่างที่ 19
หนังสือเรียน หนา 37 แลวแลกเปลี่ยนความรู
ใหหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
1) θ = 30 ํ 2) θ = -60 ํ
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา เนื่องจาก 30 ํ = π6 เรเดียน และ 60 ํ = π3 เรเดียน จะไดวา
1) sin θ = sin 30 ํ = sin π6 = 12 ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 37 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
cos θ = cos 30 ํ = cos π6 = 23 คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
¹Ç¤Ô´
2) sin θ = sin (-60 ํ) = sin (- π3 ) = -sin π3 = - 23 á¹Ðá
sin (-θ) = -sin θ รู (Knowing)
cos θ = cos (-60 ํ) = cos (- π3 ) = cos π3 = 12 cos (-θ) = cos θ 1. ครูอธิบายวา ในเรือ่ งนีเ้ ปนความสัมพันธระหวาง
ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข องจํ า นวนจริ ง ใดๆ กั บ
ลองทําดู ฟงกชันตรีโกณมิติของมุมของรูปสามเหลี่ยม
มุมฉาก โดยนักเรียนตองใชความรูจากวงกลม
ใหหาคาของ sin θ และ cos θ เมื่อ หนึ่งหนวย มุมที่จุดศูนยกลาง และอัตราสวน
1) θ = 135 ํ 2) θ = -150 ํ ของรูปสามเหลี่ยมที่คลายกัน
3. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องมุมของรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก
ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาความสัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงใด ๆ
กับฟงกชันตรีโกณมิติของมุมของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยใชความรูจากวงกลมหนึ่งหนวย
มุมที่จุดศูนยกลาง และอัตราสวนของรูปสามเหลี่ยมที่คลายกัน ดังนี้
B B

Y Y
D D (cos θ, sin θ)

A X A X
0 (1, 0)C 0 E (1, 0) C

รูปที่ 30 รูปที่ 31 ฟงกชันตรีโกณมิติ 37

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


คาของ sin 420 ํ ตรงกับขอใด ครูควรทบทวนความรูเกี่ยวกับอัตราสวนตางๆ จากรูปสามเหลี่ยมคลาย
1. 0 2. 22 โดยใชวิธีการถาม-ตอบ

3. 1 4. 23
(เฉลยคําตอบ sin 420 ํ = sin (360 ํ + 60 ํ)
= sin 60 ํ
= 23
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T43
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 30 ในหนังสือเรียน
จากรูปที่ 30 มี ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งมีมุม C เปนมุมฉาก และมีมุม A เปน
หนา 37 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา มุมที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน และแขน AB ตัดวงกลมที่จุด D
ABC เปนรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ซึง่ มีมมุ C เปน
จากรูปที่ 31 ลาก DE ตั้งฉากกับแกน X จะไดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADE ซึ่งมุม A เปนมุม
มุมฉาก และแขน AB ตัดวงกลมที่จุด D
ที่อยูในตําแหนงมาตรฐาน และจุด D จะมีคูอันดับเปน (cos θ, sin θ)
3. ครูใหนักเรียนศึกษารูปที่ 31 ในหนังสือเรียน
จากรูปสามเหลี่ยม ADE โดยอัตราสวนตรีโกณมิติ จะไดวา AE = cos θ, DE = sin θ และ
หนา 37 จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา
AD = 1
เมือ่ ลาก DE ตัง้ ฉากกับแกน X จะไดวา ADE เปน
รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งมีมุม A เปนมุมฉาก เนื่องจาก รูปสามเหลี่ยม ADE คลายกับรูปสามเหลี่ยม ABC
4. ครูใหนกั เรียนชวยกันวิเคราะหและตอบคําถาม จะไดวา AD AE DE
AB = AC = BC อัตราสวนของดานที่สมนัยกัน
ดังนี้ AE AD DE AD
• รูปสามเหลีย่ ม ABC และรูปสามเหลีย่ ม ADE
AC = AB และ BC = AB
cos θ = 1 และ sin θ = 1
เปนรูปสามเหลีย่ มคลายกันหรือไม ถาคลายกัน AC AB BC AB
ใหนกั เรียนหาอัตราสวนดานทีส่ มนัยกัน cos θ = AC
AB และ sin θ = AB
BC
(แนวตอบ คลายกัน จะไดวา sin θ = BC
AD = AE = DE ) tan θ = cos θ AC
AB AC BC BC
5. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปคาอัตราสวน ดังนั้น tan θ = AC
ตรีโกณมิติ จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC ซึ่งนักเรียนทราบคาอัตราสวนตรีโกณมิติ sin A, cos A และ
tan A มาแลว ซึ่งจะมีคา ดังนี้
sin A = BC AC
AB , cos A = AB , tan A = AC
BC

ความยาวดานตรงขามมุม θ
sin θ = ความยาวด านตรงขามมุมฉาก
ความยาวดานประชิดมุม θ
cos θ = ความยาวด านตรงขามมุมฉาก
tan θ = ความยาวด านตรงขามมุม θ
ความยาวดานประชิดมุม θ

38

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรอธิบายความหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับตําแหนงมาตรฐานของมุม A ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันหาอัตราสวนตรีโกณมิติ cosec A,
ในรูปสามเหลี่ยม ABC และรูปสามเหลี่ยม ADE sec A และ cot A จากรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ABC ในหนังสือเรียน
หนา 37
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T44
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
6. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 20 ใน
ตัวอย่างที่ 20
หนังสือเรียน หนา 39 และชวยกันหาอัตราสวน
ใหหาอัตราสวนตรีโกณมิติของมุม A ทุกอัตราสวน ตรีโกณมิตขิ องมุม C ของรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก
C วิธีทํา BC
=35
sin A = AC ABC
AB (แนวตอบ sin C = 45 , cos C = 35 , tan C = 43 ,
=45
cos A = AC
5 cot C = 34 , sec C = 53 , cosec C = 54 )
3 tan A = BC
=34
AB
A cot A = tan1 A
= 13 = 43 เขาใจ (Understanding)
4 B
4
1
sec A = cos A = 14 = 54 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
5 หนา 39 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
1
cosec A = sin A = 13 = 53 คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
5 ถูกตอง
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ
ลองทําดู ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
ใหหาอัตราสวนตรีโกณมิติของมุม A ทุกอัตราสวน และเก ง ) ให อ ยู  ก ลุ  ม เดี ย วกั น แล ว ช ว ยกั น
C วิเคราะหและพิจารณาคําถามของแบบฝกทักษะ
13 1.4 ในหนังสือเรียน หนา 40-41 ขอ 1.-8.
5
จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน 2 กลุม ออกมานําเสนอ
A 12 B หนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง

ตัวอย่างที่ 21 รู (Knowing)


รูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ABC มีมมุ B เปนมุมฉาก และ cos A = 12 ใหหา sin A, tan A, ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 21 ใน
cot A, sec A และ cosec A หนังสือเรียน หนา 39 และชวยกันหาอัตราสวน
วิธีทํา จาก cos A = 12 จะไดรูปสามเหลี่ยม ABC ดังนี้ ตรีโกณมิติของมุม C ของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
C ABC
(แนวตอบ sin C = 12 , cos C = 23 ,
2 tan C = 33 , cot C = 3 , sec C = 2 3 3
cosec C = 2)
A 1 B ฟงกชันตรีโกณมิติ 39

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันหาอัตราสวนตรีโกณมิตขิ องมุม C จากตัวอยางที่ 20 และ 21 ในหนังสือเรียน หนา 39-40 เปนการทบทวน
โดยใชโจทย “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 39 ความรูในระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ครูควรใชคําถามใหนักเรียนไดฝกคิด
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน อยางงายวา โจทยกาํ หนด cos A = 12 นักเรียนจะนําไปใชอยางไรจึงหาอัตราสวน
ตรีโกณมิติที่เหลือได

T45
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC และทฤษฎีบทพีทาโกรัส
หนา 40 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ จะได AC2 = AB2 + BC2
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ 22 = 12 + BC2
ถูกตอง BC2 = 3
2. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.2 เรื่อง การหาคา BC = 3
ของ tan θ, cot θ, sec θ และ cosec θ ดังนั้น sin A = ACBC = 3
2
เมื่อทราบคาของมุม เปนการบาน BC
tan A = AB =13 = 3
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.4 ในแบบฝกหัด
เปนการบาน cot A = tan1 A = 13
sec A = cos1 A = 2
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ cosec A = sin1 A = 2
3
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวชวยกันวิเคราะห ลองทําดู
และพิจารณาคําถามของแบบฝกทักษะ 1.4 ใน รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC มีมุม B เปนมุมฉาก และ cos A = 103 ใหหา sin A, tan A,
หนังสือเรียน หนา 41 ขอ 9. จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน cos A, sec A และ cosec A
2 กลุม ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
แบบฝึกทักษะ 1.4
ขัน้ สรุป ระดับพื้นฐาน
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ 1. เปลี่ยนมุม θ ในหนวยองศาแตละขอตอไปนี้ใหมีหนวยเปนเรเดียน
นักเรียน ดังนี้ 1) θ = 75 ํ 2) θ = 120 ํ
• 360 องศา เทากับกี่เรเดียน 3) θ = 270 ํ 4) θ = -60 ํ
(แนวตอบ 2π เรเดียน) 5) θ = -135 ํ 6) θ = -315 ํ
• 180 องศา เทากับกี่เรเดียน 2. เปลี่ยนมุม θ ในหนวยเรเดียนแตละขอตอไปนี้ใหมีหนวยเปนองศา
(แนวตอบ π เรเดียน) 1) θ = π4 2) θ = 23π
• 1 องศา เทากับกี่เรเดียน 3) θ = 53π 4) θ = - 116π
π
(แนวตอบ 180 เรเดียน)
5) θ = - 73π 6) θ = - 92π
• 1 เรเดียน เทากับกี่องศา
(แนวตอบ 360 180
2π องศา หรือ π องศา)
40

ขอสอบเนน การคิด
รูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ABC ทีม่ มี มุ C เปนมุมฉาก ดาน BC ยาว 3 หนวย และมุม B มีขนาด 60 ํ
ใหหาความยาวของดาน AB และ AC
1. AB = 6 และ AC = 5.196 2. AB ≈ 6 และ AC = 5.196
3. AB = 6 และ AC ≈ 5.196 4. AB ≈ 6 และ AC ≈ 5.196
(เฉลยคําตอบ ให a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C ของรูปสามเหลีย่ ม
ABC ตามลําดับ B
60 ํ
เนื่องจาก cos 60 ํ = ca
c
a=3 จะไดวา c = 3
A cos 60 ํ
b C
b = 31
เนื่องจาก tan 60 ํ = a 2
จะไดวา b = 3 tan 60 ํ = 6
=3 3 นั่นคือ ดาน AB ยาวเทากับ 6 และดาน AC ยาวประมาณ
≈ 5.196 5.196
T46 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
• cos ของจํานวนจริง θ หมายถึงอะไร
(แนวตอบ cos ของมุม θ เรเดียน)
3. ใหหาคา sin θ และ cos θ ในแตละขอตอไปนี้ • sin ของจํานวนจริง θ หมายถึงอะไร
1) θ = 45 ํ 2) θ = 120 ํ
3) θ = 150 ํ 4) θ = 210 ํ (แนวตอบ sin ของมุม θ เรเดียน)
5) θ = -30 ํ 6) θ = -135 ํ • sin θ เปนความยาวของดานของ
7) θ = -240 ํ 8) θ = -300 ํ รูปสามเหลี่ยมมุมฉากดานใดตอดานใด
ความยาวของดานตรงขามมุม θ
4. ใหหาอัตราสวนตรีโกณมิติทุกอัตราสวนของมุม θ ในแตละขอตอไปนี้ (แนวตอบ sin θ = ความยาวของด านตรงขามมุมฉาก
)
1) 2) • cos θ เปนความยาวของดานของ
8 13
รูปสามเหลี่ยมมุมฉากดานใดตอดานใด
θ θ ความยาวของดานประชิดมุม θ
6 12 (แนวตอบ cos θ = ความยาวของด านตรงขามมุมฉาก
)
5. ถา tan θ = 1 แลว sin θ, cos θ, cot θ, sec θ และ cosec θ มีคาเทาใด • tan θ เปนความยาวของดานของ
2
รูปสามเหลี่ยมมุมฉากดานใดตอดานใด
ระดับกลาง (แนวตอบ tan θ = ความยาวของด านตรงขามมุม θ
ความยาวของดานประชิดมุม θ
)
6. ใหหาคา tan θ, cot θ, sec θ และ cosec θ ในแตละขอตอไปนี้
1) θ = 120 ํ 2) θ = -150 ํ ขัน้ ประเมิน
3) θ = 210 ํ 4) θ = -300 ํ 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.2
Ô´
7. ใหหาคาของ á¹Ðá¹Ç¤ 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.4
1) 4 cos (-30 ํ) + sin (-60 ํ) sin2 θ = sin θ • sin θ 3. ครูตรวจ Exercise 1.4
2) 5 tan 315 ํ cos (-390 ํ) cos2 θ = cos θ • cos θ 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
2 2 2
3) 2 sin (-45 ํ) cos (-120 ํ) tan (135 ํ) tan2 θ = tan θ • tan θ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
cos 420 ํ + sin (-810 )

4) cos (-450 ํ) + sin (-270 ํ) 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
8. ถา tan θ • cot2 θ = 33 แลว θ มีคาเปนเทาใด เมื่อ -360 ํ ≤ θ ≤ 360 ํ 7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน
ระดับทาทาย
9. กําหนด 2 sin θ = 1 เมื่อ 0 ํ < θ < 90 ํ ใหหาคาของ
1) sin (90 ํ - θ) 2) cos (90 ํ - θ)
3) tan (90 ํ - θ) 4) cot (90 ํ - θ)
5) sec (90 ํ - θ) 6) cosec (90 ํ - θ)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 41

กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล


1. ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4-5 คน รวมกันสืบคนเกี่ยวกับ ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากใบงาน
โจทยเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติของมุม แลวเขียนแสดงวิธีทําใส ที่ 1.2 เรื่อง การหาคาของ tan θ, cot θ, sec θ และ cosec θ เมื่อทราบคา
กระดาษ A4 ของมุม ในขั้นเขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมิน
2. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน ของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ

เดียวกัน
ระดับคะแนน

ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น    
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T47
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครู ก ระตุ  น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
นักเรียนดูตัวอยางตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
1.5 การใชตารางคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ
ในหนังสือเรียน หนา 42 จากนั้นครูยกตัวอยาง ในหัวขอที่ผานมา นักเรียนไดศึกษาการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติทั้งหกฟงกชันของ
ขนาดของมุมที่นักเรียนไดศึกษามาแลว ดังนี้ จํานวนจริงหรือของมุมบางมุมมาแลว เชน π6 , π4 , π3 , π2 , 30 ํ, 45 ํ, 60 ํ, 90 ํ สําหรับคาของ
• มุม 30 °ํ จงหาคา sin 30 ,°ํ cos 30 °ํ และ tan 30 °ํ ฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมขนาดอื่น ๆ สามารถหาไดเชนกัน แตจะมีความยุงยาก
(แนวตอบ sin 30 ํ = 12 , cos 30 ํ = 23 และ นักคณิตศาสตรจึงไดสรางตารางแสดงคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงตั้งแต 0 ถึง π2
tan 30 ํ = 1 ) หรือมุมที่มีขนาดตั้งแต 0 ํ ถึง 90 ํ ในตารางจะแสดงคาของฟงกชัน Sine, Tangent, Cotangent
3 และ Cosine สําหรับคาของฟงกชัน Cosecant และ Secant หาไดโดยอาศัยคาของฟงกชันไซน
และโคไซน ตามลําดับ
ขัน้ สอน
รู (Knowing) ตัวอยางตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine
1. ครูใหนักเรียนดูตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ 43 ํ 00′ .7505 .6820 .9325 1.0724 .7314 .8203 47 ํ 00′
โดยครูนําโทรศัพทมือถือสแกน QR Code 10′ .7534 .6841 .9380 1.0661 .7294 .8174 50′
เรื่อง การเปดตารางหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ 20′ .7563 .6862 .9435 1.0599 .7274 .8145 40′
ในหนังสือเรียน หนา 42 แลวถามคําถาม ดังนี้ 30′ .7592 .6884 .9490 1.0538 .7254 .8116 30′
• ขนาดของมุ ม ทางซ า ยและขนาดของมุ ม 40′ .7621 .6905 .9545 1.0477 .7234 .8087 20′
ทางขวาของตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติมี 50′ .7650 .6926 .9601 1.0416 .7214 .8058 10′
ความสัมพันธอยางไร
(แนวตอบ ขนาดของมุมทางซายบวกขนาด 44 ํ 00′ .7679 .6947 .9657 1.0355 .7193 .8029 46 ํ 00′
ของมุมทางขวาจะเทากับ 90 ํ° ซึ่งจะบอกได 10′ .7709 .6967 .9713 1.0295 .7173 .7999 50′
วาตารางนี้ คือ ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ 20′ .7738 .6988 .9770 1.0235 .7153 .7970 40′
ของจํานวนจริงตั้งแต 0 ถึง π2 หรือมุมที่มี 30′ .7767 .7009 .9827 1.0176 .7133 .7941 30′
ขนาดตั้งแต 0 ํ° ถึง 90 ํ° ) 40′ .7796 .7030 .9884 1.0117 .7112 .7912 20′
50′ .7825 .7050 .9942 1.0058 .7092 .7883 10′
• จากตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ คาของ
sin 43 ํ 30′ เทากับเทาใด
45 ํ 00′ .7854 .7071 1.0000 1.0000 .7071 .7854 45 ํ 00′
(แนวตอบ sin 43 ํ 30′ = 0.6884) Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

การเปดตารางหาคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ
42

สื่อ Digital กิจกรรม สรางเสริม


ครูเปดสื่อการเรียนรูเรื่อง การเปดตารางหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ ใน ครูใหนักเรียนจับคูแลวใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติในการ
หนังสือเรียน หนา 42 ดวยการสแกน QR Code ถาม-ตอบ โดยสลับกันถามจนครบคนละ 5 ครั้ง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T48
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียนเชื่อมโยงความรู
จากตารางคาของฟงกชันตรีโกณมิตินักเรียนจะเห็นวา ดานบนและดานลางจะมีชื่อฟงกชัน
ดังนี้
ตรีโกณมิติแตกตางกัน ดังนั้น การอานคาฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนตั้งแต 0 ถึง π4 หรือของ
• sin 45 ํ 20′´ มีคาเทาใด
มุมตั้งแต 0 ํ ถึง 45 ํ ใหอานทางดานซายของตารางโดยอานจากบนลงลาง แตถาคาฟงกชัน
ตรีโกณมิติของจํานวนจริงตั้งแต π4 ถึง π2 หรือของมุมตั้งแต 45 ํ ถึง 90 ํ ใหอานทางขวามือ (แนวตอบ sin 45 ํ 20 ′´ = 0.7112)
ของตารางโดยอานจากลางขึ้นบน ดังตัวอยางตอไปนี้ • cos 30 ํ 10′´ มีคาเทาใด
(แนวตอบ cos 30 ํ 10 ′´ = 0.8646)
ตัวอย่างที่ 22 • tan 60 ํ 50′ มีคาเทาใด
ใหหาคาฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ นแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ (แนวตอบ tan 60 ํ 50 ′´ = 1.7917)
1) sin 43 ํ 20′ 2) cos 45 ํ 50′ 3) tan 46 ํ 10′ 3. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หา ในหนังสือเรียน
4) cot 0.7941 5) sec 0.7738 6) cosec 0.8145 หนา 43 และชวยกันทําตัวอยางที่ 22 ขอ 1)-4)
โดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
วิธีทํา จากตารางจะได 4. ครูอธิบายตัวอยางที่ 22 ขอที่ 5) และ 6)
1) sin 43 ํ 20′ = 0.6862 ในหนังสือเรียน หนา 43 และเปดโอกาสให
2) cos 45 ํ 50′ = 0.6967 นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ
3) tan 46 ํ 10′ = 1.0416
เขาใจ (Understanding)
4) cot 0.7941 = 0.9827
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
1
5) เนื่องจาก sec 0.7738 = cos 0.7738 หนา 43 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
จากตารางจะได cos 0.7738 = 0.7153 คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
1 ≈ 1.3980
ดังนั้น sec 0.7738 = 0.7153 ถูกตอง
1
6) เนื่องจาก cosec 0.8145 = sin 0.8145 2. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 1.3 เรื่อง การใช
ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ เปนการบาน
จากตารางจะได sin 0.8145 = 0.7274
1 ≈ 1.3748
ดังนั้น cosec 0.8145 = 0.7274

ลองทําดู
ใหหาคาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
1) sin 28 ํ 40′ 2) cos 64 ํ 10′ 3) tan 13 ํ 30′
4) cot 0.7127 5) sec 0.5963 6) cosec 1.3294
ฟงกชันตรีโกณมิติ 43

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูกันแลวชวยกันสรางโจทยการหาคาฟงกชัน ครูควรใหนักเรียนฝกอานตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติจากดานลางบอยๆ
ตรีโกณมิติโดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติมา 2 ขอ เพื่อใหเกิดความชํานาญในการอาน
พรอมแสดงวิธีคิดลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวนําสงครู
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T49
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนเปดตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
สําหรับการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือของมุมที่ไมไดแสดงในตาราง
ในภาคผนวกของหนั ง สื อ เรี ย น หาค า ของ
จะใชความรูจากการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวน ดังตัวอยางตอไปนี้
sin 14 ํ° 16′ จากนั้นถามนักเรียน ดังนี้
ตัวอย่างที่ 23
• นักเรียนสามารถหาคาของ sin 14 °ํ 16′ โดยใช
ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติไดหรือไม ใหหาคาฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ นแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชนั ตรีโกณมิติ
(แนวตอบ ไมสามารถหาคาของ sin 14 °ํ 16′ ได)
1) sin 14 ํ 16′ 2) cos 73 ํ 42′ 3) tan 0.4225
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา เราสามารถหาคา วิธีทํา 1) จากตารางจะได sin 14 ํ 10′ = 0.2447
ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข องจํ า นวนจริ ง หรื อ sin 14 ํ 20′ = 0.2476
ของมุมทีไ่ มไดแสดงในตารางได โดยใชความรู จากคาของฟงกชันตรีโกณมิติขางตน จะไดวา
จากการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวน คาของมุมเพิ่มขึ้น 10′ คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0029
3. ครูอธิบายตัวอยางที่ 23 ขอ 1)-3) ในหนังสือเรียน คาของมุมเพิ่มขึ้น 6′ คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0029
10 × 6 ≈ 0.0017
หนา 44 ใหนกั เรียนดูบนกระดานทีละขัน้ ตอน ดังนั้น sin 14 ํ 16′ ≈ 0.2447 + 0.0017 = 0.2464
อยางละเอียด พรอมกับใหนกั เรียนเปดตาราง 2) จากตารางจะได cos 73 ํ 40′ = 0.2812
หาคาฟงกชนั ตรีโกณมิตไิ ปพรอมๆ กัน cos 73 ํ 50′ = 0.2784
จากคาของฟงกชันตรีโกณมิติขางตน จะไดวา
เขาใจ (Understanding) คาของมุมเพิ่มขึ้น 10′ คาของฟงกชันโคไซนลดลง 0.0028
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน คาของมุมเพิ่มขึ้น 2′ คาของฟงกชันโคไซนลดลง 0.0028 10 × 2 ≈ 0.0006

ดังนั้น cos 73 ํ 42 ≈ 0.2812 - 0.0006 = 0.2806
หนา 44 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คํ า ตอบหน า ชั้ น เรี ย น โดยครู ต รวจสอบความ 3) จากตารางจะได tan 0.4218 = 0.4487
ถูกตอง tan 0.4247 = 0.4522
จากคาของฟงกชันตรีโกณมิติขางตน จะไดวา
คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น 0.0029 คาของฟงกชันแทนเจนตเพิ่มขึ้น 0.0035
คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น 0.0007 คาของฟงกชันแทนเจนตเพิ่มขึ้น d
จะไดวา 0.0035 d = 0.0007
0.0029
d =0.0007
0.0029 × 0.0035 ≈ 0.0008
ดังนั้น tan 0.4225 ≈ 0.4487 + 0.0008 = 0.4495

ลองทําดู
ใหหาคาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ โดยใชตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
1) sin 14 ํ 28′ 2) cos 78 ํ 12′ 3) tan 0.6759
44

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครู ค วรอธิ บ ายเหตุ ผ ลเกี่ ย วกั บ การหาค า ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข อง ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคาของ cot 44 ํ° 23′ โดยใช
จํานวนจริงหรือของมุมที่ใชการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือใชสัดสวน ตารางแสดงคาฟงกชันตรีโกณมิติ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T50
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนศึกษากรอบ “ขอควรระวัง” ใน
¢ŒÍ¤ÇÃÃÐÇѧ
หนังสือเรียน หนา 45 วา ถาฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ด
การหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือของมุมที่ไมไดแสดงในตารางโดยใชความรูจาก มีคา ของฟงกชนั ลดลง เมือ่ ขนาดของมุมเพิม่ ขึน้
การเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวน ถาฟงกชันตรีโกณมิติใดมีคาของฟงกชันลดลงเมื่อขนาดของ ค า ที่ ไ ด จ ากการเที ย บบั ญ ญั ติ ไ ตรยางศ ห รื อ
มุมเพิ่มขึ้น คาที่ไดจากการเทียบบัญญัติไตรยางศหรือสัดสวนตองนําไปลบออกจากคาตั้งตน
สัดสวนตองนําไปลบออกจากคาตั้งตน
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 24 ใน
นอกจากนี้ ยังสามารถใชตารางแสดงคาของฟงกชันตรีโกณมิติหาคาของจํานวนจริงหรือมุม หนังสือเรียน หนา 45 แลวแลกเปลี่ยนความรู
เมื่อทราบคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมนั้น ๆ ดังตัวอยางตอไปนี้ กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 24
หนา 45 จากตัวอยางที่ 24 ขอ 2) วา เนื่องจาก
กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให
คาของ sin θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π มี 2 คา คือ
1) cos θ = 0.8843 2) sin θ = 0.4780
sin θ และ sin (π - θ) ดังนั้น ขอ 2) จึงได θ
วิธีทํา 1) จากตารางจะได cos 0.4858 = 0.8843 เทากับ 0.4983 และ π - 0.4983
ดังนั้น θ มีคา เทากับ 0.4858
เขาใจ (Understanding)
2) เนื่องจาก sin θ = 0.4780 มีคาอยูระหวาง sin 0.4974 กับ sin 0.5003
จากตารางจะได sin 0.4974 = 0.4772 และ sin 0.5003 = 0.4797 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0025 คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น 0.0029 หนา 45 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0008 คาของจํานวนจริงเพิ่มขึ้น d คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
จะไดวา 0.0029 d = 0.0008 ถูกตอง
0.0025
คณิตน่ารู้
d = 0.0008
0.0025 × 0.0029
เนือ่ งจากคาของ sin θ เมือ่
≈ 0.0009 0 ≤ θ ≤ π มี 2 คา คือ sin θ
ดังนั้น sin(0.4974 + 0.0009) = 0.4780 และ sin(π - θ) ดังนั้น ขอ 2)
sin 0.4983 = 0.4780 จึงได θ เทากับ 0.4983 และ
นั่นคือ θ มีได 2 คา คือ 0.4983 หรือ π - 0.4983 π - 0.4983

ลองทําดู
กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให
1) cos θ = 0.9013 2) sin θ = 0.6424

ฟงกชันตรีโกณมิติ 45

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันตอบคําถามตอไปนี้ ครูควรวาดรูปวงกลมหนึ่งหนวยประกอบคําอธิบายกรอบ “คณิตนารู”
กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให tan θ = 0.3121 เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพไดชัดเจนมากยิ่งขึ้นวา เพราะเหตุใดฟงกชันไซนจึงมีได
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน 2 คา

T51
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
มุมเทคโนโลยี
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวทํากิจกรรม ในปจจุบัน การใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติเพื่อหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่
ดังนี้ ตองการไมเปนที่นิยม เนื่องจากสามารถใชเครื่องคิดเลขหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่
• ใหนักเรียนศึกษามุมเทคโนโลยี ในหนังสือ- ตองการไดละเอียดกวาการใชตาราง
เรียน หนา 46 แลวใชเครื่องคิดเลขคํานวณ
1
คาของฟงกชันตรีโกณมิติในแบบฝกทักษะ สวนประกอบหลักบนเครื่องคิดเลข
1.5 ขอ 2. ในหนังสือเรียน หนา 47 1. หนาจอแสดงผลการทํางาน
• เมื่ อ นั ก เรี ย นทุ ก กลุ  ม ทํ า เสร็ จ แล ว ครู สุ  ม 2. ปุมเปดเครื่อง
3. ปุม MODE/SETUP ใชสําหรับเลือก
ตัวแทนนักเรียน 4 คน ออกมาแสดงวิธกี ารใช
โหมดหรือตั้งคาเครื่อง
เครื่องคิดเลขในการหาคาฟงกชันที่กําหนด 4. ปุม SHIFT สําหรับเรียกใชคําสั่งที่
ในแบบฝกทักษะ 1.5 ขอ 2. 4 2 เปนสีเหลือง แลวตามดวยปุมคําสั่ง
• เมื่อนักเรียนนําเสนอเสร็จ ครูใหนักเรียนที่ 5 3 นั้น ๆ
เปนตัวแทนกลุมที่ออกมานําเสนอเปนคน 7 6 5. ปุม ALPHA สําหรับเรียกใชคําสั่งที่
คิดโจทยใหเพือ่ นๆ ในหองชวยกันหาคําตอบ เปนตัวอักษรสีแดง แลวตามดวยปุม
คําสั่งนั้น ๆ
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง 8
6. ปุมควบคุมทิศทาง ใชเลื่อนดูคําตอบ
3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.5 ขอ 1. และ หรือแกไขการคํานวณ
ขอ 3.-5. ในหนังสือเรียน หนา 47 เปนการบาน 7. ปุมฟงกชันและสูตรการคํานวณ
4. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.5 ในแบบฝกหัด 8. ปุม ตัวเลข/เครือ่ งหมายการดําเนินการ
เปนการบาน
ตัวอยาง 1) ใหหา sin 38 ํ โดยใชเครื่องคิดเลข
ลงมือทํา (Doing)
กดปุม MODE MODE 1 sin 3 8 =
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ จะปรากฏจํานวน 0.615661475
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง ดังนั้น sin 38 ํ เทากับ 0.6157
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แล ว ช ว ยกั น ทํ า 2) ใหหา cos 0.7912 โดยใชเครื่องคิดเลข
แบบฝกทักษะ 1.5 ขอ 6. ในหนังสือเรียน หนา 47 กดปุม MODE MODE 2 cos 0 . 7 9 1 2 =
จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 กลุม ออกมานําเสนอ จะปรากฏจํานวน 0.702992385
หนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง ดังนั้น cos 0.7912 เทากับ 0.7030
หมายเหตุ ปุมกดบนเครื่องคิดเลขแตละรุนจะมีความแตกตางกัน ใหอางอิงวิธีการตามเครื่องคิดเลขรุนนั้น ๆ

46

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


กอนที่จะใหนักเรียนทํากิจกรรมของมุมเทคโนโลยี ครูควรทบทวนการใช ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยเกี่ยวกับการหาคา
ฟงกชันตรีโกณมิติของเครื่องคิดเลขใหแกนักเรียน เพื่อใหนักเรียนทุกคนเขาใจ ฟงกชันตรีโกณมิติโดยใชเครื่องคิดเลขมา 2 ขอ
ตรงกัน หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T52
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
แบบฝึกทักษะ 1.5
• ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติใชประโยชน
ระดับพื้นฐาน อยางไร
1. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้โดยใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ (แนวตอบ ใชหาคาฟงกชันตรีโกณมิติหรือ
1) sin 38 ํ 40′ 2) cos 62 ํ 28′ ตรวจสอบคําตอบคาฟงกชันตรีโกณมิติ)
3) tan 0.1542 4) cot 1.1560 • คาของฟงกชันตรีโกณมิติที่ไมสามารถเปด
5) sec 41 ํ 6) cosec 77 ํ 10′ ตารางคาฟงกชนั ตรีโกณมิตไิ ดจะทําอยางไร
7) sin 42 ํ 18′ 8) tan 12 ํ 36′ (แนวตอบ ใชความรูจากการเทียบบัญญัติ
2. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้โดยใชเครื่องคิดเลข ไตรยางศหรือสัดสวน)
1) sin 63 ํ 2) tan 11 ํ • ถาในตารางการหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ
3) cos 0.7436 4) tan 0.4558 ไมมีคา cot θ, sec θ และ cosec θ จะหา
คาของฟงกชันดังกลาวไดอยางไร
ระดับกลาง ( แนวตอบ cot θ หาได จ ากส ว นกลั บ ของ
3. กําหนด 0 ≤ θ ≤ π ใหหาคาของ θ ที่ทําให tan θ, sec θ หาไดจากสวนกลับของ cos θ
1) sin θ = 0.3700 2) cos θ = 0.9159 และ cosec θ หาไดจากสวนกลับของ sin θ)
3) tan θ = 0.4765 4) cot θ = 1.5204
5) sec θ = 1.2232 6) cosec θ = 2.7902 ขัน้ ประเมิน
7) tan θ = 0.4684 8) sin θ = 1.0785 1. ครูตรวจใบงานที่ 1.3
∧ ∧
4. ถา ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่มี CAB เปนมุมฉาก ABC เทากับ 32 องศา และ 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.5
มีดานตรงขามมุมฉากยาว 14 เซนติเมตร อยากทราบวา ความยาวของดาน AB และ AC 3. ครูตรวจ Exercise 1.5
เปนเทาใด 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน

5. ถา ∆ PQR เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่มี RPQ เปนมุมฉาก ดานตรงขามมุมฉากยาว 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล

13 เซนติเมตร และดานประกอบมุมฉากดานหนึ่งยาว 5 เซนติเมตร อยากทราบวา PQR 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม

และ QRP มีขนาดเปนเทาใด 7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน
ระดับทาทาย
6. เสนตรงเสนหนึ่งตัดเสนตรงคูหนึ่งซึ่งมีมุม A และมุม B เปนมุมที่อยูภายในขางเดียวกันของ
เสนตัด ถา cot A = 1.3270 และ tan B = 0.3249 อยากทราบวา เสนตรงคูนี้ขนานกัน
หรือไม เพราะเหตุใด
ฟงกชันตรีโกณมิติ 47

กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล


1. ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4-5 คน รวมกันสืบคนเกี่ยวกับ ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา
โจทยเรื่อง การใชตารางหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ ในการหาคา ใบงานที่ 1.3 เรื่อง การใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ ในขั้นเขาใจ โดยศึกษา
ของ θ ที่เปนจํานวนจริง แลวเขียนแสดงวิธีคิดใสกระดาษ A4 เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูใน
2. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน หนวยการเรียนรูที่ 1
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน

เดียวกัน ลาดับที่

1
รายการประเมิน

การแสดงความคิดเห็น
4
 
3
ระดับคะแนน
2
 
1

2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T53
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครูทบทวนความรูเกี่ยวกับการเขียนกราฟของ
ฟ ง ก ชั น เชิ ง เส น และฟ ง ก ชั น กํ า ลั ง สอง โดยให
1.6 กราฟของฟงกชนั ตรีโกณมิติ
1
นักเรียนสรางตารางหาคาของ x และ y เพื่อนําไป นัก2เรียนไดศึกษาการเขียนกราฟของฟงกชันเชิงเสน เชน y = x + 3 และกราฟของฟงกชัน
เขียนกราฟของ y = x + 3 และ y = x2 + x - 6 กําลังสอง เชน y = x2 + x - 6 มาแลว ซึ่งนักเรียนทราบแลววา การเขียนกราฟของฟงกชัน
แตละชนิดจะตองสมมุติคาของตัวแปร x ใหเหมาะสมเพื่อใหไดคูอันดับของกราฟที่คอนขางจะ
ขัน้ สอน สมบูรณเพือ่ นําไปเขียนกราฟ สําหรับการเขียนกราฟของฟงกชนั ตรีโกณมิตจิ ะใชหลักการเดียวกัน
รู (Knowing) ดังรายละเอียดตอไปนี้
1. ครูใหนกั เรียนแตละคนเขียนกราฟของ y = sin x 1. กราฟของ y = sin X
เมื่อ 0 ≤ x ≤ π โดยใหนักเรียนเริ่มจากการ ใหนักเรียนพิจารณากราฟของ y = sin x ในแตละชวงตอไปนี้
สรางตารางหาคาของ x และ y แลวนําคาของ 1) กราฟของ y = sin x เมื่อ 0 ≤ x ≤ π
x และ y ไปเขียนกราฟ
x 0 π π π π 2π 3π 5π
2. เมื่อนักเรียนแตละคนเขียนกราฟเสร็จ ครูให 6 4 3 2 3 4 6 π

นักเรียนสรางตารางตอไปจากเดิม แตเปลี่ยน y 0 1 2 3 1 3 2 1 0
2 2 2 2 2 2
ชวงของ x จาก 0 ≤ x ≤ π เปน 0 ≤ x ≤ 2π
จากนัน้ ครูใหนกั เรียนนําคาของ x และ y ทีเ่ พิม่ Y
มาไปเขียนกราฟ เมื่อนักเรียนแตละคนเขียน 1.000
.866
กราฟเสร็จ ครูใหนักเรียนแลกเปลี่ยนกราฟกับ .707
เพื่อนขางๆ เพื่อตรวจสอบความถูกตอง .500
3. ครูใหนักเรียนตรวจสอบความถูกตองอีกครั้ง
X
จากในหนังสือเรียน หนา 48-49 0 π π
6 4 3
π π
2
2π 3π 5π
3 4 6
π

2) กราฟของ y = sin x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π


x 0 π π 5π π 7π 3π 11π 2π
6 2 6 6 2 6
y 0 1
2 1 1
2 0 - 12 -1 - 12 0

48

นักเรียนควรรู กิจกรรม สรางเสริม


1 ฟงกชันเชิงเสน เปนฟงกชันที่อยูในรูป f(x) = ax + b เมื่อ a และ b ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางกราฟของ y = sin x เมื่อ
เปนจํานวนจริง และ a 0 -π ≤ x ≤ 0 ลงในกระดาษ A4 แลวนํามาสงครู
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
2 ฟงกชนั กําลังสอง เปนฟงกชนั ทีอ่ ยูใ นรูป f(x) = ax2 + bx + c เมือ่ a, b และ c
เปนจํานวนจริงใดๆ และ a 0

T54
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
Y 4. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หา ในหนังสือเรียน
1
หนา 49 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง
จนเปนที่เขาใจรวมกัน
5. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา จาก sin (2nπ + α) = sin α
0 X เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชนั
π π 5π π 7π 3π 11π 2π
6 2 6 6 2 6 ไซนเหมือนกับกราฟของ y = sin x เมือ่ -2π ≤ x
≤ 2π ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้
-1
• กราฟแบงแกน X ออกเปนชวงยอยทีส่ นั้ ทีส่ ดุ
2 ชวง แตละชวงยอยมีความยาวเทากันและ
จาก sin (2nπ + α) = sin α เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชันไซน ดังนี้ มีลักษณะเหมือนกัน เรียกความยาวของ
กราฟของ y = sin x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π ชวงยอยวา คาบ และเรียกฟงกชนั ของกราฟ
Y วา ฟงกชันที่เปนคาบ
1 • กราฟมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จะเรียกคา
X ที่เทากับครึ่งหนึ่งของคาสูงสุดของฟงกชัน
-2π -π 0 π 2π
ลบดวยคาตํ่าสุดของฟงกชันที่เปนคาบวา
-1
1 คาบ 1 คาบ แอมพลิจูด
• ฟงกชัน y = sin x มีคาบเทากับ 2π
จากกราฟของ y = sin x ขางตน จะเห็นวา กราฟจะแบงแกน X ออกเปนชวงยอยที่สั้นที่สุด 6. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ
2 ชวง โดยที่ชวงยอยแตละชวงมีความยาวเทากัน และกราฟในแตละชวงยอยมีลักษณะเหมือนกัน นักเรียน ดังนี้
เรียกความยาวของชวงยอยดังกลาววา คาบ (period) และเรียกฟงกชันของกราฟวา ฟงกชัน • พิจารณากราฟในชวง -2π ≤ x ≤ -π
ที่เปนคาบ (periodic function)
จะเห็นวา กราฟมีลกั ษณะเปนเสนโคงเปดลง
และจากกราฟขางตนเปนกราฟที่มีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด ซึ่งจะเรียกคาที่เทากับครึ่งหนึ่งของ ดานลาง แลวกราฟมีคาตํ่าสุดหรือคาสูงสุด
คาสูงสุดลบดวยคาตํ่าสุดของฟงกชันที่เปนคาบวา แอมพลิจูด (amplitude) ซึ่งเปนไปตาม
เทาใด
บทนิยามตอไปนี้
(แนวตอบ มีคาสูงสุดเทากับ 1)
บทนิยาม
แอมพลิจูดของฟงกชันที่เปนคาบ เทากับ คาสูงสุด 2- คาตํ่าสุด
• พิจารณากราฟในชวง -π ≤ x ≤ 0 จะเห็นวา
กราฟมีลักษณะเปนเสนโคงเปดขึ้นดานบน
แลวกราฟจะมีคาตํ่าสุดหรือคาสูงสุดเทาใด
(แนวตอบ มีคาตํ่าสุดเทากับ -1)

ฟงกชันตรีโกณมิติ 49

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางกราฟของ y = sin x เมื่อ ครูควรชี้จุดที่แสดงคาสูงสุดและคาตํ่าสุดในกราฟใหนักเรียนทราบระหวาง
-2π ≤ x ≤ 0 ลงในกระดาษ A4 แลวนํามาสงครู อธิบายกราฟของ y = sin x
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T55
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากฟงกชัน y = sin x มีแอมพลิจูดเทากับ
จากกราฟของ y = sin x จะเห็นวา -2π ≤ x ≤ 0 และ 0 ≤ x ≤ 2π เปนชวงที่มีความยาว
เทาใด 2π เทากัน และกราฟบนชวงนี้มีลักษณะเหมือนกัน จึงกลาวไดวา ฟงกชัน y = sin x มีคาบ
(แนวตอบ 1 - 2(-1) = 1) เทากับ 2π และเมื่อพิจารณากราฟในชวง -2π ≤ x ≤ 0 จะเห็นวา กราฟของฟงกชันเปนกราฟ
• โดเมนและเรนจของฟงกชันไซนคืออะไร เสนโคงเปดลงดานลางตัง้ แตชว ง -2π ถึง -π ซึง่ มีคา สูงสุด เทากับ 1 และเปนกราฟเสนโคงเปดขึน้
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง ดานบนตั้งแตชวง -π ถึง 0 ซึ่งมีคาตํ่าสุด เทากับ -1 ดังนั้น ฟงกชัน y = sin x มีแอมพลิจูด
และเรนจ คือ [-1, 1]) เทากับ 1 - 2(-1) = 1
• กราฟของฟงกชนั ไซนตดั แกน X ทีจ่ ดุ (x, 0) โดเมนของฟงกชันไซน คือ เซตของจํานวนจริง
เมื่อ x คือเทาใด เรนจของฟงกชันไซน คือ [-1, 1]
(แนวตอบ ... , -2π, -π, 0, π, 2π, ... ) กราฟของฟงกชันไซนตัดแกน X ที่จุด (x, 0) เมื่อ x คือ ..., -2π, -π, 0, π, 2π, ...
• กราฟของฟงกชันไซนตัดแกน Y ที่จุดใด กราฟของฟงกชันไซนตัดแกน Y ที่จุด (0, 0)
(แนวตอบ (0, 0))
7. ครูใหนักเรียนศึกษากราฟของ y = cos x เมื่อ 2. กราฟของ y = cos X
-2π ≤ x ≤ 2π ในหนังสือเรียน หนา 50 กราฟของ y = cos x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π มีลักษณะการเขียนกราฟคลายกับกราฟของ
8. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ y = sin x
จาก cos(2nπ + α) = cos α เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชันโคไซน ดังนี้
นักเรียน ดังนี้
• พิจารณากราฟในชวง - 32π ≤ x ≤ - π2
Y

จะเห็นวา กราฟมีลกั ษณะเปนเสนโคงเปดขึน้ 1


ดานบน แลวกราฟมีคาตํ่าสุดหรือคาสูงสุด -2π -3π -π -π 0 π π 3π 2π X
เทาใด 2 2
-1
2 2
(แนวตอบ มีคาตํ่าสุดเทากับ -1) 1 คาบ 1 คาบ
• พิ จ ารณากราฟในช ว ง - π2 ≤ x ≤ π2 จากกราฟของ y = cos x จะเห็นวา -2π ≤ x ≤ 0 และ 0 ≤ x ≤ 2π เปนชวงที่มีความยาว
จะเห็นวา กราฟมีลกั ษณะเปนเสนโคงเปดลง 2π เทากัน และกราฟบนชวงนี้มีลักษณะเหมือนกัน จึงกลาวไดวา ฟงกชัน y = cos x มีคาบ
ดานลาง แลวกราฟมีคาตํ่าสุดหรือคาสูงสุด เทากับ 2π และเมื่อพิจารณากราฟในชวง -2π ≤ x ≤ 0 จะเห็นวา กราฟของฟงกชันมีคาสูงสุด
เทาใด เทากับ 1 และมีคา ตํา่ สุด เทากับ -1 ดังนัน้ ฟงกชนั y = cos x มีแอมพลิจดู เทากับ 1 - 2(-1) = 1
(แนวตอบ มีคาสูงสุดเทากับ 1) โดเมนของฟงกชันโคไซน คือ เซตของจํานวนจริง
• จากฟงกชัน y = cos x มีแอมพลิจูดเทากับ เรนจของฟงกชันโคไซน คือ [-1, 1]
เทาใด กราฟของฟงกชันโคไซนตัดแกน X ที่จุด (x, 0) เมื่อ x คือ ..., - 32π, - π2 , π2 , 32π, ...
(แนวตอบ 1 - 2(-1) = 1) กราฟของฟงกชันโคไซนตัดแกน Y ที่จุด (0, 1)

50

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกตางของจุดตัดแกน Y ของกราฟ เรนจของฟงกชัน y = 9 sin x เทากับขอใด
y = sin x และ y = cos x 1. [ -6, 6 ] 2. [ -7, 7 ]
3. [ -8, 8 ] 4. [ -9, 9 ]
(เฉลยคําตอบ จาก y = 9 sin x จะได a = 9
นั่นคือ เรนจของฟงกชัน เทากับ [ -a, a ] = [ -9, 9 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T56
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• โดเมนและเรนจของฟงกชันโคไซนคืออะไร
ตัวอย่างที่ 25
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง
เขียนกราฟของ y = sin x, y = 2 sin x และ y = 3 sin x บนระบบพิกัดฉากเดียวกัน
และเรนจ คือ [-1, 1])
เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสาม
• กราฟของฟงกชันโคไซนตัดแกน X ที่จุด
วิธีทํา π 3π ( x, 0 ) เมื่อ x คือเทาใด
x 0 π 2π
2 2 (แนวตอบ ... , - 32π, - π2 , π2 , 32π, ...)
y = sin x 0 1 0 -1 0
• กราฟของฟงกชันโคไซนตัดแกน Y ที่จุดใด
y = 2 sin x 0 2 0 -2 0
(แนวตอบ (0, 1))
y = 3 sin x 0 3 0 -3 0 9. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 25 แลวถาม
จากตารางเขียนกราฟได ดังนี้ คําถาม ดังนี้
Y • เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ของกราฟ y = sin x
3 y = 3 sin x คือเทาใด
2 y = 2 sin x (แนวตอบ เรนจ คือ [-1, 1] คาบ คือ 2π และ
1 y = sin x แอมพลิจูด คือ 1)
X
-2π - 3π -π
2 - π2 0 π
2
π 3π
2
2π • เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ของกราฟ y = 2 sin x
-1
คือเทาใด
-2
(แนวตอบ เรนจ คือ [-2, 2] คาบ คือ 2π และ
-3
แอมพลิจูด คือ 2)
จากกราฟจะไดเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสาม ดังนี้ • เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ของกราฟ y = 3 sin x
คือเทาใด
ฟงกชัน เรนจ คาบ แอมพลิจูด
1 - (-1) = 1
(แนวตอบ เรนจ คือ [-3, 3] คาบ คือ 2π และ
y = sin x [-1, 1] 2π
2 แอมพลิจูด คือ 3)
y = 2 sin x [-2, 2] 2π 2 - (-2) = 2
2 เขาใจ (Understanding)
y = 3 sin x [-3, 3] 2π 3 - (-3) = 3
2 ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 51 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
ลองทําดู คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
เขียนกราฟของ y = sin x, y = 12 sin x และ y = 14 sin x บนระบบพิกัดฉากเดียวกัน
เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสาม
ฟงกชันตรีโกณมิติ 51

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางกราฟของ y = 12 cos x ครูควรใหนักเรียนพิจารณาคาของ x ที่กําหนดใหในตาราง ในหนังสือเรียน
และ y = 14 cos x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ หนา 48 และหนา 51 วามีความเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร และเพราะเหตุใด
และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสอง ลงในกระดาษ A4 แลวนํามา จึงเลือกใชคาของ x ไมเหมือนกัน
สงครู ครูควรแนะนําการกําหนดคาของ x ที่เหมาะสมเพื่อหาคาของ y = sin x ได
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน สะดวกและเขียนกราฟไดอยางสมบูรณ

T57
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. จากตัวอยางที่ 25 และลองทําดู ในหนังสือเรียน
จากตัวอยางที่ 25 การหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันไซนในรูปทั่วไป เปนดังนี้
หนา 51 ครูและนักเรียนรวมกันสรุปการหา
แอมพลิจดู และเรนจของฟงกชนั ไซนในรูปทัว่ ไป กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a sin (nx) เมื่อ n > 0
2. ครูใหนักเรียนเขียนกราฟของ y = 4 sin 2x ซึ่ง จะไดวา เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a]
เปนโจทยของตัวอยางที่ 26 ในหนังสือเรียน คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ
หนา 52 โดยนักเรียนจะยังไมเปดหนังสือเรียน แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a
เมือ่ นักเรียนเขียนกราฟเสร็จ ใหครูถามคําถาม จากรูปทัว่ ไปของฟงกชนั ไซน จะพบวา คาบของฟงกชนั เทากับ 2nπ และแอมพลิจดู ของฟงกชนั
นักเรียน ดังนี้ เทากับ a ทําใหการเขียนกราฟของฟงกชันไซนทําไดรวดเร็วขึ้น ดังตัวอยางตอไปนี้
• เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
ตัวอย่างที่ 26
y = 4 sin 2x คือเทาใด
(แนวตอบ เรนจ คือ [-4, 4] คาบ คือ π และ เขียนกราฟของ y = 4 sin 2x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และ
แอมพลิจูด คือ 4) แอมพลิจูด
วิธีทํา จาก y = 4 sin 2x จะได a = 4 และ n = 2
เขาใจ (Understanding) ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-4, 4]
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 22π = π
หนา 52 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 4 = 4
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง เขียนกราฟของ y = 4 sin 2x ได ดังนี้
Y
4
3
2
1
-2π - 3π -π 0 3π 2π X
- π2 π
2
π
2 -1 2
-2
-3
-4

ลองทําดู
เขียนกราฟของ y = 12 sin 2x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ และ
52 แอมพลิจูด

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


กอนสรุปรูปทั่วไปของฟงกชันไซน ครูควรเพิ่มตัวอยางอยางนอย 1 ขอ ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางกราฟของ y = 12 sin 4x
เชน เขียนกราฟของ y = sin x และ y = -2 sin 2x โดยใชการถาม-ตอบ ประกอบ และ y = 14 sin 6x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ
คําอธิบายใหนักเรียนพิจารณาและเปรียบเทียบ เพื่อใหนักเรียนไดความคิด และแอมพลิจูดของฟงกชันทั้งสอง ลงในกระดาษ A4 แลวนํามา
รวบยอดเกี่ยวกับคาบและแอมพลิจูดไดอยางสมบูรณ สงครู
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T58
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนเขียนกราฟของ y = 8 sin 6x ซึ่ง
ตัวอย่างที่ 27
เปนโจทยของตัวอยางที่ 27 ในหนังสือเรียน
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 8 sin 6x หนา 53 โดยนักเรียนจะยังไมเปดหนังสือเรียน
เมือ่ นักเรียนเขียนกราฟเสร็จ ใหครูถามคําถาม
วิธีทํา จาก y = 8 sin 6x จะได a = 8 และ n = 6 นักเรียน ดังนี้
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-8, 8] • เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 26π = π3 y = 8 sin 6x คือเทาใด
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 8 = 8 (แนวตอบ เรนจ คือ [ -8, 8 ] คาบ คือ π3 และ
แอมพลิจูด คือ 8)
ลองทําดู 2. ครูกลาวในทํานองการหาแอมพลิจูด เรนจ
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 2 sin x2 และคาบของฟงกชันโคไซนในรูปทั่วไป
3. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 28 ในหนังสือเรียน
การหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันโคไซนในรูปทั่วไป เปนดังนี้ หนา 53 บนกระดาน จากนั้นครูถามคําถาม
นักเรียน ดังนี้
กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a cos (nx) เมื่อ n > 0 • เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
จะไดวา เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] y = 2 cos 2x คือเทาใด
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ (แนวตอบ เรนจ คือ [ -2, 2 ] คาบ คือ π และ
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a แอมพลิจูด คือ 2)
4. ครูใหนกั เรียนแตละคนเขียนกราฟของตัวอยาง
ตัวอย่างที่ 28
ที่ 28 ในหนังสือเรียน หนา 53 ดวยตนเอง
เขียนเสร็จแลวใหเปดหนังสือเรียน หนา 54
เขียนกราฟของ y = 2 cos 2x เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทั้งหาเรนจ คาบ
และแอมพลิจูด เพื่อตรวจสอบความถูกตองของกราฟ

วิธีทํา จาก y = 2 cos 2x จะได a = 2 และ n = 2


ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-2, 2]
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 22π = π
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 2 = 2
เขียนกราฟของ y = 2 cos 2x ได ดังนี้

ฟงกชันตรีโกณมิติ 53

ขอสอบเนน การคิด
คาบและแอมพลิจดู ของฟงกชนั y = -5 cos 2x เทากับขอใด
1. คาบ = π และแอมพลิจูด = 5
2. คาบ = -π และแอมพลิจูด = 5
3. คาบ = 2π และแอมพลิจูด = 5
4. คาบ = -2π และแอมพลิจูด = 5
(เฉลยคําตอบ จาก y = -5 cos 2x จะได a = -5 และ n = 2
นั่นคือ คาบของฟงกชัน เทากับ 22π = π
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ  a  = -5  = 5
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)

T59
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน Y
หนา 54 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง 2
X
-2π - 3π -π - π 0 π π 3π 2π
รู (Knowing) 2 2 2 2
-2
ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 29 ในหนังสือเรียน
หนา 54 บนกระดาน จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน
ดังนี้ ลองทําดู
• เรนจ คาบ และแอมพลิจูดของกราฟ
เขียนกราฟของ y = 3 cos 3x เมือ่ -2π ≤ x ≤ 2π พรอมทัง้ หาเรนจ คาบ และแอมพลิจดู
y = 2 cos x4 คือเทาใด
(แนวตอบ เรนจ คือ [-2, 2] คาบ คือ 8π และ ตัวอย่างที่ 29
แอมพลิจูด คือ 2)
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 2 cos 4x
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา จาก y = 2 cos x4 จะได a = 2 และ n = 14
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน เทากับ [-a, a] = [-2, 2]
หนา 54 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
คาบของฟงกชัน เทากับ 2nπ = 21π = 8π
4
แอมพลิจูดของฟงกชัน เทากับ a = 2 = 2
รู (Knowing)
1. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา การเขียนกราฟของฟงกชนั ลองทําดู
ตรีโกณมิตบิ างฟงกชนั อาจตองใชความรูเ รือ่ ง
ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของ y = 3 cos x3
การเลื่อนขนาน โดยใชการเลื่อนขนานกราฟ
รูปมาตรฐานในแนวแกนนอนหรือแนวแกนตัง้
การเขียนกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติบางฟงกชันอาจตองใชความรูเรื่องการเลื่อนขนานโดย
ใชการเลื่อนขนานกราฟรูปมาตรฐานในแนวแกนนอนหรือแนวแกนตั้ง ดังตัวอยางตอไปนี้

54

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


กอนนําเสนอการเขียนกราฟโดยการเลื่อนขนาน ครูควรใชคําถามกระตุน ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยของฟงกชันไซนและ
ความคิด เชน ถาใหนักเรียนเขียนกราฟของ y = 2 sin (3x - π6 ) - 1 นักเรียน ฟงกชันโคไซนอยางละ 1 ขอ แลวหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูด
จะเลือกจํานวนใดมาแทนคา x แลวทําใหการหาคาของ y สะดวกและเขียน ของฟงกชันนั้นๆ ลงในกระดาษ A4 เมื่อเสร็จแลวใหนํามาสงครู
กราฟไดอยางสมบูรณ หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
ครู ค วรให นั ก เรี ย นช ว ยกั น เสนอแนวคิ ด แล ว ครู ใ ช คํ า ถามทบทวนการ
เลือ่ นขนานกราฟรูปมาตรฐานตามแนวแกนนอนหรือแนวแกนตัง้ เชน เขียนกราฟ
y = log (x + 3) ตองใชกราฟใดเปนรูปมาตรฐาน และตองเลื่อนขนานตาม
แนวแกน X หรือแกน Y เปนระยะกี่หนวย

T60
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูอธิบายการเขียนกราฟจากตัวอยางที่ 30 ใน
ตัวอย่างที่ 30
หนังสือเรียน หนา 55 บนกระดานอยางละเอียด
เขียนกราฟของ y = 2 sin 3(x - π6 ) และเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถามในสวนที่
ไมเขาใจ
วิธีทํา เนื่องจาก กราฟของ y = 2 sin 3(x - π6 ) เปนกราฟที่เกิดจากการเลื่อนขนานกราฟ
ของ y = 2 sin 3x ไปทางขวา π6 หนวย เขาใจ (Understanding)
ดังนั้น การเขียนกราฟของ y = 2 sin 3(x - π6 ) จึงมีขั้นตอน ดังนี้ ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ขั้นตอนที่ 1 เขียนกราฟของ y = 2 sin 3x หนา 55 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ
ขั้นตอนที่ 2 เลื่อนกราฟของ y = 2 sin 3x ไปทางขวา π6 หนวย จะไดกราฟของ คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
y = 2 sin 3(x - π6 ) ดังรูป
Y รู (Knowing)
y = 2 sin 3(x - 6 )
π
2 ครูอธิบายการเขียนกราฟจากตัวอยางที่ 31 ใน
X หนังสือเรียน หนา 55-56 บนกระดานอยางละเอียด
0 π 2π 3π 4π 5π
-2 6 6 6 6 6
y = 2 sin 3x

ลองทําดู
เขียนกราฟของ y = 3 sin 2(x - π4 )
ตัวอย่างที่ 31

เขียนกราฟของ y = -3 cos (2x + π3 ) + 2

วิธีทํา นํา y = -3 cos (2x + π3 ) + 2 มาจัดรูปใหม จะได y = -3 cos 2(x + π6 ) + 2


จะเปนฟงกชันที่มี 1 คาบ เทากับ 22π = π และ แอมพลิจูด เทากับ -3 = 3
เนื่องจาก กราฟของ y = -3 cos 2(x + π6 ) + 2 เปนกราฟที่เกิดจากการเลื่อนขนาน
กราฟของ y = -3 cos 2x ไปทางซาย π6 หนวย แลวเลื่อนกราฟขึ้น 2 หนวย
ดังนั้น การเขียนกราฟของ y = -3 cos 2(x + π6 ) + 2 จึงมีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เขียนกราฟของ y = -3 cos 2x

ฟงกชันตรีโกณมิติ 55

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันสรางโจทยของฟงกชนั โคไซนโดย ครูใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เชน
ใชวธิ กี ารเลือ่ นขนานในการหาคําตอบมา 1 ขอ พรอมกับวาดกราฟ • ถาตองการเขียนกราฟโดยการเลื่อนขนานตามแนวแกน X ตองใชกราฟ
ลงกระดาษ A4 แลวใหนํามาสงครู ของฟงกชันใดเปนรูปมาตรฐาน และตองเลื่อนไปทิศทางใด เปนระยะ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน กี่หนวย
• กราฟมีแอมพลิจูดและคาบเทากับเทาใด
• ถาเขียนกราฟโดยไมใชการเลื่อนขนาน นักเรียนจะเลือกจํานวนใด
แทนคา x จึงจะเหมาะสม

T61
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ขั้นตอนที่ 2 เลื่อนกราฟของ y = -3 cos 2x ใหขนานกับแกน X ไปทางซาย π6 หนวย
หนา 56 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอ
จะไดกราฟของ y = -3 cos 2(x + π6 ) หรือ y = -3 cos(2x + π3 )
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความ
แลวเลื่อนกราฟของ y = -3 cos 2(x + π6 ) ขึ้น 2 หนวย จะไดกราฟของ
ถูกตอง
y = -3 cos 2(x + π6 ) + 2 หรือ y = -3 cos(2x + π3 ) + 2 ดังรูป
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.6 ขอ 1.-3.
Y
ในหนังสือเรียน หนา 59-60 เปนการบาน
6
5
รู (Knowing) 4
1. ครูกลาววา การเขียนกราฟฟงกชันตรีโกณมิติ 3
2
อื่นๆ นักเรียนควรทราบโดเมนของฟงกชัน 1 y = -3 cos (2x + π3 ) + 2
ตรีโกณมิติ 0 2π 3π X
- π6 -1
π
4 4 4
π
y = -3 cos (2x + π3 )
-2
-3 y = -3 cos 2x

ลองทําดู
เขียนกราฟของ y = -2 cos (2x - π3 ) + 3
ในการเขียนกราฟฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ นักเรียนควรทราบโดเมนของฟงกชันตรีโกณมิติ
ดังนี้
โดเมนของฟงกชันแทนเจนต คือ { x  x∊R, x nπ + π2, n∊I }
โดเมนของฟงกชันเซแคนต คือ { x  x∊R, x nπ + π2, n∊I }
โดเมนของฟงกชันโคแทนเจนต คือ { x  x∊R, x nπ, n∊I }
โดเมนของฟงกชันโคเซแคนต คือ { x  x∊R, x nπ, n∊I }
3. กราฟของ y = tan X
พิจารณากราฟของ y = tan x เมื่อ - π2 < x < π2
x - π3 - π4 - π6 0 π
6
π
4
π
3
y -3 -1 - 33 0 3
3 1 3

56

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรเนนยํ้านักเรียนวา กราฟของ y = tan x ในแตละคาบไมมีคาตํ่าสุด ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันวาดกราฟของ y = tan x เมื่อ
และคาสูงสุด ดังนั้น จึงไมมีแอมพลิจูด -π < π
2 x < 2 ลงในกระดาษ A4 พรอมกับหาเรนจของกราฟนี้
เมื่อเสร็จแลวใหนํามาสงครู
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T62
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
Y 2. ครูใหนกั เรียนแตละคนศึกษากราฟของ y = tan x
3 ในหนังสือเรียน หนา 56-57 จากนั้นครูถาม
1 คําถามนักเรียน ดังนี้
3
3 • จากกราฟ y = tan x ในแตละคาบมีคา ตํา่ สุด
หรือคาสูงสุด และมีแอมพลิจูดหรือไม
- π2 - π3 - π4 - π6 0 π π π π
X
(แนวตอบ กราฟของ y = tan x ในแตละคาบ
6 4 3 2
ไมมีคาตํ่าสุดและคาสูงสุด ดังนั้น จึงทําให
- 33
-1
ไมมีแอมพลิจูด)
3. ครูอธิบายกราฟ y = tan x เมื่อพิจารณาเปน
- 3
กราฟยอย จะไดวาแตละชวงยอยมีลักษณะ
จาก tan (nπ + α) = tan α เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม จะไดกราฟของฟงกชันแทนเจนต ดังนี้ เหมือนกันและมีความยาวเทากับ π ดังนั้น
Y ฟงกชันแทนเจนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและ
มีคาบเทากับ π

0 3π 2π 5π X
- 52π -2π - 3π -π - π
2 2
π π
2 2 2

1 คาบ 1 คาบ 1 คาบ 1 คาบ 1 คาบ

จากกราฟของฟงกชันแทนเจนต เสนตรง x = - π2 และ x = π2 ไมใชสมาชิกของโดเมนของ


y = tan x และเสนกราฟจะโคงเขาหาเสนตรง x = - π2 และ x = π2
เมื่อพิจารณากราฟเปนชวงยอยจะพบวา กราฟของฟงกชันแตละชวงยอยมีลักษณะเหมือน
กัน ซึ่งแตละชวงยอยมีความยาวเทากับ π ดังนั้น ฟงกชันแทนเจนตเปนฟงกชันที่เปนคาบ และ
มีคาบเทากับ π และจะเห็นวา กราฟของ y = tan x ในแตละคาบไมมีคาตํ่าสุดและคาสูงสุด
ดังนั้น จึงไมมีแอมพลิจูด

ฟงกชันตรีโกณมิติ 57

เกร็ดแนะครู
ครูควรตั้งคําถามใหนักเรียนไดคิดวิเคราะหเกี่ยวกับความแตกตางของ
กราฟของ y = sin x, y = cos x และ y = tan x วามีความแตกตางกันอยางไร
เพราะเหตุใด

T63
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษากราฟของฟ ง ก ชั น
สําหรับกราฟของฟงกชันโคเซแคนต ฟงกชันเซแคนต และฟงกชันโคแทนเจนต ซึ่งทั้ง
โคเซแคนต ฟงกชันเซแคนต และฟงกชัน
3 ฟงกชัน เปนสวนกลับของฟงกชันไซน ฟงกชันโคไซน และฟงกชันแทนเจนต ตามลําดับ
โคแทนเจนต ในหนังสือเรียน หนา 58-59 ซึ่ง
ทั้ง 3 ฟงกชัน เปนสวนกลับของฟงกชันไซน 4. กราฟของ y = cosec x
ฟงกชันโคไซน และฟงกชันแทนเจนต จากนั้น พิจารณากราฟของ y = cosec x
ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ Y
• จากกราฟของ y = cosec x คาของฟงกชัน
โคเซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน ยกเวน
คาใด 1
(แนวตอบ คาระหวาง -1 กับ 1) -2π -π π 2π
0 X
• จากกราฟ y = cosec x เรนจของฟงกชัน - 52π - 32π -π
2
π
2

2

2
-1
โคเซแคนตคือเทาใด
(แนวตอบ (- ∞, -1] [1, ∞))
• ฟงกชันโคเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบ
และมีคาบเทากับเทาใด จากกราฟของ y = cosec x จะเห็นวา คาของฟงกชันโคเซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน
(แนวตอบ 2π) ยกเวนคาระหวาง -1 กับ 1
• จากกราฟ ฟงกชนั โคเซแคนตมคี า สูงสุดหรือ เรนจของฟงกชันโคเซแคนต คือ (-∞, -1] [1, ∞)
คาตํ่าสุด และมีแอมพลิจูดหรือไม ฟงกชันโคเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและมีคาบเทากับ 2π
(แนวตอบ กราฟของ y = cosec x ไมมี ฟงกชันโคเซแคนตไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด
คาตํ่าสุดและคาสูงสุด ดังนั้น จึงทําใหไมมี
5. กราฟของ y = sec x
แอมพลิจูด)
• จากกราฟของ y = sec x คาของฟงกชัน พิจารณากราฟของ y = sec x
Y
เซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน ยกเวน
คาใด
(แนวตอบ คาระหวาง -1 กับ 1)
• จากกราฟ y = sec x เรนจของฟงกชัน - 52π - 32π - π2
1 π
2

2

2
เซแคนตคือเทาใด -2π -π 0 π 2π
X

(แนวตอบ (- ∞, -1] [1, ∞)) -1


• ฟงกชันเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและ
มีคาบเทากับเทาใด 58
(แนวตอบ 2π)

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรวาดกราฟของ y = cosec x และ y = sec x ประกอบคําอธิบาย ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางตารางแทนคา x และ y
เพื่อเปรียบเทียบความแตกตางของฟงกชันทั้งสองนี้ วามีความแตกตางกัน เพื่อสรางกราฟของ y = cosec x และ y = sec x พรอมกับหา
อยางไร เรนจ คาบ และแอมพลิจดู ลงในกระดาษ A4 เมือ่ เสร็จแลวใหนาํ มา
สงครู
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T64
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากกราฟ ฟงกชันเซแคนตมีคาสูงสุดหรือ
จากกราฟของ y = sec x จะเห็นวา คาของฟงกชันเซแคนตเปนจํานวนจริงทุกจํานวน
ยกเวนคาระหวาง -1 กับ 1 คาตํ่าสุด และมีแอมพลิจูดหรือไม
เรนจของฟงกชันเซแคนต คือ (-∞, -1] [1, ∞) (แนวตอบ กราฟของ y = sec x ไมมีคาตํ่าสุด
ฟงกชันเซแคนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและมีคาบเทากับ 2π และคาสูงสุด ดังนัน้ จึงทําใหไมมแี อมพลิจดู )
ฟงกชันเซแคนตไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด 5. ครูใหนักเรียนสังเกตกราฟ y = cot x แลว
อธิบายวา กราฟ y = cot x เปนสวนกลับของ
6. กราฟของ y = cot x กราฟ y = tan x ทําใหฟงกชันนี้เปนฟงกชันที่
พิจารณากราฟของ y = cot x เปนคาบและมีคาบเทากับ π และกราฟดังกลาว
Y
ไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด

เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 1.6 ในหนังสือ-
X
-π - π 0 π
2 2
π 3π 2π 5π
2 2
เรียน หนา 60 ขอ 4.-5. จากนั้นครูสุมนักเรียน
ออกมานําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.6 ในแบบฝกหัด
จากกราฟของ y = cot x จะเห็นวา คาของฟงกชันโคแทนเจนตเปนฟงกชันที่เปนคาบและ เปนการบาน
มีคาบเทากับ π
ลงมือทํา (Doing)
ฟงกชันแทนเจนตไมมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด จึงไมมีแอมพลิจูด
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
แบบฝึกทักษะ 1.6 และเกง) ใหอยูก ลมุ เดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้
ระดับพื้นฐาน
• ใหนักเรียนแตละกลุมทําแบบฝกทักษะ 1.6
ในหนังสือเรียน หนา 60 ขอ 6.
1. ใหหาคาบและแอมพลิจูดของฟงกชันในแตละขอตอไปนี้ • เมื่ อ นั ก เรี ย นทุ ก กลุ  ม ทํ า เสร็ จ แล ว ครู สุ  ม
1) y = 5 sin x 2) y = 12 sin x
ตั ว แทนออกมาแสดงวิ ธีทํ า อย า งละเอี ย ด
3) y = sin 8x 4) y = sin x3 หนาชัน้ เรียน โดยมีครูและเพือ่ นรวมชัน้ เรียน
5) y = 6 cos x2 6) y = 12 cos x2 คอยตรวจสอบความถูกตอง
7) y = 3 cos x 8) y = 12 cos 4x
ฟงกชันตรีโกณมิติ 59

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวใหแตละคนตัง้ คําถามเกีย่ วกับกราฟของ ครูควรใหนักเรียนชวยกันเสนอแนวคิดการหาคาฟงกชันตรีโกณมิติจาก
y = cot x เพื่อถามคูของตนเอง คนละ 5 ขอ โดยทําลงในสมุด กราฟที่กําหนด แลวใหชวยกันสรุปขั้นตอนหรือใชคําถามนําทาง เชน
พรอมกับจดคําตอบของเพื่อนลงในสมุดของตนเองดวย เมื่อเสร็จ • กราฟฟงกชันตรีโกณมิตินี้มีคาแอมพลิจูดเทากับเทาใด และมีคาบยาว
แลวใหนํามาสงครู เทาใด
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน • จะนําคาแอมพลิจดู และคาบทีไ่ ดมาเขียนเปนฟงกชนั ตรีโกณมิตทิ ตี่ อ งการ
ไดอยางไร

T65
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
2. เขียนกราฟของ y = a sin nx หรือ y = a cos nx ในแตละขอตอไปนี้ เมื่อ -2π ≤ x ≤ 2π
• โดเมนและเรนจของกราฟ y = sin x คืออะไร 1) y = 4 sin x 2) y = sin 4x
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง 1
3) y = 3 sin x2 4) y = 25 sin 2x
และเรนจ คือ [-1, 1] )
5) y = 6 cos x 6) y = 3 cos x4
• โดเมนและเรนจของฟงกชัน y = cos x
คืออะไร 7) y = cos x3 8) y = 3 cos 4x
(แนวตอบ โดเมน คือ เซตของจํานวนจริง 3. ใหหาเรนจ คาบ และแอมพลิจูดของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
และเรนจ คือ [-1, 1] ) 1) y = 14 sin x3 2) y = 16 sin 45 x
• เราจะหาคาแอมพลิจูดของกราฟได กราฟ 3) y = 17 cos x8 4) y = 38 cos 34 x
ดังกลาวตองมีคา อะไรบาง และคาแอมพลิจดู
หาไดจากสูตรใด ระดับกลาง
(แนวตอบ จะตองมีคาสูงสุดและคาตํ่าสุด 4. ใหหาคาบและแอมพลิจูดของฟงกชันในแตละขอตอไปนี้
และคาแอมพลิจูด = คาสูงสุด - คาตํ่าสุด
) 1) y = 45 sin 7x - 1 2) y = 47 sin (2x - 34π)
2
3) y = 27 cos 8x + 35 4) y = 2 cos (5x + 78π) + 1
ขัน้ ประเมิน 5. เขียนกราฟของ y = a sin nx หรือ y = a cos nx ในแตละขอตอไปนี้ เมือ่ -2π ≤ x ≤ 2π
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.6 1) y = 3 sin 2x + 3 2) y = 3 sin 4 (x + π8 )
2. ครูตรวจ Exercise 1.6 3) y = 2 sin 3 (x - π6 ) + 3 4) y = 74 cos 3x - 2
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 5) y = 23 cos x2 + 1 6) y = 35 cos (2x - π8 ) + 10
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ระดับทาทาย
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
6. ใหเขียนฟงกชันตรีโกณมิติจากกราฟที่กําหนดใหตอไปนี้
มุงมั่นในการทํางาน Y
2
1
0 X
-2π -π π 2π
-1
-2

60

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม 21st Century Skills


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ
แบบฝกทักษะ 1.6 ขอ 6. ในขั้นลงมือทํา โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1 ร ว มกั น สื บ ค น ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ โจทย เ รื่ อ ง กราฟของฟ ง ก ชั น
ตรีโกณมิติ ที่นาสนใจมากลุมละ 1 ขอ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน
2. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น    
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T66
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)

1.7 ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องผลบวกและผลตางของ ครูทบทวนความรูโดยถามคําถาม ดังนี้


• กราฟวงกลมในหนังสือเรียน หนา 61 เรียกวา
จํานวนจริงหรือมุม วงกลมอะไร
ในหัวขอที่ผานมา นักเรียนไดศึกษาการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงเพียง (แนวตอบ วงกลมหนึ่งหนวย)
จํานวนเดียวหรือของมุมเพียงมุมเดียวมาแลว ในหัวขอนีน้ กั เรียนจะไดศกึ ษาการหาคาของฟงกชนั • ถาลากเสนตรงจากจุด P(1, 0) ไปยังจุด
ตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริงสองจํานวนหรือมุมสองมุม P3(x3, y3) หรือจากจุด P1(x1, y1) ไปยังจุด
ใหนักเรียนพิจารณาคาของ cos (α - β) เมื่อ α และ β เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ P2(x2, y2) เราเรียกเสนตรงนี้วาอะไร
ดังตอไปนี้ (แนวตอบ คอรด)
Y
P2(x2, y2) • เนือ่ งจากจุด P1(x1, y1) เปนจุดทีอ่ ยูบ นวงกลม
P3(x3, y3) หนึ่งหนวย ดังนั้น สมการวงกลมที่ผานจุด
P1(x1, y1)
P1(x1, y1) คืออะไร เพราะเหตุใด
0 X (แนวตอบ x12 + y12 = 1 เพราะเปนสมการ
P(1, 0)
วงกลมที่มีจุดศูนยกลาง (0, 0) และรัศมี
1 หนวย)

กําหนดสวนโคง PP1 ยาว α หนวย และสวนโคง PP2 ยาว β หนวย


ดังนั้น สวนโคง P1P2 ยาว α - β หนวย
ให P3 เปนจุดบนวงกลมหนึ่งหนวยที่ทําใหสวนโคง PP3 ยาวเทากับสวนโคง P1P2
ดังนั้น สวนโคง PP3 ยาว α - β หนวย
ใหพิกัดของจุด P1, P2 และ P3 เปน (x1, y1), (x2, y2) และ (x3, y3) ตามลําดับ
ซึ่งเปนพิกัดจุดปลายสวนโคงที่ยาว α, β และ α - β ตามลําดับ
จะได x1 = cos α y1 = sin α .....(1)
x2 = cos β y2 = sin β .....(2)
x3 = cos (α - β) y3 = sin (α - β) .....(3)
เนื่องจาก สวนโคง PP3 ยาวเทากับสวนโคง P1P2
จะไดวา ความยาวของคอรด PP3 เทากับความยาวของคอรด P1P2

ฟงกชันตรีโกณมิติ 61

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวรวมพิจารณาวา ถานักเรียนหาคาของ ในการเรียนการสอนเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของ
ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคไซนของจํานวนจริงสองจํานวนใดๆ ได จํานวนจริงหรือมุม ครูควรใชคําถามใหนักเรียนไดคิดวิเคราะห เชน
นักเรียนคิดวา จะนําคาเหลานั้นมาหาคาของฟงกชันไซนและ • นักเรียนสามารถหาความยาวสวนโคง α - β ไดหรือไม
ฟงกชนั โคไซนของผลบวกหรือผลตางของจํานวนทัง้ สองไดหรือไม • จุดปลายสวนโคงของ α - β เปนคาของ cos (α - β) และ sin (α - β)
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน หรือไม เพราะเหตุใด

T67
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนศึกษาเนื้อหา ในหนังสือเรียน
ดังนั้น PP3 = P1P2
หนา 61-62 จากนั้นครูอธิบายการพิสูจนที่
นํามาซึ่งที่มาของสูตร (x3 - 1)2 + (y3 - 0)2 = (x1 - x2)2 + (y1- y2)2
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β (x3 - 1)2 + (y3 - 0)2 = (x1 - x2)2 + (y1 - y2 )2
หรื อ โคไซน ข องผลต า งระหว า งจํ า นวนจริ ง (x23 - 2x3 + 1) + y23 = (x21 - 2x1x2 + x22 ) + (y21 - 2y1y2 + y22 )
สองจํานวนหรือมุมสองมุม และเปดโอกาสให (x23 + y23 ) - 2x3 + 1 = (x21 + y21 ) + (x22 + y22 ) - 2x1x2- 2y1y2
นักเรียนสอบถามในสวนที่ไมเขาใจ 1 - 2x3 + 1 = 1 + 1 - 2x1x2 - 2y1y2
เนือ่ งจากจุ ด (x1, y1) เปนจุ ดที่
2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาหาคาของ x3 = x1x2 + y1y2 อยูบนวงกลมหนึง่ หนวย ดังนั้น
สมการวงกลมที่ผ านจุ ด (x1, y1)
cos (α + β) บนกระดาน โดยครูตรวจสอบ จาก (1), (2) และ (3) สรุปไดวา คือ x12 + y12 = 1
ความถูกตอง
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β
ที่กลาวมาขางตนเปนการหาคาของ cos (α - β) หรือโคไซนของผลตางระหวางจํานวนจริง
สองจํานวนหรือมุมสองมุม ซึง่ สามารถนําคาของ cos (α - β) ไปใชในการหาคาของฟงกชนั อืน่ ๆ
คือ cos (α + β), sin (α + β) และ sin (α - β) ซึ่งจะไดกลาวตอไป
การหาคาของ cos (α + β) ทําได ดังนี้
cos (α + β) = cos (α - (-β)) sin (-θ) = -sin θ
= cos α cos (-β) + sin α sin (-β) cos (-θ) = cos θ
= cos α cos β + sin α (-sin β)
= cos α cos β − sin α sin β
สรุปไดวา
cos (α + β) = cos α cos β − sin α sin β
ตอไปจะเปนการหาคาของ sin (α + β) ซึ่งตองใชคาของ cos (π2 - α) และ sin (π2 - α)
มาชวยในการหา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ พิจารณาคาของ cos (π2 - α)
cos (π2 - α) = cos π2 cos α + sin π2 sin α
= 0(cos α) + 1(sin α)
= sin α
สรุปไดวา
cos (π2 - α) = sin α

62

กิจกรรม ทาทาย
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
จากนัน้ ครูเขียนโจทยบนกระดานแลวใหนกั เรียนชวยกันคิดวา โจทย
ขอนี้ใชสูตร cos (α - β) หรือสูตร cos (α + β) พรอมหาคําตอบ
จากโจทย

T68
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูอธิบายวา การหาคาของ sin (α + β) ตอง
จาก cos (π2 - α) = sin α
ใชคา cos (π2 + α) และ sin (π2 - α) มาชวย
แทนคา α ดวย π2 - β ในการหา จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
จะได cos (π2 - (π2 - β)) = sin (π2 - β) • cos ( π2 + α) เทากับเทาใด
สรุปไดวา (แนวตอบ cos ( π2 + α) = sin α)
sin (π2 - β) = cos β
• sin ( π2 - α) เทากับเทาใด
เนื่องจาก cos (π2 - α) = sin α และ sin (π2 - β) = cos β (แนวตอบ sin ( π2 - β) = cos β)
จะได sin (α + β) = cos (π2 - (α + β)) • sin (α + β) เทากับเทาใด
= cos ((π2 - α) - β) (แนวตอบ sin (α + β)
= sin α cos β + cos α sin β)
= cos (π2 - α) cos β + sin (π2 - α) sin β
• sin (α - β) เทากับเทาใด
= sin α cos β + cos α sin β (แนวตอบ sin (α - β)
สรุปไดวา = sin α cos β - cos α sin β)
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
พิจารณาการหาคาของ sin (α - β) ดังนี้
sin (α - β) = sin (α + (-β))
= sin α cos (-β) + cos α sin (-β)
= sin α cos β + cos α (-sin β)
= sin α cos β - cos α sin β
สรุปไดวา
sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β
นักเรียนสามารถหาคาของ tan (α + β) และ tan (α - β) ได เมื่อทราบคาของ sin (α + β)
และ cos (α + β) ดังนี้

ฟงกชันตรีโกณมิติ 63

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละความสามารถทาง ครูควรอธิบายการหาความสัมพันธ sin (α - β) ซึ่งตองใชความสัมพันธ
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน จากนั้น ระหวาง cos ( π2 - α) และ sin ( π2 - α) ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบ
ครูแจกกระดาษฟลิปชารตใหแตละกลุม กลุมละ 1 แผน โดยให คําอธิบายใหนักเรียนเขาใจความหมายการแทนคาของ α ดวย π2 - β โดย α
แตละกลุมรวมกันเขียนสรุปเกี่ยวกับคาของฟงกชันตรีโกณมิติของ ในที่นี้แทนความยาวสวนโคงที่ 0 < α < π2 เพื่อใหไดความสัมพันธระหวาง
ผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม พรอมทั้งตกแตงให sin (π2 - β) กับ β
สวยงาม เมื่อทําเสร็จแลวใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ
ผลงานหนาชั้นเรียน

T69
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล ว ช ว ยกั น หาค า ของ sin(α + β)
tan (α + β) = cos( α + β)
tan (α + β) และ tan (α - β) จาก
tan (α + β) = cos sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
(α + β) cos α cos β - sin α sin β
จากนั้นสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทํา โดยครู sin α cos β + cos α sin β
= cos α cos β cos α cos β
และเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความ cos α cos β - sin α sin β , เมื่อ cos α 0 และ cos β 0
cos α cos β cos α cos β
ถูกตอง
= 1tan- tan
α + tan β
α tan β
เขาใจ (Understanding) สรุปไดวา
ครูใหนักเรียนคูเดิมทํา “Thinking Time” ใน tan (α + β) = 1tan- tan
α + tan β
α tan β
หนังสือเรียน หนา 64 จากนั้นครูและนักเรียน
รวมกันเฉลย “Thinking Time” พรอมทัง้ เปดโอกาส
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา
ใหนักเรียนซักถามขอสังสัย tan (α - β) = 1tan α - tan β
+ tan α tan β

Thinking Time
ใหแสดงวา cot (α + β) = cot α cot β - 1 cot α cot β + 1
cot β + cot α และ cot (α - β) = cot β - cot α

ตัวอย่างที่ 32
ใหหาคาของ
1) cos (56π + 34π) 2) sin (30 ํ - 45 ํ)

วิธีทํา 1) จาก cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β


จะได cos (56π + 34π) = cos 56π cos 34π - sin 56π sin 34π
= (- 23 )(- 22 ) - ( 12 )( 22 )
= ( 6 4- 2 )
ดังนั้น cos (56π + 34π) = ( 6 4- 2 )

64

เฉลย Thinking Time

cot (α + β) = tan (α1 + β) cot (α - β) = tan (α1 - β)

= tan α 1+ tan β = tan α 1- tan β


1 - tan α tan β 1 + tan α tan β
= 1ta-ntαan+αtatannββ = 1ta+ntαan-αtatannββ

1 - cot α1cot β 1 + cot α1cot β


= =
1 1 1 1
cot α + cot β cot α - cot β
cot α cot β - 1 cot α cot β + 1
cot α cot β cot α cot β
= cot β + cot α = cot β - cot α
cot α cot β cot α cot β
= cot α cot β - 1
cot β + cot α = cot α cot β + 1
cot β - cot α
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 32-33 ใน
2) จาก sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β
จะได sin (30 ํ - 45 ํ) = sin 30 ํ cos 45 ํ - cos 30 ํ sin 45 ํ หนั ง สื อ เรี ย น หน า 64-65 จากนั้ น ครู ถ าม
คําถามนักเรียน ดังนี้
= ( 12 )( 22 ) - ( 23 )( 22 )
• นักเรียนสามารถหาคาของ cos ( 56π + 34π )
= ( 2 4- 6 ) ไดอยางไร
ดังนั้น sin (30 ํ - 45 ํ) = ( 2 4- 6 ) (แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
ผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน คือ
ลองทําดู cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β)
ใหหาคาของ • นักเรียนสามารถหาคาของ cos (30 ํ - 45 ํ)
1) sin (π6 - π4 ) 2) cos (60 ํ + 45 ํ) ไดอยางไร
(แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
ตัวอย่างที่ 33
ผลตางของมุมสองมุม คือ sin (α - β) =
ใหหาคาของ
sin α cos β - cos α sin β)
1) tan 512π 2) cos 420 ํ
• นั ก เรี ย นสามารถหาค า ของ t a n 512π ได
วิธีทํา 1) จาก tan 512π = tan (23π - π4 ) อยางไร
และ tan (α - β) = 1tan α - tan β (แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
+ tan α tan β ผลตางของจํานวนจริงสองจํานวน คือ
จะได tan 512π = tan (23π - π4 )
tan 23π - tan π4 tan(α - β) = 1ta+ntαan-αtatannββ
=
1 + tan 23π tan π4 โดยการจัดรูปของ tan 512π ใหอยูในรูปของ
= -3-1 ผลตางจํานวนจริงสองจํานวนที่ทําใหไดคา
1 + (- 3)(1) ของ tan 512π คือ tan ( 23π - π4 ) )
= -(1 + 3) × 1 + 3
1- 3 1+ 3
= -1 -1 2- 33 - 3
= 2+ 3
2) จาก cos 420 ํ = cos (360 ํ + 60 ํ)
และ cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β
จะได cos (360 ํ + 60 ํ) = cos 360 ํ cos 60 ํ - sin 360 ํ sin 60 ํ
= cos 60 ํ
ดังนั้น cos 420 ํ = 12 ฟงกชันตรีโกณมิติ 65

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคาในแตละขอไปตอไปนี้ ครูควรใหนักเรียนชวยกันเสนอแนวคิดวา จะจัด 512π ในรูปของผลบวก
1. sin 512π ของจํานวนจริงสองจํานวนใดที่ทําใหหาคาของ tan 512π ได และจัด 420 ํ ใน
รูปของผลบวกของมุมสองมุมใดบาง ที่ทําใหหาคาของ cos 420 ํ ได และครูควร
2. cos 512π ยกตัวอยางเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
3. sin 420 ํ
4. tan 420 ํ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T71
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• นักเรียนสามารถหาคาของ cos 420 ํ ได ลองทําดู
อยางไร
(แนวตอบ หาไดจากฟงกชันตรีโกณมิติของ ใหหาคาของ
π
1) tan 12 2) cos 300 ํ
ผลบวกของจํ า นวนจริ ง สองจํ า นวน คื อ
cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β ตัวอย่างที่ 34
โดยการจัดรูปของ cos 420 ํ ใหอยูในรูป ใหหาคาของ
ของผลบวกของมุมสองมุมทีท่ าํ ใหไดคา ของ 1) tan (180 ํ + α) เมื่อ 0 < α < 90 ํ 2) cos (-225 ํ)
cos 420 ํ คือ cos (360 ํ + 60 ํ))
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 34 ใน วิธีทํา 1) จาก tan (α + β) = 1tan- tan
α + tan β
α tan β
หนังสือเรียน หนา 66 แลวแลกเปลี่ยนความรู tan 180 ํ + tan α
จะได tan (180 ํ + α) = 1 - tan 180 ํ tan α
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
0
=1-0 + tan α

เขาใจ (Understanding) ดังนั้น tan (180 ํ + α) = tan α


ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 2) จาก cos (-α) = cos α
หน า 65-66 เมื่ อ นั ก เรี ย นทํ า เสร็ จ แล ว ครู แ ละ จะได cos (-225 ํ) = cos 225 ํ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ = cos (180 ํ + 45 ํ)
= cos 180 ํ cos 45 ํ − sin 180 ํ sin 45 ํ
= (-1)( 22 ) - 0
= - 22
ดังนั้น cos (-225 ํ) = - 22

ลองทําดู
ใหหาคาของ
1) tan (360 ํ + α) เมื่อ 0 < α < 90 ํ 2) sin 135 ํ

นอกจากที่กลาวมาแลว ยังสามารถใชฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของมุม
เมื่อโจทยหาคาฟงกชันตรีโกณมิติอื่น ๆ รวมทั้งโจทยที่ตองแสดงการพิสูจน ดังตัวอยางตอไปนี้

66

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ในการศึกษาตัวอยางที่ 34 ครูควรทบทวนเกี่ยวกับสูตรฟงกชันตรีโกณมิติ คาของ tan (45 ํ - π3 ) เทากับขอใด
ของผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม และคาของฟงกชันไซนและ 1. 1 + 3 2. -1 + 3 3. 2 + 3 4. -2 + 3
ฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงใดๆ sin (-θ) = -sin θ และ cos (-θ) = cos θ
(เฉลยคําตอบ จาก tan (α - β) = 1ta+ntαan-αtatannββ
จะได tan ( 45 ํ - π3 ) = tan ( π4 - π3 )
tan π4 - tan π3
=
1 + tan π4 tan π3
= 1- 3
1+ 3
= -2 + 3
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T72
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 35-36 ใน
ตัวอย่างที่ 35
หนังสือเรียน หนา 67-68 แลวแลกเปลี่ยน
กําหนด sin A = 35 และ cos B = - 23 เมื่อ π2 < A < π และ π < B < 32π ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ใหหา tan (A + B)
2. ครูถามคําถาม ดังนี้
วิธีทํา จาก sin A = 35 เมื่อ π2 < A < π • จากตัวอยางที่ 35 และ 36 ตองใชความรูใน
จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา Y เรื่องใดมาชวยหาพิกัดของ x และ y
1 (แนวตอบ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส)
x2 + ( 35 )2 = 12 เมื่อ x < 0 (x, 35 )
(0, 35)
x = ± 45 3
A
5 X
แต x < 0 จะได x = - 45 -1 0 (1, 0)
ดังนั้น cos A = - 45
-1
จาก cos B = - 23 เมื่อ π < B < 32π
จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา
Y
(- 23 ) + y = 1
2 2 2
เมื่อ y < 0 1
y = ± 12
(- 23, 0)
แต y < 0 จะได y = - 12 -1
B X
(1, 0)
ดังนั้น sin B = - 12 -( 23 , y)
- 23
3 -1
จากขอกําหนด จะไดวา tan A = cos sin A = 5 = - 3
A -4 4
5
1
tan B = cossin B = - 2 = 1 = 3
B - 3 3 3
2
ดังนั้น tan (A + B) = 1tan- tanA + tan B
A tan B
3
- + 3
= 4 3
1 - (- 34 )( 33 )
-9 + 4 3
= 12
1 + 3123
ฟงกชันตรีโกณมิติ 67

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวนําคาที่กําหนดในตัวอยางที่ 35 มาหา ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เชน นักเรียนตองใชความรู
คาในแตละขอไปตอไปนี้ เรือ่ งใดบางจึงจะหาฟงกชนั ตรีโกณมิตทิ ยี่ งั ไมไดกาํ หนดคาได และครูตอ งเนนยํา้
1. tan (A - B) ใหนักเรียนสังเกตขนาดของมุมที่จุดศูนยกลางวาเปนมุมแหลมหรือมุมปาน เพื่อ
2. sin (A + B) ใชในการพิจารณาคาของ x และ y
3. sin (A - B)
4. cos (A + B)
5. cos (A - B)
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T73
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูยกตัวอยางเพิ่มเติม ดังนี้ -9 + 4 3
กําหนดให 5 sin A - 3 = 0 และ 2 cos B + 3 = 0 = 12
12 + 3 3
เมือ่ π2 < A < π และ π < B < 32π 12
= -9 + 4 3
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ 12 + 3 3
• sin A และ cos B เทากับเทาใด นั่นคือ tan (A + B) = -9 + 4 3
12 + 3 3
(แนวตอบ sin A = 35 และ cos B = - 23 )
• จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส cos A และ sin B ลองทําดู
เทากับเทาใด กําหนด sin A = - 45 และ cos B = 12 เมื่อ 32π < A < 2π และ 0 < B < π2
(แนวตอบ cos A = - 45 และ sin B = - 12 ) ใหหา tan (A - B)
• คาของ sin (A - B) เทากับเทาใด ตัวอย่างที่ 36
(แนวตอบ กําหนด 13 sin α + 5 = 0 และ 13 cos β - 12 = 0 เมื่อ 180 ํ < α < 270 ํ และ
sin (A - B) = sin A cos B - cos A sin B 270 ํ < β < 360 ํ ใหหาคาของ cos (α + β)
= ( 35 ) (- 23 ) - (- 45 )(- 12 )
วิธีทํา จาก 13 sin α + 5 = 0 เมื่อ 180 ํ < α < 270 ํ
= - 4 +103 3 ) จะได sin α = - 135 Y
• คาของ cos (A - B) เทากับเทาใด จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา 1
(แนวตอบ x2 + (- 135 )2 = 12 เมื่อ x < 0
cos (A - B) = cos A cos B + sin A sin B x = ± 12
13 -1 -5 0
α
(1, 0)
X
12 13 (0, - 135 )
= (- 45 ) ( - 23 ) + ( 35 )(- 12 ) แต x < 0 จะได x = - 13 ( 135 )
x, -
ดังนั้น cos α = - 12 -1
= -3 +104 3 ) 13
จาก 13 cos β - 12 = 0 เมื่อ 270 ํ < β < 360 ํ
จะได cos β = 12 13 Y
จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา 1
y2 + (12 2
13 ) = 1
2
เมื่อ y < 0
12
y = ± 135 13
-1 β0 (1, 0)
แต y < 0 จะได y = - 135 12
(13 , y)
ดังนั้น sin β = - 135 -1

68

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใหนกั เรียนเปรียบเทียบโจทยในตัวอยางที่ 35 และ 36 ในหนังสือเรียน ครูใหนักเรียนจับคูแลวนําคาที่กําหนดในตัวอยางที่ 36 ใน
หนา 67-68 วาเหมือนกันหรือแตกตางกันหรือไม อยางไร แลวใหนักเรียน หนังสือเรียน หนา 68 มาหาคาในแตละขอตอไปนี้
ชวยกันเสนอแนวคิด 1. cos (A - B)
2. sin (A + B)
3. sin (A - B)
4. tan (A + B)
5. tan (A - B)
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T74
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จากขอกําหนด จะได sin α = - 135 และ cos α = - 12 13 หนา 68-69 เมื่อนักเรียนทําเสร็จแลว ครูและ
5
sin β = - 13 และ cos β = 13 12
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ดังนั้น cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.7 ขอ 1.-4.
= (- 12 12 5 5
13 )(13 ) - (- 13 )(- 13 ) ในหนังสือเรียน หนา 72 เปนการบาน
= -1
นั่นคือ cos (α + β) = -1 รู (Knowing)
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 37 ในหนังสือเรียน
ลองทําดู หนา 69 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
กําหนด 5 sin A + 4 = 0 และ tan B + 1 = 0 เมื่อ 270 ํ < A < 360 ํ และ • จากตัวอยางที่ 37 ขอ 1) นักเรียนใชสูตรใด
90 ํ < B < 180 ํ ใหหาคาของ sin (A + B) ในการหาคําตอบ
(แนวตอบ
ตัวอย่างที่ 37
sin A cos B + cos A sin B = sin (A + B))
ใหหาคาของ • จากตัวอยางที่ 37 ขอ 2) นักเรียนใชสูตรใด
π cos 3π + cos π sin 3π
1) sin 10 20 10 20 ในการหาคําตอบ
2) cos 65 ํ cos 35 ํ + cos 25 ํ cos 55 ํ (แนวตอบ
π cos 3π + cos π sin 3π = sin π + 3π cos A cos B + sin A sin B = cos (A - B))
วิธีทํา 1) sin 10 20 10 20 (10 20 )
= sin 520π
= sin π4
= 22
π cos 3π + cos π sin 3π = 2
ดังนั้น sin 10 20 10 20 2
2) cos 65 ํ cos 35 ํ + cos 25 ํ cos 55 ํ = cos 65 ํ cos 35 ํ + sin 65 ํ sin 35 ํ
= cos (65 ํ - 35 ํ)
= cos 30 ํ
= 3
2
ดังนั้น cos 65 ํ cos 35 ํ + cos 25 ํ cos 55 ํ = 23

ฟงกชันตรีโกณมิติ 69

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันแสดงวิธีคิดของโจทยที่ไดจาก ตัวอยางที่ 37 ขอ 2) ในหนังสือเรียน หนา 69 ครูควรอธิบายเกี่ยวกับ
การจับสลากสูตรตรีโกณมิตขิ องผลบวกและผลตางของจํานวนจริง ความสัมพันธของอัตราสวนทีเ่ ปน Cofunction คือ มุม 2 มุม รวมกันได 90 องศา
และมุม เมื่อเสร็จแลวใหนํามาสงครู แลว Cofunction ของมุมทั้งสองใหคาอัตราสวนตรีโกณมิติที่เทากัน เชน
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน • มุม 65 องศา กับมุม 25 องศา รวมกันได 90 องศา
ดังนั้น sin 65 ํ = cos 25 ํ
• มุม 35 องศา กับมุม 55 องศา รวมกันได 90 องศา
ดังนั้น sin 35 ํ = cos 55 ํ

T75
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 38 ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 70 จากนัน้ ครูถามคําถาม ดังนี้
ใหหาคาของ
• จากตัวอยางที่ 38 นักเรียนใชสตู รใดในการ
tan 38π + tan 724π
หาคําตอบ 1) 2) sin 118 ํ cos 25 ํ - cos 118 ํ sin 25 ํ
(แนวตอบ 1 - tan 38π tan 724π
sin A cos B + cos A sin B = sin (A + B) และ ตัวอย่างที่ 38
cos A cos B - sin A sin B = cos (A + B))
ใหหาคาของ sin α cos (45 ํ - α) + cos α sin (45 ํ - α)
cos α cos (60 ํ - α) - sin α sin (60 ํ - α)
เขาใจ (Understanding)
วิธีทํา sin α cos (45 ํ - α) + cos α sin (45 ํ - α) sin [α + (45 ํ - α)]
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน cos α cos (60 ํ - α) - sin α sin (60 ํ - α) = cos [α + (60 ํ - α)]
หนา 70 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทํา = sin 45 ํ
cos 60 ํ
บนกระดาน โดยครูและนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกัน 2
ตรวจสอบความถูกตอง = 21
2
รู (Knowing) = 2
1. ครูอธิบายตัวอยางที่ 39 ในหนังสือเรียน หนา 70 ดังนั้น sin α cos (45 ํ - α) + cos α sin (45 ํ - α)
cos α cos (60 ํ - α) - sin α sin (60 ํ - α) = 2
โดยครู ก ล า วว า การพิ สู จ น โ ดยใช ค  า ของ
ฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของ ลองทําดู
จํานวนจริงหรือมุม ในตัวอยางนี้ใชสูตรของ ใหหาคาของ sin A cos (60 ํ - A) + cos A sin (60 ํ - A)
sin (A - B) = sin A cos B - cos A sin B และ cos A cos (30 ํ - A) - sin A sin (30 ํ - A)
sin (A + B) = sin A cos B + cos A sin B ตัวอย่างที่ 39

ใหพิสูจนวา sin (60 ํ - α) + sin (60 ํ + α) = 3 cos α


วิธีทํา sin (60 ํ - α) + sin (60 ํ + α)
= (sin 60 ํ cos α - cos 60 ํ sin α) + (sin 60 ํ cos α + cos 60 ํ sin α)
= 2 sin 60 ํ cos α
= 2( 23 ) cos α
= 3 cos α
ดังนั้น sin (60 ํ - α) + sin (60 ํ + α) = 3 cos α
70

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


π + cos π sin π - sin - 5π sin π + cos π cos - 5π
ครูควรใหนักเรียนพิจารณาความสัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติและ (sin π9 cos 18 9 18) ( ( 2 ) 2 2 ( 2 ))
ขนาดของมุมวา สอดคลองกับสูตรฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกหรือผลตางใด เทากับขอใด
และครูอาจจะยกตัวอยางเพิ่มเติม แลวใหนักเรียนออกมาแสดงวิธีคิดหนา
ชั้นเรียน เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน 1. 12 2. 1 3. 32 4. 2
(เฉลยคําตอบ พิจารณา sin π9 cos 18 π + cos π sin π
9 18
π = sin 3π = sin π = 1
= sin ( π9 + 18 ) 18 6 2
5π π π 5
พิจารณา sin (- 2 ) sin 2 + cos 2 cos (- 2 ) π

= cos ( π2 + 52π ) = cos 3π = -1


นั่นคือ
π + cos π sin π - sin - 5π sin π + cos π
(sin π9 cos 18 9 18 ) ( ( 2 ) 2 2
5
cos (- 2 )) = 2 - (-1) = 32
π 1

T76 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)


นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)

ลองทําดู 2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 40 ในหนังสือเรียน


หนา 71 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ใหพิสูจนวา sin 4α cos α + cos 4α sin α = sin 3α cos 2α + cos 3α sin 2α • จากตัวอยางที่ 40 ขั้นแรกในการพิสูจน
นักเรียนตองทําอยางไร
ตัวอย่างที่ 40 (แนวตอบ จัดรูปของ tan 15 ํ และ tan 75 ํ ให
ใหพิสูจนวา tan 15 ํ + tan 75 ํ = 4 อยูในรูปของฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวก
หรือผลตางของจํานวนจริงสองจํานวน คือ
วิธีทํา tan 15 ํ + tan 75 ํ = tan (45 ํ - 30 ํ) + tan (30 ํ + 45 ํ) tan 15 ํ = tan (45 ํ - 30 ํ) และ tan 75 ํ =
= ( 1tan 45 ํ - tan 30 ํ tan 30 ํ + tan 45 ํ
+ tan 45 ํ tan 30 ํ ) + ( 1 - tan 30 ํ tan 45 ํ ) tan (30 ํ + 45 ํ)
• จากตัวอยางที่ 40 นักเรียนใชสูตรใดบาง
1 - 33 3+1
ในการพิสูจน
= + 3
1 + 33 1 - 33 (แนวตอบ tan (α + β) = 1ta-ntαan+αttaannββ
( 1 - 33 )(1 - 33 ) + ( 33 + 1)(1 + 33 ) และ tan (α - β) = 1ta+ntαan-αtatannββ )
=
(1 + 33 )(1 - 33 )
เขาใจ (Understanding)
[ 12 - 2 33 + ( 33 )2] + [12 + 2 33 + ( 33 )2]
= 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
12 - ( 33 )2 หนา 71 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมาแสดงวิธที าํ
1 - 2 33 + 39 + 1 + 2 33 + 39 บนกระดาน โดยครูและนักเรียนในชั้นเรียน
= รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
1 - 39
8 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.7 ในแบบฝกหัด
= 32 เปนการบาน
3
=4
ลองทําดู
ใหพิสูจนวา tan 105 ํ - tan 15 ํ = -4

ฟงกชันตรีโกณมิติ 71

ขอสอบเนน การคิด
ใหหาคาของ cos 105 ํ + sin 75 ํ - tan 15 ํ เทากับเทาใด
1. - 4 + 3 22 - 2 3 2. - 4 + 22 + 2 3 3. - 4 - 22- 2 3 4. - 4 - 3 22 + 2 3
(เฉลยคําตอบ cos 105 ํ + sin 75 ํ - tan 15 ํ
= cos (60 ํ + 45 ํ) + sin (45 ํ + 30 ํ) - tan (45 ํ - 30 ํ)
= (cos 60 ํ cos 45 ํ - sin 60 ํ sin 45 ํ) + (sin 45 ํ cos 30 ํ + cos 45 ํ sin 30 ํ) - tan 45 ํ - tan 30 ํ
1 + tan 45 ํ tan 30 ํ
1 - 3
= [( 12 )( 22 ) - ( 23 ) ( 22 )] + [( 22 ) ( 23 ) + ( 22 ) ( 12 )] - 3 = 22 - 12 -66 3
1 + (1) ( 33 )
= 42 - 46 + 46 + 42 - 3 - 3 = 22 - 4 - 22 3
3+ 3
2
= 4 - 2 3 - 3 •
(3 - 3
) = - 4 - 22- 2 3
3+ 3 3- 3
2 3 2 - 2(3)( 3) + ( 3) 2 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
= 2 -
3 2 - ( 3)2
= 22 - 9 - 96 -33 + 3
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
แบบฝึกทักษะ 1.7
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร (อ อ น ระดับพื้นฐาน
ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน 1. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ โดยใชฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและ
• ใหนักเรียนแตละกลุมทําแบบฝกทักษะ 1.7 ผลตางของจํานวนจริงหรือมุม
ขอ 5.-11. ในหนังสือเรียน หนา 72-73 1) sin (60 ํ + 45 ํ) 2) cos ( 32π - π6 ) 3) sin 75 ํ
• เมื่ อ นั ก เรี ย นทุ ก กลุ  ม ทํ า เสร็ จ แล ว ครู สุ  ม
4) cos 15 ํ 5) tan 105 ํ 6) sin 712π
นักเรียนออกมาแสดงวิธีทําอยางละเอียด
หน า ชั้ น เรี ย น โดยมี ค รู แ ละนั ก เรี ย นใน 7) cos 1712π 8) tan 1112π 9) tan (- 512π )
ชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 2. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
1) cos 10 π cos π - sin π sin π
15 10 15 2) sin 37π cos 221π - cos 37π sin 221π
3) cos 45π cos 20π + sin 4π sin π
5 20 4) sin 5 ํ cos 25 ํ + cos 5 ํ sin 25 ํ
5) cos 20 ํ cos 40 ํ - sin 20 ํ sin 40 ํ 6) cos 75 ํ cos 45 ํ - cos 15 ํ cos 315 ํ
3. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1) sin ( π2 + θ) = cos θ 2) cos (32π - θ) = -sin θ
3) tan ( π2 + θ) = -cot θ 4) sin (90 ํ - A) = cos A
5) cos (270 ํ + B) = sin B 6) tan (90 ํ - A) = cot A
7) sin (π + θ) = -sin θ 8) cos (90 ํ + A) = -sin A
4. กําหนด sin A = 12 และ cos B = 12 เมื่อ 0 < A < π2 และ 0 < B < π2
ใหหาคาของ sin (A + B) และ cos (A - B)

ระดับกลาง
5. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1) cot (270 ํ + A) = -tan A
2) cot (2π - θ) = -cot θ
3) cot (32π - θ) = tan θ
6. กําหนด tan A = - 43 และ cos B = 45 เมื่อ π2 < A < π และ 0 < B < π2
ใหหาคาของ tan (A + B)
72

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


กอนใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.7 ในหนังสือเรียน หนา 72-73 ครูควร ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
ใหนักเรียนชวยกันบอกแนวคิดการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอวา • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
ควรจะใชผลบวกหรือผลตางของสองจํานวนใด จึงจะเหมาะสม คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
• ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ยกตั ว อย า งโจทย ที่ ส อดคล อ งกั บ สู ต ร
ฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือ
มุม และแสดงวิธีทํา
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T78
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
7. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ • cos (α - β) หาไดอยางไร
tan 13 ํ + tan 32 ํ
1) tan 2) 1tan 25 ํ - tan 85 ํ (แนวตอบ
13 ํ tan 32 ํ - 1 + tan 85 ํ tan 25 ํ
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β)
3) -tan 15 ํ - 1
tan 15 ํ - 1 4) cot 25 ํ cot 20 ํ - 1
cot 25 ํ + cot 20 ํ • cos (α + β) หาไดอยางไร
5) tan 75 ํ - tan 30 ํ - tan 75 ํ tan 30 ํ 6) cot 75 ํ + cot 60 ํ + cot 75 ํ cot 60 ํ (แนวตอบ
8. ใหเขียนฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้ในรูปของฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและ cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β)
ผลตางของจํานวนจริงหรือมุม • sin (α + β) หาไดอยางไร
(แนวตอบ
1) 12 cos θ + 23 sin θ
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β)
2) 1 sin θ - 1 cos θ • sin (α - β) หาไดอยางไร
2 2
1 + tan θ (แนวตอบ
3) 3 tan θ sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β)
1- • tan (α + β) หาไดอยางไร
3
9. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง (แนวตอบ tan (α + β) = 1ta-ntαan+αttaannββ )
1) cos ( π6 + A) cos ( π6 - A) - sin ( π6 + A) sin ( π6 - A) = 12 • tan (α - β) หาไดอยางไร
2) sin 3θ cos θ + cos 3θ sin θ = 2 sin 2θ cos 2θ (แนวตอบ tan (α - β) = 1ta+ntαan-αtatannββ )
3) 1tan- tan
4A + tan 3A = tan 7A
4A tan 3A
4θ cos θ - 1 cot 3θ cot 2θ - 1 ขัน้ ประเมิน
4) cot
cot θ + cot 4θ = cot 2θ cot 3θ 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.7
10. กําหนด 1tan- tan
A + tan B = 3 เมื่อ 0 < A < 90 ํ และ 0 < B < 90 ํ
A tan B 3 2. ครูตรวจ Exercise 1.7
ใหหาคาของ A + B 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ระดับทาทาย 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
sin (A - B) = 5 ใหหาคาของ tan A • cot B 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
11. กําหนด sin (A + B) 7 มุงมั่นในการทํางาน

ฟงกชันตรีโกณมิติ 73

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


จงพิสจู นวา sin 15 ํ = cos 75 ํ ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม จากการทํ า
(เฉลยคําตอบ sin 15 ํ = sin (90 ํ - 75 ํ) แบบฝกทักษะ 1.7 ขอ 5.-11. ในขัน้ ลงมือทํา โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล
จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1
= sin 90 ํ cos 75 ํ - cos 90 ํ sin 75 ํ
= (1) cos 75 ํ - (0) sin 75 ํ แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่

= cos 75 ํ
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน

ดังนั้น sin 15 ํ = cos 75 ํ) 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T79
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครู ท บทวนความรู  เ รื่ อ ง ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ
ของผลบวกของจํานวนจริงหรือมุม โดยการถาม
1.8 ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องสองเทา สามเทา
คําถาม ดังนี้ และครึง่ เทาของจํานวนจริงหรือมุม
• สูตรการหาคาของ sin (A + B) คืออะไร จากหัวขอฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม นักเรียนสามารถ
(แนวตอบ นําความรูด งั กลาวมาหาคาของฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องสองเทา สามเทา และครึง่ เทาของจํานวนจริง
sin (A + B) = sin A cos B + cos A sin B) หรือมุมได ดังนี้
1. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องสองเทาของจํานวนจริงหรือมุม
ขัน้ สอน
รู (Knowing) 1) การหาคาของ sin 2α
เนื่องจาก sin 2α = sin (α + α)
1. ครูถามคําถามนักเรียน โดยครูยงั ไมใหนกั เรียน = sin α cos α + cos α sin α
เปดหนังสือเรียน ดังนี้ = sin α cos α + sin α cos α
• การหาคาของ sin 2α ตองใชความรูเรื่องใด = 2 sin α cos α
(แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ สรุปไดวา
ของผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน โดย sin 2α = 2 sin α cos α
จัดรูป sin 2α ใหอยูในรูป sin (α + α)) 2) การหาคาของ cos 2α
• นักเรียนสามารถหา sin (α + α) ไดอยางไร เนื่องจาก cos 2α = cos (α + α)
(แนวตอบ sin (α + α) หาไดจากสูตร = cos α cos α - sin α sin α
sin (A + B) = sin A cos B + cos A sin B = cos2 α - sin2 α
ซึ่งจะไดวา sin (α + α) กําหนด cos 2α = cos2 α - sin2 α .....(1)
= sin α cos α + cos α sin α เนื่องจาก sin2 α + cos2 α = 1
แทน cos2 α = 1 - sin2 α ใน (1)
= sin α cos α + sin α cos α
จะได cos 2α = (1 - sin2 α) - sin2 α
= 2 sin α cos α) = 1 - 2 sin2 α
• การหาคาของ cos 2α ตองใชความรูเ รือ่ งใด สรุปไดวา
(แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ cos 2α = 1 - 2 sin2 α
ของผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน โดย แทน sin2 α = 1 - cos2 α ใน (1)
จัดรูป cos 2α ใหอยูในรูป cos (α + α)) จะได cos 2α = cos2 α - (1 - cos2 α)
= 2 cos2 α - 1
สรุปไดวา
cos 2α = 2 cos2 α - 1
74

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ครูอาจใหนักเรียนจับคูศึกษาเนื้อหาในหนังสือเรียน หนา 74-75 แลวถาม ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน คละความสามารถทาง
คําถามเพื่อประเมินความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธของ cos 2α คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
ทั้ง 3 แบบ เชน นักเรียนจะรูไดอยางไรวาจะตองนําความสัมพันธใดมาใชจึงจะ เดียวกัน แลวใหแตละกลุม รวมกันสรุปฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องสองเทา
สะดวกและเหมาะสม ของจํานวนจริงหรือมุม แลวยกตัวอยางโจทยที่สอดคลองกับการ
หาคาของ sin 2α, cos 2α และ tan 2α พรอมทั้งแสดงวิธีการหา
คําตอบอยางละเอียด จากนั้นใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูล
ผานโปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T80
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• นักเรียนสามารถหา cos 2α ไดอยางไร
3) การหาคาของ tan 2α
เนื่องจาก tan 2α = tan (α + α) (แนวตอบ cos 2α หาไดจากสูตร
cos (A + B) = cos A cos B - sin A sin B
= 1tan- tan
α + tan α
α tan α ซึ่งจะไดวา cos 2α = cos (α + α)
= 2 tan α
= cos α cos α - sin α sin α
1 - tan2α
สรุปไดวา = cos2 α - sin2 α)
tan 2α = 2 tan α2 2. ครูเขียน cos 2α = cos2 α − sin2 α บนกระดาน
1 - tan α
และกําหนดใหเปนสมการ (1) จากนั้นครูบอก
ตัวอย่างที่ 41 กับนักเรียนวา sin2 α + cos2 α = 1 เสมอ
กําหนด sin θ = 45 และ cos θ < 0 เมื่อ π2 < θ < π ใหหาคาของ เพราะเปนเอกลักษณตรีโกณมิติ จากนั้นครู
1) sin 2θ 2) cos 2θ 3) tan 2θ ถามคําถาม ดังนี้
• ถานักเรียนแทนคา cos2 α = 1 - sin2 α
วิธีทํา เนื่องจาก sin2 θ + cos2 θ = 1 ลงในสมการ (1) แลวคาของ cos 2α เทากับ
( 45 ) + cos θ = 1
2 2
จะได เทาใด
cos2 θ = 1 - 16
25 (แนวตอบ cos 2α = 1 - 2 sin2 α)
cos2 θ = 259 • ถานักเรียนแทนคา sin2 α = 1 - cos2 α
cos θ = ± 35 ลงในสมการ (1) แลวคาของ cos 2α เทากับ
เนื่องจาก cos θ < 0 จะได cos θ = - 35 เทาใด
( 4) (แนวตอบ cos 2α = 2 cos2 α - 1)
tan θ sin
= cos θ = 53 = - 43
θ
3. ครูถามคําถามนักเรียนโดยครูยังไมใหนักเรียน
(- 5 )
เปดหนังสือเรียนวา
1) sin 2θ = 2 sin θ cos θ = 2 ( 45 )(- 35) = - 24
25 • tan 2α สามารถหาไดอยางไร
ดังนั้น sin 2θ = - 24
25 (แนวตอบ หาไดโดยจัดรูป ta n 2α ใหอยูใน
2) cos 2θ = 2 cos2θ - 1 = 2 (- 35)2 - 1 = - 257 รูป ta n (α + α) แลวใชสูตร
ดังนั้น cos 2θ = - 257 ta n (A + B) = 1ta-ntAan+AttaannBB
2(- 43 ) 24 จะไดวา ta n (2α) = tan (α + α)
3) tan 2θ = 2 tan θ2 = =
1 - tan θ 1 - (- 4 )2 7
3 = 1ta-ntαan+αttaannαα
ดังนั้น tan 2θ = 247 = 2 tan α2 )
1 - tan α
ฟงกชันตรีโกณมิติ 75 4. ครูยกตัวอยางที่ 41 ในหนังสือเรียน หนา 75
บนกระดาน และเปดโอกาสใหนักเรียนถาม
เมื่อเกิดขอสงสัย

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาตัวอยางที่ 41 ในหนังสือเรียน ครูอาจใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายในตัวอยางที่ 41 ในหนังสือเรียน
หนา 75 วา การหาคาของ sin 2θ, cos 2θ และ tan 2θ นักเรียน หนา 75 โดยเนนคําถามฝกคิดวิเคราะห และครูควรเนนยํ้าการใชเอกลักษณ
ควรใชความสัมพันธใด เพราะเหตุใด ตรีโกณมิติ sin2 θ + cos2 θ = 1 ในการชวยหาคาของ sin θ และ cos θ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T81
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
5. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 42 ใน
ลองทําดู
หนังสือเรียน หนา 76 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน กําหนด cos θ = 135 และ sin θ > 0 เมื่อ 0 < θ < π2 ใหหาคาของ
1) sin 2θ 2) cos 2θ 3) tan 2θ
เขาใจ (Understanding)
ตัวอย่างที่ 42
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ใหแสดงวา tan θ sin 2θ = 1 - cos 2θ
หนา 76 เมื่อทําเสร็จแลว ครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ วิธีทํา sin θ • (2 sin θ cos θ)
tan θ sin 2θ = cos θ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.8 ขอ 1. และ = 2 sin2θ
ขอ 5. ในหนังสือเรียน หนา 80 = 1 - (1 - 2 sin2 θ)
= 1 - cos 2θ
รู (Knowing)
ดังนั้น tan θ sin 2θ = 1 - cos 2θ
1. ครูถามนักเรียนวา
• การหาคาของ sin 3α ตองใชความรูเรื่องใด ลองทําดู
(แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ ใหแสดงวา 1 -sincos
2A = cot A
ของผลบวกของจํานวนสองจํานวน โดยจัด 2A
รูป sin 3α ใหอยูในรูป sin (2α + α))
2. ครูและนักเรียนรวมกันหาคาของ sin 3α 2. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องสามเทาของจํานวนจริงหรือมุม
จนสรุปไดวา sin 3α = 3 sin α - 4 sin3 α 1) การหาคาของ sin 3α
เนื่องจาก sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β
จะได sin 3α = sin (2α + α)
= sin 2α cos α + cos 2α sin α
= (2 sin α cos α)cos α + (cos2 α - sin2 α)sin α
= 2 sin α cos2 α + cos2 α sin α - sin3 α
= 2 sin α(1 - sin2 α) + (1 - sin2 α)sin α - sin3 α
= 2 sin α - 2 sin3 α + sin α - sin3 α - sin3 α
= 3 sin α - 4 sin3 α
สรุปไดวา
sin 3α = 3 sin α - 4 sin3 α

76

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรอธิบายเพิม่ เติมในเรือ่ งของการเปลีย่ น cos2 α ใหอยูใ นรูปของ sin α ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาวา ถาใชคาของ cos 2α
โดยการใชเอกลักษณตรีโกณมิติ ดังนี้ เทากับ 1 - 2 sin2 α หรือ 2 cos2 α - 1 จะสามารถหาคาของ sin 3α
sin2 α + cos2 α = 1 ไดหรือไม เพราะเหตุใด
cos2 α = 1 - sin2 α หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T82
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูถามนักเรียนวา
2) การหาคาของ cos 3α
เนื่องจาก cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β • การหาคาของ cos 3α ตองใชความรูเ รือ่ งใด
จะได cos 3α = cos (2α + α) (แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ
= cos 2α cos α - sin 2α sin α ของผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน โดย
= (2 cos2 α - 1)cos α - (2 sin α cos α) sin α จัดรูป cos 3α ใหอยูในรูป cos (2α + α))
= 2 cos3 α - cos α - 2 sin2 α cos α 4. จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
= 2 cos3 α - cos α - 2(1 - cos2 α) cos α วิธีการหาคาของ cos 3α จนสรุปไดวา
= 2 cos3 α - cos α - 2 cos α + 2 cos3 α cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α
= 4 cos3 α - 3 cos α 5. ครูถามนักเรียนวา
สรุปไดวา • การหาคาของ tan 3α ตองใชความรูเรื่องใด
cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α (แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ
3) การหาคาของ tan 3α ของผลบวกของจํานวนจริงสองจํานวน โดย
จัดรูป ta n 3α ใหอยูในรูป ta n (2α + α))
เนื่องจาก tan (α + β) = 1tan- tan
α + tan β
α tan β 6. จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
จะได tan 3α = tan (2α + α) วิธีการหาคาของ ta n 3α จนสรุปไดวา
= 1tan- tan
2α + tan α 3
2α tan α ta n 3α = 3 tan α - ta2n α
2 tan α2 + tan α 1 - 3 tan α
= 1 - tan α
1 - 1 2- tan α
tan2 α • tan α
2 tan α + tan α(1 - tan2 α)
= 1 - tan 1 - tan2 α
2 α - 2 tan2 α
1 - tan2 α
3
= 2 tan α1 +- tan α - tan α
3 tan2 α
3
= 3 tan α - tan α
2
1 - 3 tan α
สรุปไดวา
3
tan 3α = 3 tan α - tan α
1 - 3 tan2 α

ฟงกชันตรีโกณมิติ 77

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ ครูอาจใหนักเรียนที่มีความสามารถทางคณิตศาสตรออกมาอธิบายการหา
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง คาของ cos 3α และอาจใหนักเรียนชวยกันเสนอแนวคิดการหาคาของ tan 3α
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ตามแนวคิดตางๆ
• ใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนวิธีการหาคา tan 3α ที่ไมเหมือน
ในหนังสือเรียน
• ใหนักเรียนนําความรูที่สืบคนไดมาสรุปรวมกันภายในกลุม
• ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ

T83
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
7. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 43-44 ใน
ตัวอย่างที่ 43
หนังสือเรียน หนา 78 จากนั้นครูถามคําถาม
นักเรียน ดังนี้ กําหนด cos 17 ํ = 0.9563 ใหหาคาของ cos 51 ํ
• ในตัวอยางที่ 43 สิง่ ทีโ่ จทยกาํ หนดใหคอื อะไร วิธีทํา จาก cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α
(แนวตอบ cos 17 ํ = 0.9563) จะได cos 51 ํ = cos 3(17 ํ)
• ในตัวอยางที่ 43 นักเรียนสามารถหา cos 51 ํ = 4 cos3 17 ํ - 3 cos 17 ํ
ไดอยางไร และมีคาเทากับเทาใด = 4(0.9563)3 - 3(0.9563)
(แนวตอบ จัดรูป cos 51 ํ จัดใหอยูในรูปของ ≈ 3.4982 - 2.8689

cos 3(17 ํ) จากนัน้ ใชสตู ร = 0.6293


cos 3α = 4 cos3 α − 3 cos α ดังนั้น cos 51 ํ ≈ 0.6293
จะได cos 3(17 )ํ = 4 cos3 17 ํ − 3 cos 17 ํ
ดังนั้น cos 51 ํ ≈ 0.6293) ลองทําดู
• ในตัวอยางที่ 44 สิง่ ทีโ่ จทยกาํ หนดใหคอื อะไร กําหนด sin θ = - 35 เมื่อ π < θ < 32π
(แนวตอบ tan A = 34 เมื่อ 0 < A < π2 ) ใหหาคาของ cos 3θ
• ในตัวอยางที่ 44 นักเรียนสามารถหา tan 3A
ไดอยางไร และมีคาเทากับเทาใด ตัวอย่างที่ 44
(แนวตอบ หาไดจากสูตร กําหนด tan A = 34 เมื่อ 0 < A < π2 ใหหาคาของ tan 3A
3
tan 3A = 3 tan A + ta2n A
1 - 3 tan A วิธีทํา จาก tan 3α = 3 tan α - tan3 α
ดังนั้น tan 3A = - 117 44 )
1 - 3 tan2 α
3 A 3( 34 ) - ( 34 )
3
จะได 3 tan A - tan
tan 3A = 1 - 3 tan2 A = = - 117
เขาใจ (Understanding) 1 - 3(34)2 44
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดังนั้น tan 3A = - 117
44
หนา 78 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมาเฉลย
คําตอบบนกระดาน โดยครูตรวจสอบความ ลองทําดู
ถูกตอง
กําหนด sin A = 35 เมื่อ π2 < A < π
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.8 ขอ 2. และ
ใหหาคาของ tan 3A
ขอ 6. ในหนังสือเรียน หนา 80

78

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูอาจยกตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติโดยใช ครูแบงกลุม ใหนกั เรียน กลุม ละ 3-4 คน แลวใหแตละกลุม ชวยกัน
sin 3α, cos 3α และ tan 3α หาขนาดของมุม A เมื่อ (sin B + sin C)2 - sin2 A = sin B sin C
เมื่อ sin B 0 และ sin C 0
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T84
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)

3. ฟงกชนั ตรีโกณมิตขิ องครึง่ เทาของจํานวนจริงหรือมุม 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการหาคาของ cos α2 และ


1) การหาคาของ cos α2 sin α2 จากนั้นขออาสาสมัครนักเรียนออกมา
เนื่องจาก cos α = cos 2(α2 ) เขียนแสดงวิธกี ารหาในแตละขัน้ ตอน แลวรวม
กันสรุปไดวา
cos α = 2 cos2 α2 - 1
cos2 α2 = 1 + 2cos α cos (α2 ) = ± cos α2 + 1 และ
cos α2 = ± 1 + 2cos α sin (α2 ) = ± 1 - cos
2
α

สรุปไดวา 2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 45 ใน
cos α2 = ± 1 + 2cos α หนังสือเรียน หนา 79 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2) การหาคาของ sin α2
เนื่องจาก cos α = cos 2(α2 ) เขาใจ (Understanding)
cos α = 1 - 2 sin2 α2 1. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “Thinking Time” จากนัน้
sin2 α2 = 1 - cos α
ครูสมุ นักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบนกระดาน
2
sin α2 = ± 1 - cos α
Thinking Time โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบ
2
สรุปไดวา ใหแสดงวา ความถูกตอง
tan α2 = ± 11 +- cos α 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.8 ขอ 3.-4.
sin α2 = ± 1 - cos
2
α cos α
และ ขอ 7. ในหนังสือเรียน หนา 80 จากนั้น
ตัวอย่างที่ 45
ครูสุมนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบนกระดาน
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
ใหหาคาของ sin 15 ํ
ลงมือทํา (Doing)
วิธีทํา จาก sin α2 = ± 1 - cos 2
α
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
จะได sin 15 ํ = sin ( 302 ํ )
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
= ± 1 - cos 2
30 ํ และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ทําแบบฝกทักษะ
1- 3 1.8 ขอ 8.-10. ในหนังสือเรียน หนา 81 จากนัน้
= ± 22 ครูสุมนักเรียน 3 กลุม ออกมาเฉลยวิธีการหา
ดังนั้น sin 15 ํ = ± 2 -4 3 คําตอบบนกระดาน โดยครูและเพือ่ นในชัน้ เรียน
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
ฟงกชันตรีโกณมิติ 79 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.8 ในแบบฝกหัด
เปนการบาน

กิจกรรม ทาทาย เฉลย Thinking Time

ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวชวยกันหาคาของ sin α2


tan α2 =
2 2 2 cos α2
( sina A + sinb B + sinc C ) sin A2 sin B2 sin C2
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง ±
1 - cos α
= 2
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม 1 + cos α
±
เดียวกัน 2
1 - cos α
= ±
2
1 + cos α
2

= ±
1 - cos α
1 + cos α

T85
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ ลองทําดู
• สูตรการหาคาของ sin (2α) คืออะไร
ใหหาคาของ cos 22.5 ํ
(แนวตอบ sin (2α) = 2 sin α cos α)
• สูตรการหาคาของ cos (2α) คืออะไร
(แนวตอบ cos (2α) = cos2 α - sin2 α แบบฝึกทักษะ 1.8
= 1 - 2 sin2 α = 2 cos2 α - 1)
ระดับพื้นฐาน
• สูตรการหาคาของ tan (2α) คืออะไร
(แนวตอบ ta n (2α) = 2 ta n α2 ) 1. กําหนด cos A = 178 และ 0 < A < 90 ํ ใหหาคาของ
1 - ta n α 1) sin 2A 2) cos 2A 3) tan 2A
• สูตรการหาคาของ sin (3α) คืออะไร 2. กําหนด sin A = 135 และ 0 < A < π2 ใหหาคาของ
(แนวตอบ sin (3α) = 3 sin α - 4 sin3 α) 1) sin 3A 2) cos 3A 3) tan 3A
• สูตรการหาคาของ cos (3α) คืออะไร
3. กําหนด sin A = 35 และ 0 < A < 90 ํ ใหหาคาของ
(แนวตอบ cos (3α) = 4 sin3 α - 3 cos α) 1) sin A2 2) cos A2 3) tan A2
• สูตรการหาคาของ tan (3α) คืออะไร
3
(แนวตอบ ta n (3α) = 3 ta n α - ta2n α ) ระดับกลาง
1 - 3 ta n α
• สูตรการหาคาของ sin ( α2 ) คืออะไร 4. ใหหาคาของ
1) sin2 15 ํ + sin2 45 ํ
(แนวตอบ sin (α2 ) = ± 1 - cos
2 )
α
2) cos2 15 ํ + cos2 45 ํ
• สูตรการหาคาของ cos ( α2 ) คืออะไร 3
15 ํ + sin3 15 ํ
3) cos
cos 15 ํ + sin 15 ํ
(แนวตอบ cos ( α2 ) = ± cos α2 + 1 )
5. กําหนด cot A = 12 เมื่อ 0 ≤ A ≤ 90 ํ ใหหาคาของ 1 +sincos
2A
2A
ขัน้ ประเมิน 6. แสดงใหเห็นวา ฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.8 1) 1 +sincos 2α
2α = cot α 2) 1 +sincosα α
α = tan 2
2. ครูตรวจ Exercise 1.8 3) cot α - tan α = 2 cot 2α cot2 α = cosec 2α
4) 1 2+cot α
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน cos 3 α - sin 3α 3 3
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 5) cos α + sin α = 1 - 2 sin 2α 6) 4 sin sin α + sin 3α 4 cos α - cos 3α
α + cos α =6
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 7. กําหนด A + B = 55 ํ และ 4 sin (A - B) cos (A - B) = 1 ใหหาคาของ B
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 80

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม ทาทาย


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําแบบฝก ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวชวยกันหาคาของ
ทักษะ 1.8 ขอ 8.-10. ในขั้นลงมือทํา โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล a2 sin(B - C) + b2 sin(C - A) + c2 sin(A - B)
จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1 sin B + sin C sin C + sin A sin A + sin B
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T86
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครูทบทวนความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติของ
ระดับทาทาย ผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม แลว
ถามคําถาม ดังนี้
8. ใหหาคาของ cos 20 ํ cos 40 ํ cos 80 ํ
• สูตรการหาคาของ sin (A + B) คืออะไร
9. กําหนด sin2(π + θ) - cos2(π - θ) = 12 á¹Ðá¹Ç¤
Ô´
(แนวตอบ
ใหหาคาของ sec 2θ + 2 tan θ2 ¢ŒÍ 8. ãˌ㪌¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸
sin (A + B) = sin A cos B + cos A sin B)
1 + tan θ ¢Í§ cos 2 α ÁÒª‹ÇÂã¹
2 - 3 2 +
10. กําหนด sin (A + B) = 10 และ sin (A - B) = 10 3 ¡ÒÃËÒ¤í ҵͺ • สูตรการหาคาของ sin (A - B) คืออะไร
ใหหาคาของ sin 2A sin 2B (แนวตอบ
sin (A - B) = sin A cos B - cos A sin B)
• สูตรการหาคาของ cos (α - β) คืออะไร
(แนวตอบ
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β)
1.9 ความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และผลคูณ • สูตรการหาคาของ cos (α + β) คืออะไร
ของฟงกชนั ตรีโกณมิติ (แนวตอบ
cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β)
กิจกรรม คณิตศาสตร์
ขัน้ สอน
1. ใหนักเรียนเติมคําตอบลงในชองวางใหสมบูรณ รู (Knowing)
กําหนด sin (α + β) = ......................................................................... .....(1) 1. ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
sin (α - β) = .......................................................................... .....(2)
........ + ........ จะได sin (α + β) + sin (α - β) = ....................................... • ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน
สรุปไดวา
คละความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน
2 sin α cos β = .......................................................... ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
• ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันตอบคําถามใน
- ........ จะได
........ sin (α + β) - sin (α - β) = .......................................
กิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 81
สรุปไดวา
2 cos α sin β = ..........................................................
และแลกเปลี่ยนความรูกับเพื่อนสมาชิกใน
กลุม จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2. นักเรียนคิดวา การหาคาของ 2 cos α cos β และ 2 sin α sin β ตองใชคาของฟงกชันตรีโกณมิติของ • ครู สุ  ม นั ก เรี ย นออกมาตอบคํ า ถามของ
ผลบวกหรือผลตางใดบาง และมีวิธีการหาคาอยางไร
กิจกรรมคณิตศาสตร โดยครูและนักเรียน
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
ฟงกชันตรีโกณมิติ 81

เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร
sin α cos β + cos α sin β
1. กําหนด sin (α + β) = ............................................................. .....(1) 2. หาคาของ 2 cos α cos β และ 2 sin α sin β จากผลบวกและผลตาง
sin α cos β - cos α sin β
sin (α - β) = .............................................................. .....(2) ของ cos (α + β) ถึง cos (α - β) ดังนี้
(1) + ...........
........... 2 sin α cos β .
(2) จะได sin (α + β) + sin (α - β) = .................................... cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β .....(1)
cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β .....(2)
สรุปไดวา
(1) + (2) จะได cos (α + β) + cos (α - β) = 2 cos α cos β
sin (α + β) + sin....................
2 sin α cos β = .................................... (α - β)
(2) - (1) จะได cos (α - β) - cos (α + β) = 2 sin α sin β
(1) - ...........
........... 2 cos α sin β .
(2) จะได sin (α + β) - sin (α - β) = ....................................
สรุปไดวา
sin (α + β) - sin....................
2 cos α sin β = .................................... (α - β)

T87
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. จากการทํากิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน
จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะไดวา
หนา 81 ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β .....(1)
• sin (α + β) เทากับเทาใด
(แนวตอบ sin α cos β + cos α sin β) sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β .....(2)
• sin (α - β) เทากับเทาใด (1) + (2) จะได sin (α + β) + sin (α - β) = 2 sin α cos β
(แนวตอบ sin α cos β - cos α sin β) สรุปไดวา
• sin (α + β) + sin (α - β) เทากับเทาใด 2 sin α cos β = sin (α + β) + sin (α - β)
(แนวตอบ 2 sin α cos β) (1) - (2) จะได sin (α + β) - sin (α - β) = 2 cos α sin β
• sin (α + β) - sin (α - β) เทากับเทาใด
สรุปไดวา
(แนวตอบ 2 cos α sin β)
2 cos α sin β = sin (α + β) - sin (α - β)
3. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมตอบคําถามตอไปนี้
• นักเรียนสามารถหาคาของ 2 cos α cos β ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถหาคาของ 2 cos α cos β และ 2 sin α sin β โดยใชวิธี
และ 2 sin α sin β โดยใชวิธีเดียวกับการหา เดียวกันกับการหาคาของ 2 sin α cos β และ 2 cos α sin β ซึ่งมีคา ดังนี้
คาของ 2 sin α cos β และ 2 cos α sin β
ไดอยางไร 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β)
(แนวตอบ 2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β)
2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β)
และ
นอกจากความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติดังกลาว
ยังมีความสัมพันธอื่น ๆ อีก ดังนี้
2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β))
4. ครูเขียนความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง กําหนด x+y = α .....(1)
และผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติอื่นๆ บน x-y = β .....(2)
กระดาน ดังนี้ (1) + (2) จะได 2x = α + β
กําหนด x + y = α .....(1) x = α 2+ β
x-y=β .....(2) (1) - (2) จะได 2y = α - β
แลวถามคําถามนักเรียนวา y = α 2- β
• นักเรียนหาคําตอบของระบบสมการ
ไดอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ขึ้ น อยู  กั บ พื้ น ฐานความรู  เช น ใช ส มบั ติ
การเทากันและแกสมการหาคา x แลวนําคา x 82
ที่ไดไปแทนคาเพื่อหาคา y ตอไป)

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ความสัมพันธทั้ง 4 แบบ ใชเพื่อ ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล ว ช ว ยกั น พิ จ ารณาสู ต รความสั ม พั น ธ
เปลี่ยนฟงกชันตรีโกณมิติที่อยูในรูปผลคูณใหอยูในรูปผลบวกหรือผลตางของ ระหวางผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติสูผลบวกหรือผลตางของ
ฟงกชันไซนหรือฟงกชันโคไซน ซึ่งผลบวกและผลตางจะทําใหไดรูปอยางงาย ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
ถากําหนดให α + β = A และ α - β = B นักเรียนจะหา A
และ B ในรูปของ α และ β ไดหรือไม อยางไร
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T88
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• คําตอบของระบบสมการขางตนเทากับเทาใด
เนื่องจาก sin (x + y) + sin (x - y) = 2 sin x cos y
(แนวตอบ x = α 2+ β และ y = α 2- β )
แทนคา x = α 2+ β และ y = α 2- β จะได
5. ครูเขียนความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง
sin ( α 2+ β + α 2- β ) + sin ( α 2+ β - α 2- β ) = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) และผลคูณของฟงกชนั ตรีโกณมิตอิ นื่ ๆ เพิม่ เติม
sin α + sin β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) บนกระดาน ดังนี้
สรุปไดวา sin (x + y) + sin (x - y) = 2 sin x cos y
sin α + sin β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) แลวครูถามคําถามนักเรียนวา
• ถานักเรียนแทนคา x และ y ในความสัมพันธ
ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถหาคาของ sin α - sin β, cos α + cos β และ cos α - cos β ขางตน จะไดผลลัพธเปนอยางไร
โดยใชวิธีเดียวกันกับการหาคาของ sin α + sin β ซึ่งมีคา ดังนี้ (แนวตอบ
sin α - sin β = 2 cos α 2+ β sin α 2- β sin ( α 2+ β + α 2- β ) + sin ( α 2+ β - α 2- β )
cos α + cos β = 2 cos α 2+ β cos α 2- β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β ) )
cos α - cos β = -2 sin α 2+ β sin α 2- β 6. ครูขอตัวแทนนักเรียนออกมาหาคาของ
sin α - sin β, cos α + cos β และ
ตัวอย่างที่ 46 cos α - cos β โดยใชวธิ เี ดียวกับการหาคาของ
sin α + sin β
ใหหาคาของ 2 cos 55 ํ cos 5 ํ - cos 50 ํ
(แนวตอบ
วิธีทํา เนื่องจาก 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β) sin α - sin β = 2 cos ( α 2+ β ) sin ( α 2- β )
จะได 2 cos 55 ํ cos 5 ํ - cos 50 ํ = [cos (55 ํ + 5 ํ) + cos (55 ํ - 5 ํ)] - cos 50 ํ
= (cos 60 ํ + cos 50 ํ) - cos 50 ํ cos α + cos β = 2 cos ( α 2+ β) cos ( α 2- β)
= cos 60 ํ cos α - cos β = -2 sin ( α 2+ β) cos ( α 2- β) )
= 12
ดังนั้น 2 cos 55 ํ cos 5 ํ - cos 50 ํ = 12

ลองทําดู
ใหหาคาของ 2 cos 50 ํ cos 70 ํ - cos 20 ํ

ฟงกชันตรีโกณมิติ 83

กิจกรรม สรางเสริม
ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาความสัมพันธของฟงกชัน
ตรีโกณมิติที่กําหนดใหตอไปนี้วา มีความจําเปนตองเปลี่ยนใหอยู
ในรูปผลบวกและผลตางหรือไม เพราะเหตุใด และเมื่อใชสูตร
ผลที่เกิดขึ้นเปนอยางไร
1. cos 80 ํ
2. cos 40 ํ
3. cos 160 ํ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T89
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
7. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 46-48 ใน
ตัวอย่างที่ 47
หนังสือเรียน หนา 83-84 จากนั้นแลกเปลี่ยน
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน ใหหาคาของ sin (56π - θ) + sin ( 56π + θ) - cos θ
8. จากตัวอยางที่ 48 ในหนังสือเรียน หนา 84 ครู วิธีทํา เนื่องจาก sin α + sin β = 2 sin α 2+ β cos α 2- β
อธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ใหนักเรียนฟงวา
จะได sin (56π - θ) + sin (56π + θ) - cos θ
cos 10 ํ = sin 80 ํ และ sin 70 ํ = cos 20 ํ นั้น
เปน Cofunction และ cos (-θ) = cos θ นั้น [(56π - θ) + (56π + θ)] [(56π - θ) - (56π + θ) ]
= 2 sin 2 cos 2 - cos θ
มาจากบทพิสูจนในหนังสือเรียน หนา 17 5 π
= 2 sin 6 cos (-θ) - cos θ
เขาใจ (Understanding) = 2 ( 12 ) cos θ - cos θ
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน =0
หนา 83-85 เมื่อทําเสร็จแลวครูและนักเรียน ดังนั้น sin (56π - θ) + sin (56π + θ) - cos θ = 0
รวมกันเฉลยคําตอบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.9 ขอ 1.-6. ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 85 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน
ใหหาคาของ [sin (34π + 116π ) - sin (34π - 116π )] tan (π6 )
ออกมาเฉลยคํ า ตอบหน า ชั้ น เรี ย น โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง ตัวอย่างที่ 48
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.9 เปนการบาน
ใหหาคาของ sin 40sinํ +70cosํ 10 ํ
ลงมือทํา (Doing)
วิธีทํา sin 40 ํ + cos 10 ํ = sin 40 ํ + sin 80 ํ
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ sin 70 ํ cos 20 ํ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 2 sin (40 ํ +2 80 ํ) cos (40 ํ 2- 80 ํ)
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ = cos 20 ํ
• ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.9 ขอ 7.-8. = 2 sin 60 ํ cos (-20 )ํ
cos 20 ํ Ô´
ในหนังสือเรียน หนา 85 á¹Ðá¹Ç¤
2 3 cos 20 ํ
• ใหนักเรียนแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู = (2) cos 10 í = sin 80 í
จนเปนที่เขาใจรวมกัน cos 20 ํ sin 70 í = cos 20 í
• ครูสุมนักเรียนในแตละกลุมออกมาเฉลย = 3 cos (-θ) = cos θ
คําตอบอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน ดังนั้น sin 40 ํ + cos 10 ํ = 3
sin 70 ํ
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 84

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


จากตัวอยางที่ 47 ในหนังสือเรียน หนา 84 ครูควรใหนักเรียนรวมกันเสนอ จงพิสูจนวา sin A + sin B A+B A+B
sin A - sin B = tan ( 2 ) cot ( 2 )
แนวคิดวาจะนําสูตรใดมาใช และครูควรนําเสนอการคิดแบบยอนกลับ โดย
A+B A-B
ใหนักเรียนพิจารณาความสัมพันธระหวาง sin ( 56π - θ) กับ sin ( 56π + θ) วา (เฉลยคําตอบ sin A + sin B = 2 sin ( 2 ) cos ( 2 )
sin A - sin B 2 sin A - B cos A + B
เปนการเปลี่ยนรูปจากสูตรใด นักเรียนจะเห็นวาการคิดแบบยอนกลับจะหา ( 2 ) ( 2 )
คําตอบไดสะดวกและรวดเร็ว
sin (A 2+ B) cos ( A 2- B )
= •
cos (A 2+ B) sin ( A 2- B )

= tan (A 2+ B ) cot ( A 2- B ) )

T90
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
ลองทําดู นักเรียน ดังนี้
• ความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และ
sin 110 ํ + sin 20 ํ
ใหหาคาของ cos ผลคูณของฟงกชันตรีโกณมิติมีอะไรบาง
110 ํ + cos 20 ํ
(แนวตอบ
2 sin α cos β = sin (α + β) + sin (α - β)
แบบฝึกทักษะ 1.9 2 cos α sin β = sin (α + β) - sin (α - β)
ระดับพื้นฐาน 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β)
1. ใหหาคาของ 2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β)
1) 2 sin 35 ํ cos 10 ํ - sin 25 ํ 2) 2 cos 35 ํ cos 25 ํ - cos 10 ํ sin α + sin β = 2 sin ( α 2+ β ) cos ( α 2- β )
4) 2 sin 715π cos 215π - sin 35π
sin α - sin β = 2 cos ( α 2+ β ) sin ( α 2- β )
3) 2 cos 50 ํ sin 10 ํ + sin 40 ํ
2. ใหหาคาของ
1) sin 50 ํ + sin 10 ํ - cos 20 ํ 2) cos 70 ํ + cos 50 ํ + cos 170 ํ cos α + cos β = 2 cos (α 2+ β) cos (α 2- β)
3) sin 75 ํ - sin 15 ํ 4) cos 70 ํ - cos 20 ํ cos α - cos β = -2 sin (α 2+ β) sin ( α 2- β ) )
cos 15 ํ + cos 75 ํ sin 20 ํ - sin 70 ํ

ระดับกลาง ขัน้ ประเมิน


3. กําหนด sin θ = 22 ใหหาคาของ cos (θ + π4 ) - cos (θ - π4 ) 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.9
4. กําหนด sin θ = 13 ใหหาคาของ cos (π3 + θ) - cos (π3 - θ) 2. ครูตรวจ Exercise 1.9
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
sin 10θ - sin 6θ
5. กําหนด tan θ = 13 ใหหาคาของ cos 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
10θ + cos 6θ
π ใหหาคาของ sin 26θ - sin 10θ
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
6. กําหนด θ = 24 sin 4θ + sin 12θ 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน
ระดับทาทาย
7. กําหนด cos 35 ํ + cos 15 ํ = a และ sin 35 ํ + sin 15 ํ = b
ใหหาคาของ sin 50 ํ
8. กําหนด sin A = k ใหหาคาของ 4 sin A sin (60 ํ + A) sin (60 ํ - A)

ฟงกชันตรีโกณมิติ 85

กิจกรรม สรางเสริม แนวทางการวัดและประเมินผล


ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาโจทยระดับทาทาย ขอ 7. ใน ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา
หนังสือเรียน หนา 85 นักเรียนคิดวา sin 50 ํ มีความสัมพันธกับ แบบฝกทักษะ 1.9 ขอ 7.-8. ในขั้นลงมือทํา โดยศึกษาเกณฑการวัด
cos α + cos β ที่กําหนดใหหรือไม อยางไร และประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการ
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน เรียนรูที่ 1

แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่


ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้

T91
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)


กําหนดขอบเขตของปญหา
ครูทบทวนความรูเ รือ่ ง ฟงกชนั ผกผัน แลวถาม
คําถามนักเรียน ดังนี้
1.10 ตัวผกผันของฟงกชนั ตรีโกณมิติ
• ตามความเขาใจของนักเรียน ตัวผกผันของ การหาตัวผกผันของฟงกชนั ตรีโกณมิตทิ าํ ไดโดยการสลับทีร่ ะหวางสมาชิกตัวหนาและสมาชิก
ฟงกชันเปนอยางไร ตัวหลังของแตละคูอ นั ดับทีเ่ ปนสมาชิกของฟงกชนั เนือ่ งจากฟงกชนั ตรีโกณมิตทิ กุ ฟงกชนั ไมเปน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบหลากหลาย ฟงกชัน 1-1 และตัวผกผันของฟงกชัน 1-1 เทานั้นที่เปนฟงกชัน ดังนั้น ตัวผกผันของฟงกชัน
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู เชน เปนความ ตรีโกณมิติจึงไมเปนฟงกชัน แตถากําหนดโดเมนของฟงกชันตรีโกณมิติใหเหมาะสม จะทําให
สั ม พั น ธ ที่ เ กิ ด จากการสลั บ ที่ ข องสมาชิ ก ตัวผกผันของฟงกชันตรีโกณมิติเปนฟงกชัน
ตัวหนาและตัวหลังของแตละคูอันดับที่เปน 1. ตัวผกผันของฟงกชนั ไซน
สมาชิกของฟงกชัน) พิจารณากราฟของ y = sin x เมื่อ -∞ < x < ∞ และ -1 ≤ y ≤ 1
• นักเรียนคิดวา ตัวผกผันของฟงกชตั รีโกณมิติ และกราฟของความสัมพันธ { (x, y)  x = sin y }
สามารถหาไดหรือไม Y
x = sin y
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรูของนักเรียน) π
π
2 y = sin x
ขัน้ สอน -2π - 3π -π - π 0 π π 3π 2π X
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 2 2 -π
2
2 2

1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการหาตั ว ผกผั น ของ -π


ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ จากนั้ น ครู ถ ามคํ า ถาม
นักเรียน ดังนี้ จากกราฟจะเห็นวา ความสัมพันธ { (x, y) y = sin x } ไมเปนฟงกชัน 1 - 1 แตถากําหนด
• จะทําอยางไรใหตัวผกผันของฟงกชัน โดเมนของ y = sin x เปน { x ∣ - π2 ≤ x ≤ π2 } จะไดวา { (x, y)  y = sin x, - π2 ≤ x ≤ π2 } เปน
ตรีโกณมิติเปนฟงกชัน ฟงกชัน 1-1 ทําใหไดฟงกชันผกผัน คือ {(x, y) x = sin y, - π2 ≤ y ≤ π2 } เรียกฟงกชันผกผัน
(แนวตอบ กําหนดโดเมนของฟงกชนั ตรีโกณมิต)ิ นี้วา arcsine
2. ครูเขียนกราฟของ y = sin x บนกระดาน
บทนิยาม ฟงกชัน arcsine คือ เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = sin y และ - π π
แลวถามนักเรียนวา 2 ≤y ≤ 2
• จากกราฟ y = sin x จะเปนฟงกชัน 1-1
เมื่อใด คณิตน่ารู้
(แนวตอบ เมื่อกําหนดโดเมนของ y = sin x ถา (x, y)∊arcsine จะได y = arcsine x หรือเขียนสั้น ๆ ไดเปน y = arcsin x โดย y = arcsin x
เปน { x ∣ - π2 ≤ x ≤ π2 } ) มีความหมายเดียวกันกับ x = sin y เมื่อ - π2 ≤ y ≤ π2
จากนั้นครูอธิบายวา เมื่อกําหนดโดเมนของ
y = sin x แลวทําใหความสัมพันธของ 86
{ (x, y)  y = sin x } เปนฟงกชัน 1-1 ทําใหได
ฟงกชนั ผกผัน เรียกฟงกชนั ผกผันนีว้ า arcsine

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรยกตัวอยางเพิม่ เติม โดยใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย แลวให ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาตัวผกผันของแตละฟงกชัน
นักเรียนรวมกันสรุปความรู และครูควรเนนยํ้ากับนักเรียนวา ฟงกชันตรีโกณมิติ ตอไปนี้ พรอมทั้งบอกวาเปนฟงกชันหรือไม
ทุกฟงกชนั ไมเปนฟงกชนั 1-1 และตัวผกผันของฟงกชนั 1-1 เทานัน้ ทีเ่ ปนฟงกชนั • r = { (1, 2), (2, 4), (4, 6), (5, 4), (7, 5) }
• h = { (x, y)  y = x2 + 1 }
• g = { (x, y)  2x - 3y = 5 }
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T92
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายบทนิยามของฟงกชัน arcsine คือ
พิจารณากราฟของฟงกชัน { (x, y)  y = sin x, - π2 ≤ x ≤ π
2 } และกราฟของฟงกชัน เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = sin y และ
{ (x, y)  y = arcsin x }
Y - π2 ≤ y ≤ π2
π
(1, 2 ) y = x
π
2 4. ครูใหนกั เรียนศึกษาความรูใ นกรอบ “คณิตนารู”
1 π,
( 2 1) ในหนังสือเรียน หนา 86
y = sin x 5. ครูเขียนกราฟของ y = arcsin x บนกระดาน
y = arcsin x
-1 0 1
X จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
- π2 π
2 • โดเมนของฟงกชัน arcsine คืออะไร
π
(- 2 , -1) -1 (แนวตอบ [-1, 1])
π
- π2 • เรนจของฟงกชัน arcsine คืออะไร
(-1, - 2 )
(แนวตอบ [- π2 , π2 ] )
y = arcsin x, -1 ≤ x ≤ 1 และ - 2π ≤ y ≤ 2π
6. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 49 ในหนังสือเรียน
จากกราฟจะเห็นวา โดเมนของฟงกชนั arcsine คือ [-1, 1] และเรนจของฟงกชนั arcsine คือ หนา 87-88 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
-π, π
[ 2 2] • y ที่อยูในชวง - π2 ถึง π2 จะตองมีคาเทากับ
เทาใด จึงจะทําให sin y มีคาเทากับ 22
ตัวอย่างที่ 49 (แนวตอบ y = π4 )
ใหหาคาของ • arcsin 22 เทากับเทาใด
1) arcsin 22 2) arcsin (- 23 )
(แนวตอบ arcsin 22 = π4 )
วิธีทํา 1) ให arcsin 22 = y • y ที่อยูในชวง - π2 ถึง π2 จะตองมีคาเทากับ
โดยบทนิยาม จะได sin y = 22 เมื่อ y∊[- π2 , π2 ] เทาใด จึงจะทําให sin y มีคาเทากับ - 23
เนื่องจาก sin π4 = 22 สําหรับทุก y∊[- π2 , π2 ] (แนวตอบ y = - π3 )

จะไดวา y = π4 • arcsin (- 23 ) เทากับเทาใด


ดังนั้น arcsin 22 = π4 (แนวตอบ arcsin (- 23 ) = - π3 )

ฟงกชันตรีโกณมิติ 87

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวสรางกราฟ y = sin x และ y = arcsin x จากกราฟ y = sin x ครูควรใหนักเรียนชวยกันพิจารณาหาชวงบนแกน X
ในโปรแกรม GeoGebra จาก https://www.geogebra.org/ ที่ทําใหกราฟเปนฟงกชัน 1-1 และฟงกชันนั้นมีเรนจเปน [-1, 1] ซึ่งผูเรียนควร
graphing แลวพิจารณาความสัมพันธ จากนั้นใหนักเรียนออกมา หาชวงไดตางกัน เชน [ π2 , 32π], [32π, 52π], [- π2 , π2 ], [32π, - π2 ]
นําเสนอหนาชั้นเรียน

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T93
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2) ให arcsin (- 23 ) = y
หนา 88 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 1. ขอยอย 1)
และ 4) ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูและ โดยบทนิยาม จะได sin y = - 23 เมื่อ y∊[- π2 , π2 ]
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ เนื่องจาก sin (- π3 ) = - 23 สําหรับทุก y∊[- π2 , π2 ]
จะไดวา y = - π3
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ดังนั้น arcsin (- 23 ) = - π3
1. ครูเขียนกราฟของ y = cos x บนกระดาน แลว
ถามนักเรียนวา
• จากกราฟ y = cos x จะเปนฟงกชัน 1-1 ลองทําดู
เมื่อใด ใหหาคาของ
(แนวตอบ เมื่อกําหนดโดเมนของ y = cos x 1) arcsin 12 2) arcsin (- 22 )
เปน { x  0 ≤ x ≤ π })
จากนั้นครูอธิบายวา เมื่อกําหนดโดเมนของ 2. ตัวผกผันของฟงกชนั โคไซน
y = cos x แลวทําใหความสัมพันธของ พิจารณากราฟของ y = cos x
{ (x, y)  y = cos x } เปนฟงกชัน 1-1 ทําให Y
ได ฟ  ง ก ชั น ผกผั น เรี ย กฟ ง ก ชั น ผกผั น นี้ ว  า 1
arccosine
X
2. ครูอธิบายบทนิยามของฟงกชนั arccosine คือ -2π - 3π
2
-π - π 0
2 -1
π
2
π 3π 2π
2
เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = cos y และ
0≤y≤π 1
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาความรูใ นกรอบ “คณิตนารู” จากกราฟจะเห็นวา ความสัมพันธ { (x, y) y = cos x } ไมเปนฟงกชนั 1-1 แตถา กําหนดโดเมน
ในหนังสือเรียน หนา 88 ของ y = cos x เปน { x  0 ≤ x ≤ π } จะไดวา { (x, y)  y = cos x, 0 ≤ x ≤ π } เปนฟงกชัน 1-1
ทําใหไดฟงกชันผกผัน คือ { (x, y)  x = cos y, 0 ≤ y ≤ π } เรียกฟงกชันผกผันนี้วา arccosine
2
บทนิยาม ฟงกชัน arccosine คือ เซตของคูอันดับ ((x, y) โดยที่ x = cos y และ 0 ≤ y ≤ π

คณิตน่ารู้
ถา (x, y)∊arccosine จะได y = arccosine x หรือเขียนสั้น ๆ ไดเปน y = arccos x
โดย y = arccos x มีความหมายเดียวกันกับ x = cos y เมื่อ 0 ≤ y ≤ π

88

นักเรียนควรรู กิจกรรม สรางเสริม


1 ฟงกชัน 1-1 (one-to-one function) หมายถึง y = f(x) จะเปนฟงกชัน ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันพิจารณากราฟ y = cos x
หนึ่งตอหนึ่ง ถา f(x1) = f(x2) แลว x1 = x2 แลวหาวา ชวงใดบางบนแกน X ที่ทําใหกราฟเปนฟงกชัน 1-1
2 คูอันดับ (ordered pair) หมายถึง การจับคูระหวางสิ่งสองสิ่งที่มี และฟงกชันนั้นมีเรนจเปน [-1, 1]
ความสัมพันธกัน และเขียนแสดงสิ่งที่มีความสัมพันธกันในวงเล็บ โดยมี หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
เครื่องหมายจุลภาคคั่น

T94
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูเขียนกราฟของ y = arccos x บนกระดาน
พิจารณากราฟของฟงกชัน { (x, y)y = cos x, 0 ≤ x ≤ π } และกราฟของฟงกชัน
{ (x, y) y = arccos x } จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
Y • โดเมนของฟงกชัน arccosine คืออะไร
(-1, π) π y=x (แนวตอบ [-1, 1] )
• เรนจของฟงกชัน arccosine คืออะไร
y = arccos x
π (แนวตอบ [0, π] )
2
(0, 1) 5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 50 ในหนังสือเรียน
-1
X หนา 89 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
(1, 0) π π
-1 2
y = cos x (π, -1) • y ที่อยูในชวง 0 ถึง π จะตองมีคาเทากับ
เทาใด จึงจะทําให cos y มีคาเทากับ 1
y = arccos x, -1 ≤ x ≤ 1 และ 0 ≤ y ≤ π (แนวตอบ y = 0)
จากกราฟจะเห็นวา โดเมนของฟงกชัน arccos คือ [-1, 1] และเรนจของฟงกชัน arccos คือ • arccos 1 เทากับเทาใด
[0, π] (แนวตอบ arccos 1 = 0)
• y ที่อยูในชวง 0 ถึง π จะตองมีคาเทากับ
ตัวอย่างที่ 50 เทาใด จึงจะทําให cos y มีคาเทากับ - 12
ใหหาคาของ
(แนวตอบ y = 23π )
1) arccos 1 2) arccos (- 12)
• arccos (- 12 ) เทากับเทาใด
วิธีทํา 1) ให arccos 1 = y
(แนวตอบ arccos (- 12 ) = 23π )
โดยบทนิยาม จะได cos y = 1 เมื่อ y∊[0, π]
เนื่องจาก cos 0 = 1 สําหรับทุก y∊[0, π]
จะไดวา y =0
ดังนั้น arccos 1 = 0
2) ให arccos (- 12) =y
โดยบทนิยาม จะได cos y = - 12 เมื่อ y∊[0, π]
เนื่องจาก cos 23π = - 12 สําหรับทุก y∊[0, π]
จะไดวา y = 23π
ดังนั้น arccos (- 12) = 23π

ฟงกชันตรีโกณมิติ 89

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวสรางกราฟ y = cos x และ y = arccos x ครูอาจใหความรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับสมบัตขิ องความสัมพันธฟง กชนั ตรีโกณมิติ
ในโปรแกรม GeoGebra จาก https://www.geogebra.org/ ของตัวผกผันของฟงกชันโคไซน ดังนี้
graphing แลวพิจารณาความสัมพันธ จากนั้นใหนักเรียนออกมา ให y = arccos (-x) เมื่อ y = [0, π]
นําเสนอหนาชั้นเรียน จะได cos y = -x
จาก cos (π - y) = -cos y
ดังนั้น cos (π - y) = -(-x) = x
จึงไดวา π - y = arccos x หรือ y = π - arccos x
สรุปไดวา arccos (-x) = π - arccos x

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T95
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 90 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 1. ขอยอย 2)
ใหหาคาของ
และ 5) ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1) arccos 23 2) arccos (- 22 )

แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 3. ตัวผกผันของฟงกชนั แทนเจนต


1. ครูเขียนกราฟของ y = tan x บนกระดาน แลว พิจารณากราฟของ y = tan x
ถามนักเรียนวา Y
• จากกราฟ y = tan x จะเปนฟงกชัน 1-1
เมื่อใด 1
(แนวตอบ เมื่อกําหนดโดเมนของ y = sin x
เปน { x ∣ - π2 < x < π2 } ) X
- 52π -2π- 3π -π - π 0 π π 3π 2π 5π
จากนั้นครูอธิบายวา เมื่อกําหนดโดเมนของ 2 2 2 2 2
y = tan x แลวทําใหความสัมพันธ { (x, y)  y = -1
tan x } เปนฟงกชนั 1-1 ทําใหไดฟง กชนั ผกผัน
เรียกฟงกชันผกผันนี้วา arctangent
2. ครูอธิบายบทนิยามของฟงกชัน arctangent จากกราฟจะเห็นวา ความสัมพันธ { (x, y)  y = tan x } ไมเปนฟงกชัน 1-1 แตถากําหนด
คือ เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = tan y โดเมนของ y = tan x เปน { x ∣ - π2 < x < π2 } จะไดวา { (x, y)  y = tan x, - π2 < x < π2 } เปน
และ - π2 < y < π2 ฟงกชัน 1-1 ทําใหไดฟงกชันผกผัน คือ { (x, y)  x = tan y, - π2 < y < π2 } เรียกฟงกชันผกผัน
นี้วา arctangent
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาความรูใ นกรอบ “คณิตนารู”
ในหนังสือเรียน หนา 90 บทนิยาม ฟงกชัน arctangent คือ เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่ x = tan y และ - π π
2 <y < 2

คณิตน่ารู้
ถา (x, y)∊arctangent จะได y = arctangent x หรือเขียนสั้น ๆ ไดเปน y = arctan x
โดย y = arctan x มีความหมายเดียวกันกับ x = tan y เมื่อ - π2 < y < π2

พิจารณากราฟของฟงกชัน {(x, y) y = tan x, - π2 < x < π


2 } และกราฟของฟงกชัน
{ (x, y) y = arctan x }
90

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูอาจใหความรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับสมบัตขิ องความสัมพันธฟง กชนั ตรีโกณมิติ ครูใหนักเรียนจับคูแลวสรางกราฟ y = tan x และ y = arctan x
ของตัวผกผันของฟงกชันแทนเจนต ดังนี้ ในโปรแกรม GeoGebra จาก https://www.geogebra.org/
ให y = arctan (-x) เมื่อ y = (- π2 , π2 ) graphing แลวพิจารณาความสัมพันธ จากนั้นใหนักเรียนออกมา
แลว tan y = -x นําเสนอหนาชั้นเรียน
ดังนั้น x = -tan (y) = tan (-y)
จึงไดวา -y = arctan x หรือ y = -arctan x
สรุปไดวา arctan (-x) = -arctan x

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T96
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
Y
y = tan x 4. ครูเขียนกราฟของ y = arctan x บนกระดาน
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• โดเมนของฟงกชัน arctangent คืออะไร
π
2 y = arctan x (แนวตอบ R)
1 • เรนจของฟงกชัน arctangent คืออะไร
X
- π2 -1 -1 0 1 π
2 (แนวตอบ (- π2 , π2 ) )
- π2
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 51 ในหนังสือเรียน
หนา 91 หลังจากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• y ทีอ่ ยูร ะหวาง - π2 กับ π2 จะตองมีคา เทากับ
y = arctan x, -∞ < x < ∞ และ - 2π < y < 2π
1 2 เทาใด จึงจะทําให tan y มีคาเทากับ 33
จากกราฟจะเห็นวา โดเมนของฟงกชัน arctan คือ R และเรนจของฟงกชัน arctan คือ (แนวตอบ y = π6 )
π π
(- 2 , 2 ) • arctan 33 เทากับเทาใด
ตัวอย่างที่ 51 (แนวตอบ arctan 33 = π6 )
ใหหาคาของ • y ทีอ่ ยูร ะหวาง - π2 กับ π2 จะตองมีคา เทากับ
1) arctan 33 2) arctan (-1) เทาใด จึงจะทําให tan y มีคาเทากับ -1
วิธีทํา 1) ให arctan 33 = y (แนวตอบ y = - π4 )
• arctan (-1) เทากับเทาใด
โดยบทนิยาม จะได tan y = 33 เมื่อ y∊(- π2 , π2 )
(แนวตอบ arctan (-1) = - π4 )
เนื่องจาก tan π6 = 33 สําหรับทุก y∊(- π2 , π2 )
จะไดวา y = π6
ดังนั้น arctan 33 = π6
2) ให arctan (-1) = y
โดยบทนิยาม จะได tan y = -1 เมื่อ y∊(- π2 , π2 )
เนื่องจาก tan (- π4 ) = -1 สําหรับทุก y∊(- π2 , π2 )
จะไดวา y = - π4
ดังนั้น arctan (-1) = - π4
ฟงกชันตรีโกณมิติ 91

กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวหาคาของ arctan x ในแตละขอตอไปนี้ 1 โดเมน (domain) หมายถึง เซตของสมาชิกตัวหนาของคูอันดับ
1. arctan 0 ในความสัมพันธ
2. arctan 1 2 เรนจ (range) หมายถึง เซตของสมาชิกตัวหลังของคูอ นั ดับในความสัมพันธ
3. arctan (-1)
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T97
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หนา 92 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 1. ขอยอย 3)
ใหหาคาของ
และ 6) ในหนังสือเรียน หนา 96 จากนั้นครูและ
นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 1) arctan 3 2) arctan (- 33 )

แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ จากบทนิยามฟงกชันผกผันของฟงกชันไซน ฟงกชันโคไซน และฟงกชันแทนเจนต สามารถ


สรุปความสัมพันธระหวางโดเมนและเรนจที่ทําใหแตละฟงกชันมีฟงกชันผกผันได ดังนี้
1. ครูใหนกั เรียนสรุปความสัมพันธระหวางโดเมน
และเรนจทที่ าํ ใหแตละฟงกชนั มีฟงกชนั ผกผัน ฟงกชัน โดเมน เรนจ
ได ในหนังสือเรียน หนา 92 ลงในสมุด y = sin x π π
[- 2 , 2 ] [-1, 1]
2. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน y = cos x [0, π] [-1, 1]
หนา 92 y = tan x π π
(- 2 , 2 ) R
3. ครูใหนักเรียนศึกษากราฟของฟงกชัน sine, คณิตน่ารู้
cosine และ tangent และกราฟของฟงกชัน สําหรับฟงกชัน arcsin, arccosine และ arctangent
มีโดเมนและเรนจ ดังนี้ ในหนังสือบางเลมจะเขียน
arcsine, arccosine และ arctangent ใน y = sin-1 x แทนฟงกชนั ผกผัน
หนังสือเรียน หนา 92-93 ฟงกชัน โดเมน เรนจ ของฟงกชันไซน
π π y = cos-1 x แทนฟงกชนั ผกผัน
y = arcsin x [-1, 1] [- 2 , 2 ] ของฟงกชันโคไซน
y = arccos x [-1, 1] [0, π] y = tan-1 x แทนฟงกชนั ผกผัน
y = arctan x π π ของฟงกชันแทนเจนต
R (- 2 , 2 )
กราฟของฟงกชัน sine, cosine, tangent และกราฟของฟงกชัน arcsine, arccosine
และ arctangent เปนดังนี้ Y
Y π
2
1

2
0 π
X -1 0 1 X
-1 2
- π2

y = sin x, - 2π ≤ x ≤ 2π y = arcsin x, -1 ≤ x ≤ 1

92

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ครูอาจใหความรูเ พิม่ เติมเกีย่ วกับโดเมนและเรนจของฟงกชนั arccotangent ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละความสามารถทาง
arcsecant และ arccosecant ดังนี้ คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน จากนั้น
ครูแจกกระดาษฟลิปชารตใหแตละกลุม กลุมละ 1 แผน โดยให
ฟงกชัน โดเมน เรนจ
แตละกลุมรวมกันเขียนสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางโดเมน
arccotangent R {y0 < y < π} และเรนจที่ทําใหแตละฟงกชันมีฟงกชันผกผันได พรอมทั้งตกแตง
arcsecant { x  x ≤ -1 หรือ x ≥ 1 } { y  0 ≤ y < π2 หรือ ใหสวยงาม เมือ่ ทําเสร็จแลวใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมานําเสนอ
π < y≤π} ผลงานหนาชั้นเรียน
2
arccosecant { x  x ≤ -1 หรือ x ≥ 1 } { y  0 < y ≤ π2 หรือ
- π2 ≤ y < 0}

T98
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
Y 4. ครูอธิบายตัวอยางที่ 52 ในหนังสือเรียน หนา 93
π บนกระดาน พรอมเปดโอกาสใหนักเรียนถาม
Y เมื่อเกิดขอสังสัย
1 π
5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา สําหรับโจทยที่เกี่ยวกับ
π 2 ตั ว ผกผั น ของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ บ างโจทย
2 π
X
0
-1 X นักเรียนอาจตองเปดตารางคาฟงกชนั ตรีโกณ-
-1 0 1
มิติหรือใชความรูจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
y = cos x, 0 ≤ x ≤ π y = arccos x, -1 ≤ x ≤ 1 ผลบวกและผลตางของจํานวนจริงหรือมุม
Y

Y
π
1 2
X 0 1 X
- π2 0 π -1
-1 2
- π2

y = tan x, - 2π < x < 2π y = arctan x, x∊R

ตัวอย่างที่ 52
ใหหาคาของ cos (arctan 3)
วิธีทํา ให arctan 3 =θ
จะได tan θ = 3 เมื่อ θ∊(- π2 , π2 )
เนื่องจาก tan π3 = 3 สําหรับทุก θ∊(- π2 , π2 )
จะได arctan 3 = π3
ดังนั้น cos (arctan 3) = cos π3 = 12

ลองทําดู
ใหหาคาของ tan (arcsin 23 )
ฟงกชันตรีโกณมิติ 93

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคาของความสัมพันธระหวาง ครูควรใชการถาม-ตอบ ใหนักเรียนฝกทักษะการคิดวิเคราะหและสรุป
ฟงกชันตรีโกณมิติกับฟงกชันผกผัน ดังนี้ ความรูไดถูกตอง เปนการตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนในการหาคาของ
ฟงกชันตรีโกณมิติที่เขียนขนาดของมุมในรูปฟงกชันผกผันวา จะมีคําตอบ
• cos (arccos (- 23 ) )
เพียง 1 คาเทานั้น
• sin (arcsin 12 )
• arcsin (sin 43π )
• arccos (sin 54π )
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T99
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 53-56
สําหรับโจทยที่เกี่ยวกับตัวผกผันของฟงกชันตรีโกณมิติบางโจทย นักเรียนอาจตองเปดตาราง
ในหนังสือเรียน หนา 94-95 แลวใหนักเรียน คาฟงกชันตรีโกณมิติหรือใชความรูจากฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริง
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่ หรือมุม ดังตัวอยางตอไปนี้
เขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูสมุ นักเรียน 4 คน ออกมา
ตัวอย่างที่ 53
แสดงวิธที าํ อยางละเอียด พรอมกับถามคําถาม
นักเรียนในหอง ใหนักเรียนรวมกันตรวจสอบ ใหหาคาของ arcsin 0.2079
พรอมกับแสดงแนวคิดที่ตางกันหรือวิธีการที่ วิธีทํา ให arcsin 0.2079 = θ
หลากหลาย จะได sin θ = 0.2079 เมื่อ θ∊[-90 ํ, 90 ํ]
7. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ จากการเปดตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
• arcsin 0.2079 เทากับ arccos 0.9781 หรือไม จะได sin 12 ํ = 0.2079 สําหรับทุก θ∊[-90 ํ, 90 ํ]
(แนวตอบ เทากัน เพราะ arccos 0.9781 = 12 )ํ ดังนั้น θ = 12 ํ

• การหาคาของ cos (arcsin 12 + arccos 23 ) นั่นคือ arcsin 0.2079 = 12 ํ


ตองใชความรูเรื่องใดบาง ลองทําดู
(แนวตอบ ใชความรูเ รือ่ ง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
ใหหาคาของ arctan 0.7813
และฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ข องผลบวกของ
จํานวนจริงหรือมุม) ตัวอย่างที่ 54

• การหาคาของ cos (2 arccos 12 ) ตองใช ใหหาคาของ sin (arcsin 35 + arccos 45)


ความรูเรื่องใดบาง วิธีทํา ให arcsin 35 = A
(แนวตอบ ใชความรูเรื่อง ฟงกชันตรีโกณมิติ จะได sin A = 35 เมื่อ A∊[- π2 , π2 ]
ของสองเทาของจํานวนจริงหรือมุม) จาก sin A = 35 สรางรูปสามเหลี่ยมมุมฉากได ดังนี้ 5
จะได cos A = 45 3
ให arccos 45 = B A
4
จะได cos B = 45 เมื่อ B∊[0, π]
เนื่องจาก cos A = cos B จะได sin A = sin B = 35
ดังนั้น sin (arcsin 35 + arccos 45) = sin (A + B)
= sin A cos B + cos A sin B
= (35)(45) + (45)(35)
= 24 25
3 4 24
นั่นคือ sin (arcsin 5 + arccos 5) = 25
94

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรทบทวนตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ การอานคาฟงกชันตรีโกณมิติ ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันพิจารณาวา ตัวอยางที่ 53 และ 54
ของจํานวน 0 ถึง π4 หรือ 0 ํ ถึง 45 ํ ใหอานทางดานซายของตาราง โดยอาน ในหนังสือเรียน หนา 94 มีความเหมือนและแตกตางกันหรือไม
จากบนลงลาง แตถาคาฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวน π4 ถึง π2 หรือ 45 ํ ถึง 90 ํ อยางไร แลวจะตองใชความรูเ รือ่ งใดในการหาคําตอบ และคําตอบ
ใหอานทางดานขวามือของตาราง โดยอานจากลางขึ้นบน จะเปนคาคงตัวที่มีหลายคาหรือไม เพราะเหตุใด
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T100
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 93-96 และแบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 2.-5.
ใหหาคาของ tan (arccos 135 - arcsin 12
13) ในหนั ง สื อ เรี ย น หน า 96 จากนั้ น ครู แ ละ
ตัวอย่างที่ 55 นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
ใหหาคาของ cos (2 arcsin 14) 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.10 ในแบบฝกหัด
เปนการบาน
วิธีทํา ให arcsin 14 = θ
จะได sin θ = 14 เมื่อ θ∊[- π2 , π2 ] ขัน้ สรุป
ดังนั้น cos (2 arcsin 14) = cos 2θ ตรวจสอบและสรุป
= 1 - 2 sin2 θ
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
= 1 - 2(14)2
นักเรียน ดังนี้
= 78
• ฟงกชัน arcsine มีนิยามวาอยางไร
นั่นคือ cos (2 arcsin 14) = 78 (แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
โดยที่ x = sin y และ - π2 ≤ y ≤ π2 )
ลองทําดู
• โดเมนของฟงกชัน arcsine คืออะไร
ใหหาคาของ tan (2 arccos 35 )
(แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน arcsine คือ
ตัวอย่างที่ 56 [-1, 1])
ใหแสดงวา 2 arctan 13 = arctan 34 • เรนจของฟงกชัน arcsine คืออะไร
(แนวตอบ เรนจของฟงกชัน arcsine คือ
วิธีทํา ให arctan 13 = θ
[- π2 , π2 ] )
จะได tan θ = 13 เมื่อ θ∊(- π2 , π2 )
พิจารณา tan (2 arctan 13) = tan 2θ • ฟงกชัน arccosine มีนิยามวาอยางไร
(แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
= 2 tan θ2
1 - tan θ โดยที่ x = cos y และ 0 ≤ y ≤ π)
21 • โดเมนของฟงกชัน arccosine คืออะไร
= (31) 2 (แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน arccosine
1 - (3)
= 34 คือ [-1, 1] )
• เรนจของฟงกชัน arccosine คืออะไร
จะได tan (2 arctan 13) = 34 (แนวตอบ เรนจของฟงกชัน arccosine คือ
ดังนั้น 2 arctan 13 = arctan 34 [0, π] )
ฟงกชันตรีโกณมิติ 95 • ฟงกชัน arctangent มีนิยามวาอยางไร
(แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
โดยที่ x = tan y และ - π2 < y < π2 )

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคาของตัวผกผันในแตละขอ ครูควรทบทวนความรูเกี่ยวกับฟงกชันตรีโกณมิติของสองเทา สามเทา
ตอไปนี้ และครึ่งเทาของจํานวนจริง และในตัวอยางที่ 55 ในหนังสือเรียน หนา 95 ครู
1. 3 arcsin 13 ควรอธิบายการเลือกใช cos 2θ เพราะ cos 2θ เทากับ
2. 3 arccos 13 2 cos2 θ - 1 = 1 - 2 sin2 θ = 2 tan θ2
1 - tan θ
3. 3 arctan 13
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T101
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• โดเมนของฟงกชัน arctangent คืออะไร
ลองทําดู
(แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน a rcta ngent
คือ (- ∞, ∞)) ใหแสดงวา 2 arctan 38 = arctan 48
55
• เรนจของฟงกชัน arctangent คืออะไร
(แนวตอบ เรนจของฟงกชัน a rcta ngent แบบฝึกทักษะ 1.10
คือ (- π2 , π2 ) ) ระดับพื้นฐาน

ฝกปฏิบตั ิ 1. ใหหาคาของ
1) arcsin 1 2) arccos 22 3) arctan 1
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 4) arcsin (- 12 ) 5) arccos (- 23 ) 6) arctan (- 3)
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ 2. ใหหาคาในแตละขอตอไปนี้โดยใชตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ทําแบบฝกทักษะ 1.10 1) arcsin 0.4695 2) arcsin 0.5688 3) arccos 0.7451
ขอ 6. ในหนังสือเรียน หนา 96 4) arccos 0.8158 5) arctan 0.3839 6) arctan 1.1171
• ใหนักเรียนแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู
ระดับกลาง
ภายในกลุมและทําความเขาใจรวมกัน
• ครู สุ  ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมาเฉลย 3. ใหหาคาของ
คําตอบอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน 1) sin (arccos 14 ) 2) cos (arctan (-3)) 3) tan (arcsin (- 32 ))
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 4) cosec (arcsin 12 ) 5) sec (arccos (- 23 )) 6) cot (arcsin 1)
7) sin (arccos 0.5640) 8) cos (arctan 0.4348) 9) tan (arccos (-0.7771))
ขัน้ ประเมิน 4. ใหหาคาของ
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.10 1) sin ( 12 arccos 45 ) 2) cos ( 12 arccos 45 )
2. ครูตรวจ Exercise 1.10 3) sin (2 arccos (- 45 )) 4) tan (2 arcsin (- 12
13))
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 5. ใหหาคาของ
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 1) sin (arcsin 45 + arcsin 135 ) 2) tan (arcsin 12 - arccos 13 )
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 3) cos (arcsin 12 4 4) cos (arctan (- 43 ) + arcsin 12
13 + arcsin 5 ) 13)
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน ระดับทาทาย
6. ใหแสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้เปนจริง
1) arcsin 1 + arcsin 2 = π2 2) cos (2 arcsin x) = 1 - 2x2
5 5
96

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิด


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา คาของ cos (2 arcsin 13 ) -1 มีคาเทากับเทาใด
แบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 6. ในขั้นฝกปฏิบัติ โดยศึกษาเกณฑการวัด
และประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการ 1. 29 2. - 29 3. 12 4. - 12
เรียนรูที่ 1 (เฉลยคําตอบ ให a rcsin 13 = θ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
จะได sin θ = 13
นั่นคือ cos (2 arcsin 13 ) - 1 = cos 2θ - 1
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน

= 1 - 2 sin2 θ - 1
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

2
= 1 - 2 ( 13 ) - 1
เกณฑ์การให้คะแนน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../............... = - 29
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน

ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)


ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T102
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)

1.11 เอกลักษณตรีโกณมิติ และสมการตรีโกณมิติ ครูกลาวกับนักเรียนวา สําหรับหัวขอนี้ นักเรียน


จะไดนําความสัมพันธตางๆ ที่เกี่ยวกับฟงกชัน
(Trigonometric Identities and Trigonometric Equations)
ตรีโกณมิตมิ าใชเพือ่ แสดงความเทากันทุกประการ
ในหัวขอที่ผานมา นักเรียนไดศึกษาความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และผลคูณของ ระหวางฟงกชันตรีโกณมิติที่แตกตางกันตั้งแต 2
ฟงกชนั ตรีโกณมิติ สําหรับหัวขอนี้ นักเรียนจะไดนาํ ความสัมพันธตา ง ๆ ทีเ่ กีย่ วกับฟงกชนั ตรีโกณมิติ ฟงกชนั ขึน้ ไป ซึง่ จะเรียกวา “การพิสจู นเอกลักษณ
มาใชเพื่อแสดงความเทากันทุกประการระหวางฟงกชันตรีโกณมิติที่แตกตางกันตั้งแต 2 ฟงกชัน ตรีโกณมิติ”
ขึ้นไป ซึ่งเรียกวา การพิสูจนเอกลักษณตรีโกณมิติ
1. เอกลักษณตรีโกณมิติ (Trigonometric Identities) ขัน้ สอน
รู (Knowing)
พิจารณาสมการตอไปนี้ คณิตน่ารู้
cos θ + sin θ = 1 1. ครูเขียนสมการ cos2 θ + 2 sin2 θ = 1 .....(1) บน
สมการที่มีฟงกชัน กระดาน แลวอธิบายวาสมการนีเ้ ปนจริง สําหรับ
cos2 θ + sin2 θ = 1 ตรีโกณมิติปรากฏอยู เรียกวา
จะเห็นวา สมการ cos θ + sin θ = 1 เปนจริงสําหรับ สมการตรีโกณมิติ ทุก θ เรียกสมการตรีโกณมิติที่เปนจริงสําหรับ
บาง θ แตสมการ cos2 θ + sin2 θ = 1 เปนจริงสําหรับทุก θ ทุกคาของ θ วา เอกลักษณตรีโกณมิติ
เรียกสมการตรีโกณมิติ ที่เปนจริงสําหรับทุกคาของ θ วา เอกลักษณตรีโกณมิติ 2. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
การพิสจู นเอกลักษณเปนการแสดงใหเห็นวาคาทัง้ สองขางของสมการเทากันจริง โดยใชความ • ถานํา cos2 θ หารสมการ (1) จะไดผลลัพธ
สัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติ ซึ่งเอกลักษณที่พิสูจนแลวสามารถนําไปอางอิงในการพิสูจน เปนอยางไร
เอกลักษณอื่น ๆ ได (แนวตอบ (1) ÷ cos2 θ
2 2
ตัวอย่างที่ 57
จะได cos2 θ + sin 2θ = 12
cos θ cos θ cos θ
ใหพิสูจนวา sec4 x - sec2 x = tan2 x + tan4 x ดังนั้น 1 + tan2 θ = sec2 θ)
• ถานํา sin2 θ หารสมการ (1) จะไดผลลัพธ
วิธีทํา sec4 x - sec2 x = (sec2 x)2 - (1 + tan2 x)
เปนอยางไร
= (1 + tan2 x)2 - (1 + tan2 x)
(แนวตอบ (1) ÷ sin2 θ
2 2
1 + tan x = sec x = 1 + 2 tan2 x + tan4 x - 1 - tan2 x 2 2
= tan2 x + tan4 x จะได cos2 θ + sin2 θ = 12
sin θ sin θ sin θ
ดังนั้น sec4 x - sec2 x = tan2 x + tan4 x ดังนั้น cot 2 θ + 1 = cosec2 θ)
ลองทําดู
ใหพิสูจนวา tan4 x + 2 tan2 x + 1 = 14
cos x
ฟงกชันตรีโกณมิติ 97

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ เนื้อหาในหัวขอนี้จะมีความซับซอน นักเรียนตองเลือกใชสูตรตางๆ ให
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง เหมาะสม และครูควรใชการถาม-ตอบวา นักเรียนตองนําความสัมพันธใดมาใช
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ในแตละขั้นตอน เพื่อใหนักเรียนไดคิดวิเคราะห ครูอาจใหนักเรียนรวมกัน
• ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม สรุ ป เอกลั ก ษณ ต รี โ กณมิ ติ พร อ มทั้ ง อภิปรายในตัวอยางที่ 57 ในหนังสือเรียน หนา 97 จะตองใชวิธีการใดใหเกิด
ยกตัวอยางและแสดงวิธีการพิสูจน ความสัมพันธของฟงกชัน tangent
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T103
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 57-59 ใน
ตัวอย่างที่ 58
หนังสือเรียน หนา 97-98 แลวแลกเปลี่ยน
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ใหพิสูจนวา 1 +sincos
θ = 1 - cos θ
θ sin θ
จากนั้ น ครู ถ ามคํ า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความ วิธีทํา sin θ sin θ 1 - cos θ
เขาใจของนักเรียน ดังนี้ 1 + cos θ = 1 + cos θ × 1 - cos θ
= sin θ(1 - cos θ)
• จากตัวอยางที่ 57 เพราะเหตุใดจึงนําคา 1 - cos2 θ
Ô´
1 + tan2 x แทนคา sec2 x = sin θ(1 -2 cos θ)
sin θ á¹Ðá¹Ç¤
(แนวตอบ เพราะตองการจัดรูป sec x ใหอยู ¤Ù³·Ñé§àÈÉáÅÐʋǹ´ŒÇÂ
= 1 -sincos θ
1 - cos θ
ในรูป tan x) θ
θ = 1 - cos θ
ดังนั้น 1 +sincos θ sin θ

ลองทําดู
ใหพิสูจนวา 1 cos θ 1 + sin θ
- sin θ = cos θ
ตัวอย่างที่ 59
sin 7x - sin 3x - sin 5x + sin x = tan 2x
ใหพิสูจนวา cos 7x + cos 3x - cos 5x - cos x
sin 7x - sin 3x - sin 5x + sin x = (sin 7x - sin 3x) - (sin 5x - sin x)
วิธีทํา cos 7x + cos 3x - cos 5x - cos x (cos 7x + cos 3x) - (cos 5x + cos x)
= 22cos
cos 5x sin 2x - 2 cos 3x sin 2x
5x cos 2x - 2 cos 3x cos 2x
= 2 cos 2x(cos 5x
2 sin 2x(cos - cos 3x)
5x - cos 3x)
sin 2x
= cos 2x
= tan 2x
ดังนั้น cos 7x + cos 3x - cos 5x - cosx x = tan 2x
sin 7x - sin 3x - sin 5x + sin

ลองทําดู
sin 4x - sin (-2x) - sin 6x + sin (-4x) = cot x
ใหพิสูจนวา cos (-2x) - cos 4x - cos (-4x) + cos 6x

98

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใชคาํ ถามนําทางในการคิดของนักเรียนวา ฟงกชนั ตรีโกณมิตทิ งั้ สอง ครูใหนักเรียนจับคูพิจารณาตัวอยางที่ 59 ในหนังสือเรียน
ขางของสมการสามารถจัดรูปไดหรือไม ถาไมมีจะตองทําอยางไร ครูอาจตอง หนา 98 ฟงกชันตรีโกณมิติดานซายของสมการวา ขนาดของมุม
แนะนําเทคนิคการนําฟงกชันตรีโกณมิติคูณทั้งตัวเศษและตัวสวน เพื่อใหเกิด ที่ตัวเศษและตัวสวนสัมพันธกันอยางไร จะใชสูตรใดมาชวยใน
ความสัมพันธที่สามารถจัดรูปได การจัดรูปไดบาง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T104
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากตัวอยางที่ 58 เพราะเหตุใดจึงนําคา
ในการพิสูจนเอกลักษณที่เกี่ยวของกับรูปสามเหลี่ยม จะพบวาโจทยกําหนดเงื่อนไข เชน
“ในรูปสามเหลี่ยม ABC หรือ A + B + C = 180 ํ” หลักการพิสูจนจะใชความสัมพันธของ 1 - cos2 θ แทนคา sin2 θ
มุมประกอบหนึ่งมุมฉาก หรือมุมประกอบสองมุมฉาก ดังตัวอยางตอไปนี้ (แนวตอบ เพราะตองการจัดรูป cos x ใหอยู
ในรูป sin x)
ตัวอย่างที่ 60 • จากตัวอยางที่ 59 ใชความสัมพันธใดของ
กําหนด A + B + C = 180 ํ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ใหพิสูจนวา cos A + cos B + cos C = 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 ( แนวตอบ ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งผลบวก
ของฟงกชันตรีโกณมิติที่วา
วิธีทํา cos A + cos B + cos C = 2 cos (A +2 B) cos ( A 2- B ) + cos C sin α - sin β = 2 cos ( α 2+ β ) sin ( α 2- β ) )
= 2 sin C2 cos ( A 2- B ) + 1 - 2 sin2 C2 4. ครูอธิบายวา การพิสูจนเอกลักษณที่เกี่ยวของ
= [2 sin C2 cos ( A 2- B ) - 2 sin2 C2 ] + 1 กับรูปสามเหลี่ยมจะใชหลักการความสัมพันธ
= 2 sin C2 [cos ( A 2- B ) - sin C2 ] + 1 ของมุมประกอบหนึ่งมุมฉาก หรือมุมประกอบ
สองมุมฉาก จากนั้นครูยกตัวอยางที่ 60 ใน
= 2 sin C2 [cos ( A 2- B ) - cos (A +2 B)] + 1 หนังสือเรียน หนา 99 บนกระดาน แลวถาม
= 2 sin C2 (2 sin A2 sin B2 ) + 1 นักเรียนวา
= 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 • จากตัวอยางที่ 60 ใชความสัมพันธใดของ
ฟงกชันตรีโกณมิติ
ดังนั้น cos A + cos B + cos C = 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 (แนวตอบ ความสัมพันธระหวางผลบวกของ
ฟงกชันตรีโกณมิติที่วา
ลองทําดู
cos α + cos β = 2 cos (α 2+ β) cos (α 2- β))
กําหนด A + B + C = 180 ํ
ใหพิสูจนวา sin A + sin B - sin C = 4 sin A2 sin B2 sin C2 เขาใจ (Understanding)
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2. สมการตรีโกณมิติ (Trigonometric Equations) หนา 97-99 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
นักเรียนทราบมาแลววา ฟงกชนั ตรีโกณมิตโิ ดยทัว่ ไปไมเปนฟงกชนั 1-1 ทําใหคา ของฟงกชนั คําตอบ
ตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ อาจจะมีคาซํ้ากันได เชน sin π6 และ sin 56π มีคาซํ้ากัน
คือ 12
ดังนั้น ในการหาคําตอบของสมการตรีโกณมิติ ถาโจทยไมไดกําหนดใหคําตอบอยูในชวงใด
ชวงหนึ่ง คําตอบจะอยูในรูปของคาทั่วไป
ฟงกชันตรีโกณมิติ 99

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูพิจารณาตัวอยางที่ 60 ในหนังสือเรียน ครูควรเนนยํ้านักเรียนเกี่ยวกับโจทยการพิสูจนเอกลักษณที่เกี่ยวของกับ
หนา 99 แลวตอบคําถามตอไปนี้ รูปสามเหลี่ยมที่ตองใชสูตรมากกวาหนึ่งสูตร คือ ใชความสัมพันธ ( π2 - θ),
• A + B2 + C เทากับเทาใด (π2 + θ) และตองระมัดระวังคาของฟงกชันตรีโกณมิติที่เปนลบ -1 ≤ cos θ ≤ 1
และ -1 ≤ sin θ ≤ 1 ตามขนาดของ θ และครูควรอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยง
• A 2+ B มีความสัมพันธกับ C2 อยางไร
สูตรตางๆ ที่นํามาใช
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T105
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู อ ธิ บ ายว า ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ โ ดยทั่ ว ไป
ตัวอย่างที่ 61
ไมเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง ซึ่งทําใหคาของ
ฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมใดๆ แกสมการ cos x = 23 เมื่อ 0 < x < π2
อาจจะมีคาซํ้ากันได ดังนั้น ในการหาคําตอบ วิธีทํา เนื่องจาก 0 < x < π2 จะไดวา คาของ x ในชวงนี้ที่ทําให cos x = 23 คือ π6
ของสมการตรีโกณมิติ ถาโจทยไมไดกาํ หนดให ดังนั้น เซตคําตอบ คือ {π6 }
คําตอบอยูในชวงใดชวงหนึ่ง คําตอบจะอยูใน
รูปของคาทั่วไป ลองทําดู
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 61-64 ใน แกสมการ tan x = - 3 เมื่อ - π2 < x < 0
หนังสือเรียน หนา 100-101 แลวแลกเปลี่ยน
ตัวอย่างที่ 62
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
3. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ แกสมการ tan θ = 1
3
นักเรียน ดังนี้
วิธีทํา Y จากวงกลมหนึ่งหนวย จะเห็นวาคา θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π ที่
• จากตัวอยางที่ 61 x ที่อยูในจตุภาคที่ 1 ทําให tan θ = 1 คือ π6 และ 76π
จะตองมีคาเทากับเทาใด จึงจะทําให cos x P1
3
มีคาเทากับ 23 และ tan (2nπ + 6 ) = tan π6 = 1 เมื่อ n∊I
π
0 X 3
(1, 0) 7 7 1
(แนวตอบ x = π6 ) P2
π
tan (2nπ + 6 ) = tan 6 = π
3
เมื่อ n∊I
• จากตัวอยางที่ 62 θ ที่อยูในชวง 0 ถึง 2π เนื่องจากโจทยไมไดกําหนดใหคําตอบอยูในชวงใดชวงหนึ่ง
จะตองมีคาเทากับเทาใด จึงจะทําให tan θ ดังนัน้ คาทัว่ ไปของ θ ทีท่ าํ ใหสมการเปนจริง คือ 2nπ + π6
เทากับ 1 และ 2nπ + 76π เมือ่ n∊I
3
(แนวตอบ θ = π6 และ 76π ) ลองทําดู
แกสมการ cos θ = 12
ตัวอย่างที่ 63

แกสมการ cos 2θ + 3 sin θ = 2


วิธีทํา cos 2θ + 3 sin θ =2
(1 - 2 sin2 θ) + 3 sin θ =2
2 sin2 θ - 3 sin θ + 1 = 0
(2 sin θ - 1)(sin θ - 1) = 0
100

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรอธิบายและเนนยํา้ นักเรียนวา การแกสมการตรีโกณมิตมิ คี วามยุง ยาก ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาสมการ 2 sin2 x - 3 cos x = 3
ซับซอนกวาการแกสมการพหุนาม นักเรียนตองใชความสัมพันธระหวางฟงกชัน พรอมทั้งตอบคําถาม ดังนี้
ตรีโกณมิติและความสัมพันธระหวางมุม ซึ่งตองเลือกใชสูตรใหเหมาะสม • สมการนี้มีกี่ตัวแปร อะไรบาง
• ตองทําอยางไรจึงจะไดสมการที่มีตัวแปร 1 ตัว
• สมการที่มี sin θ เปนตัวแปร ทําอยางไรจึงจะหาคา sin θ ได
• ทําอยางไรจึงจะหาคา θ ได และตองเขียนคําตอบอยางไร
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T106
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• จากตัวอยางที่ 63 ในหนังสือเรียน หนา
จะได sin θ = 12 หรือ sin θ = 1
100-101 นั ก เรี ย นจะมี วิ ธีก ารแก ส มการ
เนื่องจาก คา θ เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให sin θ = 12 คือ π6 และ 56π cos 2θ + 3 sin θ = 2 ไดอยางไร
คา θ เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให sin θ = 1 คือ π2 (แนวตอบ เปลี่ยน cos 2θ เปน 1 - 2 sin2 θ
นั่นคือ คําตอบของสมการในชวง [0, 2π] คือ π6 , 56π และ π2 จะได (1 - 2 sin2 θ) + 3 sin θ = 2 จากนั้น
ดังนั้น คาทั่วไปของ θ ที่ทําใหสมการเปนจริง คือ 2nπ + π6 , 2nπ + 56π แกสมการ 2 sin2 θ - 3 sin θ + 1 = 0 โดย
และ 2nπ + π2 เมื่อ n∊I การแยกตัวประกอบ)
• จากตัวอยางที่ 64 ในหนังสือเรียน หนา 101
ลองทําดู นั ก เรี ย นจะมี วิ ธีก ารแก ส มการ 2 cos 2 x
แกสมการ cos 2θ - 1 = 0 + 2 cos2x = 1 ไดอยางไร
(แนวตอบ เปลี่ยน cos 2x เปน 2 cos2 x - 1
ตัวอย่างที่ 64
จะได 2 cos2 x + 2(2cos2 x - 1) = 1 จากนั้น
แกสมการ 2 cos2 x + 2 cos 2x = 1 แกสมการ 6 cos2 x = 3)
วิธีทํา 2 cos2 x + 2 cos 2x = 1
ลงมือทํา (Doing)
2 cos2 x + 2(2 cos2 x - 1) = 1
2 cos2 x + 4 cos2 x - 2 = 1 1. ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
6 cos2 x = 3 • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
cos x = ± 1 ความสามารถทางคณิตศาสตร
2
จะได cos x = 1 หรือ cos x = - 1 • ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ช ว ยกั น ทํ า แบบฝ ก
2 2 ทักษะ 1.11 ในหนังสือเรียน หนา 102 แลว
เนื่องจาก คา x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให cos x = 1 คือ π4 และ 74π
2 แลกเปลี่ยนความรูภายในกลุม
คา x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ที่ทําให cos x = - 1 คือ 34π และ 54π • ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม ออกมาเฉลยคําตอบ
2
นั่นคือ คําตอบของสมการในชวง [0, 2π] คือ π4 , 34π , 54π และ 74π อยางละเอียด โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
ดังนั้น คาทั่วไปของ x ที่ทําใหสมการเปนจริง คือ 2nπ + π4 , 2nπ + 34π , 2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.11 ในแบบฝกหัด
2nπ + 54π และ 2nπ + 74π เมื่อ n∊I เปนการบาน

ลองทําดู
แกสมการ 4 cos2 x - 4 cos 2x + 2 = 5

ฟงกชันตรีโกณมิติ 101

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ จากตัวอยางที่ 64 ครูควรใหนักเรียนชวยกันเสนอแนวคิดวาจะใชสูตรใด
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง เพราะเหตุใด ซึ่งนักเรียนอาจจะจัดรูป ดังนี้
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน (2 cos2x - 1) + 2 cos 2x = 0
• ใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนสมการตรีโกณมิติทางอินเทอรเน็ต cos 2x + 2 cos 2x = 0
มากลุมละ 1 ขอ พรอมทั้งแสดงวิธีทําอยางละเอียด
3 cos 2x = 0
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ cos 2x = 0
ตามที่นักเรียนถนัด 2x = 2nπ + π2 , 2nπ + 32π
x = nπ + π4 , nπ + 34π
ครูควรใหนักเรียนเลือกแสดงวิธีทําตามที่เสนอแนะ เพื่อเปรียบเทียบวิธีการ
แกสมการ

T107
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ แบบฝึกทักษะ 1.11
• สมการทีม่ ฟี ง กชนั ตรีโกณมิตอิ ยูเ รียกวาอะไร
(แนวตอบ สมการตรีโกณมิติ) ระดับพื้นฐาน
• เพราะเหตุใดสมการ cos2 θ + sin2 θ = 1 1. ใหพิสูจนเอกลักษณตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
จึงเปนเอกลักษณตรีโกณมิติ 1) cos θ (tan θ + cot θ) = cosec θ 2) sin 2θ cot θ - 1 = cos 2θ
(แนวตอบ เพราะสมการนี้ เปนจริงสําหรับ 3) sin θ + cos θ = 1 - 12 sin θ
4 4 2
4) sec2 θ + cosec2 θ = sec2 θ cosec2 θ
ทุก θ) 5) tan2 θ - sin2 θ = tan2 θ sin2 θ 6) cossin2θ2θ+ +cossinθ θ+ 1 = tan θ
ขัน้ ประเมิน ระดับกลาง
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.11 2. ใหพิสูจนเอกลักษณตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
2. ครูตรวจ Exercise 1.11 1) cos 4x = 4 cos 2x + 8 sin4 x - 3
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 2) tan (π4 - x) = 1 cos 2x
+ sin 2x
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 3) 1 + cos x + cos 2x + cos 3x = 4 cos x cos 3x2 cos x2
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3. กําหนด A + B + C = 180 ํ ใหพิสูจนวา tan A + tan B + tan C = tan A tan B tan C
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 4. แกสมการในแตละขอตอไปนี้ เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π
1) cot x + 2 sin x = cosec x
2) 4 tan x sin2 x + 3 = 4 sin2 x + 3 tan x
3) cot x cos 2x + tan x sin 2x = cot x
4) cot x - 2 cos x = 2 cosec x - 4
5. แกสมการในแตละขอตอไปนี้
1) 2 cos2 θ + 2 cos 2θ = 1
2) 2 sin θ (cos θ + sin θ) = 2 sin θ
3) 2 sec θ = tan θ + cot θ
4) sin θ + 8 cos θ = 2 cos3θ + 6 cos θ

ระดับทาทาย
6. กําหนด a = sin 3x cos 2x - 2 sin x cos x cos 3x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π
ใหหาคา x ที่ทําให 2 a2 - 3 3 a - 6 = 0
102

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม ทาทาย


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน ชวยกันพิสูจนวา
แบบฝกทักษะ 1.11 ในขัน้ ฝกปฏิบตั ิ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล sin2 θ tan θ + cos2 θ cot θ + 2 sin θ cos θ = ta1n θ + cos
sin θ
θ
จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
เดียวกัน
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T108
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครูเขียนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC ที่มีมุม C
1.12 กฎของไซนและโคไซน เปนมุมฉากบนกระดาน
(The Laws of Sines and Cosines) A
ในหัวขอนี้ จะเปนการศึกษากฎของไซนและโคไซนซงึ่ เปนความสัมพันธระหวางความยาวดาน
กับขนาดของมุมของรูปสามเหลี่ยมใด ๆ ที่ไมเปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก C B
1. กฎของไซน (The Laws of Sines) จากนั้นครูถามคําถามนักเรียนวา
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC ที่เปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมและมุมปาน จากนั้นลาก CD • อัตราสวนตรีโกณมิตจิ ากรูปสามเหลีย่ ม ABC
ตั้งฉากกับดาน AB ที่จุด D และลาก AE ตั้งฉากกับดาน BC ที่จุด E ดังรูป มีอะไรบาง
(แนวตอบ จากรูปสามเหลี่ยม ABC ที่มีมุม C
C C เปนมุมฉาก จะไดวา
E a
1. sin A = BC
a
b b E AB
180 ํ-A 2. cos A = ACAB
A D B D A B
c c
BC
3. ta n A = AC
รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม รูปสามเหลี่ยมมุมปาน
4. cosec A = sin1 A = BC
AB
พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ABC Thinking Time 5. sec A = cos1 A = ACAB
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADC จะได sin A = CD b ใหนักเรียนพิสูจน
CD = b sin A กฎของไซน โดยใช 6. cot A = tan1 A = ACBC )
1
จากพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม เทากับ 2 × ฐาน × สูง รูปสามเหลี่ยมมุมปาน
จะได พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 12 (AB)(CD) ขัน้ สอน
=12 (c)(b sin A) รู (Knowing)

=12 bc sin A 1. ครูเขียนรูปสามเหลี่ยมเชนเดียวกับ


รู ป สามเหลี่ ย มมุ ม แหลม ในหนั ง สื อ เรี ย น
ดังนั้น พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC = 12 bc sin A .....(1)
หนา 103 จากนั้นครูใหนักเรียนพิจารณารูป
ในทํานองเดียวกัน ถาให BC และ CA เปนฐาน จะไดวา ที่ครูเขียนบนกระดาน จากนั้นครูถามคําถาม
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC = 12 ca sin B .....(2) นักเรียน ดังนี้
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC = 12 ab sin C .....(3) • จากรู ป สามเหลี่ ย มมุ ม ฉาก ADC จะได
อัตราสวน sin A คือเทาใด
ฟงกชันตรีโกณมิติ 103 (แนวตอบ sin A = CD b )

เฉลย Thinking Time


พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมปาน ABC คูณดวย abc 2 โดยตลอด จะไดวา
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก AEC จะได sin C = AE b sin B = sin B = sin C
b sin C = AE a b c
เนือ่ งจาก คาของฟงกชนั ไซนเพิม่ ขึน้ 0.0019 คาของมุมเพิม่ ขึน้ 10 ′
จากพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม เทากับ 12 × ฐาน × สูง
1 คาของฟงกชนั ไซนเพิม่ ขึน้ 0.0011 คาของมุมเพิม่ ขึน้ 0.0011 × 10
0.0019 ≈ 6′
จะได พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 2 (CB)(AE)
จะไดวา sin (50 ํ 30 ′ + 6′) = sin 50 ํ 36′ ≈ 0.7727
= 12 ab sin C .....(1) ∧
ดังนั้น C ≈ 50 ํ 36′
ในทํานองเดียวกัน ถาให AB และ CA เปนฐาน จะไดวา ∧

1 แตเนื่องจาก sin C > 0 จะไดวา 0 < C < 180 ํ


พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC = 2 bc sin A .....(2) ∧ ∧
ดั ง นั น
้ C ≈ 50 ํ 36′ หรือ C ≈ 180 ํ - 50 ํ 36′ = 129 ํ 24 ′
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC = 12 ca sin B .....(3)
จาก (1), (2) และ (3) จะไดวา
1 bc sin A = 1 ca sin B = 1 ab sin C
2 2 2

T109
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
• ความยาวของดาน CD เทากับเทาใด
จาก (1), (2) และ (3) จะไดวา
(แนวตอบ CD = b sin A)
1 bc sin A = 1 ca sin B = 1 ab sin C
• พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC ที่มี AB 2 2 2
เปนฐาน เทากับเทาใด 2
คูณดวย abc โดยตลอด จะไดวา
(แนวตอบ sin A = sin B = sin C
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC a b c
= 12 × AB × CD เรียกความสัมพันธดังกลาววา กฎของไซน
= 12 × c × (b sin A) กฎของไซน ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ
= 12 bc sin A) ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C ตามลําดับ จะไดวา
sin A = sin B = sin C
2. ครูใหนกั เรียนพิจารณารูปทีค่ รูเขียนบนกระดาน a b c
แลวใหหาพืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม ABC ทีม่ ดี า น
BC และดาน CA เปนฐาน ตัวอย่างที่ 65

(แนวตอบ กําหนดรูปสามเหลีย่ ม ABC เปนรูปสามเหลีย่ มทีม่ คี วามยาวดานตรงขามมุม A มุม B


∧ ∧

พืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม ABC ทีม่ ี BC เปนฐาน และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B = 75 ํ, C = 60 ํ และ b = 4 หนวย
ใหหาความยาวของ c
= 12 ca sin B
พืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม ABC ทีม่ ี CA เปนฐาน วิธีทํา จากกฎของไซน จะได sin B = sin C
b c
= 12 a b sin C) sin 75 ํ = sin 60 ํ
4 c
3. ครูใหนกั เรียนนําสมการของพืน้ ทีร่ ปู สามเหลีย่ ม c = 4 ( sin 60 ํ
ABC ที่มีดาน AB ดาน BC และดาน CA sin 75 ํ )
3
ทีเ่ ปนฐานมาเทากัน แลวใหนกั เรียนสังเกตเห็น =4 2
ความสัมพันธ sina A = sinb B = sincC จากนั้น 3+1
22
ครู ก ล า วว า เราจะเรี ย กความสั ม พั น ธ นี้ ว  า
“กฎของไซน” = 4 [ 2(3)(2
( 2)
3 + 1) ]

2 6)
4 ( 5.46
≈ 3.59
ดังนั้น c มีความยาวประมาณ 3.59 หนวย

104

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ครูควรเชื่อมโยงความรูเรื่อง อัตราสวนหรือสัดสวนกับกฎของไซน โดยใช ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายตัวอยางที่ 65-66 ในหนังสือเรียน หนา 104-105 • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
เชน ขนาดของมุมและความยาวดานที่กําหนดมีความสัมพันธกับกฎของไซน คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
หรือไม และตองใชกฎใด • ใหนักเรียนแตละกลุมพิสูจนกฎของไซน ในรูปสามเหลี่ยม ABC
ที่มี a, b และ c เปนความยาวดานตรงขามมุม A, B และ C
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T110
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)

ลองทําดู ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามมุม A มุม B ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร (อ อ น
∧ ∧
และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B = 45 ํ, C = 60 ํ และ b = 2 3 หนวย
ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ทํา
ใหหาความยาวของ c
“Thinking Time” ในหนังสือเรียน หนา 103
ตัวอย่างที่ 66 • ใหนักเรียนในแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู
กําหนดรูปสามเหลีย่ ม ABC เปนรูปสามเหลีย่ มทีม่ คี วามยาวดานตรงขามมุม A มุม B จนเปนที่เขาใจรวมกัน

และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย C = 60 ,ํ b = 6 หนวย และ c = 10 หนวย • ครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาแสดงการ
ใหหาขนาดของมุม B พิสูจนอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความสมเหตุ
วิธีทํา จากกฎของไซน จะได sin B = sin C
b c สมผลของการพิสูจน
sin B = sin 60 ํ
6 10 รู (Knowing)
sin B = 6 102
( 3) ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 65-66 ใน
หนังสือเรียน หนา 104-105 จากนัน้ ครูถามคําถาม
= 3103 นักเรียน ดังนี้
≈ 0.5196 • จากตัวอยางที่ 65 ใชความสัมพันธคูใดของ
เนื่องจาก sin B = 0.5196 มีคาอยูระหวาง sin 31 ํ 10′ กับ sin 31 ํ 20′ กฎของไซนในการหาความยาวดาน c
จากตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ จะได sin 31 ํ 10′ = 0.5175 (แนวตอบ ใชความสัมพันธของ sinb B = sincC
sin 31 ํ 20′ = 0.5200 ซึ่งจะไดวา sin475 ํ = sinc60 ํ )
เนื่องจาก คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0025 คาของมุมเพิ่มขึ้น 10′ • จากตัวอยางที่ 66 ใชความสัมพันธคูใดของ
คาของฟงกชันไซนเพิ่มขึ้น 0.0021 คาของมุมเพิ่มขึ้น 0.0021 × 10
0.0025 ≈ 8′ กฎของไซนในการหาขนาดของมุม B
จะไดวา (sin 31 ํ 10′ + 8′) = sin 31 ํ 18′ ≈ 0.5196 (แนวตอบ ใชความสัมพันธของ sinb B = sincC
ดังนั้น B ≈ 31 ํ 18′ ซึ่งจะไดวา sin6 B = sin1060 ํ )
แตเนื่องจาก sin B > 0 จะไดวา 0 < B < 180 ํ
ดังนั้น B ≈ 31 ํ 18′ หรือ B ≈ 180 ํ - 31 ํ 18′ = 148 ํ 42′ เขาใจ (Understanding)
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 105-106 เมื่อทําเสร็จแลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 105

ขอสอบเนน การคิด
ขอใดเปนความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลีย่ มหนาจัว่ ABC ซึง่ มีดา น BC เปนฐานยาว 30 หนวย และมีขนาดของมุมยอดเปน
30 องศา
1. 57.954 หนวย 2. 115.908 หนวย 3. 130.954 หนวย 4. 145.908 หนวย

(เฉลยคําตอบ ให ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว ที่มีดาน BC เปนฐานยาว 30 หนวย และ BAC = 30 ํ
∧ ∧
A จากกฎของไซน sinBC BAC = sin ABC
AC

30 ํ AC = sin ABC∧• BC
sin BAC
= sin7530ํ • 30
sin

B C 0.9659 × 30 × 2

30 = 57.954
จะไดวา ABC = 180 ํ 2- 30 ํ = 150 ํ นั่นคือ ความยาวของเสนรอบรูป = 2(57.954) + 30 = 145.908 หนวย

2 = 75 ํ ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T111
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาบทพิ สู จ น ก ฎของ ลองทําดู
โคไซน ในหนังสือเรียน หนา 106 แลวแลกเปลีย่ น
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน กําหนดรูปสามเหลีย่ ม ABC เปนรูปสามเหลีย่ มทีม่ คี วามยาวดานตรงขามมุม A มุม B และ

มุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย A = 30 ํ, a = 11 หนวย และ c = 17 หนวย
จากนั้นครูถามนักเรียนวา
ใหหาขนาดของมุม C
• การพิสูจนกฎของโคไซน ตองใชความรู
เรื่องใดมาชวยในการพิสูจน 2. กฎโคไซน (The Laws of Cosines)
(แนวตอบ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส) กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC ที่เปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมและมุมปาน จากนั้นลาก CD
2. ครูอธิบายซํา้ อีกครัง้ เพือ่ ใหนกั เรียนเขาใจมาก ตั้งฉากกับดาน AB ที่จุด D ดังนี้
ยิ่งขึ้น ดังนี้
C C
ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใดๆ ถา a, b และ
a a
c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ b
h h b
C ตามลําดับ จะไดวา
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A 180 ํ-A
A x D c-x B D x A B
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B c c
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม รูปสามเหลี่ยมมุมปาน
พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ABC
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADC จะได cos A = xb
เขาใจ (Understanding)
x = b cos A
ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ และโดยทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะได b = h + x2
2 2

• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมฉาก BDC โดยทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา


ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร (อ อ น a2 = (c - x)2 + h2
ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ทํา = c2 - 2cx + x2 + h2
“Thinking Time” ในหนังสือเรียน หนา 106 = c2 - 2cx + (x2 + h2) Thinking Time
2
= c - 2cx + b 2 ใหนักเรียนพิสูจน
โดยใหแสดงการพิสจู นกฎของโคไซน โดยใช
2 2
= c + b - 2cb cos A กฎของโคไซน โดยใช
รูปสามเหลี่ยมมุมปาน รูปสามเหลี่ยมมุมปาน
• ใหนักเรียนในแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู ดังนั้น a2 = c2 + b2 - 2cb cos A
จนเปนที่เขาใจรวมกัน ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถพิสูจนไดวา
• ครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาแสดงการ b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C
พิสูจนอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน
เรียกความสัมพันธดังกลาววา กฎของโคไซน
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความสมเหตุ 106
สมผลของการพิสูจน

เฉลย Thinking Time


พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมปาน ABC
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADC จะได cos (180 ํ - A) = bx
-cos A = bx
-b cos A = x
และโดยทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะได b = h + x2
2 2

พิจารณารูปสามเหลี่ยมมุมฉาก BDC โดยทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะไดวา


a 2 = h2 + (x + c)2
= h2 + x2 + 2xc + c2
= (h2 + x 2) + 2xc + c2
= b2 + 2xc + c2
= b2 + c2 - 2bc cos A
ดังนั้น a 2 = b2 + c2 - 2bc cos A
ในทํานองเดียวกัน สามารถพิสูจนไดวา
b2 = a 2 + c2 - 2a c cos B
T112 c2 = a 2 + b2 - 2a b cos C
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 67-68 ใน
กฎของไซน ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ
ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C ตามลําดับ จะไดวา หนังสือเรียน หนา 107-108 จากนัน้ ครูถามคําถาม
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน ดังนี้
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B • จากตัวอยางที่ 67 ใชความสัมพันธใดของ
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C กฎของโคไซนในการหาความยาวดาน a
(แนวตอบ ใชความสัมพันธของ
ตัวอย่างที่ 67 a2 = b2 + c2 - 2bc cos A)
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A • จากตัวอยางที่ 68 ใชความสัมพันธใดของ

มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย A = 30 ,ํ b = 6 หนวย และ c = 10 หนวย กฎของโคไซนในการหาขนาดของมุม A
ใหหาความยาวของ a (แนวตอบ ใชความสัมพันธของ
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A)
วิธีทํา เนื่องจาก a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
= 62 + 102 - 2(6)(10) cos 30 ํ
= 36 + 100 - 120 23
≈ 32.08
จะได a ≈ 5.66
ดังนั้น a มีคาความยาวประมาณ 5.66 หนวย
ลองทําดู
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A

มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B = 45 ,ํ a = 4 หนวย และ c = 9 หนวย
ใหหาความยาวของ b
ตัวอย่างที่ 68
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย a = 10 หนวย, b = 2 หนวย
และ c = 2 หนวย ใหหาขนาดของมุม A
วิธีทํา จากกฎของโคไซน a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
จะได ( 10)2 = 22 + ( 2)2 - 2(2)( 2) cos A
10 = 4 + 2 - 4 2 cos A
ฟงกชันตรีโกณมิติ 107

ขอสอบเนน การคิด
ขอใดคือขนาดของมุมทีใ่ หญทสี่ ดุ ของรูปสามเหลีย่ มทีม่ ดี า นทัง้ สามยาว x, y และ
x2 + 3xy + y2 หนวย
1. 90 องศา 2. 120 องศา 3. 150 องศา 4. 180 องศา
(เฉลยคําตอบ เนือ่ งจากดานทีย่ าว x 2 + 3xy + y 2 หนวย เปนดานทีย่ าวทีส่ ดุ ดังนัน้ มุมตรงขาม
ดานที่ยาว x 2 + 3xy + y 2 หนวย จึงเปนมุมที่ใหญที่สุด
x
θ
y

x 2 + 3xy + y 2
โดยกฎของโคไซน
จะได ( x 2 + 3xy + y 2 )2 = x 2 + y 2 - 2xy cos θ cos θ = - 23
x 2 + 3xy + y 2 = x 2 + y 2 - 2xy cos θ θ = 150 ํ
3xy = -2xy cos θ ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
3xy
cos θ = -2xy
T113
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
4 2 cos A = 6 - 10
หนา 107-108 จากนั้นครูสุมนักเรียนออกมา cos A = -4
แสดงวิธีทําอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน 42
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง cos A = - 1
2
2. ครูใหนักเรียนจับคูทําแบบฝกทักษะ 1.12 ขอ ดังนั้น A = 135 ํ
1.-7. ในหนังสือเรียน หนา 108-109 จากนั้น
ครู สุ  ม นั ก เรี ย นออกมาแสดงวิ ธีทํ า โดยครู ลองทําดู
ตรวจสอบความถูกตอง กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.12 ในแบบฝกหัด มุม B และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย a = 6 หนวย, b = 13 หนวย และ
เปนการบาน c = 14 หนวย ใหหาขนาดของมุม B
ลงมือทํา (Doing)
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ แบบฝึกทักษะ 1.12
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A มุม B
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวทํากิจกรรม ดังนี้ และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ
• ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.12 ขอ 8. ใน
หนังสือเรียน หนา 109 ระดับพื้นฐาน
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ทําความเขาใจรวมกัน 1. ใหใชกฎของไซนเพื่อหาคาในแตละขอตอไปนี้
หลั ง จากนั้ น ครู สุ  ม นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ  ม ∧ ∧
1) ใหหาความยาวของ a เมื่อ A = 30 ํ, C = 45 ํ และ c = 8 หนวย
ออกมาเฉลยคํ า ตอบอย า งละเอี ย ด โดย ∧ ∧
2) ใหหาความยาวของ b เมื่อ A = 45 ํ, B = 60 ํ และ a = 7 หนวย
ครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบ ∧
3) ใหหาขนาดของมุม B เมื่อ A = 60 ํ, a = 3 2 หนวย และ b = 2 3 หนวย
ความถูกตอง ∧
4) ใหหาขนาดของมุม C เมื่อ B = 45 ํ, b = 2 2 หนวย และ c = 2 3 หนวย
2. ใหใชกฎของโคไซนเพื่อหาคาในแตละขอตอไปนี้

1) ใหหาความยาวของ b เมื่อ B = 60 ํ, a = 3 หนวย และ c = 3 3 หนวย

2) ใหหาความยาวของ a เมื่อ A = 60 ํ, b = 20 หนวย และ c = 30 หนวย
3) ใหหาขนาดของมุม A เมื่อ a = 25 หนวย, b = 31 หนวย และ c = 7 2 หนวย
4) ใหหาขนาดของมุม C เมื่อ a = 15 หนวย, b = 7 หนวย และ c = 13 หนวย

108

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ครูควรประเมินความเขาใจของนักเรียนกอนทําแบบฝกทักษะ 1.12 ใน ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
หนังสือเรียน หนา 108-109 โดยใหนักเรียนบอกกฎที่นํามาใชในแตละขอ • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
พรอมบอกเหตุผล คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
• ใหนักเรียนแตละกลุมสรางโจทยที่ใชกฎของไซนและกฎของ
โคไซนในการแกโจทยปญหา พรอมทั้งแสดงวิธีทําอยางละเอียด
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T114
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
ระดับกลาง • กฎของไซนมีความสัมพันธวาอยางไร
3. ใหหาความยาวดานหรือมุมภายในทีเ่ หลือของรูปสามเหลีย่ ม ABC จากสิง่ ทีก่ าํ หนดในแตละขอ (แนวตอบ sina A = sinb B = sincC )
ตอไปนี้ • กฎของโคไซนมีความสัมพันธวาอยางไร
1) a = 2, b = 2 3, c = 2 (แนวตอบ a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
∧ ∧
2) A = 75 ํ, B = 30 ํ, b = 8 b2 = a2 + c2 - 2ac cos B

3) a = 4, B = 135 ํ, b = 4 c2 = a2 + b2 - 2ab cos C)
∧ ∧
4) A = 45 ํ, B = 105 ํ, c = 5 2
ขัน้ ประเมิน
4. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มี a = 4 หนวย b = 4 3 หนวย และ c = 4 หนวย ใหหาขนาด 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.12
ของมุมที่ใหญที่สุด
2. ครูตรวจ Exercise 1.12
5. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มีมุม A และมุม B เปนมุมแหลม โดย cos A = 45 , sin B = 12 13 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
และ b = 30 หนวย ใหหาความยาวของ c 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
∧ ∧
6. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มี B = 45 ํ, C = 120 ํ และ a = 20 หนวย ใหหาความสูง 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ของรูปสามเหลี่ยม ABC ที่วัดจากจุด A 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
7. กําหนด ABCDEF เปนรูปหกเหลี่ยมดานเทามุมเทา โดยที่แตละดานยาว 6 นิ้ว ใหหา มุงมั่นในการทํางาน
ความยาวของเสนทแยงมุม AD และ AC

ระดับทาทาย
8. กําหนดรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนานมีมมุ มุมหนึง่ มีขนาด 120 องศา และความยาวของดานประกอบ
มุมนี้ยาว 4 และ 8 เซนติเมตร ใหหาความยาวของเสนทแยงมุมทั้งสองเสนของรูปนี้

ฟงกชันตรีโกณมิติ 109

กิจกรรม ทาทาย แนวทางการวัดและประเมินผล


ครูแบงกลุม ใหนกั เรียน กลุม ละ 3-4 คน ชวยกันทําโจทยปญ
 หา ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม จากการทํ า
ตอไปนี้ แบบฝกทักษะ 1.12 ขอ 8. ในขัน้ ลงมือทํา โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล
สุณีมีที่ดินแปลงหนึ่งเปนรูปประกอบที่มีมุมหนึ่งเปนมุมฉาก จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 1
และดานที่เปนดานประกอบมุมฉากนี้มีความยาวเทากัน โดยมุม
ที่อยูตรงขามมุมฉากมีขนาด 45 องศา และดานที่ประกอบมุมนี้ แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่

ยาว 30 เมตร และ 50 เมตร อยากทราบวาที่ดินแปลงนี้มีพื้นที่


ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย

กี่ตารางเมตร
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง


คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............

ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T115
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)


กําหนดขอบเขตของปญหา
1. ครูถามคําถามเพือ่ ทบทวนความรูน กั เรียน ดังนี้
• ในการแก ป  ญ หาเกี่ ย วกั บ ระยะทางและ
1.13 การหาระยะทางและความสูง
ความสูงใชความรูเรื่องใดบาง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 นักเรียนไดศึกษาการใชอัตราสวนตรีโกณมิติของมุม 30 องศา
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย 45 องศา และ 60 องศา ในการแกปญหาเกี่ยวกับระยะทางและความสูง ซึ่งในหัวขอนี้ นักเรียน
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู เชน อัตราสวน จะไดนําความรูเกี่ยวกับฟงกชันตรีโกณมิติ กฎของไซน กฎของโคไซน มุมกม และมุมเงยมาชวย
ตรีโกณมิติ มุมกม และมุมเงย) ในการแกปญหาเกี่ยวกับระยะทางและความสูง ดังตัวอยางตอไปนี้
2. ครูกลาววา ในการแกปญหาเกี่ยวกับระยะทาง ตัวอย่างที่ 69
และความสูงใชความรูเ กีย่ วกับฟงกชนั ตรีโกณมิติ เกงยืนอยูบนพื้นราบมองเห็นยอดตึกแหงหนึ่งเปนมุมเงย 15 องศา และเมื่อเดิน
กฎของไซน กฏของโคไซน มุมกม และมุมเงย เขาไปหาตึกอีก 100 เมตร เขามองเห็นยอดตึกเปนมุมเงย 75 องศา ถาเกงสูง 185
เซนติเมตร แลวตึกมีความสูงเทาใด
วิธีทํา D
ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 15 ํ 75 ํ

1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 69 ในหนังสือเรียน


A
หนา 110-111 แลวถามคําถามนักเรียนวา 100 เมตร B C
• จากตัวอยางที่ 69 นักเรียนจะหาความสูง กําหนด CD เปนความสูงจากระดับสายตาถึงยอดตึก
ของตึกไดอยางไร จุด A เปนจุดที่เกงยืนมองยอดตึกในครั้งแรก
(แนวตอบ ใชกฎของไซน sinBD15 ํ = sinAB60 ํ จุด B เปนจุดที่เกงยืนมองยอดตึกในครั้งหลัง
∧ ∧
และความสัมพันธของมุมสองเทา) จาก CBD = 75 ํ จะได ABD = 105 ํ

2. จากนั้นครูอธิบายซํ้าอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน ดังนั้น ADB = 180 ํ - (15 ํ + 105 ํ) = 60 ํ
เขาใจมากยิง่ ขึน้ พรอมทัง้ เปดโอกาสใหนกั เรียน พิจารณา ∆ ABD โดยกฎของไซน
ถามเมื่อเกิดขอสงสัย จะได sin 15 ํ = sin 60 ํ
BD AB
ดังนั้น BD = AB sin 15 ํ
sin 60 ํ
= 100 sin 15 ํ
sin 60 ํ
พิจารณา ∆ BCD
จะได sin 75 ํ = CDBD
ดังนั้น CD = BD sin 75 ํ
= (100 sin 15 ํ
sin 60 ํ) cos 15 ํ
110

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใชการถาม-ตอบ เพื่อทบทวนการหาระยะทางและความสูงในระดับ ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันแสดงความคิดเห็นและอภิปราย
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 วา ตองใชอัตราสวนตรีโกณมิติใด ตองนําความรูเรื่องใด รวมกันวา “นักเรียนคิดวาอัตราสวนตรีโกณมิติ กฎของไซน และ
มาใชบา ง และใชคาํ ถามกระตุน ความคิด เชน นักเรียนคิดวากฎของไซนและกฎ กฎของโคไซนมคี วามแตกตางกันอยางไร” และ “ถารูปสามเหลีย่ ม
ของโคไซนจะใชหาระยะทางและความสูงไดหรือไม เพราะเหตุใด ทีก่ าํ หนดใหไมเปนรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก นักเรียนจะหาคาของไซน
และโคไซนไดอยางไร”
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T116
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= 100 sin 15 ํ cos 15 ํ
3 หนา 111 เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
2
จากนั้นครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
= ( 100 )(2 sin 15 ํ cos 15 ํ) วิธีทําบนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
3
100
= (sin 2 (15 ํ))
3 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
100
= (sin 30 ํ)
3 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 70 ในหนังสือเรียน
100
= (12) หนา 111-112 แลวถามคําถามนักเรียนวา
3 • จากตัวอยางที่ 70 นักเรียนสามารถหา
≈ 29
ระยะหางของเรือสองลําไดอย∧ างไร ∧
เนื่องจาก เกงสูง 185 เซนติเมตร เทากับ 1.85 เมตร
ดังนั้น ยอดตึกสูงประมาณ 29 + 1.85 = 30.85 เมตร (แนวตอบ ใชกฎของไซน sinAD DCA = sin DAC)
CD
2. จากนั้นครูอธิบายซํ้าอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน
ลองทําดู เขาใจมากยิง่ ขึน้ พรอมทัง้ เปดโอกาสใหนกั เรียน
วิทยายืนอยูบนพื้นราบมองเห็นระเบียงของอาคารแหงหนึ่งเปนมุมเงย 15 องศา และ ถามเมื่อเกิดขอสงสัย
เมื่อเดินเขาไปหาอาคารแหงนั้น 80 เมตร เขามองเห็นระเบียงเปนมุมเงย 60 องศา
ถาวิทยาสูง 170 เซนติเมตร แลวระเบียงของอาคารสูงเทาใด ใชทฤษฎี หลักการ
ตัวอย่างที่ 70 ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
เจาหนาทีบ่ นหอคอยแหงหนึง่ มองเห็นเรือสองลําลอยอยูก ลางทะเลเปนมุมกม 45 องศา หนา 112 เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
และ 75 องศา ตามลําดับ ถาหอคอยสูง 15 เมตร แลวเรือทั้งสองลําอยูหางกัน จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดงวิธที าํ
เทาใด บนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
วิธีทํา กําหนด BC เปนความสูงของหอคอย E C
45 ํ 75 ํ
CE เปนเสนระดับสายตา
จุด A เปนตําแหนงของเรือลําแรก 15 ม.
จุด D เปนตําแหนงของเรือลําที่สอง
∧ ∧ ∧
จาก ACE = 45 ํ และ DCE = 75 ํ จะได DCA = 30 ํ A D B
∧ ∧
และจาก AB // CE จะได BAC = 45 ํ และ BDC = 75 ํ
พิจารณา ∆ DBC จะได sin 75 ํ = CD BC
ดังนั้น CD = sin1575 ํ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 111

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ จากตัวอยางที่ 70 ในหนังสือเรียน หนา 111-112 ครูควรใชการถาม-ตอบ
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง เพื่อใหนักเรียนไดคิดวิเคราะห เชื่อมโยงความยาวของดานและขนาดของมุม
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ที่กําหนดเพื่อนํามาหาดาน AD ดังนี้

• ใหนักเรียนแตละกลุมสรางโจทยปญหาที่ตองใชกฎของไซนใน • นักเรียนหาขนาดของ ACD ไดหรือไม เพราะเหตุใด

การแกปญหาเพื่อหาคําตอบ และแสดงวิธีทําอยางละเอียด • ดาน AD และ ACD มีความสัมพันธกันหรือไม อยางไร
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น • จาก ∆ADC นักเรียนใชกฎของไซนไดหรือไม และหาขนาดของมุมหรือ
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ ความยาวของดาน เพราะเหตุใด
ตามที่นักเรียนถนัด • นักเรียนจะตองทําอยางไรจึงจะหาดาน AD ได

T117
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 71 ในหนังสือเรียน
= 1 15
+ 3
หนา 112-113 แลวถามคําถามนักเรียนวา
• นักเรียนสามารถหาระยะทางทีส่ ชุ าติอยูห า ง 22
≈ 15.53
จากจุดเริ่มตนไดอยางไร พิจารณา ∆ ADC โดยกฎของไซน
(แนวตอบ ใชกฎของโคไซน ∧
sin DCA = sin DAC

b2 = a2 + c2 - 2ac cos B จะได AD CD


ใชกฎของไซน ดังนั้น AD = (15.53) sin 30 ํ
∧ ∧ sin 45 ํ
sin BAC = sin ABC ) (15.53) 12
a b =
2. จากนั้นครูอธิบายซํ้าอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน 2
2
เขาใจมากยิง่ ขึน้ พรอมทัง้ เปดโอกาสใหนกั เรียน ≈ 10.98
ถามเมื่อเกิดขอสงสัย นั่นคือ เรือทั้งสองลําอยูหางกันประมาณ 10.98 เมตร
ใชทฤษฎี หลักการ ลองทําดู
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน เจาหนาที่บนหอบังคับการบินมองเห็นเครื่องบินสองลําจอดอยูบนรันเวยเปนมุมกม
หนา 113 เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน 30 องศา และ 70 องศา ตามลําดับ ถาหอบังคับการบินสูง 130 เมตร แลวเครื่องบิน
จากนัน้ ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดงวิธที าํ ทั้งสองลําอยูหางกันเทาใด
บนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง ตัวอย่างที่ 71
N2
สุชาติขับรถจากจุด A ไปในแนวเฉียงไปทางทิศตะวันออก โดย B
ทํามุม 30 องศา กับทิศเหนือเปนระยะทาง 20 กิโลเมตร ไปยัง 30 ํ a = 10
จุด B จากนั้นเขาขับรถตอไปในแนวเฉียงไปทางทิศตะวันออก c = 20
N1 C
โดยทํามุม 30 องศา กับทิศใตเปนระยะทาง 10 กิโลเมตร ไปยัง 30 ํ
b S2
จุด C ใหหาวา สุชาติอยูหางจากจุดเริ่มตนเปนระยะทางเทาใด A
และอยูในทิศใดของจุดเริ่มตน S1
∧ ∧
วิธีทํา จากรูป AN1 ขนานกับ BS2 จะได ABS2 = N1AB = 30 ํ

ดังนั้น ABC = 30 ํ + 30 ํ = 60 ํ
จากกฎของโคไซน b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
= 102 + 202 - 2(10)(20) cos 60 ํ
= 100 + 400 - 200
2
b = 300
112 b = 10 3

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ครูควรใหนักเรียนวาดรูปบนกระดานแลวใหนักเรียนบอกความแตกตาง ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
ระหวางตัวอยางที่ 71 กับตัวอยางที่ 69 และตัวอยางที่ 70 ในหนังสือเรียน หนา • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
110-113 หรือครูอาจสุมนักเรียนใหบอกแนวคิดการหาระยะทางจากจุดเริ่มตน คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูในกลุมเดียวกัน
และแนวคิดการหาทิศทาง เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน • ใหนักเรียนแตละกลุมสรางโจทยปญหาที่ตองใชกฎของโคไซน
ในการแกปญหาเพื่อหาคําตอบ และแสดงวิธีทําอยางละเอียด
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T118
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
∧ ∧
ครูยกตัวอยางเพิ่มเติมบนกระดาน พรอมทั้ง
จากกฎของไซน sin BAC a = b
sin ABC

ถามคําถามนักเรียน ดังนี้
sin BAC = sin 60 ํ สมชายและสมชาติยืนอยูจุดเดียวกันและวิ่ง
10 10 3
sin BAC = 10 × 23
∧ ออกพรอมกันจากจุดที่ยืนอยู โดยสมชายวิ่งไป
10 3 ยังจุด A เปนระยะทาง 4 กิโลเมตร และสมชาติ
= 12 วิ่งไปยังจุด B เปนระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ถา
∧ ∧
จะได BAC = 30 ํ และ N1AC = 30 ํ + 30 ํ = 60 ํ ทั้งสองคนวิ่งออกจากกันโดยทํามุม 45 องศา
ดังนั้น สุชาติอยูหางจากจุดเริ่มตนเปนระยะทาง 10 3 กิโลเมตร ไปในแนวเฉียงไปทาง จงหาระยะหางระหวางจุด A และจุด B
ทิศตะวันออก โดยทํามุม 60 องศา กับทิศเหนือ • โจทยตองการทราบอะไร
(แนวตอบ หาระยะหางระหวางจุด A และ
ลองทําดู
จุด B)
เอกขับรถจากจุด A ไปในแนวเฉียงไปทางทิศตะวันตก โดยทํามุม 70 องศา กับทิศตะวันตก • นักเรียนสามารถหาระยะหางระหวางจุด A
เปนระยะทาง 40 กิโลเมตร ไปยังจุด B จากนั้นเขาขับรถตอไปในแนวเฉียงไปทางทิศ
และจุด B ไดอยางไร
ตะวันออกโดยทํามุม 30 องศา กับทิศตะวันออกเปนระยะทาง 20 กิโลเมตร ไปยังจุด
C ใหหาวา เอกอยูหางจากจุดเริ่มตนเปนระยะทางเทาใด และอยูในทิศใดของจุดเริ่มตน (แนวตอบ ใชกฎของโคไซน
กําหนดให ระยะหางระหวางจุด A และ
a = 20 C
W2 B 30 ํ E2
จุด B เทากับ c
จะได c = a2 + b2 - 2ab cos C)
2

c = 40 • ระยะหางระหวางจุด A และจุด B เทากับ


เทาใด
70 ํ
W1 A E1 (แนวตอบ จากกฎของโคไซน
ให A แทนสมชาย
แบบฝึกทักษะ 1.13 B แทนสมชาติ
C แทนจุดเริ่มตน
ระดับพื้นฐาน จะได c2 = a2 + b2 - 2ab cos C

1. ลูกเสือสองคนยืนอยูในแนวทิศใตของเสาอากาศซึ่งสูง 95 เมตร ลูกเสือทั้งสองคนวัดมุมเงย AB 2 = BC 2 + AC 2 - 2(BC)(AC) cos BCA
ของยอดเสาได 30 และ 45 องศา ตามลําดับ ลูกเสือทั้งสองคนนี้ยืนหางกันประมาณกี่เมตร = (2.5)2 + 4 2 - 2(2.5)(4) cos 45 ํ
1
2. นักเรียนคนหนึ่งยืนอยูบนสนามแหงหนึ่ง มองเห็นยอดเสาธงเปนมุมเงย 15 องศา แตเมื่อ = 6.25 + 16 - 20 ( 22 )
เดินเขาไปหาเสาธงอีก 60 เมตร เขามองเห็นยอดเสาธงเปนมุมเงย 60 องศา ถาเขาสูง ≈ ≈ 8.108 กิโลเมตร
160 เซนติเมตร เสาธงมีความสูงเทาใด ดังนั้น ระยะหางระหวางจุด A และจุด B
ฟงกชันตรีโกณมิติ 113 ประมาณ 8.108 กิโลเมตร)

กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาขอความตอไปนี้ 1 มุมเงย (angle of elevation) หมายถึง มุมที่มีแขนของมุมแขนหนึ่งอยูใน
เสาไฟฟาสองตนมีความสูงเทากัน ซึ่งอยูหางกัน 100 ฟุต ระดับสายตาและอีกแขนหนึง่ เชือ่ มระหวางตาของผูส งั เกต และวัตถุซงึ่ อยูส งู กวา
ชายคนหนึ่ ง ยื น อยู  ร ะหว า งเสาไฟฟ า ทั้ ง สอง สั ง เกตเห็ น ยอด ระดับสายตา
เสาไฟฟาทั้งสองเปนมุมเงย 30 องศา และ 60 องศา นักเรียน
สามารถหาความสูงของเสาไฟฟาทั้งสองโดยใชกฎของไซนได
หรือไม อยางไร
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T119
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวชวยกันทํา ระดับกลาง
แบบฝกทักษะ 1.13 ในหนังสือเรียน หนา 113- 3. นักสํารวจคนหนึ่งยืนอยูทิศตะวันออกเฉียงใตของภูเขาลูกหนึ่ง มองเห็นยอดเขาเปนมุมเงย
114 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง 60 องศา เมือ่ เขาเดินตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตเปนระยะทาง 400 เมตร จะมองเห็นยอด
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูสุมนักเรียน เขาเปนมุมเงย 45 องศา ภูเขาลูกนี้สูงเทาใด
ออกมาเฉลยอยางละเอียดบนกระดาน โดย 4. รถยนต 3 คัน จอดทีจ่ ดุ A, B และ C บนพืน้ ระดับ และอยูใ นแนวเสนตรงเดียวกันกับอนุสาวรีย
ครูและนักเรียนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบ แหงหนึ่ง มุมยกขึ้นของยอดอนุสาวรีย เมื่อสังเกตจากจุด A, B และ C เปน 30, 45 และ
ความถูกตอง 60 องศา ตามลําดับ ถา BC = 20 เมตร ใหหาความสูงของอนุสาวรีย และระยะทางระหวาง
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 1.13 ในแบบฝกหัด จุด A กับอนุสาวรีย
เปนการบาน 5. จากจุด A ที่อยูทางทิศใตของเสาไฟฟาและทํามุมเงย 60 องศา กับยอดเสา จุด B อยูทาง
ทิศตะวันออกของจุด A มองยอดเสาไฟฟาเปนมุมเงย 30 องศา ถาระยะหางจากจุด A และ
จุด B เทากับ 60 เมตร เสาไฟฟาสูงกี่เมตร

ระดับทาทาย
6. ธีระชัยอยูบ นดาดฟาของตึกสูง 30 เมตร มองเห็นบุตรชายของเขาอยูบ นพืน้ ดินทางทิศใตของ
ตึกเปนมุมกม 30 องศา และเห็นบุตรสาวของเขาอยูบนพื้นดินทางทิศตะวันออกของตึกเปน
มุมกม 60 องศา บุตรชายและบุตรสาวอยูหางกันกี่เมตร

ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนวยนี้แลว ใหนักเรียนบอกสัญลักษณที่ตรงกับระดับความสามารถของตนเอง
ควร
ดี พอใช ปรับปรุง
1. สามารถหาจุดปลายสวนโคงของวงกลมหนึ่งหนวยที่วัดจาก
จุด (1, 0) เปนระยะ  θ  หนวย ได
2. สามารถหาคาฟงกชันตรีโกณมิติของจํานวนจริงหรือมุมได
3. สามารถหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติโดยใชตารางคาฟงกชัน
ตรีโกณมิติได
4. เขาใจและเขียนกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติได
5. แกสมการตรีโกณมิติและนําไปใชในการแกปญหาได
6. ใชกฎของโคไซนและกฎของไซนในการแกปญหาได

114

เฉลย คณิตศาสตร ในชีวิตจริง


กําหนด CD เปนความสูงจากระดับสายตาถึงยอดพระปรางค D
จุด A เปนจุดที่สุธียืนมองยอดพระปรางคในครั้งแรก
จุด B เปนจุดที่สุธียืนมองยอดพระปรางคในครั้งหลัง
AC = 81.85 × ( sin 45 ํ cos 30 ํ - sin 30 ํ cos 45 ํ

1. จาก CAD = 75 ํ และ CD = 81.85 เมตร
∧ sin 45 ํ cos 30 ํ - sin 30 ํ cos 45 ํ )
ดังนั้น ADC = 180 ํ - (90 ํ + 75 ํ) = 15 ํ

[ ( 22 )( 23 ) - ( 12 )( 22 )
]
81.85 เมตร
พิจารณา ∆ ACD โดยกฎของไซน
= 81.85 ×
จะได sin 15 ํ = sin 75 ํ
AC CD ( 22 )( 23 ) + ( 12 )( 22 )
ดังนั้น AC = CD × sin 15 ํ
sin 75 ํ = 81.85 × ( 6 - 2 )
6+ 2
= 81.85 × sin (45 ํ - 30 ํ) ≈ 21.93 AB C
sin (45 ํ + 30 ํ)
นั่นคือ สุธีอยูหางจากพระปรางคเปนระยะทางประมาณ 21.93 เมตร

T120
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง คูคิด (Think Pair Share) ดังนี้
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
พระปรางควัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร จากคณิตศาสตรในชีวติ จริง ในหนังสือเรียน
พระปรางควัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือเรียกสั้น ๆ วา พระปรางควัดอรุณฯ เปน หนา 115
หนึ่งในสถาปตยกรรมที่สวยงามที่สุดแหงหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร และมีความสูง 81.85 เมตร ซึ่ง • ใหนักเรียนกับเพื่อนแลกเปลี่ยนคําตอบกัน
เปนพระปรางคที่มีความสูงที่สุดในโลก สนทนาซักถามซึง่ กันและกันจนเปนทีเ่ ขาใจ
รวมกัน
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง

สถานการณ
สุธีเดินทางไปชมพระปรางคที่วัดอรุณ ฯ เมื่อไปถึงเขายืนอยูริมฝงแมนํ้าเจาพระยาซึ่งอยูตรง
ขามกับพระปรางควัดอรุณฯ ซึ่งมีความสูง 81.85 เมตร อยากทราบวา
1. สุธีอยูหางจากพระปรางคเปนระยะทางเทาใด เมื่อเขามองไปยังยอดพระปรางคเปนมุมเงย
เทากับ 75 ํ
2. ถาสุธีเดินเขาใกลพระปรางคไปอีก 5 เมตร แลวมองไปยังยอดพระปรางคอีกครั้ง นักเรียน
คิดวาเขาจะมองเห็นยอดพระปรางคดวยมุมเงยมากกวาหรือนอยกวาเดิม ใหอธิบายโดยใช
หลักการของตรีโกณมิติ

ฟงกชันตรีโกณมิติ 115

2. ถาสุธีเดินเขาใกลพระปรางคอีก 5 เมตร สุธีจะอยูหางจากพระปรางค


ประมาณ 21.93 - 5 = 16.93 เมตร
พิจารณา ∆ ∆ ACD
tan A = CDAC
AC tan A = CD
พิจารณา ∆ ∆ CBD
tan B = CDBC
จะได tan B = ACBC tan A

≈ 21.93 tan 75 ํ
16.93
≈ 1.3 tan 75 ํ
ดังนั้น ถาสุธีเดินเขาใกลพระปรางคอีก 5 เมตร สุธีจะมองดวยมุมเงย
มากกวาเดิม

T121
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
1. ครูใหนักเรียนศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก” ใน
สรุปแนวคิดหลัก
หนังสือเรียน หนา 116-119 จากนัน้ ใหนกั เรียน ฟังก์ชน
ั ตรีโกณมิติ
นําความรูที่ไดมาเขียนเปนผังมโนทัศนหนวย
การวัดความยาวส่วนโค้งและพิกัดของจุดปลายส่วนโค้ง
การเรี ย นรู  ที่ 1 ฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ ลงใน
กระดาษ A4 ตกแตงใหสวยงาม เมือ่ ทําเสร็จแลว • วงกลมที่เปนกราฟของความสัมพันธ { (x, y)∊R × R  x2 + y2 = 1 } เรียกวา วงกลมหนึ่งหนวย
(unit circle)
นําสงครูเพื่อตรวจสอบความถูกตอง • การวัดความยาวสวนโคงและพิกัดของจุดปลายสวนโคงบนวงกลมหนึ่งหนวย เปนดังนี้
2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ Y
นักเรียน ดังนี้ p(θ)
(0, 1)
θ>0 θ>0 จะวัดสวนโคงจากจุด (1, 0) ไปในทิศทาง
• คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของ ทวนเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
0, π2 , π, π4 , π3 , π6 หาไดอยางไร X
θ = 0 จุดปลายสวนโคงคือจุด (1, 0)
(-1, 0) O (1, 0) θ < 0 จะวัดสวนโคงจากจุด (1, 0) ไปในทิศทาง
(แนวตอบ สามารถหาไดโดยการใชวงกลม
ตามเข็มนาฬกาเปนระยะ θ หนวย
หนึ่ ง หน ว ย หรื อ การพิ จ ารณากราฟของ p(θ) θ<0
(0, -1)
ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน)
• ในจตุภาคที่ 1 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน ค่าของฟังก์ชันไซน์และฟังก์ชันโคไซน์
จํานวนบวก • ฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซน
(แนวตอบ ฟงกชันตรีโกณมิติทุกคามีคาเปน - ฟงกชันโคไซน คือ f = { (θ, x)∊R × R  x = cos θ }
จํานวนบวก) - ฟงกชันไซน คือ g = { (θ, y)∊R × R  y = sin θ }
• ในจตุภาคที่ 2 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน • คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของจํานวนจริงใด ๆ
จํานวนบวก กําหนด θ เปนจํานวนจริงใด ๆ จะไดวา sin (π - α) = sin α sin (2nπ + α) = sin α
1. cos (-θ) = cos θ cos (π - α) = -cos α cos (2nπ + α) = cos α
(แนวตอบ ฟงกชนั ไซนและฟงกชนั โคเซแคนต
2. sin (-θ) = -sin θ sin (π + α) = -sin α sin (2π - α) = -sin α
เปนจํานวนบวก) cos (π + α) = -cos α cos (2π - α) = cos α
• ในจตุภาคที่ 3 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน
จํานวนบวก ฟังก์ชันตรีโกณมิติอื่น ๆ

(แนวตอบ ฟ ง ก ชั น แทนเจนต แ ละฟ ง ก ชั น • กําหนด θ เปนจํานวนจริงใด ๆ จะไดวา


1. tan θ = cossin θ เมื่อ cos θ 0
โคแทนเจนตเปนจํานวนบวก) θ Y

• ในจตุภาคที่ 4 ฟงกชนั ตรีโกณมิตใิ ดมีคา เปน cos θ


2. cot θ = sin θ เมื่อ sin θ 0 sin θ และ cosec θ ทุกฟงกชันมีคา
มีคาเปนบวก Q2 Q1 เปนบวก
จํานวนบวก 3. sec θ = cos1 θ เมื่อ cos θ 0 x
Q3 Q4
(แนวตอบ ฟงกชนั โคไซนและฟงกชนั เซแคนต 4. cosec θ = sin1 θ เมื่อ sin θ 0
tan θ และ cot θ
มีคาเปนบวก
cos θ และ sec θ
มีคาเปนบวก
เปนจํานวนบวก)
116

ขอสอบเนน การคิด
คาของ cot 65 ํ cos 25 ํ cos 41 ํ เทากับขอใด
sec 45 ํ sin 49 ํ sin 25 ํ
1. 0 2. 12 3. 22 4. 2
(เฉลยคําตอบ จากโจทย จะสังเกตเห็นวา มุม 65 ํ + 25 ํ = 90 ํ และ 41 ํ + 49 ํ = 90 ํ จะไดวา
cot 65 ํ cos 25 ํ cos 41 ํ = tan 25 ํ cos 25 ํ sin 49 ํ
sec 45 ํ sin 49 ํ sin 25 ํ sec 45 ํ sin 49 ํ sin 25 ํ
= tan 25 ํ cos 25 ํ
sec 45 ํ sin 25 ํ
= tan 25 ํ
sec 45 ํ tan 25 ํ
= sec145 ํ
= 22
ดังนั้น คําตอบคือ ขอ 3.)

T122
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
• 360 องศา เทากับกี่เรเดียน
(แนวตอบ 2π เรเดียน)
ฟังก์ชันตรีโกณมิติของมุม
• 180 องศา เทากับกี่เรเดียน
• การเปลี่ยนหนวยองศาเปนเรเดียนและการเปลี่ยนหนวยเรเดียนเปนองศาทําได ดังนี้
1 π (แนวตอบ π เรเดียน)
1. มุมในหนวยเรเดียน เทากับ มุมในหนวยองศา × 180
• 1 องศา เทากับกี่เรเดียน
2. มุมในหนวยองศา เทากับ มุมในหนวยเรเดียน × 180 π เรเดียน)
π (แนวตอบ 180
การใช้ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ • 1 เรเดียน เทากับกี่องศา
• ถา 0 ≤ θ ≤ 45 ํ ใชคาฟงกชันที่กําหนดในแถวบน โดยอานจากบนลงลาง (แนวตอบ 360 180
2π องศา หรือ π องศา)
• ถา 45 ํ ≤ θ ≤ 90 ํ ใชคาฟงกชันที่กําหนดในแถวลาง โดยอานจากลางขึ้นบน • ตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติใชประโยชน
อยางไร
กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
(แนวตอบ ใชหาคาฟงกชันตรีโกณมิติหรือ
• ลักษณะของกราฟของฟงกชันตรีโกณมิติแตละฟงกชัน เปนดังนี้
ตรวจสอบคําตอบคาฟงกชันตรีโกณมิติ)
1. กราฟของ y = sin x Y
• คาของฟงกชันตรีโกณมิติที่ไมสามารถเปด
กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a sin(nx) เมื่อ n > 0 1
- π2 ตารางคาฟงกชนั ตรีโกณมิตไิ ดจะทําอยางไร
จะไดวา เรนจของฟงกชัน คือ [-a, a] X
คาบของฟ2งกชัน คือ 2nπ -1 0
π
2 (แนวตอบ จะใชความรูจากการเทียบบัญญัติ
แอมพลิจูดของฟงกชัน คือ  a  ไตรยางศหรือสัดสวน)
Y
• ถาในตารางการหาคาฟงกชันตรีโกณมิติ
2. กราฟของ y = cos x 1
กําหนด f : R ➞ R, f(x) = a cos(nx) เมื่อ n > 0
π
2 π
X
ไมมคี า cot θ, sec θ และ cosec θ นักเรียน
0
จะไดวา เรนจของฟงกชัน คือ [-a, a] -1 จะหาคาฟงกชันดังกลาวไดอยางไร
คาบของฟงกชัน คือ 2nπ (แนวตอบ cot θ หาไดจากสวนกลับของ tan θ,
แอมพลิจูดของฟงกชัน คือ  a  Y
sec θ หาไดจากสวนกลับของ cos θ และ
3. กราฟของ y = tan x cosec θ หาไดจากสวนกลับของ sin θ)
1
โดเมนของฟงกชัน คือ { x  x∊R, x nπ + π2 , n∊I } X
0
คาบของฟงกชัน คือ π - π2 -1 π
2
ไมมีแอมพลิจูด
4. กราฟของ y = cosec x
Y
โดเมนของฟงกชัน คือ { x  x∊R, x nπ, n∊I }
เรนจของฟงกชัน คือ (-∞, -1] [1, ∞) 1
คาบของฟงกชัน คือ 2π -π 0 π
X
-1
ไมมีแอมพลิจูด

ฟงกชันตรีโกณมิติ 117

กิจกรรม 21st Century Skills นักเรียนควรรู


ครูใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ 1 เรเดียน (radian) หนวยวัดมุม 1 เรเดียน หมายถึง มุมทีศ่ นู ยกลางของวงกลม
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง ซึ่งรองรับสวนโคงของวงกลมที่มีความยาวเทากับรัศมีของวงกลมนั้น
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน 2 แอมพลิจดู (amplitude) หมายถึง คาสูงสุดของปริมาณซึง่ มีการเปลีย่ นแปลง
• ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม สร า งกราฟของฟ ง ก ชั น ตรี โ กณมิ ติ อยางเปนคาบ เชน ระยะระหวางจุดกึ่งกลางและจุดสูงสุด (หรือจุดตํ่าสุด) ของ
จากโปรแกรม GeoGebra หรือโปรแกรมอื่นที่นักเรียนถนัด คลื่นนํ้า คลื่นแมเหล็กไฟฟา
• จากนั้ น ให แ ต ล ะกลุ  ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอข อ มู ล ผ า น
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออื่นๆ
ตามที่นักเรียนถนัด

T123
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• คาแอมพลิจูดหาไดจากสูตรใด Y
5. กราฟของ y = sec x
(แนวตอบ คาแอมพลิจูดหาไดจาก โดเมนของฟงกชัน คือ { x  x∊R, x = nπ + π2 , n∊I } 1
คาสูงสุด - คาตํ่าสุด เรนจของฟงกชัน คือ (-∞, -1] [1, ∞)
2
) คาบของฟงกชัน คือ 2π
-π- π
2 -1
0 ππ
2
X

• ใหนักเรียนยกตัวอยางฟงกชันตรีโกณมิติ ไมมีแอมพลิจูด
Y
ของสองเท า สามเท า และครึ่ ง เท า ของ 6. กราฟของ y = cot x
จํานวนจริง โดเมนของฟงกชัน คือ { x  x∊R, x nπ, n∊I }
คาบของฟงกชัน คือ π -π 0 π
X
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย ไมมีแอมพลิจูด
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู)
• ใหนกั เรียนยกตัวอยางความสัมพันธระหวาง ฟังก์ชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลต่างของจํานวนจริง หรือมุม
ผลบวก ผลตาง และผลคูณของฟงกชัน • กําหนด α และ β เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ จะไดวา
ตรีโกณมิติ 1. sin (α + β) = sin α cos β + cos α sin β 2. sin (α - β) = sin α cos β - cos α sin β
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย 3. cos (α + β) = cos α cos β - sin α sin β 4. cos (α - β) = cos α cos β + sin α sin β
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู) 5. tan (α + β) = tan α + tan β 6. tan (α - β) = 1tan α - tan β
+ tan α tan β
1 - tan α tan β
7. cot (α + β) = cot α cot β - 1
cot β + cot α 8. cot (α - β) = cotcotαβcot β+1
- cot α

ฟังก์ชันตรีโกณมิติของสองเท่า สามเท่า และครึ่งเท่าของจํานวนจริงหรือมุม


• กําหนด α และ β เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ จะไดวา
1. sin 2α = 2 sin α cos α = 2 tan α2
1 + tan α
2
2. cos 2α = 2 cos2 α - 1 = 1 - 2 sin2 α = 1 - tan 2 α
1 + tan α
3. tan 2α = 2 tan α2
1 - tan α
4. sin 3α = 3 sin α - 4 sin3 α
5. cos 3α = 4 cos3 α - 3 cos α

6. tan 3α = 3 tan α - tan
1 - 3 tan2 α
7. sin α2 = ± 1 - cos
2
α

8. cos α2 = ± 1 + 2cos α
9. tan α2 = ± 11 +- cos α
cos α
118

ขอสอบเนน การคิด
ปลองไฟปลองที่ 1 สูงกวาปลองที่ 2 เทากับ 15 ฟุต ชายคนหนึ่งยืนอยูหางจากปลองไฟปลองที่ 2 เทากับ 50 ฟุต สังเกตเห็นวา
เสนตรงที่เชื่อมระหวางยอดปลองไฟทั้งสองเอียงทํามุม 27 ํ กับพื้นราบ จงหาความสูงของปลองทั้งสอง (กําหนดให tan 27 ํ = 0.51)
1. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 22.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 37.5 ฟุต D
2. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 25.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 40.5 ฟุต 15 ฟุต E
3. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 27.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 43.5 ฟุต
4. ปลองไฟปลองที่ 1 สูง 29.5 ฟุต ปลองไฟปลองที่ 2 สูง 44.5 ฟุต x
(เฉลยคําตอบ จากรูป ∆ BEC 27 ํ

A B C
จะได BEC = 180 ํ - 90 ํ - 27 ํ = 63 ํ 50 ฟุต
จากกฎของไซน จะไดวา
sin 27 ํ = sin 63 ํ นั่นคือ ความสูงของปลองไฟปลองที่ 1 สูงเทากับ 25.5 ฟุต
x BC ความสูงของปลองไฟปลองที่ 2 สูงเทากับ 25.5 + 15
x = sin 27 ํ • 50 = 40.5 ฟุต
sin 63 ํ
= tan 27 ํ • 50 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)

T124 = 25.5 ฟุต


นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป

ความสัมพันธ์ระหว่างผลบวก ผลต่าง และผลคูณของฟังก์ชันตรีโกณมิติ • ฟงกชัน arcsine มีนิยามวาอยางไร


• กําหนด α และ β เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ จะไดวา (แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y) โดยที่
1. 2 sin α cos β = sin (α + β) + sin (α - β) 2. 2 cos α sin β = sin (α + β) - sin (α - β) x = sin y และ - π2 ≤ y ≤ π2 )
3. 2 cos α cos β = cos (α + β) + cos (α - β) 4. 2 sin α sin β = cos (α - β) - cos (α + β) • ฟงกชัน arccosine มีนิยามวาอยางไร
α+β α
5. sin α + sin β = 2 sin ( 2 ) cos ( 2 ) - β 6. sin α - sin β = 2 cos (α 2+ β) sin (α 2- β) (แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
7. cos α + cos β = 2 cos (α 2+ β) cos (α 2- β) 8. cos α - cos β = -2 sin (α 2+ β) sin (α 2- β) โดยที่ x = cos y และ 0 ≤ y ≤ π)
• ฟงกชัน arctangent มีนิยามวาอยางไร
ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ (แนวตอบ เซตของคูอันดับ (x, y)
• arcsin x เทากับ θ โดยที่ sin θ = x เมื่อ - π2 ≤ y ≤ π2 โดยที่ x = tan y และ - π2 < y < π2 )
• arccos x เทากับ θ โดยที่ cos θ = x เมื่อ 0 ≤ y ≤ π
• arctan x เทากับ θ โดยที่ tan θ = x เมื่อ - π2 < y < π2

เอกลักษณ์และสมการตรีโกณมิติ
• สมการที่มีฟงกชันตรีโกณมิติปรากฏอยู เรียกวา สมการตรีโกณมิติ
• กําหนด θ เปนจํานวนจริงหรือมุมใด ๆ
เรียก สมการตรีโกณมิติที่เปนจริงสําหรับทุก θ วา เอกลักษณตรีโกณมิติ
เชน sin2 θ + cos2 θ = 1
1 + tan2 θ = sec2 θ
1 + cot2 θ = cosec2 θ

กฎของไซน์และโคไซน์
• กฎของไซน
ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C
ตามลําดับ จะไดวา
sin A = sin B = sin C
a b c
• กฎของโคไซน
ในรูปสามเหลี่ยม ABC ใด ๆ ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขามมุม A, B และ C
ตามลําดับ จะไดวา
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C
ฟงกชันตรีโกณมิติ 119

ขอสอบเนน การคิด
จงพิจารณาสมการตอไปนี้
ก. sin2 31 ํ + sin2 59 ํ = 1 ข. sin 35 ํ sec 75 ํ = 1 ค. tan 42 ํ + sin 15 ํ - sec 37 ํ = cot 48 ํ + cosec 75 ํ - cos 53 ํ
cosec 15 ํ cos 55 ํ
ขอใดถูกตอง
1. ก. และ ข. ถูก แต ค. ผิด 2. ก. และ ค. ถูก แต ข. ผิด
3. ข. และ ค. ถูก แต ก. ผิด 4. ข. ถูก แต ก. และ ค. ผิด
(เฉลยคําตอบ ก. ถูก เพราะ 31 ํ + 59 ํ = 90 ํ ทําให sin2 31 ํ + sin2 59 ํ = sin2 31 ํ + cos2 31 ํ
จากสูตร sin2 (A) + cos2 (A) = 1 เสมอ
ข. ถูก เพราะ 35 ํ + 55 ํ = 90 ํ และ 15 ํ + 75 ํ = 90 ํ ทําให sin 35 ํ = cos 55 ํ และ sec 75 ํ = cosec 15 ํ
จะได sin 35 ํ sec 75 ํ = cos 55 ํ cosec 15 ํ = 1
cosec 15 ํ cos 55 ํ cosec 15 ํ cos 55 ํ
ค. ผิด เพราะ 42 ํ + 48 ํ = 90 ํ, 15 ํ + 75 ํ = 90 ํ และ 37 ํ + 53 ํ = 90 ํ
ทําให tan 42 ํ = cot 48 ํ, sin 15 ํ = cosec 75 ํ และ sec 37 ํ = cosec 53 ํ
จะได tan 42 ํ + sin 15 ํ - sec 37 ํ cot 48 ํ + cosec 75 ํ - cosec 53 ํ
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ฝกปฏิบตั ิ
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
แบบฝึกทักษะ ประจําหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ชวยกันทําแบบฝกทักษะ 1. ใหหาคาของฟงกชันตรีโกณมิติในแตละขอตอไปนี้
ประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ในหนังสือเรียน 1) tan2 80 ํ - cos2 35 ํ - cosec2 57 ํ - sec2 80 ํ - sin2 35 ํ + cot2 57 ํ
2
หนา 120-121 แลวแลกเปลี่ยนความรู สนทนา 2) 3 tan θ2 + 3 + sin2 θ cot2 θ - cot2 θ + cosec2 θ + sin2 θ
sec θ
ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน 3) [cos (π2 - θ) - cos θ]2 + [sin (π2 - θ) + sin θ]2
• ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทําบนกระดาน
โดยครูและนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบ 4) sin 390 ํ - cos (-150 ํ) + tan (-315 ํ)
2 2 2
ความถูกตอง 5) sin (-325 ํ) + 2cos (-145 ํ) + cot (-225 ํ)
1 - sin 240 ํ 1 - cosec2 405 ํ
sin 53π + cos 73π + tan (- 53π)
6)
sin 116π + cos 23π + tan 74π
7) sin (4πcot - θ) tan (3π - θ) cot (5π - θ)
(2π + θ) tan (θ - π)
2. กําหนด f(θ) = sin ( θ +4 π ) ใหหาคาของ (f(-5πf()π+) f(0))
3. กําหนด 3 sin2 θ + 7 cos θ - 5 = 0 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π2 ใหหาคาของ sin(-θ) + tan(-θ)
4. แกสมการ sin2 2x + 6 cos 2x - 6 = 0
5. กําหนด sin (A - B) = 25 , cos (A + B) = 15 และ cos A = 35 เมื่อ A, B∊[0, π2 ]
ใหหาคาของ sin B
6. ใหหาคาของ
1) sin2 θ + sin2(60 ํ + θ) + sin2(60 ํ - θ)
2) cos2 θ + cos2(60 ํ + θ) + cos2(60 ํ - θ)
7. ใหหาคาของ
1) sin 80sinํ +70cosํ 50 ํ
2) 1tan+ 182 ํ - tan 47 ํ
tan 182 ํ tan 47 ํ
3) sin 3θ cos 3θ
sin θ - cos θ
120

ขอสอบเนน การคิด
ชายคนหนึ่งยืนอยูระหวางตึกสองหลัง ถาชายคนนี้มองยอดตึกที่หนึ่งดวยมุมเงย 30 ํ แลวหันหลังกลับ เขาจะมองเห็นยอดตึกที่สอง
ดวยมุมเงย 60 ํ สมมติวาตึกที่สองสูงกวาตึกที่หนึ่ง 20 3 เมตร และตึกทั้งสองหางกัน 100 เมตร ชายคนนี้จะยืนอยูหางจากตึกที่หนึ่ง
กี่เมตร
1. 30 3 เมตร 2. 40 2 เมตร 3. 60 เมตร 4. 70 เมตร
(เฉลยคําตอบ จากรูป ∆ ABC จากรูป ∆ AED
∧ ∧
จะได BCA = 180 ํ - 90 ํ - 30 ํ = 60 ํ จะได AED = 180 ํ - 90 ํ - 60 ํ = 30 ํ
จากกฎของไซน จะไดวา จากกฎของไซน จะไดวา
E
sin 30 ํ = sin 60 ํ sin 60 ํ = sin 30 ํ
BC AB ED AD
20 3 3 1
1 3 C
2 = 2 2 = 2
x y x
20 3 + x 100 - 3x
x x = 20 3
y = 3x 30 ํ A 60 ํ
จะไดวา AB = 3 x B y D นั่นคือ ชายคนนี้ยืนอยูหางจากตึกที่หนึ่งเทากับ
100 ความยาวดาน AB = 3(20 3) = 60 เมตร
T126 ดังนั้น AD = 100 - 3 x
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 1.13
2. ครูตรวจ Exercise 1.13
8. ใหหาคาของ tan 81 ํ - tan 63 ํ - tan 27 ํ + tan 9 ํ
3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวย
9. กําหนด sin A - 2 sin B = 0 และ 3 cos 2A - 2 cos 2B = -3 เมื่อ A, B∊[0, π2 ] การเรียนรูที่ 1
ใหหาคาของ 5 sin (A - B) 4. ครูตรวจผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูที่ 1
10. กําหนด cos A = 1 -4 5 ฟงกชันตรีโกณมิติ
ใหหาคาของ sin (A + B) + sin (2A - B) - sin (A - B) - sin (2A + B) 5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
11. กําหนด arctan 3x - arctan x = π6 ใหหาคาของ sin (arctan 3x + arctan x) 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
12. แกสมการ 2 cos2 θ + 1 = -cos θ + 2 2 cos2 θ + cos θ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π 8. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
13. แกสมการ cos4 θ - sin4 θ = 1 เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π มุงมั่นในการทํางาน
14. กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามมุม A มุม B
และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดยมี (a + b + c)(a - b - c) = -3bc และ
2a2 = 3b2 ใหหาคาของ sin2(3A + 2B) + 1
15. จากจุด A ซึ่งอยูทางทิศใตของตึก หากมองขึ้นไปจะเห็นยอดตึกเปนมุมเงย 60 องศา
แตถามองจากจุด B ซึ่งอยูทางทิศตะวันตกของจุด A อีก 10 เมตร จะเห็นยอดตึกเปน
มุมเงย 45 องศา ใหหาความสูงของตึก
16. กลายืนอยูบนพื้นราบมองเห็นยอดเสาแหงหนึ่งเปนมุมเงย 45 องศา และเมื่อเดินเขาไปหา
ยอดเสาตามเนินเอียงที่ทํามุม 15 องศา กับแนวราบเปนระยะทาง 400 เมตร เขาไดมอง
ไปที่ยอดเสาอีกครั้งปรากฏวา เขามองเห็นยอดเสาเปนมุมเงย 75 องศา อยากทราบวา
ยอดเสาสูงเทาใด
17. ชายคนหนึ่งอยูบนหนาผาที่ติดกับทะเล เขามองเห็นเรือสองลําเปนมุมกม 35 องศา และ
80 องศา ตามลําดับ ถาเรือสองลําอยูหางกัน 120 เมตร และชายคนนี้สูง 185 เซนติเมตร
อยากทราบวาหนาผาสูงจากระดับนํ้าทะเลเทาใด

ฟงกชันตรีโกณมิติ 121

กิจกรรม สรางเสริม แนวทางการวัดและประเมินผล


ครูใหนักเรียนจับคูแลวพิจารณาขอความตอไปนี้ ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม จากการทํ า
โบนอนเลนอยูใ ตตน มะมวงตนหนึง่ มองไปบนยอดตนมะพราว แบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรูท ี่ 1 ในขัน้ ปฏิบตั ิ โดยศึกษาเกณฑการวัด
ที่อยูขางๆ เปนมุมเงย 60 องศา แตถายายไปนอนใตตนมะพราว และประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูใ นหนวยการเรียนรู
แลวมองไปบนยอดตนมะมวง จะเปนมุมเงย 45 องศา ถาตนมะมวง ที่ 1
สูง 4 เมตร (กําหนดใหโคนตนมะมวงและตนมะพราวอยูระดับ
เดียวกันและไมคิดความสูงของโบ) นักเรียนสามารถหาความสูง แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่

ของตนมะพราวไดอยางไร และความสูงของตนมะพราวเปนเทาใด
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้

T127
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
Chapter Overview

แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกความหมายของ Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ระบบสมการ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ สมการเชิงเส้นได้ (K) Method - ตรวจ Exercise 2.1 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
เชิงเส้น ม.5 เล่ม 1 2. หาค�ำตอบของระบบ - การน�ำเสนอผลงาน การเชื่อมโยง 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา สมการเชิงเส้นได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
2 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 3. เขียนแสดงขั้นตอนวิธี การท�ำงานรายบุคคล การให้เหตุผล
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 การแก้ระบบสมการ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการวิเคราะห์
โดยใช้วิธีการก�ำจัด การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการน�ำ
ตัวแปร (P) - สังเกตความมีวินัย ความรู้ไปใช้
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ที่ได้รับมอบหมาย (A) ในการท�ำงาน

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ตรวจสอบได้ว่าเมทริกซ์ Deductive - ตรวจใบงานที่ 2.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


เมทริกซ์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ที่ก�ำหนดให้เท่ากัน Method - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.2 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
ม.5 เล่ม 1 หรือไม่ (K) - ตรวจ Exercise 2.2 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
5 - แบบฝึกหัดรายวิชา 2.หาเมทริกซ์สลับเปลี่ยน - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ ในการท�ำงาน
ชั่วโมง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง
ม.5 เล่ม 1 3. เขียนแสดงขั้นตอนการ การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
- ใบงานที่ 2.1 หาผลบวกของเมทริกซ์ - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
- QR Code กับเมทริกซ์ได้ (P) การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
4. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
การหาเมทริกซ์กับ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
จ�ำนวนจริงได้ (P) ในการท�ำงาน
5. เขียนแสดงขั้นตอนการ
หาผลคูณของเมทริกซ์
กับเมทริกซ์ได้ (P)
6. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. ตรวจสอบได้ว่า Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.3 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


เมทริกซ์ผกผัน เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เมทริกซ์ที่ก�ำหนดให้มี Based - ตรวจ Exercise 2.3 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
ม.5 เล่ม 1 เมทริกซ์ผกผันหรือไม่ Teaching - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
4 - แบบฝึกหัดรายวิชา (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ ในการท�ำงาน
ชั่วโมง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ 2. เขียนแสดงขั้นตอน การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
ม.5 เล่ม 1 การหาเมทริกซ์ผกผัน - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ของเมทริกซ์ 2 × 2 การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
ได้ (P) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ที่ได้รับมอบหมาย (A) ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้

T128
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. น�ำความรู้เกี่ยวกับ Deductive - ตรวจใบงานที่ 2.2 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ดีเทอร์มิแนนต์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เมทริกซ์ไปใช้ในการ Method - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.4 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ม.5 เล่ม 1 แก้ปัญหาได้ (K) - ตรวจ Exercise 2.4 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
4 - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
ชั่วโมง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การหาดีเทอร์มิแนนต์ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ม.5 เล่ม 1 ของเมทริกซ์ n × n การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
- ใบงานที่ 2.2 เมื่อ n เป็นจ�ำนวนนับ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ที่ไม่เกินสามได้ (P) การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
3. บอกความหมายของ - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ดีเทอร์มิแนนต์ เมทริกซ์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ตัวประกอบร่วมเกี่ยว ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
และเมทริกซ์ผูกพันได้
(K)
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. น�ำความรู้เกี่ยวกับ Deductive - ตรวจแบบฝึกทักษะ 2.5 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


การใช้เมทริกซ์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เมทริกซ์ไปใช้ในการ Method - ตรวจ Exercise 2.5 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
แก้ระบบสมการ ม.5 เล่ม 1 แก้ปัญหาได้ (K) - ตรวจแบบฝึกทักษะ การเชื่อมโยง 3. มุ่งมั่น
เชิงเส้น - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอนการ ประจ�ำหน่วยการเรียนรู้ - ทักษะ ในการท�ำงาน
เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ แก้ระบบสมการเชิงเส้น ที่ 2 การให้เหตุผล
5 ม.5 เล่ม 1 โดยใช้เมทริกซ์ผกผัน - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะการวิเคราะห์
ชั่วโมง กฎของคราเมอร์ และ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 - ทักษะการน�ำ
การด�ำเนินการตามแถว เมทริกซ์ ความรู้ไปใช้
ได้ (K) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการประยุกต์
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ - สังเกตพฤติกรรม ใช้ความรู้
ที่ได้รับมอบหมาย (A) การท�ำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

T129
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)

2
กําหนดขอบเขตของปญหา
1. ครู ก ระตุ  น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให
หน่วยการเรียนรู้ที่
นั ก เรี ย นดู ภ าพหน า หน ว ยการเรี ย นรู  ที่ 2
หน า 122 จากนั้ น ให นั ก เรี ย นร ว มกั น ตอบ
คําถามหนาหนวย ในหนังสือเรียน หนา 122 วา
“นักเรียนสามารถนําความรูเ รือ่ ง เมทริกซ มาใช
เมทริกซ์
ในการหากระแสไฟฟ า ที่ ไ หลในวงจรไฟฟ า
“การหากระแสไฟฟ าที่ ไหลในวงจรไฟฟ าจะต อง ¹Ñ¡àÃÕ¹ÊÒÁÒö
ไดอยางไร”
เขี ย นสมการโดยอาศั ย กฎของเคอร ช อฟฟ ซึ่ ง จะ ¹Ó¤ÇÒÁÃÙŒàÃ×èͧàÁ·ÃÔ¡«
หมายเหตุ : ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย ทํ า ให ไ ด ร ะบบสมการเชิ ง เส น มาชุ ด หนึ่ง จากนั้ น ÁÒ㪌㹡ÒÃËÒ¡ÃÐáÊä¿¿‡Ò
คําถามประจําหนวยการเรียนรู ในหนังสือเรียน จึ ง แก ร ะบบสมการเชิ ง เส น เพื่ อ หาคํ า ตอบตาม ·ÕèäËÅã¹Ç§¨Ãä¿¿‡Òä´Œ
หนา 122 หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรู ที่ตองการ” Í‹ҧäÃ
ที่ 2

ผลการเรียนรู้
• เขาใจความหมาย หาผลลัพธของการบวกเมทริกซ การคูณเมทริกซกับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซ และหาเมทริกซ
สลับเปลี่ยน หาดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ n × n เมื่อ n เปนจํานวนนับที่ไมเกินสาม
• หาเมทริกซผกผันของเมทริกซ 2 × 2
• แกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซผกผัน และการดําเนินการตามแถว
สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หน้า 122 • เมทริกซ และเมทริกซสลับเปลี่ยน • การบวกเมทริกซ การคูณเมทริกซกับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซ
เราสามารถใชความรูเรื่อง เมทริกซผกผัน กฎ • ดีเทอรมิแนนต
• การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซ
• เมทริกซผกผัน

ของคราเมอร หรือการดําเนินการตามแถว ในการ


แกระบบสมการเชิงเสนเพือ่ หากระแสไฟฟาทีไ่ หลใน
วงจรได

เกร็ดแนะครู กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค


ครูควรตัง้ คําถามเกริน่ นําเพือ่ ใหนกั เรียนตอบคําถามหนาหนวยไดงา ยยิง่ ขึน้ ครูควรปลูกฝงใหนักเรียนมีระเบียบวินัย เชน การแตงกายมา
โรงเรียนใหถูกระเบียบ และกอนเริ่มเรียนชั่วโมงแรกครูอาจสราง
ขอตกลงกับนักเรียนเกี่ยวกับความมีวินัย เชน การสงการบานหรือ
ชิ้นงานควรสงตรงตามเวลาที่กําหนด หากใครสงไมตรงตามเวลา
อาจถูกตัดคะแนนความรับผิดชอบ (ครูและนักเรียนรวมกันสราง
ขอตกลงดังกลาว)

T130
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กําหนดขอบเขตของปญหา

¤ÇÃÃÙŒ¡‹Í¹àÃÕ¹ 2. ครูใหนักเรียนศึกษา “ควรรูกอนเรียน”


ในหนังสือเรียน หนา 123 จากนั้นครูถาม
ระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร คําถาม ดังนี้
กําหนด a, b, c, d, e และ f เปนจํานวนจริงใด ๆ ที่ a, b ไมเปนศูนยพรอมกัน และ d, e ไมเปน • คําตอบของระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร
ศูนยพรอมกัน เรียก ax + by = c ที่ประกอบดวยสองสมการคืออะไร
dx + ey = f (แนวตอบ จํานวนที่แทน x และ y แลวทําให
วา ระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรที่ประกอบดวยสองสมการ สมการเปนจริงทัง้ สองสมการ และนิยมเขียน
คําตอบของระบบสมการ คือ จํานวนที่แทน x และ y แลวทําใหสมการเปนจริงทั้งสองสมการ คําตอบของระบบสมการใหอยูในรูป (x, y))
และนิยมเขียนคําตอบของระบบสมการใหอยูในรูป (x, y) • การแกระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรทําได
การแกระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร กี่วิธี
กําหนดระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร ดังนี้ (แนวตอบ 2 วิธี คือ การแกระบบสมการ
ax + by = c .....(1) เชิงเสนสองตัวแปรโดยการแทนคา และการ
dx + ey = f .....(2) แกระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรโดยการ
1. การแกระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรโดยการแทนคา กําจัดตัวแปร)
จากระบบสมการขางตน สามารถแกระบบสมการโดยการแทนคาได ดังนี้
1) เลือกสมการ (1) หรือสมการ (2) เขียนตัวแปรหนึ่งในรูปของอีกตัวแปรหนึ่ง เชน
เขียน x ในรูปของ y หรือเขียน y ในรูปของ x
2) นําสมการที่ไดจากการจัดรูปในขอ 1) แทนที่ตัวแปรนั้นในอีกสมการหนึ่ง
3) แกสมการในขอ 2) จะไดคาของตัวแปรหนึ่ง
4) นําคาของตัวแปรหนึง่ ทีห่ าไดไปแทนคาสมการในขอ 1) จะไดคา ของตัวแปรอีกตัวหนึง่
นําคาของตัวแปรทั้งสองเขียนเปนคูอันดับจะเปนคําตอบของระบบสมการ
2. การแกระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรโดยการกําจัดตัวแปร
จากระบบสมการขางตน สามารถแกระบบสมการโดยการกําจัดตัวแปรได ดังนี้
1) ทําสัมประสิทธิ์ของตัวแปรที่ตองการกําจัดใหเปนจํานวนตรงขามกันโดยใชสมบัติ
การคูณ
2) ใชสมบัติการบวกกําจัดตัวแปรที่มีสัมประสิทธิ์ตรงขามกันในขอ 1) เมื่อกําจัดตัวแปร
ตัวหนึ่งออกแลว สมการที่ไดจะเปนสมการเชิงเสนที่มีตัวแปรเดียว
3) หาคําตอบของสมการเชิงเสนตัวแปรเดียวในขอ 2) จะเปนคาของตัวแปรตัวหนึ่ง
4) หาคาของตัวแปรอีกตัวหนึ่ง โดยนําคาของตัวแปรในขอ 3) แทนคาใน
สมการ (1) หรือ สมการ (2)
แบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน เมทริกซ 123

กิจกรรม สรางเสริม สื่อ Digital


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยเกี่ยวกับระบบสมการ ครูเปดแบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน ในหนังสือเรียน หนา 123 ดวยการ
เชิงเสนสองตัวแปรทีไ่ ดทบทวนใน “ควรรูก อ นเรียน” ในหนังสือเรียน สแกน QR Code < > ÷ × + – 3x + 2 = 3x + 2 5

หนา 123 คูละ 1 ขอ พรอมกับเฉลยคําตอบลงในกระดาษ A4 < > ÷ × + – 3x + 2 = 3x + 25

เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง ใหเลือกคําตอบที่ถูกที่สุด


แบบทดสอบพืน
้ ฐานกอนเรียน

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน 1. ขอใดเปนคําตอบของระบบสมการ x + 4y = 9


และ 4x – 5y = –6
1. x = – 1 และ y = – 2
2. x = 0 และ y = 0
6. ขอใดกลาวถูกตองเกีย่ วกับคําตอบของระบบสมการ
0.4x = 3y + 2 และ –0.2x = –1.5y + 1
1. มีคําตอบเดียว
3. ไมมีคําตอบ
2. มีหลายคําตอบ
4. ไมมีขอใดถูก
3. x = 1 และ y = 2 7. x = –1 และ y = 1 เปนคําตอบของระบบสมการใด
4. x = 2 และ y = 1 ตอไปนี้
2. ขอใดเปนคําตอบของระบบสมการ 1. 10x + 5 = 5y และ – x – 4 = 5y
p + 1 = 4(1 – q) และ –p + 7 = 2(q + 1) 2. 10x – 5 = – 5y และ x – 4 = 5y
1. p = 7 และ q = – 1 3 5x + 10 = 10y และ x + 4 = – 5y
2. p = 6 และ q = – 2 4. 10x + 5 = – 5y และ – x + 4 = 5y
3 p = 5 และ q = – 3 8. m = 5 และ n = 12 เปนคําตอบของระบบสมการใด
4. p = 4 และ q = – 4 ตอไปนี้
3. ขอใดเปนคําตอบของระบบสมการ x 7– y = 2x2+ y 1. m 3– 2 = n – 29
3 และ 4m = 2
n + 28
และ 5x 4+ 4y = 3x–20+ y 2. m 3+ 2 = n – 29 n + 28
3 และ 4m = 2
1. x = – 3 และ y = 4
2. x = 3 และ y = 5 3. m–+3 2 = n + 293 และ – 4m = n + 28
2
3. x = – 3 และ y = 6 4. 3 = n + 3 และ 4m = n –– 228
m + 2 29
4. x = 3 และ y = 7
9. ถา (p, q) เปนคําตอบของระบบสมการ
4. ขอใดกลาวถูกตองเกีย่ วกับคําตอบของระบบสมการ 4(p + 3) = 3q + 2 และ 2(q – 5) = p + 5
4(p + 3) = 3q + 2 และ 2(q – 5) = p + 5 อยากทราบวา 5p + q มีคาตรงกับขอใด
1. มีคําตอบเดียว 2. มีหลายคําตอบ 1. 15 2. 25
3. ไมมีคําตอบ 4. ไมมีขอใดถูก 3. 35 4. 45
5. ขอใดกลาวถูกตองเกีย่ วกับคําตอบของระบบสมการ 10. ถา (x, y) เปนคําตอบของระบบสมการ
3a + 4b = –3 และ –6a – 8b = 6 0.3x + 0.2y = –2.2 และ 0.2x – 0.5y = –0.2
1. มีคําตอบเดียว 2. มีหลายคําตอบ อยากทราบวา x2 – y2 มีคาตรงกับใด
3. ไมมีคําตอบ 4. ไมมีขอใดถูก 1. – 8 2. 32
3. 8 4. – 40

T131
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สมการเชิงเสน
คือ สมการที่มีเลขชี้กําลังของตัวแปรทุกตัว
2.1 ระบบสมการเชิงเสน (System of Linear Equations)
เปนหนึ่ง ความรูในเรื่องระบบสมการเชิงเสน สามารถนําไปใชในการแกโจทยปญหาทางคณิตศาสตร
2. ครูเขียนโจทยตอไปนี้ บนกระดาน วิทยาศาสตร หรือปญหาในชีวิตประจําวัน เชน การพยากรณอากาศ การวางแผนการลงทุน
1) -8x + 4 = 6 การนําไปประยุกต ใช ในการคํานวณทางวิทยาศาสตร
2) 3x - 2y = 5
3) 2x - 3y + z = -5 1. สมการเชิงเสน (Linear Equations)
แลวถามคําถามนักเรียน ดังนี้ สมการเชิงเสน คือ สมการที่มีเลขชี้กําลังของตัวแปรทุกตัวเปนหนึ่ง ดังบทนิยามตอไปนี้
• สมการในขอใดบางที่เปนสมการเชิงเสน
เพราะเหตุใด บทนิยาม ให a1, a2, ..., an และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a1, a2, ..., an ไมเปนศูนยพรอมกัน
เรียกสมการ a1x1 + a2x2 + ... + anxn = b วา สมการเชิงเสน n ตัวแปร เมื่อ x1, x2, ..., xn เปนตัวแปร
(แนวตอบ สมการในขอ 1), 2) และ 3)
เปนสมการเชิงเสน เพราะตัวแปรทุกตัว จากบทนิยาม นักเรียนจะเห็นวา
ของทุกสมการมีเลขชี้กําลังเปนหนึ่ง)
• สมการในโจทยขอ 1) มีกี่ตัวแปร -8x + 4 = 6 เปนสมการเชิงเสนตัวแปรเดียว โดยที่ x เปนตัวแปร
(แนวตอบ มี 1 ตัวแปร คือ ตัวแปร x) 3x - 2y = 5 เปนสมการเชิงเสนสองตัวแปร โดยที่ x และ y เปนตัวแปร
• สมการในโจทยขอ 2) มีกี่ตัวแปร 2x - 3y + z = -5 เปนสมการเชิงเสนสามตัวแปร โดยที่ x, y และ z เปนตัวแปร
(แนวตอบ มี 2 ตัวแปร คือ ตัวแปร x การเขียนสมการเชิงเสน n ตัวแปร นิยมใชตัวแปร ดังนี้
และ y) ถา n = 2 นิยมใหตัวแปรเปน x, y เชน 14x + y = -5
• สมการในโจทยขอ 3) มีกี่ตัวแปร ถา n = 3 นิยมใหตัวแปรเปน x, y และ z เชน -14x - 13y + 8z = 100
(แนวตอบ มี 3 ตัวแปร คือ ตัวแปร x, y ถา n = 4 นิยมใหตัวแปรเปน x, y, z และ t เชน 50x - 7y + 5z - 9t = 0
และ z) ถา n ≥ 5 นิยมใหตัวแปรเปน x1, x2, ..., xn เชน 7x1 - 6x2 + ... + 10xn = -11
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น สรุ ป ว า เราจะเรี ย ก
สมการขางตนวา สมการเชิงเสน n ตัวแปร 2. ระบบสมการเชิงเสน (System of Linear Equations)
เชน ขอ 1) เรียกวา สมการเชิงเสนตัวแปรเดียว ระบบสมการเชิงเสน ประกอบดวยสมการเชิงเสนตั้งแตสองสมการขึ้นไป ตัวอยางเชน
ขอ 2) เรียกวา สมการเชิงเสนสองตัวแปร และ
x + 2y = 6
ขอ 3) เรียกวา สมการเชิงเสนสามตัวแปร เรียกวา ระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร
3x - y = 2
โดยที่ x และ y เปนตัวแปร

124

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใหนกั เรียนรวมกันเสนอแนวคิดโดยการตอบคําถามเพือ่ แนะแนวทาง ใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันตอบคําถาม พรอมบอกเหตุผลวา
ขั้นตอนที่จะใชแกระบบสมการ ดังนี้ ระบบสมการในแตละขอที่กําหนด ควรเลือกกําจัดตัวแปรใดกอน
1. ระบบสมการในแตละขอ นักเรียนควรกําจัดตัวแปรใดกอน เพราะเหตุใด จึงจะเหมาะสม และตองทําอยางไร
และทําอยางไร 1. 3x - 2y + 4z = -5 .....(1)
2x + 3y - 4z = 12 .....(2)
2. มีการใชขั้นตอนตอไปนี้หรือไม เพราะเหตุใด
x - 2y + 4z = -7 .....(3)
1) เลือกสมการเพียงหนึง่ สมการและนําคาคงตัวคูณ แลวนําไปบวกหรือ 2. 2x - 5y + z = -9 .....(1)
ลบกับสมการอื่นๆ จะไดสมการเชิงเสนสองตัวแปร x + 3y + 2z = 11 .....(2)
2) เลือกสมการสองสมการและใชคา คงตัวทีไ่ มเทากันคูณ แลวนําสมการ -x + 2y - 4z = -7 .....(3)
ที่ไดทั้งสองสมการบวกหรือลบกัน จะไดสมการเชิงเสนสองตัวแปร 3. -4x - y - 6z = 3 .....(1)
2x + y + 5z = -2 .....(2)
6x - 2y - 5z = -1 .....(3)
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T132
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูอธิบายวา ระบบสมการเชิงเสนประกอบดวย
2x - y + 4z = 0
สมการเชิงเสนตั้งแตสองสมการขึ้นไป พรอม
-x + 5y = 5z เรียกวา ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปร
ยกตัวอยาง ดังนี้
y + 7z = x
1) x + 2y = 6
โดยที่ x, y และ z เปนตัวแปร 3x - y = 2
โดยที่ x และ y เปนตัวแปร จะเห็นวา ขอ 1)
บทนิยาม ระบบสมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, …, xn เปนตัวแปร หมายถึง ชุดของสมการเชิงเสนที่
ประกอบดวยสมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, …, xn เปนตัวแปร จํานวน m สมการ โดยที่ m ≥ 2 คําตอบ มีสมการเชิงเสนสองตัวแปร 2 สมการ ดังนัน้
ของระบบสมการนี้ คือ จํานวน n จํานวน ที่นําไปแทนตัวแปร x1, x2, x3, …, xn ในทุก ๆ สมการ ตามลําดับ จะเรียกวา ระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร
แลวไดสมการที่เปนจริงทั้งหมด 2) 2x - y + 4z = 0
-x + 5y = 5z
รูปแบบของระบบสมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, …, xn เปนตัวแปร และประกอบดวยสมการ y + 7z = x
เชิงเสน m สมการ โดยที่ m ≥ 2 คือ โดยที่ x, y และ z เปนตัวแปร จะเห็นวา
a11x1 + a12x2 + a13x3 + … + a1nxn = b1 ข อ 2) มี ส มการเชิ ง เส น สามตั ว แปร 3
สมการ ดังนั้น จะเรียกวา ระบบสมการ
a21x1 + a22x2 + a23x3 + … + a2nxn = b2
เชิงเสนสามตัวแปร
a31x1 + a32x2 + a33x3 + … + a3nxn = b3 5. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา ระบบสมการ
เชิงเสนที่มี x1, x2, x3, ..., xn เปนตัวแปร

am1x1 + am2x2 + am3x3 + … + amnxn = bm หมายถึง ชุดของสมการเชิงเสนทีป่ ระกอบดวย


สมการเชิงเสนที่มี x1, x2, x3, ..., xn เปน
เมื่อ ai1x1 + ai2x2 + ai3x3 + … + ainxn = bi เปนสมการเชิงเสน ทุก i∊{ 1, 2, 3, …, m }
ตัวแปร จํานวน m สมการ โดยที่ m ≥ 2
และ ai1, ai2, ai3, …, ain, bi เปนจํานวนจริงใด ๆ ที่ ai1, ai2, ai3, …, ain ไมเปนศูนยพรอมกัน
คําตอบของระบบสมการนี้ คือ จํานวน n จํานวน
สําหรับหนวยการเรียนรูนี้ นักเรียนจะไดศึกษาระบบสมการเชิงเสน n ตัวแปร โดยที่ n เปน ที่นําไปแทนตัวแปร x1, x2, x3, ..., xn ในทุกๆ
จํานวนเต็มบวกที่มากกวา 1 และมีจํานวนสมการเทากับจํานวนตัวแปร สมการ ตามลําดับ แลวไดสมการที่เปนจริง
การแกระบบสมการเชิงเสนทีม่ จี าํ นวนสมการเทากับจํานวนตัวแปรมีไดหลายวิธี เชน การกําจัด ทั้งหมด
ตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง การใชความรูเรื่องเมทริกซ การใชความรูเรื่องดีเทอรมิแนนต ซึ่งนักเรียน
จะไดศึกษารายละเอียดในหนวยนี้

เมทริกซ 125

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุม ใหนกั เรียน กลุม ละ 4 คน แลวชวยกันเสนอแนวคิด ครูควรใหความรูเพิ่มเติมเพื่อเสริมสรางศักยภาพทางคณิตศาสตรใหกับ
หาคําตอบของระบบสมการที่กําหนด ดังนี้ นักเรียน ดังนี้
1. 3x - 7y + 3z = 1 .....(1) การกําจัดตัวแปรเพื่อหาคําตอบของระบบสมการใชไดกับระบบสมการที่
2x + (y - 3) - 2(z + 1) = 0 .....(2) เปนสมการเชิงเสนและไมเปนสมการเชิงเสน แตตอ งเปนสมการทีพ่ จนทมี่ ตี วั แปร
3(x + 2) - 2(y - 3) + 2z = -3 .....(3) เปนเอกนามและทุกสมการตองเปนเอกนามคลาย ตัวอยางเชน
2
2. x + 2yz - 3zx = 8 .....(1) 1) 2xy - 3y3 + xz = -3 .....(1)
2
2x - 3yz + zx = -5 .....(2) 3
-3xy + y - 5xz = 15 .....(2)
2
-x - yz - zx = -2 .....(3) 3
4xy - 5y - 2xz = 11 .....(3)
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง 3 2 2
2) x - 2y + 2z = -2 .....(1)
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม 3 2 2
2x + 3y - 3z = -2 .....(2)
เดียวกัน 3 2 2
-3x + y + 2z = 6 .....(3)
ขอ 1) เปนระบบสมการที่มีเอกนามคลาย xy, y3 และ xz
ขอ 2) เปนระบบสมการที่มีเอกนามคลาย x3, y2 และ z2

T133
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
6. ครูอธิบายวา การแกระบบสมการที่มีจํานวน
ตัวอย่างที่ 1
สมการเทากับจํานวนตัวแปรสามารถทําได
แกระบบสมการตอไปนี้
หลายวิธี เชน การกําจัดตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง
x + y - 2z = 3
การใชความรูเ รือ่ ง เมทริกซ การใชความรูเ รือ่ ง 2x - y + z = 8
ดีเทอรมิแนนต x - y + 3z = 1
7. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน
หนา 126 จากนั้นครูอธิบายอยางละเอียด วิธีทํา กําหนด x + y - 2z = 3 .....(1)
อีกครัง้ เพือ่ ใหนกั เรียนเขาใจมากยิง่ ขึน้ 2x - y + z = 8 .....(2)
8. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน x - y + 3z = 1 .....(3)
(1) + (2) จะได 3x - z = 11 .....(4)
หนา 126 (1) + (3) จะได 2x + z = 4 .....(5)
(4) + (5) จะได 5x = 15
ใช้ทฤษฎี หลักการ
x =3
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน แทน x = 3 ใน (5) จะได
หนา 126 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 2(3) + z = 4 คณิตน่ารู้
“ลองทําดู” z = -2 คําตอบของระบบสมการนิยม
แทน x = 3 และ z = -2 ใน (1) จะได เขียนในรูปของ n สิ่งอันดับ
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 3 + y - 2(-2) = 3 (ordered n - tuple) เชน
1. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 2 y = -4 (x1, x2, ..., xn)
ในหนังสือเรียน หนา 126-127 ดังนั้น คําตอบของระบบสมการ คือ (3, -4, -2)
2. ครูใหนักเรียนจับคูแลวทํากิจกรรม “ทนาย
ลองทําดู
ชางซัก (Rally Robin)” โดยใหแตละคูพูดคุย
แกระบบสมการตอไปนี้
ซักถามกันในเรื่อง การแกระบบสมการ ใน
5x + 4y - z = 9
ตัวอยางที่ 2 x - 5y + z = 18
3. จากนัน้ ครูกบั นักเรียนพูดคุย ซักถามกัน จนได 6x + 3y - z = 16
ขอสรุปวา ระบบสมการในตัวอยางที่ 2 นี้
ตัวอย่างที่ 2
เปนระบบสมการที่มีหลายคําตอบ
แกระบบสมการตอไปนี้
x + y + 5z = 8
x + 2y + 7z = 12
2x - y + 4z = 4
126

ขอสอบเนน การคิด
กําหนดให A + B + C = -6, 2A - 3B - C = 10 และ 3A - B - C = 14 จงหาคาของ 3A + 2B + C
1. -2 2. -1 3. 0 4. 1
(เฉลยคําตอบ A + B + C = -6 .....(1) 2A - 3B - C = 10 .....(2)
3A - B - C = 14 .....(3)
นําสมการ (1) + (3) จะได 4A = 8
A = 2
แทนคา A = 2 ในสมการ (2) และ (3) จะได 4 - 3B - C = 10 .....(4)
6 - B - C = 14 .....(5)
นําสมการ (4) - (5) จะได -2 - 2B = -4
-2B = -2
B = 1
แทนคา A = 2 และ B = 1 ในสมการ (1) จะได 2 + 1 + C = -6
C = -9
นั่นคือ 3A + 2B + C = 6 + 2 - 9 = -1
T134 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา กําหนด x + y + 5z = 8 .....(1)
หนา 127 จากนั้นใหนักเรียนคูเดิมทํากิจกรรม
x + 2y + 7z = 12 .....(2)
“ทนายชางซัก (Rally Robin)” โดยใหนักเรียน
2x - y + 4z = 4 .....(3)
พูดคุย ซักถามกันวา คําตอบของระบบสมการใน
(2) - (1) จะได y + 2z = 4 .....(4)
“ลองทําดู” ตรงกันหรือไม พรอมทัง้ อธิบายซึง่ กัน
2 × (4) จะได 2y + 4z = 8 .....(5)
และกัน จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน โดยครูตรวจสอบ
(2) - (5) จะได x + 3z = 4 .....(6)
จาก (4) จะได y = 4 - 2z ความถูกตอง
จาก (6) จะได x = 4 - 3z แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
เมื่อแทน x และ y ใน (1) จะได
(4 - 3z) + (4 - 2z) + 5z = 8 1. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน
8 =8 หนา 128 บนกระดาน โดยครูจะยังไมใหนกั เรียน
เมื่อแทน x และ y ใน (2) จะได เปดหนังสือเรียน
(4 - 3z) + 2(4 - 2z) + 7z = 12 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละ
12 = 12 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
เมื่อแทน x และ y ใน (3) จะได และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวใหนักเรียน
2(4 - 3z) - (4 - 2z) + 4z = 4 แตละกลุม ทํากิจกรรม “รวมหัวคิด (Numbered
4 = 4 Heads Together)” โดยใหนักเรียนแตละกลุม
ดังนั้น (4 - 3z, 4 - 2z, z) สอดคลองกับสมการ (1), (2) และ (3) ชวยกันหาคําตอบของระบบสมการบนกระดาน
จะไดวา คําตอบของระบบสมการ คือ (4 - 3z, 4 - 2z, z) เมื่อ z∊R เมื่อนักเรียนในแตละกลุมทําเสร็จแลว ครูสุม
หรือเซตของคําตอบของระบบสมการ คือ เรียกตัวแทนกลุมใหตอบคําถาม
{ (x, y, z)  x = 4 - 3z, y = 4 - 2z, z∊R } 3. ครูสุมถามนักเรียนทุกกลุมจนไดคําตอบ
หรือ { (4 - 3z, 4 - 2z, z)  z∊R } เดียวกันวา ระบบสมการนี้ไมมีคําตอบ

ใช้ทฤษฎี หลักการ
ลองทําดู
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
แกระบบสมการตอไปนี้
หนา 128 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
-4x - y - 6z = 3
“ลองทําดู”
2x + y + 5z = -2
6x - 2y - 5z = -1

เมทริกซ 127

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ ครูควรเนนยํ้ากับนักเรียนวา คําตอบของระบบสมการสามารถตอบในรูป
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ของตัวแปรได เหมือนในตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน หนา 126-127
แลวใหแตละกลุมกลับไปสืบคนเกี่ยวกับโจทยของระบบสมการ
เชิงเสนสามตัวแปรที่มีคําตอบลักษณะเดียวกับตัวอยางที่ 2 ใน
หนังสือเรียน หนา 126-127 โดยทําลงในกระดาษ A4 แลวนํามา
สงใหครูตรวจสอบความถูกตอง

T135
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนคูเดิมทํากิจกรรม “ซักไซไลเรียง
ตัวอย่างที่ 3
(Round Robin)” โดยใหแตละคูผ ลัดกันพูดคําตอบ
ของตนเอง แลวตรวจสอบวาตรงกับคูของตนเอง แกระบบสมการตอไปนี้
หรื อ ไม ถ า ไม ต รงกั น ให ช  ว ยกั น ตรวจสอบข อ x + 2y - z = 1
ผิดพลาด พรอมทั้งอธิบายซึ่งกันและกัน จนเปนที่ 2x + 2y - 3z = 4
เขาใจรวมกัน 3x + 4y - 4z = 7

ใช้ทฤษฎี หลักการ วิธีทํา กําหนด x + 2y - z = 1 .....(1)


1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.1 ใน 2x + 2y - 3z = 4 .....(2)
หนังสือเรียน หนา 129 3x + 4y - 4z = 7 .....(3)
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.1 ในแบบฝกหัด (1) + (2) จะได 3x + 4y - 4z = 5 .....(4)
เปนการบาน จากสมการขางตนจะเห็นวา ถา (x, y, z) เปนคําตอบของระบบสมการที่กําหนด
แลว (x, y, z) ตองสอดคลองกับสมการ (1), (2) และ (3)
ขัน้ สรุป และถา (x, y, z) สอดคลองกับสมการ (1) และ (2) แลว (x, y, z) ตองสอดคลองกับ
ตรวจสอบและสรุป สมการ (4)
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ แตจากสมการ (3) จะเห็นวา 3x + 4y - 4z = 7
นักเรียน ดังนี้ และจากสมการ (4) จะเห็นวา 3x + 4y - 4z = 5
• สมการเชิงเสนมีความหมายวาอยางไร ซึ่งจะเห็นไดชัดวา ไมมี x, y และ z ใด ๆ ที่ทําใหสมการ (3) และ (4) เปนจริง
(แนวตอบ สมการที่มีเลขชี้กําลังของตัวแปร พรอมกันได
ทุกตัวเปนหนึ่ง) ดังนั้น ระบบสมการที่กําหนดไมมีคําตอบ
• เราจะเรียกสมการเชิงเสนที่มีหลายตัวแปร
วาอยางไร ลองทําดู
(แนวตอบ สมการเชิงเสน n ตัวแปร เมื่อ n แกระบบสมการตอไปนี้
แทนจํานวนตัวแปร) 3x + y + z = 3
4x + y + 3z = 2
7x + 2y + 4z = 9

128

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรอธิบายและใหเหตุผลเพิม่ เติมเกีย่ วกับโจทยของระบบสมการเชิงเสน นิธิศจายคาซอมบาน 18,000 บาท ถาชางผูรับเหมาบอกวา
สามตัวแปรของตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 128 วา เพราะเหตุใดระบบ คาวัสดุทั้งหมด 6,000 บาท และคาแรงของผูชวยของเขานอยกวา
สมการที่กําหนดจึงไมมีคําตอบ คาแรงของชางผูรับเหมาครึ่งหนึ่ง อยากทราบวาคาแรงของชาง
ผูรับเหมาเทากับเทาไร
1. 2,000 บาท 2. 4,000 บาท
3. 6,000 บาท 4. 8,000 บาท
(เฉลยคําตอบ คิดเฉพาะคาแรง 18,000 – 6,000 = 12,000 บาท
ให x แทนคาแรงของชางผูร บั เหมา และ y แทนคาแรงของผูช ว ย
จะได x + y = 12,000 .....(1)
และ y = 2x .....(2)
x x
แทนคา y = 2 ในสมการ (1) จะได x + 2 = 12,000
3x = 12,000
2
x = 8,000
นั่นคือ คาแรงของชางผูรับเหมาเทากับ 8,000 บาท
T136 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• ระบบสมการเชิงเสนมีความหมายวาอยางไร
จากตัวอยางที่ 1-3 จะเห็นวา คําตอบของระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปร มี 3 ลักษณะ คือ
(แนวตอบ สมการเชิงเสนที่มีมากกวาหนึ่ง
1) ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปรที่มีคําตอบเดียว สมการ)
2) ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปรที่มีหลายคําตอบ หรือเรียกวา มีคําตอบอนันต • การแกระบบสมการเชิงเสนทําไดอยางไร
3) ระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปรที่ไมมีคําตอบ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ระบบสมการเชิงเสนชุดหนึ่ง ๆ จะใหคําตอบของระบบสมการเพียงลักษณะเดียวเทานั้น ขึน้ อยูก บั พืน้ ฐานความรูข องนักเรียนแตละคน
เชน การกําจัดตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง)
แบบฝึกทักษะ 2.1
ขัน้ ประเมิน
ระดับพื้นฐาน 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.1
1. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้ 2. ครูตรวจ Exercise 2.1
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
1) x + 3y = 8 2) x - 3y = 4 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
x - 2y = 3 -2x + 6y = 2 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3) x + y + z = 6 4) 3x + 2y - z = 4 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
x-y+z = 2 5x - 3y + z = 1 มุงมั่นในการทํางาน
x+y-z = 0 x - 6y + 2z = 7
5) x + y =2 6) 2x + y - z = 2
x + 3y + z = 5 2x + 2y - 4z = 5
3x + y - z = 3 4x + 3y - 5z = 9

ระดับกลาง
2. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้
1) 2x + 2y + 2z + 2t = 11 2) 2x - y + 3z - w = -3
x + y + 2z + 2t = 5 3x + 2y - z + w = 13
2y + 5z + 2t = 5 x - 3y + z - 2w = -4
x + y + 3z + 4t = 1 -x + y + 4z + 3w = 0

เมทริกซ 129

กิจกรรม สรางเสริม แนวทางการวัดและประเมินผล


ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน คละความสามารถทาง ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลว แบบฝกทักษะ 2.1 ในขัน้ ใชทฤษฎี หลักการ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล
ใหแตละกลุม สงตัวแทนมาจับสลากโจทยของระบบสมการเชิงเสน จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 2
สามตัวแปรที่ครูเตรียมไว เมื่อนักเรียนไดโจทยแลวใหแสดงวิธีทํา
อยางละเอียดลงในกระดาษ A4 ถาทุกกลุมทําเสร็จแลวใหสง แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน

ตัวแทนกลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนใน ลาดับที่

1
รายการประเมิน

การแสดงความคิดเห็น
4
 
3
ระดับคะแนน
2
 
1

ชั้นเรียนชวยกันตรวจสอบความถูกตอง
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T137
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)


กําหนดขอบเขตของปญหา
1. ครู ก ระตุ  น ความสนใจของนั ก เรี ย นโดยให
นักเรียนทํากิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน
2.2 เมทริกซ (Matrix)
หนา 130 โดยใชเทคนิค “คูคิด (Think Pair กิจกรรม คณิตศาสตร์
Share)” ตามขัน้ ตอนตอไปนี้
ใหนักเรียนพิจารณาตารางแสดงจํานวนยางลบยี่หอ A, B และ C ที่เหลืออยูในราน ก. และราน ข.
• ใหนกั เรียนคิดคําตอบของตนเองจากกิจกรรม
ตอไปนี้
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 130
• ให นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น ยางลบ A ยางลบ B ยางลบ C
คําตอบกัน สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ ราน ก. 35 52 61
ราน ข. 50 35 33
รวมกัน
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา ตารางที่ 1
ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น จากตารางขางตน สามารถนําจํานวนยางลบยี่หอ A, B และ C ที่ขายอยูในราน ก. และราน ข.
มาเขียนใหมในวงเล็บ [ ] หรือ ( ) ได ดังนี้
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
หลักที่ 1 หลักที่ 2 หลักที่ 3 หลักที่ 1 หลักที่ 2 หลักที่ 3
2. ครูใหนักเรียนศึกษาประวัตินักคณิตศาสตร
ในกรอบ “เกร็ดนารู” ในหนังสือเรียน หนา 130 แถวที่ 1 35 52 61 หรือ 35 52 61 แถวที่ 1
แถวที่ 2 50 35 33 ( 50 35 33 ) แถวที่ 2
ขัน้ สอน ในทางคณิตศาสตรจะเรียกการเขียนชุดของจํานวนในลักษณะ à¡Ãç ´ ¹ è ÒÃÙ é
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ ดังกลาววา เมทริกซ ซึ่งในหนังสือเลมนี้จะใชวงเล็บ [ ] Jame Joseph Sylvester
1. ครูอธิบายวา ชุดของจํานวนทีเ่ ขียนอยูใ นวงเล็บ จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ Jame
Joseph
[ ] หรือ ( ) เปนการนําจํานวนที่อยูในตารางมา 1. เมทริกซขางตนมีจํานวนแถวและจํานวนหลักเปนเทาใด Sylvester
2. ถาตัวเลขแตละตัวที่อยูในเมทริกซเรียกวา “สมาชิกของเมทริกซ” (¤.È. 1814-
เขียนเรียงใหมตามแถวและคอลัมนเดิม ในทาง 1897) ໚¹¹Ñ¡
และสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 1 ของเมทริกซ คือ จํานวนยางลบ
คณิตศาสตรจะเรียกวา เมทริกซ แตละยี่หอในราน ก. แลวสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 2 คืออะไร ¤³ÔµÈÒʵÏ
ªÒÇÂÔ Ç ·Õè à »š ¹ ¼Ù Œ ºÑ Þ ÞÑ µÔ ¤ ÓÇ‹ Ò
3. ถาสมาชิกแตละตัวในหลักที่ 1 ของเมทริกซ คือ จํานวนยางลบ àÁ·ÃÔ ¡ « (Matrix) «Öè § µ‹ Í ÁÒ
ยี่หอ A ที่ขายอยูในราน ก. และราน ข. แลวสมาชิกแตละตัว á¹Ç¤Ô ´ à¡Õè Â Ç¡Ñ º àÁ·ÃÔ ¡ « ä ´Œ ¶Ù ¡
¹ÓÁÒ㪌ᡌ»˜ÞËÒà¡ÕèÂǡѺÃкº
ในหลักที่ 2 และหลักที่ 3 คืออะไร ÊÁ¡ÒÃàªÔ§àÊŒ¹

จากกิจกรรมคณิตศาสตรจะเห็นวา ชุดของจํานวนที่เขียนอยูในวงเล็บ [ ] หรือ ( ) เปนการนํา


จํานวนที่อยูในตารางมาเขียนเรียงใหมตามแถวและคอลัมนเดิม ในทางคณิตศาสตรจะเรียกชุด
ของจํานวนที่เขียนในวงเล็บ [ ] หรือ ( ) วา เมทริกซ ซึ่งมีบทนิยาม ดังนี้
130

เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์ กิจกรรม สรางเสริม


1. เมทริกซขางตนมี 2 แถว 3 หลัก
ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันตั้งคําถามเพิ่มเติมจากกิจกรรม
2. สมาชิกแตละตัวในแถวที่ 2 คือ จํานวนยางลบแตละยี่หอในราน ข.
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 130 ลงในกระดาษ A4 เมื่อทํา
3. สมาชิกแตละตัวในหลักที่ 2 และหลักที่ 3 คือ จํานวนยางลบยี่หอ B
เสร็จแลวครูสุมนักเรียน 5 คู ออกมานําเสนอคําถามหนาชั้นเรียน
และ C ที่ขายอยูในราน ก. และราน ข. ตามลําดับ
โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตอบคําถามและตรวจสอบ
ความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T138
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ

บทนิยาม เมทริกซ คือ ชุดของจํานวนที่เขียนเรียงกัน m แถว (Row) n หลัก (Column)


2. ครูอธิบายบทนิยามของเมทริกซ ในหนังสือเรียน
เมื่อ n และ m เปนจํานวนเต็มบวกภายในเครื่องหมายวงเล็บ ดังนี้ หนา 131 และเปดโอกาสใหนักเรียนสอบถาม
a11 a12 ... a1n แถวที่ 1 (R1) ในสวนที่ไมเขาใจ
a21 a22 ... a2n แถวที่ 2 (R2) 3. ครูอธิบายเพิม่ เติมจากบทนิยามวา เราสามารถ
⋮ ⋮ ⋮ แบงชนิดของเมทริกซโดยใชจาํ นวนแถว จํานวน
am1 am2 ... amn แถวที่ m (Rm) หลัก และสมาชิกของเมทริกซได ดังนี้
• เมทริกซแถว (row matrix) คือ เมทริกซที่มี
หลักที่ 1
(C1)
หลักที่ 2
(C2)
หลักที่ n
(Cn) 1 แถว และ n หลัก มีมิติเปน 1 × n
เรียก aij วาเปนสมาชิก (Entry) ในแถวที่ i หลักที่ j ของเมทริกซ หรือเรียกวาเปนสมาชิก • เมทริกซหลัก (column matrix) คือ เมทริกซ
ในตําแหนงที่ ij ของเมทริกซ เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., m } และ j∊{ 1, 2, 3, …, n } ที่มี n แถว และ 1 หลัก มีมิติเปน n × 1
เรียกเมทริกซที่มี m แถว และ n หลักวาเปน m × n เมทริกซ อานวา “เอ็ม คูณ เอ็น เมทริกซ” • เมทริกซจตั รุ สั (square matrix) คือ เมทริกซ
และเรียก m × n วาเปนมิติของเมทริกซ (dimension of matrix)
ที่มีจํานวนแถวและหลักเทากัน
จากบทนิยาม การแบงชนิดของเมทริกซสามารถแบงไดโดยใชจํานวนแถว จํานวนหลัก และ • เมทริกซศนู ย (zero matrix or a null matrix)
สมาชิกของเมทริกซ ดังนี้ คือ เมทริกซทมี่ สี มาชิกทุกตัวเปนศูนย เขียน
แทนดวยสัญลักษณ 0
1) เมทริกซแถว (row matrix) คือ เมทริกซที่มี 1 แถว และมี n หลัก มีมิติเปน 1 × n เชน
• เมทริกซเอกลักษณ (identity matrix or unit
[-1] เปนเมทริกซที่มี 1 แถว และ 1 หลัก จึงมีมิติเปน 1 × 1
matrix) คือ เมทริกซจตั รุ สั ทีม่ สี มาชิกในแนว
และเรียกเมทริกซนี้วา 1 × 1 เมทริกซ
ทแยงหลักเปน 1 ทัง้ หมด และสมาชิกทีไ่ มได
2 4 เปนเมทริกซที่มี 1 แถว และ 2 หลัก จึงมีมิติเปน 1 × 2
3 อยูใ นแนวทแยงหลักเปนศูนย เขียนแทนดวย
และเรียกเมทริกซนี้วา 1 × 2 เมทริกซ
สัญลักษณ In เมื่อ n เปนจํานวนแถวและ
2) เมทริกซหลัก (column matrix) คือ เมทริกซทมี่ ี n แถว และมี 1 หลัก มีมติ เิ ปน n × 1 เชน จํานวนหลักของเมทริกซ
[-0.5] เปนเมทริกซที่มี 1 แถว และ 1 หลัก จึงมีมิติเปน 1 × 1 4. ครูอธิบายความรูในกรอบ “คณิตนารู”
และเรียกเมทริกซนี้วา 1 × 1 เมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 132
2 เปนเมทริกซที่มี 2 แถว และ 1 หลัก จึงมีมิติเปน 2 × 1
4 และเรียกเมทริกซนี้วา 2 × 1 เมทริกซ
3) เมทริกซจัตุรัส (square matrix) คือ เมทริกซที่มีจํานวนแถวเทากับจํานวนหลัก มีมิติเปน
n × n เมื่อ n เปนจํานวนแถวและจํานวนหลัก เชน
[10] เปนเมทริกซที่มี 1 แถว และ 1 หลัก จึงมีมิติเปน 1 × 1
และเรียกเมทริกซนี้วา 1 × 1 เมทริกซ
เมทริกซ 131

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวสลับกันสรางเมทริกซชนิดตางๆ ตามที่ ครูใหนักเรียนปดหนังสือเรียนแลวใหนักเรียนชวยกันตอบวา ชนิดของ
คูของตนเองบอก จํานวน 10 ขอ โดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทํา เมทริกซมีอะไรบาง และมีลักษณะอยางไร เพื่อเปนการทบทวนเนื้อหาที่ไดเรียน
เสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง ในหนังสือเรียน หนา 131-132
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T139
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูกําหนดเมทริกซใหนักเรียนจําแนกประเภท
3 14 เปนเมทริกซที่มี 2 แถว และ 2 หลัก จึงมีมิติเปน 2 × 2
โดยใชเกณฑทคี่ รูไดอธิบายไวขา งตน ซึง่ ครูกาํ หนด และเรียกเมทริกซนี้วา 2 × 2 เมทริกซ
-10 5
เมทริกซ ดังนี้
• A = [0] เปนเมทริกซประเภทใดบาง 1.9 -1.4 1.6 เปนเมทริกซที่มี 3 แถว และ 3 หลัก จึงมีมิติเปน 3 × 3
(แนวตอบ เมทริกซแถว เมทริกซหลัก เมทริกซ
12 4 2 และเรียกเมทริกซนี้วา 3 × 3 เมทริกซ
จัตุรัส และเมทริกซศูนย)
• B = [1] เปนเมทริกซประเภทใดบาง 4 -7 1
1
(แนวตอบ เมทริกซแถว เมทริกซหลัก เมทริกซ 4) เมทริกซศูนย (zero matrix or a null matrix) คือ เมทริกซที่มีสมาชิกทุกตัวเปนศูนย
จัตุรัส และเมทริกซเอกลักษณ) เขียนแทนดวยสัญลักษณ 0 เชน
• C = [1, 0] เปนเมทริกซประเภทใดบาง
0 0 0
(แนวตอบ เมทริกซแถว) [0], 0 0 และ 0 0 0 คณิตน่ารู้
• D = [-32 ] เปนเมทริกซประเภทใดบาง 0 0 0 0 0
(แนวตอบ เมทริกซหลัก) กําหนดเมทริกซ A เปน
5) เมทริกซเอกลักษณ (identity matrix or unit matrix) เมทริกซจตั รุ สั ทีม่ มี ติ เิ ปน n × n
• E = [ 00 00 ] เปนเมทริกซประเภทใดบาง คือ เมทริกซจัตุรัสที่มีสมาชิกในแนวทแยงหลักเปน 1 ทั้งหมด จะกล า วว า แนวทแยงหลั ก
(แนวตอบ เมทริกซจัตุรัสและเมทริกซศูนย) และสมาชิกที่ไมไดอยูในแนวทแยงหลักเปนศูนย เขียนแทน (Main Diagonal) ของเมทริกซ
A ประกอบไปดวย สมาชิกใน
• F = [ 10 01 ] เปนเมทริกซประเภทใดบาง ดวยสัญลักษณ In เมื่อ n เปนจํานวนแถวและจํานวนหลักของ
แถวที่ i หลักที่ j เมื่อ i = j
เมทริกซ เชน
(แนวตอบ เมทริกซจัตุรัสและเมทริกซ สําหรับทุก i∊{ 1, 2, ..., n }
เอกลักษณ) 1 0 0 และ j∊{ 1, 2, ..., n }
I2 = 1 0 และ I3 = 0 1 0
เมื่อนักเรียนทําเสร็จแลว ครูและนักเรียนรวมกัน 0 1 0 0 1
เฉลยคําตอบ
แนวทแยงหลัก

การใชสัญลักษณเกี่ยวกับเมทริกซ จะใชตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพใหญ A, B, C, …
แทนเมทริกซ และใชตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพเล็ก a, b, c, … ที่มีตัวเลขกํากับไวทาง
ขวามือเพื่อบอกลําดับแถวและลําดับหลัก แทนสมาชิกของเมทริกซ A, B, C, … ตามลําดับ เชน
A = a11 a12 a13
เมทริกซ A เปน 1 × 3 เมทริกซ มีสมาชิก เชน a11 อานวา “เอ หนึ่ง หนึ่ง” เปนสมาชิก
ของเมทริกซที่อยูในแถวที่ 1 หลักที่ 1 หรือเปนสมาชิกในตําแหนงที่หนึ่ง หนึ่ง

132

นักเรียนควรรู กิจกรรม ทาทาย


1 เมทริกซศูนย สามารถเขียนเปน m × n เมทริกซไดเชนเดียวกัน ครูใหนักเรียนจับคูแลวจําแนกชนิดของเมทริกซตอไปนี้
0 ... 0
1. [ 10 01 ] 2. [14 ] 3.
...
...
...

0 ... 0
9 8 7
4. 6 5 4 5. -14 6. [1 0 5 ]
3 2 1
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T140
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
b11 b12 b13 ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 4 ในหนังสือเรียน
B = b21 b22 b23 หนา 133 แลวถามคําถาม ดังนี้
b31 b32 b33
• a11 เทากับเทาใด
เมทริกซ B เปน 3 × 3 เมทริกซ มีสมาชิก เชน b23 อานวา “บี สอง สาม” เปนสมาชิก (แนวตอบ a11 = 2)
ของเมทริกซที่อยูในแถวที่ 2 หลักที่ 3 หรือเปนสมาชิกในตําแหนงที่สอง สาม • a12 เทากับเทาใด
นอกจากนี้การเขียนเมทริกซ ในรูปแบบขางตน นักเรียนอาจเขียนเมทริกซ ใด ๆ ในรูปทั่วไป (แนวตอบ a12 = 3)
อีกแบบหนึ่ง โดยใช A = aij m n ซึ่ง aij แทนสมาชิกในตําแหนงแถวที่ i หลักที่ j แลวบอกมิติ
×
• a13 เทากับเทาใด
ของเมทริกซ เชน (แนวตอบ a13 = 3)
จากเมทริกซ A เขียนแทนดวย A = aij 1× 3 หมายถึง เมทริกซ A เปน 1 × 3 เมทริกซ • a21 เทากับเทาใด
ที่มีสมาชิกตําแหนงที่ ij เปน aij เมื่อ i∊{ 1 } และ j∊{ 1, 2, 3 } (แนวตอบ a21 = 4)
จากเมทริกซ B เขียนแทนดวย B = bij 3×3 หมายถึง เมทริกซ B เปน 3 × 3 เมทริกซ • a22 เทากับเทาใด
ที่มีสมาชิกตําแหนงที่ ij เปน bij เมื่อ i∊{ 1, 2, 3 } และ j∊{ 1, 2, 3 } (แนวตอบ a22 = 2)
จากการเขียนเมทริกซ ในรูปแบบขางตน นักเรียนสามารถสรุปเปนรูปทั่วไปได ดังนี้ • a23 เทากับเทาใด
(แนวตอบ a23 = 3)
A = aij m n หมายถึง เมทริกซ A เปน m × n เมทริกซ ที่มีสมาชิกตําแหนงแถวที่ i
× ใช้ทฤษฎี หลักการ
หลักที่ j เขียนเปน aij เมื่อ i∊{ 1, 2, …, m } และ j∊{ 1, 2, …, n }
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 134 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ตัวอย่างที่ 4 คําตอบ “ลองทําดู”
กําหนด A = aij × และ aij = 4 เมื่อ i > j และ aij = 3 เมื่อ i < j และ aij = 2
2 3
เมื่อ i = j ใหหาคาของ a21 + a22 - a13 + a11

วิธีทํา จาก A = aij จะไดวา A = aa11 aa12 aa13


2 ×3 21 22 23

= 24 32 33
ดังนั้น a21 + a22 - a13 + a11 = 4 + 2 - 3 + 2 = 5

เมทริกซ 133

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


กําหนดให A = [aij]2 × 3, aij = i - j, i ≥ j และ aij = i × j, i < j ครูควรเนนยํ้าการเขียนชื่อเมทริกซวาจะตองเปนตัวอักษรภาษาอังกฤษ
จะเขียนเมทริกซ A แบบแจกแจงสมาชิกไดอยางไร ตัวพิมพใหญ เพื่อไมใหนักเรียนเกิดความสับสนกับการเขียนชื่อสมาชิกของ
เมทริกซที่จะตองเปนตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพเล็ก
1. 01 20 36 2. 01 10 36

3. 04 20 36 4. 01 20 35
(เฉลยคําตอบ จาก A = [aij ]2 × 3
a a a
จะไดวา A = [ a1121 a1222 a1323 ]
เนื่องจาก a11, a21 และ a22 ตรงกับเงื่อนไข aij = i - j, i ≥ j
และ a12, a13 และ a23 ตรงกับเงื่อนไข aij = i × j, i < j
จะไดวา A = [ 01 20 36 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)

T141
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนศึกษาการเทากันของเมทริกซ ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 134 แลวถามคําถาม ดังนี้ กําหนด B = bij × และ bij = 10 เมื่อ i > j และ bij = -3 เมื่อ i < j และ bij = 25
2 3
• นักเรียนมีหลักการสังเกตเมทริกซที่เทากัน เมื่อ i = j ใหหาคาของ b11 - b12 + b23 - b22
อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย 1. การเทากันของเมทริกซ (Equal Matrices)
ตามขอสังเกตของแตละคน เชน มีสมาชิก
ในตําแหนงเดียวกันเหมือนกัน และมีมิติ บทนิยาม กําหนด A = aij
m ×n
และ B = bij m ×n
เดียวกัน) A เทากับ B ก็ตอเมื่อ aij = bij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, …, m } และ j∊{ 1, 2, 3, …, n }
และเขียนแทน A เทากับ B ดวย A = B
ใช้ทฤษฎี หลักการ ใหนักเรียนพิจารณาเมทริกซที่กําหนดใหแตละคูตอไปนี้
ครูใหนักเรียนจับคูทํา “Thinking Time” ใน
1) A = 3 กับ B = -3 Thinking Time
หนังสือเรียน หนา 134 จากนั้นครูสุมนักเรียน 9 3+6
ถาเมทริกซ A และ B
ออกมานําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูและ 2 มีมติ เิ ดียวกัน นักเรียนคิดวา
เพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง 2) C = [2 3 4] กับ D = 3 เมทริกซ A และ B เทากัน
4
ไดหรือไม เพราะเหตุใด
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 3) E = [0] กับ F = [0 0]
1. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 5 ในหนังสือเรียน จากเมทริกซที่กําหนดใหขางตน จะเห็นวา
หนา 134 บนกระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้ 1) เมทริกซ A และ B มีมิติเหมือนกัน และสมาชิกแตละตําแหนงของ A และ B เทากัน
• จากการเทากันของเมทริกซ นักเรียนจะหา ทุกคา คือ 3 = -3 และ 9 = 3 + 6 ดังนั้น A เทากับ B หรือ A = B
คาของ x และ y ไดอยางไร 2) เมทริกซ C และ D มีมิติตางกัน ดังนั้น C ไมเทากับ D หรือ C D
(แนวตอบ นําสมาชิกของเมทริกซในตําแหนง 3) เมทริกซ E และ F มีมิติตางกัน ดังนั้น E ไมเทากับ F หรือ E F
เดียวกันมาเทากัน และแกระบบสมการ) ตัวอย่างที่ 5

กําหนด x -4- 5 = y +0 7 ใหหาคาของ x และ y

วิธีทํา จาก x -4- 5 = y +0 7 จะไดวา x - 5 = 0 และ y + 7 = -4


เมื่อแกสมการ จะไดวา x = 5, y = -11
ดังนั้น คาของ x และ y ที่ทําใหเมทริกซที่กําหนดเทากัน คือ 5 และ -11 ตามลําดับ

134

เฉลย Thinking Time กิจกรรม ทาทาย


- 43 + y 5 ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันหาคําตอบของโจทยบนกระดาน
จาก 3 = 6
4 -x - 1 ตอไปนี้
0 2 z-2 0 2 -1
จะไดวา - 43 + y = 56 และ -x - 1 = 34 กําหนดให 1 2 1 =
1 x + 1 y2
แลว x + y + z มีคาเทาใด
เมื่อแกสมการ จะไดวา x = - 74 , y = 13
6 หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
ดังนั้น คาของ x และ y ที่ทําใหเมทริกซที่กําหนดเทากัน คือ - 74 และ 13
6
ตามลําดับ

T142
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ

ลองทําดู • ความสัมพันธของสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 1


เขียนอยางไร และ x เทากับเทาใด
- 43 + y 5
กําหนด 3 = 6 ใหหาคาของ x และ y (แนวตอบ ความสัมพันธ คือ x - 5 = 0
4 -x - 1 และ x = 5)
• ความสัมพันธของสมาชิกในแถวที่ 2 หลักที่ 1
ตัวอย่างที่ 6 เขียนอยางไร และ y เทากับเทาใด
กําหนด -2xx -+ y2y = -63 ใหหาคาของ x และ y (แนวตอบ ความสัมพันธ คือ -4 = y + 7
และ y = -11)
x-y 3 2. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 6 ในหนังสือเรียน
วิธีทํา จาก -2x + 2y = -6 หนา 135 บนกระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้
จะไดวา x-y = 3 .....(1) • จากการเทากันของเมทริกซ นักเรียนจะหาคา
-2x + 2y = -6 .....(2) ของ x และ y ไดอยางไร
จะเห็นวา สมการ (2) ไดจากการคูณสมการ (1) ดวย -2 (แนวตอบ นําสมาชิกของเมทริกซในตําแหนง
ฉะนั้น สมการ (1) และ (2) มีคําตอบของสมการเปนชุดเดียวกัน เดียวกันมาสรางระบบสมการ แลวแกระบบ
นั่นคือ ถา x - y = 3 แลว x = y + 3 หรือ y = x - 3 สมการเพื่อหาคําตอบ)
จะไดวา เซตคําตอบของสมการ (1) คือ { (x, y)  x - y = 3 }
• ความสัมพันธของสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 1
หรือ { (x, x - 3)  x∊R }
เขียนอยางไร
หรือ { (y + 3, y)  y∊R }
ดังนั้น x และ y ที่ทําใหเมทริกซที่กําหนดเทากัน คือ (x, y)∊{ (a, b)  a - b = 3 } (แนวตอบ x - y = 3)
หรือ (x, y)∊{ (a, a - 3)  a∊R } • ความสัมพันธของสมาชิกในแถวที่ 2 หลักที่ 1
หรือ (x, y)∊{ (b + 3, b)  b∊R } เขียนอยางไร
(แนวตอบ -2x + 2y = -8)
ลองทําดู • คําตอบของระบบสมการมีลักษณะเปน
อยางไร
-4 x + y 4 ใหหาคาของ x และ y
กําหนด 7 = -28 (แนวตอบ มีหลายคําตอบ)
4x - 7y

เมทริกซ 135

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันหาคําตอบของโจทยบนกระดาน จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ ครูควรใหนักเรียนรวมกันแสดง
ตอไปนี้ ความคิดเห็นวา นักเรียนคิดวานักคณิตศาสตรใชแนวคิดจากเรือ่ งใด และเหตุใด
1 y log3 27 4 2 5 นักคณิตศาสตรจึงกําหนดมิติของเมทริกซและใชสมาชิกของเมทริกซที่อยูใน
กําหนด 3 x + 1 log5 25 6 2 =
ตําแหนงเดียวกันตองมีคาเทากัน
ใหหาคาของ x และ y
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T143
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2. เมทริกซสลับเปลีย่ น (Transpose of a Matrix)
หนา 135 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
“ลองทําดู” กิจกรรม คณิตศาสตร์

แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ จากกิจกรรมคณิตศาสตรในหนา 130 นักเรียนทราบมาแลววาจํานวนยางลบยี่หอ A, B และ C


ที่เหลืออยูในราน ก. และราน ข. เปนดังนี้
1. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนโดยการให
นักเรียนทํากิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน ยางลบ A ยางลบ B ยางลบ C
หนา 136 โดยใชเทคนิค “คูค ดิ (Think Pair Share)” ราน ก. 35 52 61
ตามขั้นตอนตอไปนี้ ราน ข. 50 35 33
• ใหนกั เรียนคิดคําตอบของตนเองจากกิจกรรม ตารางที่ 2
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 136 เมื่อนําขอมูลดังกลาวมาเขียนใสตารางอีกแบบหนึ่ง โดยใหแตละแถวแทนจํานวนยางลบยี่หอ A, B
และ C และแตละคอลัมนแทนราน ก. และราน ข. จะไดตารางบันทึกขอมูลใหม ดังนี้
• ให นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น
คําตอบกัน สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ ราน ก. ราน ข.
รวมกัน ยางลบ A 35 50
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา ยางลบ B 52 35
ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น ยางลบ C 61 33
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง ตารางที่ 3
จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1. เขียนเมทริกซ A และ B แทนขอมูลในตารางที่ 2 และ 3 ตามลําดับ
2. เมทริกซ A มีจํานวนแถว จํานวนหลัก และมิติเปนเทาใด
3. เมทริกซ B มีจํานวนแถว จํานวนหลัก และมิติเปนเทาใด
4. ถา aij เมื่อ i∊{ 1, 2 } และ j∊{ 1, 2, 3 } เปนสมาชิกของ A และ bij เมื่อ i∊{ 1, 2, 3 } และ j∊{ 1, 2 }
เปนสมาชิกของ B แลว a11, a12, a13, a21, a22, a23, b11, b12, b21, b22, b31 และ b32 มีคาเปนเทาใด
5. สมาชิกแตละตัวของเมทริกซ A และ B มีความสัมพันธกันอยางไร

จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะเห็นวา A เปนเมทริกซที่มี 2 แถว 3 หลัก และมีมิติเปน 2 × 3


และ B เปนเมทริกซที่มี 3 แถว 2 หลัก และมีมิติเปน 3 × 2 ซึ่งสมาชิกในแถวที่ 1 จากซายไป
ขวาของเมทริกซ A เหมือนกับสมาชิกในหลักที่ 1 ของเมทริกซ B จากบนลงลาง และสมาชิก
ในแถวที่ 2 จากซายไปขวาของเมทริกซ A เหมือนกับสมาชิกในหลักที่ 2 ของเมทริกซ B จาก
บนลงลาง ในทางคณิตศาสตรจะเรียก B วา เมทริกซสลับเปลี่ยนของ A ซึ่งมีบทนิยาม ดังนี้
136

เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์ กิจกรรม สรางเสริม


1. A = 35 52 61 และ B = 35 52
50
35 ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4 คน แลวชวยกันสรางโจทย
50 35 33 61 33 เหมือนกับกิจกรรมคณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 136 พรอม
2. เมทริกซ A มี 2 แถว 3 หลัก มีมิติเปน 2 × 3 กับตั้งคําถาม 5 ขอ เมื่อทุกกลุมทําเสร็จแลวใหออกมานําเสนอ
3. เมทริกซ B มี 3 แถว 2 หลัก มีมิติเปน 3 × 2 หนาชั้นเรียน แลวใหเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตอบคําถาม โดยครู
4. a11 = 35, a12 = 52, a13 = 61, a21 = 50, a22 = 35, a23 = 33 ตรวจสอบความถูกตอง
b11 = 35, b12 = 50, b21 = 52, b22 = 35, b31 = 61 และ b32 = 33 หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
5. สมาชิกในแถวที่ 1 จากซายไปขวาของเมทริกซ A เหมือนสมาชิกใน คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
หลักที่ 1 ของเมทริกซ B จากบนลงลางและสมาชิกในแถวที่ 2 จากซายไปขวา เดียวกัน
ของเมทริกซ A เหมือนสมาชิกในหลักที่ 2 ของเมทริกซ B จากบนลงลาง

T144
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
บทนิยาม กําหนด A = aij 2. ครูอธิบายบทนิยามของเมทริกซสลับเปลี่ยน
m×n
ถา B = bij n m ที่ bij = aji สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, n } และ j∊{ 1, 2, …, m }
×
ในหนังสือเรียน หนา 137 ใหนักเรียนฟง แลว
แลวจะเรียก B วา เมทริกซสลับเปลี่ยนของ A และเขียนแทนดวยสัญลักษณ At รวมกันสรุปวา จะเรียก B วา เมทริกซสลับเปลีย่ น
(อานวา “เอ ทรานสโพส”) ของ A และเขียนแทน B ดวย At
พิจารณาเมทริกซ ในแตละขอตอไปนี้ คณิตน่ารู้ 3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
0 หนา 137 1 5
1) A = [0 -7] โดยบทนิยาม จะไดวา At =
4. ครูเขียนเมทริกซ A = -52 และ B = 0 4
-7 ถา A = aij m n ×

1 7 แลว At = aji n m 2 3
2) B = 3 4 โดยบทนิยาม จะไดวา Bt = 1 3 5 ×

บนกระดาน แลวถามคําถาม ดังนี้


5 6 7 4 6
• At เทากับเทาใด
3. การบวกเมทริกซ (Addition of Matrices) (แนวตอบ At = [ 2, -5 ])
• Bt เทากับเทาใด
กิจกรรม คณิตศาสตร์
(แนวตอบ Bt = 15 04 23 )
จากกิจกรรมคณิตศาสตร ในหนา 130 เมทริกซที่แสดงขอมูลในตารางที่ 1 เปนดังนี้
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมคณิ ต ศาสตร ใน
35 52 61
X=
50 35 33 หนังสือเรียน หนา 137 แลวถามคําถาม ดังนี้
สมมติให Y เปนเมทริกซทแี่ สดงจํานวนยางลบทัง้ 3 ยีห่ อ ทีแ่ ตละรานซือ้ มาสํารองไวเพือ่ ขายในเดือน • นักเรียนคิดวา เมทริกซ X + Y จะบวกกันได
ถัดไป อยางไร
Y = 30 40 35 (แนวตอบ นําจํานวนในตําแหนงเดียวกันของ
40 30 35
ถาเจาของราน ก. และราน ข. อยากทราบวา ในปจจุบนั เขามีจาํ นวนยางลบแตละยีห่ อ ในแตละรานเปน เมทริกซ X และ Y มาบวกกัน)
จํานวนเทาใด เขาจะสามารถหาไดจากนําเมทริกซ X และ Y มาบวกกัน ซึง่ จะเขียนแทนดวยสัญลักษณ X + Y
ใช้ทฤษฎี หลักการ
จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนเติมจํานวนลงในชองวางใหสมบูรณ แลวตอบคําถามที่กําหนด
1. X + Y = 35 52 61 + 30 40 35 Thinking Time ครูใหนักเรียนจับคูทํา “Thinking Time” ใน
50 35 33 40 30 35 หนังสือเรียน หนา 137 จากนั้นครูและนักเรียน
= 35 + 30 52 + 40 61 + ...... กําหนด A = 1 2 รวมกันเฉลยคําตอบ
...... + 40 ....................... ......................
3 4
65 92 ...... และ B = 5 นักเรียน
= ...... ...... ...... 6
คิดวา A + B หาคําตอบได
2. สมาชิกแตละตัวที่อยูในเมทริกซที่เกิดจากเมทริกซ X บวกกับ Y หรือไม เพราะเหตุใด
มีความหมายวาอยางไร

การบวกเมทริกซโดยใชโปรแกรม Microsoft Excel 2016 เมทริกซ 137

เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
สื่อ Digital
1. X + Y = 35 52 61 30 40 35
50 35 33 + 40 30 35 ครูเปดสื่อการเรียนรู เรื่อง การบวกเมทริกซโดยใชโปรแกรม Microsoft
35 + 30 52 + 40 61 + ....... 35 Excel 2016 ในหนังสือเรียน หนา 137 ดวยการสแกน QR Code
= ....... 35 + .......
50 + 40 ....... 30 .......
33 + .......
35
96
65 92 .......
= .......
90 .......
65 .......
68
2. ผลบวกของสมาชิกในแถวและหลักเดียวกันของเมทริกซ X และ Y

เฉลย Thinking Time


หาคําตอบไมได เพราะเมทริกซ A และ B มีมติ ไิ มเทากัน จึงไมสามารถ
บวกกันได

T145
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายบทนิยามของการบวกเมทริกซ ใน
จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะเห็นวา เมื่อนําเมทริกซสองเมทริกซที่มีมิติเดียวกันมาบวกกัน
หนังสือเรียน หนา 138 ใหนักเรียนฟง แลว ผลบวกที่ไดจะเปนเมทริกซที่สมาชิกในแตละแถวและหลักเกิดจากสมาชิกที่อยูในแถวและหลัก
รวมกันสรุปวา เขียนสัญลักษณแทน A บวก เดียวกันของทั้งสองเมทริกซมาบวกกัน ซึ่งการหาผลบวกของเมทริกซ ในกรณีทั่วไป เปนไปตาม
กับ B ดวย A + B บทนิยามตอไปนี้
2. ครูเขียนตัวอยางที่ 7 ในหนังสือเรียน หนา 138
บนกระดาน จากนัน้ ครูใหนกั เรียนออกมาเขียน บทนิยาม กําหนด A = aij
m×n
และ B = bij m × n
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูคอยถามคําถาม เมทริกซ A บวกกับเมทริกซ B คือ cij m n เมื่อ cij = aij + bij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, m }
×

และ j∊{ 1, 2, …, n } เขียนสัญลักษณแทน A บวกกับ B ดวย A + B


แนะแนวคิด ดังนี้
• เมทริกซที่กําหนดบวกกันไดหรือไม
เพราะเหตุใด ตัวอย่างที่ 7

(แนวตอบ เมทริกซที่กําหนดบวกกันได ใหหาผลบวกของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้


เพราะมีมิติเดียวกัน) 2 3 3 -6
1) 1 2 3 + 0 8 -4 2) 3 + 5 14
• เมื่อเมทริกซที่กําหนดมีมิติเดียวกัน แลวจะ 7 7 7 5 10 15 -5 7 7
บวกกันไดอยางไร
(แนวตอบ นําสมาชิกที่อยูในแถวและหลัก วิธีทํา 1) 1 2 3 + 0 8 -4 = 1+0 2+8 3 + (-4)
7 7 7 5 10 15 7+5 7 + 10 7 + 15
เดียวกันของทั้งสองเมทริกซมาบวกกัน) 1 10 -1
=
12 17 22
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 2 3 + 3 -6 2+ 3 3 + (-6)
2) = 3 + 14
หนา 138 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย -5 3
7 5 1 47 (-5) + 5 7 7
คําตอบ “ลองทําดู” 2+ 3 -3
= 0 2

ลองทําดู
ใหหาผลบวกของเมทริกซ ในแตละขอตอไปนี้
-9 8 3 -5 -10 8 13
14 - 8
1) 11 - 11 + 7 3 2) 4 +
23 8 -11 - 5 7 1 67 10 11 5
12 - 21

138

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรเนนยํ้ากับนักเรียนวา การบวกกันของเมทริกซใดๆ นั้น เมทริกซ กําหนด A = 23 84 , B = 10 4 1 0
9 3 และ C = -1 0
จะตองมีมิติที่เทากัน
ใหหาคาของ A - B + C
1. -6 4 2. -6 3
-6 1 -6 1
3. -7 3 4. -7 4
-7 1 -7 1

(เฉลยคําตอบ A - B + C = [ 23 84 ] - [10 4 1 0
9 3 ] + [ -1 0 ]
= [ 3 2- -9 10 +1 8-4+0
+ (-1) 4 - 3 + 0 ]
= [ -7 4
-7 1 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T146
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมคณิ ต ศาสตร ใน
4. การคูณเมทริกซ (Multiplication of Matrix)
หนังสือเรียน หนา 139 แลวครูถามคําถาม
1) การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว (Multiplication of a Matrix by a Scalar) ดังนี้
• นักเรียนคิดวา การคูณ 2 กับเมทริกซ M
กิจกรรม คณิตศาสตร์
ทําไดอยางไร
ถาแตละรานตองการสํารองจํานวนยางลบแตละยี่หอใหมีจํานวนเปน 2 เทา จากยอดขายของราน ก. (แนวตอบ นํา 2 คูณกับสมาชิกแตละตัว
และราน ข. ในเดือนพฤษภาคม เมื่อยอดขายยางลบแตละยี่หอของราน ก. และราน ข. ในเดือนพฤษภาคม ในเมทริกซ M)
ที่แสดงโดยเมทริกซ M เปนดังนี้
ยี่หอ A ยี่หอ B ยี่หอ C
• 2 คูณกับเมทริกซ M เปนเทาใด
(แนวตอบ [122 70 120 100 )
M = 35
61
60
44
50 ราน ก.
37 ราน ข. 88 74 ]
เจาของรานจะสามารถหาจํานวนยางลบที่ตองการสํารวจไดจากการนํา 2 ไปคูณกับเมทริกซ M
2. ครูอธิบายบทนิยามของการคูณเมทริกซดวย
ซึ่งจะเขียนแทนดวยสัญลักษณ 2M คาคงตัว ในหนังสือเรียน หนา 139 ใหนกั เรียน
ฟง แลวรวมกันสรุปวา เขียนแทนผลคูณของ c
จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนเติมจํานวนลงในชองวางใหสมบูรณ แลวตอบคําถามที่กําหนด กับเมทริกซ A ดวย cA
1. 2M = 2 35 60 50
61 44 37
= 2 × 35 2 × 60 2 × ......
...... × 61 ....................... .......................
70 120 ......
= ...... ...... ......

2. สมาชิกแตละตัวที่อยูในเมทริกซที่เกิดจาก 2 คูณกับเมทริกซ M มีความหมายวาอยางไร

จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะเห็นวา การคูณเมทริกซดวยคาคงตัวทําไดโดยนําคาคงตัวไปคูณ


กับสมาชิกแตละตัวในเมทริกซ ซึ่งสามารถสรุปเปนรูปทั่วไปไดตามบทนิยามตอไปนี้
เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์
บทนิยาม กําหนด A = aij และ c เปนคาคงตัว
m×n 1. 2M = 2 [ 35 60 50
61 44 37 ]
ผลคูณของ c กับเมทริกซ A คือ เมทริกซ bij เมื่อ bij = caij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, …, m }
และ j∊{ 1, 2, 3, …, n } 2 × 35 2 × 60 2 × ....... 50
เขียนสัญลักษณแทนผลคูณของ c กับเมทริกซ A ดวย cA = [.......
2 × 61 .......
2 × .......
44 ....... 37 ]
2 × .......
100
70 120 .........
= [.........
122 ......... 74 ]
88 .........
เมทริกซ 139
2. ผลคูณของ 2 กับสมาชิกแตละตัวใน
เมทริกซ M

ขอสอบเนน การคิด
0 1 , B = 0 -1 และ C = 4 -2
กําหนด A = -5 2 2 3 3 1
แลว A + 2B + C เทากับขอใด
1. 42 -29 2. 49 -22
3. 42 -39 4. 49 -32
(เฉลยคําตอบ
A + 2B + C = [ -5 0 1 + 2 0 -1 + 4 -2
2 ] [2 3 ] [3 1 ]
0 1 + 2 × 0 2 × (-1) + 4 -2
= [ -5 2 ] [ 2 × 2 2 × 3 ] [3 1 ]
0 1 + 0 -2 + 4 -2
= [ -5 2 ] [4 6 ] [3 1 ]
= [ 24 -39 ]
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)

T147
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูเขียนตัวอยางที่ 8 ในหนังสือเรียน หนา 140
ตัวอย่างที่ 8
บนกระดาน จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 คน
1 4 -1 2
ออกมาแสดงวิธีการดําเนินการหา 3A และ กําหนด A = 5 7 และ B = -1 4 ใหหา 3A, (-2)B และ 3A + (-2)B
(-2)B โดยครู แ ละเพื่ อ นในชั้ น เรี ย นร ว มกั น 0 -3 0 5
ตรวจสอบความถูกตอง และครูคอยถามคําถาม 1 4 3×1 3×4 3 12
แนะแนวคิด ดังนี้ วิธีทํา 3A = 3 5 7 = 3 × 5 3 × 7 = 15 21
• คาคงตัวคูณกับเมทริกซไดอยางไร 0 -3 3 × 0 3 × (-3) 0 -9
(แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิก -1 2 (-2) × (-1) (-2) × 2 2 -4
แตละตัวในเมทริกซ) (-2)B = (-2) -1 4 = (-2) × (-1) (-2) × 4 = 2 -8
• 3A + (-2)B หาไดอยางไร 0 5 (-2) × 0 (-2) × 5 0 -10
( แนวตอบ นํ า ค า คงตั ว ไปคู ณ กั บ สมาชิ ก 3 12 2 -4 5 8
แตละตัวในเมทริกซกอนแลวจึงพิจารณา 3A + (-2)B = 15 21 + 2 -8 = 17 13
0 -9 0 -10 0 -19
วาเมทริกซ 3A กับเมทริกซ (-2)B บวกกัน
ไดหรือไม ถาเมทริกซทั้งสองมีมิติเดียวกัน
แสดงวาสามารถบวกกันได ใหนําสมาชิก ลองทําดู
ที่ อ ยู  ใ นแถวและหลั ก เดี ย วกั น ของทั้ ง สอง
กําหนด A = 10 -8 -4 -3 15 9
20 24 6 และ B = -30 21 6
เมทริกซมาบวกกัน)
ใหหา 2A, 23 B และ 2A + 23 B
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 140 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย จากตัวอยางที่ 8 จะเห็นวา ถา A และ B เปนเมทริกซที่มีมิติเดียวกัน และ α, β เปน
คําตอบ “ลองทําดู” คาคงตัว แลวนักเรียนสามารถหา αA + βB ไดเสมอ ในทํานองเดียวกัน นักเรียนยังสามารถหา
αA - βB ได เมื่อกําหนดบทนิยามของ αA - βB ดังนี้

แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
บทนิยาม กําหนด A = aij , B = bij m × n และ α, β เปนคาคงตัว จะไดวา
1. ครูอธิบายบทนิยามการลบเมทริกซ ในหนังสือ- αA
m×n
- βB = cij เมื่อ cij = αaij - βbij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, m } และ j∊{ 1, 2, …, n }
m×n
เรียน หนา 140 ใหนักเรียนฟงแลวรวมกันสรุป
วา αA - βB = [cij]m × n เมื่อ cij = αaij + βbij
สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, ..., m } และ j∊{ 1,
2, 3, ..., n }
140

เฉลย Thinking Time กิจกรรม สรางเสริม


a11 a12 ... a1n b11 b12 ... b1n
a21 a22 ... a2n b21 b22 ... b2n ครูใหนักเรียนจับคูแลวสรางโจทยขึ้นมา 1 ขอ ที่มีทั้งการบวก
1. A + B = + และการลบเมทริกซ โดยทีแ่ ตละเมทริกซมกี ารคูณคาคงตัวอยูด ว ย
am1 am2 ... amn bm1 bm2 ... bmn
เมื่อนักเรียนแตละคูทําเสร็จแลว ใหแตละคูเตรียมตัวออกมา
a11 + b11 a12 + b12 ... a1n + b1n นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
a21 + b21 a22 + b22 ... a2n + b2n หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
=
am1 + bm1 am2 + bm2 ... amn + bmn
b11 + a11 b12 + a12 ... b1n + a1n
b21 + a21 b22 + a22 ... b2n + a2n
=
bm1 + am1 bm2 + am2 ... bmn + amn
(สมบัติสลับที่ของการบวก)
=B+A
ดังนั้น A + B = B + A เปนจริง

T148
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 9
หนา 141 จากนัน้ ครูถามคําถาม ดังนี้
กําหนด A = -10 11 -23 และ B = -12 -23 10 • A - B หาไดอยางไร
ใหหา A - B และ 2A - 3B (แนวตอบ พิจารณามิติของเมทริกซ A และ
B วามีมิติเดียวกันหรือไม ถามีมิติเดียวกัน
วิธีทํา A - B = -10 11 -23 - -12 -23 01 แสดงวาสามารถลบกันได ใหนาํ สมาชิกทีอ่ ยู
ในแถวและหลักเดียวกันของทัง้ สองเมทริกซ
= -10--(-1)
2 1 - (-2) -2 - 1
1-3 3-0 มาลบกัน)
• 2A - 3B หาไดอยางไร
= -20 - 32 -33
( แนวตอบ นํ า ค า คงตั ว ไปคู ณ กั บ สมาชิ ก
2A - 3B = 2 -10 11 -23 - 3 -12 -23 10 แตละตัวในเมทริกซกอ น แลวจึงพิจารณาวา
2(0) - 3(2) 2(1) - 3(-2) 2(-2) - 3(1) เมทริกซ 2A กับเมทริกซ 3B มีมิติเดียวกัน
= 2(-1) - 3(-1) 2(1) - 3(3) 2(3) - 3(0) หรือไม ถามีมิติเดียวกันแสดงวาสามารถ
ลบกันได ใหนําสมาชิกที่อยูในแถวและหลัก
= -61 -78 -76
เดียวกันของทั้งสองเมทริกซมาลบกัน)

ลองทําดู ใช้ทฤษฎี หลักการ


4 -8 11 5 1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
กําหนด A = 3 10 -7 และ B = -2 -8 9
7 -11 3 14 หนา 141 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
1
ใหหา A - B และ 3A - 2 B คําตอบ “ลองทําดู”
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
Thinking Time ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหแตละกลุม
กําหนด A, B และ C เปน m × n เมทริกซ ใหนักเรียนพิจารณาวาประโยคตอไปนี้
ทํา “Thinking Time” ในหนังสือเรียน หนา 142
เปนจริงหรือไม เพราะเหตุใด
1. A + B = B + A จากนั้นครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาเฉลย
2. A + (B + C) = (A + B) + C คําตอบ และใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดง
3. A - B = B - A ความคิดเห็น
4. (A - B) - C = A - (B - C)

เมทริกซ 141

เฉลย Thinking Time (ตอ)


a11 a12 ... a1n b11 b12 ... b1n c11 c12 ... c1n a11 a12 ... a1n b11 + c11 b12 + c12 ... b1n + c1n
a21 a22 ... a2n b21 b22 ... b2n c21 c22 ... c2n a21 a22 ... a2n b21 + c21 b22 + c22 ... b2n + c2n
2. A + (B + C) = + + = +
am1 am2 ... amn bm1 bm2 ... bmn cm1 cm2 ... cmn am1 am2 ... amn bm1 + cm1 bm2 + cm2 ... bmn + cmn
a11 + (b11 + c11) a12 + (b12 + c12) ... a1n + (b1n + c1n) (a11 + b11) + c11 (a12 + b12 ) + c12 ... (a1n + b1n) + c1n
a21 + (b21 + c21) a22 + (b22 + c22) ... a2n + (b2n + c2n) (a21 + b21) + c21 (a22 + b22) + c22 ... (a2n + b2n) + c2n
= =
am1 + (bm1 + cm1) am2 + (bm2 + cm2) ... amn + (bmn + cmn) (am1 + bm1) + cm1 (am2 + bm2) + cm2 ... (amn + bmn) + cmn
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
a11 + b11 a12 + b12 ... a1n + b1n c11 c12 ... c1n
a21 + b21 a22 + b22 ... a2n + b2n c21 c22 ... c2n
= +
am1 + bm1 am2 + bm2 ... amn + bmn cm1 cm2 ... cmn
a11 a12 ... a1n b11 b12 ... b1n c11 c12 ... c1n
a21 a22 ... a2n b21 b22 ... b2n c21 c22 ... c2n
= + + = (A + B) + C
am1 am2 ... amn bm1 bm2 ... bmn cm1 cm2 ... cmn
ดังนั้น A + (B + C) = (A + B) + C เปนจริง T149
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนศึกษาและทําความเขาใจสมบัติ สมบัติ สมบัติของเมทริกซเกี่ยวกับการบวก การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว และเมทริกซสลับเปลี่ยน
ของเมทริกซเกีย่ วกับการบวก การคูณเมทริกซ กําหนดให A, B, C และ 0 เปน m × n เมทริกซ
ดวยคาคงตัว และเมทริกซสลับเปลี่ยน ใน 1. A + B เปน m × n เมทริกซ (สมบัติปดของการบวก)
หนังสือเรียน หนา 142 2. A + B = B+A (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
3. A + (B + C) = (A + B) + C (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 10 ในหนังสือเรียน
4. A + 0 = 0+A = A (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
หนา 142-143 แลวถามคําถาม ดังนี้ เรียก 0 วาเปนเอกลักษณการบวกภายในเซตของเมทริกซมิติ m × n
• นักเรียนจะหาเมทริกซ X ที่ทําให 2A + X 5. A + (-A) = (-A) + A = 0 (การมีตัวผกผันของการบวก)
= 13 (X + A) ไดอยางไร เรียก -A วาเปนตัวผกผัน หรืออินเวอรสการบวกของ A
6. c(A + B) = cA + cB เมื่อ c เปนคาคงตัว
(แนวตอบ ใชสมบัติการเทากันในการแก
7. (c + d)A = cA + dA เมื่อ c, d เปนคาคงตัว
สมการเมทริกซ) 8. (cd)A = c(dA) เมื่อ c, d เปนคาคงตัว
9. 1A = A
10. 0A = 0
11. (A + B)t = At + Bt และ (A - B)t = At - Bt
t t
12. (A ) = A
13. (cAt) = c(At) เมื่อ c เปนคาคงตัว

ตัวอย่างที่ 10

กําหนด A = 20 -26 -84 ใหหาเมทริกซ X ที่ทําให 2A + X = 13 (X + A)

วิธีทํา จาก 2A + X = 13 (X + A)
จะไดวา 2A + X = 13 X + 13 A
(2A + X) - 13 X = ( 13 X + 13 A) - 13 X
2A + (X - 13 X) = ( 13 A + 13 X) - 13 X
2A + (1 - 13 ) X = 13 A + ( 13 X - 13 X)
2A + 23 X = 13 A + 0
2A + 23 X = 13 A
(2A + 23 X) - 2A = 13 A - 2A

142

เฉลย Thinking Time (ตอ)

3. กําหนด A = -10 11 -23 และ B = -12 -23 10

A - B = -10 11 -23 - -12 -23 10 = -20 -23 -33

B - A = -12 -23 10 - -10 11 -23 = 20 -32 -33


จะเห็นวา A - B B - A ดังนั้น A - B = B - A ไมเปนจริง
4. กําหนด A = -10 11 -23 , B = -12 -23 10 และ C = 10 01 10

(A - B) - C = ( -10 11 -23 - -12 -23 10 ) - 10 01 10 = -20 -23 -33 - 1


0
0 1 = -3 3 -4
1 0 0 -3 3
A - (B - C) = -10 11 -23 - ( -12 -23 10 - 10 01 10 ) = -10 11 -23 - 1
-1
-2 0 = -1 3 -2
2 0 0 -1 3
จะเห็นวา (A - B) - C A - (B - C) ดังนั้น (A - B) - C = A - (B - C) ไมเปนจริง

T150
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
( 23 X + 2A) - 2A
= ( 13 - 2) A
หนา 143 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
2 X + (2A - 2A) = - 53 A
3 คําตอบ “ลองทําดู”
2X + 0= - 53 A
3
2X
= - 53 A แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3
X = - 52 A 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมคณิ ต ศาสตร ใน
หนังสือเรียน หนา 143-144 โดยใชเทคนิค
นั่นคือ X = - 52 A = - 52 2 -2 4 = -5 5 -10
0 6 -8 0 -15 20 “คู  คิ ด (Think P a ir Sh a re)” ตามขั้ น ตอน
ดังนั้น เมทริกซ X คือ -5 5 -10 ตอไปนี้
0 -15 20
• ใหนกั เรียนคิดคําตอบของตนเองจากกิจกรรม
ลองทําดู คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 130
1 • ให นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น
กําหนด A = - 3 3 ใหหาเมทริกซ X ที่ทําให - 47 A + 2X = 37 (X + A) คําตอบกัน สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ
4 -8
รวมกัน
2) การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ (Multiplication of a Matrix by another Matrix) • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
กิจกรรม คณิตศาสตร์ ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง
จากกิจกรรมคณิตศาสตรหนา 139 เรารูแลววา ยอดขายยางลบแตละยี่หอของราน ก. และราน ข.
ในเดือนพฤษภาคม เปนดังนี้
ยี่หอ A ยี่หอ B ยี่หอ C
M = 35 60 50 ราน ก.
61 44 37 ราน ข.
สมมติวายางลบยี่หอ A ราคากอนละ 10 บาท ยี่หอ B กอนละ 15 บาท และยี่หอ C กอนละ 20 บาท
เมื่อนําราคายางลบแตละยี่หอมาเขียนใสเมทริกซโดยใหสมาชิกในแตละแถวแทนยี่หอยางลบ และสมาชิก
ในแตละหลักแทนราคายางลบ จะไดเมทริกซที่มีมิติ 3 × 1 ดังนี้
ราคา
10 ยี่หอ A
N = 15 ยี่หอ B
20 ยี่หอ C
ถาเจาของรานตองการทราบยอดขายยางลบของแตละรานในเดือนพฤษภาคม เขาสามารถทําไดโดย
นําเมทริกซ M คูณกับ N ซึ่งจะเขียนแทนดวยสัญลักษณ MN

เมทริกซ 143

กิจกรรม สรางเสริม เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์


10
ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยเหมือนกับตัวอยาง 35 60 50
1. MN = [ 61 44 37 ] 15
ที่ 10 ในหนังสือเรียน หนา 142-143 เพื่อหาเมทริกซ X พรอมกับ 20
แสดงวิธีทําอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวให 20 )
= [ ((35 × 10) + (60 × 15) + (50 × .......
61 × 10) + (.......
44 × .......
15 ) + (....... 20 ) ]
37 × .......
นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง .......

หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน 2,250


= [ ................
2,010 ]
................

2. เมทริกซ P มีมติ ิ 2 × 1 โดยทีม่ จี าํ นวนแถวของเมทริกซ P เทากับจํานวน


แถวของเมทริกซ M และจํานวนหลักของเมทริกซ P เทากับจํานวนหลัก
ของเมทริกซ N
3. จํานวนหลักของเมทริกซตัวตั้ง ตองเทากับจํานวนแถวของเมทริกซ
ตัวคูณ

T151
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนศึกษาขั้นตอนการคูณเมทริกซ
กับเมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 144-145 จากขอมูลขางตน ใหนักเรียนเติมจํานวนลงในชองวางใหสมบูรณ แลวตอบคําถามที่กําหนด
พรอมทั้งเนนยํ้ากับนักเรียนวา เมทริกซ A คูณ 10
1. MN = 35 60 50 15
กับเมทริกซ B ได ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของ 61 44 37 20
เมทริกซ A เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B (35 × 10) + (60 × 15) + (50 × ......)
= (...... × 10) + (...... × ......) + (...... × ......)
......
=
......

2. สมมติวา P เปนเมทริกซที่เกิดจากเมทริกซ M คูณกับ N อยากทราบวา เมทริกซ MM, N และ P มีมิติ


เปนเทาใด และมิติของแตละเมทริกซมีความสัมพันธกันอยางไร
3. นักเรียนคิดวาเงื่อนไขใดบางที่จะทําใหเมทริกซ 2 เมทริกซ ใด ๆ คูณกันได

จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะเห็นวา คณิตน่ารู้


M เปนเมทริกซที่มี 2 แถว 3 หลัก และมีมิติเปน 2 × 3 กําหนด A เปนเมทริกซ
N เปนเมทริกซที่มี 3 แถว 1 หลัก และมีมิติเปน 3 × 1 ที่มีมิติ m × n และ B เปน
P เปนเมทริกซที่มี 2 แถว 1 หลัก และมีมิติเปน 2 × 1 เมทริกซที่มีมิติ p × q ผลคูณ
จะสังเกตไดวา จํานวนแถวของเมทริกซ P เทากับจํานวน ของเมทริกซ A และ B หาคา
แถวของเมทริกซ M และจํานวนหลักของเมทริกซ P เทากับ ได ก็ตอเมื่อ n = p
จํานวนหลักของเมทริกซ N

ยี่หอ A ยี่หอ B ยี่หอ C ราคา


10 ยี่หอ A
ราน ก. 35 60 50 15 ยีห่ อ B = a
ราน ข. 61 44 37 20 ยีห่ อ C b
M N P
มีมิติเปน มีมิติเปน มีมิติเปน
2 × 3 3 × 1 2 × 1

จํานวนหลัก = จํานวนแถว

144

กิจกรรม สรางเสริม
ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวเขียนโจทยบนกระดานลงในกระดาษ A4
เพื่อชวยกันหาคําตอบ ดังนี้
0 -1
กําหนด A = 5 -3 1 และ B = 6 0
[ ]
-2 9
ใหหา AB
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T152
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายความรูในกรอบ “คณิตนารู” ใน
เมื่อพิจารณาการคูณของเมทริกซ M และ N จะพบวามีขั้นตอน ดังนี้
หนังสือเรียน หนา 144
1) นําสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 1 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 1
4. ครูอธิบายบทนิยามของการคูณเมทริกซดวย
ของเมทริกซ N สมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 2 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในแถวที่ 2 หลักที่
1 ของเมทริกซ N และสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 3 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในแถวที่ 3 เมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 146 แลวรวมกัน
หลักที่ 1 ของเมทริกซ N จากนั้นนําผลคูณที่ไดมาบวกกัน และผลบวกที่ไดจะเปนสมาชิกในแถว สรุปวา AB = [cij]m × r เมื่อ c = ai1b1j +
ที่ 1 หลักที่ 1 ของเมทริกซ P ai2b2j + ... + ainbnj สําหรับทุก i∊{ 1, 2,
..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., r }
M N P
10
35 60 50 (35 × 10) (60 × 15) (50 × 20)
15 =
61 44 37 b
20
2,250
=
b
2) นําสมาชิกในแถวที่ 2 ของเมทริกซ M คูณกับสมาชิกในหลักที่ 1 ของเมทริกซ N
ในทํานองเดียวกันกับขั้นตอนกอนหนานี้ จากนั้นนําผลคูณที่ไดมาบวกกัน และผลบวกที่ไดจะเปน
สมาชิกในแถวที่ 2 หลักที่ 1 ของเมทริกซ P
M N P
10
35 60 50 2,250
15 =
61 44 37 (61 × 10) (44 × 15) (37 × 20)
20
2,250
= 2,010

ดังนั้น ผลคูณของเมทริกซ M กับ N คือ P = 2,250


2,010

เมทริกซ 145

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนแตละคนสืบคนโจทยเกี่ยวกับเมทริกซที่นาสนใจ ครูควรใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน คละความสามารถทางคณิตศาสตร
1 ขอ จากนั้นใหเขียนลงในกระดาษ A4 พรอมกับแสดงวิธีคิด (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวรวมกันแสดงความคิดเห็น
อยางละเอียด แลวออกมานําเสนอหนาชั้นเรียนเพื่อแบงปนความรู พรอมกับตอบคําถามที่กําหนดโดยใชบทนิยามการคูณของเมทริกซ ดังนี้
ใหกับเพื่อนในชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง 1. ถา A และ B เปนเมทริกซที่มี AB และ BA แลวความสัมพันธระหวาง
จํานวนแถวและจํานวนหลักของเมทริกซทั้งสองตองเปนอยางไร
2. จากขอ 1. AB กับ BA เทากันหรือไม เพราะเหตุใด
3. ถา A และ B เปนเมทริกซจัตุรัสที่มีมิติเทากัน แลว AB เทากับ BA
หรือไม เพราะเหตุใด

T153
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 11 ในหนังสือเรียน บทนิยาม กําหนด A = aij และ B = bij n × r จะไดวา
หนา 146 แลวถามคําถาม ดังนี้ m×n
AB = cij m r เมื่อ cij = ai1b1j + ai2b2j + … + ainbnj สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, m }
×
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันไดอยางไร และ j∊{ 1, 2, …, r } นั่นคือ
n n n
(แนวตอบ เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกัน a11 a12 ... a1n b11 b12 ... b1r Σa b
k=1 1k k1
Σa b
k=1 1k k2
Σ a1kbkr
... k=1
ได ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของเมทริกซ A a21 a22 ... a2n b21 b22 ... b2r n
Σa b
n
Σa b
n
Σ a2kbkr
... k=1
= k=1 2k k1 k=1 2k k2
เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B) ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮
am1 am2 ... amn bn1 bn2 ... bnr n n n
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B คูณกันไดหรือไม Σ a b Σ a b ... Σ amkbkr
k=1 mk k1 k=1 mk k2 k=1
เพราะเหตุใด n
Σ aikbkj = ai1b1j + ai2b2j + ... + ainbnj
เมื่อ k=1
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ A
เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B) ตัวอย่างที่ 11
• เมทริกซ B กับเมทริกซ A จะคูณกันไดอยางไร กําหนด A = 1 2 และ B = 21 02 43 ใหหา
(แนวตอบ เมทริกซ B กับเมทริกซ A จะคูณกัน 0 1
1) AB 2) BA
ได ก็ ต  อ เมื่ อ จํ า นวนหลั ก ของเมทริ ก ซ B
เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ A) วิธีทํา 1) เนื่องจาก A เปน 2 × 2 เมทริกซ และ B เปน 2 × 3 เมทริกซ
• เมทริกซ B กับเมทริกซ A คูณกันไดหรือไม จะไดวา จํานวนหลักของ A เทากับจํานวนแถวของ B
เพราะเหตุใด ดังนั้น AB หาคาได ดังนี้
( แนวตอบ ไม ไ ด เพราะจํ า นวนหลั ก ของ
เมทริกซ B ไมเทากับจํานวนแถวของเมทริกซ AB = 1 2 2 0 4
0 1 1 2 3
A)
= (1 × 2) + (2 × 1) (1 × 0) + (2 × 2) (1 × 4) + (2 × 3)
(0 × 2) + (1 × 1) (0 × 0) + (1 × 2) (0 × 4) + (1 × 3)
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 4 4 10
1 2 3
หนา 146 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 2) เนื่องจาก B เปน 2 × 3 เมทริกซ และ A เปน 2 × 2 เมทริกซ
“ลองทําดู” จะไดวา จํานวนหลักของ B ไมเทากับจํานวนแถวของ A
ดังนั้น ไมสามารถหา BA ได
ลองทําดู
4 -8 3 4 -5 0
กําหนด A = 2 3 10 และ B = 7 1 4 ใหหา
5 8 1 3
1) AB 2) BA
146

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรเนนยํ้าวิธีการหาคําตอบจากการคูณเมทริกซดวยเมทริกซวาจะตอง ครูใหนักเรียนแตละคนสรางเมทริกซ A ที่มีมิติ 2 × 3 และ
ทําอยางไร สรางเมทริกซ B ที่สามารถนํามาคูณกับเมทริกซ A ไดมา 1 ขอ
โดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง

T154
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 11
จากตัวอยางที่ 11 จะเห็นวา AB BA กลาวไดวา เมทริกซไมมีสมบัติการสลับที่ของ
การคูณ ในหนังสือเรียน หนา 146 จะเห็นวา AB BA
กลาวไดวา เมทริกซไมมีสมบัติการสลับที่ของ
ตัวอย่างที่ 12 การคูณ
11 2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 12 ในหนังสือเรียน
กําหนด A = 1 2 , B = 105 96 87 และ C = 12 หนา 147 แลวถามคําถาม ดังนี้
4 3 13
ใหหา AB, BC, A(BC) และ (AB)C • เมทริกซ B กับเมทริกซ C คูณกันไดหรือไม
เพราะเหตุใด
วิธีทํา AB = 1 2 5 6 7
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ
4 3 10 9 8
B เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ C)
= 1(5) + 2(10) 1(6) + 2(9) 1(7) + 2(8)
4(5) + 3(10) 4(6) + 3(9) 4(7) + 3(8) • ผลคูณของเมทริกซ AB กับเมทริกซ C
= 25 24 23
50 51 52
คูณกันไดหรือไม เพราะเหตุใด
11 (แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ
BC = 5 6 7 12 AB เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ C)
10 9 8 13
• A(BC) กับ (AB)C เทากันหรือไม
5(11) + 6(12) + 7(13)
= 10(11) (แนวตอบ เทากัน)
+ 9(12) + 8(13)
= 218
322
A(BC) = 1 2 218
4 3 322
= 1(218) + 2(322)
4(218) + 3(322)
= 862
1,838
(AB)C = 25 24 23 11
50 51 52 12 13
= 25(11) + 24(12) + 23(13)
50(11) + 51(12) + 52(13)
= 862
1,838
เมทริกซ 147

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวใหชวยกันหา A2, B2 และ C2 โดยใช ครูควรใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน คละความสามารถทางคณิตศาสตร
เมทริกซ A, B และ C ของตัวอยางที่ 12 ในหนังสือเรียน หนา 147 (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวรวมกันแสดงความคิดเห็น
โดยใหนกั เรียนแตละคูท าํ ลงในกระดาษ A4 เมือ่ เสร็จแลวใหนาํ มา เกี่ยวกับผลคูณของ A2, A2A และ AA2 ในประเด็นตอไปนี้
สงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง 1. เมทริกซ A ตองมีมิติเทาไร จึงจะหาผลคูณของ A กับ A ได
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน เพราะเหตุใด
2. สมาชิกแตละตัวของ AA เทากับกําลังสองของสมาชิกของ A แตละตัว
หรือไม เพราะเหตุใด

T155
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 12
ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 147 จะเห็นวา A(BC) = 3
(AB)C กลาวไดวา เมทริกซมสี มบัตกิ ารเปลีย่ น กําหนด A = 8 1 , B = 95 31 -2 -4 และ C = 2
4 2 -1
หมูของการคูณ
ใหหา AB, BC, A(BC) และ (AB)C
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน จากตัวอยางที่ 12 จะเห็นวา A(BC) = (AB)C กลาวไดวา เมทริกซมีสมบัติการเปลี่ยนหมู
หนา 148 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ของการคูณ
คําตอบ “ลองทําดู”
ตัวอย่างที่ 13
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
กําหนด A = 4 1 , B = 1 0 และ C = 2 -2
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 13 ใน 0 -1 2 3 -1 0
หนังสือเรียน หนา 148-149 แลวใหนักเรียน ใหหา A(B + C), AB + AC, (A + B)C และ AC + BC
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง สนทนา
ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูถาม วิธีทํา A(B + C) = 4 1 ( 1 0 + 2 -2 )
0 -1 2 3 -1 0
คําถามนักเรียน ดังนี้
• A(B + C) กับ AB + AC เทากันหรือไม = 4 1 3 -2
0 -1 1 3
(แนวตอบ เทากัน) 4(3) + 1(1) 4(-2) + 1(3)
= 0(3)
• (A + B)C กับ AC + BC เทากันหรือไม + (-1)(1) 0(-2) + (-1)(3)
(แนวตอบ เทากัน) = 13 -5
-1 -3
AB + AC = ( 4 1 1 0 ) + ( 4 1 2 -2 )
0 -1 2 3 0 -1 -1 0
4(1) + 1(2) 4(0) + 1(3) + 4(2) + 1(-1) 4(-2) + 1(0)
= 0(1) + (-1)(2) 0(0) + (-1)(3) 0(2) + (-1)(-1) 0(-2) + (-1)(0)
= 6 3 + 7 -8
-2 -3 1 0
= 13 -5
-1 -3

148

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


กอนใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 13 ในหนังสือเรียน หนา 148-149 ครูควร ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล ว ช ว ยกั น สร า งโจทย ที่ ใ ช ส มบั ติ ก าร
ใชคําถามแนะแนวคิดวา A(B + C), AB + AC, (A + B)C และ AC + BC เปลี่ยนหมูของการคูณเหมือนกับตัวอยางที่ 12 ในหนังสือเรียน
จะมีคาเทากันหรือไม หนา 147 พรอมแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อ
ทําเสร็จแลวครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู
และเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T156
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 13
(A + B)C = ( 4 1 + 1 0 ) 2 -2
0 -1 2 3 -1 0 ในหนังสือเรียน หนา 147 จะเห็นวา
A(B + C) = AB + AC และ
= 5 1 2 -2
2 2 -1 0 (A + B)C = AC + BC
= 5(2) + 1(-1) 5(-2) + 1(0) กลาวไดวา เมทริกซมสี มบัตกิ ารแจกแจง
2(2) + 2(-1) 2(-2) + 2(0)
ใช้ทฤษฎี หลักการ
= 9 -10
2 -4 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
AC + BC = ( 4 1 2 -2 ) + ( 1 0 2 -2 ) หนา 149 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
0 -1 -1 0 2 3 -1 0
คําตอบ “ลองทําดู”
4(2) + 1(-1) 4(-2) + 1(0) + 1(2) + 0(-1) 1(-2) + 0(0)
= 0(2) + (-1)(-1) 0(-2) + (-1)(0) 2(2) + 3(-1) 2(-2) + 3(0)
= 7 -8 + 2 -2
1 0 1 -4
= 9 -10
2 -4

ลองทําดู
กําหนด A = 52 -41 , B = 23 12 และ C = 1 0
7 10
ใหหา (A + B)C, AC + BC, A(B + C) และ AB + AC

จากตัวอยางที่ 13 จะเห็นวา A(B + C) = AB + AC และ (A + B)C = AC + BC


กลาวไดวา เมทริกซมีสมบัติการแจกแจง

เมทริกซ 149

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันสรางโจทยทใี่ ชสมบัตกิ ารแจกแจง ครูควรยกตัวอยางเพิม่ เติมระหวางการอธิบายสมบัตกิ ารสลับทีข่ องการคูณ
เหมือนกับตัวอยางที่ 13 ในหนังสือเรียน หนา 148-149 พรอม สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ และสมบัติการแจกแจง เพื่อใหนักเรียนนํา
แสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวครู สมบัติไปใชไดอยางถูกตอง
สุมนักเรียนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนใน
ชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T157
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 14 ใน
ตัวอย่างที่ 14
หนังสือเรียน หนา 148 แลวใหนักเรียนแลก-
เปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม กําหนด A = 1 1 และ B = 0 -3 ใหหา (AB)t และ BtAt
2 0 1 4
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนี้ วิธีทํา At = 1 2 และ Bt = 0 1
1 0 -3 4
• (AB)t กับ BtAt เทากันหรือไม 1(0) + 1(1) 1(-3) + 1(4) = 1 1
(แนวตอบ เทากัน) AB = 1 1 0 -3 =
2(0) + 0(1) 2(-3) + 0(4)
2 0 1 4 0 -6
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 14 ใน
(AB)t = 1 0
หนังสือเรียน หนา 150 จะเห็นวา (AB)t = BtAt 1 -6
BtAt = 0 1 1 2 = 0(1) + 1(1) 0(2) + 1(0) = 1 0
ใช้ทฤษฎี หลักการ -3 4 1 0 -3(1) + 4(1) -3(2) + 4(0) 1 -6
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 150 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ลองทําดู
คําตอบ “ลองทําดู” กําหนด A = 4 0 และ B = 10 20 ใหหา (AB)t และ BtAt
2 -5 4 2
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
จากตัวอยางที่ 14 จะเห็นวา (AB)t = BtAt
1. ครู อ ธิ บ ายบทนิ ย ามเมทริ ก ซ เ อกลั ก ษณ ใน
หนังสือเรียน หนา 150 ใหนักเรียนฟง แลว บทนิยาม สําหรับจํานวนเต็มบวก n ใด ๆ กําหนด I = I
n jk n × n เมื่อ j และ k เปนจํานวนเต็มบวก
เป ดโอกาสให นั กเรี ยนถามคํ า ถามในส ว นที่ ที่นอยกวาหรือเทากับ n ซึ่งมีสมาชิก ดังนี้
ไมเขาใจ Ijk =
1 เมื่อ j = k
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เมทริกซเอกลักษณมิติ 0 เมื่อ j k
n × n อาจเขียนแทนดวย I หรือ In เรียก In วา เมทริกซเอกลักษณมิติ n × n
ในกรณีที่ไมเกิดความสับสนเกี่ยวกับเมทริกซแลว อาจเขียน I แทน In ได
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 15 ใน
หนังสือเรียน หนา 151 แลวใหนักเรียนแลก- จากบทนิยาม จะไดวา I1 = [1] เปนเมทริกซเอกลักษณมิติ 1 × 1
เปลีย่ นความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม I2 = 1 0 เปนเมทริกซเอกลักษณมิติ 2 × 2
0 1
ดังนี้
• AI กับ A เทากันหรือไม 1 0 0
I3 = 0 1 0 เปนเมทริกซเอกลักษณมิติ 3 × 3
(แนวตอบ เทากัน) 0 0 1
150

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


กอนใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 14 ในหนังสือเรียน หนา 150 ครูอาจให ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยเหมือนกับตัวอยางที่
นักเรียนจับคูแลวชวยกันเสนอความคิดเห็นเพื่อตอบคําถามตอไปนี้ 14 ในหนังสือเรียน หนา 150 พรอมกับแสดงวิธีคิดอยางละเอียด
กําหนด A และ B เปนเมทริกซที่มีผลคูณ AB นักเรียนคิดวา ลงในกระดาษ A4 เมือ่ ทําเสร็จแลวใหนาํ มาสงครู โดยครูตรวจสอบ
1. A และ B ตองเปนเมทริกซจัตุรัสและมีมิติเทากันหรือไม เพราะเหตุใด ความถูกตอง
2. เมทริกซสลับเปลี่ยนของ AB หรือ (AB)t มีความสัมพันธกับ Bt และ At หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
หรือไม อยางไร

T158
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
• IA กับ A เทากันหรือไม
ตัวอย่างที่ 15
(แนวตอบ เทากัน)
กําหนด A = 4 5 ใหแสดงวา AI = IA = A • AI, IA และ A เทากันหรือไม
-1 -3
(แนวตอบ เทากัน)
วิธีทํา AI = 4 5 1 0 = -1(1) 4(1) + 5(0) 4(0) + 5(1) 4 5
-1 -3 0 1 + (-3)(0) -1(0) + (-3)(1) = -1 -3
ใช้ทฤษฎี หลักการ
IA =
1 0 4 5 = 1(4) + 0(-1) 1(5) + 0(-3) = 4 5
0 1 -1 -3 0(4) + 1(-1) 0(5) + 1(-3) -1 -3 1. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น AI = IA = A หนา 151 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู 2. ครูใหนักเรียนคูเดิมทํา “Thinking Time” ใน
กําหนด A = -41 25 ใหแสดงวา AI = IA = A หนังสือเรียน หนา 151 จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนี้
• A กับ In คูณกันไดหรือไม เพราะเหตุใด
Thinking Time (แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของ A เทากับ
“ถา A เปน m × n เมทริกซ แลว AIn = ImA = A” จํานวนแถวของ In )
นักเรียนคิดวาขอความดังกลาวเปนจริงหรือไม เพราะเหตุใด • A กับ In คูณกันไดเทาใด
(แนวตอบ AIn = A)
• Im กับ A คูณกันไดหรือไม เพราะเหตุใด
สมบัติ สมบัติของเมทริกซเกี่ยวกับการคูณเมทริกซดวยเมทริกซ และเมทริกซสลับเปลี่ยน
กําหนด A = aij m n , B = bij n p และ C = cij p q
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของ Im เทากับ
1. A(BC) = (AB)C
× × ×
จํานวนแถวของ A)
2. (cA)B = A(cB) = c(AB) เมื่อ c เปนคาคงตัว • Im กับ A คูณกันไดเทาใด
3. AIn = A , ImA = A เมื่อ In และ Im เปนเมทริกซเอกลักษณ (แนวตอบ ImA = A)
4. A0 = 0 , 0A = 0 • AIn = ImA = A เทากันหรือไม เพราะเหตุใด
5. (AB)t = B tA t
6. (A + E)B = AB + EB เมื่อ E เปน m × n เมทริกซ
(แนวตอบ เทากัน เพราะ AIn = A และ
7. A(B + D) = AB + AD เมื่อ D เปน n × p เมทริกซ ImA = A ดังนั้น AIn = ImA = A)

เมทริกซ 151

เฉลย Thinking Time


กําหนด A เปน m × n เมทริกซ จะได
a11 a12 ... a1n 1 0 ... 0 a11(1) + a12(0) + ... + a1n(0) a11(0) + a12(1) + ...+ a1n(0) ... a11(0) + a12(0) + ... + a1n(1)
a21 a22 ... a2n 0 1 ... 0 a (1) + a22(0) + ...+ a2n(0) a21(0) + a22(1) + ... + a2n(0) ... a21(0) + a22(0) + ... + a2n(1)
AIn = = 21
am1 am2 ... amn 0 0 ... 1 am1(1) + am2(0) + ...+ amn(0) am1(0) + am2(1) + ... + amn(0) ... am1(0) + am2(0) + ... + amn(1)
a11 a12 ... a1n
a21 a22 ... a2n
= =A
am1 am2 ... amn
1 0 ... 0 a11 a12 ... a1n (1)a11 + (0)a12 + ...+ (0)a1n (0)a11 + (1)a12 + ...+ (0)a1n ... (0)a11 + (0)a12 + ...+ (1)a1n
0 1 ... 0 a21 a22 ... a2n (1)a21 + (0)a22 + ... + (0)a2n (0)a21 + (1)a22 + ... + (0)a2n ... (0)a21 + (0)a22 + ...+ (1)a2n
ImA = =
0 0 ... 1 am1 am2 ... amn (1)am1 + (0)am2 + ...+ (0)amn (0)am1 + (1)am2 + ...+ (0)amn ... (0)am1 + (0)am2 + ...+ (1)amn
a11 a12 ... a1n
a21 a22 ... a2n
= =A
am1 am2 ... amn
ดังนั้น AIn = ImA = A เปนจริง T159
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาสมบัตขิ องเมทริกซเกีย่ วกับ
ในการคูณเมทริกซบางครั้งอาจคูณเมทริกซ ใด ๆ กับตัวเอง เชน เมทริกซ A คูณกับ
การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ และเมทริกซ
เมทริกซ A ผลลัพธที่ไดจะเขียนเปน AA เพื่อสะดวกอาจเขียนเปน A2 ได ซึ่งในที่นี้จะมี
สลับเปลี่ยน ในหนังสือเรียน หนา 151 จากนั้น การใชสัญลักษณดังกลาวตอไปนี้
ครูอธิบายพรอมยกตัวอยางใหนักเรียนฟงอีก ถา A เปน n × n เมทริกซ แลว
ครั้ง เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น A1 หมายถึง A
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 16 ในหนังสือเรียน Ak หมายถึง AAk-1 เมื่อ k เปนจํานวนเต็มบวกที่มากกวา 1
หนา 152 แลวถามคําถาม ดังนี้ นั่นคือ A2 = AA2-1 = AA
• A2 หาไดอยางไร A3 = AA3-1 = AA2 = AAA
(แนวตอบ นํา A คูณกับ A จะได A2)
• A3 หาไดอยางไร ตัวอย่างที่ 16
(แนวตอบ นํา A คูณกับ A2 จะได A3) กําหนด A = 2 0 ใหหา A2, A3 และ A4
• A4 หาไดอยางไร -1 1
(แนวตอบ นํา A คูณกับ A3 จะได A4) วิธีทํา A2 = 2 0 2 0
-1 1 -1 1
2(2) + 0(-1) 2(0) + 0(1)
= (-1)(2) + 1(-1) (-1)(0) + 1(1)
= 4 0
-3 1
A3 = AA2
= 2 0 4 0
-1 1 -3 1
2(4) + 0(-3) 2(0) + 0(1)
= (-1)(4) + 1(-3) (-1)(0) + 1(1)
= 8 0
-7 1
A4 = AA3
= 2 0 8 0
-1 1 -7 1
2(8) + 0(-7) 2(0) + 0(1)
= (-1)(8) + 1(-7) (-1)(0) + 1(1)
= 16 0
-15 1
152

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


จากตัวอยางที่ 16 ในหนังสือเรียน หนา 152 การหา A3 ครูควรใหนักเรียน ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันคิดวิเคราะหวา จากตัวอยางที่ 16
แสดงความคิดเห็นวา ใช AA2 หรือ A2A จะไดเมทริกซที่เทากันหรือไมเทากัน ในหนังสือเรียน หนา 152 นั้น คาของ A4 เทากับคาของ A2A2
และการหา A4 ใช AA3 หรือ A3A จะไดเมทริกซที่เทากันหรือไมเทากัน และ หรือไม เพราะเหตุใด
ในกรณีที่ไดเมทริกซที่เทากันควรใชแบบใดสะดวกกวา หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T160
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 153 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนด A = -34 -5
-2 ใหหา A2, A3 และ A4
คําตอบ “ลองทําดู”

ตัวอย่างที่ 17 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ


กําหนด A = 3 0 และ B = 1 0 ใหหา 1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 17 ใน
1 2 -1 -3
2 หนังสือเรียน หนา 153-154 แลวใหนักเรียน
1) (A + B) 2) A2 + 2AB + B2
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง สนทนา
3) A2 - B2 4) (A - B)(A + B)
ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน แลวถามคําถาม
วิธีทํา 1) A + B = 3 0 + 1 0 ดังนี้
1 2 -1 -3 • (A + B)2 กับ A2 + 2AB + B2 เทากันหรือไม
= 4 0 (แนวตอบ ไมเทากัน)
0 -1
2 • (A - B)2 กับ (A + B)(A - B) เทากันหรือไม
(A + B) = (A + B)(A + B)
(แนวตอบ ไมเทากัน)
=4 0 4 0
0 -1 0 -1
4(4) + 0(0) 4(0) + 0(-1)
= 0(4) + (-1)(0) 0(0) + (-1)(-1)
= 16 0
0 1
2) A2 = 3 0 3 0
1 2 1 2
= 3(3) + 0(1)
1(3) + 2(1)
3(0) + 0(2)
1(0) + 2(2)
= 9 0
5 4
B2 = 1 0 1 0
-1 -3 -1 -3
1(1) + 0(-1)
= (-1)(1) 1(0) + 0(-3)
+ (-3)(-1) (-1)(0) + (-3)(-3)
= 1 0
2 9
เมทริกซ 153

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวชวยกันพิสูจน กอนจะใหนักเรียนหาผลคูณของเมทริกซในตัวอยางที่ 17 ครูควรใชคําถาม
ขอความตอไปนี้ ใหนักเรียนฝกคิดวิเคราะห ดังนี้
กําหนด A = [ 24 71 ] และ B = [ -43 51 ] ใหพิสูจนวา 1. (A + B)2 และ A2 + 2AB + B2 เปนเมทริกซทเี่ ทากันหรือไม เพราะเหตุใด
(A + B)2 = A2 + 2AB + B2 และ (A - B)2 = A2 - 2AB + B2 2. ถา A และ B เปนเมทริกซใด ๆ ที่มีผลบวกและผลคูณ เมทริกซ A และ
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง B ควรจะเปนอยางไร จึงทําให (A + B)2 = A2 + 2AB + B2
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม 3. นักเรียนคิดวา A2 - B2 และ (A - B)(A + B) เปนเมทริกซที่เทากันหรือไม
เดียวกัน เพราะเหตุใด และถาตองการให (A - B)(A + B) เทากับ A2 - B2 แลว
เมทริกซ A และ B ควรมีความสัมพันธกันอยางไร

T161
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 17 ใน
AB = 3 0 1 0
หนังสือเรียน หนา 147 จะเห็นวา 1 2 -1 -3
(A + B)2 A2 + 2AB + B2 และ = 1(1) ++ 0(-1)
3(1)
2(-1)
3(0) + 0(-3)
1(0) + 2(-3)
A2 - B2 (A - B)(A + B) 3 0
=
-1 -6
ใช้ทฤษฎี หลักการ ดังนั้น A 2 + 2AB + B2 = 9 0 +2 3 0 + 1 0
5 4 -1 -6 2 9
1. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 9 + 6 + 1 0 + 0 + 0
หนา 154 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย =
5 - 2 + 2 4 - 12 + 9
คําตอบ “ลองทําดู” = 16 0
5 1
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 3) A2 - B2 = 9 0 - 1 0 = 8 0
5 4 2 9 3 -5
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหทาํ กิจกรรม
ดังนี้ 4) A - B = 3 0 - 1 0 = 2 0
1 2 -1 -3 2 5
• ใหนกั เรียนทํา “Thinking Time” ในหนังสือเรียน (A - B)(A + B) = 2 0 4 0
หนา 154 2 5 0 -1
• ใหนกั เรียนแตละกลุม ทําความเขาใจรวมกัน = 2(4) + 0(0) 2(0) + 0(-1)
2(4) + 5(0) 2(0) + 5(-1)
จากนั้ น ครู สุ  ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมา 8 0
เฉลยคําตอบ และใหนกั เรียนทัง้ หมดอภิปราย =
8 -5
แสดงความคิดเห็นรวมกัน
3. ใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.2 ขอ 1.-9. ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 155-156 4 11 5 -7
กําหนด A = -7 9 และ B = 1 2
4. ใหนักเรียนทําใบงานที่ 2.1 เรื่อง คูณเมทริกซ
ดวยเมทริกซ และ Exercise 2.2 เปนการบาน ใหหา (A + B)2, A2 + 2AB + B2, A2 - B2 และ (A - B)(A + B)

จากตัวอยางที่ 17 จะเห็นวา (A + B)2 A2 + 2AB + B2 และ A2 - B2 (A - B)(A + B)

Thinking Time
กําหนด A และ B เปน n × n เมทริกซ ใหแสดงวา
(A + B)2 = A2 + 2AB + B2 ก็ตอเมื่อ AB = BA

154

เฉลย Thinking Time


จากความรูเรื่องตรรกศาสตร การแสดงวา (A + B)2 = A2 + 2AB + B2 ก็ตอเมื่อ AB = BA 2) จาก AB = BA
จะตองแสดงใหไดวา 1) ถา (A + B)2 = A2 + 2AB + B2 แลว AB = BA และ (A + B)2 = (A + B)(A + B)
และ 2) ถา AB = BA แลว (A + B)2 = A2 + 2AB + B2 = A2 + AB + BA + B2
1) จาก (A + B)2 = (A + B)(A + B) จะได (A + B)2 = A2 + 2AB + B2
= A2 + AB + BA + B2 ดังนั้น ถา AB = BA แลว (A + B)2 = A2 + 2AB + B2
จะได A2 + 2AB + B2 = A2 + AB + BA + B2 นั่นคือ (A + B)2 = A2 + 2AB + B2 ก็ตอเมื่อ AB = BA
2AB = AB + BA
AB = BA
ดังนั้น ถา (A + B) = A2 + 2AB + B2 แลว AB = BA
2

T162
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
แบบฝึกทักษะ 2.2
นักเรียน ดังนี้
ระดับพื้นฐาน • เมทริกซที่เทากันเปนอยางไร
1. ใหหาคาของตัวแปรที่เปนจํานวนจริงในแตละขอตอไปนี้ที่ทําให A = B (แนวตอบ มีสมาชิกในตําแหนงเดียวกัน
เหมือนกัน และมีมิติเดียวกัน)
5 x 5
1) A = 0 และ B = y • ถา A = [ -1 t
2 4 ] แลว A เทากับเทาใด
-1 -1 2
(แนวตอบ At = [ -1 5 4 ])
2) A = x 7 5 และ B = 0 7 5 • เมทริกซสองเมทริกซจะบวกกันไดอยางไร
3 y 2 3 1 2
(แนวตอบ เมทริกซสองเมทริกซจะบวกกันได
3) A = 3 x - 2 y และ B = 3 1 5 ก็ตอ เมือ่ มีมติ เิ ดียวกัน คือ เมทริกซทกี่ าํ หนด
2 4 1 2 4 z
มีจาํ นวนแถวและจํานวนหลักเทากัน แลวนํา
4) x + y 5 และ B = 3 5 สมาชิกที่อยูในแถวและหลักเดียวกันของทั้ง
4 1 4 x-y
สองเมทริกซมาบวกกัน)
• การคูณเมทริกซกบั คาคงตัวจะคูณไดอยางไร
2. กําหนด A = 1 2 , B = 2 -1 และ C = -2 4 ใหหา (แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิกแตละ
1 3 0 1 3 0
1) A + B 2) B + A ตัวในเมทริกซ)
3) (A + B) + C 4) A + (B + C) • เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันได
อยางไร
3. กําหนด A = 2 -1 และ B = 3 -5 ใหหา (แนวตอบ เมทริกซ A คูณกับเมทริกซ B ได
0 1 1 2 ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของเมทริกซ A เทากับ
1) 2A + 2B 2) 2(A + B) 3) 3A + 5A จํานวนแถวของเมทริกซ B)
4. ใหหาผลคูณของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้
-2 1 5
1) [1 1 0] 1 2) [4 2 0] 2 3) [0 2 1 0] 00
1 1
3 -6

เมทริกซ 155

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


ถา A = [ 12 03 ], B = [ x3 01 ] และ AB = BA แลว 3x มีคา ครูควรทบทวนเนื้อหาในหัวขอ 2.2 ใหกับนักเรียนกอนใหนักเรียนทํา
เทากับเทาใด แบบฝกทักษะ 2.2 ในหนังสือเรียน หนา 155-156
1. 3 2. -3 3. 6 4. -6
(เฉลยคําตอบ เนื่องจาก AB = BA
จะไดวา [ 21 30 ] [ 3x 01 ] = [ 3x 10 ] [ 21 30 ]
[ 2xx ++ 09 00 ++ 03 ] = [ 3x ++ 02 00 ++ 30 ]
[ 2x x+ 9 03 ] = [ 5x 30 ]
นั่นคือ 2x + 9 = 5
จะได x = -2
นั่นคือ 3x = 3(-2) = -6
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T163
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ฝกปฏิบตั ิ
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง ระดับกลาง
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ชวยกันทําแบบฝก- 2
ทักษะ 2.2 ขอ 10. ในหนังสือเรียน หนา 156 จากนัน้ 5. กําหนด A = x - 1 34 และ B = 0 3
x y -y 1
ครูสุมตัวแทนออกมานําเสนอวิธีทําหนาชั้นเรียน ใหหาจํานวนจริง x และ y ที่ทําให A = B
โดยครู แ ละเพื่ อ นในชั้ น เรี ย นร ว มกั น ตรวจสอบ
6. ใหหาเมทริกซ X ที่สอดคลองกับสมการในแตละขอตอไปนี้
ความถูกตอง
1) 2 1 + 1 2 + X = 0 -1 2) 1 2 + X = 1 2
-1 3 0 4 1 2 -3 0 -3 0
ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.1 7. ใหหาเมทริกซ X จากสมการในแตละขอตอไปนี้
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.2 1) 5X + 2 1 2 = 7 -1
3. ครูตรวจ Exercise 2.2 -5 1 0 -3
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 2) -1 2 = 3 1 4 - 2X
-2 3 2 3
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 3) 2A + X = B - 2X เมื่อ A = 1 0 และ B = 5 -3
-2 3 2 6
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 8. กําหนด A = 2 1 ใหหา A2 - 2A + I2
3 -1
4 8 7 1 -b 1
9. กําหนด A = 1 1 2 และ B = 2 2 3
-3 0 -10 a 4 -6
1) ใหหา AB และ BA
-8 72 -14
2) ถา AB = -5 17 -8 แลว a และ b มีคาเปนเทาใด
37 -61 57

ระดับทาทาย
10. กําหนด A = 1 2 ใหหา B = bij 2×2 ที่ทําให A2 - B2 = (A - B)(A + B)
2 -1

156

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิด


ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม จากการทํ า กําหนด A = [ -1 1 0 ] และ B = [ 2 3 ] ใหหาเมทริกซ X
2 -3 1
แบบฝกทักษะ 2.2 ขอ 10. ในขั้นฝกปฏิบัติ โดยศึกษาเกณฑการวัดและ ที่สอดคลองกับสมการ 2A + X = B
ประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 2 1 0 = 2 0
(เฉลยคําตอบ 2A = 2 [ -1 2 ] [ -2 4 ]
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่


จาก 2A + X = B
ตรงกับระดับคะแนน
2 0 +X = 2 3
[ -2 4] [ -3 1 ]
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

2 3 - 2 0
X = [ -3 1 ] [ -2 4 ]
0 3
= [ -1
เกณฑ์การให้คะแนน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../............... -3 ]
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน

0 3 )
ดังนั้น X = [ -1 -3 ]
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T164
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใชความรูเ ดิมฯ (Prior Knowledge)

2.3 เมทริกซผกผัน (Inverse of a Matrix) ครูทบทวนความรูเ รือ่ ง การคูณเมทริกซ โดยถาม


คําถาม ดังนี้
• การคูณเมทริกซกบั คาคงตัวจะคูณไดอยางไร
กิจกรรม คณิตศาสตร์ (แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิก
1. ใหนักเรียนเติมจํานวนลงในชองวางใหสมบูรณ และตอบคําถามที่กําหนด แตละตัวในเมทริกซ)
กําหนด A = 1 3 และ B = 7 -3 • เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันได
2 7 -2 1 อยางไร
1) AB = 1 3 7 -3 (แนวตอบ เมทริกซ A คูณกับเมทริกซ B ได
2 7 -2 1
ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของเมทริกซ A เทากับ
= (1 × 7) + [3 × (-2)] [1 × (-3)] + (...... × ......)
จํานวนแถวของเมทริกซ B)
(...... × ......) + [7 × (-2)] (...... × ......) + (...... × ......)
= ...... ......
...... ...... ขัน้ สอน
2) BA = 7 -3 1 3 รู (Knowing)
-2 1 2 7
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมคณิ ต ศาสตร ใน
= (7 × 1) + [(-3) × 2)] (7 × 3) + (...... × ......)
หนังสือเรียน หนา 157 จากนั้นครูถามคําถาม
(...... × ......) + (1 × 2) (...... × ......) + (...... × ......)
...... ......
ดังนี้
=
...... ...... • เมทริกซ A กับเมทริกซ B คูณกันไดหรือไม
2. ผลคูณของ AB และ BA ในขอ 1. มีความสัมพันธกันอยางไร เพราะเหตุใด
(แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ
A เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ B)
จากกิจกรรมคณิตศาสตร จะเห็นวา A และ B เปน 2 × 2 เมทริกซ ซึ่ง AB เทากับ 1 0 • เมทริกซ B กับเมทริกซ A คูณกันไดหรือไม
0 1
และ BA เทากับ 1 0 จะเห็นวา AB และ BA มีคาเทากันและเทากับ I2 ในเรื่องเมทริกซ เพราะเหตุใด
0 1
จะเรียก B วาเปน เมทริกซผกผันของเมทริกซ A โดยมีบทนิยาม ดังนี้ (แนวตอบ ได เพราะจํานวนหลักของเมทริกซ
B เทากับจํานวนแถวของเมทริกซ A)
บทนิยาม กําหนด A เปน n n เมทริกซ ถา B เปน n × n เมทริกซ ที่มีสมบัติวา
×

AB = BA = In
แลวจะเรียก B วาเปน เมทริกซผกผันของ A และเขียนแทน B ดวย A-1

จากบทนิยาม จะได AA-1 = A-1A = In


เมทริกซ 157

กิจกรรม ทาทาย เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร

ครูใหนักเรียนจับคูแลวใหนักเรียนสรางเมทริกซ A และ B ที่มี 1. 1) AB = [ 21 73 ][-2 7 -3


1]
มิติ 3 × 3 ที่ทําให AB = BA = In โดยทําลงในกระดาษ A4 (1 × 7) + [3 × (-2)] [1 × (-3)] + (....... 3 × .......
1)
= [(.......
2 × ....... 2 × (-3)
7 ) + [7 × (-2)] (....... 1 )]
7 × .......
....... ) + (.......
เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน 1 .......
0
= [ ....... 1]
0 .......
.......

7 -3 1 3
2) BA = [ -2 1 ][ 2 7 ]
= [(7 × 1) + [(-3) × 2] (7 × 3) + ((-3) 7)
........ × ........
((-2) 1 )(1 × 2)
........ × ........ ((-2) 3 ) + (.......
........ × ........ 7 )]
1 × ........
1 .......
= [ ........ 0
1 ]
0 ........
........

2. ผลคูณของ AB และ BA มีคาเทากัน และเทากับ I2

T165
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากกิจกรรม
ตัวอย่างที่ 18
คณิตศาสตร ในหนังสือเรียน หนา 157 จะเรียก
B วา เมทริกซผกผันของเมทริกซ A กําหนด A = 2 3 ใหแสดงวา A ไมมีเมทริกซผกผัน
4 6
3. ครู อ ธิ บ ายบทนิ ย ามของเมทริ ก ซ ผ กผั น ใน
หนังสือเรียน หนา 157 แลวเปดโอกาสให b b
วิธีทํา สมมติ B = b11 b12 เปนเมทริกซผกผันของ A
นักเรียนถามคําถามในสวนที่ไมเขาใจ 21 22

4. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เมทริกซผกผันของ A จากบทนิยามเมทริกซผกผัน จะไดวา


เขี ย นแทนด ว ย A -1 และจากบทนิ ย ามใน AB = 1 0
หนังสือเรียน หนา 157 จะได 0 1
b
2 3 11 12 = 1 0 b
AA-1 = A-1A = In 4 6 b21 b22 0 1
5. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 18 ใน 2b11 + 3b21 2b12 + 3b22 1 0
หนังสือเรียน หนา 158 แลวแลกเปลี่ยนความรู 4b11 + 6b21 4b12 + 6b22 = 0 1
กับคูของตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่ จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ จะไดวา
เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน 2b11 + 3b21 = 1 .....(1)
ดังนี้ 4b11 + 6b21 = 0 .....(2)
• จะแสดงไดอยางไรวา A ไมมเี มทริกซผกผัน
พิจารณาสมการ (2) จะไดวา
(แนวตอบ แสดงใหเห็นวา ไมมเี มทริกซใดทีค่ ณ
ู 2(2b11 + 3b21) = 0
กับเมทริกซ A แลวได I2 ) 2(1) = 0 (จากสมการ (1), 2b11 + 3b21 = 1)
2 = 0 ซึ่งเปนสมการที่เปนเท็จ
เข้าใจ (Understanding)
แสดงวา สมการ (1) และ (2) ทําใหเกิดขอขัดแยง
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดังนั้น ไมมีเมทริกซ B ที่มีมิติ 2 × 2 ซึ่งทําให AB = I2
หนา 158 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย นั่นคือ A ไมมีเมทริกซผกผัน
คําตอบ “ลองทําดู”

ลองทําดู
1
กําหนด A = - 2 5 ใหแสดงวา A ไมมีเมทริกซผกผัน
-1 10

158

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด A = [ 36 12 ] ใหหาเมทริกซผกผันของ A วาตรงกับขอใด

1. [ 63 41 ] 2. 12 [ 63 41 ] 3. 14 [ 63 4
1] 4. ไมมีเมทริกซผกผัน
b b
(เฉลยคําตอบ สมมติ B = [ b1121 b1222 ] เปนเมทริกซผกผันของ A
จากบทนิยามเมทริกซผกผัน จะไดวา พิจารณาสมการ (2) จะไดวา
AB = [ 01 01 ] 2(3b11 + b21) = 0
b b 2(1) = 0
[ 63 12 ] [ b1121 b1222 ] = [ 01 01 ] 2 = 0
3b + b 3b + b
[ 6b1111 + 2b2121 6b1212 + 2b2222] = [ 01 01 ] ซึ่งเปนสมการที่เปนเท็จ
แสดงวา สมการ (1) และ (2) ทําใหเกิดขอขัดแยง
จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ จะไดวา ดังนั้น ไมมีเมทริกซ B ที่มีมิติ 2 × 2
3b11 + b21 = 1 .....(1)
ซึ่งทําให AB = I2
6b11 + 2b21 = 0 .....(2)
นั่นคือ A ไมมีเมทริกซผกผัน
T166 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 19 ใน
ตัวอย่างที่ 19
หนังสือเรียน หนา 159-160 แลวแลกเปลี่ยน
-2 2 3 -4 -5 3
กําหนด A = 1 -1 0 และ B = 13 -4 -8 3 ความรูกับคูของตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่
0 1 4 1 2 0 เขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ใหแสดงวา B เปนเมทริกซผกผันของ A • จะแสดงไดอยางไรวา B เปนเมทริกซผกผัน
ของ A
วิธีทํา สมมติ B เปนเมทริกซผกผันของ A (แนวตอบ แสดงใหเห็นวาเมทริกซ B คูณกับ
โดยบทนิยามเมทริกซผกผัน จะไดวา AB = BA = I3 เมทริกซ A แลวได I3 และเมทริกซ A คูณ
-2 2 3 -4 -5 3 กับเมทริกซ B แลวได I3)
AB = 1 -1 0 13 -4 -8 3
0 1 4 1 2 0 เขาใจ (Understanding)
-2 2 3 -4 -5 3
= 1 1 -1 0 -4 -8 3 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
3 0 1 4 1 2 0 หนา 160 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
8 - 8 + 3 10 - 16 + 6 -6 + 6 + 0 คําตอบ “ลองทําดู”
= 1 -4 + 4 + 0 -5 + 8 + 0 3-3+0
3
0 -4+4 0- 8 +8 0+3+0
3 0 0
= 1 0 3 0
3 0 0 3
1 0 0
= 0 1 0
0 0 1
-4 -5 3 -2 2 3
BA = 1 -4 -8 3 1 -1 0
3 1 2 0 0 1 4
-4 -5 3 -2 2 3
= 13 -4 -8 3 1 -1 0
1 2 0 0 1 4
8 -5+0 -8 + 5 + 3 -12 + 0 + 12
= 13 8 - 8 + 0 -8 + 8 + 3 -12 + 0 + 12
-2 + 2 + 0 2 -2+0 3+0+ 0

เมทริกซ 159

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันทําโจทยบนกระดานลงในกระดาษ จากบทนิยามเมทริกซผกผัน ครูควรใชคาํ ถามใหนกั เรียนไดฝก คิดวิเคราะห
A4 ดังนี้ ดังนี้
ใหหาเมทริกซผกผันของ A เมื่อ นักเรียนคิดวา เมทริกซจัตุรัสใดๆ มีเมทริกซผกผันหรือไม เพราะเหตุใด
6 -4 4 2 0 0
A 10 8 0 = 0 2 0
-6 4 2 0 0 2
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T167
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เมทริกซไมมสี มบัติ 3 0 0
สลับที่การคูณ จึงทําใหเมทริกซบางเมทริกซ = 13 0 3 0
0 0 3
ไมมีเมทริกซผกผัน
1 0 0
2. ครูอธิบายขั้นตอนการหาเมทริกซผกผันตาม = 0 1 0
ขัน้ ตอน ในหนังสือเรียน หนา 160 บนกระดาน 0 0 1
อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนเขาใจรวมกัน ดังนั้น B เปนเมทริกซผกผันของ A
3. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา ถา A = [a] และ
a 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน และ ลองทําดู
A-1 = 1 [ a] -3 3 4 1 7 4
กําหนด A = 1 -1 0 และ B = 14 1 3 4
เมทริกซผกผันของ 1 × 1 เมทริกซ จะมีสมาชิก 0 1 -1 1 3 0
เปนสวนกลับของเมทริกซนั้น ที่ไมเทากับ 0 ใหแสดงวา B เปนเมทริกซผกผันของ A
4. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน
หนา 161-162 แลวแลกเปลีย่ นความรูก บั คูข อง เนือ่ งจาก เมทริกซไมมสี มบัตสิ ลับทีข่ องการคูณ จึงทําใหเมทริกซบางเมทริกซไมมเี มทริกซผกผัน
ตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถาม ดังนั้น การหาเมทริกซผกผันจึงมีความยุงยากและมีวิธีหาไดหลายวิธี ดังตอไปนี้
คําถามนักเรียน ดังนี้ พิจารณาการหา A-1 เมื่อกําหนด A = [a] และ a 0
• จากการศึกษาเนื้อหาในหนังสือเรียน ให A-1 = [x]
หนา 161-162 นักเรียนไดขอสรุปอะไร จะได AA-1 = A-1A = I1
(แนวตอบ ถา A = [ ca db ] และ ad - bc 0 ดังนั้น [a][x] = [1] และ [x][a] = [1]
[ax] = [1]
แลว A มีเมทริกซผกผัน และ จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ จะไดวา
A-1 = ad 1- bc [ d-c -b
a ]) x = 1a
นําไปตรวจสอบผลคูณ จะพบวา
AA-1 = A-1A = I1
จึงไดขอสรุปวา ถา A = [a] และ a 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน
และ A-1 = [ 1a ]

เมทริกซผกผันของ 1 × 1 เมทริกซ จะมีสมาชิกเปนสวนกลับของเมทริกซนั้น ที่ไมเทากับ 0

160

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรเกริ่นกับนักเรียนวา สําหรับเมทริกซผกผันของเมทริกซจัตุรัสที่มีมิติ ครูใหนักเรียนแตละคนยกตัวอยางเมทริกซที่มีมิติ 1 × 1
ตั้งแต 3 × 3 ขึ้นไป จะตองใชความรูเรื่อง การดําเนินการตามแถวของเมทริกซ พรอมกับแสดงวิธีพิสูจนดังวิธีการ ในหนังสือเรียน หนา 160
และดีเทอรมิแนนต ซึ่งนักเรียนจะไดเรียนตอในหัวขอถัดไป นั่นคือ ถา A = [a] และ a 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน และ
A-1 = [ a1] มาอยางนอย 2 ขอ ลงในสมุดของตนเอง เมื่อทําเสร็จ
แลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง

T168
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)

Thinking Time • A-1 = ad -1 bc [ d-c -b


a ] มีเงื่อนไขสําคัญ
อะไรที่ตองพิจารณาเสมอ
กําหนด A = [-2], B = [ 13 ] และ C = [ 23 ]
(แนวตอบ ad - bc 0)
ใหหา A-1, B-1 และ C-1 • ขอสรุปทีไ่ ดนนั้ ใชไดกบั เมทริกซใด และมีมติ ิ
เทาใด
พิจารณาการหา A-1 เมื่อกําหนด A = a b และ ad - bc 0 (แนวตอบ เมทริกซจัตุรัสที่มีมิติ 2 × 2)
x x c d
ให A-1 = x1 x2 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา
1) A-1 = ad 1- bc [ d-c -b
3 4
จะได AA-1 = I2 และ A-1A = I2 a ] ใชไดเฉพาะ
a b x 1 x2 = 1 0 เมทริกซจัตุรัสที่มีมิติ 2 × 2 เทานั้น
ดังนั้น 2) การหา A-1 ควรตรวจสอบทุกครั้งวา
c d x 3 x4 0 1
ax1 + bx3 ax2 + bx4 1 0 AA-1 = A-1A = I2 หรือไม เมื่อ A
cx1 + dx3 cx2 + dx4 = 0 1 เปน 2 × 2 เมทริกซ
จากบทนิยามการเทากันของเมทริกซ จะไดวา เข้าใจ (Understanding)
ax1 + bx3 = 1 …..(1)
cx1 + dx3 = 0 …..(2) ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ax2 + bx4 = 0 …..(3) ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
cx2 + dx4 = 1 …..(4) และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวใหทํากิจกรรม
((1) × d) - ((2) × b) ; (adx1 + bdx3) - (bcx1 + bdx3) = d - 0 ดังนี้
adx1 - bcx1 = d • ใหแตละกลุมทํา “Thinking Time”
(ad - bc)x1 = d ในหนังสือเรียน หนา 161
x1 = ad d- bc • ให นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ  ม ทํ า ความเข า ใจ
รวมกัน จากนั้นครูสุมนักเรียนแตละกลุม
((2) × a) - ((1) × c) ; (acx1 + adx3) - (acx1 + cbx3) = 0 - c ออกมาเฉลยคําตอบหนาชั้นเรียน
adx3 - bcx3 = -c
(ad - bc)x3 = -c
x3 = ad -c- bc

เมทริกซ 161

ขอสอบเนน การคิด เฉลย Thinking Time


ให A-1 = [ x ], B-1 = [ y ] และ C-1 = [ z ]
กําหนด A = [ 52 -1
7 ] ใหหา 2A
-1
จะได AA-1 = I1
(เฉลยคําตอบ [ -2][ x ] = [ 1 ]
7 1 [ -2x ] = [ 1 ]
A-1 = 35 - (-2) [-2 5 ] = 37 [-2 5 ] = 2 37
1 7 1 1 7 1 37
5 x = - 12
- 37 37
BB-1 = I1
7 1 14 2
[ 13 ] [ y ] = [ 1 ]
2A = 2 2 5 = 374 37
-1 37 37 )
- 37 37 - 37 10
37 [ 3y ] = [ 1 ]
y = 3
-1
CC = I1
[ 23 ] [ z ] = [ 1 ]
[ 3z2 ] = [ 1 ]
z = 233
ดังนั้น A-1 = [- 12 ] , B-1 = [ 3 ] และ C-1 = [ 233 ] T169
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
((3) × d) - ((4) × b) ; (adx2 + bdx4) - (bcx2 + bdx4) = 0 - b
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง adx2 - bcx2 = -b
และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหทาํ กิจกรรม (ad - bc)x2 = -b
ดังนี้ x2 = ad -b- bc
• ใหนักเรียนทํา “Thinking Time”
((4) × a) - ((3) × c) ; (acx2 + adx4) - (acx2 + bcx4) = a - 0
ในหนังสือเรียน หนา 162
adx4 - bcx4 = a
• ให นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ  ม ทํ า ความเข า ใจ (ad - bc)x4 = a
รวมกัน จากนั้นครูสุมนักเรียนแตละกลุม x4 = ad a- bc
ออกมาเฉลยคําตอบ และใหนกั เรียนทุกกลุม
d -b
รวมกันอภิปรายแสดงความเห็น -1
จะไดวา A = -c ad - bc ad - bc 1 d -b
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะที่ 2.3 a = ad - bc -c a
ad - bc ad - bc
ในหนังสือเรียน หนา 163
นําไปตรวจสอบผลคูณ จะพบวา
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.3 ในแบบฝกหัด
AA-1 = A-1A = I2
เปนการบาน
จึงไดขอสรุปวา ถา A = a b และ ad - cd 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน
c d
และ A-1 = ad 1- bc d -b
-c a

Thinking Time
กําหนด A = 1 2 , B = 0 -2 , C = -1 -5 และ D = 2 3
3 4 5 -7 -3 2 4 -6
-1 -1 -1 -1
ใหหา A , B , C และ D

1) A-1 = ad 1- bc d -b ใชไดเฉพาะเมทริกซจัตุรัสที่มีมิติ 2 × 2 เทานั้น


-c a
2) การหา A ควรตรวจสอบทุกครั้งวา AA-1 = A-1A = I2 หรือไม
-1

เมื่อ A เปน 2 × 2 เมทริกซ

162

เฉลย Thinking Time


4 -2
A-1 = 1(4) 1- 2(3) [-3 1] C-1 = (-1)(2) -1 (-5)(-3) [ 32 -15 ]

= - 12 [-3
4 -2
1]
1 2 5
= - 17 [ 3 -1 ]
-2 1
= 3 -1 - 2 - 17 5
2 2 = 17 3 1
- 17 17
B-1 = 0(-7) -1(-2)(5) [ -7 2
-5 0 ]
D-1 = 2(-6) 1- 3(4) [ -6 -3
-4 2 ]
1 [ -7 2 ]
= 10 -5 0 1 [ -6 -3 ]
= - 24 -4 2
7 1
- 10
= 1 5 1 1
-2 0 = 41 51
6 - 12

T170
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
แบบฝึกทักษะ 2.3
• จะแสดงไดอยางไรวา A มีเมทริกซผกผัน
ระดับพื้นฐาน (แนวตอบ AA-1 = A-1A = In)
1. ใหตรวจสอบวา เมทริกซในแตละขอตอไปนี้มีเมทริกซผกผันหรือไม ถามีใหหา • วิธีการหาเมทริกซผกผัน 2 × 2 มิติ
เมทริกซผกผัน หาไดอยางไร
(แนวตอบ ถา A = [ ca db ] และ
1) A = 5 3 2) B = 3 0
4 2 1 3 ad - bc 0 แลว A มีเมทริกซผกผัน
3) C = 4 -1 4) D = -3 -4 และ A-1 = ad 1- bc [ d-c -b
a ])
5 -2 6 8
5) E = 0 5 6) F = 2 4
1 4 1 2 ขัน้ ประเมิน
2. กําหนด A = 2 5 และ B = 3 1 ใหหา 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.3
1 3 0 2 2. ครูตรวจ Exercise 2.3
-1 -1 3) (A-1)-1 4) (B-1)-1
1) A 2) B 3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
5) A-1B-1 6) B-1A-1 7) (AB)-1 8) (BA)-1 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
1 1 0 1 -1 1 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
3. กําหนด A = 0 1 1 และ B = 12 1 1 -1 6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
1 0 1 -1 1 1 มุงมั่นในการทํางาน
ใหแสดงวา B เปนเมทริกซผกผันของ A

Ô´
ระดับกลาง
á¹Ðá¹Ç¤
4. กําหนด A และ B เปน 2 × 2 เมทริกซ โดยมี ¡íÒ˹´ A ໚¹ n × n
àÁ·ÃÔ ¡« ¨Ð䴌NjÒ
- 26 15 (A-1)-1 = A
(AB)-1 = 48 28 และ B = 0 4 ใหหา A
2 3
8 -8
5. กําหนด A-1 + B-1 = 1 -1 และ 2B-1 - A-1 = 2 4 ใหหา A และ B
3 2 0 4

เมทริกซ 163

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


กําหนด A = [-2 2 -1], B = [ 4 0 ] และ C = [ 5 -5] ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํากิจกรรม
1 3 1 1 3
“Thinking Time” ในขั้นลงมือทํา โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก
ใหตรวจสอบวาเมทริกซ A, B และ C มีเมทริกซผกผันหรือไม
แบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 2
(เฉลยคําตอบ det(A) = 2 - 2 = 0
det(B) = 4 - 0 = 4 แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

det(C) = 15 - (-5) = 20
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม

ดังนั้น เมทริกซ A ไมมีเมทริกซผกผัน แตเมทริกซ B และ


ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

เมทริกซ C มีเมทริกซผกผัน)

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T171
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)


กําหนดขอบเขตของปญหา
1. ครูทบทวนความรูเรื่อง การคูณเมทริกซกับ
จํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซ และการหา
2.4 ดีเทอรมแิ นนต (Determinant)
เมทริกซสลับเปลี่ยน โดยถามคําถาม ดังนี้ นักเรียนไดทราบความหมายของเมทริกซ การหาผลลัพธของการบวกของเมทริกซ การคูณ
• การคูณเมทริกซกับคาคงตัวจะคูณได เมทริกซกับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซ การหาเมทริกซสลับเปลี่ยน และการหาเมทริกซ
อยางไร ผกผันของ 2 × 2 เมทริกซ ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาการหาดีเทอรมิแนนตของ n × n
(แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิก เมทริกซ เมื่อ n เปนจํานวนนับที่ไมเกินสาม
แตละตัวในเมทริกซ)
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันได 1. ดีเทอรมแิ นนตของเมทริกซทมี่ มี ติ ิ 1 × 1
อยางไร
บทนิยาม กําหนด A = a เรียก a วาเปนดีเทอรมิแนนตของ A
(แนวตอบ เมทริกซ A คูณกับเมทริกซ B ได 11 ×
เขียนแทนดีเทอรมิแนนตของ A ดวย det(A) หรือ A
ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของเมทริกซ A เทากับ
จํานวนแถวของเมทริกซ B) เชน กําหนด A = [1] โดยบทนิยาม จะไดวา det(A) = 1
• ถา B = [ 02 01 -30 ] แลว Bt เทากับเทาใด B = [-4] โดยบทนิยาม จะไดวา det(B) = -4
0 2
(แนวตอบ Bt = 1 0 ) 2. ดีเทอรมแิ นนตของเมทริกซทมี่ มี ติ ิ n × n เมือ่ n ≥ 2
0 -3 1) ไมเนอร (Minor)
2. ครูกลาววา ในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศกึ ษาการ
หาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ เมื่อ n บทนิยาม กําหนด A = aij
n n
×
เมื่อ n ≥ 2 ไมเนอรของ aij คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่ไดจากการ
เปนจํานวนนับไมเกินสาม ตัดแถวที่ i และหลักที่ j ของ A ออก เขียนแทนไมเนอรของ aij ดวย Mij(A)

ตัวอย่างที่ 20

กําหนด A = 4 -3 ใหหา
0 5
1) ไมเนอรของสมาชิกทุกตัวของ A
2) M22(A) + M21(A) - M12(A)
3) M21(A) - M11(A) + M22(A)

วิธีทํา 1) จาก A = 4 -3 โดยบทนิยาม จะไดวา


0 5
M11(A) = 5 = 5, M12(A) = 0 = 0
M21(A) = -3 = -3, M22(A) = 4 = 4
164

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรเนนยํ้ากับนักเรียนเรื่อง การใชสัญลักษณ “A ” แทนดีเทอรมิแนนต กําหนด A = [-1 5 0 ] และ B = [ 8 6 ]
7 2 4
ของ A ซึ่งไมใชคาสัมบูรณ เพราะ A ใชแทนเมทริกซ แต a ใชแทนจํานวน คาของ 3M21(B) + 11M11(A) - 5M22(A) - 2M12(B) เทากับเทาใด
1. 62 2. 64 3. 66 4. 68
(เฉลยคําตอบ จาก A = [-15 07 ] โดยบทนิยาม จะไดวา
M11(A) = 7  = 7
M22(A) = 5  = 5
และจาก B = [ 82 64 ] โดยบทนิยาม จะไดวา
M12(B) = 2  = 2
M21(B) = 6  = 6
นั่นคือ 3M21(B) + 11M11(A) - 5M22(A) - 2M12(B)
= 3(6) + 11(7) - 5(5) - 2(2)
= 18 + 77 - 25 - 4
= 66
T172 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายบทนิยามของดีเทอรมิแนนตที่มีมิติ
2) M22(A) + M21(A) - M12(A) = 4 + (-3) - 0 = 1
1 × 1 และบทนิยามของไมเนอร ในหนังสือเรียน
3) M21(A) - M11(A) + M22(A) = -3 - 5 + 4 = -4
หนา 164
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 20 ในหนังสือ-
ลองทําดู เรียน หนา 164 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้
กําหนด A = -0.5 4 ใหหา • M11(A) คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่ได
17 6 จากการตัดแถวใด หลักใด และมีคาเทาใด
1) ไมเนอรของสมาชิกทุกตัวของ A (แนวตอบ ไดจากการตัดแถวที่ 1 หลักที่ 1
2) M12(A) - M22(A) - M11(A) และ M11(A) = 5)
3) M11(A) + M21(A) + M22(A) • M22(A) คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่ได
จากบทนิยามไมเนอร จะเห็นวา การหาไมเนอรของสมาชิกของ n × n เมทริกซ เมือ่ n ≥ 2 จากการตัดแถวใด หลักใด และมีคาเทาใด
จะตองมีการหาดีเทอรมแิ นนตของเมทริกซดว ย ซึง่ ในตอนนีน้ กั เรียนไดรเู พียงการหาดีเทอรมแิ นนต (แนวตอบ ไดจากการตัดแถวที่ 2 หลักที่ 2
ของ 1 × 1 เมทริกซ นักเรียนจึงสามารถหาไมเนอรของสมาชิก 2 × 2 เมทริกซไดเทานั้น และ M22(A) = 4)
ซึ่งการหาไมเนอรของสมาชิก n × n เมทริกซ เมื่อ n > 2 จะตองมีการกําหนดทฤษฎีบทและ ใชทฤษฎี หลักการ
บทนิยามเพื่อใชหาดีเทอรมิแนนต ซึ่งนักเรียนจะไดเรียนในลําดับถัดไป
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2) ตัวประกอบรวมเกีย่ ว (Cofactor) หนา 165 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
บทนิยาม กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2 ตัวประกอบรวมเกี่ยวของ aij คือ ผลคูณของ (-1)i + j กับ Mij(A)
n×n
เขียนแทนตัวประกอบรวมเกี่ยวของ aij ดวย Cij(A)

จากบทนิยาม จะไดวา ถา A = aij n×n เมื่อ n ≥ 2 แลว Cij(A) = (-1)i+jMij(A)


ตัวอย่างที่ 21

กําหนด A = 5 6 ใหหาตัวประกอบรวมเกี่ยวของสมาชิกทุกตัวของ A
7 8
วิธีทํา จาก A = 5 6 จะไดวา C11(A) = (-1)1+1 M11(A) = M11(A) = 8
7 8
C12(A) = (-1)1+2 M12(A) = -M12(A) = -7
C21(A) = (-1)2+1 M21(A) = -M21(A) = -6
C22(A) = (-1)2+2 M22(A) = M22(A) = 5

เมทริกซ 165

กิจกรรม สรางเสริม
ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวใหสงตัวแทน
ออกมาจับสลากโจทยเมทริกซเพื่อนําไปหาตัวประกอบรวมเกี่ยว
ของเมทริกซนั้นๆ เมื่อทําเสร็จแลวครูสุมตัวแทนกลุมออกมา
นําเสนอ พรอมอธิบายวิธีการทําอยางละเอียด โดยครูและเพื่อน
ในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T173
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายบทนิยามของตัวประกอบรวมเกี่ยว ลองทําดู
ในหนังสือเรียน หนา 165 ใหนักเรียนฟง แลว 1
รวมกันสรุปวา ถา A = [aij]n × n เมื่อ n ≥ 2 กําหนด A = 4 -0.5 ใหหาตัวประกอบรวมเกี่ยวของสมาชิกทุกตัวของ A
แลว Cij(A) = (-1)i + j Mij(A) 1 4
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน
หนา 165 จากนัน้ ครูถามคําถาม ดังนี้ บทนิยาม กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2 ดีเทอรมิแนนตของ A คือ
n×n
• C12(A) หาไดอยางไร และมีคาเทาใด ai1Ci1(A) + ai2Ci2(A) + ai3Ci3(A) + … + ainCin(A) เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n }
a1jC1j(A) + a2jC2j(A) + a3jC3j(A) + … + anjCnj(A) เมื่อ j∊{ 1, 2, 3, ..., n }
(แนวตอบ หาไดจาก (-1)1 + 2 M12(A) และ เขียนดีเทอรมิแนนตของ A ดวย det(A) หรือ
C12(A) = -7) a11 a12 ... a1n
• C21(A) หาไดอยางไร และมีคาเทาใด a21 a22 ... a2n
(แนวตอบ หาไดจาก (-1)2 + 1 M21(A) และ ⋮ ⋮ ⋮
C21(A) = -6) an1 an2 ... ann

ใชทฤษฎี หลักการ
จากบทนิยาม การหาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 โดยหาผลลัพธ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ของ ai1Ci1(A) + ai2Ci2(A) + ai3Ci3(A) + … + ainCin(A) เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n } จะเรียกวา
หนา 166 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย การหาดีเทอรมิแนนตโดยกระจายตามแถวที่ i และการหาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ
คําตอบ “ลองทําดู” เมื่ อ n ≥ 2 โดยหาผลลั พ ธ ข อง a 1j C 1j (A) + a 2j C 2j (A) + a 3j C 3j (A) + … + a nj C nj (A)
เมื่อ j∊{ 1, 2, 3, ..., n } เรียกวา การหาดีเทอรมิแนนตโดยกระจายตามหลักที่ j
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
จากบทนิยาม กําหนด A = aij 2×2 จะได det(A) ดังนี้
1. ครูอธิบายบทนิยามการหาดีเทอรมิแนนตของ
(1) กระจายตามแถวที่ i
n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 ในหนังสือเรียน
กรณี i = 1 จะไดวา
หนา 166 ใหนักเรียนฟงบนกระดานอยาง
ละเอียด det(A) = aa11 aa12
21 22
= a11C11(A) + a12C12(A)
= a11(-1)1+1M11(A) + a12(-1)1+2M12(A)
= a11a22 - a12a21
= a11a22 - a21a12

166

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรยกตัวอยางโจทยประกอบคําอธิบายการหาดีเทอรมิแนนตของ A ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางเมทริกซ A ที่มีมิติ 2 × 2
เมื่อ n ≥ 2 เพื่อใหนักเรียนเขาใจและนําไปใชไดงายยิ่งขึ้น ขึ้นมา พรอมกับหา det(A) โดยแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงใน
กระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบ
ความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T174
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมใน
กรณี i = 2 จะไดวา
หนังสือเรียน หนา 166-167 จากนั้นครูถาม
det(A) = aa11 aa12 คําถามนักเรียน ดังนี้
21 22
= a21C21(A) + a22C22(A) • การหาดีเทอรมิแนนตของ 2 × 2 เมทริกซ
= a21(-1)2+1M21(A) + a22(-1)2+2M22(A) โดยกระจายตามแถวที่ i เมื่อ i = {1, 2} หรือ
= -a21a12 + a22a11 กระจายตามหลักที่ j เมื่อ j = {1, 2} จะได
= a11a22 - a21a12 คาคงตัวเทากัน คือเทาใด
(แนวตอบ a11 a22 - a21 a22)
(2) กระจายตามหลักที่ j
กรณี j = 1 จะไดวา
det(A) = aa11 aa12
21 22
= a11C11(A) + a21C21(A)
= a11(-1)1+1M11(A) + a21(-1)2+1M21(A)
= a11a22 - a21a12
= a11a22 - a21a12
กรณี j = 2 จะไดวา
det(A) = aa11 aa12
21 22
= a12C12(A) + a22C22(A)
= a12(-1)1+2M12(A) + a22(-1)2+2M22(A)
= -a12a21 + a22a11
= a11a22 - a21a12
จะเห็ น ว า การหาดี เ ทอร มิ แ นนต ข อง 2 × 2 เมทริ ก ซ โ ดยกระจายตามแถวที่ i
เมื่อ i = { 1, 2 } หรือกระจายตามหลักที่ j เมื่อ j = { 1, 2 } จะไดคาคงตัวเทากัน คือ
a11a22 - a21a12

เมทริกซ 167

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


กําหนด A = [-7 9 8 ] และ B = [ 1 2 ] ครูควรเนนยํ้าวิธีการหาดีเทอรมิแนนต ในหนังสือเรียน หนา 166-167 ใน
6 3 4
คาของ det(At) + 15det(Bt) เทากับเทาใด แตละกรณีที่มีความละเอียด ซับซอน ใหกับนักเรียนเพื่อทําความเขาใจรวมกัน
1. 80 2. 85 3. 90 4. 95
(เฉลยคําตอบ จาก A = [ -79 86 ] จะไดวา At = [ 98 -76 ]
และ det(At) = (9)(6) - (8)(-7)
= 54 + 56
= 110
จาก B = [ 3 24 ] จะไดวา Bt = [ 12 34 ]
1
และ det(Bt) = (1)(4) - (2)(3)
=4-6
= -2
นั่นคือ det(A ) + 15det(Bt) = 110 + 15(-2)
t

= 110 - 30
= 80
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.) T175
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 22 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 22
หนา 168 จากนัน้ ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงอีกครัง้
เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น กําหนด A = -1 -5 , B = 3 -2 และ C = -8 4 ใหหา
4 10 1 -1 -4 2
1) det(A) 2) det(B) 3) det(C)
ใช้ทฤษฎี หลักการ
วิธีทํา 1) เนื่องจาก A เปน 2 × 2 เมทริกซ จะไดวา
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
det(A) = a11a22 - a21a12
หนา 168 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง
= (-1)(10) - (4)(-5)
สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครู
= -10 + 20
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
= 10
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 2) เนื่องจาก B เปน 2 × 2 เมทริกซ จะไดวา
det(B) = b11b22 - b21b12
1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
= (3)(-1) - (1)(-2)
หนา 168 วา ถา A = [aij]n × n เมื่อ n ≥ 2 แลว
= -3 + 2
det(A) อาจเปนจํานวนลบ ศูนย หรือจํานวน
= -1
บวก
3) เนื่องจาก C เปน 2 × 2 เมทริกซ จะไดวา
det(C) = c11c22 - c21c12
= (-8)(2) - (-4)(4)
= -16 + 16
= 0

ลองทําดู
กําหนด A = 3 2 , B = 7 9 และ C = -2 1 ใหหา
-3 0 6 1 6 -3
1) det(A) 2) det(B) 3) det(C)

คณิตน่ารู้
ถา A = aij เมื่อ n ≥ 2 แลว det(A) อาจเปนจํานวนลบ หรือศูนย หรือจํานวนบวก
2×2

168

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรเนนยํ้าใหนักเรียนระมัดระวังเครื่องหมายในการคํานวณหา กําหนด A = [ 54 -3 -7 3
-8] และ B = [ 7 5 ]
ดีเทอรมิแนนต เพราะเปนเรื่องที่นักเรียนจะทําผิดพลาดอยูบอยครั้ง คาของ det(5A) - det(2B) เทากับเทาใด
1. 924 2. -924 3. 925 4. -925
(เฉลยคําตอบ จาก A = [ 45 -3-8 ]
จะไดวา 5A = 5 [ 45 -3 25 -15
-8 ] = [ 20 -40 ]
และ det(5A) = (25)(-40) - (20)(-15)
= -1,000 + 300 = -700
จาก B = [ 7 53 ]
-7

จะไดวา 2B = 2 [ -7 3 -14 6
7 5 ] = [ 14 10 ]
และ det(2B) = (-14)(10) - (14)(6)
= -140 - 84 = -224
นั่นคือ det(5A) - det(2B) = -700 - 224 = -924
T176 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 23
ตัวอย่างที่ 23
ในหนังสือเรียน หนา 169 จากนั้นครูอธิบาย
กําหนด A = 1 2 และ B = -2 1 ใหแสดงวา det(AB) = det(A) • det(B) ใหนักเรียนฟงอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียนเขาใจ
0 -1 1 0
มากยิ่งขึ้น
วิธีทํา จาก A = 1 2 และ B = -2 1 3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษากรอบ “คณิตนารู”
0 -1 1 0
ในหนังสือเรียน หนา 169 แลวแลกเปลี่ยน
จะได det(A) = (-1) - 0 = -1
det(B) = 0 - 1 = -1 ความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปน
ดังนั้น det(A) • det(B) = (-1)(-1) = 1 ทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
อภิปรายจนไดขอสรุปวา นักเรียนสามารถหา
และจาก AB = 1 2 -2 1 = (-2) +2 1+0 0 1
0 + (-1) 0 + 0 = -1 0 คาดีเทอรมิแนนตไดโดยการหาผลคูณในแนว
0 -1 1 0
จะได det(AB) = 0 - (-1) = 1 ทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง ลบกับผลคูณ
นั่นคือ det(AB) = det(A) • det(B) ในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน

ใชทฤษฎี หลักการ
ลองทําดู ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
1 หนา 169 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนด A = 2 5 และ B = -2 4 ใหแสดงวา det(AB) = det(A) • det(B) คําตอบ “ลองทําดู”
1 -4 -8 -5

คณิตน่ารู้
กําหนด A = a b
c d
det(A) = ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง - ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไป
ขวาบน
ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึน้ ไปขวาบน
a b
c d
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
จะไดวา ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง เทากับ ad
ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน เทากับ cb
ดังนั้น det(A) = ad - cb

เมทริกซ 169

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุม ใหนกั เรียน กลุม ละ 3-4 คน แลวใหแตละกลุม สราง ครูควรเนนยํา้ วิธกี ารหาดีเทอรมแิ นนตในกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
เมทริกซ A ที่มีมิติ 2 × 2 ขึ้นมา พรอมกับแสดงวา หนา 169 โดยใหนักเรียนปดหนังสือแลวชวยกันอธิบายวิธีการคิดนั้น
det(AB) = det(A) • det(B)
โดยแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลว
ใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T177
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายทฤษฎีบท 1 ในหนังสือเรียน หนา 170
จากตัวอยางที่ 23 การหาดีเทอรมิแนนตของเมทริกซเปนไปตามทฤษฎีบทตอไปนี้
ใหนักเรียนฟง แลวรวมกันสรุปวา
det(AB) = det(A)det(B) ทฤษฎีบท 1 กําหนด A และ B เปน n n เมทริกซ จะไดวา
×

2. ครูใหนักเรียนศึกษาการหาดีเทอรมิแนนตของ det(AB) = det(A)det(B)


3 × 3 เมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 170-171
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ ตอไปนี้จะแสดงการหาดีเทอรมิแนนตของ 3 × 3 เมทริกซ โดยใชบทนิยาม
• การหาดีเทอรมแิ นนตของ A โดยใชบทนิยาม กําหนด A = aij
3×3
มีกี่ขั้นตอน อะไรบาง จากบทนิยาม ถาหา det(A) โดยกระจายตามแถวที่ i เมื่อ i = 1 จะไดวา
(แนวตอบ การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดย a11 a12 a13
ใชบทนิยามมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ det(A) = a21 a22 a23
ขั้นที่ 1 นําหลักที่ 1 และหลักที่ 2 ของ A a31 a32 a33
มาเขียนตอจากหลักที่ 3 ของ A = a11C11(A) + a12C12(A) + a13C13(A)
ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบน = a11(-1)1 +1M11(A) + a12(-1)1+2M12(A) + a13(-1)1+3M13(A)
ลงมาขวาลาง
= a11 aa22 aa23 - a12 aa21 aa23 + a13 aa21 aa22
ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง 32 33 31 33 31 32
ขึ้นไปขวาบน = a11(a22a33 - a32a23) - a12(a21a33 - a31a23) + a13(a21a32 - a31a22)
ขั้นที่ 4 นําผลบวกของผลคูณในแนวทแยง = a11a22a33 - a11a32a23 - a12a21a33 + a12a31a23 + a13a21a32 - a13a31a22
จากซายบนลงมาขวาลางลบดวย = (a11a22a33 + a12a23a31 + a13a21a32) - (a31a22a13 + a32a23a11 + a33a21a12)
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจาก ในทํานองเดียวกัน ถานักเรียนหา det(A) โดยการกระจายตามแถวที่ i เมื่อ i ∊{ 2, 3 }
ซายลางขึน้ ไปขวาบน จะไดผลลัพธ
หรือกระจายตามหลักที่ j เมื่อ j ∊{ 1, 2, 3 } จะได
เปน det(A))
det(A) = (a11a22a33 + a12a23a31 + a13a21a32) - (a31a22a13 + a32a23a11 + a33a21a12)
นอกจากการหาดีเทอรมิแนนตของ A โดยใชบทนิยาม นักเรียนอาจหาดีเทอรมิแนนต
ของ A ไดจากขั้นตอนตอไปนี้
ขั้นที่ 1 นําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอจากหลักที่ 3 ของ A
a11 a12 a13 a11 a12
a21 a22 a23 a21 a22
a31 a32 a33 a31 a32

170

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


การพิสูจนทฤษฎีบท 1 ครูควรใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน โดยคละ ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางเมทริกซ A ที่มีมิติ 3 × 3
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวใชวิธีการหาดีเทอรมิแนนตที่นักเรียนไดศึกษามากอนหนานี้
และใหตัวแทนกลุมจับสลากการกระจายแถวหรือกระจายหลัก และใหสมาชิก หาคาของ det(A) ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสง
ในกลุมออกมาเขียนบนกระดาน โดยบอกแถวหรือหลักที่จับสลากได ครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T178
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายขั้นตอนการหาดีเทอรมิแนนตของ
ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
3 × 3 เมทริกซ ในหนังสือเรียน หนา 170-171
a11 a12 a13 a11 a12 อีกครัง้ เพือ่ เนนยํา้ ใหนกั เรียนเขาใจมากยิง่ ขึน้
a21 a22 a23 a21 a22
a31 a32 a33 a31 a32
a11a22a33 a12a23a31 a13a21a32
ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
a31a22a13 a32a23a11 a33a21a12
a11 a12 a13 a11 a12
a21 a22 a23 a21 a22
a31 a32 a33 a31 a32
a11a22a33 a12a23a31 a13a21a32

ขัน้ ที่ 4 นําผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลางลบดวยผลบวกของ


ผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึน้ ไปขวาบน จะไดผลลัพธเปน det(A)

ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
จากซายลางขึ้นไปขวาบน
a31a22a13 + a32a23a11 + a33a21a12
a11 a12 a13 a11 a12
a21 a22 a23 a21 a22
A = a31 a32 a33 a31 a32
a11a22a33 + a12a23a31 + a13a21a32
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
จากซายบนลงมาขวาลาง

จากรูป ให p แทนผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง


q แทนผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
จะได det(A) = p - q

เมทริกซ 171

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


5 -5 2
กําหนด At = 6 4 4 คาของ det(2A) - 3det(At) เทากับ หลังจากไดศึกษาวิธีการหาดีเทอรมิแนนต ในหนังสือเรียน หนา 170-171
1 7 -2 แลว ครูควรใหนักเรียนไดฝกคิดวิเคราะหวา มีวิธีอื่นในการหาดีเทอรมิแนนต
เทาใด
5 -5 2 โดยที่นักเรียนไมตองตอหลักของเมทริกซหรือไม
(เฉลยคําตอบ จาก At = 6 4 4
1 7 -2
t
จะไดวา det(A ) = (-40 - 20 + 84) - (8 + 140 + 60) = -184
5 6 1
และ A = -5 4 7
2 4 -2
5 6 1 10 12 2
จะไดวา 2A = 2 -5 4 7 = -10 8 14
2 4 -2 2 8 -4
แลว det(2A) = (-320 + 672 - 160) - (64 + 1,120 + 480)
= 192 - 1,664 = 1,472
ดังนั้น det(2A) - 3det(At) = 1,472 - 3(-184)
= 1,472 + 552
= 2,024)
T179
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 24 ใน
ตัวอย่างที่ 24
หนังสือเรียน หนา 172 แลวแลกเปลี่ยนความรู
1 2 3
กับคูของตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่ กําหนด A = 4 0 2 ใหหา det(A)
เขาใจรวมกัน แลวถามคําถาม ดังนี้ 5 -1 1
• ดีเทอรมแิ นนตของ A สามารถหาไดอยางไร
(แนวตอบ หาได 2 วิธี ไดแก ใชบทนิยาม หรือ
วิธีทํา การหา det(A) ทําได 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 หา det(A) โดยใชบทนิยาม
การนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอ
จากบทนิยามหา det(A) โดยกระจายตามแถวที่ 1 จะไดวา
จากหลักที่ 3 ของ A จากนั้นนําผลบวกของ
det(A) = a11C11(A) + a12C12(A) + a13C13(A)
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
= (1)(-1)1+1M11(A) + (2)(-1)1+2M12(A) + (3)(-1)1+3M13(A)
ลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจาก
ซายลางขึ้นไปขวาบน) = -10 21 - 2 54 12 + 3 45 -10
= (0 - (-2)) - 2(4 - 10) + 3(-4 - 0)
ใชทฤษฎี หลักการ = 2 + 12 - 12
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 2
หนา 172 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีที่ 2 หา det(A) โดยการนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอจากหลักที่ 3
ของ A จากนั้นนําผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง
คําตอบ “ลองทําดู”
ลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
0 -2 8
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ 1 2 3 1 2
1. ครูกลาววา นักคณิตศาสตรไดแบงประเภทของ 4 0 2 4 0
5 -1 1 5 -1
เมทริกซจัตุรัส โดยใชดีเทอรมิแนนต จากนั้น 0 20 -12
ครูอธิบายบทนิยามใหนักเรียนฟง ดังนี้ det(A) = (0 + 20 - 12) - (0 - 2 + 8) = 8 - 6 = 2
กําหนด A เปน n × n เมทริกซ ลองทําดู
• A เปนเมทริกซเอกฐาน (Singular Matrix) 0 -5 0
เมื่อ det(A) = 0 กําหนด A = -7 11 1 ใหหา det(A)
• A เปนเมทริกซไมเอกฐาน (Non-Singular 2 1 9
Matrix) เมื่อ det(A) 0 นักคณิตศาสตรไดแบงประเภทของเมทริกซจัตุรัส โดยใชดีเทอรมิแนนตตามบทนิยามตอไปนี้
บทนิยาม กําหนด A เปน n × n เมทริกซ
A เปนเมทริกซเอกฐาน (Singular Matrix) เมื่อ det(A) = 0
A เปนเมทริกซไมเอกฐาน (Non-Singular Matrix) เมื่อ det(A) 0
172

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


จากตัวอยางที่ 24 ในหนังสือเรียน หนา 172 ครูควรฝกการคิดวิเคราะห 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน โดยคละความสามารถ
โดยใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นวา นักเรียนจะหาดีเทอรมแิ นนตโดยการเลือก ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
การกระจายแถวหรือหลักใด เพราะเหตุใด 2. ใหแตละกลุมชวยกันสืบคนโจทยเมทริกซเอกฐานและเมทริกซ
ไมเอกฐานอยางละ 1 ขอ พรอมแสดงวิธีการหาคําตอบลงใน
กระดาษ A4
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง

T180
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 25
ตัวอย่างที่ 25
ในหนังสือเรียน หนา 173 จากนั้นครูอธิบาย
1 1 2 1 1 2 -3 1 2
กําหนด A = 1 1 -1 , B = 2 2 -2 และ C = -3 1 -1 ใหหา ตัวอยางที่ 25 ใหนักเรียนฟงอีกครั้ง เพื่อให
1 2 1 1 2 1 -3 2 1 นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
t
1) det(A) และ det(A ) 2) det(B) และ det(C) 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จากตัวอยางที่ 25
ขอ 1) จะเห็นวา det(A) = det(At) และ
1 1 2 ขอ 2) จะเห็นวา det(B) = 2det(A) และ
วิธีทํา 1) จาก A = 1 1 -1
1 2 1 det(C) = -det(A)
1 1 1
จะได At = 1 1 2 ใช้ทฤษฎี หลักการ
2 -1 1
1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น det(A) = (1 - 1 + 4) - (2 - 2 + 1) = 3 หนา 173 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
det(At) = (1 + 4 - 1) - (2 - 2 + 1) = 3
คําตอบ “ลองทําดู”
2) จากโจทย จะได det(B) = (2 - 2 + 8) - (4 - 4 + 2) = 6 2. ครูใหนกั เรียนทําใบงานที่ 2.2 เรือ่ ง ดีเทอรมแิ นนต
det(C) = (-3 + 3 - 12) - (-6 + 6 - 3) = -9 3 × 3 เปนการบาน

ลองทําดู
2 4 -3 2 4 -3 2 -12 -3
กําหนด A = 1 4 5 , B = 1 4 5 และ C = 1 -12 5
10 2 1 30 6 3 10 -6 1
ใหหา
1) det(A) และ det(At) 2) det(B) และ det(C)

จากตัวอยางที่ 25 ขอ 1) จะเห็นวา det(A) = det(At) และขอ 2) จะเห็นวา เมทริกซ B


เกิดจากการนํา 2 คูณสมาชิกทุกตัวในแถวที่ 2 ของเมทริกซ A ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ B
ที่ไดเทากับ 2det(A) และเมทริกซ C เกิดจากการนํา -3 คูณสมาชิกทุกตัวในหลักที่ 1 ของ
เมทริกซ A ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ C ที่ไดเทากับ -3det(A)

เมทริกซ 173

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันทํากิจกรรม ดังนี้ จากตัวอยางที่ 25 ในหนังสือเรียน หนา 174 กอนจะหา det(A), det(B) และ
• ใหนกั เรียนแตละคูเ ขียนเมทริกซ A เมทริกซ B และเมทริกซ det(C) ครูควรใหนกั เรียนสังเกตความสัมพันธระหวางสมาชิกทุกตัวในแถวหรือ
C จากตัวอยางที่ 25 ในหนังสือเรียน หนา 173 ลงใน หลักของเมทริกซ A เมทริกซ B และเมทริกซ C เมื่อหาดีเทอรมิแนนต แลวให
กระดาษ A4 นักเรียนสรุปความสัมพันธตอทายจากตัวอยางนี้
• ใหหา det(AB), det(CtA) และ det(BC)
เมื่อนักเรียนแตละคูทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบ
ความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T181
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 26 ใน
ตัวอย่างที่ 26
หนังสือเรียน หนา 174 2 1 0 -1 1 0 2 0 1
2. ครูอธิบายเพิม่ เติมวา จากตัวอยางที่ 26 จะเห็น กําหนด A = -1 1 0 B = 2 1 0 และ C = -1 0 1
วา เมทริกซ B เกิดจากการสลับแถวที่ 1 กับ 2 0 2 -1 0 2 -1 0 -1 2
ของเมทริกซ A และเมทริกซ C เกิดจากการสลับ ใหหา det(A), det(B) และ det(C)
หลักที่ 2 กับ 3 ของเมทริกซ A ดีเทอรมแิ นนต
วิธีทํา det(A) = (-2 + 0 + 0) - (0 + 0 + 1) = -3
ของเมทริกซ B และดีเทอรมแิ นนตของเมทริกซ
det(B) = (1 + 0 + 0) - (0 + 0 - 2) = 3
C ทีไ่ ดเทากับจํานวนตรงขามของดีเทอรมแิ นนต
det(C) = (0 + 0 + 1) - (0 - 2 + 0) = 3
ของเมทริกซ A

ใช้ทฤษฎี หลักการ ลองทําดู


1 4 1 1 10 0 4 1 1
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
กําหนด A = 32 1 -1 , B = 3 1 -1 และ C =
1
2
3 -1
หนา 174 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย 1 4 1
คําตอบ “ลองทําดู” 1 10 0 2 10 1 0
ใหหา det(A), det(B) และ det(C)
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
จากตัวอยางที่ 26 จะเห็นวา เมทริกซ B เกิดจากการสลับแถวที่ 1 กับ 2 ของเมทริกซ
1. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 27 A และเมทริกซ C ไดมาจากการสลับหลักที่ 2 กับ 3 ของเมทริกซ A ดีเทอรมิแนนตของ
ในหนังสือเรียน หนา 174 เมทริกซ B และดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ C ที่ไดเทากับ จํานวนตรงขามของดีเทอรมิแนนต
2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากตัวอยางที่ 27 ของเมทริกซ A
จะเห็นวา เมทริกซ B เกิดจากการนํา 2 คูณ
สมาชิกทุกตัวในแถวที่ 2 แลวนําผลคูณบวก ตัวอย่างที่ 27
กับสมาชิกทุกตัวในแถวที่ 1 ทีเ่ ปนหลักเดียวกัน 1 2 1 -1 4 3 1 0 1
ของเมทริกซ A และเมทริกซ C เกิดจากการนํา กําหนด A = -1 1 1 , B = -1 1 1 และ C = -1 3 1
-2 คูณสมาชิกทุกตัวในหลักที่ 1 แลวนําผลคูณ 1 1 -1 1 1 -1 1 -1 -1
บวกกับสมาชิกทุกตัวในหลักที่ 2 ที่เปนแถว ใหหา det(A), det(B) และ det(C)
เดียวกันของเมทริกซ A แลว det(A) = det(B) วิธีทํา det(A) = (-1 + 2 - 1) - (1 + 1 + 2) = -4
= det(C) det(B) = (1 + 4 - 3) - (3 - 1 + 4) = -4
det(C) = (-3 + 0 + 1) - (3 - 1 + 0) = -4

174

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


จากตัวอยางที่ 27 ในหนังสือเรียน หนา 174 ครูควรใหนกั เรียนสังเกตสมาชิก ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4 คน ชวยกันสรางเมทริกซ
ทุกตัวในแถวและหลัก โดยใชคําถามแนะแนวทาง เชน เมทริกซ A และ B 3 × 3 เมทริกซ เหมือนกับตัวอยางที่ 26 ในหนังสือเรียน หนา 174
มีสมาชิกแถวใดเหมือนกันหรือมีสมาชิกเหมือนกันแตสลับที่กัน เมื่อนักเรียนหา พรอมกับบอกความสัมพันธระหวางเมทริกซ 3 เมทริกซน้ีวามี
ดีเทอรมิแนนตแลวใหนักเรียนชวยกันสรุปความสัมพันธของดีเทอรมิแนนต ความสัมพันธกนั อยางไร เมือ่ ทําเสร็จแลวใหสง ตัวแทนกลุม ออกมา
นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T182
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ

ลองทําดู ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


6 1 0 6 1 0 6 1 2 หนา 175 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง
กําหนด A = 3 0.5 2 , B = 0 0 2 และ C = 7 0.5 3 สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครู
-7 -1 3 -7 -1 3 -1 -1 1 และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ใหหา det(A), det(B) และ det(C)
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
จากตัวอยางที่ 27 จะเห็นวา เมทริกซ B เกิดจากการนํา 2 คูณสมาชิกทุกตัวในแถวที่ 2 แลวนํา 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น ศึ ก ษาสมบั ติ ข อง
ผลคูณบวกกับสมาชิกทุกตัวในแถวที่ 1 ทีเ่ ปนหลักเดียวกันของเมทริกซ A และเมทริกซ C เกิดจาก ดีเทอรมิแนนต ในหนังสือเรียน หนา 175
การนํา -2 คูณสมาชิกทุกตัวในหลักที่ 1 แลวนําผลคูณบวกกับสมาชิกทุกตัวในหลักที่ 2 ที่เปน
แถวเดียวกันของเมทริกซ A ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ A เมทริกซ B และเมทริกซ C มีคา
เทากัน

สมบัติ สมบัติของดีเทอรมิแนนต
กําหนด A = aij n n และ B = bij n n เมื่อ n ≥ 2 จะไดวา
× ×

1. ถา A มีสมาชิกในแถวใดแถวหนึ่งหรือหลักใดหลักหนึ่งเปน 0 ทุกตัว แลว det(A) = 0


2. ถา B ไดจากการสลับแถว 2 แถว หรือสลับหลัก 2 หลักของ A
แลว det(B) = -det(A)
3. ถา A มีสมาชิกของแถวสองแถวหรือหลักสองหลักเหมือนกัน แลว det(A) = 0
4. det(At) = det(A)
5. ถานําคาคงตัว c คูณสมาชิกทุกตัวในแถวใดแถวหนึ่งหรือหลักใดหลักหนึ่งของ A
แลวดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่ได เทากับ c • det(A)
6. ถานําคาคงตัว c คูณกับสมาชิกทุกตัวของ A จะไดวา det(cA) = cn • det(A)
7. ถา B ไดจาก A โดยเปลี่ยนเฉพาะสมาชิกในแถวที่ j ของ A โดยใชคาคงตัว c คูณกับ
สมาชิกทุกตัวในแถวที่ i ของ A เมื่อ i j แลวนําไปบวกกับสมาชิกแตละตัวในแถวที่ j
ของ A นั่นคือ bjk = caik + ajk สําหรับทุก k∊{ 1, 2 , ... , n }
แลว det(B) = det(A)
8. ถา B ไดจาก A โดยเปลี่ยนเฉพาะสมาชิกในหลักที่ i ของ A โดยใชคาคงตัว c คูณกับ
สมาชิกทุกตัวในหลักที่ j ของ A เมื่อ j i แลวนําไปบวกกับสมาชิกแตละตัวในหลักที่ i
ของ A นั่นคือ bki = cakj + aik สําหรับทุก k∊{ 1, 2 , ... , n }
แลว det(B) = det(A)

เมทริกซ 175

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน ชวยกันสรางเมทริกซ ครูควรใหนักเรียนสังเกตขอกําหนดและขอคําถามในแตละขอวา เมทริกซ
2 × 2 เมทริกซ โดยใชสมบัติของดีเทอรมิแนนต ในหนังสือเรียน มีความสัมพันธกันอยางไร การหาคําตอบตองใชสมบัติในขอใด
หนา 175 โดยทําลงในกระดาษ A4 พรอมกับเขียนสมบัตทิ นี่ กั เรียน
นําไปใชสรางเมทริกซทั้งสองดวย เมื่อทําเสร็จแลวใหสงตัวแทน
กลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T183
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนนําสมบัติของดีเทอรมิแนนตมา
จากสมบัติของดีเทอรมิแนนตที่กลาวมา นักเรียนสามารถนํามาใชในการหาดีเทอรมิแนนต
ศึกษาตัวอยางที่ 28 ในหนังสือเรียน หนา 176 ของเมทริกซได ดังตัวอยางตอไปนี้
3. ครู สุ  ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอแนวคิ ด และ
ตัวอย่างที่ 28
คําตอบที่ไดจากตัวอยางที่ 28 ในหนังสือเรียน
หนา 176 โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน กําหนด A = aij 3×3, B = bij 3×3, det(A) = 2 และ det(B) = -4 ใหหา
ตรวจสอบความถูกตอง 1) det(At) 2) det(AB)
4. ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ในหนังสือเรียน 3) det(2AB) 4) det(A2B-1)
หนา 176 ใหนักเรียนฟง เพื่อทําความเขาใจ วิธีทํา 1) จากสมบัติขอ 4 จะไดวา
รวมกัน det(At) = det(A) = 2
2) จากทฤษฎีบท 1 จะไดวา
ใช้ทฤษฎี หลักการ
det(AB) = det(A) • det(B)
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = (2)(-4)
หนา 176 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง = -8
สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้น 3) จากสมบัติขอ 6 และทฤษฎีบท 1 จะไดวา
ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู” det(2AB) = det(2A) • det(B)
= 23det(A) • det(B)
= (8)(2)(-4)
Ô´
= -64 á¹Ðá¹Ç¤
4) จากทฤษฎีบท 1 จะไดวา ¡íÒ˹´ A = [aij]n × n
det(A2B-1) = det(AAB-1) àÁ×èÍ n -> 2 ¨Ð䴌NjÒ
1
= det(A) • det(A) det(B) det(A-1) = 1
det(A)
= (2)(2)(-41 ) àÁ×èÍ det(A) =/ 0
= -1

ลองทําดู
กําหนด A = aij , B = bij , det(A) = 15 และ det(B) = -3 ใหหา
3×3 3×3
1) det((BA)t) 2) det(2A-1)
-1
3) det(5B A) 4) det(BtA2)
176

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด A = [aij]3 3, B = [bij]3 3, C = [cij]3 3, det(A) = 5, det(B) = -2 และ det(C) = 8 ใหหา
× × ×

1) det(ABt) 2) 2det(B3C-1) 3) 1
det(A-1BC2)
(เฉลยคําตอบ
1) det(ABt) = det(A) • det(Bt) 3) 1 = 1
det(A-1BC 2) det(A-1BC C)
= det(A) • det(B)
= 1
= (5)(-2) det(A-1) • det(B) • det(C) • det(C)
= -10 1
3 = 1
2) 2det(B C ) = 2det(BBBC-1)
-1
det(A) • det(B) • det(C) • det(C)
= 2 • det(B) • det(B) • det(B) • det(C-1)
1 = det(A)
= 2 • det(B) • det(B) • det(B) • det(C) det(B) • det(C) • det(C)
= 2(-2)(-2)(-2)( 18 ) 5
= (-2)(8)(8)
= -2
5 )
= - 128
T184
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาแนวขอสอบ PAT 1
แนวข้อสอบ PAT 1 ในหนังสือเรียน หนา 177
xx x x x y z 2. ครู อ ธิ บ ายบทนิ ย ามของเมทริ ก ซ ผู ก พั น ให
กําหนด A = y y y y และ B = x y z นักเรียนฟง พรอมกับสรุปใหนักเรียนฟง แลว
zz z z 1 1 1
ใหนกั เรียนแตละคูแ ลกเปลีย่ นความรูก บั คูข อง
เมื่อ x, y และ z เปนจํานวนจริงบวกที่แตกตางกัน คาของ det(B) ตรงกับขอใดตอไปนี้ ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน
1. xyz(det(A)) 2. - xyz(det(A)) 3. xyz(det(A)) จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมาอธิบายวิธคี ดิ หนา
2 2 2
4. -xyz(det(A)) 5. x y z (det(A)) ชั้นเรียนวา เมทริกซผูกพันของ A คือ เมทริกซ
แนวคิด [Cij(A)]t เขียนแทนเมทริกซผูกพันของ A ดวย
จากโจทย จะไดวา adj(A)
det(B) = det(Bt) 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จากบทนิยามนี้ นักเรียน
x x 1 จะเห็นวา เมทริกซผูกพันเปนเมทริกซสลับ-
=y y 1 เปลี่ยนของเมทริกซตัวประกอบรวมเกี่ยวของ
z z 1
x x x x คูณสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 1 ดวย x เมทริกซนั้น
= ( x • y • z) y y y y คูณสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 2 ดวย y
z z z z คูณสมาชิกแตละตัวในแถวที่ 3 ดวย z
= xyz(det(A))

3. การหาเมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมือ่ n ≥ 2


โดยใชเมทริกซผกู พัน
1) เมทริกซผกู พัน (Adjoint Matrix)
บทนิยาม กําหนด A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2

เมทริกซผูกพันของ A คือ เมทริกซ Cij(A) t เขียนแทนเมทริกซผูกพันของ A ดวย adj(A)

จากบทนิยามนักเรียนจะเห็นวา เมทริกซผูกพันเปนเมทริกซสลับเปลี่ยนของเมทริกซ
ตัวประกอบรวมเกี่ยวของ A

เมทริกซ 177

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ กอนใหบทนิยามเมทริกซผูกพัน ครูควรเชื่อมโยงความรูโดยการใชการ
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน ถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย Cij(A) และ At และใชตัวอยางการหา Cij(A)
2. ใหแตละกลุม ชวยกันสืบคนแนวขอสอบ PAT 1 เรือ่ ง ดีเทอรมแิ นนต ในหัวขอที่ผานมา และใหนักเรียนหาเมทริกซสลับเปลี่ยนของ Cij(A) แลวบอก
กลุมละ 2 ขอ พรอมแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 ชื่อเรียกเมทริกซ
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง

T185
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
4. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 29 ใน
ตัวอย่างที่ 29
หนังสือเรียน หนา 178-179 แลวแลกเปลี่ยน 0 -1 2
ความรูซึ่งกันและกัน สนทนา ซักถาม จนเปน กําหนด A = 3 2 1 ใหหา det(A), adj(A), Aadj(A) และ adj(A)A
ที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ 2 0 -1
• นักเรียนจะหาเมทริกซผูกพันไดอยางไร 0 -1 2
(แนวตอบ หาไดโดยการนําเมทริกซตัว- วิธีทํา จาก A = 3 2 1
ประกอบรวมเกี่ยวมาสลับเปลี่ยน) 2 0 -1
จะได det(A) = (0 - 2 - 0) - (8 + 0 + 3)
= -13
หา Cij(A) เมื่อ i = 1, 2, 3 และ j = 1, 2, 3
จาก adj(A) = [Cij(A)]t
C11(A) C12(A) C13(A) t
จะได adj(A) = C21(A) C22(A) C23(A)
C31(A) C32(A) C33(A)
t
M11(A) -M12(A) M13(A)
= -M21(A) M22(A) -M23(A)
M31(A) -M32(A) M33(A)
เนื่องจาก M11(A) = 2 1 = -2, M12(A) = 3 1 = -5,
0 -1 2 -1
M13(A) = 3 2 = -4, M21(A) = -1 2 = 1,
2 0 0 -1
M22(A) = 0 2 = -4, M23(A) = 0 -1 = 2,
2 -1 2 0
M31(A) = -1 2 = -5, M32(A) = 0 2 = -6
2 1 3 1
และ M33(A) = 0 -1 =3
3 2
-2 5 -4 t -2 -1 -5
จะไดวา adj(A) = -1 -4 -2 = 5 -4 6
-5 6 3 -4 -2 3

178

ขอสอบเนน การคิด
3 -1 9
กําหนด A = -3 2 7 ใหหา det(A) และ adj(A)
4 1 6
3 -1 9
(เฉลยคําตอบ จาก A = -3 2 7 เนื่องจาก M11(A) = ∣ 21 7
6∣ = 5 M23(A) = ∣ 34 -1 = 7
1∣
4 1 6 7 9
จะได det(A) = (36 - 28 - 27) - (72 + 21 + 18) M12(A) = ∣ -3
4 6 ∣ = -46 M31(A) = ∣ -1
2 7 ∣ = -25
= -19 - 111 -3 2 = -11 3
M32(A) = ∣ -3 9 = 48
M13(A) = ∣ 4 1∣ 7∣
= -130 9 3 -1 = 3
M21(A) = ∣ -1
1 6 ∣ = -15 และ M33(A) = ∣ -3 2∣
หา Cij(A) เมื่อ i = 1, 2, 3 และ j = 1, 2, 3
t
จาก adj(A) = [Cij(A)] จะได M22(A) = ∣ 34 9 = -18
6∣
C11(A) C12(A) C13(A) t 5 46 -11 t 5 15 -25
adj(A) = 21 C (A) C 22(A) C 23(A) จะได ว า
 adj(A) = 15 -18 -7 = 46 -18 -48 )
C31(A) C32(A) C33(A) -25 -48 3 -11 -7 3
M11(A) -M12(A) M13(A) t
= 21(A) M22(A) -M23(A)
-M
T186 M31(A) -M32(A) M33(A)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
0 -1 2 -2 -1 -5 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา จากตัวอยางที่ 29 ใน
Aadj(A) = 3 2 1 5 -4 6
2 0 -1 -4 -2 3 หนังสือเรียน หนา 179 จะเห็นวา
-13 0 0 Aadj(A) = adj(A)A = I3det(A)
= 0 -13 0 ซึ่งเปนไปตามทฤษฎีบท 2
0 0 -13
1 0 0 ใช้ทฤษฎี หลักการ
= (-13) 0 1 0
0 0 1 ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= det(A) • I3 หนา 179 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
= I3det(A) “ลองทําดู”
-2 -1 -5 0 -1 2
adj(A)A = 5 -4 6 3 2 1
-4 -2 3 2 0 -1
-13 0 0
= 0 -13 0
0 0 -13
1 0 0
= (-13) 0 1 0
0 0 1
= det(A) • I3
= I3det(A)

ลองทําดู
1 -4 3
กําหนด A = 0 2 5 ใหหา det(A), adj(A), Aadj(A) และ adj(A)A
3 1 -2

จากตัวอยางที่ 29 จะเห็นวา Aadj(A) = adj(A)A = I3det(A) ซึ่งเปนไปตามทฤษฎีบท


ตอไปนี้
ทฤษฎีบท 2 กําหนด A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 จะไดวา
Aadj(A) = adj(A)A = Indet(A)

เมทริกซ 179

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางเมทริกซ A ที่มีมิติ 3 × 3 ครูควรใหนักเรียนใชบทนิยามของเมทริกซผูกพัน พิจารณาความสัมพันธ
เพื่อพิสูจนวา Aadj(A) = adj(A)A = Indet(A) ลงในกระดาษ A4 ของ Aadj(A) กับ adj(A)A วามีความสัมพันธกันอยางไร
เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T187
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูอธิบายทฤษฎีบท 2 และ 3 ใหนักเรียนฟง
2) การหาเมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมือ่ n ≥ 2 โดยใชเมทริกซผกู พัน
พรอมกับใหนักเรียนซักถามหากมีขอสงสัย
จากทฤษฎีบททั้งสองนี้ ทฤษฎีบท 3 กําหนด A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2 จะไดวา

2. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 30 A มีเมทริกซผกผัน ก็ตอเมื่อ A เปนเมทริกซไมเอกฐาน


ในกรณี det(A) 0 จะไดวา A-1 = det(A) 1 adj(A)
ในหนังสือเรียน หนา 180-181 โดยครูเนนยํ้า
กับนักเรียนวา ในการหาเมทริกซผูกพันตอง
ตรวจสอบดี เ ทอร มิ แ นนต ก  อ นทุ ก ครั้ ง ตาม ตัวอย่างที่ 30
ทฤษฎีบท 3 4 3 6
กําหนด A = -1 0 2 ใหหา A-1 (ถามี)
ใช้ทฤษฎี หลักการ 7 -10 -5
1. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา จาก det(A) = (0 + 42 + 60) - (0 - 80 + 15) = 167
หนา 181 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของ โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา A มีเมทริกซผกผัน
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน 1 adj(A)
ดังนั้น a-1 = det(A)
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
“ลองทําดู” C (A) C (A) C (A) t
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.3 เปนการบาน 1 C11(A) C12(A) C13(A)
= 167 21 22 23
C31(A) C32(A) C33(A)
t
0 2 - -1 2 -1 0
-10 -5 7 -5 7 -10
1 - 3 6
= 167 4 6 - 4 3
-10 -5 7 -5 7 -10
3 6 - 4 6 4 3
0 2 -1 2 -1 0
20 9 10 t
1 -45 -62 61
= 167
6 -14 3
20 -45 6
1
= 167 9 -62 -14
10 61 3

180

ขอสอบเนน การคิด
1 3 0
กําหนด At = 1 -1 -2 ใหหา A-1 (ถามี)
2 0 -2
1 1 2 t
(เฉลยคําตอบ จากโจทย จะได A = 3 -1 0 2 6 -6
1 -2
0 -2 -2 = (-4) -2 2
และ det(A) = (2 + 0 - 12) - (0 + 0 - 6) = -4 2 6 -4
t
โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา A มีเมทริกซผกผัน ดังนั้น 1 62 -2
= (-4)
2
-2 6
1 adj(A)
A-1 = det(A) -6 2 -4
C11(A) C12(A) C13(A) t - 12 12 - 12
1
= (-4) C21(A) C22(A) C23(A) = - 32 12 - 32 )
C (A) C (A) C (A)
31 32 33 3 -1 1
t 2 2
0 -∣ 30 0 3 -1
∣ -1
-2 -2 ∣ -2 ∣ ∣ 0 -2 ∣
1 2
1 -∣ -2
= (-4) -2 ∣ ∣ 10 2 1 1
-2 ∣ -∣ 0 -2 ∣
1 2 -∣ 13 2 1 1
T188 ∣ -1 0∣ 0 ∣ ∣ 3 -1 ∣
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
20 -45 6 ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
167 167 167 นักเรียน ดังนี้
= 9 - 62 - 14
167 167 167 • ดีเทอรมิแนนตสามารถหาไดอยางไร
10 61 3
167 167 167 (แนวตอบ หาได 2 วิธี ไดแก ใชบทนิยาม หรือ
การนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอ
จากหลักที่ 3 ของ A จากนั้นนําผลบวกของ
ลองทําดู
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวา
1 -1 3
กําหนด A = 2 4 0 ใหหา A-1 (ถามี) ลางลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
3 1 1 จากซายลางขึ้นไปขวาบน)
• การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดยใชวิธีการ
แบบฝึกทักษะ 2.4 คูณทแยงมีกี่ขั้นตอน อะไรบาง
(แนวตอบ การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดย
ระดับพื้นฐาน ใชวิธีการคูณทแยงมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ใหหาดีเทอรมิแนนตของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้ ขั้นที่ 1 นําหลักที่ 1 และหลักที่ 2 ของ A มา
เขียนตอจากหลักที่ 3 ของ A
1) 3 2 2) 1 5
5 1 0 -2 ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบน
3) -1 -1 4) 2 3 ลงมาขวาลาง
3 4 1 -1 ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง
1 -3 0
5) 4 -2 6) 3 5 2 ขึ้นไปขวาบน
6 -1 2 1 1 ขั้นที่ 4 นําผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
1 4 0 2 1 5 จากซายบนลงมาขวาลาง ลบดวย
7) 3 1 1 8) 0 -1 1 ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
0 2 1 1 -2 2 จากซายลางขึ้นไปขวาบน จะได
2. ใหตรวจสอบวา เมทริกซ ในขอใดเปนเมทริกซ ไมเอกฐาน และหาเมทริกซผกผัน ผลลัพธเปน det(A))
1) 3 -4 2) -5 3
1 2 4 -9
1 -1 1 0 3 2
3) 0 1 2 4) -1 1 0
5 3 0 2 4 -2

เมทริกซ 181

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล ว ช ว ยกั น สร า งเมทริ ก ซ ไ ม เ อกฐาน ครูควรเชื่อมโยงความรูทฤษฎีบท 2 กับการหาเมทริกซผูกพัน ดังนี้
1 เมทริกซ แลวหา det(A-1) ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลว จากทฤษฎีบท 2 Aadj(A) = Indet(A)
ใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน คูณดวย A-1 จะได A-1Aadj(A) = A-1Indet(A)
Inadj(A) = A-1det(A)
1 adj(A)
A-1 = det(A)

T189
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• เมทริกซผูกพันจะสามารถหาไดอยางไร
(แนวตอบ หาไดจากเมทริกซสลับเปลี่ยนของ 3. กําหนด A = aij 3×3 และ B = bij 3×3 ซึ่ง det(A) = 5 และ det(B) = -2
เมทริกซตัวประกอบรวมเกี่ยว) ใหหาดีเทอรมิแนนตในแตละขอตอไปนี้โดยใชสมบัติของดีเทอรมิแนนต
1) det(At) 2) det(Bt) 3) det(A-1) 4) det(AB)
ฝกปฏิบตั ิ 5) det(2A) 6) det(2B) 2
7) det((B ) )t 8) det((A2)t)
ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.4 ใน
หนังสือเรียน หนา 181-182 ระดับกลาง
4. ใหหาคาของ x จากดีเทอรมิแนนตในแตละขอตอไปนี้
ขัน้ ประเมิน x - 3 2 -1
1) 2x x - 3 = 3 2) -2 0 1 =0
1. ครูตรวจใบงานที่ 2.2 5 2 2x -3 x + 1
2. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 2.4 -8 b -1
3. ครูตรวจ Exercise 2.4 5. กําหนด A = a 3 0
2 6 0.5
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
ถา C12(A) = 5 และ C23(A) = -40 แลว a และ b มีคาเปนเทาใด
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม x y + 2 -1
6. กําหนด A = 1 x 3 เมื่อ x, y∊R โดยที่ M11(A) = 9 และ M23(A) = 2
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู 1 -1 2
มุงมั่นในการทํางาน ใหหา det(A)
7. กําหนด A = aij 3×3, B = bij 3×3 และ C = cij 3×3 โดยที่ det(A) = -1, det(B) = 2
และ det(C) = 1 ใหหาดีเทอรมิแนนตในแตละขอตอไปนี้โดยใชสมบัติของดีเทอรมิแนนต
1) det(ABC) 5) det(2ABC-1)
3 3
4) det(A B C ) 3 3) det(A2B2)
2) det(AtBtCt) 6) det(2A2B-1C)

ระดับทาทาย
8. กําหนด A-1 = 4 1 และ B = -3 -1 เมื่อ x, y∊R ที่ x 0 และ y 0
-x 5 0 y
- 13 - 14
ถา B-1(A-1)t = 19 59 แลว det(3B2At) เปนเทาใด
-3 -3

182

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม สรางเสริม


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  จากนั้ น เขี ย นโจทย แ บบฝ ก ทั ก ษะ 2.4
ใบงานที่ 2.2 เรื่อง ดีเทอรมิแนนต 3 × 3 ในขั้นใชทฤษฎี หลักการ โดยศึกษา ระดับกลาง ขอ 6. ในหนังสือเรียน หนา 182 ลงในกระดาษ A4
เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูใน แลวชวยกันหา det(At) เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครู
หนวยการเรียนรูที่ 2 ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน

ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น    
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T190
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Deductive Method)


กําหนดขอบเขตของปญหา

2.5 การใชเมทริกซแกระบบสมการเชิงเสน 1. ครูทบทวนความรูเรื่อง การแกระบบสมการ


เชิงเสน โดยถามคําถามนักเรียน ดังนี้
นักเรียนทราบมาแลววา การแกระบบสมการเชิงเสนมีหลายวิธี เชน การแกระบบสมการเชิงเสน • การแกระบบสมการเชิงเสนทําไดอยางไร
โดยการแทนคาหรือการกําจัดตัวแปร แตในหัวขอนีน้ กั เรียนจะไดศกึ ษาการแกระบบสมการเชิงเสน (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลาก-
โดยใชเมทริกซ ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้ หลาย ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรูของนักเรียน
แตละคน เชน การแกระบบสมการเชิงเสน
1. การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซผกผัน
โดยการแทนคาหรือการกําจัดตัวแปร)
กําหนดระบบสมการเชิงเสนที่มี n สมการ และ n ตัวแปร ดังนี้ 2. ครูนําเขาสูบทเรียนโดยพูดกับนักเรียนวา ใน
a11x1 + a12x2 + a13x3 + … + a1nxn = b1
หัวขอนีจ้ ะไดศกึ ษาการแกระบบสมการเชิงเสน
a21x1 + a22x2 + a23x3 + … + a2nxn = b2 โดยใชเมทริกซ ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
⋮ ⋮ ⋮ ⋮ 1) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช
an1x1 + an2x2 + an3x3 + … + annxn = bn เมทริกซผกผัน
จากระบบสมการเชิงเสนขางตน นักเรียนสามารถเขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูป 2) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช
สมการเมทริกซไดเปน AX = B กฎของคราเมอร
เมื่อ A เปนเมทริกซของสัมประสิทธิ์ของตัวแปร เขียนแทนดวย A = aij n n 3) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช
×
เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n } และ j∊{ 1, 2, 3, ..., n } การดําเนินการตามแถว
X เปนเมทริกซของตัวแปร เขียนแทนดวย X = xi1 เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n }
n 1 ×

และ B เปนเมทริกซของคาคงตัว เขียนแทนดวย B = bi1 n 1 เมื่อ i∊{ 1, 2, 3, ..., n } ขัน้ สอน


×
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
a11 a12 ... a1n x1 b1
a21 a22 ... a2n x2 b2 1. ครูใหนักเรียนศึกษาการแกสมการเชิงเสนโดย
จะได A = ⋮ ⋮ ⋮ ,X = ⋮ และ B = ⋮ ใชเมทริกซผกผัน ในหนังสือเรียน หนา 183-184
an1 an2 ... ann xn bn

จาก AX = B จะได
a11 a12 ... a1n x1 b1
a21 a22 ... a2n x2 b2
⋮ ⋮ ⋮ ⋮ = ⋮
an1 an2 ... ann xn bn

เมทริกซ 183

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล ว ช ว ยกั น สร า งระบบสมการเชิ ง เส น ครูควรเนนยํ้าในเรื่อง การสรางเมทริกซ A เมทริกซ X และเมทริกซ B
สองตัวแปร 2 สมการ เมื่อสรางเสร็จแลวใหนําสมการสลับกับ วาจะตองมีมิติเปนอยางไร จึงจะสอดคลองกับวิธีการแกระบบสมการเชิงเสน
เพื่อนคูอื่น และนําสมการที่ไดมาเขียนใหอยูในรูปของ AX = B โดยใชเมทริกซผกผันนี้
เมื่อเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T191
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูอธิบายการแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช
ถา det(A) 0 จะได A-1AX = A-1B
เมทริกซผกผัน ในหนังสือเรียน หนา 183-184 -1
IX = A B
อยางละเอียด แลวรวมกันสรุปวา ระบบสมการ X = A-1B
ที่มี n สมการ และ n ตัวแปร สามารถเขียนให ดังนั้น สามารถหาคําตอบของระบบสมการเชิงเสนขางตนไดจาก X = A-1 B ซึ่งนักเรียน
อยูในรูปสมการเมทริกซ AX = B เมื่อ A เปน จะไดศึกษาจากตัวอยางตอไปนี้
เมทริกซของสัมประสิทธิ์ของตัวแปร X เปน
ตัวอย่างที่ 31
เมทริกซของตัวแปร และ B เปนเมทริกซของ
คาคงตัว ถา det(A) 0 คําตอบของระบบ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
สมการหาไดจาก X = A-1B 2x + y = 7
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 31 ในหนังสือเรียน 3x + 2y = 11
หนา 184 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของ วิธีทํา เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ ดังนี้
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน A X B
2 1 x = 7 Ô´
แลวครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ 3 2 y 11 á¹Ðá¹Ç¤ a b
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 1 มาจาก ¡íÒ˹´ A = c d
จะได det(A) = 2(2) - 3(1) = 1
อะไร ¨Ð䴌NjÒ
นั่นคือ A-1 = 11 2 -1 = 2 -1 A-1 = 1 -c d -b
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร x ของระบบ -3 2 -3 2 det(A) a
สมการที่กําหนด) จะได x = 2 -1 7 = 14 - 11 = 3
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 2 มาจาก y -3 2 11 -21 + 22 1
อะไร ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (3, 1)
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร y ของระบบ ลองทําดู
สมการที่กําหนด)
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
4. ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ในหนังสือเรียน -x - 2y = 1
หนา 184 ใหนักเรียนฟง พรอมกับเปดโอกาส 4x + 3y = -9
ใหนักเรียนไดซักถามหากมีขอสงสัย
ตัวอย่างที่ 32
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
2x + y - z = 1
x - 2y + z = 2
3x + 3y = z + 3

184

ขอสอบเนน การคิด
ใหนักเรียนแกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
5x + 4y = 3
-2x + 6y = 1
(เฉลยคําตอบ เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ ดังนี้
A X B
5 4 x = 3
[ -2 6 ] [ y ] [ 1 ]
จะได det(A) = 5(6) - (-2)(4) = 30 + 8 = 38
6 -4 3 -2
นั่นคือ A = 38 [ 2 5 ] = 2 5 = 1 519
-1 1 6 -4 38 38 19
38 38 19 38
3 -2 9 - -2 11
x 3
จะได [ y ] = 1 5 [ 1 ] = 3 5 = 19
19 19 19 ( 19 )
1
19 38 19 - 38 38
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 11 1
T192 19 , 38 ) )
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ ดังนี้ หนา 184 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ
A X B “ลองทําดู”
2 1 -1 x 1
1 -2 1 y = 2
3 3 -1 z 3 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
1. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 32 ใน
จะได det(A) = (4 + 3 - 3) - (6 + 6 - 1) = 4 - 11 = -7
หนังสือเรียน หนา 184-185 แลวแลกเปลี่ยน
-2 1 - 1 1 1 -2 t
3 -1 3 -1 3 3 ความรูก บั คูข องตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปน
ทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน
นั่นคือ A-1 = -71 - 1 -1 2 -1 - 2 1
3 -1 3 -1 3 3 ดังนี้
1 -1 - 2 -1 2 1 • สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 1 มาจาก
-2 1 1 1 1 -2 อะไร
Ô´
-1 4 9 t á¹Ðá¹Ç¤ (แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร x ของระบบ
=-71 -2 1 -3 ¡íÒ˹´ A = [ aij ]3 × 3
สมการที่กําหนด)
-1 -3 -5 ¨Ð䴌NjÒ
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 2 มาจาก
-1 -2 -1 A-1 = 1 adj(A)
1 det(A) อะไร
=-7 4 1 -3
9 -3 -5 (แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร y ของระบบ
8 สมการที่กําหนด)
x -1 -2 -1 1 -1 - 4 - 3 7
จะได y = -71 4 1 -3 2 = -71 4 + 2 - 9 = 37 • สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 3 มาจาก
z 9 -3 -5 3 9 - 6 - 15 12 อะไร
7 (แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร z ของระบบ
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 87 , 37 , 127 ) สมการที่กําหนด)
2. ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู หนา 185 ใหนักเรียนฟง พรอมกับเปดโอกาส
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน ใหนักเรียนไดซักถามหากมีขอสงสัย
x + 2y - z = 1
3x - 4y - z = 5
-x + 3y + 4z = -3

เมทริกซ 185

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง ครูควรทบทวนการหา Cij(A) และเนนยํ้าขอผิดพลาดจาก (-1)i + j โดยใช
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายในแตละขั้นตอน เชน
2. ใหแตละกลุมรวมกันสืบคนโจทยของระบบสมการเชิงเสนสาม 1. การหาคําตอบของระบบสมการเชิงเสนดวยเมทริกซผกผันเขียนเปน
ตัวแปร 3 สมการ จากนัน้ ใชวธิ กี ารหาคําตอบในกรอบ “แนะแนว สมการในรูปทั่วไปไดอยางไร
คิด” ในหนังสือเรียน หนา 185 แสดงวิธกี ารหาคําตอบของระบบ 2. การหาเมทริกซผกผันของสัมประสิทธิ์ของตัวแปรทําอยางไร
สมการเชิงเสนนี้ 3. ขอควรระวังในการหาเมทริกซผกผันมีอะไรบาง
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

T193
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
2. การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชกฎของคราเมอร
หนา 185 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ทฤษฎีบท 4 กฎของคราเมอร (Cramer’s Rule)
กําหนดระบบสมการเชิงเสนที่มี n สมการ และ n ตัวแปร โดย AX = B เปนสมการ
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ เมทริกซที่สัมพันธกับระบบสมการเชิงเสน และ A เปนเมทริกซไมเอกฐาน (det(A) 0)
x1 b1
1. ครูอธิบายเกี่ยวกับการแกระบบสมการเชิงเสน
ให X = x2 และ B = b2
โดยใชกฎของคราเมอร โดยเขียนอธิบายทฤษฎี- ⋮ ⋮
บท 4 ในหนังสือเรียน หนา 186 บนกระดาน xn bn
อยางละเอียด พรอมกับรวมกันสรุปวา สมการ det(A1) det(A2) det(An)
จะไดวา x1 = ,x = , …, xn =
เมทริกซ AX = B ถา det(A) 0 แลว det(A) 2 det(A) det(A)

x1 = det(A 1) det(A2) เมื่อ Ai คือ เมทริกซที่ไดจากการแทนหลักที่ i ของ A ดวยหลักของ B


det(A) , x2 = det(A) , …, สําหรับทุก i∊{ 1, 2, …, n }

xn = det(A n)
det(A) เมือ่ Ai คือ เมทริกซทไี่ ดจากการ ตัวอย่างที่ 33
แทนหลักที่ i ของ A ดวยหลักของ B สําหรับ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
ทุก i∊{1, 2, 3, …, n } x = 3y + 4
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 33 ในหนังสือเรียน x = 4y - 1
หนา 186 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ วิธีทํา จัดรูประบบสมการเชิงเสนใหมเพื่อที่จะแกระบบสมการโดยใชกฎของคราเมอรได ดังนี้
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 1 มาจาก x - 3y = 4
อะไร x - 4y = -1
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร x ของระบบ เขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ
สมการที่กําหนด) A = 1 -3 , X = x และ B = 4
• สมาชิกของเมทริกซ A ในหลักที่ 2 มาจาก 1 -4 y -1
อะไร จาก A = 1 -3 จะได det(A) = 1(-4) - 1(-3) = -1 0
1 -4
(แนวตอบ สัมประสิทธิห์ นาตัวแปร y ของระบบ 4 -3
สมการที่กําหนด) โดยกฎของคราเมอร จะไดวา x = det(A)-4 = -16-1- 3 = 19
-1
1 4
1 -1 = -1 - 4 = 5
y = det(A) -1
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (19, 5)
186

ขอสอบเนน การคิด
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
5x + y = 20
x - 2y = 14
แลวคาของ x + y ตรงกับขอใด
1. 112 2
2. - 11 4
3. 11 4
4. - 11
(เฉลยคําตอบ จากโจทยสามารถเขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ
A = [ 15 -21 ], X = [ yx ] และ B = [ 20
14 ]
5 1
จาก A = [ 1 -2 ] จะได det(A) = 5(-2) - 1 = -11 0
∣ 20
14
1

โดยกฎของคราเมอร จะไดวา x = det(A) = -40-11- 14 = 54
-2
11
∣ 5 20 14 ∣ = 70 - 20 = - 50
y = 1det(A) -11 11
นั่นคือ คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 11 , - 11 ) จะไดวา x + y = 54
54 50 50 4
11 + (- 11 ) = 11
T194 ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หนา 187 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร คําตอบ “ลองทําดู”
y = -2x - 2
y = -3x + 1 แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 34 ใน
ตัวอย่างที่ 34
หนังสือเรียน หนา 187-188 จากนั้นครูอธิบาย
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร ตัวอยางที่ 34 ใหนักเรียนฟงอยางละเอียดอีกครั้ง
2x - 5y = -9 เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
5y + 7z = 26
9x - 4z = -30
วิธีทํา เขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ
2 -5 0 x -9
A = 0 5 7 , X = y และ B = 26
9 0 -4 z -30
จะได det(A) = (-40 - 315 - 0) - (0 + 0 + 0) = -355 0
โดยกฎของคราเมอร จะไดวา
-9 -5 0
26 5 7
x = -30 0 -4
det(A)
= (180 + 1,050 +-355
0) - (0 + 0 + 520)
= -2
2 -9 0
0 26 7
y = 9 -355
-30 -4

= (-208 - 567 + -355


0) - (0 - 420 + 0)
= 1
เมทริกซ 187

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันแกระบบสมการบนกระดาน ครูควรเนนยํ้าจํานวนตัวแปรและจํานวนสมการในระบบสมการเชิงเสน
ตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร เพื่ อ ให นั ก เรี ย นเขี ย นเมทริ ก ซ A ได ถู ก ต อ ง หรื อ ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ  ม
3x - y = 1 กลุมละ 4 คน คละความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง)
2y + 2z = -3 ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวชวยกันแสดงความคิดเห็นในการเปรียบเทียบการหา
-x + z = 2 คําตอบโดยการกําจัดตัวแปรและการใชกฎของคราเมอร แลวนําเสนอผลงาน
โดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T195
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใช้ทฤษฎี หลักการ
ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 2 -5 -9
หนา 188 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย 0 5 26
คําตอบ “ลองทําดู” z = 9 -355 0 -30

= (-300 - 1,170 +-355


0) - (-405 + 0 + 0)
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
= 3
1. ครูใหนกั เรียนจับคูศ กึ ษาเรือ่ ง เมทริกซแตงเติม ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (-2, 1, 3)
ในหนังสือเรียน หนา 188-189 จากนั้นครู
อธิบายเรื่อง เมทริกซแตงเติม ใหนักเรียนฟง ลองทําดู
อยางละเอียดอีกครัง้ เพือ่ ใหนกั เรียนเขาใจมาก แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
ยิ่งขึ้น 2x + y = 5
2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา เมทริกซแตงเติม -y + z = -4
ของระบบสมการเชิงเสนที่มี m สมการ และ n x - 2z = 8
ตัวแปร คือ คาคงตัวของระบบสมการเชิงเสน
3. การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชการดําเนินการตามแถว
ในแตละแถว ซึง่ สามารถเขียนเมทริกซแตงเติม 1
1) เมทริกซแตงเติม (Augmented Matri
Matrix)
ของระบบสมการเชิงเสนดังกลาวในรูป [A  B]
บทนิยาม กําหนดระบบสมการเชิงเสนที่มี m สมการ และ n ตัวแปร
a11x1 + a12x2 + … + a1nxn = b1
a21x1 + a22x2 + … + a2nxn = b2
⋮ ⋮ ⋮ ⋮
am1x1 + am2x2 + … + amnxn = bm
เมทริกซแตงเติม (Augmented Matrix) ของระบบสมการนี้ คือ
a11 a12 ... a1n b1
a21 a22 ... a2n b2
⋮ ⋮ ⋮ ⋮
am1 am2 ... amn bn

จากบทนิยาม จะเห็นวา เมทริกซแตงเติมของระบบสมการเชิงเสนที่มี m สมการ และ n


ตัวแปร เปนเมทริกซที่มี m แถว และ n + 1 หลัก โดยสมาชิกในแตละแถวของหลักที่ 1 ถึงหลักที่
n คือ สัมประสิทธิ์ของระบบสมการเชิงเสนในแตละแถว และสมาชิกในแตละแถวของหลักที่ n + 1
คือ คาคงตัวของระบบสมการเชิงเสนในแตละแถว ซึ่งสามารถเขียนเมทริกซแตงเติมของระบบ
สมการเชิงเสนดังกลาวในรูป A  B
188

นักเรียนควรรู กิจกรรม ทาทาย


1 เมทริกซแตงเติม เปนเมทริกซทใี่ นแตละแถวจะเขียนสัมประสิทธิข์ องตัวแปร ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวทํากิจกรรมตอไปนี้
ทุกตัว โดยแตละหลักตองเปนสัมประสิทธิข์ องตัวแปรเดียวกัน ซึง่ เมทริกซแตงเติม 1. ใหแตละกลุมสรางระบบสมการเชิงเสนสามตัวแปร 3 สมการ
ไมจําเปนตองเปนเมทริกซจัตุรัส ลงในกระดาษ A4
2. เขียนระบบสมการเชิงเสนทั้ง 3 สมการ ใหอยูในรูป AX = B
และในรูปเมทริกซแตงเติม
3. บอกขอแตกตางจากการเขียนทั้งสองวิธีนี้
เมื่อแตละกลุมทําเสร็จแลว ใหสงตัวแทนออกมานําเสนอหนา
ชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความ
ถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T196
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมศึกษาเรือ่ ง การดําเนินการ
พิจารณาระบบสมการตอไปนี้
ตามแถว ในหนังสือเรียน หนา 189-190 แลว
3x - 2y = 5
x+y = 5 แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง สนทนา
ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน
เขียนเปนเมทริกซแตงเติมไดเปน 3 -2 5 หรือ A  B 4. ครูอธิบายเรื่อง การดําเนินการตามแถว ให
1 1 5
2) การดําเนินการตามแถว (Row Operation) นั ก เรี ย นฟ ง อย า งละเอี ย ดอี ก ครั้ ง เพื่ อ ให
การดําเนินการตามแถวเปนการแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซแตงเติม พัฒนา นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น
รูปแบบมาจากการแกระบบสมการเชิงเสนโดยการกําจัดตัวแปร ซึ่งตองใชสมบัติของจํานวนจริง 5. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวา การแกระบบ
เชน สมบัติการสลับที่ สมบัติการเทากันของการบวกและการคูณ สมบัติการมีตัวผกผันของ สมการเชิงเสนโดยใชการดําเนินการตามแถว
การคูณ ทํ า ได โ ดยเขี ย นเมทริ ก ซ แ ต ง เติ ม ของระบบ
สมการ แลวใชการดําเนินการตามแถวเพื่อ
บทนิยาม ให A เปน m × n เมทริกซ เรียกการดําเนินการตอไปนี้วาเปนการดําเนินการตามแถว ใหไดเมทริกซแตงเติมของระบบสมการที่มี
กับเมทริกซ A
(1) สลับแถวที่ i และ k ของ A เขียนแทนดวย Ri → Rk หรือ Rik
คําตอบเปนชุดเดียวกันกับคําตอบของระบบ
(2) คูณสมาชิกในแถวที่ i ดวยคาคงตัว c ที่ c 0 เขียนแทนดวย cRi สมการที่กําหนด
(3) เปลี่ยนสมาชิกในแถวที่ i ของ A โดยนําคาคงตัว c คูณสมาชิกในแถวที่ k (k i)
แลวนําไปบวกกับสมาชิกแตละตัวในแถวที่ i เขียนแทนดวย Ri + cRk

การดําเนินการตามแถว นิยมใชเพือ่ ใหไดเมทริกซทสี่ มมูลแบบแถวและมีรปู แบบขัน้ บันได


แบบแถว ซึ่งมีบทนิยาม ดังนี้
บทนิยาม ถาเมทริกซ B ไดจากเมทริกซ A โดยการดําเนินการตามแถวแลวจะกลาววา B สมมูลแบบแถว
(Row Equivalent) กับ A เขียนแทน B สมมูลแบบแถวกับ A ดวย A ∼ B

บทนิยาม ให A เปน m × n เมทริกซ จะกลาววา A มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว (Row-Echelon Form)


เมื่อ A มีสมบัติตอไปนี้
(1) ถา A มีแถวที่มีสมาชิกบางตัวไมเทากับ 0 แลวสมาชิกตัวแรก (จากซายไปขวา) ที่ไมใช 0
ตองเปน 1 เรียก 1 ตัวนี้วาเปน 1 ตัวนํา (Leading 1) ในแถว
(2) ถา A มีแถวที่มีสมาชิกทุกตัวในแถวเทากับ 0 แลวแถวเหลานี้ตองอยูดานลางของแถว
ที่มีสมาชิกบางตัวไมเทากับ 0
(3) ถา aij เปน 1 ตัวนําในแถวที่ i และ a(i + 1)k เปน 1 ตัวนําในแถวที่ i + 1 แลว j < k

เมทริกซ 189

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางเมทริกซรูปแบบขั้นบันได ครูควรใชคําถามใหนักเรียนแปลความจากเมทริกซแตงเติม [A  B] ดังนี้
แบบแถวจากสมการเชิงเสนบนกระดานตอไปนี้ 1. กําหนด [A  B] เปนเมทริกซที่มีมิติ 2 × 2 จะแปลความอยางไร
x+y-z=2 และเขียนเปนระบบสมการเชิงเสนอยางไร
2x - y + 2z = 1 2. กําหนด [A  B] เปนเมทริกซที่มีมิติ 3 × 3 จะแปลความอยางไร
-3x + 2y + z = -3 และเขียนเปนระบบสมการเชิงเสนอยางไร
โดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T197
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
6. ครูใหนักเรียนคูเดิมศึกษาตัวอยางที่ 35 ใน
ตัวอยางของเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว ไดแก
หนังสือเรียน หนา 190-191 จากนั้นครูอธิบาย
ใหนกั เรียนฟงในประเด็นทีไ่ มเขาใจอีกครัง้ และ 1 2 3 0 1 2 3
0, In, 1 -3 , 0 1 -1 , 0 0 1 3
เปดโอกาสใหนักเรียนซักถามหากมีขอสงสัย 0 1 0 0 1 0 0 0 0

การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชการดําเนินการตามแถวทําไดโดยเขียนเมทริกซแตงเติม
ของระบบสมการ แลวใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว
โดยเมทริกซที่ไดจะเปนเมทริกซแตงเติมของระบบสมการที่มีคําตอบเปนชุดเดียวกันกับคําตอบ
ของระบบสมการที่กําหนด

ตัวอย่างที่ 35

แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x+y+z = 7
2x + 3y - z = 0
3x + 4y + 2z = 11

วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้


1 1 1 7
2 3 -1 0
3 4 2 11
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันได
แบบแถวได ดังนี้
1 1 1 7 1 1 1 7
2 3 -1 0 ∼ 0 1 -3 -14 R2 - 2R1
3 4 2 11 0 1 -1 -10 R3 - 3R1
1 0 4 21 R1 - R2
∼ 0 1 -3 -14
0 0 2 4 R3 - R2

190

ขอสอบเนน การคิด
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x - y + 3z = -3
3x + 2y - z = 0
-x - 3y + z = -1 1 -1 3 -3
(เฉลยคําตอบ จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนดเขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้ 3 2 -1 0
-1 -3 1 -1
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวได ดังนี้
1 -1 3 -3 1 0 1 - 65 R1 + R2
1 -1 3 -3 1 -1 3 -3 9 1 9
3 2 -1 0 ∼ 0 5 -10 9 R2 - 3R1 ∼ 0 1 -2 5 5 R2 ∼ 0 1 -2 5
-1 -3 1 -1 0 -4 4 -4 R3 + R1 0 0 1 - 45 R3 - R2
0 1 -1 1 - 14 R3
1 0 0 - 25 R1 - R3 นั่นคือ x = - 25 , y = 15 และ z = - 45
∼ 0 1 0
1
5 R2 + 2R3 เนือ่ งจากคําตอบของระบบสมการนีเ้ ปนคําตอบชุดเดียวกันกับคําตอบของระบบสมการทีก่ าํ หนด
0 0 1 - 45 ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (- 25 , 15 , - 45 ) )
T198
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1 0 4 21 ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
∼ 0 1 -3 -14 หนา 191 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
0 0 1 2 12 R3
คําตอบ “ลองทําดู”
1 0 4 21
จะได 0 1 -3 -14 เปนเมทริกซแตงเติมของระบบสมการ แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
0 0 1 2
1. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม จากตั ว อย า งที่ 35 ใน
x + 4z = 21 หนังสือเรียน หนา 190-191 วา ถานักเรียนใช
y - 3z = -14 การดําเนินการตามแถว ทําใหเมทริกซแตงเติม
z = 2 ของระบบสมการเป น เมทริ ก ซ ที่ มี รู ป แบบ
ดังนั้น z = 2, y = 3(2) -14 = -8 และ x = -4(2) + 21 = 13 ขัน้ บันไดแบบแถวทีม่ สี มบัตวิ า ถา 1 ตัวนําอยูใ น
เนื่องจาก คําตอบของระบบสมการนีเ้ ปนคําตอบชุดเดียวกันกับคําตอบของระบบสมการ หลักใด แลวสมาชิกตัวอื่นในหลักนั้นตองเปน
ที่กําหนด ศูนย จากนัน้ จึงหาระบบสมการทีม่ เี มทริกซนนั้
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (13, -8, 2) เปนเมทริกซแตงเติม จะทําใหหาคําตอบของ
ระบบสมการไดงายและเร็วยิ่งขึ้น
ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
3x - 3y - 7z = 4
-x + 2y - z = -21
x + 5y + 2z = 5

จากตัวอยางที่ 35 ถานักเรียนใชการดําเนินการตามแถวทําใหเมทริกซแตงเติมของระบบ
สมการเปนเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันไดแบบแถวทีม่ สี มบัตวิ า ถา 1 ตัวนําอยูใ นหลักใด แลวสมาชิก
ตัวอื่นในหลักนั้นตองเปนศูนย จากนั้นจึงหาระบบสมการที่มีเมทริกซนั้นเปนเมทริกซแตงเติม
จะทําใหหาคําตอบของระบบสมการไดงายและเร็วขึ้น ซึ่งจะไดศึกษาเพิ่มเติมจากตัวอยางตอไปนี้

เมทริกซ 191

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน แลวสงตัวแทนมา จากตัวอยางที่ 35 ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เพือ่ เชือ่ มโยง
จับสลากโจทยเมทริกซที่ครู เพื่อนําไปแสดงวิธีทําอยางละเอียด ความสัมพันธของการแกสมการโดยการกําจัดตัวแปรกับการดําเนินการตามแถว
ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวครูสุมตัวแทนแตละกลุมออก เชน
มานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน 1. ถาใชการกําจัดตัวแปรขั้นที่ 1 ควรเลือกกําจัดตัวแปรใด เพราะเหตุใด
ตรวจสอบความถูกตอง 2. ขั้นที่ 2 ควรเลือกกําจัดตัวแปรใด เพราะเหตุใด
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง 3. ถาใชการดําเนินการตามแถว ตองเลือกดําเนินการแถวและหลักใดกอน
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม เพราะเหตุใด
เดียวกัน

T199
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูกลาววา ในหัวขอ 2.1 นักเรียนไดทราบ
ตัวอย่างที่ 36
มาแลววา คําตอบของระบบสมการเชิงเสนมี
3 ลักษณะ คือ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
w + 3x - 2y + z = -4
1) ระบบสมการเชิงเสนที่มีคําตอบเดียว
3w + 4x - 4y + 8z = -9
2) ระบบสมการเชิงเสนที่มีหลายคําตอบ
4w + 7x - 4y + 17z = 3
หรือเรียกวา มีคําตอบอนันต w + 7x - 5y - 3z = -12
3) ระบบสมการเชิงเสนที่ไมมีคําตอบ เมื่อใช
วิธกี ารดําเนินการตามแถวกับเมทริกซแตง- วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนขางตน เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้
เติมของระบบสมการเชิงเสน จะสามารถ 1 3 -2 1 -4
บอกไดวาระบบสมการเชิงเสนที่กําหนดมี 3 4 -4 8 -9
คําตอบหรือไมมีคําตอบ และในกรณีที่มี 4 7 -4 17 3
คําตอบ จํานวนคําตอบเปนอนันตหรือไม 1 7 -5 -3 -12
3. ครูเขียนโจทยของตัวอยางที่ 36 ในหนังสือเรียน
หนา 192-193 บนกระดาน จากนั้นครูให จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันได
นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละความ แบบแถวได ดังนี้
สามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง 1 3 -2 1 -4 1 3 -2 1 -4
และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลวใหนักเรียน 3 4 -4 8 -9 0 -5 2 5 3 R2 - 3R1
แตละกลุมศึกษาตัวอยางที่ 36 4 7 -4 17 3

0 -5 4 13 19 R3 - 4R1
4. ครูสมุ นักเรียนออกมาแสดงขัน้ ตอนการคิดของ 1 7 -5 -3 -12 0 4 -3 -4 -8 R4 - R1
โจทยในตัวอยางที่ 36 หนาชั้นเรียน โดยครู
และนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบความ 1 3 -2 1 -4
ถูกตอง 0 -5 2 5 3

0 0 2 8 16 R3 - R2
0 4 -3 -4 -8
1 3 -2 1 -4
0 1 1 -1 5 -R2 - R4

0 0 1 4 8 12 R3
0 4 -3 -4 -8

192

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรตรวจสอบวิธีการคิดในตัวอยางที่ 36 ในหนังสือเรียน หนา 192-193 ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4-5 คน แลวชวยกันแกระบบ
ของนักเรียนที่ออกมาหนาชั้นเรียนอยางละเอียด เนื่องจากในตัวอยางที่ 36 นี้ สมการตอไปนี้ โดยใชการดําเนินการตามแถว
เปนระบบสมการเชิงเสนสี่ตัวแปร ซึ่งมีความซับซอนกวาระบบสมการเชิงเสน 2w - x + y + z = -3
สามตัวแปร 4w + x - 2y - z = -16
w + 2x - y + 2z = 4
-w + 3x - 2y - z = 10
โดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครู
ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T200
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
1 0 -5 4 -19 R1 - 3R2 ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
0 1 1 -1 5 หนา 193 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง

0 0 1 4 8 สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครู
0 0 -7 0 -28 R4 - 4R2 และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
1 0 0 24 21 R1 + 5R3
0 1 0 -5 -3 R2 - R3

0 0 1 4 8
0 0 1 0 4 - 17 R4
1 0 0 24 21
0 1 0 -5 -3

0 0 1 4 8
0 0 0 -4 -4 R4 - R3
1 0 0 24 21
0 1 0 -5 -3

0 0 1 4 8
0 0 0 1 1 - 14 R1
1 0 0 0 -3 R1 - 24R4
0 1 0 0 2 R2 + 5R4

0 0 1 0 4 R3 - 4R4
0 0 0 1 1
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (-3, 2, 4, 1)

ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
w + x + 3y + 8z = 40
-2w - x - y + z = -4
2w + x + 2y + 2z = 17
-4w - x + 5y + 9z = 26
เมทริกซ 193

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง ครูควรเนนยํ้าขั้นตอนการสรางเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดโดยใช
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน การดําเนินการตามแถว ใหนักเรียนเขาใจและนําไปใชไดอยางถูกตอง
2. ใหแตละกลุมรวมกันสืบคนโจทยของระบบสมการเชิงเสนสี่
ตัวแปร 4 สมการ จากนัน้ ใชการดําเนินการตามแถวแสดงวิธกี าร
หาคําตอบของระบบสมการเชิงเสนนี้
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหนาชั้นเรียน

T201
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 37 ใน
ตัวอย่างที่ 37
หนังสือเรียน หนา 194 จากนั้นครูอธิบายตัวอยาง
ที่ 37 ใหนกั เรียนฟงอีกครัง้ เพือ่ ใหเขาใจมากยิง่ ขึน้ แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x - 2y - 3z = 4
ใช้ทฤษฎี หลักการ 2x - 3y + z = 5
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้
หนา 194 แลวแลกเปลีย่ นคําตอบกับคูข องตนเอง 1 -2 -3 4
สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน จากนัน้ ครู 2 -3 1 5
และนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันได
แบบแถวได ดังนี้
1 -2 -3 4 ∼ 1 -2 -3 4
2 -3 1 5 0 1 7 -3 R2 - 2R1

1 0 11 -2 R1 + 2R2
0 1 7 -3
นําเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวที่ไดเขียนเปนระบบสมการได ดังนี้
x + 11z = -2
y + 7z = -3
จะเห็นวา สมการทัง้ สองมี x และ y สัมพันธกบั z จึงจัด x และ y ในรูปของ z ได ดังนี้
x = -11z - 2
y = -7z - 3
จะไดวา คําตอบของระบบสมการมีจํานวนอนันต
ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (-11z - 2, -7z - 3, z) เมื่อ z∊R

ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
4x - y + z = 7
-x + y + 2z = 3
194

ขอสอบเนน การคิด
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
x - 2y + 4z = 1
2x - 3y + 5z = -1
(เฉลยคําตอบ จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมไดเปน 21 -3 -2 4 1
5 -1
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวได ดังนี้
1 -2 4 1 1 -2 4 1 1 0 -2 -5 R1 + 2R2
2 -3 5 -1 ∼ 0 1 -3 -3 R2 - 2R1 ∼ 0 1 -3 -3
นําเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวที่ไดเขียนเปนระบบสมการได ดังนี้
x - 2z = -5 จะไดวา คําตอบของระบบสมการมีจํานวนอนันต
y - 3z = -3 ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ (2z - 5, 3z - 3, z)
จะเห็นวา สมการทั้งสองมี x และ y สัมพันธกับ z จึงจัด x เมื่อ z∊R)
และ y ในรูปของ z ได ดังนี้
x = 2z - 5
T202 y = 3z - 3
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 38 ใน
ตัวอย่างที่ 38
หนังสือเรียน หนา 195 จากนั้นครูอธิบายตัวอยาง
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
ที่ 38 ใหนกั เรียนฟงอีกครัง้ เพือ่ ใหเขาใจมากยิง่ ขึน้
x + 2y - 4z = 3
x + 3y + z = 11 ใชทฤษฎี หลักการ
2x + 4y - 8z = 5
ครูใหนกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา จากระบบสมการเชิงเสนที่กําหนด เขียนเมทริกซแตงเติมได ดังนี้ หนา 195 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง
1 2 -4 3 สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้น
1 3 1 11 ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
2 4 -8 5
จากเมทริกซแตงเติม ใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซทมี่ รี ปู แบบขัน้ บันได แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
แบบแถวได ดังนี้ 1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากตัวอยางที่ 38 ใน
1 2 -4 3 1 2 -4 3 หนังสือเรียน หนา 195 จะเห็นวา ถาไดเมทริกซ
1 3 1 11 ∼ 0 1 5 8 R2 - R1 ที่มีแถวหนึ่งในรูป [ 0 0 0 ...⋮C ] จะไดวา
2 4 -8 5 0 0 0 -1 R3 - 2R1
ระบบสมการเชิงเสนไมมีคําตอบ นอกจากนี้
นําเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวที่ไดเขียนเปนระบบสมการได ดังนี้ เมทริกซแตงเติมและการดําเนินการตามแถวจะ
x + 2y - 4z = 3 ชวยแกระบบสมการเชิงเสนไดแลว ยังสามารถ
0x + y + 5z = 8 ใชหาเมทริกซผกผันได
0x - 0y + 0z = -1
จะเห็นวาไมมีจํานวนจริง x, y, z ที่สอดคลองกับสมการ 0x + 0y + 0z = -1
ดังนั้น ระบบสมการที่กําหนดไมมีคําตอบ

ลองทําดู
แกระบบสมการตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
-2x + y - 3z = 3
3x + 6y - 3z = -1
x + 2y - z = 3
จากตัวอยางที่ 38 จะเห็นว1า ถาไดเมทริกซที่มีแถวใดแถวหนึ่งในรูป [0 0 0 ... C] จะไดวา
ระบบสมการเชิงเสนไมมีคําตอบ
เมทริกซ 195

กิจกรรม ทาทาย นักเรียนควรรู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางระบบสมการเชิงเสนสอง 1 ระบบสมการเชิ ง เส น ไม มี คํ า ตอบ เมื่ อ มี ส มการสองสมการใดที่ ทํ า ให
ตัวแปรที่มีคําตอบของระบบสมการเปน “ระบบสมการที่กําหนด อัตราสวนของสัมประสิทธิ์ของตัวแปรเดียวกันจากสมการใดๆ สองสมการเปน
ไมมีคําตอบ” เหมือนกับตัวอยางที่ 38 ในหนังสือเรียน หนา 195 คาคงตัวที่เทากัน แตอัตราสวนของพจนคาคงตัวไมเทากัน
พรอมกับแสดงวิธีคิดอยางละเอียดโดยใชการดําเนินการตามแถว
ลงในกระดาษ A4 เมือ่ ทําเสร็จแลวใหนาํ มาสงครู โดยครูตรวจสอบ
ความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T203
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
เมทริกซแตงเติมและการดําเนินการตามแถว นอกจากจะชวยในการแกระบบสมการเชิงเสนแลว
เกี่ยวกับเมทริกซแตงเติมและการดําเนินการ ยังสามารถใชหาเมทริกซผกผันได ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาจากรายละเอียดตอไปนี้
ตามแถวอยางละเอียด ในหนังสือเรียน หนา
196-197 แล ว แลกเปลี่ ย นความรู  กั บ คู  ข อง กําหนด A = 13 24
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจรวมกัน เนื่องจาก det(A) = 4 - 6 = -2 0 ดังนั้น A-1 หาคาได
จากนั้นครูอธิบายใหนักเรียนฟงอีกครั้ง พรอม ให A-1 = wy xz จะไดวา
เปดโอกาสใหนักเรียนซักถามในประเด็นที่ไม 1 2 w x = 1 0
เขาใจ 3 4 y z 0 1
w + 2y x + 2z = 1 0
3w + 4y 3x + 4z 0 1
จากสมการเมทริกซขางตน เขียนใหอยูในรูประบบสมการเชิงเสนได ดังนี้
w + 2y = 1 .....(1)
x + 2z = 0 .....(2)
3w + 4y = 0 .....(3)
3x + 4z = 1 .....(4)
-1
นักเรียนสามารถหาคา w และ y ซึ่งเปนสมาชิกของ A ไดจากการเขียนเมทริกซแตงเติม
ของระบบสมการที่ประกอบไปดวยสมการ (1) และ (3) จากนั้นใชการดําเนินการตามแถวเพื่อให
ไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
จากระบบสมการ (1) และ (3) เขียนเมทริกซแตงเติมไดเปน 1 2 1
3 4 0
ใชการดําเนินการตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถวไดเปน
1 2 1 ∼ 1 0 -23
3 4 0 0 1 2
จะไดวา (w, y) = (-2, 32 )
ในทํานองเดียวกัน นักเรียนสามารถหาคา x และ z ซึ่งเปนสมาชิกของ A-1 ไดจากการเขียน
เมทริกซแตงเติมของระบบสมการที่ประกอบไปดวยสมการ (2) และ (4) จากนั้นใชการดําเนินการ
ตามแถวเพื่อใหไดเมทริกซที่มีรูปแบบขั้นบันไดแบบแถว
1 2 0 ∼ 1 0 11
3 4 1 0 1 -2

196

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรอธิบายและเนนยํา้ วิธกี ารหาเมทริกซผกผันโดยการใชการดําเนินการ ครูใหนักเรียนจับคูแลวเขียนโจทยเมทริกซ A ในหนังสือเรียน
ตามแถวอยางละเอียดวามีความสอดคลองกันอยางไร หนา 196 ลงในกระดาษ A4 พรอมแสดงวิธีการหาเมทริกซ
ผกผันของเมทริกซ A ตามขั้นตอนในหนังสือเรียน หนา 196-197
เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T204
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
จะไดวา (x, z) = (1, - 12 )
หนา 197 ใหนักเรียนฟง
-2 1 4. ครูใหนักเรียนแตละคนศึกษาตัวอยางที่ 39
ดังนั้น A-1 = 3 - 1
2 2 ในหนังสือเรียน หนา 197 ดวยตนเองอยาง
คณิตน่ารู้ ละเอียด
กําหนด A เปน n × n เมทริกซ โดยที่ det(A) 0 กําหนด A = a b
A-1 หาไดจากเขียนเมทริกซแตงเติม A  In แลว c d ใช้ทฤษฎี หลักการ
จะไดวา
ใชการดําเนินการตามแถวจนไดเมทริกซแตงเติม In  B A  I2 = ac db 1 0 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
จะไดวา B = A-1 0 1 หนา 197 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
ตัวอย่างที่ 39
กําหนด A = 4 5
-3 -5
ใหหาเมทริกซผกผันของ A โดยใชการดําเนินการตามแถว (ถามี)
วิธีทํา เนื่องจาก det(A) = -20 + 15 = -5 0 จะไดวา A-1 หาคาได
A  I2 = 4 5 1 0
-3 -5 0 1

1 0 1 1
-3 -5 0 1

1 0 1 1
0 -5 3 4
1 0 1 1

0 1 - 35 - 45
1 1
ดังนั้น A-1 = - 3 - 4
5 5

ลองทําดู
กําหนด A = 5 7
-4 3
ใหหาเมทริกซผกผันของ A โดยใชการดําเนินการตามแถว (ถามี)
เมทริกซ 197

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


กําหนด A = -5 1 3 ใหหาเมทริกซผกผันของ A โดยใช หลังจากที่นักเรียนไดศึกษาตัวอยางที่ 39 ในหนังสือเรียน หนา 197 ครูควร
-7
การดําเนินการตามแถว (ถามี) อธิบายแตละขั้นตอนอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
(เฉลยคําตอบ เนื่องจาก det(A) = -7 - (-15) = 8 0
จะไดวา A-1 หาคาได
[A  In ] =
1 3 1 0 1 3 1 0
-5 -7 0 1 ∼ 0 8 5 1 R2 + 5R1
1 3 1 0

0 1 5 1 1R
8 8 8 2
1 0 - 78 - 38 R1 - 3R2

0 1 58 1
8
- 78 - 38
ดังนั้น A-1 = 5 1 )
8 8
T205
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
2. ครูใหนกั เรียนจับคูท าํ แบบฝกทักษะ 2.5 ขอ 1.-4.
แบบฝึกทักษะ 2.5
ในหนังสือเรียน หนา198 แลวแลกเปลีย่ นคําตอบ
กับคูข องตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนทีเ่ ขาใจ ระดับพื้นฐาน
รวมกัน จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย 1. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชเมทริกซผกผัน
คําตอบ 1) 5x + 3y = 24 2) 7x + y = 10
3. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 2.5 ในแบบฝกหัด 3y - 5x = 5 -5x - 5y = -20
เปนการบาน 2. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชกฎของคราเมอร
1) x + 2y + z = 0 2) 2x + 4y + z = 1
3x + y - 2z = 5 x + 2y = -2
2x - 3y - 3z = 9 -x - 3y + 2z = 3
3) x + 2y - 2z = 1 4) y + z = x
2x + 2y - z = 4 3x = 2y
3x + 4y =6 2x + 3z = 2 + y
3. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
1) y = 3x + 5 2) x - 2y = 10
4y + 12x = 20 -2x + 4y = -20
3) -3x + y - z = 4 4) x + y + z =0
6x - 2y + 2z = 1 2y - z + t - 4 = 0
x + 2y + 3z = 7 y - 2z - 2t - 3 = 0
2y - z - 2t + 2 = 0
4. ใหหาเมทริกซผกผันของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว (ถามี)
1 -1 1
1) 1 3 2) 0 -2 1
2 -5 -2 -3 0

ระดับกลาง
5. แกระบบสมการในแตละขอตอไปนี้โดยใชการดําเนินการตามแถว
1) 0.5x - y + 3z = 12.1 2) 2x + y - z - 3t = 10
-3x + 15 y + z = 5 x - 3y - z - 2t = -2
x + 0.2y + 2z = 9.6 3x - 2y + 3z + 4t = 4
2x + y + z + 3t = 6
198

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


กอนที่จะใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 2.5 ในหนังสือเรียน หนา 198-199 ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4-5 คน แลวสงตัวแทนมา
ครูควรใชการถาม-ตอบ เพื่อทบทวนความรูที่เรียนมาในหัวขอนี้ จับสลาก ถานักเรียนกลุมใดจับไดหมายเลข 1 ใหแสดงวิธีการหา
เมทริกซผกผันของสมการในแบบฝกทักษะ 2.5 ขอ 5 ขอยอย 3)
แต ถ  า นั ก เรี ย นกลุ  ม ใดจั บ ได ห มายเลข 2 ให แ สดงวิ ธีก ารหา
เมทริกซผกผันของสมการในแบบฝกทักษะ 2.5 ขอ 5 ขอยอย 4)
โดยแตละกลุมทําลงกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T206
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
แสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ
ครูอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” ใหนักเรียนฟง
3) 2x + y - 2z = -1 4) 2x - y - z + 2t = -4 พรอมกับเปดโอกาสใหนักเรียนไดซักถามหากมี
x + 3z - t =2 y - 2z + 3t = -13 ขอสงสัย
-2x + y + 2z + t = 0 x - 2y + 3z - t = 14
x - y + 3z + t = 1 y + 2z + t =3 ใช้ทฤษฎี หลักการ
6. ใหหาเมทริกซผกผันของเมทริกซในแตละขอตอไปนี้ 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
1 0 2 0 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
Ô´
1) -1 -1 1 -1 á¹Ðá¹Ç¤ และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน แลวใหแตละกลุม
2 1 0 3 㪌ÊÁºÑµ¢Ô ͧ´Õà·ÍÏÁáÔ ¹¹µ ชวยกันทําแบบฝกทักษะ 2.5 ขอ 5.-6. ใน
1 2 -3 2 à¾×è͵ÃǨÊͺNjÒàÁ·ÃÔ ¡« หนังสือเรียน หนา 198-199 จากนัน้ ใหนกั เรียน
1 0 0 -1 ã¹¢ŒÍ 1) áÅÐ 2) ໚¹ แลกเปลี่ยนคําตอบกันภายในกลุม สนทนา
2) 1 1 0 1 àÁ·ÃÔ ¡«àÍ¡°Ò¹ËÃ× ÍäÁ‹ ซักถาม จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2 2 0 0
-1 -2 2 4 2. ครูใหแตละกลุม สงตัวแทนออกมาแสดงวิธกี าร
หาคําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความ
ถูกตอง

ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนวยแลว ใหนักเรียนบอกสัญลักษณที่ตรงกับระดับความสามารถของตนเอง
ควร
ดี พอใช ปรับปรุง
1. เขาใจความหมายของเมทริกซ
2. สามารถหาผลลัพธของการบวกเมทริกซ การคูณเมทริกซ
กับจํานวนจริง การคูณระหวางเมทริกซได
3. สามารถหาเมทริกซสลับเปลี่ยนได
4. สามารถหาดีเทอรมิแนนตของ n × n เมทริกซ เมื่อ n เปน
จํานวนนับที่ไมเกินสามได
5. สามารถหาเมทริกซผกผันของเมทริกซ 2 × 2 ได
6. สามารถแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชการกําจัดตัวแปร
เมทริกซผกผัน กฎของคราเมอร และการดําเนินการตามแถวได

เมทริกซ 199

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาเมทริกซผกผันของเมทริกซ ครูควรยกตัวอยางประกอบคําอธิบายกรอบ “แนะแนวคิด” เพื่อใหนักเรียน
ตอไปนี้ เขาใจงายยิ่งขึ้น
1. 15 -13
2 0 5
2. -1 1 8
4 -5 4
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T207
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ใชทฤษฎี หลักการ
3. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
“คูคิด (Think Pair Share)” ดังนี้ คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
จากคณิตศาสตรในชีวติ จริง ในหนังสือเรียน การวิเคราะหวงจรไฟฟากระแสตรงโดยใชกฎของเคอรชอฟฟ
หนา 200 กฎของเคอรชอฟฟเปนกฎที่ชวยในการวิเคราะหวงจรไฟฟากระแสตรง ซึ่งมีหลักการ ดังนี้
• ให นั ก เรี ย นแลกเปลี่ ย นคํ า ตอบกั บ คู  ข อง 1) กฎกระแสไฟฟาของเคอรชอฟฟ กลาววา “กระแสไฟฟาที่ไหลเขาจุดใดจุดหนึ่งในวงจรไฟฟา
ตนเอง สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ จะเทากับกระแสไฟฟาที่ไหลออกจากจุดนั้น” ซึ่งสามารถเขียนในรูปทั่วไปได ดังนี้
รวมกัน
Σ Iกระแสไหลเขา - Σ Iกระแสไหลออก = Σ I = 0
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น 2) กฎแรงดันไฟฟาของเคอรชอฟฟ กลาววา “ผลบวกของแรงดันไฟฟาทีจ่ า ยใหในวงจรไฟฟาปด
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง จะมีคา เทากับผลบวกของแรงดันไฟฟาตกครอมความตานทานในวงใจไฟฟาปดนัน้ ” ซึง่ สามารถเขียนใน
รูปทั่วไปได ดังนี้
ΣE = 0

สถานการณ วงจรไฟฟาวงจรหนึ่งวงจรหนึ่งประกอบดวยแรงดันไฟฟาขนาด 5 โวลต


และ 10 โวลต ตัวตานทานขนาด 2 โอหม 3 โอหม และ 4 โอหม และมีทิศทางการไหลของ
กระแสไฟฟาในวงจร ดังนี้
2Ω 3Ω

5V I1 4Ω I2 10 V

โดยกฎแรงดันไฟฟาของเคอรชอฟฟ จะเขียนสมการได ดังนี้


Loop 1 Loop 2
2I1 + 4I1 + 4I2 = 5 3I2 + 4I2 + 4I1 = 10
6I1 + 4I2 = 5 .....(1) 4I1 + 7I2 = 5 .....(2)
ใหนักเรียนแกระบบสมการขางตนโดยการกําจัดตัวแปรและใชกฎของคราเมอร เพื่อหากระแส
ไฟฟาที่ไหลผานตัวตานทานแตละตัว

200

เฉลย คณิตศาสตร ในชีวิตจริง กิจกรรม 21st Century Skills


เขียนสมการเมทริกซไดเปน AX = B เมื่อ 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
I1 คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
A = [ 46 47 ], X = I2
และ B = [ 55 ] 2. ให แ ต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น สื บ ค น โจทย ว  า เมทริ ก ซ ส ามารถนํ า ไป
ประยุกตใชในเรื่องใดไดบาง จากนั้นสรางระบบสมการเชิงเสน
จาก A = [ 46 74 ] จะได det(A) = 6(7) - 4(4) = 26 0 ที่สอดคลองกับเรื่องนั้น แลวหาคําตอบของระบบสมการเชิงเสน
∣ 55 47 ∣ 35 - 20 15 ลงในกระดาษ A4
โดยกฎของคราเมอร จะไดวา x = det(A) = 26 = 26 3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

∣ 46 55 ∣ 30 - 20 10 5
y = det(A) = 26 = 26 = 13

ดังนั้น คําตอบของระบบสมการที่กําหนด คือ ( 15 5


26 , 13 )

T208
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
สรุปแนวคิดหลัก ตรวจสอบและสรุป
1. ครูใหนักเรียนศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก” ใน
เมทริกซ์ หนังสือเรียน หนา 201-204 จากนัน้ ใหนกั เรียน
ระบบสมการเชิงเส้้น
นําความรูที่ไดมาเขียนเปนผังมโนทัศนหนวย
• ให a1, a2, ..., an และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a1, a2, ..., an ไมเปนศูนยพรอมกัน เรียก การเรียนรูที่ 2 เมทริกซ ลงในกระดาษ A4
สมการ a1x1 + a2x2 + ..., anxn วา สมการเชิงเสน n ตัวแปร เมื่อ x1, x2, ..., xn เปนตัวแปร ตกแตงใหสวยงาม เมื่อทําเสร็จแลวนําสงครู
• ระบบสมการเชิงเสนประกอบดวยสมการเชิงเสนตั้งแตสองสมการขึ้นไป เพื่อตรวจสอบความถูกตอง
• คําตอบของระบบสมการเชิงเสนมี 3 ลักษณะ คือ ระบบสมการเชิงเสนที่มีคําตอบเดียว ระบบสมการ 2. ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
เชิงเสนที่มีหลายคําตอบ หรือเรียกวา มีคําตอบเปนอนันต และระบบสมการเชิงเสนที่ไมมีคําตอบ
นักเรียน ดังนี้
เมทริกซ์ • การแกระบบสมการเชิงเสนทําไดอยางไร
• เมทริกซ คือ ชุดของจํานวนที่เขียนเรียงกัน m แถว (Row) n หลัก (Column) เมื่อ m และ n (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
เปนจํานวนเต็มบวกภายในเครื่องหมายวงเล็บ ดังนี้ ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรูของนักเรียนแตละ
สมาชิกของเมทริกซ คน เชน การกําจัดตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง)
หลัก แถว
a11 a12 ... a1n แถวที่ 1 (R1) • เมทริกซที่เทากันเปนอยางไร
a21 a22 ... a2n แถวที่ 2 (R2) (แนวตอบ มีสมาชิกในตําแหนงเดียวกัน
A= ⋮ ⋮ ⋮ เหมือนกัน และมีมิติเดียวกัน)
am1 am2 ... amn แถวที่ m (Rm)
• เมทริกซสลับเปลี่ยนของเมทริกซ A
หลักที่ 1 หลักที่ 2 หลักที่ n เปนอยางไร
(C1) (C2) (Cn) (แนวตอบ เมทริกซที่มีการสลับแถวและหลัก
A เปนเมทริกซที่มี m แถว n หลัก มีมิติเปน m × n เรียกเมทริกซ A วา m × n เมทริกซ ของเมทริกซ A)
และเขียนแทน A ดวย aij เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n }
m ×n
การเทากันของเมทริกซ
• กําหนด A = aij และ B = bij เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n }
m n× m n
×

A และ B เปนเมทริกซที่เทากัน ก็ตอเมื่อ


1) A และ B มีมิติเดียวกัน 2) สมาชิกของ A และ B ในตําแหนงเดียวกันตองเทากัน
เมทริกซสลับเปลี่ยน
• ถา A = aij เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n } แลวเมทริกซสลับเปลี่ยนของ A คือ
m n
×
aij เขียนแทนดวย At อานวา “เอทรานสโพส” เชน
n m
×

a11 a12 a a a
A = a21 a22 จะไดวา At = a11 a21 a31
12 22 32
a31 a32
เมทริกซ 201

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


คาของ x, y และ z จาก x +5 y x 5- z = y +2 8 2z 4- y ครูควรทบทวนสัญลักษณเบื้องตนของเมทริกซใน “สรุปแนวคิดหลัก” ใน
เทากับขอใด หนังสือเรียน หนา 201 ใหกับนักเรียน
1. x = 5, y = -3 และ z = -1
2. x = 5, y = -3 และ z = 1
3. x = -5, y = -3 และ z = 1
4. x = 5, y = 3 และ z = 1
(เฉลยคําตอบ จาก x +5 y x 5- z = y +2 8 2z 4- y
จะไดวา x+y=2
2z - y = 5
y+8=5
และ x-z=4
เมื่อแกสมการ จะไดวา x = 5, y = -3 และ z = 1
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 2.)
T209
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• เมทริกซสองเมทริกซจะบวกกันไดอยางไร การบวกเมทริกซ
(แนวตอบ เมทริกซจะบวกกันได ก็ตอเมื่อ • กําหนด A = aij และ B = bij
× m n m n ×

มีมติ เิ ดียวกัน คือ เมทริกซทกี่ าํ หนดมีจาํ นวน A และ B จะหาผลบวกได ก็ตอเมื่อ A และ B มีมิติเดียวกัน
และผลบวกของ A และ B คือ cij เมื่อ cij = aij + bij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, ..., m } และ
แถวเทากันและมีจํานวนหลักเทากัน) j∊{ 1, 2, ..., n } เชน
m n ×

• คาคงตัวคูณกับเมทริกซไดอยางไร a11 a12 a13 b11 b12 b13 a11 + b11 a12 + b12 a13 + b13
(แนวตอบ นําคาคงตัวไปคูณกับสมาชิก a21 a22 a23 + b21 b22 b23 = a21 + b21 a22 + b22 a23 + b23
แตละตัวในเมทริกซ) การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว
• เมทริกซ A กับเมทริกซ B จะคูณกันได • กําหนด A = aij และ c เปนคาคงตัว จะไดวา cA = bij
× m n m n ×

อยางไร เมื่อ bij = caij สําหรับทุก i∊{ 1, 2, ..., m } และ j∊{ 1, 2, ..., n } เชน
a a ca ca
(แนวตอบ เมทริกซ A คูณกับเมทริกซ B ได c a11 a12 = ca11 ca22
21 22 21 22
ก็ตอเมื่อจํานวนหลักของ A เทากับจํานวน การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ
แถวของ B) • กําหนด A เปนเมทริกซที่มีมิติเปน m × n และ B เปนเมทริกซที่มีมิติ p × q
• จะแสดงไดอยางไรวา A มีเมทริกซผกผัน ผลคูณของเมทริกซ A และ B หาคาได ก็ตอเมื่อ n = p (จํานวนหลักของ A เทากับ จํานวน
แถวของ B) และเมทริกซที่เปนผลคูณจะมีมิติเปน m × q เชน
(แนวตอบ AA-1 = A-1A = In ) A B C
• วิธกี ารหาเมทริกซผกผันทีม่ มี ติ ิ 2 × 2 หาได a11 a12 b11 a11 b11 + a12 b21
a a b = a b +a b
อยางไร 21 22 21 21 11 22 21

(แนวตอบ ถา A = [ ca db ] และ ad - cb 0


มีมิติเปน มีมิติเปน มีมิติเปน
2×2 2×1 2×1
แลว A มีเมทริกซผกผัน และ
A-1 = ad 1- bc [-c d -b )
a]
จํานวนหลัก = จํานวนแถว
สมบัติของเมทริกซเกี่ยวกับการบวก การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว การคูณเมทริกซดวยเมทริกซ
• กําหนด A = aij , B = bij , C = cij , D = dij , E = eij
m n
× m n × m n n p× p q × ×
และ c, d เปนคาคงตัว
1) A + B เปน m × n เมทริกซ 2) A + B = B + A
3) A + (B + C) = (A + B) + C 4) A + 0 m n = 0 m n + A = A × ×
5) A + (-A) = (-A) + A = 0 m n ×
6) c(A + B) = cA + cB
7) (c + d)A = cA + dA 8) (cd)A = c(dA)
9) 1A = A 10) 0A = 0 m n ×
11) A(DE) = (AD)E 12) (cA)D = A(cD) = c(AD)
13) AIn = A, ImA = A 14) A0 n p = 0 m p, 0 r m A = 0 r n
× × × ×
15) (AD)t = DtAt 16) (A + B)D = AD + BD
17) A(D + E) = AD + AE 18) (A + B)t = At + Bt และ (A - B)t = At - Bt
tt
19) (A ) = A 20) (cA)t = c(At)
202

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรทบทวนเทคนิคการบวก การคูณเมทริกซดวยคาคงตัว การคูณ ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน ชวยกันสรางเมทริกซ
เมทริกซดวยเมทริกซ และสมบัติของเมทริกซทั้งหมดใน “สรุปแนวคิดหลัก” 3 เมทริกซที่มีมิติ 3 × 3 จากสมบัติของเมทริกซในหนังสือเรียน
ในหนังสือเรียน หนา 202 ใหกับนักเรียน หนา 202 ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวสงตัวแทนกลุม
ออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน
ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T210
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• ดีเทอรมิแนนตหาไดอยางไร
เมทริกซ์ผกผัน
(แนวตอบ หาได 2 วิธี ไดแก ใชบทนิยาม หรือ
เมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมทริกซผกผันของ 2 × 2 เมทริกซ
การนําหลักที่ 1 และ 2 ของ A มาเขียนตอ
• กําหนด A และ B เปน n × n เมทริกซ • กําหนด A = a b
B เปนเมทริกซผกผันของ A ก็ตอเมื่อ c d จากหลักที่ 3 ของ A จากนั้นนําผลบวกของ
AB = BA = In จะไดวา A-1 = ad 1- bc d-c -ba ผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวา
เขียนแทน B ดวย A-1 ลางลบดวยผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
ดีเทอร์มิแนนต์
จากซายลางขึ้นไปขวาบน)
ไมเนอร ตัวประกอบรวมเกี่ยว • การหาดีเทอรมิแนนตของ A โดยใชวิธี
• กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2
n n
×
• กําหนด A = aij เมื่อ n ≥ 2
n n×
การคูณทแยงมีกี่ขั้นตอนอะไรบาง
Mij(A) คือ ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ จะไดวา Cij(A) = (-1)i + jMij(A) (แนวตอบ การหาดีเทอรมแิ นนตของ A โดยใช
ที่ไดจากการตัดแถวที่ i และหลักที่ j ของ วิธีการคูณทแยงมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
A ออก
ขั้นที่ 1 นําหลักที่ 1 และหลักที่ 2 ของ A
ดีเทอรมิแนนตของ 2 × 2 เมทริกซ ดีเทอรมิแนนตของ 3 × 3 เมทริกซ
มาเขียนตอจากหลักที่ 3 ของ A
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายลางขึ้นไปขวาบน
ผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง gec + hfa + idb ขั้นที่ 2 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายบน
A= a b ขึ้นไปขวาบน เทากับ cb ลงมาขวาลาง
c d a b c a b
ผลคูณในแนวทแยงจากซายบน A= d e f d e ขั้นที่ 3 หาผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง
ลงมาขวาลาง เทากับ ad g h i g h
aei + bfg + cdh ขึ้นไปขวาบน
ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจากซายบนลงมาขวาลาง ขั้นที่ 4 นําผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
ให p แทนผลคูณในแนวทแยงจากซายบน ให p ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง จากซายบนลงมาขวาลางลบดวย
ลงมาขวาลาง จากซายบนลงมาขวาลาง ผลบวกของผลคูณในแนวทแยงจาก
q แทนผลคูณในแนวทแยงจากซายลาง q ผลบวกของผลคูณในแนวทแยง
ขึ้นไปขวาบน จากซายลางขึ้นไปขวาบน ซายลางขึน้ ไปขวาบน จะไดผลลัพธ
จะไดวา det(A) = p - q จะไดวา det(A) = p - q เปน det(A))
ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่มีมิติ n × n เมื่อ n ≥ 2
• กําหนด aij เมื่อ n ≥ 2 ดีเทอรมิแนนตของ A คือ
m n
×
ai1 Ci1(A) + ai2 Ci2(A) + ..., ain Cin(A) เมื่อ i∊{ 1, 2, ..., n }
หรือ a1j C1j(A) + a2j C2j(A) + ..., anj Cnj(A) เมื่อ j∊{ 1, 2, ..., n }
เมทริกซเอกฐาน
กําหนด A เปน n × n เมทริกซ
• A เปนเมทริกซเอกฐาน เมื่อ det(A) = 0 • A เปนเมทริกซไมเอกฐาน เมื่อ det(A) 0
เมทริกซ 203

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


1 4 1 ครูควรยกตัวอยางโจทยประกอบการอธิบายทบทวนเมทริกซผกผันและ
ดีเทอรมิแนนตของ A = 2 0 -5 ตรงกับขอใด
3 -1 3 ดีเทอรมิแนนตใน “สรุปแนวคิดหลัก” ในหนังสือเรียน หนา 203-204 เพื่อให
1. 81 2. -81 นักเรียนเขาใจงายยิ่งขึ้น
3. 91 4. -91
1 4 1
(เฉลยคําตอบ จาก A = 2 0 -5
3 -1 3
จะไดวา det(A) = (0 - 60 - 2) - (0 + 5 + 24)
= -62 - 29
= -91
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T211
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ตรวจสอบและสรุป
• เมทริกซผูกพันจะหาไดอยางไร เมทริกซผกผัน
(แนวตอบ หาเมทริกซสลับเปลี่ยนของ กําหนด A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2
• Aadj(A) = adj(A)A = Indet(A) • adj(A) = [ Cij(A) ]t
เมทริกซตัวประกอบรวมเกี่ยว)
เมทริกซผกผันของ n × n เมทริกซ เมื่อ n ≥ 2
• การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใชเมทริกซ 1 adj(A) เมื่อ A เปน n × n เมทริกซ เมื่อ n
• A-1 = det(A) ≥ 2 และ det(A) 0
มีกี่วิธี อะไรบาง
(แนวตอบ 3 วิธี ไดแก การใช้เมทริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น
1) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช ใชเมทริกซผกผัน
เมทริกซผกผัน • เขียนระบบสมการเชิงเสนใหอยูในรูปสมการเมทริกซ AX = B เมื่อ A เปนเมทริกซสัมประสิทธิ์ของ
ตัวแปร X เปนเมทริกซของตัวแปร และ B เปนเมทริกซของคาคงตัว คําตอบของระบบสมการหาได
2) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช จาก X = A-1 B
กฎของคราเมอร
ใชกฎของคราเมอร
3) การแกระบบสมการเชิงเสนโดยใช • คําตอบของระบบสมการเชิงเสนที่มี n สมการ และ n ตัวแปร โดย AX = B เปนสมการเมทริกซที่
การดําเนินการตามแถว) สัมพันธกับระบบสมการเชิงเสน คือ x1 = det(A 1) det(A2) det(An)
det(A) , x2 = det(A) , ..., xn = det(A)
เมื่อ Ai คือ เมทริกซที่ไดจากการแทนหลักที่ i ของ A ดวยหลักของ B
สําหรับทุก i∊{ 1, 2, 3, ..., n }
ใชการดําเนินการตามแถว
• ถาเมทริกซแตงเติมของระบบสมการเชิงเสนระบบหนึง่ คือ [ A  B ] แลวคําตอบของระบบสมการเชิงเสน
หาไดโดยใชการดําเนินการตามแถวเพือ่ ใหไดเมทริกซแตงเติม [ I  C ] จะได C เปนเมทริกซทมี่ สี มาชิก
เปนคําตอบของระบบสมการ
สมบัติและทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับดีเทอรมิแนนต
• ให A = aij และ B = bij จะไดวา
× n n n n
×
1) ถาสมาชิกในแถวใดแถวหนึ่งหรือหลักใดหลักหนึ่งของ A เปนศูนยทุกตัว แลว det(A) = 0
2) ถา B ไดจากการสลับแถว 2 แถว หรือสลับหลัก 2 หลักของ A แลว det(B) = -det(A)
3) ถา A มีสมาชิกของแถวสองแถวหรือหลักสองหลักเหมือนกัน แลว det(A) = 0
4) det(At) = det(A)
5) ถานําคาคงตัว c คูณสมาชิกทุกตัวในแถวใดแถวหนึง่ หรือหลักใดหลักหนึง่ ของ A แลวดีเทอรมแิ นนต
ของเมทริกซที่ได เทากับ c • det(A)
6) det(cA) = cn • det(A) เมื่อ c เปนคาคงตัว
7) det(AB) = det(A) • det(B)
8) ถา B ไดจาก A โดยเปลี่ยนเฉพาะสมาชิกในแถวที่ j ของ A โดยใชคาคงตัว c คูณกับสมาชิก
ทุกตัวในแถวที่ i ของ A เมื่อ i j แลวนําไปบวกกับสมาชิกแตละตัวในแถวที่ j ของ A นั่นคือ
bjk = caik + ajk สําหรับทุก k∊{ 1, 2, 3, ..., n } แลว det(B) = det(A) สมบัติขอนี้ยังคงเปนจริง
เมื่อเปลี่ยนจากแถวเปนหลัก
204

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรยกตัวอยางระบบสมการเชิงเสน 1 ตัวอยาง ประกอบคําอธิบาย ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันเขียนโจทยบนกระดานลงใน
การแกระบบสมการเชิงเสนดวยวิธีตางๆ ของเมทริกซใน “สรุปแนวคิดหลัก” กระดาษ A4 พรอมกับแสดงวิธีคิดอยางละเอียด โดยใหแตละคู
ในหนังสือเรียน หนา 204 แกระบบสมการเชิงเสนโดยใชกฎของคราเมอร และใชการดําเนิน-
การตามแถว เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบ
ความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T212
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ฝกปฏิบตั ิ

แบบฝึกทักษะ ประจําหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 2 ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้


1. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน คละความ
สามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามในแตละขอตอไปนี้ และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
2. ใหนักเรียนในแตละกลุมชวยกันทําแบบฝก-
1. กําหนด x + y 5 = 2 x - 3 คาของ 2x - 3y เทากับเทาใด
-5 x-y 2y + 7 14 ทักษะประจําหนวยการเรียนรูที่ 2 ในหนังสือ-
2. กําหนด A = -2 5 และ B = 4 3 คาของ 2A - Bt เทากับเทาใด เรียน หนา 205 แลวแลกเปลี่ยนคําตอบกัน
4 -1 -1 2 ภายในกลุม สนทนา ซักถาม จนเปนที่เขาใจ
1 0 รวมกัน
3. กําหนด A = 2 -1 4 และ B = -1 2 ใหหา AB และ BA 3. ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทําบนกระดาน
3 0 5 4 -3
โดยครูและนักเรียนในชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบ
4. กําหนด A = 2 -6 ใหหา A-1 ความถูกตอง
-1 4
2
5. กําหนด x 4 = 4 8 คาของ x เทากับเทาใด ขัน้ ประเมิน
x 1 2 3
2 1 -3 1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 2.5
6. กําหนด A = -1 0 2 คาของ C23(A) + M32(A) เทากับเทาใด 2. ครูตรวจ Exercise 2.5
3 -2 5 3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวย
7. กําหนด A = -3 4 และ B = 4 -1 ใหหา การเรียนรูที่ 2
2 5 0 3 4. ครูตรวจผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูที่ 2
1) det(A + B) 2) det(A + B)t
เมทริกซ
3) det(AB) 4) det(A + B)-1
5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
0 -1 2 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
8. กําหนด A = -3 0 3 คาของ det(A) เทากับเทาใด
0 -2 4 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
1 -1 2 8. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
9. กําหนด A = 3 1 -3 คาของ det(adj(A)) เทากับเทาใด มุงมั่นในการทํางาน
0 -2 4
10. ใหแกระบบสมการตอไปนี้โดยใชเมทริกซ
x - 3z = -2
3x + y - 2z = 5
2x + 2y + z = 4
เมทริกซ 205

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


4 4 9 ครู ส ามารถวั ด และประเมิ น พฤติ ก รรมการทํ า งานกลุ  ม จากการทํ า
กําหนด A = 6 2 -5 ใหหา C12(A), C23(A) และ C31(A)
0 1 1 แบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรูที่ 2 ในขั้นฝกปฏิบัติ โดยศึกษาเกณฑ
การวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวย
(เฉลยคําตอบ C12(A) = -M12(A) = - ∣ 60 -51 ∣ = -6
การเรียนรูที่ 2
C23(A) = -M23(A) = - ∣ 40 -41 ∣ = -4
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

และ C31(A) = M31(A) = ∣ -42 -59 ∣ = 2)


คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้

T213
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
Chapter Overview

แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. บอกพิกัดของจุดใน Concept - ตรวจใบงานที่ 3.1 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ระบบพิกัดฉาก เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ระบบพิกัดฉากสามมิติ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.1 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
สามมิติ ม.5 เล่ม 1 ได้ (K) Teaching - ตรวจ Exercise 3.1 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนจุดที่ก�ำหนดให้ - การน�ำเสนอผลงาน การเชื่อมโยง ในการท�ำงาน
2 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ลงในระบบพิกัดฉาก - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะการวิเคราะห์
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 สามมิติได้ (P) การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะการน�ำ
- ใบงานที่ 3.1 3. เขียนแสดงขั้นตอน - สังเกตพฤติกรรม ความรู้ไปใช้
- QR Code หาระยะทางระหว่าง การท�ำงานกลุ่ม
จุดสองจุดในระบบ - สังเกตความมีวินัย
พิกัดฉากสามมิติได้ (P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ ในการท�ำงาน
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. เข้าใจความหมายของ Inductive - ตรวจใบงานที่ 3.2 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


เวกเตอร์ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เวกเตอร์ (K) Method - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.2 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
ม.5 เล่ม 1 2. หาเวกเตอร์ที่มีทิศทาง - ตรวจ Exercise 3.2 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
5 - แบบฝึกหัดรายวิชา เดียวกันและทิศทาง - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
ชั่วโมง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ตรงกันข้าม เวกเตอร์ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ม.5 เล่ม 1 ที่ขนานกัน เวกเตอร์ที่ การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
- ใบงานที่ 3.2 เท่ากันของเวกเตอร์ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ที่กำ� หนดให้ได้ (K) การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
3. เขียนเวกเตอร์ผลลัพธ์ - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ของการบวก การลบ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
เวกเตอร์ และการคูณ ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
เวกเตอร์ด้วยสเกลาร์ - ทักษะการประยุกต์
ได้ (P) ใช้ความรู้
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

T214
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. เขียนเวกเตอร์ใด ๆ ใน Concept - ตรวจใบงานที่ 3.3 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
เวกเตอร์ในระบบ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ระบบพิกัดฉากสองมิติ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.3 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
พิกัดฉาก ม.5 เล่ม 1 และสามมิติในรูป Teaching - ตรวจ Exercise 3.3 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา เวกเตอร์หนึ่งหน่วย - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
5 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์  i ,  j  หรือ  k  ได้ (K) - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 2. หาขนาดของเวกเตอร์ การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
- ใบงานที่ 3.3 ในระบบพิกัดฉาก - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
สองมิติและสามมิติได้ การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
(K) - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
3. หาเวกเตอร์หนึ่งหน่วย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
ในระบบพิกัดฉาก ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
สองมิติและสามมิติได้
(K)
4. เขียนแสดงขั้นตอน
การหาโคไซน์แสดง
ทิศทางของเวกเตอร์
ที่ก�ำหนดให้ได้ (P)
5. ตรวจสอบได้ว่า
เวกเตอร์ที่ก�ำหนดให้
มีคู่ใดบ้างเป็นเวกเตอร์
ที่มีิทิศทางเดียวกัน
มีทิศทางตรงข้ามกัน
และขนานกัน โดยใช้
โคไซน์แสดงทิศทาง
(P)
6. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

T215
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. สามารถหาผลคูณ Concept - ตรวจใบงานที่ 3.4 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
ผลคูณเชิง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เชิงสเกลาร์ได้ (K) Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.4 - ทักษะ 2. ใฝ่เรียนรู้
สเกลาร์ ม.5 เล่ม 1 2. น�ำสมบัติของผลคูณ Teaching - ตรวจ Exercise 3.4 การเปรียบเทียบ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา เชิงสเกลาร์ไปใช้ใน - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะ ในการท�ำงาน
3 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ การแก้ปัญหา - สังเกตพฤติกรรม การเชื่อมโยง
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 คณิตศาสตร์ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะ
- ใบงานที่ 3.4 3. ตรวจสอบได้ว่า - สังเกตพฤติกรรม การให้เหตุผล
เวกเตอร์ใดเป็น การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการวิเคราะห์
เวกเตอร์ที่ตั้งฉากกัน - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการน�ำ
โดยใช้สมบัติของผล ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ความรู้ไปใช้
คูณเชิงสเกลาร์ (P) ในการท�ำงาน
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย (A)

แผนฯ ที่ 5 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. หาผลคูณเชิงเวกเตอร์ Concept - ตรวจใบงานที่ 3.5 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย


ผลคูณเชิง เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ได้ (K) Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.5 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
เวกเตอร์ ม.5 เล่ม 1 2. น�ำสมบัติของผลคูณ Teaching - ตรวจ Exercise 3.5 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
- แบบฝึกหัดรายวิชา เชิงเวกเตอร์ไปใช้ - การน�ำเสนอผลงาน การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
3 เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
ชั่วโมง ม.5 เล่ม 1 คณิตศาสตร์ได้ (K) การท�ำงานรายบุคคล การเชื่อมโยง
- ใบงานที่ 3.5 3. ใช้ความรู้ ทักษะ - สังเกตพฤติกรรม - ทักษะ
และกระบวนการทาง การท�ำงานกลุ่ม การให้เหตุผล
คณิตศาสตร์ในการแก้ - สังเกตความมีวินัย - ทักษะการวิเคราะห์
ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น - ทักษะการน�ำ
(P) ในการท�ำงาน ความรู้ไปใช้
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย(A)

T216
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนรายวิชา 1. น�ำความรู้เกี่ยวกับ Concept - ตรวจใบงานที่ 3.6 - ทักษะการสังเกต 1. มีวินัย
การน�ำความรู้ เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ เวกเตอร์ในสามมิติ Based - ตรวจแบบฝึกทักษะ 3.6 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนรู้
เกีย่ วกับเวกเตอร์ ม.5 เล่ม 1 ไปใช้แก้ปัญหาได้ (K) Teaching - ตรวจ Exercise 3.6 - ทักษะ 3. มุ่งมั่น
ในสามมิติไปใช้ ใน - แบบฝึกหัดรายวิชา 2. เขียนแสดงขั้นตอน - ตรวจแบบฝึกทักษะ การเปรียบเทียบ ในการท�ำงาน
การแก้ปัญหา เพิ่มเติม คณิตศาสตร์ วิธีการแก้โจทย์ปัญหา ประจ�ำหน่วยการเรียนรู้ - ทักษะ
ม.5 เล่ม 1 ทางคณิตศาสตร์ ที่ 3 การเชื่อมโยง
2 - ใบงานที่ 3.6 เกี่ยวกับเวกเตอร์ - ตรวจผังมโนทัศน์ - ทักษะ
ชั่วโมง ในสามมิติได้ (P) หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การให้เหตุผล
3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ เวกเตอร์ในสามมิติ - ทักษะการวิเคราะห์
ที่ได้รับมอบหมาย (A) - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการน�ำ
- สังเกตพฤติกรรม ความรู้ไปใช้
การท�ำงานรายบุคคล - ทักษะการประยุกต์
- สังเกตพฤติกรรม ใช้ความรู้
การท�ำงานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการท�ำงาน

T217
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)

3
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
1. ครู ก ระตุ ้ น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยให้
หน่วยการเรียนรู้ที่
นั ก เรี ย นดู ภ าพหน้ า หน ว ย ในหนั ง สื อ เรี ย น
หน้า 206 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียนวา
“อยากทราบวาวัดโพธิ์อยูหางจากปายบอก
ทางเปนระยะทางเทาใด” แล้วให้นักเรียนรวม
เวกเตอร์ในสามมิติ
กันตอบคําถาม
“ปายบอกทางเปนสัญลักษณที่ ใชแสดงถึงทิศทาง
หมายเหตุ : ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลย
และระยะทางจากปายบอกทางไปยังจุ ดหมาย ÍÂÒ¡·ÃҺNjÒÇѴ⾸Ôì
คําถามประจําหนวยการเรียนรู้ ในหนังสือเรียน ซึ่งแสดงถึงแนวคิดเกี่ยวกับ เวกเตอร” ÍÂÙ‹Ë‹Ò§¨Ò¡»‡Òº͡·Ò§
หน้า 206 หลังจากการเรียนหนวยการเรียนรู้ ໚¹ÃÐÂзҧ෋Òã´
ที่ 3

ผลการเรียนรู้
• หาผลลัพธของการบวก การลบเวกเตอร การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร หาผลคูณเชิงสเกลาร และผลคูณเชิงเวกเตอร
• นําความรูเ กี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใชในการแกปญหา
สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
• เวกเตอร นิเสธของเวกเตอร
• การบวก การลบเวกเตอร การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร
• ผลคูณเชิงสเกลาร ผลคูณเชิงเวกเตอร

เฉลย คําถามในหนังสือเรียน หน้า 206


วัดโพธิ์อยูหางจากปายบอกทาง 700 เมตร

เกร็ดแนะครู กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค


ครูควรให้นกั เรียนยกตัวอยางสิง่ ทีอ่ ยูร อบตัวทีส่ ามารถบอกได้ทงั้ ทิศทางและ ครูควรปลูกฝงให้นักเรียนมีระเบียบวินัย เชน การแตงกายมา
ระยะทางเหมือนกับปายบอกทางในภาพหน้าหนวยการเรียนรู้ที่ 3 โรงเรียนให้ถูกระเบียบ และกอนเริ่มเรียนชั่วโมงแรกครูอาจสร้าง
ข้อตกลงกับนักเรียนเกี่ยวกับความมีวินัย เชน การสงการบ้านหรือ
ชิ้นงานควรสงตรงตามเวลาที่กําหนด หากใครสงไมตรงตามเวลา
อาจถูกตัดคะแนนความรับผิดชอบ (ครูและนักเรียนรวมกันสร้าง
ข้อตกลงดังกลาว)

T218
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)

¤ÇÃÃÙŒ¡‹Í¹àÃÕ¹ 2. ครูทบทวนความรู้เรื่อง กราฟของคูอันดับบน


ระบบพิกัดฉาก ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ
กราฟของคูอันดับบนระบบพิกัดฉาก ที่มีมิติ 2 × 2 และดีเทอรมิแนนตของเมทริกซ
ที่มีมิติ 3 × 3 โดยให้นักเรียนศึกษา “ควรรู้
Y 1) ระบบพิกัดฉากสองมิติ เปนระบบที่ใชแสดงตําแหนง กอนเรียน” ในหนังสือเรียน หน้า 207
จตุภาคที่ 2 2 จตุภาคที่ 1 ของจุดตาง ๆ บนระนาบสองมิติที่เกิดจากเสนจํานวน
1 ในแนวนอนและแนวตั้งตัดกันเปนมุมฉากที่ตําแหนง
X ของจุดทีแ่ ทนดวยศูนย (0) เรียกจุดทีเ่ สนจํานวนทัง้ สอง
-2 -1-10 1 2
จุดกําเนิด ตัดกันวา จุดกําเนิด (origin) แทนดวย O
-2
จตุภาคที่ 3 จตุภาคที่ 4
2) ตําแหนงของจุดใด ๆ บนระบบพิกัดฉาก สามารถหา
ไดจากระยะหางของจุดนั้นกับแกนแตละแกน

ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่มีมิติ 2 × 2
กําหนด A = a b
c d
cb
จะไดวา det A = ac b
d
ad
= ad - cb

ดีเทอรมิแนนตของเมทริกซที่มีมิติ 3 × 3
a11 a12 a13
กําหนด A = a21 a22 a23
a31 a32 a33

จะไดวา det A = ai1Ci1(A) + ai2Ci2(A) + ai3Ci3(A) เมื่อ i = { 1, 2, 3 }


หรือ det A = a1jC1j(A) + a2jC2j(A) + a3jC3j(A) เมื่อ j = { 1, 2, 3 }

แบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน เวกเตอรในสามมิติ 207

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมให้นักเรียน กลุมละ 3-4 คน ชวยกันสร้างโจทย ครูเปดแบบทดสอบพื้นฐานกอนเรียน ในหนังสือเรียน หน้า 207 ด้วยการ
จากหัวข้อใน “ควรรู้กอนเรียน” ในหนังสือเรียน หน้า 207 อยาง สแกน QR Code
ละ 2 ข้อ เมื่อเสร็จแล้วให้สงตัวแทนออกมานําเสนอหน้าชั้นเรียน
< > ÷ × + – 3x + 2 = 3x + 2 5
< > ÷ × + – 3x + 2 = 3x + 25

โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกต้อง ใหเลือกคําตอบที่ถูกที่สุด
แบบทดสอบพืน
้ ฐานกอนเรียน

หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง ให ใชขอมูลตอไปนี้ตอบคําถามขอ 1. - 3.

5
Y
ให ใชขอมูลตอไปนี้ตอบคําถามขอ 4. - 6.
กําหนดให A = [ 4 – 3] , B = [ – 3 1 ]
1 5
1 4 –7 5
ให ใชขอมูลตอไปนี้ตอบคําถามขอ 9. - 10.

กําหนดให A = 5[ –1 4
]
–2 a [
1 0 –1
และ B = 3 4 b
–5 10 0 ]
10. 2a2 + b9 มีคาตรงกับขอใด
1. 1,012
2. 1,112
[ ]
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
4 •D และ C = 2 9. ถา det (A) = 4 และ det (B) = –70 3. 1,212
3 •F – 0.4 10 4. 1,312
2 แลว a และ b มีคาตรงกับขอใด
B• 1 4. det (A), det (B) และ det (C) ตรงกับขอใด
•A X 1. a = 10 และ b = 2
5 4 3 2 1 10 1 2 3 4 5 1. 13, – 22 และ 3 2. a = 20 และ b = 2
E•

เดียวกัน
2 2. 19, – 8 และ 7
3 3. a = 30 และ b = 4
4 •C 3. 13, – 8 และ 3 4. a = 40 และ b = 4
5
4. 19, – 8 และ 3
5. (det (A))2 – (det (C))2 ตรงกับขอใด
1. คูอันดับใดตอไปนี้เปนพิกัดของจุด A, B, C, D, E 1. 312 2. 160
และ F ตามลําดับ 3. 352 4. 120
1. (0, 5), (– 2, 1), (– 4, 3), (4, 0), (– 3, – 2) 6. ผลลัพธในขอใดเทากับ 55
และ (1, 3) 1. 5det (A) + det4(B) – 10det (C)
2. (5, 0), (– 2, 1), (– 4, 3), (4, 0), (– 3, – 2) 2. det (A) + det (B) + 6det (C)
และ (1, 3) 3. 3det (A) – det (B) + det (C)
3. (5, 0), (– 2, 1), (3, – 4), (0, 4), (– 3, – 2) 4. 2det (A) – 3det (B) – det (C)
และ (1, 3) 4 –1 0
4. (0, 5), (1, – 2), (– 4, 3), (4, 0), (– 3, – 2) [ ]
7. ดีเทอรมิแนนตของ 5 10 3 ตรงกับขอใด
–4 –7 4
และ (1, 3)
1. 14 2. – 22
2. จุดใดตอไปนี้อยูบนแกน X 3. 276 4. 68
1. จุด D 2. จุด C
8. เมทริกซใดตอไปนี้มีดีเทอรมิแนนตเทากับ 80
3. จุด B 4. จุด A
4 0 –1
3. จุดใดตอไปนี้อยูบนแกน Y [
1. –9 5 1
4 0 3 ] 2. [ 5 5 ]
6 10
1. จุด D 2. จุด C
1 5 –10
3. จุด B 4. จุด A
[
3. 3 1 –2
1 2 6 ] 4. [ –4 3 ]
–20 5

T219
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครู อ ธิ บ ายความรู ้ เ กี่ ย วกั บ ระบบพิ กั ด ฉาก
สามมิติ ในหนังสือเรียน หน้า 208
3.1 ระบบพิกัดฉากสามมิติ
(Three-Dimensional Coordinate Systems)
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นยกมื อ ซ้ า ยและมื อ ขวาขึ้ น มา
จากนั้นให้นักเรียนงอนิ้วเหมือนรูปที่ 1 และ ระบบพิกัดฉากสามมิติ เปนระบบที่มีการกําหนดใหมีเสนตรงสามเสน โดยแตละเสนตั้งฉาก
รูปที่ 2 ในหนังสือเรียน หน้า 208 จากนั้นครู ซึ่งกันและกันและตัดกันที่จุดจุดหนึ่ง เรียกจุดนี้วา จุดกําเนิด (origin) เขียนแทนดวยจุด O และ
อธิบายวา จากกฎมือซ้ายและกฎมือขวา จะ เรียกเสนตรงทั้งสามเสนวา แกน X แกน Y และแกน Z
เห็นวา เมื่องอนิ้วทั้งสี่เข้าหาข้อแขนและงอนิ้ว การเขียนแกนในระบบพิกดั ฉากสามมิติ จะเขียนโดยยึดมือซายและมือขวา เรียกวา กฎมือซาย
โปงให้ตั้งฉากกับสันนิ้วทั้งสี่ที่งอและตั้งฉาก (left-handed rule) และกฎมือขวา (right-handed rule) ดังรูปที่ 1 และ 2
กับข้อแขน จะทําให้ได้ระบบพิกัดฉากสามมิติ Z Z
โดยกําหนดนิว้ โปงแทนด้วยแกน Z ข้อแขนแทน
ด้วยแกน Y และสันนิ้วทั้งสี่งอแทนด้วยแกน X

O X O Y

Y X
รูปที่ 1 รูปที่ 2
กฎมือซาย กฎมือขวา

จากกฎมือซายและกฎมือขวา จะเห็นวา เมื่องอนิ้วทั้งสี่เขาหาขอแขนและงอนิ้วโปงใหตั้งฉาก


กับสันนิ้วทั้งสี่ที่งอและตั้งฉากกับขอแขน จะทําใหไดระบบพิกัดฉากสามมิติ โดยกําหนดนิ้วโปง
แทนดวยแกน Z ขอแขนแทนดวยแกน Y และสันนิ้วทั้งสี่งอแทนดวยแกน X
Z
จากรูปที่ 3 เรียก OX วา แกน X ทางบวก (positive x-axis)
X′
OX′ วา แกน X ทางลบ (negative x-axis)
Y′ Y OY วา แกน Y ทางบวก (positive y-axis)
O
OY′ วา แกน Y ทางลบ (negative y-axis)
X OZ วา แกน Z ทางบวก (positive z-axis)
Z′ OZ′ วา แกน Z ทางลบ (negative z-axis)
รูปที่ 3
208

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรเน้นยํ้าเรื่อง กฎมือซ้ายและกฎมือขวา ในหนังสือเรียน หน้า 208 ครูให้นักเรียนจับคูแล้วสลับกันถาม-ตอบ เกี่ยวกับกฎมือซ้าย
เพื่อไมให้นักเรียนเกิดความสับสัน และกฎมือขวา โดยการยกมือของตนเองขึ้นมาปฏิบัติจริงเพื่อให้คู
ของตนเองเข้าใจมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T220
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาเนื้อหาในหนังสือ-
การเขียนระบบพิกดั ฉากสามมิตโิ ดยทัว่ ไปนิยมเขียนแกน X แกน Y และแกน Z เฉพาะทางบวก
เรียน หนา 209 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคู
ซึ่งมีลูกศรกํากับ ดังรูปที่ 4
ของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากนั้นครู
Z Z ถามคําถาม ดังนี้
• ระบบพิกัดฉากสองมิติ แกน X และแกน Y
แบงระนาบออกเปนกี่สวน และแตละสวน
เรียกวาอะไร
O Y O Y (แนวตอบ ระบบพิกดั ฉากสองมิติ แกน X และ
แกน Y แบงระนาบออกเปน 4 สวน และ
X แตละสวนเรียกวา จตุภาค)
X • ระบบพิกัดฉากสามมิติ แกน X แกน Y และ
รูปที่ 4
Y แกน Z แบงระนาบออกเปนกีส่ ว น และแตละ
สวนเรียกวาอะไร
ในระบบพิกัดฉากสองมิติ แกน X และแกน Y (แนวตอบ ระบบพิกดั ฉากสามมิติ แกน X แกน
จตุภาคที่ 2 จตุภาคที่ 1
จะแบงระนาบออกเปน 4 สวน แตละสวนเรียกวา Y และแกน Z แบงระนาบออกเปน 8 สวน
X
จตุภาค (quadrant) ซึ่งการบอกลําดับจตุภาคที่ 1 O
และแตละสวนเรียกวา อัฐภาค)
จตุภาคที่ 2 จตุภาคที่ 3 และจตุภาคที่ 4 ใชทิศทาง จตุภาคที่ 3 จตุภาคที่ 4

ทวนเข็มนาฬกาจากแกน X และแกน Y ดังรูปที่ 5


รูปที่ 5

สําหรับระบบพิกัดฉากสามมิติ แกน X แกน Y


และแกน Z จะแบงระนาบออกเปน 8 สวน แตละสวน
ระนาบ XZ ระนาบ YZ
เรียกวา อัฐภาค (octant) ซึ่งการบอกลําดับอัฐภาค
ใชในทํานองเดียวกับระบบพิกัดฉากสองมิติ O
แตมีการกําหนดระนาบสามระนาบ เรียกวา ระนาบ XY Y
X
ระนาบอางอิง เพื่อใหการกําหนดลําดับอัฐภาคได
ชัดเจนขึ้น ดังรูปที่ 6 รูปที่ 6

เวกเตอรในสามมิติ 209

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุม ใหนกั เรียน กลุม ละ 4-5 คน แลวชวยกันสรางระนาบ ครูควรทบทวนการกําหนดพิกดั ของจุดในระบบพิกดั ฉากสองมิตโิ ดยใชการ
ในระบบพิกัดฉากสามมิติ แลวตั้งคําถามเกี่ยวกับพิกัดในระบบ ถาม-ตอบ กอนนําเขาสูระบบพิกัดฉากสามมิติ เชน จุด (3, 2) มีความสัมพันธ
พิกัดฉากสามมิติกลุมละ 5 ขอ เมื่อเสร็จแลวใหแตละกลุมออกมา กับแกน X และแกน Y อยางไร
นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T221
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูให้นกั เรียนดูรปู ที่ 7 ในหนังสือเรียน หน้า 210
จากรูปที่ 6 กําหนดระนาบสามระนาบได ดังนี้
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันกําหนดลําดับ
1) ระนาบอางอิง XY หรือระนาบ XY เปนระนาบที่กําหนดดวยแกน X และแกน Y
อัฐภาค
2) ระนาบอางอิง XZ หรือระนาบ XZ เปนระนาบที่กําหนดดวยแกน X และแกน Z
5. ครูวาดรูปที่ 8 ในหนังสือเรียน หน้า 210 บน
กระดาน แล้วถามคําถามนักเรียน ดังนี้ 3) ระนาบอางอิง YZ หรือระนาบ YZ เปนระนาบที่กําหนดดวยแกน Y และแกน Z
• จุด F อยูบนระนาบใด และมีระยะหางจาก การกําหนดลําดับอัฐภาค จะพิจารณาโดยใชระนาบ XY ดังนี้ Z
อีกสองระนาบกี่หนวย อัฐภาคที่ 1 ถึงอัฐภาคที่ 4 เปนบริเวณที่อยู
(แนวตอบ อยูบนระนาบ XY หางจากระนาบ เหนือระนาบ XY หรือแกน Z ทางบวก โดยการ
YZ ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย และ เรียกลําดับของอัฐภาคจะนับทวนเข็มนาฬกาไป
หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปน ตามลําดับเชนเดียวกับระบบพิกดั ฉากสองมิติ และ
ระยะ 2 หนวย) อัฐภาคที่ 5 ถึงอัฐภาคที่ 8 เปนบริเวณที่อยูใต X
Y
• จุด E อยูบนแกนใด และมีระยะหางจาก
ระนาบ XY หรือแกน Z ทางลบ ดังรูปที่ 7 รูปที่ 7
ระนาบกี่หนวย
(แนวตอบ อยูบนแกน X หางจากระนาบ YZ
ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย) 1. การกําหนดพิกัดของจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ
จุดในแตละอัฐภาคจะเขียนแทนดวยจํานวนจริงสามจํานวน ซึง่ เปนจํานวนบวก หรือจํานวนลบ
หรือจํานวนศูนย เขียนเรียงลําดับกันตามแนวแกน X แกน Y และแกน Z เรียกวา สามสิ่งอันดับ
(ordered triple) ตามทิศทางทวนเข็มนาฬกา เพื่อใหนักเรียนเขาใจการบอกพิกัดของจุดในระบบ
พิกัดฉากสามมิติ ใหนักเรียนพิจารณาทรงเรขาคณิต ABCDEFGO ตอไปนี้
Z
จากรูปที่ 8 นักเรียนจะเห็นวา มีจุดยอด 3 จุด
6 D C อยูบนระนาบ XY ระนาบ XZ และระนาบ YZ
B4 ไดแก จุด F จุด A และจุด C ตามลําดับ
A
มีจุดยอด 3 จุด อยูบนแกน X แกน Y และ
2 แกน Z ไดแก จุด E จุด G และจุด D ตามลําดับ
2
O G Y มีจุดยอด 1 จุด ซึ่งไมอยูบนระนาบทั้งสามและ
2 4
4E ไมอยูบนแกนทั้งสาม ไดแก จุด B
X
F
รูปที่ 8

210 อัฐภาคในระบบพิกดั ฉากสามมิติ

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิด


ครูเปดสือ่ การเรียนรูเ้ รือ่ ง อัฐภาคในระบบพิกดั ฉากสามมิติ ในหนังสือเรียน ใหหาระนาบและพิกัดของจุด A, B, C, D, E, F และจุด G
หน้า 210 ด้วยการสแกน QR Code จากรูปตอไปนี้ Z

2D C
A O B 4 Y
G
3
E F
X
(เฉลยคําตอบ จุด A อยูบนระนาบ XZ และมีพิกัด (3, 0, 2)
จุด B ไมอยูบนระนาบทั้งสาม และมีพิกัด (3, 4, 2)
จุด C อยูบนระนาบ YZ และมีพิกัด (0, 4, 2)
จุด D อยูบนแกน Z และมีพิกัด (0, 0, 2)
จุด E อยูบนแกน X และมีพิกัด (3, 0, 0)
จุด F อยูบนระนาบ XY และมีพิกัด (3, 4, 0)
T222 จุด G อยูบนแกน Y และมีพิกัด (0, 4, 0))
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
• จุด B อยูบนแกนหรือบนระนาบใด และมี
จุด F อยูบนระนาบ XY หางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย และ
ระยะหางจากอีกสองระนาบกี่หนวย
หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย ดังนั้น จุด F มีพิกัด (3, 2, 0)
เขียนแทนดวย F(3, 2, 0) (แนวตอบ ไมอยูบ นแกนและบนระนาบทัง้ สาม
แตหางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X เปน
จุด A อยูบนระนาบ XZ หางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X เปนระยะ 3 หนวย และ
ระยะ 3 หนวย หางจากระนาบ XZ ตาม
หางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ 6 หนวย ดังนัน้ จุด A มีพกิ ดั (3, 0, 6)
แนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย และหาง
เขียนแทนดวย A(3, 0, 6)
จากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ
จุด C อยูบนระนาบ YZ หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย และ 6 หนวย)
หางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ 6 หนวย ดังนั้น จุด C มีพิกัด 6. ครู ว าดรู ป ที่ 9 ในหนั ง สื อ เรี ย น หน้ า 211
(0, 2, 6) เขียนแทนดวย C(0, 2, 6) บนกระดาน แล้วถามคําถามนักเรียน ดังนี้
จุด E อยูบนแกน X หางจากระนาบ YZ เปนระยะ 3 หนวย ดังนั้น จุด E มีพิกัด (3, 0, 0) • ถา x = 0 แลวพิกัดของจุด P อยูที่ใด
เขียนแทนดวย E(3, 0, 0) (แนวตอบ บนระนาบ YZ)
จุด G อยูบนแกน Y หางจากระนาบ XZ เปนระยะ 2 หนวย ดังนั้น จุด G มีพิกัด (0, 2, 0) • ถา y = 0 และ z = 0 แลวพิกัดของจุด P
เขียนแทนดวย G(0, 2, 0) อยูที่ใด
จุด D อยูบนแกน Z หางจากระนาบ XY เปนระยะ 6 หนวย ดังนั้น จุด D มีพิกัด (0, 0, 6) (แนวตอบ บนแกน X)
เขียนแทนดวย D(0, 0, 6)
จุด B ไมอยูบนแกนทั้งสามและไมอยูบนระนาบทั้งสาม แตหางจากระนาบ YZ ตามแนว
แกน X เปนระยะ 3 หนวย หางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y เปนระยะ 2 หนวย
และหางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z เปนระยะ 6 หนวย ดังนั้น จุด B มีพิกัด
(3, 2, 6) เขียนแทนดวย B(3, 2, 6)
กําหนดจุด P เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ ดังนี้
Z จากรูปที่ 9 P(x, y, z) มีความหมาย ดังนี้
จุด P อยูหางจากระนาบ YZ ตามแนวแกน X
P(x, y, z) ทางบวกหรือทางลบเปนระยะ x หนวย
จุด P อยูหางจากระนาบ XZ ตามแนวแกน Y
O Y ทางบวกหรือทางลบเปนระยะ y หนวย
จุด P อยูหางจากระนาบ XY ตามแนวแกน Z
X ทางบวกหรือทางลบเปนระยะ z หนวย
รูปที่ 9
เวกเตอรในสามมิติ 211

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นจั บ คู  แ ล้ ว ช ว ยกั น สร้ า งรู ป ทรงทางเรขาคณิ ต ครูควรใช้กลองกระดาษแทนทรงเรขาคณิต เขียนจุดยอดที่กลองตามรูป
ABCDEFGO พร้อมกับบอกระนาบและพิกัดของจุด A, B, C, D, ที่ 8 แล้วนํากลองวางชิดมุมห้องให้ด้านข้าง 2 ด้าน แนบผนังห้อง ครูกําหนด
E, F และจุด G ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู สเกลบนแกน X แกน Y และแกน Z ตามความเหมาะสม
โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T223
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
7. ครูให้นกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน คละความ-
ถา z = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนระนาบ XY เขียนแทนดวย P(x, y, 0)
สามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
ถา y = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนระนาบ XZ เขียนแทนดวย P(x, 0, z)
และเกง) ให้อยูก ลุม เดียวกัน แล้วรวมกันศึกษา
ถา x = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนระนาบ YZ เขียนแทนดวย P(0, y, z)
ตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน หน้า 212 แล้ว
แลกเปลี่ยนความรู้กันภายในกลุม จนเปนที่
ถา y = 0 และ z = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนแกน X เขียนแทนดวย P(x, 0, 0)
เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูสุมตัวแทนออกมา ถา x = 0 และ z = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนแกน Y เขียนแทนดวย P(0, y, 0)
เฉลยคําตอบหน้าชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบ ถา x = 0 และ y = 0 แสดงวา จุดนั้นเปนจุดที่อยูบนแกน Z เขียนแทนดวย P(0, 0, z)
ความถูกต้อง เรียก (x, y, z) หรือ P(x, y, z) วา พิกัดของจุด P
ตัวอย่างที่ 1
Z
ใหหาพิกัดของจุด B, C, D, E, F และ G
C B
D A(2, 5, 4)

O Y
E G
X
F

วิธีทํา B เปนจุดที่อยูบนระนาบ YZ จึงมี x = 0


ดังนั้น จุด B มีพิกัดเปน (0, 5, 4)
C เปนจุดที่อยูบนแกน Z จึงมี x = 0 และ y = 0
ดังนั้น จุด C มีพิกัดเปน (0, 0, 4)
D เปนจุดที่อยูบนระนาบ XZ จึงมี y = 0
ดังนั้น จุด D มีพิกัดเปน (2, 0, 4)
E เปนจุดที่อยูบนแกน X จึงมี y = 0 และ z = 0
ดังนั้น จุด E มีพิกัดเปน (2, 0, 0)
F เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
ดังนั้น จุด F มีพิกัดเปน (2, 5, 0)
G เปนจุดที่อยูบนแกน Y จึงมี x = 0 และ z = 0
ดังนั้น จุด G มีพิกัดเปน (0, 5, 0)

212

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


Z
ครูควรให้นักเรียนแสดงความคิดรวบยอดจากตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน
หน้า 212 เกี่ยวกับการบอกตําแหนงของจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติวามี 5
D (3, 2, 5)
ความสัมพันธกับระนาบ XY, YZ และ XZ อยางไร B C
A O 2 4 Y
3 H
G
6
X E F
จากรูปที่กําหนด ใหหาพิกัดของจุด A, B, C, E, F, G และจุด H
(เฉลยคําตอบ พิกัดของจุด A คือ (6, 2, 5)
พิกัดของจุด B คือ (6, 4, 5)
พิกัดของจุด C คือ (3, 4, 5)
พิกัดของจุด E คือ (6, 2, 0)
พิกัดของจุด F คือ (6, 4, 0)
พิกัดของจุด G คือ (3, 4, 0)
T224 พิกัดของจุด H คือ (3, 2, 0))
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)

ลองทําดู ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


Z หน้า 213 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ใหหาพิกัดของจุด Q, R, S, M, N และ W
R Q คําตอบ “ลองทําดู”
S P(3, 4, 7) รู้ (Knowing)
ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 2 ใน
O W Y หนังสือเรียน หน้า 213 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
M N กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
X

ตัวอย่างที่ 2
เข้าใจ (Understanding)
ใหเขียนจุด A(-2, 5, 2), B(3, 2, -1) และ C(1, -4, 5) ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติ ครูให้นกั เรียนจับคูท าํ “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 213 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีทํา จุด A(-2, 5, 2) เปนจุดที่หางจากระนาบทั้งสามตามแนวแกน X ทางลบเปนระยะ คําตอบ “ลองทําดู”
2 หนวย แกน Y ทางบวกเปนระยะ 5 หนวย และแกน Z ทางบวกเปนระยะ 2 หนวย
จุด B(3, 2, -1) เปนจุดที่หางจากระนาบทั้งสามตามแนวแกน X ทางบวกเปนระยะ
3 หนวย แกน Y ทางบวกเปนระยะ 2 หนวย และแกน Z ทางลบเปนระยะ 1 หนวย
จุด C(1, -4, 5) เปนจุดที่หางจากระนาบทั้งสามตามแนวแกน X ทางบวกเปนระยะ
1 หนวย แกน Y ทางลบเปนระยะ 4 หนวย และแกน Z ทางบวกเปนระยะ 5 หนวย
เขียนจุด A, B และ C ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติได ดังนี้
Z

C(1, -4, 5) A(-2, 5, 2)

B(3, 2, -1)
X

ลองทําดู
ใหเขียนจุด A(-1, 5, 3), B(6, 3, -2,) และ C(2, -5, 3) ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติ
เวกเตอรในสามมิติ 213

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูให้นักเรียนจับคูแล้วให้แตละคูสลับกันกําหนดจุดในระบบ ครูควรใช้การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เชน จุด A จุด B และจุด C
พิกัดฉากสามมิติ คนละ 3 จุด แล้วให้คูของตนเองวาดจุดลงใน ที่กําหนดในตัวอยางที่ 2 ในหนังสือเรียน หน้า 213 เหมือนหรือแตกตางกับ
ระบบพิกัดฉากสามมิติบนกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามา ตัวอยางที่ 1 ในหนังสือเรียน หน้า 212 หรือไม อยางไร
สงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T225
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1. ครูกลาวทบทวน ดังนี้
2. ภาพฉายของจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
• ระบบพิกัดฉากสามมิติ เปนระบบที่มีการ
กําหนดให้มีเส้นตรงสามเส้น แตละเส้นตัด พิจารณาทรงเรขาคณิตสามมิติที่กําหนด
Z
กันที่จุดกําเนิด เรียกวา แกน X แกน Y และ
แกน Z V(0, 0, z) R(0, y, z)
• แกน X แกน Y และแกน Z แบงระนาบออก S(x, 0, z) P(x, y, z)
เปน 8 สวน และเรียกแตละสวนวา อัฐภาค
Y
• จุดในแตละอัฐภาคเขียนแทนด้วยจํานวนจริง O U(0, y, 0)
สามจํานวน T(x, 0, 0) Q(x, y, 0)
2. ครูวาดรูปทรงสี่เหลี่ยมจากจุด A(2, 5, 4), X
รูปที่ 10
B(0, 5, 4), C(0, 0, 4), D(2, 0, 4), E(2, 0, 0),
F(2, 5, 0), G(0, 5, 0) และ O(0, 0, 0) จาก จากรูปที่ 10 จะเห็นวา Q(x, y, 0) เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY และอยูตรงขามกับจุด
นั้นครูถามคําถาม ดังนี้ P(x, y, z) เรียกจุด Q(x, y, 0) วาเปนภาพฉาย (projection) ของจุด P บนระนาบ XY
• จุด F(2, 5, 0) อยูบนระนาบใด และจุดที่อยู ในทํานองเดียวกัน เรียกจุด R(0, y, z) วาเปนภาพฉายของจุด P บนระนาบ YZ และเรียก
ตรงขามกับจุด F คือจุดใด S(x, 0, z) วาเปนภาพฉายของจุด P บนระนาบ XZ และเรียกจุด T(x, 0, 0), U(0, y, 0) และ
(แนวตอบ จุด F(2, 5, 0) อยูบนระนาบ XY V(0, 0, z) วาเปนภาพฉายของจุด P บนแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ
และจุดที่อยูตรงขาม คือ จุด A(2, 5, 4)) คณิตน่ารู้
3. จากคําถามครูอธิบายวา จุด F(2, 5, 0) เปน
ภาพฉายของจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ เปนเสนตั้งฉากจากจุดนั้นกับระนาบใดระนาบหนึ่ง
ภาพฉายของจุด A บนระนาบ XY จากนั้นครู จึงทําใหจุดที่เปนภาพฉายจะมีพิกัด X หรือพิกัด Y หรือพิกัด Z คาใดคาหนึ่งเทากับ 0
ถามนักเรียนวา
• จุดที่เปนภาพฉายของจุด A บนระนาบ YZ
ตัวอย่างที่ 3
และ XZ คือจุดใด Z
(แนวตอบ จุด B(0, 5, 4) เปนภาพฉายของ จากรูป ใหหาภาพฉายของจุด A(2, 3, 5)
จุด A บนระนาบ YZ และจุด D(2, 0, 4) เปน บนแกน X แกน Y แกน Z ระนาบ X Y
ภาพฉายของจุด A บนระนาบ XZ) A(2, 3, 5) ระนาบ YZ และระนาบ XZ
O Y

214

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


Z
ครูควรทบทวนจุดที่อยูตรงข้ามโดยนํากลองทรงสามมิติ เชน กลองชอลก
กลองยาสีฟน ซึ่งครูกําหนดจุดยอด A, B, C, ... แล้วให้นักเรียนบอกจุดยอดที่อยู A (3, 1, 4)
ตรงข้ามกับจุดที่ครูกําหนด O Y

X
จากรูป ใหหาภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน X แกน Y
แกน Z ระนาบ XY ระนาบ YZ และระนาบ XZ
(เฉลยคําตอบ
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน X คือ จุด (3, 0, 0)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน Y คือ จุด (0, 1, 0)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนแกน Z คือ จุด (0, 0, 4)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนระนาบ XY คือ จุด (3, 1, 0)
ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนระนาบ YZ คือ จุด (0, 1, 4)
T226 ภาพฉายของจุด A(3, 1, 4) บนระนาบ XZ คือ จุด (3, 0, 4))
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
4. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” จากหนังสือเรียน
วิธีทํา ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนแกน X คือ จุด (2, 0, 0)
หนา 214 จากนัน้ ครูยกตัวอยางเพือ่ ใหนกั เรียน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนแกน Y คือ จุด (0, 3, 0)
เขาใจมากยิ่งขึ้น
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนแกน Z คือ จุด (0, 0, 5)
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 3 ใน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนระนาบ XY คือ จุด (2, 3, 0)
หนังสือเรียน หนา 214-215 แลวแลกเปลี่ยน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนระนาบ YZ คือ จุด (0, 3, 5)
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ภาพฉายของจุด A(2, 3, 5) บนระนาบ XZ คือ จุด (2, 0, 5)
เขาใจ (Understanding)
ลองทําดู
ครูใหนักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
Z จากรูป ใหหาภาพฉายของจุด A(1, 4, 3) บนแกน เรียน หนา 215 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
X แกน Y แกน Z ระนาบ XY ระนาบ YZ และ
ระนาบ XZ คําตอบ “ลองทําดู”
A(1, 4, 3)
รู (Knowing)
O Y
1. ครูอธิบายความรูเกี่ยวกับระยะทางระหวางจุด
X
สองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ ในหนังสือ-
เรียน หนา 215-216 พรอมสรุปเปนทฤษฎีบท
1 ในหนังสือเรียน หนา 216
3. ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ
การหาระยะทางระหวางจุดสองจุดใด ๆ ใน Z
ระบบพิกัดฉากสามมิติ ทําไดโดยใชความรูจาก B(x2, y2, z2)
ภาพฉายของจุดทั้งสองบนระนาบ XY และ E(x2, y2, z1)
ความรูจากทฤษฎีบทพีทาโกรัส ดังนี้ A(x1, y1, z1)
ใหจดุ C และจุด D เปนภาพฉายของจุด A
และจุด B บนระนาบ XY ตามลําดับ แลวสราง Y
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก จะไดเปนรูปสามเหลี่ยม D(x2, y2, 0)
มุมฉาก ABE ดังรูปที่ 11 C(x1, y1, 0)
X

รูปที่ 11

เวกเตอรในสามมิติ 215

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาภาพฉายของจุดที่ครูกําหนด จากตัวอยางที่ 3 ในหนังสือเรียน หนา 214-215 ครูควรใชการถาม-ตอบ
บนกระดาน โดยหาภาพฉายบนแกน X แกน Y แกน Z ระนาบ XY ประกอบคําอธิบายโดยทบทวนความสัมพันธระหวางตําแหนงของจุดกับตําแหนง
ระนาบ YZ และระนาบ XZ เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมาเฉลย จุดที่เปนภาพฉาย โดยครูนําคําอธิบายจากตัวอยางที่ 3 มาตั้งเปนคําถาม
คําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูและเพือ่ นรวมชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบ
ความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T227
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูแสดงวิธีหาคําตอบของตัวอยางที่ 4 ใน
จากความรูเรื่องระยะทางระหวางจุดบนระนาบ XY
หนังสือเรียน หนา 216 ใหนกั เรียนดูบนกระดาน
อยางละเอียด จะได CD = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2
เนื่องจาก AE = CD และ BE = z2 - z1
เขาใจ (Understanding) และ AB2 = AE2 + BE2
1. ครูใหนักเรียนจับคูทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ- ดังนั้น AB2 = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
เรียน หนา 216 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกัน
นั่นคือ ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2)
เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
2. ครูใหนักเรียนคูเดิมชวยกันทําแบบฝกทักษะ หรือ AB เทากับ (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 หนวย
3.1 ในหนังสือเรียน หนา 217 จากนั้นครูสุม
ตั ว แทนแต ล ะคู  อ อกมาเฉลยคํ า ตอบหน า ทฤษฎีบท 1 ระยะทางระหวางจุด A (x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2)
ชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน หรือ AB เทากับ (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 หนวย
ตรวจสอบความถูกตอง
3. ครูใหนักเรียนทําใบงานที่ 3.1 เรื่อง ระยะทาง ตัวอย่างที่ 4
ระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ ใหหาระยะทางระหวางจุด A(-1, 3, 0) และ B(5, 1, 3)
และ Exercise 3.1 เปนการบาน
วิธีทํา จากสูตร AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
จะได AB = (5 - (-1))2 + (1 - 3)2 + (3 - 0)2
= 36 + 4 + 9
= 49
=7
ดังนั้น ระยะทางระหวางจุด A(-1, 3, 0) และ B(5, 1, 3) เทากับ 7 หนวย

ลองทําดู
ใหหาระยะทางระหวางจุด A(3, -1, 4) และ B(0, 2, -1)

216

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรใชการถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายและทบทวนการหาระยะทาง ใหหาระยะทางระหวางจุด A(2, 0, -1) และ B(5, -2, 3)
ระหวางจุดสองจุดใดๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 (เฉลยคําตอบ จาก
เพือ่ เชือ่ มโยงความรูเ ขาสูก ารหาระยะทางระหวางจุดสองจุดใดๆ ในระบบพิกดั -
AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
ฉากสามมิติ เชน
1. สูตรนี้ตองใชภาพฉายของจุดในระบบพิกัดฉากสองมิติหรือไม = (5 - 2)2 + (-2 - 0)2 + (3 - (-1))2
2. ตองใชความรูเรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัสหรือไม = 9 + 4 + 16
3. ครูกําหนดแกน X แกน Y และแกน Z ใหนักเรียนเขียนจุด A และจุด B
= 29
โดยเปนจุดทีไ่ มอยูบ นระนาบทัง้ สาม และกําหนดพิกดั ของจุดทัง้ สองเปน
(x1, y1, z1) และ (x2, y2, z2) ดังนั้น ระยะทางระหวางจุด A(2, 0, -1) และ B(5, -2, 3) เทากับ
4. ครูสุมนักเรียน 1 คน ใหออกมาสรางรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก โดยมี 29 หนวย)
จุด A และจุด B เปนจุดยอด

T228
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
แบบฝึกทักษะ 3.1
• การแบงระนาบออกเปน 8 สวน เรียกวา
ระดับพื้นฐาน อะไร
1. Z จากรูป กําหนดจุด A(4, 8, 5) ใหหาพิกัดของ (แนวตอบ อัฐภาค)
5 C B จุด B, C, D, E, F และ G • การหาระยะทางระหวางจุดในระบบพิกัด-
ฉากสามมิติหาไดอยางไร
D A(4, 8, 5) (แนวตอบ หาไดจากสูตร
O G
Y AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
8
หนวย)
E
4 F
X ขัน้ ประเมิน
Z 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.1
2. จากรูป ใหหาพิกัดของจุดยอดมุมที่เหลือ
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.1
3. ครูตรวจ Exercise 3.1
E D(2, 12, 4)
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
O F G 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
Y
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
H C
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
X
A(5, 5, 0) B มุงมั่นในการทํางาน

ระดับกลาง
3. ใหเขียนจุด A(-2, 3, 5), B(4, 2, -1) และ C(1, -4, 2) ลงในระบบพิกัดฉากสามมิติ
4. ใหหาภาพฉายของจุด A(2, -5, 8) และ B(-1, 4, 3) บนระนาบ XY ระนาบ YZ
และระนาบ XZ ตามลําดับ
5. ใหหาภาพฉายของจุด P(-5, -1, 7) บนแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ
6. ใหหาระยะทางระหวางจุดสองจุดที่กําหนดใหตอไปนี้
1) A(-3, 1, 0) กับ B(0, 2, -5)
2) A(0, 0, 0) กับ B(2, 2, 2)
3) A(-1, 0, 2) กับ B(0, -3, 0)
เวกเตอรในสามมิติ 217

กิจกรรม สรางเสริม แนวทางการวัดและประเมินผล


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันสรางโจทยเกีย่ วกับการหาระยะ- ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา
ทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ เมื่อทําเสร็จ ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ ใน
ครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอหนาชัน้ เรียนเพือ่ ใหเพือ่ นในชัน้ เรียน ขั้นเขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการ
รวมกันหาคําตอบ โดยครูตรวจสอบความถูกตอง จัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 3
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน

ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น    
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T229
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Inductive Method)


เตรียม
1. ครูยกตัวอยางสถานการณเกี่ยวกับปริมาณที่
ใช้บอกขนาดกับปริมาณที่ใช้บอกขนาดและ
3.2 เวกเตอร (Vector)
ทิศทาง ดังนี้ ปริมาณแบงออกเปนสองประเภท ประเภทหนึ่งใชบอกขนาดวา มากหรือนอยเพียงใด เชน
• ปริ ม าณที่ ใ ช้ บ อกขนาดว า มากหรื อ น้ อ ย บานของนิธิศมีพื้นที่ 50 ตารางวา นํ้าผลไมในขวดมีปริมาตร 750 ลูกบาศกเซนติเมตร นายธเนศ
เพี ย งใด เช น บ้ า นของนิ ธิศ มี พื้ น ที่ 50 มีนาํ้ หนัก 58 กิโลกรัม สวนปริมาณอีกประเภทหนึง่ ใชบอกทัง้ ขนาดและทิศทาง เชน นํา้ ใสเดินทาง
ตารางวา นํ้าผลไม้ในขวดมีปริมาตร 700 ไปทิศใตเปนระยะทาง 1 กิโลเมตร ตะวันขับรถไปจังหวัดเชียงใหมดวยความเร็ว 80 กิโลเมตร
ลู ก บาศก เ ซนติ เ มตร นายธเนศหนั ก 50 ตอชั่วโมง
กิโลกรัม
• ปริมาณที่ใช้บอกทั้งขนาดและทิศทาง เชน บทนิยาม ปริมาณที่มีขนาดเพียงอยางเดียว เรียกวา ปริมาณสเกลาร (scalar quantity)
ปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เรียกวา ปริมาณเวกเตอร (vector quantity)
นํ้ า ใสเดิ น ทางไปทิ ศ ใต้ เ ป น ระยะทาง 1 หรือเรียกสั้น ๆ วา เวกเตอร
กิโลเมตร ตะวันขับรถไปจังหวัดเชียงใหม
ด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรตอชั่วโมง ปริมาณสเกลารแสดงดวยจํานวนจริง สวนปริมาณเวกเตอรแสดงดวยสวนของเสนตรงที่ระบุ
2. ครูแจกใบงานที่ 3.2 เรือ่ ง ปริมาณเวกเตอรและ ทิศทาง (directed line segment) โดยความยาวของสวนของเสนตรงบอกขนาดของเวกเตอร
ปริมาณสเกลาร ให้นักเรียนแตละคนทํา เมื่อ และหัวลูกศรบอกทิศทางของเวกเตอร ดังรูปที่ 12
นักเรียนทําใบงานเสร็จแล้วครูและนักเรียน
B
รวมกันเฉลยคําตอบ

ขัน้ สอน A
สอนหรือแสดง รูปที่ 12
1. ครูอธิบายนักเรียนวา ปริมาณแบงออกเปน รูปที่ 12 แสดงเวกเตอรจาก A ไป B อานวา เวกเตอร เอบี เขียนแทนดวย AB หรือ AB
2 ประเภท คือ ปริมาณทีม่ ขี นาดเพียงอยางเดียว เรียก A วา จุดเริ่มตน (initial point) ของเวกเตอร และเรียก B วา จุดสิ้นสุด (terminal point)
เรี ย กว า ปริ ม าณสเกลาร และปริ ม าณที่ มี ของเวกเตอร ความยาวของสวนของเสนตรง AB หรือ BA คือ ขนาดของเวกเตอร AB
ทัง้ ขนาดและทิศทาง เรียกวา ปริมาณเวกเตอร
เขียนแทนดวย AB
หรือเรียกสั้นๆ วา เวกเตอร
ในกรณีที่ตองการกลาวถึงเวกเตอรใด ๆ ที่ไมตองการระบุ
จุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุดจะใชตัวอักษรเพียงตัวเดียวเทานั้น ซึ่งมี u
เครื่องหมาย “ ” หรือ “ __ ” กํากับไว เชน u หรือ u และใช
สัญลักษณ u แทนขนาดของ u ดังรูปที่ 13
รูปที่ 13
218

เกร็ดแนะครู
ครูควรยกตัวอยางข้อความหรือประโยคที่เกี่ยวกับปริมาณกอน แล้วจึงบอก
บทนิยามของปริมาณสเกลารและปริมาณเวกเตอร

T230
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
2. ครูให้นกั เรียนจับคูศ กึ ษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน
v จากรูปที่ 14 u กับ v เปนเวกเตอรที่อยูใน
หน้า 218-219 แล้วแลกเปลีย่ นความรูก้ บั คูข อง
แนวเสนตรงเดียวกัน และมีหวั ลูกศรไปทางเดียวกัน
ตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
u กับ a และ v กับ a เปนเวกเตอรที่อยูในแนว
θ
a 3. ครูให้นักเรียนแตละคู วาดรูปเวกเตอรตาม
เสนตรงที่ขนานกัน และมีหัวลูกศรไปทางเดียวกัน คําสั่ง ดังนี้
θ
u เรียก u กับ v, u กับ a และ v กับ a วาเปน • u กับ v เปนเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน
เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน • a กับ b เปนเวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันข้าม
w
สวน w กับ a เปนเวกเตอรทอี่ ยูใ นแนวเสนตรง • c กับ d เปนเวกเตอรที่ขนานกัน
รูปที่ 14 เดียวกัน แตมีหัวลูกศรไปทางตรงกันขาม w กับ u • e กับ f เปนเวกเตอรที่เทากัน
และ w กับ v เปนเวกเตอรที่อยูในแนวเสนตรง • ให้สร้าง g จากนั้นสร้าง -g
ที่ขนานกัน แตมีหัวลูกศรไปทางตรงกันขาม เรียก w กับ a, w กับ u และ w กับ v วาเปน 4. เมื่อนักเรียนแตละคูวาดรูปเวกเตอรเสร็จแล้ว
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับเวกเตอรที่มีทิศทาง
บทนิยาม u และ v ขนานกัน ก็ตอเมื่อ เวกเตอรทั้งสองมีทิศทางเดียวกันหรือทิศทางตรงกันขาม
เดี ย วกั น เวกเตอร ที่ มี ทิ ศ ทางตรงกั น ข้ า ม
เขียนแทนดวย u // v เวกเตอรที่ขนานกัน เวกเตอรที่เทากัน และ
นิเสธของเวกเตอร
จากรูปที่ 15 กําหนด AB, CD และ EF เปน
B เวกเตอรที่มีขนาดเทากัน จะเห็นวา AB กับ CD
D เปนเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน แต EF เปน
E เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขามกับ AB และ CD
A
ซึ่งกลาววา AB เทากับ CD เขียนแทนดวย
C
AB = CD และ EF เปนนิเสธกับ AB และ CD
F
เขียนแทนดวย EF = -AB และ EF = -CD
รูปที่ 15
การเทากันของเวกเตอรและนิเสธของเวกเตอร
มีบทนิยาม ดังนี้
บทนิยาม u เทากับ v ก็ตอเมื่อ เวกเตอรทั้งสองมีขนาดเทากันและทิศทางเดียวกัน
เขียนแทนดวย u = v

บทนิยาม นิเสธ ของ u คือ เวกเตอรที่มีขนาดเทากับขนาดของ u แตมีทิศทางตรงกันขามกับทิศทาง


ของ u เขียนแทนดวย -u

เวกเตอรในสามมิติ 219

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมให้นักเรียน กลุมละ 3-4 คน สร้างเวกเตอรที่มี ครูอาจให้นักเรียนจับคูชวยกันศึกษาเนื้อหาในหนังสือเรียน หน้า 219
ทิศทางตรงกันข้ามกับเวกเตอรตอไปนี้ และให้สรุปใจความสําคัญและใช้สัญลักษณของเวกเตอรที่ขนานกัน เวกเตอร
1. 2. v ที่เทากัน และเวกเตอรที่เปนนิเสธกัน
u

3. 4.
w
t

หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง


คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
เดียวกัน

T231
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 5 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 5
หนา 220 แลวแลกเปลี่ยนความรูกับคูของ
ดนัยขับรถจักรยานยนตไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต ใชเวลา 112 ชั่วโมง
ตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ดวยความเร็ว 60 กิโลเมตรตอชั่วโมง ใหเขียนเวกเตอรแสดงการเคลื่อนที่ของดนัย
เปรียบเทียบและรวบรวม วิธีทํา เวลา 1 12 ชั่วโมง ดนัยขับรถไดระยะทาง 90 กิโลเมตร N
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน เขียนเวกเตอรโดยใชมาตราสวน 1 ซม. : 30 กม.
W E
หนา 220 เมือ่ เสร็จแลวครูและนักเรียนรวมกันเฉลย ขนาดของเวกเตอรเทากับ 3 เซนติเมตร
60 กม./ชม.
คําตอบ “ลองทําดู” S

สอนหรือแสดง
1. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 6 ในหนังสือ- ลองทําดู
เรียน หนา 220 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ ชาติชายขับรถยนต ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือใชเวลา 1 ชั่วโมง ดวยความเร็ว 100
• เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกันกับเวกเตอรที่มี กิโลเมตรตอชั่วโมง ใหเขียนเวกเตอรแสดงการเคลื่อนที่ของชาติชาย
ทิศทางตรงกันขาม ตางกันอยางไร ตัวอย่างที่ 6
(แนวตอบ เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกันและ D C
กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน
เวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางตรงกันขามเปนเวกเตอร ดังรูป ใหหาเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางเดียวกัน เวกเตอร O
ที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกัน หรืออยูในแนว ที่มีทิศทางตรงกันขาม เวกเตอรที่เทากัน และ
เสนตรงที่ขนานกัน แตเวกเตอรที่มีทิศทาง เวกเตอรที่เปนนิเสธกันอยางละ 2 คู A B
เดียวกันจะมีหัวลูกศรไปทางเดียวกัน และ
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขามจะมีหัวลูก- วิธีทํา เนื่องจาก ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน
ศรไปทางตรงกันขาม) จะได AB = DC, AB // DC, AD = CB, AD // CB, BO = OD และ AO = CO
• เวกเตอรที่เทากันจะมีลักษณะอยางไร จากรูป เวกเตอรที่มีิทิศทางเดียวกัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
(แนวตอบ เวกเตอร 2 เวกเตอรจะมีขนาดเทากัน เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม คือ AD กับ CB และ AO กับ CO
ก็ตอเมื่อเวกเตอรทั้งสองมีขนาดเทากันและ ดังนั้น เวกเตอรที่เทากัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
ทิศทางเดียวกัน) เวกเตอรที่เปนนิเสธกัน คือ AD กับ CB และ AO กับ CO
• นิเสธของเวกเตอรใดๆ จะมีลกั ษณะอยางไร
(แนวตอบ นิเสธของเวกเตอรใดๆ คือ เวกเตอร คณิตน่ารู้
ที่มีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขาม) เสนทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูนยาวไมเทากัน แตแบงครึ่งซึ่งกันและกัน

220

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรทบทวนบทนิยามเวกเตอรทขี่ นานกัน เวกเตอรทเี่ ทากัน และเวกเตอร ใหเขียนเวกเตอรที่มีปริมาณ 20 เมตร ไปทางทิศตะวันออก-
ที่เปนนิเสธกัน โดยใชการตั้งคําถามเชื่อมโยงความรูจากรูปสี่เหลี่ยมขนม- เฉียงเหนือ
เปยกปูนเกี่ยวกับความยาวของดานไปสูขนาดที่เทากันของเวกเตอรและทิศทาง (เฉลยคําตอบ เขียนเวกเตอรโดยใชมาตราสวน 1 ซม. : 10 เมตร
ของเวกเตอร ขนาดของเวกเตอรเทากับ 2 เซนติเมตร

2 เซนติเมตร
W E

S )

T232
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
2. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หน้า 220 ให้กับนักเรียน
กําหนด PQRS เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ดังรูป
S R เปรียบเทียบและรวบรวม

O ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


P Q หน้า 221 เมือ่ เสร็จแล้วครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู”
ใหหาเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม เวกเตอรที่เทากัน
และเวกเตอรที่เปนนิเสธกันอยางละ 2 คู สอนหรือแสดง
ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 7 ใน
ตัวอย่างที่ 7
หนังสือเรียน หน้า 221 จากนั้นสุมนักเรียนออก
กําหนด ABCDEF เปนปริซึมสามเหลี่ยมดานเทา ดังรูป มาอธิบายและแสดงวิธกี ารหาคําตอบหน้าชัน้ เรียน
E
โดยครู แ ละเพื่ อ นในชั้ น เรี ย นร ว มกั น ตรวจสอบ
F D ความถูกต้อง
A
เปรียบเทียบและรวบรวม
B C
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
1) ใหหาเวกเตอรที่เทากันกับ AE และ BC เรียน หน้า 221 เมือ่ เสร็จแล้วครูและนักเรียนรวมกัน
2) ใหหาเวกเตอรที่เปนนิเสธกับ AB และ AC เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
วิธีทํา 1) เวกเตอรที่เทากันกับ AE คือ CD และเวกเตอรที่เทากันกับ BC คือ FD
2) เวกเตอรท่เี ปนนิเสธกับ AB คือ FE และเวกเตอรที่เปนนิเสธกับ AC คือ DE

ลองทําดู
T S
กําหนด MNOPQRST เปนปริซึมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังรูป
1) ใหหาเวกเตอรที่เทากันกับ MP Q R
2) ใหหาเวกเตอรที่เปนนิเสธกับ NM และ NR P O
M N

เวกเตอรในสามมิติ 221

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ดังรูป
A B
O

D C
ใหหาเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม เวกเตอรที่เทากัน และเวกเตอร
ที่เปนนิเสธกันอยางละ 2 คู
(เฉลยคําตอบ เนื่องจาก ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา
จะได AB = DC, AB // DC, DA = BC, DA // BC, CO = AO และ BO = OD
จากรูป เวกเตอรที่มีิทิศทางเดียวกัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขาม คือ DA กับ BC และ CO กับ AO
ดังนั้น เวกเตอรที่เทากัน คือ AB กับ DC และ BO กับ OD
เวกเตอรที่เปนนิเสธกัน คือ DA กับ BC และ CO กับ AO
T233
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
คณิตน่ารู้
หนา 222 วา เสนทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมขนม-
เปยกปูนยาวไมเทากัน แตแบงครึ่งซึ่งกันและกัน การกําหนดทิศทางของเวกเตอร โดยใชระบบตัวเลขสามตัว จะใชขนาดของมุมเปนองศาในการ
บอกทิศทาง โดยเริ่มวัดจากทิศเหนือไปตามเข็มนาฬกาตามขนาดของมุมที่กําหนด โดยขนาดของมุม
ที่อยูระหวาง 0 กับ 100 องศา จะเปน 0 นําหนา เชน ขนาดของมุม 60 องศา เขียนแทนดวย 060
องศา ซึ่งเขียนเวกเตอรได ดังรูป
N
60 ํ
W E

แบบฝึกทักษะ 3.2 ก
ระดับพื้นฐาน
1. ใหพิจารณาขอความที่กําหนดตอไปนี้ วาเปนปริมาณสเกลารหรือปริมาณเวกเตอร
1) ตูเสื้อผาใบหนึ่งสูง 210 เซนติเมตร
2) แตงโมผลหนึ่งมีนํ้าหนัก 3 กิโลกรัม
3) เสือตัวหนึ่งวิ่งไปทางทิศใตดวยความเร็ว 40 กิโลเมตรตอชั่วโมง
4) ปกรณเดินไปทางทิศเหนือเปนระยะทาง 300 เมตร
5) คมสันตออกแรงผลักโตะไปขางหนาเปนระยะทาง 25 เมตร
6) ปรานีใชเวลาทําการบาน 35 นาที
2. กันยาขับรถไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตดวยความเร็ว 100 กิโลเมตรตอชั่วโมง เปนเวลา
45 นาที ใหเขียนเวกเตอรแสดงการเคลื่อนที่ของกันยา

222

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรทบทวนและเนนยํา้ การเขียนองศาจากแกนของทิศทัง้ 4 ทิศ จากกรอบ ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 3-4 คน ชวยกันสรางปริซึม
“คณิตนารู” ในหนังสือเรียน หนา 222 เพื่อไมใหนักเรียนเกิดความสับสน หาเหลีย่ มดานเทาโดยใชเวกเตอรพรอมกับกําหนดทิศทางเอง แลว
หาเวกเตอรที่เทากันและเวกเตอรที่เปนนิเสธกันลงในกระดาษ A4
เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู
และเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T234
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
3. กําหนด ABCDEF เปนรูปหกเหลี่ยมดานเทา ดังรูป “คูคิด (Think Pair Share)” ดังนี้
A B
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
F C จากแบบฝกทักษะ 3.2 ก ในหนังสือเรียน
หนา 222-223
E D
• ให นั ก เรี ย นจั บ คู  กั บ เพื่ อ นเพื่ อ แลกเปลี่ ย น
ใหหาเวกเตอรที่กําหนดตอไปนี้ คําตอบกัน สนทนา ซักถามซึ่งกันและกัน
1) เวกเตอรที่ขนานกัน 2 คู จนเปนที่เขาใจรวมกัน
2) เวกเตอรที่เทากัน 2 คู • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
3) เวกเตอรที่เปนนิเสธกัน 2 คู ชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
4. กําหนดเวกเตอรทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ดังรูป
E F
D
C

H G
A B
1) ใหหาเวกเตอรที่เทากันกับ AD และ AH
2) ใหหาเวกเตอรที่เปนนิเสธกับ BC และ BA

ระดับกลาง
5. ใหเขียนสวนของเสนตรงที่มีทิศทางแทนปริมาณเวกเตอรที่กําหนดตอไปนี้
1) 90 เมตร ไปทางทิศใต 2) 45 กิโลเมตร ไปทางทิศ 045 องศา
3) 60 เมตร ไปทางทิศ 320 องศา 4) 20 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
6. ชัยทัศนปน จักรยานไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปนระยะทาง 3 กิโลเมตร แลวปนจักรยาน
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเปนระยะทาง 3 กิโลเมตร ใหหาวาชัยทัศนอยูห า งจากจุดเริม่ ตน
เปนระยะทางเทาใด และอยูในทิศใดของจุดเริ่มตน
7. ถา w แทนการเดินทาง 40 กิโลเมตร ไปทางทิศ 060 องศา ใหอธิบายการเดินทางที่แทน
ดวย -w

เวกเตอรในสามมิติ 223

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ ครูควรทบทวนเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางเดียวกัน เวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางตรงขามกัน
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน เวกเตอรที่เทากัน และเวกเตอรที่เปนนิเสธกัน ใหกับนักเรียนกอนจะใหนักเรียน
2. ใหแตละกลุมรวมกันสืบคนโจทยในหัวขอ 3.1 เรื่อง เวกเตอร ทําแบบฝกทักษะ 3.2 ก ในหนังสือเรียน หนา 222-223
จํานวน 3 ขอ พรอมกับหาคําตอบของเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางเดียวกัน
เวกเตอรที่มีทิศทางตรงขามกัน เวกเตอรที่เทากัน และเวกเตอร
ที่เปนนิเสธกัน
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหนาชั้นเรียน

T235
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครูกําหนด u และ v ไว้บนกระดาน ดังนี้
1. การบวกและการลบเวกเตอร
(Addition and Subtraction of Vector)
u v จากแนวคิดการบวกและการลบของจํานวนจริง ซึ่งเปนการนับตอหรือหักออกจากตัวตั้ง
และใชบทนิยามการเทากันของเวกเตอรที่เทากับตัวบวกหรือตัวลบมานิยามการบวกและการลบ
2. ครูให้นกั เรียนวาด u จากนัน้ ให้นาํ จุดเริม่ ต้น เวกเตอร
ของ v มาตอกับจุดสิ้นสุดของ u และให้ 1) การบวกเวกเตอร (Addition of Vector)
นักเรียนใช้สันตรงลากเส้นจากจุดเริ่มต้น ใหนักเรียนพิจารณาการบวก u และ v ที่กําหนดดังรูปที่ 16 การหาผลบวกของ u
ของ u ไปยังจุดสิน้ สุดของ v และให้นกั เรียน กับ v เขียนแทนดวย u + v โดยที่ u เปนตัวตั้ง และ v เปนตัวบวก ทําไดโดยสรางเวกเตอร w
กําหนดชื่อเปน a ซึ่งจะได้รูป ดังนี้ ที่เทากับ v แลวนําจุดเริ่มตนของ w มาตอกับจุดสิ้นสุดของ u จะไดผลบวกของเวกเตอรหรือ
เวกเตอรผลลัพธ ซึ่งเปนเวกเตอรที่มีทิศทางจากจุดเริ่มตนของ u ไปยังจุดสิ้นสุดของ w
v
u u u w
v
a
u+w=u+v
3. ครูอธิบายวา เราจะเรียก a วาเปนเวกเตอร รูปที่ 16
ผลบวกของ u และ v ซึ่งเวกเตอร a เกิดจาก
บทนิยาม ให u และ v เปนเวกเตอรใด ๆ
การลากเส้นจากจุดเริม่ ต้นอยูท จี่ ดุ เริม่ ต้นของ u ผลบวกของ u และ v เขียนแทนดวย u + v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตนของ
ไปยังจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v ดังนั้น u และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
ผลบวกของ u และ v เขียนแทนด้วย u + v
4. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน คณิตน่ารู้
หน้า 224 ให้กับนักเรียน นักเรียนอาจหาผลบวกของ u และ v โดยการนําจุดเริ่มตนของ v มาตอกับจุดสิ้นสุดของ u
ผลบวกของเวกเตอรหรือเวกเตอรผลลัพธของ u และ v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตนของ
u และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v

u v
v u

u+v

224

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูอาจให้นักเรียนจับคูรวมกันศึกษาเนื้อหาการบวกเวกเตอร และครูควร ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันสร้างโจทยเรือ่ ง การบวกเวกเตอร
ประเมินความเข้าใจของนักเรียนโดยเขียนเวกเตอร 3 เวกเตอร หรือ 4 เวกเตอร โดยใช้ความรู้จากกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน หน้า 224
ที่ไมเปนเวกเตอรที่ขนานกัน เชน จํานวน 3 ข้อ ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู
โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
u v w
t

แล้วให้นักเรียนหา u + w + t , v + w + u

T236
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
5. ครูให้นกั เรียนดูรปู ที่ 17 ในหนังสือเรียน หน้า 225
พิจารณาการบวกเวกเตอร u, v และ w ที่กําหนด ดังรูปที่ 17
v จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
u v u • u + v เทากับ w ใชหรือไม เพราะเหตุใด
w w (แนวตอบ ไมใช เพราะผลบวกของ u และ
u+v+w
รูปที่ 17 v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตน
จากรูปที่ 17 จะเห็นวา ผลบวกของ u + v + w เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนและจุดสิ้น ของ u จุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v แต
สุดเปนจุดเดียวกัน เรียกวา เวกเตอรศูนย (zero vector) w มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดสิ้นสุดของ v และจุด
สิ้นสุดอยูที่จุดเริ่มตนของ u ดังนั้น ผลบวก
บทนิยาม เวกเตอรศูนย คือ เวกเตอรที่มีขนาดเปนศูนย เขียนดวย 0
ของ u และ v เทากับ - w )
• v + w เทากับ -u ใชหรือไม เพราะเหตุใด
Thinking Time
(แนวตอบ ใช เพราะ -u มีจุดเริ่มตนอยูที่
กําหนดจุด A ดังนี้
จุดเริ่มตนของ v จุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุด
•A
นักเรียนคิดวา จุด A เปนเวกเตอรศูนยหรือไม ของ w )
6. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ บทนิ ย ามของ
2) การลบเวกเตอร (Subtraction of Vector) เวกเตอรศูนย ในหนังสือเรียน หน้า 225
ใหนักเรียนพิจารณาการลบ u และ v ที่กําหนด ดังรูปที่ 18 การหาผลลบของ u กับ เปรียบเทียบและรวบรวม
v เขียนแทนดวย u - v โดยที่ u เปนตัวตั้ง และ v เปนตัวลบ ใหสรางเวกเตอร w ที่เทากับ v
ครูให้นกั เรียนทํา “Thinking Time” ในหนังสือ-
แลวนําจุดเริ่มตนของ w มาตอกับจุดเริ่มตนของ u จะไดผลลบของเวกเตอรหรือเวกเตอรผลลัพธ
เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนจากจุดสิ้นสุดของ w ไปยังจุดสิ้นสุดของ u เรียน หน้า 225 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “Thinking Time”
u
สอนหรือแสดง
u
v u-w=u-v 1. ครูกําหนด u และ v ไว้บนกระดาน ดังนี้
w
u v
รูปที่ 18
บทนิยาม ให u และ v เปนเวกเตอร ใด ๆ
ผลลบของ u และ v เขียนแทนดวย u - v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ u เฉลย Thinking Time

เวกเตอรในสามมิติ 225
เมื่อเขียนเวกเตอรจาก A ไป A จะเห็นวามีจุด
เริ่มตนและจุดสิ้นสุดเปนจุดเดียวกัน ดังนั้น จุด A
เปนเวกเตอรศูนย

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันสร้างโจทยเรือ่ ง การลบเวกเตอร กอนให้นักเรียนตอบคําถาม “Thinking Time” ในหนังสือเรียน หน้า 225
โดยใช้เนือ้ หาในหนังสือเรียน หน้า 225 จํานวน 3 ข้อ ลงในกระดาษ ครูควรใช้คําถามแนะแนวทางให้นักเรียนเข้าใจเวกเตอรศูนยมากยิ่งขึ้น เพื่อนํา
A4 เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง ไปตอบคําถามใน “Thinking Time”
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T237
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
2. ครูใหนักเรียนวาด u จากนั้นใหนําจุดเริ่มตน คณิตน่ารู้
ของ v มาตอกับจุดเริ่มตนของ u และให
นักเรียนใชสนั ตรงลากเสนจากจุดสิน้ สุดของ v นักเรียนอาจหาผลบวกของ u และ v โดยการหาผลบวกของ u และนิเสธของ v ดังนี้
ไปยังจุดสิ้นสุดของ u และใหนักเรียนกําหนด
ชื่อเปน a ซึ่งจะไดรูป ดังนี้ u
-v
u u-v
v -v
u a u
v ดังนั้น u - v = u + (-v)

3. ครูอธิบายวา เราจะเรียก a วาเปนเวกเตอร


ผลลบของ u และ v ซึ่งเวกเตอร a เกิดจาก นอกจากการหาผลบวกและผลลบของเวกเตอร โดยใชบทนิยามแลว นักเรียนยังสามารถหา
การลากเสนจากจุดสิ้นสุดของ v ไปยังจุดสิ้น- ผลบวกและผลลบของเวกเตอร โดยใชวิธีการที่เรียกวา กฎของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ซึ่งมีวิธีการ
สุดของ u ดังนั้น ผลลบของ u และ v เขียน ดังตอไปนี้
แทนดวย u - v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตน กําหนด u และ v ดังรูปที่ 19
อยูที่จุดสิ้นสุดของ v และจุดสิ้นสุดอยูที่จุด
สิ้นสุดของ u
4. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน v u
หนา 226 ใหกับนักเรียน
5. ครู อ ธิ บ ายความรู  เ พิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ การหา
ผลบวกและการหาผลลบของเวกเตอร ว  า รูปที่ 19
นอกจากที่เราจะใชบทนิยามในการหาผลบวก B
และการหาผลลบของเวกเตอรแลว เรายั ง ใช การหาผลบวกและผลลบของ u และ v ทําไดโดยกําหนด u
“กฎของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน” ไดอีกดวย จุด A เปนจุดเริ่มตน จากนั้นหาจุด B และจุด C ที่ทําให u = AB
A u+v
โดยใหนักเรียนดูรูปที่ 20 ในหนังสือเรียน หนา และ v = AC ตามลําดับ แลวสรางรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน ABDC D
226 ประกอบคําอธิบาย ดังรูปที่ 20 v u-v

C
รูปที่ 20
226

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรยกตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาคําตอบของโจทยการบวกและ ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันสรางโจทยเรื่อง การบวกและ
การลบเวกเตอรโดยใชกฎของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน เพื่อใหนักเรียนเขาใจมาก การลบเวกเตอร และหาคําตอบโดยใชกฎของรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
ยิ่งขึ้น อยางละ 1 ขอ ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T238
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นจั บ คู  ศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 8 ใน
จากรูปที่ 20 จะเห็นวา เสนทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABDC จะเปนเวกเตอร
หนังสือเรียน หนา 227-228 แลวแลกเปลี่ยน
ผลลัพธ ดังนี้
ความรูกับคูของตนเอง จนเปนที่เขาใจรวมกัน
เสนทแยงมุม AD จะเปนเวกเตอรผลลัพธของ u + v กลาวคือ AD = u + v
จากนั้นครูอธิบายตัวอยางที่ 8 อีกครั้ง เพื่อให
เสนทแยงมุม CB จะเปนเวกเตอรผลลัพธของ u - v กลาวคือ CB = u - v นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น และเปดโอกาสให
เสนทแยงมุม BC จะเปนเวกเตอรผลลัพธของ v - u กลาวคือ BC = v - u นักเรียนซักถามในประเด็นที่ไมเขาใจ
ตัวอย่างที่ 8

กําหนด a, b, c, d และ e ดังนี้

a c d
e
b

ใหหาเวกเตอรผลลัพธของ
1) a + c 2) b - c 3) a + e + b
4) b - e - c 5) a + e - c

วิธีทํา 1) a+c 2)
b-c
a c c
b

3) 4)
b

a b-e-c c
e
a+e+b=0
e
b

เวกเตอรในสามมิติ 227

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด a, b และ c ดังนี้
a b c

ใหหาเวกเตอรผลลัพธของ
1) a + b 2) b - c 3) c + a + b
(เฉลยคําตอบ 1) 2) b-c
a+b
b c
a b

' 3) c+a+b

c
b
a )
T239
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
5)
เรียน หน้า 228 เมือ่ เสร็จแล้วครูและนักเรียนรวมกัน
เฉลยคําตอบ “ลองทําดู” c a+e-c

สอนหรือแสดง
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือ- a
เรียน หน้า 228 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้กับคูของ e
ตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูอธิบาย
ตัวอยางที่ 9 อีกครั้ง เพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่ง ลองทําดู
ขึ้น และเปดโอกาสให้นักเรียนซักถามในประเด็น กําหนด p, q, r, s และ e ดังนี้
ที่ไมเข้าใจ
p q r s e

ใหหาเวกเตอรผลลัพธของ
1) p + q 2) r - s 3) p + q + s
4) q - r - e 5) e + q - r
ตัวอย่างที่ 9

จากปริซึมสามเหลี่ยม ABCDEF E z D
กําหนด BA = u, BC = v, AE = w w
และ DE = z ใหหา AC, AD และ FC A F
C
ในรูปของ u, v, w และ z u v
B

วิธีทํา จาก ABCDEF เปนปริซึมสามเหลี่ยม


จะได AB = EF, AC = ED, BC = FD และ AE = BF = CD
ดังนั้น AC = AB + BC = -BA + BC = -u + v
AD = AC + CD = ED + CD = -DE + AE = -z + w
FC = FB + BC = EA + BC = -AE + BC = -w + v
228

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


จากตัวอยางที่ 9 ในหนังสือเรียน หน้า 288 ครูควรให้นักเรียนแสดง ครูแบงกลุม ให้นกั เรียน กลุม ละ 3-4 คน แล้วชวยกันทํากิจกรรม
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการหาเวกเตอรที่เปนผลลัพธแบบตางๆ หรือใช้คําถามให้ ตอไปนี้
นักเรียนได้คิดวิเคราะหวา จะเขียน AC ในรูปการบวกหรือการลบของเวกเตอร จากปริซึมสามเหลี่ยม ABCDEF กําหนด AB = u, CF = v และ
ทั้งสี่ได้หรือไม AC = w ให้หา BC และ AF ในรูปของ u, v และ w
B
u
A w C
E
v

F D
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
T240 เดียวกัน
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม

ลองทําดู 1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


C
หน้า 229 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
จากปริซึมสามเหลี่ยม ABCDEF กําหนด คําตอบ “ลองทําดู”
BA = u, BC = v, AE = w และ DA = z v
2. ครูให้นักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.2 ข ใน
ใหหา EF, CF และ FB ในรูปของ u, v, w, D F B หนังสือเรียน หน้า 229-230 เปนการบ้าน
และ z z u
E
w
A

แบบฝึกทักษะ 3.2 ข
ระดับพื้นฐาน

1. D C กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน มีเสนทแยงมุม


E ตัดกันที่จุด E ใหหาเวกเตอรผลลัพธในแตละขอตอไปนี้
A B

1) AB + DA + BD
2) DE + BE
3) CE + AD + AB
4) (AE + DE) - (DB + BC)
2. E D จากรูป กําหนด BC = a, BA = b, FE = c และ DB = d
c d
ใหเขียนเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ในรูปของ a, b, c
C
และ d
F
a
A b B

1) BF 2) AE
3) AD 4) BE
เวกเตอรในสามมิติ 229

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูให้นักเรียนจับคูแล้วเขียนรูปในแบบฝกทักษะ 3.2 ข ข้อ 2. ครูควรเน้นยํ้ากับนักเรียนเรื่อง ทิศทางของเวกเตอร เพราะอาจทําให้เกิด
ในหนังสือเรียน หน้า 229 ลงในกระดาษ A4 แล้วชวยกันเขียน ข้อผิดพลาดในการหาเวกเตอรผลลัพธได้งาย
เวกเตอร CE, FA และ DF ในรูปของ a, b, c และ d
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T241
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
1. ครูกําหนด u ไว้บนกระดาน ดังนี้
ระดับกลาง

u 3. จากรูป ใหเขียนเวกเตอรที่กําหนดตอไปนี้เปนเวกเตอรศูนยใหอยูในรูป a, b, c, d, e และ f

2. ครูให้นักเรียนวาด u จากนั้นให้นําจุดเริ่มต้น a f
ของ u มาตอกันอีก 3 อัน ดังนี้ c
d
b e
u
4. D C
จากรูป ใหหาผลบวกของ EC + BA + EA
u

u E

3. ครูอธิบายวา จากรูป คือ การนํา u มาบวกกัน A B


ซึ่งเทากับ u + u + u = 3u
4. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ถ้าเราให้ a เปนสเกลาร
และ u เปนเวกเตอร ผลคูณของเวกเตอร u 2. การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร (Scalar Multiple of a Vector)
ด้วยสเกลาร a เปนเวกเตอร เขียนแทนด้วย au การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร จะใชแนวคิดจากการบวกเวกเตอร ซึ่งเปนเวกเตอรที่เทากัน
5. ครูกําหนด v ไว้บนกระดาน ดังนี้
u -u
u
v -u + (-u)
u u+u -u
6. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• ถานํา 0 คูณกับ v จะไดเวกเตอรในลักษณะใด
(แนวตอบ 0 เพราะ 0 คูณจํานวนใดๆ จะได จากรูป พิจารณาผลบวกของ u + u และ (-u) + (-u) จะพบวา u + u เปนเวกเตอรที่ขนาน
และมีทิศทางเดียวกับ u แตขนาดของ u + u เปนสองเทาของขนาดของ u แต (-u) + (-u)
ผลลัพธเทากับ 0 ดังนั้น การนํา 0 ไปคูณ
เปนเวกเตอรที่ขนานกับ u ที่มีทิศทางตรงกันขามกับ u ซึ่งมีขนาดเทากับขนาดของ u + u
เวกเตอรใดๆ ก็เทากับเวกเตอรศูนย)
นิยามได ดังนี้

230

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรทบทวนบทนิยามการคูณจํานวนนับ a × b เพื่อเชื่อมโยงการคูณ A B
เวกเตอรดว้ ยสเกลาร แล้วให้นกั เรียนศึกษาเนือ้ หาในหนังสือเรียน หน้า 230-231
O
F C

E D
จากรูป ใหหาผลบวกของ
1) AB - BO + OA 2) ED + DC + DF + FE
(เฉลยคําตอบ 1) AB - BO + OA = (AB + OA) - BO
= BO + BO
= 2BO
2) ED + DC + DF + FE = ( ED + DC + DF ) + FE
= EF + FE
= EF + (-EF)
T242 = 0)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
บทนิยาม ให a เปนสเกลาร และ u เปนเวกเตอร ผลคูณของเวกเตอร u ดวยสเกลาร a • ถานํา 3 คูณกับ v จะไดเวกเตอรใน
เปนเวกเตอร เขียนแทนดวย au โดยที่ ลักษณะใด
1) ถา a = 0 แลว au = 0 (แนวตอบ 3 v มีขนาดเปนสามเทาของ v
2) ถา a > 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au และมีทิศทางเดียวกับ u
และมีทิศทางเดียวกับ v )
3) ถา a < 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au แตมีทิศทางตรงกันขามกับ u
• ถานํา -2 คูณกับ v จะไดเวกเตอรใน
ตัวอย่างที่ 10 ลักษณะใด
กําหนด u เปนเวกเตอรที่มี u  = 2 หนวย ซึ่งมีทิศทาง ดังรูป (แนวตอบ -2v มีขนาดเปนสองเทาของ v และ
มีทิศทางตรงกันขามกับ v )
7. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 10 ในหนังสือ-
เรียน หน้า 231 จากนั้นครูอธิบายให้นักเรียน
ใหหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรตอไปนี้ พรอมทั้งเขียนแสดงเวกเตอร ฟงอยางละเอียดอีกครั้ง
1) 2u 2) -3u
เปรียบเทียบและรวบรวม
วิธีทํา 1) เนื่องจาก 2 > 0 ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น 2u มีขนาดเทากับ 2u = 22 = 4 หนวย 2u หน้า 231 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
และมีทิศทางเดียวกับ u คําตอบ “ลองทําดู”

2) เนื่องจาก -3 < 0
ดังนั้น -3u มีขนาดเทากับ -3u = -32 = 6 หนวย
แตมีทิศทางตรงกันขามกับ u -3u

ลองทําดู
กําหนด a เปนเวกเตอรที่มี a = 3 หนวย ซึ่งมีทิศทาง ดังรูป

ใหหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ พรอมทั้งเขียนแสดงเวกเตอร
1) 3a 2) -4a เวกเตอรในสามมิติ 231

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันเขียนเวกเตอรและข้อกําหนดของ ครูควรเน้นยํา้ บทนิยามการคูณเวกเตอรดว้ ยสเกลาร ในหนังสือเรียน หน้า 231
เวกเตอรของตัวอยางที่ 10 ในหนังสือเรียน หน้า 231 ลงในสมุด ให้กับนักเรียนเข้าใจอยางถูกต้องกอนเริ่มอธิบายตัวอยางที่ 10 ในหนังสือเรียน
ของตนเอง แล้วหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรตอ ไปนี้ พร้อมทัง้ หน้า 231
เขียนแสดงเวกเตอร
1) 5u
2) -2u
3) 3u
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T243
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 10 ใน
ตัวอย่างที่ 11
หนังสือเรียน หน้า 232 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้กับ
คูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน กําหนด u และ v ดังนี้
u v
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ- ใหหาเวกเตอรผลลัพธที่กําหนดใหตอไปนี้
เรียน หน้า 232 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน 1) u + 2v 2) 3u - 2v
เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
วิธีทํา 1) 2)
u 2v
3u
u + 2v
3u - 2v

2v

ลองทําดู
กําหนด a และ b ดังนี้
a b

ใหหาเวกเตอรผลลัพธที่กําหนดใหตอไปนี้
1) 2a + b 2) 5a - 2b

232

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


จากตัวอยางที่ 11 ในหนังสือเรียน หน้า 232 กอนที่จะให้นักเรียนหา กําหนด a และ b ดังนี้
เวกเตอรผลลัพธ ครูควรใช้คําถามเพื่อประเมินความเข้าใจของนักเรียน เชน a b
• u + 2 v เปนเวกเตอรที่มีทิศทางจากจุดเริ่มต้นหรือจุดปลายของ
เวกเตอรใด
• 3u - 2 v เปนเวกเตอรที่มีทิศทางจากจุดเริ่มต้นหรือจุดปลายของ ใหหาเวกเตอรผลลัพธที่กําหนดใหตอไปนี้
เวกเตอรใด 1) 3a - b 2) 2b + a
(เฉลยคําตอบ 1)
3a
b
3a - b
a
2)
2b
2b + a
)
T244
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน คละ
ตัวอย่างที่ 12
A
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด D จุด E และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน รวมกันศึกษาตัวอยาง
และจุด F เปนจุดกึ่งกลางของ BC, AB ที่ 12 ในหนังสือเรียน หนา 233 แลวแลกเปลี่ยน
F E และ CA ตามลําดับ ใหเขียนเวกเตอร ความรูภายในกลุมของตนเอง จนเปนที่เขาใจ
แทนการบวกของ AD + CE + BF รวมกัน จากนัน้ ครูสมุ ตัวแทนนักเรียนออกมาแสดง
C
D B วิธหี าคําตอบหนาชัน้ เรียน โดยครูตรวจสอบความ
ถูกตอง
วิธีทํา แบบที่ 1 ใชบทนิยามการบวกเวกเตอร สรางเวกเตอรที่เทากับเวกเตอรที่เปนตัวบวก
โดยใหจุดเริ่มตนของตัวบวกกับจุดสิ้นสุดของตัวตั้งเปนจุดเดียวกัน
A

F E

C B
D
จากรูป จะเห็นวา AD + CE + BF = 0
แบบที่ 2 ใชบทนิยามการคูณเวกเตอรดวยสเกลาร หาเวกเตอรผลลัพธของ
AD + CE + BF
จากจุด D จุด E และจุด F เปนจุดกึ่งกลางของ BC , AB และ CA
ตามลําดับ และ BD = BD , BE = BE  และ AF =  AF 
เมื่อใชบทนิยามของการคูณเวกเตอรดวยสเกลาร จะได
BD = 12 BC, BE = 12 BA และ AF = 12 AC
ดังนั้น AD + CE + BF = (AB + BD) + (CB + BE) + (BA + AF)
= (AB + CB + BA) + (BD + BE + AF)
= CB + ( 12 BC + 12 BA + 12 AC)
= CB + ( 12 BC + 12 BC)
= CB + BC
=0
เวกเตอรในสามมิติ 233

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4-5 คน คละความสามารถทาง ครูควรอธิบายตัวอยางที่ 12 ในหนังสือเรียน หนา 233 ใหนักเรียนฟงอยาง
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูก ลุม เดียวกัน ชวยกัน ละเอียด พรอมกับวาดรูปประกอบการอธิบายดวย เพราะรูปในตัวอยางที่ 12 มี
สรางโจทยเหมือนตัวอยางที่ 12 ในหนังสือเรียน หนา 233 พรอมทัง้ ความซับซอนพอสมควร
หาคําตอบ เมือ่ ทําเสร็จครูสมุ นักเรียนออกมานําเสนอหนาชัน้ เรียน
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง

T245
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เปรียบเทียบและรวบรวม
ครู ใ ห นั ก เรี ย นกลุ  ม เดิ ม ทํ า “ลองทํ า ดู ” ใน ลองทําดู
หนังสือเรียน หนา 234 จากนั้นครูและนักเรียน A B กําหนดรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD
ทุกกลุมรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ใหเขียนเวกเตอรแทนการบวกของ CA + DB
E
สอนหรือแสดง
D C
1. ครูอธิบายทฤษฎีบท 2 และ 3 ในหนังสือเรียน
หนา 234
ทฤษฎีบท 2 ให u และ v เปนเวกเตอร ใด ๆ บนระนาบ โดยที่ u 0 และ v 0
2. ครูแสดงวิธีการหาคําตอบตัวอยางที่ 13 ใน u ขนานกับ v ก็ตอเมื่อ มีจํานวนจริง a 0 ที่ทําให u = av
หนังสือเรียน หนา 234 บนกระดาน และเปด
โอกาสใหนกั เรียนซักถามในประเด็นทีไ่ มเขาใจ
ทฤษฎีบท 3 ให u และ v เปนเวกเตอร ใด ๆ บนระนาบ โดยที่ u 0 และ v 0
u ไมขนานกับ v ถา au + bv = 0 แลว a = 0 และ b = 0
เปรียบเทียบและรวบรวม
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 13
หนา 234 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” กําหนด u, v และ w ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนานกับ v
2. ครูใหนักเรียนทํา Exercise 3.2 เปนการบาน เมื่อ 4u - 3v = 2v และ u ขนานกับ w เมื่อ 3u - 2w = w + 5u
วิธีทํา จากทฤษฎีบท 2 จะไดวา
4u - 3v = 2v และ 3u - 2w = w + 5u
4u = 2v + 3v 3u - 5u = w + 2w
4u = 5v -2u = 3w
5
u = 4v u = - 32 w
ดังนั้น u ขนานกับ v และ u ขนานกับ w

ลองทําดู
กําหนด a, b และ c ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดง a ขนานกับ b เมื่อ 2a - 5b = b
และ a ขนานกับ c เมื่อ 2a + 3c = c - a

234

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรเชือ่ มโยงความรูท ฤษฎีบท 2 จากบทนิยามการคูณสเกลารดว ยเวกเตอร กําหนด u, v และ w ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนาน
และทฤษฎีบท 3 ครูควรขยายความรูใหนักเรียนโดยใชการถาม-ตอบ ประกอบ กับ v เมื่อ 3 v - u = 5u และ v ขนานกับ w เมื่อ v + 2w = 4w
คําอธิบาย ดังนี้ (เฉลยคําตอบ จากทฤษฎีบท 2 จะไดวา
1. ถานํา au + b v = 0 มาจัดรูปโดยใชสมบัติการเทากัน จะไดสมการเปน 3 v - u = 5u และ v + 2w = 4w
อยางไร 3 v = 5u + u และ v = 4w - 2w
2. จากรูปสมการที่จัดไดในขอ 1. ซึ่งได au = -b v ถานักเรียนจะสรุป 3 v = 6u และ v = 2w
ความสัมพันธระหวาง u กับ v จะตองพิจารณาคาของ a และ b v = 2u
อยางไร และไดความสัมพันธ u กับ v อยางไร ดังนั้น u ขนานกับ v และ v ขนานกับ w)

T246
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สอนหรือแสดง
ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาแนวขอสอบ PAT 1
แนวข้อสอบ PAT 1
ในหนังสือเรียน หนา 235 แลวแลกเปลี่ยนความรู
กําหนด u และ v มีทิศทางเดียวกันและไมเปนเวกเตอรศูนย ใหหาคาของ x ที่เปนจํานวนจริง ซึ่งกันและกัน จนเปนที่เขาใจรวมกัน
ซึ่งทําให 6u + 8v = (2x2 + x)u - 3v
แนวคิด ขัน้ สรุป
จากโจทย 6u + 8v = (2x2 + x)u - 3v สรุป
8v + 3v = 2x2u + xu - 6u ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ
11v = (2x2 + x - 6)u นักเรียน ดังนี้
u = ( 2 11 v โดยมี 2 11 • เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรที่มี
2x + x - 6 )
เปนจํานวนจริง
2x + x - 6 ทิศทางตรงกันขาม ตางกันอยางไร
จากทฤษฎีบท 2 ถา u = av และ a > 0 แลว u ขนานกับ v และมีทิศทางเดียวกัน (แนวตอบ เวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางเดียวกัน เวกเตอร
จะได 11 > 0 ทีม่ ที ศิ ทางตรงกันขาม เปนเวกเตอรทอี่ ยูใ น
2x2 + x - 6
11 3 แนวเสนตรงเดียวกันหรืออยูในแนวเสนตรง
(2x - 3)(x + 2) > 0 เมื่อ x 2 หรือ x -2 ที่ขนานกัน แตเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน
11(2x - 3)(x + 2) > 0 จะมีหัวลูกศรไปทางเดียวกัน และเวกเตอร
(2x - 3)(x + 2) > 0 ที่มีทิศทางตรงกันขามจะมีหัวลูกศรไปทาง
ตรงกันขาม)
+ -2 - 3 +
2 • เวกเตอรที่ขนานกันจะมีลักษณะอยางไร
ดังนั้น x∊(-∞, -2) ( 32 , ∞) (แนวตอบ เวกเตอร 2 เวกเตอรจะขนานกัน
ก็ตอเมื่อเวกเตอรทั้งสองมีทิศทางเดียวกัน
หรือทิศทางตรงกันขาม)
แบบฝึกทักษะ 3.2 ข • เวกเตอรที่เทากันจะมีลักษณะอยางไร
(แนวตอบ เวกเตอร 2 เวกเตอรจะมีขนาด
ระดับพื้นฐาน เท า กั น ก็ ต  อ เมื่ อ เวกเตอร ทั้ ง สองมี ข นาด
1. กําหนด a เปนเวกเตอรที่มี a = 2 หนวย ซึ่งมีทิศทาง ดังรูป เทากันและทิศทางเดียวกัน)
a

ใหหาขนาดและทิศทางของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ พรอมทั้งเขียนแสดงเวกเตอร
1) -4a 2) 3a

เวกเตอรในสามมิติ 235

กิจกรรม 21st Century Skills


1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
2. ใหแตละกลุมรวมกันสืบคนขอสอบ PAT 1 ของการบวกเวกเตอร
การลบเวกเตอร และการคูณเวกเตอรดวยสเกลาร 2 ขอ แลว
แสดงวิธีทําลงในกระดาษ A4
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหนาชั้นเรียน

T247
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
สรุป
• นิเสธของเวกเตอรใดๆ จะมีลกั ษณะอยางไร 2. กําหนด u และ v ดังนี้
(แนวตอบ นิเสธของเวกเตอรใดๆ คือ เวกเตอร
ที่มีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขาม) u v

นําไปใช้ ใหหาเวกเตอรผลลัพธในแตละขอตอไปนี้
ให้นกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 3.2 ค ในหนังสือ- 1) 2u + 3v 2) v - 3u 3) u - 2v
เรียน หน้า 235-236
ระดับกลาง

ขัน้ ประเมิน 3. กําหนด u และ v ไมเปนเวกเตอรศูนย และ u = av ใหหาคา a เมื่อ u = 2 และ v = 4
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.2 4. กําหนด u และ v ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนานกับ v
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.2 1) 2u = 7v 2) 8u + 6v = 0
3. ครูตรวจ Exercise 3.2 3) 5u + 6v = 4u + 2v 4) 2u + 5v = 4u - v
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน 5. กําหนด u และ v ไมขนานกันและไมเปนเวกเตอรศูนย ใหหาคาของ a และ b ที่ทําให
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล (2a + 3b - 1)u + (3a - 2b - 3)v = 0
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 6. กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งมีจุด M และจุด N เปนจุดกึ่งกลางของ BC
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้ และ CD ตามลําดับ ใหแสดงวา AB = 43 u - 23 v เมื่อ u = AM และ v = AN
มุงมั่น ในการทํางาน 7. กําหนดรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD ที่มีจุด E จุด F จุด G และจุด H เปนจุดกึ่งกลางของ
ดานทั้งสี่ ตามลําดับ ใหหาผลบวกของ DE + DF + BG + BH
ระดับทาทาย
8. E D จากรูป กําหนด F เปนจุดกึ่งกลางของ AD และ
AB = ED = 2BC ใหหาคาของ a + b ที่ทําให
F
AF = aBC + bDC
A B C
9. D C กําหนด ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน และให
CE = 23 CB, AO = aAE และ OB = bDB ใหหา
O E
คาของ a และ b
A B
236

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิด


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา กําหนด u และ v ไมเปนเวกเตอรศูนย และ v = au ใหหาคา
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง ปริมาณเวกเตอรและปริมาณสเกลาร ในขั้นเปรียบเทียบและ a เมื่อกําหนด u = 3 และ  v  = 9
รวบรวม โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการ 1. a = 3 2. a = 4 3. a = 5 4. a = 6
จัดการเรียนรู้ในหนวยการเรียนรู้ที่ 3 (เฉลยคําตอบ จาก v = au จะไดวา
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล
∣ v ∣ = ∣a∣ ∣u∣
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ

ลาดับที่
ระดับคะแนน

รายการประเมิน
ระดับคะแนน 9 = ∣a∣3
9
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น

∣a∣ = 3
   
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

∣a∣ = 3
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ให้
ให้
4
3
คะแนน
คะแนน
a=3
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน

ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 1.)


ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T248
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับระบบพิกัดฉาก โดย
3.3 เวกเตอรในระบบพิกัดฉาก ใช้คําถามถามนักเรียน ดังนี้
(Vectors and Coordinate Systems)
• ระบบพิ กั ด ฉากสองมิ ติ ป ระกอบด ว ยแกน
เวกเตอรในระบบพิกดั ฉากเปนเวกเตอรทเี่ ขียนในรูปของผลบวกของเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางในแนว ใดบาง และแบงระนาบออกเปนกี่สวน และ
แกนอางอิงในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ แตละสวนเรียกวาอะไร
Y (แนวตอบ ระบบพิกัดฉากสองมิติ ประกอบ
B ดวยแกน X และแกน Y แบงระนาบออกเปน
4 สวน และแตละสวนเรียกวา จตุภาค)
v • ระบบพิกัดฉากสามมิติประกอบดวยแกน
C A
ใดบาง และแบงระนาบออกเปนกี่สวน และ
u แตละสวนเรียกวาอะไร
O X
(แนวตอบ ระบบพิกดั ฉากสามมิติ ประกอบดวย
แกน X แกน Y และแกน Z แบงระนาบออก
รูปที่ 21
เปน 8 สวน และแตละสวนเรียกวา อัฐภาค)
1. เวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสองมิติ
ขัน้ สอน
จากรูปที่ 21 จะเห็นวา AB เปนผลบวกของ u และ v โดยที่ u มีขนาด 4 หนวย ทิศทาง รู้ (Knowing)
ขนานกับแกน X ไปทางขวา และ v มีขนาด 5 หนวย ทิศทางขนานกับแกน Y ไปขางบน เขียน
แทน AB ซึ่งมีทิศทางตามแนวแกน X เปนระยะ 4 หนวย และทิศทางตามแนวแกน Y เปนระยะ 1. ครูให้นักเรียนดูรูปที่ 21 ในหนังสือเรียน หน้า
5 หนวย ดวย 45 หรือ [4, 5] 237 และถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• u กับ v มีขนาดกี่หนวย และมีทิศทางขนาน
สําหรับ OC เปนเวกเตอรทมี่ จี ดุ เริม่ ตนทีจ่ ดุ O(0, 0) ซึง่ เรียกวา เวกเตอรในตําแหนงมาตรฐาน
กับแกนอะไร
ที่เปนผลบวกของเวกเตอรที่มีขนาด 3 หนวย มีทิศทางขนานกับแกน X ไปทางซาย กับเวกเตอร
(แนวตอบ u มีขนาด 4 หนวย ทิศทางขนาน
ที่มีขนาด 2 หนวย มีทิศทางขนานกับแกน Y ไปขางบน เขียนแทน OC ดวย -32
กับแกน X และ v มีขนาด 5 หนวย ทิศทาง
การเขียนเวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสองมิตโิ ดยทัว่ ไป เขียนแทนดวย ab ซึง่ เปนผลบวกของ ขนานกับแกน Y)
เวกเตอรสองเวกเตอร คือ
เวกเตอร u มีขนาด  a  หนวย ถา a > 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทางขนานกับแกน X ไป
ทางขวา ถา a < 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทางขนานกับแกน X ไปทางซาย
เวกเตอร v มีขนาด  b  หนวย ถา b > 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทางขนานกับแกน Y ไป
ขางบน ถา b < 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทางขนานกับแกน Y ไปขางลาง
เวกเตอรในสามมิติ 237

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันสร้างเวกเตอร AB ที่เปนผลบวก ครูควรให้นักเรียนจับคูศึกษาเนื้อหาในหนังสือเรียน หน้า 237 และใช้การ
ของ u และ v โดยที่ u มีขนาด 2 หนวย ทิศทางขนานกับแกน X ถาม-ตอบ ประเมินความเข้าใจของนักเรียน เชน
ไปทางซ้าย และ v มีขนาด 4 หนวย ทิศทางขนานกับแกน Y ไป • เวกเตอรในตําแหนงมาตรฐานเปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มต้นที่จุดใด
ข้างบนลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครู • เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติเขียนแทนด้วยสัญลักษณใด
ตรวจสอบความถูกต้อง และมีความหมายอยางไร
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T249
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การเขียนเวกเตอรใน
ตัวอย่างที่ 14
ระบบพิกัดฉากสองมิติโดยทั่วไป เขียนแทน
a
ด้ ว ย [ b] ซึ่ ง เป น ผลบวกของเวกเตอร ส อง ใหเขียน -22 และ 13 โดยมีจุดเริ่มตนที่จุด O(0, 0) และจุด P(2, 1) ตามลําดับ
เวกเตอร คือ เวกเตอร u มีขนาด a หนวย
ถ้า a > 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทางขนานกับแกน วิธีทํา Y
X ไปทางขวา ถ้า a < 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทาง
ขนานกับแกน X ไปทางซ้าย เวกเตอร v มีขนาด
b หนวย ถ้า b > 0 เวกเตอรนี้จะมีทิศทาง
P(2, 1)
ขนานกับแกน Y ไปข้างบน ถ้า b < 0 เวกเตอร O(0, 0)
X

นี้จะมีทิศทางขนานกับแกน Y ไปด้านลาง
3. ครูอธิบายตัวอยางที่ 14 ในหนังสือเรียน หน้า
238 บนกระดาน และเปดโอกาสให้นักเรียน ลองทําดู
ซักถามในประเด็นที่ไมเข้าใจ ใหเขียนเวกเตอร -34 และ -21 โดยมีจดุ เริม่ ตนทีจ่ ดุ O(0, 0) และจุด P(2, -3) ตามลําดับ
เข้าใจ (Understanding)
คณิตน่ารู้
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 238 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย เมื่อ a เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด O จะมีจุดสิ้นสุดที่จุด ( a, b)
b
คําตอบ “ลองทําดู”

รู้ (Knowing) ในกรณีทั่วไป เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติ AB มีจุดเริ่มตนที่ A(x1, y1) และจุดสิ้นสุด


ที่ B(x2, y2) โดยที่ AB = u + v ซึ่ง  u  = a,  v  = b และ u, v ขนานกับแกน X และแกน Y
1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
ตามลําดับ ดังรูปที่ 22
หน้า 238 ให้กับนักเรียน Y
B(x2, y2)

v
A(x1, y1)
u
X
O
รูปที่ 22
238

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรขยายความรู้ระหวางจุดสิ้นสุดของเวกเตอรในตําแหนงมาตรฐาน ใหเขียน -23 และ -15 โดยมีจุดเริ่มตนที่จุด O(0, 0) และ
a
กับสัญลักษณ [ b] โดยใช้การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย ซึ่งสอดคล้องกับ จุด A(1, 1) ตามลําดับ
“คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน หน้า 238
(เฉลยคําตอบ
Y

A (1, 1)
O (0, 0) X

T250
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
สําหรับ u มีจดุ เริม่ ตนที่ A(x1, y1) และ  u  = a จะไดพกิ ดั ของจุดสิน้ สุดของ u คือ (x1 + a, y1)
หน้า 238-239 จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา
และจาก v มีจดุ เริม่ ตนที่ (x1 + a, y1) และ v = b จะไดพกิ ดั ของจุดสิน้ สุดของ v คือ (x1 + a, y1 + b)
ถ้ากําหนดให้ A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปน
ดังรูปที่ 23
Y จุดใดๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ แล้ว
B (x1 + a, y1 + b) x2 - x1
AB = y - y
2 1

v 3. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 15 ใน
(x1 + a, y1) หนังสือเรียน หน้า 239 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
A (x1, y1) u
O X กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
รูปที่ 23

จะเห็นวา จุดสิ้นสุดของ v เปนจุดสิ้นสุดของ AB เชนกัน


ดังนั้น x1 + a = x2 และ y1 + b = y2
a = x2 - x1 b = y2 - y1
x -x
ทําใหไดวา AB = ab = y2 - y1
2 1
นั่นคือ ถา A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ
x -x
แลว AB = y2 - y1
2 1
ตัวอย่างที่ 15
กําหนด A มีพิกัด (-3, 2), B มีพิกัด (4, 3) และ C มีพิกัด (0, -5) ใหหา
1) AB 2) BC 3) CA

วิธีทํา 1) AB = 4 - (-3) = 7
3-2 1
2) BC = 0 - 4 = -4
-5 - 3 -8
3) CA = -3 - 0 = -3
2 - (-5) 7

เวกเตอรในสามมิติ 239

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


x -x
ครูให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันสร้างจุด A, B และ C แล้วหา ครูควรเน้นยํ้าความหมายจากสัญลักษณ AB = y22 - y11 วาเปนเวกเตอร
AB, BC และ CA ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียน ที่มีจุด A เปนจุดเริ่มต้น และจุด B เปนจุดสิ้นสุด แล้วตัวตั้งจึงเปนจุดสิ้นสุด
ออกมานําเสนอหน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน และตัวลบจึงเปนจุดเริ่มต้น
ตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T251
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
ลองทําดู
เรียน หน้า 240 จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” กําหนด A มีพิกัด (2, 5), B มีพิกัด (5, 0) และ C มีพิกัด (-2, 3) ใหหา AB, BC และ CA
ตัวอย่างที่ 16
รู้ (Knowing)
กําหนด AB = -53 มีจุดเริ่มตนที่ A(3, 2) ใหหาพิกัดของจุด B
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 16 ในหนังสือ-
เรียน หน้า 240 ด้วยตนเอง แล้วครูอธิบายซํ้า วิธีทํา ใหจุด B มีพิกัด (x1, y1)
อีกครั้งอยางละเอียดบนกระดาน และเปดโอกาส
จาก AB = -53 มีจุดเริ่มตนที่ A(3, 2)
ให้นักเรียนซักถามในประเด็นที่ไมเข้าใจ
x -3 x -3
จะไดวา AB = y1 - 2 แสดงวา -53 = y1 - 2
เข้าใจ (Understanding) 1 1

ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดังนั้น -5 = x1 - 3 และ 3 = y1 - 2


หน้า 240 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย x1 = -2 y1 = 5
คําตอบ “ลองทําดู” นั่นคือ จุด B มีพิกัด (-2, 5)

รู้ (Knowing) ลองทําดู


1. ครูให้นักเรียนดูรูปที่ 24 ในหนังสือเรียน หน้า กําหนด AB = -34 มีจุดเริ่มตนที่ A(-3, 1) ใหหาพิกัดของจุด B
240 และถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• จากรูป เวกเตอร OP เกิดจากเวกเตอรใด 2. เวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสามมิติ
(แนวตอบ เวกเตอร OP เกิดจากการบวกกัน จากเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติไดมีการนําแนวคิดมาพัฒนาเปนเรื่องเวกเตอรในระบบ
a พิกัดฉากสามมิติ ดังรูปที่ 24
ของ u + v + w = b ) Z
c
P(a, b, c)

w
OP
O Y
u
v
X
รูปที่ 24
240

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูเน้นยํา้ กับนักเรียนวา การกําหนดพิกดั ของจุดเริม่ ต้นและจุดสิน้ สุดในการ กําหนด PQ = -32 มีจุดเริ่มตนที่ P(1, 0) ใหหาพิกัดของจุด Q
นําไปใช้ ควรกําหนดแบบเดียวกันกับข้อกําหนดเพื่อไมให้นักเรียนสับสน
(เฉลยคําตอบ ใหจุด Q มีพิกัด (x1, y1)
จาก PQ = -32 มีจุดเริ่มตนที่ P(1, 0)
x -1 x -1
จะไดวา PQ = y11 - 0 แสดงวา -32 = y11 - 0
ดังนั้น 2 = x1 - 1 และ -3 = y1 - 0
x1 = 3 y1 = -3
นั่นคือ จุด Q มีพิกัด (3, -3))

T252
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
a 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา กําหนดให้ a, b และ c
จากรูป ใชบทนิยามการบวกเวกเตอร จะได OP = u + v + w = b ซึ่งเวกเตอรในระบบ a
พิกัดฉากสามมิติมีบทนิยาม ดังนี้ c เปนจํานวนจริง เรียก b วา เวกเตอรในระบบ
c
บทนิยาม a พิกัดฉากสามมิติหรือเวกเตอรในสามมิติ
กําหนดให a, b และ c เปนจํานวนจริง เรียก b วา เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
c 3. ครูแสดงตัวอยางที่ 17 ในหนังสือเรียน หน้า 241
หรือเวกเตอรในสามมิติ
ให้นักเรียนดูบนกระดาน
ตัวอย่างที่ 17
ใหหาเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด O และมีจุดสิ้นสุดที่จุด A(2, 4, 3), เข้าใจ (Understanding)
จุด B(4, -2, 4) และจุด C(-4, -4, -2) พรอมทัง้ เขียนเวกเตอรทไี่ ดลงในระบบพิกดั ฉาก ครูให้นกั เรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 241 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธีทํา จากบทนิยาม จะไดวา
2 4 -4 คําตอบ “ลองทําดู”
OA = 4 , OB = -2 และ OC = -4
3 4 -2 รู้ (Knowing)
เขียนเวกเตอรลงในระบบพิกัดฉากได ดังนี้ 1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
Z
หน้า 241 ให้กับนักเรียน

B A
C
O Y

ลองทําดู
ใหหาเวกเตอรทมี่ จี ดุ เริม่ ตนทีจ่ ดุ กําเนิด O และมีจดุ สิน้ สุดทีจ่ ดุ A(4, 3, 5), จุด B(-3, 4, 6)
และจุด C(-2, -3, -4) พรอมทั้งเขียนเวกเตอรที่ไดลงในระบบพิกัดฉาก
คณิตน่ารู้
a
เมื่อเวกเตอร b เปนเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด O จะมีจุดสิ้นสุดที่จุด (a, b, c)
c

เวกเตอรในสามมิติ 241

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมให้นักเรียน กลุมละ 3-4 คน ชวยกันสร้างเวกเตอร ครูควรเขียนรูปทรงเรขาคณิตเพื่อให้นักเรียนเข้าใจและเห็นรูปชัดเจนมาก
ที่มีจุดเริ่มต้นที่จุดกําเนิด O และมีจุดสิ้นสุดที่จุด P, Q และ R ยิ่งขึ้น แล้วใช้การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย เชน
พร้อมทั้งเขียนเวกเตอรที่สร้างในระบบพิกัดฉากสามมิติ โดยทํา 1. นักเรียนบอกพิกัดของจุดสิ้นสุดของ u, v และ w ได้หรือไม และมีพิกัด
ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ อยางไร
หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความ 2. u, v และ w เปนเวกเตอรในตําแหนงมาตรฐานหรือไม
ถูกต้อง 3. ถ้าใช้บทนิยามการบวกของเวกเตอร จะได้วา OP = u + v + w
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง ใชหรือไม
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
เดียวกัน

T253
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
ในกรณีทั่วไป เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ AB มีจุดเริ่มตน A(x1, y1, z1) และ
หน้า 242-243 จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา
จุดสิ้นสุด B(x2, y2, z2) โดย AB = u + v + w ซึ่ง  u  = a,  v  = b และ  w  = c และ u, v
ถ้ากําหนดให้ A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2)
และ w ขนานกับแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ ดังรูปที่ 25
เปนจุดใดๆ ในระบบพิกัด ฉากสามมิ ติ แล้ ว Z
x2 - x1 B(x2, y2, z2)
AB = y2 - y1 A(x1, y1, z1)
z2 - z1 w
v u
O Y

รูปที่ 25

สําหรับ u มีจุดเริ่มตน A(x1, y1, z1) และ  u  = a จะไดพิกัดของจุดสิ้นสุดของ u คือ


(x1 + a, y1, z1) จาก v มีจุดเริ่มตน (x1 + a, y1, z1) และ  v  = b จะไดพิกัดของจุดสิ้นสุดของ
v คือ (x1 + a, y1 + b, z1) และจาก w มีจุดเริ่มตนที่ (x1 + a, y1 + b, z1) และ  w  = c จะได
พิกัดของจุดสิ้นสุดของ w คือ (x1 + a, y1 + b, z1 + c) ดังรูปที่ 26
Z (x1 + a, y1 + b, z1 + c)

(x1 + a, y1 + b, z1)
(x1 + a, y1, z1)
O Y

X
รูปที่ 26

ซึ่งจุดสิ้นสุดของ w เปนจุดสิ้นสุดของ AB เชนกัน ดังนั้น


x1 + a = x2 y1 + b = y2 z1 + c = z2
a = x2 - x1 b = y2 - y1 c = z2 - z1
a x 2 - x1
ทําใหไดวา AB = b = y2 - y1
c z2 - z1
242

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


x -x
ครูควรให้นักเรียนชวยกันบอกที่มาของ AB = y22 - y11 แล้วเชื่อมโยง ครูให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันสร้างเวกเตอรในระบบพิกัดฉาก
การหาเวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสามมิติ โดยใช้การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย สามมิติที่มีจุดเริ่มต้น A(1, 1, 1) พร้อมบอกขนาดของเวกเตอร
เพือ่ ให้นกั เรียนได้ความคิดรวบยอดความสัมพันธระหวางพิกดั ของจุด A(x1, y1, z1) ที่สร้างลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครู
x2 - x1 ตรวจสอบความถูกต้อง
กับ B(x2, y2, z2) และ AB = y2 - y1 หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
z2 - z1

T254
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 18-19 ใน
นั่นคือ ถา A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
หนังสือเรียน หน้า 243 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
x 2 - x1 กับคูข องตนเอง จนเปนทีเ่ ข้าใจรวมกัน จากนัน้
แลว AB = y2 - y1
z2 - z1 ครูสุมนักเรียนออกมาอธิบายวิธีการหาคําตอบ
หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวม
ตัวอย่างที่ 18 กันตรวจสอบความถูกต้อง
กําหนด A มีพิกัด (-4, 2, 6), B มีพิกัด (0, 4, -3) และ C มีพิกัด (5, -2, 0)
ใหหา AB และ BC เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
0 - (-4) 4 5-0 5
วิธีทํา AB = 4 - 2 = 2 BC = -2 - 4 = -6 หน้า 243-244 แล้วแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของ
-3 - 6 -9 0 - (-3) 3 ตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูและ
นักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู
กําหนด A มีพิกัด (5, 0, -4), B มีพิกัด (-4, 3, -2) และ C มีพิกัด (0, -4, 6) ใหหา
AB และ BC

ตัวอย่างที่ 19
3
กําหนด AB = -5 โดยมี A เปนจุดเริ่มตนที่มีพิกัด (2, 1, 2) ใหหาพิกัดของ
จุดสิ้นสุด B 4

วิธีทํา ให B มีพิกัด (x1, y1, z1) และจาก A เปนจุดเริ่มตนที่มีพิกัด (2, 1, 2)


x1 - 2 x1 - 2 3
จะไดวา AB = 1 y - 1 แสดงวา y1 - 1 = -5
z1 - 2 z1 - 2 4
ดังนั้น x1 - 2 = 3 y1 - 1 = -5 z1 - 2 = 4
x1 = 5 y1 = -4 z1 = 6
นั่นคือ B มีพิกัด (5, -4, 6)

เวกเตอรในสามมิติ 243

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


-1
กําหนด AB = 0 โดยมี A เปนจุดเริ่มตนที่มีพิกัด (3, 1, -1) ครูควรเน้นยํา้ นักเรียนเกีย่ วกับจํานวนทีเ่ ปนตัวตัง้ และจํานวนทีเ่ ปนตัวลบให้
2 สอดคล้องกับจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด โดยใช้คําถามเชื่อมโยงกับรูปแบบนั้น
ใหหาพิกัดของจุดสิ้นสุด B

(เฉลยคําตอบ ให B มีพิกัด (x1, y1, z1) และจาก A เปนจุดเริ่มตน


ที่มีพิกัด (3, 1, -1)
x1 - 3 x1 - 3 -1
จะไดวา AB = y1 - 1 แสดงวา y1 - 1 = 0
z1 + 1 z1 + 1 2
ดังนั้น x1 - 3 = -1 y1 - 1 = 0 z1 + 1 = 2
x1 = 2 y1 = 1 z1 = 1
นั่นคือ B มีพิกัด (2, 1, 1))

T255
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู  ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
ลองทําดู
หนา 244 จากนัน้ ครูสมุ นักเรียนออกมาอธิบาย 3
เกี่ ย วกั บ การเท า กั น ของเวกเตอร การบวก กําหนด AB = -3 โดยมี A เปนจุดเริม่ ตนทีม่ พี กิ ดั (-1, 3, 0) ใหหาพิกดั ของจุดสิน้ สุด B
เวกเตอร เวกเตอรศูนย นิเสธของเวกเตอร 6
การลบเวกเตอร และการคูณเวกเตอรดวย
สเกลารในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ สําหรับการเทากันของเวกเตอร การบวกเวกเตอร เวกเตอรศูนย นิเสธของเวกเตอร การลบ
ตามความเข า ใจของตนเอง เพื่ อ เป น การ เวกเตอร และการคูณเวกเตอรดวยสเกลารในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ จะเปนไปตาม
ทบทวนความรู ครูคอยเสริมความรูใ นบางสวน บทนิยามตอไปนี้
ใหสมบูรณ บทนิยาม เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติ เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
a d
การเทากัน a = c ก็ตอเมื่อ a = c และ b = d b = e ก็ตอเมื่อ a = d, b = e
b d c f
และ c = f
a d a + d
การบวกเวกเตอร a + c = a + c b + e = b + e
b d b + d c f c + f

0 0
เวกเตอรศูนย เวกเตอรศูนย คือ 0 เวกเตอรศูนย คือ 0
0
a a -a
นิเสธของเวกเตอร นิเสธของ a คือ - a หรือ -a นิเสธของ b คือ - b หรือ -b
b b -b c c -c
a d a - d
การลบเวกเตอร a - c = a - c b - e = b - e
b d b - d c f c - f
a λa
การคูณเวกเตอร λ
a = λa λ b = λb
b λb
c λc
ดวยสเกลาร
เมื่อ λ เปนจํานวนจริงใด ๆ
เมื่อ λ เปนจํานวนจริงใด ๆ

244

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรใหนักเรียนจับคูศึกษาบทนิยามในตาราง ในหนังสือเรียน หนา 244 ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละความสามารถ
แลวชวยกันหาผลลัพธของ [ba] + [dc] , [ba] - [dc] โดยครูกําหนดคาของ a, b, c ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
และ d แลวชวยกันสรางเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ
อยางละ 3 เวกเตอร โดยนําบทนิยามในตาราง ในหนังสือเรียน
หนา 244 มาสรางโดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จครูสุม
นักเรียนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียน
รวมกันตรวจสอบความถูกตอง

T256
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 20 ในหนังสือ-
ตัวอย่างที่ 20
3 x -1 เรียน หน้า 245 ด้วยตนเอง แล้วครูอธิบาย
กําหนด u = 4 , v = -y และ w = 2 โดยที่ v = -2w อยางละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ
5 z 1
ใหหา u + v, v - w, -v และ u + w มากยิ่งขึ้น
x -1 2
วิธีทํา จาก v = -2w จะไดวา -y = (-2) 2 = -4 เข้าใจ (Understanding)
z 1 -2 2 1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ดังนั้น x = 2, y = 4 และ z = -2 นั่นคือ v = -4
-2 หน้า 245 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
3 2 5 คําตอบ “ลองทําดู”
ทําใหไดวา u + v = 4 + -4 = 0
5 -2 3
2 -1 3
v-w = -4 - 2 = -6
-2 1 -3
2 -2
-v = - -4 = 4
-2 2
3 -1 2
u+w = 4 + 2 = 6
5 1 6
ลองทําดู
3 a 0
กําหนด u = 1 , v = b และ w = -2 โดยที่ v = -2u
4 c 5
ใหหา u + v, u - v, v + w, และ u - w

แบบฝึกทักษะ 3.3 ก
ระดับพื้นฐาน
1
1. ใหหา AB และ BA เมื่อกําหนดพิกัดจุด A และจุด B ในแตละขอตอไปนี้
1) A(4, -5), B(-3, 1) 2) A(5, 4), B(7, 3)
3) A(-3, 8), B(9, -4) 4) A(5, 0, 2), B(6, -2, 5)
5) A(-6, 7, 0) B(1, 1, 3) 6) A(0, 2, 9), B(-6, 5, 2)
เวกเตอรในสามมิติ 245

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


1 4 x
กําหนด u = -2 , v = 0 และ w = y โดยที่ w = -u ครูควรให้นกั เรียนเสนอแนวคิดตาง ๆ หรือครูใช้คาํ ถามให้นกั เรียนได้ฝก คิด
3 6 -z วิเคราะห เชน การหา u + v และ v + w นักเรียนต้องหาคาของ x, y และ z
ใหหา u + v , v - w , - v และ u + w กอนหรือไม เพราะเหตุใด
x 1 -1
(เฉลยคําตอบ จาก w = -u จะไดวา y = (-1) -2 = 2
-z 3 -3
-1
ดังนั้น x = -1, y = 2 และ z = 3 นั่นคือ w = 2 นักเรียนควรรู
-3
1 4 5 1 AB และ BA เปนนิเสธของเวกเตอร การหา BA หาได้จาก -AB
ทําใหไดวา u + v = -2 + 0 = -2
3 6 9
4 -1 5
v - w = 0 - 2 = -2
6 -3 9
4 -4
-v = - 0 = 0
6 -6
1 -1 0
u + w = -2 + 2 = 0 )
3 -3 0 T257
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เขาใจ (Understanding)
2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.3 ก ใน 0
2. กําหนด AB = -75 และ PQ = -7 ใหหาพิกัดในแตละขอตอไปนี้
หนังสือเรียน หนา 245-246 เปนการบาน 4
1) พิกัดของ A เมื่อ B มีพิกัด (6, -4)
รู (Knowing) 2) พิกัดของ B เมื่อ A มีพิกัด (2, -6)
1. ครูกําหนดจุดตางๆ ในพิกัดฉากสองมิติบน 3) พิกัดของ P เมื่อ Q มีพิกัด (7, 3, 2)
กระดาน เชน จุด A(1, 2), B(5, 2) และจุด 4) พิกัดของ Q เมื่อ P มีพิกัด (-4, 0, 8)
C(5, 5) จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
ระดับกลาง
• ระยะทางระหวางจุด A(1, 2) กับ B(5, 2) 1 7
เปนเทาใด และมีวิธีการหาอยางไร 3. กําหนด u = -52 , v = -17 , p = 5 และ q = -6 ใหหาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
(แนวตอบ ระยะทางระหวางจุด A(1, 2) กับ 2 8
1) 2u + v 2) u - 3v
B(5, 2) มีระยะทาง 4 หนวย หาไดโดยการ 3) -p + 2q 4) 5p - 2q
นําคา x ของจุด B คือ 5 มาลบกับคา x ของ 5) นิเสธของ 3u + 4v 6) นิเสธของ 4p - 3q
จุด A คือ 1 ซึ่งมีผลลัพธเทากับ 4)
• ระยะทางระหวางจุด B(5, 2) กับ C(5, 5) 4. กําหนด u = 53 , v = -26 , w = 13 , p = 43 , q = -46 และ r = 08
เปนเทาใด และมีวิธีการหาอยางไร ใหหาคาของ a และ b ในแตละขอตอไปนี้
(แนวตอบ ระยะทางระหวางจุด B(5, 2) กับ 1) w = au + bv 2) u + av + bw = 0
C(5, 5) มีระยะทาง 3 หนวย หาไดโดยการ 3) br = ap - q 4) r = ap - bq
นําคา y ของจุด C คือ 5 มาลบกับคา y ของ 5. กําหนด u = 34 และ v = 43 ใหเขียน 18 17 ในรูป au + bv
จุด B คือ 2 ซึ่งมีผลลัพธเทากับ 4) 1 -7 -11
6. กําหนด u = 2 และ v = 0 ใหเขียน 6 ในรูป au + bv
3 5 19
ระดับทาทาย
7. พิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้คูใดบางที่ขนานกัน
1) 13 , 31 , 93 , 40 , 14 , 80 , 26 และ -3 -12
1 -2 1 3 2 -1
2) 3 , 0 , 1 , 3 , 0 และ 3
1 -3 3 9 -3 -1
- 13

246

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ครูควรใหนักเรียนชวยกันเสนอแนวคิดกอนหรือครูใชคําถามแนะแนวทาง 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
เชน การหา BA นักเรียนจะใชความสัมพันธระหวาง AB กับ BA ไดหรือไม คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน
เพราะเหตุใด 2. ใหแตละกลุมรวมกันสืบคนโจทยของเวกเตอรในระบบพิกัดฉาก
สามมิติ 1 ขอ พรอมแสดงวิธีการทําลงในกระดาษ A4
3. ใหแตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหนาชั้นเรียน

T258
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู  ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
3. ขนาดของเวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ
หนา 247 จากนั้นครูใหนักเรียนดูรูปการหา
ขนาดของเวกเตอรใด ๆ หมายถึง ความยาวของสวนของเสนตรงทีร่ ะบุทศิ ทางทีแ่ ทนเวกเตอร
ขนาดของเวกเตอรในสองมิติ ในหนังสือเรียน
นั้น ๆ
Y หนา 247 และครูอธิบายนักเรียนวา ขนาดของ
จากรูป กําหนดจุด P มีพิกัดเปน (x1, y1) เวกเตอรในสองมิติหาไดจาก
Q(x2, y2)
จุด Q มีพิกัดเปน (x2, y2)
PQ PQ = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2
b จะได PQ เปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉาก
x -x ซึ่ ง การหาขนาดของเวกเตอร ใ นสองมิ ติ นั้ น
สองมิติ โดยที่ PQ = y2 - y1
P(x1, y1) a 2 1 เราสามารถนําความรูเรื่อง ระยะทางระหวาง
O X จุ ด สองจุ ด ในระบบพิ กั ด ฉากสองมิ ติ เ ข า มา
ชวยได
โดยใชความรูเรื่องระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสองมิติ จะไดวา 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ถาให x2 - x1 = a และ
2
 PQ  = (x2 - x1) + (y2 - y1)
2
y2 - y1 = b จะได PQ = [ba] ดังนั้น
PQ = a2 + b2
ถาให x2 - x1 = a และ y2 - y1 = b จะได PQ = ab ดังนั้น  PQ  = a2 + b2
4. ครูใหนักเรียนดูรูปการหาขนาดของเวกเตอร
Z
B(x2, y2, z2) ในสามมิติ ในหนังสือเรียน หนา 247 และ
AB จากรูป กําหนดจุด A มีพิกัดเปน (x1, y1, z1) ครูอธิบายนักเรียนวา ขนาดของเวกเตอรใน
A(x1, y1, z1) จุด B มีพิกัดเปน (x2, y2, z2) สามมิติหาไดจาก
จะได AB เปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉาก AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
x2 - x1
O Y สามมิติ โดยที่ AB = y2 - y1 ซึ่ ง การหาขนาดของเวกเตอร ใ นสามมิ ติ นั้ น
z2 - z1
เราสามารถนําความรูเรื่อง ระยะทางระหวาง
จุดสองจุดในระบบพิกดั ฉากสามมิตเิ ขามาชวย
X
ได
จากทฤษฎีบท 1 ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ จะได 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ถาให x2 - x1 = a,
 AB= (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 y2 - y1 = b และ z2 - z1 = c จะได
a a
AB = b ดังนั้น AB = a2 + b2 + c2
ถาให x2 - x1 = a, y2 - y1 = b และ z2 - z1 = c จะได AB = b c
c
ดังนั้น  AB  = a2 + b2 + c2
เวกเตอรในสามมิติ 247

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนจับคูแ ลวชวยกันสรางเวกเตอรในระบบพิกดั ฉาก ครูควรทบทวนสูตรระยะทางระหวางจุดสองจุดใดๆ บนระบบพิกัดฉาก
สองมิตแิ ละสามมิตอิ ยางละ 1 เวกเตอร แลวหาขนาดของเวกเตอร a
ทั้งสองลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู โดยครู สองมิติและสามมิติ และเชื่อมโยงกับ [ba] และ b ตามลําดับ
c
ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T259
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
6. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 21
หน้า 248 จากนั้นครูอธิบายอีกครั้ง เพื่อให้
นักเรียนเข้าใจมากยิง่ ขึน้
ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
1) u = 158
เข้าใจ (Understanding) 2) AB โดยที่ A มีพิกัดเปน (1, -2, 8) และ B มีพิกัดเปน (-1, 2, 4)
1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธีทํา 1) เนื่องจากเวกเตอร ab ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2
หน้า 248 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ดังนั้น 2 2
 u  = 8 + 15 = 289 = 17
2. ครูแจกใบงานที่ 3.3 เรื่อง ขนาดเวกเตอรใน 2) จาก A มีพิกัดเปน (1, -2, 8) และ B มีพิกัดเปน (-1, 2, 4)
ระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ ให้นกั เรียน -1 - 1 -2
จะไดวา AB = 2 - (-2) = 4
ทํา จากนัน้ ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ 4 -8 -4
ใบงานที่ 3.3 a
เนื่องจากเวกเตอร b ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2 + c2
c
รู้ (Knowing)
ดังนั้น AB = (-2)2 + 42 + (-4)2 = 36 = 6
1. ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับเวกเตอรหนึ่งหนวย
วา เวกเตอรหนึ่งหนวย หมายถึง เวกเตอรที่มี ลองทําดู
ขนาดหนึ่งหนวย ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
4 1) u = 68
2. ครูให้นักเรียนพิจารณาเวกเตอร u = 53 ,
5 2) AB โดยที่ A มีพิกัดเปน (2, 1, -3) และ B มีพิกัดเปน (-1, 4, 2)
5
- 13 7
v = 12 และ w = 25 ในหนังสือเรียน 4. เวกเตอรหนึง่ หนวยในระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ
13 - 2425
บทนิยาม เวกเตอรหนึ่งหนวย (Unit Vector) หมายถึง เวกเตอรที่มีขนาดหนึ่งหนวย
หน้า 248 แล้วให้นักเรียนศึกษาความรู้ใน
หนังสือเรียน หน้า 249 เรือ่ ง เวกเตอรหนึง่ หนวย 4 -5 7
พิจารณา u = 53 , v = 13 และ w = 25
ในสองมิติ 12 - 24
5 13 25
 u  = ( 4 ) + ( 3 ) = 16 + 9 = 25 = 1
2 2
จะไดวา 5 5 25 25 25
 v  = (- 5 ) + (12) = 25 + 144 = 169 = 1
2 2
13 13 169 169 169
 w  = ( 7 ) + (- 24 ) = 49 + 576 = 625 = 1
2 2
25 25 625 625 625
248

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครู ค วรใช้ คํ า ถามฝ ก ให้ นั ก เรี ย นได้ คิ ด วิ เ คราะห เ พื่ อ เลื อ กสู ต รมาใช้ ใ ห้ ใหหาขนาดของ AB โดยที่ A มีพิกัดเปน (-3, 6, 1) และ B
เหมาะสม เชน จากตัวอยางที่ 21 ในหนังสือเรียน หน้า 248 ข้อ 1) จะใช้ มีพิกัดเปน (0, -5, 2)
สูตรใด เพราะเหตุใด และข้อ 2) จะใช้สูตรใด เพราะเหตุใด (เฉลยคําตอบ จาก A มีพิกัดเปน (-3, 6, 1) และ B มีพิกัดเปน
(0, -5, 2)
0 - (-3) 3
จะไดวา AB = -5 - 6 = -11
2-1 1
a
เนื่องจากเวกเตอร b ใดๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2 + c2
c
ดังนั้น AB = 32 + (-11)2 + 12 = 131)

T260
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ซึ่งสามารถเขียน u, v และ w ในรูปการคูณสเกลารกับเวกเตอรใด ๆ ได ดังนี้ เวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติ
u = 15 4 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ไดจากการคูณสเกลาร 15 กับ 4 จากนั้นครูเขียน v = 125 บนกระดาน แล้ว
3 3 ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีการหาเวกเตอร
และมีทิศทางเดียวกับ 4
3 หนึ่งหนวยที่ไมใชเวกเตอรศูนยตามเงื่อนไข
-5
v = 13 12 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ไดจากการคูณสเกลาร 131 กับ 12
1 -5 ดังนี้
-5
และมีทิศทางเดียวกับ 12 • เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางเดียวกับ u
(แนวตอบ 131 125 )
7 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ไดจากการคูณสเกลาร 1 กับ 7
w = 251 -24 25 -24 • เวกเตอร 1 หนวย ทีม่ ที ศิ ทางตรงกันขามกับ
7
และมีทิศทางเดียวกับ -24 u
(แนวตอบ - 131 125 )
ในกรณีทั่วไป จะไดวา สําหรับ a ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2
b • เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ u
เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางเดียวกับ a ใด ๆ ที่ไมใชเวกเตอรศูนย คือ 2 1 2 a (แนวตอบ ± 131 125 )
b a +b b
4. ครูอธิบายวา เวกเตอรหนึ่งหนวยกับเวกเตอร
เวกเตอร 1 หนวย ทีม่ ที ศิ ทางตรงกันขามกับ a ใด ๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย คือ - 2 1 2 a
a
b
1 a a +b b ใดๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติมีแนวคิดเชน
เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ ใด ๆ คือ ± 2 2 เดียวกับการหาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบ
b a +b b
พิกัดฉากสองมิติ
เวกเตอร k หนวย ที่ขนานกับ a ใด ๆ คือ ± 2 k 2 a
b a +b b
ความสัมพันธของเวกเตอรหนึ่งหนวยกับเวกเตอรใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติมีแนวคิด
เชนเดียวกับการหาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติ
a
ในกรณีทั่วไป จะไดวา สําหรับ b ใด ๆ จะมีขนาดเทากับ a2 + b2 + c2
c
a a
เวกเตอร 1 หนวย ทีม่ ที ศิ ทางเดียวกับ b ใด ๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย คือ 2 1 2 2 b
c a +b +c c
a
เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางตรงกันขามกับ b ใด ๆ ที่ไมใชเวกเตอรศูนย คือ
a c
- 2 12 2 b
a +b +c c
เวกเตอรในสามมิติ 249

กิจกรรม ทาทาย สื่อ Digital


ให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันหาเวกเตอร 3 หนวย ที่ขนานกับ ครูอาจให้นกั เรียนดูสอื่ การเรียนรูผ้ า น www.youtube.com โดยใช้คาํ สืบค้น
3 และหาเวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางตรงกันข้ามกับ 3 วา “เวกเตอรหนึง่ หนวยในระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิต”ิ เชน https://www.
-4 -4
ลงในกระดาษ A4 เมือ่ ทําเสร็จแล้วให้นาํ มาสงครู โดยครูตรวจสอบ youtube.com/watch?v=ypn53PejrMM เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาวิธีการหา
ความถูกต้อง เวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T261
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครู อ ธิ บ ายว า เวกเตอร ห นึ่ ง หน ว ยในระบบ a a
เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 1 2 2 b
พิกัดฉากสองมิติที่สําคัญและเปนพื้นฐานของ c a +b +c c
การเขียนเวกเตอรใดๆ คือ [10] เขียนแทนด้วย a a
เวกเตอร k หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 k 2 2 b
i และ [01] เขียนแทนด้วย j c a +b +c c
6. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา เวกเตอรหนึ่งหนวยใน พิจารณาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสองมิติ
ระบบพิกดั ฉากสามมิตทิ สี่ าํ คัญและเปนพืน้ ฐาน Y
1
ของการเขียนเวกเตอรใดๆ คือ 0 เขียนแทน
0 (0, 1)
0 0 j
ด้วย i , 1 เขียนแทนด้วย j และ 0 เขียน O X
0 1 i (1, 0)
แทนด้วย k
เวกเตอรหนึง่ หนวยในระบบพิกดั ฉากสองมิตทิ เี่ ปนเวกเตอรหนึง่ หนวยทีส่ าํ คัญและเปนพืน้ ฐาน
ของการเขียนเวกเตอรใด ๆ คือ
1 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน X เขียนแทน 1 ดวย i
0 0
0 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน Y เขียนแทน 0 ดวย j
1 1
พิจารณาเวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสามมิติ
Z

(0, 0, 1)
k j
i O Y
(0, 1, 0)
(1, 0, 0)

เวกเตอรหนึ่งหนวยในระบบพิกัดฉากสามมิติที่สําคัญและเปนพื้นฐานของการเขียนเวกเตอร
ใด ๆ คือ
250

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูอาจให้นักเรียนพิจารณา u, v และ w ที่กําหนดและถามคําถามเพื่อ ให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันหาเวกเตอร 2 หนวย ที่ขนานกับ
ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน เชน -1 -1
2 และหาเวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางตรงกันข้ามกับ 2
• ถ้าจะจัดเวกเตอรทั้งสามในรูปการคูณเวกเตอรกับสเกลารจะจัดได้ 4 4
หรือไม ถ้าจัดได้จะจัดได้กี่แบบ ลงในกระดาษ A4 เมือ่ ทําเสร็จแล้วให้นาํ มาสงครู โดยครูตรวจสอบ
• สเกลารที่คูณมีความสัมพันธกับเวกเตอรหนึ่งหนวยหรือไม ความถูกต้อง
• i , j และ k เปนสัญลักษณเขียนแทนเวกเตอรใด หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T262
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
1 1 7. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
0 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน X เขียนแทน 0 ดวย i
0 0 หน้า 250-251 อยางละเอียด จากนัน้ ครูอธิบาย
0 0 เกี่ ย วกั บ การเขี ย นเวกเตอร ใ ดๆ ในระบบ
1 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน Y เขียนแทน 1 ดวย j พิกัดฉากสองมิติและสามมิติในรูปเวกเตอร
0 0 หนึ่งหนวย i , j และ k ดังนี้
0 0 • เวกเตอรใดๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ
0 เปนเวกเตอรหนึ่งหนวยตามแนวแกน Z เขียนแทน 0 ดวย k
1 1 u = [ba] = a i + b j
การเขียนเวกเตอรใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติในรูปเวกเตอรหนึ่งหนวย i , j • เวกเตอรใดๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
หรือ k a
u = b = ai + bj + ck
พิจารณา a ซึ่งเปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติ c
b

u = a = a + 0 = a 1 + b 0 = ai + bj
b 0 b 0 1

ดังนั้น จึงสามารถเขียน u = a
b
ใหอยูในรูปของ i และ j ได
นั่นคือ u = a = ai + bj
b
a
ในทํานองเดียวกัน พิจารณา b ซึ่งเปนเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
c
a a 0 0 1 0 0
u= b = 0 + b + 0 = a 0 + b 1 + c 0 = a i + b j + ck
c 0 0 c 0 0 1
a
ดังนั้น จึงสามารถเขียน u = b
c
ใหอยูในรูปของ i , j และ k ได
a
นั่นคือ u = b = a i + b j + ck
c
เวกเตอรในสามมิติ 251

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


2 -1 ครูควรใช้คําถามเพื่อฝกให้นักเรียนคิดวิเคราะห เชน
กําหนด u = 8 และ v = 2 แลว u + v เขียนใหอยู
-5 7 • เวกเตอรใดๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย เขียนในรูปการบวกของเวกเตอรตงั้ แต
ในรูปของ i , j และ k ไดอยางไร สองเวกเตอรได้หรือไม
1. - i + 10 j + 2 k 2. i - 10 j + 2 k • นักเรียนทราบหรือไมวา เพราะเหตุใดจึงใช้ u = [ba] = [a0] + [b0] และ
3. i + 10 j - 2 k 4. i + 10 j + 2 k a a 0 0
u= b = 0 + b + 0
2 -1 c 0 0 c
(เฉลยคําตอบ u + v = 8 + 2
-5 7
1
= 10
2
= i + 10 j + 2 k
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 4.)

T263
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
8. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 22 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 22
หน้า 252 ด้วยตนเอง แล้วครูอธิบายให้นกั เรียน
กําหนดเวกเตอรมจี ดุ เริม่ ตนที่ P(3, 2) จุดสิน้ สุดที่ Q(-4, 1) ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวย
ฟ ง อี ก ครั้ ง เพื่ อ ให้ นั ก เรี ย นเข้ า ใจมากยิ่ ง ขึ้ น
ที่ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i และ j
และเปดโอกาสให้นกั เรียนซักถามในประเด็นที่
ไมเข้าใจ วิธีทํา จากเวกเตอรที่กําหนดมีจุดเริ่มตนที่ P(3, 2) และจุดสิ้นสุดที่ Q(-4, 1)
จะได PQ = -41 -- 32 = -7 -1
เข้าใจ (Understanding)
ดังนั้น PQ = (-7)2 + (-1)2 = 49 + 1 = 50 = 5 2
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 252 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย เนื่องจากเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ ab คือ ± 2 1 2 ab
a +b
คําตอบ “ลองทําดู” ดังนั้น เวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ -1 คือ ± 1 -7
-7 = ± 102 -7
5 2 -1 -1
รู้ (Knowing) 7 2 2 7 2
หรือ - 10 i - 10 j และ 10 i + 10 j 2
ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 23 ใน
หนังสือเรียน หน้า 252 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้ ลองทําดู
กับคูของตนเองจนเปนที่เข้าใจรวมกัน กําหนดเวกเตอรมีจุดเริ่มตนที่ P(-3, 6) จุดสิ้นสุดที่ Q(-1, 3) ใหหาเวกเตอรหนึ่งหนวย
ที่ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i และ j
ตัวอย่างที่ 23
กําหนดเวกเตอรมจี ดุ เริม่ ตนที่ P(1, 2, 3) จุดสิน้ สุดที่ Q(-3, -2, -1) ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวย
ที่ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i , j และ k
วิธีทํา จากเวกเตอรที่กําหนดมีจุดเริ่มตนที่ P(1, 2, 3) และจุดสิ้นสุดที่ Q(-3, -2, -1)
-3 - 1 -4
จะได PQ = -2 - 2 = -4
-1 - 3 -4
ดังนั้น PQ  = (-4)2 + (-4)2 + (-4)2 = 16 + 16 + 16 = 48 = 4 3
a a
เนื่องจากเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ b คือ ± 2 1 2 2 b
c a +b +c c
-4 -4 -4
ดังนั้น เวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ -4 คือ ± 1 -4 = ± 123 -4
-4 4 3 -4 -4
หรือ - 33 i - 33 j - 33 k และ 33 i + 33 j + 33 k
252

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรให้นักเรียนเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเขียนเวกเตอรในรูป i , j และ k ครูให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันทําโจทยตอไปนี้
กําหนดเวกเตอรมีจุดเริ่มต้นที่ A(1, 3) จุดสิ้นสุดที่ B(-5, 4)
ให้หาเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ AB และเขียนเวกเตอรให้อยู
ในรูป i และ j
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T264
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)

ลองทําดู ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน


หน้า 253 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนดเวกเตอรมจี ดุ เริม่ ตนที่ P(2, 4, 0) จุดสิน้ สุดที่ Q(-2, 0, 4) ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวย คําตอบ “ลองทําดู”
ที่ขนานกับ PQ และเขียน PQ ใหอยูในรูป i , j และ k
5. โคไซนแสดงทิศทาง (Direction Cosines) รู้ (Knowing)
การกําหนดทิศทางของเวกเตอรนนั้ นอกจากกําหนดดวยพิกดั ของเวกเตอรแลว ยังกําหนดดวย 1. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาความรู ้ ใ นหนั ง สื อ เรี ย น
มุมที่เวกเตอรทํากับแกนพิกัดทั้งสาม คือ แกน X แกน Y และแกน Z ทางดานบวก (ในทิศทาง หน้า 253 จากนั้นครูให้นักเรียนดูรูปที่ 27 และ
ทวนเข็มนาฬกา) ดังรูปที่ 27 Z ครูอธิบายวา การกําหนดทิศทางของเวกเตอร
นอกจากกําหนดด้วยพิกัดของเวกเตอรแล้ว
P(a, b, c)
S ยังกําหนดด้วยมุมที่เวกเตอรทํากับแกนพิกัด
ทั้งสาม คือ แกน X แกน Y และแกน Z ทาง
γ ด้านบวก (ในทิศทางทวนเข็มนาฬกา) ซึ่งมุมที่
α
O
β
R Y เวกเตอร ทํ า กั บ แกนพิ กั ด ทั้ ง สามจะมี ข นาด
Q รูปที่ 27 ตั้งแต 0 ถึง π
X
2. ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับโคไซนแสดงทิศทาง
a a
จากรูปที่ 27 กําหนดจุด P(a, b, c) จะได OP = b และกําหนด α, β, γ∊[0, π] เปนขนาด ดังนี้ ให้ v = b เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอร
c
ของมุมทีว่ ดั จากแกนพิกดั ทางดานบวกของแกน X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ ไปยัง OP จะได c
cos α = OQ =  a  , cos β = OR =  b  , cos γ = OS =  c  ศูนย โคไซนแสดงทิศทางของ v เทียบกับแกน
OP OP OP OP OP OP
X แกน Y และแกน Z ตามลําดับ คือ จํานวน
โดยที่ OQ, OR และ OS คือ ระยะที่มีทิศทางตามแนวแกน X แกน Y และแกน Z
ตามลําดับ สามจํานวนซึ่งเรียงลําดับ ดังนี้ a , b , c
v v v
เรียก α, β, γ วา มุมกําหนดทิศทาง (direction angle) ของ OP ซึ่งเปนขนาดของมุมที่ OP 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ทํากับแกน X แกน Y และแกน Z ทางดานบวก ตามลําดับ และเรียก cos α, cos β และ cos γ • คาของ a , b , c มีคาเทากันไดหรือไม
วา โคไซนแสดงทิศทาง (direction cosines) ของ OP ซึง่ เปนไปตามบทนิยามโคไซนแสดงทิศทาง v v v

ของเวกเตอรใด ๆ ดังนี้ (แนวตอบ คาของ a , b , c อาจมีคา เทากัน


v v v
บทนิยาม a หรือไมเทากันได ขึ้นอยูกับขนาดของมุมที่
ให v = b เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนย โคไซนแสดงทิศทางของ v เทียบกับแกน X
c เวกเตอรทํากับแกนพิกัดทั้งสาม คือ แกน X
แกน Y และแกน Z ตามลําดับ คือ จํานวนสามจํานวนซึ่งเรียงลําดับ ดังนี้  a  ,  bv  ,  c 
v v แกน Y และแกน Z ทางดานบวก)
จากบทนิยาม จะเห็นวา  av  ,  bv  และ  cv  อาจมีคาเทากันหรือไมเทากันไดขึ้นอยูกับขนาด
ของ α, β และ γ เวกเตอรในสามมิติ 253

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมให้นักเรียน กลุมละ 3-4 คน แล้วชวยกันสร้าง ครูควรอธิบายให้นักเรียนเข้าใจวา สัญลักษณ ในรูปที่ 27
เวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสามมิตจิ าํ นวน 3 เวกเตอร ทีม่ จี ดุ กําเนิด ในหนังสือเรียน หน้า 253 ไมได้แสดงวาเปนมุมที่หมุนตามเข็มนาฬกาหรือ
O เปนจุดเริ่มต้น พร้อมเขียนมุมกําหนดทิศทางในระบบพิกัดฉาก ทวนเข็มนาฬกา แตเปนการบอกทิศทางของมุมในด้านบวกกับแกน X แกน Y
สามมิตดิ ว้ ย โดยทําลงในกระดาษ A4 เมือ่ ทําเสร็จแล้วให้นาํ สงครู และแกน Z
โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
เดียวกัน

T265
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 24 ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 24
หน้า 254 แล้วครูอธิบายให้นักเรียนฟงอีกครั้ง 1
เพือ่ ให้นกั เรียนเข้าใจมากยิง่ ขึน้ และเปดโอกาส กําหนด v = -2 ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของ v
ให้นักเรียนซักถามในประเด็นที่ไมเข้าใจ 3
5. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 25 ใน 1
วิธีทํา จาก v = -2 จะได  v  = 12 + (-2)2 + 32 = 1 + 4 + 9 = 14
หนังสือเรียน หน้า 254 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้ 3
กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน ดังนั้น โคไซนแสดงทิศทางของ v คือ 1 , - 2 , 3 หรือ 1414 , - 14 , 3 14
14 14 14 7 14
เข้าใจ (Understanding) ลองทําดู
ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 2
กําหนด u = 3 ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของ u
หน้า 254 แล้วแลกเปลี่ยนคําตอบกับคูของตนเอง -1
สนทนา ซักถาม จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้น ตัวอย่างที่ 25
ครู สุ  ม นั ก เรี ย นออกมาแสดงวิ ธีก ารหาคํ า ตอบ ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่ P(1, 1, -4) และมีจุดสิ้นสุดที่
หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน Q(-3, -2, 0)
ตรวจสอบคําตอบ “ลองทําดู” -3 - 1 -4
วิธีทํา จาก P(1, 1, -4) และ Q(-3, -2, 0) จะได PQ = -2 - 1 = -3
รู้ (Knowing) 0 - (-4) 4
2 2 2
1. ครูอธิบายบทนิยามของเวกเตอรที่มีทิศทาง และ PQ  = (-4) + (-3) + 4 = 16 + 9 + 16 = 41
เดียวกันและมีทิศทางตรงกันข้าม ในหนังสือ- ดังนั้น โคไซนแสดงทิศทางของ PQ คือ - 4 , - 3 , 4
41 41 41
เรียน หน้า 254 หรือ - 44141 , - 34141 , 44141

ลองทําดู
ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่ P(-1, 2, 1) และมีจุดสิ้นสุดที่
Q(-3, -2, 0)
จากที่นักเรียนไดศึกษาโคไซนแสดงทิศทางมาแลว ตอไปนักเรียนจะไดศึกษาการใชโคไซน
แสดงทิศทางเพื่อสรุปความสัมพันธระหวางเวกเตอรทั้งสองตามบทนิยามตอไปนี้
บทนิยาม เวกเตอรสองเวกเตอรมีทิศทางเดียวกัน ก็ตอเมื่อ มีโคไซนแสดงทิศทางชุดเดียวกัน และ
มีทิศทางตรงกันขาม ก็ตอเมื่อ โคไซนแสดงทิศทางเทียบแตละแกนของเวกเตอรหนึ่งเปนจํานวนตรงขาม
กับโคไซนแสดงทิศทางของอีกเวกเตอรหนึ่ง
254

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรบอกข้อกําหนดที่นํามาใช้ในแตละตัวอยางให้กับนักเรียน เชน ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่
• ข้อกําหนดในตัวอยางที่ 24 ในหนังสือเรียน หน้า 254 มีรูปแบบเหมือน A(3, 0, -2) และมีจุดสิ้นสุดที่ B(5, -1, 1)
บทนิยาม จึงหาคาโคไซนแสดงทิศทางของ v ได้ (เฉลยคําตอบ จาก A(3, 0, -2) และ B(5, -1, 1)
• ข้อกําหนดในตัวอยางที่ 25 ในหนังสือเรียน หน้า 254 ยังไมเปนไปตาม 5-3 2
a จะได AB = -1 - 0 = -1
รูปแบบในบทนิยาม นักเรียนต้องเขียน PQ ในรูป b กอน 1 - (-2) 3
c
และ AB = 22 + (-1)2 + 32 = 4 + 1 + 9 = 14
ดังนั้น โคไซนแสดงทิศทางของ AB คือ 2 , - 1 , 3
14 14 14
14 14 3 14
หรือ 7 , - 14 , 14 )

T266
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูอธิบายตัวอยางที่ 26 ในหนังสือเรียน หน้า 255
ตัวอย่างที่ 26
ให้ นั ก เรี ย นฟ ง อย า งละเอี ย ดบนกระดาน
ใหตรวจสอบวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ เวกเตอรคูใดมีทิศทางเดียวกัน เวกเตอร
พร้อมกับให้นกั เรียนถามคําถามหากมีขอ้ สงสัย
คูใดมีทิศทางตรงกันขาม และเวกเตอรคูใดขนานกัน
1) MN มีจุดเริ่มตนที่ M(-2, 1, -3) มีจุดสิ้นสุดที่ N(4, 3, -2)
2) PQ มีจุดเริ่มตนที่ P(-6, -3, 1) มีจุดสิ้นสุดที่ Q(6, 1, 3)
3) v = -6 i - 2 j - k
วิธีทํา 1) จากจุดเริ่มตน M(-2, 1, -3) และจุดสิ้นสุด N(4, 3, -2)
4 - (-2) 6
จะได MN = 3 - 1 = 2
-2 - (-3) 1
ดังนั้น MN = 62 + 22 + 12 = 41
นั่นคือ โคไซนแสดงทิศทางของ MN คือ 6 , 2 , 1 หรือ 64141 , 24141 , 41
41
41 41 41
2) จากจุดเริ่มตน P(-6, -3, 1) และจุดสิ้นสุด Q(6, 1, 3)
6 - (-6) 12
จะได PQ = 1 - (-3) = 4
3-1 2
2
ดังนั้น PQ = 12 + 4 + 2 = 2 41 2 2

นั่นคือ โคไซนแสดงทิศทางของ PQ คือ 12 , 4 , 2


2 41 2 41 2 41
หรือ 64141 , 24141 , 41
41
3) จาก v = -6 i - 2 j - k
จะได  v  = (-6)2 + (-2)2 + (-1)2 = 36 + 4 + 1 = 41
ดังนั้น โคไซนแสดงทิศทางของ v คือ - 6 , - 2 , - 1
41 41 41
หรือ - 64141 , - 24141 , - 41
41
จากขอ 1), 2) และ 3) จะเห็นวา
- MN และ PQ มีโคไซนแสดงทิศทางชุดเดียวกัน
ดังนั้น MN และ PQ มีทิศทางเดียวกัน
- MN และ v กับ PQ และ v มีโคไซนแสดงทิศทางเปนจํานวนตรงขามกัน
ดังนั้น MN และ v กับ PQ และ v มีทิศทางตรงกันขาม
- MN, PQ และ v เปนเวกเตอรที่ขนานกัน
เวกเตอรในสามมิติ 255

กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู


ครูให้นกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4-5 คน คละความสามารถทาง วิธีการตรวจสอบวา เวกเตอรคูใดขนานกันอาจใช้บทนิยาม u = a v ซึ่ง
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้ว สะดวกกวาใช้โคไซนแสดงทิศทาง เชน
ชวยกันสร้างเวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน 1 คู เวกเตอรที่มีทิศทาง 12 6 6
ตรงกันข้าม 1 คู และเวกเตอรที่ขนานกัน 1 คู พร้อมแสดงวิธีคิด PQ = 4 = 2 2 และ v = -6 i - 2 j - k = (-1) 2
2 1 1
อยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อเสร็จแล้วครูสุมนักเรียนออก
มานําเสนอหน้าชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง

T267
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หน้า 256 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ใหตรวจสอบวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ เวกเตอรคูใดมีทิศทางเดียวกัน เวกเตอรคูใด
2. ครูให้นักเรียนทํา Exercise 3.3 เปนการบ้าน มีทิศทางตรงกันขาม และเวกเตอรคูใดขนานกัน
1) AB มีจุดเริ่มตนที่ A(4, -2, 5) มีจุดสิ้นสุดที่ B(3, 1, 2)
ลงมือทํา (Doing) 2) PQ มีจุดเริ่มตนที่ P(-3, 4, 0) มีจุดสิ้นสุดที่ Q(-2, 1, 3)
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ 3) u = -2 i + 6 j - 6k
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วให้ทํากิจกรรม
ดังนี้ แบบฝึกทักษะ 3.3 ข
• ให้ นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ทั ก ษะ 3.3 ข ใน
ระดับพื้นฐาน
หนังสือเรียน หน้า 256-257
• ให้ นั ก เรี ย นในแต ล ะกลุ  ม ทํ า ความเข้ า ใจ 1. ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
รวมกัน หลังจากนัน้ ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม 1) 23 , -34 , -24 -7 , -8
ออกมาเฉลยคําตอบ และให้นกั เรียนทัง้ หมด 15
1 4 -2
รวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 2) 2 , 5 , -3
-3 -6 0
3) PQ เมื่อพิกัดของ P คือ (1, 2) และพิกัดของ Q คือ (-3, 4)
4) MN เมื่อมีจุดเริ่มตนที่ M(4, -3, 2) และมีจุดสิ้นสุดที่ N(-2, 1, -3)
2. ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
1) u + v เมื่อ u = -47 และ v = -36

2) 2u - 3v เมื่อ u = -21 และ v = -2 -3


3) u - v เมื่อ u = 4 i - 3 j + 2k และ v = -2 i + 3 j - 6k
3. ใหหาคา x ที่ทําให  u  =  v  เมื่อ
-1 2
1) u = -54 และ v = x3 2) u = 0 และ v = x
-3 3

256

เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม


ครูควรให้นักเรียนเสนอแนวคิดการหาเวกเตอรที่มีขนาดตามที่กําหนดใน ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันเลือกตัวอยางโจทยจากแบบฝก-
แตละข้อในแบบฝกทักษะ 3.3 ข ในหนังสือเรียน หน้า 256-257 ทักษะ 3.3ข ระดับกลาง ในหนังสือเรียน หน้า 257 เพื่อนํามาสร้าง
โจทยใหม พร้อมแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อ
ทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T268
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรู้รวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้
4. ใหหาเวกเตอรหนึง่ หนวยทีม่ ที ศิ ทางเดียวกับเวกเตอรทกี่ าํ หนดในแตละตอไปนี้ โดยเขียนในรูป • เวกเตอรในระบบพิกัดฉากคืออะไร
ของ i และ j ในระบบพิกัดฉากสองมิติ และเขียนในรูปของ i , j และ k ในระบบพิกัดฉาก (แนวตอบ เวกเตอรทเี่ ขียนอยูใ นรูปของผลบวก
สามมิติ ของเวกเตอรทมี่ ที ศิ ทางในแนวแกนอางอิงใน
-3
1) u = 32 2) v = -1 ระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ)
4
3) MN โดยที่ M(-2, 5) และ N(4, -3) 4) PQ โดยที่ P(1, -2, 4) และ Q(-3, -1, 0)
ขัน้ ประเมิน
ระดับกลาง 1. ครูตรวจใบงานที่ 3.3
5. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 2 หนวย และมีทิศทางเดียวกับ u = 45 2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.3
6. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 3 หนวย และมีทิศทางตรงกันขามกับ AB ที่มี A(5, -3) 3. ครูตรวจ Exercise 3.3
และ B(2, -6) 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
7. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 4 หนวย และมีทิศทางตรงกันขามกับ v = -27 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
8. ใหหาเวกเตอรที่มีขนาด 2 หนวย และขนานกับ PQ โดยที่ P(-1, 2, 3) และ Q(-2, 4, -3)
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้
9. ใหหาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ พรอมทั้งบอกขนาดและโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอร
มุงมั่นในการทํางาน
ซึ่งมีจุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุด ดังนี้
1) จุดเริ่มตน P(2, 3, 4) และจุดสิ้นสุด Q(2, -3, 1)
2) จุดเริ่มตน P(-1, 4, 2) และจุดสิ้นสุด Q(-2, 4, 3)
10. ใหตรวจสอบวาเวกเตอรที่กําหนดในแตละตอไปนี้ เวกเตอรใดบางเปนเวกเตอรที่มีทิศทาง
เดียวกัน มีทิศทางตรงกันขาม และขนานกัน
1) เวกเตอร PQ มีจุดเริ่มตนที่ P(-2, 4, -3) และมีจุดสิ้นสุดที่ Q(4, 2, -1)
2) เวกเตอร OA มีจุดเริ่มตนที่จุดกําเนิด และมีจุดสิ้นสุดที่ A(-6, 2, -2)
3
3) v = -1
1
ระดับทาทาย
11. รูปสามเหลี่ยม ABC มี A(x, y), B(6, 4) และ C(2, 3) เปนจุดยอดมุม ถาจุด P เปนจุด
บนดาน AB และอยูหางจากจุด A เทากับ 35 ของระยะระหวาง A กับ B ถา CP = i + 3 j
แลว xy เทากับเทาไร

เวกเตอรในสามมิติ 257

กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล


1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการทํา
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน ใบงานที่ 3.3 เรื่อง ขนาดของเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ ใน
2. ให้ แ ต ล ะกลุ  ม ร ว มกั น สื บ ค้ น โจทย ข องโคไซน แ สดงทิ ศ ทาง ขั้นเข้าใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการ
เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ 1 ข้อ พร้อมแสดงวิธีคิด จัดการเรียนรู้ในหนวยการเรียนรู้ที่ 3
อยางละเอียดลงในกระดาษ A4
3. ให้แตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหน้าชั้นเรียน
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน

ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 การแสดงความคิดเห็น    
2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    
3 การทางานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย    
4 ความมีน้าใจ    
5 การตรงต่อเวลา    

รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T269
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
1. ครูทบทวนความรูเ้ กีย่ วกับเรือ่ งปริมาณสเกลาร
วา ปริมาณสเกลาร คือ ปริมาณที่มีขนาดเพียง
3.4 ผลคูณเชิงสเกลาร (Scalar Product)
อยางเดียว เชน ตู้เสื้อผ้าใบหนึ่งสูง 3 เมตร ผลคูณเชิงสเกลาร คือ ผลคูณของเวกเตอรสองเวกเตอรที่ไดผลลัพธเปนสเกลาร ซึ่งนิยามใน
ส้มหนัก 1 กิโลกรัม ระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ ดังนี้
2. ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ บทนิยาม ถา u = x1 i + y1 j และ v = x2 i + y2 j แลว
• สุดาขับรถไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตดวย ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v คือ x1x2 + y1y2
ความเร็ว 90 กิโลเมตรตอชัว่ โมง เปนปริมาณ ถา u = x1 i + y1 j + z1k และ v = x2 i + y2 j + z2k แลว
สเกลารหรือไม เพราะเหตุใด ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v คือ x1x2 + y1y2 + z1z2
เขียนแทนผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v ดวย u • v
(แนวตอบ ไมเปนปริมาณสเกลาร เพราะการ
ขับรถของสุดามีทั้งขนาด คือ 90 กิโลเมตร จากบทนิยาม จะพบวา
ตอชั่วโมง และยังมีทิศทาง จึงทําใหไมเปน 1) ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v
ปริมาณสเกลารแตเปนปริมาณเวกเตอร) เมื่อ u = x1 i + y1 j และ v = x2 i + y2 j คือ x1x2 + y1y2
• ภาคภู มิ มี ที่ ดิ น อยู  ภ าคตะวั น ออกจํ า นวน เนื่องจาก x1 i + y1 j = xy11 และ x2 i + y2 j = xy22
50 ไร เปนปริมาณสเกลารหรือไม เพราะ
เหตุใด ดังนั้น xy11 • xy22 = x1x2 + y1y2
(แนวตอบ จํานวนทีด่ นิ ของภาคภูมเิ ปนปริมาณ 2) ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v
สเกลาร เพราะจํานวนที่ดินเพียงขนาดไมมี เมือ่ u = x1i + y1j + z1k และ v = x2i + y2j + z2k คือ x1x2 + y1y2 + z1z2
ทิศทาง) x1 x2
y
เนื่องจาก x1 i + y1 j + z1 k = 1 และ x2 i + y2 j + z2 k = y2
ขัน้ สอน z1 z2
รู้ (Knowing) x1 x2
ดังนั้น y1 • y2 = x1x2 + y1y2 + z1z2
1. ครูให้นักเรียนอานบทนิยาม ในหนังสือเรียน z1 z2
หน้า 258 จากนั้นครูอธิบายพร้อมยกตัวอยาง ตัวอย่างที่ 27
ให้นักเรียนฟงเพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
กําหนด u = 4 i + 3 j และ v = -5 i + 8 j ใหหาคาของ u • v
วิธีทํา จากบทนิยาม จะได u•v = (4 i + 3 j ) • (-5 i + 8 j )
= (4)(-5) + (3)(8)
= (-20) + 24
= 4
258

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูควรเชื่อมโยงความรู้โดยให้นักเรียนชวยกันสรุปวา กําหนด u = 3 i - 5 j และ v = -2 i + j คาของ u • v เทากับ
• การดําเนินการของเวกเตอรมีอะไรบ้าง และมีสมบัติใดบ้างที่ได้เรียน ขอใด
ไปแล้ว 1. -10 2. 10 3. -11 4. 11
• การดําเนินการใดที่มีในเรื่องจํานวนแตยังไมมีในเรื่องเวกเตอร (เฉลยคําตอบ จากบทนิยาม จะได
• นักเรียนคิดวาเวกเตอรมีการดําเนินการคูณและการหารหรือไม u • v = (3 i - 5 j ) • (-2 i + j )
เพราะเหตุใด
= (3)(-2) + (-5)(1)
= -6 + (-5)
= -11
ดังนั้น คําตอบ คือ ขอ 3.)

T270
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)

ลองทําดู 2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย า งที่ 27-28 ใน


หนังสือเรียน หน้า 258-259 จากนั้นครูถาม
กําหนด u = -6 i + 4 j และ v = 5 i - 7 j ใหหาคาของ u • v
คําถามนักเรียน ดังนี้
ตัวอย่างที่ 28 • ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v ผลลัพธที่
-5 -2 ไดจะเปนอยางไร
กําหนด u = 6 และ v = -3 ใหหาคาของ u • v
-9 1 (แนวตอบ ผลลัพธที่ไดจะเปนสเกลาร)
-5 -2
วิธีทํา จากบทนิยาม จะไดวา u • v = 6 • -3 เข้าใจ (Understanding)
-9 1 ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
= (-5)(-2) + 6(-3) + (-9)(1)
หน้า 259 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
= 10 - 18 - 9
คําตอบ “ลองทําดู”
= -17
รู้ (Knowing)
ลองทําดู Thinking Time 1. ครูให้นักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใช้เทคนิค
3 -2
กําหนด u = -2 และ v = 1 ใหหาคาของ u • v นักเรียนคิดวา u • v และ “คูคิด (Think Pair Share)” ดังนี้
1 -3 v • u มีคาเทากันหรือไม • ให้นักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
จาก “Thinking Time” ในหนังสือเรียน หน้า
สมบัติ สมบัติที่สําคัญของผลคูณเชิงสเกลาร 259
1) ให u, v และ w เปนเวกเตอรใด ๆ ในสองมิติ หรือสามมิติ และ a เปนจํานวนจริงใด ๆ • ให้นักเรียนจับคูเพื่อแลกเปลี่ยนคําตอบกัน
จะไดวา
สนทนา ซั ก ถามซึ่ ง กั น และกั น จนเป น ที่
(1) u • v = v • u
(2) u • (v + w) = u • v + u • w เข้าใจรวมกัน
(3) a(u • v) = (au) • v = u • (av) • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหน้า
(4) 0 • u = 0 ชั้ น เรี ย น โดยครู แ ละนั ก เรี ย นในชั้ น เรี ย น
(5) u • u =  u 2 รวมกันตรวจสอบความถูกต้อง
(6) i • i = j • j = k • k = 1
i•j = i•k = j•k = 0
2. ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้เกี่ยวกับสมบัติที่
2) ถา θ เปนมุมระหวาง u และ v ซึ่ง 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ แลว u • v =  u  v  cos θ สําคัญของผลคูณเชิงสเกลาร ในหนังสือเรียน
(มุมระหวางเวกเตอร หมายถึง มุมที่ไมใชมุมกลับ ซึ่งมีแขนของมุมเปนรังสีที่ขนานและมี หน้า 259
ทิศทางเดียวกันกับเวกเตอรทั้งสอง)
3) ถา u และ v เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนยแลว u ตั้งฉากกับ v ก็ตอเมื่อ u • v = 0

เวกเตอรในสามมิติ 259

เฉลย Thinking Time


x x x2 x1
กรณีที่ 1 ให u, v เปนเวกเตอรใดๆ ในสองมิติ เมื่อ u = y11 และ v = y22 และ v•u = 2 • y1
y
x x z2 z1
จะได u • v = y11 • y22 = x2x1 + y2y1 + z2z1
= x1x2 + y1y2 = x1x2 + y1y2 + z1z2 (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
x x ดังนั้น จากทั้ง 2 กรณี จะไดวา u • v = v • u
และ v • u = y22 • y11
จะได = x2x1 + y2y1
= x1x2 + y1y2 (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
x1 x2
กรณีที่ 2 ให u, v เปนเวกเตอรใดๆ ในสามมิติ เมื่อ u = y1 และ v = y2
z1 z2
x1 x2
จะได u • v = y1 • y2
z1 z2
= x1x2 + y1y2 + z1z2
T271
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
3. ครูและนักเรียนรวมกับพิสูจนสมบัติที่สําคัญ
ในที่นี้ จะยกตัวอยางการพิสูจนสมบัติขอ 2 และขอ 3 ดังนี้
ของผลคูณเชิงสเกลารข้อ 1) ในหนังสือเรียน
หน้า 259 2) ถา θ เปนมุมระหวาง u และ v โดยที่ 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ แลว u • v =  u  v  cos θ
4. ครูอธิบายนักเรียนเพิม่ เติมวา การหามุมระหวาง Z
พิสูจน กําหนด OP1 = u และ OP2 = v
เวกเตอรนนั้ เราจะใช้สตู ร u • v = u v  cos θ จะได P2P1 = u - v
ซึ่งมุมที่หาได้นั้นจะมีขนาด 0 ํ ถึง 180 ํ P1 x1 x2
u
u-v
P2 ให u = y 1 และ v = y2
θ v
z1 z2
O Y
x1 - x2
X จะได u - v = y1 - y2
z1 - z2
จากกฎของโคไซน จะไดวา
(P2P1)2 = (OP1)2 + (OP2)2 - 2(OP1)(OP2) cos θ
2 2 2
 u - v  =  u  +  v  - 2 u  v  cos θ

นั่นคือ (x1 - x2)2 + (y1 - y2)2 + (z1 - z2)2 = (x21 + y21 + z21) + (x22 + y22 + z22)
- 2u v  cos θ
เนื่องจาก (x1 - x2)2 + (y1 - y2)2 + (z1 - z2)2 = (x21 + y21 + z21) + (x22 + y22 + z22)
- 2(x1x2 + y1y2 + z1z2)
จะไดวา x1x2 + y1y2 + z1z2 = u v  cos θ
และจาก u • v = x1x2 + y1y2 + z1z2
ดังนั้น u • v = u v  cos θ
3) ถา u และ v เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนยแลว u ตั้งฉากกับ v ก็ตอเมื่อ u • v = 0
พิสูจน กําหนด θ เปนมุมระหวาง u กับ v โดยที่ 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
จาก u • v = u v  cos θ
ถา u ตั้งฉากกับ v จะได มุมระหวาง u และ v เทากับ 90 ํ
ดังนั้น u • v = u v  cos 90 ํ = u v (0) = 0
และในทํานองเดียวกัน ถา u • v = 0 แลว u ตั้งฉากกับ v
ดังนั้น u ตั้งฉากกับ v ก็ตอเมื่อ u • v = 0

260

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรอธิบายการพิสูจนสมบัติของผลคูณเชิงสเกลารข้อ 2) และข้อ 3) ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันพิสจู นสมบัตขิ องผลคูณเชิงสเกลาร
อยางละเอียด และควรวาดรูปประกอบคําอธิบายเพือ่ ให้นกั เรียนเข้าใจมากยิง่ ขึน้ ข้อ 2) และข้อ 3) โดยใช้เวกเตอรทคี่ รูกาํ หนดให้ลงในกระดาษ A4
เมือ่ ทําเสร็จครูสมุ นักเรียนออกมาแสดงบทพิสจู นหน้าชัน้ เรียน โดย
ครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นกั เรียนเกงและนักเรียนออนจับคูก นั

T272
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
5. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 29 ใน
ตัวอย่างที่ 29
หนังสือเรียน หน้า 261 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
ใหพิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
3 1 กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
1) 35 , -26 2) 45 , -45 3) -3 , 3 6. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
1 6
หน้า 261 ให้กับนักเรียน
วิธีทํา 1) 35 • -26 = 3(-2) + 5(6)
เข้าใจ (Understanding)
= -6 + 30
= 24 ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 261 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
ดังนั้น 35 และ -26 เปนเวกเตอรที่ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน
คําตอบ “ลองทําดู”
2) 45 • -45 = 4(5) + 5(-4)
= 20 - 20
=0
ดังนั้น 45 และ -45 เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากซึ่งกันและกัน
3 1
3) -3 • 3 = 3(1) + (-3)(3) + 1(6)
1 6 = 3-9+6
=0
3 1
ดังนั้น -3 และ 3 เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากซึ่งกันและกัน
1 6
ลองทําดู
ใหพิจารณาวาเวกเตอรในขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
1 3
1) -35 , 106 2) 23 , -21 3) -1 , 1
1 -2
คณิตน่ารู้
y -y
เวกเตอรที่ตั้งฉากกับ xy คือ -x หรือ x

เวกเตอรในสามมิติ 261

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


5 0
ใหพิจารณาวา -1 และ 3 เปนเวกเตอรตั้งฉากซึ่งกัน ครูควรเน้นยํ้าหลักการพิจารณาเกี่ยวกับเวกเตอรที่ตั้งฉากกันวามีลักษณะ
3 1 อยางไร พร้อมยกตัวอยางให้นักเรียนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
และกันหรือไม
5 0
(เฉลยคําตอบ -1 • 3 = (5)(0) + (-1)(3) + (3)(1)
3 1
=0-3+3
=0
5 0
ดังนั้น -1 และ 3 เปนเวกเตอรตั้งฉากซึ่งกันและกัน)
3 1

T273
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 30 ในหนังสือเรียน ตัวอย่างที่ 30
หน้า 262 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
กําหนด u = 3 i + 2 j และ v = 9 i + 6j ใหหามุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v
• มุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v หาได
อยางไร วิธีทํา จาก u = 3 i + 2 j = 32 และ v = 9 i + 6 j = 96
(แนวตอบ หาไดจากสูตร u • v = uv cos θ)
จะได u • v = 32 • 96 = 3(9) + 2(6) = 27 + 12 = 39
เข้าใจ (Understanding) u  = 32 + 22= 9 + 4 = 13
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 92 + 62 = 81 + 36 = 117 = 3 13
v 
หน้า 262 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย เนื่องจาก u•v =  u  v  cos θ
คําตอบ “ลองทําดู” จะไดวา 39= 13 • 3 13 cos θ
ดังนั้น cos θ 39 = 1
= 3(13)
รู้ (Knowing) เนื่องจาก cos 0 ํ
= 1
ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอยางที่ 31 ในหนังสือเรียน ดังนั้น θ = 0ํ
หน้า 262 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้ นั่นคือ u และ v ทํามุมกัน 0 องศา
• จะแสดงไดอยางไรวารูปสามเหลี่ยม PQR
เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ลองทําดู
(แนวตอบ ตองแสดงวาผลคูณเชิงสเกลารของ กําหนด u = 4 i + 10 j และ v = 2 i + 5 j ใหหามุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v
เวกเตอรหนึ่งคูไดผลลัพธเทากับ 0) ตัวอย่างที่ 31

เข้าใจ (Understanding) ใหแสดงวารูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอด P(2, -2, -3), Q(3, 0, 4) และ R(1, -5, -2)
เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 263 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย วิธที าํ จากโจทย P(2, -2, -3), Q(3, 0, 4) และ R(1, -5, -2)
คําตอบ “ลองทําดู” 3-2 1 1-2 -1
จะได PQ = 0 - (-2) = 2 และ PR = -5 - (-2) = -3
4 - (-3) 7 -2 - (-3) 1
1 -1
และ PQ • PR = 2 • -3 = 1(-1) + 2(-3) + 7(1) = 0
7 1
นั่นคือ PQ ตั้งฉากกับ PR
ดังนั้น PQR เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก

262

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรให้นกั เรียนเสนอแนวคิดทีแ่ ตกตางกันโดยใช้คาํ ถามกระตุน้ ความคิด ครูให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันหามุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u
และเชื่อมโยงความรู้ เชน และ v โดย u = i + 5 j และ v = 3 i + 2 j โดยทําลงในกระดาษ A4
• การหามุมระหวาง u กับ v ที่กําหนดในข้อนี้ นักเรียนจะนําความรู้ พร้อมแสดงวิธีคิดอยางละเอียด เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมา
เรื่องใดมาใช้ได้บ้าง เพราะเหตุใด นําเสนอหน้าชัน้ เรียน โดยครูและเพือ่ นในชัน้ เรียนรวมกันตรวจสอบ
• ถ้าใช้ผลคูณเชิงสเกลารหา u • v นักเรียนสามารถบอกขนาดของมุม θ ความถูกต้อง
ได้หรือไม เพราะเหตุใด หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
• ในกรณีทั่วไป u = a v จะสรุปความสัมพันธระหวาง u กับ v ได้อยางไร

T274
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 32 ใน
ลองทําดู
หนังสือเรียน หน้า 263 แล้วแลกเปลี่ยนความรู้
ใหแสดงวารูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอด P(3, 4, 0), Q(3, 4, 12) และ R(6, 8, 0) กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ตัวอย่างที่ 32 เข้าใจ (Understanding)
กําหนด  u  = 3,  v  = 4 และ  u - v  = 7 ใหหาคาของ  u + v  ครูให้นกั เรียนคูเ ดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หน้า 263 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
วิธที าํ จากสมบัติ u • u =  u 2
2 คําตอบ “ลองทําดู”
จะไดวา  u - v  = (u - v) • (u - v)
= u • u - 2u • v + v • v รู้ (Knowing)
=  u 2 - 2u • v +  v 2
ดังนั้น 2 2
 u - v  =  u  - 2u • v +  v 
2 .....(1) 1. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู”้ ในหนังสือเรียน
แทน  u  = 3,  v  = 4 และ  u - v  = 7 ใน (1) จะได หน้า 263 ให้กับนักเรียน
72 = 32 - 2u • v + 42 2. ครูให้นักเรียนพิสูจนข้อความในกรอบ “คณิต
49 = 9 - 2u • v + 16 นารู”้ วาเปนจริงหรือไม โดยครูกําหนดให้
2u • v = -24 u = 4 i + 2j - 5k และ v = 5 i - 3 j + 3k และ
u • v = -12 ให้นักเรียนรวมกันแสดงการพิสูจน
ในทํานองเดียวกัน  u + v 2 =  u 2 + 2u • v +  v 2 .....(2)
แทน  u  = 3,  v  = 4 และ u • v = -12 ใน (2) จะได เข้าใจ (Understanding)
2 2 2
 u + v  = 3 + 2(-12) + 4
= 9 - 24 + 16 1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
=1 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
ดังนั้น  u + v  = 1 = 1 และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วทํากิจกรรม
ดังนี้
ลองทําดู • ให้นักเรียนแตละกลุมทําใบงานที่ 3.4 เรื่อง
กําหนด  u  = 2,  v  = 4 และ  u - v  = 5 ใหหาคาของ  u + v  ผลคูณเชิงสเกลาร
คณิตน่ารู้ • ให้นกั เรียนแตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน
หลังจากนัน้ ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม ออกมา
ถา u และ v เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนย แลว
เฉลยคําตอบ และให้นกั เรียนทัง้ หมดรวมกัน
1)  u + v 2 =  u 2 + 2u • v +  v 2
2)  u - v 2 =  u 2 - 2u • v +  v 2 อภิปรายแสดงความคิดเห็น

เวกเตอรในสามมิติ 263

กิจกรรม ทาทาย
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถ
ทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน
แล้วชวยกันสร้างเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสองมิติและสามมิติ
เพื่อนํามาแสดงวิธีทําโดยใช้ความรู้จากกรอบ “คณิตนารู้” ใน
หนังสือเรียน หน้า 263 ลงในกระดาษ A4 อยางละเอียด เมื่อทํา
เสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง

T275
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
2. ครูให้นักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.4 ข้อ 1.-6.
แบบฝึกทักษะ 3.4
ในหนังสือเรียน หน้า 264 และทํา Exercise
3.4 ในแบบฝกหัด เปนการบ้าน ระดับพื้นฐาน
1. ใหหาคาของ u • v เมื่อกําหนด u และ v ในแตละขอตอไปนี้
ลงมือทํา (Doing)
1) u = 56 , v = -23 2) u = 4 i - 9 j , v = -2 i + 3 j
ครูให้นักเรียนจับคูทําแบบฝกทักษะ 3.4 ข้อ 9.
3 7
ในหนังสือเรียน หน้า 264 แล้วแลกเปลี่ยนคําตอบ 3) u = -4 , v = 6 4) u = 2 i - 3 j + 5k , v = -3 i + 4 j - 2k
กับคูข องตนเอง จนเปนทีเ่ ข้าใจรวมกัน จากนัน้ ครู 5 -4
ขออาสาสมัครนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบหน้า 2. ใหหาขนาดของมุมระหวางเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
ชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง 1) u = 3 i + j และ v = -2 i + 6 j 2) u = -34 และ v = -53
1 1
3) u = - i + j - k และ v = i - j + k 4) u = -1 และ v = 1
ขัน้ สรุป 1 -1
3. กําหนด u = 56 และ v = -1 -4 ให ห า
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรู้รวบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ 1) (u + v) (u + v)
• 2) (u - v) • (u - v) 3) (u + v) • (u - v)
-5 1
• ผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v ผลลัพธที่ 4. กําหนด u = 2 และ v = -7 ใหหาคาเชนเดียวกับขอ 3.
ไดจะเปนอยางไร 3 4
5. ใหพิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
(แนวตอบ ผลลัพธที่ไดจะเปนสเกลาร) 3 1 -1 -1
• เวกเตอรสองเวกเตอรจะตั้งฉากกันเมื่อใด 1) 98 , -89 2) 47 , -31 3) 4 , -2 4) 4 , 2
-5 -1 7 -1
(แนวตอบ ผลคูณเชิงสเกลารของเวกเตอร 6. กําหนด  u  = 8,  v  = 3 และ  u + v  = 5 ใหหาคาของ  u - v 
ทั้งสองไดผลลัพธเทากับ 0)
• มุม θ ซึ่งเปนมุมระหวาง u และ v หาได ระดับกลาง
-5 1
อยางไร 7. ใหหาคา a ที่ทําให a ตั้งฉากกับ -1
-2 1
(แนวตอบ หาไดจากสูตร u • v = uv cos θ)
8. กําหนด u และ v เปนเวกเตอรที่ทํามุมกัน 120 ํ และ  u  = 4,  v  = 3 ใหหามุมระหวาง
C
u + v และ u
ระดับทาทาย
9. จากรูป ใหแสดงวา เสนมัธยฐานที่ลากจากจุดยอดของ
รูปสามเหลี่ยมหนาจั่วตั้งฉากกับฐาน A D B

264

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม 21st Century Skills


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําใบงาน 1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
ที่ 3.4 เรื่อง ผลคูณเชิงสเกลาร ในขั้นเข้าใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและ คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน
ประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรู้ในหนวยการเรียนรู้ที่ 3 2. ให้แตละกลุม รวมกันสืบค้นโจทยของผลคูณเชิงสเกลารมา 2 ข้อ
พร้อมแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่


3. ให้แตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหน้าชั้นเรียน
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T276
ประเมิน นําา
นํ สอน สรุป

ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.4
3.5 ผลคูณเชิงเวกเตอร (Vector Product) 2.
3.
ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.4
ครูตรวจ Exercise 3.4
ในหัวขอที่ผานมา นักเรียนไดศึกษาเกี่ยวกับผลคูณของเวกเตอรสองเวกเตอรที่ไดผลลัพธ 4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
เปนสเกลารซึ่งเรียกวา ผลคูณเชิงสเกลาร โดยในหัวขอนี้ นักเรียนจะไดศึกษาเกี่ยวกับผลคูณ 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
ของเวกเตอรสองเวกเตอรที่ไดผลลัพธเปนเวกเตอร เรียกวา ผลคูณเชิงเวกเตอร โดยเวกเตอรที่ 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
เปนผลลัพธนี้จะตองเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกับเวกเตอรทั้งสอง ดังรูป 7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้
Z Z มุงมั่นในการทํางาน
u×v
v v
k
θ
u
k
θ u ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)
j j v×u การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)
Y Y
i i
1. ครูทบทวนเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติ
โดยครูถามคําถามวา
X X • เวกเตอรศูนยเขียนไดอยางไร
การหาผลคูณเชิงเวกเตอร จะตองนําความรูจากสมบัติ u • v = 0 และการแกระบบสมการ 0
(แนวตอบ 0 )
เชิงเสนสามตัวแปรมาใช เชน ให u = u1 i + u2 j + u3k, v = v1 i + v2 j + v3k และ w เปนเวกเตอรที่ 0
ตั้งฉากกับ u และ v จะไดสมการ u • w = 0 และ v • w = 0 จัดรูปสมการสองสมการและแกระบบ 2. ครู ท บทวนกฎมื อ ขวาในการหาทิ ศ ทางของ
สมการเชิงเสนสามตัวแปรจะไดเวกเตอร w ซึ่งไดมีการนําความรูเกี่ยวกับการหาดีเทอรมิแนนต ผลคูณเชิงเวกเตอรได้ ดังรูปที่ 2 ในหนังสือเรียน
โดยใชการตัดแถวและตัดหลักมาเขียนเวกเตอร w ในรูป i , j และ k ตามบทนิยาม ดังนี้ หน้า 208
บทนิยาม u1 v1
ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u = u2 และ v = v2 คือ
ขัน้ สอน
u3 v3 รู้ (Knowing)
u2 v3 - u3 v2
u u u u u u 1. ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับผลคูณเชิงเวกเตอร
u3 v1 - u1 v3 หรือ 2 3 i - 1 3 j + 1 2 k ในหนังสือเรียน หน้า 265 บนกระดานอยาง
v2 v3 v1 v3 v1 v2
u1 v2 - u2 v1
ละเอียดให้กับนักเรียน และตอบคําถามหาก
เขียนแทนผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v ดวย u × v อานวา เวกเตอรยูครอสเวกเตอรวี
นักเรียนมีข้อสงสัย
คณิตน่ารู้ 2. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาบทนิยามของผลคูณ
เชิงเวกเตอร ในหนังสือเรียน หน้า 265 จากนัน้
การหาผลคูณเชิงเวกเตอรสามารถหาไดในเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติเทานั้น ครู อ ธิ บ ายให้ นั ก เรี ย นฟ ง อี ก ครั้ ง พร้ อ มยก
ตัวอยางให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เวกเตอรในสามมิติ 265 3. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
หน้า 265 ให้กับนักเรียน

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันสร้างเวกเตอรในระบบพิกดั ฉาก แนวความคิดทีน่ กั คณิตศาสตรกาํ หนดบทนิยามผลคูณเชิงเวกเตอรคอ นข้าง
สามมิตจิ าํ นวน 2 เวกเตอร แล้วหาผลคูณเชิงเวกเตอรของ 2 เวกเตอร จะยุงยากและซับซ้อน ครูต้องเชื่อมโยงความรู้เรื่อง การแก้สมการที่มี 3 ตัวแปร
นี้ ลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอ จาก u • v = 0, u • w = 0 และ v • w = 0 และทบทวนความรู้เรื่อง ดีเทอรมิแนนต
หน้าชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T277
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
4. ครูยกตัวอยางที่ 33 ในหนังสือเรียน หน้า 266 ตัวอย่างที่ 33
โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน 2 -3
กําหนด u = -1 และ v = 5 ใหหา u × v
6 1
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน วิธีทํา จากบทนิยาม จะไดวา
-1(1) - 6(5) -1 - 30 -31
หน้า 266 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย u × v = 6(-3) - 2(1) = -18 - 2 = -20
คําตอบ “ลองทําดู” 2(5) - (-1)(-3) 10 - 3 7

รู้ (Knowing) ลองทําดู


3 1
1. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 34 ในหนังสือ- กําหนด u = 1 และ v = -2 ใหหา u × v
เรียน หน้า 266 จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ -2 1
• จากตัวอยางที่ 34 นักเรียนสังเกตเห็นความ ตัวอย่างที่ 34

สัมพันธอะไรหรือไม กําหนด u = 3 i - j + 5k และ v = -4 i + j + k ใหหา u × v และ v × u


(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาเห็นหรือไมเห็น
ก็ได แตครูควรชี้แนะใหนักเรียนสังเกตเห็น วิธีทํา จากบทนิยาม จะไดวา
วา u × v v × u) u × v = -11 51 i - -43 51 j + -43 -11 k คณิตน่ารู้
2. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน
หน้า 266 ให้กับนักเรียน = (-1 - 5) i - (3 + 20) j + (3 - 4)k จากตัวอยางที่ 34 จะเห็นวา
= -6 i - 23 j - k u × v และ v × u เปนนิเสธ
เข้าใจ (Understanding) ซึ่งกันและกัน
v × u = -11 15 i - -43 15 j + -43 -11 k
1. ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = (5 + 1) i - (-20 - 3) j + (4 - 3)k
หน้า 266 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย = 6 i + 23 j + k
คําตอบ “ลองทําดู”
2. ครูให้นักเรียนจับคูแล้วชวยกันทํา “Thinking ลองทําดู
Time” ในหนังสือเรียน หน้า 266 จากนัน้ ครูสมุ กําหนด u = 2 i + 2 j - 5k และ v = i - j + 3k ใหหา u × v และ v × u
นักเรียนออกมาเฉลยคําตอบ และให้นักเรียน
Thinking Time
ทั้งหมดรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
กําหนด u, v และ w เปนเวกเตอร ใด ๆ ในสามมิติ ขอความตอไปนี้เปนจริงหรือไม
ถา u × v = u × w แลว v = w

266

เฉลย Thinking Time ขอสอบเนน การคิด


u1 v1 w1
กําหนด u = u2 , v = v2 และ w = w2 2 -3
u3 v3 w3 กําหนด u = -1 และ v = 2 ใหหา u × v
4 1
u2v3 - u3v2 u2w3 - u3w2
จะได u × v = 3 1 1 3 และ u × w = u3w1 - u1w3
u v - u v (เฉลยคําตอบ จากบทนิยาม จะไดวา
u1v2 - u2v1 u1w2 - u2w1 -1 4 2 4 2 -1
u × v = ∣ 2 1 ∣ i - ∣ -3 1 ∣ j + ∣ -3 2 ∣k
จาก u×v = u×w
u2v3 - u3v2 u2w3 - u3w2 = (-1 - 8) i - (2 + 12) j + (4 - 3) k
จะได u3v1 - u1v3 = u3w1 - u1w3 = -9 i - 14 j + k )
u1v2 - u2v1 u1w2 - u2w1
นั่นคือ u2v3 - u3v2 = u2w3 - u3w2
u3v1 - u1v3 = u3w1 - u1w3
u1v2 - u2v1 = u1w2 - u2w1
จะไดวา v1 = w1, v2 = w2 และ v3 = w3
ดังนั้น v = w

T278
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูยกตัวอยางที่ 35 ในหนังสือเรียน หน้า 267
ตัวอย่างที่ 35
-1 2 โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน จากนั้น
กําหนด u = -2 , v = 4 และ k = -2 ใหหา (ku) × v และ k(u × v) ครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
3 6 • จากตั ว อย า งที่ 35 นั ก เรี ย นสั ง เกตเห็ น
-1 2 ความสัมพันธอะไรหรือไม
วิธีทํา จาก ku = (-2) -2 = 4
3 -6 (แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาเห็นหรือไมเห็น
ก็ได แตครูควรชี้แนะใหนักเรียนสังเกตเห็น
จะไดวา (ku) × v = 44
-6 i - 2 -6 j + 2
6 2 6 2
4 k = 48 i - 24 j
4 วา ( ku) × v = k( u × v ))
และจาก u × v = -24 63 i - -12 63 j + -12 -2 k = -24 i + 12 j
4 เข้าใจ (Understanding)
จะได k(u × v) = -2(-24 i + 12 j ) = 48 i - 24 j
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู หน้า 267 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
3 -1 คําตอบ “ลองทําดู”
กําหนด u = 4 , v = 5 และ k = 3 ใหหา (ku) × v และ k(u × v)
-2 2 รู้ (Knowing)
จากตัวอยางที่ 34-35 จะเห็นวา ผลคูณเชิงเวกเตอรเปนจริงตามสมบัติตาง ๆ ที่สําคัญตอไปนี้ 1. ครูให้นกั เรียนรวมกันสังเกตวา ตัวอยางที่ 34-35
สมบัติ สมบัติที่สําคัญของผลคูณเชิงเวกเตอร
มีผลคูณเชิงเวกเตอรเปนจริงตามสมบัติตางๆ
1) u, v และ w เปนเวกเตอร ใด ๆ ในสามมิติ และ k เปนจํานวนจริงใด ๆ จะไดวา จากนัน้ ครูอธิบายสมบัตขิ องผลคูณเชิงเวกเตอร
(1) u × v = -(v × u) หน้า 267
(2) (u + v) × w = (u × w ) + (v × w)
(3) u × (v + w) = (u × v ) + (u × w)
(4) u × (kv) = k(u × v)
(5) (ku) × v = k(u × v)
(6) u × u = 0
(7) i × j = k, j × k = i , k × i = j
2) ถา u, v และ w เปนเวกเตอร ใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
แลว u • (v × w) = (u × v) • w
3) ถา u 0, v 0 แลว u × v = uv sin θ
เมื่อ θ เปนมุมระหวาง u และ v, 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
4) ให u และ v เปนเวกเตอร ในระบบพิกัดฉากสามมิติ ซึ่งไมใชเวกเตอรศูนยและ
ไมขนานกัน จะไดวา u × v ตั้งฉากกับ u และ v

เวกเตอรในสามมิติ 267

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมให้นักเรียน กลุมละ 4-5 คน แล้วชวยกันสร้าง ครูควรเน้นยํ้านักเรียนวา ผลคูณเชิงเวกเตอรไมมีสมบัติสลับที่แตมีสมบัติ
เวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติจํานวน 2 เวกเตอร แล้วนํา การกระจายทางขวาหรือทางซ้าย
เวกเตอรทั้งสองไปพิสูจนสมบัติของผลคูณเชิงเวกเตอร ข้อ 1) ใน
หนังสือเรียน หน้า 267 โดยทําลงในกระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จแล้ว
ให้นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุม
เดียวกัน

T279
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
2. ครูให้นักเรียนศึกษาการพิสูจนสมบัติข้อที่ 3)
ในที่นี้ จะยกตัวอยางการพิสูจนสมบัติขอ 3) ดังนี้
ในหนังสือเรียน หน้า 268 หลังจากนั้นครูสุม
นักเรียนออกมาอธิบายการพิสูจน ในหนังสือ- 3) ถา u 0 และ v 0 แลว u × v = uv sin θ เมื่อ θ เปนมุมระหวาง u และ v,
เรียน หน้า 268 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
a1 b1
เข้าใจ (Understanding) พิสูจน ให u = a2 และ v = b2
a3 b3
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ a a a a a a
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง จะได u × v = b2 b3 i - b1 b3 j + b1 b2 k
2 3 1 3 1 2
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วให้ทํากิจกรรม
ดังนี้ = (a2b3 - a3b2) i - (a1b3 - a3b1) j + (a1b2 - a2b1) k
• ให้แตละกลุมทําใบงานที่ 3.5 เรื่อง ผลคูณ ดังนั้น u × v
2 = (a2b3 - a3b2)2 + (a1b3 - a3b1)2 + (a1b2 - a2b1) 2
เชิงเวกเตอร = a22 b32 - 2a2a3b2b3 + a32 b22 + a12 b32 - 2a1a3b1b3
• ให้แตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน จากนัน้
ครูสมุ นักเรียนแตละกลุม ออกมาเฉลยคําตอบ + a32 b12 + a12 b22 - 2a1a2b1b2 + a22 b12
และให้นกั เรียนทัง้ หมดรวมกันอภิปรายแสดง = (a12 b12 + a22 b22 + a32 b32) + a22 b23 + a32 b22 + a12b23 + a32 b12
ความคิดเห็น + a12 b22 + a22 b12 - (a12 b12 + a22 b22 + a32 b32) - 2a2a3b2b3
รู้ (Knowing) - 2a1a3b1b3 - 2a1a2b1b2
ครูยกตัวอยางที่ 36 ในหนังสือเรียน หน้า 269 = (a12 + a22 + a32)(b12 + b22 + b32) - (a1b1 + a2b2 + a3b3)2
โดยแสดงวิธีทําอยางละเอียดบนกระดาน และให้ = u2v2 - u • v2
นักเรียนศึกษาไปพร้อมกันแล้วแลกเปลีย่ นความรู้
จนเปนที่เข้าใจรวมกัน จากนั้นครูถามคําถาม = u2v2 - u2v2 cos2 θ
นักเรียน ดังนี้ = u2v2 (1 - cos2 θ)
• ไซนของมุมระหวาง u และ v หาไดอยางไร = u2v2 sin2 θ
(แนวตอบ หาไดจากสูตร u × v = uv sin θ)
ทําใหไดวา u × v = uv sin θ > 0 แสดงวา 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
ดังนั้น u × v =uv sin θ เมื่อ θ เปนมุมระหวาง u และ v, 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ

268

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูใช้คาํ ถามเชือ่ มโยงความรูว้ า u • ( v × w) และ (u × v ) • w เปนเวกเตอร ครูใ ห้นั กเรียนจับ คูแ ล้ วชวยกัน พิสู จนส มบัติ ของผลคูณ เชิ ง
หรือไม เพราะเหตุใด เวกเตอรข้อ 2) และข้อ 3) โดยใช้เวกเตอรที่ครูกําหนดให้ลงใน
กระดาษ A4 เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมาแสดงบทพิสูจน
หน้าชั้นเรียน โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T280
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 36
หน้า 269 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
กําหนด u = i + 2 j และ v = 2 i - j + 3k ใหหาไซนของมุมระหวาง u กับ v คําตอบ “ลองทําดู”
วิธีทํา เนื่องจาก u × v = -12 03 i - 21 30 j + 12 -12 k
รู้ (Knowing)
= (6 - 0) i - (3 - 0) j + (-1 - 4)k
= 6 i - 3 j - 5k 1. ครูให้นักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางที่ 37 ใน
หนั ง สื อ เรี ย น หน้ า 269 แล้ ว แลกเปลี่ ย น
จะไดวา u × v = 62 + (-3)2 + (-5)2 = 36 + 9 + 25 = 70
2 2
ความรู้กับคูของตนเอง จนเปนที่เข้าใจรวมกัน
จาก u = 1 + 2 = 1 + 4 = 5
จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
2 2 2
v = 2 + (-1) + 3 = 4 + 1 + 9 = 14
• จากตัวอยางที่ 37 คาของ u • (u × v ) มีคา
และ u × v = uv sin θ
เทาใด
จะไดวา 70 = 5 14 sin θ (แนวตอบ u • ( u × v) = 0)
ดังนั้น sin θ = 70 = 1 • จากตัวอยางที่ 37 คาของ v • (u × v ) มีคา
5 14
เทาใด
ลองทําดู (แนวตอบ v • ( u × v) = 0)
กําหนด u = 3 i + j - 2k และ v = 2 i - j ใหหาไซนของมุมระหวาง u กับ v • จากตัวอยางที่ 37 นักเรียนสังเกตเห็นความ
สัมพันธอะไรหรือไม
ตัวอย่างที่ 37
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาเห็นหรือไมเห็น
กําหนด u = i + 2 j - 2k และ v = 3 i + k ใหหาคา u • (u × v) และ v • (u × v) ก็ได แตครูควรชี้แนะใหนักเรียนสังเกตเห็น
วิธีทํา จาก u = i + 2 j - 2k และ v = 3 i + k วา u • ( u × v) = 0 และ v • ( u × v) = 0
จะไดวา u × v เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกับ u
จะไดวา u × v = 02 -21 i - 31 -21 j + 13 20 k และ v)
= (2 - 0) i - (1 + 6) j + (0 - 6)k
เข้าใจ (Understanding)
= 2 i - 7 j - 6k
1 2 1. ครูให้นักเรียนคูเดิมทํา “ลองทําดู” ในหนังสือ-
ดังนั้น u (u × v) = 2 • -7 = 1(2) + 2(-7) + (-2)(-6) = 0
• เรียน หน้า 270 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
-2 -6 เฉลยคําตอบ “ลองทําดู”
3 2
และ v • (u × v) = 0 • -7 = 3(2) + 0(-7) + 1(-6) = 0 2. ครูให้นักเรียนทํา Exercise 3.5 เปนการบ้าน
1 -6
เวกเตอรในสามมิติ 269

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


u = 2 i + k และ v = 4 i + 3 j - k ใหหาคา u • (u × v ) และ ครูควรใช้การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบายตัวอยางที่ 36 และ 37 วาใช้
v • (u × v ) สมบัติของผลคูณเชิงเวกเตอรข้อใดในการหาคําตอบบ้าง
(เฉลยคําตอบ จาก u = 2 i + k และ v = 4 i + 3 j - k
0 1 2 1 2 0
จะไดวา u × v = ∣ 3 -1 ∣ i - ∣ 4 -1 ∣ j + ∣ 4 3 ∣k
= (0 - 3) i - (-2 - 4) j + (6 - 0) k
= -3 i + 6 j + 6 k
2 -3
ดังนั้น u • ( u × v ) = 0 • 6 = 2(-3) + 0(6) + 1(6) = 0
1 6
4 -3
และ v • ( u × v ) = 3 • 6
-1 6
= 4(-3) + 3(6) + (-1)(6) = 0)

T281
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู้ (Knowing)
ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู้” ในหนังสือเรียน ลองทําดู
หน้า 270 ให้กับนักเรียน
กําหนด u = i + 2 j - k และ v = -2 i + 3 k ใหหา u • (u × v) และ v • (u × v)
ลงมือทํา (Doing) คณิตน่ารู้
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ ถา u ขนานกับ v แลว u × v = 0
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง ถา u × v เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกับ u และ v จะไดวา u • (u × v) = 0 และ v • (u × v) = 0
และเก ง ) ให้ อ ยู  ก ลุ  ม เดี ย วกั น แล้ ว ช ว ยกั น ทํ า
แบบฝกทักษะ 3.5 ในหนังสือเรียน หน้า 270
แบบฝึกทักษะ 3.5
ขัน้ สรุป
ระดับพื้นฐาน
ครูถามคําถามเพือ่ ประเมินความรูร้ วบยอดของ
นักเรียน ดังนี้ 1. ใหหาเวกเตอร u × v และ v × u เมื่อกําหนด
1 3
• ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v เขียน 1) u = -32 , v = -51 2) u = 2 , v = 1
แทนดวยสัญลักษณไดอยางไร และอานได 1 -2
อยางไร 3) u = 2 i + j + k, v = 2 i - j 4) u = 3 i + 2 j - k, v = 3 i + 5 j - k
(แนวตอบ เขียนแทนดวย u × v อานวา 2. เวกเตอรที่กําหนดใหในแตละขอตอไปนี้ เวกเตอรคูใดขนานกัน
เวกเตอรยูครอสเวกเตอรวี) 3 6 0 1
1) u = -1 , v = 2 2) u = 1 , v = 0
• ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v ผลลัพธที่ 1 -2 1 1
ไดจะเปนอยางไร 3) u = i + 2 j , v = 2 i - j + 3k 1 1
4) u = i - 4 j - 4 k , v = 8 i + 2 j + 2k
(แนวตอบ ผลลัพธที่ไดจะเปนเมทริกซ)
ระดับกลาง
ขัน้ ประเมิน 3. กําหนด u = 3 i + a j - 2k ขนานกับ v = -4 i - 9 j + 83 k ใหหาคา a
1. ครูตรวจใบงานที่ 3.5 4. กําหนด u = 5 i - x j + 3k ขนานกับ v = -10 i + 2 j - 6k ใหหาคา x
2. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.5 5. กําหนด a = 2 i - j และ b = 2 i + j + k ใหหาไซนของมุมระหวาง a และ b
3. ครูตรวจ Exercise 3.5
ระดับทาทาย
4. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 6. ถา u และ v เปนเวกเตอรหนึ่งหนวย มุมระหวาง u กับ v เทากับ 135 ํ ใหหาคา  u × v 
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 7. กําหนด  u  = 3,  v  = 4 และ  u × v  = 6 ใหหามุมระหวาง u กับ v
7. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู้
มุงมั่นในการทํางาน 270

แนวทางการวัดและประเมินผล กิจกรรม สรางเสริม


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําใบงาน ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันเลือกตัวอยางโจทยจากแบบฝก-
ที่ 3.5 เรือ่ ง ผลคูณเชิงเวกเตอร ในขัน้ เข้าใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผล ทักษะ 3.3 ข ระดับกลาง ในหนังสือเรียน หน้า 270 เพื่อนํามา
จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรู้ในหนวยการเรียนรู้ที่ 3 สร้างโจทยใหม พร้อมแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4
เมื่อทําเสร็จแล้วให้นํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกต้อง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่


หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับ ส่วนร่วมใน รวม
ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ลาดับที่ ความคิดเห็น ฟังคนอื่น การปรับปรุง 15
ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T282
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา (Concept Based Teaching)


การใช้ความรูเ้ ดิมฯ (Prior Knowledge)

3.6 การนําความรูเกี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใชใน 1. ครูใช้คําถามเพื่อทบทวนความรู้ของนักเรียน


ดังนี้
การแกปญหา • นั ก เรี ย นคิ ด ว า ความรู  เ รื่ อ งเวกเตอร ยั ง
ในหัวขอนี้นักเรียนจะไดศึกษาเกี่ยวกับการนําความรูเรื่องเวกเตอรไปใชในการแกปญหา เชน สามารถนําไปใชประโยชนในเรื่องอะไรได
การใชเวกเตอรหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน หาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน อีกบาง
( แนวตอบ ใช ใ นการหาระยะทางระหว า ง
1. การใชเวกเตอร ในการหาพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน สถานที่ตางๆ ในแผนที่ เชน หาระยะทาง
D C จากรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD ให AB = u, กรุงเทพฯ-เชียงใหม)
AD = v, h เปนความสูง และ θ เปนมุมระหวาง 2. ครูทบทวนความรูเ้ รือ่ ง ผลคูณเชิงเวกเตอรและ
v h u และ v สมบัติที่สําคัญของผลคูณเชิงเวกเตอร
เนื่องจาก sin θ =  hv 
θ
A u B จะไดวา h =  v  sin θ ขัน้ สอน
ทําใหไดวา พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน = ความยาวฐาน × ความสูง รู้ (Knowing)
= uv sin θ 1. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นดู รู ป สี่ เ หลี่ ย มด้ า นขนาน ใน
= u × v หนังสือเรียน หน้า 271 จากนั้นครูถามคําถาม
ดังนั้น u × v ในทางเรขาคณิตเทากับพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u และ v นักเรียน ดังนี้
เปนดานประชิด • สูตรพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนานมีสตู รวา
ตัวอย่างที่ 38 อยางไร
ใหหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD เมื่อ AB = 3 i - 2 j และ AD = 3 j + 4k (แนวตอบ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน
= ความยาวฐาน × ความสูง)
วิธีทํา พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD เทากับ AB × AD 2. ครูอธิบายการใช้เวกเตอรในการหาพื้นที่ของ
จาก AB × AD = -23 04 i - 03 40 j + 30 -23 k รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน ในหนังสือเรียน หน้า
= (-8 - 0) i - (12 - 0) j + (9 - 0)k 271
= -8 i - 12 j + 9k 3. ครูยกตัวอยางที่ 38 ในหนังสือเรียน หน้า 271
จะไดวา AB × AD = (-8)2 + (-12)2 + 92 = 289 = 17 โดยแสดงวิ ธีทํ า อย า งละเอี ย ดบนกระดาน
ดังนั้น พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD เทากับ 17 ตารางหนวย จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน ดังนี้
• พืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน ABCD หาได
ลองทําดู อยางไร
ใหหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD เมื่อ AB = 2 i - j และ AD = 4 i + 2 j (แนวตอบ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน
เวกเตอรในสามมิติ 271 ABCD หาไดจาก AB × AD)

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


ใหหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน PQRS เมื่อ PQ = 2 j - 3 k ครูควรทบทวนสูตรการหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน และกําหนด
และ PS = 5 i + k รูปสีเ่ หลีย่ มด้านขนาน ABCD ทีม่ มี มุ A = 60 ํ แล้วกําหนดประเด็นวา ถ้าต้องการ
(เฉลยคําตอบ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน PQRS เทากับ หาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ABCD จะหาได้หรือไม และต้องใช้ความรู้เรื่องใดบ้าง
PQ × PS ครูควรใช้การถาม-ตอบ ประกอบคําอธิบาย โดยเชื่อมโยงความรู้จากคา
2 -3 0 -3 0 2 ของไซน สูตรพื้นที่ และบทนิยามของผลคูณเชิงเวกเตอร
จาก PQ × PS = ∣ 0 1 ∣ i - ∣ 5 1 ∣ j + ∣ 5 0 ∣k
= (2 - 0) i - (0 + 15) j + (0 - 10) k
= 2 i - 15 j - 10 k
จะไดวา PQ × PS = 2 2 + (-15)2 + 10 2
= 329
ดังนั้น พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน PQRS เทากับ 329
ตารางหนวย)

T283
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ตัวอย่างที่ 39
หน้า 271 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
รูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด A(9, 12, 6), B(0, 2, 2) และ C(8, 8, -2) เปนจุดยอด
คําตอบ “ลองทําดู”
ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมรูปนี้
รู้ (Knowing) วิธีทํา พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 12 AB × AC
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 39 ในหนังสือ- 0-9 -9 8- 9 -1
จาก AB = 2 - 12 = -10 และ AC = 8 - 12 = -4
เรียน หน้า 272 จากนั้นครูถามคําถามนักเรียน 2-6 -4 -2 - 6 -8
ดังนี้ (-10)(-8) - (-4)(-4)
• พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC หาไดอยางไร จะไดวา AB × AC = (-4)(-1) - (-9)(-8)
(-9)(-4) - (-10)(-1)
(แนวตอบ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC หา
= (80 - 16) i + (4 - 72) j + (36 - 10)k = 64 i - 68 j + 26k
ไดจาก 12 AB × AC)
ดังนั้น 12 AB × AC = 12 642 + (-68)2 + 262
เข้าใจ (Understanding) = 12 (32 • 2)2 + (34 • 2)2 + (13 • 2)2
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน = 12 22(322 + 342 + 132) = 2,349 = 9 29
หน้า 272 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย นั่นคือ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 9 29 ตารางหนวย
คําตอบ “ลองทําดู”
ลองทําดู
รู้ (Knowing) รูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด A(2, 6, 2), B(1, 9, 6) และ C(4, 2, 8) เปนจุดยอด ใหหา
1. ครูอธิบายการใช้เวกเตอรในการหาปริมาตร พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมรูปนี้
ของทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน ในหนังสือเรียน 2. การใชเวกเตอรในการหาปริมาตรของทรงสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
หน้า 272-273 u×v H G จากรูปทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน
ABCDEFGH กําหนดให AB = u,
D C AE = v, AD = w, h เปนความสูง และ
E F มีพนื้ ทีฐ่ านของทรงสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
w h
v
เทากับ u × v ตารางหนวย และ θ
θ

A
u เปนมุมระหวาง w และ u × v
K B
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก AKD
จะได cos θ = ADAK = h
w
h = w cos θ
272

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรเชือ่ มโยงความรูเ้ รือ่ ง สูตรการหาปริมาตรของรูปสีเ่ หลีย่ มด้านขนาน ครูให้นกั เรียนจับคูแ ล้วชวยกันหาพืน้ ทีข่ องรูปสามเหลีย่ ม PQR
โดยใช้คาํ ถาม เชน พืน้ ทีฐ่ านของรูปสีเ่ หลีย่ มด้านขนานมีความสัมพันธกบั ผลคูณ โดยทีร่ ปู สามเหลีย่ ม PQR มีจดุ P(2, 2, 3), Q(2, 6, 7) และ R(3, 1, 5)
เชิงเวกเตอรอยางไร และความสูงมีความสัมพันธกับ sin θ และ cos θ หรือไม เปนจุดยอด ลงในกระดาษ A4 พร้อมแสดงวิธีคิดอยางละเอียด
อยางไร เมื่อทําเสร็จครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีคิดหน้าชั้นเรียน โดย
ครูและนักเรียนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ : ครูควรให้นักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T284
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
รู (Knowing)
2. ครูอธิบายกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน
จากปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน = พื้นที่ฐาน × ความสูง
หนา 273 ใหกับนักเรียน
=  u × v   w  cos θ
3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 40 ในหนังสือ-
= w • (u × v)
เรียน หนา 273 จากนัน้ ครูถามคําถามนักเรียน
เนื่องจาก ปริมาตรตองเปนบวก
ดังนี้
ดังนั้น ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ  w • (u × v)  ลูกบาศกหนวย และใน
• ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานหาได
ทางเรขาคณิต  w • (u × v)  เทากับปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u, v และ w เปน
ดานของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน อยางไร
(แนวตอบ ปริมาตรของทรงสีเ่ หลีย่ มดานขนาน
คณิตน่ารู้ หาไดจาก  w • ( u × v) ที่มี u, v และ w
• ถา u v และ w อยูบนระนาบเดียวกัน แลวผลคูณเชิงเวกเตอรของ w กับ u × v เทากับ 0 เปนดานของทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน)
นั่นคือ w • (u × v) = 0
• จากเวกเตอรสองเวกเตอรใด ๆ ที่เทากัน จะได u • ( v × v ) = 0 และ v • (u × u) = 0

ตัวอย่างที่ 40
ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 2 i + 3 j - 4k, v = i - j + k
และ w = i + j + 2k เปนดาน
วิธีทํา ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • (u × v)
จะไดวา u × v = -13 -41 i - 12 -41 j + 21 -13 k
= (3 - 4) i - (2 + 4) j + (-2 - 3)k
= - i - 6 j - 5k
ดังนั้น w • (u × v) = ( i + j + 2k) • (- i - 6 j - 5k)
= 1(-1) + 1(-6) + 2(-5)
= -1 - 6 - 10
= -17
= 17
นั่นคือ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ 17 ลูกบาศกหนวย

เวกเตอรในสามมิติ 273

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน คละความสามารถทาง จากตัวอยางที่ 40 ในหนังสือเรียน หนา 273 ครูควรใชคาํ ถามฝกใหนกั เรียน
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุมเดียวกัน แลว คิดวิเคราะหวา
ชวยกันสรางเวกเตอรในระบบพิกัดฉากสามมิติเพื่อนํามาแสดงวิธี 1. จะนําสูตร  w • ( u × v) ไปใชไดหรือไม เพราะเหตุใด
ทําโดยใชความรูจากกรอบ “คณิตนารู” ในหนังสือเรียน หนา 273 2. ถาใช  w • ( u × v) นักเรียนคิดวาปริมาตรที่คํานวณไดจะเทากัน
ลงในกระดาษ A4 อยางละเอียด เมื่อทําเสร็จแลวใหนํามาสงครู หรือไม เพราะเหตุใด
โดยครูตรวจสอบความถูกตอง

T285
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
ครูให้นักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
ลองทําดู
หน้า 274 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คําตอบ “ลองทําดู” ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 3 i + j + 2k, v = 4 i + 5 j + k
และ w = i + 2 j + 4k เปนดาน
รู้ (Knowing)
à¡Ãç ´ ¹ è ÒÃÙ é
ครูให้นักเรียนศึกษาประวัตินักคณิตศาสตรใน Sir. Willam Rowan Hamilton
กรอบ “เกร็ดนารู้” ในหนังสือเรียน หน้า 274 ให้ Sir William Rowan Hamilton (¤.È. 1805-1885) ໚¹¼Ù¤Œ ´Ô ¤Œ¹¤ÇÍà·ÍÏà¹Õ¹ (Quaternion)
กับนักเรียน «Ö§è ·Óãˌ䴌·Ò§ÍÍ¡¢Í§¡ÒäٳàÇ¡àµÍÏã¹ÃкºÊÒÁÁÔµÔ â´Âä´ŒÃºÑ ¡ÒþÔʨ٠¹áÅÐÂÍÁÃѺ
Ç‹Ò໚¹¾×é¹°Ò¹¢Í§ÇÔªÒ¾Õª¤³ÔµÊÁÑÂãËÁ‹ ¤ÇÍà·ÍÏà¹Õ¹໚¹¨Ó¹Ç¹·Õèà¢Õ¹ã¹ÃÙ» w + ix
+ jy + kz â´Â·Õè W, X, Y áÅÐ Z ໚¹¨Ó¹Ç¹¨ÃÔ§
เข้าใจ (Understanding)
1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วทํากิจกรรม กิจกรรม คณิตศาสตร์
ดังนี้ ใหนักเรียนแบงกลุม 4 กลุม กลุมละเทา ๆ กัน แลวชวยกันทํากิจกรรมตอไปนี้
• ให้แตละกลุมทําใบงานที่ 3.6 เรื่อง การนํา
ความรู้เกี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใช้ใน อุปกรณ
1. กานลูกโปง 2. กระดาษกาว
การแก้ปญหา 3. ปากกาเคมีคละสี 4. กรรไกร
• ให้แตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน จากนัน้
ครู สุ  ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมาเฉลย 1. ใหแตละกลุมสรางระบบพิกัดฉากสามมิติโดยใชกานลูกโปงในการสรางแกน X แกน Y และแกน Z โดย
คํ า ตอบ และให้ นั ก เรี ย นทั้ ง หมดร ว มกั น ใชกระดาษกาวในการยึดแกน
อภิปรายแสดงความคิดเห็น 2. ใหตัวแทนแตละกลุมออกมาจับสลากจุดในระบบพิกัดฉากโดยกําหนดจุด ดังนี้
2. ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นกลุ  ม เดิ ม ร ว มกั น ทํ า กิ จ กรรม A (1, -3, 2) B (2, 0, -5)
คณิตศาสตร ตามในหนังสือเรียน หน้า 274 C (-3, 4, -1) D (7, -2, 6)
E (2, 2, -6)

3. สรางพิกดั จุดจากสลากทีจ่ บั ไดจากขอ 2. แลวใชกา นลูกโปงในการสรางพิกดั โดยใหแตละหลอดขนาน


กับแกน X แกน Y และแกน Z
4. สงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

เฉลย กิจกรรมคณิตศาสตร์ 274

คําตอบขึ้นอยูที่ดุลยพินิจของครูผูสอน

ขอสอบเนน การคิด
ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับเทาใด เมื่อ u = i + 4 j - 3 k , v = 2 i + 3 j + k และ
w = - i + 2 j + 2 k เปนดาน
(เฉลยคําตอบ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ  w • ( u × v)
4 -3 1 -3 1 4
จะไดวา u × v = ∣ 3 1 ∣ i - ∣ 2 1 ∣ j + ∣ 2 3 ∣k
= (4 + 9) i - (1 + 6) j + (3 - 8) k
= 13 i - 7 j - k
ดังนั้น  w • ( u × v) = ( - i + 2 j + 2 k ) • (13 i - 7 j - k )
= ( -1)(13) + 2(-7) + 2(-1)
= -13 - 14 - 2 
= -29 
= 29
นั่นคือ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ 29 ลูกบาศกหนวย)
T286
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
เข้าใจ (Understanding)
3. ครูให้นกั เรียนทําแบบฝกทักษะ 3.6 ในหนังสือ-
แบบฝึกทักษะ 3.6
เรียน หน้า 275 เมือ่ ทําเสร็จแล้วครูและนักเรียน
ระดับพื้นฐาน รวมกันเฉลยคําตอบ
1. ใหหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ABCD เมื่อ AB = 7 i + 3 j และ AD = 5 i + j 4. ครูให้นักเรียนทํา Exercise 3.6 ในแบบฝกหัด
2. ใหหาพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน PQRS เมือ่ PQ = 2i - j + 3k และ PS = -i - 2j + 4k เปนการบ้าน
3. ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เมื่อ AB = 2 i - 2 j - 2k และ AC = i + 2 j - k
4. ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 2 i - 6 j + 2k, v = 4 i - 2k และ
w = 2 i + 2 j - 4k เปนดาน
ระดับกลาง
5. รูปสามเหลี่ยม PQR มีจุด P(0, 2, 1), Q(1, -1, 2) และ R(2, 0, -1) เปนจุดยอด
ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมนี้
6. ใหหาปริมาตรของกลองรูปทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี AB, AC และ AD เปนดานประกอบ
เมื่อ A(1, 1, 1), B(2, 0, 3), C(3, -1, -2) และ D(4, 1, 7)
ระดับทาทาย
7. ใหหาปริมาตรของปริซึม ดังรูป A
ที่มี AB = 2 i + j + 2k

และ AC = 4 i + j - 3k เปนดาน B C 4 หนว

ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนวยแลว ใหนักเรียนบอกสัญลักษณที่ตรงกับระดับความสามารถของตนเอง
ควร
ดี พอใช ปรับปรุง
1. เขาใจและสามารถหาเวกเตอร และนิเสธของเวกเตอรได
2. สามารถหาผลลัพธการบวกการลบเวกเตอร การคูณเวกเตอร
ดวยสเกลารได
3. หาผลคูณเชิงสเกลารและผลคูณเชิงเวกเตอรได
4. นําความรูเกี่ยวกับเวกเตอรในสามมิติไปใชในการแกปญหาได

เวกเตอรในสามมิติ 275

กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู


1. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง ครูควรใช้คําถามตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนในเนื้อหาที่ได้เรียนใน
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน หัวข้อนี้ กอนที่จะให้นักเรียนทําแบบฝกทักษะ 3.6 ในหนังสือเรียน หน้า 275
2. ให้แตละกลุมรวมกันสืบค้นโจทยของเวกเตอรในสามมิติที่นําไป
ใช้ในการแก้ปญหาในเรื่องตางๆ มา 1 ข้อ
3. ให้แตละกลุมสงตัวแทนมานําเสนอหน้าชั้นเรียน

T287
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ลงมือทํา (Doing)
ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
และเกง) ให้อยูก ลุม เดียวกัน แล้วทํากิจกรรม ดังนี้
• ให้นกั เรียนทํา “คณิตศาสตรในชีวติ จริง” ใน กีฬาเบสบอล (baseball)
หนังสือเรียน หน้า 276 เบสบอล เปนกีฬาประเภททีม โดยแบงออกเปน 2 ทีม คือ ทีมรุกและทีมรับ ซึ่งขณะทําการ
• ให้แตละกลุม ทําความเข้าใจรวมกัน จากนัน้ แขงขัน 1 ทีม จะมีผูเลนทีมละ 9 คน โดยทีมรุกจะขึ้นมาตีลูกทีละหนึ่งคน เรียกวา ผูตี (batter) และ
ครู สุ  ม นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมาเฉลย ทีมรับมีหนาที่ยับยั้งการทําคะแนนของทีมรุก โดยการทําคะแนนในเกมนั้นจะเกิดจากการที่ผูตีวิ่งไป
คํ า ตอบ และให้ นั ก เรี ย นทั้ ง หมดร ว มกั น สัมผัสฐาน หรือเบส (base) ซึ่งวางอยูตามจุดตาง ๆ 4 จุด ตามลําดับ
อภิปรายแสดงความคิดเห็น

สถานการณ
ในการแขงขันกีฬาเบสบอลรายการหนึ่งปรากฏวา ผูตี (batter) จากทีมหนึ่งซึ่งยืนอยูที่จุด
(0, 0) ตีลูกออกไปจากสนามดานซายที่จุด (-3, 6) ดังรูป
Y
Center Field
Left Field Right Field

เฉลย คณิตศาสตร์ ในชีวิตจริง Short Stop 2nd Base


กําหนด u เปนเวกเตอรบอกขนาดและทิศทาง
ของลูกเบสบอล Pitcher
3rd Base 1st Base
จะได u = -36 -- 00 = -36
(0, 0) X
ดังนั้น u = (-3)2 + 62 Catcher
= 9 + 36 อยากทราบวาลูกบอลจะมีขนาดและทิศทางเปนเทาใด
= 45
= 3 5
หาทิศทางของ u จาก tan θ = -36
276
= - 12
ดังนั้น θ ≈ 26.57 ํ

ขอสอบเนน การคิด
ใหหาปริมาตรของปริซึมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังรูป
ที่มี PQ = 3 i - j + 2 k P Q
และ PS = i + 4 j - k 4 หนวย
S R
(เฉลยคําตอบ
ปริมาตรของปริซึมสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทากับ 4 • ( PQ × PS)
-1 2 3 2 3 -1
จะไดวา PQ × PS = ∣ 4 -1 ∣ i - ∣ 1 -1 ∣ j + ∣ 1 4 ∣k
= (1 - 8) i - (-3 - 2) j + (12 + 1) k
= -7 i + 5 j + 13 k
ดังนั้น 4 • ( PQ × PS) = 4 • (-7 i + 5 j + 13 k )
= -28 i + 20 j + 52 k 
= (-28)2 + 20 2 + 522
= 3,888
= 36 3
T288 นั่นคือ ปริมาตรของปริซึมเทากับ 36 3 ลูกบาศกหนวย)
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
สรุปแนวคิดหลัก 1. ครูใหนักเรียนอานและศึกษา “สรุปแนวคิด
หลัก” ในหนังสือเรียน หนา 277-278 แลวเขียน
เวกเตอร์ในสามมิติ ผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูท ี่ 3 เรือ่ ง เวกเตอร
ในสามมิติ ลงในกระดาษ A4
ระบบพิกัดฉากสามมิติ
2. ครูถามคําถามเพือ่ ประเมินความรูร วบยอดของ
• ระยะทางระหวางจุดสองจุดในระบบพิกัดฉากสามมิติ นักเรียน ดังนี้
ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2) หรือ
• เวกเตอรคืออะไร
AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2 หนวย
(แนวตอบ ปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง)
เวกเตอร์
• เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนที่ A และจุดสิ้นสุดที่
• การบวกเวกเตอร
B เขียนแทนดวยสัญลักษณใด
ให u และ v เปนเวกเตอรใด ๆ (แนวตอบ AB)
ผลบวกของ u และ v เขียนแทนดวย u + v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดเริ่มตนของ u และ
จุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
• การลบเวกเตอร
ให u และ v เปนเวกเตอรใด ๆ
ผลลบของ u และ v เขียนแทนดวย u - v คือ เวกเตอรที่มีจุดเริ่มตนอยูที่จุดสิ้นสุดของ v
และจุดสิ้นสุดอยูที่จุดสิ้นสุดของ u
• การคูณเวกเตอรดวยสเกลาร
ให a เปนสเกลาร และ u เปนเวกเตอร ผลคูณของเวกเตอร u ดวยสเกลาร a เปนเวกเตอร
เขียนแทนดวย au โดยที่
1) ถา a = 0 แลว au = 0
2) ถา a > 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au และมีทิศทางเดียวกับ u
3) ถา a < 0 แลว au จะมีขนาดเทากับ au แตมีทิศทางตรงขามกับ u

เวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก
• ถา A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสองมิติ
x -x
แลว AB = y2 - y1 และขนาดของ AB หรือ AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2
2 1
• ถา A(x1, y1, z1) และ B(x2, y2, z2) เปนจุดใด ๆ ในระบบพิกัดฉากสามมิติ
x2 - x1
แลว AB = y2 - y1 และขนาดของ AB หรือ AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1)2
z2 - z1

เวกเตอรในสามมิติ 277

กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู


ครูแบงกลุมใหนักเรียน กลุมละ 4-5 คน ชวยกันเลือกหัวขอใน ครู ค วรทบทวนระยะห า งระหว า งจุ ด สองจุ ด ในระบบพิ กั ด ฉากสามมิ ติ
“สรุปแนวคิดหลัก” ในหนังสือเรียน หนา 277-278 เพื่อนํามาสราง การบวกเวกเตอร การลบเวกเตอร และการคูณเวกเตอรดวยสเกลาร ที่อยูใน
โจทย พรอมแสดงวิธีคิดอยางละเอียดลงในกระดาษ A4 เมื่อทํา “สรุปแนวคิดหลัก” ในหนังสือเรียน หนา 277 ใหกับนักเรียนพรอมยกตัวอยาง
เสร็จแลวใหสงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครู ประกอบการอธิบาย
ตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครู ค วรจั ด กลุ  ม โดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดียวกัน

T289
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
• ขนาดของเวกเตอร u เขียนแทนดวย
สัญลักษณใด และหาอยางไร
(แนวตอบ u = x2 + y 2 + z2 a a
• เวกเตอร 1 หนวย ที่มีทิศทางเดียวกับ b ใด ๆ ที่ไมใชเวกเตอรศูนย คือ 2 1 2 2 b
เมื่อ u = x i + y j + zk) c
a
a +b +c c
a
• ถา u • v = u v  cos 90 ํ = 0 แสดงวา u • เวกเตอร 1 หนวย แตมที ศิ ทางตรงกันขามกับ b ใด ๆ ทีไ่ มใชเวกเตอรศนู ย คือ - 2 1 2 2 b
c a +b +c c
และ v มีความสัมพันธกันอยางไร a
1 a
• เวกเตอร 1 หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 2 2 b
(แนวตอบ u และ v ตั้งฉากกัน) c a +b +c c
a a
• ถา u × v = u v  sin 0 ํ = 0 แสดงวา u • เวกเตอร k หนวย ที่ขนานกับ b ใด ๆ คือ ± 2 k 2 2 b
และ v มีควาสัมพันธกันอยางไร c a +b +c c
• โคไซนแสดงทิศทาง
(แนวตอบ u และ v ขนานกัน) a
- ให v = b เปนเวกเตอรที่ไมใชเวกเตอรศูนย โคไซนแสดงทิศทางของ v เทียบกับแกน X
c
แกน Y และแกน Z ตามลําดับ คือ  av  ,  bv  ,  cv 
- เวกเตอรสองเวกเตอรมีทิศทางเดียวกัน ก็ตอเมื่อ มีโคไซนแสดงทิศทางชุดเดียวกัน และมีทิศทาง
ตรงกันขามกัน ก็ตอ เมือ่ โคไซนแสดงทิศทางเทียบแตละแกนของเวกเตอรหนึง่ เปนจํานวนตรงขามกับ
โคไซนแสดงทิศทางของอีกเวกเตอรหนึ่ง

ผลคูณเชิงสเกลาร์
• ถา u = x1 i + y1 j และ v = x2 i + y2 j แลวผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v คือ x1 x2 + y1 y2
ถา u = x1 i + y1 j + z1k และ v = x2 i + y2 j + z2k แลวผลคูณเชิงสเกลารของ u และ v คือ
x1 x2 + y1 y2 + z1 z2 เขียนแทนผลคูณเชิงสเกลารของ u • v
• ถา θ เปนมุมระหวาง u และ v ซึ่ง 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ แลว u • v = uv cos θ

ผลคูณเชิงเวกเตอร์
a2 b3 - a3 b2
a a a a a a
• ผลคูณเชิงเวกเตอรของ u และ v คือ a3 b1 - a1 b3 หรือ b2 b3 i - b1 b3 j + b1 b2 k
a1 b2 - a2 b1 2 3 1 3 1 2
ซึ่งเขียนแทนดวย u × v โดยที่ u = a1 i + a2 j + a3k และ v = b1 i + b2 j + b3k

การนําความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิติไปใช้ในการแก้ปัญหา
• พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ u × v เมื่อ u และ v เปนดานประกอบมุมของรูปสี่เหลี่ยม
ดานขนาน โดยที่ 0 ํ ≤ θ ≤ 180 ํ
• ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ w • (u × v) เมื่อ u, v และ w เปนดานของทรงสี่เหลี่ยม
ดานขนาน

278

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูควรทบทวนการหาขนาดของเวกเตอร หาเวกเตอรหนึ่งหนวยหรือ k 8 -1
ครูใหนักเรียนจับคูแลวใหแสดงวา u = 2 และ v = -4
หนวย ของเวกเตอรในระบบพิกดั ฉากสองมิตแิ ละสามมิติ หาโคไซนแสดงทิศทาง 6 -3
ของเวกเตอร ผลคูณเชิงสเกลาร ผลคูณเชิงเวกเตอร และการนําความรูเกี่ยวกับ ขนานกันหรือไม โดยใชโคไซนแสดงทิศทางในการตรวจสอบแลว
เวกเตอรในสามมิติไปใชแกปญหาที่อยูใน “สรุปแนวคิดหลัก” ในหนังสือเรียน ทําลงในกระดาษ A4 พรอมแสดงวิธีคิดอยางละเอียด เมื่อทําเสร็จ
หนา 277-278 ใหกับนักเรียนพรอมยกตัวอยางประกอบการอธิบาย แลวใหนํามาสงครู โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกงและนักเรียนออนจับคูกัน

T290
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
3. ครูให้นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน คละ
แบบฝึกทักษะ ประจําหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3 ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน ปานกลาง
และเกง) ให้อยูกลุมเดียวกัน แล้วชวยกันทํา
แบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู้ที่ 3 ใน
คําชี้แจง : ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้
หนังสือเรียน หน้า 279-280 ลงในกระดาษ A4
1. จากรูป ใหหาพิกัดของจุด A, C, D, E, F และ G เมื่อกําหนดจุด B(5, 10, 5) 4. ครู สุ  ม นั ก เรี ย นออกมานํ า เสนอคํ า ตอบหน้ า
Z
ชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนในชั้นเรียนรวมกัน
D C ตรวจสอบความถูกต้อง
A B(5, 10, 5)
Y
E H

F G
X
2. ใหหาระยะทางระหวางจุดสองจุดที่กําหนดใหในแตละขอตอไปนี้
1) A(-2, 1, 5) กับ B(1, 3, 0) 2) A(2, 3, -2) กับ B(4, 5, 6)
3) A(-1, 1, 7) กับ B(8, 5, 2) 4) A(2, 1, -5) กับ B(0, 2, -1)
3. ใหพิจารณาขอความในแตละขอตอไปนี้ วาเปนปริมาณสเกลารหรือปริมาณเวกเตอร
1) ใบเฟรนหนัก 45 กิโลกรัม
2) โบมีที่ดิน 2 ไร กับอีก 1 งาน
3) สมยศขับรถไปจังหวัดชุมพรดวยความเร็ว 120 กิโลเมตรตอชั่วโมง
4) วารีออกแรงดึงหนังสติ๊กเปนเวลา 30 วินาที
5) สมซือ้ ผลไมไปฝากคุณยายทีบ่ า นอยูห า งกันไปทางทิศตะวันออกเปนระยะทาง 500 เมตร
4. จากปริซึมฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใหหาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
E
1) เวกเตอรที่มีทิศทางเดียวกัน
C 2) เวกเตอรที่มีทิศทางตรงกันขามกัน
D
3) เวกเตอรท่เี ทากัน
A B
0 7
5. กําหนด p = -1 ,q= 3 ,u= 4 และ v = 6 ใหหา
1 5 -2 -3
1) 3p + q 2) นิเสธของ 5p - 2q
3) -4u + 5v 4) นิเสธของ 3u - v
เวกเตอรในสามมิติ 279

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


ใหหาระยะทางระหวางจุดสองจุดที่กําหนดหนดในแตละขอ ครู อ าจเพิ่ ม แบบฝ ก หั ด ให้ กั บ นั ก เรี ย นในหั ว ข้ อ เรื่ อ งที่ ค รู คิ ด ว า เนื้ อ หามี
ตอไปนี้ ความยากสําหรับนักเรียน เพือ่ ให้นกั เรียนทําความเข้าใจได้อยางถูกต้องมากทีส่ ดุ
1. A(1, 5, -2) กับ B(0, 1, 3)
2. A(5, -2, -1) กับ B(7, -1, 1)
(เฉลยคําตอบ
1. AB = (0 - 1)2 + (1 - 5)2 + (3 - (-2)) 2
= (-1)2 + (-4)2 + 52
= 1 + 16 + 25
= 42 หนวย
2. AB = (7 - 5)2 + (-1 - (-2))2 + (1 - (-1)) 2
= 2 2 + 12 + 2 2
= 4+1+4
= 9
= 3 หนวย) T291
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
1. ครูตรวจแบบฝกทักษะ 3.6
2. ครูตรวจ Exercise 3.6 6. D F C จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD มี AE และ AF
3. ครูตรวจแบบฝกทักษะประจําหนวยการเรียนรู เปนจุดกึ่งกลางของ CB และ CD ตามลําดับ
ที่ 3 E ใหหาผลบวกของ AE + AC + AF
4. ครูตรวจผังมโนทัศนหนวยการเรียนรูที่ 3
เวกเตอรในสามมิติ A B
5. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล 7. ใหหา AB และ BA เมื่อกําหนด A และ B ในแตละขอตอไปนี้
7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม 1) A(3, -2), B(6, 5) 2) A(-1, 4), B(2, 7)
3) A(1, 3, 5), B(3, -2, 8) 4) A(-5, -1, 0), B(1, 1, 2)
8. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
มุงมั่นในการทํางาน 8. ใหหาขนาดของเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้
-3
1) -2 2) 10 3) 0
5 -5 3
4) 9 i - 2 j 5) i + 3 j - 4k 6) -4 i + 5k

9. ใหหาโคไซนแสดงทิศทางของเวกเตอร เมื่อกําหนดจุด M และ N ในแตละขอตอไปนี้


1) M(3, -3, -4), N(1, -2, 5) 2) M(4, 5, -1), N(-3, 0, 6)
3) M(2, -3, 1), N(-6, 0, 1) 4) M(7, 2, -1), N(-8, 6, 2)
10. ใหหา u • v เมื่อกําหนด u และ v ในแตละขอตอไปนี้
1) u = i + 3 j - 4k, v = -2 i + 4 j - k
2) u = -3 j + 7k, v = i - 5 j + 7k
3) u = 2 i + j - 2k, v = 3 i + k
11. ใหหา u × v เมื่อกําหนด u และ v ในแตละขอตอไปนี้
1) u = - i - 4 j + 5k, v = 2 i + j + 4k
2) u = 3 i - j - k, v = 4 i + j - 6k
3) u = -7 i + j - 3k, v = 3 i + 2 j + k
12. ใหหาพืน้ ทีข่ องรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน MNOP เมือ่ MN = 2 i + 3 j - 4k และ MP = 5 i - j + 3k
13. ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดเปน A(1, 3, -1), B(2, 0, -3) และ C(-4, 1, 2)
14. ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 3 i - j + 4k, v = 5 i + 2 j - k และ
w = -6 i + 6 j + 8k เปนดาน
280

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิด


ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําแบบฝก- ใหหา u × v เมื่อกําหนด u และ v ในแตละขอตอไปนี้
ทักษะประจําหนวยการเรียนรูท ี่ 3 ในขัน้ สรุป โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมิน 1. u = -2 i + 3 j + k , v = -4 i + 9 j + 5 k
ผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการเรียนรูที่ 3 2. u = 2 i + j + 2 k , v = 3 i + j + 4 k
(เฉลยคําตอบ
3 1 -2 1 -2 3
1. u × v = ∣ 9 5 ∣ i - ∣ -4 5 ∣ j + ∣ -4 9 ∣k
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ


ระดับคะแนน

= (15 - 9) i - (-10 + 4) j + (-18 + 12) k


การมี
การทางาน
การแสดง การยอมรับฟัง ส่วนร่วมใน รวม
ลาดับ ชื่อ – สกุล ตามที่ได้รับ ความมีน้าใจ
ความคิดเห็น คนอื่น การปรับปรุง 20
ที่ ของนักเรียน มอบหมาย
ผลงานกลุ่ม คะแนน
4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1

= 6i + 6j - 6k
1 2 2 2 2 1
2. u × v = ∣ 1 4 ∣ i - ∣ 3 4 ∣ j + ∣ 3 1 ∣k
= (4 - 2) i - (8 - 6) j + (2 - 3) k
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง
ให้
ให้
ให้
3
2
1
คะแนน
คะแนน
คะแนน = 2i - 2j - k)
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ต่ากว่า 10 ปรับปรุง

T292
นํา สอน สรุป ประเมิน

ภาคผนวก
ตารางค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ
Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine
0 ํ 00′ .0000 .0000 .0000 1.0000 1.5708 90 ํ 00′
10′ .0029 .0029 .0029 343.77 1.0000 1.5679 50′
20′ .0058 .0058 .0058 171.89 1.0000 1.5650 40′
30′ .0087 .0087 .0087 114.59 1.0000 1.5621 30′
40′ .0116 .0116 .0116 85.940 .9999 1.5592 20′
50′ .0145 .0145 .0145 68.750 .9999 1.5563 10′
1 ํ 00′ .0175 .0175 .0175 57.290 .9998 1.5533 89 ํ 00′
10′ .0204 .0204 .0204 49.104 .9998 1.5504 50′
20′ .0233 .0233 .0233 42.964 .9997 1.5475 40′
30′ .0262 .0262 .0262 38.188 .9997 1.5446 30′
40′ .0291 .0291 .0291 34.368 .9996 1.5417 20′
50′ .0320 .0320 .0320 31.242 .9995 1.5388 10′
2 ํ 00′ .0349 .0349 .0349 28.636 .9994 1.5359 88 ํ 00′
10′ .0378 .0378 .0378 26.432 .9993 1.5330 50′
20′ .0407 .0407 .0407 24.542 .9992 1.5301 40′
30′ .0436 .0436 .0437 22.904 .9990 1.5272 30′
40′ .0465 .0465 .0466 21.470 .9989 1.5243 20′
50′ .0495 .0494 .0495 20.206 .9988 1.5213 10′
3 ํ 00′ .0524 .0523 .0524 19.081 .9986 1.5184 87 ํ 00′
10′ .0553 .0552 .0553 18.075 .9985 1.5155 50′
20′ .0582 .0581 .0582 17.169 .9983 1.5126 40′
30′ .0611 .0610 .0612 16.350 .9981 1.5097 30′
40′ .0640 .0640 .0641 15.605 .9980 1.5068 20′
50′ .0669 .0669 .0670 14.924 .9978 1.5039 10′
4 ํ 00′ .0698 .0698 .0699 14.301 .9976 1.5010 86 ํ 00′
10′ .0727 .0727 .0729 13.727 .9974 1.4981 50′
20′ .0756 .0756 .0758 13.197 .9971 1.4952 40′
30′ .0785 .0785 .0787 12.706 .9969 1.4923 30′
40′ .0814 .0814 .0816 12.251 .9967 1.4893 20′
50′ .0844 .0843 .0846 11.826 .9964 1.4864 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees 281

ขอสอบเนน การคิด
Z
E เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
C B
ดังนั้น จุด E มีพิกัดเปน (5, 3, 0)
D A (5,5,4) Y
H F เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
G ดังนั้น จุด F มีพิกัดเปน (5, 5, 0)
E F
X G เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
ดังนั้น จุด G มีพิกัดเปน (2, 5, 0)
ใหหาพิกัดของจุด B, C, D, E, F, G และ H
H เปนจุดที่อยูบนระนาบ XY จึงมี z = 0
(เฉลยคําตอบ B เปนจุดที่ไมอยูบนแกนและระนาบทั้งสาม
ดังนั้น จุด H มีพิกัดเปน (2, 3, 0))
ดังนั้น จุด B มีพิกัดเปน (2, 5, 4)
C เปนจุดที่ไมอยูบนแกนและระนาบทั้งสาม
ดังนั้น จุด C มีพิกัดเปน (2, 3, 4)
D เปนจุดที่ไมอยูบนแกนและระนาบทั้งสาม
ดังนั้น จุด D มีพิกัดเปน (5, 3, 4)

T293
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


5 ํ 00′ .0873 .0872 .0875 11.430 .9962 1.4835 85 ํ 00′
10′ .0902 .0901 .0904 11.059 .9959 1.4806 50′
20′ .0931 .0929 .0934 10.712 .9957 1.4777 40′
30′ .0960 .0958 .0963 10.385 .9954 1.4748 30′
40′ .0989 .0987 .0992 10.078 .9951 1.4719 20′
50′ .1018 .1016 .1022 9.7882 .9948 1.4690 10′
6 ํ 00′ .1047 .1045 .1051 9.5144 .9945 1.4661 84 ํ 00′
10′ .1076 .1074 .1080 9.2553 .9942 1.4632 50′
20′ .1105 .1103 .1110 9.0098 .9939 1.4603 40′
30′ .1134 .1132 .1139 8.7769 .9936 1.4573 30′
40′ .1164 .1161 .1169 8.5555 .9932 1.4544 20′
50′ .1193 .1190 .1198 8.3450 .9929 1.4515 10′
7 ํ 00′ .1222 .1219 .1228 8.1443 .9925 1.4486 83 ํ 00′
10′ .1251 .1248 .1257 7.9530 .9922 1.4457 50′
20′ .1280 .1276 .1287 7.7704 .9918 1.4428 40′
30′ .1309 .1305 .1317 7.5958 .9914 1.4399 30′
40′ .1338 .1334 .1346 7.4287 .9911 1.4370 20′
50′ .1367 .1363 .1376 7.2687 .9907 1.4341 10′
8 ํ 00′ .1396 .1392 .1405 7.1154 .9903 1.4312 82 ํ 00′
10′ .1425 .1421 .1435 6.9682 .9899 1.4283 50′
20′ .1454 .1449 .1465 6.8269 .9894 1.4254 40′
30′ .1484 .1478 .1495 6.6912 .9890 1.4224 30′
40′ .1513 .1507 .1524 6.5606 .9886 1.4195 20′
50′ .1542 .1536 .1554 6.4348 .9881 1.4166 10′
9 ํ 00′ .1571 .1564 .1584 6.3138 .9877 1.4137 81 ํ 00′
10′ .1600 .1593 .1614 6.1970 .9872 1.4108 50′
20′ .1629 .1622 .1644 6.0844 .9868 1.4079 40′
30′ .1658 .1650 .1673 5.9758 .9863 1.4050 30′
40′ .1687 .1679 .1703 5.8708 .9858 1.4021 20′
50′ .1716 .1708 .1733 5.7694 .9853 1.3992 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

282

ขอสอบเนน การคิด
ใหหาระยะทางระหวางจุด A(0, -1, 5) กับ B(3, 5, -2) และ
C(8, -3, 0) กับ D(1, 2, 3)
(เฉลยคําตอบ
จากสูตร AB = (x2 - x1)2 + (y2 - y1)2 + (z2 - z1) 2
= (3 - 0)2 + (5 - (-1))2 + (-2 - 5)2
= 9 + 36 + 49
= 94
และ CD = (1 - 8)2 + (2 - (-3))2 + (3 - 0) 2
= 49 + 25 + 9
= 83
ดังนั้น ระยะทางระหวางจุด A(0, -1, 5) กับ B(3, 5, -2) เทากับ
94 หนวย และระยะทางระหวางจุด C(8, -3, 0) กับ
T294 D(1, 2, 3) เทากับ 83 หนวย)
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


10 ํ 00′ .1745 .1736 .1763 5.6713 .9848 1.3963 80 ํ 00′
10′ .1774 .1765 .1793 5.5764 .9843 1.3934 50′
20′ .1804 .1794 .1823 5.4845 .9838 1.3904 40′
30′ .1833 .1822 .1853 5.3955 .9833 1.3875 30′
40′ .1862 .1851 .1883 5.3093 .9827 1.3846 20′
50′ .1891 .1880 .1914 5.2257 .9822 1.3817 10′
11 ํ 00′ .1920 .1908 .1944 5.1446 .9816 1.3788 79 ํ 00′
10′ .1949 .1937 .1974 5.0658 .9811 1.3759 50′
20′ .1978 .1965 .2004 4.9894 .9805 1.3730 40′
30′ .2007 .1994 .2035 4.9152 .9799 1.3701 30′
40′ .2036 .2022 .2065 4.8430 .9793 1.3672 20′
50′ .2065 .2051 .2095 4.7729 .9787 1.3643 10′
12 ํ 00′ .2094 .2079 .2126 4.7046 .9781 1.3614 78 ํ 00′
10′ .2123 .2108 .2156 4.6382 .9775 1.3584 50′
20′ .2153 .2136 .2186 4.5736 .9769 1.3555 40′
30′ .2182 .2164 .2217 4.5107 .9763 1.3526 30′
40′ .2211 .2193 .2247 4.4494 .9757 1.3497 20′
50′ .2240 .2221 .2278 4.3897 .9750 1.3468 10′
13 ํ 00′ .2269 .2250 .2309 4.3315 .9744 1.3439 77 ํ 00′
10′ .2298 .2278 .2339 4.2747 .9737 1.3410 50′
20′ .2327 .2306 .2370 4.2193 .9730 1.3381 40′
30′ .2356 .2334 .2401 4.1653 .9724 1.3352 30′
40′ .2385 .2363 .2432 4.1126 .9717 1.3323 20′
50′ .2414 .2391 .2462 4.0611 .9710 1.3294 10′
14 ํ 00′ .2443 .2419 .2493 4.0108 .9703 1.3265 76 ํ 00′
10′ .2473 .2447 .2524 3.9617 .9696 1.3235 50′
20′ .2502 .2476 .2555 3.9136 .9689 1.3206 40′
30′ .2531 .2504 .2586 3.8667 .9681 1.3177 30′
40′ .2560 .2532 .2617 3.8208 .9674 1.3148 20′
50′ .2589 .2560 .2648 3.7760 .9667 1.3119 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

283

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด u, v , w และ z ไมเปนเวกเตอรศูนย ใหแสดงวา u ขนานกับ v , v ขนานกับ w และ
w ขนานกับ z เมื่อ 3u + v = -2 v , -5 v + 3w = 2 v และ - w - 4 z = 9 z
(เฉลยคําตอบ จากทฤษฎีบท 2 จะไดวา
จาก 3u + v = -2 v และจาก -w - 4 z = 9 z
3u = -2 v - v -w = 9 z + 4 z
3u = -3 v - w = 13 z
u = -v w = -13 z
จาก -5 v + 3 w = 2 v ดังนั้น u ขนานกับ v , v ขนานกับ w และ
-5 v - 2 w = -3 w w ขนานกับ z )
-7v = -3 w
v = 37 w

T295
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


15 ํ 00′ .2618 .2588 .2679 3.7321 .9659 1.3090 75 ํ 00′
10′ .2647 .2616 .2711 3.6891 .9652 1.3061 50′
20′ .2676 .2644 .2742 3.6470 .9644 1.3032 40′
30′ .2705 .2672 .2773 3.6059 .9636 1.3003 30′
40′ .2734 .2700 .2805 3.5656 .9628 1.2974 20′
50′ .2763 .2728 .2836 3.5261 .9621 1.2945 10′
16 ํ 00′ .2793 .2756 .2867 3.4874 .9613 1.2915 74 ํ 00′
10′ .2822 .2784 .2899 3.4495 .9605 1.2886 50′
20′ .2851 .2812 .2931 3.4124 .9596 1.2857 40′
30′ .2880 .2840 .2962 3.3759 .9588 1.2828 30′
40′ .2909 .2868 .2994 3.3402 .9580 1.2799 20′
50′ .2938 .2896 .3026 3.3052 .9572 1.2770 10′
17 ํ 00′ .2967 .2924 .3057 3.2709 .9563 1.2741 73 ํ 00′
10′ .2996 .2952 .3089 3.2371 .9555 1.2712 50′
20′ .3025 .2979 .3121 3.2041 .9546 1.2683 40′
30′ .3054 .3007 .3153 3.1716 .9537 1.2654 30′
40′ .3083 .3035 .3185 3.1397 .9528 1.2625 20′
50′ .3113 .3062 .3217 3.1084 .9520 1.2595 10′
18 ํ 00′ .3142 .3090 .3249 3.0777 .9511 1.2566 72 ํ 00′
10′ .3171 .3118 .3281 3.0475 .9502 1.2537 50′
20′ .3200 .3145 .3314 3.0178 .9492 1.2508 40′
30′ .3229 .3173 .3346 2.9887 .9483 1.2479 30′
40′ .3258 .3201 .3378 2.9600 .9474 1.2450 20′
50′ .3287 .3228 .3411 2.9319 .9465 1.2421 10′
19 ํ 00′ .3316 .3256 .3443 2.9042 .9455 1.2392 71 ํ 00′
10′ .3345 .3283 .3476 2.8770 .9446 1.2363 50′
20′ .3374 .3311 .3508 2.8502 .9436 1.2334 40′
30′ .3403 .3338 .3541 2.8239 .9426 1.2305 30′
40′ .3432 .3365 .3574 2.7980 .9417 1.2275 20′
50′ .3462 .3393 .3607 2.7725 .9407 1.2246 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

284

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด A มีพิกัด (-1, 5), B มีพิกัด (3, 7) และ AC = -9
6
ใหหา AB และพิกัดของจุด C ที่มีจุด A เปนจุดเริ่มตน
(เฉลยคําตอบ AB = 37- -(-1) 5
= 2 4
ดังนั้น AB = 42
ใหจุด C มีพิกัด (x1, y1)
จาก AC = -96 มีจุดเริ่มตนที่ A(-1, 5)
จะไดวา AC = xy1 +- 69
1
แสดงวา 6 = y1 +- 69
-9 x
1
ดังนั้น -9 = x1 + 9 และ 6 = y1 - 6
x1 = -18 y1 = 12
T296 นั่นคือ จุด C มีพิกัด (-18, 12))
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


20 ํ 00′ .3491 .3420 .3640 2.7475 .9397 1.2217 70 ํ 00′
10′ .3520 .3448 .3673 2.7228 .9387 1.2188 50′
20′ .3549 .3475 .3706 2.6985 .9377 1.2159 40′
30 ′ .3578 .3502 .3739 2.6746 .9367 1.2130 30′
40′ .3607 .3529 .3772 2.6511 .9356 1.2101 20′
50′ .3636 .3557 .3805 2.6279 .9346 1.2072 10′
21 ํ 00′ .3665 .3584 .3839 2.6051 .9336 1.2043 69 ํ 00′
10′ .3694 .3611 .3872 2.5826 .9325 1.2014 50′
20′ .3723 .3638 .3906 2.5605 .9315 1.1985 40′
30 ′ .3752 .3665 .3939 2.5386 .9304 1.1956 30′
40′ .3782 .3692 .3973 2.5172 .9293 1.1926 20′
50′ .3811 .3719 .4006 2.4960 .9283 1.1897 10′
22 ํ 00′ .3840 .3746 .4040 2.4751 .9272 1.1868 68 ํ 00′
10 ′ .3869 .3773 .4074 2.4545 .9261 1.1839 50′
20′ .3898 .3800 .4108 2.4342 .9250 1.1810 40′
30′ .3927 .3827 .4142 2.4142 .9239 1.1781 30′
40 ′ .3956 .3854 .4176 2.3945 .9228 1.1752 20′
50′ .3985 .3881 .4210 2.3750 .9216 1.1723 10′
23 ํ 00′ .4014 .3907 .4245 2.3559 .9205 1.1694 67 ํ 00′
10 ′ .4043 .3934 .4279 2.3369 .9194 1.1665 50′
20′ .4072 .3961 .4314 2.3183 .9182 1.1636 40′
30′ .4102 .3987 .4348 2.2998 .9171 1.1606 30′
40 ′ .4131 .4014 .4383 2.2817 .9159 1.1577 20′
50 ′ .4160 .4041 .4417 2.2637 .9147 1.1548 10′
24 ํ 00′ .4189 .4067 .4452 2.2460 .9135 1.1519 66 ํ 00′
10′ .4218 .4094 .4487 2.2286 .9124 1.1490 50′
20 ′ .4247 .4120 .4522 2.2113 .9112 1.1461 40′
30′ .4276 .4147 .4557 2.1943 .9100 1.1432 30′
40′ .4305 .4173 .4592 2.1775 .9088 1.1403 20′
50 ′ .4334 .4200 .4628 2.1609 .9075 1.1374 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

285

ขอสอบเนน การคิด
1 -x -4
กําหนด u = 2 , v = y และ w = 3 โดยที่ v = 3 w ใหหา u + v , v - w , -u และ -u + w
3 z -1
(เฉลยคําตอบ จาก v = 3w
-x -4 -12
จะไดวา y = 3 3 = 9
z -1 -3
-12
ดังนั้น x = 12, y = 9 และ z = -3 นั่นคือ v = 9
-3
1 -12 -11 1 -1
ทําใหไดวา u + v = 2 + 9 = 11 -u = - 2 = -2
3 -3 0 3 -3
-12 -4 -8 -1 -4 -5
v-w = 9 - 3 = 6 -u + w = -2 + 3 = 1 )
-3 -1 -2 -3 -1 -4

T297
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


25 ํ 00′ .4363 .4226 .4663 2.1445 .9063 1.1345 65 ํ 00′
10′ .4392 .4253 .4699 2.1283 .9051 1.1316 50′
20 ′ .4422 .4279 .4734 2.1123 .9038 1.1286 40′
30′ .4451 .4305 .4770 2.0965 .9026 1.1257 30′
40′ .4480 .4331 .4806 2.0809 .9013 1.1228 20′
50 ′ .4509 .4358 .4841 2.0655 .9001 1.1199 10′
26 ํ 00′ .4538 .4384 .4877 2.0503 .8988 1.1170 64 ํ 00′
10′ .4567 .4410 .4913 2.0353 .8975 1.1141 50′
20′ .4596 .4436 .4950 2.0204 .8962 1.1112 40′
30 ′ .4625 .4462 .4986 2.0057 .8949 1.1083 30′
40′ .4654 .4488 .5022 1.9912 .8936 1.1054 20′
50′ .4683 .4514 .5059 1.9768 .8923 1.1025 10′
27 ํ 00′ .4712 .4540 .5095 1.9626 .8910 1.0996 63 ํ 00′
10′ .4741 .4566 .5132 1.9486 .8897 1.0966 50′
20′ .4771 .4592 .5169 1.9347 .8884 1.0937 40′
30 ′ .4800 .4617 .5206 1.9210 .8870 1.0908 30′
40 ′ .4829 .4643 .5243 1.9074 .8857 1.0879 20′
50′ .4858 .4669 .5280 1.8940 .8843 1.0850 10′
28 ํ 00′ .4887 .4695 .5317 1.8807 .8829 1.0821 62 ํ 00′
10 ′ .4916 .4720 .5354 1.8676 .8816 1.0792 50′
20′ .4945 .4746 .5392 1.8546 .8802 1.0763 40′
30′ .4974 .4772 .5430 1.8418 .8788 1.0734 30′
40 ′ .5003 .4797 .5467 1.8291 .8774 1.0705 20′
50′ .5032 .4823 .5505 1.8165 .8760 1.0676 10′
29 ํ 00′ .5061 .4848 .5543 1.8040 .8746 1.0647 61 ํ 00′
10 ′ .5091 .4874 .5581 1.7917 .8732 1.0617 50′
20 ′ .5120 .4899 .5619 1.7796 .8718 1.0588 40′
30′ .5149 .4924 .5658 1.7675 .8704 1.0559 30′
40′ .5178 .4950 .5696 1.7556 .8689 1.0530 20′
50 ′ .5207 .4975 .5735 1.7437 .8675 1.0501 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

286

ขอสอบเนน การคิด
กําหนดเวกเตอรมีจุดเริ่มตนที่ P(3, 0, -1) จุดสิ้นสุดที่ Q(4, -2, 3) ใหหาเวกเตอรหนึ่งหนวยที่
ขนานกับ PQ และเขียนเวกเตอรใหอยูในรูป i , j และ k
(เฉลยคําตอบ จากเวกเตอรที่กําหนด มีจุดเริ่มตนที่ P(3, 2, -1) และจุดสิ้นสุดที่ Q(-1, -2, 3)
4-3 1
จะได PQ = -2 - 0 = -2
3 - (-1) 4
ดังนั้น PQ = 12 + (-2) 2 + 42 = 1 + 4 + 16 = 21
a a
เนื่องจากเวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ b คือ ± 2 1 2 2 b
c a +b +c c
1 1 1
ดังนั้น เวกเตอรหนึ่งหนวยที่ขนานกับ -2 คือ ± 1 -2 = ± 21
21 -2 หรือ
4 21 4 4
21 2 21 4 21 21 2 21 4 21
21 i - 21 j + 21 k และ - 21 i + 21 j - 21 k )

T298
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


30 ํ 00′ .5236 .5000 .5774 1.7321 .8660 1.0472 60 ํ 00′
10′ .5265 .5025 .5812 1.7205 .8646 1.0443 50′
20′ .5294 .5050 .5851 1.7090 .8631 1.0414 40′
30 ′ .5323 .5075 .5890 1.6977 .8616 1.0385 30′
40′ .5352 .5100 .5930 1.6864 .8601 1.0356 20′
50′ .5381 .5125 .5969 1.6753 .8587 1.0327 10′
31 ํ 00′ .5411 .5150 .6009 1.6643 .8572 1.0297 59 ํ 00′
10 ′ .5440 .5175 .6048 1.6534 .8557 1.0268 50′
20′ .5469 .5200 .6088 1.6426 .8542 1.0239 40′
30′ .5498 .5225 .6128 1.6319 .8526 1.0210 30′
40 ′ .5527 .5250 .6168 1.6212 .8511 1.0181 20′
50′ .5556 .5275 .6208 1.6107 .8496 1.0152 10′
32 ํ 00′ .5585 .5299 .6249 1.6003 .8480 1.0123 58 ํ 00′
10 ′ .5614 .5324 .6289 1.5900 .8465 1.0094 50′
20′ .5643 .5348 .6330 1.5798 .8450 1.0061 40′
30′ .5672 .5373 .6371 1.5697 .8434 1.0036 30′
40 ′ .5701 .5398 .6412 1.5597 .8418 1.0007 20′
50′ .5730 .5422 .6453 1.5497 .8403 .9977 10′
33 ํ 00′ .5760 .5446 .6494 1.5399 .8387 .9948 57 ํ 00′
10 ′ .5789 .5471 .6536 1.5301 .8371 .9919 50′
20′ .5818 .5495 .6577 1.5204 .8355 .9890 40′
30′ .5847 .5519 .6619 1.5108 .8339 .9861 30′
40 ′ .5876 .5544 .6661 1.5013 .8323 .9832 20′
50′ .5905 .5568 .6703 1.4919 .8307 .9803 10′
34 ํ 00′ .5934 .5592 .6745 1.4826 .8290 .9774 56 ํ 00′
10′ .5963 .5616 .6787 1.4733 .8274 .9745 50′
20 ′ .5992 .5640 .6830 1.4641 .8258 .9716 40′
30′ .6021 .5664 .6873 1.4550 .8241 .9687 30′
40′ .6050 .5688 .6916 1.4460 .8225 .9657 20′
50 ′ .6080 .5712 .6959 1.4370 .8208 .9628 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

287

ขอสอบเนน การคิด
ใหพิจารณาวาเวกเตอรในแตละขอตอไปนี้ ขอใดเปนเวกเตอรที่ตั้งฉากกัน
8 , -1 5 4 1 2
1) -3 7 2) -2 , 1 3) 2 , -9
6 0 4 4
(เฉลยคําตอบ
1 2
1) -38 • -17 = 8(-1) + (-3)(7) 3) 2 • -9 = 1(2) + 2(-9) + 4(4)
= -8 - 21 4 4 = 2 - 18 + 16
= -29 =0
8 -1
ดังนั้น -3 และ 7 เปนเวกเตอรที่ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน 1 2
ดังนั้น 2 และ -9 เปนเวกเตอรที่ตั้งฉากซึ่งกัน
5 4 4 4
2) -2 1 = 5(4) + (-2)(1) + 6(0)
• และกัน)
6 0 = 20 - 2 + 0
= 18
5 4
ดังนั้น -2 และ 1 เปนเวกเตอรที่ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน
6 0
T299
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


35 ํ 00′ .6109 .5736 .7002 1.4281 .8192 .9599 55 ํ 00′
10 ′ .6138 .5760 .7046 1.4193 .8175 .9570 50′
20′ .6167 .5783 .7089 1.4106 .8158 .9541 40′
30′ .6196 .5807 .7133 1.4019 .8141 .9512 30′
40 ′ .6225 .5831 .7177 1.3934 .8124 .9483 20′
50 ′ .6254 .5854 .7221 1.3848 .8107 .9454 10′
36 ํ 00′ .6283 .5878 .7265 1.3764 .8090 .9425 54 ํ 00′
10 ′ .6312 .5901 .7310 1.3680 .8073 .9396 50′
20′ .6341 .5925 .7355 1.3597 .8056 .9367 40′
30′ .6370 .5948 .7400 1.3514 .8039 .9338 30′
40 ′ .6400 .5972 .7445 1.3432 .8021 .9308 20′
50′ .6429 .5995 .7490 1.3351 .8004 .9279 10′
37 ํ 00′ .6458 .6018 .7536 1.3270 .7986 .9250 53 ํ 00′
10′ .6487 .6041 .7581 1.3190 .7969 9221 50′
20 ′ .6516 .6065 .7627 1.3111 .7951 .9192 40′
30′ .6545 .6088 .7673 1.3032 .7934 .9163 30′
40′ .6574 .6111 .7720 1.2954 .7916 .9134 20′
50 ′ .6603 .6134 .7766 1.2876 .7898 .9105 10′
38 ํ 00′ .6632 .6157 .7813 1.2799 .7880 .9076 52 ํ 00′
10′ .6661 .6180 .7860 1.2723 .7862 .9047 50′
20 ′ .6690 .6202 .7907 1.2647 .7844 .9018 40′
30′ .6720 .6225 .7954 1.2572 .7826 .8988 30′
40′ .6749 .6248 .8002 1.2497 .7808 .8959 20′
50 ′ .6778 .6271 .8050 1.2423 .7790 .8930 10′
39 ํ 00′ .6807 .6293 .8098 1.2349 .7771 .8901 51 ํ 00′
10′ .6836 .6316 .8146 1.2276 .7753 .8872 50′
20′ .6865 .6338 .8195 1.2203 .7735 .8843 40′
30 ′ .6894 .6361 .8243 1.2131 .7716 .8814 30′
40′ .6923 .6383 .8292 1.2059 .7698 .8785 20′
50 ′ .6952 .6406 .8342 1.1988 .7679 .8756 10′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees

288

ขอสอบเนน การคิด
ใหตรวจสอบวารูปสามเหลีย่ มทีม่ จี ดุ ยอด P(2, 3, 4), Q(8, 3, 1)
และ R(8, 7, 1) เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากหรือไม
(เฉลยคําตอบ จากโจทย P(2, 3, 4), Q(8, 3, 1) และ R(8, 7, 1)
8-2 6
จะได PQ = 3 - 3 = 0
1-4 -3
8-2 6
และ PR = 7 - 3 = 4
1-4 -3
6 6
และ PQ • PR = 0 • 4
-3 -3
= 6(6) + 0(4) + (-3)(-3)
= 36 + 0 + 9
= 45
นั่นคือ PQ ไมตั้งฉากกับ PR
T300 ดังนั้น PQR ไมเปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก)
นํา สอน สรุป ประเมิน

Degrees Radians Sine Tangent Cotangent Cosine


40 ํ 00′ .6981 .6428 .8391 1.1918 .7660 .8727 50 ํ 00′
10 ′ .7010 .6450 .8441 1.1847 .7642 .8698 50′
20′ .7039 .6472 .8491 1.1778 .7623 .8668 40′
30′ .7069 .6494 .8541 1.1708 .7604 .8639 30′
40 ′ .7098 .6517 .8591 1.1640 .7585 .8610 20′
50 ′ .7127 .6539 .8642 1.1571 .7566 .8581 10′
41 ํ 00′ .7156 .6561 .8693 1.1504 .7547 .8552 49 ํ 00′
10′ .7185 .6583 .8744 1.1436 .7528 .8523 50′
20 ′ .7214 .6604 .8796 1.1369 .7509 .8494 40′
30′ .7243 .6626 .8847 1.1303 .7490 .8465 30′
40′ .7272 .6648 .8899 1.1237 .7470 .8436 20′
50 ′ .7301 .6670 .8952 1.1171 .7451 .8407 10′
42 ํ 00′ .7330 .6691 .9004 1.1106 .7431 .8378 48 ํ 00′
10′ .7359 .6713 .9057 1.1041 .7412 .8348 50′
20 ′ .7389 .6734 .9110 1.0977 .7392 .8319 40′
30 ′ .7418 .6756 .9163 1.0913 .7373 .8290 30′
40′ .7447 .6777 .9217 1.0850 .7353 .8261 20′
50′ .7476 .6799 .9271 1.0786 .7333 .8232 10′
43 ํ 00′ .7505 .6820 .9325 1.0724 .7314 .8203 47 ํ 00′
10′ .7534 .6841 .9380 1.0661 .7294 .8174 50′
20′ .7563 .6862 .9435 1.0599 .7274 .8145 40′
30 ′ .7592 .6884 .9490 1.0538 .7254 .8116 30′
40′ .7621 .6905 .9545 1.0477 .7234 .8087 20′
50′ .7650 .6926 .9601 1.0416 .7214 .8058 10′
44 ํ 00′ .7679 .6947 .9657 1.0355 .7193 .8029 46 ํ 00′
10 ′ .7709 .6967 .9713 1.0295 .7173 .7999 50′
20′ .7738 .6988 .9770 1.0235 .7153 .7970 40′
30′ .7767 .7009 .9827 1.0176 .7133 .7941 30′
40 ′ .7796 .7030 .9884 1.0117 .7112 .7912 20′
50′ .7825 .7050 .9942 1.0058 .7092 .7883 10′
45 ํ 00′ .7854 .7071 1.0000 1.0000 .7071 .7854 45 ํ 00′
Cosine Cotangent Tangent Sine Radians Degrees
289

ขอสอบเนน การคิด
กําหนด u = 6,  v  = 8 และ u - v  = 9 ใหหาคาของ u + v 
(เฉลยคําตอบ
จากสมบัติ u • u = u2 ในทํานองเดียวกัน u + v 2 = u2 + 2 u • v + v2 …..(2)
จะไดวา u - v 2 = ( u - v ) • ( u - v ) แทน u = 6, v = 8 และ u - v  = 9 ใน (2) จะได
= u • u - 2u • v + v • v u + v 2 = 62 + 2 ( 19 ) + 82
2
= u2 - 2 u • v + v2 = 36 + 19 + 64
ดังนั้น u - v 2 = u2 - 2 u • v + v2 …..(1)
= 119
แทน u = 6, v = 8 และ u - v  = 9 ใน (1) จะได
ดังนั้น u + v  = 119 )
9 2 = 62 - 2u • v + 8 2
81 = 36 - 2u • v + 64
2u • v = 19
u • v = 19
2

T301
นํา สอน สรุป ประเมิน

อภิธานศัพท์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
ฟงกชันเปนคาบ ฟงกชันคาจริง f เปนฟงกชันเปนคาบ ก็ตอเมื่อ
(periodic function) มีจํานวนจริง a ที่ทําให f(x + a) = f(x) สําหรับทุก x
ในโดเมนเรียกจํานวน a ขางตนที่เปนจํานวนบวกที่นอย
ที่สุดวา คาบ (period) ของฟงกชัน
มุมกม มุมที่มีแขนขางหนึ่งอยูในแนวระดับสายตา สวนแขน
(angle of depression) อีกขางหนึ่งอยูในแนวเสนตรงจากตาของผูสังเกตไปยัง
วัตถุที่อยูตํ่ากวาแนวระดับสายตาของผูสังเกต
มุมเงย มุมที่มีแขนขางหนึ่งอยูในแนวระดับสายตา สวนแขน
(angle of elevation) อีกขางหนึ่งอยูในแนวเสนตรงจากตาของผูสังเกตไปยัง
วัตถุที่อยูสูงกวาแนวระดับสายตาของผูสังเกต
เรเดียน หนวยของการวัดมุมบนระนาบ โดยกําหนด 1 เรเดียน
(radian) คือ ขนาดของมุมที่เกิดที่จุดศูนยกลางของวงกลม
เมื่อความยาวของสวนของเสนรอบวงที่อยูตรงขามกับ
มุมนี้มีความยาวเทากับรัศมีของวงกลม
วงกลมหนึ่งหนวย วงกลมที่มีรัศมี 1 หนวย จุดศูนยกลางอยูที่จุด (0, 0)
(unit circle)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เมทริกซ์
เมทริกซจัตุรัส เมทริกซที่มีจํานวนแถวและจํานวนหลักเทากัน
(square matrix)
เมทริกซแตงเติม เมทริกซที่ไดจากเมทริกซสัมประสิทธิ์ของระบบสมการ
(augmented matrix) เชิงเสน โดยการเพิม่ หลักสุดทายดวยหลักทีป่ ระกอบดวย
คาคงตัวทางดานขวาของเครื่องหมาย = ในระบบสมการ

290

ขอสอบเนน การคิด
รูปสามเหลี่ยม ABC มีจุด A(5, 11, 4), B(10, 7, 14) และ C(3, -8, 0) เปนจุดยอด ใหหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมรูปนี้
(เฉลยคําตอบ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 12 AB × AC 
10 - 5 5
จะได AB = 7 - 11 = -4 ดังนั้น 12 AB × AC  = 12 206 2 + 40 2 + 1032
14 - 4 10
3-5 -2 = 12 54,645
AC = -8 - 11 = -19
0-4 -4 = 54,645
2
(-4)(-4) - (10)(-19) นั่นคือ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ
จะไดวา AB × AC = (10)(2) - (5)(-4)
(-4)(-2) - (-19)(5) 54,645 ตารางหนวย)
2
= (16 + 190) i + (20 + 20) j + (8 + 95) k
= 206 i + 40 j + 103 k

T302
นํา สอน สรุป ประเมิน

เมทริกซไมเอกฐาน เมทริกซทดี่ เี ทอรมแิ นนตมคี า ไมเทากับศูนย หรือเมทริกซ


(non-singular matrix) ที่สามารถหาอินเวอรสของเมทริกซนั้นได
เมทริกซศูนย เมทริกซที่มีสมาชิกทุกตัวเปนศูนย เขียนแทนดวย
(zero matrix) สัญลักษณ 0
เมทริกซเอกฐาน เมทริกซจัตุรัส A ใด ๆ ที่ det (A) มีคาเปนศูนย
(singular matrix)
เมทริกซเอกลักษณ เมทริกซจัตุรัสใด ๆ ที่มีสมาชิกในแนวเสนทแยงมุมจาก
(unit matrix or identity บนซายถึงลางขวาเปนตัวเลข 1 โดยตลอด และสมาชิก
matrix) ในตําแหนงอื่นเปนศูนย
ไมเนอร ไมเนอรของสมาชิกในแถวที่ i หลักที่ j ของเมทริกซ
(minor) จัตุรัส A คือ ตัวกําหนดของเมทริกซที่ไดจากการตัด
แถวที่ i หลักที่ j ของเมทริกซ A ออก
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เวกเตอร์ในสามมิติ
ขนาดของเวกเตอร ความยาวของสวนของเสนตรงที่มีทิศทางแทนเวกเตอร
(magnitude of a vector) นั้น โดยวัดจากจุดเริ่มตนถึงจุดปลายของเวกเตอร
ปริมาณเวกเตอร ปริมาณที่บอกทั้งขนาด และทิศทาง
(vector quantity)
ปริมาณสเกลาร ปริมาณที่มีแตขนาด ไมมีทิศทาง
(scalar quantity)
เวกเตอรศูนย เวกเตอรที่มีขนาดเปนศูนย
(zero vector, null vector)
เวกเตอรหนึ่งหนวย เวกเตอรซึ่งมีขนาด 1 หนวย
(unit vector)

291

ขอสอบเนน การคิด
ใหหาปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานที่มี u = 3 i - j + 2 k, v = -2 i + 3 j + k และ
w = i + 2 j - 4 k เปนดาน
(เฉลยคําตอบ
ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ  w • ( u × v)
-1 2 3 2 3 -1
จะไดวา u × v = ∣ 3 1 ∣ i - ∣ -2 1 ∣ j + ∣ -2 3 ∣k
= (-1 - 6) i - (3 + 4) j + (9 - 2) k
= -7 i - 7 j + 7 k
จะไดวา w • ( u ×
v) = ( i + 2 j - 4 k ) • (-7 i - 7 j + 7 k) 
= 1(-7) + 2(-7) + (-4)(7) 
= -7 - 14 - 28 
= -49 
= 49
นั่นคือ ปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมดานขนานเทากับ 49 ลูกบาศกหนวย)
T303
บรรณานุ ก รม
กนกวลี อุษณกรกุล และคณะ. (2562). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1. พิมพ์ครั้ง
ที่ 2. กรุงเทพมหานคร : ไทยร่มเกล้า.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2553). ศัพท์คณิตศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์
พับลิเคชั่นส์.
_______. (2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
ศศิเกษม สัทธรรมสกุล และเอกสิทธิ์ เกิดกฤษฎานนท์. (2561). คู่มือเตรียมสอบ AKSORN พิชิต O-NET คณิตศาสตร์ ม.6.
พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : ไทยร่มเกล้า.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
_______. (2561). คู่มือการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย). สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2562,
จาก https://drive.google.com/drive/folders/12a0Y3CvLirAKeza_ClV_lwIrtdqMtcCR

T304
บั น ทึ ก

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

T305
บั น ทึ ก

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................................................................................................................................

T306

You might also like