Professional Documents
Culture Documents
การทดสอบหาความหนาแน่นแห้งของดินในสนาม
การทดสอบหาความหนาแน่นแห้งของดินในสนาม
ทฤษฎีและหลักการ
การทดสอบหาความหนาแน่นแห้งของดินในสนาม คือ การหาค่าความหนาแน่นเปียกและปริมาณความชื้นเปียกใน
บริเวณที่บดอัดด้วยเครื่องจักรเสร็จเรียบร้อยแล้วนํามาหาค่าความหนาแน่นแห่งเปรียบเทียบกับความหนาแน่นแห่ง
ที่ของดินที่ได้จากในห้องปฏิบัติการในรูปของเปอร์เซ็นต์การบดอัดหรือค่าบดอัดสัมพัทธ์ในการทดสอบหาค่าความ
หนาแน่นของดินในสนาม (Field Density) จะมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธีคือ
1. Sand Cone Method วิธีนี้อาศัยทรายช่วยในการหาปริมาตรของหลุมโดยทรายที่ใช้คือ ทราย
Ottawa Sand ซึง่ ขนาดของเม็ดทรายจะมีลักษณะกลมและมีขนาดเท่า ๆกัน (Uniform) หรือจะใช้ทราย
ที่ร่อนผ่านตะแกรงเบอร์ 20 ค้างตะแกรงเบอร์ 30 ก็ได้ เพื่อที่จะให้ผลของความหนาแน่นที่เท่ากันโดย
ตลอด และไม่เกิดการแยกตัวของเม็ดหยาบและเม็ดเล็ก (Segregation) ขณะทำการทดสอบ
2. Rubber Balloon Method วิธีนี้ใช้น้ำช่วยในการหาปริมาตรของหลุม ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่าวิธี
แรกในการทดสอบต้องอาศัยลมจากลูกบอลบีบอัดลงไปตรงส่วนบนของผิวน้ำในหลอดแก้วของเครื่องมือ
เพื่อทำให้น้ำในหลอดแก้วถูกดันออกไปในลูกโป่งยาง และไหลลงไปในหลุมทดสอบที่ขุดเอาไว้ใต้ Base
Plate ลมที่อัดลงไปนี้มีส่วนช่วยให้นำ้ ในลูกโป่งยางอัดแนบสนิทกับกันหลุม ทำให้ได้ค่าปริมาตรของหลุมที่
ถูกต้องและแม่นยํายิ่งขึ้น
3 Nuclear Method วิธีนิวเคลียร์เป็นการหาค่าความหนาแน่นของดินและปริมาณความชื้นของดินบด
อัดแน่น หาความหนาแน่นเปียกของดิน โดยใช้รังสีแกมม่า (Gamma Ray) ส่งผ่านดินที่ต้องการ ก่อนที่จะ
ไปเข้าเครื่องรับรังสี ถ้ารังสีสะท้อนกลับไปเครื่องรับมาก แสดงว่าดินมีความหนาแน่นสูง ส่วนการหา
ปริมาณความชื้นโดยใช้นิวตรอน (Newtron) ส่งผ่านเข้าไปในดินและสะท้อนไปยังเครื่องรับ อนุภาคของ
นิวตรอนจะไปชนกับอะตอมของไฮโดรเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบของน้ำ ถ้านิวตรอนสะท้อนกลับเข้า
เครื่องรับช้าแสดงว่าปริมาณน้ำในมวลดินมีมาก วิธีนี้จะสะดวกและรวดเร็วให้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง
วัตถุประสงค์ของการทดสอบ
• เพื่อต้องการหาความหนาแน่นแห้งและเปอร์เซ็นต์การบดอัดของดินในสนามเปรียบเทียบกับความ
หนาแน่นสูงสุดการบดอัดดินที่ได้จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
มาตราฐานที่ในการทดสอบ
• ASTM D 1556 – 00 Standard Test Method for Density and Unit Weight of Soil in Place
by the Sand-Cone Method
อุปกรณ์และเครื่องมือ
อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการทดสอบหาค่าความหนาแน่นของดินในสนามโดยวิธีกรวยทราย
อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการทดสอบหาค่าความหนาแน่นของดินในสนามโดยวิธีกรวยทราย
อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้เฉพาะ
1) กรวยทรายขนาดปากกรวย 6 12 นิ้วหรือ4 12 นิ้วมีเกลียวสำหรับหมุนเข้าขวดแก้วและ
มีวาล์วเปิด-ปิดให้ทรายไหลได้
2) ขวดใส่ทราย ซึ่งมีความจุประมาณ 1 แกลลอน มีเกลียวสำหรับหมุนเข้ากรวยทราย
3) แผ่นหาความหนาแน่น( Field Density Plate) ขนาดประมาณ 12 ×12 นิ้ว มีขอบ
กันดินรอบด้าน
4) ทรายสำหรับหาปริมาตรหลุมคือ Ottawa Sand เป็นทรายที่มีขนาดเท่าๆกัน หรือ
ทรายที่ร่อนผ่านตะแกรงเบอร์ 20 และค้างบนตะแกรงเบอร์ 30
อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ทั่วไป
1) เครื่องชั่งสนามขนาด 10 กิโลกรัมอ่านละเอียด 5 กรัม และเครื่องชั่งอ่านละเอียด
0.01 กรัมสำหรับชั่งหาความชื้นในดิน
2) ตู้อบ ( Oven )
3) กระป๋องเก็บตัวอย่างดินมีฝาปิด
4) สกัดขนาดหน้ากว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 8 นิ้ว
5) ช้อนตักดินขนาดประมาณ 8 นิ้วและช้อนเล็กขนาดประมาณช้อนกินข้าว
6) ค้อนยางหรือคอนหงอน
7) แปรงทาสีขนาด 2 – 3 นิ้ว
การ Calibration เครื่องมือทดสอบความหนาแน่นของดินในสนาม
1. การหาน้ำหนักทรายในกรวย
ขั้นตอนที่ 1 วางแผ่น Plate บนพื้นที่เรียบแล้วนําทรายใส่ขวดพร้อมชั่งน้ำหนักรวมทั้งกรวยทราย
บันทึกน้ำหนัก คว่ำขวดทรายลงบนแผ่น Plate ให้กรวยทรายพอดีกับขอบแผ่น Plate
แล้วเปิดวาล์วให้ทรายไหลอย่างอิสระระวังอย่าให้เกิดการสั่นสะเทือน
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อแน่ใจว่าทรายหยุดไหลแล้วทำการปิดวาล์วแล้วนําทรายที่เหลือในขวดพร้อมกรวย
นําไปชั่งหาน้ำหนัก ผลต่างของน้ำหนักก่อนทดสอบและหลังทดสอบจะเป็นน้ำหนักทรายที่อยู่ใน
กรวย ควรทำการทดสอบซ้ำ 2 – 3 ครั้งแล้วหาค่าเฉลี่ย
2. หาความหนาแน่นของทรายที่ใช้ในการทดสอบ
ขั้นตอนที่ 1 นําโมลทดสอบการบดอัดดินแบบสูงกว่ามาตรฐานมาประกอบเข้ากับฐานแล้วชั่งน้ำหนัก ซึ่ง จะได้
น้ำหนักโมล
การเตรียมตัวอย่างและขั้นตอนการทดสอบ
ขั้นตอนการทดสอบ
ขั้นตอนที่ 1 ตวงทรายใส่ขวดอย่างน้อยค่อนขวด ปิดวาล์วแล้วชั่งน้ำหนักของขวดทรายพร้อมทั้งกรวยจด
บันทึกค่าไว้ (W1)
ขั้นตอนที่ 2 ปรับพื้นที่ที่จะทำการเจาะให้เรียบก่อนที่จะวางแผ่น plate แล้วตอกตะปูยึดให้แน่น
ขั้นตอนที่ 7 นําทรายที่อยู่ในหลุมใส่ลงในขวดตามเดิมโดยพยามอย่านําดินที่อยู่ในก้นหลุมขึ้นมาด้วย
เพราะว่าทรายที่เก็บขึ้นมาจะต้องทดสอบในหลุมต่อไปอีก
การบันทึกผลการทดลอง
LAB 8_การทดสอบหาความหนาแน่นของดินในสนาม
Determination of Field Density Test by Sand Cone Method
ASTM D 1556/1556M-15: Standard Test Method for Density and Unit Weight of Soil in Place by
Sand Cone Method
Table 1 Density of sand
Determination no. 1 2 3 4 5
Mass of mold + Base plate g 5538 5538 5538
Mass of mold + Base plate + Sand g 8617 8633 8617
Mass of sand (M) g 3079 3095 3079
Diameter of mold (D) cm 1.52 1.52 1.52
Height of mold (H) cm 1.17 1.17 1.17
Volume of mold (V) = (/4)D2 H cm3 2,140.6 2,140.6 2,140.6
Density of sand (sand) g/cm3 1.44 1.44 1.44
Average density of sand (sand) g/cm3 1.44
Table 2 Mass of sand in cone and base plate
Determination no. 1 2 3 4 5
Initial mass of jar + Sand + Cone g 7072 5187 4598
Final mass of jar + Sand + Cone g 5187 3291 2697
Mass of sand in cone and base plate g 1885 1896 1901
Average mass of sand in cone and base plate g 1894
Sample no
Mass of can g 10.20
Mass of can + soil g 153.69
Mass of can + dry soil g 147.57
Mass of dry soil g 137.37
Mass of water g 6.12
Water Content (w) % 4.45
Table 5 Field Density Test
Sample no.
Initial mass of jar + Sand + Cone (A) g 6377
Final mass of jar + Sand + Cone (B) g 2,308
Mass of sand in cone and base plate (C) g (from Table 2) 1,894
Mass of sand in test hole, Wsand = A-B-C g 2175
Average density of sand, sand g/cm3 (from Table 1) 1.44
Volume of test hole, V = Wsand/sand cm3 1510.42
Mass of soil, W g (from Table 3) 2,337
Total density of soil in field, t = M/V g/cm3 1.55
Water content, w % (from Table 4) 4.45
Dry density in field, dry’field = /(1+w) g/cm3 1.48
Maximum dry density in laboratory, dry’lab g/cm3 (from Standard Proctor Test, Lab#7) 1.88
Relative density = [(dry, field)/(dry, lab)]x100 % 78.72
ตัวอย่างการคำนวณ
- Table 1
Mass of sand (M) = (Mass of mold + Base plate+ Sand) – (Mass of mold + Base plate)
= 8,617 – 5,538 = 3,079 g.