Professional Documents
Culture Documents
2563 Flipbook PDF - Compress
2563 Flipbook PDF - Compress
ที่มีภาวะช็อก
หัวเรื่อง หน้า
แนวคิด 1
1. ความหมายของภาวะช็อก 2
2. ระยะของภาวะช็อก (Stages of shock) 2
2.1 Initial stage 2
2.2 Non-progressive stage 3
2.3 Progressive stage 4
2.4 Refractory stage และ Multiple organ dysfunction syndrome (MODS) 4
3. ประเภทของภาวะช็อก (Categories of Shock) และพยาธิสรีรวิทยา 5
3.1 Hypovolemic shock 5
3.2 Cardiogenic shock 6
3.3 Distributive shock หรือ Vasogenic shock 7
3.4 Obstructive shock 9
4. แนวทางการประเมินเพื่อวินิจฉัยภาวะช็อก 10
5. แนวทางการรักษาและการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก 14
6. ตัวอย่างการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก 20
เอกสารอ้างอิง 23
สารบัญรูปภาพ
หน้า
หน้า
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก
อาจารย์จรี วรรณ เอกอุ
อาจารย์ อรทัย สืบกินร
ปรับปรุงล่าสุด : กันยายน 2563
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ:
1. อธิบายความหมายของภาวะช็อกได้
2. อธิบายการดำเนินของภาวะช็อกแต่ละระยะได้
3. อธิบายสาเหตุและพยาธิสรีรวิทยาของภาวะช็อกแต่ละประเภทได้
4. อธิบายการประเมินผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกได้
5. อธิบายแนวทางการรักษาและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกได้
6. วิเคราะห์และอธิบายการใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกได้
สาระการเรียนรู้ :
1. ความหมายของภาวะช็อก
2. ระยะของภาวะช็อก (Stages of shock)
3. ประเภทของภาวะช็อก (Categories of Shock) และพยาธิสรีรวิทยา
4. แนวทางการประเมินเพื่อวินิจฉัยภาวะช็อก
5. แนวทางการรักษาและการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก
6. ตัวอย่างการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก
แนวคิด
ภาวะช็อก (Shock) เป็นภาวะที่คุกคามต่อชีวิต โดยเป็นผลมาจากการกำซาบของเนื้อเยื่ อที่ไม่มีประสิทธิภาพ
(Inadequate tissue perfusion) ทำให้เกิดความบกพร่องของการส่งออกซิเจนและสารอาหารไปสู่เซลล์ เป็น
สาเหตุให้เซลล์สูญเสียหน้าที่การทำงานและตายไปในที่สุดหากภาววะช็อกไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที บทบาท
พยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกและผู้ ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกนั้น พยาบาลจะต้องมีความรู้
ความเข้าใจถึงความหมาย สาเหตุ พยาธิสรีรวิทยา การประเมินอาการและอาการแสดง แนวทางการดูแลรักษา
ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกประเภทต่างๆ โดยเฉพาะความสามารถในการประเมินผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองต่อ
อาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว และปฏิบัติการพยาบาลร่วมกับแพทย์รวมทั้งสหสาขาวิชาชีพได้
อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 2
1. ความหมายของภาวะช็อก
ภาวะช็อก (Shock) เป็นกลุ่มอาการที่มีลักษณะของการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆของ
ร่างกายไม่เพียงพอ (Decreased tissue perfusion) ก่อให้เกิดความบกพร่องในการนำออกซิเจนและสารอาหารที่
จำเป็นไปสู่เซลล์ และเกิดความบกพร่องในการกำจัดของเสียออกจากเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่สามารถคงไว้ซึ่งหน้าที่การ
ทำงานของเซลล์ได้ ส่งผลให้เซลล์ สูญเสียหน้าที่ (cellular dysfunction) หากสาเหตุของภาวะช็อกไม่ได้รับการ
แก้ไขอย่างเหมาะสมและทันท่วงที จะทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน เซลล์ ตาย และเกิดกลุ่มอาการอวัยวะทำงาน
ล้มเหลวหลายระบบ (Multiple organ dysfunction syndrome : MODS) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต
การคงไว้ซึ่งการทำหน้าที่ของเซลล์และอวัยวะต่างๆของร่างกายนั้น จะต้องมีการกำซาบของเนื้อเยื่ออย่าง
เพียงพอ (adequate tissue perfusion) กล่าวคือต้องมีออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นมาเลี้ยงอย่างเพียงพอ
และมีการกำจัดของเสียออกจากเซลล์อย่างเหมาะสม ซึ่งสมดุลเหล่านี้เกิดจากการควบคุมของระบบหัวใจและ
หลอดเลือดเป็นหลัก และขึ้นอยู่กับ 4 องค์ประกอบได้แก่
1. ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที (Cardiac output : CO) ที่เพียงพอกับความต้องการของ
ร่างกาย
2. ขนาดและความตึง (vascular tone) ของหลอดเลือดที่เหมาะสม
3. ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนโลหิต
4. เนื้อเยื่อที่สามารถดึงออกซิเจนที่ถูกขนส่งมาทางหลอดเลือดฝอยมาใช้ได้
หากองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง จะทำให้เกิดการกำซาบของเนื้อเยื่อไม่มี
ประสิทธิภาพ (Inadequate tissue perfusion) เซลล์จึงเกิดการปรับตัวเพื่อคงไว้ซึ่งการทำหน้าที่ของเซลล์และ
คงไว้ซึ่งการทำหน้าที่ของอวัยวะที่สำคัญซึ่งได้แก่หัวใจและสมอง การตอบสนองนี้เองคือกลุ่มอาการของภาวะช็อก
4. แนวทางการประเมินเพื่อวินิจฉัยภาวะช็อก
การประเมินผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกได้รวดเร็วจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที และก่อให้เกิด
ผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้ป่วย ควรเริ่มตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกแต่ละประเภท เช่น ผู้ป่วยที่ ได้รับ
อุบัติเหตุที่มีแผลขนาดใหญ่และมีภาวะเลือดออกย่อมเสี่ยงต่อการเกิด Hypovolemic shock หรือผู้ป่วยที่มีการติด
เชื้อในร่างกายหรือมีอาการไข้มาหลายวัน ย่อมเสี่ยงต่อการเกิด Septic shock เป็นต้น และประเมินให้ได้ว่าผู้ป่วย
มีภาวะช็อกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุของภาวะช็อกที่ปรากฏในผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ชัดเจนนัก จึงต้อง
อาศัยการประเมินหลายด้านร่วมด้วย ได้แก่ อาการทางคลินิก การติดตามระบบไหลเวียนโลหิต การตรวจพิเศษ
และการส่งตรวจทางชีวเคมีต่างๆ (Biochemical parameters) (Prescott & Ruff, 2017) ดังนี้
4.1 การประเมินอาการและอาการแสดงทางคลินิก
เป็นการประเมินการกำซาบของเนื้อเยื่อที่ลดลง (tissue hypoperfusion) โดยอาการแสดงที่ปรากฏเกิด
จากการปรับชดเชยของร่างกายต่อภาวะช็อก ระบบต่างๆของร่ากายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
4.1.1 ระบบหัวใจและหลอดเลือด ในภาวะช็อกระยะ Initial และ Non-progressive stage
ร่างกายยังคงสามารถปรับชดเชยให้เลื อดและออกซิเจนมาเลี้ยงที่กล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ แต่ เมื่อภาวะช็อกมี
ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนเข้าสู่ระยะ Progressive และ Refractory stage ร่างกายไม่สามารถปรับชดเชยได้ จะ
ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจนและกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งสามารถประเมินอาการและอาการแสดงได้ดังนี้
1) ความดันเลือดแดงเฉลี่ย (Mean arterial pressure : MAP) ในระยะแรกของภาวะช็อก
จะพบว่าค่า MAP ลดลง หากค่า MAP < 65 mmHg จะส่งผลให้เกิดการกำซาบของเนื้อเยื่อลดลง ทำให้เซลล์ขาด
ออกซิเจน ส่งผลให้อวัยวะต่างๆเริ่มสูญเสียหน้าที่
2) ความดันโลหิต (Blood pressure:
BP) จะพบว่าค่า BP < 90/60 mmHg เนื่องจาก Cardiac
output ลดลง (แต่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากค่า 90/60
mmHg อาจเป็น ค่ าปกติ ใ นผู ้ป ่ว ยบางรายที ่ มี ความดั น
เลือดที่ต่ำเป็นปกติอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยที่มีรูปร่างผอมหรือมี
มวลกล้ามเนื้อน้อย ในผู้ป่วยวิกฤตที่มีภาวะช็อกบางรายที่
ได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดแดง (Arterial catheter)
และใช้ เ ครื ่ อ งมื อ วั ด Cardiac output และ Stroke
volume ก็จะพบค่าต่ำกว่าปกติ (CO ปกติประมาณ 4-8
รูปภาพที่ 2 หน้าจอแสดงผล Hemodynamic
ลิตร/นาที, SV ปกติประมาณ 60-100 มล./ครั้ง)
monitoring
ที่มา : https://www.chimei.org.tw/main/cmh_department
/59012/magazin/vol129/05-6.html
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 11
3) Pulse pressure (PP) คื อ ผลต่ า งของ Systolic blood pressure (SBP) และ Diastolic
blood pressure (DBP) ค่าปกติอยู่ระหว่าง 30-40 mmHg (Hinkle & Cheever, 2014) ในระยะแรกของภาวะ
ช็อก ค่า Pulse pressure จะแคบลง เนื่องจากเกิด Vasoconstriction ทำให้ DBP เพิ่มขึ้น ในขณะที่ SBP คงยัง
เดิม ระยะต่อมา SBP จะค่อยๆลดลง ทำให้ PP ยิ่งแคบลง (Workman, 2014)
4) ชีพจร (Pulse rate) ควรประเมินทั้งอัตราการเต้นของชีพจร ความแรงและความสม่ำเสมอ
ชีพจร ผู้ที่มีภาวะช็อกระยะเริ่มต้นจะพบว่ามี Tachycardia (PR > 120 bpm) เพื่อพยายามรักษาระดับ ของ
Cardiac output และ MAP ให้ปกติ แต่ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Neurogenic shock จะพบว่ามี Bradycardia (PR <
60 bpm) เมื่อผู้ป่วยมี Stroke volume ลดลงจะคลำชีพจรได้เบา และในผู้ป่วยที่มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะบาง
ชนิด เช่น Atrial fibrillation (AF) เมื่อคลำชีพจรจะพบว่าเต้นไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
5) ค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressure: CVP) เป็นค่าที่ใช้
ประเมินปริมาณสารน้ำในร่างกาย ค่าปกติอยู่ระหว่าง 8-12 mmHg (KDIGO, 2012) ในกรณีผู้ป่วยสูญเสียน้ำออก
จากร่างกายจนเกิดภาวะ Hypovolemic shock จะมีค่าต่ำกว่าปกติ ส่วนในผู้ป่วยที่มีภาวะ Cardiogenic shock
มักจะพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติหากผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกินร่วมด้วย (Perrin & MacLeod, 2018)
4.1.2 ระบบหายใจ
1) การหายใจ ประเมินอัตราการหายใจ (Respiratory rate) ความลึก ลักษณะการหายใจ ใน
ภาวะช็อกระยะ Progressive stage ผู้ป่วยจะมี RR เพิ่มขึ้น เพื่อปรับให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อ
ภาวะช็อกดำเนินไปจนเกิดภาวะ Lactic acidosis จะทำให้ผู้ป่วยหายใจหอบลึก
ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Anaphylactic Shock จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของปฏิกิริยา
การแพ้ อ ย่ า งรุ น แรง ได้ แ ก่ หายใจลำบาก เสี ย งหายใจมี เ สี ย ง wheezing จากหลอดลมตี บ แคบ (Perrin &
MacLeod, 2018)
2) ความอิ่มตัว ของออกซิเ จนในเลือดแดง (Oxygen saturation) ประเมินโดยใช้ Pulse
oximeter ค่ า ปกติ อ ยู ่ ร ะหว่ า ง 90-95% เมื ่ อ เข้ า สู ่ Progressive stage อาจลดลงมาที ่ 75-80% เมื ่ อ เข้ า สู่
Refractory stage จะมีค่าลดลงต่ำกว่า 70% ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่คุกคามต่อชีวิต
4.1.3 ระบบไตและทางเดิน ปัส สาวะ ควรประเมินปัส สาวะทั้งปริมาณ (Urine output) สี
(Color) และความถ่วงจำเพาะ (Urine specific gravity) เมื่อ Cardiac output ลดลง จะส่งผลให้เลือดไหลเวียน
ไปที่ไตลดลง ทำให้ปัสสาวะเข้มข้นมากขึ้นและมีปัสสาวะออกน้อย (Oliguria) ซึ่งออกน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hour
จึงควรตวงปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง เนื่องจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน (Acute
kidney injury) นอกจากนี้จะพบว่าปัสสาวะมีสีเข้ม และมีความถ่วงจำเพาะมากกว่า 1.020
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 12
4.1.4 ผิวหนัง
1) ประเมินอุณหภูมิ (Temperature) สีผิว (Color) และความชุ่มชื้น (Moisture) ในผู้ป่วย
ที่มี Hypovolemic shock เมื่อสัมผัสจะพบว่าผิวหนังซีด เย็น ชื้น Poor skin turgor ริมฝีปากและเยื่อบุช่องปาก
แห้ง สีผิวจะเริ่มเปลี่ยนแปลงที่บริเวณเยื่อบุช่องปากและรอบปากก่อน ต่อมาสีผิวบริเวณแขนขาและลำตัว จะเกิด
การเปลี่ยนแปลงตามลำดับ หากภาวะช็อกดำเนินต่ อไปจะพบอาการตัวลาย แต่ในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกประเภท
Distributive shock ในระยะแรกจะตรวจพบมีผิวหนังอุ่นและแดง ผู้ป่วยที่มีภาวะ Anaphylactic Shock อาจจะ
พบว่ามีผื่นแพ้ (Urticaria) (Perrin & MacLeod, 2018)
2) Capillary refill time เป็นการประเมินการไหลเวียนของเลือดไปที่ส่วนปลาย ในภาวะช็อก
จะพบว่า Capillary refill time นานมากกว่า 2 วินาที อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังเมื่อประเมินในผู้สูงอายุ ผู้ที่มี
ภาวะซีด เป็นโรคเบาหวาน และผู้ที่เป็นโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เนื่องจากระบบไหลเวียนเลือดไปที่ส่วนปลาย
มีความผิดปกติตามพยาธิสภาพของโรคอยู่แล้ว และในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกประเภท Distributive shock จะตรวจ
พบ Capillary refill time น้อยกว่า 2 วินาที
4.1.5 ระบบประสาทส่วนกลาง
1) ความรู้สึกกระหาย (Thirst) เนื่องจากปริมาณสารน้ำในร่างกายที่ลดลงจะไปกระตุ้นศูนย์
ควบคุมความรู้สึกกระหายน้ำ (Thirst center) ในสมองส่วน Hypothalamus ทำให้รู้สึกกระหายน้ำซึ่งเป็นกลไก
เพื่อชดเชยสารน้ำที่สูญเสียไป
2) ระดับความรู้สึกตัว (Level of consciousness : LOC) และการรับรู้สถานที่ บุคคลและ
เวลา (Orientation) ซึ่งระดับความรู้สึกตัวที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นอาการแสดงในระยะเริ่มแรกของจะภาวะ
ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ สมองไม่เพียงพอ ในระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการวิตกกังวล (Anxiety) กระสับกระส่าย
(Restlessness) หรือกระวนกระวาย (Agitation) ต่อมาจะมีอาการสับสน (Confusion) ซึมลงและหมดสติ
4.1.6 ระบบทางเดินอาหาร จะพบว่าในระยะแรกลำไส้ทำงานลดลง ฟัง Bowel sound ได้ลดลง
อาหารไม่ย่อย เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ระยะต่อมาจะพบว่ามีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร พบการติดเชื้อ
ในระบบทางเดินอาหาร อวัยวะต่างๆได้แก่ ลำไส้ ตับอ่อน ถุงน้ำดี เกิดการอักเสบ ขาดเลือดไปเลี้ยงและเกิดอวัยวะ
ล้มเหลว
4.1.7 ระบบกล้ามเนื้อ จะพบว่าผู้ป่วยที่มีภาวะ Neurogenic shock จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อน
แรงแบบปวกเปี ย ก (Flaccid paralysis) สู ญ เสี ย การควบคุ ม การขั บ ถ่ า ยปั ส สาวะและอุ จ จาระ และพบการ
ตอบสนองของ Deep tendon reflex ลดลงหรือไม่มีการตอบสนอง นอกจากนั้นผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะมีอาการ
กล้ามเนื้ อ อ่ อ นแรงและปวดกล้ า มเนื ้ อเนื่ อ งจากภาวะเนื ้ อเยื ่ อขาดออกซิเ จนและอาจเกิด จาก Electrolyte
imbalance
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 13
4.2 การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
1) Lactate level ในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกทุกชนิดจะพบว่าค่า Lactate level สูงมากกว่า 2
mmol/L เนื่องจากเซลล์เกิดการเผาผลาญแบบไม่ใช้ออกซิเจน จึงมีการผลิต Lactate ออกมามาก ทำให้เกิดภาวะ
Lactic acidosis ระดับของ Lactate level บ่งบอกถึงระดับความรุนแรงของภาวะช็อก และควรส่งตรวจตั้งแต่
ระยะเริ่มต้น และส่งตรวจประเมินอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก
(Teirney, Ahmed, & Nichol, 2017)
2) Mixed venous oxygen saturation (SvO2) เป็นตัวชี้วัดที่บอกถึงการขนส่งออกซิเจนไป
ที่เซลล์ การเปลี่ยนแปลงค่า SvO2 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที ค่า
SvO2 ในคนที่ปกติคือ 75% ขณะที่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกที่มีการไหลเวียนเลือดล้มเหลวค่าจะอยู่ที่ 70% (Hasanin,
Mukhtar et al., 2017)
3) ค่าก๊าซในเลือดแดง (Arterial blood gas) จะพบว่าผู้ป่วยเกิดภาวะ Acidosis โดยการ
ตรวจพบค่า pH น้อยกว่า 7.35, ค่า Partial pressure of arterial carbon dioxide (PaCO2) เพิ่มขึ้นมากกว่า 45
mmHg (Workman, 2014)
4) Procalcitonin (PCT) levels เป็ น โปรฮอร์ โ มนที ่ ห ลั ่ งออกมาตอบสนองต่อ การติ ดเชื้อ
แบคทีเรีย จะตรวจพบว่ามีค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด (Workman, 2014)
5) CBC โดยจะพบว่าผู้ป ่ว ยที่มี Hypovolemic shock จากการเสียเลือด ค่า Hematocrit,
Hemoglobin และ Platelet จะลดลง แต่ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำจากการสูญเสียสารน้ำในร่างกาย เช่น อาเจียน
ปัสสาวะออกมาก เป็นต้น จะตรวจพบว่า Hematocrit และ Hemoglobin สูงกว่าปกติ ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Septic
shock จะตรวจพบว่ามี WBC สูงหรือต่ำกว่าปกติ (Workman, 2014) ในระยะ Progressive stage จะตรวจพบว่า
ผู้ป่วยเกิดภาวะ DIC โดยมีเกล็ดเลือดต่ำและขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
6) Electrocardiogram (ECG) เป็นการประเมินความผิดปกติและโรคเกี่ยวกับหัวใจที่ เป็น
สาเหตุของ Cardiogenic shock เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
7) การตรวจอั ล ตราซาวด์ ( Ultrasonography) เช่ น Focused assessment using
sonography in trauma (FAST) เป็นการประเมินที่มีความไวสูงในประเมินภาวะเลือดออกในช่องท้อง (Teirney
et al., 2017) ที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะ Hypovolemic shock ได้
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 14
5. แนวทางการรักษาและการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก
การรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วน เพราะหากภาวะช็อกดำเนินต่อไปและไม่ได้รับ
การแก้ไขหรือได้รับการแก้ไขช้า จะทำให้เกิดกลุ่มอาการทำหน้าที่ผิดปกติของหลายอวัยวะ ( Multiple organ
dysfunction syndrome : MODS) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต การรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้การกำซาบของเนื้อเยื่อเป็นปกติ (Normal tissue perfusion) ให้เซลล์ได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่าง
เพียงพอ และสิ่งสำคัญคือจะต้องค้นหาสาเหตุและจัดการแก้ไขสาเหตุของภาวะช็อกโดยเร็ว
แนวทางการรักษาและการให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยหลาย
ปัจจัย สิ่งสำคัญพยาบาลต้องคำนึงถึงคือการมีความตระหนักรู้และสามารถประเมินผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด
ภาวะช็อกชนิดต่างๆได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อให้การพยาบาลอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีตั้งแต่ระยะ Initial
stage หรื อ Non-progressive stage เพื ่ อ ป้ อ งกั น การดำเนิ น ของภาวะช็ อ กเข้ า สู ่ ร ะยะ Progressive และ
Refractory stage ซึ่งเป็นระยะที่มีความรุนแรง ในบทนี้แบ่งออกเป็นการจัดการผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกโดยทั่วไปและ
การจัดการแบบเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกแต่ละชนิด
5.1 การจัดการโดยทั่วไป (General management)
ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด เพราะอาการมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่าง
เฉียบพลัน ผู้ป่วยควรถูกย้ายเข้ารับการดูแลที่หอผู้ป่วยวิกฤต (Intensive care unit: ICU) หลักการดูแลผู้ป่วยที่มี
ภาวะช็อกโดยทั่วไป ใช้หลัก “VIP” โดย V=Ventilation and oxygenation, I=Infuse และ P=Pump (Teirney
et al., 2017)
V = Ventilation and oxygenation เป็นการช่วย
ให้เซลล์ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและมีการแลกเปลี่ยน
ก๊าซอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคงไว้ซึ่งความดันในเลือดแดง
(PaO2) มากกว่า 80 mmHg หรือ O2 saturation > 95%
โดยการเพิ่มออกซิเจนให้แก่เซลล์ (oxygen supply) และลด
ความต้องการการใช้ออกซิเจนของเซลล์ (oxygen demand) รูปภาพที่ 3 ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจและใช้
(Harding et al., 2020) การให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ เช่น เครื่องช่วยหายใจ (mechanical ventilator)
ที่มา: https://myhealth.alberta.ca/Health/
O2 mask with bag หรือในรายที่ขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง aftercareinformation/pages/conditions.aspx?hwid=abs1873
จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 15
เลือดดำส่วนกลาง และจะต้องเฝ้าระวังการออกฤทธิ์ของยาเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเนื่องจากยาออกฤทธิ์โดยตรงต่อการ
ทำงานของหัวใจและหลอดเลือด การออกฤทธิ์ของยามีดังนี้
(1) Inotropic effect ออกฤทธิ์เพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ (Cardiac contractility)
(2) Chronotropic effect ออกฤทธิ์เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate)
(3) Vasopressor ออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดกระชับ (Vasoconstriction) ส่งผลให้ Afterload เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างยาเหล่านี้และการออกฤทธิ์ของยาแสดงดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ยา Vasoactive drugs เพื่อแก้ไขภาวะความดันโลหิตต่ำในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก
Vasopressors / Receptor
Physiologic effect
Inotropes Alpha-1 Beta-1 Beta-2 Dopamine
Epinephrine +++ +++ ++ 0 CO, SVR (low dose)
SVR (high dose)
Norepinephrine +++ ++ 0 0 +/- CO, SVR
Dobutamine +/- +++ ++ 0 CO, SVR
Dopamine
1 – 3 mcg/kg/min 0 + 0 ++ CO
5 – 10 mcg/kg/min + ++ 0 ++ CO, SVR
>10 mcg/kg/min ++ ++ 0 ++ SVR
Phenylephrine +++ 0 0 0 SVR, +/- CO
หมายเหตุ : CO = Cardiac output, SVR = Systemic vascular resistance
6. ตัวอย่างการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อก
บทบาทสำคัญของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อกประกอบด้วยบทบาทที่ต้องกระทำร่วมกัน
กับแพทย์และบทบาทอิสระ โดยจะเน้นที่การประเมินผู้ป่วย การเฝ้าระวังและดูแลให้ผู้ป่วยมีการกำซาบของ
เนื้อเยื่อต่างๆอย่างเพียงพอ ทั้งนี้จะต้องให้การพยาบาลเพื่อสนับสนุนด้านจิตใจของผู้ป่วยและญาติอย่างเป็นองค์
รวมโดยใช้กระบวนการพยาบาล ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่พบในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะช็อกที่สำคัญ มีดังนี้
1. ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาทีลดลง (Decreased cardiac output) / เสี่ยงต่อปริมาณเลือด
ที่ออกจากหัวใจใน 1 นาทีลดลง เนื่องจาก.......
- ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนลดลงจากภาวะเลือดออก
- ประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจลดลงจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- ประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจลดลงจากการมีเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ
- ความต้านทานของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกายลดลงจากภาวะติดเชื้อ
2. การกำซาบของเนื้อเยื่อไม่มีประสิทธิภาพ (Ineffective tissue perfusion)
3. แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ (Ineffective breathing pattern)
4. มีภาวะขาดน้ำ (Deficient fluid volume)
5. มีความวิตกกังวล (Anxiety)
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 21
กิจกรรมการพยาบาล (ต่อ)
10. ให้รับส่วนประกอบของเลือดตามแผนการรักษา บันทึกชนิดและปริมาณให้ถูกต้อง และติดตามภาวะแทรกซ้อนที่
อาจเกิดจากการให้เลือด
11. ให้ยา Vasoactive drugs ตามแผนการรักษา ประเมินการตอบสนองต่อยาโดยประวัด BP, MAP หลังให้ยา 15
นาที ติดตามจนกว่าค่า MAP > 65 mmHg พร้อมทั้งเฝ้าระวังอาการข้างเคียงจากยา
12. ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติก ารที ่เกี่ ย วข้ อ ง ได้แก่ ABG, CBC (Hct, Hb, Plt), Electrolytes, BUN,
Creatinine, Coagulogram (PT, PTT, INR), Lactate level เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
คณะทำงานเพื่อการรักษาและป้องกันการแพ้ชนิดรุนแรงแห่งประเทศไทย. (2560). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับการ
ดูแลผู้ป่วยที่การแพ้ชนิดรุนแรง: Clinical practice guideline for anaphylaxis. สืบค้น 18 สิงหาคม
2563, จาก http://allergy.or.th/2016/pdf/Thai_CPG_Anaphylaxis_2017_Full_version.pdf
ณัฐธยาน์ บุญมาก. (2562). การพยาบาลฉุกเฉินในภาวะช็อกจากการติดเชื้อ. J Med Health Sci, 26(1), 65-73.
ณภัทร นพรัตน์ไกรลาศ และเอกรัฐ รัฐฤทธิ์ธำรง. (2563). ภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด
(Disseminated intravascular coagulation: DIC). วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต,
30(1), 75-83.
เพชร วัชรสินธุ,์ ครรชิต ปิยะเวชวิรัตน์, อรรณพ พิริยะแพทย์สม และสัณฐิติ โมรากุล. (บรรณาธิการ). (2562).
Comprehensive Hemodynamic Optimization in Critically ill patients (CHOC). กรุงเทพฯ:
บริษัท บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จำกัด.
Ackley, B.J., Ladwig, G.B. & Makic, M.B.F. (2017). Nursing diagnosis handbook: An evidence-based
guide to planing care. (11th ed.). St. Louis: ELSEVIER.
Bentzer, P., Griesdale, D. E., Boyd, J., MacLean, K., Sirounis, D., & Ayas, N. T. (2016). Will this
hemodynamically unstable patient respond to a bolus of intravenous fluids? JAMA -
Journal of the American Medical Association, 316(12), 1298–1309.
https://doi.org/10.1001/jama.2016.12310
Harding, M. M., Kwong, J., Roberts, D., Hagler, D., & Reinisch, C. (2020). Lewis’s Medical-Surgical
Nursing Assessment and Management of Clinical Problems (11th ed.). Elsevier.
Hasanin, A., Mukhtar, A., & Nassar, H. (2017). Perfusion indices revisited. Journal of intensive care,
5(1), 24. https://jintensivecare.biomedcentral.com/track/pdf/10.1186/s40560-017-0220-5
Hinkle, J. L., & Cheever, K. H. (2014). Shock and multiple organ dysfunction syndrome. In
Brunner & Suddarth’s Textbook of Medical-Surgical Nursing (13th ed., pp. 285–309). China:
Lippincott Williams & Wilkins.
Kidney Disease: Improving Global Outcomes (KDIGO) Acute Kidney Injury Work Group. (2012).
KDIGO Clinical Practice Guideline for Acute Kidney Injury. Kidney international
supplements (Suppl. 1). Retrieved from
http://www.kdigo.org/clinical_practice_guidelines/pdf/KDIGO AKI Guideline.pdf
Lehman, K. D. (2019). Update: Surviving Sepsis Campaign recommends Hour-1 bundle use. The
Nurse Practitioner, 44(4), 10. www.tnpj.com.
การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มภี าวะช็อก 24
Lemone, Burke, Levett-Jones, Dwyer, Moxham, Reid-Searl, Berry, Carville, Hales, Knox, Luxford, &
Raymond. (2017). Medical- surgical nursing:critical thinking for person-centred care (Vol. 1).
www.pearson.com.au
Makic, M. B. F., & Bridges, E. (2018). Managing Sepsis and Septic Shock: Current Guidelines and
Definitions. American Journal of Nursing, 118(2), 34–39.
https://doi.org/10.1097/01.NAJ.0000530223.33211.f5
Perrin, K. O., & MacLeod, C. E. (2018). Understanding the Essentials of Critical care nursing (3rd
ed.). Pearson. https://doi.org/10.7748/ns.13.48.59.s51
Prescott, C., & Ruff, S. (2017). The shocked patient. Medicine (United Kingdom), 45(2), 81–85.
https://doi.org/10.1016/j.mpmed.2016.11.007
Spahn, D. R., Bouillon, B., Cerny, V., Duranteau, J., Filipescu, D., & Hunt, B. J. (2019). Guia
europea sangrado y coagulación. 1–74.
Teirney, P., Ahmed, B., & Nichol, A. (2017). Shock: causes, initial assessment and investigations.
Anaesthesia and Intensive Care Medicine, 18(3), 118–121.
https://doi.org/10.1016/j.mpaic.2016.12.003
Timby, B. K., & Smith, N. E. (2014). Introductory Medical-Surgical Nursing. (B. K. Timby & N. E.
Smith, Eds.) (11th ed.). China: LWW.
Workman, M. L. (2014). Care of patients with shock. In D. D. Ignatavicius & M. L. Workman (Eds.),
Medical-Surgical nursing Patient-centerd collaborative care (7th ed., pp. 808–827). USA:
Elsevier Ltd.
Wang, J., Liang, T., Louis, L., Nicolaou, S., & McLaughlin, P. D. (2013). Hypovolemic shock
complex in the trauma setting: a pictorial review. Canadian Association of Radiologists
Journal, 64(2), 156-163. https://www.carjonline.org/article/S0846-5371(13)00020-X/pdf