Professional Documents
Culture Documents
01บทที่ 1 มโนทัศน์การวิจัย
01บทที่ 1 มโนทัศน์การวิจัย
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1
หัวข้อเนื้อหา
1. ความนา
2. หลักการและแนวคิดการวิจัย
3. ความหมายการวิจัยและการวิจัยทางการศึกษา
4. ลักษณะการวิจัย
5. จุดมุ่งหมายการวิจัย
6. ประโยชน์การวิจัย
7. รูปแบบการวิจัย
8. กระบวนการวิจัย
9. การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
10. จรรณยาบรรณนักวิจัย
11. บทสรุป
วิธีสอนและกิจกรรม
ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบวิจัยเป็นฐาน (Research-based instruction) โดยมี
กิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้
1. ขั้นนา ผู้สอนปลูกฝังคุณธรรมก่อนเรียน โดยให้ดูหรือฟังคลิป นิทานธรรม/คติธรรม
เพื่อส่งเสริมความเป็นครูหรือความคิดเชิงบวก จากนั้นกระตุ้นเร้าเพื่อนาเข้าสู่บทเรียนและให้นักศึกษา
จับกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน
3
2. ขั้นสอน ประกอบด้วย
2.1 ขั้นเสนอเนื้อหา ผู้สอนบรรยายประกอบการใช้สื่อที่หลากหลาย เช่น บทความวิจัย
สรุ ป รายงานการวิ จั ย สื่ อ ส าเร็ จ รู ป ที่ ท าด้ ว ยโปรแกรมคอมพิ ว เตอร์ สื่ อ มั ล ติ มี เดี ย และเอกสาร
ประกอบการสอน
2.2 ขั้นศึกษาทีมย่อย ผู้สอนให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาและอภิปรายงานวิจัย
ที่มอบให้ หรือทาแบบฝึกหัดในใบงาน หรือทากิจกรรมและตอบคาถามในเอกสารประกอบการสอน
หลังจากที่ได้รับการสอน
2.3 ขั้นทดสอบความรู้ ผู้เรียนแต่ละคนทาการทดสอบย่อย เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจ
ในเนื้ อ หาสาระที่ ได้ เรี ย นรู้ จ ากข้ อ ทดสอบของผู้ ส อน จากนั้ น ผู้ ส อนและผู้ เรี ย นร่ ว มกั น ตรวจผล
การทดสอบของสมาชิกแต่ละคน หรือให้นักศึกษาออกมานาเสนองานตามที่ได้รับมอบหมาย
2.4 ขั้นความสาเร็จของกลุ่ม ผู้วิจัยประกาศคะแนนการพัฒนาของกลุ่ม
3. ขั้ น สรุ ป ผู้ ส อนให้ นั ก ศึ ก ษาสรุ ป ถึ งสิ่ งที่ นั ก ศึ ก ษาได้ เรี ย นรู้จ ากการฝึ ก การเรีย นรู้
แบบวิจัยเป็นฐาน จากนั้นผู้สอนสรุปเพิ่มเติม
สื่อการจัดการเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการสอนบทที่ 1
2. สไลด์ที่ทาจากโปรแกรมเพาเวอร์พอยท์ และคลิปจากยูทูปเรื่อง “จรรณยาบรรณนักวิจัย”
3. คลิปจากยูทูปส่งเสริมคุณธรรมเรื่อง “อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก”
4. คาถามท้ายบท ใบงาน และแบบทดสอบประจาบท
การวัดและประเมินผล
1. ประเมินพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ได้แก่ การตอบคาถาม การแสดงความคิดเห็น
มีวินัยในการแต่งกาย การตั้งใจเรียน และมีความซื่อสัตย์ในการเรียน
2. ประเมินจากกิจกรรมท้ายบทและการนาเสนอของกลุ่มตามเกณฑ์ที่กาหนด
3. ประเมินจากการตอบคาถามท้ายบท
4. ประเมินจากใบงาน และแบบทดสอบประจาบท
4
บทที่ 1
มโนทัศน์เกี่ยวกับการวิจัย
ความนา
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า การวิจัยมีบทบาทสาคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจาวันของ
มนุษย์ ตลอดจนมีความสาคัญต่อการพัฒนาสังคมและประเทศ ดังจะเห็นได้จากการที่ผลงานวิจัยได้
ถู ก น ามาเผยแพร่ และน าเสนอในรู ป แบบต่ างๆ เช่ น การประชุ ม วิ ช าการระดั บ ชาติ แ ละระดั บ
นานาชาติ การตีพิมพ์ในรูปแบบของบทความวิจัยในวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ ทั้งนี้
เพราะ การวิจัยเป็นเครื่องมือสาคัญในการแก้ไขปัญหาชีวิตประจาวัน การส่งเสริมความก้าวหน้า ทั้งใน
ด้านการศึก ษา สั งคม เศรษฐกิจ วัฒ นธรรมและจริยธรรม ดั งนั้ น การเรีย นรู้เกี่ ยวกับ การวิจั ย จึ ง
ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งทั้งต่อตนเองและสังคม
สาหรับบทนี้เป็นบทแรก ซึ่งผู้เขียนจะกล่าวถึง มโนทัศน์เกี่ยวกับการวิจัย ได้แก่ ความหมาย
การวิจัยและการวิจัยทางการศึกษา ลักษณะการวิจัย จุดมุ่งหมายการวิจัย ประโยชน์การวิจัย ประเภท
การวิจัย กระบวนการวิจัย ระดับการวิจัยทางการศึกษา จรรณยาบรรณนักวิจัย และบทสรุป
หลักการและแนวคิดการวิจัย
หลักการและแนวคิดการวิจัย ในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ให้เหตุผลเชิงประจักษ์ในการแสวงหา
ความรู้และความจริงผ่านกระบวนการที่มีขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยวิธีการเชิงเหตุผลทั้งแบบ
อนุมานและอุปมานร่วมกัน วิธีการแสวงหาความรู้ความจริงในยุคนี้สามารถแยกได้ 2 วิธี คือ (ไพศาล
วรคา. 2555 : 4-5)
1. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ได้
นาเอาวิธีอนุมานของอริสโตเติลและวิธีอุปมานของเบคอนมาใช้ร่วมกัน เนื่องจากเห็นว่า วิธีการทั้งสอง
ต่างมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันไป และจุดเด่นของวิธีหนึ่ง สามารถนาไปแก้ไขจุดด้อยของอีกวิธี
หนึ่งได้ จึ งเรีย กวิธีนี้ ว่า วิธีอนุ มาน-อุปมาน ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยคาว่า
“วิทยาศาสตร์” ในที่นี้หมายถึง ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากหลักฐานเชิงประจักษ์แล้ว
จัดเข้าเป็นระเบียบ หรือวิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ ซึ่งมีความหมาย
5
ความหมายการวิจัยและการวิจัยทางการศึกษา
การวิจัย (Research) มีรากศัพท์ประกอบด้วยคาว่า “Re” แปลว่า ซ้าซ้า กลับไปกลับมา
และคาว่า “Search” แปลว่า ค้นหา ดังนั้น จุดเริ่มต้นความหมายของคาว่า Research จึงหมายถึง
การศึกษาค้น คว้าซ้าไปซ้ามา (Khan. 2008 : 2) ต่อมาได้มีนักวิช าการทั้งในและต่างประเทศได้ให้
ความหมายของการวิจัยที่น่าสนใจ ดังนี้
6
ลักษณะการวิจัย
การวิจัยในปัจจุบัน ถือว่า เป็นวิธีการหาความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่น่าเชื่อถือมาก
ที่สุด ดังนั้นการวิจัยจึงยึดถือและปฏิบัติตามลาดับขั้นตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
เสมอ จึงทาให้การวิจัยมีลักษณะและธรรมชาติ ดังนี้ (นภาพร สิงหะทัต. 2548 : 7)
1. เป็นการศึกษาอย่างเป็นระบบ กระบวนการวิจัยต้องมี การเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่ หรือ
ข้อมูลที่มีอยู่แล้วเพื่อนามาใช้ในจุดประสงค์ใหม่ที่แตกต่างไปจากจุดประสงค์ของแหล่งข้อมูลเดิม
2. มี จุ ด มุ่ ง หมายในการศึ ก ษาข้ อ มู ล เพื่ อ น ามาวิ เ คราะห์ แ ละสรุ ป ผล เพื่ อ น าไป
ประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหาหนึ่งปัญหาใด
3. มี จุ ด มุ่ งหมายที่ จ ะหาข้ อ เท็ จ จริง เพื่ อ พั ฒ นาทฤษฎี กฎเกณฑ์ หรือ การตรวจสอบ
สมมติฐาน หรือเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุผล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ในทางปฏิบัติ
4. ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรอบรู้ในเรื่องที่ผู้วิจัยจะทาการวิจัย ถ้าผู้วิจัยมีความรู้ใน
เรื่ อ งที่ จ ะวิ จั ย ไม่ เพี ย งพอ จ าเป็ น ต้ อ งท าการศึ ก ษาค้ น คว้ า เพิ่ ม เติ ม จนสามารถมี ค วามเข้ า ใจ
อย่างชัดเจนในเรื่องที่กาลังวิจัยนั้น ๆ เพราะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือประเมินค่านั้น จาเป็นต้องมี
ความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี
8
จุดมุ่งหมายการวิจัย
จุดมุ่งหมายของการวิจัย แบ่งได้ 2 ประเภท คือ (นภาพร สิงหะทัต. 2548 : 8)
1. เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มพูนความรู้ใหม่ เพื่อความรู้ทางวิชาการ เรียกการวิจัยแบบนี้
ว่า “การวิจั ย พื้ น ฐาน หรื อ การวิจั ยบริสุ ทธิ์ (Pure Research)” เป็น การวิจัยที่ ไม่ได้มุ่งน าผลของ
การวิจั ย ไปใช้ ผู้ วิจั ย มี ค วามต้อ งการรู้ข้อ เท็ จจริงเพื่ อ ให้ ได้ ค วามรู้ใหม่ เป็ น การเสริม สร้ างทฤษฎี
หลักการ และวิทยาการให้กว้างขวางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
2 เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ หรือใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ ในทางปฏิบัติ เรียกการวิจัย
แบบนี้ว่า “การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) ในการประยุกต์นั้น มีจุดมุ่งหมายต่างๆ กัน ดังนี้
(สุรินทร์ ภูสิงห์. 2556 : 2-3; ไพศาล วรคา. 2556 : 6-7; นภาพร สิงหะทัต. 2548 : 8)
2.1 เพื่อบรรยาย หรือพรรณนา (Description) เป้าหมายระดับแรกของศาสตร์ ซึ่งถือ
ว่าเป็นระดับต่าสุด คือ การบรรยายปรากฏการณ์ ทาให้คนเรามีความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่
เกิดขึ้น ดังนั้น จุดมุ่งหมายแรกของการวิจัย คือ เพื่อแสวงหาความรู้จริงในการบรรยายปรากฏการณ์
หรื อค้น หาคาตอบของปั ญ หาว่า ใครหรือสิ่ งใด (Who) ทาอะไร (What) ที่ ไหน (Where) เมื่อไหร่
(When) และอย่างไร (How) เช่น การศึกษาคุณลักษณะครูที่ดี
2.2 เพื่ ออธิ บ าย (Explanation) เป้ าหมายระดั บ ที่ ส องของศาสตร์ คื อ การอธิบ าย
ปรากฏการณ์ ซึ่ ง หมายถึ ง องค์ ค วามรู้ ข องศาสตร์ นั้ น สามารถใช้ บ่ ง บอกสาเหตุ ข องการเกิ ด
ปรากฏการณ์ได้ หรือใช้ตอบคาถามได้ว่า ทาไม (Why) จึงเกิดปรากฏการณ์ และผลของปรากฏการณ์
นั้ น มี ค วามเกี่ ย วข้ อ งสั ม พั น ธ์ กั น อย่ า งไร การที่ จ ะอธิ บ ายปรากฏการณ์ ในเชิ ง สาเหตุ แ ละผลได้
จาเป็นต้องอาศัยการบรรยาย หรือพรรณนาปรากฏการณ์นั้นให้ชัดเจน ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน ดังนั้น
จุ ด มุ่ งหมายของการวิจั ย จึ งมุ่ งแสวงหาความรู้ค วามจริ งเพื่ อ การอธิบ ายปรากฏการณ์ ต่ างๆ เช่ น
การวิจัยศึกษาสาเหตุที่ผู้เรียนสอบตกซ้าชั้น การวิจัยศึกษาสาเหตุการเป็นโรคมะเร็ง
9
ประโยชน์การวิจัย
ปัจจุบันบุคคลในวงการต่างๆ ให้ความสาคัญกับการวิจัยมากขึ้น เพราะเห็นเชิงประจักษ์
เกี่ยวกับประโยชน์ของการวิจัยที่มีต่อมวลมนุษย์ ซึ่งประโยชน์ของการวิจัยจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่
กับข้อมูลและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและถูกต้อง ตลอดจนความรับผิดชอบของ
นั ก วิจั ย ที่ มี ต่อ การท าวิจั ย และการให้ ความร่ว มมื อของผู้ ให้ ข้ อมู ล ทั้ งนี้ อ าจกล่ าวได้ว่า การวิจัย มี
ประโยชน์ ดังนี้ (สุรินทร์ ภูสิงห์. 2556 : 6-7)
1. ช่วยให้เกิดวิทยาการใหม่ๆ เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ
10
รูปแบบการวิจัย
รูปแบบการวิจัย สามารรถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใช้เกณฑ์ใดในการแบ่ง
ดังนี้ (สันติ บุญภิรมย์. 2557 : 13-18; นภาพร สิงหะทัต. 2548 : 11)
1. แบ่ งตามจุ ด มุ่ งหมายการวิจั ย เมื่ อ นาการวิจัย มาจัด แบ่ งโดยใช้ เกณฑ์ จุ ดมุ่ งหมาย
การวิจัย สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
1.1 การวิ จั ย พื้ น ฐาน หรื อ การวิ จั ย บริ สุ ท ธิ์ (Basic or Pure Research) การวิ จั ย
ประเภทนี้ มุ่งแสวงหาความรู้ความจริงที่เป็นกฎ สูตร ทฤษฎี ที่เป็นพื้นฐานความรู้ต่างๆ เพื่อเพิ่มพูน
วิทยาการให้กว้างขวางและลึกซึ้ง
11
3.1 การวิ จั ย ทางวิ ท ยาศาสตร์ (Scientific Research) เป็ น การศึ ก ษาค้ น คว้ า ทาง
วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ระบบสุริยะจักรวาล ฟ้าร้อง
ฟ้าผ่ า ทรัพยากรธรรมชาติ แร่ธาตุต่างๆ ซึ่งอาจแยกตามแขนงวิชา เช่น ฟิสิ กส์ ดาราศาสตร์ เคมี
ชีววิทยา
3.2 การวิจั ย ทางสั งคมศาสตร์ (Social Science Research) เป็ น การศึ กษาค้น คว้ า
เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ศึกษาลักษณะของชุมชน เผ่าพันธุ์ ขนบธรรมเนียม
ประเพณี วัฒนธรรม วิวัฒนาการต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงต่างๆ
ความแตกต่างระหว่างการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีข้อแตกต่างที่สาคัญ
2 ด้าน ได้แก่ 1) ความคงที่ (Constancy) และการคาดการณ์ (Prediction) ในด้านความคงที่การวิจัย
ทางวิทยาศาสตร์สามารถวางกฎเกณฑ์หรือพิสูจน์ได้อย่างแน่นอน แต่การวิจัยทางสังคมศาสตร์เป็น
การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
4. แบ่งตามการวิเคราะห์ ข้อมูล เมื่อน าการวิจัยมาจัดแบ่ งโดยใช้เกณฑ์การวิเคราะห์
ข้อมูล สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
4.1 การวิ จั ย เชิ งปริ ม าณ (Quantitative Research) เป็ น การเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล ใน
ลั ก ษณะของตั ว เลข โดยก าหนดตั ว เลขเป็ น มาตรวัด (Scale) ที่ ใช้ เป็ น เกณฑ์ แล้ ว จึ งน าข้อ มู ล มา
วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ผลการวิเคราะห์ที่ได้จะปรากฏเป็นตัวเลข โดยนาความหมายของตัวเลข
มาใช้ในการแปลผลการวิจัย
4.2 การวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ (Qualitative research) เป็ น การเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล ใน
ลั ก ษณะของการบรรยายสถานการณ์ ที่ เกิ ด ขึ้ น ในการเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล กระท าโดยการสั งเกต
การสัมภาษณ์ การตรวจสอบเอกสาร หลักฐาน ร่องรอยต่างๆ แล้วผู้เก็บรวบรวมข้อมูลต้องทาการจด
บันทึก เป็นการแสวงหาความรู้ในลักษณะของอุปมาน
ส าหรั บ ในปั จ จุ บั น การวิ จั ย ในบางเรื่ อ งต้ อ งการค าตอบที่ มี ค วามน่ า เชื่ อ ถื อ และ
มีรายละเอียด ผู้ วิจั ย อาจใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้ง 2 ประเภทรวมกัน จึงท าให้ เกิดการวิจัย
ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Research Methods)
14
กระบวนการวิจัย
การที่จะทาการวิจัยให้มีความเที่ยวตรงและความเชื่อมั่นได้นั้น ต้องดาเนินการวิจัย อย่าง
เป็นกระบวนการที่มีระบบ ซึ่งกระบวนการเชิงระบบประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ (ไพศาล วรคา. 2556
: 11, 15)
1. ก าหนดปั ญ หาการวิ จั ย (Identifying the Problem) เป็ น กิ จ กรรมเริ่ ม แรกใน
กระบวนการวิจัย และถือว่าเป็นกิจกรรมที่ยากที่สุด ปัญหาการวิจัยต้องมีความเฉพาะเจาะจง สามารถ
ระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้องและให้คานิยามตัวแปรเหล่านั้นได้ ตลอดจนบทบาทของตัวแปรเหล่านั้นต้อง
นาไปสู่การตั้งสมมติฐานและกาหนดข้อมูลที่จาเป็นในการศึกษา ซึ่งต้องอาศัยการทบทวนเอกสารและ
งานวิจั ย ที่ เกี่ย วข้อ ง หรือ ทบทวนสารสนเทศที่ เกี่ย วข้องกับ ปั ญ หาการวิจั ยและระเบี ยบวิธีวิจัย ที่
นามาใช้ในการศึกษาวิจัย
2. ทบทวนสารสนเทศ (Reviewing Information) เป็นศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัย ตลอดจนวิธีการค้นหาคาตอบของปัญหาการวิจัย หรือ
ปัญหาอื่นที่คล้ายคลึงกัน
3. เก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล (Collecting Data) เป็ น การเก็ บ ข้ อ มู ล ที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ ปั ญ หา
การวิจัย นับเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการวิจัยเชิงระบบ การได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ต้องมาจากเครื่องมือที่มีคุณภาพและวิธีการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
4. วิเคราะห์ข้อมูล (Analyzing Data) เป็นการนาข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาวิเคราะห์ใน
เชิงปริมาณ หรือคุณภาพเพื่อตอบปัญหาการวิจัย
5. สรุ ป ผล (Summarizing Result) หลั ง จากที่ ท าการวิ เคราะห์ ข้ อ มู ล และได้ ผ ล
การศึกษาแล้ว ผู้วิจัยต้องทาการแปลผลและสรุปผลที่ได้ที่เกี่ยวข้องกับสมมติฐานการวิจัย หรือปัญหา
การวิจั ย และอภิป รายผลการวิจัย ในการอภิปรายผลการวิจัย ผู้วิจัยจะเขียนในลักษณะพิจารณา
สั ม พั น ธ์ ข องการสรุ ป ผลที่ ได้ กั บ องค์ ค วามรู้ ที่ มี อ ยู่ เดิ ม ความสอดคล้ อ งหรื อ ไม่ ส อดคล้ อ งกั บ
ผลการศึกษาของผู้อื่น และให้คาอธิบายประกอบ
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัยที่ทาโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหา
ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และนาผลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน หรือส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้
15
จรรณยาบรรณนักวิจัย
สภาวิจัยแห่งชาติกาหนด “จรรณยาบรรณนักวิจัย” เพื่อเป็นแนวทางสาหรับนักวิจัย ให้
ยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้การดาเนินงานวิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม
เพื่อให้การทาวิจัยของนักวิจัยได้ตามมาตรฐาน (สมประสงค์ เสนารัตน์. 2556 : 15-16)
1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
นักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่นาผลงานของคนอื่นมาเป็นของตนและไม่ลอก
เลียนผลงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติและอ้างถึงบุ คคลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลที่นามาใช้ในงานวิจัย
ต้องซื่อตรงต่อการแสวงหาทุนวิจัย และมีความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทางานวิจัยตามข้อตกลงที่ทาไว้กับหน่วยงานที่
สนับสนุน การวิจัยและต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด
นักวิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อตกลงการวิจัยที่ผู้เกี่ยวข้องกับทุกฝ่ายยอมรับ
ร่วมกันอุทิศเวลาทางานวิจัยให้ได้ผลดีที่สุดและเป็นไปตามกาหนดเวลา มีความรับผิดชอบไม่ละทิ้งงาน
ระหว่างดาเนินการ
3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทาวิจัย
นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทาวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความชานาญ
หรือ มีประสบการณ์เกี่ย วเนื่ องกับ เรื่องที่ทาวิจัย เพื่อนาไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพ และเพื่อป้องกัน
ปัญหา การวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรุปที่ผิดพลาด ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่องานวิจัย
4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
นักวิจัยต้องดาเนินการวิจัยด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทางาน
วิจัยที่ เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม นักวิจัยต้องมีจิตสานึก
และปณิธานที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม
17
บทสรุป
ในบทนี้ได้นาเสนอภาพรวมของความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยอย่างครอบคลุม และจุดเน้น
ในการน าเสนอคื อ ต้องการให้ ผู้ อ่ านได้ เข้าใจถึงความแตกต่ างของคาว่า “การวิจั ย (Research)”
“การวิ จั ย ทางการศึ ก ษา (Educational Research)” และ “การวิ จั ย ปฏิ บั ติ ก ารในชั้ น เรี ย น
(Classroom Action Research) ตลอดจนให้ ผู้ อ่ า น ได้ เ ข้ า ใจถึ ง ระเบี ยบวิ ธี วิ จั ย (Research
Methodology) และจรรณยาบรรณที่สาคัญของนักวิจัย
18
กิจกรรมท้ายบท
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน ระดมสมองเกี่ยวกับ “จรรณยาบรรณนักวิจัย ” ใน
ความคิดเห็นของนักศึกษา พิจารณาว่า ข้อใดสาคัญที่สุด และควรปฏิบัติเป็นข้อแรก เพราะเหตุใด
พร้อมทั้งนาเสนอหน้าชั้นเรียน
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบ ายความแตกต่างระหว่างค าว่า “การวิจัย ” “การวิจัยทางการศึ กษา” และ
“การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน”
2. จงอธิบายลักษณะและธรรมชาติของการวิจัย
3. จงอธิบายความแตกต่างของงานวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายในการทาวิจัยเพื่อเพิ่มพูนความรู้
ใหม่ กับงานวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อนาไปประยุกต์ใช้
4. จงอธิบายความแตกต่างของการวิจัยเชิงทดลองแบบแท้จริงกับการวิจัยกึ่งทดลอง
5. กระบวนการวิจัย ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง และแต่ละขั้นตอนมีลักษณะอย่างไร
6. การวิ จั ย ปฏิ บั ติ ก ารในชั้ น เรีย นเป็ น การวิจั ย ประเภทใด เหตุ ใดจึ งจั ด เป็ น การวิ จั ย
ประเภทนั้น และมีจุดเน้นคืออะไร
7. เหตุใด “การวิจัย” จึงมีความสาคัญต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของครูผู้สอน
8. เหตุใดการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน จึงสามารถใช้ในการแก้ปัญหาของผู้เรียน หรือ
พัฒนาผู้เรียนได้
เอกสารอ้างอิง
เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ์. (2549). การวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.
นภาพร สิงหะทัต. (2548). วิธีวิทยาการวิจัย. กรุงเทพฯ : โอเดียน สโตร์.
ไพศาล วรคา. (2556). การวิจัยทางการศึกษา. มหาสารคาม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาสารคาม.
รัตนะ บัวสนธ์. (2556). วิธีการเชิงผสมผสานสาหรับการวิจัยและประเมิน. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพฯ : บริษัท วี พริ้นท์ (1991) จากัด.
สมถวิล วิจิตรวรรณนา และคณะ. (2556). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน.
19
กรุงเทพฯ : เจริญดีมั่นคงการพิมพ์.
สมประสงค์ เสนารัตน์. (2556). การวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจากัด
อภิชาติการพิมพ์.
สรชัย พิศาลบุตร. (2556). การวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : วิทยพัฒน์.
สันติ บุญภิรมย์. (2557). การวิจัยทางการศึกษาและการวิจัยทางการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ :
ทริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั่น.
สุรินทร์ ภูสิงห์. (2556). การวิจัยทางการศึกษา: จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. มหาสารคาม: โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
สุวิมล ติรกานันท์. (2556). ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุวิมล ว่องวานิช. (2557). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 17. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Donald, A., Lucy, C. J., and Asghar, R. (2002). Introduction to Research in Education.
(6th ed.). USA, : Thomson.
Khan, J. A. (2007). Research Methodology. S.B. Nangia : APH Publishing Coperation.
Wayne, G. and Stuart, M. (2007). Research Methodology an Introduction. (2nd ed.).
Juta & Co, Ltd.
Lorrain, R. G., Geoffrey, E. M. and Peter, W.A. (2011). Educational Research. (10th ed.).
Person Prentice Hall.