ตอนที่-2 7

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 7

ตอนที่ 2

ณ แสงอาทิตย์ยามเช้าอันแสนสดใส ในวันที่ สุดแสนจะธรรมดาวันนึง มีเด็กชายคนหนึ่ง


กาลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กาลังเดินสวนเขาไปมานับไม่ถ้วน
“นี่ อย่าวิ่งห่างจากพี่ไปนักสิ”
ใช่ครับ นั่นคือผมเอง สวัสดีครับ ผมชื่อ ฮิบิกิ ผมเป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้มี
อะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงผมจะพูดมาแบบนั้น เพื่อน ๆ มักจะเรียกผม ไอ้เย็นชา ไอ้ไร้อารมณ์ ไอ้หน้า
นิ่ง เป็นต้น เอาจริง ๆ มันมีมากกว่านี้อ่ะนะ ถ้าผมพูดไปมากกว่านี้ วันนี้ทั้งวันก็คงไม่หมด แต่ก็เอา
เหอะหน้าผมมันก็ เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมแทบจะเป็นคนที่ ไม่เคยจะยิ้มหรือหัวเราะ
ออกมาเลย ไม่รู้ว่าทาไม อาจจะเพราะผมแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว อันนี้ก็ไม่รู้
“อุม้ หน่อยจิ”
เสียงของน้องสาวผมอ้อนวอนผมให้อุ้มเธอ คนที่อยู่นี่เป็นน้องสาวแท้ของผมเอง เธอมีชื่อว่า
ซากิ พึ่งอายุได้เพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้น หรือถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็คือเธอพึง่ ศึกษาอยู่แค่ชั้นอนุบาล
3 เท่านั้น มันก็ ไม่แปลกเลยที่จะทาให้เธอพูดไม่ ชัดป็นบางเวลาอ่ะนะ น้องสาวของผมมีนิสัยที่
ค่อนข้างเอาแต่ใจเป็นบางเวลา แต่บางครั้งเด็กคนนี้ก็จะมีมุมที่อ่อนโยนและน่ารักผสมปนเปกันไป
ซากิเธอชอบอ้อนผมไม่เป็นเวลาทุกที แต่ถึงอย่างงั้นผมก็จะใจอ่อนและทาตามที่เด็กคนนี้ขออยู่
เสมอ
“ถ้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ”
“มะเอา ๆ”
เห็นไหม ๆ นิสัยเอาแต่ใจมาอีกละ ยังพูดไม่ทันขาดคาเลยซะด้วยซ้า
“ก็ได้ ๆ แค่นิดเดียวนะ”
“เย้”
สีหน้าของซากิเปล่งประกายออกมาทันที
แล้วหลังจากนั้นผมก็อุ้มเด็กคนนี้ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลที่สุด รอยยิ้มของเด็กสาว
เปล่งออกมาดั่งแสงอาทิตย์ยามอันแสนสดใส
ผมที่พอได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มตามไปด้วย แต่นี่มันก็เป็น้ พียงแค่จติ ใจ
เบื้องลึกของผมเท่านั้นแหละที่แสดงออกมา เพราะสีของผมยังนิ่งและเย็นชาเช่นเดิมแบบที่ไม่มี
อะไรเปลี่ยนแปลง
อ้อใช่ ผมลืมบอกไปอย่างนึง วันนี้เป็นวันแรกที่ผมและซากิจะได้เข้าไปโรงเรียนแห่งนี้เป็น
วันแรก ที่นี่ถือว่าเป็นโรงเรียนชื่อดังมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยในญี่ปุ่น เพราะที่นี่มีตึกอาคารเรียนที่
มากมายนับไม่ถ้วน และพื้นที่ ที่โคตรจะกว้างสุดลูกหูลูกตา เป็นโรงเรียนที่มีแต่หัวกระทิทั้งนั้น
แทนที่มันจะเป็นแบบนั้น แต่ผมกลับสอบที่นี่ติ ดได้แบบงง ๆ ทั้งที่ผมก็ไม่ค่อยจะเรียนเก่งเลยซะ
ด้วยซ้าและตอนสัมภาษณ์เขาก็ถามคาถามที่ไม่ควรจะถามว่า [คุณเคยมีประสบการณ์การมีแฟนรึ
เปล่า ?] คาถามนี้ทาให้ผมถึงกับอึ้งไปเลย ไม่คิดว่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ จะถามคาถามที่มัน
ไม่เหมาะสม แต่ผมก็ตั้งสติกลับมาได้พร้อมกับตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ ว่า [ไม่] แล้วหลังจากนั้น
ไม่กี่วันต่อมา ผมก็สอบติดที่นั่นได้แบบงง ๆ
แต่ก็ชั่งเหอะปล่อยให้มันเป็นอดีตไปแล้วมุ่งสู่อนาคตดีกว่า
และแล้วหลังจากที่ผมสาธยายความมานาน ตัวผมก็เดินมาถึงหน้าทางเข้าโรงเรียนแห่งนี้ซัก
ที
“เอาล่ะ ถึงแล้ว”
“เย้ ๆ ใหญ่จัง ใหญ่จัง”
เอาจริง ๆ นะ ที่ผมเห็นโรงเรียนนี้ครั้งแรกผมคิดว่านี่คือเมืองจาลองขนาดย่อม ๆ ซะด้วย
ซ้า เพราะขนาดที่ใหญ่และมีจานวนที่นับไม่ถ้วน และสิ่งนี้มันก็ทาให้ผมกับแสดงสีออกมาหน่อย ๆ
เลย
(เชด โคตรใหญ่เลย)
เป็นอาการครั้งแรกในรอบหลายปีที่แสดงออกมาแบบนี้ แปลกใจจริง
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสายเอา”
ผมเดินพร้อมกับอุ้มเด็กคนนี้ไปตลอดทางที่ไปส่งเธอ ผู้ คนรอบข้างต่างมองมาที่ผมด้ วย
สายตาที่เอ็นดูเด็กสาวมากมาย ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก แต่ก็ได้อยู่ไม่นาน จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีคน
กาลังมองมาที่ผมอย่างใจจดใจจ่อ ผมหันซ้ายหันขวาทันที แต่ก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากผู้คนที่กาลัง
เดินสวนผมไปมา ผมก็ได้แต่คิดสงสัยว่าสายตานั่นมันมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่ก็เอาเหอะแทนที่
จะไปโฟกัสตรงจุดนั้นเรามาโฟกัสที่เวลาดีกว่า เพราะเหลือแค่อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นก็จะถึงเวลาเรียน
อยู่แล้ว ผมจึงรีบเดินหน้าพาน้องสาวไปส่งให้กับครูประจาชั้นทันที
“เอาล่ะ ลงไปได้แล้วน้า”
ผมโน้มน้าวให้ซากิปล่อยตัวออกจากผม เพราะเด็กคนนี้ใช้แขนทั้งสองข้างกอดผมไว้แน่นไม่
ยอมขยับไปไหน แต่ถึงจะโน้มน้าวเธอขนาดไหน ก็ดูเหมือนว่าการไปโรงเรียนวันแรกของเธอมันจะ
ดูยากเย็นซะเหลือเกิน
“เดี๋ยวพี่มารับตอนเย็น ๆ น่า ไม่ต้องกังวลหรอก”
แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ก็จะไม่ได้ผลเช่นเดิม
“งั้นเอางี้มั้ย เดี๋ยวตอนเย็นพี่ขนมที่หนูชอบมาฝาก”
“จริงหยอ”
ซากิค่อย ๆ โน้ มตัวออกห่างจากผมเผยให้เห็นว่าตอนนี้เธอมีน้าตาเต็มใบหน้าไปหมด ดู
เหมือนว่าซากิจะกลัวการมาโรงเรียนวันแรกอย่างที่ผมคาดเดาไว้จริง ๆ
“อืมพี่สัญญา”
ผมยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยพร้อมกับใช้มือจับไปที่หัวของซากิ ก่อนที่จะลูบหัวเบา ๆ เพื่อ
ปลอบโยนเธอ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมยิ้มในรอบหลายปี
“จริงน้า”
“อืม”
ผมพยักหน้าตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงอยู่
แล้วหลังจากนั้นซากิก็ยอมที่จะเข้าเรียนวันแรกด้วยอาการที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
(เฮ้อ เล่นซะเหนื่อยแทบแย่)
และในระหว่างที่ผมกาลังบ่นในใจอยู่นั้น จู่ ๆ กระเป๋ากางเกงของผมที่ใส่โทรศัพท์อยู่ มันก็
สั่ น ขึ้ น มาแบบดื้ อ ๆ ผมจึ ง รีบ หยิ บ โทรศั พ ท์ ขึ้ น มาพร้ อ มกั บ เช็ ค ดู ว่ า ใครทั ก มา ปรากฎว่ า เป็ น
ข้อความจากโรงเรียน โดยเป็นข้อความเพียงสั้น ๆ ว่า [ขออภัยที่แจ้งกระทันหันนะครับ ผมขอ
อภัยทุกคนที่ได้รับข้อความนี้ มุ่งหน้าไปยังห้องปฐมนิเทศด้วยครับ]
(เอาจริงดิ !?)
ผมนี่ถึงกับตกใจเลย ไม่คิดว่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงขนาดนี้จะการแจ้งข่าวที่ล่าช้าขนาดนี้ ได้
และเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้รับข้อความนี่อยู่คนเดียว ผมจึงแหงนหน้าขึ้นมองพร้อมกับหันซ้ายหัน
ขวา แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเลยน่ะ สิ มันเหมือนไม่มีอ ะไรเกิดขึ้นเลย ทุกคนต่างเดินเข้า
ห้องเรียนกันอย่างปกติ
(หรือเน็ตเราจะกาก)
เอาเถอะมาโทษเน็ตตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว รีบ ๆ ไปเถอะ มันจะไม่ทันเอาแล้วผมก็ได้
รีบมุ่งหน้าไปยังห้องปฐมนิเทศทันที
ผมเดินจนมาถึ งห้องปฐมนิเทศซักที แวบแรกที่ ผมเห็นทางเข้ าของที่นี่ ก็นึกว่าทางเข้ า
โรงหนังซะอีก เพราะมีคนมากมายที่เดินสวนผมไปมาพร้อมกับเอาของกินเข้าไปและประตูที่นี่ยังมี
ขนาดทีใ่ หญ่พอที่จะยัดคนสิบคนเข้าไปทีเดียวยังได้เลย
ผมเดินเข้าไปในอาคารด้วยอาการที่ตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อย พอผมได้เข้ามายังตึกแห่ง
นี้เท่านั้นแหละ ผมก็ต้องถึงกับต้องเบิกตากว้างออกมาเลย เพราะที่นี่มันไม่ต่างอะไรกับโรงละคร
เลย ใหญ่มาก ๆ เบาะที่นั่งเป็นร้อย ๆ เรียงกันอย่างสวยงาม เบาะที่ ที่นั่งสามารถพับได้คล้ายกับที่
นั่งในโรงหนัง เวทีที่มีขนาดกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ไฟสปอตที่มีจานวนหลากหลายสีนับไม่ถ้วน
พร้อมกับคนที่อัดแน่นเต็มห้องปฐมนิเทศไปหมด
“เอาล่ะ ไปหาที่นั่งดีกว่า”
เดินหาที่นั่งที่ว่างอยู่ มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ เพราะด้วยความที่ผมมาสาย ผู้คนมากมายก็
แย่งหรือจองกันไปหมดแล้ว มันก็เลยทาให้ผมคิดหนัก
“เอาไงดีล่ะทีนี้”
แล้วระหว่างที่ผมกาลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาทัก คนคนนั้น สะกิดไหล่ผมจาก
ด้านหลังเบา ๆ
“กาลังหาที่นั่งอยู่หรอ”
นั่นเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงงั้นหรอ ผมสงสัยขึ้นมาทันที ผมจึงหันหลังตามที่มาของเสียงนั่น
ปรากฏว่าเป็นเด็กผู้หญิงจริง ๆ แต่เป็น.....
“สาวแว่นหรอกหรอเนี่ย”
ผมเอ่ยด้วยน้าเสียงที่เย็นชาคล้ายกับน้าแข็งที่เยือกบนหุบเขาหิมาลัย สีหน้าของคนทั่วไปที่
โดนสาวที่ แ ปลกหน้ าทั ก ก็ ค งจะแบบว่ า [นี่ เรามี ส าวมาทั ก หรอเนี่ ย !?] หรื อ ก็ จ ะต้ อ งมี อ าการ
ประหม่าบ้างแน่ ๆ แต่ผมกลับไม่ อย่างที่ผมบอกไปผมเป็น ที่ไม่ค่ อยจะแสดงสีห น้า หรื อ อากา
ออกมาอยู่แล้ว
“อืม”
พยักหน้าพร้อมกับตอบกลับไป
“อืม.....ถ้างั้นเอางี้มั้ย พอดีว่าที่นั่งข้าง ๆ ฉัน มันยังพอเหลืออยู่หนึ่งที่น่ะ”
“งั้นหรอ ?”
“ใช่ อยากจะมานั่งไหมล่ะ”
พอได้ยินคาถามนั้นออกมา ผมก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อเช็คดูให้แน่ใจว่า ยังเหลือที่
นั่งใกล้ ๆ อยู่ไหม ด้วยความที่ผมเป็นคนทีเ่ กรงใจคนง่าย
(ดูเหมือนจะไม่มีเลยแฮะ)
ดู เหมื อ นว่ าแถวนี้ มัน จะเต็ม จริ ง ๆ สงสั ย คงจะต้อ งสาวคนนี้แล้ ว ล่ ะมั้ง เนี่ย ผมจึ ง ตอบ
กลับไปแบบทีไ่ ม่มีทางเลือกว่า
“อืม ก็ได้”
“จะ...จริงหรอ”
เธอตะโกนออกมาเสียงดังเล็กน้อย ถึงจะไม่ได้ดังมาก แต่คนรอบข้างก็หันมามองอยูไ่ ม่น้อย
(จะดีใจอะไรขนาดนั้น)
ในตอนนี้เด็กผู้หญิงที่กาลังยืนอยูต่ รงหน้าผม เธอมีสีหน้าที่ดีใจประกอบกับอาการทีด่ ูเขิน ๆ
อาย ๆ คล้ายกับคนที่ได้เจอกับที่ตนเองชอบเป็นครั้งแรก
แต่ก็ไม่ทันทีผ่ มจะหายใจ สีของเธอคนนี้ก็กลับกลายเป็นปกติซะดื้อ ๆ
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
แล้วจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็พาผมไปยังที่นั่งที่ว่างตามเธอได้เคยเอ่ยเอาไว้
“ถึงแล้วล่ะ”
“ขอบใจนะ”
“อืม ด้วยความเต็มใจ”
ผมนั่ ง ลงด้ ว ยความที่ เ หนื่ อ ยล้ า ที่ เ ดิ น มาทั้ ง เช้ า นี้ เธอคนนี้ ก็ นั่ ง ลงข้ า ง ๆ ผมเช่ น กั น
บรรยากาศก็ดาเนินไปตามปกติ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับ เลื่อน facebook ไปตามภาษา
ของเด็กทั่วไปที่เค้าทากัน และในจังหวะที่ผมกาลังเล่นโทรศัพท์เพลิน ๆ อยู่นั้นเอง จู่ ๆ ก็ต้องถูก
ขัดจังหวะด้วยผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว
“นี่คุณชื่ออะไรงั้นหรอ”
จู่ ๆ ก็ถามคาถามนี้มา เธอมีจุดประสงค์อะไรรึเปล่านะ
“ถ้าถามชื่อน่ะหรอ ฮิบิกิ.....ใช่ฉันชื่อฮิบิกิอ่ะนะ”
ผมตอบกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก มือของผมก็ยังเล่นโทรศัพท์ ตาของผมก็ยังไม่ได้จ้อง
ไปทางอื่น
“งั้นหรอ เป็นชื่อที่ดีเลยนะ”
“คิดขนาดนั้นเลยหรอ ?”
ผมถามกลับไปด้วยความแปลกใจ ชื่อผมมันมีดีขนาดนั้นเลยหรอหรือแค่เธออยากจะพูด
เพื่อไม่อยากทาเสียมารยาทเฉย ๆ งั้นหรอ
แต่เหมือนผมจะคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะเธอเปล่งรอยยิ้มออกอย่างใสสะอาดบริสุทธิ์ประ
ดั่งดอกซากุระที่ผลิดอกออกมาอย่างงดงามและไร้ที่ติ เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกชัดเจนว่า [จากใจจริง
เลยล่ะ ไม่มีมารยาทหรืออะไรทั้งนั้น]
“อืม ชื่อน่ารักออกจะตาย”
คาพูดนี้ทาเอาผมคล้อยตามไปเลย รอยยิ้มนี้ทาให้ผมเกิดความประหม่าและสีหน้าที่แดง
ออกมาเล็กน้อย
นี่เรามีอาการแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย เพราะผู้หญิงคนนี้งั้นหรอ ? ..... คงไม่ใช่หรอก
มั้ง
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“จะไปแล้วหรอครับ”
“ใช่ค่ะ.....ไว้เจอกันนะคะ คุณฮิบิกิคุงงงง”
ทาไมเธอถึงพูดน้าเสียงที่เยียดยาวขนาดนั้นด้วยล่ะ แถมยังมีรอยยิ้มที่ดูยังไงก็คล้ายกับคนที่
กาลังมีแผนร้ายอะไรซักอย่างอยู่ รอยยิ้มนั่นดูเจ้าเล่ห์เอามาก ๆ เลยล่ะ เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
แล้วสิเรา
และหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเดินจากผมไปได้ไม่นาน พิธีปฐมนิเทศก็ได้เริ่มต้นขึ้น มีชายคน
หนึ่งเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับถือไมโครโฟนข้างกาย เขาก้าวเท้าเดินจนมาถึงกลางเวทีพร้อมกับ
พูดว่า
“ท่านผู้มีเกียรติ์ทุกท่าน ในวันนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ทุกท่านสละเวลามาเพื่อฟัง
การปฐมนิเทศในวันนี้ ผม ครูใหญ่จะเป็นประธานในการเปิดพิธกี ารปฐมนิเทศในครั้งนี้เอง”
“โดยเรื่องที่ผมจะแจ้งในวันนี้เป็นเรื่องแรก มันเป็นเรื่องที่หลายคน ๆ อาจจะสับสนหรือตื่น
ตกใจได้ ดังนั้นกระผมขอให้ทุกท่านรวบรวมสติให้ดีและเตรียมใจเอาไว้ด้วย เอาล่ะ เรามาเริ่มกัน
เลย”
“โดยเราจะมาเริ่มกันที่ชื่อหัวข้อก่อนเลย”
ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบกระดาษขึ้นมาดู
“ชื่อของมันก็คือ ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้จาเป็นจะต้องมีคู่หรือแฟนภายในเทอมนี้ นี่ไม่ใช่
เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด แต่มันเป็นกฎทดลองที่จะนาไปใช้จริง ๆ”
“ห๋าอะไรนะ !?”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องทั้งหมดต่างตะโกนออกเป็นเสียงเดียวกัน ต่างจากผมที่มีอาการแค่
ตกใจนิดหน่อย

You might also like