Professional Documents
Culture Documents
ນັກຂຽນໄທກ່ັບປະວັດສາດລາວ
ນັກຂຽນໄທກ່ັບປະວັດສາດລາວ
ນັກຂຽນໄທກ່ັບປະວັດສາດລາວ
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด กลาง
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1-6 (ค.ศ.1975-2009)
ส
โดย
นางสาววิลุบล สิ นธุมาลย์
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด กลาง
ส
โดย
นางสาววิลุบล สิ นธุมาลย์
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด กลาง
ส
By
Miss Wilubun Sinthumal
……...........................................................
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ปานใจ ธารทัศนวงศ์)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด กลาง คณบดีบณั ฑิตวิทยาลัย
ส วันที่..........เดือน.................... พ.ศ...........
อาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์
ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา นิพทั ธ์สุขกิจ
คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
.................................................... ประธานกรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พวงทิพย์ เกียรติสหกุล)
............/......................../..............
.................................................... กรรมการ
(รองศาสตราจารย์ ดร.ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์ )
............/......................../..............
.................................................... กรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา นิพทั ธ์สุขกิจ)
............/......................../..............
50205210 : สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศึกษา
คําสําคัญ : การรับรู ้ประวัติศาสตร์ / ความสัมพันธ์ไทย – ลาว / ประวัติศาสตร์ชาตินิยม
/ แบบเรี ยนประวัติศาสตร์
วิลุบล สิ นธุ มาลย์ : การรั บรู ้ ประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ไทย-ลาว : ผ่านแบบเรี ยน
ประวัติศาสตร์ไทยและลาวชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1-6 (ค.ศ.1975-2009). อาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์
: ผศ.ดร.วรางคณา นิพทั ธ์สุขกิจ. 168 หน้า.
ำน ั ห อ ส มุ ด กลาง
ทางประวัติศาสตร์ และศึกษาสาเหตุของการสร้างประวัติศาสตร์ สาระสําคัญของแบบเรี ยนของไทย
ก
ส
และลาว ที่ ส่ ง ผลต่ อ ความสั ม พัน ธ์ ร ะหว่ า งกัน และศึ ก ษาผลกระทบอัน เนื่ อ งมาจากการสร้ า ง
ประวัติ ศ าสตร์ ข องทั้ง สองประเทศ เนื่ อ งจากสภาวการณ์ ใ นปั จ จุ บ ัน ที่ มี ค วามพยายามร่ ว มมื อ
ด้านเศรษฐกิ จ การค้า และสังคมระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซี ยน แบบเรี ยนในฐานะเครื่ องมื อ
สร้างชุดความคิดให้แก่ผเู ้ รี ยนของรัฐได้ทาํ หน้าที่และกําหนดองค์ความรู ้ให้กบั ผูเ้ รี ยน ซึ่ งมีผลต่อ
ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติอย่างไร
ผลการศึกษาพบว่า การสร้างประวัติศาสตร์ และการกําหนดเนื้ อหาในแบบเรี ยนที่เน้น
เรื่ องสงครามเจ้าอนุ วงศ์ มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว ผลกระทบจาก
การสร้ า งประวัติ ศ าสตร์ แ ละการใช้แ บบเรี ย นที่ ไ ม่ มี ก ารแก้ไ ขปรั บ ปรุ ง เนื้ อ หาสาระให้ เ ห็ น
ความร่ วมมือระหว่างกันมากขึ้น ส่ งผลต่อสื่ อหลายประเภทที่เสนอเรื่ องราวความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศไทยกับลาวซึ่งยังเน้นยํ้าถึง “ความเหนือกว่า” ของไทย
ง
50205210 : MAJOR : (HISTORICAL STUDIES)
KEY WORDS : PERCEPTION OF HISTORICAL / THAI – LAO RELATIONSHIP /
HISTORY OF NATIONALISM / HISTORY TEXTBOOKS
WILUBUN SINTHUMAL : PERCEPTION OF HISTORICAL RELATIONSHIP
BETWEEN THAI AND LAO : AS SEEN FROM HISTORY TEXTBOOKS OF THAIS AND LAOS
IN JUNIOR HIGH AND HIGH SCHOOL (1975-2009). THESIS ADVISOR : ASST. PROF.
WARANGKANA NIPHATSUKKIJ ,Ph.D. 168 pp.
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด
This research aims to study the relationship between Thai and Lao in historical
กลาง
context, the reasons of making history, the effect from contents of history textbooks of Thais and
ส
Laos to relationship between Thai and Lao and then study about the impact of making history
from both countries. In the time of political economic and socio – cultural cooperation in
ASEAN, textbooks as an important tool of state, create knowledge for students, have to be
changed their contents in which way.
The result of this study reveals that the making history and creating perception in
textbooks have been emphasized contents about the most important part of wars during Thai and
Laos, especially Chao Anou War, that is the reflects in perceptions of relationship between Thais
and Laos. Textbooks are among the first tool to create perception of relationship between Thais
and Laos and they have never changed their role to show political economic and socio – cultural
cooperation that the reasons why the feeling of “superior” stands still in many mass
communications views. The reflects the perceptions receive from textbook, this is harmful for
Thais and Laos connection.
จ
กิตติกรรมประกาศ
วิ ท ยานิ พ นธ์ ฉ บับ นี้ จะสํา เร็ จ ลงไม่ ไ ด้ห ากปราศจากความอนุ เ คราะห์ แ ละเมตตา
จากผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา นิ พทั ธ์สุขกิ จ ที่กรุ ณารับเป็ นอาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิ พนธ์
ขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ท้ งั กําลังใจและคําแนะนําอันเป็ นประโยชน์แม้ในช่วงเวลานอกราชการ
อีกทั้งยังตรากตรํากับการตรวจแก้ภาษาที่ห่างไกลจากความเป็ นวิชาการ
ขอกราบขอบพระคุณ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พวงทิพย์ เกียรติสหกุล ที่กรุ ณาให้เกียรติ
เป็ นประธานกรรมการสอบวิทยานิ พนธ์ และขอกราบขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ ดร.ดารารัตน์
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เมตตาริ กานนท์ ที่กรุ ณาสละเวลาอันมีค่าทางวิชาการมาเป็ นกรรมการสอบวิทยานิ พนธ์ และรวมไปถึง
ำ
ส
ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วรพร ภู่พงศ์พนั ธุ์ และคณาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิ ลปากรทุกท่านกับความห่ วงใยในการสอบถามถึ งความก้าวหน้าระหว่างการทํา
วิทยานิพนธ์ รวมไปถึงพี่จรู ญ วัดม่วงท่าเจ้าหน้าที่ประจําภาควิชาประวัติศาสตร์
ขอบคุ ณ เพื่ อ น ๆ พี่ ๆ น้อ ง ๆร่ ว มภาควิ ช าสําหรั บ กําลัง ใจและการฝ่ าฟั น ในการทํา
วิทยานิ พนธ์ไปพร้อม ๆ กัน วทัญ�ู ฟั กทอง, นาตยา ภูศรี , ศิวาวุฒน์ ชัยเชาว์, เพชรรุ่ ง เทียนปิ๋ วโรจน์
และคนอื่น ๆ
ขอบคุณเพื่อนกลุ่ม BIGLY ถึงแม้จะไม่สามารถช่วยเหลือเชิงวิชาการได้ แต่สาํ หรับมิตร
ไมตรี ที่มีให้กนั เกื อบสิ บปี ก็เกิ นพอสําหรับกําลังใจ และรวมไปถึง ชัยณรงค์ กองกลิ่น สําหรับทุก
กําลังใจในการยืนข้างกัน
และมากไปกว่าคําขอบคุณสําหรับครอบครัว “แม่” อุบล สิ นธุ มาลย์ และ “พ่อ” วิศิษฐ์
สิ นธุ มาลย์ ความรู ้สึกทั้งหมดไม่อาจบรรยายด้วยตัวอักษรใด ๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น สําหรับทุก
การสนับสนุนตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาจนทุกขณะจิต
สุ ดท้ายนี้ ขอน้อมรําลึกถึงบรรดาครู อาจารย์ผปู ้ ระสิ ทธิ์ ประศาสตร์ วิชานับแต่วยั เยาว์มา
ตลอดจนผูใ้ ห้การศึกษาในปั จจุบนั อีกทั้งความรู ้ท้ งั ในและนอกตําราทั้งหลายขอน้อมไว้เพื่อระลึกถึง
คุณแห่ งความรู ้ทุกสรรพสิ่ ง ความดีอนั จะเกิดจากการทําวิทยานิ พนธ์น้ ี ขออุทิศให้กบั ครู อาจารย์ทุก
ท่าน บุคคลทั้งที่ได้กล่าวถึงและรวมไปถึงผูม้ ีส่วนในชีวิตทุกคนที่อาจเอ่ยนามได้ไม่ครบ ทั้งที่สนิท
หรื อเพียงแค่ผา่ นมาในชีวิต ขอให้กุศลเหล่านั้นจงน้อมนําให้ทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องมีสติเป็ นที่ต้ งั และมี
ทางที่ดีในการดําเนินชีวิต
ฉ
สารบัญ
หน้ า
บทคัดย่ อภาษาไทย....................................................................................................................... ง
บทคัดย่ อภาษาอังกฤษ.................................................................................................................. จ
กิตติกรรมประกาศ....................................................................................................................... ฉ
สารบัญภาพ.................................................................................................................................. ฌ
บทที่
1 บทนํา............................................................................................................................. 1
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ความเป็ นมาและความสํ าคัญของปัญหา................................................................. 1
ำ
ส
ทบทวนวรรณกรรม................................................................................................ 4
ความมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ ของการศึกษา...................................................... 6
สมมติฐานของการศึกษา......................................................................................... 6
ขอบเขตในการศึกษา............................................................................................... 7
ข้ อตกลงเบือ้ งต้ น..................................................................................................... 7
วิธีดําเนินการศึกษา.................................................................................................. 9
ประโยชน์ ทคี่ าดว่ าจะได้ รับ...................................................................................... 9
2 ความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาวในบริบทการสร้ างชาติ : ศึกษาผ่ าน
ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ..................................................................................................... 10
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ไทย...................................................................... 12
จากพงศาวดารสู่ การเป็ นประวัติศาสตร์ แห่ งชาติของไทย.................. 14
พัฒนาการของงานเขียนประวัติศาสตร์ ไทยช่ วงสมัยการสร้ างชาติ... 27
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาว...................................................................... 31
พัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาว................................ 33
ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ลาวสมัยศักดินา.................................. 34
ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ลาวสมัยราชอาณาจักร........................ 35
ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ลาวสมัยการปฏิวตั ิสังคมนิยม............ 41
จุดมุ่งหมายของการสร้ างงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาว
ช่ วงสมัยการสร้ างชาติ......................................................................... 45
ความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาวในบริบทประวัติศาสตร์ ................................ 49
ช
บทที่ หน้ า
ผลกระทบทางความสั มพันธ์ ไทย – ลาวอันเนื่องมาจากการสร้ างประวัตศิ าสตร์
จากพงศาวดารสู่ แบบเรียน................................................................................ 54
รัฐชาติ : การสร้ างมายาคติเพือ่ รักชาติ.................................................................. 61
3 สาระสํ าคัญของแบบเรียนประวัติศาสตร์ ไทยและลาว.................................................... 63
แบบเรียนประวัติศาสตร์ ไทย............................................................................ 67
แบบเรียนลาว.................................................................................................... 90
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
การกล่ อมเกลารูปแบบความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาวผ่ านแบบเรียน
ำ
ส
ประวัติศาสตร์ ไทย – ลาว.................................................................................. 92
จุดเริ่มต้ นของรูปแบบความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาว
ในแบบเรียนไทย – ลาว........................................................................ 93
การรับรู้รูปแบบความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาว ผ่ านแบบเรียน
ประวัติศาสตร์ ไทย – ลาว..................................................................... 97
“พีใ่ หญ่ ” จากแบบเรียนไทย................................................... 98
“ศัตรู” จากแบบเรียนลาว..................................................... 101
“บทเรียน” จาก “แบบเรียน”............................................................................ 103
4 ผลกระทบทางความสั มพันธ์ ไทย –ลาว อันเนื่องมาจากการสร้ างประวัตศิ าสตร์ ........... 107
วรรณกรรม : นวนิยาย ผลสะท้ อนจากแบบเรียนทางประวัติศาสตร์ ............... 111
ลาวในฐานะมิตรประเทศทีด่ ี............................................................... 113
ลาวในฐานะตํา่ กว่ าไทย....................................................................... 125
สื่ อ : ผลสะท้ อนจากแบบเรียนทางประวัตศิ าสตร์ ............................................ 138
5 บทสรุป........................................................................................................................... 151
บรรณานุกรม................................................................................................................................ 154
ซ
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้ า
1 เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ ...................................................................................... 16
2 สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ.............................................................. 17
3 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้ าอยู่หัว......................................................... 21
4 ขุนวิจิตรมาตรา (สง่ า กาญจนาคพันธุ์)............................................................ 23
5 หลวงวิจิตรวาทการ.......................................................................................... 26
6 มหาสิ ลา วีระวงส์ กับหนังสื อประวัติศาสตร์ ลาว ............................................... 38
7
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
แบบเรียนประวัติศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1-6 หลักสู ตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
ำ
ส
พุทธศักราช 2544 จากสํ านักพิมพ์ วฒ ั นาพานิชทีใ่ ช้ ในการวิจยั .......... 66
8 แบบเฮียนวิดทะยาสาดสั งคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ 1 – 6 ของ
กระทรวงศึกษาธิการลาว................................................................................. 67
9 รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิง วินิตา ดิถียนต์ เจ้ าของนามปากกา “ว. วินิจฉัยกุล”กับ
ผลงานเรื่อง “ตามลมปลิว”................................................................. 114
10 นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะเจ้ าของนามปากกา “พงศกร” กับผลงานเรื่อง
“รอยไหม”.......................................................................................... 119
11 สุ วพงศ์ ดิษสถาพร เจ้ าของนามปากกา “เจ้ าสํ าราญ” กับผลงาน
เรื่อง “ศรีสองรัก”...................................................................................... 123
12 หลวงวิจิตรวาทการ กับวรรณกรรมประเภทนวนิยายเรื่อง “ดอกฟ้าจําปาศักดิ์. 126
13 รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิง วินิตา ดิถยี นต์ เจ้ าของนามปากกา “แก้วเก้า”
กับผลงานเรื่อง “แต่ ปางก่อน”............................................................... 131
14 นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะเจ้ าของนามปากกา “พงศกร” กับผลงานเรื่อง
“สาปภูษา”.......................................................................................... 133
15 ภาพยนตร์ เรื่อง สะบายดีหลวงพระบาง, สะบายดีหลวงพระบาง 2
“ไม่ มีคาํ ตอบจากปากเซ” และสะบายดี วันวิวาห์ ................................ 146
ฌ
บทที่ 1
บทนํา
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
โดยไม่ ต ้อ งอาศัย ภาษากลางในการสื่ อ สาร ความใกล้ชิ ด ที่ แ น่ น แฟ้ นมายาวนาน ทํา ให้สั่ ง สม
ำ
ส
ประสบการณ์ร่วมกันมากมายจนน่ าจะเรี ยกระดับความใกล้ชิดได้ว่าสนิ ทแนบแน่ น หากแต่ลึก ๆ
สิ่ งที่ทุกคนรับรู ้คือ ความรู ้สึกที่แฝงไปด้วยความอ่อนไหวพร้อมที่จะเกิดรอยแยกทางความสัมพันธ์
ได้เสมอ ทั้งนี้ความรู ้สึกไม่เท่าเทียมนั้นได้เกิดและสัง่ สมมานานในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผา่ นมา
ความสัมพันธ์ที่มีกลับกลายเป็ นชนวนที่เหมือนรอยร้าวลึก ทั้งนี้หากจะพิจารณาถึงความ
คลอนแคลนทางความรู ้สึกแล้ว จะพบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ที่มีน้ นั ไม่ได้อยู่ในฐานะ
ที่เท่าเทียม แต่เป็ นในลักษณะของประเทศที่มีอาํ นาจเหนื อกว่ากับประเทศในอาณัติ ในขณะที่ไทย
มองลาวในฐานะตํ่ากว่าเนื่ องจากความสัมพันธ์ที่มีมาไทยเป็ นเจ้าประเทศราช ส่ วนลาวมองไทย
ในภาพของ “ศักดินาสยาม” ศัตรู แห่งชาติและผูร้ ้ายในประวัติศาสตร์ 1
จักรวรรดินิยมตะวันตกมีส่วนกระตุน้ ความรู ้สึกในการ “สร้างชาติ” การกําหนดเขตแดน
ที่แน่นอน การเขียนแผนที่ และการเขียนประวัติศาสตร์ชาติ และนี้ คือเหตุปัจจัยเริ่ มต้นที่ทาํ ให้การเขียน
ประวัติศาสตร์ ชาติอุบตั ิ ข้ ึนในดิ นแดนเอเชี ยอาคเนย์ สําหรั บประเทศไทยนั้นเกิ ดขึ้นในช่ วงสมัย
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ที่พบว่ามีการเขียนงานทางประวัติศาสตร์จาํ นวนมาก2
เพื่อ อธิ บ ายถึ ง ที่ ม า เขตอิ ทธิ พ ล และบรรดาเขตแดนที่ เป็ นของไทย ส่ ว นในลาวช่ ว งเวลาแห่ ง
“การสร้างชาติ” จะตรงกับค.ศ. 1945 ซึ่ งเป็ นช่วงเวลาหลังจากที่ลาวได้รับเอกราช เกิดการผลิตงาน
ประวัติศาสตร์ออกมาอย่างแพร่ หลาย
1
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ปั จจุบนั ,” ใน โคลนไม่ติดล้อคนไม่ติดกรอบ (กรุ งเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545), 363.
2
Sunait Chutintaranond, “Historical Writting, Historical Novels and Period Movies and Dramas an
Observation Concerning Myanmar in Thai Perception and Understanding,” Asian Review 12 [1998] : 10-20.
1
2
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของลาวแบ่งเป็ นสามช่วงใหญ่ดว้ ยกัน โดยช่วงแรกนับตั้งแต่
ส
อดีตมาจนถึงเวลาก่อนค.ศ.1945 เป็ นการเขียนเพื่อยกย่องสดุดีวีรกรรมกษัตริ ย ์ โดยกลุ่มพระสงฆ์
นักปราชญ์ และราชบัณฑิตลาว ช่วงเวลาต่อมาเป็ นเวลาหลังจากที่ลาวได้รับเอกราชคือ ค.ศ.1945
ซึ่ งเป็ นช่วงที่มีการผลิตงานเขียนออกมาอย่างแพร่ หลาย โดยมีจุดประสงค์ชดั เจนเพื่อการสร้างชาติ
มีการจัดทําประวัติศาสตร์ลาวขึ้นใหม่ นักเขียนที่โดดเด่นคือ มหาสี ลา วีรวงศ์ ซึ่ งเป็ นที่ยอมรับกันว่า
สําหรั บการศึกษาประวัติศาสตร์ ลาว พงสาวะดานลาวของ มหาสี ลา วีรวงศ์ จัดเป็ นคัมภีร์เบิกทาง
ที่ผศู ้ ึกษาทั้งหลายต้องผ่านตา ความสําคัญของพงสาวะดานลาวของมหาสี ลานี้ ได้รับการรับรองจาก
กรมวรรณคดี ลาว และทางกระทรวงศึกษาธิ การลาวให้จดั พิมพ์เผยแพร่ พร้อมทั้งระบุไว้ในคํานํา
อย่างชัดเจนอี กว่า “ถ้าแม่นมัน่ ว่าหนังสื อเล่มนี้ จะยังไม่สมบูรณ์ หรื อขาดตกบกพร่ อง ก็ยงั นับว่า
เป็ นหนังสื อเล่มหนึ่ งซึ่ งพอจะเป็ น “ไต้ส่องทางในยามมืด” ของผูส้ นใจอ่านพงสาวะดานลาวที่จะ
สื บเสาะหาหลักฐานจากแหล่ งอื่นๆมาแต่งเติ มเสริ มต่อให้สมบูรณ์ ยิ่งขึ้นอี กต่ อไป...หนังสื อนี้ ดี
มีประโยชน์ จึงจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ แก่ประชาชนทัว่ ไปในราชอาณาจักรลาว”4
ช่วงที่สามนับแต่ ค.ศ.1975 เป็ นต้นมา เมื่อลาวเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ งานเขียน
ช่วงนี้ จึงเป็ นการเขียนเพื่อรับใช้และเป็ นกระบอกเสี ยงให้กบั พรรคประชาชนปฏิวตั ิลาว เพิ่มพื้นที่
ให้กบั บทบาทของขบวนการต่อสูข้ องประชาชนและพรรคประชาชนปฏิวตั ิลาวในประวัติศาสตร์ ชาติ
โดยให้เห็นถึงความบากบัน่ ในการต่อต้านกําลังอํานาจจากประเทศต่างๆที่หวังจะแผ่อิทธิ พลเข้ายึด
ครองลาว เน้นให้เห็นศัตรู ของชาติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักดินาสยามว่ามีบทบาทสําคัญ
ในการกดขี่ เกณฑ์กาํ ลังคนลาวไปใช้งานโยธา ขูดรี ดเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในหัวเมืองลาว
3
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ (กรุ งเทพฯ : ด่านสุ ทธาการพิมพ์, 2548), 103.
4
เรื่ องเดียวกัน, 104.
3
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ถึงความรักชาติ ความภาคภูมิใจในเชื้อชาติ โดยชี้ประเด็นให้เห็นการบ่อนทําลายในอดีตว่าเป็ นเรื่ อง
ส
ร้ายแรง เกิดการตีความเหตุการณ์ใหม่ โดยยํ้าซํ้า ๆ ว่า ไทย คือ ศัตรู จนกลายเป็ นความรู ้สึกที่ฝังราก
ลึกในทัศนะของคนลาวทัว่ ไป
การสร้ างความคิดของรั ฐได้อาศัยแบบเรี ยนเป็ นเครื่ องมือ รั ฐต้องการคนแบบใดก็ใส่
แนวความคิดลงไปในตําราเรี ยน เอกลักษณ์ของแบบเรี ยนลาว คือวิธีการใช้แบบเรี ยนลาวในการสร้าง
สํานึ กความเป็ นชาติ ที่สําคัญคือไม่ใช่หนังสื อเพียงเล่มเดียวหรื อแบบเรี ยนเพียงวิชาเดี ยวแต่สร้าง
สํานึ กครอบคลุมไปทั้งหลักสู ตรทุกวิชา 8 แบบเรี ยนคือเบ้าหลอมคนในแบบที่รัฐต้องการ ดังนั้นจึง
ไม่น่าแปลกใจที่แบบเรี ยนไทยและลาวจะมีความต่างกัน ดังกรณี เจ้าอนุวงศ์เป็ นสําคัญ
“เจ้าอนุวงศ์” ในแบบเรี ยนลาว ถูกจดบันทึกในฐานะมหาวีรบุรุษ ผูก้ ล้าลุกขึ้นมาท้าทาย
เจ้าประเทศราชเพื่อหวังประกาศเอกราชและนําพาลาวกลับคืนสู่ ความเป็ นเอกประเทศ แต่หากใน
แบบเรี ยนไทย การเขียนเรื่ องราวเล่าขานถึง เจ้าอนุ วงศ์ กับอยู่ในภาพของ “อ้ายกบฏ” ต้นเหตุแห่ ง
ความไม่สงบในการปกครองประเทศราช ดังกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ในการเขียนประวัติศาสตร์ ของ
สองประเทศคือความต้องการสร้างจินตกรรมทางความคิดเพื่อสํานึกรักในชาติตน
5
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปั จจุบนั )” (วิทยานิ พนธ์ดุษฎี
บัณฑิต สาขาวิชาไทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549), 4.
6
เรื่ องเดียวกัน, 5.
7
กรอบที่รัฐสร้างขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนมองเห็นและเข้าใจสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน เพื่อง่ายต่อ
การปกครอง โดยอาศัยผ่านเครื่ องมือต่างๆ เช่นแบบเรี ยน เพื่อปลูกฝังความคิดครอบงําให้กบั ประชาชน, ผูว้ จิ ยั .
8
ดูรายละเอียดใน ปณิ ตา สระวาสี , การสร้างสํานึกความเป็ นชาติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิ ปไตย
ประชาชนลาว โดยผ่านแบบเรี ยนชั้นประถมศึกษาตั้งแต่ ค.ศ.1975 – 2000 (กรุ งเทพฯ : สํานักงานกองทุน
สนับสนุนการวิจยั , 2546).
4
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
1. ลาวในฐานะมิตรประเทศที่ดี งานเขียนในกลุ่มนี้มุ่งเน้นสะท้อนและแก้ไขปั ญหาอีกทั้งยัง
ำ
ส
พยายามสานสัมพันธ์ให้แนบแน่น ดังเช่น งานวิจยั เรื่ อง ความสัมพันธ์ไทย – ลาว ในสายตาของคนลาว
โดย เขียน ธี รวิทย์ และคณะ บทความเรื่ อง สัมพันธภาพไทย – ลาว เชิ งประวัติศาสตร์ ก่อน
คริ สตศตวรรษที่ 20 โดย ฉลอง สุ นทรวาณิ ชย์
2. ลาวในฐานะตํ่ากว่าไทย เป็ นมุมมองที่ดูว่าลาวได้รับการช่วยเหลือจากไทยเพราะลาว
เปรี ยบเสมือนประเทศที่ไทยต้องคอยดูแล วิทยานิ พนธ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรื่ อง “บทบาท
ของรั ฐบาลและผูน้ าํ ทางการเมื องไทยต่อขบวนการต่อสู ้เพื่อเอกราชลาวระหว่าง พ.ศ.2483 -
พ.ศ.2496” ของ พิมพ์รต พิพฒั นกุล
3. ลาวในฐานะผูก้ ่อความไม่สงบให้ไทย วิทยานิพนธ์ของ พรรษา สิ นสวัสดิ์ มหาวิทยาลัย
ศิลปากร เรื่ อง “ความสัมพันธ์ระหว่างกรุ งเทพฯ กับเวียงจันทน์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้า
เจ้าอยูห่ วั พ.ศ. 2367 – 2370” และวิทยานิ พนธ์ของ ธวัชชัย ไพใหล มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ
เรื่ อง “ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับหลวงพระบาง เวียงจันทน์และจําปาศักดิ์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1
– รัชกาลที่ 5 ( พ.ศ. 2325 – 2446 )” วิทยานิ พนธ์ที่ยกมาข้างต้นจะมีมุมมองตามแบบชาตินิยม
มองว่าปฏิ บตั ิ การตอบโต้ของฝ่ ายไทยต่อการก่ อการของฝ่ ายลาวเป็ นเรื่ องสมควร เพื่อยุติปัญหา
ประเทศราชที่คิดแข็งข้อ ซึ่งเป็ นเสมือนภาพที่ช่วยยํ้า “ลาว” ตามแบบเรี ยนไทยที่ได้ปลูกฝังกันมา
การมองลาวสามมิติขา้ งต้นนี้ เป็ นผลสะท้อนมาจากการปลูกฝังวางแนวคิดลงในแบบเรี ยน
อันเป็ นเครื่ องมือแห่ งรัฐ ประวัติศาสตร์มีหลายแง่มุม แต่ส่ิ งที่นาํ เสนอกลับเป็ นการสงครามเพื่อสร้าง
ความรู ้สึกชาตินิยม ยิง่ รัฐใดต้องการสร้างชาติ ประวัติศาสตร์ มกั ถูกนํามาใช้เป็ นเครื่ องมือเสมอ ดังที่
สุ จิตต์ วงษ์เทศ ได้เสนอว่า ประวัติศาสตร์ ไทยมักตอกยํ้าให้เห็นว่า พม่าคือศัตรู พร้อมกันนั้นก็ดูถูก
ลาว เขมร มอญ อันถือเป็ นการเหยียดหยามทางชนเผ่าต่าง ๆ ในทางกลับกัน ตําราประวัติศาสตร์ของ
9
สุ เนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ, ทัศนคติเหยียดหยามเพื่อนบ้านผ่านแบบเรี ยนชาตินิยมในแบบเรี ยน
ชาตินิยมในแบบเรี ยนไทย (กรุ งเทพฯ : มติชน, 2552) , 128.
5
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประภาส สุ วรรณศรี เรื่ องการกล่อมเกลาทางสังคมจากแบบเรี ยนของรั ฐ ระดับประถมศึกษาใน
ส
สาธารณรั ฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว ภายหลังการเปลี่ ยนแปลงทางการเมื องพ.ศ. 2518-2538
บทความของสุ เนตร ชุ ตินธรานนท์ และคณะ ที่ รวบรวมบทความตี พิมพ์ใน ทัศนคติ เหยียดหยาม
เพื่อนบ้านผ่านแบบเรี ยนชาตินิยมในแบบเรี ยนไทย บทความเรื่ อง แบบเรี ยนไทยกับเอเชียตะวันออก
เฉี ยงใต้ : “เพื่อนบ้านของเรา” ภาพสะท้อนเจตนคติอุดมการณ์ชาตินิยมไทย ของวารุ ณี โอสถารมย์
บทความเรื่ อง แบบเรี ยนลาวในกระแสโลกาภิวตั น์ ของนริ นทร์ พุดลา และจากผูเ้ ขียนคนเดียวกัน
ในงานระดับวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามเรื่ อง ตัวตนทางวัฒนธรรมในแบบเรี ยนลาว
และนอกจากจะศึ ก ษาแบบเรี ย นแล้ว ยังมี บทความที่ ศึก ษาภาพรวมของงานเขี ย นของลาว โดย
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์ เรื่ องงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้เอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ปัจจุบนั
นอกจากนี้ ย งั มี การแปลงานแบบเรี ยนลาวเพื่อให้เห็ นภาพจากฝ่ ายลาวต่ อเหตุ การณ์
ทางประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฉบับกระทรวงศึกษาธิ การฯลาว ของ ศิลปวัฒนธรรม เป็ นการนํา
แบบเรี ยนหนังสื อประวัติศาสตร์ลาวชั้นอุดม 3 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 ของไทย) มาถอดความ
เป็ นภาษาไทย ประวัติศาสตร์ ลาว (ดึ ก ดําบรรพ์-ปั จ จุ บนั ) เป็ นประวัติศาสตร์ ลาวฉบับสมบูรณ์
กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาว เป็ นผูด้ าํ เนินการจัดพิมพ์เผยแพร่ แปลโดย ทรงคุณ จันทจร
และวิ ท ยานิ พ นธ์ ม หาวิ ท ยาลัย มหาสารคามของ กิ ติ รั ต น์ สี ห บัณ ท์ “ประวัติ ศ าสตร์ นิ พ นธ์ ล าว
สมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปั จจุบนั )”
จากการศึ ก ษางานก่ อ นหน้า ทํา ให้เ ห็ น ว่ า ยัง ขาดส่ ว นเติ ม เต็ม ที่ จ ะเชื่ อ มโยงจุ ด เริ่ ม
ของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมอันเป็ นผลต่อการรับรู ้และเข้าใจทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนผ่าน
แบบเรี ยนซึ่ งลากยาวทั้งช่วงชั้นระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย มีเพียงบทความในหนังสื อ
สารคดี เรื่ อง “เจ้าอนุ วงศ์” ในแบบเรี ยนไทย-ลาว : ความเหมือนที่แตกต่าง ที่นาํ แบบเรี ยน
ประวัติศาสตร์ ลาว ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 กับแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ไทยชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3
6
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประเทศใกล้ชิดกันมีการรับรู ้ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยและลาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรื อไม่
ส
งานวิจยั เรื่ องนี้ จึงพยายามอธิ บายปรากฏการณ์ ที่เกิ ดขึ้น โดยกลับไปมองที่จุดเริ่ มต้น
เพื่ อ ให้ เ ห็ น พัฒ นาการของความสั ม พัน ธ์ ร ะหว่ า งไทยและลาว ผ่ า นแบบเรี ยนประวัติ ศ าสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1- 6 ของไทยและลาว เพื่อชี้ให้เห็นบริ บทซึ่ งส่ งผลกระทบต่อการรับรู ้และความ
เข้าใจของคนทั้งสองชาติในปั จจุบนั โดยพยายามใช้มุมมองแบบคนไร้ สัญชาติให้หลุดกรอบจาก
พันธนาการแห่ งชาติ เพื่อที่จะได้เห็นภาพกว้าง ไม่ใช่ มุมมองชาตินิยมดัง่ ที่โดนปลูกฝังจนลงลึกใน
ความเข้าใจจนเกิดภาพในลักษณะเฉพาะทางชนชาติที่กลายเป็ นปั ญหากระทบความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศของไทยและลาวในปั จจุบนั งานศึกษาเรื่ องนี้ จึงใช้แบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ของไทยและลาว
ในชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1– 6 ของไทยและลาว เป็ นตัวเปรี ยบเทียบเพื่อที่จะได้เห็ นภาพชัดเจน
ของความเหมื อนที่ แตกต่ างในเนื้ อหา เพราะตระหนักดี ว่าแบบเรี ยนเป็ นเครื่ องมื อชั้นยอดที่ รั ฐ
ใช้ปลูกฝังคนให้เติบโตมาตามแนวคิดที่รัฐต้องการ
ความมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ ของการศึกษา
1. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในบริ บททางประวัติศาสตร์และสาเหตุ
ของการสร้างประวัติศาสตร์
2. เพื่อศึกษาสาระสําคัญของแบบเรี ยนไทยและลาว
3. เพื่อศึกษาผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวอันเนื่องมาจากการสร้าง
ประวัติศาสตร์
สมมติฐานของการศึกษา
1. แบบเรี ยน คือ เครื่ องมือสําคัญในการสร้างคนของรัฐ การปลูกฝังความคิดของคน
ในชาติผ่านแบบเรี ยนนับเป็ นกระบวนการสําคัญในการสร้างประชากรตามแนวทางที่รัฐต้องการ
ซึ่งจุดประสงค์ในการสร้างคนผ่านแบบเรี ยนนี้เองที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ไทยและลาว
7
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในคริ สตศักราชนี้ ประเทศลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ ระบอบใหม่โดยพรรคประชาชน
ำ
ส
ปฏิวตั ิลาว ขึ้นมามีบทบาทชี้นาํ ประเทศ ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่น้ ี รัฐมีแบบเรี ยนเป็ นเครื่ องมือ
ในการสร้างคน การศึกษาผ่านแบบเรี ยนจะช่วยให้เห็นภาพและลักษณะของพลเมืองตามที่รัฐต้องการ
ส่ วนการกําหนด ให้ค.ศ.2009 (พ.ศ. 2552) เป็ นปี สิ้ นสุ ดของขอบเขตการวิจยั เนื่ องจากใน ค.ศ. 2010
(พ.ศ. 2553) ลาวกําลังปรับปรุ งหลักสู ตรการศึกษา ในขณะที่ทาํ วิจยั เรื่ องนี้ แบบเรี ยนลาวที่ปรับปรุ งใหม่
ยังมี ออกเผยแพร่ ไม่ ครบทุ กรายวิชาและทุกระดับชั้นซึ่ งรวมไปถึงแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ดว้ ย
และประการสําคัญการที่กาํ หนดให้ ค.ศ. 2009 เป็ นปี สิ้ นสุ ดของขอบเขตการวิจยั ดังที่กล่าวมา
ก็เพื่อที่จะให้งานวิจยั นี้มีภาพที่ใกล้เคียงกับปัจจุบนั มากที่สุด
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวตั น์ที่แต่ละประเทศล้วนถวิลหาความร่ วมมือและพันธมิตรนั้น
เป็ นที่น่าสนใจว่าแบบเรี ยนในฐานะเครื่ องมือแห่ งรัฐได้เปลี่ยนทัศนะในการผลิตคนต่างไปจากเดิม
หรื อ ไม่ ด้ว ยเหตุ น้ ี ผูว้ ิ จ ัย จึ ง เลื อ กใช้แ บบเรี ย นประวัติ ศ าสตร์ ข องไทยและลาว ตั้ง แต่ ร ะดับ ชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 เป็ นแกนหลักในการทําวิจยั ทั้งนี้ เพราะตระหนักว่า
นักเรี ยนในช่วงชั้นนี้ เป็ นช่ วงชั้นที่กาํ ลังจะเติบโตเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อันจะกลายเป็ น
กําลัง สํา คัญในการพัฒนาชาติ จึ ง นําแบบเรี ย นในช่ ว งชั้น นี้ ของทั้ง ไทยและลาวมาเปรี ย บเที ย บ
ความต่างในเนื้ อหาด้านประวัติศาสตร์ ที่ระบุลงในแบบเรี ยน เพื่อที่ จะได้เห็ นภาพความต้องการ
ของรัฐไทยและลาว ว่าต้องการสร้างคนให้มีความรับรู ้และเข้าใจต่อเพื่อนบ้านแบบใดในกระแส
สังคมปั จจุบนั
ข้ อตกลงเบือ้ งต้ น
ประวัติศาสตร์ เป็ นสาระการเรี ยนรู ้หนึ่ งในกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรมของประเทศไทย โดยในหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาํ หนดให้
เป็ นวิชาเรี ยนที่แยกมาวัดผลการเรี ยนรู ้จากกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมแต่ยงั คง
จัดเป็ นรายวิชาในกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
8
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ยังมีออกมาใช้ไม่ครบในทุกชั้นเรี ยน กระทรวงศึกษาธิ การได้ประกาศให้ใช้หลักสู ตรการศึกษา
ส
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เฉพาะโรงเรี ยนต้นแบบการใช้หลักสู ตรและโรงเรี ยนที่มีความพร้อม
ตามรายชื่ อ ที่ ก ระทรวงศึ ก ษาธิ ก ารประกาศ โดยในระหว่ า งที่ ร อความพร้ อ มการใช้ห ลัก สู ต ร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในทุกชั้นเรี ยนนั้น กระทรวงศึกษาธิ การมีประกาศให้ยึด
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้ทุกโรงเรี ยน ใช้ประกอบการคัดเลือก
แบบเรี ย นของแต่ ล ะสํา นัก พิ ม พ์ ในการทํา วิ จ ัย นี้ ผูว้ ิ จ ัย จึ ง ได้นํา หลัก สู ต รแกนกลางการศึ ก ษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาวิเคราะห์ประกอบแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ช้ นั มัธยมศึกษาปี ที่ 1-6
หลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และเลือกใช้แบบเรี ยนจากสํานักพิมพ์วฒั นาพานิช
ในการทํา วิ จ ัย ฉบับ นี้ เพราะสอดคล้อ งตามประกาศกระทรวงศึ ก ษาธิ ก ารเรื่ อ งหลัก สู ต รใหม่
ทุกประการ
ในส่ ว นของแบบเรี ย นประวัติศาสตร์ ลาวนั้น แม้จ ะมี ก ารปรั บปรุ งหลัก สู ตรมาแล้ว
ถึง 2 ครั้ง แต่ในส่ วนของสาระความรู ้ยงั คงได้อิทธิ พลตกทอดมาจากพงศาวดารเป็ นสําคัญ เนื้ อหา
ที่เกี่ ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวยังคงเป็ นการเน้นยํ้าประวัติศาสตร์ รูปแบบเดิ ม
ผูว้ ิจ ัยจึ งเลื อกใช้แบบเฮี ยนวิดทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ 1 – 6 ซึ่ งเป็ นแบบเรี ยน
ของกระทรวงศึกษาธิ การฉบับล่าสุ ด (ก่อนปรับปรุ งหลักสู ตรในปี 2010) ที่ใช้มายาวนานถึง 20 ปี
เป็ นหลัก ฐานสํ า คัญ ในการวิ จ ัย ซึ่ งสะท้อ นให้ เ ห็ น การเน้น ยํ้า วาทกรรมที่ ล าวตองการสร้ า ง
แก่ ประชาชนเป็ นอย่า งดี ส่ ว นการอ้างอิ ง ถึ ง เอกสารลาว หลัก ฐานลาว ตลอดจนแบบเรี ย นลาว
ในการศึกษานี้จะใช้ตวั สะกดตามแบบลาว เพื่อคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามแบบต้นฉบับ
10
กระทรวงศึกษาธิ การ, ตัวชี้ วดั และสาระการเรี ยนรู้ แกนกลาง กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (กรุ งเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แห่งประเทศไทย, 2551), คํานํา.
9
วิธีดําเนินการศึกษา
ใช้วิธีวิจยั ทางประวัติศาสตร์ โดยเน้นการวิเคราะห์ตีความจากเอกสาร แบบเรี ยน หนังสื อ
และวิทยานิพนธ์ จากหอสมุดของสถาบันต่าง ๆ รวมไปถึงแหล่งข้อมูลออนไลน์โดยนําเสนอในรู ปแบบ
ของการพรรณนาวิเคราะห์ โดยได้คน้ คว้าจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้
1. หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ และพระราชวังสนามจันทร์
2. หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4. หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒประสานมิตร
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
5. หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ำ
ส
6. หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยขอนแก่น
7. หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประโยชน์ ทคี่ าดว่ าจะได้ รับ
1. เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในบริ บททางประวัติศาสตร์ และรวมไปถึง
สาเหตุของการสร้างประวัติศาสตร์
2. เข้าใจถึงสาระสําคัญของแบบเรี ยนไทยและลาว
3. เข้าใจถึงผลกระทบทางความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวอันเนื่องมาจากการสร้าง
ประวัติศาสตร์
บทที่ 2
ความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาวในบริบทการสร้ างชาติ : ศึกษาผ่ านประวัติศาสตร์ นิพนธ์
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ในช่วงที่บริ บทสังคมโลกตะวันตกกําลังแผ่อิทธิ พลเข้า
ครอบงํานั้น ในรัฐต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อแสนยานุภาพและอิทธิ พลของชาติตะวันตก
การตอบโต้น้ นั เกิดขึ้นหลายกระบวนการดังที่เป็ นปรากฏการณ์สาํ คัญ ๆ 2 อันนํามาสู่ กระแสความคิด
“ชาตินิยม” และการเรี ยกร้องเอกราชจากผูค้ นในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ชาตินิยม” คือแนวความคิดที่จกั รวรรดินิยมตะวันตกนําเข้ามาและทิ้งไว้
กลายเป็ นมรดกแก่ เอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ 3 แนวคิดนําเข้านี้ ได้มีส่วนในการสร้างจิตสํานึ กเพื่อ
รวบรวมความรู ้สึกแห่ งชาติให้เป็ นหนึ่ งเดี ยว กระแสชาตินิยมและการเรี ยกร้องเอกราชที่เกิดขึ้นใน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้ นั กล่าวได้วา่ ส่ วนหนึ่งเกิดจากระบบการศึกษาแผนตะวันตกหรื อแผนใหม่
ที่ประเทศจักรวรรดินิยมนํามาให้ประชาชนในดิ นแดนเอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ เพื่อรองรับระบบ
การบริ ห ารและเศรษฐกิ จ แบบใหม่ ที่ ข ยายตัว ขึ้ น อย่ า งรวดเร็ ว แต่ ก ารศึ ก ษาแผนตะวัน ตกนี้
กลับกลายเป็ นจุดเริ่ มต้นแนวคิดในการต่อต้านชาติตะวันตก
ระบบการศึกษาแบบใหม่ที่ได้รับการวางรากฐานนี้ ถูกใช้เพื่อต่อต้านการเข้าครอบงําของ
ชาวต่างชาติ ปลุกกระแสแนวคิดชาตินิยมให้แพร่ หลายไปทัว่ 4 ทั้งอาณาบริ เวณเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
1
ชุลีพร วิรุณหะ, “เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 415457 Seminar in Southeast Asian History”
ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551. (อัดสํานา)
2
ดูรายละเอียดใน ดี. จี . อี. ฮอลล์, ประวัติศาสตร์ เอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ สุ วรรณภูมิ – อุษาคเนย์
ภาคพิส ดาร, เล่ม 2, พิ ม พ์ค รั้ งที่ 3, ชาญวิท ย์ เกษตรศิ ริ , บรรณาธิ การ (กรุ งเทพฯ : มูลนิ ธิ โ ครงการตํารา
สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ , 2549) ; and Norman G. Owen, (ed.), The Emergence of Modern Southeast Asia
: A New History ( Honolulu : University of Hawai’i, 2005).
3
Warshaw Steven, Southeast Asia Emerge, 4th ed. (San Francisco : Canfield, 1975), 68.
4
D.J. Steinberg et al, Insearch of Southeast Asia : A modern History (Honolulu : University of
Hawai’i, 1985), 202.
10
11
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ปรากฏการณ์ การเปลี่ ยนผ่านจาก “รั ฐจารี ต” เข้าสู่ ความเป็ น “รั ฐสมัยใหม่ ” เกิ ดการเปลี่ ยนแปลง
ส
ขึ้นมากมายในอาณาบริ เวณนี้ และหนึ่งในนั้นคือ “การสร้างชาติ” ของบรรดารัฐต่าง ๆ
ในบริ บทความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวนับว่าช่วงเวลานี้คือจุดสําคัญที่หากได้ศึกษาแล้ว
จะช่วยให้เข้าใจว่า จุดเริ่ มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวได้ถูกกําหนดหรื อถูกวางรากฐาน
ในบริ บทและเงื่อนไขใด ซึ่ งจะส่ งผลต่อการขยายภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในปั จจุบนั
ให้ตรงกับข้อเท็จจริ งทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
ในบทนี้ จึงจะศึกษาประวัติศาสตร์ นิพนธ์ท้ งั ของไทยและลาวในช่ วงสมัยการสร้างชาติ
เพื่อเป็ นพื้นฐานสําคัญในการทําความเข้าใจจุดเริ่ มต้นของสภาพสังคมที่มีผลต่อการเขียนประวัติศาสตร์
ของทั้งสองประเทศ
การศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยในช่วงสมัยการสร้างชาติน้ ี จะให้ความสําคัญกับการ
ปูพ้ืนฐานของบริ บททางประวัติศาสตร์ คือเป็ นการเริ่ มต้นทําความเข้าใจถึงจุดเริ่ มต้นของสภาพสังคม
ที่ มี ผลต่ องานนิ พนธ์ ท างประวัติ ศ าสตร์ ช่ ว งสมัย การสร้ า งชาติ โดยจะไม่ ล งลึ ก หรื อ วิ เ คราะห์
เปรี ยบเทียบสาเหตุของงานเขียนทางประวัติศาสตร์หรื อประวัติชีวิตของเจ้าของผลงานอย่างละเอียด
ดังเช่นที่มีผทู ้ าํ การศึกษามาบ้างแล้ว 5เพราะจุดประสงค์ของการทําวิจยั ในบทนี้ คือการเตรี ยมความรู ้
5
ดูรายละเอียดใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, “สกุลประวัติศาสตร์ : แสงสว่างในความมืด,” ศิลปวัฒนธรรม
6,1 (พฤศจิกายน 2527) ; สมเกียรติ วันทะนะ, “สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์ นิพนธ์ไทย,” ธรรมศาสตร์
13,3 (กันยายน 2527) ; นิ ธิ เอี ยวศรี วงศ์, “200 ปี ของการศึ กษาประวัติศ าสตร์ ไทยและทางข้างหน้า,”
ศิลปวัฒนธรรม 7,4 (กุมภาพันธ์ 2529) ; ยุพา ชุมจันทร์ , “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”
(วิทยานิ พนธ์ปริ ญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530) ; ราม
วัช รประดิ ษ ฐ์ , “ พัฒ นาการของประวัติ ศ าสตร์ ช าติ ใ นประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478” (วิท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญา
มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิ ตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539) ; อรรถจักร สัตยานุ รักษ์,
การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผูน้ าํ ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึงพุทธศักราช 2475, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพฯ :
สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541).
12
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประวัติ ศ าสตร์ แ บบพงศาวดารหลายช่ ว งสมัย พงศาวดารคื อ ตัว แทนของความเข้า ใจเกี่ ย วกับ
ำ
ส
ประวัติศาสตร์ และแนวคิดของไทยที่ก่อตัวและฝั งรากมาเป็ นเวลานานนับแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยา
เป็ นต้นมา 7
ประวัติศาสตร์ไทยในแบบแผนของจารี ตพงศาวดารถูกจํากัดให้รับรู ้กนั ในหมู่ชนชั้นนํา
ของสังคม กว่าจะเริ่ มเปิ ดเผยออกมาสู่ ประชาชนก็ล่วงเข้าในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 อันเป็ นผลจาก
การนําเข้าแท่นพิมพ์ ทําให้การพิมพ์หนังสื อและหนังสื อพิมพ์แพร่ หลาย เป็ นการกระจายความรู ้และ
ขยายฐานการศึ กษาออกไปในวงกว้าง อี กทั้งทัศนคติ ความรู ้ ตลอดจนวิทยาการที่ ได้รับมาจาก
ตะวันตก 8 ไม่ว่าจะเป็ นระบบการสื่ อสาร ทางรถไฟ หรื อการเปลี่ยนระบบการค้าที่ชดั เจนขึ้นจากการ
แลกเปลี่ยนสิ่ งของ มาใช้ระบบเงินตราเป็ นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน และรวมไปถึงการพัฒนาระบบ
เศรษฐกิจให้เหมาะสมกับชุมชนที่เริ่ มวิวฒั นาการเข้าสู่ ความเป็ นสังคมเมือง และเพื่อให้เกิ ดความ
คล่องตัวในการติดต่อค้าขาย นอกจากนายจ้างต่างชาติจะเริ่ มหัดพูดภาษาท้องถิ่ นแล้ว ยังพบว่า
นายจ้างต่างชาติเริ่ มให้แรงงานท้องถิ่นมีการศึกษาภาษาต่างประเทศของเจ้าอาณานิคมนั้น ๆ 9 อีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยภายหลังการทําสนธิ สัญญาบาวริ่ งใน ค.ศ. 1855 (พ.ศ.
2398) คือการเปิ ดรั บอารยธรรมตะวันตก และการปรั บตัวเพื่อเผชิ ญหน้ากับการล่าอาณานิ คม
ของประเทศตะวันตก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และ
ภูมิปัญญาของคนไทย ระบบเศรษฐกิจ เปลี่ยนไปสู่ การผลิตเพื่อการค้าและระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา
อย◌่างเต็มตัว ระบบเศรษฐกิ จไทยเข้าไปผูกพันอยู่กับระบบเศรษฐกิ จโลก ระบบการเมื องเดิ ม
6
ยุพา ชุมจันทร์ , “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 12.
7
เรื่ องเดียวกัน.
8
เรื่ องเดียวกัน, 76.
9
Warshaw Steven, , Southeast Asia Emerge, 68.
13
ถูกกระทบจนต้องปรับเปลี่ยนด้วยการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อให้ความเป็ น
“สยามประเทศ” ดํารงอยูไ่ ด้
อย่างไรก็ดี พลังผลักดันจากภายนอกเพียงอย่างเดียวไม่เคยกําหนดแนวทางความเปลี่ยนแปลง
ของสังคมใดได้อย่างแท้จริ ง “การจะเข้าใจแนวทางความเปลี่ ยนแปลงของสังคมใด ควรจะให้
ความสําคัญอย่างเพียงพอแก่เชื้อแห่งความเปลี่ยนแปลงซึ่ งสถิตในสังคมนั้นอยูแ่ ล้ว ปราศจากเชื้อเหล่านี้
สิ่ งที่มาจากภายนอกจะไม่มีทางงอกงามขึ้นได้” 10 ดังนั้นจะเห็ นได้ว่าพัฒนาการของรัฐที่ส่งผลต่อ
การเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นไม่ได้เกิดจากอิทธิ พลภายนอกซึ่ งหมายถึงผลกระทบจาก
ตะวันตกแต่เพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ยังได้รับแรงผลักดันจาก
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ภายในสังคมขณะนั้นด้วยนับตั้งแต่ความพยายามปฏิ รูปประเทศจากสมัยรั ชกาลที่ 4 เป็ นต้นมา
ส
ส่ ง ผลให้ เ กิ ด ความพร้ อ มในการรวมศู น ย์อ ํา นาจทางการเมื อ ง เกิ ด เป็ นการปกครองระบอบ
สมบูรณาญาสิ ทธิ ราชย์ที่มนั่ คงที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในขณะเดียวกันแนวคิดการสร้างรัฐชาติ
ก็เกิดขึ้นเพื่อสนองความมัน่ คงภายในและพยุงฐานะของประเทศให้ยนื อยูใ่ นสังคมโลกและสามารถ
ฝ่ าภยันตรายที่กาํ ลังคุกคามจากภายนอก11
การเปลี่ ยนแปลงเหล่านี้ นับเป็ นตัวกระตุน้ สําคัญต่ อความอยากรู ้ อยากศึ กษาของคน
ทัว่ ทั้งเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ ถึงแม้รัฐไทย ไม่ได้ตก เป็ นอาณานิ คมก็หนี ไม่พน้ กระแสอิทธิ พลของ
3 3
10
นิ ธิ เอียวศรี วงศ์, ปากไก่และใบเรื อ รวมความเรี ยงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ตน้ รัตนโกสิ นทร์
(กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์การพิมพ์, 2527), บทนํา.
11
ยุพา ชุมจันทร์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 26.
12
เรื่ องเดียวกัน, 27.
14
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เมื่อบทบาทของประวัติศาสตร์คือการสร้างความรู ้สึกเป็ นเอกภาพร่ วมกันของประชาชน
ส
จึงมีการนําพงศาวดารมาใช้ปลูกฝังให้เกิดความรักชาติ และสํานึ กในความเป็ นไทย เพราะพงศาวดาร
เน้นในเรื่ องกษัตริ ยซ์ ่ ึ งเข้ากันได้กบั นโยบายการสร้ างรั ฐชาติที่มีสถาบันกษัตริ ยเ์ ป็ นศูนย์รวมของ
คนในชาติเพื่อความเป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกัน การสอนให้รักชาติก่อให้เกิดความจงรักภักดีต่อกษัตริ ย ์
ด้วยเหตุผลที่วา่ รัฐเป็ นอิสระมาได้กเ็ พราะการปกครองของกษัตริ ย 16์
1.1 จากพงศาวดารสู่ การเป็ นประวัติศาสตร์ แห่ งชาติของไทย
สําหรับหัวข้อนี้ ผูว้ ิจยั จะศึกษาแนวทางประวัติศาสตร์ นิพนธ์ โดยเลือกศึกษางานเขียน
ทางประวัติศาสตร์ ของ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) พระยาอนุมานราชธน และหลวงวิจิตร
วาทการ ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการของประวัติศาสตร์ นิพนธ์ไทยและบริ บททางสังคมที่ส่งผล
กระทบต่องานเขียนทางประวัติศาสตร์ จากรู ปแบบพงศาวดารสู่การเป็ นประวัติศาสตร์แห่ งชาติ
ดังที่ กล่าวมาแล้วว่าการศึ กษาประวัติศาสตร์ และการบันทึกเหตุการณ์ สําคัญในอดี ต
ลงในพงศาวดารนั้นถูกสงวนไว้ในกลุ่มชนชั้นสู งของสยาม จุดประสงค์ของการบันทึกพงศาวดาร
แตกต่างกันไปตามวาระของผูท้ ี่ข้ ึนมามีอาํ นาจ และพงศาวดารยังถูกมองว่าเป็ นเครื่ องมือแห่ งอํานาจ
ของบรรดาเจ้านายหลายยุคสมัย หากแต่ “ภาวะที่เกิดความเคลื่อนไหวทางภูมิปัญญารวมทั้งเกิดความ
เปลี่ ย นแปลงทางการเมื อ งเศรษฐกิ จ และสั ง คม ย่ อ มส่ ง ผลต่ อ ทัศ นะและรู ป แบบการเขี ย น
13
ราม วัชรประดิษฐ์, “พัฒนาการของประวัติศาสตร์ ชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478”, 90.
14
ยุพา ชุมจันทร์ , “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 29.
15
สมเกียรติ วันทะนะ, บทความประกอบการสัมมนากึ่งศตวรรษธรรมศาสตร์ : 2477 – 2527
(สถาบันไทยคดีศึกษา : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527), 149.
16
วิทย์ วิศทเวทย์, ปรัชญาการศึกษาไทย 2411-2475 (กรุ งเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการการศึกษา
แห่งชาติ, 2528), 32 – 33. อ้างใน ยุพา ชุมจันทร์. “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516.”, 77.
15
17
พงศ์ธิดา เกษมสิ น, “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ไทย : ศึกษาพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยูห่ วั ,” วารสารอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17,1 (มกราคม 2528) : 101.
18
พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนับเป็ นอี กบุ คคลหนึ่ งที่ ท รงมี พฒ
ั นาการของงานเขี ยน
ทางประวัติศาสตร์ ตามแบบสมัยใหม่โดยการใช้หลักเหตุผล การตั้งคําถาม และการใช้หลักฐานประเภทเอกสาร
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ, ดูรายละเอียดใน พงศ์ธิดา เกษมสิ น, “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ไทย : ศึกษาพระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ,”.
19
นิ ธิ เอี ย วศรี วงศ์, ปากไก่ แ ละใบเรื อ รวมความเรี ยงว่ า ด้ว ยวรรณกรรมและประวัติ ศ าสตร์
ต้นรัตนโกสิ นทร์ , 568.
20
ดูรายละเอียดใน, วิกลั ย์ พงศ์พนิ ตานนท์, “พระราชพงศวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 1-4 ฉบับ
เจ้าพระยาทิ พากรวงศ์ : ประวัติศาสตร์ ไทยยุคใหม่,” วารสารอักษรศาสตร์ จุ ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17,1
(มกราคม 2528).
16
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ภาพที่ 1 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ นักประวัติศาสตร์คนแรก ๆ ที่เริ่ มรับอิทธิพลการเขียนแบบตะวันตก
มาประยุกต์ใช้กบั การนิพนธ์ประวัติศาสตร์ไทย
ที่มา : สายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 3 [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 19 มีนาคม 2554. เข้าถึงได้จาก
http://www.bunnag.in.th/prarajpannuang003.html
เป็ นเครื่ องมื อถวายความรู ้ แด่ ยุวกษัต ริ ย ์21 อย่างไรก็ดีพระราชพงศาวดารรั ตนโกสิ นทร์ สํานวน
สมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํา รงราชานุ ภ าพ ที่ ท รงชํา ระมาจากสํา นวนของ เจ้า พระยาทิ พ ากรวงศ์
กลับมีเนื้ อหาบางตอนที่แตกต่างจากต้นฉบับ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่เปลี่ยนไป
ของผูช้ าํ ระ หรื อกล่าวได้ว่าการผลิ ตงานทางประวัติศาสตร์ ของ เจ้าพระยาทิพกรวงศ์ ยังไม่พบ
ร่ องรอยของการใช้ประวัติศาสตร์ เพื่อเป็ นเครื่ องมือสร้างชาติ คงพบแต่รูปแบบที่เริ่ มพัฒนาตามหลัก
ตะวันตก ซึ่ งนับเป็ นก้าวแรกของงานประวัติศาสตร์ ไทยที่ออกนอกกรอบการบันทึกตามจารี ตที่
ยึดถือกันมาเท่านั้น ส่ วนการเปลี่ยนแปลงประโยชน์ของงานเขียนประวัติศาสตร์ จะปรากฏเด่นชัด
21
จีรพล เกตุจุมพล, “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขององค์ความรู ้ของกลุ่มชนชั้นนําสยามรุ่ นใหม่
พ.ศ. 2367-2468” (วิท ยานิ พนธ์ ปริ ญ ญามหาบัณฑิ ต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิ ตวิท ยาลัย จุ ฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2539), 18.
17
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
22
รัฐชาติ หรื อ รัฐประชาชาติ (national state) ตามความหมายของ สมเกียรติ วันทะนะ หมายถึงรัฐ
ที่ประกอบด้วย อาณาเขตที่แน่นอน อํานาจอธิปไตยเป็ นของประชาชาติโดยส่ วนรวม และประชาชนที่มีสาํ นึกร่ วม
ทางสังคมและการเมือง, ซึ่ งสมเกียรติ วันทะนะได้แสดงทัศนะไว้วา่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยยังไม่ใช่รัฐประชาชาติ
ที่สมบูรณ์, ดูรายละเอียดใน สมเกียรติ วันทะนะ, บทความประกอบการสัมมนากึ่งศตวรรษธรรมศาสตร์ : 2477 –
2527.
18
นิ ทานโบราณคดี 6 เรื่ อง ประวัติศาสตร์ 148 เรื่ อง23 พระองค์เป็ นผูส้ นใจแสวงหาความรู ้อย่างจริ งจัง
ทรงสะท้อนทัศนะแห่ งการวิพากษ์ให้เห็นจากพระนิพนธ์คาํ นําและคําอธิ บายในพระราชพงศาวดาร
ฉบับพระราชหัตเลขา ทรงให้ความสําคัญกับการตรวจสอบหลักฐาน ส่ วนการแสวงหาและความ
พยายามอธิ บ ายสาเหตุ ข องเหตุ ก ารณ์ จ ะเห็ น ได้ชัด ในงานพระนิ พ นธ์ พ ระราชพงศาวดารกรุ ง
รัตนโกสิ นทร์รัชกาลที่ 2 “หนังสื อที่เรี ยกว่า พงศาวดารของเราที่แต่งกันมาแล้ว ...ไม่ตรงกับหลักของ
ประวัติศาสตร์ คือหลักของประวัติศาสตร์ น้ นั แม้จะเอาการกําหนดตั้งเป็ นหลักเรื่ องที่จะลําดับก่อน
และหลังกัน มีขอ้ สําคัญที่ตอ้ งถือเป็ นหลัก 3 ส่ วน คือ
ส่ วนที่ 1 เกิดเหตุการณ์อย่างไร
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส่ วนที่ 2 ทําไมจึงเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น
ส
ส่ วนที่ 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นให้ผลอย่างไร” 24
การเผชิ ญการคุ กคามจากมหาอํานาจตะวันตกก่ อให้ เกิ ดการสร้ าง “ขอบเขต” 25 ของ
ประวัติศาสตร์ แห่ งชาติ (National History) ที่มีมาอย่างคลุมเครื อเลื่อนลอยในสมัยก่อนให้เด่นชัดขึ้น
ประวัติศาสตร์ในยุคนี้มิใช่พระราชพงศาวดารที่อธิบายความชอบธรรมและการสื บสันตติวงศ์ของกษัตริ ย ์
หากเป็ นการสร้างความสํานึ กในการมีประวัติศาสตร์ร่วมกันของประชาชน และพยายามเน้นยํ้าความรู ้
เกี่ ยวกับอดี ตของประชาชนซํ้าแล้วซํ้าเล่า เพื่อให้ประชาชนรับรู ้และเกิ ดสํานึ กทางประวัติศาสตร์
ตามที่ กาํ หนดให้ได้ชัดเจน ทรงพยายามนําเสนอความเป็ นไทยแทรกเข้าไปในเนื้ อหาเอกสารที่ทรง
ตรวจตราหรื อ “ชําระ” 26 และที่สาํ คัญงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของพระองค์ถือว่ามีอิทธิ พลต่อความ
รับรู ้ และการเขียนประวัติศาสตร์ ไทยอย่างยิ่ง ทรงพัฒนาวิธีการทางประวัติศาสตร์ การตรวจสอบ
23
หอสมุดแห่ งชาติ กรมศิลปากร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ : พระนิ พนธ์
(พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2512), 47-102. กล่าวถึงใน ราม วัชรประดิษฐ์. “พัฒนาการของประวัติศาสตร์ ชาติ
ในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478”, 100.
24
สมเด็จกรมพระยานริ ศรานุ วตั ิวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยา ดํารงราชานุ ภาพ,
สาสน์สมเด็จ, เล่ม 4 (พระนคร : องค์การค้าคุรุสภา, 2505), หน้า 26. กล่าวถึงใน ราม วัชรประดิษฐ์, “พัฒนาการ
ของประวัติศาสตร์ชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478”, 101.
25
เมื่อชาติตะวันตกเริ่ มเข้ามามีอิทธิ พลในอาณาบริ เวณเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ ประเทศไทยเริ่ มตระหนัก
ถึงความสําคัญของประวัติศาสตร์ ในฐานะหลักฐานความชอบธรรมของการมีอาํ นาจเหนื อบริ เวณที่ปกครอง และ
เพื่อความสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์ “ขอบเขต”ของประวัติศาสตร์ จึ งเป็ นสิ่ งจําเป็ นในการกล่าวอ้าง “ขอบเขต”
ในที่น้ ีจึงมีความหมายรวมถึง ขอบเขตของเวลา, ขอบเขตของพื้นที่, ผูว้ จิ ยั .
26
ราม วัชรประดิ ษฐ, “พัฒนาการของประวัติศาสตร์ ชาติ ในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478”, 101.
“ชําระ” หมายถึง การเรี ยบเรี ยงข้อมูลและหลักฐานเพื่อแก้ไขงานจากฉบับเดิม หรื อบางทีอาจเป็ นการแทรกทัศนะ
ของผูเ้ ขียนเพิ่มเติมจากต้นฉบับ, ผูว้ จิ ยั .
19
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
พระนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ ของพระองค์มิใช่ขอ้ เท็จจริ งทั้งหมด ทรงเลือกวิธีการนําเสนอความคิด
ส
ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมทางความคิดของสังคมไทย 28 สิ่ งหนึ่ งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือทรงมีส่วน
ซ่ อนเร้ นความจริ งทางประวัติศาสตร์ ที่อาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของกษัตริ ยแ์ ละพระราชวงศ์
รวมทั้งผลประโยชน์บางประการ 29 นอกจากนี้ไม่ว่าโดยเจตนาหรื อไม่ก็ตาม พระองค์ได้มีส่วนสร้าง
ประวัติศาสตร์ ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริ ง เมื่ อมี การตรวจสอบค้น คว้าในภายหลัง เช่ น กรณี เมื องเก่ า
ของพระเจ้าอู่ทองที่ สุพรรณบุ รี กรณี คนไทยอพยพมาจากจี น และอาณาจักรน่ านเจ้าเป็ นอาณาจักร
ของคนไทย ด้วยจุ ดมุ่งหมายในการสร้ างความเป็ นชาติที่มีประวัติอนั ยาวนาน เพื่อสนองนโยบาย
ในการสร้างรัฐชาติ
ข้อจํากัดของงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ
เกิดจากปั จจัยภายในและภายนอกที่กาํ ลังสั่นคลอนสถาบันกษัตริ ย ์ ไม่ว่าจะเป็ นการท้าทายพระราชอํานาจ
ของพระมหากษัตริ ยจ์ ากบรรดาขุนนางผูใ้ หญ่ ภัยจากลัทธิ อาณานิคมของชาติตะวันตก กลายเป็ นบริ บท
และเหตุผลที่เป็ นข้อจํากัดสําคัญของงานพระนิ พนธ์ทางประวัติศาสตร์ ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารง
ราชานุ ภ าพ ที่ น อกจากจะสะท้อ นอัต ลัก ษณ์ ข องพัฒ นาการงานพระนิ พ นธ์ ต ามแบบสมัย ใหม่
ในขณะเดียวกันก็พยายามคงไว้ซ่ ึงเสถียรภาพของชาติและรักษาสถาบันกษัตริ ยไ์ ปพร้อม ๆ กัน
ความจํา เป็ นและบริ บททางสั ง คมที่ ส่ ง ผลต่ อการสร้ างประวัติ ศาสตร์ ของ สมเด็ จ ฯ
กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ สอดคล้องกับความต้องการแห่ งชาติในการเป็ นต้นแบบทางความคิด
และความเข้าใจเกี่ ย วกับรั ฐให้กับประชาชนในสั งคมไทย จึ งทําให้พระนิ พนธ์ ทางประวัติศาสตร์
27
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, เล่ม 1, พิมพ์ครั้งที่ 10 (กรุ งเทพฯ : สํานักวรรณกรรม
และประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2548) , คํานํา.
28
สายชล สัตยานุ รักษ์, สมเด็จฯกรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ การสร้างอัตลักษณ์ “เมืองไทย” และ “ชั้น”
ของชาวสยาม (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2546), 18.
29
ยุพา ชุมจันทร์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 41.
20
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประวัติศาสตร์ แบบรัฐชาติ ที่เน้นความเป็ นศูนย์กลางของสถาบัน งานเขียนในยุคต่อ ๆ มาเป็ นการ
ส
สื บทอดแนวความคิดที่ เป็ นไปอย่างต่ อเนื่ อง ไม่ขาดตอนจาก “กรอบ” ที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารง
ราชานุ ภาพ ทรงเริ่ มวางโดยการ “กําหนด” ขอบเขตความเป็ นชาติที่มีดินแดนอันแน่นอน งานเขียน
ในช่ วงต่อมาจึ งเป็ นการอธิ บายและแสวงหาหลักฐานมาขยายความหรื ออ้างอิงถึงความเป็ นชาติ
เพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายความจาก “ขอบเขต” ที่ทรงวางแบบแผนไว้
ปฏิ กิ ริยาโต้ตอบต่อภัยจากการล่าอาณานิ คมของตะวันตก ช่ วยสร้ างกระแสการเขียน
ประวัติศาสตร์ ไทยที่พยายามอธิ บายที่มาและความเป็ นชาติ อันเป็ นผลมาจากสํานึ กถึงความจําเป็ น
ที่จะต้องมีรัฐ ที่เป็ นเอกภาพ จนกลายเป็ นการสร้างงานเขียนประวัติศาสตร์ชาติสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน
ความเป็ น “รัฐชาติ” อันเป็ นพื้นฐานรองรับความรู ้สึกชาตินิยมได้เกิดขึ้นแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 และ
ลัทธิชาตินิยมได้เริ่ มปรากฏตัวแตกหน่ออ่อนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั 34
30
ยุพา ชุมจันทร์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 42.
31
สายชล สัตยานุ รักษ์. สมเด็จฯกรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ การสร้างอัตลักษณ์ “เมืองไทย” และ
“ชั้น” ของชาวสยาม, 18.
32
หมายถึง ทัศนะที่แสดงถึงความยิง่ ใหญ่และความเป็ นมาอันยาวนานของชนชาติไทย, ผูว้ จิ ยั .
33
ดูรายละเอียดใน กอบเกื้อ สุ วรรณทัต-เพียร, “การศึกษาประวัติศาสตร์ ของสกุลดํารงราชานุ ภาพ,”
อักษรศาสตร์ พิจารณ์ 6,2 (พฤศจิกายน 2517) ; และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, “สกุลประวัติศาสตร์ : แสงสว่างในความมืด,”
ศิลปวัฒนธรรม 6,1 (พฤศจิกายน 2527).
34
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2475 : การปฏิวตั ิของสยาม 1932 Revolution in Siam, พิมพ์ครั้ งที่ 2
(กรุ งเทพฯ : มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ , 2543), 38.
21
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ภาพที่ 3 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ ัว กษัตริ ยผ์ ซู ้ ่ ึ งนําอัจฉริ ยภาพด้านอักษรศาสตร์
มาเป็ นเครื่ องมือในการสร้างนิยามรักชาติไทย
ที่มา : รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสเมืองพิชยั [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 19 มีนาคม 2554. เข้าถึงได้จาก
http://aksara-home.blogspot.com/2011/10/6.html
35
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2475 : การปฏิวตั ิของสยาม 1932 Revolution in Siam, 38.
36
มลิ ว ัล ย์ แตงแก้ว ฟ้ า, สองศตวรรษบนเส้ น ทางการเมื อ งไทย (นครปฐม : คณะอัก ษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร นครปฐม, 2547), 91.
22
37
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2475 : การปฏิวตั ิของสยาม 1932 Revolution in Siam, 38.
38
David K. Wyatt, Politics of Reform : Education in the Reign of King Chulalongkorn (Bangkok :
Thai Watanapanich, 1969), 229.
39
ยุพา ชุมจันทร์ , “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 84.
23
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
40
ขุนวิจิตรมาตรา, หลักไทย, พิมพ์ครั้งที่ 7 (พระนคร : รวมสาส์น, 2518), 3-20.
41
สมเกียรติ วันทะนะ, “สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย,”, 163.
42
ขุนวิจิตรมาตรา, หลักไทย, คํานํา.
24
ทางความคิดการเมืองของ “ผูน้ าํ ระบอบเก่า” กับ “ผูน้ าํ ระบอบใหม่” 43 จนส่ งผลให้หนังสื อเล่มนี้ เป็ น
หนัง สื อ ประวัติ ศ าสตร์ ที่ ไ ด้รั บ เลื อ กจากคณะกรรมการของราชบัณ ฑิ ต ยสภาให้ไ ด้รั บ รางวัล
พระราชทานรางวัลและยังเป็ นการสื บทอดแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์ ที่เน้นความเป็ นศูนย์กลาง
ของชาติภายใต้ร่มพระเศวตรฉัตรให้คู่กบั สังคมไทย
การแสดงความคิดชาตินิยมที่เน้นสถาบันกษัตริ ยเ์ ป็ นจุดศูนย์กลาง เริ่ มลดความสําคัญลง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1932 (พ.ศ. 2475) ผูน้ าํ กลุ่มใหม่ตระหนักในความสําคัญของการสร้าง
จิตสํานึ กใหม่ เพื่อรองรับศูนย์อาํ นาจที่เปลี่ยนแปลงไป กระบวนการสร้างศรัทธาและความชอบธรรม
ของกลุ่มผูน้ าํ ใหม่ถูกเน้นผ่านระบบการศึกษาและการสื่ อสารทุกรู ปแบบ ตัวอย่างของอดีตอันเกรี ยงไกร
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
แห่งชาติ นับแต่ก่อร่ างสร้างตัวได้รับการผูกโยงกับผูน้ าํ ที่เข้มแข็ง ผ่าน ๆ มาจนยุคสมัยการเปลี่ยนแปลง
ส
การปกครองที่เน้นผูน้ าํ แบบทหาร เช่ น จอมพล ป. พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 44
ซึ่งก็ยงั คงเป็ นผูน้ าํ ที่เข้มแข็งดังเดิม
โครงเรื่ อ งประวัติ ศ าสตร์ ช าติ ไ ม่ ไ ด้ผูก ติ ด อยู่ เ ฉพาะกษัต ริ ย ์แ ละราชวงศ์อี ก ต่ อ ไป
แต่กระจายลงไปในกลุ่มปั ญญาชนและข้าราชการ เค้าโครงเรื่ องประวัติศาสตร์ ชาติที่ให้ความสําคัญ
ในเรื่ องถิ่นกําเนิ ดและการอพยพของชนชาติไทยไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง การสื บทอดแนวความคิด
ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพยังคงเกิ ดขึ้นอย่างต่อเนื่ อง เพียงแต่เปลี่ยนจุดศูนย์กลาง
แห่ งประวัติศาสตร์ จากการเน้นเอกภาพภายใต้ก ษัตริ ยแ์ ละเมื องหลวง มาเป็ นความรุ่ งเรื องและ
ความยิง่ ใหญ่อย่างต่อเนื่องของรัฐไทย 45
นอกไปจากการเขียนถึงความยิ่งใหญ่ของชาติไทยแล้ว ยังมีความพยายามอ้างความเป็ น
เจ้าของสิ่ งต่าง ๆ ในแหลมอินโดจีน ขึ้นไปจนถึงบริ เวณที่เชื่ อว่าเป็ นถิ่นฐานของไทยในจีน ว่าเป็ นของ
ชนชาติไทยไปเสี ยทั้งหมด46 นโยบายของรัฐบาล หรื ออาจจะกล่าวได้ว่าอิทธิ พลจากกระแสการเมือง
ของโลกก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทาํ ให้ความรู ้สึกชาตินิยมคุกรุ่ นเป็ นวงกว้าง ส่ งผลต่อการ
43
“ผูน้ าํ ระบอบเก่า” คือกลุ่มคนที่สืบเชื้ อสายจากราชวงศ์หรื อขุนนางระดับสู ง มีอาํ นาจหน้าที่ในการ
บริ หารประเทศหรื อเป็ นข้าราชการโดยผ่านระบบอุปถัมภ์ “ผูน้ าํ ระบอบใหม่” คือ กลุ่มคนที่ได้รับการศึกษาจาก
ต่างประเทศและเห็ นการเปลี่ยนแปลงทางการเมื องในประเทศต่าง ๆ และไม่พอใจกับระบบอุปถัมภ์ของไทย
ที่ปิดกั้นโอกาสชนชั้นกลาง, ผูว้ ิจยั . การขัดแย้งทางความคิดการเมืองของสองกลุ่ม เป็ นหนึ่ งในสาเหตุของการ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ดูรายละเอียดใน, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2475 : การปฏิวตั ิของสยาม 1932
Revolution in Siam, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพฯ : มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ , 2543).
44
ราม วัชรประดิษฐ์, “พัฒนาการของประวัติศาสตร์ ชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478”, 101.
45
ยุพา ชุมจันทร์ , “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 83.
46
เรื่ องเดียวกัน, 87.
25
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
แนวโน้ม การค้น คว้า เพื่ ออธิ บายเรื่ อ งของชาติ ไ ทยที่ ย งั คงยืน ยัน ถึ ง ความเกรี ย งไกร
ส
อันยาวนานนั้น ยังคงผลิ ตออกมาอย่างต่ อเนื่ อง “เรื่ องของชาติ ไทย” โดยพระยาอนุ มานราชธน
ใน ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2483) เป็ นอีกงานหนึ่งที่ผลิตออกมาเพื่อกล่าวถึงความเป็ นมาและความรุ่ งเรื อง
อันยาวนานของชนชาติไทยนับแต่อยูใ่ นจีน หนังสื อใช้ตาํ นานหรื อหลักพื้นเมืองเป็ นข้อมูลในการเขียน
นับว่าเป็ นการศึกษาตํานานที่สาํ คัญอีกชิ้นหนึ่ งในประวัติศาสตร์ นิพนธ์ไทย 48 “เรื่ องของชาติไทย”
เล่าถึงแผ่นดินผืนใหญ่ที่ “เป็ นของไทย” อันประกอบด้วยล้านนาไทยตอนเหนื อแถวเชียงแสน แผ่นดิน
ตอนใต้ของยูนนาน ซึ่ งรวมแคว้นสิ บสองปั นนาเข้าด้วยแคว้นฉานใต้ แคว้นสิ บสองจุ ไทย และ
หลวงพระบางสําหรั บเมื องแรกที่ มาสร้ างนั้น อยู่ใ นอาณาจัก รล้านนา ซึ่ ง ถื อ เป็ นอาณาจัก รแรก
ของไทยในดินแดนประเทศไทย 49
เป็ นไปไม่ ได้เลยที่ เมื่ อศึ กษางานเขี ยนประวัติ ศาสตร์ แบบชาติ นิ ยมแล้วจะไม่ กล่ าวถึ ง
หลวงวิจิตรวาทการ ผูท้ ี่มีแนวคิดชาตินิยมเด่นชัด เข้ากันได้ดีกบั การสร้างชาติไทยให้เป็ นมหาอํานาจ
ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และบูรณาการชาติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
“ข้าพเจ้าเป็ นชาตินิยมจริ ง ๆ ข้าพเจ้าเป็ นชาตินิยมมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยังเป็ น
ชาตินิยมเมื่อถูกจับขังฟ้ องร้องในตอนสิ้ นสุ ดสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังเป็ นชาตินิยมอยูม่ าจนถึง
ทุกวันนี้ ไม่มีโทษทัณฑ์หรื อวิถีทางใด ๆ จะมาเปลี่ยนข้าพเจ้าเป็ นอย่างอื่นนอกจากชาตินิยมได้” 50
47
กอบเกื้อ สุ วรรณทัต-เพียร, “การเขียนประวัติศาสตร์ แบบชาตินิยม : พิจารณาหลวงวิจิตรวาทการ,”
วารสารธรรมศาสตร์ 6,1 (2519) : 152.
48
นิ ธิ เอียวศรี วงศ์, “200 ปี ของการศึกษาประวัติศาสตร์ ไทยและทางข้างหน้า,” ศิลปวัฒนธรรม 7,4
(กุมภาพันธ์ 2529) : 115.
49
เสถียรโกเศศ, เรื่ องของชาติไทย (ธนบุรี : บรรณาคาร, 2515), 229-235.
50
หลวงวิจิตรวาทการ, รวมปาฐกถา (กรุ งเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, 2504), 233 กล่าวถึงใน ราม
วัชรประดิษฐ์, “พัฒนาการของประวัติศาสตร์ชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478”, 203.
26
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ภาพที่ 5 หลวงวิจิตรวาทการ นักประวัติศาสตร์ชาตินิยมคนสําคัญ
ที่มา : ประวัติและผลงานของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 19 มีนาคม 2554.
เข้าถึงได้จาก http://www.thaidances.com/vijitvatakran/index1.asp
51
ยุพา ชุมจันทร์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 106.
52
อัจฉราพร กมุทพิสมัย, “แนวการเขียนประวัติศาสตร์ ของหลวงวิจิตรวาทการ,” ใน ประวัติศาสตร์
และนักประวัติศาสตร์ ไทย, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และสุ ชาติ สวัสดิ์ศรี , บรรณาธิ การ (กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเฌศ ,
2519), 270.
53
หลวงวิจิตรวาทการ, ประวัติศาสตร์สากล, เล่ม 1 (พระนคร : โรงพิมพ์วริ ิ ยานุภาพ, 2473), คํานํา.
27
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ทางการเมืองเป็ นสําคัญ การสร้าง “ความเป็ นไทย” ของหลวงวิจิตรวาทการเป็ นไปในรู ปแบบของ
ส
การค้นหาและจรรโลง “ความเป็ นไทย” อันดีงามที่เคยมีมาในอดีต 55
พัฒนาการของการเขียนประวัติศาสตร์ 56 นั้นมีจุดมุ่งหมายของการผลิตแตกต่างกันไป
ตามวาระของเหตุการณ์ ในแต่ละช่ วงเวลา บริ บทแวดล้อมทางสังคมไทยมี อิทธิ พลสําคัญต่อรู ปแบบ
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ และนี้เองที่ทาํ ให้ประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบพงศาวดารที่นิยมมาต้องปรับ
รู ปแบบสู่ การนิ พนธ์ประวัติศาสตร์ แบบพงศาวดารใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับความจําเป็ นที่เกิ ดขึ้น
ในขณะนั้น ซึ่ งการนิ พนธ์ประวัติศาสตร์ ในรู ปแบบของประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบพงศาวดารใหม่
ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกนี้ เป็ นฐานสําคัญของงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ที่พฒั นาเข้าสู่ รูปแบบ
ของประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบชาตินิยม ที่เป็ นกระแสหลักของสังคมไทยจนปั จจุบนั
1.2 พัฒนาการของงานเขียนประวัติศาสตร์ ไทยช่ วงสมัยการสร้ างชาติ
สําหรับหัวข้อวิจยั นี้ได้กาํ หนด “ช่วงสมัยการสร้างชาติ”โดยอาศัยรู ปแบบและวัตถุประสงค์
ของงานเขียนทางประวัติศาสตร์เป็ นตัวกําหนดสําคัญ จึงแบ่งระยะเวลาของงานเขียนจากช่วงการผลิต
ประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบพงศาวดารสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึง การผลิตงานเขียนทาง
ประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม (ค.ศ.1932 (พ.ศ. 2475) – สงครามโลกครั้งที่ 2)
54
ยุพา ชุมจันทร์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 112.
55
สายชล สั ต ยานุ รั ก ษ์, ความเปลี่ ย นแปลงในการสร้ า ง “ชาติ ไ ทย” และ “ความเป็ นไทย” โดย
หลวงวิจิตรวาทการ (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2545), 120.
56
รู ปแบบของประวัติศาสตร์ นิพนธ์ พบว่ามีจารี ตทางประวัติศาสตร์ นิพนธ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน
พัฒนาขึ้นมา 5 รู ปแบบ ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบพงศาวดาร, ประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบพงศาวดารใหม่,
ประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบชาตินิยม, ประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบมาร์ กซิ สต์ และประวัติศาสตร์ นิพนธ์แบบวิชาการ
จัดแบ่งโดยใช้การเปลี่ยนแปลงของรู ปแบบ และวัตถุประสงค์ของงานเขียนทางประวัติศาสตร์ เป็ นเกณฑ์สําคัญ,
ดูรายละเอียดใน สมเกียรติ วันทะนะ, “สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย,”.
28
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในการวางโครงเรื่ อง “หลักไทย” ของขุนวิจิตรมาตรา งานเขียนทางประวัติศาสตร์ รูปแบบนี้ พยายาม
ส
ก่อให้เกิดสํานึ กของการอยูร่ วมกันและความเป็ นอันหนึ่ งอันเดียวของรัฐ ก่อนที่จะพัฒนารู ปแบบ
การเขียนงานเข้าสู่ ประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบชาตินิยม
ช่วง ค.ศ.1932 - สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็ นช่วงเวลาปรากฏงานเขียนทางประวัติศาสตร์
แบบชาตินิยม ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ในระยะนี้ ให้ความสําคัญกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย ์ และ
รัฐธรรมนูญ และประเด็นที่ได้รับการเน้นเป็ นพิเศษจนบดบังประเด็นอื่น ๆ คือ “ชาติ” หลวงวิจิตรวาทการ
มีบทบาทโดดเด่นในการเพิ่มอรรถรสของการผลิตงานเพื่อสร้างภาพของรัฐชาตินิยมอย่างเข้มข้น
เป็ นการให้ภาพเพื่อให้คนในสังคมปฏิบตั ิตาม หลวงวิจิตรวาทการ ได้สร้างนิ ยาม “ชาติไทย” และ
“ความเป็ นไทย” อย่างจริ งจังนับแต่ทศวรรษ 1930 (2470) จนถึงกลางทศวรรษ 1960 (2500) 57
โดยพัฒนาการงานเขียนประวัติศาสตร์ของท่านให้เหมาะสมกับยุคสมัยของการเมือง
ในระยะแรกคือหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงคริ สตศักราช 1957 (พุทธศักราช
2500) ประวัติศาสตร์ของ หลวงวิจิตรวาทการ ตอบสนองนโยบายของ จอมพล ป. พิบูลสงครามโดย
การเน้นหนักถึ งความสําคัญและหน้าที่ของคนไทยที่ตอ้ งรั กชาติ และภักดี ต่อท่านผูน้ าํ และเมื่ อ
เข้าร่ วมงานกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ “ชาตินิยม” ของ หลวงวิจิตรวาทการ ได้พฒั นาความรักชาติ
เข้ากับการต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามกระแสการเมืองในขณะนั้น โดยอาศัยสถานภาพทางสังคมที่ได้มา
จากตํา แหน่ ง ต่ า ง ๆ ที่ ด าํ รงอยู่ใ นขณะนั้น เป็ นเครื่ องมื อในการเผยแพร่ ความคิ ด เรื่ องชาติ นิ ย ม
ผ่านระบบการศึกษา ข้อคิดผลงานที่ตีพิมพ์และที่แสดงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสี ยงมีผลช่วยสร้าง
สํานึกของคนไทยในเรื่ องของชาติและบทบาทที่พึงมีต่อชาติไทย 58
57
สายชล สัตยานุ รักษ์, ความเปลี่ยนแปลงในการสร้าง “ชาติไทย” และ “ความเป็ นไทย” โดยหลวง
วิจิตรวาทการ, 22.
58
ยุพา ชุมจันทร์ , “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516”, 106.
29
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
สิ่ งหนึ่ งที่ประวัติศาสตร์ ชาตินิยมได้สร้างไว้และยังคงหลงเหลือมาจนปั จจุบนั คือ การศึกษา
ประวัติศาสตร์ แบบมีอคติ เป็ นการศึกษาประวัติศาสตร์จากการมองมุมเดียว สร้างทัศนคติระหว่างไทย
กับเพื่อนร่ วมภูมิภาคที่เน้นถึงความยิ่งใหญ่ ความสําคัญ ความเหนื อกว่าในพัฒนาการทุกด้านของ
ไทย และการดูถูกเหยียดหยามชาติเพื่อนบ้านด้วยการเชิญชวนให้พิจารณาประวัติศาสตร์ ไทยและ
เพื่อนบ้านแบบบิ ดเบื อนข้อเท็จจริ ง เพื่อจรรโลงไว้ซ่ ึ งความเหนื อกว่าของไทยซึ่ งความเข้าใจผิด
เกี่ยวกับประเทศเหล่านั้นมีผลต่อมติมหาชนไทยและการดําเนินนโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาด 61
59
กอบเกื้อ สุ วรรณทัต-เพียร, “การเขียนประวัติศาสตร์ แบบชาตินิยม : พิจารณาหลวงวิจิตรวาทการ,”
วารสารธรรมศาสตร์ 6,1 (2519) : 158-159.
60
เรื่ องเดียวกัน, 163.
61
เรื่ องเดียวกัน.
30
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
จึงเป็ นคําตอบที่ดีที่สุดสําหรับการสร้างชาติโดยปลูกสํานึกและความรู ้สึกชาตินิยมให้ผคู ้ น
ส
นับแต่ช่วงรั ชกาลที่ 4 รั ชกาลที่ 5 เค้าโครงการเขียนงานประวัติศาสตร์ ที่เรี ยกว่า
ประวัติศาสตร์กระแสหลัก หรื อประวัติศาสตร์ “ทางการ” ก่อตัวขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้าง “รัฐชาติ”
ฉะนั้นประวัติศาสตร์ กบั การสร้างรัฐชาติจึงสัมพันธ์กนั อย่างแยกไม่ออก 64 การเขียนประวัติศาสตร์
ไทยมีพฒั นาการอย่างเป็ นลําดับตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมตลอดเวลา แต่ถึงการเปลี่ยนแปลง
แต่ละช่วงสมัยที่ผา่ นเข้ามาในสังคมจะทวีอิทธิพลมากน้อยเพียงใดก็ตาม ประวัติศาสตร์กระแสหลัก
ที่ยงั คงมีอิทธิ พลอยู่ในสังคมไทยอย่างเห็ นได้ชัดคือ การเขียนประวัติศาสตร์ ที่เน้นจุดศูนย์กลาง
ภายใต้ร่มฉัตรและความเป็ นรัฐชาติที่ก่อกระแสชาตินิยม
จะเห็ นได้ว่าพัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของไทยที่เกิ ดขึ้นในช่ วงแห่ งการ
สร้ า งชาติ ของรั ฐ ล้ว นแล้ว แต่ ช้ ี ให้ เ ห็ น ที่ ม าของชนชาติ และความยิ่ ง ใหญ่ ท างเผ่า พัน ธุ์ ภ ายใต้
ร่ มพระบรมโพธิ สมภาร งานเขียนช่ วงนี้ สร้ างสํานึ กให้เราเห็ นว่า ไทย คือชนชาติโบราณที่มีความ
เป็ นมาที่ ย่ิงใหญ่ภายใต้ผูน้ าํ ที่ แข็งแกร่ งมี ปรี ชาสามารถรวบรวมไทยให้เป็ นปึ กแผ่น จนบางเวลา
แผ่อิทธิพลครองอํานาจเหนือรัฐโดยรอบ เป็ นการนําความรู ้สึก “เหนือกว่า” เข้ามาในมโนสํานึ กของ
ชาวไทย จุ ดนี้ อาจถือได้ว่าความรู ้ สึก “เหนื อกว่า” ประเทศเพื่อนบ้านให้กลายเป็ นความรู ้ สึก
ที่ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของการสร้างชาติในช่วงเวลานั้น
62
สายชล สัตยานุ รักษ์, สมเด็จฯกรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ การสร้างอัตลักษณ์ “เมืองไทย” และ
“ชั้น” ของชาวสยาม, 86.
63
เบน แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกําเนิดและการแพร่ ขยายของชาตินิยม, ชาญ
วิทย์ เกษตรศิริ, บรรณาธิการแปล (กรุ งเทพฯ : มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552).
64
โสภา ชานะมูล, “ชาติไทย” ในทัศนะปัญญาชนหัวก้าวหน้า (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2550), 4.
31
2. งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาว
ลาวคืออีกหนึ่งประเทศที่ต้ งั อยูบ่ นภาคพื้นทวีปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีท้ งั พื้นฐาน
ทางภาษา วัฒนธรรมและชาติ พนั ธุ์ใกล้เคี ยงกับประเทศไทย ลาวอยู่ในกระแสความรั บรู ้ ของคน
ในสังคมไทยมายาวนานจนกลายเป็ นความคุน้ ชินในฐานะมิตรประเทศ แม้ว่าชนชาติลาวจะมีประวัติ
ความเป็ นมาควบคู่มากับชนชาติไท หากแต่เทียบกับเอกสารของฝ่ ายไทยแล้วเอกสารของลาวโบราณ
นั้นหายาก65 เพราะนับแต่รัชสมัยพระเจ้าฟ้ างุ่มสิ้ นสุ ดลง ราชอาณาจักรล้านช้างมีเหตุขดั แย้งภายใน
จนแตกออกเป็ นสามอาณาจักรในปี ค.ศ. 1698 (พ.ศ. 2201)66 อันประกอบด้วย จําปาศักดิ์ หลวงพระบาง
และเวียงจันทน์ ไม่นานจากนั้นก็ตกเป็ นประเทศราชแก่สยามใน ค.ศ.1779 (พ.ศ. 2322) 67 หัวเมือง
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ลาวฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ าํ โขงตกอยูใ่ ต้พระราชอํานาจของพระเจ้ากรุ งธนบุรี จนถึงปี 1893 (พ.ศ.
ำ
ส
2436) รวมระยะเวลา 114 ปี แล้วตกเป็ นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอีก 60 ปี ถึง ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496)
แล้วตกเป็ นหัวเมืองขึ้นแบบใหม่ 68 ของจักรวรรดิ อเมริ กาอีก 22 ปี จึงถูกปลดปล่อยเป็ นเอกราช
สมบูรณ์ 69 และด้วยเหตุที่ลาวตกอยู่ใต้อาํ นาจต่างชาตินานหลายศตวรรษนี้ เอง หลักฐานตลอดจน
65
ดารารั ตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขี ยนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราช ค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,” ในโคลนไม่ติดล้อคนไม่ติดกรอบ (กรุ งเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545), 331.
66
สิ ลา วีระวงศ์, ประวัติศาสตร์ ลาว, แปลโดย สมหมาย เปรมจิตต์ (เชียงใหม่ : สถาบันวิจยั สังคม.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2535), 87.
67
เรื่ องเดียวกัน, 96.
68
จักรวรรดินิยมแบบใหม่ คือการให้ความช่วยเหลือในรู ปแบบของเงินทุนงบประมาณหรื อกองกําลัง
เสมื อนเป็ นที่ปรึ กษามีส่วนช่วยในการตัดสิ นใจหรื อวางแผนการภายในประเทศ ซึ่ งแตกต่างกับจักรวรรดิ นิยม
แบบเก่าที่จะเข้ากุมอํานาจบริ หารและการจัดการภายในเบ็ดเสร็ จ, ผูว้ ิจยั . ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกตก
อยู่ ใ นสภาวะสงครามเย็น การเมื อ งโลกแบ่ ง เป็ นสองฝ่ ายคื อ ระบบคอมมิ ว นิ ส ต์ แ ละเสรี ประชาธิ ป ไตย
สหรัฐอเมริ กามีบทบาทโดดเด่นในฐานะมหาอํานาจและตัวแทนประเทศฝ่ ายเสรี ประชาธิ ปไตย รัฐบาลอเมริ กนั
เชื่อมัน่ ในระบบการปกครองระบบเสรี ประชาธิ ปไตยและเศรษฐกิจในรู ปแบบทุนนิ ยมว่าเป็ นสิ่ งที่ดีที่สุด และถือ
เป็ นภาระที่จะนําพาแนวคิดทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจเหล่านี้เผยแผ่ไปทัว่ โลก รัฐบาลอเมริ กาเริ่ มสนับสนุน
รัฐบาลราชอาณาจักรลาวในปลาย ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) ในรู ปแบบของการสนับสนุ นด้านเงิ นทุนและ
งบประมาณต่ า ง ๆ เพื่ อ หวัง ให้ล าวเป็ นหลัก ในการต่ อ ต้า นระบบคอมมิ ว นิ ส ต์ใ นเอเชี ย ตะวัน ออกเฉี ย งใต้,
ดูรายละเอียดใน, แกรนท์ อีแวนส์ , ประวัติศาสตร์ สังเขปประเทศลาว ประเทศกลางแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์,
แปลโดย ดุษฎี เฮย์มอนด์ (เชียงใหม่ : สํานักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2549).
69
บุนมี เทบสี เมื อง, ความเป็ นมาของชนชาติลาว เล่ม 1 การตั้งถิ่นฐานและการสถาปนาอาณาจักร,
แปลโดยไผท ภูธา (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์สุขภาพใจ, 2553), 7.
32
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ได้แสดงทัศนะว่า “บางตํานานเขียนไว้ในใบลาน ก็มกั เป็ นการคัดลอกขึ้นมาใหม่ซ่ ึ งข้อความบางแห่ ง
ส
ก็ตกหล่นขาดหายไป หรื อบิดเบือนเนื้ อหาข้อความที่เป็ นจริ ง ด้วยเหตุว่า เป็ นข้อมูลที่ถูกคนชาติอื่น
ปล้นสะดมไปแล้วแก้ไขปรับปรุ งใหม่ตามอัชฌาศัยของพวกขา” 72
70
Mayoury and Pheuiphanh Ngaosyvathn, “Lao Historiography and Historians: Case Study of
the War Between Bangkok and the Lao in 1827,” in Journal of Southeast Asian Studies, XX, I [March 1989] : 57.
71
Ibid.
72
บุนมี เทบสี เมือง, ความเป็ นมาของชนชาติลาว เล่ม 1 การตั้งถิ่นฐานและการสถาปนาอาณาจักร, 7.
73
มะยุรี และเผยพัน เหงาสี วฒั น์, (ม.ป.ท., 1988), 12-13. กล่าวถึงในดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์,
“งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของลาวสมัยได้รับเอกราช ค.ศ.1945จนถึงปัจจุบนั ,”, 331.
33
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
แม้ว่ า ช่ ว งแห่ ง การสร้ างชาติ ร ะหว่ างไทยกับลาวจะมี ระยะเวลาต่ างกัน แต่ ก ลับใช้
ส
ประวัติ ศาสตร์ ใ นฐานะเครื่ อ งมื อ สํา คัญ ของการสร้ า งชาติ อ ัน เป็ นที่ ม าแห่ ง ความรู ้ สึ ก ชาติ นิ ย ม
ที่หล่อหลอมให้คนในสังคมรักแผ่นดินที่ยนื อยูเ่ ช่นเดียวกัน
2.1 พัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาว
ในทางการเมือง ลาวเปลี่ยนระบอบการปกครองในหลายขั้วอํานาจ และยังมีช่วงเวลา
ที่ต่างชาติผลัดกันเข้ามามีอาํ นาจในลาวอย่างต่อเนื่ อง การศึกษาในหัวข้อนี้ จะศึกษาพัฒนาการของ
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาว โดยจะไม่กล่าวถึงบรรยากาศทางการเมืองหรื อขั้วอํานาจต่าง ๆ
ที่ผลัดกันขึ้นมามีอิทธิพลทางการเมือง ส่ วนเรื่ องการจัดแบ่งช่วงเวลาและการจัดลําดับของงานเขียน
ทางประวัติศาสตร์ ลาวนั้นได้มีผ◌ู ◌้ทาํ วิจยั ไว้บา้ งแล้ว คือ กิติรัตน์ สี หบัณท์ และดารารัตน์ เมตตาริ กา
นนท์ โดยภาพรวมของงานค้นคว้า ทั้งสองท่านได้จดั แบ่งลําดับช่วงเวลาและพัฒนาการของงานเขียน
ทางประวัติศาสตร์ลาวออกเป็ นช่วง ๆ 77 โดยจัดลําดับตามระยะเวลา ดังนี้
74
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์ ,” ใน จักรวาลวิทยา, ธเนศ วงศ์
ยานนาวา, บรรณาธิการ (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2549), 22.
75
สุ เนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ, ทัศนคติเหยียดหยามเพื่อนบ้านผ่านแบบเรี ยน ชาตินิยมในแบบเรี ยน
ไทย (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2552), 68.
76
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์,” 22.
77
ในหัวข้อนี้ จะไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดทั้งหมด จะหยิบยกภาพรวมของพัฒนาการงานเขียนทาง
ประวัติศาสตร์ ลาวและยกตัวอย่างงานสําคัญ ๆ ของแต่ละช่ วงเท่านั้น หากสนใจดูรายละเอียดเพิ่มใน กิ ติรัตน์
สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปั จจุบนั )” (วิทยานิพนธ์ดุษฎีบณ
ั ฑิต สาขาวิชาไทศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549) ; และ ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์
ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945จนถึงปัจจุบนั ,”.
34
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
จนกระทัง่ ก่ อน ค.ศ. 1945 ก่ อนที่ลาวจะได้รับเอกราชจากฝรั่ งเศส จากการสํารวจงานเขี ยน
ำ
ส
ทางประวัติศาสตร์ ของลาวในช่วงก่อนได้รับเอกราช พบว่า เหลือตกทอดมาถึงปั จจุบนั น้อยมาก 79
เนื่องจากข้อจํากัดของใบลานและการผลัดเปลี่ยนขึ้นมีอาํ นาจของบรรดาเจ้าอาณานิคมต่าง ๆ ในลาว
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผูป้ ระพันธ์ส่วนใหญ่ในยุคนี้ ได้แก่ นักปราชญ์ ราชบัณฑิตลาว พระสงฆ์
ที่มีความรู ้ ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริ ย ์ ดังนั้นประวัติศาสตร์ ที่ถูกสร้ างขึ้นจึ งเป็ นเรื่ องราวเกี่ ยวกับ
สถาบัน พระมหากษัต ริ ย ์ บทบาทของพระมหากษัต ริ ย ์ใ นการทํา นุ บ าํ รุ ง บ้า นเมื อ ง ทํา นุ บ าํ รุ ง
พระพุทธศาสนา ตลอดจนการทําสงครามเพื่อเพิ่มความมัน่ คงของอาณาจักรและการขยายดินแดน
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวยุคนี้ส่วนใหญ่นิยมจารเหตุการณ์ไว้ในใบลาน 80
78
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 2.
79
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราช ค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,”, 331.
80
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 2.
81
อักษรธรรม หมายถึง อักษรที่มีรูปแบบคล้ายๆ อักษรเมือง ตัวเมือง หรื ออักษรลานนาไทยที่ใช้กนั
อยูใ่ นภาคเหนื อ, ธวัช ปุณโณทก, เอกสารพื้นเวียง. บันทึกประวัติศาสตร์ ของปราชญ์ชาวอีสาน, เอกสารประกอบ
การสัมมนาประวัติศาสตร์อีสาน, (16 – 18 พฤศจิกายน 2521), มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ มหาสารคาม.
35
“พื้นขุนบรม” ซึ่ งถื อ ว่าเป็ นบันทึ กประวัติศาสตร์ ที่สําคัญชิ้ นหนึ่ งในการทําความเข้าใจเกี่ ยวกับ
ประวัติศาสตร์ลาว 82
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ของลาว 85 เขี ยนขึ้ นภายใต้ว ัฒนธรรมการเขี ยนประวัติ ศาสตร์ แ บบดั้ง เดิ ม ก่ อ นการรั บ อิ ท ธิ พ ล
ส
ประวัติ ศ าสตร์ แ บบตะวัน ตกที่ เ น้น การให้ค วามสํา คัญ ในการค้น หาหลัก ฐานการวิ จ ารณ์ แ ละ
การตรวจหลักฐาน 86 เนื้ อหาทุกฉบับล้วนกล่าวถึงขุนบรมในฐานะต้นวงศ์แห่ งกษัตริ ยล์ าว และยัง
กล่าวถึงพระราชวงศ์ พระราชสํานัก พระราชกรณี ยกิจของกษัตริ ยใ์ นอาณาจักรล้านช้าง โดยสรุ ป
แล้วงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวในช่วงนี้ จะเน้นการเขียนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริ ยข์ องลาว
เป็ นหลักและยึดแนวการเขียนประวัติศาสตร์แบบพงศาวดารอันได้แบบอย่างมาจากไทย 87
2.1.2 ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ลาวสมัยราชอาณาจักร
พัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ลาวช่วงที่สองคือ ค.ศ. 1945-1975 ประวัติศาสตร์
นิพนธ์ลาวสมัยราชอาณาจักร88 ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้บรรยากาศการเมือง
82
ดารารั ตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขี ยนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราช ค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,”, 331.
83
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ ลาวหลายมิติ (กรุ งเทพฯ : ด่านสุ ทธาการพิมพ์, 2548),
102.
84
นาตยา ภูศรี , “หมิงสื อลู่ในฐานะหลักฐานประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับลาว,” ใน ไผ่แตกกอ, เพชรรุ่ ง เทียน
ปิ๋ วโรจน์ และณัฐพล อยูร่ ุ่ งเรื องศักดิ์, บรรณาธิการ (กรุ งเทพฯ : ศักดิ์โสภาการพิมพ์, 2552), 8-9.
85
Souneth Phothisane, “The Nidan Khun Borom : Annotate Translation and Analysis,” [Ph.D.
dissertation, The University of Queensland, 1996], 29.
86
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “ 2519, “วิวฒั นาการการเขียนประวัติศาสตร์ ไทย,” ใน ประวัติศาสตร์ และ
นักประวัติศาสตร์ ไทย (กรุ งเทพฯ : ประพันธ์สาส์น , 2519), 66 ; และ Souneth Phothisane, “The Nidan Khun
Borom: Annotate Translation and Analysis,”, 29. กล่าวถึงในกิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ลาว
สมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 28.
87
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ปั จจุบนั ,”, 333.
88
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 2.
36
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก
เมตตาริ กานนท์ ได้จดั แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
ลาง
ส
ประเภทที่ 1 งานเขียนเกี่ยวกับประวัติบุคคลสําคัญ งานเขียนประเภทนี้ ของลาวในช่วงนี้
ยังมี ไม่ มากนัก แต่ ที่ สํา คัญ คื อ งานของท้า วอุ่ น คํา ชนะนิ ก ร หรื อ ท้า วอุ่ น ตี น เย็น ที่ เ ขี ย นเรื่ อ ง
“ความหลัง อัตชีวประวัติของท้าวอุ่น ชนะนิกร” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) แปลเป็ น
ภาษาไทยใน ค.ศ.1976 (พ.ศ. 2519) และแปลเป็ นภาษาอังกฤษโดยโครงการเอเชี ยอาคเนย์
มหาวิทยาลัยคอร์ แนลใน ค.ศ.1975 (พ.ศ. 2518) เนื้ อหาในเล่มส่ วนใหญ่เน้นการเคลื่อนไหวต่อสู ้เพื่อ
เอกราชในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและลาว งานเขียนเล่มนี้
ท้าวอุ่นตั้งจุดมุ่งหมายไว้หลายข้อที่สาํ คัญคือ
89
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ปั จจุบนั ,”, 333.
90
เรื่ องเดียวกัน, 334.
91
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 2.
92
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ปั จจุบนั ,”, 335.
37
นอกจากนี้ ยังมี งานของ เจ้าคําหมั้น วงกตรั ตนะ เรื่ อง “พระราชประวัติ วงศ์ว งั หน้า
ราชตระกูลเจ้าอุปราชอุ่นแก้ว” ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514) เป็ นงานที่เขียนขึ้นเพื่อ “ถวายแด่
เจ้านายในตระกูลวังหน้า” 93
ประเภทที่ 2 พงศาวดารและหนังสื อประวัติศาสตร์ พบว่าผลิตออกมามากในช่วงเวลานี้
เนื่ องจากเป็ นช่ วงเวลาหลังได้รับเอกราช ในช่ วงเวลานั้นภายในลาวเกิ ดความแตกแยกความคิด
ทางการเมืองเกิดการแบ่งขั้วอํานาจ จึงเกิดงานเขียนมากมายขึ้นเพื่อรองรับความเป็ นชาติและสร้าง
ความรู ้สึกร่ วมสนองต่อความจําเป็ นที่ตอ้ งการให้คนในชาติเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ ถือเป็ นช่วงเวลาแห่ งการสร้างชาติของลาว ถือเป็ นช่วงหนึ่งที่สาํ คัญ
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ยิ่งที่นักประวัติศาสตร์ ลาวได้สร้างประวัติศาสตร์ ลาวขึ้นมาเป็ นจํานวนมาก 94 เพื่อสนองต่อความ
ส
จํา เป็ นเร่ ง ด่ ว นในการสร้ า งชุ ด ความคิ ด ให้ก ับ คนในสั ง คมที่ เ พิ่ ง หลุ ด พ้น จากการครอบงํา ทาง
การเมืองจากต่างชาติ จึงต้องมีแกนกลางทางความคิดที่เป็ นมติแห่ งรัฐในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่าน
ทางสังคมและการเมืองที่กาํ ลังคุกรุ่ น
งานเขี ยนชิ้ นสําคัญที่ปรากฏคือ “พงศาวดารลาว” ของมหาสิ ลา วีระวงส์ ซึ่ งถื อเป็ น
ปราชญ์คนสําคัญของลาวที่มีช่วงชีวิตผูกพันกับประเทศไทยตั้งแต่เกิดและเริ่ มต้นศึกษา เดินทางไปมา
ระหว่างไทยและลาว และที่สาํ คัญคือมีโอกาสทํางานอยูใ่ นหอสมุดแห่ งชาติของไทยซึ่ งเป็ นสถานที่
ที่ท่านได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนํามาเป็ นฐานข้อมูลในการเขียนงานสําคัญ ๆ หลายเล่มด้วยกัน
โดยเฉพาะอย่างยิง่ “พงศาวดารลาว”95
มหาสิ ลา วีระวงส์ ใช้ชีวิตอยูใ่ นประเทศไทย ทั้งขณะบวชเรี ยน และช่วงที่ล้ ีภยั ทางการเมือง
กลับมาในประเทศไทยช่ วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีส่วนที่ได้รับอิทธิ พลทางความคิดจากงาน
วิชาการไทยจึงทําให้ “ประเพณี และวิถีชีวิตของลาวที่หนองแส ที่ปรากฏในหนังสื อ พงสาวะดานลาว นั้น
ดูเหมือนว่าจะหยิบยืมมาจากเรื่ องเดี ยวกันในงานเขียนของเสฐี ยรโกเศศและอันที่จริ งกล่าวได้ว่า
ประวัติศาสตร์ก่อนหน้าสมัยอาณาจักรล้านช้างในหนังสื อพงสาวะดานลาวนั้นก็คือ เรื่ องเดียวกันกับ
ประวัติศาสตร์ ยุคก่ อนหน้ากรุ งสุ โขทัยในพระนิ พนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ
ในงานเขี ย นของของขุ น วิ จิ ต รมาตรา หลวงวิ จิ ต รวาทการ และเสถี ย รโกเศศ ความแตกต่ า ง
93
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ปั จจุบนั ,”, 335.
94
เรื่ องเดียวกัน, 336.
95
ศึกษารายละเอียดใน, มะหาสิ ลา วีระวงส์ ชีวิต ผูข่ า้ My life อัดตะชีวะปวัด, คํากอนพุททะทํานาย
16 ข้อ และกอนลําชุมปี 2487 (นะคอนหลวงเวียงจัน : มันทาตุราด, 2547).
38
เพีย งประการเดี ย ว อยู่ที่ค าํ ว่ า “ลาว” และ “ไทย” ที่ สามารถสลับ ที่ เปลี่ ย นแปลงไปตามบริ บ ท
ที่ควรจะเป็ นเท่านั้น” 96
“พงศาวดารลาว” ของมหาสิ ลา วีระวงส์ นั้น กระทรวงศึกษาธิ การตีพิมพ์ใน ค.ศ.1957
(พ.ศ. 2500) นับจากลาวได้เ อกราชคื น จากฝรั่ ง เศสเพีย ง 4 ปี เท่ านั้น 97 นับแต่ น้ ันเป็ นต้นมา
“พงศาวดารลาว” จัด เป็ นหนัง สื อ ประวัติ ศ าสตร์ ล าวในภาษาลาวที่ ส มบู ร ณ์ ที่ สุ ด เท่ า ที่ ค นลาว
พึงสามารถหามาอ่ านได้ และนอกจากนี้ ยงั กลายเป็ นหนังสื ออ้างอิ งมาตรฐานที่นักศึ กษาต่างชาติ
ใช้สาํ หรับศึกษาประวัติศาสตร์ลาว 98
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
$ ส
96
ฉลอง สุ น ทราวาณิ ชย์. “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ล า วีร ะวงส์ , ” ใน จักรวาลวิท ยา, ธเนศ
วงศ์ยานนาวา, บรรณาธิการ (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2549), 26 – 27.
97
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ, 103.
98
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์,”, 4-5.
39
เนื้ อหาของ “พงศาวดารลาว” แบ่ งเป็ น 7 บท บทที่ 1 เป็ นเรื่ องของภู มิประเทศ
มนุษยชาติโบราณในแหลมอินโดจีน บทที่ 2 กําเนิ ดชาติลาว กําเนิ ดคําว่าลาว ความหมายของคําว่าลาว
บทที่ 3 อาณาจักรเดิมของลาว บทที่ 4 อาณาจักรหนองแสหรื อน่ านเจ้า ขุนบรมราชาธิ ราชทรงตั้ง
เมืองเกาหลงหรื อหรื อเมืองแถน บทที่ 5 ราชอาณาจักรลาวล้านช้างเริ่ มรัชกาลพระเจ้าฟ้ างุ่ม จนถึง
รัชกาลพระเจ้าสุ ริยวงศาธรรมิกราช บทที่ 6 ประเทศลาวแบ่งเป็ น 3 อาณาจักร บทที่ 7 อาณาจักรลาว
ทั้ง 3 อยูภ่ ายใต้การปกครองของไทย
อนึ่ งเพื่อเป็ นการขยายเนื้ อความให้ครอบคลุมกับลําดับพัฒนาการของประวัติศาสตร์ ลาว
ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปั จจุบนั ให้ได้มากที่สุด ในภายหลัง “พงศาวดารลาว” ของ มหาสิ ลา วีระวงส์
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
จึงมีการปรับปรุ งเพิ่มเติมเนื้ อหาลงไปอีกคือ บทที่ 8 ไทยจัดการปกครองลาว (ค.ศ.1739 -1893 (พ.ศ.
ส
2282 - 2436)) บทที่ 9 ฝรั่งเศสได้ดินแดนลาว และบทที่ 10 ประเทศลาวสมัยอยูภ่ ายใต้การปกครอง
ของฝรั่งเศส ซึ่งแบ่งเนื้อหาออกเป็ น 5 ตอน คือสมัยอยูภ่ ายใต้การปกครองฝรั่งเศส, สงครามระหว่าง
ไทยกับฝรั่งเศส, การปกครองของฝรั่งเศส หลัง ค.ศ. 1941(พ.ศ. 2484), ญี่ปุ่นยึดอินโดจีนและ
ประเทศลาว และฝรั่งเศสเจรจากับไทย การปรับปรุ งเนื้ อหาใหม่ลงไปครั้งนี้ ให้ชื่อหนังสื อใหม่ว่า
“ประวัติศาสตร์ ลาว” 99 ซึ่ งกระทรวงศึกษาธิ การลาวตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1956 (พ.ศ. 2499) และแก้ไข
ใน ค.ศ.1985 (พ.ศ. 2501) และตีพิมพ์ล่าสุ ดเมื่อ ค.ศ.2001(พ.ศ. 2544) 100
“พงศาวดารลาว” ของมหาสิ ลา เป็ นที่ยอมรับว่าใช้สาํ หรับการศึกษาประวัติศาสตร์ ลาว
จัดเป็ นคัมภีร์เบิกทางที่ผูศ้ ึกษาทั้งหลายต้องผ่านตา ความสําคัญของพงศาวดารลาวของ มหาสิ ลา
ยังเห็นได้จากการได้รับการรับรองจากกรมวรรณคดีลาว และกระทรวงศึกษาธิ การลาวให้จดั พิมพ์
เผยแพร่ พร้อมทั้งระบุไว้ในคํานําอย่างชัดเจนว่า
99
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์,”, 30.
100
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ, 105.
101
เรื่ องเดียวกัน, 104.
40
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
“ความเป็ นมาของลาว” โดย อู่คาํ พรหมวงศา เป็ นหนังสื อที่ได้กล่าวถึงความเป็ นมาของ
ส
ชาติลาว แต่ปางบรรพ์ถึงสมัยปั จจุบนั อย่างสังเขป 103 และจากผูแ้ ต่งคนเดียวกันยังมีเรื่ อง “เล่าเรื่ อง
ลาว-ไท” เป็ นงานที่เน้นความสัมพันธ์อนั ดี ระหว่างลาวกับไทยจนถึงกับนําธงชาติและเพลงชาติ
ของลาวและไทยขึ้นหน้าแรกของหนังสื อ 104 “พงศาวดารลาว สมัยเป็ นหัวเมืองขึ้นของประเทศสยาม
และประเทศฝรั่ง” โดยท้าวยุน อ่อนพม มีกลิ่นอายของการเขียนพงศาวดารแบบเรี ยงลําดับเหตุการณ์
ตามวันเวลา ผสานกับการนําเสนอการเขียนพงศาวดารแบบใหม่ที่นิยมแบ่งเป็ นหัวข้อ โดยสรุ ป
งานเล่มนี้ เป็ นการย่อพงศาวดาร โดยกล่าวถึงลาวก่อนเสี ยเอกราชจนตกเป็ นเมืองขึ้นของสยามและ
ประเทศฝรั่งเศสตามลําดับ
ในวันที่ 25 กันยายน – 1 ตุลาคม ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514) ได้เกิดปรากฎการณ์ครั้งสําคัญ
ของวงการประวัติศาสตร์ ลาว คือ การรวมตัวกันจัดสัมมนาทางประวัติศาสตร์ ลาว 105โดยผูเ้ ชี่ ยวชาญ
ด้านประวัติศาสตร์ลาว106 ที่ประชุมมีมติให้จดั แบ่งยุคประวัติศาสตร์ลาว ดังนี้
102
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945จนถึง
ปั จจุบนั ,”, 339.
103
เรื่ องเดียวกัน, 343.
104
เรื่ องเดียวกัน, 345.
105
ดูรายละเอี ยดใน ดารารั ตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ ลาวหลายมิ ติ ; และ“งานเขี ยน
ทางประวัติศาสตร์ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึงปัจจุบนั ,”.
106
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,” , 347.
41
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในช่วงท้ายของพัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาวช่วงที่สอง (ค.ศ. 1945-1975) นี้
ส
พบว่าในช่ วงปลายทศวรรษ 1960 (2500) งานเขียนทางประวัติศาสตร์ เริ่ มมีการเผยแพร่ ผลงาน
ของฝ่ ายปฏิวตั ิ 108 โดย พูมี วงศ์วิจิตร ผลิตงานออกมาหลายชิ้ นเพื่อรองรั บจุ ดประสงค์หลักในการ
ต่อต้านลัทธิล่าเมืองขึ้นของอเมริ กา เช่น “ประวัติศาสตร์ เมืองพวน” และ “ประเทดลาวและการต่อสู ้
มีชยั ของประชาชนลาว ต่อต้านลัทธิล่าเมืองขึ้นแบบใหม่ของอเมริ กา” เป็ นต้น
จะเห็นได้ว่างานเขียนต่าง ๆ ที่แพร่ หลายออกมาในช่วง ค.ศ. 1945-1975 (พ.ศ. 2488 - 2518)
ล้วนแล้วแต่ออกมารองรับแนวทางในการสร้างชาติของลาวตามสภาวะจําเป็ นทางการเมืองในขณะนั้น
ผลงานที่เกิ ดขึ้นในช่ วงเวลานี้ เป็ นการรวบรวมเอกสาร หลักฐานเท่าที่หลงเหลือมาเรี ยบเรี ยงเป็ น
พงศาวดารเพื่ อ อธิ บ ายถึ ง ที่ ม าของชนชาติ ตลอดจนลํา ดับ การณ์ ต่ า ง ๆ ของราชอาณาจัก รเก่ า
ที่เคยรุ่ งเรื อง สภาวะแห่ งการแตกแยกภายใน ตลอดจนความขมขื่นภายใต้การปกครองของต่างชาติ
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลานี้ ลว้ นแล้วแต่เป็ นการสร้างความรู ้สึกให้เกิดการหวนคํานึ ง
ถึงความรุ่ งเรื อง และความทุกข์ยากเมื่อครั้งต้องแตกแยก และการทุกข์ทนจากการโดนกดขี่ข่มเหง
จาก “ผูร้ ้าย” ที่เข้าครอบครอง รวมไปถึงประเด็นสําคัญในเรื่ องของความรักชาติและความสามัคคี
2.1.3 ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ลาวสมัยการปฏิวตั ิสังคมนิยม
หลังจากวาระการสร้ างชาติโดยใช้งานเขียนทางประวัติศาสตร์ เป็ นเครื่ องมือแล้วนั้น
พัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ลาวเข้าสู่ ช่วงที่สาม คือ ค.ศ. 1975 เป็ นต้นมา
107
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,”, 347-348.
108
เรื่ องเดียวกัน, 350.
42
ประวัติ ศ าสตร์ ส มัยการปฏิ ว ตั ิ สั งคมนิ ยม อุ ทิ ศ พื้ นที่ ข องหน้าประวัติ ศ าสตร์ ใ ห้ก ับ บทบาทของ
ขบวนการต่ อ สู้ ข องพรรคประชาชนและพรรคประชาชนปฏิ ว ตั ิ ล าวในประวัติ ศ าสตร์ ข องชาติ
การนํา เสนอภาพของขบวนการของประชาชนและชนเผ่าในพื้ น ที่ ข องประวัติศ าสตร์ ข องชาติ
เน้นให้เห็นการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชาติให้เป็ นอิสระตั้งแต่สมัยที่ลาวตกอยูภ่ ายใต้การปกครองของ
ศักดิ นาพม่า ศักดิ นาสยาม และนักล่าเมื องขึ้ นฝรั่ งเศส ผูน้ าํ ปฏิ วตั ิระดับสู งเข้ามามี บทบาทสําคัญ
ในการเขียนประวัติศาสตร์ 109
109
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 3-4.
110
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,”, 352.
111
เรื่ องเดียวกัน, 352-353.
112
เรื่ องเดียวกัน, 353.
113
เรื่ องเดียวกัน, ,354.
43
ประเภทที่ 2 งานเขียนเกี่ยวกับพงศาวดารของลาวและงานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ทัว่ ไป ช่ วงเวลานี้ งานเขียนเกี่ ยวกับประวัติศาสตร์ ของลาวมีการผลิตออกมาจํานวนมาก รวมทั้ง
พงศาวดารก็ย งั มี การผลิ ตออกมาให้เห็ นเช่ นกัน งานเขียนพงศาวดารชิ้ นสําคัญในช่ วงเวลานี้ เช่ น
“คู่มือพงศาวดารลาว คนลาวแผ่นดินลาว” โดย ดวงไซ หลวงพะซี จัดพิมพ์โดยประธานคณะกรรมการลาว
เพื่อสันติโลกใน ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) และ “สมเด็จเจ้าอนุ วงศ์” พิมพ์ครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1975
(พ.ศ. 2518) 114
ทางด้านงานเขี ยนเกี่ ยวกับประวัติศาสตร์ ลาวทัว่ ๆ ไปมี การผลิ ตออกมามากจากหลาย
หน่ วยงานของรั ฐ เช่ น “สรุ ป สงครามปฏิ ว ัติ ป ลดปล่ อ ยชาติ ข องกองทัพ และประชาชนลาว”
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
โดย กระทรวงป้ องกัน ประเทศตี พิ ม พ์ค .ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) และตี พิ ม พ์ใ นปี เดี ย วกัน เรื่ อ ง
ส
“การเมืองพวน” โดยคณะค้นคว้าภาควิชาภาษาลาว - วรรณคดี หนังสื อจากกระทรวงศึกษาธิ การ
กีฬาและธรรมการ เรื่ อง “ประเทศลาวภายหลังการปฏิวตั ิ 1945-1971(พ.ศ. 2488 - 2514)” ตีพิมพ์
ค.ศ.1977 (พ.ศ. 2520) กระทรวงต่างประเทศพิมพ์หนังสื อ เรื่ อง “เรื่ องความเป็ นจริ งแห่ งการพัวพัน
ไท-ลาว” ตีพิมพ์ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) และ“ประวัติพรรคประชาชนปฏิวตั ิลาว” โดยสถาบัน
วิทยาศาสตร์สงั คมแห่ งชาติ ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) เป็ นต้น 115
นอกเหนื อจากหน่วยงานของรัฐ ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์ ยังเสนอว่ามีงานของภาคเอกชน
และบุคคลต่าง ๆ เช่น พงษ์สวัสดิ์ บุปผา เรื่ อง “การขยายตัวของรัฐ” ตีพิมพ์ ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539)
บุญทวี สัมพันไซ เรื่ อง “ประวัติศาสตร์ลาว คนลาว แผ่นดินของลาว (จากเวียงจันทน์ร้างถึงประกาศ
เอกราช)” เป็ นเอกสารโรเนียวเย็บเล่มออก ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) และที่สาํ คัญคืองานของผูน้ าํ ลาว
ท่านไกสอน พรหมวิหาร เรื่ อง “บางบทเรี ยนต้นตอและบางปั ญหาเกี่ ยวกับทิศทางใหม่ของการ
ปฏิวตั ิลาว ตีพิมพ์ ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) 116 เนื้ อหาของหนังสื อประวัติศาสตร์ ในช่ วงนี้ เด่นชัด
ในเรื่ องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเรี ยกร้องเอกราช เน้นการต่อสู ้และความยากลําบากของขบวนการ
ทั้งช่วงสมัยศักดินาจนกระทัง่ ลาวเข้าสู่ การปกครองแบบสังคมนิยม
ประเภทที่ 3 หนังสื อแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ลาว ประวัติศาสตร์ ถูกนํามาใช้เป็ นส่ วนหนึ่ ง
ของการปลูกฝั งความคิดให้กบั หน่ ออ่อนของลาว รั ฐใช้ประวัติศาสตร์ เป็ นเครื่ องมือในการสร้าง
ชุดความคิดให้กบั ประชาชนโดยอาศัยกระบวนการศึกษากล่อมเกลาและสร้างชุดความคิดตามแบบ
ที่ รัฐต้องการ แบบเรี ย นประวัติ ศาสตร์ ของลาวมี ความเข้มข้น ในเรื่ องการปลูก ฝั งความรั ก ชาติ
114
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,”, 355.
115
เรื่ องเดียวกัน, 355-356.
116
เรื่ องเดียวกัน, 356.
44
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
โดยตรงต่อพัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาวที่ปรากฏคือ สภาวะการตื่นตัวภายในสังคม
ส
เนื่ องจากเป็ นช่วงที่ลาวเพิ่งได้สัมผัสกับเอกราช ทําให้เกิดงานเขียนมากมายจากนักประวัติศาสตร์
หลายท่าน ที่ช่วยกันผลิตงานออกมาเพื่อสนับสนุ นจุดประสงค์หลักในการกําหนดทิศทางของชาติ
ผลักดันให้เกิดความสมานสามัคคีภายในลาว และปลูกฝังทัศนะเจืออคติในวาระสมัยนิ ยมตามแบบ
การสร้ างชาติ ที่ เร่ งการวางฐานรากแห่ ง ความคิ ดรั กชาติ ให้กับประชาชนตามแบบสัง คมทัว่ ไป
ที่ใช้ประวัติศาสตร์เป็ นเครื่ องมือในการปูพ้ืนชุดความคิดชาตินิยมให้แตกหน่อในสังคม
พัฒนาการงานเขียนประวัติศาสตร์ ลาวที่เกิ ดขึ้นในช่ วงนี้ นับเป็ นการปูพ้ืนความรู ้ สึก
รักชาติและสร้างความรู ้สึกชาตินิยมในลาว ก่อนที่จะพัฒนางานเขียนทางประวัติศาสตร์ เข้าสู่ ช่วง
หลัง ค.ศ.1975 ที่งานมีความโดดเด่นทางการเพิ่มพื้นที่ให้กบั การเคลื่อนไหวต่อสู ้เพื่อเอกราชและ
ประชาชนมากกว่าราชวงศ์สาํ คัญดังที่นิยมตามจารี ตโบราณ เพราะเมื่อลาวเปลี่ยนแปลงมาสู่ ระบอบสังคม
นิยมในช่วงนี้ ผูท้ ี่มีบทบาทสําคัญในการเขียนประวัติศาสตร์ คือนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการที่เป็ น
117
กรณี การสร้างความรู้สึกชาตินิยมในแบบเรี ยนลาวดูรายละเอียดเพิ่มใน, ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์,
“การเขียนประวัติศาสตร์ ลาวในแบบเรี ยนลาว,” มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ 17,1 (ตุลาคม–ธันวาคม2542) ;
ปณิ ตา สระวาสี , การสร้ างสํานึ กความเป็ นชาติ ของรั ฐบาลสาธารณรั ฐประชาธิ ป ไตยประชาชนลาวโดยผ่าน
แบบเรี ยนชั้นประถมศึกษาตั้งแต่ ค.ศ.1975 – 2000, (กรุ งเทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั , 2546) ;
จารุ วรรณ ธรรมวัตร, ประภาส สุ วรรณศรี และ พรสวรรค์ สุ วรรณธาดา, “การกล่อมเกลาทางสังคมจากแบบเรี ยน
ระดับประถมศึกษาในสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว”, ประกอบการสัมมนา รื้ อตําราเรี ยนไทย-ลาว
เผยอุดมการณ์ชาตินิยม, 2 พฤศจิ กายน 2543. (อัดสําเนา) ; ประภาส สุ วรรณศรี , “การกล่อมเกลาทางสังคมจาก
แบบเรี ยนของรัฐ ระดับประถมศึกษาในสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทาง
การเมือง พ.ศ. 2518-2538” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาไทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
2542) ; นริ นทร์ พุดลา, แบบเรี ยนลาวในกระแสโลกาภิวตั น์, (ม.ป.พ., ม.ป.ป.) ; และ นริ นทร์ พุดลา,“ตัวตนทาง
วัฒ นธรรมในแบบเรี ย นลาว” (วิ ท ยานิ พ นธ์ ดุ ษ ฎี บ ัณ ฑิ ต สาขาวิ ช าไทศึ ก ษา บัณ ฑิ ต วิ ท ยาลัย มหาวิ ท ยาลัย
มหาสารคาม, 2551).
45
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ของความเป็ นชาติ ตลอดจนความทุกข์ยากภายใต้การปกครองของต่างชาติที่สร้างรอยหมองไว้ใน
ำ
ส
ผืนดิน พัฒนาการของงานเขียนทางประวัติศาสตร์ลาวช่วง ค.ศ.1945-1975 จึงเป็ นจุดเริ่ มของภาวะ
ตื่นตัวในหมู่ปัญญาชนที่นาํ ตัวหนังสื อมาเรี ยงร้อยแทนอาวุธ ใช้ประวัติศาสตร์เป็ นเครื่ องมือในการสร้าง
ความคิดให้แก่ประชาชน สร้างชาติในแบบฉบับของลาวที่มาจากคนลาวเพื่อคนลาว
การสร้ างความรู ้ สึกชาติ นิยมนี้ เป็ นวัตถุ ดิ บสําคัญในสภาวการณ์ ที่ตอ้ งการสร้ างความ
รู ้สึกร่ วมให้กบั คนในสังคม นักประวัติศาสตร์ ลาวเองก็ให้ความสําคัญกับประวัติศาสตร์ ในฐานะ
เครื่ องมือแห่ งการสร้ างชาติที่ไม่ละเลยเล่าความตามทัศนะอิงอคติที่ยึดแกนกลางสําคัญตามวาระ
การสร้างชาติ
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาวในช่วง ค.ศ.1945-1975 นับว่ามีความสัมพันธ์กบั บริ บท
ทางการเมืองการปกครองลาวอย่างมาก หลักฐานที่รองรับความคิดนี้ คือ การปรากฏตัวของหนังสื อ
ประวัติศาสตร์ลาวเล่มแรกที่เขียนโดยคนลาว คือ “พงศาวดารลาว” ของมหาสิ ลา วีระวงส์ ออกพิมพ์
118
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”,186.
119
สิ ลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว, คําอธิบายของผูร้ จนา.
46
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
มีชาวตะวันตก อย่างเช่น ชาวอังกฤษและฝรั่ งเศส มาค้นคว้าประวัติศาสตร์ แบบผ่าน ๆ ไป
ส
ด้วยว่า พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงและเก็บเกี่ยวตํานานท้องถิ่นได้เท่าที่ควร บางตํานานเขียนไว้ในใบลาน
ก็มกั เป็ นการคัดลอกขึ้นมาใหม่ ซึ่ งบางข้อความบางแห่ ง ก็ตกหล่นขดหายไป หรื อบิดเบือนเนื้ อหา
ข้อความที่เป็ นจริ ง ด้วยเหตุวา่ เป็ นข้อมูลที่ถูกคนต่างชาติอื่นปล้นสะดมไปแล้วแก้ไขปรับปรุ งใหม่
ตามอัชฌาศัยของพวกเขา 122
120
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 34.
121
อู่คาํ พมวงสา, ความเป็ นมาของลาว หรื อเล่าเรื่ องชาติลาว (เวียงจันทน์ : ยุวสมาคมแห่ งประเทศลาว,
1967), คํานํา. กล่าวถึงใน กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 34.
122
บุนมี เทบสี เมือง, ความเป็ นมาของชนชาติลาว เล่ม 1 การตั้งถิ่นฐานและการสถาปนาอาณาจักร, 7.
123
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 34.
124
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ, 115.
125
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”,34.
47
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ต่อตนเองและต่อสังคม ซึ่ งสามารถพิจารณาได้จากแนวคิดสําคัญของผูแ้ ต่ง ที่นาํ เสนอว่าบรรพชน
ส
ชาวลาว คือ กลุ่มชาวอ้ายลาว ซึ่งถือถิ่นฐานอยูบ่ ริ เวณหนองแสง ในเขตมณฑลยูนานของจีนทุกวันนี้
ขุนบรม คือ กษัตริ ยแ์ ห่ งราชอาณาจักรหนองแสง ทรงพระนามว่า พีลอ้ โก๊ะได้ยกรี้ พลลงมาสร้างเมือง
นาน้อยอ้อยหนู ขนานนามว่า เมืองแถนหรื อเมืองเกาหลง ซึ่งก็คือเมืองเชียงรุ่ งในปั จจุบนั นอกจากนี้
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ผลงานของ สิ ลา วีระวงส์ ยังได้นาํ เสนอแนวคิดสําคัญให้กบั ผูอ้ ่าน เพื่อให้เห็นถึง
ความเก่ าแก่ ของชนชาติ ลาว โดยชี้ ให้เห็ นว่า “ชนชาติ ลาวได้ถือกําเนิ ดมาแล้วในโลก พร้ อมกับ
ชนชาติจีน นับว่าเป็ นชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชาติหนึ่ ง ซึ่ งมีความเจริ ญไม่แพ้ชาติอื่น ๆ ในสมัย
เดียวกัน” 126
ประการสุ ดท้าย คือการสร้างวีรกษัตริ ยล์ าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อนําเสนอเป็ นแบบอย่างต่อ
อนุ ชนรุ่ นหลัง การสร้างวีรบุรุษ เป็ นบทบาทของงานเขียนประวัติศาสตร์ ของมหาสิ ลา วีระวงส์ ซึ่ งเด่น
ที่สุด ได้อาศัยวิธีการเขียนแบบเสนอรายละเอียดคล้ายการเขียนตําราประวัติศาสตร์ หรื อสารคดีเชิ ง
ประวัติศาสตร์ ไม่เขียนสั้น ๆ ตามธรรมเนี ยมพงศาวดารทั้งหลาย ใช้วิธีบนั ทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยเน้นความยิง่ ใหญ่ทางด้านวีรบุรุษ นักรบและธรรมกษัตริ ยผ์ ทู ้ าํ นุบาํ รุ งพุทธศาสนาหรื อธรรมิกราชา
ผูร้ ักษาธรรมไว้เหนือสมบัติท้ งั ปวง วีรกษัตริ ยท์ ี่เสนอไว้เป็ นแบบอย่างต่ออนุชนรุ่ นหลัง 127
สําหรั บกรณี ศึกษาสําคัญที่ควรให้ความสนใจเพื่อจะได้เห็ นภาพและจุดประสงค์ของ
พัฒนาการงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ลาวในช่วง ค.ศ. 1945 – 1975 ชัดเจนขึ้น คือการจัดสัมมนา
ประวัติศาสตร์ โดยการรวมตัวของกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ลาว โดยมีมติจากการสัมมนา
ในการจั ด แบ่ ง ยุ ค ประวัติ ศ าสตร์ ล าว และที่ น่ า สนใจคื อ เอกสารประกอบการสั ม มนา ที่
นักประวัติศาสตร์ลาวได้ร่วมกันเขียนขึ้นนั้น
126
สิ ลา วีระวงศ์, ประวัติศาสตร์ลาว, 10.
127
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปัจจุบนั )”, 35.
48
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประกอบการจัดสัมมนาประวัติศาสตร์ น้ ัน เป็ นการชี้ ให้เห็ นจุ ดยืนของพัฒนาการของงานเขียน
ำ
ส
ทางประวัติศาสตร์ลาวช่วง ค.ศ.1945-1975 อันถือเป็ นสมัยแห่ งการสร้างชาติลาวนี้ เพราะเห็นได้ชดั ว่า
งานเขียนร่ วมสมัยที่ปรากฏขึ้นส่ วนใหญ่เป็ นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเน้นเนื้ อหาถึงความเป็ นมา
ของชนชาติ ล าวที่ มี พ ัฒ นาการอย่ า งยาวนาน อี ก ทั้ง ร่ วมกั น แสดงภาพของพระราชาแห่ ง
ราชอาณาจักรโบราณของลาวที่เพียบพร้อมไปด้วยความปรี ชาสามารถดังเช่นวีรกษัตริ ยผ์ กู ้ ล้า อันมี
พุทธศาสนาเป็ นเสาหลักในการปกครอง ซึ่ งเป็ นไปตามธรรมเนี ยมของการสร้างความรู ้สึกฮึกเหิ ม
ที่จะต้องสร้างเมืองให้มน่ั คง และมัง่ คัง่ ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ราชธานี ใด ๆ เพื่อให้คนลาวเกิดความภูมิใจ
ในชนชาติและราชธานีโบราณก่อนที่จะต้องสูญเสี ยให้กบั ต่างชาติที่เข้ายึดครอง
การสร้ า งอาณาจัก รโบราณให้มี ความเป็ นมาที่ ยิ่ง ใหญ่ แ ละมี ชนชาติ ด้ ัง เดิ ม ที่ เ ก่ า แก่
ได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งให้ภาพความสู ญเสี ยและความรู ้สึกคับแค้นภายหลังที่ตอ้ งเสี ยเอกราชให้มีความ
แจ่มชัดในมโนสํานึกได้มากเป็ นเท่าทวี วีรบุรุษทั้งหลายที่พากันปรากฏตัวในเหตุการณ์กบู้ า้ นคืนเมือง
นั้นก็เพื่อเป็ นการเน้นยํ้า และสร้ างพื้ นที่ ให้กับตัวละครในการเรี ยกความศรั ทธาพร้ อมไปกับสร้ าง
อุดมการณ์ทางการเมือง เพื่อการรวบรวมความรู ้สึกแห่งชาติให้มนั่ คง
เป็ นไปตามคําพูดที่ว่า “อุดมการณ์ ที่สูงส่ งที่สุดที่เรี ยกร้ องความร่ วมมือของพสกนิ กร
ทุ ก ชั้น ทุ ก วัย ได้โดยง่ า ย คื อความรั ก ชาติ ที่ ถู ก กระตุ ้น โดยอาศัย การสร้ างศัต รู ของชาติ ข้ ึ น เป็ น
เป้ าหมาย”129 การที่จะสร้ างทัศนะให้ประชาชนตระหนักถึงความทุกข์ยากในการได้มาซึ่ งเอกราช
จําเป็ นที่จะต้องมี “ศัตรู ” เพื่อจะได้กาํ หนด “พวกเรา” “พวกเขา” ให้ชดั เจน ศัตรู ที่เด่นชัดแน่ นอนว่า
ต้องมีศกั ดินาสยามร่ วมด้วย “เพราะใครก็รู้ดีว่านับแต่ลาวล้านช้างเสื่ อมโทรมลงในท้ายรัชกาลของ
128
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945
จนถึงปัจจุบนั ,”, 349.
129
กอบเกื้อ สุ วรรณทัต-เพียร, “การเขียนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม : พิจารณาหลวงวิจิตรวาทการ,”, 151.
49
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ที่ มีต่อลาว และมุมมองที่ ลาวมี ต่อไทย อัน เป็ นมรดกจากพัฒนาการงานเขี ยนในช่ วงสร้ า งชาติ
เป็ นสําคัญ ส
3. ความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาวในบริบทประวัติศาสตร์
ความจริ งทางวิชาการในปั จจุบนั ต่างยอมรับว่า ไทย และ ลาว เป็ นกลุ่ม “ไท” ด้วยกัน
ตามลักษณะทางวัฒนธรรม เพี ยงแต่กระจายตัวไปตามพื้นที่ ต่าง ๆ 131 มี กาํ เนิ ดและพัฒนาการทาง
วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ร่วมกันมาช้านาน 132 ไทยและลาวมีความใกล้ชิดทางด้านศาสนา ภาษา
วัฒ นธรรม และมี ความผสมกลมกลื น ทางเชื้ อชาติ เ นื่ องด้ว ยอาณาเขตไทยและลาวมี พรมแดน
คาบเกี่ยวกันตามลักษณะของรัฐจารี ตทําให้การเคลื่อนย้ายตัวของประชากรนั้นแปรไปตามความเข้มแข็ง
ของอาณาจักร ในแง่มุมทางประวัติศาสตร์ ไทยและลาวมีความสัมพันธ์กนั ทางลักษณะวัฒนธรรมและ
ภาษาที่เติบโตมาในกลุ่มตระกูลเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมีลกั ษณะเกื้อกูลและพึ่งพา และเป็ น
ธรรมดาของรั ฐจารี ตที่ ต ้องมี ความสั มพันธ์ เชิ งสงครามเพื่ อชิ งกําลังคน แต่ ค วามสั ม พัน ธ์ ที่ รั บ รู ้
มาเนิ่ น นานกลับ เน้ น ในลัก ษณะคู่ ส งคราม มากกว่ า มิ ต รประเทศทั้ง ที่ ห ลัก ฐานสั ม พัน ธ์ อ ัน ดี
มีปรากฏทั้งตํานานและพระราชพงศาวดารอีกทั้งศาสนสถานที่ยงั คงหลงเหลือจนปัจจุบนั
ดังปรากฏในคราวการทําข้อตกลงแบ่งดินแดนระหว่างพระเจ้าฟ้ างุ่ม แห่ งอาณาจักรล้านช้าง
กับกรุ งศรี อยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าอู่ทอง เมื่อพระเจ้าฟ้ างุ่มขยายอํานาจเข้ามาในอีสานจนถึงเมือง
ร้ อ ยเอ็ ด ในกลุ่ มแม่ น้ ําชี น้ ัน ก็ หยุดแต่ เพี ยงเท่ านั้น เพราะตํ่าลงไปจะเป็ นเขตของกรุ งศรี อยุ ธยา 133
130
บุนมี เทบสี เมือง, ความเป็ นมาของชนชาติลาว เล่ม 1 การตั้งถิ่นฐานและการสถาปนาอาณาจักร, 7.
131
ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรั บรู้ เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,” ใน สังคมศาสตร์
ปริ ทศั น์. 16,1 (2535) : 114.
132
เติ ม วิภาคย์พจนกิ จ, ประวัติศาสตร์ ลาว (กรุ งเทพฯ : มูลนิ ธิโครงการตําราสังคมศาสตร์ และ
มนุษยศาสตร์, 2530), คํานํา (5).
133
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, เจ๊กปนลาว (กรุ งเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2530), 52.
50
พระเจ้าฟ้ างุ่ม จึงมีพระราชสาสน์ถึงพระรามาธิ บดีอู่ทองเจ้ากรุ งศรี อยุธยาว่า “จักรบหรื อรู ้ว่าสิ่ งใดนั้นจา”
พระรามาธิ บดีอู่ทอง ตอบคืนว่า “เราหากเป็ นพี่น้องกันมาแต่ขุนบรมโน้นเหมือนกัน 134 เจ้าอยากได้
บ้านได้เมืองให้เอาแต่เขตดงสามแดน (ดงพระยาไฟ) ไปจดภูพระยาพ่อและแดนเมืองนครไทยเป็ นเจ้า
เถิด อนึ่ งข้าจักส่ งนํ้าอ้อย นํ้าตาลงบ อนึ่ งลูกหญิงข้า ชื่ อนางแก้วลอดฟ้ า ใหญ่มาแล้ว จักส่ งไปปูเสื่ อปู
หมอนแก่เจ้าฟ้ าแล”135 ข้อตกลงฉันมิตรครั้งนี้ จึงสรุ ปด้วยการแบ่งดินแดนของอาณาจักรล้านช้างกับ
กรุ งศรี อยุธยาและการแสดงความปรารถนาจะยกราชธิ ดาจากกษัตริ ย ์อยุธยาแด่ เจ้าชี วิ ตล้านช้าง
เพื่อราชอาณาจักรทั้งสองจะได้เป็ นพี่นอ้ งชัว่ กาลนาน136
นอกจากจะมีกล่าวในตํานานและพงศาวดารถึงความสมานสามัคคีอนั ดีระหว่าง อาณาจักร
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ล้านช้างก◌ับกรุ งศรี อยุธยาแล้ว ยังมีหลักฐานอยูใ่ นศิลาจารึ กและศาสนสถาน กล่าวถึงความสัมพันธ์
ส
ใกล้ชิดของผูป้ กครองกรุ งศรี อยุธยากับกษัตริ ยล์ า้ นช้างในการทําสัญญาทางพระราชไมตรี สร้างหลักเขต
แบ่งพรมแดนระหว่างกรุ งศรี อยุธยากับกรุ งศรี สัตนาคนหุ ต 137 คือ “พระธาตุเจดียศ์ รี สองรักษ์” ทั้งนี้
เนื่องจากสมัยนั้นพม่าเรื องอํานาจมาก ยกทัพมารุ กรานกรุ งศรี อยุธยาและกรุ งศรี สัตนาคนหุ ตหลายครั้ง
พระไชยเชษฐากับพระมหาจักรพรรดิ์จึงทําไมตรี ต่อกันและทรงร่ วมสร้างเจดีย ์ 138 เพื่อเป็ นสักขีพยาน
ของสัมพันธไมตรี ที่ดีของสองอาณาจักร139 “ตามตํานานกล่าวไว้ว่าเจดียศ์ รี สองรักสร้างขึ้น ณ กึ่งกลาง
ระหว่างแม่น้ าํ น่ านบนโคกไม้ติดกัน เริ่ มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1560 (พ.ศ. 2103) ตรงกับปี วอกโทศก
จุลศักราช 922 เสร็ จเมื่อ ค.ศ. 1563 (พ.ศ. 2106) ตรงกับปี กุน เบญจศกจุลศักราช 925 ในวันพุธขึ้น
14 คํ่าเดือน 6 และทําพิธีฉลองเมื่อวันพฤหัสบดีข้ ึน 15 คํ่า เดือน 6”140
ในคําจารึ กที่ “พระธาตุเจดียศ์ รี สองรักษ์” เมืองด่านซ้าย ค.ศ. 1560 (พ.ศ. 2103) ยืนยันถึง
สัมพันธ์ อนั ใกล้ชิดระหว่างพระไชยเชษฐาธิ ราชแห่ งกรุ งศรี สัตนาคนหุ ต กับพระมหาจักรพรรดิ
134
คํากล่าวนี้ น่าจะเป็ นจุดเริ่ มต้นของคําพูดที่ปัจจุ บนั นิ ยมใช้เมื่ อเอ่ยถึงความสัมพันธ์ไทยและลาว
“ไทยและลาวใช่อื่นไกลเป็ นบ้านพี่เมืองน้องกัน” แต่ใครจะเป็ นบ้านพี่เมืองน้องก็ข้ ึนอยูก่ บั ว่าผูพ้ ดู คือใคร และใช้
ในจุดประสงค์ใด แต่สาํ หรับลาวมักจะนิยมกล่าวถึงความสัมพันธ์ไทยและลาวว่า เป็ นบ้านใกล้เรื อนเคียง, ผูว้ จิ ยั .
135
สิ ลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว, 33.
136
พ.ต.อ.สุ รพล จุลละพราหมณ์, ศึกศามเจ้าลาว (พระนคร : โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์, 2505), 452 – 453
กล่าวถึงใน ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,” ,115.
137
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, เจ๊กปนลาว, 99.
138
ป้ ายอธิ บายประวัติความเป็ นมาของพระธาตุศรี สองรัก,ตั้งอยูห่ น้าบันไดทางขึ้นพระธาตุ, พระธาตุ
ศรี สองรัก อ.ด่านซ้าย จ.เลย
139
ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,”, 115.
140
ป้ ายอธิ บายประวัติความเป็ นมาของพระธาตุศรี สองรัก,ตั้งอยูห่ น้าบันไดทางขึ้นพระธาตุ, พระธาตุ
ศรี สองรัก อ.ด่านซ้าย จ.เลย
51
กษัตริ ยก์ รุ งศรี อยุธยาซึ่ งตามความในจารึ กกษัตริ ยส์ องแผ่นดิ นได้ร่วมทําพิธีปักปั นเขตแดนกัน 141
ดังข้อความตอนหนึ่งในคําประกาศสัตยาธิษฐานในการก่อสร้างพระธาตุเจดียศ์ รี สองรักษ์ ว่า
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
คําจารึ กที่ “พระธาตุเจดี ยศ์ รี สองรั กษ์” เมืองด่านซ้าย นี้ เป็ นการแสดงถึงสัมพันธภาพ
ส
ที่ ผู ้ส ร้ า งต้อ งการให้ ป รากฏไมตรี สื บ ชั่ว ลู ก หลาน เพราะนอกจากคํา ประกาศนี้ ยัง มี ป รากฏ
เจตน์จาํ นงร่ วมในศิลาจารึ กที่จารึ กด้วยอักษรธรรม ระบุถึงการร่ วมแรงร่ วมใจสร้างพระธาตุศกั ดิ์สิทธิ์
โดยหลัง่ นํ้าลงตรงที่จะสร้างและมีการช่วยเหลือของทั้งสองที่จดั ตั้งคณะครัวไทยและลาวมาทํางาน
ร่ วมกันเพื่อความรักสามัคคี 143 จะได้มีปรากฏสื บไป
ความสัมพันธ์ของพระไชยเชษฐาธิ ราช กับพระมหาจักรพรรดิ เห็ นได้อีกครั้งจากการ
ร่ วมกันรบกับพม่า ใน ค.ศ. 1564 (พ.ศ. 2107) พระเจ้าหงสาวดียกกองทัพตีเชี ยงใหม่และเลยลงไป
เวี ย งจัน ทน์ จับ เจ้ า อุ ป ราช มเหสี แ ละนางสนมของพระไชยเชษฐาธิ ร าชไปหงสาวดี 144 เมื่ อ
พระไชยเชษฐาธิ ราชได้ราชธานี คืนมาทรงขอพระราชทานพระเทพกษัตรี ราชธิ ดาพระมหาจักรพรรดิ
อันเกิดจากพระศรี สุริโยทัยไปเป็ นมเหสี แต่เนื่ องด้วยพระเทพกษัตรี ประชวร กรุ งศรี อยุธยาจึงจัดส่ ง
พระแก้วฟ้ าอันเป็ นราชธิ ดาที่เกิดจากพระสนมไปแทน พระเจ้าไชยเชษฐาทรงส่ งพระแก้วฟ้ ากลับคืน
กรุ งศรี อยุธยา “ถึงแม้ว่าพระนางแก้วฟ้ าจะมีสีสันวรรณะโสภางามกว่าพระนางเทพกษัตรี ยร์ ้อยเท่า
พันทวีก็ตาม ก็ไม่ลบล้างกิ ตติศพั ท์พระนางเทพกษัตรี เสี ยได้ ก็เป็ นที่อปั ยศอับอายมากยิ่งหนักหนา
141
“คําจาฤกที่ พระธาตุเจดี ยศ์ รี สองรั กษ์เมื องด่านซ้าย,” ใน ประชุ มจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค 1
(พระนคร : สํานักนายกรัฐมนตรี , 2510), 1 – 15. กล่าวถึงใน สุ เนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ, ทัศนคติเหยียดหยาม
เพื่อนบ้านผ่านแบบเรี ยน ชาตินิยมในแบบเรี ยนไทย, 40.
142
ไพโรจน์รําลึก (อีสานปริ ทศั น์) (กรุ งเทพฯ : ชมรมวรรณกรรมอีสานและคณาจารย์-นักศึกษา
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2532), 130.
143
ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,”, 131.
144
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1 (กรุ งเทพฯ : สํานักวรรณกรรมและ
ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2548), 279 – 280.
52
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 มีการสร้างความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ส
โดยการสมรส พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช ทรงขอเจ้านางทองสุ กและพระนาง
เขียวค่อม พระราชธิดาเจ้าอินทวงศ์ กษัตริ ยเ์ วียงจันทน์มาเป็ นพระสนม และทรงสถาปนาพระราชธิดา
ที่ประสู ติกบั เจ้านางเวียงจันทน์ คือ “พระองค์เจ้าหญิงจันทบุรีเป็ นเจ้าฟ้ ากุณฑลทิพยวดี แล้วมีงาน
สมโภชสามวัน เมื่ อถึ งพิธีโสกัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกโปรดเกล้า ฯ ให้มี
พระราชพิธีอย่างใหญ่โต” 148 ในสมัยรัชกาลที่ 2 พระองค์ได้ยกย่องเจ้าฟ้ ากุณฑลทิพยวดี (พระธิ ดา
ของรัชกาลที่ 1 กับเจ้านางทองสุ กแห่ งเวียงจันทน์) ขึ้นเป็ นมเหสี 149 แม้ว่าความสัมพันธ์ไทยและ
ลาวในช่วงต้นรัตนโกสิ นทร์ น้ ี จะอยู่ในฐานะของเจ้าประเทศราชกับประเทศใต้ปกครองแต่วิธีการ
สร้างความสัมพันธ์ทางเครื อญาติโดยการสมรส ถือได้ว่าช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชสํานัก
ไทยและลาวให้แน่นแฟ้ นยิง่ ขึ้น
เป็ นที่แน่ชดั ว่าความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างไทยและลาวมีสืบมาแต่ครั้งกรุ งศรี อยุธยาทั้งใน
ฐานะมิ ตรประเทศและความสั มพันธ์ ทางเครื อญาติ แต่ ด้วยความจําเป็ นบางอย่างของรั ฐทําให้
สัมพันธภาพทางประวัติศาสตร์ ที่ดีถูกบดบังแล้วแทนที่ดว้ ยภาพของสงครามที่เน้น “ผูแ้ พ้” “ผูช้ นะ”
ให้โดดเด่น การบันทึกเรื่ องราวของรัฐเริ่ มทวีความเข้มข้นขึ้นเมื่อเกิด “รัฐชาติ” การเขียนประวัติศาสตร์
145
สิ ลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว, 97.
146
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1, 282.
147
สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ, ไทยรบพม่า (ธนบุรี : โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา, 2514), 45- 63,
กล่าวถึงใน ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,” , 114.
148
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 1 (กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์
การศาสนา, 2531), 96, กล่าวถึงใน ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,”, 115.
149
ธวัชชัย ไพรใหล, “ความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับหลวงพระบาง เวียงจันทน์และจําปาศักดิ์ ตั้งแต่
สมัยรัชกาลที่ 1 – 5 (พ.ศ. 2325 – 2446)” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ เอเชีย บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ, 2534), 50 – 51.
53
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ก้าวหน้าไปสู่ รูปแบบของ “สังคมสมัยใหม่” 150 อิ ทธิ พลจากการปฏิ รูปประเทศสมัยเมจิ ของญี่ ปุ่ น
ส
จนสามารถพัฒนาประเทศและชนะสงครามในรัสเซียจนกลายต้นแบบของการล้มอํานาจประเทศยุโรป
โดยชาวเอเชี ย และการปฏิ วตั ิ ในจี นโดยซุ นยัดเซน ซึ่ งถื อเป็ นต้นแบบการเปลี่ ยนรู ปแบบความคิ ด
ทางการเมืองให้กบั ปั ญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตกอยูใ่ ต้อาํ นาจของระบอบอาณานิคม
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เสี ยเอกราชเช่นเดียวกับบรรดาประเทศในเอเชี ยตะวันออก
เฉี ยงใต้ แต่ก็หนี ไม่พน้ จากภัยคุกคามของจักรวรรดิ นิยมเช่ นเดี ยวกัน สําหรับไทยนั้นอุดมการณ์
ชาตินิยมได้ทวีบทบาทในระหว่างทศวรรษ 1910 – 1940 (2450 – 2480) และกลายมาเป็ นแนวคิด
ทางการเขียนประวัติศาสตร์แบบ “ชาตินิยม” 151 ที่กลายเป็ นกระแสหลักของการเขียนประวัติศาสตร์ไทย
อยู่เป็ นเวลานาน152 สิ่ งที่เกิ ดขึ้นนี้ เป็ นช่วงเวลาเดียวกับนักชาตินิยมลาว คือ มหาสิ ลา วีระวงส์ ได้เขียน
“พงศาวดารลาว” ขึ้น153เช่นกัน
การจัด ระเบี ย บองค์ ค วามรู้ ใ หม่ ที่ เกิ ด ขึ้ น เกิ ดจากการปรั บ ตัวเข้าสู่ ค วามเป็ น “รั ฐ ชาติ ”
องค์ความรู้ต่าง ๆ ถูกเรี ยบเรี ยง ชําระ และ “จัดระบบ” เพื่อแสดงตัวตนของรัฐชาติ ปฏิกิริยาตื่นตัว
ภายในของแต่ละรัฐนํามาสู่ การเขียน “ชีวประวัติของชาติ” ทัศนคติที่มีต่อเพื่อนบ้านในปั จจุบนั มีตน้ ราก
150
พรเพ็ญ ฮัน่ ตระกูล, “พัฒนาการของลัทธิ ชาตินิยม,” วารสารอักษรศาสตร์ 26 , 1 (มิถุนายน –
พฤศจิกายน 2546) : 37.
151
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์,”, 21 - 22.
152
กอบเกื้อ สุ วรรณทัต-เพียร, “การเขียนประวัติศาสตร์ แบบชาตินิยม : พิจารณาหลวงวิจิตรวาทการ,”,
149 - 180.
153
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์, “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์,”, 22.
54
ต้องยอมรับว่าวัตถุประสงค์การสร้างชาติของไทยและลาว มีจุดประสงค์ในการสร้าง
ความรู ้สึกชาตินิยมเหมือนกัน และสิ่ งที่เกิดขึ้นคือความรู ้สึกชาตินิยมถูกสร้างขึ้นในบริ บทที่ต่างกัน
ของสองประเทศ
ไทยอยูใ่ นสถานะที่ตอ้ งการสร้างประวัติศาสตร์ ชาติเพื่อให้เห็นความเป็ นมาจากจุดเริ่ ม
ของชนชาติ เพื่อให้ตะวันตกที่จอ้ งจะยึดครองได้รับรู ้ถึงภูมิหลังที่ยิง่ ใหญ่ ประวัติศาสตร์ จึงถูกเขียน
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ขึ้นเพื่อให้เห็นถึงอารยธรรมอันยาวนานของรัฐอีกทั้งอํานาจที่เคยไพศาล ในขณะที่ลาวเพิ่งหลุดพ้น
ส
จากการยึดครองของฝรั่ งเศสต้องการสร้ างความรู ้ สึกกลมเกลียวในชาติ จึงใช้เหตุการณ์ที่เกิ ดขึ้น
ในประวัติศาสตร์ มาเป็ นเครื่ องมื อบอกเล่าถึ งความโหดร้ ายของประเทศต่ าง ๆ ที่ เข้าครอบครอง
เพื่อสร้างความรู ้สึกรักชาติ จุดประสงค์ของการสร้างความรู ้สึกชาตินิยมในบริ บทของการสร้างชาติ
ที่ต่างกันนี้ กล่าวได้ว่าเป็ นที่มาของความสัมพันธ์ไทย – ลาวในความรู ้สึกไม่เท่าเทียม ท่ามกลาง
บริ บททางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น
4. ผลกระทบทางความสั มพันธ์ ไทย – ลาวอันเนื่องมาจากการสร้ างประวัติศาสตร์ จากพงศาวดาร
สู่ แบบเรียน
การจะทําความเข้าใจคนในสังคมใดควรให้ความสําคัญกับงานเขียนที่ออกมาในช่วงนั้น
เพราะนอกจากจะเป็ นการแสดงทัศนะของผูเ้ ขียนแล้ว ยังทําให้เข้าใจแนวโน้มของทิ ศทางสังคม
ในช่วงเวลานั้นได้เป็ นอย่างดี งานเขียนทางประวัติศาสตร์ในทุกสมัย มักถูกนํามาใช้เพื่อเป็ นเครื่ องมือ
และการดําเนิ นกลไกแห่ งรั ฐ งานเขี ยนทางประวัติศาสตร์ ในช่ วงสร้ างชาติน้ ี ก็เช่ นกัน ถูกพัฒนา
เพื่อประโยชน์ของรัฐในการสร้างชุดความคิดให้กบั สังคม แม้วา่ พระราชพงศาวดารจะเป็ นหลักฐานที่
มีประโยชน์มากทั้งในแง่ของการศึกษาประวัติศาสตร์ นิพนธ์และประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็ นหลักฐาน
ที่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เพราะขีดจํากัดของเอกสารช่ วงสมัยการสร้ างชาติ คือ การเขียน
ประวัติศาสตร์ในมุมมองและทัศนะอิงอคติตามเป้ าประสงค์แห่งรัฐ การศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงนี้
จึงมักให้ภาพและมุมมองที่ไม่รอบด้าน เพราะมักนําเสนอโดยใช้การเล่าเรื่ องผ่านสายตารั กชาติของ
ผูน้ ิพนธ์เป็ นสําคัญ
กรณี “สงครามเจ้าอนุ วงศ์” เป็ นตัวอย่างสําคัญของการศึกษาเพื่อทําความเข้าใจต่อการ
สร้างทัศนะและการรับรู ้ในช่วงเวลาสร้างชาติที่มีผลต่อความสัมพันธ์ไทยและลาวในฐานะที่เป็ นจุดเริ่ ม
154
สุ เนตร ชุ ติ น ธรานนท์ และคณะ, ทัศนคติ เหยี ยดหยามเพื่ อ นบ้านผ่านแบบเรี ย น ชาติ นิ ยมใน
แบบเรี ยนไทย, 60 - 69.
55
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ความสําคัญทั้งหมดที่กล่าวมายังได้รับการรับรองจากกรมวรรณคดีลาว และกระทรวงศึกษาธิ การลาว
ส
รับรองและจัดพิมพ์เผยแพร่ พร้อมทั้งระบุไว้ในคํานําอย่างชัดเจนในฐานะ “ไต้ส่องทางในยามมืด”
ของผูส้ นใจอ่านพงศาวดารลาว 156 ซึ่งสะท้อนถึงความสําคัญของพงศาวดารฉบับนี้ได้เป็ นอย่างดี
จากมุมมองของลาวในพงศาวดารเล่มสําคัญของมหาสิ ลา พบว่า อุทิศพื้นที่ส่วนสําคัญให้แก่
รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างไทยลาวช่วงทศวรรษ 1780 (2320) และการต่อสู ้กบั ไทย
ของเจ้า อนุ ว งศ์ พื้ น ที่ ห นึ่ ง ในสี่ จึ ง เป็ นเรื่ อ งราวของยุคสมัย ที่ ล าวตกอยู่ภ ายใต้ก ารครอบงํา ของ
เมืองไทย 157 ทั้งนี้เพราะ
155
ดารารั ต น์ เมตตาริ ก านนท์, “การรั บ รู้ เ หตุ ก ารณ์ “เจ้า อนุ ว งศ์ พ.ศ. 2369” ในเอกสารลาว,”
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 16,2 (พฤศจิกายน 2541- เมษายน 2542) : 5 -7.
156
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ, 104.
157
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์. “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์,”, 13.
158
เรื่ องเดียวกัน, 21.
56
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ฝรั่งเศสว่าเป็ นผู ้ “ปกป้ องลาว” ไว้จากคนสยาม” 161
ส
ช่วงฝรั่งเศสเข้าปกครองลาวแม้จะมีการพัฒนาระบบการศึกษาโดยการสร้างโรงเรี ยน
แต่กม็ ีการจํากัดสิ ทธิเข้าเรี ยนเฉพาะชนชั้นสูง และคนต่างชาติ ประชาชนทัว่ ไปไม่ค่อยได้รับโอกาส
ทางการศึกษามากนัก เพื่อต้องการให้เกิดความเรี ยบร้อยในการปกครอง ฝรั่งเศสไม่ได้ส่งเสริ ม
ให้เกิดการพัฒนาอย่างจริ งจัง ปล่อยให้ประชาชนมีความเชื่อทางศาสนาตามเดิม ให้ดาํ เนินชีวิต
ตามสภาพที่เคยมีมา ด้วยเหตุน้ ีประวัติศาสตร์ลาวสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองจึงแบ่งเป็ น 2 ทัศนะ
คือ นักประวัติศาสตร์ลาวสมัยศักดินามองฝรั่งเศสในเชิงบวก เช่น สิ ลา วีระวงส์ ได้กล่าวว่า
“บ้านเมืองในสมัยฝรั่งเศสปกครองนั้นมีแต่ความสงบและสบาย จนมีผกู ้ ล่าวสรรเสริ ญและยกยอ
บุญคุณฝรั่งเศสอยูเ่ ป็ นอันมาก” ด้านนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลตามแนวคิดสังคมนิยม
159
มะหาวิทะยาไลแห่งชาด, คะนะพาสา วันนะคะดี และมะนุดสาด, ตามหารอยเจ้าอะนุวง (เวียงจัน :
คะนะพาสา วันนะคะดี และมะนุดสาด มะหาวิทะยาไลแห่งชาด, 2010), 16.
160
ช่ วงสมัยนายกรั ฐ มนตรี จ อมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้ นดํารงตําแหน่ ง เป็ นช่ วงที่ ชาติ นิยมสยาม
ถูกส่ งเสริ มในทุกด้าน หนึ่ งในนั้นคือ ความพยายามที่จะรวมประชากรที่พูดภาษาไทให้เป็ นหนึ่ งเดียวกัน มีการ
เปลี่ยนชื่อประเทศ เป็ น ประเทศไทย อันหมายถึงประเทศผูเ้ ป็ นใหญ่แห่งเชื้อชาติ”ไท” เพื่อส่ งเสริ มให้เห็นถึงความ
เป็ นผูน้ าํ ของคนชนชาติ “ไท” และความยิง่ ใหญ่ของระบบอาณาจักรในอดีต ฝรั่งเศสจึงส่ งเสริ มชาตินิยมลาว ในลาว
เพื่อเป็ นการต่อต้านชาติ นิยมไทย กี ดกันว่า ลาว คื อ ลาว ไม่ใช่ ลาวที่ เป็ นของ ไทย, ดูรายละเอี ยดเพิ่มเติ มใน
แกรนท์ อี แวนส์ , ประวัติศาสตร์ สังเขปประเทศลาว ประเทศกลางแผ่นดิ นใหญ่เอเชี ยอาคเนย์, แปลโดย ดุษฎี
เฮย์มอนด์ (เชียงใหม่ : สํานักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2549).
161
แกรนท์ อีแวนส์, ประวัติศาสตร์สังเขปประเทศลาว ประเทศกลางแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์, 26.
57
ำน ก
ั ห อ ส ม ุ ด ก ล าง สศตวรรษที่ 19 นั้นมีความสําคัญ
ปรากฏการณ์ส
ของสงครามไทยและลาวในช่วงต้นคริ
ทางประวัติศาสตร์ ลาวไม่ ต่างกับระยะอื่ น ๆ แต่มูลเหตุสําคัญที่ มกั ทําให้มีการย้อนรอยอดี ตของ
เหตุการณ์บ่อยครั้งเพราะเหตุการณ์ช่วงนี้ โดนปกปิ ด อําพรางและบิดเบือนความจริ งต่อการรับรู ้ก่อให้
คนในชาติ ลาวมี ความเข้าใจผิด “เพาะมี แ ต่ ความจริ งอัน ปาสะจากกานบิ ดเบื อนและปั้ นแต่ งขึ้ น
เพื่อเยียบยํ่าซึ่ งกันและกันเท่านั้นที่จะสามาดส้างพื้นถานอันหมั้นคงคะนงแก่นได้ให้แก่กานพัวพัน
กานบ้านพี่เมื องน้องที่ แท้จิ ง ละหว่ างสองชาดลาวและไท” 164 ด้ว ยเหตุ น้ ี “สงครามเจ้า อนุ ว งศ์”
จึ งนับเป็ นอี กเหตุ การณ์ ที่มีความหมายอย่างยิ่ง ต่อประวัติศาสตร์ สัมพัน ธภาพไทย-ลาว 165 เป็ น
ความสัมพันธ์เชิ งสงครามที่มีความเข้มข้นทางอารมณ์มีผลกระทบต่อความรับรู ้ของผูค้ นในสังคม
วงกว้าง
ในประวัติ ศ าสตร์ ล าวถื อ ว่ า เจ้า อนุ ว งศ์ เ ป็ นวี ร บุ รุ ษในตํา นานของแผ่ น ดิ น ลาว
ที่สร้างความรู ้สึกชาตินิยม 166 สงครามเจ้าอนุ วงศ์ถือเป็ นสงครามที่ควรยกย่อง เพราะเป็ นสงคราม
ปลดแอกลาวให้พน้ จากการเป็ นเมืองขึ้นของไทย
162
ศึกษารายละเอียดเพิ่มใน จารุ วรรณ และคณะ, “การกล่อมเกลาทางสังคมจากแบบเรี ยนระดับชั้น
ประถมศึกษาในสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว,” ใน ลาวฮูห้ ยัง – ไทยรู้อะไรวิเคราะห์แบบเรี ยนสังคม
ศึกษา (กรุ งเทพฯ : โครงการอาณาบริ เวณศึกษา 5 ภูมิภาค, 2544).
163
มะหาวิทะยาไลแห่งชาด, คะนะพาสา วันนะคะดี และมะนุดสาด, ตามหารอยเจ้าอะนุวง, 25.
164
เรื่ องเดียวกัน, 15.
165
ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,”,131.
166
Peter and Sanda Simms Richmond , The kingdoms of Laos : six hundred years of history
[Surrey : Curzon Press, 1999], 125.
58
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประเทศให้กลับคืนเป็ นเอกราชเท่านั้น มิได้คิดจะรบเอาประเทศไทย หรื อรบรากับประเทศไทยเพื่อ
ำ
ส
แก้แค้น” 168 เจ้าอนุวงศ์ปรารถนาเพียงต้องการเป็ นอิสระจากไทยเท่านั้นไม่ได้คิดแก้แค้นหรื อเข้าหัก
ตีไทย แต่ “การกูอ้ ิสรภาพ” ของเจ้าอนุ วงศ์ตามคําเรี ยกของหลักฐานฝ่ ายลาวจะเปลี่ยนเป็ น “กบฏ”
ทันทีที่เมื่อปรากฏในหลักฐานฝ่ ายไทย
หลักฐานของทางฝ่ ายไทยในช่วงสร้างชาติชองลาวนี้ ให้ความรู ้สึกถึงเจ้าอนุวงศ์ที่แตกต่าง
ออกไปจากหลักฐานฝ่ ายลาว “คนไทยในสมัยนั้นและนักประวัติศาสตร์ ไทยมองว่า เจ้าอนุวงศ์ เป็ น
กบฏ เป็ นคนใจร้าย ในจดหมายเหตุ พระราชพงศาวดาร จะเรี ยกเจ้าอนุ วงศ์ว่า “อ้ายอนุ ” และเรี ยกผูน้ าํ
กบฏคนอื่นๆ อย่างดูถูก โดยมีคาํ ว่าอ้ายนําหน้าเช่นเดียวกัน” 169 ดังปรากฏใน จดหมายเหตุ รัชกาลที่ 3
เล่ม 3 ที่ลดฐานะเจ้าอนุวงศ์ และเจ้านายต่าง ๆในสรรพนามใหม่ เช่น เจ้าอนุวงศ์ เป็ น “อ้ายอณุเวียงจัน”
เจ้าราชวงศ์ เป็ น “อ้ายราชวง” ซึ่ งคําขานนี้ ตรงกับในประชุมจดหมายเหตุเรื่ องปราบกบฏเวียงจันท์
(เรี ยกการก่อการของเจ้าอนุวงศ์วา่ เป็ นกบฏตั้งแต่ชื่อที่บนั ทึก) ที่จารึ กชื่อชาวลาวลงในจดหมายเหตุดว้ ย
“อ้าย” ลงข้างหน้าชื่อหรื อยศของฝ่ ายลาว เช่น “อ้ายลาว”,“อ้ายเวียงจันท์”, “อ้ายเชียงทับ”, “อ้ายปลัด
คุมไพร่ ”, “อ้ายพระยานริ นท์”, “อ้ายพระยาสี หนาท”, “อ้ายอุปราช”, “อ้ายอนุ”, และ “อ้ายอนุเวียงจันท์”
เป็ นต้น และในพระราชพงศาวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่1 - 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ที่ถือว่า
เป็ นหลักฐานที่มีบทบาทและแพร่ หลาย อันเป็ นหลักฐานสําคัญของทางฝ่ ายไทยช่ วงสมัยสร้างชาติ
ซึ่ ง ในเวลาต่ อ มากลายเป็ นเอกสารหลัก ให้แ ก่ งานเขี ย นชิ้ น อื่ น ๆ ทั้ง ของไทยและต่ า งประเทศ
167
สิ ลา วีระวงส์. ประวัติศาสตร์ลาว, 109 - 110.
168
เรื่ องเดียวกัน, 110.
169
สุ วทิ ย์ ธีรศาศวัต, ประวัติศาสตร์ ลาว 1779 – 1975 (กรุ งเทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั
สกว. และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543), 132.
59
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ทั้งในกรุ งพากันมาแน่นอัดไปทุกเวลามิได้ขาด ที่ลูกผัวญาติพี่นอ้ งต้องเกณฑ์ไปทัพตายเสี ยครั้งนั้น
ส
ก็มานัง่ บ่นพรรณนาด่าแช่งทุกวัน ครั้นเวลาบ่ายแดดร่ มก็เอาบุตรหลานที่จบั ได้มาขึ้นขาหยัง่ เป็ นแถว
ให้ร้องประจานโทษตัว เวลาจวนพลบก็เอาเข้ามาจําไว้ที่ทิมดังเก่า ทําดัง่ นี้อยูไ่ ด้ประมาณ 7 วัน 8 วัน
พออนุป่วยเป็ นโรคลงโลหิ ตก็ตาย โปรดให้เอาศพไปเสี ยบประจานไว้ที่สาํ เหร่ 171
170
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์, “การรับรู้เหตุการณ์ “เจ้าอนุวงศ์ พ.ศ. 2369” ในเอกสารลาว,”, 2.
171
เจ้า พระยาทิ พ ากรวงศมหาโกษาธิ บ ดี , พระราชพงศาวดารกรุ งรั ต นโกสิ น ทร์ รั ช กาลที่ 3,
พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุ งเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2538), 36 -37.
172
สิ ลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว, 111.
60
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
เป็ นที่ รู้กนั ในหมู่คณะกรรมการการชําระประวัติศาสตร์ ไทยชุดปั จจุ บนั ว่า “เอกสารพื้นเวียง”
ได้เคยนํามาเข้าที่ ประชุ มไม่น้อยกว่าครั้ งหนึ่ งแล้ว แต่ก็มิได้นาํ มาเปิ ดเผยต่อสาธารณชน เพราะมี
เนื้ อ หาที่ ข ดั แย้งกับ เอกสารในกรุ งเทพฯ อย่างชนิ ดที่ เรี ยกว่ารั บไม่ ได้เอาเลยที เดี ยว เอกสารหรื อ
วรรณกรรมชิ้ นนี้ จึงถูกบรรจุ ไว้อย่างระมัดระวังในสุ สานหนังสื อของหอพระสมุ ดแห่ งชาติ และ
กลายเป็ นเอกสารต้องห้ามไปโดยปริ ยาย” 174
จนเมื่ อ นิ ต ยสารสยามนิ ก รตี พิ ม พ์บ ทความเรื่ อ ง “เอกสารพื้ น เวี ย ง ข้อ ขัด แย้ง ใหม่
ในประวัติศาสตร์ ” เมื่อ ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) จนนําไปสู่ การสัมมนาประวัติศาสตร์อีสานที่จดั ขึ้น
ที่จงั หวัดมหาสารคาม เมื่อเดื อน พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) ที่นาํ เสนอโดย อาจารย์ธวัช
ปุ ณ โณฑก 175 นํา มาซึ่ งความสนใจและรู ้ จ ัก เอกสารพื้ น เวี ย งในหมู่ นัก วิ ช าการด้า นลาวศึ ก ษา
มาจนกระทัง่ ปั จจุบนั
ประเด็นที่ น่าสนใจคือ “พื้นเวียง” เป็ นเอกสารที่ เขียนขึ้นภายหลังเหตุการณ์ สงคราม
เจ้าอนุ วงศ์ เป็ นการจดบันทึกโดยชาวบ้านอีสาน ที่มีขอ้ จํากัดทางด้านการเมืองน้อยมาก ให้ภาพ
เหตุการณ์ที่ต่างไปจากเอกสารฝ่ ายไทย (ที่เขียนช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ภายหลังเหตุการณ์เจ้าอนุ วงศ์
หลายปี ) เช่น ไม่ปรากฏวีรกรรมท้าวสุ รนารี แต่ปรากฏพฤติกรรมของเจ้าเมืองโคราชที่คดโกง สาเหตุ
จากการก่อการของเจ้าอนุวงศ์ เพราะชาวบ้านได้รับการเดือดร้อนจากการสักเลก และหัวเมืองอีสาน
มีใจฝักใฝ่ กับเจ้าอนุวงศ์ เป็ นต้น ซึ่งแน่นอนว่าในทัศนะของนักประวัติศาสตร์ ไทยกลุ่มหนึ่ งไม่ยอมรับ
173
สิ ลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว, 107.
174
ประทีป ชุมพล, พื้นเวียง วรรณกรรมแห่งการกดขี่ (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์อดีต, 2525), 2.
175
เรื่ องเดียวกัน.
61
“พื้ น เวี ย ง” เพราะเห็ น ว่า ให้ภ าพที่ ต่ างโดยสิ้ น เชิ งกับ พระราชพงศาวดารกรุ ง รั ต นโกสิ น ทร์ 176
ซึ่งแตกต่างไปจากสายตาของนักประวัติศาสตร์ลาวที่เห็นว่า “พื้นเวียง” คือ ข้อเท็จจริ งที่มีความพยายาม
ปกปิ ดจากรัฐไทย “มีแต่ความจริ งอันปาสะจากกานบิดเบือนและปั้ นแต่งขึ้นเพื่อเยียบยํ่าซึ่ งกันและกัน
เท่านั้นที่จะสามาดส้างพื้นถานอันหมั้นคงคะนงแก่นได้ให้แก่กานพัวพันกานบ้านพี่เมืองน้องที่แท้จิง
ละหว่างสองชาดลาวและไท”177
ความแตกต่ า งด้า นมโนทัศน์ท างประวัติศ าสตร์ มิใ ช่ เ รื่ องเล็ก น้อยที่ อาจมองข้า มได้
เพราะอาจส่ งผลต่ อการรั บรู ้ ความเข้าใจ ตลอดจนมุ มมองในการสร้ างทัศนคติ ที่ บิดเบื อนไปจาก
ข้อเท็จจริ ง
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
คนไทยสมัยธนบุรีและรัตนโกสิ นทร์ มีความรู้สึก “เหนื อกว่า” อาณาจักรลาวหลายประการ ต่อมา
จากการเกิ ดกรณี เจ้าอนุ วงศ์เวียงจันทน์ทาํ ให้ความรู้สึก “ชิงชัง” ลาวเพิ่มมากขึ้น... ความเหนื อกว่าและ
3 3
176
ดูรายละเอียดใน ประทีป ชุมพล, พื้นเวียง วรรณกรรมแห่งการกดขี่ ; และ ธวัช ปุณโณฑก, พื้นเวียง :
การศึกษาประวัติศาสตร์ และวรรณกรรมอีสาน (กรุ งเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,
2526).
177
มะหาวิทะยาไลแห่งชาด, คะนะพาสา วันนะคะดี และมะนุดสาด, ตามหารอยเจ้าอะนุวง,15.
178
ทวีศิลป์ สื บวัฒนะ, “การรับรู้เรื่ อง “ลาว” ในพงศาวดารและแบบเรี ยนไทย,”, 114.
179
โรล็องด์ บาร์ ตส์, มายาคติ Mythologies, พิมพ์ครั้งที่ 3, แปลโดย วรรณพิมล อังคศิริสรรพ, นพพร
ประชากุล, บรรณาธิการ (กรุ งเทพฯ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2551).
62
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประวัติศาสตร์ ชาตินิยมนับว่ามีคุณูปการต่อการสร้างความสมานสามัคคีภายในสังคม
ส
แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลต่อความสัมพันธ์กบั สังคมภายนอก เพราะเมื่อไทยต้องการสร้างชาติที่ยงิ่ ใหญ่
เป็ นที่ยอมรับเป็ นธรรมดาที่สุดที่ตอ้ งกดให้ทุกอย่างรอบตัวเล็กลง และสําหรับลาวการบอกเล่าถึง
ความสู ญเสี ยและการต่อสู ก้ บั ต่างชาติที่เข้าครอบครองคือหลักสําคัญของการสร้างพลังจากมวลชน
ความคิดนักประวัติศาสตร์ ชาติ นิยมก้าวก่ ายเข้าไปในช่ วงเวลาที่ รัฐยังไม่ เกิ ดรั ฐชาติ
ใช้ขอ้ เท็จจริ งทางประวัติศาสตร์ ที่เกิ ดขึ้ นโดยใส่ ความรู ้ สึกคลัง่ ชาติเพื่อปลูกถ่ายความคิดให้กับ
ประชาชน ตราบเท่ า ที่ ก ารสร้ า งประวัติ ศาสตร์ แ บบชาติ นิ ย มยัง ผลิ ต งานออกมาโดยปราศจาก
ความรู ้ เท่าทัน ของคนในสังคมและยังคงเป็ นแม่แบบสําคัญของตําราเรี ยน ความสัมพันธ์ในรู ปแบบ
3 3
ไม่ เท่ าเที ยมก็จะยังคงดําเนิ นต่ อไป ต่ อข้อเท็จจริ งนี้ ในบทต่ อไปจะศึ กษาแบบเรี ย นไทยและลาว
เพื่ อให้เ ห็ น ถึ ง ความต้อ งการของรั ฐ ในการสร้ างแบบเรี ย นในฐานะต้น แบบความคิ ด ให้ก ับ คน
ในสังคม
บทที่ 3
สาระสํ าคัญของแบบเรียนประวัติศาสตร์ ไทยและลาว
เบน แอนเดอร์ สัน กล่ าวว่า “ชาติ” หรื อ “ชุ มชนจิ นตกรรม” คือ สิ่ งที่สร้ างขึ้นด้วย
จินตนาการ เพื่อให้สัมผัสได้ว่ามีอยูจ่ ริ งผ่านทางเครื่ องมือต่าง ๆ ในการสร้างความรู ้สึกร่ วมให้เกิดขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็ น ภาษา หรื ออดีตของ “ชาติ” ใดก็ตามย่อมถูกสร้างสรรค์ข้ ึนเพื่อรองรับจินตนาการ
ถึงชุมชนที่เรี ยกว่า “ชาติ” ทั้งสิ้ น ข้อมูลที่ขาดหลักฐานหรื อการตรวจสอบหลักฐานจึงปรากฏเป็ น
น ก
ั ห อ ส มุ
ธรรมดาในประวัติศาสตร์ของแบบเรี ยนทุก “ชาติ” 1
ำ ด ก ลาง
ส
“ชาติ” คือสิ่ งที่ ไม่มีอยู่จริ ง แต่มีความสําคัญในการอธิ บายให้เห็ นถึงการดํารงอยู่
ความสําคัญของการสร้างชาติได้ถูกอธิ บายในบทที่ผา่ นมาจนทําให้เข้าใจได้ว่าประวัติศาสตร์ ชาติ
นับแต่ก่อกําเนิดมาได้ถูกกําหนดให้ทาํ หน้าที่รับใช้อาํ นาจรัฐมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ความจําเป็ น
ในบริ บทต่าง ๆ ทําให้บุคคลซึ่ งมีอาํ นาจหน้าที่กาํ หนดประวัติศาสตร์ ชาติ ปรับเปลี่ยนโครงเรื่ อง
และอธิบายสัมพันธภาพต่าง ๆ ของปรากฏการณ์ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แห่งรัฐในช่วงนั้น ๆ
ดังเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 5 การสถาปนารัฐชาติ ได้สร้างความจําเป็ นในการศึกษาค้นคว้า
เพื่ออธิ บายความเป็ นมาของชาติไทย ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างเอกภาพและความเป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกัน
ให้ เ กิ ด ขึ้ น ในสั ง คม และที่ จ ํา เป็ นที่ สุ ด ก็ เ พื่ อ สร้ า งความเป็ นชาติ ใ นการเผชิ ญ หน้ า กับ ลัท ธิ
ล่าอาณานิคมของตะวันตกที่เป็ นภัยร้ายแรงในขณะนั้น ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ชาวจีน กลายเป็ น
ตัวละครสําคัญใน “ลัทธิ ชาตินิยม” ของพระองค์ ทรงใช้ชาวจีนที่อพยพเข้ามาอาศัยในประเทศ
ไทยและค้าขายจนมีอิทธิ พลทางเศรษฐกิจเหนื อกว่าคนไทย เป็ นตัวกระตุน้ ให้คนไทยเกิดความรู ้สึก
ร่ วมรักชาติ ผ่านบทพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ
การเปลี่ยนนิยาม “ชาติ” ตามวาระอํานาจของรัฐเห็นได้ชดั จากการกําหนดความหมาย
“ชาติ ” ของ หลวงวิ จิ ต รวาทการ เพื่ อ ตอบสนองนโยบายของ จอมพล ป. พิ บู ล สงคราม
หลวงวิจิตรวาทการอธิ บายความหมายของ “ชาติ”โดยการเน้นหนักถึงความสําคัญและหน้าที่
ของคนไทยที่ตอ้ งรักชาติ และภักดีต่อท่านผูน้ าํ และเมื่อเข้าร่ วมงานกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
“ชาตินิยม” ของ หลวงวิจิตรวาทการ ได้พฒั นาความรักชาติเข้ากับการต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามกระแส
การเมื องในขณะนั้น “ประวัติศาสตร์ ” กับ “ชาติ ”จึ งมี ห น้าที่ ผูก พัน อยู่กับอํานาจรั ฐเรื่ อยมา
ไม่วา่ จะเพื่ออธิบายความหมายใดในบริ บทใดก็ตาม
1
นิ ธิ เอียวศรี วงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรี ยนและอนุ สาวรี ย ์ : ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และ
รู ปการจิตสํานึก (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2538), 70.
63
64
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ของประเทศใดประเทศหนึ่ ง สั ญ ชาติ ข องพลเมื อ งประเทศนั้น ย่อ มจะได้สิ ท ธิ แ ละหน้า ที่
ส
ของความเป็ นพลเมืองของประเทศนั้น และแน่ นอนที่สุดทุกประเทศ ไม่ว่าจะปกครองระบอบ
การเมืองแบบใด ย่อมต้องการให้พลเมืองของตนเป็ นพลเมืองดีมีส่วนร่ วมในการปกครองและ
พัฒนาประเทศอย่างมีประสิ ทธิภาพ
แม้วา่ โดยรายละเอียดแล้วนั้นความต้องการในการสร้างพลเมืองที่ดีของแต่ละประเทศ
จะมีความแตกต่างไปตามค่านิ ยม จารี ต คติความเชื่ อ แบบแผนทางวัฒนธรรมอีกทั้งรู ปแบบ
การปกครองแต่ ท ้า ยที่ สุ ด แล้ว แบบเรี ย นวิ ช าสัง คมศึ ก ษาก็ ถื อ เป็ นเครื่ อ งมื อ หลัก ของทุ ก รั ฐ
ในการสร้ างชุ ดความคิดให้กบั คนในสังคม ให้สอดคล้องตามแนวทางความต้องการแห่ งรั ฐ
เพราะ “การเป็ นพลเมืองดีของประเทศนั้นสามารถเรี ยนรู ้ได้เยาวชนไม่ได้เป็ นพลเมืองดีดว้ ยเหตุ
บังเอิญ” 3
แบบเรี ยนวิชาสังคมศึ กษาจึ งมิ ใช่สื่อเพื่อความรู้ เพียงอย่างเดี ยวแต่เป็ นสื่ อปลูกฝั งความคิ ด
ทัศนคติ เจตนคติของอุดมการณ์ชาตินิยมอย่างมีสีสัน ตามทิศทางที่รัฐ/ชาติตอ้ งการด้วย หากเปรี ยบเทียบ
แบบเรี ยนสังคมศึกษาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกับของประเทศไทยก็ลว้ นสนอง
อุดมการณ์ชาตินิยมต่างสาระและจุดประสงค์4
2
วารุ ณี โอสถารมย์ และคณะ, ลาวฮูห้ ยัง – ไทยรู้อะไรวิเคราะห์แบบเรี ยนสังคมศึกษา, กาญจนี
ละอองศรี , บรรณาธิการ(กรุ งเทพฯ : โครงการอาณาบริ เวณศึกษา 5 ภูมิภาค, 2544), 8.
3
Allen, Garth and Martin, Education and Community : The Politics of Practice (Wiltshire :
Red wood book, 1992), 146.
4
วารุ ณี โอสถารมย์ และคณะ, ลาวฮูห้ ยัง – ไทยรู้อะไรวิเคราะห์แบบเรี ยนสังคมศึกษา, 8.
65
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
(Treaty of Amity and Cooperation) ในกรอบของอาเซี ยน ยืนยันว่าจะเคารพในเอกราชและไม่
ส
แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน รวมทั้งตกลงจะระงับข้อขัดแย้งโดยสันติวิธี 6 และจาการที่
ลาวเข้าเป็ นสมาชิ กอาเซี ยนโดยสมบูรณ์ เมื่อเดื อนกรกฎาคม ค.ศ. 1997 ก็นับเป็ นการกระชับ
ความสั ม พัน ธ์ ข องไทยและลาวนอกเหนื อ ไปจากการค้า ทั้ง ในแบบทวิ ภ าคี แ ละพหุ ภ าคี
ปั จ จัยพื้ น ฐานของไทยและลาวที่ มี ความผูก พัน บนพื้ นฐานความใกล้ชิ ด ทางภู มิ ศาสตร์ แ ละ
วัฒนธรรม การพูดภาษาเดียวกัน การนับถือพุทธศาสนาเหมือนกัน และตํานานความเชื่ อในเรื่ อง
เดียวกันน่าจะเป็ นการตอกยํ้าความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกว่าคู่คา้ ใด ๆ
ในบทนี้จึงจะศึกษาว่าท่ามกลางกระแสโลกาภิวฒั น์ที่ทวั่ โลกกําลังแสวงหาความร่ วมมือ
และพันธมิตรนั้น ไทยและลาวมีการรับรู ้ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยและลาวที่เปลี่ยนแปลง
ไปจากเดิมหรื อไม่ โดยอธิ บายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ช้ นั มัธยมศึกษา
ปี ที่ 1- 6 ของไทยและลาว โดยผูว้ ิจยั ได้เลือกใช้แบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ของไทยชั้นมัธยมศึกษา
ปี ที่ 1- 6 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 จากสํานักพิมพ์วฒั นาพานิ ช ซึ่ งมีเนื้ อหา
ตรงกับหลักสู ตรการศึ กษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่ งถื อเป็ นหลักสู ตรปรั บปรุ งล่าสุ ด
เนื่ องจากในปี ที่ ทาํ การวิจ ัยนั้น แบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ตามหลักสู ตรการศึ ก ษาขั้น พื้น ฐาน
พุทธศักราช 2551 ยังมีออกมาใช้ไม่ครบในทุกชั้นเรี ยน กระทรวงศึกษาธิ การได้ประกาศให้ใช้
หลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เฉพาะโรงเรี ยนต้นแบบการใช้หลักสู ตรและ
5
นริ ทร์ พุดลา, “ตัวตนทางวัฒนธรรมในแบบเรี ยนลาว” (วิทยานิ พนธ์ดุษฎี บณ ั ฑิ ต สาขาวิชา
ไทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2551), 6.
6
กระทรวงการต่างประเทศ, กรมเอเชี ยตะวันออก, สถานะความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย – ลาว
(พฤศจิกายน 2541), 6, กล่าวถึงใน สุ ภารัตน์ เชาวน์เกษม, “ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในทัศนะของคนลาว :
กรณี ก าํ แพงนครเวี ย งจัน ทน์ ” (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญามหาบัณ ฑิ ต ภาควิช าภู มิ ภ าคศึ ก ษา บัณ ฑิ ต วิท ยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544), 3.
66
โรงเรี ย นที่ มี ค วามพร้ อ มตามรายชื่ อ ที่ ก ระทรวงศึ ก ษาธิ ก ารประกาศ โดยในระหว่ า งที่ ร อ
ความพร้ อ มการใช้ ห ลัก สู ต รการศึ ก ษาขั้น พื้ น ฐาน พุ ท ธศัก ราช 2551 ในทุ ก ชั้น เรี ยนนั้ น
กระทรวงศึกษาธิการมีประกาศให้ยดึ หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ในทุกโรงเรี ยน ประกอบการคัดเลือกแบบเรี ยนของแต่ละสํานักพิมพ์ที่ทางโรงเรี ยนเลือกใช้
ในการทําวิจยั นี้ผวู ้ ิจยั ได้นาํ หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาวิเคราะห์
ประกอบแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ช้ ันมัธยมศึ กษาปี ที่ 1-6 หลักสู ตรการศึ กษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 จากสํานักพิมพ์วฒั นาพานิ ชที่ผวู ้ ิจยั เลือกใช้ในการทําวิจยั ฉบับนี้ ซึ่ งสอดคล้อง
ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่ องหลักสูตรใหม่ทุกประการ
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในส่ วนของแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ลาวนั้น แม้จะมีการปรับปรุ งหลักสู ตรมาแล้ว
ส
ถึง 2 ครั้ง แต่ในส่ วนของสาระความรู ้ยงั คงได้อิทธิ พลตกทอดมาจากพงศาวดารเป็ นสําคัญ
เนื้ อหาที่ เ กี่ ย วข้องกับความสัมพัน ธ์ระหว่างไทยกับลาวยัง คงเป็ นการเน้น ยํ้าประวัติศาสตร์
รู ปแบบเดิม ผูว้ ิจยั จึงเลือกใช้แบบเฮียนวิดทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ 1 – 6 ซึ่งเป็ นแบบเรี ยน
ของกระทรวงศึกษาธิการฉบับล่าสุ ด (ก่อนปรับปรุ งหลักสู ตรในปี 2010) ที่ใช้มายาวนานถึง 20 ปี
เป็ นหลักฐานสําคัญในการวิจยั
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ภาพที่ 8 แบบเฮียนวิดทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ 1 – 6 ซึ่ งเป็ นแบบเรี ยนของ
กระทรวงศึกษาธิการลาวที่ใช้ในการวิจยั
1. แบบเรียนประวัติศาสตร์ ไทย
ประเทศไทยได้มีการพัฒนาหลักสู ตรเป็ นกระบวนการต่อเนื่ อง มีหน่ วยงานทุกระดับ
ชุ มชน และผูเ้ กี่ ยวข้องเข้ามามีส่วนร่ วมในการพัฒนาหลักสู ตร สํานักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กําหนดมาตรฐานการเรี ย นรู ้ แ ละหลัก สู ตรแกนกลางขึ้น 7 และมี ก ารปรั บปรุ งและพัฒนาให้
เหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคม ยกตัวอย่างเช่ นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี
พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายของการศึกษา ที่สาํ คัญคือ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ
แนวคิดและระบอบการปกครองประชาธิ ปไตย และเพื่อแก้ปัญหาความตกตํ่าของอุตสาหกรรม
พื้นบ้านอันเนื่ องมาจากการหลัง่ ไหลเข้ามาของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างประเทศ ในการนี้
ได้มีการบรรจุเรื่ องของประชาธิ ปไตยไว้ในหลักสู ตร อย่างไรก็ตามผลที่ได้ไม่เป็ นที่พอใจนัก
จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสู ตรอีก คือในปี พ.ศ. 2503 8
จากการสัมภาษณ์ สุ วชั ราภรณ์ แย้มนุ่ น ครู วิทยฐานะชํานาญการพิเศษ โรงเรี ยน
วัดโรงวัว สํานักงานการศึกษาประถมศึกษาชัยนาทเขต 1 ครู ผสู ้ อนประจํากลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ได้ให้ขอ้ สังเกตเกี่ ยวกับแบบเรี ยนและหลักสู ตรว่า “แต่ละโรงเรี ยน
7
สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึ กษา, กรอบแนวทางการปรั บปรุ งหลักสู ตรการศึ กษาขั้น
พื้นฐานพุทธศักราช 2544 (กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2549), 3.
8
ธํารง บัวศรี , ทฤษฏีหลักสู ตร การออกแบบและพัฒนา, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพ ฯ : สํานักพิมพ์
พัฒนศึกษา, 2542), 145.
68
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ข้างต้น ดังนั้นในหัวข้อวิจยั นี้จะเริ่ มศึกษาพัฒนาการของแบบเรี ยนประวัติศาสตร์โดยให้ครอบคลุม
ส
กับหัวข้อวิจยั การรับรู ้ประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ไทย-ลาว : ผ่านแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ไทย
และลาว ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 – 6 (ค.ศ. 1975 – 2009) จึงให้ความสําคัญในการวิเคราะห์หลักสู ตร
ในลําดับแรก โดยเริ่ มศึกษาที่หลักสู ตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พ.ศ. 2503 จนถึงหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อหาคําจํากัดความของวิชาประวัติศาสตร์ ที่ส่วนกลาง
กําหนดเนื้อหาขึ้นเพื่อเป็ นกรอบในการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพตามเป้ าประสงค์แห่ งรัฐ
จากหลักสู ตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พ.ศ. 2503 จนถึงหลักสู ตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 พบว่ามีการปรับปรุ งหลักสู ตรทั้งสิ้ น 5 ครั้งในระยะ 48 ปี แต่ละครั้ง
ที่ทาํ การปรับปรุ งหลักสู ตรไม่มีกฎเกณฑ์เรื่ องเวลาที่แน่ นอน จะปรับปรุ งตามการวิจยั ติดตาม
การใช้หลักสู ตรเพื่อให้มีการพัฒนาหลักสู ตรที่ต่อเนื่อง 9 โดยทั้ง 5 หลักสูตรมีรายละเอียด ดังนี้
1. หลักสู ตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พ.ศ. 2503 ได้จดั การเรี ยนการสอน
แยกออกเป็ นรายวิชาต่าง ๆ เช่นเรี ยงความย่อความ วรรณคดี คณิ ตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม ฯลฯ
2. พ.ศ. 2521 กระทรวงศึกษาธิการจัดทําหลักสู ตรและการเรี ยนการสอนแบบบูรณาการ
ในระดับ ชั้น ประถมและมัธ ยมต้น เพราะผูบ้ ริ ห ารและนัก วิ ช าการด้า นการศึ ก ษาเห็ น ว่ า
การให้เรี ยนแยกเป็ นรายวิชาต่าง ๆ เด็กไม่สามารถนําไปใช้ในชีวิตจริ ง จึงควรบูรณาการวิชาต่าง ๆ
ที่มีเนื้ อหาใกล้เคียงกันเข้าเป็ นกลุ่มเดียวกัน หลักสู ตรมัธยมศึกษาตอนต้นปี 2521 จึงแบ่งเป็ น
กลุ่มวิชาได้แก่
• กลุ่มภาษา มีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
• กลุ่มคณิ ตศาสตร์
9
สํา นัก วิ ช าการและมาตรฐานการศึ ก ษา, กรอบแนวทางการปรั บ ปรุ ง หลัก สู ต รการศึ ก ษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544, 12 - 15.
69
• กลุ่มวิทยาศาสตร์
• กลุ่มสังคมมีภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม
• กลุ่มพัฒนาบุคลิกภาพมีศิลปะ พลศึกษา สุ ขศึกษา
ขณะที่หลักสู ตรมัธยมศึกษาตอนปลายยังคงใช้หลักสู ตรปี 2518 ที่แยกเป็ นรายวิชาต่าง ๆ
จากนั้นได้มีการจัดทําหลักสู ตรมัธยมศึกษาตอนปลายปี 2524 แบ่งเป็ นกลุ่มรายวิชาลักษณะ
เดียวกับหลักสู ตรมัธยมศึกษาตอนต้นปี 2521
3. ปี พ.ศ. 2533 ได้จดั หลักสู ตรประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษา
ตอนปลาย ปี พ.ศ.2521 (ฉบับปรับปรุ งพ.ศ.2533) โดยปรับปรุ งคําอธิ บายรายวิชาให้ชดั เจนขึ้น
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
บอกถึงกิจกรรมการเรี ยนการสอน เรื่ องที่สอนและวัตถุประสงค์ แต่ยงั แบ่งเป็ นกลุ่มวิชาเช่นเดิม
ำ
ส
4. ต่อมาได้มีการปรับปรุ งหลักสู ตรใหม่ คือ หลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐานปี 2544
แบ่งเป็ น 8 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ได้แก่
• ภาษาไทย
• คณิ ตศาสตร์
• วิทยาศาสตร์
• ภาษาต่างประเทศ
• สุ ขศึกษาและพลศึกษา
• ศิลปะ
• การงานอาชีพและเทคโนโลยี
• สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประเด็ น ที่ น่า สนใจอี ก ประการคื อ เนื้ อหาสาระของแบบเรี ย นประวัติ ศาสตร์ ต ามหลัก สู ต ร
ส
หลักสู ตรการศึกษา พ.ศ. 2503 พ.ศ. 2521 พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2544 ที่เกี่ ยวข้องกับ
ความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับไทย ยังคงเป็ นการนําเสนอภาพของ “ความเหนือกว่า” เช่นเดิม
5. ใน พ.ศ. 2551 กระทรวงศึกษาธิ การปรับปรุ งหลักสู ตรอีกครั้งหนึ่ ง ซึ่ งถือเป็ น
ครั้งล่าสุ ด และในการวิจยั นี้ ผวู ้ ิจยั ใช้แบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ช้ นั มัธยมศึกษาปี ที่ 1-6 หลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 จากสํานักพิมพ์วฒั นาพานิช ซึ่งเนื้ อหาตรงกับหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่ งถือเป็ นหลักสู ตรปรับปรุ งล่าสุ ด สอดคล้องกับคําสั่ง
จากกระทรวงศึกษาธิการที่มีประกาศให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551
ตามคําสั่งกระทรวงศึกษาธิ การที่ สํานักงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้นพื้นฐาน
ที่ 293/2551 เรื่ อง ให้ใช้หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2551
กําหนดให้สถานศึ กษาในสัง กัด จัด การเรี ย นการสอนโดยใช้ห ลัก สู ต รแกนกลางการศึ ก ษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 10 ดังนี้
1. โรงเรี ยนต้นแบบการใช้หลักสู ตรและโรงเรี ยนที่มีความพร้ อมตามรายชื่ อ
ที่กระทรวง ศึกษาธิการประกาศ ใช้หลักสูตรฯ ดังนี้
ปี การศึกษา 2552 ให้ใช้หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ในชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1-6 และชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 และ 4
ปี การศึกษา 2553 ให้ใช้หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ในชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1-6 และชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 และ 2 และชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 และ 5
10
กระทรวงศึ ก ษาธิ ก าร, หลัก สู ต รแกนกลางการศึ ก ษาขั้น พื้ น ฐาน พุ ท ธศัก ราช 2551.
(กรุ งเทพมหานคร:โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, 2551).
71
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ต่อรองเพื่อขจัดและลดปั ญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรื อไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลัก
ส
เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่ อสารที่มีประสิ ทธิ ภาพโดยคํานึ งถึง
ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
2.2 ความสามารถในการคิด เป็ นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด
สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็ นระบบ เพื่อนําไปสู่
การสร้างองค์ความรู ้หรื อสารสนเทศเพื่อการตัดสิ นใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
2.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นความสามารถในการแก้ปัญหาและ
อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล
สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู ้
ประยุกต์ความรู ้มาใช้ในการป้ องกันและแก้ไขปั ญหา และมีการตัดสิ นใจที่มีประสิ ทธิ ภาพ
โดยคํานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่ งแวดล้อม
2.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชี วิต เป็ นความสามารถในการนํา
กระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดําเนินชีวิตประจําวัน การเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเอง การเรี ยนรู ้อย่าง
ต่อเนื่อง การทํางาน และการอยูร่ ่ วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริ มความสัมพันธ์อนั ดีระหว่าง
บุคคล การจัดการปั ญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทนั กับการเปลี่ยนแปลง
ของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู ้จกั หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์
2.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็ นความสามารถในการเลือก และใช้
เทคโนโลยีดา้ นต่างๆ และมีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม
ในด้านการเรี ยนรู ้ การสื่ อสาร การทํางานการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม
และมีคุณธรรม
3. ปรับปรุ งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ที่มุ่งเน้นให้ผเู ้ รี ยนสามารถอยูร่ ่ วมกับผูอ้ ื่น
ในสังคมได้อย่างมีความสุ ข ในฐานะเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก 8 ข้อ คือ 1. รักชาติ ศาสน์
73
กษัตริ ย ์ 2. ซื่ อสัตย์สุจริ ต 3. มีวินยั 4. ใฝ่ เรี ยนรู ้ 5. อยูอ่ ย่างพอเพียง 6. มุ่งมัน่ ในการทํางาน
7. รักความเป็ นไทย 8. มีจิตสาธารณะ
4. ปรับมาตรฐานการเรี ยนรู ้ช่วงชั้น เป็ นตัวชี้วดั ชั้นปี ได้มีการกําหนดตัวชี้วดั ชั้นปี
สําหรับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปี ที่ 1- มัธยมศึกษาปี ที่ 3) เพื่อให้เกิดความเป็ นเอกภาพ
และความชัดเจนในการจัดการเรี ยนการสอนและประเมินผลในแต่ละระดับชั้น รวมทั้งช่ วย
แก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ส่ วนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษา
ปี ที่ 4- 6) ยังคงใช้ตวั ชี้วดั ช่วงชั้น
5. กําหนดสาระการเรี ยนรู ้แกนกลางเพื่อให้เป็ นจุดร่ วมที่ผูเ้ รี ยนทุกคนในระดับ
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐานต้องเรี ยนรู ้ ช่วยให้เกิดความเป็ นเอกภาพในการจัดการศึกษา
ส
6. ปรับโครงสร้างเวลาเรี ยน หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 ได้กาํ หนดกรอบโครงสร้างเวลาเรี ยนขั้นตํ่าสําหรับกลุ่มสาระการเรี ยนรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรม
พัฒนาผูเ้ รี ยน
7. ปรับเกณฑ์การวัดประเมินผล เปลี่ยนจากเดิมที่หลักสู ตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้สถานศึกษาเป็ นผูก้ าํ หนดหลักเกณฑ์การประเมินโดยความ
เห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา มาเป็ นส่ วนกลางเป็ นผูก้ าํ หนดเกณฑ์การวัดประเมินผล
กลางให้
ความแตกต่างของหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กับหลักสู ตร
การศึ กษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ที่ มีผลสําคัญต่อหัวข้อวิจยั “การรั บรู้ ประวัติศาสตร์
ความสั มพันธ์ ไทย-ลาว : ผ่ านแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ไทยและลาว ชั้ นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 – 6
(ค.ศ. 1975 – 2009)” คือ ได้มีการกําหนดให้ประวัติศาสตร์ เป็ นวิชาเรี ยนที่แยกการวัดผล
การเรี ยนรู ้ ออกจากกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม แต่ยงั คงจัดเป็ นรายวิชาในกลุ่ม
สาระการเรี ยนรู ้ สั ง คมศึ ก ษา ศาสนาและวัฒ นธรรมซึ่ งต่ า งจากหลั ก สู ต รที่ ผ่ า นมา ๆ
ที่ประวัติศาสตร์ เป็ นเพียงส่ วนเรี ยนย่อย ๆ ที่แทรกตามกลุ่มประสบการณ์วิชา หรื อหน่ วยย่อย
ของสาระวิชาสังคมศึกษาเท่านั้น
ประเด็ น เปลี่ ย นแปลงที่ สํ า คัญ ในหลัก สู ต รแกนกลางการศึ ก ษาขั้น พื้ น ฐาน
พุทธศักราช 2551 ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ที่แตกต่างไปจากเนื้ อหา
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม นั้นคือ มีการปรับปรุ งเนื้ อหาบางเรื่ องที่ลา้ สมัยไม่ทนั เหตุการณ์ เพิ่มเติมเนื้ อหา
บางเรื่ องที่ เ ป็ นปั จ จุ บนั ในแบบเรี ย น เช่ น การให้ความรู ้ พ้ืน ฐานเกี่ ย วกับประชาคมอาเซี ย น
74
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
75
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง ประวัติศาสตร์
ส • ความสัมพันธ์และความสําคัญ
ของอดี ต ที่ มี ต่ อ ปั จจุ บ ั น และ
อนาคต
• ตัวอย่างการใช้เวลา ช่วงเวลาและ
ยุ ค สมั ย ที่ ป รากฏในเอกสาร
ประวัติศาสตร์ไทย
2. เทียบศักราชตามระบบต่าง ๆ ที่ • ที่ ม าของศั ก ราชที่ ป รากฏ
ใช้ประวัติศาสตร์ ในเอกสารประวัติ ศ าสตร์ ไ ทย
ได้แก่ จ.ศ. / ม.ศ. / ร.ศ. / พ.ศ. /
ค.ศ. / และ ฮ.ศ.
• วิ ธี เ ที ย บศัก ราชต่ า ง ๆ และ
ตัวอย่างการเทียบ
• ตัว อย่างการใช้ศกั ราชต่ าง ๆ
และตัวอย่างการเทียบ
• ตัวอย่างการใช้ศกั ราชต่าง ๆ ที่
ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์
ไทย
3. นําวิธีการทางประวัติศาสตร์ • ความหมายและความสํา คัญ
ม า ใ ช้ ศึ ก ษ า เ ห ตุ ก า ร ณ์ ท า ง ของประวัติศาสตร์ และวิ ธีการ
ประวัติศาสตร์ ท า ง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ที่ มี
ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
76
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง สมัยสุ โขทัย
ส • นําวิธีการทางประวัติศาสตร์
ไ ป ใ ช้ ศึ ก ษ า เ รื่ อ ง ร า ว ข อ ง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ที่ มี อ ยู่
ในท้องถิ่นตนเองในสมัยใดก็ได้
( ส มั ย ก่ อ น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์
สมัย ก่ อ นสุ โ ขทัย สมัย สุ โ ขทัย
ส มั ย อ ยุ ธ ย า ส มั ย ธ น บุ รี
ส มั ย รั ต น โ ก สิ น ท ร์ ) แ ล ะ
เหตุการณ์สาํ คัญในสมัยสุ โขทัย
ม. 2 1. ประเมินความน่ าเชื่ อถือของ • วิธีการประเมินความน่ าเชื่อถือ
หลัก ฐานทางประวัติ ศ าสตร์ ใ น ของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ลักษณะต่าง ๆ ในลัก ษณะต่ า ง ๆ อย่ า งง่ า ย ๆ
เช่ น การศึ กษาภู มิหลังของผูท้ าํ
2. วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง
หรื อผู ้ เ กี่ ย วข้ อ ง สาเหตุ ช่ ว ง
ความจริ ง กั บ ข้ อ เท็ จ จริ งขอ ง
ระยะเวลารู ปลักษณ์ของหลักฐาน
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ทางประวัติศาสตร์ เป็ นต้น
3. เห็นความสําคัญของการตีความ • ตัวอย่างการประเมินความ
หลั ก ฐานทางประวั ติ ศ าสตร์ ที่ น่าเชื่อถือของหลักฐานทาง
น่าเชื่อถือ ประวัติศาสตร์ไทยที่อยูใ่ นท้องถิ่น
ของตนเอง หรื อหลักฐานสมัย
อยุธยา (เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3)
77
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง จดหมายเหตุชาวต่างชาติ
ส • การแยกแยะระหว่างข้อมูลกับ
ความคิ ด เห็ น รวมทั้ง ความจริ ง
กับ ข้อเท็จจริ งจากหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์
• ตัวอย่างการตีความข้อมูลจาก
หลั ก ฐานที่ แ สดงเหตุ ก ารณ์
สําคัญในสมัยอยุธยาและธนบุรี
• ความสําคัญของการวิเคราะห์
ข้ อ มู ล แ ล ะ ก า ร ตี ค ว า ม ท า ง
ประวัติศาสตร์
ม. 3 1. วิเคราะห์ เรื่ องราวเหตุการณ์ • ขั้ น ต อ น ข อ ง วิ ธี ก า ร ท า ง
สํ า คัญ ๆ ทางประวัติ ศ าสตร์ ไ ด้ ประวัติศาสตร์ สาํ หรับการศึกษา
อย่ า งมี เ หตุ ผ ลตามวิ ธี การทาง เหตุ ก ารณ์ ท างประวัติ ศาสตร์ ที่
ประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในท้องถิ่นของตนเอง
• นํา วิธีการทางประวัติศาสตร์
2. ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
มาใช้ ใ นการศึ ก ษาเรื่ องราวที่
ในการศึกษาเรื่ องราวต่าง ๆ ที่ตน
เกี่ ย วข้อ งกับตนเอง ครอบครั ว
สนใจ
และท้องถิ่นของตน
• วิ เ คราะห์ เ หตุ ก ารณ์ สํ า คั ญ
ในสมัย รั ต นโกสิ น ทร์ โดยใช้
วิธีการทางประวัติศาสตร์
78
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง ทางประวัติ ศ าสตร์ ข องสั ง คม
ส มนุ ษ ย์ที่ มี ป รากฏในหลัก ฐาน
ทางประวัติศาสตร์ (เชื่อมโยงกับ
มฐ. ส. 4.3)
• ความสําคัญของเวลาและยุค
สมัยทางประวัติศาสตร์
2. สร้ า งองค์ค วามรู ้ ใ หม่ • ขั้ น ต อ น ข อ ง วิ ธี ก า ร ท า ง
ทางประวัติ ศาสตร์ โดยใช้วิธี ก าร ประวั ติ ศ าสตร์ โดยนํ า เสนอ
ทางประวัติศาสตร์อย่างเป็ นระบบ ตั ว อ ย่ า ง ที ละ ขั้ น ต อ น อ ย่ า ง
ชัดเจน
• คุ ณ ค่ า และประโยชน์ ข อง
วิธีการทางประวัติศาสตร์ ที่มีต่อ
การศึกษาทางประวัติศาสตร์
79
ตารางที่ 1 (ต่อ)
มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุ ษยชาติจากอดี ตจนถึงปั จจุบนั ในด้าน
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่ อง ตระหนัก ถึงความสําคัญและ
สามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประเทศต่ า ง ๆ ในภู มิ ภ าคเอเชี ย เอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ที่มีผล
ส
ตะวันออกเฉี ยงใต้ ต่อพัฒนาการทางด้านต่าง ๆ
• พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
สั ง คม เศรษฐกิ จ และการเมื อง
ของประเทศต่ า ง ๆ ในภู มิ ภ าค
เอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
• ความร่ วมมือผ่านการรวมกลุ่ม
เป็ นอาเซี ย นของประเทศใน
ภูมิภาคเอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้
ที่ ถื อ ว่ า เป็ น พั ฒ นาก าร ขอ ง
ภูมิภาค
2. ระบุความสําคัญของแหล่ง • ที่ ต้ ั งและความสํ า คั ญ ของ
อ า ร ย ธ ร ร ม ใ น ภู มิ ภ า ค เ อ เ ชี ย แหล่ ง อารยธรรมในภู มิ ภ าค
ตะวันออกเฉี ยงใต้ เอเชี ย ตะวัน ออกเฉี ย งใต้ เช่ น
แหล่งมรดกโลกในประเทศต่าง ๆ
ของเอเชี ย ตะวัน ออกเฉี ย งใต้
(เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3)
• อิ ท ธิ พ ล ข อ ง อ า ร ย ธ ร ร ม
โบราณในดิ น แดนไทยที่ มี ต่ อ
พั ฒ น า ก า ร ข อ ง สั ง ค ม ไ ท ย
ในปั จจุบนั
80
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง สังคม เศรษฐกิ จ และการเมื อ ง
ส ของภูมิภาคเอเชี ย (ยกเว้นเอเชี ย
ตะวันออกเฉี ยงใต้)
2. ระบุความสําคัญของแหล่ง • ที่ ต้ ั งและความสํ า คั ญ ของ
อารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย แหล่งอารยธรรมตะวันออกและ
แหล่ ง มรดกในประเทศต่ า ง ๆ
ในภูมิภาคเอเชีย
• อิทธิพลของอารยธรรมโบราณ
ที่มีต่อภูมิภาคเอเชียในปัจจุบนั
ม. 3 1. อธิ บายพัฒนาการทางสังคม • ที่ต้ งั และสภาพทางภูมิศาสตร์
เศรษฐกิ จ และการเมื องของ ของภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก (ยกเว้น
ภูมิภาคต่าง ๆ ในโลกโดยสังเขป เอเชีย) ที่มีผลต่อพัฒนาการ
โดยสังเขป
2. วิเคราะห์ผลของการเปลี่ยนแปลง • พัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ
ที่ นําไปสู่ ความร่ วมมื อ และความ และการเมืองของภูมิภาคต่าง ๆ
ขั ด แย้ง ในคริ สต์ ศ ตวรรษที่ 20 ของโลก(ยกเว้นเอเชีย)
ตลอดจนความพยายามในการขจัด • อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก
ปั ญหาความขัดแย้ง ที่ มี ผ ล ต่ อ พั ฒ น า ก า ร แ ล ะ
การเปลี่ ยนแปลงของสังคมโลก
โดยสังเขป
81
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ตารางที่ 1 (ต่อ)
น ก
ั ห อ ส ม
ในคริ สต์วรรษที่ 21
ำ ุ ด ก ลาง • สถานการณ์ สํ า คัญ ของโลก
ส ในคริ สต์ศตวรรษที่ 20 เช่น
- เหตุการณ์ระเบิดตึก World
Trade Center 11 กันยายน 2001
- การขาดแคลนทรัพยากร
- การก่อการร้ายและการต่อต้าน
การก่อการร้าย
- ความขัดแย้งทางศาสนา
83
ตารางที่ 1 (ต่อ)
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็ นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก
ความภูมิใจและธํารงความเป็ นไทย
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
อิทธิ พลของภูมิปัญญาดังกล่าว ต่อ และการกูเ้ อกราช
ส
การพัฒนาชาติไทยในยุคต่อมา • ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
สมัย อยุ ธ ยา เช่ น การควบคุ ม
กําลังคนและศิลปวัฒนธรรม
• การเสี ยกรุ งศรี อยุธยาครั้งที่ 2
การกู้เ อกราชและการสถาปนา
อาณาจักรธนบุรี
• ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
สมัยธนบุรี
• วีร กรรมของบรรพบุ รุษ ไทย
ผลงานของบุคคลสําคัญของไทย
ที่มีส่วนสร้างสรรค์ชาติไทย เช่น
- สมเด็จพะรามาธิบดีที่ 2
- พระสุ ริโยทัย
- พระนเรศวรมหาราช
- พระนารายณ์มหาราช
- สมเด็จพระเจ้าตากสิ น
มหาราช
- พระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช
- สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา
สุ รสิ งหนาถ
85
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิ ตลาธิเบ
ส ศรรามาธิ บ ดี จัก รี นฤบดิ น ทร
สยามิ น ทราธิ ราช บรมนาถ
บพิ ต ร และสมเด็จ พระนางเจ้า
สิ ริกิต์ ิพระบรมราชินีนาถ
• บ ท บ า ท ข อ ง ไ ท ย ตั้ ง แ ต่
เปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึง
ปั จจุบนั ในสังคมโลก
ม.4 – 6 1. วิ เ คราะห์ ป ระเด็ น สํ า คัญ ของ ป ร ะ เ ด็ น สํ า คั ญ ข อ ง
ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์ ไทย เช่น แนวคิด
2. วิ เ คราะห์ ความสํ า คั ญ ของ เกี่ยวกับความเป็ นมาของชาติไทย
สถาบัน พระมหากษัต ริ ย ์ต่ อ ชาติ อาณาจักรโบราณในดินแดนไทย
ไทย และอิ ท ธิ พ ลที่ มี ต่ อ สั ง คมไทย
3. วิ เ ค ร า ะ ห์ ปั จ จั ย ที่ ส่ ง เ ส ริ ม ปั จ จั ย ที่ มี ผ ลต่ อ การสถาปนา
ความสร้ า งสรรค์ภู มิ ปั ญ ญาไทย อาณาจักรไทยในช่วงเวลาต่าง ๆ
และวัฒ นธรรมไทย ซึ่ งมี ผ ลต่ อ สาเหตุ แ ละผลของการปฏิ รู ป
สังคมไทยในยุคปั จจุบนั
การปกครองบ้านเมือง การเลิกทาส
เลิกไพร่ การสเด็จประพาสยุโรป
และหั ว เมื อ งสมั ย รั ช กาลที่ 5
แนวคิดประชาธิปไตยตั้งแต่สมัย
รัชกาลที่ 6
87
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ที่มีส่วนสร้างสรรค์วฒั นธรรมไทย ชาติ ไทยในด้ า นต่ างๆ เช่ น
ส
และประวัติศาสตร์ไทย การป้ องกัน และรั ก ษาเอกราช
ข อ ง ช า ติ ก า ร ส ร้ า ง ส ร ร ค์
วัฒนธรรมไทย
อิ ท ธิ พ ล ข อ ง วั ฒ น ธ ร ร ม
ตะวันตก และตะวันออกที่มีต่อ
สังคมไทย
ผลงานของบุ ค คลสํา คัญ ทั้ง
ชาวไทยและต่ า งประเทศ ที่ มี
ส่ วนสร้างสรรค์ วัฒนธรรมไทย
และประวัติศาสตร์ไทย
-พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
- พระบาทสมเด็จพระนัง่
เกล้าเจ้าอยูห่ วั
- พระบาทสมเด็จมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยูห่ วั
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงวงษาธิราชสนิท
88
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร
ส - สมเด็จเจ้าพระยามหาศรี
สุ ริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
- บาทหลวงปา เลอกัวซ์
- พระยากัลป์ ยาณไมตรี
(Dr. Francis B. Sayre ดร.ฟราน
ซีส บี แซร์)
- ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
- พระยารัษฎานุประดิษฐ์
มหิ ศรภักดี (คอซอมบี้ ณ ระนอง)
ปั จ จั ย แ ละ บุ ค ค ล ที่
ส่ ง เสริ ม สร้ า งสรรค์ภู มิ ปั ญ ญา
ไทย และวัฒ นธรรมไทย ซึ่ ง มี
ผลต่อสังคมไทยในยุคปั จจุบนั
-พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ
พระเจ้าอยูห่ วั ภูมิพลอดุลยเดช
- สมเด็จพระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ
พระบรมราชินีนาถ
- สมเด็จพระศรี นคริ น
ทราบรมราชชนนี
89
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด
ปั ญญาไทยและวัฒนธรรมไทย ก ลาง วัฒนธรรมไทย
ส วิ ถี ชี วิ ต ของคนไทยในสมัย
ต่าง ๆ
การสื บทอดและเปลี่ยนแปลง
ของวัฒนธรรมไทย
แนวทางการอนุ รั กษ์ ภู มิ
ปั ญญาและวัฒนธรรมไทยและ
การมีส่วนร่ วมในการอนุรักษ์
วิธีการมีส่วนร่ วมอนุ รักษ์ภูมิ
ปัญญาและวัฒนธรรมไทย
* มฐ. ส 4.3 หมายถึง มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็ นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญา
ไทย มีความรัก ความภูมิใจและธํารงความเป็ นไทย
11
กระทรวงศึกษาธิ การ, ตัวชี้วดั และสาระการเรี ยนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551, 5.
12
ปณิ ตา สระวาสี , การสร้างสํานึกความเป็ นชาติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชน
ลาวโดยผ่านแบบเรี ยนชั้นประถมศึกษาตั้งแต่ ค.ศ.1975 – 2000, (กรุ งเทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั ,
2546), 3.
13
เรื่ องเดียวกัน, 47 – 48.
91
14
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ ง (เวียงจัน : สะถาบัน
ค้นคว้า วิทะยาสาดกานสึ กสา, 1996.), 1.
15
เรื่ องเดียวกัน, 1-2.
92
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นของการวิจยั ว่า “การเป็ นพลเมืองดีของประเทศนั้นสามารถ
ำ
ส
เรี ยนรู ้ได้เยาวชนไม่ได้เป็ นพลเมืองดีดว้ ยเหตุบงั เอิญ”17 ซึ่งแน่นอนว่าพลเมืองที่ดีของแต่ละประเทศ
จะมีความแตกต่างไปตามค่านิ ยม จารี ต คติความเชื่ อ แบบแผนทางวัฒนธรรมอีกทั้งรู ปแบบ
การปกครอง การกล่อมเกลาประชาชนในแต่ละรั ฐจึ งถื อเป็ นจุ ดมุ่ งหมายสําคัญ ในการผลิ ต
ชุ ดความคิดโดยผ่านเครื่ องมื อต่ าง ๆ ของรั ฐ เพื่อให้ได้ประชาชนที่เติ บโตมาพร้ อมแนวทาง
ตามที่รัฐกําหนดจุดมุ่งหมายไว้
การพัฒนาคุ ณลักษณะของประชาชนพลเมื องภายในสังคมให้เอื้ อต่ อการพัฒนา
ประเทศ มีความรู ้ ความเข้าใจ ตลอดจนมีเจตคติ และค่านิ ยมตามแบบแผนของสังคม รวมทั้งรู ้
บทบทหน้าที่ของตนเอง ให้มีความรั กและภาคภูมิใจในที่มาและชาติของตน เหล่านี้ ลว้ นเป็ น
จุ ดมุ่งหมายหลักที่ สําคัญของทุกประเทศ การมองผ่านแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ไทยและลาว
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 – 6 (ค.ศ. 1975 – 2009) ที่แม้จะมีการปรับปรุ งหลักสู ตรบ้างในปี 1979
(พ.ศ. 2522)แต่กย็ งั เน้นยํ้าภาพและเหตุการณ์เดิม ที่สาํ คัญแบบเรี ยนลาวถูกใช้มายาวนานถึง 20 ปี
ดังนั้นการมองผ่านแบบเรี ยนลาวชุดนี้ จะช่วยให้เข้าใจการสร้าง “มายาคติของรัฐ” 18 ต่อการรับรู ้
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ไทยและลาวในปั จจุบนั
16
ปณิ ตา สระวาสี , การสร้างสํานึกความเป็ นชาติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
โดยผ่านแบบเรี ยนชั้นประถมศึกษา ตั้งแต่ค.ศ. 1975 – 2000, 3 – 4.
17
Allen, Garth and Martin, Education and Community : The Politics of Practice, 146.
18
มายาคติของรัฐ ในที่น้ ี สื บเนื่ องมาจากการให้ความหมาย “ชาติ”ของ เบน แอนเดอร์ สัน ว่าเป็ น
สิ่ งที่ไม่มีอยูจ่ ริ ง “มายาคติของรัฐ” ผูว้ ิจยั จึงหมายถึง การสร้างความสํานึ กให้กบั ประชาชน ในเรื่ องการรักชาติ
ภาคภูมิใจชาติ ร่ วมไปถึงความรู้สึกห่ วงแหนในชาติ ให้กลายเป็ นความรู ้สึกร่ วมของประชาชน โดยผ่านองค์
ความรู้ที่รัฐใช้อาํ นาจกําหนดเป็ นผูก้ าํ หนดแบบเรี ยน, ผูว้ จิ ยั .
93
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เมื่ อกล่ า วถึ งกัน ในบริ บททางประวัติศาสตร์ ผ่านแบบเรี ย น เพื่อให้เห็ น ภาพแรกของผูเ้ รี ย น
ำ
ส
ในการทําความรู ้ จกั ซึ่ งกันและกันผ่านแบบเรี ยนที่รัฐลาวสร้างขึ้น ซึ่ งอาจจะเป็ นเพียงจุดเล็ก ๆ
ที่นาํ มาขยายภาพ หรื อเป็ นการรั บรู ้ ประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ ที่ต่างไปจากความสัมพันธ์
ทางประวัติศาสตร์ ของไทยและลาวที่บนั ทึกตามพงศาวดารของไทยและลาวที่ผวู ้ ิจยั ได้กล่าวถึง
ไว้ในบทที่ 2
เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างลาวและไทยนั้น แบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ลาว ใช้
พงศาวดารลาวปูพ้ืนฐานความเข้าใจให้กบั ผูเ้ รี ยนถึงอาณาจักรโบราณ กล่าวถึง
19
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 18.
20
สิ ลา วีระวงส์, พงศาวดารลาว. แปลโดย ทองสื บ ศุภะมาร์ ค (กรุ งเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา,
2528), 33.
94
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ความแตกต่างที่ไม่น่าแปลกใจในบทเรี ยนไทยและลาวในการเริ่ มต้นของความสัมพันธ์
ส
ไทยและลาวนี้ คือ ไทยจะจบตรงที่พระเจ้าฟ้ างุ่มสามารถพัฒนารัฐอิสระและสถาปนาขึ้นเป็ น
อาณาจักรได้ในที่สุด แต่สาํ หรับแบบเรี ยนลาวแล้ว วีรกรรมต่าง ๆ ของ พระเจ้าฟ้ างุ่มถูกนํามา
ขยายความ
เจ้าฟ้ างุ่ม เป็ นเจ้าชีวดิ ที่ดาํ ลงคงตนอยูใ่ น ลาชะสมบัดที่เป็ นทํา, เถิงว่าอายุยงั น้อย แต่ชีวดิ
ของเพิ่นก่ได้ผา่ นผ่าอุปะสักนา ๆ ปะกานเพื่อความยูเ่ ย้นเป้ นสุ กของปวงชนลาว. นับแต่กาง
สะตะวัดที่ 14 เป้ นต้นมา อานาจักลาวล้านช้าง ได้จะเลินเข้มแขง เคียงคู่กบั อาณาจักต่าง ๆ ที่อยู่
ฮ้อมข้างเช่น : อะยุดทะยา, ดายเหวียด, ขะเหมน, พะม้า... 22
21
ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะ, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา
ปี ที่ 1 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544, (กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2550), 138.
22
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 30.
23
เรื่ องเดียวกัน.
95
แบบเรี ย นลาวให้ ภ าพที่ เ ป็ นพัฒ นาการอย่า งเป็ นลํา ดับ เวลาซึ่ ง แน่ น อนที่ สุ ด ว่ า
แตกต่างไปจากแบบเรี ยนไทย แบบเรี ยนลาวใส่ เนื้ อหาของความรุ่ งเรื องของอาณาจักรภายหลัง
รั ชสมัยพระเจ้า ฟ้ างุ่ ม ควบคู่ไปกับการทํา สงครามเพื่อรั กษาอํานาจพร้ อมกันนั้น ยัง กล่ าวถึ ง
ความสัมพันธ์ที่มีต่ออยุธยาในฐานะเท่าเทียมทั้งประเทศคู่คา้ และมิตรประเทศใกล้เคียงที่ทาํ
สงครามกันเองและช่วยกันทําสงครามอย่างเป็ นลําดับ
“ ค.ส. 1486 – 1496 พะยาหล้านํ้าแสนไตผูเ้ ป้ นน้องชายของเจ้าแท่นคํา...ได้ผกู ไมตี
กับกุงสี อะยุดทะยา ให้แน่นแฟ้ นยิง่ ขึ้น” 24
“เจ้าโพธิสาละลาด...สามาดตีตา้ นกนอุบาย แผ่อาํ นาด ของสักดินาสยาม ให้ปะลาไชลง
ในปี ค.ส. 1540”25
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
เจ้าไชยะเชดถาทิ ลาด จึ่ งผูกไมตี กบั กุงสี อ ะยุดทะยา ได้ยา้ ยนะคอนหลวง จากนะคอน
เชียงทองลงมาส้างตั้งยูเ่ มืองเวียงจัน. ...ทังสะดวกในกานติดต่, พัวพันกัหัวมืองต่าง ๆ ของอานาจัก
ลาวล้านช้าง ก่คือกับกุงสี อะยุดทะยา. ...พะองได้ผกู ไมตีกบั อะยุดทะยา เพื่อร่ วมแรงร่ วมใจกัน
เพาะว่าทั้งสองอาณาจัก ล้วนแต่ถึกไพข่มขู่จากพะม้า. ปะชาชนสองอานาจัก ได้ร่วมกันส้าง
พะทาดสี สองรัก ที่เมืองด่านช้าย (จังหวัดเลีย ปะทดไท) ขึ้นในปี ค.ส. 1560 -1563 เชิ่งยูเ่ กิ่งกาง
ละหว่าง แม่น้ าํ ของกับแม่น้ าํ น่าน และเป้ นชายแดนของอานาจักทังสอง ในสะไหมนั้น. พะทาด
สี สองรักเป้ นสันยาลัก แห่งไมตีจิด มิดตพาบ ละหว่างอานาจักลาวล้านช้าง และอานาจักอะยุดทะยา26
ภายหลัง จากอาณาจัก รล้า นช้า งมี ค วามสั ม พัน ธ์ ใ กล้ชิ ด กับ อาณาจัก รล้า นนา ต่ อ เมื่ อ
อาณาจักรล้านนาตกเป็ นเมืองขึ้นของพม่า พม่าจึงทําสงครามกับอาณาจักรล้านช้าง และมีชยั ชนะ
เหนื ออาณาจักรล้านช้างใน พ.ศ. 2117 นับแต่น้ นั มาจนถึงเสี ยกรุ งศรี อยุธยาครั้งที่ 2 พม่า อยุธยา
24
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 33.
25
เรื่ องเดียวกัน, 34.
26
เรื่ องเดียวกัน, 36 - 37.
27
เรื่ องเดียวกัน, 42 - 45.
96
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก
ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์เชิงสงครามระหว่างไทยและลาวในแบบเรี ยนด้วยการเริ่ มต้นและจบลง
ลาง
เพียงสามบรรทัด
ส
เมื่ อ พระบาทสมเด็จ พระเจ้า ตากสิ น มหาราชทรงสถาปนากรุ ง ธนบุ รี เ ป็ นเมื อ งหลวง
ของไทยแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาพระมหากษัตริ ยศ์ ึกและเจ้าพระยาสุ รสี ห์นาํ ทัพ
ไปปราบอาณาจักรล้านช้างได้สําเร็ จ ทั้งยังได้นําพระแก้วมรกต หรื อ พระพุท ธมหามณี รั ตน
ปฏิมากรกลับมาด้วย 29
28
ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะ, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา
ปี ที่ 1 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544, 138.
29
เรื่ องเดียวกัน.
30
“สักดินาสยาม” เป็ นคําที่พบในเอกสารลาว ในบริ บทที่กล่าวถึง ไทย ในช่วงเวลาที่ลาวอยูใ่ ต้
การปกครองของไทยในฐานะประเทศราช รวมไปถึงเป็ นคําที่ ใช้เพื่อแสดงความรู้ สึกชิ งชังต่อการตกเป็ น
หัวเมืองขึ้นภายใต้การกดขี่ของประเทศไทย, ผูว้ จิ ยั .
97
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในไม่กี่ย่อหน้านี้ ละเลยถึ งความสัมพันธ์ในรู ปแบบมิตรประเทศ คงมี แต่การสรุ ปอย่างรวดรั ฐ
ส
ถึงลาว ในฐานะรั ฐอิ สระที่พฒั นาขึ้นมาและถูกครอบครองจากต่างชาติ ที่ผลัดกันเข้ามีอาํ นาจ
ซึ่งรวมถึงไทยเองในท้ายที่สุด
3.2 การรับรู้ รูปแบบความสั มพันธ์ ระหว่ างไทยกับลาว ผ่ านแบบเรียนประวัติศาสตร์ ไทย – ลาว
จากข้อเท็จจริ งทางประวัติศาสตร์ ตอ้ งยอมรั บว่า ไทยปกครองลาวนานนับศตวรรษ
และเหตุของความจริ งที่ไทยมีอิทธิพลเหนื อลาวในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ น้ ี เอง ที่กลายมาเป็ น
มุมมองของลาวในความรู ้ สึกของผูถ้ ูกเอาเปรี ยบ เมื่ อมี ผูป้ กครองกับผูอ้ ยู่ใต้ปกครอง ผูก้ ดขี่กบั
ผูถ้ ูกกดขี่ ผูช้ นะกับผูแ้ พ้ จึงเป็ นธรรมดาที่แบบเรี ยนของลาวมีความแตกต่างในมุมมองและเนื้ อหาไป
จากแบบเรี ยนของทางฝ่ ายไทย การสร้างแบบเรี ยนโดยอาศัยประวัติศาสตร์เป็ นเครื่ องมือในภาวะ
อารมณ์น้ ี จึงมีผลต่อความรับรู ้ในรู ปแบบความสัมพันธ์ของไทยและลาวที่เป็ นแม่แบบทางความคิด
ในมุมมองของไทยที่มีต่อลาว และมุมมองที่ลาวมีต่อไทย
ด้วยอาณาเขตภูมิประเทศที่ต้ งั ของไทยและลาวมีพรมแดนติดกัน อีกทั้งยังมีภูมิหลัง
ทางประวัติ ศาสตร์ ร่ ว มกัน มายาวนาน ในแบบเรี ย นของไทยจึ ง มี ก ารกล่ าวถึ งลาวบ่ อ ยครั้ ง
เช่ นเดี ยวกับแบบเรี ยนลาวที่มีการพูดถึ งไทยบ่อยครั้ งเช่ นกัน แต่ในการวิจยั นี้ จะไม่ กล่าวถึ ง
ในทุกหน้า ที่กล่าวถึง “ลาว” ในแบบเรี ยนไทย และจะไม่กล่าวถึงทุกบรรทัดที่พูดถึง “ไทย”
ในแบบเรี ยนลาว ผูว้ ิจยั จะหยิบยกเฉพาะมิติที่เป็ นการรั บรู ้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างไทย
และลาวที่พบในแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ไทย – ลาว และจะไม่มีการวิเคราะห์ว่าแบบเรี ยนของใคร
31
นับแต่ ค.ศ. 1713 อาณาจักรลาวล้านช้างแยกเป็ นสามอาณาจักร อันได้แก่ หลวงพระบาง
เวียงจันทน์ จําปาศักดิ์ ทั้งสามอาณาจักรต่างช่วงชิงอํานาจและขัดแย้งผลประโยชน์กนั เอง ต่างฝ่ ายต่างหันไปพึ่ง
อํานาจจากภายนอก คือสยามและพม่า “กุ่มสักดินาต่าง ๆ” จึ งหมายถึง หลวงพระบาง เวียงจันทน์ จําปาศักดิ์
พม่า และสยาม, ผูว้ จิ ยั .
32
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 48.
98
น ก
ั ห อ ส มุ
ในการสร้างความรู ้สึกร่ วมให้แก่ผเู ้ รี ยน
ำ ด ก ลาง
ส
การให้ภาพความเข้มแข็งของรัฐในอดีตที่สามารถแผ่ขยายอํานาจไปปกครองประเทศ
ใกล้เคียงเป็ นการสร้างความรู ้สึกภาคภูมิใจให้เกิดแก่ผเู ้ รี ยน รวมไปถึงการกดให้ประเทศเพื่อนบ้าน
ต่าง ๆ เป็ นเพียงองค์ประกอบเล็ก ๆ ในการขยายอํานาจของรัฐไทยในอดีต ก็ยิ่งเป็ นการกระตุน้
ความรู ้สึกรักและภาคภูมิใจกับประเทศมากขึ้นไปด้วย ปั จจัยเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อการอธิ บาย
รู ปแบบความสัมพันธ์กบั ลาวในแบบเรี ยนไทย ใน 2 มิติ คือ
1. ลาวในฐานะมิตรประเทศ เป็ นการกล่าวถึงลาวในบทบาทของประเทศที่มีฐานะ
เท่าเทียมกัน ซึ่ งพบในประเด็นการกล่าวขยายมุมมองจากหัวข้อ ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับ
เพื่อนบ้าน ที่บรรยายความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างไทยและลาว ไว้ 2 ประเด็นด้วยกัน
ประเด็นแรกเป็ นรู ปแบบความสัมพันธ์ของการกระชับอํานาจด้วยการสร้างสายสัมพันธ์
ทางเครื อญาติ “ในลักษณะที่มีมิตรไมตรี ต่อกันตลอดมา ตั้งแต่ครั้งเริ่ มต้นสมัยอยุธยา...ครั้นเมื่อ
พระเจ้าสามแสนไทยสื บราชสมบัติ สมเด็จพระรามาธิ บดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ก็ได้พระราชทาน
นางแก้วฟ้ าแก่พระเจ้าสามแสนไทย อยุธยากับล้านช้างจึงมีความสัมพันธ์ทางเครื อญาติกนั ” 33
และความสัมพันธ์ในรู ปแบบนี้ยงั ดําเนินต่อไปในสมัยหลังเมื่อ “พระจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสู่ ขอ
พระนางเทพกษัตรี พระราชธิดาสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระองค์พระราชทานให้” 34
ประเด็นสุ ดท้ายเป็ นรู ปแบบความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรช่วยเหลือด้านการสงคราม
“สมเด็จพระมหาจักรพรรดิร่วมทําไมตรี กบั พระเจ้าไชยเชษฐาธิ ราชแห่ งล้านช้าง ในการร่ วมกัน
ต่อต้านอํานาจของพระเจ้าบุ เรงนองกษัตริ ยพ์ ม่า โดยปรากฏหลักฐานคือพระธาตุศรี สองรั ก
33
ไพฑูรย์ มี กุศล และ ทวีศกั ดิ์ ล้อมลิ้ม, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้ พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 (กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2547), 74.
34
เรื่ องเดียวกัน.
99
ที่อาํ เภอด่านซ้าย จังหวัดเลย” 35 และ “ต่อมาในสงครามสี ยกรุ งศรี อยุธยาครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2112
อาณาจักรล้านช้างส่ งทัพมาช่วยอยุธยา แต่ถูกพม่าโจมตีจนถอยล่ากลับไป ภายหลังปี พ.ศ. 2112
อยุธยากับล้านช้างยังคงเป็ นไมตรี ต่อกันจนสิ้ นอยุธยา” 36
การกล่าวถึงลาวในแบบเรี ยนไทยในฐานะประเทศที่มีฐานะเท่าเทียมกันนี้ แม้จะมีเพียง
พื้นที่เล็ก ๆ แทรกตัวอยู่ในหัวข้อย่อยของแบบเรี ยนไทย ถ้าตัดประเด็นการเมืองในกรณี สร้าง
สัมพันธ์เพื่อกระชับอํานาจและเกื้ อกูลเพื่อหวังหามิตรประเทศช่วยรบ ก็กล่าวได้ว่าเป็ นไปใน
ทิ ศทางที่ ดี แม้ใ นบทเรี ย นไทยอาจจะไม่ ได้เน้น ยํ้าถึ งความผูก พัน หรื อไมตรี ต่ อลาวมากนัก
แต่ก ารศึ กษาจากบทเรี ย นก็ทาํ ให้ผูเ้ รี ย นเข้าใจได้ว่าครั้ งหนึ่ งไทยและลาวเคยมี สายสัมพัน ธ์
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ทางเครื อญาติและความช่วยเหลือให้แก่กนั แม้จะไม่ใช่ประเด็นสําคัญที่ถูกกล่าวถึงมากนักก็ตาม
ส
2. ลาวในฐานะประเทศใต้การปกครอง ความสัมพันธ์ในรู ปแบบสงครามเป็ นการสร้าง
ความรู ้สึกร่ วมที่ดีได้วิธีหนึ่ง เพราะสงครามก่อให้เกิด “ผูแ้ พ้” และ “ผูช้ นะ” ใจความสําหรับลาว
ในแบบเรี ยนไทยก่ อนที่จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทยนั้นดู จะเป็ นการสรุ ปแบบให้ภาพ
ชัดเจนกับผูเ้ รี ยนถึงสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาว “สมัยใดที่ไทยเข้มแข็ง ไทยจะขยายอํานาจ
เข้าปกครองลาวในฐานะประเทศราช หากสมัยใดที่ไทยอ่อนแอ ลาวจะตั้งตนเป็ นอิสระหรื อไม่ก็
ตกอยูภ่ ายใต้อิทธิ พลของเวียดนาม” 37 และความสัมพันธ์ในรู ปแบบสงครามกับลาวในบทเรี ยน
ไทยทั้งในสมัยกรุ งธนบุรีและรั ตนโกสิ นทร์ ตอนต้นก็ช่วยเพิ่มความ “เหนื อกว่า” ให้กบั ไทย
ในฐานะ “ผูช้ นะ” อย่างต่อเนื่อง
35
ไพฑูรย์ มี กุศล และ ทวีศกั ดิ์ ล้อมลิ้ม, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้ พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544, 74.
36
เรื่ องเดียวกัน, 75.
37
ไพฑูรย์ มี กุศล และ ทวีศกั ดิ์ ล้อมลิ้ม, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้ พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 (กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548), 54.
100
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในเดือนสิ งหาคม พ.ศ. 2370 เจ้าอนุ พร้อมทหารเวียดนามจํานวนหนึ่ งได้เดินทางกลับ
ส
เวียงจันทน์ พบว่ามีทหารไทยรักษาการณ์อยู่ เจ้าอนุจึงแกล้งทําทีสาํ นึกผิดขอผูกไมตรี ต่อทหารไทย
เมื่อทหารไทยเผลอเจ้าอนุก็ยกกําลังเข้าโจมตีทหารไทยจนต้องล่าถอยข้ามแม่น้ าํ โขงไปตั้งหลัก
ที่ยโสธร
ต่อมาพระยาราชสุ ภาวดี ได้ยกทัพโจมตีเวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ ง ส่ วนเจ้าอนุ ได้หนี ไปพึ่ง
เวียดนามอีกเช่นเคย สงครามครั้งนี้เมืองเวียงจันทน์เสี ยหายอย่างหนัก ต่อมาเจ้าอนุถูกทหารไทย
ตามไปจับ ได้แ ละส่ ง มายัง กรุ ง เทพฯ และถู ก จํา ขัง ได้ไ ม่ กี่ ว ัน ก็ ถึ ง แก่ ก รรม...ต่ อ จากนั้ น
พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงให้ปรับปรุ งการปกครองหัวเมืองทางภาคอีสานใหม่
โดยลดอาณาเขตเวียงจันทน์ให้เล็กลง...เมื องที่ อยู่ใต้การปกครองเวียงจันทน์ให้ข้ ึนกับไทย
โดยตรง...เพื่อสร้างความเข้มแข็งสําหรับต่อต้านการกบฏเวียงจันทน์หากเกิดขึ้นอีก 39
38
ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะ, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา
ปี ที่ 4 ช่วงชั้นที่ 4 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 (กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2550), 114.
39
เรื่ องเดียวกัน, 115.
101
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
และความทรมานภายใต้อาํ นาจการปกครองของต่างชาติได้มากเท่าไรก็จะยิง่ ขับความรู ้สึกรักชาติ
ำ
ส
ให้เกิดขึ้นกับผูเ้ รี ยนมากตามไปด้วย
ในแบบเรี ยนลาว ไทย คือ “ศักดินาสยาม” “ศัตรู ” สําคัญที่ทาํ ร้ายลาว
นอกจากแบบเรี ยนลาวจะกล่าวถึงวิธีการของปกครองไทยที่กดให้ลาวไม่มีเอกภาพ
ภายในแล้ว ยังอธิบายถึงภาวะหลังสงครามได้อย่างมีอารมณ์ร่วม
40
อ่อนเพยเป้ ยล่อยลง มีความหมายในภาษาไทยใกล้เคียงกับคําว่า อ่อนเปลี้ยเพลียแรง, ผูว้ จิ ยั .
41
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 50.
42
เรื่ องเดียวกัน, 51.
43
เรื่ องเดียวกัน.
102
เหตุ ก ารณ์ สํา คัญ ทางประวัติ ศ าสตร์ ใ นแบบเรี ย นลาวต่ อ ความสั ม พัน ธ์ กับ ไทย
อี กเรื่ องหนึ่ งคื อ กรณี สงครามเจ้าอนุ วงศ์ ไทยได้กลายเป็ นผูร้ ้ ายที่ โหดเหี้ ยม เป็ น “ศัตรู ” ที่
บ่อนทําลายความเจริ ญของลาวให้ยอ่ ยยับ ซึ่ งแบบเรี ยนลาวได้ระบุเนื้ อหาอย่างละเอียดถึงความ
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด
ลํา บากและความทรมานภายใต้ก ารปกครองของไทย จนนําไปสู่ ก ารต่ อสู ้ เ พื่ อเอกราชของ
ก ลาง
เจ้าอนุวงศ์ ที่ทา้ ยสุ ดกลายมาเป็ นความสูญเสี ยอย่างย่อยยับให้กบั ลาว
ส
ในปี ค.ส. 1824 เจ้าแผ่นดินลาชะกานที่สามของสะหยาม ได้ออกคําสั่งให้ เจ้าหน้าที่
บางกอก ขึ้นมาสักตัวเลกยูเ่ มืองลาว, โดยใช้เหล็กเผาไฟจนแดง แล้วเอามาสักตัวเลกใส่ คนลาว,
เพื่อเฮ้ดให้คนลาวกายเป้ นสยาม, เฮ้ดให้เมืองของลาวกายเป็ นเมืองต่าง ๆ ของสะหยาม เจ้าอานุวง
ได้ตอบโต้กานสักเลกโดยสั่งให้ ดับสู นเจ้าหน้าที่สะหยาม.
ในปี ค.ส. 1825 เจ้าอานุ วงและบุกคนใก้ชิดของเพิ่นได้ร้องขอนําเจ้าแผ่นดินสะหยาม
ขอพะแก้วมอละกด และคอบคัวคนลาว ที่ถึกกวาดไปยูส่ ะหยามในปี ค.ส. 1778,...แต่บางกอก
บ่ยอมส่ งตามความร้องขอ สะนั้นเจ้าอานุ วงจึ่ งได้นาํ พาขบวนกานลุกขึ้นต่อสู ้ยาดเอาเอกะลาด
จากสะหยาม
กองทับสะหยามได้มา้ งเพทําลายเมืองเวียงจันแล้วจับกุมเอาปะชาชนลาว พ้อมทั้งเก้บ
กวาดเอาสมบัด อันมีค่าไปนํา ย่างหลวงหลาย...อานาจักลาวล้านช้างที่เคยเป้ นอานาจักอันกว้าง
ใหย่ไพสาน และจะเลินรุ่ งเรื องมาแต่สะไหมเจ้าไชยะเชดถาทิลาด และเจ้าสุ ลิยะวงสานั้น บัดนี้
ได้ถึกทําลาย, เผาผานจนราบเกี้ยง ยังเหลือแต่อานาจักหลวงพบางเท่านั้น, แต่ก่ตอ้ งถึกบังคับให้
เสี ยส่ วย แก่สะหยาม. อานาจักลาวล้านช้างในไลยะนี้ ถึกสักดินาต่างด้าวควบคุม, บ้านเมืองบ่มี
ความหมั้นคง, ปะชาชนตกทุกลํ้าบาก. 45
44
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 51 - 52.
45
เรื่ องเดียวกัน, 60 - 61.
103
โหดร้ ายทารุ ณเมื่ อตกอยู่ใต้อาํ นาจของไทยในมุมมองของ “ผูแ้ พ้” “ศัตรู ” จากแบบเรี ยนลาว
อาจลบภาพ “พี่ ใ หญ่ ” จากแบบเรี ย นไทย หรื อ อาจเป็ นส่ ว นขยายภาพความเป็ น “พี่ ใ หญ่ ”
ให้ชดั เจนขึ้นก็เป็ นได้ ขึ้นอยูก่ บั การตีความตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ดังที่ สุ จิตต์ วงเทศ
ได้แ สดงทัศนะในหนังสื อ “ประวัติศาสตร์ กัมพูชา แบบเรี ยนของเขมรที่ เ กี่ ยวข้องกับไทย”
ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2546 ว่าประวัติศาสตร์ไทยมักตอกยํ้าให้เห็นว่า พม่าเป็ นศัตรู พร้อมกันนั้นก็ดูถูก
ลาว เขมร มอญ ส่ วนในประวัติศาสตร์ ของลาวกับเขมรก็เขียนว่าไทยไปรุ กรานเขา ในทาง
ประวัติศาสตร์ จึงมีแต่ความไม่เข้าใจกัน เกลียดชังกัน การเขียนประวัติศาสตร์ มีแต่เรื่ องการทํา
สงครามทั้ง ๆ ที่ประวัติศาสตร์ อาจมีหลายด้าน สํานึ กประวัติศาสตร์ ที่ทาํ ให้เข้าใจผิดกันจึงถูก
สัง่ สมมาช้านาน 46
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
จนถึงปี ปั จจุบนั ที่มีการปรับใช้หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 แล้ว นั้น เนื้ อ หาในแบบเรี ย นไทยก็ ไ ม่ ต่ า งไปจากทัศ นะที่ สุ จิ ต ต์ วงเทศ ได้ก ล่ า วไว้
แบบเรี ย นไทยยัง คงกล่ า วถึ ง ประเทศลาวในฐานะประเทศใต้ป กครองที่ เ น้น ยํ้า ภาพของ
“ความเหนื อกว่า” ในฐานะประเทศเจ้าอาณานิ คม และแบบเรี ยนของลาวก็ยงั คงเน้นยํ้าแต่ภาพ
ของสงคราม สร้างความรู ้สึกเกลียดชังศัตรู ต่างชาติที่โหดร้ายเพื่อสร้างสํานึ กแห่ งชาติ ซึ่ งเป็ น
เอกลัก ษณ์ สํา คัญ ของแบบเรี ย นลาว การถ่ า ยทอดองค์ค วามรู ้ ต ามที่ รั ฐ กํา หนดนี้ เพื่ อ สร้ า ง
ความรู ้สึกรักชาติผา่ นองค์ความรู ้ต่าง ๆ โดยใช้บริ บททางประวัติศาสตร์เป็ นองค์สาํ คัญแก่ผเู ้ รี ยน
ตามแนวทางที่ส่วนกลางได้กาํ หนดไว้เป็ นสําคัญ
4. “บทเรียน” จาก “แบบเรียน”
ไทยและลาวได้รับการปลูกฝังทัศนคติตามแบบเรี ยนของรัฐที่ปลูกฝังแบบแผนทาง
ความรู ้ จนกลายเป็ นความรู ้สึกที่สั่งสมติดตัวในการดําเนิ นชี วิต การใช้ภาษาในแบบเรี ยนลาว
ล้วนแล้วก่อให้เกิดความรู ้สึกร่ วมได้ไม่ยาก เพราะแม้ภาษาในแบบเรี ยนลาวจะไม่เน้นการใช้ภาษา
ทางวิชาการแต่สมบูรณ์ไปด้วยความรู ้สึกที่อ่านแล้วชวนให้คล้อยตาม ในขณะที่แบบเรี ยนไทย
แม้จะมีการนําเสนอเรื่ องราวเป็ นลําดับหัวข้อที่เรี ยบเรี ยงด้วยภาษาเชิ งวิชาการ แต่กลับแห้งแล้ง
ทางอารมณ์ กระนั้นก็ไม่ได้ทาํ ให้แบบเรี ยนถูกลดบทบาทในการเป็ นเครื่ องมือของรัฐ ทุกพื้นที่
เต็มไปด้วยความรู ้สึกเป็ นไท
ลาวรับรู ้จากแบบเรี ยนมาตลอดว่าประเทศไทย คือ “ศักดินาสยาม” ที่เข้ามาครอบครอง
และทําลายความมัน่ คงของอาณาจักรล้านช้างโบราณ ภายใต้อาํ นาจของศักดินาสยามมีแต่การ
กดขี่
46
สุ จิตต์ วงเทศ, บรรณาธิ การ, ประวัติศาสตร์ กมั พูชา แบบเรี ยนของเขมรที่เกี่ ยวข้องกับไทย,
ศานติ ภักดีคาํ , ถอดความ (กรุ งเทพ : มติชน, 2546), 11-19.
104
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ตะวันออกเฉี ยงใต้ และมีอาํ นาจเหนื อดินแดนโบราณในอาณาบริ เวณเดียวกัน พูดถึงลาวในฐานะ
ส
ประเทศใกล้เคียงที่สุดท้ายก็กลายเป็ นประเทศอาณานิ คมและโดนปราบปรามในท้ายที่สุดเมื่อคิด
ทําสงครามก่อกบฏต่อฝ่ ายไทย
47
กะซวงสึ กสาทิกาน, แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง, 63.
48
ไพฑูรย์ มี กุศล และทวีศกั ดิ์ ล้อมลิ้ม, หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู้ พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544, 111.
105
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
การเน้นสร้ างภาพความร่ วมมือระหว่างภูมิภาคในปั จจุ บนั ทําให้รัฐเร่ งให้ความรู ้
ส
เกี่ยวกับอาเซียน แต่ละเลยถึงความรู ้พ้ืนฐานเบื้องต้นของการทําความเข้าใจที่ควรแก้ไขภาพของ
สงครามที่ยงั คงเป็ นประวัติศาสตร์ ต่างมุมที่ตราตรึ งความรู ้สึกของผูเ้ รี ยน โดยเชิงโครงสร้างรัฐ
เรี ยกหาความเข้าใจในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้ างความร่ วมมือภายในภูมิภาค แต่ในเชิ งลึ ก
สิ่ งที่ยงั คงเป็ นปั ญหาและมีผลต่อพื้นฐานความรู ้ความเข้าใจที่จะกลายเป็ นทัศนคติในการดําเนิ น
ชี วิตคือ “แบบเรี ยน” ที่ยงั คงเน้นประวัติศาสตร์ เชิ งสงครามมากกว่ามิติของความสัมพันธ์อนั ดี
เพื่อสร้ างความร่ วมมือระหว่างไทยและลาวอย่างแท้จริ ง หรื อการอธิ บายให้เข้าใจมุมมองทาง
ประวัติศาสตร์ เพื่อให้ผเู ้ รี ยนเข้าใจที่มาของการเขียนประวัติศาสตร์ของไทยและลาว
แม้ประเทศไทยจะมีการปรับปรุ งหลักสู ตรมาหลายครั้งและหลักสู ตรปั จจุบนั เนื้ อหา
ในสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่แยกประวัติศาสตร์มาเป็ นหน่วยความรู ้ในอีกวิชาหนึ่ง
และมี การปรั บปรุ งเนื้ อหาให้ทนั สมัยเพิ่มความรู ้ เกี่ ยวกับประชาคมอาเซี ยน ตามที่หลักสู ตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 บัญญัติไว้ แต่ในเชิงความสัมพันธ์ระหว่าง
ไทยและลาว ยังคงเป็ นการเล่าประวัติศาสตร์ เชิงสงครามที่ไทยมีอาํ นาจเหนื อฝ่ ายลาว และการทํา
สงครามที่ยงั คงไม่เปลี่ยนแปลงไป
ทัศนะความคิดแบบแปลกแยกของ คนไทย หรื อ คนชนชาติไทย ต่อประเทศเพื่อนบ้าน
ในความเป็ นคนต่างชาติ ต่างรัฐ ต่างประเทศ โดยที่ถือชนชาติเราดีและเหนือกว่าชาติอื่น และยึดเอา
ผลประโยชน์ของไทยเป็ นสําคัญก่ อนพวกอื่ นหรื อคนชาติ อื่น รั ฐอื่ น ถู กใช้เ ป็ นบรรทัดฐาน
ในการสร้างงานประวัติศาสตร์และปลูกฝังสํานึ กทางประวัติศาสตร์มาจนถึงปั จจุบนั ทั้งนี้ ก็ดว้ ย
การส่ งผ่านสู่ ประชาชนไทยทุกคน ผ่านระบบการศึกษาในระบบที่รัฐจัดตั้งควบคุมตําราเรี ยน
ได้ถูกนํามาใช้เป็ นสื่ อกลางการถ่ายทอด ตั้งแต่รัฐสมัยสมบูรณาญาสิ ทธิราชย์ถึงสมัยรัฐบาลพลเรื อน
106
ทหาร และเรื่ อ ยมาจนถึ ง หลัก สู ตรการศึ ก ษาในปั จ จุ บนั สมัย โดยกระทรวงศึ ก ษาธิ ก ารไทย
อันเป็ นเวลาเกือบร้อยปี 49
แบบเฮียนวิดทะยาสาดสังคมของลาวเองก็ยงั คงใช้แบบเรี ยนที่ผลิตภายใต้การควบคุม
ของพรรคประชาชนปฏิ วตั ิลาว ที่ใช้มาตั้งแต่ครั้งพรรคขึ้นมีอาํ นาจหลังจากได้รับเอกราชคืน
จากประเทศฝรั่ งเศส แบบเรี ย นของรั ฐยังคงถ่ ายทอดบทเรี ยนที่ สร้ างความรู ้ สึก สามัคคีผ่าน
ประวัติศาสตร์การต่อสู ท้ ี่มีศตั รู แห่งชาติเข้ามาสร้างความรู ้สึกรักชาติตามเป้ าหมายของรัฐ ผูเ้ รี ยน
ของลาวยังคงรับรู ้เกี่ยวกับไทยผ่านแบบเรี ยนที่เน้นภาพของความโหดร้ายภายใต้การปกครอง
ของ “ศักดินาสยาม”
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
การรั บ รู ้ ผ่า น “แบบเรี ย น” ของไทยและลาวยัง คงเป็ น “บทเรี ย น” ที่ ส ร้ า งภาพ
ส
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เน้นประวัติศาสตร์เชิงสงครามที่มี “ผูช้ นะ” และ “ศัตรู ” มากกว่า
ความสัมพันธ์อนั ดี ซึ่ งสวนทางกับความต้องการของรัฐไทยและลาวในปั จจุบนั ที่รณรงค์ให้
ประชาชนเตรี ยมตัวเข้าสู่ ประชาคมอาเซี ยนเพื่อแสวงหาความร่ วมมือในระดับภูมิภาค จุดเริ่ มต้น
ของการเรี ยนรู ้เรื่ องราวทางประวัติศาสตร์ ระหว่างกันเป็ นภาพที่ขดั แย้งกับความต้องการในปั จจุบนั
ที่ รัฐวางเป้ าหมายแสวงหาความเป็ นเอกภาพและความร่ วมมือ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
ประชาคมอาเซี ยน และยังคงไม่อาจลบเลือนภาพด้านลบในความรู ้ สึกของประชาชนทั้งสอง
ประเทศลงได้
ไทยยังเป็ น “ศัตรู ” ของชาติลาว และลาวยังเป็ น “ประเทศราช” ที่มีความด้อยกว่า
ไทยอยูร่ ่ าํ ไป การเสนอประวัติศาสตร์ผา่ นแบบเรี ยนยังไม่เคยอธิบายที่มาของการอธิ บายการรับรู ้
และการสร้างสํานึ กทางประวัติศาสตร์ ให้แตกต่างกันจาก “มุมมอง” ที่ต่างกัน อันส่ งผลให้เกิด
การรับรู ้และความเข้าใจที่บิดเบือนอันเนื่องมาจากการสร้างความรู ้สึกชาตินิยม ซึ่งจะเห็นได้ชดั จาก
“สื่ อ” อื่น ๆ ที่ท้ งั ไทยและลาวผลิตออกมา อย่างไรก็ดี ยังเป็ นเรื่ องดีที่การผลิตงานอิงประวัติศาสตร์
หรื องานที่มีพ้ืนฐานมาจากความรั บรู ้ ประวัติศาสตร์ ของทั้งสองชนชาติยงั เหลือพื้นที่สําหรั บ
ความเข้าใจอันดี และความร่ วมมือกันไว้ดว้ ย
49
สุ เนตร ชุ ติ นธรานนท์ และคณะ, ทัศนคติ เหยียดหยามเพื่ อ นบ้านผ่านแบบเรี ยน ชาติ นิ ย ม
ในแบบเรี ยนไทย (กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2552), 23 - 24.
บทที่ 4
ผลกระทบทางความสั มพันธ์ ไทย – ลาว อันเนื่องมาจากการสร้ างประวัตศิ าสตร์
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
อิทธิพลของชนชั้นปกครองในการกําหนดทิศทางความรู ้เพื่อสร้างคนมาเป็ นพลเมืองของรัฐ
ส
ผลกระทบทางความสัมพันธ์ระหว่างไทย – ลาว คือภาพสะท้อนของการสร้าง “แบบเรี ยน”
ที่ประสบความสําเร็ จ ของรัฐ ที่สามารถสร้างความรู ้สึกไม่เท่าเทียมให้เกิดขึ้นได้ โดยอาศัยบริ บท
ทางประวัติศาสตร์ ตามแนวทางที่ส่วนกลางได้กาํ หนดไว้เป็ นกรอบในการกําหนดความรู ้พ้ืนฐาน
เกี่ ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งไทยและลาวต่างได้รับการปลูกฝั งทัศนคติตามแบบเรี ยนของรั ฐ
ที่มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง
แบบเรี ยนของไทย พยายามเน้นความสําคัญของชาติในรู ปแบบความสัมพันธ์เชิ งสงคราม
เพื่อเน้น “ผูช้ นะ” และ “ผูแ้ พ้” ในส่ วนแบบเรี ยนลาว เป็ นการสร้ างความรู ้ สึกชาติ นิยม โดยเน้น
บาดแผลจากการโดนครอบงําจากต่างชาติ เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น การปลูกฝังแบบแผน
ทางความรู ้ ผ่า น “แบบเรี ยน” ซํ้าไปซํ้ามาจนกลายเป็ นความรู ้ สึกที่ ส่ังสมติ ดตัวในการดําเนิ นชี วิต
และเป็ นแว่นประจําตัวที่แฝงอคติในการมองเพื่อนบ้าน จนกลายเป็ นปั ญหาที่กระทบความสัมพันธ์
ไทยและลาว อัน มี ผ ลสื บ เนื่ อ งมาจากการกํา หนดองค์ค วามรู ้ ท างประวัติ ศ าสตร์ ข องรั ฐ ผ่ า น
“แบบเรี ยน” เป็ นสําคัญ
ในประวัติศาสตร์ ไทยและลาว ทั้งสองชนชาติ อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลา
อันยาวนาน มี ท้ ัง ความร่ ว มมื อ และความขัด แย้ง เคยเป็ นทั้ง พัน ธมิ ต รและศัต รู กัน ในบางครั้ ง
แต่ส่วนใหญ่แล้ว เป็ นพันธมิตรมากกว่าศัตรู ทั้งนี้เพราะความผูกพันระหว่างคนไทยกับคนลาวมิอาจ
ตัดขาดแบ่งแยกออกจากกันได้ เนื่องด้วยไทยและลาวมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางประวัติศาสตร์
และชาติ พ นั ธุ์ มี เ ชื้ อ สายคนไทยหรื อ ไตซึ่ ง มาจากต้น กําเนิ ด เดี ย วกัน มี รู ป ร่ า ง ผิว พรรณ ภาษา
ขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ดี อิทธิพลของสงครามเย็นส่ งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย
และลาวทําให้ความสัมพันธ์หยุดชะงักไปในระยะเวลาหนึ่ ง อันเนื่ องมาจากความแตกต่างในลัทธิ
และอุดมการณ์ทางการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกัน เมื่อภาวะสงครามเย็นจางลงบรรยากาศทางการเมือง
107
108
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) ที่ยนื ยันว่าจะเคารพในเอกราชและไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน
ำ
ส
รวมทั้งตกลงที่จะระงับข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี1 และยิ่งเป็ นการกระชับความสัมพันธ์ของไทยและลาว
ให้แน่ นแฟ้ นทั้งในแบบทวิภาคีและพหุ ภาคี เมื่อลาวเข้าเป็ นสมาชิ กอาเซี ยนโดยสมบูรณ์ เมื่อเดือน
กรกฎาคม ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)
กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวไว้ว่า
“ความสัมพันธ์ไทย – ลาวในปั จจุบนั ดําเนินไปอย่างราบรื่ นใกล้ชิดบนพื้นฐานของการเคารพซึ่ งกันและกัน
และผลประโยชน์ ร่วมกันโดยมี ปัจจัยเกื้ อกูล ได้แก่ ความใกล้ชิดทางเชื้ อชาติ ศาสนา ภาษา และ
วัฒนธรรม โดยเฉพาะราชวงศ์ไทยมี บทบาทสําคัญยิ่งในการเสริ มสร้ างความใกล้ชิดสนิ ทสนม
ในหมู่ประชาชนไทย – ลาว โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุ ดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราช
ดําเนินเยือนประเทศลาวอย่างเป็ นทางการครั้งแรก เมื่อเดือน มีนาคม 1990 ตามคํากราบบังคมทูลเชิญ
ของรัฐบาลลาว และมีการเสด็จเยือนอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจความคืบหน้าของโครงการในพระราชดําริ
ที่จดั ตั้งเพื่อเป็ นศูนย์พฒั นาในลาว และนอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้อญั เชิญผ้าพระกฐิน
พระราชทานไปทอดถวายยังวัดในสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว นับตั้งแต่ค.ศ. 1995
(พ.ศ. 2538) อย่างต่อเนื่องอีกด้วย2
โครงการพระราชดําริ คือความร่ วมมือเพื่อการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจและคุณภาพชีวติ
ให้แก่ประชาชนใน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อาทิโครงการศูนย์พฒั นาและบริ การ
1
กระทรวงการต่างประเทศ, กรมเอเชี ยตะวันออก, สถานะความสัมพันธ์ ทวิภาคี ไทย – ลาว
(พฤศจิกายน 2541), 6, กล่าวถึงใน สุ ภรัตน์ เชาว์เกษม, “ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในทัศนะของคนลาว : กรณี
กํา แพงนครเวี ย งจัน ทน์ ” (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญามหาบัณ ฑิ ต สาขาวิ ช าภู มิ ภ าคศึ ก ษา บัณ ฑิ ต วิ ท ยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544), 3.
2
กระทรวงต่างประเทศ, ความสัมพันธ์ไทย - ลาว ปี 2551 – 2552 [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่ อ 14
กุมภาพันธ์ 2555. เข้าถึงได้จาก http://www.mfa.go.th/web/1795.php?id=31563
109
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ได้อย่างสันติ ความร่ วมมือระหว่างไทย – ลาว ในปั จจุบนั ขยายตัวครอบคลุมในทุกมิติ และมีพฒั นาการ
ำ
เชิงบวกอย่างต่อเนื่อง4 ส
กล่าวโดยสรุ ปคือ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาว ได้รับการส่ งเสริ มเกื้อกูลจากปั จจัย
หลายประการ ได้แก่ ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม การพูดภาษาเดียวกัน การนับถือพุทธ
ศาสนาเหมือนกัน นโยบายที่ต่อเนื่ องของไทยที่เน้นเสริ มสร้างความสัมพันธ์กบั ประเทศเพื่อนบ้านที่
ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสู งอย่างสมํ่าเสมอ รวมทั้งการที่ลาวเปิ ดประเทศมากขึ้น และปฏิรูป
เศรษฐกิจไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดในค.ศ. 19865(พ.ศ. 2529)
แม้ความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับสู งและระดับรั ฐบาลจะเป็ นความสัมพันธ์อนั ดี
ต่อกัน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันอย่างต่อเนื่ อง แต่กระนั้นอุปสรรคในการพัฒนาความสัมพันธ์
ระหว่างไทยและลาวก็ยงั คงมีอยูแ่ ละเกิดจากปัญหาที่สะสมคัง่ ค้างมายาวนาน นัน่ คือ ปั ญหาเขตแดน
และชายแดน (ซึ่ งยาวกว่า 1,800 กม.), ปั ญหาเรื่ องคนบ่ดี หรื อกลุ่มบุคคลผูไ้ ม่หวังดีต่อรัฐบาลลาว
และต่อความสัมพันธ์ไทยและลาว, การทําธุรกิจของฝ่ ายไทยในลาวที่มุ่งหาผลประโยชน์ฝ่ายเดียวใน
ระยะสั้น6 และประการสําคัญที่เป็ นปมปัญหาค้างคาคือ ทัศนคติที่เป็ นผลมาจากอดีต
3
กระทรวงการต่างประเทศ แขวงสะหวันนะเขต, กองเอเชี ยตะวันออก 2, กรมเอเชี ยตะวันออก
ความสั ม พัน ธ์ ไ ทย - ลาว ปี 2553 – 2554 [ออนไลน์ ], เข้า ถึ ง เมื่ อ 14 กุม ภาพัน ธ์ 2555.เข้า ถึ ง ได้จ าก
http://www.thaisavannakhet.com/savannakhet/th/knowledge/relationships/
4
กระทรวงต่างประเทศ, ความสัมพันธ์ไทย - ลาว ปี 2551 – 2552 [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 14
กุมภาพันธ์ 2555. เข้าถึงได้จาก http://www.mfa.go.th/web/1795.php?id=31563
5
ดูรายละเอียดใน สุ ภรัตน์ เชาว์เกษม, “ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในทัศนะของคนลาว : กรณี
กําแพงนครเวียงจันทน์”.
6
วันเพ็ญ สุ รฤกษ์, บรรณาธิ การ, ไทย – ลาว การจัดการทรัพยากรลุ่มนํ้าโขง (เชียงใหม่ : หน่วยพิมพ์
เอกสารวิชาการ คณะวิทนาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541), 10. กล่าวถึงใน สุ ภรัตน์ เชาว์เกษม, “ภาพลักษณ์
ของประเทศไทยในทัศนะของคนลาว : กรณี กาํ แพงนครเวียงจันทน์”, 4.
110
น ก
ั ห อ ส
บางส่ วนให้มีความเหมาะสมก่อนนําออกฉาย
ำ มุ ด ก ลาง
ส
ละครเรื่ อง เพลงรั กสองฝั่ งโขง ของบริ ษ ัท พอดี ค าํ จํากัด ในเครื อบริ ษ ัทเวิ ร์ คพอยท์
จากสถานี โ ทรทัศ น์ ช่ อ ง 7 ที่ มี ก ํา หนดออกอากาศในปี 2007 (พ.ศ. 2550) กลับ ต้อ งถู ก เลื่ อ น
ออกอากาศเนื่ องจาก นายหมุนแก้ว ออละมูน รั ฐมนตรี กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของ
ประเทศสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว มีหนังสื อขอความร่ วมมือให้ช่วยแก้ไขเพราะบางตอน
มีบทไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมของประเทศลาว อีกทั้งยังมีบทพูดภาษาลาวที่ไม่ชดั เจน ฉากที่เป็ น
ประเด็นคือนางเอกได้นาํ เอาดอกไม้ “จําปา” ซึ่ งเป็ นดอกไม้ประจําชาติของลาวมามอบให้กบั ฝ่ าย
ชายไทย แต่กลับถูกหนุ่มไทยขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดี นอกจากนี้ยงั มีเรื่ องของคําสบถที่ค่อนข้างหยาบคาย
รวมไปถึ งการที่ ละครสื่ อ ออกไปในลักษณะที่ ว่าผูห้ ญิ งลาวใจง่ าย เห็ น หน้าหนุ่ มเพีย งครั้ งเดี ย ว
ก็เกิดอาการหลงรักทันที ทางบริ ษทั ผูผ้ ลิตต้องแก้ไขบางฉากให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ
ต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวและเลื่อนกําหนดการออกอากาศออกไป
จะเห็นได้ว่า แม้การกําหนดนโยบายของรัฐจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา แต่ความ
จําเป็ นในการสร้างชาติส่งผลให้เกิดวาทกรรมชุดหนึ่ง ที่มีผลต่อทัศนคติของคนในสังคม ลงรากลึก
จนกลายเป็ นสิ่ งเรื้ อรังที่สร้างปั ญหาในรู ปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและลาว
ปมปั ญหาในเรื่ องความเห็ น ต่ า งกั น นี้ เป็ นประเด็ น ของความไม่ เ ท่ า เที ย มกั น
อันเนื่ องมาจากผลกระทบจากกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมที่มุ่งหล่อหลอมและปลูกฝั งให้
ประชาชนเกิ ดความเชื่ อ และความรู ้ สึกนึ กคิด คล้อยตามไปในทางที่ รัฐประสงค์ ผ่านรู ปแบบและ
กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐใช้เป็ นเครื่ องมือในการกล่อมเกลาทางสังคม เช่น เพลงปลุกใจ ประวัติศาสตร์ และ
แบบเรี ยน ดังได้กล่าวถึงแล้วในบทที่ผา่ นมาจนกลายเป็ นทัศนคติของคนในสังคมที่ทบั ซ้อนอยูบ่ น
ความละเอียดอ่อนทางความรู ้สึกต่อรู ปแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่กลายเป็ นปั ญหาจนทุก
วันนี้
111
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในบทนี้ จะศึ ก ษาเพื่ อ ให้เ ห็ น ผลกระทบต่ อ ความสั ม พัน ธ์ ร ะหว่า งไทย – ลาว
ส
อัน เนื่ อ งมาจากการปลู ก ฝั ง วาทกรรมทางประวัติ ศ าสตร์ ของสองประเทศนี้ ผ่านสื่ อต่ าง ๆ เช่ น
เพลงปลุกใจ และแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเห็นได้ผา่ นสื่ อสาธารณะต่าง ๆ รวมทั้ง
งานวรรณกรรมของทั้งไทยและลาว ในด้านหนึ่ งการผลิตสื่ อสาธารณะ, วรรณกรรม, ภาพยนตร์ ,
เพลง, ละคร และฯลฯ เป็ นผลจากการสร้ างประวัติศาสตร์ ของทั้งสองชาติที่เสนอผ่านแบบเรี ยน
แต่ในอีกด้านหนึ่งสื่ อต่าง ๆ เหล่านี้ รวมทั้งวรรณกรรม, เพลง, ภาพยนตร์, ละคร ฯลฯ ก็เป็ นวาทกรรม
ที่ผลิ ตซํ้า และส่ งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างชาติท้ งั สองด้วยเช่ นกัน ซึ่ งเมื่อร่ วมเข้ากับ
การศึกษาประวัติศาสตร์ ผา่ นแบบเรี ยน การรับรู ้เรื่ องราวแบบ “ประวัติศาสตร์ กระแสหลัก”7 ซํ้าแล้ว
ซํ้าเล่า ก็ยิ่งเน้นให้ความรู ้ สึกของชาวไทยและลาวไม่แตกต่างจากเดิ ม เพราะทั้งชาวไทยในทัศนะ
ของคนลาว และชาวลาวในทัศนะของคนไทยยังคงเป็ นภาพแบบเดิ มที่ ไม่เปลี่ ย นแปลง นั่นคื อ
ต่างมองภาพของความขัดแย้งโดยเฉพาะกรณี เจ้าอนุวงศ์ จากมุมของตนเอง
1. วรรณกรรม : นวนิยาย ผลสะท้ อนจากแบบเรียนทางประวัติศาสตร์
“วรรณกรรมประเภทร้อยแก้วขยายตัวขึ้นเรื่ อย ๆ ตามธรรมชาติของพฤติกรรมสังคม
เมื่อมีคนช่างคิดมากขึ้น การเขียนก็เพิ่มมากขึ้น... มาถึงยุคนี้ นักเขียนจะเลือกเอาร้อยแก้วเป็ นพาหะ
มากกว่าร้อยกรอง”8
การเลื อ กให้ค วามสนใจหยิบ วรรณกรรมโดยใช้น วนิ ย าย มาวิ เ คราะห์ ใ นประเด็ น
ผลกระทบทางความสัมพันธ์ไทย – ลาว อันเนื่องมาจากการสร้างประวัติศาสตร์ น้ นั เนื่องจากผูว้ ิจยั
7
“ประวัติศาสตร์ กระแสหลัก ” หมายถึ ง ประวัติศาสตร์ ที่เน้นเรื่ องชาติ เป็ นศูนย์กลาง ปลูกฝั งให้
ผูเ้ รี ยนมีความคิดแบบชาตินิยมเป็ นสําคัญ, ผูว้ ิจยั .
8
ตรี ศิลป์ บุญขจร, “นวนิ ยายไทยในรอบทศวรรษ : ข้อสังเกตบางประการ”, เอกสารประกอบ
การสัมมนา สองศตวรรษรัตนโกสิ นทร์ : ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย, สมาคมสังคมสาสตร์ แห่ งประเทศไทย
มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วารสารธรรมศาสตร์ 3-5 กุมภาพันธ์ 2525, 4.
112
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
คือนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการที่เป็ นข้าราชการและสมาชิกพรรคประชาชนปฏิวตั ิลาว ซึ่งเขียน
ำ
ส
ประวัติศาสตร์ ตามแนวนโยบายของพรรคประชาชนปฏิวตั ิลาว เน้นเนื้ อหาสําคัญของการนําเสนอ
อุดมการณ์ ชาติ ผ่านการต่อสู ้ของวีรชนและประชาชนลาว 9 เพิ่มพื้นที่ให้กบั การเคลื่อนไหวต่อสู ้
เพื่อเอกราชและประชาชนมากกว่าให้แก่ ราชวงศ์สําคัญดังที่ นิยมตามจารี ตโบราณ สอดคล้องกับ
รุ่ งมณี เมฆโสภณ ผูแ้ ปล “ไฟดับไม่สิ้นแสง ศรัทธายังไม่แล้งในเมืองลาว” ของ คําแสง สี นนทอง
นั ก เขี ย นซี ไ รต์ ล าว ประจํา ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) เป็ นภาษาไทย กล่ า วถึ ง นวนิ ย ายลาวว่ า
“นวนิ ยายลาวมี แต่เรื่ องปฏิ วตั ิ นวนิ ยายลาวอาจมี หลายยุคหลายสมัย ทั้งร่ วมสมัยและสมัยใหม่
ส่ วนใหญ่จะสะท้อนจิตใจปฏิวตั ิ”10 จึงยากที่จะหางานนวนิยายของลาวที่เกี่ยวข้องกับไทย
อย่างไรก็ดี งานเขียนของลาวที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย – ลาว ส่ วนใหญ่เป็ นงาน
ทางวิชาการขยายกรณี “สงครามเจ้าอนุ วงศ์”เช่ น “วีระกัมพระเจ้าอะนุ วงส์ ” ที่จดั พิมพ์โดยแผนก
ประวัติศาสตร์ อารยธรรม สังกัด สถาบันค้นคว้าวัฒนธรรม กระทรวงแถลงข่าว และวัฒนธรรม
ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) และการรวมบทความสัมมนาประวัติศาสตร์ลาว เรื่ อง “ตามหารอยเจ้าอะนุวง”
ของ มะหาวิ ท ะยาไลแห่ ง ชาด คะนะพาสา วัน นะคะดี และมะนุ ด สาด, ตี พิ ม พ์ใ นค.ศ. 2010
(พ.ศ. 2553)
ในขณะที่ การศึกษาเกี่ ยวกับประเทศลาวในไทยกลับได้รับความสนใจและมีการศึกษา
ในหลายแง่มุม ในส่ วนของงานวรรณกรรมประเภทนวนิ ยายที่เกี่ยวข้องกับรู ปแบบความสัมพันธ์
ระหว่างไทยกับลาวที่ กล่ าวอ้างถึ ง “ลาว” หรื อใช้ฉาก และตัวละครที่ ระบุชัดเจนว่าเป็ น “ลาว”
อย่างชัดเจน มิใช่ เพียงแค่การตั้งชื่ อคนหรื อประเทศสมมติและให้ความหมายโดยนัยว่าหมายถึง
9
กิติรัตน์ สี หบัณท์, “ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปั จจุบนั )” (วิทยานิ พนธ์ดุษฎี
บัณฑิต สาขาวิชาไทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549),186.
10
นงค์ลกั ษณ์ เหล่าวอ, “เส้นทางนักเขียน”, หนังสื อพิมพ์กรุ งเทพธุ รกิ จ จุ ดประกาย วรรณกรรม,
7 มีนาคม 2553, 1 - 3.
113
ประเทศลาวหรื อคนลาว คือนวนิ ยายเรื่ อง ตามลมปลิว, รอยไหม, ศรี สองรั ก, ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์ ,
แต่ปางก่อน และสาปภูษา
อย่างไรก็ดีตอ้ งอธิบายว่า มีงานที่กล่าวถึง “ลาว” อยูจ่ าํ นวนหนึ่ง ที่ไม่ได้ระบุถึงฉากหรื อ
ตัวละครที่เป็ น “ลาว” อย่างตรงไปตรงมา ส่ วนใหญ่มกั จะบอกโดยนัยให้ผอู ้ ่านคิดเองว่าหมายถึง “ลาว”
เช่น นวนิยายเรื่ องโสมส่ องแสง, รอยอินทร์, ศิลามณี , มณี หยาดฟ้ า, ละอองดาว และคุณชายรัชชานนท์
(เล่ม 4 จากนวนิยายชุด สุ ภาพบุรุษจุฑาเทพ) เป็ นต้น ในที่น้ ี จึงเลือกใช้วรรณกรรมประเภทนวนิยาย
จํานวน 6 เล่ม ดังกล่าว เพื่อประกอบการวิเคราะห์ให้เห็น ผลสะท้อนจากแบบเรี ยนทางประวัติศาสตร์
ที่เห็นได้จากงานวรรณกรรมประเภทนวนิยาย ซึ่งจะเห็นภาพสะท้อนได้ 2 คือ
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
1. ลาวในฐานะมิตรประเทศที่ดี งานเขียนในกลุ่มนี้ สะท้อนความพยายามสานสัมพันธ์
ส
ให้แนบแน่ น เน้นฉากและบรรยากาศ ตลอดจนวัฒนธรรมที่สวยงาม อีกทั้งความสัมพันธ์ชิดใกล้
ระหว่างลาวและไทย ได้แก่นวนิยายเรื่ อง ตามลมปลิว, รอยไหม และศรี สองรัก
2. ลาวในฐานะตํ่ากว่าไทย เป็ นมุมมองที่ดูวา่ ลาวได้รับการช่วยเหลือจากไทย เพราะลาว
เปรี ยบเสมือนประเทศที่ไทยต้องคอยดูแลในฐานะประเทศราชที่มกั ก่อปั ญหาและความไม่สงบเสมอ
คือนวนิยายเรื่ อง ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์, แต่ปางก่อน และสาปภูษา
1.1 ลาวในฐานะมิตรประเทศทีด่ ี
วรรณกรรมประเภทนวนิ ยายในมิ ติของความสั มพันธ์ ที่ แสดงให้เห็ น ลาวในฐานะมิ ตร
ประเทศที่ดีของไทย พบได้จากวรรณกรรม 3 เรื่ อง มีการดําเนิ นเรื่ อง ใช้ตวั ละคร หรื อฉากเป็ น “ลาว”
อย่างตรงไปตรงมาไม่ตอ้ งใช้นัยแฝงให้ผูอ้ ่านตีความเอาเอง ซึ่ งเป็ นวรรณกรรมประเภทนวนิ ยาย
ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวในมุมมองความเกี่ยวโยงทางสายสัมพันธ์อนั ดีที่มีมา
แต่อดีต ดังนี้
ตามลมปลิว
“ตามลมปลิ ว” (ค.ศ. 2004) ของ ว. วินิ จฉัยกุล ซึ่ งเป็ นนามปากกาของ รองศาสตราจารย์
ดร.คุณหญิง วินิตา ดิถียนต์ เกิดเมื่อ14 มีนาคม ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) นักเขียนชื่อดังผูน้ ้ ีมีนามปากกา
ที่เป็ นที่รู้จกั ในหลายชื่อด้วยกัน คือ ว.วินิจฉัยกุล, แก้วเก้า, รักร้อย, ปารมิตา, วัสสิ กา, อักษรานี ย ์
จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 จากโรงเรี ยนมาแตร์ เดอีวิทยาลัย มัธยมศึกษาปี ที่ 5 จากโรงเรี ยน
เตรี ยมอุดมศึกษา จบปริ ญญาตรี จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นได้บรรจุ
เป็ นอาจารย์ประจําภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวัง
สนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริ กา จนจบปริ ญญาเอกสาขา
หลักสู ตรและการสอนวรรณคดีจาก University of Northern Colorado และกลับมารับราชการ
ที่ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็ นเวลา 25 ปี หลังจากนั้นจึงลาออก
114
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
คุ ณ หญิ ง วิ นิ ต า เป็ นนั ก เขี ย น นั ก วิ ช าการ นั ก วิ จ ารณ์ นั ก แปล และนั ก แต่ ง เพลง
นามปากกา ว.วินิจฉัยกุล และ แก้วเก้า ได้รับรางวัลด้านผลงานประพันธ์ จากภาครั ฐและเอกชน
18 รางวัล เช่น รัตนโกสิ นทร์ , นิ รมิต, มาลัยสามชาย, ราตรี ประดับดาว และ ฯลฯ นอกจากนี้ ยงั เป็ น
เจ้าของ www. reurnthai. com เพื่อเผยแพร่ ความรู ้ทางด้านศิลปวัฒนธรรม ภาษาและวรรณคดี
ประวัติ ศาสตร์ โดยใช้น ามปากกา เทาชมพู มี งานอดิ เรกคื อ แต่ ง เพลงให้ว งดนตรี สุ น ทราภรณ์
นอกจากนี้ ยงั ได้รับรางวัลเกียรติคุณต่าง ๆ อีกมากมาย เช่นค.ศ.1994 (พ.ศ. 2537) ได้รับรางวัลบุคคล
ดี เด่ นทางด้านอนุ รั กษ์มรดกไทยสาขาภาษาและวรรณกรรม เนื่ องในปี อนุ รั กษ์มรดกไทย
(The Thai National Heritage Preservation Award) , รับรางวัลบุคคลดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขา
วรรณศิลป์ ของสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่ งชาติ ประจําค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)
(The Thai National Culture Award), ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)ได้รับเกียรติให้เป็ นศิลปิ นแห่ งชาติ
สาขาวรรณศิลป์ , ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) เป็ นคนต่างชาติคนแรกที่ได้รับปริ ญญาอักษรศาสตรดุษฎี
115
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
นวนิ ยายเรื่ องนี้ ประพันธ์ข้ ึนภายหลังจากที่ เมื องหลวงพระบางได้รับยกย่องให้เป็ น
ำ
ส
มรดกโลกแล้ว 9 ปี เป็ นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนไทยมักเดินไปท่องเที่ยวชื่นชมในสิ่ งที่ คนไทย “ละทิ้ง”
ไปพร้ อมกับการขยายตัวแบบเมื องใหญ่ตามวิถีชาวกรุ ง ในขณะที่ “หลวงพระบาง” ยังคงรั กษา
ความเป็ นอดีต” เอาไว้ได้
“ตามลมปลิว” แนะนํา “หลวงพระบาง” สู่ ผอู ้ ่านด้วยฉากเปิ ดตัว บรรยายว่า “หลวงพระบาง
เป็ นเมื องน้อยกลางขุนเขาใหญ่ เหมือนเพชรเม็ดเดี่ ยวกลางผ้าสักหลาดสี เขียวแก่ ผืนกว้างปูลาด
ซับซ้อนสุ ดสายตา”12 การเล่าเรื่ องของผูป้ ระพันธ์ผา่ นสายตาของตัวละครเอกที่เป็ นชาวกรุ งเทพ ฯ
โดยกําเนิ ด แฝงไว้ดว้ ยความชื่นชมในความสงบและเรี ยบง่ายของหลวงพระบางที่แตกต่างไปจากวิถี
ชีวิตชาวเมืองใหญ่ เช่น กรุ งเทพฯ เป็ นการเปรี ยบเทียบความน่าอยูข่ องหลวงพระบางตามสายตาของ
ชาวไทย
“ได้เ วลาโรงเรี ย นเลิ ก เห็ น นัก เรี ย นขี่ จ ัก รยานกัน เป็ นหมู่ ๆ สวนทางรถ สลับ ด้ว ย
จักรยานคันเล็ก ๆ แล่นมาอย่างช้า ๆ ท้องถนนค่อนข้างว่างจากยวดยานพาหนะ แต่ก็ไม่มีใคร
ถือโอกาสควบขับตะบึงโลดโผน ยังคงขับขี่กนั ด้วยความระมัดระวัง”13
“ความมืดและความเปล่าเปลี่ยวเป็ นสิ่ งที่สั่นคลอนขวัญตามประสาสาวชาวกรุ งที่เคยชิน
กับข่าวร้ายตามหน้าหนังสื อพิมพ์ทุกเมื่อเชื่อวัน”14 แต่สาํ หรับหลวงพระบางแม้ในยามกลางคืนบน
ถนนเปลี่ยว “ที่น้ ีไม่ค่อยมีเรื่ องน่ากลัว เมืองเล็ก คนรู ้จกั กันทั้งเมือง”15
11
วินิตา ดิถียนต์ (ว. วินิจฉัยกุล), ตามลมปลิว, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุ งเทพ ฯ : สํานักพิมพ์ทรี บีส์, 2551),
397 - 403.
12
เรื่ องเดียวกัน, 127.
13
เรื่ องเดียวกัน, 129.
14
เรื่ องเดียวกัน, 205
15
เรื่ องเดียวกัน, 144.
116
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ได้อย่างชัดเจน ซึ่ งสะท้อนให้เห็นถึงทัศนะด้านบวกในหลวงพระบางเพราะตลอดเรื่ อง ตัวละคร
ำ
ส
ไม่แสดงทัศนะเกี่ยวกับหลวงพระบางด้วยมุมมองด้านลบเลย
แม้แต่ในสถานที่ ที่มีชื่อที่ให้ความหมายเป็ นลบในภาษาไทย ผูป้ ระพันธ์ก็ยงั ไม่ละเลย
ที่จะอธิ บายให้เห็ นว่าในภาษาลาวนั้นสถานที่น้ ี หมายถึงอะไร “ตลาดมืด คือการปิ ดถนน จัดวาง
สิ นค้าพื้นเมือง ทั้งผ้าทอและงานฝี มืออื่น ๆ เรี ยงรายกันริ มถนนและตรงเส้นกึ่งกลางถนน เว้นที่ว่าง
ให้คนซื้อเดินชมข้าวของกันเรื่ อย ๆ มีโคมของแต่ละร้านส่ องแสงสว่างแลเห็นสิ นค้าที่วางอยูบ่ นพื้นถนน
รองรับด้วยผ้าปูอีกทีหนึ่ง”17
วิธีการใส่ บาตรของหลวงพระบางเป็ นอีกสิ่ งหนึ่ งที่แสดงมุมองเชิ งบวกผ่านตัวอักษร
ของผูป้ ระพันธ์ “เมื่อมองย้อนขึ้นไปทางต้นถนนจะเห็ นภาพงามจับตาของสายธารทองคําเหลือง
ผ่องใสสะท้อนแสงอรุ ณใต้ฟ้าครามสะอาดตา ไหลเลื่ อนลงมาเป็ นแถว ที่ จริ งคือผูท้ รงศี ลในผ้า
กาสาวพัสตร์นบั จํานวนร้อย เดินอย่างสํารวมเป็ นแถวตรง”18
แต่ ล ะฉากของเรื่ อง “ตามลมปลิ ว ” คื อ สถานที่ สํ า คัญ ของเมื อ งหลวงพระบาง
ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปเยือนทั้งสิ้ น
16
วินิตา ดิถียนต์ (ว. วินิจฉัยกุล), ตามลมปลิว, 173 – 176.
17
เรื่ องเดียวกัน, 142.
18
เรื่ องเดียวกัน, 191.
117
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ชิ้นเล็ก ๆ หลากสี ช่างจัดกลุ่มตกแต่งเข้าเป็ นรู ปคน ต้นไม้ใบไม้และบ้านเรื อนแสดงภาพการดําเนิ น
ส
ชี วิตของชาวบ้าน ดูสดใสและบริ สุทธิ์ ... วิหารน้อยอี กหลังก็ประดับด้วยกระจกสี ในแนวเดี ยวกัน
แต่ว่าลวดลายแตกต่างกันไปบนพื้นสี แดงสด สี สันสดใส ภายในโบสถ์ ค่อนข้างแคบและเงียบเชียบ
ปราศจากคน พระประธานซึ่ งเป็ นพระพุทธรู ปปางมารวิชยั องค์ใหญ่ประทับเด่นเป็ นสง่าในเงาสลัว
ของบรรยากาศ สิ่ งแปลกตาในโบสถ์คือรางยาว เป็ นไม้แกะสลักมี หัวเป็ นพญานาค ทอดจากด้านข้าง
พระพุทธรู ปผ่านออกไปนอกโบสถ์ สี ดาํ และทองขรึ ม ๆ ที่ตกแต่งผนังโบสถ์ท้ งั ด้านในด้านนอกกลมกลืน
กันดี20
รางไม้มีไว้สรงนํ้าพระบางจําลองวันสงกรานตร์ มี น้ าํ มนต์ไหลไปตามท่อให้ชาวบ้านมารอง
ไปดื่มกินได้จากนอกโบสถ์ดว้ ย ภาพพุทธประวัติบนผนังด้านซ้ายเป็ นตอนมารผจญ แต่รายละเอียด
ไม่เหมื อนของไทย พุทธประวัติของไทย เมื่ อมารมาผจญพระพุทธองค์ ส่ งธิ ดาทั้งสาม นางราคา
นางตัณหา นางอรดี มายัว่ ยวน แม่พระธรณี ก็ข้ ึนมาบีบนํ้าจากมวยผมกลายเป็ นกระแสนํ้าเชี่ยวกราก
พัดพรากพวกมารทั้งหมดหายไป แต่ภาพที่ วดั คื อนางทั้งสามกลายเป็ นยายแก่แร้ งทึ้ งหลังโกง”21
และวิธีการใส่ บาตรนั้น “ขบวนพระสงฆ์เดิ น มาถึงตัว ท่ านไม่ได้หยุดนิ่ งรอรั บของใส่ บาตรอย่าง
พระไทย แต่วา่ เปิ ดฝาให้ใส่ บาตร ขณะเคลื่อนขบวนต่อไปโดยไม่หยุด22
19
วินิตา ดิถียนต์ (ว. วินิจฉัยกุล), ตามลมปลิว, 291 – 294.
20
เรื่ องเดียวกัน, 161 - 167.
21
เรื่ องเดียวกัน, 168.
22
เรื่ องเดียวกัน, 191.
118
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เชิงท่องเที่ยวแนะนําสถานที่ต่าง ๆ ใน หลวงพระบาง ซึ่งการเขียนนวนิยายเชิงแนะนําการท่องเที่ยวนี้
ส
จะพบได้ชดั เจนจาก นวนิยายแนวลึกลับเรื่ อง “รอยไหม”
รอยไหม
“รอยไหม” (2007) ของ พงศกร หรื อ นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ นักเขียนนวนิยาย
ผูม้ ีนามปากกาว่า พงศกร และ ดารกาประกาย เป็ นคน จ.ราชบุรี จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับทุนจากกระทรวงสาธารณสุ ขไปศึกษาวิชาทางการแพทย์ดา้ นเวชศาสตร์
ครอบครั วจาก Pennsylvania University รัฐ Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริ กา ปั จจุบนั เป็ น
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวประจําโรงพยาบาลราชบุรี
พงศกร เป็ นนัก เขี ย นที่ ประสบความสําเร็ จ อย่างรวดเร็ ว จากปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ.2544)
“เบื้องบรรพ์” ผลงานเรื่ องแรก ได้รับรางวัลชมเชย สุ ภาว์ เทวกุล และเป็ นที่รู้จกั อย่างมากจากนวนิ ยาย
“ซีรีส์ผผี า้ ” ตั้งแต่ “สาปภูษา” จนถึง “รอยไหม” ที่ผลิตเป็ นละครทางไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่ง ทั้ง 2 เรื่ อง
ได้รับรางวัลชมเชยในการประกวดหนังสื อดีเด่นประเภทนวนิ ยาย ประจําปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)23
ขณะที่ “กี่เพ้า” กําลังอยูร่ ะหว่างการถ่ายทําเพื่อผลิตเป็ นละครออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 และ
“สิ เน่หาส่ าหรี ” ก็ติดทําเนียบนวนิยายขายดีจากซีรีส์ผผี า้ เช่นกัน
23
พงศกร จินดาวัฒนะ (พงศกร), รอยไหม, พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุ งเทพ ฯ : บุ๊คพลับบิชชิ่ง , 2553), 525 – 527.
119
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ภาพที่ 10 นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะเจ้าของนามปากกา “พงศกร” กับผลงานเรื่ อง “รอยไหม”
ที่ใช้วิเคราะห์ประกอบการวิจยั
ที่มา : หมอโอ็ต, พบกับ พงศกร ได้ที่งานหนังสื อนะครับ [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 27 มกราคม 2555.
เข้าถึงได้จาก http://www.groovebooks.com/index.php?mo=14&newsid=134034
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
“ข้าวแลง หมายถึง ข้าวเย็น ในภาษาไทย”27
ส
“บัตรซื้อตัว๋ ก็คือ ปี้ ”28
ผูเ้ ขียนอธิ บายถึงความเปลี่ยนแปลงของชาวหลวงพระบางที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่ องจาก
อิ ทธิ พ ลของโลกภายนอกที่ เ ข้า มาในสถานที่ แ ห่ งนี้ ว่า “คนหลวงพระบางเป็ นคนรั ก สงบ ไม่ มี
อาชญากรรม มีแต่นกั ท่องเที่ยวที่มาก่อปัญหา”29 และเมื่อ “UNESCO ประกาศให้หลวงพระบาง เป็ น
มรดกโลก ด้านวัฒนธรรม เมื่อปี 2538 แต่เหรี ยญก็มกั มีสองด้าน มีขอ้ ดี ข้อเสี ย เสมอ เราได้รับงบ
มาพัฒนาอาคารบ้านเรื อน สถานที่ราชการต่าง ๆ มากมาย แต่วิถีชีวิตคนลาวเริ่ มเปลี่ยนไป เริ่ มมี
สถานที่เที่ยวกลางคืน มีผบั มีบาร์ โสเภณี ”30 ความเจริ ญที่เข้ามาคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงนั้น
ผูเ้ ขียนยังชี้ ให้เห็นความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างไทยและลาว ผ่านการศึกษาของชาวลาว
ด้วยว่า “แต่เดิ มมีมหาวิทยาลัยที่เวียงจันทน์เพียงแห่ งเดียว มีไม่กี่คณะ คนส่ วนใหญ่จะข้ามมาเรี ยน
ที่ขอนแก่น ถ้าได้รับทุน ซึ่ งมีท้ งั ทุนรัฐบาลของไทยและลาว ก็จะมาเรี ยนเพิ่มเติมต่อที่ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย หรื อไม่ก็ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ถา้ เป็ นลูกคนรวยจะมาเรี ยนมหาวิทยาลัยเอกชน
เช่น เอแบ็ค หรื อไม่ก็ มหาวิทยาลัยกรุ งเทพ”31 ซึ่ งสอดคล้องกับความเป็ นจริ งที่ว่าชาวลาวที่มีฐานะ
หรื อมีโอกาส มักจะส่ งบุตรหลานมาเล่าเรี ยนในประเทศไทย จนกระทัง่ ปัจจุบนั ก็ยงั เป็ นเช่นนั้น
25
พงศกร จินดาวัฒนะ (พงศกร), รอยไหม, 7 - 11.
26
เรื่ องเดียวกัน, 9.
27
เรื่ องเดียวกัน, 27.
28
เรื่ องเดียวกัน, 44.
29
เรื่ องเดียวกัน, 16.
30
เรื่ องเดียวกัน, 50.
31
เรื่ องเดียวกัน, 48.
121
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด
เอาะหลาม เปรี ยบเทียบ เหมือน แกงโฮะ ทางเหนื อ มีผกั หลายอย่าง เป็ นอาหารพิเศษ มีกินที่
ก ลาง
หลวงพระบางเท่านั้น เวียงจันทน์ จําปาศักดิ์ ไม่มี มีชิ้นวัว ชิ้ นควายเป็ นส่ วนประกอบสําคัญ เริ่ มต้น
ส
ด้วยการนําชิ้ นวัว ชิ้ นควายที่ย่างไฟมาเคี่ยว ให้ดีเหยาะนํ้าปลาร้า ปรุ งรสตามใจชอบ เคี่ยวให้งวดสัก
สองวันถึงจะกินได้ ก่อนกินตั้งไฟอีกครั้งใส่ ผกั เช่น โหระพา แมงลัก หรื อตําลึง33
ก่อนมา มณี ริน หลับตาคิดถึงแต่ ส้มตํา, ไก่ยา่ ง, ลาบ , นํ้าตก แต่แท้จริ งแล้ว อาหารหลวงพระบาง
รสชาติเหมือนทางเหนื อของไทย นุ่ มลิ้น ไม่เน้นเผ็ดอย่างลาวใต้ ลงไปทางใต้แขวงจําปาศักดิ์ อาหาร
เน้นเผ็ดจนนํ้าหูน้ าํ ตาไหล ข้างเวียงจันทน์เป็ นลาวกลาง ๆ มีลกั ษณะผสมกันไปกับลาวเหนื อและลาวใต้
แต่อาหารที่ถือเป็ นที่สุดของลาว ก็เป็ นที่หลวงพระบาง อาจจะเป็ นเพราะ เจ้ามหาชีวิตเคยประทับอยูท่ ี่น้ ี
ที่ไหนที่มีเจ้ามหาชี วิตอยู่ อาหารจะต้องถูกปรุ งอย่างพิเศษ คัดสรรมาแล้ว จึ งทําให้อาหารของหลวง
พระบางถือเป็ นที่สุดของอาหารลาว34
การบรรยายผ่านตัวอักษรของผูป้ ระพันธ์สะท้อนความสําคัญของหลวงพระบางในอดีต
และสะท้อนความเหนื อกว่าของชาวหลวงพระบางเมื่อเปรี ยบเทียบกับชาวลาวในส่ วนอื่น โดยเฉพาะ
“ลาวใต้” หรื อ จําปาศักดิ์ ซึ่ งชาวลาวถือกันว่าเป็ นราษฎรธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าสําหรับชาวไทย
ในปัจจุบนั ความเป็ นลาวที่ชาวไทยรู ้จกั กันดี โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมจะมาจากชาวลาวใต้น้ ีเอง
“รอยไหม” นอกจากจะเป็ นนวนิยายแนวลึกลับย้อนยุคแล้ว ยังถือได้ว่าเป็ นคัมภีร์ในการ
เริ่ มทําความรู ้จกั กับหลวงพระบางและใช้เป็ นคู่มือในการทําความรู ้จกั กับหลวงพระบางในเบื้องต้น
ในมิติของอดีตจนปัจจุบนั ให้ความรู ้เกี่ยวกับหลวงพระบางทั้งด้านความเป็ นมาความสําคัญในฐานะ
นครหลวงเก่า ที่ เจริ ญด้วยอารยธรรมวัฒนธรรม กลิ่นไอแบบดั้งเดิ มจนได้รับการยกย่องให้เป็ น
มรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากองค์การ UNESCO
32
พงศกร จินดาวัฒนะ (พงศกร), รอยไหม, 24 – 25.
33
เรื่ องเดียวกัน, 78 79.
34
เรื่ องเดียวกัน, 77 – 78.
122
35
พงศกร จินดาวัฒนะ (พงศกร), รอยไหม, 47.
123
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ภาพที่ 11
ส
สุ วพงศ์ ดิ ษสถาพร เจ้าของนามปากกา “เจ้าสําราญ” กับผลงานเรื่ อง “ศรี สองรั ก”
วรรณกรรมประเภทนวนิยายที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์ในงานวิจยั
ที่มา : สุ วพงศ์ ดิษสถาพร, พนักงานการไฟฟ้ าส่ วนภูมิภาค จังหวัดเพชรบุรี และ นักเขียน.
ถ้อ ยคํา ที่ ป รากฏในนวนิ ย าย ล้ว นตรงกับ คํา จารึ ก ที่ “พระธาตุ เ จดี ย ์ศ รี ส องรั ก ษ์ ”
เมื องด่ านซ้ายทุ กตัวอักษร แสดงถึ งความใส่ ใจในการนําหลักฐานจริ งมาประกอบเป็ นนวนิ ยาย
เสริ มจินตนาการ
นอกจากนี้ “ศรี สองรัก” ยังกล่าวถึงข้อเท็จจริ งที่เกิดขึ้นทางประวัติศาสตร์ จากกรณี ส่งตัว
พระแก้วฟ้ าให้พระไชยเชษฐาธิ ราชแทนพระเทพกษัตรี “อยุธยาเป็ นฝ่ ายรั บผิดและยินดี ทาํ ตาม
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
พระประสงค์ หากสมเด็จ พระไชยเชษฐาธิ ราชทรงต้องการอย่างไรก็จะปฏิบตั ิตามนั้น ถ้าต้องการ
ส
พระแก้วฟ้ าก็ถือตามนั้น แต่ทรงยืนยันว่าต้องเป็ นพระเทพกษัตรี ขุนนางอยุธยาก็จะอัญเชิญพระแก้วฟ้ า
กลับ และจะกราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงทราบ”37 ผูแ้ ต่งไม่ได้วิพากษ์เหตุการณ์
ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นแต่เล่าด้วยบทสรุ ปว่า “คณะขุนนางกรุ งศรี อยุธยาต่างพากันโล่งใจตาม ๆ กัน
เมื่ อ สมเด็ จ พระไชยเชษฐาธิ ร าชทรงหายกริ้ ว เมื่ อ ทรงทราบว่ า เป็ นการเข้า ใจผิด ต่ า งฝ่ ายต่ า ง
ปรารถนาดีต่อกัน”38
นอกจากจะมีการพยายามสานสัมพันธ์ในแบบสายเลือดโดยการสมรสแล้วนั้น ไทยและ
ลาวในช่วงเวลาของ “ศรี สองรัก” ยังมีศตั รู ร่วมกันคือ พม่า “กองทัพหงสาวดีเข้าชิงพระเทพกษัตรี
โดยการซุ่มโจมตีระหว่างการเดินทางไปเวียงจันทน์”39 และจากเหตุการณ์ชิงตัวพระเทพกษัตรี ซ่ ึ งเป็ น
ข้อเท็จจริ งในประวัติศาสตร์ ผูแ้ ต่งยังใช้เป็ นชนวนสําคัญของบทสรุ ปนวนิ ยาย ที่ นํามาซึ่ งความ
พลัดพรากและสูญเสี ยของตัวละครเอก
การเลือกหยิบข้อเท็จจริ งทางประวัติศาสตร์ ในช่วงการสร้าง พระธาตุศรี สองรักเป็ นวัตถุดิบ
ในการเขี ยนนั้น ทําให้ “ศรี สองรั ก ” เป็ นวรรณกรรม ประเภทนวนิ ยาย ที่ สะท้อนความสัมพันธ์
ระหว่ า งไทยกับ ลาวในมิ ติ ข องมิ ต รประเทศที่ มี ฐ านะเท่ า เที ย มกัน และสะท้อ นการใช้ค วามรู ้
ทางประวัติศาสตร์ของผูเ้ ขียนได้เป็ นอย่างดี
วรรณกรรมประเภทนวนิ ยาย ที่กล่าวถึงมิติความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในฐานะมิตร
ประเทศที่ดี ได้แก่ ตามลมปลิว, รอยไหม และศรี สองรัก เป็ นบทประพันธ์ที่สะท้อนแง่มุมของ
36
สุ วพงศ์ ดิษสถาพร (เจ้าสําราญ), ศรี สองรัก 2 ภาค “สัจจะและไมตรี ”, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพ ฯ :
สํานักพิมพ์บา้ นวรรณกรรม, 2553), 119 – 120.
37
เรื่ องเดียวกัน, 264.
38
เรื่ องเดียวกัน, 272.
39
เรื่ องเดียวกัน, 298 - 338.
125
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ไม่ตอ้ งใช้นัยแฝงให้ผอู ้ ่านตีความเอาเอง ประกอบด้วยนวนิ ยายเรื่ องดอกฟ้ าจําปาศักดิ์ , แต่ปางก่อน
ำ
ส
และสาปภูษา ซึ่ งเป็ นวรรณกรรมประเภทนวนิ ยายที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาว
ในมุมมองของฐานะที่ไม่เท่าเทียม อันมีผลมาจากความสัมพันธ์ในรู ปแบบสงครามเป็ นสําคัญ
ดอกฟ้าจาปาศักดิ์
“ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์” (1949) ผลงานของ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ นามเดิมคือ กิมเหลียง
วัฒนปฤดา เกิดเมื่อวันที่ 11 สิ งหาคม ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) ที่จงั หวัดอุทยั ธานี จบการศึกษาจาก
โรงเรี ยนจังหวัดอุทยั ธานี จบเปรี ยญ ๕ ประโยค สํานักวัดมหาธาตุ กรุ งเทพฯ เรี ยนกฎหมายไทย
สอบได้ภาค 1 แล้วออกไปรับราชการ เป็ นผูช้ ่วยเลขานุการ ในสถานทูตไทย, เรี ยนกฎหมายและ
รัฐศาสตร์ ที่ฝรั่งเศส ,ปริ ญญาดุษฎีบณ ั ฑิตกิตติมศักดิ์ วิชาการทูต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,
ปริ ญญาดุษฏีบณ ั ฑิตกิตติมศักดิ์ วิชาเศรษฐศาสตร์ สหกรณ์ จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ
ปริ ญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบณั ฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลวงวิจิตรวาทการ ดํารงตําแหน่ งสําคัญทางการเมืองหลายตําแหน่ ง เช่น รัฐมนตรี ว่าการ
กระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ อธิบดีกรมศิลปากร รัฐมนตรี ว่าการ
กระทรวงการคลัง รั ฐมนตรี ว่าการกระทรวงเศรษฐการ และได้ดาํ รงตําแหน่ ง "ปลัดบัญชาการ"
สํานักนายกรัฐมนตรี (เทียบเท่าปลัดสํานักนายก รัฐมนตรี ในปั จจุบนั นี้ ) เป็ นคนแรก และคนเดียว
ในประวัติศาสตร์ไทย
126
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ภาพที่ 12 หลวงวิจิตรวาทการ กับวรรณกรรมประเภทนวนิยายเรื่ อง “ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์
ที่มา : หอสมุดดนตรี พระบาสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 9 และห้องสมุดดนตรี ทูลกระหม่อม
สิ ริน ธร, หลวงวิ จ ตรวาทการ [ออนไลน์ ], เข้า ถึ งเมื่ อ 27 มกราคม 2555 เข้าถึ งได้จาก
http://www.kingramamusic.org/history/p6.htm
40
หลวงวิจิตรวาทการ, รวมปาฐกถา (กรุ งเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, 2504), 233 กล่าวถึงใน ราม
วัช รประดิ ษ ฐ์ , “พัฒ นาการของประวัติ ศ าสตร์ ช าติ ใ นประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478” (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญา
มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539), 203.
127
“ดอกฟ้ าจํา ปาศัก ดิ์ ” เป็ นการดํา เนิ น เรื่ อ งโดยย้อ นเวลากลับ ไปในช่ ว ง ค.ศ. 1819
(พ.ศ. 2362) ใช้นครจําปาศักดิ์ซ่ ึงในขณะนั้นเป็ นประเทศราชของไทยเป็ นฉากสําคัญ ตัวละครทุกตัว
เป็ นชาวจําปาศักดิ์ ดําเนินเรื่ องและเหตุการณ์ 7 ปี ก่อนเกิดสงครามเจ้าอนุวงศ์41
หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่ งในขณะนั้นดํารงตําแหน่ งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงต่างประเทศ
ได้แต่ง “ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์” ภายใต้บริ บททางการเมือง ภายหลังจากกองทัพไทยยึดนครจําปาศักดิ์
จากกรณี พิพาทกับอินโดจีน กลับมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ “ก่อนสงครามเอเชียบรู พาจะพรากจําปาศักดิ์
ออกจากไทยอี ก ครั้ ง” ตามสํา นวนชาติ นิ ย ม ที่ ส ามารถอธิ บ ายด้ว ยเพลงที่ ห ลวงวิ จิ ต รวาทการ
ได้ประพันธ์เนื้อร้องและทํานองเพลง นครจําปาศักดิ์ ดังนี้
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาเป็ งนที่รักของชาวไทย
ส
นครจํ
า ปาศั
พลัดพรากจากไทยไป
ก ์
ดิ
อยูต่ ่างแดนเสี ยช้านาน
ไทยเฝ้ าคํานึง ไทยมุ่งรําพึง ระลึกถึงตลอดกาล
ฤกษ์งามยามดี ไทยเข้าโจมตี เหล่าร้ายไพรี แตกหนีแหลกลาญ
ธงไทย ธงไทย ปลิวโบกอยูใ่ น เขตแคว้นไพศาล
กองทัพเกรี ยงศักดิ์ (ชโย) ยกเข้าหาญหัก (ชโย)
ได้จาํ ปาศักดิ์ มาสมัครสมาน
พี่นอ้ งเลือดไทย ล้วนใจชื่นบาน
เทิดเกียรติทหารหาญ ของไทยยิง่ เอย42
41
ศึกษารายละเอียดทางประวัติศาสตร์กรณี สงครามเจ้าอนุวงศ์ใน บทที่ 2
42
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ, ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุ งเทพฯ : สร้างสรรค์บุคส์, 2542), (13).
43
เรื่ องเดียวกัน, (12).
128
เหตุการณ์ สําคัญที่เกิ ดขึ้นในนวนิ ยายเรื่ องนี้ คือ กรณี ของ “สาเกี ยดโง้ง” ที่ถือเป็ น
ปฐมฤกษ์ของการก่อการ “สงครามเจ้าอนุวงศ์” “ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์” เป็ นนวนิ ยายอิงประวัติศาสตร์
เล่าถึง เจ้าหญิงสุ ดาดวง ธิ ดาของเจ้าผูค้ รองนครจําปาศักดิ์ที่พบรักกับชายสามัญอย่าง จงรัก สร้าง
ความผิดหวังให้กบั เจ้าชายพงศ์พิศาล นัดดาของเจ้านครพระคู่หมั้น จุดแตกหักของเจ้าหญิงสุ ดาดวง
กับเจ้าชายพงพิศาล คือความเห็นต่างต่อเหตุการณ์ที่มีพระอ้างตัวเป็ นผูว้ ิเศษ ชื่อ “อ้ายสา” รวบรวม
ผูค้ นเข้ายึดนครจําปาศักดิ์ เจ้าหญิงสุ ดาดวงคิดว่า จําปาศักดิ์ควรต่อสู ้เพื่อรอความช่วยเหลือจากไทย
ที่เป็ นเจ้าประเทศราช แต่เจ้าชายพงพิศาลมีความเห็นว่าจําปาศักดิ์ไม่ควรรอความช่วยเหลือจากไทย
เพราะกว่าทัพไทยจะยกมาช่วยต้องใช้เวลานานเนื่องจากต้องร้องขอผ่านไปนครราชสี มาแล้วจึงส่ งเรื่ อง
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ต่อไปถึงกรุ งเทพซึ่ งกินเวลานาน ควรขอความช่ วยเหลือจากเวียงจันทน์ซ่ ึ งอยู่ใกล้เมืองจําปาศักดิ์
ส
มากกว่า สุ ดท้ายแล้วจําปาศักดิ์ตอ้ งแตกเพราะไม่สามารถต้านทัพของอ้ายสาที่มีมากกว่าหลายเท่าได้
สําเร็ จ ทัพจากเวียงจันทน์มาช่ วยเหลือตามคําสั่งของกรุ งเทพฯ และท้ายที่สุดด้วยความดี ที่ปราบ
“สาเกียด” ได้ เจ้าอนุ วงศ์แห่ งเวียงจันทน์ จึงกราบทูลมายังกรุ งเทพฯ ขอให้แต่งตั้งเจ้าโย่ราชบุตร
ขึ้นครองนครจําปาศักดิ์
ตัว ละคร ที่ ป รากฏในนวนิ ย ายเรื่ อ งนี้ สามารถแบ่ ง แยกได้ชัด เจนจากการเลื อ กฝ่ าย
กล่าวคือ นางเอกและพระเอก จะเข้าข้างไทย แต่ในขณะที่ตวั ร้ายของเรื่ องจะเลือกเข้าข้างเวียงจันทน์
และฝ่ ายญวน (เวียดนาม)
“เจ้า หญิ ง สุ ด าดวง” และ “จงรั ก ” นางเอกและพระเอกของเรื่ อ งเป็ นตัว แทนของ
หลวงวิจิตรวาทการ ในการวิพากษ์ประเด็นต่าง ๆ หลวงวิจิตรวาทการคิดเห็ นต่อเหตุการณ์ ทาง
ประวัติศาสตร์อย่างไรสามารถศึกษาได้จากทัศนะของตัวละครเอกในเรื่ อง ดังนี้
“วิธีการของญวนเป็ นวิธีฉวยโอกาสก่อให้เกิดความยุ่งยากให้พะว้าพะวัง ให้แดนลาว
ทั้งหลายแลเห็น ว่าไทยอ่อนกําลัง แดนลาวทั้งหมดจะได้หนั ไปหาญวน”44
“การที่ให้กองทัพเจ้าอนุมาช่วยกูน้ ครจําปาศักดิ์ครั้งนี้ เป็ นความคิดที่ผดิ มาก กองทัพไทยแท้ ๆ
มีถมไป ลําพังแต่กองทัพนครราชสี มากองทัพเดียว ก็สามารถเอาชนะได้ ถึงแม้กองทัพสาเกียดจะยัง
อยูใ่ นสภาพแข็งแรงที่สุด มีพลครบถ้วนแปดพันคน มีอาวุธพร้อมมูล ก็ไม่สามารถจะต่อต้านกองทัพ
นครราชสี มาเพียงกองทัพเดียว ไม่ควรจะต้องไปเอาทัพเวียงจันทน์มาด้วย”45
44
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ,ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์, 103.
45
เรื่ องเดียวกัน, 104.
129
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เป็ นคนเจ้าทิ ฐิและเป็ นนักกลอุบาย ไม่ทาํ อะไรโดยปราศจากความมักใหญ่ ใฝ่ สู ง ริ มฝี ปากงอนขึ้ น
ส
แสดงว่าเป็ นคนเปลี่ยนใจง่าย ถึงแม้จะมีแผนการใหญ่หลวงอะไรก็อาจจะท้อถอยหยุดเลิกโดยเร็ ว คนที่
มี ลกั ษณะอย่างนี้ จะทําการก้าวหน้าใหญ่ หลวง ก็แต่เมื่ อเป็ นโอกาสอํานวย เขาจะก้าวหน้าไปอย่าง
ไม่หยุดยั้งและไม่มีขอบเขต แต่ถา้ ไปพบสิ่ งต้านทานหรื ออุปสรรคเข้าสักนิ ดเดียวจะหยุดยั้งท้อถ้อย
และเลิกล้มเสี ยง่าย ๆ เพราะไม่มีความเข้มแข็งพอที่ จะฝ่ าฟั นทําลายอุปสรรคอย่างนั้น เข้าหลักที่ ว่า
เป็ นคนมีทิฐิ แต่ไม่มีมานะ ถ้าเป็ นเรื่ องชิงไหวชิงพริ บ คนคนนี้ จะสามารถเอาชนะคนได้มาก ๆ แต่ถา้
เป็ นเรื่ องที่ตอ้ งต่อสู้กนั อย่างเผชิญหน้า หรื องัดข้อต่อกรกันอย่างจริ ง ๆ แล้ว คนคนนี้จะหนีมากกว่าสู้...
ฐานะของเจ้าอนุ เป็ นเหมือนสิ่ งก่อสร้างสู งใหญ่มหึ มา แต่ไม่มีรากฐาน ถ้าถูกผลักดันเข้าสักเล็กน้อย
ก็จะล้มราบลงไปทันที48
46
“ไทย(เป็ น)ใหญ่” หมายถึง ความคิดตามลัทธิ ชาตินิยม ที่เห็น ว่าประเทศไทยเป็ นอาณาจักรที่เกรี ยง
ไกร เข้มแข็ง และมี อาํ นาจแข็งแกร่ ง จนบดบังอาณาเขตรอบข้าง ทุกเหตุการณ์ที่เกิ ดขึ้นมี เหตุผลและถูกเสมอ,
ผูว้ ิจยั .
47
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ,ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์, 119.
48
เรื่ องเดียวกัน, 180 - 181.
49
เรื่ องเดียวกัน, 201.
130
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เหตุเรื่ องเกิดอหิ วาตกโรคครั้งนั้น จดไว้วา่ เมื่อ ณ เดือน 7 ข้างขึ้น เวลายามเศษ ทางทิศพายัพแลเห็น
ส
เหมือนแสงเพลิงติดในอากาศ เรี ยกว่าขุมเพลิง แต่น้ นั ก็เกิดไข้ป่วงใหญ่มาแต่ทางทะเล ไข้น้ นั เกิดมาแต่
เกาะหมากก่ อ น แล้ว ข้า มมาหั ว เมื อ งฝ่ ายตะวัน ตกติ ด ต่ อ ขึ้ น มาจนถึ ง ปากนํ้า เจ้าพระยา ชาวเมื อง
สมุทรปราการตายลงเป็ นอันมาก ราษฎรพากันอพยพหนี ความไข้ข้ ึ นมากรุ งเทพ ฯ บ้าง แยกย้ายไป
หัวเมืองอื่นบ้าง คนในกรุ งเทพ ฯ ก็เป็ นโรคป่ วงใหญ่ข้ ึนตั้งแต่ ณ วันเดือน 7 ขึ้น 6 คํ่า ไปถึงวันเพ็ญ
คนตายทั้งชายหญิง... อหิ วาตกโรคมีมากอยูป่ ระมาณ 15 วัน ถึง ณ วันเสาร์ เดือน 7 แรม 7 คํ่า โรคจึง
เสื่ อมถอยน้อยลงโดยลําดับ51
50
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ,ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์, 106.
51
เรื่ องเดียวกัน, 120 - 121.
131
แต่ ปางก่อน
“แต่ปางก่อน”(1987) ของ แก้วเก้า เป็ นนามปากกาของ รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิง
วินิตา ดิถียนต์52 เป็ นนวนิยายแนวย้อนยุค ช่วง ค.ศ. 1947 (สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2) ที่เล่าย้อนกลับ
ไปยังจุ ดเริ่ มเรื่ องในช่ วงรั ชสมัยรั ชกาลที่ 6 อันเป็ นจุ ดเริ่ มต้นความรั กระหว่างหม่อมเจ้ารั งสิ ธร
บุตรชายคนเดียวของเสด็จในกรม ฯ ซึ่งได้พบรักกับเจ้านางม่านแก้ว เจ้านายจากลาว แต่ถูกกลั้นแกล้ง
จนเสี ยชีวิตในวันแต่งงาน
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
52
ศึ ก ษารายละเอี ย ดในส่ ว นของประวัติ รองศาสตราจารย์ ดร.คุ ณหญิ ง วิ นิ ตา ดิ ถี ยนต์ ในเรื่ อง
“ตามลมปลิว” ที่กล่าวถึงมาแล้วในข้างต้น
132
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ยังคงมีทศั นะที่ต่างชั้นระหว่างลาวและไทยเจือปนในสังคม
ส
ฉันไม่เคยนิ ยมยินดีพวกลาวพวกกาว ถือเป็ นต่างชาติต่างภาษาไม่ควรมาปะปนในวัง ถึงจะอ้าง
ว่าเป็ นเจ้า ก็ไม่ใช่เจ้านายไทยจะได้กราบไหว้ได้สนิ ท54 และการเปรี ยบตัวเจ้านางเป็ น ดอกจําปาลาว
เมื่อมาปลูกในเมืองไทยคนไทยเขาไม่นิยม ถือเป็ นอัปมงคล ไม่ปลูกไว้ในบ้าน55
53
วินิตา ดิถียนต์ (แก้วเก้า), แต่ปางก่อน, พิมพ์ครั้งที่ 11 (กรุ งเทพ ฯ : สํานักพิมพ์ทรี บีส์, 2551), 57 – 58.
54
เรื่ องเดียวกัน, 64 – 65.
55
เรื่ องเดียวกัน, 143.
56
ศึกษารายละเอียดในส่ วนของประวัติ นายแพทย์พงศกร จิ นดาวัฒนะ ได้จากเรื่ อง “รอยไหม”
ที่กล่าวถึงแล้วในข้างต้น
133
ำ น ก
ั ห อ ส ม ุ ด ก ลา“พงศกร”
ง กับผลงานเรื่อง “สาปภูษา”
ส
ภาพที่ 14 นายแพทย์พงศกร จิ น
ที่ใช้วิเคราะห์ประกอบการวิจยั
ดาวั
ฒ นะเจ้
า ของนามปากกา
เจ้าอนุ วงศ์เห็ น เป็ นโอกาสดี ด้วยสยามกําลังอ่อนแอ มัวเตรี ยมการศึ กกับอังกฤษ มิ ทนั ได้
ระวังเวียงจันทน์ จึงได้ส่ังการให้เจ้าครองนครจําปาศักดิ์ ซึ่ งเป็ นพระราชบุตรนามว่าโย้ ยกกองทัพ
ข้ามแม่น้ าํ โขงเข้ามาทางทิศตะวันออก เพื่อยึดเมืองอุบลราชธานี – ดอนมดแดง ทั้งยังสั่งให้เจ้าอุปราช
ติ ส สะ พระอนุ ช าเจ้ า อนุ ว งศ์ ผู้เ ป็ นพระเจ้ า ปู่ ของเจ้ า สี เกด คุ มกองทั พ เคลื่ อ นลงมาทาง
ตะวันออกเฉี ยงเหนือ เพื่อยึดร้อยเอ็ดและหัวเมืองแถบนั้น
กองทัพเวียงจันทน์ ทัพหน้า และทัพหลวง นัดหมายไปพบกันที่โคราชก่อนจะเคลื่อนเข้าตี
กรุ งเทพ ฯ ต่อไป ... วางแผนศึกเรี ยบร้อยยังไม่ทนั จะเคลื่อนทัพ ก็เกิดลางร้ายขึ้นเสี ยก่อน คืนก่อน
จะเคลื่อนทัพ เกิดมีลมพายุใหญ่พดั มาอย่างรุ นแรง จนทําให้ยอดหอพระบางหักกระเด็น นอกจากนี้
พายุยงั พัดพาให้เรื อนพักของสนมพระเจ้าอนุวงศ์บา้ นชาวเมืองเวียงจันทน์พงั ทลายไปหลายหลัง
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ครั้นพอถึงยามดึกราวสองยามของวันเดียวกันนั้น หม่อมมารดาของเจ้าสี เกดก็ปลุกบุตรสาว
ส
ขึ้นมา แล้วชี้ ให้เจ้าองค์น้อยแหงนดูดวงดาวสี ส้มอมแดงขึ้นอยู่บนท้องฟ้ าข้างทักษิณด้วยท่าทาง
ปริ วติ ก... หากพระเจ้าอนุวงศ์กย็ งั คงมีพระบัญชาให้เคลื่อนทัพมุ่งหน้าสู่ กรุ งเทพฯ ตามแผนการเดิม
..กลายเป็ นว่ายังมิทนั จะเข้าตีกรุ งเทพฯ กองทัพพระเจ้าอนุ วงศ์ก็แตกเสี ยตั้งแต่ที่โคราชแล้ว
เจ้าอนุวงศ์ตอ้ งถอยหนีไปตั้งมัน่ อยูท่ ี่ช่องข้าวสาร เมื่อทัพหลวงกรุ งเทพ ฯ มาถึง กรมพระราชวังบวร
สถานมงคลก็มีพระราชบัณฑูรรับสั่งให้แบ่งทัพหน้าออกเป็ นทัพย่อยตามไปตีกระหนาบจนทัพของ
ฝ่ ายลาวแตกพ่าย เจ้าราชบุตร (โย้) ถูกจับตัวได้ ส่ วนเจ้าราชวงศ์ (เง่ า) นั้นเมื่ อค่ายแตกก็หนี ไป
สมทบกับพระเจ้าอนุวงศ์ผเู้ ป็ นบิดา จากนั้นพากันหนีไปต่อจนถึงญวน
กรมพระราชวัง บวรนั้น ยกทัพ ตามติ ด ไปจนถึ ง เมื อ งพัน พร้ า ว ใกล้กับ เมื อ งเวีย งจัน ทน์
หากไม่เสด็จเข้าเวียงจันทน์ เพียงมีรับสั่งให้พระยาสุ ภาวดีทาํ ลายเมืองเวียงจันทน์ให้สิ้นกับกวาดต้อน
เอาผูค้ นลงไปกรุ งเทพ ฯ เพื่อไม่ให้รวบรวมกําลังแล้วก่อกบฏได้ในอีกต่อไป
พระบิดาของสี เกดต้องปื นของกองทัพไทยสิ้ นชีพ... ทหารจากสยามที่เข้ามาในพระราชวัง
จึ งเห็ นเจ้าสี เกดดับมารดาหมอบราบอยู่กบั พื้น ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว ในเช้าวันต่อมา
พระบรมวงศานุวงศ์เวียงจันทน์ทุกพระองค์กถ็ กู เชิญให้เสด็จลงไปกรุ งเทพ ฯ พร้อมกองทัพ
เจ้า อุ ป ราชติ ส สะพระเจ้า ปู่ ของสี เ กดนั้น มิ ได้เ ห็ น กับ พระเจ้า อนุ วงศ์ต้ งั แต่ ค รั้ งแรกแล้ว
พอเหตุการณ์เป็ นเช่นนี้ จึ งยอมเข้าสวามิภกั ดิ์ กบั กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และตามเสด็จมา
เข้าเฝ้ าพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั
หลังจากเข้าเฝ้ า มีพระกรุ ณาโปรดเกล้า ฯ เจ้าติสสะให้ไปพํานักอยูท่ ี่วงั เจ้าลาว แถวบางยี่ขนั
อันเป็ นวังที่พระเจ้าอนุวงศ์และพระญาติเคยมาอยูก่ ่อน ส่ วนเจ้าสี เกดและพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน
องค์อื่น ๆ ก็โปรดให้เข้ามารับราชการอยูก่ บั เสด็จพระองค์หญิงซึ่ งมีเชื้อสายเวียงจันทน์พระองค์หนึ่ง
ลุถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2370 พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั เห็นว่าลาวเวียงจันทน์น้ นั
เคยเป็ นกบฏหลายครั้งหลายหน กับมักฉวยโอกาสใจไปเข้ากับญวนเสมอ ตัวเจ้าอนุวงศ์เองก็ยงั หลบหนี
จับตัวไม่ ได้ พระองค์ไม่ มีพระราชประสงค์ให้เมื องเวียงจันทน์ฟ้ื นตัวตั้งใหม่ ได้อีก จึ งโปรดให้
พระยาราชสุ ภาวดียกทัพกลับขึ้นไปอีกครั้งเพื่อทําลายเมืองกับกวาดต้อนครอบครัวลาวที่ยงั หลงเหลืออยู่
ลงมากรุ งเทพ ฯ
135
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
กล่าวได้ว่าเป็ นการนําลาว มาใช้เป็ นตัวละครสําคัญในการเล่าเรื่ องอย่างตรงไปตรงมา และ “ลาว”
ส
ในนวนิ ยายของหลวงวิจิตรนี้ ได้สะท้อนทัศนะท่ามกลางสภาวการณ์ ในช่ วงเวลาที่ “ชาติ นิยม”
เบ่งบานในไทย ได้เป็ นอย่างดี
“ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์” ของหลวงวิจิตรวาทาการ จึงเป็ นแม่แบบการกําหนดความสัมพันธ์
ระหว่างไทยและลาว ในวรรณกรรมประเภทนวนิยายช่วงแรก ของนักประพันธ์ที่มีสายตาแห่งชาตินิยม
ที่ส่งผ่านความคิดไปยังผูอ้ ่าน และวรรณกรรมประเภทนวนิยายเล่มอื่น ๆ ในเวลาต่อมา
เมื่อบรรยากาศทางการเมืองระหว่างไทยและลาวเริ่ มคลี่คลาย การเดินทางท่องเที่ยวในลาว
ได้สร้างทัศนะใหม่ให้กบั ผูป้ ระพันธ์นิยายของไทยที่ต่างชื่นชมและหลงรัก กับความสงบเรี ยบง่าย
ในบรรยากาศแบบเก่าที่คงไว้ซ่ ึงความงาม ที่กรุ งเทพ ฯ ได้ละทิ้งไป กลายมาเป็ นนวนิยายเชิงท่องเที่ยว
ที่เน้นบรรยาย ภาพความสวยงามของลาว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ในรู ปแบบ ลาวใน
ฐานะตํ่ากว่าไทย ยังคงพบในวรรณกรรมประเภทนวนิ ยายของไทยเช่นกัน ไทยถูกปลูกฝังจนเชื่ อ
อย่างฝังลึกว่า ไทยยิง่ ใหญ่และมีอิทธิพลเหนื อประเทศใกล้เคียงใด ๆ จนกลายเป็ นทัศนะเหยียดหยาม
และดูถูกจนเป็ นนิสยั เมื่อมองในมุมลาวจะพบว่าสายตาในเชิงนี้จะน้อยกว่ามาก
หนังสื อประกอบภาพของลาว เรื่ อง “บ๊อบในบางกอก” ของ ลุงชาช่ า นามปากกาของ
ชาช่า อาลิสัน อดีตนักจัดพิมพ์หนังสื อ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริ กา จัดพิมพ์โดยแผนกศึกษา
ประจําแขวงหลวงพระบาง “เพื่อให้นกั เรี ยน นักศึกษา ชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ได้ชมใช้
..อ่านเพื่อขยายความรู ้”62
“บ็อบในบางกอก” เป็ นหนังสื อประกอบรู ปภาพที่มีภาษาอังกฤษ ควบคู่ไปกับภาษาลาว
ใช้กรุ งเทพ ฯ เป็ นฉากดําเนิ นเรื่ องอย่างตรงไปตรงมา โดยตัวเอกของเรื่ องเป็ นลิงชื่อ “บ๊อบ” ลิงที่อาศัย
ในป่ ามีความสุ ขดี แต่บางวันก็เบื่อ จนวันหนึ่ งได้มีหญิงสาวสองคนที่เดินเข้ามาในป่ าและพูดคุยกัน
เรื่ องกรุ งเทพ ฯ บ๊อบจึงอยากไปดูว่ากรุ งเทพ ฯ เป็ นเมืองแบบใด เมื่อไปถึงกรุ งเทพ ฯ ก็เกิ ดความ
62
ชาช่า อาลิสัน (ลุงชาช่า), บ๊อบในบางกอก (เวียงจันทน์ : ดอกเกด, 2006), คํานํา.
137
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
สาวใส่ เสื้ อสี เขียวพูดว่า : “ข้อยเคยไปอยูบ่ างกอกมาแล้ว, มันใหย่ และตื่นเต้นดี, เจ้ายากได้
ส
หยังก่ได้ในบางกอก, คักหลาย, ข้อยมักบางกอก.”63
ในสายตาของบ๊อบที่แรกเห็นบางกอกแตกต่างไปจากป่ าที่เคยอยู่ “เห็นว่าป่ าไม้ ต่างตาไป
เป็ นต้นไม้ปะหลาด ทังใหย่สูง เป็ นชงเลี่ยม...”64ความรู ้สึกแรกที่มีคือ “บางกอกใหย่ และตื่นเต้นดีแท้ ๆ
เจ้ายากได้หยังก่ได้ตามที่ตอ้ งกาน.. ข้อยมักบางกอก”65 เพราะสามารถหาของกินง่าย “ต้นไม้มีแต่
หมากไม้หน่วยใหย่ ๆ”66 แม้จะตื่นเต้นกับบางกอกแต่บอ๊ บก็เห็นว่า “บางกอกเป้ นตาย้าน และอันตะลาย”67
เพราะมี “ต้นไม้สูงคือพู, ช้างใหย่(รถ)และเสื อสี เขียว(มอเตอร์ไซต์)อยู”่ 68
ด้วยความที่ เคยชิ นกับการอยู่ป่า บ๊อบจึ งเข้าใจผิดว่าสามารถกิ นของต่าง ๆ ได้ฟรี ๆ
แบบในป่ า จึงกินผลไม้จากร้านค้าจนหมด จนเมื่อรู ้จากแม่คา้ ว่าต้องใช้เงินแลก “หมากไม้ยอ้ นใบ
สี่ เลี่ยมน้อย ๆ สองใบ”69 จึงช่วยแม่คา้ ขายของเป็ นการตอบแทนที่เคยกินผลไม้จนหมด และเดินทาง
กลับบ้านตามคําแนะนําของแม่คา้ “ คอบคัวของเจ้าคงจะคิดเถิงฮอดเจ้าหลาย,..เป้ นหยังเจ้าจึ่งบ่ไป
ยานคอบคัวของเจ้า? เจ้าสามาดกับมาหาข้อยอีกยามใดก่ได้ตามใจ”70
“บ๊อบในบางกอก” ใช้วิธีเล่าเรื่ องแบบให้คนอ่านคิดเอง ยกเหตุผลทั้งด้านดี และไม่ดี
ตามที่บ๊อบได้ยินผูห้ ญิงสองคนในป่ าคุย เปรี ยบเทียบกับที่บ๊อบไปบางกอกและเห็นเอง แต่หนังสื อ
ประกอบภาพของลาวนี้ ไม่ได้ให้ขอ้ สรุ ปชัดเจนแก่ผอู ้ ่านว่า บางกอกดีหรื อไม่ดี เพราะลงท้ายเรื่ อง
63
ชาช่า อาลิสัน (ลุงชาช่า), บ๊อบในบางกอก (เวียงจันทน์ : ดอกเกด, 2006), 5.
64
เรื่ องเดียวกัน, 8.
65
เรื่ องเดียวกัน, 12.
66
เรื่ องเดียวกัน, 11 - 12.
67
เรื่ องเดียวกัน, 16.
68
เรื่ องเดียวกัน, 1 - 17.
69
เรื่ องเดียวกัน, 22.
70
เรื่ องเดียวกัน, 28.
138
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประชาชนสามารถรับข่าวสารได้โดยการชม การดู หรื อการอ่าน ประเภทของสื่ อมวลชนได้แก่ วิทยุ
ำ
ส
โทรทัศน์ หนังสื อพิมพ์ นิตยสาร วารสาร ภาพยนตร์ และฯลฯ
จากผลงานวิจยั เรื่ อง ความสัมพันธ์ไทย – ลาว ในสายตาของคนลาว ปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544)
พบว่า “พฤติ ก รรมบางอย่างของคนไทยที่ คนลาวถื อว่าไม่ เป็ นมิ ตร คื อ ไม่ จริ งใจในการปฏิ บตั ิ
ตามสั ญญา ชอบเอาเปรี ย บคนลาว คนไทยเคยปล้น สะดมพระแก้ว มรกต เผาผลาญลาว ขโมย
โบราณวัตถุทางศาสนา ชอบดูถูกลาว นักลงทุนไทยไปเอาคนลาวเป็ นเมียน้อย”71 และคนลาวคิดว่า
คนไทยดูถูกเขามากที่สุด โดยเปรี ยบเทียบกับหลายชาติที่ยกมาเป็ นตัวอย่างให้พิจารณา ได้แก่ อเมริ กา
จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น กัมพูชา และไทย คิดเป็ นร้อยละ 56 และเมื่อถามว่าคนไทยกลุ่มไหนที่เขารู ้สึกว่า
ชอบดูถูกคนลาวมากที่สุด ร้อยละ 40 ตอบว่า ศิลปิ น นักร้อง ดาราโทรทัศน์ รองลงมาคือ สื่ อมวลชนไทย
ร้อยละ 2772
ข้อ เท็จ จริ ง ทางประวัติ ศาสตร์ ที่ ลาวเคยตกอยู่ใ ต้อ าํ นาจของไทยประกอบกับ ความ
เจริ ญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของไทยที่มีมากกว่าลาวนั้น กลายเป็ นความหวาดระแวงที่ลาวกลัวโดน
ดูถูกและกลัวถูกเอาเปรี ยบจากไทย ยิ่งในปั จจุบนั ที่สื่อสารมวลชนไทยมีอิทธิ พลและมีอิสระในการ
กระจายข่ าวสารมากขึ้ น ประกอบกับ การนิ ย มบริ โ ภคข่ าวสารไทยจากฝั่ ง ลาว ยิ่ง ทํา ให้เ กิ ด การ
บาดหมางได้ง่าย การนําเสนอข่าวจากสื่ อไทยที่ขาดความรู ้หรื อยังไม่ตระหนักถึงความต่างทางพื้นฐาน
วัฒนธรรม มักกลายเป็ นปั ญหาให้กบั ความสัมพันธ์ไทยและลาวอยูเ่ สมอ ต่อกรณี น้ ี อดิศร เสนแย้ม
จากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ยกกรณี หนังสื อ SPICY ที่บอกว่า ผูห้ ญิงสวย ภาษา
ลาวบอกว่า “สวยตายห่ า” ถ่ายรู ป บอกว่า “แหกตาสามัคคี” ซูเปอร์แมน เป็ น “บักอึดถลาลม” หรื อ
71
เขียน ธี ระวิทย์ และคณะ, ความสัมพันธ์ไทย – ลาว ในสายตาของคนลาว (กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544), 28.
72
เรื่ องเดียวกัน, 57 – 63.
139
ไททานิก เรี ยกว่า “ชูร้ ักเรื อล่ม” ซึ่ งไม่เป็ นความจริ ง ไม่เคยมีคาํ แบบนี้ ในลาว ตรงนี้ เป็ นกรณี ต่าง ๆ
ที่ทาํ ให้คนลาวรู ้สึกไม่พอใจ73
กรณี คลิป “ล๊าว..ลาว” ที่นกั ศึกษาธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ทําเป็ นรายงานส่ งอาจารย์เผยแพร่
ในเวบไซต์ยทู ูปเมื่อกลางเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 (พ.ศ.2554) จัดทําโดย น.ส.มุฑิตา เขียวหวาน
น.ส.วรรณดี วงศ์วฒ ุ ิวฒั น์ น.ส.นุสรา ช่วยปัญญา โดยมีอาจารย์ทรงยศ แววหงส์ เป็ นผูก้ าํ กับการเขียนเรื่ อง
คลิปอื้อฉาวยาวไม่ถึง 12 นาที เริ่ มต้นด้วยเสี ยงหญิงสาวพูดหยอกล้อกันเป็ นภาษาไทย และมี
ซับไตเติ้ลกํากับเช่นกันคําที่วา่ "อีลาว" "ลาว" "ลาวว่ะ" "โคตรลาว" หรื อ วลี "แต่งตัวล๊าวลาว.." ฯลฯ
ซึ่งหลายคนในคลิปกล่าวว่า เป็ นการเรี ยกผูท้ ี่ตนคิดว่าด้อยพัฒนาล้าหลังกว่า โดยมีเจตนานําเสนอ
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ปัญหาที่คนไทยจํานวนหนึ่ ง ใช้คาํ ว่า "ลาว" โดยไม่เหมาะสมและขาดความเคารพต่อประชาชนลาว
ำ
ส
ซึ่ งทําให้ชาวลาวเป็ นเดือดเป็ นแค้น จนกระทัง่ หนุ่มนิ รนามรายหนึ่ งทําคลิปออกโต้กลุ่มนักศึกษา
ธรรมศาสตร์ ประณามด้วยถ้อยคํารุ นแรงถึงการกระทําของนักศึกษาธรรมศาสตร์กลุ่มนี้ และลงท้าย
คลิปด้วยคําด่าที่แสดงความคัง่ แค้นอย่างหนักต่อการกระทําของคนไทยทั้งหมดที่เคยพูดจาดูถูกคนลาว
เนื้ อหาคลิป TU 110 22010 หรื อ คลิป “ล๊าว..ลาว” ของนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ถูก
เผยแพร่ ทางเวบไซต์ ยู ทู ป http://www.youtube.com/watch?v=051xU70-RgU&feature=related
มีความยาวคลิป 11 : 56 นาที
เริ่ มต้นด้วยเสี ยงพากย์ อี๋ !!!ลาว! ล๊าว ลาว ลาวจังเลย ทําหน้าลาวนะ แต่งตัวก็ลาวอะ
และเริ่ มต้นด้วยการตั้งคําถามว่า ทําไมต้องลาว? เคยว่าเพื่อนว่า “ลาว” ไหม ?
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 1 : ไม่เคยนะ เพราะเราไม่ชอบดูถูกเพื่อน
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 2 : ก็เคยนะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 3 : เด็ก ๆ เคยนะ ตอนนี้กย็ งั เด็กอยู่
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 4 : ก็เคยค่ะ เคยใช้คาํ ว่าลาว ในกรณี ที่เพื่อนทําอะไรที่แบบ เห่ ยมาก
ทําอะไรที่ไม่เข้ากับสไตล์ของเรา เราก็ด่ามันว่า อีลาว!!! อะไรงี้ แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว เพราะ
มันซอฟต์ไปแล้ว ในความรู ้สึกของตัวเองมันซอฟต์ไปแล้ว เดี๋ยวนี้มีคาํ อื่นมาด่าเช่น อีโจ้ อะไรอย่างนี้
เป็ นต้น คําอื่นที่มนั ร้ายแรงกว่านี้ อาจจะไม่สามารถออกสื่ อได้นะคะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 5 : ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้วครับ แต่เมื่อก่อนเคยใช้ครับ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 6 : เคยค่ะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 7: เคยเหมือนกันค่ะ
73
สุ ภตั รา ภูมิประภาส, ลาวมองไทย : วัยรุ่ นไทย “ควร” อ่านอย่างแรง!!! [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ
20 มกราคม 2555. เข้าถึงได้จาก http://www.obobza.com/forum/topic-16686-
140
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
เราก็โดนเพื่อนว่า ถ้าวันไหนเรามีโอกาสเราก็วา่ เพื่อนคืน
ส
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 5 : อาจจะติดมาจากเพื่อน ๆ บ้าง จริ ง ๆ แล้วก็ไม่ควรไปว่าเขา เพราะเขา
มี 3G ใช้ แต่เราไม่มีใช้
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 6 : ได้ยนิ จากพี่ ๆ ที่อายุมากว่า เด็ก ๆ ด้วยกันที่อายุมากกว่า
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 7 : ได้ยนิ เขามา ตามกระแสอ่ะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 8 : จําเขามาอีกทีหนึ่งเหมือนกันค่ะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 9 :พ่อแม่กพ็ ดู พอเราโตก็ได้ยนิ มา เราก็เลยพูดตาม
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 10 : ได้ยนิ ตามละคร ตามหนัง เพื่อน ๆ ก็มีพดู กันด้วย
คําถามถามต่อว่า “พูดเพราะอะไรกัน”
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 1 : ก็อนั ดับแรกอาจจะเป็ นเพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบสนุ กสนาน
หรื อไม่กท็ าํ เพื่อความสะใจของส่ วนตัว อะไรประมาณนี้นะครับ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 2 : เพื่อนอาจจะทําตัวเปิ่ น ๆ แต่ถา้ มองในอีกแง่หนึ่งก็ไม่ได้เป็ นการดูถูก
เชื้อชาติเขา เหมือนกับเป็ นคําที่เข้าใจตรงกัน ไอ้ลาวหมายถึงไอ้เปิ่ น คนที่ทาํ อะไรไม่เข้าท่าประมาณนี้
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 3 : รู ้สึกว่ามันเป็ นคําที่ตรงดี ยังไม่มีคาํ ไหนที่สามารถสื่ อได้ตรงเท่ากับคํานี้
ก็เลยด่าไป
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 4 : เหมือนลาวยังเป็ นชาติที่ยงั ไม่พฒั นา เหมือนไปว่าเพื่อนว่าไม่ทนั สมัย
ไม่พฒั นา ประมาณนี้ แต่จริ ง ๆ เราก็ไม่ได้ต้ งั ใจดูถูกไรเขานะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 5 : มันอินเทรนด์น่ะครับ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 6: มันอาจจะเป็ นลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งที่เพื่อนทําแล้ว เราเห็นว่า เห้ย
มันลาววะ เหมือนเป็ นคําพูดมากกว่าที่เราจะใส่ ใจรายละเอียดของคํา
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 7 : แกล้งเพื่อน หน้าเพื่อนเหมือนลาวมั้ง ไม่รู้ซิ ประมาณนั้นน่ะ
คําถามถามต่อว่า “ทําไมต้องคําว่า “ลาว”?
141
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 7 : ก็ไม่ดูแบบ ไม่ค่อยแรงไง ดูน่ารักดี
ส
คําถามถามต่อว่า “รู ้สึกอะไรตอนพูด ?”
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 1 : รู ้สึกเหนือกว่านิด ๆ อ่ะ แต่ว่าในความคิดไม่ได้มองถึงในแง่เชื้อชาติว่า
เราไปว่าเขา แต่วา่ มันเป็ นสิ่ งที่ถึงแบบ “เฮ้ยแกแบบไม่ได้เรื่ องวะ” ทําอะไรที่คนอื่นเขาไม่ทาํ กัน
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 2 : รู ้สึกเราเหนือกว่านะ “ลาวอะ หล่อนไม่ไหวนะ” ตอนนั้นยอมรับว่า
เราไม่ไหวอ่ะ เราหยาบคายมาก
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 3 : ก็ไม่ได้คิดอะไร
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 4 : หยอกกับเพื่อนเฉย ๆ ว่าเพื่อนเฉย ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้จะดูถูก
อะไรเลย
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 5 : ก็ไม่ได้มีอะไรเป็ นพิเศษ คือเราก็พดู ไปไม่ได้คิดไรมาก ว่ามันแบบจะ
ส่ งผลกระทบต่อใครหรื อป่ าว
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 6 : ก็ไม่ได้ต้ งั ใจดูถูกคนลาวนะ ก็พดู กันเล่น ๆ เฉย ๆ
คําถามถามต่อว่า “เจตนาดูถูกคนลาวล่ะ ?”
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 1 : ถ้าในทางทัศนคตินะครับ ก็บางคนก็อาจจะไม่ได้คิด เพราะว่าเขา
ไม่ได้เจาะจงว่า เขาด่าว่าสัญชาติลาว มันเป็ นการเปลี่ยนความหมายของคําว่าลาว
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 2 : ถ้าเป็ นตอนนั้น ก็ยอมรั บว่าใช่ แต่ ว่าเดี๋ ย วนี้ เราก็เห็ น ว่าลาว
เขาพัฒนาขึ้นแล้วนะ จัดงานซีเกมส์ สนามกีฬาเขาก็เก๋ อยูน่ ะ เขาก็ได้รับความยอมรับขึ้นมาในระดับหนึ่ง
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 3 : ถ้าเมื่อก่อนก็คงใช่ครับ เป็ นการดูถูกใช่ครับ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 4 : คือไม่ได้เจตนาดูถูกจริ ง ๆ นะครับจากใจ แค่ตอ้ งการใช้เล่นกับเพื่อนเฉย ๆ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 5 : ไม่ได้ดูถูก ก็แค่แกล้งเล่นเฉย ๆ เขาพูดยังไงมาก็พดู ตามเขา เป็ นคนไม่คิด
อะไรมาก
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 6 : ไม่ ๆ เราไม่ได้คิดถึงประเด็นประเทศเพื่อนบ้านเลย
142
คําถามถามต่อว่า “คิดว่าลาวด้อยกว่าไทยไหม”
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 1 : ถ้าในแง่แบบเทคโนโลยีก็อาจจะไม่เท่าเรา แต่ถา้ ในแง่แบบจิตใจ
สถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรมก็ไม่ได้ยง่ิ หย่อนไปมากกว่าเราเลย ไม่ได้ดอ้ ยกว่าเราเลย
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 2 : เขาอาจจะดั้งแนบกว่าป่ ะ นิ ดนึ งอ่ะ เขาอาจจะไม่คมเข้มอะไร
ประมาณนี้ แต่เรื่ องอื่นไม่รู้จริ ง ๆ เพราะว่าเราก็ไปตัดสิ นใครไม่ได้
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 3 : ก็ไม่นะ ถ้าไม่ถือว่าลัทธิ ชาตินิยมอะไรมากกว่า พี่คิดว่าประเทศไทย
ด้อยกว่าหลาย ๆ ประเทศเขานะ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 4 : ตอนนี้ พี่ก็คิดว่าเขาด้อยกว่าเราอยู่นิดนึ ง แต่ว่าในอนาคต เขาคง
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ทัดเทียมเราแหละ ดูภาพรวม เศรษฐกิจอะไรแบบนี้กย็ งั ถือว่าเขาด้อยกว่าเราอยู่
ส
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 5 : ถ้าในปัจจุบนั มองในสภาพสังคมคิดว่าไม่ครับ เพราะว่าอย่างที่เห็นได้ชดั
คือเทคโนโลยีที่พฒั นาไปแล้ว 3G ซึ่งบ้านเราก็ไม่มีใช่ไหมครับ
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 6 : เดี๋ยวนี้มนั ก็ไม่ บางเรื่ องก็ดอ้ ย บางเรื่ องก็ไม่ หน้าตานี้ไม่ดอ้ ย
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 7 : ถ้าพูดตามความรู ้สึกของเรานะ ปั จจุบนั ประเทศเรายังดูดีกว่าประเทศลาว
เพราะว่า ทางด้านศักยภาพของคน เทคโนโลยีและภูมิประเทศ ประเทศไทยเราจะค่อนข้างดีกว่าค่ะ
แต่วา่ ถ้าบ้านเรายังอยูท่ ี่เดิม อีกไม่นานลาวก็จะขึ้นมาเท่าเทียมกับเรา
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 8 : เขาดูแบบ ดูดอ้ ยกว่าเรา ตํ่ากว่าเรานิ ดนึ ง ในแง่สังคม วัฒนธรรม
หน้าตา
คําถามถามต่อว่า “อยากฝากอะไรถึงคนลาวไหม ?”
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 1 : ก็อยากจะฝากถึงคนลาวทุก ๆ คน อย่าไปน้อยใจกับการที่คนบางคน
เอาคําว่าลาวไปด่าคนนู ้นคนนี้ แล้วสื่ อถึงความหมายในทางที่ไม่ดี มันไม่ทนั สมัย มันไม่โมเดริ์ น
คุณค่าของเราอยูท่ ี่ตวั เองไม่ใช่คนพูดคําว่าลาวนะครับ ก็ตอ้ งฝาก แล้วอย่าไปใส่ ใจกับคําคํานั้น
ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ 2 : ก็อยากบอกว่าอย่าทะเลาะกันเหมื อนเขมรนะคะ รั กกันไว้นะคะ
แล้วเจอกันค่ะ
เมื่ อคลิ ปทําการสัมภาษณ์ สอบถามความคิ ดเห็ นจากนักศึ กษาธรรมศาสตร์ แล้ว ทาง
ผูจ้ ดั ทําคลิปได้ต้ งั คําถามสอบถามกับคนลาวชายและหญิงที่เข้ามาทํางานในประเทศไทย “คนลาว
รู ้สึกยังไง”
คําถาม : “พี่เคยได้ยนิ คนไทยว่ากันโดยใช้คาํ ว่าลาวไหมคะ”
ชายลาว : “เคยครับ”
คําถาม : “พี่รู้สึกยังไงคะ”
143
น ก
ั ห อ ส
หญิงลาว : “ก็พอมีบา้ งค่ะ”
ำ มุ ด ก ลาง
ส
คําถาม : “เขาพูดประมาณไหนคะ”
ชายลาว : “เค้าบอกว่าทําอะไรก็เหมือนลาว แต่งตัวก็แต่งเหมือนลาว”
คําถาม : “เขาว่าพี่ประมาณไหน”
หญิงลาว : “เวลาเราทํางานถ้าเราทํางานดีกว่าเค้า เค้าก็จะบอกว่าดีขนาดไหนก็แล้วแต่
ก็เป็ นลาวอยูด่ ี ทํางานเก่งค่าแรงก็ไม่ได้เยอะเท่าคนไทยหรอก”
คําถาม : “พี่คิดว่าไทยกับลาวมีขอ้ แตกต่างกันตรงไหนคะ”
หญิงลาว : “ก็มีบา้ งอย่างการพัฒนา อย่างไทยก็เจริ ญใช่ม้ ยั แต่ประเทศลาวก็ยงั ไม่เจริ ญ
มากเท่าประเทศไทยซักเท่าไร แต่ว่าเดี๋ยวนี้ เราก็ ประเทศของเราก็เริ่ มพัฒนาเหมือนกับประเทศไทย
จะใกล้ ๆ ประเทศไทยแล้ว”
คําถาม : “คิดว่าคุณค่าความเป็ นคนระหว่างคนไทยกับคนลาวต่างกันไหมคะ”
หญิงลาว : “ถ้าถามว่าความเป็ นคน ระหว่างคนไทยกับคนลาวเนี้ย คิดว่าเท่าเทียมกันนะคะ
เพราะต่างคน ก็เป็ นคนเหมือนกันใช่ม้ ยั คะ”
ชายลาว : “ก็เท่ากันน่ะครับ ก็มีความเท่าเทียมกัน”
คําถาม : “คิดว่าคนไทยกับคนลาวไม่ต่างกันใช่ไหมคะ”
ชายลาว : “ครับผม ไม่แตกต่างกัน”
คําถาม : “อยากฝากอะไรหน่อยไหมคะ ?”
หญิงลาว : “ก็อยากฝากว่า ถึงจะเป็ นลาวหรื อไทยก็ขอให้รักกันนะคะ ยังไงเราก็เป็ นพี่
น้องกันนะคะ”
144
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
และกําพืดของเค้ามันตํ่ากว่าคนลาวซํ่าได้ ที่ออกมาเว้าจังซั้นทําจังซั้น แล้วตัว๋ เองก็ยงั มีหน้าเว้าว่าเป็ น
ำ
ส
ประเทศที่เจริ ญกว่า หรื อว่ามีอีหยัง่ ที่ล้ าํ หน้ากว่า แล้วยังมาเฮ็ดตัวตํ่า ๆ แบบบ่มีการศึกษา บ่น่าเลย
ที่มีเฮ็ดจังซี้ คึดแล้วสมเพชตัวเองซํ้า ถ้าพวกคนไทยหรื อว่าคนอีสานผูใ้ ดได้เบิ่งวีดีโอนี้ ก็อยากให้
เอาไปบอกกับพวกคนไทยว่า สันดานของข้าเจ้าหรื อว่าความชัว่ ของข้าเจ้าหรื อว่าอีย้งั ตํ่ากว่าคนลาวหลาย
เพราะว่าคนลาวบ่เคยไปเว้าหรื อเฮ็ดอีย้งั ใส่ ใครคือกับคนไทยจังซี้ เป็ นต้นแม่นเรื่ อง เขมร เว้าเรื่ อง
ใหญ่ ๆ คือว่าเรื่ องน้อย ๆ เป็ นต้นแม่นว่าด่า เสี ยดสี ดูถูกคนลาวตามวีดีโอ มิวสิ ค เพลง หนัง รู ปภาพ
อยูเ่ วบไซต์ต่างๆ บ่วา่ เป็ น เฟสบุค๊ หรื อไฮไฟว์ เหี้ ยสุ ดๆเลย พวกเหี้ ยเอ๊ย หมาสี้ แม่สู”
74
junjeow@clipmass, ธรรมศาสตร์ ข อโทษคลิ ป “ล๊า ว..ลาว” หลัง โดนด่ า เจ็บ “สุ นัข เฮ็ด ..”
[ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 20 มกราคม 2555. เข้าถึงได้จาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2109279
145
ซึ่ งกลายเป็ นปั ญ หาที่ เ ป็ นปมค้า งคาในเรื่ อ งของความสั ม พัน ธ์ ร ะหว่ า งประเทศไทยและลาว
ที่มีให้เห็นอยูบ่ ่อยครั้ง
หมากเตะโลกตะลึง ภาพยนตร์จากค่าย จีทีเอช มีกาํ หนดฉายในปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549)
คือผลสะท้อนหนึ่ งของความเปราะบางทางความสัมพันธ์ไทยและลาว เมื่อ นายเหี ยม พมมะจัน
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาวประจําประเทศไทย เกรงว่าจะเกิ ดความ
ไม่พอใจของชาวลาวเพราะตัวอย่างเนื้ อหาภาพยนตร์ ที่สื่อออกมาเกี่ยวข้องกับคนลาวและเหมือนเป็ น
การดูถูกลาว “ภาพที่ฉายออกมาไม่มีความจริ งโดยสิ้ นเชิง เนื่องจากนักฟุตบอลทีมชาติลาวไม่มีพฤติกรรม
ตามที่ปรากฏในหนัง ไม่ว่าจะเป็ นฉากที่ให้นกั ฟุตบอลย้อมผมเป็ นสี ทอง ชูใต้หว่างแขนให้เห็นขนสี ทอง
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ซึ่ งดูไม่งามตา ไม่สุภาพ และไม่เหมาะสม รวมทั้งฉากที่นกั กีฬาลาวอารมณ์ร้อนคนหนึ่ งปรี่ เข้าไป
ำ
ส
เพื่อจะทําร้ายกรรมการหรื อว่าเล่นในสนามด้วยความรุ นแรงซึ่ งเป็ นการทําให้เสี ยภาพพจน์อย่างยิ่ง”
เพื่อไม่ให้เป็ นปั ญหาระหว่างประเทศผูผ้ ลิตต้องระงับการออกฉาย และทําการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใหม่
โดยเปลี่ยนประเทศลาวในเรื่ อง ให้เป็ นประเทศสมมุติ ชื่อว่า “ราชรัฐอาวี” และเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์
ใหม่เป็ น “หมากเตะรี เทิร์นส”
การกระทบทัง่ จากภาพยนตร์ หมากเตะโลกตะลึง ที่ได้รับการประท้วงนํามาสู่ ภาพยนตร์
ร่ ว มทุ นสร้ า งของเอกชนระหว่า งไทยและลาว เป็ นหนังไตรภาค เรื่ องสะบายดี หลวงพระบาง,
สะบายดีหลวงพระบาง 2 “ไม่มีคาํ ตอบจากปากเซ”, และสะบายดี วันวิวาห์ เพื่อสานสัมพันธ์อนั ดี
ระหว่างไทยและลาวให้แน่นแฟ้ น
“สะบายดี หลวงพะบาง” เป็ นภาพยนตร์ ร่วมทุนเพื่อเชื่ อมสัมพันธ์ระหว่างไทย-ลาว
ถือเป็ นหนังเอกชนเรื่ องแรกของวงการภาพยนตร์ลาวในรอบ 33 ปี กํากับโดย ศักดิ์ชาย ดีนาน และ
อนุสอน สิ ริสักดา จัดทําโดยบริ ษทั สปาต้า ครี เอทีฟ และบริ ษทั ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ บริ ษทั ลาวอาร์ต
มีเดีย
146
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
สะบายดีหลวงพระบาง 2 “ไม่มีคาํ ตอบจากปากเซ” “ปอ” ผูก้ าํ กับหนุ่มไทยที่ลม้ เหลวทั้ง
ส
เรื่ องความรัก และการงาน กําลังอยูใ่ นช่วงตกอับ เขาจําใจเดินทางไปเมืองปากเซ เพื่อรับจ้างถ่ายภาพ
งานแต่งงาน ในงานนั้น เขาได้รู้จกั กับหญิงสาวชื่อ “สอนไพรวัลย์” สาวลาวที่ดูใสซื่อน่ารัก กลายเป็ น
แรงบันดาลใจทําให้ชายหนุ่มเขียนบทหนังเรื่ องใหม่
สะบายดีหลวงพระบาง 2 “ไม่มีคาํ ตอบจากปากเซ” ดําเนินฉากส่ วนใหญ่ในปากเซ ยังคง
เล่าถึงวิถีชีวิตที่เรี ยบง่ายของลาว มุมมองความน่ารักและงดงามที่ประทับใจคนกรุ งเทพ ฯ แต่ในมุม
กลับกันหนังเล่าถึงมุมมองของนางเอกที่มีต่อชาวเมืองว่าเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและคาดเดายาก
และยังไม่สามารถเชื่ อได้ง่าย เป็ นทัศนะที่สะท้อนมุมมองเล็ก ๆ ในด้านความสัมพันธ์ไทยและลาว
ที่แอบแทรกไว้ในภาพยนตร์แนวท่องเที่ยวเรื่ องนี้
“สะบายดี วันวิวาห์ ” เล่าถึง “เชน”หนุ่ มไทย ทํางานเป็ นนักเขียนสกู๊ปให้กบั นิ ตยสาร
ชั้นนําฉบับหนึ่ง เชนเคยเดินทางมาทําข่าวที่ประเทศลาวเมื่อ 6 เดือนก่อน ในครั้งนั้นเขาได้รู้จกั กับ
“คํา” หญิงสาวชาวลาวที่เขารู ้สึกผูกพันและชอบพอกับเธอ เขาให้สัญญาว่าจะกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง
เชน ทําตามคํามัน่ โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าการกลับมาเยือนครั้งนี้ จะทําให้เกิดเรื่ องราวโกลาหล
จนถึงขั้นต้องแต่งงานกับเธอ โดยที่ท้ งั เขาและเธอก็ยงั ไม่มนั่ ใจและไม่แน่ใจในงานแต่งงานครั้งนี้นกั
บทส่ งท้ายของภาพยนตร์ ไตรภาค "สะบายดี " นําเสนอแง่ มุมความแตกต่างทาง
วัฒนธรรมและวิถีชีวิตในหลาย ๆ ด้านของไทยและลาวทั้งความทันสมัยของคนเมืองซึ่งดูขดั แย้งกับ
ความงดงามและเรี ยบง่ายแบบดั้งเดิมของวิถีชีวิตชาว ช่วงเวลา 3 - 4 วันก่อนงานแต่งงาน ชายหนุ่มจาก
เมืองใหญ่ และหญิงสาวในเมืองเล็กที่มีวฒั นธรรมแวดล้อมแตกต่างกัน ทั้งคู่ตอ้ งเรี ยนรู ้และปรับตัว
ร่ วมกันเพื่อที่จะเริ่ มต้นชี วิตครอบครัวใหม่ ให้ได้ “ฝน” ตัวละครไทยเพื่อนสาวสมัยเรี ยนของเชน
เป็ นตัวละครที่ถ่ายทอดสายตาของชาวเมืองที่ประเมินค่าวิถีชีวิตแบบเรี ยบง่ายต่างไปจากสังคมเมือง
“ฝน”ยังเป็ นตัวละคร ที่ นาํ เสนอแง่มุมของเล่ห์เหลี่ยมชาวเมืองที่พร้อมเล่นงานกับความสัตย์ซื่อ
ของคนในเมืองเล็ก
148
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
สร้างสรรค์มิติของสายสัมพันธ์อนั ดีในรู ปแบบความสัมพันธ์แต่ก็มกั จะพบว่า มักมีสอดแทรก เสี ยดสี
ส
สังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงง่ายและเต็มไปด้วยความไม่วางใจอยู่เสมอ เหล่านี้ เป็ นการสะท้อนผลจาก
แบบเรี ยนที่ถ่ายทอดความคิดแบบซํ้าไปมาของความสัมพันธ์ในรู ปแบบสงคราม และฐานะความต่าง
ที่ไม่เท่าเทียม จนกลายเป็ นความรู ้สึกที่ฝังลึกลงในความคิดของคนส่ วนใหญ่ในสังคมอันมีผลสวนทาง
กับการขานรับเป็ นประชาคมอาเซี ยนในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ที่ “เชื่อมัน่ ในความจําเป็ นที่จะ
กระชับสายสัมพันธ์ที่มีอยูข่ องความเป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกันในระดับภูมิภาค เพื่อบรรลุประชาคม
อาเซียนที่มีความเหนียวแน่นทางการเมือง การรวมตัวทางเศรษฐกิจ และมีความรับผิดชอบทางสังคม
เพื่อที่จะตอบสนองอย่างมีประสิ ทธิ ภาพต่อความท้าทายและโอกาสในปั จจุบนั และอนาคต”75 หากมี
ความสัมพัน ธ์ อนั ดี ก็จ ะนํา ไปสู่ ทิศทางที่ ดีในการร่ ว มมื อกัน ทางด้านเศรษฐกิ จ และโดยเฉพาะ
ในปั จจุ บนั ที่ เศรษฐกิ จเป็ นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่ งแน่ นอนว่ารวมไปถึงความ
คาดหวังในอัตราการเติบโตด้านการลงทุนของไทยในลาวด้วย
เมื่อวันพฤหัสที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เวลา 17 : 04 น. สํานักข่าวไทย
รายงานข่าวว่า “ไทยมีมูลค่าการลงทุนในลาวเป็ นอันดับ 3 รองจากเวียดนามและจีน” ข่าวนี้ น่าตกใจ
เพราะหมายความว่าไทยเสี ยอันดับการค้าจากที่ เคยเป็ นผูค้ า้ อันดับหนึ่ งของลาว นับแต่ลาว
เปิ ดประเทศเป็ นต้นมาอย่างยาวนาน แต่ในที่สุดไทยก็ไม่สามารถรักษาอันดับผูค้ า้ และผูล้ งทุน
ที่เคยเป็ นอันดับหนึ่งได้ เพราะนับแต่จีนมีนโยบายขยายตัวด้านเศรษฐกิจ ใน ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552)
ได้ส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนของไทยในลาว แต่กระนั้นก็ยงั พอเข้าใจได้ว่าเป็ นเพราะจีนมีเงินทุน
มหาศาล และเศรษฐกิจของประเทศไทยกําลังประสบปัญหา แต่ในปี นี้เองไทยกลายเป็ นผูค้ า้ อันดับสาม
เป็ นผูค้ า้ และลงทุนในลาวที่มาหลังเวียดนามและจีน
75
กระทรวงการต่างประเทศ, กฎบัตรอาเซี ยน [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2555. เข้าถึงได้จาก
http://www.mfa.go.th/web/1795
149
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ในการเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซี ยน หรื อ AEC ที่จะมีผลบังคับใช้ใน ค.ศ. 2015
ส
สํานักข่าวไทยรายงานว่า ไทยและลาวมีโครงการเร่ งพัฒนาเส้นทางเชื่ อมต่อชายแดนและขจัด
อุปสรรคทางการค้า เพื่อเตรี ยมพร้อมในการเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซี ยนในอีก 3 ปี ข้างหน้า
ซึ่ งหมายความว่าทั้งสองประเทศกําลังมุ่งหน้าพัฒนาด้านเศรษฐกิ จร่ วมกัน ต้องไม่ลืมว่า ลาว
มีทางเลือกอื่นด้วย ทั้งเวียดนามและจีนต่างรอที่จะขยายการลงทุนในลาว ประเทศที่ยงั อุดมไปด้วย
ทรัพยากรกรธรรมชาติที่น่าสนใจ และลาวเองก็มองว่าประเทศลาวคือทางเชื่อมสู่ ประเทศอื่น ๆ
ในภูมิภาค ยิง่ การคมนาคมสะดวกขึ้นทั้งทางถนนและระบบราง โอกาสของลาวย่อมมากขึ้น และโอกาส
ที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ไทยจะเข้าไปลงทุนในลาวก็ยอ่ มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น รัฐบาลและเอกชนไทยควรหันกลับมาพิจารณาปั ญหาและอุปสรรคที่จะส่ งผลต่อ
เศรษฐกิจการค้าและการลงทุนในลาวอย่างสําคัญคือ การทําความรู ้จกั กันในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี
เป็ นมิตรและธํารงมิตรภาพกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าลาวจะเคยตกอยูใ่ นฐานะประเทศราชของไทย
หรื อเคยเกิดปั ญหาจนนํามาสู่ การสงครามระหว่างกัน แต่ก็เป็ นไปตามบริ บททางประวัติศาสตร์
ณ เวลานั้น แบบเรี ยนจึงควรจะเปลี่ยนภาพที่เน้นรู ปแบบความสัมพันธ์เชิ งสงครามมาเน้นมิตรภาพ
ระหว่างไทยและลาว และอธิ บายมูลเหตุของสงครามที่เกิดขึ้นจากมุมมองของทั้งสองฝ่ าย ทั้งนี้ เพราะ
บรรยากาศทางการเมืองที่เคยคุกรุ่ นในช่วงสมัยการสร้างชาติได้ผ่านพ้นมาสู่ ยุคแห่ งความร่ วมมือ
ทั้งด้านการค้าและเศรษฐกิจแล้ว “แบบเรี ยน” ในฐานะเครื่ องมือสร้ างคนของรัฐจึงไม่ควรเน้น
รู ปแบบเดิม รัฐควรใช้อาํ นาจที่เคยทําสําเร็ จเมื่อครั้งสร้างความรู ้สึกรักชาติในช่วงชาตินิยมมาเปลี่ยนเป็ น
การสร้างประวัติศาสตร์ความร่ วมมือระหว่างไทยและลาว มากกว่าการเน้นประวัติศาสตร์เชิงสงคราม
อย่างที่เป็ นอยู่
ดั ง ที่ ก ล่ า วมาแล้ว เสมอ ๆ ว่ า “แบบเรี ยน” ที่ ใ ช้ กั น ในปั จ จุ บ ัน มัก เน้ น รู ปแบบ
ความสัม พัน ธ์ ไ ทยและลาวเชิ ง สงคราม มากกว่าความสัมพัน ธ์ ใ นรู ปแบบการร่ ว มมื อ หรื อเป็ น
พันธมิตรกัน โดยเฉพาะกรณี สงครามเจ้าอนุวงศ์ ที่มกั กลายเป็ นจุดต่างทางประวัติศาสตร์ไทยและลาว
150
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
บทที่ 5
บทสรุ ป
วิ ท ยานิ พ นธ์ เ รื่ อ งนี้ เป็ นการศึ ก ษาการรั บ รู ้ ป ระวัติ ศ าสตร์ ค วามสั ม พัน ธ์ ไ ทย-ลาว :
ผ่านแบบเรี ยนประวัติศาสตร์ไทยและลาว ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 – 6 (ค.ศ. 1975 – 2009) ผลการศึกษา
พบว่า แบบเรี ยนของไทยและลาวมีพฒั นาการมาจากการสร้างประวัติศาสตร์ ชาตินิยม ซึ่ งส่ งผล
โดยตรงต่อรู ปแบบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวจนถึงปั จจุบนั
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ในทุกสมัย มักถูกนํามาใช้เป็ นเครื่ องมือดําเนิ นกลไกแห่ งรัฐ
ำ
ส
งานเขียนทางประวัติศาสตร์ ในช่วงสร้างชาติก็เช่นกัน ถูกพัฒนาเพื่อประโยชน์ของรัฐในการสร้าง
ชุดความคิดให้กบั สังคม ความจําเป็ นในการสร้างชาติของไทยและลาวที่ต่างกันไปตามบริ บทแวดล้อม
กลายมาเป็ นอิทธิพลสําคัญต่อการเขียนประวัติศาสตร์ วัตถุดิบในการสร้างประวัติศาสตร์ ชาติของลาว
เน้นหนักในการให้ภาพของสงครามและการต่อสู ้ ส่ วนการสร้ างประวัติศาสตร์ ชาติของไทย คือ
การเล่าถึงความเกรี ยงไกรทั้งด้านอาณาเขตดินแดนตลอดจนอิทธิ พลที่แผ่ไปปกครองอาณาบริ เวณ
โดยรอบ อิทธิ พลของประวัติศาสตร์ ชาตินิยมหยัง่ รากแก้วเป็ นแม่แบบที่เติบใหญ่ท้ งั ในการสร้าง
ประวัติศาสตร์ ของไทยและลาว ถือเป็ นพิมพ์เขียวสําคัญให้กบั แบบเรี ยนของรัฐ ในฐานะเครื่ องมือ
กําหนดทิ ศทางความรู ้ แก่ สังคมที่ ผลิ ตซํ้าไปมาตามเจตนาสร้ างความรั กชาติ ให้ปรากฏแก่ ผูเ้ รี ยน
ของรัฐเป็ นสําคัญ
เป็ นที่ตระหนักกันดีวา่ ทุกยุคสมัยที่ผา่ นมาประวัติศาสตร์ถูกใช้เป็ นเครื่ องมือหล่อหลอม
ความคิดของประชาชนให้แก่รัฐผ่านพัฒนาการการกล่อมเกลาต่าง ๆ จนกลายมาเป็ น “แบบเรี ยน”
แม้ว่าปั จจุบนั ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ ซึ่ งรวมถึงไทยและลาวกําลังตื่นตัว
ในการร่ วมมือทางด้านการค้าและเศรษฐกิจ และการรวมตัวกันในกลุ่มประชาคมอาเซียน ประเทศต่าง ๆ
พยายามปลูกฝังคนของตนให้เห็นถึงข้อดีของการมีประเทศคู่คา้ และการเปิ ดกว้างร่ วมมือกับประเทศ
ร่ วมภูมิภาค มีการเตรี ยมพร้อมและทําความเข้าใจพื้นฐานกับประเทศภายในกลุ่มอาเซี ยน แต่ปัจจัยที่เป็ น
พื้นฐานของความรู ้ท้ งั หมดคือการทําความเข้าใจจุดเริ่ มแห่งความสัมพันธ์และพัฒนาการที่มีร่วมกันมา
ซึ่ งย่อมมีความสัมพันธ์และพัฒนาการร่ วมกันในหลายด้าน อย่างไรก็ดีแบบเรี ยนจากส่ วนกลาง
ของไทยและลาวยังคงเป็ นรู ปแบบเดิม คือเน้นเฉพาะประวัติศาสตร์ เชิงสงคราม ที่ให้ภาพของ “ผูแ้ พ้”
และ “ผูช้ นะ” เพื่อสร้างความรู ้สึกสํานึกรักชาติให้กบั คนในสังคมของตน
แบบเรี ยนประวัติศาสตร์ ลาวที่ อยู่ภายใต้การควบคุ มของพรรคประชาชนปฏิ วตั ิ ลาว
ก็ยงั คงเอกลักษณ์ เดิ มตลอด 20ปี คือการเน้นยํ้าแต่ภาพสงคราม และใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริ ง
151
152
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
“ความเหนื อกว่า” ในฐานะประเทศเจ้าอาณานิคม ซึ่ งสวนทางกับนโยบายของรัฐในการเตรี ยมสร้าง
ส
ความรู ้พ้ืนฐานเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนเพื่อการเตรี ยมพร้อมสําหรับผูเ้ รี ยน ขัดกับนโยบายส่ วนกลาง
ที่ตอ้ งการให้เกิดการร่ วมมือระหว่างภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน
การเน้นสร้างภาพความร่ วมมือระหว่างภูมิภาคในปั จจุบนั ทําให้รัฐเร่ งให้ความรู ้เกี่ยวกับ
ประเทศในประชาคมอาเซียน แต่ละเลยความรู ้พ้ืนฐานเบื้องต้นว่าควรแก้ไขภาพของความสัมพันธ์
เชิงสงคราม
“แบบเรี ยน” จึ งยังคงเป็ นปั ญหาอันมีผลต่อพื้นฐานความรู ้ความเข้าใจที่กลายเป็ น
ทัศนคติในการดําเนิ นชี วิต ส่ งผลโดยตรงต่อรู ปแบบความสัมพันธ์ไทยและลาวอย่างหลีกเหลี่ยง
ไม่ได้
“แบบเรี ยน” ไทยและลาว เป็ นต้นแบบทางความคิดที่รัฐสร้างขึ้นให้กบั ผูเ้ รี ยน ความรู ้
ที่ได้จากแบบเรี ยนสร้างชุดความคิดชาตินิยมให้ผเู ้ รี ยนได้สาํ เร็ จ การกล่าวเนื้ อหาแบบซํ้าไปซํ้ามา
หลายรอบ กลายเป็ นการปลูกฝังความคิดแห่ งรัฐที่แทรกตัวลงในความรับรู ้ของผูค้ น จนท้ายที่สุด
แล้วความคิดรักชาติเหล่านั้นก็ได้ส่งผลต่อการดําเนิ นชี วิตที่กระทบต่อรู ปแบบความสัมพันธ์ไทย
และลาว ให้ความรู ้สึกความเหลื่อมลํ้าจากวิธีการนําเสนอข้อมูลในรู ปแบบต่าง ๆ ซึ่ งบ่อยครั้งที่
เกิดปรากฎการณ์สะท้อนกลับจากฝ่ ายลาวต่อการนําเสนอข้อมูลจากสื่ อต่าง ๆ ของไทย
ทั้งที่จริ งแล้วไทย – ลาว มีประวัติศาสตร์ ร่วมกันในมิติของความร่ วมมืออย่างยาวนาน
แต่ประวัติศาสตร์เชิงสงครามกลับเป็ นสิ่ งที่ถูกเน้นและยํ้าใน “แบบเรี ยน” มากกว่า โดยเฉพาะกรณี
สงครามเจ้าอนุวงศ์ ที่กลายเป็ นวิวาทะประจําที่ถูกผลิตซํ้าทุกยุคสมัยในแบบเรี ยนของไทยและลาว
ซึ่ งมีมุมมองการนําเสนอต่างกัน ส่ งผลต่อการรั บรู ้ และความรู ้ สึกของประชาชนทั้งสองชาติ
ที่แตกต่างกัน จนกลายเป็ นวาทกรรมที่ได้รับการกล่าวขานอยู่เสมอ และมีส่วนสําคัญในการทําให้
มิตรภาพไม่แนบแน่นเท่าที่ควร
153
เมื่อ วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เวลา 13:58 น.ผูว้ ิจยั ได้ต้ งั คําถามในเครื อข่าย
สังคมออนไลน์เฟสบุค๊ บนหน้าเพจของ สมาคมลาวเวียง (Laovien association) ว่า “ช่วยแสดงความ
คิดเห็นว่า แบบเรี ยนหรื อหนังสื อเรี ยนที่ใช้กนั อยู่ในปั จจุบนั มีส่วนในการสร้างทัศนคติดา้ น
ความสัมพันธ์ไทยและลาว หรื อไม่ อย่างไร” คําถามที่ผวู ้ ิจยั ตั้งไว้น้ ี เจ้าของหน้าเพจสมาคมลาวเวียง
เข้ามาตอบ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2012 เวลา 19:10 น. ว่า“ประวัติศาสตร์เป็ นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จริ งและก็ผา่ นมาแล้ว เราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว เพียงแต่การเลือกเอาประวัติศาสตร์
มาพูด ต้องเอาออกมาให้หมดเปลือก ไม่ใช่วา่ จะเลือกเอาเฉพาะบางส่ วนที่ตนเองต้องการมานําเสนอ
เท่านั้น เพราะมันจะทําให้ผเู ้ รี ยนมีโลกทัศน์ที่แคบและขาดวุฒิภาวะในการเข้าใจโลก”
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
หลังจากนั้นได้มีผูเ้ ข้ามาแสดงความคิดเห็ นเพิ่มเติม ซึ่ งเป็ นไปในทิศทางที่ยงั คงเน้น
ส
ให้เห็นถึงความเหลื่อมลํ้าของคนทั้งสองชาติเช่นเดิม Ford Thanakorn Pornrattanaphan ได้แสดง
ความคิดเห็นว่า “ประวัติของเราที่สอนกันมา ไม่เคยพูดความจริ งทั้งหมด บิดเบือน และไม่ยอมรับ
ข้อผิดพลาดของตัวเอง เลยทําให้คนรุ่ นใหม่ไม่คิดแก้ไข” Dongs Sakrapee ได้แสดงความคิดเห็นว่า
“แบบเรี ยนไทยเคยส่ งเสริ มความสัมพันธ์กบั ประเทศรอบ ๆ ด้วยหรอ !!! คิดว่าอวยประเทศตัวเอง
อย่างเดียว” แต่ละทัศนะล้วนแสดงถึงรู ปแบบการรับรู ้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในทิศทางเดิม
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผูต้ อบซึ่ งเป็ นสมาชิกของหน้าเพจของ สมาคมลาวเวียง ที่มีสมาชิกส่ วนใหญ่
เป็ นชาวลาว หรื อลูกครึ่ งลาวในประเทศไทย ยังคงมีความรับรู ้ประวัติศาสตร์ ระหว่างลาว – ไทย
ในด้าน “ผูแ้ พ้” “ผูช้ นะ” “ศัตรู ของชาติ” ตามแบบอิทธิพลของประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่ยงั คงฝังรากลึก
ในแบบเรี ยน และยังคงเป็ นการตีกรอบตามประวัติศาสตร์ กระแสหลักที่อิงความรักชาติเป็ นสําคัญ
เช่นเดิม ซึ่งแสดงว่ารัฐทั้งไทยและลาวล้วนประสบความสําเร็ จในการสร้างประวัติศาสตร์ และกําหนด
ทิศทางเนื้อหาในแบบเรี ยนของทั้งสองชาติ ซึ่ งการกําหนดสาระเนื้ อหาของแบบเรี ยนเช่นนี้ คงใช้ได้ดี
ในเวลาและบริ บทที่ตอ้ งการสร้ างชาติ แต่ในปั จจุบนั นั้นเนื้ อหาที่เน้น “ความเหนื อกว่า” “ผูแ้ พ้”
“ผูช้ นะ” ย่อมทําให้เกิดปั ญหา และเป็ นอุปสรรคต่อความร่ วมมือระหว่างกัน
ความรู ้คือปั จจัยพื้นฐานที่สาํ คัญที่สุดในการดําเนินชีวิต “แบบเรี ยน” และ “ประวัติศาสตร์”
ต่างมีอาํ นาจในฐานะเครื่ องมือที่ทรงประสิ ทธิ ภาพในทุกยุคทุกสมัยของรัฐ ประเด็นที่น่าสนใจ
ที่ควรจะมีการศึกษาต่อจากงานวิจยั นี้ คือ รัฐควรจะสร้างหรื อพัฒนาชุ ดความคิดผ่านแบบเรี ยน
อย่างไรให้เหมาะสมต่อการสร้างความร่ วมมือให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริ ง ในภาวะที่สังคมกําลังเปิ ดตัว
เข้าสู่ สงั คมและเศรษฐกิจแห่งความร่ วมมือหรื อ ประชาคมอาเซียน
154
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ. การจัดสาระการเรี ยนรู ้ กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 1 – 6 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุ งเทพฯ :
กรมวิชาการ, 2546.
กรมวิชาการ. กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสู ตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2544. กรุ งเทพฯ :
กรมวิชาการ, 2545.
กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วดั และสาระการเรี ยนรู ้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุ งเทพฯ : ชุมนุม
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
สหกรณ์การเกษตรแห่ งประเทศไทย, 2551
ำ
ส
_________. หลักสู ตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2518. กรุ งเทพฯ :
กระทรวงศึกษาธิการ, 2518
_________. หลักสู ตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524. กรุ งเทพฯ :
กระทรวงศึกษาธิการ, 2523
_________. หลักสู ตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521. กรุ งเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ,
2520.
กุสุมา รักษมณี , กรรณิ การ์ วิมลเกษม และ จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ, ผูแ้ ปล. นิทานลาวเรื่ อง นางตันไต.
กรุ งเทพฯ : โครงการแปลวรรณกรรมเพื่อนบ้าน, 2529.
แกรนท์ อีแวนส์. ประวัติศาสตร์สงั เขปประเทศลาว ประเทศกลางแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์. แปลโดย
ดุษฎี เฮย์มอนด์. เชียงใหม่ : สํานักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2549.
ขุนวิจิตรมาตรา. หลักไทย. พิมพ์ครั้งที่ 7. พระนคร : รวมสาส์น, 2518.
เขียน ธีระวิทย์ และคณะ. ความสัมพันธ์ไทย – ลาวในสายตาของคนลาว : Thai – Lao relations in
laotion perspective. กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
จารุ วรรณ ธรรมวัตร. พงศาวดารแห่ งประเทศลาว คือ หลวงพระบาง, เวียงจันท์, เมืองพวน, และจําปาสัก.
มหาสารคาม : สถาบันวิจยั ศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ
มหาสารคาม, ม.ป.พ..
จิตร ภูมิศกั ดิ์. ความเป็ นมาของคําสยาม ไทย ลาว และขอม. พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุ งเทพฯ :
สํานักพิมพ์ศยาม, 2544.
ชาอวม, ไผเผง และ โสมอิม. ประวัติศาสตร์กมั พูชา แบบเรี ยนของเขมรที่เกี่ยวข้องกับไทย. แปลโดย
ศานติ ภักดีคาํ . สุ จิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2546.
155
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ทวีศกั ดิ์ ล้อมลิ้ม และ ประทุมกุมาร. หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู ้พ้นื ฐาน ประวัติศาสตร์
ำ
ส
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 ช่วงชั้นที่ 4 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2547.
_________. หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู ้พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 ช่วงชั้นที่ 4
กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2547.
ทรงคุณ จันทจร, ผูแ้ ปล. ประวัติศาสตร์ลาว (ดึกดําบรรพ์- ปั จจุบนั ). 2 เล่ม. มหาสารคาม :
สถาบันวิจยั ศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน, 2551.
ทองสื บ ศุภะมาร์ค. พงศาวดารลาว. กรุ งเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, 2528.
ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา มหาโกษาธิบดี. พระราชพงศาวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 3. พิมพ์ครั้งที่ 6.
กรุ งเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2538.
ธํารง บัวศรี . ทฤษฎีหลักสู ตร : การออกแบบและพัฒนา. กรุ งเทพ : สํานักพิมพ์พฒั นาศึกษา, 2542.
ธวัช ปุณโณฑก. พื้นเวียง : การศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมอีสาน. กรุ งเทพฯ : สถาบัน
ไทยคดีศึกษา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526.
นริ นทร์ พุดลา. แบบเรี ยนลาวในกระแสโลกาภิวตั น์. มปพ. มปป.
นิธิ เอียวศรี วงศ์. ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรี ยนและอนุสาวรี ย.์ กรุ งเทพฯ : มติชน, 2538.
_________. ปากไก่และใบเรื อ รวมความเรี ยงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
ต้นรัตนโกสิ นทร์. กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์การพิมพ์, 2527.
บุนมี เทบสี เมือง. ความเป็ นมาของชนชาติลาว เล่ม 1 การตั้งถิ่นฐานและการสถาปนาอาณาจักร.
แปลโดย ไผท ภูธา . กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์สุขภาพใจ, 2553.
156
ไพฑูรย์ มีกศุ ล และ ทวีศกั ดิ์ ล้อมลิ้ม. หนังสื อเรี ยนสาระการเรี ยนรู ้พ้ืนฐาน ประวัติศาสตร์ ชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 3 ช่วงชั้นที่ 3 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ตามหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุ งเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548.
ไพโรจน์รําลึก (อีสานปริ ทศั น์). กรุ งเทพฯ : ชมรมวรรณกรรมอีสานและคณาจารย์-นักศึกษา
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2532.
พระราชพงศาวดารกรุ งสยาม (จากต้นฉบับที่เป็ นสมบัติของบริ ติชมิวเซียมกรุ งลอนดอน). กรุ งเทพฯ
: ก้าวหน้า, 2507.
พระราชพงศาวดารกรุ งศรี อยุธยา ฉบับ พันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น ๆ. นนทบุรี : ศรี ปัญญา,
2553.
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ส
พระราชพงศาวดารกรุ งศรี อยุธยา ฉบับ หมอบรัดเล. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ : โฆษิต, 2549.
พระราชพงศาวดารกรุ งศรี อยุธยา ฉบับ หลวงประเสริ ฐ และฉบับกรมพระปรมานุชิตฯ. กรุ งเทพฯ :
องค์การค้าคุรุสภา, 2504.
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุ งเทพฯ : สํานักวรรณกรรม
และประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2548.
มลิวลั ย์ แตงแก้วฟ้ า. สองศตวรรษบนเส้นทางการเมืองไทย. นครปฐม : คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร นครปฐม, 2547.
มาร์ติน สจ๊วต – ฟอกซ์. ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดย จิราภรณ์ วิญญรัตน์. กาญจนี ละอองศรี และ
ปรี ยา แววหงส์, บรรณาธิการ. กรุ งเทพฯ : มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์, 2553.
มิลตัน ออสบอร์น. สังเขปประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. แปลโดย มัทนา เกษกมล และคณะ.
เชียงใหม่ : ตรัสวิน, 2544.
โรล็องด์ บาร์ตส์. มายาคติ Mythologies. พิมพ์ครั้งที่ 3. แปลโดย วรรณพิมล อังคศิริสรรพ. นพพร
ประชากุล, บรรณาธิการ. กรุ งเทพฯ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2551.
วิจิตรวาทการ, หลวง. ประวัติศาสตร์สากล. เล่ม 1. พระนคร : โรงพิมพ์วิริยานุภาพ, 2473.
_________. ดอกฟ้ าจําปาศักดิ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุ งเทพฯ : สร้างสรรค์บุคส์, 2542.
วินิตา ดิถียนต์ (แก้วเก้า). แต่ปางก่อน. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุ งเทพ ฯ : สํานักพิมพ์ทรี บีส์, 2551.
_________ (ว. วินิจฉัยกุล). ตามลมปลิว. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุ งเทพ ฯ : สํานักพิมพ์ทรี บีส์, 2551.
วิรัช นิยมธรรม. คิดแบบพม่า ว่าด้วยชาติและวีรบุรุษในตําราเรี ยน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2551.
158
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
สายชล สัตยานุรักษ์. ความเปลี่ยนแปลงในการสร้าง “ชาติไทย” และ “ความเป็ นไทย” โดย
ำ
ส
หลวงวิจิตรวาทการ. กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2545.
_________. สมเด็จฯกรมพระยาดํารงราชานุภาพ การสร้างอัตลักษณ์ “เมืองไทย” และ “ชั้น” ของ
ชาวสยาม. กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2546.
สายพิณ แก้วงามประเสริ ฐ. การเมืองในอนุสาวรี ย ์ ท้าวสุ รนารี . กรุ งเทพฯ : มติชน, 2538.
สิ ลา วีระวงศ์. ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดย สมหมาย เปรมจิตต์. เชียงใหม่ : สถาบันวิจยั สังคม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2535.
________, พงศาวดารลาว. แปลโดย ทองสื บ ศุภะมาร์ค. กรุ งเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, 2528.
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. นิราศทัพเวียงจันท์. กรุ งเทพฯ : มติชน, 2544.
_______. “พลังลาว” ชาวอีสานมาจากไหน. กรุ งเทพฯ : มติชน, 2549.
สุ เนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ. ทัศนคติเหยียดหยามเพือ่ นบ้านผ่านแบบเรี ยนชาตินิยมในแบบเรี ยน
ชาตินิยมในแบบเรี ยนไทย. กรุ งเทพฯ : มติชน, 2552 .
สุ ภาพร คงศิริรัตน์. อัตลักษณ์ วิถีความคิดของคนไทยและคนลาวจากวรรณกรรมแบบเรี ยน.
พิษณุโลก : คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2548.
สุ รศักดิ์ ศรี สาํ อาง. ลําดับกษัตริ ยล์ าว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ : สํานักโบราณคดีและ
พิพิธภัณฑสถานแห่ งชาติ กรมศิลปากร, 2545.
สุ วพงศ์ ดิษสถาพร (เจ้าสําราญ). ศรี สองรัก ภาค “สัญญาและสาบาน”. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพ ฯ :
สํานักพิมพ์บา้ นวรรณกรรม, 2553.
_________. ศรี สองรัก 2 ภาค “สัจจะและไมตรี ”. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพ ฯ : สํานักพิมพ์บา้ น
วรรณกรรม, 2553.
สุ วิทย์ ธีรศาศวัต. ความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 – 126 การเสี ยดินแดนฝั่งขวาแม่น้ าํ โขง.
กรุ งเทพฯ : แสงรุ ้งการพิมพ์, 2523.
159
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, บรรณาธิการแปล. กรุ งเทพฯ : มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์
ส
และมนุษยศาสตร์, 2552.
อรรถจักร สัตยานุรักษ์. การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผูน้ าํ ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึง
พุทธศักราช 2475. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์แห่ งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2541.
อัจฉราพร กมุทพิสมัย. “แนวการเขียนประวัติศาสตร์ ของหลวงวิจิตรวาทการ.” ใน ประวัติศาสตร์
และนักประวัติศาสตร์ไทย. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และสุ ชาติ สวัสดิ์ศรี , บรรณาธิการ.
กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเฌศ , 2519.
Pholsena Vatthana. Post – war Laos The Politics of Culture, and Identity. Chaing Mai : Silkworm,
2006.
Simms Richmond , Peter and Sanda. The kingdoms of Laos : six hundred years of history. Surrey
: Curzon Press, 1999.
Staut - Fox Martin. The Lao Kingdom of Lan Xang: Rise and Decline. Thailand : White Lotus
Press, 1998.
Sunait Chutintaranond. “Historical Writting, Historical Novels and Period Movies and Dramas an
Observation Concerning Myanmar in Thai Perception and Understanding.” Asian
ำน ก
ั ห อ ส
Review 12 [1998]: 10-20. มุ ด ก ลาง
ส
Souneth Phothisane. “The Nidan Khun Borom: Annotate Translation and Analysis.” Ph.D.
dissertation, The University of Queensland, 1996.
Vatthana Pholsena. “The Changing Historiographies of Laos : A Focus on the Early
Period.” Journal of Southeast Asian Sudies 35, 2 [June 2004] : 235 – 259.
Vietnamese Source Materials Concerning The 1827 Conflict between the court of Siam and The
Lao Principalities. Vol.1-2. Tokyo : Komiyama Printing, 2001.
Warshaw Steven. Southeast Asia Emerge. 4th ed. San Francisco : Canfield, 1975.
Wyatt, David K. Politics of Reform : Education in the Reign of King Chulalongkorn. Bangkok :
Thai Watanapanich, 1969.
หนังสื อภาษาภาษาลาว
กะซวงถะแหลงข่าวและวัดทะนะทัม. วีระกัมพระเจ้าอะนุวงส์. เวียงจัน : พแนกปะหวัดสาด
อาระยะทัม สะถาบันค้นคว้า วัดทะนะทัม, 2003.
กะซวงสึ กสาทิกาน. แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ หนึ่ง. เวียงจัน : สะถาบันค้นคว้า
วิทะยาสาดกานสึ กสา, 1996.
_________. แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ สอง. เวียงจัน : สะถาบันค้นคว้า วิทะยา
สาดกานสึ กสา, 1997.
_________. แบบเฮียนวิทะยาสาดสังคมชั้นมัดทะยม ปี ที่ สาม. เวียงจัน : สะถาบันค้นคว้า วิทะยา
สาดกานสึ กสา, 2008.
_________. แบบเฮียนปะหวัดสาดชั้นมัดทะยมสึ กสา ปี ที่ สี่ . เวียงจัน : สะถาบันค้นคว้า วิทะยาสาด
กานสึ กสา, 2008.
161
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ดวงเดือน บุนยาวง. กํ่าพ้า กับ ผีนอ้ ย. พิมพ์ครั้งที่ 5. เวียงจัน : ดอกเกด, 2003.
ส
ดารา กันละยา (ดวงจําปา). รักดอกจึ่งบอกมา. ดวงเดือน บุนยาวง และ โอทอง คําอินชู, บันนาทิกาน.
เวียงจัน : จําปากานพิม, 2005.
เดวิด โจล สะเตนเบิก. รู ้จกั ปะเทดในอาชีตาวันออกเสี ยงใต้. พากที่ 1. โลกในสะตะวัดที่ 18. แปลโดย
ดารา กันละยาและคณะ. นะคอนหลวงเวียงจัน : หอสะมุดแห่งชาด, 2004.
_________. รู ้จกั ปะเทดในอาชีตาวันออกเสี ยงใต้. พากที่ 2. กานท้าทายใหม่ ต่ออํานาดเก่า. แปลโดย
ดารา กันละยาและคณะ. นะคอนหลวงเวียงจัน : หอสะมุดแห่งชาด, 2004.
บุนมี เทบสี เมือง. ความเป้ นมาของซนซาดลาว. เล่ม 1 กานตั้งถิ่นถาน และ กานส้างอานาจัก. เวียงจัน :
โรงพิมสึ กสา, 2006.
_________. ความเป้ นมาของซนซาดลาว. เล่ม 2 สะพาบกานในปะเทดอ้อมข้าง, ในอานาจักลาว
ล้านช้างตอนต้น และวิวดั ทะนากานด้านอะริ ยะทํา ของชนชาดลาว. เวียงจัน : โรงพิม
สี สะหวาด, 2009.
พูทอง แสงอาคม. ชาดลาว คนลาว อะดีด และ ปะจุบนั (สะบับดัดแปง). พิมพ์ค้งั ที่ 2. เวียงจัน :
นะคอนหลวง, 2006.
มะหาวิทะยาไลแห่ งชาด คะนะพาสา วันนะคะดี และมะนุดสาด. ตามหารอยเจ้าอะนุวง. เวียงจัน :
คะนะพาสา วันนะคะดี และมะนุดสาด มะหาวิทะยาไลแห่งชาด, 2010.
มะหาสิ ลา วีระวงส์ ชีวติ ผูข่ า้ My life อัดตะชีวะปวัด, คํากอนพุททะทํานาย 16 ข้อ และกอนลําชุม
ปี 2487. นะคอนหลวงเวียงจัน : มันทาตุราด, 2547.
สี พอน สู นนะลาด. แมวถือสิ น และเลื่องอื่น. เวียงจันทน์ : ดอกเกด, 2006.
162
บทความจากหนังสื อ
จารุ วรรณ และคณะ. “การกล่อมเกลาทางสังคมจากแบบเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษาในสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว.” ใน ลาวฮูห้ ยัง – ไทยรู ้อะไรวิเคราะห์แบบเรี ยนสังคม
ศึกษา, กรุ งเทพฯ : โครงการอาณาบริ เวณศึกษา 5 ภูมิภาค, 2544.
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์. “พงสาวะดานลาว ของ มหาสิ ลา วีระวงส์.” ใน จักรวาลวิทยา. ธเนศ
วงศ์ยานนาวา, บรรณาธิการ. กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน, 2549.
_________.“ 2519, “วิวฒั นาการการเขียนประวัติศาสตร์ไทย.” ใน ประวัติศาสตร์และนัก
ประวัติศาสตร์ไทย. กรุ งเทพฯ : ประพันธ์สาส์น.
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์. “งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของลาวสมัยได้รับเอกราชค.ศ.1945 จนถึง
ำ
ส
ปั จจุบนั .” ในโคลนไม่ติดล้อคนไม่ติดกรอบ. กรุ งเทพฯ : จุฬาฯ, 2545.
นาตยา ภูศรี . “หมิงสื อลู่ในฐานะหลักฐานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับลาว.” ใน ไผ่แตกกอ. เพชรรุ่ ง
เทียนปิ๋ วโรจน์ และณัฐพล อยูร่ ุ่ งเรื องศักดิ์, บรรณาธิการ. กรุ งเทพฯ : ศักดิ์โสภาการพิมพ์
, 25529.
บทความจากวารสาร
กอบเกื้อ สุ วรรณทัต-เพียร. “การเขียนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม : พิจารณาหลวงวิจิตรวาทการ.”
วารสารธรรมศาสตร์ 6,1 (2519) : 149 – 180.
_________. “การศึกษาประวัติศาสตร์ของสกุลดํารงราชานุภาพ,” อักษรศาสตร์พิจารณ์ 6,2
(พฤศจิกายน 2517) :.28 – 44.
กําพล จําปาพันธ์. “ภาพลักษณ์ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ในประวัติศาสตร์ไทย-ลาว.” ศิลปวัฒนธรรม
30,12 (ตุลาคม 2552) : 74 – 97.
_________. “รัฐและความเป็ นไทย ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาว (พ.ศ. 2429 – 2484).” เมืองโบราณ
35, 2 (เมษายน - มิถุนายน 2552) : 50 – 68.
ฉลอง สุ นทราวาณิ ชย์. “สัมพันธภาพไทย-ลาว เชิงประวัติศาสตร์ก่อนคริ สต์ศตวรรษที่๒๐.”
วารสารแผนที่ 29,1 (กรกฎาคม-กันยายน2529) : 23-32.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. “สกุลประวัติศาสตร์ : แสงสว่างในความมืด.” ศิลปวัฒนธรรม 6,1.
(พฤศจิกายน 2527) : 36 – 44.
ดารารัตน์ เมตตาริ กานนท์. “การรับรู ้เหตุการณ์ “เจ้าอนุวงศ์ พ.ศ. 2369” ในเอกสารลาว.” มนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ 16,2 (พฤศจิกายน 2541- เมษายน 2542) : 1-22.
163
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ยุวรี อภิรักษ์ภูสิทธิ์. “ขุนบรม วีรบุรุษของประชาคมลุ่มแม่น้ าํ โขง.” ศิลปวัฒนธรรม 7,6 (เมษายน
ส
2529) : 96-103.
วิกลั ย์ พงศ์พนิตานนท์. “พระราชพงศวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์รัชกาลที่ 1-4 ฉบับเจ้าพระยา
ทิพากรวงศ์ : ประวัติศาสตร์ ไทยยุคใหม่.” วารสารอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย 17,1 (มกราคม 2528) : 119 - 138.
สายชล วรรณรัตน์. “การศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ในประเทศไทย.” วารสารธรรมศาสตร์ 9,1.
(กรกฎาคม-กันยายน 2522) : 150 – 166.
สมเกียรติ วันทะนะ. “สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย.” ธรรมศาสตร์ 13,3
(กันยายน 2527) : 152 – 171.
สุ เจน กรรพฤทธิ์. “จากเวียงจันทน์ถึงบางกอก ตามรอย เจ้าอนุวงศ์ คลี่ปมประวัติศาสตร์ไทย-ลาว.”
สารคดี: (พฤษภาคม 2552) : 101 – 152.
อุมาริ นทร์ ตุลารักษ์. “ชาติ” ในวรรณกรรมลาว หลังการปฏิวตั ิ ค.ศ. 1975.” วารสารสังคมลุ่มนําโขง
1,3 (กันยายน – ธันวาคม 2548) : 121-147.
วิทยานิพนธ์
กิติรัตน์ สี หบัณท์. “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ลาวสมัยใหม่ (ค.ศ. 1975 – ปั จจุบนั ).” วิทยานิพนธ์
ดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชาไทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549.
เจนศึก ศิลามณี รัตน์. “นโยบายต่างประเทศต่อลาวสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ.” วิทยานิพนธ์
มหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคําแหง, 2548.
จีรพล เกตุจุมพล. “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขององค์ความรู ้ของกลุ่มชนชั้นนําสยามรุ่ นใหม่
พ.ศ. 2367-2468.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 25398.
164
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ประภาส สุ วรรณศรี . “การกล่อมเกลาทางสังคมจากแบบเรี ยนของรัฐ ระดับประถมศึกษาใน
ส
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พ.ศ.
2518-2538.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2542.
ปริ ยาภรณ์ สังขยานนท์. “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว พ.ศ. 2518-2534.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2550.
พิมพ์รต พิพฒั นกุล. “บทบาทของรัฐบาลและผูน้ าํ ทางการเมืองไทยต่อขบวนการต่อสู เ้ พื่อเอกราช
ลาว ระหว่าง พ.ศ. 2483 – 2492.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์
บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
พรรษา สิ นสวัสดิ์. “ความสัมพันธ์ระหว่างกรุ งเทพฯ กับเมืองเวียงจันทน์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั พ.ศ. 2367 – 2370 .” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชา
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2521.
ภักดี รัตนา. “ภาพลักษณ์ผหู ้ ญิงเหนือ ตั้งแต่พทุ ธศตวรรษที่ 25 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 26.”
วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาปะวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
2543.
ภูเก็ต กาญจนะวณิ ชย์. “อินโดจีน : การให้ความหมายภายใต้บริ บทการเมืองไทย หลัง พ.ศ. 2518.”
วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2546.
ยุพา ชุมจันทร์. “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ. 2475 – 2516.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญามหาบัณฑิต
ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530.
ราม วัชรประดิษฐ์. “พัฒนาการของประวัติศาสตร์ชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2411-2478.”
วิทยานิพนธ์ปริ ญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
165
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2548.
ำ
เอกสารอืน่ ๆ
ส
กระทรวงการต่างประเทศ. กฎบัตรอาเซียน [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2555. เข้าถึง
ได้จาก http://www.mfa.go.th/web/1795
_________. ความสัมพันธ์ไทย - ลาว ปี 2551 – 2552 [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2555.
เข้าถึงได้จาก http://www.mfa.go.th/web/1795.php?id=31563
กระทรวงการต่างประเทศ แขวงสะหวันนะเขต, กองเอเชียตะวันออก 2, กรมเอเชียตะวันออก.
ความสัมพันธ์ไทย - ลาว ปี 2553 – 2554 [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ14 กุมภาพันธ์ 2555.
เข้าถึงได้จากhttp://www.thaisavannakhet.com/savannakhet/th/knowledge/relationships/
คนลาวด่าไทย [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2554. เข้าถึงได้จาก
http://www.youtube.com/watch?v=Nrsua8x4UlM&feature=related
จารุ วรรณ ธรรมวัตร, ประภาส สุ วรรณศรี และ พรสวรรค์ สุ วรรณธาดา. “การกล่อมเกลาทางสังคม
จากแบบเรี ยน ระดับประถมศึกษาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว.”
ประกอบการสัมมนา รื้ อตําราเรี ยนไทย-ลาว เผยอุดมการณ์ชาตินิยม, 2 พฤศจิกายน
2543. (อัดสําเนา)
ชุลีพร วิรุณหะ, “เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 415457 Seminar in Southeast Asian History.”
ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551. (อัดสํานา)
ณัฐกานต์, รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ เจ้าของนามปากกา “ว.วินิจฉัยกุล” [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ
27 มกราคม 2555. เข้าถึงได้จากhttp://www.ejobeasy.com/kmdetail.php?n=110602173843
ธวัช ปุณโณทก. “เอกสารพื้นเวียง.” บันทึกประวัติศาสตร์ของปราชญ์ชาวอีสาน,
ประกอบการสัมมนาประวัติศาสตร์อีสาน, 16 – 18 พฤศจิกายน 2521. (อัดสําเนา)
166
ำน ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ป้ ายอธิบายประวัติความเป็ นมาของพระธาตุศรี สองรัก,ตั้งอยูห่ น้าบันไดทางขึ้นพระธาตุ, พระธาตุศรี
ส
สองรัก อ.ด่านซ้าย จ.เลย
“มูลมรดกชนชาติอา้ ยลาว.” อนุสรณ์สถานงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระยอดแก้ว
พุทธชิโนรสสกลสังฆปาโมกข์ สมเด็จพระสังฆราชแห่ งราชอาณาจักรลาว, 12 มีนาคม
2528. (อัดสําเนา)
รักษ์ มนัญญา. เรี ยงด้วยภาพ: ค่ายเยาวชนนักเขียน [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 27 มกราคม 2555. เข้าถึงได้จาก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rakmananya&month=07
รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสเมืองพิชยั [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 19 มีนาคม 2554 เข้าถึงได้จาก
http://aksara-home.blogspot.com/2011/10/6.html
เล่มโปรด [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 27 มกราคม 2555. เข้าถึงได้จาก http://www.praphansarn.com
/new/c_link/detail.asp?ID=158
“ล๊าว..ลาว” [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2554. เข้าถึงได้จาก
http://www.youtube.com/watch?v=051xU70-RgU&feature=related
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี . ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 19 มีนาคม
2554 เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%29สาย
เจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 3 (ออนไลน์). เข้าถึงเมื่อ 19 มีนาคม 2554. เข้าถึงได้จาก
http://www.bunnag.in.th/prarajpannuang003.html
สุ ภตั รา ภูมิประภาส. ลาวมองไทย : วัยรุ่ นไทย “ควร” อ่านอย่างแรง!!! [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 20
มกราคม 2555. เข้าถึงได้จาก http://www.obobza.com/forum/topic-16686-
หมอโอ็ต. พบกับ พงศกร ได้ที่งานหนังสื อนะครับ [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 27 มกราคม 2555. เข้าถึงได้จาก
http://www.groovebooks.com/index.php?mo=14&newsid=134034
167
การสั มภาษณ์
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
นายไพศาล ทับวงศ์, ศึกษานิเทศก์จงั หวัด ฝ่ ายสารสนเทศ สํานักงานการศึกษาประถมศึกษา
ำ
ส
นครสวรรค์ เขต 3. สัมภาษณ์, 19 ตุลาคม 2554.
สุ วพงศ์ ดิษสถาพร, พนักงานการไฟฟ้ าส่ วนภูมิภาค จังหวัดเพชรบุรี. สัมภาษณ์, 27 มกราคม 2555.
สุ วชั ราภรณ์ แย้มนุ่น ครู วิทยฐานะชํานาญการพิเศษ โรงเรี ยนวัดโรงวัว สํานักงานการศึกษา
ประถมศึกษาชัยนาท เขต 1. สัมภาษณ์, 11 กันยายน 2552.
168
ประวัติผ้ ูวจิ ัย
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2550 สําเร็ จการศึกษาปริ ญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร
พ.ศ. 2550
น ก
ั ห อ ส มุ ด ก ลาง
ศึกษาต่อระดับปริ ญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
ำ
ส
มหาวิทยาลัยศิลปากร