Professional Documents
Culture Documents
001 วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (พัชลินจ์ จีนนุ่น)
001 วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (พัชลินจ์ จีนนุ่น)
001 วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (พัชลินจ์ จีนนุ่น)
เกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร์
Literature as Related to History
คำนำ
ผู้ เ ขีย นวางไว้ ดัง นี้ บทแรก ผู้ เ ขีย นมุ่ ง ให้ ค วามรู้พ้ื น ฐานเกี่ ย วกั บ การศึ ก ษาวรรณคดีเ กี่ ย วกั บ
ประวัตศิ าสตร์ บทที่ ๒ ระบุงานค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ บทที่ ๓ อธิบาย
หรือให้ภาพรวมลักษณะเฉพาะของวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ บทที่ ๔ กล่าวถึงวรรณคดีกบั บริบท
ทางประวัติศาสตร์ โดยจะศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตงั ้ แต่สมัยสุโขทัยครอบคลุมไปจนถึง
สมัยปจั จุบนั (รัชกาลที่ ๙) ควบคู่กบั การศึกษาบริบททางประวัตศิ าสตร์ (หมายรวมถึงบริบททางสังคม
วัฒนธรรม การเมือง และเหตุการณ์ ท่ีสาคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์) เพื่อเผยให้เห็นความสัมพันธ์และ
พัฒนาการของงานเขียนแนวนี้อ ย่างเด่นชัดยิง่ ขึ้น บทที่ ๕ ศึกษาวาทกรรมที่ใช้ในวรรณคดีเกี่ยวกับ
ประวัตศิ าสตร์ โดยจะให้แนวทางการศึกษาไว้พอสังเขป เนื่องจากใช้สอนนิสติ ระดับปริญญาตรีชนั ้ ปีท่ี ๒
ที่ยงั ไม่เชี่ยวชาญในเชิงทฤษฎีนัก บทที่ ๖ บอกแนวทางการวิเคราะห์วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
และบทที่ ๗ สรุปภาพรวมการศึก ษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยในบทที่ ๒ กับบทที่ ๖ นัน้
ผู้เขียนมุ่งนาเสนอบทคัดย่องานวิจยั เพื่อให้นิสติ หรือผู้สนใจอื่น ๆ ทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับงานที่
ค้นคว้าทางด้านวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ และการนาเสนอแนวทางต่าง ๆ ทีเ่ หมาะสม โดยผูอ้ ่าน
ควรศึกษาค้นคว้าเพิม่ เติมในศาสตร์ดา้ นอื่น ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องด้วยเพื่อจะได้เกิดความกระจ่างชัดมากยิง่ ขึน้
การค้น คว้าข้อ มูล เพื่อ ประกอบการเขีย นเพื่อ ให้ผู้เรียนใช้เป็ น แนวทางในการศึก ษาและฝึ ก
วิเคราะห์ หากมีขอ้ ผิดพลาดประการใด ผูเ้ ขียนต้องขออภัย ไว้ ณ ทีน่ ้ดี ว้ ย
ผูเ้ ขียนขอขอบคณาจารย์ กัลยาณมิตรที่คอยชี้แนะ ให้กาลังใจจนทาให้ผลงานเล่มนี้เป็ นรูปเป็ น
ร่างขึน้ พร้อมที่จะเป็ นแนวทางให้แก่นิสติ นักศึกษาและบุคคลทัวไป ่ และขอขอบพระคุณผูท้ รงคุณวุฒทิ ่ี
ช่วยเสนอแนะปรับปรุงการเขียนตาราเล่มนี้ให้มคี วามสมบูรณ์มากยิง่ ขึน้
ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ นักเขียน นักวิชาการ และนักวิจารณ์ ท่ีได้นาเอางานเขียนมาเป็ น
ตัวอย่างโดยไม่ได้ขออนุ ญาตอย่างเป็ นทางการ ทัง้ นี้ เนื่องจากเขียนขึน้ มาเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
หวังว่าจะเป็ นประโยชน์ ส าหรับนิส ิต นัก ศึกษา และผู้สนใจที่จะได้ใช้ประโยชน์ ในการศึกษา ค้น คว้า
เพิม่ เติมสาหรับพัฒนาการเรียนรูแ้ ละองค์ความรูท้ างด้านนี้ต่อไป
พัชลินจ์ จีนนุ่น
พ.ศ.๒๕๖๐
~๓~
คำนำครัง้ ที่ ๒
พัชลินจ์ จีนนุ่น
สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยทักษิณ
พ.ศ.๒๕๖๒
~๔~
สำรบัญ
หน้ ำ
บทที่
๑ บทนา ๑
๒ ความรูพ้ น้ื ฐานทางวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๔
๒.๑ ขอบข่ายของวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๔
๒.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีกบั ประวัตศิ าสตร์ ๑๖
๒.๓ ข้อแตกต่างระหว่างวรรณคดีและประวัตศิ าสตร์ ๑๗
๓ ลักษณะเฉพาะของวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๒๒
๓.๑ ด้านรูปแบบ ๒๓
๓.๒ ด้านเนื้อหา ๓๔
๓.๓ ด้านศิลปะการประพันธ์ ๗๕
๔ วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์และบริบททางประวัตศิ าสตร์ ๘๗
๔.๑ วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ในสมัยสุโขทัย ๘๘
๔.๒ วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ในสมัยอยุธยา ๙๓
๔.๓ วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ในสมัยธนบุร ี ๑๐๙
๔.๔ วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ในสมัยรัตนโกสินทร์ ๑๒๒
๕ แนวคิดวาทกรรมกับการประกอบสร้างวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๑๔๖
๕.๑ วาทกรรมกษัตรานิยม: กษัตริยค์ อื ศูนย์รวมของสรรพสิง่ ๑๕๐
๕.๒ วาทกรรมชาตินิยม: การสถาปนาความชอบธรรมของรัฐชาติ ๑๕๗
๕.๓ ภาคปฏิบตั กิ ารของวาทกรรมทีใ่ ช้ในวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ ๑๖๑
๖ การสังเคราะห์งานศึกษาวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๑๗๘
๖.๑ เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๑๗๘
๖.๒ บทความทีเ่ กีย่ วข้องกับวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๑๘๒
๖.๓ งานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องกับวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๑๘๖
๗ แนวทางการวิเคราะห์วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ ๑๙๗
๗.๑ ศึกษาวรรณคดีเพียงเรือ่ งเดียวอย่างลุ่มลึก ๑๙๗
๗.๒ ศึกษาหาลักษณะเด่น ๒๐๐
๗.๓ ศึกษาภาพรวมการสร้างงาน ๒๐๐
๗.๔ ศึกษาทรรศนะหรือมุมมองของผูแ้ ต่งทีม่ ตี ่อสังคมของตนหรือสังคมอื่น ๒๐๑
๗.๕ ศึกษาวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ของชาติอ่นื ๒๐๓
๗.๖ ศึกษาแนวเปรียบเทียบ ๒๐๕
~๕~
สำรบัญตำรำง
ตำรำงที่ หน้ ำ
๑ เปรียบเทียบบริบททางสังคมวัฒนธรรมสมัยสุโขทัยและรัตนโกสินทร์ ๑๒
๒ เปรียบเทียบเนื้อหาในเรือ่ งลิลติ ตะเลงพ่ายกับพงศาวดาร ๑๒๗
๓ รายชื่อวรรณกรรมทีม่ เี นื้อหาอิงประวัตศิ าสตร์ ๑๔๐
~๗~
สำรบัญภำพ
ภำพที่ หน้ ำ
๑ การจัดกระบวนทัพเมือ่ ออกรบ ๖๓
๒ การตัง้ ทัพแบบปทุมพยุหะและปมธุกพยูหะ ๖๔
๓ อาณาจักรสุโขทัย ๙๓
๔ วรรณกรรมเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์เชิงชีวประวัตขิ องชาวต่างชาติ ๑๔๓
๕ วรรณกรรมเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ทน่ี ามาแปรรูปเป็นละครโทรทัศน์ ๑๔๔
๖ การนาเรือ่ งเล่าของพันท้ายนรสิงห์มาแปรรูปเป็นภาพยนตร์องิ ประวัตศิ าสตร์เรือ่ งพันท้ายนรสิงห์๑๔๔
๗ วีรกรรมการชนช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราช ๑๕๓
๘ ภาพยนตร์เรือ่ งตานานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๑๕๖
๙ หนังสือบุดทีศ่ ูนย์ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ๑๙๗
๑๐ นวนิยายของนักเขียนชาวต่างชาติทเ่ี ขียนถึงชาติไทย ๒๐๒
๑๑ นวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์ทน่ี าเสนอตัวละครตัวเดียวกันแต่มองต่างมุม ๒๐๓
๑๒ นวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์เกาหลี ๒๐๕
๑๓ วรรณกรรมท้องถิน่ ภาคใต้ยคุ การพิมพ์ (ช่วง พ.ศ. ๒๕๗๐-๒๕๒๐) ๒๑๖
๑๔ วรรณกรรมท้องถิน่ ประเภทตานาน ๒๑๘
๑๕ วรรณกรรมอิงประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ ภาคใต้ เรือ่ งประวัตพิ ทั ลุง – ตรัง เล่มที่ ๑ ๒๓๕
๑
บทที่ ๑
บทนำ
กลวิธตี ่าง ๆ เช่น แต่งในแนวเมตาฟิ กชัน่ (Meta fiction) ที่เน้ นให้เห็นกระบวนการเล่าเรื่อง ที่
บางครัง้ ก็ทาให้ผอู้ ่านเกิดความสับสนงงวยว่า เป็นเรือ่ งจริงหรือเรือ่ งแต่ง
นอกจากนี้ เมื่อศึกษาบริบทของงานที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวรรณคดีประวัติศาสตร์ก็
พบว่า งานเขียนประเภทหนังสือ ตารา งานวิจยั หรือวิทยานิพนธ์ มีพฒ ั นาการการเขียนอย่าง
เด่นชัด ในช่วงแรก ๆ ผลงานเหล่านี้มกั นาเสนอในเชิงการวิเคราะห์ตวั บท เช่น การวิเคราะห์
องค์ประกอบของเรื่อง ทัง้ โครงเรือ่ ง แก่นเรือ่ ง ตัวละคร ฉาก ภาษา เป็ นต้น บ้างก็มุ่งประเด็นใด
ประเด็นหนึ่ง มีทงั ้ การวิเคราะห์เพียงเรื่องเดียว และการวิเคราะห์ทงั ้ ยุคสมัยเพื่อให้เห็นภาพรวม
ด้านรูปแบบ ภาษา เนื้อหา กลวิธกี ารประพันธ์ เป็ นต้น สิง่ ที่เหมือนกัน คือ การเชื่อมโยงกับ
บริบทของสังคมร่วมสมัยหรือบริบททางประวัติศาสตร์ ครัน้ ในเวลาต่ อมา โดยเฉพาะในช่ว ง
พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นไป พบว่าเริม่ เห็นแนวทางการเขียนงานทีอ่ งิ กับแนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่
มากขึน้ และการศึกษาที่ขยายไปสู่การวิเคราะห์ว รรณกรรมท้องถิน่ ในมิตทิ างประวัตศิ าสตร์ ซึ่ง
ทาให้เห็นว่าในการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ สามารถศึกษาได้ทงั ้ อย่างหลากหลาย
ทัง้ การวิเคราะห์ตวั บท และการอิงแนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่ นอกจากนี้ก็สามารถใช้ตวั บทที่
เป็ นงานเขียนวรรณคดีโบราณ วรรณกรรมร่วมสมัย กระทังวรรณกรรมท้ ่ องถิน่ โดยตาราเล่มนี้ม ี
การนาเสนอประเด็นต่าง ๆ ดังทีก่ ล่าวมานี้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผอู้ ่านเห็นมิตทิ ห่ี ลากหลาย
ในการนาเสนอเนื้อหาในตาราเล่มนี้ ผู้เขียนมุ่งให้ผู้อ่ านมีค วามรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกับ
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ในมิตติ ่าง ๆ แต่จะนาเสนอในภาพกว้าง ๆ บางบทเขียนในเชิง
วิเคราะห์สงั เคราะห์อย่างลุ่มลึก เพราะหลอมรวมจากการอ่านเอกสารต่าง ๆ เริม่ จากการวางบท
แรกที่เ ป็ น นิ ย ามของวรรณคดี วรรณกรรม และขอบข่ า ยในการศึก ษาวรรณคดีเ กี่ย วกับ
ประวัติศ าสตร์ โดยจะชี้ใ ห้เห็น ว่ าการศึก ษาวรรณคดีเกี่ย วกับ ประวัติศ าสตร์ แตกต่ างจาก
การศึก ษาประวัติศ าสตร์ เพราะมุ่งความบัน เทิงมากกว่าความรู้ บทต่ อ มา ผู้เขียนน าเสนอ
ลัก ษณะเฉพาะของวรรณคดีเกี่ย วกับ ประวัติศ าสตร์ ตามด้ว ยการศึก ษาวรรณคดีเกี่ย วกับ
ประวัติศ าสตร์แ ละบริบ ททางประวัติศ าสตร์ เป็ น การศึก ษาวรรณคดีท่ีอิงบริบ ททางสัง คม
ประวัติศาสตร์ในสมัยต่ าง ๆ โดยจะขยายขอบเขตถึงปจั จุบนั เพื่อให้ผู้อ่านเห็นพัฒนาการด้าน
เนื้อหาที่เด่นชัดยิง่ ขึน้ ถัดมา คือ การนาเสนอแนวคิดวาทกรรมกับการประกอบสร้างวรรณคดี
เกี่ยวกับ ประวัติศ าสตร์ โดยจะยกวาทกรรมที่ป รากฏอย่างเด่ น ชัด เท่ านัน้ ต่ อ เนื่ อ งด้ว ยการ
นาเสนอการสังเคราะห์งานศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และการนาเสนอแนวทางใน
การศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์เพื่อให้ผเู้ รียนหรือผูส้ นใจอื่น ๆ นาไปประยุกต์ใช้อย่าง
เหมาะสม และปิดท้ายด้วยการสรุปภาพรวมในการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ ในการ
น าเสนอเนื้ อ หาแต่ ล ะบท ผู้เขีย นยกตัว อย่ างประกอบพอสมควร ทัง้ ตัว อย่า งจากบทความ
งานวิจยั วิทยานิพนธ์ของนิสติ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยจะยกตัวอย่าง ทัง้ จากวรรณคดี
สมัยโบราณ วรรณกรรมสมัยใหม่ ประเภทนวนิยาย บทละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็ นต้น และ
วรรณกรรมทีเ่ ผยแพร่ในท้องถิน่ รวมถึงการยกตัวอย่างรูปภาพต่า ง ๆ และการรวบรวมรายชื่อ
๓
บทที่ ๒
ควำมรู้พืน้ ฐำนทำงวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
๒.๑ ขอบข่ำยของกำรศึกษำวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
ขอบข่ายของการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์เป็ นการศึกษาเพื่อให้เห็นความ
แตกต่างระหว่างวรรณคดีโดยทัวไปกั่ บวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ โดยผูเ้ ขียนจะให้นิยาม
และความส าคัญ ของของวรรณคดีโ ดยทัว่ ไปก่ อ น ต่ อ มาก็ จ ะนิ ย ามวรรณคดีเ กี่ ย วกั บ
ประวัติศ าสตร์ วิธกี ารศึก ษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศ าสตร์ และประโยชน์ ของการศึกษา
วรรณคดีเกี่ย วกับ ประวัติศ าสตร์ ซึ่งจะช่ ว ยให้ผู้อ่ านเข้าใจขอบข่ายของวรรณคดีเกี่ย วกับ
ประวัตศิ าสตร์อย่างกระจ่างชัดมากขึน้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๒.๑.๑ นิ ยำมและควำมสำคัญของของวรรณคดี
วรรณคดีป ระกอบขึ้น จากค าว่า "วรรณ" ซึ่งเป็ น ค าที่ม าจากภาษาสันสกฤต แปลว่า
"หนังสือ " ส่ วนค าว่า "คดี" มาจาก "คติ" ซึ่งเป็ นค าบาลีสนั สกฤต แปลว่า"เรื่อง"ตามรูปศัพ ท์
วรรณคดีจงึ แปลว่า "เรื่องที่แต่งเป็ นหนังสือ" ตามคาที่เข้าใจกันทัวไปคื
่ อ "หนังสือที่แต่งดี" มี
ความหมายตรงกัน ค าว่ า Literature ในภาษาอัง กฤษ พจนานุ ก รมราชบัณ ฑิต สถาน พ.ศ.
๒๕๕๔ (๒๕๕๕ : ๑๐๐๐) ให้คาจากัดความว่าวรรณคดี คือ วรรณกรรมที่ได้รบั การยกย่องว่า
แต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถงึ ขนาด
พระราชกฤษฎีก ารจัดตัง้ วรรณคดีสโมสร กล่าวว่าวรรณคดีเป็ นหนังสือดี เป็ นเรื่องที่
สมควรซึ่งสาธารณชนจะอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์ คือไม่เป็ นเรื่องที่ชกั จูงความคิดผู้อ่าน ไป
๕
ในทางอันไม่เป็ น แก่ น สาร ซึ่งจะชวนให้ค ิดวุ่น วาย ทางการเมื อ งอัน เกิด เป็ น เรื่อ งราคาญแก่
รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั และเป็ นหนังสือแต่ งดี ใช้วธิ เี รียบเรียงอย่างใด ๆ ก็
ตามแต่ตอ้ งให้เป็นภาษาไทยอันดี และถูกต้อง (เสฐียรโกเศศ, ๒๕๑๘ : ๑-๑๐)
วรรณคดีเป็ นความรูส้ กึ นึกคิดของกวี ซึง่ ถอดออกมาจากจิตใจให้ปรากฏเป็ นรูปหนังสือ
มีถ้อยคาเหมาะเจาะเพราะพริ้ง เร้าใจให้ผู้อ่านหรือผู้ฟงั เกิดความรูส้ กึ ทาหน้ าที่เป็ นเครื่องมือ
บันทึกชีวติ มนุษย์มาหลายยุคหลายสมัย เป็นผลงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ทม่ี เี นื้อหาเชื่อมโยงกับ
วิถชี วี ติ ของมนุ ษย์ และเป็นทีย่ อมรับกันว่าเนื้อหาหลักของวรรณคดี คือ ประสบการณ์ของมนุษย์
ซึง่ บางครัง้ อาจสะท้อนออกมาในทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้ ขึน้ อยู่กบั ว่าผูป้ ระพันธ์จะต้องการให้
ออกมาในลักษณะอย่างไรเพื่อให้เกิดความงดงาม และมีวรรณศิลป์ (บุญ เหลือ เทพยสุวรรณ,
๒๕๒๒: ๑-๓) นอกจากนี้ยงั เป็ นเสมือนกระจกเงาฉายให้เห็นชีวติ และความเป็ นอยู่ซง่ึ ซ่อนเร้น
อยู่ในร่างกายของคนและในชาติซ่งึ สาแดงออกมาให้ปรากฏเป็ นวัฒนธรรม วรรณคดีท่สี ูงเป็ น
เครือ่ งขัดเกลาอัธยาศัย และกล่อมอารมณ์ให้หายความหมักหมม หมกมุน่ หนุ นจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ชื่นบาน และร่าเริงใจในชีวติ ทีต่ อ้ งการสาละวนอยู่กบั การทางานอาชีพอันจาเป็ น ให้ได้เห็นแง่คดิ
และความจริงให้กว้างขวางออกไป (เสฐียรโกเศศและนาคะประทีป, ๒๕๑๕ : ๑๙)
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เกิดคาว่า “วรรณกรรม” ขึน้ มาแทนที่วรรณคดีโบราณซึ่งปรากฏใน
พระราชบัญ ญัติคุ้ม ครองศิล ปะและวรรณกรรม พ.ศ.๒๔๗๕ โดยนิ ย าม “วรรณกรรมและ
ศิลปกรรม” รวมกันไว้หมายถึงสิง่ ทีเ่ ขียนขึน้ จะใช้รปู แบบใดก็ได้หรือเพื่อความมุ่งหมายอย่างใดก็
ได้ เช่น นวนิยาย เรื่องสัน้ ครัน้ สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มกี ารจัดตัง้ สานักงาน
วัฒนธรรมทางวรรณกรรมรวมอยู่ในกระทรวงวัฒนธรรมแห่งชาติพ.ศ. ๒๔๘๕ มีหน้าทีเ่ ผยแพร่
วรรณกรรมและส่งเสริมศิลปะการแต่งหนังสือ เพื่อรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างเป็ นทางการสืบต่อ
จากวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖ (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๒๗ : ๑) ในขณะที่ในพจนานุ กรม
ราชบัณ ฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๕ : ๑๐๐๐) ให้คาจากัดว่าวรรณกรรม คือ งานหนังสือ
งานประพันธ์ บทประพันธ์ทุกชนิด ทัง้ ทีเ่ ป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง
การแยกความแตกต่างระหว่างวรรณคดีและวรรณกรรมเริม่ มีให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึน้
รัญจวน อินทรกาแหง (๒๕๑๙ : ๔-๕) กล่าวถึงความแตกต่างของวรรณคดีและวรรณกรรมว่า
นอกจากถือคุณสมบัตดิ า้ นวรรณศิลป์เป็ นเครื่องแบ่ง ยังมีผถู้ อื คุณสมบัติดา้ นเวลา หรือความเก่า
- ใหม่ เป็ นเครื่องแบ่งวรรณกรรมกับวรรณคดีดว้ ย กล่าวคือ ถือว่าหนังสือซึ่งเขียนขึน้ ตัง้ แต่ต้น
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ซึ่งเป็ นเวลาที่ยงั ไม่ได้รบั อิทธิพลจาก
วรรณกรรมตะวันตกเป็ นหนังสือประเภทวรรณคดี และถือว่าหนังสือที่เขียนขึน้ หลัง จากทีไ่ ด้รบั
อิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตกเป็นหนังสือประเภทวรรณกรรม
รื่น ฤทัย สัจ จพั น ธุ์ (๒๕๔๙ : ๕๘-๖๘) แยกความแตกต่ า งระหว่ า งวรรณคดี กั บ
วรรณกรรมว่า งานประพันธ์ท่สี บื ทอดกันมาช้านาน และมีผู้ยกย่องคุณค่า เป็ นที่ประจักษ์อย่าง
กว้างขวางมักได้รบั การเรียกขานว่า “วรรณคดี” ส่วนงานประพันธ์ในรูปแบบอย่างใหม่ซง่ึ ปรากฏ
๖
นั บ แต่ ส มัย รัช กาลที่ ๕ เป็ น ต้ น มา มีคุ ณ ค่ า ในฐานะเป็ น งานประพั น ธ์ ร่ ว มสมัย เรีย กว่ า
“วรรณกรรม” แม้จะเรียกต่างกัน แต่วรรณคดีและวรรณกรรมต่างมีคุณลักษณะสาคัญ คือ เป็ น
ศิลปกรรมทีถ่ ่ายทอดความรูส้ กึ นึกคิดของมนุษย์ดว้ ยภาษา อันอาจเป็นภาษาพูดหรือเขียนก็ได้
อนึ่ง การใช้คาว่า “วรรณคดี” ในทีน่ ้ี ผูเ้ ขียนขยายขอบเขตไปจนถึงวรรณกรรมหรืองาน
เขียนทีใ่ ช้ภาษาถ่ายทอดความรูส้ กึ นึกคิดของมนุ ษย์ มีทงั ้ ร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น กวีนิพนธ์
นวนิยาย เรื่อ งสัน้ บทภาพยนตร์ บทโทรทัศ น์ และเรื่อ งเล่าต่ าง ๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศ าสตร์
เนื่องจากศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีกบั ประวัตศิ าสตร์ทเ่ี ชื่อมโยงจนถึงปจั จุบนั
๒.๑.๒ นิ ยำมของวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ คือ วรรณคดีทแ่ี ต่งขึน้ โดยมีเนื้อหาทางประวัตศิ าสตร์เป็ น
แก่นของเรื่อง ซึ่งอาจเป็ นประวัติความเป็ นมาของคนในชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความ
เป็นอยู่ ตลอดจนความรูส้ กึ นึกคิดของคนในชาติ (สายใจ อินทรัมพรรย์, ๒๕๔๑ : ๒๑๙) สามารถ
ใช้เป็ นเครื่อ งมือ บันทึก พงศาวดาร ต านาน (อุ ดม รุ่งเรือ งศรี, ๒๕๓๓ : ๕) และจดหมายเหตุ
พรรณนาเหตุการณ์ ความเป็ นไปของบ้านเมือง (ประสิทธิ ์ กาพย์กลอน,๒๕๒๓ : ๒) เป็ นการนา
เนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัตศิ าสตร์มาสร้างสรรค์ ขน้ึ ใหม่โดยใช้ตวั ละครที่มตี วั ตนอยู่จริง
ในประวัติศาสตร์และที่ส มมุติข้นึ มาใหม่แสดงบทบาทร่วมกัน (ราชบัณ ฑิต ยสถาน, ๒๕๔๕ :
๒๑๑) หากแต่งเป็ นนวนิยาย ผู้แต่งมักเลือกเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรืออาจนาการศึกษา
ค้น คว้าของนัก ประวัติศ าสตร์บ างคนมาเป็ น ข้อ มู ล แล้ว ผูกเรื่อ งราวด้ว ยกลวิธ ีก ารน าเสนอที่
หลากหลาย โดยผู้แ ต่งต้อ งมีพ้นื ความรู้ ในสาขาวิชาที่นามาเป็ นพื้นหลังของงานของตนมาก
พอสมควร ทัง้ ยังต้องระมัดระวังความถูกต้องตามข้อเท็จจริง ในสาขาวิชานัน้ ๆ ด้วยเพื่อมิให้บนั ่
ทอนคุณค่าของเนื้อหาในเรือ่ ง (วินิตา ดิถยี นต์, ๒๕๓๕ : ๓๖)
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์อาจอยู่ในรูปแบบของคาประพันธ์ประเภทร้อยกรอง ร้อย
แก้ว หรือ แต่งเป็ นเรื่องเล่า (narrative) ที่มที งั ้ เรื่องจริงและเรื่องแต่งผสมกัน ก็ได้ เช่น ข่าว บท
ละครโทรทัศน์ นิทาน ตานาน ภาพยนตร์ ภาพในจิตรกรรมฝาผนังซึง่ มีการเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ
เป็ นต้น โดยผูแ้ ต่งอาจเล่าผ่านตัวละคร เสียง หรือภาพก็ได้ ทัง้ นี้ การนาเสนอวรรณคดีเกี่ยวกับ
ประวัติศ าสตร์ใ นฐานะเรื่อ งเล่ า ถือ ว่ า เป็ น กลวิธ ีท างวรรณศิ ล ป์ ที่ ม ีก ารตั ด -ต่ อ แต่ ง -เติ ม
เหตุการณ์ต่าง ๆ มีการซ่อนเร้นจุดมุ่งหมายหรืออุดมการณ์บางอย่างของผูแ้ ต่งแต่ละช่วงเวลาไว้
อย่างแยบยล จึงต้องอาศัยการตีความสิง่ ที่ซ่อนเร้นไว้นัน้ เพราะสิง่ ที่สะท้อนอยู่ในวรรณศิลป์
ไม่ใช่ “ความจริง” ทัง้ หมด แต่เป็นเพียง “ความจริง” ผ่านทัศนะของผูแ้ ต่ง
การศึก ษาข้อ มูล ทางประวัติศ าสตร์ช่วยให้ศึกษาวรรณคดีท่ีแจ่มชัดขึ้น เพราะเอกสาร
ต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมในแต่ละสมัยทีแ่ ตกต่างกัน ดังวรรณกรรมประเภทจารึกมักถือ
กาเนิดในสมัยสุโขทัย วรรณกรรมประเภทตานานเกิดขึน้ ตอนปลายสมัยสุโขทัยและต้นกรุงศรี
อยุธยา วรรณกรรมประเภทพงศาวดารเกิดขึ้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาได้ก่อร่างสร้างตัวอย่างมันคง ่
๗
๒.๑.๓ วิ ธีกำรศึกษำวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
การศึก ษาวรรณคดีเกี่ยวกับ ประวัติศ าสตร์ วิธกี ารศึกษาที่ดี คือ การที่ผู้อ่ านต้อ งท า
ความเข้าใจว่าวรรณคดีเป็ นสิง่ ทีส่ ะท้อนให้เห็นถึงชีวติ และสภาพสังคมในสมัยของผูแ้ ต่ง สภาพ
สังคมของตัวละครในบทประพันธ์นัน้ ๆ ตลอดจนเป็ นสิง่ ที่ส ะท้อนให้เห็นความรู้สกึ อารมณ์
จินตนาการ และโลกทัศน์ของผู้แต่งที่มตี ่อโลกภายนอก วรรณคดีมไิ ด้ก่อกาเนิดขึน้ มาในความ
ว่ างเปล่ า เพราะได้ร วมวัฒ นธรรมต่ า ง ๆ ของสัง คมที่ว รรณคดีนั น้ ถือ ก าเนิ ด ขึ้น ผู้แ ต่ งได้
สร้างสรรค์วรรณคดีขน้ึ มาในช่วงใดช่วงหนึ่งของประวัตศิ าสตร์เพื่อต้องการสื่อมายังผูอ้ ่าน ฉะนัน้
ผู้ศึก ษาจะต้อ งมีค วามรู้แ ละความเข้าใจภู ม ิห ลังทางประวัติศ าสตร์พ อสมควรเพื่อ ให้เข้าใจ
วรรณคดีบ างแง่ บ างมุ ม ได้ ล ึก ซึ้ง ยิ่ง ขึ้น (สายทิพ ย์ นุ กู ล กิจ , ๒๕๒๓ : ๑๘๒) ที่ส าคัญ คือ
การศึกษาถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมจะเป็นเครื่องช่วยไขความมืดมนในบางแง่มมุ ของวรรณคดี
ได้ แต่ผเู้ รียนจะต้องไม่ยดึ ถือว่าวรรณคดีคอื เอกสารทางประวัตศิ าสตร์ ทัง้ นี้ เพราะไม่อาจเชื่อถือ
ในความถูกต้องแม่นยาในการเสนอข้อเท็จจริง ทางประวัตศิ าสตร์ของผู้แต่งได้เสมอไป หรือไม่
๘
๒.๓ ข้อแตกต่ำงระหว่ำงวรรณคดีและประวัติศำสตร์
การศึกษาวรรณคดีและการศึกษาประวัตศิ าสตร์ย่อมมีขอ้ แตกต่างกันทัง้ วิธกี ารและหลัก
วิชา เนื้อหา ภาษา และวัตถุประสงค์ในการแต่ง ดัง กระแสร์ มาลยาภรณ์ และชุดา จิตพิทกั ษ์
(๒๕๒๘ : ๑๐๖) กล่าวถึงความแตกต่างของวรรณคดีและประวัตศิ าสตร์ว่า
วรรณคดีและประวัตศิ าสตร์ต่างก็บนั ทึกเรื่องราวของมนุ ษย์และเหตุการณ์ ท่ผี ่านมาแล้ว
ในอดีตแต่บนั ทึกของวรรณคดีและประวัตศิ าสตร์ต่างกันในแง่ทว่ี ่าวรรณคดีเป็ นศิลปะมุ่ง
ในเรื่อ งอารมณ์ จิน ตนาการ ความงาม ความไพเราะ เมื่อ เวลาบัน ทึก ไม่เน้ น ใน
ข้อเท็จจริงเพียงแต่แสดงออกมาในแง่ของการคิดงามและเขียนงาม ส่วนประวัตศิ าสตร์
เป็ นเรื่องที่องิ ข้อเท็จจริง มุ่งที่จะสืบสวนค้นคว้าและติดตามหาความจริงจึงมีวธิ บี นั ทึก
อย่างมีระเบียบวิธกี ารเพื่ออธิบายสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ และเหตุการณ์ในอดีตทีเ่ กิดขึน้ จุดมุ่งหมาย
๑๘
สรุป
การศึก ษาความรู้พ้ืนฐานทางวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศ าสตร์สะท้อ นให้เห็นว่า ใน
การศึก ษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศ าสตร์ ผู้เรียนควรทาความเข้าใจว่า วรรณคดีเกี่ยวกับ
ประวัติศ าสตร์แ ต่ งขึ้นโดยมีเนื้อหาทางประวัติศ าสตร์เป็ นแก่นของเรื่อ ง ซึ่งอาจเป็ นประวัติ
ความเป็ นมาของคนในชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็ นอยู่ ตลอดจนความรูส้ กึ นึกคิด
ของคนในชาติกไ็ ด้ หรือใช้เป็ นเครือ่ งมือ บันทึกพงศาวดาร ตานาน และจดหมายเหตุพรรณนา
เหตุการณ์ ความเป็ นไปของบ้านเมืองก็ได้ การนาเอาเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์มาอธิบาย
เรื่อ งราวในวรรณคดีเพื่อ ให้ เข้า ใจวรรณคดีบ างแง่บ างมุ ม ได้ล ึก ซึ้ง ยิ่ ง ขึ้น ประโยชน์ ข อง
การศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คือ ทาให้ทราบบ่ อเกิดและภูมปิ ญั ญาของผู้แต่ ง
วรรณคดี รูเ้ หตุการณ์เบือ้ งหลังทางประวัตศิ าสตร์ ช่วยให้ทราบความเป็นมาและจุดเปลีย่ นชีวติ
ของคนปจั จุบนั รูจ้ กั ตนเอง ปลูกฝงั วัฒนธรรมของชาติ โน้มน้าวให้รกั ชาติและภูมใิ จในบรรพ
ชน แม้ว รรณคดีก ับประวัติศ าสตร์ต่ างก็ท าหน้ าที่บ ันทึกเหตุ การณ์ แต่ก็มขี ้อ แตกต่ างกัน ที่
วิธกี ารและหลักวิชา เนื้อหา ภาษาและวัตถุประสงค์ในการแต่ง กล่าวคือ วรรณคดีเป็ นศิลปะที่
มุ่งในเรื่องอารมณ์ จินตนาการ และความงาม ความไพเราะ ส่วนประวัตศิ าสตร์เป็ นเรื่องที่องิ
ข้อเท็จจริง มุง่ ทีจ่ ะสืบสวนข้อเท็จจริง มุง่ ทีจ่ ะสืบสวนค้นคว้า และติดตามหาความจริง กระนัน้
วรรณคดีกบั ประวัตศิ าสตร์กย็ ่อมส่องทางให้แก่กนั เพราะวรรณคดีจดั อยู่ในฐานะหลักฐานทาง
ประวัติศ าสตร์ช ัน้ ต้ น ในการศึก ษาสังคมวัฒ นธรรม ความเชื่อ ประเพณี พิธ ีก รรม ภาษา
ประวัตศิ าสตร์และการเมือง การเข้าหาวรรณคดีเพื่อให้เข้าใจประวัตศิ าสตร์ท่สี มบูรณ์ขน้ึ และ
ทาให้เข้าใจประสบการณ์ดา้ นต่าง ๆ ของมนุษย์ ผ่านงานเขียนทีม่ คี ุณค่าทางวรรณศิลป์
๒๒
บทที่ ๓
ลักษณะเฉพำะของวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
๓.๑ ด้ำนรูปแบบ
การศึก ษารูป แบบของวรรณคดีเกี่ย วกับ ประวัติศ าสตร์ ผู้เขีย นมุ่งศึก ษารูป แบบค า
ประพันธ์และรูปแบบการเขียน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๓.๑.๑ รูปแบบคำประพันธ์
รูปแบบคาประพันธ์เป็ นการเรียบเรียงถ้อยคาให้เป็ นระเบียบตามบัญ ญัติแห่ง
ฉันทลัก ษณ์ โดยมีก าหนดข้อ บังคับ ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความไพเราะแตกต่ างไปจากถ้อยค า
ธรรมดา ในการแต่งวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์พบว่า ผูแ้ ต่งใช้รปู แบบคาประพันธ์ ทัง้ ทีเ่ ป็ น
ร้อยแก้วและร้อยกรองอิงประวัตศิ าสตร์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๓.๑.๑.๑ รูปแบบที่ เป็ นร้อยแก้ ว ร้อ ยแก้ว คือ หนังสือ ที่แต่ งเป็ น ความเรียง
สละสลวย ไม่มกี ารกาหนดจานวนค าในวรรค ตาแหน่ งสัมผัส เสียง หรือ น้ าหนัก วรรณคดี
เกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ท่แี ต่งเป็ นร้อยแก้วมีจานวนมากตัง้ แต่สมัยสุโขทัย จนถึงปจั จุบนั แต่ม ี
มากทีส่ ุดในสมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นต้นมา เช่น ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง จารึกหลักต่าง ๆ สาม
ก๊ ก ราชาธิร าช จดหมายเหตุ แ ละพระราชหัต ถเลขาพระราชนิ พ นธ์พ ระบาทสมเด็จ พระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั (เช่น จดหมายเหตุ รายวันระยะทางเสด็จประพาสไทรโยค จ.ศ. ๑๒๓๙
จดหมายเหตุเสด็จประพาสเกาะชวาครัง้ ที่ ๑ - ๓ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันภาคต่าง ๆ
จดหมายเหตุเสด็จประพาสหัวเมืองในแหลมมลายู ร.ศ. ๑๐๙ ร.ศ. ๑๑๗ ร.ศ. ๑๑๘ ร.ศ. ๑๑๙
ร.ศ. ๑๒๔ และร.ศ. ๑๒๘ พระราชหัต ถเลขาเมื่อเสด็จพระราชด าเนิ นประพาสยุโรป พ.ศ.
๒๔๔๐ พระราชหัตถเลขาคราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๔๔ พระราชหัตถเลขาคราว
เสด็จประพาสมณฑลราชบุร ี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระราชนิพ นธ์ไกลบ้าน และจดหมายเหตุเสด็จ
ประพาสอินโดจีน พ.ศ. ๒๔๗๓) เกิดวังปารุสก์ นิทานโบราณคดี นิราศนครวัด และหัวใจนักรบ
ในส่วนทีแ่ ต่งเป็ นนวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์ยุคปจั จุบนั เช่น สีแ่ ผ่นดิน เจ้าไล และเลือดสุพรรณ
ตัวอย่างเรื่องไกลบ้าน พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทีท่ รงบรรยาย
ให้ เ ห็ น สภาพสัง คม วัฒ นธรรม ตลอดจนอั ช ฌาสัย ของชาวต่ า งชาติ โดยมีก ารน ามา
เปรียบเทียบกับบริบทสังคมไทย ทาให้ผอู้ ่านมองเห็นภาพมากยิง่ ขึน้
เซอยอนแอนเดอซัน กิรยิ าอัชฌาไศรยเรียบร้อย พูดจาด้วยสบายใจดี ขึน้ ไป
ตอบ แต่งทหารเรือขาวมีกระบีต่ ดิ ตราด้วย แต่ทหารเรือขาวเดีย๋ วนี้เขาไม่มหี มวกเฮลเม็ต
ถูกแห่เปิดประทุนรถกาลังเทีย่ งร้อนเปรียะทีเดียว ทัง้ แห่ไปแห่กลับ การเยีย่ มเยียนเช่นนี้ก็
๒๔
สรรเสริญ พระเกีย รติส มเด็จ พระพุ ท ธเจ้า หลวงปราสาททอง เป็ น วรรณคดีใ นสมัย อยุ ธ ยา
ประพัน ธ์ พ.ศ.๒๑๘๑ เป็ น ค าฉัน ท์ ประกอบด้ว ยฉัน ท์แ ละกาพย์รวม ๗ ชนิ ด โดยธวัช ชัย
ดุลยสุจริต (๒๕๕๗ : ๑๗๖-๒๐๘) กล่าวถึงเนื้อหาของเรื่องนี้ว่า เป็ นการบันทึกเหตุการณ์สาคัญ
และพระราชกรณียกิจในสมัยนี้ เช่น พระราชพิธอี นิ ทราภิเษก พระราชพิธลี บศักราช พระราชพิธ ี
ออกสนาม เนื้อหาเริม่ ต้นด้วยบทไหว้ครู หรือประณามพจน์ เป็ นวสันตดิลกฉันท์ ๑๒ บท เริม่
ตัง้ แต่ น มัส การสมเด็จ พระพุ ท ธเจ้า พระธรรม และสงฆ์ และสรรเสริญ พระบาทสมเด็จ พระ
เจ้าอยู่หวั กล่าวชมพระนคร พระประวัตโิ ดยสรุป ตัง้ แต่ประสูตจิ นเสวยราชสมบัติ พระราชดาริ
เรื่องการลบศักราช กระทังพระราชพิ
่ ธอิ นิ ทราภิเษก และพระราชพิธลี บศักราชซึง่ จัดขึน้ ในคราว
เดียวกัน พร้อมกับการบาเพ็ญทานรอบพระ พระราชพิธอี อกสนาม พระราชกรณียกิจในกิจการ
ภายในและสัมพันธไมตรีกบั ต่างประเทศ บางตอนได้พรรณนาถึงเหตุการณ์ต่างๆ โดยละเอียด
คาประพันธ์ท่ใี ช้เป็ นคาฉันท์ ใช้ฉันท์ร่วมกับกาพย์ มีจานวนทัง้ สิ้น ๗ ชนิด ได้แก่ วสันตดิลก
ฉันท์ (๒๐ บท) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓๓ บท) โตฏกฉันท์ (๗ บท) มาลินีฉันท์ (๑๐ บท) สัทธา
ฉันท์ (๒๓ บท) กาพย์ฉบัง (๒๒๑ บท) กาพย์สุรางคนาง (๘๔ บท) รวมทัง้ สิน้ ๓๙๘ บท ส่วน
ใหญ่ดาเนินเรื่องด้วยกาพย์ฉบับ จะใช้ฉันท์ก็เมื่อถึงตอนสาคัญ ที่พรรณนาถึงสิง่ ศักดิ ์สิทธิ ์และ
พระเจ้าแผ่ นดิน ความยาวตอนหนึ่งไม่มากนัก ลักษณะของฉันท์ท่ใี ช้เน้ นการออกเสียงเป็ น
สาคัญ ไม่ได้ยดึ ครุลหุจากคาเป็ นหลัก และไม่เคร่งครัดเรื่องการส่งและรับสัมผัสมากนัก ดังนัน้
จึงมีการส่งสัมผัสระหว่างบทด้วยคาเดียวปรากฏโดยทัวไป ่ ดังตัวอย่าง
๏ ขอถวายประนมบรมสรร- เพชญพุทธศาสดา
ตัดเบญจพิธพลมา- รมุนินทรเลิศไกร
๏ ลายลักษณอุดมวรา- ดุลเรียบระเบียบใน
บาทาธุลบี รมไตร- ภพโลกยโมลี
๏ นบพระสตัปกรณา อภิธรรมเปรมปรีด ิ ์
อันเปนนิยายิกแลตรี ภพย่อมนมัสการ
๏ พระสูตรพระอรรถกถา บรมัตถยอดญาณ
นาสัตวสู่บรมฐาน บทโมกข์ศวิ าลัย
(คาฉันท์สรรเสริญพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปราสาททอง)
การแต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทกาพย์
รณรงค์ทรงปราบจลาจล จูงสยามมณฑล
ประสบซึง่ สามัคคี
เอกจิตเอกฉัตรสวัสดี รบล้างไพรี
ปะระประเทศเฉทไป
(สามกรุง)
๓.๑.๑.๓ รูปแบบผสม รูปแบบผสม คือ รูปแบบทีผ่ สมผสานระหว่างร้อยแก้วและ
ร้อยกรอง วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ทแ่ี ต่งด้วยรูปแบบผสม เช่น สาส์นสมเด็จ ของสมเด็จ
กรมพระยาดารงราชานุ ภาพและสมเด็จกรมพระยานริศรานุ วดั ติวงศ์ แต่งทัง้ ร้อยแก้วและร้อย
กรองประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ตัวอย่างทีเ่ ป็ นร้อยแก้วในเรื่องสาส์นสมเด็จ ใน
เล่มที่ ๗ ผลงานของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุ ภาพ ลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๔๗๘ เขียนที่
Cinnamon Hall มีใจความตอนหนึ่งเล่าถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวทีป่ ีนงั ดังนี้
เมื่อวันเสาร์ท่ี ๓ นี้ทป่ี ี นังแผ่นดินไหวเวลาเช้า ๘.๓๐ นาฬิกา เวลานัน้ หม่อมฉันยัง
ไม่ต่นื หญิงพูนกับหญิงเหลือตื่นแล้วอยู่ในห้อง เล่าว่าบานประตูหน้าต่างลันหมด ่ โคม
ไฟฟ้าแกว่ง น้ าในถ้วยกระฉอก เปนอยู่ครู่เดียว แต่หญิงพูนไม่เคยเห็นแผ่นดินไหวมา
แต่ก่อน รูส้ กึ ออกจะเวียนหัว จะเปนด้วยตกใจหรือมิฉะนัน้ ก็เมาแผ่นดินกับเมาอากาศ
เมาคลื่นด้วยอีกอย่างหนึ่ง ที่ปีนังเวลานี้อากาศวิปริต ฝนแล้งร้อนจัดมาสักเดือนหนึ่ง
แล้ว เมื่อปี กลายถึงระดูน้ีกาลังเย็นสบาย กลางคืนต้องนอนห่มผ้าทุกคืน ปี น้ีเกือบต้อง
ถอดเสือ้ ลงนอนกับกระดาน
(สาส์นสมเด็จ)
การศึกษาเรื่องรูปแบบคาประพันธ์ของวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์สะท้อนให้เห็นว่า
การใช้รปู แบบคาประพันธ์เปลีย่ นแปลงไปตามยุคสมัย ในสมัยสุโขทัย ผูแ้ ต่งนิยมแต่งด้วยรูปแบบ
คาประพันธ์ท่เี ป็ นร้อยแก้ว พบในงานเขียนประเภทจารึก หลักต่าง ๆ ครัน้ สมัยอยุธยานิยมแต่ง
ด้ว ยรูป แบบค าประพัน ธ์ป ระเภทลิล ิต และโคลง ต่ อ มาในสมัย ธนบุ ร ีนิ ย มแต่ งด้ ว ยรูป แบบ
ค าประพัน ธ์ป ระเภทโคลง ครัน้ สมัยรัต นโกสิน ทร์ ต อนต้น นิ ย มแต่ งด้ว ยรูป แบบค าประพัน ธ์
ประเภทกลอน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมานิยมแต่งด้วยรูปแบบคาประพันธ์ประเภทร้อย
แก้วทีเ่ ป็นนวนิยาย ซึง่ เกิดจากการได้รบั อิทธิพลด้านรูปแบบจากตะวันตกนันเอง
่
๓.๑.๒ รูปแบบกำรเขียน
รูปแบบการเขียน คือ วิธกี ารเรียบเรียงเนื้อหาเมื่อจะเขียน ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก
บางอย่างทีแ่ สดงลักษณะเฉพาะอยูข่ น้ึ อยูก่ บั จุดประสงค์ของผูแ้ ต่งว่าต้องการเขียนให้เป็นแบบใด
๓๑
พระตรีญาณประเวศด้วย นรชน
เห็นทุกข์เมทนีดล แด่ขว้า
ยลสาสนพระพุทธพล โรยร่อย
หวังช่วยเชิดชูปล้า ปลุกให้คงเกษมฯ
(โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร)ี
ผูแ้ ต่งเรือ่ งโคลงดัน้ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกล่าว
ยกย่องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า ทรงเป็ นพระจักรพรรดิเจ้าโลก พระเกียรติ
ปรากฏเหมือนพลุท่สี ่องแสงในท้องฟ้า บรรดากษัตริยท์ ่เี ป็ นเมืองขึน้ ต่างส่งช้างเผือกมาถวาย
ทรงมีพระเดชานุภาพทีย่ งิ่ ใหญ่ประเทศใกล้เคียงยอมอ่อนน้อม ขอเป็นเมืองขึน้ ดังความว่า
พระจอมจักรพรรดิเจ้า จอมเกศ
พรเพียบพรพลุโพยม เอิบอ้าง
ออกเมืองส่งสารเศวต ถวายท่าน แลแฮ
ล้วนแต่เผือกผูช้ า้ ง มิง่ เมือง
(โคลงดัน้ ฯ)
พระมีมหิทธิเรือ้ ง วรเด-ชาพ่อ
ทุกประเทศมาเป็ น บาทไท้
มอญมัตมะเท ครัวครอก มานา
สู่โพธิสมภารใต้ บาทบงสุ์
(โคลงดัน้ ฯ)
๓.๑.๒.๒ รูปแบบกำรเขียนที่ เน้ นควำมสมจริ ง (realistic) คือ การเขียนงานโดย
ยึดหลักความเป็ นจริง เห็นอย่างไรก็พูดไปอย่างนัน้ ผู้อ่านรูส้ กึ ได้ว่านี่คอื เรื่องที่อาจเป็ นจริงได้
นักเขียนพยายามสะท้อนเหตุการณ์ ท่เี ป็ นจริง พยายามนาเอาชีวติ จริงของคนที่อยู่ร่วมสมัยกับ
ตนมากล่าว หรือแสดงความคิดของตนทีม่ ตี ่อเหตุการณ์ทเ่ี ป็นจริง หากจะใช้จนิ ตนาการก็ต้องให้
อยู่ในขอบเขตของความสมจริงทีผ่ อู้ ่านยอมรับได้ บางครัง้ อาจทาให้เห็นภาพทีอ่ อกมาน่ าเกลียด
น่าชัง หรือนาความน่ าทุเรศน่าอนาถของชีวติ มาตีแผ่กไ็ ด้ วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ทแ่ี ต่ง
แนวสมจริงมักเป็ นประเภทของร้อยแก้วที่เน้นความจริงทัง้ เนื้อหาและการแสดงออก ความคิดที่
ปรากฏไม่ได้อ อกมาลอย ๆ แต่ อิงกับหลักฐานและเหตุ ผล ภาษาที่ใช้มคี วามแม่นยา กระชับ
ผู้อ่านสามารถเข้าใจตรงกันโดยตลอด มิได้ตกแต่งถ้อยคาอย่างพิสดารเหมือนร้อยกรอง เน้ น
กล่าวตรงไปตรงมาว่าใคร ทาอะไร ทีไ่ หน เมื่อไร และอย่างไร งานเขียนประเภทนี้มกั ปรากฏใน
๓๓
แม้ว่ า วรรณคดีเกี่ย วกับ ประวัติศ าสตร์ห ลายเรื่อ งมัก เริ่ม ต้ น ด้ว ยบทไหว้ค รูห รือ บท
นมัสการ แต่ก็มบี างเรื่องที่ไม่ม ี เช่น เรื่องโคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร ีขน้ึ ต้นด้วยการ
บอกชื่อ ศักราชทีแ่ ต่ง และบอกความมุง่ หมายในการแต่ง ดังผูแ้ ต่ง ระบุว่าชื่อนายสวน มหาดเล็ก
แต่งในเดือนเก้า ขึน้ สิบค่า ปีเถาะ มีจดุ มุง่ หมายเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุร ี
นายสวนมหาดเล็กเจ้า จอมกษัตริย์
แถลงเรือ่ งราชศรีสวัสดิ ์ กราบเกล้า
ถวายต่างบุษปรัตน์ มาลย์มาศ
ภุมวารเดือนเก้า สิบขึน้ เถาะตรีฯ
(โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร)ี
บังคมบทรัชไท้ ทรงทศ ธรรมนา
พระปิ่นอยุธยายศ ยอดฟ้า
ขอแถลงนิพนธ์พจน์ เฉลิมบาท พระเอย
ไว้พระเกียรติท่วมหล้า โลกเหลือ้ งฤๅเสมอฯ
(โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร)ี
ตอบ ขอบใจเสร็จ เสด็จ ลง ทรงจับ เกรีย งถือ ปูน แล้ว ศิล าศู น ย์ท รงวาง กลางที่ต าม
กาหนด ประทับรถบ่มชิ า้ สารถีขบั สีม่ า้ กลับเข้าคืนทีป่ ระทับนาฯ
(ลิลพิ พายัพ)
การเปิดโรงเรียนได้สะท้อนแนวคิดเรือ่ งพัฒนาการการศึกษาออกเป็น ๓
รูปแบบที่แตกต่ างกัน สาหรับโรงเรียนของเจ้านายฝ่ายเหนือ คือ โรงเรียนบุ ญ วาทย์วทิ ยาลัย
ได้รบั ความอุปถัมภ์จากเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผูค้ รองนครลาปาง สะท้อนให้เห็นว่าเจ้านาย
ฝา่ ยเหนือให้ความสาคัญด้านการศึกษาเพื่อสนองแนวพระบรมราโชบายของพระเจ้าแผ่นดินกรุง
สยาม ต่อมา คือ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เป็ นโรงเรียนอันเนื่องมาจากพระบรมราโชบายของ
รัชกาลที่ ๕ ทีต่ ้องการขยายการศึกษาออกสู่หวั เมือง เพื่อแก้ปญั หาการขาดแคลนบุคลากร และ
ความต้ อ งการจัด การศึก ษาตาม “ประกาศจัด การเล่ า เรีย นในหัว เมือ ง พ.ศ. ๒๔๔๑” ส่ ว น
โรงเรียนของคณะมิชชัน นารี หรือ โรงเรียนปริน ซ์รอยแยลส์ว ิทยาลัย สะท้อ นให้เห็นถึงคณะ
มิ ช ชั น นารีท่ี ต้ อ งการเผยแผ่ ศ าสนาตามหั ว เมื อ งต่ า ง ๆ โดยใช้ ก ารศึ ก ษาที่ เ น้ นด้ า น
ภาษาต่างประเทศในการดึงดูดในบรรดาผูม้ อี นั จะกินส่งบุตรหลานมาเรียนโรงเรียนคริสต์
๒) บันทึกลำงสังหรณ์ และอิ ทธิ ปำฏิ หำริ ย์ วรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ทม่ี ี
เนื้ อ หาบัน ทึก ลางสังหรณ์ แ ละอิทธิป าฏิห าริย์ เช่ น จดหมายเหตุ ค วามทรงจาของกรมหลวง
นรินทรเทวี บันทึกลางสังหรณ์และอิทธิปาฏิหาริยใ์ นคราวทีพ่ ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชเสด็จย้ายเมืองหลวงจากฝงธนบุ ั ่ รมี ายังกรุงเทพฯ ว่าพระอาทิตย์ทรงกลดอยู่ ๗ วัน
ส่วนเรือ่ งเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เริม่ เรือ่ งกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยาว่าจะสมบูรณ์พนู สุขจน
ศักราช ๒๐๐๐ แล้วจะเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์ ๑๖ ประการ ดังตัวอย่าง
พระมหากษัตริยจ์ ะเสื่อมสิงหนาท ประเทศราชจะเสื่อมซึง่ ยศถา
อาสัจจะเลื่องลือชา พระธรรมาจะตกลึกลับ
ผูก้ ล้าจะเสื่อมใจหาญ จะสาบสูญวิชาการทัง้ ปวงสรรพ
ผูม้ สี นิ จะถอยจากทรัพย์ สัปบุรษุ จะอับซึง่ น้าใจ
ทัง้ อายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสยั
ทัง้ พืชแผ่นดินจะผ่อนไป ผลหมากรากไม้จะถอยรส
ทัง้ แพทย์พรรณว่านยาก็อาเพศ เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จวงจันทน์พรรณไม้อนั หอมรส จะถอยถดไปตามประเพณี
ทัง้ เข้าก็จะยากหมากจะแพง สารพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี ฝูงผีจะวิง่ เข้าปลอมคน
(เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา)
๔๑
นิ ทำนโบรำณคดี
เรือ่ งที่ ๓ เสือใหญ่เมืองชุมพร
เมื่อพ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ. ๑๐๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั จะเสด็จเลียบหัว
เมืองแหลมมลายูทงั ้ ปกั ษ์ใต้และฝ่ายตะวันตก กาหนดระยะทางเสด็จไปทางเรือจากกรุงเทพฯ ถึง
เมืองชุมพร แต่เมืองชุมพรเสด็จโดยทางบกข้ามแหลมมลายูตรงกิว่ กระ ไปลงเรือทีเ่ มืองกระบุรลี ่อง
ลาน้ าปากจันลงไปยั
่ งเมืองระนอง ต่อนัน้ เสด็จไปเรือทางทะเล แวะตามหัวเมืองฝ่ายตะวันตกจน
ตลอดพระราชอาณาเขต แล้ว เลยไปอ้อ มแหลมมลายูท่ีเมือ งสิง คโปร์ เลีย บหัว เมือ งป กั ษ์ ใ ต้
ขึน้ มา เมือ่ ขากลับกรุงเทพฯ โปรดให้ฉนั เป็นผูจ้ ดั การเสด็จประพาสครัง้ นัน้
เพราะเหตุใดจึงโปรดให้ฉันเป็ นผู้จดั การเสด็จประพาสเป็ นเรื่องอันหนึ่งใน ประวัติศาสตร์
ของตัว ฉั น เองจะเล่ า ฝากไว้ ด้ ว ยตรงนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ (ร.ศ. ๑๐๘) พระบาทสมเด็ จ พระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั เสด็จประพาสหัวเมืองปกั ษ์ใต้ โปรดให้ฉนั ไปตามเสด็จเป็นมัคคุเทศก์ เพราะ
ฉันได้เคยไปเที่ยวหัวเมืองทางนัน้ รูเ้ บาะแสมาแต่ปีก่อนก็การที่เป็ นมัคคุเทศก์นัน้ มีหน้ าที่เป็ นต้น
รับสัง่ กะการประพาสที่ต่าง ๆ ตลอดทางที่เสด็จไป ฉันสนองพระเดชพระคุณชอบพระราชหฤทัย
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง แต่นนั ้ มาจึงทรงพระกรุณาโปรดให้ฉันเป็ นผู้จดั การเสด็จประพาสแต่ชอบ
เรียกกัน เป็ นคาแผลงภาษาอังกฤษว่า Lord Program Maker ตามเสด็จประพาสต่อมาเป็ นนิตย์
จนตลอดรัช กาลที่ ๕ และคงอยู่ในต าแหน่ งนัน้ สืบ มาในรัช กาลที่ ๖ อีก ๓ ปี รวมเวลาที่ได้เป็ น
ผู้จดั การเสด็จประพาสอยู่ ๒๖ ปี จึงพ้น จากหน้ าที่นัน้ พร้อ มกับ ถวายเวนคืน ต าแหน่ งเสนาบดี
กระทรวงมหาดไทยถึงรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั โปรดให้เข้าไปจัดการ
เสด็จประพาสถวายอีก เมื่อเสด็จเลียบหัวเมืองมณฑลพายัพครัง้ หนึ่ง และเมื่อเสด็จเลียบหัวเมือง
มณฑลภูเก็ตอีกครัง้ หนึ่ง จึงอ้างได้ว่าได้รบั ราชการเป็นผูจ้ ดั การเสด็จประพาสสนองพระเดชพระคุณ
มา ๓ รัชกาล แต่เมื่อไปตามเสด็จครัง้ หลัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หวั กลับต้องทรงระวังมิให้ฉันเหนื่อย
เกินไป เพราะตัวฉันแก่ชราอายุเกือบ ๗๐ ปีแล้วก็เป็นครัง้ ทีส่ ุดซึง่ ฉันได้จดั การเสด็จประพาสครัง้ นัน้
เมื่อ จัด การเสด็จประพาสครัง้ ร.ศ. ๑๐๙ แล้ว ต้อ งล่ ว งหน้ าลงไปจัด พาหนะสาหรับ ทาง
บก และตรวจพลับพลาทีป่ ระทับกับทัง้ การทาทางทีจ่ ะเสด็จไปแต่เมืองชุมพรจนถึงเมืองระนองแล้ว
จึงกลับมาเข้าขบวนตามเสด็จทีเ่ มืองชุมพร ฉันไปถึงเมืองชุมพรได้ฟงั เขาเล่าเรือ่ งเสือใหญ่ซง่ึ กาลังดุ
ร้ายกินคนอยู่ในแขวงเมืองชุมพรในเวลานัน้ และไปมีเหตุข้นึ ด้วยเรื่องเสือตัวนัน้ เห็นเป็ นเรื่อง
แปลกประหลาด จึงเขีย นเล่ าไปยังหอพระสมุ ด วชิรญาณ ซึ่งฉั น เป็ น กรรมการอยู่ด้ว ยคนหนึ่ ง
สาหรับให้ลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญานวิเศษ ดูเรื่องเข้ากับนิทานโบราณคดีทเ่ี ขียนบัดนี้ เหมาะดีจงึ
คัดสาเนาจากหนังสือวชิรญานวิเศษมาแก้ไขถ้อยคาบ้างเล็กน้อย และเขียนเล่าเรื่องเสือตัวนัน้ อันมี
ต่อมาเมื่อภายหลัง ยังไม่ปรากฏในหนังสือซึง่ ฉันเขียนไว้แต่ก่อนเพิม่ เติมให้สน้ิ กระแสความ เรื่องที่
เขียนไว้แต่เดิมดังต่อไปนี้
เรือ่ งเสือใหญ่ทเ่ี มืองชุมพร
เรื่อ งที่ จ ะกล่ า วต่ อ ไปนี้ กล่ า วตามที่ ฉั น ได้ ย ิน ด้ ว ยหู แ ละได้ เ ห็ น ด้ ว ยตาของตั ว เอง
๔๔
เพราะฉะนัน้ ท่ านผู้อ่ านอย่าได้ส งสัย ว่าเป็ น ความเท็จ ซึ่งแต่ งแต่ โดยเดาเลย เป็ นความจริงแท้
ทีเดียว เมื่อวันที่ ๖ เมษายน (ร.ศ. ๑๐๙) นี้ ฉันไปถึงเมืองปากน้ าเมืองชุมพรลงเรือบดขึน้ ไปทีบ่ ้าน
ด่าน หาเรือซึ่งจะรับขึน้ ไปที่เมืองชุมพร ด้วยเรือไฟที่มาส่งฉันเขาจะต้องรีบใช้จกั รไปราชการที่อ่นื
อีก ขณะเมื่อ ฉันนัง่ พัก คอยเรือ อยู่ท่ีบ้านด่ านนัน้ ได้ส นทนากับ ขุนด่ านและกรมการราษฎรชาว
ปากน้ าชุมพรหลายคน ซึ่งฉันได้รจู้ กั มาแต่ก่อนบ้างทีย่ งั ไม่รจู้ กั บ้าง พูดจาไต่ถามถึงทุกข์สุขต่าง ๆ
ตลอดไปจะเรื่องการทามาหากินของราษฎร และเรือ่ งสัตว์สงิ ห์ต่าง ๆ คือเสือ เป็ นต้น เขาจึงเล่าให้
ฟงั เป็ นปากเดียวกันดังนี้ว่าในเวลานัน้ มีเสือที่ดุแขวงเมืองชุมพรตัวหนึ่ง เสือตัวนัน้ ใหญ่ ยาวสัก ๙
ศอก เท้าเป๋ข้างหนึ่ง จึงเรียกกันว่า “อ้ายเป๋” เทีย่ วกัดกินคนตามแขวงบ้านใหม่ บ้านละมุ เสียหลาย
คน ประมาณกันแต่หกเจ็ดคนขึน้ ไปถึงสิบคนยีส่ บิ คนและว่าเสือตัวนี้กล้าหาญผิดกับเสือซึง่ เคยมีมา
แต่ก่อน ถึงเข้ากัดคนกลางวันแสก ๆ บางทีคนนัง่ ทอผ้าอยู่ใต้ถุนเรือน ก็เข้ามาฉวยเอาไป บางคน
ไปขึน้ พะองทาตาลก็มาลากเท้าคาบไป จนชาวบ้านชาวเมืองพากันครันคร้ ่ ามไม่อาจจะไปป่าหากิน
แต่คนเดียวสองคนได้ บางคนก็ว่าเป็ นเสือสมิงศักดิ ์สิทธิ ์ไม่มผี ู้ใดอาจจะไปดักหรือไปยังจนทุกวันนี้
เขาเล่าให้ฟงั อย่างนี้ได้สบื ถามตามชาวเมืองจนกระทังกรมการทั ่ ง้ เมืองชุมพร และเมืองกระบุรกี ็รู้
เรื่อ งเสือ ดุ ต ัว นี้ แ ทบทุ ก คน ฉั น จึงให้ท าบัญ ชีรายชื่อ คนถู ก เสือ กัด ซึ่งตามภาษาชาวชุ ม พรเขา
เรียกว่า “เสือขบ” ไว้สาหรับกราบทูลพระเจ้าอยูห่ วั ได้รายชื่อเขาจดมาให้ดงั นี้
อ าเภอท่ าแซะแขวงเมือ งชุ ม พร จ านวนคนที่เสือ ขบ นายช่ ว ยผัว อ าแดงจัน ทร์ ต าบล
บางรึกคนหนึ่ง อาแดงเกตบ้านหาดพงไกรคนหนึ่ง นายน้อยบ้านท่าแซะคนหนึ่ง นายเบีย้ วบ้านท่า
แซะคนหนึ่ ง อ าแดงเช้า ภรรยานายลอมบ้ า นคู ร ิ งคนหนึ่ ง หลานนายยอดบ้า นหาดพังไกรคน
หนึ่ง นายนองผัวอาแดงสายทองบ้านรับร่อคนหนึ่ง นายน้ อยบุตรขุนตะเวนบ้านล่อคนหนึ่ง นาย
เชตบ้านหาดหงคนหนึ่ง รวมที่ได้รายชื่อ ๙ คน บัญชีได้เพิ่มเติมมาจากเมืองกระบุรมี รี ายพิสดาร
ออกไป
๑) นายอ่อน หมายเลขกองกลาง อยู่บ้านรับร่อไปตัดจากมุงเรืองที่ปลายคลองรับร่อ เมื่อ
เดือนพฤศจิกายน เวลาบ่าย ๕ โมง เสือกัดตาย ตามผีไม่ได้
๒) นายนอง ว่าทีห่ มื่นจบ คุมเลขกองด่าน อยู่บา้ นหาดพังไกรไปขึน้ ทาตาลทีก่ ลางนาหาด
พังไกร เมื่อเดือนตุลาคมข้างขึน้ เวลากลางวันตะวันเทีย่ งพอกลับลงจากปลายตาลเสือกัดตาย ตาม
ผีมาได้ครึง่ หนึ่ง
๓) อาแดงแป้น ลูกขุนชนะ คุมเลขกองกลาง อยู่บ้านท่าญวน ไปหาผักริมนาท่าญวน เมื่อ
เดือนตุลาคมข้างแรม กลางวันบ่าย ๓ โมง เสือกัดตาย ตามผีได้
๔) นายแบน เป็นเลขกองกลาง อยูบ่ า้ นท่าญวนไปหาตัวเลขจะพามาทารับเสด็จทีเ่ มืองกระ
เมือ่ เดือนกุมภาพันธ์ เวลาพลบค่า เสือกัดตายทีน่ าปา่ ตอ อาเภอท่าญวน
๕) อาแดงเลีย้ น ภรรยานายพลอย เลขกองกลางอยูบ่ า้ นเขาปูน นังสานสาดอยู ่ ่ทใ่ี ต้ถุนร้าน
ไล่นกทีใ่ นไร่ เวลาตะวันเทีย่ ง เสือกัดตาย ตามผีได้
ตามคาที่เล่าและสืบได้ช่อื กับจานวนคนที่เสือกัด พอฟงั เป็ นยุตไิ ด้ว่าที่เมืองชุมพรเดีย๋ วนี้ม ี
๔๕
๑. ทาน (การทาทาน)
พระเปรมปฏิบตั เิ บือ้ ง ทศธรรม์ ถ้วนแฮ
ทานวัตรพัศดุสรรพ์ สิง่ ให้
ทวยเถมินมัวหมู่ พ่ นั พกพวก แคลนนา
วันละวันตัง้ ไว้ หกห้างแห่งสถาน
๒. สีล (การรักษาศีล)
เถลิงการกุศลสืบสร้าง เบญจางค ศีลเฮย
เนืองนิวทั ธ์ฤๅวาง ว่างเว้น
บาเทิงหฤทัยทาง บุญเบื่อ บาปนา
แสวงสัคมัคโมกข์เร้น รอดรือ้ สงสาร
๓. ปริจฺจาค (การบริจาคทรัพย์ทาบุญ)
สมภารพระก่อเกือ้ การก ธรรมแฮ
ชินศาสนุปถัมภก เพิม่ ตัง้
จตุราปจั เยศยก บริจาค ออกเอย
อวยแด่ชุมชีทงั ้ ทัวแคว้
่ นแขวงสย
๕๒
๔. อาชฺชว (ความซื่อตรง)
พระงามอุชุภาพพร้อม ไตรพิธ ทวารเฮย
กายกมลภาษิต ซื่อซ้อง
บาเพ็ญเพิม่ สุจริต เจริญสัตย์ สงวนนา
สิง่ คดปลดเปลือ้ งข้อง แต่ครัง้ ฤๅมี
๕. มทฺทว (ความอ่อนโยน)
ปรานีมาโนชน้อม มฤทู
ในนิกรชนชู ชุ่มเผ้า
พระเอือ้ พระเอ็นดู โดยเทีย่ ง ธรรมนา
อดโทษโปรดเกศเกล้า ผิดพลัง้ สังสอน
่
๖. ตป (ความประพฤติตบะ)
สังวรอุโบสถสร้าง ประดิทนิ
มาสประมาณวารถวิล สีถ่ ว้ น
อัษฎางคิกวิรยิ นิ ทรียส์ งัด กามเอย
มละอิสริยสุขล้วน โลกซ้องสรรเสริญ
๗. อกฺโกธ (ความไม่โกรธ)
ทรงเจริญมิตรภาพเพีย้ ง พรหมาน
ทิศทศจรดทุกสถาน แผ่แผ้ว
ชัคสัตว์เสพสาราญ รมย์ทวั ่ กันนา
เย็นยิง่ จันทรกานต์แก้ว เกิดน้าฉ่ าแสง
๘. อวิหสึ ญฺจ (ความไม่เบียดเบียน)
เสด็จแสดงยศเยือกเหล้า แหล่งไผท
เพื่อพระกรุณาใน เขตข้า
บ่กอบบ่ก่อภัย พิบตั เิ บียด เบียนเอย
บานทุกหน้าถ้วนหน้า นอบนิ้วถวายพร
๙. ขนฺตญ ิ ฺจ (ความอดทน)
ถาวรอธิวาสน์เค้า ขันตี ธรรมฤๅ
ดาฤษณวิโรธราคี ขุน่ ข้อน
เพ็ญผลพุทธบารมี วิมตุ ติสุข แสวงนา
เนืองโลกโศกเสื่อมร้อน สิง่ ร้ายฤๅพาน
๕๓
กาพย์กลอนพจนพากย์ลว้ น แสนเสนาะ
ทรงนิพนธ์ไพเราะ โสตกล้า
ทุกอย่างห่อนเฉพาะ แต่นนั ่ นี่เลย
เปนมหัศจรรย์ล้า โลกซ้องสดุดฯี
ธรรมศาสตรไสยศาสตรทัง้ ราชนิติ ์
โลกวัตรสุภาษิต ก่อนกี้
ไทยขอมแขกอังกฤษ วจนวากย์
สรรพศาสตรดังเช่
่ นชี้ พระแจ้งเจนเฉลียวฯ
(ลิลติ ของพระองค์เจ้าคัคณางคยุคล)
๓.๒.๒.๓ ให้ ควำมรู้เกี่ยวกับพระรำชกรณี ยกิ จด้ ำนต่ ำง ๆ ของพระมหำกษัตริ ย์
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ท่มี เี นื้อหาให้ความรูเ้ กี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ ของ
พระมหากษัตริย์ มักนาเสนอพระราชกรณียกิจด้านเด่น ๆ ในช่วงทีพ่ ระมหากษัตริยพ์ ระองค์นัน้
บริหารราชการแผ่นดิน ดังเรื่องตานานพระแท่นมนังคศิลาบาตร ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม
พระนราธิปประพันธ์พงศ์ กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคาแหงด้านศาสนา และการ
ประดิษฐ์ตวั อักษร เรื่องกลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติรชั กาลที่ ๓ ของนายมีกล่าวถึงพระ
ราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หวั ด้านการบูรณะพระพุทธบาท การบูรณะ
บ้านเมือง การบูรณปฏิสงั ขรณ์และทรงพระราชทานนามวัดใหม่จานวน ๑๙ วัด ได้แก่ วัดทอง
วัดนาค วัดแจ้ง วัดเลียบ วัดบางลาพู วัดหมูผลัด วัดประโคน วัดพลับ วัดบางจาก วัดท้ายตลาด
วัดนครเขื่อนขัณฑ์ วัดบางยีเ่ รือใต้ วัดบางยีเ่ รือกลาง วัดบางยีเ่ รือเหนือ วัดท่านราชมนตรี วัด
ท่ านโชฎึก วัด พระยาศรีพ ิพ ัฒ น์ วัด ศาลาสี่ห น้ า และวัด เชิงเลน บางวัด ก็โปรดให้ใช้ช่ือ วัด
ตามเดิม ได้แ ก่ วัดกลาง วัดระฆัง วัดกุ ฎ วัดกุ ฎ วัดสระเกศ วัดสมอราย วัดคอกกระบือ วัด
จัก รวรรดิ วัดโลกสุ ธา และวัดศาลาปูน โดยทรงบาเพ็ญ พระราชกุ ศลและถวายภัต ตาหารแก่
พระภิกษุสงฆ์ในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่าเสมอ โปรดให้มกี ารเทศน์มหาชาติเป็ น
ประจาทุก ปี ทัง้ ทรงพระกรุณ าทรงอุ ป การะให้พ ระภิกษุ ส ามเณรเรียนปริยตั ิธรรม และโปรด
อุปการะโดยการถวายปจั จัยในการศึกษาเล่าเรียนและการประกอบกิจของสงฆ์
พระทีน่ งเฉลิ
ั ่ มหล้ามหาปราสาท ก็พระราชศรัทธาเป็นราศี
ตัง้ นักปราชญ์พวกราชบัณฑิตดี บอกบาลีสุรยิ วงศ์พระสงฆ์เณร
พระราชทานเงินเดือนบ้างเลื่อนยศ ด้วยสอนรสธรรมามหาเถร
กระยาหารหวานคาวทัง้ เช้าเพล ถวายเณรพระสงฆ์ทอ่ี งค์เรียน
ทัง้ เภสัชอัฐบานสาราญรืน่ ให้แช่มชื่นชูจติ พินิจเสถียร
วันละสามสิบเศษในเพศเพียร เข้ามาเรียนอัตถ์แปลแซ่สาเนียง
บ้างเรียนมูลเรียนคัมภีรอ์ ยูม่ ฉ่ี าว ตัง้ แต่เช้าจนบ่ายไม่วายเสียง
๖๑
๓.๒.๓ ส่วนลงท้ำยเรื่อง
ส่ วนลงท้ายเรื่อ งเป็ น ส่ วนที่ผู้แต่ งใช้ส รุป เรื่อ ง หรือ กล่ าวถึงองค์ป ระกอบอื่น ๆ ที่อ ยู่
นอกเหนื อ จากสาระส าคัญ ของเรื่อ งซึ่ง เป็ น เนื้ อ หาหลัก จากการศึก ษาวรรณคดี เกี่ย วกับ
ประวัตศิ าสตร์พบว่าส่วนลงท้ายเรือ่ งมีความหลากหลายน่ าสนใจ ได้แก่ บอกวัตถุประสงค์ในการ
แต่ ง บอกความปรารถนาของผู้ แ ต่ ง บอกที่ม า และวัน เวลาที่แ ต่ ง และบอกทัง้ ชื่อ ผู้ แ ต่ ง
วัตถุประสงค์ในการแต่ง และความปรารถนาของผูแ้ ต่ง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๓.๒.๓.๑ คำลงท้ ำยซึ่ งบอกวัตถุประสงค์ในกำรแต่ ง ดังปรากฏในเรื่องโคลงยอพระ
เกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร ขี องนายสวน มหาดเล็กระบุจุดมุ่งหมายในการแต่งไว้ว่าเพื่อสนองคุณ
พระมหากษัตริย์ และเพื่อให้กุลบุตรทราบถึงพระเกียรติคุณของพระเจ้ากรุงธนบุร ี ดังความว่า
คิดด้วยสุจริตด้วย กตัญญู
คุณพระปกกระหม่อมชู ชื่นซร้อง
หาสิง่ จะสนองภู ธรสุด สนองนา
จึง่ แต่งตามขบวนต้อง เรือ่ งไว้เป็นเฉลิมฯ
หวังให้กุลบุตรเบือ้ ง อนาคต
ให้ปรากฏเกียรติยศ ปิ่นเกล้า
ไปย่ ลแต่สดับพจน์ ราวเรือ่ ง สนองนา
ก็จะสาธุการเช้า ค่าชีช้ มผลฯ
(โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร)ี
๓.๒.๓.๒ คำลงท้ ำยซึ่ งบอกควำมปรำรถนำของผู้แต่ ง ดังโคลงเฉลิมพระเกียรติพระ
นารายณ์ ผูแ้ ต่งขอพรเทพเจ้าให้ช่วยคุม้ ครองพระนารายณ์ ดังนี้
ขอพรเพญโพธไท้ วนิดา
ภควดีคงคา กล่าวกล้อย
ขอจงนฤเบนทรา- ธิปราช
สุขสมบูรณ์ทา้ วร้อย กราบเกล้าอภิวนั ท์ ฯ
(วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม๒)
๗๑
ไม้ ก างเขน” (พระราชนิ พ นธ์ จ ดห มายรายวั น เสด็ จ ประพาสชวาครัง้ หลั ง ) หรือ ทรง
วิพากษ์วจิ ารณ์การกินอาหารและดื่มเครือ่ งดื่มของระเด่นอธิปติไว้ว่าระเด่นอธิปเลือกดื่มชาซึง่ ไม่
ค่อยเห็น ทัง้ ยังเลือกกินอาหารทีอ่ ่อนเบาท้อง ทัง้ ทีม่ อี าหารให้เลือกจานวนมาก เมื่อสอบถามจึง
ได้ความว่าเพราะระเด่นอธิปแกงดของที่ไม่ดตี ่อร่างการนัน่ เอง ดังนี้ “ตื่นเองแต่ตี ๑๑ ครึง่ ออก
จากโฮเตลไปขึน้ รถไฟ ถึงจันยอเรซิเดนต์ลงมารับ มีของเลี้ยงต่าง ๆ แต่แปลกระเด่นอธิปติด่มื
ชา รับประทานของอ่อนอาหารมากแต่ รบั ประทานได้ไม่เท่าไหร่ ได้ความว่าของดของชัว”่ (พระ
ราชนิพนธ์จดหมายรายวัน เสด็จประพาสชวาครัง้ หลัง)
๔.๒ กำรวิ พ ำกษ์ วิ จ ำรณ์ อำหำรของชำวต่ ำ งชำติ ดัง พระบาทสมเด็ จ พระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงวิพากษ์วจิ ารณ์อาหารของของโรงแรมแรฟเฟอลว่าเป็ นอาหารรสเลิศ
ดังนี้ “กับเข้าทาอย่างวิเศษเต็มฝี มอื ของแรฟเฟอลโฮเตล แมนู ยาวมาก เปนอาหารอย่างแก้ว ”
(พระราชนิพนธ์จดหมายรายวัน เสด็จประพาสชวาครัง้ หลัง) ทรงวิจารณ์อาหารในเมืองบันดอง
ว่าเสวยเข้าไปแล้วทาให้พระองค์ทอ้ งอืด เพราะใช้วธิ นี ่ึงในการทาให้เข้าสุก แต่กห็ ุงจนเกินสุกทา
ให้ขา้ วแฉะเหมือนข้าวแช่ ดังนี้ “อาหารที่โฮเตล คราวนี้เลวกว่าคราวก่อ น แต่กนิ เข้าไปท้องขึน้
อืดใหญ่ เพราะมันเปนเข้านาทุ่งอย่างหนึ่งมียางมาก อีกอย่างหนึ่งหุงเข้าเมืองนี้มนั ใช้น่ึงเหมือน
เข้าทีจ่ ะทาข้าวแช่” (พระราชนิพนธ์จดหมายรายวัน เสด็จประพาสชวาครัง้ หลัง) หรือทรงวิจารณ์
ลักษณะและรสชาติของซาเต๊ะว่ามีรสชาติพอเสวยได้ แต่ค่อนข้างจะหวาน ดังนี้ “ซะเต๊ะมีซุบ
น้ ากะทิซ่งึ ปนขมิน้ สีเหลือง ๆ มาก อาหารเหล่านี้พอกินจะเรียกว่าอร่อยก็ควร แต่ค่อยจะอยู่ขา้ ง
ออกหวาน ๆ ” (พระราชนิพนธ์จดหมายรายวัน เสด็จประพาสชวาครัง้ หลัง)
อีกตอนหนึ่งผูแ้ ต่งเปรียบเทียบความสามารถของสมเด็จพระนเรศวรว่าเหมือน
พระรามปราบยักษ์ให้สน้ิ ไป ดังจะเห็นได้จากโคลงต่อไปนี้
บุญเจ้าจอมภพพืน้ แผ่นสยาม
แสยงพระยศยินขาม ขาดแกล้ว
พระฤทธิ ์ดังฤทธิ
่ ์ราม รอนราพณ์ แลฤา
ราญอริราชแผ้ว แผกแพ้ทุกภาย
(ลิลติ ตะเลงพ่าย)
๓.๓.๓.๒ บุคคลวัต (Personification) คือ ภาพพจน์รปู แบบหนึ่ง ซึง่ กาหนดให้
สิง่ ซึ่งไม่ใช่มนุ ษย์ (เช่น สัตว์ สิง่ ของ สถานที่ ต้นไม้ ดอกไม้ ความคิด หรือนามธรรมใด ๆ) มี
สภาวะเป็ นมนุ ษย์ ทากิรยิ าอาการพูด คิด มีสติปญั ญา และอารมณ์ ความรูส้ กึ อย่างมนุ ษย์ทุก
ประการ (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๒ : ๒๘๖) ดังการใช้คาว่า “แผ่นดินมอญพลันมอดม้วย” เพื่อ
แสดงให้เห็นว่า แผ่นดินมอญซึง่ ไม่ใช่คนกาลังจะดับสูญ ดังนี้
ณรงค์นเรศดร์ดา้ ว ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ พลันมอด ม้วยแฮ
เหตุบ่มมี อื ผู้ อื่นต้านทานเข็ญ
(ลิลติ ตะเลงพ่าย)
๓.๓.๓.๓ อติ พ จน์ (Hyperbole) คือ ภาพพจน์ รูปแบบหนึ่ง ที่ผู้แต่งจงใจหรือ
เจตนาเน้นข้อความที่กล่าวนัน้ ให้มคี วามหนักแน่ นยิง่ ขึ้น ให้ความรูส้ กึ เพิ่มขึ้น อาจเป็ นการโอ้
๘๑
อวดเกิน จริง แต่ อ ย่ า งไรก็ม ีเค้า แห่ ง ความจริ ง เจือ ปนอยู่ ไม่ ใช่ เ รื่อ งกุ ข้ึน หลอกลวงล้ว น ๆ
(ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๒ : ๕๓๙) ดังการกล่าวถึงความทุกข์ของพระมหาอุปราชที่ต้องจาก
นางสนมมาว่าทัง้ หนักอก อกไหม้ ตรมตรอมเหมือนกับถูกทุ่มด้วยภูผาหลวง (ภูเขาใหญ่ ) แม้
ไพร่พลหาบของหนัก ยังวางพักได้ แต่หนักรักนี้จะแก้ไขให้เบาลงได้อย่างไร ดังนี้
หน่ายเชยหนักอกช้า ก่าทรวง
ถนัดดังภู
่ ผาหลวง ทุ่มแท้
หนักหาบทีพ่ ลปวง ปลงพัก ได้นา
หนักเสน่หน์ ึกแท้ เกีย่ งให้เบาไฉน
(ลิลติ ตะเลงพ่าย)
๓.๓.๓.๔ สัท พจน์ (Onomatopoeia) คือ วิธ ีก ารถ่ ายทอดเสียงที่เกิด ขึ้น จาก
ธรรมชาติ เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงครวญคราง เสียงลมพัด เพื่อให้ผอู้ ่านได้รบั รส เพิม่ อารมณ์และ
ความรูส้ กึ ดังการเลียนเสียงเครือ่ งดนตรีทด่ี งั กึกก้อง การเลียนเสียงของช้าง และการต่อสู้ ดังนี้
ชันหูชูห างแล่ น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่างใหญ่ ดุ่ มด่ วน ป่วนกิรยิ าร่าเริง
บาเทิงมันครันครึ
่ ก เข้าสูศ้ กึ โรมราญ ควาญคัดท้ายบมิอยู่ วู่วามวิง่ ฉับฉิ ว
(ลิลติ ตะเลงพ่าย)
๓.๓.๓.๕ สัญลักษณ์ (Symbols) คือ การนาสิง่ มีชวี ติ หรือไม่มชี วี ติ เพื่อ ใช้แทน
หรือเป็นตัวแทนสิง่ อื่นทีม่ สี มบัตบิ างประการร่วมกัน เช่น สีแดงอาจเป็นสัญลักษณ์ของเลือด หรือ
แทนคาว่า “หยุด” ในเครื่องหมายของการจราจร โดยทัวไปสั ่ ญลักษณ์ในวรรณคดี อาจเป็ นวัตถุ
สิง่ ของ ท่าทาง (กิรยิ าอาการ) สี ดอกไม้ สัตว์จริง สัตว์ในจินตนาการ หรือเครื่องหมายต่าง ๆ
(ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๒ : ๕๐๐) ดังการใช้คาว่า “บัว” แทนหน้าอกของนาง ดังนี้
นางนาวนึกนิ่มน้อง นวลปราง
จากพรากพรากจากนาง หนึ่งนัน้
พิราบพิลาปคราง ครวญแข่ง ข้าฤา
บัวว่าบัวนุ ชปนั ้ อกน้องเรียมถนอม
(ลิลติ ตะเลงพ่าย)
๓.๓.๔ ศิ ลปะกำรประพันธ์ที่เกิ ดจำกกำรใช้ คำที่ ก่อให้ เกิ ดจิ นตภำพ จินตภาพ คือ
ภาพทีป่ รากฏในจินตนาการตามประสบการณ์เดิม ซึง่ กวีทาให้ปรากฏขึน้ ในความรูส้ กึ ของผูอ้ ่าน
จินตภาพมีหลายประเภท อาจมองเห็นด้วยตา เกิดขึน้ เป็ นเสียง เกิดขึน้ เป็นกลิน่ หรือเกิดขึน้ เป็ น
อาการสัม ผัส การใช้ภ าษาที่ก่ อ ให้เกิด จิน ตภาพหรือ ภาพในจิต ช่ ว ยท าให้บ ทร้อ ยกรองเป็ น
๘๒
ประสงค์ จ ะให้ ข้า ศึก “เห็ น มือ ไทยที่แ กล้ว ” กวีแ สดงอนุ ภ าวะให้ เห็ น ความแกล้ว กล้ า ของ
พระมหากษัตริยไ์ ทยด้วยการกาหนดให้ขา้ ศึก “ฝ่อใจห้าวบมิหาญ ลาญใจแกล้วบมิกล้า” และ
“ไท้ทุกเขตทุกด้าว น้าวมกุฎมานบ” ตอนทีส่ มเด็จพระนเศวรฯ ทรงหลงไปในหมู่ขา้ ศึกก็ทรงขับ
ช้างไปหาพระมหาอุปราชาโดย “ไป่เกรงประภาพเท่าเผ้า พักตร์ท่านผ่องฤๅเศร้า สู้เสี้ยนไป่หนี
หน้านา” แม้ความสามารถในการสู้รบของทัง้ สองทัดเทียมกัน “ขุนเสียมสามารถต้านขุนตะเลง
ขุ น ต่ อ ขุ น ไป่ เยง หย่ อ นห้ า ว” แต่ ด้ว ย “พระเดชพระแสดงอาจ เผด็ จคู่ เข็ญ แฮ” สมเด็จ พระ
นเรศวร ฯ จึงทรงพิชติ พระมหาอุปราชาและข้าศึกก็ “เห็นประภาพเจ้าช้าง เชีย่ วกว่าเชีย่ วเหลือ
อ้าง เอิกเอื้ออัศจรรย์ ยิง่ นา” นอกจากชนะ เพราะมี “พระเดโช” แล้วยังเพราะ “พระยศยิง่ ภิยโย
ผ่านแผ่ ภพนา” “เพ็ญ พระยศเจ้าหล้า โลกเพี้ยงพิศวง” ความน่ าพิศวงปรากฏหลายตอน เช่ น
พระสุบนิ ที่ “เทวัญแสดงเหตุให้ สังหรณ์ เห็นแฮ” คือ พระบรมสารีรกิ ธาตุเวียนทักษิณาวรรตรอบ
กองทัพ เมื่อเคลื่อนทัพหลวงได้ทรงประกาศ “แก่เทพทุกถิน่ สถาน ฉชัน้ ” ให้ช่วยขจัดธุมาการ
เพื่อให้เห็นเหล่าข้าศึกได้ถนัด “พอวายวรวากย์อา้ ง โอษฐ์พระ” ก็มลี มพัดกอบฝุ่นควันไปหมดสิน้
ความน่าพิศวงนี้เกิดจากพระองค์เป็น “ไทเทเวศอ้างสมมุต”ิ นันเอง ่
นอกจาก เรื่องลิลติ ตะเลงพ่ายมีรสวีรรสเป็ นรสหลัก และมีอทั ภุตรสเป็ นรสเสริมที่เด่ น
แล้ว ยังมีรสอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น การสัมผัสถึงรสโกรธของสมเด็จพระนเรศวร ฯ ที่พบว่า
เหล่าแม่ทพั ตามเสด็จไม่ทนั กวีเปรียบเทียบให้เห็นความโกรธ (เราทรรรส) ในครัง้ นี้ว่าเหมือนดัง
ไฟทีร่ อ้ นแรงทาลายทุกอย่างได้ ดังตัวอย่าง
พระลานดาลเดือดฟุ้ง ไฟเข็ญ
เสียงหวีดกรีดกราดเห็น ห่อนได้
กะลียคุ อย่างจักเป็น ควันพลุ่ง แล้วแฮ
มาตรว่ามิตรฤๅใกล้ กลับดัน้ เดินหนี
(ลิลติ ตะเลงพ่าย)
๓.๓.๖ ศิ ลปะกำรประพันธ์ที่เกิ ดจำกกำรใช้ วำทศิ ลป์ ของตัวละคร คือ ศิลปะในการ
ใช้ถ้อยคาสานวนโวหารที่ทาให้ผฟู้ งั สนใจฟงั เกิดความประทับใจ และคล้อยตาม ซึง่ จาเป็ นต้อง
อาศัยจิตวิทยาในการพูดด้วย ดังการใช้พลังทางวาทศิลป์ของสมเด็จพระนเรศวรเพื่อ โน้มน้ าว
สมเด็จพระมหาอุปราชาให้ออกมาสูร้ บกับพระองค์ ด้วยการเยินยอพระมหาอุปราชาอย่างน่ าฟงั
ว่ามีพระเดชจนสิบทิศต่างพากันเกรงกลัว ต่อมาก็อา้ งถึงภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริยท์ ต่ี อ้ งมี
เกียรติมศี กั ดิ ์ศรี และอ้างถึงผลทีเ่ กิดจากการสูร้ บ พระมหาอุปราชาก็ตดั สินใจออกรบ
๘๕
สรุป
จากข้อมูลข้างต้นเห็นได้ว่า วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์มลี กั ษณะเฉพาะ ทัง้ ด้าน
รูปแบบ เนื้อหา และศิลปะการประพันธ์ ด้านรูปแบบมีทงั ้ การแต่งเป็ นร้อยแก้ว ร้อยกรอง และ
รูปแบบทีผ่ สมผสานกัน มีรปู แบบการเขียนทีเ่ ป็นทัง้ แนวอุดมคติ คือ เน้นความงาม ความดีเลิศ
และการเขียนแนวสมจริง คือ อิงกับสภาพความเป็ นจริง ด้านเนื้อหามีทงั ้ บันทึก เรื่องราวหรือ
เหตุ ก ารณ์ ในประวัติศาสตร์ ยอพระเกียรติพ ระมหากษัตริย์ สดุดี ผู้ท่ที าคุ ณ ประโยชน์ ให้แก่
แผ่นดิน และการให้ความรู้ด้านต่าง ๆ การศึกษาเนื้อหาทาให้ทราบประวัติศาสตร์เหตุการณ์
บ้านเมืองในยุคสมัย ความรูเ้ กี่ยวกับบุคคลสาคัญๆ ในประวัตศิ าสตร์ สภาพสังคมโดยรวม วิถี
ชีวติ ความเชื่อ ค่านิยม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ได้เป็ นอย่างดี ในส่วนของ
ศิลปะของการประพันธ์กม็ คี วามหลากหลาย เน้นทีก่ ารโน้มน้าวให้ผอู้ ่านคล้อยตาม ด้วยการใช้
กลวิธตี ่าง ๆ ทัง้ ด้านการอรรถาธิบายและการใช้ภาพพจน์โวหาร ซึง่ ผูศ้ กึ ษาควรให้ความสาคัญ
ทัง้ นี้ เพราะศิลปะการประพันธ์เป็นส่วนสาคัญทีจ่ ะดึงดูดให้ผอู้ ่านคล้อยตามวรรณคดีเรือ่ งนัน้ ๆ
๘๗
บทที่ ๔
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์และบริ บททำงประวัติศำสตร์
๔.๑ วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์ในสมัยสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยอยู่ภายใต้การปกครองของขอมมาอย่างยาวนาน ราวต้นพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๖ อานาจของขอมในแหลมอินโดจีนเสื่อมลง พ่อขุนบางกลางท่าวเจ้าเมืองบางยางกับพ่อขุน
ผาเมืองเจ้าเมืองราดช่วยกันขจัดอิทธิพลของขอมออกจากสุโขทัยได้สาเร็จ และประกาศอิสรภาพ
ไม่ขน้ึ กับขอมอีกต่อไป พ่อขุนบางกลางท่าวสถาปนาตนขึน้ เป็ นกษัตริย์นามว่าพ่อขุนศรีอนิ ทรา
ทิต ย์ เมื่อ พ่ อ ขุน ศรีอิน ทราทิต ย์ส วรรคต พ่ อ ขุน รามค าแหงจึงขึ้น ครองราชย์ เป็ น องค์ต่ อ มา
ส าหรับ การศึก ษาวรรณคดี เ กี่ย วกับ กับ ประวัติศ าสตร์ ในสมัย สุ โขทัย นี้ ผู้เขีย นน าเสนอทัง้
เหตุ ก ารณ์ บ้ า นเมือ ง บริบ ทวรรณคดีเ กี่ย วกับ ประวัติศ าสตร์ท่ีแ ต่ ง ในสมัย สุ โขทัย และยก
กรณีศกึ ษาเรือ่ งศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงประกอบการอธิบาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๔.๑.๑ เหตุกำรณ์ บ้ำนเมือง
การกล่าวถึงเหตุการณ์บา้ นเมืองในสมัยสุโขทัย ผูเ้ ขียนเน้นศึกษาเหตุการณ์บา้ นเมืองใน
สมัยพ่อขุนรามคาแหง เพราะเป็นยุคสมัยทีอ่ าณาจักรสุโขทัยเจริญรุง่ เรืองเป็นอย่างมาก
ในรัช สมัย ของพ่ อ ขุ ม รามค าแหง ได้ ข ยายอาณาเขตออกไปอย่ า งกว้ า งขวางจน
เจริญรุ่งเรืองกว่ารัชกาลอื่น ๆ ภายหลังเมื่อสวรรคต พระเจ้าเลอไท พระราชโอรสได้ครองราชย
สมบัติ สมัยนี้หวั เมืองมอญซึ่งเป็ นเมืองขึน้ ของกรุงสุโขทัย ในสมัยพ่อขุนรามคาแหงเป็ นกบฏตัง้
แข็งเมือง พระเจ้าเลอไท ส่งกองทัพออกไปปราบปราม แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ต่อมาพระราช
โอรสได้ขน้ึ ครองราชย์ ทรงพระนามว่า "พระมหาธรรมราชาลิไทย (ที่ ๑)" ทรงเป็ นกษัตริยท์ ่เี อา
พระทัยใส่แต่ในทางธรรม ทาให้สุโขทัยขาดความเข้มแข็ง จนไม่สามารถควบคุมประเทศราชไว้
ได้ ดังนัน้ พระเจ้าอู่ท อง จึงแข็งเมือ งและประกาศอิส รภาพ ไม่ย อมขึ้น กับ กรุงสุ โขทัย พ.ศ.
๑๘๙๓ เป็นต้นมา ขุนหลวงพะงัว่ แห่งอยุธยา เสวยราชสมบัติ และได้ส่งกองทัพมาตีเมืองต่าง ๆ
ของสุโขทัย แต่ไม่สามารถตีหกั เข้าเมืองได้ จนกระทังเข้ ่ าสู่ยุค "พระเจ้าลือไท" (พระมหาธรรม
ราชาที่ ๒) ขึน้ ครองราชย์ กรุงศรีอยุธยาจึงยกกองทัพไปตีเมืองชากังราว (กาแพงเพชร) ซึง่ พระ
เจ้าลือไทย เสด็จมาบัญชาการรบเอง จนขุนหลวงพะงัวไม่ ่ สามารถตีหกั เอาเมืองได้ แต่ต่อมาทรง
พระราชดาริว่า หากขืนรบต่อไปก็คงเอาชนะกองทัพของขุนหลวงพะงัวไม่ ่ ได้ จึงทรงยอมอ่อน
น้อมโดยดี นับแต่นนั ้ มากรุงสุโขทัยก็สญู เสียเอกราชกลายเป็นเมืองขึน้ ของกรุงศรีอยุธยา
พิสฐิ เจริญวงศ์ และคณะ (๒๕๓๔ : ๘๕) กล่าวว่า อาณาจักรสุโขทัยรุง่ เรืองมากในสมัย
พ่อขุนรามคาแหงมหาราช สมัยนี้มรี ะบบการปกครองแบบบิดาปกครองลูกหรือการปกครองคน
ในครอบครัว คือพระมหากษัตริยเ์ ป็ นเสมือนพ่อ ข้าราชการบริพารเปรียบเสมือนคนในครอบครัว
โดยปกครองลดหลันกั ่ นไป ครัน้ อิทธิพลของขอมเข้ามาแทรกแซงจึงเปลี่ยนไปใช้คาว่าพระยา
ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับกษัตริยก์ ลายสภาพเป็ นข้ากับเจ้า บ่าวกับนายไป
ในสมัย พ่ อ ขุ น รามค าแหงเจริญ สู ง สุ ด ทัง้ ในด้ า นศาสนา ศิล ปวัฒ นธรรม วิช าการ
ตลอดจนเศรษฐกิจ พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม หลังจากสิ้นสมัยของ
๘๙
พระองค์บ รรดาหัว เมือ งต่ าง ๆ จึงเริม่ แยกตัว เป็ น อิส ระ ครัน้ ถึงสมัย พระยาลิไท แม้อ านาจ
ทางการเมื อ งจะไม่ เ ที ย บเท่ า กั บ สมั ย พ่ อ ขุ น รามค าแหงมหาราช แต่ ก็ รุ่ ง เรือ งในทาง
พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมเป็ นอันมาก อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้สุโขทัย ประสบกับปญั หาการ
คุกคามจากอาณาจักรอยุธยา สุดท้ายก็ถูกผนวกให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไป
ฉอด พระองค์ ท รงได้ช ัย ชนะ พระราชบิด าจึง พระราชทาน พระนามว่ า “พระรามค าแหง”
ระหว่างทีพ่ ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์ยงั มีพระชนมายุอยู่ พระองค์ทรงดูแลพระราชบิดาและพระชนนี
โดยไม่ขาดตกบกพร่อง และเมื่อพระเชษฐาขึน้ ครองราชย์ พระองค์ก็ทรงปฏิบตั ติ ่อพระเชษฐา
ดังที่ปฏิบตั ิต่ อพระชนกและพระชนนี และเมื่อ พระเชษฐาสวรรคต พระองค์ทรงได้ราชสมบัติ
ทัง้ หมด เมือ่ พระองค์ขน้ึ เสวยราชสมบัตแิ ล้ว ทรงใช้คาว่า “พ่อขุนรามคาแหง” ทรงกล่าวถึงความ
อุดมสมบูรณ์ ของเมืองสุโขทัย ว่ามีทงั ้ การค้าขายอย่างเสรี ทรงปกครองคนด้วยความยุติธรรม
ทรงเอื้อเฟื้ อต่อผูท้ ่มี าของความช่วยเหลือ ทรงมีความกรุณาปรานีต่อเชลยศึก ทรงโปรดเกล้า ฯ
ให้แขวนกระดิง่ ไว้ทห่ี น้าประตูเพื่อให้ราษฎรไปสันกระดิ่ ง่ เพื่อถวายฎีกาต่อพระองค์ได้
ด้านที่ ๒ กล่าวโดยสรุปว่าหลังจากทีท่ รงได้ยนิ กระดิง่ และรับฎีกาแล้วพ่อขุนรามคาแหง
ทรงวินิจฉัยด้วยความเป็ นธรรม จนเป็ นทีก่ ล่าวขวัญของราษฎร ทรงกล่าวถึงความอุดมสมบูรณ์
ของผลหมากรากไม้ในสุโขทัย การมีน้ าสมบูรณ์ และมีปราการที่มนคง ั ่ ชาวเมืองสุโขทัยทุกชน
ชัน้ ตัง้ แต่ เจ้าเมือ งลงมาต่ างถือ ศีล เมื่อ เข้า พรรษา เมื่อ ออกพรรษาก็ท าบุ ญ กราลกฐิ น ที่ว ัด
อรัญญิกนอกเมืองสุโขทัย ครัน้ เสร็จพิธแี ล้วชาวเมืองจะเข้ามาในเมืองเพื่อดูเจ้าเมืองเผาเทียน
เล่ น ไฟ ต่ อ มาก็ ก ล่ า วถึ ง สภาพภู ม ิศ าสตร์ข องเมือ งสุ โ ขทัย ว่ า เริ่ม บริเ วณใจกลางเมือ งมี
พระพุทธรูปทอง มีพระอัฐฐารศ มีพระอารามขนาดใหญ่ ขนาดกลาง มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่
ขนาดกลาง และมีพระภิกษุ ในระดับต่าง ๆ ด้านทิศตะวันตกมีวดั อรัญ ญิกอันเป็ นที่พานักของ
พระสัง ฆราช ผู้ ซ่ึ ง มีป ญ ั ญาหลัก แหลมกว่ า พระเถระชัน้ ผู้ ใ หญ่ ทุ ก องค์ ล้ ว นมาจากเมือ ง
นครศรีธรรมราชและทีก่ ลางวัดอรัญญิกนี้มวี หิ ารขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระอัฐฐารศยืน ด้านทิศ
ตะวันออกมีพระอาราม มีสระน้ าขนาดใหญ่ มีไร่มนี า และหมู่บา้ นขนาดเล็กและใหญ่ สวยงามดัง
เนรมิต ขึ้น ด้านที่ ๓ กล่ าวถึงภูมปิ ระเทศและถาวรวัต ถุ สถานด้านทิศ เหนือ ของเมือ งสุ โขทัย
กล่าวถึงภูมปิ ระเทศและไร่นาด้านทิศใต้ของเมืองสุโขทัย กล่าวถึงเทวดาผู้มพี ระนามว่า “พระ
ขพุง” ผูพ้ ทิ กั ษ์รกั ษาเมืองสุโขทัย เมือ่ มหาศักราช ๑๒๑๔ พ่อขุนรามคาแหงโปรดเกล้า ฯ ให้ช่าง
ทากระดานหินขึน้ และนาไปตัง้ ไว้กลางสวนตาล ซึ่งพระองค์ทรงปลูกไว้เมื่อ ๑๔ ปี ก่อน เพื่อใช้
เป็นธรรมาสน์ให้พระเถระขึน้ เทศน์ในวันอุโบสถ และใช้เป็นบัลลังก์ประทับสาหรับพระองค์ในการ
ออกว่ าราชการในวัน ที่ไ ม่ ใ ช่ ว ัน อุ โบสถ ในวัน สิ้น เดือ นและวัน เพ็ญ พ่ อ ขุน รามค าแหงทรง
ช้างเผือกเสด็จไปยังวัดในเขตอรัญ ญิก ต่อมาก็กล่าวถึงศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคาแหงอีก ๓
หลัก อยู่ท่ีเมือ งเชลีย งหลัก หนึ่ ง อยู่ใ นถ้ าพระรามหลัก หนึ่ ง และอยู่ใ นถ้ ารัต นธารหลัก หนึ่ ง
กล่าวถึงศาลา ๒ หลังทีส่ ร้างไว้ในสวนตาลและกระดานหินทีม่ ชี ่อื ว่า “มนังคศิลาบาตร” และด้าน
ที่ ๔ กล่าวเฉลิมพระเกียรติพ่อขุนรามคาแหงว่าเป็ นใหญ่ในเมืองศรีสชั ชนาลัย สุโขทัย และนานา
ประเทศราช เมื่อมหาศักราช ๑๒๐๗ พ่อขุนรามคาแหงทรงขุดพระธาตุขน้ึ บูชา แล้วทรงนาไป
บรรจุไว้ในเจดียก์ ลางเมืองศรีสชั นาลัย เมื่อมหาศักราช ๑๒๐๕ พ่อขุนรามคาแหงทรงประดิษฐ์
อักษรไทย ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน กล่าวถึงอาณาเขตด้านทิศตะวันออกของเมืองสุโขทัยในรัชสมัย
พ่อขุนรามคาแหง กล่าวถึงอาณาเขตด้านทิศใต้ ด้านทิศตะวันตก ด้านทิศเหนือ
๙๑
๔.๒ วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์ในสมัยอยุธยำ
อาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีระยะเวลายาวนานถึง ๔๑๗ ปี ในสมัยนี้มพี ระมหากษัตริย์
ปกครองกันหลายพระองค์ สภาพบ้านเมืองเต็มไปด้วยเรือ่ งราวต่าง ๆ ทัง้ ด้านการทาศึกสงคราม
กับพม่า สงครามภายใน การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ การให้ชาวต่างชาติเข้ามารับราชการ
การจัดการปกครองแบบใหม่ ซึ่งเรียกว่า จตุสดมภ์ ดังที่ชาญวิทย์ เกษตรศิร ิ (๒๕๔๘ : ๓-๑๐)
อยุธยาเป็ นเมืองหลวงของสยาม ๔๐๐ กว่าปี อาณาจักรนี้ถอื กาเนิดมาจากการรวมตัวของแว่น
๙๔
แถลงปางปราโมทยเชือ้ เชอญสงฆ
สสโมสรสบ เทศไท้
แถลงปางเมือ่ ลาวลง ชยนาท นัน้ ฤๅ
พระยุทธิษฐิรได้ ย่างยาว ฯ
(ลิลติ ยวนพ่าย)
ในประวัติศาสตร์เล่าว่าสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระยายุทธิษ ฐิระเจ้าเมือ ง
เชลีย งลอบไปเป็ น ไมตรีก ับ เมือ งเชีย งใหม่ พระเจ้า ติโ ลกราชได้ทีจ ึง ยกกองทัพ มาตีเ มือ ง
ก าแพงเพชร จนถึงเมือ งชัย นาถ สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถยกกองทัพ ขึ้น ไปปราบตีท ัพ
เชียงใหม่จนแตกพ่าย เมื่อการศึกสงบสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะเอาตัวพระยายุทธิษฐิระมา
ลงอาญา แต่ พระยายุทธิษฐิระหนีไปสวามิภกั ดิ ์ต่ อพระเจ้าติโลกราชพร้อมทัง้ อาสานาทัพมาตี
เมืองสุโขทัย ต่อมาก็มาตีกาแพงเพชรแต่ไม่สาเร็จเพราะพวกฮ่อยกมาตีเชียงใหม่เสียก่อนจึงต้อง
ยกทัพกลับไปช่วย แต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็สามารถตีสุโขทัยให้กลับคืนมาได้
พ.ศ. ๒๐๐๖ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถยกทัพไปตีเชียงใหม่อกี ครัง้ แต่ไม่สาเร็จจึง
เปลี่ยนราโชบายไปประทับที่เมืองพิษณุ โลก และยกเมืองพิษณุ โลกเป็ นราชธานี พ.ศ. ๒๐๑๖
พระเจ้าติโลกราชเกิดพระสติวปิ ลาสฆ่าราชบุตรของตนเอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเห็นได้ที
จึงทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงชื่น ได้ผู้คนชาวเชลียงที่พระเจ้าติโลกราชกวาดต้อนเอาไปกลับคืน
มา เมืองเชียงใหม่ขอทาไมตรีดว้ ย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ยนิ ดี
สงวน โชติสุขรัตน์ (๒๕๑๕ : ๓๐๔-๓๐๕) กล่าวว่าสาเหตุท่พี ระยายุธษิ ฐิระเอาใจออก
ห่างเกิดจากเมื่อครัง้ ทีส่ มเด็จพระบรมไตรโลกนาถยังไม่เสวยราชสมบัติ ยังเป็ นสหายกับพระยา
ยุธษิ ฐิระ พระยายุธษิ ฐิระทรงถามว่าหากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นใหญ่แล้วจะให้ตนอยูใ่ น
ตาแหน่ งใด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตรัสว่าจะให้เป็ นอุปราชกินเมืองครึง่ หนึ่ง แต่ครัน้ พระ
บรมไตรโลกนาถเป็ นใหญ่ก็ไม่ทาตามสัญญาที่ให้ไว้ พระองค์เพียงให้พระยายุธษิ ฐิระกินเมือง
สองแควเท่านัน้ พระยายุธษิ ฐิระจึงมีความโกรธแค้น ซึง่ ใจความนี้เจริญ ไชยชนะ กล่าวไว้ทานอง
เดียวกันว่า “พระยายุธษิ ฐิระเจ้าเมืองเชลียงซึ่งคุมแค้นอยู่ด้วยไม่ได้รบั ตาแหน่ งพระมหาธรรม
ราชา เห็นเป็ นโอกาสเหมาะทีพ่ ระบรมไตรโลกนาถทรงห่างเหินหัวเมืองเหนือ จึงลอบไปทาไมตรี
กับพวกเชียงใหม่” (อ้างถึงในบุญ ยงค์ เกศเทศ, ๒๕๒๐ : ๗๗) สอดคล้องกับที่กฤตวิทย์ ดวง
สร้อยทอง (๒๕๒๑ : ๗๙) กล่าวถึงสาเหตุการเอาใจออกห่างของพระยายุทธิษฐิระว่าปี ๑๙๘๑
พระมหาธรรมราชาที่ ๔ แห่งกรุงสุโขทัยสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ โปรดให้พระรา
เมศวรเป็ นอุปราชครองเมืองพิษณุ โลก เป็ นการผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอยุธยา พระยา
รามซึง่ เป็ นน้องของพระมหาธรรมราชาที่ ๔ ไม่พอพระทัย เพราะพระองค์มโี อรสคือพระยายุทธิ
ษเฐียร (ยุทธิษฐิร) ซึง่ มีพระชนมายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระราเมศวร พระยารามกับพระยาราม
ผู้น้ อ งจึง ไปขอความช่ ว ยเหลือ จากเชีย งใหม่ แต่ ย งั ไม่ เป็ น ที่เปิ ด เผย เมื่อ พระราเมศวรขึ้น
๑๐๓
๔.๓ วรรณคดีเกี่ยวกับกับประวัติศำสตร์ในสมัยธนบุรี
สมัยกรุงธนบุร ี กษัตริยผ์ ปู้ กครองเมือง คือ “พระบรมราชาธิราชที่ ๔" (แต่ประชาชนนิยม
เรียกว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชหรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุร)ี พระองค์ทรงปกครองกรุง
ธนบุรเี ป็นเวลา ๑๕ ปี ในรัชสมัยของพระองค์มเี รือ่ งการทาศึกสงครามตลอดเวลา ดังรายละเอียด
๔.๓.๑ เหตุกำรณ์ บ้ำนเมือง สุดารา สุจฉายา (๒๕๕๐ : ๔๑ - ๔๘) กล่าวถึงพระราช
ประวัตสิ มเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรวี ่าพระราชสมภพในปีขาล ฉอศก จุลศักราช ๑๐๙๖ ตรงกับ พ.ศ.
๒๒๗๗ ในแผ่ นดินพระเจ้าบรมโกศ พระนามเดิมว่าสิน บิดาชื่อ ไหยฮอง เป็ นขุนพัฒน์ นาย
อากรบ่อนเบี้ย เจ้าพระยาจักรีสมหุนายกรับเลี้ยงในฐานะบุตรบุญธรรม ครัน้ เติบใหญ่ศกึ ษาเล่า
เรียนทีว่ ดั โกษาวาสน์ จากนัน้ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กและได้เลื่อนเป็ นพระยาตาก พระราชประวัติ
หลังจากนัน้ ได้มบี นั ทึก ในพงศาวดารฉบับต่าง ๆ ว่า พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาตากมาช่วยราชการ
ป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากมีความชอบในการทาสงครามจึงได้เลื่อนตาแหน่ งเป็ น
พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกาแพงเพชร พ.ศ. ๒๓๐๙ ระหว่างทาสงครามรักษาพระนคร เกิด
ความท้อใจที่เห็นผู้บงั คับบัญชาอ่อนแอ จึงตัดสินใจพาไพร่พลออกไปจากค่ายวัดพิชยั ตีฝ่าวง
ล้อมพม่าไปทางทิศตะวันออก ตอนเที่ยงคืน ขณะเกิดไฟไหม้ขน้ึ ในพระนคร ต่อมาก็เดินทัพไป
ทางบ้านหันตรา ปะทะกับกองทหารพม่า พม่าสูไ้ ม่ได้กล็ ่าถอยไป พระยาตากยกพลไปทางบ้าน
ข้าวเม่า บ้านสามบัณฑิต ลุถงึ บ้านโพสามหาว หรือโพสาวหาญหรือโพสังหาร ในตอนเช้าต่อสู้
กับพม่าทีต่ ดิ ตามมาจนแตกพ่ายไป พระยาตากเดินทัพต่อไปจนถึงบ้านพรากนกจึงหยุดพักแรม
ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองนครนายก ผ่านบ้านบางดง หนองไม้ซุง บ้านนาเริง่ จนถึงเมือง
ปราจีนบุร ี ปะทะเข้ากับกองทหารพม่าที่บ้านคู้ลาพัน ชายทุ่งศรีมหาโพธิ ได้ตพี ม่าแตกพ่ายไป
จากนัน้ จึงข้ามแม่น้ าบางปะกง ผ่านแปดริว้ เข้าเมืองชลบุร ี มายังบ้านนาเกลือ (บางละมุง) นายก
ล่าซึง่ เป็ นนายชุมนุ มทีน่ นน
ั ่ าเสด็จไปพัทยา ประทับแรมทีน่ าจอมเทียน ทุ่งไก่เตีย้ สัตหีบ แห่งละ
คืน ก่อนเข้าเมืองระยอง ประทับทีว่ ดั ลุ่ม (มหาชัยมงคล) แล้วชักชวนให้กรมการเมืองระยองร่วม
๑๑๐
ยกพยุหยาตรเยือ้ ง บทศรี
ดังพระกฤษณตรี โลกล้น
พลหาญหื่นมหิทธิม ี ฤทธิภาพ
ทลวงล่วงเขตรนครปล้น ไล่ลุย้ ตลุยไป ฯ
เจ้าปาตลิบุตรนัน้ อัปรา ชัยเอย
ไปสถิตย์เทพาพา พวกแพ้
หนีเข้าพึง่ ตนนา ทัพเล่า
ทัพราชรีบรบแหร้ แขกม้วยเมืองทลาย ฯ
จึง่ ยกอพยพเข้า ตานี
พญาแขกเกรงบารมี ส่งให้
มาถวายกับบุตรี มาลย์มงิ่ เมืองนา
พระประทานอภัยให้ กลับเลีย้ งเป็นเฉลิม ฯ
ปางสวางค์บุเรศร้าย จาแลงผิด
พุทธบุตรละพุทธกิจ ก่อแกล้ว
ทุศลี ทุจริตอิจ ฉาราช
เสด็จปราบสัตว์บาปแผ้ว ฟอกฟื้นสาสนา ฯ
แล้วฉลองพุทธธาตุแท้ สุจริต
สมณะบรรพชิต ใช่น้อย
พระอวยชนอุทศิ ทานทัว่
มีมหรศพช้อย ชื่นช้อยชนเขษม ฯ
เมืองชัยทีร่ ว่ มร้าย เวียงสวางค์
พ่ายพระเดชคุณปาง ปิ่มม้วย
กลับน้อมศิโรตมางค์ มาเล่า
มาภักดิ ์เป็ นทหารด้วย อยูใ่ ต้บาทบงสุ์ ฯ
ปางปาตลิบุตรทัง้ เวียงสวางค์
นครราชสิมาหมาง ปิ่นหล้า
ถ้าแต่หมูท่ หารกลาง หมวดหนึ่ง ก็ดี
ก็จะมีชยั แก่ขา้ ศึกเสีย้ นสยบแสยง ฯ
พระเห็นพลพระห้าว เหลือหาญ
เกรงราษฎรจะลาญ ชีพม้วย
จึงเสด็จผดับการ รงค์รวด ระงับแฮ
หวังปราบหวังการุณด้วย ดังนี
่ ้ทรงถวิล ฯ
(โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร)ี
๑๑๖
ั่
ย้ายราชธานี จากกรุงธนบุ ร ีข้ามแม่ น้ าเจ้าพระยามายังฝ งตรงข้ าม และตัง้ ชื่อ ราชธานี ใหม่ว่า
"กรุงเทพมหานคร" พร้อมกับการสถาปนาราชวงศ์จกั รีขน้ึ มา พระองค์ทรงนาแบบแผนต่าง ๆ
ของอยุธ ยามาใช้ รวมทัง้ อัญ เชิญ พระพุ ท ธรูปสาคัญ มาไว้ท่กี รุงเทพฯ ทรงระดมช่างฝี มอื ซึ่ง
หลงเหลืออยู่ในเวลานัน้ มาสร้างพระราชวังและพระอาราม ที่ยงิ่ ใหญ่ คือ วัดพระศรีรตั นศาสดา
รามหรือวัดพระแก้ว ทัง้ ทรงฟื้นฟูศลิ ปวัฒนธรรม ทรงรวบรวมตาราจากหัวเมืองต่าง ๆ ทีร่ อดพ้น
จากการถูกเผามาเก็บไว้ท่กี รุงเทพฯ ช่วงนี้สยามยังผจญกับศึกสงครามรอบด้าน ครัง้ ใหญ่ท่สี ุด
ในประวัตศิ าสตร์ คือ “สงครามเก้าทัพ" ซึง่ ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าปดุง กษัตริยแ์ ห่งพม่า
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศ หล้า ฯ พระเจ้าปดุงกษัต ริย์พม่า ทรง
ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงพระชรา และกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท
สิ้นพระชนม์แล้ว จึงคิดจะขยายอานาจเข้ามาในไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึง
โปรด ฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุ รกั ษ์ยกทัพไปตีทพั พม่าจนแตกพ่าย ต่อมาพระเจ้า
จักกายแมง ราชนัดดาของพระเจ้าปดุงได้ยกทัพเข้ามาตีไทยอีก แต่เมืองพม่าเกิดกบฏขึน้ พม่า
จึงต้องโอนทหารไปปราบกบฏจนลุกลาม เป็นเหตุให้ววิ าทกับอังกฤษ จนต้องงดการเข้ามาตีไทย
แม้ว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุ ท ธเลิศ หล้าฯ มีการท าศึกสงครามกัน
บ่อยครัง้ แต่ รชั กาลนี้ก็ทรงใฝ่พระทัยในศิลปวัฒนธรรมมาก ทรงสร้างและบูรณะวัดวาอาราม
จานวนมาก เช่น การบูรณะวัดสลักใกล้พระราชวังเดิมฝงธนบุ ั ่ ร ี จนกลายเป็ นวัดประจารัชกาล
ของพระองค์พระราชทานนามว่า "วัดอรุณราชวรารามมหาวิหาร" ทรงมีฝีพระหัตถ์เชิงช่าง และ
ทรงพระอัจฉริยภาพในทางกวีด้วย พระราชนิพนธ์ช้นิ สาคัญ ของพระองค์ เช่น บทละครเรื่อ ง
อิเหนา และ รามเกียรติ ์ ทัง้ ยังทรงเป็ นองค์อุปถัมภ์บรรดาศิลปิ นและกวีด้วย ยุคนี้จงึ เรียกได้ว่า
เป็ นยุคสมัยที่กวีรุ่งเรืองที่สุด ในด้านการต่างประเทศ พระองค์ทรงเริม่ ฟื้ นฟู ความสัมพันธ์ กับ
ประเทศตะวันตกใหม่ โดยมีพระบรมราชานุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาตัง้ สถานทูตได้เป็นชาติแรก
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ า ฯ สืบ เนื่ อ งจากที่พ ม่า วิว าทกับ อังกฤษ
อังกฤษได้ชวนไทยไปช่ วยรบ ฝ่ายไทยนาทัพ สมทบกับอังกฤษตีต องอู และหงสาวดี ต่ อมา
พระยาชุมพรเกิดวิวาทกับอังกฤษ เพราะทัพเรือของพระยาชุมพรไปกวาดต้อนชาวเมืองมะริดซึง่
อังกฤษครอบครองอยู่มาไว้กบั ไทย รัชกาลที่ ๓ จึงทรงสังให้ ่ เรียกกองทัพกลับ แล้วลงโทษพระ
ยาชุมพรที่ละเมิดสิทธิของอังกฤษ ต่อมาอังกฤษได้ส่งร้อยเอกเฮนรี เบอร์นี เป็ นทูตมาชวนไทย
ร่วมรบอีก เมื่อ ไทยร่วมรบจนสามารถรักษาเมืองเมาะตะมะไว้ไ ด้ก็ขอให้องั กฤษแบ่งดินแดน
บางส่วนให้บา้ ง อังกฤษกลับบ่ายเบีย่ ง รัชกาลที่ ๓ จึงโปรด ฯ ให้เรียกกองทัพกลับพระนคร เมื่อ
มีข่าวลือไปถึงเวียงจันทน์ ว่าไทยกับอังกฤษวิวาทกัน เจ้าอนุ วงศ์จงึ ถือโอกาสยกทัพลงตีไทย
ต่อมาได้เข้าไปตีเมืองนครราชสีมา คุณหญิงโมผู้เป็ นภริยาพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาได้เข้า
ต่อสูฆ้ ่าฟนั ชาวเวียงจันทน์ลม้ ตายเป็ นจานวนมาก พระบาทสมเด็จพระนังเกล้
่ า ฯ ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ สถาปนาคุณหญิงโมเป็น "ท้าวสุรนารี" ต่อมาฝา่ ยไทยได้ยกทัพไปตีทพั ลาวจนแตก
พ่ ายไป เจ้าอนุ วงศ์แ ละครอบครัวต้องหลบหนีไปพึ่งญวน เมื่อ ยึดเวียงจันทน์ ได้แล้วก็จบั เจ้า
๑๒๔
พระรำชพงศำวดำรฉบับพันจันทนุมำศ ลิ ลิตตะเลงพ่ำย
พระมหาอุปราชากราบทูลพระราชบิดาว่า โหร บุตรท่านยินถ้อถอย ข้อยผู้ขา้ บาทบงสุ์ โหรควร
ทายว่าชันษาข้าพระพุ ทธเจ้าร้ายหนัก สมเด็จ คงทานาย ทายพระเคราะห์ถึงฆาต ฟ งั สารราช
พระเจ้าหงศาวดีตรัสว่า พระมหาธรรมราชาไม่ เอารส ธก็ผะชดบัญ ชา เจ้าอยุธยามีบุตร ล้วนยง
เสีย แรงมีบุ ต ร การสงครามไม่ พ ัก ให้บิด าเลย
ยุ ท ธ์เชี่ย วชาญ หาญหัก ศึก บ่ ม ิย่ อ ต่ อ สู้ศึก บ่ ม ิ
หย่อ น ไป่พ กั วอนว่าใช้ ให้ธหวงธห้าม แม้นเจ้า
ต้องห้ามเสียอีกและซึง่ เจ้าว่าเคราะห็รา้ ยอยู่แล้ว
ก็ อ ย่ า ไปเลย เอาผ้ า นุ่ ง สตรีนุ่ ง เสีย เถิด จะได้
คร้ามเคราะห์ก าจ จงอย่ายาตรยุท ธนา เอาพัส
สิน้ เคราะห์ ตราสตรี สวมอินทรียส์ ร่างเคราะห์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ตรัสแก่มุขอามาตย์ว่าสองกษัต ราบรรหาร แห่ งเหตุ ก ารณ์ อ ริราช
แผ่นดินกรุงกัมพูชากุรุราฐ ผู้ใดครองสมบัติจติ
ด้ ว ยมวลมาตย์ ม นตรีว่ า กรุ ง ศรีย โศธร นคร
มัก เป็ นสัน ดานทางทุ จริต มาถึงวัด สามพิห าร
อินทรปรัสถ์ กุ รุรสั ประเทศ กัมพุ ชเพศพิสยั ผิว
จนเสียพระจาปาธิราชลูกชายก็ยงั หาเข็ดหลาบ ผู้ใดเถลิงถวัล ย์ มัก โมหัน ธ์เห็น ผิด ริทุ จริต เรื่อ ง
ไม่ มีศึก หงสาวดีติด พระนครครัง้ ใด ก็มแี ต่ยก
พ าล โด ย สั น ด าน แ ต่ ป ระถ ม …อ อ ก ยุ ท ธ์
ทัพ มาพลอยซ้ า ตีก วาดเอาประชาราษฎรข้อ เจ้ากัม พุ ช พัก พล ต าบลสามพิห าร พลเราราญ
ขอบขัณฑเสมาไปทุก ๆ ครัง้ ขอมแขก แตกตายตากพสุ ธ า เสีย พระจ าปา
เอารส ขาดคอคชคืน เมือ ง ทวยหาญเปลือ งไป่
(ที่มา : พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ หลาบ คอยข่ า วทราบศึก มอญ ติด นครคราใด
พันจันทนุมาศ (เจิม). ๒๕๕๓) พลอยชิงชัยแทรกซ้า ค้าเป็ นศึกสองหน้ า กวาด
เอาข้าขอบขัณฑ์ ปนั ไปสู่ถนิ่ ตน
ตำรำงที่ ๒ เปรียบเทียบเนื้อหาในเรือ่ งลิลติ ตะเลงพ่ายกับพงศาวดาร
เมื่อพิจารณาการเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์โดยใช้ขอ้ มูลจากประวัติศาสตร์ไทยก็
พบว่ า ผู้เขีย นมัก เล่ า ผ่ า นตัว ละครชาวต่ างชาติท่ีเข้า มามีป ฏิส ัม พัน ธ์กับ คนกลุ่ ม ต่ าง ๆ ใน
สังคมไทย โดยผู้อ่านจะรูส้ ึกว่า เหตุ การณ์ ท่เี กิดขึ้น เสมือนนัก เขียนได้เข้าไปสัมผัสเหตุการณ์
เหล่านัน้ จริง ๆ สอดคล้องกับที่ฤทธิศกั ดิ ์ วงษ์วุฒพิ งษ์ (๒๕๕๖ : ๒๑๔-๒๑๕) ทีไ่ ด้ศกึ ษาเรื่อง
แอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม และรอยประทับ แล้วพบว่าทัง้ สองเรื่องทาให้เห็น ภาพลักษณ์ ทาง
วัฒ นธรรมของสยามรวมถึง แง่มุ ม ทางประวัติศ าสตร์ข องสยามในความเห็ น ของตัว ละคร
ชาวตะวันตกทีไ่ ด้รบั ประสบการณ์การปะทะทางวัฒนธรรมทีแ่ ตกต่าง รวมถึงความพยายามทีจ่ ะ
ปลูกฝงั หรือถ่ ายทอดวัฒ นธรรมใหม่ให้แก่ สงั คมใหม่ท่ตี ัวเองได้เดินทางไปอยู่ ซึ่งทาให้ผู้อ่าน
สามารถมองเห็นความคิดของอานาจอาณานิคมทีแ่ ฝงอยูใ่ นการกระทาและความคิดของตัวละคร
๑๔๔
สรุป
จากการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และบริบททางประวัติศาสตร์ เห็นได้ว่า
วรรณคดีสมั พันธ์กบั บริบททางสังคม ประวัตศิ าสตร์ทุกยุคทุกสมัย มูลเหตุของการแต่งส่วนใหญ่
เกิดขึน้ จากการที่ผู้แต่งได้รบั แรงบันดาลใจจากการเห็นสภาพและเหตุการณ์ ท่แี วดล้อมตนอยู่
เช่น มีความชื่นชมในวีรกรรม ความสามารถหรือบุญบารมีของบุคคลสาคัญก็แต่งเรื่องวรรณคดี
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยเน้ นเนื้ อหาไปที่การสดุดี ถ้าประสบพบเห็นสิง่ ที่ประทับใจหรือจุด
ประกายให้ เ ขีย นก็เขีย นในเชิง บัน ทึก สภาพเหตุ ก ารณ์ บ้ า นเมือ ง ซึ่ง การศึก ษาบริบ ททาง
ประวัตศิ าสตร์น้ี ช่วยให้ผอู้ ่านเข้าใจเกี่ยวกับบริบททางสังคมหรือประวัตศิ าสตร์ในสมัยต่าง ๆ ได้
ดียงิ่ ขึน้ อาจได้ความรู้เกี่ยวกับภาษาและลักษณะอักขรวิธสี มัยต่าง ๆ จากการศึกษาศิลาจารึก
พ่อขุนรามคาแหง หลักที่ ๑ หรือศึกษาลิลติ ยวนพ่าย อาจได้ความรูเ้ กี่ยวกับความสัมพันธ์กบั
ต่างประเทศสมัยต่าง ๆ เช่น ศึกษาจากเรื่องนิราศกวางตุ้ง นิราศลอนดอน ได้ความรูเ้ กี่ยวกับ
การทาศึกสงครามของชนชาติไทยและพม่าที่สอดคล้องกับในพงศาวดาร เช่น ศึกษาจากลิลติ
ตะเลงพ่าย หรือได้ความรูเ้ กี่ยวกับวัฒนธรรม สภาพสังคม และเหตุการณ์บา้ นเมือง เช่น ศึกษา
นิทานโบราณคดี สาสน์สมเด็จ และสีแ่ ผ่นดิน
๑๔๖
บทที่ ๕
แนวคิ ดวำทกรรมกับกำรประกอบสร้ำงวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
ระเบียบวินัยและข้อบังคับนัน้ อาจไม่ได้แสดงออกในรูปแบบของการลงโทษและให้รางวัลโดยตรง
แต่ก ารแสดงออกผ่ านปฏิบตั ิการทางวาทกรรมที่เคลือบแฝงในรูปของตัวบทที่รายล้อมและมี
อิทธิพลต่อวิถชี วี ติ เรา ในการวิเคราะห์วาทกรรมจึงไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ว่าสิง่ หนึ่งถูกให้ค่ า
หรือ ความหมายอย่างไร แต่ ค วรพิจารณาด้ว ยว่าผู้ให้ค่ าหรือ ความหมายดังกล่ าวเป็ นใคร มี
ต าแหน่ งใดในสัง คมหรือ อยู่ส ถาบัน ใด และการให้ค่ า หรือ ความหมายดัง กล่ า วสัม พัน ธ์กับ
การเมืองเรือ่ งอานาจอย่างไร ในแง่น้ีแนวคิดเรือ่ งภาพแทนทีน่ ิยามโดยสจ็วต ฮอลล์ (Stuart Hall,
๑๙๙๗: ๑๕-๒๓) จึง ทวีค วามส าคัญ ในการศึ ก ษาวรรณกรรมและมีก ารพิ จ ารณาศึ ก ษา
วรรณกรรมในฐานะภาพแทนมากขึ้น โดยสจ็ว ต ฮอลล์ มองว่าภาพแทน หมายรวมถึง การ
นาเสนอหรือการสร้างภาพแทนด้วย ดังนัน้ จึงอาจแปลได้ว่า “การนาเสนอภาพแทน” หรือ “การ
สร้างภาพแทน” มีแง่มุมของ “การนามาเสนอใหม่” และ “การเป็นตัวแทน” ด้วย ดังนัน้ ภาพแทน
จึงเป็ นเพียงความหมายหนึ่งของคาที่ซบั ซ้อนคานี้ การนาเสนอภาพแทนมีขนั ้ ตอนที่กลันกรอง ่
ความเป็ นจริงอย่างน้ อ ย ๒ ระดับ คือ การกลันกรองและจั่ ดการเรียบเรียงความรูค้ วามคิดใน
สมองมนุ ษย์ และการกลันกรองและจั
่ ดการเรียบเรีย งภายนอกโดยผ่านระบบสัญญะเช่นภาษา
การสร้างภาพแทนเป็ นการ “สร้าง” ความหมาย ซึ่งตัง้ อยู่บนความเชื่อพื้นฐานที่ว่าการนาเสนอ
ภาพแทนนัน้ ไม่ได้เป็ นกระบวนการที่โปร่งใสหรือ เป็ นเพียงการถ่ ายทอดสิ่งรอบข้างโดยตรง
ไม่ ได้ม ีก ารบิด เบือ น แต่ เป็ น การผลิต ความหมายแอบแฝงอยู่ กล่ าวคื อ สิ่งรอบข้างไม่ได้ม ี
ความหมายในตัวของมันเอง ผูท้ น่ี าเสนอภาพแทนเป็ นผู้ใส่ “ความหมาย” ลงไปในกระบวนการ
นาเสนอ จากแง่มุมดังกล่าวการศึกษาภาพแทนจึงสามารถเชื่อมโยงแนวคิดเรื่องวาทกรรมได้
เป็ นอย่างดี เนื่องจากแนวคิดทัง้ สองมองว่าผู้เขียนหรือผู้นาเสนอมีบทบาทเป็ นผู้กาหนดกรอบ
และให้ความหมายสิง่ รอบข้างทีอ่ าจไม่ได้มคี วามหมายหรือสารัตถะในตัวเองตัง้ แต่แรก
ส าหรับ องค์ค วามรู้ใ นการศึก ษาวาทกรรม วัน ชนะ ทองค าเภา (๒๕๕๔ : ๒๑-๒๖)
ประมวลแนวคิดเรื่องวาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ วิทยานิพนธ์ของปิ ยรัตน์ ปนลี ั ้ ้ สมฤดี เกียรติศริ ิ
กุ ล ธร และจัน ทิม า เอีย มานนท์ สรุป ได้ว่ า วาทกรรมมีรูป องค์ค วามรู้ ดังนี้ (๑) กรอบของ
ค าอธิบ ายเกี่ยวกับ ความรู้ท่สี ามารถให้ค วามเข้าใจที่ชดั เจน และเฉพาะกิจเกี่ยวกับเรื่อ งราว
หนึ่ง ๆ (๒) กฎเกณฑ์ในการกล่าวถึงหรือแสดงความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ (๓) องค์
ประธานทีท่ าให้มองเห็นภาพของวาทกรรมนัน้ ชัดเจน (๔) วิธกี ารทีท่ าให้วาทกรรมนัน้ น่าเชื่อถือ
มีฐานะเป็ น “ความจริงแท้” ที่มพี ลังในสังคม (๕) กิจกรรมทางสังคมและสถาบันทางสังคมที่ใช้
บริหารจัดการองค์ประธานในวาทกรรม และ (๖) การยอมรับว่าในอนาคตจะต้องมีวาทกรรมชุด
อื่นทีก่ ่อร่างขึน้ มาจากองค์ความรู้ และวิธกี ารมองโลกแบบใหม่ ๆ ขึน้ มาแทนวาทกรรมชุดเก่า
ในต าราเล่ ม นี้ ผู้เขีย นใช้ ค าว่ า “วาทกรรมกับ การประกอบสร้า งวรรณคดีเกี่ย วกับ
ประวัตศิ าสตร์” ในแง่มุมของชุดคากล่าวทีเ่ กี่ยวกับวรรณคดีประวัตศิ าสตร์ ซึง่ ผสานด้วยความคิด
ความเชื่อบางอย่างทีไ่ หลเวียนอยู่ในสังคม โดยชุดคากล่าวทีป่ รากฏนัน้ ได้ผ่านกระบวนการทาให้
กลายเป็ น ความรู้ หรือ ความจริงโดยสถาบัน ทางสังคม (เช่น สถาบัน การศึ ก ษา) โดยพิเชฐ
๑๔๙
สง่า งาม เช่ น เรื่อ งลิล ิต ยวนพ่ า ย ต่ อ มาในสมัย กรุง ธนบุ ร ีจ ึง มุ่ ง เน้ น ลัก ษณะของนั ก รบที่ม ี
ความสามารถ และผู้ ทาคุณ ประโยชน์ เพื่อแผ่นดิน เช่น โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร ี
ส่ ว นสมัย รัต นโกสิน ทร์ต อนต้น เน้ น พระมหากษัต ริย์ท่ีม ี บ ทบาทในการท าคุ ณ ประโยชน์ เพื่อ
แผ่ นดินมากขึ้น เช่น ฟื้ นฟู ซ่อมแซม บูรณะวัดวาอาราม สถานที่ต่าง ๆ เช่น กลอนเพลงยาว
สรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หวั โคลงยอพระเกียรติสามรัชกาล โคลง
ปราบดาภิเษกยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นต้น
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หลายเรื่องมักนาเสนอภาพลักษณ์ ของกษัตราธิราชที่
สร้างวีรกรรมอันยิง่ ใหญ่เหนือมนุ ษย์ ช่วยปลดปล่อยชาติบา้ นเมืองจากการถูกครอบงาจากศัตรู
หรือ ผู้ค ิด ร้าย และสร้างความยิ่ง ใหญ่ ข องอาณาจัก รด้ว ยการขยายอาณาเขตเพื่อ ผนวกให้
อาณาจักรยิง่ ใหญ่ขน้ึ เฉกเช่นเดียวกับวีรบุรุษ สร้างภาพลักษณ์ให้เป็ นสมมติเทพที่ศกั ดิ ์สิทธิ ์ มี
บารมีและมีอภินิหารเหนือคนธรรมดา และสร้างภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้าที่รอบรูด้ า้ นธรรมะ
ถือกาเนิดมาเพื่อปราบมาร ทัง้ หมดนี้เป็ นการเน้นย้าภาพลักษณ์ของกษัตริยท์ ่ไี ม่ใช่คนธรรมดา
วาทกรรมนี้ปรากฏอย่างโดดเด่นในสมัยอยุธยา ดังการแสดงพลังอานาจเยี่ยงวีรบุรุษของพระ
นเรศวรทีแ่ ม้จะรบกับฝา่ ยตรงข้ามทีม่ คี วามสามารถไม่แพ้กนั แต่ในทีส่ ุดก็สามารถเอาชนะได้
๏ สองโจมสองจูจ่ ว้ ง บารู
สองขัตติยสองขอชู เชิดด้า
กระลึงกระลอกดู ไวว่อง นักนา
ควาญขับคชแข่งค้า เข่นเขีย้ วในสนาม ฯ
๏ งามสองสุรยิ ราชล้า เลอพิศ นาพ่อ
พ่างพัชรินทรไพจิตร ศึกสร้าง
ฤๅรามเริม่ รณฤทธิ ์ รบราพณ์ แลฤๅ
ทุกเทศทุกทิศอ้าง อื่นไท้ไปเ่ ทียม ฯ
๏ ขุนเสียมสามรรถต้าน ขุนตะเลง
ขุนต่อขุนไปเ่ ยง หย่อนห้าว
ยอหัตถ์เทิดลบองเลบง อังกุศ ไกวแฮ
งามเร่งงามโทท้าว ท่านสูศ้ กึ สาร ฯ
๏ คชยานขัตติเยศเบือ้ ง ออกถวัลย์
โถมปะทะไปท่ นั เหยียบยัง้
สารทรงราชรามัญ ลงล่าง แลนา
เสยส่ายท้ายทันต์ทงั ้ คูค้ ้าคางเขิน ฯ
๑๕๒
๏ ดาเนินหนุนถนัดได้ เชิงชิด
หน่อนเรนทรทิศ ตกด้าว
เสด็จวราฤทธิ ์ ราร่อน ขอแฮ
ฟอนฟาดแสงของ้าว อยูเ่ พีย้ งจักรผัน ฯ
๏ เบือ้ งนัน้ นฤนาถผู้ สยามมินทร์
เบีย่ งพระมาลาผิน ห่อนพ้อง
ศัสตราวุธอรินทร์ ฤๅถูก องค์เอย
เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปดั ด้วยขอทรง ฯ
๏ บัดมงคลพ่าห์ไท้ ทวารัติ
แว้งเหวีย่ งเบีย่ งเศียรสะบัด ตกใต้
อุกคลุกพลุกเงยงัด คอคช เศิกแฮ
เบนบ่ายหงายแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย ฯ
๏ พลอยพล้าเพลียกถ้าท่าน ในรณ
บัดราชฟาดแสงพล- พ่ายฟ้อน
พระเดชพระแสดงดล เผด็จคู่ เข็ญแฮ
ถนัดพระอังสางข้อน ขาดด้าวโดยขวา
๏ อุรารานร้าวแยก ยลสยบ
เยนพระองค์ลงทบ ท่าวดิน้
เหนือคอคชซอนซบ สังเวช
วายชิวาตม์สุดสิน้ สู่ฟ้าเสวยสวรรค์ ฯ
๏ บัน้ ท้ายคชาเรศท้าว ไทยไผท
ถึงพิราลัยลาญ ชีพมล้าง
เพราะเพื่อพิพธิ ไพ- รีราช แลนา
โซรมสาดตราดปืนขว้าง ตอกต้องตนสลาย ฯ
๏ ฝา่ ยองค์อศิ วรนาถน้อง นฤบาล
แสดงยศคชยุทธยาน ยาตรเต้า
มางจาชโรราญ ฤทธิ ์ราช แลฤๅ
เร็วเร่งคเชนทรเข้า เข่นค้าบารู ฯ
๏ บัดภูธเรศพ่าห์ได้ เชิงชน
ลงล่างง้างโททนต์ เทิดใต้
พัชเนียงเบีย่ งเบนตน เซซวน ไปแฮ
หัวปนหัั ่ นข้างให้ เพลีย่ งพลัง้ เสียที ฯ
๑๕๓
ไม่มเี ทพคอยส่ งเสริม เมื่อ ท าสงครามต้อ งประสบกับความยากล าบาก ทุก ข์ใจ เศร้าใจ และ
ตรากตรา ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อชาติ (ผู้แต่งมักกาหนดให้ตวั ละครมีมเหสี ในขณะที่
ในอดีตไม่มภี าพดังกล่าว) ดังการสร้างนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องมหาราชโสด ของประชา
พูนวิวฒั น์ เรื่องอธิราชาของทมยันตี วรรณกรรมเรื่องเล่าทีเ่ ป็ นการ์ตูน เช่น การ์ตูนเรื่องสมเด็จ
พระนเรศวรมหาราช การ์ตูนเรื่องมหากาพย์กู้แผ่นดิน วรรณกรรมเรื่องเล่าที่เป็ นบทละคร เช่น
บทละครเรื่องพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ บทละครเรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และละคร
อิงประวัติศาสตร์เรื่องสมเด็จพระนเรศวร ตลอดจนภาพยนตร์เรื่องตานานสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช เรื่องเล่าเหล่านี้กาหนดให้พระนเรศวรมีภาพลักษณ์ ของมนุ ษย์ปุถุชนธรรมดา คือ มี
รูปลักษณ์เหมือนมนุ ษย์ ได้รบั การอบรมสังสอนจากบิ
่ ดามารดาตัง้ แต่พระเยาว์เพื่อให้เติบโตมา
อย่างคนมีคุ ณ ภาพ สามารถกระท าการใหญ่ ได้ เมื่อ ยามศึกก็ยอมเสียสละความสุ ข เพื่อ ชาติ
บ้านเมือง และออกรบโดยอาศัยความสามารถไม่ใช่บุญญาธิการหรือมีเทพคอยคุม้ ครอง อย่างไร
ก็ตาม ภาพโดยรวมก็ตอ้ งเป็นคนดีตามอุดมคติของคนในสังคม
จาก เบญจมาศ พลอินทร์, ๒๕๒๓ : ๒๒) สาหรับพระราชพิธถี ือน้ าพระพิพฒ ั น์ สตั ยาในสมัย
อยุ ธ ยาจะประกอบพระราชพิ ธ ีน้ี ใ นวาระต่ า ง ๆ ๔ วาระด้ ว ยกั น คือ ๑) พระราชพิ ธ ีถื อ
น้ าพระพิพฒ ั น์สตั ยาเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยสิรริ าชสมบัติ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จ
สวรรคต พระบรมโอรสาธิราชผูส้ บื ราชสมบัติ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มพี ระบรมราชโองการให้พระ
บรมวงศานุ วงศ์ ข้าราชการ เจ้าหัวเมืองน้ อยใหญ่ มาเข้าเฝ้ายังพระราชวังเพื่อดื่มน้ าถวายสัตย์
สาบาน แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินองศ์ใหม่ ๒) พระราชพิธถี อื น้าพระพิพฒ ั น์สตั ยา
ประจาปี เพื่อเป็นการตรวจสอบบรรดาข้าราชการ และเจ้าหัวเมืองต่าง ๆ หากผูใ้ ดไม่เข้ามาร่วม
พิธกี จ็ ะถือว่าเป็นกบฏ อีกทัง้ ยังเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่ขา้ ราชการด้วย ๓) พระราชพิธ ี
ถือ น้ าพระพิพ ัฒ น์ ส ัต ยาในสงคราม เป็ น การแสดงความจงรัก ภัก ดีต่ อ พระเจ้า แผ่ น ดิน และ
ประเทศชาติท่กี าลังจะเสียสละชีวติ ในการออกสงคราม เพื่อเป็ นการสร้างขวัญกาลังให้แก่เหล่า
ทหาร และ ๔) พระราชพิธถี อื น้าพระพิพฒ ั น์สตั ยาในทางการเมือง ถือเป็ นพิธชี ่วยประสานไมตรี
และสร้างความมันคงทางการเมื
่ องของบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ จะประกอบพระราชพิธกี ็ต่อเมื่อ
เห็นว่าหัวเมืองนัน้ แสดงความกระด้างกระเดื่องมีแนวโน้มจะแข็งเมือง (อ้างอิงจาก สุภาพรรณ
ณ บางช้า ง, ๒๕๓๙ : ๑๑๘–๑๔๘) ส าหรับ ค าประกาศถวายสัต ย์ส าบานในพระราชพิธ ีถือ
น้าพระพิพฒ ั น์สตั ยาในรัชการที่ ๕ มีดงั นี้
การที่พ ระมหากษัต ริย์ย ึด หลัก ปฏิบ ัติต ามหลัก ศาสนาเพื่อ เป็ น ธรรมราชาที่ดีห รือ
พระราชาผูป้ ระพฤติธรรมจะมีส่วนสร้างแนวประพฤติปฏิบตั ใิ ห้กบั คนในสังคมด้วย รวมไปถึงการ
ออกข้อบังคับต่าง ๆ ทีแ่ สดงนัยถึงการสร้างความเป็ นปึกแผ่นมันคงให้
่ กบั อาณาจักร ดังตัวอย่าง
โคลงยอพระเกียรติส มเด็จพระเจ้ากรุงธนบุ ร ีท่กี ล่ าวถึงภาพลักษณ์ ของกษัต ริย์พ ระองค์น้ีว่า
ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
แล้วฉลองพุทธธาตุแท้ สุจริต
สมณะบรรพชิต ใช่น้อย
พระอวยชนอุทศิ ทานทัว่
มีมหรศพช้อย ชื่นช้อยชนเขษม ฯ
(โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร)ี
๕.๓.๔ แนวคิ ดเกี่ยวกับกำรสร้ำงวีรบุรษุ นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ (๒๕๑๘ : ๓๕-๕๔) กล่าว
ว่า ในทางสังคม บุคคลทัง้ ที่มอี ยู่จริงและไม่มจี ริงในประวัตศิ าสตร์ บางคนได้รบั การยกย่องสูง
เนื่ อ งจากการกระท าที่ม ีป ระโยชน์ แ ก่ ค นในวงกว้า ง การกระท าดังกล่ าวมีคุ ณ ค่ าในทุ ก กาล
โดยเฉพาะ ในสมัยทีย่ งั ยกย่องบุคคลนัน้ อยู่ บุคคลประเภทนี้อาจเรียกกว้าง ๆ ว่าเป็ น “วีรบุรุษ”
เมื่อมีการยกย่องวีรบุรุษย่อมมีการให้ความหมายใหม่แก่การกระทาของวีรบุรุษนัน้ ๆ ให้น่ายก
ย่องสมกับยุคสมัย การให้ความหมายทาได้หลายอย่าง นับแต่การแต่งเรือ่ งวีรบุรุษใหม่แล้วยกให้
๑๖๙
ทัง้ พลังกาย พลังอาวุธ และพลังจิตทีเ่ ข้มแข็งหนักแน่ น เมื่อปฏิบตั กิ ารใด ๆ จะยิง่ ใหญ่ บาเพ็ญ
คุณประโยชน์ทย่ี งิ่ ใหญ่ ยากทีบ่ ุคคลธรรมดาจะกระทาได้ เช่น การต่อสู้ การเผชิญอันตราย การ
ตกอยู่ในภาวะคับขันจนตรอก การเผชิญการทรยศหักหลัง ฯลฯ ผลงานจากการปฏิบตั ภิ ารกิจ
อาจยิง่ ใหญ่ ถึงขัน้ สร้างเมือง สร้างดินแดนและประเทศชาติ นอกจากนี้ยงั ต้องมีคุณธรรม การ
ค้นหาความจริง และมีความพิเศษด้านรูปลักษณ์ ในขณะที่ผุสดี ศรีเขียว และคณะ (๒๕๒๘)
กล่าวว่าวีรบุรุษแบบอัศวินจะต้องมีความกล้าหาญด้านการรบ มีน้าใจต่อศัตรูผู้ ปราชัย มีอุเบกขา
ญาณในการข่มอารมณ์ มีความใจกว้างและร่าเริง มีความสุภาพอ่อนน้ อม มีความน่ าเชื่อถือ มี
ความเมตตาปรานีต่อคนยากไร้และเจ็บปว่ ย มีความอ่อนโยน ละมุนละม่อม ใฝร่ แู้ ละฝึกฝนตน
ลักษณะของวีรบุรุษ ในวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ท่ปี รากฏอย่างสม่าเสมอ เช่น มี
ความสามารถในการทาศึกสงคราม เชิงการต่อสู้ โดยอาศัยสติปญั ญาความมุ่งมัน่ มีความมานะ
พยายามในการทาศึก มีความกล้าหาญเด็ดเดีย่ ว ไม่ย่อท้อ และการไม่กลัวความตาย มีคุณธรรม
และศีลธรรมทีด่ งี าม เป็ นผูเ้ สียสละเพื่อบ้านเมือง เมตตาปรานีต่อผูย้ ากไร้ ให้อภัยต่อผูแ้ พ้ มีพลัง
อานาจหรือลักษณะทีโ่ ดดเด่นเหนือผูอ้ ่นื สามารถทางานจนบรรลุเป้าหมาย ส่งผลให้บา้ นเมืองอยู่
เย็นเป็ นสุข เช่น พระบรมไตรโลกนาถจากเรื่องลิลติ ยวนพ่าย สมเด็จพระนเรศวรจากเรื่องลิลติ
ตะเลงพ่าย หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุร ีจากโคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุร ี แม้
่ ยายยุคปจั จุบนั ผูแ้ ต่งยังคงผลิตซ้าภาพลักษณ์น้ีอยู่ เช่น เรือ่ งอิฐพระองค์ดาผลิตซ้า
กระทังนวนิ
ภาพลักษณ์ของพระนเรศวรมหาราชทีม่ คี วามกล้าหาญในการกอบกูช้ าติเฉกเช่นวีรบุรษุ ดังนี้
พระองค์ดา คือ กษัตริย์ผู้ยงิ่ ใหญ่ ของอยุธยา พระองค์ท่านช่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว น่ า
ประทับใจยิง่ นัก พระองค์ท่านตัดสินใจทายุทธหัตถีกบั พระมหาอุปราชา ช้างต่อช้างชน
กัน คนต่ อคนฟนั กันบนหลังช้าง นี่คอื สงครามครัง้ ยิง่ ใหญ่ ระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์
พระองค์คอื ผูส้ ร้างความสะเทือนให้แก่มหาอาณาจักรในอดีตของเราอย่างที่ไม่มเี จ้าหัว
เมือง ประเทศราชผูใ้ ดเคยทามาก่อน พระองค์สร้างความระส่าระส่า ยให้แก่การปกครอง
ของเราอย่างพวกมอญ พวกไทยใหญ่ พวกโยน พวกลาว พวกอาระกัน ยะไข่ กระแย
จนความมันคงเป็่ นปึ กแผ่นที่มหาวีรราชเจ้าบุเรงนอง หรือพระเจ้าอลองพญา หรือมหา
กษัตริยอ์ ่นื ๆ ที่เข้มแข็งแกร่งกล้าของเรา แต่ความเก่งกล้าของเจ้าองค์ดานั ้ นเราต้อง
ยอมรับว่ายิง่ ใหญ่มาก สาหรับอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างอยุธยา (อิฐพระองค์ดา)
๓) การใช้ถ้อ ยค าภาษา ภาพพจน์ และสัญ ลัก ษณ์ เพื่อ เน้ น ย้าความยิง่ ใหญ่
อานาจ ความดี และความงามของฝา่ ยไทย ส่วนฝา่ ยตรงข้ามสื่อภาพด้านลบ เช่น ความพ่ายแพ้
อ่อนแอ ความโง่เขลา และความมัวเมาลุ่มหลง ดังตัวอย่างการนาเสนอภาพของฝ่ายไทยที่ม ี
ก าลังน้ อ ยกว่า แต่ ม ีค วามฮึก เหิม กล้าหาญ และมีค วามสามารถจนศัต รูพ ากัน ขวัญ หนี ด ีฝ่ อ
สุดท้ายก็สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่มกี องทัพมากกว่าได้อย่างง่ายดาย ภาพของชาวลาวที่
เห็น คือ ล้มตายเกลื่อนกลาด ทีม่ ชี วี ติ ก็ถูกลากจูงเป็นทีน่ ่าสมเพช เวทนาแก่ผพู้ บเห็น ดังนี้
เรื่อ งกษัต ริย า มีก ลวิธ ีก ารใช้ภ าษาในเชิงลบต่ อ กษัต ริย์พ ม่ า เช่ น การมอง
สมเด็จพระเจ้าบุเรงทอง กษัตริยข์ องพม่าว่า “ฝีมอื ไม่เท่าไหร่” “ไม่มปี ญั ญา” “ปากดี” “ความคิด
เจ้าเล่ห”์ ดังนี้ “ยิง่ อ่าน จะยิง่ รูว้ ่า อันพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองนัน้ ‘ฝีมอื ไม่เท่าไหร่’จะดีกแ็ ต่‘ปาก’
๑๗๓
พระเจ้าหงสาวดีบุ เ รงนองนั น้ เมื่อ จะขึ้น เป็ น ใหญ่ ต้ อ งปราบปรามหัว เมือ งทัง้ หลาย
โดยเฉพาะรามัญ เป็ นการปราบปรามอย่างขนานใหญ่ บุเรงนองเข้าทีใ่ ด ชอบเผาเมือง
ประชาชนยากเข็ญ แค้นเคืองสาหัสสมเด็จพระมหาจักรพรรดิย้อนยอกให้พิจารณาใน
ทศพิธราชธรรม หงสาวดีในขณะนี้นนั ้ ทุกหัวเมืองหวาดหวัน่ แต่มริ ม่ เย็น พระเจ้าหงสาว
ดีบุเรงนองเป็นกษัตราธิราชผูย้ งิ่ ใหญ่ เหตุใดไม่มชี า้ งเผือกมาสู่โพธิสมภาร?
(กษัตริยา)
สรุป
การศึกษาแนวคิดวาทกรรมกับการประกอบสร้างวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์สะท้อน
ให้เห็นว่า วาทกรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏในวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทาหน้ าที่ในการสร้าง
ผลิตเอกลักษณ์และความหมายให้กบั วรรณคดีประเภทนี้ ต่อมาก็ตรึงสิง่ ทีส่ ร้างขึน้ ให้กลายสภาพ
เป็ นวาทกรรมหลัก เช่น วาทกรรมกษัตรานิยม และวาทกรรมชาตินิยม โดยผ่านภาคปฏิบตั กิ าร
จริงของวาทกรรม เช่น ชุดความรู้ทางประวัติศาสตร์ จารีตประเพณี คติความเชื่อทางศาสนา
แนวคิด เกี่ยวกับ การสร้างวีรบุ รุษ และวัฒ นธรรมทางวรรณศิล ป์ โดยวาทกรรมที่ส ร้างขึ้น มี
ลักษณะลื่นไหล ไม่แน่นอน ตายตัว และหยุดนิ่ง กล่าวคือ จากแต่เดิมวาทกรรมทีป่ รากฏ รัฐหรือ
ผูเ้ ขียน (ซึง่ เป็ นคนในราชสานัก และเป็ นสัญลักษณ์ของตัวแทนรัฐ) เป็ นฝา่ ยคัดเลือกรูปแบบวาท
กรรมให้ประชาชนได้ปฏิบตั ิผ่านวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ ปจั จุบนั ประชาชนมีสทิ ธิท่จี ะ
เลือกใช้วาทกรรมที่เหมาะกับตนเองและสังคม ทาให้ลกั ษณะทางวาทกรรมในยุคปจั จุบนั อยู่ใน
รูปของการแย่งชิงการให้นิยามความหมายเพื่อสนับสนุ นวาทกรรมของฝ่ายตน ดังนัน้ เราอาจมี
ประเด็นต่าง ๆ ทีต่ ้องถกเถียงกันต่อไปว่าใครเป็ นผูค้ วบคุมวาทกรรมเหล่านัน้ วาทกรรมนี้ได้รบั
การเผยแพร่ด้วยวิธใี ด และการนาเสนอนัน้ มีวาทกรรมใดที่ถูกบดบัง บิดเบือนหรือ กดทับไป
หรือไม่ จึงอาจกล่าวได้ว่า วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ทน่ี าเสนอมานี้น่าจะเป็ นเครือ่ งมือทีร่ ฐั
ใช้ในการรักษาความมันคง ่ ควบคุมคนและกาหนดทิศทางของสังคมในแต่ละยุคสมัยให้เป็ นไป
ตามประสงค์ของรัฐ โดยการจากัดความรู้และแทรกซึมกรอบความคิดบางอย่างลงไปในการ
นาเสนอ เครื่อ งมือ ควบคุ มโดยตรง คือ ต าราเรียนทางประวัติศ าสตร์ ท าให้ผู้อ่ าน (ผู้เรีย น)
แม้กระทัง่ ผูส้ อนเชื่อว่าประวัตศิ าสตร์ชุดนี้ คือ ความจริง และไดรับการแทรกซึมผ่านวรรณคดี
เกี่ยวกับประวัติศ าสตร์เรื่องต่ าง ๆ ที่ยดึ โยงอยู่กบั กรอบความคิดการนาเสนอประวัติศาสตร์
เดียวกัน โดยปิดกัน้ ช่องทางการรับรูอ้ ่นื ๆ
๑๗๘
บทที่ ๖
กำรสังเครำะห์งำนศึกษำวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
ในการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นอกจากผู้เรียนหรือผู้อ่านต้องมีความรู้
ความเข้าใจพื้นฐานทางวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ ทราบลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับวรรณคดี
ประวัติศาสตร์ เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีกบั บริบททางประวัตศิ าสตร์ และทราบวาท
กรรมที่ใช้ในวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แล้ว ผู้เขียนเห็นว่า ผู้เรียนผู้อ่านอาจจาเป็ นต้อง
ศึกษางานค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีประวัตศิ าสตร์เพิม่ เติมด้วย เพื่อช่วยให้เห็นแง่มุมใน
การศึกษาวรรณคดีประเภทนี้มากยิง่ ขึน้ ทัง้ ยังสามารถนาไปเป็ นแนวทางในการวิเคราะห์งานได้
อันจะทาให้ไม่ต้องคิดงานซ้ากับคนอื่น และช่วยให้เป็ นคนทันสมัย ทันโลก และทันเหตุการณ์
ทัง้ นี้ ผูเ้ ขียนได้สงั เคราะห์กลุ่มข้อมูลทีน่ าเสนอวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์แล้วพบว่า มีการ
นาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ จานวน ๓ รูปแบบ คือ การนาเสนอในรูปแบบของเอกสาร ประเภท
ตารา และหนังสือ การนาเสนอในรูปแบบของบทความ และการนาเสนอในรูปแบบของงานวิจยั
เช่น รายงานวิจยั วิทยานิพนธ์ งานค้นคว้าอิสระ สารนิพนธ์ ภาคนิพนธ์ เป็นต้น ดังรายละเอียด
๖.๑ เอกสำรที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พบว่า ยังปรากฏอยู่
น้อย ส่วนใหญ่เน้นการรวบรวมวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ในสมัยต่าง ๆ มีดงั นี้
๖.๑.๑ เอกสำรที่ศึกษำภำพรวมของวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
จากการศึกษาเอกสารที่เป็ นหนังสือหรือตาราเกี่ยวกับวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์
พบว่า ส่ ว นใหญ่ ผู้เขียนมุ่งศึก ษาประวัติ ผู้แ ต่ ง จุด มุ่งหมายในการแต่ ง ลัก ษณะค าประพัน ธ์
เนื้อหาหรือคุณค่าโดยสังเขป อาจมีการนาประเด็นด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาอย่างละเอียด มีดงั นี้
นิ พ นธ์ สุ ขสวัส ดิ ์ (๒๕๒๐) เขีย นเรื่อ งวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศ าสตร์ โดยรวบรวม
วรรณคดีในสมัยต่าง ๆ ผู้เขียนแบ่งบทในการศึกษาเป็ น ๕ บท บทแรกกล่าวถึงความสัมพันธ์
ระหว่างวรรณคดีกบั ประวัตศิ าสตร์ ความแตกต่างทางด้านการบันทึกวรรณคดีและประวัตศิ าสตร์
บทที่ ๒ เน้ นศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเภทร้อ ยกรองบางเรื่อ ง โดยกล่ าวถึง
เนื้อ หาคร่าว ๆ ตัง้ แต่ ส มัยสุ โขทัย ถึงสมัยรัช กาลที่ ๙ เช่น ต านานพระแท่ นมนังคศิล าบาตร
ตะเลงพ่าย ลิลติ ยวนพ่าย ลิลติ สามกรุง โคลงภาพพระราชพงศาวดาร และลิลติ สรรเสริญพระ
บารมีรชั กาลที่ ๕ บทที่ ๓ ว่าด้วยการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเภทร้อยแก้ว
บทที่ ๒ และที่ ๓ นี้ ผูเ้ ขียนศึกษาตัง้ แต่ ผูแ้ ต่ง จุดประสงค์ในการแต่ง ลักษณะคาประพันธ์ เนื้อ
เรื่อง และคุณค่าของวรรณคดีเรื่องนัน้ ๆ ส่วนบทที่ ๔ และ ๕ มีการวิเคราะห์วรรณคดีเกี่ยวกับ
๑๗๙
ประวัติศ าสตร์บ างเรื่อ งโดยละเอีย ด เช่ น ลิล ิต ยวนพ่ าย โคลงเฉลิม พระเกีย รติส มเด็จ พระ
นารายณ์ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุร ี ลิลติ ตะเลงพ่ายและสามกรุง
บุญยงค์ เกศเทศ (๒๕๒๐) เขียนเรื่องวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ เล่มนี้ผเู้ ขียนมุง่ รวบรวม
เกี่ยวกับวรรณกรรมประวัติศาสตร์ในสมัยต่าง ๆ ทัง้ ที่เป็ นร้อยแก้วและร้อยกรอง โดยบทที่ ๑
ผูเ้ ขียนกล่าวถึงวรรณกรรมทีบ่ นั ทึก ในสมัยสุโขทัย แยกย่อยได้เป็ น วรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ท่ี
จารึกไว้บนแผ่นศิลา และวรรณกรรมประวัติศาสตร์ท่บี นั ทึกไว้นอกแผ่นศิลา ต่อมาก็กล่าวถึง
แนวคิดที่ได้จากการศึกษาวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์สมัยสุโขทัย บทที่ ๒ กล่าวถึงวรรณกรรม
ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา แยกย่อยได้เป็ น วรรณกรรมบันทึกในสมัยอยุธยา และวรรณกรรม
เฉลิมพระเกียรติในสมัยอยุธยา บทที่ ๓ กล่าวถึงวรรณกรรมประวัติศาสตร์ในสมัยธนบุร ี มีทงั ้
วรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติ และวรรณกรรมบันทึก บทที่ ๔ กล่าวถึงวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์
สมัยรัต นโกสินทร์ มีทงั ้ วรรณกรรมบันทึกและวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติสมัยรัชกาลที่ ๑ –
รัชกาลที่ ๓ บทที่ ๕ กล่าวถึงวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีทงั ้ วรรณกรรมเฉลิม
พระเกียรติและวรรณกรรมบันทึก บทที่ ๖ กล่าวถึงวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติในสมัยรัชกาลที่
๕ บทที่ ๗ กล่ าวถึงวรรณกรรมประวัติศ าสตร์ในสมัย รัชกาลที่ ๕- รัช กาลที่ ๖ และบทที่ ๘
กล่าวถึงวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ในสมัยปจั จุบนั ในแต่ละเรือ่ งผูเ้ ขียนจะกล่าวถึงลักษณะทัวไป ่
จุดมุง่ หมาย ผูแ้ ต่ง เนื้อเรือ่ ง และคุณค่าของวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์
กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง (๒๕๒๑) เขียนเรื่องวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ จานวน ๒ เล่ม
เล่ มแรกผู้เขียนกล่ าวถึงประวัติศ าสตร์ไทยสมัย โบราณ ตัง้ แต่ เริม่ มีต ัวอักษรบัน ทึก หรือ ยุค
ประวัติศาสตร์ ซึ่งเริม่ จากประวัติศาสตร์ในสมัยทวาราวดี ศรีวชิ ยั สุโขทัย อยุธยา และธนบุร ี
ต่อมาก็ศกึ ษาเชิงวรรณกรรม* โดยแบ่งเป็น ๒ ภาค ภาคแรก คือ การศึกษาวรรณกรรมในแง่ของ
วรรณศิลป์ในฐานะทีเ่ ป็นข้อมูลทางประวัตศิ าสตร์เพื่อศึกษาประวัตศิ าสตร์จากวรรณกรรม ภาคที่
๒ เริม่ ตัง้ แต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๙ โดยยกตัวอย่าง
วรรณกรรมบางเรือ่ งในแต่ละสมัยมาเป็นกรณีศกึ ษา ศึกษาตัง้ แต่บริบททางประวัตศิ าสตร์ในสมัย
นัน้ ผูแ้ ต่ง ปีทแ่ี ต่ง ลักษณะของคาประพันธ์ ความมุง่ หมายในการแต่ง และเนื้อหา
ประสิทธิ ์ กาพย์กลอน (๒๕๒๓) เขียนเรือ่ งวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ เล่มนี้แบ่งออกเป็ น
๑๐ บท บทที่ ๑ เป็ นบทนา เพื่อทาความเข้าใจเกี่ยวกับคาบางคา เช่น จดหมายเหตุ ตานาน
พงศาวดาร ประวัตศิ าสตร์ ความแตกต่างของการศึกษาประวัติศาสตร์กบั วรรณกรรมเกี่ยวกับ
ประวัตศิ าสตร์ บทที่ ๒ บอกแนวการเขียนวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์รอ้ ยแก้วและร้อยกรอง ซึง่ มี
ทัง้ แนวสัจนิยมและอุดมคติ บทที่ ๓ กล่าวถึงลีลาการเขียนและการจาแนกเนื้อหาวรรณกรรม
*มีขอ
้ สังเกตว่า ผูเ้ ขียนเอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับวรรณคดีประวัตศิ าสตร์บางคนใช้คาว่าวรรณคดีเกีย่ วกับ
ประวัตศิ าสตร์ บ้างก็ใช้วรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ ทัง้ ๆ ทีใ่ ช้ขอ้ มูลกลุ่มเดียวกัน ซึง่ สาหรับผูเ้ ขียนแล้วหมาย
รวมถึงสิง่ เดียวกัน เพราะเป็ นผลงานทีใ่ ช้ศลิ ปะในการแต่งทัง้ สิน้
๑๘๐
๖.๒ บทควำมที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
บทความทีเ่ กีย่ วข้องกับวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ มีการศึกษาทัง้ ด้านภาพลักษณ์
ของตัวละคร ที่ได้รบั ความนิยมมากที่สุด คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจากนี้ก็ศึกษา
เนื้อหา หรือวรรณศิลป์ดา้ นใดด้านหนึ่ง โดยเชื่อมโยงกับบริบททางประวัตศิ าสตร์ ดังรายละเอียด
ชลดา ศิรวิ ิทยเจริญ (๒๕๑๙) เขียนบทความเรื่อ ง การศึกษาลิล ิต ตะเลงพ่ ายในแนว
สุนทรียศาสตร์ ผู้เขียนเล่าถึงวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรที่ทรงทายุทธหัตถีชนะเหนือศัตรู
เป็นนักรบผูก้ ล้า และภาพลักษณ์ของนักปกครองทีท่ รงธรรม และมีพระราชจริยวัตรทีด่ งี าม
นิตยา แก้วคัลณา (๒๕๔๒) เขียนบทความเรื่อง ภาพสะท้อนเกี่ยวกับสถานภาพของ
กษัต ริย์ในวรรณกรรม โดยศึก ษาสถานภาพของกษัต ริย์ในสมัยต่ าง ๆ ผลการศึก ษาพบว่า
สถานภาพกษัตริย์ในสมัยสุโขทัย คือ บิดรผู้เป็ นใหญ่ และทรงศักดิ ์ และเป็ นผู้สงสอน ั่ ในสมัย
อยุธ ยาภาพสะท้อ นสถานภาพของกษัต ริย์ คือ การเป็ น เทวราชา ธรรมราชา เป็ น นัก รบ มี
บุญญาธิการ มีสริ โิ ฉมงดงามและมีบารมี ในสมัยธนบุร ีภาพสะท้อนสถานภาพของกษัตริย์ คือ
การเปี่ ยมล้นไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาสามารถด้านการปกครอง การรบและ
เศรษฐกิจ ครัน้ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีภาพของพระผูเ้ ป็ นเจ้า เป็ นจักรพรรดิ เป็ นสมมติเทพ
มีบุญญาธิการ เปี่ยมทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวตั ร ๑๒ และไม่นิยมเผด็จการ
อัควิทย์ เรืองรอง (๒๕๔๒) เขียนบทความเรือ่ ง การใช้คาเรียกและความเปรียบเกีย่ วกับ
กษัต ริย์ในยวนพ่ า ยโคลงดัน้ ผลการศึก ษาพบว่ าเรื่อ งยวนพ่ า ยโคลงดัน้ มีก ารใช้ค าเรีย กที่
หลากหลาย เช่น การใช้คาเรียกเพื่อบ่งบอกหน้าที่ในการรบ การใช้คาเรียกเพื่อบ่งบอกหน้าที่ท่ี
เป็ น ผู้คุ้ม ครองคนคุ้ม ครองแผ่ น ดิน ผู้รกั ษาและปฏิบ ัติธ รรม การใช้ค าเรีย กเพื่อ แสดงพระ
คุณ สมบัติว่าเป็ นผู้มบี ารมี เป็ นตัวแทนของพระพุ ทธเจ้า เป็ นตัวแทนสิง่ ศักดิ ์สิทธิ ์ทางศาสนา
พราหมณ์ เป็ นต้นกาเนิดของกษัตริยผ์ ยู้ งิ่ ใหญ่ เป็ นผูส้ ง่างาม และมีพระราชทรัพย์ นอกจากนี้ยงั
มีการใช้ความเปรียบที่น่าสนใจ ทัง้ ความเปรียบอุปมา อุปลักษณ์ และอติพจน์ เช่น เปรียบพระ
บรมไตรโลกนาถกับ เทพเจ้าส าคัญ ของพราหมณ์ เปรีย บหน้ าที่ในด้านการหวงแหนกับพระ
พรหม เปรีย บพระคุ ณ สมบัติค วามเที่ย งธรรมกับ พระยม และเปรีย บพระคุ ณ สมบัติค วาม
ปราดเปรื่อง รุ่งเรือง สว่างไสวกับพระอาทิตย์ ความเปรียบที่ใช้มคี วามประณีต บรรจง แสดง
อัจฉริยภาพทางภาษาของกวี เพื่อเชิดชู สดุดกี ษัตริยใ์ นฐานะเทวราชา พุทธราชาและธรรมราชา
สรณั ฐ ไตลังคะ (๒๕๔๙) เขีย นบทความวิเคราะห์ ป ระวัติศ าสตร์นิ พ นธ์แล้ว พบว่ า
ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ คือ วาทกรรมที่ “ประกอบสร้าง” ขึน้ มาคล้ายงานเขียนบันเทิงคดี โดยยก
งานเขียนรวมบทความชื่อ Tropics of Discourse: Essays in Cultural Criticism (๑๙๘๕) ของ
เฮย์เดน ไวต์ท่ชี ้ใี ห้เห็นว่านักประวัตศิ าสตร์ทางานโดยการรวบรวมเหตุการณ์ ท่เี ป็ นข้อเท็จจริง
ต่างๆ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ท่เี กิดนัน้ มีจานวนมากมายเกินกว่าที่เขาจะสามารถรวบรวมและ
เรียบเรียงเป็ นเรื่องราว สิง่ ที่เกิดขึ้นก็คอื เขาจะต้ องตัดหรือทิ้งข้อมูลบางอย่างที่เขาเห็นว่าไม่
๑๘๓
ระบอบแห่งความจริง (regime of truth) ขึน้ เพื่อให้ประชาชนได้ยดึ ถือ ประวัตศิ าสตร์ทไ่ี ด้รบั การ
นาเสนอจึงไม่ได้ทาให้เราเข้าใกล้ไปถึง “ความจริงสมบูรณ์” หากแต่เป็ นการสร้าง “ความจริงอีก
ชุดหนึ่ง” ขึน้ ให้คนในสังคมได้ยดึ ถือ ภายใต้ผลประโยชน์ กรอบคิด และอุดมการณ์ทแ่ี ตกต่างกัน
สุภญ ิ ญา ยงศิร ิ (๒๕๕๗) เขียนบทความเรื่อง การปลุกจิตสานึกความรักชาติและความ
สามัคคีในเรื่องสายโลหิตของโสภาค สุวรรณ ผลการศึกษาพบว่าเรื่องนี้นาเสนอเหตุการณ์ ใน
ท้องเรื่องและความรู้ส ึก ของตัว ละครที่ต้องทนเห็นบ้านเมือ งล่มสลายไปต่ อหน้ า นอกจากจะ
สะท้อนให้เห็นว่าความรักความสามัคคีเป็ นส่วนสาคัญทีจ่ ะนาพาชาติบา้ นเมืองให้รอดพ้นวิกฤต
แล้ว ความพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาของมนุษย์อาจเป็นเหตุแห่งหายนะทัง้ ต่อตนเองและผูอ้ ่นื
สุพรรษา ภักตรนิกร (๒๕๕๗) กระบวนการสร้างอุดมการณ์รกั ชาติไทยด้วยกลวิธที าง
ภาษาในนวนิ ย ายแนวอิงประวัติศ าสตร์ข องวิม ล ศิร ิไพบู ล ย์ มีว ัต ถุ ป ระสงค์ เพื่อ วิเคราะห์
กระบวนการสร้างอุดมการณ์ รกั ชาติไทยด้วยกลวิธที างภาษาในนวนิยายของวิมล ศิรไิ พบูลย์
จานวน ๖ เรื่อง คือ คู่ก รรม ร่มฉัตร ทวิภพ อตีต า กษัตริยา และอธิราชา โดยใช้แนวคิดวาท
กรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ตามแนวภาษาศาสตร์ของนอร์แมน แฟร์คลาฟ พบว่า นวนิยายแนว
อิงประวัติศาสตร์ของวิมล ศิรไิ พบูลย์มกี ารผลิตสร้างอุดมการณ์รกั ชาติไทย โดยการใช้คาและ
การผูกประโยคแบบต่าง ๆ และกลวิธที างวรรณศิลป์ ซึ่งปรากฏในข้อความบรรยาย หรือบท
สนทนาของตัวละคร อุดมการณ์รกั ชาติไทยในนวนิยายแนวอิงประวัตศิ าสตร์ของวิมล ศิรไิ พบูลย์
ประกอบไปด้วย การยกย่องความเป็นไทยด้วยการแสดงให้เห็นถึง “คุณค่าความเป็นไทย”
จากข้อมูลข้างต้น เห็นได้ว่า บทความที่เกี่ยวข้องกับ วรรณคดีประวัติศาสตร์ ผู้เขียน
นาเสนอประเด็นการศึกษาทีห่ ลากหลาย โดยมักศึกษาประเด็นใดประเด็นหนึ่งทีเ่ ป็นลักษณะเด่น
ของเรื่อ ง และมัก เลือ กวิเคราะห์ ว รรณกรรมเพียง ๑ เรื่อ ง ท าให้ผู้อ่ านมองเห็น ขัน้ ตอนการ
วิเคราะห์งานทีเ่ ป็นลาดับขัน้ ตอน สมเหตุสมผล และมีมติ ทิ น่ี ่าสนใจมากขึน้
ทรงภพ ขุ น มธุ ร ส (๒๕๔๙) ท าวิท ยานิ พ นธ์ เ รื่อ ง ขัต ติ ย นารีใ นนวนิ ย ายไทยอิ ง
ประวัติศ าสตร์ โดยมุ่งศึก ษาขัต ติยนารีด้านภาพสะท้อ นขัต ติยนารีและวิธ ีก ารน าเสนอภาพ
สะท้อ น จากนวนิ ย ายอิง ประวัติศ าสตร์เรื่อ งบารมีพ ระแม่ ป้ อง ปกพื้น ธรณิ น ของแก้ ว เก้ า
กษัตริยา และแก้วกัลยาแห่ งแผ่นดินของทมยันตี และพระนางสุพรรณกัลยาณี ของกาญจนา
นาคนันทน์ ผลการศึกษาพบว่านักเขียนทัง้ สามนาเสนอบทบาทของขัตติยนารี ๒ ลักษณะ คือ
บทบาทด้านการครองเมือง และบทบาทด้านการครองเมือง บทบาทด้านการครองเมืองเป็ น
บทบาทเด่น ได้แก่ บทบาทของนักปกครอง บทบาทของนักรบ บทบาทของตัวประกันและ
นักการข่าว และบทบาทในฐานะเครื่องบรรณาธิการ ด้านการครองเรือน ได้แก่ บทบาทของธิดา
ภรรยาและมารดา ซึ่งท าได้อ ย่า งไม่ ข าดตกบกพร่อ ง ทัง้ นี้ นั ก เขีย นได้แ สดงทัศ นะที่ม ีต่ อ
ขัตติยนารี ๖ ด้าน คือ ด้านความมีสติปญั ญา ความกล้าหาญ ความอดทนอดกลัน้ ความเสียสละ
ความเมตตากรุณ า และความรักชาติบ้านเมือง เป็ นคุณลักษณะที่นักเขียนต้องการชี้ให้สงั คม
มองเห็นความสามารถและบทบาทของสตรีว่าสามารถกระทาสิง่ ต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับบุรุษ และ
เป็ นแบบอย่างที่ดใี ห้แก่สตรีในปจั จุบนั กลวิธกี ารนาเสนอภาพสะท้อนขัตติยนารีม ี ๓ วิธ ี ได้แก่
การนาเสนอตัวละคร การนาเสนอเนื้อเรื่อง และการนาเสนอฉาก โดยนักเขียนปรับเปลีย่ นข้อมูล
ทางประวัติศ าสตร์ให้ต่ างจากเอกสารทางประวัติศ าสตร์ มีการเพิ่มรายละเอีย ดต่ าง ๆ และ
สอดแทรกความรูท้ างประวัตศิ าสตร์ทก่ี ลมกลืนไปกับเนื้อเรือ่ ง ส่งผลให้เห็นภาพขัตติยนารีทโ่ี ดด
เด่น คมชัดและสมจริง ทาให้ผอู้ ่านเกิดอรรถรส ชื่นชมและยอมรับความสามารถของสตรียงิ่ ขึน้
วันชนะ ทองค าเภา (๒๕๕๐) ทาวิทยานิพนธ์เรื่อง ภาพตัวแทนของสมเด็จพระมหา
ธรรมราชาในวรรณกรรมไทย ตัง้ แต่สมัยรัตนโกสินทร์ถึง พ.ศ. ๒๕๕๖ (ปจั จุบนั วิทยานิพนธ์
ฉบับนี้ได้รบั การเผยแพร่ในรูปแบบของหนังสือ) ผลการศึกษาพบว่าภาพตัวแทนของสมเด็จพระ
มหาธรรมราชาไม่ใช่ภาพสะท้อนของสมเด็จพระมหาธรรมราชาทีเ่ ป็ นบุคคลในประวัตศิ าสตร์ แต่
ถูกสร้างขึน้ ด้วยกลวิธที างวรรณศิลป์และความคิดทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมในยุคสมัย
ของการประพันธ์ ภาพตัวแทนแบ่งได้ตามสถานภาพทัง้ ในขณะทีเ่ ป็ นขุนพิเรนทรเทพ พระมหา
ธรรมราชา และสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิกราช ด้านกลวิธกี ารเล่าเรื่องเพื่อนาเสนอภาพให้
แตกต่ างกัน ได้แ ก่ การสร้างโครงเรื่อ งเพื่อ น าเสนอแก่ น เรื่อ ง กลวิธ ีก ารสร้างตัว ละคร การ
เลือกใช้ผเู้ ล่าและมุมมองของการเล่าเรื่องทีแ่ ตกต่างกัน และการใช้ฉากซึ่งเป็ นพืน้ ทีข่ องการเล่ า
เรือ่ ง ความคิดทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรมส่งผลต่อการประกอบสร้างตัวละครสมเด็จพระ
มหาธรรมราชา ได้แก่ วาทกรรมชาตินิยม ความแตกต่างด้านโลกทัศน์เกีย่ วกับพม่า การเปลีย่ น
แปรมโนทัศ น์ เกี่ยวกับบรรพบุ รุษ วาทกรรมการเมือ งในวิก ฤตการณ์ ๑๔ ตุ ล า ๒๕๑๖ และ
พฤษภาทมิฬ วาทกรรมประวัตศิ าสตร์กระแสรอง และอิทธิพลเรือ่ งมโนทัศน์พ่อของแผ่นดิน โดย
วิทยานิพ นธ์เล่ มนี้ ได้ประยุก ต์ทฤษฎี และความรู้จากสหสาขามาอธิบายปรากฏการณ์ ต่าง ๆ
ครอบคลุมถึงบริบททางการเมือง สังคม และวัฒนธรรม ทาให้เห็นภาพของสมเด็จพระมหาธรรม
๑๘๘
การศึกษาค้นคว้าในระดับสูง ในขณะเดียวกันผู้อ่านก็สามารถเข้าใจเรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการ
นาเสนอได้ดยี งิ่ ขึ้นจากการเปรียบเทียบ ผู้เขียนยังสร้างมิติแห่ งเรื่อ งเล่าแทรกไปในเนื้อ หาที่
ผูเ้ ขียนต้องการนาเสนอได้อย่างกลมกลืน ทาให้เรื่องทีเ่ ข้าใจยากกลายเป็ นเรื่องสนุ กและน่ าอ่าน
และใช้กลวิธกี ารเล่าเรื่องเพื่อแสดงทรรศนะโดยวิธกี ารตัง้ ข้อสังเกต คาดเดาความคิดของบุคคล
ในประวัติศ าสตร์ ตลอดจนแสดงทรรศนะเชิงเสียดสีท่ีท าให้ผู้อ่ านได้รบั ทัง้ ความรู้และความ
เพลิดเพลินควบคู่กนั ทางด้านการใช้ภาษา มีทงั ้ การสร้างคาใหม่ การสรรคา และการเล่นคาและ
ความ แสดงให้เห็นถึงความเป็ นปราชญ์ทางภาษาของผูเ้ ขียน และยังเป็ นการแสดงทรรศนะของ
ผู้เขียนที่ม ีต่ อ สิ่งต่ าง ๆ นอกจากนี้ยงั มีการใช้ภ าษาพูดที่ช่ วยสร้างความบันเทิงให้แก่ ผู้อ่ าน
ภาษาในงานเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์ดงั กล่าวจึงเป็ นภาษาที่สร้างความรู้ ความบันเทิง และแฝง
ทัศนคติของผูเ้ ขียนไว้อย่างครบถ้วน กลวิธกี ารเล่าเรือ่ งและการใช้ภาษาทีม่ คี วามเป็ นเอกลักษณ์
เฉพาะตัวในงานเขียนของผู้เขียนสามารถแสดงทัศนคติท่มี ตี ่อสิง่ ต่าง ๆ ได้ ทาให้งานมีความ
โดดเด่นในฐานะงานเขียนทีใ่ ห้ความรูแ้ ละความบันเทิงได้ชดั เจน
กฤษณะ นาคประสงค์ (๒๕๔๖) วิเคราะห์การสื่อสารการเมืองของสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ข้อจากัด รูปแบบและผลของการสื่อสารการเมืองเพื่อกอบกู้
เอกราช รัก ษาอ านาจ ขยายพระราชอาณาเขตและทานุ บ ารุงกรุงศรีอ ยุธยาของสมเด็จพระ
นเรศวรมหาราช ผลการวิจ ยั พบว่ า สถานการณ์ แ ละข้อ จ ากัด ทางการเมือ งทัง้ ภายในและ
ภายนอกกรุงศรีอยุธยาส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงต้องใช้การสื่อสารในการตอบโต้
สถานการณ์ และข้อจากัดทางการเมืองเหล่านัน้ ได้แก่ การสื่อสารเพื่อจัดการ การสื่อสารเพื่อ
ประชาสัมพันธ์ การสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ การสื่อสารในเชิงสัญญะทีพ่ บมากทีส่ ดู คือการสื่อสาร
โน้ ม น้ าวใจโดยใช้จุด จูงใจให้ค วามเด็ ด เดี่ย วของพระองค์ ผลของการสื่อ สารการเมือ งท าให้
พระองค์ทรงสามารถกอบกูเ้ อกราชและรักษาไว้ซง่ึ พระราชอานาจ
เฉลิม พล แซ่ ก้ิน (๒๕๕๐) ทาวิทยานิพ นธ์เรื่อ ง พระนเรศวร : วาทกรรมจากอดีต ที่
แปรเปลี่ย นไปสู่ว าทกรรมเชิงสัญ ลักษณ์ แห่ งกองทัพ บกไทย โดยมีว ตั ถุ ป ระสงค์เพื่อ ศึกษา
เรื่อ งราวของสมเด็จพระนเรศวรในฐานะที่เป็ นสัญ ลักษณ์ ทางอ านาจของกองทัพ บกไทย ผล
การศึกษาพบว่าก่อนที่พระนเรศวรจะกลายเป็ นสัญลักษณ์ของกองทัพบกนัน้ ในอดีตเรื่องราว
ของพระองค์ถูกสร้าง ผลิต ให้มภี าพลักษณ์ สู่สงั คมตามยุคสมัย โดยผูท้ ่คี รอบครองอานาจการ
ปกครองหรือชนชัน้ นาจะเป็ นผู้กาหนดและสอดแทรกคติคดิ เข้าไปจวบจนยุคสมัยที่กองทัพบก
ขึน้ มามีอานาจจากการปกครองประเทศ แม้แต่ในยุคปจั จุบนั ก็ตาม
มารศรี สอทิพย์ (๒๕๕๑) ทาวิทยานิพนธ์เรือ่ งเรือ่ งเล่าทางประวัตศิ าสตร์เกีย่ วกับสมเด็จ
พระนเรศวรมหาราช: กลวิธกี ารเล่าเรื่องกับการสร้างภาพลักษณ์ โดยมุ่งศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างกลวิธกี ารเล่าเรื่องของเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ประเภทต่าง ๆ เกี่ยวกับสมเด็จพระ
นเรศวรมหาราช กับการสร้างภาพลักษณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอันสัมพันธ์กบั บริบท
๑๙๑
ทางสัง คมและวัฒ นธรรมไทย ผลการศึก ษาพบว่ า กลวิธ ีก ารเล่ า เรื่อ งที่ใ ช้ ใ นการน าเสนอ
ภาพลักษณ์ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีความหลากหลาย ได้แก่ การสร้างความขัดแย้ง
เพื่อนาเสนอแก่นเรื่อง การสร้างตัวละคร การสร้างฉาก การนาเสนอมุมมองในการเล่าเรือ่ ง การ
ใช้คาเรียกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การใช้ความเปรียบ และการตัง้ ชื่อเรือ่ ง ภาพลักษณ์หลัก
ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็ นพระมหากษัต ริย์ผู้ยงิ่ ใหญ่ ในด้านบุญ บารมี และเป็ นผู้ม ี
เมตตา ส่วนภาพลักษณ์เสริมแตกต่างกันไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมไทยในยุคสมัย
ของการประพัน ธ์ ส่ ว นบริบ ททางสัง คมและวัฒ นธรรมไทยที่ส่ ง ผลต่ อ การประกอบสร้า ง
ภาพลัก ษณ์ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้แก่ การชาระพระราชพงศาวดาร วาทกรรม
ชาตินิยม ความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองในสังคมไทย คติความเชื่อทางศาสนา แนวคิด
เรือ่ งการสร้างวีรบุรษุ และวัฒนธรรมวรรณศิลป์
เรือ่ งเล่าทางประวัตศิ าสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนาเสนอภาพลักษณ์ ของ
พระองค์ ดังนี้ ในเรื่อ งเล่ าประเภทพระราชพงศาวดาร ภาพลัก ษณ์ ข องสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช คือ ผู้มบี ุญ บารมี ผู้มเี มตตา เรื่องเล่าประเภทบทประพันธ์รอ้ ยกรองเน้ นภาพลักษณ์
ผู้ปราบยุคเข็ญ ผู้ทรงธรรม และผู้สร้างชาติ ให้ยงิ่ ใหญ่ เหนือชาติอ่นื ๆ เรื่องเล่าประเภทความ
เรียงเน้ นภาพลัก ษณ์ ว ีรบุ รุษ ผู้ปราบยุค เข็ญ เรื่อ งเล่ าประเภทนวนิยายอิงประวัติศ าสตร์เน้ น
ภาพลัก ษณ์ ผู้ เสีย สละความสุ ข ส่ ว นตัว เพื่อ ส่ ว นรวม เรื่อ งเล่ า ประเภทหนั ง สือ การ์ตู น เน้ น
ภาพลัก ษณ์ ของวีรบุรุษ ผู้ก ล้าหาญและผู้เสียสละ เรื่อ งเล่ าประเภทละครนาเสนอภาพลักษณ์
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในลักษณะสัญญะของการสร้างความรักชาติและความสามัคคี โดยให้
คนเอาเยี่ยงอย่างพระองค์ เรื่องเล่าประเภทภาพยนตร์ผสมผสานภาพลักษณ์ ของสมเด็จพระ
นเรศวรมหาราชตามแบบพระราชพงศาวดาร และนวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์ อาจกล่าวได้ว่าเรื่อง
เล่าทางประวัตศิ าสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทุกประเภทล้วนนาเสนอภาพลักษณ์
หลักของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในฐานะวีรบุรษุ ผูย้ งิ่ ใหญ่ทจ่ี ะอยูใ่ นใจของคนไทยตลอดไป
พิช ชาพร วิธ ีเจริญ (๒๕๕๖) ท าวิท ยานิ พ นธ์เรื่อ ง กลวิธ ีก ารเล่ าเรื่อ งและการสร้าง
บุคลิกลักษณะตัวละครสมเด็จพระสุรโิ ยทัยในบันเทิงคดีองิ ประวัตศิ าสตร์ไทย ผลการวิจยั พบว่า
กลวิธเี ล่าเรื่องในบันเทิงคดีองิ ประวัตศิ าสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระสุรโิ ยทัย และบุคลิกลักษณะตัว
ละครสมเด็จพระสุรโิ ยทัยที่ป รากฏในสื่อต่ างๆ มีรูป แบบการเล่ าเรื่อ ง และสร้างตัวละครของ
สมเด็จพระสุรโิ ยทัย ที่มคี วามเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามยุคสมัย แต่แก่นของเรื่องเล่า คือ เพื่อ
สดุดพี ระวีรกรรมของสมเด็จพระสุรโิ ยทัย ความเสียสละของพระองค์ ทีส่ ละชีพเพื่อพระสวามีและ
เพื่อ แผ่ น ดิน ยัง คงเดิม ในทุ ก ฉบับ ส่ ว นบุ ค ลิก ตัว ละครของสมเด็จ พระสุ ร ิโยทัย ก็ม ีค วาม
เปลีย่ นแปลงเล็กน้อย แต่ลกั ษณะเด่นคือ ความกล้าหาญแบบนักรบ ควบคู่ไปกับความอ่อนโยน
ในแบบสตรีผู้เป็ นภรรยาและมารดา พร้อมด้วยอุดมการณ์ ความเสียสละและรักชาติบ้านเมือง
ยังคงเด่นชัดเหมือนเดิมทุกฉบับเช่นกัน สมเด็จพระสุรโิ ยทัย ทรงมีความเป็ นอุดมคติ ๔ ประการ
คือ ความกตัญ ญู การตระหนัก รู้ในอ านาจและหน้ าที่ การรักษาเกียรติ และ การเสียสละเพี่อ
๑๙๒
แผ่ นดิน โดยรวมแล้ว พระองค์ถู กสร้างให้ม ีค วามโดดเด่น มากขึ้น ตามยุค สมัย วีรกรรมของ
พระองค์ นอกจากความเป็นนักรบทีส่ ละชีพเพื่อแผ่นดินแล้ว การต่อสูเ้ พื่อปกป้องอานาจทางการ
เมือ งของพระองค์ก็โดดเด่นมากขึ้น มีการเพิ่มเติมภูมหิ ลัง ที่ทาให้พ ระองค์ก ลายเป็ นสตรีท่ี
เกี่ยวข้องกับการปกป้องแผ่นดินในทุกแง่มุม ตัง้ แต่สายเลือดความเป็นเจ้าสืบมา และการกระทา
ทัง้ ในทางการเมืองและทางการรบ และยังไม่ทง้ิ ความเป็นแม่ทด่ี ี สมเด็จพระสุรโิ ยทัย จึงเป็ นพระ
ราชินี ในอุดมคติ ในคติความเชื่อของสังคมไทยในปจั จุบนั
๖.๓.๓ งำนวิ จยั ที่ศึกษำองค์ประกอบ หรือกลวิ ธีกำรประพันธ์
งานวิจยั แนวนี้เน้นศึกษาวรรณคดีเรือ่ งใดเรื่องหนึ่ง สมัยใดสมัยหนึ่ง ประเภทใดประเภท
หนึ่ง หรือศึกษานักเขียนคนใดคนหนึ่งเพื่อดูองค์ประกอบด้านโครงเรือ่ ง ฉาก ตัวละคร แก่นเรือ่ ง
คุ ณ ค่ า เป็ นต้น และดู ก ลวิธ ีก ารประพันธ์ เช่น กลวิธ ีการเสนอเรื่อ ง ท่ วงท านองการแต่ ง กล
วิธกี ารใช้ภาษา ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ประคอง เจริญ จิต รกรรม (๒๕๒๗) ท าวิท ยานิ พ นธ์ เ รื่อ ง การศึ ก ษานวนิ ย ายอิ ง
ประวัติศ าสตร์ไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๐-พ.ศ. ๒๕๒๕ มีว ตั ถุ ป ระสงค์ เพื่อ ศึกษาเนื้ อ หาและ
แนวคิด พบว่านวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์ส่วนใหญ่เป็ นเรื่องราวในสมัยอยุธยา เหตุการณ์ทผ่ี แู้ ต่ง
นามาเป็นฉากมากทีส่ ุด ได้แก่ เหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครัง้ ที่ ๒ เนื้อหาและแนวคิดทีป่ รากฏ
ส่วนใหญ่ เป็ นการเชิด ชูวรี กรรมของกษัต ริย์และวีรชนที่ทาสงครามเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือ ง
ยอมเสียสละเพื่อชาติโดยไม่หวังสิง่ ตอบแทน ดังจะเห็นได้จากบทบาทของตัวละครเอก
สายสร้อ ย สุ ด หอม (๒๕๓๐) ท าวิท ยานิ พ นธ์ เรื่อ ง นวนิ ย ายอิงประวัติศ าสตร์ เ รื่อ ง
เศวตฉัตรน่ านเจ้า: การศึกษาด้านกลวิธเี สนอเรื่องและท่วงทานองการแต่ง พบว่าผูแ้ ต่งใช้กลวิธ ี
ในการเสนอเรื่องทัง้ ในด้านโครงเรือ่ ง ตัวละคร บทสนทนา และฉากอย่างมีชนั ้ เชิง เร้าความสนใจ
ใคร่รแู้ ก่ผอู้ ่าน ทาให้นวนิยายมีความสมจริง และให้ความบันเทิง ด้านท่วงทานองการแต่ง มีการ
เลือ กใช้ค า โวหาร ประโยค และการบรรยายความด้ว ยภาษาที่สุ ภ าพ เรียบง่าย แต่ ม ีค วาม
ไพเราะ มีการสอดแทรกทรรศนะเกี่ยวกับความรักว่าเป็ นสิง่ ที่ควรเชื่อมัน่ ยึดมัน่ นอกจากนี้ยงั
เห็นความสัมพันธ์ระหว่างภูมหิ ลังของผู้แต่งกับนวนิยาย จากการที่ผู้แต่งจาลองประสบการณ์
ชีวติ บุคลิกภาพ อุปนิสยั ของตนและบุคคลใกล้ชดิ มาใช้ในการประพันธ์ได้อย่างกลมกลืน
รัชนีกร แท่นทอง (๒๕๓๙) ทาสารนิพนธ์เรื่อง วิเคราะห์นวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์เรื่อง
ฟ้าใหม่ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาองค์ประกอบของนวนิยายและความสัมพันธ์กบั ประวัติศาสตร์
ผลการวิจยั พบว่านวนิยายอิงประวัตศิ าสตร์เรื่องนี้ ใช้ขอ้ มูลประวัตศิ าสตร์ทม่ี กี ารจดบันทึกไว้เป็ น
โครงเรื่องและฉากของเรื่อง ใช้ตวั ละครดาเนินเรื่องเพื่อสะท้อนภาพเหตุการณ์ ประวัตศิ าสตร์ ใน
ด้านกลวิธกี ารเล่าเรื่องมีความน่ าสนใจ ชวนติดตาม ใช้บทสนทนาสลับกับการบรรยายในการ
ดาเนินเรื่อง มีการนาเสนอเรือ่ งตามลาดับปฏิทนิ ใช้ภาษาสานวนไพเราะ มีลลี าเฉพาะตัว มีการ
แสดงทรรศนะต่ อ เหตุ ก ารณ์ ท างประวัติศ าสตร์ท่ีน ามาใช้เป็ น ฉากของเรื่อ ง แก่ น เรื่อ งแสดง
๑๙๓
ในด้า นการสร้า งสรรค์ การเผยแพร่ และการแปรรูป สู่ศิล ปะประเภทอื่น การน าข้อ มูล ทาง
ประวัตศิ าสตร์มาใช้ในการประพันธ์เพื่อสร้างความสมจริงและความบันเทิง หน้าทีข่ องนวนิยาย
คือด้านสุนทรียภาพ ด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะการปลุกจิตสานึกแห่งความเป็ นไทย
ด้านบันเทิง คือ การให้ความรูเ้ ชิงประวัตศิ าสตร์แก่ผอู้ ่านผ่านสื่อบันเทิงประเภทนวนิยาย
วรมน เหรียญสุวรรณ (๒๕๔๘) ทาวิจยั เรื่อง มิติสถานที่ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ศึกษาจากงานประพันธ์ของ “ทมยันตี” จานวน ๔ เรือ่ งคือ คู่กรรม ร่มฉัตร
ทวิภพ และคู่กรรม ๒ พบว่าผูป้ ระพันธ์สร้างตัวละครขึน้ จากจินตนาการให้เข้าไปดาเนินชีวติ ใน
สถานทีท่ างประวัตศิ าสตร์ตามยุคสมัยทีผ่ ปู้ ระพันธ์ตอ้ งการ เกิดจากความสัมพันธ์ของผูป้ ระพันธ์
ที่มตี ่อประวัติศาสตร์โดยตรงและหรือผ่านคาบอกเล่า โดยใช้สถานที่เป็ นกลวิธ ี ในการเล่าเรื่อง
และด าเนิ น เรื่อ งด้ว ย ได้แ ก่ การใช้ส ถานที่เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ในการก าหนดโครงเรื่อ ง ก าหนด
บุคลิกภาพของตัวละคร สร้างความสมจริงและแสดงโลกทัศน์ ของนักประพันธ์ ซึ่งช่วยให้เกิด
ความสมจริงที่ส อดคล้อ งกับประวัติศ าสตร์และความสมจริงของตัวละคร ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ
บรรยากาศของเหตุการณ์ ในประวัตศิ าสตร์ รวมทัง้ สะท้อน “โลกภายใน” ของนักประพันธ์ด้วย
การที่ผปู้ ระพันธ์มปี ระสบการณ์ตรงหรือทุ่มเทศึกษาหาข้อมูลจนสามารถนาไปเขียนนวนิยายได้
หลายเรื่องนับเป็ นวิธกี ารใช้ขอ้ มูลอย่างคุ้มค่าและเป็ นโอกาสแสดงความคิดสร้างสรรค์ในการใช้
สถานที่เดิม ในสถานการณ์ ใหม่ ๆ รวมทัง้ สร้างส านึ ก ให้ผู้อ่ านตระหนั ก ในความส าคัญ ของ
สถานทีใ่ นบทบาทเป็นผูก้ าหนดมนุษย์เช่นเดียวกับทีม่ นุษย์เป็ นผูก้ าหนดสถานที่
จิณ ณพัด โรจนวงศ์ (๒๕๔๙) ท าวิท ยานิ พ นธ์ เรื่อ ง ภาษาจิน ตภาพในนวนิ ย ายอิง
ประวัติศาสตร์ มีวตั ถุ ประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะของภาษาจินตภาพในนวนิยายเรื่อง ขุนศึก
กษัตริยา รัตนโกสินทร์ สีแ่ ผ่นดินและประชาธิปไตย ผลการศึกษาพบว่าลักษณะภาษาจินตภาพ
มี ๒ ลักษณะ ลักษณะแรก คือ การใช้คาเพื่อทาให้ผอู้ ่านเกิดจินตภาพและเกิดอารมณ์ความรูส้ กึ
คือการใช้คาเรียกสี การใช้คาบอกแสง การใช้คาบอกอารมณ์ความรูส้ กึ และการใช้คาบอกความ
เคลื่อ นไหว ลัก ษณะที่ส อง คือ การใช้ ภ าพพจน์ ได้ แ ก่ อุ ป มา อุ ป ลัก ษณ์ อติ พ จน์ และ
บุคลาธิษฐาน ทาให้ผอู้ ่านเกิดจินตภาพ เกิดอารมณ์ความรูส้ กึ เกิดอรรถรสในการอ่าน มองเห็น
ภาพและเหตุการณ์ ต่าง ๆ การใช้คาและภาษาช่วยให้ผอู้ ่านมองเห็นภาพต่าง ๆ เมื่ออ่าน ทราบ
ถึงอารมณ์ความรูส้ กึ ทีป่ รากฏในนวนิยาย
วรารัต น์ สุ ข วัจ นี (๒๕๕๑) ท าวิท ยานิ พ นธ์ เรื่อ ง การศึก ษาวิเ คราะห์ น วนิ ย ายอิง
ประวัตศิ าสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ผลการศึกษาพบว่านวนิยายสมัยนี้มแี นวคิด ในการแย่งชิงราช
บัลลังก์ การรบและการปกป้องบ้านเมือง การเชิดชูวรี บุรษุ และวีรกษัตริย์ การเสียกรุงศรีอยุธยา
และการกอบกู้ เอกราช ความรัก ระหว่ า งสงคราม ความกตัญ ญู ความเสีย สละ และความ
จงรักภักดี กลวิธกี ารประพันธ์มกี ารเปิ ดเรื่องและการสร้างความขัดแย้งในการดาเนินเรื่อง การ
เรียงลาดับเหตุการณ์ ในการดาเนินเรื่อง และการจบเรื่อง ฉากที่ปรากฏ เช่น ฉากก่อร่างสร้าง
๑๙๕
บทที่ ๗
แนวทำงกำรวิ เครำะห์วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศำสตร์
ในการน าเสนอบทที่ผ่ า น ๆ มาน่ า จะช่ ว ยให้ ผู้ เรีย นหรือ ผู้ ส นใจวรรณคดีเกี่ย วกับ
ประวัตศิ าสตร์มคี วามรูค้ วามเข้าใจและเห็นงานทีค่ น้ คว้าวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์มากขึน้
สาหรับบทนี้ ผูเ้ ขียนจะขอเสนอแนวทางการวิเคราะห์วรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์เพิม่ ช่วยให้
ผู้เรียนหรือผู้สนใจมองเห็นประเด็นการวิเคราะห์ท่มี คี วามเฉพาะเจาะจงมากยิง่ ขึ้น โดยข้อมูล
ส่วนหนึ่งสังเคราะห์มาจากงานค้นคว้าวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ อีกส่วนหนึ่งได้จากการ
อ่านแนวคิดทฤษฎีสมัยใหม่ รวมถึงการศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น ประเภทนิทาน ตานาน ซึ่ง
พบว่า น่ าศึก ษาวิเคราะห์ในเชิงประวัติศ าสตร์ด้ว ย ส าหรับ แนวทางการวิเคราะห์ว รรณคดี
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ผู้เขียนได้แบ่งแนวทางการวิเคราะห์ไว้ ๘ แนวทาง ได้แก่ การศึกษา
วรรณคดีเพียงเรื่องเดียวอย่างลุ่มลึก ศึกษาหาลักษณะเด่น ศึกษาภาพรวมการสร้างงาน ศึกษา
ทรรศนะหรือ มุ ม มองของผู้แ ต่ ง ที่ม ีต่ อ สังคมของตนหรือ สังคมอื่น ศึก ษาวรรณคดีเกี่ย วกับ
ประวัตศิ าสตร์ของชาติอ่นื ศึกษาแนวเปรียบเทียบ ศึกษาโดยมุ่งแนวคิดทฤษฎี และศึกษาจาก
กลุ่มข้อมูลวรรณกรรมท้องถิ่น โดยจะนาเสนอตัวอย่างบทคัดย่องานวิจยั ไว้โดยสังเขป เพื่อให้
เป็นตัวอย่างประกอบการศึกษา สาหรับแนวทางการวิเคราะห์ทงั ้ ๘ แนวทาง มีรายละเอียดดังนี้
๗.๑ ศึกษำวรรณคดีเพียงเรื่องเดียวอย่ำงลุ่มลึก
การศึกษาวรรณคดีเพียงเรื่องเดียวอย่างลุ่มลึก ให้พจิ ารณาด้านผู้แต่ง สมัยที่แต่ง ตัว
ละคร ฉาก ศิลปะการประพันธ์ ภาษา และเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับ มิติในประวัติศาสตร์ ผู้ท่สี นใจ
ศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์เพียงเรื่องเดียวควรเลือกเรื่องทีย่ งั ไม่มกี ารศึกษากันอย่าง
แพร่หลายหรือลึกซึง้ เพียงพอ ซึง่ อาจหาตัวบททีเ่ ป็นหนังสือหายากตามหอสมุดแห่งชาติ หรือหา
หนังสือทีย่ งั ไม่มกี ารปริวรรตก็ได้ ซึง่ น่าจะเปิดมุมมองความรูใ้ หม่ ๆ ให้แก่คนรุน่ หลังได้
๑๙๘
๗.๒ ศึกษำหำลักษณะเด่น
การศึกษาหาลักษณะเด่น คือ การหาลักษณะเด่นด้านต่าง ๆ ในมิตทิ างประวัตศิ าสตร์
จากวรรณกรรม เช่น ศึกษาภูมปิ ญั ญาไทยจากเรื่องไตรภูมพิ ระร่วง ศึกษาเรือ่ งยวนพ่ายในฐานะ
หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ร่วมสมัย ศึกษาเรื่องตารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ขุนช้างขุนแผน พระ
อภัยมณี และนิราศไทรโยคในฐานะภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น งานวิจยั เรือ่ ง “นัย
ทางการเมืองใน “เสภาเรื่องขุนช้าง - ขุนแผน” ของกิตติศกั ดิ ์ เจิมสิทธิประเสริฐ (๒๕๕๔: ๑๑๙ -
๑๓๔) ที่มวี ตั ถุประสงค์เพื่ออธิบายนัยทางการเมืองใน “เสภาเรื่องขุนช้าง - ขุนแผน” ทัง้ ในมิติ
ของความคิดทางการเมืองทีป่ รากฏในตัวบท ตลอดจนบริบทและวาระทางการเมืองทีข่ บั เคลื่อน
ให้เกิดการตรวจชาระและจัดพิมพ์หนังสือ เล่มนี้ ขึน้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ด้วยการตีความตัวบท
อย่างละเอียด และการวิเคราะห์เชิงบริบท ผลการวิจยั พบว่า ตัวบทของหนังสือ “เสภาเรื่องขุน
ช้าง - ขุนแผน” ฉบับหอพระสมุดฯ สามารถเป็ นภาพแทนความจริงของสังคม ทีจ่ ะเน้นยา้ ให้เห็น
ถึง ปฏิส ัม พัน ธ์เชิงอ านาจระหว่ างผู้ค นในชนชัน้ ต่ า งๆ ทัง้ ยังแฝงไว้ด้ว ยแนวคิด เรื่อ งความ
จงรักภักดี โดยเฉพาะอย่างยิง่ ของข้าราชการทหารต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึง่ เมื่อพิจารณา
ควบคู่ไปกับสถานะและบทบาทของ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุ ภาพ สภานายกหอพระ
สมุดฯ ขณะนัน้ รวมถึงบริบทของรัฐไทยในห้วงเวลาดังกล่าว ทาให้สนั นิษฐานได้ว่า การเกิดขึน้
ของหนังสือเล่มนี้ มิน่าที่จะเป็ นไปเพียงเพื่อ “รักษาหนังสือกลอนเป็ นอย่างดีในภาษาไทยไว้ให้
ถาวร” ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ กระทังยึ ่ ดถือกันในปจั จุบนั เท่านัน้ หากแต่น่าที่จะเป็ นไปเพื่อ
วัตถุประสงค์ทางการเมือง ที่ทรงมุ่งหมายจะปลูกฝงั ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ให้เกิดขึน้ ในหมู่ประชาชน โดยอาศัยภาพแทนความจริงดังกล่าว เป็นตัวแบบ โดยผูว้ จิ ยั กล่าวใน
ตอนท้ายว่างานวิจยั ชิ้นนี้อาจจะไม่ใช่ “คาตอบสุดท้าย” ที่ “ถูกต้องทีส่ ุด” หากแต่ผู้วจิ ยั ก็มุ่งหวัง
ต่อไปว่า การวิจยั ครัง้ นี้ คงจะสามารถผันตัวไปจุดประกายทางความคิด ให้เกิดความสนใจที่จะ
ตัง้ ข้อคาถาม หรือแนวทางในการศึกษาวรรณคดีสาคัญของชาติเรือ่ งนี้ให้กว้างขวางยิง่ ขึน้ ต่อไป
๗.๓ ศึกษำภำพรวมกำรสร้ำงงำน
การศึกษาภาพรวมการสร้างงาน อาจพิจารณาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ประเภท
ใดประเภทหนึ่ง เช่น วรรณคดีประเภทสดุดี วรรณคดีประเภทบันทึก หรือวรรณคดีประเภท
ชีวประวัติ ศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์สมัยใดสมัยหนึ่ง เช่น สมัยสุโขทัย อยุธยา และ
รัต นโกสินทร์ต อนต้น หรือ ศึก ษาในเชิงพัฒ นาการ สาหรับ การศึก ษาภาพรวมของวรรณคดี
เกี่ยวกับประวัติศ าสตร์มผี ู้ศึก ษาไว้บ้างแล้ว เช่น ปราโมทย์ สกุ ลรักความสุ ข (2554) ศึกษา
ความเปรีย บเกี่ย วกับ พระมหากษัต ริย์ในวรรณคดี ย อพระเกีย รติส มัย กรุงศรีอ ยุธ ยาถึงกรุง
รัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมุ่งวิเคราะห์กลวิธใี นการเสนอความเปรียบเกีย่ วกับพระมหากษัตริยใ์ น
วรรณคดียอพระเกียรติตงั ้ แต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น อีกทัง้ ศึกษาแนวคิด
เกี่ย วกับ พระมหากษั ต ริย์จ ากความเปรีย บที่ป รากฏ ตลอดจนศึก ษาการสืบ ทอดขนบและ
๒๐๑
จึงไม่ จ าเป็ น ต้ อ งมีค วามถู ก ต้ อ งตรงตามประวัติศ าสตร์ ดัง นั น้ ผู้ป ระพัน ธ์จ ึงเปลี่ย นแปลง
ข้อเท็จจริงทางประวัตศิ าสตร์ และแต่งเติมเรือ่ งราวไปตามจินตนาการและความคิดของตน
วิทยานิพนธ์ของพิสนิ ี ฐิตวิรยิ ะ (๒๕๔๘) เรื่องวรรณกรรมเยาวชนญี่ป่นุ กับสงครามโลก
ครัง้ ที่สอง วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มวี ตั ถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและกลวิธกี ารนาเสนอ
วรรณกรรมเยาวชนญี่ป่นุ ที่มเี นื้อหาเกี่ยวกับสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง วรรณกรรมเยาวชนเหล่านี้ม ี
ทัง้ เรื่องที่เป็ นบุคคลจริงและเรื่องทีแ่ ต่งจากจินตนาการ เรื่องที่เป็ นบุคคลจริงได้แก่ ความทรงจา
เดื อ นสิ ง หาคม (Hachi-gatsu ga Kurutabini )ของฮิ เ ดะ โอเอะ (Hide Ōe) กระต่ า ยแก้ ว
(Garasu no Usagi) ของโทะฌิโกะ ทะกะงิ (Toshiko Takagi) และ ซาดาโกะกับนกกระเรียนพัน
ตัว (Sadako and the Thousand Paper Cranes) ของเอลลีนอร์ โคเออร์ (Eleanor Coerr) ส่วน
เรื่องที่แต่ งจากจินตนาการ ได้แก่ ยี่สบิ สี่ดวงตา (Nijūshi no Hitomi) ของซะกะเอะ ท์ซุโบะอิ
(Sakae Tsuboi) เด็กหญิงอีดะ (Futari no Ida) ของมิโยะโกะ มะท์ซุตะนิ (Miyoko Matsutani)
และ มิเ อะโกะกับ สมบัติ ช้ิน ที่ ห้ า (Mieko and the Fifth Treasure) ของเอลลีน อร์ โคเออร์
วรรณกรรมเยาวชนญี่ปุ่นสร้างอารมณ์ สะเทือนใจด้วยการเสนอความโหดร้ายของสงครามและ
ชะตากรรรมของเด็ก ที่ต กเป็ นเหยื่อ สงคราม บทบาทตัว ละครเด็ก ญี่ปุ่ น ที่ไร้เดียงสา ก าพร้า
ยากจนหรือเจ็บป่วยทาให้รสู้ กึ สงสาร และเกิดความเห็นอกเห็นใจในชีวติ ที่ยากลาบากและน่ า
เศร้าของพวกเขา นอกจากนี้ ยังมีว ตั ถุ ป ระสงค์ เพื่อ ศึกษาบริบ ททางสังคมของญี่ปุ่ น ในช่ ว ง
สงครามโลกครัง้ ที่สอง ภูมหิ ลังและทัศ นคติของผู้ประพันธ์ ครอบครัวและสวัส ดิภาพของเด็ก
ญีป่ ่นุ ในช่วงสงครามได้รบั ผลกระทบจากนโยบายของรัฐซึง่ มุ่งส่งเสริมสงครามและชาตินิยม เมื่อ
สงครามสิน้ สุดลง เด็กญีป่ นุ่ ยังคงถูกควบคุมจากนโยบายของรัฐทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปตามอานาจของ
กองก าลัง ยึด ครองสหรัฐ อเมริก า ในงานวิจ ยั นี้ ภูม ิห ลังผู้ป ระพัน ธ์ม ีผ ลกับ ทัศ นคติแ ละการ
สร้างสรรค์งาน ผูป้ ระพันธ์มปี ระสบการณ์สงครามเมือ่ สมัยยังเป็นเด็กหรือพบเหยือ่ สงครามทีเ่ ป็ น
เด็กด้วยตนเอง วรรณกรรมเยาวชนญี่ปุ่นจึงแสดงทัศนคติต่อต้านสงครามและปฏิเสธแนวคิด
ชาตินิยมโดยมุ่งหวังให้เป็ นบทเรียนเพื่อสันติภาพ อย่างไรก็ตาม มุมมองของเอลลีนอร์ โคเออร์
ผู้ป ระพัน ธ์ท่ีอ ยู่นอกสังคมญี่ปุ่ น แตกต่ างจากมุ ม มองของผู้ป ระพัน ธ์ชาวญี่ปุ่ น ที่ร่ว มสมัย กับ
สงคราม งานของเอลลีน อร์เสนอว่ าญี่ปุ่ น ควรฟื้ น จากความทรงจาที่เจ็บ ปวดจากเหตุ ก ารณ์
ทาลายล้างของระเบิดปรมาณูทฮ่ี โิ รชิมาและนางาซากิ ขณะทีว่ รรณกรรมเยาวชนญี่ปนุ่ ทีแ่ ต่งโดย
ผูป้ ระพันธ์ชาวญี่ปุ่นแสดงความรูส้ กึ โหยหาอดีตและถ่ายทอดเฉพาะผลกระทบของสงครามที่ม ี
ต่ อ ชาวญี่ปุ่ น โดยไม่ได้ก ล่ าวเน้ นถึงการบุ ก ยึด ครองของญี่ปุ่น ต่ อ ชนชาติอ่ืน การสร้างสรรค์
วรรณกรรมเยาวชนญี่ปุ่นนี้จงึ เป็ นการรือ้ สร้างมายาคติแห่งกองทัพแล้วแทนทีด่ ้วยมายาคติแห่ง
ความทรงจาทีร่ นั ทดของการตกเป็นเหยือ่ สงครามโลกครัง้ ทีส่ อง
๒๐๕
๗.๖ ศึกษำแนวเปรียบเทียบ
การศึก ษาแนวเปรียบเทียบ สามารถศึก ษาได้ ๓ ลัก ษณะ ลัก ษณะแรก คือ ศึก ษา
ความสัมพันธ์ของวรรณคดีในแง่ท่มี า และอิทธิพล (imply internationality) เชิงประวัติศาสตร์
(historical contact) โดยพิจารณาว่าเมื่อนักเขียนรับมาแล้วมีการสร้างสรรค์สงิ่ ใหม่เพิม่ เติมหรือ
ดั ด แป ลง (adaptation) อย่ า งไร เช่ น ท่ ว งท านองการเขี ย น (stylization) การห ยิ บ ยื ม
(borrowings) องค์ประกอบวรรณกรรม เช่น ภาพพจน์ สานวน อนุ ภาค และโครงเรือ่ ง ลักษณะที่
สองศึกษาเพื่อหาแนวลักษณะร่วมอันเป็ นสากลของมนุ ษย์ (archetypes) เน้ นพิจารณาเพื่อหา
ความเหมือนหรือเอกภาพ (unity) ทีเ่ ป็นสากล และความต่าง (diversity) ทีเ่ ป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
โดยอาจเปรียบเทียบเรือ่ งวีรบุรษุ (heroic epic) ซึง่ อาจมีองค์ประกอบร่วมกัน และลักษณะทีส่ าม
ศึกษาในแนวอิทธิพลและแรงบันดาลใจ เน้นให้เห็นว่าศิลปะแขนงหนึ่งอาจเป็ นแรงบันดาลใจให้
เกิดศิล ปะอีก แขนงหนึ่ง พิจารณาการดัดแปลง/การสร้างสรรค์สู่ส ิ่งใหม่ เช่น จากนวนิยายสู่
ภาพยนตร์ ตัวอย่างการศึกษาแนวเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบสูตรสถานีของวรรณคดีสมัย
หนึ่ ง กับ สมัย หนึ่ ง เปรีย บเทีย บแนวคิด วีร บุ รุ ษ วีร สตรีข องไทยกับ ต่ า งชาติ เปรีย บเทีย บ
วรรณกรรมทีเ่ ป็ นประเภทเดียวกันระหว่างวรรณกรรมไทยกับวรรณกรรมของชาวต่างชาติ เช่น
เปรียบเทียบวรรณกรรมไทยกับต่ างชาติท่มี เี นื้อหาสดุดเี หมือนกัน สาหรับการศึกษาด้านนี้ม ี
ผู้ศกึ ษาไว้บ้างแล้ว ผู้สนใจสามารถใช้เป็ นแนวทางได้ เช่น ศิวาวุธ ไพรีพนิ าศ(๒๕๕๗) ศึกษา
กระบวนการสร้างบทอิงประวัติศ าสตร์ในสื่อ จิน ตคดีส มัย ใหม่ งานวิจยั นี้ ม ีว ตั ถุ ป ระสงค์ ส อง
๒๐๖
รายยวา โดยเปรียบเทียบกับสัญลักษณนิยมในสื่อที่พูดถึงการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงเป็ น
สมัยใหม่ ทาให้เห็นอคติในสื่อทีย่ อมรับกรอบทางความคิดแบบตะวันตก มองการเป็นสมัยใหม่ใน
ทางบวก และทาให้เห็นอีกมุมหนึ่งของผลของการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมในประเทศไทยว่าอุดม
คติทเ่ี กิดขึน้ จากการเปลีย่ นแปลงนัน้ ไม่สอดคล้องกับภาพทางวัตถุและภาพทางบวกเสมอไป
พีรยุทธ โอรพันธ์ (๒๕๕๔) ศึกษาความหมายวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ของชาวมลายู
ปตั ตานี: ‘ประวัตริ าชอาณาจักรมลายูปะตานี’ งานวิจยั ชิน้ นี้เป็นการศึกษาประวัตศิ าสตร์ของชาว
มลายูปตั ตานีจากวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ช่อื “ประวัตศิ าสตร์อาณาจักรมลายูปะตานี”ซึ่งเขียน
ขึน้ โดยอิบรอฮิม ชุกรี วรรณกรรมชิน้ นี้เป็นวรรณกรรมประวัตศิ าสตร์ชน้ิ สาคัญชิน้ หนึ่งทีเ่ ขียนขึน้
โดยชาวมลายู ป ตั ตานี แ ละในอดีต ถู ก ห้ า มตีพ ิ ม พ์ ท ัง้ ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย
การศึกษาความหมายของวรรณกรรมชิ้นนี้ใช้แนวทางการทลายกรอบของ ฌ้าคส์ แดริดา เพื่อ
ค้นหามโนทัศน์ สาคัญทัง้ จากส่วนที่อยู่ตรงหน้ าหรือเนื้อความในตัวบทชิ้นนี้ และส่วนที่หายไป
หรือสิง่ ทีไ่ ม่ถูกกล่าวถึงในเนื้อความ แต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั เนื้อความ งานวิจยั ชิน้ นี้ค้นพบมโน
ทัศ น์ ท่ีส าคัญ และน าไปสู่ก ารสื่อ ความหมายของตัว บทในมิติของอ านาจ วัฒ นธรรมและการ
สื่อสาร ทัง้ สิน้ ๘ มโนทัศน์ ได้แก่ ความรูส้ กึ เป็ นเจ้าของดินแดน ความเจริญรุ่งเรือง ความชอบ
ธรรมของผู้ปกครอง การยอมรับที่มตี ่ออานาจรัฐ ความเป็ นมิตรและศัตรูต่อกัน ความยุตธิ รรม
ความเป็ นพวกพ้องเดียวกัน และเสรีภาพในการแสดงออก มโนทัศน์ ทงั ้ หมดนี้ได้ถูกอภิปราย
อย่างกว้างขวางเพื่อ ชี้ใ ห้เห็น ว่า ภายในมโนทัศ น์ ด ังกล่ า วมีส ิ่งที่เป็ น ขัว้ ตรงข้ามกัน อยู่ และ
เนื้อความให้ความหมายขัว้ ตรงข้ามด้านใดเป็ นความหมายเหนือและด้านใดเป็ นความหมายที่
ด้อยกว่า จากนัน้ จึงทาการค้นหาร่องรอยเพื่อแสดงให้เห็นว่าความเป็ นขัว้ ตรงข้ามทีม่ ดี า้ นทีเ่ หนือ
และด้านทีด่ อ้ ยกว่านัน้ สื่อความหมายใด จากนัน้ จึงทาการพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อค้นหาว่ามี
ร่องรอยใดทีท่ าให้มโนทัศน์ในด้านทีด่ อ้ ยกว่านัน้ ได้กลายเป็ นด้านทีเ่ หนือกว่าได้
ศรัณย์ วงศ์ขจิตร (๒๕๕๔) วิจยั เรื่องจินตนาการปลายด้ามขวาน: อ่าน “ภูมศิ าสตร์ใน
จินตนาการ” ในนวนิยายจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปุลากง ผีเสือ้ และดอกไม้ ซือโก๊ะ แซกอ
ปอเนาะที่รกั หมู่บ้านในหุบเขา ไฟใต้ รัฐปตั ตานี กรณีฆาตกรรมโต๊ ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด
พรมแดน และ “มากกว่ารัก...จากวีรบุรุษ ยะลา” โดยใช้กรอบแนวคิด “ภูมศิ าสตร์ในจินตนาการ”
ของ Edwaed Said และ “ประวัตศิ าสตร์แบบราชาชาตินิยม” ของ ธงชัย วินิจจะกูล ส่วนการอ่าน
อิงกับอยู่ “ศาสตร์การตีความ” ของ Hans-Georg Gadamer โดยมีคาถามวิจยั สองข้อ ได้แก่ ข้อ
แรก คือ ภายใต้ ภู ม ิศ าสตร์ใ นจิน ตนาการ “ขวานทอง” ในนวนิ ย ายสร้า งและมอบอารมณ์
ความรูส้ กึ ต่อพืน้ ทีจ่ งั หวัดชายแดนใต้อย่างไร เปรียบเทียบก่อนและหลังปี พ.ศ. ๒๕๔๗ และ ข้อ
สอง คือ ในนวนิยายจัดการหรือให้ภาพความสัมพันธ์กบั ผูค้ นทีป่ ลายด้ามขวาน ในฐานะ “ความ
เป็ นอื่น” ของความเป็ นไทยเหล่านัน้ อย่างไรบ้าง จากการศึกษาพบว่า นวนิยายทัง้ สิบเรื่องต่าง
ยอมรับ “จินตกรรมขวานทอง” ในที่น้ีว่า หมายถึง “ปาตานี” ได้กลายมาเป็ น “จังหวัดชายแดน
ใต้” ของรัฐไทย โดยมิตงั ้ คาถาม มิเพียงเท่ านัน้ ยังได้ยนื ยันความชอบธรรมในการปกครองและ
๒๐๘
สังสอนโดยทั
่ ่ เพราะเน้นทัง้ เกล่าเกลาสังคม แก้ปญั หาสังคม เป็ นแหล่งเรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์
วไป
ท้องถิน่ รวมถึงให้ความบันเทิงด้วย เพราะสอนควบคู่ไปกับการสวดหนังสือ เช่น การสะท้อน
สภาพชุมชนโคกชุมแสงทีอ่ ยู่กนั อย่างยากลาบากในสมัยสงคราม ดังเรื่องชัยภาษิตสะท้อนสภาพ
ชุมชนโคกชุมแสง จังหวัดพัทลุงในสมัยสงครามว่าชาวบ้านอยูก่ นั อย่างยากลาบาก เนื่องจากข้าว
ของมีราคาแพง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ข้าวสาร เพราะรัฐบาลควบคุมไว้ทุกแห่ง ผูแ้ ต่งจึงแนะนาให้
ซือ้ แต่ของจาเป็นเท่านัน้ เพราะหากไม่มเี งินจะพากันอดตายได้ ดังข้อความว่า
พวกของเราหญิงชายผมไหว้สงั ่ อย่าพลาดพลัง้ ภาษิตประดิษฐ์สอน
ให้นึกลองของสมัยกับแต่ก่อน ย่อมขาดตอนกันหลายเท่าข้าวสารแพง
เกือบทุกเมืองทุกจังหวัดขัดข้าวสาร รัฐบาลควบคุมไว้ทุกแห่ง
ถึงวัวควายไร่นาผ้าก็แพง ตลอดแตงเต้าถัวหั
่ วเผือกมัน
(ชัยภาษิต)
ั หาข้า วยากหมากแพงในสมัย
ผู้ว ิจ ยั กล่ า วว่ า สาเหตุ ท่ีท าให้ ช าวบ้ า นเผชิญ กับ ป ญ
สงครามเกิดจากการมีทหารญี่ปุ่นเข้ามาควบคุมเส้นทางรถไฟสายใต้ในช่วงสงครามมหาเอเชีย
บูรพา เนื่องจากช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นต้องการซื้อสินค้าจากร้านค้าและผู้ขายราย
ปลีก ย่อ ยจานวนมากเพื่อ น ามาเลี้ย งกองทัพ พ่ อ ค้าปลีก ย่อ ยในท้อ งถิ่น ที่ติด ต่ อ กับ ก องทัพ
โดยตรง สามารถขายสินค้าในปริมาณมากและราคาสูงกว่าราษฎร ส่งผลให้เครื่องอุปโภคบริโภค
ทีจ่ าเป็ นในชีวติ ประจาวันขาดแคลน หรือถ้ามีก็ต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าปกติ การค้าขายก็ทา
ได้ไม่คล่อง เนื่องจากขาดแคลนตู้รถไฟสาหรับขนส่งสินค้า แม้แต่ข้าวสารที่ใช้บริโภคก็มรี าคา
แพง เนื่องจากกระทรวงพานิชอนุญาตให้พ่อค้าหรือพวกเศรษฐีสงครามส่งข้าวตากออกจาหน่ าย
นอกประเทศได้ โดยไม่ม ีข้อ จากัด นอกจากนี้ ก็ส ะท้อ นป ญ ั หาการแก่ ง แย่ งที่ด ิน ท ากิน การ
สะท้อนปญั หาโจรผู้รา้ ย และการสะท้อนปญั หาโสเภณี ทาให้ทราบว่าภาคใต้ขณะนัน้ เผชิญกับ
ปญั หาหลายด้าน โดยผู้แ ต่งคาดหวังให้ค นและสังคมร่วมใจกันแก้ปญั หาต่ อไป ทาให้เห็นว่ า
วรรณกรรมคาสอนกลุ่มนี้ นอกจากสอนแล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ ด้วย
ต่ อ มาพัชลิน จ์ จีน นุ่ น วราเมษ วัฒ นไชย ปริยากรณ์ ชูแก้ว (๒๕๖๐) ได้ท าวิจยั เรื่อ ง
วรรณกรรมภาคใต้ยุค การพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๕๒๐ : ความหลากหลาย คุ ณ ค่ า และภูม ิ
ปญั ญา โดยใช้วรรณกรรมท้องถิน่ ประเภทต่าง ๆ จานวน ๓๒ เรื่อง ได้แก่ ๑) นิทานสาธกเบ็ญ
จะศีลคากลอนเพลงกะบอก ของพระเลื่อม สุวณฺ โณ พ.ศ. ๒๔๗๖ ๒.) นิราศชื่น (นิราศเรือนจา)
ของนายชื่น ชูสกุล พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๔๗๘ ๓.) โทษผิดกาเมคาฉันท์ ของคม ภิรมยาภรณ์
พ.ศ. ๒๔๗๙ ๔.) ประสิทธิพรกลอน ของดาเนิร บุณยรัตเศรณี พ.ศ. ๒๔๘๑ ๕.) ประวัตพิ ระ
พุทธไสยาศน์ ของขุนมนตรีบริรกั ษ์ (พ.ศิรธิ ร) พ.ศ. ๒๔๘๓ ๖.) สุภาษิตสอนชูช้ ายโสด ของหนู
ฟอง จันทภาโส พ.ศ. ๒๔๙๒ ๗.) คติคากลอนเตือนเพื่อน ของท้ามกับคล้อย พ.ศ. ๒๔๙๕
๘.) มงคลประชาราษฎร์ ของแดง ประพันธ์บณ ั ฑิต พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๔๙๕ ๙.) คากลอนสอนใจ
๒๑๕
คนจน ของท้าม กับคล้อย พ.ศ. ๒๔๙๖ ๑๐.) นิราศพรม ของพรม พ.ศ. ๒๔๙๖ ๑๑.) นิราศไป
จังหวัดตรัง คลิง้ สุขะปุณณะพันธุ์ พ.ศ. ๒๔๙๖ ๑๒.) นิราศพระธาตุนคร ของขุนจาเริญ (กานัน
หนู) พ.ศ. ๒๔๙๗ ๑๓.) ประวัตกิ ารณ์เตือนไทย ของจันทร์ เชิดชู พ.ศ. ๒๔๙๗ ๑๔.) รักทีแ่ สน
เศร้า เรื่องนางปฎาจารา ของรัตนชัย เตละกุล พ.ศ. ๒๔๙๗ ๑๕.) คากลอนสอนใจ ของทอง
นวลศรี พ.ศ.๒๔๙๗ - ๒๔๙๘ ๑๖.) คากลอนมโนห์ราขีเ้ มา ของนายดัด วิเศษมาก พ.ศ. ๒๔๙๘
๑๗.) สองกุ มารค ากลอน มหาชาติ กัณ ฑ์ท่ี ๘ ภิกษุ ธ รรมวาที (จ่าย) น.ธ. เอก พ.ศ. ๒๔๙๙
๑๘.) พระพุ ท ธท านายค ากลอน ของพระถาวร ราชไพฑู รย์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ๑๙.) องคุ ล ีม าล
แผลงฤทธิ ์ ของคล้าย ศรีพนัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ๒๐.) พระมาลัยคากลอน ของพระผอม ศีลสัวโร ไม่
ระบุพ.ศ. ๒๑.) เมืองสิด (ขุนแกล้ว) แหมะเว ของสะมะแอ วงศ์สอาด และนายจิ เส็มหมาด พ.ศ.
๒๕๐๓ ๒๒.) หนามรัก ของ จ. ศรีอกั ขรกุล พ.ศ. ๒๕๐๔ ๒๓.) ศีลห้าภาษิต ของอินทร์ ทอง
หยู่ พ.ศ. ๒๕๐๔ ๒๔.) นิราศไปวัดเขาพง ของ ฟ. โกวิโท พ.ศ. ๒๕๐๔ ๒๕.) นิราศพระบรม
ธาตุ นครศรีธรรมราช ของ ส. ย่อ งหลี ป. ดอนธูป พ.ศ. ๒๕๐๔ ๒๖.) นิราศสงขลาคราวไป
อบรมวิชาหัตถศึกษา ของ จ. ศรีอกั ขรกุล พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒๗.) คากลอนการขุดพระ ของควน
สราญรมย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒๘.) วาตภัยคากลอน ของพระครูศลี าจารโกวิท พ.ศ.๒๕๐๖ ๒๙.)
ฆาตกรรมคากลอน ของส. พยอมไพร พ.ศ.๒๕๑๒ ๓๐.) มาตุภูมทิ ่ขี า้ รัก ของเวียงศักดิ ์ เพชร
ย้อย พ.ศ. ๒๕๑๔ ๓๑.) หนังสือ ประวัติค ากลอนของวัดใหม่ท่านางพรหม ของวัน เมือ งสง
พ.ศ.๒๕๑๕ และ ๓๒.) ลานอโศกของกามนิต ของจ.ส.ต.เปลื้อง นาควานิช พ.ศ. ๒๕๑๕ การ
วิจยั ครัง้ นี้กเ็ พื่อต่อยอดวิทยานิพนธ์ทท่ี าไว้ และเป็นการขยายขอบเขตวรรณกรรมท้องถิน่ ให้เป็ น
ที่รู้จ ัก ยิ่ง ขึ้น ด้ ว ย ผู้เ ขีย นอาศัย ทฤษฎี ด้ า นวรรณกรรม คติช น ประวัติศ าสตร์ รวมถึง การ
สัมภาษณ์ คนในชุมชนมาช่วยอธิบายข้อ มูล ผลการวิจยั พบว่า วรรณกรรมกลุ่มนี้มเี นื้อ หา ๖
ประเภท ได้แก่ นิราศ คาสอน ศาสนา บันทึก นิยายประโลมโลกและกลอนโนรา โดยเนื้อหาอิง
กับบริบทสังคมและวัฒนธรรมไทยภาคใต้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา
เกิดจากมีการสร้างกับการเสพกันมากบริเวณนี้ สาหรับปจั จัยทีม่ ผี ลต่อกระบวนการสร้างกับการ
เสพ พบว่ามี ๒ ปจั จัยหลัก ปจั จัยแรกมาจากคนและสังคมท้องถิน่ ได้แก่ การมีผสู้ ร้างเป็ น “คน
ใน” ของชุมชน ทัง้ พระสงฆ์ ข้าราชการท้องถิ่นและชาวบ้าน การให้ความสัม พันธ์กนั ทางเครือ
ญาติของคนบริเวณลุ่ มทะเลสาบสงขลา การอยู่ในช่ ว งเวลาที่เหมาะสม การรับ อิท ธิพ ลจาก
วัฒนธรรมการละเล่นในท้องถิน่ และบริบทจากสภาพแวดล้อมชุมชน ส่วนปจั จัยที่สอง มาจาก
การรับอิทธิพลจากบริบทสังคมส่วนกลางและวัฒนธรรมตะวันตก ได้แก่ นโยบายการสร้างชาติ
ของรัฐบาล การรับอิทธิพลจากระบบทุนนิยมและบริโภคนิยม และการรับอิทธิพลจากหนังสือวัด
เกาะของภาคกลาง วรรณกรรมกลุ่ ม นี้ ม ีคุ ณ ค่ า ๗ ประการ ได้แ ก่ การสะท้อ นภาพสัง คม
วัฒนธรรมภาคใต้ การบอกเล่าประวัตคิ วามเป็ นมาของตานานสถานทีใ่ นท้องถิน่ การเสริมสร้าง
จิต ส านึ ก พลเมื อ งของประเทศ การสร้ า งความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งคนกั บ คนและคนกั บ
สภาพแวดล้อม การเป็ นแหล่งเรียนรูธ้ รรมชาติในท้องถิ่น การบ่งชี้อตั ลักษณ์ ของหญิงชายใน
๒๑๖
แต่งโบสถแม่เจ้าไม่เร้าราญ แต่งวิหารพ่อเจ้าให้เข้าที
รักษาโบสถ์เฝ้าวิหารปานชีวติ ประกอบกิจตามศีลพระชินสีห์
ครองบางแก้วถิน่ สถานมานานปี จนชีวคี อลายถึงวายปราณ
เรือ่ งเหตุการณ์ต่อมาไม่ปรากฏ มิได้จดให้เห็นเป็ นหลักฐาน
ศักราชขาดตอนค่อนข้างนาน นับประมาณไม่น้อยกว่าร้อยปี
เจ้ากรงทองเหลนหลานพานพบ เจ้าคอลายก็จบลงเป็ นผี
ไม่ปรากฏใครป้องครองบุร ี จนสมัยกรุงศรีอยุธยา
นางเลือดขาวมีมาคราสมัย สุโขทัยเรืองอานาจวาสนา
ขุนศรีอนิ ทราทิตย์มหิทธา ตลอดมาพ่อขุนรามน่ าคร้ามครัน
พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ผูส้ ามารถแผ่ประเทศไทยเขตขัณฑ์
อาณาจักรไทยขยายมากมายครัน คนสาคัญสุโขทัยใครไม่เทียม
มะลายูทงั ้ หมดจดสิงคโปร์ ทัง้ ยะโฮมะละกามาขึน้ เสียม
พะม่ามอญย้อนน่านลานนาเกรียม ไม่ตอ้ งเตรียมตีตรงหงสาวดี
พ.ศ.พันแปดร้อยยีส่ บิ สาม พ่อขุนรามลามมานครศรี
พัทลุงอยูใ่ กล้ไม่ตอ้ งตี ได้ยนิ ดีผ่อนตามให้งามงอน
สมัยนัน้ ครศรีคนดีมาก ยอมยุง่ ยากค้นคว้าหาคาสอน
เพื่อให้พุทธศาสนาสถาพร มีคนจรไปถึงซึง่ ลังกา
แล้วบวชเรียนตามอย่างลังกาวงศ์ เจตน์จานงเชีย่ วชาญการศึกษา
นครไม่กนั ดารการไปมา ชาวลังกามาตรังครัง้ มากมาย
ตรังมีท่าเรือดีเป็ นทีห่ นึ่ง เรือเข้าถึงแก้มดาทาค้าขาย
ไปลังกานับว่าพอสบาย นครใช้เมืองตรังตัง้ ท่าเรือ
พุทธศาสน์จงึ เจริญเกินทีใ่ ด สุโขทัยแพ้พ่ายทัง้ ใต้เหนือ
ตรังทีห่ นึ่งในด้านการทาเรือ นครเหนือสุโขทัยในอาราม
มีพระธาตุสงู ใหญ่หาไหนได้ ทีย่ อดปลายมีทองผ่องอร่าม
พระเจดียป์ ฏิมาสง่างาม หลายอารามจัดตัง้ ครัง้ โบราณ
พ่อขุนรามตีนครในตอนนัน้ ใช่ตกี นั ให้รา้ งโดยล้างผลาญ
เพื่อรวมไทยมิให้ใครมารุกราญ แบบสมานมิตรไว้ให้มนคง ั่
ในครัง้ นัน้ เจอพระมหาเถร ผูจ้ ดั เจนธรรมเทศน์วเิ ศษสงฆ์
เป็นชาวไทยบรรพชาลังกาวงศ์ ทัง้ มันคงเจนจั
่ ดปริยตั ธิ รรม
ได้นิมนต์ไปอยูส่ ุโขทัย ทรงตัง้ ใจชูชุบอุปถัมภ์
ให้เป็นพระสังฆราชปราชญ์ประจา ผดุงธรรมสุโขทัยให้ไพบูลย์
ได้สร้างวัดจัดตัง้ ข้างวังหลวง สิง่ ทัง้ ปวงสร้างไว้ไม่เสื่อมสูญ
๒๒๓
กับโยธาห้าร้อยต้อยตามมา ขออาสารณรงค์หงสาวดี
ครัน้ จัดเสร็จพระอินทรยินดียงิ่ ไม่รอนิ่งขับมอญให้จรหนี
ร่ายคาถาสามคาบปราบไพรี ขีพ่ าชีนาหน้าโยธาจร
พะม่าเห็นเสียขวัญชวนกันหนี พอได้ทนี กั พรตไม่ลดผ่อน
ควบม้าไล่มอญพะม่าให้ลาจร กลับนครพ่ายแพ้แก่กรุงไทย
จึงกลับมาบูรณะวัดตะเขียน ทัง้ ซ่อมเปลีย่ นวัดสทังดังของใหม่
แล้วถวายพระกุศลยุบลไป เจ้ากรุงไทยตัง้ พระครูอนิ ทโมฬี
เจ้าคณะป้าแก้วหัวเมืองพัท- ลุงครองวัดทัง้ ตรังนครศรี
สองร้อยยีส่ บิ แปดวัดจัดมากมี วัดพุทธสิหงิ ค์ตรังทัง้ วัดงาม
ครัน้ ล่วงกาลนานมามีพระหนึ่ง ผูซ้ าบซึง้ ธรรมถกปิฎกสาม
ชาวตะลุงนามว่าสามีราม ได้เจอพราหมณ์ผเู้ ฒ่าชาวลังกา
เมือ่ คราวครัง้ เรียนธรรมประจากรุง พระเฟื่องฟุ้งเปรือ่ งปราชญ์ศาสนา
ได้แปลธรรมชนะพราหมณ์ชาวลังกา ทรงกรุณาตัง้ พระราชมุนี
กลับตะลุงมุง่ คิดแต่กจิ ศาสน์ จิตหมายมาตปรุงเมืองให้เรืองศรี
สร้างศาลาโบสถ์วหิ ารและเจดีย์ ขึน้ ในทีว่ ดั พระโคะอันโสภา
ครัน้ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ท่านจึงได้จารึกไว้ศกึ ษา
เป็นตานานวัดพระโคะแต่นนั ้ มา นับเวลาไม่น้อยสามร้อยปี
แล้วจึงได้แต่งวัดคูหาสวรรค์ พร้อมพระครูลทั ธรรมรังสี
ทัง้ พระครูบุตรเทพผูอ้ ารี กับยังมีมหาเถรอีกหนึ่งองค์
ชื่อว่าพุทธรักขิตจิตศรัทธา ช่วยแต่งวัดคูหาให้กบั สงฆ์
หมืน่ เทพบาลท่านก็มไี มตรีตรง ได้ตกลงสร้างสรรค์ให้ทนั กาล
พระพุทธรูปยีส่ บิ สร้างสาเร็จ เจดียเ์ จ็ดได้เห็นเป็นหลักฐาน
ทีพ่ ่อขุนศรีชนาพญาบ้าน ทรงประทานเป็นทีก่ ลั ปนา
ครัน้ ออกหลวงเยาวราชเป็ นเจ้าเมือง ลุงมีเรือ่ งทุกข์เข็ญเป็นหนักหนา
สลัดแขกมาประชิดติดพารา มีนามว่าเจะอารูจโู่ จมตี
พัทลุงยับเยินเกินขนาด สลัดกวาดครอบครัวพาตัวหนี
ครัน้ ทราบความถึงเท้าเจ้าธานี แผดงศรีราชบัญชามาจัดการ
เจ้าเมืองเลยกินย่าฆ่าตัวตาย เพราะความอายยิง่ กว่าโทษประหาร
ได้ขนุ ศรีชนาพญาบ้าน จึงจัดการจาส่งไปลงทัณฑ์
ท่านหมื่นอินทพงษาบุตรพ่อขุน ได้แทนคุณทรงโปรดโทษมหันต์
เข้าอาสาจับคชาทีต่ กมัน พระทรงธรรม์อภัยโทษโปรดปราณี
ทรงตัง้ ให้เป็นขุนคชราชา ปล่อยบิดากลับตะลุงจากกรุงศรี
๒๒๖
พิมลขันธ์หนีพรากจากบุร ี เจ้าธานีกรุงธนไม่สนใจ
ให้นายจันทร์มหาดเล็กครองตะลุง ทรงหมายมุง่ จักให้ได้เป็ นใหญ่
อยูบ่ า้ นม่วงสามปีผดิ วินยั ทรงสังให้
่ จดั ส่งไปลงทัณฑ์
พ.ศ.สองพันสามร้อยสิบห้า ตัง้ นายขุนบุตรพระยาราชบังสัน
เป็นพระยาพัทลุงรุง่ เรืองครัน แก้วโกรพพิชยั นัน้ นามพระยา
ให้ยา้ ยเมืองไปตัง้ ทีล่ าปา ณโคกลุงมุง่ ทาให้หรูหรา
พระยาขุนไม่ขดั พระบัญชา มิให้พระอนาทรร้อนพระทัย
พ.ศ.สองพันสามร้อยสิบหก มีการทอผ้ายกเป็นการใหญ่
เจ้านราสุรวิ งศ์ได้จงใจ ทอส่งไปห้าร้อยไม่น้อยเลย
ผ้าม่วงดอกเจ็ดสีหน้าเชิงกรวย ล้วนสีสวยต่าง ๆ อย่างเฉลย
หญิงสาวแก่แม่หม้ายไม่ละเลย ทอจนเคยดึกดื่นทุกคืนวัน
เรือ่ งท้อผ้านับว่าตะลุงเด่น หญิงทอเป็นทุกนางอย่างขยัน
หญิงตะลุงเก่งกาจสามารถครัน ทอเสร็จทันส่งนครก่อนสิน้ ปี
ศกสองพันสามร้อยยีส่ บิ ห้า พระยอดฟ้าปกป้องครองกรุงศรี
พระเจ้าตากม้วยดิน้ สิน้ ชีว ี เสียสติจงึ ประชาปลงพระชนม์
องค์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระทรงโศกในจิตคิดฉงน
ไม่ทรงยอมตกลงให้ปลงชนม์ แต่ทรงเกรงจลาจลจึงจาใจ
เปลีย่ นแผ่นดินเปลีย่ นกรุงปรับปรุงเขต ทัวประเทศจั
่ ดสรรทันสมัย
การปกครองจัดต้องทานองนัย ทรงแก้ไขส่งเสริมเติมตามกาล
ขอกล่าวการปกครองของตะลุง ทีป่ รับปรุงให้เห็นเป็ นหลักฐาน
ซึง่ มีมาแต่ครัง้ โบราณกาล เพื่อให้ท่านจดจาตามตารา
เมือ่ คราวครัง้ ยังอยู่จะทิง้ พระ จัดเป็ นปละแยกตัง้ เป็ นฝงฝา ั่
ปละทะเลตะวันออกนอกพารา เจ้าเมืองมาป้องกันให้มนคง ั่
อันสัตรูหมูพ่ าลมาราญรอน ต้องฟนั ฟอนบุกตะลุยให้ผุยผง
ราชการทัง้ หลายหมายดารง ตามตกลงจัดสรรให้ทนั กาล
ปละทะเลตะวันตกให้ปลัด เป็นผูจ้ ดั ทัวสิ
่ น้ ทุกถิน่ ฐาน
อยูต่ าบลคูหาบัญชาการ ดาเนินงานการนาให้ถาวร
การนาไร่อย่าให้ได้พลัง้ พลาด ต้องเด็ดขาดคอยระวังช่วยสังสอน ่
นาน้าลึกน้ าฝนและนาดอน ต้องเร่งร้อนให้ทาเต็มกาลัง
เก็บหางข้าวค่านามาขึน้ ฉาง ให้ถูกหางทุกปีตามทีห่ วัง
เก็บรักษาเรียบร้อยคอยระวัง เป็นกาลังช่วยไทยเมือ่ ภัยพาน
การผูร้ า้ ยตรวจตราอย่าให้ม ี ให้อยูด่ กี นิ ดีทุกถิน่ ฐาน
๒๓๑
พ่อขุนศรีชนาพญาบ้าน เคยชานาญการปลัดสันทัดครัน
ลุสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ทุกบุรนิ ทร์เปลีย่ นแปลงให้แข็งขัน
ทุก ๆ เมืองจัดละม้ายคล้ายคลึงกัน ไปตามชัน้ เอกโทตรีจตั วา
ท่านเจ้าเมืองพัทลุงสมัยนัน้ นับเป็ นชัน้ เรืองอานาจวาสนา
ชัน้ พระนาพานทองครองพารา เป็นแม่ทพั บัญชาสังฆ่ ่ าคน
มีกรรมการท่านผูใ้ หญ่หลายตาแหน่ง กรมตัง้ แต่งมาให้ไม่ขดั สน
มีปลัดยกรบัตรชัน้ ละตน กับผูช้ ่วยสามคนล้วนชานาญ
รองปลัดยกรบัตรเป็ นผูช้ ่วย ก็มดี ว้ ยครบครันตามบรรหาร
กับยังมีพระพลจางวางด่าน ลาดตระเวนตรวจการทางบกเรือ
ขุนรองด่านหนึ่งนายได้ช่วยกัน คอยกวดขันในนอกออกใต้เหนือ
กันภัยพานราญรุกบุกยกเรือ ทัง้ สองเสือช่วยกันไม่หวันเกรง ่
มีตาแหน่ งมหาดไทยช่วยเจ้าเมือง ช่วยเหลือเรือ่ งทัง้ หลายไม่โฉงเฉง
ทาใบบอกออกบัตรจัดตามเพลง หนังสือเร่งราชการงานสาคัญ
มีกรมการผูน้ ้อยร่วมร้อยคน ทุก ๆ ตนเจ้าเมืองผูจ้ ดั สรร
เป็นตาแหน่งแบ่งตามความสาคัญ ประจามันตามที
่ ม่ บี ญั ชา
ตาแหน่งหนึ่งเรียกว่าจตุสดมถ์ มีสก่ี รมพร้อมพรักจัดรักษา
คือกรมเมืองกรมวังกรมคลังนา ต่างมีหน้าทีป่ ระจาตน
หลวงเพ็ชร์มนตรีศรีราชวังเมือง ว่าการเรือ่ งร้ายแรงทุกแห่งหน
บัญชาการงานหลายนายตาบล ให้ทุกคนหมันประกอบที
่ ช่ อบธรรม
ส่วนหลวงเทพมณเฑียรหน้าวังนัน้ ต้องจัดสรรงานพิธมี ถิ ลา
ทัง้ ตอนรับแขกเมืองเรือ่ งประจา หลวงวังทาเจนจัดถนัดดี
อินทมนตรีศรีราชรักษาคลัง ไม่เคยพลัง้ พลาดงานการภาษี
เรือ่ งหางข้าวค่านาประจาปี อินทมนตรีจดั รับกากับการ
ส่วนหลวงเพ็ชร์มนตรีศรีสมโภช กรมนาว่าเรือ่ งโฉนดทุกถิน่ ฐาน
พิธแี รกนาขวัญก็ทนั กาล ธัญญาหารค่านารักษาเอง
ตาแหน่งสองร้องเรียกว่าอาญา พิจารณาสินไหมให้เหมาะเหม็ง
อาญาราษฎร์ไม่ฉกรรจ์ราษฎร์หวันเกรง
่ ตัดสินเองตามคดีทห่ี นักเบา
ตาแหน่งสามนามมีทเ่ี รียกแพ่ง เป็นตาแหน่งลงโทษผูโ้ ฉดเขลา
วางเบีย้ ปรับคู่ความตามหนักเบา เมือ่ คราวเขายอมแพ้ชนะกัน
ตาแหน่งสีช่ ่อื ว่าพระธรรมนูญ เมือ่ มีมลู รับฟ้องต้องจัดสรร
ประทับพระธรรมนูญเป็นสาคัญ เสนอท่านเจ้าเมืองตามเรือ่ งมี
ตาแหน่งห้าพัสดุสรรพาวุธ ต้องรีบรุดเก็บไว้ให้ถว้ นถี่
๒๓๒
ทาคาสังหลายเรื
่ อ่ งภายใน ให้เร็วไวเสร็จทันตามบัญชา
ขุนพิพธิ ภักดีทจ่ี างวาง ไม่เหินห่างเรือ่ งทนายได้จดั หา
ทัง้ คนใช้ไว้พร้อมทุกเวลา ถือสาราคาสังยั ่ งตาบล
ตาแหน่งเก้ากรมทางงานพิเศษ ประจาเทศสามนายไม่ขดั สน
ขุนต่างจิตต่างใจไวทุกคน ขุนต่างตาอีกคนประจางาน
การปกครองท้องทีก่ จ็ ดั แบ่ง เป็นเขตแขวงทัวสิ ่ น้ ทุกถิน่ ฐาน
ตัง้ หัวเมืองประจาดาเนินงาน ให้กจิ การตาบลได้ผลดี
มีทงั ้ หลวงขุนหมื่นพืน้ ฉกาจ ล้วนสามารถปกครองในท้องที่
เรือ่ งการโจรผูร้ า้ ยมิให้ม ี ในท้องทีต่ นได้สกั รายเดียว
การไร่น่ากวดขันกันทุกแห่ง ทุกเขตแขวงข้าวกลางทุ่งนาเขียว
ต่างขยันกันทัวตั ่ วเป็นเกลียว ช่างเด็ดเดีย่ วหนักหนาชาวนาเรา
แม่น้ าใหญ่ตะลุงมีสห่ี า้ สาย ต่างก็ได้กาเนิดเกิดจากเขา
แล้วไหล่ผ่านไร่นาป่าลาเนา จากทิวเขาไหลตรงลงทะเล
มีทร่ี าบทัวในจั
่ งหวัด ต่างสันทัดนาไร่ไม่หนั เห
หัวเมืองตรวจมิให้ได้เกเร ไทยทัง้ เพมุง่ ทาเต็มกาลัง
การปลูกผักเลีย้ งสัตว์จดั กันทัว่ ทุกครอบครัวทานาแทบบ้าหลัง
ก่อนการ้องเรียกกาให้ลารัง ลุกขึน้ นังหุ
่ งหาแล้วคลาไคล
ลูกจูงวัวแม่มาค้าข้าวห่อ ส่วนตัวพ่อคว้าแอกแล้วแบกไถ
เดินตามกันเป็ นย่านทุกบ้านไป แต่ก่อนไก่ทุกวันไม่พรันพรึ่ ง
หมันท ่ าการแต่เช้าจนเข้าค่า ทนตรากตราดื่นดึกไม่นึกถึง
แม้ฝนตกฟ้าร้องคะนองอึง แดดร้อนถึงเผากายไม่ละลด
ถึงโคลนตมจมตัวหัวเลอะเทอะ หูตาเปรอะหลังลายกลายเป็ นผด
ปลิงจะกัดหมัดตอมก็ยอมอด แสนทรหดหนักหนาชาวนาเรา
ผัวไถคลาดลาดหญ้าคันนาขุด เมียรีบรุดกวาดหญ้าพาไปเผา
ลูกก็เลีย้ งวัวควายไม่ดเู บา ทุกคนเอาการสิน้ น่ายินดี
เมียถอนกล้าผัวพากล้าไปส่ง เมียก้มลงดานาจนตาหยี
โก้งโค้งทาทัง้ วันขยันดี แต่ละปีเหนื่อยกายแทบวานปราณ
ฤดูดาลาบากยากกว่าเก็บ ต้องปวดเล็บเจ็บหลังดังโดนขวาน
ทีทอ้ งแก่แต่จนทนกันดาร แสนสงสารชาวนาหน้าปกั ดา
เสร็จตอนนี้เบาใจลงไปมาก ไม่ตอ้ งจากเรือนจรนอนขนา
แต่ตอ้ งคอยตรวจดูอยูป่ ระจา เพื่อให้น้าพอดีมขิ าดแคลน
น้ามากนักปูจกั กินต้นข้าว น้าแห้งเล่าข้าวตายเสียดายแสน
๒๓๔
ภำพที่ ๑๕ วรรณกรรมอิงประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ ภาคใต้ เรือ่ งประวัตพิ ทั ลุง – ตรัง เล่มที่ ๑
(ทีม่ า: ได้รบั ความอนุเคราะห์จากวินัย สุกใส)
สรุป
ในการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ ผูส้ นใจสามารถใช้แนวทางในการศึกษา
ทีห่ ลากหลาย ได้แก่ การศึกษาวรรณคดีเพียงเรือ่ งเดียวอย่างลุ่มลึก ศึกษาลักษณะเด่น ศึกษา
เพื่อดูภาพรวมด้านการสร้างงาน ศึกษาทรรศนะหรือมุมมองต่อสังคมของตน หรือสังคมอื่น
ศึกษาวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ของชาติอ่นื เพื่อขยายขอบเขตการศึกษาวรรณคดีกลุ่มนี้
ให้กว้างขวางมากยิง่ ขึน้ ศึกษาแนวเปรียบเทียบ ศึกษาโดยมุ่งแนวคิดทฤษฎีเพื่อช่วยอธิบาย
วรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศึกษาจากกลุ่มข้อ มูล วรรณกรรมท้อ งถิ่น ประเภทต านาน
นิทาน วรรณกรรมพื้นบ้านอื่น ๆ ทัง้ นี้ แนวทางการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับประวัตศิ าสตร์ใน
มิตติ ่าง ๆ นี้ ผูเ้ ขียนนาเสนอโดยสังเขปเท่านัน้ เพื่อให้ผทู้ ส่ี นใจนาไปต่อยอดหรือขยายประเด็น
การศึกษาวรรณคดีเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ให้กว้างขวางออกไป
๒๓๖
บทที่ ๘
บทสรุป
บรรณำนุกรม
กระแสร์ มาลยาภรณ์ และชุดา จิตพิทกั ษ์. (๒๕๒๖). มนุษย์กบั วรรณกรรม. สงขลา : คณะ
วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง. (๒๕๓๘). วรรณกรรมประวัติศำสตร์. สงขลา : คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้.
กฤติย า สิท ธิเชนทร์. (๒๕๕๓). “โจรสลัด แห่ งตะรุเตา : ผู้ร้ายในประวัติศ าสตร์ แห่ งสยาม
ประเทศ”. วำรสำรมนุษยศำสตร์สงั คมศำสตร์ มหำวิ ทยำลัยทักษิ ณ. ปีท่ี ๔ ฉบับ
ที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๒ - มีนาคม ๒๕๕๓) : ๒๔๐-๒๖๘.
กฤษณะ นาคประสงค์. (๒๕๔๖). กำรสื่ อสำรกำรเมืองของสมเด็จพระนเรศวรมหำรำช.
วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กฤษณา อโศกสิน. (๒๕๔๖). หนึ่ งฟ้ ำดิ นเดียว. กรุงเทพฯ: เพื่อนดี.
กล้วยไม้ แก้วสนธิ, ผูแ้ ปล. (๒๕๕๘). ฟอลคอลแห่งอยุธยำ. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์.
ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และนิยะดา ทาสุคนธ์. (๒๕๔๓). กระบวนพยุหยำตรำ ประวัติและ
พระรำชพิ ธี. กรุงเทพฯ : สานักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร.
กัณหา แก้วไทย, แปล. (๒๕๔๒). แอนนำกับพระเจ้ำกรุงสยำม. กรุงเทพฯ : แก้วกานต์.
กิต ติศ ัก ดิ ์ เจิมสิท ธิป ระเสริฐ . (๒๕๕๒). นั ย ทำงกำรเมื องใน "เสภำเรื่องขุน ช้ ำงขุน แผน.
ศิ ล ป ศ าส ต รม ห าบั ณ ฑิ ต ส าข ารั ฐ ศ าส ต ร์ . ก รุ ง เท พ ฯ : บั ณ ฑิ ต วิ ท ย าลั ย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กุสุมา รักษมณี. (๒๕๔๗). “การสอนประวัตศิ าสตร์แบบนวนิยาย.” ใน เส้นสีลีลำวรรณกรรม,
๓๓๕-๓๓๗. กรุงเทพฯ: แม่คาผาง.
กุหลาบ มัลลิกะมาส. (ม.ป.ป). วรรณคดีวิจำรณ์ . ม.ป.ท.
ขจร สุขพานิช. (๒๕๑๖). จดหมำยเหตุควำมทรงจำ. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.
เขมชาติ. (๒๕๔๖). อิ ฐพระองค์ดำ. กรุงเทพฯ: เค แอนด์ เค บุ๊ค.
ไข่มกุ อุทยาวลี. (๒๕๔๗). กำรอนุรกั ษ์สมุดไทยภำคใต้ เพื่อกำรศึกษำประวัติศำสตร์
และวัฒนธรรมท้องถิ่ น. รายงานวิจยั . ปตั ตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
ไข่มุก อุ ทยาวลี. (๒๕๔๘). กำรศึ กษำตำนำนเมืองปั ตตำนี : มิ ติท ำงประวัติศ ำสตร์ และ
วัฒ นธรรมภำคใต้ . Songkla Nakarin Human & Social Science E-Journal; Vol.
11, No. 2 (2005).
๒๔๑
วรมน เหรีย ญสุ ว รรณ. (๒๕๔๘). มิ ติ สถำนที่ ใ นนวนิ ยำยอิ ง ประวัติ ศำสตร์ไ ทยสมัย
รัตนโกสิ นทร์ ศึกษำจำกงำนประพันธ์ของ “ทมยันตี .” รายงานการวิจยั . กรุงเทพฯ:
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ .
วรารัต น์ สุขวัจนี. (๒๕๕๑). กำรศึ ก ษำวิ เครำะห์ นวนิ ยำยอิ งประวัติ ศ ำสตร์ส มัย กรุง ศรี
อยุ ธ ยำ. ปริญ ญ าศิ ล ปศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาวรรณ คดี ไทย. กรุ ง เทพ ฯ:
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วัชรี รมยะนันทน์ . (๒๕๓๘). วิ วฒ ั นำกำรวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : โครงการตาราคณะอักษร
ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วันชนะ เกิดเภา. (๒๕๕๐). ภำพตัวแทนของสมเด็จพระมหำธรรมรำชำในวรรณกรรมไทย.
วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วาทิน ศานติ ์ สันติ (๒๕๕๓). พระรำชพิ ธี : ศรีสจั จปำนกำล หรือ พระรำชพิ ธีถือน้ ำพิ พฒ ั น์
สัต ยำ และค ำประกำศถวำยสัต ย์ส ำบำนในสมัย รัต นโกสิ น ทร์. สืบ ค้น เมื่อ ๑๒
สิงหาคม ๒๕๕๙, จากhttps://www.gotoknow.org/posts/๓๔๔๓๗๕,
วาริฎฐา ถาวโรฤทธิ ์. (๒๕๕๑). นัยทำงสังคมกำรเมืองของเพลงกล่อมเด็กไทย. วิทยานิพนธ์
ปริญ ญาเศรษฐศาสตรมหาบัณ ฑิต สาขาวิช าเศรษฐศาสตร์ก ารเมือ ง จุฬ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
วิจติ รวาทการ, หลวง. (๒๕๑๖). ปำฐกถำประวัติศำสตร์. พระนคร : เสริมวิทย์บรรณาคาร.
วิ จ ิ ต รวาทการ, หลวง. (๒ ๕๑๓ ). เพชรพ ระนำรำยณ์ (พิ ม พ์ ค รัง้ ที่ ๓ ). กรุ ง เทพ ฯ:
สร้างสรรค์บุ๊คส์.
วิทย์ ศิวะศริยานนท์. (๒๕๑๔). วรรณคดี และวรรณคดี วิจำรณ์ (พิมพ์ครัง้ ที่ ๔). พระนคร :
สมาคมภาษาและหนังสือ.
วินทร์ เลียววาริณ. (๒๕๔๖). ประชำธิ ปไตยบนเส้นขนำน. กรุงเทพฯ : บริษทั ๑๑๓ กาจัด
วินยั พงศ์ศรีเพียร. (๒๕๔๘). “การบรรยายพิเศษเรือ่ งประวัตศิ าสตร์กบั การศึกษาวรรณคดีไทย,”
ใน เอกสำรสัมมนำทำงวิ ชำกำรเรื่อง “นวทัศน์ ในวรรณคดีไทย” สานักศิลปกรรม
ราชบัณ ฑิต ยสถาน จัดขึ้น ณ ห้อ งปิ่ น เกล้า ๒ โรงแรมรอยัล ซิต้ี ถนนบรมราชชนนี
กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘.
วินัย สุกใส. (๒๕๔๖). วิ เครำะห์ภำพสะท้ อนเศรษฐกิ จสังคมชุมชนลุ่มทะเลสำบสงขลำที่
ปรำกฏในวรรณกรรมท้ องถิ่ น ประเภทร้อยกรองในยุคกำรพิ มพ์ (พ.ศ. ๒๔๗๒-
๒๕๐๓). ปริญ ญานิ พ นธ์ ป ริญ ญาการศึ ก ษามหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิช าภาษาไทย
มหาวิทยาลัยทักษิณ.
วินิตา ดิถยี นต์. (๒๕๓๕). “ฟ้าใหม่ ของศุภร บุนนาค : ความสัมพันธ์ระหว่างนวนิยายกับ
ประวัตศิ าสตร์,” วำรสำรอักษรศำสตร์ มหำวิ ทยำลัยศิ ลปำกร. ๑๔(๒)๑: ๓๖-๕๓
๒๕๑
ดัชนี ค้นคำ
กลวิ ธี, ๑, ๒, ๖, ๒๒, ๒๓, ๗๔, ๗๖, ๗๘, ๘๕, ๑๒๐, ๑๘๒, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๘๙,
๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๓, ๑๙๖, ๑๙๗, ๒๐๑, ๒๓๔, ๒๓๕
กลอน, ๑, ๒, ๖, ๗, ๙, ๒๔, ๒๕, ๒๗, ๒๙, ๓๐, ๓๕, ๓๖, ๕๓, ๕๘, ๕๙, ๖๐, ๗๑, ๗๓, ๑๒๓,
๑๒๔, ๑๔๙, ๑๗๖, ๑๙๗, ๒๑๑, ๒๑๒, ๒๑๖
กษัตรำนิ ยม, ๑๔๔, ๑๔๘, ๑๕๑, ๑๕๒, ๑๕๔, ๑๖๒, ๑๖๕, ๑๗๔, ๒๓๔
กษัตริ ย,์ ๑, ๑๓, ๑๔, ๒๗, ๓๑, ๓๒, ๓๕, ๔๐, ๔๑, ๔๘, ๔๙, ๕๓, ๕๖, ๕๘, ๖๕, ๗๑, ๘๔,
๘๗, ๙๒, ๙๔, ๙๕, ๙๖, ๙๗, ๙๘, ๑๐๖, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๐๙, ๑๑๒, ๑๑๔, ๑๒๐, ๑๒๖, ๑๔๐,
๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๒, ๑๕๔, ๑๕๖, ๑๖๕, ๑๖๘, ๑๗๓, ๑๗๗, ๑๗๙, ๑๘๒, ๑๘๖, ๑๘๙, ๑๙๑,
๑๙๖
กำรจำแนก, ๒๒, ๓๕, ๖๑, ๑๕๙, ๑๗๖, ๑๗๗, ๑๙๐
กำรเปรียบเทียบ, ๗๔, ๗๕, ๗๘, ๑๖๔, ๑๘๗, ๑๙๐
กำรแปลควำม, ๗๖
กำรพรรณนำ, ๑๗, ๕๘, ๗๔, ๑๒๔, ๑๖๘, ๑๘๑, ๑๘๕
กำรเมือง, ๑, ๕, ๘, ๑๗, ๑๘, ๒๐, ๒๑, ๕๐, ๘๖, ๘๘, ๑๐๖, ๑๑๑, ๑๒๒, ๑๒๙, ๑๔๑, ๑๔๖,
๑๕๗, ๑๖๐, ๑๗๗, ๑๗๘, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๙๒, ๑๙๗, ๒๐๓, ๒๐๕, ๒๐๘,
๒๓๓
กำรเล่นคำ, ๗๗, ๗๘, ๑๘๗, ๑๙๖
กำรเล่นเสียง, ๗๔, ๗๗, ๘๔
กำรเล่ำเรื่อง, ๑, ๘, ๑๔๐, ๑๘๐, ๑๘๑, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๘๘, ๑๘๙, ๑๙๑, ๑๙๓,
๑๙๖, ๒๓๔
กำรวิ พำกษ์วิจำรณ์ , ๗๖, ๑๒๓, ๑๒๖, ๑๔๐
กำรอธิ บำย, ๗๔, ๘๖, ๑๘๐, ๑๙๓, ๒๐๔, ๒๑๔, ๒๑๕
เกร็ด, ๓๕, ๔๑, ๑๓๒, ๑๕๙
แก่นของเรื่อง, ๑, ๖, ๒๐, ๒๓, ๑๙๘, ๒๓๓
ขนบธรรมเนี ยมประเพณี , ๖, ๒๐, ๔๐, ๔๙, ๕๘, ๑๓๒, ๑๙๓, ๒๓๓
ข้อแตกต่ำง, ๔, ๑๖, ๒๑, ๒๓๓
ข้อเท็จจริ ง, ๖, ๗, ๑๖, ๑๗, ๒๐, ๒๑, ๑๗๙, ๑๘๐, ๒๐๐, ๒๓๓
ขอบข่ำย, ๔, ๑๖, ๑๗๗
๒๕๗
ข้อมูลทำงประวัติศำสตร์, ๖, ๙, ๑๘, ๑๕๙, ๑๗๖, ๑๘๒, ๑๘๔, ๑๙๐, ๑๙๑, ๒๐๓, ๒๑๔,
๒๓๖
เขมร, ๖, ๓๖, ๖๘, ๙๓, ๙๕, ๙๙, ๑๑๒
ครองรำชย์, ๔๗, ๘๗, ๘๘, ๙๐, ๙๓, ๙๔, ๙๕, ๙๖, ๙๗, ๑๐๑, ๑๐๒, ๑๐๖, ๑๒๕, ๑๕๒
ควำมงำม, ๑๖, ๑๗, ๒๑, ๓๑, ๔๙, ๗๘, ๘๕, ๑๖๙, ๒๓๓
ควำมเชื่อมโยง, ๔, ๑๙, ๒๐
ควำมแตกต่ำง, ๔, ๕, ๑๒, ๑๖, ๑๗, ๒๒, ๑๓๓, ๑๔๔, ๑๖๒, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๘๐, ๑๘๕, ๒๐๘,
๒๐๙
ควำมไพเรำะ, ๑๖, ๑๗, ๒๑, ๒๓, ๒๔, ๗๓, ๗๗, ๑๘๑, ๑๘๙, ๑๙๖, ๒๓๓
ควำมรู้, ๒, ๓, ๔, ๖, ๗, ๑๗, ๒๐, ๓๑, ๔๑, ๕๗, ๕๘, ๕๙, ๖๑, ๖๔, ๖๕, ๖๖, ๖๗, ๖๘, ๗๓,
๗๖, ๘๕, ๑๐๖, ๑๑๖, ๑๒๒, ๑๔๓, ๑๔๔, ๑๔๕, ๑๔๖, ๑๔๗, ๑๔๘, ๑๕๔, ๑๕๘, ๑๖๐,
๑๖๘, ๑๗๔, ๑๘๒, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๔, ๑๙๕, ๑๙๘, ๒๐๗, ๒๐๘,
๒๑๐, ๒๑๔, ๒๓๓, ๒๓๔, ๒๓๕
ควำมสมจริ ง, ๑, ๗, ๑๒, ๑๘, ๓๑, ๓๒, ๓๓, ๑๒๐, ๑๔๐, ๑๘๑, ๑๘๒, ๑๘๙, ๑๙๑
ควำมสัมพันธ์, ๔, ๖, ๙, ๑๖, ๗๘, ๘๖, ๘๗, ๙๓, ๑๒๑, ๑๒๔, ๑๔๓, ๑๔๔, ๑๔๗, ๑๗๕,
๑๗๗, ๑๗๘, ๑๘๑, ๑๘๒, ๑๘๗, ๑๘๙, ๑๙๑, ๑๙๓, ๑๙๖, ๑๙๘, ๒๐๐, ๒๐๒, ๒๐๓, ๒๐๔,
๒๐๕, ๒๐๗, ๒๐๙, ๒๑๒, ๒๑๔, ๒๓๔, ๒๓๕
คำศัพท์, ๑๘๖
คุณค่ำ, ๔, ๕, ๖, ๑๗, ๑๙, ๒๐, ๒๑, ๗๔, ๗๖, ๑๒๗, ๑๔๔, ๑๕๘, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๘, ๑๘๒,
๑๘๙, ๒๐๖, ๒๐๙, ๒๑๑, ๒๑๔, ๒๓๓
คุณสมบัติ, ๕, ๑๖๕, ๑๖๗, ๑๗๓, ๑๗๙, ๑๘๕, ๑๙๘
เครื่องมือ, ๕, ๖, ๒๐, ๑๒๓, ๑๗๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๒๐๖, ๒๐๘, ๒๓๓, ๒๓๔, ๒๓๕
โครงเรื่อง, ๑, ๑๗, ๑๙, ๑๒๙, ๑๔๘, ๑๖๘, ๑๘๑, ๑๘๓, ๑๘๕, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๒๐๒,
๒๓๕
โคลง, ๒๔, ๒๕, ๒๖, ๒๙, ๓๐, ๓๑, ๓๒, ๓๕, ๓๖, ๔๘, ๕๕, ๕๖, ๕๘, ๖๐, ๖๔, ๖๙, ๗๐, ๗๑,
๗๘, ๗๙, ๙๗, ๙๙, ๑๑๐, ๑๑๑, ๑๑๓, ๑๑๕, ๑๑๖, ๑๑๗, ๑๑๘, ๑๑๙, ๑๒๐, ๑๒๓, ๑๒๔,
๑๔๙, ๑๖๖, ๑๖๘, ๑๖๙, ๑๗๕, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๘๒, ๑๙๐, ๑๙๖
งำนค้นคว้ำ, ๒, ๑๗๕
งำนวิ จยั , ๒, ๑๗๕, ๑๘๓, ๑๘๖, ๑๘๙, ๑๙๒, ๑๙๓, ๑๙๗, ๒๐๑, ๒๐๒, ๒๐๔, ๒๐๖, ๒๐๗
จดหมำยเหตุ, ๖, ๑๘, ๒๐, ๒๓, ๓๓, ๓๖, ๓๙, ๙๗, ๑๐๘, ๑๒๐, ๑๒๓, ๑๕๘, ๑๕๙, ๑๗๖,
๑๗๗, ๒๑๖, ๒๓๓
จอมพล ป. พิ บลู สงครำม, ๕, ๑๘, ๑๒๖, ๑๕๕, ๑๕๖, ๑๕๗, ๑๘๖
๒๕๘
๑๑๒, ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๒๑, ๑๒๒, ๑๒๖, ๑๒๘, ๑๒๙, ๑๓๐, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๓๖, ๑๓๗, ๑๔๐,
๑๔๓, ๑๕๐, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๔, ๑๕๕, ๑๕๖, ๑๕๗, ๑๕๘, ๑๕๙, ๑๖๕, ๑๖๗, ๑๖๘, ๑๗๖,
๑๗๘, ๑๘๑, ๑๘๒, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๗, ๑๘๘, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๓, ๑๙๖, ๑๙๗,
๒๐๐, ๒๐๒, ๒๐๓, ๒๐๔, ๒๐๕, ๒๐๘, ๒๑๒, ๒๑๓, ๒๑๔, ๒๓๔
ธนบุรี, ๒๕, ๓๑, ๓๒, ๓๕, ๓๖, ๓๗, ๓๙, ๔๘, ๕๕, ๕๖, ๕๗, ๖๙, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๐๙, ๑๑๐,
๑๑๑, ๑๑๒, ๑๑๓, ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๑๖, ๑๑๗, ๑๑๘, ๑๑๙, ๑๒๐, ๑๒๑, ๑๔๘, ๑๖๖, ๑๖๘,
๑๗๖, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๙๘
นวนิ ยำยอิ งประวัติศำสตร์, ๑, ๒, ๑๗, ๑๘, ๒๓, ๓๓, ๓๙, ๕๗, ๑๓๑, ๑๓๓, ๑๓๘, ๑๓๙,
๑๔๑, ๑๕๔, ๑๘๒, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๑๘, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๙, ๒๐๐,
๒๐๒, ๒๐๓
นิ ยำม, ๑, ๒, ๔, ๕, ๖, ๑๖, ๑๔๕, ๑๖๗, ๑๗๔, ๑๗๘, ๒๐๘
เนื้ อเรื่อง, ๑, ๔๒, ๑๗๓, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๙๐, ๑๙๒
เนื้ อหำ, ๑, ๒, ๓, ๕, ๖, ๑๔, ๑๖, ๑๗, ๑๙, ๒๐, ๒๓, ๓๐, ๓๒, ๓๓, ๓๔, ๓๖, ๓๙, ๔๑, ๔๗,
๔๘, ๕๖, ๕๗, ๕๘, ๕๙, ๖๐, ๖๙, ๗๓, ๘๕, ๘๘, ๘๙, ๙๗, ๙๙, ๑๑๐, ๑๒๐, ๑๒๓, ๑๒๕,
๑๒๖, ๑๒๘, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๓๘, ๑๔๓, ๑๖๐, ๑๖๗, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๘๖, ๑๘๗,
๑๘๙, ๑๙๒, ๑๙๔, ๑๙๕, ๑๙๖, ๒๐๑, ๒๐๒, ๒๐๓, ๒๐๖, ๒๑๒, ๒๑๓, ๒๑๔, ๒๓๓, ๒๓๔
แนวคิ ด, ๒, ๓, ๗, ๔๐, ๑๒๔, ๑๔๕, ๑๔๖, ๑๔๗, ๑๔๘, ๑๕๕, ๑๕๘, ๑๖๒, ๑๖๖, ๑๗๔,
๑๗๖, ๑๗๘, ๑๘๑, ๑๘๖, ๑๘๘, ๑๘๙, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๗, ๒๐๑, ๒๐๒, ๒๐๓, ๒๐๔, ๒๐๖,
๒๐๘, ๒๑๓, ๒๓๒, ๒๓๔, ๒๓๕
แนวทำงกำรวิ เครำะห์, ๑๙๔
บทควำม, ๒, ๑๒๔, ๑๗๗, ๑๗๙, ๑๘๑, ๑๘๒, ๑๘๓, ๑๙๓, ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘, ๒๔๒
บทบำท, ๖, ๕๗, ๘๖, ๑๒๐, ๑๒๙, ๑๔๒, ๑๔๖, ๑๔๘, ๑๕๘, ๑๖๒, ๑๗๗, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๖,
๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๓, ๑๙๗, ๒๐๐, ๒๐๑, ๒๐๓, ๒๐๖, ๒๑๐, ๒๑๔
บรรพชน, ๘, ๑๔, ๑๕, ๒๑, ๑๗๒, ๒๐๗, ๒๓๓
บรรยำย, ๖, ๑๓, ๓๗, ๗๒, ๗๓, ๗๔, ๗๕, ๘๒, ๙๗, ๑๑๐, ๑๗๗, ๑๘๐, ๑๘๑, ๑๘๕, ๑๘๙,
๑๙๕
บริ บท, ๑, ๒, ๔, ๙, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๑๙, ๒๐, ๘๖, ๘๗, ๘๘, ๙๓, ๙๗, ๑๑๐, ๑๑๖, ๑๒๓, ๑๒๖,
๑๓๑, ๑๓๒, ๑๔๓, ๑๔๕, ๑๔๗, ๑๗๓, ๑๗๖, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๘๘, ๑๙๐, ๑๙๖,
๑๙๗, ๑๙๘, ๒๐๑, ๒๐๕, ๒๐๗, ๒๐๘, ๒๐๙, ๒๑๒, ๒๑๓, ๒๓๓, ๒๓๕
บ่อเกิ ด, ๘, ๒๑, ๒๓๓
๒๖๐
บันทึก, ๑, ๕, ๖, ๙, ๑๖, ๑๗, ๒๐, ๒๒, ๓๓, ๓๕, ๓๖, ๓๙, ๔๑, ๔๗, ๖๗, ๗๓, ๗๔, ๘๕, ๘๘,
๙๓, ๙๗, ๑๐๗, ๑๒๐, ๑๒๓, ๑๒๔, ๑๒๙, ๑๓๐, ๑๓๑, ๑๔๑, ๑๔๓, ๑๕๘, ๑๕๙, ๑๖๑,
๑๗๑, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๘๐, ๑๘๙, ๑๙๕, ๑๙๗, ๒๐๕, ๒๐๖, ๒๑๒, ๒๑๓, ๒๑๔, ๒๓๓
บ้ำนเมือง, ๑, ๔, ๖, ๙, ๑๔, ๑๙, ๒๑, ๓๑, ๓๓, ๓๔, ๓๕, ๓๖, ๔๑, ๔๘, ๔๙, ๕๐, ๕๖, ๕๙,
๖๗, ๗๐, ๗๓, ๘๒, ๘๕, ๘๖, ๘๗, ๘๙, ๙๐, ๙๒, ๙๓, ๙๕, ๑๐๗, ๑๑๐, ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๑๗,
๑๒๐, ๑๒๓, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๘, ๑๒๙, ๑๓๐, ๑๓๒, ๑๔๓, ๑๔๙, ๑๕๒, ๑๕๕, ๑๕๗, ๑๕๙,
๑๖๘, ๑๗๑, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๘, ๒๓๓, ๒๓๔
เบือ้ งหลัง, ๘, ๙, ๒๑, ๓๕, ๑๙๐, ๒๓๓
ปกครอง, ๑๒, ๒๒, ๔๘, ๔๙, ๕๐, ๘๒, ๘๗, ๘๘, ๙๐, ๙๒, ๙๓, ๙๕, ๙๖, ๙๗, ๑๐๖, ๑๐๗,
๑๑๐, ๑๑๔, ๑๑๖, ๑๒๓, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๘, ๑๓๒, ๑๔๑, ๑๔๗, ๑๕๕, ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๕,
๑๖๘, ๑๗๑, ๑๗๗, ๑๗๙, ๑๘๐, ๑๘๒, ๑๘๔, ๑๘๗, ๑๙๐, ๑๙๓, ๑๙๘, ๒๐๔, ๒๐๕, ๒๐๖,
๒๐๘
ประกอบสร้ำง, ๑๐๔, ๑๔๔, ๑๔๕, ๑๔๗, ๑๕๔, ๑๗๙, ๑๘๐, ๑๘๑, ๑๘๔, ๑๘๘
ประโยชน์ , ๔, ๗, ๘, ๑๒, ๑๖, ๒๐, ๒๑, ๒๒, ๔๘, ๔๙, ๕๔, ๕๕, ๗๑, ๑๘๓, ๑๘๖, ๒๐๙,
๒๑๓, ๒๓๓
ประวัติวรรณคดี, ๘, ๑๗, ๑๗๘
ประวัติศำสตร์, ๑, ๓, ๔, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๓, ๑๔, ๑๖, ๑๗, ๑๙, ๒๐, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕,
๒๖, ๒๗, ๒๘, ๓๐, ๓๑, ๓๒, ๓๓, ๓๔, ๓๕, ๓๖, ๓๙, ๔๑, ๔๒, ๔๗, ๔๘, ๕๗, ๕๘, ๕๙,
๖๐, ๖๑, ๖๘, ๖๙, ๗๓, ๗๔, ๘๑, ๘๔, ๘๕, ๘๖, ๘๗, ๘๘, ๘๙, ๙๒, ๙๗, ๙๙, ๑๐๐, ๑๐๑,
๑๐๖, ๑๐๗, ๑๑๐, ๑๑๖, ๑๑๘, ๑๒๐, ๑๒๑, ๑๒๓, ๑๒๔, ๑๒๕,๑๒๖, ๑๒๙, ๑๓๐, ๑๓๑,
๑๓๒, ๑๓๓, ๑๓๗, ๑๔๐, ๑๔๑, ๑๔๒, ๑๔๓, ๑๔๔, ๑๔๖, ๑๔๗, ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๔, ๑๕๖,
๑๕๗, ๑๕๘, ๑๕๙, ๑๖๐, ๑๖๑, ๑๖๕, ๑๖๗, ๑๖๘, ๑๗๔, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๗, ๑๗๘, ๑๗๙,
๑๘๑, ๑๘๒, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๘๘, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๓, ๑๙๔,
๑๙๕, ๑๙๗, ๑๙๙, ๒๐๐, ๒๐๒, ๒๐๓, ๒๐๔, ๒๐๕, ๒๐๖, ๒๐๘, ๒๑๑, ๒๑๒, ๒๑๓, ๒๑๔,
๒๓๒, ๒๓๓, ๒๓๔, ๒๓๕
เปรียบเทียบ, ๑๐, ๑๒, ๗๔, ๗๕, ๗๘, ๗๙, ๘๒, ๘๓, ๑๒๕, ๑๒๗, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๙๐, ๑๙๘,
๒๐๒, ๒๐๔, ๒๓๒, ๒๓๔
ผสมผสำน, ๒๔, ๒๙, ๓๐, ๘๕, ๙๒, ๑๒๗, ๑๓๐, ๑๗๘, ๑๘๘, ๑๙๙, ๒๓๓
ผูแ้ ต่ง, ๑, ๔, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๒, ๑๓, ๑๕, ๑๖, ๑๘, ๒๐, ๒๓, ๒๗, ๒๙, ๓๐, ๓๒, ๓๓, ๓๔, ๓๘,
๔๑, ๔๘, ๕๕, ๕๘, ๖๖, ๖๙, ๗๐, ๗๑, ๗๙, ๘๐, ๘๔, ๘๖, ๙๗, ๑๑๐, ๑๒๐, ๑๒๙, ๑๓๑,
๑๓๓, ๑๓๔, ๑๓๕, ๑๓๖, ๑๓๗, ๑๓๘, ๑๓๙, ๑๔๐, ๑๔๑, ๑๔๓, ๑๔๘, ๑๕๔, ๑๕๗, ๑๖๐,
๒๖๑
๑๖๗, ๑๖๘, ๑๗๓, ๑๗๕, ๑๗๗, ๑๗๘, ๑๘๒, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๒, ๑๙๔, ๑๙๘, ๒๑๐, ๒๑๑,
๒๑๓, ๒๑๕, ๒๓๓
ผูน้ ำ, ๑๓, ๘๖, ๙๓, ๙๖, ๑๐๙, ๑๕๔, ๑๗๒, ๑๗๘, ๑๘๖, ๑๙๓
พงศำวดำร, ๑, ๖, ๘, ๑๐, ๑๘, ๒๐, ๒๒, ๓๓, ๓๖, ๔๑, ๖๐, ๗๓, ๙๔, ๙๗, ๙๙, ๑๐๔, ๑๐๕,
๑๐๗, ๑๑๑, ๑๑๕, ๑๑๘, ๑๑๙, ๑๒๓, ๑๒๔, ๑๒๕, ๑๔๓, ๑๕๘, ๑๕๙, ๑๖๐, ๑๖๗, ๑๗๕,
๑๗๖, ๑๘๑, ๑๘๘, ๑๙๒, ๒๓๓
พม่ำ, ๘, ๑๕, ๒๗, ๓๓, ๓๖, ๓๗, ๔๕, ๔๘, ๖๐, ๗๐, ๙๒, ๙๔, ๙๕, ๙๗, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๐๙,
๑๑๐, ๑๑๑, ๑๑๒, ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๒๑, ๑๒๒, ๑๒๙, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๓๓, ๑๔๓, ๑๕๒, ๑๕๔,
๑๖๘, ๑๘๑, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖, ๑๙๓, ๑๙๕
พระเจ้ำกรุงธนบุรี, ๒๕, ๒๗, ๓๑, ๓๒, ๓๕, ๓๗, ๔๘, ๕๕, ๕๖, ๕๗, ๖๘, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๐๙,
๑๑๐, ๑๑๑, ๑๑๒, ๑๑๓, ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๑๖, ๑๑๗, ๑๑๘, ๑๑๙, ๑๒๐, ๑๓๘, ๑๖๖, ๑๖๘,
๑๗๑, ๑๗๘, ๒๑๕
พระเจ้ำตำกสิ นมหำรำช, ๒๖, ๒๙, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๑๐, ๑๑๑, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๓๘, ๑๗๑
พระรำชกรณี ยกิ จ, ๑, ๒๗, ๒๘, ๔๖, ๔๗, ๕๖, ๕๗, ๕๙, ๗๓, ๘๒, ๙๖, ๙๘, ๑๐๕, ๑๑๐,
๑๑๕, ๑๑๗, ๑๑๙, ๑๒๒, ๑๒๙, ๑๕๙
พระรำชหัตถเลขำ, ๒๓, ๓๖, ๕๗, ๖๖ม ๗๔, ๑๒๐, ๑๒๓, ๑๒๕
พ่อขุนรำมคำแหง, ๑๐, ๑๑, ๑๓, ๒๓, ๔๗, ๕๙, ๖๑, ๗๗, ๘๗, ๘๘, ๘๙, ๙๐, ๙๑, ๑๔๓,
๑๔๘, ๑๕๘, ๑๗๘, ๒๑๕, ๒๑๙, ๒๒๐
พัฒนำกำร, ๑, ๒, ๓๙, ๑๗๗, ๑๙๑, ๑๙๖, ๑๙๗, ๒๐๕, ๒๑๔
ภำพตัวแทน, ๑๘๔, ๑๘๕
ภำพพจน์ , ๕๘, ๗๔, ๗๘, ๗๙, ๘๔, ๘๕, ๑๒๔, ๑๖๙, ๑๙๑, ๑๙๒, ๒๐๒, ๒๓๓, ๒๔๕
ภำพลักษณ์ , ๑, ๑๔, ๓๔, ๔๘, ๕๗, ๕๘, ๗๘, ๘๓, ๑๒๙, ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๑, ๑๕๒, ๑๕๕,
๑๕๗, ๑๕๘, ๑๖๒, ๑๖๕, ๑๖๘, ๑๗๓, ๑๗๙, ๑๘๒, ๑๘๓, ๑๘๗, ๑๘๘, ๑๙๓, ๑๙๖, ๒๐๓
ภำพสะท้อน, ๒๐, ๑๗๙, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๙๒, ๑๙๗, ๒๐๓, ๒๐๗, ๒๐๙, ๒๑๐
ภำษำ, ๒, ๓, ๔, ๖, ๑๒, ๑๕, ๑๖, ๑๗, ๑๙, ๒๐, ๒๑, ๓๑, ๓๒, ๔๓, ๖๕, ๗๓, ๗๖, ๗๘, ๘๐,
๑๒๔, ๑๔๓, ๑๔๔, ๑๔๕, ๑๔๘, ๑๕๖, ๑๖๙, ๑๗๗, ๑๗๙, ๑๘๑, ๑๘๖, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑,
๑๙๔, ๒๐๖, ๒๑๓, ๒๑๔, ๒๓๓, ๒๓๕
ภูมิปัญญำ, ๘, ๒๐, ๑๕๗, ๑๙๓, ๑๙๗, ๒๑๑, ๒๑๓
ภูมิหลัง, ๗, ๒๐, ๑๖๘, ๑๘๙, ๑๙๐, ๒๐๑
มุมมอง, ๑๔๐, ๑๔๑, ๑๗๓, ๑๘๐, ๑๘๑, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๘, ๑๙๓, ๑๙๔, ๑๙๘, ๒๐๑, ๒๑๕,
๒๓๒, ๒๓๔
รส, ๑๗, ๔๐, ๕๙, ๗๔, ๗๗, ๘๐, ๘๑, ๘๒, ๘๓, ๘๔, ๙๙, ๑๒๔, ๑๙๐, ๑๙๒
๒๖๒
ร้อยกรอง, ๑, ๕, ๖, ๒๓, ๒๔, ๒๕, ๒๙, ๓๐, ๓๑, ๓๒, ๓๓, ๓๖, ๘๐, ๘๕, ๑๒๐, ๑๒๖, ๑๗๕,
๑๗๖, ๑๗๗, ๑๘๘, ๒๐๙, ๒๑๖, ๒๓๔
ร้อยแก้ว, ๑, ๕, ๖, ๒๓, ๓๐, ๓๒, ๓๓, ๓๖, ๘๕, ๑๒๐, ๑๒๖, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๗, ๑๘๑,
๒๓๔
รัตนโกสิ นทร์, ๑๑, ๑๒, ๓๐, ๓๓, ๓๔, ๓๖, ๑๑๐, ๑๒๐, ๑๒๔, ๑๓๐, ๑๓๑, ๑๓๓, ๑๓๔,
๑๔๘, ๑๕๓, ๑๕๙, ๑๗๖, ๑๗๗, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๘๔, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๕, ๑๙๗, ๒๐๘, ๒๑๔
รัชกำลที่ ๙, ๔๑, ๔๗, ๑๒๐, ๑๒๕, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๗๕, ๑๗๖
รำชสังคหวัตถุ, ๔๘, ๔๙, ๑๖๕
ร่ำย, ๑, ๒๔, ๒๕, ๒๖, ๒๘, ๒๙, ๓๐, ๓๘, ๑๒๔, ๑๗๑, ๑๙๐
รูปแบบ, ๑, ๒, ๓, ๕, ๙, ๑๒, ๑๖, ๒๐, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๖, ๓๐, ๓๑, ๓๒, ๓๓, ๔๒, ๗๙, ๘๕,
๙๓, ๑๒๐, ๑๔๕, ๑๔๘, ๑๖๑, ๑๗๔, ๑๘๔, ๑๘๗, ๒๐๓, ๒๐๗, ๒๑๓, ๒๓๓, ๒๓๖
ลักษณะคำประพันธ์, ๑๗๕, ๑๗๘, ๑๙๐
ลักษณะเฉพำะ, ๒, ๒๒, ๓๐, ๘๕, ๘๖, ๑๔๔, ๑๗๕, ๒๐๓, ๒๓๓
ลักษณะเด่น, ๑๙, ๒๒, ๔๘, ๑๘๓, ๑๘๕, ๑๘๘, ๑๙๔, ๑๙๕, ๑๙๗, ๒๐๗, ๒๑๐, ๒๑๔, ๒๓๒,
๒๓๔
ล้ำนนำ, ๑๓, ๙๓, ๙๔, ๑๐๙, ๑๑๘, ๑๙๒
ลิ ลิต, ๑, ๘, ๑๔, ๑๙, ๒๒, ๒๔, ๒๖, ๓๐, ๓๔, ๔๘, ๕๐, ๕๕, ๕๖, ๕๘, ๕๙, ๖๐, ๖๑, ๖๔, ๖๕,
๖๖, ๗๐, ๗๑, ๗๓, ๗๘, ๗๙, ๘๐, ๘๑, ๘๒, ๘๓, ๘๔, ๙๗, ๙๙, ๑๐๐, ๑๐๑, ๑๐๒, ๑๐๓,
๑๐๔, ๑๐๕, ๑๐๖, ๑๒๓, ๑๒๔, ๑๒๕, ๑๒๙, ๑๔๓, ๑๔๘, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๗, ๑๖๐, ๑๖๕,
๑๖๘, ๑๗๕, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๘๒, ๑๙๐, ๑๙๕
ลีลำ, ๑๗๖, ๑๗๗, ๑๘๓, ๑๘๙, ๑๙๕
วรรณกรรมท้องถิ่ น, ๒, ๑๙๔, ๒๐๕, ๒๐๖, ๒๐๙, ๒๑๐, ๒๑๑, ๒๑๒, ๒๑๓, ๒๑๕, ๒๓๒,
๒๓๔
วรรณคดี, ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๒, ๑๔, ๑๖, ๑๗, ๑๙, ๒๐, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕,
๒๖, ๒๗, ๒๘, ๓๐, ๓๑, ๓๒, ๓๓, ๓๔, ๓๕, ๓๖, ๓๙, ๔๗, ๔๘, ๕๗, ๕๘, ๕๙, ๖๐, ๖๑,
๖๙, ๗๓, ๗๔, ๘๐, ๘๑, ๘๒, ๘๔, ๘๕, ๘๖, ๘๗, ๘๘, ๙๒, ๙๓, ๙๗, ๑๐๔, ๑๐๖, ๑๐๗,
๑๑๐, ๑๒๐, ๑๒๓, ๑๒๔, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๔๓, ๑๔๔, ๑๔๖, ๑๔๘,๑๔๙, ๑๕๔, ๑๕๕, ๑๕๖,
๑๕๗, ๑๕๘, ๑๖๐, ๑๖๒, ๑๖๕, ๑๖๗, ๑๖๘, ๑๗๔, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๘๐, ๑๘๑,
๑๘๒, ๑๘๓, ๑๘๖, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๓, ๑๙๔, ๑๙๕, ๑๙๖, ๑๙๗, ๒๐๐, ๒๐๒, ๒๐๓, ๒๑๓,
๒๓๒, ๒๓๓, ๒๓๔
๒๖๓
๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๙, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๓๕, ๑๓๖, ๑๔๓, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๔, ๑๕๕, ๑๕๖, ๑๕๗,
๑๖๗, ๑๖๘, ๑๘๖, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๕, ๑๙๘, ๒๐๑, ๒๑๑, ๒๓๔
สดุดี, ๘, ๑๔, ๑๙, ๒๖, ๓๑, ๓๕, ๔๘, ๕๐, ๕๖, ๕๙, ๖๐, ๖๕, ๗๐, ๗๓, ๘๑, ๘๒, ๘๕, ๙๗,
๑๑๐, ๑๑๑, ๑๒๐, ๑๒๔, ๑๒๖, ๑๒๘, ๑๒๙, ๑๔๓, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๗, ๑๖๗, ๑๗๑, ๑๗๗,
๑๗๙, ๑๙๐, ๑๙๗, ๒๐๒, ๒๓๓
สถำนกำรณ์ , ๙, ๑๒, ๑๒๙, ๑๘๗, ๑๙๑, ๒๐๕
สถำนภำพ, ๘๖, ๑๗๓, ๑๗๙, ๑๘๔, ๑๙๐, ๑๙๓
สมเด็จพระนเรศวรมหำรำช, ๔๘, ๑๓๑, ๑๕๒, ๑๕๔, ๑๕๕ม ๑๖๗, ๑๗๑, ๑๗๙, ๑๘๑,
๑๘๗, ๑๘๘
สมเด็จพระบรมไตรโลกนำถ, ๓๔, ๔๘, ๕๖, ๘๒, ๙๓, ๙๗, ๙๘, ๙๙, ๑๐๐, ๑๐๑, ๑๐๒, ๑๐๓,
๑๐๔, ๑๐๕, ๑๐๖, ๑๐๗, ๑๗๑, ๑๘๒, ๑๙๖
ส่วนนำเรื่อง, ๓๔, ๗๓, ๑๖๕
ส่วนลงท้ำยเรื่อง, ๖๙
สังคม, ๑, ๒, ๓, ๔, ๖, ๗, ๙, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๒๐, ๒๑, ๓๓, ๓๖, ๔๗, ๕๐, ๖๐, ๖๖, ๖๗, ๗๓,
๘๕, ๘๖, ๙๓, ๑๒๒, ๑๒๔, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๙, ๑๓๐, ๑๓๓, ๑๔๓, ๑๔๔, ๑๔๕, ๑๔๖,
๑๔๗, ๑๔๘, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๕, ๑๕๘, ๑๖๑, ๑๖๖, ๑๗๔, ๑๗๗, ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕, ๑๘๖,
๑๘๗, ๑๘๘, ๑๙๐, ๑๙๒, ๑๙๕, ๑๙๖, ๑๙๗, ๑๙๘, ๒๐๐, ๒๐๑, ๒๐๕, ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘,
๒๐๙, ๒๑๐, ๒๑๑, ๒๑๒, ๒๑๔, ๒๓๒, ๒๓๓, ๒๓๔, ๒๓๕
สำระสำคัญ, ๓๔, ๓๕, ๖๙, ๗๓
สุโขทัย, ๖, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๒๓, ๓๐, ๓๓, ๓๔, ๔๗, ๘๗, ๘๘, ๙๐, ๙๑, ๙๒, ๙๓, ๙๔, ๙๘,
๑๐๐, ๑๐๑, ๑๐๓, ๑๐๔, ๑๐๖, ๑๐๙, ๑๑๗, ๑๔๘, ๑๖๐, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๙๗
หนังสือ, ๔, ๕, ๙, ๒๐, ๒๒, ๒๓, ๓๓, ๔๑, ๔๓, ๔๖, ๗๐, ๑๐๕, ๑๑๐, ๑๑๑, ๑๒๔, ๑๔๐,
๑๕๖, ๑๕๙, ๑๗๕, ๑๗๗, ๑๘๔, ๑๘๘, ๑๙๔, ๑๙๕, ๑๙๗, ๒๐๕, ๒๑๐, ๒๑๑, ๒๑๒, ๒๑๓
หลักธรรม, ๔๘, ๑๒๘, ๑๖๕
เหตุกำรณ์ , ๒, ๔, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๒, ๑๖, ๑๗, ๑๙, ๒๑, ๓๒, ๓๓, ๓๔, ๓๕, ๓๖, ๓๗, ๓๘, ๔๑,
๗๓, ๗๔, ๘๑, ๘๕, ๘๖, ๘๗, ๙๓, ๙๔, ๙๗, ๑๐๗, ๑๒๐, ๑๒๒, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๙, ๑๓๐,
๑๓๑, ๑๓๒, ๑๔๑, ๑๔๓, ๑๔๕, ๑๕๖, ๑๕๙, ๑๖๐, ๑๗๑, ๑๗๕, ๑๗๗, ๑๗๙, ๑๘๑, ๑๘๒,
๑๘๓, ๑๘๕, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๒, ๑๙๖, ๑๙๘, ๒๐๐, ๒๐๑, ๒๓๓, ๒๓๕
องค์ประกอบ, ๒, ๓๐, ๖๙, ๗๖, ๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๖, ๒๐๑, ๒๐๒, ๒๑๓, ๒๓๔, ๒๓๕
อยุธยำ, ๖, ๙, ๒๗, ๓๐, ๓๓, ๓๔, ๓๕, ๓๖, ๓๙, ๔๐, ๕๐, ๕๗, ๕๘, ๖๖, ๖๙, ๘๗, ๘๘, ๙๒,
๙๓, ๙๔, ๙๕, ๙๖, ๙๗, ๙๙, ๑๐๐, ๑๐๑, ๑๐๒, ๑๐๕, ๑๐๖, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๑๐, ๑๑๑, ๑๑๒,
๑๑๔, ๑๑๕, ๑๑๖, ๑๑๗, ๑๑๙, ๑๒๐, ๑๒๕, ๑๓๑, ๑๓๒, ๑๓๕, ๑๓๗, ๑๔๐, ๑๔๘, ๑๔๙,
๒๖๕
๑๕๑, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๙, ๑๖๐, ๑๖๘, ๑๗๖, ๑๗๗, ๑๗๘, ๑๗๙, ๑๘๑, ๑๘๒, ๑๘๖, ๑๘๗,
๑๘๙, ๑๙๐, ๑๙๑, ๑๙๕, ๑๙๗
อัตชีวประวัติ, ๔๗, ๑๓๑
อำนำจ, ๓, ๑๘, ๔๑, ๔๙, ๕๐, ๕๗, ๘๗, ๘๘, ๙๒, ๙๓, ๙๔, ๙๖, ๑๐๒, ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๑๒,
๑๑๔, ๑๒๑, ๑๒๒, ๑๒๔, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๒๗, ๑๒๙, ๑๓๐, ๑๓๒, ๑๔๔, ๑๔๕, ๑๔๗, ๑๔๘,
๑๔๙, ๑๕๓, ๑๕๔, ๑๕๖, ๑๖๕, ๑๖๘, ๑๖๙, ๑๗๗, ๑๘๒, ๑๘๖, ๑๘๗, ๑๙๓, ๑๙๖, ๑๙๗,
๑๙๘, ๒๐๑, ๒๐๔, ๒๐๕, ๒๐๖, ๒๐๘, ๒๓๕
อุดมกำรณ์ , ๓๘, ๑๓๙, ๑๔๗, ๑๕๗, ๑๕๘, ๑๖๐, ๑๘๐, ๑๘๑, ๑๘๓, ๑๘๖, ๑๘๘, ๒๐๓,
๒๐๘, ๒๓๕
อุดมคติ , ๓๑, ๓๓, ๘๕, ๑๔๕, ๑๕๕, ๑๖๗ม ๑๗๖, ๑๘๘ม ๒๐๔, ๒๐๕, ๒๓๓
เอกสำร, ๒, ๓, ๖, ๗, ๑๐, ๑๗, ๑๕๘, ๑๕๙, ๑๖๘, ๑๗๕, ๑๗๖, ๑๗๘, ๑๘๒, ๑๘๔, ๑๙๓,
๒๐๓, ๒๐๘, ๒๐๙, ๒๑๓, ๒๑๔, ๒๓๔