Professional Documents
Culture Documents
กำลังวัสดุ 1
กำลังวัสดุ 1
กำลังวัสดุ 1
(Strength of Materials I)
5
ความรู้เบื้องต้ นทางกลศาสตร์ ของวัสดุ (ต่ อ)
3.แรงภายนอกและแรงภายใน
จำกรูป (a) เมื่อมีแรงภายนอก (External forces) 𝐹1 , 𝐹2 , 𝐹3 , และ 𝐹4 กระท้ำที่ผิวของวัตถุ จะเกิดแรง
ต้ำนทำนภำยในเนือของวัตถุ ซึ่งเมื่อพิจำรณำจำกรูปตัด (b) จะปรำกฏแรงต้ำนทำนที่หน้ำตัดประกอบด้วยแรงตัง
ฉำก Q แรงเฉือน V และโมเมนต์ M โดยแรงต้ำนทำนที่เกิดขึนนีเรียกรวมกันว่ำ “แรงภายใน (Internal force)”
6
ความรู้เบื้องต้ นทางกลศาสตร์ ของวัสดุ (ต่ อ)
4. สมการสมดุล
F1 F2 F3
1
M1
A
B
F4 1 F5
F1 F2
1
V
Q
A M
A𝑥 F4 1
Ay 7
Reaction and Connection Forces
8
Example 1 270 N/m
180 𝑁/𝑚
180 𝑁/𝑚
1,215 N 𝑉𝐶 𝑉𝐶
0 𝑁𝐶 𝑁𝐶 B
A C C
3,645 N-m M𝑐 M𝑐
3m 6m
+
→ 𝐹𝑥 = 0, 𝑵𝒄 = 𝟎
+ 3
1,215 N → 𝐹𝑦 = 0, 1,215 − 270 + 180 − 𝑉𝑐 = 0
Solution 2
𝑅𝑦 𝑽𝒄 = 𝟓𝟒𝟎 𝑵
𝑅𝑥
FBD A C B
+ 𝑀𝑐 = 0,
3×2 3
M𝐴 1,215 × 3 − 3,645 − (90 × ) − (180 × 3 × ) − 𝑀𝑐 = 0
3m 6m 2 2
+ 𝑀𝐴 = 0, 𝑀𝐴 + (1,215 × 3) = 0
𝑴𝑨 = −𝟑, 𝟔𝟒𝟓 N-m 9
Example 2
Solution
10
2. นิ ยามของแรง ความเค้น และความเครียด
นิยามของแรง ความเค้ น และความเครียด
ในการวิเคราะห์ (Analyzing) โครงสร้างต่าง ๆ เราสามารถใช้สมการสมดุลคานวณหาขนาดของ
แรงภายในชิน้ ส่วนของโครงสร้างได้และมีความจาเป็ นต้องทราบค่าของหน่วยแรงหรือความเค้น (Stress)
และความเครียด (Strain) ที่เกิดขึน้ ภายในเนือ้ วัสดุเนื่องจากการกระทาของแรงภายนอกที่มากระทาต่อ
โครงสร้าง ทัง้ นีเ้ พื่อใช้เป็ นข้อมูลในการคานวณออกแบบชิน้ ส่วน (Member) ของโครงสร้างนัน้ ให้มีความ
แข็งแรงและปลอดภัยอย่างเพียงพอ โดยขนาดของความเค้นที่เกิดขึน้ จะต้องไม่เกินกาลังหรือความแข็งแรงของ
วัสดุท่ีใช้ทาชิน้ ส่วนโครงสร้างนัน้
สาหรับการหากาลังของวัสดุจะหาได้โดยการนาชิน้ ส่วนวัสดุไปทาการทดสอบ (Test
specimen) โดยผลการทดสอบจะทาให้ทราบค่าของความเค้นสูงสุดและความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นที่
เกิดขึน้ กับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและจะเขียนความสัมพันธ์ในลักษณะเป็ นกราฟความสัมพันธ์ระหว่างความ
เค้นกับความเครียด (Stress-strain curve)
12
แรง (Force)
F
• แรงกระทำบนหน้ำตัดที่เกิดขึ้นอยูใ่ นแนวตั้งฉำกกับหน้ำตัดและมีทิศ
V
ทำงออกจำกหน้ำตัดเรำจะเรี ยกว่ำ แรงดึงตามแนวแกน (Tensile axial force)
13
ความเค้ น (Stress)
• ความเค้ นคืออัตราส่ วนของแรงต่ อพืน้ ที่หน้ าตัด
• A variable that can be used as a measure of strength of a structural
member.
Learning objectives
• Understanding the concept of stress.
• Understanding the two step analysis of relating stresses to external
forces and moments.
14
ความเค้ นตั้งฉาก (Normal stress)
• แรงกระทำบนหน้ำตัดที่เกิดขึ้นอยูใ่ นแนวตั้งฉำกกับหน้ำตัด
𝐹 และมีทิศทำงออกจำกหน้ำตัดเรำจะเรี ยกว่ำ ควำมเค้นดึง (Tensile Stress)
𝐹
𝜎=
𝐴
𝐹′ 𝐹′
𝐹
F’
′
𝐹′ 𝐹′ 𝐹′
16
หน่ วยวัด (Units of stress)
• Force/area
• SI: N/m2 = Pa, kPa, MPa, GPa
• USCS: psi, ksi
• Thai: kg/cm2 (ksc)
ความถูกต้ องของหน่ วยวัด (Numerical accuracy)
17
ความเค้ นเฉื อน (Shear stress)
• ควำมเค้นที่มีทิศทำงขนำนไปกับหน้ำตัด
19
Other Stresses
Bearing Stress
• The compressive normal stress that is produced when one surface presses against other
• Occurs in joints, connections, pins, etc.
– anywhere you have surfaces in contact
• Actual contact stresses are very complicated
• Bearing stress analysis is a simple way to estimate the stress
𝜎𝑏 คือความเค้นแบกทาน
𝑃 𝐹 𝑡 คือความหนาของแท่งวัสดุ
𝜎𝑏 = = 𝑑 คือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูเจาะบนแท่งวัสดุ
𝑡𝑑 𝑡𝑑
𝑃, 𝐹 คือแรงเฉือนที่เกิดขึน้ ในสลักเกลียว
20
Axial Loading: Normal Stress
21
Exercise
ตัวอย่าง: จงหาความเค้น (Normal stress) ในเหล็กเสริม และความเค้นเฉือน
(Shear stress) ระหว่างเหล็กเสริมและคอนกรีต
Normal stress
𝑃 𝜋𝑑2
𝜎= A=
𝐴 4
Shear stress
𝑉
𝜏= A= 𝜋𝑑𝐿
𝐴
22
Stress analysis example
23
Internal force in each member
24
Rod & Boom axial stress
25
Pin shear stresses
26
Pin shear stresses
27
Pin bearing stresses
28
Stress on an Oblique Plane
29
Maximum Stress
30
โจทย์ ตัวอย่ างทบทวนความเค้ น
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นตั้งฉำก
32
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นตั้งฉำก
33
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นตั้งฉำก
34
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นเฉื อน
35
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นบดอัด
36
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นเฉื อนและควำมเค้นบดอัด
37
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเค้นในกรณี หน้ำตัดเป็ นระนำบเอียง
38
ความเครียด (Strain)
• ควำมเครี ยดคือปริ มำณที่ใช้วดั กำรเปลี่ยนรู ปของวัตถุเมื่อเทียบต่อสภำพเดิม
Learning objectives
• Learning the concept of strain.
• Understanding the use of approximate deformed shape for
calculating strains from displacements.
39
Strain (ความเครียด),
40
การเปลีย่ นรู ปร่ าง (Deformation),
วัตถุจะถูกเรียกว่ำ วัตถุที่สำมำรถเปลี่ยนแปลงรูปร่ำงได้ (deformable body) เมื่ออนุภำคในวัตถุนันมีกำรเปลี่ยนต้ำแหน่งเกิดขึน
ภำยใต้กำรกระท้ำของแรง ในทำงตรงกันข้ำม วัตถุจะถูกเรียกว่ำ วัตถุแกร่ง (rigid body) เมื่ออนุภำคในวัตถุนันไมมีกำรเปลี่ยนต้ำแหน่ง
เกิดขึนเลย ภำยใต้กำรกระท้ำของแรง เมื่อ deformable body ถูกกระท้ำโดยแรงแล้ว วัตถุนันจะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ำง
(deformation) ขึน
กำรเปลี่ยนต้ำแหน่ง (Displacement) ของอนุภำคสองอนุภำคในวัตถุจำกต้ำแหน่งหนึ่งไปยังอีกต้ำแหน่งหนึ่งเป็นปริมำณ vector
ดังนัน ในกำรหำค่ำกำรเปลี่ยนต้ำแหน่งของอนุภำค เรำจะต้องท้ำกำรวัดทังกำรเปลี่ยนแปลงของควำมยำวของเส้นที่เชื่อมระหว่ำงอนุภำคที่
เรำสนใจและมุมที่เส้นนันเปลี่ยนไปจำกเดิม
41
Average Strain (ความเครียดเฉลีย่ )
42
ความเครียดตั้งฉาก (Normal strain)
𝐹
∆ℎ
𝐿𝑖 ℎ𝑖 ℎ𝑓
𝐹 𝐹
∆𝐿
𝐿𝑓
𝐹
∆𝐿 𝐿𝑓 − 𝐿𝑖 ∆ℎ ℎ𝑓 − ℎ𝑖
𝜀= = 𝜀= =
𝐿𝑖 𝐿𝑖 ℎ𝑖 ℎ𝑖
43
Normal Strain (ความเครียดตั้งฉาก)
45
46
Small Strain Approximation
47
โจทย์ ตัวอย่ างทบทวนความเครียด
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเครี ยดตั้งฉำก
49
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเครี ยดตั้งฉำก
50
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเครี ยดตั้งฉำก
51
โจทย์ตวั อย่ำงทบควำมเครี ยดเฉื อน
52
โจทย์ตวั อย่ำงควำมเครี ยดตั้งฉำกและควำมเครี ยดเฉื อน
53
โจทย์ตวั อย่ำงทบควำมเครี ยดเฉื อน
54
Stress-Strain Relationship
55
Stress-Strain Diagram
56
57
yield Strain-hardening Necking
58
u, tension
u, compression
59
Material Constants (ค่ำคงที่ของวัสดุ)
60
Material Constants (ค่ำคงที่ของวัสดุ)
- Hooke’s Law (กฎของฮุค)
61
- Hooke’s Law for uniaxial loading
62
Factor of Safety and Failure
Ultimate Load
Factor of Safety =
Allowable Load
Failure producing value
=
Computed (allowable) value
63
โจทย์ ตัวอย่ างทบทวน
ความเค้ น ความเครียด และ Factor of Safety
65
66
67
68
69
70
3. การบิด (Torsion)
กำรเปลี่ยนแปลงรู ปร่ ำงเนื่องจำกกำรบิดเพลำกลม (Torsional deformation of a circular shaft)
กำรบิด (Torsion) หมำยถึงเป็ นกำรบิดของชิ้นส่ วนของโครงสร้ำงหรื อชิ้นส่ วนของเครื่ องจักรกล เช่น เพลำรถยนต์ เป็ นต้น
เนื่องจำกกำรกระทำของแรงบิด (torque) โดยที่แรงบิดเป็ นโมเมนต์บิด (twisting moment) ที่พยำยำมที่จะบิดชิ้นส่ วนของโครงสร้ำง
ในแนวแกนของชิ้นส่ วนของโครงสร้ำงนั้น
72
ควำมเครี ยดเนื่องจำกกำรบิด (Distortion strain)
จำกรู ปถ้ำเพลำถูกยึดแน่นที่ปลำยด้ำนหนึ่ง และถูกกระทำโดย
แรงบิดที่ปลำยอีกด้ำนหนึ่ งแล้ว ระนำบที่ระบำยสี ทึบจะเกิ ด
กำรบิ ด เอี ย ง (skew) และมุ ม ที่ เ กิ ด กำรบิ ด เอี ย งหรื อ มุ ม บิ ด
(angle of twist) จะมีค่ำขึ้นอยูก่ บั ตำแหน่ง x
𝝆
𝜸= 𝜸 (2)
𝒄 𝒎𝒂𝒙
74
สู ตรกำรบิด (Torsion formula)
𝝆
และจำกสมกำรควำมเครี ยดเฉื อน 𝜸 = 𝜸𝒎𝒂𝒙
𝒄
จะได้
𝝆 (3)
𝝉 = 𝝉𝒎𝒂𝒙
𝒄
75
สู ตรกำรบิด (Torsion formula) (ต่อ)
เนื่องจำกแรงบิดลัพธ์ภำยในตัวเพลำเกิดจำกกำรกระจำยของหน่วยแรงเฉื อนที่กระจำยอยูต่ ลอดทั้งหน้ำตัดของเพลำ ดังนั้น ที่
differential element ใด ๆ ที่มีพ้นื ที่ 𝑑A และมีระยะในแนวรัศมี 𝝆 จำกแกนของเพลำจะถูกกระทำโดยแรง
𝒅𝑭 = 𝝉𝒅𝑨
และแรงบิดที่เกิดจำกแรงนี้มีคำ่ เท่ำกับ 𝒅𝑻 = 𝝆𝒅𝑭
เมื่อพิจำรณำตลอดทั้งหน้ำตัดของเพลำแล้วจะได้ 𝝆
𝑻 = න 𝝉𝒅𝑨 = න 𝝆 𝝉𝒎𝒂𝒙 𝒅𝑨 (4)
𝑨 𝑨 𝒄
𝝉𝒎𝒂𝒙
เนื่องจำก มีค่ำคงที่ ดังนั้น
𝒄
𝝉𝒎𝒂𝒙
𝑻= න 𝝆𝟐 𝒅𝑨 (5)
𝒄 𝑨
76
สู ตรกำรบิด (Torsion formula) (ต่อ)
จำกสมกำรที่ 5 ในเทอม integral กำหนดให้เป็ นค่ำ 𝐽 จะสำมำรถเขียนสมกำรใหม่ได้ใหม่เป็ น
𝝉𝒎𝒂𝒙
𝑻= 𝑱
𝒄 (6)
𝑻𝒄
หรื อ 𝝉𝒎𝒂𝒙 =
𝑱
𝑻𝝆 (7)
𝝉=
𝑱
***Torsion formula ใช้ ได้ กับเพลาที่มหี น้ าตัดทรงกลมที่ทาด้ วยวัสดุแบบ homogenous และมีพฤติกรรมแบบ linear elastic เท่ านั้น 77
Polar moment of inertia ของพื้นที่หน้ำตัดของเพลำ, J
Solid Shaft
ในกรณี ที่เพลำมีหน้ำตัดกลมตันแล้ว ค่ำ polar moment of inertia J
จะหำมำได้โดยกำรพิจำรณำ differential ring ที่มีควำมหนำเท่ำกับ
dρ และมี เส้นรอบวงเท่ำกับ 2πρ ดังที่แสดงในรู ป และมี พ้ืนที่
เท่ำกับ dA = 2πρ dρ ดังนั้น เรำจะได้วำ่
(8)
78
Polar moment of inertia ของพื้นที่หน้ำตัดของเพลำ, J
Tubular Shaft
𝑐0 𝑐0 𝑐 𝜌4 𝑐0
𝐽= 𝜌 𝑐2 𝑑𝐴 = 𝜌 𝑐2 2𝜋𝜌 𝑑𝜌 = 2𝜋 𝑐0 𝜌3 𝑑𝜌 = 2𝜋
4 𝑐𝑖
𝑖 𝑖 𝑖
79
กำรกระจำยของหน่วยแรงเฉื อนในแนวรัศมีบนหน้ำตัดของเพลำ
Solid Shaft
Tubular Shaft
80
หน่วยแรงเฉื อนสู งสุ ดสัมบูรณ์ (Absolute maximum torsional stress)
ที่หน้ำตัดใด ๆ ของเพลำ ค่ำสู งสุ ดของหน่ วยแรงเฉื อนจะเกิ ดขึ้นที่ผิวด้ำนนอกของเพลำในกรณี ที่เพลำถูกกระทำโดยแรงบิ ด
ภำยนอกหลำย ๆ ค่ำหรื อรัศมีของเพลำมีกำรเปลี่ยนแปลงเป็ นช่วง ๆ ดังที่แสดงในรู ป ค่ำสู งสุ ดของหน่ วยแรงเฉื อนที่เกิดขึ้นจะมี
ควำมแตกต่ำงกันจำกหน้ำตัดหนึ่ งไปยังอี กหน้ำตัดหนึ่ ง ในกำรออกแบบเพลำที่ มีลกั ษณะดังกล่ำวจำเป็ นทีจ่ ะต้องหำค่ำสู งสุ ด
สัมบูรณ์ (absolute maximum) ของหน่วยแรงเฉื อนและตำแหน่งที่เกิดด้วย ซึ่ งจะทำได้โดยกำรเขียน torque diagram ที่เป็ น
แผนภำพแสดงกำรเปลี่ยนแปลงของแรงบิดภำยใน 𝑇 ที่เกิดขึ้นเทียบกับระยะ 𝑥 ในแนวแกนของเพลำ ในกำรเขียนแผนภำพนี้ เรำ
จะให้แรงบิดภำยใน 𝑇 มีค่ำเป็ นบวกเมื่อมีทิศทำงพุง่ ออกจำกหน้ำตัดของเพลำโดยใช้กฎมือขวำ หลังจำกที่ได้ torque diagram แล้ว
เรำจะหำค่ำ absolute maximum ของหน่วยแรงเฉื อนและตำ แหน่งที่เกิดได้โดยง่ำย
81
มุมบิด (Angle of twist)
เนื่องจากแรงบิดภายนอกอาจจะทาให้แรงบิดลัพธ์ภายในมีค่าเปลี่ยนแปลงตลอด
ความยาวของเพลา (หน้าตัดเพลามีการเปลี่ยนแปลง) ดังนัน้ T และ J ภายในที่
เกิดขึน้ จะเป็ นฟั งก์ช่ นั กับ x
จำก Hooke’s law 𝝉 = 𝑮𝜸 𝑻(𝒙)𝝆
===>𝜸 =
𝑻(𝒙)𝝆 𝑱 𝒙 𝑮
และ Torsion formula 𝝉 = 𝑱(𝒙)
𝑻(𝒙)
แทนค่ำ 𝜸 ในสมกำร (10) จะได้ 𝒅 =
𝑱 𝒙 𝑮
𝒅𝒙
83
Sign Convention
Sign convention ที่จะใช้ในการคา นวณหามุมบิดจะเป็ นไปตามกฎมือขวา โดยที่แรงบิดและมุมบิดที่เกิดขึน้ จะมีค่า
เป็ นบวกเมื่อมีทิศทางพุ่งออกมาจากหน้าตัดของเพลา และจะมีคา่ เป็ นลบเมื่อมีทิศทางพุ่งเข้าหาหน้าตัดของเพลา
84
ตัวอย่ างที่ 1
85
ตัวอย่ างที่ 1 (ต่ อ)
86
ตัวอย่ างที่ 2
87
ตัวอย่ างที่ 2 (ต่ อ)
88
ตัวอย่ างที่ 2 (ต่ อ)
89
ตัวอย่ างที่ 3 (ต่ อ)
90
ตัวอย่ างที่ 3
91
เพลำส่ งกำ ลัง (Power shaft)
ในกรณี น้ ี แรงบิดที่กระทำกับเพลำจะขึ้นอยูก่ บั กำลังของเครื่ องจักรและควำมเร็ วเชิงมุมของเพลำ กำลังของเครื่ องจักร 𝑷 จะเป็ น
งำนที่เครื่ องจักรทำให้เกิดขึ้นต่อหนึ่ งหน่ วยเวลำซึ่ งจะมีค่ำเท่ำกับผลคูณของแรงบิดกับมุมบิดที่เกิดขึ้นจำกแรงบิดนั้น ดังนั้น ถ้ำ
ในช่วงเวลำ 𝒅𝒕 เครื่ องจักรส่ งแรงบิดกระทำต่อเพลำ 𝑻 และทำให้เพลำหมุนไปเป็ นมุม 𝒅𝜽 แล้ว กำ ลังที่เกิดขึ้นจะมีค่ำเท่ำกับ
𝒅𝜽
กำลังของเครื่ องจักร 𝑷 = 𝑻
𝒅𝒕
เนื่องจำกควำมเร็วเชิงมุมของเพลำ 𝝎 = 𝒅𝜽
𝒅𝒕
ดังนั้น 𝑷 = 𝑻𝝎 (14)
𝝎
และเนื่องจำกควำมถี่ของกำรหมุนของเพลำ 𝒇 = 𝟐𝝅 ดังนั้น 𝑷 = 𝟐𝝅𝒇𝑻 (15)
92
93
ตัวอย่ างที่ 4
94
ตัวอย่ างที่ 4 (ต่ อ)
95
ตัวอย่ างที่ 4 (ต่ อ)
96
กำรวิเครำะห์ชิ้นส่ วนของโครงสร้ำงแบบ Statically Indeterminate ที่รับแรงบิด (Statically
Indeterminate Torque-Loaded Members)
ปลำยของเพลำถูกยึดแน่นที่จุด A และจุด B ซึ่ งเมื่อเขียนแผนภำพ free-body
diagram ของเพลำดังกล่ ำวได้ ดังที่ แสดงในรู ป จำกแผนภำพจะมี แรงบิ ด
ปฏิกิริยำที่ไม่ทรำบค่ำสองค่ำที่จุด A และที่จุด B ซึ่ งจะสำมำรถหำค่ำแรงบิด
ปฏิกริ ยำดังกล่ำวได้โดยใช้สมการความสมดุลที่มีอยูห่ นึ่งสมกำรและสมการ
ความสอดคล้ อง (compatibility equation) อีกหนึ่งสมกำร
จำกสมกำรควำมสมดุลของโมเมนต์ในแนวแกนของเพลำ เรำจะได้วำ่
97
98
ตัวอย่ างที่ 5
99
ตัวอย่ างที่ 5 (ต่ อ)
100