Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 310

คู่มือบรรยาย

อริยวิถที ีมาจากพุทธบัญญัติ
อาทิพรหมจริยกาสิกขา
สิกขาบท 227 ทีมาในพระปาฏิโมกข์

รวบรวมโดย
ปิ ยะลักษณ์ ถิรสุนทรากุล

โยโว อานนฺ ท มยาธมฺ โม จ วินโย จ


เทสิโต ป ฺ ญตฺ โต โส โว มมจฺ จเยน สตฺ ถา

ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี ว่า พระศาสดา


ของพวกเราไม่มี ก็ขอ้ นี พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนี ธรรมและวินัยอัน
ใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั น จัก
เป็ นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ที.ม.10/132/136

1
~2~
สารบัญ 1 หัวข้อพิเศษ หน้า
สารบัญ 3-7
ข้อแนะนํ าผูเ้ ตรียมบวชวัดญาณฯ (ในการซ้อมขานนาค) ก่อนบวช 7
1. กิจวัตรประจําวัน การครองผ้า ศีล-สิกขาบท-วินัย-วัตร และธุดงค์ 13 2 8
กกจูปมสูตร (ละฉันหลังเทียง) ภัททาลิสูตร (ละฉันกลางคืน) ลฑุกิโลปมสูตร (สรรเสริญฉันหนเดียว) 10
โทษของผ้าสาฎก/คุ ณผ้าเปลือกไม้ ทีจงกรม โทษของบรรณศาลา/คุณของการอยู่โคนไม้ .............................. 13
ทีจงกรม เรือนไฟ 14
กิจวัตรประจําวันควรรู ้ พุทธกิจ 5 ประการ 15
การแสดงความเคารพ บุคคลไม่ควรไหว้และควรไหว้ ครุภณ ั ฑ์ ........................................................................ 17
วิธีแสดงอาบัติ สภาคาบัติ 20
กิจวัตรพระภิกษุ 10 ประการ 2.1 21
นวกภิกขุธรรม ธรรมทีควรพิจารณาเนื องๆ อปริหานิ ยธรรม 2.2 22
เสขสูตร องฺ.ติก.(พระอริยะยังล่วงอาบัติ) ....................................................................................................... 24
2. ความหมายของธรรมวินยั ”(ส่วนหนึ งในวิชาธรรม 2) 2.3 25
หลักตัดสินธรรมวินัย 8 มหาประเทศ 4 (นั ยพระสูตร) 26
ตถาคตภาษิ ต/สาวกภาษิ ต แยกศัพท์คําว่า “วินัย” ....................................................................................... 27
3. อนุศาสน์ 8 นิ สสัย 4 อกรณียกิจ 4 2.4 29
สิกขา 3 2.5 30
แนวคิดในการศึกษาพระธรรมวินัย 2.6 31
ภิกษุ 2 สหาย - อุกกัณฐิตภิกษุ (รักษาจิตอย่างเดียว) - อลคัททูปมสูตร (ปริยตั ิงูพิษ) – ปริยตั ิ ๓ อย่าง
4. หลักวิชาพระวินยั 9 36
เหตุให้พระศาสนาดํารงอยู่นาน เพราะบัญญัติสิกขาบท, พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์บัญญัติสิกขาบทต่างกัน 38
อัศจรรย์ในพระธรรมวินัย 8 ประการ ทรงอนุ ญาตอาณาปาติโมกข์ 39
โลกวัชชะ-ปั ณณัตติวชั ชะ ............................................................................................................................... 42
อานิ สงส์พระวินัย โทษของศีลวิบตั ิ – อานิ สงส์ของศีลสมบัติ 44
การแบ่งหมวดหมู่ คัมภีร์พระวินัยปิ ฎก คัพท์ในพระวินัยปิ ฎก ความหมายของพระไตรปิ ฎก 45
ปาสาทิกสูตร (นิ ครนนาฏบุตรตาย) สังคีติสูตร (พระสารีบุตรสังคายนาหลักธรรม) .................................... 47
ประวัติการสังคายนา 49
ความหมายของพุทธศาสนา หีนยาน มหายาน 52
5. ปาราชิก 4 สิกขาบท
บทที 1 ภิกษุเสพเมถุนธรรม 2.7 53
มาตุปุตติกสูตร (มารดากําหนั ดแม้ในบุตร) ไม่มีรูปใดเสมอด้วยรูปชาย-หญิง 54
อัคคัญญสูตร (กําเนิ ดโลก) จักกวัตติสูตร (พระเจ้าจักรพรรดิ) ..................................................................... 56
สัตตสุริยสูตร (พระอาทิตย์ 7 ดวง) กัปปสูตร (อสงไขยกัปป์ 4) 58
จักกวัตติวตั ร 5 ประการ ลําดับพระพุทธเจ้า 25 พระองค์ (รวมพระโคตมพุทธะ) 59
กัปป์ 2, อสุญญกัปป์ 5, การแบ่งยุคทัง ของฮินดู ........................................................................... 61
บทที 2 ภิกษุลกั ทรัพย์ 62
อวหาร (อาการของการลัก) อย่าง 63
องค์ประกอบแห่งการลักทรัพย์ 5 อย่าง 64

~3~
สารบัญ 2 หัวข้อพิเศษ หน้า
บทที 3 ภิกษุฆ่ามนุษย์ ทีมาอานาปานสติ 65
การฆ่า 7 วิธี 68
ปั ญหาการฆ่าตัวตายเป็ นบาปหรือไม่ (พระโคธิกะ พระวักกลิ พระฉันนะ) .................................................... 69
เกสปุตตสูตร (จําแนกสิงทีควรและไม่ควร) 74
อัตตันตปสูตร (ผูท้ ําตนให้เดือดร้อน) 75
ราสิยสูตร (ผูท้ าํ ตนให้เดือดร้อน แต่ไม่อาจบรรลุธรรม) ................................................................................ 77
กุกกุโรวาทสูตร (กรรมดํากรรมขาว – ปุณณโกลิยบุตร วัตรดังโค / เสนิ ยอเจละ วัตรดังสุนัข) 78
เทวทหสูตร (ข้อปฏิบตั ิต่อสุขทุกข์) 79
หลักพระอภิธรรม (อาสันนกรรม) ................................................................................................................. 80
สรุป เรืองการฆ่าตัวตาย 81
ความเป็ นมนุ ษย์เริมต้นเมือไร 82
บทที 4 ภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรม เหตุให้เชือได้ว่าบรรลุคุณวิเศษ อย่าง 86
ญาณ 16 วิสุทธิ 7 สังโยชน์ 10 มรรค 4 วิปัสสนู ปกิเลส 10 ....................................................................... 87
ปาราชิก ผูพ้ ่ายแพ้ 24 อย่าง ผูบ้ รรลุธรรมไม่ได้ 15 จําพวก ฉายาปาราชิก 91
6. สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท เหตุแห่งความฝัน 4 อย่าง 2.8 93
วัตถุอนามาส - รัตนะ ประการ 96
ห้ามสร้างกุฏิเป็ นของส่วนตัวเกินประมาณ 8.5 100
มณิกณ ั ฐชาดก (ไม่ควรขอสิงทีเขารัก ฤาษี ขอขนนก) .................................................................................... 101
ความหมาย สังฆราชี สังฆเภท สังฆสามัคคี 105
ผูท้ าํ ลายสงฆ์ทีต้องเกิดในอบายและไม่ตอ้ งตกอบาย 107
อนั นตริยกรรม 5 , ใส่รา้ ยพระอริยะ ............................................................................................................... 111
กําเนิ ดธรรมยุติกนิ กาย 115
วัดในประเทศไทย มหาเถรสมาคม นิ ตยภัต 118
ประทุษร้ายสกุล ประจบคฤหัสถ์ ประพฤติอนาจาร ......................................................................................... 125
สิกขาบทและธรรมเกียวกับการขับร้องและดนตรี สรภัญญะ 127
อุโบสถสูตร โรณสูตร (ร้องเพลงคือร้องไห้) สังคายนาคือขับร้อง สักกปั ญหสูตร (ชมเชยเพลงร้อง) เอรกปั ตตนาคราช
(แต่งเพลงให้มานพ) สุภาสิตสูตร (บรรลุธรรมเพราะฟั งเพลง) ตาลปุตตสูตร (นั กร้อง นั กแสดง) 129
7. อนิยต 2 สิกขาบท 6.1 137
8. นิสสัคคิยปาจิตตีย ์ 30 สิกขาบท
จีวรวรรคที 1 วิกปั ผ้าและการรักษาผ้าในเวลารับอรุณ 1.1 138
กฐินขันธกะ กรานกฐิน กฐินเดาะ ปลิโพธ2 คําพินทุ อธิษฐาน ..................................................................... 139
ห้ามขอจีวร 8.1 143
ไวยาวัจกร จ้างคนวัด รับถวายทีดิน สระนํา ทาส ปศุสตั ว์ 7.1 144
โกสิยวรรคที 2 ............................................................................................................................................... 149
การรับ การยินดี และการซือขายด้วยเงินทอง 7 150
เครืองเศร้าหมองของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และสมณพราหมณ์ 152
ปั ตตวรรคที 3 การจ่ายบาตรใหม่ 8.2 154
เภสัช 5 เก็บไว้ฉันได้ 7 วัน ... ผ้าอาบนํ าฝน ... อัจเจกจีวร (จีวรเร่งด่วน) .................................................. 155
ภิกษุ น้อมลาภสงฆ์มาเพือตน 158
~4~
สารบัญ 3 หัวข้อพิเศษ หน้า
9. ปาจิตตีย ์ 92 สิกขาบท
มุสาวาทวรรคที 1 พูดปด – ด่าภิกษุ –พูดส่อเสียด ..................................................................................... 159
กกจูปมสูตร (ถึงเลือยก็ไม่โกรธ) 161
ยังอนุ ปสัมบันกล่าวธรรมโดยบท (มิใช่การสวดมนต์) 163
นอนร่วมกับอนุ ปสัมบัน ................................................................................................................................ 165
นอนร่วมกับมาตุคาม แม้คืนแรก 6.2 165
ไม่แสดงธรรมแก่มาตุคาม 6.3 166
บอกอุตริมนุ สธรรมแก่อนุ ปสัมบัน เพราะมีจริง – แสดงอิทธิปาฏิหาริยแ์ ก่อนุ ปสัมบัน – ขุดดิน 167
ภูตคามวรรคที 2 พรากภูตคาม – กล่าวคําอืน ให้ลําบาก – บ่นว่า – ไม่เก็บทีนอน - รดนํามีตวั สัตว์ 170
โอวาทวรรคที 3 173
โภชนวรรคที 4 174
ทีมาสิกขาบทห้ามบอกชืออาหารก่อนถวาย-เรืองพระเทวทัต ขออาหารแล้วฉันเป็ นหมู่ 174
โภชนะทีหลัง รับนิ มนต์ไว้แล้ว กลับไปฉันอีกทีหนึ งก่อน ............................................................................. 175
ห้ามภัต 177
การฉันในวิกาล กาลิก 4 - เภสัขขันธกะ 3 178
ตัวอย่างการปรับแก้ และเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย .................................................................................... 179
สมณกัปปะ 5 อย่าง 180
เนื อ 10 อย่าง ไม่พึงฉันเนื อทีเขาทําจําเพาะ นํ าข้าวยาคู 182
สิกขาบททียืนยันว่า พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ฉันเนื อสัตว์ ไม่เป็ น มังสวิรตั ิ (สีหะเสนาบดี - ชีวกสูตร) 182
ตัวอย่าง การบัญญัติแล้วเพิกถอน เพิกถอนแล้วบัญญัติใหม่ 185
อัษฐปานะ มหาผล ...................................................................................................................................... 186
สรรเสริญการพยาบาลภิกษุ ไข้ – องค์ของภิกษุ อาพาธ และผูพ้ ยาบาลทีดี – ยามหาวิกฏั 188
อรรถกถา เนื อทีทําจําเพาะภิกษุ - ชีวกสูตร (ฉันเนื อไม่บาป) - สีหสูตร (พระอริยะถวายเนื อสัตว์) 190
การสังสมอาหาร ......................................................................................................................................... 195
ไม่อาพาธ ห้ามขอโภชนะอันประณีตฉัน 8.3 195
ห้ามฉันภัตตาหารทียังไม่ได้รบั ประเคน – องค์แห่งการประเคน – อุคคหิตก์ 4 195
ภัตตาหารทีประเคนแล้ว ญาติโยมจับต้องได้อีกหรือไม่–การเสียประเคนด้วยองค์ ๗ 4.1 197
อเจลกวรรคที 5 199
ภิกษุ นังในทีลับตาและลับหูกบั มาตุคาม 6 200
ภิกษุ ไม่เป็ นไข้ พึงยินดีการปวารณาด้วยปัจจัยเพียง 4 เดือน 8 201
ภิกษุ ไปดูกองทัพ อยู่ในกองทัพ (7 พระสูตร ว่าด้วยเหตุไม่ควรโกรธ) 202
สุราปานวรรคที 6 ดืมสุรา – จีดว้ ยนิ ว 206
เล่นนํ า – ไม่เอือเฟื อในบุคคล และในธรรม – หลอกพระ 207
ภิกษุ ได้จีวรใหม่ตอ้ งพินทุก่อน จึงจะนุ่งห่มได้ 1 208

~5~
สารบัญ 4 หัวข้อพิเศษ หน้า
สัปปาณวรรคที 7 ฆ่าสัตว์ บริโภคนํามีตวั สัตว์ 210
ภิกษุ ฟืนอธิกรณ์ทีทําเสร็จแล้วตามธรรมเพือทําอีก ปกปิ ดอาบัติชวหยาบของภิ ั กษุ .................................. 210
อุปสมบทให้ผูอ้ ายุไม่ครบ 20 ปี 211
ภิกษุ ชกั ชวนเดินทางไกลสายเดียวกับมาตุคาม อโคจร 6.4 213
คัดค้านคําสอนพระพุทธเจ้า นาสนะสามเณร (การขับไล่ การสึกสามเณร) .............................................. 214
อุปมาโทษของกาม 10 ข้อ 216
สหธรรมิกวรรคที 8 ภิกษุตบตีกนั โจทด้วยสังฆาทิเสส แกล้งให้ราํ คาญใจ ให้ฉันทะแล้วบ่นว่า 217
น้อมลาภสงฆ์ไปเพือบุคคล ........................................................................................................................ 219
รตนวรรคที 9 เก็บของตกในวัด ไม่อาํ ลาภิกษุ แล้วเข้าบ้านในวิกาล 220
เตียงตังสูง 8 นิ วสุคต – ขนาดผ้ารองนั ง 222
การต่อผ้านิ สีทนะ 2 คืบ*1 คืบครึง ชาย 1 คืบ , ผ้าอาบนํ าฝน 6 คืบ*2 คืบครึง จีวร 9 คืบ*6 คืบ 223
การต่อจีวร ความหมายของจีวร ................................................................................................................ 224
10. ปาฏิเทสนียะ 4 สิกขาบท 226
11. เสขิยวัตร 75 สิกขาบท 5 228
สารูปที 1 มี 26 สิกขาบท 228
โภชนปฏิสงั ยุตที 2 มี 30 สิกขาบท 229
เราไม่อาพาธ จักไม่ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพือประโยชน์แก่ตนฉัน 8.4 230
ให้ภิกษุ ฉันค้างอยู่ลุกขึน ......................................................................................................................... 231
ธัมมเทสนาปฏิสงั ยุตที 3 มี 16 สิกขาบท 232
ห้ามให้พรเมือมีผจู ้ าม ภัตตานุ โมทนา 233
ปกิณณกะที 4 มี 3 สิกขาบท ........................................................................... 234
12. อธิกรณสมถะมี 7 สิกขาบท 10 235
มหาประเทศ 4 (หมวดที 2 เฉพาะในทางพระวินัย) 237
เถรสูตร (ผูเ้ ป็ นทีพึงแก่ภิกษุ ทงหลาย)
ั .................................................................................................. 238
13. ธรรมก่อนลาสิกขา ศีล 5 - ศีล 8 - ธรรม 5 11 239
สัมมาอาชีวะ มิจฉาอาชีวะ 241
อุบาสกธรรม ...................................................................................................................................... 243
การสมาทานไตรสรณคมน์ – อุบาสกธรรม 7 – กุศลกรรมบถ 10 244
สิงของทีจะนํ ากลับบ้าน ควรพิจารณาอย่างไร 246
อกุศลกรรมบท 10 11.1 247
ติตถสูตร (อกิริยทิฏฐิ ) เทวทหสูตร (ปุพเพกตเหตุวาท) ........................................................................ 251
14. อุปสมบท ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร ยสกุลบุตร เสริมในพรรษา 1 258
สมบัติแห่งการอุปสมบท 5 ประการ 265
บัณเฑาะก์ กระเทย ................................................................................................................................ 267
การวัดฉายา ตังฉายา ความหมายของภิกษุ วินยาธิการ 272
15. ศัพท์ทีควรรูใ้ นการสอบ เสริมในพรรษา 2 273
16. การจําพรรษา – สัตตาหกรณียะ เสริมในพรรษา 3 275
~6~
สารบัญ 5 หัวข้อพิเศษ หน้า
16. อภิสมาจาริยกาสิกขา เสริมรายละเอียด 278
รองเท้า ห้ามจับโค ยานพาหนะ ร่ม
17. ภิกษุณีวิภงั ค์ ครุธรรม 8 ประการ 286
ความอันตรธานแห่งพระสัทธรรม ......................................................................................................... 288
ปาราชิก 8 สิกขาบท และสังฆาทิเสส 17 สิกขาบท 292
18. ศาสนาต่างๆ ในโลก 296
18. บุพพสิกขาวรรณนา 302
19. พุทธประวัติโดยสังเขป (จากพุทธกิจ 45 พรรษา) 303-309
......................................................................

ข้อแนะนําผูเ้ ตรียมบวชวัดญาณฯ (ในการซ้อมขานนาค) ก่อนบวช


1. เข้าเรียนตามตารางถวายความรูอ้ ย่างเคร่งครัด
2. ใช้โทรศัพท์เท่าทีจําเป็ นเท่านั น และงดการพูดคุยกันและรับโทรศัพท์ หลังเวลา 21.30 น.
3. งดนํ าคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มอื ถือมา ภายใน 1 เดือนแรกของการบวช และภายใน 2 เดือน
แรกในฤดูพรรษา
4. ละการครอบครองทรัพย์สมัยเป็ นคฤหัสถ์ เว้นการสังจ่าย หรือใช้จา่ ยทรัพย์อย่างคฤหัสถ์ ตัดความ
ผูกพันธ์และเครืองกังวล ละอํานาจทีมีในเรือนทังปวง ดังพุทธภาษิตว่า “ละโภคสมบัติน้อยใหญ่
ออกบวช”
5. บริขารทีไม่จาํ เป็ นต้องซือ หากไม่มกี ็ไม่ตอ้ งหาซือมา คือ ตาลปั ตร เสือ ผ้าห่ม ไฟฉาย ร่ม
6. ในช่วงแรกหลังจากบวช หากไม่มคี วามจําเป็ นไม่ควรออกไปไหน และหากมีกิจจําเป็ น ต้องมีพระพี
เลียงไปด้วย
7. การนั งพับเพียบ และการคุกเข่าในอุโบสถกรรม
........................................
ความหมายของเลขอ้างอิงคัมภีร ์

อ้างอิง ก.ข.***/***/*** ความหมาย ชือนิกาย.ชือวรรค.เล่มที/ข้อที/หน้าที


อ้างอิงจาก พระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบับสยามรัฐ 45 เล่ม
เช่น ที.ม.10/132/136 หมายถึง ทีฆนิ กาย มหาวรรค พระไตรปิ ฎกเล่มที 10 ข้อที 132 หน้าที 136
อ้างอิง เล่ม *** หน้า *** มมร. ความหมาย อรรถกถาเล่มที หน้าที
อ้างอิงจาก พระไตรปิ ฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย 91 เล่ม
เช่น เล่ม 36 หน้า 396 มมร. หมายถึง อรรถกถาเล่มที 36 หน้าที 396

~7~
กิจวัตรประจําวัน 2
การครองผ้า
- ห่มคลุม/หนี บ/มังกร ใช้เมือมีกิจออกไปนอกวัด
- ห่มดอง ใช้ในพิธีการต่างๆ เช่น สวดปาติโมกข์ บังสุกุล อุปสมบท ลาสิกขา ทําวัตรเช้า-เย็น
- ห่มลดไหล่ ใช้เมืออยูใ่ นบริเวณวัด (ไม่วา่ อยูใ่ นวัดใดก็ตาม) เป็ นการแสดงความเคารพสถานที, เมือทําวินัยกรรม
- สวมเฉพาะอังสะ ใช้เมืออยูบ่ นกุฏิหรือใต้กุฏิเมือไม่มีแขก, ไม่เปลืองผ้าเดินบนกุฎี
ก็ใ นคําว่า เอกํสํ จี ว รํ กตฺ วา นี ท่า นกล่าวไว้อย่างนี ก็เพือทํา จีวรให้แน่ น(รัดกุม) บ่อยๆ. ก็ค ํา ว่า เอกํสํ นี เป็ นชือของผ้าทีท่านห่ม
เฉวียงบ่าข้างซ้ายวางไว้ เพราะฉะนัน พึงทราบเนือความแห่ง เอกํสํ นีอย่างนีว่า กระทําจีวรโดยประการทีจีวรนันจะห่มคลุมบ่าข้างซ้ายวาง
ไว้
ขุ.สุ.47 หน้า 315-6 อรรถกถานิโครธกัปปสูตร

ศี ล-สิกขาบท-วิ นยั -วัตร-ธุดงค์


ศีล แปลว่า ความประพฤติดีทางกายและวาจา การรักษากายและวาจาให้เรียบร้อย ซึงเป็ นคุ ณสมบัติภายในบุคคล ,
ข้อปฏิบตั ิสําหรับควบคุมกายและวาจาให้ตงอยู ั ่ในความดีงาม เมือสามารถประพฤติปฏิบตั ิได้ตามสิกขาบท ,
ข้อปฏิบตั ิในการเว้นจากความชัว ข้อปฏิบตั ิในการฝึ กหัดกายวาจาให้ดียิงขึน
มีกายและวาจาถูกต้อง เหมาะสมเป็ นปกติ ตังอยู่ในวินัย หมายถึง การรักษาปกติตามระเบียบวินัย
สิกขาบท คือ ข้อทีต้องศึกษา หรือข้อศีลแต่ละข้อของแบบแผน
วินัย คือ ระเบียบสําหรับกํากับความประพฤติให้เป็ นแบบแผนอันหนึ งอันเดียวกัน
วัตร แปลว่า กิจพึงกระทํา, หน้าที, ธรรมเนี ยม, ความประพฤติ, ข้อปฏิบตั ิ จําแนกออกเป็ น
1. กิจวัตร ว่าด้วยกิจทีควรทํา (เช่น อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกวัตร อาคันตุกวัตร)
2. จริยาวัตร ว่าด้วยมรรยาทอันควรประพฤติ (เช่นไม่ทิงขยะทางหน้าต่าง ไม่จบั ต้องวัตถุอนามาส)
3. วิธีวตั ร ว่าด้วยแบบอย่างทีพึงกระทํา (เช่น วิธีเก็บบาตร วิธีเดินเป็ นหมู่)
วัตรปฏิบตั ิ. แปลว่า การปฏิบตั ิตามหน้าที, การทําตามข้อปฏิบตั ิทีพึงกระทําเป็ นประจํา
หรือ ความประพฤติทีเป็ นไปตามขนบธรรมเนี ยมแห่งเพศ ภาวะ หรือวิถีดาํ เนิ นชีวิตของตน
ข้อแตกต่างระหว่าง ศีล และวัตร
ศีล วัตร
ข้อทีจะต้องสํารวมระวังไม่ล่วงละเมิด ข้อทีพึงถือปฏิบตั ิ
หลักความประพฤติทวไปอั
ั นจะต้องรักษา ข้อปฏิบตั ิพิเศษเพือฝึ กฝนตนให้ยิงขึนไป
เสมอกัน
ธุดงค์ แปลว่า องค์คุณเครืองกําจัดกิเลส, ชือข้อปฏิบตั ิประเภทวัตร เป็ นอุบายขัดเกลากิเลส มี 13 ข้อ คือ
<ธุตะ แปลว่า เป็ นผูม้ ีกิเลสอันกําจัดแล้ว, เป็ นเครืองกําจัดกิเลส, เป็ นเครืองกําจัดซึงธรรมอันเป็ นข้าศึก> วิสุทธิมรรคแปล
1. ปั งสุกูลิกงั คะ ถือใช้แต่ผา้ บังสุกุล 6. ปั ตตปิ ณฑิกังคะ ฉันเฉพาะในบาตร
(ปย. ประหยัด+ไม่ติดสวยงาม+ระลึกถึงความตาย) 7. ขลุปัจฉาภัตติกงั คะ ลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิม
2. เตจีวริกงั คะ ใช้ผา้ เพียงสามผืน 8. อารัญญิกงั คะ ถืออยู่ป่า
3. ปิ ณฑปาติกงั คะ เทียวบิณฑบาตเป็ นประจํา 9. รุกขมูลิกงั คะ อยู่โคนไม้
4. สปทานจาริกงั คะ บิณฑบาตตามลําดับบ้าน 10. อัพโภกาสิกงั คะ อยู่กลางแจ้ง
5. เอกาสนิ กงั คะ ฉันหนเดียว (ลุกจากทีแล้วไม่ฉนั อีกในวันนัน) 11. โสสานิ กงั คะ อยู่ป่าช้า
ภัททาลิสูตร(คุณแห่งการฉันหนเดียว) ม.ม.13/160/139 12. ยถาสันถติกงั คะ อยู่ในทีแล้วแต่เขาจัดให้
≠ เอกภัตติโก 13. เนสัชชิกงั คะ ถือนั งอย่างเดียวไม่นอน
(เพือกระทําความเพียร)
องฺ.ป ฺ จ.22/181-190/295-399(อารัญญกสูตร-ปั ตตปิ ณฑิกสูตร)

~8~
อารัญญกสูตร (ว่าด้วยภิกษุผอู ้ ยู่ป่า 5 จําพวก) ย่องด้วยคุณ ทังหลายมีอาทิว่า ภิกษุ นีเป็ นลัชชี ชอบสงัด ดังนี แล้ว
[181] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ ผู้ถืออยูป่ ่ าเป็ นวัตร 5 จําพวก ถูกความปรารถนาลามกนันนันแหละครอบงํา จึงเป็ นผู้ถืออยู่ป่ า
นี 5 จําพวกเป็ นไฉน ? คือ เป็ นวัตร.
ภิกษุ ผู้ถืออยูป ่ ่ าเป็ นวัตรเพราะโง่เขลา เพราะหลงงมงาย 1 อนึ ง ภิ ก ษุ เข้า ไปอยู่ป่ าโดยความบ้า ชื อว่า ถื อ อยู่ป่ าเป็ นวัต ร
มี ค วามปรารถนาลามก ถูกความอยากครอบงํา จึงถืออยู่ป่ า เพราะความบ้า เพราะจิตฟุ้ งซ่าน.
เป็ นวัตร 1 บทว่า วณฺ ณิตํ ความว่า ชือว่าองค์แห่งภิกษุ ผถ ู้ ือการอยูป
่ ่ าวัตรนี
ถืออยูป ่ ่ าเป็ นวัตรเพราะเป็ นบ้า เพราะจิตฟุ้ งซ่าน 1 พระพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้ายกย่องแล้ว คือ สรรเสริญ
ถืออยูป ่ ่ าเป็ นวัตรเพราะรูว้ า่ เป็ นวัตรอันพระพุทธเจ้าและสาวก แล้ว เพราะฉะนัน ภิกษุ จงึ เป็ นผู้ถือการอยูป ่ ่ าเป็ นวัตร.
แห่งพระพุทธเจ้าทังหลายสรรเสริญ 1 บทว่า อิทมตฺถต ิ ํ ความว่า ชือว่า อิทมตฺถิ เพราะมีความต้องการ
ถืออยู่ป่ าเป็ นวัต รเพราะอาศัยความเป็ นผู้มี ค วามปรารถนา ด้วยข้อปฏิบตั ิอน ั งามนี ความเป็ นผู้มีความต้องการ ชือว่า อิทมตฺถิ
น้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความสงัด ความเป็ นผู้มีความ ตา อธิบายว่า อาศัยความเป็ นผู้ความต้องการนันเท่านัน มิได้อาศัย
ต้องการด้วยข้อปฏิบตั ิอน ั งามเช่นนี 1 โลกามิสไร ๆ อืน.
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถืออยูป
่ ่ าเป็ นวัตร 5 จําพวกนีแล. ............................
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั บรรดาภิกษุ ผู้ถืออยูป ่ ่ าเป็ นวัตร 5 จําพวก ปั งสุกูลิกสูตร
นี ภิ ก ษุ ผู้ ถื อ อยู่ ป่ าเป็ นวัต ร เพราะอาศัย ความเป็ นผู้ มี ค วาม [182] ดู ก่อ นภิ ก ษุ ท งหลาย ั ภิ ก ษุ ผู้ ถื อ ทรงผ้า บังสุ กุ ล เป็ นวัต ร 5
ปรารถนาน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความสงัด ความเป็ น จําพวกนี
ผู้มีความต้องการด้วยข้อปฏิบตั ิอน ั งามเช่นนี เป็ นผู้เลิศ ประเสริฐ 3. รุกขมูลก ิ สูตร
เป็ นประธาน สู ง สุ ด และลําเลิศ แห่งภิกษุ ผู้ถื ออยู่ป่ าเป็ นวัต ร 5 [183] ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถืออยู่โคนไม้เป็ นวัตร 5 จําพวกนี
จําพวกนี ฯลฯ
เปรียบเหมือนนมสดเกิดจากโค นมส้มเกิดจากนมสด เนยข้น 4. โสสานิกสูตร
เกิด จากนมส้ม เนยใสเกิด จากเนยข้น หัวเนยใสเกิด จากเนยใส [184] ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถืออยูป ่ ่ าเป็ นวัตร 5 จําพวกนี ฯลฯ
หัว เนยใสชาวโลกย่ อ มกล่ า วว่ า เป็ นยอดขึ นจํ า พวกโครส 5 5. อัพโภกาสิกสูตร
เหล่านัน ฉันใด [185] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถืออยูใ่ นทีแจ้งเป็ นวัตร 5 จําพวกนี
บรรดาภิกษุ ผู้ถืออยู่ป่ าเป็ นวัตร 5 จํา พวกนี ภิกษุ ผู้ถืออยูป ่ ่า 6. เนสัชชิกสูตร
เป็ นวัต ร เพราะอาศัยความเป็ นผู้มี ค วามปรารถนาน้อ ย ความ [186] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถือการนังเป็ นวัตร 5 จําพวกนี ฯลฯ
สันโดษ ความขัดเกลา ความสงัดความเป็ นผู้มีความต้องการด้วย 7. ยถาสันถติกสูตร
ข้อปฏิบ ต ั ิอน ั งามเช่นนี เป็ นเลิศ ประเสริฐ เป็ นประธาน สูงสุด [187] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถืออยูใ่ นเสนาสนะตามทีท่านจัด
และลํ าเลิ ศ แห่ ง ภิ ก ษุ ผู้ ถื อ อยู่ ป่ าเป็ นวัต ร 5 จํ า พวกนี ฉัน นัน ให้อย่างไรเป็ นวัตร 5 จําพวกนี ฯลฯ
เหมือนกัน. 8. เอกาสนิกสูตร
............................ [188] ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ ผู้ถือการนังฉัน ณ อาสนะเดียวเป็ นวัตร
อรรถกถาอารัญญกสูตร องฺ.ป ฺจก.36 หน้า 396 9. ขลุปจั ฉาภัตติกสูตร
บทว่า มนฺ ทตฺ ต า โมมู หตฺ ต า ความว่า ไม่รูก ้ ารสมาทาน ไม่รู ้ [189] ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถือห้า มภัต อันนํา มาถวายเมือ
อานิสงส์ แต่อยูป ่ ่ าเป็ นวัตรโดยไม่รู ้ เพราะตนเขลาเฉาโฉด. ภายหลังเป็ นวัตร 5 จําพวกนี ฯลฯ
บทว่า ปาปิ จฺ โ ฉ อิจฺ ฉ าปกโต ความว่า ภิ ก ษุ ตังอยู่ใ นความ 10. ปัตตปิ ณฑิกสูตร
ปรารถนาลามกอย่า งนี ว่า เมื อเราอยู่ใ นป่ า ชนทังหลายจัก ทํ า [190] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็ นวัตร
สักการะด้วยปัจจัย 4 ด้วยคิดว่า ภิกษุ นีถืออยูป ่ ่ าเป็ นวัตร และจักยก ......................

บทว่า เอกภตฺติกา ความว่า อาหารมี 2 เวลา คือ อาหารทีจะต้องรับประทานในเวลาเช้า 1 อาหารทีจะต้องรับประทานในเวลา


เย็น 1 บรรดาอาหารทังสองอย่างนัน อาหารทีจะรับประทานในเวลาเช้า กําหนดโดยเวลาภายในเทียงวัน (ส่วน)อาหารทีจะรับประทาน
ในเวลาเย็น นอกนีกําหนดโดยเวลาแต่เลยเทียงไป จนถึงเวลาอรุณขึ น. เพราะฉะนันในเวลาภายในเทียงถึงจะรับประทาน 10 ครัง ก็ชือ
ว่า มีการรับประทานอาหารเวลาเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอกภตฺติกา ทรงหมายถึงการรับประทานอาหารภายในเวลาเทียงวัน. การรับประทานอาหารในเวลา
กลางคืน ชือว่า รตฺติ ผู้เว้นจากการรับประทานอาหารในเวลากลางคืนนัน เพราะฉะนัน จึงชือว่า รตฺตูปรตา. การรับประทานอาหารใน
เวลาเลยเทียงวันไป จนถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ชือว่า การรับประทานอาหารในเวลาวิกาล ผู้ชือว่าเว้นจากวิกาลโภชน์ เพราะเว้นจาก
การรับประทานอาหารในเวลาวิกาลนัน.
องฺ.ติก.เล่ม 34 หน้า 396 อรรถกถาอุโปสถสูตร
เอกาสนโภชนํ (การฉันอาหารในเวลาปุเรภัตครังเดียว)
แม้ภิกษุ ฉน
ั 10 ครัง ตังแต่พระอาทิตย์ขึ น ถึงเวลาเทียงวัน ก็เรียกว่า ฉันอาหารหนเดียว อรรถกถา เล่ม 8 หน้า 269 มมร.
ปาตราสะ+ภัตตะ ปาโต=เช้า อส=กิน, สายมาสะ สายะ=สายัน=สาย=หลังเช้า

เรืองธุดงควัตร ข้อเนสัชชิกงั คะ การไม่นอน (ขุ.มหา.๒๙/๕๘๔. วิ.ธุตงฺค.ปฐม.๗๔) ว่า


กษุ ผู้ถือเนสัช ชิกงั คะ ย่อมไม่เอนหลังลงนอนสํา เร็จอิริยาบถเพียง ๓ นังกับ ยืนและเดินเท่า นัน. องค์นีเป็ นอาการฝื นธรรมดา
สําเร็จความสันนิษฐานว่า ถือได้ชวเวลาเท่
ั านัน

~9~
กกจูปมสูตร ม.มู.12/263/171 ˹à´ÕÂÇ) เมื อเราฉันอาหารหนเดียวอยู่แล รูส้ ึกว่ามีอาพาธน้อย มี
ความลําบากกายน้อย มีความเบากาย มีกาํ ลัง และอยูอ ่ ย่างผาสุก
วาระที 1 ให้ละการฉันในวิกาลในกลางวันก่อน ดู ก รภิ กษุ ท งหลาย
ั ถึง พวกเธอก็จ งฉัน อาหารหนเดี ยวเถิด แม้
[263] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี: พวกเธอฉันอาหารหนเดี ย ว ก็ จ ะรู ้สึก ว่า มี อาพาธน้อ ย มี ค วาม
สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ลํา บากกายน้อย มี ค วามเบากาย มี กํา ลัง และอยู่อย่างผาสุก ดู กร
อารามของท่า นอนาถบิณ ฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัต ถี โดย ภิกษุ ทงหลาย
ั เราจะไม่ต้องพรําสอนภิกษุ เหล่านันอีก การทําสติ
สมัยนัน ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยูค ่ ลุกคลีกบั ภิกษุ ณีทงหลายเกิ
ั น ให้เกิดได้เป็ นกรณี ยะในภิกษุ เหล่านันแล้ว
เวลา ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่คลุกคลีกบั ภิกษุ ณีทงหลายอย่
ั า งนี ดู กรภิ ก ษุ ทังหลา ย เป รี ย บ เหมื อนรถที เที ย ม ด้ ว ยม้ า
ถ้าภิกษุ รูปไรติเตียนภิกษุ ณีเหล่านันต่อหน้า ท่านพระโมลิยผัค คุ อาชาไนย ซึ งเป็ นม้าทีได้รบ ั การฝึ กมาดีแล้ว เดินไปตามหนทาง
นะท่า นก็โ กรธ ขัด ใจภิกษุ รูป นัน ถึงกระทํา ให้เป็ นอธิก รณ์ ก็ มี ใหญ่ 4 แพร่ง ในทีมี พืนราบเรียบ โดยไม่ต้องใช้แส้ ชัวแต่นาย
อนึ ง ถ้า ภิกษุ รูป ไรติเตียนท่า นพระโมลิยผัค คุนะต่อหน้าภิกษุ ณี สารถีผู้ฝึกหัดทีฉลาดขึ นรถ แล้วจับ สายบังเหียนด้วยมือซ้าย จับ
เหล่า นัน พวกภิกษุ ณี ก็พากันโกรธ ขัด ใจภิกษุ รูปนัน ถึงกระทํา แส้ด้วยมือขวาแล้ว ก็เตือนให้ม้าวิงตรงไป หรือเลียวกลับไป ตาม
ให้เป็ นอธิกรณ์ ก็มี ท่า นพระโมลิยผัค คุนะอยู่ค ลุกคลีกบ ั ภิกษุ ณี ถนนตามความปรารถนาได้ ฉันใด
ทังหลายอย่างนี ดู ก รภิ ก ษุ ทังหลาย เราจะไม่ ต้ อ งพรําสอนภิ ก ษุ ท งหลาย ั
ครังนัน ภิกษุ รูปใดรูปหนึ งเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงที เนืองๆ ฉันนันเหมือนกัน การทําสติให้เกิดได้เป็ นกรณี ยะในภิกษุ
ประทับ ถวายบังคมแล้ว นังอยู่ ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ ง ได้กราบ เหล่านันแล้ว ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เพราะฉะนัน แม้พวกเธอก็จงละ
ทูลพระผู้มีพระภาค .. อกุศ ลธรรมเสีย จงทํา ความพากเพียรแต่ใ นกุศ ลธรรมทังหลาย
เมือเป็ นเช่นนี แม้พวกเธอก็จกั ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ใน
[264] ลํา ดับ นัน พระผู้มี พระภาคตรัสเรียกภิกษุ รูปใดรูป พระธรรมวินยั นี
หนึ งมา ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจงมา เธอจงบอกโมลิยผัคคุนะภิกษุ ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมื อนป่ าไม้รงั ใหญ่ ใกล้บ้า น
ตามคําของเราว่า ดู กรท่า นโมลิยผัคคุนะ พระศาสดาให้หาท่าน หรือนิค ม และป่ านันดาดไปด้วยต้นละหุ่ง ชายคนหนึ ง เล็งเห็น
ภิกษุ รูป นันทูลรับพระดํา รัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้า ไปหา ประโยชน์ และคุณ ภาพของต้นรังนัน ใคร่จะทํา ให้ต้นรังนันให้
ท่านพระโมลิยผัคคุนะถึงทีอยู่ ครันแล้วได้กล่าวคํานีกะท่า นพระ ปลอดภัย เขาจึงตัดต้นรังเล็กๆ ทีคด และถางต้นละหุง่ อันคอยแย่ง
โมลิยผัค คุนะว่า ดู กรท่า นโมลิยผัคคุนะ พระศาสดารับสังให้หา โอชาของต้นรังนันออก นําไปทิงในภายนอกเสียสิน ทําภายในป่ า
ท่า น ท่า นพระโมลิยผัค คุนะ รับ คํา ภิกษุ รูป นันแล้ว ก็เข้า ไปเฝ้ า ให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว คอยรักษาต้นรังเล็กๆ ต้นตรงทีขึ นแรงดี
พระผู้มีพระภาคถึงทีประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นัง โดยถูกต้องวิธีการ ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ด้วยการกระทํา ดังทีกล่าว
ณ ทีควรข้างหนึ ง มานี แหละ กาลต่ อ มา ป่ าไม้ ร งั นันก็ ถึง ความเจริ ญ งอกงาม
พระผู้มี พระภาคได้ตรัสถามท่านพระโมลิยผัคคุนะดังนีว่า ไพบู ลย์ขึ นโดยลํา ดับ ฉันใด ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั แม้พวกเธอก็จง
ดู กรผัค คุนะ ได้ทราบว่า เธออยู่ค ลุกคลีกบ ั พวกภิกษุ ณี จ นเกิน ละอกุ ศ ลธรรมเสี ย จงทํา ความพากเพี ย รอยู่แ ต่ ใ นกุ ศ ลธรรม
เวลา ดู กรผัคคุนะ เธออยู่คลุกคลีกบั พวกภิกษุ ณีเช่นนัน ถ้าภิกษุ ทังหลาย ฉันนันเถิด เพราะเมื อเป็ นเช่นนี แม้พวกเธอ ก็จะถึง
รูป ไรติเตี ยนพวกภิกษุ ณี เหล่า นันต่อหน้า เธอ เธอก็โ กรธ ขัด ใจ ความเจริญ งอกงามไพบู ลย์ ในพระธรรมวินยั นี ถ่า ยเดี ยว. ...
ภิ ก ษุ รู ป นัน ถึง กระทํา ให้เป็ นอธิกรณ์ ก็ มี อนึ ง ถ้า ภิ กษุ รูป ไรติ ฯลฯ
เตียนเธอต่อหน้าภิกษุ ณีทงหลาย ั เธอเหล่านันก็โกรธ ขัดใจภิกษุ .........................................
รูป นัน ถึงกระทํา ให้เป็ นอธิกรณ์ ก็มี ดู กรผัค คุนะ เธออยู่ค ลุกคลี อรรถกถา เลม 18 หนา 269 มมร.
กับ ภิกษุ ณี ทงหลายเช่
ั นนี จริงหรือ? พระโมลิยผัค คุนะทูลรับ ว่า บทวา เอก สมย แปลวา สมัยหนึ่ง. บทวา เอกาสนโภชน ไดแก
จริงพระพุทธเจ้า ข้า จึงตรัสถามต่อไปว่า ดู กรผัค คุนะ เธอเป็ น การฉันอาหารในเวลาปุเรภัตครั้งเดียว. จริงอยู ตั้งแต พระอาทิตย
กุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตด้วยศรัทธามิใช่หรือ?
ขึ้ น จนถึ ง เวลาเที่ ย งวั น แม ภิ ก ษุ จ ะฉั น อาหาร 10 ครั้ ง ท า นก็
โม. อย่างนัน พระพุทธเจ้าข้า.
ประสงคเอาในขอวา ฉันอาหารหนเดียวนี้...
พ. ดูกรผัคคุนะ การทีเธออยูค ่ ลุกคลีกบั พวกภิกษุ ณีจนเกิน
ถามวา ทําไม พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสไวดวยสูตรนี้.
เวลานี ไม่ ส มควรแก่เธอผู้เป็ นกุล บุ ต รออกจากเรื อ นบวชเป็ น
บรรพชิต ด้วยศรัทธาเลย ดู กรผัค คุนะ เพราะฉะนัน ถ้า แม้ภิกษุ ตอบวา พระผูมีพระภาคเจาตรัส ถึงกาลใหล ะการฉัน อาหารใน
รูป ไรติเตียนภิกษุ ณีเหล่านันต่อหน้าเธอ แม้ใ นข้อนัน เธอพึงละ เวลาวิก าลในเวลากลางวัน ในสูตรนี้, แตใ นภัท ทาลิสูตรตรัสถึง
ความพอใจ และวิต กอัน อาศัย เรื อ นเสี ย แม้ ใ นข้ อ นัน เธอพึง กาลใหล ะการฉัน อาหารในเวลาวิกาลในเวลากลางคืน . พระผูมี
ศึกษาอย่างนีว่า จิต ของเราจักไม่แปรปรวน และเราจักไม่เปล่ง พระภาคเจามิไดทรงใหภิกษุละการฉันอาหารในเวลาวิกาลทัง้ สอง
วาจาทีลามก จักอนุเคราะห์ด้วยสิงทีเป็ นประโยชน์อยู่ แลจักเป็ น นี้พรอมกัน.
ผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน ดูกรผัคคุนะ เธอพึงศึกษาอย่างนี ถามวา เพราะเหตุไร.
แล ตอบวา ก็ เ พราะอาหารในเวลาวิ ก าลทั้ ง สองนี้ สั ต ว ทั้ ง หลาย
ดู ก รผัค คุ น ะ เพราะฉะนัน ถ้ า ใครๆ ประหารภิ ก ษุ ณี ประพฤติมาจนชินในวัฏฏะแลว กุล บุตรผูสุขุมาล (ผูละเอียดออน)
เหล่านันด้วยฝ่ ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตราต่อหน้า มีอ ยู กุล บุตรเหลานั้น ถาละอาหารในเวลาวิกาลทั้งสองพรอมกัน
เธอ .. ถ้าใครๆ ติเตียนตัวเธอเอง ต่อหน้าเธอ .. ถ้าใครๆ ประหาร
ยอ มลําบาก เพราะฉะนั้น จึงไม ท รงใหละพรอมกัน คือ ใหละการ
เธอด้วยฝ่ ามือ ด้วยก้อนหิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา ดูกรผัคคุนะ
ฉัน อาหารนั้น คนละคราว คือ ใหล ะอาหารในเวลาวิกาลในเวลา
แม้ใ นข้อนัน เธอพึงละความพอใจ และวิต กอันอาศัยเรือนเสีย
กลางวันคราวหนึ่ง และใหละอาหารในเวลาวิกาลในเวลากลางคืน
แม้ใ นข้อนัน เธอพึงศึกษาอย่างนีว่า จิต ของเราจักไม่แปรปรวน
และเราจัก ไม่ เ ปล่ง วาจาที ลามก จัก อนุ เ คราะห์ ด้ ว ยสิงที เป็ น คราวหนึ่ง.
ประโยชน์ แลจักเป็ นผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน ดูกรผัคคุนะ ในสองคราวนั้น ในสู ต รนี้ ตรั ส ใหล ะการฉัน อาหารใน
เธอพึงศึกษาอย่างนีดังนีแล. เวลาวิก าลในเวลากลางวัน . พระพุท ธเจาทั้งหลายมิใชทรงชี้ภัย
ทรงแนะนําให้ฉน
ั หนเดียว (เอกาสนโภชนํ) ใหล ะการฉัน อาหารในเวลาวิกาลเทานั้น แตท รงแสดงอานิสงส
แล ว จึงใหล ะ ด ว ยเหตุนั้น แหละ สั ต ว ทั้ง หลาย จึ ง ละไดโดยงาย
[265] ครังนันแล พระผู้มีพระภาคตรัส เรียกภิกษุ ทงหลาย ั
เพราะฉะนั้น เมื่อจะแสดงอานิสงส จึงตรัสคุณประโยชน 5 เหลานี้
มาตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สมัยหนึ ง พวกภิกษุ ได้ทาํ จิตของเรา
ให้ยินดี เป็ นอันมาก เราขอเตื อนภิกษุ ทงหลายไว้
ั ใ นทีนี ว่า ดู กร (คือ มีอาพาธนอย มีความลําบากนอยเปนตน ).
ภิกษุ ทงหลาย
ั เราฉันอาหารหนเดียว (àÍ¡ÒʹâÀª¹í ÀؐÚ​ªÒÁÔ àÃÒ‹ÍÁ©Ñ¹

~ 10 ~
ภัททาลิสูตร ม.ม.13/160/129 ได้ครอบงําข้าพระองค์ผู้เป็ นคนพาล เป็ นคนหลง ไม่ฉลาด ซึ งได้
ประกอบความไม่อุตสาหะขึ นแล้ว ในเมื อพระผู้มีพระภาคกําลัง
วาระที 2 ให้ละการฉันในวิกาลในกลางคืน ทรงบัญญัติสิกขาบท ในเมื อภิกษุ สงฆ์สมาทานอยู่ซึ งสิกขา ขอ
คุณแห่งการฉันอาหารครังเดียว พระผู้มีพระภาคจงรับโทษของข้าพระองค์นนโดยความเป็ ั นโทษ
[160] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี: เพือความสํารวมต่อไปเถิด.
สมัย หนึ ง พระผู้ มี พ ระภาคประทับ อยู่ ณ พระวิห ารเช [163] ..
ตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที [164] ดู กรภัททาลิ เราขอเตื อน โทษได้ค รอบงํา เธอผู้
นันแล พระผู้ มี พ ระภาคตรัส เรี ย กภิ ก ษุ ทังหลายว่า ดู ก รภิ ก ษุ เป็ นคนพาล เป็ นคนหลง ไม่ฉลาด ซึ งได้ประกาศความอุตสาหะ
ทังหลาย. ภิกษุ เหล่านันรับพระดํารัสพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้า ขึ นแล้ว ในเมือเรากําลังจะบัญญัติสก ิ ขาบท ในเมือภิกษุ สงฆ์กาํ ลัง
ข้า. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราฉันอาหาร สมาทานอยูซ ่ ึ งสิกขา
ในเวลาก่อนภัตครังเดียว (àÍ¡ÒʹâÀª¹í ÀؐÚ​ªÒÁÔ àÃÒ‹ÍÁ©Ñ¹ÍÒʹÐà´ÕÂÇ ดูกรภัททาลิ เธอจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ภิกษุ ใน
ÀØ Ú ª =¨§©Ñ¹ ÀØ Ú ª µÔ=Â‹Í Á©Ñ¹) เมื อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัต ครัง ธรรมวิน ยั นี เป็ นอริยบุ ค คลชื ออุภ โตภาควิมุ ต เราพึง กล่า วแก่
เดี ยว ย่อมรูส ้ ึกคุณ คือความเป็ นผู้มี อาพาธน้อย มี โ รคเบาบาง ภิกษุ อย่า งนี ว่า มาเถิด ภิกษุ เราจะก้า วไปในหล่ม ดังนี ภิกษุ นน ั
กายเบา มีกาํ ลัง และอยูส ่ าํ ราญ ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั แม้เธอทังหลาย พึงก้าวไป หรือพึงน้อมกายไปด้วยอาการอืน หรือพึงกล่าวปฏิเสธ
จงมา จงฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครังเดียวเถิด ด้วยว่า เมือเธอ บ้างหรือ?
ทังหลายฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครังเดียว จักรูส้ ก ึ คุณคือความ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
เป็ นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกาํ ลัง และอยูส ่ าํ ราญ. ดูกรภัททาลิ เธอจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ภิกษุ ใน
พระภัททาลิฉน
ั อาหารหนเดียวไม่ได้ ธรรมวินยั นี เป็ นอริยบุคคลชือปัญญาวิมุต เป็ นอริยบุคคลชือกาย
[161] เมือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล้ว ท่านพระภัท สักขี เป็ นอริยบุ ค คลชื อทิฏ ฐิป ัตตะ เป็ นอริยบุ ค คลชื อสัทธาวิมุต
ทาลิไ ด้ กราบทู ลพระผู้มี พ ระภาคว่า ข้ า แต่พ ระองค์ผู้เจริญ ข้า เป็ นอริยบุคคลชือธรรมานุสารี เป็ นอริยบุคคลชือสัทธานุสารี เรา
พระองค์ไ ม่สามารถจะฉันอาหารในเวลาก่อนภัต ครังเดี ยวได้ พึงกล่าวกะภิกษุ อย่างนีว่า มาเถิดภิกษุ เราจะก้าวไปในหล่มดังนี
เพราะเมือข้าพระองค์ฉน ั อาหารในเวลาก่อนภัตครังเดียว จะพึงมี ภิกษุ นนพึ
ั งก้า วไป หรือพึงน้อมกายไปด้วยอาการอืน หรือพึง
ความรําคาญ ความเดือดร้อน. กล่าวปฏิเสธบ้างหรือ?
ดู กรภัททาลิ ถ้า อย่า งนัน เธอรับ นิม นต์ ณ ทีใดแล้ว พึง ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
ฉัน ณ ทีนันเสียส่วนหนึ งแล้วนําส่วนหนึ งมาฉันอีกก็ได้ เมื อเธอ ดูกรภัททาลิ เธอจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ในสมัย
ฉันได้ แม้อย่างนี ก็จกั ยังชีวต ิ ให้เป็ นไปได้. นัน เธอเป็ นพระอริยบุคคลชือว่าอุภโตภาควิมุต ปัญญาวิมุต กาย
ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ไม่สามารถจะฉันแม้ สักขี ทิฏ ฐิป ัต ตะ สัทธาวิมุ ต ธรรมานุ สารี หรือสัทธานุ สารี บ้า ง
ด้วยอาการอย่างนันได้ เพราะเมือข้าพระองค์ฉน ั แม้ด้วยอาการ หรือหนอ?
อย่างนัน จะพึงมีความรําคาญ ความเดือดร้อน. มิได้เป็ นเลย พระเจ้าข้า.
ครังนันแล ท่านพระภัททาลิประกาศความไม่อุตสาหะขึน ดูกรภัททาลิ ในสมัยนัน เธอยังเป็ นคนว่าง คนเปล่า คน
แล้ว ในเมือพระผู้มีพระภาคกําลังจะทรงบัญญัติสก ิ ขาบท ในเมือ ผิดมิใช่หรือ?
ภิกษุ สงฆ์สมาทานอยูซ ่ ึ งสิกขา. เป็ นอย่างนัน พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้
ครังนันแล ท่า นพระภัททาลิไม่ได้ให้ตนประสบพระพักตร์ ครอบงํา ข้า พระองค์ผู้เป็ นคนพาลเป็ นคนหลง ไม่ฉลาด ซึ งได้
พระผู้มี พระภาคตลอดไตรมาสนันทังหมด เหมื อนภิกษุ อืนผู้ไม่ ประกาศความไม่อุตสาหะขึ นแล้ว ในเมื อพระผู้มีพระภาคกําลัง
ทําความบริบูรณ์ ในสิกขาในพระศาสนาของพระศาสดาฉะนัน. ทรงบัญญัติสิกขาบท ในเมื อภิกษุ สงฆ์กาํ ลังสมาทานอยูซ ่ ึ งสิกขา
(ในอรรถกถาว่า ทรงตรัสเพือให้ละการฉันในเวลาวิกาลใน ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับโทษของข้า
กลางคืน เมื อพระภัททาลิโอดครวญอยู่ ก็ทรงบัญญัติสก ิ ขาบทว่า พระองค์นนโดยความเป็
ั นโทษ เพือความสํารวมต่อไปเถิด.
“ภิกษุ ใ ดพึงเคียวก็ดี พึงบริโ ภคก็ดี ซึ งของเคียวของบริโภค ใน [165] ดู กรภัททาลิ เราขอเตือน โทษได้ ครอบงําเธอผู้
เวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.” พระสูตรนีตรัสภายหลัง การตรัส เป็ นคนพาล เป็ นคนหลง ไม่ ฉ ลาด ซึ งได้ ป ระกาศความไม่
ให้งดการฉันในวิกาลในเวลากลางวันไปแล้วครังหนึ งใน กกจูปม อุต สาหะขึ นแล้ว ในเมื อเรากํา ลังบัญญัติสิกขาบท ในเมื อภิกษุ
สูตร) สงฆ์กํา ลังสมาทานอยู่ซึ งสิกขา แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความ
พระภัททาลิขอขมาพระพุทธเจ้า เป็ นโทษ แล้วทํา คืนตามธรรม เราจึงรับ โทษของเธอนัน ข้อที
บุคคลเห็นโทษโดยความเป็ นโทษแล้ว ทําคืนตามธรรม ถึงความ
[162] ก็ ส มัย นันแล ภิ ก ษุ มากด้ ว ยกัน ช่ ว ยกัน ทํา จี ว ร
สํารวมต่อไปนีเป็ นความเจริญในวินยั ของพระอริยะ.
กรรมสํา หรับ พระผู้มี พระภาค ด้วยตังใจว่า พระผู้มี พระภาคมี
.....
จีวรสํา เร็จแล้ว จักเสด็ จเทียวจาริกไปโดยล่วงไตรมาส. ครังนัน
ข้ า แต่ พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็ นเหตุ เป็ นปัจจัย ที
ท่า นพระภัททาลิเข้าไปหาภิกษุ เหล่านันถึงทีอยู่ โดยปราศรัยกับ
เมือก่อน ได้มีสก ิ ขาบทน้อยนักเทียว แต่ภิกษุ ดํารงอยูใ่ นอรหัตผล
ภิกษุ เหล่านัน ครันผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นัง
เป็ นอันมาก และอะไรเป็ นเหตุ เป็ นปัจจัย ทีเดียวนีได้มีสก ิ ขาบท
ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง.
เป็ นอันมาก แต่ภิกษุ ดํารงอยูใ่ นอรหัตผลน้อยนัก.
ภิกษุ เหล่านันได้กล่าวว่า ดูกรภัททาลิผู้มีอายุ จีวรกรรม อาสวัฏฐานิยธรรม
นี แล ภิกษุ ทงหลายช่
ั วยกันทําสํา หรับพระผู้มีพระภาค ด้วยตังใจ
ว่า พระผู้มี พระภาคมีจีวรสําเร็จแล้ว จักเสด็ จเทียวจาริกไปโดย [172] ดู ก รภัท ทาลิ ข้ อ นี เป็ นจริง อย่า งนัน เมื อสัต ว์
ล่วงไตรมาส. ดู กรภัททาลิผู้มีอายุ เราขอเตื อน ท่า นจงมนสิการ ทังหลายกําลังเสือม พระสัทธรรมกําลังอันตรธาน สิกขาบทมีอยู่
ความผิด นี ให้ดี เถิด ความกระทํา ทียากกว่า อย่า ได้มี แก่ท่า นใน มากมาย แต่ภิกษุ ดํารงอยูใ่ นอรหัตผลน้อยนัก. พระศาสดายังไม่
ภายหลังเลย. ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทังหลาย ตราบเท่า ทีอาสวัฏ ฐานิย
ท่า นพระภัททาลิรบ ั คํา ของภิกษุ เหล่า นัน แล้วเข้า ไปเฝ้ า ธรรมบางเหล่า ยังไม่ป รากฏในสงฆ์ ในธรรมวินยั นี . ต่อเมื อใด
พระผู้มีพระภาคถึงทีประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนัง อาสวัฏ ฐานิยธรรมบางเหล่า ปรากฏขึ นในสงฆ์ ในธรรมวินยั นี
ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง. ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษ เมือนัน พระศาสดาจึงทรงบัญญัติสก ิ ขาบทแก่สาวกทังหลาย เพือ

~ 11 ~
กํา จัด อาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านัน อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่ายัง ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ทงหลายนั ั น เมื อเห็น
ไม่ปรากฏในสงฆ์ ในธรรมวินยั นี ตราบเท่าทีสงฆ์ยงั ไม่ถงึ ความ กะความรัก ความเคารพ ความละอาย และความเกรงกลัวในพระ
เป็ นหมู่ ใ หญ่ . ต่ อ เมื อใด สงฆ์ ถึ ง ความเป็ นหมู่ ใ หญ่ เมื อนัน ผู้มี พระภาคจึงละการฉันโภชนะในเวลาวิกาลในกลางวันนันเสีย
อาสวัฏ ฐานิยธรรมบางเหล่าจึงจะปรากฏในสงฆ์ ในธรรมวินยั นี ด้วยประการอย่างนี
ครังนัน พระศาสดาจึงทรงบัญญัติสก ิ ขาบทแก่สาวกทังหลาย เพือ ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ทงหลายนั ั น ย่อมฉัน
กําจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านัน. ในเวลาเย็น และเวลาเช้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้มีสมัยทีพระผู้
อาสวัฏ ฐานิยมธรรมบางเหล่ายังไม่ปรากฏในสงฆ์ ใน มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายมาว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราขอ
ธรรมวินยั นี ตราบเท่า สงฆ์ทียังไม่ถงึ ความเป็ นผู้เลิศด้วยลาภ ... เตื อนเธอทังหลายจงละเว้นการฉันโภชนะในเวลาวิกาลในราตรี
ยังไม่ถึงความเป็ นผู้เลิศ ด้วยยศ ... ยังไม่ถึงความเป็ นพหูสูต ...
นันเสียเถิด ÃµÚµÖ ÇÔ¡ ÒÅâÀª¹í ดังนี ข้าพระองค์นน ั มีความน้อยใจ
ยัง ไม่ ถึงความเป็ นรัต ตัญ ู ต่ อ เมื อใด สงฆ์ เป็ นผู้ถึงความเป็ น
มี ค วามเสียใจว่า ความทีภัต ทังสองนี ของเราทังหลาย เป็ นของ
รัต ตัญ ู เมื อนัน อาสวัฏ ฐานิยธรรมบางเหล่า จึงปรากฏในสงฆ์
ในธรรมวินยั นี ครังนัน พระศาสดาจึงทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ ปรุงประณี ตกว่าอันใด พระผู้มีพระภาคตรัสการละอันนันของเรา
สาวกทังหลาย เพือกําจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านัน. ทังหลายเสียแล้ว พระสุคตตรัสการสละคืนอันนันของเราทังหลาย
................... เสียแล้ว.
ลฑุกิโกปมสูตร ม.ม.13/175/141 ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ เรืองเคยมี ม าแล้ว บุ รุษ คนใดได้
ของสมควรจะแกงมาในกลางวัน จึงบอกภริยาอย่างนีว่า เอาเถิด
วาระที 3 ทรงชักชวนให้เลิกฉันหลังเทียงและตอนคํา จงเก็บ สิงนี ไว้ เราทังหมดเทียว จักบริโ ภคพร้อมกันในเวลาเย็น
พระอุทายีสรรเสริญการฉันอาหารหนเดียว อะไรๆ ทังหมดทีสํา หรับ จะปรุ งกิน ย่อ มมี ร สในเวลากลางคืน
[175] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี: กลางวันมีรสน้อย
สมัย หนึ ง พระผู้ มี พ ระภาคประทับ อยู่ใ นอัง คุ ต ตราป ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ทงหลายนั ั น เห็นกะ
ชนบท มี นิค มของชาวอังคุต ตราปะชื ออาปนะ เป็ นโคจรคาม. ความรัก ความเคารพ ความละอาย และความเกรงกลัวในพระผู้
ครังนัน เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่ งแล้ว ทรงถือบาตรและ มี พระภาค จึงพากันละการบริโภคโภชนะในเวลาวิกาลในราตรี
จี ว รเสด็ จ เข้ า ไปบิ ณ ฑบาตยัง อาปนนิ ค ม. ครันเสด็ จ เที ยว นันเสีย ด้วยประการอย่างนี.
บิณ ฑบาตในอาปนนิคมแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับ จากบิณฑบาต ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ เรืองเคยมี ม าแล้ว ภิกษุ ทงหลาย ั
แล้ว เสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์แห่งหนึ ง เพือประทับพักกลางวันที เทียวไปบิณฑบาตในเวลามืดคํา ย่อมเข้าไปในบ่อนําครําบ้าง ลง
โคนต้นไม้แห่งหนึ ง. เวลาเช้าวันนัน แม้ท่านพระอุทายีก็นุ่งแล้ว ไปในหลุม โสโครกบ้าง บุ กเข้าไปยังป่ าหนามบ้าง เหยียบขึ นไป
ถื อ บาตรและจี ว ร เข้ า ไปบิ ณ ฑบาตยัง อาปนนิ ค ม. ครันเที ยว บนแม่ โ คกํา ลังหลับ บ้า ง พบกับ โจรผู้ทํา โจรกรรมแล้ว บ้า ง ยัง
บิณ ฑบาตในอาปนนิค มแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับ จากบิณ ฑบาต ไม่ได้ทําโจรกรรมบ้าง มาตุคามย่อมชักชวนภิกษุ เหล่านันด้วยอ
แล้ว เข้า ไปยังไพรสณฑ์ นน ั เพือพักกลางวัน ครันถึงไพรสณฑ์ สัทธรรมบ้าง.
นันแล้ว นังพักกลางวันทีโคนต้นไม้แห่งหนึ ง. ครังนัน เมื อท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรืองเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เทียว
พระอุทายีอยูใ่ นทีลับ เร้นอยู่ เกิดความดําริแห่งจิตอย่างนีว่า พระ บิณ ฑบาตในเวลามืด คํา หญิงคนหนึ งล้า งภาชนะอยู่ ได้เห็นข้า
ผู้มี พระภาค ทรงนํา ธรรมอันเป็ นเหตุ แห่งทุกข์ เป็ นอันมากของ พระองค์โดยแสงฟ้ าแลบ แล้วตกใจกลัว ร้องเสียงดังว่า ความไม่
เราทังหลายออกไปได้หนอ พระผู้มีพระภาคทรงนําธรรมอันเป็ น เจริญได้มีแก่เราแล้ว ปี ศาจจะมากินเราหนอ. เมื อหญิงนันกล่าว
เหตุ แห่งสุข เป็ นอันมากเข้า ไปให้แก่เราทังหลายหนอ พระผู้มี อย่า งนันแล้ว ข้า พระองค์ได้พูด กะหญิงนันว่า ไม่ใ ช่ปี ศาจดอก
พระภาคทรงนําอกุศลธรรมเป็ นอันมากของเราทังหลายออกไป น้องหญิง เป็ นภิกษุ ยืนเพือบิณฑบาต ดังนี. หญิงนันกล่าวว่า บิดา
ได้ ห นอ พระผู้ มี พ ระภาคทรงนํ า กุศ ลธรรมเป็ นอันมากเข้า ไป ของภิ กษุ ต ายเสี ยแล้ว มารดาของภิกษุ ต ายเสี ยแล้ว ดู กรภิกษุ
ให้แก่เราทังหลายหนอ. ลํา ดับ นัน เวลาเย็น ท่า นพระอุทายีออก ท่า นเอามีดสําหรับเชือดโคทีคมเชื อดท้องเสีย ยังจะดี กว่า การที
จากทีเร้นแล้ว เข้า ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีประทับแล้ว ถวาย ท่านเทียวบิณฑบาตในเวลาคํามืดเพราะเหตุแห่งท้องเช่นนัน ไม่
บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง. ดีเลย ดังนี.
[176] ท่า นพระอุทายีนงอยู ั ่ ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ งแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมือข้าพระองค์ระลึกถึงเรืองนันอยู่
ได้ ก ราบทู ล พระผู้ มี พ ระภาคว่ า ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ เ จริ ญ ขอ มี ค วามคิด อย่า งนี ว่า พระผู้มี พระภาคทรงนํา ธรรมอันเป็ นเหตุ
ประทานพระวโรกาส เมื อข้าพระองค์อยู่ในทีลับ เร้นอยู่ ได้เกิด แห่งทุกข์เป็ นอันมากของเราทังหลายออกไปเสียได้หนอ พระผู้มี
ความดําริแห่งจิตอย่างนีว่า พระผู้มีพระภาคทรงนําธรรมอันเป็ น พระภาคทรงนําธรรมอันเป็ นเหตุแห่งสุขเป็ นอันมากเข้าไปให้แก่
เหตุแห่งทุกข์เป็ นอันมากของเราทังหลายออกไปได้หนอ.. ข้าแต่ เราทังหลายหนอ พระผู้มีพระภาคทรงนําอกุศลธรรมเป็ นอันมาก
พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเมือก่อน ข้า พระองค์เคยฉัน ได้ทงเวลาเย็ั น ของเราทังหลายออกไปเสียได้หนอ พระผู้มีพระภาคทรงนํา กุศ ล
ทังเวลาเช้า ทังเวลาวิกาลในกลางวัน. ธรรมเป็ นอันมากเข้าไปให้แก่เราทังหลายหนอ. .....
Á ÚËÔ À¹Úൠ»Ø¾ÚྠÊÒ Úà¨Ç ÀØ ÚªÒÁ »Òâµ ¨ ·ÔÇÒ ¨ ÇÔ¡ÒàÅ ......................................
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้มี สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคตรัสเรี ยก
ภิกษุ ทงหลายมาว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราขอเตือนเธอทังหลายจง
ละการฉันโภชนะในเวลาวิกาล ในเวลากลางวันนันเสียเถิด
ÍËØ â¢ âÊ 1 À¹Úà µ ÊÁâ Âí À¤ÇÒ ÀÔ¡Ú¢Ù ÍÒÁ¹Úà µÊÔ ÍÔ§Ú¦ µØàÁÚË
ÀÔ¡Ú¢àÇ àÍµí ·ÔÇÒ ÇÔ¡ ÒÅâÀª¹í »ªË¶ÒµÔ Ï ดังนี . ข้าพระองค์นนมี

ความน้อยใจ มีความเสียใจ คฤหบดีทงหลายผู
ั ้มีศรัทธา จะให้ของ
ควรเคียว ของควรบริโ ภคอันประณี ต ในเวลาวิกาลในกลางวัน
·ÔÇÒ ÇÔ¡ ÒàÅ แก่เราทังหลาย แม้อนั ใด พระผู้มีพระภาคตรัสการ
ละอันนันของเราทังหลายเสียแล้ว

~ 12 ~
เรืองสุเมธดาบส. ทูเรนิทาน ขุ.ชา.55 หน้า 14-18 มมร. จริงอยูใ่ นการใช้สอยบรรณศาลามีโทษ 8 ประการ คือ
พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดู ก่อนสารีบุตร เราเข้า 1 จะต้ อ งแสวงหาด้ว ยการรวบรวมขึ นด้ว ยทัพสัม ภาระทีมี
ไปอย่างนีแล้ว เปลืองทิงผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ 9 ประการ นําหนักมากกระทํา เป็ นโทษข้อหนึ ง (กระทํา ได้ยาก มี
ไว้ใ นบรรณศาลานัน เพราะฉะนัน เราเมื อจะเปลืองทิงผ้าสาฎก ราคาแพง)
(เทียบกัคฤหบดีจีวร) จึงเปลืองทิงไปเพราะเห็นโทษ 9 ประการ. 2 จะต้องช่อมแซมอยู่เป็ นนิตย์ เพราะเมื อหญ้าใบไม้และดิน
เหนียวร่วงหล่นลงมาจะต้องเอาของเหล่านัน วางไว้ทีเดิม
จริงอยูส่ าํ หรับผู้ทีบวชเป็ นดาบส โทษ 9 ประการย่อมปรากฏใน แล้ว ๆ เล่า ๆ เป็ นโทษข้อที 2 (ต้องคอยดู แลรักษา ทํา
ผ้าสาฎก คือ ความสะอาด เกิดอาวาสปลิโพธ)
1 มีคา่ มากเป็ นโทษอันหนึ ง. 3 ธรรมดาเสนาสนะจะต้องตกแก่คนแก่ก่อน เมื อเขาเข้ามา
2 เกิดขึ นเพราะเกียวเนืองกับคนอืนหนึ ง ให้เราลุกขึ นในเวลาทีไม่เหมาะ ความแน่ วแน่ แห่งจิตก็จะ
3 เศร้าหมองเร็ว เพราะการใช้สอยหนึ ง มี ไม่ได้ เพราะฉะนัน การทีถูกปลุกให้ลุกขึ นจึงเป็ นโทษ
4 เศร้าหมองแล้วจะต้องชักและต้องย้อม การทีเก่าไปเพราะการ ข้อที 3 (ต้องแบ่งกันใช้)
ใช้สอยเป็ นโทษอันหนึ ง. 4 เพราะกําจัดเสียได้ซงหนาวและร้
ึ อน ก็จะทําให้รา่ งกายบอบ
5 ก็สาํ หรับผ้าทีเก่าแล้วจะต้องทําการชุ นหรือใช้ผ้าดาม การทีจะ บาง (ไม่แข็งแรง) เป็ นโทษข้อที 4
ได้รบั ด้วยการแสวงหาอีกก็ยาก เป็ นโทษอันหนึ ง 5 คนเข้ า ไปสู่เ รื อ นอาจทํา ความชัวอย่า งใดอย่า งหนึ งได้
6 ไม่เหมาะสมกับการบวชเป็ นดาบส เป็ นโทษอันหนึ ง. เพราะฉะนัน การทีปกปิ ดสิงน่ าติเตียน เป็ นโทษข้อที 5
6 การหวงแหนด้วยคิดว่าเป็ นของเรา เป็ นโทษข้อที 6 (เกิด
7 เป็ นของทัวไปแก่ศตั รูเป็ นโทษอันหนึ ง.
อาวาสมัจฉริยะ)
8 เพราะจะต้ อ งคุ้ม ครองไว้โ ดยอาการที ศัต รู จ ะถื อ เอาไม่ได้
7 ธรรมดาการมีเรือนแสดงว่าต้องมีภรรยา เป็ นโทษข้อที 7
(เพราะ)เป็ นเครืองประดับประดาของผู้ใช้สอยเป็ นโทษอันหนึ ง. 8 เป็ นของทัวไปแก่ตนหมู่มาก เพราะเป็ นสาธารณะแก่สตั ว์มี
9 สํ า หรับ ผู้ ถื อ เที ยวไปเป็ นคนมัก มากใ นสิ งที เป็ นของใช้ เล็น เรือด และตุ๊กแกเป็ นต้น เป็ นโทษข้อที 8
ประจําตัว เป็ นโทษอันหนึ ง.
ดู ก่อนสารีบุตร ครังนันเราเห็นโทษ 9 ประการเหล่านัน เราห้ามทีมุงบัง เข้าหาโคนต้นไม้ ทีประกอบด้วยคุณ 10
จึงเปลืองทิงผ้าสาฎกนุ่งผ้าเปลือกไม้ คือใช้ผ้าเปลือกไม้ทีฉี กหญ้า ประการ
1 มีความยุง่ ยากน้อยเป็ นคุณข้อที 1
มุ งกระต่ า ยให้ เ ป็ นชิ นน้ อ ยใหญ่ ถ ก
ั เข้ า กัน กระทํ า ขึ น เพื อ
2 เพราะเพียงแต่เข้า ไปเท่านันก็อยูท ่ ีนันได้ เพราะฉะนันจึง
ประโยชน์จะใช้เป็ นผ้านุ่งและผ้าห่ม.
ไม่ต้องดูแลรักษา เป็ นคุณข้อที 2
ก็ในผ้าเปลือกไม้ มีอานิสงส์ 12 ประการ คือ 3 ก็ทีนัน จะปัด กวาดก็ต าม ไม่ป ัด กวาดก็ต าม ก็ใ ช้สอยได้
(เทียบกับการใช้ผา้ บังสุกุล) อย่า งสบายเหมื อนกัน การทีไม่ต้องบากบันนัก เป็ นคุณ
1 ราคาถูกดีสมควร นีเป็ นอานิสงส์อน ั หนึ งก่อน ข้อที 3
2 สามารถทํา ด้วยมื อตนเอง นี เป็ นอานิสงส์ที 2 (หาได้เอง ต้ม 4 ทีนัน ปกปิ ดความนินทาไม่ได้ เพราะเมือคนทําความชัวใน
ที นันย่อ มละอาย เพราะฉะนัน การปกปิ ดความนินทา
ตัด เย็บ ย้อมได้เอง)
ไม่ได้ เป็ นคุณข้อที 8 (เช่นแอบหลับ เปลืองผ้า)
3 จะเศร้า หมองช้า ๆ ด้ ว ยการใช้ส อย แม้ ซ ก ั ก็ไ ม่ช กั ช้า นี เป็ น
5 โคนไม้เหมื อนกับ อยู่ใ นทีกลางแจ้ง ย่อมไม่ยงั ร่า งกายให้
อานิสงส์ที 3 (ไม่ต้องดูแลมาก) อึด อัด เพราะฉะนันการทีร่า งกายไม่อด ึ อัดจึงเป็ นคุณข้อ
4 แม้จะเก่าไปเพราะการใช้สอยก็ไม่ต้องเย็บ นีเป็ นอานิสงส์ที 4 5 (อากาศถ่ายเทสะดวก)
5 เมือแสวงหาใหม่ก็ทาํ ได้ง่าย นีเป็ นอานิสงส์ที 5 (หาได้ง่าย) 6 ไม่ มี ก ารต้ อ งทํา การหวงแหนไว้ เป็ นคุ ณ ข้ อ ที 6 (ไม่ มี
6 เหมาะกับ การบวชเป็ นดาบส เป็ นอานิ ส งส์ ที 6 (เหมาะแก่ อาวาสมัจฉริยะ)
สมณะ ถือลูขปฏิบตั ิ) 7 ห้า มเสี ย ได้ ซึ งความอาลัย ในบ้ า นเรื อ น เป็ นคุ ณ ข้ อ ที 7
7 ผู้เป็ นศัตรูไม่ใช้สอย เป็ นอานิสงส์ที 7 (เพราะมีขน ั ธ์ มณฑล กุ (ห่วงใย ระลึกถึงกามในอดีต)
สิ และอนุวาต) 8 ไม่มี การทีจะต้องพูดว่า เราจักปัด กวาดเช็ ดถู พวกท่า นจง
8 เมือใช้สอยอยูก ่ ็ไม่เป็ นทีตังแห่งการประดับประดาเป็ นอานิสงส์ ออกไป แล้วก็ไล่ไปเหมือนในเรือนทีทัวไปแก่คนหมู่มาก
ที 8 (เพราะไม่งาม ไม่เป็ นทีตังแห่งกาม) เป็ นคุณข้อที 8
9 จะนุ่งห่มก็เบา นีเป็ นอานิสงส์ที 9 (เมือผ้าเก่า) 9 ผู้อยูก่ ็ได้รบั ความเอิบอิมใจ เป็ นคุณข้อที 9 (ว่าได้ประพฤติ
ตามควรแก่สมณะ)
10 แสดงว่ามักน้อยในปัจจัยคือจีวร นีเป็ นอานิสงส์ที 10
10 ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ เพราะเสนาสนะคือโคนต้นไม้หาได้
11 การเกิด ขึ นแห่งเปลือกไม้ เป็ นของชอบธรรมและไม่มีโทษ
ง่ายไม่วา่ จะไปทีไหน เป็ นคุณข้อที 10.
เป็ นอานิสงส์ที 11 (การเก็บเอาจากของทิงก็ชอบธรรม) พระมหาสัต ว์เห็นคุณ 10 อย่า งเหล่า นัน จึงกล่า วว่า เราเข้ า
12 เมื อผ้าเปลือกไม้แม้จะสูญหายไปก็ไม่มีอาลัย นี เป็ นอานิสงส์ อาศัยโคนต้นไม้ดงั นี.
ที 12. ...........................................
เดินจงกรมอยูไ่ ปมาบนทีเดินจงกรม มีประมาณ 60 ศอก
บัด นี ควรทีเราจะพอกพูนความสงบสงัด ด้วยว่าเรามองเห็น
ชือว่าโทษของทีจงกรมมี 5 อย่างเหล่านี คือ
การอยู่ ค รองเรื อ นโดยความเป็ นของมี แ ต่ ก งั วลจึ ง ออกม า (1) แข็งกระด้างและขรุขระ
(2) มีต้นไม้ภายใน
บรรณศาลาน่ า พอใจนี พื นที ซึ งล้อ มรัวไว้ร าบเรี ย บแล้วมี สีด งั
(3) มุงไว้รกรุงร ัง
มะตู ม สุ ก ฝาผนัง สี ข าวมี สี ร าวกะเงิ น หลัง คาใบไม้ มี สี ด งั เท้า
(4) ค ับแคบมากนัก
นกพิราบ เตี ยงหวายมี สีแห่งเครืองปู ลาดอันงดงาม ทีอยู่พออยู่ (5) กว้างขวางเกินไป
อาศัยได้อย่า งผาสุก ความพร้อมมู ลแห่งเรือนของเรา ปรากฏ
เหมื อนจะมียงกว่ิ านี ดังนี เลือกเฟ้ นโทษของบรรณศาลาอยู่ ก็ได้
เห็นโทษ 8 ประการ.

~ 13 ~
จริงอยู่ เมือบุคคลเดินจงกรมบนทีจงกรมมีพนดิ ื น เมื อเดิ น จงกรมบนที จงกรมแคบเกิ น ไป จึง มี
แข็งกระด้างและขรุขระ เท้าทังสองจะเจ็บปวดเกิดการพอง กําหนดโดยกว้างเพียงศอกเดียวหรือครึงศอก เล็บบ้าง นิว
ขึ น จิตจึง ไม่ได้ความเเน่ วแน่ และกรรมฐานก็ จะวิบตั ิ แต่ มือบ้าง จะไปสะดุดเข้าแล้วแตก เพราะฉะนัน ความค ับแคบ
กรรมฐานจะถึง พร้อ มเพราะอาศัย การอยู่ส บาย ในพื นที เกินไปจึงเป็ นโทษข้อที 4.
อ่อนนุ่ มและราบเรียบ เพราะฉะนัน พึง ทราบว่า พืนทีแข็ง เมือเดิน จงกรมบนทีจงกรมกว้างขวางเกินไปจิต
กระด้างและขรุขระเป็ นโทษอ ันหนึ ง. ย่อมวิงพล่าน จะไม่ได้ความมีอารมณ์ แน่ วแน่ เพราะฉะนัน
เมื อต้ น ไม้ มี อ ยู่ภ ายในหรือ ท่า มกลาง หรือ ทีสุด การทีทีกว้างขวางเกินไปจึงเป็ นโทษข้อที 5.
แห่งทีจงกรม เมืออาศัยความประมาทเดินจงกรม หน้าผาก ทีเดิน จงกรมโดยส่ว นกว้า งได้ศ อกครึ ง ในสอง
หรือศีรษะก็จะกระทบ เพราะฉะนัน มีต้นไม้ภายในจึงเป็ น ข้ า งมี ป ระมาณศอกหนึ ง ที เดิ น จงกรมโดยส่ ว นย าวมี
โทษข้อที 2. ประมาณ 60 ศอก มีพืนอ่อนนุ่ ม มีทรายโรยไว้เรียบเสมอ
เมื อเดิน จงกรมบนทีจงกรมมุ ง ไว้ร กรุง ร งั ด้ ว ย ก็ใช้ได้ เหมือนทีเดินจงกรมของพระมหินทเถระ. ผู้ปลูกฝัง
หญ้าและเถาว ัลย์ เป็ นต้น ในเวลากลางคืนก็จะเหยียบสตั ว์มี ความเลือมใสให้ช าวเกาะทีเจติยคิรีว ิหารก็ ไ ด้เป็ นเช่น นี
งูเป็ นต้น ทําให้มน ั ตาย หรือจะถูกพวกมัน กัดได้รบั ความ เพราะเหตุนน ั ท่านจึง กล่าวว่า เราได้สร้างทีเดินจงกรมไว้
เดือดร้อน เพราะฉะนัน การทีมุง บังรกรุงร ังจึงจ ัดเป็ นโทษ ในอาศรมนัน อ ันเว้นจากโทษ 5 ประการ.
ข้อที 3.

เรืองทีจงกรมและเรือนไฟ วิ.จุล.7/78/20
[78] สมัยนัน ทายกทายิกาในพระนครเวสาลีเริมจัดปรุงอาหารประณี ต ขึ นตามลําดับ ภิกษุ ทงหลายฉั ั นอาหารอันประณี ตแล้ว มีรา่ งกาย
อันโทษสังสม มีอาพาธมาก ครังนัน หมอชีวกโกมารภัจได้ไปสูเ่ มืองเวสาลีด้วยกิจจําเป็ นบางอย่าง ได้เห็นภิกษุ ทงหลาย ั มีรา่ งกายอันโทษ
สังสม มี อาพาธมาก ครันแล้วเข้า ไปเฝ้ า พระผู้มี พระภาค ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ ง ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า บัดนี ภิกษุ ทงหลายมี
ั รา่ งกายอันโทษสังสม มีอาพาธ มาก ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค ได้
โปรดทรงอนุญาต ทีจงกรมและเรือนไฟ แก่ภิกษุ ทงหลายเถิ ั ด พระพุทธเจ้าข้า เมือเป็ นเช่นนี ภิกษุ ทงหลายจั
ั กมีอาพาธน้อย
ครังนัน พระผู้มีพระภาคทรงชีแจงให้หมอชีวกโกมารภัจเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา จึงหมอชีวกโกมารภัจ
ลุกจากทีนัง ถวายบังคม พระผู้มีพระภาค ทําประทักษิ ณกลับไป ฯ
พุทธานุญาตทีจงกรมและเรือนไฟ
[79] ลํา ดับ นัน พระผู้มี พระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุ เป็ นเค้า มูล นัน ในเพราะเหตุ แรกเกิด นัน แล้วรับ สังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตทีจงกรมและเรือนไฟ ฯ
[80] สมัยต่อมา ภิกษุ ทงหลาย ั จงกรมในทีขรุข ระ เท้า เจ็บ จึงกราบทูล เรืองนันแด่พระผู้มี พระภาคๆ ตรัสว่า ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เรา
อนุญาตให้ทาํ ทีจงกรม ให้เรียบ ฯ
[81] สมัยต่อมา ทีจงกรมมีพืนทีตํา นําท่วม ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาตให้ทาํ ทีจงกรมให้สงู
ทีถมพังลง ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาต ให้กอ ่ มูลดินทีถม 3 ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ 1 ก่อด้วยหิน 1 ก่อด้วยไม้ 1
ภิกษุ ทงหลายขึ
ั นลงลําบาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตบันได 3 ชนิด คือ บันไดอิฐ 1 บันไดหิน 1 บันไดไม้ 1
ภิกษุ ทงหลายขึ
ั นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลายั เราอนุญาตราวสําหรับยึด ฯ
[82] สมัยนัน ภิกษุ ทงหลาย
ั จงกรมอยูใ่ นทีจงกรม พลัดตกลงมา ภิกษุ ทงหลาย ั กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย เราอนุญาตรัวรอบทีจงกรม ฯ
[83] สมัยต่อมา ภิกษุ ทงหลายั จงกรมอยูก ่ ลางแจ้ง ลําบาก ด้วย หนาวบ้าง ร้อนบ้าง ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาคๆ
ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตโรงจงกรม
ผงหญ้าทีมุงหล่นเกลือนในโรงจงกรม ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาตให้รือลงแล้วฉาบด้วยดินทังข้างนอกข้างในทําให้มีสข ี าว สี
ดํา สีเหลือง จําหลักเป็ นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกรดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร ฯ
[84] สมัยนัน เรือนไฟมีพืนตําไป นําท่วมได้ ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาตให้ถมพืนให้สูง ฯลฯ

[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] จังกมสูตร องฺ .ป ฺ จก.22/29/26


อานิสงส์แห่งการจงกรม 5 ประการ
[29] ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั อานิสงส์ในการจงกรม 5 ประการนี 5 ประการเป็ นไฉน คือ
ภิกษุ ผู้เดินจงกรมย่อมเป็ นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล 1
ย่อมเป็ นผู้อดทนต่อการบําเพ็ญเพียร 1
ย่อมเป็ นผู้มีอาพาธน้อย 1
อาหารทีกิน ดืม เคียว ลิมแล้วย่อมย่อยไปโดยดี 1
สมาธิทได้ ี เพราะการเดินจงกรม ย่อมตังอยู่ได้นาน 1
ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั อานิสงส์ในการเดินจงกรม 5 ประการนีแล.
……………………………………………………
อรรถกถาจังกมสูตร เล่ม 36 หน้า 55 มมร.
บทวา จงฺกมาธิคโต จ สมาธิ ไดแก สมาธิแหงสมาบัติ 8 อยางใดอยางหนึ่ง อันผูอธิษฐานจงกรมถึงแลว. บทวา จิรฏฐิติ
โก โหติ แปลวา ตั้งอยูไดนาน. ดวยวานิมิตอันผูยืนอยูถือเอาเมื่อนั่งก็หายไป นิมิตอันผูนั่งถือเอาเมื่อนอนก็หายไป สวนนิมิตอัน
ผูอธิษฐานจงกรม ถือเอาในอารมณที่หวั่นไหวแลวเมื่อยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ยอมไมหายไป.
............................................
~ 14 ~
๑. การทําวัตร คติ.การเข้าเฝ้ าพระพุทธองค์ป ระจําวัน ทบทวนคําสังสอน รักษาพุทธพจน์ , ความสํารวมต่อหน้าพระพัก ตร์ / สถานที /
อาสน์สงฆ์, การสวดมนต์ให้พร้อมกัน ไม่ขึนก่อน-หลัง ไม่ดงั เกินไป, อานิ สงส์-ปริตร รักษากาย รักษาใจ
พุทธกิจประจําวัน 5 ประการ ที.สี.อ.11/147 มมร.
1. ปุพฺพณฺ เห ปิ ณฺ ฑปาต ฺ จ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต 2. สายณฺ เห ธมฺ มเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม
3. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาคําประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ 4. อฑฺฒรตฺ เต เทวปณฺ หนํ เทียงคืนทรงตอบปั ญหาเทวดา
5. ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ทีสามารถและทียังไม่สามารถบรรลุธรรม อัน
ควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่
ที.สี.เล่ม 11 หน้า 147 มมร. มหาชนดังพรรณนามาฉะนันแล้ว ทรงลุกจากอาสนะเสด็จไปยัง
พระวิหาร ครันแล้วประทับ นังบนพุทธอาสน์ อน ั บวรซึ งปู ลาดไว้
พรรณนาพุทธกิจ 5 ประการ ในมัณฑลศาลา ทรงรอคอยการเสร็จภัตกิจของภิกษุ ทงหลาย ั ครัน
ขึ นชือว่ากิจนีมี 2 อย่าง คือ กิจทีมีประโยชน์และกิจทีไม่มี ภิกษุ ทงหลายเสร็
ั จกิจเรียบร้อยแล้ว ภิกษุ ผู้อุปฐากก็กราบทูลพระ
ประโยชน์ . บรรดากิจ 2 อย่า งนัน กิจทีไม่มี ป ระโยชน์ พระผู้มี ผู้มี พระภาคเจ้าให้ทรงทราบ ลําดับนันพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จ
พระภาคเจ้า ทรงเพิกถอนแล้วด้วยอรหัตตมรรค ณ โพธิบลั ลังก์. เข้าพระคน ั ธกุฎี. นีเป็ นกิจในปุเรภัตก่อน.
พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ทรงมี กิจ แต่ที มี ป ระโยชน์ เ ท่า นัน. กิจ ที มี ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าครันทรงบําเพ็ญกิจในปุ เร
ประโยชน์ของพระผู้มี พระภาคเจ้า นันมี 5 อย่าง คือ ภัต เสร็จแล้วอย่า งนี ประทับ นัง ณ ศาลาปรนนิบตั ิใกล้พระคน ั ธ
1. กิจในปุ เรภัต 2. กิจในปัจฉาภัต กุฎี ทรงล้างพระบาทแล้วประทับยืนบนตังรองพระบาท ประทาน
3. กิจในปุ ริม ยาม 4. กิจในมัช ฌิม ยาม โอวาทภิ ก ษุ สงฆ์ ว่ า ดู ก่ อ นภิ ก ษุ ทังหลาย เธอทังหลายจงยัง
5. กิจในปัจฉิ ม ยาม ป ระโยชน์ ค นและประโยชน์ ท่ า นให้ ถึ ง พร้อ มด้ ว ยความไม่
ในบรรดากิจ 5 อย่า งนัน กิจ ในปุ เรภัต มี ด งั นี ก็พระผู้มี ประมาทเถิด และว่า
พระภาคเจ้า เสด็ จลุกขึ นแต่เช้า ตรู่ ทรงปฏิบ ต ั ิพระสรีระ มี บ้วน ·ØÅÚÅÀÚ¨ Á¹ØÊÚʵڵ™ ¾Ø·Ú¸Ø»Ú»Òâ· ¨ ·ØÅÚÅâÀ
พระโอฐเป็ นต้น เพือทรงอนุเคราะห์อุปฐากและเพือความสํา ราญ ·ØÅÚÅÀÒ ¢³ÊÁÚ»µÚµÔ Ê·Ú¸ÁÚâÁ »ÃÁ·ØÅÚÅÀÒ
แห่งพระสรีระ เสร็จแล้วทรงประทับยับยังอยูบ ่ นพุทธอาสน์ทีเงียบ ·ØÅÚÅÀÒ Ê·Ú¸ÒÊÁÚ»µÚµÔ »¾Ú¾ªÚª ¨ ·ØÅÚÅÀÒ
สงัด จนถึงเวลาภิกษาจาร ครันถึงเวลาภิกษาจาร ทรงนุ่งสบง ทรง ·ØÅÚÅÀ™ Ê·Ú¸ÁÚÁÊÚÊǹ™
คาดประคดเอว ทรงครองจี ว ร ทรงถื อ บาตร บางครังเสด็ จ ความเป็ นมนุ ษ ย์ หาได้ยาก
พระองค์ เดี ยว บางครังแวดล้อมไปด้ว ยภิกษุ ส งฆ์ เสด็ จ เข้า ไป ความเกิด ขึ นของพระพุทธเจ้า หาได้ยาก
บิณฑบาตยังคามหรือนิคม บางครังเสด็จเข้าไปตามปกติ บางครัง ความถึงพร้อมด้วยขณะ หาได้ยาก
ก็เสด็จเข้าไปด้วยปาฏิหาริย์หลายประการ. คืออย่างไร ? พระสัทธรรม หาได้ยากอย่า งยิง
เมือพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ลมทีพัดอ่อน ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา หาได้ยาก
ๆพัด ไปเบืองหน้าแผ้วพืนพสุธาให้สะอาดหมดจด พลาหกก็หลัง การบวช หาได้ยาก
หยาดนําลง ระงับฝุ่ นละอองในมรรคา กางกันเป็ นเพดานอยูเ่ บือง การฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก
บน กระแสลมก็หอบเอาดอกไม้ทงหลายมาโรยลงในบรรดา
ั ภู มิ ณ ทีนัน ภิกษุ บ างพวกทูลถามกรรมฐานกะพระผู้มี พระ
ประเทศทีสูงก็ตําลง ทีตําก็สูงขึ น ภาคพืนก็ราบเรียบสมําเสมอใน ภาคเจ้า. แม้พระผู้มี พระภาคเจ้า ก็ประทานกรรมฐานทีเหมาะแก่
ขณะทีทรงย่า งพระยุคลบาท หรือมี ป ทุม บุ ปผชาติอน ั มีสม ั ผัสนิม จริงของภิกษุ เหล่านัน. ลําดับนัน ภิกษุ ทงปวงถวายบั
ั งคมพระผู้มี
นวลชวนสบายคอยรองรับ พระยุค ลบาท พอพระบาทเบื องขวา พระภาคเจ้า แล้วไปยังทีพักกลางคืนและกลางวันของตน ๆ. บาง
ประดิษ ฐานลงภายในธรณี ประตู พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ พวกก็ไปป่ า บางพวกก็ไปสูโ่ คนไม้ บางพวกก็ไปยังทีแห่งใดแห่ง
ไพศาล ซ่ า นออกจากพระพุ ท ธสรี ร ะพุ่ ง วนแวบวาบประดับ หนึ ง มี ภู เขา เป็ นต้น บางพวกก็ไปยังภพของเทวดาชันจาตุ มหา
ปราสาทราชมณเฑียร เป็ นต้น ดังแสงเลือมพรายแห่งทอง และดัง ราชิ ก า ฯ ล ฯ บางพวกก็ ไ ปยัง ภพของเทวดาชันวสวัด ดี ด้ ว ย
ล้อมไว้ด้วยผื นผ้า อันวิจิต ร บรรดาสัต ว์ทงหลาย
ั มี ช้า ง ม้ า และ ประการฉะนี.
นก เป็ นต้นซึ งอยูใ่ นสถานทีแห่งตน ๆ ก็พากันเปล่งสําเนียงอย่า ง ลํา ดับ นันพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคน ั ธกุฎี ถ้า มี
เสนาะ ทังดนตรีทีไพเราะ เช่น เภรี และพิณ เป็ นต้น ก็บ รรเลง พระพุทธประสงค์ ก็ทรงมี พระสติสมั ปชัญญะ สํา เร็จสีหไสยาครู่
เสียงเพียงดนตรีสวรรค์ และสรรพาภรณ์ แห่งมนุ ษ ย์ทงหลาย ั ก็ หนึ ง โดยพระปรัศว์เบืองขวา ครันมี พระวรกายปลอดโปร่งแล้ว
ปรากฏสวมใส่ ร่า งกายในทัน ที ด้ ว ยสัญ ญาณอัน นี ทํ า ให้ค น เสด็จลุกขึ นตรวจดูโลกในภาคทีสอง.
ทังหลายทราบได้ ว่ า วัน นี พระผู้ มี พ ระภาคเจ้ า เสด็ จ เข้ า ไป ณ คาม หรือนิค มทีพระองค์เสด็จเข้าไปอาศัยประทับอยู่
บิณ ฑบาตในย่านนี เขาเหล่านันต่างก็แต่งตัวนุ่งห่มเรียบร้อย พา มหาชนพากันถวายทานก่อนอาหาร ครันเวลาหลังอาหารนุ่งห่ม
กันถือของหอมและดอกไม้ เป็ นต้น ออกจากเรือนเดินไปตาม เรียบร้อย ถือของหอมและดอกไม้ เป็ นต้น มาประชุมกันในพระ
ถนน บู ช าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยของหอมและดอกไม้ เป็ นต้น วิหาร. ครันเมื อบริษ ัทพร้อมเพรียงกันแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
โดยเคารพถวายบังคมแล้ว กราบทูลขอสงฆ์ว่า ข้า แด่พระองค์ผู้ เสด็ จไปด้วยพระปาฏิหาริย์อน ั สมควร ประทับ นัง แสดงธรรมที
เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุ แก่พวกข้าพระองค์ 10 รูป ควรแก่กาลสมัย ณ บวรพุทธอาสน์ ทีบรรจงจัด ไว้ ณ ธรรมสภา
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุ แก่พวกข้า ครันทรงทราบกาลอันควรแล้วก็ทรงส่งบริษท ั กลับ . เหล่า มนุษย์
พระองค์ 20 รูป แก่พวกข้าพระองค์ 50 รูป แก่พวกข้าพระองค์ ต่างก็ถวายบังคมพระผูม ้ ีพระภาคเจ้าแล้วพากันหลีกไป. นีเป็ นกิจ
100 รูป ดังนี แล้วรับ บาตรแม้ข อง พระผู้มี พ ระภาคเจ้า ปู ลาด หลังอาหาร.
อาสนะน้อมนําถวายบิณฑบาตโดยเคารพ. พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นน ั ครันเสร็จกิจหลังอาหาร
พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ทํา ภัต กิจเสร็จแล้ว ทรงตรวจดู จิต อย่างนีแล้ว ถ้ามีพระพุทธประสงค์จะโสรจสรงพระวรกาย ก็เสด็จ
สันดานของสัตว์เหล่านัน ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดให้บาง ลุกจากพุทธอาสน์เข้าซุ้มเป็ นทีสรงสนาน ทรงสรงพระวรกายด้วย
พวกตังอยูใ่ นสรณคมน์ บางพวกตังอยูใ่ นศีล 5 บางพวกตังอยูใ่ น นําทีภิกษุ ผู้เป็ นพุทธุปฐากจัดถวาย. ฝ่ ายภิกษุ ผเู้ ป็ นพุทธุปฐากก็นาํ
โสดาปัต ติผล สกทาคามิผล อนาคามิผ ล อย่า งใดอย่างหนึ ง บาง พุทธอาสน์ ม าปู ลาดทีบริเวณพระค น ั ธกุฎี. พระผู้มี พระภาคเจ้า
พวกบวชแล้วทังอยู่ในพระอรหัต ซึ งเป็ นผลเลิศ ทรงอนุ เคราะห์ ทรงครองจีวรสองชันอันย้อมดีแล้ว ทรงคาดประคดเอว ทรงครอง

~ 15 ~
จีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ ง แล้วเสด็จไปประทับนังบนพุทธอาสน์นน. ั จัก บอกการสนทนาของตนตลอดกาล. แต่ น ันเราจัก ทํา การ
ทรงหลี ก เร้น อยู่ค รู่ห นึ งแต่ลํา พัง พระองค์ เดี ย ว. ครังนัน ภิ ก ษุ สนทนาของภิกษุ เหล่านันให้เป็ นต้นเหตุ แล้วจํา แนกศีล 3 อย่าง
ทังหลายพากันมาจากทีนัน ๆ แล้วมาสู่ทีปรนนิบ ต ั ิข องพระผู้ มี บันลือสีหนาทอันใคร ๆ คดั ค้านไม่ได้ในฐานะ 62 ประการ ประ
พระภาคเจ้า. ณ ทีนัน ภิกษุ บางพวกก็ทูลถามปัญหา บางพวกก็ทูล ชุมปัจจยาการกระทําพุทธคุณให้ปรากฏ จักแสดงพรหมชาลสูต ร
ขอกรรมฐาน บางพวกก็ ทู ล ขอฟังธรรม. พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า อันจะยิงหมืนโลกธาตุให้หวันไหว ให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัต
ประทับ ยับ ยังตลอดยามต้ น ทรงให้ ค วามประสงค์ ข องภิ ก ษุ ปานประหนึ งยกภูเขาสิเนรุราชขึ น และดุ จฟาดท้องฟ้ าด้วยยอด
เหล่านันสําเร็จ. นีเป็ นกิจในปฐมยาม. สุวรรณกูฏ
ก็เมือสินสุดกิจในปฐมยาม ภิกษุ ทงหลายถวายบั
ั งคมพระ เทศนานันแม้เ มื อเราปรินิพ พานแล้ว ก็ จ กั ยัง อมตมหา
ผู้ มี พ ระภาคเจ้า แล้วหลีกไป เหล่า เทวดาในหมื นโลกธาตุ ทงสิ ั น นฤพานให้สําเร็จแก่สตั ว์ทงหลายตลอดห้
ั าพันปี ครันมี พระพุทธ
เมื อได้ โ อกาสก็พ ากัน เข้ า เฝ้ าพระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ต่ า งทู ลถาม ดํา ริอย่างนี แล้ว ได้เสด็ จเข้าไปยังศาลามณฑลทีภิกษุ เหล่านันนัง
ปัญหาตามทีเตรียมมา โดยทีสุด แม้ อกั ขระ 4 ตัว. พระผู้มี พระ อยู่ ด้วยประการฉะนี.
ภาคเจ้าทรงตอบปัญหาแก่เทวดาเหล่านัน ให้ม ช ั ฌิมยามผ่านไป
นีเป็ นกิจในมัชฌิมยาม. บทวา เยน ความวา ศาลามณฑลนั้นอันพระผูมีพระ
ส่วนปัจฉิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแบ่งเป็ น 3 ส่วน ภาคเจา พึงเสด็จเขาไปโดยทางทิศใด. อีกอยางวา บทวา
คือทรงยับยังอยูด ่ ้วยการเสด็จจงกรมส่วนหนึ ง เพือทรงเปลืองจาก เ ย น นี้ เป น ตติ ย าวิ ภั ต ติ ลงในอรรถแห ง สั ต ตมี วิ ภั ต ติ .
ความเมือยล้าแห่งพระสรีระอันถูกอิริยาบถนังตังแต่ก่อนอาหาร เ พราะฉะนั้ น ใ นบ ทนี้ จึ ง มี เ นื้ อ ความว า ไ ด เ สด็ จ ไป ณ
บี บ ค นแล้
ั ว . ในส่ ว นที สอง เสด็ จ เข้ า พระค นั ธกุ ฎี ทรงมี พ ระ ประเทศที่มีศาลามณฑลนั้น ดังนี้ .
สติสมั ปชัญญะ สําเร็จสีหไสยา โดยพระปรัศว์เบืองขวา. ในส่วนที
คําวา ปฺตฺเต อาสเน นิสีทิ ประทับ เหนืออาสนะที่
สาม เสด็ จลุกขึ นประทับนังแล้วทรงใช้พุทธจักษุ ต รวจดู สตั ว์โลก
บรรจงจัดไว ความวา ขาววา ในครั้งพุทธกาล สถานที่ใด ๆ
เพือเล็งเห็นบุคคลผู้สร้างสมบุญญาธิการไว้ ด้วยอํา นาจทานและ
ศี ล เป็ นต้น ในสํา นักของพระพุทธเจ้า องค์ก่อ นๆ. นี เป็ นกิจใน ที่ มี ภิ ก ษุ อ ยู แ ม รู ป เดี ย วก็ จั ด พุ ท ธอาสน ไ ว ทุ ก แห ง ที เ ดี ย ว.
ปัจฉิมยาม. เพราะเหตุไ ร ? เขาวา พระผูมีพระภาคเจา ทรงมนสิการถึง
ก็ ว น
ั นัน พระผู้มี พ ระภาคเจ้า ทรงยัง กิจ ก่อนอาหารให้ เหลาภิกษุที่รับกรรมฐานในสํานักของพระองคแลว อยูในที่
สํา เร็จในกรุงราชคฤห์แล้ว ถึงเวลาหลังอาหารเสด็จดําเนินมายัง สํ า ราญว า ภิ ก ษุ รู ป โน น รั บ กรรมฐานในสํ า นั ก ของเราไป
หนทาง ตรัสบอกกรรมฐานแก่ภิกษุ ทงหลายในเวลาปฐมยาม
ั ทรง สามารถจะยังคุณวิเศษใหเกิดขึ้นหรือไมหนอ ครั้นทรงเห็น
แก้ป ัญ หาแก่เทวดาทังหลายในมัช ฌิม ยาม เสด็ จ ขึ นสู่ที จงกรม ภิกษุรูป นั้นละกรรมฐาน ตรึกถึงอกุศลวิตกอยู ลําดับ นั้น มี
ทรงจงกรมอยู่ใ นปัจฉิ ม ยาม ทรงได้ยินภิกษุ ป ระมาณ 500 รูป พระพุ ท ธดํ า ริ ว า กุ ล บุ ต รผู นี้ รั บ กรรมฐานในสํ า นั ก ของ
สนทนาพาดพิง ถึง พระสัพ พัญ ุ ต ญาณนี ด้ ว ยพระสัพ พัญ ุ ต ศาสดาเชนเรา เหตุไฉนเลา จักถูกอกุศลวิตกครอบงําใหจม
ญาณนันแล ได้ทรงทราบแล้ว. ด้วยเหตุนน ั ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า ลงใ นวั ฏ ฏทุ ก ข อั น หาเ งื่ อ นต นไ ม ป รากฏ เ พื่ อ จะทรง
เมือทรงกระทํากิจในปัจฉิมยาม ได้ทรงทราบแล้ว. ก็และครันทรง
อนุเ คราะหภิกษุรูปนั้นจึงทรงแสดงพระองค ณ ที่นั้นทีเ ดียว
ทราบแล้ว ได้มีพระพุทธดําริดงั นีว่า ภิกษุ เหล่านี กล่าวคุณพาดพิง
ประทานโอวาทกุ ล บุ ต รนั้ น แล ว เสด็ จ เหาะขึ้ น สู อ ากาศ
ถึงสัพพัญ ุตญาณของเรา ก็กจิ แห่งสัพพัญ ุตญาณไม่ปรากฏแก่
กลับไปยังที่ประทับของพระองคตอไป. ..........
ภิกษุ เหล่านี ปรากฏแก่เราเท่านัน เมือเราไปแล้ว ภิกษุ เหล่านันก็

๒. การบิณฑบาต คติ.การโปรดสัตว์ การแสดงธรรม, สิทธิ ในการฉัน บริโภค 4 อย่าง ทักขิเณยบุคคล, การเดินรับบาตรด้วยความสํารวม


การปริกรรมภาวนา(การทํากรรมฐาน) การทอดสายตา
การบริโภคปัจจัย มี 4 อย่าง วิ.อ.3/951
1. ไถยบริโภค (บริโภคอย่างขโมย) การบริโภคของภิกษุ ผู้ทุศีล ซึ งนังบริโภคอยู่ แม้ในท่ามกลางสงฆ์
2. อิณบริโภค (บริโภคอย่างเป็ นหนี) การบริโภคไม่พจิ ารณาของภิกษุ ผู้มีศีล, หากเมือเธอไม่ทน ั พิจารณา อรุณขึ นย่อม
ตังอยูใ่ นฐานะบริโภคหนี
3. ทายัชชบริโภค (บริโภคอย่างเป็ นผู้รบั มรดก) การบริโภคปัจจัยของพระเสขะ 7 จําพวก ซึ งเป็ นพระโอรสของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ฉะนัน จึงเป็ นทายาทแห่งปัจจัยอันเป็ นของพระพุทธบิดาบริโภคอยูซ ่ ึ งปัจจัยเหล่านัน
4. สามีบริโภค (บริโภคอย่างเป็ นเจ้าของ) การบริโภคของพระขีณาสพทังหลาย ชือว่าเป็ นเจ้าของบริโภค เพราะล่วงความเป็ น
ทาสแห่งตัณหาได้แล้ว
สุทธิ มี 4 อย่าง วิ.อ.3/952
1. เทสนาสุทธิ (หมดจดด้วยการแสดง) ได้แก่ ปาฏิโมกขสังวรศีล
2. สังวรสุทธิ (หมดจดด้วยสังวร) ได้แก่ อินทรียสังวรศีล
3. ปริยฏ ิ ฐิสุทธิ (หมดจดด้วยการแสวงหา) ได้แก่ อาชีวปริสุทธิศีล
4. ปัจจเวกขณสุทธิ (หมดจดด้วยการพิจารณา) ได้แก่ ปัจจัยบริโภคสันนิสสิตศีล

๓. การกวาดลานวัด การใช้เวลาว่างให้เป็ นประโยชน์ บําเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือกิจต่างๆ ของวัดเท่าทีจะช่วยได้


๔. การฉันภัตตาหาร เข้าฉันตรงเวลา เสร็จก่อนไปก่อนไม่ตอ้ งรอกัน, เข้าแภวตักอาหารตามลําดับพรรษาทีมาถึง ไม่ตอ้ งรอ, พิจารณาการฉัน
ฉันด้วยความสํารวม ฉันช้าๆ ไม่พดู คุยเล่นกันในระหว่างฉัน ไม่เลือกฉัน(ฉันทัวๆ อย่าให้ตอ้ งเสียศรัทธา) (เว้นทีนังท้ายแถวหน้าแก่ผแู ้ สดงธรรม)
๕. การตากบาตร หาผ้าเช็ดบาตรประจํา ตากแห้งแล้วเก็บ และไม่วางบาตรกับพืน
๖. การศึกษา เมือเข้าเรียน ขอให้ตงใจเรี
ั ยน เก็ บเกี ยวความรูใ้ ห้ได้มากที สุ ด(สิกขา3 ศีล-สมาธิ -ปั ญญา), เคารพผูส้ อน, เมือไม่เข้าใจขอให้
ซักถาม

~ 16 ~
๗. การใช้เวลาว่างในแต่ละวัน อ่านหนังสือ ปฏิบตั ิธรรม ปลีกวิเวก นังสมาธิ เจริญจิตตภาวนาดูใจตนเองว่าสงบหรือไม่ หรือวุน่ วาย ทํา
อย่างไรใจจะสงบ หรือเจริญปั ญญาภาวนาพิจารณาธรรม(พระธรรมคําสอน) ทีได้เคยเรียนรูห้ รือพิจารณาธรรมชาติรอบๆ ตัวเพือให้เกิดความเข้าใจ
ไม่คุยเล่นกันตลอดทังวัน แต่ใช้เวลาเพือพักผ่อนบ้างยังดีกว่า ปริยตั ิ(การเล่าเรียน)-ปฏิบตั -ิ ปฏิเวธ
๘. การวางตัว การพูดคุยกับพระด้วยกัน การใช้สรรพนาม, หลักจริยาวัตรในการวางตัว การพูดคุยกับญาติโยม การใช้สรรพนามแทนตนเอง การ
วางตัว (การนัง(นังห่าง 1 วา), การยืน, การเดิน) การพูดควรพูดให้น้อยลง ระวังคําพูดให้มากขึน พูดแต่คาํ ทีเป็ นจริง การพูดในสิงทีเป็ นประโยชน์แก่
ญาติโยม(กระตุน้ เตือน)
ดูกรอานนท์ บัดนี พวกภิกษุ ยงั เรียกกันและกันด้วยวาทะว่า “อาวุโส”ฉันใด โดยกาลล่วงไปแห่งเราไม่ควรเรียกกันฉันนัน, ภิกษุ ผู้
แก่กว่า พึงเรียกภิกษุ ผู้ออ
่ นกว่า โดยชือหรือโคตร หรือโดยวาทะว่า “อาวุโส” แต่ภิกษุ ผู้ออ
่ นกว่า พึงเรียกภิกษุ ผู้แก่กว่าว่า “ภันเต” หรือ
“อายัสมา”
ที.ม.10/132/136(มหาปรินิพพานสูตร)

เรืองความเคารพ วิ.จุล.7/260/72 อันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ


ภิกษุ บางพวกกราบทูลอย่างนีว่า พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ใดได้
[260] ครันพระผู้มี พระภาค ประทับ อยู่ทีพระนครเวสาลี ปฐมฌาน ภิกษุ นนควรได้
ั อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาต
ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้ว เสด็จจาริกทางพระนครสาวัตถี สมัย อันเลิศ ภิกษุ บ างพวกกราบทูลอย่างนี ว่า พระพุทธเจ้า ข้า ภิกษุ
นัน ภิกษุ อน ั เตวาสิกของพระฉัพพัคคีย์รีบไปข้างหน้าภิกษุ สงฆ์ ใดได้ ทุ ติ ย ฌาน ภิ ก ษุ นันควรได้ อ าสนะอัน เลิ ศ นํ าอัน เลิศ
มี พระพุทธเจ้า เป็ นประมุ ข จองวิหาร กันทีนอนไว้ว่า ทีนี ของ บิณฑบาตอันเลิศ ภิกษุ บางพวกกราบทูลอย่างนีว่า พระพุทธเจ้า
อุปชั ฌาย์ของพวกเรา ทีนีของอาจารย์ของพวกเรา ทีนีของพวก
ข้า ภิกษุ ใดได้ตติยฌาน ... ภิกษุ ใดได้จตุตถฌาน ภิกษุ นนควรั
เรา ครังนัน ท่านพระสารีบุตรไปล้าหลังภิกษุ สงฆ์มีพระพุทธเจ้า
ได้อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ
เป็ นประมุข เมือภิกษุ ทงหลายจองวิ
ั หาร แลทีนอนหมดแล้ว หา ภิกษุ บ างพวกกราบทูลอย่า งนี ว่า พระพุทธเจ้า ข้า ภิกษุ ใ ด
ที นอนไม่ไ ด้ จึง นัง ณ โคนไม้แ ห่ง หนึ ง ครันเวลาปัจจุสสมัย
เป็ นพระโสดาบัน ภิ ก ษุ นันควรได้ อ าสนะอัน เลิศ นํ าอัน เลิศ
แห่งราตรี พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ น ทรงพระกาสะ แม้ทา่ น บิณฑบาตอันเลิศ ภิกษุ บางพวกกราบทูลอย่างนีว่า พระพุทธเจ้า
พระสารีบุตรก็กระแอมไอ
ข้า ภิกษุ ใดเป็ นพระสกทาคามี ... ภิกษุ ใดเป็ นพระอนาคามี ...
พ. ใคร ทีนัน ภิกษุ ใ ดเป็ นพระอรหันต์ ภิกษุ นนควรได้
ั อาสนะอันเลิศ นําอัน
ส. ข้าพระพุทธเจ้า สารีบุตร พระพุทธเจ้าข้า เลิศ บิณฑบาตอันเลิศ
พ. สารีบุตร ทําไมเธอจึงมานังทีโคนต้นไม้นีเล่า
ภิกษุ บ างพวกกราบทูลอย่า งนี ว่า ภิกษุ ใ ดได้วิช ชา 3 ภิกษุ
ลําดับนัน ท่านพระสารีบุตร ได้กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้
นันควรได้อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ ภิกษุ บาง
มีพระภาค ฯ
พวกกราบทูลอย่า งนีว่า พระพุทธเจ้า ข้า ภิกษุ ใ ดได้ อภิญญา 6
[261] ลําดับนัน พระผู้มีพระภาครับสังให้ประชุมภิกษุ สงฆ์ ภิกษุ นันควรได้อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ ฯ
ในเพราะเหตุ เป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วทรง
สอบถามภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทังหลาย ข่าวว่า ภิกษุ อน ั เต เรืองสัตว์ 3 สหาย
วาสิกของพระฉัพพัค คีย์ รีบ ไปก่อนภิกษุ สงฆ์มี พระพุทธ เจ้า [262] ลํา ดับ นัน พระผู้มี พระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
เป็ นประมุ ข แล้วจองวิหาร กันทีนอนไว้ว่า ทีนี ของอุป ัช ฌาย์ ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เรืองเคยมีมาแล้ว มี ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ งอยู่
ของพวกเรา ทีนี ของอาจารย์ของพวกเรา ทีนี ของพวกเรา จริง แถบหิมพานต์ สัตว์ 3 สหายคือ นกกระทา 1 ลิง 1 ช้าง 1 อาศัย
หรือ ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า ต้นไทรใหญ่นนอยู ั ่ ทังสามสัตว์นนมิั ได้เคารพ มิได้ยาํ เกรงกัน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั มี ค วามประพฤติ ไ ม่ ก ลมเกลี ย วกัน อยู่ จึ ง สัต ว์ 3 สหายนัน
ไ ฉ น โ ม ฆ บุ รุ ษ เ ห ล่ า นั น จึ ง ไ ด้ รี บ ไ ป ก่ อ น ภิ ก ษุ ส ง ฆ์ มี ปรึกษา กันว่า โอ พวกเราทํา อย่า งไรจึงจะรู ้ได้แน่ ว่า บรรดา
พระพุทธเจ้าเป็ นประมุข แล้วจองวิหาร กันทีนอนไว้วา่ ทีนีของ พวกเราผู้ใดเป็ นใหญ่โดยกําเนิด พวกเราจะได้สกั การะ เคารพ
อุปช ั ฌาย์ของพวกเรา ทีนีของอาจารย์ของพวกเรา ทีนีของพวก นับถือบูชาผู้นน ั แลจะได้ตงอยู ั ใ่ นโอวาทของผู้นน ั
เราการกระทํา ของโมฆบุรุษเหล่า นันนัน ไม่เป็ นไปเพือความ จึง นกกระทาและลิง ถามช้า งว่า สหายท่า นจํา เรื องเก่า แก่
เลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส ... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถา อะไรได้บ้าง ช้า งตอบว่า สหายทังหลาย เมื อฉันยังเล็ก ฉันเดิน
ตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายมาถามว่
ั า คร่อมต้นไทรนี ไว้ ในหว่า งขาหนี บได้ ยอดไทรพอระท้องฉัน
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไรควรได้อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ ฉันจําเรืองเก่าได้ ดังนี
บิณฑบาตอันเลิศ นกกระทากับช้างถามลิงว่า สหาย ท่า นจํา เรืองเก่าแก่อะไร
ภิกษุ บ างพวกกราบทูลอย่า งนี ว่า พระพุทธเจ้า ข้า ภิกษุ ใ ด ได้ บ้ า ง ลิง ตอบว่า สหายทังหลาย เมื อฉัน ยัง เล็ ก ฉัน นังบน
บวชจากตระกูลกษัต ริย์ ภิกษุ นนควรได้ ั อาสนะอัน เลิศ นําอัน พืนดินเคียวกินยอดไทรนี ฉันจําเรืองเก่าได้ ดังนี
เลิ ศ บิ ณ ฑ บา ตอัน เลิ ศ ภิ ก ษุ บ างพวกกราบทู ล อย่ า งนี ว่ า ลิงและช้างถามนกกระทาว่า สหาย ท่านจําเรืองเก่าแก่อะไร
พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ใดบวชจากตระกูล พราหมณ์ ภิกษุ นนควร ั ได้บ้า ง นกกระทาตอบว่า สหายทังหลาย ในสถานทีโน้นมีต้น
ได้อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ ภิกษุ บางพวกกราบ ไทรใหญ่ ฉันกินผล จากต้นไทรใหญ่นน ั แล้วได้ถ่า ยมู ลไว้ ณ
ทู ลอย่า งนี ว่า พระพุ ทธเจ้า ข้ า ภิ กษุ ใดบวชจากตระกูล คหบดี สถานทีนี ต้นไทรต้นนี เกิด จากต้นไทรใหญ่นน ั เพราะฉะนัน
ภิกษุ นนควรได้
ั อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ ฉันจึงเป็ นใหญ่กว่าโดยกําเนิด ลิงกับช้างได้กล่าวกับนกกระทา
ภิกษุ บางพวกกราบทูลอย่างนีว่า พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ใดจํา ว่า บรรดาพวกเรา ท่า นเป็ นผู้ใหญ่กว่า โดยกําเนิด พวกเราจัก
ทรงพระสูต รไว้ได้ ภิกษุ นนควรได้ ั อาสนะอันเลิศ นําอันเลิศ สักการะ เคารพ นับถือ บูชาท่านและจะตังอยูใ่ นโอวาทของท่าน
บิณฑบาตอันเลิศ ภิกษุ บางพวกกราบทูลอย่างนีว่า พระพุทธเจ้า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั นกกระทาได้ให้ลงิ กับช้าง สมาทานศีลห้า
ข้า ภิกษุ ใดทรงพระวินยั ภิกษุ นันควรได้อาสนะอันเลิศ นําอัน และตนเอง ก็ป ระพฤติสมาทานในศี ลห้า สัต ว์ทงสามมี ั ค วาม
เลิ ศ บิ ณ ฑ บา ตอัน เลิ ศ ภิ ก ษุ บ างพวกกราบทู ล อย่ า งนี ว่ า เคารพยําเกรงกัน มีความประพฤติกลมเกลียวกันอยู่ เบืองหน้า
พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ใดเป็ นธรรมกถึก ภิกษุ นนควรได้ ั อาสนะ แต่ ต ายเพราะกายแตก ได้ เ ข้ า ถึงสุ ค ติโ ลกสวรรค์ ดู ก ร ภิ กษุ

~ 17 ~
ทังหลายวัตรจริยานีแล ได้ชือว่า ติต ติริยพรหมจรรย์ ฯ [268] สมัยนัน ชาวบ้านตกแต่งเตียงบ้าง ตังบ้าง ทียัดนุ่นไว้ใน
[263] คนเหล่า ใด ฉลาดในธรรม ประพฤติอ่อนน้อมต่ อ โรงอาหาร ณ ละแวกบ้า น ภิกษุ ทงหลายรั ั งเกียจไม่นงทั ั บ จึง
ท่า นผู้ ใ หญ่ ย่อ มเป็ นผู้อ น
ั มหาชนสรรเสริญ ในปัจ จุ บ น ั นี ทัง กราบทู ล เรื องนันแด่ พ ระผู้ มี พ ระ ภาคๆ ตรัส ว่ า ดู ก รภิ ก ษุ
สัมปรายภพของคนเหล่านันเป็ นสุคติแล ทังหลาย เราอนุ ญ าตให้นงทั ั บ เตี ยงตังที เป็ นคิหิกฏั ได้ แต่จะ
ดู กรภิกษุ ทงหลายั แท้จริงสัต ว์เหล่า นันเป็ นดิรจั ฉาน ยังมี นอนทับไม่ได้ ฯ
ความเคารพ ยําเกรงกัน มีความประพฤติกลมเกลียวกันอยู่ การ วิ . จุ ล .9 หน้ า 85 ก็ ถ้ า ว่ า คฤหัส ถ์ ท งหลายทํ
ั า กับ ข้ า วใส่ใ น
ทีพวกเธอเป็ นบรรพชิตในธรรม วินยั ทีเรากล่าวดีแล้วอย่างนี มี ภาชนะมี จานทองคํา เป็ นต้นน้อมเข้า ไปถวายในโรงครัว, ไม่
ความเคารพยําเกรงกัน มีความประพฤติกลมเกลียว กันอยู่ นัน ควรแม้เพือจะถูกต้อง.
จะพึงงามในธรรมวินยั นีโดยแท้ อนึ ง ภาชนะทังหลาย มีจานเป็ นต้น ทีทําด้วยแก้วผลึก ทํา
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั การกระทําของโมฆบุรุษเหล่านันนัน ไม่ ด้วยกระจกและทําด้วยสําริดเป็ นต้น ย่อมไม่ควร แต่เพียงใช้
เป็ นไปเพือความ เลือมใสของชุมนุมชนทียังไม่เลือมใส ... ครัน เป็ นของส่วนตัวเท่านัน ใช้เป็ นของสงฆ์ หรือเป็ นคิหวิ ก ิ ัติ (คือ
แล้วทรงทําธรรมีกถา รับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า เป็ นของคฤหัสถ์) ควรอยู.่
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตการกราบไหว้ การลุกรับ การ บุคคลไม่ควรไหว้ วิ.ปริ.8/1225/477
ทํา อัญ ชลี กรรม การทํา สามี จิกรรม อาสนะที เลิศ นํ าอันเลิศ
[1225] อุ. ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ มีเท่าไรหนอ
บิณฑบาตอันเลิศ ตามลําดับผู้แก่ กว่า
แล พระพุทธเจ้าข้า?
อนึ ง ภิกษุ ไม่ควรเกียดกันเสนาสนะของสงฆ์ตามลําดับผู้แก่
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้นีมี 5.
กว่า รูป ใดเกียดกัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
5 อะไรบ้าง? คือ:
บุคคลทีไม่ควรไหว้ 10 จําพวก วิ.จุล.7/264/75 1. ภิกษุ ผู้เข้าไปสูล่ ะแวกบ้าน อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
[264] ดูกรภิกษุ ทงหลายั บุคคล 10 จําพวกนี อันภิกษุ ไม่ 2. ภิกษุ ผู้เข้าไปสูถ ่ นน อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
ควรไหว้คืออันภิกษุ 3. ภิกษุ ผู้อยูใ่ นทีมืด อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
๑. ผู้อุปสมบทก่อนไม่ควรไหว้ภิกษุ ผู้อป ุ สมบทภายหลัง 1 4. ภิกษุ ผู้ไม่เอาใจใส่ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
๒. ไม่ควรไหว้อนุปสัมบัน 1 5. ภิกษุ ผู้หลับ อันภิกษุ ทงหลายไม่
ั ควรไหว้
๓. ไม่ควรไหว้ภิกษุ นานาสังวาสผู้แก่กว่า แต่ไม่ใช่ธรรมวาที 1 ดูกรอุบาลี ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้มี 5 นีแล.
๔. ไม่ควรไหว้มาตุคาม 1 ดู กรอุบาลี ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ แม้อืนอีก 5.
๕. ไม่ควรไหว้บณ ั เฑาะก์ 1 5 อะไรบ้าง? คือ:
๖. ไม่ควรไหว้ภิกษุ ผู้อยูป ่ ริวาส 1 1. ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่
ั ควรไหว้เวลาดืมยาคู
๗. ไม่ควรไหว้ ภิกษุ ผค ู้ วรชักเข้าหาอาบัติเดิม 1 2. ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ั ควรไหว้ในโรงภัตร
๘. ไม่ควรไหว้ภิกษุ ผค ู้ วรมานัต 1 3. ภิกษุ ผู้เป็ นศัตรู อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
๙. ไม่ควรไหว้ภิกษุ ผป ู้ ระพฤติมานัต 1 4. ภิกษุ ผู้กาํ ลังคิดเรืองอืน อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
๑๐. ไม่ควรไหว้ภิกษุ ผค ู้ วรอัพภาน 1 5. ภิกษุ กาํ ลังเปลือยกาย อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
บุคคล 10 จําพวกนีแล อันภิกษุ ไม่ควรไหว้ ฯ ดูกรอุบาลี ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ 5 นีแล.
บุคคลทีควรไหว้ 3 จําพวก ดู กรอุบาลี ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ แม้อืนอีก 5.
5 อะไรบ้าง? คือ:
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั บุคคล 3 จําพวกนี ภิกษุ ควรไหว้ คือ
1. ภิกษุ กาํ ลังเคียว อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
๑. ภิกษุ ผู้อุปสมบทภายหลัง ควรไหว้ภิกษุ ผู้อุปสมบทก่อน 1
2. ภิกษุ กาํ ลังฉัน อันภิกษุ ทงหลายไม่
ั ควรไหว้
๒. ควรไหว้ภิกษุ นานาสังวาสผู้แก่กว่า แต่เป็ นธรรมวาที 1
3. ภิกษุ กาํ ลังถ่ายอุจจาระ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
๓. ควรไหว้ต ถาคตผู้อรหันต์ ต รัสรูเ้ องโดยชอบ ในโลกทัง เท
4. ภิกษุ กาํ ลังถ่ายปัสสาวะ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
วโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สตั ว์พร้อมทังสมณพราหมณ์
5. ภิกษุ ถูกสงฆ์ยกวัตร อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
เทวดาและมนุษย์
ดูกรอุบาลี ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ 5 นีแล. ดูกร
บุคคล 3 จําพวกนีแล ภิกษุ ควรไหว้ ฯ
อุบาลี บุคคล อันภิกษุ ทงหลายไม่
ั ควรไหว้ แม้อืนอีก 5.
เรืองเกียดกันเสนาสนะของสงฆ์ 5 อะไรบ้าง? คือ:
[265] สมัยนัน ชาวบ้านตกแต่งมณฑป จัดแจงเครืองลาด 1. ภิกษุ ผู้อุปสมบททีหลัง อันภิกษุ ผู้อุปสมบทก่อนไม่ควรไหว้
แผ้วถางสถาน ทีไว้เฉพาะสงฆ์ ภิกษุ อน ั เตวาสิกของพระฉัพพัค 2. อนุปสัมบัน อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
คีย์กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคทรง อนุญาตเสนาสนะตามลําดับผู้ 3. ภิกษุ มี สงั วาสต่า งกัน มี พรรษาแก่กว่า เป็ นอธรรมวาที อัน
แก่กว่า เฉพาะของสงฆ์เท่านัน ของเหล่านีเขาไม่ได้ทําเจาะจง ภิกษุ ทงหลายไม่
ั ควรไหว้
ไว้ จึงรีบไปก่อนภิกษุ สงฆ์ 4. สตรี อันภิกษุ ทงหลายไม่
ั ควรไหว้
[266] ลําดับนัน พระผู้มีพระภาครับสังให้ประชุมภิกษุ สงฆ์ใน 5. บัณเฑาะก์ อันภิกษุ ทงหลายไม่ั ควรไหว้
เพราะเหตุ เป็ นเค้า มู ล นัน ... พระผู้ มี พระภาคพุท ธเจ้า ทรงติ ดูกรอุบาลี บุคคล อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ 5 นีแล.
เตียน ... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถารับสังกะ ภิกษุ ทงหลายว่ั า ดูกรอุบาลี บุคคล อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ แม้อืนอีก 5.
ดู ก รภิ ก ษุ ท งหลาย
ั แม้ ข องที เขาทํา เจาะจง ภิ ก ษุ ก็ ไ ม่ พึง 5 อะไรบ้าง? คือ:
เกียดกันตาม ลํา ดับ ผู้แก่กว่า รูป ใดกีด กัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ 1. ภิกษุ อยูป่ ริวาส อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
[เครืองลาดทีเป็ นคิหิวิกัฏ] วิ.จุล.7/267/77 2. ภิกษุ ผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม อันภิกษุ ทงหลายไม่
3. ภิกษุ ผู้ควรมานัต อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั

ควรไหว้
ควรไหว้
[267] สมัยนัน ชาวบ้านตกแต่งทีนอนสูงทีนอนใหญ่ไว้ในโรง
4. ภิกษุ ประพฤติมานัต อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
อาหาร ณ ละแวกบ้า น ... ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่นงทัั บ จึง
5. ภิกษุ ผู้ควรอัพภาน อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้
กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี บุคคล อันภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรไหว้ 5 นีแล.
ดู ก รภิ ก ษุ ทังหลาย เราอนุ ญ าตเครื องลาดที เป็ นคิหิวิกฏ
ั เว้น
เครืองลาด 3 ชนิด คือ เก้าอีนอน เตียงใหญ่ เครืองลาดทียัดนุ่น
นอกนันนังทับได้ แต่จะนอนทับไม่ได้

~ 18 ~
บุคคลควรไหว้ [ว่าด้วยคิหิวิกัติ] วิ.จุล.9 หน้า 210
[1226] อุ. ภิกษุ อันภิกษุ ทงหลายควรไหว้
ั มีเท่าไรหนอแล หลายบทว่า สพฺพํ ปาสาทํ ปริโ ภคํ มี ค วามว่า บานหน้าต่าง
พระพุทธเจ้าข้า? เตี ยงตัง พัด ใบตาล วิจิต รด้วยทองและเงินเป็ นต้น ก็ดี หม้อนํา
พ. ดูกรอุบาลี บุคคล อันภิกษุ ทงหลายควรไหว้
ั นี มี 5. ขันนําทําด้วยทองและเงินก็ดี หรือว่า เครืองใช้สงใดสิ
ิ งหนึ ง ซึ ง
5 อะไรบ้าง? คือ: จําหลักลวดลายงดงามก็ดี ควรทุกอย่าง.
1. ภิกษุ ผู้อุปสมบทก่อน อันภิกษุ ผู้อุปสมบททีหลังควรไหว้ จะใช้สอยผ้า ปู ลาดโกเชาว์เป็ นต้น บนเตี ยงและตัง ในกุฎี
2. ภิกษุ ผู้มี สงั วาสต่า งกัน มี พรรษาแก่กว่า แต่เป็ นธรรมวาที เป็ นของส่วนตัวบุคคลไม่ควร.
อันภิกษุ ทงหลายควรไหว้
ั แต่ ที เขาปู ล าดไว้บ นธรรมาสน์ ย่อ มได้ เ พื อใช้ ส อยโดย
3. พระอาจารย์ อันภิกษุ ทงหลายควรไหว้
ั ทํานองคิหวิ ก ิ ตั ิ . แม้บนธรรมาสน์นน
ั ไม่ควรนอน.
4. พระอุปช ั ฌาย์ อันภิกษุ ทงหลายควรไหว้
ั [ว่าด้วยครุภณ
ั ฑ์] วิ.จุล.9 หน้า 216
5. พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันประชา ทังสมณะ
ส่ว นนํ าเต้า ทอง กระโถน กระบวย ทัพ พี ช้ อ น ถาด จาน
และพราหมณ์ ทังเทพดา มนุ ษ ย์ใ นโลก ทังเทวโลก มารโลก
ชามผอบ อังโล่ และทัพพีตกั ควันเป็ นต้น แม้มิได้มาในบาลี จะ
พรหมโลก ควรไหว้
เล็กหรือใหญ่ก็ตาม เป็ นครุภณ
ั ฑ์หมดทุกอย่าง.
ดูกรอุบาลี บุคคลอันภิกษุ ควรไหว้ 5 นีแล.
ธรรมของภิกษุอ่อนกว่ากับภิกษุแก่กว่า แต่ภ ณั ฑะเหล่า นี คือ บาตรเล็ก ภาชนะทองแดง เป็ นของ
ควรแจกกันได้ ภาชนะกาววาวทีทํา ด้วยสําริด หรือทองเหลือง
[1227] อุ. พระพุทธเจ้าข้า อันภิกษุ ผู้ออ ่ นกว่า เมือไหว้เท้า
ควรใช้สอยเป็ นเครืองใช้ของสงฆ์. หรือเป็ นคิหวิ ก ิ ตั ิ ไม่ควรใช้
ของภิกษุ ผู้แก่กว่า
สอย เป็ นเครืองใช้สว่ นตัวบุคคล.
พึงตังธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วไหว้เท้า?
ในมหาปัจจรีแก้วา่ ภาชนะสําริดเป็ นต้น ทีเขาถวายสงฆ์ จะ
พ. ดูกรอุบาลี อันภิกษุ ผู้ออ่ นกว่า เมือไหว้เท้าภิกษุ ผู้แก่กว่า
รักษาไว้ใ ช้เองไม่ค วร, พึงใช้สอยโดยทํา นองคิหิวิกตั ิเท่า นัน
พึงตังธรรม 5 อย่าง
ส่วนในสิงของโลหะทีเป็ นกัปปิ ยะแม้อืน ยกเว้น ภาชนะกาววาว
ไว้ในตน แล้วไหว้เท้า. ธรรม 5 อะไรบ้าง?
เสีย กล่องยาทา ไม้ป้ ายยาตา ไม้ค วักหู เข็ ม เหล็กจาร มี ดน้อย
ดูกรอุบาลี อันภิกษุ ผู้ออ่ นกว่า เมือไว้เท้าภิกษุ ผู้แก่กว่า
เหล็ก หมาด กุญแจ ลูกดาล ห่วงไม้เท้า กล้องยานัตถุ์ สว่าน ราง
1. พึงห่มผ้าเฉวียงบ่า
โลหะ แผ่นโลหะ แท่งโลหะ สิงของโลหะทีทําค้างไว้แม้อย่างอืน
2. ประคองอัญชลี
เป็ นของควรแจกกันได้.
3. นวดเท้าด้วยฝ่ ามือทังสอง
ส่ว นกล้อ ง ยาสู บ ภาชนะโลหะ โคมมี ด้ า ม โคมตัง โคม
4. มีความรัก
แขวน รูปสตรีรูปบุรุษ และรูปสัตว์เดียรัจฉานหรือสิงของโลหะ
5. มีความเคารพ แล้วไหว้เท้า
เหล่า อืน พึงติด ไว้ต ามฝาหรือหลังคาหรือบานประตู เป็ นต้ น ,
ดูกรอุบาลี อันภิกษุ ผู้ออ
่ นกว่า เมือไหว้เท้าภิกษุ ผู้แก่กว่า พึง
สิงของโลหะทังปวง โดยทีสุด จนกระทังตะปูย่อมเป็ นครุภณ ั ฑ์
เข้าไปตังธรรม 5 นีไว้ในตน แล้วไหว้เท้า.
เหมื อนกัน แม้ต นเองได้ม าก็ไม่ค วรเก็บ ไว้ใ ช้อย่า งเครืองใช้
กฐินตั ถารวรรคที 14 จบ
ส่วนตัวบุ ค คล. ควรใช้อย่า งเครืองใช้ข องสงฆ์ หรือใช้เป็ นคิหิ
.................................
วิกตั ิ.
แม้ใ นสิงของดี บุก ก็มี นยั เหมื อนกัน.จานและขันเป็ นต้นที
ทําด้วยหินอ่อน เป็ นครุภณ ั ฑ์เหมือนกัน, ส่วนหม้อหรือภาชนะ
นํ ามัน ที ใหญ่ เกิ น กว่ า จุ นํ ามัน บาทหนึ งขึ นไปเท่า นัน เป็ น
ครุภณ ั ฑ์.
ภาชนะทองคํา เงิน นาก และแก้วผลึก และเป็ นคิหิวิกตั ิ ก็
ไม่ควร, ไม่จาํ ต้องกล่าวถึงใช้อย่างเครืองใช้ของสงฆ์ หรืออย่าง
เครื องใช้ ส่ว นตัว บุ ค คล. แต่ ด้ ว ยเครื องใช้ สํา หรับ เสนาสนะ
สิงของทุกอย่างทังทีควรจับต้อง ทังทีไม่ควรจับต้อง จะใช้สอยก็
ควร.

~ 19 ~
๙. การแสดงอาบัติ (อาปตฺติเทสนา)
การแสดงอาบัติ หรือในภาษาบาลี ว่า อาปตฺ ติเทสนา หมายถึ ง การทําให้ผูอ้ ืนทราบถึ งความผิดความชัวของตนโดย
เปิ ดเผย แต่ในปั จจุบันเรียกเพียนไปตามภาษาชาวบ้านว่า “ปลงอาบัติ” หรือปลดทิงไปเท่านั น แต่ในความหมายทีแท้จริง
เป็ นการตําหนิ โทษตัวเองตามสมควร ทีได้กระทําไป, การปลงอาบัติในความหมายนี จึงนิ ยมให้แสดงอาบัติโดยบริสุทธิ คือ
บอกข้อทีล่วงอาบัติไปด้วย เท่าทีจะทราบได้
อาบัติ (แปลว่า ความต้องหรือการล่ วงละเมิด) หมายถึ ง กิริยาทีล่ วงละเมิดพระบัญญัติ(ข้อทีพระพุทธเจ้าทรงห้าม)
หรือกิริยาทีล่วงละเมิดสิกขาบทนั นๆ และมีโทษเหนื อตนอยู่ , โทษทีเกิดเพราะความละเมิดในข้อทีพระพุทธเจ้าห้าม นว.

¤íÒáÊ´§ÍÒºÑµÔ ¢. ¼Ùጠʴ§ÁÕ¾ÃÃÉÒᡋ¡Ç‹Ò


¡. ¼ÙŒáÊ´§ÁÕ¾ÃÃÉÒ͋͹¡Ç‹Ò «Öè§ÍҺѵËÔ ÅÒµÑÇ ¼Œ​áÊ´§ NjÒ: ÊѾ¾Ò µÒ ÍÒ»˜µµÔâ ÍÒâÃà¨ÁÔ. (Ç‹Ò 3 ˹)
¼Œ​áÊ´§ NjÒ: ÊѾ¾Ò µÒ ÍÒ»˜µµÔâ ÍÒâÃà¨ÁÔ. (Ç‹Ò 3 ˹) ÊѾ¾Ò ¤ÐÃØÅÐËØ¡Ò ÍÒ»˜µµÔâ ÍÒâÃà¨ÁÔ. (Ç‹Ò 3˹)
ÊѾ¾Ò¤ÐÃØÅÐËØ¡Ò ÍÒ»˜µµÔâ ÍÒâÃà¨ÁÔ. (Ç‹Ò 3 ˹) ÍÐËѧ ÍÒÇØâÊ ÊÑÁ¾ÐËØÅÒ ¹Ò¹ÒÇѵ¶Ø¡Òâ ÍÒ»˜µµÔâÂ
ÍÐËѧ ÀѹൠÊÑÁ¾ÐËØÅÒ ¹Ò¹ÒÇѵ¶Ø¡Òâ ÍÒ»˜µµÔâ ÍÒ»˜ªªÔ§ µÒ µØÂÚËÐ ÁÙàÅ »Ð¯Ôà·àÊÁÔ.
¼Œ​ÃѺ NjÒ: ÍØ¡ÒÊÐ »˜ÊÊжРÀѹൠµÒ ÍÒ»˜µµÔâÂ.
à¸ÍàËç¹ËÃ×Í ÍÒ»˜ªªÔ§ µÒ µØÁÚËÐ ÁÙàÅ »Ð¯Ôà·àÊÁÔ. ·‹Ò¹à¨ŒÒ¢ŒÒ ¡ÃмÁ
¼Œ​ÃѺ NjÒ: »˜ÊÊÐÊÔ ÍÒÇØâÊ µÒ ÍÒ»˜µµÔâÂ. µŒÍ‹ÍÒ§ÍÒºÑ µÁÔ Õª×èÍ ¼Œ​áÊ´§ NjÒ: ÍÒÁÐ ÍÒÇØâÊ »˜ÊÊÒÁÔ.
§¹Õé ¢ÍáÊ´§¤×¹
¼Œ​áÊ´§ NjÒ: ÍØ¡ÒÊÐ ÍÒÁÐ Àѹൠ»˜ÊÊÒÁÔ. ÍҺѵԹÑé¹ ¼Œ​ÃѺ NjÒ: ÍÒÂеԧ ÀѹൠÊѧÇÐàÃÂÂÒ¶Ð.
¼Œ​ÃѺ NjÒ: ÍÒÂеԧ ÍÒÇØâÊ ÊѧÇÐàÃÂÂÒÊÔ. ¢ÍÃѺ ¼ÁàËç¹ ¼Œ​áÊ´§ NjÒ: ÊÒ¸Ø ÊØ¯Ø ÍÒÇØâÊ ÊѧÇÐÃÔÊÊÒÁÔ.
¼Œ​áÊ´§ NjÒ: ÊÒ¸Ø Êد€ØØ ÀѹൠÊѧÇÐÃÔÊÊÒÁÔ. ·ØµÔÂÑÁ» ÊÒ¸Ø ÊØ¯Ø ÍÒÇØâÊ ÊѧÇÐÃÔÊÊÒÁÔ.
·ØµÔÂÑÁ» ÊÒ¸Ø ÊØ¯Ø€Ø ÀѹൠÊѧÇÐÃÔÊÊÒÁÔ. à¸Í¾Ö§ÊíÒÃÇÁµ‹Íä» µÐµÔÂÑÁ» ÊÒ¸Ø ÊØ¯Ø ÍÒÇØâÊ ÊѧÇÐÃÔÊÊÒÁÔ.
µÐµÔÂÑÁ» ÊÒ¸Ø ÊØ¯Ø€Ø ÀѹൠÊѧÇÐÃÔÊÊÒÁÔ. ´ÕÅÐ ¼Á¨ÐÊíÒÃÇÁãˌ´Õ
¹Ð »Øà¹Çѧ ¡ÐÃÔÊÊÒÁÔ.
¹Ð »Øà¹Çѧ ¡ÐÃÔÊÊÒÁÔ. ¹Ð »Øà¹Çѧ ÀÒÊÔÊÊÒÁÔ.
¹Ð »Øà¹Çѧ ÀÒÊÔÊÊÒÁÔ. ¹Ð »Øà¹Çѧ ¨Ô¹µÐÂÔÊÊÒÁÔ.
¹Ð »Øà¹Çѧ ¨Ô¹µÐÂÔÊÊÒÁÔ.
แสดงสภาคาบัติไม่ตก (วิ.ม.4/187/203)
[187] ก็โดยสมัยนั นแล พระฉัพพัคคียแ์ สดงสภาคาบัติ. ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ี
พระภาคตรัสห้ามภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงแสดงสภาคาบัติ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุ ฉัพพัคคียร์ บั แสดงสภาคาบัติ. ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาค
ตรัสห้ามภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงรับแสดงสภาคาบัติ รูปใดรับแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ระลึกอาบัติได้เมือกําลังสวดปาติโมกข์
[188] ก็โดยสมัยนั นแล ภิกษุ รูปหนึ งเมือกําลังสวดปาติโมกข์ ระลึ กอาบัติได้ จึงภิกษุ นันได้มีความปริวิตกว่า พระผูม้ ี
พระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุ มีอาบัติติดตัวไม่พึงทําอุโบสถ ก็เราเป็ นผูต้ อ้ งอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบตั ิอย่างไรหนอ. จึงบอกเรือง
นั นแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค พระผูม้ ีพระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เมือกําลังสวดปาติโมกข์อยู่ ภิกษุ ในศาสนานี ระลึกอาบัติได้. ภิกษุ นันพึงบอกภิกษุ ใกล้เคียงอย่ า งนี
ว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชือนี ลุกจากทีนี แล้วจักทําคืนอาบัตินัน ครันแล้วพึงทําอุโบสถ ฟั งปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทําอันตรายแก่
อุโบสถ เพราะข้อทีระลึกอาบัติได้นันเป็ นปั จจัย.
(วิ.ปริ.อ.เล่ ม 10 หน้า 542 มมร.) ภิกษุ ใด แสดงสภาคาบัติ ภิกษุ นีชือว่าแสดงอาบัติ อย่างใดอย่างหนึ งมีปาจิตตีย์
เป็ นต้น ต้องคือทุกกฏ เพราะการแสดงเป็ นปั จจัย. จริงอยู่ เมือแสดงอาบัตินัน ย่อมต้องทุกกฏ. แต่เมือต้องทุกกฏนั น ชือว่า
ย่อมออกจากอาบัติปาจิตตียเ์ ป็ นต้น. เมือออกจากอาบัติมีปาจิตตียเ์ ป็ นต้น ชือว่าย่อมต้องทุกกฏนั น.

~ 20 ~
อาบัตินันว่าโดยชือมี 7 อย่าง(กอง) คือ
1. ปาราชิก มีโทษหนัก ทําให้ผลู ้ ว่ งละเมิดขาดจากความเป็ นภิกษุ
2. สังฆาทิเสส มีโทษปานกลาง ผูล้ ว่ งละเมิดต้องอยูก่ รรมคือประพฤติวตั รอย่างหนึ งจึงจะพ้นจากอาบัตินี
3. ถุลลัจจัย (อ. ชือว่า ถุลลัจจัย เพราะเป็ นกรรมหยาบและมีความเป็ นโทษ)
4. ปาจิตตีย ์ มีโทษเบา ผูล้ ว่ งละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดต่อหน้าภิกษุดว้ ยกัน ทีเรียกว่า
5. ปาฏิเทสนี ยะ แสดงอาบัติ หรือปลงอาบัติ จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี
6. ทุกกฏ การทําชัว คือ ทําผิดจากกิจทีพระศาสดาตรัส เพราะฉะนันจึงชือว่า ทุกกฏ
7. ทุพภาสิต
ดูก่อนภิกษุ ทั งหลาย! ภิกษุ นั นพึงเข้าไปหาสงฆ์ กระทําอุตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ ง ไหว้เท้าแห่งภิกษุ ผแู ้ ก่ทงหลายแล้
ั ว
นั งกระโหย่ง ประนมมือ พึงกล่าวคําแสดงอาบัติวา่ “ท่านเจ้าข้า! กระผมต้องอาบัติ มีชืออย่างนี ขอแสดงคืนอาบัตินั น”
วิ.ม.2/5/5 วิ.อ.3/710
…………………………………………………………………………………

กิจวัตร 10 อย่าง 2.1


๑. ลงอุโบสถ (ทุกกึงเดือน)
๒. บิณฑบาตเลียงชีพ
๓. สวดมนต์ไหว้พระ
๔. กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์
๕. รักษาผ้าครอง (พิจารณาผ้าครอง) [บริขารต่างๆ รวมถึง พิจารณาการฉัน, ยารักษาโรค และเสนาสนะ]
๖. อยู่ปริวาสกรรม
๗. โกนผมปลงหนวดตัดเล็บ
๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบตั ิพระอาจารย์
๙. เทศนาบัติ
๑๐. พิจารณาปั จจเวกขณะทัง 4 เป็ นต้น

อุโบสถ มีความหมายดังนี
๑. การยกปาติโมกข์ขึนแสดง ๒. อุโบสถศีล (ชือของศีลชนิ ดหนึ ง)
๓. การบําเพ็ญพรต (ถือศีลอุโบสถ) ๔. นามบัญญัติ (พระอุโบสถ)
๕. วัน (วันทีเข้าอยู่จาํ ศีล, หรือเข้าจํางดอาหาร)

ระเบียบทัวไป ไฟ-รบกวนผูจ้ าํ วัด เสียง-แม้จะปิ ดไฟส่วนกลางแล้ว


1. เวลาจําวัด 21.30 น.-4.30 น. งดการเปิ ดไฟ / ใช้พืนทีส่วนกลาง แม้นงคุ ั ยกันในห้องส่วนตัว
2. การใช้โทรศัพท์เท่าทีจําเป็ น หากคุยนานกรุณาใช้เครืองใต้กุฏิชุด หลังเวลา ๒๒.๐๐ น. ควรใช้เท่าทีจําเป็ น

3. ห้องหนังสือพระ/ ห้องเก็บหนังสือ/ตูก้ ปั ปิ ยภัณฑ์/เครืองซักผ้า


4. หนังสืออ่านประกอบประจําสัปดาห์/ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม/จากจิตวิทยาสูจ่ ิตภาวนา
7. หนังสือสวดมนต์เล่มเล็ก

ต่อหัวข้อที ๒.๒ หน้า ๒๒


นวกภิกขุธรรม

21
2.2 (สํ.ส.24 หน้า 115 อรรถกถาสมิทธิสูต ร) คําว่า ผูใ้ หม่ ได้แก่ ภิกษุ ผมู ้ ีพรรษาไม่เต็ ม 5 ชือว่า ผูใ้ หม่ ตังแต่
พรรษา 5 ไป ชือว่า มัชฌิมะ ตังแต่พรรษา 10 ไป ชือว่า เถระ. อีกนัยหนึง ผูม้ ีพรรษา 10 ยังไม่บริบูรณ์ ชือว่า ผูใ้ หม่
ตังแต่พรรษา 10 ไป ชือว่า มัชฌิมะ ตังแต่พรรษา 20 ไป ชือว่า เถระ.
นวกภิกขุธรรม 5 องฺ.ป ฺ จ.22/114/156, พจนฯ ธรรม [213]
(ธรรมทีควรฝึ กสอนภิกษุ บวชใหม่ให้ประพฤติปฏิบตั ิอย่างมันคง, องค์แห่งภิกษุ ใหม่)
1. ปาติโมกขสังวร สํารวมในพระปาติโมกข์ รักษาศีลเคร่งครัด ทังในส่วนเว้น ข้อห้าม และทําตามข้ออนุ ญาต
2. อินทรียสังวร สํารวมอินทรีย์ มีสติระวังรักษาใจมิให้กิเลสคือความยินดียินร้ายเข้าครอบงําในเมือรับรูอ้ ารมณ์ดว้ ยอินทรีย์ทง6

3. ภัสสปริยนั ตะ พูดคุยมีขอบเขต คือ จํากัดการพูดคุยให้น้อย รูข้ อบเขต ไม่เอิกเกริกเฮฮา
4. กายวูปกาสะ ปลีกกายอยู่สงบ คือ เข้าอยู่ในเสนาสนะอันสงัด ภัสส=พูดเรืองไร้ประโยชน์ ปริยนั ต=เขต ทีสุ ด ยอดสูงสุด
5. สัมมาทัสสนะ ปลูกฝังความเห็นชอบ คือ สร้างเสริมสัมมาทิฏฐิ วูปสม=ความเข้าไปสงบ วูปกฏฺ ฐ=หลีกออกไปแล้ว

ธรรมทีบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ 10 อย่าง องฺ.ทสก.24/48/91


1. บัดนี เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิรยิ าใดๆ ของสมณะ เราต้องทําอาการกิริยานันๆ
2. ความเลียงชีวิตของเราเนื องด้วยผูอ้ ืน เราควรทําตัวให้เขาเลียงง่าย
3. อาการกายวาจาอย่างอืนทีเราจะต้องทําให้ดีขึนไปกว่านียงั มีอยูอ่ ีก ไม่ใช่แต่เพียงเท่านี
4. ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่
5. ผูร้ ใู ้ คร่ครวญแล้วติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่
6. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังนัน
7. เรามีกรรมเป็ นของของตัว เราทําดีจกั ได้ดี ทําชัวจักได้ชวั
8. วันคืนล่วงไปๆ บัดนี เราทําอะไรอยู่
9. เรายินดีในทีสงัดหรือไม่
10. คุณวิเศษของเรามีอยูห่ รือไม่ ทีจะทําให้เราเป็ นผูไ้ ม่เก้อเขิน ในเวลาทีเพือนพรหมจรรย์มาถามเมือภายหลัง
มหาปรินิพพานสูตร ที.ม.10/71/92 ภิกขุอปริหานิยธรรม 7 องฺ .สตฺ ตก.23/22,พจนฯ ธรรม [291]
ภิกษุ ทงหลาย
ั เราจักแสดงอปริหานิ ยธรรมอีกหมวดหนึ งแก่เธอ, จงเงียฟั ง จงทําในใจให้ดี
[1] ภิกษุ ทังหลาย ภิกษุจะไม่เป็ นผูย้ ินดีในนวกรรม1 ไม่ยินดีแล้วในนวกรรม ไม่ประกอบความเป็ นผูย้ ินดี
ในนวกรรมอยูเ่ พียงไร , ความเจริญก็เป็ นสิงทีภิกษุ ทงหลายหวั
ั งได้ ไม่มีความเสือมเลย, อยูเ่ พียงนัน.
น กมฺ มรามตา-ไม่มวั เพลินการงาน ไม่ยินดีในการงาน (จริงอยู่ ภิกษุ บางรูปเมือกระทํากิจเหล่ านี ย่อมกระทํากัน ทัง
วันทีเดียว ท่านหมายเอาข้อนั นจึงห้ามไว้ ดังนี , ส่ วนภิกษุ ใดกระทํากิจเหล่านั น ในเวลาทํากิจเหล่านั นเท่านั น ในเวลาอุเทศก็
เรียนอุเทศ ในเวลาสาธยาย ก็สาธยาย เวลากวาดลานพระเจดีย์ก็ทาํ วัตรทีลานพระเจดีย์ ในเวลามนสิการ ก็ทาํ มนสิการ ภิกษุ
นั นไม่ชือว่ามีการงานเป็ นทียินดี) 1
นวกรรมคือการก่อสร้างและวัตถุตา่ งๆ
[2] ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุจกั ไม่เป็ นผูย้ ินดีในการพูดคุย ไม่ยินดีแล้ว ในการพูดคุย ไม่ประกอบความยินดีใน
การพูดคุยอยูเ่ พียงไร , ความเจริญก็เป็ นสิงทีภิกษุ ทงหลายหวั
ั งได้อยู่ ไม่มีความเสือมอยูเ่ พียงนัน
น ภสฺ สารามตา ไม่มวั เพลินการคุย (ภิกษุ ใดเมือกระทําการเจรจาปราศรัย ด้วยเรืองเพศหญิงเพศชายเป็ นต้น หมดเวลา
ไปทังกลางวันและกลางคืน คุยเช่นนี ไม่จบ ภิกษุ นีชือว่ามีการคุยเป็ นทีมายินดี, ส่วนภิกษุ ใดพูดธรรม แก้ปัญหา ชือว่า ไม่มีการ
คุยเป็ นทีมายินดี ภิกษุ นีชือว่าคุยน้อยคุ ยจบทีเดียว เพราะเหตุไร เพราะพระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสไว้แก่ภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอผู ้
ประชุมกันมีกรณียะ 2 อย่างคือ พูดธรรม หรือนิ งอย่างอริยะ)
[3] ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุจกั ไม่เป็ นผูย้ ินดีในการนอนหลับ ฯลฯ
[4] ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุจกั ไม่เป็ นผูย้ ินดีในความคลุกคลีกนั เป็ นหมู่ๆ ฯลฯ
[5] ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุจกั ไม่เป็ นผูม้ ีความปรารถนาเลวทราม [ลามก] ฯลฯ

22
[6] ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุจกั ไม่เป็ นผูค้ บเพือนชัว ฯลฯ
[7] ภิกษุ ทังหลาย ภิกษุจกั ไม่เป็ นผูห้ ยุดเลิกเสียในระหว่างเนืองจากได้บรรลุคุณวิเศษสักเล็กน้อยแล้ว
อยูเ่ พียงไร , ความเจริญก็เป็ นสิงทีภิกษุ ทงหลายหวั
ั งได้ ไม่มีความเสือม, อยูเ่ พียงนัน.
เสขสูตร อง.สตฺ ต.23/26
ภิกษุ รูปหนึ งทูลถามว่า ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอ บุคคลจึงชือว่าเป็ นเสขะ พ.ตรัสตอบว่า ดู กรภิกษุ ทีเรียกชือว่า
เสขะ ด้วยเหตุว่ายังต้องศึกษา ศึกษาอะไร ศึกษาในอธิศีลสิขา ศึกษาในอธิจิตตสิกขา และศึกษาในอธิปัญญาสิกขาอ ง . ติ ก .
20/525/261 (เสขสูตรที 1)
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ธรรม 7 ประการนี ย่อมเป็ นไปเพือความเสือมแก่ภิกษุ ผเู ้ สขะ คือ
1. ความเป็ นผูช้ อบการงาน อนริยชน (โลกิยมหาชน,ปุถุชน) -อ ันธพาล / พาลปุถุชน
-ก ัลยาณปุถชน / ก ัลยาณชน
2. ความเป็ นผูช้ อบคุย อริยชน (อริยบุคคล) –เสขบุคคล
-อเสขบุคคล
3. ความเป็ นผูช้ อบหลับ ขึนชือว่า เสขะ ด้วยเหตุวา่ ละส ังโยชน์ ๓ มัจฉริยะ ๕
เจริญด้วยอริยวัฒิ ๕
4. ความเป็ นผูค้ ลุกคลีดว้ ยหมู่คณะ มีศรัทธาไม่คลอนแคลน
5. ความเป็ นผูไ้ ม่คุม้ ครองทวารในอินทรียท์ งหลาย
ั มีศีล ๕ บริสุทธิ
ยินดีการเสียสละ เผือแผ่แบ่งปัน
6. ความเป็ นผูไ้ ม่รจู ้ กั ประมาณในโภชนะ
7. กิจทีสงฆ์จะพึงทํามีอยู่ในสงฆ์ ภิกษุ ไม่สาํ เหนี ยกในกิจนันอย่างนี ว่า ก็พระเถระผูร้ ตั ตัญ ู บวชมานานเป็ นผู ้
รับภาระมีอยูใ่ นสงฆ์ ท่านเหล่านันจะรับผิดชอบด้วยกิจนี ดังนี ต้องขวนขวายด้วยตนเอง
อ. ภิกษุ เหล่าใด ย่อมนํ าไปซึงภาระเพราะทํากิจของสงฆ์ทีเกิดขึนแล้วให้สําเร็จ เหตุนัน ภิกษุ เหล่านั นชือว่าผูน้ ํ าภาระ, พระ
เถระเหล่านั น จักปรากฏด้วยกิจทีสมควรแก่ความเป็ นพระเถระของตนนั น
………………………………………………………………………

[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] ผูค้ วรและไม่ควรเจริญสติปัฏฐาน องฺ .ฉกฺ ก.22/388/404


[388] ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่ละธรรม 6 ประการ เป็ นผู้ไม่ควรเพือพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ธรรม 6 ประการเป็ นไฉน
? คือ
ความเป็ นผู้ชอบการงาน 1 ความเป็ นผู้ชอบคุย 1 ความเป็ นผู้ชอบหลับ 1 ความเป็ นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ 1 ความเป็ นผู้ไม่
คุม
้ ครองทวารในอินทรีย์ทงหลาย ั 1 ความเป็ นผู้ไม่รป
ู ้ ระมาณในโภชนะ 1
ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ ไม่ละธรรม 6 ประการนีแล เป็ นผู้ไม่ควรเพือพิจารณาเห็นกายในกายอยู.่
[389] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ละธรรม 6 ประการ เป็ นผู้ควรเพือพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ธรรม 6 ประการเป็ นไฉน ? คือ
ความเป็ นผู้ชอบการงาน 1 ความเป็ นผู้ชอบคุย 1 ความเป็ นผู้ชอบหลับ 1 ความเป็ นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ 1 ความเป็ นผู้ไม่
คุม้ ครองทวารในอินทรีย์ทงหลาย ั 1 ความเป็ นผู้ไม่รปู ้ ระมาณในโภชนะ 1
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ละธรรม 6 ประการนีแล เป็ นผู้ควรเพือพิจารณาเห็นกายในกายอยู.่
[390] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่ละธรรม 6 ประการ เป็ นผู้ไม่ควร เพือพิจารณาเห็นกายในกายเป็ นภายในอยู่ ฯลฯ
เพือพิจารณาเห็นกายในกายเป็ นภายนอกอยู่ ฯลฯ เพือพิจารณาเห็นกายในกายทังภายในภายนอกอยู่ ฯลฯ
[391] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่ละธรรม 6 ประการ เป็ นผู้ไม่ควรเพือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทังหลายอยู่ ฯลฯ
เพือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทังหลายเป็ นภายในอยู่ ฯลฯ เพือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทังหลายเป็ นภายนอกอยู่ ฯลฯ
เพือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทังหลายทังภายในภายนอกอยู่ ฯลฯ
[392] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่ละธรรม 6 ประการ เป็ นผู้ไม่ควร เพือพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ
เพือพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็ นภายในอยู่ ฯลฯ เพือพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็ นภายนอกอยู่ ฯลฯ
เพือพิจารณาเห็นจิตในจิตทังในภายในทังในภายนอกอยู่ ฯลฯ
[393] ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่ละธรรม 6 ประการ เป็ นผู้ไม่ควร เพือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทังหลายอยู่ ฯลฯ
เพือพิจารณาเห็นธรรมให้ธรรมทังหลายเป็ นภายในอยู่ ฯลฯ เพือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทังหลายทังภายในทังภายนอกอยูฯ่ ลฯ
............................................
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] สีลสูตร สํ.ม.19/767/188
กุศลศีลมีเพือเจริญสติปัฏฐาน 4
[767] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี :-
สมัยหนึ ง ท่านพระอานนท์ และท่านพระภัททะอยู่ ณ กุกกุฏาราม ใกล้เมืองปาฏลีบุตร. ครังนัน ท่านพระภัททะออกจากทีเร้นใน
เวลาเย็นเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถงึ ทีอยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครันผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนัง ณ ที
ควรส่วนข้างหนึ ง. ครันแล้วได้พูดกะท่านพระอานนท์วา่
[768] ดู ก่อนท่า นอานนท์ ศี ลทีเป็ นกุศลเหล่าใดอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ศี ลทีเป็ นกุศลเหล่านี พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัส
แล้ว มีพระประสงค์อย่างไร.

23
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดีละ ๆ ท่านภัททะ ท่านช่างคิด ช่างเฉี ยบแหลม ช่างไต่ถามเหมาะ ๆ. ก็ทา่ นถามอย่างนันหรือว่า ดูกอ ่ น
อานนท์ ศี ลทีเป็ นกุศ ลเหล่า ใด อันพระผู้มี พระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ศี ลทีเป็ นกุศ ลเหล่า นี พระผู้มี พระภาคเจ้า ตรัสแล้ว มี พระประสงค์
อย่างไร.
ภ. อย่างนัน ท่านผู้มีอายุ.
[769] อา. ดูกอ ่ นท่านภัททะ ศีลทีเป็ นกุศลเหล่าใดอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ศีลทีเป็ นกุศลเหล่านี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
แล้วเพียงเพือเจริญสติปฏ ั ฐาน 4. สติปฏั ฐาน 4 เป็ นไฉน.
ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มี ค วามเพียร มี สม ั ปชัญญะ มี สติ กํา จัด อภิช ฌาและโทมนัส ในโลกเสีย.
ย่อ มพิจ ารณาเห็ น เวทนาในเวทนาอยู่ ...ย่อ มพิจ ารณาเห็ น จิต ในจิต อยู่ ... ย่อ มพิจ ารณาเห็ น ธรรมในธรรมอยู่ มี ค วามเพี ย ร มี
สัมปชัญญะ มีสติ กําจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย.
ดู ก่อน.ท่านภัททะ ศี ลทีเป็ นกุศลเหล่าใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ศี ลทีเป็ นกุศลเหล่านี พระผู ้มี พระภาคเจ้าตรัสแล้ว
เพียงเพือเจริญสติปฏั ฐานเหล่านี.
อรรถกถาสีลสูตร เล่ม 30 หน้า 461 มมร.
คําวา ศีล ทั้งหลาย ไดแก ปาริสุทธศีล 4 ขอ. คําวา อุมฺมงฺโค ไดแก เสาะหาปญหา คือ แสวงหาปญหา.
............................................
เสขสูตรที 2 องฺ .ติก.20/526/261 ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี เป็ นผู้ทํา ให้
[526] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั สิกขาบท 150 ถ้วนนี มาสู่อุเทศทุก บ ริ บู ร ณ์ ใ นศี ล เ ป็ น ผู้ ทํ า ใ ห้ บ ริ บู ร ณ์ ใ น สม า ธิ เ ป็ นผู้ ทํ า
กึ งเดื อน ซึ งกุลบุตรทังหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ พอประมาณในปัญญา “เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อม
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สิกขา 3 นี ทีสิกขาบท 150 นัน รวมอยูด ่ ้วย ออกจากอาบัติบ้า ง ข้อนันเพราะเหตุ ไร เพราะไม่มี ใ ครกล่าว
ทังหมด, ความเป็ นคนอาภัพเพราะล่วงสิก ขาบทนี แต่ว่า สิกขาบทเหล่า
ดู ก รภิ ก ษุ ทังหลาย ภิ ก ษุ ในธรรมวิน ยั นี เป็ นผู้ ทํา ให้ ใด เป็ นเบื องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอ
บ ริ บู รณ์ ใ นศี ล เป็ นผู้ ทํ า พอป ระม าณใ นสมา ธิ เป็ นผู้ ทํ า เป็ นผู้มีศีลยังยืน และมี ศีลมันคงในสิกขาบทเหล่านัน สมาทาน
พอประมาณในปัญญา “เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อม ศึ ก ษาอยู่ใ นสิก ขาบททังหลาย” เธอเป็ นผู้ ผุ ด ขึ นเกิด [เป็ น
ออกจากอาบัติบ้าง [แสดงอาบัติ] ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะไม่ โอปปาติกะ] จักปรินิพพานในภพนัน มี อน ั ไม่กลับ จากโลกนี
มี ใ ครกล่า วความเป็ นคนอาภัพ เพราะล่วงสิกขาบทนี [คือ ไม่ เป็ นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 หมดสินไป
อาจบรรลุโลกุตตรธรรม] แต่ว่า สิกขาบทเหล่าใด เป็ นเบืองต้น ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี เป็ นผู้ทํา ให้
แห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็ นผู้มี ศี ลยังยืน บริบูรณ์ ในศีล เป็ นผู้ทาํ ให้บริบูรณ์ ในสมาธิ เป็ นผู้ทาํ ให้บริบูรณ์
และเป็ นผู้มีศีลมันคงในสิกขาบทเหล่านัน สมาทานศึกษาอยูใ่ น ในปัญ ญา “เธอย่อ มล่ว งสิก ขาบทเล็ กน้ อยบ้า ง ย่อ มออกจาก
สิก ขาบททังหลาย” เธอเป็ นพระโสดาบัน เพราะสัง โยชน์ 3 อาบัติบ้าง ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็ น
หมดสินไป เป็ นผู้มี ค วามไม่ตกตําเป็ นธรรมดา เป็ นผู้เทียงจะ คนอาภัพ เพราะล่ว งสิกขาบทนี แต่ ว่า สิก ขาบทเหล่า ใด เป็ น
ตรัสรูใ้ นเบืองหน้า เบืองต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็ นผู้มีศีล
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี เป็ นผู้ทํา ให้ ยังยืน และมีศีลมันคงในสิกขาบทเหล่านัน สมาทานศึกษาอยูใ่ น
บ ริ บู รณ์ ใ นศี ล เป็ นผู้ ทํ า พอป ระม าณใ นสมา ธิ เป็ นผู้ ทํ า สิกขาบททังหลาย” เธอทํา ให้แจ้งซึ งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุ ติ อัน
พอประมาณในปัญญา “เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อม หาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทังหลายสินไป ด้วยปัญญาอันยิง
ออกจากอาบัติบ้าง ข้อนันเพราะเหตุ ไร เพราะไม่มี ใ ครกล่าว เองในปัจจุบน ั เข้าถึงอยู่
ความเป็ นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี แต่ว่า สิกขาบทเหล่า ดู ก รภิ ก ษุ ทังหลาย ภิ ก ษุ ทํา ได้ เ พี ย งบางส่ว น ย่อ มให้สํา เร็ จ
ใด เป็ นเบื องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอ บางส่วน ผู้ทํา ให้บ ริบู รณ์ ย่อมให้สํา เร็จได้บ ริบู รณ์ อย่า งนี แล
เป็ นผู้มีศีลยังยืน และมี ศีลมันคงในสิกขาบทเหล่านัน สมาทาน ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เรากล่า วสิกขาบททังหลายว่า ไม่เป็ นหมัน
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททังหลาย” เธอเป็ นพระสกทาคามี เพราะ เลยฯ (ดังนี)
สังโยชน์ 3 หมดสินไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบา ................................................
บาง จะมายังโลกนีอีกคราวเดียวเท่านัน แล้วจักทําทีสุดทุกข์ได้
อรรถกถา. ขุททฺ านุขุทท ฺ กานิ ไดแก สิกขาบทที่เหลือ เวนปาราชิก 4
สังฆาทิเสส ชือ ่ วา ขุททกสิกขาบท - ถุลลัจจัย ชือ ่ วา อนุขท ุ ท
ฺ กสิกขาบท
ถุลลัจจัย ชือ
่ วา ขุทฺทกสิกขาบท - ปาจิตตีย ชือ ่ วา อนุขท ุ ฺทกสิกขาบท
ปาจิตตีย ชือ
่ วา ขุทฺทกสิกขาบท - ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสิต ชื่อวา อนุขท ุ ท
ฺ กสิกขาบท
พระขีณาสพ ไมตอ  งอาบัตท ิ ี่เปนโลกวัชชะเลย จะตองก็แตอาบัตท ิ ี่เปนปณณัตติวัชชะเทานัน

อาทิพฺรหฺมจริยกานิ ความวา สิกขาบทที่เปนมหาศีล 4 ซึ่งเปนเบือ ้ งตนของมรรคพรหมจรรย

“ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนีว่า พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ขอ้ นี พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนี


ธรรมและวินยั อันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินยั อันนัน จักเป็ นศาสดาของพวกเธอ โดยกาล
ล่วงไปแห่งเรา” ที.ม.10/141/136
ต่อหัวข้อที ๒.๓ หน้า ๒๕
ความหมายของธรรมวินัย

24
(ส่วนหนึ งในวิชาธรรม 2) ธรรมวินยั 2.3
เดิมคือชือเรียกศาสนาของพระพุทธเจ้า ปั จจุบนั นิ ยมเรียกว่า “พุทธศาสนา”
(คือ คําสังสอนทังหมดของพระพุทธเจ้า)
ซึงประกอบด้วย
ธรรม และ วินยั
คําสอนแสดงหลักความจริงแนะนํ าความประพฤติ บทบัญญัติกาํ หนดระเบียบความเป็ นอยู่
และกํากับความประพฤติ
คําว่า ธรรม แปลว่า สภาพทีทรงไว้(หรือมีการทรงไว้ซึงภาวะของตนเป็ นลักษณะ)
ชือว่า ธรรม เพราะอรรถว่า อันปั จจัยทังหลายทรงไว้ หรือว่าย่อมทรงไว้ตามสภาวะ
คุณของพระธรรม คือ ย่อมทรง(รักษา)ผูป ้ ระพฤติปฏิบ ัติ ไม่ให้ตกไปในทีชัว
หรือ ธรรมคุณ 6 คือ 1.สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอ ันพระผูม ้ พ
ี ระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
2.สนฺ ทฏ ิ ฺ ฐิโก อ ันผูป
้ ฏิบ ัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง
3.อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล
4.เอหิปสฺสโิ ก ควรเรียกให้มาดู
5.โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา
6.ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ ูหิ อ ันวิญ ฺชนพึงรูเ้ ฉพาะตน
ธมฺมศัพท์ ใช้ในอรรถว่า ปริย ัติ เหตุ(สิงทีให้เกิดผล,เค้ามูล) คุณ(วิบาก/ผล) และนิสส ัตตนิชชีวะ(ไม่ใช่ส ัตว์ไม่ใช่บุคคล)
อภิ.สํ.อ.75 หน้า 152

คําว่า ธรรม มีความหมายหลายนั ย กล่าวคือ (states, things, phenomena, ideas)


1.ธรรมชาติ ธรรมชาติ (ของทีเกิดเองตามวิสยั ของโลก)
2.กฏของธรรมชาติ ธรรมดา (อาการหรือความเป็ นไปแห่งธรรมชาติ)
3.ข้อปฏิบตั ิในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ธรรมจริยา (การประพฤติเป็ นธรรม/การประพฤติชอบ)
4. คําสังสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมเทศนา (การแสดงธรรม/คําสังสอนของพระพุทธเจ้า ซึงแสดงธรรมให้เปิ ดเผยปรากฏขึน)
พระพรหมคุณาภรณ์
1.สภาวธรรม(ธรรมชาติ) 2.สัจจธรรม(กฏของธรรมชาติ)
3.ปฏิปัติธรรม(หน้าทีตามกฏของธรรมชาติ) 4.ปฏิเวธธรรม(ผลทีเกิดขึนมาจากการปฏิบตั ิหน้าที) ท่านพุทธทาส

สิง ปรากฏการณ์ เหตุ สภาวะ(สิงทีเป็ นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย) สัจจธรรม ความจริง ธรรมารมณ์(สิงทีใจคิด)


คุณธรรม ความดี ความถูกต้อง ความประพฤติชอบ หลักการ แบบแผน ธรรมเนี ยม หน้าที ความยุติธรรม พระธรรมคําสังสอน
ของ พระพุทธเจ้า,
รูปธรรม(รูปิโน ธมฺมา)-อรูปธรรม(อรูปิโน ธมฺมา) (สิงทีมีรป
ู -สิงทีไม่มีรป
ู )
โลกียธรรม-โลกุตตรธรรม (ธรรมอ ันเป็ นวิส ัยของโลก-ธรรมอ ันมิใช่วสิ ัยของโลก)
ส ังขตธรรม-อส ังขตธรรม (สิงทีปัจจ ัยปรุงแต่ง-สิงทีปัจจ ัยไม่ปรุงแต่ง)

1.กุศลธรรม สภาวะทีฉลาด ดีงาม เอือแก่สข ุ ภาพจิต เกือกูลแก่ชีวติ จิตใจ ได้แก่กุศลมูล3 ก็ดี นามขันธ์4 ทีส ัมปยุต
ด้วยกุศลมูลนันก็ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทีมีกุศลมูลเป็ สมุฏฐาน ก็ดี
2.อกุศลธรรม สภาวะทีตรงข้ามกับกุศล ได้แก่ อกุศลมูล3 และกิเลสอ ันมีฐานเดียวกับอกุศลมูลนัน ก็ดี นามขันธ์4 ที
ส ัมปยุตต้วยอกุศลมูลนัน ก็ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทีมีอกุศลมูลเป็ นสมุฏฐาน ก็ดี
3.อ ัพยากตธรรม สภาวะทีเป็ นกลางๆ ชีขาดลงมิได้วา่ เป็ นกุศลหรืออกุศล ได้แก่ นามขันธ์4 ทีเป็ นวิบากแห่งกุศลและ
อกุศล, ธรรมทังหลายทีเป็ นกิรยิ า มิใช่กุศล มิใช่อกุศล มิใช่วบ
ิ ากแห่งกรรม, รูปทังปวง, อส ังขตธาตุ คือ
นิพพาน

25
โดยนัยอรรถกถา.
1. กุศลธรรม(กุสลา ธมฺมา) ด้วยอรรถว่า ความไม่มีโรค ความไม่มีโทษ ความฉลาด(ญาณ) และมีสข ุ เป็ นวิบาก
สภาวะใดย่อมผูกพันโดยอาการทีบัณฑิตเกลียด ชือว่า กุสะ ธรรมทีชือว่า กุศล เพราะย่อมถอนขึน คือย่อมตัดกุสะ, ชือว่า
กุศล เพราะอรรถว่า ย่อมตัดกิเลสทีเกิดขึนแล้วและทียังไม่เกิด (อุปมา กุสะ) เหมือนหญ้าคาย่อมบาดส่วนแห่งมือทีลูบคม
หญ้าทังสอง ฉะนัน, ชือว่า กุศล ย่อมตัด คือย่อมทําลายอกุศลเปรียบเหมือนหญ้าคา ฉะนัน
2. อกุศลธรรม(อกุสลา ธมฺมา) ธรรมทีไม่ใช่กุศล เป็ นปฏิปกั ษ์ ต่อกุศล
3. อ ัพยากตธรรม เพราะอรรถว่า ไม่กระทําให้แจ้ง อธิบายว่า ท่านไม่กล่าวไว้โดยความเป็ นกุศลและอกุศล
ในบรรดาธรรมทังสามนัน กุศลมีความไม่มีโทษและมีวบ ิ ากเป็ นสุขเป็ นล ักษณะ
อกุศลมีโทษและมีวบิ ากเป็ นทุกข์เป็ นล ักษณะ
อ ัพยากตะมีอวิบาก(ไม่มีวบิ าก)เป็ นล ักษณะ อภิ.สํ.34/1/1; อภิ.สํ.อ.75 หน้า 152

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ (ธรรมเหล่าใดเป็ นไปเพือ)


1. วิราคะ คือ ความคลายกําหนั ด ความไม่ติดพัน
2. วิสังโยค คือ ความหมดเครืองผูกรัด ความไม่ประกอบทุกข์
3. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนกิเลส
4. อัปปิ จฉตา คือ ความอยากอันน้อย ความมักน้อย
5. สันตุฏฐี คือความสันโดษ
6. ปวิเวก คือ ความสงัด
7. วิริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร
8. สุภรตา คือ ความเลียงง่าย วินย.7/523 วินย.9/523 องฺ.อฏฺ ฐ.23/143/255 (สังขิตตสูตร)
ธรรมเหล่านี พึงรูว้ ่าเป็ นธรรม เป็ นวินัย เป็ นสัตถุสาสน์ คือ คําสอนของพระศาสดา
มหาประเทศ 4 (หลักตัดสินธรรมวินัย 4 ประการ)
(ตามนั ยแห่ง มหาปรินิพพานสูตร ที.ม.10/112/101)
[112] ครังนัน พระผู้มีพระภาคประทับอยูต ่ ามความพอพระทัยในบ้านภัณฑคามแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า มาไปกัน
เถิดอานนท์ เราจักไปยังบ้านหัตถีคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโภคนคร แล้ว ได้ยน ิ ว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อานันท
เจดีย์ ในโภคนครนัน ณ ทีนัน พระผู้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราจักแสดง มหาประเทศ 4 เหล่านี พวก
เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ เหล่านัน ทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี
[113] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ในธรรมวินยั นีพึงกล่าวอย่างนีว่า อาวุโส ข้อนีข้าพเจ้าได้ฟงั มา ได้รบั มาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระ
ภาคว่า นีเป็ นธรรม นีเป็ นวินยั นีเป็ นคําสังสอนของพระศาสดา ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชืนชม ไม่พงึ คดั ค้าน คํากล่าวของภิกษุ นน ั ครัน
แล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่า นันให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูต ร เทียบเคียงในพระวินยั ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงใน
พระวินยั ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินยั ไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนีว่า นีมิใช่คาํ ของพระผู้มีพระภาคแน่ นอน และ
ภิกษุ นีจํา มาผิด แล้ว ดังนัน พวกเธอพึงทิงคํา กล่า วนันเสีย ถ้า เมื อสอบสวนในพระสูต ร เทียบเคียงในพระวิ นยั ลงในพระสูต รได้
เทียบเคียงในพระวินยั ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนีว่า นีเป็ นคําสังสอนของพระผู้มีพระภาคแน่ นอน และภิกษุ นีจํามาถูกต้องแล้ว ดูกร
ภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศข้อทีหนึ งนีไว้ ฯ
[114] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ก็ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี พึงกล่า วอย่า งนี ว่า สงฆ์พร้อมทังพระเถระ พร้อมทังปาโมกข์ อยู่ใ นอาวาสโน้น
ข้าพเจ้าได้ฟงั มา ได้รบั มาเฉพาะหน้าสงฆ์นนว่ ั า นีเป็ นธรรม นีเป็ นวินยั นีเป็ นคําสังสอนของ พระศาสดา ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชืนชม
ไม่พงึ คดั ค้าน ... ถ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินยั ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินยั ไม่ได้ พึงถึงความตกลงใน
ข้อนีว่า นีมิใช่คาํ สังสอนของพระผู้มีพระภาคแน่ นอน และภิกษุ สงฆ์นนจํ ั ามาผิดแล้ว ดังนัน ... พวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศข้อที
สองนีไว้ ฯ
[115] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ก็ภิกษุ ในธรรมวินยั นี พึงกล่าวอย่างนีว่า ภิกษุ ผู้เป็ นเถระมากรูปอยูใ่ นอาวาสโน้น เป็ นพหูสูต มีอาคมอัน
มาถึงแล้ว เป็ นผู้ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟงั มา ได้รบั มาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านันว่า นีเป็ นธรรม นีเป็ นวินยั นี
เป็ นคําสังสอนของพระศาสดา ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชืนชม ไม่พงึ คดั ค้าน ... พวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศข้อทีสามนีไว้ ฯ
[116] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ก็ภิกษุ ในธรรมวินยั นี พึงกล่าวอย่างนีว่า ภิกษุ ผู้เป็ นเถระอยูใ่ นอาวาสโน้น เป็ นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว
เป็ นผู้ทรงธรรม ทรง วินยั ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟงั มา ได้รบั มาเฉพาะหน้าพระเถระนันว่า นีเป็ นธรรม นีเป็ นวินยั นีเป็ นคําสังสอน
ของพระศาสดา ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชืนชม ไม่พงึ คดั ค้าน คํากล่าวของภิกษุ นน ั ครันแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านันให้ดี แล้ว
สอบ สวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินยั ถ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินยั ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินยั
ไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนีว่า นีมิใช่คาํ สังสอนของพระผู้มีพระภาคแน่ นอน และพระเถระนันจํามาผิดแล้ว ดังนัน พวกเธอพึงทิง
คํากล่าวนันเสีย ถ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินยั ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินยั ได้ พึงถึงความตกลงใน
ข้อนีว่า นีเป็ นคําของ พระผู้มีพระภาคแน่ นอน และพระเถระนันจํามาถูกต้องแล้ว
ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั พวกเธอพึงทรงจํา มหาประเทศข้อทีสีนี ไว้ ฯ ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั พวกเธอพึงทรงจํา มหาประเทศทัง 4
เหล่านีไว้ ฉะนีแล ฯ
.....................................................

26
ข้อถกเถียงเรืองพระคึกฤทธิ http://pantip.com/topic/30755863
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] สูตรที 6 อง.ทุก.20/292/68
ความหมายของตถาคตภาษิต และสาวกภาษิต
[292] 46. ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลายั บริษท ั 2 จําพวกนี 2 จําพวกเป็ นไฉน คือ บริษท ั ทีดือด้าน ไม่ได้รบั การสอบถามแนะนํา 1 บริษท ั ที
ได้รบั การสอบถามแนะนําไม่ดือด้าน 1 จี จู
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลายั ก็บ ริษ ัททีดื อด้า นไม่ได้รบั การสอบถามแนะนํา เป็ นไฉน ภิกษุ ใ นบริษท ั ใดในธรรมวินยั นี เมื อผู้อืน
กล่า วพระสูตรทีตถาคตภาษิ ตไว้ซึ งลึกลํา มี อรรถอันลึกลํา เป็ นโลกุตระ ปฏิสงั ยุตด้วยสัญญตธรรม ไม่ต งใจฟั ั งให้ดี ไม่เงียหูลงสดับ
ไม่เข้า ไปตังจิตไว้เพือจะรูท ้ วถึ
ั ง อนึ ง ภิกษุ เหล่า นันไม่เข้าใจธรรมทีตนควรเล่าเรียนท่องขึ นใจ แต่เมื อผู้อืนกล่า วพระสูตรทีกวีได้
รจนาไว้ เป็ นคํากวี มีอกั ษรวิจต ิ ร มีพยัญชนะวิจต ิ ร มีในภายนอก ซึ งสาวกได้ภาษิ ตไว้ ย่อมตังใจฟังเป็ นอย่างดี เงียหูลงสดับ เข้าไป
ตังจิตไว้เพือจะรูท ้ วถึ
ั ง อนึ ง ภิกษุ เหล่านันย่อมเข้าใจธรรมทีตนควรเล่าเรียน ท่องขึนใจ ภิกษุ เหล่านันเรียนธรรมนันแล้ว ไม่สอบสวน
ไม่เทียวได้ถามกันและกันว่า พยัญชนะนีอย่างไร อรรถแห่งภาษิ ตนีเป็ นไฉน ภิกษุ เหล่านันไม่เปิ ดเผยอรรถทีลีลับ ไม่ทาํ อรรถทีลึกซึง
ให้ตืน และไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมเป็ นทีตังแห่งความสงสัยหลายอย่างเสีย ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั บริษท ั นีเรียกว่าบริษท ั ดือด้าน
ไม่ได้รบั การสอบถามแนะนํา.
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั ก็บ ริษ ัททีได้รบ ั การสอบถามแนะนํา ไม่ดื อด้านเป็ นไฉน ภิกษุ ใ นบริษท ั ใดในธรรมวินยั นี เมื อผู้อืน
กล่า วพระสูตรทีกวีรจนาไว้เป็ นคํากวี มี อกั ษรวิจิตร มี พยัญชนะวิจิตร มี ใ นภายนอก เป็ นสาวกภาษิ ต ไม่ต งใจฟั ั งด้วยดี ไม่เงี ยหูลง
สดับ ไม่เข้าไปตังจิตไว้เพือจะรูท ้ วถึ
ั ง อนึ ง ภิกษุ เหล่านันไม่เข้าใจธรรมทีคนควรเล่าเรียน ท่องขึนใจ แต่วา่ เมือผู้อืนกล่าวพระสูตรที
ตถาคตภาษิ ตไว้ ซึ งลึกลํา มี อรรถลึกลํา เป็ นโลกุตระ ปฏิสงั ยุตด้วยสุญญตธรรม ย่อมตังใจฟังเป็ นอย่างดี เงี ยหูลงสดับ เข้าไปตังจิต
เพือจะรูท้ วถึ
ั ง และภิกษุ เหล่านันย่อมเข้าใจธรรมทีตนควรเล่าเรียนท่องขึ นใจ ภิกษุ เหล่านันเรียนธรรมนันแล้ว ย่อมสอนสวนเทียวไต่
ถามกันว่า พยัญชนะนีอย่างไร อรรถแห่งภาษิ ตนีเป็ นไฉน ภิกษุ เหล่านันย่อมเปิ ดเผยอรรถทีลีลับ ทําอรรถทีลึกซึ งให้ตืน และบรรเทา
ความสงสัยในธรรมเป็ นทีตังแห่งความสงสัยหลายอย่างเสีย ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั บริษท ั นีเรียกว่าบริษท
ั ผู้ได้รบั การสอบถามแนะนํา
ไม่ดือด้าน ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลายั บริษทั 2 จําพวกเหล่านีแล ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั บรรดาบริษท ั 2 จําพวกนี บริษท ั ทีได้รบั การสอนถาม
แนะนํา ไม่ดือด้านเป็ นเลิศ.
............................................
อรรถกถาสูตรที 6 เล่ม 33 หน้า 409 มมร.
โอกฺกาจิตวินต ี า ไดแก ฝกสอนยาก. บทวา โน ปฏิปุจฺฉาวินต ี า ไดแก ไมเปนผูรับฝกสอนโดยสอบถาม. บทวา คมฺภ ีรา ไดแก
ลึก โดยบาลี เชน จุล สเวทัลลสูตร. บทวา คมฺภรี ตฺถา ไดแ ก ลึก โดยอรรถ เชน มหาเวทัลลสูตร. บทวา โลกุตต ฺ รา ไดแ ก แสดงอรรถเปน
โลกุตระ.
บทวา สุฺตปฏิสยต ุ ต
ฺ า ไดแก ประกาศเพียงที่เปนสุญญตธรรม 7 เทานั้น เชนแสังขตสังยุต. บทวา น อฺาจิตต ฺ  อุปฏเปนฺ
ติ ไดแก ไมตั้งจิตเพื่อจะรู คือหลับเสียบาง สงใจไปทีอ
่ ื่นเสียบาง. บทวา อุคฺคเหตพฺพ ปริยาปุณต ฺ พฺพ ไดแก ที่จะพึงถือเอาดวย ที่จะพึงเลา
เรียนดวย. บทวา กวิกตา ไดแ ก ที่ก วีแตง. บทวา กาเวยฺยา นอกนี้เปนไวพจนของบทวา กวิกตา. นั้น เอง. บทวา จิตฺตกฺขรา แปลวา มี
อักษรวิจิตร. บทวา จิตฺตพฺยฺชนา นอกนี้ เปนไวพจนของบทวา จิตฺตกฺขรา นั้นเหมือนกัน. บทวา พาหิรกา ไดแก เปนสุตตันตะนอกพระ
ศาสนา. บทวา สาวกภาสิตา ไดแ ก ที่พวกสาวกของพาหิรกศาสดาเหลานั้นกลาวไว. บทวา สุส ฺส ูสนฺติ ความวา มีใ จแชมชื่นตั้งใจฟง
อยางดี เพราะมีอักษรวิจิตร และสมบูรณดว ยบท. บทวา น เจว อฺมฺ ปฏิปจ ุ ฉ
ฺ นฺติ ความวา มิไดถามเนื้อความ อนุสนธิ หรือเบื้องตน
เบื้องปลายกัน และกัน. บทวา น ปฏิว ิจรนฺติ ความวา มิไดเที่ยวไปไตถาม. บทวา อิท  กถ ความวา พยัญชนะนี้ พึงเขาใจอยางไรคือพึง
เขาใจวาอยางไร. บทวา อิมสฺส กฺว ตฺโถ ความวา ภาษิตนี้มีเนื้อความอยางไร มีอนุสนธิอยางไร มีเบื้องตนและเบื้องปลายอยางไร บทวา
อวิวฏ ไดแก ที่ยังปกปด. บทวา น วิรรนฺติ ไดแกไมเปดเผย บทวา อนุตต ฺ านีกต ไดแกที่ไมปรากฏ. บทวา น อุตฺตานีกโรนฺติ ความวา มิได
ทําใหปรากฏ. บทวา กงฺข าฏ านีเยสุ ไดแก อันเปนเหตุแหงความสงสัย. ฝายขาว ก็พึงทราบตรงกันขามกับที่กลาวแลว.

............................................
คําว่า วินัย / วินยะ / วินโย ถ้าแปล วิ คํานีว่าแจ่มแจ้ง ก็แปลว่า นําไปทําให้แจ่มแจ้ง คําว่า วิจกั ขณะ แปลว่า
แจ่มแจ้ง ไปศึกษาให้มนั แจ่มแจ้ง ทําความแจ่มแจ้งให้เกิดขึนในสิงทีเรียกว่า ตัวกูของกู
ถ้าแปล วิ คํานีว่าวินาศ ก็แปลว่า นํ าไปทําให้วินาศ ขยีตวั กูของกูนันเสียให้วินาศด้วยอํานาจของการเห็นอย่างแจ่มแจ้ง
ถ้าแปล วิ คํานี ว่าวิเศษ ก็แปลว่า นํ าไปทําให้วิเศษ (นํ าไปทําให้เป็ นของวิเศษ) ให้ดียิง ให้เป็ นระเบียบ (ทําให้เป็ น
ระเบียบ) ให้มนั น่ าดู ต้องควบคุมตัวกูของกูให้มนั อยู่ในอํานาจ ให้มนั อยู่ในระเบียบ (ความสุขฯ 136 พุทธทาสฯ)
วินัย หมายถึง นั ยพิเศษ (วิเสส+นั ย) เพราะมีอนุ บญ ั ญัติเพิมเติมเพือทําให้สิกขาบทรัดกุมยิงขึนหรือผ่อนผันให้เพลาความเข้มงวดลง
วินัย หมายถึง นั ยต่างๆ (วิวิธ+นั ย) เพราะมีปาติโมกข์ 2 คือ ภิกขุปาติโมกข์และภิกขุนีปาติโมกข์ มีวิภงั ค์ 2 คือ ภิกขุวิภงั ค์(มหา
วิภงั ค์) และภิกขุนีวิภงั ค์, มีอาบัติ 7 กอง เป็ นต้น
[วิภงั ค์ แปลว่า คัมภีร์ทีจําแนกความแห่งสิกขาบทเพืออธิบายแสดงความหมายให้ชดั ขึน]
วินยั หมายถึง กฎสําหรับฝึ กอบรมกายวาจา เพราะเป็ นเครืองป้ องกันความประพฤติทีไม่เหมาะสมทางกายและทางวาจา
(ฉะนัน) วินัย จึงเป็ นส่วนหนึ งในอธิสีลสิกขา หรือเป็ นส่วนหนึ งของศีล (ชีทท่านพระครูฯ)

27
วินยั คือ การจัดตังวางระบบแบบแผน ซึ งเป็ นสิงทีมนุษย์สมมติจดั วางขึ น เป็ นรูปแบบ กฏเกณฑ์กติกาของสังคม เพือการจัดสรร
โอกาส ให้เกิดโอกาส นําไปสูผ ่ ลทีปรารถนา
ในทางพุทธศาสนา ข้อกําหนดทีตกลงวางไว้นี มิใช่การบังค ับ แต่ถือเป็ นโอกาสในการฝึ กฝนตนเอง เพือให้โอกาสแก่สงที ิ ดีงาม
เป็ นประโยชน์(กุศล)ได้เกิดขึ น และปิ ดโอกาสแก่อกุศลมิให้เกิดขึ น
การทีสังคมมนุษย์จะอยูไ่ ด้ด้วยดี จําเป็ นจะต้องฝึ กคนให้หา่ งเหินจากสิงทีไม่เป็ นประโยชน์ และเกิดพฤติกรรมทีดี มีความเคยชิน
ต่อสิงทีดีพงึ ปรารถนา ทังทางกาย การเคลือนไหวแสดงออก ทางวาจา การติดต่อสัมพันธ์ การสือสาร การปรากฏตัว และกิรยิ า การ
แสดงออกต่างๆ อันจะก่อให้เกิด ความเคยชินทีดีงามพึงปรารถนา
ฉะนัน ความมุ่งหมายของวินยั จึงอยูท ่ การสร้
ี างพฤติกรรมความเคยชินทีดีงามให้เกิดขึ น
ธรรมเป็ นสิงคุม้ ครองจิตใจ, วินยั เป็ นสิงควบคุมกายและวาจา
อุปมา ธรรมะ เหมือน นํา คือ ส่วนเนือหาสาระ , วินยั เหมือน แก้วนํา คือ รูปแบบ กฏเกณฑ์ตา่ งๆ
ธรรม เป็ นทังฐานของวินยั และเป็ นทังจุดหมายของวินยั
(ท่านว่า จุดหมายของธรรม คือ ความสินทุกข์โดยชอบ)

วินัย มี 2 อย่าง คือ


1. อนาคาริย วินั ย แปลว่า วินัย ของผูไ้ ม่ค รองเรือ น(อนาคาริก ชน) คื อ ศี ล 10 (สําหรับสามเณร) วินัย ของ
บรรพชิต (พระสงฆ์) ได้แก่ การไม่ต อ้ งอาบัติ ทัง 7 อย่าง (ชือของอาบัติ 7 อย่าง คือ 1.ปาราชิก 2.สังฆาทิเสส 3.
ถุ ลลัจจัย 4.ปาจิตตีย์ 5.ปาฏิเทสนี ยะ 6.ทุกกฏ 7.ทุพภาสิ ต, ซึงปรับอาบัติโดยตรง 4 อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์
และปาฏิเทสนี ยะ, ปรับโดยอ้อม 3 อย่าง คือ ถุลลัจจัย ทุกกฏ และทุพภาสิต) หรือ ปาริสุทธิศีล 4 [149] (คือ ความประพฤติ
บริสุทธิทีจัดเป็ นศีล 1.ปาฏิโมกขสังวรศีล 2.อินทรียสังวร 3.อาชีวปาริสุทธิศีล 4.ปั จจัยสันนิ สิตศีล)
2. อาคาริยวินัย แปลว่า วินัยของผูค้ รองเรือน คือ วินัยของชาวบ้าน ได้แก่ ศีล5(นิ จศีล) ศีล8 (อุโบสถศีล) การงด
เว้นจากอกุศลกรรมบท 10 หรือ หมายความถึงการประกอบกุศลกรรมบท 10 (ทางแห่งกรรมดี, กรรมดีอนั เป็ นทาง
นํ าไปสู่ความสุขความเจริญหรือสุคติ) นั นเอง
…………………………………………………………………………..
จะเห็นได้วา่ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็ นการประกาศความจริง และบอกถึงสิงทีดีและไม่ดี สิงทีควร
ทําและไม่ควรทํา สิงทีเป็ นโทษและเป็ นประโยชน์ และชีบอกสิงทีควรประพฤติปฏิบัติดว้ ยวินัยทีพระพุทธเจ้าทรง
บัญญัติ
หลัก วินัย ไม่ใช่การบัง คับ หรือ กระทําตามความประสงค์ของพระผูเ้ ป็ นเจ้า มิ ไ ด้เป็ นบาปเพราะผิ ดพระ
ประสงค์ของพระผูเ้ ป็ นเจ้าหรือผูใ้ ดผูห้ นึ ง ไม่ขึนต่อความพอใจของบุคคลใด ไม่เป็ นโทษและไถ่โทษได้เพียงเพราะ
ด้วยความพอใจของผูใ้ ด แต่เป็ นโทษและเป็ นประโยชน์โดยเหตุโดยผลของสิงนันเอง หลักแห่งวินัยเป็ นการฝึ กตัว
ฝึ กฝนตนเอง ให้เข้าสูแ่ บบแผนแห่งการดําเนิ นชีวิตทีดีงาม
ดังคําสมาทานศีลว่า “ปาณาติปาตา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ”. เป็ นต้น
และพระจะสวดสอนว่า “อิมานิ (นี ) ปั ญจะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ (ทําสําเร็จแล้ว), สีเลนะ โภคะสัมปะ
ทา, สีเลนะ นิ พพุติง ยันติ ตัสมา สีลงั วิโสธะเย” ซึงเป็ นการกล่าวถึงประโยชน์ในการมีศีล
…………………………………………………………………………..

พึงเทียบดูศาสนาอืนๆ ในโลก
ท้ายเล่ม หน้า ๒๙๗

28
อนุศาสน์ 8 อย่าง อนุ ศาสน์ แปลว่า คําสอน (ทีเกียวกับข้อปฏิบตั ิทีสําคัญในการดํารงชีวิตของพระภิกษุ) 2.4
นิสสัย 4 แปลว่า ปั จจัยเครืองอาศัยของบรรพชิต มี 4 อย่าง คือ วิ.ม.4/87/95, วิ.ม.4/143

ครังนัน พราหมณ์ ค นหนึ งขอบรรพชาอุป สมบทแล้ว ประชาชนให้เลิกลํา ดับ ภัต ตาหารเสีย ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกล่า วชวนให้ออก
บิณฑบาต เธอพูดอย่างนีว่า กระผมมิได้บวชเพราะเหตุนีว่า จักเทียวบิณฑบาต ถ้าท่านทังหลายให้กระผม กระผมจักฉัน ถ้าไม่ให้กระผม
จะสึก ขอรับ, พวกภิกษุ ถามว่า อาวุโส ก็คุณบวชเพราะเหตุแห่งท้องหรือ เธอตอบว่า อย่างนันซิ ขอรับ, ครันพระผู้มีพระภาคทรงสอบถาม
ภิกษุ นนแล้
ั ว จึงทรงติเตียน ครันแล้ว จึงรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า

“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตผูใ้ ห้อุปสมบท บอก นิสยั 4 ว่าดังนี : -
1. บรรพชาอาศัยโภชนะคือคําข้าวอันหาได้ดว้ ยกําลังปลีแข้ง เธอพึงทําอุ ตสาหะในสิงนั นตลอดชีวิต, (เทียวบิณฑบาต)
อติเรกลาภ คือ ภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิ มนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปั กษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ ภัตถวายในวันปาฏิบท
2. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทําอุตสาหะในสิงนั นตลอดชีวิต, (นุ่งห่มผ้าบังสุกุล)
อติเรกลาภ คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้ าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่ าน ผ้าเจือกัน(เช่นผ้าด้ายแกมไหม)
3. บรรพชาอาศัยโคนไม้เป็ นเสนาสนะ เธอพึงทําอุตสาหะในสิงนั นตลอดชีวิต, (อยูโ่ คนไม้)
อติเรกลาภ คือ วิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชัน เรือนโล้น ถํา
4. บรรพชาอาศัยมูตรเน่ าเป็ นยา เธอพึงทําอุตสาหะในสิงนั นตลอดชีวิต (ฉันยาดองด้วยนํามูตรเน่า)
อติเรกลาภ คือ เนยใส เนยข้น นํามัน นําผึง นําอ้อย ฯ
( ในข้อที นัน หมายถึง ถ้าไม่มียารักษาโรค เวลาป่ วย ให้ทานนําปั สสาวะตัวเอง เพือบําบัดโรค )
จากงานวิจยั ของ ดร.ฟารอน นักชีวเคมี ระบุวา่
ในนําปั สสาวะ เป็ นนํา เปอร์เซ็นต์, . เปอร์เซ็นต์เป็ นยูเรีย, . เปอร์เซ็นต์เป็ นสารอืนๆ ได้แก่ เกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุม้ กัน
(มาณพคนหนึ งเข้าไปขอบรรพชา ภิกษุ บอกนิ สยั แก่เธอก่อนบวข) ดูกร ภิกษุ ไม่พงึ บอกนิ สยั ก่อนบวช รูปใดบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
องค์ 5 แห่งภิกษุ ผต ู้ ้องถือนิสยั ขุ.จูฬ.เล่ม 67 หน้า 674 มมร.
ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ผปู้ ระกอบด้วยองค์ 5 จะอยูโ่ ดยไม่ต้องถือนิสยั ไม่ได้ คือ บทว่า ปํ สุ กูลํ ผ้า บังสกุล พึงทราบผ้า บังสุกุล 23 ชนิด
คือ
๑. เป็ นผู้ไม่มีศรัทธา 1. ไม่ประกอบด้วยสีลขันธ์ อันเป็ นเสขะ
ผ้าได้จากป่ าช้า 1 ผ้าเขาทิงไว้ตามตลาด 1
๒. เป็ นผู้ไม่มีหริ ิ 2. สมาธิ ผ้าตามถนน 1 ผ้าตามกองหยากเยือ 1
๓. เป็ นผู้ไม่มีโอตตัปปะ 3. ปัญญา ผ้าเช็ดครรภ์ 1 ผ้าทีตกอยูใ่ นทีอาบนํา 1
๔. เป็ นผู้เกียจคร้าน 4. วิมุตติ ผ้าทีตกอยูท่ ีท่านํา 1 ผ้าห่อศพ 1
๕. เป็ นผู้มีสติฟนเฟื
ั อน 5. วิมุตติญาณทัสสนะ ผ้าถูกไฟไหม้ 1 ผ้าทีโคเคียวกิน 1
ผ้าปลวกกัด 1 ผ้าทีหนูกดั 1
ดูกร ภิกษุ ผู้ประกอบด้วยองค์ 5 แม้อืนอีก จะอยูโ่ ดยไม่ตอ ้ งถือนิสยั ไม่ได้คือ ผ้าทีขาดข้างใน 1 ผ้าขาดชาย 1
๑ เป็ นผู้มิสีลวิบตั ใิ นอธิศีล 1. ไม่รจู ้ กั อาบัติ ผ้าธง 1 ผ้าบูชาสถูป 1
๒ เป็ นผู้มีอาจารวิบตั ใิ นอัชฌาจาร 2. ไม่รจู ้ กั อนาบัติ ผ้าสมณจีวร 1 ผ้าทีสมุทรซัดขึ นบก 1
๓ เป็ นผู้มีทฏิ ฐิวบิ ตั ิในในอติทฏ
ิ ฐิ 3. ไม่รวู ้ า่ อาบัติเบา ผ้าอภิเษก (ผ้าทีเขาทิงในพิธีราชาภิเษก) 1
๔ เป็ นผู้ได้ยน ิ ได้ฟงั น้อย 4. ไม่รวู ้ า่ อาบัติหนัก ผ้าเดินทาง 1 ผ้าถูกลมพัดมา 1
ผ้าสําเร็จด้วยฤทธิ 1 ผ้าเทวดาให้ 1.
๕ เป็ นผู้มีปญ ั ญาทราม 5. มีพรรษาหย่อน 5

ดูกร เราอนุ ญาตให้อาศัยภิกษุ มีพรรษา 10 อยู่ อนุ ญาตให้ภิกษุ มีพรรษาได้ 10 ให้นิสัย, ดูกร ภิกษุ ผเู ้ ขลา ไม่เฉียบแหลม
ไม่พึงให้นิสัย รูปใดให้ตอ้ งอาบัติทุกกฏ
เราอนุ ญาตภิกษุ ผฉู ้ ลาดผูส้ ามารถ มีพรรษาได้ 10 หรือมีพรรษาเกิน 10 ให้นิสัย
ดูกร เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผฉู ้ ลาดผูส้ ามารถ ถือนิ สัยอยู่ 5 พรรษา และให้ภิกษุ ผไู ้ ม่ฉลาดถือนิ สัยอยู่ตลอดชีวิต
ภิกษุ ผู้ไม่ต้องถือนิสสัย (วิ.ม.4/137/151)
[137] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ รูปหนึ งเดินทางไกลไปโกศลชนบท. คราวนันเธอได้มีความดําริวา่ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัตไิ ว้วา่
ภิกษุ จะไม่ถือนิสสัยอยูไ่ ม่ได้ ดังนี ก็เรามีหน้าทีต้องถือนิสสัยแต่จาํ ต้องเดินทางไกล จะพึงปฏิบตั ิอย่างไรหนอแล.
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตให้ภิกษุ ผู้เดินทางไกล เมือไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัยอยู”่ .
[138] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ 2 รูปเดินทางไกลไปโกศลชนบท. เธอทังสองพักอยู่ ณ อาวาสแห่งหนึ ง. ในภิกษุ 2 รูปนัน รูปหนึ ง
อาพาธ จึงรูปทีอาพาธนันได้มีความดําริวา่ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้วา่ ภิกษุ จะไม่ถือนิสสัยอยูไ่ ม่ได้ ก็เรามีหน้าทีต้องถือนิสยั
แต่กาํ ลังอาพาธ จะพึงปฏิบตั ิอย่างใดหนอแล.
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตให้ภิกษุ อาพาธ เมือไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัยอยู”่ .
“ดูกรภิกษุ ทงหลายั เราอนุญาตให้ภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ เมือไม่ได้ผู้ให้นิสสัยถูกภิกษุ อาพาธขอร้อง ไม่ต้องถือนิสสัยอยู”่ .
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาตให้ภิกษุ ผู้ถืออยูป
่ ่ าเป็ นวัตร กําหนดการอยูเ่ ป็ นผาสุก เมือไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัย ด้วย
ผูกใจว่า เมือใดมีภิกษุ ผู้ให้นิสสัยทีสมควรมาอยู่ จักอาศัยภิกษุ นนอยู ั .่

29
ภิกษุ ทงหลายไม่
ั พงึ ตังกติกาเช่นนีว่า ในระหว่างพรรษาไม่พงึ ให้บรรพชา สงฆ์หมู่ใดตัง ต้องอาบัติทุกกฏ วิ.ม.4/204/320
ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ มีอาบัตติ ิดตัว ไม่พงึ ปวารณา รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ

อกรณียกิจ 4 แปลว่า กิจทีไม่ควรทํา มี 4 อย่าง คือ วิ.ม.4/144


1. บรรพชิตไม่พึงเสพเมถุนธรรม, (เสพเมถุน)
2. บรรพชิตไม่พึงลักขโมย ถือเอาของทีเขาไม่ได้ให้, (ลักของเขา) กิจ 4 อย่างนี บรรพชิตไม่พึงทําตลอดชีวิต
3.บรรพชิตไม่พึงพรากสัตว์จากชีวิต (ฆ่าสัตว์)
4. บรรพชิตไม่พึงพูดอวดอุตริมนุ สสธรรม (พูดอวดคุณพิเศษทีไม่มีในตน)
พระราชา (อโศก) ตรัสถามว่า พ่อเณร ! ผู้ทีชือว่าอุปช ั ฌายะนี ได้แก่คนเช่นไร ?
สามเณร (นิโครธ) ถวายพระพรว่า มหาบพิตร ! ผู้ทีเห็นโทษน้อยใหญ่ แล้วตักเตือน และให้ระลึก ชือว่าพระอุปช ั ฌายะ.
พระราชา ตรัสถามว่า พ่อเณร ! ผู้ทชื ี อว่าพระอาจารย์นี ได้แก่คนเช่นไร ?
สามเณร ถวายพระพรว่า มหาบพิตร ! ผู้ทให้ ี อน ั เตวาสิกและสัทธิวหิ าริก ตังอยูใ่ นธรรมทีควรศึกษาในพระศาสนานี ชือว่าพระอาจารย์.
พระราชา ตรัสถามว่า พ่อเณร ! ผู้ทชื ี อว่าภิกษุ สงฆ์นี ได้แก่คนเช่นไร ?
สามเณร ถวายพระพรว่า มหาบพิตร ! บรรพชาและอุปสมบทของอาจารย์และอุปช ั ฌายะของอาตมภาพ และบรรพชาของอาตมภาพ
อาศัยหมู่ภก
ิ ษุ ใด หมู่ภก
ิ ษุ นน
ั ชือว่าภิกษุ สงฆ์. วิ.ม.อ.1 หน้า 85
.........................................................
หลักทีภิกษุจะพึงศึกษามี 3 อย่าง เรียกว่า สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา 2.5
คําว่า สิกขา หมายถึง ข้อทีควรศึกษา (เป็ นคําบาลี), สันสกฤตว่า ศิกษา, ภาษาไทยใช้วา่ ศึกษา
สิกขา 3 หรือไตรสิกขา ประกอบด้วย คําอธิบาย สิกขา 3 ในนวโกวาท ไม่พิมพ์
1.อธิสีลสิกขา ความรักษา(สํารวม)กายวาจาให้เรียบร้อย ชือว่า ศีล [ เป็ นข้อปฏิบตั ิทางกายวาจา ]
2.อธิจิตตสิกขา ความรักษาใจมัน ชือว่า สมาธิ [ เป็ นข้อปฏิบตั ิทางใจ ]
3.อธิปัญญาสิกขา ความรอบรูใ้ นกองสังขาร(ความนึ กคิด) ชือว่า ปั ญญา [ เป็ นข้อปฏิบตั ิทางทิฏฐิ -
คือรอบรูใ้ นสังขารขันธ์ในขันธ์ 5 อันประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา - - คือทําความเห็นให้ถูกให้ตรง ]
สังขาร วิญญาณ เรียกอีกอย่างหนึ งว่า “นามรูป” ส่วนคําว่า “สังขาร” โดยทัวไป หมายถึง สิงทีปรุงแต่งขึนเป็ นรูปร่าง
อธิปญ
ั ญาสิกขา คือ ข้อปฏิบ ัติสาํ หรับฝึ กอบรมปัญญา เพือให้เกิดความรูแ
้ จ้งอย่างสูง มองเห็นสิงทงหลายตามเป็
ั นจริง จนจิตใจหลุดพ้นเป็ นอิสระ
ปราศจากกิเลสและความทุกข์ พจนฯ ศพ
ั ท์

ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สิกขา 3 นี เป็ นไฉน คือ อธิศีลสิกขา1 อธิจต
ิ ตสิกขา1 อธิปญ
ั ญาสิกขา1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อธิศีลสิกขาเป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี เป็ นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยูใ่ นสิกขาบท
ทังหลาย ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั นีเรียกว่าอธิศีลสิกขา
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อธิจิต ตสิกขาเป็ นไฉน ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี สงัด จากกาม ฯลฯ บรรลุจตุ ต ถฌาน ดู กร
ภิกษุ ทงหลาย
ั นีเรียกว่าอธิจติ ตสิกขา
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อธิปญั ญาสิกขาเป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี ย่อมรูช ้ ดั ตามความเป็ นจริงว่า นีทุกข์ ฯลฯ
นีข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ความดับทุกข์ ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั นีเรียกว่าอธิปญ ั ญาสิกขา
องฺ.ติก.20/529/266 (สิกขาสูตรที 1)

ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อธิปญ
ั ญาสิกขาเป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี ทําให้แจ้งซึ งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา
อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทังหลายสินไป ด้วยปัญญาอันยิงเองในปัจจุบน ั เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั นีเรียกว่าอธิปญ
ั ญาสิกขา
องฺ.ติก.20/530/266 (สิกขาสูตรที 2)

วิญญาณ(รูจ้ กั )-สัญญา(รูจ้ าํ )–โยนิ โสมนสิการ(พิจารณา)–ปั ญญา(เข้าใจ)-ญาณ(รูแ้ จ้ง)


(สุตะ-จินตะ-ภาวนา นําไปสู่ สุตมยปั ญญาฯ)
สัทธรรม แปลว่า กุศลกรรมบท10 หรือ ธรรมทีดี,ธรรมทีแท้,ธรรมของคนดี(สัตบุรุษ) มี 3 อย่าง คือ
1) ปริยตั ิสัทธรรม สัทธรรมคือสิงทีพึงเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์
2) ปฏิบตั ิสัทธรรม สัทธรรมคือสิงพึงปฏิบตั ิ ได้แก่ ไตรสิกขา
3) ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรมคือผลทีพึงบรรลุ ได้แก่ มรรค ผล และนิ พพาน
............................................................................

30
แนวคิดในการศึกษาพระธรรมวินัย 2.6
เรืองภิกษุ 2 สหาย [14] ขุ.ธ.อ.40 หน้า 209 มมร. พระศาสดาถามปัญหาพระเถระทงสอง

ข้อความเบืองต้น ขณะนัน พระศาสดาทรงทราบว่ า "ค น ั ถิก ภิ ก ษุ นี พึ ง
พระศาสดา เมือประทับอยูใ่ นพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 2 เบี ยดเบี ยนบุ ตรของเราผู้มีรูป เห็นปานนี แล้วเกิด ในนรก," ด้วย
สหาย ตรัสพระธรรมเทศนานีว่า "พหุมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน" ทรงเอ็นดูในเธอทําประหนึ งเสด็จเทียวจาริกไปในวิหาร เสด็จถึง
สองสหายออกบวช สถานทีเธอทังสองนังแล้ว ประทับนังเหนือพุทธอาสน์ทีเธอจัดไว้.
ความพิสดารว่า กุลบุตร 2 คน ชาวเมืองสาวัตถี เป็ นสหาย แท้จ ริง ภิ ก ษุ ทังหลายเมื อจะนังในที นัน ๆ จัด อาสนะสํา หรับ
กัน ไปยังวิหารฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วละกาม พระพุทธเจ้าก่อนแล้วจึงนัง. เพราะเหตุนน ั พระศาสดา จึงประทับ
ทังหลาย ถวายชีวต ิ ในพระศาสนาของพระศาสดา(1) นังเหนื ออาสนะทีพระคน ั ถิกภิกษุ นนจั
ั ดไว้โ ดยปกตินนแล.
ั ก็แล
บวชแล้ว อยูใ่ นสํานักพระอาจารย์และพระอุปช ั ฌาย์ ตลอด ครันประทับนังแล้ว จึงตรัสถามปัญหาในปฐมฌานกะคน ั ถิกภิกษุ
5 ปี แล้ว(2) เข้า ไปเฝ้ าพระศาสดา ทูลถามถึงธุระในพระศาสนา ครันเมื อเธอทูลตอบไม่ได้, จึงตรัสถามปัญหาในรูปสมาบัติและ
ได้ ฟ ัง วิป ัส สนาธุ ร ะและค น ั ถธุ ร ะโดยพิส ดารแล้ว (3), รู ป หนึ ง อรูปสมาบัติทงแปดั ตังแต่ทุติยฌานเป็ นต้นไป พระคน ั ถิกเถระก็
กราบทูลก่อนว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์บวชแล้วเมื อ มิ อ าจทู ล ตอบได้แ ม้ข้อเดี ยว. พระวิป ัส สกเถระนอกนี ทู ล ตอบ
ภายแก่ ไม่สามารถจะบําเพ็ญคน ั ถธุระได้, แต่จะบําเพ็ญวิปส ั สนา ปัญหานันได้ทงหมด. ั
ธุ ร ะ" ดัง นี แล้ว ทู ล ให้พ ระศาสดาตรัส บอกวิป ัสสนาจนถึง พระ ทีนน ั พระศาสดา ตรัสถามปัญหาในโสดาปัต ติม รรคกับ
อรหัต พากเพี ย รพยายามอยู่ บรรลุ พ ระอรหัต พร้อ มกับ ด้ ว ย เธอ. พระค น ั ถิกเถระก็มิสามารถทูลตอบได้. แต่นน ั จึงตรัสถาม
ปฏิสมั ภิทาทังหลาย. กะพระขีณาสพเถระ พระเถระก็ทูลตอบได้.
1. อุร ทตฺวา. 2. เป็ นประโยคกิรยิ าปธานนัย. พระวิปสั สกเถระได้ร ับสาธุการ
ฝ่ ายภิกษุ รูปนอกนี คิดว่า "เราจะบําเพ็ญคน ั ถธุระ" ดังนีแล้ว พระศาสดา ทรงชมเชยว่า "ดีละ ๆ" แล้วตรัสถามปัญหาแม้
เรียนพระพุทธพจน์ คือพระไตรปิ ฎกโดยลํา ดับ กล่า วธรรม สวด ในมรรคทีเหลือทังหลายโดยลําดับ. พระคน ั ถิกเถระก็มิได้อาจทล
สรภัญญะ ในสถานทีตนไปแล้ว ๆ. เทียวบอกธรรมแก่ภิกษุ 500 ตอบปัญหาได้สกั ข้อเดียว ส่วนพระขีณาสพ ทูลตอบปัญหาทีตรัส
รูป ได้เป็ นอาจารย์ของคณะใหญ่ 18 คณะ. ถามแล้ว ๆ ได้. พระศาสดาได้ประทานสาธุการแก่พระขีณาสพ
ภิ ก ษุ ทังหลาย เรี ย นพระกัม มัฏ ฐานในสํา นัก พระศาสดา นันในฐานะทังสี. เทวดาทังหมด ตังต้นแต่ภุมเทวดา จนถึงพรหม
แล้วไปสูท ่ ีอยูข
่ องพระเถระนอกนี (รูปบําเพ็ญวิปส ั สนา) ตังอยูใ่ น โลกและนาคครุฑ ได้ฟงั สาธุการนันแล้ว ก็ได้ให้สาธุการ.
โอวาทของท่านบรรลุพระอรหัต แล้ว นมัสการพระเถระเรียนว่า พวกอันเตวาสิกและสัทธิวิหาริกของพระค น ั ถิก เถระ ได้
"กระผมทังหลายใคร่จะเฝ้ าพระศาสดา." พระเถระกล่าวว่า "ไป สดับ สาธุการนันแล้ว จึงยกโทษพระศาสดาว่า " พระศาสดาทรง
เถิด ผู้มี อายุ, ท่า นทังหลาย จงถวายบังคมพระศาสดา นมัสการ ทํา กรรมอะไรนี ? พระองค์ได้ป ระทานสาธุการแก่พระมหัลลก
พระมหาเถระทัง 80 รูป ตามคํา ของเรา, จงบอกกะพระเถระผู้ เถระ ผู้ไม่รูอ
้ ะไร ๆ ในฐานะทังสี, ส่วนท่า นอาจารย์ของพวกเรา
สหายของเราบ้างว่า 'ท่านอาจารย์ของกระผมทังหลายนมัสการใต้ ผู้จํา ทรงพระปริยตั ิธรรมไว้ได้ทงหมดเป็
ั นหัวหน้าภิกษุ ประมาณ
เท้า " ดังนี แล้วส่งไป. ภิกษุ เหล่า นันไปสู่วิหาร ถวายบังคมพระ 500 รูป พระองค์มิได้ทรงทําแม้มาตรว่าความสรรเสริญ."
ศาสดาและนมัสการพระอสีติมหาเถระแล้ว ไปสู่สํา นักพระคน ั ถิ พูดมากแต่ไม่ปฏิบ ัติก็ไร้ประโยชน์
กเถระ เรี ย นว่า "ใต้ เ ท้า ขอรับ ท่า นอาจารย์ ข องพวกกระผม
นมัสการถึงใต้เท้า ." ก็เมื อพระเถระนอกนี ถามว่า "อาจารย์ของ ลํ า ดับ นัน พระศาสดาตรัส ถามภิ ก ษุ เหล่ า นันว่ า "ภิ ก ษุ
ทังหลาย พวกเธอกล่า วอะไรกันนี ?" เมื อภิกษุ เหล่า นันกราบทูล
พวกท่า นนันเป็ นใคร?" ภิกษุ เหล่านันเรียนว่า "เป็ นภิกษุ ผู้สหาย
ของใต้เท้า ขอรับ" เนื อความนันแล้ว, ตรัสว่า "ภิกษุ ทงหลาย
ั อาจารย์ข องพวกเธอ
เมือพระเถระ(วิปส ั สกภิกษุ ) ส่งข่าวเยียมอย่างนีเรือย ๆ อยู่ เช่นกับผู้รกั ษาโคทังหลาย เพือค่าจ้างในศาสนาของเรา, ส่วยบุตร
, ภิ ก ษุ นัน (ค น ั ถิกะ) อดทนอยู่ไ ด้สินกาลเล็ก น้อ ย ภายหลังไม่ ของเรา เช่นกับ เจ้า ของผู้บ ริโ ภคปัญจโครส1ตามชอบใจ" ดังนี
สามารถจะอดทนอยู่ได้, เมื อพวกอาค น ั ตุ กภิกษุ เรียนว่า "ท่า น แล้ว ได้ภาษิ ตพระคาถาเหล่านีว่า
อาจารย์ข องพวกกระผมมนัสการใต้เท้า " ดังนี แล้ว จึงกล่า วว่า พหุมฺปิ เจ สํหต ิ ํ ภาสมาโน น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโตโค
"อาจารย์ข องพวกท่า นนันเป็ นใคร," เมื อภิกษุ ทงหลายเรี ั ยนว่า โปว คาโว คณยํ ปเรสํ น ภาควา สาม ส ฺ ฺส โหติ.
อปฺปมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี
"เป็ นภิกษุ ผู้สหายของใต้เท้าขอรับ" จึงกล่า วว่า " ก็อะไรเล่า ? ที
พวกท่านเรียนในสํานักของภิกษุ นน ั บรรดานิกาย มีทีฆนิกายเป็ น ราค ฺจ โทส ฺจ ปหาย โมหํ สมฺมปฺปชาโน สุวม ิ ุตฺตจิตฺโต
ต้น นิกายใดนิกายหนึ งหรือ ? หรือบรรดาปิ ฎก 3 ปิ ฎกใดปิ ฎก อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา ส ภาควา สาม ฺสฺส โหติ.
หนึ งหรือ ? ทีพวกท่านได้แล้ว" ดังนีแล้วคิดว่าสหายของเรา ย่อม "หากว่า นรชนกล่า วพระพุทธพจน์ อน ั มี ประโยชน์ เกือกูล
ไม่ รู ้จ กั คาถาแม้ ป ระกอบด้ ว ย 4 บท, ถื อ บัง สุ กุ ล เข้า ป่ า แต่ ใ น แม้มาก (แต่) เป็ นผู้ประมาทแล้วไม่ทาํ (ตาม) พระพุทธพจน์ นน ั
คราวบวชแล้ว ยังได้อน ั เตวาสิกมากมายหนอ, ในกาลทีเธอมาเรา ไซร้, เขาย่อมไม่เป็ นผู้มี สว่ นแห่งสามัญผล2 เหมื อนคนเลียงโค
ควรถามปัญหาดู." นับ โคทังหลายของชนเหล่า อืน ย่อมเป็ นผู้ไม่มี สว่ นแห่งปัญจโค
พระเถระทงสองพบก
ั ัน
รสฉะนัน, หากว่า นรชนกล่า วพระพุ ท ธพจน์ อ น ั มี ป ระโยชน์
เกือกูลแม้น้อย (แต่) เป็ นผู้มีปกติประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม
ในกาลต่อมา พระเถระ(วิปส ั สกะ) ได้มาเฝ้ าพระศาสดา, เก็บ ไซร้, เขาละราคะ โทสะ และโมหะแล้ว รูช ้ อบ มีจติ หลุดพ้นดีแล้ว
บาตรจีวรไว้ใ นสํา นักพระเถระผู้สหายแล้ว ไปถวายบังคมพระ หมดความยึด ถือในโลกนี หรือในโลกหน้า, เขาย่อมเป็ นผู้มีสว่ น
ศาสดา และนมัสการพระอสีติม หาเถระแล้ว ก็กลับ มาทีอยู่ข อง แห่งสามัญผล."
พระเถระผู้สหาย.
1. อ ันเกิดแต่โค 5 อย่าง คือ นมสด, นมส้ม, เปรียง, เนยใส, เนยข้น.
ลําดับนัน พระคนั ถิกเถระนัน ให้ภิกษุ ทงหลายทํ
ั าวัตรแก่ทา่ น 2. ผลคือคุณเครืองเป็ นสมณะ.
แล้วถือเอาอาสนะมี ข นาดเท่า กัน นังแล้วด้วยตังใจว่า "จักถาม
ปัญหา."

31
แก้อรรถ คายอยู.่
บรรดาบทเหล่า นัน บทว่า สหิตํ นี เป็ นชื อแห่งพระพุ ท ธ ในบทเหล่า นัน บทว่า อปฺ ป มฺ ปิ เจ ความว่า น้ อ ย คื อ แม้
พจน์ คือพระไตรปิ ฎก, นรชนเข้าไปหาอาจารย์ทงหลาย ั เล่าเรียน เพียง 1 วรรค หรือ 2 วรรค.
พระพุทธพจน์นนแล้ ั ว กล่าว คือบอก ได้แก่แสดงอยู่ ซึ งพระพุทธ บาทพระคาถาว่า ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี เป็ นต้น ความ
พจน์ แม้ม ากแก่ช นเหล่า อืน (แต่) หาเป็ นผู้ทํากิจอันการกบุคคล ว่ า นรชนรู ้อ รรถรู ้ธ รรมแล้ ว ประพฤติ ธ รรมอัน สมควรแก่
ฟังธรรมนันแล้วจะพึงทํา ไม่ คือไม่ยงั การทํา ไว้ใ นใจให้เป็ นไป โลกุต รธรรม 9 คือประเภทแห่งธรรม มี ป าริสุทธิศีล 4 ธุดงคคุณ
ด้วยอํา นาจแห่งไตรลักษณ์ มี อนิจจลักษณะเป็ นต้น ชัวขณะแม้ และอสุภกรรมฐาน เป็ นต้น ทีนับว่าข้อปฏิบตั ิอน ั เป็ นส่วนเบืองต้น
สักว่าไก่ปรบปี ก, นรชนนัน ย่อมเป็ นผู้มีสว่ นแห่งผลสักว่าการทํา ย่อ มเป็ นผู้ชื อว่า มี ป กติป ระพฤติธ รรมสมควร คื อ หวัง การแทง
วัต รปฏิวตั รจากลํานักของอันเตวาสิกทังหลายอย่างเดียว, แต่หา ตลอดอยู่ว่า " เราจักแทงตลอดในวันนี เราจักแทงตลอดในวันนี
เป็ นผู้มีสว่ นแห่งคุณเครืองเป็ นสมณะไม่ เหมือนคนเลียงโครักษา ทีเดียว" ชือว่าย่อมประพฤติ.
โคทังหลายเพือค่าจ้างประจําวัน รับไปแต่เช้าตรู่ เวลาเย็นนับมอบ นรชนนัน ละราคะ โทสะ และโมหะด้วยข้อปฏิบ ต ั ิ ช อบนี
ให้แก่เจ้า ของทังหลายแล้ว รับ เอาเพียงค่าจ้า งรายวัน, แต่ไม่ได้ แล้ว กําหนดรูธ้ รรมทีควรกําหนดรู ้ โดยชอบ คือโดยเหตุ โดยนัย
เพือบริโภคปัญจโครสตามความชอบใจ ฉะนันแล. มี จิต หลุด พ้นดีแล้ว ด้วยอํา นาจแห่งตทังควิมุต ติ วิกขัมภนวิมุตติ
เหมื อนอย่า งว่า เจ้า ของโคพวกเดียว ย่อมบริโ ภคปัญจโค สมุ จเฉทวิมุ ตติ ปฏิป ัสสัทธิวิมุตติและนิสสรณวิมุต ติ. หมดความ
รสแห่งโคทังหลาย ทีนายโคบาลมอบให้แล้ว ฉันใด, การกบุคคล ถือมันอยูใ่ นโลกนีหรือในโลกอืน คือไม่เข้าไปยึดถือขันธ์อายตนะ
ทังหลายฟังธรรมอันนรชนนันกล่า วแล้ว ปฏิบ ต ั ิต ามทีนรชนนัน และธาตุ ทงหลาย
ั อันนับ เนื องในโลกนี และโลกอืน หรืออันเป็ น
พรําสอนแล้ว ก็ ฉ ัน นัน, บางพวกบรรลุป ฐมฌานเป็ นต้น , บาง ภายในและภายนอก ด้วยอุปาทาน1 4 ชือว่าเป็ นมหาขีณาสพ
พวกเจริญ วิป ัสสนาแล้ว บรรลุ ม รรคและผล, จัด ว่า เป็ นผู้มี ส่วน ย่อมเป็ นผู้มีสว่ นแห่งคุณเครืองเป็ นสมณะคือผล อันมาแล้ว
แห่ง คุ ณ เครืองเป็ นสมณะ เหมื อ นพวกเจ้า ของโค ย่อ มเป็ นผู้มี ด้ ว ยอํา นาจแห่งคุ ณ เครื องเป็ นสมณะ กล่า วคื อ มรรค และคุณ
ส่วนแห่งโครสฉะนัน. เครืองเป็ นสมณะคือกองแห่งอเสขธรรม15.
พระศาสดาตรัสคาถาที 1 ด้วยอํา นาจแห่งภิกษุ ผู้สมบู รณ์ 1.กามุปาทาน การถือมัน กาม1 ทิฏ ุปาทาน การถือมัน ทิฏฐิ1 ลัพ พตุ
ด้ ว ยศี ล ผู้ มี สุ ต ะมาก (แต่ ) มี ป กติ อ ยู่ด้ ว ยความประมาท ไม่ ปาทาน การถือมันศีลพรต1 อ ัตตวาทุปาทาน การถือมันวาทะว่าตน1.
ประพฤติแล้วในการทําไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายด้วยอํา นาจ พระศาสดาทรงรวบยอดแห่งเทศนาด้วยพระอรหัต เหมือน
แห่งไตรลักษณ์ มี อนิจจลักษณะเป็ นต้น, หาตรัสด้วยอํานาจแห่ง นายช่างถือเอายอดแห่งเรือน ด้วยยอดแก้วฉะนัน ดังนีแล.
ภิกษุ ผู้ทุศีลไม่ ด้วยประการฉะนี. ในกาลจบคาถา คนเป็ นอันมาก ได้เป็ นอริยบุคคลมีพระ
ส่วนคาถาที 2 พระองค์ต รัสด้วยอํานาจแห่งการกบุคคลผู้ โสดาบันเป็ นต้น. เทศนามีประโยชน์แก่มหาชน ดังนีแล.
แม้มี สุตะน้อย (แต่)ทํากรรมในการทําไว้ในใจโดยอุบายอันแยบ ....................................................

เรืองอุกกัณฐิตภิกษุ [26] ขุ.ธ.อ.40 หน้า 407 มมร. อุปชั ฌาย์, ในเวลาทีภิกษุ นนได้
ั อุปสมมทแล้วมาสูส่ าํ นักของตน
(อาจารย์) อาจารย์กล่า วปัญหาในพระอภิธรรมว่า "ชื อว่า ใน
ข้อความเบืองต้น
พระพุทธศาสนา ภิกษุ ทํา กิจนี จึงควร, ทํา กิจนี ไม่ค วร. " ฝ่ าย
พระศาสดา เมือประทับอยูใ่ นกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ พระอุปช ั ฌาย์ ก็กล่าวปัญหาในพระวินยั ในเวลาทีภิกษุ นนมาสู
ั ่
ผู้กระสัน(จะสึก ) รูปใดรูปหนึ ง ตรัสพระธรรมเทศนานีว่า
สํา นักของตนว่า " ชื อว่า ในพระพุทธศาสนา ภิกษุ ทาํ สิงนีควร,
"Êططڷʙ" เป็ นต้น. ทําสิงนีไม่ควร; สิงนีเหมาะ สิงนีไม่เหมาะ."
พระเถระแนะอุบายพ้นทุกข์แก่เศรษฐีบุตร 1. กุลุปกะ ผู้เข้าไปสู่ตระกูล 2. ภัตทียายกถวายตามสลาก. 3. ภัตที
ดัง ได้ สดับ มา เมื อพระศาสดาประทับ อยู่ใ นกรุงสาวัต ถี ทายกถวายในวันปักษ์ . 4. ภัตทีทายกถวายแก่ภก ิ ษุ ผจู้ าํ พรรษา.
บุตรเศรษฐีผู้หนึ ง เข้าไปหาพระเถระผู้เป็ นชีต้น1ของตน เรียน อยากสึกจนซูบผอม
ว่า "ท่านผู้เจริญ กระผมใคร่จะพ้นจากทุกข์, ขอท่านโปรดบอก ท่านคิดว่า "โอ ! กรรมนีหนัก; เราใคร่จะพ้นจากทุกข์ จึง
อาการสําหรับพ้นจากทุกข์แก่กระผมสักอย่างหนึ ง. "
บวช, แต่ใ นพระพุทธศาสนานี สถานเป็ นทีเหยียดมื อของเรา
พระเถระ กล่า วว่า "ดี ล ะ ผู้ มี อ ายุ ถ้า เธอใคร่จ ะพ้นจาก ไม่ป รากฏ, เราดํา รงอยูใ่ นเรือนก็อาจพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้
ทุกข์ไซร้, เธอจงถวายสลากภัต2 ถวายปักขิกภัต3 ถวายวัสสาวา เราควรเป็ นคฤหัสถ์(ดี กว่า )." ตังแต่นน ั ท่า นกระสัน (จะสึก)
สิกภัต4 ถวายปัจจัยทังหลายมีจีวรเป็ นต้น, แบ่งทรัพย์สมบัตข ิ อง หมดยินดี (ในพรหมจรรย์) ไม่ทํา การสาธยายในอาการ 32,
ตนให้เป็ น 3 ส่วน ประกอบการงานด้วยทรัพย์สว่ น 1 เลียงบุตร ไม่เรียนอุเทศ ผอม ซูบซีด มีตวั สะพรังไปด้วยเส้นเอ็น ถูกความ
และภ รรยาด้ ว ยทรัพ ย์ ส่ ว น 1 ถวา ยทรัพ ย์ ส่ ว น 1 ไว้ ใ น
เกียจคร้านครอบงํา เกลือนกล่นแล้วด้วยหิดเปื อย.
พระพุทธศาสนา." เขารับ ว่า "ดี ละ ขอรับ " แล้วทํา กิจทุกอย่าง ลํา ดับ นัน พวกภิกษุ หนุ่ ม และสามเณร ถามท่า นว่า " ผู้มี
ตามลําดับแห่งกิจทีพระเถระบอก แล้วเรียนถามพระเถระอีกว่า อายุ ทําไม ? ท่านจึงยืนแฉะอยูใ่ นทียืนแล้ว นังแฉะในทีนังแล้ว
"กระผมจะทํา บุ ญ อะไรอย่า งอื น ที ยิงขึ นไปกว่า นี อี ก เล่า ? ถูกโรคผอมเหลืองครอบงํา ผอม ซู บ ซี ด มี ต วั สะพรังด้วยเส้น
ขอรับ." พระเถระ ตอบว่า " ผู้มีอายุ เธอจงรับไตรสรณะ (และ) เอ็น ถูกความเกียจคร้านครอบงํา เกลือนกล่นแล้วด้วยหิดเปื อย,
ศี ล 5." เขารับ ไตรสรณะและศี ล 5 แม้เหล่า นันแล้ว จึงเรียน ท่านทํากรรมอะไรเล่า ?"
ถามถึงบุ ญกรรมทียิงขึ นไปกว่า นัน. พระเถระก็แนะว่า " ถ้า
ภิกษุ . ผู้มีอายุ ผมเป็ นผู้กระสัน.
กระนัน เธอจงรับศีล 10." เขากล่าวว่า " ดีละ ขอรับ " แล้วก็รบั ภิกษุ หนุ่มและสามเณร. เพราะเหตุไร ?
(ศีล 10).เพราะเหตุทีเขาทําบุญกรรมอย่างนันโดยลําดับ เขาจึง ภิกษุ นนั บอกพฤติการณ์ นนแล้ ั ว, ภิกษุ หนุ่มและสามเณร
มี นามว่า อนุ ปุ พพเศรษฐีบุ ต ร. เหล่า นันบอกแก่พระอาจารย์และพระอุป ัช ฌาย์ข องท่า นแล้ว.
เขาเรียนถามอีกว่า " บุ ญอันกระผมพึงทํา แม้ยิงขึ นไป พระอาจารย์ แ ละพระอุ ป ัช ฌาย์ ได้ พ ากัน ไปยัง สํา นัก พระ
กว่านี ยังมีอยูห่ รือ ? ขอรับ" เมือพระเถระกล่าวว่า " ถ้ากระนัน ศาสดา.
เธอจงบวช," จึงออกบวชแล้ว. ภิกษุ ผู้ทรงพระอภิธรรมรูป หนึ ง
ได้เป็ นอาจารย์ของเธอ, ภิกษุ ผู้ทรงพระวินยั รูปหนึ ง เป็ นพระ

32
รักษาจิตอย่างเดียวอาจพ้นทุกข์ได้ ÊØ··Ø ·Ú ʙ Êع»Ô ³
Ø ™ µڶ ¡ÒÁ¹Ô»ÒµÔ¹™
พระศาสดาตรัสถามว่า "ภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอมาทําไมกัน ?" ¨ÔµµÚ ™ áÚࢶ àÁ¸ÒÇÕ ¨ÔµµÚ ™ ¤ØµµÚ ™ ÊØ¢ÒÇ˙.
อาจารย์และอุป ัช ฌาย์. ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ รูปนี "ผู้มีปญ
ั ญา พึงรักษาจิต ทีเห็นได้แสนยาก
กระสันในศาสนาของพระองค์. ละเอียดยิงนัก มันตกไปในอารมณ์ตามความใคร่,
พระศาสดา. ได้ยน ิ ว่า อย่างนันหรือ ? ภิกษุ . (เพราะว่า) จิตทีคุม
้ ครองไว้ได้ เป็ นเหตุนําสุขมาให้."
ภิกษุ . อย่างนัน พระเจ้าข้า. แก้อรรถ
พระศาสดา. เพราะเหตุไร ?
บทว่า สุท ุท ฺทส ได้แก่ ยากทีจะเห็นได้ด้วยดี . บทว่า สุนิ
ภิกษุ . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ( เพราะ) ข้าพระองค์ใคร่จะ
ปุณ  ละเอียดทีสุด ได้แก่ ละเอียดอย่างยิง.
พ้นจากทุกข์ จึงได้บวช, พระอาจารย์ของข้าพระองค์นน ั กล่าว
บาทพระคาถาว่า ยตฺถ กามนิปาติน  ความว่า มักไม่พิจารณาดู
อภิธรรมกถา, พระอุป ัชฌาย์กล่าววินยั กถา. ข้า พระองค์นนได้ ั
ฐานะทังหลายมีชาติเป็ นต้น ตกไปในอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึง
ทํา ความตกลงใจว่า ' ในพระพุทธศาสนานี สถานเป็ นทีเหยียด
ในฐานะทีพึงได้หรือไม่พงึ ได้ สมควรหรือไม่สมควร.
มือของเราไม่มีเลย, เราเป็ นคฤหัสถ์ ก็อาจพ้นจากทุกข์ได้, เรา
บาทพระคาถาว่า จิตฺต  รกฺเขถ เมธาวี ความว่า คนอันธพาลมี
จักเป็ นคฤหัสถ์' ดังนี พระเจ้าข้า.
ปัญญาทราม ชื อว่า สามารถรักษาจิต ของตนไว้ได้ ย่อมไม่มี.
พระศาสดา. ภิ ก ษุ ถ้า เธอจักสามารถรักษาได้เพี ยงสิง
เขาเป็ นผู้เป็ นไปในอํานาจจิต ย่อมถึงความพินาศฉิบหาย: ส่วน
เดี ยวเท่า นัน, กิจคือการรักษาสิงทังหลายทีเหลือ ย่อมไม่มี .
ผู้มี ป ัญญาคือเป็ นบัณฑิตเทียว ย่อมอาจรักษาจิตไว้ได้. เพราะ
ภิกษุ . อะไร ? พระเจ้าข้า.
เหตุนน ั แม้เธอจงคุม
้ ครองจิตไว้ให้ได้; เพราะว่า จิต ทีคุม
้ ครอง
พระศาสดา. เธอจักอาจรักษาเฉพาะจิตของเธอ ได้ไหม ?
ไว้ได้ เป็ นเหตุนําสุขมาให้ คือย่อมนํามาซึ งสุขอันเกิดแต่มรรค
ภิกษุ . อาจรักษาได้ พระเจ้าข้า.
ผลและนิพพาน ดังนี.
พระศาสดา ประทานพระโอวาทนีว่า " ถ้ากระนัน เธอจงรักษา
ในกาลจบเทศนา ภิกษุ นนบรรลุ
ั โสดาปัตติผลแล้ว ชนแม้
เฉพาะจิตของตนไว้, เธออาจพ้นจากทุกข์ได้" ดังนีแล้ว จึงตรัส
เหล่า อืนเป็ นอันมาก ได้เป็ นอริยบุคคล มี พระโสดาบันเป็ นต้น.
พระคาถานี
เทศนาได้สาํ เร็จประโยชน์แก่มหาชน ดังนีแล.
…………………………………………..
อลคัททูปมสูตร ม.มู.12/274/181 ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เปรียบเหมือนบุรุษผูม้ ีความต้องการงูพษ ิ
ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยอสรพิษ เสาะหางูพิษ เทียวแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงกดงูพษ ิ นัน
[274] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี ไว้ม ันด้วยไม้มีส ัณฐานเหมือนเท้าแพะ ครันกดไว้ม ันด้วยไม้มีส ัณฐาน
สมัยหนึ ง พระผูม ้ ีพระภาคประท ับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม เหมือนเท้าแพะแล้ว จับทีคอไว้ม ัน ถึงแม้งูพษ ิ นันพึงรัดมือ แขน หรือ
ของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนันแล อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ งของบุรุษนันด้วยขนดก็จริง ถึงอย่างนัน
ทิฏฐิอ ันลามกเห็นปานนี บังเกิดขึนแก่อริฏฐภิกษุ ผูเ้ ป็ นเหล่ากอของคน เขาไม่ถงึ ความตาย หรือความทุกข์ปางตาย ซึงมีการพันนันเป็ นเหตุ ข้อ
ฆ่า แร้ง ว่า ข้า พเจ้า รู ้ถ ึง ธรรมที พระผู้มี พ ระภาคทรงแสดงแล้ว โดย นันเป็ นเพราะเหตุอะไร เพราะงูพิษอ ันตนจับไว้ม ันแล้ว แม้ฉน ั ใด .. ก็
ประการทีธรรมทงหลายที ั พระผูม ้ ีพระภาคตรัสแล้วว่า เป็ นธรรมกระทํา ฉันนัน
ซึ งอนั ตราย ธรรมเหล่านันไม่สามารถทําอ ันตรายแก่ผซ ู้ อ่ งเสพได้จริง. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เพราะเหตุนน ั เธอทงหลายพึ
ั งรูถ้ งึ เนื อความ
... แห่งภาษิตของเราอย่างใด พึงทรงจําไว้อย่างนันเถิด ก็แลท่านทงหลาย ั
บุรุษเปล่าเรียนธรรม ไม่พึงรูถ้ งึ เนื อความแห่งภาษิ ตของเรา พึงสอบถามเรา หรือถามภิกษุ ผู้
[278] ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั บุรุษเปล่า บางพวกในพระธรรมวินยั นี ย่อม ฉลาดก็ ไ ด้ เราจัก แสดงธรรมมี อุ ป มาด้ว ยแพแก่ท่า นท งหลาย ั เพื อ
เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื อต้องการจะยึดถือ ท่านท งหลายจงฟั
ั งธรรม
ชาดก อพ ั ภูตธรรม เวท ลั ละ บุรุษเปล่าเหล่านัน เล่าเรียนธรรมนันแล้ว นัน จงใส่ใจไว้ให้ดี เราจัก กล่าว. ภิก ษุ เหล่านัน ทูลรับพระผู้มีพระภาค
ย่ อ มไม่ ไ ตร่ ต รองเนื อความแห่ง ธรรมเหล่า นันด้ ว ยปัญ ญา ธรรม แล้ว.
เหล่านัน ย่อมไม่ควรซึ งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านัน ผู้ไม่ไตร่ตรอง
ธรรมเปรียบเหมือนแพ
เนื อความด้ว ยปัญ ญา บุ รุ ษ เปล่า เหล่า นันเป็ นผู้มี ค วามข่ม ผู้อื นเป็ น
[280] พระผูม ้ ีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เปรียบเหมือนบุรุษผู้
อานิสงส์ และมีการเปลืองเสียซึงความนินทาเป็ นอานิสงส์ ย่อมเล่าเรียน
เดินทางไกล พบห้วงนําใหญ่ ฝังข้างนี น่ ารังเกียจ มีภ ัยตังอยูเ่ ฉพาะหน้า
ธรรม ก็กุลบุตรท งหลาย ั ย่อมเล่าเรียนธรรมเพือประโยชน์ อน ั ใด บุรุษ
ฝังข้างโน้ น เกษม ไม่มีภยั ก็แ หละเรือหรือสะพานสําหรับข้าม เพื อจะ
เปล่าเหล่านัน ย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์ นนแห่ ั งธรรมนัน ธรรมเหล่านัน
ไปสูฝ ่ งั โน้นไม่พึงมี บุรุษนันพึงดําริอย่างนีว่า ห้วงนํานี ใหญ่แล ฝังข้างนี
อน ั บุ รุ ษ เปล่า เหล่า นันเรี ย นไม่ดี แ ล้ว ย่อ มเป็ นไปเพื อความไม่เป็ น
น่ ารังเกียจ มีภ ัยตังอยูเ่ ฉพาะหน้า ฝังข้างโน้นเกษม ไม่มีภ ัย ก็แหละเรือ
ประโยชน์ เพื อทุก ข์สินกาลนาน ข้อนันเป็ นเพราะอะไร เพราะธรรม
หรือสะพานสําหรับข้าม เพื อจะไปสูฝ ่ งั โน้นย่อมไม่มี ถ้ากระไร เราพึง
ทงหลายอ
ั ันตนเรียนไม่ดีแล้ว.
รวบรวมหญ้า ไม้ กิงไม้ และใบไม้ม าผู ก เป็ นแพ แล้ว อาศัยแพนัน
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงู
พยายามด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝังได้โดยความสวัสดี.
พิษ เสาะหางูพิษ เทียวแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษ
ทีนี แล บุรุษนันรวบรวมหญ้า ไม้ กิงไม้ และใบไม้มาผูก เป็ น
นันทีขนดหรือทีหาง งูพิษนันพึงแว้งก ัดเขาทีข้อมือ ทีแขน หรือทีอวัยวะ
แพ อาศัยแพนัน พยายามด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝังโดยความสวัสดี
ใหญ่น้ อยแห่งใดแห่งหนึ ง เขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย
บุรุษนันข้ามไปสูฝ ่ งั ได้แล้ว พึงดําริอย่างนี ว่า แพนี มีอุปการะแก่เรามาก
มีการก ัดนันเป็ นเหตุ ข้อนันเป็ นเหตุเพราะอะไร เพราะงูพิษตนจับไม่ดี
แล เราอาศัยแพนี พยายามอยู่ด้วยมือและเท้า ข้ามถึงฝังได้โ ดยความ
แล้ว แม้ฉน ั ใด .. ก็ฉน ั นัน
สวัสดี ถ้ากระไร เรายกแพนี ขึนบนศีรษะ หรือแบกทีบ่า แล้วพึงหลีกไป
กุลบุตรเรียนธรรม ตามความปรารถนา. ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั เธอท งหลายจะสํ
ั าคัญความข้อ
[279] ดูก รภิก ษุ ทงหลาย
ั กุลบุตรบางพวกในพระธรรมวินยั นี ย่อมเล่า นันเป็ นไฉน บุรุษนันผูก ้ ระทําอย่างนี จะชือว่ากระทําถูกหน้าทีในแพนัน
เรียนธรรม คือสุตตะ เคยยะ ... เวท ัลละ กุลบุตรเหล่านัน เล่าเรียนธรรม บ้างหรือหนอ?
นันแล้ว ย่อมไตร่ตรองเนื อความแห่งธรรมเหล่านันด้วยปัญญา ธรรม ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลว่า ข้อนันชือว่าทําไม่ถูก พระเจ้าข้า? พระผูม ้ ีพระ
เหล่ า นัน ย่ อ มควรซึ งการเพ่ ง แก่กุ ล บุ ต รเหล่ า นัน ผู้ ไ ตร่ ต รองซึ ง ภาคตรัสว่า ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั ก็บุรุษนันกระทําอย่างไร จึงจะชือว่าทํา
เนื อความด้ว ยปัญ ญา กุ ล บุ ต รเหล่า นัน ไม่เ ป็ นผู้มี ก ารข่ม ผู้อื นเป็ น ถูกหน้าทีในแพนัน?
อานิ สงส์ และไม่มีก ารเปลืองเสียซึ งความนินทาเป็ นอานิสงส์ ย่อมเล่า ในข้อนี บุรุษนันข้ามไปสู่ฝงั แล้ว พึงดําริอย่างนี ว่า แพนี มีอุปการะแก่
เรียนธรรม และกุลบุตรเหล่านัน ย่อมเล่าเรียนธรรมเพือประโยชน์ ใด เรามากแล เราอาศัยแพนี พยายามอยูด ่ ้วยมือและเท้า จึงข้ามถึงฝังได้
ย่อ มได้เ สวยประโยชน์ นันแห่งธรรมนัน ธรรมเหล่า นันอ น ั กุ ลบุตร โดยสวัสดี ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี ขึนวางบนบก หรือให้ลอยอยูใ่ นนํ า
เหล่านันเรียนดีแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือประโยชน์ เพือความสุขสินกาลนาน แล้ว พึงหลีกไปตามความปรารถนา.
ข้อนี เป็ นเพราะเหตุอะไร เพราะธรรมทงหลายอั ันตนเรียนดีแล้ว.

33
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั บุรุษนันกระทําอย่างนี แล จึงจะชือว่ากระทํา สมัญญาผูห ้ มดกิเลส
ถูกหน้าทีในแพนัน แม้ฉน ั ใด. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราแสดงธรรมมีอุปมา [285] ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็น อยู่อย่างนี
ด้วยแพ เพื อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื อต้องการยึดถือ ฉัน นันแล เธอ ย่อมเบือหน่ ายทงในรู ั ป ทงในเวทนา
ั ทงในส
ั ัญญา ทงในส
ั ังขารทงหลาย

ทงหลายรู
ั ถ้ งึ ธรรมมีอุปมาด้วยแพทีเราแสดงแล้วแก่ทา่ นทงหลาย ั พึงละ ท งในวิ
ั ญญาณ เมือเบือหน่ าย ย่อมคลายกําหนัด เพราะคลายกําหนัด
แม้ซงธรรมท
ึ งหลาย
ั จะป่ วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า. ย่อมหลุดพ้น เมือหลุดพ้น แล้ว ก็มีญาณรูว้ ่า หลุดพ้น แล้ว ย่อมรูช ้ ดั ว่า
ชาติสนแล้ ิ ว พรหมจรรย์อยูจ่ บแล้ว กิจทีควรทํา ทําเสร็จแล้ว กิจอืนเพือ
เหตุแห่งทิฏฐิ 6 ความเป็ นอย่างนี มิได้มีอีก.
[281] ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เหตุแ ห่งทิฏฐิ 6 ประการเหล่านี . 6 ประการ ...
เป็ นไฉน? ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ปุถุชนในโลกนี ผูไ้ ม่ได้สดับ ไม่เห็นพระ
อริย ะท งหลาย ั ไม่ฉ ลาดในธรรมของพระอริย ะ ไม่ไ ด้รบ ั แนะนํ าใน การวางใจเป็ นกลางในลาภส ักการะ
ธรรมของพระอริยะ ไม่เ ห็ น ส ต ั บุรุ ษ ไม่ฉ ลาดในธรรมของสตั บุรุษ [286] ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั เทวดาทงหลาย ั พร้อมด้วยพระอินทร์ พร้อม
ไม่ได้รบ ั แนะนําแล้วในธรรมของส ัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า นัน ด้วยพรหม พร้อมด้วยปชาบดี แสวงหาภิก ษุ ผู้ไม่มีจิตอน ั หลุดพ้นแล้ว
ของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นอ ัตตาของเรา .. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา .. อย่างนี แล ย่อมไม่ประสบว่า วิญญาณของตถาคตอาศัยแล้วซึงทีนี ข้อ
ส ัญญา ..ส ังขารทงหลายว่ ั า นันของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นอ ัตตาของเรา นันเพราะเหตุอะไร ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เรากล่าวตถาคต [บุคคลเช่นนัน]
ย่ อ มพิ จ ารณาเห็ น รู ป ที เห็ น แล้ ว เสี ย งที ฟั ง แล้ ว กลิ น รส ว่าใครๆ ไม่จาํ ต้องกล่าวในทิฏฐิธรรม.
โผฏฐัพ พะที ทราบแล้ว อารมณ์ ที รู ้แ จ้ ง แล้ ว ถึ ง แล้ ว แสวงหาแล้ว สมณพราหมณ์ พ วกหนึ งกล่าวตู่เราผู้ก ล่าวอย่างนี แล ผู้บอก
ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นันของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นอ ัตตาของเรา อย่างนี ด้วยมุสาวาทเปล่าๆ อ ันไม่มีจริง อ ันไม่เป็ นจริงว่า พระสมณโค
ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิวา่ นันโลก นันอ ัตตาในปรโลก ดม เป็ นผู้ให้สตั ว์พินาศ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพิน าศ ความ
เรานันจักเป็ นผูเ้ ทียง ย ังยืน คงที ไม่มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา จัก เลิก เกิดแห่งส ัตว์ผม ู้ ีอยู.่ ดูก รภิกษุ ทงหลาย ั เราจะกล่าวอย่างใด และไม่
ตังอยู่เสมอด้วยความเทียงอย่างนันว่า นัน ของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ น กล่าวอย่างใดก็หาไม่ ..
อ ัตตาของเรา. ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เราย่อมบัญญัติทุกข์ และความดับทุก ข์ ท งั
ดูก รภิก ษุ ท งหลายั ส่วนอริยสาวกผู้สดับแล้ว ผู้เห็น พระอริยะ ในกาลก่อนและในกาลบัดนี . ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั ถ้าว่าบุคคลเหล่าอืน
ทงหลาย
ั ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้ร ับแนะนําดีแล้วในธรรมของ ย่อมด่า ย่อมบริภาษ ย่อมโกรธ ย่อมเบียดเบียน ย่อมกระทบกระเทียบ
พระอริยะ เห็น ส ัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของส ัตบุรุษ ได้รบ ั แนะนําดีแล้ว ตถาคต ในการประกาศส ัจจะ 4 ประการนัน ตถาคตก็ไม่มีความอาฆาต
ในธรรมของส ัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า นัน ไม่ใช่ของเรา เราไม่ ไม่มีความโทมนัส ไม่มีจต ิ ยินร้าย.
เป็ นนัน นัน ไม่ใช่อตั ตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็น เวทนา .. สญ ั ญา .. ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั ถ้าว่าชนเหล่าอืน ย่อมสกั การะ ย่อมเคารพ
สงั ขารทงหลายว่ ั า นัน ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็ นนัน นัน ไม่ใช่อ ัตตาของ ย่อ มนับ ถื อ ย่อ มบู ช าตถาคต ในการประกาศส จั จะ 4 ประการนัน
เรา ตถาคตก็ไม่มีความยิน ดี ไม่มีความโสมนัส ไม่มีใจเย่อหยิงในปัจ จัย
ย่ อ มพิ จ ารณาเห็ น รู ป ที เห็ น แล้ ว เสี ย งที ฟั ง แล้ ว กลิ น รส ทงหลาย
ั มีส ักการะเป็ นต้นนัน.
โผฏฐัพ พะที ทราบแล้ว อารมณ์ ที รู ้แ จ้ ง แล้ ว ถึ ง แล้ ว แสวงหาแล้ว ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั ถ้าว่าชนเหล่าอืน ย่อมสกั การะ ย่อมเคารพ
ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นันไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็ นนัน นันไม่ใช่อ ัตตา ย่อ มนับ ถื อ ย่อ มบู ช าตถาคต ในการประกาศส จั จะ 4 ประการนัน
ของเรา ตถาคตมีความดําริอย่างนี ในปัจ จัยท งหลาย ั มีสกั การะเป็ นต้น นันว่า
ย่อมพิจารณาเห็น เหตุแ ห่งทิฏฐิว่า นัน โลก นัน ตนในปรโลก ส ักการะเห็นปานนี บุคคลกระทําแก่เราในขันธปัญจกทีเรากําหนดรูแ้ ล้ว
เรานันจักเป็ นผูเ้ ทียง ย ังยืน คงที ไม่มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา จัก ในกาลก่อน.
ตังอยู่เสมอด้วยความเทียงอย่างนันว่า นัน ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็ นนัน [287] เพราะเหตุน นแล ั ภิก ษุ ท งหลาย
ั ถ้าแม้ว่าชนเหล่าอืนพึงด่า พึง
นัน ไม่ใช่อตั ตาของเรา พระอริยสาวกนันพิจารณาอยู่อย่างนี ย่อมไม่ บริภาษ พึงโกรธ พึงเบียดเบียน พึงกระทบกระเทียบท่านทงหลาย ั ท่าน
สะดุง้ ในเพราะสิงทีไม่มีอยู.่ ท งหลายไม่
ั พึงกระทําความอาฆาต ไม่พึงกระทําความโทมนัส ไม่พึง
... กระทํา ความไม่ช อบใจในชนเหล่า อื นนัน. เพราะเหตุ น ันแล ภิก ษุ
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เธอท งหลายจะสํ
ั าคัญความข้อนันเป็ นไฉน ท งหลาย ั แม้ถ ้าว่าชนเหล่าอืน พึงสกั การะ พึงเคารพ พึงนับถือ พึงบูชา
รูปเทียงหรือไม่เทียง? ท่านทงหลาย ั ท่านทงหลายไม่ ั พึงกระทําความยินดี ความโสมนัส ไม่พึง
ไม่เทียง พระเจ้าข้า. กระทําความเย่อหยิงแห่งใจในปัจจัยท งหลาย ั มีสกั การะเป็ นต้น นัน.
ก็สงใดไม่
ิ เทียง สิงนันเป็ นทุกข์หรือเป็ นสุขเล่า? เพราะเหตุน นแล ั ภิก ษุ ท งหลาย ั แม้ถ ้าว่า ชนเหล่าอืนพึงสกั การะ พึง
เป็ นทุกข์ พระเจ้าข้า. เคารพ พึงนับถือ พึงบูชาท่านทงหลาย ั ท่านท งหลาย
ั พึงดําริอย่างนี ใน
ก็สงใดไม่ิ เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรม ควรหรือทีจะตาม ปัจจัยทงหลาย ั มีส ักการะเป็ นต้นนันว่า ส ักการะเห็นปานนี บุคคลกระทํา
เห็นสิงนันว่า นันของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นอ ัตตาของเรา? แก่เราทงหลาย ั ในขัน ธปัญจกทีเราทงหลายกํ ั าหนดรูแ ้ ล้วในกาลก่อนๆ
ข้อนันไม่ควรเลย พระเจ้าข้า. เพราะเหตุ น ันแล ภิก ษุ ท งหลาย ั สิงใดไม่ใ ช่ข องท่า นท งหลาย ั ท่าน
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เธอท งหลายจะสํ
ั าคัญความข้อนันไฉน เวทนา ... ท งหลายจงละสิ
ั งนันเสี ย สิ งนันท่ า นท งหลายละได้ ั แ ล้ ว จัก มี เ พื อ
ส ัญญา ... ส ังขารทงหลาย ั ... วิญญาณ เทียงหรือไม่เทียง? ประโยชน์ เพือความสุข สินกาลนาน. ...
ไม่เทียง พระเจ้าข้า.
ก็สงใดไม่ ิ เทียง สิงนันเป็ นทุกข์หรือเป็ นสุข. ผลแห่งการละกิเลส
เป็ นทุกข์ พระเจ้าข้า? [288] .. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ในธรรมทีเรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี เป็ นของ
ก็สิงใดไม่เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรหรือทีจะ ตืน เปิ ดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุ เหล่าใด ผูเ้ ป็ นธ ัมมานุ สารี เป็ น
ตามเห็นสิงนันว่า นันของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นอ ัตตาของเรา? สทั ธานุ สารี ภิก ษุ เหล่านันทงหมด
ั มีปญ
ั ญาเป็ นเครืองตรัสรูด ้ ีเป็ นทีไป
ข้อนี ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า. ในเบืองหน้า.
เพราะเหตุนนแล ั ภิกษุ ทงหลายั รูปอย่างใดอย่างหนึ ง ทีเป็ นอดีต อนาคต ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั ในธรรมทีเรากล่าวไว้ดี แ ล้ว อย่า งนี เบื องของตืน
และ ปัจ จุ บ น ั เป็ นภายในหรื อภายนอก หยาบหรื อ ละเอียด เลวหรือ เปิ ดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว บุคคลเหล่าใด มีเพี ยงความเชือ เพียง
ประณี ต อยู่ในทีไกลหรือในทีใกล้ รูปท งปวง ั เธอท งหลาย
ั พึงเห็นด้วย ความรัก ในเรา บุคคลเหล่านันทงหมด ั เป็ นผู้มีสวรรค์เป็ นทีไปในเบือง
ปัญญาอ ันชอบตามความเป็ นจริงอย่างนี ว่า นันไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็ น หน้า. ...
นัน นันไม่ใช่อ ัตตาของเรา เวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง ... ส ัญญาอย่างใด ______________________
อย่างหนึ ง ... ส ังขารเหล่าใดเหล่าหนึ ง ... วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ ง ที
เป็ นอดี ต อนาคต และปัจ จุ บ น ั เป็ นภายในหรือ ภายนอก หยาบหรือ
ละเอียด เลวหรือประณีต อยูใ่ นทีไกลหรือในทีใกล้ วิญญาณทงปวง ั เธอ
ท งหลายพึ
ั ง เห็น ด้วยปัญ ญาอน ั ชอบตามความเป็ นจริงอย่างนี ว่า นัน
ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็ นนัน นันไม่ใช่อ ัตตาของเรา.

34
ปริยตั ิ 3 อย่าง วิ.ม.อ.1 หน้า 51 [ภิกษุ ผป
ู้ ฏิบตั ดิ ีใน 3 ปิ ฎกได้ผลดีตา่ งกัน]
[ปริย ัติ 3 อย่าง] อนึ ง ภิกษุ ผู้ป ฏิบตั ิในพระวินยั อาศัยสีลสมบัติ ย่อมได้
จริง อยู่ ปริย ต ั ิ 3 คื อ อลค ท ั ทู ป มาปริย ต
ั ิ 1 นิ ส สรณัต ถ บรรลุวิช ชา 3 ก็เพราะตรัสจําแนกประเภทวิชชา 3 เหล่านันนัน
ปริยตั ิ 1 ภัณฑาคาริยปริยตั ิ* 1 ในปริยตั ิ 3 อย่างนัน แลไว้ใ นพระวินยั นัน. ผู้ป ฏิบ ต ั ิดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสมบัติ
(1) ปริยตั ิใ ด อันบุ ค คลเรียนไม่ดี คือเรียนเพราะเหตุ มี ย่อมได้บรรลุอภิญญา 6 ก็เพราะตรัสจําแนกประเภทอภิญญา 6
การโต้แย้งเป็ นต้น, ปริยตั ินี ชื อว่า ปริยตั ิเปรียบด้วยงูพิษ ทีพระ เหล่า นันไว้ใ นพระสูต รนัน. ผู้ ป ฏิ บ ต ั ิดี ใ นพระอภิธรรม อาศัย
ผู้ มี พ ระภาคเจ้า ทรงหมายตรัส ไว้ ว่ า ภิ ก ษุ ทังหลาย ! เปรี ย บ ปัญ ญาสมบัติ ย่อ มได้บ รรลุป ฏิส ม ั ภิทา 4 ก็ เ พราะตรัสจํา แนก
เหมื อนบุ รุษ ผู้มีความต้องการด้วยงู พิษ เทียวเสาะแสวงหางูพษ ิ ประเภทปฏิสมั ภิทา 4 นันไว้ในพระอภิธรรมนันนันเอง. ผู้ปฏิบตั ิ
เขาพึงพบงูพษ ิ ตัวใหญ่ พึงจับ งู พษ ิ นันทีขนดหรือทีหาง งู พษ ิ นัน ดีในปิ ฎกเหล่านี ย่อมบรรลุสมบัติต่างกัน คือวิชชา 3 อภิญญา 6
พึงแว้งกัดเขาทีมือหรือแขน หรือทีอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่ง และปฏิสมั ภิทา 4 นีตามลําดับด้วยประการฉะนี.
หนึ ง เขาพึงถึงความตายหรือความทุกข์ปางตาย ซึ งมีการกัดนัน 1-2. Á. ÁÙ 12/268-269
เป็ นเหตุ ข้อนันเพราะอะไรเป็ นเหตุ ภิกษุ ทงหลาย ั ! เพราะงูพษ ิ
[ผูป
้ ฏิบตั ิไม่ดีใน 3 ปิ ฎกได้ผลเสียต่างกัน]
เขาจับไม่ดี แม้ฉน ั ใด
ก็ภิกษุ ผป ู้ ฏิบตั ไิ ม่ดีในพระวินยั ย่อมมีความสําคญ ั ว่าหา
ภิกษุ ทงหลาย
ั ! โมฆบุ รุษ บางพวกในธรรมวินยั นี ก็ฉ ัน
โทษมิได้ ในผัสสะทังหลายมีสม ั ผัสซึ งรูปเป็ นอุปาทินกะเป็ นต้น
นันเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามแล้ว โดยความเป็ นอาการเสมอ
คาถา อุทาน อิติวุต ตกะ ชาตกะ อัพภู ต ธัม มะ เวทัลละ พวกเขา
กับ ด้วยสัม ผัสซึ งวัตถุมีเครืองลาดและผ้าห่มเป็ นต้น ซึ งมี สมั ผัส
ครันเรียนธรรมนันแล้ว ย่อมไม่พจิ ารณาแห่งธรรมเหล่านันด้วย
เป็ นสุข ทีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว. แม้ข้อนีต้องด้วย
ปัญญา ธรรมเหล่านันย่อมไม่ควรต่อการเพ่งพินิจแก่พวกเขา ผู้
คําทีพระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรูท ้ วถึ
ั งซึ งธรรมอันพระผู้มี พ ระ
ไม่พิจารณาอรรถด้วยปัญญา พวกเขาเรียนธรรมมี การโต้แย้ง
ภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยประการทีว่า เป็ นธรรมอันทําอันตราย
เป็ นอานิสงส์ และมี หลักการบ่นเพ้อว่าอย่างนี เป็ นอานิสงส์ และ
ได้อย่า งไร ธรรมเหล่า นันไม่สามารถ เพือกระทํา อันตรายแก่
ย่อมไม่ได้รบั ประโยชน์แห่งธรรมทีพวกกุลบุตรต้องประสงค์เล่า
บุ ค คลผู้เสพได้ 1 ดังนี . ภิกษุ นนย่ ั อมถึงความเป็ นผู้ทุศี ล เพราะ
เรี ย น ธรรมเหล่ า นันที เขาเรี ย นไม่ ดี ย่ อ มเป็ นไปเพื อมิ ใ ช่
ความปฏิบ ต ั ิไม่ดี นน.ั
ประโยชน์ เพือทุกข์ สินกาลนาน แก่โ มฆบุ รุษ เหล่า นัน ข้อนัน
ภิ กษุ ผู้ปฏิบ ต ั ิไม่ดี ในพระสู ตร ไม่รูอ ้ ยู่ซึ งอธิบ ายในพระ
เพราะอะไรเป็ นเหตุ ?
บาลีมี อาทิว่า ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ! บุ ค คล 4 จํา พวกนี มี อยู่ หา
ดู ก่อ นภิ ก ษุ ทังหลาย ! ข้ อ นันเพราะธรรมทังหลายอัน
ได้อยู่ ดังนี ย่อมถือเอาผิด ทีพระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงหมายตรัส
โมฆบุรุษเหล่านันเรียนไม่ดี.1
ว่า บุ ค คลมี ธรรมอันตนถือผิดแล้ว ย่อมกล่า วตู่เราทังหลายด้วย
(2) อนึ ง ปริยตั ิอน ั บุคคลเรียนดีแล้วคือจํานงอยูซ ่ ึ งความ
ย่อมขุ ดตนเองด้วย ย่อมได้ประสบบาปมิใช่บุญมากด้วย 2 ภิกษุ
บริ บู ร ณ์ แ ห่ ง คุ ณ มี สี ล ขัน ธ์ เ ป็ นต้ น นันแล เรี ย นแล้ว ไม่ เ รี ย น
นันย่อมถึงความเป็ นผู้มี ทิฏ ฐิผิด เพราะการถือนัน.
เ พ รา ะเหตุ มี ค วา มโต้ แ ย้ ง เป็ นต้ น , ป ริ ย ัติ นี ชื อว่ า ปริ ย ัติ มี
1. วิ. มหา. 2/434. 2. ม. ม. 12/266.
ประโยชน์ทีจะออกจากวัฏฏะทีพระผูม ้ ีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัส
ภิ ก ษุ ผู้ป ฏิบ ต ั ิไ ม่ดี ใ นพระอภิธ รรม แล่น เกินไปซึ งการ
ไว้วา่ ธรรมเหล่านัน อันกุลบุตรเหล่านันเรียนดีแล้ว ย่อมเป็ นไป
วิ จ ารณ์ ธ รรม ย่ อ มคิด แม้ ซึ งเรื องที ไม่ ค วรคิด ย่ อ มถึง ความ
เพื อประโยชน์ เ กื อกู ล เพื อความสุ ข สิ นกาลนานแก่ กุ ล บุ ต ร
ฟุ้ งซ่านแห่งจิต เพราะคิดซึ งเรืองทีไม่ควรคิดนัน. ข้อนีต้องด้วย
เหล่านัน ข้อนันเพราะอะไรเป็ นเหตุ ? ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ! ข้อ
พระพุ ท ธพจน์ ที ตรัส ไว้ว่า ดู ก่อ นภิ ก ษุ ทงหลาย ั ! บุ ค คลคิด อยู่
นันเพราะธรรมทังหลายอันกุลบุตรเหล่านันเรียนดีแล้ว2 ดังนี.
* ÇԹ¯þ€¡¶Ò ˹ŒÒ 24 ໚¹ Àѳ±Ò¤ÒÃÔ¡»ÃÔÂѵ.Ô เรืองทีไม่ควรคิดเหล่า ใด พึงเป็ นผู้มีส่วนแห่งความเป็ นบ้า แห่ง
ความลําบากใจ เรืองทีไม่ควรคิดเหล่านี 4 ประการ อันบุคคลไม่
(3) ส่วนพระขีณาสพผู้มีขน ั ธ์อนั กําหนดรูแ้ ล้ว มีกเิ ลสอัน ควรคิด* ดังนี . ภิกษุ ผู้ปฏิบตั ิไม่ดีในปิ ฎก 3 เหล่า นี ย่อมถึงความ
ละแล้ว มี มรรคอันอบรมแล้ว มีธรรมอันไม่กาํ เริบแทงตลอดแล้ว วิบ ตั ิต่า งด้วยความเป็ นผู้ทุศี ล ความเป็ นผู้มี ทิฏ ฐิผิด และความ
มี นิโรธอันกระทําให้แจ้งแล้ว ย่อมเรียนซึงปริยตั ิใด เพือต้องการ ฟุ้ งซ่านแห่งจิตนี ตามลําดับ ด้วยประการฉะนี.
แก่อ นั ดํา รงซึ งประเพณี เพื อต้อ งการแก่อ น ั ตามรักษาซึ งวงศ์ ถึงพระคาถาแม้นีว่า
ปริยตั ินี ชื อว่า ปริยตั ิข องท่า นผู้ป ระดุ จขุ นคลัง . ภิกษุ ยอ ่ มถึงซึ งความต่างแห่งปริยตั ิก็ดี สมบัตแ ิ ละวิบตั ิก็
ดี อัน ใด ในปิ ฎกใด มี วินยั ปิ ฎกเป็ นต้น โดยประการใด บัณ ฑิต
พึ ง ประกาศความต่า งแห่ง ปริ ย ต ั ิ เ ป็ นต้ น แม้ น นทัั งหมดโดย
ประการนัน ดังนี …

ต่อห้ วข้ อ ๒.๗ หน้ า ๕๓


ปาราชิก ๔ และ สังฆาทิเสส ๑๓

35
หลักวิชาพระวินัย 9
พระพุทธเจ้าทรงตังอยูใ่ นฐานะพระธรรมราชาผูป้ กครอง และทรงตังอยูใ่ นฐานะพระสังฆบิดร ผูด้ ูแล
พระภิกษุ สงฆ์ พระองค์จึงได้ทรงทําหน้าทีทัง 2 ประการนัน คือ
1. ทรงตังพระพุทธบัญญัติ เพือป้ องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภกิ ษุ ผลู ้ ว่ งละเมิด ด้วย
การปรับอาบัติ, และ อีกฝ่ ายหนึ ง
2. ทรงตังขนบธรรมเนียมซึงเรียกว่า อภิสมาจาร เพือชักนําความประพฤติของภิกษุ สงฆ์ให้ดีงาม
พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ทัง 2 ประเภทนี รวมเรียกว่า พระวินัย
(ดังนัน) พระวินัย แบ่งได้เป็ น 2 ประเภทคือ
1. พระพุทธบัญญัติ หมายถึง ข้อ(สิกขาบท)ทีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้, คือ วินัยสําหรับพระ (พจฯ 192)
2. อภิสมาจาร หมายถึง ความประพฤติดีงามทีประณีตยิงขึนไป,
ขนบธรรมเนี ยมเพือความประพฤติดีงามยิงขึนไปพระภิกษุ (พจฯ 381)
บทบัญญัติในพระวินัย (พระ(พุทธ)บัญญัติ) แต่ละข้อหรือมาตรา เรียกว่า สิกขาบท แปลว่า ข้อทีต้องศึกษา
 สิกขาบทนันทรงตังขึนด้วยเป็ นพุทธอาณา ได้แก่ อาทิพรหมจริยกาสิกขา (อาทิ แปลว่า จุดเริมต้น เบืองต้น ชันแรก)
พระพุทธอาณา แปลว่า อํานาจปกครองของพระพุทธเจ้า, อํานาจปกครองฝ่ ายพุทธจักร (พจฯ 194)
 ทรงตังขึนด้วยเป็ นอภิสมาจาร ได้แก่ อภิสมาจาริกาสิกขา
[ หมายความว่า พระวินัยซึงเป็ นพระ(พุทธ)บัญญัติ (ซึงเป็ นสิกขาในฝ่ ายศีล) จัดเป็ น 2 ส่วน คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขา และ
อภิสมาจาริกาสิกขา ] ยกเว้น เสขิยะไม่จดั เป็ นอาทิพรหมจริยกาสิกขา แต่เป็ นอภิสมาจาริกาสิกขา

อาทิพรหมจริยกาสิกขา (แปลว่า ข้อศึกษา (หรือข้อปฏิ บัติ) ทีเป็ นเบืองต้นแห่งพรหมจรรย์) อันหมายถึ ง สิ กขาบท


227 ที มาในพระปาฏิ โ มกข์ โดยหมายความถึ ง หลั ก การศึ ก ษาอบรมในฝ่ ายบทบัญ ญัติ หรื อข้อปฏิ บัติ ทีเป็ นเบื องต้น ของ
พรหมจรรย์ สําหรับป้ องกันความประพฤติเสียหาย (พจฯ 408)
อภิสมาจาริกาสิกขา (แปลว่า สิกขาฝ่ ายอภิสมาจาร) หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ ายขนบธรรมเนี ยมทีจะชัก นํ า
ความประพฤติ ความเป็ นอยู่ของพระสงฆ์ให้ดีงามมีคุณยิงขึนไป (พจฯ 382) ได้แก่ เสขิยะ และสิ กขาบทจํานวนมากทีมานอก
พระปาติโมกข์
สิกขาบทของพระภิกษุ ทงหมด
ั มีถึง 91,805,036,000 (เก้าหมืนหนึ งพันแปดร้อยห้าล้าน สามหมืนหกพัน)
สิกขาบท โดยพิสดาร(ซึง)โดยสังเขปมี(เพียง) 220 สิกขาบท นานาวินิจฉัย 7 พระธัมมานันทมหาเถระ

สิกขาบททีมาในพระปาติโมกข์ แต่เดิม(ในสมัยพุทธกาล) มี 150 สิกขาบท ดังต่อไปนี คือ


ปาราชิก 4, สังฆาทิเสส 13, นิ สสัคคิยปาจิตตีย์ 30, สุทธิกปาจิตตีย์ 92, ปาฏิเทสนี ยะ 4, และอธิกรณสมถะ 7 รวมเป็ น 150
สิกขาบท
[แต่ในปั จจุบนั พระปาติโมกข์ทีสวดกันอยู(่ แสดงในคัมภีรว์ ิภงั ค์)มี 227 สิกขาบท คือเพิมอนิ ยต 2 และเสขิยวัตร 75]
…………………………………………………………………………….

พอสรุปได้ว่า วินัย หมายถึง ระเบียบสําหรับกํากับความประพฤติให้เป็ นแบบแผนอันหนึงอันเดียวกัน,


(ในทีนี พระวินยั หมายถึง) ประมวลสิกขาบทของพระสงฆ์ทงส่
ั วนอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร (พจฯ 274)
อาทิพรหมจรรย์ หมายถึง หลักเบืองต้นของพรหมจรรย์, หลักการพืนฐานของชีวิตประเสริฐ
อภิสมาจาร หมายถึง ความประพฤติดีงามทีประณีตยิงขึนไป, ขนบธรรมเนี ยมเพือความประพฤติดีงามยิงขึนไปของพระภิกษุ
(พจฯ 381)
………………..………………………………………………….

36
สิกขาบททีมาในพระปาติโมกข์แบ่งเป็ นกลุ่ม(หมวด/พวก) ตามชนิดแห่งอาบัติ เรียกว่า อุทเทส มี 8 คือ
1. ปาราชิก (ปาราชิกุทเทส) 5. ปาจิตตีย ์ (ปาจิตติยุทเทส)
2.สังฆาทิเสส (สังฆาทิเสสุทเทส) 6. ปาฏิเทสนี ยะ (ปาฏิเทสนี ยุทเทส)
3. อนิ ยต (อนิ ยตุทเทส) 7. เสขิยวัตร (เสขิยุทเทส)
4. นิ สสัคคิยปาจิตตีย ์ (นิ สสัคคิยุทเทส) 8. อธิกรณสมถะ (อธิกรณสมถุทเทส)
และรวมทัง นิ ทาน (นิ ทานุ ทเทส) คือ คํานําหน้า เป็ น 9
วัตถุประสงค์ของการบัญญัติพระวินัย 10 ประการ คือ [ในวงเล็ บ ไม่พิมพ์ ]
1. สังฆสุฎ ุตายะ เพือความรับว่าดีแห่งสงฆ์ (โดยการยอมรับร่วมกัน ไม่บังคับขืนใจ)
2. สังฆผาสุตายะ เพือความผาสุกแห่งสงฆ์ (มีความสบาย)
ข้อ 1,2 ทรงบัญญัติ เพือประโยชน์แก่สว่ นรวมคือสงฆ์
3. ทุมมังกูนัง ปุคคะลานัง นิ คคะหายะ เพือข่มบุคคลผูเ้ ก้อยาก (หน้าด้าน) [ทุมมังกุ แปลว่าผูเ้ ก้อยาก]
4. เปสะลานัง ภิกขุนัง ผาสุวิหารายะ เพือความอยูผ่ าสุกแห่งเหล่าภิกษุ ผมู ้ ีศีลดีงาม (มีศีลเป็ นทีรัก)
ข้อ 3,4 ทรงบัญญัติ เพือประโยชน์แก่บุคคล
5. ทิฏฐะธัมมิกานัง อาสะวานัง สังวะรายะ เพือปิ ดกันอาสวะทังหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบนั
( เพือ(ระวัง)ปิ ดกันผลเสียหายทีจะเกิดในปั จจุบนั )
6. สัมปะรายิกานัง อาสะวานัง ปะฏิฆาตายะ เพือกําจัดอาสวะทังหลายอันจะบังเกิดในอนาคต
( เพือป้ องกันผลเสียทีจะเกิดในอนาคต )
ข้อ 5,6 ทรงบัญญัติ เพือประโยชน์แก่ความบริสุทธิ หรือแก่ชีวิต
7. อัปปะสันนานัง ปะสาทายะ เพือความเลือมใสของคนทียังไม่เลือมใส
8. ปะสันนานัง ภิยโยภาวายะ เพือความเลือมใสยิงขึนไปของคนทีเลือมใสแล้ว
( เพือความเจริญยิงๆ ของผูเ้ ลือมใสแล้ว )
ข้อ 7,8 ทรงบัญญัติ เพือประโยชน์แก่ประชาชน
9. สัทธัมมัฏฐิติยา เพือความตังมันแห่งสัทธรรม
10. วินะยานุ คคะหายะ เพือเอือเฟื อวินัย (เพืออนุ เคราะห์วินัย)
หมายถึ ง เพือเชิดชู คําจุน ประคับประคองพระวินัยให้ระเบียบแบบแผนและระบบการต่างๆ เกิดมีผลในการปฏิบัติ ตาม
หลักการอย่างหนั กแน่ นมันคง เป็ นไปตามวัตถุประสงค์อย่างยังยืน
ข้อ 9,10 ทรงบัญญัติ เพือประโยชน์แก่พระศาสนา
หรืออีกนัยหนึง ผลทีมุ่งหมาย(จุดมุ่งหมาย)ในการบัญญัติพระวินยั 8 ประการ คือ
1. เพือป้ องกันไม่ให้เป็ นคนเหียมโหด 5. เพือป้ องกันความประพฤติเสียหาย
2. เพือป้ องกันความลวงโลกเลียงชีพ 6. เพือป้ องกันความเล่นซุกซน
3. เพือป้ องกันความดุรา้ ย 7. เพือคล้อยตามความนิ ยมในครังนั น
4. เพือป้ องกันความประพฤติเลวทราม 8. เพือให้เป็ นธรรมเนี ยม[และนิ ยม]ของภิกษุ
การบัญญัติพระวินัย
1. พระวินัยนัน พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ลว่ งหน้า ค่อยมีมาโดยลําดับตามเหตุทีเกิดขึน (เช่น ต้นบัญญัติ ที
เกิ ดจากภิ กษุ ทีประพฤติเสียหายในกรณี นันๆ เป็ นรายแรก) ซึ งเรียกว่า นิ ทานบ้าง ปกรณ์บา้ ง, นิ ทานและปกรณ์นีเรียกว่า
มูลแห่งพระบัญญัติ
[มูล แปลว่า เค้า ร่องรอย ลักษณะอาการทีถือว่าน่ าจะเป็ นอย่างนัน เรืองที จัดว่ามีมลู มี 3 อย่าง คือ เรืองทีได้เห็นเอง1 เรืองทีได้ยินเอง1
เรืองทีรังเกียจโดยอาการ1 (พจฯ 236)]
2 ต่อเมือมีภิกษุ ประพฤติเสียหาย จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามประพฤติเช่นนันอีก

37
ในตอนต้นพุทธกาล คือตังแต่พรรษาที 1 ถึงพรรษาที 11 พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แน่ นอน เพราะภิกษุ สงฆ์
ล้วนมีวตั ตปฏิบตั ิดีงาม ( ศีลของภิกษุ สงฆ์ในสมัยนั นเรียกว่า “ปาติโมกข์สังวรศีล” จัดเป็ นจาริตตศีล คือ ระเบียบปฏิบตั ิตามแบบ
อย่างทีพระพุทธเจ้าทรงปฏิบตั ิ ) ต่อมาหลังจากออกพรรษาที 12 (20 มมร.) แล้ว พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบท
ที 1 ขึน ปรารภเหตุพระสุทินเสพเมถุนกับอดีตภรรยา, และได้ทรงบัญญัติสิกขาบทเรือยมาจนถึงพรรษาที 20 จนกระทังประมวล
สิกขาบทของภิกษุ สงฆ์ได้ 227 ข้อ และสิกขาบทของภิกษุ ณีสงฆ์ได้ 311 ข้อ จึงทรงอนุ ญาตให้สงฆ์ยกอาณาปาติโมกข์ขึนแสดงเอง
ในระยะทียังไม่มีพุทธานุ ญาตให้ภิกษุ สงฆ์สวดพระปาติโมกข์(อาณาปาติโมกข์) ใน 20 พรรษาแรกนั น พระพุทธองค์จะทรง
แสดงโอวาทปาติโมกข์ดว้ ยพระองค์เองทุกกึงเดือน (มจร.)

เรืองเวรัญชพราหมณ์
พระมหาโมคคัลลานะเปล่งสีหนาท วิ.ม.1/6/8
[6] ครังนัน ท่านพระมหาโมคคลั ลานะเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ได้กราบทูลคํานีแด่พระผู้มี
พระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนีเมืองเวรัญชา มีภิกษาหารน้อย ประชาชนหาเลียงชีพฝื ดเคือง มีกระดูกคนตายขาวเกลือน ต้องมีสลากซือ
อาหาร ภิกษุ สงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็ นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทาํ ไม่ได้ง่าย พระพุทธเจ้าข้า
พืนเบื องล่า งแห่งแผ่นดินผื นใหญ่นี สมบู รณ์ มี รสอันโอชา เหมื อนนําผึ งหวีทีไม่มี ต วั อ่อนฉะนัน ขอประทานพระวโรกาส
ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงพลิกแผ่นดิน ภิกษุ ทงหลายจั
ั กได้ฉน ั ง้วนดิน พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรโมคคลั ลานะ ก็สตั ว์ผู้อาศัยแผ่นดินเล่า เธอจะทําอย่างไรแก่สตั ว์เหล่านัน?
ม. ข้าพระพุทธเจ้าจักนิรมิตฝ่ ามือข้างหนึ งให้เป็ นดุจแผ่นดินใหญ่ ยังสัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินเหล่านันให้ไปอยูใ่ นฝ่ ามือนัน จักพลิกแผ่นดิน
ด้วยมืออีกข้างหนึ ง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. อย่าเลย โมคคลั ลานะ การพลิกแผ่นดิน เธออย่าพอใจเลย สัตว์ทงหลายจะพึ ั งได้รบั ผลตรงกันข้าม.
ม. ขอประทานพระวโรกาส ขอภิกษุ สงฆ์ทงหมดพึ ั งไปบิณฑบาตในอุตรกุรุทวีป พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็ภิกษุ ผู้ไม่มีฤทธิเล่า เธอจักทําอย่างไรแก่ภิกษุ เหล่านัน?
ม. ข้าพระพุทธเจ้าจักทําให้ภิกษุ ทงหมดไปได้
ั พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. อย่าเลย โมคคลั ลานะ การทีภิกษุ สงฆ์ทงหมดไปบิ
ั ณฑบาตถึงอุตรกุรุทวีป เธออย่าพอใจเลย.
เหตุให้พระศาสนาดํารงอยูไ่ ม่นานและนาน วิ.ม.1/7/9
[7] ครังนัน ท่านพระสารีบุตรไปในทีสงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวต ิ กแห่งจิตเกิดขึ นอย่างนีว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ทังหลาย พระองค์ไหนไม่ดํารงอยูน ่ าน ของพระองค์ไหนดํารงอยูน ่ าน ดังนี ครันเวลาสายัณห์ท่านออกจากทีเร้นแล้ว เข้า ไปเฝ้ าพระผู้มี
พระภาค ถวายบังคม นัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ งแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้า พระพุทธเจ้าไปในทีสงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตํา บลนี ได้มี
ความปริวต ิ กแห่งจิตเกิดขึ นอย่างนีว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทังหลาย พระองค์ไหนไม่ดํารงอยูน ่ าน ของพระองค์ไหน
ดํารงอยูน่ าน.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปสั สี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่
ดํารงอยูน ่ าน ของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสน ั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดํารงอยูน ่ าน.
ส. อะไรเป็ นเหตุ อะไรเป็ นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปส ั สี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดํารงอยูน ่ าน
พระพุทธเจ้าข้า?
ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปส ั สี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ทรงท้อพระหฤทัยเพือจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร
แก่สาวกทังหลาย อนึ ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทังสามพระองค์
นันมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่า นัน เพราะ
อันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรูต ้ ามพระพุทธเจ้าเหล่านัน สาวกชันหลังทีต่างชือกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกน ั ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
ยังพระศาสนานันให้อน ั ตรธานโดยฉับพลัน
ดู กรสารีบุ ต ร ดอกไม้ต่า งพรรณทีเขากองไว้บ นพืนกระดาน ยังไม่ได้รอ ้ ยด้วยด้า ย ลมย่อมกระจาย ขจัด กํา จัด ซึ งดอกไม้
เหล่า นันได้ ข้อนันเพราะเหตุอะไร เพราะเขาไม่ได้รอ ้ ยด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุ ทธเจ้า เหล่านัน เพราะ
อันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรูต ้ ามพระพุทธเจ้าเหล่านัน สาวกชันหลังทีต่างชือกันต่างโคตรกัน ต่างชาติก ัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยัง
พระศาสนานันให้อน ั ตรธานโดยฉับพลัน ฉันนันเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านัน ทรงท้อพระหฤทัยเพือจะทรงกําหนด
จิตของสาวกด้วยพระหฤทัย แล้วทรงสังสอนสาวก.
ดู กรสารีบุ ตร เรืองเคยมีมาแล้ว พระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามเวสสภู ทรงกํา หนดจิตภิกษุ สงฆ์ด้วยพระ
หฤทัยแล้วทรงสังสอน พรําสอน ภิกษุ สงฆ์ประมาณพันรูป ในไพรสนฑ์อน ั น่ าพึงกลัวแห่งหนึ งว่า พวกเธอจงตรึกอย่างนี อย่าได้ตรึกอย่าง
นัน จงทําในใจอย่างนี อย่าได้ทาํ ในใจอย่างนัน จงละส่วนนี จงเข้าถึงส่วนนีอยูเ่ ถิด ดังนี ลําดับนันแล จิตของภิกษุ ประมาณพันรูปนัน อัน
พระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามเวสสภูทรงสังสอนอยูอ ่ ย่า งนัน ทรงพรําสอนอยูอ ่ ย่า งนัน ได้หลุด พ้นแล้วจากอาสวะ
ทังหลาย เพราะไม่ถือมัน ในเพราะความทีไพรสณฑ์อน ั น่ า พึงกลัวนันซิ เป็ นถินทีน่ าสยดสยอง จึงมีคาํ นีว่า ผู้ใดผู้หนึ งซึ งยังไม่ปราศจาก
ราคะเข้าไปสูไ่ พรสณฑ์นน ั โดยมากโลมชาติยอ ่ มชูชน ั .
ดูกรสารีบุตร อันนีแลเป็ นเหตุ อันนีแลเป็ นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระนามวิปส ั สี พระนามสิขี และพระนาม
เวสสภูไม่ดํารงอยูน ่ าน.
ส. อะไรเป็ นเหตุ อะไรเป็ นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนาม กกุสน ั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสส
ปะ ดํารงอยูน ่ าน พระพุทธเจ้าข้า?
ภ. ดู กรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสน ั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพือจะทรงแสดง
ธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทังหลาย อนึ ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระ
ภาคทังสามพระองค์นนมี ั ม าก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโ มกข์ ก็ทรงแสดงแก่สาวก เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มี พระภาคพุท ธเจ้า
เหล่า นัน เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรูต ้ ามพระพุทธเจ้าเหล่านัน สาวกชันหลังทีต่างชือกัน ต่า งโคตรกัน ต่า งชาติกน ั ออกบวชจาก
ตระกูลต่างกัน จึงดํารงพระศาสนานันไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน

38
ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณทีเขากองไว้บนพืนกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กําจัดไม่ได้ซงึ
ดอกไม้เหล่านัน ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านัน เพราะ
อันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรูต้ ามพระพุทธเจ้าเหล่านัน สาวกชันหลังทีต่างชือกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกน
ั ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
ดํารงพระศาสนานันไว้ได้ ตลอดระยะกาลยืนนาน ฉันนัน เหมือนกัน.
ดู กรสารีบุตร อันนี แลเป็ นเหตุ อันนี แลเป็ นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสนั ธะ พระนามโกนาคมนะ
และพระนามกัสสปะ ดํารงอยูน ่ าน.
ปรารภเหตุให้ทรงบัญญัติสกิ ขาบท
[8] ลําดับนันแล ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะ ทําผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ ง ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มพ ี ระภาคแล้วกราบทูลว่า
ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระสุคต ถึงเวลาแล้ว ทีจะทรงบัญญัติสก ิ ขาบท ทีจะทรงแสดงปาติโมกข์แก่สาวก อันจะเป็ นเหตุให้พระ
ศาสนานียังยืนดํารงอยูไ่ ด้นาน.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จงรอก่อน สารีบุตร จงยับยังก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจักรูก้ าลในกรณี ย์นน ั พระศาสดายังไม่บญ ั ญัติ
สิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์แก่สาวก ตลอดเวลาทีธรรมอันเป็ นทีตังแห่งอาสวะบางเหล่า ยังไม่ป รากฏในสงฆ์ในศาสนานี ต่อเมือใด
อาสวัฏ ฐานิยธรรมบางเหล่า ปรากฏในสงฆ์ใ นศาสนานี เมื อนันพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่ส าวก เพือกํา จัด
อาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านันแหละ
อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี ตลอดเวลาทีสงฆ์ยงั ไม่ถงึ ความเป็ นหมู่ใหญ่โดยภิกษุ ผู้บวชนาน ...
ตลอดเวลาทีสงฆ์ยงั ไม่ถงึ ความเป็ นหมู่ใหญ่โดยแพร่หลาย ... ตลอดเวลาทีสงฆ์ยงั ไม่ถงึ ความเป็ นหมู่ใหญ่เลิศ โดยลาภ ต่อเมือใดสงฆ์ถงึ
ความเป็ นหมู่ใ หญ่เลิศ โดยลาภแล้ว และอาสวัฏ ฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ใ นศาสนานี เมื อนันพระศาสดาจึงจะบัญญัติ
สิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพือกําจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านันแหละ
ดูกรสารีบุตร ก็ภิกษุ สงฆ์ไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ ปราศจากมัวหมองบริสุทธิผุดผ่องตังอยูใ่ นสารคุณ เพราะบรรดาภิกษุ 500 รูปนี
ภิกษุ ทีทรงคุณธรรมอย่างตํา ก็เป็ นโสดาบัน มีความไม่ตกตําเป็ นธรรมดา เป็ นผู้เทียง เป็ นผู้ทีจะตรัสรูใ้ นเบืองหน้า.
..............................................

ปาติโมกขฐปนะขันธกะ วิ.จุล.7/447/180
ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ในธรรมวินัย 8 ประการ ทรงอนุญาตสงฆ์สวดอาณาปาติโมกข์
[447] โดยสมัยนัน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยูท ่ ีปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครังนัน
เป็ นวันอุโบสถ 15 คํา พระผู้มีพระภาคมีภิกษุ สงฆ์แวดล้อมประทับนังอยู่ จึงท่านพระอานนท์เมือล่วงเข้าราตรี ปฐมยามผ่านไปแล้ว
ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี ปฐมยามผ่านไป
แล้ว ภิกษุ สงฆ์นงอยูั น ่ านแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภก ิ ษุ ทงหลาย
ั พระพุทธเจ้าข้า เมือพระอานนท์กราบทูล
อย่างนีแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิงเสีย
แม้ครังทีสอง ท่านพระอานนท์ เมือล่วงเข้าราตรี มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีไปทาง
พระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่าพระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุ สงฆ์นงอยู ั น่ านแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุ ทงหลาย ั พระพุทธเจ้าข้า แม้ครังทีสอง พระผู้มีพระภาคก็ทรงนิงเสีย
แม้ครังทีสาม ท่านพระอานนท์ เมือล่วงเข้าราตรี ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ น ราตรีสว่างแล้ว จึงลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียง
บ่า ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี ปัจฉิมยาม ผ่านไปแล้ว อรุณขึ นราตรีสว่าง
แล้ว ภิกษุ สงฆ์นงอยู
ั น ่ านแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุ ทงหลาย ั พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ บริษท ั ไม่บริสุทธิ ฯ
[448] ครังนัน ท่า นพระมหาโมคคลั ลานะคิดว่า พระผู้มี พระภาคตรัสอย่างนี ว่า ดู กรอานนท์ บริษ ัทไม่บริสุทธิ ทรงหมายถึง
บุ ค คลไรหนอ ทีนน ั ท่า นพระมหาโมคค ลั ลานะ มนสิการกําหนดจิตภิกษุ สงฆ์ทงหมดด้ ั วยจิต ได้เห็นบุ ค คลผู้ทุศีล มี ธรรมลามก มี
ความประพฤติไม่สะอาด น่ ารังเกียจ ปิ ดบังการกระทํา ไม่ใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็ นสมณะ มิใช่พรหมจารี ปฏิญาณว่าเป็ นพรหมจารี
เน่ าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองนัน นังอยู่ ณ ท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ ครันแล้ว จึงเข้าไปหาบุคคลนัน ได้กล่าวไว้วา่ ลุกขึ นเถิด
ท่า น พระผู้มี พระภาคทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว ท่า นไม่มีสงั วาสกับภิกษุ ทงหลาย ั แม้ท่า นพระมหาโมคคลั ลานะกล่าวอย่างนีแล้ว
บุคคลนันก็ยงั นิงเสีย
แม้ ค รังที สอง ... แม้ ค รังที สาม ท่ า นพระมหาโมคค ลั ลานะได้ ก ล่ า วกะบุ ค คลนันว่ า ลุ ก ขึ นเถิด ท่ า น พระผู้ มี พ ระภาค
ทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มีสงั วาสกับภิกษุ ทงหลาย ั แม้ครังทีสาม บุคคลนันก็ยงั นิงเสีย
ครังนัน ท่านพระมหาโมคคลั ลานะจับบุคคลนันทีแขนให้ออกไปนอกซุม ้ ประตู ใส่กลอนแล้ว เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคกราบ
ทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บุ ค คลนันข้าพระองค์ให้ออกไปแล้ว บริษ ัทบริสุทธิแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุ
ทังหลายเถิด พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า น่ าอัศจรรย์ โมคคลั ลานะ ไม่เคยมี โมคคลั ลานะ ถึงกับต้องจับแขนโมฆบุรุษนันจึงมาได้ ฯ
ความอ ัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร 8 ประการ
[449] ครังนัน พระผู้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทร 8 อย่างนี ที
พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชืนชมอยูใ่ นมหาสมุทร 8 อย่างเป็ นไฉน
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั มหาสมุทรลุม ่ ลึกลาดลงไปโดยลําดับ มิใช่ลกึ มาแต่เดิมเลย ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข้อทีมหาสมุทรลุม
่ ลึกลาดลง
ไปโดยลําดับ มิใ ช่ลึกมาแต่เดิมเลย นี เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็ นข้อที 1 ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชืนชมใน
มหาสมุทร ฯ
[450] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง มหาสมุทรตังอยูต ่ ามธรรมดาไม่ลน้ ฝัง ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข้อทีมหาสมุทรตังอยูต
่ ามธรรมดาไม่
ล้นฝัง แม้นีเป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็ นข้อที 2 ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชืนชมในมหาสมุทร ฯ
[451] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง มหาสมุทรไม่รว่ มกับซากศพทีตายแล้ว ซากศพทีตายแล้วใดมีอยูใ่ นมหาสมุทร มหาสมุทรย่อม
นํา ซากศพทีตายแล้วนันไปสูฝ ่ งั ซัด ขึ นบกโดยพลัน ... แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทร เป็ นข้อ ที 3 ทีพวกอสูรพบ
เห็นแล้ว พากันชืนชมในมหาสมุทร ฯ
[452] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง แม่นําใหญ่บางสาย คือ แม่นําคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนาม

39
และโคตรเดิมเสีย ถึงซึ งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว … แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทรข้อที 4 ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว
พากันชืนชมในมหาสมุทร ฯ
[453] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั อนึ ง แม่นําบางสายในโลกทีไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ
ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏ ... เพราะเหตุนน ั แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ใน มหาสมุทรเป็ นข้อที
5 ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชืนชมในมหาสมุทร ฯ
[454] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง มหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข้อที
มหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคย มีในมหาสมุทรเป็ นข้อที 6 ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชืนชมใน
มหาสมุทร ฯ
[455] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง มหาสมุทรมีรตั นะมาก มีรตั นะมิใช่ชนิดเดียว รัตนะ
ในมหาสมุทรนันเหล่านี คือ แก้วมุ กดา แก้วมณี แก้วไพฑู รย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับ ทิม มรกต ... แม้นี ก็เป็ น
ความอัศจรรย์ ไม่เคยมีใน มหาสมุทร เป็ นข้อที 7 ทีพวกอสูรพบเข้าแล้ว พากันชืนชมในมหาสมุทร ฯ
[456] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง มหาสมุ ทรเป็ นทีอยูอ
่ าศัยของสัตว์ใหญ่ๆ สัต ว์ใ หญ่ๆในมหาสมุทรนันเหล่านี คือ ปลาติมิ ปลา
ติมิงคละ ปลา ติมิติมิงคละ ปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยูใ่ นมหาสมุทร มีลาํ ตัวตังร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์ก็มี สามร้อย
โยชน์ก็มี สีร้อยโยชน์ก็มี ห้าร้อยโยชน์ก็มี … แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทร เป็ นข้อที8 ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว พา
กันชืนชมในมหาสมุทร
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร 8 อย่างนีแล ทีพวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชืนชมอยูใ่ นมหาสมุทร ฯ
ความอ ัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินยั 8 ประการ
[457] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี มี 8 อย่างเหมือนกันแล ทีพวกภิกษุ พบเห็นแล้วพากันชื นชม
ในธรรมวินยั นี 8 อย่าง เป็ นไฉน
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมือนมหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลําดับ มิใ ช่ลึกมาแต่เดิมเลย สิกขาตามลําดับ กิริยาตามลําดับ
ปฏิป ทาตามลําดับ ในธรรมวินยั นีก็เหมือนกัน มิใ ช่แทงตลอดอรหัต ผลมาแต่เดิมเลย ข้อทีสิกขาตามลําดับ กิริย าตามลําดับ ปฏิปทา
ตามลํา ดับ ในธรรมวินยั นี มิใ ช่แ ทงตลอดอรหัต ผลมาแต่เดิมเลย นี เป็ นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 1 ทีภิกษุ
ทังหลายพบเห็นแล้ว พากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[458] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เปรียบเหมื อนมหาสมุ ทรตังอยู่ตามธรรมดา ไม่ล้นฝัง สาวกทังหลายของเราก็เหมื อนกัน ไม่ล่วง
ละเมิดสิกขาบททีเราบัญญัติแล้วแก่สาวกทังหลาย แม้เพราะเหตุแห่งชีวต ิ ... แม้นี ก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี เป็ น
ข้อที 2 ทีภิกษุ ทงหลายพบเห็
ั นแล้ว พากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[459] ดู ก รภิ กษุ ท งหลาย ั เปรี ย บเหมื อนมหาสมุ ท รไม่ร่วมกับ ซากศพทีตายแล้ว ซากศพทีตายแล้วใดมี อยู่ใ นมหาสมุ ทร
มหาสมุทรย่อมนําซากศพทีตายแล้วนันไปสูฝ ่ งั ซัดขึ นบกโดยพลัน บุคคลนันใดเป็ นผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติไม่สะอาด
น่ า รังเกียจ ปิ ดบังการกระทํา มิใ ช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็ นสมณะ มิใ ช่พรหมจารี ปฏิญาณว่า เป็ นพรหมจารี เน่ า ภายใน โชกชุ่มด้วย
กิเลส ผู้เศร้าหมอง ก็เหมือนกัน สงฆ์ยอ ่ มไม่รว่ มกับบุคคลนัน ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนังในท่ามกลางภิกษุ สงฆ์
ก็จริง ถึงอย่างนัน เธอ ชือว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ... แม้นี ก็เป็ นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 3 ที
ภิกษุ ทงหลายพบเห็
ั นแล้วพากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[460] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เปรียบเหมือนแม่นําใหญ่บางสาย คือ แม่นํา คงคา ยมุ นา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้ว
ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงซึ งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว วรรณะ 4 เหล่านี คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ศูทร ก็เหมือนกัน ออก
จากเรือนบวชเป็ นบรรพชิต ในธรรมวินยั ทีตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื อและตระกูลเดิม เสีย ถึงซึ งอันนับว่า สมณะเชื อสายพระ
ศากยบุตรทีเดียว ... แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ไม่เคยมี ในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 4 ทีภิกษุ ทงหลายพบเห็ ั นแล้วพากัน ชืนชมในธรรม
วินยั นี ฯ
[461] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เปรียบเหมือนแม่นําบางสายในโลกทีไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจาก
อากาศ ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนน ั ภิกษุ จาํ นวนมากก็เหมือนกัน ถ้าแม้ยงั ปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความเต็มของนิพพานธาตุยอ ่ มไม่ปรากฏ ... เพราะเหตุนน ั แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ไม่เคย
มีในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 5 ที ภิกษุ ทงหลายพบเห็ ั นแล้ว พากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[462] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว ธรรมวินยั นีก็เหมือนกัน มีวม ิ ุตติรส รสเดียว ... แม้นีก็เป็ น
ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 6 ทีภิกษุ ทงหลายพบ ั เห็นแล้ว พากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[463] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรตั นะมาก มีรตั นะมิใช่ชนิดเดียว รัตนะในมหาสมุทรนันเหล่านี คือ แก้ว
มุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ธรรมวินยั นีก็เหมือนกัน มีรตั นะมาก มีรตั นะมิใช่อย่าง
เดียว รัตนะในธรรมวินยั นันเหล่านี คือ สติปฏ ั ฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ...
แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 7 ทีภิกษุ ทงหลายพบเห็ ั นแล้ว พากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[464] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็ นทีอยูอ ่ าศัยของสัตว์ใหญ่ๆ สัตว์ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนันเหล่านี คือ ปลา
ติมิ ... อสูร นาค คนธรรพ์ มี อยู่ในมหาสมุทร มี ลํา ตัวตังร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์ก็มี สามร้อย โยชน์ ก็มี สีร้อยโยชน์ก็มี ห้า ร้อย
โยชน์ ก็มี ธรรมวินยั นี ก็เหมือนกัน เป็ นทีอยู่อาศัยของคนใหญ่ๆ คนใหญ่ๆ ในธรรมวินยั นันเหล่านี คือ โสดาบัน ผู้ป ฏิบตั ิเพือทําให้
แจ้งซึงโสดาปัต ติผ ล สกิทาคามี ผู้ป ฏิบ ต ั ิเพือทํา ให้แจ้งซึ งสกิทาคามิผ ล อนาคามี ผู้ป ฏิบ ต ั ิเพือทํา ให้แจ้งซึ งอนาคามิผล อรหันต์ ผู้
ปฏิบตั ิเพือความเป็ นอรหันต์ ... แม้นีก็เป็ นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในธรรมวินยั นี เป็ นข้อที 8 ทีภิกษุ ทงหลายพบเห็ ั นแล้วพากันชื น
ชมใน ธรรมวินยั นี
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินยั นี 8 ประการนีแล ทีภิกษุ ทงหลายพบเห็ ั นแล้วพากันชืนชมในธรรมวินยั นี ฯ
[465] ครังนัน พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรืองนันแล้ว ทรงเปล่งอุทานในเวลานันว่าดังนี
อุทานคาถา
สิงทีปิ ดไว้ ย่อมรัวได้ สิงทีเปิ ด ย่อมไม่รวั เพราะฉะนัน จงเปิ ดสิงทีปิ ด เช่นนี สิงทีเปิ ดนันจักไม่รวั ฯ
[466] ครังนัน พระผู้มี พระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ั า ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ตังแต่บดั นี ไป เราจักไม่ทําอุโบสถ จักไม่แสดง
ปาติโมกข์ ตังแต่บดั นีไป พวกเธอพึงทําอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ข้อทีตถาคตจะพึงทําอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ใน
บริษท
ั ผู้ไม่บริสุทธิ นันไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อันภิกษุ มีอาบัติ ไม่พงึ ฟังปาติโมกข์ รูปใดฟัง ต้องอาบัติทุกกฏ เรา
อนุญาตให้งดปาติโมกข์ แก่ภิกษุ ผู้มีอาบัติติดตัวฟังปาติโมกข์

40
วิธีงดปาติโมกข์
ดู ก รภิ กษุ ทงหลาย
ั ก็ แ ลพึง งดอย่า งนี เมื อถึงวัน อุโ บสถ 14 หรื อ 15 คํา เมื อบุ ค คลนันอยู่พ ร้อ มหน้ า สงฆ์ พึง ประกาศใน
ท่า มกลางสงฆ์วา่ “ท่า นเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้า พเจ้า บุ ค คลมีชือนี มี อาบัติติดตัว ข้า พเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื อเธออยู่ พร้อมหน้า
สงฆ์ ไม่พงึ สวดปาติโมกข์ ดังนี ปาติโมกข์เป็ นอันงดแล้ว ฯ”

ปาฏิโมกขัฏฐปนักขันธกวรรณนา เล่ม 9 หน้า 433 มมร.


ดว ยคําวา ยาว พาหาคหณาป นาม พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงพระประสงควา จริงอยู โมฆบุรุษนั้น พอไดฟงคําวา อานนท
บริษัทไมบริสุทธิ์ แลว พึงหลีกไปเสียก็มี, โมฆบุรุษนั้นไมหลีกไปดวยคําอยางนั้น จักมาเพียงจับแขนเทานั้น. ความมานี้ นาอัศจรรย.
ขอวา น อายตเกเนว ปปาโต โหติ มีความวา มหาสมุทรเปนของลึกโตรกแตแรกหามิได คือ เปนของลึกโดยลําดับ. ขอวา ิตธมฺ
โม เวล นาติวตฺตติ มีความวา มหาสมุทรไมลนฝง คือ คันแดนเปนที่ลงและขึ้นแหงคลื่นทั้งหลาย. สองบทวา ตีร วาเหติ มีความวา คลื่น
ยอมพัดขึ้นฝง คือซัดขึ้นบก.
คําวา ฉนฺน มติวสฺสติ นี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสหมายเอาเนื้อความนี้วา เมื่อตองอาบัติแลวปกปดไว ชื่อวาตองอาบัติใหมอื่น. คํา
วา วิว ฏ นาติว สฺส ติ นี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสหมายเอาเนื้อความนี้วา ตองอาบัติแลวเปดเผยเสีย ชื่อวาไมตองอาบัติอื่น.

อรรถกถาอุโปสถสูตร เล่ม 54 หน้า 529 มมร.


บทวา ตทหุ ไดแ ก ในวัน นั้น คือ ในกลางวัน นั้น . บทวา นิสินฺโน โหติ ความวา พระองคแ วดลอมไปดว ยภิกษุส งฆหมูใหญ
ประทับนั่งเพื่อทรงแสดงโอวาทปาติโมกข. ก็แ ล ครั้น ประทับนั่งแลว ทรงตรวจดูจิตของภิกษุเหลานั้น ทรงเห็นคนทุศีลผูหนึ่ง ทรงพระ
ดําริวา ถาเรา จัก แสดงปาติโมกข ในเมื่อบุคคลนี้นั่งอยูในที่นี้นั่นแหละ ศีรษะของผูนั้นจักแตก 7 เสี่ยง ดังนี้แลว จึงทรงดุษณีภาพเพื่อ
อนุเคราะหผูนั้น นั่น แล. ก็ใ นที่นี้ บทวา อุทฺธ สฺตํ อรุณํ ความวา ครั้น ถึงอรุณ ขึ้น พระเถรวิงวอนพระผูมีพระภาคเจ าทรงแสดงพระ
ปาติโมกข ... เพราะในเวลานั้น ยังไมไดทรงบัญญัติสก ิ ขาบทวา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุไมควรทําอุโบสถในวันมิใชอโุ บสถ (หมายถึงทํา
วันไหนก็ได)… ก็เพราะเหตุไร พระผูมีพระภาคเจาจึงให 3 ยามแหงราตรีลวงไปอยางนั้น ? เพราะจําเดิมแตนั้น พระองคมีพระประสงคจะ
ไมแสดงโอวาทปาติโมกข เพื่อกระทําวัตถุแหงการไมทรงแสดงนั้นใหปรากฏ…
ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระดําริวา บัดนี้ เสนียดเกิดขึ้นในภิกษุสงฆแลว พวกบุคคลไมบริสุทธิ์ มายังอุโบสถ และ
พระตถาคตทั้งหลายยอมไมแสดงอุโบสถแกบริษัทผูไมบริสุทธิ์ และเมื่อไมแสดงอุโบสถ อุโบสถของภิกษุสงฆก็ขาด ถากระไร ตั้งแตนไี้ ป
เราพึงอนุญาตปาติโมกขุทเทศ (สวดปาติโมกข) เฉพาะแกภก ิ ษุทั้งหลาย ก็แ ล ครั้น ทรงพระดําริอยางนี้แลว จึงทรงอนุญาตปาติโมกขุ
ทเทศ เฉพาะแกภิกษุทั้งหลาย…
ก็พระปาติโมกขมี 2 อยาง คือ อาณาปาติโมกข 1 โอวาทปาติโมกข 1. ใน 2 อยางนี้ คํามีอ าทิวา สุณ าตุ เม ภนฺเต ชื่อวา
อาณาปาติโมกข. อาณาปาติโมกขเทานั้น พระสาวกทั้งหลายเทานั้น ยอมสวด ซึ่งสวดกันทุกกึ่งเดือน พระพุทธเจาทั้งหลาย หาสวดไม.
ก็สามคาถาเหลานี้ คือ ขนฺติ ปรมํ ฯ เป ฯ สพฺพปาปสฺส อกรณํ ฯ เป ฯ อนูปวาโท อนูปฆาโต ฯ เป ฯ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ดังนี้ ชื่อ
วา โอวาทปาติโมกข. โอวาทปาติโมกขนั้น พระพุท ธเจาทั้งหลายเทานั้น ยอ มแสดง สาวกหาแสดงไม. โดยลว งไป 6 พรรษาจึงทรง
แสดง. จริงอยู ในเวลาที่พระพุทธเจาผูมีพระชนมายุยืนนาน ยังทรงอยู ก็ปาติโมกขุทเทศนี้แหละ สําหรับพระพุทธเจาผูมีพระชนมายุ
นอ ย ในปฐมโพธิกาลเทานั้น ก็ปาติโมกขุทเทศนี้ ตอ แตนั้น ก็เปนอยางอื่น. ก็ปาติโมกขนั่นแล เฉพาะภิก ษุ ทั้งหลายเทานั้น ยอ มสวด
พระพุท ธเจาทั้งหลาย หาสวดไม เพราะฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจา แมข องเราทั้งหลาย จึงทรงแสดงโอวาทปาติโมกข เพียง 20 ป พอ
เห็นอันตรายนี้แลว หลังจากนั้น ก็ไมทรงแสดง.
…………………………………………………………………….
ขันตอนในการบัญญัติสิกขาบท
1. เมือเหตุเกิดขึนแล้ว ตรัสสังประชุมสงฆ์
2. ตรัสถามภิกษุ ผกู ้ ่อเหตุให้ทูลรับ (ภิกษุ ผกู ้ ่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึนนี เรียกว่า อาทิกมั มิกะ)
3. ทรงชีโทษแห่งการประพฤติผิด และแสดงอานิ สงส์แห่งการสํารวม
4. ทรงตังพระบัญญัติ(ทรงบัญญัติสิกขาบท)ห้ามไม่ให้ภิกษุ ทําอย่างนันอีกต่อไป และทรงกําหนดโทษสําหรับผู ้ ฝ่ า
ฝื นหรือล่วงละเมิดเรียกว่า ปรับอาบัติ
อาบัติ (แปลว่า ความต้องหรือการล่วงละเมิด) หมายถึง กิริยาทีล่วงละเมิดพระบัญญัติ (ข้อทีพระพุทธเจ้า
ทรงห้าม) หรือกิริยาทีล่วงละเมิดสิกขาบทนันๆ และมีโทษเหนื อตนอยู่
อาบัตินันว่าโดยชือมี 7 อย่าง(กอง) คือ
1. ปาราชิก มีโทษหนัก ทําให้ผลู ้ ว่ งละเมิดขาดจากความเป็ นภิกษุ
2. สังฆาทิเสส มีโทษปานกลาง ผูล้ ว่ งละเมิดต้องอยูก่ รรมคือประพฤติวตั รอย่างหนึ งจึงจะพ้นจากอาบัตินี
3. ถุลลัจจัย (อ. ชือว่า ถุลลัจจัย เพราะเป็ นกรรมหยาบและมีความเป็ นโทษ)
4. ปาจิตตีย ์
5. ปาฏิเทสนี ยะ มีโทษเบา ผูล้ ว่ งละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดต่อหน้าภิกษุ ดว้ ยกัน ทีเรียกว่า
6. ทุกกฏ แสดงอาบัติ หรือปลงอาบัติ จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี
7. ทุพภาสิต

สิกขาบททีมาในพระปาติโมกข์นันปรับอาบัติแก่ภิกษุ ผลู ้ ว่ งละเมิดไว้ครบทุกอาบัติ คือ


41
 ระบุอาบัติโดยตรง [ปรับโดยตรง] 4 กอง ได้แก่ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย ์ ปาฏิเทสนี ยะ
 มีอาบัติทีไม่ได้ระบุไว้โดยตรง [ปรับโดยอ้อม] อีก 3 กอง ได้แก่ ถุลลัจจัย ทุกกฏ ทุพภาสิต
 ถุลลัจจัย ลดลงมาจากปาราชิก และสังฆาทิเสส
 ทุกกฏ ลดลงมาจากปาจิตตีย์ และปาฏิเทสนี ยะ
 ทุพภาสิต ลดลงมาจากโอมสวาทสิกขาบท
เสขิยวัตร ถ้าไม่เอือเฟื อต้องอาบัติทุกกฏ
อาบัติเหล่านี เอาชือวิภงั ค์เข้าประกอบว่า วิภงั คถุลลัจจัย วิภงั คทุกกฏ , ส่วนทุพภาสิตนั นเรียกลอยๆ ไม่ใช้ว่า
วิภงั คทุพภาสิต เพราะมาในวิภงั ค์ แห่งเดียว {เข้าใจว่า หมายถึง ไม่ตอ้ งเรียกแยกจากสิกขาบทเดิม}
ฉะนัน (โดยสรุป) อาบัติ มีโทษ 3 สถาน คือ
1. โทษหนัก (อย่างหนัก) [ครุกาบัติ] ยังผูต้ อ้ งให้ขาดจากความเป็ นภิกษุ ได้แก่ อาบัติปาราชิก
2. โทษปานกลาง (อย่างกลาง) [ครุกาบัติ] ยังผูต้ อ้ งให้อยูก่ รรม คือ ประพฤติวตั รอย่างหนึ งเพือทรมานตนจึงพ้นได้
ได้แก่ อาบัติสงั ฆาทิเสส
3. โทษเบา (อย่างเบา) [ลหุกาบัติ] ยังผูต้ อ้ งให้ประจานตนต่อหน้าภิกษุ ดว้ ยกัน ได้แก่ อาบัติทีเหลือจากนัน
กล่าวอีกอย่างหนึง อาบัติมี 2 สถาน คือ
1. อเตกิจฉา อาบัติทีแก้ไขไม่ได้ ได้แก่ อาบัติมีโทษอย่างหนัก
2. สเตกิจฉา อาบัติทีแก้ไขได้ ได้แก่ อาบัติอย่างกลางและอย่างเบา
พระบัญญัติมี 2 อย่าง คือ
1. การบัญญัติสกิ ขาบทในครังแรก(พระบัญญัติทีทรงตังไว้เดิม)เรียกว่า มูลบัญญัติ หรือ พระปฐมบัญญัติ
(หรือใช้เพียงว่า“พระบัญญัต”ิ หรือ“บัญญัต”ิ ) (แม้ไม่เป็ นไปโดยสะดวก ก็ไม่ทรงถอนเสียทีเดียว)
[เปรียบเทียบกับคําว่า “มูลแห่งพระบัญญัต”ิ ]
2. การบัญญัติเพิมเติมข้อความให้กบั สิกขาบท(ข้อทีทรงตังเพิมเติมทีหลัง) เรียกว่า อนุบญ
ั ญัติ
รวมมูลบัญญัติและอนุ บญ
ั ญัติเข้าด้วยกัน เรียกว่า สิกขาบท
สมุฏฐานทางเกิดแห่งอาบัติโดยตรงมี 4 คือ
1. ลําพังกาย เช่น อาบัติปาจิตตีย ์ เพราะดืมนําเมา แม้ไม่ตงใจั เพราะไม่รู ้
2. ลําพังวาจา เช่น อาบัติปาจิตตีย ์ เพราะสอนธรรมแก่อนุ ปสัมบัน ให้วา่ พร้อมกัน แม้จะระวังอยู่ แต่พลาดพลัง
3. กายกับจิต เช่น อาบัติปาราชิก เพราะทําโจรกรรมด้วยตนเอง
4. วาจากับจิต เช่น อาบัติปาราชิก เพราะสังให้เขาทําโจรกรรมด้วยวาจา
ใบบาลีเพิมเข้าอีก 2
1. กายกับวาจาควบกัน
2. กายกับวาจานั น เติมจิตเข้าด้วย
อาบัติเพ่งเอาเจตนาเป็ นทีตัง
1. สจิตตกะ คือเกิดขึนโดยสมุฏฐานมีเจตนาด้วย
2. อจิตตกะ คือเกิดขึนโดยสมุฏฐานแม้ไม่มีเจตนา เช่น ดืมสุรา
โทษแห่งอาบัติ 2
1. โลกวัชชะ เป็ นโทษทางโลก (คือคฤหัสถ์ทาํ ก็เป็ นความผิดความเสียเหมือนกัน) เช่น โจรกรรม ทุบตีกนั ด่ากัน
2. ปั ณณัตติวชั ชะ เป็ นโทษทางพระบัญญัติ (คือคฤหัสถ์ทาํ เข้าไม่เป็ นความผิดความเสีย) เช่น ขุดดิน
สิกขาบทใดในฝ่ ายสจิตตะ มีจิตเป็ นอกุศลล้วนๆ สิกขาบทนั นชือว่า โลกวัชชะ (ปฐมปาราชิกสิกขาบทนี เป็ นโลกวัชชะ
เพราะต้องอาบัติดว้ ยอํานาจราคะกล้า) , สิกขาบทใดในฝ่ ายอจิตตกะ มีจิตมิใช่อกุศล สิกขาบทนั นชือว่า ปั ณณัตติวชั ชะ

42
[สิกขาบททังหมด มีโทษ 2 อย่าง] จริงอยู่ สิกขาบทมี 2 อย่าง คือ โลกวัชชะ (มีโทษทางโลก) 1 ปั ณณัตติวชั ชะ มีโทษทางพระบัญญัติ) 1
บรรดาโทษ 2 อย่างนัน สิกขาบทใด ในฝ่ ายสจิตตกะ มีจิตเป็ นอกุศลล้วน ๆ สิกขาบทนันชือว่า เป็ นโลกวัชชะ ทีเหลือเป็ นปั ณณัตติวัชชะ
บรรดาโทษ 2 อย่างนัน อนุ บญ ั ญัติในสิกขาบททีเป็ นโลกวัชชะ เมือเกิดขึน กัน ปิ ดประตู ตัดกระแส ทําให้ตึงขึนกว่าเดิม ย่อมเกิดขึน ส่วน
อนุ บญ
ั ญัตินีวา่ เว้นไว้แต่สาํ คัญว่าได้บรรลุ1 เว้นไว้แต่ฝัน2 พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพราะไม่มีการล่วงละเมิด และเพราะเป็ นอัพโพหาริก ใน
สิกขาบททีเป็ นปั ณณัตติวชั ชะ เมือภิกษุ ยงั ไม่ได้ทาํ การล่วงละเมิด อนุ บญ
ั ญัติ เมือเกิดขึนทําให้เพลาลง ปลดเปลืองออก เปิ ดประตูให้ ทําไม่ให้เป็ น
อาบัติต่อ ๆ ไป ย่อมเกิ ดขึน เหมือนอนุ บัญญัติในคณโภชนสิกขาบทและปรัมปรโภชนสิกขาบท ฉะนั น ส่วนอนุ บัญญัติเห็ นปานนี ว่า โดยที สุ ด
(บอก) แม้แก่หญิงแพศยาอันจะพึงอยูร่ ่วมชัวขณะ* ชือว่ามีคติเหมือนพระบัญญัติทีเดียว เพราะเกิดขึนในเมือภิกษุ ทาํ การล่วงละเมิดแล้ว ก็เพราะ
ปฐมสิกขาบทนี เป็ นโลกวัชชะ ไม่ใช่เป็ นปั ณณัตติวชั ชะ ; เพราะฉะนัน อนุ บญ ั ญัตินี ก็กนปิ
ั ดประตู ตัดกระแส ได้แก่ทาํ ให้ตึงขึนกว่าเดิมอีก (เล่ม 1
หน้า 745 มมร.)
นักธรรมตรี - วินัยมุข เล่ม 1 - หน้าที
อนึ ง อาบัตินันเป็ นโทษทางโลก คือคนสามัญที มิใช่ภิกษุ ทําเข้าก็เป็ นความผิ ดความเสียเหมือนกันก็ มี เช่นทําโจรกรรม และฆ่ามนุ ษย์
ตลอดลงมาถึงโทษทีเบา เช่นทุบตีกนั ด่ากัน นี เรียกโลกวัชชะ.
ทีเป็ นโทษทางพระบัญญัติ คือคนสามัญทําเข้าไม่เป็ นความผิ ดความเสีย เป็ นผิดเฉพาะแก่ภิกษุ โดยฐานละเมิดพระบัญญัติก็มี เช่นขุดดิน
และฉันอาหารในเวลาวิกาลเป็ นต้น คนชาวบ้านทํา ไม่มีความผิดความเสีย นี เรียกปั ณณัตติวชั ชะ. อธิบายนี ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า.
ส่วนในอรรถกถาพระวินัยท่านพรรณนาว่า อาบัติทีเป็ นโลกวัชชะนัน ได้แก่อาบัติทีต้องในเวลามีจิตเป็ นอกุศล ท่านยกการดืมสุรา ด้วยรูว้ า่
เป็ นสุราเป็ นตัวอย่าง, อาบัติทีเป็ นปั ณณัตติวชั ชะนัน ได้แก่อาบัติทีต้องในเวลามีจิตเป็ นกุ ศล ท่านมิได้ยกตัวอย่างขึนไว้ แต่พึงเห็นเช่นเก็บดอกไม้
เพือจะบูชาพระ.
ใคร่ครวญดีความก็ลงรอยกัน การใดคนสามัญทําลงแล้วเป็ นความผิ ดความเสีย การนันเขาคงถือกันว่าเป็ นชัว ส่วนการใดคนสามัญทําลง
แล้ว ไม่เป็ นความผิดความเสีย การนันเขาไม่ถือกันว่าชัวสําหรับคนทัวไป เป็ นแต่ท่านพรรณนาไว้ไม่ชดั เจนเท่านัน.
ข้าพเจ้าขอแนะนําเพือนสหธรรมิกไว้วา่ อาบัติทีเป็ นโลกวัชชะนัน ล่วงเข้าแล้วยังความเสียหายให้เกิ ดมาก แม้ทาํ คืนแล้ว ความเสียนั นก็
ยังเป็ นเหมือนแผลเป็ นติดอยู่ ไม่หายได้ง่าย ควรประหยัดให้มาก อย่าล่วงง่าย ๆ. ฝ่ ายอาบัติทีเป็ นปั ณณัตติวชั ชะนัน เหล่าใดทีพวกภิกษุ ยงั ถือเป็ น
กวดขัน ล่วงอาบัติเหล่านันเข้าแล้ว มีความเสียได้เหมือนกัน เหล่าใดไม่ได้ถือเป็ นจริงจัง เพราะกาลสมัยและประเทศนํ าให้เป็ นอาบัติเหล่านั นแม้
ล่วงเข้าแล้ว ก็ไม่สเู ้ ป็ นอะไรนัก.
ไม่ควรจะถือเอาอาบัติเหล่านี เป็ นเครืองมือสําหรับอวดเคร่งดังเคยได้ยินมา พวกทายกเขานิ มนต์ภิกษุ รูปหนึ งไปเทศนา บนธรรมาสน์ปูเบาะ
ยัดนุ่ นไว้ ภิกษุ นันไม่นังสังให้เลิกเสีย. ตามความเห็นของข้าพเจ้า ทําอย่างนันไม่เป็ นความเรียบร้อยกว่าจะยอมนังชัวคราว ยังจะถือก็ควรถือแต่เฉพาะ
ในวัด. เพือจะรักษาความเรียบร้อยไม่เอะอะ ได้เคยทรงพระอนุ ญาตให้ทาํ ได้ก็มี. ในฝ่ ายทีไม่เคร่ง เห็นว่าอาบัติมากหลบไม่ไหวแล้ว ทอดธุระเสีย ไม่
รูจ้ กั เลือกเว้น ดังนี ก็สะเพร่าเกินไป. ควรรูจ้ กั ประพฤติแต่พอดี จึงจะสมแก่ศาสนาธรรมทีว่า เป็ นปฏิบตั ิพอกลาง ๆ ไม่ตกไปฝ่ ายกามสุขลั ลิกานุ โยค
ส่วนข้างหย่อน และในฝ่ ายอัตตกิลมถานุ โยค ส่วนข้างตึงเครียด.
อาการต้องอาบัติ 6 [ ในวงเล็ บ ไม่พิมพ์ ]
1. อะลัชชิตา ต้องด้วยไม่ละอาย ( กระทําลงไปทังทีรูอ้ ยู่แก่ใจ )
2. อัญญาณะตา ต้องด้วยไม่รู ้ ( ไม่มีความรูค้ วามเข้าใจว่าสิงใดควรไม่ควร )
3. กุกกุจจะปะกะตะตา ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทํา ( ไม่แน่ ใจว่าทําได้หรือไม่แล้วขืนทํา โดยไม่สืบความให้แน่ ชดั ก่อน )
4. อะกัปปิ เย กัปปิ ยะสัญญิตา ต้องด้วยสําคัญว่าควรในของทีไม่ควร ( มีความเข้าใจผิด )
5. กัปปิ เย อะกัปปิ ยะสัญญิตา ต้องด้วยสําคัญว่าไม่ควรในของทีควร
6. สะติสัมโมสา ต้องด้วยลืมสติ ( เผลอเลอ หลงลืมตัว )
นักธรรมตรี - วินัยมุข เล่ม 1 - หน้าที 6
ÍÒ¡Ò÷Õè¨ÐµŒÍ§ÍҺѵԹÑé¹ 6 Í‹ҧ ¤×Í
ÍÅªÚªÔµÒ µŒÍ§´ŒÇÂäÁ‹ÅÐÍÒ 1 ÍÒ³µÒ µŒÍ§´ŒÇÂäÁ‹Ãٌ 1
¡Ø¡Ú¡Ø¨Ú¨»¡µµÒ µŒÍ§´ŒÇÂʧÊÑÂáŌǢ׹·íÒ 1 Í¡»Ú»à ¡»Ú»ÂÊÚÔµÒ µŒÍ§´ŒÇÂÊíҤѭNjҤÇÃ㹢ͧäÁ‹¤Çà 1
¡»Ú»à ͡»Ú»ÂÊÚÔµÒ µŒÍ§´ŒÇÂÊíҤѭNjÒäÁ‹¤ÇÃ㹢ͧ¤Çà 1 ʵÔÊÁÚâÁÊÒ µŒÍ§´ŒÇÂÅ×ÁÊµÔ 1.
 ภิกษุ รอู ้ ยูแ่ ล้ว และละเมิดพระบัญญัติ ด้วยใจด้านไม่รจู ้ กั ละอายดังนี ต้องด้วยไม่ละอาย.
 ภิกษุ ไม่รวู ้ า่ ทําอย่างนัน ๆ มีพระบัญญัติหา้ มไว้และทําล่วงพระบัญญัติ ดังนี ต้องด้วยไม่ร.ู ้
 ภิกษุ สงสัยอยูว่ า่ ทําอย่างนัน ๆ ผิดพระบัญญัติหรือไม่ แต่ขืนทําด้วยความสะเพร่าเช่นนี ถ้าการทีทํานันผิดพระบัญญัติ ก็ตอ้ งอาบัติตามวัตถุ ถ้าไม่
ผิด ก็ตอ้ งอาบัติทุกกฎ เพราะสงสัยแล้วขืนทํา.
 มังสะสัตว์ทีเขาไม่ได้ใช้เป็ นอาหาร เป็ นของต้องห้ามไม่ให้ฉนั ภิกษุ สาํ คัญว่าควรแล้วและฉันดังนี ต้องด้วยสําคัญว่าควรในของทีไม่ควร.
 มังสะสัตว์ทีเขาใช้เป็ นอาหาร เป็ นของควร ภิกษุ สาํ คัญว่าเป็ นมังสะต้องห้าม แต่ขืนฉันดังนี ต้องด้วยสําคัญว่าไม่ควรในของทีควร.
 นําผึง จัดว่าเป็ นเภสัชอย่างหนึ ง ถึงมือแล้ว เก็บไว้ฉนั ได้เพียง 7 วัน ภิกษุ ลืมไปปล่อยให้ลว่ งกําหนดนัน ดังนี ต้องด้วยลืมสติ.

43
หน้าทีจะพึงปฏิบตั ิเมือต้องอาบัติ
1. เป็ นหน้าทีของภิกษุ ผตู ้ อ้ งอาบัติจะต้องทําคืนตามวิธีนันๆ
2. เป็ นหน้าทีของภิกษุ อืนผูร้ เู ้ ห็นจะพึงตักเตือนด้วยความเมตตา
3. เป็ นหน้าทีของสงฆ์จะพึงทําตามสมควรแก่พระธรรมวินัย
อานิสงส์พระวินัย พระวินัยนัน เมือภิกษุ รกั ษาดีแล้ว ย่อมได้อานิ สงส์ ดังนี คือ
1. ไม่เดือดร้อนใจ คือ ไม่มีวิปฏิสาร
2. ย่อมได้รบั ความแช่มชืน เพราะรูส้ ึกว่าตนประพฤติดีงามแล้ว ไม่ถูกจับกุมลงโทษ เป็ นต้น
3. จะเข้าสมาคมกับภิกษุ ผมู ้ ีศีล ก็อาจหาญไม่สะทกสะท้าน
การทรงวินัยมีอานิสงส์ 5 คือ (วิ.ป.8/986/315)
1. กองศีลของตนเป็ นอันคุม้ ครองรักษาดีแล้ว 1
2. ผูท้ ีถูกความรังเกียจครอบงําย่อมหวนระลึกได้ 1
3. กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ 1
4. ข่มด้วยดีซึงข้าศึกโดยสหธรรม 1
5. เป็ นผูป้ ฏิบตั ิเพือความตังมันแห่งพระสัทธรรม 1.
โทษแห่งศีลวิบตั ิ 5 ประการ (วิ.ม.5/68/70) -áÊ´§á¡‹ÍغÒÊ¡ÍغÒÊԡҢͧµíҺźŒÒ¹»Ò¯ÅÔ ¼ÙŒ¶ÇÒÂÍÒ¤ÒÃ
¾Ñ¡áÃÁᡋ¾ÃÐÀÔ¡ÉؼٌµÒÁàÊ´ç¨ 1250 ÃÙ»-
[68] ดูกรคหบดีทงหลาย ั โทษแห่งศีลวิบตั ิของคนทุศีลมี 5 ประการ เป็ นไฉน
ดูกรคหบดีทงหลาย ั คนทุศีล ผูม้ ีศีลวิบตั ิในโลกนี ย่อมเข้าถึงความเสือมแห่งโภคทรัพย์ใหญ่หลวง เพราะ
เหตุแห่งความประมาท
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึง โทษข้ออืนยังมีอีก ชือเสียงอันลามกของคนทุศีล ผูม้ ีศีลวิบตั ิยอ่ มเฟื องฟุ้งไป
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึง โทษข้ออืนยังมีอีก คนทุศีล ผูม้ ีศีลวิบตั ิ เข้าไปหาบริษัทใดๆ เช่น ขัตติยบริษัท
พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท ย่อมเป็ นผูค้ รันคร้าม ขวยเขินเข้าไปหาบริษัทนันๆ
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึ ง โทษข้ออืนยังมีอีก คนทุศีล ผูม้ ีศีลวิบตั ิ ย่อมเป็ นผูห้ ลงทํากาละ
ดูกรคหบดี อนึง โทษข้ออืนยังมีอีก คนทุศีล ผูม้ ีศีลวิบตั ิ เบืองหน้าแต่แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึง อบาย
ทุคติ วินิบาต นรก
ดูกรคหบดีทงหลาย ั โทษแห่งศีลวิบตั ิของคนทุศีล มี 5 ประการนี แล.
อานิสงส์แห่งศีลสมบัติ 5 ประการ
[69] ดูกรคหบดีทงหลาย ั อานิ สงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีลมี 5 ประการ เป็ นไฉน?
ดูกรคหบดีทงหลาย ั คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีลในโลกนี ย่อมได้กองโภคทรัพย์ใหญ่หลวง เพราะเหตุแห่งความ
ไม่ประมาท
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึ ง อานิ สงส์ขอ้ อืนยังมีอีก ชือเสียงอันดีงามของคนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเฟื องฟุ้งไป
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึ ง อานิ สงส์ขอ้ อืนยังมีอีก คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล เข้าไปหาบริษัทใดๆ เช่น ขัตติย
บริษัท พรหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท ย่อมเป็ นผูแ้ กล้วกล้า ไม่ขวยเขินเข้าไปหาบริษัทนันๆ
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึ ง อานิ สงส์ขอ้ อืนยังมีอีก คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมไม่หลงทํากาละ
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อนึ ง อานิ สงส์ขอ้ อืนยังมีอีก คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล เบืองหน้าแต่แตกกายตายไป ย่อม
เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูกรคหบดีทงหลาย ั อานิ สงส์แห่งศีลสมบัติ ของคนมีศีล มี 5 ประการ นี แล.
………………………………………………………………….

44
พระวินัยปิ ฎก
คือ ประมวลพุทธบัญ ญัติ เ กียวกับระเบี ยบปฏิ บัติ ขนบธรรมเนี ย ม ประเพณี วิถีชีวิตและวิธีดําเนิ นกิ จการต่ างๆ ของ
พระภิกษุ สงฆ์และภิกษุ ณีสงฆ์
พระวินัยปิ ฎก แบ่งออกเป็ น 5 คัมภีร์ คือ
1. มหาวิภงั ค์ หรือภิกขุวิภงั ค์ ว่าด้วยสิกขาบทหรือศีลของพระภิกษุ 227 ข้อมาในพระปาติโมกข์
2. ภิกขุนีวิภงั ค์ ว่าด้วยสิกขาบทหรือศีลของภิกษุ ณี 311 ข้อทีมาในพระปาติโมกข์
3. มหาวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ตอนต้น 10 ขันธกะ(หมวด)
4. จุลวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ตอนปลาย 10 ขันธกะ
5. ปริวาร คือคัมภีร์ประกอบหรือคู่มือทีบรรจุคําถามคําตอบสําหรับซ้อมความรูเ้ รืองพระวินัยซึงเป็ น
การทบทวนเนื อหาของสีคัมภีรแ์ รก
ตามปรากฏในคัมภีรว์ ชิรสามรัตถสังคหะ ท่านแบ่งพระวินัยปิ ฎก แบ่งออกเป็ น 5 คัมภีร์ มีคาํ ย่อ หรือหัวใจว่า
อา อาทิกมั มิกะ หรือปาราชิก ( เกียวกับอาบัติหนั กของภิกษุ ตงแต่
ั ปาราชิกถึงอนิ ยต )
ปา ปาจิตตีย์ ( เกียวกับอาบัติเบาตังแต่นิสสัคคิยปาจิตตียถ์ ึงเสขิยะ รวมทังภิกขุนีวิภงั ค์ )
ม มหาวรรค จุ จุลวรรค ป ปริวาร
วินยั ปิ ฎกประกอบด้วยเนือหาทีบรรจุ ในพระไตรปิ ฏก 8 เล่ม ดังนี
เล่ม 1 มหาวิภงั ค์ ภาค 1 แบ่งเป็ น 4 ภัณฑ์ คือ
1. เวรัญชภัณฑ์ 2. ปาราชิกกัณฑ์ 3. สังฆาทิเสสกัณฑ์ 4. อนิยตกัณฑ์
เล่ม 2 มหาวิภงั ค์ ภาค 2 แบ่งเป็ น 4 กัณฑ์ กับ 1 เรือง คือ
1. นิสสัคคิยภัณฑ์ 2.ปาจิตติยภัณฑ์ 3. ปาฏิเทสนียกัณฑ์ 4. เสขิยกัณฑ์ 5. อธิกรณสมถะ
เล่ม 3 ภิกขุนีวิภงั ค์ แบ่งเป็ น 6 กัณฑ์ กับ 1 เรือง คือ
1. ปาราชิกกัณฑ์ 2. สังฆาทิเสสกัณฑ์ 3. นิสสัคคิยกัณฑ์ 4. ปาจิตติยภัณฑ์ 5. ปาฏิเทสนียกัณฑ์ 6. เสขิยกัณฑ์ 7. อธิกรณสมถะ
เล่ม 4 มหาวรรค ภาค 1 แบ่งเป็ นตอนใหญ่เรียกว่าขันธกะ มี 4 ขันธกะ คือ
1. มหาขันธกะ 2. อุโปสถขันธกะ 3. วัสสูปยิกขันธกะ 4. ปวารณาขันธกะ
เล่ม 5 มหาวรรค ภาค 2 แบ่งออกเป็ น 6 ขันธกะ คือ
1.จัมมขันธกะ 2. เภสัชชขันธกะ 3. กฐินขันธกะ 4. จีวรขันธกะ 5. จัมเปยยขันธกะ 6. โกสัมพิกขันธกะ
เล่ม 6 จุลวรรค ภาค 1 แบ่งเป็ น 5 ขันธกะ คือ
1. กัมมขันธกะ 2. ปริวาสิกขันธกะ 3. สังฆเภทขันธกะ 4. สมุจจยขันธกะ 5. สมถขันธกะ
เล่ม 7 จุลวรรค ภาค 2 แบ่งเป็ น 7 ขันธกะ คือ
1. ขุททกวัตถุขนั ธกะ 2. เสนาสนขันธกะ 3. วัตตักขันธกะ 4. ปาฏิโมกขฐปนขันธกะ 5. ภิกขุนีขนั ธกะ
6. ปัญจสติกขันธกะ 7. สัตตสติกขันธกะ
เล่ม 8 ปริวาร เป็ นคู่มอื ถามตอบเกียวกับวินยั ประมวลความสําคัญของพระไตรปิ ฎก ตังแต่เล่ม 1 ถึง 7 มี 19 เรือง
ศัพท์ในพระวินยั ปิ ฎก
มาติกา หมายถึง ต่อหัวข้อที ๑๐ หน้า ๒๓๕
1.หัวข้อ เช่น หัวข้อแห่งการเดาะกฐิน อธิกรณสมถะ
2.แม่บท เช่น ตัวสิกขาบท เรียกว่าเป็ นมาติกา เพราะจะต้องขยายความต่อไป พจนฯ 230
3.แม่บทสิกขาบทเดิมทีเป็ นต้นเค้า เลียงเชียง
สิกขาบทวิภงั ค์ หมายถึง การจําแนกความสิกขาบท เป็ นการอธิ บายความหมายของศัพท์หรือข้อความในพระบัญญัติ
บทภาชนี ย์ แปลว่า การจําแนกแยกแยะความหมายของบท เป็ นการนํ าเอาบทหรือคําในสิ กขาบทวิภังค์มาขยายความ
เพิมเติมอีก (โดยยกตัวอย่างลักษณะ ข้อความ เรืองราวในกรณีต่างๆ ขึนมาแยกแยะให้ชดั เจน) จากนั นก็อธิบายตัวสิกขาบทอย่ าง
ละเอียดทุกคํา พร้อมยกตัวอย่างประกอบ สันนิ ษฐานว่า สิ กขาบทวิภังค์และบทภาชนี ย์ พระพุทธเจ้าทรงประทานวินิจฉัยไว้บา้ ง
พระอุบาลีเถระอธิบายไว้บา้ ง มจร.เล่ม1หน้า[20]
วินีตวัตถุ ว่าด้วยเรืองต่างๆ ของภิกษุ ผูก้ ระทําการบางอย่างอันอยู่ในขอบข่ายของสิ กขาบทนั นๆ ซึงพระพุท ธเจ้าทรงไต่
สวนเอง แล้วทรงวินิจฉัยชีขาดว่าต้องอาบัติใดหรือไม่ เช่น ในปาราชิกสิกขาบทที 3 มีเรืองทีทรงวินิจฉัยชีขาดรวม 103 เรือง
………………………………………………………………….

45
พระไตรปิ ฎก (ปิ ฎก แปลว่า ภาชนะหรือกระบุง)
เป็ นคัมภีรส์ ําคัญทางพระพุทธศาสนาทีพระภิกษุ สามเณรและพุทธศาสนิ กชนใช้ศึกษาเล่าเรียนเพือให้รทู ้ วถึ
ั งพระธรรมวินัย
และปฏิบัติตามพระธรรมคําสั งสอนของพระสั มมาสัม พุ ทธเจ้าได้อย่ างถู กต้อง ด้วยเหตุนี พระไตรปิ ฎกจึง เรียกว่ า พระปริ ยัติ
สัทธรรม เพราะเป็ นปทัฏฐานให้เกิดมีพระปฏิบตั ิสัทธรรม คือ ศีล สมาธิ ปั ญญา และพระปฏิเวธสัทธรรม คือ มรรค ผล นิ พพาน
เป็ นทีสุ ด พระสงฆ์สาวกได้เห็นความสําคัญของพระไตรปิ ฎกทีจะต้องมีไว้เพือสื บอายุพระพุทธศาสนา หลังจากพุทธปรินิพพาน
พระมหาสาวกทังหลายจึงได้ทําสังคายนาพระธรรมวินัยครังแรก ด้วยการรวบรวมคําสังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดเป็ น
พระไตรปิ ฎก คือ พระวินัยปิ ฎก พระสุ ตตันตปิ ฎก และพระอภิธรรมปิ ฎก พระสงฆ์สาวกต่อๆ มาก็ทรงจําเป็ นแบบ”จากปากต่อ
ปาก” เรียกว่า มุขปาฐะ ต่อมาได้มีการทําสังคายนาพระธรรมวินัย คือ พระไตรปิ ฎก โดยการจารึกเป็ นลายลักษณ์อักษร เมือ
สังคายนาครังที 5 ประมาณพุทธศักราช 433 ทีประเทศศรีลงั กา ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
ดังมีรายละเอียด ดังต่อไปนี คือ

(พจนฯ ศัพท์) สังคายนา แปลว่า “การสวดพร้อมกัน” การ มหากัสสปะ ผู้เป็ นสังฆเถระ ก็ได้ช กั ชวนพระอรหันต์ ทงหลาย

ร้อยกรองพระธรรมวินยั , การประชุมรวบรวมและจัดหมวดหมู่ ประชุมกันทําสังคายนาตามหลักการทีกล่าวมานัน โดยประมวล
คํา สังสอนของพระพุทธเจ้าโดยพร้อมกันทบทวนสอบทาน จน พระธรรมวินยั ทังหมดเท่า ทีรวบรวมได้วางลงไว้เป็ นแบบแผน
ยอมรับและวางลงเป็ นแบบแผนอันหนึ งอันเดียว ตังแต่หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน เรียกว่าเป็ นสังคายนาครังที
1
“สังคายนา” คือ การสวดพร้อมกัน เป็ นกิริยาแห่งการ
มาร่วมกันซักซ้อมสอบทานให้ลงกัน แล้วสวดพร้อมกัน คือตก ความหมายทีเป็ นแกนของสังคายนาคือ การรวบรวม
ลงยอมรับไว้ด้วยกันเป็ นอันหนึ งอันเดียว ตามหลักในปาสาทิก พุทธพจน์ หรือคําสังสอนของพระบรมศาสดา ดังนัน สังคายนา
สูตร (ที.ปา.11/ 108/139) ทีพระพุทธเจ้าตรัสแนะนําแก่ท่า น ทีเต็มตามความหมายแท้จริง จึงมีได้ต่อเมือมีพุทธพจน์ทีจะพึง
พระจุนทะ กล่า วคือ ท่า นพระจุนทะปรารภเรืองทีนิครนถนาฏ รวบรวม อันได้แก่สงั คายนาเท่าทีกล่าวมาข้างต้น
บุ ต รสินชี พแล้ว ประดานิค รนถ์ต กลงในเรืองหลักคํา สอนกัน ส่ ว นการสัง คายนาหลัง จากนัน ซึ งจัด ขึ นหลัง พุ ท ธ
ไม่ได้ ก็ทะเลาะวิวาทกัน ท่า นคํา นึงถึงพระศาสนา จึงมาเฝ้ า ปรินิพพานอย่า งน้อย 1 ศตวรรษ ชัด เจนว่า ไม่อยูใ่ นวิสยั แห่ง
และพระพุทธเจ้า ได้ต รัสว่า “เพราะเหตุ ด งั นี นันแล จุนทะ ใน การรวบรวมพุทธพจน์ แต่เปลียนจุดเน้นมาอยูท ่ การรั
ี กษาพุทธ
ธรรมทังหลายที เราแสดงแล้ว ด้ ว ยปัญ ญาอันยิง เธอทังหมด พจน์ และคํา สังสอนเดิม ทีได้รวบรวมไว้แล้ว อันสืบ ทอดมาถึง
ที เ ดี ย ว พึ ง พร้อ มเพรี ย งกัน ประชุ ม รวบรวมกล่ า วให้ล งกัน ตน ให้คงอยูบ ่ ริสุทธิบริบูรณ์ ทีสุดเท่าทีจะเป็ นไปได้ ด้วยเหตุนน

(สังคายนา) ทังอรรถะกับอรรถะ ทังพยัญชนะกับพยัญชนะ ไม่ สังคายนาในยุคหลังสืบมาถึงปัจจุบน ั จึงมีความหมายว่าเป็ นการ
พึงวิวาทกัน โดยประการทีพรหมจริยะนีจะยังยืน ดํารงอยูต ่ ลอด ประชุ ม ตรวจชํ า ระสอบทาน รัก ษาพระไตรปิ ฎกให้บ ริสุทธิ
กาลนาน เพือเกือกูลแก่พหูชน เพือความสุขแก่พหูชน เพือเกือ หมดจดจากความผิ ด พลาดคลาดเคลื อน โดยกํา จัด สิงปะปน
การุณย์แก่ชาวโลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือความสุขแก่ แปลกปลอมหรือทํา ให้เข้า ใจสับ สนออกไป ให้ธรรมวินยั ของ
เทวะและมนุษย์ทงหลาย” ั และในทีนัน ได้ตรัสว่า ธรรมทังหลาย พระพุทธเจ้า คงอยูเ่ ป็ นแบบแผนอันหนึ งอันเดียวทีเป็ นของแท้
ทีทรงแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิง หมายถึงธรรม 7 หมวด (ทีมี แต่เดิม;
ชือรวมว่าโพธิปก ั ขิยธรรม 37), ใ นบ างยุ ค สมัย กา รสัง คายนาเกิ ด ขึ นเนื องกัน กับ
ในเวลาใกล้กน ั นัน เมื อพระสารีบุ ต รได้รบ ั พุทธดํา รัส เหตุการณ์ ไม่ปกติทีมีการถือผิดปฏิบตั ิผดิ จากพระธรรมวินยั ทํา
มอบหมายให้แสดงธรรมแก่ภิกษุ สงฆ์ใ นทีเฉพาะพระพัก ตร์ ให้การสังคายนาเสมื อนมี ค วามหมายซ้อนเพิมขึ นว่าเป็ นการ
ท่านก็ปรารภเรืองทีนิครนถนาฏบุตรสินชีพแล้วประดานิค รนถ์ ซักซ้อมทบทวนสอบทานพระธรรมวินยั เพือจะได้เป็ นหลัก หรือ
ทะเลาะวิว าทกัน ในเรื องหลัก คํา สอน แล้ว ท่า นได้ แนะนํา ให้ เป็ นมาตรฐานในการชํา ระสังฆมณฑลและสะสางกิจการพระ
สังคายนา พร้อมทังทําเป็ นตัวอย่าง โดยประมวลธรรมมาลําดับ ศาสนา, จากความหมายทีเริมคลุมเครือสับสนนี ในภาษาไทย
แสดงเป็ นหมวดหมู่ ตังแต่หมวด 1 ถึงหมวด 10 เทศนาของ ปัจ จุ บ น
ั สัง คายนาถึง กับ เพี ยนความหมายไป กลายเป็ นการ
พระสารีบุตรครังนีได้ชือว่า “สังคีติสูตร” (ที.ปา.11/221/222) ชําระสะสางบุคคลหรือกิจการ ...
เป็ นพระสูตรว่าด้วยการสังคายนาทีทําตังแต่พระบรมศาสดายัง ...................................
ทรงพระชนม์ อ ยู่ , เมื อพระพุ ท ธเจ้ า ปริ นิ พ พานแล้ ว พระ

46
ปาสาทิกสูตร ที.ปา.11/94/91
เรืองนิคัณฐนาฏบุตรถึงแก่กรรม
[94] ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระเจ้า) ได้สดับมาอย่างนี
สมัยหนึ งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทในสวนอัมพวันของพวกศากยะ มี นามว่า เวธัญญา ในแคว้นสักกะ. ก็
สมัยนัน นิคณ ั ฐนาฏบุตร ได้ถงึ แก่กรรมทีเมืองปาวา ไม่นานนัก. เพราะนิคณ ั ฐนาฏบุตรนันได้ถงึ แก่กรรม พวกนิครณฐ์ จึงแตกกัน
ได้แตกแยกกันเป็ นสองฝ่ าย เกิดบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันขึ น ทิมแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยูว่ า่ ท่านไม่รท ู ้ วถึ
ั งธรรม
วินยั นี เรารูท
้ วถึ
ั งธรรมวินยั นี ท่านจักรูท ้ วถึ
ั งธรรมวินยั นี ได้อย่างไร ท่านเป็ นผู้ปฏิบตั ิผิด ข้าพเจ้าปฏิบตั ิถูก ถ้อยคําของข้าพเจ้าเป็ น
ประโยชน์ ของท่านไม่เป็ นประโยชน์ คําทีควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คําทีควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน สิง
ทีท่านชําชองได้ผน ั แปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย หรือจงแก้ไขเสีย
ถ้าสามารถ. เห็นจะมีแต่ความตายเท่านัน จะเป็ นไปในพวกอันเตวาสิกของนิตณ ั ฐนาฏบุตร. พวกสาวกของนิคณ ั ฐนาฏบุตรเหล่าใดที
เป็ นคฤหัสถ์นุ่งขาวห่มขาว พวกสาวกเหล่านันมีอาการเบือหน่ าย คลาดความรัก รูส้ ก ึ ท้อถอยในพวกอันเตวาสิกของนิคณ ั ฐนาฏบุ ต ร
โดยเหตุทีธรรมวินยั ทีนิคณ ั ฐนาฏบุตรกล่าวไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่ดี ไม่เป็ นธรรมวินยั ทีนําผู้ปฏิบตั ิให้ออกจากทุกข์ได้ ไม่เป็ นไปเพือ
ความสงบ มิใช่ธรรมวินยั อันพระสัมมาสัมพุทธะประกาศไว้ เป็ นธรรมวินยั ทีถูกทําลายเสียแล้ว เป็ นธรรมวินยั อันไม่มีทีพึงอาศัย.
[95] ครังนัน พระจุนทสมณุ เทสจําพรรษาอยูใ่ นเมืองปาวาได้เข้าไปหาท่านพระอานนทเถระซึ งอยูใ่ นสามคาม ครันเข้าไปหา
แล้วได้กราบไหว้ท่านพระอานนทเถระเจ้าแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง. ครัน แล้วได้กล่าวกะท่า นพระอานนทเถระเจ้า ว่า ข้าแต่
พระคุณ เจ้า นิค ณ ั ฐนาฎบุตร ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วทีเมืองปาวา เมื อไม่นานมานี เพราะนิค ณ ั ฐนาฏบุตรถึงแก่กรรม พวกนิครณฐ์
แตกกัน เกิด แยกเป็ นสองพวก ฯลฯ โดยเหตุทีธรรมวินยั ทีนิคณ ั ฐนาฏบุตรกล่าวไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่ดี ไม่เป็ นธรรมวินยั ทีจะนําผู้
ปฏิบตั ิให้ออกจากทุกข์ได้ ไม่เป็ นไปเพือความสงบ ไม่ใช่ธรรมวินยั ทีท่านผู้เป็ นสัมมาสัมพุทธะประกาศไว้ เป็ นธรรมวินยั ทีถูกทําลาย
เสียแล้ว เป็ นธรรมวินยั ไม่มีทีพึ งอาศัย. เมื อพระจุนทสมณุ เทสกล่าวอย่างนีแล้ว ท่า นพระอานนท์ได้กล่าวกะพระจุนทสมณเทสว่า
ดูกอ่ นอาวุโส
จุนทะ มี มู ลเหตุ แห่งถ้อยคํานี เพือเฝ้ าพระผู้มี พระภาคเจ้า อาวุโ สจุนทะมาเถิด เราจักเข้า ไปเฝ้ าพระผู้มี พระภาคเจ้า ณ ที
ประทับ แล้วพึงกราบทูลเรืองนี แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระจุนทาสมณุ เทสรับคําของท่านพระอานนทเถระเจ้าแล้ว.
ครังนัน ท่านพระอานนทเถระเจ้า และพระจุนทสมณุ เทส ได้พากันเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงทีประทับ ได้กราบถวาย
บังคมพระผู้มี พระภาคเจ้า แล้วจึงนัง ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ ง. ท่า นพระอานนทเถระเจ้า ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคเจ้า ว่า ข้า แต่
พระองค์ผู้เจริญ พระจุนทสมณุ เทสนีได้บอกว่า นิคณ ั ฐนาฏบุตรได้ถงึ แก่กรรมเสียแล้ว เมือไม่นานมานี เพราะนิคณ ั ฐนาฏบุตรถึงแก่
กรรม พวกนิครณฐ์แตกกัน เกิดแยกเป็ นสองพวก ฯลฯ โดยเหตุทีธรรมวินยั ทีนิคณ ั ฐนาฏบุตรกล่า วไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่ดี ไม่เป็ น
ธรรมวินยั ทีจะนําผู้ปฏิบตั ิให้ออกจากทุกข์ได้ ไม่เป็ นไปเพือความสงบ ไม่ใ ช่ธรรมวินยั ทีท่านผู้เป็ นสัมมาสัมพุทธะประกาศไว้ เป็ น
ธรรมวินยั ทีถูกทําลายเสียแล้ว เป็ นธรรมวินยั ไม่มีทีพึงพาอาศัย. ฯลฯ
ว่าด้วยอภิญญาเทสิตธรรม
[108] เพราะเหตุ นีแหละ ดู ก่อนจุนทะ ควรทีบริษ ัททังหมด พร้อมเพรียงกัน ประชุ ม รวบรวม ตรวจตราอรรถด้วยอรรถ
พยัญชนะด้วยพยัญชนะ ในธรรมทีเราแสดงแล้ว เพือความรูย้ ิง จะเป็ นเหตุใ ห้พรหมจรรย์นี พึงเป็ นไปตลอดกาลยืดยาว ตังมันอยู่
นาน พรหมจรรย์นนจะพึ ั งเป็ นไปเพือประโยชน์สุข แก่ชนหมู่มาก เพืออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือความสุข
แก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย. ั ดูกอ ่ นจุนทะ ก็ธรรมทังหลาย ทีเราแสดงแล้วเพือความรูย้ ิงเป็ นไฉน ทีบริษท ั ทังหมดพร้อมเพรีย งกัน
ประชุมรวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ จะเป็ นเหตุให้พรหมจรรย์นีพึงเป็ นไปตลอดกาลยืดยาวตังมันอยู่
นาน พรหมจรรย์นนจะพึ ั งเป็ นไปเพือประโยชน์ สุข แก่ชนเป็ นอันมาก เพืออนุ เคราะห์แก่ชาวโลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือ
ความสุข แก่เทวดาและมนุ ษ ย์ทงหลาย ั ธรรมเหล่า นันคือ สติป ัฏ ฐาน 4 สัม มัป ปธาน 4 อิทธิบ าท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7
อริยมรรคมีองค์ 8 (โพธิปก ั ขิยธรรม 37). ดูกอ ่ นจุนทะ ธรรมเหล่านีแล ทีเราแสดงแล้ว เพือความรูย้ งิ การทีบริษท ั ทังหมด พึงพร้อม
เพรียงกันประชุมรวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ จะเป็ นเหตุทาํ ให้พรหมจรรย์พงึ ตังอยูย่ ืดยาว ตังมันอยู่
นาน พรหมจรรย์นนจะพึ ั งเป็ นไปเพือประโยชน์ สุข แก่ชนเป็ นอันมาก เพืออนุ เคราะห์แก่ชาวโลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือ
ความสุข แก่เทวดาเละมนุษย์ทงหลาย. ั ฯลฯ
....................................................
สังคีติสูตร ที.ปา.11/221/158
นิครนถ์นาฏบุตรตาย การสังคายนาหลักธรรมของพระสารีบุตร
[221] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี :-
ในสมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกในแคว้นมัลละ. พร้อมด้วยพระภิกษุ สงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูปได้เสด็จถึง
นครของพวกมัลลกษัตริย์อ ันมีนามว่า ปาวา. ได้ยน ิ ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตรใกล้นคร
ปาวานัน. ฯลฯ ...
[224] ลําดับนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครันพวกเจ้ามัลละแห่งนครปาวาหลีกไปแล้วไม่นาน ทรงเหลียวดูหมู่พระภิกษุ ผู้นงั
นิงแล้ว ทรงสังกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูกอ ่ นสารีบุตร ภิกษุ สงฆ์ปราศจากถีนะและมิทธะ. สารีบุตรจงแสดงธรรมกถาแก่ภิกษุ ทงหลาย ั
เราเมื อยแล้ว ฉะนัน เราพึงพักผ่อน. ท่า นพระสารีบุตรได้รบ ั สนองพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าอย่างนัน พระเจ้า ข้า ดังนี.
ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสังให้ปูผา้ สังฆาฏิเป็ นสีชัน แล้วทรงสําเร็จสีหไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบืองขวา ทรงเหลือมพระบาท
ด้วยพระบาท มีพระสติสมั ปชัญญะ ทรงกระทําในพระทัยถึงสัญญาในอันทีจะเสด็จลุกขึ น.
[225] ก็โ ดยสมัยนันแล นิค รนถ์นาฏบุตรทํากาละแล้วไม่นานทีนครปาวา. เพราะกาลกิรยิ าของนิครนถ์นาฏบุตรนัน พวก
นิครนถ์จงึ แตกกัน เกิดแยกกันเป็ นสองพวก เกิดบาดหมางกัน เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ น เสียดแทงกันและกัน ด้วยหอกคือปากอยู่
ว่า ท่า นไม่รูท
้ วถึ
ั งธรรมวินยั นี ท่า นจักรูท
้ วถึ
ั งธรรมวินยั นี ได้อย่า งไร ท่า นปฏิบ ต
ั ิผิด ข้า พเจ้า ปฏิ บ ต
ั ิถูก ถ้อยคํา ของข้า พเจ้า เป็ น
ประโยชน์ ถ้อยคําของท่านไม่เป็ นประโยชน์ คําทีควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คําทีควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าว
ก่อน ข้อทีท่านชําชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนัน
จงแก้ไขเสีย ถ้า ท่า นสามารถดังนี. เห็นจะมี แต่ความตายอย่า งเดี ยวเท่านัน จะเป็ นไปในพวกนิครนถ์ผู้เป็ นสาวกของนาฏบุตร. แม้
พวกสาวกของนิครนถ์นาฏบุตรทีเป็ นคฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวห่มขาว ก็มี อาการเบือหน่ ายคลายความรักรูส ้ กึ ท้อถอยในพวกนิครนถ์ผู้เป็ น
สาวกของนาฏบุตร ทังนี เพราะธรรมวินยั อันนิครนถ์นาฏบุตรกล่าวไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่ดี ไม่เป็ นธรรมเครืองนําออกจากทุกข์ได้

47
ไม่เป็ นไปเพือความสงบระงับ มิใช่ธรรมทีท่านผูเ้ ป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้ เป็ นธรรมวินยั มีทีพํานักอันทําลายเสียแล้ว เป็ น
ธรรมวินยั ไม่เป็ นทีพึงอาศัย.
ครังนันแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุ ทงหลาย ั เล่าว่า ดูกอ
่ นผู้มีอายุทงหลาย
ั นิครนถ์นาฏบุตรทํากาลแล้วไม่นานทีนคร
ปาวา เพราะกาลกิริยาของนิครนถ์นาฏบุต รนัน พวกนิค รนถ์จึงแตกกัน เกิด แยกกันเป็ นสองพวก ฯลฯ เป็ นธรรมวินยั มีทีพํานักอัน
ทําลายเสียแล้วเป็ น ธรรมวินยั ไม่มีทีพึงอาศัย ดูกอ ่ นผู้มีอายุทงหลาย
ั ข้อนีย่อมเป็ นเช่นนัน ในธรรมวินยั ทีกล่าวไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่
ดี ไม่เป็ นธรรมเครืองนําออกจากทุกข์ ไม่เป็ นไปเพือความสงบระงับ ไม่ใช่ธรรมทีท่านผู้เป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้.
ดู ก่อนผู้มี อายุทงหลาย
ั ส่วนธรรมนี แล อันพระผู้มี พระภาคเจ้า ของเราทังหลายตรัสไว้ดี แล้ว ประกาศไว้ดี แล้ว เป็ นธรรม
เครืองนําออกจากทุกข์ได้ เป็ นไปเพือความสงบระงับ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้ พวกเราทังหมดด้วยกันพึงสังคายนา ไม่
พึงกล่าวแก่งแย่งกันในธรรมนัน การทีพรหมจรรย์นีจะพึงยังยืนตังอยู่นานนัน พึงเป็ นไปเพือประโยชน์แก่ชนมาก เพือความสุขแก่
ชนมาก เพือความอนุเคราะห์แก่โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย ั
ดูกอ่ นผู้มีอายุทงหลาย
ั ก็ธรรมอะไรเล่าทีพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทังหลายตรัสไว้ดีแล้ว ประกาศไว้ดีแล้ว เป็ นธรรมเครือง
นําออกจากทุกข์ได้ เป็ นไปเพือความสงบระงับ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้แล้ว พวกเราทังหมดด้วยกัน พึงสังคายนา ไม่พงึ
กล่าวแก่งแย่งกันในธรรมนัน การทีพรหมจรรย์นีจะพึงยังยืนตังอยูน ่ านนัน พึงเป็ นไปเพือประโยชน์แก่ชนมาก เพือความสุขแก่ชน
มาก เพือความอนุเคราะห์แก่โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย. ั
ว่าด้วยสังคีติหมวด 1
[226] ดูกรผู้มีอายุทงหลาย ั ธรรม 1 อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู ้ ทรงเห็น เป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นน ั
ตรัสไว้โดยชอบแล้วมีอยูแ ่ ล พวกเราทังหมดด้วยกันพึงสังคายนา ไม่พงึ กล่าวแก่งแย่งกันในธรรมนัน การทีพรหมจรรย์นี จะพึงยังยืน
ตังอยู่นานนัน พึงเป็ นไปเพือประโยชน์ แก่ชนมาก เพือความสุขแก่ชนมาก เพือความอนุ เคราะห์แก่โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล
เพือความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย. ั ธรรม 1 เป็ นไฉน. คือ
สพฺเพ สตฺตา อาหารฏิตก
ิ า
สัตว์ทงหลายทั
ั งปวง ดํารงอยูด
่ ้วยอาหาร
สพฺเพ สตฺตา สงฺขารฏิตก
ิ า
สัตว์ทงหลายทั
ั งปวง ดํารงอยูด
่ ้วยสังขาร
ดูกอ
่ นผู้มีอายุทงหลาย
ั ธรรมหนึ งนีแล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู ้ ทรงเห็น เป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นน ั
ตรัสไว้โดยชอบแล้ว พวกเราทังหมดด้วยกัน พึงสังคายนา ไม่พงึ กล่าวแก่งแย่งกันในธรรมนัน การทีพรหมจรรย์นีจะพึงยังยืน ตังอยู่
นานนัน พึงเป็ นไปเพือประโยชน์แก่ชนมาก เพือความสุข แก่ช นมาก เพือความอนุเคราะห์แก่โ ลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือ
ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย. ั
จบสังคีติหมวด 1 ... ฯลฯ ...
[363] ลําดับนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ นแล้วตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูกอ ่ นสารีบุตร ดีละ ดีละ สารีบุตร เธอได้
ภาษิ ต สังคีติปริยายแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั เป็ นการดีแล้ว ดังนี . ท่า นพระสารีบุตรได้กล่าวสังคีติปริยายนีแล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย
และภิกษุ เหล่านันต่างก็ดีใจ ชืนชมภาษิ ตของท่านพระสารีบุตรแล้ว ดังนีแล.
อรรถกถาสังคีติสูตร เล่ม 16 หน้า 264 มมร.
...............................................

48
ไม่พิมพ์ ประวัติการสังคายนา ภายหลังปรินิพพาน
สังคายนา แปลว่า การสวดพร้อมกัน, การร้อยกรองพระธรรมวินัย, การประชุมตรวจชําระสอบทานและจัดหมวดหมู่
คําสังสอนของพระพุทธเจ้าวางลงเป็ นแบบแผนอันหนึ งอันเดียว (ชีสท่านพระครูฯ)
การนับปี พทุ ธศักราช ลังกา และพม่า นับ พ.ศ.1 เมือพุทธปรินิพพาน
ส่วนไทยนับปี พ.ศ.1 เมือพุทธปรินิพพานล่วงไปแล้ว 1 ปี ฉะนันปี พ.ศ. ของไทยจึงช้ากว่าลังกา และพม่า 1 ปี
(พุทธศาสนาในฝ่ ายเถรวาท มีไทย พม่า ลังกา เขมร ลาว ใช้ภาษาบาลีรกั ษา)
สังคายนาครังที 1 ถึง 5 มีดงั นี
1. หลังปรินิพพาน 3 เดือน (พ.ศ.0) ปรารภเหตุ สุ ภทั ทวุฒบรรพชิต กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
(ในกรุงราชคฤห์ หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 7 วัน) และปรารภทีจะทําให้ธรรมรุ่งเรืองอยู่สืบไป
ประธาน พระมหากัสสปะ ผูถ้ าม พระมหากัสสปะ ผูต้ อบ พระอุบาลี,พระอานนท์
การกสงฆ์ พระอรหันต์ 500 รูป ศาสนู ปถัมภก์ พระเจ้าอชาตศัตรู (ปฐมสังคายนา วิ.ม.อ.1 หน้า 24)
ใช้ระยะเวลา 7 เดือน สถานที ถําสัตตบรรณคูหาภูเขาเวภารบรรพต ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
แต่เมือสังคายนาเสร็จสินแล้ว พระสงฆ์หมู่หนึ งมีพระปุราณะ เป็ นหัวหน้า ไม่ยอมรับการทําสังคายนาครังนี
(ครังที 1 และ 2 นี มีปรากฏในพระไตรปิ ฎกเล่ม 7 จุลลวัคค์) [ไทยรับรองเป็ นครังที 1]
2. หลังปรินิพพาน พ.ศ. 100 ปรารภเหตุ พวกภิกษุ วชั ชีบุตรเมืองเวลาลีแสดงวัตถุ(ความประพฤติยอ่ หย่อน) 10 ประการ
นอกธรรมวินัย เช่น พระปุราณะไม่เห็นด้วยกับการทีไม่ให้ภิกษุ หุงต้มกินเอง เก็บเกลือ ฉันอาหารเย็น ดืมสุรา
ประธาน พระยสกา(เถระ) กัณฑกบุตร (เป็ นผูช้ กั นํา ไม่ใช่หวั หน้าในสงฆ์สนั นิ บาต)
ผูถ้ าม พระเรวตะ (เป็ นใหญ่โดยพาหุสจั จะ) ผูต้ อบ พระสัพพกามี (เป็ นใหญ่โดยพรรษา)
การกสงฆ์ พระอรหันต์ 700 รูป ศาสนู ปถัมภก์ พระเจ้ากาฬาโศกราช (ทุติยสังคายนา วิ.ม.อ.1 หน้า 64)
ใช้ระยะเวลา 8 เดือน สถานที วาลิการาม(วาลุการาม) เมืองเวสาลี(ไพศาลี) แคว้นวัชชี
แต่พระสงฆ์พวกที ถือผิดมีจาํ นวนมากกว่า ได้แยกไปทําสังคายนาของตนต่างหากเรียกว่า มหาสังคีติ และได้ชือว่าเป็ นมหาสังฆิกะ
คือพวกสงฆ์ฝ่ายมาก เป็ นเหตุให้พระพุทธศาสนาเริมแยกออกเป็ น 2 นิ กายใหญ่ คือ ฝ่ ายเถรวาท ที ถือเคร่งครัดตามหลักธรรมวินัยเดิม
ตามที สังคายนาไว้ในครังที 1 กับ ฝ่ ายอาจาริยวาท ที ถือตามคําสอนและความหมายที อาจารย์รุ่นหลังสอนต่อมา แต่การแตกแยกยังไม่
ปรากฏชัดถึงขาดออกจากกัน [ไทยรับรองเป็ นครังที 2]
*** พ.ศ.163 กษัตริยก์ รีก คือ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช โจมตี ปากีสถานมาถึงอินเดีย ต่อมา ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ได้อพยพไปอยูป่ ากีสถาน
พวกฮินดูยงั คงอยูใ่ นอินเดีย
3. หลังปรินิพพาน พ.ศ. 234 (ปี พ.ศ.168 จันทรคุปต์ ตังราชวงศ์โมริยะ, ปี พ.ศ.218 เป็ นปี ทีพระเจ้าอโศกขึนครองราชย์ (ครองราชย์ พ.ศ.
218-260) ปรารภเหตุ เดียรถียป
์ ลอมบวชจํานวนมากในพระศาสนาเพราะมีลาภสักการะเกิดขึนมาก และแสดงธรรมวินัยเคลื อน
คลาดแตกแยกออกไปมากมาย เฉพาะนิ กายใหญ่ๆ มีถึง 18 นิ กาย พระเจ้า อโศกทรงให้เ ดี ย รถี ย์ สึ ก เสี ย 6 หมื นรู ป มี ภิ ก ษุ ที
เหลืออยู่ 6 ล้านรูป
ประธาน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ผูถ้ าม พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ผูต้ อบ ภิกษุ ในปาฏลีบุตร
การกสงฆ์ พระอรหันต์ 1000 รูป ศาสนู ปถัมภก์ พระเจ้าอโศกมหาราช ใช้ระยะเวลา 9 เดือน
สถานที อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร แคว้นมคธ (ตติยสังคายนา วิ.ม.อ.1 หน้า 77)
หลังจากนี ทรงส่งสมณทูต(พระธรรมทูต) 9 สายไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา,
ท สายพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ได้นําพระพุทธศาสนามาประดิษฐานในสุวรรณภูมิ เชือกันว่า ได้แก่จงั หวัดนครปฐม
(พม่าว่าได้แก่ เมืองสะเทิม ในพม่าภาคใต้) (ครังที 3 นี มีปรากฏในชันอรรถกถา) ทางฝ่ ายจีนและธิเบตไม่รบั รองการสังคายนาครังนี [ไทยรับรองเป็ นครังที 3]
4. หลังปรินิพพาน พ.ศ. 236 ปรารภเหตุ ประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกา(สิงหล)ทวีป
ประธาน พระมหินทเถระ ผูถ้ าม พระมหินทเถระ ผูต้ อบ พระอริฏฐะ
พระภิกษุ สงฆ์ 68000 รูป ศาสนู ปถัมภก์ พระเจ้าเทวานั มปิ ยติสสะ
ใช้ระยะเวลา 10 เดือน สถานที ถูปาราม เมืองอนุ ราชบุรี ลังกาทวีป
ในครังนี ได้มีการอัญเชิญกิงพระศรีมหาโพธิจากพุทธคยามายังศรีลังกา และปลูกไว้ ณ พระนครอนุ ราธปุระ
ฝ่ ายพม่าไม่ยอมรับการสังคายนาครังนี [ไทยรับรองเป็ นครังที 4]

49
*** ต่อมา พ.ศ. 368–393 หรือ ประมาณ พ.ศ. 500 พระเจ้ามิลินท์ (Menander) กษัตริยเ์ ชือสายกรีก ครองนครสาคละ ใน
อาณาจักรบากเตรีย ทาง W/N ของชมพูทวีป ได้ตอบโต้ปัญหาธรรมกับพระนาคเสน ตามเรืองปรากฏใน มิลินทปั ญหา ซึงต่อมา
พระเจ้ามิลินท์ได้ออกบวชเป็ นพระอรหันต์รูปหนึ ง, เมือชนชาติกรีกเข้ามาในอินเดีย ได้เริมสร้างพระพุทธรูปขึน เป็ นศิลปะกรี ก
ผสมอินเดียทีเรียกว่าแบบ คันธาระ (มีเกล้า พระเมาลีแบบเจ้าชาย พระพักตร์แบบมนุ ษย์ บางคราวมีพระมัสสะด้วย)
5. หลังปรินิพพาน พ.ศ. 454 (ประมาณ พ.ศ.450, บ้างว่า 436 ก็มี) ปรารภเหตุ พระสงฆ์แตกกันเป็ น 2 พวก คือ พวกมหาวิหาร
ั ม) กับพวกอภัยคีรีวิหาร (ซึงได้ชือว่าเป็ นพวกนิ กายธรรมรุจิ มีความคิดเห็นเป็ นอิสระ ต้อนรับทัศนะ
(ผูย้ ึดมันในคําสอนและแบบแผนประเพณี ดงเดิ
ใหม่ๆ จากต่างประเทศ ศึกษาทังเรืองฝ่ ายเถรวาทและมหายาน) และคํานึ งว่าสืบไปภายหน้ากุลบุตรจะถอยปั ญญา จึงควรจารึกพระธรรม
วินยั ลงในใบลานเป็ นภาษามคธ(บาลี)
ประธาน พระพุทธทัตตะ ผูถ้ าม พระพุทธทัตตะ ผูต้ อบ พระมหาติสสะ
พระอรหันต์ 500 รูป ศาสนู ปถัมภก์ พระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
ใช้ระยะเวลา 1 ปี สถานที อาโลกเลณสถาน(อลุวิหาร ณ มาตเล) ในมลัยชนบท ลังกาทวีป
บางคัมภีรว์ า่ สังคายนาครังนี จดั ขึนในความคุม้ ครองของคนทีเป็ นใหญ่ในท้องถิน (ครังที 4 ได้รบั ความยอมรับในแง่เหตุการณ์น้อยกว่าครังที 5)
ครังที 4 และ 5 ไม่เป็ นทีรับรองทัวไป [ไทยรับรองเป็ นครังที 5]
*** พ.ศ. 513 กษัตริยร์ าชวงศ์กุษาณ(เชือสายมองโกล) รบชนะกษัตริยก์ รีกและกษัตริยร์ าชวงศ์ศกะ
*** ต่อมาระหว่าง พ.ศ.621-644 พระเจ้ากนิ ษกมหาราช (กษัตริยพ์ ระองค์ที 3 ในราชวงศ์กุษาณ) ขึนครองราชย์
*** ในปี 643 พระเจ้ากนิ ษกะทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครังที 4 ของฝ่ ายมหายาน นิกายสรวาสติวาทิน (ร่วมกับ นิ กายสัพพัตถิ
กวาท ซึงแยกตัวออกไปจากเถรวาท) ณ เมืองชลันธร ร้อยกรองพระไตรปิ ฎกฉบับภาษาสันสกฤต เป็ นเหตุให้มหายานแยกตัวออกไป
อย่างชัดเจนและเจริญรุ่งเรืองแพร่หลาย ทรงส่งสมณทูตในประกาศพระศาสนาในเอเชียกลาง จีน เกาหลี มองโกเลีย และญีปุ่ น
และเป็ นสมัยทีศิลปะแบบคันธาระ รุ่งเรืองถึงขีดสุด,
ท คราวนั นพระเจ้ามิงตีทรงนํ าพระพุทธศาสนาจากเอเชียกลางเข้าไปเผยแพร่ในประเทศจีนและได้ทรงทูตสันถวไมตรีม ายังขุน
หลวงเม้า กษั ต ริ ย์ไ ทยผู ค้ รองอาณาจัก รอ้า ยลาว คณะทู ต ได้นํ า พระพุ ทธศาสนาเข้า มาด้ว ย ทํา ให้หัว เมื องไทย หัน มานั บ ถื อ
พระพุทธศาสนาเป็ นครังแรก
*** หลังปรินิพพาน พ.ศ. 953–975 พระพุทธโฆษาจารย์ เดินทางจากชมพูทวีปเข้าไปในลังกา เพือแปลอรรถกถาภาษาสิงหล
กลับเป็ นภาษามคธ และได้แต่ง วิสุทธิมรรค และรวบรวมอรรถกถาขึน และจัดหมวดหมู่ใหม่(สังคายนา), ในระหว่างพุทธ
ศตวรรษที 12 ถึง 17 นี เองทีภิกษุ ณีสงฆ์สูญสิน พม่าและลังกาไม่ถือเป็ นการสังคายนา [ไทยรับรองเป็ นครังที 6]
*** ท พ.ศ.1300 กษั ตริย์แห่งศรีวิชัยทรงนั บถื อพระพุทธศาสนาฝ่ ายมหายาน ในเกาะสุ มาตราเรืองอํานาจ แผ่อาณาเขตเข้า
มาถึ งจังหวัดสุ ราษฎร์ธานี จึงทําให้พระพุทธศาสนาฝ่ ายมหายานแพร่เข้ามาในภาคใต้ของประเทศไทย ดังมีเจดีย์พระธาตุไชยา
และ พระมหาธาตุนครศรีธรรมราช
*** พ.ศ.1587 พระกัสสปเถระเป็ นประธาน ประชุมสงฆ์ 1000 รูป ได้รจนาคําอธิบายอรรถกถาพระไตรปิ ฎก (คัมภีรฎ์ ีกา) เป็ น
ภาษาบาลี ทําในประเทศลังกา [ไทยรับรองเป็ นครังที 7]
*** ท พ.ศ. 1600 พระเจ้าอนุ รุทธมหาราช หรืออโรรธามังช่อ กษัตริยพ์ ุกาม เรืองอํานาจขึน ทรงปราบรามัญรวมพม่าเข้าได้ทัง
หมดแล้ว แผ่ อ าณาเขตเข้า มาถึ ง อาณาจั ก รล้า นนา ล้า นช้า ง จรดลพบุ รี และทวาราวดี พระเจ้า อนุ รุ ท ธทรงเลื อมใสใน
พระพุทธศาสนาฝ่ ายเถรวาท ทรงทํานุ บาํ รุงและเผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วยพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้า
*** พ.ศ.1609 สมัยพระเจ้าวิชยั พาหุที 1 ทรงมีพระราชประสงค์จะฟื นฟูศาสนาในลังกา จึงต้องอาราธนาพระสงฆ์จากพม่าตอน
ใต้ไปกระทําอุปสมบทกรรมในลังกา, จนถึง พ.ศ.2019 พระภิกษุ คณะหนึ งจากพม่า ได้มารับอุปสมบทกรรมทีลังกาและนํ าคัมภีร์
ภาษาบาลีเท่าทีมีอยู่ไปยังพม่าโดยครบถ้วน
*** พ.ศ.1700 กองทัพ เตอร์กมุสลิม ฆ่าพระสงฆ์ เผาวัด ทําลายสิงก่อสร้างทางศาสนา เช่น นาลันทามหาวิหาร เป็ นต้น

50
*** ท พ.ศ.1800 ระยะนี อาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสือมอํานาจลงแล้ว คนไทยตังตัวเป็ นอิสระขึนได้ ทางเหนื อเกิดอาณาจักร
ล้านนา ใต้ลงมาเกิดอาณาจักรสุโขทัย, พระพุทธศาสนาในยุคนี คือแบบทีนั บถื อสื บมาเป็ นศาสนาประจําชาติข องไทยจนถึ ง
ปั จจุบนั เป็ นยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์
*** ท พ.ศ.1820 พ่ อ ขุ น รามคํ า แหง ทรงสดั บ กิ ต ติ ศั พ ท์ ข องพระสงฆ์ ลั ง กาวงศ์ แ ล้ ว อาราธนาพระเถรสั ง ฆราชจาก
นครศรีธรรมราชเข้ามาพํานั ก ณ วัดอรัญญิก ในกรุงสุ โขทัย พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์รุ่ง เรื องแต่นันมา ในระยะต้นยัง มี
พระสงฆ์ 2 พวก คือ คณะสงฆ์เดิมกับคณะสงฆ์ลังกาวงศ์ แต่ในทีสุดได้รวมเข้าเป็ นนิ กายเดียวกัน
*** ท พ.ศ.2020 พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ สมัยนั นเป็ นปะเทศลานนาไทย มีพระธรรมทินเถรเป็ นประธาน ประชุมสงฆ์
หลายร้อยรูป ชําระอักษรพระไตรปิ ฎก ในวัดโพธาราม เป็ นเวลา 1 ปี [ไทยรับรองเป็ นครังที 8]
*** ท จนถึ ง พ.ศ.2294 (ไทยนั บ 2293) ตรงกับพระเจ้าอยู่หวั บรมโกศ กษั ตริย์ลังกา (พระเจ้าเกียรติศิริราชสิ งหะ) ได้รับ
คําแนะนํ าจาก พระสรณังกร ให้ส่งคณะทูตมายังประเทศไทย แล้วนํ าพระภิกษุ คณะหนึ งจํานวน 10 รูป มีพระอุบาลี เป็ นหัวหน้า
มาประกอบอุปสมบทกรรม ณ เมืองแกนดี (ในการต้อนรับครังนั น มีเพียงสามเณร อุบาสก อุบาสิ กา ไม่ปรากฏว่ามีภิกษุ และ
ภิกษุ ณี) มีผเู ้ ข้ารับการอุปสมบทถึงสามพันคน พระสรณังกรซึงได้รบั การอุปสมบทใหม่คราวนี ได้รบั สถาปนาจากพระมหากษั ต ริย์
ให้เป็ น สมเด็จพระสังฆราช เป็ นการประดิษฐานคณะสงฆ์ อุบาลีวงศ์ หรือสยามวงศ์ หรือ สยามนิ กาย ในลังกาทวีป
คณะสงฆ์ในลังกาปั จจุบนั มี 3 นิ กายคือ สยามวงศ์ อมรปุระนิ กาย และรามัญวงศ์ ข้อแตกต่างกันเพียงเล็ กน้อย และเป็ นเรือง
ทางประวัติศาสตร์ คือ เกิดจากทีว่าอุปสมบทวงศ์สืบมาจากสายไทยหรือพม่า
*** ท พ.ศ.2331 รัชกาลที 1 แห่งราชวงศ์จักรี ประชุ มสงฆ์ 218 รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก 32 คน ชําระพระไตรปิ ฎก
แล้วจารึกลงในใบลาน ใช้เวลา 5 เดือน กระทํา ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ (วัดมหาธาตุในปั จจุบนั ) [ไทยรับรองเป็ นครังที 9]
[การรับรองการสังคายนา 9 ครังของไทยนี ปรากฏในหนังสือสังคีติวงศ์ ซึงพระวันรัต(วัดพระเชตุพน) รจนาไว้เป็ นภาษาบาลีในรัชสมัย
รัชกาลที 1]
*** พ.ศ.2415 มีการสังคายนาครังที 5 ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง ณ กรุงมันดะเล ประชุมสงฆ์ 2500 รูป จารึก
พุทธพจน์ ทงไตรปิ
ั ฎกลงในแผ่นหินอ่อน 729 แผ่น กระทําอยู่ 5 เดือน
*** เนื องในโอกาสฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ตังแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2498 ถึ ง เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2500 รัฐบาลพม่าได้
เป็ นเจ้าภาพจัดการ ฉัฏฐสังคีติ คือสังคายนาครังที 6 ขึนทีกรุงร่างกุ ง้ โดยได้อาราธนาพระสงฆ์และผูแ้ ทนชาวพุทธในประเทศ
ต่างๆ ไปร่วมศาสนกิจครังนี เป็ นจํานวนมาก และได้จัดพิมพ์พระไตรปิ ฎกพร้อมด้วยคัมภีร์อรรถกถา และปกรณ์พิเศษต่างๆ ขึน
ใหม่ให้บริสุทธิบริบูรณ์ทีสุดเท่าทีจะทําได้ (พ.ศ.นี นับแบบพม่า ถ้านับแบบไทยหักออก 1 ปี ) ไม่พิมพ์(จบ)
…………………………………………………..……………

51
ความหมายของพระพุทธศาสนา เถรวาท หีนยาน มหายาน (พจน์ ศัพท์)
พระพุทธศาสนา หมายถึง คําสังสอนของพระพุทธเจ้า, อย่างกว้างในบัดนี หมายถึง ความเชือถือ การประพฤติปฏิบัติ
และกิจการทังหมดของหมู่ชนผูก้ ล่าวว่าตนนั บถือพระพุทธศาสนา
เถรวาท หมายถึง “วาทะของพระเถระ” (หมายถึงพระเถระผูร้ กั ษาธรรมวินัยนั บแต่ปฐมสังคายนา), พระพุทธศาสนา
ทีสืบมาแต่ยุคแรกสุด ซึงถือตามหลักธรรมวินัยทีพระอรหันตเถระ 500 รูป ได้ประชุมทําสังคายนาครังแรกรวบรวมคําสังสอน
ของพระพุทธเจ้าวางเป็ นแบบแผนไว้เมือ 3 เดือนหลังพุทธปรินิพพาน ได้แก่พระพุทธศาสนาอย่างทีนั บถือแพร่หลายในประเทศ
ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา, บางทีเรียกว่า พุทธศาสนาแบบดังเดิม และเพราะเหตุทีแพร่หลายอยู่ในดินแดนแถบใต้ จึง
เรียกว่า ทักษิ ณนิ กาย (นิ กายฝ่ ายใต้); ดู หีนยาน, เทียบ มหายาน
หีนยาน “ยานเลว”, “ยานทีด้อย”, เป็ นคําทีนิ กายพุทธศาสนาซึงเกิดภายหลัง เมือประมาณ พ.ศ.500–600 คิดขึน
โดยเรียกตนเองว่ามหายาน (ยานพาหนะใหญ่มีคุณภาพดีทีจะช่วยขนพาสัตว์ออกไปจากสังสารวัฏได้มากมายและอย่างได้ผลดี)
แล้วเรียกพระพุทธศาสนาแบบอืนทีมีอยู่ก่อนรวมกันไปว่าหีนยาน (ยานพาหนะตําต้อยด้อ ยคุ ณภาพทีขนพาสัตว์ออกไปจาก
สังสารวัฏได้น้อยและด้อยผล), พุทธศาสนาแบบเถรวาท (อย่างทีบัดนี นับถือกันอยู่ในไทย พม่า ลังกา เป็ นต้น) ก็ถูกเรียกรวม
ไว้ในชือว่าเป็ นนิ กายหีนยานด้วย, ปั จจุบัน พุทธศาสนาหีนยานทีเป็ นนิ กายย่อยๆ ทังหลายได้สูญสิ นไปหมด (ตัวอย่างนิ กาย
ย่อยหนึ งของหีนยาน ทีเคยเด่นในอดีตบางสมัย คือ สรวาสติวาท หรือเรียกแบบบาลี ว่า สัพพัตถิ กวาท แต่ก็สูญไปนานแล้ว)
เหลือแต่เถรวาทอย่างเดียว เมือพูดถึงหีนยานจึงหมายถึงเถรวาท จนคนทัวไปมักเข้าใจว่าหีนยานกับเถรวาทมีความหมายเป็ น
อันเดียวกัน บางทีจึงถื อว่าหีนยานกับเถรวาทเป็ นคําทีใช้แทนกันได้ แต่เมือคนรูเ้ ข้าใจเรืองราวดีขึน บัดนี จึงนิ ยมเรียกว่า เถร
วาท ไม่เรียกว่า หีนยาน, เนื องจากคําว่า “มหายาน” และ “หีนยาน” เกิดขึนในยุคทีพุทธศาสนาแบบเดิมเลือนลางไปจากชมพู
ทวีป หลังพุทธกาลนานถึง 5-6 ศตวรรษ คําทังสองนี จึงไม่มีในคัมภีรบ์ าลีแม้แต่รุ่นหลังในชันฎีกาและอนุ ฎีกา, ปั จจุบนั ขณะที
นิ กายย่อยของหีนยานหมดไป เหลื อเพียงเถรวาทอย่างเดียว แต่มหายานกลับแตกแยกเป็ นนิ กายย่อยเพิมขึนมากมาย บาง
นิ กายย่อยถึงกับไม่ยอมรับทีได้ถูกจัดเป็ นมหายาน แต่ถือตนว่าเป็ นนิ กายใหญ่อีกนิ กายหนึ งต่างหาก คือ พุทธศาสนาแบบทิเบต
ซึงเรียกตนว่าเป็ น วัชรยาน และถื อตนว่าประเสริฐเลิศกว่ามหายาน, ถ้ายอมรับคําว่ามหายาน และหีนยาน แล้วเทียบจํานวน
รวมของศาสนิ ก ตามตัวเลขในปี 2548 ว่า มีพุทธศาสนิ กชนทัวโลก 378 ล้านคน แบ่งเป็ นมหายาน 56% เป็ นหีนยาน 38%
(วัช รยานนั บ ต่ า งหากจากมหายานเป็ น 6%) แต่ ถ ้า เที ย บระหว่ า งประดานิ ก ายย่ อยของสองยานนั น (ไม่ นั บ ประเทศจี น
แผ่นดินใหญ่ทีมีตวั เลขไม่ชดั ) ปรากฏว่า เถรวาทเป็ นนิ กายทีใหญ่มีผูน้ ั บถื อมากทีสุด; บางทีเรียกมหายานว่าอุตรนิ กาย เพราะ
มีศาสนิ กส่วนใหญ่อยู่ในแถบเหนื อของทวีปเอเชีย และเรียกหีนยานว่าทักษิ ณนิ ก าย เพราะมีศาสนิ กส่วนใหญ่อยู่ในแถบใต้ข อง
ทวีปเอเชีย; เทียบ มหายาน
มหายาน หมายถึ ง “ยานใหญ่”, นิ กายพระพุทธศาสนาทีเกิดขึนหลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ 500–600 ปี โดย
สื บสายจากนิ กายทีแตกแยกออกไปเมือใกล้ พ.ศ.100 (ถื อกันว่าสื บต่อไปจากนิ กายมหาสังฆิกะ ทีสู ญไปแล้ว) เรี ยกชือตนว่า
มหายาน และบางทีเรียกว่าโพธิสัตวยาน (ยานของพระโพธิสัตว์) พร้อมทังเรียกพระพุทธศาสนาแบบเก่าๆ รวมทังเถรวาททีมี
อยู่ก่อนว่า หีนยาน (คําว่าหีนยาน จึงเป็ นคําทีเกิดขึนภายหลัง แต่ใช้เรียกสิงทีเก่ากว่า) หรือเรียกว่าสาวกยาน (ยานของสาวก),
มหายานนั นมีผูน้ ั บถือมากในประเทศแถบเหนื อของทวีปเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญีปุ่ น ทิเบต และมองโกเลีย บางทีจึงเรียกว่า
อุตรนิ กาย (นิ กายฝ่ ายเหนื อ) เป็ นคู่กบั ทักษิ ณนิ กาย (นิ กายฝ่ ายใต้) คือ เถรวาท ทีนั บถืออยู่ในประเทศแถบใต้ เช่น ไทยและ
ลังกา ซึงทางฝ่ ายมหายานเรียกรวมไว้ในคําว่า หีนยาน, เนื องจากเถรวาท เป็ นพระพุทธศาสนาแบบดังเดิม จึงมีคาํ เก่าเข้าคู่กัน
อันใช้เรียกนิ กายทังหลายทีแยกออกไป รวมทังนิ กายย่อยมากมายของมหายาน หรือเรียกมหายานรวมๆ ไปว่า อาจริยวาท หรือ
อาจารยวาท (ลัทธิของอาจารย์ ทีเป็ นเจ้านิ กายนั นๆ), ลักษณะสําคัญอย่างหนึ งทีน่ าสังเกตคือ เถรวาท ไม่ว่าทีไหน ในประเทศ
ใด ก็ถือตามหลักการเดิมเหมือนกันหมด ส่วนมหายาน แยกเป็ นนิ กายย่อยมากมาย มีคาํ สอนและข้อปฏิบตั ิแตกต่างกันเองไกล
กันมาก แม้แต่ในประเทศเดียวกัน เช่น ในญีปุ่ นปั จจุบันมีนิกายใหญ่ 5 แยกย่อยออกไปอีกราว 200 สาขานิ กาย และในญีปุ่ น
พระมีครอบครัวได้แล้วทุกนิ กาย แต่ในไต้หวัน เป็ นต้น พระมหายานไม่มีครอบครัว; เทียบ เถรวาท, หีนยาน
…………………………………………………..……………

52
ปาราชิก 4 (ปาราชิก แปลว่า ผูพ้ า่ ยแพ้, คือเป็ นผูเ้ คลือน พลัดตก เหินห่างจากพระสัทธรรม) ปรา เป็ นคําอุปสรรค แปลว่า ห้าม, ชิ แปลว่า ชนะ

บทที 1. ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม ภิกษุนันเป็ นปาราชิก หาสังวาสมิได้ 2.7


พระอนุ บญ ั ญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุ ทงหลาย
ั ไม่บอกคืนสิกขา ไม่เปิ ดเผยความท้อแท้ เสพ
เมถุนธรรม โดยทีสุดแม้กับสัตว์ดิรจั ฉานตัวเมีย ภิกษุ นั นเป็ นปาราชิก หาสังวาสมิได้
“ภิกษุ ทั งหลาย ผูใ้ ดเป็ นภิกษุ ไม่บอกคืนสิกขา ไม่เปิ ดเผยความท้อแท้ เสพเมถุนธรรมทังทียงั เป็ นภิกษุ ผูนั้ นมาแล้ว สงฆ์
ไม่พึงให้อปุ สมบท แต่ผใู ้ ดเป็ นภิกษุ บอกคืนสิกขา เปิ ดเผยความท้อแท้ แล้วเสพเมถุนธรรม ผูน้ ั นมาแล้ว สงฆ์พึงให้อปุ สมบท”
[เปรียบเหมือน คนถูกตัดศีรษะ ไม่อาจมีชีวิตอยูไ่ ด้] วิ.ม.1/36/49 สิกขาบทวิภงั ค์

ภิกษุตน้ บัญญัติ พระสุทิน บุตรเศรษฐี มีทรัพย์ 40 โกฏิ ชาวกลันทคาม เสพเมถุนกับอดีตภรรยา ทีป่ ามหาวัน กรุงเวสาลี (ใน
ครังนั นพระสุ ทินไม่บริโภคอาหาร 7 มือ เยียวยาอยู่ 3 วัน บวชในพรรษาที 12 ของพระผูม้ ีพระภาค แล้วสมาทานธุ ดงค์อยู่ใน
แคว้นวัชชี คือ 1.ถืออยู่ป่า 2.เทียวบิณฑบาต 3.ใช้แต่ผา้ บังสุกุล ในสมัยนั น แคว้นวัชชีอตั คัตอาหาร มีกระดูกคนตายขาวเกลื อน
ต้องมีสลากอาหาร จึงเดินทางเข้าเมืองเวสาลีรบั ภัตตาหารจากญาติ และเดินทางไปยังกลันทคาม เมือบวชได้ 8 ปี ทาสีจะเทขนม
สด(กุมมาส)ทีค้างคืนเป็ นของบูด บิดามาพบจึงจูงมือกลับบ้าน รุ่งขึน กองทองของย่า พ่อ ปู่ , โยมจงใส่กระสอบไปทิงกลางแม่นํ า
คงคา
หมายเหตุ. ภัต มี 2 มือ คือ ภัตทีพึงกินเวลาเช้า1 ภัตทีพึงกินเวลาเย็น1 , ภัตทีพึงกินเวลาเช้ากําหนดด้วยเวลาภายในเทียงวัน ภัต
ทีพึงกินในเวลาเย็นนอกนี กําหนดด้วยเวลากินเทียงวันภายในอรุณขึน ที.สีล.9/1 อ.เล่ม 11 หน้า 199
ขนบธรรมเนียม, คําสังสอน
เมถุนธรรม ได้แก่ อสัทธรรม ซึงเป็ นประเวณีของชาวบ้าน มารยาทของคนชันตํา กิริยาชัวหยาบ มีนําเป็ นทีสุด (คือนํ าเป็ นอวสาน
แห่งเมถุนธรรมนั น) เป็ นกิจทีต้องทําในทีลับ ต้องทํากันสองต่อสอง นี ชือว่าเมถุนธรรม, เมถุนธรรมนี เป็ นธรรมของอสัตบุรุษ คือ
คนชันตํามีจิตชุ่มด้วยราคะพึงเสพ(อสทฺธรรม) ทีชือว่า หาสังวาสมิได้ , สังวาส ได้แก่ กรรมทีทําร่วมกัน อุทเทสทีสวดร่วมกัน
ความมีสิกขาเสมอกัน
อาบัติ
๑. ภิกษุ เสพเมถุนในมรรค 3 (มรรคใดมรรคหนึ ง) คือ วัจจมรรค(ทวารหนัก) ปั สสาวมรรค(ทวารเบา) และมุขวรรค(ช่องคลอด)
ของมนุ ษย์ผูห้ ญิง อมนุ ษย์ผหู ้ ญิง สัตว์ดิรจั ฉานตัวเมีย..มนุ ษย์อุภโตพยัญชนก อมนุ ษย์อุภโตพยัญชนก สัตว์เดรัจฉานอุภโตพยัญชนก..มนุ ษย์
บัณเฑาะ อมนุ ษย์บณ ั เฑาะก์ สัตว์ดิรจั ฉานบัณเฑาะก์..มนุ ษย์ผชู ้ าย อมนุ ษย์ผชู ้ าย สัตว์ดิรจั ฉานตัวผู ้ ต้องปาราชิก
๒. สอดองค์กาํ เนิ ดเข้ามรรค ทางอมรรค ต้องปาราชิก (ยังองค์กาํ เนิ ดให้เข้าทางแผล ใกล้ต่อมรรค แล้วชักออกทางมรรค)
๓. สอดองค์กาํ เนิ ดเข้าอมรรค(ทีมิใช่มรรค) ทางอมรรค(เช่นเข้าทางแผล) ต้องถุลลัจจัย
๔. ภิกษุ มีความกําหนั ด ได้ถูกต้องนิ มิตแห่งรูปปั น ด้วยองค์กําเนิ ด ต้องอาบัติทุกกฏ
๕. ภิกษุ รูปหนึ งอยู่ในทีพักกลางวัน ณ กูฏาคารศาลาป่ ามหาวัน เปิ ดประตูจาํ วัดหลับอยู่ อวัยวะน้อยใหญ่ของเธอถูกลมรําเพยให้
ตึงตัว สตรีหลายคนเข้ามายังวิหารเห็นภิกษุ นันแล้ว ได้นังคร่อมองค์กาํ เนิ ดกระทําการพอแก่ความประสงค์แล้วกลับไป ภิกษุ
นั นตืนขึนเห็นองค์กาํ เนิ ดเปรอะเปื อน จึงกราบทูล ตรัสว่า ภิกษุ นันเป็ นพระอรหันต์ไม่ตอ้ งอาบัติ
“ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผจู ้ ะพักผ่อนในกลางวัน ปิ ดประตูก่อนจึงจะพักผ่อนได้”
ภิกษุ รูปหนึ งพักกลางวันในป่ าชาติยาวัน แขวงเมืองภัททิยะ จําวัดหลับอยู่ อวัยวะใหญน้อยของภิกษุ นันถูกลมรําเพยให้ตึงตัว
สตรีผหู ้ นึ งพอเข้าแล้วได้นังคร่อมองค์กําเนิ ด กระทําการพอแก่ความประสงค์แล้วหลีกไป ภิกษุ นันตืนขึนเห็นองค์กาํ เนิ ดเปรอะ
เปื อน จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าๆ ตรัสว่า
“ภิกษุทงหลาย
ั องค์กาํ เนิดเป็ นอวัยวะใช้การได้ ด้วยอาการ 5 อย่าง คือ
1.เมือเวลาเกิดความกําหนัด 2.เวลาปวดอุจจาระ 3.เวลาปวดปั สสาวะ 4.เวลาต้องลมรําเพย 5.เวลาถูกบุง้ ขน”
ภิกษุ ทงหลาย
ั องค์กําเนิ ดของภิกษุ นันพึงเป็ นอวัยวะใช้การได้ดว้ ยความกําหนั ดใด ข้อนั นมิใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส เพราะภิกษุ
นั นเป็ นอรหันต์ ภิกษุ นันไม่ตอ้ งอาบัติ

53
ผูเ้ รียบเรียง. ในการสังเกต องค์กาํ เนิ ดเป็ นอวัยวะใช้การได้ เพราะเหตุ 4 ประการ คือ
1.เมือเวลาเกิดความกําหนัด 2.เพราะการผัสสะ 3.การเกร็งตัวของกล้ามเนือ 4.ความร้อนในกาย
1.เมือเวลาเกิดความกําหนัด มีความยินดี จิตระลึกถึงกามคุณอารมณ์ ด้วยอํานาจแห่งปปั ญจสัญญา
2.เมือมีการสัมผัสถูกต้อง มีการกระทบ ทําให้เกิดความรูส้ ึก มีเลือดมาหล่อเลียงมากขึน จิตนันรูค้ วามรูส้ ึกนันชัดเจนขึน เกิดความยินดีตอ่ การ
กระตุน้ เร้าเวทนา และเมือสัมผัสถูกต้องทีเป็ นดังแผลใหม่ ก็เกิดอาการเสียวซ่าน เกิดความอบอุ่น ความร้อน เลือดมาเลียงมากขึนอีด ทําให้อวัยวะ
ส่วนนันตืนตัวขึน รูผ้ ัสสะได้มากขึน เวทนาเสียวซ่านทวีขึน ทําให้เกิดความพอใจ (เชือมไปสูป่ ปั ญจสัญญา)
3.เมือใดร่างกายขาดนํ า กล้ามเนื อจะเกิ ดการหดเกร็ง แข็งตัว ไม่ผ่อนคลาย ดึงเส้นเอ็นให้ตึงขึน เป็ นเหตุใช้การได้ (เมือรูผ้ ัสสะ จึงเชือมไปสู่
ปปั ญจสัญญา)
4.ความร้อนในสรีระ ทําให้เลือดลมสูบฉีดไหลเวียนได้มาก แดง เพิมพลังงานแก่รา่ งกาย มีกาํ ลังวังชา เกิดอารมณ์อยากขับความร้อนออกจาก
ร่างกาย มีความรูส้ ึกในผัสสะชัดเจนขึน รุนแรงขึน (เมือมีปปั ญจสัญญา จึงระลึกถึง ยินดีในกามคุณอารมณ์)

อนาปั ตติวาร(อนาบัติ) คือ ข้อยกเว้นสําหรับบุคคลผูล้ ว่ งละเมิดสิกขาบทโดยไม่ตอ้ งอาบัติ


1. ภิกษุ ไม่รสู ้ กึ ตัว 2.ฝั นว่าเสพเมถุน
3.ไม่ยินดี 4.วิกลจริต
5.มีจิตฟุ้งซ่าน 6. ภิกษุ ผกู ้ ระสับกระส่าย เพราะเวทนากล้า 7.อาทิกมั มิกะ
* สิกขาบทนี ปรารภทําเพือตนเอง จึงเป็ นอนาณัตติกะ ได้แก่ ต้องอาบัติเพราะทําเอง ไม่ตอ้ งเพราะใช้ให้ผูอ้ ืนทํา
อีกอย่างหนึ งคือ สาณัตติกะ ได้แก่ ต้องอาบัติเพราะทําเองและใช้ให้ผอู ้ ืนทํา
* ทุกสิกขาบทในปาราชิกกัณฑ์ เป็ นสจิตตกะ(มีเจตนาจึงอาบัติ), เป็ นอเตกิจฉา(แก้ไขไม่ได้), เป็ นอนวเสส หาส่วนเหลือมิได้
และเป็ นมูลเฉท คือตัดรากเง่า ดังนี
[ในปาราชิกสิกขาบทที 1 นี เป็ นโลกวัชชะ เพราะต้องอาบัติดว้ ยอํานาจราคะกล้า]
[การล่วงละเมิดสิกขาบทมีโทษ 2 อย่าง คือ โลกวัชชะ (มีโทษทางโลก) ปั ณณัตติวชั ชะ (มีโทษทางพระบัญญัติ)]
[สิกขาบทใดในฝ่ ายสจิตตกะ มีจิตเป็ นอกุศลล้วนๆ สิกขาบทนั นชือว่า โลกวัชชะ, ทีเหลือเป็ นปั ณณัตติวชั ชะ]
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้า 112
1.จิตคิดจะเสพเมถุน
2.ยังองค์กาํ เนิ ดให้เข้าไปในทวารมรรค ถูกต้อง ณ ทีใดทีหนึ ง พดแม้ดในบุตรร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นปาราชิก

มาตุปุตติกสูตร อง.ป ฺ จ. 22/55/68


ดูกรฯ โมฆบุรุษนั นย่อมสําคัญหรือหนอว่า มารดาย่อมไม่กําหนั ดในบุตร ก็หรือบุตรย่อมไม่กําหนั ดในมารดา, ดู กรฯ เรา
ย่อมไม่พิจารณาเห็นรูปอืนแม้รูปเดียว ซึงเป็ นทีตังแห่งความกําหนั ด เป็ นทีตังแห่งความใคร่ เป็ นทีตังแห่งความมัวเมา เป็ นทีตัง
แห่งความผูกพัน เป็ นทีตังแห่งความหมกมุ่น กระทําอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเป็ นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยียมเหมือน
รูปหญิงนี เลย สัตว์ทงหลายกํ
ั าหนั ด ยินดี ใฝ่ ใจ หมกมุ่น พันพันในรูปหญิง เป็ นผูอ้ ยู่ใต้อาํ นาจรูปหญิง ย่อมเศร้าโศกตลอดกาล
นาน
ดูกรฯ เราย่อมไม่เห็นเสียงอืน แม้เสียงเดียว ...กลิน... รส ... โผฏฐัพพะ ...
ดูกรฯ หญิงเดินอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นั งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี นอนหลับแล้วก็ดี หัวเราะก็ดี พูดอยู่ก็ดี ขับร้องอยู่ก็ดี ร้องไห้อยู่ก็ดี
บวมขึนก็ดี ตายแล้วก็ดี ย่อมครอบงําจิตของบุรุษได้
ดูกรฯ บุคคลเมือจะกล่าวสิงใดๆ พึงกล่าวโดยชอบว่าบ่วงรวบรัดแห่งมาร ก็พึงกล่าวมาตุคามนั นแหละว่าเป็ นบ่วงรวบรัด
แห่งมารโดยชอบได้ ฯ
บุคคลพึงสนทนาด้วยเพชฌฆาตก็ดี ด้วยปี ศาจก็ดี พึงถูกต้องอสรพิษทีกัดตายก็ดี ก็ไม่รา้ ยแรงเหมือนสนทนาสองต่อสอง
ด้ว ยมาตุ ค ามเลย พวกหญิ ง ย่ อมผู ก พัน ชายผู ล้ ุ่ ม หลงด้ว ยการมองดู การหัว เราะ การนุ่ ง ห่ม ลั บ ล่ อ และการพู ด อ่ อนหวาน
มาตุคามนี มิใช่ผูกพันเพียงเท่านี แม้บวมขึน ตายไปแล้ว ก็ยงั ผูกพันชายได้ กามคุณ5 นี คือ รูป เสียง กลิน รส และโผฏฐัพพะ
อันเป็ นทีรืนรมย์ใจ ย่อมปรากฏในรูปหญิง เหล่ าชนผูถ้ ู กห้วงกามพัด ไม่กําหนดรูก้ าม มุ่งคติในกาลและภพน้อยภพใหญ่ใ น
สงสาร ส่วนชนเหล่าใดกําหนดรูก้ าม ไม่มีภยั แต่ทีไหนๆ เทียวไป ชนเหล่านั นบรรลุถึงความสินอาสวะ ย่อมข้ามฝั งสงสารในโลก
ได้ฯ
...................................

54
ไม่มีรป
ู ใดจะครอบงําใจสัตว์ ยิงไปกว่ารูปชายและรุปหญิง
ขอนอบน้อมแด่พระผูม ้ ีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นน ั บาลีแห่งเอกธรรมเป็ นต้น องฺ.เอก.20/1/1
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี
สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ทีนัน
แล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ เหล่านันทูลรับพระดํา รัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระ
ภาคได้ตรัสว่า ฯ
[2] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงําจิตของบุรุษตังอยูเ่ หมือนรูปสตรีเลย [ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั รูป
สตรียอ ่ มครอบงําจิตของบุรุษตังอยู่ ฯ]
[3] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงําจิตของบุรุษตังอยูเ่ หมือนเสียงสตรีเลย [ ]
[4] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นกลินอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงําจิตของบุรุษตังอยูเ่ หมือนกลินสตรีเลย [ ]
[5] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงําจิตของบุรุษตังอยูเ่ หมือนรสสตรีเลย [ ]
[6] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอืนแม้อย่างหนึ งทีจะครอบงําจิตของบุรุษตังอยูเ่ หมือนโผฏฐัพพะของสตรีเลย ดูกร
ภิกษุ ทงหลายโผฏฐั
ั พพะสตรียอ ่ มครอบงําจิตของบุรุษตังอยู่ ฯ
[7] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงํา จิต ของสตรีต งอยู ั ่เหมื อนรูป บุ รุษ เลย
[ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั รูปบุรุษย่อมครอบงําจิตของสตรีตงอยู ั ่ ฯ]
[8] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงําจิตของสตรีตงอยู ั เ่ หมือนเสียงบุรุษเลย [ ]
[9] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นกลินอืนแม้อย่างหนึ งทีจะครอบงําจิตของสตรีตงอยู ั เ่ หมือนกลินบุรุษเลย [ ]
[10] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะครอบงําจิตของสตรีตงอยู ั เ่ หมือนรสบุรุษเลย [ ]
[11] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอืนแม้อย่างหนึ งทีจะครอบงําจิตของสตรีตงอยู ั ่เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษเลย ดู กร
ภิกษุ ทงหลายโผฏฐั
ั พพะของบุรุษย่อมครอบงําจิตของสตรีตงอยู ั ่ฯ จบวรรคที 1
[12] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ งทีจะเป็ นเหตุให้กามฉันทะทียังไม่เกิด เกิดขึ น หรือกามฉันทะทีเกิดขึ น
แล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์ เหมื อนศุภนิมิต [ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เมือบุคคลใส่ใจศุภนิมิตโดยไม่แยบคาย กามฉันทะทียังไม่
เกิดย่อมเกิดขึ น และกามฉันทะทีเกิดขึ นแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์ ฯ]
[13] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ งทีจะเป็ นเหตุให้พยาบาททียังไม่เกิดขึ น เกิดขึ น หรือพยาบาททีเกิดขึ น
แล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์เหมือนปฏิฆนิมิต [ ]
[14] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่า งหนึ ง ทีจะเป็ นเหตุให้ถีนมิทธะทียังไม่เกิด เกิดขึ น หรือถีนมิทธะทีเกิด ขึ น
แล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์เหมือนความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขีเกียจความเมาอาหาร และความทีจิตหดหู่
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เมือบุคคลมีจต ิ หดหูถ ่ ีนมิทธะทียังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ น และถีนมิทธะทีเกิดขึ นแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์

[15] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะเป็ นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะทียังไม่เกิด เกิดขึ น หรืออุทธัจจกุกกุจ
จะทีเกิดขึ นแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่สงบแห่งใจ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เมือบุคคลมีจต
ิ ไม่สงบแล้ว อุทธัจจ
กุกกุจจะทียังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ น และอุทธัจจกุกกุจจะทีเกิดขึ นแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์ ฯ
[16] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะเป็ นเหตุให้วจิ ก ิ จิ ฉาทียังไม่เกิด เกิดขึ น หรือวิจก ิ จิ ฉาทีเกิดขึ นแล้ว
ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์ เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย ดูกรภิกษุ ทงหลายเมื ั อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย วิจก ิ จิ ฉาทียังไม่
เกิด ย่อมเกิดขึ น และวิจก ิ จิ ฉาทีเกิดขึ นแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือความเจริญไพบูลย์ ฯ
[17] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ ง ที จะเป็ นเหตุให้กามฉันทะทียังไม่เกิด ไม่เกิดขึ น หรือกามฉันทะที
เกิดขึ นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนอศุภนิมต ิ [ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เมือบุคคลใส่ใจอศุภนิมต ิ โดยแยบคาย กามฉันทะทียังไม่เกิด ย่อม
ไม่เกิดขึ น และกามฉันทะทีเกิดขึ นแล้วอันบุคคลย่อมละได้ ฯ]
[18] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะเป็ นเหตุให้พยาบาททียังไม่เกิด ไม่เกิดขึ น หรือพยาบาททีเกิดขึน
แล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนเมตตาเจโตวิมุติ [ ]
[19] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะเป็ นเหตุให้ถีนมิทธะทียังไม่เกิด ไม่เกิดขึ น หรือถีนมิทธะทีเกิดขึน
แล้ว อันบุ ค คลย่อมละได้ เหมื อนความริเริม ความพากเพียร ความบากบัน ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เมื อบุ ค คลปรารภความเพียรแล้ว ถีน
มิทธะทียังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ น และถีนมิทธะทีเกิดขึ นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[20] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ ง ทีจะเป็ นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะทียังไม่เกิด ไม่เกิดขึ น หรืออุทธัจจกุก
กุจจะทีเกิดขึ นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนความสงบแห่งใจ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เมือบุคคลมีจต ิ สงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะทียังไม่เกิด
ย่อมไม่เกิดขึ นและอุทธัจจกุกกุจจะทีเกิดขึ นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[21] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึ งทีจะเป็ นเหตุให้วจิ ก ิ จิ ฉาทียังไม่เกิด ไม่เกิดขึ น หรือวิจก ิ จิ ฉาทีเกิดขึ น
แล้วอันบุ ค คลย่อมละได้ เหมื อนการใส่ใจโดยแยบคาย ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เมื อบุ ค คลใส่ใจโดยแยบคาย วิจิกิจฉาทียังไม่เกิด ย่อมไม่
เกิดขึ น และวิจก ิ จิ ฉาทีเกิดขึ นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ จบวรรคที 2

อะไรสําคัญกว่า ทําให้คนพันคนสมปรารถนา หรือสยบคนเพียงหนึ งเดียว

55
อัคคัญญสูตร (ว่าด้วยต้นกําเนิดโลก) ที.ปา.11/51/71 [ใน วิ.ม.1 หน้า 847 เรืองการกลับเพศของภิกษุ กล่าวว่า

พ.ประทับ ณ บุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี ตรัสแก่สามเณรวา เริมแรกในสองเพศนี เพศชายเป็ นอุด มเพศ เพศหญิง เป็ น
เสฏฐะและภารัทวาชะ ซึ งต้องการบวชเป็ นภิกษุ ว่า พวกท่า นมี หีนเพศ; เพราะเหตุ นน ั เพศชายจึงชื อว่า อันตรธานไป เพราะ
วรรณะเป็ นพราหมณ์ ออกบวช พวกพราหมณ์ ไม่ด่า ไม่บริภาษ อกุศลมีกาํ ลังรุนแรง. เพศหญิงปรากฏขึ นแทน เพราะกุศลมีกาํ ลัง
บ้างหรือ เพลาลง. ส่ว นเพศหญิง จะอัน ตรธานไป ชื อว่า อัน ตรธานไป
สามเณรตอบว่า ด่ า อย่า งเต็ ม ที คื อ กล่า วว่า พราหมณ์ เป็ น เพราะอกุศลมีกาํ ลังเพลาลง, เพศชายปรากฏขึ นแทน เพราะกุศล
วรรณะประเสริฐ เป็ นวรรณะขาว บริสุทธิ วรรณะอืนเลว เป็ น มีกาํ ลังรุนแรง. เพศทังสองอันตรธานไปเพราะอกุศล, กลับได้คน ื
วรรณะดํา ไม่บริสุทธิ พราหมณ์ เป็ นบุตรของพรหม เกิดจากปาก เพราะกุศล ด้วยประการฉะนี.]
พรหม เป็ นพรหมทายาท, พวกท่า นละวรรณะอันประเสริฐ ไป ต่อมา มี ผู้เกียจคร้าน นํ า ข้า วสาลีมาสะสมไว้ เพือใช้บริโภค
เข้าสูว่ รรณะเลว คือพวกสมณะศีรษะโล้น ซึ งเป็ นพวกไพร่ พวก 2 วันบ้าง 4 วันบ้าง 8 วันบ้าง ข้าวสาลีจงึ มีเปลือกห่อหุม ้ เมือขึ น
ดํา พวกเกิดจากเท้าของพระพรหม ไม่ ท นั ถอนแล้ว ไม่ ขึ นอี ก บ้ า ง ความพร่อ งปรากฏ มนุ ษ ย์ จึง
พ.ตรัสว่า พราหมณ์ พวกนันลืมตน เกิด จากองค์กําเนิดของ ประชุ ม กันแบ่งเขตเพือเก็บ ข้า วสาลี
พราหมณี แท้ๆ ยังกล่า วว่า ประเสริฐสุด เกิด จากปากพรหม เป็ น ต่ อ มา มี ผู้ เ ก็บ ส่ว นของตนไว้ แล้ว ไปขโมยของคนอื นมา
การกล่า วตู่พระพรหมและพูด ปด, ครันตรัสว่า เมื อมี ผู้ถามว่า บริโ ภค เมื อถูกจับ จึงได้สงสอนให้ ั รบั คํา แล้วปล่อยตัวไป แต่
เป็ นใคร ก็จงกล่าวตอบว่า “พวกเราเป็ นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมี ต่อมาก็ขโมยอีกถึง 3 ครัง บางคนจึงลงโทษ ด้วยการตบด้วยมือ
ศรัทธาตังมันในตถาคต ผู้นนย่ ั อมควรทีจะกล่าวว่า เราเป็ นบุตร บ้าง ขว้างด้วยก้อนดินบ้าง ตีด้วยไม้บ้าง
เป็ นโอรสของพระผู้มี พ ระภาค เป็ นผู้เ กิด จากธรรม อัน ธรรม ต่อมามนุ ษย์จึงประชุม กันแต่งตังผู้ทีมีลกั ษณะดี งดงาม น่ า
สร้าง เป็ นธรรมทายาท(ผู้รบั มรดกธรรม)” ทังนีเพราะคําว่า ธัมม เกรงขาม[พระโพธิสตั ว์] ให้เป็ นหัวหน้า เพือทํา หน้า ทีปกครอง
กาย(กายธรรม) พรหมกาย(กายพรหม) และผู้เป็ นธรรม ผู้เป็ น หมู่(โดยติเตี ยนและขับไล่ค นทีทําผิด) โดยพวกเราจะแบ่งส่วน
พรหม นี เป็ นชื อของตถาคต, [เพราะพระตถาคตทรงคิด พระ ข้า วสาลีใ ห้ จึงเกิด คํา ว่า “มหาสมมติ” ขึ น(ผู้ทีมหาชนแต่งตัง)
พุทธพจน์คือพระไตรปิ ฎกด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงนําออกแสดง เกิด คํา ว่า “ขัต ติยะหรือกษัตริย์”(ผู้เป็ นใหญ่ในเขต/ผื นนา) เกิด
ด้วยพระวาจา ด้วยเหตุนน ั พระวรกายจึงจัดเป็ นธรรมแท้เพราะ คํา ว่า “ราชา”(ผู้ทําให้เกิดความยินดี ความอิมใจ สุข ใจแก่ผู้อืน
สําเร็จด้วยธรรม พ.จึงชือว่าธรรมกาย, ชือว่าพรหมกาย เพราะมี โดยธรรม)
ธรรมเป็ นกายนันเอง เพราะพระธรรมท่านเรียกว่า พรหมเพราะ คนบางกลุ่ ม ออกบวชมุ่ ง เพื อต้ อ งการลอยบาปอกุ ศ ล จึ ง
เป็ นของประเสริฐ] เรียกว่า “พราหมณ์ ”(ผู้ลอยบาป)
ครันแล้วตรัสเรือง คนบางกลุม ่ ยึดมันถือการเสพเมถุนธรรม(เป็ นวิสยั ) แล้วแยก
ประกอบการงานต่างๆ(อาทิ การร่อนเร่คา้ ขายไปในทีต่างๆ) จึง
สมัย หนึ งโลกหมุ น เวี ย นไปสู่ ค วามพิ น าศ สัต ว์ ท งหลาย ั เกิดคําว่า “เวสฺส หรือ แพศย์ ” ขึ น
โดยมากไปเกิดในชัน อาภัสสรพรหม เมือโลกหมุนกลับ(คือเกิด คนบางกลุ่ม ถือการเสพเมถุ นธรรม อาศัย การล่า สัต ว์เลียง
ใหม่ จัก รวาลทังสินเป็ นนํ า มื ด มน ดวงดาวไม่ ป รากฏ) สัต ว์ ชี วิต บ้า ง เพราะกระทํา การงานเล็กๆ น้อยๆ บ้า ง เพราะกระทํา
เหล่านันก็จุติมาสูโ่ ลกนี เป็ นโอปปาติกะ มีปิติภกั ษา(ด้วยอํานาจ การงานตําๆ ใช้ แ รงงานบ้า ง เช่ น เป็ นคนรับ ใช้ จึง เกิด คํา ว่า
ฌาน) มี แสงสว่า งในตัว ไปได้ใ นอากาศ(เช่นเดี ยวกับ พรหม) “สุ ทฺทํ หรื อ ศู ท ร” ขึ น ซึ งบ้า งว่า มาจากคําว่า “ลุทฺท(นายพราน)
แล้วเกิดมี ง้วนดิน ขึ น [สีเหมือนดอกกรรณิการ์ กลินก็ดีของง้วน หรือ ขุทฺท(เล็กๆ น้อยๆ) นันเอง
ดินนันน่ าชอบใจ แต่รสของง้วนดินนันจักเป็ นอย่างไรหนอ ผู้ที สมัยต่อมา คนบางกลุ่มในวรรณะทังสี เมื อไม่พอใจธรรม
เกิด ความโลภในง้วนดินนันก็เอานิวมื อจับ ง้วนดินนันมาชิมดู ] ของตน จึงออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิดคําว่า “สมณ” ขึ น และ
สัตว์ทงหลายลิ
ั มรสดูก็ชอบใจ(กามราคะ ติดในรส) เลยหมดแสง เกิดเป็ นสมณะมณฑล(คณะของสมณะ)ขึ น จากวรรณะทังสี
สว่า งในตัว พระอาทิต ย์ พระจันทร์ และดาวนักษัต รจึงปรากฏ ครันแล้ว ตรัสสรุ ป ว่า ทังกษัต ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศู ทร
เมือกินง้วนดินเป็ นอาหาร นานแสนนาน กายก็หยาบกระด้าง จึง และสมณะ ก็ล้วนเกิด จากคนพวกนัน มิใ ช่พวกอืน เกิด จากคน
ดู หมินกันด้วยเรืองผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมินผู้อืน เสมอกัน มิใช่คนไม่เสมอกัน เกิดขึ นโดยธรรม(คืออาศัยการงาน
ง้วนดินก็หายไป และหน้ า ที ) มิ ใ ช่ เ กิด ขึ นโดยอธรรม ธรรม(ความเป็ นจริงซึ ง
แล้วก็เกิดมีกะบิดิน(สะเก็ดดิน) เกิดขึ นแทน หมายถึงหน้า ทีการงาน)จึงเป็ นสิงประเสริฐสุด ในหมู่ช นทังใน
แล้วก็เกิดมีเครือดิน(เถาไม้)เกิดขึ นแทน ปัจจุบน ั และอนาคต
แล้ว ก็ เ กิด มี ข้า วสาลี ไม่ มี เ ปลือ ก เกิด ขึ นแทน [ข้ า วสุกนัน ...........................................
ปรารถนาจะบริโ ภครสใดๆ ก็ มี ร สนันๆ ให้บ ริโ ภค เมื อสัต ว์
บริโ ภคอาหารหยาบ แต่นนมู ั ต รและกรีสก็เกิด ], ข้า วนี เก็บเย็น
เช้าก็แก่แทนทีขึนมาอีก จึงไม่ปรากฏพร่องไปเลย
ต่ อ มาจึ ง ปรากฏ เพศ หญิ ง เพศชาย ขึ น (อ. ความจริ ง
มาตุ ค าม เมื อต้ อ งการได้ค วามเป็ นบุ รุ ษ ต้อ งพยายามบํา เพ็ญ
ธรรมอันเป็ นปัจจัยแห่งความเป็ นบุรุษโดยลําดับ ย่อมสําเร็จได้,
บุ รุษ เมื อต้องการเป็ นหญิงก็ประพฤติการกาเมสุมิจฉาจาร ย่อม
สํา เร็จได้) เมื อต่า งเพ่งมองกันและกัน ก็เกิด ความกํา หนัด เร่า
ร้อน และ เสพเมถุนธรรม ต่อหน้า สัต ว์ทงหลาย ั เป็ นทีรงั เกียจ
ต่า งขว้า งปาสิงของ ด่า ว่า “คนถ่อยเจ้า จงฉิ บ หายเสีย ก็สตั ว์จกั
กระทํา ต่อสัตว์อย่างนีได้อย่างไรกัน ” เพราะถือว่าการเสพเมถุน
ธรรมนัน เป็ นอธรรม (ต่างจากสมัยนีทีถือว่าเป็ นธรรมคือถูกต้อง
ดี งาม) เป็ นอสัทธรรม จึง สร้า งบ้านเรือนขึ น ปกปิ ดการกระทํา
นัน

~ 56 ~
จักกวัตติสูตร (ว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ ) ที.ปา.11/33/43 เกิด การ ประพฤติผิดในกาม อายุก็ลดลงจาก 1 หมื นปี เป็ น
พ.ประทับ ณ นครมาตุ ล า แคว้น มคธ ตรัส สอนให้ภิกษุ 5 พันปี
ทังหลายจงมีตนเป็ นทีพึ ง มี ธรรมเป็ นทีพึ ง และเจริญสติปฏ ั ฐาน เกิ ดการ พูด คําหยาบและพูดเพ้อเจ้อ อายุก็ลดลงจาก 5 พันปี
4 แล้วตรัสเล่าเรือง เป็ น 2500 ปี บ้าง 2000 ปี บ้าง
สมัย หนึ ง พระเจ้า จัก รพรรดิ พระนามว่า ทัฬ หเนมิ ถึง เกิ ด อภิ ช ฌา (โลภอยากได้ข องเขา)และ พยาบาทปองร้าย
พร้อมด้วยรัตนะ 7 ประการ อันได้แก่ เขา อายุ ก ล
็ ดลงจาก 2500 ปี บ้าง 2000 ปี บ้าง เป็ น 1000 ปี
1 จักรรัตนะ(จักรแก้ว) 2 หัตถิรตั นะ(ช้างแก้ว) เกิ ด มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ (ความเห็นผิดจากคลองธรรม) อายุก็ลดลง
3 อัสสรัตนะ(ม้าแก้ว) 4 มณี รตั นะ(แก้วมณี ) จาก 1000 ปี เป็ น 500 ปี
5 อิตถีรตั นะ(นางแก้ว) 6 คหปติรตั นะ(ขุนคลังแก้ว) เกิ ด ธรรม 3 ประการคื อ
7 ปริณายกรัตนะ(ขุนพลแก้ว) 1.ความกํ า หนั ด ที ผิ ด ธรรม (อธมฺ มราค) ไม่เลือกว่าเป็ นบิดามารดา
พระเจ้าทัฬหเนมิได้ตรัสสังให้บุรุษคนหนึ งคอยดูวา่ เมือใด ลุ ง ป้ าน้ า อา
จักรแก้วเคลือนจากฐานให้มาบอก ต่อมา จักรแก้วเคลือนจากที 2.ความโลภรุนแรง (วิสมโลภ) แม้ในฐานะทีควรจะได้
พระองค์ไ ด้ท รงมอบราชสมบัติใ ห้พ ระราชบุ ต รพระองค์ใ หญ่ 3.ธรรมทีผิด (ความกําหนัดพอใจผิดปกติ) เช่น ชายในชาย หญิง
แล้ว ออกผนวชเป็ นฤาษี เมื อออกผนวชได้ 7 วัน จัก รแก้ว ก็ ในหญิง อายุก็ลดลงจาก 500 ปี เป็ น 250 ปี บ้าง 200 ปี บ้าง
อันตรธานไป เกิดการ ไม่ประพฤติชอบในมารดาบิดา ในสมณะพราหมณ์
พระราชาพระองค์ใหม่ ทรงเสียพระทัย เข้าไปเฝ้ าพระราช การไม่ อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล อายุก็ลดลงจาก 250 ปี เป็ น
ฤาษี พระราชฤาษี จึง ตรัสสอนว่า จัก รแก้ว นันเป็ นสิงทีให้กน ั 100 ปี
ไม่ได้ และทรงแนะนํา ให้บํา เพ็ญจักกวัต ติวตั ร เมื อทรงบําเพ็ญ จักมี สมัยทีมนุ ษ ย์มี อายุเพียง 10 ปี หญิงสาวอายุ 5 ปี จะมี
แล้ว จักรแก้วอันเป็ นทิพย์จกั ปรากฏแก่พระราชาผู้รกั ษาอุโ บสถ สามี ได้ อาหารชื อกุทรุสกะ(ข้าวหญ้ากับแก้) ซึ งเป็ นของเลวใน
ในวันอุโบสถ แล้วทรงตรัสสอนจักกวัตติวตั ร (โดยย่อ) คือ สมั ย นี จะเป็ นโภชนะอันเลิศ กุศ ลกรรมบถ 10 จะอันตรธานไป
ไม่มีแม้คาํ ว่า “กุศล” ผู้ไม่ประพฤติชอบในมารดาบิดา ในสมณะ
1 จงอาศัยธรรมลักการะเคารพนับถือธรรมให้ความคุม ้ ครองอัน พราหมณ์ การไม่ออ ่ นน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล จะได้รบั การยกย่อง
เป็ นธรรมแก่มนุษย์และสัตว์ ไม่ยอมให้ผู้ประพฤติอธรรมเป็ นไป สรรเสริญ จะไม่มีคาํ ว่ามารดา บิดา ภริยาของอาจารย์ โลกจะเจือ
ได้ในแว่นแคว้น(ปราบอธรรม) (ศีล) ปน(สมสู่)กันเหมือนสัต ว์ ทํา ลายซึ งประเพณี อน ั ดีงาม จักมี การ
2 ผู้ใดไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้ (ทาน) พยาบาทอาฆาตกันอย่างรุนแรง ระหว่างพีกับน้อง แม้มารดาต่อบุตร
3 เข้าไปหาสมณพราหมณ์ ผู้เว้นจากความมัวเมาประมาท ตังอยู่ ในระหว่า งนันจะเกิด มีสตั ถันตรกัปป์ (อันตรกัป ป์ทีพินาศ
ในขันติโสรัจจะ และถามถึงสิงทีเป็ นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เสี ย ก่อ นในระหว่า ง ก่อ นที โลกจะถึง สังวัฏ ฏกัป ป์ แต่ ก็ พินาศ
ควรเสพ ไม่ควรเสพ อะไรมีประโยชน์เป็ นไปเพือสุข อะไรไม่มี เสียก่อนด้วยศัสตรา) อยู่ใ นระหว่าง 7 วัน คนทังหลายจะสําคญ ั
ประโยชน์เป็ นไปเพือทุกข์สินกาลนาน เมื อฟังแล้ว ก็รบ ั เอาสิงที ในกันและกันว่า เป็ นเนื อ ต่า งก็จกั มี ศ สั ตราอันคมเกิดขึ นในมือ
เป็ นกุศลมาประพฤติ (ภาวนา) นีแลคือวัตรอันประเสริฐของพระ แล้วฆ่ากันและกัน(เกิดมิคสัญญี)
เจ้าจักรพรรดิ อ. อันตรกัป ป์ มี 3 อย่า ง คือ (ที.ปา.38 หน้า 138 มมร.)
เมื อพระราชาพระองค์ใหม่ กระทํา ตาม จักรแก้วก็ปรากฏ 1.ทุ พ ภิ ก ขัน ตรกัป ป์ (กัป ป์ พิน าศในระหว่า งเพราะอด
ขึ น พระราชาทรงหมุ นจักรแก้วไปด้วยพระหัต ถ์ข วา รับ สังว่า อาหาร[เพราะโลภจัด ]) เหล่า สัต ว์ทีฉิ บ หายเพราะทุพภิกขันตร
จักรแก้วอันเจริญจงหมุนไปเถิด แล้วยกกองทัพติดตามไปทัง 4 กัป ป์ ย่อ มเกิด ขึ นในปิ ตติวิสยั แห่ง เปรตเสีย โดยมาก เพราะมี
ทิศจนจดมหาสมุทร สังสอนพระราชาในทิศนันๆ ให้ตงอยู ั ใ่ นศีล ความอดอยากเป็ นกําลัง
5 แล้วให้ค รองราชมบัติเช่นเดิม(คือต้องการเพียงให้ยอมอยูใ่ ต้ 2.โรคน ั ตรกัปป์ (กัป ป์ พินาศในระหว่างเพราะโรค[เพราะ
อํานาจเท่านัน) โมหะจัด ]) เหล่า สัต ว์ทีฉิ บหายเพราะโรคน ั ตรกัปป์ ย่อมเกิดขึ น
พระเจ้ า จัก รพรรดิ พระองค์ ที 2 3 4 5 6 7 ก็ เ ป็ น ในสวรรค์ เ สี ย โดยมาก (โรคปัจ จุ บ น ั ทัน ด่ ว นเช่ น ความโกรธ
เช่ น เดี ยวกัน แต่ เ มื อครังพระเจ้า จักรพรรดิองค์ที 7 ทรงออก ความขาดอาหาร)
ผนวช เมื อจักรแก้วอันตรธานหายไป พระราชาพระองค์ใ หม่ 3.สัต ถันตรกัปป์ (กัปป์พินาศในระหว่างศัสตราเป็ นผลแห่ง
มิ ไ ด้ เ ข้ า ไปเฝ้ าพระฤาษี ร าชบิด า(ประมาทในราขประเพณี ที กรรมชัวของมนุษย์[เพราะโทสะจัด]) เหล่า สัต ว์ทีฉิบหายเพราะ
ปฏิ บ ต ั ิ สื บ กันมา) ทรงปกครองตามมติข องพระองค์เ อง มิ ไ ด้ สัต ถันตรกัป ป์ ย่อมเกิด ขึ นในนรกเสียโดยมาก เพราะมี ค วาม
ตังอยู่ใ นราชธรรม พวกอํา มาตย์ราชบริพารจึงประชุมกันถวาย อาฆาตต่อกันอย่างรุนแรง
คํา แนะนํ า เรื องวัต รของพระเจ้า จักรพรรดิในภายหลัง ต่ อมา จัก มี ค นบางพวกหลบไปอยู่ใ นป่ าดงพงชัฏ กิน เหง้ า ไม้
พระราชาจึงปกครองโดยธรรม แต่ก็มิได้พระราชทรัพย์แก่ผู้ ไม่ ผลไม้ใ นป่ า เมื อพ้น 7 วันแล้ว ต่า งออกมาดี ใ จว่า รอดชี วิต จึง
มีทรัพย์(การสังคมสงเคราะห์) ความยากจนขัดสนเกิดขึ นโดยทัว ตังใจทํา กุ ศ ลกรรม ละเว้น การฆ่า สัต ว์ และบํ า เพ็ญ กุ ศ ลกรรม
ต่อมาคนก็ ลักทรัพย์ ของผู้อืน เมือถูกจับได้ พระราชาทรง เพิมขึ นเรือยๆ อายุก็จะยืนขึ นเรือยๆ จาก 10–20–40–80–160–
ไต่สวนทราบว่า เพราะไม่มี อาชี พ จึงพระราชทานทรัพย์ใ ห้ไป 320–640–2000–4000–8000–20000–40000–80000 จนถึง
ต่อมามีคนลักทรัพย์อีก ก็ ทรงพระราชทานทรัพย์อีก ข่า วก็แพร่ อสงไขยปี
ไปว่า ถ้าใครลักทรัพย์ก็จะได้พระราชทานทรัพย์ ต่อมาพระราชา เมื อกาลล่วงผ่า นไปนานแสนนาน เมื อมนุ ษ ย์มี อายุยืน 8
เกรงว่า ถ้า พระราชทานทรัพย์ การลักทรัพย์ก็จกั เพิมขึ นอีก จึง หมื นปี นัน (ขาลงจากอสงไขยปี ) หญิงสาวอายุ 5 พันปี จึงมีสามี
สังให้ลงโทษ โกนศี รษะ แห่ป ระจานไปรอบเมือง แล้วตัดศีรษะ ได้ มนุษย์จะมีโรคเพียง 3 อย่าง คือ 1.ความปรารถนาในอาหาร
เสีย เมื อประชาชนได้ทราบข่า ว ต่า งก็พากัน สร้า งศัสตรา และ (อิจฉา) 2.ความไม่อยากกินอาหาร เกียจคร้านอยากจะนอน(อน
คิด ว่า ถ้า ลักทรัพย์ก็ต้องฆ่า เจ้า ทรัพย์เสีย(เพือปิ ดปาก) จึงเกิด สนะ) 3.ความแก่(ชรา) ชมพูทวีป จะมังคงรุ ั ่งเรือง ทัวคามนิคม
เป็ นการปล้ น หมู่ บ้ า นและในหนทางขึ น เมื อ ปาณาติ บ าต ราชธานี ยัดเยียดไปด้วยหมู่มนุษย์(ประหนึ งอเวจี) กรุงพาราณสี
แพร่ห ลาย อายุ แ ละผิ ว พรรณของสัต ว์ ท งหลายก็ั เ สื อมลง คือ จะเป็ นราชธานี นามว่า เกตุ ม ตี จักมี พระเจ้าจักรพรรดิพระนาม
มนุษย์ทีมีอายุ 8 หมืนปี บุตรมีอายุเพียง 4 หมืนปี ว่า สังขะ
มนุ ษ ย์เมือถูกราชบุรุษจับได้ เกรงการถูกลงโทษ จึงกล่าว พระผู้มี พระภาคพระนามว่า เมตไตรย จักบังเกิด ในโลก
มุ สาวาท เมือมากด้วยการพูดเท็จ อายุก็ลดลงจาก 4 หมืนปี เป็ น เป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้า ยในภัทรกัป ป์ นี
2 หมืนปี พระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า สังขะ จะกระทํามหาทาน แล้วออก
เกิดการ พูด ส่อเสียด อายุก็ลดลงจาก 2 หมืนปี เป็ น 1 หมืนปี ผนวชในสํานักพระเมตไตรยพุทธเจ้า สําเร็จเป็ นพระอรหันต์
……………………………………………………………

57
สัตตสุริยสูตร (พระอาทิตย์ 7 ดวง) องฺ .สตฺ ต 23/63 อรรถกถาว่า . ในคํา ทัง 4 นี หมายถึง เตโชสัง วัฏ ฏกัป
พ.ทรงตรัสแก่ภิกษุ 500 รูป ผู้เจริญอนิจจกรรมฐาน ณ อัม เท่านัน ดังใน สัตตสุรยิ สูตร
พปาลีวน ั เขตกรุงเวสาลี ทรงแสดงว่า โลกนันจะพินาศด้วยไฟ คําว่า สังวัฏกัป (ช่วงระยะเวลาทีโลกเสือม) มี 3 อย่าง คือ
กัลป์ 1.เตโชสังวัฏฏกัป (กัปทีเสือมเพราะไฟ) มีเขตความเสือม
พ. ทรงตรัสถึงระยะกาลทีล่วงไปนานหลายแสนปี จะมี สมัย คือ เพราะไฟไหม้เบืองล่างแต่ชนอาภั ั สสระพรหมลงมา
ซึ งฝนไม่ต ก แม้ขุ นเขาสิเนรุ ก*ย*ส*หยัง 84000 โยชน์ พืช [ยังฝนห่าใหญ่ทีตกลงในแสนโกฏิจกั รวาล แล้วฝนแม้หยด
ต้นไม้ใบหญ้าก็จะเหียวแห้งไม่มีเหลือ แล้วก็ถงึ สมัยทีอาทิตย์ขึน หนึ งก็ ไ ม่ ต กอีก เลย สัต ว์ ผู้ อ าศัยฝนเลี ยงชี พจะไปบังเกิด ในเท
2 ดวง 3 4 5 6 จนถึง 7 ดวง ซึ งมหาปฐพีนีและขุนเขาสิเนรุจะ วโลกแล้วย่อมได้ฌานบังเกิดในพรหมโลก เทวดาผู้อาศัยผลบุ ญ
ลุกไหม้มีเปลวไฟพลุง่ ขึ นไปถึงพรหมโลก เลียงชีพก็ได้ฌานไปเกิดในพรหมโลก แม้สตั ว์นรกย่อมพินาศไป
อาทิตย์ที 2 เมือเกิดขึ น แม่นําน้อยย่อมไม่มีนํา เมือพระอาทิตย์ดวงที 7 ปรากฏ เกิดในพรหมโลกด้วย]
อาทิต ย์ที 3 เมื อเกิด ขึ น แม่นําสายใหญ่ๆ (มหานทีทงั 5) 2.อาโปสังวัฏ ฏกัป (กัป ทีเสือมด้วยนํา) มี เขตความเสือม
เช่น คงคา ยมหา อจิรวดี จะไม่มีนํา คือ เพราะนําท่วมเบืองล่างแต่ชนสุ ั ภกิณหพรหมลงมา
อาทิต ย์ที 4 เมื อเกิด ขึ น แหล่งนําใหญ่ๆ ทีรวมของแม่นํา [มหาเมฆมีนํากรดยังกัปให้พินาศ ตังขึ น แล้วยังฝนให้ตก
(มหาสระ 7) เช่น สระอโนดาด จะไม่มีนํา เต็ ม แสนโกฏิ จ กั รวาล แผ่ น ดิ น และภู เ ขาถู ก นํ ากรดแล้ว ย่อม
อาทิต ย์ที 5 เมื อเกิด ขึ น นําในมหาสมุ ทร ลึก 700 โยชน์ ละลาย นําถูกพัดพัดไปโดยรอบ ท่วมจนถึงพรหมโลกให้ยอ ่ ยยับ
จะไม่มีนําแม้เพียงข้อนิว ไป อากาศมืดมิดเป็ นอันเดียว แล้วโลกสร้างอาภัสสรพรหมโลก
อาทิตย์ที 6 เมือเกิดขึ น แผ่นดิน ขุนเขาสิเนรุ และจักรวาล ขึ นก่อน สัตว์ทงหลายเคลื
ั อนจากสุภกิณหาแล้ว ย่อมบังเกิดในอา
ทังสิน จะเป็ นควันพวยพุง่ แม้แสนโกฏิจกั รวาล ภัสสรพรหม]
อาทิตย์ที 7 เมือเกิดขึ น แผ่นดิน ขุนเขาสิเนรุ และทังแสน 3.วาโยสังวัฏฏกัป (กัปทีเสือมเพราะลม) มีเขตความเสือม
โกฏิจกั รวาล จะเกิดไฟลุกโชน เปลวไฟลุกโชน ถูกลมพัดขึ นไป คือ เพราะลมพัดทําลายเบืองล่างแต่ชนเวหั ั ปผละพหรมลงมา
ถึง พรหมโลก ยอดเขา 500 โยชน์ ย่อ มพัง ทลาย ไม่ เ หลือแม้ [ลมนันยังธุลีให้ตงขึ ั นก่อน จนถึงแผ่นหินเท่าเรือนยอดและ
เพียงขีเถ้าและเขม่า ต้นไม้ใ หญ่ ธุลีนนแหลกละเอี
ั ยดไปในท้องฟ้ า แล้วลมตังขึ นใต้
แผ่ น ดิ น ใหญ่ พลิ ก แผ่ น ดิ น ขึ นซัด ไปในอากาศ ลมยกภู เ ขา
เปลวไฟนันนันยังไม่ดบ ั ตราบเท่าสังขารแม้เพียงอณู หนึ ง จักรวาลบ้าง ภูเขาสิเนรุบ้าง แล้วซัดไปกระทบกันแหลกละเอี ยด
ยังมี อยู่ ครันแล้ว โดยกาลล่วงยาวนาน มหาเมฆตังขึ นยังฝนให้ แล้วยังแสนโกฏิจกั รวาลให้พน ิ าศ จักรวาลกระทบจักรวาล สิเนรุ
ตกโดยลําดับ ทําทีทีถูกไหม้ทงหมดให้
ั เต็มแล้วหายไป ลมตังขึ น กระทบสิเนรุแหลกละเอียดพินาศไปจนถึงพรหมโลก แล้วโลก
พัดนํารวมกันเข้าแล้วไหลลงเบืองล่าง พรหมโลกย่อมปรากฏ เท สร้างสุภกิณหพรหมโลกขึ นก่อน]
วโลกย่อมปรากฏ แล้วลมแรงย่อมเกิดขึ นปิ ดกันนําไว้ไม่ใ ห้ไ หล (ขุ.ปฏิ.อ.68 หน้า 1017) เพราะเหตุใดโลกจึงพินาศ ตอบ
ออก เมื อนําหวานหมดไปยังง้วนดิน(รสปฐวี)ให้ตงขึ ั นเบืองบน ว่า เพราะอกุศลมูลเป็ นเหตุ เมืออกุศลมูลหนาขึ น โลกย่อมพินาศ
สัต ว์ทงหลายที
ั เกิด ในอาภัสสรพรหมก่อนย่อมเคลือนจากทีนัน ไปอย่า งนี อนึ ง เมื อราคะหนาขึ น ย่อมพินาศด้วยไฟ เมื อโทสะ
มาเกิด ณ ทีนี หนาขึ น ย่อมพินาศด้วยนํา เมือโมหะหนาขึ น ย่อมพินาศด้วยลม,
…………………………………………………………… เมื อพินาศ ย่อมพินาศด้วยไฟ 7 ครัง ครังที 8 ด้วยนํา เช่นนีสิน
กัปปสูตร องฺ.จตุก.21/156 ขุ.ปฏิ.อ.68 หน้า 1005 7 รอบ แล้วพินาศด้วยไฟอีก 7 ครัง แล้วจึงพินาศด้วยลมในครัง
ที 8 ยังสุภกิณหพรหมโลกซึ งมีอายุ 64 กัปให้พน ิ าศ
(ว่าด้วยอสงไขย 4 แห่งกัป หรือกัปหนึงมี 4 อสงไขย) ...............................................
(กัปป=โลกาวินาศ,กัปประลัย,แผ่นดินพินาศ ปลย=สินกัป ก็โ ดยส่วนกว้า งในกาลนัน พุทธเขตหนึ งก็ย่อมพินาศไป
,กัปทีสินโลก) ด้วย
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั อสงไขยกัป (ระยะกาลทีนานนับ ไม่ได้ พุทธเขต มี 3 คือ
แห่งกัป) 4 ประการ คือ 1.ชาติเขต เขตทีหวันไหวในการถือปฏิสนธิเป็ นต้น ของ
1.สังวัฏ กัป คือ ช่วงระยะเวลาทีโลกเสือม (กัป เสือม,สิน พระตถาคตมีหมืนจักรวาลเป็ นทีสุด ชือว่า ชาติเขต
กัป ป์ ) [ตังแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศเกิด จนถึงการทําลายด้วย 2.อาณาเขต อานุภาพของพระปริตรย่อมเป็ นไปในเขตทีมี
เปลวไฟ][เพราะในครังนันสัตว์ทงปวงประชุั มกันในพรหมโลก] แสนโกฏิจกั รวาลเป็ นทีสุด ชือว่า อาณาเขต
2.สังวัฏฏัฏฐายีกปั คือ ช่วงระยะเวลาทีโลกอยูถ ่ ดั จากความ 3.วิสยั เขต เขตทีพระพุทธเจ้าพึงหวังโดยประมาณเพียงใด
อันหาประมาณทีสุดมิได้
เสื อมไป (อยู่ใ นระหว่า งพิน าศ) [หรื อ ตังแต่ เ ปลวไฟที ให้ก ป ั
........................................
พินาศดับลง จนถึงมีมหาเมฆเต็มบริบูรณ์ ในแสนโกฏิจกั รวาล]
3.วิวฏั กัป คือ ช่วงระยะเวลาทีโลกกลับเจริญ [หรือตังแต่
มหาเมฆบริ บู ร ณ์ จนถึ ง ช่ ว งระยะเวลาที ดวงจัน ทร์ แ ละดวง
อาทิตย์เกิด] [เพราะสัตว์ทงหลายออกจากพรหมโลก]

4.วิวฏ ั ฏัฏฐายีกปั คือ ช่วงระยะเวลาทีโลกอยู่ถดั จากความ
เจริญไป (อยู่ใ นระหว่า งเจริญ) [หรือตังแต่ด วงจันทร์และดวง
อาทิต ย์เกิด จนถึงช่วงระยะเวลาทีมหาเมฆซึ งให้กป ั พินาศเกิด
อีก]
อสงไขย 4 เหล่านี เป็ นมหากัปหนึ ง

58
(เฉพาะ) จักกวิตติวตั ร 5 (โดยย่อ) ที.ปา.11/35/45 ทิพย์ซึ งมี กํา พันหนึ ง มี กง มี ดุ ม บริบู รณ์ ด้วย อาการทุกอย่า ง
ร. พระพุทธเจ้าข้า ก็จกั กวัตติวตั รอันประเสริฐนัน เป็ นไฉน ฯ ปรากฏมี แ ก่ท้า วเธอผู้ส ระพระเศี ยร ทรงรัก ษาอุโ บสถอยู่ ณ
ราช. ดูกรพ่อ ถ้าเช่นนัน ปราสาทอัน ประเสริฐ ชันบน ในวัน อุ โ บสถ 15 คํา ท้า วเธอ
1 พ่อจงอาศัยธรรมเท่านัน สักการะธรรม ทําความเคารพธรรม ทอดพระเนตรเห็นแล้ว มี พระดํา ริว่า ก็เราได้สดับ มาว่า จักร
นับถือธรรม บูชาธรรม ยําเกรงธรรม มีธรรมเป็ นธงชัย มีธรรม แก้วอันเป็ นทิพย์ มีกาํ พันหนึ ง มีกง มีดุมบริบูรณ์ ด้วยอาการทุก
เป็ นยอด มีธรรมเป็ นใหญ่ อย่า ง ปรากฎมี แ ก่พ ระราชาผู้ เ ป็ นกษัต ริย์ พ ระองค์ ใ ด ผู้ ไ ด้
2 จงจัดการรักษาป้ องกันและคุม ้ ครองอันเป็ นธรรม มู รธาภิเษก สระพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถอยู่ ณ ปราสาทอัน
- ในชนภายใน - ในหมู่พล ประเสริฐชันบน ในวันอุโ บสถ 15 คํา พระราชาพระองค์นน ั
- ในพวกกษัตริย์ - ผู้เป็ นอนุยนต์ เป็ นพระเจ้าจักรพรรดิ เราได้เป็ น พระเจ้าจักพรรดิหรือหนอ ฯ
- ในพวกพราหมณ์ และคฤหบดี [36] ดู กรภิกษุ ทงหลายั ลํา ดับ นัน ท้า วเธอเสด็ จลุกจากพระที
- ในชาวนิคมและชาวชนบททังหลาย แล้ว ทรงทําผ้าอุตตราสงค์เฉวียงพระอังสาข้างหนึ ง จับพระเต้า
- ในพวกสมณพราหมณ์ - ในเหล่าเนือ และนก ด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรง ประคองจักรแก้วด้วยพระหัตถ์ขวา แล้ว
3 ดูกรพ่อ การอธรรมอย่าให้มีได้ในแว่นแคว้นของพ่อเลย ตรัสว่า ขอจักรแก้วอันประเสริฐ จงเป็ นไปเถิด ขอจักรแก้วอัน
4 ดูกรพ่อ อนึ ง บุคคลเหล่าใดในแว่นแคว้นของพ่อ ไม่มีทรัพย์ ประเสริฐ จงชนะโลกทังปวงเถิด ฯ
พ่อพึงให้ทรัพย์แก่บุคคลเหล่านัน ด้วย ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ขณะนัน จักรแก้วนันก็เป็ นไปทาง
5 ดู กรพ่อ อนึ ง สมณพราหมณ์ เหล่า ใด ในแว่นแคว้นของพ่อ ทิศ บู รพา พระเจ้า จักรพรรดิพร้อมด้วยจตุ รงคินีเสนา ก็เสด็ จ
งดเว้ น จากความเมาและความประมาท ตังมันอยู่ใ นขัน ติ ติดตามไป ฯ
และโสรัจจะ ฝึ กตนแต่ผู้เดียว สงบตนแต่ผู้เดียว ให้ตนดับกิเลส ดู ก รภิ ก ษุ ทังหลาย ฝ่ ายพระเจ้า แผ่ น ดิ น ที อยู่ ณ ทิศ
อยู่แต่ผู้เดียว พึงเข้า ไปหาสมณพราหมณ์ เหล่า นัน โดยกาลอัน บู ร พาพากัน เสด็ จ เข้ า ไปเฝ้ าพระเจ้า จักรพรรดิ ได้ ก ราบทูล
ควร แล้ว ไต่ ถ ามสอบถามว่า ท่า นขอรับ กุ ศ ลคื อ อะไร ท่า น อย่า งนี ว่า ขอเชิญเสด็ จมาเถิด มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดี
ขอรับ อกุศ ลคืออะไร กรรมมี โ ทษคืออะไร กรรมไม่มีโทษคือ แล้ว ราชอาณาจักรเหล่านี เป็ นของพระองค์ทงสิ ั น ขอ พระองค์
อะไร กรรมอะไรควรเสพ กรรมอะไรไม่ค วรเสพ กรรมอะไร พระราชทานพระบรมราโชวาทเถิด มหาราชเจ้า ท้า วเธอจึง
อันข้า พเจ้า กระทํา อยู่ พึงมี เพือไม่เป็ นประโยชน์ เพือทุกข์ สิน ตรัสอย่างนีว่า
กาลนาน หรื อ ว่ า กรรมอะไรที ข้ า พเจ้า กระทํา อยู่ พึ ง มี เ พื อ พวกท่านไม่พงึ ฆ่าสัตว์
ประโยชน์ เพื อความสุ ข สินกาลนาน พ่อ ได้ ฟ ัง คํา ของสมณ ไม่พงึ ถือเอาของทีเจ้าของไม่ได้ให้
พราหมณ์ เหล่านันแล้ว สิงใดเป็ นอกุศล พึงละเว้นสิงนันเสีย สิง ไม่พงึ ประพฤติผิดในกามทังหลาย
ใดเป็ นกุศลพึงถือมันสิงนันประพฤติ ดูกรพ่อ นีแล คือจักกวัตติ ไม่พงึ กล่าวคําเท็จ
วัตรอันประเสริฐนัน ฯ ไม่พงึ ดืมนําเมา
ดู ก รภิ กษุ ทงหลาย
ั ท้า วเธอรับ สนองพระดํา รัสพระราช จงบริโภคตามเดิมเถิด
..........................................................
ฤาษี แล้ว ทรง ประพฤติใ นจักกวัตติวตั รอันประเสริฐ เมื อท้าว
เธอทรงประพฤติจกั กวัตติวตั รอัน ประเสริฐอยู่ จักรแก้วอันเป็ น

ลําดับพระพุทธเจ้า 25 พระองค์ (รวมพระโคตมพุทธะ)


พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร และพระทีปงั กร อุบตั ข
ิ นในกัปเดี
ึ ยวกัน ในทีสุด 4 อสงไขยกับอีก 1 แสนกัปนับแต่กปั นี
1 ครังพระทีปงั กร (ทรงบําเพ็ญบารมี 16 อสงไขยกับอีกแสนกัป)
มนุษย์ทงหลายมี
ั อายุ 1 แสนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 1 หมีนปี ทรงทําความเพียรอยู่ 10 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช
้ ือปิ ปผลิ (ไม้เลียบ) พระวรกายสูง 80 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 1 แสนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 1 แสนปี (นับแต่ดบ ั ขันธปรินิพพานไปแล้ว) แล้วได้อน ั ตรธานไป
2 พระโกณฑัญญะ (อุบตั ิขึ นในทีสุดแห่ง 3 อสงไขยกับอีก 1 แสนกัปนับแต่กปั นี ทรงบําเพ็ญบารมี 16 อสงไขยแสนกัป มจร.)
3 พระ(สุ)มังคละ 4 พระสุมน 5 พระเรวัต และ 6 พระโสภิต อุบตั ิขึ นในกัปเดียวกัน (ในทีสุดแห่ง 2 อสงไขยกับอีก 1 แสนกัปนับแต่
กัปนี, พระมังคละ บําเพ็ญบารมี 16 อสงไขยแสนกัป, พระโสภิตะ 4 อสงไขยแสนกัป มจร.)
7 พระอโนมทัสสี 8 พระปทุม ะ 9 พระนารทะ อุบ ต ั ิขึ นในกัปเดียวกัน (อุบ ต
ั ิขึ นในทีสุดแห่ง 1 อสงไขยกับอีก 1 แสนกัปนับแต่กปั นี
มจร.หน้า [102], แต่หน้า [86] ว่า ในทีสุดแห่ง 1 แสนกัปนับแต่กปั นี, พระอโนมทัสสี บําเพ็ญบารมี 160 อสงไขยแสนกัป, พระนาร
ทะ 4 อสงไขยแสนกัป มจร.หน้า[102] ทรงทําความเพียรอยู่ 7 วัน)
10 พระปทุมุตตระ อุบตั ิขึ นในทีสุดแห่ง 1 แสนกัป (3 แสนกัป มจร.หน้า [87])นับแต่กปั นีไป ทรงกระทําความเพียร 7 วัน
11 พระสุเมธ และ 12 พระสุชาติ อุบตั ิขึ นในกัปเดียวกัน ในทีสุดแห่ง 3 หมืนกัปนับแต่กปั นีไป
13 พระปิ ยทัสสี 14 พระอัตถทัสสี และ 15 พระธรรมทัสสี อุบตั ิขึ นในกัปเดียวกัน ในทีสุด 1800 กัป (118 กัป มจร.) นับแต่กปั นีไป
16 พระสิทธัตถะ ในทีสุดแห่ง 94 กัปนับแต่กปั นีไป
มนุษย์ทงหลายมี
ั อายุ 1 แสนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 1 หมีนปี ทรงทําความเพียรอยู่ 10 เดือน (6 ด. มจร.หน้า 105)
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช้ ือกรรณิการ์ พระวรกายสูง 60 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 1 แสนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 1 แสนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป

59
17 พระติสสะ และ 18 พระปุสสะ อุบตั ิขึ นในกัปเดียวกัน ในทีสุดแห่ง 92 กัปนับแต่กปั นีไป
ครังพระติสสะ
มนุษย์ทงหลายมี
ั อายุ 1 แสนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 1 หมีนปี ทรงทําความเพียรอยู่ 8 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ืออสนะ (ต้นประดู่) พระวรกายสูง 60 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 1 แสนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 1 แสนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
ครังพระปุสสะ
มนุษย์ทงหลายมี
ั อายุ 9 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 9 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 7 วัน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ืออามลกะ (มะขามป้ อม) พระวรกายสูง 58 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 9 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 9 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
19 พระวิปส ั สีสมั มาสัมพุทธเจ้า ในทีสุดแห่ง 91 กัปนับแต่กปั นีไป
มนุษย์ทงหลายมี
ั อายุ 8 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 8 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 8 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ือปาฏลี (ไม้แคฝอย) พระวรกายสูง 80 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 8 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 8 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
20 พระสิขี และ 21 พระเวสสภู อุบตั ิขึ นในกัปเดียวกัน ในทีสุดแห่ง 31 กัป (3 กัป มจร.หน้า [96]) นับแต่กปั นีไป
ครังพระสิขี
มนุษย์ทงหลายมี
ั อายุ 7 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 7 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 8 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ือบุณฑริก (มะม่วงป่ า) พระวรกายสูง 70 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 7 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 7 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
ครังพระเวสสภู
มนุษย์ทงหลายมี ั อายุ 6 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 6 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 6 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ือมหาสาละ (รังใหญ่) พระวรกายสูง 60 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 6 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 6 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
22 พระกกุสน ั ธะ 23 พระโกนาคมนะ 24 พระกัสสปะ 25 พระโคตม และพระเมตไตรย อุบตั ิขึ นในกัปเดียวกัน ในภัทรกัปนี
ครังพระกกุสน ั ธะ
มนุษย์ทงหลายมี ั อายุ 4 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 4 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 8 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ือสิรีสะ (ต้นซึก) พระวรกายสูง 40 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 4 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 4 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
ครังพระโกนาคมนะ
มนุษย์ทงหลายมี ั อายุ 3 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 3 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 6 เดือน
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ืออุทุมพร (ต้นมะเดือ) พระวรกายสูง 30 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 3 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 3 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
ครังพระกัสสปะ
มนุษย์ทงหลายมี ั อายุ 2 หมืนปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 2 พันปี ทรงทําความเพียรอยู่ 7 วัน (7 ด.มจร.หน้า [108])
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ือนิโครธ (ต้นไทร) พระวรกายสูง 20 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 2 หมืนปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 2 หมืนปี แล้วได้อน ั ตรธานไป
ครังพระโคตมะ
มนุษย์ทงหลายมี ั อายุ 1 ร้อยปี ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ 29 ปี ทรงทําความเพียรอยู่ 6 ปี
โคนต้นไม้ทีตรัสรูช ้ ืออัสสัตถพฤกษ์ (ต้นโพธิ) พระวรกายสูง 18 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 80 ปี
พระศาสนาของพระองค์ดํารงอยู่ 5000 ปี แล้วก็จกั อันตรธานไป

60
ขึนชือว่า “กัป” มี 2 คือ
1 สุญญกัป และ 2 อสุญญกัป
ขึ นชื อว่า สุญญกัป เพราะเป็ นกัป ทีว่า งเปล่าจากบุคคล คือ พระสัม มาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้า จักรพรรดิ
ย่อมไม่เสด็จอุบตั ิขึ นในสุญญกัป
ขึ นชือว่า อสุญญกัป มี 5 คือ
1 สารกัป คือ กัปทีประกอบด้วยสาระคือคุณ เพราะปรากฏพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียว
2 มัณฑกัป คือ กัปทีปรากฏว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบตั ิขึ น 2 พระองค์
3 วรกัป คือ กัปทีปรากฏว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบตั ข ิ ึ น 3 พระองค์ โดยพระองค์ที 1 ทรงพยากรณ์ องค์ที 2 พระองค์ที 2 ทรง
พยากรณ์ องค์ที 3 ในกัปนันมนุษย์ทงหลายมี ั ใจเบิกบานย่อมเลือกโดยปณิธานทีตนปรารถนา
4 สารมัณฑกัป คือ กัปทีประเสริฐกว่า มีสาระกว่ากัปก่อนๆ เพราะปรากฏว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบตั ิขึน 4 พระองค์
5 ภัทรกัป คือ กัปทีปรากฏว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบตั ข ิ ึ น 5 พระองค์ ก็ภท ั รกัปนีหาได้ยากยิง เพราะกัปนันโดยมากสัตว์
ทังหลายเป็ นผูม ้ ากด้วยกัลยาณสุข ติเหตุกสัตว์ก็ทาํ ความสินกิเลส ทุเหตุกสัตว์ยอ่ มถึงสุคติ อเหตุกสัตว์ก็ได้เหตุ
...........................................................................
(พจนฯ ศัพท์) คือในระยะกาลทีโลกกลับเจริญขึ น และกําลังทรงอยู่ เท่านัน และ
กัป กัลป์ = กาลกําหนด, กําหนดอายุของโลก, ระยะเวลายาวนาน
กัปเมือจําแนกตามการอุบตั ข ิ องพระพุทธเจ้า มี 2 อย่าง ได้แก่
เหลื อ เกิ น ที กํ า หนดว่ า โลกคื อ สกลจัก รวาล ประลัย ครังหนึ ง
1. สุญกัป กัปสูญ หรือกัปว่างเปล่า คือ กัปทีไม่มีพระพุทธเจ้าอุบตั ิ
(ศาสนาฮิน ดู ว่า เป็ นวัน หนึ งคื น หนึ งของพระพรหม) ท่า นให้
(รวมทังไม่ มี พ ระปัจ เจกพุ ท ธเจ้า พระพุ ท ธสาวก และพระเจ้า
เข้า ใจด้วยอุปมาว่า เปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้า ง ยาว สูง
จักรพรรดิธรรมราชาด้วย)
ด้า นละ 1 โยชน์ ทุก 100 ปี มี ค นนําผ้าเนือละเอียดอย่างดีมาลูบ
2. อสุญกัป กัปไม่สูญ หรือกัปไม่วา่ งเปล่า คือ กัปทีมีพระพุทธเจ้า
ครังหนึ ง จนกว่า ภู เขานันจะสึกหรอสินไป กัป หนึ งยาวนานกว่า
อุบตั ิ แยกย่อยเป็ น 5 ประเภท ได้แก่
นัน; กํา หนดอายุ ข องมนุ ษ ย์ห รื อ สัต ว์ จํา พวกนันๆ ในยุ ค นันๆ
เรียกเต็มว่า ‘อายุกป ั ’ เช่นว่า อายุกป ั ของคนยุคนี ประมาณ 100 1) สารกัป (กัป ทีมี สาระขึ นมาได้ โดยมี พระพุทธเจ้า มา
ปี อุบตั ิ) คือ กัปทีมีพระพุทธเจ้าอุบตั ิพระองค์เดียว
ทีกล่าวข้างต้นนัน เป็ นข้อควรรูท ้ ีพอแก่ความเข้าใจทัวไป 2) มัณ ฑกัป (กัป เยียมยอด) คือ กัป ทีมี พระพุทธเจ้าอุบตั ิ
หากต้องการทราบละเอียด พึงศึกษาคติโบราณดังนี 2 พระองค์
3) วรกัป (กัป ประเสริฐ) คือ กัป ทีมี พระพุทธเจ้า อุบ ต ั ิ3
กัปมี 4 อย่าง ได้แก่
พระองค์
1. มหากัป กัป ใหญ่ คื อ กํา หนดอายุข องโลก อัน หมายถึงสกล
4) สารมัณ ฑกัป (กัป ทีมี สาระเยียมยอดยิงกว่า กัป ก่อน)
พิภพ
คือ กัปทีมีพระพุทธเจ้าอุบตั ิ 4 พระองค์
2. อสงไขยกัป กัป อันนับเวลามิได้ คือ ส่วนย่อย 4 แห่งมหากัป 5) ภัทกัป (ภัททกัป หรือภัทรกัป ก็ได้, กัปเจริญ หรือกัปทีดี
ได้แก่ แท้) คือ กัปทีมีพระพุทธเจ้าอุบตั ิ 5 พระองค์
1) สังวัฏฏกัป (เรียกเต็มว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป) กัปเสือม กัปปัจจุบน ั เป็ นภัทกัป มีพระพุทธเจ้าอุบตั ิ 5 พระองค์ คือ
คือ ระยะกาลทีโลกเสือมลงจนถึงวินาศ พระกกุสน ั ธะ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ พระโคตมะ ทีอุบตั ิแล้ว
2) สังวัฏ ฏฐายีกป ั (สังวัฏ ฏฐายีอสงไขยกัป ) ระยะกาลที และพระเมตไตรย์ทีจะอุบตั ิต่อไป
โลกพินาศแล้วทรงอยู่
ในศาสนาฮินดู ถือว่า 1 กัป (รูป สันสกฤตเป็ น กัลป์ ) อัน
3) วิวฏั ฏกัป (วิวฏั ฏอสงไขยกัป) กัปเจริญ คือ ระยะกาลที
เป็ นวันหนึ งคืนหนึ งของพระพรหม (กลางวันเป็ นอุทยั กัป คือกัป
โลกกลับเจริญขึ น
รุ่ง, กลางคืนเป็ นขัยกัป คือกัป มลาย) ตังแต่โ ลกเริมต้นใหม่จน
4) วิวฏ ั ฏฐายีกปั (วิวฏ ั ฏฐายีอสงไขยกัป) ระยะกาลทีโลก
ประลัย ไปรอบหนึ งนัน มี 2,000 มหายุ ค แต่ ล ะมหายุ ค ยาว
เจริญแล้วทรงอยู่
4,320,000 ปี โดยแบ่งเป็ น 4 ยุค (จตุยุค, จตุรยุค) เริมจากระยะ
ครบรอบ 4 อสงไขยกัปนี เป็ นมหากัปหนึ ง
กาลที มนุ ษ ย์ มี ศี ล ธรรมและร่า งกายสมบู ร ณ์ งดงาม แล้ว เสื อม
3. อันตรกัป กัป ในระหว่าง ได้แก่ระยะกาลทีหมู่มนุ ษย์เสือมจน
ทรามลง และช่วงเวลาของยุคก็สนเข้ ั าตามลําดับ คือ
ส่วนใหญ่พินาศแล้ว ส่วนทีเหลือดี ขึ นเจริญขึ นและมี อายุยืนยาว
1. กฤตยุค ยุคทีโลกอันพระพรหมสร้างเสร็จแล้ว มีความ
ขึ นจนถึงอสงไขย แล้วกลับ ทรามเสือมลง อายุสนลงๆ ั จนเหลือ
ดี งามสมบูรณ์ อยู่ ดังลูกเต๋า ด้า น ‘กฤต’ ทีมี 4 แต้ม เป็ นยุค ดีเลิศ
เพียงสิบปี แล้วพินาศ ครบรอบนี เป็ นอันตรกัปหนึ ง 64 อันตรกัป
1,728,000 ปี (สัตยยุค คือยุคแห่งสัจจะ ก็เรียก; ไทยเรียก กฤดา
เช่นนันเป็ น 1 อสงไขยกัป
ยุค)
4. อายุ กป ั กํา หนดอายุ ข องสัต ว์ จํา พวกนันๆ เช่ น อายุ กป ั ของ
2. เตรตายุค ยุค ทีมี ค วามดี งามถอยลงมา ดังลูกเต๋าด้าน
มหาพรหมเท่ากับ 1 อสงไขยกัป
‘เตรตา’ ที มี 3 แต้ ม ยัง เป็ นยุ ค ที ดี 1,296,000 ปี (ไทยเรียก
โดยทัวไป คําว่า “กัป” ทีมาโดดๆ มักหมายถึงมหากัป แต่
ไตรดายุค)
หลายแห่งหมายถึงอายุกปั เช่นทีพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์ได้
3. ทวาปรยุ ค ยุ ค ที ความดี ง ามเสื อมทรามลงไปอีก ดัง
ทรงเจริญอิทธิบาท 4 เป็ นอย่างดีแล้ว หากทรงจํานง จะทรงพระ
ลูกเต๋า ด้าน ‘ทวาปร’ ทีมี 2 แต้ม เป็ นยุค ทีมีความดีพอทรงตัวได้
ชนม์ อยู่ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ “กัป ” ในทีนี หมายถึงอายุ
864,000 ปี (ไทยเรียก ทวาบรยุค)
กัป คือจะทรงพระชนม์ อยู่จนครบกํา หนดอายุข องคนในยุคนัน
4. กลียุค ยุค ทีเสือมทรามถึงทีสุด ดังลูกเต๋าด้าน ‘กลิ’ ทีมี
เต็มบริบูรณ์ คือเต็ม 100 ปี หรือเกินกว่านัน ก็ได้
เพียงแต้มเดียว เป็ นยุคแห่งความเลวร้าย 432,000 ปี
ตามคติ ที บางค ม ั ภี ร์ ป ระมวลมาบัน ทึ ก ไว้ พึ ง ทราบว่า
...........................................
ตลอดมหากัปนัน พระพุทธเจ้าจะอุบตั ิเฉพาะแต่ในวิวฏั ฏฐายีกปั

61
บทที 2. ภิกษุถือเอาของทีเจ้าของไม่ได้ให้ ได้ราคา 5 มาสก (ราคาทองหนัก 20 เมล็ดข้าวเปลือก) ต้องปาราชิก
อนุ บญั ญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดถือเอาทรัพย์ทีเจ้าของมิ ได้ใ ห้โดยส่วนแห่งจิตคิ ดจะลัก จากหมู่บา้ นก็ ตาม จากป่ าก็ ตาม มี มูล ค่า
เท่ากับอัตราโทษที พระราชาทังหลายจับโจรได้แล้ว ประหารบ้าง จองจําบ้าง เนรเทศบ้าง บริภาษว่า “เจ้าเป็ นโจร เจ้าเป็ นคน
พาล เจ้าเป็ นคนหลง เจ้าเป็ นขโมย” ดังนี เพราะถือเอาทรัพย์ทีเจ้าของมิได้ให้เช่นใด ภิกษุ ผถู ้ ือเอาทรัพย์ทีเจ้าของมิได้ให้เช่นนั น
แม้ภิกษุ นี ก็เป็ นปาราชิก หาสังวาสมิได้ วิ.ม.1/84/244
สิกขาบทวิภังค์
[86] บทว่า ถือเอา คือ ยึดเอา เอาไป เอาลง ยังอิริยาบถให้กาํ เริบ ให้เคลือนจากฐาน ให้ล่วงเลยเขตหมาย.
[87] ทีชือว่า เห็นปานใด คือ หนึ งบาทก็ดี ควรแก่หนึ งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ งบาทก็ดี
ทีชือว่า พระราชาทังหลาย ได้แก่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าผูป้ กครองประเทศ ท่านผูป้ กครองมณฑล นายอําเภอ ผูพ้ ิพากษา มหา
อํามาตย์ หรือท่านผูส้ ังประหารและจองจําได้ ท่านเหล่านี ชือว่า พระราชาทังหลาย
คําว่า เป็ นปาราชิก มีอธิบายว่า ใบไม้เหลืองหล่นจากขัวแล้ว ไม่อาจจะเป็ นของเขียวสดขึนได้ แม้ฉันใด ภิกษุ ก็ฉันนั น
แหละ ถือเอาทรัพย์อนั เขาไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็ นขโมย หนึ งบาทก็ดี ควรแก่หนึ งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ งบาทก็ดี แล้วไม่
เป็ นสมณะ ไม่เป็ นเชือสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนันจึงตรัสว่า เป็ นปาราชิก
บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ทีชือว่า สังวาส ได้แก่กรรมทีพึงทําร่วมกัน อุเทสทีพึงสวดร่วมกัน ความเป็ นผูม้ ีสิกขาเสมอ
กันนั นชือว่า สังวาส สังวาสนั นไม่มีร่วมกับภิกษุ นัน เพราะเหตุนันจึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
มาสก คือ ชือหน่ วยมาตราชัง เท่ากับ 8 เมล็ดข้าวเปลือก, 5 มาสก เท่ากับ 40 เมล็ดข้าวเปลือก
1 ปาทะ = 1 ใน 4 ส่วน มีค่าเท่ากับ 2000 มาสก มีความหมายว่า เศษส่วนไปสู่การซือขาย
รูปิย แปลว่า ของมีค่าทีตีตราแล้ว, วัตถุทีใช่เป็ นเงินตราซือขายได้, เงิน, เงินตรา
[เปรียบเหมือน ใบไม้แก่เหลืองหลุดจากขัวแล้ว ไม่อาจเป็ นของเขียวสดต่อไปได้] วิ.ม.1/89/246 สิกขาบทวิภงั ค์
ภิกษุ ต้นบัญญ ัติ พระธนิยะบุตรช่างหม้อ เมืองราชคฤห์ สร้างกุฏห
ิ ญ้าอยู่จาํ พรรษา เมือออกพรรษาแล้วถูกรือถึง 3 ครงั จึง
สร้างกุฏดิ น

พ.ตร ัสว่า “ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่เบียดเบียนหมู่ส ัตว์มไิ ด้มีแก่โมฆบุรษ ุ นีเลย พวกเธอจงไปทําลายกุฏน
ิ น”

แล้วทรงบัญญ ัติวา่ “อ ันภิกษุ ไม่ควรทํากุฎีทสํ
ี าเร็จด้วยดินล้วน ภิกษุ ใดทํา ต้องอาบัตท
ิ ก
ุ กฏ
ว ัสสการพราหมณ์ มหาอํามาตย์ตรวจพบ พนักงานไม้ถูกจองจํานําตัวไป พระธนิยะเห็นเข้าจึงขอไปด้วย ,
ครนพระองค์
ั เสด็จเถลิงถว ัลย์ราชย์ใหม่ๆ ได้ทรงเปล่งพระวาจาว่า “หญ้า ไม้และนํา ข้าพเจ้าถวายแล้วแก่สมณะ และ
พราหมณ์ ทงหลาย
ั ขอสมณะและพราหมณ์ ทงหลายโปรดใช้
ั สอยเถิด”
พระเจ้าพิมพิสารตรสั ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า โยมระลึกได้ สมณพราหมณ์ ทงหลายที
ั เป็ นผู้ละอาย มีความรงั เกียจใคร่
ต่อสิกขามีอยู่ ความรงั เกียจแม้ในเหตุเล็กน้อยจะเกิดแก่สมณะและพราหมณ์ เหล่านัน คําทีกล่าวนัน โยมหมายถึง การนํา
หญ้าไม้และนําของสมณพราหมณ์ เหล่านัน แต่วา่ หญ้าไม้และนํานันแลอยู่ในป่ า ไม่มีใครหวงแหน พระคุณเจ้าย่อมสําคญ ั
เพือจะนํ าไม้ทีเขาไม่ได้ให้ไปด้วยเลศนัน พระเจ้าแผ่น ดินเช่นโยมจะพึงฆ่า จองจํา หรือเนรเทศซึ งสมณะหรือพราหมณ์
อย่างไรได้นิมนต์กล ับไปเถิด พระคุณเจ้ารอดตัวเพราะบรรพชาเพศแล้ว แต่อย่าได้ทาํ อย่างนันอีก”
(ครั นเมื อจะ) ประชุมสงฆ์ (เพือ) ทรงบัญญัตสิ ิกขาบท
ก็สมัยนันแล มหาอํามาตย์ผู้พพิ ากษาเก่าคนหนึ งบวชในหมู่ภิกษุ นังอยู่ไม่ห่างพระผู้มี พระภาค จึงพระองค์ได้ตรสั
พระวาจานีต่อภิกษุ รปู นันว่า ดูกรภิกษุ พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชจ ับโจรได้แล้ว ประหารชีวต ิ เสียบ้าง จองจําไว้
บ้าง เนรเทศเสียบ้าง เพราะทร ัพย์ประมาณเท่าไรหนอ?
ภิกษุ รป
ู นันกราบทูลว่า เพราะทร ัพย์บาทหนึ งบ้าง เพราะของควรค่าบาทหนึ งบ้าง เกินบาทหนึ งบ้าง พระพุทธเจ้าข้า
แท้จริงสมัยนัน ทร ัพย์ 5 มาสกในกรุงราชคฤห์ เป็ นหนึ งบาท

62
บทภาชนีย ์
[91] ... ภิกษุ มีไถยมีจิต จับต้องทรัพย์ทีเขาร้อยด้ายก็ดี สังวาลก็ดี สร้อยคอก็ดี เข็มขัดก็ดี ผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ทําให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย จับทีสุดยกขึน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้พน้ ปากหม้อ
โดยทีสุดแม้ชวเส้ั นผม ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุ มีไถยจิต ดืมเนยใสก็ดี นํ ามันก็ดี นํ าผึงก็ดี นํ าอ้อยก็ดี ควรแก่ค่า 5 มาสก หรือเกินกว่า 5 มาสก ด้วยประโยคอัน
เดียว ต้องอาบัติปาราชิก ทําลายเสียก็ดี ทําให้หกล้นก็ดี
เผาเสียก็ดี ทําให้บริโภคไม่ได้ก็ดี ในทีนั นเองต้องอาบัติทุกกฏ.
[92] ทีชือว่า ทรัพย์ตงอยู
ั ่บนพืน ได้แก่ทรัพย์ทีเขาวางไว้บนพืน
ภิกษุ มีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ทีตังอยู่บนพืน เทียวแสวงหาเพือนก็ดี เดินไปก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ลูบคลํา ต้องอาบัติทุก
กฏ ทําให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลือนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.
[100] … ภิกษุ ตู่เอาทีวัด ต้องอาบัติทุกกฏ ยังความสงสัยให้เกิดแก่เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เจ้าของทอดธุระว่าจักไม่เป็ น
ของเรา ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุ ฟ้องร้องยังโรงศาล ยังเจ้าของให้แพ้ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุ ผฟู ้ ้ องร้องยังโรงศาล แพ้เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
[101] ... ภิกษุ ตู่เอาทีนา ต้องอาบัติทุกกฏ ยังความสงสัยให้เกิดแก่เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เจ้าของทอดธุระว่าจัก
ไม่เป็ นของเรา ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุ ฟ้องร้องยังโรงศาล ยังเจ้าของให้แพ้ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุ ผฟู ้ ้ องร้องยังโรงศาล แพ้เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุ ปักหลัก ขึงเชือก ล้อมรัว หรือถมคันนาให้รุกลํา ต้องอาบัติทุกกฏ เมืออีกประโยคหนึ งจะสําเร็จ ต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย เมือประโยคนั นสําเร็จ ต้องอาบัติปาราชิก.
[102] ทีชือว่า พืนที ได้แก่พืนทีสวน พืนทีวัด ...
ภิกษุ ตู่เอาพืนที ต้องอาบัติทุกกฏ ยังความสงสัยให้เกิดแก่เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เจ้าของทอดธุระว่าจักไม่เป็ นของ
เรา ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุ ฟ้องร้องยังโรงศาล ยังเจ้าของให้แพ้ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุ ผฟู ้ ้ องร้องยังโรงศาล แพ้เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุ ปักหลัก ขึงเชือก ล้อมรัว หรือทํากําแพงให้รุกลํา ต้องอาบัติทุกกฏ เมืออีกประโยคหนึ งจะสําเร็จ ต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย เมือประโยคนั นสําเร็จ ต้องอาบัติปาราชิก.
ทรัพย์ 2 ประเภท
1.สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ทีเคลือนย้ายได้
2.อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ทีเคลือนย้ายไม่ได้
อวหาร (อาการทีถือว่าเป็ นการลักทรัพย์) 13 อย่าง
1. ลัก ได้แก่ อาการถือเอาทรัพย์ทีเคลือนจากฐานได้ ด้วยไถยจิต(จิตคิดจะลัก) อันเป็ นอาการแห่งขโมย
2. ชิงหรือวิงราว ได้แก่ อาการทีชิงเอาทรัพย์ทีเขาถืออยู่
3. ลักต้อน ได้แก่ อาการทีขับต้อนหรือจูงปศุสตั ว์ หรือสัตว์พาหนะไป
4. แย่ง ได้แก่ อาการทีเข้าแย่งเอาของซึงคนถือทําตก
5. ลักสับ ได้แก่ อาการสับสลากชือตนกับชือผูอ้ ืนในกองของด้วยหมายจะเอาสลากทีมีราคา
6. ตู่ ได้แก่ อาการกล่าวตู่ เพือจะเอาทีดินเป็ นของตัว แม้เจ้าของจะขอคืนก็ไม่ยอม
7. ฉ้อ ได้แก่ อาการทีรับของฝากแล้วเอาเสีย
8. ยักยอก ได้แก่ อาการทีภิกษุ ผเู ้ ป็ นภัณฑาคาริก มีหน้าทีรักษาเรือนคลังนําเอาสิงของทีรักษานันไป
จากเขตทีตนมีกรรมสิทธิรักษา ด้วยไถยจิต วิ.ม.อ.2 หน้า 195
9. ตระบัด ได้แก่ อาการทีนําของต้องเสียภาษี จะผ่านด่านทีเก็บภาษี ซ่อนของเหล่านันเสีย เรียกว่า สุงกฆาตะ
10. ปล้น ได้แก่ อาการชักชวนกันไปทําโจรกรรม ลงมือบ้าง มิได้ลงมือบ้าง ต้องอาบัติถึงทีสุดด้วยกันทังนัน
11. หลอกลวง ได้แก่ อาการทีทําของปลอม เช่นทําธนบัตรปลอม

63
12. กดขีหรือกรรโชก ได้แก่ อาการทีใช้อาํ นาจข่มเหงเอาทรัพย์ของผูอ้ ืน ดังราชบุรุษเก็บค่าอากรเกินพิกดั
อาบัติถึงทีสุดในขณะได้ของมา
13. ลักซ่อน ได้แก่ อาการทีเห็นของเขาทําตก แล้วเอาของมีใบไม้เป็ นต้นปกปิ ดเสีย อาบัติถึงทีสุดขณะทําสําเร็จ
หมายเหตุ. คําว่า ภัณฑไทย หมายถึง เป็ นสินใช้ ต้องให้ราคา ต้องใช้ให้ คือ สิงของใดของผูอ้ ืนหายไป ต้องราคาสิงของนั น ถ้าไม่ใช้
ให้ ต้องปาราชิกเมือเจ้าของทอดธุระ (โกรธน้อยใจไม่เอาแล้ว) วิ.ม.อ. 2 หน้า 134,136-7,171
[พวกขโมยลักมะม่วง พวกเจ้าของมีความอาลัย ทังพวกโจรก็มีความอาลัย เมือภิกษุ ฉันด้วยบังสุกุลสัญญา เป็ นภัณฑไทย, ทัง 2
ฝ่ าย หมดความอาลัย เมือภิกษุ ขบฉันด้วยบังสุกุลสัญญา ไม่เป็ นอาบัติ เมือขบฉันด้วยไถยจิต เป็ นทุกกฏ]

อาการแห่งอวหาร 5 อย่าง (อาบัติปาราชิก พึงมีแก่ภิกษุ ผูถ้ ือเอาทรัพย์ทีเจ้าของไม่ได้ให้ดว้ ยอาการ 5 อย่าง คือ )


 ทรัพย์อน
ั ผูอ้ ืนหวงแหน 1 วิ.ม.1/122/257
 มีความสําคัญว่าทรัพย์อนั ผูอ้ ืนหวงแหน 1
 ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า 5 มาสก 1
 ทรัพย์มีค่าน้อยกว่า 5 มาสก แต่สูงกว่า 1 มาสก เป็ นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
 ทรัพย์มีค่าตังแต่ 1 มาสกลงมา เป็ นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ
 ไถยจิต(จิตคิดจะลัก)ปรากฏขึน 1
 ภิกษุ ลบู คลํา ต้องอาบัติทุกกฏ, ทําให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย, ให้เคลือนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก 1
ลิขสิทธิ ถ่ายเอกสาร ดาวโหลด
ไม่ครบองค์ประกอบ คือ ข้อสุดท้าย ไม่มีของทีเสียไป

อนาบัติ 1. สําคัญว่าเป็ นของตน วิ.ม.1/125/258


2. ถือเอาโดยวิสาสะ(ความคุน้ เคย,สนิ ทสนม)
3. ถือเอาเป็ นของขอยืม
4. ถือเอาทรัพย์ทีเปรตครอบครอง
5. ถือเอาทรัพย์ทีสัตว์ดิรจั ฉานครอบครอง วิ.ม.1/137/266, วิ.ม.อ.2 หน้า 221
6. สําคัญว่าเป็ นของบังสุกุล(ของทิง)
* สิกขาบทนี เป็ นสาณัตติกะ คือ ต้องอาบัติเพราะทําเองและใช้ให้ผอู ้ ืนทํา (ต้องเพราะการสัง)
* สิกขาบทนี เป็ นสจิตตกะ(มีเจตนาทําจึงเป็ นอาบัติ)

องค์แห่ งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้ า 124


1. เป็ นของผู้อนเป็
ื นชาติมนุษย์หวงแหนอยู่
2. สําคัญรู้ว่า เป็ นของผู้อนหวงอยู
ื ่
3. ของนันราคาบาทหนึงหรือราคากว่ าบาทหนึงขึนไป
4. จิตเป็ นขโมย
5. ลักได้ ด้วยอวหารอย่างใดอย่างหนึง พร้ อมด้ วยองค์ 5 นีจึงเป็ นปาราชิก

64
บทที 3. ภิกษุแกล้ง(จงใจ)ฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก วิ.ม.1/180/294
อนุ บญ
ั ญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดจงใจพรากกายมนุ ษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราอันจะพรากกายมนุ ษย์นั น กล่าวพรรณนาคุณ
ความตาย หรือชักชวนเพือให้ตายว่า “ท่านผูเ้ จริญ จะมี ชีวิตอย่างลําบากยากเข็ญนี ไปทําไม ท่านตายเสี ยดีกว่า ดังนี ” เธอมี
จิตใจอย่างนี มี ดาํ ริในใจอย่างนี กล่าวพรรณนาคุณความตาย หรือชักชวนเพือความตายโดยประการต่างๆ แม้ภิกษุ นีก็ เป็ น
ปาราชิก หาสังวาสมิได้
บทว่า หรือแสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวิตให้แก่กายมนุ ษย์นัน ได้แก่ ดาบ หอก ฉมวก หลาว ฆ้อน หิน มีด ยาพิษ หรือเชือก.
[เปรียบเหมือน แผ่นศิลาหนาทีแตกเป็ น 2 เสียง จะอาจประสานเป็ นแผ่นเดียวกันได้อีก] วิ.ม.1/186/296 สิกขาบทวิภงั ค์
แม้การกล่าวแนะนํา หรือพรรณนาคุณแห่งความตายให้สตรีทาํ แท้งบุตรในครรภ์ก็ตาม
กายมนุ ษย์ ได้แก่ จิตดวงแรกเกิด คือวิญญาณดวงแรกทีปรากฏขึนในครรภ์มารดา จนถึงเวลาตาย อัตภาพในระหว่างนี ชือว่ากายมนุ ษย์
พรากจากชีวิต ได้แก่ ตัดทําลายชีวิตินทรีย ์ ตัดความสืบต่อ ทําความสืบต่อให้ขาดเสีย
ภิกษุตน้ บัญญัติ พระพุทธองค์ทรงแสดงอสุภกถา แล้วหลีกเร้น 1/2 เดือน ณ ป่ ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี แล้วตรัสอานาปานสติ 16 ขัน
“ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย!
ั เมือภิกษุ มีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยูเ่ นื องๆ จิตย่อมงอ หดเข้า ม้วนเข้า (คือไม่แผ่ออก) หดกลับ
จากความเข้าประชิ ดด้วยเมถุนธรรม คื อไม่ฟ้ งุ ซ่านไป ย่อมตั งอยูโ่ ดยความวางเฉย หรือโดยความเป็ นของปฏิกูล เปรียบเหมื อน
ปี กไก่ หรือท่อนเอ็นทีบุคคลใส่เข้าไปในไฟ…”
สํ.ม.19/1348/326 เวสาลีสูตร, อานาปานสติ 16 ขัน (กิมิลสูตร สํ.ม.19/1355/328)
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] ตติยปาราชิกสิกขาบท วิ.ม.1/176/288
ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต ฯลฯ แม้ภิกษุ นีก็เป็ นปาราชิก
[176] โดยสมัยนัน พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏ าคารศาลา ป่ ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครังนันพระองค์ทรงแสดง
อสุภ กถา ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภกัมมัฏฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอุสภกัมมัฏฐาน ทรงพรรณนาคุณอสุภสมาบัติเนืองๆ
โดยอเนกปริยายแก่ภิกษุ ทงหลาย ั แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยูต ่ ลอดกึงเดือน ใครๆ
อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุ ผู้นําบิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว
ภิกษุ เหล่านันรับ รับสังแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเลย นอกจากภิกษุ ผู้นําบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว ภิกษุ
เหล่านันสนทนากันว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอสุภกถา ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภกัมมัฏฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภ
กัมมัฏฐาน ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภสมาบัติเนืองๆ โดยอเนกปริยายดังนี แล้วพากันประกอบความเพียรในการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน
หลายอย่างหลายกระบวนอยู่
< ฆ่าตัวตายด้วยวิภวตัณหา >
ภิกษุ เหล่านัน อึดอัด ระอา เกลียดชังร่างกายของตน ดุจสตรีรน ุ่ สาวหรือบุรุษรุน
่ หนุ่ม พอใจในการตกแต่งกาย อาบนําสระเกล้า
มีซากศพงู ซากศพสุนขั หรือซากศพมนุษย์มาคล้องอยูท ่ ีคอ พึงอึดอัด สะอิดสะเอียน เกลียดชัง ฉะนัน จึงปลงชีวิตตนเองบ้าง วานกัน
และกันให้ปลงชี วิต บ้า ง บางเหล่าก็เข้าไปหามิคลัณฑิกสมณกุตตก์ 1 กล่าวอย่างนีว่า พ่อคุณ ขอท่านได้ปลงชีวต ิ พวกฉันที บาตรจีวรนี
จักเป็ นของท่าน ครังนันมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ อันภิกษุ ทงหลายจ้ ั างด้วยบาตรจีวร จึงปลงชีวต ิ ภิกษุ เป็ นอันมากแล้ว ถือดาบเปื อนเลือด
เดินไปทางแม่นําวัคคุมุทา #1 คนโกนผมไว้จุกนุ่ งผ้ากาสาวะผืนหนึ ง ห่มผืนหนึ ง ทํานองเป็ นตาเถน ฯ
ขณะเมือมิคลัณฑิกสมณกุตตต์ กําลังล้างดาบทีเปื อนเลือดนันอยู่ ได้มีความรําคาญ ความเดือดร้อนว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ
ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชวแล้ ั วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เราสร้างบาปไว้มากจริงหนอ เพราะเราได้ปลงชีวต ิ ภิกษุ ทงหลาย
ั ซึ งเป็ น
ผู้มี ศี ล มี กลั ยาณธรรม ขณะนันเทพดาตนหนึ งผู้นบ ั เนื องในหมู่มาร เดินมาบนนํามิได้แตก ได้กล่า วคํานี กะเขาว่า ดี แล้ว ดี แล้ว ท่า น
สัตบุรุษ เป็ นลาภท่าน ท่านได้ดีแล้ว ท่านได้สร้างสมบุญไว้มาก เพราะท่านได้ช่วยส่งคนทียังข้ามไม่พน ้ ให้ข้ามพ้นได้
ครันมิค ลัณฑิกสมณกุตตก์ ได้ทราบว่า เป็ นลาภของเรา เราได้ดี แล้ว เราได้สร้า งสมบุญไว้มาก เพราะเราได้ช่วยส่งคนทียัง
ข้ามไม่พน ้ ให้ข้ามพ้นได้ ดังนี จึงถือดาบอันคม จากวิหารเข้าไปสูว่ ห ิ าร จากบริเวณเข้าไปสูบ ่ ริเวณ แล้วกล่าวอย่างนีว่า ใครยังข้ามไม่
พ้น ข้าพเจ้าจะช่วยส่งให้ข้ามพ้น บรรดาภิกษุ เหล่านัน ภิกษุ เหล่าใด ยังไม่ปราศจากราคะ ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยอง ย่อม
มีแก่ภิกษุ เหล่านันในเวลานัน ส่วนภิกษุ เหล่าใดปราศจากราคะแล้ว ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยองย่อมไม่มีแก่ภิกษุ เหล่านัน
ในเวลานัน ครังนันมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ ปลงชีวต ิ ภิกษุ เสียวันละ 1 รูปบ้าง 2 รูปบ้าง 3 รูปบ้าง 4 รูปบ้าง 5 รูปบ้าง 6 รูปบ้าง 7 รูปบ้าง
8 รูปบ้าง 9 รูปบ้าง 10 รูปบ้าง 20 รูปบ้าง 30 รูปบ้าง 40 รูปบ้าง 50 รูปบ้าง 60 รูปบ้าง.
รับสังให้เผดียงสงฆ์
[177] ครันล่วงกึงเดือนนัน พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากทีประทับเร้นแล้ว รับสังถามท่านพระอานนท์วา่ ดูกรอานนท์ เหตุไฉนหนอ
ภิกษุ สงฆ์จึงดู เหมื อนน้อยไป ? ท่า นพระอานนท์กราบทูลว่า จริงอย่า งนัน พระพุทธเจ้า ข้า เพราะพระองค์ทรงแสดงอสุภ กถา ทรง
พรรณนาคุณแห่งอสุภกัมมัฏฐาน ... โดยอเนกปริยายแก่ภก ิ ษุ ทงหลาย
ั ... เธอเหล่านัน อึดอัด ระอา เกลียดชังร่างกายของตน ... ฉะนัน
จึงปลงชี วิต ตนเองบ้าง วานกันและกัน ให้ป ลงชี วิต บ้า ง บางเหล่า ก็เข้าไปหามิค ลัณฑิกสมณกุตตก์ ... ครันมิค ลัณ ฑิกสมณกุตตก์ได้
บาตรจีวรเป็ นค่าจ้างแล้ว จึงปลงชีวติ ภิกษุ เสียวันละ 1 รูปบ้าง 2 รูปบ้าง .. 50 รูปบ้าง 60 รูปบ้าง ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุ สงฆ์นี จะพึงดํารงอยูใ่ นพระอรหัตตผลด้วยปริยายใด ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสบอกปริยายอืน
นันเถิด พระพุทธเจ้าข้า

65
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนัน เธอจงเผดียง (ประกาศแจ้ง) ภิกษุ ทีอาศัยพระนครเวสาลีอยูท ่ งหมด
ั ให้ประชุมกัน
ทีอุปฏ
ั ฐานศาลา เป็ นดังรับสังพระพุทธเจ้าข้า ท่านพระอานนท์รบั สนองพระพุทธพจน์แล้ว จึงเผดียงภิกษุ สงฆ์ทีอาศัยพระนครเวสาลีอยู่
ทังสิน ให้ป ระชุ ม ทีอุป ัฏ ฐานศาลา แล้วเข้า ไปเฝ้ าพระผู้มี พระภาค กราบทู ลว่า พระพุทธเจ้า ข้า ภิกษุ สงฆ์ป ระชุ ม พร้อมกันแล้ว ขอ
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดทราบกาลอันควร ในบัดนีเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงแสดงอานาปานสติสมาธิกถา หน้า 290
[178] ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าสูอ ่ ุปฏั ฐานศาลาประทับนังเหนือพุทธอาสน์ ทีจัดไว้ถวาย แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั แม้สมาธิในอานาปานสตินีแล อันภิกษุ อบรมทําให้มากแล้ว ย่อมเป็ นคุณสงบ ประณี ต เยือกเย็น อยูเ่ ป็ น
สุข และยังบาปอกุศลธรรมทีเกิดขึ นแล้วๆ ให้อน ั ตรธานสงบไปโดยฉับพลัน ดุจละอองและฝุ่ นทีฟุ้ ง ขึ นในเดือนท้ายฤดูรอ้ น ฝนใหญ่ที
ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล ย่อมยังละอองและฝุ่ นนันๆ ให้อน ั ตรธานสงบไปได้ โดยฉับพลัน ฉะนัน
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุ อบรมอย่างไร ทําให้มากอย่างไร จึงเป็ น
คุณสงบ ประณี ต เยือกเย็น อยูเ่ ป็ นสุข และยังบาปอกุศลธรรมทีเกิดขึ นแล้วๆ ให้อน ั ตรธานสงบไปโดยฉับพลัน
ดูกรภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี อยูใ่ นป่ าก็ตาม อยู่ ณ โคนไม้ก็ตาม อยูใ่ นสถานทีสงัดก็ตาม นังคูบ ้ ลั ลังก์ตงกายตรง

ดํารงสติบ่ายหน้าสูก ่ รรมฐาน ภิกษุ นนย่ ั อมมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
(๑) เมือหายใจเข้ายาว ก็รส ู้ กึ ว่าหายใจเข้ายาว หรือเมือหายใจออกยาว ก็รส ู้ ก
ึ ว่าหายใจออกยาว
(๒) เมือหายใจเข้าสัน ก็รส ู้ ก ึ ว่าหายใจเข้าสัน หรือเมือหายใจออกสัน ก็รส ู้ ก
ึ ว่าหายใจออกสัน
(๓) ย่อมสําเหนียก (ศึกษา) ว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งกองลมทังปวงหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งกองลมทังปวงหายใจออก
(๔) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก
(๕) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งปี ติหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งปี ติหายใจออก
(๖) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งสุขหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งสุขหายใจออก
(๗) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งจิตสังขารหายใจออก
(๘) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักระงับจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักระงับจิตสังขารหายใจออก
(๙) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งจิตหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักรูแ ้ จ้งซึ งจิตหายใจออก
(๑๐) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บน ั เทิงหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บรรเทิงหายใจออก
(๑๑) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักตังจิตไว้มนหายใจเข้ ั า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักตังจิตไว้มนหายใจออก

(๑๒) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักปล่อยจิตหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักปล่อยจิตหายใจออก
(๑๓) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นธรรมอันไม่เทียงหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นธรรมอันไม่เทียงหายใจออก
(๑๔) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นวิราคะหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นวิราคะหายใจออก
(๑๕) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นนิโรธหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นนิโรธหายใจออก
(๑๖) ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะหายใจเข้า ย่อมสําเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะหายใจออก
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุ อบรมแล้วอย่างนีแล ทําให้มากแล้วอย่างนีแล จึงเป็ นคุณสงบ ประณี ต เยือกเย็น
อยูเ่ ป็ นสุข และยังบาปอกุศลธรรมทีเกิดขึ น แล้วๆ ให้อน ั ตรธานสงบไปได้โดยฉับพลัน.
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสก
ิ ขาบท วิ.ม.1/179/291
[179] ลําดับนัน พระผู้มีพระภาครับสังให้ประชุมภิกษุ สงฆ์ ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วทรงสอบถาม
ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข่าวว่าพวกภิกษุ ปลงชีวติ ตนเองบ้าง วานกันและกันให้ปลงชีวต ิ บ้าง บางเหล่าก็ไปหามิคลัณฑิกสมณ
กุตตก์ กล่าวอย่างนีว่า พ่อคุณ ขอท่านได้ช่วยปลงชีวต ิ พวกฉันที บาตรจีวรนีจักเป็ นของท่าน ดังนี จริงหรือ?
ภิกษุ ทงหลายทู
ั ลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุ ทงหลายั การกระทําของภิกษุ เหล่านัน ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กจิ ของ
สมณะ ใช้ ไ ม่ ไ ด้ ไม่ ค วรทํา ไฉนภิ ก ษุ เหล่า นันจึง ได้ ป ลงชี วิต ตนเองบ้ า ง วานกัน และกัน ให้ป ลงชี วิต บ้ า ง บางเหล่า ก็ เ ข้ า ไปหา
มิคลัณฑิกสมณกุตตก์ พูดอย่างนีว่า พ่อคุณ ขอท่านได้ช่วยปลงชีวต ิ พวกฉันที บาตรจีวรนีจักเป็ นของท่าน ดังนีเล่า
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั การกระทํา ของภิกษุ เหล่านันนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความ
เลือมใสยิงของผู้ทีเลือมใสแล้ว โดยทีแท้ การกระทําของภิกษุ เหล่านันนัน เป็ นไปเพือความไม่เลือมใส ของผู้ทียังไม่เลือมใส และเพือ
ความเป็ นอย่างอืนของคนบางพวกผู้เลือมใสแล้ว
ครันพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุ เหล่า นันโดยอเนกปริยายแล้ว จึงทรงติโ ทษแห่งความเป็ นคนเลียงยาก ความเป็ นคน
บํา รุงยาก ความเป็ นคนมักมาก ความเป็ นคนไม่สน ั โดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ทรงสรรเสริญคุณแห่งความเป็ นคนเลียงง่าย
ความเป็ นคนบํารุงง่า ย ความเป็ นคนมักน้อย ความเป็ นคนสันโดษ ความขัดเกลา ความกําจัด อาการทีน่ าเลือมใส การไม่สะสม การ
ปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย แล้วทรงแสดงธรรมีกถาทีสมควรแก่เรืองนัน ทีเหมาะสมแก่เรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย ั แล้วรับสังกะ
ภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เพราะเหตุ นนแล
ั เราจักบัญญัติสก
ิ ขาบทแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั อาศัยอํานาจประโยชน์ 10 ประการ คือ เพือ
ความรับว่าดีแห่งสงฆ์ 1 เพือความสําราญแห่งสงฆ์ 1 เพือข่มบุคคลผู้เก้อยาก 1 เพืออยูส ่ าํ ราญแห่งภิกษุ ผู้มีศีลเป็ นทีรัก 1 เพือป้ องกัน
อาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบน ั 1 เพือกํา จัด อาสวะจักบังเกิดในอนาคต 1 เพือความเลือมใสของชุม ชนทียังไม่เลือมใส 1 เพือความ
เลือมใสยิงของชุมชนทีเลือมใสแล้ว 1 เพือความตังมันแห่งพระสัทธรรม 1 เพือถือตามพระวินยั 1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนีขึ นแสดงอย่างนี ว่าดังนี:-
พระปฐมบัญญัติ
ภิกษุ ใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวต ิ หรือแสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวต ิ ให้แก่กายมนุษย์นน
ั แม้ภิกษุ นีก็เป็ นปาราชิก หาสังวาสมิได้
ก็สก
ิ ขาบทนี ย่อมเป็ นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุ ทงหลาย
ั ด้วยประการ ฉะนี ฯ

66
เรืองพระฉัพพัคคีย์ พรรณคุณแห่งความตาย หน้า 292
[180] ก็โดยสมัยนันแล อุบาสกคนหนึ งเป็ นไข้ ภริยาของเขาเป็ นคนสวย น่ าเอ็นดู น่ าชม พวกพระฉัพพัคคีย์มีจต ิ ปฏิพทั ธ์ในหญิงนัน
จึงดําริขึ นว่า ถ้าอุบาสกสามียงั มีชีวต
ิ อยู่ พวกเราจักไม่ได้นาง ผิฉะนัน พวกเราจักพรรณนาคุณแห่งความตายแก่อุบาสกนัน ครันดําริ
ฉะนี แล้ว จึงเข้า ไปหาอุบาสกนันกล่าวอย่างนีว่า ดู กรอุบ าสก ท่า นเป็ นผู้ทําความดีไว้แล้ว ทํา กุศ ลไว้แล้ว ทํา ความต้านทานต่อความ
ขลาดไว้แล้ว มิได้ทาํ บาป มิได้ทาํ ความชัว มิได้ทาํ ความเสียหาย ทําแต่ความดี ไม่ได้ทาํ บาป จะประโยชน์อะไรแก่ทา่ นด้วยชีวต ิ อันแสน
ลํา บากยากแค้นนี ท่า นตายเสียดีกว่าเป็ นอยู่ ตายจากโลกนี แล้ว เบื องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก ท่า นจักเข้า ถึงสุค ติโลกสวรรค์ จัก
ได้รบั บําเรอเพรียบพร้อมอิมเอิบด้วยเบญจกามคุณอันเป็ นทิพย์ ในสุคติโลกสวรรค์นน ั
< ฆ่าตัวตายด้วยภวตัณหา >
ครังนัน อุบ าสกนันเห็นจริงว่า ท่า นพูดจริง ฯลฯ ดังนีแล้ว เขาจึงประทานโภชนะทีแสลง เคียวขาทนียะทีแสลง ลิมสายนียะที
แสลง และดื มปานะทีแสลง เมื อเป็ นเช่นนัน ความป่ วยหนักก็เกิด ขึ น เขาถึงแก่กรรมเพราะป่ วยไข้นนเอง ั
ภริยาของเขาจึงเพ่งโทษว่า พระสมณะเชือสายพระศากยบุตรเหล่านี เป็ นผู้ไม่ละอาย ฯลฯ ทุศี ล พูด เท็จ แท้จริงพระสมณะ
เหล่านี ยังปฏิญาณตนว่า เป็ นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวคําสัตย์ มีศีล มีกลั ยาณธรรม ติเตียนว่า ความ
เป็ นสมณะย่อมไม่มีแก่พระสมณะเหล่านี ความเป็ นพราหมณ์ ของพระสมณะเหล่านี หามีไม่ ความเป็ นสมณะ ความเป็ นพราหมณ์ ของ
สมณะเหล่านี พินาศแล้ว ความเป็ นสมณะ ความเป็ นพราหมณ์ ของพระสมณะเหล่านี จะมีแต่ไหน และโพนทะนาว่า พระสมณะเหล่านี
ปราศจากความเป็ นสมณะ ปราศจากความเป็ นพราหมณ์ เสียแล้ว เพราะสมณะเหล่า นี ได้พรรณนาคุณแห่งความตายแก่สามีข องเรา
สามีของเราถูกพระสมณะเหล่านีทําให้ตายแล้ว
แม้คนเหล่าอืนก็เพ่งโทษว่า พระสมณะเชือสายพระศากยบุตรเหล่านี เป็ นผู้ไม่ละอาย ทุศีลพูดเท็จ แท้จริง พระสมณะเหล่านี
ยังปฏิญาณตนว่า เป็ นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่า วคํา สัตย์ มี ศี ล มี กลั ยาณธรรม ติเตี ยนว่า ความเป็ น
สมณะ ความเป็ นพราหมณ์ ของสมณะเหล่านี หามี ไม่ ความเป็ นสมณะ ความเป็ นพราหมณ์ ของพระสมณะเหล่านี พินาศแล้ว ความ
เป็ นสมณะ ความเป็ นพราหมณ์ ของพระสมณะเหล่านี จะมี แต่ไหน และโพนทะนาว่า พระสมณะเหล่านี ปราศจากความเป็ นสมณะ
ปราศจากความเป็ นพราหมณ์เสียแล้ว เพราะพระสมณะเหล่านี พรรณนาคุณแห่งความตายแก่อุบาสกๆ ถูกพระสมณะเหล่านีทําให้ตาย
แล้ว ดังนี
ภิกษุ ทงหลาย
ั ได้ยินคนเหล่า นันเพ่งโทษติเตี ยนโพนทะนาอยู่ จํา พวกทีมี ค วามมักน้อย สันโดษ มี ค วามละอาย มี ค วาม
รังเกียจ เป็ นผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์ จึงได้พรรณนาคุณแห่งความตายแก่อุบาสกเล่า แล้ว
กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติอนุบญ
ั ญัติ
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาครับสังให้ประชุมภิกษุ สงฆ์ ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วทรงสอบถาม
พระฉัพพัคคีย์เหล่านันว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข่าวว่า พวกเธอพรรณนาคุณแห่งความตายแก่อุบาสกจริงหรือ?
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง ข้าพระพุทธเจ้า.
พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ดู กรโมฆบุ รุษ ทังหลาย การกระทํา ของพวกเธอนัน ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ค วร ไม่ใ ช่กิจของ
สมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทํา ไฉนพวกเธอจึงได้พรรณนาคุณแห่งความตายแก่อุบาสกเล่า
ดูกรโมฆบุรุษทังหลาย การกระทําของพวกเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส .. ครันพระผู้มีพระ
ภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคียเ์ หล่านันโดยอเนกปริยายแล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็ นคนเลียงยาก ความเป็ นคนบํารุงยาก .. ตรัสคุณแห่ง
ความเป็ นคนเลียงง่าย ความเป็ นคนบํารุงง่าย .. โดยอเนกปริยาย ทรงแสดงธรรมีกถาทีสมควรแก่เรืองนัน ทีเหมาะสมแก่เรืองนันแก่
ภิกษุ ทงหลาย
ั แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เพราะเหตุนนแล
ั เราจักบัญญัติสก
ิ ขาบทแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั อาศัยอํานาจประโยชน์ 10 ประการ ฯลฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนีขึ นแสดงอย่างนี ว่าดังนี;-
อนุบญ
ั ญัติ
3. อนึ ง ภิกษุ ใดจงใจพรากกายมนุ ษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวิตให้แก่กายมนุ ษย์นน ั หรือ
พรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพืออันตาย ด้วยคําว่า แน่ ะนายผู้เป็ นชาย จะประโยชน์ อะไรแก่ทา่ น
ด้วยชีวิตอันแสนลําบาก ยากแค้นนี ท่านตายเสียดีกว่าเป็ นอยู่ด งั นี เธอมีจิตอย่างนี มีใจอย่างนี มีความหมาย
หลายอย่าง อย่างนี พรรณนาคุณในความตายก็ดี ชักชวนเพืออันตายก็ดี โดยหลายนัย แม้ภิกษุ นีก็เป็ นปาราชิก
หาสังวาสมิได้.
.....................................

[ในการปลงชีวิตนั น การปลงชีวิตตนเอง1 และการใช้ให้มิคลันฑิกสมณกุตก์(เป็ นคนกินเดน โกนศีรษะไว้จุก) ปลงชีวิตตน2 ย่อมไม่เป็ น


วัตถุแห่งอาบัติปาราชิก ฉะนั นจึงทรงเว้นการปลงชีวิต 2 อย่างนั นเสีย ทรงถือเอาการปลงชีวิตกันและกันเท่านั นทีเป็ นปาราชิก]

67
การฆ่า 7 วิธี
1. ให้ประหาร ได้แก่ ฟั นแทงและตี
2. ซัดไปประหาร ได้แก่ ยิงพุ่งและขว้าง
3. วางไว้ทาํ ร้าย ได้แก่ วางขวาก ฝั งหลาว วางของหนั กไว้ให้ตกทับ วางยาตายและอืนๆ อีก
4. ทําร้ายด้วยวิชา เช่น ร่ายมนต์ หรือฆ่าด้วยกําลังไฟฟ้ า ซึงประกอบให้มีขึนด้วยอํานาจความรู ้
5. ทําร้ายด้วยฤทธิ เช่น มีตาเป็ นอาวุธ เวลาโกรธถลึงตาแลดูผอู ้ ืนหมายจะให้ตาย หรือปล่อยสัตว์มีพิษ เช่น งู เป็ นต้น ให้กดั
6. แสวงหาศัสตราวุธให้
7. พรรณนาคุณแห่งความตาย หรือพูดชักชวนเพือตาย
[ภิกษุ ให้ยาตังใจทําให้ครรภ์ตก แต่มารดาถึงแก่ความตาย แต่ทารกไม่ตาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.2/215/301 มมร.
[ภิกษุ ให้ยาเพือมีบุตร แต่นางถึงแก่กรรม ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ภิกษุ หมอผี ปลงชีวิตยักษ์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย] 305
[ภิกษุ ฆ่าผิดตัว(ต้องการฆ่าคนหนึ ง แต่ไปฆ่าอีกคนหนึ ง) แต่ตงใจฆ่
ั าให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก] 308
[ภิกษุ ตงใจจะฆ่
ั าแพะทีนอนอยู่ในเวลากลางคืน และมารดาบิดาหรือพระอรหันต์นอนอยู่ในทีนั น จึงฆ่าผิดตัว เพราะมีเจตนาอยู่ว่า
เราจะฆ่าวัตถุนีให้ตาย เธอจึงเป็ นผูฆ้ ่าด้วย ถูกต้องอนั นตริยกรรมด้วย ต้องปาราชิกด้วย] 393
[ภิกษุ คิดจะฆ่าโจร เห็นบิดาคิดว่าโจร ย่อมถูกต้องอนั นตริยกรรมด้วย เป็ นปาราชิกด้วย] 394
[ภิกษุ เห็นนั กรบและบิดากําลังรบกัน จึงยิงลูกศรไป ด้วยคิดในใจว่า จะยิงนั กรบ ช่วยบิดา แต่ลูกศรกลับถูกบิดาตาย ภิกษุ นันไม่
เป็ นอนั นตริยกรรม] 394
[ภิกษุ ผสู ้ ังให้ฆ่าไม่เจาะจงตัว(ข้าศึกในสนามรบ) ถ้ามีบิดามารดาหรือพระอรหันต์อยู่ดว้ ย ภิกษุ ผสู ้ ังย่อมต้องอนั นตริยกรรม] 394
อนาบัติ.
1.ภิกษุ ไม่จงใจ(ไม่ตงใจทํ ั า ไม่จงใจจะทําเลย) เช่น ไม่ได้คิดว่า เราจักฆ่าผูน้ ี ดว้ ยความพยายามนี แต่เมือผูอ้ ืนตายไปด้วยความพยายาม
ทีตนไม่ได้คิดทําอย่างนั น ไม่เป็ นอาบัติ 421
2.ภิกษุ ไม่ร(ู ้ ไม่รพู ้ ร้อมอยู่ ไม่รเู ้ ลยว่าจะมีโทษ) เช่น ไม่รวู ้ ่าผูน้ ี จกั ตายด้วยความพยายามนี ไม่เป็ นอาบัติ เช่น ถวายอาหารทีเป็ นพิษแก่
ภิกษุ โดยไม่รู ้
3. ภิกษุ ไม่มีความประสงค์จะฆ่า เช่น ไม่ปรารถนาจะให้ตาย แม้ผนู ้ ั นจะตายด้วยความพยายามนั นก็ตาม

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้า 128


1. สัตว์เป็ นชาติมนุ ษย์
2. รูอ้ ยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
3. จิตประสงค์จะฆ่า
4. พยายามด้วยประโยคทัง 6 อันใดอันหนึ ง
5. สัตว์นันตายด้วยพยายามนั น พร้อมด้วยองค์ 5 นี จึงเป็ นปาราชิก
*สิกขาบทนี เป็ นสาณัตติกะ,เป็ นสจิตตกะ(จงใจฆ่าจึงเป็ นอาบัติ)
ปล. พระราชาเสวยสุขในราชสมบัติอยู่ เมือราชบุตรกราบทูลว่า โจรถู กนํ ามาแล้ว ตรัสทังทีทรงรืนเริงแลว่า จงไปฆ่ามันเสี ยเถิด
พระราชานั น บัณฑิตพึงทราบว่า ตรัสด้วยพระหฤทัยอิงโทมนั สนั นแล แต่พระหฤทัยทีอิงโทมนั สนั น อันปุถุชนทังหลายรูไ้ ด้ยาก
เพราะเจือด้วยความสุข และเพราะไม่ติดต่อกัน (ในวิถีแห่งโทมนั ส) 422

68
ปั ญหาว่าด้วยการฆ่าตัวตายเป็ นบาปหรือไม่ (ตัวอย่างในพระวินยั )
เรืองตก 2 เรือง (ประสงค์ฆ่าตัวตาย) วิ.ม.1/213/312
[213] 1. ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ รูปหนึงถูกความกระสันบีบคน ั จึงขึนภูเขาคิชฌกูฏ แล้วโจนลงทีเขาขาด ทับช่างสานคนหนึงตาย
เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัตป ิ าราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกร
ภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า มิได้มีความประสงค์จะให้ตาย พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัตป ิ าราชิก แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อันภิกษุ ไม่ควรยังตนให้ตก รูปใดให้ตก ต้องอาบัติทุกกฏ
เรืองภิกษุตดั องค์กาํ เนิด วิ.จุล.7/28/9
[28] สมัยต่อมา ภิกษุ รูปหนึงถูกความกระสันเบียดเบียน ได้ตดั องค์ กําเนิดของตนเสีย ภิกษุ ทงหลายั ... กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ี
พระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั โมฆบุรุษนัน เมือสิงที จะพึงตัดอย่างอืนยังมี ไพล่ไปตัดเสียอีกอย่าง ภิกษุ ไม่พงึ ตัด
องค์กาํ เนิดของตน รูปใดตัด ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
(เล่ม 9 หน้า 84 มมร.) หลายบทว่า น ภิกฺขเว อตฺตโน องฺคชาตํ มีความว่า เป็ นถุลลัจจัย แก่ภิกษุ ผู้ตดั องคชาตเท่านัน. แม้เมือภิกษุ
ตัดอวัยวะอืนอย่างใดอย่างหนึ ง มีหูจมูกและนิวเป็ นต้นก็ตาม ยังทุกข์เช่นนันให้เกิดขึ นก็ตาม เป็ นทุกกฏ. แต่ไม่เป็ นอาบัติแก่ภิกษุ ผู้กอก
โลหิตหรือตัดอวัยวะเพราะถูกงูหรือร่านกัดเป็ นต้นก็ตาม เพราะปัจจัยคืออาพาธอย่างอืนก็ตาม.
..................................................

เรืองราวในพระสูตร
โคธิกสูตร สํ.ส.15/488/149
พระโคธิกะอาพาธเสือมจากฌาน 6 ครัง ฆ่าตัวตายด้วยภวตัณหา ต้องการเกิดในพรหมโลก
[488] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี :-
สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวน ั อันเป็ นสถานทีพระราชทานเหยือแก่กระแต กรุงราชคฤห์. ก็
สมัยนันแล ท่านโคธิกะอยูท ่ ีกาฬศิลาข้างภูเขาอิสค ิ ลิ .ิ
[489] ครังนันแล ท่านโคธิกะเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตังใจมัน ได้บรรลุเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสือม
จากเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์นน ั แม้ครังที 2 ท่านโคธิกะเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตังใจมัน ได้บรรลุเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์ แม้
ในครังที 2 ก็ได้เสือมจากเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์นน ั แม้ครังที 3 ท่านโคธิกะเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตังใจมันอยู.่ ได้บรรลุเจ
โตวิมุตติอนั เป็ นโลกีย์ แม้ในครังที 3 ก็ได้เสือมจากเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์นน ั แม้ครังที 4 ท่านโคธิกะเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
ตังใจมัน ได้บ รรลุเจโตวิมุติอน ั เป็ นโลกีย์ แม้ใ นครังที 4 ก็ได้เสือมจากเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์นน ั แม้ค รังที 5 ท่า นโคธิกะเป็ นผู้ไม่
ประมาท มีความเพียร ตังใจมัน ได้บรรลุเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์ แม้ในครังที 5 ก็ได้เสือมจากเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์นนั แม้ครังที 6
ท่านโคธิกะเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตังใจมัน ได้บรรลุเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์ แม้ในครังที 6 ก็ได้เสือมจากเจโตวิมุตติอน ั เป็ น
โลกีย์นนั แม้ครังที 7 ท่านโคธิกะเป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตังใจมัน ก็ได้บรรลุเจโควิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์อีก.
ครังนันแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนีว่า เราได้เสือมจากเจโตวิมุตติอน ั เป็ นโลกีย์ถงึ 6 ครังแล้ว ถ้ากระไร เราพึงนํา
ศัสตรามา.
[490] ลํา ดับนันแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านโคธิกะด้วยจิต แล้ว จึงเข้า ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงทีประทับ
ครันแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้ า แต่พระองค์ผู้มีจกั ษุ มี เ พียรใหญ่ มี ป ัญญามาก รุ่ง เรืองด้วยฤทธิและยศ ก้า วล่วงเวรและภัยทังปวง ข้า พระองค์ขอถวาย
บังคมพระบาททังคู่ ข้า แต่พระองค์ผม ู้ ีเพียรใหญ่ สาวกของพระองค์อน ั มรณะครอบงําแล้ว ย่อมคิดจํานงหวังความตาย ข้าแต่พระองค์ผู้
ทรงไว้ซึ งความรุ่งเรือง ขอพระองค์จงห้า มสาวกะองพระองค์นนเสี ั ยเถิด .
ข้ า แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีในพระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัต ยังเป็ นพระ
เสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทํา กาละเสียเล่า .
ก็เวลานัน ท่านโคธิกะได้นําศัสตรามาแล้ว.
[491] ครังนัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ผู้นีเป็ นมารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
ปราชญ์ทงหลายย่ั อมทํา อย่า งนี แล ย่อมไม่ห่วงใยชี วิต โคธิกะภิกษุ ถอนตัณ หาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว.
[492] ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายมาแล้ ั วตรัสว่า “ภิกษุ ทงหลาย
ั เรามาไปสูก ่ าลศิลา ข้างภูเขาอิสค ิ ลิ ิ อันเป็ น
ทีโคธิกกุลบุตร นําศัสตรามาแล้ว” ภิกษุ เหล่านัน กราบทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
ครันนันแล พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า พร้อ มด้วยภิกษุ ห ลายรู ป ได้เ ข้า ไปยังกาลศิล าข้า งภู เ ขาอิสิค ิลิ. พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ได้
ทอดพระเนตรเห็นโคธิกะมี ค ออัน พลิกแล้ว นอนอยู่บ นเตี ยงทีไกลเทียว ก็เวลานันแล ควันหรือหมอกพลุ่ง ไปสู่ทิศ ตะวันออก ทิศ
ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบืองบน ทิศเบืองตํา และอนุทศ ิ .
[493] ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนันพลุง่ ไปสูท ่ ศิ
ตะวันออก ทิศ ตะวันตก ทิศ เหนื อ ทิศ ใต้ ทิศ เบื องบน ทิศ เบื องตํา และอนุ ทิศ เมื อภิกษุ เหล่า นันกราบทูลรับ พระดํา รัสแล้วจึงตรัสว่า
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั นันมารผู้มีบาป เทียวแสวงหาวิญญาณ. ของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิด ว่า วิญญาณของโคธิกกุลบุตรตังอยู่ ณ ทีไหน
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั โคธิกกุลบุตร มีวญ ิ ญาณอันไม่ตงอยู ั แ ่ ล้ว ปรินิพพานแล้ว.
[494] ครังนันแล มารผู้มีบาปถือพิณมีสีเหลืองเหมือนมะตูมสุกเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงทีประทับ ครันแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้ า พระองค์ได้คน ้ หาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ทังในทิศเบืองบน ทังทิศเบืองตํา ทังทางขวาง ทังทิศ ใหญ่ ทิศ น้อย ทัวแล้ว

๖๙
มิได้ป ระสบ โคธิกะนันไป ณ ทีไหน.
[495] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
นักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ ด้วยธิติ มี ป กติเพ่งพินิจ ยินดี แล้วในฌานทุกเมือ พากเพียรอยูต่ ลอดวันและคืน ไม่มี ความอาลัยใน
ชี วิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว ไม่กลับมาสูภ ่ พใหม่ นักปราชญ์นนคื ั อโคธิกกุลบุ ต ร ได้ถอนตัณ หาพร้อมด้วยราก ปรินิพพานแล้ว.
พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารผู้มีความเศร้าโศก ในลําดับนัน ยักษ์ นนมี ั ความโทมนัส หายไปในทีนันนันเอง.
............................................
อรรถกถาโคธิกสูตร เล่ม 25 หน้า 67 มมร.
.. บทวา สามายิก เจโตวิมุตฺติ ความวา สมาบัติฝายโกลิยะ ชื่อวา สามายิกาเจโตวิมุตติ เพราะจิตหลุดพนจากธรรมที่เปนขาศึก
ในขณะที่จิตแนวแนแนบแนน และนอมไปในอารมณ. บทวา ผุส ิ ไดแก กลับได. ในบทวา ปริหายิ ถามวา เพราะเหตุไร ทานโคธิกะ จึง
เสื่อมถึง 6 ครั้ง. ตอบวา เพราะทานมีอาพาธ. ไดยินวา พระเถระมีอาพาธเรื้อรัง [ประจําตัว] โดยเปนโรคลมน้ําดีและเสมหะ. ดวยอาพาธนัน ้
พระเถระจึงไมอาจบําเพ็ญอุปการธรรมใหเปนสัปปายะของสมาธิได จึงเสื่อมจากสมาบัติที่แนวแนแนบแนนไปเสีย.
บทวา ยนฺนน ู าห สตฺถ อาหเรยฺย ความวา ไดยินวา พระเถระคิดจะฆาตัวตาย. ผูมีฌานเสื่อมการทํากาละ. [ตาย] คติไมแนนอน.
ผูมีฌานไมเสื่อม คติแนนอนคือยอมบังเกิดในพรหมโลก เพราะฉะนั้น พระเถระจึงประสงคจะฆาตัวตายเสีย. บทวา อุปสงฺกมิ ความวา มาร
คิดวา สมณะนี้ประสงคจะฆาตัวตาย ก็ขึ้นชื่อวา การฆาตัวตายนี้ ยอมมีแกผูไมเยื่อใยในรางกายและชีวิต สมณะนั้นพิจารณามูลกัมมัฏฐาน
แลว ยอมสามารถยึดแมพระอรหัตไวได ถึงเราหามปราม เธอคงไมละเวน ตอพระศาสดาทรงหามปราม จึงจะเวน ดังนี้ จึงทําเหมือนหวังดี
ตอพระเถระ เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา.
... บทวา อปฺปตฺตมานโส ไดแก ผูยังไมบรรลุพระอรหัต. บทวา เสกฺโข ไดแกผูกาํ ลังศึกษาศีลเปนตนชื่อวา ผูยังมีกิจที่จะตองทํา..
สตฺถ  อาหริต โหติ ความวา ไดยิน วา พระเถระคิด วา เราจะมีประโยชนอ ะไรดว ยชีวิตนี้ จึงนอนหงายเอามีดตัดหลอดคอ. ทุก ขเวทนา
ทั้งหลายก็เกิดขึ้น. พระเถระขมเวทนาแลวกําหนดเวทนานั้นนั่นแหละเปนอารมณตั้งสติมั่น พิจารณามูลกัมมัฏฐานก็บรรลุพระอรหัต เปน
สมสีสี ปรินิพพานแลว. ก็ชื่อวาสมสีสีมี 3 ประเภท คืออิริยาปถสมสีสี โรคสมสีสี ชีวิตสมสีสี.
บรรดาพระอรหัน ต 3 ประเภทนั้น พระอริยะรูปใดอธิษฐานอิริยาบถทั้งหลายมียืน เปน ตน อิริยาบถอยางใดอยางหนึ่ง ตั้ง
วิปส สนาไวมั่น ดว ยหมายจะไมเปลี่ยนอิริยาบถนี้แ ลว บรรลุพระอรหัต เมื่อ เปน ดังนั้น พระอริยะรูปนั้น บรรลุพระอรหัตและไมเปลี่ยน
อิริยาบถพรอมคราวเดียวกัน พระอริยะรูปนี้ชื่อวาอิริยาปถสมสีส.ี
อนึ่ง พระอริยะรูปใดเมื่อบรรดาโรคทั้งหลายมีโรคตาเปนตน อยางใดอยางหนึ่งมีอยู ตั้งวิปสสนาไวมั่นวา ถึงไมหายจากโรคนี้
ก็จัก บรรลุพระอรหัต เมื่อ เปน ดังนั้น พระอริยะรูปนั้นบรรลุพระหัต และหายโรคพรอมคราวเดียวกัน พระอริยะรู ปนี้ชื่อวา โรคสมสีสี. แต
อาจารยบางพวกบัญญัติพระอรหันตนน ั้ เปนสมสีสใี นขอนี้ โดยปรินิพพาน ในเพราะอิริยาบถนั้นนั่นแหละ และในเพราะโรคนั้นนั่นแหละ.
อนึ่ง พระอริยรูปใด สิ้นอาสวะและสิ้นชีพ พรอมคราวเดียวกัน พระอริยะรูปนี้ ชื่อวาชีวิตสมสีสี สมจริงดังที่ที่ในกลาวไววา บุคคล
ใดสิ้นอาสวะและสิ้นชีพไมกอนไมหลัง บุคคลนี้ เรียกวา สมสีสี.
ก็ในคําวา สมสีส ี นี้ สีสะมี 2 คือ ปวัตตสีสะและกิเลสสีสะ. บรรดาสีสะทั้ง 2 นั้น ชีวิตินทรีย ชื่อวา ปวัตตสีสะ อวิชชาชื่อวา กิเลส
สีส ะ. บรรดาชีวิตินทรียและอวิชชานั้น จุติจิตยอมทําชีวิตินทรียใหสิ้นไป มรรคจิต ทําอวิชชาทั้งหลายใหสิ้นไป. จิตสองดวงยอมไมเกิด
พรอมคราวเดียวกัน . แตผลจิตเกิดในลําดับมรรคจิต ภวังคจิตเกิดในลําดับผลจิต ออกจากภวังคจิต ปจจเวกขณจิตก็เกิด. ปจจเวกขณจิต
นั้นบริบูรณบางไมบริบูรณบาง. จริงอยูแมเอาดาบอันคมกริบตัดศีรษะ ปจจเวกขณจิตยอมเกิดขึน ้ 1 วาระ หรือ 2 วาระโดยแท แตเพราะจิต
ทั้งหลายเปนไปเร็ว การสิ้นอาสวะและการสิ้นชีพจึงปรากฏเหมือนมีในขณะเดียวกันนั่นเทียว.
... บทวา เสยฺยมาน ไดแก นอนหงาย. ก็พระเถระนอนหงายก็จริงอยู ถึงอยางนั้น ศีรษะของทานก็เปลี่ยนไปอยูขางขวา เพราะ
นอนคุนแตขางขวา... บทวา วิฺาณ สมนฺเวสติ ไดแก มารแสวงหาปฏิสนธิจิต. บทวา อปฺปติฏ ิเตน ไดแกมีปฏิสนธิวญ ิ ญาณ มิไดตั้งอยู
แลว อธิบายวามีเหตุแหงปฏิสนธิวิญญาณไมตั้งอยูแลว ... บทวา อุปสงฺกมิ ความวา มารคิดวา เราไมรูที่เกิดของพระโคธิกเถระ ตองถาม
พระสมณโคดม จึงจะหมดสงสัย แลวแปลงเพศเปนเด็กเล็กเขาไปเฝา...

…………………………………………………………

วักกลิสูตร สํ.ข.17/215/274
การเห็นธรรมชือว่าเห็นพระพุทธเจ้า (ฆ่าตัวตายเพราะเข้าใจผิดว่าบรรลุอรหัตตผลแล้ว)
[215] สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวน ั กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์. สมัยนันแล ท่า นพระวักกลิ
อาพาธ มี ทุกข์ เป็ นไข้หนัก ได้รบ ั ทุกขเวทนา พักอยู่ทีนิเวศน์ของนายช่างหม้อ ครังนัน ท่า นพระวักกลิเรียกภิกษุ ผู้อุปฏ ั ฐากทังหลาย
มาแล้ว กล่า วว่า มาเถิดอาวุโส ท่า นทังหลาย จงเข้า ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงทีประทับ จงถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า
ตามคําของเรา แล้วทูลว่า พระเจ้าข้า วักกลิภิกษุ อาพาธ เป็ นไข้หนัก ได้รบั ทุกขเวทนา ท่านถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ด้วย
เศียรเกล้า และพวกท่านจงทูลอย่างนีว่า พระเจ้าข้า ได้ยน ิ ว่า ท่านขอประทานพระวโรกาสขอทูลเชิญพระผูม ้ ีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความ
อนุ เคราะห์ เสด็ จเข้าไปหาท่านวักกลิถงึ ทีอยู่เถิด. ภิกษุ เหล่านันรับคําท่านวักกลิแล้ว เข้า ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงทีประทับ. ฯลฯ
ครันแล้วได้กราบทูลว่า พระเจ้า ข้า วักกลิภิกษุ อาพาธ เป็ นไข้หนักได้รบ ั ทุกขเวทนา ท่า นถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ด้วย
เศียรเกล้า และทูลอย่างนีว่า พระเจ้าข้า ได้ยน ิ ว่า ท่านขอประทานพระวโรกาส ขอทูลเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความอนุเคราะห์
เสด็จเข้าไปหาวักกลิภิกษุ ถงึ ทีอยูเ่ ถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณี ภาพ.
[216] ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองผ้าแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปหาท่านพระวักกลิถงึ ทีอยู.่ ท่านพระวักกลิได้
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล. ครันเห็นแล้วก็ลุกขึ นจากเตียง. ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระวักกลิวา่ อย่า
เลย วักกลิ เธออย่าลุกจากเตียงเลย อาสนะเหล่านีทีเขาปูลาดไว้มีอยู่ เราจักนังทีอาสนะนัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนังบนอาสนะที
เขาปู ลาดไว้. ครันแล้วได้ตรัสถามท่านพระวักกลิว่า ดู ก่อนวักกลิ เธอพอทนได้หรือ พอยังอัต ภาพให้เป็ นไปได้หรือ ทุกขเวทนานัน
ปรากฏว่าทุเลาลง ไม่กาํ เริบขึ นหรือ ? ท่านพระวักกลิกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทนไม่ไหว ไม่สามารถยังอัตภาพให้

๗๐
เป็ นไปได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์แรงกล้า มีแต่กาํ เริบขึ น ไม่ทุเลาลงเลย ทุกขเวทนาปรากฏว่ากําเริบขึ น ไม่ทุเลาลงเลย.
ภ. ดูกอ ่ นวักกลิ เธอไม่มีความรําคาญ ไม่มีความเดือดร้อนอะไรบ้างหรือ ?
ว. พระเจ้าข้า แท้ทีจริง ข้าพระองค์มีความรําคาญไม่น้อย มีความเดือดร้อนอยูไ่ ม่น้อยเลย.
ภ. ดูกอ ่ นวักกลิ ก็ตวั เธอเองไม่ติเตียนตนเองได้โดยศีลบ้างหรือ ?
ว. พระเจ้าข้า ตัวข้าพระองค์เองจะติเตียนได้โดยศีลก็หาไม่.
ภ. ดูกอ ่ นวักกลิ ถ้าหากว่า ตัวเธอเองติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้ เมือเป็ นเช่นนัน เธอจะมีความรําคาญและมีความเดือดร้อนอะไร ?
ว. พระเจ้า ข้า จํา เดิมแต่กาลนานมาแล้ว ข้า พระองค์ประสงค์จะเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ว่า ในร่างกายของข้าพระองค์ไม่มี
กําลังพอทีจะเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้.
ภ. อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื อยเน่ าทีเธอเห็นนี จะมีประโยชน์อะไร ดูกอ ่ นวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นนชื ั อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็น
เรา ผู้นนชื ั อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิ เป็ นความจริง บุคคล
เห็นธรรมก็ยอ ่ มเห็นเรา บุคคลเห็นเรา ก็ยอ ่ มเห็นธรรม
วักกลิ เธอจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน รูปเทียงหรือไม่เทียง ?
ว. ไม่เทียง พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่ ิ เทียง สิงนันเป็ นทุกข์หรือเป็ นสุขเล่า ?
ว. เป็ นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่
ิ เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรหรือทีจะตามเห็นสิงนันว่า นันของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นตัวตนของเรา ?
ว. ไม่ควรเห็นอย่างนัน พระเจ้าข้า.
ภ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เทียงหรือไม่เทียง ?
ว. ไม่เทียง พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่ ิ เทียง สิงนันเป็ นทุกข์หรือเป็ นสุขเล่า ?
ว. เป็ นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่ ิ เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรหรือทีจะตามเห็นสิงนันว่า นันของเรา เราเป็ นนัน นันเป็ นตัวตนของเรา ?
ว. ไม่ควรเห็นอย่างนัน พระเจ้าข้า.
ภ. เพราะเหตุนนแล ั ฯลฯ อริยสาวกเห็นอยูอ ่ ย่างนี ฯลฯ ย่อมทราบชัดว่า ฯลฯ กิจอืนเพือความเป็ นอย่างนีมิได้มี.
ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนท่านพระวักกลิด้วยพระโอวาทนีแล้ว ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จไปทางภูเขาคิชฌกูฏ.
[217] ครังนันแล พระวักกลิ เมือพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ได้เรียกภิกษุ อุปฏ ั ฐากทังหลายมาแล้วกล่า วว่า มาเถิด
อาวุโส ท่านจงช่วยอุม ้ เราขึ นเตียง แล้วหามไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสค ิ ลิ ิ ก็ภิกษุ ผู้เช่นกับเรา ไฉนเล่าจะพึงสําคญ ั ว่าตนพึงทํากา
ละ ในละแวกบ้านเล่า ? ภิกษุ อุปฏ ั ฐากเหล่านันรับคําท่านพระวักกลิแล้ว อุม้ ท่านพระวักกลิขึ นเตียง หามไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขา
อิสคิ ลิ .ิ ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยูท ่ ีภูเขาคิชฌกูฏ ตลอดราตรีและวันทียังเหลืออยูน ่ น.

ครังนัน เมือปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดา 2 องค์ มีฉวีวรรณงดงาม ทําภูเขาคิชฌกูฏให้สว่างทัวไปทังหมด แล้วเข้าไปเฝ้ าพระ
ผู้มี พระภาคเจ้า ถึงทีประทับ ฯลฯ ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้า งหนึ ง. ครันแล้ว เทวดาองค์หนึ งได้กราบทูลพระผูม ้ ีพระภาคเจ้า ว่า พระเจ้าข้า
วักกลิภิกษุ คิด เพือความหลุดพ้น เทวดาอีกองค์หนึ งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้า ข้า ก็วกั กลิภิกษุ นนหลุ ั ดพ้นดีแล้ว จัก
หลุด พ้นได้แน่ แท้. เทวดาเหล่านันได้กราบทูลอย่างนี แล้ว ครันแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทํา ประทักษิ ณ แล้วก็หายไปณ ที
นันเอง.
[218] ครันพอราตรีนนผ่ ั านไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายมารั
ั บสังว่า มาเถิด ภิกษุ ทงหลาย
ั จงพากันเข้าไปหาวักกลิ
ภิกษุ ถงึ ทีอยู่ ครันแล้วจงบอกวักกลิภิกษุ อย่างนีว่า อาวุโส วักกลิ ท่านจงฟังพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า และคําของเทวดา 2 องค์
ฯลฯ อาวุโส วักกลิ แต่วา่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านอย่างนีว่า อย่ากลัวเลย วักกลิ อย่ากลัวเลย วักกลิ จักมีความตายอันไม่ตําช้าแก่
เธอ จักมีกาลกิรยิ าอันไม่เลวทรามแก่เธอ
ภิกษุ เหล่า นันรับพระดํา รัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้า ไปหาท่า นพระวักกลิถงึ ทีอยู่ ครันแล้วได้กล่าวกะท่านวักกลิวา่
อาวุโส วักกลิ ท่านจงฟังพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า และคําของเทวดา 2 องค์.
[219] ครังนันแล ท่านพระวักกลิเรียกภิกษุ อุปฏ ั ฐากทังหลายมาแล้วกล่าวว่า มาเถิดอาวุโส ท่านจงช่วยกันอุม ้ เราลงจากเตียง เพราะว่า
ภิกษุ ผู้เช่นกับเรานังบนอาสนะสูงแล้ว จะพึงสําคญ ั ว่าตนควรฟังคําสังสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านันอย่างไรเล่า. ภิกษุ เหล่านัน รับคํา
ของท่านพระวักกลิแล้ว ก็ช่วยกันอุม ้ ท่านพระวักกลิลงจากเตียงแล้วกล่าวว่า ณ ราตรีนี เมือปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดา 2 องค์ ฯลฯ ได้
ยืนอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ครันแล้ว เทวดาองค์หนึ งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระเจ้าข้า วักกลิภิกษุ คด ิ เพือความหลุด พ้น
เทวดาอีกองค์หนึ งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ก็วกั กลิภิกษุ นนหลุ ั ดพ้นแล้ว จักหลุดพ้นได้แน่ แท้ อาวุโส วักกลิ แต่วา่
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงท่านอย่างนีว่า อย่ากลัวเลย วักกลิ อย่ากลัวเลย วักกลิ จักมีความตายอันไม่ตําช้าแก่เธอ จักมีกาลกิรยิ าไม่
เลวทรามแก่เธอ.
พระวักกลิกล่าวว่า อาวุโส ถ้าเช่นนัน ท่านจงช่วยถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าตามคําของ
ผมด้วยว่า พระเจ้าข้า วักกลิภิกษุ อาพาธ เป็ นไข้หนัก ได้รบั ทุกขเวทนา เธอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียร
เกล้า และยังได้สงมากราบทู ั ลอย่างนีว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูปไม่เทียง ไม่สงสัยว่า สิงใดไม่เทียง สิงนันเป็ นทุกข์
ไม่สงสัยว่า สิงใดไม่เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกําหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิงนัน มิได้มี
แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า เวทนา... สัญญา... สังขาร...วิญญาณไม่เทียง ไม่สงสัยว่า สิงใดไม่เทียง สิงนันเป็ นทุกข์
ไม่สงสัยว่า สิงใดไม่เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกําหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิงนัน มิได้มี
แก่ข้าพระองค์ ดังนี ภิกษุ เหล่านันรับคําท่านพระวักกลิแล้วหลีกไป. ครังนัน เมือภิกษุ เหล่านันหลีกไปไม่นาน ท่านพระวักกลิก็นํา เอา
ศาตรามา (เตรียมจะฆ่าตัวตาย).
[220] ครังนันแล ภิกษุ เหล่านันเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงทีประทับ นัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ครันแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ฯลฯ ดังนี.

๗๑
[221] ครังนันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายมารั ั บสังว่า มาไปกันเถิด ภิกษุ ทงหลาย
ั เราจะพากันไปยังวิหารกาฬสิลา
ข้างภูเขาอิสคิ ลิ ิ ซึ งเป็ นทีทีวักกลิกุลบุตรนําเอาศาสตรามา. ภิกษุ เหล่านันรับพระดํารัสของพระผู้มี พระภาคเจ้าแล้ว. ลําดับนัน พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จไปยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสค ิ ลิ ิ พร้อมด้วยภิกษุ เป็ นจํานวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระวักกลินอนคอบิด
อยูบ
่ นเตียงแต่ไกลเทียว. ก็สมัยนันแล ปรากฏเป็ นกลุม ่ ควันกลุม
่ หมอกลอยไปทางทิศบูรพา ทิศปัจฉิม ทิศอุดร ทิศทักษิ ณ ทิศเบืองบน
ทิศเบืองตํา และอนุทศ ิ . ลําดับนันเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสกะภิกษุ ทงหลายว่ั า ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย
ั เธอทังหลายมองเห็นกลุม
่ ควัน
กลุม่ หมอก ลอยไปทางทิศบูรพา ฯลฯ และอนุทศ ิ หรือไม่ ? ภิกษุ เหล่านันกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า.
ภ. ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั นันแหละคือมารใจหยาบช้า. ค้นหาวิญญาณของวักกลิกุลบุตร ด้วยคิดว่าวิญญาณของวักกลิกุลบุตรตังอยู่ ณ ที
แห่งไหนหนอ ? ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั วักกลิกุลบุตรมีวญ ิ ญาณไม่ได้ตงอยู
ั ่ ปรินิพพานแล้ว.
…………………………………………………………

อรรถกถาวักกลิสตู ร เล่ม 27 หน้า 281 มมร.


บทวา กุมฺภการนิเวสเน แปลวา ในโรงชางหมอ เลากันมาวา พระเถระออกพรรษาปวารณาแลวไดเดินทางมาเพื่อเฝาพระผูม  ี
พระภาคเจา ทานเกิดอาพาธหนัก (ขณะที่เดินทางมาถึง) กลางพระนคร (ราชคฤห) เทา (ทั้งสองขาง) กาวไมออก. ที่นั้น พวกชาวเมืองใช
วอมีลักษณะเปนเตียงนอยหามทานไปไวในโรงชางหมอ. และโรงนั้นก็เปนโรงที่ทํางานของชางหมอเหลานั้น (แต) มิใชเปนโรงที่เขาพัก
อาศัยกัน พระสังคีติกาจารยหมายเอาโรงนั้นจึงกลาววา กุมฺภ การนิเวสเน วิหรติ (พระวักกลิเถระอยูในเรือนของชางหมอ).
บทวา พาฬฺหคิลาโน คือ เปนไขเกินขนาด (ไขหนัก). บทวา สมฺโจป ความวา (พระวักกลิเถระ) แสดงนอบนอม (เคารพ) แด
พระผูมีพระภาคเจาดว ยอาการไหว (กาย) ทั่ว ไป. วากัน วา การที่ภิก ษุผูมีพรรษาออนกวาเห็นภิกษุผูมีพรรษาแกกวา แม (ตนเอง) จะ
เจ็บปวยหนักก็ตองแสดงความนอบนอมดวยอาการลุกขึ้น นี้ถือเปนธรรมเนียม แตภิกษุผูมีพรรษาแกกวานั้นก็ตองบอกเธอวา อยาลุกขึ้น
เลย.
บทวา สนฺตม ิ านิ อาสนานิ ความวา ก็ในสมัยพุทธกาล ในที่อยูของภิกษุแมรูปหนึ่งจะปูลาดอาสนะไวรอทาเหมือนกันหมด ดวย
หวังวา ถาพระศาสดาจักเสด็จมาไซร จัก ไดประทับนั่งบนอาสนะนี้. ชั้น ที่สุด(ถาไมมีอาสนะ) ก็จะปูล าดแตแผนกระดาน (หรือ ) แมเพียง
เครื่องลาดใบไมก็จะปูลาดไว.
... ในบทวา โย โข วกฺกลิ ธมฺม นี้ พึงทราบอธิบายวา 1พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงพระธรรมกายที่ตรัสไววา ขอถวายพระพร
มหาบพิตร ธรรมกายแลคือพระตถาคต ความจริงโลกุตตรธรรม 9 อยาง (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1) ชื่อวา พระกายของพระตถาคต. บัดนี้
เมื่อจะทรงเริ่มแสดงธรรม มีปริวัฏ 3 แกพระเถระ พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสคําวา ต กึ มฺสิ เปนตน.
1 ยังสงสัยจะเปน พระนาคเสน กลาวหรือเปลา ?

... ไดยิน วา เทวดาเหลานั้นทราบวา พระเถระนี้ปรารภวิปสสนาแลว ทานก็จักบรรลุพระอรหัตตผลโดยไมมีอันตรายโดยทํานองใด จึงได


กลาวอยางนี้.
บทวา สตฺถ  อาหเรสิ ความวา ไดยินวา พระเถระเปนผูมีมานะจัด. ทานมองไมเห็นการกลับฟุงขึ้นมา (อีก) แหงกิเลสทั้งหลายที่
ขมไวไดดวยสมาธิและวิปสสนา จึงมีความสําคัญวา เราเปนพระขีณาสพ แลวคิด (ตอไป) วา ชีวิตนี้เปนทุกข เราจะอยูไปทําไม เราจักเอา
มีดมาฆาตัวตาย ดังนี้แลว ไดเอามีดที่คมมาเฉือนกานคอ. ทันใดนั้น ทุกขเวทนาก็เกิดขึ้นแกทาน. ขณะนั้นทานจึงทราบวา ตนเองยังเปน
ปุถุชนอยูเลยรีบควาเอากัมมัฏฐานขอเดิมมาพิจารณา เนื่องจากวาทานยังไมไดละทิ้งกัมมัฏฐาน (ไมชา) ก็ไดสําเร็จเปนพระอรหันตแลว
มรณภาพ (ทันที).
ถามวา ก็ปจจเวกขณญาณไดมีแลวอยางไร ?
ตอบวา พระขีณาสพมีปจจเวกขณญาณ 19 อยาง ปจจเวกขณญาณทั้งหมด พระขีณาสพตองไดอยางแนแท. ก็เมื่อพระวักกลิเถระเอามีด
คมตัดศีรษะ (ปจจเวกขณ) ญาณ ยอมเกิดขึ้นอยางแนนอนไมหนึ่งก็สองขอ.
บทวา วิว ตฺตกฺข นฺธ แปลวา คอบิด . บทวา เสยฺยมาน แปลวา นอนอยู. ไดยิน วา พระเถระนอนหงายแลวเอามีดมา (เชือดคอ
ตนเอง) รางกายของทานไดท รงอยูดุจเดิม สว นศีรษะไดบิดไปอยูขางขวา อัน ที่จริงพระอริยสาวกทั้งหลาย สว นมาก (เมื่อ นิพพาน) จะ
นิพพานโดย (นอน) ตะแคงขางขวาเหมือนกันหมด ด ว ยเหตุนั้น รางกายของพระวักกลินั้นจึงไดทรงอยูดุจเดิม สว นศีรษะกลับบิดไปอยู
ขางขวา พระสังคีติกาจารยทั้งหลาย หมายถึงพระวักกลิเถระผูนอนคอบิดอยูนั้น จึงกลาววา พระวักกลิ (นอน) คอบิด ดังนี้บาง.

…………………………………………………………

ฉันโนวาทสูตร องฺ .ทุก.14/741/356


พระฉันนะฆ่าตัวตายเป็ นชีวิตสมสีสี (ด้วยวิภวตัณหา ไม่อยากทนความเจ็บปวด เพราะเข้าใจว่าตนสินกิเลสแล้ว)
[741] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี:-
สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคเจ้าประทับอยูท
่ ีพระวิหารเวฬุวน
ั อันเคยเป็ นสถานทีพระราชทานเหยือแก่กระแต เขตพระนครรา
ชคฤห์ สมัยนันแล ท่า นพระสารีบุตร ท่า นพระมหาจุนทะ และท่า นพระฉันนะ อยู่บ นภูเขาคิชฌกูฏ เฉพาะท่านพระฉันนะอาพาธ ทน
ทุกขเวทนา เป็ นไข้หนัก.
[742] ครังนันแล ท่านพระสารีบุตรออกจากทีหลีกเร้นในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระมหาจุนทะยังทีอยู่ แล้วได้กล่าวกะท่านพระ
มหาจุนทะดังนีว่า ดู ก่อนท่านจุนทะ มาเถิด เราจะเข้าไปหาท่านพระฉันนะยังทีอยู่ ได้ถามถึงความไข้ ท่า นพระมหาจุนทะรับคําท่าน
พระสารีบุตรแล้ว ต่อนัน ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะได้เข้าไปหาท่านพระฉันนะยังทีอยู่ แล้วทักทายปราศรัยกับท่านพระ
ฉันนะ ครันผ่านคําทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนัง ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ ง พอนังเรียบร้อยแล้ว ท่า นพระสารีบุตรได้
กล่าวกะท่านพระฉันนะดังนีว่า
ดูกอ
่ นท่านฉันนะ ท่านพอทน พอเป็ นไปได้หรือ ทุกขเวทนาทุเลา ไม่กาํ เริบ ปรากฏความทุเลาเป็ นทีสุด ไม่ปรากฏความกําเริบหรือ.
ฉ. ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร กระผมทนไม่ไหว เป็ นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กําเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความกําเริบ

๗๒
เป็ นทีสุดไม่ปรากฏความทุเลาเลย.
[743] ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร ลมเหลือประมาณกระทบขม่อมของกระผม เหมือนบุรุษมีกาํ ลังเอาของแหลมคมทิมขม่อม ฉะนัน ..
[744] .. ลมเหลือประมาณเวียนศีรษะของกระผมอยู่ เหมือนบุรุษมีกาํ ลังให้การขันศีรษะด้วยชะเนาะอย่างมัน ฉะนัน กระผมจึงทน
ไม่ไหว ..
[745] .. ลมเหลือประมาณปันป่ วนท้องของกระผม เหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาด เอามีดแล่โคอันคมคว้านท้อง
ฉะนัน ..
[746] .. ความร้อนในกายของกระผมเหลือประมาณ เหมื อนบุรุษมีกาํ ลัง 2 คน จับ บุ รุษมีกาํ ลังน้อยทีอวัยวะป้ องกันตัวต่าง ๆ แล้ว
นาบ ย่า ง ในหลุม ถ่า นเพลิง ฉะนัน กระผมจึงทนไม่ไหว เป็ นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กํา เริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความ
กําเริบเป็ นทีสุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร กระผมจักหาศาสตรามาฆ่าตัว ไม่อยากจะได้เป็ นอยูเ่ ลย.
[747] สา. ท่านฉันนะอย่าได้หาศาสตรามาฆ่าตัวเลย จงเป็ นอยูก ่ อ
่ นเถิด พวกเรายังปรารถนาให้ทา่ นฉันนะเป็ นอยู่ ถ้าท่านฉันนะไม่
มี โ ภชนะเป็ นทีสบาย ผมจักแสวงหามาให้ ถ้า ท่า นฉันนะไม่มี เภสัช เป็ นทีสบาย ผมจัก แสวงหามาให้ ถ้า ท่า นฉันนะไม่มี ค นบํา รุงที
สมควร ผมจักคอยบํา รุงท่า นเอง ท่า นฉันนะอย่า ได้หาศาสตรามาฆ่า ตัวเลย จงเป็ นอยู่ก่อนเถิด พวกเรายังปรารถนาให้ท่า นฉันนะ
เป็ นอยู.่
[748] ฉ. ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร ไม่ใช่กระผมไม่มีโภชนะเป็ นทีสบาย ไม่ใช่ไม่มีเภสัชเป็ นทีสบาย ไม่ใช่ไม่มีตนบํารุงทีสมควร ก็
แหละกระผมได้ป รนนิบ ต ั ิพระศาสดามาตลอดกาลนาน ด้วยความพอพระทัย มิใ ช่ด้วยความไม่พอพระทัย ความจริง การทีภิกษุ
ปรนนิบตั ิพระศาสดาด้วยความพอพระทัย มิใช่ด้วยความไม่พอพระทัย นันเป็ นการสมควรแก่สาวก ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร ขอท่านจง
ทรงจําไว้อย่างนีว่า ฉันภิกษุ จกั หาศาสตรามาฆ่าตัวอย่างมิให้ถูกตําหนิได้.
สา. พวกเราจักชือถามปัญหาท่านฉันนะสักเล็กน้อย ถ้าท่านฉันนะเปิ ดโอกาสพยากรณ์ ปญ ั หาได้.
ฉ. ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร โปรดถามเถิด กระผมฟังแล้วจึงจักรู.้
[749] ดูกอ ่ นท่านฉันนะ ท่านพิจารณาเห็นจักษุ จักษุ วญ
ิ ญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยจักษุ วญ
ิ ญาณว่า นันของเรา นันเรา นันอัตตาของเรา
หรือ.
ท่านพิจารณาเห็นโสต โสตวิญญาณ... ท่านพิจารณาเห็นฆานะ ฆานวิญญาณ...
ท่านพิจารณาเห็นชิวหา ชิวหาวิญญาณ... ท่านพิจารณาเห็นกาย กายวิญญาณ...
ท่านพิจารณาเห็นมโน มโนวิญญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยมโนวิญญาณว่านันของเรา นันเรา นันอัตตาของเราหรือ.
ฉ. ข้าแต่ทา่ นพระสารีบุตร กระผมพิจารณาเห็นจักษุ จักษุ วญ ิ ญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยจักษุ วญ
ิ ญาณว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่ใช่
เรา นันไม่ใช่อตั ตาของเรา.
กระผมพิจารณาเห็นโสต โสตวิญญาณ... กระผมพิจารณาเห็นฆานะ ฆานวิญญาณ...
กระผมพิจารณาเห็นชิวหา ชิวหาวิญญาณ... กระผมพิจารณาเห็นกาย กายวิญญาณ...
กระผมพิจารณาเห็นมโน มโนวิญญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยมโนวิญญาณว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่ใช่เรา นันไม่ใช่อตั ตาของเรา.
ปัญหาของพระสารีบุตร

[750] สา. ดู ก่อนท่า นฉันนะ ท่า นเห็นได้อย่า งไร รูไ้ ด้อย่า งไรในจักษุ ในจักษุ วิญญาณ ในธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยจักษุ วิญญาณ จึง
พิจารณาเห็นจักษุ จักษุ วญ ิ ญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยจักษุ วญ ิ ญาณว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่ใช่เรา นันไม่ใช่อตั ตาของเรา.
ท่านเห็นได้อย่างไร รูไ้ ด้อย่างไร ในโสต ในโสตวิญญาณ... ในฆานะ ในฆานวิญญาณ... ในชิวหา ในชิวหาวิญญาณ... ในกาย
ในกายวิญญาณ... ในมโน มโนวิญญาณ ในธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยมโนวิญญาณ จึงพิจารณาเห็นมโน มโนวิญญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยมโน
วิญญาณว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่ใช่เรา นันไม่ใช่อตั ตาของเรา.
ฉ. ข้า แต่ท่า นพระสารีบุ ต ร กระผมเห็นความดับ รูค ้ วามดับ ในจักษุ ในจักษุ วิญญาณ ในธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยจักษุ วิญ ญาณ จึง
พิจารณาเห็นจักษุ จักษุ วญ ิ ญาณ ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยจักษุ วญ ิ ญาณว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่ใช่เรา นันไม่ใช่อตั ตาของเรา.
กระผมเห็นความดับ รูค ้ วามดับในโสต ในโสตวิญญาณ...
กระผมเห็นความดับ รูค ้ วามดับในฆานะ ในฆานวิญญาณ...
กระผมเห็นความดับ รูค ้ วามดับในชิวหา ในชิวหาวิญญาณ...
กระผมเห็นความดับ รูค ้ วามดับในกาย ในกายวิญญาณ
กระผมเห็นความดับ รูค ้ วามดับในมโน ในมโนวิญญาณ ในธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยมโนวิญญาณ จึงพิจารณาเห็นมโน มโนวิญญาณ
ธรรมทีรูไ้ ด้ด้วยมโนวิญญาณว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่ใช่เรา นันไม่ใช่อตั ตาของเรา.
[751] เมื อท่า นพระฉัน นะกล่า วแล้ ว อย่า งนี ท่า นพระมหาจุ น ทะได้ ก ล่า วกะท่ า นพระฉัน นะดัง นี ว่า ดู ก่อ นท่า นฉัน นะ
เพราะฉะนันแล ท่านควรใส่ใจคําสังสอนของพระผู้มี พระภาคเจ้านันไว้ตลอดกาลเนืองนิตย์แม้ดงั นี ว่า บุคคลผู้อน ั ตัณหาและทิฐอ ิ าศัย
อยูแ
่ ล้ว ย่อมมีความหวันไหว สําหรับผู้ไม่มีตณ ั หาและทิฐอิ าศัย ย่อมไม่มีความหวันไหว เมือไม่มีความหวันไหว ก็มีความสงบ เมือมี
ความสงบก็ไม่มีตณ ั หานําไปสูภ ่ พ เมือไม่มีตณ
ั หานําไปสูภ
่ พ ก็ไม่มีการมาเกิด ไปเกิด เมือไม่มีการมาเกิดไปเกิด ก็ไม่มีจุติและอุปบัติ
เมือไม่มีจุติและอุปบัติก็ไม่มีโลกนี ไม่มีโลกหน้า ไม่มีระหว่างกลางทังสองโลก นีแหละทีสุดแห่งทุกข์
ครันท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะ กล่าวสอนท่านพระฉันนะด้วยโอวาทนีแล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป.
[752] ครังนันแล ท่านพระฉันนะ เมือท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะหลีกไปแล้วไม่นาน ได้หาศาสตรามาฆ่าตัวเสีย
ทันทีนน ั ท่านพระสารีบุตรจึงเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทีประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า นัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึง
พอนังเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระฉันนะหาศาสตรามาฆ่าตัวเสียแล้ว ท่านจะ
มีคติอย่างไร มีสมั ปรายภพอย่างไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ ่ นสารีบุตร ฉันนภิกษุ พยากรณ์ ความเป็ นผู้ไม่ควรตําหนิต่อหน้าเธอแล้วมิใช่หรือ.
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีบ้านในแคว้นวัชชีนามว่าปุพพชิระ ทีหมู่บ้านนัน ท่านพระฉันนะยังมีสกุลมิตร สกุลสหาย และสกุล
คนทีคอยตําหนิอยู.่

๗๓
[753] พ. ดูกอ่ นสารีบุตร ฉันนภิกษุ ยงั มีสกุลมิตร สกุลสหาย และสกุลทีคอยตําหนิอยูก
่ ็จริง แต่เราหาเรียกบุคคลว่า ควรถูกตําหนิ
ด้วยเหตุเพียงเท่านีไม่
ดูกอ
่ นสารีบุตร บุคคลใดแล ทังกายนีและยึดมันกายอืน บุคคลนันเราเรียกว่า ควรถูกตําหนิ ฉันนภิกษุ หามี ลกั ษณะนันไม่ ฉันน
ภิกษุ หาศาสตรามาฆ่าตัวอย่างไม่ควรถูกตําหนิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิ ตนีแล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงชืนชมยินดี พระภาษิ ตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
............................................
อรรถกถาฉันโนวาทสูตร เล่ม 23 หน้า 434 มมร.
คําวา ฉัน นะ ไดแกพระเถระมีชื่ออยางนั้น ไมใชเปนพระเถระที่ออกไปดวยกันกับพระพุทธเจา ตอนออกอภิเนษกรมณ. คําวา จาก
การหลีกเรน คือ จากผลสมาบัติ. คําวา ไตถ ามถึงความเปนไข ไดแ ก การบํารุงภิกษุไข ที่พระพุท ธเจาทรงสรรเสริญ ทรงพรรณนาไว
เพราะฉะนั้นทานจึงกลาวอยางนั้น.
.. คําวา นั่นของเรา เปนตน ทานกลาวไวดว ยอํานาจความยึดถือดวยตัณหา มานะและทิฐ.ิ คําวา เห็นความดับอยางสิน ้ เชิง คือทราบ
ความสิ้นและความเสื่อมไป. คําวา ขาพเจาพิจารณาเห็นวา นั่น ไมใชของเรา นั่น ไมใชเรา นั่น ไมใชตวั ตนของเรา คือขาพเจาพิจารณา
เห็นวาไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน
คําวา เพราะเหตุนน ั้ คือเพราะเหตุที่พระเถระกลาววา เมื่อขาพเจาอดกลั้นเวทนาทีม ่ ีความตายเปนที่สดุ ไมได. จึงไดนําเอาศัสตรามา
นั้น ทานเปนปุถุชน จึงชี้แจงวา เพราะฉะนั้น ทานจงใสใจแมขอ  นี้.. คําวา ไมมก
ี ารมาและการไป คือ ชือ ่ วาการมาดวยอํานาจปฏิสนธิ ยอม
ไมมี ชื่อวา การไปดวยอํานาจจุติ ก็ยอมไมมี.. คําวา ไมมใี นโลกนี้ ไมมใี นโลกหนา ไมมีโดยระหวางโลกทัง้ สอง คือในโลกนี้กไ็ มมี ในโลก
หนาก็ไมมี ในโลกทั้งสองก็ไมมี. คําวา นี่แลเปนทีส่ ด
ุ ของทุกข คือ นี้เทานั้นเปนที่สุดของวัฏทุกขและกิเลสทุกข นี้เปนกําหนดโดยรอบ เปน
ทางโดยรอบ. เพราะนี้เทานั้นเปนความประสงคในขอนี้. สําหรับทานผูใดถือคําวา ไมมีโดยระหวางโลกทัง้ สอง แลวตองการระหวางภพ
ขอคําที่ยิ่งไปสําหรับทานเหลานั้น ก็กลาวในหนหลังเสร็จแลวแล.
คําวา นําศัส ตรามาแลว คือเอาศัสตราสําหรับคราชีวิตมาแลว ตัดกานคอแลว. ก็ขณะนั้น ความกลัวตายของทานก็กาวลง คตินิมิต
ปรากฏขึ้น. ทานรูวาตัวยังเปนปุถุชน เกิดสลดใจ ตั้งวิปสสนา พิจารณาสังขาร สําเร็จเปนพระอรหันต เปนสมสีสีแลวก็ปรินิพพาน. คําวา
ทรงพยากรณความไมเกิดตอหนาทีเดียว คือ ถึงแมวาการพยากรณนี้ มีในเวลาที่พระเถระยังเปนปุถุชนก็จริง ถึงอยางนั้น การปรินิพพาน
ที่ไมมีอะไรมาแทรกแซงไดของทานก็ไดมีตามคําพยากรณนี้ เหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงทรงถือเอาคําพยากรณนั่นแหละมาตรัส.

…………………………………………………………

เกสปุตตสูตร องฺ .ติก.20/505/179


ตรัสสอนชาวกาลามะไม่ให้เชือ 10 อย่าง และความอุ่นใจเกียวกับโลกหน้า
เมือใด ท่านทังหลายพึงรูด ้ ้วยตนเองว่า (1) ธรรมเหล่านีเป็ นอกุศลธรรม (2) เหล่านีมีโทษ (3) ธรรมเหล่านีผู้รต ู ้ ิเตียน (4) ธรรมเหล่านี
ใครสมาทานให้บริบูรณ์ แล้วเป็ นไปเพือสิงไม่เป็ นประโยชน์ เพือทุกข์ เมือนัน ท่านทังหลายควรละธรรมเหล่านันเสีย
ดูกรกาลามชนทังหลาย ท่านทังหลายจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ความโลภ .. ความโกรธ .. ความหลงเมือเกิดขึ นในภายในของ
บุรุษ ย่อมเกิดขึ นเพือประโยชน์หรือเพือสิงไม่เป็ นประโยชน์ ฯ
กา. เพือสิงไม่เป็ นประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดู กรกาลามชนทังหลาย บุ ค คลผู้โลภ.. ผู้โ กรธ .. ผู้หลง ถูกความหลงครอบงํา มี จิต อันความหลงกลุม ้ รุมนี ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลัก
ทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิงใดเป็ นไปเพือสิงไม่เป็ นประโยชน์ เพือทุกข์ สินกาลนาน บุคคลผู้หลง ย่อมชักชวนผู้อืนเพือความเป็ นอย่าง
นันก็ได้ ฯ
กา. จริงอย่างนัน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทังหลาย ท่านทังหลายจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ธรรมเหล่านีเป็ นกุศลหรือเป็ นอกุศล ฯ
กา. เป็ นอกุศล พระเจ้าข้า ฯ
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รต ู ้ ิเตียนหรือท่านผู้รส ู ้ รรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รต ู ้ ิเตียน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์ แล้ว เป็ นไปเพือสิงไม่เป็ นประโยชน์เพือทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนีท่านทังหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์ แล้ว เป็ นไปเพือสิงไม่เป็ นประโยชน์ เพือทุกข์ ในข้อนี ข้าพระองค์ทงหลายมี ั ความเห็นเช่นนี ฯ
เมื อใด ท่า นทังหลายพึงรูด ้ ้วยตนเองว่า (1) ธรรมเหล่า นี เป็ นกุศล (2) ธรรมเหล่า นี ไม่มีโ ทษ (3) ธรรมเหล่า นี ท่า นผู้รูส ้ รรเสริญ (4)
ธรรมเหล่านีใครสมาทานให้บริบูรณ์ แล้ว เป็ นไปเพือประโยชน์ เพือสุข เมือนัน ท่านทังหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านันอยู่
ดู กรกาลามชนทังหลาย ท่า นทังหลายจะสํา คญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ความไม่โลภ .. ไม่โ กรธ .. ไม่หลงเมื อเกิดขึ นในภายในของ
บุรุษ ย่อมเกิดขึ นเพือประโยชน์หรือเพือสิงไม่เป็ นประโยชน์ ฯ
กา. เพือประโยชน์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทังหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงํามีจต ิ ไม่ถูกความหลงกลุม ้ รุมนี ย่อมไม่ฆา่ สัตว์ ไม่ลกั ทรัพย์ ไม่
คบชู้ ไม่พูดเท็จ สิงใดย่อมเป็ นไปเพือประโยชน์เกือกูล เพือความสุข สินกาลนาน บุคคลผู้ไม่หลง ย่อมชักชวนผู้อืนเพือความเป็ นอย่างนัน

กา. จริงอย่างนัน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทังหลาย ท่านทังหลายจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ธรรมเหล่านีเป็ นกุศลหรือเป็ นอกุศล ฯ
กา. เป็ นกุศล พระเจ้าข้า ฯ

๗๔
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รต ู ้ ิเตียนหรือท่านผู้รส ู ้ รรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รส ู ้ รรเสริญ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์ แล้ว เป็ นไปเพือประโยชน์เกือกูล เพือความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี ท่านทังหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์ แล้ว เป็ นไปเพือประโยชน์เกือกูล เพือความสุข ในข้อนี ข้าพระองค์ทงหลายมี ั ความเห็นเช่นนี ฯ
เมือใด ท่านทังหลายพึงรูด ้ ้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านีเป็ นกุศล ธรรมเหล่านีไม่มีโทษ ธรรมเหล่านีท่านผูร้ ส ู ้ รรเสริญ ธรรมเหล่านีใคร
สมาทานให้ บริบูรณ์ แล้ว เป็ นไปเพือประโยชน์เกือกูล เพือความสุข เมือนันท่านทังหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านันอยู่ เพราะอาศัยคําทีเรา
ได้กล่าวไว้แล้วนัน เราจึงได้กล่าวไว้ดงั นี
ดูกรกาลามชนทังหลาย อริยสาวกนัน ปราศจากความโลภ ปราศจากความพยาบาท ไม่หลงแล้วอย่างนี มีสมั ปชัญญะ มีสติมนคง ั มี
ใจประกอบด้วยเมตตา .. กรุณ า ... มุ ทิต า ... อุเบกขาแผ่ไปตลอดทิศหนึ งอยู่ ทิศ ที 2 ทิศ ที 3 ทิศ ที 4 ก็เหมื อนกันตามนัยนี ทังเบืองบน
เบื องล่า ง เบื องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทัวสัต ว์ทุกเหล่า ในทีทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบู ลย์ ถึงความเป็ นใหญ่ หา
ประโยชน์มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ดูกรกาลามชนทังหลาย อริยสาวกนันมีจต ิ ไม่มีเวรอย่างนี มีจต ิ ไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี มีจต
ิ ไม่เศร้าหมองอย่างนีมีจต ิ ผ่องแผ้ว
อย่า งนี ย่อมได้รบ ั ความอุน ่ ใจ 4 ประการในปัจจุบน ั ว่า ก็ถ้า ปรโลกมี จริง ผลวิบ ากของกรรมทําดีทาํ ชัวมีจริง เหตุ นีเป็ นเครืองให้เราเมือ
แตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี ความอุน ่ ใจข้อที 1 นี พระอริยสาวกนันได้แล้ว
ก็ถ้า ปรโลกไม่มี ผลวิบ ากของกรรมทําดีทําชัวไม่มี เราไม่มี เวร ไม่มี ค วามเบียดเบียน ไม่มี ทุกข์เป็ นสุข บริหารตนอยู่ในปัจจุบน ั นี
ดังนี ความอุน ่ ใจข้อที 2 นี พระอริยสาวกนันได้แล้ว
ก็ถ้า เมื อบุ คคลทําอยู่ ชื อว่า ทํา บาป เราไม่ได้ค ิด ความชัวให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์ จกั มาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทําบาปกรรมเล่า ดังนี
ความอุน ่ ใจข้อที 3 นี พระอริยสาวกนันได้แล้ว
ก็ถา้ เมือบุคคลทําอยู่ ไม่ชือว่าทําบาป เราก็ได้พจิ ารณาเห็น ตนว่าเป็ นคนบริสุทธิแล้วทังสองส่วน ดังนี ความอุน ่ ใจข้อที 4 นี พระอริย
สาวกนันได้แล้ว
ดูกรกาลามชนทังหลาย อริยสาวกนันมีจต ิ ไม่มีเวรอย่างนี มีจต ิ ไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี มีจต
ิ ไม่มีเศร้าหมองอย่างนี มีจต ิ ผ่องแผ้ว
อย่างนี ย่อมได้รบั ความอุน ่ ใจ 4 ประการนีแลในปัจจุบน ั ฯ
…………………………………………………………

อัตตันตปสูตร องฺ .จตุก.21/198/195


บุคคลทีทําตนหรือผูอ้ ืนให้เดือดร้อน 4 จําพวก
[198] ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั บุคคล 4 จําพวกนีมีปรากฏอยูใ่ นโลก .. คือ
(1) บุคคลบางคนในโลกนี เป็ นผู้ทาํ ตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน 1
(2) บางคนเป็ นผู้ทาํ ผู้อืนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดือดร้อน 1
(3) บางคนทําตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน และทําผู้อืนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายใน
การทําผู้อืนให้เดือดร้อน 1
(4) บางคนไม่ทําตนให้เดือดร้อน ไม่ป ระกอบความขวนขวายในการทําคนให้เ ดือดร้อน และไม่ทํา ผู้อืนให้เ ดือดร้อน ไม่ป ระกอบความ
ขวนขวายในการทําให้ผู้อืนเดือดร้อน ผู้ไม่ทาํ ตนให้เดือดร้อน และไม่ทาํ ผู้อืนให้เดือดร้อน เป็ นผู้ไม่หวิ ดับร้อน เย็นใจ เสวยสุข มี
ตนอันประเสริฐ อยูใ่ นปัจจุบน ั เทียว 1.
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อย่างไร บุคคลชือว่าเป็ นผู้ทาํ ตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน ?
บุคคลบางคนในโลกนี เป็ นชีเปลือย ไร้มารยาท เลียมือ เขาเชิญให้มารับภิก ษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่ยิน ดีภิก ษาทีเขานํามา
เฉพาะ ไม่ยน ิ ดีภก
ิ ษาทีเขาทําเฉพาะ ไม่ยน ิ ดีการเชิญ ไม่ร ับภิกษาทีเขาแบ่งไว้กอ่ น .. จากปากหม้อข้าว .. ทีคนยืนคร่อมธรณีประตูให้ .. ทีคนยืนคร่อม
ท่อนไม้ให้ .. ทีคนยืนคร่อมสากให้ .. ของคนสองคนผูก ้ าํ ลังบริโภคอยู่ .. ของหญิงมีครรภ์ .. ของหญิงผูก ้ าํ ลังให้ลูกดูดนม .. ของหญิงผูค้ ลอเคลียบุรุษ ..
ทีนัดแนะก ันไว้ ..ในทีซึงสุนข ั ได้ร ับเลียงดู .. ในทีมีแมลงวันไต่ตอมเป็ นกลุม ่ ไม่กน
ิ ปลา ไม่กนิ เนื อ ไม่ดืมสุรา ไม่ดืมเมรัย ไม่ดืมยาดอง เขารับภิกษาที
เรือนหลังเดียว เยียวยาอ ัตภาพด้วยข้าวคําเดียวบ้าง รับภิกษาทีเรือนสองหลัง เยียวยาอ ัตภาพด้วยข้าวสองคําบ้าง รับภิกษาทีเรือน 7 หลัง เยียวยาอ ัตภาพ
ด้วยข้าว 7 คําบ้าง เยียวยาอ ัตภาพด้วยภิกษาในถาดน้อยใบเดียวบ้าง 2 ใบบ้าง 7 ใบบ้าง กินอาหารทีเก็บค้างไว้ว ันหนึ งบ้าง 2 วันบ้าง 7 วันบ้าง เป็ นผู้
ประกอบความขวนขวายในการบริโภคภัตทีเวียนมาตังกึงเดือนเช่นนี บ้าง ชีเปลือยนัน เป็ นผูม ้ ีผ ักดองเป็ นภักษาบ้าง มีขา้ วฟ่ าง .. ลูกเดือย .. กากข้าว ..
ยาง .. สาหร่าย .. รํา .. ข้าวตัง .. กํายาน .. หญ้า .. โคมัย .. เหง้าและผลไม้ในป่ าเป็ นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเยียวยาอตั ภาพ ชีเปลือยนันทรงผ้าป่ าน
บ้าง ผ้าแกมก ัน .. ผ้าห่อศพ .. ผ้าบังสุกุล .. ผ้าเปลือกไม้ .. หนังเสือ .. หนังเสือทงเล็ ั บ .. ผ้าคากรอง .. ผ้าเปลือกปอกรอง .. ผ้าผลไม้กรอง .. ผ้าก ัมพลทํา
ด้วยผมคน .. ผ้าก ัมพลทําด้วยขนส ัตว์ .. ผ้าทําด้วยขนปี กนกเค้าบ้าง เป็ นผูถ ้ อนผมและหนวด ประกอบด้วยความขวนขวนในการถอนผมและหนวดบ้าง
เป็ นผูย้ ืน คือ ห้ามอาสนะบ้าง เป็ นผูก ้ ระโหย่ง ประกอบควานขวนขวายในการกระโหย่งบ้าง เป็ นผูน ้ อนบนหนาม คือ สําเร็จการนอนบนหนามบ้าง เป็ นผู้
อาบนําวันละ 3 ครัง คือ ประกอบความขวนขวายในการลงนําบ้าง
เขาเป็ นผู้ประกอบความขวนขวายในการทํากายให้เดือดร้อน ให้เร่า ร้อนมีอย่างต่า งๆ เห็นปานนีอยู่ ด้วยประการฉะนี ดู ก่อน
ภิกษุ ทงหลาย
ั อย่างนีแล บุคคลชือว่าเป็ นผู้ทาํ ตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน.
ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อย่างไร บุคคลชือว่าเป็ นผู้ทาํ ผู้อืนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดือดร้อน ?
บุคคลบางคนในโลกนี เป็ นผู้ฆา่ แพะ ฆ่าสุกร เป็ นนายพรานนก เป็ นนายพรานเนือ เป็ นผู้หยาบช้า เป็ นคนฆ่าปลา เป็ นโจร เป็ น
ผู้ฆา่ โจร เป็ นนักโทษ หรือเป็ นผู้ทาํ กรรมอันหยาบช้าชนิดใดชนิดหนึ งก็ตาม ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั อย่างนีแล บุคคลชือว่าเป็ นผู้ทาํ ผู้อืนให้
เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดือดร้อน

๗๕
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ก็อย่า งไร บุ ค คลชือว่าเป็ นผู้ทําตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน และ
เป็ นผู้ทาํ ผู้อืนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดือดร้อน ?
บุคคลบางคนในโลกนี เป็ นพระราชามหากษัตริย์ได้มูรธาภิเษก หรือว่าเป็ นพราหมณ์ มหาศาล บุคคลนันให้สร้างสัณฐาคารใหม่
ทางทิศตะวันออกแห่งพระนคร แล้วปลงผมและหนวด นุ่งหนังสัตว์มีเล็บ ชโลมกายด้วยเนยและนํามัน เกาหลังด้วยเขามฤค เข้าไปสูส ่ ณ
ั ฐา
คารพร้อมด้วยมเหสีและพราหมณ์ ปุโรหิต
บุคคลนันสําเร็จการนอนบนพืน อันปราศจากการปูลาด ไล้ด้วยมูลโคสด นํานมใดมีอยูใ่ นนมเต้าหนึ งของแม่โคลูกอ่อนตัวหนึ ง
พระราชาย่อมยังพระชนม์ให้เป็ นไปด้วยนํานมเต้านัน นํานมใดมีอยูใ่ นนมเต้าที 2 พระมเหสียอ ่ มยังพระชนม์ให้เป็ นไปด้วยนํานมเต้านัน
นํานมใดมี อยู่ในนมเต้าที 3 พราหมณ์ ปุ โรหิต ย่อมยังอัตภาพให้เป็ นไปด้วยนํานมเต้านัน นํานมใดมีอยู่ในนมเต้า ที 4 ย่อมบู ช าไฟด้วย
นํานมเต้านัน ลูกโคย่อมยังอัตภาพให้เป็ นไปด้วยนํานมทีเหลือ
พระราชานันตรัสอย่างนีว่า ท่านทังหลายจงฆ่าโคเท่านีเพือบูชายัญ จงฆ่าลูกโคผู้เท่านีเพือบูชายัญ จงฆ่าลูกโคเมียเท่านีเพือบูชา
ยัญ จงฆ่าแพะเท่านีเพือบูชายัญ จงฆ่าแกะเท่านีเพือบูชายัญ จงตัดต้นไม้เท่านีเพือทําหลัก จงเกียวหญ้าคาเท่านีเพือบังและลาด แม้ชนเหล่า
ใดทีเป็ นทาสก็ดี เป็ นคนรับ ใช้ก็ดี เป็ นคนงานก็ดี ของพระราชานัน แม้ช นเหล่า นันก็สะดุ้งต่ออาญา สะดุ้งต่อภัย มี หน้า นองด้ วยนําตา
ร้องไห้ทําการงานอยู่ ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั อย่า งนี แล บุ ค คลชือว่าเป็ นผู้ทําตนให้เดือดร้อน ประกอบด้วยความขวนขวายในการทําตนให้
เดือดร้อน และเป็ นผู้ทาํ ผู้อืนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดือดร้อน.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อย่างไร บุคคลชือว่าไม่ทาํ ตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน และไม่
ทํา ผู้อืนให้เดือดร้อน ไม่ป ระกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดื อดร้อน บุ ค คลนันเป็ นผู้ไม่ทํา ตนให้เดือดร้อน และไม่ทํา ผู้อืนให้
เดือดร้อน เป็ นผู้ไม่มีความหิว ดับร้อน เย็นใจ เสวยสุข มีตนอืนประเสริฐอยูใ่ นปัจจุบน ั เทียว ?
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั พระตถาคตเสด็จอุบตั ิขึ นในโลกนี เป็ นพระอรหันต์ ตรัสรูเ้ องโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จ
ไปดีแล้ว ทรงรูแ ้ จ้งโลก เป็ นสารถีฝึกบุรุษทีควรฝึ ก ไม่มีผู้อืนยิงกว่า เป็ นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทงหลาย ั เป็ นผู้เบิกบานแล้ว เป็ นผู้
จําแนกธรรม พระตถาคตพระองค์นน ั ทรงทําโลกนี พร้อมทังเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิงของพระองค์เอง
แล้ว ทรงสอนหมู่สตั ว์พร้อมทังสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุ ษย์ใ ห้รูต ้ าม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบืองต้น งานในท่ามกลาง
งามในทีสุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทังอรรถ พร้อมทังพยัญชนะ บริสุทธิบริบูรณ์ สนเชิ ิ ง
คฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดี หรือบุคคลผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ ง ย่อมฟังธรรมนัน เขาฟังธรรมนันแล้ว ย่อมได้ศรัทธาใน
พระตถาคต เขาประกอบด้วยการได้ซึ งศรัทธานัน ย่อมเห็นตระหนักชัด ดังนี ว่า ฆราวาสดับ แคบ เป็ นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็ นทาง
ปลอดโปร่ง การทีบุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิโดยส่วนเดียว ดุจสังข์ขดั ไม่ใช่ทาํ ได้งา่ ย
ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็ นบรรพชิตเถิด
สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่ งห่ม ผ้า กาสายะ ออกบวชเป็ นบรรพชิต
เมือเขาบวชแล้วอย่างนี ถึงความเป็ นผู้มีสก ิ ขาและสาชีพ เสมอด้วยภิกษุ ทงหลาย ั
ละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตรา มี ค วามละอาย มี ค วามเอ็นดู อนุ เคราะห์เกือกูลสรรพสัตว์อยู่
เสมอ ละอทินนาทาน งดเว้นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของทีเขาให้ จํานงแต่ของทีเขาให้ มีตนไม่เป็ นขโมย สะอาดอยูเ่ สมอ ละกรรมอัน
เป็ นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติหา่ งไกล เว้นจากเมถุนอันเป็ นกิจของชาวบ้าน ละมุสาวาท งดเว้น จากมุสาวาท
พูดแต่คาํ จริง ดํารงคําสัตย์ พูดเป็ นหลักฐาน ควรเชือได้ ไม่พูดลวงโลก ละคําส่อเสียด เว้นขาดจากคําส่อเสียด ฟังจากข้างนีแล้วไม่ไปบอก
ข้างโน้น เพือให้คนหมู่นีแตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี เพือให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนทีแตกร้าวกันแล้ว
บ้า ง ส่งเสริม คนทีพร้อมเพรียงกันแล้วบ้า ง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดี ใ นคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิด เพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน
กล่าวแต่คาํ ทีทําให้พร้อมเพรียงกัน ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ กล่าวแต่คาํ ทีปราศจากโทษ เสนาะโสต ชวนให้รกั จับใจ สุภาพ
คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ ละคําเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคําเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คาํ ทีเป็ นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินยั พูดแต่
คํามีหลักฐาน มีทีอ้าง มีทีกําหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร
เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล เว้นขาดจากการ
ฟ้ อนรํา ขับร้อง ประโคมดนตรี และดู การเล่นอันเป็ นข้าศึกแก่กุศล เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับและตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของ
หอม และเครืองประเทืองผิว อันเป็ นฐานะแห่งการแต่งตัว เว้นขาดจากการนังนอนบนทีนังทีนอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการรับทองและ
เงิน เว้นขาดจากการรับธัญชาติ ดิบ เว้นขาดจากการรับเนือดิบ เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เว้น
ขาดจากการรับแพะและแกะ เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้าและฬา เว้นขาดจากการรับไร่นาและทีดิน เว้น
ขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เว้นขาดจากการซือขาย เว้นขาดจากการฉ้อโกงด้วยตาชัง โกงด้วยของปลอมและโกงด้วย
เครืองตวงวัด เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบแตลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจํา การตี ชิง การปล้นและ
กรรโชก เธอเป็ นผู้สน ั โดษด้วยจีวรเป็ นเครืองบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็ นเครืองบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใด ๆ ก็ถือไปได้เอง
นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใด ๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็ นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุ ก็ฉน ั นันแล เป็ นผู้สน ั โดษด้วยจีวรเป็ นเครืองบริหารกาย
ด้วยบิณฑบาตเป็ นเครืองบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใด ๆ ก็ถือไปได้เอง
เธอเป็ นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์อน ั เป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน เธอเห็นรูปด้วยจักษุ แล้ว ไม่ถือ
นิมิต ไม่ถืออนุ พยัญชนะ ย่อมปฏิบ ต ั ิเพือสํา รวมจักขุ นทรีย์ ทีเมื อไม่สํา รวมแล้ว จะเป็ นเหตุ ใ ห้อกุศ ลธรรมอันลามก คือ อภิช ฌา และ
โทมนัสครอบงํานัน ชือว่ารักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสํารวมในจักขุนทรีย์
ฟังเสียง ด้วยหู...ดมกลินด้วยจมูก.. .ลิมรสด้วยลิน...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รูแ ้ จ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่
ถืออนุ พยัญชนะ เธอย่อมปฏิบตั ิเพือสํารวม มนินทรีย์ ทีเมื อไม่สํา รวมแล้ว จะเป็ นเหตุ ใ ห้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิช ฌาและโสมนัส
ครอบงํา นัน ชื อว่า รักษามนินทรีย์ ถึงความสํา รวมในมนินทรีย์ เธอประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็ นอริยะ เช่ นนี ย่อมได้เสวยสุข อัน
บริสุทธิไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน
เธอย่อมทําความรูส้ ก ึ ตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ ย่อมทําความรูส้ ก ึ ตัวในการแล ในการเหลียว ย่อมทําความรูส้ ก ึ ตัวในการ
คูเ้ ข้า ในการเหยียดออก ย่อมทําความรูส้ ก ึ ตัวในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ย่อมทําความรูส้ ก ึ ตัวในการฉัน การดืมการเคียว
การลิม ย่อมทําความรูส ้ ก ึ ตัวในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทําความรูส ้ ก
ึ ตัวในการเดิน การยืน การนัง การหลับ การตื น ความนิง เธอ

๗๖
ประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร และสติสมั ปชัญญะ อันเป็ นอริยะเช่นนี ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่ า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถํา ป่ า
ช้า ป่ าชัฏ ทีแจ้ง ลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว นังคูบ ้ ลั ลังก์ ตังกายตรง ดํารงสติไว้เฉพาะหน้า
เธอละความโลภในโลก มีใจปราศจากความโลภอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากความโลภ ละความประทุษร้าย คือพยาบาท ไม่
คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์เกือกูล แก่สตั ว์ทงปวงอยู ั ่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากความประทุษร้ายคือ พยาบาท ละถีนมิทธะ
แล้ว มีความกําหนดหมายอยูท ่ ีแสงสว่าง มีสติ มีสมั ปชัญญะ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็ นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
มี จิต สงบภายใน ย่อมชํา ระจิตให้บริสุทธิจากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็ นผู้ข้ามวิจิกจิ ฉา ไม่มี ค วามสงสัยในกุศลธรรมทังหลาย
ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากวิจก ิ จิ ฉา เธอละนิวรณ์ เหล่านีอันเป็ นอุปกิเลสของใจ เป็ นเครืองทําปัญญาให้ทุรพลแล้ว สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุ
จตุ ต ถฌาน ภิกษุ นน ั เมื อจิต เป็ นสมาธิ บริสุทธิ ผ่องแผ้ว ไม่มี กิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็ นจิต อ่อน ควรแก่การงาน ตังมัน ไม่หวันไหว
อย่างนี
ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพือบุพเพนิวาสานุสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติกอ ่ นได้เป็ นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ งบ้าง สองชาติ บ้าง
สามชาติบ้าง สีชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยีสิบชาติบา้ ง สามสิบชาติบา้ ง สีสิบชาติบา้ ง ห้าสิบชาติบา้ ง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสน
ชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็ นอันมากบ้าง ตลอดวิวฏั กัปเป็ นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวฏั กัปเป็ นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชือออย่างนัน
มีโคตรอย่างนัน มีผิวพรรณอย่างนัน มีอาหารอย่างนัน เสวยสุขและทุกข์อย่างนัน ๆ มีกาํ หนดอายุเพียงเท่านัน ครันจุติจากภพนันแล้วได้
ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนัน เราก็ได้มีชืออย่างนัน มีโคตรอย่างนัน มีผิวพรรณอย่างนัน มีอาหารอย่างนัน เสวยสุขและทุกข์อย่างนัน ๆ
มี กํา หนดอายุเพียงเท่านัน ครันจุติจากภพนันแล้ว ได้ม าเกิดในภพนี เธอย่อมระลึกถึงชาติกอ ่ นได้เป็ นอันมาก พร้อมทังอาการพร้อมทัง
อุเทศ ด้วยประการฉะนี
ภิกษุ นนั เมือจิตเป็ นสมาธิ บริสุทธิผ่องแผ้ว ไม่มีกเิ ลส ปราศจากอุปกิเลส เป็ นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ตังมันไม่หวันไหวอย่างนี
ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพือรูจ้ ุติ และอุปบัติของสัตว์ทงหลาย ั เธอย่อมเห็นหมู่สตั ว์ทีกําลังจุติ กําลังอุปบัติ เลว ประณี ต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ
ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อน ั บริสุทธิ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ย่อมรูช ้ ดั ซึ งหมู่สตั ว์ผู้เป็ นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านีประกอบด้วยกาย
ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตี ยนพระอริยเจ้า เป็ นมิจฉาทิฏฐิ ยึด ถือการกระทําด้วยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ เมื อตายไป เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบ าต นรก ส่วนสัต ว์เหล่านีประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตี ยนพระอริยเจ้า เป็ นสัม มาทิฏฐิ ยึด ถื อการกระทําด้วย
อํานาจสัมมาทิฏฐิ เมือตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เธอย่อมเห็นหมู่สตั ว์กาํ ลังจุติ กําลังอุปบัติ เลว ประณี ต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ
ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อน ั บริสุทธิ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ย่อมรูช ้ ดั ซึ งหมู่สตั ว์ ผู้เป็ นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี
ภิกษุ นน ั เมือจิตเป็ นสมาธิ บริสท ุ ธิ ผ่องแผ้ว ไม่มีกเิ ลส ปราศจากอุปกิเลส เป็ นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ตังมัน ไม่หวันไหวอย่า ง
นี ย่อมโน้ม น้อมจิตไปเพืออาสวักขยญาณ ย่อมรูช ้ ด
ั ตามความเป็ นจริงว่า นี ทุกข์ นี ทุกขสมุ ทยั นี ทุกขนิโ รธ นี ทุกขนิโ รธคานินีปฏิปทา
เหล่านีอาสวะ นีเหตุให้เกิดอาสวะ นีความดับอาสวะ นีข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ความดับอาสวะ เมือเธอรูเ้ ห็นอย่างนี จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามา
สวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมือจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยังรูว้ า่ หลุดพ้นแล้ว รูช ้ ดั ว่าชาติสนแล้
ิ ว พรหมจรรย์อยูจ่ บแล้ว กิจที
ควรทํา ทําเสร็จแล้ว กิจอืนเพือความเป็ นอย่างนีมิได้มี.
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั อย่า งนี แล บุ ค คลชือว่าเป็ นผู้ไม่ทาํ ตนให้เดือดร้อน ไม่ป ระกอบความขวนขวายในการทําตนให้เดือดร้อน
และไม่ทาํ ผู้อืนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทําผู้อืนให้เดือดร้อนและบุคคลนันเป็ นผู้ไม่ทาํ ตนให้เดือดร้อน ไม่ทาํ ผู้อืน
ให้เดือดร้อน เป็ นผู้ไม่มีความหิว เป็ นผู้ดบ ั เย็นใจ เสวยสุข มีตนอันประเสริฐ อยูใ่ น
ปัจจุบน ั .
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั บุคคล 4 จําพวกนีแล มีปรากฏอยูใ่ นโลก.
…………………………………………………………
ราสิยสูตร สํ.สฬ.18/629/336
ผูบ้ าํ เพ็ญตบะ ทําตนให้เดือดร้อน แต่ไม่อาจบรรลุธรรม 3 จําพวก
[644] ดูกอ ่ นนายคามณี บุคคลผู้มีตบะ ทรงชีพอยูอ ่ ย่างเศร้าหมอง 3 จําพวกนี มีปรากฏอยูใ่ นโลก 3 จําพวกเป็ นไฉน คือ
บุ ค คลผู้มี ตบะทรงชี พอยู่อย่างเศร้า หมองบางคนในโลกนี เป็ นผู้มี ศ รัทธาออกบวชเป็ นบรรพชิตด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เราพึง
บรรลุกุศลธรรม พึงทํา ให้แจ้งซึ งอุตตริ มนุ สสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะ วิเศษชันเยียม อย่า งบริบูรณ์ ดังนี เขาย่อมทําตัวให้รอ้ นรนกระวน
กระวาย แต่ก็ไม่บรรลุกุศลธรรม ทําให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ ไม่ได้ 1
ดูกอ่ นนายคามณี ก็บุคคลผู้มีตบะทรงชีพอยูอ ่ ย่างเศร้าหมองบางคนในโลกนี .. เขาย่อมทําตัวให้รอ้ นรนกระวนกระวาย บรรลุ
กุศลธรรมอย่างเดียว แต่กระทําให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ ไม่ได้ 1
ดู ก่อนนายคามณี ก็บุ ค คลผู้มีต บะทรงชีพอยู่อย่า งเศร้า หมองบางคนในโลกนี .. เขาย่อมทํา ตัวให้รอ ้ นรนกระวนกระวาย ได้
บรรลุกุศลธรรม และทําไห้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ 1.
[645] ดูกอ ่ นนายคามณี ในบรรดาบุคคลผู้มีตบะทรงชีพอยูอ ่ ย่างเศร้าหมอง 3 จําพวกนัน ผู้มีตบะทรงชีพอยูอ่ ย่างเศร้าหมอง ที
ทําตัวให้รอ้ นรนกระวนกระวาย ไม่ได้บรรลุกุศลธรรม ทําให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ ไม่ได้นี
พึงถูกติเตียนโดย 3 สถาน พึงถูกติเตียนโดย 3 สถานเป็ นไฉน คือ
สถานที 1 พึงถูกติเตียนดังนีว่า ทําตัวให้รอ้ นรนกระวนกระวาย
สถานที 2 พึงถูกติเตียนดังนีว่า ไม่ได้บรรลุกุศลธรรม
สถานที 3 พึงถูกติเตียนดังนีว่า ทําให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรม ทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ ไม่ได้
ดูกอ่ นนายคามณี บุคคลผู้มีตบะทรงชีพอย่างเศร้าหมองนี พึงถูกติเตียนโดย 3 สถานเหล่านี.
[646] ดูกอ ่ นนายคามณี ในบรรดาบุคคลผู้มีตบะทรงชีพอยูอ ่ ย่างเศร้าหมอง 3 จําพวกนัน ผู้มีตบะทรงชีพอยูอ่ ย่างเศร้าหมอง ที
ทําตัวให้รอ้ นรนกระวนกระวาย ได้บรรลุกุศลธรรมเหล่านัน แต่ทาํ ให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมชันเยียมอย่างบริบูรณ์ไม่ได้นี พึงถูกติเตียน
โดย 2 สถาน ควรสรรเสริญโดยสถานเดี ยว พึงถูกติเตี ยนโดย 2 สถานเป็ นไฉน คือ สถานที 1 พึงถูกติเตี ยนดังนี ว่า ทํา ตัวให้รอ ้ นรน
กระวนกระวาย สถานที 2 พึงถูกติเตียนดังนีว่า ทํา ให้แจ้งซึ งอุตตริมนุ สสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ ไม่ได้ ควร

๗๗
สรรเสริญโดยสถานเดียวเป็ นไฉน คือ ควรสรรเสริญโดยสถานเดียวดังนีว่า ได้บรรลุกุศลธรรม ดูกอ ่ นนายคามณี บุคคลผู้มีตบะทรงชีพอยู่
อย่างเศร้าหมองเช่นนี พึงถูกติเตียนโดย 2 สถาน ควรสรรเสริญโดยสถานเดียวนี.
[647] ดูกอ
่ นนายคามณี ในบรรดาบุคคลผู้มีตบะทรงชีพอยูอ ่ ย่างเศร้าหมอง 3 จําพวกนัน ผู้มีตบะทรงชีพอยูอ
่ ย่างเศร้าหมอง ที
ทําตัวให้รอ้ นรนกระวนกระวาย ได้บรรลุกุศลธรรม และทําให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ นี พึง
ถูกติเตียนโดยสถานเดียว ควรสรรเสริญโดย 2 สถาน พึงถูกติเตียนโดยสถานเดียวเป็ นไฉน คือ พึงถูกติเตียนโดยสถานเดียวดังนีว่า ทําตัว
ให้รอ้ นรนกระวนกระวาย ควรสรรเสริญโดย 2 สถานเป็ นไฉน คือ สถานที 1 ควรสรรเสริญดังนี ว่า ได้บ รรลุกุศลธรรม สถานที 2 ควร
สรรเสริญดังนีว่า ทําให้แจ้งซึ งอุตตริมนุสสธรรมทีเป็ นญาณทัศนะวิเศษชันเยียมอย่างบริบูรณ์ ได้ ดูกอ
่ นนายคามณี บุคคลผู้มีตบะทรงชีพ
อยูอ
่ ย่างเศร้าหมองเช่นนี พึงถูกติเตียนโดยสถานเดียว ควรสรรเสริญโดย 2 สถานเหล่านัน.
ว่าด้วยธรรม 3 อย่างอ ันบุคคลพึงเห็นเอง

[648] ดูกอ ่ นนายคามณี ธรรม 3 อย่างนี เป็ นของอันบุคคลพึงเห็นเอง หาความทรุดโทรมมิได้ ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียก
ให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญ ูชนจะพึงรูเ้ ฉพาะตน ธรรม 3 อย่างเป็ นไฉน คือ
การทีบุคคลเป็ นผู้กาํ หนัด ตังใจทีจะเบียดเบียนตนเองบ้าง ตังใจทีจะเบียดเบียนผู้อืนบ้าง ตังใจทีจะเบียดเบียนทังตนเองทังผู ้อืน
บ้างเพราะราคะเป็ นเหตุ เมือละราคะได้แล้ว ย่อมไม่ตงใจที ั จะเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมไม่ตงใจที
ั จะเบี ยดเบียนผู้อืนบ้าง ย่อมไม่ตงใจที

จะเบี ยดเบียนทังตนเองทังผู้อืนบ้าง นี เป็ นธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง หาความทรุดโทรมมิได้ ไม่ป ระกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควร
น้อมเข้ามาในตน อันวิญ ูชนจะพึงรูเ้ ฉพาะตน 1
การทีบุ ค คลผู้ถูกโทสะประทุษ ร้ายแล้ว ตังใจทีจะเบี ยดเบียนตนเองบ้า ง ตังใจทีจะเบี ยดเบี ยนผู้อืนบ้า ง ตังใจทีจะเบี ยดเบี ยนทัง
ตนเองทังผู้อืนบ้าง เพราะโทสะเป็ นเหตุ เมือละโทสะได้แล้ว ย่อมไม่ตงใจทีั จะเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมไม่ตงใจทีั จะเบียดเบียนผู้อืนบ้าง
ย่อมไม่ตงใจที
ั จะเบียดเบียนทังตนเองทังผู้อืนบ้าง ..
การทีบุ ค คลผู้หลงแล้ว ตังใจจะเบี ยดเบียนตนเองบ้า ง ตังใจจะเบี ยดเบียนผู้อืนบ้าง ตังใจจะเบี ยดเบียนทังตนเองทังผู้อืนบ้าง
เพราะโมหะเป็ นเหตุ เมือละโมหะได้แล้ว ย่อมไม่ตงใจที ั จะเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมไม่ตงใจที
ั จะเบียดเบียนผู้อืนบ้าง ย่อมไม่ตงใจที
ั จะ
เบียดเบียนทังตนเองทังผู้อืนบ้าง ..
ดูกอ
่ นนายคามณี ธรรม 3 อย่างนีแล เป็ นของอันบุคคลพึงเห็นเองหาความทรุดโทรมมิได้ ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญ ูชนจะพึงรูเ้ ฉพาะตน.
………………………………………………….
กุกกุโรวาทสูตร ม.ม.13/84/64
ปุณณโกลิยบุตรประพฤติวตั รดังโค-เสนิยอเจละประพฤติวตั รดังสุนัข
กรรมดํากรรมขาว 4
[88] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นีว่า
ดูกอ่ นปุณณะ กรรม 4 ประการนี เราทําให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิงเอง แล้วสอนผู้อืนให้รต ู ้ าม 4 ประการนันเป็ นไฉน
ดู ก่อนปุ ณ ณะ (1) กรรมดํา มีวิบ ากดํามีอยู่ (2) กรรมขาวมี วิบากขาวมีอยู่ (3) กรรมทังดําทังขาว มี วิบ ากทังดํา ทังขาวมีอยู่ (4)
กรรมไม่ดําไม่ขาว มีวบ ิ ากไม่ดําไม่ขาว เป็ นไปเพือความสินกรรมมีอยู.่
ดูกอ่ นปุณณะ ก็กรรมดํามีวบ ิ ากดํา เป็ นไฉน ดูกอ่ นปุณณะ บุคคลบางคนในโลกนี ประมวลกายสังขาร อันมีความทุกข์ ประมวล
วจีสงั ขาร อันมี ค วามทุกข์ ประมวลมโนสังขาร อันมี ค วามทุกข์ ครันแล้ว เขาย่อมเข้าถึงโลกอันมีความทุกข์ ผัสสะอันมีความทุกข์ ย่อม
ถูกต้องเขาผู้เข้าถึงโลกอันมีทุกข์ เขาอันผัสสะประกอบด้วยทุกข์ถูกต้อง ย่อมเสวยเวทนาอันประกอบด้วยทุกข์ อันเป็ นทุกข์โดยส่วนเดี ยว
ดุจสัตว์นรก ฉะนัน
ดูกอ ่ นปุณณะ เพราะกรรมทีมีดงั นีแล ความอุปบัติของสัตว์จงึ มี สัตว์ทาํ กรรมใดไว้ ย่อมเข้าถึงเพราะกรรมนัน ผัสสะย่อมถูกต้อง
เขาผู้เข้าถึงแล้ว ดูกอ ่ นปุณณะ แม้เพราะอย่างนี เราจึงกล่าวว่า สัตว์มีกรรมเป็ นทายาท ข้อนี เรากล่าวว่า กรรมดํามีวบ ิ ากดํา.
ดู ก่อนปุ ณ ณะ ก็ ก รรมขาว มี วิบ ากขาว เป็ นไฉน ดู ก่อนปุ ณ ณะ บุ ค คลบางคนในโลกนี ประมวลกายสังขาร อันไม่มี ค วามทุกข์
ประมวลวจีสงั ขาร อันไม่มีความทุกข์ ประมวลมโนสังขาร อันไม่มีความทุกข์ ครันแล้ว เขาย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความทุกข์ ผัสสะอันไม่
มี ค วามทุกข์ ย่อมถูกต้องเขาผู้เข้า ถึงโลกอันไม่มีความทุกข์ เขาอันผัสสะไม่มีความทุกข์ถูกต้องแล้ว ย่อมเสวยเวทนาอันไม่มีความทุกข์
เป็ นสุขโดยส่วนเดียว ดุจเทพชันสุภกิณหา ฉะนัน
ดูกอ ่ นปุณณะ เพราะกรรมทีมีดงั นีแล ความอุปบัติของสัตว์จงึ มี สัตว์ทาํ กรรมใดไว้ ย่อมเข้าถึงเพราะกรรมนัน ผัสสะย่อมถูกต้อง
เขาผู้เข้าถึงแล้ว ดูกอ ่ นปุณณะ แม้เพราะอย่างนี เราจึงกล่าวว่า สัตว์มีกรรมเป็ นทายาท ข้อนี เรากล่าวว่า กรรมขาวมีวบ ิ ากขาว.
ดู ก่อนปุ ณณะ ก็ กรรมทังดํา ทังขาว มี วิบ ากทังดําทังขาว เป็ นไฉน ดู ก่อนปุณณะ บุ ค คลบางคนในโลกนี ประมวลกายสังขาร อันมี ความ
ทุกข์ บ้า ง ไม่มี ค วามทุกข์บ้าง ประมวลวจีสงั ขาร อันมี ค วามทุกข์บ้าง ไม่มี ค วามทุกข์บ้า ง ประมวลมโนสังขาร อ น ั มี ค วามทุกข์บ้าง ไม่มี
ความทุกข์บ้าง ครันแล้ว เขาย่อมเข้าถึงโลกอันมีความทุกข์ บ้าง ไม่มี ค วามทุกข์บ้า ง ผัสสะอันมีความทุกข์บ้าง ไม่มี ค วามทุกข์ บ้าง ย่อม
ถูกต้องเขาผู้เข้าถึงโลกอันมีความทุกข์บ้าง ไม่มี ความทุกข์บ้าง เขาอันผัสสะทีมีความทุกข์บ้าง ไม่มี ความทุกข์บ้างถูกต้องแล้ว ย่อมเสวย
เวทนาอันมีความทุกข์บ้าง ไม่มีความทุกข์บ้าง มีทงสุ ั ขและทุกข์ระคนกัน ดุจพวกมนุษย์ เทพบางเหล่าและสัตว์วน ิ ิบาตบางเหล่า ฉะนัน
ดูกอ ่ นปุณณะ เพราะกรรมทีมีดงั นีแล ความอุปบัติของสัตว์จงึ มี สัตว์ทาํ กรรมใดไว้ ย่อมเข้าถึงเพราะกรรมนัน ผัสสะย่อมถูกต้อง
เขาผู้เข้าถึงแล้ว ดูกอ ่ นปุณณะ แม้เพราะอย่างนี เราจึงกล่าวว่า สัตว์มีกรรมเป็ นทายาท ข้อนีเรากล่าวว่า กรรมทังดําทังขาว มีวบ ิ ากทังดําทัง
ขาว.
ดู ก่อนปุ ณ ณะ ก็ ก รรมไม่ดํา ไม่ข าว มี วิบ ากไม่ดํา ไม่ขาว ย่อ มเป็ นไปเพือความสินกรรมนันเป็ นไฉน ดู ก่อนปุ ณ ณะ บรรดากรรม 3
ประการนัน เจตนาเพือละกรรมดํา มีวบ ิ ากดํา เจตนาเพือละกรรมขาว มีวบ ิ ากขาว เจตนาเพือละกรรมทังดําทังขาว มีวบ ิ ากทังดําทังขาวนัน
เสีย ข้อนี เรากล่าวว่า กรรมไม่ดําไม่ขาว มีวบ ิ ากไม่ดําไม่ขาว ย่อมเป็ นไปเพือความสินกรรม
ดูกอ ่ นปุณณะ กรรม 4 ประการนีแล เราทําให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิงเองแล้ว สอนผู้อืนให้รต ู ้ าม.
…………………………………………………………

๗๘
เทวทหสูตร ม.อุ.14/1/1
พระตถาคตตอบโต้นิครนถ์เรืองปุพเพกตเหตุวาท
[2] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนีว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ ง มีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า ปุรส
ิ บุคคลนี
ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใ ช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ใน
ก่อน ทังนี เพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ ไม่ทํา กรรมใหม่จกั มีความไม่ถูกบังคบั ต่อไป เพราะไม่ถูกบังคบั ต่อไป จักมี ค วามสินกรรม
เพราะสินกรรม จักมีความสินทุกข์ เพราะสินทุกข์ จักมีความสินเวทนา เพราะสินเวทนา ทุกข์ทงปวงจั ั กเป็ นของอันปุรสิ บุคคลนันสลัด
ได้แล้ว ดูกรภิกษุ ทงหลายพวกนิ
ั ครนถ์มกั มีวาทะอย่างนี ฯ
[8] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เรากล่าวกะพวกนิครนถ์นนต่
ั อไปอีกอย่างนีว่า ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสําคญ
ั ความข้อนันเป็ น
ไฉน สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนัน พวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อัน
เกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความความพยายามแรงกล้า ไม่มีความเพียรแรงกล้า สมัยนัน พวกท่านย่อมไม่
เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า ฯ
นิค รนถ์รบั ว่า พระโคดมผู้มีอายุ สมัยใด พวกข้าพเจ้ามีความพยายามแรงกล้า มี ค วามเพียรแรงกล้า สมัยนัน พวกข้าพเจ้า
ย่อมเสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า สมัยใด พวกข้าพเจ้าไม่มีความพยายามแรงกล้า สมัยนัน
พวกข้าพเจ้าย่อมไม่เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า ฯ
[9] พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ เท่าทีพูดกันมานีเป็ นอันว่า .. เมือเป็ นเช่นนี พวกนิครนถ์ผู้มีอายุ ไม่บงั ควรจะพยากรณ์ วา่ ปุรส

บุคคลนีย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทํา
ไว้ในก่อน ... พวกท่านนันเสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความเพียรเองทีเดียว
[11]... ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้าหมู่สตั ว์ยอ
่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผูท
้ าํ
กรรมชัวไว้กอ ่ นแน่ ในบัดนี พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์ กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุ
ทีอิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้ถูกอิศวรชันเลวเนรมิตมาแน่ ..
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีมีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้มีความบังเอิญชัวแน่ ..
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้มีอภิชาติเลวแน่ ..
ถ้า หมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบน ั พวกนิค รนถ์ต้องเป็ นผู้มีความพยายามในปัจจุบน ั
เลวแน่ ในบัดนี พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี
[12] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อย่างไร ความพยายามจึงจะมีผล ความเพียรจึงจะมีผล
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี ไม่เอาทุกข์ทบั ถมตนทีไม่มีทุกข์ทบั ถม 1 ไม่สละความสุขทีเกิดโดยธรรม 1 ไม่เป็ นผู้
หมกมุ่นในความสุขนัน 1 เธอย่อมทราบชัดอย่างนีว่า ถึงเรานีจักยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมือเริมตังความเพียร วิราคะย่อมมีได้เพราะการตัง
ความเพียร อนึ ง ถึงเรานีจะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมือวางเฉย บําเพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ยอ ่ มมีได้ เธอพึงเริมตังความเพียร .. และบําเพ็ญ
อุเบกขา ในทํานองทีภิกษุ ยงั มีเหตุแห่งทุกข์ วางเฉย บําเพ็ญอุเบกขาอยู่ ย่อมมีวริ าคะ .. แม้อย่างนี ทุกข์นนก็
ั เป็ นอันเธอสลัดได้แล้ว ฯ
[15] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อีกประการหนึ ง ภิกษุ พจิ ารณาเห็นดังนีว่า เมือเราอยูต
่ ามสบาย อกุศลธรรมย่อมเจริญยิง กุศลธรรม
ย่อมเสือม แต่เมื อเราเริมตังตนเพือความลําบาก อกุศ ลธรรมย่อมเสือม กุศ ลธรรมย่อมเจริญยิง อย่า กระนันเลย เราพึงเริมตังตนเพือ
ความลําบากเถิด เธอจึงเริมตังตนเพือความลําบาก เมือเธอเริมตังตนเพือความลําบากอยู่ อกุศลธรรมย่อมเสือม กุศลธรรมย่อมเจริญยิง
สมัยต่อมา เธอไม่ต้องเริมตังตนเพือความลําบากได้ ข้อนันเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุ ทงหลายั เพราะภิกษุ นนเริ
ั มตังตนเพือความลําบาก
เพือประโยชน์ใด ประโยชน์นนของเธอ
ั เป็ นอันสําเร็จแล้ว
[17] เธอประกอบด้วยศีลขันธ์อน
ั เป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน เห็นรูปด้วยจักษุ แล้ว... ได้ยน ิ
เสียงด้วยโสต ... ได้ดมกลินด้วยฆานะ ... ได้ลมรสด้
ิ วยชิวหา ... ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... ได้รแู ้ จ้งธรรมารมณ์ ดว้ ยใจแล้ว ย่อม
ไม่เป็ นผู้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบตั ิเพือสํารวมมนินทรีย์ ทีเมือไม่สาํ รวมแล้ว พึงเป็ นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก
คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงําได้ ย่อมรักษามนินทรีย์ ถึงความสํารวมในมนินทรีย์ ฯ
[18] เธอประกอบด้วยอินทรีย์สงั วรอันเป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมเสวยสุขอันไม่เจือทุกข์ในภายใน เป็ นผู้ทําความรูส้ ก
ึ ตัวใน
เวลาก้า วไปและถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลาคู้เข้าและเหยียดออก ในเวลาทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในเวลาฉัน ดืม
เคียวและลิม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นัง นอนหลับ ตืน พูด และนิง ฯ
[19] เธอประกอบด้ ว ยศี ล ขัน ธ์ อ น
ั เป็ นอริย ะเช่ น นี ประกอบด้ ว ยอิน ทรี ย์ ส งั วรอัน เป็ นอริย ะเช่ น นี และประกอบด้ ว ย
สติสมั ปชัญญะอันเป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมพอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่ า โคนไม้ ภูเขา ถําป่ าช้า ป่ าชัฏ ทีแจ้ง และลอมฟาง เธอกลับ
จากบิณ ฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นังคู่บ ลั ลังก์ ตังกายตรง ดํา รงสติม นเฉพาะหน้
ั า ละอภิช ญาในโลกได้แล้ว มี จิต ปราศจาก
อภิชฌาอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากอภิชฌา ละความประทุษร้ายคือพยาบาท เป็ นผู้มีจต ิ ไม่พยาบาท อนุเคราะห์ด้วยความเกือกูลใน
สรรพสัตว์อยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากความประทุษร้ายคือพยาบาท ละถีนมิทธะแล้ว เป็ นผู้มีจต ิ ปราศจากถีนมิทธะ มีอาโลกสัญญา
มีสติสมั ปชัญญะอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจะกุกกุจจะแล้ว เป็ นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจต ิ สงบภายในอยู่ ย่อมชําระจิต
ให้บ ริสุทธิจากอุทธัจจะกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้วเป็ นผู้ข้ามความสงสัย ไม่มี ป ัญหาอะไรในกุศลธรรมทังหลายอยู่ ย่อมชํา ระจิตให้
บริสุทธิจากวิจกิ จิ ฉาได้ ฯ
[20] เธอครันละนิวรณ์ 5 ประการอันเป็ นเครืองทําใจให้เศร้าหมอง ทําปัญญาให้ถอยกําลังนีได้แล้ว จึงสงัดจากกาม สงัดจาก
อกุศ ลธรรม เข้า ปฐมฌาน มี วิต ก มี วิจาร มี ปี ติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั แม้อย่า งนีก็ชือว่าความพยายามมีผล ความ

๗๙
เพียรมีผล ฯ
[21] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ประการอืนยังมี อีก ภิกษุ เข้า ทุติยฌาน มี ค วามผ่องใสแห่งใจภายใน มี ค วามเป็ นธรรมเอกผุดขึ น
เพราะสงบวิตกและวิจารไม่มีวติ ก ไม่มีวจิ าร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ..
[22] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ประการอืนยังมีอีก ภิกษุ เป็ นผู้วางเฉยเพราะหน่ ายปี ติ มีสติสมั ปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย
เข้าตติยฌานทีพระอริยะเรียกเธอได้วา่ ผู้วางเฉย มีสติ อยูเ่ ป็ นสุขอยู่
[23] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ประการอืนยังมีอีก ภิกษุ เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มี สุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส
โทมนัสก่อนๆ ได้มีสติบริสุทธิเพราะอุเบกขาอยู่ ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั แม้อย่างนีก็ชือว่า ความพยายามมีผล ความเพียรมีผล ฯ
[24] เธอ เมือจิตเป็ นสมาธิ บริสุทธิผุดผ่อง ไม่มีกเิ ลสเครืองยียวน ปราศจากอุปกิเลส เป็ นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตังมัน
ถึงความไม่หวันไหวอย่างนีแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกขันธ์ทีอยูอ ่ าศัยในชาติกอ่ นได้เป็ นอเนกประการ ...
[25] เธอ เมือจิตเป็ นสมาธิ บริสุทธิผุดผ่อง ไม่มีกเิ ลสเครืองยียวนปราศจากอุปกิเลส เป็ นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตังมัน
ถึงความไม่หวันไหวอย่างนีแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพือญาณเครืองรูจ้ ุติและอุปบัติของสัตว์ทงหลาย ั มองเห็นหมู่สตั ว์กาํ ลังจุติ กําลังอุปบัติ
เลว ประณี ต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อน ั บริสุทธิ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ...
[26] เธอ เมือจิตเป็ นสมาธิ บริสุทธิผุดผ่อง ไม่มีกเิ ลสเครืองยียวนปราศจากอุปกิเลส เป็ นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตังมัน
ถึงความไม่หวันไหวอย่างนีแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพืออาสวักขยญาณ รูช ้ ดั ตามเป็ นจริงว่า นีทุกข์นีเหตุให้เกิดทุกข์ นีทีดับทุกข์ นีปฏิปทา
ให้ถึงทีดับทุกข์ รูช
้ ด
ั ตามเป็ นจริงว่าเหล่านี อาสวะ นี เหตุ ใ ห้เกิดอาสวะ นี ทีดับ อาสวะ นี ปฏิปทาให้ถงึ ทีดับอาสวะเมือเธอรูอ ้ ย่า งนี เห็น
อย่างนี จิตก็หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะแม้จากอวิชชาสวะ เมือจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรูว้ า่ หลุดพ้นแล้ว รูช ้ ดั ว่าชาติ
สินแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจทีควรทํา ได้ทํา เสร็จแล้ว กิจอืนเพือความเป็ นอย่า งนี มิได้มี ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั อย่า งนี แล ความ
พยายามจึงมีผล ความเพียรจึงมีผล ฯ
…………………………………………………………

หลักพิจารณาในพระอภิธรรม (บทที 7 กรรม สังคหะ(1)-หน้าที 64)


หมวดที 2 ว่าโดยลําดับการให้ผล 4 อย่าง คือ
(1) ครุกรรม กรรมหนัก (2) อาสันนกรรม กรรมทีกระทําเมือใกล้ตาย
(3) อาจิณณกรรม กรรมทีกระทําเสมอจนเคยชิน (4) กฎัตตากรรม กรรมสักว่าทํา กรรมเล็กน้อย
กรรม 4 อย่างนีมีอรรถาธิบายดังนี
(1) ครุ ก รรม กรรมหนัก หมายความว่า กรรมทีมี ก ํา ลัง กล้า ให้ผ ลแรงกล้า ถ้า เป็ นกุศ ลกรรม ก็ส่ง ผลดี อย่า งแรงกล้า ถ้า เป็ น
อกุศลกรรมก็สง่ ผลชัวอย่างร้ายแรง ให้โทษอย่างหนัก เมือว่าโดยการให้ผล ครุกรรมนีก็ให้ผลก่อนกรรมอืนๆ คือให้ผลเป็ นลําดับแรก และ
ถ้าเป็ นโลกิยกรรมก็ให้ผลในชาติที 2 (หลังจากทีได้ทาํ กรรมนีไว้แล้ว) อย่างแน่ นอน
ครุกรรมในฝ่ ายอกุศล ได้แก่อนันตริยกรรม 5 (ซึ งทําด้วยโทสมูลจิต) คือ ฆ่า บิดา ฆ่า มารดา ฆ่า พระอรหันต์ ทํา ร้า ยพระพุทธ
องค์จนถึงพระโลหิตห้อ และทําสังฆเภท และในอนันตริยกรรมนี สังฆเภทเป็ นกรรมหนักทีสุดกว่าอนันตริยกรรม 4 ข้อข้างต้น ครุกรรม
ฝ่ ายอกุศลอีกอย่างหนึ งคือ กรรมทีทําด้วยนิยตมิจฉาทิฎฐิ (หรือทิฏฐิสมั ปยุตตจิต) คือความเห็นผิดอย่างดิง 3 อย่าง นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าผล
บุญ ผลบาปไม่มี คุณของบิดามารดาไม่มีเป็ นต้น 1 อเหตุกทิฏฐิ เห็นว่าไม่มีเหตุปจั จัยจะทําให้บริสุทธิหรือไม่บริสท ุ ธิ 1 อกิรยิ ทิฏฐิ เห็นว่า
การกระทําใดๆ ไม่เป็ นอันทํา เช่นทําบุญก็ไม่เป็ นอันทํา ทําบาปก็ไม่เป็ นอันทํา
ครุกรรมในฝ่ ายกุศล ได้แก่มหัคคตกุศลกรรม คือเจตนาในรูปาวจรจิต 5 เจตนาในอรูปาวจรจิต 4 กล่าวคือฌานกุศลกรรมทัง
ฝ่ ายรูปาวจรและอรูปาวจรนันมีกาํ ลังแรงมาก ผู้ได้ฌานนีถ้าฌานไม่เสือม เมือสินชีวต ิ แล้วอํานาจฌานจะส่งให้ไปเกิดในพรหมโลกในชาติ
ที 2 อย่า งแน่ นอน ส่วนโลกุตตรกุศลกรรม คือเจตนาในมัคคจิต 4 นัน ก็เป็ นครุกรรม แต่ไม่เป็ นกรรมทําให้เกิด เพราะทําหน้าทีทําลาย
การเกิด เป็ นกรรมทีมีกาํ ลังแรงกล้า สามารถส่งผลทําลายกิเลสได้เด็ดขาดในชาตินี
(2) อาสันนกรรม กรรมทีกระทําเมือใกล้ตาย หมายความว่ากรรมทีได้กระทําในเวลาจวนจะสินชีวต ิ จะเป็ นกรรมดีหรือกรรมชัว
ก็ได้ หรือแม้ระลึกได้ซึ งกรรมดีหรือกรรมชัวทีตนได้กระทํา ไว้ก็นบ ั เป็ นอาสันนกรรมทังสิน กรรมนี จะให้ผลเป็ นทีสองรองจากครุกรรม
กล่าวคือถ้าไม่มีครุกรรมแล้ว กรรมนีก็จะให้ผลก่อนอาจิณณกรรมและกฏัตตากรรม
อาสันนกรรมนี ได้แก่เจตนาในอกุศลจิต 12 ดวง (เว้นนิยตมิจฉาทิฏฐิและอนันตริยกรรม 5) และเจตนาในมหากุศลจิต 8 ส่วน
เจตนาในมหัคคตกุศลจิต 9 ดวง ไม่จดั เป็ นอาสันนกรรม เพราะเป็ นครุกรรม
(3) อาจิณณกรรม กรรมทีกระทําเสมอจนเคยชิน หมายความว่ากรรมทีทําบ่อยๆ ทําเป็ นประจํา ทังทีเป็ นกุศลและอกุศล กรรมนี
ย่อมให้ผลรองจากอสันนกรรม กล่าวคือถ้าไม่มีครุกรรมและอาสันนกรรมแล้ว อาจิณณกรรมย่อมจะให้ผลก่อนกฏัตตากรรม
อาจิณณกรรมนี ได้แก่เจตนาในอกุศลจิต 12 ดวง (เว้นนิยตมิจฉาทิฏฐิและอนันตริยกรรม 5) และเจตนาในมหากุศลจิต 8 เท่านัน
(4) กฏัต ตากรรม กรรมสัก ว่า ทํา หรือกรรมเล็ก น้อย หมายความว่า กรรมทีกระทํา ด้วยความไม่รู ้ ไม่ค รบองค์แ ห่ง กรรมบถ
หรือไม่ครบองค์แห่งเจตนา ไม่ถงึ ภาวะจะเป็ นครุกรรม อาสันนกรรม หรืออาจิณณกรรมอย่างใดอย่างหนึ งได้ หรือกรรมได้กระทํามาแล้ว
ในชาติก่อนๆ ซึ งติด ตามมาจะให้ผลอยู่ กรรมนี ทังฝ่ ายกุศลและอกุศ ล ย่อมมี กํา ลังอ่อนกว่า กรรมทุกชนิด เมื อไม่มี กรรมอืนๆ จะให้ผล
กรรมนีจึงจะให้ผลเป็ นอันดับสุดท้าย
กฏัตตากรรมนีได้แก่เจตนาในอกุศลจิต 12 ดวง และเจตนาในมหากุศล 8 ดวง นันเอง
.............................................

๘๐
สรุป
๑ การฆ่าตัวตาย ไม่เรียกว่า ปาณาติบาต แต่เรียกว่า อัตตวินิบาต เพราะมิใช่การฆ่าสัตว์อืน
๒ พระพุทธเจ้าตรัสให้เห็นคุณค่าของชีวิต ว่าเป็ นสิงมีค่าได้มาโดยยาก ดังพุทธภาษิ ตว่า
“กิจฺโฉ มนุ สฺสปฏิลาโภ” ความได้อตั ภาพเป็ นมนุ ษย์ เป็ นการยาก (ขุ.ธ.25/24/28)
๓ ทรงปรับอาบัติ ภิกษุ ผพู ้ ยายามฆ่าตัวตาย ด้วยอาบัติทุกกฎ, ปรับอาบัติผทู ้ าํ ร้ายตนเองด้วยการตัดองคชาต
ด้วยอาบัติถุลลัจจัย และปรับอาบัติทุกกฏเมือตัดอวัยวะอืนๆ ยังทุกข์ให้เกิดขึน. แต่เหตุทีไม่ทรงปรับอาบัติแก่ภิกษุ
ผูฆ้ า่ ตัวตายสําเร็จด้วยอาบัติใดๆ นัน วินิจฉัยว่า ด้วยภิกษุ นันไม่มีชีวติ แล้ว จะปรับอาบัติโทษแก่ใครเล่า มิ
เช่นนันก็จะกลายเป็ นเรืองขบขัน ทีตามไปปรับอาบัติแม้แก่ผทู ้ ีตายไปแล้ว (ในอบายภูมิ) เหมือนกับนักโทษ
ประหาร เมือตายไปแล้ว จะต้องโทษต้องถูกทําร้ายร่างกายให้ตายอีก ซําแล้วซําเล่าได้อย่างไร
๔ ในเรืองตัดองค์กาํ เนิ ดนี เมือพิจารณาพุทธภาษิตว่า "โมฆบุรุษนัน เมือสิงทีจะพึงตัดอย่างอืนยังมี ไพล่ไปตัด
เสียอีกอย่าง" วินิจฉัยว่า “สิงทีพึงตัดอย่างอืนนันหมายถึง การตัดฉันราคะหรือการตัดตัณหีมีในใจนันเอง”
“เมือภิกษุ ฆา่ ตัวตาย หรือตัดซึงชีวิตินทรียข์ องตน พระพุทธองค์ก็คงจะตรัสในทํานองเดียวกันว่า "โมฆบุรุษ
นัน เมือสิงทีจะพึงฆ่า (คือกิเลส) อย่างอืนยังมี ไพล่ไปฆ่าเสียอีกอย่าง (ฆ่ารูปขันธ์นี)" หรือ “โมฆบุรุษนัน
เมือสิงทีจะพึงตัด (คือกิเลส) อย่างอืนยังมี ไพล่ไปตัดเสียอีกอย่าง (คือชีวิตินทรียน์ ี )" เช่นกัน , คําว่า ตัด ที
พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญนี หมายถึง การตัดฉันทราคะหรือกิเลส แต่ทีทรงตําหนิ คือ การตัดอวัยวะของตน
หรือการตัดทําลายซึงชีวิตินทรีย ์
๕ สรุปเนื อความทัง 3 บุคคลทีฆ่าตัวตาย ได้ดงั นี คือ
3.1) ภิกษุ ทุกรูปทีฆ่าตัวตายเป็ นปุถุชน ไม่ใช่พระอริยบุคคล
3.2) ทัง 3 รูป เมือฆ่าตัวตาย ต่างรูว้ า่ ตนยังมีกิเลสอยู่ ไม่ใช่พระอรหันต์
3.3) ใน 3 รูป (พระวักกลิ+พระฉันนะ) เข้าใจผิดว่าตนเป็ นพระอรหันต์แล้ว จึงคิดว่า ฆ่าตัวตายได้ และ 1
รูป (พระโคธิกะ) รูอ้ ยูว่ า่ ตนเป็ นปุถุชน แต่หวังให้ฌานคุม้ ครองจิต เพือไปเกิดในพรหมโลก จึงฆ่าตัวตาย พูด
ง่ายๆ ว่า ท่านพระวักกลิ+พระฉันนะ ฆ่าตัวตาย เพราะเข้าใจผิด และเกลียดชังความเจ็บปวด จึงฆ่าตัวตาย
ซึงเป็ นวิภวตัณหา, ส่วนพระโคธิกะ ฆ่าตัวตาย เพราะภวตัณหา ต้องการเกิดในพรหมโลก
3.4) ทัง 3 รูป ไม่ได้ฆา่ ตัวตายเพราะกุศลจิต แต่ฆา่ ตัวตายเพราะโลภะ คืออยากไปเกิดในพรหมโลก ฆ่าตัว
ตายเพราะโทสะ ไม่อยากทนทุกขเวทนาทีเจ็บป่ วย และฆ่าตัวตายเพราะโมหะ คือหลงเข้าใจผิดว่าตนเป็ นพระ
อรหันต์แล้ว
3.5) เหตุทีพระพุทธองค์ไม่ทรงตําหนิ ดังเช่น พระภิกษุทีฆ่าตัวตาย ณ ป่ ามหาวัน เพียงเพราะ ท่านเหล่านี
สําเร็จอรหัตตผลได้ทนั ก่อนการมรณภาพ จึงเป็ นเหตุให้ไม่อาจตําหนิ ได้วา่ ท่านเหล่านี เป็ น โมฆบุรุษ เท่านัน
๖ การฆ่าตัวตาย หากไม่บรรลุอรหัตตผลก่อน ย่อมเป็ นอาสันนกรรม ย่อมเป็ นบาปด้วยอํานาจแห่งภวตัณหา
หรือวิภวตัณหา ซึงให้ผลในลําดับต่อจากครุกรรม (เมือไม่มีนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม และอริยุปวาทกรรม ร่วมด้วย
๗ พระอรหันต์ไม่มีอกุศลจิต จึงทําลายชีวิตตนเองไม่ได้ ดังหลักการมีสติสมั ปชัญญะ
.....................................................

๘๑
ความเป็ นมนุษย์เริมต้นเมือไร
ทีชือว่า กายมนุษย์ ได้แก่ จิตแรกเกิดขึน คือ ปฐมวิญญาณปรากฏขึนในท้องแห่งมารดา ตราบเท่าถึงกาลเป็ นทีตาย อัตภาพ
ในระหว่างนี ชือว่า กายมนุ ษย์ วิ.ม.1/181/295
[อธิบายปฐมจิตของมนุษย์ผเู ้ ริมลงสูค่ รรภ์] วิ.ม.อ.2 หน้า 381
..ชือว่ากายมนุ ษย์ เพือจะแสดงอัตภาพของมนุ ษย์ ทีพระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสไว้.. ตังแต่แรก.
บรรดาบทเหล่ านั น หลายบทว่า (ปฐมจิต) อันใด (เกิดขึนแล้ว)ในท้องแห่งมารดา ท่านพระอุบาลี เถระกล่ าว เพือแสดง
อัตภาพอันละเอียดทีสุ ด ด้วยอํานาจแห่งเหล่ าสัตว์ผูน้ อนในครรภ์. ปฏิสนธิ จิต ชือจิตดวงแรก. บทว่า ผุดขึน ได้แก่เกิด. คําว่า
วิญญาณดวงแรก มีปรากฏนี เป็ นคําไขของคําว่า จิตดวงแรกทีผุดขึน นั นนั นแหละ. บรรดาคําเหล่านี ด้วยคําว่า จิตดวงแรก (ทีผุด
ขึน) ในท้องมารดา นั นแหละ เป็ นอันท่านแสดงปฏิสนธิของสัตว์ผมู ้ ีขนั ธ์ 5 แม้ทงสิ
ั น. เพราะเหตุนัน กายมนุ ษย์อนั เป็ นทีแรกทีสุ ด
นี คือ จิตดวงแรกนั น 1 อรูปขันธ์ 3 ทีเกียวเกาะด้วยจิตนั น 1 กลลรูปทีเกิดพร้อมกับจิตนั น 1. .. บรรดาสตรี บุรุษ และกะเทยนั น
กลลรูปของสตรีและบุรุษ มีขนาดเท่าหยาดนํ ามันงาทีช้อนขึนด้วยปลายข้างหนึ ง แห่งขนแกะแรกเกิด เป็ นของใส กระจ่าง จริงอยู่
ในอรรถกถาท่านกล่ าวคํานี ว่า “หยาดนํามันงา หรือสัปปิ ใส ไม่ขุ่นมัว ฉันใด, รู ปมีส่วนเปรียบด้วยสี ฉันนัน เรียกว่า กลล
รูป.”
อัตภาพของสัตว์มีอายุ 120 ปี ตามปกติ ทีถึงความเติบโตโดยลําดับในระหว่างนี คือ ตังต้นแต่เป็ นวัตถุเล็กนิ ดอย่างนั น จนถึง
เวลาตาย นี ชือว่า กายมนุ ษย์.
เหตุแห่งการเกิดในครรภ์ ม.มู.12/452/342
[452] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เพราะความประชุมพร้อมแห่งปั จจัย 3 ประการ ความเกิดแห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี มารดาบิดา
อยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกทีจะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยงั ไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี มารดาบิดา
อยู่ร่วมกัน มารดามีระดู แต่ทารกทีจะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยงั ไม่มีก่อน ดูกรภิกษุทงหลาย ั เมือใดมารดา
บิดาอยูร่ ่วมกันด้วย มารดามีระดูดว้ ย ทารกทีจะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปั จจัย 3 ประการอย่าง
นี ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดู กรภิกษุ ทังหลาย มารดาย่อมรักษาทารกนั นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิ บเดือนบ้าง เมือล่ วงไปเก้า
เดือน หรือสิบเดือน มารดาก็คลอดทารกผูเ้ ป็ นภาระหนักนัน ด้วยความเสียงชีวิตมาก และเลียงทารกผูเ้ ป็ นภาระหนัก นันซึ ง
เกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสียงชีวิตมาก.
[453] ดูกรภิกษุทงหลาย ั นํานมของมารดานับเป็ นโลหิตในอริยวินัย ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั กุมารนั นอาศัยความเจริ ญและ
ความเติบโตแห่งอินทรียท์ ังหลาย ย่อมเล่นด้วยเครืองเล่นสําหรับกุมาร คือ ไถเล็ก ตีไม้หงึ หกขะเมน จังหัน ตวงทราย รถเล็ก ธนู
เล็ ก ดู กรภิกษุ ทังหลาย กุ มารนั นนั นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรียท์ ังหลาย พรังพร้อม บําเรออยู่ดว้ ยกามคุ ณ 5
คือ รูปทีรูแ้ จ้งด้วยจักษุ อันน่ าปรารถนา น่ าใคร่ น่ าชอบใจ น่ ารัก ประกอบด้วยกามเป็ นทีตังแห่งความกําหนั ดและความรัก เสียงที
รูแ้ จ้งด้วยโสต ... กลิ นทีรูแ้ จ้งด้วยฆานะ ... รสทีรูแ้ จ้งด้วยลิ น ... โผฏฐัพพะทีรูแ้ จ้งด้วยกาย อั นน่ าปรารถนา น่ าใคร่ น่ าชอบใจ
น่ ารัก ประกอบด้วยกาม เป็ นทีตังแห่งความกําหนั ดและความรัก กุมารนั นเห็นรูปด้วยจักษุ แล้ว ย่อมกําหนั ดในรูปทีน่ ารัก ย่อมขัด
เคืองในรูปทีน่ าชัง ย่อมเป็ นผูม้ ีสติในกายไม่ตังมัน และมีจิตเป็ นอกุ ศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติ ปั ญญาวิมุตติ อันเป็ นทีดับ
หมดแห่งเหล่ าอกุ ศลธรรมอันลามก ตามความเป็ นจริง เขาเป็ นผูถ้ ึ งพร้อมซึงความยินดียินร้ายอย่างนี เสวยเวทนาอย่างใดอย่าง
หนึ ง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั นอยู่ เมือกุมารนั นเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจ
เวทนานั นอยู่ ความเพลิ ดเพลิ นก็เกิดขึ น ความเพลิ ดเพลิ นในเวทนาทังหลายเป็ นอุป าทาน เพราะอุปาทานเป็ นปั จจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็ นปั จจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็ นปั จจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนั ส และอุปายาส ความเกิดแห่งกอง
ทุกข์ทงสิั นนั น ย่อมมีได้อย่างนี กุมารนั น ได้ยินเสียงด้วยโสต ... ดมกลินด้วยฆานะ ลิมรสด้วยลิน ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
รูแ้ จ้งธรรมารมณ์ดว้ ยใจแล้ว ย่อมกําหนั ดในธรรมารมณ์ทีน่ ารัก ย่อมขัดเคืองในธรรมารมณ์ทีน่ าชัง ย่อมเป็ นผูม้ ีสติในกายไม่ตงั
มัน และมีจิตเป็ นอกุ ศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็ นที ดับหมดแห่งเหล่ าอกุ ศลธรรมอันลามกตามความ
เป็ นจริง เขาเป็ นผูถ้ ึ งพร้อมซึงความยินดียินร้ายอย่างนี เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง เป็ นสุ ขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจ เวทนานั นอยู่ เมือกุมารนั นเพลิ ดเพลิ น บ่นถึง ติดใจเวทนานั นอยู่ ความเพลิดเพลิ นก็เกิดขึน ความ
เพลิดเพลินในเวทนาทังหลายเป็ นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็ นปั จจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็ นปั จจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็ นปั จจัย
จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนั สและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทงสิ ั นนั น ย่อมมีได้ อย่างนี .

๘๒
[802] ครังนั นแล อินทกยักษ์เข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคถึงทีประทับ ครันแล้วได้กราบทูลด้วยคาถาว่า "[ถ้า] ท่านผูร้ ทู ้ งหลาย

กล่ าวว่า รูปหาใช่ชีพไม่ สัตว์นีจะประสพร่างกายนี ได้อย่างไรหนอ กระดู กและก้อนเนื อ จะมาแต่ไหน สัตว์นี จะติดอยู่ในครรภ์ได้
อย่างไร"
[803] พระผูม้ ีพระภาคตรัสว่า "รูปนี เป็ นกลละก่อนจากกลละเป็ นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็ นเปสิ จากเปสิ เกิดเป็ นฆนะ
จากฆนะเกิดเป็ น 5 ปุ่ ม (ปั ญจสาขา) ต่อจากนั น มีผมขนและเล็ บ (เป็ นต้น) เกิดขึน มารดาของสัตว์ในครรภ์บ ริโ ภคข้า วนํ า
โภชนาหารอย่างใด สัตว์ผอู ้ ยู่ในครรภ์มารดา ก็ยงั อัตภาพให้เป็ นไปด้วยอาหารอย่างนั นในครรภ์นัน" ฯ
สํ.ส.15/803/248 อินทกสูตร
ในบทเหล่ านั น บทว่า ปฐมํ ความว่า ชือว่า ติสสะ หรือว่า ปุสสะย่อมไม่พร้อมกับปฏิสนธิวิญญาณทีแรก. โดยทีแท้ กลละมี
ประมาณเท่าหยาดนํ ามันงาซึงตังอยู่ทีปลายเส้นด้ายทีทําด้วยเส้นขนสัตว์ 3 เส้น ท่านกล่าวหมาย-หยาดแห่งนํามันงา เนยใส ใส
ไม่ ขุน่ มัว ฉันใด เขาเรียกกันว่า กลละมีสคี ล้ายกัน ฉันนัน.
บทว่า กลลา โหติ อมฺ พุท*ํ ความว่า เมือกลละนั นล่ วงไป 7 วัน ก็มีสีเหมือนนํ าล้างเนื อ จึงชือว่า อัมพุทะ. ชือว่า กสละ ก็
หายไป. สมดังคําทีท่านกล่าวไว้ว่า “เป็ นกลละอยู่ วัน ครันแก่ขน้ ขึน เปลียนภาวะนันเกิดเป็ น อัมพุทะ.”
บทว่า อมฺ พุทา* ชายเต เปสิ ความว่า เมืออัมพุทะนั นล่ วงไป 7 วัน ก็เกิดเป็ นเปสิ คล้ายดีบุกเหลว. เปสิ นันพึงแสดงด้วย
นํ าตาลเม็ดพริกไทย. จริงอยู่ เด็กชาวบ้านถือเอาพริกไทยสุ กทําเป็ นห่อไว้ทีชายผ้าขยําเอาแต่ส่วนทีดีใส่ ลงในกระเบืองตากแดด.
เม็ดพริกไทยนั นแห้ง ๆ ย่อมหลุ ดตกเปลื อกทังหมด. เปสิ มีรูปร่างอย่างนี . ชือว่า อัมพุทะก็หายไป. สมดังทีท่านกล่ าวไว้ว่า “เป็ น
อัมพุทะอยู่ 7 วัน แก่ขน้ ขึน เปลียนภาวะนัน เกิดเป็ นเปสิ.” * บาลี เป็ น อพฺพุทํ อพฺพุทา
บทว่า เปสิ นิพฺพตฺ ตติ ฆโน ความว่า เมือเปสิ นันล่ วงไป 7 วัน ก้อนเนื อชือ ฆนะ มีสัณฐานเท่าไข่ไก่เกิดขึน. ชือว่า เปสิ ก็
หายไป. สมดังทีท่านกล่ าวไว้ว่า “เป็ นเปสิอยู่ 7 วัน ครันแก่ขน้ ขึน เปลียนภาวะนัน เกิดเป็ นฆนะ สัณฐานแห่งฆนะเกิดขึน
เพราะเหตุแห่งกรรม เหมือนไข่ไก่ เกิดเป็ นก้อนกลมโดยรอบ.”
บทว่า ฆนา จ สาขา ชายนฺ ติ ความว่า ในสัปดาห์ที 5 เกิดปุ่ มขึน 5 แห่ง เพือเป็ นมือและเท้าอย่างละ 2 และเป็ นศีรษะ 1. มี
คําทีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดู ก่อนภิกษุ ทังหลาย ในสัปดาห์ที 5 ปุ่ มตังขึน 5 แห่ง ตามกรรมดังนี . ต่อแต่นีไป ทรงย่อพระเทศนา
ผ่านสัปดาห์ที 6 ที 7 เป็ นต้น เมือจะทรงแสดงเอาเวลาทีผ่านไป 42 สัปดาห์ จึงตรัสว่า ผมเป็ นต้น.
ในบทเหล่านั น บทว่า เกสา โลมา นขาปิ จ ความว่า ผมเป็ นต้นเหล่านี ย่อมเกิดใน 42 สัปดาห์.
บทว่า เตน โส ตตฺ ถ ยาเปติ ความว่า จริงอยู่ สายสะดือตังขึนจากสะดือของเด็กนั น ติดเป็ นอันเดียวกับแผ่นท้องของมารดา.
สายสะดือนั นเป็ นรูเหมือนก้านบัว. รสอาหารแล่ นไปตามสายสะดือนั น ดังรูปซึงมีอาหารเป็ นสมุ ฏฐานให้ตังขึน. เด็กนั นย่ อม
เป็ นอยู่ 10 เดือน ด้วยประการฉะนี .
บทว่า มาตุ กุจฺฉิคโต นโร ความว่า คนอยู่ในท้องมารดาคืออยู่ภายในท้อง. พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนยักษ์
สัตว์นีเจริญขึนในท้องของมารดาโดยลําดับ ไม่ใช่เกิดโดยการร่วมครังเดียว.
จบอรรถกถาอินทกสูตรที 1 สํ.ส.อ.25 หน้า 385
อธิบายว่า ธรรม 5 เหล่านี คือ ชีวิต พยาธิ กาล ทีเป็ นทีทอดทิงร่างกายหรือทีตาย (เทหนิ กเขปนะ) และคติ (ทีเกิดต่างๆ มี
5)* ของสัตว์ทงหลาย
ั ไม่มีนิมิต ใครๆ ไม่พึงรูใ้ นโลกแห่งสัตว์ทีเป็ นไปอยู่. (คติ 5 คือ นิ รยคติ เปตคติ ดิรจั ฉานคติ มนุ สสคติ เทวตาคติ)
ในบรรดาธรรม 5 เหล่านั น ชีวิตก่อน ชือว่า ไม่มีนิมิต เพราะกําหนดแน่ ไม่ได้ว่า ชีวิตนี มีจาํ นวนเท่านี ทีเดียว ไม่เกินจากนี ไป
ดังนี จริงอยู่ แม้ในกาลทีเริมแรกคือ เป็ นรูปกลละ สัตว์ทังหลายก็ย่อมตาย ในเวลาทีเป็ นอัพพุทะ (คือรูปทีเกิดมาได้ 2 อาทิตย์)
เป็ นเปสิ (คือรูปทีเป็ นชินเล็กๆ) เป็ นฆนะ (คือรูปทีเป็ นก้อนหนา) รูปทีเกิดมาได้ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน 10 เดือนก็ดี
ในระหว่างทีออกจากครรภ์ก็ดี แต่นีไปภายในร้อยปี ก็ดี มากกว่าร้อยปี ก็ดี ย่อมตายนั นแหละ.
แม้พยาธิ ก็ชือว่า ไม่มีนิมิต เพราะไม่มีการกําหนดแน่ ว่า สัตว์ทังหลายย่อมตายด้วยพยาธินีเท่านั น ไม่ ตายด้วยพยาธิอืนๆ
ดังนี เพราะว่าสัตว์ทงหลายย่
ั อมตายด้วยโรคตาก็มี ด้วยโรคอืนๆ มีโรคหูเป็ นต้นก็มี.
แม้กาล ก็ชือว่า ไม่มีนิมิต เพราะไม่มีกําหนดแน่ อย่างนี ว่า ในกาลนี เท่านั นสัตว์พึงตาย ในกาลอืนๆ สั ตว์ไม่ตาย เพราะว่า
สัตว์ทงหลายย่
ั อมตายในเวลาเช้าก็มี ในเวลาอืนๆ คือเวลาเทียงเป็ นต้นก็มี.
แม้สถานทีเป็ นทีต้องทอดทิงร่างกาย ก็ชือว่าไม่มีนิมิต เพราะไม่มีการกําหนดได้อย่างนี ว่า ร่างกายของสัตว์ผูจ้ ะตายนี พึงตก
ไป (พึงตาย) ในทีนี เท่านั น ทีอืนๆ ไม่ตกไป จริงอยู่เมือสัตว์ทงหลายเกิ
ั ดภายในบ้าน อัตภาพของสัตว์เหล่านั นย่อม ตกไปภายนอก

๘๓
บ้านก็ได้ สัตว์ทีเกิดแม้ภายนอกบ้าน อัตภาพย่อมตกไปภายในบ้านก็ได้ สัตว์ทีเกิดบนบก บนถนนเป็ นต้น ก็เหมือนกัน บัณฑิตพึง
ให้พิสดารโดยประการมิใช่น้อย.
แม้คติ ก็ชือว่า ไม่มีนิมิต เพราะไม่มีการกําหนดได้อย่างนี ว่า สัตว์จุติจากทีนี แล้วพึงเกิดขึนในทีนี ดังนี เพราะว่าสัตว์ทงหลาย

จุติจากเทวโลกแล้วเกิดขึนในมนุ ษยโลกก็มี จุติจากมนุ ษยโลกแล้วเกิดในทีใดทีหนึ งแห่งโลกทังหลายมีเทวโลกเป็ นต้นก็มี สัตว์โลกมี
คติ 5 ย่อมเปลี ยนแปลงไป ดุ จโคยนต์ (โคทีประกอบด้วยเครืองยนต์) อย่างนี ด้วยประการฉะนี เพราะการเปลี ยนไปแห่งคตินัน
นั นแหละ ด้วยเหตุนี พระเถระจึงกล่าวกะเทวดาว่า เรายังไม่รกู ้ าล คือ ไม่รกู ้ ารตายนี ว่า การตายจักมีในกาลชือนี ดังนี .
คําว่า กาลยังลับ มิได้ปรากฏ ได้แก่ กาลนี ปกปิ ดแล้ว ไม่แจ่มแจ้งและ ยังไม่ปรากฏแก่เรา.คําว่า เพราะเหตุนนั อธิบายว่า
กาลอันปกปิ ดนี ย่อมไม่ปรากฏ เหตุใดเพราะเหตุนัน เราจึงไม่บริโภคกามคุ ณ 5 แล้วจึงขออยู่. ในคําว่า กาลอย่าล่วงเราไป
เสียเลย นี พระเถระกล่าวว่า กาล ดังนี โดยหมายเอากาลกระทําสมณธรรม.
จริงอยู่ ธรรมดาว่า สมณธรรมนี อันบุคคลผูก้ า้ วล่วงวัยทัง 3 ในวัยสุดท้ายเป็ นผูม้ ีกายอันหักลงแล้ว มีไม้เท้าเป็ นทียันไปใน
เบืองหน้า สันอยู่ ผูอ้ นั โรคไอและหืดครอบงําแล้ว ไม่อาจเพือกระทําได้ (ปฏิบตั ิได้) เพราะว่าในกาลนั น บุคคลเช่นนั น ไม่อาจเพือ
เรียนพุทธพจน์ ตามทีปรารถนาตามทีต้องการ หรือว่าไม่อาจเพือรักษาซึงธุดงค์ หรือว่าไม่อาจเพือจะอยู่ป่า หรือว่าไม่อาจเพือเข้า
สมาบัติได้ตามทีปรารถนา หรือว่าไม่อาจเพือกระทําธรรมกถาและอนุ โมทนาด้วยสรภัญญวิธีเป็ นต้น. ส่ วนในกาลที ยังเป็ นหนุ่ ม
แน่ นอาจเพือกระทํากิจทังปวง เพราะฉะนั น พระเถระจึงกล่าวว่า กาลเป็ นทีกระทําสมณธรรมนี อย่าก้าวล่วงเราไปเสียเลย คือว่า
เราจักไม่บริโภคกามทังหลาย จักกระทําสมณธรรมตราบเท่าทีกาลยังไม่กา้ วล่วงเราไป.
สํ.ส.อ.25 หน้า 109
แรกสัตว์ถือปฏิสนธินัน เป็ นกลละคือข้นเข้าหน่ อยหนึ ง ต่อจากกลละก็เป็ นอัพพุทะ คือข้นขุ่นดังนํ าล้างเนื อ ต่อจากอัพพุทะ ก็
เกิดเป็ นเปสิ คือชินเนื ออ่อน ๆ ต่อจากเปสิก็เป็ นฆนะ คือก้อนแข็ง ต่อจากฆนะก็เกิดเป็ นสาขาอวัยวะ คือ ผมบ้าง ขนบ้าง เล็บบ้าง
มารดาของนระนั นบริโภคโภชนะสิงใด ทังข้าว ทังนํ า นระผูอ้ ยู่ในครรภ์มารดานั น ย่อมเลียงอัตภาพด้วยโภชนะสิงนั น อยู่ในครรภ์
มารดานั น. ขุ.ชา.อ.61 หน้า 288
[183] คําว่า มนุ ษย์ย่อมตายภายในร้อยปี มีความว่า มนุ ษย์ย่อมเคลือน ตาย หาย สลายไป ในกาลทีเป็ นกลละบ้าง, ในกาล
ทีเป็ นนํ าล้างเนื อบ้าง, ในกาลทีเป็ นชินเนื อบ้าง, ในกาลทีเป็ นก้อนเนื อบ้าง, ในกาลทีเป็ นปั ญจสาขาได้แก่มือ 2 เท้า 2 ศีรษะ 1
บ้าง, แม้พอเกิดก็ย่อมเคลื อน ตาย หาย สลายไปก็มี. ย่อมเคลือน ตาย หาย สลายไปในเรือนทีตลอดก็มี. ย่อมเคลือน ตาย หาย
สลายไปเมือชีวิตครังเดือนก็มี… ขุ.มหา.29/183/112
ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺ พุท ํ อพฺ พุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺ ตตี ฆโนติ.
ในสัปดาห์ที 1 เกิดเป็ น กลละ ในสัปดาห์ที 2 จากกลละก็เกิดเป็ นอัพพุทะ
ในสัปดาห์ที 3 จากอัพพุทะเกิดเป็ นเปสิ ในสัปดาห์ที 4 จากเปสิเกิดเป็ นฆนะ2 ดังนี ชือว่า ลําดับแห่งการเกิด.
1. คือลําดับแห่งการแสดง ทีปรากฏในวรรคแรกว่า เทสนกฺ กมสฺส กตตฺ ตา. 2. สํ. ส. 15/803. ขุ.ปฏิ.อ.68 หน้า 82
สัตว์ผเู ้ กิดในครรภ์เกิดเป็ นกลละขึนก่อน จากกลละเกิดเป็ นอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเป็ นเปสิ จากเปสิเกิดเป็ นฆนะ จากฆนะ
เกิดเป็ นปั ญจสาขา ผม ขน และเล็บ ก็มารดาบริโภคสิงใด คือ ข้าว นํ า และ โภชนะ และทารกผูอ้ ยู่ในครรภ์มารดานั น เติบโตขึนใน
ครรภ์มารดานั น ด้วยอาหาร คือ ข้าว นํ า และโภชนะ ทีมารดาของตนบริโภค ดังนี
อภิ.ก.37/1560/667
ว่าโดยการเกิดขึนครังแรกของขันธ์ 5
บรรดาปกิณกะเหล่านั น คําว่า โดยการเกิดขึนครังแรก นี การเกิดขึนครังแรกมี 2 อย่างคือ การเกิดขึนครังแรกของคัพภไส
ยกสัตว์ และการเกิดขึนครังแรกของโอปปาติกสัตว์ บรรดาการเกิด 2 อย่างนั น พึงทราบการเกิดขึนครังแรกของคัพภไสยกสัตว์
อย่างนี
จริงอยู่ขนั ธ์ 5 ของพวกคัพภไสยกสัตว์ย่อมปรากฏพร้อมกันไม่หลังไม่ก่อนกันในขณะปฏิสนธิ. ข้อนี ท่านกล่าวว่า ความสืบต่อ
แห่งรูป กล่ าวคือ กลละทีปรากฏในขณะนั น เป็ นของนิ ดหน่ อยมีเพียงแมลงวันตัวน้อยจะพึง ดืมได้ดว้ ยความพยายามครังเดี ย ว
เท่านั น แล้วยังกล่ าวอีกว่า นั นก็ยังมากเกินไปคือมันเป็ นเพียงหยาดทีไหลออกตรงปลายของเข็มละเอียดทีเขาจุ่มในนํ ามัน แล้ว
ยกขึน ดังนี . แม้หยาดนํ านั นนั นท่านก็ปฏิเสธแล้วกล่ าวว่า เมือเขาจับผมเส้นหนึ งยกขึนจากนํ ามันแล้วก็เป็ นเพียงหยาดนํ าทีไหล
ออกตรงปลายผมเส้นนั นดังนี แม้หยาดนํ านั นท่านก็ปฏิเสธแล้วกล่าวว่า เมือผ่าเส้นผมของมนุ ษย์ชาวชนบทนี ออกเป็ น 8 ส่วน เส้น
ผมของชาวอุตตรกุรุทวีปมีประมาณเท่าส่วนหนึ งแต่ 8 ส่วนนั น กลละนั นก็เป็ นเพียงหยาดทีตังอยู่ตรงปลายผมของมนุ ษย์ชาวอุต ตร

๘๔
กุ รุทวีปนั นที เขายกขึน จากนํ ามัน งาใส ดังนี แม้นํามันงาใสนั นท่ านก็ ปฏิ เสธแล้ว กล่ าวว่ า นั นก็ยังมาก ธรรมดาขนทรายเป็ น
ธรรมชาติละเอียด กลละนั นเป็ นเพียงหยาดทีไหลออกตรงปลายของขนเนื อทรายเส้นหนึ งทีเขาจุ่มในนํ ามันงาใสแล้วยกขึน ดังนี . ก็
กลละนี นันใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว บริสุทธิ เสนอด้วยหยาดนํ ามันงาใส ข้อนี สมดังคําทีท่านกล่าวไว้ว่า
ติลเตสสฺ ส ยถา พินฺทุ สปฺปิมณฺ โฑ อนาวิไล เอวํ วณฺ ณปฏิภาคํ กลลนฺ ติ ปวุจฺจติ
หยาดนํามันงา ใสเหมือนเนยใส ไม่ขุ่นมัว ฉันใด ท่านกล่าวว่า กลลรูปมีสว่ นเปรียบด้วยรูปพรรณ ฉันนัน.
ในสันตติรูปเล็กน้อยอย่างนี ยังมีสันตติรูปทีเป็ นประธาน 3 กลุ่ม คือ วัตถุทสกะ 1 กายทสกะ 1 ภาวทสกะด้วยอํานาจอิตถิ
นทรียข์ องหญิงและด้วยอํานาจปุริสินทรีย์ของชาย 1 บรรดาสันตติรูปทัง 3 กลุ่มเหล่านั น รูปนี คือ วัตถุรูป 1 มหาภูติรูป 4 เป็ นที
อาศัยของวัตถุ รูปนั น และวรรณะ คันธะ รสะ โอชา รวม 4 ทีอาศัยมหาภูตรูปนั น และชีวิตรูป 1 ชือว่า วัตถุ ทสกะ รูปนี คือ กาย
ประสาท 1 มหาภูตรูป 4 ซึงเป็ นทีอาศัยของกายประสาทนั น วรรณะคันธะ รสะ โอชา 4 ซึงอาศัยมหาภูตรูปนั น และชีวิตรูป 1 ชือ
ว่า กายทสกะ รูปนี คือ อิตถีภาวะ ของหญิง และปุริสภาวะของชาย 1 มหาภูตรูป 4 ซึงเป็ นทีอาศัยภาวรูปนั น วรรณะ คันธะ รสะ
โอชา 4 ซึงอาศัยมหาภูตรูปนั น และชีวิตรูป 1 ชือว่า ภาวทสกะ. กรรมชรูป (รูปเกิดแต่กรรม) ในปฏิสนธิ ของคัพภไสยกสัตว์
กําหนดโดยสูงสุดมี 30 ถ้วน ชือว่า รูปขันธ์ ด้วยประการฉะนี .
ก็เวทนาทีเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต ชือว่า เวทนาขันธ์ สัญญา ... ชือว่า สัญญาขันธ์ สังขาร... ชือว่า สังขารขันธ์ ปฏิสนธิจติ
ชือว่า วิญญาณขันธ์ ขันธ์ 5 ในขณะปฏิสนธิของคัพภไสยกสัตว์ เป็ นสภาพบริบูรณ์แล้ว ด้วยประการฉะนี แต่ถา้ ปฏิสนธิของ
บัณเฑาะก์ (นุปํสกปฏิสนฺ ธิ ) ย่อมลดภาวทสกะ มีกรรมชรูป 20 ถ้วน ด้วยอํานาจทสกะทัง 2 ชือว่า รูปขันธ์ ธรรมมีเวทนาขันธ์
เป็ นต้น มีประการตามทีกล่ าวแล้วนั นแหละ ขันธ์ 5 ในขณะปฏิสนธิ ของคัพภไสยกสั ตว์ แม้อย่างนี ดว้ ยประการฉะนี ก็ชือว่ า
บริบูรณ์แล้ว. ในฐานะนี บัณฑิตควรกล่าวประเพณีของรูปทีมีสมุฏฐาน 3 ด้วย.
ก็ชือว่า การเกิดขึนครังแรกของสัตว์ผเู ้ ป็ นโอปปาติกท่านแสดงไว้โดยมิได้กล่าวถึงประเพณี 3 นั น. จริงอยู่ ในขณะปฏิสนธิของ
สัตว์ผเู ้ ป็ นโอปปาติกะมีอายตนะบริบูรณ์ คือมีรูปสันตติทีเป็ นประธาน 7 กลุ่ม ได้แก่ กรรมชรูปตามทีกล่ าวข้างต้น 3 และจักขุทส
กะ โสตทสกะ ฆานทสกะ ชิวหาทสกะ ย่อมเกิดขึน. บรรดากรรมชรูป 7 กลุ่มเหล่านั น จักขุทสกะเป็ นต้น เป็ นเช่นกับกายทสกะนั น
แหละ แต่ภาวทสกะย่อมไม่มีแก่โ อปปาติสัตว์ผูไ้ ม่มี เพศ ด้วยอาการอย่างนี กรรมชรูปทีชือว่า รู ปขันธ์ ของโอปปาติกสั ต ว์ ทีมี
อายตนะบริบูรณ์จึงมี 70 ถ้วนบ้าง 60 ถ้วนบ้าง ธรรมมีเวทนาขันธ์เป็ นต้นก็มีประการตามทีกล่ าวแล้วนั นเอง ขันธ์ 5 ในขณะ
ปฏิสนธิของโอปปาติกย่อมบริบูรณ์แล้วด้วยประการฉะนี . นี ชือว่า การเกิดขึนครังแรกของโอปปาติกสัตว์. พึงทราบขันธ์ 5 โดย
การเกิดขึนครังแรกอย่างนี ก่อน.
ว่าโดยการเกิดก่อนและหลัง
คําว่า โดยการเกิดก่อนและหลัง มีคาํ ถามว่า ก็ขนั ธ์ 5 ของคัพภไสยกสัตว์ทีเกิดขึนไม่ก่อนและหลังอย่างนี รูปย่อมยังรูปให้
ตังขึนก่อนหรือหรืออรูปย่อมยังรูปให้ตงขึ ั นก่อน. ตอบว่า รูปนั นเองย่อมยังรูปให้ตงขึ
ั น อรูปหาได้ยังรูปให้เกิดขึนไม่ เพราะเหตุไร ?
เพราะความทีปฏิสนธิจิตยังรูปให้เกิดขึนไม่ได้.
จริงอยู่ จิต 16 ดวง คือ ปฏิสนธิจติ ของสัตว์ทังหมด 1 จุติจติ ของพระขีณาสพ 1 ทวีปัญจวิญญาณ 10 อรูปวิปากจิต 4
ยังรูปให้ตงขึ ั นไม่ได้.
อภิ.วิ.อ.77 หน้า 57
......................................................

๘๕
บทที 4. ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม ทีไม่มีในตน ต้องปาราชิก
พระอนุ บญ ั ญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดไม่รยู ้ งิ กล่าวอวดอุตตริมนุ สสธรรมอันเป็ นญาณทัสสนะทีประเสริฐอันสามารถ ให้น้อมเข้ามา
ในตนว่า “ข้าพเจ้ารูอ้ ย่างนี เห็นอย่างนี ” ครันสมัยต่อจากนั น อันผูใ้ ดผูห้ นึ งโจทก็ตามไม่โจทก็ ตาม เธอผูต้ อ้ งอาบัติแล้วหวังความ
บริสุทธิ พึงกล่าวอย่างนี ว่า “ท่านทั งหลาย ข้าพเจ้าไม่รูอ้ ย่างนั น ได้กล่าวว่ารู ้ ข้าพเจ้าไม่เห็นอย่างนั น ได้กล่าวว่าเห็น ข้าพเจ้า
กล่าวคําไร้ประโยชน์เป็ นคําเท็จ” เว้นไว้แต่สาํ คัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุ นีก็เป็ นปาราชิก หาสังวาสมิได้
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ ในแคว้นวัชชี กรุงเวสาลี เกิดอัตคัดอาหาร ข้าวกล้าตาย ต้องมีสลากซืออาหาร ภิกษุ หลายรูปริมฝั งแม่นําวัคคุ
มุทา ต่างกล่าวชมคุณวิเศษของกันและกันให้คฤหัสถ์ได้ยิน ประชาชนพากันถวายภัตตาหาร ในขณะทีภิกษุ อืนซูบผอม ออกพรรษา
แล้วได้เข้าเฝ้ า พ. ณ ป่ ามหาวัน กรุงเวสาลี
พ.ทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆะบุรุษทังหลาย การกระทําของพวกเธอนั น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้
ไม่ควรทํา ดูกรโมฆบุรุษทังหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้กล่ าวชมอุตตริมนุ สสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่ง ท้อง
เล่ า ดู กรโมฆบุรุษทังหลาย ท้องอันพวกเธอคว้านแล้วด้วยมีดเชือดโคอันคม ยังดีกว่า อันพวกเธอกล่ าวชมอุตตริมนุ สสธรรมของ
กันและกันแก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้อง ไม่ดีเลย ข้อทีเราว่าดีนัน เพราะเหตุไร เพราะบุคคลผูค้ ว้านท้องด้วยมีดเชือดโคอัน
คมนั นพึงถึงความตาย หรือความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึงมีการกระทํานั นเป็ นเหตุ และเพราะการกระทํานั นเป็ นปั จจัย เบืองหน้าแต่
แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึ งอบายทุคติ วินิบาต นรก, ส่ วนบุคคลผูก้ ล่ าวชมอุตตริมนุ สสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นัน
เบืองหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึงมีการกระทํานี แลเป็ นเหตุ
ดู กรโมฆบุรุษทังหลาย การกระทําของพวกเธอนั น ไม่เป็ นไปเพือความเลื อมใสของชุ มชนทียังไม่เลื อมใส หรือ เพือความ
เลือมใสยิงของชุมชนทีเลือมใสแล้ว โดยทีแท้ การกระทําของพวกเธอนั น เป็ นไปเพือความไม่เลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส และ
เพือความเป็ นอย่างอืนของคนบางพวกผูเ้ ลื อมใสแล้ว ครันแล้วทรงกระทําธรรมมีกถารับสังกะภิกขุทงหลาย ั แล้วตรัสเล่าถึงมหาโจร
5 จําพวก
อุตริ แปลว่า ยิง เหนื อ , มนุ ส แปลว่า มนุ ษย์
อุตตริมนุ สสธรรม คือ ธรรมอันยิงของมนุ ษย์ ธรรมะทีเป็ นภาวะอันเหนื อหรือเกินวิสัยของมนุ ษย์สามัญ
อุตตริมนุ สสธรรม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา(การทํามรรคให้เกิด)
การทําผลให้แจ้ง การละกิเลส ภาวะทีจิตปลอดจากกิเลส(ความเปิ ดจิต) ความยินดีในเรือนว่าง
ฌาน ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
อนั ตตา อนิ จจัง ทุกขัง
วิโมกข์ ได้แก่ สุญญตวิโมกข์ อนิ มิตตวิโมกข์ อัปปณิ หติ วิโมกข์
สมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิ มิตตสมาธิ อัปปณิหติ สมาธิ
สมาบัติ ได้แก่ สุญญตสมาบัติ อนิ มิตตสมาบัติ อัปปณิหติ สมาบัติ
ความยินดีในเรือนว่าง ได้แก่ ความยินดีในเรือนว่างด้วยปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
ญาณ ได้แก่ วิชชา 3
มรรคภาวนา ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8
(โดยย่อ) อุตตริมนุ สสธรรม 2 อย่าง
1. ฌาน คือ รูปฌาน 4 และ 2. โลกุตตรธรรม 9 คือ มรรค 4 ผล 4 นิ พพาน 1
[เปรียบเหมือน ต้นตาลยอดด้วน ทีไม่อาจงอกได้ต่อไป] วิ.ม.1/235/337 สิกขาบทวิภงั ค์
เหตุให้เชือถือ(ว่าได้บรรลุคุณวิเศษ) มีฐานะ 6 อย่าง คือ
๑. ท่านได้บรรลุอะไร ๔. ท่านได้บรรลุทีไหน
๒. ท่านได้บรรลุดว้ ยวิธีอะไร (ท่านทําอะไร) กรรมฐานอะไร ๕. ท่านละกิเลสเหล่าใดได้
๓. ท่านได้บรรลุเมือไร ๖. ท่านได้ธรรมเหล่าไหน
ถ้าข้อปฏิบตั ิเป็ นเหตุมาแห่งมรรค เป็ นสิงไม่บริสุทธิ (ไม่สอดคล้องกับหลักทีทรงสอน) ควรกล่าวว่า ขึนชือว่า
โลกุตตรธรรม ท่านจะไม่ได้ดว้ ยปฏิปทานี

๘๖
มหาโจร 5 ประเภท
1. ภิกษุ ชวบางรู
ั ป รวบรวมพวกจาริกไปในคามนิคมราชธานี มีความปรารถนาลาภสักการะ แล้วทําอุบายต่างๆ
จนได้สมประสงค์
2. ภิกษุ ชวบางรู
ั ป เรียนพระธรรมวินัยทีตถาคตประกาศแล้ว ก็โกงเอา แสดงตนว่าคิดได้เอง ไม่ได้เรียนจากใคร
3. ภิกษุ ชวบางรู ั ป ใส่ความเพือนพรหมจารีผบู ้ ริสุทธิ โดยไม่มีมูล
4. ภิกษุ ชวบางรู ั ป เอาของสงฆ์ทีเป็ นครุภณ ั ฑ์ ครุบริขาร(ทีห้ามแจก ห้ามแบ่ง)ไปประจบคฤหัสถ์ เพราะเห็นแก่ลาภ
5. ภิกษุ ผูอ้ วดคุณพิเศษ ทีไม่มีจริง ไม่เป็ นจริง
ปาราชิกข้อที 4 นี มุ่งป้ องกันสังคมจากการถูกหลอกลวงโดยผูอ้ วดคุณวิเศษทีไม่มีในตน พระพุทธเจ้าทรงเรียก
ภิกษุ ผอู ้ วดคุณวิเศษทีไม่มีในตนว่าเป็ นยอดมหาโจรในโลก เพราะบริโภคก้อนข้าวของประชาชนด้วยอาการแห่งขโมย
อนาบัติ. 1. ภิกษุ ผสู ้ าํ คัญว่าได้บรรลุ 2. ภิกษุ ผไู ้ ม่มีความประสงค์จะกล่าวอวด
* สิกขาบทนี เป็ นอนาณัตติกะ
องค์แห่งอาบัติ 3. ไม่อา้ งผูอ้ ืน บุพพสิกขาวรรณา หน้า 130
1. อุตตริมนุ สสธรรมไม่มีในตน 4. บอกแก่ผใู ้ ดผูน้ ั นเป็ นชาติมนุ ษย์
2. อวดด้วยมุ่งลาภ สรรเสริญ 5. เขารูค้ วามในขณะนั น พร้อมด้วยองค์ 5 นี จึงเป็ นปาราชิก

“ดูกรอานนท์ มิใช่ฐานะมิใช่โอกาสทีตถาคตจะพึงถอนปาราชิกสิกขาบททีได้บญ ั ญัติไว้แล้ว”


อุตริมนุสสธรรม ในฝ่ ายปั ญญา
ญาณ 16 หรือ โสฬสญาณ (ความหยังรู ้ ในทีนี หมายถึง ญาณทีเกิดขึนแก่ผเู ้ จริญวิปัสสนาตามลําดับ ตังแต่ตน้ จนถึงทีสุด)
1. นามรูปปริจเฉทญาณ (ญาณกําหนดจําแนกรูน้ ามและรูป คือ รูว้ ่าสิงทังหลายมีแต่รูปธรรมและนามธรรม และกําหนดแยกได้
ว่า อะไรเป็ นรูปธรรม อะไรเป็ นนามธรรม)
2. ปั จจยปริคคห(การกําหนด)ญาณ (ญาณกําหนดรูป้ ั จจัยของนามและรูป คือรูว้ ่า รูปธรรมและนามธรรมทังหลายเกิดจากเหตุ
ปั จจัย และเป็ นปั จจัยแก่กนั อาศัยกัน โดยรูต้ ามแนวปฏิจจสมุปบาท ก็ดี ตามแนวกฎแห่งกรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เป็ นต้น)
3. สัมมสนญาณ (ญาณกําหนดรูด้ ว้ ยพิจารณาเห็นนามและรูปโดยไตรลักษณ์ คือ ยกรูปธรรมและนามธรรมทังหลายขึนพิจารณา
โดยเห็นตามลักษณะทีเป็ นของไม่เทียง เป็ นทุกข์ มิใช่ตวั ตน)
(ปั ญญาในการย่อธรรมทังหลาย ทังอดีต อนาคต และปั จจุบนั แล้วกําหนดไว้)
4.-12. ได้แก่ วิปัสสนาญาณ 9 (ญาณในวิปัสสนา, ญาณทีนับเข้าในวิปัสสนา หรือทีจัดเป็ นวิปัสสนา คือ เป็ นความรูท้ ีทําให้
เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจสภาวะของสิงทังหลายตามเป็ นจริง)
(ปั ญญาในการพิจารณาอารมณ์ แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป)
(4) 1.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกิดและความดับ คือ พิจารณาความเกิดขึนและความดับไปแห่งเบญจ
ขันธ์ จนเห็นชัดว่า สิงทังหลายเกิดขึนครันแล้วก็ตอ้ งดับไป ล้วนเกิดขึนแล้วก็ดบั ไปทังหมด)
(ปั ญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปั จจุบนั )
(5) 2.ภังคานุปัสสนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความสลาย คือ เมือเห็นความเกิดดับเช่นนั นแล้ว คํานึ งเด่นชัดในส่วนความดับอัน
เป็ นจุดจบสิน ก็เห็นว่าสังขารทังปวงล้วนจะต้องสลายไปทังหมด)
(ญาณมีวิปัสสนาเป็ นยอด ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยภังคานุปัสสนาญาณ)
(6) 3.ภยตูปัฏฐานญาณ (ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็ นของน่ ากลัว คือ เมือพิจารณาเห็นความแตกสลายอันมีทวไปแก่ ั ทุก
สิ งทุกอย่างเช่นนั นแล้ว สังขารทังปวงไม่ว่าจะเป็ นไปในภพใดคติใด ก็ปรากฏเป็ นของน่ ากลัว เพราะล้วนแต่จะต้องสลายไป ไม่
ปลอดภัยทังสิน)
(ปั ญญาในการปรากฏขึนแห่งอุปปาทะความเกิด ปวัตตะความเป็ นไป นิมิตเครืองหมาย อายูหนาการประมวลมา และ
ปฏิสนธิการเกิดในภพใหม่โดยความเป็ นภัย คือในการเข้าไปยึดถือว่ามีภัยปรากฏอยู่เฉพาะหน้า โดยการประกอบด้วย
ความเบียดเบียนอยูเ่ นืองๆ ย่อมปรากฏโดยความเป็ นภัย ฉะนันจึงชือว่า ภยตูปัฏฐาน)

๘๗
(7) 4.อาทีนวานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคํานึ งเห็นโทษ คือ เมือพิจารณาเห็นสังขารทังปวงซึงล้วนต้องแตกสลายไป เป็ นของน่ า
กลัวไม่ปลอดภัยทังสินแล้ว ย่อมคํานึ งเห็นสังขารทังปวงนั นว่าเป็ นโทษ เป็ นสิงทีมีความบกพร่อง จะต้องระคนอยู่ดว้ ยทุกข์)
(เมือสังขารทังปวงปรากฏแล้วโดยความเป็ นภัยด้วยอํานาจภังคานุปัสสนา ก็ยอ่ มเห็นแต่โทษอย่างเดียว ปราศจากรส หมด
ความแช่มชืนอยูร่ อบด้าน อาทีนวานุปัสสนาญาณย่อมเกิดขึนแก่พระโยคีบุคคลนันผูเ้ ห็นอยู่อย่างนี)
(8) 5.นิพพิทานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคํานึ งเห็นด้วยความหน่ าย คือ เมือพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็ นโทษเช่นนั นแล้ว ย่อมเกิด
ความหน่ าย ไม่เพลิดเพลินติดใจ)
(พระโยคีบุคคล เมือเห็นสังขารทังปวงโดยความเป็ นโทษอย่างนี ย่อมเบือหน่าย กระวนกระวาย ไม่ยนิ ดีในสังขารทังหลาย
อันล้วนแล้วด้วยโทษอันตนเห็นแจ่มแจ้งแล้ว ย่อมไม่ยนิ ดีแม้ในสุคติภพทัง 3 แต่ยอ่ มยินดีในอนุปัสสนา 3 เท่านัน)
(9) 6.มุญจิตุกมั ยตาญาณ (ญาณอันคํานึ งด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย คือ เมือหน่ ายสังขารทังหลายแล้ว ย่อมปรารถนาทีจะพ้นไปเสี ย
จากสังขารเหล่านั น)
(พระโยคีบุคคลใด มีความประสงค์คือปรารถนาเพื อจะพ้น เพือจะสละ จึงชือว่า มุญจิตุกมฺ โย แปลว่า ผูใ้ คร่จะพ้น ความ
เป็ นผูใ้ คร่จะสละเสียซึ งความเกิด เป็ นต้น ของพระโยคีบุคคล ผูเ้ บือหน่ายด้วยนิพพิทาญาณในเบืองต้น ชือว่า มุญจิตุกมั ย
ตา ย่อมเกิดแก่พระโยคีบุคคลผูท้ อดอาลัยในสังขารทังปวง ผูใ้ คร่จะพ้นไป)
(10) 7. ปฏิสงั ขานุ ปัสสนาญาณ (ญาณอันคํานึ ง พิจารณาหาทาง คือ เมือต้องการจะพ้นไปเสี ย จึงกลับหันไปยกเอาสั ง ขาร
ทังหลายขึนมาพิจารณากําหนดด้วยไตรลักษณ์เพือมองหาอุบายทีจะปลดเปลืองออกไป)
(ปั ญญาใดย่อมพิจารณา ย่อมใคร่ครวญ ฉะนัน ปั ญญานันจึงชือว่า ปฏิสงั ขา, การใคร่ครวญสังขารทังหลายทีพิจารณาแล้ว
เพือทําอุบายแห่งการละในท่ามกลาง ชือปฏิสงั ขา, พระโยคีบุคคลเป็ นผูใ้ คร่จะพ้นสังขารทุกประเภท จึงยกสังขารเหล่านัน
ขึนสูพ่ ระไตรลักษณ์อีก เพือจะทําอุบายแห่งการพ้นให้สาํ เร็จ แล้วเห็นแจ้งด้วยปฏิสงั ขานุปัสสนาญาณ)
(11) 8. สังขารุ เปกขาญาณ (ญาณอันเป็ นไปโดยความเป็ นกลางต่อสังขาร คือ เมือพิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรูเ้ ห็น
สภาวะของสังขารตามความเป็ นจริง ว่ามีความเป็ นอยู่เป็ นไปของมันอย่างนั นเป็ นธรรมดา จึงวางใจเป็ นกลางได้ ไม่ยินดียินร้ายใน
สังขารทังหลาย แต่นันมองเห็นนิ พพานเป็ นสันติบท ญาณจึงแล่นมุ่งไปยังนิ พพาน เลิกละความเกียวเกาะกับสังขารเสียได้)
(พระโยคีบุคคลนันเห็นว่า สพฺ เพ สงฺ ขารา สุ ฺ ญา แปลว่า สังขารทังหลายทังปวงเป็ นของว่างดังนีแล้ว จึงยกขึนสูพ่ ระไตร
ลักษณ์ พิจารณาสังขารทังหลายอยู่ จึงละความกลัวและความยินดีเสียได้ ก็ยอ่ มวางเฉย มีตนเป็ นกลางในสังขารทังหลาย)
(12) 9. สัจจานุ โลมิกญาณ หรือ อนุ โลมญาณ (ญาณอันเป็ นไปโดยอนุ โลมแก่การหยังรูอ้ ริยสัจจ์ คือ เมือวางใจเป็ นกลางต่อ
สังขารทังหลาย ไม่พะวง และญาณแล่ นมุ่งตรงไปสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยต่อการตรัสรูอ้ ริยสัจจ์ ย่อมเกิดขึ นในลําดับถัดไป
เป็ นขันสุ ดท้ายของวิปัสสนาญาณ ต่อจากนั นก็จะเกิดโคตรภูญาณมาคันกลาง แล้วเกิดมรรคญาณให้สําเร็จความเป็ นอริยบุคคล
ต่อไป)
(มโนทวาราวัชชนะก็เกิดขึนทําสังขารทังหลายโดยนัยทีสังขารุ เปกขาทําแล้วนันแหละให้เป็ นอารมณ์ว่า อนิจจา ไม่เทียง
ทุกขัง หรืออนัตตา ต่อมามโนทวาราวัชชนะนัน ชวนจิตก็เกิดขึน 2-3 ขณะ รับเอาสังขารทังหลายทําให้เป็ นอารมณ์, ญาณ
อันสัมปยุตกับชวนจิตนันชือว่าอนุโลมญาณ ย่อมอนุโลมตามวิปัสสนาญาณ 8 ในเบืองต้น เพราะเป็ นกิจแห่งสัจญาณ (สัจ-
กิจ-กตญาณ)
ขุ.ปฏิ.31/1/1; วิสทุ ฺธ.ิ 3/262-319; สงฺคห.55.
13.โคตรภูญาณ (โวทาน) (ญาณครอบโคตร คือ ความหยังรูท้ ีเป็ นหัวต่อแห่งการข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู่ภาวะอริยบุคคล)
(ปั ญญาอันออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอก (เพราะอาศัยอกุศลขันธ์ในจิตสันดานในภายใน) เป็ นโคตรภูญาณ
เพราะครอบงําเสียได้ซึงโคตรปุ ถุชนและเพราะก้าวขึนสู่โคตรอริยะ, พุทธโฆษะว่า โคตรญาณ ยังไม่ออกจากปวัตตขันธ์
เพราะตัดสมุทัยยังไม่ขาด แต่ออกจากนิมิตได้ เพราะมีนิพพานเป็ นอารมณ์ ฉะนันจึงชือว่า เอกโตวุ ฎฐานะ คือ ออกจาก
สังขารนิมิตโดยส่วนเดียว (ยังเป็ นโลกียจิต) ,เพราะโคตรญาณนีกระทําพระนิพพานชือว่า อนิมิตตะ ไม่มีนิมิต เป็ นอารมณ์
ในทีสุดแห่งอาเสวนะแห่งอนุโลมญาณของจิตทีเหนือยหน่ายจากสังขารทังปวง ดุจนําตกจากใบบัว)
14.มัคคญาณ (ญาณในอริยมรรค คือ ความหยังรูท้ ีให้สําเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละขัน)
(ปั ญญาในการออกและหลีกจากขันธ์และนิมิต ทัง 2 เป็ นมรรคญาณ, มรรคญาณย่อมออกคื อย่อมหมุ นกลับจากกิ เ ลส
ทังหลาย และขันธ์อนั เป็ นไปตามกิเลสนัน กับทังสังขารนิมิตในภายนนอก, พุทธโฆษะว่า มรรคญาณแม้ทงั 4 ออกจากนิมิต

๘๘
เพราะมีพระนิพพานอันไม่มีนิมิตเป็ นอารมณ์และย่อมออกจากปวัตตขันธ์ เพราะตัดสมุทยั ได้ขาด ฉะนันจึงชือว่า ทุฏโตวุฏ
ฐานะ คือ ออกโดยส่วนทังสอง)
15.ผลญาณ (ญาณในอริยผล คือ ความหยังรูท้ ีเป็ นผลสําเร็จของพระอริยบุคคลชันนั นๆ)
(ปั ญญาในการระงับปโยคะ (การประกอบอย่างแรงกล้า คือ ความพยายามทีออกจากกิเลสและขันธ์ทงั 2)
16.ปั จจเวกขณญาณ (ญาณหยังรูด้ ว้ ยการพิจารณาทบทวน คือ สํารวจรูม้ รรคผล กิเลสทีละแล้ว กิเลสทีเหลื ออยู่ และนิ พพาน
เว้นแต่ว่าพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสทียังเหลืออยู่)
(ปั ญญาในการพิจารณาเห็นธรรมทีเข้ามาประชุมในขณะนัน)
ขุ.ปฏิ.อ.68 หน้า 46-80 (พึงดู ขุ .ปฏิ.31/มาติกา/1-2 (แสดงชือ 73 ญาณ) = Ps.1 และ วิสทุ ฺธ.ิ 3/206-328)
พระสารีบุตรว่า ธรรมเหล่านัน คือ ปั ญญาในความปรากฏโดยความเป็ นภัย 1 อาทีนวญาณ1 นิพพิทาญาณ1 มีอรรถ
อย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านัน”
(อ. แม้จะกล่าวเพียงคําเดียว (ญาณเดียว) ก็ยอ่ มเป็ นอันกล่าวทัง 3 โดยประเภทแห่งการกําหนด ฉะนัน เมือภยตูปัฏ
ฐานและอาทีนวานุ ปัสสนาสําเร็จแล้ว นิพพิทานุ ปัสสนาก็ย่อมสําเร็จ ดังนี, ภยตูปัฏฐานญาณ ย่อมเกิดขึนได้ใ นฐานะนีแก่
พระโยคีบุคคลผูเ้ ห็นอยู่ว่า สังขารทังหลายในอดีตก็ดับไปแล้ว ในปั จจุบันก็กาํ ลังดับ ถึงแม้ในอนาคตก็จกั ดับไปอย่า งนี
เหมือนกัน)
วิสุทธิ 7 (ความหมดจด, ความบริสุทธิทีสูงขึนไปเป็ นขันๆ, ธรรมทีชําระสัตว์ให้บริสุทธิ ยังไตรสิกขาให้บริบูรณ์ เป็ นขันๆ ไปโดย
ลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือนิ พพาน)
1. สีลวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งศีล คือ รักษาศีลตามภูมิขนของตนให้ ั บริสุทธิ และให้เป็ นไปเพือสมาธิ) วิสุทธิมคั ค์ว่าได้แก่ ปาริ
สุทธิศีล 4
2. จิตตวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งจิต คือ ฝึ กอบรมจิตจนบังเกิดสมาธิพอเป็ นบาทฐานแห่งวิปัสสนา) วิสุทธิมคั ค์ว่า ได้แก่ สมาบัติ
8 พร้อมทังอุปจาร
3. ทิฏฐิวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งทิฏฐิ คือ ความรูเ้ ข้าใจมองเห็นนามรูปตามสภาวะทีเป็ นจริง เป็ นเหตุข่มความเข้าใจผิดว่า เป็ น
สัตว์บุคคลเสียได้ เริมดํารงในภูมิแห่งความไม่หลงผิด) จัดเป็ นขันกําหนดทุกขสัจจ์
4. กังขาวิตรณวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณเป็ นเหตุขา้ มพ้น ความสงสั ย, ความบริสุทธิขันทีทําให้กํา จัดความสงสัย ได้ คือ
กํา หนดรู ป้ ั จจัย แห่ง นามรู ป ได้แ ล้ว จึ ง สิ น สงสั ย ในกาลทัง 3) ข้อนี ต รงกับ ธรรมฐิ ติ ญ าณ (ปั ญญาในการกํา หนดปั จ จัย) หรื อ
ยถาภูตญาณ หรือ สัมมาทัสสนะ จัดเป็ นขันกําหนดสมุทยั สัจจ์
5. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
(ย่อมเกิดแก่พระโยคีผไู ้ ด้อุทยัพพยญาณ เพราะฉะนัน เมืออุทยัพพยานุ ปัสสนาสําเร็จแล้ว มัคคามัคคญาณทัสสนะนัน ก็
ย่อมสําเร็จด้วย)
(ความหมดจดแห่งญาณทีรูเ้ ห็นว่าเป็ นทางหรือมิใช่ทาง คือ เริมเจริญวิปัสสนาต่อไปด้วยพิจารณากลาป จนมองเห็นความเกิด ขึน
และความเสื อมไปแห่ง สั ง ขารทังหลาย อัน เรี ย กว่ า อุ ทยัพพยานุ ปั ส สนา เป็ นตรุ ณ วิ ปั ส สนา คื อวิ ปั ส สนาญาณอ่ อนๆ แล้ว มี
วิปัสสนู ปกิเลส เกิดขึน กําหนดได้ว่าอุปกิเลสทัง 10 แห่งวิปัสสนานั นมิใช่ทาง ส่ วนวิปัสสนาทีเริมดําเนิ นเข้าสู่วิถีนันแลเป็ นทาง
ถูกต้อง เตรียมทีจะประคองจิตไว้ในวิถีคือ วิปัสสนาญาณ นั นต่อไป) ข้อนี จดั เป็ นขันกําหนดมัคคสัจจ์
6. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณอันรูเ้ ห็นทางดําเนิ น คือ ประกอบความเพียรในวิปัสสนาญาณทังหลายเริม
แต่อุทยัพพยานุ ปัสสนาญาณทีพ้นจากอุปกิเลสดําเนิ นเข้าสู่วิถีทางแล้วนั น เป็ นต้นไป จนถึงสัจจานุ โลมิกญาณหรืออนุ โลมญาณ อัน
เป็ นทีสุดแห่งวิปัสสนา ต่อแต่นีก็จะเกิดโคตรภูญาณ คันระหว่างวิสุทธิขอ้ นี กับข้อสุ ดท้าย เป็ นหัวต่อแห่งความเป็ นปุถุชนกับความ
เป็ นอริยบุคคล โดยสรุป วิสุทธิขอ้ นี ก็คือ วิปัสสนาญาณ 9)
7. ญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ คือ ความรูใ้ นอริยมรรค 4 หรือมรรคญาณ อันเกิดถัดจากโคตรภูญาณ
เป็ นต้นไป เมือมรรคเกิดแล้วผลจิตแต่ละอย่างย่อมเกิดขึนในลําดับถัดไปจากมรรคญาณนั นๆ ความเป็ นอริยบุคคลย่อมเกิดขึนโดย
วิสุทธิขอ้ นี เป็ นอันบรรลุผลทีหมายสูงสุดแห่งวิสุทธิ หรือไตรสิกขา หรือการปฏิบตั ิธรรมในพระพุทธศาสนาทังสิน)
วิสุทธิ 7 เป็ นปั จจัยส่งต่อกันขึนไปเพือบรรลุนิพพาน ดุจรถ 7 ผลัดส่งต่อกันให้บุคคลถึงทีหมาย โดยนั ยดังแสดงแล้ว
(รถวินีตสูตร) ม.มู.12/298/295; คัมภีรว์ ิสทุ ธิมคั ค์ทงหมด.

๘๙
สังโยชน์ (กิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมทีมัดสัตว์ไว้กบั วัฏฏทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กบั ผล)
ก. โอรัมภาคิ ยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์ เบืองตํา เป็ นอย่างหยาบ เป็ นไปในภพอันตํา)
1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็ นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็ นตน เป็ นต้น) (ทิฏฐิเจตสิก – ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต 4)
2. วิจกิ ิจฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ ใจ) (วิจิกิจฉาเจตสิก – วิจิกิจฉาสัมปยุตจิต 1)
3. สีลพั พตปรามาส (ความถือมันศีลพรต โดยสักว่าทําตามๆ กันไปอย่างงมงายเห็นว่าจะบริสุทธิหลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร)
4. กามราคะ (ความกําหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ) (โลภเจตสิก-ทีในโลภมูลจิต 8)
5. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทังในใจ, ความหงุ ดหงิดขัดเคือง) (โทสเจตสิก-โทสมูลจิต 2)
ข. อุทธัมภาคิ ยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์ เบืองสูง เป็ นอย่างละเอียด เป็ นไปแม้ในภพอันสูง)
6. รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณี ต, ความปรารถนาในรูปภพ) (โลภเจตสิก-ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต 4)
7. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ)
8. มานะ (ความสําคัญตน คือ ถือตนว่าเป็ นนันเป็ นนี ) (มานเจตสิก-ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต 4)
9. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) (อุจธัจจเจตสิก-อกุศลจิต 12)
10. อวิชชา (ความไม่รจู ้ ริง, ความหลง) (โมหเจตสิก-อกุศลจิต 12)
สังโยชน์ 10 ในหมวดนี เป็ นแนวพระสูตร หรือ สุตตันตนัย แต่ในบาลีแห่งพระสูตรนั นๆ มีแปลกจากทีนี เล็กน้อย คือ ข้อ 4 เป็ น กามฉันท์
(ความพอใจในกาม) ข้อ 5 เป็ น พยาบาท (ความขัดเคือง, ความคิดร้าย) ใจความเหมือนกัน
สํ.ม.19/349/90; องฺ.ทสก.24/13/18; อภิ.วิ.35/976-7/509.
สังโยชน์ (ธรรมทีมัดสัตว์ไว้กบั ทุกข์) อภิ.วิ.35/1029/528.
1. กามราคะ 2. ปฏิฆะ 3. มานะ
4. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) 5. วิจกิ ิจฉา 6. สีลพั พตปรามาส
7. ภวราคะ (ความติดใจปรารถนาในภพ) (โลภเจตสิก-ทิฏฐิคตวิปปยุต 4)
8. อิสสา (ความริษยา) (อิสสาเจตสิก-โทสมูลจิต 2)
9. มัจฉริยะ (ความตระหนี ) (มัจฉริยเจตสิก-โทสมูลจิต 2) 10. อวิชชา
สังโยชน์ 10 ในหมวดนี เป็ นแนวพระอภิธรรม หรือ อภิธรรมนัย ได้แสดงความหมายไว้เฉพาะข้อทีต่างจากหมวดก่อน
มรรค 4 (ทางเข้าถึงความเป็ นอริยบุคคล, ญาณทีทําให้ละสังโยชน์ได้ขาด) อภิ.วิ.35/837/453.
1. โสดาปั ตติมรรค (มรรคอันให้ถึงกระแสที นํ าไปสู่พระนิ พพานที แรก, มรรคอันให้ถึงความเป็ นพระโสดาบัน เป็ นเหตุละสังโยชน์ ไ ด้ 3 คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพั พตปรามาส)
2. สกทาคามิมรรค (มรรคอันให้ถึงความเป็ นพระสกทาคามี เป็ นเหตุละสังโยชน์ได้ 3 ข้อต้น กับทําราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง)
3. อนาคามิมรรค (มรรคอันให้ถึงความเป็ นพระอนาคามี เป็ นเหตุละสังโยชน์เบืองตําได้ทงั 5)
4. อรหัตตมรรค (มรรคอันให้ถึงความเป็ นพระอรหันต์ เป็ นเหตุละสังโยชน์ได้หมดทัง 10)
โสดาบัน ปหาน ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต 4 วิจกิ ิจฉาสัมปยุตจิต 1 + เจตสิก 22 (สมุจเฉทปหาน)
ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต 4 โทสมูลจิต 2+ เจตสิก 25 ทีนําไปสูอ่ บาย (อปายคมนียะ) พึงละได้โดยทําให้เบาบาง (ตนุกรปหาน)
สกทาคามี ปหาน ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต 4 โทสมูลจิต 2 + เจตสิก 25 ทีเป็ นอย่างหยาบ (โอฬาริกะ) พึงละได้ โดยทําให้เบา
บาง (ตนุกรปหาน)
อนาคามี ปหาน ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต 4 ซึงเกียวด้วยกามราคะ โทสมูลจิต 2 + เจตสิก 25 ละได้เด็ดขาด (สมุจเฉทปหาน)
อรหันต์ ปหาน ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต 4 ซึงเกียวกับรูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจสัมปยุตจิต 1 + เจตสิก 21 ละได้เด็ดขาด
(สมุจเฉทปหาน)

๙๐
วิปัสสนูปกิเลส 10 (อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา, ธรรมารมณ์ทีเกิดแก่ผไู ้ ด้ตรุณ-วิปัสสนา หรือวิปัสสนาอ่อนๆ ทําให้เข้าใจผิดว่าตน
บรรลุมรรคผลแล้ว เป็ นเหตุขดั ขวางให้ไม่กา้ วหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ)
1. โอภาส (แสงสว่าง) 2. ญาณ (ความหยังรู)้
3. ปี ติ (ความอิมใจ) 4. ปั สสัทธิ (ความสงบเย็น)
5. สุข (ความสุขสบายใจ) 6. อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชือ, ศรัทธาแก่กล้า, ความปลงใจ)
7. ปั คคาหะ (ความเพียรทีพอดี) 8. อุปัฏฐาน (สติแก่กล้า, สติชดั )
9. อุเบกขา (ความมีจิตเป็ นกลาง) 10. นิกนั ติ (ความพอใจ, ติดใจ) วิสุทฺธิ.3/267.
......................................................
[ภิกษุ ผตู ้ อ้ งอาบัติปาราชิกแล้ว เป็ นผูไ้ ม่ควรดํารงอยู่ในความเป็ นภิกษุ เพราะหากยังดํารงอยู่ ย่อมอันตรายต่อการบรรลุ
ฌาน เป็ นอันตรายต่อสวรรค์ เป็ นอันตรายต่อมรรค.. ดังนี ความเป็ นภิกษุ ของเธอ ย่อมชือว่าเป็ นของไม่บริสุทธิ ]
[ภิกษุ ผตู ้ อ้ งปาราชิก(ลาสิกขา)เป็ นคฤหัสถ์หรือเป็ นอุบาสก หรือเป็ นอารามิกะ หรือเป็ นสามเณร ย่อมเป็ นผูค้ วรเพือยัง
ทางสวรรค์ให้สําเร็จด้วยคุณธรรมทังหลายมีทาน สรณะ ศีล และสังวร เป็ นต้น หรือยังทางพระนิ พพานให้สําเร็จด้วยคุณธรรม
ทังหลาย มีฌานและวิโมกข์เป็ นต้น, เพราะเหตุนัน ความเป็ นคฤหัสถ์เป็ นต้นของเธอ จึงชือว่าเป็ นความบริสุทธิ, เพราะฉะนั น
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกเธอว่า ผูม้ ุ่งความบริสุทธิ เพราะเพ่งถึงความบริสุทธินั น] วิ.อ.2/626 (มมร.)
[ภิกษุ ผใู ้ คร่จะกล่าวบทใดบทหนึ งจากบรรดาอุตริมนุ สธรรมมีปฐมฌานเป็ นต้น แม้เมือกล่าวบทหนึ งอย่างอืนจากบทนั น
ย่อมเป็ นปาราชิกทีเดียว เพราะบทนั นหยังลงในเขตแห่งสิกขาบท เหมือนอย่างภิกษุ จะกล่าว พุทธํ ปจฺจกฺ ขามิ แต่ไพล่ไปกล่าวว่า
ธมฺ มํ ปจฺจกฺ ขามิ เป็ นต้น ย่อมเป็ นผูบ้ อกลาสิกขาแล้ว]
พึงทราบว่า ปาราชิก (ผูพ้ ่ายแพ้) มีอยู่ 24 อย่าง คือ วิ.ม.อ.2/662 มมร.
1-8 ได้แก่ ปาราชิกของภิกษุ 4 ปาราชิกของภิกษุ ณี 4 (หน้า 271)
9 บัณเฑาะก์ 10 สัตว์เดรัจฉาน 11 อุภโตพยัญชนก (คนสองเพศ) ทัง 3 จําพวกหลังนี เป็ นพวกอเหตุกปฏิสนธิ จัดเป็ น
พวกวัตถุวิบตั ิ ไม่ถูกห้ามสวรรค์แต่ถูกห้ามมรรค (ไม่สามารถรูแ้ จ้งอริยมรรคได้) บัณเฑาะก์เป็ นต้นนี จัดเป็ นอภัพพบุคคล การ
บรรพชาของพวกเขาก็ทรงห้ามไว้ เพราะฉะนั น จึงจัดเปนผูพ้ ่ายแพ้ (ปาราชิก)
12 คนลักเพศ(ปลอมบวช) 13 ภิกษุ เข้ารีตเดียรถีย์ 14 สามเณรผูป้ ระทุษร้ายนางภิกษุ ณี 3 จําพวกนี ไม่ถูกห้ามสวรรค์
แต่ถูกห้ามมรรคแท้
15 คนฆ่ามารดา 16 คนฆ่าบิดา 17 คนฆ่าพระอรหันต์ 18 คนทําโลหิตุปบาท 19 ภิกษุ ผทู ้ าํ สังฆเภท 5 จําพวกนี ถูก
ห้ามสวรรค์ทงมรรค
ั เพราะเป็ นจําพวกทีจะต้องเกิดในนรกแน่ นอน
จําพวกที 12-19 ทังหมดนี ถึงความเป็ นอภัพพบุคคล (บุคคลผูไ้ ม่อาจตรัสรูไ้ ด้) เพราะเป็ นผูว้ ิบตั ิดว้ ยการกระทําของตน
20 นางภิกษุ ณีผยู ้ งั ความพอใจให้เกิดในเพศคฤหัสถ์ แล้วนุ่ งห่มอย่างคฤหัสถ์ ก็จดั ว่าไม่เป็ นสมณีดว้ ยเหตุเพียงเท่านี
21 ภิกษุ ผมู ้ ีองค์กาํ เนิ ดยาว แล้วสอดองค์กาํ เนิ ดเข้าไปทางวัจจมรรคของตน
22 ภิกษุ หลังอ่อน ก้มลงอมองค์กาํ เนิ ดของตน
23 ภิกษุ เอาปากอมองค์กาํ เนิ ดผูอ้ ืน
24 ภิกษุ นังสวมองค์กาํ เนิ ดของผูอ้ ืน
ปาราชิก 4 อย่างท้ายนี (21-24) ชือว่า อนุ โลมแก่เมถุนธรรมปาราชิก เพราะแม้จะมิได้เสพเมถุนธรรมเลย ก็พึงต้อง
อาบัติได้ ด้วยอํานาจการยังมรรคให้เข้าไปทางมรรคอย่างเดียว เพราะเหตุนันจึงเรียกว่า อนุ โลมปาราชิก ฉะนี แล
บุคคลผูบ้ รรลุธรรมไม่ได้ 15 จําพวก
(มิลินทปั ญหา - หน้าที เอกัจจาเนกัจจานั ง ธัมมาภิสมยปั ญหา ที 3)
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิ บดีบรมกษั ตริย์จึงมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺ เต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู ้
ปรี ช า เย เต สมฺ มาปฏิ ป ชฺ ชนฺ ติ สั ต ว์ทังหลายใด มี นํ าใจศรัทธา อุ ต สาห์ป ฏิ บัติ เ ป็ นสั ม มาปฏิ บัติ ใ นธรรมแล้ว ก็ จะสํ า เร็ จ
ธรรมาภิสมัยมรรคผลสินหรือ หรือว่าสัตว์บางพวกถึงจะปฏิบตั ิก็ไม่สําเร็จ
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร พระองค์ผูป้ ระเสริฐ สัตว์บางพวกสําเร็ จ
ธรรมาภิสมัยมรรคผล บางจําพวกไม่สําเร็จ ขอถวายพระพร

๙๑
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทาธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺ เต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผูป้ รีชา พวกไรเล่าไม่
สําเร็จ จงวิสัชนาให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารผูป้ ระเสริฐ
(1) สัตว์ทีเกิดในกําเนิ ดเดียรัจฉาน คือกินนรและนาคเป็ นต้น ถึงมาตรว่าจะปฏิบตั ิเป็ นสัมมาปฏิบตั ิให้ดีประการใด ๆ ธมฺ มาภิสม
โย อันว่าธรรมาภิสมัยมรรคผลนี จะบังเกิดแก่เดียจรัจฉานนั นหามิได้เลย
(2) เปรตจําพวกหนึ ง ถึงจะปฏิบตั ิดี ก็ไม่ได้สําเร็จธรรมาภิสมัยมรรคผล
(3) คนเป็ นมิจฉาทิฐิยงั ถือผิดอยู่ จะปฏิบตั ิเป็ นสัมมาปฏิบตั ิ ยังไม่ตดั ทิฐิอนั ชัวของตนเสียก็ไม่สําเร็จธรรมาภิสมัยมรรคผล
ประการหนึ ง (4) กุมารอายุตากว่ ํ า 7 ขวบ ถึงจะปฏิบตั ิดี ก็มิอาจสําเร็จธรรมาภิสมัยมรรคผล
ประการหนึ ง (5-9) บุคคลกระทําปั ญจานั นตริยกรรม 5 ประการ คือมาตุฆาต ปิ ตุฆาต อรหันตฆาต สังฆเภท และโลหิตุปบาท
สิริเป็ น 5 ประการ และ
(10) บุคคลทุศีลไถยสังวาส นุ่ งห่มผ้าสาวพัสตร์ ปลอมอยู่กบั ภิกษุ สามเณรนั นก็ดี และ
(11) บุคคลทีบวชเป็ นภิกษุ แล้ว กลับไปถือฝ่ ายเดียรถียก์ ็ดี และ
(12) บุคคลทีประทุษร้ายนางภิกษุ ณีก็ดี และ
(13) ภิกษุ ตอ้ งอาบัติสังฆาทิเสสมิได้อยู่กรรมก็ดี และ
(14) บัณเฑาะก์ก็ดี และ
(15) อุภโตพยัญชนะก็ดี จะปฏิบตั ิเป็ นสัมมาปฏิบตั ิ คือจําเริญสมถวิปัสสนานั น มิอาจได้ธรรมาภิสมัยมรรคผล ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺ เต นาคเสน ข้าแต่
พระนาคเสนผูป้ รีชา ซึงบุคคล 15 จําพวก ไม่ควรจะได้ธรรมาภิสมัยมรรคผลนั น โยมก็สินสงสัยแล้ว แต่ทว่าโยมสงสัยอยู่ทีว่า
กุมารมีอายุตากว่ ํ า 7 ขวบ ดูนีน่ าทีจะได้มรรคผลธรรมวิเศษ เหตุว่าทารกนั นปราศจากราคะโทสะโมหะมานะทิฐิ มิได้มีกาํ หนั ดใน
ราคะดําฤษณา มิได้มีกามวิตก มิได้เจือไปด้วยกิเลส เหตุไฉนจึงมิได้สําเร็จธรรมาภิสมัยมรรคผล
พระนาคเสนจึงวิสัชนาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร กุมารมีอายุตากว่ ํ า 8 ขวบ ประกอบด้วยราคะ
โทสะ โมหะ มานะทิฐิ รูว้ ่าสิงนี บุญแล้วกุมารนั นจะได้มรรคผล ประการหนึ ง ทารกมีอายุตากว่ ํ า 7 ขวบ กระทําจิตปราศจากอกุ ศล
ได้เหมือนผูใ้ หญ่นัน ก็จะสําเร็จมรรคและผลอาจได้ซึงนิ พพานธาตุ นี สิ เป็ นกุมารอายุตาํ สติปัญญาอ่อนนั ก ถึงจะปฏิบตั ิเป็ นสัมมา
ปฏิบตั ินัน มิอาจะได้ซึงธรรมาภิสมัยมรรคผล
. . . กุมารนั นเป็ นเด็กสติปัญญาอ่อน มิอาจสําเร็จธรรมาภิสมัยมรรคผล ดุจบุคคลทีมีกาํ ลังเป็ นปรกติ มิอาจยกเขาพระเมรุ
ราชอันใหญ่ขึนได้ฉะนั น . . . ดุจอุทกังหยาดเดียวตกลงหลังปฐพีอันใหญ่ มิอาจให้ปฐพีชุ่มได้ฉันนั น . . . ดุจประทีปน้อยมิอาจยัง
มนุ ษยโลกกับเทวโลกให้สว่างได้ฉันนั น . . . ดุจกิมิชาติหนอนน้อยมิอาจสามารถทีว่าจะกินคชสารสูง 8 ศอกคืบให้ลม้ ลงได้นัน ขอ
ถวายพระพร
……………………………………..
ถ้าฉายาปาราชิกปรากฏ แก่ภิกษุ ผูฉ้ ลาด(ผูถ้ ู กถาม)ในการวินิจฉัย ไม่ควรบอกว่า เป็ นอาบัติปาราชิก เพราะเหตุว่า การ
ล่ วงละเมิดเมถุ นธรรมและอุตริมนุ สสธรรมเป็ นของหยาบ, ส่ วนการละเมิดอทินนาทานและการฆ่ามนุ ษย์เป็ นของสุ ขุม มีจิต
เปลียนแปลงเร็ว ภิกษุ ย่อมต้องวีติกกมะทังสองนั นด้วยอาการสุขุมทีเดียวและย่อมรักษาไว้ดว้ ยอาการสุขุม (ต้องระวังมาก) และ
”เพราะความบังเกิดขึนแห่งพระพุทธเจ้า เป็ นของได้ดว้ ยยาก การบรรพชาและการอุปสมบท เป็ นของได้ยากยิงกว่านั น”
ถ้าอาจารย์ของเธอ(ผูล้ ่วงละเมิดสิกขาบท)ยังมีชีวิตอยู่ไซร้ ภิกษุ ผูฉ้ ลาดควรส่งภิกษุ นันไปว่า เธอจงถามอาจารย์ของ
ข้าพเจ้าดูเถิด, ถ้าอาจารย์บอกว่าเป็ นสเตกิจฉา (ยังพอแก้ไขได้) ภิกษุ ผฉู ้ ลาดควรพูดกับเธอว่า “ดีละๆ เธอจงทําอย่างที
อาจารย์พูด”
ก็ถา้ อาจารย์ของเธอไม่มี แต่พระเถระผูเ้ ล่าเรียนร่วมกัน(กับผูถ้ ูกถาม)มีอยู่ พึงส่งเธอไปยังสํานั กของพระเถระนั น สังว่า
พระเถระผูเ้ ล่าเรียนร่วมกับข้าพเจ้าเป็ นคณปาโมกข์มีอยู่ เธอจงไปถามท่านดูเถิด
ถ้าแม้พระเถระผูเ้ ล่าเรียนร่วมกันไม่มี มีแต่ภิกษุ ผเู ้ ป็ นอันเตวาสิก ซึงเป็ นบัณฑิต พึงส่งเธอไปยังสํานั กของภิกษุ นัน

สรุปอาบัติปาราชิก แม้จะอุปสมบทอีก ก็ไม่เป็ นภิกษุ ตลอดชาติ


………………………………………………………………..….

๙๒
สังฆาทิเสส 13 (สังฆาทิเสส แปลว่า หมวดอาบัติทีต้องอาศัยสงฆ์ในกรรมเบืองต้นและกรรมทีเหลือ, อธิบายความว่า สงฆ์
เท่านั นให้ปริวาสเพืออาบัตินันได้ ชักเข้าหาอาบัติเดิมได้ ให้มานั ตได้ เรียกเข้าหมู่ได้ ไม่ใช่คณะมากรู ป
๒.๘ ด้วยกัน ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว)

บทที 1 ภิกษุ จงใจทํานําอสุจิให้เคลือน ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส


พระอนุ บญ ั ญัติ. ปล่อยสุกกะเป็ นไปด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน เป็ นสังฆาทิเสส วิ.ม.1/375/507
ภิกษุตน้ บัญญัติ. พ.ประทับ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี พระเสยยสกะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์จึงซูบผอม พระอุทายีผเู ้ ป็ น
อุปัชฌาย์แนะนํ าว่า “ครันเมือคุ ณเกิดความกระสัน ราคะรบกวนจิต เมือนั น คุ ณจงใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ ” ภายหลังพระ
เสยยสกะผิวพรรณผุดผ่องอิมเอิบ ภิกษุ ทงหลายทราบติ
ั เตียน , ต่อมา ภิกษุ ทงหลายฉั
ั นแล้ว จําวัดไม่มีสติสัมปชัญญะ อสุจได้
เคลือน
สุกกะ มี 10 อย่าง คือ สุกกะสีเขียว, เหลือง, แดง, ขาว, สีเหมือนเปรียง, เหมือนท่านํ า, เหมือนนํ ามัน, เหมือนนมสด, เหมือน
นมส้ม, เหมือนเนยใส
ชือว่าการปล่อย คือ การกระทําอสุจิให้เคลือนจากฐาน
อุบาย 4 1.ภิกษุ ปล่อยสุกกะในรูปภายใน 2.ในรูปภายนอก 3.ในรูปทังทีเป็ นภายในทังทีเป็ นภายนอก 4.ปล่อยเมือยัง
สะเอวให้ไหวในอากาศ , ขณะฝั น เจตนามีอยู่ แต่เป็ นอัพโพหาริก คือ ไม่ควรกล่าวว่ามี
“ดูก่อนโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพือคลายความกําหนั ด ไม่ใช่เพือความกําหนั ด เพือความพราก
ไม่ใช่เพือความประกอบ เพือความไม่ถือมัน ไม่ใช่เพือความถือมัน มิ ใช่หรือ, เมื อธรรมชื อนั น อันเราแสดงแล้ว เพือคลายความ
กําหนั ด เธอยังจักคิ ดเพือมี ความกําหนั ด เราแสดงเพือความพราก เธอยังจักคิ ดเพือความประกอบ เราแสดงเพือ ความไม่ถือมัน
เธอยังจักคิ ดเพือมี ความถือมัน, ดูก่อนโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพือเป็ นทีสาํ รอกแห่งราคะ เพือเป็ นที
สร่างแห่งความเมา เพือเป็ นทีบรรเทาความกระหาย เพือเพิกถอนอาลัย เพือเข้าไปตัดวัฏฏะ เพือสินแห่งตัณหา เพือคลายกําหนั ด
เพือความดับทุกข์ เพือไม่มีกิเลสเครืองร้อยรัด มิใช่หรือ, ดูก่อนโมฆบุรษุ การละกาม การกําหนดรูค้ วามหมายในกาม การกําจัด
ความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอันเกียวด้วยกาม การระงับความกลัดกลุม้ เพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริย าย
มิใช่หรือ, ดูก่อนโมฆบุรษุ การกระทําของเธอนั น ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียงั ไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิง
ของชุมชนทีเลือมใสแล้ว โดยทีแท้การกระทําของเธอนั น เป็ นไปเพือความไม่เลือมใสของชุ มชนทียงั ไม่เลือมใส และเพือความเป็ น
อย่างอืนของชนบางพวกทีเลือมใสแล้ว”
อ. กล่ าวว่า เมือภิกษุ ทังหลายกําลังจําวัด ภวังควารทีเป็ นอัพยากฤตเป็ นไปอยู่, สติสัมปชัญะวาระจะคลาดไป แม้ก็จริง; ถึ ง
กระนั น ภิกษุ เมือจะจําวัดในกลางวัน พึงจําวัดพร้อมด้วยความอุตสาหะว่า เราจักจําวัดชัวเวลาทีผมของภิกษุ ผูส้ รงนํ า ยังไม่
แห้ง แล้ว จัก ลุ ก ขึ น ดัง นี จะจํา วัด ในเวลากลางคื น พึ ง เป็ นผู ม้ ี ค วามอุ ตสาหะจําวัดว่ า เราจัก หลั บ สิ น ส่ วนแห่ง ราตรี ชื อมี
ประมาณเท่านี แล้วลุกขึนในเวลาทีดวงจันทร์หรือดวงดาวโคจรมาถึงสถานทีชือนี .
[อธิบายเหตุให้เกิดความฝั น 4 อย่าง] เล่ม 3 หน้า 102 มมร.
สุ ปินะนั นแหละ ชือสุ ปินั นตะ มีคําอธิ บายว่า ยกเว้น คือนํ าความฝั นนั นออกไปเสี ย. ก็แล บุคคลเมือจะฝั นนั น ย่อมฝั น
เพราะเหตุ 4 ประการคือ เพราะธาตุกาํ เริบ 1 เพราะเคยทราบมาก่อน 1 เพราะเทวดาสังหรณ์ 1 เพราะบุพนิ มิต 1.
บรรดาเหตุ 4 อย่างนั น คนผูม้ ีธาตุกาํ เริบ เพราะประกอบด้วยปั จจัยอันทําให้ดีเป็ นต้นกําเริบ ชือว่า ย่อมฝั น เพราะธาตุ
กําเริบ. และเมือฝั น ย่อมฝั นต่างๆ เช่นเป็ นเหมือนตกจากภูเขา เหมือนเหาะไปทางอากาศ และเหมือนถูกเนื อร้าย ช้างร้าย และ
โจรเป็ นต้น ไล่ติดตาม.
เมือฝั นเพราะเคยทราบมาก่อน ชือว่า ย่อมฝั นถึงอารมณ์ทีตนเคยเสวยมาแล้วในกาลก่อน .
พวกเทวดาย่อมนํ าอารมณ์มีอย่างต่างๆ เข้าไป เพือความเจริญบ้าง เพือความเสือมบ้าง เพราะเป็ นผูม้ ุ่งความเจริ ญบ้าง
เพราะเป็ นผูม้ ุ่งความเสื อมบ้าง แก่บุคคลผูฝ้ ั น เพราะเทวดาสังหรณ์ ผูน้ ั นย่อมฝั นเห็นอารมณ์เ หล่ านั นด้วยอนุ ภาพของพวก
เทวดานั น.
เมือบุคคลฝั นเพราะบุพนิ มิต ชือว่า ย่อมฝั นทีเป็ นบุพนิ มิตแห่งความเจริญบ้าง แห่งความเสือมบ้าง ซึงต้องการจะเกิดขึน
ด้วยอํานาจแห่งบุญและบาป เหมือนพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงพระสุบินนิ มิตในการทีจะได้พระโอรสฉะนั น, เหมือนพระ
โพธิสัตว์ทรงมหาสุบิน 5 และเหมือนพระเจ้าโกศลทรงพระสุบิน 16 ประการฉะนั นแล.

๙๓
บรรดาความฝั น 4 อย่างนั น ความฝั นทีคนฝั นเพราะธาตุกาํ เริบและเพราะเคยทราบมาก่อนไม่เป็ นจริง. ความฝั นทีฝั น
เพราะเทวดาสังหรณ์ จริงก็มี เหลวไหลก็มี, เพราะว่าพวกเทวดาโกรธแล้ว ประสงค์จะให้พินาศโดยอุบาย จึงแสดงให้เห็นวิป ริต
ไปบ้าง. ส่ วนความฝั นทีคนฝั นเพราะบุ พนิ มิ ต เป็ นความจริงโดยส่ วนเดี ยวแล. ความแตกต่างแห่งความฝั น แม้เพราะความ
แตกต่างแห่งมูลเหตุทัง 4 อย่างนี คละกันก็มีได้เหมือนกัน. ก็แลความฝั นทัง 4 อย่างนี นัน พระเสขะและปุถุชนเท่านั น ย่อมฝั น
เพราะยังละวิปลาสไม่ได้. พระอเสขะทังหลาย ย่อมไม่ฝัน เพราะท่านละวิปลาสได้แล้ว.
ถามว่า ก็บุคคลเมือฝั นนั น หลับ ฝั น หรือตืนฝั น หรือว่าไม่หลับไม่ตืนฝั น.
แก้ว่า ในเรืองความฝั นนี ท่านควรกล่ าวเพิมอีกสักเล็ กน้อย. ชันแรก ถ้าคนหลับฝั นก็จะต้องขัดแย้งกับพระอภิธรรม.
เพราะว่า คนหลับด้วยภวังคจิต. ภวังคจิตนั น หามีรูปนิ มิตเป็ นต้นเป็ นอารมณ์หรือสัมปยุตด้วยราคะเป็ นต้นไม่. ก็เมือบุคคลฝั น
จิตทังหลายเช่นนี ย่อมเกิดขึนได้.

ถ้าบุคคล ตืนฝั น ก็จะต้องขัดแย้งกับพระวินัย. เพราะว่า คนตืนฝั นเห็นสิงใด, เขาเห็นสิงนั น ด้วยสัพโพหาริกจิต* (ด้วย


จิตตามปกติ). ก็ชือว่า อนาบัติ ย่อมไม่มีในเพราะความล่ วงละเมิด-ทีภิกษุ ทําด้วยสัพโพหาริกจิต แต่เมือผูก้ าํ ลังฝั นทําการล่ วง
ละเมิด เป็ นอนาบัติโดยส่ วนเดียวแท้. ถ้าบุคคลไม่หลับไม่ตืนฝั น ชือว่าใคร ๆ จะฝั นไม่ได้ และเมือเป็ นอย่างนั น ความฝั นก็
จะต้องไม่มีแน่ . จะไม่มีได้. เพราะเหตุไร ? เพราะคนผูถ้ ูกความหลับดุจลิงครอบงํา จึงฝั น. สมจริงดังคําทีพระนาคเสนเถระกล่าว
ไว้ว่า มหาบพิตร ! คนถูกความหลับดุจลิงหลับครอบงําจึงฝั นแล.
*. วิมติวโนทนี ฏีกา, สพฺ โพหาริกจิตฺเตนาติ ปฏิพุทฺธสฺ ส ปกติวีถิจิตฺเตน แปลว่า บทว่า ด้วยสัพโพหาริกจิต นั น คือ ด้วยวิถีจิต
ตามปกติของคนผูต้ ืนอยู่.
บทว่า กปิ มิทฺธปเรโต แปลว่า ประกอบด้วยความหลับดุจลิงหลับ. เหมือนอย่างว่า ความหลับของลิงเปลียนแปลงรวดเร็ว
ฉันใด, ความหลับใดเปลียนแปลงเร็ว เพราะเกลือนกล่นด้วยจิตเป็ นกุศลเป็ นต้นบ่อยๆ ก็ฉันนั น คือ มีการตืนขึนจากภวังค์บ่ อย
ๆ ในเวลาความหลับใดเป็ นไป บุคคลผูน้ ั นประกอบด้วยความหลับนั น ย่อมฝั นได้ เพราะเหตุนัน ความฝั นนี จึงเป็ นกุ ศลบ้าง
เป็ นอกุศลบ้าง เป็ นอัพยากฤตบ้าง. บรรดาความฝั น 3 อย่างนั น ความฝั นของผูท้ ีฝั นว่า กําลังทําการไหว้พระเจดีย์ ฟั งธรรมและ
แสดงธรรมเป็ นต้น พึงทราบว่าเป็ นกุศล, ของผูท้ ีฝั นว่า กําลังทําบาป มีการฆ่าสัตว์เป็ นต้น พึงทราบว่า เป็ นอกุศล, ความฝั นที
พ้นไปจากองค์สอง พึงทราบว่าเป็ นอัพยากฤต ในขณะแห่งอาวัชชนจิตและตทารัมมณจิต. ความฝั นนี นันไม่สามารถเพือจะชัก
ปฏิสนธิมาได้ เพราะเจตนามีวตั ถุ อ่อนกําลัง แต่ในปวัตติกาล อันกุศลและอกุศลเหล่ าอืนสนั บสนุ นแล้ว ย่อมให้วิบากได้ จะให้
วิบากได้แม้ก็จริง ถึงอย่างนั น เจตนาในความฝั น ก็จดั เป็ นอัพโพหาริกทีเดียว เพราะบังเกิดในฐานะอันมิใช่วิสัย. เพราะเหตุนัน
ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า เว้นไว้แต่ฝัน.
[ภิกษุ รูปหนึ งกําลังตรึกถึงกามวิตกอยู่ อสุจิเคลือนแล้ว, แต่ไม่มีความประสงค์จะให้เคลือนเลย ไม่ตอ้ งอาบัติ] วิ.ม.1/347/578
[ภิกษุ รูปหนึ งมีความประสงค์ให้อสุจิเคลือน (กําลังอาบนําร้อน กําลังทายา กําลังเดินทาง กําลังจับหนังหุม้ องค์กาํ เนิ ด ถ่ายปั สสาวะอยู่ ฯลฯ)
แต่อสุจิไม่เคลือน ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/348/578
[ภิกษุ รูปหนึ งมีความประสงค์ให้อสุจิเคลือน ได้บอกสามเณรรูปหนึ งว่า เธอจงมาจับองค์กาํ เนิ ดของฉัน สามเณรได้จับองค์กําเนิ ด
ของภิกษุ นันแล้ว อสุจิของภิกษุ นันเคลือน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส] วิ.ม.1/356/584
[ภิกษุ รูปหนึ งมีความประสงค์ให้อสุจิเคลือน (บีบองค์กาํ เนิ ดด้วยกํามือ ยังสะเอวให้ไหวในอากาศ สีองค์กาํ เนิ ดกับไม้ อาบนําทวนกระแส สอด
องค์กาํ เนิ ดเข้าช่องประตู สอดเข้าในทราย สอดเข้าในตม ตักนํารดองค์กาํ เนิ ด ) อสุจิเคลือน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส]
วิ.ม.1/359–372/585–593
[ภิกษุ รูปหนึ งมีความกําหนั ด เพ่งองค์กาํ เนิ ดของมาตุคาม อสุจิของภิกษุ นันเคลือน ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/362/587
๑.

อนาบัติ. 1. ภิกษุ มีอสุจิเคลือนเพราะฝั น 2. ภิกษุ ไม่ประสงค์จะให้อสุจิเคลือน


องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้า 132
1. เจตนาจะให้เคลือน
2. พยายาม
3. อสุจิเคลือน
พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นสังฆาทิเสส

๙๔
บทที 2 ภิกษุมีความกําหนัด จับต้องกายหญิง ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดกําหนั ดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม คื อ จับมื อก็ตาม จับช้องผมก็
ตาม ลูกคลําอวัยวะอันใดอันหนึ งก็ตาม เป็ นสังฆาทิเสส
กําหนัดแล้ว คือ มีความยินดี มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพทั ธ์
แปรปรวนแล้ว คือ จิตทีถูกราคะย้อมแล้ว (ถูกโทสะประทุษร้ายแล้ว ถูกโมหะให้ลมุ่ หลงแล้ว) ก็แปรปรวน (ในอรรถนี มุง่ จิตทีถูกราคะย้อมแล้ว)
ภิกษุ ตน้ บัญญัต.ิ วิหารของพระอุทายีอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี งดงาม จัดไว้เรียบร้อย สะอาด พราหมณ์และภรรยาขอชมวิหาร พระอุทายีมาทาง
ด้านหลัง จับอวัยวะน้อยใหญ่ของนางพราหมณี
[สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นบัณเฑาะก์ บุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน(ก็ตาม)) มีความกําหนั ด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงกายนันของ
สตรีดว้ ยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/380/600
[บัณเฑาะก์หนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นบัณเฑาะก์ มีความกําหนั ด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงกายนั นของบัณเฑาะก์ดว้ ยกาย
ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/380/600
[บัณเฑาะก์หนึ ง ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นบุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน สตรี(ก็ตาม)) มีความกําหนัด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงกายนันของ
บัณเฑาะก์ดว้ ยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/380/600–601
[บุรุษหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นบุรุษ มีความกําหนั ด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงกายนั นของบุรุษด้วยกาย ต้องอาบัติทุก
กฏ] วิ.ม.1/380/601
[บุรุษหนึ ง ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นสัตว์เดรัจฉาน สตรี บัณเฑาะก์(ก็ตาม)) มีความกําหนัด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงกายนันของ
บุรุษด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/383/609
[สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงของเนื องด้วยกายนันของสตรีดว้ ยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย]
[สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงของเนื องด้วยกายนันของสตรีดว้ ยของเนื องด้วยกาย ต้องอาบัติ
ทุกกฏ] วิ.ม.1/383/610
[สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และถูกต้องซึงกายนันของสตรี ด้วยของทีโยนไป ต้องอาบัติทุกกฏ]
[สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และถูกต้องซึงของทีโยนมานัน ด้วยของทีโยนไป ต้องอาบัติทุกกฏ]
* [สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และสตรี(เป็ นผูก้ ระทํา) ถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงกายนั นของภิกษุ ดว้ ย
กาย ภิกษุ มีความประสงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย(ขยับหรือไหวกายแม้หน่ อยหนึ ง เพือ) รูต้ อบผัสสะอยู่(กระทบถูกต้องร่างกาย) ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส] วิ.ม.1/384/612
[สตรีหนึ ง ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และสตรี(เป็ นผูก้ ระทํา) ถูก คลํา จับ ต้อง ฯลฯ ซึงของเนื องด้วยกายนันของภิกษุ ด้วยของ
เนื องด้วยกาย ภิกษุ มีความประสงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย รูต้ อบผัสสะอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ภิกษุ มีความประสงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย แต่ไม่รูต้ อบผัสสะ ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/385/615
* [ภิกษุ มีความประสงค์จะเสพ แต่ไม่พยายามด้วยกาย รูต้ อบผัสสะอยู่ ยินดีผสั สะอย่างเดียว ไม่ตอ้ งอาบัติ]
[ภิกษุ เห็นเด็กหญิงมีเพศคล้ายเด็กชาย ไม่รู่ว่าเป็ นผูห้ ญิง ถูกต้องด้วยกิจบางอย่าง ไม่เป็ นอาบัติ]
[ภิกษุ รูปหนึ งจับต้องมารดาด้วยความรักฉันมารดา(ธิ ดา พีน้องหญิง) ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/388/616
[ภิกษุ รูปหนึ งจับต้องชายา(ภริยา)ด้วยความรักฉันชายา ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส] วิ.ม.1/388/616
[ภิกษุ รูปหนึ งถึงความเคล้าคลึงกายกับนางยักษิ ณี หรือนางเทพธิดา ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/389/617
[ภิกษุ รูปหนึ งถึงความเคล้าคลึงกายกับสตรีทีตายแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/389/618
[ภิกษุ รูปหนึ งถึงความเคล้าคลึงกายกับสัตว์ดิรจั ฉานตัวเมีย(ตุก๊ ตาไม้) ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/389/618
[ภิกษุ รูปหนึ งมีความกําหนัด เขย่าสะพานทีสตรีขึนเดิน ต้องอาบัติทุกกฏ]
๒.
วิ.ม.1/391/618
[ภิกษุ รูปหนึ งพยายามว่าจะจับสตรี แต่มิได้จบั ต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/396/620
อนาบัติ. 1. ภิกษุไม่จงใจถูกต้อง 2. ภิกษุ ถกู ต้องด้วยไม่มีสติ 3. ภิกษุไม่รู ้ 4. ภิกษุไม่ยนิ ดี (สจิตตกะ)
อ. ภิกษุ ใดถูกผูห้ ญิงจับ จะให้หญิงนันพ้นจากสรีระของตน จึงผลักหรือตี, ภิ กษุ นี ชือว่า พยายามด้วยกาย รับรูผ้ สั สะ.
ภิกษุ ใดเห็นผูห้ ญิงกําลังมา ใคร่จะพ้นจากหญิงนัน จึงตวาดให้หนี ไป, ภิกษุ นี ชือว่า พยายามด้วยกาย แต่ไม่รบั รูผ้ ัสสะ. เล่ม 3 หน้า 171 มมร.
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้า 134
1. หญิงมนุ ษย์ 4. พยายามตามความกําหนัด
2. สําคัญว่าเป็ นหญิง 5. จับมือเป็ นต้น
3. กําหนัดด้วยกายสังสัคคราคะ พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นสังฆาทิเสส

๙๕
ในอรรถกถาของพระวินัยปิ ฎกตอนนี คือคัมภีรส์ มันตปาสาทิกา ภาค 2 หน้า 33-35 ได้อธิบายเรืองการจับต้องร่างกาย
ของสตรี โดยเฉพาะกรณี-ถ้าแม่ตกนํ า พระจะทําอย่างไร (ไม่ตอ้ งเอ่ยถึงในสถานการณ์ปกติทีไม่มีเหตุบงั คับใดๆ เลยทีพระจะต้อง
จับต้องตัวของแม่) โปรดสดับ :
สองบทว่า มาตุยา มาตุเปเมน หมายความว่า ย่อมจับต้องกายของมารดาด้วยความรักฉันมารดา ในเรืองลู กสาวและพี
น้องสาว ก็มีนัยเหมือนกันนี
ในพระบาลีนัน พระผูม้ ีพระภาคปรับอาบัติทุกกฏเหมือนกันทังนั นแก่ภิกษุ ผจู ้ ับต้องด้วยความรักในฐานผูค้ รองเรือนว่า "ผูน้ ี
เป็ นมารดาของเรา นี เป็ นธิ ดาของเรา นี เป็ นพีน้องสาวของเรา" เพราะขึนชือว่าผูห้ ญิง แม้ทังหมด จะเป็ นมารดาก็ตาม เป็ นธิ ดาก็
ตาม เป็ นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ทงนั ั น
ก็เมือภิกษุ ระลึกถึงพระอาญานี ของพระผูม้ ีพระภาค ถ้าแม้นว่าเห็นมารดาถูกกระแสนํ าพัดไป ก็ไม่ควรจับต้องด้วยมือเลย
แต่ภิกษุ ผูฉ้ ลาดพึงนํ าเรือ หรือแผ่นกระดาน หรือท่อนกล้วย หรือท่อนไม้เข้าไปให้ เมือเรือเป็ นต้นนั นไม่มี แม้ผา้ กาสาวะก็ควร
นํ าไปไว้ขา้ งหน้า แต่ไม่ควรบอกว่า "จงจับทีนี "
เมือท่านจับแล้วพึงสาวมาด้วยทําในใจว่า "เราสาวบริขารมา" ก็ถา้ มารดากลัว พึงไปข้างหน้าๆ แล้วปลอบโยนว่า "อย่ากลัว"
ถ้ามารดาถูกนํ าซัด โผขึนกอดคอภิกษุ ผเู ้ ป็ นบุตร หรือคว้ามืออย่างกะทันหัน, ภิกษุ อย่าพึงสลัดว่า "ออกไป หญิงแก่!" พึงส่งไปให้ถึง
บก เมือมารดาติดหล่มก็ดี ตกลงไปในบ่อก็ดี มีนัยเหมือนกันนี หมายความว่า ภิกษุ พึงฉุดขึน แต่อย่าพึงจับต้องเลย
มิ ใ ช่ แ ต่ ร่ า งกายของสตรี อย่ า งเดีย วเท่ า นั นที เป็ นของไม่ค วรจับ ต้อง แม้ข องอื นๆ ของสตรี เช่ น ผ้า นุ่ ง ผ้า ห่ม ก็ ดี สิ งของ
เครืองประดับก็ดี จนชันเสวียนหญ้าก็ตาม แหวนใบตาลก็ตาม เป็ นของไม่ควรจับต้องทังนั น อันทีจริง ผ้านุ่ งผ้าห่มนั นอยู่ในฐานะ
เป็ นเครืองประดับนั นเอง แต่ถา้ สตรีวางผ้านุ่ งหรือผ้าห่มไว้แทบเท้าเพือต้องการให้เปลียนเป็ นจีวร, ผ้านั นสมควร
บรรดาเครืองประดับของสตรี ทีทําด้วยวัตถุทีเป็ นกัปปิ ยะ (คือไม่ใช่ของต้องห้ามมิให้จบั ต้อง และอาจดัดแปลงให้เป็ นของใช้
สําหรับบรรพชิตได้) ถ้าสตรีถวายว่า "ท่านเจ้าคะ ขอพระคุณท่านโปรดรับสิงนี เถิด" ภิกษุ ควรรับไว้เพือเป็ นเครืองใช้ เช่นดัดแปลง
เป็ นฝั กมีดโกนและเข็มเป็ นต้น แต่สิงของทีทําด้วยทอง เงิน และแก้วมุกดาเป็ นต้น เป็ นของไม่ควรจับต้องโดยแท้ ถึงแม้เขาถวายก็
ไม่ควรรับ อนึ ง มิใช่แต่เครืองประดับทีสวมร่างกายของสตรีอย่างเดียวเท่านั นทีเป็ นของไม่ควรจับต้อง แม้แต่ไม้ก็ดี งาช้างก็ดี เหล็ก
ก็ดี ตะกัวก็ดี ปูนปั นก็ดี รูปทีทําด้วยรัตนะทุกอย่างก็ดี บรรดาทีประดิษฐ์เป็ นรูปสตรี ชันทีสุดแม้ปันด้วยแป้ ง ก็เป็ นของไม่ควรจับ
ต้องทังนั น
.....................................................
[อธิบายวัตถุทีเป็ นอนามาส] เล่ม 3 หน้า 173 มมร.
ก็มิใช่แก่ร่างกายของมาตุคามอย่างเดียวเท่านั น เป็ นอนามาส แม้ผา้ นุ่ งและผ้าห่มก็ดี สิงของเครืองประดับก็ดี จนชันเสวียน
หญ้าก็ตาม แหวนใบตาลก็ตาม เป็ นอนามาสทังนั น. ก็แลผ้านุ่ งและผ้าห่มนั นตังไว้เพือต้องการใช้เป็ นเครืองประดับเท่านั น. ก็ถา้ หา
กว่ามาตุคามวางผ้านุ่ งหรือผ้าห่มไว้ในทีใกล้เท้า เพือต้องการให้เปลียนเป็ นจีวร ผ้านั นสมควร. ก็บรรดาเครืองประดับ ภัณฑะทีเป็ น
กัปปิ ยะ มีเครืองประดับศีรษะเป็ นต้น อันมาตุคามถวายว่า ท่านเจ้าคะ ขอพระคุ ณท่านโปรดรับสิงนี เถิด ภิกษุ ควรรับไว้ เพือเป็ น
เครืองใช้ มีฝักมีดโกนและเข็มเป็ นต้น. ส่วนภัณฑะทีทําด้วยทอง เงิน และแก้วมุกดาเป็ นต้น เป็ นอนามาสแท้ ถึงแม้เขาถวาย ก็ไม่
ควรรับ.
อนึ ง มิใช่แต่เครืองประดับทีสวมร่างกาย ของหญิงเหล่ านั นอย่างเดียวเท่านั นจะเป็ นอนามาส. ถึ งรูปไม้ก็ดี รูปงาก็ดี รูป
เหล็ กก็ดี รูปดีบุกก็ดี รูปเขียนก็ดี รูปทีสําเร็จด้วยรัตนะทุกอย่างก็ดี ทีเขากระทําสัณฐานแห่งหญิง ชันทีสุ ดแม้รูปทีปั นด้วยแป้ ง ก็
เป็ นอนามาสทังนั น. แต่ได้ของทีเขาถวายว่า สิงนี จงเป็ นของท่าน เว้นของทีสําเร็จด้วยรัตนะทุกอย่าง ทําลายรูปทีเหลือ น้อมเอาสิ ง
ทีควรเป็ นเครืองอุปกรณ์เข้าในเครืองอุปกรณ์ และสิงทีควรใช้สอย เข้าในของสําหรับใช้สอยเพือประโยชน์ แก่การใช้สอย ควรอยู่.
อนึ ง แม้ธัญชาติ 7 ชนิ ด ก็เป็ นอนามาสเช่นเดียวกับรูปสตรี ฉะนั น. เพราะฉะนั น เมือเดินไปกลางทุ่งนา อย่าเดินจับต้อง
เมล็ ดธัญชาติแม้ทีเกิดอยู่ในทุ่งนานั นไปพลาง. ถ้ามีธัญชาติทีเขาตากไว้ทีประตูเรือน หรือทีหนทาง และด้านข้างมีทางเดิน อย่า
เดินเหยียบยําไป. เมือทางเดินไม่มี พึงอธิ ษฐานให้เป็ นทางแล้วเดินไปเถิ ด. คนทังหลายปูลาดอาสนะถวายบนกองธัญชาติ ใ น
ละแวกบ้าน จะนั งก็ควร. ชนบางพวกเทธัญชาติกองไว้ในโรงฉัน ถ้าอาจจะให้นําออกได้ ก็พึงให้นําออก ถ้าไม่อาจ อย่าเหยียบยําธัญ
ชาติ พึงตังตัง ณ ส่วนข้างหนึ งแล้ว นั งเถิด. ถ้าไม่มีโอกาส พวกชาวบ้านปูลาดอาสนะถวายตรง
ท่ามกลางธัญชาตินันเอง พึงนั งเถิด. แม้ในธัญชาติทีอยู่บนเรือ ก็มีนัยอย่างนี เหมือนกัน. แม้อปรัณชาติมีถัวเขียวและถัวเหลืองเป็ น
ต้นก็ดี ผลไม้มีตาลและขนุ นเป็ นต้นก็ดี ทีเกิดในทีนั น ภิกษุ ไม่ควรจับเล่น. แม้ในอปรัณชาติและผลไม้ทีชาวบ้านรวมกองไว้ ก็มีนัย
เช่นนี เหมือนกัน. แต่การทีภิกษุ จะถือเอาผลไม้ทีหล่นจากต้นในป่ า ด้วยตังใจว่า จักให้แก่พวกอนุ ปสัมบัน ควรอยู่.
[ว่าด้วยรัตนะ 10 ประการ]
บรรดารัตนะ 10 ประการเหล่ า นี คือ มุกดา มณี ไพฑูรย์ สังข์ ศิลา ประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม บุษราคัม มุกดาตาม
ธรรมชาติ ยังไม่ได้เจียระไนและเจาะ ภิกษุ จะจับต้องได้อยู่ อาจารย์บางพวกกล่ าวว่า รัตนะทีเหลือ เป็ นอนามาส แต่ในมหาปั จจรี
ท่านกล่าวว่า มุกดา ทีเจียระไนแล้วก็ดี ทียังไม่เจียระไนก็ดี เป็ นอนามาส และภิกษุ รบั เพือประโยชน์ เป็ นมูลค่าแห่งสิ งของ ย่อมไม่
ควร แต่จะรับเพือเป็ นยาแก่คนเป็ นโรคเรือน ควรอยู่. มณี ชนิ ดสี เขียวและเหลืองเป็ นต้น แม้ทังหมด โดยทีสุ ดจนกระทังแก้วผลึก
ธรรมชาติทีเขาขัด เจียระไนและกลึงแล้ว เป็ นอนามาส. แต่มณี ตามธรรมชาติพน้ จากบ่อเกิด ท่านกล่ าวว่า ภิกษุ จ ะรับเอาไว้เพือ
เป็ นมูลค่าแห่งสิงของมีบาตรเป็ นต้น ก็ควร. แม้มณีนัน ท่านห้ามไว้ในมหาปั จจรี. กระจกแก้ว ทีเขาหุงทําไว้อย่างเดียวเท่านั น ท่าน
กล่าวว่า ควร. แม้ในไพฑูรย์ ก็มีวินิจฉัยเช่นเดียวกันกับแก้วมณี . สังข์ จะเป็ นสังข์สําหรับเป่ า (แตรสังข์) ก็ดี ทีเขาขัดและเจียระไน
แล้วก็ดี ประดับด้วยรัตนะ (ขลิ บด้วยรัตนะ) ก็ดี เป็ นอนามาส. สังข์สําหรับตักนํ าดืมทีขัดแล้ว ก็ดี ยังมิได้ขัดก็ดี เป็ นของควรจับ
ต้องได้แท้. อนึ ง รัตนะทีเหลือ ภิกษุ จะรับไว้ เพือใช้เป็ นยาหยอดตาเป็ นต้นก็ดี เพือเป็ นมูลค่าแห่งสิงของก็ดี ควรอยู่.
ศิลาทีขัดและเจียระไนแล้ว ประดับด้วยรัตนะมีสีเหมือนถัวเขียวเท่านั น เป็ นอนามาส. ศิลาทีเหลือ ภิกษุ จะถือเอามาเพือใช้
เป็ นหินลับมีดเป็ นต้น ก็ได้. ในคํานี อาจารย์บางพวกกล่ าวว่า บทว่า รตนสยุตฺตา ได้แก่ ศิลาทีหลอมผสมปนกับ ทองคํา. แก้ว
ประพาฬทีขัดและเจียระไนแล้ว เป็ นอนามาส. ประพาฬทีเหลือเป็ นอามาส (ควรจับต้องได้) และภิกษุ จะรับไว้ เพือใช้จ่ายเป็ นมูลค่า
แห่งสิงของ ควรอยู่. แต่ในมหาปั จจรีกล่าวว่า ประพาฬทีขัดแล้วก็ตาม มิได้ขดั ก็ตาม เป็ นอนามาสทังนั น และจะรับไว้ไม่สมควร.
เงินและทอง แม้เขาทําเป็ นรูปพรรณทุกสิ งทุกอย่าง เป็ นอนามาส และเป็ นของไม่ควรรับไว้ จําเดิมแต่ยงั เป็ นแร่. ได้ยินว่า
อุดรราชโอรสให้สร้างพระเจดีย์ทองส่งไปถวายพระมหาปทุมเถระ. พระเถระห้ามว่า ไม่ควร ดอกปทุมทองและดาวทองเป็ นต้น มี
อยู่ทีเรือนพระเจดีย์, แม้สิงเหล่ านั นก็เป็ นอนามาส แต่พวกภิกษุ ผูเ้ ฝ้ าเรือนพระเจดีย์ตังอยู่ในฐานเป็ นผูท้ ิงรูปิยะ เพราะเหตุนัน
ท่านจึงกล่ าวว่า ภิกษุ เหล่ านั นจะลูบคลําดู ก็ควร. แต่คํานั น ท่านห้ามไว้ในกุ รุนที. ท่านอนุ ญาตเพียงเท่านี ว่า จะชําระหยากเยือที
พระเจดียท์ องควรอยู่. ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทังปวงว่า แม้โลหะทีกะไหล่ทอง* ก็มีคติทองคําเหมือนกัน จัดเป็ นอนามาส.
ส่ วนเครืองใช้สอยในเสนาสนะ เป็ นกัปปิ ยะทังสิ น เพราะฉะนั น เครืองบริขารประจําเสนาสนะ แม้ทุกอย่างทีทําด้วยทอง
และเงิน เป็ นอามาส (ควรจับต้องได้). พวกชาวบ้านสร้างมณฑปแก้ว เป็ นสถานทีแสดงพระธรรมวินัยแก่ภิกษุ ทังหลาย มีเสาแก้ว
ผลึก ประดับประดาด้วยพวงแก้ว. การทีภิกษุ ทงหลาย ั จะเก็บรักษาเครืองอุปกรณ์ทงหมดในรั
ั ตนมณฑปนั น ควรอยู่.
ทับทิมและบุษราคัม ทีขัดและเจียระไนแล้ว เป็ นอนามาส ทียังไม่ได้ขดั และเจียระไนนอกนี ท่านกล่าวว่า เป็ นอามาส ภิกษุ
จะรับไว้เพือใช้เป็ นมูลค่าแห่งสิ งของ ควรอยู่. แต่ในมหาปั จจรีกล่ าวว่า ทับทิมและบุษราคัมทีขัดแล้วก็ดี ทียังมิได้ก็ดี เป็ นอนามาส
โดยประการทุกอย่าง และภิกษุ จะรับไว้ ไม่ควร.
เครืองอาวุธทุกชนิ ด เป็ นอนามาส แม้เขาถวายเพือประโยชน์ จาํ หน่ ายเป็ นมูลค่าแห่งสิงของก็ไม่ควรรับไว้ ชือว่า การค้าขาย
ศัสตรา ย่อมไม่สมควร. แม้คนั ธนู ลว้ น ๆ ก็ดี สายธนู ก็ดี ประตักก็ดี ขอช้างก็ดี โดยทีสุดแม้มีดและขวานเป็ นต้น ทีเขาทําโดยสังเขป
เป็ นอาวุธก็เป็ นอนามาส. ถ้ามีใคร ๆ เอาหอก หรือโตมรมาวางไว้ในวิหาร เมือจะชําระวิหาร พึงส่งข่าวไปบอกแก่พวกเจ้าของว่า จง
นํ าไปเสีย. ถ้าพวกเขาไม่นําไป อย่าให้ของนั นขยับเขยือน พึงชําระวิหารเถิด. ภิกษุ พบเห็นดาบก็ดี หอกก็ดี โตมรก็ดี ตกอยู่ในสนาม
รบ พึงเอาหินหรือของอะไรๆ ต่อยดาบเสียแล้ว ถือเอาไปเพือใช้ทําเป็ นมีดควรอยู่. ภิกษุ จะแยกแม้ของนอกนี ออกแล้ว ถือเอาของ
บางอย่างเพือใช้เป็ นมีด บางอย่างเพือใช้เป็ นม้เท้าเป็ นต้น ควรอยู่. ส่วนว่าเครืองอาวุธทีเขาถวายว่า ขอท่านจงรับอาวุธนี ไว้ ภิกษุ
จะรับแม้ทงหมดด้
ั วยตังว่า เราจักทําให้เสียหายแล้วกระทําให้เป็ นกัปปิ ยภัณฑ์ดงั นี ควรอยู่.
เครืองจับสัตว์ มีแหทอดปลาและข่ายดักนกเป็ นต้นก็ดี เครืองป้ องกันลู กศร มีโล่ และตาข่ายเป็ นต้นก็ดี เป็ นอนามาสทุก
อย่าง. ก็บรรดาเครืองดักสัตว์ และเครืองป้ องกันลูกศรทีได้มาเพือเป็ นเครืองใช้สอย ทีแรก ตาข่ายภิกษุ จะถือเอาด้วยตังใจว่า เราจะ
ผูกขึงไว้หรือพันเป็ นฉัตรไว้เบืองบนแห่งอาสนะ หรือพระเจดีย์ ควรอยู่. เครืองป้ องกันลู กศรแม้ทังหมด ภิกษุ จะรับไว้เพือใช้เป็ น
มูลค่าแห่งของ ก็สมควร. เพราะว่า เครืองป้ องกันลู ก ศรนั น เป็ นเครืองกันการเบีย ดเบี ยนจากคนอื น ไม่ใช่เป็ นเครืองทํา การ
เบียดเบียน ฉะนี แล, จะรับโล่ดว้ ยจงใจว่า เราจักทําเป็ นภาชนะใส่ไม้สีฟัน ดังนี ก็ควร.
เครืองดนตรีมีพิณและกลองเป็ นต้น ทีขึงด้วยหนั ง เป็ นอนามาส. แต่ในกุ รุนทีท่านกล่ าวว่า ตัวกลอง (หนั งชะเนาะขึ น
กลอง) ก็ดี ตัวพิณ (สายขึงพิณ) ก็ดี รางเปล่าก็ดี* หนั งเขาปิ ดไว้ทีขอบปากก็ดี คันพิณก็ดี เป็ นอนามาสแม้ทงสิ ั น. จะขึงเอง หรือให้
คนอืนเขาขึงก็ดี จะประโคมเอง หรือให้คนอืนเขาประโคมก็ดี ไม่ได้ทงนั ั น. แม้เห็นเครืองดนตรีทีพวกมนุ ษย์กระทําการบูชา แล้วทิง
ไว้ทีลานพระเจดีย์ อย่าทําให้เคลื อนทีเลย พึงกวาดไปในระหว่าง ๆ. แต่ในมหาปั จจรี ท่านกล่าวว่า ในเวลาเทหยากเยือ พึงนํ าไป
โดยกําหนดว่าเป็ นหยากเยือแล้ววางไว้ ณ ส่ วนข้างหนึ ง ควรอยู่. แม้จะรับไว้เพือใช้เป็ นมูลค่าแห่งสิ งของ ก็ควร. แต่ทีได้มาเพือ
ต้องการจะใช้สอย จะถือเอาเพือต้องการทําให้เป็ นบริขารนั น ๆ โดยตังใจอย่างนี ว่า เราจักทํารางพิณและหุน่ กลองให้เป็ นภาชนะใส่
ไม้สีฟัน หนั งจักทําให้เป็ นฝั กมีด แล้วกระทําตามทีตังใจอย่างนั น ๆ ควรอยู่.

๙๗
บทที 3 ภิกษุ มีความกําหนัด พูดเกียวหญิง ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด กําหนั ดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชัวหยาบ เหมือนชายหนุ่ มพูดเคาะ
หญิงสาวด้วยวาจาพาดพิงเมถุน เป็ นสังฆาทิเสส
พูดเคาะ คือ พูดล่วงเกิน, ชัวหยาบ ได้แก่ วาจาทีพาดพิงวัจจมรรค ปั สสาวมรรค และเมถุนธรรม
วาจามุง่ มรรคทังสอง คือ พูดชม-พูดติ พูดขอ พูดอ้อนวอน ถาม ย้อนถาม บอก สอน ด่า
มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์ เป็ นหญิงรูเ้ ดียงสา สามารถทราบถ้อยคําทีเป็ นสุภาษิ ต ทุพภาษิ ต วาจาชัวหยาบ และสุภาพ
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ. สตรีเป็ นอันมากขอชมวิหารชายป่ าของพระอุทายี ณ พระเชตวัน ท่านกล่าวมุง่ วัจจมรรค ปั สสาวมรรค ของสตรีเหล่านัน ชมบ้าง ติบา้ ง
ขอบ้าง อ้อนวอนบ้าง ถามบ้าง ย้อนถามบ้าง บอกบ้าง สอนบ้าง ด่าบ้าง สตรีเหล่านัน จําพวกทีหน้าด้าน ฐานนักเลง ไม่มียางอาย บ้างยิมแย้ม บ้างๆ
พูดยัวบ้างก็ซิกซี บ้างก็เย้ยกับท่านพระอุทายี ส่วนจําพวกทีมีความละอายใจ ก็เลียงออกไป แล้วโพนทะนาภิกษุ ทงหลายว่
ั า ท่านเจ้าข้า คํานี ไม่สมควร
ไม่เหมาะ แม้สามีดิฉนั พูดอย่างนี ดิฉนั ยังไม่ปรารถนา ก็นีประโยชน์อะไรด้วยท่านพระอุทายี
[สตรี ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นบัณเฑาะก์ บุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน(ก็ตาม)) มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงทวารหนั กทวาร
เบา ของสตรี ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/401/626
[บัณเฑาะก์ ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นบัณเฑาะก์ มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงทวารหนั กทวารเบา ของบัณเฑาะก์ ชมก็ดี ฯลฯ
ต้องอาบัติถุลลัจจัย]
[บัณเฑาะก์ ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นบุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน สตรี(ก็ตาม)) มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงทวารหนั ก
ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ ชมก็ดี ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[บุรุษ ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นบุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน สตรี บัณเฑาะก์(ก็ตาม)) มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงทวารหนั ก
ทวารเบา ของบุรุษ ชมก็ดี ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[สัตว์ดิรจั ฉาน ภิกษุ มีความสงสัย(ก็ตาม) (สําคัญว่าเป็ นสัตว์ดิรจั ฉาน สตรี บัณเฑาะก์ บุรุษ(ก็ตาม)) มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึง
ทวารหนั กทวารเบา ของสัตว์ดิรจั ฉาน ชมก็ดี ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[สตรี ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงอวัยวะเบืองบนใต้รากขวัญลงมา อวัยวะเบืองตําเหนื อเข่า
ขึนไป เว้นทวารหนั ก ทวารเบา ของสตรี ชมก็ดี ฯลฯ ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/404/636
[บัณเฑาะก์(บุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน) ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงอวัยวะเบืองบนใต้รากขวัญลงมา
อวัยวะเบืองตําเหนื อเข่าขึนไป เว้นทวารหนั ก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์(บุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน) ชมก็ดี ฯลฯ ต้องอาบัติถุลลัจจัย]
[สตรี(บัณเฑาะก์ บุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน) ภิกษุ มีความสําคัญว่าเป็ นสตรี มีความกําหนั ด และพูดพาดพิงถึงของทีเนื องด้วยกาย ของสตรี
(บัณเฑาะก์ บุรุษ สัตว์ดิรจั ฉาน) ชมก็ดี ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[สตรีผูห้ นึ ง ภิกษุ มีความกําหนั ด พูดพาดพิงเมถุนธรรม โดยอ้างวัตถุ นางไม่เข้าใจความหมาย ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.1/408/640
๓.

อนาบัติ. 1. ภิกษุ ผมู ้ งุ่ ประโยชน์ 2. ภิกษุ ผมู ้ ุ่งธรรม 3. ภิกษุ ผมู ้ ุ่งสังสอน
สิกขาบทนี เป็ นสจิตตกะ (จงใจพูดเกียวจึงเป็ นอาบัติ)
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้า 135
1. หญิงมนุ ษย์ 4. กล่าวตามความกําหนั ดนั น
2. รูอ้ ยู่ว่าเป็ นหญิง 5. หญิงรูค้ วามในขณะนั น
3. กําหนั ดยินดีการทีจะกล่าวคําชัวหยาบ พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นสังฆาทิเสส

๙๘
บทที 4 ภิกษุ พดู ล่อหญิงให้บาํ เรอความใคร่ของตน ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด กําหนั ดแล้ว มี จิตแปรปรวนแล้ว กล่าวคุณแห่งการบํา เรอกามของตนในสํานั ก มาตุค าม ด้วย
ถ้อยคําพาดพิงเมถุนว่า น้องหญิง สตรีใด บําเรอผูป้ ระพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม เช่นเรา ด้วยธรรม
นั น นั นเป็ นยอดแห่งความบําเรอทังหลาย เป็ นสังฆาทิเสสฯ
ในสํานักมาตุคาม คือ ในทีใกล้มาตุคาม ในทีไม่ห่างมาตุคาม, บําเรอ คือ อภิรมย์
ภิกษุตน้ บัญญัติ. พระอุทายี กล่าวแก่สตรีม่ายเมือกล่าวปวารณา ณ กรุงสาวัตถี
ครังนั นมีสตรีหม้ายผูห้ นึ ง รูปงาม น่ าดู น่ าชม ครันเวลาเช้า ท่านพระอุ ทายีครองอันตรวาสกแล้วถื อบาตรและจีวรเดินไปทางเรือนของสตรี
หม้ายนัน ครันแล้วนังเหนื ออาสนะทีเขาจัดถวาย จึงสตรีหม้ายนันเข้าไปหาท่านพระอุทายี กราบแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ท่านพระอุทายีได้ยงั สตรี
หม้ายนัน ให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครันแล้วสตรีหม้ายนันได้กล่าวปวารณาท่านพระอุทายีวา่ โปรดบอกเถิดเจ้าข้า ต้องการ
สิงใดซึงดิฉนั สามารถจัดหาถวายพระคุณเจ้าได้ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัชบริขารอันเป็ นปั จจัยของภิกษุ ไข้
พระอุทายีขอร้องว่า น้องหญิง ปั จจัยเหล่านัน ไม่เป็ นของหาได้ยากสําหรับฉัน ขอจงให้ของทีหาได้ยากสําหรับฉันเถิ ด
สตรีหม้ายถามว่า ของอะไร เจ้าข้า
อุ. เมถุนธรรม จ้ะ ส. พระคุณเจ้าต้องการหรือ เจ้าคะ อุ. ต้องการ จ้ะ
สตรีหม้ายนันกล่าวว่า นิ มนต์มาเถิ ด เจ้าค่ะ แล้วเดินเข้าห้อง เลิกผ้าสาฎกนอนหงายบนเตียง ทันใดนัน ท่านพระอุทายีตามเข้าไปหานางถึง
เตียง ครันแล้วถ่มเขฬะรด พูดว่า ใครจักถูกต้องหญิงถ่อย มีกลินเหม็นนี ได้ ดังนี แล้วหลีกไป
จึงสตรีหม้ายนันเพ่งโทษว่า พระสมณะเชือสายพระศากยบุ ตรเหล่านี เป็ นผูไ้ ม่ละอาย ทุศีล พูดเท็จ พระสมณะเหล่านี ยงั จักปฏิญาณว่า เป็ นผู ้
ประพฤติธรรม ประพฤติเรียบร้อย ประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มีศีล มีกัลยาณธรรม ดังนี เล่า ติเตียนว่า ความเป็ นสมณะของพระสมณะเหล่านี ไม่มี
ความเป็ นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี ไม่มี ความเป็ นสมณะของพระสมณะเหล่านี พินาศแล้ว ความเป็ นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี พินาศแล้ว
ความเป็ นสมณะของพระสมณะเหล่านี จะมีแต่ไหน ความเป็ นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี จะมีแต่ไหน และโพนทะนาว่า พระสมณะเหล่านี ขาดจาก
ความเป็ นสมณะแล้ว พระสมณะเหล่านี ขาดจากความเป็ นพราหมณ์แล้ว ไฉนพระสมณะอุทายีจึงได้ขอเมถุนธรรมต่อเราด้วยตนเอง แล้วถ่มเขฬะรด พูด
ว่า ใครจักถูกต้องหญิงถ่อยมีกลินเหม็นนี ได้ ดังนี แล้วหลีกไป เรามีอะไรชัวช้า เรามีอะไรทีมีกลินเหม็น เราเลวกว่าหญิงคนไหน อย่างไร ดังนี
พ. ทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรษุ การกระทําของเธอนั น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทํา ไฉนเธอจงได้กล่าว
คุณแห่งการบําเรอตนด้วยกาม ในสํานักมาตุคามเล่า
ดูก่อนโมฆบุ รุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพือคลายความกําหนัด ไม่ใช่เพือความกําหนัด เพือความพราก ไม่ใช่เพือความ
ประกอบ เพือความไม่ถือมัน ไม่ใช่เพือความถือมัน มิใช่หรือ เมือธรรมชือนัน อันเราแสดงแล้ว เพือคลายความกําหนัด เธอยังจักคิดเพือมีความกําหนั ด
เราแสดงเพือความพราก เธอยังจักคิ ดเพือความประกอบ เราแสดงเพือความไม่ถือมัน เธอยังจักคิ ดเพือมี ความถือมัน ดูก่อนโมฆบุ รุษ ธรรมอันเรา
แสดงเเล้วโดยอเนกปริยาย เพือเป็ นทีสํารอกแห่งราคะ เพือเป็ นทีสร่างแห่งความเมา เพือเป็ นทีดับสูญแห่งความกระหาย เพือเป็ นทีหลุดถอนแห่งอาลัย
เพือเป็ นที เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพือเป็ นที สินแห่งตัณหา เพือคลายความกําหนัด เพือความดับทุกข์ เพือปราศจากตัณหาเครืองร้อยรัดมิ ใช่หรือ ดูก่อน
โมฆบุ รุษ การละกาม การกําหนดรูค้ วามหมายในกาม การกําจัดความกระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอันเกี ยวด้วยกาม การระงับความกลัด
กลุม้ เพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ ดูก่อนโมฆบุรษุ การกระทําของเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส
ฯลฯ พ. ทรงติเตียนท่านพระอุทายีโดยอเนกปริยายดังนี แล้ว
[หญิงคนหนึ งถามว่า ทําไฉน ดิฉันจึงจะมีบุตร ภิกษุ นันตอบว่า เธอจงถวายทานทีเลิศ คือ เมถุนธรรม ต้องสังฆาทิเสส]
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณา หน้า 136
1. หญิงมนุ ษย์ 4. กล่าวตามความกําหนั ดนั น
2. รูอ้ ยู่ว่าเป็ นหญิง 5. หญิงรูค้ วามในขณะนั น
3. กําหนั ดยินดีในทีจะกล่าวคําชัวหยาบ พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นสังฆาทิเสส

บทที 5 ภิกษุ ชกั สือให้ชายหญิงเป็ นสามีภรรยากัน หรือเป็ นชูร้ กั โดยทีสุดแม้พดู ชักสือให้เขาอยูร่ ว่ มกันชัวคราว
ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดถึงความเป็ นผูช้ ักสือ บอกความประสงค์ของบุรุษแก่สตรีก็ดี บอกความประสงค์ของสตรีแก่บุรุษก็ ดี ใน
ความเป็ นเมียก็ตาม ในความเป็ นชู ก้ ็ตาม โดยทีสุด บอกแม้แก่หญิงแพศยาอันจะพึงอยูร่ ว่ มชัวขณะ เป็ นสังฆาทิเสสฯ
ถึงความเป็ นผูช้ กั สือ ความว่า ถูกสตรีวานไปในสํานักบุรุษหรือถูกบุรุษวานไปในสํานักสตรี
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ. พระอุทายี ณ กรุงสาวัตถี
[ภิกษุ รบั คํา นํ าไปบอก ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย] [ภิกษุ ไม่รับคํา นํ าไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย]
[ภิกษุ รบั คํา ไม่นําไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย] [ภิกษุ ไม่รับคํา นํ าไปบอก ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ภิกษุ รบั คํา ไม่นําไปบอก ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ] [ภิกษุ ไม่รับคํา ไม่นําไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ]
วิ.ม.1/486/732

๙๙
[สตรีคนหนึ งทะเลาะกับสามี เขายังไม่ได้หย่ากัน ภิกษุ ได้ชกั โยงให้คืนดีกนั ไม่ตอ้ งอาบัติ] วิ.ม.1/492/736
[ภิกษุ รูปหนึ ง ถึงการชักสือในบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย] วิ.ม.1/493/736

สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ และเป็ นสาณัตติกะ (แม้ไม่ทาํ เอง สังให้ผอู ้ ืนทําแทนอีกต่อหนึ ง ก็เป็ นอาบัติ)
บุพพสิกขาวรรณา หน้า 138
องค์แห่งอาบัติ
4. บอกตามเขาสัง
1. นํ าสัญจริตตะ(การชักสือให้ชายหญิงเป็ นผัวเมียกัน)ในผูใ้ ด ผูน้ ั นเป็ นชาติมนุ ษย์
5. กลับมาบอกแก่ผวู ้ าน
2. เขาไม่เป็ นผัวเป็ นเมียกันอยู่ก่อน หรือว่าเป็ นแต่ว่าหย่าขาดกันแล้ว
พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ น
3. รับคําเขา
สังฆาทิเสส
………………………………………….………………………
บทที 6 ภิกษุสร้างกุฎีเป็ นของส่วนตัวมีขนาดใหญ่เกินประมาณ คือยาวเกิน 12 คืบ กว้างเกิน 7
คืบพระสุคต ในทีสาธารณะ โดยไม่ให้สงฆ์กาํ หนดทีให้ ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส 8.5
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ผจู ้ ะสร้างกุฎีอันหาเจ้าของมิ ได้ เฉพาะตนเอง ด้วยอาการขอเอาเอง พึงสร้างให้ได้ประมาณ ประมาณใน
การสร้างนั นดังนี โดยยาว 12 คืบ(วัดนอกฝาผนัง) โดยกว้างในร่วมใน 7 คืบ(วัดร่วมในฝาผนัง) ด้วยคืบสุคต พึงนําภิกษุ ทงหลายไป

เพือแสดงที ภิกษุ เหล่านั นพึงแสดงทีอันไม่มีผูจ้ องไว้ อันมีชานรอบ หากภิกษุ สร้างกุฎีดว้ ยอาการขอเอาเอง ในทีอันมีผจู ้ องไว้ อัน
หาชานรอบมิได้ หรือไม่นําภิกษุ ทงหลายไปเพื
ั อแสดงที หรือสร้างให้ลว่ งประมาณเป็ นสังฆาทิเสสฯ
ต้นบัญญัติ. ภิกษุ ทังหลายชาวอาฬวี สร้างกุฏีซึงมีเครืองอุปกรณ์อนั ตนหามาเอง ใหญ่ไม่มีกาํ หนด กุฏิเหล่านั นจึงไม่สําเร็จ เธอ
ต้องวิงวอนขอเขาอยู่รําไปว่า จงให้แรงบุรุษ โค เกวียน มีด ฯลฯ ประชาชนถูกเบียดเบียนด้วยการขอ พอเห็นภิกษุ ทงหลายก็ ั หวาด
หนี ไปเสีย แม้พบแม่โคก็พากันหนี ด้วยคิดว่าเป็ นภิกษุ , ต่อมาพระมหากัสสปะเดินทางมา เข้าไปบิณฑบาต เห็นอาการของประชาชน
จึงสอบถามจากภิกษุ , พ.ทรงติเตียนแล้วตรัสเล่าเรืองฤาษี สองพีน้อง นกฝูงใหญ่ และเรืองพระรัฐบาล (วิ.ม.1/494/624)
อันไม่มีผจู ้ องไว้ คือ ไม่เป็ นทีอาศัยของมด ช้าง ราชสีห์ ฯลฯ ไม่เป็ นสถานทีใกล้ทีนา ทีทรมานนั กโทษ โรงสุรา ถนน ชุมนุ มชน ฯลฯ
อันมีชานรอบ คือ เกวียนทีเขาเทียมวัวแล้วตามปกติ สามารถจะเวียนไปได้
อ. คืบพระสุคต คือ 3 คืบของบุรุษกลางคนในปั จจุบนั นี เท่ากับศอกคืบ โดยศอกของช่างไม้
แต่ในบุพพสิกขาวรรณนาให้ความเห็นว่า 1 คืบพระสุคตเท่ากับ 16 นิ วกับ 2 อนุ กระเบียดนิ วช่างไม้ทุกวันนี (บุพพสิกขาวรรณนา
หน้า 541)
พจนฯ ศัพท์ ... เมล็ดข้าว เป็ น นิ ว , นิ ว เป็ น คืบ ( ซม.) , คืบ เป็ น ศอก ( ซม.) ,
ศอก เป็ น วา ( ม.) , วา เป็ น อุสภะ ( ม.) , อุสภะ เป็ น คาวุต ( กม.) , คาวุ ต เป็ น โยชน์ ( กม.)
ศอก เป็ น ธนู ( ม.) , ธนู เป็ น โกสะ ( กม.) , โกสะ เป็ น คาวุต ( กม.)
มาตราวัดโบราณ จนถึง ร. ... วา เป็ น เส้น ( ม.) /// เส้น เป็ น โยชน์
ตังแต่สมัย ร. เป็ นต้นมา ... 2 อณุ กระเบียด เป็ น กระเบียด /// กระเบียด เป็ น นิ ว ()

[ภิกษุ สร้างกุฎี ซึงมีพืนทีอันสงฆ์มิได้แสดงให้ มีผจู ้ องไว้ ไม่มีชานรอบ ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว กับอาบัติ


สังฆาทิเสส 1 ตัว] วิ.ม.1/509/749
[ภิกษุ สร้างกุฎี ซึงมีพืนทีอันสงฆ์มิได้แสดงให้ เกินประมาณ มีผจู ้ องไว้ ไม่มีชานรอบ ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว กับอาบัติสังฆาทิเสส 2
ตัว] วิ.ม.1/511/750
[ภิกษุ สร้างกุฎี ซึงมีพืนทีอันสงฆ์แสดงให้ เท่าประมาณ มีผจู ้ องไว้ ไม่มีชานรอบ ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว] วิ.ม.1/512/750

อนาบัติ. 1. ภิกษุ สร้างถํา(เงือมเขามีประตู) 2. ภิกษุ สร้างคูหา(ถํา) 3. ภิกษุ สร้างกุฎีหญ้า


(บทที 6 และ 7) 4. ภิกษุ สร้างกุฎีเพือภิกษุอืน 5. เว้นอาคารอันเป็ นทีอยูเ่ สีย ภิกษุ สร้างนอกจากนัน
สิกขาบทนี ต้องเพราะทําก็มี ต้องเพราะไม่ทาํ ก็มี [ต้องด้วย ญัตติทุติยกรรม] ต่อหัวข้อที ๙ หน้า ๓๖
………………………………………….……………………… “หลักวิชาพระวินัย”

๑๐๐
บทที 7 ภิกษุ สร้างวิหารขนาดใหญ่เป็ นของส่วนตัวในทีของทายกโดยไม่ให้สงฆ์กาํ หนดทีให้ก่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ จะให้สร้างวิหารใหญ่ อันมี เจ้าของเฉพาะตนเอง พึงนําภิกษุ ทั งหลายไปเพือแสดงที ภิกษุ เหล่านั นพึง
แสดงทีอันไม่มีผจู ้ องไว้ อันมีชานรอบ หากภิกษุ ให้สร้างวิหารใหญ่ ในทีอันมีผจู ้ องไว้ อันหาชานรอบมิได้ หรือไม่
นําภิกษุ ทงหลายไป
ั เพือแสดงที เป็ นสังฆาทิเสสฯ
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ. คหบดีอุปัฏฐากพระฉันนะต้องการสร้างวิหารถวายพระฉันนะ ๆ ให้คนโค่นต้นไม้อนั เป็ นเจดียท์ ีชาวบ้านเคารพบูชา ชาวบ้านตําหนิ
ว่า พระสมณะเบียดเบียนอินทรียช์ นิ ดหนึ งซึงมีชีพ พ.ประทับ ณ วัดโฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี
[ภิกษุ สร้างวิหาร ซึงมีพืนทีอันสงฆ์มิได้แสดงให้ มีผูจ้ องไว้ ไม่มีชานรอบ ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว กับอาบัติสังฆาทิเสส 1 ตัว]
[ภิกษุ สร้างวิหาร ซึงมีพืนทีอันสงฆ์แสดงให้ มีผจู ้ องไว้ ไม่มีชานรอบ ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว] วิ.ม.1/509/749
[ภิกษุ สร้างวิหาร ซึงมีพืนทีอันสงฆ์แสดงให้ มีผจู ้ องไว้ มีชานรอบ (ไม่มีผจู ้ องไว้ ไม่มีชานรอบ) ต้องอาบัติทุกกฏ 1 ตัว]
เรืองฤาษี สองพีน้อง ครังนันมณี กณ ั ฐนาคราชได้หลีกไป พลางรําพึงว่า ภิกษุ ขอ
มณิกณ ั ฐชาดก (ว่าด้วยขอสิงทีไม่ควรขอ) ขุ.ชา.27/358/99 แก้ ว มณี ภิ ก ษุ ต้ อ งการแก้ ว มณี ได้ ห ลี ก ไปอย่า งนันแล้ ว ไม่
[497] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เรืองเคยมีมาแล้ว ฤาษี สองพีน้อง กลับ มาอีก ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ต่อมาฤาษี ผู้น้องได้ซูบผอม เศร้า
เข้า อาศัยแม่นําคงคาสํานักอยู่ ครังนัน มณี กณ ั ฐนาคราชขึ นจาก หมอง มี ผิวพรรณคลํา มี ผิวเหลืองขึ นๆ มี ต วั สะพรังด้วยเอ็นยิง
แม่นําคงคาเข้าไปหาฤาษี ผู้น้อง ครันแล้ววงด้วยขนด 7 รอบแผ่ กว่าเก่า เพราะไม่ได้เห็นนาคราชผู้น่าดูนน ั
พังพานใหญ่อยูบ ่ นศีรษะ เพราะความกลัวนาคราชนัน ฤาษี ผู้นอ ้ ง ฤาษี ผู้พีได้เห็นฤาษี ผู้น้องซูบผอม เศร้า หมอง มี ผิวพรรณ
ได้ ซู บ ผอม เศร้า หมอง มี ผิ ว พรรณคลํา มี ผิ ว เหลื อ งขึ นๆ มี ต วั คลํา มี ผิวเหลืองขึ นๆ มี ต วั สะพรังด้วยเอ็นยิงกว่าเก่าจึงได้ถามดู
สะพรังด้ ว ยเอ็ น ฤาษี ผู้ พี เห็ น ฤาษี ผู้น้อ งซู บ ผอม เศร้า หมอง มี ว่า เพราะเหตุไรท่านจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคลํา มีผิว
ผิวพรรณคลํา มีผิวเหลืองขึ นๆ มีตวั สะพรังด้วยเอ็น จึงได้ไต่ถาม เหลื อ งขึ นๆ มี ต วั สะพรังด้ วยเอ็ นยิงกว่า เก่า ฤาษี ผู้ น้องตอบว่า
ว่า เหตุ ไรเธอจึงซู บผอม เศร้า หมองมีผิวพรรณคลํา มี ผิวเหลือง เพราะไม่ได้เห็นนาคราชผู้น่าดูนน ั จึงฤาษี ผู้พีได้กล่า วกะฤาษี ผู้
ขึ นๆ มีตวั สะพรังด้วยเอ็น น้องด้วยคาถา ความว่าดังนี:-
น. ท่านพี มณี กณ ั ฐนาคราชขึ นจากแม่นําคงคา เข้ามาหาข้าพเจ้า บุคคลรูว้ า่ สิงใดเป็ นทีรักของเขา ไม่ควรขอสิงนัน อนึ ง คน
ณ สถานทีนี ครันแล้ววงข้าพเจ้าด้วยขนด 7 รอบ แผ่พงั พานใหญ่ ย่อมเป็ นทีเกลียดชัง ก็เพราะขอจัด นาคทีถูกพราหมณ์ ขอแก้วมณี
บนศี ร ษะ เพราะความกลัว นาคราชนัน ข้ า พเจ้า จึงได้ซู บ ผอม จึงไม่มาให้พราหมณ์ นนเห็ ั นอีกเลย.
เศร้าหมอง มีผิวพรรณคลํา มีผิวเหลืองขึ นๆ มีตวั สะพรังด้วยเอ็น ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั การวิงวอน การขอ ไม่เป็ นทีพอใจของ
พ. ท่านต้องการไม่ให้นาคราชนันมาหรือ สัตว์ดิรจั ฉานเหล่านันแล้ว ก็จะป่ วยกล่าวไปไยถึงหมูม ่ นุษย์เล่า.
น. ข้าพเจ้าต้องการไม่ให้นาคราชนันมา เรืองนกฝูงใหญ่
พ. ท่านเห็นนาคราชนันมีอะไรบ้าง [498] ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เรืองเคยมี ม าแล้ว ภิกษุ รูป หนึ ง
น. ข้าพเจ้าเห็นมีแก้วมณี ประดับอยูท ่ ีคอ อยู่ใ นไพรสณฑ์แห่งหนึ ง แถบภู เขาหิมพานต์ ณ สถานทีไม่หา่ ง
พ. ถ้า เช่นนัน ท่า นจงขอแก้วมณี กะนาคราชนันว่า ท่า นจงให้ ไพรสณฑ์นนมี ั หนองนําใหญ่ ครังนันนกฝูงใหญ่ กลางวันเทียวหา
แก้วมณี แก่ข้าพเจ้าๆ ต้องการแก้วมณี อาหารทีหนองนํานัน เวลาเย็นเข้า อาศัยไพรสณฑ์ นนสํ ั า นักอยู่
ดู กรภิกษุ ทงหลายั ครันมณี กณ ั ฐนาคราชขึ นจากแม่นําคง ภิกษุ นนรํั าคาญเพราะเสียงนกฝูงนัน จึงเข้า ไปหาเรา ครันกราบ
คาเข้าไปหาฤาษี ผู้น้อง หยุดอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ งแล้ว ฤาษี ผู้ ไหว้เ ราแล้ว นัง ณ ที ควรส่ว นข้ า งหนึ ง เราได้ ถามภิกษุ นนว่ ั า
น้ อ งได้ก ล่า วขอแก้วมณี กะมณี กณ ั ฐนาคราชว่า ขอท่า นจงให้ ดู กรภิกษุ ยังพอทนอยู่หรือ ยังพอครองอยู่หรือ เธอเดินทางมา
แก้วมณี แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการแก้วมณี จึงมณี กณ ั ฐนาคราช ด้วยความลําบากน้อยหรือ ก็นีเธอมาจากไหนเล่า
รํ า พึ ง ว่ า ภิ ก ษุ ขอแก้ ว มณี ภิ ก ษุ ต้ อ งการแก้ว มณี แล้ ว ได้ รี บ ภิ ก ษุ นั น ก ร า บ ทู ล ว่ า ยัง พ อ ท น อ ยู่ ยัง พ อ ค ร อ ง อ ยู่
กลับไป แม้ครังทีสอง มณี กณ ั ฐนาคราชขึนจากแม่นําคงคาเข้าไป พระพุ ท ธเจ้า ข้ า ข้ า พระพุ ท ธเจ้า เดิ น ทางมาด้ ว ยความลํา บาก
หาฤาษี ผู้น้องๆ เห็นมณี กณ ั ฐนาคราชมาแต่ไกล ได้กล่าวขอแก้ว เล็กน้อย พระพุทธเจ้าข้า มีไพรสณฑ์ใหญ่อยูแ ่ ถบภูเขาหิมพานต์
มณี ก ะมณี ก ณ ั ฐนาคราชว่า ขอท่า นจงให้แก้ว มณี แก่ข้า พเจ้า ๆ ณ สถานทีไม่ห่า งไพรสณฑ์ นนแล ั 1 มี หนองนําใหญ่ ครันเวลา
ต้องการแก้วมณี จึงมณี กณ ั ฐนาคราชรําพึงว่า ภิกษุ ข อแก้วมณี กลางวัน นกฝู งใหญ่เทียวหาอาหารทีหนองนํานัน เวลาเย็นก็เข้า
ภิกษุ ต้องการแก้วมณี แล้วได้กลับ แต่ทีไกลนันเทีย ว แม้ค รังที อาศัยไพรสณฑ์ นนสํ ั า นักอยู่ ข้า พระพุทธเจ้า ถูกเสียงนกฝู ง นัน
สามมณี กณ ั ฐนาคราชกําลังจะขึ นจากแม่นําคงคา ฤาษี ผู้น้องได้ รบกวน จึงหนีมาจากไพรสณฑ์นน ั พระพุทธเจ้าข้า
เห็นมณี กณ ั ฐนาคราชกําลังโผล่ขึ นจากแม่นําคงคา ก็ได้กล่าวขอ ร. ดูกรภิกษุ ก็เธอต้องการจะไม่ให้นกฝูงนันมาหรือ?
แก้ ว มณี กะมณี กัณ ฐนาคราชว่ า ขอท่ า นจงให้ แ ก้ ว มณี แก่ ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าต้องการไม่ให้นกฝูงนันมา พระพุทธเจ้าข้า
ข้า พเจ้า ๆ ต้องการแก้วมณี ขณะนันมณี กณ ั ฐนาคราชได้กล่า ว ร. ดู กรภิกษุ ถ้า เช่นนันเธอจงกลับ ไปทีไพรสณฑ์นน ั เข้า
ตอบฤาษี ผู้น้องด้วยคาถา ความว่าดังนี:- อาศัยไพรสณฑ์นนแล้ ั ว ในปฐมยามแห่งราตรี จงประกาศ 3 ครัง
ข้าวนํา ทีดียงิ มากหลาย บังเกิดแก่ข้าพเจ้า เพราะเหตุแห่ง ว่าดังนี แน่ นกผู้เจริญทังหลาย นกทังหลายทีอาศัยอยูใ่ นไพรสณฑ์
แก้วมณี ด วงนี ข้า พเจ้า จะให้แก้วนันแก่ท่า นไม่ได้ ท่า นเป็ นคน นี มี ป ระมาณเท่า ใด จงฟังเราๆ ต้องการขน นกทังหลายจงให้ขน
ขอจัด ข้า พเจ้า จักไม่มาสูอ ่ าศรมของท่านอีกแล้ว ท่า นขอแก้วกะ แก่เรานกละหนึ งขน ในมัชฌิมยามแห่งราตรีก็จงประกาศ 3 ครัง
ข้า พเจ้า ทํา ให้ข้า พเจ้าสะดุ้งกลัว ดังคนหนุ่ ม ถือดาบซึ งลับดีแล้ว ว่าดังนี แน่ นกผู้เจริญทังหลาย นกทังหลายทีอาศัยอยูใ่ นไพรสณฑ์
บนหิ น ลับ ข้ า พเจ้ า จัก ไม่ ใ ห้ แ ก้ ว นันแก่ท่ า นๆ เป็ นคนขอจัด นี มีประมาณเท่าใด จงฟังเราๆ ต้องการขน นกทังหลายจงให้ข น
ข้าพเจ้าจักไม่มาสูอ ่ าศรมของท่านอีกแล้ว แก่เรานกละหนึ งขน ในปัจฉิมยามแห่งราตรี ก็จงประกาศ 3 ครัง

๑๐๑
ว่าดังนี แน่ นกผู้เจริญทังหลาย นกทังหลายทีอาศัยอยูใ่ นไพรสณฑ์ คาถา ความว่าดังนี:-
นี มีประมาณเท่าใด จงฟังเราๆ ต้องการขน นกทังหลายจงให้ข น คนผู้ข อ ย่อมไม่เป็ นทีรักของผู้ถูกขอ ฝ่ ายคนผู้ถูกขอ เมือ
แก่เรานกละหนึ งขน ไม่ให้ ก็ยอ ่ มไม่เป็ นทีรักของผู้ขอ เพราะฉะนัน ข้าพเจ้าจึงไม่ข อ
จึงภิกษุ รูป นันกลับ ไปทีไพรสณฑ์ นน ั เข้า อาศัยไพรสณฑ์ ท่าน ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็ นทีเกลียดชังของท่านเลย
นันแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี ประกาศ 3 ครังว่า ดังนี แน่ นกผู้ ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั รัฐบาลกุลบุตรนันยังได้กล่าวตอบอย่างนี
เจริญทังหลาย ... ในมัชฌิมยามแห่งราตรี ประกาศ 3 ครังว่าดังนี กะบิดาของตนแล้ว ก็จะป่ วยกล่าวไปไยเล่าถึงคนอืนต่อคนอืน.
แน่ น กผู้เ จริญทังหลาย ... ในปัจ ฉิ ม ยามแห่งราตรี ประกาศ 3 [500] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั โภคสมบัติของคฤหัสถ์รวบรวม
ครัง ว่าดังนี แน่ นกผู้เจริญทังหลาย ... ได้ ย าก แม้ ไ ด้ ม าแล้ ว ก็ ย งั ยากที จะตามรัก ษา ดู ก รโมฆบุ รุ ษ
ครันนกฝู งนันทราบว่า ภิกษุ ข อขน ภิกษุ ต้องการขนดังนี ทังหลาย เมื อโภคสมบัตินนอั ั นพวกคฤหัสถ์รวบรวมได้ยาก แม้
ได้หลีกไปจากไพรสณฑ์นน ั ได้หลีกไปอย่างนันเทียว ไม่กลับมา เขาได้ม าแล้ว ก็ย งั ยากทีจะตามรักษาอย่า งนี พวกเธอได้มี การ
อีก วิงวอน มีการขอเขาบ่อยครัง หลายคราวแล้วว่า ขอท่านทังหลาย
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ขึ นชื อว่า การวิงวอน การขอ จักไม่ได้ จงให้ค น จงให้แ รงงาน จงให้โ ค จงให้เ กวีย น จงให้มี ด จงให้
เป็ นทีพึงใจของพวกสัตว์ดิรจั ฉานเหล่านันแล้ว ก็จะป่ วยกล่าวไป ขวาน จงให้ผึ ง จงให้จอบ จงให้สิว จงให้เถาวัลย์ จงให้ไม้ไผ่ จง
ไยเล่าถึงหมู่สตั ว์ทีเกิดมาเป็ นมนุษย์. ให้หญ้า มุ งกระต่า ย จงให้หญ้า ปล้อง จงให้หญ้า สามัญ จงให้ดิน
เรืองรัฐบาลกุลบุตร ดัง นี เป็ นต้ น การกระทํา ของพวกเธอนันไม่ เ ป็ นไปเพื อความ
[499] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เรืองเคยมีมาแล้ว บิดาของรัฐบาล เลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิงของ
กุลบุตรได้กล่าวถามรัฐบาลกุลบุตรด้วยคาถา ความว่าดังนี:- ชุมชนทีเลือมใสแล้ว โดยทีแท้ การกระทําของพวกเธอนัน เป็ นไป
แน่ ะพ่อรัฐบาล เออก็ค นเป็ นอันมากทีพากันมาขอเรา เรา เพือความไม่เลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส และเพือความเป็ น
ไม่รูจ้ กั ไฉนเจ้า ไม่ข อเรา รัฐบาลกุลบุ ต รได้กล่า วตอบบิดาด้วย อย่างอืนของชนบางพวกทีเลือมใสแล้ว
(เป็ นเครืองเตือนใจให้สั งวรในการเรื ยไร รบกวนชาวบ้านจนไม่เป็ นทํา อะไร และแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้า ทรง
ปราบปราม และให้ความสําคัญกับเรืองนี เพียงไร)
บทที 8 ภิกษุ กล่าวหาภิกษุ อืนด้วยอาบัติปาราชิกโดยไม่มีมูลความจริง ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด ขัดใจ มีโทสะ ไม่แช่มชืน ตามกําจัดซึงภิกษุ ดว้ ยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ด้วยหมายว่าไฉน
เราจะยังเธอให้เคลือนจากพรหมจรรย์นีได้ ครันสมัยอืนแต่นั น อันผูใ้ ดผูห้ นึ ง ถือเอาตามก็ตาม(เชือก็ ตาม) ไม่ถือเอา
ตามก็ตาม(ไม่เชือก็ตาม) แต่อธิกรณ์นั นเป็ นเรืองหามูลมิได้ และภิกษุ ยนั อิงโทสะอยู่ เป็ นสังฆาทิเสสฯ (เป็ นโลกวัชชะ)
ตามกําจัด ได้แก่ โจทเอง หรือสังให้โจท, อันหามูลมิได้ คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รงั เกียจ
ภิกษุตน้ บัญญัติ. ท่านทัพพมัลลบุตร อายุ 7 ปี สงฆ์สมมติให้เป็ นผูแ้ ต่งตังเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์และเป็ นเอตทัคคะ
ด้านนั น, ครังนั น คหบดีทราบว่าพระเมตติยะและพระภุมมชกะได้นิจภัตในวันรุ่งขึนของตน ทราบว่าท่านเป็ นภิกษุ ลามก จึงให้จดั
อาสนะไว้ทีซุม้ ประตูแล้วอังคาสด้วยปลายข้าว มีนําส้มเป็ นกับ และไม่องั คาส พระเมตติยะและพระภุมมชกะเข้าใจผิด จึงให้นาง
ภิกษุ ณีเมตติยะใส่ใคล้ต่อหน้า พ.ว่าท่านประทุษร้าย พระทัพพมัลลบุตรกล่าวว่า “ตังแต่ขา้ พระพุทธเจ้าเกิดมา แม้โดยความฝั นก็
ยังไม่รจู ้ กั เสพเมถุนธรรม จะกล่าวใยถึงเมือตอนตืนอยู่เล่า” จึงรับสังให้ (ลิงค)นาสนะ(สึก)ภิกษุ ณีเมตติยะเสีย พระเมตติยะฯ
จึงทูลอ้อนวอนอย่าให้สึกและสารภาพเรืองราวทีเกิด ณ พระเวฬุวนั วิหาร กรุงราชคฤห์
นาสนะ มี 3 อย่าง คือ วิ.อ.3/489
1. ลิงคนาสนะ เช่น สามเณรผูป้ ระทุษร้าย(นางภิกษุ ณี) สงฆ์พึงให้ฉิบหายเสีย [ไล่สึกเสีย]
2. สังวาสนาสนะ เช่น พวกภิกษุ ทาํ อุปเขปนี ยกรรม เพราะไม่เห็น หรือไม่ทาํ คืนอาบัติก็ดี เพราะไม่สละทิษฐิลามาเสียก็ดี [ไล่ออก
จากการร่วมกิจกรรม]
3. ทัณฑกัมมนาสนะ เช่น พวกภิกษุ ทาํ ทัณฑกรรม(แก่สมณุเทศ คือ สามเณร) ว่า เจ้าคนเลว เจ้าจงไปเสีย จงฉิบหายเสีย [ลงโทษ
ให้พน้ จากสังกัด]
[ภิกษุ ตอ้ งปาราชิกธรรมอย่างใดอย่างหนึ ง ย่อมเป็ นผูไ้ ม่บริสุทธิ, ถ้าภิกษุ ผโู ้ จทก์เห็นว่า เป็ นผูไ้ ม่บริสุทธิ ไม่ขอโอกาสต่อเธอก่อน
แล้วโจทเธอ หมายจะด่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาทฯ] วิ.ม.1/561/812
[การกล่าว เฉพาะบทเป็ นต้นว่า เป็ นผูท้ ุศีล มีธรรมเลว อย่างเดียว(คือการต่อว่าเท่านัน) ยังไม่ถึงทีสุด ไม่เป็ นสังฆาทิเสส] วิ.อ.3/514
ในการโจทนี พึงทราบความประสงค์ 7 อย่างเหล่านี คือ 1.ความประสงค์ในอันให้เคลือน(จากพรหมจรรย์) 2.ความประสงค์
ในการด่า 3.ความประสงค์ในการงาน 4.ความประสงค์ในการออก(จากอาบัติ) 5.ความประสงค์ในการพักอุโบสถและ
ปวารณา 6.ความประสงค์ในการสอบสวน 7.ความประสงค์ในการกล่าวธรรม, ในบรรดาความประสงค์เหล่านัน 4 อย่าง
ข้างต้น เป็ นทุกกฏ แก่ภิกษุผไู ้ ม่ให้กระทําโอกาส วิ.อ.3/515

๑๐๒
[เป็ นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุ ผตู ้ ามกําจัด(โจท) ด้วยสังฆาทิเสสไม่มีมูล (เข้าใจว่าเป็ นมุสาวาท), เป็ นทุกกฏ แก่ภิกษุ ผตู ้ ามกําจัดด้วยอาจาร
วิบตั ิ, เป็ นปาจิตตียแ์ ก่ภิกษุ ผกู ้ ล่าวคําประสงค์จะด่า, เป็ นทุกกฏ แก่ภิกษุ ผกู ้ ล่าวด้วยกองอาบัติแม้ทงั 7 กอง ในทีลับหลัง(นิ นทา),
เป็ นทุกกฏอย่างเดียวแก่ภิกษุ ผกู ้ ระทํากรรมทัง 7 อย่าง เฉพาะในทีลับหลัง]
[กิจด้วยการขอโอกาส ย่อมไม่มีแก่ภิกษุ ผกู ้ ล่าวว่า ท่านต้องอาบัติชือนี จงกระทําคืนอาบัตินันเสีย โดยความประสงค์จะให้ออกจาก
อาบัติ, โอกาสกรรม ย่อมไม่มี แม้แก่ภิกษุ ผสู ้ อบสวน ในเมือเรืองถูกนํ าเข้าเสนอแล้ว…] วิ.อ.3/516
บุพพสิกขาวรรณา หน้า 141
องค์แห่งอาบัติ 4. โจทเองหรือให้ผูอ้ ืนโจทในทีต่อหน้า ด้วยอธิบายจะ
1. โจทเอง หรือให้ผูอ้ ืนโจทซึงผูใ้ ด ผูน้ ั นถึงซึงนั บว่าเป็ นอุปสัมบัน ให้เคลือนจากพรหมจรรย์
2. สําคัญว่าเป็ นผูบ้ ริสุทธิ 5. ผูต้ อ้ ง โจทในขณะนั น
3. โจทด้วยปาราชิกใด ปาราชิกนั นไม่มีมูลด้วยความเห็นเป็ นต้น พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นสังฆาทิเสส

บทที 9 ภิกษุ พยายามหาเรืองกล่าวหาภิกษุ อืนด้วยอาบัติปาราชิกโดยไม่มีมูลความจริง ต้องอาบัติ


สังฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด ขัดใจ มี โทสะ ไม่แช่มชื น ถือเอาเอกเทศบางแห่ง แห่งอธิ กรณ์อันเป็ นเรืองอื น ให้เป็ นเพียงเลศ
ตามกําจัดซึงภิกษุ ด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ด้วยหมายว่า แม้ไฉนเราจักยังเธอให้เคลือนจากพรหมจรรย์
นี ได้ ครังสมัยอื นแต่นั น อันผูใ้ ดผูห้ นึ งถือเอาตามก็ ตาม ไม่ถือเอาตามก็ ตาม แต่อธิกรณ์นั นเป็ นเรืองอื นแท้
เอกเทศบางแห่ง เธอถือเอาพอเป็ นเลศ แลภิกษุ ยนั อิงโทสะอยู่ เป็ นสังฆาทิเสสฯ
ถือเอาเอกเทศบางแห่ง…เป็ นเพียงเลิศ, เลศมี 10 อย่าง ได้แก่ เลศคือชาติ ชือ วงศ์ ลักษณะ อาบัติ บาตร จีวร อุปัชฌายะ
อาจารย์ เสนาสนะ
เลศ คือ ข้ออ้าง เรืองเล็กๆ น้อยๆ, เลศนั ย คือ กิริยาอาการทีจะยกขึนเป็ นข้ออ้างใส่ความได้ มจร.1/391/431
ภิกษุตน้ บัญญัติ. พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เห็นแพะบนภูเขาคิชฌกูฏกําลังสมสู่กนั จึงสมมติเป็ นพระทัพพมัลลบุตรและ
ภิกษุ ณีเมตติยา แล้วโพนทนาแก่ภิกษุ ทงหลายั พ.ทรงสอบให้รับสารภาพแล้ว ณ พระเวฬุวนั วิหาร กรุงราชคฤห์

๑๐๓
บทที 10 ภิกษุ ทาํ ให้สงฆ์ให้แตกแยกกัน ภิกษุ ทงหลายว่
ั ากล่าวตักเตือนก็ไม่ยอมเชือฟั ง สงฆ์จึงสวด สมนุ ภาสน์
ถ้าเธอสละพฤติกรรมนันได้ขณะทีสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์กว่าจะครบ 3 ครัง นันเป็ นการดี แต่ถา้ เธอยืนยันประพฤติ
อยูอ่ ย่างนันจนสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์ตกั เตือนครบ 3 ครัง ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส วิ.ม.1/593/713
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด ตะเกี ยกตะกายเพือทําลายสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียง หรือถือเอาอธิ กรณ์อันเป็ นเหตุแตกกัน ยกย่อง (แสดง)
ยันอยู(่ ไม่กลับคํา) ภิกษุ นั น อันภิกษุ ทั งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี ว่า ท่านอย่าได้ตะเกี ยกตะกายเพือทําลายสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียงหรือ
อย่าได้ถือเอาอธิกรณ์อันเป็ นเหตุแตกกัน ยกย่องยันอยู่ ขอท่านจงพร้อมเพรียงด้วยสงฆ์ เพราะว่าสงฆ์ผพู ้ ร้อมเพรียงกัน ปรองดอง
กัน ไม่ววิ าทกัน มีอเุ ทศเดียวกันย่อมอยูผ่ าสุก แลภิกษุ นั น อันภิกษุ ทงหลายว่
ั ากล่าวอยูอ่ ย่างนี ยังยกย่องอยูอ่ ย่างนั นเทียว ภิกษุ นั น
อันภิกษุ ทงหลาย
ั พึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ เพือให้สละกรรมนั นเสีย หากเธอถูกสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละ
กรรมนั นเสีย สละได้อย่างนี นั นเป็ นการดี หากเธอไม่สละเสีย เป็ นสังฆาทิเสสฯ
ภิกษุตน้ บัญญัติ. พระเทวทัตได้กล่าวเชือเชิญพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขันณฑเทวีบุตร และพระสุทททัต ได้ทํา
สังฆเภท โดยพระเทวทัตจะเข้าเฝ้ าทูลขอวัตถุ 5 ประการ , เมือพระเทวทัตคิดว่า เราจักบริหารภิกษุ สงฆ์ ดังนี แล้ว ได้เสือมจาก
ฤทธิแล้ว
พระเทวทัตต์ กระทําสังฆเภท จักรเภท ทูลขอวัตถุ 5 ประการ คือ
1. ภิกษุ ทงหลายควรอยู
ั ่ป่าตลอดชีวิต
2. ภิกษุ ทงหลายควรเที
ั ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต ภิกษุ ใดยินดีนิมนต์ โทษพึงถูกต้องภิกษุ นัน
3. ภิกษุ ทงหลายควรถื
ั อผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุ ใดยินดีผา้ คหบดี โทษพึงถูกต้องภิกษุ นัน
4. ภิกษุ ทงหลายควรอยู
ั ่โคนไม้ตลอดชีวิต ภิกษุ ใดเข้าอาศัยทีมุงบัง โทษพึงถูกต้องภิกษุ นัน
5. ภิกษุ ทงหลายไม่ ั ควรฉันปลาและเนื อตลอดชีวิต ภิกษุ ใดฉันปลาและเนื อ โทษพึงถูกต้องภิกษุ นัน
พระผูม้ ีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย เทวทัตต์ (ภิกษุใดปรารถนา) ก็จงอยู่ป่า (ภิกษุใดปรารถนา) ก็จงอยู่บา้ น,
( ) ก็จงเทียวบิณฑบาต ( ) ก็จงยินดีการนิ มนต์, ( ) ก็จงถือผ้าบังสุกุล ( ) ก็จงยินดีผา้ คฤหบดี,
ดูกรเทวทัตต์ เราอนุ ญาตรุกขมูลเสนาสนะตลอด 8 เดือนเท่านั น, เราอนุ ญาตปลาและเนื อทีบริสุทธิด้วยอาการ 3 อย่าง คือ 1.
ไม่ได้เห็น 2.ไม่ได้ยิน 3.ไม่ได้รงั เกียจ วิ.ม.1/591/842
เมือ พ.ไม่ทรงอนุ ญาต พระเทวทัตได้กล่าวโฆษณาให้ชุมชนเชือถื อ พวกทีไม่มีความรู ้ ไม่เลือมใส มีความรูท้ ราม พากกัน
ชมเชยว่า “พวกพระเทวทัตเป็ นผูก้ าํ จัด มีความประพฤติขดั เกลา ส่วนพระสมณโคดมเป็ นผูม้ ีความมักมาก” คนทังหลายต่าง
เลือมใสในลูขปฏิบตั ิของพระเทวทัต ณ พระเวฬุวนั วิหาร กรุงราชคฤห์
อุทิสสมังสะ เนื อสัตว์ทีเขาฆ่าเจาะจงเพือถวายภิกษุ ตรงข้ามกับ ปวัตตมังสะ เนื อทีมีอยู่แล้ว ทีเขาขายอยู่ตามปกติสําหรับคนทัวๆ ไป
พจฯ ศัพท์
[กรรมเป็ นธรรม(ยุติธรรม) ภิกษุ สําคัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ไม่สละต้องสังฆาทิเสส]
[กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สําคัญว่ากรรมเป็ นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ] [กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สําคัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม
ต้องอาบัติทุกกฏ]
พระเทวทัต จะได้เป็ นพระปั จเจกพุทธเจ้า ชือว่า อัฏฐิสสระ จักเป็ นในทีสุดแห่งกัปป์ แสนหนึ งแต่ภัททกัปป์ นี
[ภิกษุ ทังหลายทราบแล้วไม่ว่ากล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ] (ในการสวดสมนุ ภาส ปรับเช่นกันดังนี ตังแต่สิกขาบทที 10–13)
[พึงว่ากล่าวแม้ 3 ครัง หากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ]
[พึงคุมตัวมาสู่ท่ามกลางสงฆ์ แล้วพึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้ตะเกียกตะกาย เพือทําลายสงฆ์ผพู ้ ร้อมเพรียง ฯ แม้ 3 ครัง หากเธอ
ไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ]
[พึงสวดสมนุ ภาส โดยประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาว่า
“{ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟั งข้าพเจ้า ภิกษุ มีชือนี ตะเกียกตะกายเพือทําลายสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียง เธอไม่สละเรืองนั น ถ้า
ความพรังพร้อมของสงฆ์ถึงทีแล้ว สงฆ์พึงสวดสมนุ ภาสภิกษุ ผมู ้ ีชือนี เพือให้สละเรืองนั นเสีย} นี เป็ นญัตติ”
[เทียวแรกเป็ นคําเผดียงสงฆ์ขอให้สวดสมนุ ภาสแก่ภิกษุ เรียกว่าญัตติ]
{…} ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงนิ ง ไม่ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงพูด,
ข้าพเจ้าแม้ครังที 2 {…} ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงนิ ง ไม่ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงพูด,

๑๐๔
ข้าพเจ้าแม้ครังที 3 {…} ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงนิ ง ไม่ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงพูด,
[อีก 3 เทียวหลังเป็ นคําหารือ เรียกว่าอนุ สาวนา, ทังญัตติและอนุ สาวนา เรียกรวมว่า กรรมวาจา]
“ภิกษุ ผมู ้ ีชือนี สงฆ์สวดสมนุ ภาสแล้ว เพือให้สละเรืองนั น ชอบแก่สงฆ์ เหตุนันจึงนิ ง ข้าพเจ้าทรงความนี ไว้ดว้ ยอย่างนี .”
[จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ, จบกรรมวาจาสองครัง ต้องอาบัติถุลลัจจัย, จบกรรมวาจาครังสุดท้าย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส]
เมือต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏเพราะญัตติ อาบัติถุลลัจจัยเพราะกรรมวาจาสองครัง ย่อมระงับ วิ.ม.1/597/848
สวดสมนุ ภาสน์ คือ สงฆ์ตงแต่ ั 4 รูปขึนไปสวดประกาศห้ามภิกษุ ไม่ให้ถือรันการอันมิชอบ มจร. 1/412/446
อ. อธิบายว่า ภิกษุ รูปหนึ ง มีอธั ยาศัยใหญ่ มีอุตสาหะมาก ย่อมสามารถเพืองดเสนาสนะใกล้แดนบ้านเสียแล้ว อยู่ในป่ ากระทํา
ทีสุดแห่งทุกข์ได้. ภิกษุ รูปหนึ งทีมีกําลังอ่อนแอ มีเรียวแรงน้อย ย่อมไม่สามารถจะอยู่ในป่ า (กระทําทีสุดทุกข์ได้), สามารถแต่
ในคามเขตเท่านั น. รูปหนึ งมีกําลังมาก มีธาตุเป็ นไปสมําเสมอ สมบูรณ์ดว้ ยอธิ วาสนขันติมีจิตคงทีในอิฎฐารมณ์และอนิ ฎฐา
รมณ์ ย่อมสามารถทังในป่ า ทังในเขตบ้านได้ทงนั ั น. รูปหนึ ง ไม่อาจทังในเขตบ้าน ทังในป่ า คือ เป็ นปทปรมบุคคล.
ก็ถา้ ว่า พระผูม้ ีพระภาคเจ้า พึงทรงรับรองวาทะของพระเทวทัต ไซร้, บุคคลนี ใด ซึงมีกําลังอ่อนแอ มีเรียวแรงน้ อย
ตามปกติ, ถึ งบุคคลใดสามารถอยู่ในป่ าสําเร็จได้แต่ในเวลายังเป็ นหนุ่ ม ต่อมาในเวลาแก่ตัวลง หรือในเวลาเกิดธาตุกํา เริ บ
เพราะลมและดีเป็ นต้น อยู่ป่าไม่สําเร็จ, แต่เมืออยู่ในแดนบ้านเท่านั น จึงอาจกระทําทีสุ ดทุกข์ได้. บุคคลเหล่านั น จะพึงสูญเสี ย
อริยมรรคไป ไม่พึงบรรลุอรหัตผลได้, สัตถุศาสน์ พึงกลายเป็ นนอกธรรมนอกวินัย ยุ่งเหยิง ไม่เป็ นไปเพือนํ าออกจากทุกข์. และ
พระศาสดาจะพึงเป็ นผูม้ ิใช่พระสัพพัญ ูของบุคคลจําพวกนั น ทังจะพึงถู กตําหนิ ติเตียนว่า ทรงทิงวาทะของพระองค์เสี ย ไป
ตังอยู่ในวาทะของพระเทวทัต ดังนี . เล่ม 3 หน้า 574 มมร.
* สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ (แม้ไม่มีเจตนาให้แตกกัน แต่ยงั คงกระทําอยู่ โดยรูว้ า่ จะเป็ นเหตุให้แตกกัน)
องค์ประกอบให้เป็ นอนันตริยกรรม
๑. ตนเป็ นปกตัตตภิกษุ
๒. สงฆ์ 4 รูปต่อ 4 รูป รูปที 9 ให้จบั สลาก
๓. แยกกันทําสังฆกรรม
บทที 11 ภิกษุ เป็ นพรรคพวกสนับสนุ นภิกษุ ทีทําให้สงฆ์แตกแยกกัน ภิกษุ ทังหลายว่ากล่าวตักเตือนก็ไม่ยอม
เชือฟั ง สงฆ์จึงสวดสมนุ ภาสน์ ถ้าเธอสละพฤติกรรมนันได้ขณะทีสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์กว่าจะครบ 3 ครัง นันเป็ น
การดี แต่ถา้ เธอยืนยันประพฤติอยูอ่ ย่างนันจนสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์ตกั เตือนครบ 3 ครัง ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
ภิกษุตน้ บัญญัติ. ครังนั น เมือภิกษุ ทงหลายกล่
ั าวติเตียนพระเทวทัตผูต้ ะเกียกตะกายเพือทําลายสงฆ์อยู่ พระโกกาลิกะ พระกฏ
โมรกะติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์ กล่าวปกป้ องพระเทวทัตว่ากล่าวโดยชอบ ถูกธรรม ถูกวินัยแล้ว และชอบ
ใจตามความเห็นของตน

สังฆราชี วิ.จุ.7/404/137 วิ.จุ.เล่ม 7 ภาค 2 –หน้าที


[404] ครังนัน ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคเจ้าถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง เมือท่านพระอุบาลีนังเรียบร้อยแล้วได้
กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า สังฆราชี สังฆราชี ดังนี
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเป็ นสังฆราชี แต่ไม่เป็ นสังฆเภท ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเป็ นทังสังฆราชี และสังฆเภท.
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ่ นอุบาลี ฝ่ ายหนึ งมีภิกษุ หนึ งรูป ฝ่ ายหนึ งมี 2 รูป รูปที 4 ประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี
สัตถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี ดูกอ่ นอุบายลี แม้ดว้ ยเหตุอย่างนี เป็ นสังฆราชี แต่ไม่เป็ นสังฆเภท.
ฝ่ ายหนึ งมีภิกษุ 2 รูป ฝ่ ายหนึ งก็มี 2 รูป ฝ่ ายหนึ งมีภิกษุ 2 รูป ฝ่ ายหนึ งมี 3 รูป
ฝ่ ายหนึ งมีภิกษุ 3 รูป ฝ่ ายหนึ งก็มี 3 รูป ฝ่ ายหนึ งมีภิกษุ 3 รูป ฝ่ ายหนึ งมี 4 รูป
ดูกอ่ นอุบาลี ฝ่ ายหนึ งมีภิกษุ 4 รูป ฝ่ ายหนึ งมี 4 รูป รูปที 9 ประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับ
สลากนี จงชอบใจสลากนี ดูกอ่ นอุบาลี แม้ดว้ ยเหตุอย่างนี แล เป็ นทังสังฆราชี และสังฆเภท.
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ 9 รูป หรือเกินกว่า 9 รูป เป็ นทังสังฆราชี และสังฆเภท.
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ณีทําลายสงฆ์ยอ่ มไม่ได้ แต่พยายามเพือจะทําลายได้
สิกขมานา .. สามเณร .. สามเณรี .. อุบาสก .. อุบาสิกา ก็ทําลายสงฆ์ไม่ได้ แต่พยายามเพือจะทําลายได้.
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ปกตัตตะ มีสงั วาสเสมอกัน อยูใ่ นสีมาเดียวกัน ย่อมทําลายสงฆ์ได้.

๑๐๕
สังฆเภท
[405] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่าสังฆเภท สังฆเภท ดังนี ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก.
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ทังหลายในธรรมวินัยนี
1. ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็ นธรรม 2. ย่อมแสดงธรรมว่า เป็ นอธรรม
3. ย่อมแสดงสิงไม่เป็ นวินัยว่า เป็ นวินัย 4. ย่อมแสดงวินัยว่า ไม่เป็ นวินัย
5. ย่อมแสดงคําอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้วา่ เป็ นคําอันตถาคตตรัสภาษิตไว้
6. ย่อมแสดงคําอันตถาคตตรัสภาษิตไว้วา่ เป็ นคําอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
7. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็ นกรรมอันตถาคตประพฤติมา
8. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาว่า เป็ นกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมา
9. ย่อมแสดงสิงทีตถาคตมิได้บญ ั ญัตไิ ว้วา่ เป็ นสิงทีตถาคตบัญญัติไว้
10. ย่อมแสดงสิงทีตถาคตบัญญัติไว้วา่ เป็ นสิงทีตถาคตมิได้บญ ั ญัติไว้
11. ย่อมแสดงอนาบัติวา่ เป็ นอาบัติ 12. ย่อมแสดงอาบัติวา่ เป็ นอนาบัติ
13. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็ นอาบัติหนัก 14. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็ นอาบัติเบา
15. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็ นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ 16. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้วา่ เป็ นอาบัติมีส่วนเหลือ
17. ย่อมแสดงอาบัติชวหยาบว่
ั า เป็ นอาบัติไม่ชวหยาบ
ั 18. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชวหยาบว่
ั า เป็ นอาบัติชวหยาบ

พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน ด้วยวัตถุ 18 ประการนี ย่อมแยกทําอุโบสถ แยกทําปวารณา แยกทําสังฆกรรม
ดูก่อนอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี แล สงฆ์เป็ นอันแตกกันแล้ว
สังฆสามัคคี
[406] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงพร้อมเพรียงกัน
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ทังหลายในธรรมวินัยนี
1. ย่อมแสดงสิงทีไม่เป็ นธรรมว่า ไม่เป็ นธรรม 2. ย่อมแสดงสิงทีเป็ นธรรมว่า เป็ นธรรม
3. ย่อมแสดงสิงทีมิใช่วนิ ัยว่า มิใช่วนิ ัย 4. ย่อมแสดงสิงทีเป็ นวินัยว่า เป็ นวินัย
5. ย่อมแสดงคําอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้วา่ เป็ นคําอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
6. ย่อมแสดงคําอันตถาคต ตรัสภาษิตไว้วา่ เป็ นคําอันตถาคตตรัสภาษิตไว้
7. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็ นกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมา
8. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้วว่า เป็ นกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้ว
9. ย่อมแสดงสิงทีตถาคต มิได้บญ ั ญัติไว้วา่ เป็ นสิงทีตถาคตมิได้บญ
ั ญัติไว้
10. ย่อมแสดงสิงทีตถาคตบัญญัติไว้วา่ เป็ นสิงทีตถาคตบัญญัติไว้
11. ย่อมแสดงอนาบัติวา่ เป็ นอนาบัติ 12. ย่อมแสดงอาบัติวา่ เป็ นอาบัติ
13. ยอมแสดงอาบัติเบาว่า เป็ นอาบัติเบา 14. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็ นอาบัติหนัก
15. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็ นอาบัติมีส่วนเหลือ 16. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้วา่ เป็ นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
17. ย่อมแสดงอาบัติชวหยาบว่
ั า เป็ นอาบัติชวหยาบ
ั 18. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชวหยาบว่
ั า เป็ นอาบัติไม่ชวหยาบ

พวกเธอย่อมไม่ประกาศให้แตกแยกกันด้วยวัตถุ 18 ประการนี ย่อมไม่แยกทําอุโบสถ ย่อมไม่แยกทําปวารณา ย่อมไม่แยกทําสังฆ
กรรม, ดูกอ่ นอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี แล สงฆ์เป็ นอันพร้อมเพรียงกัน.
[407] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุ นันทําลายสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียงกันแล้ว จะได้รบั ผลอย่างไร
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ทําลายสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียงกันแล้ว ย่อมได้รบั ผลชัวร้าย ตังอยูช่ วกั
ั ป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป.
นิคมคาถา
[408] ภิ กษุ ทาํ ลายสงฆ์ตอ้ งเกิ ดในอบาย ตกนรก อยู่ชัวกัป ภิ กษุ ผยู ้ ินดี ในการแตกพวก ไม่ต งอยู ั ่ในธรรม ย่อมเสื อมจากธรรมอัน
เกษมจากโยคะ ภิกษุทาํ ลายสงฆ์ผพู ้ ร้อมเพรียงกัน แล้วย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป.
[409] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุ สมานสงฆ์ทีแตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน จะได้รบั ผลอย่างไร
พระผู ้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ สมานสงฆ์ทีแตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน ย่อมได้บุญอันประเสริฐ ย่อมบันเทิ งใน
สรวงสวรรค์ตลอดกัป.
นิคมคาถา
[410] ความพร้อมเพรียงของหมู่ เป็ นเหตุแห่งสุข และการสนับสนุ นผูพ้ ร้อมเพียงกัน ก็เป็ นเหตุแห่งสุข ภิกษุ ผยู ้ ินดีใน
ความพร้อมเพรียงตังอยูใ่ นธรรม ย่อมไม่เสือมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ ภิกษุสมานสงฆ์ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว ย่อม
บันเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป.

๑๐๖
ผูท้ าํ ลายสงฆ์ตอ้ งเกิดในอบาย วิ.จุล.7/411/141 เล่ม 9 หน้า 321 มมร.
[411] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า มีหรือ พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์ตอ้ งเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า มี อุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์ ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้
อุ. และมีหรือ พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์ ไม่ตอ้ งเกิดในอบาย ไม่ตกนรก ไม่ตงอยู ั ช่ วกั
ั ป พอช่วยเหลือได้
พ. มี อุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์ ไม่ตอ้ งเกิดในอบาย ไม่ตกนรก ไม่ตงอยู ั ช่ วกัั ป พอช่วยเหลือได้
............................................
อุ. พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์ ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้ เป็ นไฉน
พ. ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ในธรรมวินัยนี ย่อมแสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม (กล่าวผิ ด) มีความเห็นในธรรมนั นว่าเป็ นอธรรม (เข้าใจผิ ด) มี
ความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นอธรรม (รูอ้ ยูว่ า่ เรืองทีทะเลาะกันนันไม่ควร) อําพรางความเห็น อําพรางความถูกใจ อําพรางความชอบ
ใจ อําพรางความจริง (อยากให้แตกกัน ไม่พดู ทังหมดของความจริง) ย่อมประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลาย
จงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์แม้นีแล ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ ง อบาลี ภิกษุ ย่อมแสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม มีความเห็นในธรรมนันว่าเป็ นอธรรม มี ความเห็ นในความแตกกันว่าเป็ นธรรม
(เข้าใจว่าเรืองราวทีทะเลาะกันนันถูกต้องสมควรแล้ว) อําพรางความเห็น อําพรางความถูกใจ อําพรางความชอบใจ อําพรางความจริง ย่อม
ประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์นีแล ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ ง อุบาลี ภิกษุ ย่อมแสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม มีความเห็นในธรรมนั นว่าเป็ นอธรรม มี ความสงสัยในความแตกกัน (ไม่รูถ้ ึง
เรืองราวนั นว่าถู กหรือไม่ ไม่แน่ ใจ) อําพรางความเห็น อําพราง ความถู กใจ อําพรางความชอบใจ อําพรางความจริง ย่อมประกาศให้จบั
สลากว่านี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์แม้นีแล ต้องเกิดในอบาย ตกนรกอยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้
............................................
อนึ ง อุบาลี ภิกษุ ย่อมแสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม (กล่าวผิ ด) มีความเห็นใน อธรรมนั นว่าเป็ นธรรม (กลับกันกับกรณี แรก) (เข้าใจ
ผิด) มีความเห็นในการแตกกันว่าเป็ นอธรรม . . . (รูอ้ ยูว่ า่ เรืองทีทะเลาะกันนันไม่ควร)
. . .มีความเห็นในอธรรมนันว่าเป็ นธรรม มีความสงสัยในความแตกกัน. . . (ไม่รถู ้ ึงเรืองราวนันว่าถูกหรือไม่ ไม่แน่ ใจ)
. . . มีความสงสัยในอธรรมนัน มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นอธรรม. (รูอ้ ยูว่ า่ เรืองทีทะเลาะกันนันไม่ควร)
. . . มีความสงสัยในอธรรมนัน มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นธรรม. . (เข้าใจว่าเรืองราวทีทะเลาะกันนันถูกต้องสมควรแล้ว)
. . . มีความสงสัยในอธรรมนัน มีความสงสัยในความแตกกัน อําพรางความเห็น อําพรางความถูกใจ อําพรางความชอบใจ อําพรางความ
จริง ย่อมประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์แม้นีแล ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้
............................................
อนึ ง อุบาลี ภิกษุ ยอ่ มแสดงธรรมว่าเป็ นอธรรม. . . (กลับกันกับ 2 กรณีแรก)
ย่อมแสดงสิงมิใช่วนิ ัยว่าเป็ นวินัย ย่อมแสดงวินัยว่ามิใช่วนิ ัย
ย่อมแสดงคําอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิ ตไว้ ว่าเป็ นคําอันตถาคตตรัสภาษิ ตไว้ ย่อมแสดงคําอันตถาคตตรัสภาษิ ตไว้ว่า เป็ นคําอัน
ตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็ นกรรมอันตถาคตพระพฤติมาแล้ว ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้ว ว่า
เป็ นกรรมอันตถาคตมิได้พระพฤติมาแล้ว
ย่อมแสดงสิงทีตถาคตมิได้บญ ั ญัตไิ ว้วา่ เป็ นสิงทีตถาคตบัญญัติไว้ ย่อมแสดงสิงทีตถาคตบัญญัติไว้วา่ เป็ นสิงทีตถาคตมิได้บญ ั ญัติไว้
ย่อมแสดงอนาบัติวา่ เป็ นอาบัติ ย่อมแสดงอาบัติวา่ เป็ นอนาบัติ
ย่อมแสดงอาบัติเบาว่าเป็ นอาบัติหนัก ย่อมแสดงอาบัติหนักว่าเป็ นอาบัติเบา
ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าเป็ นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้วา่ เป็ นอาบัติมีส่วนเหลือ
ย่อมแสดงอาบัติชวหยาบว่
ั าเป็ นอาบัติไม่ชวหยาบั ย่อมแสดงอาบัติไม่ชวหยาบว่ ั าเป็ นอาบัติชวหยาบ

มีความเห็นในธรรมนันว่าเป็ นอธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นอธรรม
มีความเห็นในธรรมนันว่าเป็ นอธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นธรรม
มีความเห็นในธรรมนันว่าเป็ นอธรรม มีความสงสัยในความแตกกัน
(แม้) มีความเห็นในธรรมนันว่าเป็ นธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นอธรรม
มีความเห็นในธรรมนันว่าเป็ นธรรม มีความสงสัยในความแตกกัน
มีความสงสัยในธรรมนัน มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นอธรรม

๑๐๗
มีความสงสัยในธรรมนัน มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นธรรม
มีความสงสัยในธรรมนัน มีความสงสัยในความแตกกัน
อําพรางความเห็น อําพรางความถูกใจ อําพรางความชอบใจ อําพรางความจริง (อยากให้แตกกัน ไม่พดู ทังหมดของความจริง) ย่อม
ประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี .
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์แม้นีแล ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยูช่ วกั ั ป ช่วยเหลือไม่ได้.
............................................
ผูท้ าํ ลายสงฆ์ไม่ตอ้ งเกิดในอบาย
[412] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์ไม่ตอ้ งเกิดในอบาย ไม่ตกนรก อยูช่ วกัั ป พอช่วยเหลือได้ เป็ นไฉน.
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ในธรรมวินัยนี ยอ่ มแสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม มีความเห็นในอธรรมนันว่าเป็ นธรรม มี
ความเห็นในความความแตกกันว่าเป็ นธรรม ไม่อาํ พรางความเห็ น ไม่อาํ พรางความถูกใจ ไม่อาํ พรางความชอบใจ ไม่อาํ พรางความ
จริง (ไม่อยากให้แตกกัน พูดตามทีรู)้ ย่อมประกาศให้จบั สลากว่านี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลายจงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี .
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์แม้นีแล ไม่ตอ้ งเกิดในอบาย ไม่ตกนรกอยูช่ วกั
ั ป พอช่วยเหลือได้.
อนึ ง อุบาลี ภิกษุ ย่อมแสดงธรรมว่าเป็ นอธรรม . . . ย่อมแสดงอาบัติชัวหยาบว่าเป็ นอาบัติไม่ชัวหยาบ มีความเห็นในธรรมนันว่า
เป็ นธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็ นธรรม ไม่อาํ พรางความเห็น ไม่อาํ พรางความถู กใจ ไม่อาํ พรางความชอบใจ ไม่อาํ พรางความ
จริง ย่อมประกาศให้จบั สลากว่า นี ธรรม นี วนิ ัย นี สตั ถุศาสน์ ท่านทังหลาย จงจับสลากนี จงชอบใจสลากนี .
ดูกอ่ นอุบาลี ภิกษุ ผูท้ ําลายสงฆ์แม้นีแล ไม่ตอ้ งเกิดในอบาย ไม่ตกนรกอยูช่ วกั
ั ป พอช่วยเหลือได้.
สังฆเภทขันธกะที 7 จบ
............................................
สังฆเภทักขันธกวรรณนา (วิ.จุล.อ.9 หน้า 326 มมร.)
วินิจฉัยในสัฆเภทักขันธกะ พึงทราบดังนี้:-
... เทวทัตจะเกิดในอบาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อ วาเปนชาวอบาย. เธอเปน ชาวนรกก็เหมือนกัน. เทวทัตจัก ตั้งอยูตลอดกัป (ในนรก)
เพราะฉะนั้น จึงชื่อวาผูตั้งอยูตลอดกัป. บัดนี้ เทวทัต แมพระพุทธเจาตั้งพันองค ก็ไมอาจแกไขได เพราะฉะนั้น เธอจึงชื่อวา อเตกิจโฺ ฉ ผูอัน
พระพุทธเจาเยียวยาไมได.
[วาดวยสังฆราชี ]
... ขอวา จตุตฺโถ อนุส าเวติ สลาก คาเหติ มีความวา อธรรมวาทีเปนรูปที่ 4 คิดวา เราจักทําลายสงฆ.
บทวา อนุสาเวติ ความวา ประกาศใหผูอื่นพลอยรับรู. อธิบายวา เธอประกาศเภทกรวัตถุ 18 ประการอยางนี้วา ภิก ษุใ นธรรมวินัยนี้ ยอ ม
แสดงธรรมวาธรรม ดังนี้ โดยนัยเปนตนวา ทั้งพวกทาน ทั้งพวกเราไมมีความกลัวตอนรกเลย ทางแหงอเวจีแมพวกเราก็ไมไดปดไว พวกเรา
ไมกลัวตออกุศล ก็ถาวาขอนี้พึงเปนสภาพมิใชธรรม หรือขอนี้ พึงเปนสภาพมิใชวินัย หรือวา ขอนี้ไมพึงเปนคําสั่งสอนของพระศาสดาไซร;
เราทั้งหลายไมพึงถือเอา.
ขอวา สลาก คาเหติ มีความวา ก็แลครั้นประกาศอยางนี้แลวจึงบอกใหจับสลากวา ทานทั้งหลายจงจับสลากนี้, ทานทั้งหลายจงชอบ
ใจสลากนี้....
ขอวา เอว โข อุปาลิ สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จ มีความวา ความราวรานแหงสงฆดวย ความแตกแหงสงฆดวย ยอมมี ดวยเหตุ
เพียงใหจับสลากอยางนี้, ก็แตวา สงฆจะเปนผูแตกกันแลว ดวยเหตุเพียงเทานี้ก็หาไม.
ในคํานี้วา อุบาลี ภิก ษุแล ผูปกตัตต มีสังวาสเสมอกันตั้งอยูในสีมาเสมอกัน . จึงทําลายสงฆได ดัง นี้ พึงมีคําถามวา เมื่อ เปนเชนนั้น
พระเทวทัต ชื่อวา ปกตัตตอยางไร พระเทวทัตไมใชผูปกตัตตกอน เพราะเธอใหฆาพระราชา และเพราะเธอทําโลหิตุปบาทอยางไรเลา ?
ขาพเจาขอกลาวในคําถามนีว้ า การใหฆาพระราชา ชื่อวาไมมี เพราะคําสั่งบังคับคลาดเสียกอน, จริงอยู คําสั่งบังคับของพระเทวทัต
นั้นอยางนี้วา กุมาร ถากระนั้น ทานจงฆาพระบิดาแลว เปนพระราชาเถิด เราจักฆาพระผูมีพระภาคเจาแลว เปนพระพุทธเจา, แตกุมารเปน
พระราชาแลว จึงยังพระบิดาใหสิ้นชีพในภายหลัง; การใหฆาพระราชา ชื่อวาไมมี เพราะคําสั่งบังคับคลาดเสียกอน ดวยประการฉะนี้.
สว นความเปน อภัพบุคคล ซึ่งมีโลหิตุปบาทเปน ปจจัย พระผูมีพระภาคเจามิไดตรัสแลว ในเมื่อ โลหิตุปบาท พอพระเทวทัตทําแลว
เทานั้น.
อันขอที่พระเทวทัตนั้นเปนอภัพบุคคล เวนคําของพระผูมีพระภาคเจาเสียแลว ใคร ๆ ก็ไมสามารถจะยกขึ้นได.
สวนคําวา ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผูยังโลหิตใหหอขึน้ เปนอนุปสัมบันไมพึงใหอป ุ สมบท เปนอุปสันบัน พึงใหฉิบหายเสีย นี้ พระผูมพ ี ระ
ภาคเจาตรัสภายหลังแตสังฆเภท; เพราะเหตุนั้น สงฆชื่อวาอันพระเทวทัตผูปกตัตตทําลายแลว.
[วาดวยสังฆเภท]
วินิจฉัยในเภทกรวัตถุ 18 ประการ มีขอ วา แสดงอธรรมวาธรรม เปน ตน . โดยสุตตันตปริยายกอน. กุศลกรรมบถ 10 ชื่อ วาธรรม.
อกุศลกรรมบถ 10 ชื่อวาอธรรม.
อนึ่ง โพธิปกขิยธรรม 37 ประการ คือ สติปฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย 5 พละ 5 โพชฌงค 7 อริยมรรคมีองค 8 ชื่อวา
ธรรม. ขอนี้ คือ สติปฏฐาน 3 สัมมัปปธาน 3 อิทธิบาท 3 อินทรีย 6 พละ 6 โพชฌงค 8 มรรคมีองค 9 ชื่อวาธรรม.
อนึ่ง ขอ นี้ คือ อุปาทาน 4 นีว รณ 5 อนุสัย 7 มิจฉัตตะ 8 ชื่อ วาอธรรม. ขอ นี้ คือ อุปาทาน 3 นีว รณ 4 อนุสัย 6 มิจฉัตตะ 7 ชื่อ วา
อธรรม.
บรรดาธรรมและอธรรมนั้น ภิกษุทั้งหลายผูถือเอาสวนคืออธรรมอันหนึ่ง บางขอบางอยาง กลาวอยูซึ่งอธรรมนั้นวา นี้เปนธรรม ดวย
ทําในใจวา เราจักทําอธรรมนี้วาธรรม ดวยประการอยางนี้ สกุลแหงอาจารยของพวกเราจักยอดเยี่ยม, และพวกเราจักเปนคนมีหนามีตาใน
โลก ชื่อวาแสดงอธรรมวาธรรม
เมื่อถือเอาสวนอันหนึ่ง ในสวนแหงธรรมทั้งหลายกลาวอยูวา นี้เปนอธรรม อยางนั้นนั่นแล ชื่อวาแสดงธรรมวา มิใชธรรม โดยวินัย

๑๐๘
ปริยาย สวนกรรมที่พึงโจทแลวให ๆ การแลวทําตามปฏิญญา ดวยวัตถุที่เปนจริง ชื่อวาธรรม. กรรมที่ไมโจท ไมให ๆ การทําดวยไมปฏิญญา
ดวยวัตถุไมเปนจริง ชื่อวาอธรรม
โดยสุตตันตปริยาย ขอนี้ คือ ราควินัย โทสวินัย โมหวินัย สังวรปหานะ การพิจารณา ชื่อวาวินัย. ขอนี้ คือ ความไมกําจัดกิเลสมีราคะ
เปนตน ความไมสํารวม ความไมละ การไมพิจารณา ชื่อวาอวินัย.
โดยวินัยปริยาย ขอนี้ คือ วัตถุสมบัติ ญัตติสมบัติ อนุสาวนาสมบัติ สีมาสมบัติ ปริสสมบัติ ชื่อวาวินัย. ขอนี้ คือ วัตถุวิบัติ ฯลฯ ปริสวิบต ั ิ
ชื่อวาอวินัย.
โดยสุตตันตปริยาย คํานี้วา สติปฏฐาน 4 ฯลฯ อริยมรรคมีองค 8 ชื่อวาอันพระตถาคตทรงภาษิตแลว ตรัสแลว. คํานี้วา สติปฎฐาน 3
ฯลฯ มรรคมีองค 9 ชื่อวาอันพระตถาคตไมทรงภาษิตแลว ไมตรัสแลว.
โดยวินัยปริยาย คํานี้วา ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย 30 ชื่อวาอันพระตถาคตทรงภาษิตแลว . ตรัสแลว คํา
นี้วาปาราชิก 3 สังฆาทิเสส 14 อนิยต 3 นิสสิคคิยปาจิตตีย 31 ชื่อวาอันพระตถาคตไมทรงภาษิตแลว ไมตรัสแลว.
โดยสุตตันตปริยาย ขอนี้ คือ การเขาผลสมาบัติ การเขามหากรุณาสมาบัติ การเล็งดูสัตวโลกดวยพุทธจักษุทก ุ วัน การแสดงสุตตันตะ
การตรัสชาดกเนื่องดวยความเกิดเรื่องขึ้น ชื่อ วาอันพระตถาคตทรงประพฤติเสมอ. ขอ นี้ คือ การไมเขาผลสมาบัติทุกวัน ฯลฯ การไมตรัส
ชาดก ชื่อวาอันพระตถาคตไมทรงประพฤติเลย.
โดยวินัยปริยาย ขอ นี้ คือ การอยูจําพรรษาแลว บอกลาแลว จึงหลีกไปสูที่จาริก ของภิกษุผูรับนิมนตแลว การปวารณาแลวจึงหลีก
ไปสูที่จาริก ความทําการตอนรับกอนกับภิกษุอาคันตุกะ ชื่อวาอันพระตถาคตทรงประพฤติเสมอ ความไมกระทํากิจมีไมบอกลากอนเที่ยวไปสู
ที่จาริกนั้นนั่นแล ชื่อวาอันพระตถาคตไมทรงประพฤติแลย
โดยสุตตันตปริยาย ขอนี้ คือ สติปฎฐาน 4 ฯลฯ อริยมรรคมีองค 8 ชื่อวาอันพระตถาคตทรงบัญญัติแลว. ขอนี้ คือ สติปฏฐาน 3 ฯลฯ
มรรคมีองค 9 ชื่อวาอันพระตถาคตไมทรงบัญญัติแลว.
โดยวินัยปริยาย ขอนี้ คือ ปาราชิก 4 ฯลฯ นิสสัคคียปาจิตตีย 30 ชื่อวาอันพระตถาคตทรงบัญญัติแลว. ขอนี้ คือ ปาราชิก 3 ฯลฯ นิส
สัคคียปาจิตตีย 31 ชื่อวาอันพระตถาคตไมทรงบัญญัติแลว.
อนาบัติที่พระตถาคตตรัสแลวในสิกขาบทนั้น ๆ วา ไมเปนอาบัติแกภิกษุผูไมรู ผูไมมีไถยจิต ผูไมประสงคจะใหตาย ผูไมประสงคจะ
อวด ผูไมประสงคจะปลอย ชื่อวาอนาบัติ อาบัติที่พระตถาคตตรัสแลวโดยนัยเปนตนวา เปนอาบัติแกภิกษุผูรูอยู ผูมีไถยจิต ชื่อวาอาบัติ.
อาบัติ 5 กอง ชื่อวาอาบัติเบา. อาบัติ 2 กอง ชื่อวาอาบัติหนัก.
อาบัติ 6 กอง ชื่อวาอาบัติมีสวนเหลือ. กองอาบัติปาราชิกกองเดียว ชื่อวาอาบัติไมมีสวนเหลือ.
อาบัติ 2 กอง ชื่อวาอาบัติชั่วหยาบ. อาบัติ 5 กอง ชื่อวาอาบัติไมชั่วหยาบ.
ก็ใ นธรรมและอธรรมเปนตน ที่ก ลาวแลวโดยวินัยปริยายนี้ ภิก ษุผูกลาวอยูซึ่งธรรมมีประการดังกลาวแลววา นี้ไ มใ ชธรรม โดยนัย
กอนนั่นแล ชื่อวาแสดงธรรมวา มิใชธรรม.
เมื่อกลาวอยูซึ่งขอที่มิใชวินัยวา นี้เปนวินัย ชื่อวา แสดงขอที่มิใชวินัยวา วินัย ฯลฯ เมื่อกลาวอยูซึ่งอาบัติไมชั่วหยาบวา นี้เปนอาบัติ
ชั่วหยาบ ชื่อวาแสดงอาบัติไมชั่วหยาบวา อาบัติชั่วหยาบ.
ครั้นแสดงอธรรมวา เปนธรรม ฯลฯ หรือครั้นแสดงอาบัติไมชั่วหยาบวาอาบัติชั่วหยาบ อยางนั้นแลว ไดพวกแลวกระทําสังฆกรรม 4
อยางใดอยางหนึ่ง เปนแผนก ในสีมาเดียวกัน สงฆชื่อวาเปนอันภิกษุเหลานั้นทําลายแลว .
ดวยเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา ภิกษุทั้งหลายเหลานั้นยอมแตกไปเพราะเภทกรวัตถุ 18 ประการนี้ เปนอาทิ.
บรรดาบทเหลานั้น บทว อปกสฺสนฺติ มีความวา ยอมแยง คือยอมแบงซึ่งบริษัท ไดแกยอมคัดบริษัทใหลุกไปนั่ง ณ สวนขางหนึ่ง.
บทวา อวปกาสนฺติ มีความวา ยอ มยุยงอยางยิ่ง คือ ภิก ษุทั้งหลาย จะเปน ผูไมปรองดองกัน โดยประการใด ยอ มกระทําโดยประการ
นั้น. บทวา อาเวณิก  คือ แผนกหนึ่ง.
ขอวา เอตฺตาวตา โข อุปาลิ สงฺโฆ ภิน ฺโน โหติ มีความวา ครั้นเมื่อภิกษุทั้งหลาย แสดงวัตถุอันใดอันหนึ่งแมวัตถุอันเดียว ในเภทกร
วัตถุ 18 แลว ใหภิกษุทั้งหลายหมายรูดวยเหตุนั้น ๆ วา ทานทั้งหลายจงจับสลากนี้ ทานจงชอบใจสลากนี้ ดังนี้ ใหจับสลากแลว ทําสังฆกรรม
แผนกหนึ่ง อยางนั้นแลว สงฆยอมเปนอันแตกกัน.
สวนในคัมภีรบริวาร พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา อุบาลี สงฆยอมแตกกันดวยอาการ* 5 เปนอาทิ. คํานั้นกับลักษณะแหงสังฆเภทนี้ ที่
ตรัสในสังฆเภทักขันธกะนี้ โดยใจความไมมีความแตกตางกัน. และขาพเจาจักประกาศขอแตกตางกันแหงคํานัน ้ ในคัมภีรบริวารนั้นแล. คําที่
เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนั้นแล.
* ปริวาร. 495. สังฆเภทักขันธกวรรณนา จบ
สงฆ์แตกกัน วิ.ปริ.8/1212/841
[1,212] อุ. สงฆ์แตกกันด้วยอาการเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูก่อนอุบาลี สงฆ์แตกกันด้วยอาการ 5 อาการ 5 อะไรบ้างคือ กรรม 1 อุเทศ 1 ชีแจง 1 สวดประกาศ 1 ให้จบั สลาก 1
ดูก่อนอุบาลี สงฆ์แตกกันด้วยอาการ 5 นี แล.
สังฆราชีและสังฆเภท
[1,213] อุ. พระพุทธเจ้าข้า ทีตรัสว่า ความร้าวรานแห่งสงฆ์ (สังฆราชี) นั น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร จึงเป็ นความร้าวรานแห่งสงฆ์
แต่ไม่ถึงความแตกแห่งสงฆ์ (สังฆเภท) อนึ ง ด้วยเหตุเพียงเท่าไร จึงเป็ นความร้าวรานแห่งสงฆ์ทงความแตกแห่
ั งสงฆ์
พ. ดู ก่อนอุบาลี อาคันตุกวัตรนั น เราบัญญัติไว้แล้ว สําหรับภิกษุ พวกอาคันตุกะ เมือสิ กขาบทอันเราบัญญัติไว้เรียบร้อย
อย่างนี แล้ว ภิกษุ พวกอาคันตุกะไม่ประพฤติในอาคันตุกวัตร ดูก่อนอุบาลี แม้อย่างนี แล เป็ นความร้าวรานแห่งสงฆ์ แต่ไม่ถึง ความ
แตกแห่งสงฆ์
ดูก่อนอุบาลี อาวาสิกวัตรนั น .. ภัตตัคควัตรในโรงภัตรนั น .. เสนาสนวัตรในเสนาสนะนั น เราบัญญัติไว้แล้ว สําหรับภิกษุ
ทังหลาย ตามลําดับผูแ้ ก่กว่า ตามลําดับราตรี ตามสมควร เมือสิกขาบทอันเราบัญญัติไว้เรียบร้อยอย่างนี แล้ว พวกพระใหม่เกี ยด
กันเสนาสนะของพระเถระเสีย ดูก่อนอุบาลี แม้อย่างนี เป็ นความร้าวรานแห่งสงฆ์ แต่ไม่ถึงความแตกแห่งสงฆ์

๑๐๙
ดู ก่อนอุบาลี อุโบสถอย่างเดียวกัน ปวารณาอย่างเดียวกัน สังฆกรรมอย่างเดียวกัน กรรมใหญ่น้อยอย่างเดียวกัน ภายใน
สีมานั น เราบัญญัติไว้แล้วแก่ภิกษุ ทงหลาย ั เมือสิกขาบทอันเราบัญญัติไว้เรียบร้อยอย่างนี แล้ว ภิกษุ ทงหลายต่
ั างทําความแตกแยก
กัน แล้วคุ มกันเป็ นคณะแยกทําอุโบสถ แยกทําปวารณา แยกทําสังฆกรรม แยกทํากรรมใหญ่น้อย ภายในสี มานั นแหละ ดู ก่อนอุ
บาลี แม้อย่างนี เป็ นทังความร้าวรานแห่งสงฆ์ ทังความแตกแห่งสงฆ์แล.
[1,214] .. [1,215] อุ . ภิ ก ษุ ผูท้ ํา ลายสงฆ์ ประกอบด้ว ยองค์เ ท่ า ไรหนอแลเป็ นผู ไ้ ปอบาย ตกนรก ชัวกัป เยี ย วยาไม่ ไ ด้
พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดู ก่ อ นอุ บ าลี ภิ ก ษุ ผูท้ าํ ลายสงฆ์ ประกอบด้ว ยองค์ 5 เป็ นผูไ้ ปอบาย ตกนรก ชัวกัป เยีย วยาไม่ ไ ด้ องค์ 5
อะไรบ้าง
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ในธรรมวินัยนี แสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม 1 แสดงธรรมว่าเป็ นอธรรม 1 แสดงอวินัยว่าเป็ นวินัย 1 แสดง
วินัยว่าเป็ นอวินัย 1 อําพรางความเห็นด้วยกรรม 1
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ผทู ้ าํ ลายสงฆ์ ประกอบด้วยองค์ 5 นี แล เป็ นผูไ้ ปอบาย ตกนรก ชัวกัป เยียวยาไม่ได้
ดู ก่ อนอุ บ าลี ภิ ก ษุ ผูท้ ํา ลายสงฆ์ป ระกอบด้ว ยองค์ 5 แม้อืนอี ก เป็ นผู ไ้ ปอบาย ตกนรก ชัวกัป เยี ย วยาไม่ ไ ด้ องค์ 5
อะไรบ้าง
ดู ก่อนอุบาลี ภิกษุ ในธรรมวินัยนี แสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม 1 แสดงธรรมว่าเป็ นอธรรม 1 แสดงอวินัยว่าเป็ นวินัย 1
แสดงวินัยว่าเป็ นอวินัย 1 อําพรางความเห็นด้วยอุเทศ 1 ... ชีแจงอําพรางความเห็น 1 ... อําพรางความเห็นด้วยสวดประกาศ 1 ...
อําพรางความเห็นด้วยให้จบั สลาก 1 ...
อําพรางความถู กใจด้วยกรรม 1. . . อําพรางความถู กใจด้วยอุเทศ . . . ชีแจงอําพรางความถู กใจ. . . อําพรางความถู กใจ
ด้วยสวดประกาศ. . . อําพรางความถูกใจด้วยให้จบั สลาก. . .
อําพรางความพอใจด้วยกรรม 1 . . .อําพรางความพอใจด้วยอุเทศ. . . ชีแจงอําพรางความพอใจ . . . อําพรางความพอใจ
ด้วยสวดประกาศ. . .อําพรางความพอใจด้วยให้จบั สลาก. . .
อําพรางสัญญาด้วยกรรม 1. . . อําพรางสัญญาด้วยอุเทศ. . .ชีแจงอําพรางสัญญา . . . อําพรางสัญญาด้วยสวดประกาศ . .
. อําพรางสัญญาด้วยให้จบั สลาก. . .
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ผทู ้ าํ ลายสงฆ์ ประกอบองค์ 5 นี แล เป็ นผูไ้ ปอบาย ตกนรก ชัวกัป เยียวยาไม่ได้.
................................................
ภิกษุผทู ้ าํ ลายสงฆ์ไม่มีโทษ วิ.ปริ.8/1217/848
[1,217] อุ. ภิกษุ ผทู ้ าํ ลายสงฆ์ ประกอบด้วยองค์เท่าไร หนอแลเป็ นผูไ้ ม่ไปอบาย ไม่ตกนรก ไม่อยู่ชวกัั ป มิใช่เยียวยาไม่ได้
พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผทู ้ าํ ลายสงฆ์ประกอบด้วยองค์ 5 เป็ นผูไ้ ม่ไปอบาย ไม่ตกนรก ไม่อยูช่ วกั ั ป มิใช่เยียวยาไม่ได้
องค์ 5 อะไรบ้าง
ดู ก่อนอุบาลี ภิกษุ ในธรรมวินัยนี แสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม 1 แสดงธรรมว่าเป็ นอธรรม 1 แสดงอวินัยว่าเป็ นวินัย 1
แสดงวินัยว่าเป็ นอวินัย 1 ไม่อาํ พรางความเห็นด้วยกรรม 1
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ผทู ้ าํ ลายสงฆ์ประกอบด้วยองค์ 5 นี แล เป็ นผูไ้ ม่ไปอบาย ไม่ตกนรก ไม่อยู่ชวกั
ั ป มิใช่เยียวยาไม่ได้
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ผทู ้ าํ ลายสงฆ์ ประกอบด้วยองค์ แม้อืนอีก 5 ไม่เป็ นผูไ้ ปอบาย ไม่ตกนรก ไม่อยู่ชวกั
ั ป มิใช่เยียวยาไม่ได้
องค์ 5 อะไรบ้าง
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ในธรรมวินัยนี แสดงอธรรมว่าเป็ นธรรม 1 แสดงธรรมว่าเป็ นอธรรม 1 แสดงอวินัยว่าเป็ นวินัย 1 แสดง
วินัยว่าเป็ นอวินัย 1 ไม่อาํ พรางความเห็นด้วยอุเทศ 1 ... ชีแจงไม่อาํ พรางความเห็น 1 ... ไม่อาํ พรางความเห็นด้วยสวดประกาศ 1
ไม่อาํ พรางความเห็นด้วยให้จบั ฉลาก 1
ไม่อาํ พรางความถูกใจด้วยกรรม 1. . . ไม่อาํ พรางความถูกใจด้วยอุเทศ .. . . ชีแจงไม่อาํ พรางความถูกใจ . . . .ไม่อาํ พราง
ความถูกใจด้วยสวดประกาศ . . . . ไม่อาํ พรางความถูกใจด้วยให้จบั ฉลาก. . .
ไม่อาํ พรางความชอบใจด้วยกรรม 1. . . ไม่อาํ พรางความชอบใจด้วยอุเทศ. . . ชีแจงไม่อาํ พรางความชอบใจ. . .ไม่อาํ พราง
ความชอบใจด้วยสวดประกาศ. . .ไม่อาํ พรางความชอบใจด้วยให้จบั ฉลาก. . .
ไม่อาํ พรางสัญญาด้วยกรรม 1 . . .ไม่อาํ พรางสัญญาด้วยอุเทศ. . . ชีแจงไม่อาํ พรางสัญญา. . . ไม่อาํ พรางสัญญาด้วยสวด
ประกาศ. . .ไม่อาํ พรางสัญญาด้วยให้จบั ฉลาก. . .

๑๑๐
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุ ผทู ้ าํ ลายสงฆ์ ประกอบด้วยองค์ 5 นี แล เป็ นผูไ้ ม่ไปอบาย ไม่ตกนรก ไม่อยู่ชวกั
ั ป มิใช่เยียวยาไม่ได้.
หัวข้อประจําวรรค
[1,218] ไม่อําพรางความเห็นด้วยกรรม อุเทศ ชีแจง สวดประกาศและให้จับฉลาก รวม 5 นี อิงความเห็น ความถู กใจ
ความชอบใจ และสัญญา 3 อย่างนี มีนัยตามแนว 5 อย่างนั น ขอท่านทังหลาย จงรูว้ ิธี 20 ถ้วนในฝ่ ายขาว เหมือนวิธี 20 ถ้วน ใน
ฝ่ ายดําข้างหลัง ฉะนั นเทอญ.
.................................................
ม.อุ.อ.22 หน้า 309 มมร.
บทวา สงฺฆํ ภิน ฺเทยฺย คือ พึงทําลายสงฆ ผูมีสังวาสเสมอกัน ตั้งอยูในสีมาเดียวกัน โดยเหตุ 5 ประการ. สมจริงดังที่ตรัสไววา ดูกอนอุ
บาลี สงฆยอมแตกกันโดยอาการ 5 คือ โดยกรรม 1 โดยอุทเทส 1 โดยโวหาร 1 โดยการสวดประกาศ 1 โดยการใหจบ ั สลาก 1 ใน 5 อยาง
นั้น
บทวา กมฺเมน ไดแก กรรม 4 อยาง อยางใดอยางหนึ่งมีอุปโลกนกรรมเปนตน.
บทวา อุท ฺเทเสน ไดแก อุทเทสอยางใดอยางหนึ่ง ในบรรดาปาติโมกขุทเทส 5.
บทวา โวหรนฺโต ความวา กลาว คือ แสดงเรื่องที่ทําใหแตกกัน 18 ประการ มีอาทิวา แสดงสิ่งที่มิใชธรรมวาเปนธรรม ตามเหตุที่ให
เกิดเรื่องนั้น ๆ.
บทวา อนุสส ฺ าวเนน ความวา ดว ยการเปลงวาจาประกาศใกลหูโดยนัยเปนตนวา พวกทานรูมิใชหรือวา ผมออกบวชจากตระกูลสูง
และเปนพหูสูต พวกทานควรทําแมความคิดใหเกิดขึ้นวา ธรรมดาคนอยางผม(หรือ) ควรจะใหถือสัตถุศาสนนอกธรรมนอกวินัย, อเวจีนรก
เยือกเย็นเหมือนปาดอกอุบลเขียวสําหรับผมหรือ? ผมไมกลัวอบายหรือ ?
บทวา สลากคฺคาเหน ความวา ดวยการประกาศอยางนั้น สนับสนุนความคิดภิกษุเหลานั้นทําไมใหหวนกลับมาเปนปกติแลว จึงใหจับ
สลากวา พวกทานจงจับสลากนี้.
ก็ในเรื่องนี้ กรรมเทานั้น หรืออุทเทสเปนสําคัญ สวนการกลาว(ชักชวน) การประกาศและการใหจับสลาก เปนวิธีการเบื้องตน. เพราะ
เมื่อกลาวเนื่องดวยการแสดงเรื่อง 18 ประการแลว ประกาศเพื่อทําใหเกิดความชอบใจในเรื่องนัน ้ แลวจึงใหจับสลาก สงฆยังเปนอัน (นับวา)
ไมแตกกัน. แตเมื่อใด ภิกษุ 4 รูป หรือเกินกวา จับสลากอยางนั้นแลว แยกทํากรรมหรืออุเทส เมื่อนั้น สงฆยอมชื่อวาแตกกัน. ขอนี้ที่วาบุคคล
ผูถึงพรอมดวยทิฏฐิ(พระอริยบุคคล)อยางนี้ พึงทําลายสงฆ ดังนี้ ไมเปนฐานะที่จะมีได. อนันตริยกรรม 5 มีการฆามารดาเปนตน ยอมเปนอัน
แสดงแลวดวยเหตุ มีประมาณเทานี้.
วินจ
ิ ฉัยอนันตริยกรรม 5
เพื่อจะอธิบายอนันตริยกรรมที่ปุถช ุ นทํา แตพระอริยสาวกไมทํา ใหแจมแจง พึงทราบวินจ ิ ฉัยโดยกรรม โดยทวาร โดยการตัง้ อยูช  วั่
กัป โดยวิบาก และโดยสาธารณะ เปน ตน
วิน ิจฉัยโดยกรรมใน 5 อยางนัน ้ พึงทราบวินิจฉัยโดย กรรม กอน. ก็ในเรื่องกรรมนี้ เมื่อบุคคลเปนมนุษยปลงชีวิตมารดาหรือบิดาผู
เปนมนุษยซึ่งไมเปลี่ยนเพศ กรรมเปนอนันตริยกรรม. บุคคลนั้นคิดวา เราจักหามผลของกรรมนั้น จึงสรางสถูปทองประมาณเทามหาเจดีย ให
เต็มจักรวาลทั้งสิ้นก็ดี ถวายทานแกพระสงฆผูนั่งเต็มจักรวาลทั้งสิน้ ก็ดี เที่ยวไปไมปลอยชายสังฆาฏิของพระผูมีพระภาคพุทธเจาก็ดี เมื่อแตก
กาย (ทําลายขันธ) ยอมเขาถึงนรกเทานั้น.
สวนผูใด ตนเองเปนมนุษย ปลงชีวิตมารดาบิดาผูเปนสัตวเดรัจฉาน หรือตนเองเปนเดรัจฉาน ปลงชีวิตมารดาบิดาผูเปนมนุษย หรือ
เปน เดียรัจฉานเหมือนกัน ปลงชีวิตมารดาบิดาผูเปนเดียรัจฉาน กรรมของผูนั้น ยังไมเปนอนัน ตริยกรรม แตเปน กรรมหนัก ตั้งอยูใกลชิด
อนันตริยกรรม. แตปญหานี้ทานกลาวเนื่องดวยสัตวผูมีกําเนิดเปนมนุษย.
ในปญหานั้นควรกลาว เอฬกจตุกกะ สังคามจตุกกะ และ โจรจตุกกะ อธิบายวา มนุษยฆามารดาบิดาที่เปนมนุษยซึ่งอยูในทีท ่ ี่แพะอยู
แมดว ยความมุงหมายวา เราจะฆาแพะ ยอ มตอ งอนัน ตริยกรรม. แตฆาแพะดว ยความมุงหมายวาเปน แพะ หรือ ดว ยความมุงหมายวาเปน
มารดาบิดายอมไมตองอนันตริยกรรม. ฆามารดาบิดาดวยความมุงหมายวา เปน มารดาบิดา ยอ มตองอนันตริยกรรมแน. ใน 2 จตุกกะแมที่
เหลือก็มีนัยดังกลาวนี้นั่นแหละ. พึงทราบจตุกกะเหลานี้แมในพระอรหันตเหมือนในมารดาบิดา.
ฆาพระอรหันต ที่เปนมนุษยเทานั้น ตองอนันตริยกรรม. ที่เปนยักษ (เทวดา) ไมตอง (อนันตริยกรรม). แตกรรมเปนกรรมหนัก เชน
อนันตริยกรรมเหมือนกัน. ก็สําหรับพระอรหันตทเี่ ปนมนุษย เมื่อประหารดวยศัสตรา หรือแมใสยาพิษ ในเวลายังเปนปุถุชน ถาทานบรรลุพระ
อรหัต แลวตายดวยการกระทําอันนั้น เปนอรหันตฆาตแน ๆ.
สวนทานทีถ ่ วายในเวลาทานเปนปุถช ุ น ซึ่งทานฉันแลวบรรลุพระอรหัต ทานนั้นเปนอันใหแกปุถชุ นนั่นแหละ. ไมมีอนันตริยกรรม แก
คนผูฆาพระอริยบุคคลทั้งหลายที่นอกเหนือจากพระอรหันต แตกรรมเปนกรรมหนัก เชนเดียวกับอนันตริยกรรมนัน ้ แล.
พึงทราบวินิจฉัยใน โลหิตป ุ ปาทกรรม (กรรมคือการทําพระโลหิตใหหอ)ตอไป ชื่อวาการทําใหหนังขาดดวยความพยายามของคน
อื่น แลว ทําใหเลือดออก ไมมีแ กพระตถาคต เพราะพระองคมีพระวรกายไมแตก แตพระโลหิตคั่งอยูในที่เดียวกันในภายในพระสรีระ. แม
สะเก็ดหินที่แตกกระเด็นไปจากศิลาที่พระเทวทัตกลิง้ ลงไป กระทบปลายพระบาทของพระตถาคต พระบาทไดมีพระโลหิตหออยูขา งในทีเดียว
ประหนึ่งถูก ขวานทุบ. เมื่อ พระเทวทัตทําเชน นั้น จึงจัด เปน อนัน ตริยกรรม. สว นหมอชีว กเอามีด ตัดหนังพระบาท ตามที่พระตถาคตทรง
เห็นชอบ นําเลือดเสียออกจากที่นั้น ทําใหทรงพระสําราญ เมื่อทําอยางนั้น เปนการกระทําที่เปนบุญทีเดียว.
เรืองต้นโพธิ ม.อุ.อ.22 หน้าที 312 มมร.
ถามวา ตอ มา เมื่อ พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแลว ชนเหลาใดทําลายเจดีย ทําลายตนโพธิ์ ประทุษรายพระบรมธาตุ กรรมอะไรจะ
เกิดแกชนเหลานั้น ?
ตอบวา (การทําเชนนัน ้ ) เปน กรรมหนัก เสมอดวยอนันตริยกรรม.แตการตัดกิ่งไมโพธิ์ที่ขน ึ้ เบียดพระสถูปที่บรรจุพระธาตุ หรือพระ
ปฏิมา ควรทํา แมถาพวกนกจับที่กิ่งโพธิ์นั้นถายอุจจาระรดพระเจดีย ก็ควรตัดเหมือนกัน.
ก็เจดียที่บรรจุพระสรีรธาตุสําคัญกวาบริโภคเจดีย (เจดียที่บรรจุเครื่องใชสอยของพระพุทธเจา).
แมรากโพธิ์ทงี่ อกออกไปทําลายพื้นที่ ที่ทั้งเจดีย จะตัดทิ้งก็ควร สวนกิ่งโพธิ์กิ่งใดขึ้นเบียดเรือนโพธิ์ จะตัดกิ่งโพธิ์นั้นเพื่อรักษาเรือน
(โพธิ์) ไมควร. ดวยวา เรือนมีไวเพื่อตนโพธิ์ ไมใชตนโพธิ์มีไวเพื่อประโยชนแกเรือน แมในเรือนอาสนะก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ก็ในเรือนอาสนะใด เขาบรรจุพระบรมธาตุไว เพื่อจะรักษาเรือนอาสนะนั้น จะตัดกิ่งโพธิ์เสียก็ได.

๑๑๑
เพื่อการบํารุงตนโพธิ์จะตัดกิง่ ทีค
่ อมลง หรือที่ (เนื้อ) เสียออกไปก็ควรเหมือนกัน. แมบุญก็ได เหมือนในการปฏิบัติพระสรีระของพระผู
มีพระภาคเจา.
พึงทราบวินิจฉัยในการทํา สังฆเภท ตอไป. ความแตกกัน และอนันตริยกรรม ยอมมีแกภิกษุ ผูเมื่อสงฆผูอยูในสีมาไมประชุมกัน พา
บริษัทแยกไป ทําการชักชวน การสวดประกาศ และการใหจับสลากผูทํากรรม หรือสวดอุทเทส. แตเมื่อภิกษุทํากรรมดวยคิดวา ควร เพราะ
สําคัญวาเปนผูพรอมเพรียงกัน เปนความแตกกันเทานั้น ไมเปนอนันตริยกรรม.
เพราะบริษัทหยอนกวา 9 รูป ก็เหมือนกัน (เปนความแตกกัน แตไมเปนอนันตริยกรรม) โดยกําหนดอยางต่ําที่สุด ในคน 9 คน คนใด
ทําลายสงฆได อนันตริยกรรมยอมมีแกคนนั้น.
สําหรับพวกอธรรมวาทีผูคลอยตาม ยอมมีโทษมาก ผูเปนธรรมวาทีไมมีโทษ.
ในการทําลายหมูของภิกษุทงั้ 9 รูปนั้น (สงฆ 9 รูป) นั้น (ปรากฏ)พระสูตรเปนหลักฐานดังนี้วา ดูกอนอุบาลี ฝายหนึ่งมีภิกษุ 4 รูป อีก
ฝายหนึ่งมี 4 รูป รูปที่ 9 สวดประกาศใหจับสลากวา นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน พวกทานจงถือเอาสิง่ นี้ จงชอบใจสิ่งนี้ ดูกอนอุบาลี ความราว
รานแหงสงฆ ความแตกแหงสงฆ ยอมมีอยางนี้แล. ดูกอนอุบาลี ความราวรานแหงสงฆ ความแตกแหงสงฆ ยอมมีแกภิกษุจํานวน 9 รูปหรือ
เกินกวา 9 รูปไดดังนี้.
ก็บรรดาอนันตริยกรรมทัง้ 5 ประการเหลานัน ้ สังฆเภทเปนวจีกรรมที่เหลือเปนกายกรรม พึงทราบวินิจฉัยโดยกรรม ดวยประการดังนี้
แล.
วินจ
ิ ฉัยโดยทวาร
บทวา ทฺว ารโต ความวา ก็ก รรมเหลานี้ทั้งหมดนั่นแหละ ยอ มตั้งขึ้นทางกายทวารบาง วจีท วารบาง ก็ใ นเรื่องนี้ กรรม 4 ประการ
เบื้อ งตน ถึงจะตั้งขึ้น ทางวจีทวารดว ยอาณัตติกประโยค (การสั่งบังคับ) ก็ใ หเกิด ผลทางกายทวารไดเหมือ นกัน สังฆเภทแมจะตั้งขึ้นทาง
กายทวารของภิกษุ ผูทําการทําลายดวยใชหัวแมมือ ใหเกิดผลทางวจีทวารไดเหมือนกัน ในเรื่องที่วาดวยสังฆเภทนี้พึงทราบวินิจฉัยแมโดย
ทวาร ดวยประการดังนี้.
วินจ
ิ ฉัยโดยตัง้ อยูช
 วั่ กัป
บทวา กปฺปฏิตย
ิ โต ความวา ก็ในอธิการนี้ สังฆเภทเทานั้นที่ตั้งอยูชั่วกัป. ดวยวาบุคคลทําสังฆเภทในคราวกัปเสื่อมหรือตอนกลาง
ของกัป ในเมื่อกัปพินาศไป ยอมพน (จากกรรมได) ก็แมถาวา พรุงนี้กัปเสื่อมพินาศทําสังฆเภทวันนี้ พอพรุงนี้ก็พน ตกนรกวันเดียวเทานั้น.
แตเหตุการณอยางนี้ไมมี.
กรรม 4 ประการที่เหลือ เปน อนัน ตริยกรรมอยางเดียว ไมเปน กรรมที่ตั้งอยูชั่วกัป. พึงทราบวินิจฉัยโดยการตั้งอยูชั่วกัปในเรื่องนี้
ดวยประการฉะนี้.
วินจ
ิ ฉัยโดยวิปาก
บทวา ปากโต ความวา ก็บุคคลใดทําอนันตริยกรรมเหลานี้ แมทั้ง 5 ประการ สังฆเภทอยางเดียวยอมใหผลเนื่องดวยการปฏิสนธิแก
บุคคลนั้น กรรมที่เหลือ ยอ มนับเขาในขอมีอาทิอยางนี้วา "เปน อโหสิกรรม แตไ มเปน อโหสิวิบาก "ในเมื่อ ไมมีการทําสังฆเภท การทําพระ
โลหิตใหหอขึน้ ยอมใหผล ในเมื่อไมมีการทําพระโลหิตใหหอ  ขึ้น อรหันตฆาตยอมใหผล. และในเมื่อไมมีอรหันตฆาต ถาบิดามีศีล มารดาไมมี
ศีล ปตุฆาตยอมใหผล หรือบิดาไมมีศีลแตมารดามีศีลมาตุฆาตยอมใหผล เนื่องดวยการใหปฏิสนธิ ถามาตาปตุฆาตจะใหผลไซรในเมื่อทาน
ทั้งสองเปนคนมีศีลดวยกัน หรือเปนคนไมมศ ี ีลดวยกัน มาตุฆาตเทานั้น ยอมใหผลเนื่องดวยปฏิสนธิ เพราะมารดาทําสิ่งที่ตนทําไดยากกับทัง้ มี
อุปการะมากแกพวกลูกๆ พึงทราบวินิจฉัยแมโดยวิบากในเรื่องอนันตริยกรรมนี้ ดวยประการอยางนี้.
วินจ
ิ ฉัยโดยสาธารณะเปนตน
บทวา สาธารณาทีหิ ความวา อนันตริยกรรม 4 ประการขอตน ๆ เปนกรรมทั่วไปแกคฤหัสถ และบรรพชิตแมทั้งหมด. แตสังฆเภทเปน
กรรมเฉพาะภิกษุผูมีประการดังตรัสไวโดยพระบาลีวา "ดูกอนอุบาลี ภิกษุณีทําลายสงฆไมได สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา
(เหลานี้) ก็ทําลายสงฆไมได. ดูกอนอุบาลี ภิกษุเหลานั้น ที่เปนปกตัตตะมีสังวาสเสมอ กันอยูในสีมาเดียวกัน จึงจะทําลายสงฆได ดังนี้ (สังฆ
เภท) ไมเปนกรรมสําหรับคนอื่น เพราะฉะนั้น จึงเปนเรื่องไมทั่วไป (แกคนพวกอื่น). ดวยอาทิศัพท (ในบทวา สาธารณาทีห)ิ บุคคลเหลานั้น
ทั้งหมด ทานประสงคเอาวาเปน ผูมีทุก ขเวทนา สหรคตดว ยทุกข และสัมปยุตดวยโทสะและโมหะ. พึงทราบวินิจฉัยแมโดย (เปน กรรมที่)
สาธารณะเปนตนในที่นี้อยางนี้แล.
แกบท อฺ สตถาร
บทวา อฺ สตฺถ าร ความวา บุคคลผูถึงพรอ มดวยทิฏฐิ พึงยึด ถือ อยางนี้วา พระศาสดาของเรานี้ ไมส ามารถทําหนาที่ข องพระ
ศาสดาไดและแมในระหวางภพ จะพึงยึดถือเจาลัทธิอื่นอยางนี้วา ทานผูนี้เปนศาสดาของเราดังนี้ ขอที่กลาวมานั้น ไมเปนฐานะที่จะมีได.
...................................................
สังฆเภทกสูตร องฺ .จตุก.21/243/226
ภิกษุทาํ ลายสงฆ์ดว้ ยอํานาจประโยชน์ 4 ประการ
[243] สมัยหนึ ง พระผูม้ ีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี ครังนั นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ี พระ
ภาคเจ้าถึงทีประทับ ถวายบังคมแล้วนั ง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ครันแล้วพระผูม้ ีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า ดูก่อนอานนท์ อธิกรณ์
นั นระงับแล้วหรือ ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ อธิ กรณ์นันจักระงับแต่ทีไหน สัทธิ วิหาริกของท่านพระอนุ
รุทธะชือว่าพาหิยะ ตังอยู่ในการทําลายสงฆ์ถ่ายเดียว เมือพระพาหิยะตังอยู่อย่างนั นแล้ว ท่านพระอนุ รุทธะก็ไม่สําคัญทีจะพึงว่า
กล่าวแม้สักคําเดียว พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เมือไร อนุ รุทธะจะจัดการชําระอธิ กรณ์ในท่ามกลางสงฆ์ อธิกรณ์
ชนิ ดใดก็ตามทีบังเกิดขึน เธอทังหลายกับสารีบุตรและโมคคัลลานะต้องระงับอธิภรณ์ทงหมดนัั นมิใช่หรือ
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผลู ้ ามก เล็งเห็นอํานาจประโยชน์ 4 ประการนี ย่อมยินดีดว้ ยการทําลายสงฆ์ อํานาจประโยชน์ 4
ประการเป็ นไฉน
ดู ก่อนอานนท์ ภิกษุ ผูล้ ามกในธรรมวินัยนี เป็ นผูท้ ุศีล มีบาปธรรม มีความประพฤติไม่สะอาด น่ ารังเกียจ มีการงานอัน
ปกปิ ด มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็ นสมณะ ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิญาณว่าประพฤติ พรหมจรรย์ เป็ นคนเน่ าใน ชุ่มด้วยกิเลส

๑๑๒
รุงรังด้วยโทษ เธอปริวิตกอย่างนี ว่า ถ้าภิกษุ ทังหลายจักรูจ้ ักเราว่า เป็ นคนทุศีล มีบาปธรรม. . .รุงรัง ด้วยโทษ จักเป็ นผูพ้ ร้อม
เพรียงกันนาสนะเราเสี ย แต่ภิกษุ ผูเ้ ป็ นพรรคพวกจักไม่นาสนะเรา ดู ก่อนอานนท์ ภิกษุ ผูล้ ามก เล็ งเห็นอํานาจประโยชน์ ที 1 นี
ย่อมยินดีดว้ ยการทําลายสงฆ์.
อีกประการหนึ ง ภิกษุ ผลู ้ ามก มีความเห็นผิด ประกอบด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ เธอปริวิตกอย่างนี ว่า ถ้าภิกษุ ทงหลายจั
ั กรู เ้ รา
ว่ามีความเห็นผิดประกอบด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ จักเป็ นผูพ้ ร้อมเพรียงกันนาสนะเราเสี ย แต่ภิกษุ ผูเ้ ป็ นพรรคพวกจักไม่นาสนะเรา
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ ผลู ้ ามก เล็งเห็นอํานาจประโยชน์ ขอ้ ที 2 นี ย่อมยินดีดว้ ยการทําลายสงฆ์.
อีกประการหนึ ง ภิกษุ ผูล้ ามก มีอาชีพผิด เลี ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เธอย่อมปริวิตกอย่างนี ว่า ถ้าภิกษุ ทังหลายจักรูเ้ ราว่ามี
อาชีพผิดเลี ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ จักเป็ นผูพ้ ร้อมเพรียงกันนาสนะเราเสี ย แต่ภิกษุ เป็ นพรรคพวกจักไม่นาสนะเรา ดู ก่อนอานนท์
ภิกษุ ผลู ้ ามก เล็งเห็นอํานาจประโยชน์ ขอ้ ที 3 นี ย่อมยินดีดว้ ยการทําลายสงฆ์.
อีกประการหนึ ง ภิกษุ ผูล้ ามก ปรารถนาลาภ สักการะและความยกย่อง เธอปริวิตกอย่างนี ว่า ถ้าภิกษุ ทังหลายจักรูเ้ ราว่า
ปรารถนาลาภ สักการะและความยกย่อง จักพร้อมเพรียงกัน ไม่สักการะเคารพนั บถือบูชาเรา แต่ภิกษุ ผเู ้ ป็ นพรรคพวกจักสักการะ
เคารพนั บถือบูชาเรา ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ ผลู ้ ามกเล็งเห็นอํานาจประโยชน์ ขอ้ ที 4 นี ย่อมยินดีดว้ ยการทําลายสงฆ์.
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ ผลู ้ ามก เล็งเห็นอํานาจประโยชน์ 4 ประการนี แลย่อมยินดีดว้ ยการทําลายสงฆ์.
..........................................
พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม 1 ภาค 1 - หนาที่ 299
[เรือ
่ งภิกษุหนุม
 กลาวใสรา ยพระอริยเจาชัน
้ สูง]
ก็เพื่อประกาศขอที่การดาเปนกรรมที่หนักนั้น พระโบราณาจารยทั้งหลาย จึงนําเรื่องนี้มาเปนอุทาหรณ ดังตอไปนี้ :-
ไดยินวา พระเถระรูปหนึ่ง และภิกษุหนุมรูปหนึ่ง เที่ย วไปบิณฑบาตในบานแหงใดแหงหนึ่ง. ทานทั้ง 2 นั้น ไดขาว
ยาคูรอนประมาณกระบวนหนึ่ง ในเรือนหลังแรกนั่นเอง. แตพระเถระเกิดลมเสียดทองขึ้น. ทานคิดวา ขาวยาคูนี้ เปนของสบาย
แกเรา เราจะดื่มขาวยาคูนั้นกอนที่มันจะเย็นเสีย ทานจึงไดนั่งดื่มขาวยาคูนั้นบนขอนไม ซึ่งพวกมนุษยเข็นมาไว เพื่อตองการ
ทําธรณีประตู. ภิกษุหนุมนอกนี้ ไดรังเกียจพระเถระนั้น ดวยคิดวา พระเถระแกรูปนี้หิวจัดหนอ กระทําใหเราไดรับความอับอาย.
พระเถระเที่ยวไปในบานแลวกลับไปยังวิหาร ไดพูดกะภิกษุหนุมวา อาวุโส ที่พึ่งในพระศาสนานี้ของคุณมีอยูหรือ ?
ภิกษุหนุม เรียนวา มีอยู ขอรับ ! กระผมเปนพระโสดาบัน.
พระเถระ พูดเตือนวา อาวุโส ! ถากระนั้น คุณไมไดทําความพยามยามเพื่อตองการมรรคเบื้องสูงขึ้นไปหรือ ?* เพราะ
พระขีณาสพ คุณไดกลาวใสรายแลว. ภิกษุหนุมรูปนั้น ไดใหพระเถระนั้นอดโทษแลว เพราะเหตุนั้น กรรมนั้นของภิกษุหนุมรูป
นั้น ก็ไดกลับเปนปกติเดิมแลว.
* ในวิสุทธิมรรค ภาค 2 / 270- มีดังนี้คือ เตนหาวุโส อุปริมคฺคตฺถาย วายาม มาอกาสีติ. กสฺมา ภนฺเตติ. ขีณาสโว ตยา อุปวทิโต

ติ. แปลวา พระเถระ พูดเตือนวา อาวุโส ถากระนั้น คุณไมไดทําความพยายาม เพื่อตองการมรรคเบื้องสูงขึ้นไปหรือ ? ภิกษุห


นุนเรียนวา เพราะเหตุไร ขอรับ ? พระเถระพูดวา เพราะพระขีณาสพ คุณไดกลาวใสรายแลว กสฺมา ภนฺเตติ ในสามนตนี้ นาจะ
ตกไป.
พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม 1 ภาค 1 - หนาที่ 300
[วิธข
ี อขมาเพือ
่ ใหอดโทษใหในการดาใสรา ย]
เพราะฉะนั้น ผูใ ดแมอื่น กลาวใสรายพระอริยเจา ผูนั้นไปแลว ถาทานแกกวาตนไซร, ก็พึงใหทานอดโทษให ดวย
เรียนทานวา กระผมไดกลาวคํานี้และคํานี้กะพระคุณเจาแลว ขอพระคุณเจาไดอดโทษนั้นใหกระผมดวยเถิด
ถาทานออนกวาตนไซร ไหวทานแลวนั่งกระโหยงประคองอัญชลี พึงขอใหทานอดโทษให ดวยเรียนทานวา ขาแต
ทานผูเจริญ ! กระผมไดกลาวคํานี้และคํานี้กะทานแลว ขอทานจงอดโทษนั้นใหแกขาพเจาดวยเถิด
ถาทานไมยอมอดโทษให หรือทานหลีกไปยังทิศ (อื่น) เสีย พึงไปยังสํานักของภิกษุทั้งหลายผูอยูในวิหารนั้น. ถาทาน
แกกวาตนไซร พึงยืนขอขมาโทษทีเดียว
ถาทานออนกวาตนไซร ก็พึงนั่งกระโหยงประคองอัญชลี ใหทานชวยอดโทษให พึงกราบเรียนใหทานอดโทษอยางนี้
วา ขาแตทานผูเจริญ ! กระผมไดกลาวคํานี้ และคํานี้กะทานผูมีอายุชื่อโนนแลว ขอทานผูมีอายุรูปนั้น จงอดโทษใหแกกระผม
ดวยเถิด
ถาพระอริยเจานั้นปรินิพพานแลวไซร, ควรไปยังสถานที่ตั้งเตียงที่ทานปรินิพาน แมไปจนถึงปาชาแลว พึงใหอดโทษ
ให เมื่อตนไดกระทําแลวอยางนี้ กรรมคือการใสรายนั้น ก็ไ มเ ปนทั้งสัคคาวรณ มัค คาวรณ (ไมหามทั้งสวรรคทั้งมรรค) ยอม
กลับเปนปกติเดิมทีเดียว.
พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม 1 ภาค 1 - หนาที่ 301
[การกลาวใสรา ยพระอริยเจามีโทษเชนกับอนันตริยกรรม]
บทวา มิจฺฉาทิฏ ิกา แปลวา มีความเห็นวิปริต.
บทวา มิจฺฉ าทิฏ  ิกมฺมสมาทานา ความวา ก็ค นเหลาใด ใหชนแมเ หลาอื่นสมาทาน บรรดากรรมมีกายกรรมเปน ต น ซึ่งมี
มิจฉาทิฏฐิเปนมูล.
คนเหล า นั้ น ชื่ อ ว า มี ก รรมนานาชนิ ด อัน ตนสมาทานถือ เอาแลว ด ว ยอํ า นาจมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ. ก็ บ รรดาอริ ยุป วาทและ

๑๑๓
มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิเ หลานั้ น แม เ มื่ อ ทานสงเคราะห อริ ยุป วาทเข าด วยวจี ทุจ ริ ต ศัพ ทนั่ น เอง และมิ จ ฉาทิ ฏฐิเ ข าดวยมโนทุจริตศัพท
เชนกันแลว การกลาวถึงกรรมทั้ง 2 เหลานี้ซ้ําอีก พึงทราบวา มีการแสดงถึงขอที่กรรมทั้ง 2 นั้นมีโทษมากเปนประโยชน.
จริงอยู อริยุปวาท มีโทษมากเชนกับอนันตริยกรรม. เหมือนอยางที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา
ดูกอนสารีบุตร ! เปรียบเหมือนภิกษุผูถึงพรอมดวยศีล ถึงพรอมดวยสมาธิ ถึงพรอมดวยปญญาพึงไดลิ้มอรหัตผล ใน
ภพปจจุบันนี้แล แมฉันใด, ดูกอนสารีบุตร ! เรากลาวขออุปไมยนี้ ฉันนั้น บุคคลนั้น ไมละวาจานั้นเสีย ไมละความคิดนั้นเสีย ไม
สละคืนทิฏฐินั้นเสียแลว ตองถูกโยนลงในนรก (เพราะอริยุปวาท) เหมือนถูกนายนิรยบาลนํามาโยนลงในนรกฉะนั้น.1
ก็กรรมอยางอื่น ชื่อวามีโทษมากกวามิจฉาทิฏฐิยอมไมมี. เหมือนอยางที่พระผูมีพระภาคเจา ตรัสไววา ดูกอนภิกษุ
ทั้งหลาย ! เรายังไมเล็งเห็นแมธรรมอยางหนึ่งอื่น ซึ่งมีโทษมากกวาเหมือนอยางมิจฉาทิฏฐินี้เลย ภิกษุทั้งหลาย ! โทษทั้งหมดมี
มิจฉาทิฏฐิเปนอยางยิ่ง2 ดังนี้.
สองบทวา กายสฺส เภทา ความวา เพราะสละอุปาทินนกขันธเสีย (ขันธที่ยังมีกิเลสเขาไปยึดครองอยู).
บทวา ปรมฺมรณา ความวา แตการถือเอาขันธที่เ กิดขึ้นในลํา ดับแหงการสละนั้น. อีกอยางหนึ่ง สองบทวา กายสฺส เภทา คือ
เพราะความขาดสูญแหงชีวิตินทรีย. บทวา ปรมฺมรณา คือ ตอจากจุติจิต.
1 ม. มู. 12 / 145. 2. องฺ. ติก. 20 / 4.
พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม 1 ภาค 1 - หนาที่ 302
[อรรถาธิบายคําวานรกไดชอ
ื่ วาอบายเปนตน]
คําทั้งหมดมีอาทิอยางนี้วา อปาย เปนไวพจนแหงคําวา นิรยะ, จริงอยู นิรยะ ชื่อวา อบาย เพราะไปปราศจากความเจริญ ที่
สมมติวาเปนบุญ อันเปนเหตุแหงสวรรคและนิพพาน หรือเพราะไมมีความเจริญขึ้นแหงความสุข.
ที่ชื่อวา ทุค ติ เพราะอรรถวา มีคติแหงทุกขเปนที่พึ่ง. อีกอยางหนึ่ง ชื่อวา ทุค ติ เพราะอรรถวา มีคติที่เกิดเพราะกรรมที่
ชั่วรายเพราะมีโทษมาก.
ที่ชื่อวา วินิบ าต เพราะอรรถวา เปนสถานที่พวกสัตวผูชอบทําชั่วตกไปไวอํานาจ. อีกอยางหนึ่ง ชื่อวา วินิบ าต เพรา
อรรถวา เปนสถานที่ที่พวกสัตวผูกําลังพินาศ มีอวัยวะใหญนอยแตกกระจายตกไปอยู.
ที่ชื่อวา นิรยะ เพราะอรรถวา เปนสถานที่ไมมีความเจริญที่รูกันวาความยินดี
อีกอยางหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงกําเนิดสัตวดิรัจฉานดวยอบายศัพท. จริงอยู กําเนิดสัตวดิรัจฉานจั ดเปน
อบาย เพราะปราศจากสูตติ แตไมจัดเปนทุคติ เพราะเปนสถานที่เกิดแหงสัตวทั้งหลายมีพญานาคเปนตน ผูมีศักดามาก.
พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงเปตวิสัย ดวยทุคติศัพท.จริงอยู เปตวิสัยนั้นจัดเปนอบายดวย เปนทุคติดวย เพราะปราศ
ไปจากทุคติ และเพราะเปนคติแหงทุกข, แตไมเปนวินิบาต เพราะไมมีความตกไป เชนกับพวกอสูร.
แทจริง แมวิมานทั้งหลาย ยอมเกิดขึ้นแกพวกเปรตผูมีฤทธิ์มาก. พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงอสุรกาย ดวยวินิปาต
ศัพท. ความจริงอสุรกายนั้น ทานเรียกวา เปนอบายดวย เปนทุคติดวย เพราะอรรถตามที่กลาวมาแลว และวาเปนวินิบาต เพราะ
เปนผูมีความตกไปจากความเกิดขึ้นแหงสมบัติทั้งปวง,
..................................................

๑๑๔
กําเนิดธรรมยุติกนิกาย
จากหนัง สือของมหาวิทยาลัยสุโขทัย สาขาวิชาศิลปศาสตร์ วิชาความเชือและศาสนาในสังคมไทย โดย อาจารย์
ดร.จินดา จันทร์แก้ว และพระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺ มจิตโต) ระบุว่า
คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิ กายได้แยกตัวออกจากคณะสงฆ์เดิม และเนื องจากจํานวนพระสงฆ์เดิมมีมากกว่า คณะสงฆ์เดิมจึ งมี
ชือว่า “มหานิ กาย” แปลว่า พวกมาก, ส่วน “ธรรมยุติกนิ กาย” นั นแปลว่า พวกยึดธรรมเป็ นหลัก
คําว่า นิ กาย มีความหมายว่า หมู่ พวก ใช้เกียวกับศาสนาในกรณี เช่น คณะนั กบวชในศาสนาเดียวกันทีแยกออกไปเป็ น
พวกๆ เช่น มหานิ กาย ธรรมยุติกนิ กาย นิ กายโรมันคาทอลิก นิ กายโปรเตสแตนต์ เป็ นต้น
ลัทธิ แปลว่า คติความเชือเหรือความคิดเห็น เช่น ลัทธิศาสนา ลัทธิการเมือง (พจนานุ กรม มติชนฯ)
นิ กาย แปลว่า หมู่ พวก หมวดในทางศาสนาทีแยกเป็ นส่วนย่อย เช่น พุทธศาสนา เป็ นต้น
ศาสนา แปลว่า ลัทธิคาํ สอนเกียวกับความเชือและศีลธรรม มักมีพิธีกรรมประกอบด้วยเสมอ
คณะสงฆ์ธรรมยุตก่อกําเนิ ดขึนในสมัยรัชกาลที3 ผูก้ ่อตังคือพระวชิรญาณภิกขุ ผูต้ ่อมาได้ลาผนวชแล้วเสด็จขึนครองราชย์
เป็ น รัชกาลที4 โดยมีเหตุการณ์ดงั นี คือ
ในสมัย รัชกาลที2 นั น เดิมที รัชกาลที 4 (พระราชสมภพ / / ) ดํารงพระยศเป็ นเจ้าฟ้ ามกุ ฏ ต่อมาได้ผนวช
เป็ นพระภิ ก ษุ ใ น พ.ศ.2367 ได้ฉ ายานามว่ า “พระวชิ ร ญาณ” ประทับ อยู่ ณ วัด มหาธาตุ อัน เป็ นที ประทับ ของสมเด็ จ
พระสังฆราช ผูเ้ ป็ นอุปัชฌาย์ โดยภายหลังจากทีได้ทรงผนวชเพียง 15 วัน สมเด็จพระบรมชนกนาถคือ พระบาทสมเด็จพระ
พุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที2) ก็เสด็จสวรรคต โดยไม่ได้ดาํ รัสสังมอบราชสมบัติแก่ผใู ้ ด หากว่ากันตามนิ ตินัยแล้ว ผูม้ ีสิทธิ
ขึนครองราชย์ก็คือพระวชิรญาณ (เจ้าฟ้ ามกุ ฏ) เพราะเป็ นสมเด็จเจ้าฟ้ าพระราชโอรสองค์ใหญ่อันเกิดแต่พระอัครมเหสี แต่
เนื องจากทรงตัดสิ นพระทัยทีจะผนวชต่อไป ทีประชุ มพระราชวงศ์และเสนาบดีจึงได้ทูลถวายราชสมบัติแก่ กรมหมื นเจษฎา
บดินทร์ ซึงเป็ นพระองค์เจ้าลู กยาเธอพระองค์ใหญ่ ซึงทรงเจริญพระชันษากว่าพระวชิรญาณถึ ง 17 ปี เมือกรมหมืนเจษฎา
บดินทร์เสด็จขึนครองราชย์เป็ นรัชกาลที 3 แล้ว พระวชิรญาณได้ผนวชต่อไปจนสินรัชกาล แล้วจึงลาผนวชออกไปขึนครองราชย์
เป็ นรัชกาลที 4
ในระหว่างทีทรงประทับ อยู่ ทีวัดมหาธาตุนัน พระวชิรญาณสอบได้เปรี ยญธรรม 5 ประโยค ต่อมาทรงเลื อมใสความ
เคร่งครัดของพระเถระชาวมอญรูปหนึงชือ ชายพุทธวังโส ซึงขณะนั นเป็ นพระราชาคณะทีพระสุ เมธมุนี จําพรรษาอยู่ทีวัด
บวรมงคล
ต่อมาจึงเสด็จย้ายจากวัดมหาธาตุไปประทับ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส), เมือ พ.ศ.2372 (ได้ 5 พรรษา) ทรงเข้า
รับการอุปสมบทซําโดยมีพระสุเมธามุนีเป็ นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาเมือมีผนู ้ ั บถือเพิมมากขึน ทรงประกาศตังคณะสงฆ์ใ หม่ขึน
เรียกว่า คณะธรรมยุติกนิ กาย โดยกําหนดเอาการผูกสีมาใหม่ในวัดสมอรายให้เป็ นการก่อตังคณะธรรมยุติกนิ กายขึน เมือ พ.ศ.
2376 (ได้ 9 พรรษาเดิม หรือ 4 พรรษาใหม่)
สาเหตุความขัดแย้งรุนแรงระหว่างธรรมยุติกนิกายกับมหานิกาย คือ การไม่ยอมรับความเป็ นภิกษุระหว่างกัน
โดยเมือรัชกาลที4 ทรงตังธรรมยุติกนิ กายขึนแล้ว ได้มีการสรุปความไม่เป็ นพระภิกษุ ของพระมหานิ กาย ว่าต้องวิบัติ 5
ประการ คือ
๑. พระมหานิ กายมีกรรมวาจาวิบตั ิ คือ สวดภาษาบาลีไม่ถูกต้องในการอุปสมบท
๒. พระมหานิ กายมีสีมาวิบตั ิ คือ สีมาเดิมเล็กไม่ได้ขนาด
๓. พระมหานิ กายครองผ้าไม่ถูกแบบแผน ขัดกับเสขิยวัตรทีให้หม่ เป็ นสมณสารูป (สารูป คือ นุ่ งปิ ดมณฑลสะดือและเข่า, ห่ม
ทําชายจีวรทังสองให้เสมอกัน ไม่ยอ้ ยข้างหน้า ข้างหลัง)
๔. พระมหานิ กายมีบริษัทวิบตั ิ (หมู่คณะวิบตั ิ) อันเนื องมาจากการสงครามและการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า
๕. พระมหานิ กายมีอาจารวิบตั ิ คือ มีการประพฤติเสียหายทําลายลักษณะ เช่น ดืมสุรา สูบฝิ น ฯลฯ จึงเป็ นสงฆ์ทีไม่บริสุทธิ
ด้วยสาเหตุจากวิบตั ิ 5 ประการนี พระธรรมยุติกนิ กายจึงไม่ยอมร่วมอุโบสถสังฆกรรมกับพระมหานิ กาย ซึงถ้า
จะพํานั กอยู่ในวัดธรรมยุติกนิ กายก็ตอ้ งทํา “ทัฬหีกรรม” คือ บวชซําตามแบบแผนของนิ กายนี ใหม่
จากการถู กเหยียดหยามว่าเป็ นเพียงอนุ ปสัมบันดังกล่ าว พระมหานิ กายจึงโต้กลับในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะได้มีการ
วิเคราะห์ให้เห็นว่า ธรรมยุตกนิ กายก็หาได้มีภาวะความเป็ นพระไม่ เนื องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั สมัยเป็ น
พระวชิรญาณ ทรงผนวชไม่ถึง 10 พรรษา ก็ทรงเป็ นพระอุปัชฌาย์
..................................................

๑๑๕
ต่อมาในปี พ.ศ.2379 ทรงได้รบั พระราชทานสมณศักดิเป็ นพระราชาคณะเทียบเท่ารองเจ้าคณะใหญ่ แล้วเสด็จไปเป็ นเจ้า
อาวาสวัดบวรนิ เวศวิหาร และเริมเป็ นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตร (ได้ 12 พรรษาเดิม หรือ 7 พรรษาใหม่)
ทรงตังพระเถระ 9 รูปเป็ นกรรมการทีทรงปรึกษา ซึง 2 ท่าน ต่อมาได้รบั สถาปนาเป็ นสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัชกาลที 5
ได้แก่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทว)
พระวชิรญาณเถระเป็ นเจ้าอาวาสครองวัดบวรนิ เวศวิหารอยู่ 15 ปี จึงได้ลาผนวชและเสด็จขึนครองราชย์ รวมเวลาผนวช
ได้ 27 พรรษา (ปี พ.ศ.2394 ได้ 27 พรรษาเดิม หรือ 22 พรรษาใหม่) (ดํารงราชสมบัติ ปี เดือน มีพระโอรส-ธิดา
รวม พระองค์ เสด็จสวรรคต / / รวมพระชมนายุ พรรษา)
สาเหตุส่วนหนึ งทีคณะธรรมยุติกนิ กายยังคงเจริญรุดหน้าต่อไป เพราะได้พระมหากษั ตริย์เป็ นผูอ้ ุปถัมภ์ และเพราะมีผูน้ ํ า
ทีเข้มแข็งคือ กรมหมืนบวรรังสี สุริยพันธ์ ซึงต่อมาได้รับการสถาปนาเป็ นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลง
กรณ์ เป็ นผูป้ กครอง
ในสมัยรัชกาลที 5 ได้มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และการปกครองคณะสงฆ์ มีการตรา พรบ.ลักษณะปกครอง
สงฆ์ รศ.121 (รัตนโกสิ นทร์ศก) (พ.ศ.2445) ซึงกําหนดให้เจ้าคณะใหญ่ทัง 4 รูป และรองฯ อีก 4 รูป รวมเป็ นมหาเถร
สมาคม โดยมีพระมหากษัตริยท์ รงปฏิบัติหน้าทีสมเด็จพระสังฆราชเอง หลังจากสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุ สฺสเทว)
สินพระชนม์เมือปี พ.ศ.2442 โดยมีเสนาบดีกระทรวงธรรมการทําหน้า ทีเป็ นศูนย์กลางการติด ต่อประสานงานระหว่ า ง
พระมหากษัตริยก์ บั มหาเถรสมาคม จนสินรัชสมัยรัชกาลที 5
ในพระราชบัญญัติฉบับนี ได้แยกคณะธรรมยุตซึงเคยขึนอยู่กับคณะกลางของฝ่ ายมหานิ กาย ให้เป็ นคณะอิสระ โดยมีเจ้า
คณะธรรมยุตเป็ นผูป้ กครองกันเอง เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายมหานิ กายไม่มีอํานาจบังคับบัญชาวัดทีสังกัดคณะธรรมยุต แสดงให้เห็น
ว่า กฎหมายฉบับนีรบั รองการแบ่งนิกายของคณะสงฆ์ไทยออกเป็ นมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย
..................................................
ในเรืองการปกครองนั น ในสมัยรัชกาลที 4 การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชก็จะทรงเลื อกเอาจากพระภิกษุ ทีเป็ นเชือพระ
วงศ์ หรือถ้าไม่มีก็จะทรงว่างตําแหน่ งนั นไว้ ทังๆ ทีก่อนหน้านี สมัยรัชกาลที 3 คณะธรรมยุตก็มีอภิสิทธิไม่ตอ้ งขึนต่อกรมสั งฆ
การี เช่นคณะสงฆ์อืนๆ อยู่แล้ว โดยให้ขึนอยู่กบั คณะกลางของกรมพระปรมานุ ชิตชิโนรสแทน
ต่อมาเมือสมัยรัชกาลที 5 มีการตรา พรบ.รศ.121 พระเจ้าน้องยาเธอกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึงเป็ นพระภิกษุ ฝ่าย
ธรรมยุติกนิ กาย ก็ได้ปกครองคณะสงฆ์ แม้มิใช่สมเด็จพระสังฆราช โดย ร.5 นั นมิได้มุ่งหมายความเสมอภาคในการปกครอง
คณะสงฆ์ แต่มุ่งให้สอดคล้องกับอาณาจักร โดยกําหนดให้มีมหาเถรสมาคมเป็ นศูนย์รวมอํานาจการปกครอง โดยตกอยู่ ใน
อํานาจของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสโดยตรง แม้ว่าจะมีเจ้าคณะใหญ่ทัง 4 คือ เจ้าคณะใหญ่คณะ
เหนื อ – ใต้ – กลาง และเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติกนิ กาย ร่วมอยู่ดว้ ยก็ตาม ดังนั นคณะธรรมยุตจึงมีอภิสิทธิเหมือนเดิ มใน
การปกครองตนเอง แต่คณะมหานิ กายมิได้มีอภิสิทธิปกครองตนเองเช่นนั น บางคณะต้องขึนอยู่กบั ฝ่ ายธรรมยุต เป็ นเหตุให้เจ้า
คณะท้องถิ นฝ่ ายมหานิ กายไม่อาจว่ากล่ าวตักเตือนหรือปกครองพระภิกษุ ฝ่ายธรรมยุตได้ นอกจากนั น ทางส่ วนกลางก็ยงั ส่ง
พระเถระฝ่ ายธรรมยุตไปเป็ นเจ้าคณะมณฑลเป็ นจํานวนมาก โดยเหตุผลนี ส่วนหนึ งอาจเป็ นเพราะคณะธรรมยุตเป็ นพระทีได้รับ
การศึกษาจากมหามกุฏราชวิทยาลัยทีใช้วิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ ส่วนมหานิ กายไม่ได้รับการพัฒนาทางการศึกษาแบบ
ใหม่ตามไปด้วย ยังคงใช้แบบโบราณ คือการสอนด้วยปากเปล่าอยู่
ด้วยปั ญหาทีสังสมมายาวนาน ครันเมือบ้านเมืองเปลียนระบบการปกครองมาเป็ นประชาธิปไตย คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิ กาย
ซึงเป็ นพระรุ่นใหม่จาํ นวนหนึ ง จึงได้มีการเคลือนไหวให้แก้ไข พรบ.ปกครองคณะสงฆ์เสียใหม่
คณะผูก้ ่อการเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนา” และประสบความสําเร็จ เมือรัฐยกเลิก พรบ.รศ.121 และ
ได้ตรา พรบ.การปกครองคณะสงฆ์ปี พ.ศ.2484 ขึนใช้แทน
ในเรืองการศึกษานั น ในสมัยรัชกาลที 6 ได้มีการแยกระบบการศึกษาออกจากกัน คือฝ่ ายรัฐรับเอาการศึกษาของ
ประชาชนมาจัดการเสียเอง โดยปล่อยให้คณะสงฆ์จดั การศึกษากันตามลําพัง ซึงยังคงยึดจารีตเดิม
........................................................

๑๑๖
คําแปลพระราชนิพนธ์ขมาพระสงฆ์
โปรดให้พระศรีสุนทรโวหาร เชิญพระราชนิ พนธ์นีไปพร้อมด้วยเครืองสักการะ ไปอ่านในทีประชุมสงฆ์ในพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ์ เมือเวลาคํา
ก่อนพระสงฆ์ทาํ พิธีปวารณา พอถึงเวลา 9 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ก็ทรงเสด็จสวรรคต
ขอเตือนสงฆ์จงรู ้ เมือครังดิฉันเป็ นภิกษุ อยู่ ดิฉันได้กล่ าววาจานี เนื องๆ ว่า เพราะดิฉันได้เกิดแล้วในวันมหาปวารณา
เมือจะทํากาละ ถ้าในวันมหาปวารณาป่ วยหนั กลง ภิกษุ สงฆ์สามเณรช่วยนํ าไปยังทีสงฆ์ประชุมทํามหาปวารณา ณ โรงอุโบสถ
ประกอบไปด้วยกําลังเช่นนั น ด้วยกําลังเช่นใดเล่า ดิฉันจะพึงปวารณากะสงฆ์ถว้ น กําหนดสามคําได้แล้ว ทํากาละ ณ ทีเฉพาะ
หน้าสงฆ์ ความทีดิฉันทําได้ดังนี จะเป็ นกรรมดีเทียวหนอ ความทําได้ดังนี จะเป็ นกรรมสมควรแก่ดิฉันเทียวหนอ วาจาเช่นนี
ดิฉันได้กล่าวแล้วเนื องๆ เมือครังเป็ นภิกษุ บัดนี ดิฉันเป็ นคฤหัสถ์เสียแล้ว จักทําอะไรได้ เพราะเหตุนันดิฉันจึงส่งเครืองสักการะ
เหล่ านี ไปยังวิ หารบูช าสงฆ์ ซึงทําปวารณากรรมกับ ทังพระธรรมด้วยเครื องสั กการะเหล่ านี ทําให้เ ป็ นประหนึ งตน วันมหา
ปวารณาวันนี ก็เป็ นวันพฤหัสบดีเช่นกับวันดิฉันเกิดเหมือน กัน อาพาธของดิฉันก็เจริญกล้า ดิฉันกลัวอยู่ว่า จะทํากาลเสี ย ณ
เวลาวันนี ดิฉันขอลาพระสงฆ์ อภิวาทพระผูม้ ีพระภาคเจ้าพระองค์นัน ผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธแม้ปรินิพพานแล้วนาน นมัสการ
พระธรรม นอบน้อมพระอริยสงฆ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นัน ดิฉันได้ถึงพระรัตนตรัยไรเล่ าว่าเป็ นสรณะทีพึง โทษ
ล่ วงเกินได้เป็ นไปล่ วงดิฉันผูพ้ าลอย่างไร ผูห้ ลงอย่างไร ผูไ้ ม่ฉลาดอย่างไร ดิฉันผูใ้ ดได้ประมาทไปแล้วด้วยประการนั นๆ ทํา
อกุ ศลกรรมไว้แล้ว ณ อัตภาพนี พระสงฆ์จงรับโทษทีเป็ นไปล่ วง โดยความเป็ นโทษเป็ นไปล่ วงจริงของดิฉันผูน้ ั น เพือสํารวม
ระวังต่อไป
บัดนี ดิฉันได้ทาํ ความอธิษฐานการสํารวมในศีลห้าแล้ว มนสิการความทําในใจเช่นนี ดิฉันได้ให้เกิดขึนศึกษาอยู่ ในขันธ์ทงั 5
อายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 วิญญาณ 6 สัมผัส 6 เวทนาทีเป็ นไปในทวาร 6 สิงใดทีสัตว์มาถือเอามันจะพึงเป็ นของหา
โทษมิได้ อนึ งบุรุษมายึดมันสิงไรไว้จะเป็ นผูห้ าโทษมิได้ สิงนั นไม่มีเลยในโลก ดิฉันมาศึกษาการยึดมันอยู่ว่าสังขารทังหลายทังปวง
ไม่เทียง ธรรมทังหลายทังปวงใช่ตวั ตน ย่อมเป็ นไปตามปั จจัย สิ งนั นใช่ของเรา ส่วนนั นไม่เป็ นเรา ส่วนนั นมิใช่ตวั ตนของเรา ดังนี
ความตายใดๆ ของสัตว์ทงหลาย ั ความตายนั นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะความตายนั นเป็ นธรรมดาของสัตว์ทงหลาย ั ขอพระผูเ้ ป็ นเจ้าจง
เป็ นผูไ้ ม่ประมาทแล้วเถิด ดิฉันขอลา ดิฉันไหว้ สิงใดดิฉันได้ผิดพลัง สงฆ์จงอดสิงทังปวงนั นแก่ดิฉันเถิด
เมือกายของดิฉันแม้กระสับกระส่ายอยู่ จิตของดิฉันจักไม่กระสับกระส่าย
ดิฉันมาทําความไปตามคําสังสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาอยู่ดว้ ยปราการดังนี ฯ
.................................................................
เรืองนิกาย (วัดหนองป่ าพง)
ถึงแม้ว่าคณะสงฆ์วดั หนองป่ าพงเข้มกวดขันในเรืองพระวินัย แต่เนื องจากสังกัดมหานิ กาย เมือพระสายวัดหนองป่ าพง
ไปพักปฏิบตั ิธรรมทีวัดป่ าฝ่ ายธรรมยุต จึงร่วมลงอุโบสถสังฆกรรมกันไม่ได้ เพราะถือว่าเป็ น “นานาสังวาส”
ครังหนึ งมีพระธรรมยุตมาขอจําพรรษาทีวัดหนองป่ าพง หลวงพ่อได้ถามความเห็นของทีประชุ มสงฆ์ว่า จะรับให้พระ
อาคันตุกะเข้าร่วมลงอุโบสถด้วยหรือไม่ ซึงพระส่ วนมากก็ลงความเห็นว่าไม่ควร ด้วยเหตุผลว่า “ทางฝ่ ายเขาก็ปฏิเสธฝ่ ายเรา
อยู่” หลวงพ่อได้ให้เหตุผลแย้งทีประชุมว่า
“ผมว่าทําอย่างนั นมันก็ดีอยู่ แต่มนั ยังไม่เป็ นธรรมเป็ นวินัย มันยังเป็ นทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ มีความถือเนื อถื อตัวมาก มัน
ไม่สบาย เอาอย่างพระพุทธเจ้าได้ไหม คือเราไม่ถือธรรมยุต ไม่ถือมหานิ กาย แต่เราถือพระธรรมวินัย ถ้าปฏิบตั ิดีปฏิบัติช อบ
จะเป็ นธรรมยุตหรือมหานิ กายก็ให้ลงได้ ถ้าไม่ดี ไม่มีความละอายต่อบาป ถึ งเป็ นธรรมยุ ตก็ไม่ให้ร่วม เป็ นมหานิ กายก็ไม่ให้
ร่วม ถ้าเราเอาอย่างนี ก็จะถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ”

๑๑๗
วัด หรือ อาวาส
สําหรับประเทศไทยนันมีว ัดเป็ นจํานวนมาก และสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทด้วยก ัน คือ
1. พระอารามหลวง หรือวัดหลวง
เป็ นวัดทีพระเจ้าแผ่นดินทรงสร้างหรือทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าจํานวนในบัญชีเป็ นพระอารามหลวง แต่ละวัดนันจะมีฐานะหรือระดับชัน
แตกต่างก ันออกไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห ่ ัว (ร.6) ได้จ ัดลําดับชันของวัดหลวงขึนใน พ.ศ. 2485 ซึงมีอยูท
่ งั 3 ระดับชัน คือ ชันเอก
ชันโท และชันตรี แต่ละชันมีระดับย่อยลงไปอีก โดยมีสร้อยต่อท้ายชือวัดตามฐานะ คือ
.: พระอารามหลวงชันเอก
ได้แก่ วัดทีมีความสําคัญ มีเจดียสถานบรรจุพระบรมอ ัฐิ หรือเป็ นวัดทีมีเกียรติสูง มี 3 ระดับ คือ ราชวรมหาวิหาร ราชวรวิหาร และวรมหาวิหาร
.: พระอารามหลวงชันโท
ได้แก่ วัดทีมีเจดียสถานสําคัญ หรือวัดทีมีเกียรติ มี 4 ระดับ คือ ราชวรมหา-วิหาร วรมหาวิหาร และวรวิหาร
.: พระอารามหลวงชันตรี
ได้แก่ วัดทีมีเกียรติ วัดประจําห ัวเมือง หรือวัดทีมีความสําคัญชันรอง มี 3 ระดับ คือ ราชวรวิหาร วรวิหาร และวัดทีไม่มสี ร้อยต่อท้าย
2. วัดราษฎร์
เป็ นวัดทีได้ร ับพระราชทานทีวิสุงคามสีมา แต่มไิ ด้เข้าบัญชีเป็ นพระอารามหลวง
ทีมา : กองพุทธ-ศาสนสถาน, สํ านักงานศาสนสมบัต ิ
พระภิกษุ มหานิ กาย , รูป ธรรมยุต , รูป รวม , รูป
สามเณร มหานิ กาย , รูป ธรรมยุต , รูป รวม , รูป
(สถิติ 31 ธันวาคม 2555 โดยสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
พุทธศาสนิ กชนในประเทศไทย มีจาํ นวน 57,324,600 คน, จํานวนศาสนิ กชน(รวมทุกศาสนา) 60,617,200 คน
(ข้อมูลเมือ 31/12/2547)
วัด พระราชาคณะชันสามัญ 396 รูป
วัดมีพระสงฆ์ทัวประเทศ 32,710 วัด พระครูสญ
ั ญาบัตร 13,700 รูป
- มหานิ กาย 30,890 วัด พระสมณศักดิในต่างประเทศ 34 รูป
- ธรรมยุต 1,799 วัด พระราชาคณะชันราช 3 รูป
- จึนนิ กาย 9 วัด พระราชาคณะชันสามัญ 2 รูป
- อนัมนิ กาย 12 วัด พระครูสญั ญาบัตร 29 รูป
พระอารามหลวง 263 วัด รวม 14,411 รูป
- มหานิ กาย 209 วัด พระสังฆาธิการ
- ธรรมยุต 54 วัด เจ้าคณะภาค 26 รูป
วัดราษฎร์ 32,447 วัด เจ้าคณะจังหวัด 126 รูป
- มหานิ กาย 30,681 วัด เจ้าคณะอําเภอ 803 รูป
- ธรรมยุต 1,745 วัด เจ้าคณะตําบล 5,530 รูป
- จีนนิ กาย 9 วัด เจ้าอาวาส 13,357 รูป
- อนัมนิ กาย 12 วัด รวม 19,842 รูป
ทีมา : สํานักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม
วัดทีได้รบั พระราชทานวิสุงคามสีมา 19,502 วัด แหล่งข้อมูล: หนังสือข้อมูลพืนฐานด้านการศาสนา ประจําปี
วัดทีไม่ได้รบั พระราชทานวิสุงคามสีมา 13,208 วัด กองแผนงาน กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ
วัดร้าง 5,098 วัด (มกราคม )
ทีมา : กองพุทธศาสนสถาน , สํานักงานศาสนสมบัติ วัดประจํารัชกาล
การปกครองคณะสงฆ์ รัชกาลที วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
คณะกรรมการมหาเถรสมาคม 20 รูป รัชกาลที วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร
เจ้าคณะใหญ่ 5 หน รัชกาลที วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร
เจ้าคณะภาค 26 ภาค รัชกาลที วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม
พระสมณศักดิ รัชกาลที วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พระสมณศักดิในประเทศ 14,377 รูป รัชกาลที วัดบวรนิ เวศวิหาร
สมเด็จพระสังฆราช 1 รูป รัชกาลที วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ครองราชย์ ปี
สมเด็จพระราชาคณะชันสุพรรณบัฏ 8 รูป สวรรคต พรรษา
พระราชาคณะเจ้าคณะรองชันหิรญั บัฏ 19 รูป รัชกาลที วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
พระราชาคณะชันธรรม 33 รูป ครองราชย์ตอนอายุ พรรษา ได้ ปี
พระราชาคณะชันเทพ 65 รูป
พระราชาคณะชันราช 155 รูป

๑๑๘
เดิม สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะทุกรูป ดํารงตําแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมโดย
ตําแหน่ ง คือไม่ต ้องแต่งตัง และจะหมดวาระก็ต่อเมือ 1.ลาสิกขา 2.มรณภาพ และ 3.มีพ ระบรมราชโองการ
ถอดยศ เท่านัน
พระราชาคณะ ดํารงตําแหน่ งกรรมการมหาเถรสมาคมโดยแต่งตัง ซึงมีอายุครังละ 2 ปี และอาจจะ
ได ้รับการแต่งตังให ้เป็ นกรรมการมหาเถรสมาคมอีกต่อไปก็ไ ด ้ กรรมการประเภทนีจะสินสุดสถานภาพลงก็
ต่อเมือ 1.มรณภาพ 2.ลาออก 3.มีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชให ้ออก 4.ถูกถอดยศจากพระราชาคณะ และ
5. ลาสิกขา
ในกรณีทีพระราชาคณะได ้รับแต่งตังทดแทนพระราชาคณะรูปอืนทีพ ้นหน ้าทีไปก่อนครบเทอมด ้วย
เหตุใดเหตุหนึง พระราชาคณะรูปนันจะดํารงตําแหน่งไปเท่ากับวาระการดํารงตําแหน่งของกรรมการมหาเถร
สมาคมรูปทีพ ้นตําแหน่งไปนัน แต่ถ ้าหากว่าได ้รับแต่งตังตามวาระปกติ ก็จะดํารงตําแหน่งได ้จนครบกําหนด
2 ปี
ปั จจุบัน มีการประกาศใช ้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที 4) พ.ศ.2561 (15 ก.ค.2561) ซึงในมาตรา 5 ระบุ
ว่า ให ้ยกเลิกความในมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึงแก ้ไขเพิมเติมพ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที
2) พ.ศ.2535 และให ้ใช ้ความต่อไปนีแทน
“มาตรา 12 มหาเถรสมาคม ประกอบด ้วย สมเด็จพระสังฆราช ซึงทรงดํารงตําแหน่งประธานกรรมการ
โดยตําแหน่ ง และกรรมการอืนอีกไม่เกิน 20 รูป ซึงพระมหากษั ตริยท ์ รงแต่งตังจากสมเด็จ พระราชาคณะ
พระราชาคณะ หรือพระภิกษุ ซงมี ึ พรรษาอันสมควร และมีจริยวัตรในพระธรรมวินัยทีเหมาะสมแก่การปกครอง
คณะสงฆ์ การแต่งตังตามวรรคหนึงและการดําเนินการตามมาตรา 15 (4) และวรรคสอง ให ้เป็ นไปตามพระ
ราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได ้”
เมือมีการกําหนดไว ้อย่างชัดเจนในกฎหมายแล ้วว่า การแต่งตังกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูป เป็ นพระ
ราชอํานาจของพระมหากษั ตริยท ์ จะทรงพิ
ี จารณาแต่งตัง
นั นจึงเท่ากับว่าเป็ นการยกเลิกการกําหนดให ้สมเด็จ พระราชาคณะเป็ นกรรมการมหาเถรสมาคมโดย
ตําแหน่งไปในตัวด ้วย
ต่อมา เมือวันที 14 ต.ค.2562 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได ้เผยแพร่พระบรมราชโองการ โปรดเกล ้าฯแต่งตัง
กรรมการมหาเถรสมาคม 20 รูป ดังนี
กรรมการมหาเถรสมาคม พ.ศ. 2563

รูปที ชือ-ฉายา-นามสกุล ว ัด ดํารงตําแหน่ง

1 สมเด็ จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็ จ ว ัดราชบพิธสถิตมหาสีมา ประธานกรรมการ


พระส ังฆราช สกลมหาส ังฆปริณายก ราม มหาเถรสมาคม
(อ ัมพร อมฺพโร) แขวงวัดราชบพิธ 12 กุมภาพ ันธ์ 2560
เขตพระนคร
ธรรมยุต (โดยตําแหน่ง) กรุงเทพมหานคร

ประสูตก
ิ าล 26 มิถุนายน พ.ศ.2470

สมเด็ จพระมหาร ัชม ังคลาจารย์ ว ัดปากนํา พ.ศ. 2538


(ช่วง วรปุ ฺโญ ป.ธ.9) แขวงปากคลองภาษี เจริญ
มหานิกาย (โดยตําแหน่ง) เขตภาษี เจริญ
ชาตกาล 26 สิงหาคม พ.ศ.2468 กรุงเทพมหานคร

(ไม่มพ
ี ระนามปรากฏในกรรมการมหา
เถรสมาคม ปี 62)

2 สมเด็ จพระว ันร ัต ว ัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2552


(จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ.9) แขวงบวรนิเวศ
ธรรมยุต (โดยตําแหน่ง) เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 17 กันยายน พ.ศ.2479
3 สมเด็ จพระธีรญาณมุน ี ว ัดเทพศิรน
ิ ทราวาส พ.ศ. 2553
(สมชาย วรชาโย ป.ธ.8) แขวงวัดเทพศิรนิ ทร์
ธรรมยุต (โดยตําแหน่ง) เขตป้ อมปราบศัตรูพ่าย
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 22 ตุลาคม พ.ศ.2490

4 สมเด็ จพระพุฒาจารย์ ว ัดไตรมิตรวิทยาราม พ.ศ. 2557


(สนิท ชวนป ฺโญ ป.ธ.9) แขวงตลาดน ้อย
มหานิกาย (โดยตําแหน่ง) เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2485

สมเด็ จพระพุทธโฆษาจารย์ ว ัดญาณเวศกว ัน พ.ศ. 2559


(ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.9) ตําบลบางกระทึก
มหานิกาย (โดยตําแหน่ง) อําเภอสามพราน
จังหวัดนครปฐม
ชาตกาล 12 มกราคม พ.ศ.2481

(ไม่มพ
ี ระนามปรากฏในกรรมการมหา
เถรสมาคม ปี 62)

5 สมเด็ จพระมหาธีราจารย์ ว ัดยานนาวา พ.ศ. 2556


(ประสิทธิ เขมงฺกโร ป.ธ.3) แขวงยานนาวา
มหานิกาย (โดยแต่งตัง) เขตสาทร
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 24 พฤษภาคม พ.ศ.2480

6 สมเด็ จพระมหาวีรวงศ์ ว ัดราชบพิธสถิตมหาสีมา พ.ศ. 2562


(สุชน
ิ อคฺคชิโน ประโยค 1-2) ราม
ธรรมยุต (โดยตําแหน่ง) แขวงวัดราชบพิธ
เขตพระนคร
ชาตกาล 22 มกราคม พ.ศ.2493 กรุงเทพมหานคร

7 สมเด็ จพระมหาร ัชมงคลมุน ี ว ัดไตรมิตรวิทยาราม 28 ก.ค.2562


(ธงช ัย ธมฺมธโช ปธ.6)
มหานิกาย

ชาตกาล 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2496

๑๒๐
8 พระวิสุทธิวงศาจารย์ ว ัดปากนํา พ.ศ. 2556
(วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ.9) แขวงปากคลองภาษี เจริญ
มหานิกาย (โดยแต่งตัง) เขตภาษี เจริญ
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2480

พระพรหมเมธี ว ัดส ัมพ ันธวงศาราม พ.ศ. 2555


(จํานงค์ ธมฺมจารี น.ธ.เอก) แขวงสัมพันธวงศ์
ธรรมยุต (โดยแต่งตัง) เขตสัมพันธวงศ์
ชาตกาล 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2484 กรุงเทพมหานคร

ต ้องคดีเงินทอนวัด ถูกจับทีเยอรมัน
2/6/61 อยู่ในระหว่างถูกจําคุก

พระพรหมดิลก ว ัดสามพระยา พ.ศ. 2555


(เอือน หาสธมฺโม ป.ธ.9) แขวงวัดสามพระยา
มหานิกาย (โดยแต่งตัง) เขตพระนคร
ชาตกาล 13 กรกฎาคม พ.ศ.2488 กรุงเทพมหานคร
ต ้องคดีเงินทอนวัด ไม่ให ้ประกันตัว
ถูกจับสึก 24/5/61

9 พระพรหมบ ัณฑิต ว ัดประยุรวงศาวาส พ.ศ. 2555


(ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.9) แขวงวัดกัลยาณ์
มหานิกาย (โดยแต่งตัง) เขตธนบุรี
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 17 กันยายน พ.ศ.2498

10 พระพรหมวิสุทธาจารย์ ว ัดเครือว ัลย์ พ.ศ. 2555


(มนตรี คณิสฺสโร ป.ธ.5) แขวงศิรริ าช
ธรรมยุต (โดยแต่งตัง) เขตบางกอกน ้อย
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2484

11 พระธรรมธ ัชมุน ี ว ัดปทุมวนาราม พ.ศ. 2555


(อมร ญาโณทโย ป.ธ.7) แขวงปทุมวัน
ธรรมยุต (โดยแต่งตัง) เขตปทุมวัน
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล 23 เมษายน พ.ศ.2483

๑๒๑
12 พระธรรมบ ัณฑิต ว ัดพระรามเก้ากาญจนา พ.ศ. 2555
(อภิพล อภิพโล ป.ธ.5) ภิเษก
ธรรมยุต (โดยแต่งตัง) แขวงบางกะปิ
เขตห ้วยขวาง
ชาตกาล 13 มีนาคม พ.ศ.2480 กรุงเทพมหานคร

13 พระพรหมโมลี ว ัดปากนํา พ.ศ. 2557


(สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.9) แขวงปากคลองภาษี เจริญ
เขตภาษี เจริญ
มหานิกาย (โดยแต่งตัง) กรุงเทพมหานคร

ชาตกาล : 23 ตุลาคม พ.ศ.2497

พระพรหมสิทธิ ว ัดสระเกศ พ.ศ. 2558


(ธงช ัย สุขญาโณ น.ธ.เอก พธ.บ.) แขวงบ ้านบาตร
มหานิกาย (โดยแต่งตัง) เขตป้ อมปราบศัตรูพ่าย
กรุงเทพมหานคร
ชาตกาล : 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2499
ต ้องคดีเงินทอนวัด หลบหนี 24/5
ขอมอบตัว 30/5/61 ไม่ให ้ประกันตัว
ถูกจับสึก

14 พระพรหมเสนาบดี วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร พ.ศ. 2557


(พิมพ์ ญาณวีโร ป.ธ.8) เขตสัมพันธวงศ์
มหานิกาย กรุงเทพมหานคร

ชาตกาล 17 กันยายน พ.ศ.2488

15 พระวิสุทธาธิบดี วัดสุทัศนเทพวราราม 28 ก.ค. 2562


(เชิด จิตฺตคุตโต ป.ธ.9) แขวงวัดราชบพิธ
เขตพระนคร
ชาตกาล 17 กุมภาพันธ์ 2484 กรุงเทพมหานคร

16 พระพรหมมุน ี วัดพระศรีมหาธาตุ 28 ก.ค.2562


(บุญเรือง ปุ ฺญโชโต ป.ธ.4) กรุงเทพมหานคร
ธรรมยุต

ชาตกาล 8 สิงหาคม 2478

๑๒๒
17 พระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมา พ.ศ.2549
(พูนศ ักดิ วรภทฺทโก) ราม
ธรรมยุต

ชาตกาล 15 มิถุนายน 2485

18 พระธรรมปริย ัติโมลี วัดบพิตรพิมุข วรวิหาร พ.ศ.2552


(อาทร อินฺทป ฺโญ ป.ธ.9) กรุงเทพมหานคร

ชาตกาล 1 เมษายน 2495

19 พระธรรมปาโมกข์ วัดราชผาติการาม วรวิหาร พ.ศ.2555


(สุนทร สุนฺทราโภ ป.ธ.4) กรุงเทพมหานคร

ชาตกาล 16 มีนาคม 2486

20 พระธรรมกิตติเมธี วัดราชาธิวาสวิหาร พ.ศ.2559


(เกษม สุ ฺญโต ป.ธ.9) กรุงเทพมหานคร
ธรรมยุต

ชาตกาล 5 พฤศจิกายน 2497

21 พระธรรมร ัตนดิลก วัดอรุณราชวราราม พ.ศ.2562


(สมเกียรติ โกวิโท ป.ธ.9) กรุงเทพมหานคร
มหานิกาย

ชาตกาล 6 กันยายน 2486

๑. มหาเถรสมาคม
องค์ประกอบ ตําแหน่ ง

- สมเด็จพระสังฆราช ประธานกรรมการ
- สมเด็จพระราชาคณะทุกรูป กรรมการ (8 รูป)
- พระราชาคณะทีสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตัง กรรมการ (ไม่เกิน 12 รูป)
...................................................
- ผู้อาํ นวยการสํานักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม
- สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สํานักงานเลขาธิการมหาเถร สมาคม

๑๒๓
นิตยภ ัต (ว ันที 21 เมษายน พ.ศ. 2554)
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานั นท์ ผู ้อํานวยการสํ านั กงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิ ดเผยภายหลังประชุมมหาเถร
สมาคม (มส.) เมือวันที 20 เมษายน ว่า พศ.รายงานทีประชุมให ้รับทราบหลังจากทีประชุมคณะรั ฐมนตรี (ครม.) เมือเร็ วๆ นี
เห็ น ชอบเพิมเงินนิต ยภั ต หรือ ค่า ภั ตตาหารทีพระมหากษั ตริย ์ถ วายแด่พระสงฆ์ต ามสมณศั ก ดิ เพือสนั บ สนุ นส่ ง เสริมการ
ประกอบกิจพระศาสนา 195,572,400 บาท จากเดิมได ้รับ 930 ล ้านบาท รวมเป็ น 1,122,572,400 บาท และให ้มีผลย ้อนหลัง
ตังแต่วันที 1 เมษายน 2554 ทังนี การเสนอขึนเงินนิตยภัต เพราะไม่ได ้ปรั บขึนมาตังแต่ปี 2549 จนถึง ปั จจุบันนานกว่า 5 ปี
แล ้ว สํ าหรับนิตยภัตทีปรับขึนนั น จะปรับตังแต่ระดับชันสมเด็จพระสังฆราชเจ ้า จนถึงระดับชันพระครูสญ
ั ญาบัตร โดยมีพระสงฆ์
40,000 รูป ทีจะได ้รับเงินนิตยภัตเพิม ดังนี
๑ สมเด็จพระสังฆราชเจ ้า ปรับเป็ น 37,700 บาท
๒ สมเด็จพระสังฆราช 34,200 บาท
๓ ผู ้ปฏิบัตห
ิ น ้าทีสมเด็จพระสังฆราช 30,800 บาท
๔ สมเด็จพระราชาคณะ 27,400 บาท
๕ กรรมการ มส. 23,900 บาท
๖ เจ ้าคณะใหญ่หนต่างๆ 23,900 บาท
๗ พระราชาคณะ เจ ้าคณะรองชันหิรัณยบัฏ 20,500 บาท
๘ เจ ้าคณะภาค-แม่กองบาลี-แม่กองธรรม 17,100 บาท
๙ รองเจ ้าคณะภาค 13,700 บาท
๑๐ เจ ้าคณะจังหวัด-เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช 10,300 บาท
...........................................
๑๑ ส่วนระดับชันพระราชาคณะนัน เจ ้าคณะรองชันสัญญาบัตร-พระราชาคณะชันธรรม 13,700 บาท
๑๒ พระราชาคณะชันเทพ-พระราชาคณะเจ ้าคณะจังหวัด 10,300 บาท
๑๓ พระราชาคณะชันราช 6,900 บาท
๑๔ พระราชาคณะปลัดขวา-ปลัดซ ้าย-ปลัดกลาง-พระราชาคณะชันสามัญ ป.ธ.9 5,500 บาท
๑๕ พระราชาคณะชันสามัญ ป.ธ.7-8 5,200 บาท
๑๖ พระราชาคณะชันสามัญ ป.ธ.5-6 -เจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันเอก 4,800 บาท
๑๗ พระราชาคณะชันสามัญ ป.ธ.4/รองเจ ้าคณะจังหวัด-เจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันโท 4,500 บาท
๑๘ พระราชาคณะชันสามัญ ป.ธ.3-พระราชาคณะชันสามัญยกฝ่ ายวิปัสนาธุระ-เจ ้าคณะอําเภอ-เจ ้าอาวาสพระ
อารามหลวงชันตรี-พระเปรียญธรรม 9 ประโยค (ป.ธ.9)-พระคณาจารย์เอก 4,100 บาท
๑๙ พระราชาคณะชันสามัญยก-พระครูปลัดชันเอกของสมเด็จพระราชาคณะ-พระคณาจารย์โท 3,800 บาท
...........................................
๒๐ สํ าหรับตําแหน่งพระครูสญ ั ญาบัตรตังแต่พระราชาคณะชันสามัญยก/เจ ้าคณะอําเภอชันพิเศษ-พระครูสญ ั ญา
บัตร เจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันเอก-เลขานุการเจ ้าคณะใหญ่หนต่างๆ 3,800 บาท
๒๑ พระครูสญ ั ญาบัตร เจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันโท-เจ ้าคณะอําเภอชันเอก-ผู ้ช่ วยเจ ้าอาวาสพระอารามหลวง
ชันพิเศษ-พระครูสญ ั ญาบัตรเทียบเท่า ผู ้ช่ วยเจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันพิเศษ-รองเจ ้าอาวาสพระอาราม
หลวงชันเอก-เลขานุการเจ ้าคณะภาค-พระครูปลัดรองสมเด็จพระราชาคณะ 3,400 บาท
๒๒ พระครูสั ญญาบัตรระดับเจ ้าคณะอํา เภอชันโท-เจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันตรี- รองเจ ้าอาวาสพระอาราม
หลวงชันโท-ผู ้ช่วยเจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันเอก-พระครูสั ญญาบัตรเทียบเท่าผู ้ช่วยเจ ้าอาวาสพระอาราม
หลวงชันเอก-รองเจ ้าคณะอําเภอชันเอก-เจ ้าคณะตําบลชันเอก-เลขานุ การรองเจ ้าคณะภาค-เลขานุ การเจ ้า
คณะจังหวัด-พระครูปลัดของเทียงรองสมเด็จพระราชาคณะ-พระครูฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราชชันเอก
ได ้รับ 3,100 บาท
...........................................
๒๓ นายนพรัตน์กล่าวว่า พระครูสั ญญาบัตร รองเจ ้าคณะอําเภอชันโท-เจ ้าคณะตําบลชันโท-ผู ้ช่วยเจ ้าอาวาสพระอารามหลวง
ชันโท-พระครูสั ญญาบัตรเทียบเท่าผู ้ช่วยเจ ้าอาวาสพระอารามหลวงชันโท-เจ ้าอาวาสวัดราษฎร์ชนเอก-รองเจ
ั ้าอาวาส
พระอารามหลวงชันตรี- พระครู ฐ านานุ กรมของสมเด็จ พระสั ง ฆราชชันโท-พระครู ป ลั ดของพระราชาคณะชันธรรม-
เลขานุการรองเจ ้าคณะจังหวัด 2,700 บาท
๒๔ พระครูสั ญญาบัตร เจ ้าคณะตําบลชันตรี-เจ ้าอาวาสวัดราษฎร์ชนโท-เจ ั ้าอธิการ 2,500 บาท
๒๕ พระครูสั ญญาบัตรเจ ้าอาวาสวัดราษฎร์ชนตรี
ั -เลขานุการเจ ้าคณะอําเภอ 2,200 บาท
๒๖ พระครูสั ญญาบัตรรองเจ ้าอาวาสวัดราษฎร์-ผู ้ช่วยเจ ้าอาวาสวัดราษฎร์-เลขานุ การรองเจ ้าคณะอําเภอ-พระอธิการ 1,800
บาท และเลขานุการเจ ้าคณะตําบล 1,200 บาท
...............................................

๑๒๔
บทที 12 ภิกษุ ประพฤติตนเป็ นคนว่ายากสอนยาก ภิกษุ ทงหลายว่ ั ากล่าวตักเตือนก็ไม่ยอมเชือฟั ง สงฆ์จึงสวด
สมนุ ภาสน์ ถ้าเธอสละพฤติกรรมนันได้ขณะทีสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์กว่าจะครบ 3 ครัง นันเป็ นการดี แต่ถา้ เธอ
ยืนยันประพฤติอยูอ่ ย่างนันจนสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์ตกั เตือนครบ 3 ครัง ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิก ษุ เป็ นผูม้ ีสัญชาติแห่ง ตนว่ายาก อันภิก ษุ ทั งหลายว่ากล่าวอยู่ถูก ทางธรรม ในสิก ขาบท
ทั งหลาย อันเนื องในอุเทศ ทําตนให้เป็ นผูอ้ ันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ด้วยกล่าวโต้วา่ พวกท่านอย่าได้กล่าวอะไรต่อ
เรา เป็ นคําดีก็ตาม เป็ นคําชัวก็ตาม แม้เราก็จกั ไม่กล่าวอะไรๆ ต่อพวกท่านเหมือนกัน เป็ นคําดีก็ตาม เป็ นคําชัวก็
ตาม ขอพวกท่านจงเว้นจากการว่ากล่าวเราเสีย ภิกษุนั นอันภิกษุทงหลายพึ ั งว่ากล่าวอย่างนีว่า ท่านอย่าได้ทาํ ตน
ให้เป็ นผูอ้ ันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ขอท่านจงทําตนให้เขาว่ากล่าวได้แล แม้ท่านก็จงว่ากล่าวภิกษุทั งหลายโดยชอบ
ธรรม แม้ภิกษุทั งหลายก็จักว่ากล่าวท่านโดยชอบธรรม เพราะว่าบริษัทของพระผูม้ ีพระภาคนั น เจริญแล้วด้วย
อาการอย่างนี คือด้วยว่ากล่าวซึงกันและกัน ด้วยเตือนกันและกันให้ออกจากอาบัติ แลภิกษุนั น อันภิกษุทงหลาย ั
ว่ากล่าวอยู่อย่างนี ยัง ยกย่องอยู่อย่างนั นเทียว ภิก ษุ นั น อันภิก ษุทั งหลายพึง สวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ
เพือให้สละกรรมนั นเสีย หากเธอถูกสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนันเสีย สละได้อย่างนีนันเป็ น
การดี หากเธอไม่สละเสีย เป็ นสังฆาทิเสสฯ
ภิกษุ เป็ นผูม้ ีสัญชาติแห่งคนว่ายาก ความว่า เป็ นผูว้ ่าได้โดยยาก ประกอบด้วยธรรมทังหลายอันเป็ นเครืองกระทําความเป็ นผูว้ ่า
ยาก ไม่อดทน ไม่รบั อนุ สาสนี โดยเบืองขวา,
ถูกทางธรรม คือ สิกขาบทใดอันพระผูม้ ีพระภาคทรงบัญญัติแล้ว สิกขาบทนั นชือว่าถูกทางธรรม
ภิ ก ษุ ต น้ บัญ ญัติ . พระฉั น นะประพฤติม รรยาทอัน ไม่ส มควร ภิ ก ษุ ทังหลายติ เ ตี ย น พระฉั น นะกลับ ตอบว่า “ดู ก่ อนท่ าน
ทังหลาย พวกท่านสําคัญว่าเราเป็ นผูท้ ีท่านควรว่ากล่ าวกระนั นหรือ เราต่างหากควรว่ากล่าวพวกท่าน เพราะพระพุทธเจ้าก็
ของเรา พระธรรมก็ของเรา พระลูกเจ้าของเราตรัสรูธ้ รรมแล้ว พวกท่านต่างชือกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกนั ต่างสกุลกัน บวช
รวมกันอยู่ ดุจลมกล้าพัดหญ้าไม้ และใบไม้แห้งให้อยู่รวมกัน หรือดุจแม่นําทีไหลมาจากภูเขา พัดจอกสาหร่ายและแหนให้อยู่
รวมกันฉะนั น บรรดาภิกษุ ต่างก็พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระฉันนะ อันภิกษุ ทงหลายว่ ั ากล่าวอยู่ถูกทาง
ธรรม จึงได้ทาํ ตนให้เป็ นผูอ้ นั ใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ เหตุเกิด ณ พระวิหารโฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี

บทที 13 ภิกษุ ประทุษร้ายตระกูลคือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่ออกจากวัด กลับติเตียนสงฆ์ ภิกษุ ทงหลายว่


ั ากล่าว
ตักเตือนก็ไม่ยอมเชือฟั ง สงฆ์จึงสวดสมนุ ภาสน์ ถ้าเธอสละพฤติกรรมนันได้ขณะทีสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์กว่าจะครบ
3 ครัง นันเป็ นการดี แต่ถา้ เธอยืนยันประพฤติอยูอ่ ย่างนันจนสงฆ์สวดสมนุ ภาสน์ตกั เตือนครบ 3 ครัง ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
พระบัญญัติ. “อนึ ง ภิกษุ เข้าไปอาศัย บ้า นก็ ดี นิ คมก็ ดี แห่งใดแห่งหนึ ง อยู่ เป็ นผูป้ ระทุษร้ายสกุล มี ความประพฤติเลวทราม
ความประพฤติเลวทรามของเธอ เขาได้เห็นอยูด่ ว้ ย เขาได้ยนิ อยูด่ ว้ ย และสกุลทังหลายอันเธอประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยูด่ ว้ ย
เขาได้ยินอยูด่ ว้ ย ภิกษุ นั นอันภิกษุ ทั งหลาย พึงว่ากล่าวอย่างนี ว่า ท่านเป็ นผูป้ ระทุษร้ายสกุล มี ความประพฤติเลวทราม ความ
ประพฤติเลวทรามของท่าน เขาได้เห็นอยูด่ ว้ ย เขาได้ยนิ อยูด่ ว้ ย และสกุลทังหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยูด่ ว้ ย เขาได้
ยินอยูด่ ว้ ย ท่านจงหลีกไปเสี ยจากอาวาสนี ท่านอย่าอยูใ่ นทีนี และภิกษุ นั นอันภิกษุ ทั งหลายว่ากล่าวอยูอ่ ย่างนี พึงว่ากล่าวภิกษุ
เหล่านี อย่างนี ว่า พวกภิกษุ ถึงความพอใจด้วย ถึงความขัดเคืองด้วย ถึงความหลงด้วย ถึงความกลัวด้วย ย่อมขับภิกษุ บางรูป ย่อม
ไม่ขบั ภิกษุ บ างรูป เพราะอาบัติ เช่ นเดียวกัน ภิกษุ นั นอันภิกษุ ทั งหลายพึ งว่า กล่าวอย่า งนี ว่า ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั น ภิก ษุ
ทั งหลาย หาได้ถึ ง ความพอใจไม่ หาได้ถึ ง ความขัด เคื องไม่ หาได้ถึ ง ความหลงไม่ หาได้ถึ ง ความกลัว ไม่ ท่า นเองแล เป็ นผู ้
ประทุษร้ายสกุล มี ความประพฤติเ ลวทราม ความประพฤติเ ลวทรามของท่า น เขาได้เห็ นอยู่ด ว้ ย เขาได้ยินอยูด่ ว้ ย และสกุล
ทังหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยูด่ ว้ ย เขาได้ยนิ อยูด่ ว้ ย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี ท่านอย่าอยูใ่ นทีนี และภิกษุ
นั นอันภิกษุ ทงหลายว่
ั ากล่าวอยูอ่ ย่างนี ยังยกย่องอยูอ่ ย่างนั นเทียว ภิกษุ นั น อันภิกษุ ทงหลาย
ั พึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ
เพือให้สละกรรมนั นเสีย หากเธอถูกสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั นเสีย สละได้อย่างนี นั นเป็นการดี หากเธอไม่
สละเสียเป็ นสังฆาทิเสส” วิ.ม.1/621/874

๑๒๕
ภิกษุตน้ บัญญัติ. ภิกษุ พวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะอยู่ในกิฏาคีรีชนบท เป็ นภิกษุ อลัชชี ชัวช้า ประพฤติอนาจาร, ภิกษุ รูป
หนึ งจําพรรษาในแคว้นกาสี แล้วเดินทางไปยังพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ผ่านถินชนบทกิฏาคีรี มีอาการเดินไปถอยกลับ แล
เหลียว เหยียดแขน คูแ้ ขน น่ าเลือมใส มีจกั ษุ ทอดลง สมบูรณ์ดว้ อิริยาบถ คนทังหลายเห็นแล้ว พูดว่า “ภิกษุ รูปนี คล้ายคนไม่
ค่อยมีกาํ ลัง เหมือนคนอ่อนแอ มีหน้าสยิว (เพราะท่านมีจกั ษุ ทอดลง ไม่สบตาใครๆ) ใครเล่าจักถวายแก่ท่าน ส่ วนพระผูเ้ ป็ น
เจ้า พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะของพวกเรา เป็ นผูอ้ ่อนโยนพูดไพเราะ อ่อนหวาน ยิมแย้มก่อน มีหน้าชืนบาน มักพูดก่อน
ใครๆ ก็ตอ้ งถวายท่าน” อุบาสกคนหนึ งเห็นท่าน ได้ถวายบิณฑบาต และขอให้ท่านกราบทูลเรืองแก่ พ. พ.ให้พระสารีบุตรและ
พระโมคคัลลานะเดินทางไปชนบทกิฏาคีรี แล้วทําปั พพาชนี ยกรรม เพราะเป็ นสัทธิวิหาริกของเธอ
เป็ นผูป้ ระทุษร้ายสกุล คือ ประจบสกุลด้วยดอกไม้ก็ดี ผลไม้ก็ดี แป้ งก็ดี ฯลฯ
มีความประพฤติเลวทราม คือ ปลูกไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผอู ้ ืนปลูกบ้าง รดนํ า เก็บดอกไม้ ร้อยกรองดอกไม้บา้ ง ใช้ผอู ้ ืนร้อยกรองบ้าง
และสกุลทังหลาย อันเธอประทุษร้ายแล้ว คือ ชนทังหลายเมือก่อนมีศรัทธา อาศัยภิกษุ นันกลับเป็ นคนไม่มีศรัทธา, เมือก่อน
เป็ นคนเลือมใส อาศัยภิกษุ นันกลับเป็ นคนไม่เลื อมใส (ประพฤตินอกทางของสมณะเป็ นต้นว่า ประพฤติสุงสิงกับหญิงสาวในสกุล
เล่นการพนั น และเล่นซุกซนต่างๆ)
ปั พพาชนี ยกรรม หมายถึง การขับออกจากหมู่, การไล่ออกจากวัด(ไม่ให้อยู่ในชนบทนั นอีก)
“ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั การกระทําของภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านี ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควร
ทํา ไฉนภิกษุ จึงได้ประพฤติอนาจาร เห็นปานนี คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผอู ้ ืนปลูกบ้าง รดนํ า เก็บดอกไม้ ร้อยกรองดอกไม้
ทํามาลัย ทําช่อดอกไม้ ทําพวงดอกไม้ ทําดอกไม้ประดับอกบ้าง พวกเธอนํ าไปเองบ้าง ใช้ให้ผูอ้ ืนนํ าไปบ้าง เพือกุลสตรี ฯลฯ เพือ
กุลทาสี, พวกเธอฉันอาหาร ดืมนํ า ในภาชนะอันเดียวกันบ้าง นั งบนอาสนะ นอนบนเตียง นอนร่วมเครืองลาดและคลุมผ้าห่ม
ร่วมกันบ้างกับกุลสตรี ฯลฯ กับกุลทาสี, ฉันอาหารในวิกาลบ้าง ดืมนํ าเมา ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครืองลูบไส้ ฟ้ อนรํา ขับร้อง
ประโคม เต้นรําบ้าง, เล่นหมากรุกแปดตาบ้าง เล่นชิงนาง หมากเก็บ โยนห่วง เป่ าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นไม้กงั หัน
รถน้อยๆ ธนู น้อยๆ เล่นเขียนทาย เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ, หัดขีช้าง หัดขีม้า หัดขีรถ หัดยิงธนู หัดเพลงอาวุธ, วิงผลัดม้า
บ้าง วิงผลัดรถ วิงเปี ยว ผิวปาก ปรบมือ, ปลํากันบ้าง ชกมวยกันบ้าง , การกระทําของภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านี ย่อมไม่เป็ นไปเพือความ
เลือมใสของ ชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิงของชุมชนทีเลือมใสแล้ว โดยทีแท้ การกระทําของโมฆบุรุษเหล่านี นัน
เป็ นไปเพือความไม่เลือมใสของขุมชนทียังไม่เลือมใส และเพือความเป็ นอย่างอืนของชนบางพวกทีเลื อมใสแล้ว … วิ.ม.1/617
[ภิกษุ ทังหลายได้ยินแล้วไม่ว่ากล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ] [พึงว่ากล่าวแม้ 3 ครัง หากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ]
[พึงคุมตัวมาท่ามกลางสงฆ์ แล้วพึงว่ากล่าว และไล่เสียจากอาวาส แม้ 3 ครัง หากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ]
[พึงสวดสมนุ ภาส โดยประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาว่า
“ { ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟั งข้าพเจ้า ภิกษุ มีชือนี ถูกสงฆ์ทาํ ปั พพาชนี ยกรรมแล้ว ใส่ความภิกษุ ว่าลําเอียงฯ เธอยังไม่
สละเรืองนั น ถ้าความพรังพร้อมของสงฆ์ถึงทีแล้ว สงฆ์พึงสวดสมนุ ภาสภิกษุ ผมู ้ ีชือนี เพือให้สละเรืองนั นเสีย } นี เป็ นญัตติ ”
{…} [ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงนิ ง ไม่ชอบแก่ท่านผูใ้ ด พึงพูด] , ข้าพเจ้าแม้ครังที 2 {…} [...] , ข้าพเจ้าแม้ครังที 3 {…} […],
“ภิกษุ ผมู ้ ีชือนี อันสงฆ์สวดสมนุ ภาสแล้ว เพือให้สละเรืองนั นเสีย ชอบแก่สงฆ์ เหตุนันจึงนิ ง ข้าพเจ้าทรงความนี ไว้ดว้ ยอย่างนี .”
[จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ, จบกรรมวาจาสองครัง ต้องอาบัติถุลลัจจัย, จบกรรมวาจาครังสุดท้าย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส]
เมือต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏเพราะญัตติ อาบัติถุลลัจจัยเพราะกรรมวาจาสองครัง ย่อมระงับ วิ.ม.1/626-627
สิกขาบทที1-9 เรียกว่า ปฐมาปั ตติกา (อาบัติทนั ทีทีทําความผิด), สิกขาบทที10-13 เรียกว่า ยาวตติยกา
เมือภิกษุ ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทิเสสแล้ว ต้องอยูป่ ริวาสเท่าจํานวนวันทีปกปิ ดอาบัติไว้ แล้วอยูม่ านัต (นับราตรี)
อีก 6 ราตรี, ทัง 2 ขันตอนนี ตอ้ งอาศัยสงฆ์อย่างน้อย 4 รูปเป็ นผูใ้ ห้ และต่อจากนันจึงประชุมสงฆ์ไม่นอ้ ยกว่า 20
รูป ทําพิธีสวดให้พน้ จากอาบัติสงั ฆาทิเสส เรียกว่า อัพภาน
(มีการสวดญัตติ 3 ครัง สวดอนุ สาวนา 1 ครัง รวมเป็ น 4 ครัง เรียกว่าญัตติจตุตถกรรมวาจา)
อาบัติสงั ฆาทิเสส ถือเป็ นอาบัติหนัก เรียกว่า ครุกาบัติ
ต่อหัวข้ อที ๓ หน้ า ๑๗๘
มีเรืองหยาบคายอยูม่ าก เรียกว่า ทุฏ ุลลาบัติ (แปลว่า อาบัติชวหยาบ)

โภชนวรรค ข้ อที ๗
ผูต้ อ้ งอาบัติจะพ้นได้ดว้ ยการอยูก่ รรม จึงเรียกว่า วุฏฐานคามินี การฉันในวิกาล
………………………………………………………………
๑๒๖
สิกขาบทและธรรมเกียวกับการขับร้องและดนตรี มวยกันบ้าง ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถานเต้นรําแล้ว พูดกับหญิง
ฟ้ อนรําอย่างนีว่า น้องหญิง เธอจงฟ้ อนรํา ณ ทีนี ดังนีบ้าง ให้การ
สิกขาบทเกียวกับพระภิกษุ คํานับบ้าง ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้าง
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 1 มหาวิภงั ค์ ปฐมภาค - หน้าที [615]... เมื อก่อนชาวบ้าน ยังมี ศ รัทธาเลือมใส แต่เดียวนี
สังฆาทิเสส สิกขาบทที 13 เขาไม่ศรัทธาไม่เลือมใสแล้ว แม้ทานประจําของสงฆ์ก่อนๆ บัดนี
เรืองภิกษุ พวกพระอัสสชิและพระปุนพ ั พสุกะ ทายกทายิกาได้ต ด ั ขาดแล้ว ภิกษุ มี ศี ลเป็ นทีรักย่อมหลีกเลียงไป
[614] โดยสมัยนัน พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภิ ก ษุ เลวทรามอยู่ ค รอง พระพุ ท ธเจ้ า ข้ า ข้ า พระพุ ท ธเจ้ า ขอ
พระเชตวันอารามของอนาถ บิณ ฑิกะคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ประทานพระวโรกาส พระผู้ มี พ ระภาคพึง ส่ง ภิกษุ ท งหลายไปสูั ่
ครังนัน ภิ ก ษุ พวกพระอัสสชิแ ละพระปุ น พ ั พสุกะ เป็ นเจ้า ถินใน ชนบทกิฏาคีรี เพือวัดชนบทกิฏาคีรีนีจะพึงตังมันอยู.่
ชนบทกิ ฏ าคี รี เป็ นภิ ก ษุ อลัช ชี ชัวช้ า ภิ ก ษุ พวกนันประพฤติ พระพุทธเจ้า ทรงติเตี ย น .. ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ไฉนภิกษุ
อนาจารเห็นปานดังนี คือ โมฆบุ รุษ เหล่า นัน จึงได้ป ระพฤติอนาจารเห็นปานดังนี คือ ปลูก
อนาจาร แปลว่า ความประพฤติไ ม่ดี ไม่งามไม่เ หมาะสมแก่ ต้นไม้ดอกเองบ้าง …
บรรพชิต แยกเป็ น 3 ประเภท คือ พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 1 มหาวิภงั ค์ ปฐมภาค - หน้าที
1. การเล่นต่างๆ เช่น เล่นอย่างเด็ก 2. การร้อยดอกไม้ รับสังให้ปพ ั พาชนียกรรม
3. การเรียนดิร ัจฉานวิชา เช่น ทายหวย ทําเสน่ ห์ (พจฯ ศัพท์)
[618] ครันพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุ พวกพระอัสส
ปลูกต้นไม้ด อกเองบ้าง ใช้ใ ห้ผู้อืนปลูกบ้าง รดนําเองบ้าง ชิและพระปุนพ ั พสุกะ โดยอเนกปริยายดังนีแล้ว ทรงกระทําธรรมีก
ใช้ให้ผู้อืนรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อืนเก็บบ้าง ร้อยกรอง ถารับ สังกะพระสารีบุตรและพระโมคค ลั ลานะว่า ไปเถิด สารีบุตร
ดอกไม้เองบ้า ง ใช้ใ ห้ผู้อืนร้อยกรองบ้าง ทํา มาลัยต่อก้า นเองบ้าง แ ล ะ โ ม ค ค ัล ล า นะ พ ว ก เ ธ อ ไ ป ถึ ง ช นบ ท กิ ฏ า คี รี แล้ ว จงทํ า
ใช้ใ ห้ผู้อืนทํา บ้าง ทํา มาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ใ ห้ผู้อืนทําบ้า ง ทํา ปัพพาชนี ยกรรมแก่ภิกษุ พวกพระอัสสชิและพระปุนพ ั พสุกะจาก
ดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ใ ห้ผู้อืนทําบ้าง ทํา ดอกไม้พุ่มเองบ้า ง ใช้ใ ห้ ชนบทกิฏาคีรี เพราะภิกษุ พวกนันเป็ นสัทธิวห ิ าริกของเธอ.
ผู้อืนทํา บ้าง ทํา ดอกไม้เทริดเองบ้า ง ใช้ใ ห้ผู้อืนทํา บ้าง ทํา ดอกไม้ พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 1 มหาวิภงั ค์ ปฐมภาค - หน้าที
พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อืนทําบ้าง ทําดอกไม้แผงสําหรับประดับอกเอง พระบัญญัติ
บ้าง ใช้ให้ผู้อืนทําบ้าง 17. 13. อนึ ง ภิกษุ เข้า ไปอาศัยบ้านก็ดี นิค มก็ดี แห่งใด
ภิกษุ พวกนันนํา ไปเองบ้าง ใช้ใ ห้ผู้อืนนําไปบ้าง ซึ งมาลัย แห่ง หนึ งอยู่ เป็ นผู้ ป ระทุ ษ ร้า ยสกุ ล มี ค วามประพฤติ เ ลวทราม
ต่ อ ก้า น นํ า ไปเองบ้ า ง ใช้ ใ ห้ผู้ อื นนํ า ไปบ้ า ง ซึ งมาลัย เรี ย งก้า น ความประพฤติเลวทรามของเธอ เขาได้เห็นอยูด ่ ้วย เขาได้ยินอยู่
นําไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อืนนําไปบ้าง ซึ งดอกไม้ช่อ นําไปเองบ้าง ใช้ ด้วย และสกุลทังหลายอันเธอประทุษ ร้า ยแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย
ให้ผู้อืนนํา ไปบ้า ง ซึ งดอกไม้พุ่ม นํา ไปเองบ้า ง ใช้ใ ห้ผู้อืนนํา ไป เขาได้ยน ิ อยูด่ ้วย
บ้าง ซึ งดอกไม้เทริด นําไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อืนนําไปบ้าง ซึ งดอกไม้ ภิกษุ นนอัั นภิกษุ ทงหลาย
ั พึงว่า กล่า วอย่างนีว่า ท่า นเป็ นผู้
พวง นํ า ไปเองบ้า ง ใช้ ใ ห้ผู้อืนนํา ไปบ้า ง ซึ งดอกไม้แ ผงสํา หรับ ประทุ ษ ร้า ยสกุล มี ค วามประพฤติเ ลวทราม ความประพฤติ เลว
ประดับอก เพือกุลสตรี เพือกุลธิดา เพือกุลกุมารี เพือสะใภ้แห่งสกุล ทรามของท่า น เขาได้ เ ห็ น อยู่ด้ ว ย เขาได้ ยิน อยู่ด้ ว ย และสกุ ล
เพือกุลทาสี ทังหลายอันท่า นประทุษ ร้า ยแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่
ภิกษุ พวกนัน ฉันอาหารในภาชนะอันเดียวกันบ้า ง ดื มนํา ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี ท่านอย่าอยูใ่ นทีนี
ในขันใบเดียวกันบ้าง นังบนอาสนะอันเดียวกันบ้าง นอนบนเตียง และภิกษุ นนอั ั นภิกษุ ทงหลายว่
ั ากล่าวอยูอ่ ย่างนี พึงว่ากล่าว
อันเดี ยวกันบ้าง นอนร่วมเครืองลาดอันเดียวกันบ้า ง นอนคลุมผ้า ภิกษุ เหล่า นันอย่างนี ว่า พวกภิกษุ ถึงความพอใจด้วย ถึงความขัด
ห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครืองลาดและคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้า ง เคืองด้วย ถึงความหลงด้วย ถึงความกลัวด้วย ย่อมขับภิกษุ บางรูป
กับกุลสตรี กุลธิดา กุลกุมารี สะใภ้แห่งสกุล กุลทาสี ย่อมไม่ขบ ั ภิกษุ บางรูป เพราะอาบัติเช่นเดียวกัน
ฉันอาหารในเวลาวิกาลบ้าง ดื มนําเมาบ้าง ทัด ทรงดอกไม้ ภิกษุ นนอั ั นภิกษุ ทงหลายพึ
ั งว่ากล่าวอย่างนีว่า ท่า นอย่าได้
ของหอมและเครืองลูบไล้บ้าง ฟ้ อนรําบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง กล่าวอย่างนัน ภิกษุ ทงหลาย ั หาได้ถงึ ความพอใจไม่ หาได้ถงึ ความ
ขัด เคืองไม่ หาได้ถึงความหลงไม่ หาได้ถึงความกลัวไม่ ท่า นเอง
เต้นรําบ้าง ฟ้ อนรํากับหญิงฟ้ อนรําบ้าง ขับร้องกับหญิงฟ้ อนรําบ้าง
แล เป็ นผู้ ป ระทุ ษ ร้า ยสกุ ล มี ค วามประพฤติ เ ลวทราม ความ
ประโคมกับหญิงฟ้ อนรําบ้าง เต้นรํากับหญิงฟ้ อนรําบ้าง ฟ้ อนรํากับ
ประพฤติเลวทราม ของท่า น เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยูด ่ ้วย
หญิงขับ ร้องบ้า ง ขับ ร้องกับ หญิงขับ ร้องบ้า ง ประโคมกับ หญิงขับ
และสกุลทังหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยูด ่ ้วย เขาได้
ร้องบ้า ง เต้นรํา กับ หญิงขับ ร้องบ้า ง ฟ้ อนรํา กับ หญิงประโคมบ้าง
ยินอยูด่ ้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี ท่านอย่าอยูใ่ นทีนี
ขับ ร้องกับหญิงประโคมบ้าง ประโคมกับหญิงประโคมบ้าง เต้นรํา
และภิกษุ นนอั ั นภิกษุ ทงหลายว่
ั า กล่าวอยู่อย่างนี ยังยกย่อง
กับ หญิงประโคมบ้า ง ฟ้ อนรํา กับ หญิงเต้นรํา บ้า ง ขับ ร้องกับ หญิง
อยูอ
่ ย่างนันเทียว ภิกษุ นนอั ั นภิกษุ ทงหลายั พึงสวดสมนุภาสกว่าจะ
เต้นรําบ้าง ประโคมกับหญิงเต้นรําบ้าง เต้นรํากับหญิงเต้นรําบ้าง
ครบสามจบ เพือให้สละกรรมนันเสีย หากเธอถูกสวดสมนุ ภ าสา
เล่นหมากรุกแถวละแปดตาบ้าง เล่นหมากรุกแถวละสิบ ตา
กว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนันเสีย สละได้อย่างนี นันเป็ นการ
บ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยน
ดี หากเธอไม่สละเสีย เป็ นสังฆาทิเสส.
ห่วงบ้าง เล่นไม้หงบ้ ึ าง เล่นฟาดให้เป็ นรูปต่างๆ บ้าง เล่นสะกาบ้าง
สิกขาบทวิภงั ค์
เล่น เป่ าใบไม้บ้า ง เล่น ไถน้ อ ยๆ บ้ า ง เล่น หกคะเมนบ้า ง เล่ น ไม้
[622] บทว่า เป็ นผู้ป ระทุษ ร้า ยสกุล คือ ประจบสกุลด้วย
กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วยไม้ไบ้บ้า ง เล่นรถน้อยๆ บ้า ง เล่นธนู
ด อกไม้ ก็ ดี ผ ลไม้ ก็ ดี แป้ งก็ ดี ดิ น ก็ ดี ไม้ สี ฟ ั น ก็ ดี ไม้ ไ ผ่ ก็ ดี
น้อยๆ บ้าง เล่นเขียนทายบ้าง เล่นทายใจบ้าง เล่นเลียนคนพิการบ้าง
การแพทย์ก็ดี การสือสารก็ดี
หัด ขี ช้า งบ้า ง หัด ขี ม้า บ้า ง หัด ขี รถบ้า ง หัด ยิงธนู บ้า ง หัด บทว่า มี ค วามประพฤติเลวทราม คือ ปลูกไม้ด อกเองบ้าง
เพลงอาวุธบ้าง วิงผลัดช้างบ้าง วิงผลัดม้าบ้าง วิง ผลัดรถบ้าง วิงขับ ใช้ให้ผู้อืนปลูกบ้าง รดนําเองบ้าง ใช้ให้ผู้อืนรดบ้าง เก็บดอกไม้เอง
กันบ้า ง วิงเปี ยวกันบ้า ง ผิวปากบ้า ง ปรบมื อบ้า ง ปลํากันบ้า ง ชก
บ้า ง ใช้ใ ห้ผู้อืนเก็บบ้า ง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ใ ห้ผู้อืนร้อย บทว่า คีตํ เล่นร้องเพลง คือขับร้อง. บทว่า ทวกมฺมํ คือ เล่น
กรองบ้าง. หัวเราะกัน. บทว่า อยํ วาจสิกา ขิฑฺฑา คือ นีชือว่าการเล่นเกิด ทาง
............................... วาจา คือเกิดแล้วในวจีทวาร.
.....................................
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 7 จุลวรรคภาค 2 - หน้าที -7 สิกขาบทเกียวกับพระภิกษุณี
[19] สมัยต่อมา ทีพระนครราชคฤห์ มีงานมหรสพบนยอด
เขา พระฉัพพัค คีย์ได้ไปเทียวดู งานมหรสพ ชาวบ้า นเพ่งโทษ ติ
พระวินยั ปิ ฎก ภิกขุนีวิภงั ค์ เล่ม 3 - หน้าที
เตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึงได้ไป ลสุณวรรค สิกขาบทที 10
ดู ก ารฟ้ อนรํา การขับ ร้อ ง และการประโคมดนตรี เหมื อ นพวก เรืองภิกษุ ณีฉพ ั พัคคีย์
คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม [182] โดยสมัยนัน พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
ภิกษุ ทงหลาย
ั ... กราบทูลเรือง นันแด่พระผู้มีพระภาค พระเวฬุวน ั วิหาร อันเป็ นสถานทีพระราชทานเหยือแก่กระแต เขต
พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่พงึ พระนครราชคฤห์ ครังนันในพระนครราชคฤห์มีมหรสพบนยอด
ไปดูการฟ้ อนรํา การขับร้อง หรือการประโคมดนตรี รูปใดไป ต้อง ภู เ ขา เหล่า ภิกษุ ณี ฉพ
ั พัค คีย์ ได้พ ากัน ไปดู ม หรสพบนยอดภู เขา
อาบัติทุกกฏ ฯ พวกชาวบ้า นพากัน เพ่งโทษ ติ เ ตี ย น โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุ ณี
เรืองสวดพระธรรมด้วยทํานอง ทังหลายจึง ได้ พ ากัน ไปดู ก ารฟ้ อนรํา บ้า ง การขับ ร้อ งบ้ า ง การ
[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทํานอง ประโคมดนตรีบ้าง เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
ยาวคล้า ยเพลงขับ ชาวบ้า นเพ่งโทษ ติ เ ตี ย น โพนทะนาว่า พระ ภิกษุ ณี ทงหลายได้
ั ยนิ ชาวบ้านพวกนัน พากันเพ่งโทษ ติ
สมณะเชือสายพระศากยบุตรเหล่านี สวดพระธรรมด้วยทํานองยาว เตี ยน โพนทะนาอยู่ บรรดาทีเป็ นผู้ม กั น้อ ย. . . ต่า งก็เพ่งโทษ ติ
คล้า ยเพลงขับ เหมื อนพวกเราขับ ภิกษุ ทงหลายได้ ั ยินพวกนันเพ่ง เตี ย น โพนทะนาว่า ไฉนภิ ก ษุ ณี ฉพ ั พัค คีย์ จึงได้พ ากัน ไปดู การ
โทษ ติเตี ยน โพนทะนาอยู่ บรรดาทีเป็ นผู้ม กั น้อย .. ต่างก็เพ่งโทษติ ฟ้ อนรําบ้าง การขับร้องบ้าง การประโคมดนตรีบ้างเล่า.
เตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จงึ ได้สวดพระธรรมด้วยทํานอง พระวินยั ปิ ฎก ภิกขุนีวิภงั ค์ เล่ม 3 - หน้าที
ยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค … พระบัญญัติ
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ สวดพระธรรมด้วยทํานองยาวคล้าย 65. 10. อนึ ง ภิกษุ ณีใด ไปดูการฟ้ อนรําก็ดี การขับร้องก็
เพลง ขับ มี โ ทษ 5 ประการนี คือ: ดี การประโคมดนตรีก็ดี เป็ นปาจิต ตี ย์.
1. ตนยินดี ใ นเสียงนัน เรืองภิกษุ ณีฉพ
ั พัคคีย์ จบ
2. คนอืนก็ยินดี ใ นเสียงนัน สิกขาบทวิภงั ค์
3. ชาวบ้า นติเตี ยน [183] ทีชือว่า การฟ้ อนรํา ได้แก่ การฟ้ อนรําอย่างใดอย่างหนึ ง.
4. สมาธิข องผู้พอใจการทํา เสียงย่อมเสียไป ทีชือว่า การขับร้อง ได้แก่ เพลงขับร้องอย่างใดอย่างหนึ ง.
5. ภิกษุ ช นหลั
ั งจะถือเป็ นเยียงอย่า ง ทีชื อว่า การประโคมดนตรี ได้แก่ เครืองดี ด สีตี เป่ าอย่า งใดอย่าง
ดู ก รภิกษุ ทงหลายั โทษ 5 ประการนี แล ของภิกษุ ผู้สวด หนึ ง.
พระธรรมด้วย ทํา นองยาวคล้า ยเพลงขับ ภิกษุ ณีเดินไปเพือจะดู ต้องอาบัติทุกกฏ ยืนอยู่ ณ ทีใด ยัง
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทํา นอง แลเห็นหรือได้ยน ิ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ พ้นสายตาไปแล้ว กลับ แลดู
ยาวคล้ายเพลงขับ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ หรือฟังอีก ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เรืองการสวดสรภัญญะ ภิกษุ ณี เดินไปเพือจะดูเครืองมหรสพเฉพาะอย่าง ๆ ต้อง
[21] สมัยต่อมา ภิกษุ ทงหลายรั ั งเกียจในการสวดสรภัญญะ อาบัติทุกกฏ
จึงกราบ ทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค ยืนอยู่ ณ ทีใด ยังแลเห็นหรือได้ยิน ก็ต้องอาบัติป าจิตตีย์
พระผู้ มี พ ระภาคทรงอนุ ญ าตว่า ดู ก รภิ ก ษุ ทังหลาย เรา พ้นสายตาไปแล้ว กลับแลดูหรือฟังอีก ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนุญาตให้สวดเป็ น ทํานองสรภัญญะได้ ฯ
..................................... อนาปัตติวาร
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 7 จุลวรรคภาค 2 - หน้าที [184] ยืนอยูใ่ นอารามแลเห็นหรือได้ยน ิ 1 เขาฟ้ อนรําขับร้อง
ประพฤติอนาจารต่างๆ หรือประโคมผ่านมายังสถานทีภิกษุ ณียืนอยู่ นังอยู่ หรือนอนอยู่ 1
[195] สมัยนัน พระฉัพพัค คีย์ประพฤติอนาจารเห็นปาน เดินสวนทางไปแลเห็นหรือได้ยน ิ 1 เมือมีกจิ จําเป็ นเดินผ่านไปแล
ดังนี คือ ปลูก ต้นไม้ดอกเองบ้าง... เห็นหรือได้ยิน 1 มี อน ั ตราย 1 วิกลจริต 1 อาทิกม ั มิกา 1 ไม่ต้อง
พระผู้มีพระภาค...ตรัสว่า ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่พงึ ประพฤติ อาบัติแล.
อนาจารมี อย่า งต่า งๆ รูป ใดประพฤติ พึงปรับ อาบัติต ามธรรม ฯ อรรถกถาลสุณวรรค สิกขาบทที 10
..................................... สองบทว่า ยงฺก ิฺจิ นจฺจํ มี ค วามว่า พวกนัก ฟ้ อนเป็ นต้น
ขุ.มหา.อ.66 หน้า 397 มมร. หรือ พวกนักเลง จงฟ้ อนรําก็ตามที โดยทีสุดแม้นกยูง นกแขกเต้า
การฟ้ อนอย่า งใดอย่างหนึ งชื อว่า นัจ จะ. ภิกษุ แม้เดินไป และลิงเป็ นต้นฟ้ อนรํา ทังหมดนัน จักเป็ นการฟ้ อนรําทังนัน.
บ้านก็ไม่ควรแหงนดู. สองบทว่า ยงฺก ิฺจิ คีตํ มี ค วามว่า การขับร้องของพวกนัก
บทว่า คีตํ การขับ ได้แก่ การขับย่างใดอย่างหนึ ง. ฟ้ อ น เ ป็ นต้ น ห รื อ กา รขับ ร้อ งกี ฬ าให้ สํ า เร็ จ ประโยชน์ ซึ ง
บทว่า วาทิตํ ได้แก่ การประโคมอย่า งใดอย่า งหนึ ง. ประกอบด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ในเวลาทีพระอริยเจ้า
บทว่า เปกฺขํ ได้แก่ มหรสพมีการรําเป็ นต้น. ทังหลายปรินิ พพาน หรื อ การขับ ร้องทํา นองสวดธรรมสรภัญญะ
..................................... ของพวกภิก ษุ ผู้ ไ ม่ สํา รวมก็ต ามที ทังหมดนี จัด เป็ นการขับ ร้อ ง
ขุ ททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 5 ภาค 2 - หน้า ที 426 ทังนัน.
บทว่า นาฏกํ เล่น ซ้ อ มเพลง คื อ แสดงให้เ รี ย นท่า ใหม่ๆ สองบทว่า ยงฺก ิจฺ ิ วาทิตํ มี ค วามว่า เครืองบรรเลงมีทีขึ น
ปาฐะว่า นฏฺ ฏกํ บ้าง บทว่า ลาสํ เล่นโห่รอ้ ง คือทําเสียงตะโกน. สายเป็ นต้น หรือการประโคมกลองเทียมก็ตามที ชันทีสุดแม้การตี
อุทกเภรี (กลองนํา) ทังหมดนีจัดเป็ นการประโคมดนตรีทงนั ั น.
.....................................

๑๒๘
พระวินยั ปิ ฎก จุลวรรค เล่ม 7 ภาค 2 – เล่ม 9 หน้าที 83 สิกขาบทเกียวกับสามเณร
[ว่าด้วยสรภัญญะ] พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 4 มหาวรรคภาค 1 - หน้าที
บทว่า สรกุตฺตึ ได้แก่ ทําเสียง.
[120] ครังนัน สามเณรทังหลาย ได้มี ค วามดําริว่า สิกขาบทของ
สองบทว่า ภงฺโค โหติ มี ค วามว่า ไม่อาจเพือจะยังสมาธิที พวกเรามีเท่าไรหนอแล และพวกเราจะต้องศึกษาในอะไร.
ตนยังไม่ได้ ให้เกิดขึ น, ไม่อาจเพือจะเข้าสมาธิทีตนได้แล้ว . ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.
ข้ อ ว่า ปจฺฉิมา ชนตา เป็ นอาทิ มี ค วามว่า ประชุ ม ชนใน พระผู้ มี พระภาครับ สังกะภิ ก ษุ ทังหลายว่ า ดู กรภิ ก ษุ
ภายหลังย่อมถึงความเอาอย่างว่า อาจารย์ก็ดี อุปช ั ฌาย์ก็ดี ของเรา ทังหลาย เราอนุ ญ าตสิก ขาบท 10 แก่ส ามเณรทังหลาย และให้
ทังหลายขับแล้วอย่างนี คือ ขับอย่างนันเหมือนกัน. สามเณรทังหลายศึกษาในสิกขาบท 10 นัน คือ
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิก ฺข เว อายตเกน นี พึงทราบดังนี :- 1. เว้นจากการทําสัตว์ทีมีชีวต ิ ให้ตกล่วงไป
เสียงขับทีทําลายวัตร (คือวิธีเปลียนเสียง) นัน ๆ ทําอักขระ 2. เว้นจากถือเอาพัสดุอน ั เจ้าของมิได้ให้
ให้เสียชื อเสียงขับอันยาว. ส่วนในธรรม วัต รสํา หรับ สุต ตันตะก็มี 3. เว้นจากกรรมอันเป็ นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
วัต รสํา หรับชาดกก็มี วัต รสํา หรับคาถาก็มี การทียังวัตรนันให้เสีย 4. เว้นจากการกล่าวเท็จ
ทํ า เสี ย งให้ ย าวเกิน ไปไม่ ค วร. พึ ง แสดงบทและพยัญ ชนะให้ 5. เว้นจากการดืมนําเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็ นทีตังแห่งความ
ประมาท
เรียบร้อยด้วยวัตร (คือการเปลียนเสียง) อันกลมกล่อม.
6. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
บทว่า ÊÃÀÚí คือ การสวดด้วยเสียง. ได้ยน ิ ว่า ในสรภัญญะ
7. เว้น จากฟ้ อนรํา ขับ ร้อง ประโคมดนตรี และดู ก ารเล่นทีเป็ น
มี วตั ร 32 มี ต รังควัตร (ทํา นองดังคลืน) โทหกวัต ร (ทํา นองดังรีด
ข้าศึก
นมโค) คลิวตั ร (ทํา นองดังของเลือน) เป็ นต้น . ในวัต รเหล่า นัน 8. เว้นจากการทัดทรงตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอม และเครืองลูบ
ภิกษุ ยอ ่ มได้เพือใช้วตั รทีตนต้องการ. ไล้อนั เป็ นฐานแห่งการแต่งตัว
การทีไม่ยงั บทและพยัญชนะให้เสียคือ ไม่ทํา ให้ผิด เพียน 9. เว้นจากทีนังและทีนอนอันสูงและใหญ่
เปลียนโดยนัยทีเหมาะ ซึ งสมควรแก่สมณะนันแล เป็ นลักษณะแห่ง 10. เว้นจากการรับทองและเงิน
วัตรทังปวง. ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตสิกขาบท 10 นี แก่สามเณร
..................................... ทังหลาย และให้สามเณรทังหลายศึกษาในสิกขาบท 10 นี.
พระวินยั ปิ ฎก ภิกขุนีวภ ิ งั ค์ เล่ม 3 - หน้าที 215 .....................................
คําว่า ยตฺถ ฐิตา ปสฺสติ วา สุณ าติ วา มีความว่า ภิกษุ ณีเมือ
สิกขาบทเกียวกับคฤหัสถ์ผเู ้ ป็ นพรหมจารีบุคคล
แลดู โ ดยประโยคเดียวเห็น ได้ฟงั การขับ ร้อง การประโคมดนตรี
(พระอรหันต์สมาทานศีล 8 ตลอดชีวิต)
ของชนเหล่านันนันแหละ เป็ นปาจิตตีย์เพียงตัวเดียว แต่ถา้ เหลียว
ดู ทิศ หนึ งแล้วเห็นนักฟ้ อน เหลียวไปดู ทางอืนอีก เห็นพวกคนขับ อุโปสถสูตร
ร้อ ง มองไปทางอื น เห็ น พวกคนบรรเลง เป็ นอาบัติแ ละอย่า ง ๆ อง.ติก.20/510/233, องฺ .อฏฺ .23/132/230
หลายตัว. ดูกรนางวิสาขา อุโบสถมี 3 อย่าง คือ โคปาลกอุโบสถ 1
ภิกษุ ณียอ ่ มไม่ได้เพือจะฟ้ อนรํา หรือขับร้อง หรือประโคม นิคณั ฐอุโบสถ 1 อริยอุโบสถ 1
ดนตรีแม้เอง. แม้จะบอกคนเหล่า อืนว่า จงฟ้ อนรํา จงขับ ร้อง จง โคปาลกอุโบสถ เป็ นอย่างไร คือ เปรียบเหมือนนายโคบาล
บรรเลง ก็ไม่ได้. จะกล่าวว่า อุบาสก ! พวกท่านจงให้การบูชาพระ เวลาเย็นมอบฝูงโคให้แก่เจ้าของแล้ว พิจารณาดังนีว่า วันนีโคเทียว
เจดีย์ก็ดี จะรับคําว่า ดีละ ในเมือเขากล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทําการ ไปในประเทศโน้นๆ ดืมนําในประเทศโน้นๆ พรุง่ นีโคจักเทียวไป
ในประเทศโน้นๆ จักดืมนําในประเทศโน้นๆ แม้ฉน ั ใด ฉันนัน
บํา รุงพระเจดีย์ของพวกท่านก็ดี ย่อมไม่ได้. ท่า นกล่า วไว้ในทุก ๆ
เหมือนกัน คนรักษาอุโบสถบางคนในโลกนี พิจารณาดังนีว่า วันนี
อรรถกถาว่า เป็ นปาจิตตีย์ในฐานะทังปวง. เป็ นทุกกฏแก่ภิกษุ . แต่
เราเคียวของเคียวชนิดนี กินของชนิดนี พรุง่ นีเราจะเคียวของเคียว
เมือเขากล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทําการบํารุงพระเจดีย์ของพวกท่าน
ชนิดนี จักกินของกินชนิดนี เขามีใจประกอบด้วยความโลภอยาก
ภิกษุ ณีจะกล่าวว่า ได้ของเขา ทําวันให้ลว่ งไปด้ยความโลภนัน
อุบาสก ! ชือว่า การทํานุบํารุงเป็ นการดี ควรอยู.่ นิคณั ฐอุโบสถ เป็ นอย่างไร คือ นิครนฐ์นนชั ั กชวนสาวก
สองบทว่า ÍÒÃÒàÁ €Ôµ Ò มีความว่า ภิกษุ ณียืนอยูใ่ นอารามแล อย่างนีว่า มาเถอะพ่อคุณ ท่านจงวางทัณฑะในหมู่ส ัตว์ทีอยูใ่ นทิศ
เห็ น หรื อ ได้ ยิน การฟ้ อนรํา เป็ นต้ น ภายในอารามก็ ดี ภายนอก บูรพา ในทีเลยร้อยโยชน์ไป ฯลฯ นิครนถ์เหล่านันชักชวนเพือเอ็นดู
อารามก็ดี ไม่เป็ นอาบัติ. กรุณาสัตว์บางเหล่า ไม่ชกั ชวนเพือเอ็นดูส ัตว์บางเหล่า ด้วย
สองบทว่า สติ กรณีเย มีความว่า ภิกษุ ณีไปเพือประโยชน์ ประการฉะนี นิครนถ์เหล่านันชักชวนสาวกในวันอุโบสถเช่นนัน
แก่สลากภัต เป็ นต้น หรือด้วยกรณี ยะอืนบางอย่า ง เห็นอยู่ หรือได้ อย่างนีว่า มาเถอะพ่อคุณ ท่านจงทิงผ้าเสียทุกชินแล้วพูดอย่างนีว่า
ยินอยูใ่ นสถานทีตนไป ไม่เป็ นอาบัติ. เราไม่เป็ นทีกังวลของใครๆ ในทีไหนๆ ดังนี เขาชักชวนในการพูด
บทว่า อาปาทาสุ มี ค วามว่า ภิ ก ษุ ณี ถู ก อุ ป ัท วะเช่ น นัน เท็จ ในสมัยทีควรชักชวนในคําสัตย์ ด้วยประการฉะนี
เบียดเบียนเข้าไปสูส ่ ถานทีดูมหรสพ เข้าไปแล้วอย่างนี เห็นอยู่ก็ดี อริยอุโบสถ เป็ นอย่างไร ดูกรวิสาขา
1.จิตทีเศร้าหมองย่อมทําให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร คือ ย่อม
ได้ยน ิ อยูก
่ ็ดี ไม่เป็ นอาบัติ. คําทีเหลือ ตืนทังนัน.
ระลึกถึงพระตถาคตอยู่ จิตย่อมผ่องใส อริยสาวกนีเราเรียกว่ารักษา
สิกขาบทนี มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็ นกิรยิ า โน
พรหมอุโบสถ
สัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา 3
2.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงพระธรรมอยู่ จิตย่อม
ฉะนีแล. ผ่องใส, อริยสาวกนีเราเรียกว่ารักษา ธรรมอุโบสถ
..................................... 3.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ จิตย่อม
ผ่องใส, อริยสาวกนีเรียกว่ารักษา สังฆอุโบสถ

๑๒๙
4.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงศีลอันบริสท ุ ธิของตน บทวา ธมฺม อนุส ฺสรติ ความวา ระลึก ถึงโลกุตรธรรม พรอ ม
อยู่ จิตย่อมผ่องใส, อริยสาวกนีเรียกว่ารักษา สีลอุโบสถ กับพุทธพจน. ...
5.จิต ฯลฯ ย่อ มผ่ อ งแผ้ว ได้ฯ คื อ ย่อ มระลึก ถึง ศรัท ธา ศี ล สุ ต ะ บทวา ธมฺมุโปสถ ความวา อุโบสถนี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัส
จาคะ และปัญญาทังของตนและของเทวดาเหล่านันอยู่ จิตย่อมผ่อง เรียกวา ธัม มอุโ บสถ เพราะปรารภนวโลกุตรธรรม พรอ มกับพุท ธ
ใส, อริยสาวกนีเรียกว่ารักษา เทวดาอุโ บสถ พจนแลวเขาจํา.
ดู ก รนางวิสาขบู ช า พระอริย สาวกนันย่อมพิจ ารณาเห็น บทวา สฆ อนุสส ฺ รติ ความวา ระลึกถึงคุณของพระอริยบุคคล
ดังนี ว่า พระอรหันต์ ทงหลาย ั ละการฆ่า สัต ว์ ละการลักทรัพ ย์ ละ 8 จําพวก...บทวา สงฺฆุโปสถ ความวา อุโบสถนี้ตรัสเรียกวา สังฆอุโบสถ
กรรมเป็ นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ละการพูดเท็จ ละการดืมนําเมาคือ เพราะปรารภคุณของพระอริยบุคคล 8 จําพวกแลว จึงเขาจํา.
สุราและเมรัย ฉันหนเดียว งดการบริโภคในวิกาล เว้นขาดจากการ บทวา สีล านิ ความวา เปนคฤหัสถที่ระลึกถึงศีลของคฤหัส ถ
ฟ้ อนรําขับร้อง การประโคมดนตรี และการดูการเล่นอันเป็ นข้าศึก เปนบรรพชิต ก็ระลึกถึงศีลของบรรพชิต.
แก่กุ ศ ล จากการทัด ทรงประดับ และตกแต่งกายด้วยดอกไม้ข อง เหมื อ นอย างว า ร า งกาย ถึ ง จะตกแต งประดับประดาแลว
หอมเครืองประทินผิว ละการนังนอนบนทีนังทีนอนอันสูงใหญ่อยู่ (แต) เมื่อ แวน (สําหรับสอง) สกปรก มองดูก็ไมงาม เมื่อ แวนสะอาด
ตลอดชัวชีวต ิ แม้เราก็ละการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ตลอดคืนหนึ งกับวันหนึง จึงจะงามฉันใด อุโบสถที่เขาจําแลว ก็เชนนั้นเหมือนกัน เมื่อจิตเศรา
ในวัน นี เราชื อว่า ทํา ตามพระอรหันต์ ท งหลายแม้ั ด้ว ยองค์นี ทัง หมอง ก็ไมมีผลมาก เมื่อจิตบริสุทธิ์จึงจะมีผลมาก ฉะนี้แล.
อุโบสถจักชือว่าเป็ นอันเราได้รกั ษาแล้ว บทวา สีล ุโปสถ ความวา อุโบสถที่เขาจํา ดว ยอํานาจแหง
วิสาขา อริยสาวกนันแล ย่อมพิจารณาเห็นด้วยตนเองอย่าง การระลึกถึงศีลของตน ชื่อวา ศีล อุโบสถ.
นี ว่า ... พระอรหันต์ทงหลาย ั เว้นขาดจากการฟ้ อนรํา การขับร้อง บทวา เทวตา อนฺสส ฺ รติ ความวา ระลึกถึงคุณมีศรัทธาเปนตน
การประโคมดนตรีและดูการเล่น จากการประดับตกแต่งกายด้วย ของตน โดยตั้งเทวดาไวในฐานะเปนพยาน.
ดอกไม้ ของหอม และเครืองทาผิว อันเป็ นฐานแต่งตัวตลอดชีพ บทวา เทวตูโปสถ ความวา อุโบสถที่บุคคลระลึกถึงคุณธรรม
แม้เราในวันนีก็เว้นจากการฟ้ อนรํา การขับร้อง การประโคมดนตรี ของตน โดยตั้งเทวดาไวในฐานะเปนพยาน แลวเขาจํา ชื่อวา เทวดา
และดู ก ารเล่น จากการประดับ ตกแต่งกายด้ว ยดอกไม้ข องหอม อุโบสถ.
และเครืองทาผิวอันเป็ นฐานแต่งตัว ตลอดคืน และวันนี ด้วยองค์นี 1. บทวา ปาณาติปาต ไดแกการฆาสัตว. บทวา ปหาย ความ
เราได้ชือว่าปฏิบตั ิตามพระอรหันต์ทงหลายอย่ ั างหนึ ง และอุโบสถก็ วา ละความทุศีล กลาวคือ เจตนาเปนเหตุฆาสัตวนั้น. บทวา ปฏิวริ ตา
จักเป็ นอันเรารักษาแล้ว ความวางดคือเวนจากความเปนผูทุศีลนั้นตั้งแตเวลาที่ละไดแลว.
ดู กรวิสาขา อริยอุโ บสถเป็ นเช่นนี แล อริยอุโ บสถทีบุ คคล บทว า นิ หิตทณฺฑ า นิ หิต สตฺถ า มี อ ธิ บ ายวา ชื่ อ ว า ทั้ ง ทิ้ง
รักษาอย่า งนี แลย่อมมีผลมาก มี อานิสงส์มาก มี ค วามรุ่งเรืองมาก ทอ นไม ทั้งทิ้งศาตรา เพราะไมถือทอนไม หรือ ศาสตรา เปน ไปเพื่อ
เปรียบเหมือนผู้ใดพึงครองราชย์เป็ นอิศราธิบดีแห่งชนบทใหญ่ 16 ฆาผูอื่น. เวนทอนไมเสียแลว อุปกรณที่เหลือทัง้ หมด พึงทราบวา ชื่อ
แคว้นเหล่านี อันสมบูรณ์ ด้วยรัตนะ 7 ประการ การครองราชย์ของ ว า ศาสตรา ในบทว า นิ หิ ต ทณฺฑา นิ หิ ต สตฺถ า นี้ เพราะยั ง สั ต ว
ผู้นนยั
ั งไม่ถงึ เสียวที 16 แห่งอุโ บสถทีประกอบด้วยองค์ 8 ข้อนัน ทั้งหลายใหพินาศ. บทวา ลชฺชี ความวา ประกอบดวยความละอาย มี
เพราะเหตุ ไ ร เพราะราชสมบัติ ทีเป็ นของมนุ ษ ย์ เมื อนํ า เข้า ไป การรังเกียจบาปเปน ลักษณะ. บทวา ทฺย าปนฺน า ความวา ถึงความ
เปรียบเทียบกับสุขอันเป็ นทิพย์ เป็ นของเล็กน้อย ... ข้อนีเป็ นฐานะ เอ็นดูคือความเปนผูมีเมตตาจิต.
ที จะมี ไ ด้ คื อ สตรี ห รื อ บุ รุ ษ บางคนในโลกนี เข้ า จํา อุ โ บสถอัน บทวา สพฺพปาณภูตหิตานุกกมฺป ความวา อนุเคราะหสัตวมี
ประกอบด้วยองค์ 8 แล้ว เมื อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงความเป็ น ชีวิตทั้งปวง ดวยประโยชนเกื้อกูล อธิบายวา มีจิตเกื้อกูลเหลาสัตวมี
สหายของเทวดา...ชันปรนิมมิตวสวัสดี ชีวิตทั้งปวง เพราะความเปนผูมีใจเอ็นดูนั่นเอง.1
อรรถกถาอุโปสถสูตร เล่ม 34 หน้า 393 มมร. 2. การถือเอาสิ่งของที่เจาของไมไดให คือ ที่ผูอื่นหวงแหน
ชื่อ วาอทินนาทาน อธิบายวา ไดแ กการขโมย คือ งานของโจร. ชื่อ
อุโบสถที่เปรียบดวยจางเลี้ยงโค เพราะมีความวิตกวาจะไม
วา ทินน ฺ าทายี เพราะถือเฉพาะแตของทีเ่ ขาให. ชื่อวา ทินน ฺ ปาฏิกงฺข ี
บริสุทธิ์ ชื่อวา โคปาลกอุโบสถ.
เพราะจํานงหวัง
อุโบสถ คือการเขาจํา ของนิครนถทั้งหลาย ชื่อวา นิคัณ ฐอุโบสถ.
แมดวยจิต เฉพาะของที่เขาให. ชื่อวา เถนะ เพราะลักขโมย
อุ โ บสถคื อ การเข า จํ า ของพระอริ ย เจ า ทั้ ง หลาย ชื่ อ ว า อริย
ชื่อ วา อเถนะ เพราะไมลัก ขโมย ชื่อ วาเปน ผูส ะอาด เพราะไมลั ก
อุโบสถ ฉะนี้แล.
ขโมยนั่นเอง.
หน า ที่ 396 บทว า ตถาคต อนุ ส ฺส รติ ความว า ระลึ ก ถึ ง บทวา อตฺตนา ไดแ กมีอัตภาพ ทานอธิบายวา ทําอัตภาพที่
พระคุ ณ ของพระตถาคตดว ยเหตุ 8 ประการ. ก็ ใ นบทวา ตถาคต ไมลักขโมยใหสะอาดอยู.
อนุสส ฺ รติ นี้ ทานสงเคราะหเอาพระพุทธคุณทั้งหมด ทั้งที่เปนโลกิยะ 3. บทวา อพฺรหฺมจริย ไดแก การประพฤติที่ไมประเสริฐ. ชื่อ
และโลกุตระไวดวยคําวา อิติป โส ภควา ซึ่งขยายความออกไปวา วา พฺรหฺมจารี เพราะประพฤติธรรมอันประเสริฐ คืออาจาระอันสูงสุด.
เพราะศีลแมนี้ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น เพราะสมาธิแมนี้ พระ บทว า อาจารี ความวา ชื่ อ ว า มี อ าจาระชั่ ว เพราะไมประ
ผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ทรงแสดงพระคุณ ที่เปน สว นพระองค พฤตติธ รรมอัน ประเสริฐ . บทวา เมถุน า ไดแ กอ สัท ธรรมที่ถึงการ
เทานั้น ดวยมีอาทิวา อรห ดังนี้. บทวา ตถาคต อนุสสฺ รโต จิตฺต ปสีท นั บ ว า เมถุน เพราะซ อ งเสพดว ยธรรมอัน ไดน ามวา เมถุน เพราะ
ติ ความวา เมื่อ เขาระลึก ถึงพระคุณ ของพระตถาคตเจา ทั้งที่เปน คล า ยกั น โดยเป น กิเ ลสที่ก ลุม รุ ม จิต คื อ ราคะ. บทวา คามธมฺม า
โลกิยะและโลกุตระ จิตตุปบาทยอมผองใส. ไดแกธรรมของชาวบาน.
แตอุโบสถที่ผูมีจิตสะอาด2 อธิฏ ฐานองคอุโบสถแลวเขาจํา 4. บทวา มุส าวาทา ความวา จากการพูดเหลาะแหละ คือ
ยอมมีผลมาก. ฉันนั้นเหมือนกันดังนี้. พู ด คํ า ไร ป ระโยชน. ชื่ อ ว า สจฺ จ วาที เพราะพู ด ความจริ ง. ชื่ อ วา
บทวา พฺร หฺมุโปสถ อุป วสติ ความวา พระสัมมาสัมพุท ธเจา สจฺจ สนฺธ า เพราะสืบ ตอ สัจจะ ด ว ยสั จจะ อธิ บ ายวา ไม พู ด เท็จใน
เขาเรี ย กกั น ว า พระพรหม อุ โ บสถนี้ ชื่ อ ว า พรหมอุโ บสถ ด ว ย ระหวาง ๆ. เพราะวา ผูใ ดบางครั้งก็พูด เท็จ บางครั้งก็พูดจริง ผูนั้น
สมาทานแหงการระลึกถึงคุณของพระพรหมนั้นเขาจํา พรหมอุโบสถ ชื่ อ ว า ไ ม สื บ ต อ สั จ จ ะด ว ย สั จ จ ะเ พร า ะมี มุ ส า ว า ท ม า ขี ด คั่ น .
นั้น . บทวา พฺร หฺมุน า สทฺธ ึ สว สติ ความวา คบหากับพระสัมมาสัม เพราะฉะนั้น เขาจึงไมชื่อวา มีสัจจะตอเนื่อง.
พุทธเจา. บทวา พฺรหฺมฺจสฺส อารพฺภ ความวา ปรารภสัมมาสัมพุทธเจา. แตคนเหลานี้ไมเปนเชนนั้น สืบตอคําสัตยดวยคําสัตยอยาง

๑๓๐
เดียว โดยไมยอมพูดเท็จ แมเพราะเหตุแหงชีวิต เพราะฉะนั้น จึงชื่อ อาสนฺท ิ มาหรือเกาอี้สําหรับนั่ง ปลฺลงฺโก แทนหรือเตียงมีรูปสัตว
วา มีสัจจะตอเนื่อง. บทวา เถตา แปลวา มั่น คง อธิบายวา มีถอ ยคํา รายที่เทา โคณโก เครื่องลาดทําดวยขนแกะสีดาํ ขนยาวมาก จิตต ฺ ก
ิ า
มั่นคง. คนผูหนึ่งเปนผูไมมถ ี อยคํามั่นคง เหมือนการยอมผาดวยขมิน ้ " " " ป ก หรือ ทอเป น ลาย ปฏิก า " " " สี ข าว ปฎลิก า " " " ป ก เปน
เหมือ นหลักที่ปกไวบนกองแกลบ และเหมือนลูกฟกที่วางไวบนหลัง สัณฐานพวงดอกไม ตูล ิกา ฟูกยัดนุนหรือสําลี วิก ติกา เครื่องลาดทํา
มา แตอีก ผูหนึ่ง มีถอ ยคํามั่น คงเหมือ นรอยจารึ ก บนแผน ดิน และ ดว ยขนแกะวิจิตรดวยรูปสีหและเสือเปนตน อุท ฺธ โลมิ " " " มีข นตั้ง
เหมือ นเสาอินทขีละ ถึงจะเอาดาบตัดศีรษะก็ไมยอมพูดเปนคําสอง. เอกนฺตโลมิ " " " มีขนลมไปขางเดียวกัน กฏิสส ฺ  เครื่องลาดทอดวย
คนผูนี้ ชื่อวา เถตะ. มีถอยคํามั่นคง. ดายทองแกมไหม โกเสยฺย เครื่องลาดทอดวยไหมลวน กุตฺตก เครื่อง
บทว า ปจฺ จ ยิก า ได แ ก ว างใจได อธิ บ ายว า . เชื่ อ ถื อ ได. ลาดทําดวยขนแกะ กวางพอนางระบํายืนฟอนรําได 16 คน หตฺถตฺถร
เพราะคนบางคน เชื่อถือไมได คือเมื่อถูกเขาถามวา คํานี้ใครพูด พอ เครื่อ งลาดหลังชาง อสฺสตฺถร เครื่อ งลาดหลังมา รถตฺถร เครื่องลาด
ตอบว า คนโน น พู ด ก็ จ ะถึ ง ความเป น ผู อัน เขาพึ ง พู ด ว า อย า เชื่อ บ น ร ถ อ ชิ น ปฺ ป เ ว ณิ เ ค รื่ อ ง ล า ด ทํ า ด ว ย ห นั ง อ ชิ น 1 ก า ท ลิ
คําพูดของมัน แตคนผูหนึ่ง พูดเชื่อถือได คือเมื่อถูกถามวา คํานี้ใคร มิคปวรปจฺจตฺถรณ ที่นอนอยางดีหุมดวยหนังกทลิมฤค2 สอุตต ฺ รจฺฉท
พูด พอตอบวา คนโนนพูด ก็จะถึงการรับรองวา ถาคนนั้นพูด ขอนีก ้ ็ ที่น อนประกอบดวยผาดาดเบื้องบน อุภ โตโลหิตกุปธาน3 มีหมอนสี
ถือ เปน ประมาณได บัด นี้ไ มมีขอ ที่จะตองทัก ทว ง คํานี้ เปน อยางนี้ แดงสองขาง (มีหมอนขาง)
อยางนี้. คนผูนี้ เรียกวา เปน ที่วางใจได. บทวา อวิสว าทกา โลกสฺส
อุจจาสยนมหาสยนะชนิด นี้ ๆ พระโคดมผูเจริญ เห็น จะมีอ ยู
มีอธิบายวา ไมพูดลวงโลก เพราะพูดแตความจริงเทานั้น.
พอการ หาไดไมยาก ไดอยางไมฝดเคืองเปนแน
5. เหตุแหงความประมาทกลาวคือ เจตนา ที่จะดื่มน้ําเมาคือ
บทวา กีว มหปฺผโล ความวา มีผลมากขนาดไหน. แมในบทที่
สุราและเมรัย ชื่อวา สุราเมรยมัชชปมาทัฏ ฐาน.
เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
6. บทวา เอกภตฺตก ิ า ความวา อาหารมี 2 เวลา คือ อาหารที่
บทวา ปหุตส ฺ ตฺตรตนาน ความวา ประกอบดวยรตนะกลาวคือ
จะตองรับประทานในเวลาเชา 1 อาหารที่จะตองรับประทานในเวลา
แกวมากมาย อธิบายวา ปราบพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นใหเปนเหมือนหนา
เย็น 1 บรรดาอาหารทั้งสองอยางนัน ้ อาหารที่จะรับประทานในเวลา
กลอง แลวเทรตนะทัง้ 7 ลงสูงเทาสะเอว. บทวา อิสส ฺ ริยาธิปจฺจ ความ
เชา กําหนดโดยเวลาภายในเที่ยงวัน (สวน) อาหารที่จะรับประทาน
วา (เสวยราชสมบัติ) ที่เปน ใหญหรือ เปน อธิบดี ทั้งโดยความเปน
ในเวลาเย็น นอกนี้กําหนดโดยเวลาแตเลยเที่ยงไป จนถึงเวลาอรุณ
อิส ระ ทั้งโดยความเปน อธิบดีไ มใ ชเปน ใหญ หรือ เปน อธิบดี โดย
ขึ้น. เพราะฉะนั้นในเวลาภายในเที่ยงถึงจะรับประทาน 10 ครั้ง ก็ชื่อ
ความเป น พระราชาที่ หนัก พระทัย ชื่ อ ว า เสวยไอศวรรยาธิปตย
วา มีการรับประทานอาหารเวลาเดียว.
เพราะไมมีอาชญากรรมที่รายแรง (คดีอุกฉกรรจ) ดังนี้บาง. บทวา
พระผู มี พระภาคเจ าตรัส วา เอกภตฺติก า ทรงหมายถึงการ
รชฺช กา รยฺย ไดแก เสวยจักรพรรดิราชสมบัติเห็นปานนี้.
รับประทานอาหารภายในเวลาเที่ยงวัน. การรับประทานอาหารใน
คําวา องฺคาน เปนตน เปนชื่อของชนบทเหลานั้น. บทวา กล
เวลากลางคืน ชื่อ วา รตฺติ ผูเวน จากการรับประทานอาหารในเวลา
นาคฺฆติ โสฬสึ ความวา แบงบุญในการอยูจําอุโบสถ ตลอดวันและ
กลางคื น นั้ น เพราะฉะนั้ น จึ ง ชื่ อ ว า รตฺ ตูป รตา. การรั บ ประทาน
คืน หนึ่งออกเปน 16 สวนแลว จักรพรรดิราชสมบัติ ยังมีคาไมถึงสวนเดียว
อาหารในเวลาเลยเที่ยงวันไป จนถึงเวลาพระอาทิตยตกดิน ชื่อวา
จาก 16 สว นนั้น. อธิบายวา ผลวิบากของสวนที่ 16 ของอุโบสถคืน
การรับประทานอาหารในเวลาวิก าล ผูชื่อ วาเวน จากวิก าลโภชน
หนึ่งมากกวาจักรพรรดิราชสมบัติ ของพระเจาจักรพรรดินั้น.
เพราะเวนจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาลนั้น.
บทวา กปณ ไดแกเล็กนอย. บทวา อพฺรหฺมจริยา ไดแก จาก
7. การดูทช ี่ อ
ื่ วาเปนขาศึก คือ เปนศัตรู เพราะอนุโลมตามคํา
ความประพฤติอันไมประเสริฐ. บทวา รตฺตึ น ภุฺเชถ วิก าลโภชน
สอนไมไ ด (ขัด ตอ ศาสนา) เพราะฉะนั้น จึงชื่อ วา วิส ูก ทัส สนะ
ความวา เมื่อ เขาจําอุโบสถไมควรบริโภคอาหารในเวลากลางคืน
การฟอนรํา การขับรอง การดีดสีตีเปา แมดวยสามารถแหง
และอาหารในเวลากลางวัน อันเปนเวลาวิกาล. บทวา มฺเจ ฉมาย ว
การฟอนดวยตนเอง และการใหผูอื่นฟอนเปนตน และการดูการราย
สเยถ สนฺถ เต มีอ ธิบายวา ควรนอนบนเตียงที่เปน กัปปยะ. มีเทาสูง
รําเปน ตน ที่เปน ไปแลว โดยที่ สุด แมดว ยสามารถแหงการรําแพน
ศอกกํา หรือ พื้น ที่ ๆ เขาเทไวดว ยปูนขาวเปน ตน หรือ บนสัน ถัด ที่
ของนกยูงเปนตน ที่เปนขาศึก เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา นัจจคีตวาทิตวิ
เขาปูลาดดวยหญา ใบไมหรือฟางเปนตน.
สูก ทัส สนะ. ก็ก ารประกอบการฟอนเปน ตน ดว ยตนเองก็ดี การให
บทวา เอต หิ อฏงฺคิกมาหุโปสถ ความวา นัก ปราชญเรียก
ผูอื่น ประกอบก็ดี การดูก ารฟอ นเปน ตน ที่เขาประกอบแลว ก็ดี ไม
อุโบสถที่ผูไมละเมิด ปาณาติบาตเปนตน เขาจําแลว อยางนี้ วาเป น
ควรแกภิกษุภิกษุณีเลย.
อุโบสถประกอบดวยองค 8 เพราะประกอบดวยองค 8 ประการ.
ในบรรดามาลาเปนตน ดอกไมอยางใดอยางหนึ่ง ชื่อวา มาลา.
สว นผูที่เขาจําอุโบสถประกอบดว ยองค 8 นั้น คิด วา พรุงนี้
คันธชาต อยางใดอยางหนึ่ง ชื่อวา ของหอม. เครื่องประเทืองผิว ชื่อ
เราจัก รักษาอุโบสถ แลว ควรตรวจสอบสิ่งที่ตองจัด มีอ าหารเปนตน
วา วิเลปนะ. ในบรรดาสิ่งเหลานั้น เมื่อประดับประดา ชื่อวา ทัดทรง.
วา เราตองกระทําอยางนี้ อยางนี้ ในวันนี้ทีเดียว. ในวันอุโบสถควร
เมื่อ เสริมสว นที่บกพรอง ชื่อ วา ตกแตง . เมื่อ ยิน ดี ดว ยของหอมก็ดี
เปลงวาจาสมาทานองคอุโบสถ ในสํานักของภิกษุ ภิก ษุณี อุบาสก
ดวยเครื่องประเทืองผิวก็ดี ชื่อวา ประดับประดา.
หรืออุบาสิกา ผูรูลักษณะของศีล 10 แตเชา ๆ.
เหตุ พ ระผู มี พ ระภาคเจ า ตรั ส เรี ย กว า ฐ านะ. อธิ บ ายว า
สวนผูไมรูบาลี ควรอธิษฐานวา พุท ฺธปฺตฺต อุโปสถ อธิฏ  ามิ
เพราะฉะนั้น มหาชนกระทําการทัดทรงดอกไมเปนตนเหลานั้น ดวย
(ขาพเจาขออธิษฐาน องคอุโบสถที่พระพุทธเจา ทรงบัญญัติ
เจตนาคือความเปนผูทุศีลอันใด พระอรหันตทั้งหลายเปนผูเวนจาก
ไวแ ลว ). เมื่อ หาคนอื่น ไมไ ด ก็ควรอธิษฐานดว ยตนเอง. สว นการ
ทุศีลเจตนานั้น.
เปลงวาจา ควรทําโดยแท
8. ที่นั่งที่นอนเกินขนาด ตรัสเรียกวา อุจจาสยนะ. เครื่องปูลาดที่
ผู เ ข า จํ า อุ โ บสถ ไม พึ ง วิ จ ารการงาน อั น เนื่ อ งด ว ยความ
เปน อกัปปยะ (ไมส มควร) ชื่อ วา มหาสยนะ อธิบายวา พระอรหันต
บกพรอ งของคนอื่น ผูคํานึงถึงผลไดผลเสียไมควรปลอ ยเวลาให
ทั้งหลายเปนผูเวนจากที่นั่งที่นอนสูง และที่นั่งที่นอนใหญนั้น.
ลว งเลยไป. สว นผูไดอาหารในเรือนแลว ควรบริโภคเหมือนภิกษุผู
เวนาคสูตร องฺ.ติก.20/503/173 ไดอ าหารประจํา แลว ตรงไปวิหาร ฟงธรรม หรือ มนสิก ารอารมณ
พราหมณวัจฉโคตรชาวบานเวนาคปุระ กราบทูล พระผูมีพระ (กัมมัฏฐาน) 38 ประการ อยางใดอยางหนึ่ง. จบอรรถกถาอุโปสถสูตร
ภาคเจาวา ขาแตพระโคคมผูเจริญ อุจจาสยนะ (ที่นั่งที่นอนสูง) และ .....................................
มหาสยนะ (ที่นั่งที่นอนใหญ) ทั้งหลาย คือ

๑๓๑
โรณสูตร องฺ .ติก.20/547/292 ทรงปรารถสักการบูชา
ความร่าเริงและความเบิกบานในธรรม [129] สมัยนัน ไม้สาละทังคู่เผล็ด ดอกบานสะพรังนอก
[547] ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ฤดู กาล ดอกไม้เหล่า นัน ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของ
การร้องไห้ในวินยั ของพระอริยะ คือ การขับร้อง พระตถาคตเพือบู ช าพระตถาคต. แม้ด อกมณฑารพอันเป็ นของ
ความเป็ นบ้าในวินยั ของพระอริยะ คือการฟ้ อนรํา ทิพย์ก็ต กลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหล่านัน ร่วงหล่นโปรย
ความเป็ นเด็กในวินยั ของพระอริยะ คือการหัวเราะจนเห็น ปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพือบูชาพระตถาคต. แม้จุณ
ฟันอย่างพรําเพรือ เพราะเหตุนนในเรื ั องนี พึงชักสะพานเสีย แห่ง จัน ทน์ อ น ั เป็ นของทิพ ย์ ก็ ต กลงจากอากาศ จุ ณ แห่ง จัน ทน์
ในส่วนการขับร้อง การฟ้ อนรํา (ส่วนการหัวเราะนัน) เมือ เหล่า นันร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคต เพือ
ท่านทังหลายเกิดธรรมปราโมทย์ (ความยินดีรา่ เริงในธรรม) ก็ควร บูชาพระตถาคต.
แต่เพียงยิมแย้ม. ดนตรีอน ั เป็ นทิพย์ เล่า ก็ ประโคมอยู่ในอากาศ เพือบู ชาพระตถาคต
อรรถกถาโรณสูตร เล่ม 34 หน้า 516 มมร. แม้สงั คีต อันเป็ นทิพย์ ก็เป็ นไปในอากาศ เพือบู ช าพระตถาคต.
ถามว่า เรืองราวเกิด ขึ นอย่า งไร. ตอบว่า เรืองเกิด ขึ นใน ครังนัน พระผู้มี พระภาคเจ้า รับ สังกะท่า นพระอานนท์ ว่า
เพราะอนาจาร (การประพฤตินอกรีดนอกรอย) ของพระฉัพพัคคีย์ ดูกอ ่ นอานนท์ ไม้สาละทังคู่ เผล็ดดอกบานสะพรังนอกฤดูกาล ร่วง
ทังหลาย. เล่า กัน มาว่า พระฉัพ พัค คีย์ เ หล่า นัน ขับ ร้อ ง ฟ้ อนรํา หล่ น โปรยปรายลงยัง พระสรี ร ะของพระตถาคตเพื อบู ช าพระ
หัวเราะ เทียวไป. ภิกษุ ทงหลาย ั พากันกราบทูลพระทศพล พระ ตถาคต. แม้ด อกมณฑารพอันเป็ นของทิพย์. . . แม้จุณ แห่งจันทน์
บรมศาสดาตรัสเรียกภิกษุ ฉพ ั พัค คีย์เหล่า นันมา แล้วทรงปรารภ อันเป็ นของทิพย์. . . แม้ดนตรีอน ั เป็ นทิพย์เล่า. . . แม้สงั คีตอันเป็ น
พระสูตรนี เพือพุทธประสงค์ จะทรงสังสอนภิกษุ เหล่านัน. ทิพย์ ย่อมเป็ นไปในอากาศ เพือบูชาพระตถาคต
บรรดาบทเหล่านัน บทว่า รุณฺ ณํ แปลว่า การร้องไห้. ดู ก่ อ นอานนท์ พระตถาคตจะชื อว่ า อัน บริ ษ ัท สัก การะ
บทว่า อุมฺ ม ตฺ ต กํ ได้แก่ กิรยิ าของคนบ้า. เคารพ นับ ถือ บู ช านอบน้อมด้วยเครืองสักการะประมาณเท่า นีหา
บทว่า โกมาริกํ ได้แก่ เรืองทีเด็กๆ จะต้องกระทํา. มิได้ ผู้ใ ดแลจะเป็ นภิกษุ ภิกษุ ณี อุบ าสก หรืออุบาสิกาก็ตาม เป็ นผู้
บทว่า ทนฺ ต วิทํสกหสิตํ ได้แก่ การหัวเราะด้วยเสียงอันดัง ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบตั ิชอบ พระพฤติตามธรรมอยู่ ผู้
ของผู้ยิงฟัน ปรบมื อ. ด้วยบทว่า เสตุ ฆาโต คี เต พระผู้มี ด้วยเสียง นันย่อมชื อว่า สักการะ เคารพ นับ ถื อ บู ช า ด้ ว ยการบู ช าอย่า งยิง
อันดัง ทรงแสดงว่า การตัด ปัจจัย ในการขับ ร้องของเธอทังหลาย เพราะเหตุนนแหละ ั อานนท์ พวกเธอพึงสําเหนียกอย่างนีว่า เราจัก
จงยกไว้ก่อน เธอทังหลาย จะละการขับร้อง พร้อมทังเหตุ . แม้ใน เป็ นผู้ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบตั ิชอบ ประพฤติตามธรรม
การฟ้ อนรํา ก็มีนยั นี อยู่.
เหมื อนกัน. บทว่า อลํ แปลว่า ควรแล้ว. เหตุ ต รัสเรียกว่า .....................................
ธรรม ในบทนี ว่า ธมฺ ม ปฺ ป โมทิต านํ สตํ เมื อคนทังหลาย รื นเริง อรรถกถายสเถรคาถา ขุ.เถร.50 หน้า 529 มมร.
บันเทิงอยู่ด้วยเหตุ บ างอย่า ง บทว่า สิตํ สิต มตฺต าย มี ค ํา อธิบ ายว่า เราออกจากภพแล้ว ได้ เ ห็ น พระพุ ท ธเจ้า พระนามว่า สุ
เมือมีเหตุทีต้องหัวเราะ การหัวเราะทีเธอจะกระทําเพียงเพือยิม คือ เมธะ ผู้นําของโลก มีจต ิ เลือมใส โสมนัส ได้ถวายบังคมพระองค์ผม ู้ ี
เพือแสดงเพียงอาการเบิกบาน ให้เห็นปลายฟันเท่า นัน ก็พอแล้ว ยศใหญ่ ครันถวายบังคมแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระองค์ พร้อมด้วย
สําหรับเธอทังหลาย. ศิษ ย์พระพุทธเจ้า ผู้เป็ นนักปราชญ์ พระนามว่า สุเมธะ พระผู้นํา
..................................... ของโลกทรงรับ พระมหามุ นีกล่าวธรรมกถาแก่เรา แล้วส่งเราไป
การใช้ดนตรีและการขับร้องเพือประโยชน์ต่างๆ เราถวายบังคมพระสัม พุทธเจ้า เสร็ จแล้วกลับ เข้า ภพของเรา เรา
การใช้ทาํ นองการขับร้องรักษาพระธรรมวินยั เรี ย กบริว ารชนมาสังว่า ท่า นทังหลายจงมาประชุ ม กัน เวลาเช้า
พระวินยั ปิ ฎก มหาวิภงั ค์ เล่ม 1 ภาค 1 - หน้าที พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาสูภ ่ พของเรา การทีเรา ทังหลายจะได้อยู่ใ น
[พระเจ้าเทวานัมปิ ยดิสสร้างมณฑปเพือทําจตุตถสังคายนา] สํานักของพระองค์ เป็ นลาภทีเราทังหลายได้ดีหนอ แม้เราทังหลาย
พระราชา ทรงรับว่า ดีละ เจ้าข้า ! แล้วรับสังให้สร้างมณฑป จัก ทํ า การบู ช าแด่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ผู้ ป ระเสริ ฐ สุ ด ผู้ ศ า สดา เร า
ด้วยราชานุภาพ ซึ งเป็ นเช่นกับมณฑปทีพระเจ้าอชาตศัตรุมหาราช ตระเตรียมข้า วและนําเสร็จแล้ว จึงกราบทูลเวลาเสวยภัต ตาหาร
ทรงสร้างในคราวทีม หาสังคีติ (คือสังคายนาครังแรก) พระพุทธเจ้าผู้นําของโลก เสด็ จเข้ามาพร้อมด้วยพระอรหันต์หนึ ง
แสน เราได้ทาํ การต้อนรับ ด้วยสังคีตและดนตรี พระพุทธเจ้าผูเ้ ป็ น
.....................................
อุ ด มบุ รุ ษ ประทับ สัง คีต และดนตรี พระพุ ท ธเจ้า ผู้ เ ป็ นอุด มบุ รุษ
การบูชาด้วยการขับร้องและประโคมดนตรี
ประทับนังบนตังทองล้วน ในกาลนัน หลังคาเบืองบนก็มุงด้วยทอง
มหาปรินิพพานสูตร ที.ม.10/128/111 ล้ว น ๆ คนทังหลายโบกพัด ถวาย ในระหว่า งภิ ก ษุ สงฆ์ เราได้
บรรทมอนุฏฐานไสยา อังคาสภิกษุ สงฆ์ให้อมหนํ ิ า ด้วยข้าวและนําเพียงพอ ได้ถวายผ้าแด่
[128] ครังนัน พระผู้ มี พ ระภาคเจ้ า ตรัส กะท่ า นพระ ภิ ก ษุ สงฆ์ รู ป ละหนึ งคู่ พระพุ ท ธเจ้า ที เขาเรี ย กกัน ว่า สุ เ มธะ ผู้
อานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักไปยังฝังโน้นแห่งแม่นําหิรญ ั วดี สมควรรับ
เมื องกุสินาราและสาลวัน อันเป็ นทีแวะพักแห่งมัลลกษัตริย์. ท่า น ขุ.อป.หน้า 70 หน้า 33 มมร.
พระอานนท์ทูลรับ พระดํา รัสของพระผู้มี พระภาคเจ้า แล้ว. ลํา ดับ เมือสถานทีนัน ของสุเมธดาบสยังตกแต่งไม่เสร็จเลย พระ
นัน พระผู้มี พระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์หมู่ใ หญ่ เสด็ จไปยัง ทีปงั กรทศพลห้อมล้อมด้วยพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา 6 มีอานุภาพ
ฝังโน้นแห่งแม่นําหิรญ ั วดี เมื องกุสินาราและสาลวันอันเป็ นทีแวะ มากสีแสน เมื อเหล่าเทวดาบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ทพ ิ ย์เป็ น
พัก แห่ง มัล ลกษัต ริย์ รับ สังกะท่า นพระอานนท์ ว่า เธอจงช่วยตัง ต้น บรรเลงดนตรีทพ ิ ย์ ขับสังคีตทิพย์ เมือเหล่ามนุษย์บูชาด้วยของ
เตี ย งให้เ รา หัน ศี ร ษะไปทางทิศ อุ ด รระหว่า งไม้ ส าละทังคู่ เรา หอมและดอกไม้เป็ นต้น และดนตรีอน ั เป็ นของมนุษย์ พระองค์ได้
เหนือยแล้วจักนอน. เสด็ จดํา เนินตามทางทีตกแต่งประดับประดานัน ด้วยพุทธลีลาอัน
ท่า นพระอานนท์ทูลรับ พระดํา รัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า หาอุปมามิได้ ประดุจราชสีห์เยืองกรายบนมโนศิลาฉะนัน.
แล้ว ตังเตียงหันพระเศียรไปทางทิศอุดรระหว่างไม้สาละทังคู.่ พระ .....................................
ผู้มี พระภาคเจ้า ทรงสํา เร็จสีหไสยาโดยปรัศ ว์เบื องขวา ทรงซ้อน
พระบาทด้วยพระบาท มีพระสติสมั ปชัญญะ.

๑๓๒
อรรถกถาจิตกปูชกเถราปทาน ขุ.อป.71 หน้า 397 มมร. กํา ลังโพลงฉะนัน.
อปทานของท่า นพระจิตกปูชกเถระ อันมีคาํ เริมต้นว่า วสา เมื อไรหนอพี จัก ได้ ห ยังลงสู่ ร ะหว่ า งถัน ยุ ค ล และอุ ท ร
มิ ราชายตเน ดังนี. ประเทศของน้อง ดุ จช้างสารทีถูกแดดแผดเผาในฤดูรอ้ น หยังลงสู่
แม้ พ ระเถระรู ป นี ก็ ไ ด้ เ ค ยบํ า เพ็ ญ กุ ศ ลม า แล้ ว ใ น สระโบกขรณี มี นํ าอัน เย็ น ประกอบด้ว ยเกสร ละอองดอกปทุ ม
พระพุทธเจ้า พระองค์กอ ่ น ๆ เบื องหน้า แต่ทีได้เกิดแล้วในภพ จะ ฉะนัน .
สร้างสมแต่บุญอันเป็ นอุปนิสยั แห่งพระนิพพาน ในกาลแห่งพระผู้ พี หลงใหลในนิ มน้ อ งผู้ มี ข างาม จึ ง ไม่ รู ้จ ก ั เหตุ ก ารณ์
มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิขี ได้เกิดเป็ นรุกขเทวดาอยูป ่ ระจํา ประดุจช้างสารทีเหลือขอ เข้า ใจว่า ตนชนะขอและหอกแล้ว แม้ถูก
ไม้เกด ในระหว่างนัน ได้ฟงั ธรรมร่วมกับพวกเทวดา เลือมใสแล้ว แทงอยู่ก็ไม่รูส ้ ึก ฉะนัน.
เมื อพระผู้ มี พ ระภาคเจ้ า ปริ นิ พ พานแล้ ว ตนพร้อ มกับ บริ ว าร พี มี จิต ปฏิพท ั ธ์ใ นน้อง ไม่อาจจะกลับ จิต ทีปรวนแปรแล้ว
ช่ ว ยกัน ถื อ ของหอม เที ย น ธู ป ดอกไม้ และเภรี เป็ นต้ น ไปยัง ได้ ดุ จปลาทีกลืนเบ็ ด ฉะนัน.
สถานทีประชุมเพลิงพระบรมศพของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บูชา เชิ ญ น้ องผู้เ ป็ นเทพกัล ยาณี มี ลํ า ขาอัน งาม มี น ยั น์ ต าอัน
ด้วยเทียนเป็ นต้นแล้ว ก็บู ช าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นน ั ด้วย ชมดชม้อ ย จงสวมกอดคลึงเคล้า พี พี ปรารถนาดังนี ยิงนัก ส่ว น
ดนตรีและสังคีตนานาชนิด. ตังแต่นนมา ั ถึงตนเองจะกลับไปยังภพ ความรัก ของพี มี ไ ม่น้อ ย ดุ จ ทักษิ ณ าอัน บุ ค คลถวายแล้ว ในพระ
ด้วยดนตรีและสังคีตนานาชนิด. ตังแต่นนมา ั ถึงตนเองจะกลับไป อรหันต์ ฉะนัน.
ยัง ภพของตนแล้ ว ก็ ต าม ยัง คงระลึ ก ถึ ง พระผู้ มี พ ระภาค เจ้ า แน่ ะ น้ อ งผู้งามทัวสรรพางค์ บุ ญพีทีทํา ไว้ใ นพระอรหันต์
เหมือนเดิม คล้ายกับว่ากําลังถวายบังคมอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์. ด้วย ทังหลาย บุ ญนันพึงอํา นวยผลให้พีกับ น้องได้ร่วมรักกัน.
บุญนันนันแหละ เทพบุตรนันมีจต ิ เลือมใส จุติจากต้นเกดไปเกิดยัง บุ ญทีพีได้กอ ่ สร้างไว้ในปฐพีมณฑลนี จงอํานวยผลให้พีกับ
ภพมีภพดุสต ิ เป็ นต้น เสวยทิพยสมบัติแล้ว ต่อแต่นน ั (ก็ได้มาเกิด) น้องได้ร่วมรักกัน.
ในมนุษย์ เสวยมนุษยสมบัติ แน่ ะ น้องสุริยวัจฉสา พีเสาะหาน้อง ดุ จ พ ระ สัก ย บุ ต ร
..................................... พุ ทธมุ นีมี พระสติปญ ั ญาเข้า ฌานอยู่โดดเดี ยว แสวงหาอมตธรรม
เรืองอสทิสทาน [146] ขุ.ธ.42 หน้า 262 มมร. ฉะนัน.
พระศาสดา เมือประทับอยูใ่ นพระเชตวัน ทรงปรารภอสทิ พระพุทธมุนีทรงบรรลุส ัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว พึงทรง
สทาน ตรัสพระธรรมเทศนานีว่า " น เว กทริยา เทวโลก วชนฺติ " เพลิดเพลินฉันใด พีถึงความคลอเคลียกับน้องแล้ว จึงเพลิดเพลิน
เป็ นต้น. ฉันนัน.
" ข้ า แต่ พ ระมหาราชเจ้า ขอพระองค์ จ งรับ สังให้เ ขาทํา ถ้ า ท้ า วสัก กะผู้ เ ป็ นใหญ่ แ ห่ ง ทวยเทพชันดาวดึ ง ส์ พึ ง
มณฑปสําหรับนังภายในวงเวียน เพือภิกษุ ประมาณ 500 รูป ด้วย ประทานพรแก่พีไซร้ น่ อง พี ขอเลือกน้อง (ทันที ) ความรักของพี
ไม้ เ รี ย บที ทํา ด้ว ยไม้สาละและไม้ข านาง พวกภิ ก ษุ ที เหลื อจักนัง มันคงอย่า งนี
ภายนอกวงเวี ย น; ขอจงรับ สังให้ทํา เศวตฉัต ร 500 ค น ั . ช้ า ง แน่ ะ น้ อ งผู้มีป รีช าดี น้ อ งมี ค วามงามเช่น นี เป็ นธิดาของ
ประมาณ 500 เชื อก จักถือเศวตฉัตรเหล่า นัน ยืนกันอยู่เบื องบน ท่า นผู้ใด พีขอนอบน้อมกราบไหว้ท่านผู้นน ั ผู้ป ระหนึ งว่าไม้รงั ซึ ง
แห่ง ภิ ก ษุ ประมาณ 500 รู ป . ขอจงรับ สังให้ทํา เรื อ สํา เร็ จ ด้ ว ย ผลิต ดอกออกผลยังไม่นาน คือบิด าของน้อง ดังนี
ทองคํ า อัน มี สี สุ ก สัก 8 ลํ า หรื อ 10 ลํ า , เรื อ เหล่ า นันจัก มี ณ [249] เมื อปัญจสิข คนธรรพเทพบุ ต ร กล่า วอย่า งนี แล้ว
ท่า มกลางมณฑป. เจ้า หญิง องค์ห นึ ง ๆ จัก นังบดของหอมอยู่ใ น พระผู้มี พระภาคเจ้าได้ตรัสกะเธอว่า ปัญจสิข ะ เสียงพิณ ของท่าน
ระหว่างภิกษุ 2 รูป ๆ, เจ้าหญิงองค์หนึ ง ๆ จักถือพัดยืนพัดภิกษุ 2 ย่อมกลมกลืนกับ เสียงเพลงขับ และเสียงเพลงก็กลมกลืนกับ เสียง
รู ป ๆ, เจ้า หญิง ที เหลื อ จัก นํ า ของหอมที บดแล้ว ๆ มาใส่ใ นเรือ พิณ อนึ ง เสียงพิณ และเสียงเพลงขับ ของท่า นพอเหมาะกัน ปัญจ
ทองคําทังหลาย. บรรดาเจ้าหญิงเหล่านัน สิขะ ก็คาถาเหล่านี ท่านร้อยกรองไว้แต่ครังไร ?
เจ้าหญิงบางพวกจักถือกําดอกอุบลเขียว เคล้าของหอมทีใส่ ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ ครังเมือพระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัส
ไว้ใ นเรือทองคําแล้ว จักให้ภิกษุ รบ ั เอาไออบ; เพราะเจ้าหญิงไม่มี รู ้ ประทับอยู่ ณ อชปาลนิโครธ ใกล้ฝงแม่ ั นําเนรัญชรา ในอุรุเวลา
แก่ชาวพระนครเลยทีเดียว. เศวตฉัตรก็ไม่มี. ช้างก็ไม่มี. ชาวพระ ประเทศ. สมัยนันแล ข้า พระองค์ย่อมมุ่งหวังนางสุริยวัจฉสา ซึ ง
นครจักพ่ายแพ้ด้วยเหตุเหล่านี, เป็ นธิด าของท้าวคนธรรพราช ชื อติม พรุ ก็แต่นางรักผู้อืนอยู่ นาง
..................................... มุ่งหวังบุ ต รแห่งมาตลีเทพสารถี ชื อสิข ณ ั ฑิ เมื อข้า พระองค์ไม่ได้
พระพุทธเจ้าทรงชมเชยเพลงขับของปัญจสิกขเทพบุตร นางโดยปริยายอะไร ๆ จึงได้ถือพิณ เข้า ไปถึงทีอยู่แห่งท้าวคนธร
สักกปั ญหสูตร ที.ม.10/247/198 รพราชนันแล้ว ได้บรรเลงพิณและกล่าวคาถาเหล่านีว่า
ท้าวสักกะกับปั ญจสิขคนธรรพบุตร ดู ก่อน น้องสุริยวัจฉสา พีขอไหว้ ท้า วติมพรุผู้เป็ นบิดาให้
กํา เนิด น้อง ผู้เป็ น เทพกัลยาณี ยังความยินดี ใ ห้เกิด แก่พี ฯลฯ
[247] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี :-
[250] ครันข้าพระองค์กล่าวอย่างนีแล้ว นางได้กล่าวกะข้า
สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับทีถําอินทสาลระหว่าง
พระองค์วา่ ท่านผู้นิรทุกข์ ฉันไม่ได้เฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าเฉพาะ
เขาเวทิยกะ ด้ า นเหนื อแห่งบ้า นพราหมณ์ ชื ออัม พสณฑ์ ข้ า งทิศ
พระพักตร์เลย ก็แต่ว่า เมื อฉันฟ้ อนอยู่ในเทวสภา ชื อสุธรรมา ได้
ตะวันออกแห่งกรุงราชคฤห์ ในแคว้นมคธ.
สดับ (พระนาม) พระผู้มี พระภาคเจ้า แล้ว ผู้นิรทุกข์ ท่า นยอพระ
[248] ดู ก่อนน้องสุริยวัจฉสา พี ขอไหว้ทา้ วติมพร ผู้เป็ น
เกียรติพระผู้มีพระภาคเจ้าเพราะเหตุใดเล่า ? วันนี เราเลิกพบปะ
บิด าให้กํา เนิด น้อง ผู้เป็ นเทพกัลยาณี ยังความยินดี ใ ห้เกิด แก่พี
กันเสียเถิด ดังนี ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ได้สมาคมกับ
น้องผู้มี รศั มี อน
ั เปล่งปลัง เป็ นทีรักของพี
น้องหญิงนัน เท่านัน ภายหลังแต่นนก็ ั ไม่ได้พูดกันอีก…
ดุ จลมเป็ นทีใคร่ข องผู้มี เหงื อ
.....................................
ดุ จนําเป็ นทีปรารถนาของคนผู้กระหาย
ดุ จธรรมเป็ นทีรักของพระอรหันต์ ทงหลาย ั
ดุ จยาเป็ นทีรักของคนไข้หนัก
ดุ จโภชนะเป็ นทีรักของคนหิว ฉะนัน.
ขอแม่จงช่วยดับความกลัด กลุ้ม ของพี ดุ จเอาวารีด บ ั ไฟที

๑๓๓
พระพุทธเจ้าทรงประพันธ์เพลงขับเพือการตรัสรูธ้ รรม ทีนน ั พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพนัน ผู้มาถวายบังคม
เรืองนาคราชชือเอรกปัตตะ [150] ขุ.ธ.42 หน้า 323 มมร. นังลงแล้วถามว่า " เธอจะไปไหน ? "
ข้อความเบืองต้น อุตตรมาณพ. จักไปยังทีทีธิดาของเอรกปัตตนาคราช ขับเพลง.
พระศาสดา ทรงอาศัยนครพาราณสี ประทับ อยู่ทีโคนไม้ พระศาสดา. ก็เธอรูเ้ พลงขับแก้เพลงขับหรือ ?
ซึก 7 ต้น ทรงปรารภพระยานาคชื อเอรกปัต ตะ ตรัสพระธรรม อุตตรมาณพ. ข้าพระองค์ทราบ พระเจ้าข้า.
เทศนานีว่า " กิจฺโ ฉ มนุ สฺสปฏิลาโภ " เป็ นต้น. พระศาสดา. เธอจงกล่าวเพลงเหล่านันดูกอ ่ น.
อาบัติเล็กน้อยไม่แสดงเสียก่อนให้โทษ ทีนน ั พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพผู้กล่าวตามธรรมดา
ทราบว่า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาล ความรูข ้ องตนเท่านันว่า " แน่ ะอุตตระ นัน ไม่ใช่เพลงขับแก้, เรา
ก่อน พระยานาคนันเป็ นภิกษุ หนุ่ม ขึ นเรือไปในแม่นําคงคา ยึดใบ จักให้เพลงขับแก้แก่เธอ, เธอต้องเรียนเพลงขับแก้นน ั ให้ได้ "
ตะไคร้นํ ากอหนึ ง เมื อเรื อ แม้ เ เล่น ไปโดยเร็ ว , ก็ ไ ม่ ป ล่อ ย. ใบ อุตตมาณพ. ดีละ พระเจ้าข้า.
ตะไคร้นําขาดไปแล้ว. หน้า 326 อุตตรมาณพเรียนเพลงแก้จากพระศาสดา
ภิกษุ หนุ่ ม นันไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิด เสียว่า " นี เป็ นโทษ ทีนน ั พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " อุตตระ ในกาลทีนางนาค
เพี ย งเล็ ก น้ อ ย " แม้ ทํ า สมณธรรมในป่ าสิ น 2 หมื นปี ในกาล มาณวิกาขับเพลง เธอพึงขับเพลงแก้นีว่า :-
มรณภาพ เป็ นประดุจใบตะไคร้นําผูกคอ แม้อยากจะแสดงอาบัติ " ผู้เป็ นใหญ่ใ นทวาร 6 ชื อว่า เป็ นพระราชา,
เมื อไม่ เ ห็ น ภิ ก ษุ อื น ก็ เ กิด ความเดื อ ดร้อ นขึ นว่า " เรามี ศี ล ไม่ พระราชาผู้กํา หนัด อยู่ ชื อว่า ธุลีบ นพระเศี ยร,
บริสุทธิ " จุติจากอัต ภาพนันแล้ว บังเกิด เป็ นพระยานาค ร่า งกาย ผู้ไม่กํา หนัด อยู่ ชื อว่า ปราศจากธุลี,
ประมาทเท่า เรื อ โกลน. เขาได้ มี ชื อว่า " เอรกปัต ตะ " นันแล. ผู้กํา หนัด อยู่ ท่า นเรียกว่า คนพาล."
ในขณะที เกิด แล้ว นันเอง พระยานาคนันแลดู อ ต ั ภาพแล้ว ได้ มี ก็เพลงขับของนางนาคมาณวิกา มีอธิบายว่า:
ความเดือดร้อนว่า " เราทําสมณธรรมตลอดกาลชือมีประมาณเท่านี บาทคาถาว่า กึสุ อธิป ตี ราชา ความว่า ผู้เป็ นใหญ่อย่างไร
เป็ นผู้บงั เกิดในทีมีกบเป็ นอาหาร ในกําเนิดแห่งอเหตุกสัตว์." เล่าจึงชือว่าพระราชา ?
ในกาลต่อมาเขาได้ธด ิ าคนหนึ ง แผ่พงั พานใหญ่บนหลังนํา คาถาว่า กึสุ ราชา รชสฺ สิโ ร ความว่า อย่า งไรพระราชา
ในแม่นําคงคา วางธิดาไว้บนพังพานนัน ให้ฟ้อนรําขับร้องแล้ว. ย่อมเป็ นผู้ชือว่า มีธุลีบนพระเศียร ?
พระยานาคออกอุบายเพือทราบการอุบ ัติแห่งพระพุทธเจ้า บทว่า กถํ สุ ความว่า อย่า งไรกันเอ่ย พระราชานันเป็ นผู้
ทราบว่า เขาได้มีความคิดอย่างนีว่า " เมือพระพุทธเจ้า ชือว่าปราศจากธุลี ?
บังเกิดขึ น เราจักได้ยน ิ ความทีพระพุทธเจ้านันบังเกิดขึ น ด้วย ส่วนเพลงขับแก้ มีอธิบายว่า :
อุบายนีแน่ ละ; ผูใ้ ดนําเพลงขับ แก้เพลงขับของเราได้, เราจักให้ บาทคาถาว่า ฉทฺ วาราธิปตี ราชา ความว่า ผู้ใ ดเป็ นผู้ใหญ่
ธิดากับด้วยนาคพิภพอันใหญ่แก่ผู้นน," ั วางธิดานันไว้บนพังพาน แห่งทวาร 6 อันอารมณ์ ทงั 6 มี รูป เป็ นต้นครอบงํา ไม่ได้ แม้ใ น
ในวันอุโบสถทุกกึงเดือน. ธิดานันยืนฟ้ อนอยูบ ่ นพังพานนัน ขับ ทวารหนึ ง ผู้นีชือว่าเป็ นพระราชา.
เพลงขับนีว่า :- บาทคาถาว่า รชมาโน รชสฺ สิโ ร ความว่า ก็ พ ระราชาใด
" ผู้เป็ นใหญ่อย่า งไรเล่า ชื อว่า พระราชา ? กํา หนัด อยู่ในอารมณ์ เหล่านัน, พระราชาผู้กาํ หนัด อยู่นน ั ชื อว่ามี
อย่า งไรเล่า พระราชาชื อว่า มี ธุลีบ นพระเศี ยร ? ธุลีบนพระเศียร.
อย่า งไรเล่า ชื อว่า ปราศจากธุลี, อย่า งไร ? ท่า น บทว่า อรชํ ความว่า ส่วนพระราชาผู้ไม่กําหนัด อยู่ ชื อว่า
จึงเรียกว่า ' คนพาล.' " เป็ นผู้ปราศจากธุลี.
ชาวชมพูทวีป ทังสิน พากันมาด้วยหวังว่า " เราจักพาเอา บทว่า รชํ ความว่า พระราชาผู้กํา หนัด อยู่ ท่า นเรียกว่า "
นางนาคมาณวิกา " แล้วทําเพลงขับแก้ ขับไปโดยกําลังปัญญาของ เป็ นคนพาล"
ตน ๆ. นางย่อมห้ามเพลงขับตอบนัน. เมือนางยืนอยูบ ่ นพังพานทุก พระศาสดาครันประทานเพลงขับแก้ แก่อุต ตรมาณพนัน
กึงเดือน ขับเพลงอยูอ ่ ย่างนีเท่านัน พุทธันดรหนึ งล่วงไปแล้ว . อย่างนีแล้ว ตรัสว่า " อุตตระ " เมือเธอขับเพลงขับนี (นาง) จักขับ
พระศาสดาทรงผูกเพลงขับแก้ เพลงขับแก้
ครังนัน พระศาสดาทรงอุบตั ิขึ นแล้วในโลก วันหนึ งเวลา เพลงขับของเธออย่างนีว่า:-
ใกล้รุ่ง ทรงตรวจดู โ ลก ทํา เอรกปัต ตนาราชให้เป็ นต้น ทรงเห็ น " คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัด ไป, บัณ ฑิต ย่อม
มาณพชื ออุต ตระ ผู้เข้า ไปภายในข่า ยคือพระญาณของพระองค์ บรรเทาอย่า งไร, อย่า งไร จึงเป็ นผู้มี ค วามเกษมจาก
ทรงใคร่ครวญดูว่า" จักมี เหตุ อะไร ? " ได้ทรงเห็นแล้วว่า " วันนี โยคะ, ท่า นผู้อน ั เราถามแล้ว โปรดบอกข้อนันแก่เรา " ที
เป็ นวันทีเอรกปัตตนาคราชทําธิดาไว้บนพังพานแล้วให้ฟ้อน อุตตร นัน ท่านพึงขับเพลงขับแก้นีแก่นางว่า :-
มาณพนีเรียนเอาเพลงขับแก้ทีเราให้เเล้วจักเป็ นโสดาบัน เรียนเอา " คนพาลอันห้วงนํา (คือกามโอฆะเป็ นต้น) ย่อม
เพลงขับนันไปสูส ่ าํ นักของนาคราชนัน, พัด ไป, บัณ ฑิต ย่อมบรรเทา (โอฆะนัน) เสียด้วย
น า ค ร า ช นั น ฟั ง เ พ ล ง ขั บ แ ก้ น ั น แ ล้ ว จัก ท ร า บ ว่ า ' ความเพียร, บัณ ฑิต ผู้ไม่ป ระกอบด้วยโยคะทังปวง
พระพุทธเจ้าทรงอุบตั ิขึ นแล้ว ' จักมาสูส ่ าํ นักของเรา, เมือนาคราช ท่า นเรียกว่า ผู้มี ค วามเกษมจากโยคะ "
นันมาแล้ว, เราจักกล่าว คาถาในสมาคมอันใหญ่, ในกาลจบคาถา เพลงขับแก้นน ั มีเนือความว่า :-
สัตว์ประมาณ 8 หมืน 4 พัน จักตรัสรูธ้ รรม" " คนพาลอันโอฆะ (กิเลสดุ จห้วงนํา) 4 อย่า ง
พระศาสดาเสด็จไปในทีนันแล้ว ประทับนัง ณ โคนต้นซึก มี โ อฆะคือกามเป็ นต้น ย่อมพัด ไป, บัณ ฑิต ย่อม
ต้นหนึ ง บรรดาต้นซึก 7 ต้นทีมี อยู่ในทีไม่ไกลแต่เมื องพาราณสี. บรรเทาโอฆะนัน ด้วยความเพียร กล่า วคือสัม มัป -
ชาวชมพูทวีปพาเอาเพลงขับแก้เพลงขับไปประชุ มกันแล้ว . พระ ปธาน (ความเพียรอันตังไว้ช อบ), บัณ ฑิต นันไม่
ศาสดาทอดพระเนตรเห็นอุตตรมาณพกําลังไปในทีไม่ไกล จึงตรัส ประกอบด้ว ยโยคะทังปวง มี โ ยคะคือ กามเป็ นต้น ท่า น
ว่า " อุตตระ. " เรียกชื อว่า ' ผู้มี ค วามเกษมจากโยคะ."
อุตตระ. อะไร ? พระเจ้าข้า. อุตตรมาณพ เมือกําลังเรียนเพลงขับแก้นีเทียว ดํารงอยูใ่ น
พระศาสดา. เธอจงมานีก่อน. โสดาปัตติผล. เขาเป็ นโสดาบัน เรียนเอาคาถานันไปแล้ว กล่าวว่า
" ผู้เจริญ ฉันนําเพลงขับแก้เพลงขับมาแล้ว, พวกท่านจงให้โอกาส

๑๓๔
แก่ฉน ั " ได้คุกเข่าไปในท่ามกลางมหาชนทียืนยัดเยียดกันอยูแ ่ ล้ว. นาคราชไม่บรรลุโสดาบัน
นางนาคมาณวิกายืนฟ้ อนอยูบ ่ นพังพานของพระบิดา แล้ว ในกาลจบเทศนา เหล่าสัตว์ 8 หมืน 4 พัน ได้ตรัสรูธ้ รรมแล้ว.
ขับเพลงขับว่า ฝ่ ายนาคราชควรจะได้โสดาปัต ติผลในวันนัน แต่ก็ไม่ได้
" ผู้เป็ นใหญ่ อย่า งไรเล่า ชื อว่า เป็ นพระราชา ? " เป็ นต้น. เพราะค่าทีตนเป็ นสัตว์ดิรจั ฉาน. นาคราชนันถึงภาวะคือความไม่
อุตตรมาณพ ขับเพลงแก้วา่ ลํา บากในฐานะทัง 5 กล่า วคือการถือปฏิสนธิ การลอกคราบ การ
" ผู้เป็ นใหญ่ใ นทวาร 6 ชื อว่า เป็ พระราชา " เป็ นอาทิ. วางใจแล้วก้า วลงสู่ค วามหลับ การเสพเมถุนกับ ด้วยนางนาคผู้ มี
นางนาคมาณวิกา ขับเพลงโต้แก่อุตตรมาณพนันอีกว่า ชาติ เสมอกัน และจุ ติ ที พวกนาคถือ เอาสรี ระแห่งนาคนันแหละ
" คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัค ไป ? " เป็ นต้น. แล้วลํา บากอยู่ ย่อมได้เพือเทียวไปด้วยรูปแห่งมาณพนันแล ดังนี
ทีนนั อุตตรมาณพเมือจะขับเพลงแก้แก่นาง จึงกล่าวคาถานีว่า แล.
" คนพาลอันห้วงนําย่อมพัด ไป " ดังนีเป็ นต้น. .....................................
นาคราชทราบว่า พระพุทธเจ้า อุบ ต ั ิแล้ว ตัวอย่างผู้บรรลุธรรมเพราะการฟังดนตรี
นาคราชพอฟังคาถานัน ทราบความทีพระพุทธเจ้าบังเกิด
ขึ น ดีใจว่า " เราไม่เคยฟังชือบทเห็นปานนี ตลอดพุทธันดรหนึ ง, " สุภาสิตสูตร (วาจาสุภาษิต 4 ประการ) สํ.ส.15/738/229
ผู้เจริญ พระพุทธเจ้า บังเกิด ขึ นในโลกแล้วหนอ " จึงเอาหางฟาด ใน อรรถกถาสุภาสิตสูตร เล่ม 25 หน้า 315 มมร.
นํา, คลืนใหญ่ วาจาทีประกอบด้วยองค์ 4 นี
เกิดขึ นแล้ว. ฝังทังสองพังลงแล้ว. พวกมนุษย์ในทีประมาณ (ย่อ มกล่า วแต่ ว าจาที บุ ค คลกล่า วดี แ ล้ว เท่า นัน ไม่ ก ล่า ววาจาที
อุสภะหนึ งแต่ฝงข้ ั างนีและฝังข้างโน้น จมลงไปในนํา. นาคราชนัน บุคคลกล่าวชัวแล้ว 1
ยกมหาชนมี ป ระมาณเท่า นันวางไว้บนพังพาน แล้วตังไว้บ นบก. ย่อมกล่าวแต่วาจาทีเป็ นธรรมเท่านัน ไม่กล่าววาจาทีไม่เป็ นธรรม 1
นาคราชนันเข้า ไปหาอุต ตรมาณพ แล้วถามว่า " แน่ ะนาย พระ ย่อมกล่าวแต่วาจาอันเป็ นทีรักเท่านัน ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็ นทีรัก 1
ศาสดาประทับอยูท ่ ีไหน ? " ย่อมกล่าวแต่วาจาจริงเท่านัน ไม่กล่าววาจาเท็จ 1)
อุตตระ. ประทับนังทีโคนไม้ต้นหนึ ง มหาราช. แม้ ถ้า เป็ นวาจานับ เนื องในภาษามิล กั ขะก็ดี เป็ นวาจานับ
นาคราชนันกล่าวว่า " มาเถิดนาย พวกเราจะพากันไป " แล้วได้ไป เนืองในเพลงขับของเด็กหญิงผู้นําหม้อนําก็ดี วาจาเห็นปานนัน ชือ
กับ อุต ตรมาณพ. ฝ่ ายมหาชนก็ได้ไปกับเขาเหมื อนกัน. นาคราช ว่า เป็ นวาจาสุภ าษิ ต เพราะนํา มาซึ งความสุขทังทีเป็ นโลกิยะและ
นันไปถึง เข้า ไปสู่ระหว่า งพระรัศ มี มี พรรณะ 6 ถวายบังคมพระ โลกุตระ.
ศาสดาแล้ว ได้ยืนร้องไห้อยู.่ ลําดับนัน พระศาสดาตรัสกะนาคราช จริง อย่า งนันภิ ก ษุ ผู้ เ จริญ วิป ัส สนาประมาณ 60 รู ป กํา ลัง
นันว่า " นีอะไรกัน ? มหาบพิตร. " เดินทางได้ยินเพลงขับ ของเด็ กหญิงชาวสีหล ผู้รกั ษาไร่ข้า วกล้า
นาคราช. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็ นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้างทาง กําลังขับเพลงขับทีเกียวด้วยชาติชราและมรณะด้วยภาษา
ผู้เช่นกับด้วยพระองค์ ได้ทาํ สมณธรรมสิน 2 หมืนปี แม้สมณธรรม ชาวสีหลก็บรรลุพระอรหัต.
นันก็ไม่อาจเพือจะช่วยข้า พระองค์ได้. ข้าพระองค์อาศัยเหตุ สกั ว่า อนึ ง ภิกษุ ผู้ปรารภวิปส ั สนาชือว่าติสสะกําลังเดินทางใกล้สระ
ให้ใ บตะไคร้นําขาดไปมีป ระมาณเล็กน้อย ถือปฏิสนธิใ นอเหตุก ปทุม ได้ยินเพลงขับ ของเด็กหญิงผู้หกั ดอกปทุมในสระปทุมพลาง
สัต ว์ เกิด ในทีทีต้องเลือยไปด้วยอก. ย่อมไม่ได้ค วามเป็ นมนุ ษ ย์ ขับเพลงนีว่า.
เลย. ไม่ ไ ด้ ฟ ังพระธรรม, ไม่ ไ ด้ เ ห็ นพระพุ ทธเจ้า ผู้ เ ช่ นกับ ด้วย ด อกปทุ ม ชื อโกกนทะบานแต่ เ ช้ า ตรู่ ย่ อ มเหี ยวไปด้ ว ย
พระองค์ตลอดพุทธันดรหนึ ง. แสงอาทิต ย์ฉน ั ใด สัต ว์หลายผู้ถงึ ความเป็ นมนุ ษย์ ย่อมเหียวแห้ง
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคํา ของนาคราชนันแล้ว ตรัสว่า " ไปด้วยกํา ลังกล้า แห่ง ชราฉันนัน
มหาบพิ ต ร ชื อว่ า ความเป็ นมนุ ษ ย์ ห าได้ ย ากนัก , การฟัง พระ แล้วบรรลุพระอรหัต.
สัท ธรรม ก็ อ ย่า งนัน การอุ บ ต ั ิขึ นแห่งพระพุ ทธเจ้า ก็ ห าได้ ยาก อนึ ง บุ รุษ ผู้หนึ งในพุทธันดร (ในเวลาว่า งพระพุทธเจ้า ) 1
เหมื อ นกัน ; เพราะว่า ทังสามอย่า งนี บุ ค คลย่อ มได้ โ ดยลํา บาก กลับจากดงพร้อมกับบุตร 7 คนฟังเพลงขับของสตรีผู้หนึ ง ซึ งกําลัง
ยากเย็น " เมือจะทรงแสดงธรรม ตรัสพระคาถานีว่า :- เอาสากตําข้าวสารดังนีว่า
3. กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉ มจฺจาน ชีวิต สรี ระนีอาศัยหนังมีผิวเหียวแห้ง ถูกชรายํายีแล้ว สรีระนี ถึง
กิจฺฉ สทฺธมฺมสฺสวน กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท. ความเป็ นอามิส คือเหยือของมฤตยูยอ ่ มแตกไปเพราะมรณะ สรีระ
" ความได้อตั ภาพเป็ นมนุ ษ ย์ เป็ นการยาก, นี เป็ นทีอยู่ข องหมู่ห นอน เต็ ม ไปด้วยซากศพต่า ง ๆ สรี ร ะนี เป็ น
ชี วิต ของสัต ว์ทงหลาย
ั เป็ นอยู่ยาก, ภาชนะของไม่สะอาด สรีระนี เสมอด้วยท่อนต้นกล้วย
การฟังพระสัทธรรม เป็ นของยาก พิจารณาอยูก ่ ็บรรลุปจั เจกโพธิญาณพร้อมด้วยบุตรทังหลาย.
การอุบ ต ั ิขึ นแห่งพระพุทธเจ้า ทังหลาย เป็ นการยาก." วาจาประกอบด้วยองค์ 4 เหล่านี แม้ถา้ นับเนืองในภาษาของ
แก้อรรถ ชาวมิลกั ขะ หรือนับ เนื องในเพลงขับของสตรีผู้ถือหม้อนําไปไซร้
เนือความแห่งพระคาถานัน พึงทราบดังนีว่า " ก็ขึ นชือว่า ถึงกระนันก็พงึ ทราบว่า เป็ นวาจาสุภาษิ ต.
ความได้อตั ภาพเป็ นมนุษย์ ชือว่าเป็ นการยาก คือหาได้ยากเพราะ วาจาชื อว่า ไม่ มี โ ทษทังวิ ญ ู ช นผู้ มุ่ ง ประโยชน์ อ าศัย แต่
ความเป็ นมนุ ษ ย์ บุ ค คลต้องได้ด้วยความพยายามมาก ด้วยกุศ ล ใจความ ไม่ ใ ช่ อ าศัย แต่พ ยัญ ชนะไม่พึงติเ ตี ยนเพราะเป็ นวาจา
มาก, ถึงชีวต ิ ของสัตว์ทงหลาย
ั ก็ชือว่าเป็ นอยูย่ าก เพราะทํากรรมมี สุภาษิ ต.
กสิก รรมเป็ นต้ น เนื อ ง ๆ แล้ว สื บ ต่ อ ความเป็ นไปแห่ง ชี วิต บ้า ง …………………………………………………………
เพราะชี วิต เป็ นของน้อยบ้า ง, แม้ การฟังพระสัทธรรม ก็เป็ นการ
ตาลปุตตสูตร สํ.สฬ.18/589/314
ยาก เพราะค่า ทีบุคคลผู้แสดงธรรมหาได้ยาก ในกัป แม้มิใช่น้อย.
อนึ ง ถึง การอุ บ ต
ั ิ ขึ นแห่ง พระพุ ท ธเจ้า ทังหลาย ก็ เ ป็ นการยาก
ปั ญหาของนักเต้นรําชือว่าตาลบุตร
เหมื อ นกัน คื อ ได้ ย ากยิงนัก เพราะอภิ นิ ห ารสํา เร็ จ ด้ ว ยความ [589] สมัย หนึ ง พระผู้ มี พ ระภาคประทับ อยู่ ณ พระ
พยายามมาก และเพราะการอุบตั ิขึ นแห่งท่านผูม ้ ีอภินิหารอันสําเร็จ วิหารเวฬุวนั กลันทกนิวาป สถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครังนันแล
แล้ว เป็ นการได้โดยยาก ด้วยพันแห่งโกฏิกปั แม้มิใช่น้อย. " พ่อบ้า นนักเต้นรํานามว่าตาลบุตร เข้า ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคแล้ว
นัง ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ ง ครันแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

๑๓๕
ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ ข้าพระองค์เคยได้ยน ิ คําของนักเต้นรํา ผู้เป็ น ฯลฯ ก็แลท่า นพระตาลบุ ต รเป็ นพระอรหันต์ องค์หนึ ง ในจํา นวน
1
อาจารย์และปาจารย์ ก่อนๆ กล่า วว่า นักเต้นรํา คนใดทํา ให้ค น พระอรหันต์ทงหลาย
ั ฯ
หัวเราะ รืนเริง ด้วยคําจริงบ้าง คําเท็จบ้างในท่ามกลางสถานเต้นรํา อรรถกถาตาลปุตตสูตร เล่ม 29 หน้า 183 มมร.
ในท่า มกลางสถานมหรสพ ผู้นนเมื ั อแตกกายตายไปย่อมเข้า ถึง เลากันมาวา นายบานนักฟอนรําคนนั้น มีผิวพรรณผองใส
ความเป็ นสหายแห่งเทวดาผู้ร่า เริง ในข้อนี พระผู้มี พระภาคตรัส เหมือ นลูก ตาลสุกที่หลุดจากขั้ว . ดว ยเหตุนั้น คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อ
อย่างไร เขาวา ตาลบุตร. นายตาลบุตรผูนี้นน ั้ เขาถึงพรอมดวยอภินิหาร (บุญ
พระผู้มี พระภาคตรัสว่า อย่า เลยนายคามณี ขอพักข้อนี เก า ) เป น บุ ค คลเกิ ด ในภพสุ ด ท า ย (ไม ต อ งเกิ ด อี ก ). แต เ พราะ
เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนีกะเราเลย ฯ ธรรมดาปฏิ ส นธิ เอาแน น อนไม ไ ด เหมื อ นท อ นไม ที่ข วา งไปใน
[590] แม้ครังที 2 ... แม้ครังที 3 พ่อบ้านนักเต้นรํานาม อากาศ ฉะนั้น นายตาลบุตรนี้จึงบังเกิดในตระกูลนักฟอนรําพอเจริญ
ว่าตาลบุตรก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค... วั ย ก็ เ ป น ยอดทางนาฏศิ ล ปศิ ล ปฟอ นรํา มี ชื่ อ กระฉอ นไปทั่ว ชมพู
[591] พระผู้มี พระภาคตรัสว่า ดู กรนายคามณี เราห้าม ทวีป. เขามีเกวียน 500 เลม มีหญิงแมบาน 500 คนเปน บริวาร แม
ท่านไม่ได้แล้ว ว่าอย่าเลย นายคามณี ขอพักข้อนีเสียเถิด ท่านอย่า เขาก็มีภรรยาจํานวนเทานัน ้ ดังนั้นเขาจึงพรอมดวยหญิง 1,000 คน
ถามข้อนีกะเราเลย แต่เราจักพยากรณ์ ให้ทา่ น และเกวียน 1,000 เลม อยูอ าศัยนครหรือ นิคมใด ๆ ประชาชนใน
ดูกรนายคามณี เมือก่อนสัตว์ทงหลายยัั งไม่ปราศจากราคะ นครหรือนิคมนั้นๆ พากันใหทรัพยแสนหนึ่งแกเขากอนทีเดียว.
อันกิเลสเครืองผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรํารวบรวมเข้าไว้ซึ งธรรม เมื่อเขาแตงตัวแสดงมหรสพกําลังเลนกีฬาพรอมดวยหญิง
อัน เป็ นที ตังแห่ ง ความกํ า หนัด ในท่ า มกลางสถานเต้ น รํ า ใน 1,000 คนอยู ประชาชนตางโยนเครื่อ งประดับมือ เทาเปน ตน ตบ
ท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สตั ว์เหล่านันมากยิงขึ น รางวัล ใหไมมีสิ้นสุด. วัน นั้น เขาแวดลอมดว ยหญิง 1,000 คน เลน
เมื อก่อ นสัต ว์ ท งหลายยั
ั ง ไม่ ป ราศจากโทสะ อัน กิเ ลส กีฬาในกรุงราชคฤห เพราะมีญาณแกกลา พรอมดวยบริวารทั้งหมด
เครืองผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรํารวบรวมเข้าไว้ซึ งธรรมเป็ นทีตัง เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถึงที่ประทับ.
แห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรํา ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่ บทวา รชนิยา ไดแก มายากลแสดงลมเจือฝนพัดดายหาสี
สัตว์เหล่านันมากยิงขึ น ออกจากปาก ซึ่งเปน ปจจัยแหงราคะ และนัยที่ยิ่ง ๆ ขึ้น ไปอยางอื่น
เมื อก่อ นสัต ว์ ท งหลายยั
ั ง ไม่ ป ราศจากโมหะ อัน กิเ ลส ซึ่งแสดงอาการที่ประกอบดวยความยินดีในกาม.
เครืองผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรําย่อมรวบรวมไว้ซึ งธรรมอันเป็ น บทวา โทสนิยา ไดแก อาการที่แสดงมายากลมีการตัดมือ
ที ตังแห่ ง โมหะ ในท่ า มกลางสถานเต้ น รํ า ในท่ า มกลางสถาน และเทาเปนตน ซึ่งเปนปจจัยแหงโทสะ.
มหรสพ แก่สตั ว์เหล่า นันมากยิงขึ น นักเต้นรํานัน ตนเองก็มวั เมา บทวา โมหนิยา. ไดแก มายากลชนิดชนิดเอาน้ําทําน้าํ มัน
ประมาท ตังอยู่ใ นความประมาท เมื อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิด เอาน้ํามันทําน้ํา อยางนี้เปนตน ซึ่งเปนเปนปจจัยแหงโมหะ.
ในนรกชือปหาสะ บทวา ปหาโส นาม นิร โย ความวา ธรรมดานรกที่ชื่อวา
อนึ ง ถ้า เขามีความเห็นอย่างนีว่า นักเต้นรํา คนใดทําให้ ปหาสะ มิไดมีเปนนรกหนึ่งตางหาก แตเปนสวนหนึ่งของอเวจีนั่งเอง
คนหัวเราะ รืนเริงด้วยคํา จริงบ้า ง คํา เท็จบ้า ง ในท่า มกลางสถาน ที่พวกสัตวแ ตงตัวเปน นักฟอนรํา ทําเปน ฟอ นรําและขับรองพากัน
เต้นรํา ในท่า มกลางสถานมหรสพ ผู้นนเมื ั อแตกกายตายไป ย่อม หมกไหมอยู ทานกลาวหมายเอานรกนั้น.
เข้า ถึงความเป็ นสหายแห่งเทวดาชือปหาสะ ความเห็นของเขานัน …………………………………………………………
เป็ นความเห็นผิด ดู กรนายคามณี ก็เราย่อมกล่า วคติสองอย่างคือ อารมณ์ หมายถึง สิงอันเป็ นทียินดี
นรกหรือกํา เนิด สัตว์เดียรัจฉาน อย่า งใดอย่า งหนึ ง ของบุ คคลผู้มี จําแนก 2 ประเภท คือ
ความเห็นผิด ฯ 1 บัญญัตอิ ารมณ์
[592] เมื อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี แล้ว พ่อบ้า นนัก 2 ปรมัตถอารมณ์
เต้นรํา นามว่า ตาลบุ ตรร้องไห้ สะอืน นําตาไหล พระผู้มี พระภาค จําแนก 3 ประเภท คือ
1 กามอารมณ์
ตรัสว่า ดู กรนายคามณี เราได้ห้า มท่า นแล้วมิใ ช่หรือว่า อย่า เลย
2 มหัคคตอารมณ์
นายคามณี ขอพักข้อนีเสียเถิด อย่าถามข้อนีกะเราเลย ฯ
3 นิพพานอารมณ์
คามณี . ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ไม่ได้รอ ้ งไห้ จําแนก 4 ประเภท คือ
ถึงข้อทีพระผู้มี พระภาคตรัสอย่างนีกะข้าพระองค์หรอก แต่ว่าข้า 1 กามอารมณ์ ได ้แก่ อารมณ์ทงั 6
พระองค์ถูกนักเต้นรํา ผู้เป็ นอาจารย์และปาจารย์กอ ่ นๆ ล่อลวงให้ 2 มหัคคตอารมณ์ ได ้แก่ ธรรมารมณ์
หลงสินกาลนานว่า นักเต้นรําคนใดทําให้คนหัวเราะรืนเริง ด้วยคํา 3 โลกุตตรอารฒ์ ได ้แก่ ธรรมารมณ์
จริงบ้า ง คํา เท็จบ้า ง ในท่า มกลางสถานเต้นรํา ในท่า มกลางสถาน 4 บัญญัตอ ิ ารมณ์ ได ้แก่ ธรรมารมณ์
มหรสพ ผู้นนเมื ั อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็ นสหายของ
พระพุทธเจ้าทรงอาศ ัยทํานองเป็นสือ
เทวดาชือปหาสะ
เพือเข้าถึงความหมายของธรรม
ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่ม
แจ้งยิงนัก ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์ ธรรมดาทาน มี 2 อย่างคือ
แจ่มแจ้งยิงนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย 1 อามิสทาน 2 ธรรมทาน
ดุ จหงายของทีควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทางหรือตาม
เพือใช้ดนตรีเป็นสือแห่งธรรมได้
ประที ป ในที มื ด ด้ ว ยหวัง ว่า คนมี จ กั ษุ จัก เห็ น รู ป ฉะนัน ข้ า แต่ ย่อมเป็นประโยชน์แก่มหาชนและเกิดกุศลต่อ
พระองค์ ผู้เ จริญ ข้ า พระองค์นี ขอถึงพระผู้มี พ ระภาคกับ ทังพระ ผูป
้ ระพ ันธ์ดนตรี
ธรรมและภิ ก ษุ สงฆ์ ว่ า เป็ นสรณะ ข้ า พระองค์ พึ ง ได้ บ รรพชา น ับแต่การส ังคายนาพระธรรมวิน ัย
อุปสมบทในสํานักของพระผู้มีพระภาค การชีนําส ังคมเข้าสูธ ่ รรม ทงให้
ั ความสงบแก่
นายนฏคามณี นามว่า ตาลบุ ตรได้บรรพชา ได้อุป สมบท จิตใจ และให้ปญ ั ญา
ในสํา นักพระผู้มี พระภาคแล้วท่า นพระตาลบุต รอุป สมบทไม่นาน
ด ังพุทธภาษิตว่า
หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ป ระมาท มี ค วามเพียร มี ใ จแน่ วแน่
ธรรมทานชนะทานทุกอย่าง

๑๓๖
อนิยต 2 (อนิ ยต แปลว่า ไม่แน่ นอน, กล่าวคือ ภิกษุผถู ้ ูกกล่าวหาไม่แน่ ว่าจะถูกปรับอาบัติใด ทังนี ขึนกับผูโ้ จท) 6.1
บทที 1. ก็ ภิกษุ ใดนั งบนอาสนะทีกาํ บังในทีลับ พอจะทําการได้ กับมาตุคามสองต่อสอง อุบาสิกามีวาจาเชื อถือได้ ได้เห็น
ภิกษุ นังกับมาตุคามนั นแล้วกล่าวโทษด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนึ ง บรรดาอาบัติ 3 อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย ์
ภิกษุ นั นยอมรับการนั ง พึงถูกปรับด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนึ ง บรรดาอาบัติ 3 อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย ์ อีก
อย่างหนึ ง อุบาสิกาผูม้ ีวาจาเชือถือได้นั นกล่าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษุ นั นพึงถูกปรับด้วยอาบัตินั น อาบัตินีชือว่า อนิ ยต
ภิกษุไม่พึงนังในทีลับตา กับหญิงสองต่อสอง
ต้นบัญญติ พระอุทายีเข้าไปในบ้านของสาวน้อยทีกําลังจะถูกยกให้หนุ่ มน้อยสุกลหนึ ง ในทีลับทีพอจะทําการให้ได้ หนึงต่อหนึ ง กล่าวธรรมอยู่ นาง
วิสาขาไปเห็นเข้า กล่าวตักเตือน แต่ท่านไม่สนใจ
ทีลับ ได้แก่ ทีลับตาและลับหู,
ทีลับตา หมายถึง ทีซึงเมือบุคคลขยิบตา ยักคิวหรือผงกศีรษะขึน ใครๆ ก็ไม่สามารถแลเห็นได้ (ทีมีวตั ถุกาํ บัง มองไม่เห็น พอจะเสพเมถุนได้)
พอจะทําการได้ คือ อาจจะเสพเมถุนธรรมกันได้, มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์,
นัง หมายถึง เมือมาตุคามนัง ภิกษุ นัง/นอน - เมือภิกษุ นัง มาตุคามนัง/นอน – หรือนอนทังสองคน
อุบาสกาทีชือว่ามีวาจาเชือได้ คือ เป็ นสตรีผบู ้ รรลุผล ผูต้ รัสรูธ้ รรม ผูเ้ ข้าใจศาสนาดี ,
อ. [นางวิสาขาชือว่ามีบุตรมาก คือ มีบุตร 10 คน มีธิดา 10 คน ชือว่ามีนัดดามาก เพราะบุตรและธิ ดาของนางมีบุตรธิดาคนละ 20 คน นางจึงมีลกู
และหลานเป็ นบริวาร 420 คน]
อ.[คนรูเ้ ดียงสาเป็ นหญิงหรือชายก็ตาม ไม่เป็ นคนตาบอดและหูหนวก ยืนหรือนั งอยู่ในโอกาสภายใน 12 ศอก ก็คุม้ อาบัติได้]
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ พระอุทายี ณ กรุงสาวัตถี นางวิสาขามิคารมารดาโจท, พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี

บทที 2. ก็ สถานทีไม่ใช่อาสนะทีกาํ บัง ไม่พอจะทําการได้ แต่เป็ นสถานทีพอจะพูดเกียวมาตุคามด้วยวาจาชัวหยาบได้ ก็


ภิ ก ษุ ใ ดนั งบนอาสนะเช่ นนั นในที ลับ กั บ มาตุค ามสองต่อสอง อุบ าสิ ก ามี ว าจาเชื อถือได้ ได้เ ห็ น ภิ ก ษุ นั งกั บ มาตุค ามนั นแล้ว
กล่าวโทษด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนึ ง บรรดาอาบัติ 2 อย่าง คื อ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย ์ ภิกษุ นั นยอมรับการนั ง พึงถูกปรับ
ด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนึ ง บรรดาอาบัติ 2 อย่าง คื อ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย,์ อี กอย่างหนึ ง อุบาสิ กาผูม้ ี วาจาเชือถือได้นั น
กล่าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษุ นั นพึงถูกปรับด้วยอาบัตินั น อาบัตินีชือว่า อนิ ยต
ภิกษุไม่พึงนังในทีลับหู กับหญิงสองต่อสอง
ต้นบัญญัติ. ต่อมา พระอุทายีดาํ ริวา่ พ.ทรงห้ามการนังในทีลับตา จึงนังในทีลับหูกบั สาวน้อยคนนัน หนึ งต่อหนึ ง นางวิสาขาเห็นอีก
ทีลับหู หมายถึง ทีซึงไม่มีใครสามารถได้ยินถ้อยคําทีพูดกันตามปกติได้ (ที แจ้ง แต่ห่างพอจะพูดเกียวมาตุคามได้ ผูอ้ นฟั
ื งเสียงพูดไม่ได้ยิน)
มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์ทีรูเ้ ดียงสา สามารถรับรูถ้ อ้ ยคําสุภาษิ ต ทุพภาษิ ต คําหยาบและคําสุภาพ
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ พระอุทายี ณ กรุงสาวัตถี นางวิสาขามิคารมารดาโจท, พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี
อาบัติ (วิธีปรับโทษ) เลียงเชียง
๑. ผูพ้ ดู ไม่ยืนยันลงไปชัดว่าทําอย่างนันๆ ให้ปรับตามปฏิญญา(คํายอมรับ) ของภิกษุ เช่น ในกรณี หาพยานหลักฐานยืนยันชัดเจนไม่ได้
2. ถ้าผูพ้ ูดยืนยันลงไปว่าทําอย่างนันๆ แม้ภิกษุ ไม่รบั ก็ให้ปรับตามคําของผูโ้ จทก์ เช่น ในกรณี มีพยานหลักฐานชัดเจนควรเชือได้
3. อธิกรณ์ทีพิจารณาอยูน่ ี ถ้าไม่มีผอู ้ ืนเป็ นพยาน เป็ นการตัวต่อตัว ควรฟั งเอาปฏิญญาของภิกษุ

อนิ ยตสิกขาบท เป็ นคู่มือของพระวินัยธร สําหรับยกขึนวินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ อันไม่แน่นอนซึงเกียวกับผูห้ ญิง


……………………………………………………………………

ต่อหัวข้อที 6.2-6.3 หน้า 165


มุสาวาทวรรคที 1 บทที 6-7
ภิกษุ นอนร่วมกับมาตุคาม
ภิกษุ ไม่แสดงธรรมแก่มาตุคาม
นิสสัคคิยปาจิตย์
นิ สสัคคิย ์ แปลว่า เป็ นของจําจะสละ พร้อมกับเวลาอรุณขึน ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะหรือบุคคล
ปาจิตตีย ์ แปลว่า การล่วงละเมิดอันยังกุศล(คือความดี)ให้ตกไป (ย่อมพลาดจากอริยมรรค เพราะเป็ นเหตุให้จิตลุม่ หลง)

จีวรวรรคที 1 (หมวดว่าด้วยจีวร) 1.1


บทที 1. ถ้ามีจวี ร(จีวร-สบง-สังฆาฏิ) เกินกว่าไตรครอง(ผ้า 3 ผืนทีได้อธิษฐานไว้) เก็บไว้ได้อย่างมากเพียง 10
วัน(อรุณ) ถ้าต้องการเก็บไว้เกินกว่านัน ต้องทําวิกัปทุก 10 วัน
พระอนุ บญ
ั ญัติ. เมือจีวรของภิกษุ สาํ เร็จแล้ว เมือกฐินเดาะแล้ว ภิกษุ พึงทรงอติเรกจีวรไว้ได้ 10 วันเป็ นอย่างมาก ให้เกินกําหนด
นั นไป ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย ์
ภิกษุ ตน้ บัญญัต.ิ พ.ประทับอยู่ ณ โคตมเจดีย ์ เขตพระนครสาวัตถี ภิกษุ ฉพั พัคคีย(์ 6 รูป) ลงสูท่ ีอาบนําด้วยไตรจีวรต่างสํารับกัน คือ เข้าบ้านสํารับหนึ ง
อยูใ่ นอารามสํารับหนึ ง สรงนําสํารับหนึ ง ภิกษุ ทงหลายติ
ั เตียน จึงทรงบัญญัติสิกขาบท , ภายหลังพระอานนท์ตอ้ งการเก็บจีวรไว้ให้แก่พระสารีบุตรซึง
อยูท่ ีเมืองสาเกต จะกลับมาใน 10 วัน
จีวร ได้แก่ ผ้า 6 ชนิ ดๆ ใดชนิ ดหนึ ง ซึงเข้าองค์กาํ หนดแห่งผ้าต้องวิกปั เป็ นอย่างตํา
กฐินเดาะ ตามศัพท์แปลว่า รือไม้สะดึง หมายถึง กฐินเสียหาย ภิกษุ หมดโอกาสจะได้ประโยชน์จากกฐิน ยกเลิกอานิ สงส์กฐินทีภิกษุ พึงรับ มจร.2/462/3
ทรง หมายถึง มีไว้เป็ นกรรมสิทธิ อติเรกจีวร ได้แก่ จีวรทียังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้วิกปั
ให้เกินกําหนดนันไป ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย ์ ความว่า เมืออรุณวันที 11 ขึนมา จีวรผืนนันเป็ นนิ สสัคคีย ์
 จีวรนั นมีกาํ เนิ ด 6 คือ ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตจีวร 6 ชนิ ด คือ
1. โขมํ ทําด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน 4. กมฺ พลํ ทําด้วยขนสัตว์ เช่นสักหลาด เว้นผมมนุ ษย์ ขุ.ม.29/742/397
2. กปฺปาสิกํ ทําด้วยฝ้ าย คือ ผ้าสามัญ 5. สาณํ ทําด้วยป่ าน(เปลือกไม้สาณะ) วิ.ม.5/139/176
3. โกเสยฺยํ ทําด้วยไหม คือ แพร 6. ภงฺคํ ทําด้วยของ(สัมภาระ)เจือกัน เช่น ผ้าด้ายแกมไหม วิ.อ.3/708
ผ้าฝ้ าย หนา ทน หนัก ร้อน = คอดตอน นิ ม ใส่สบาย ไม่รอ้ น เสือกีฬา
มัสลิน muslin (ฝ้ าย 100 เปอร์เซ็นต์) บางเบา เนื อละเอียด ห่มสบาย กันหนาวได้ดี ระบายความร้อนดี ยับง่าย เปื อยเร็ว
ป่ านมัสลิน บางโปร่ง เส้นแกร่ง
ผ้าไหม บางเบา เนื อแน่ นละเอียด นุ่ ม ผิวเรียบ พริว
ผ้าลินิน ซันเฟอร์ไลท์ เนื อแน่ นละเอียด ใส่สบาย
ผ้าโทเร (ใยสังเคราะห์ ฝ้ าย เปอร์เซ็นต์ โทเร เปอร์เซ็นต์) บางเบา ทนทาน ไม่ยบั ซักรีดง่าย ไม่แพง ร้อน ย้อมไม่คอ่ ยติด ทํา uniform ทําร่มกัน
แดด
 ผ้าต้องวิกปั เป็ นอย่างตํา คือ ผ้าทีมีขนาดตังแต่ยาว 8 นิ ว กว้าง 4 นิ ว ขึนไป
[ “ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ผ้าขนาดเล็กยาว 8 นิ ว กว้าง 4 นิ ว โดยนิ วพระสุคต เราอนุ ญาตให้วิกัป” ] วิ.ม.5/160/173
< ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้วิกปั จีวรอย่างตําด้านยาว 9 นิ ว กว้าง 4 นิ ว โดยนิ วพระสุ คต.> วิ.อ.3/708 มมร
< จีวรอย่างตําควรจะวิกปั ได้ดงั นี ขนาดแห่งจีวรนันด้านยาว 2 คืบ ด้านกว้างคืบหนึ ง > วิ.อ.3/708
กฐินขันธกะ วิ.ม.5/95/108 พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ภิกษุ ปาไฐยรัฐ [ทางWแห่งแคว้นโกศล] จํานวน 30 รูป [พระภัททวัคคิยเถระ ซึงเป็ นพี
น้องร่วมพระบิดาของพระเจ้าโกศล บรรลุคุณธรรมระหว่างโสดาบัน-อนาคามี] ล้วนถืออารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์ และเตจีวริกธุดงค์ โดยทางไป
เฝ้ า พ. แต่ไม่ทนั พรรษาขาด 6 โยชน์ จึงจํา ณ เมืองสาเกต เมือออกพรรษา (ที 14) แล้ว รีบเดินทางไปทังทีฝนตกชุก (พ.บัญญติให้พระภิกษุ สงฆ์ตอ้ ง
อยูจ่ าํ พรรษา ตังแต่พรรษาที 4 เป็ นต้นไป - พุทธกิจ 45 พรรษา)
กฐิน = กระด้าง, แข็งทื อ, เคร่งตึง. ตามศัพท์แปลว่า “ไม้สะดึง” คือไม้แบบสําหรับขึงเพือตัดเย็บจีวร; ในทางพระวินัย ใช้เป็ นชือเรียกสังฆกรรมอย่าง
หนึ ง (ในประเภทญัตติทุติยกรรม) ที พระพุทธเจ้าทรงอนุ ญาตแก่สงฆ์ผูจ้ าํ พรรษาแล้ว.. เมือสงฆ์คือที ประชุ มแห่งภิกษุ เหล่านันอนุ โมทนาแล้ว ก็ ทําให้
พวกเธอได้สิทธิ พิเศษที จะขยายเขตทําจีวรให้ยาวออกไป (เขตทําจีวรตามปกติ ถึงกลางเดือน 12 ขยายต่อออกไปถึงกลางเดือน 4); ผ้าทีสงฆ์ยกมอบ
ให้แก่ภิกษุ รูปหนึ งนันเรียกว่า ผ้ากฐิน (กฐินทุสสะ); สงฆ์ผปู ้ ระกอบกฐินกรรมต้องมีจาํ นวนภิกษุ อย่างน้อย 5 รูป; ระยะเวลาทีพระพุทธเจ้าทรงอนุ ญาต
ให้ประกอบกฐินกรรมได้ มีเพียง 1 เดือนต่อจากสินสุดการจําพรรษา เรียกว่า เขตกฐิน คือตังแต่แรม 1 คํา เดือน 11 ถึง ขึน 15 คํา เดือน 12
ภิกษุ ผกู ้ รานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิ สงส์ 5 ประการ (เหมือนอานิ สงส์การจําพรรษา; ดู จําพรรษา) ยืดออกไปอีก 4 เดือน (ตังแต่แรม 1 คํา
เดือน 12 ถึงขึน 15 คํา เดือน 4) และได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลออกไปตลอด 4 เดือนนัน

๑๓๘
“ดูกรฯ เราอนุญาตให้ภก
ิ ษุ ทงหลาย
ั ผู้จาํ พรรษาแล้วได้กรานกฐิน พวกเธอผู้ได้กรานกฐินแล้ว จักได้อานิสงส์ 5 ประการ คือ
1.เทียวไปไหนไม่ตอ้ งบอกลา 2.ไม่ตอ้ งถือไตรจีวรไปครบสํารับ 3.ฉันคณะโภชน์ ได้
4.ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา 5.จีวรอ ันเกิดขึน ณ ทีนันจักได้แก่พวกเธอ วิ.ม.5/96/129

<ภิกษุ 5 รูปเป็ นอย่างตํา ย่อมได้กราน หย่อน 5 รูปไม่ได้, ภิกษุ ผมู ้ ีพรรษาขาด จําพรรษาหลัง หรือภิกษุ จาํ พรรษาวัดอืน ย่อมไม่ได้ แต่ภิกษุ ผจู ้ าํ
พรรษาหลัง เป็ นคณปูรกะของภิกษุ ผจู ้ าํ พรรษาต้นได้ แต่ไม่ได้อานิ สงส์, ถ้าภิกษุ ผจู ้ าํ พรรษาต้นมีไม่ครบ 5 พึงมินนต์ผูจ้ าํ พรรษาหลังมาเพิมให้ครบ
คณะแล้วกรานกฐินเถิ ด> วิ.อ.7/229
<กฐิน จะเป็ นเทวดาหรือมนุ ษย์หรือสหธรรมิกทัง 5 คนใดคนหนึ งถวายก็ใช้ได้, สงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุ ใด ภิกษุ นันควรกราน, สงฆ์ควรให้ใคร?
ภิกษุ ใดมีจีวรเก่า, ถ้ามีหลายรูปพึงให้ผเู ้ ฒ่า, มีผเู ้ ฒ่าหลายรูปพึงให้มหาบุรุษสามารถทําจีวรให้เสร็จทัน, ไม่พึงให้แก่ภิกษุ ผโู ้ ลภ> วิ.อ.7/230
ดูกร อย่างไรเล่า กฐินไม่เป็ นอันกราน, กฐินไม่เป็ นอันกราน (ด้วย 24 กรณี ) คือ วิ.ม.5/97/130
1. กฐินไม่เป็ นอ ันกราน ด้วยอาการเพียงขีดรอย 2. ซัก 3. กะ 4. ตัด 5. เนา 6. เย็บค้น 7. ทําลูกคุม 8. ทํารังดุม
9. ประกอบผ้าอนุ วาต 10. ประกอบผ้าอนุ วาตด้านหน้า 11. ดามผ้า 12. ย้อมเป็ นสีหม่นเท่านัน
13. กฐินไม่เป็ นอ ันกราน ด้วยผ้าทีทํานิมต ิ ได้มา 14. พูดเลียบเคียงได้มา 15. ยืมเขามา 16. เก็บไว้คา้ งคืน 17. เป็ นนิสส ัคคิยะ
18. มิได้ทาํ พินทุก ัปปะ 19.-21. กฐินไม่เป็ นอ ันกราน เว้นจากผ้าส ังฆาฏิ-อุตราสงค์-อ ันตรวาสกเสีย
22. จีวรมีข ันธ์ 5 หรือเกิน 5 ซึงตัดดีแล้ว ทําให้มีมณฑลเสร็จในวันนัน 23. การกรานแห่งบุคคล
24.กฐินไม่เป็ นอ ันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุ ผอ ู้ ยูน
่ อกสีมาอนุ โมทนากฐินนัน
ดูกร อย่างไรเล่า กฐินเป็ นอ ันกราน, กฐินเป็ นอ ันกราน (ด้วย 17 กรณี) คือ วิ.ม.5/98/131
1. กฐินเป้ นอ ันกราน ด้วยผ้าใหม่ 2. ด้วยผ้าเทียมใหม่ 3. ด้วยผ้าเก่า 4. ด้วยผ้าบังสุกุล 5. ด้วยผ้าทีตกตามร้าน
6. ด้วยผ้าทีไม่ได้ทาํ นิมต
ิ ได้มา 7. ด้วยผ้าทีไม่ได้พูดเลียบเคียงได้มา 8. ด้วยผ้าทีไม่ได้ยม ื เขามา 9. ด้วยผ้าทีไม่ได้เก็บไว้คา้ งคืน
10. ด้วยผ้าทีไม่ได้เป็ นนิสส ัคคิยะ 11. ด้วยผ้าทีทําพินทุก ัปปะแล้ว 12. ด้วยผ้าส ังฆาฏิ 13. ด้วยผ้าอุตราสงค์ 14. ด้วยผ้าอ ันตรวาสก
15. ด้วยจีวรมีข ันธ์5 หรือเกิน5 ซึงตัดดีแล้ว ทําให้มีมณฑลเสร็จในวันนัน 16. เพราะการกรานแห่งบุคคล
17. กฐินเป็ นอ ันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุอยูใ่ นสีมาอนุ โมทนากฐินนัน
จีวรสําเร็จแล้ว ความว่า จีวรของภิกษุ ทาํ สําเร็จแล้วก็ด[ี แม้ถูกโจรลักไป] หายเสียก็ดี ฉิบหายเสียก็ดี ถูกไฟไหม้เสียก็ดี หมดหวังว่าจะได้ทาํ จีวรก็ดี
< เมือกฐินเดาะแล้ว คือ เดาะเสียแล้วด้วยมาติกาอันใดอันหนึ งในมาติกา 8 หรือสงฆ์เดาะเสียในระหว่าง > วิ.อ.3/706
ดูกร อย่างไรเล่า กฐินเป็ นอันเดาะ (สินสุดอานิสงส์กฐิน), ดูกร มาติกาเพือเดาะกฐิน 8 ข้อนี คือ วิ.ม.5/99-103/132
1.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วย(ถือจีวรทีทําเสร็จแล้ว) หลีกไป(ด้วยคิดว่าจักไม่กลับมา) การเดาะกฐินของภิกษุ นน ั กําหนดด้วยการหลีกไป
2.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยทําจีวรเสร็จ(นอกสีมา ด้วยคิดว่าจักไม่กลับมา)
3.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยตกลงใจ(นอกสีมา ว่าจักไม่ทาํ จีวร และจักไม่กลับมา)
4.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยผ้าเสียหาย(ทําไม่สาํ เร็จ นอกสีมา แล้วจักไม่กลับมา)
5.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยได้ยนิ ข่าว(ว่าในอาวาส กฐินทีเคยทําไว้เดาะเสียแล้ว เธอยูน
่ อกสีมา แม้ทาํ จึวรเสร็จแล้วและคิดจะกลับมา แต่
กฐินเดาะเสีย)
6.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยสินหวัง(เพราะไม่สมหวังทีจะได้จีวรดังตังใจ ภายหลังสําเร็จ หรือตกลงใจไม่ทาํ หรือเสียหาย หรือสินหวังจะได้
เมือใดเมือนันกฐินเดาะ)
7.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยล่วงเขต(ครันทําจีวรเสร็จแล้วนอกสีมา คิดว่าจักกลับมา ล่วงคราวกฐินเดาะ ณ ภายนอกสีมา) (กลับมาไม่ท ัน
หมดอานิสงส์นอกสีมา)
8.(ภิกษุ ได้กรานกฐินแล้ว) กําหนดด้วยเดาะพร้อมก ัน(ครันทําจีวรเสร็จแล้ว คิดว่าจักกลับมา กลับมาท ันกฐินเดาะ ชือว่า เดาะพร้อมก ับภิกษุ ทงหลาย)

เดาะกฐิน กฐินเดาะ (คําวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์)


เดาะ ในคําไทย หมายถึงร้าวจนจะหัก เช่นไม้คานเดาะ แขนเดาะ, เดาะ ในคําวัด หมายถึงการรือออก การถอนออก ใช้ในเรืองกฐินว่า เดาะกฐิน
เดาะกฐิน หมายถึง กฐินสินสุด อานิ สงส์กฐินหมดเขต เป็ นสํานวนพระวินัย คือพระสงฆ์ผไู ้ ด้รบั กฐินแล้วย่อมได้อานิ สงส์ขอ้ หนึ งว่าขยายเวลาทํา
จีวรออกไปได้อีก 4 เดือน แต่หากในระหว่างนันภิกษุ หมดความกังวลในอาวาสโดยออกจากวัดไปไม่คิดกลับมาอีก และหมดความกังวลในจีวรคือ
ทําจีวรเสร็จแล้วหรือทําจีวรค้างอยู่ แต่เกิดเสียหายหรือหายไปจึงหมดหวังทีจะได้ผา้ มาทําจีวรอีก เมือหมดกังวลหมดหวังเช่นนี เรียกว่า เดาะกฐิน
หรือ กฐินเดาะ เท่ากับรือไม้สะดึงแล้ว ขาดสิทธิทีจะถือเอาประโยชน์จากการได้กรานกฐิน
กฐินมีปลิโพธและสินปลิโพธ, ดูกร กฐินมีปลิโพธ 2 คือ อาวาสปลิโพธ1 จีวรปลิโพธ1 วิ.ม.5/126/153
อาวาสปลิโพธ คือ ภิกษุในธรรมวินยั นี ย ังอยูใ่ นอาวาสนัน หรือหลีกไป ผูกใจอยูว่ า่ จักกลับมา อย่างนี แลชือว่า อาวาสปลิโพธ
จีวรปลิโพธ คือ ภิกษุ ในธรรมวินยั นี ย ังไม่ได้ทาํ จีวร หรือทําค้างไว้ก็ดี ย ังไม่สนความหวังว่
ิ าจะได้จีวรก็ดี อย่างนีแลชือว่า จีวรปลิโพธ
สินปลิโพธ 2 ดูกรภิกษุทงหลาย
ั อย่างไรเล่า กฐินสินปลิโพธ 2 คือ สินอาวาสปลิโพธ 1 สินจีวรปลิโพธ 1
สินอาวาสปลิโพธอย่างไร ดูกรภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี หลีกไปจากอาวาสนัน ด้วยสละใจ วางใจ ปล่อยใจ ทอดธุระว่าจักไม่กลับมา อย่างนี
แล ชือว่าสินอาวาสปลิโพธ
สินจีวรปลิโพธเป็ นอย่างไร ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ในธรรมวินยั นี ทําจีวรเสร็จแล้วก็ดี ทําเสียก็ดี ทําหายเสียก็ดี ทําไฟไหม้เสียก็ดี สินความหวังว่าจะ
ได้จีวรก็ดี อย่างนี แล ชือว่าสินจีวรปลิโพธ
< เพราะความกังวลด้วยการกระทํานันเองสําเร็จลงแล้ว(ไม่มีกิจต้องทําอีก) >
< เมือจีวรสําเร็จแล้ว และเมือกฐินเดาะเสียแล้ว ชือว่า ความไม่มีปลิโพธทัง 2 > วิ.อ.3/706

๑๓๙
ผูค้ วรกรานกฐิน-ภิกษุ ใดมีจึวรเก่า ควรให้แก่ภิกษุ นัน ถ้าภิกษุ มีจีวรเก่าหลายรูปพึงให้แก่ผเู ้ ฒ่า, ในหมูผ่ เู ้ ฒ่า ภิกษุ ใดเป็ นมหาบุรุษสามารถ
ทําจีวรเสร็จทันกรานในวันนัน ควรให้แก่ภิกษุ นัน ถ้าผูเ้ ฒ่าไม่สามารถ ภิกษุ ผอู ้ ่อนกว่าสามารถ พึงให้แก่เธอ
ก็ เมือกฐิ นอันสงฆ์ให้อย่างนี แล้ว หากผ้ากฐิ นนั นเป็ นของมีบริกรรมเสร็จสรรพแล้ว อย่างนั นนันเป็ นการดี: หากมีบริกรรมยังไม่สาํ เร็จ แม้
ภิ กษุ รูปหนึ งจะไม่ช่วยทําด้วยถื อตัวว่า เราเป็ นเถระ หรือว่า เราเป็ นพหุ สสุ ตะ ดังนี ไม่ได้; การชักเย็บและย้อม ภิ กษุ ทังหมดต้องประชุ มช่วยกันให้
สําเร็จ ก็ขอ้ นี ชือกฐินวัตรทีพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ. วิ.อ.7/231
ผ้าอานิ สงส์กฐินทียังเหลือ พึงแจกกันโดยลําดับแห่งผ้าจํานํ าพรรษา.เพราะไม่มีลาํ ดับ พึงแจกตังแต่เถรอาสน์ ลงมา วิ.อ.7/233
ในบทว่า สนฺ นิธิกเตน นี สันนิ ธิมี 2 อย่าง คือกรณสันนิ ธิ 1นิ จยสันนิ ธิ 1 ในสันนิ ธิ 2 อย่างนัน การเก็บไว้ทาํ ไม่ทาํ เสียให้เสร็จในวัน นัน
ทีเดียว ชือ กรณสันนิ ธิ. สงฆ์ได้ผา้ กฐินในวันนี แต่ถวายในวันรุง่ ขึน นี ชือ นิ จยสันนิ ธิ. บทว่า นิ สฺสคฺ คิเยน คือ ด้วยผ้าทีข้ามราตรี. แม้ในคัมภีรบ์ ริวาร
ท่านก็กล่าวว่า ผ้าทีภิกษุ กาํ ลังทําอยู่ อรุณขึนมาชือผ้านิ สสัคคีย ์ วิ.อ.7/235
สัปปุริสทานสูตร ครันให้ทานโดยกาลอ ันควรแล้ว (กาเลน ได้แก่ ตามกาลทีเหมาะที
ทานของสัตบุรุษ 5 ประการ ควร) ย่อมเป็ นผูม ้ ังคัง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และย่อมเป็ นผูม ้ ีความ
(องฺ .ป ฺ จ.22/148/155 องฺ .ป ฺ จ.อ.36 หน้า 315) ต้องการทีเกิดขึนตามกาลบริบูรณ์ ในทีทีทานนันเผล็ดผล
[148] ดูกอ่ นภิกษุทงหลาย
ั ส ัปปุรสิ ทาน 5 ประการนี 5 ประการ ครันเป็ นผูม ้ ีจติ อนุ เคราะห์ให้ทานแล้ว (อนุ คฺคหจิตฺโต ได้แก่ มีจต ิ
เป็ นไฉน คือ ส ัตบุรุษย่อมให้ทานด้วยศรัทธา1 ย่อมให้ทานโดยเคารพ1 ไม่เสียดาย คือ สละขาดไปเลย) ย่อมเป็ นผูม ้ ังคัง มีทรัพย์มาก มีโภคะ
ย่อมให้ทานโดยกาลอ ันควร1 เป็ นผูม ้ ีจต ิ อนุ เคราะห์ให้ทาน1 ย่อมให้ มาก และเป็ นผูม ้ ีจติ น้อมไปเพือบริโภคกามคุณ 5 สูงยิงขึน ในทีทีทาน
ทานไม่กระทบตนและผูอ้ น ื 1 นันเผล็ดผล
ดูก ่อนภิก ษุ ท งหลาย
ั สตั บุรุษครันให้ทานด้วยศรัทธาแล้ว (สทฺธาย ครันให้ทานไม่กระทบคนและผูอ้ นแล้ ื ว (อนุ ปหจฺจ ได้แก่ ไม่กระทบ
ได้แ ก่ เชือทานและผลแห่งทาน) ย่อมเป็ นผู้มงั คัง มีทรัพ ย์มาก มีโภคะ คือ ไม่ลบหลูค ่ ุณทงหลาย)ั ย่อมเป็ นผูม
้ ังคัง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
มาก และเป็ นผูม ้ ีรูปสวยงาม น่ าดู น่ าเลือมใส ประกอบด้วยผิวพรรณงาม และย่อมเป็ นผูม ้ ีโภคทรัพย์ไม่มีภย ันตรายมาแต่ทีไหนๆ คือ จากไฟ จาก
ยิงนัก ในทีทีทานนันเผล็ดผล (บังเกิดขึน) นํา จากพระราชา จากโจร จากคนไม่เป็ นทีรัก หรือจากทายาท ในทีที
ครันให้ทานโดยเคารพแล้ว ย่อมเป็ นผู้มงั คัง มีทรัพ ย์มาก มีโภคะ ทานนันเผล็ดผล
มาก และเป็ นผู้มีบุตร ภรรยา ทาส คนใช้หรือคนงาน เป็ นผู้เชือฟัง เงีย
โสตลงสดับคําส ัง ตังใจใคร่รู ้ ในทีทีทานนันเผล็ดผล

[จีวรเป็ นนิ สสัคคีย์ ภิกษุ ยงั ไม่ได้เสียสละ บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ] บทภาชนี ย์


[ในการสละ เมือสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุ พึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนของทีเสียสละแก่ภิกษุ นันเสีย]
[ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั จีวรทีภิกษุ เสียสละแล้ว สงฆ์ คณะ หรือบุคคล จะไม่คืนให้ไม่ได้ ภิกษุ ใดไม่คืนให้ ต้องอาบัติทุกกฏฯ]
วิ.ม.2/9/9 วิ.อ.3/728 บทภาชนี ย ์
[ถ้าจําพรรษาครบ 3 เดือน เก็บได้ 1 เดือน, ถ้าได้กรานกฐิน เก็บไว้ได้ต่อไปอีก 4 เดือน รวมเป็ น 5 เดือน] อรรถกถา
คําพิ นทุผา้ อิมงั พินทุกปั ปั ง กโรมิ คําอธิ ษฐาน ผ้าปูนงั อิมงั นิสที ะนัง อธิฏฐามิ
คําอธิ ษฐาน บาตร อิมงั ปั ตตัง อธิฏฐามิ ผ้าปูนอน อิมงั ปั จจัตถะระณัง อธิฏฐามิ
จีวร อิมงั อุตตะราสังคัง อธิฏฐามิ ผ้าเช็ดหน้า อิมงั มุขะปุ ฺฉะนะโจลัง อธิฏฐามิ
สังฆาฏิ อิมงั สังฆาฏิง อธิฏฐามิ ผ้าปิ ดฝี อิมงั กัณฺฑุปฏิจฺฉาทิง อธิฏฐามิ
สบง อิมงั อันตะระวาสะกัง อธิฏฐามิ บริขารผ้า อิมงั ปริกฺขาระโจลัง อธิฏฐามิ
ผ้าอาบนํ าฝน อิมงั วัสสิกะสาฏิกงั อธิฏฐามิ คําถอนอธิษฐาน บาตร อิม ํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามิ
แปลว่า ข้าพเจ้าถอนบาตรใบนี เล่ม 3 หน้า 995 มมร..
ว่าด้วยการอธิ ษฐานไตรจีวรเป็ นต้น
บรรดาจีวรเป็ นต้น เหล่านัน อันภิกษุเมือจะอธิษฐานไตรจีวรย้อมแล้ว ให้กปั ปะพินทุ พึงอธิษฐานจีวรทีได้ประมาณเท่านัน วิ.อ.3/720
ภิกษุทงหลาย!
ั ผ้าไตรจีวร เราอนุญาตให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วกิ ปั (อธิษฐาน แปลว่า ตังเอาไว้) วิ.ม.5/160/172
ผ้าวัสสิกสาฎก(ผ้าอาบนําฝน) ให้อธิษฐานตลอด 4 เดือนแห่งฤดูฝน พ้นจากนีให้วกิ ปั (มีได้เพียงผืนเดียว)
ผ้านิสที นะ(ผ้ารองนัง) ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วกิ ปั (มีได้เพียงผืนเดียว) วิ.อ.3/718
ผ้าปั จจัตถรณะ(ผ้าปูนอน) ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วกิ ปั , สีเขียว สีเหลือง มีชายเป็ นลายดอกไม้ ย่อมควรทุกประการ (มีได้หลายผืน)
ผ้ากัณฑุปฏิจฉาทิ(ผ้าปิ ดฝี/แผล) ให้อธิษฐานตลอดเวลาทีอาพาธ พ้นจากนันให้วกิ ปั (มีได้เพียงผืนเดียว) วิ.อ.3/719
ผ้ามุขปุญจนโจล(ผ้าเช็ดหน้า/ผ้าเช็ดปาก) ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วกิ ปั (มีได้หลายผืน)
ผ้าบริขาร(โจล) ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วกิ ปั วิ.ม.5/160/200, วิ.อ.3/715
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุญาตผ้าบริขาร” วิ.ม.5/160/172
(บริขารโจล คือ จีวรทีเป็ นเหตุแห่งการเก็บโดยไม่เป็ นนิสสัคคีย,์ ก็จวี รทีเกินและหย่อนกว่าประมาณดังกล่าวแล้ว พึงอธิษฐานว่าบริขารโจล, ประมาณ
ดังกล่าว คือ อย่างตําแห่งสังฆาฏิและอุตราสงค์ ยาว 5 ศอกกํา กว้าง 2 ศอก, อันตรวาสก ยาว 5 ศอกกํา กว้าง 2 ศอก เพราะอาจปกปิ ดสะดือได้ อย่าง
สูง ไม่เกินสุคตจีวร

๑๔๐
ในบริขารโจล ชือว่าการนับจํานวนไม่ม,ี พึงอธิษฐานได้เท่าจํานวนทีต้องการ, ถุงย่ามก็ดี ผ้ากรองนําก็ดี มีประมาณเท่าจีวรทีควรวิกปั อย่างตํา พึง
อธิษฐานว่าบริขารโจลเหมือนกัน, ส่วนในเสนาสนะบริขารเหล่านีคือ ฟู กเตียง หมอน ผ้าปาวาร ผ้าโกเชาว์ และในเครืองปูลาดทีเขาถวายไว้เ พือ
ประโยชน์แก่ เสนาสนบริขาร ไม่มกี จิ ทีต้องอฐิษฐานเลย วิ.อ.3/719
การกําหนดขนาดใหญ่แห่งผ้าเช็คหน้า ผ้าปูนอน และผ้าบริขารโจล ไม่มเี หมือนกัน วิ.อ.3 หน้า 722
ว่าด้วยเหตุให้ขาดอธิ ษฐาน 1.ด้วยความเป็ นช่องทะลุ เป็ นช่องโหว่ทเี ดียว เท่าหลังเล็บนิวก้อย
2.ด้วยความเป็ นช่องทะลุจากด้านในเนือผ้า สําหรับสังฆาฏิและอุตราสงค์ ด้านยาว 1 คืบ ด้านกว้าง 8 นิว,
สําหรับอันตรวาสก ด้านยาว 1 คืบ ด้านกว้าง 4 นิว ควรทําสูจกิ รรม แล้วอธิษฐานใหม่ (สูจ=ิ เข็ม) วิ.อ.3/720
การขาดอธิษฐาน ย่อมมีได้ดว้ ยการให้1 หมุนไปผิด1 ลาสิกขา1 กระทํากาลกิริยา1 เพศกลับ1 ปั จจุทธรณ์(ถอน)1 เป็ นที 7 กับ
ช่องทะลุ1 ดังนี (เล่ม 3 หน้า 998 มมร.)

มติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ใคร่ครวญตามมูลเหตุ น่ าจะเห็นว่า อติเรกจีวรนั น ประสงค์เอาผ้านุ่ งห่มได้ แต่เมือกล่าวประมาณไว้เช่นนั น (8 นิ ว*4 นิ ว)
ก็น่าจะหมายเอาตลอดถึ งผ้าท่อนทีจะเย็บเพราะทําจีวรนุ่ งห่มได้, ส่ วนผ้าสี ต่างๆ อันจะใช้ทําผ้านุ่ งห่มไม่ ได้ ดู ไม่น่าจะถื อว่าเป็ น
อติเรกจีวรเลย, ข้อทีทรงอนุ ญาตให้อธิษฐานผ้าเหล่ านั น ตัวอย่างคือผ้าปูนอน แลเห็นว่าเป็ นของรุมาจากผ้านุ่ งห่ม ซึงอาจใช้นุ่งห่ม
โดยฐานเป็ นอติเรกจีวรได้อีก.
ข้าพเจ้าได้รับบอกเล่ ามาว่า ภิกษุ บางพวก ใช้อธิ ษฐานอติเรกจีวรเป็ นบริขารโจล ไม่ใช้วิกัป และได้รับวินิจฉัยของท่าน
พระจันทรโคจรคุ ณ(จนฺ ทรํสี ยิม) เจ้าวัดมกุฏกษั ตริยาราม พระอาจารย์ของข้าพเจ้าว่า ผ้าทีจะใข้อธิษฐานเป็ นบริขารโจลได้ ต้อง
ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่ งห่มได้, ..ข้าพเจ้า(ก็)เห็นไม่ถูกตามแบบ(ด้วย), ส่ วนผ้าบริขารโจลนั น เป็ นของเช่ นถุ งบาตรและย่าม ถ้า
ใช้ได้ ความต่างแห่งผ้าไตรจีวรกับผ้าบริขารโจล ก็หามิได้ สูใ้ ช้วิธีวิกปั ไม่ได้, มติของข้าพเจ้าว่า ผ้าอันจะอธิษฐานเป็ นผ้าปูน อนก็ ดี
เป็ นผ้าบริขารโจลก็ดี ต้องเป็ นของทีไม่ใช้นุ่งห่ม จึงอธิษฐานขึน ตัวอย่างว่า ภิกษุ รูปหนึ งถอนผ้าอุตตตราสงค์อนั เก่าเสี ย อธิษฐาน
ใหม่แล้ว ไม่คิดจะใช้นุ่งห่มอีก อธิ ษฐานผ้าเก่านั นเป็ นผ้าปูนอน เช่นนี เห็นอธิษฐานขึน ถ้ายังจะใข้นุ่ งห่ม ควรวิกัปไว้ใช้ตามแบบ,
ผ้าบริขารโจลก็น่าจะเป็ นเช่นนั น แต่บริขารชนิ ดนี ไม่ใช่ของใหญ่ คําวินิจฉัยของพระอาจารย์ของข้าพเจ้า จึงชอบแก่เหตุ วินัยมุข
เล่ม2 .อจิตตกะ
………………………………………………………………

ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พงึ ทรงจีวรสีเขียวครามล้วน(นีลกะล้วน) ไม่พงึ ทรงจีวรสีเหลืองล้วน(ปี ตกะล้วน).. แดงล้วน(โลหิตกะ
ล้วน)..สีบานเย็นล้วน(มัญเชฏฐก์ลว้ น)..ดําล้วน(กัณหะล้วน)..แสดล้วน(มหารงครัตต์ลว้ น อรรถกถาอธิบายว่าสีอย่างหลังตะขาบ แปลกัน
มาว่าสีแสด)?.. ชมภูลว้ น(มหานามรัตต์ลว้ น สีแดงมหานาม อรรถกถาอธิบายว่าสีแกมกัน อย่างสีใบไม้เหลือง บ้างว่าสีกลีบ ดอกปทุมอ่อน
แปลกันมาว่าสีชมพู) ไม่พงึ ทรงจีวรทีไม่ตดั ชาย..มีชายยาว..มีชายเป็ นลายดอกไม้..มีชายเป็ นแผ่น ไม่พงึ สวมเสือ ไม่พงึ สวมหมวก ไม่พงึ
ทรงผ้าโพก รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏฯ วิ.ม.5/169/215

ดูกรภิกษุ ทั งหลาย เราเดินทางไกลในระหว่างพระนครราชคฤห์และระหว่างพระนครเวสาลีต่อกันฯ ดูกรภิกษุ ทั งหลาย


เราครองผ้าผืนเดียว นั งอยุก่ ลางแจ้ง ณ ตําบลนี ตอนกลางคืน ขณะนํ าค้างตก ในราตรีเหมันตฤดู กําลังหนาว ตังอยูร่ ะหว่าง
เดือน 3 กับระหว่างเดือน 4 ต่อกัน ความหนาวมิได้มีแก่เรา เมือปฐมยามผ่านไปแล้วความหนาวจึงได้มีแก่เรา เราจึงห่มจีวร
ผืนทีสองความหนาวมิ ได้มีแก่เรา เมือมัชฌิมยามผ่านไปแล้วความหนาวได้มีแก่เรา เราจึงห่มจีวรผืนทีสามความหนาวมิ ไ ด้มี
แก่เรา เมื อปั จฉิ มยามผ่านไปแล้วขณะรุง่ อรุณแห่งราตรีอันเป็ นเบืองต้นแห่งความสดชื นความหนาวจึงได้มีแก่เรา เราจึงห่ม
จีวรผืนทีสีความหนาวมิได้มีแก่เรา
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตไตรจีวร คือ ผ้าสังฆาฏิ 2 ชัน ผ้าอุตราสงค์ชนเดี
ั ยว ผ้าอันตรวาสกชันเดียวฯ วิ.ม.5/150/188

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 155


๑. ผ้าประกอบด้วยชาติและประมาณเป็ นของๆ ตน ๔. ผ้านั นเป็ นอติเรกจีวร
๒. ผ้านั นถึงซึงกาลนั บวันได้ คือว่าถึงมือของตนแล้ว ๕. ล่วง 10 วันไป
๓. ปลิโพธทัง 2 ขาดแล้ว พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์

อนาบัติ. 1 ภิกษุ อธิษฐาน 2.ภิกษุวิกปั ไว้ 3.ภิกษุ สละให้ไป 4.จีวรหาย 5.จีวรฉิบหาย (เช่นขาด นุ่งไม่ได้แล้ว)
6.จีวรถูกไฟไหม้ 7.โจรชิงเอาไป 8.ภิกษุ ถือวิสาสะ 9.ทรงภายใน 10 วัน 10.ภิกษุวิกลจริต 11.อาทิกมั มิกะ

๑๔๑
บทที 2. ในช่วงเวลาใกล้อรุณรุ่งถึงอรุณรุ่ง ภิกษุจะต้องอยู่โดยมีไตรครองอยู่ในช่วงหัตถบาส เว้นแต่
ได้รบั อานิ สงส์พรรษา อยู่โดยปราศจากไตรครองได้ 1 เดือน และได้กรานกฐินแล้ว อยู่โดยปราศจากไตรครองได้ต่อไปอีก 4 เดือน
พระอนุ บญ ั ญัติ. เมือจีวรของภิกษุ สาํ เร็จแล้ว เมือกฐินเดาะแล้ว ถ้าภิกษุ อยูป่ ราศจากไตรจีวรแม้สินราตรีหนึ ง เป็ นนิ สสัคคิย
ปาจิตตีย ์ เว้นแต่ภิกษุ ได้รบั สมมติ วิ.ม.2/11/13 (อจิตตกะ)
ภิกษุ ตน้ บัญญัต.ิ ภิกษุ ทงหลายฝากสั
ั งฆาฏิไว้กบั ภิกษุ ทงหลายแล้
ั วหลีกไปจาริกในชนบท เก็บไว้นานจนราขึน ภิกษุ นํามาผึง พระอานนท์เห็นจึง
เพ่งโทษติเตียนแล้วกราบทูลฯ
ไตรจีวร(ไตรครอง) ประกอบด้วยผ้า 3 ผืน คือ 1.อันตรวาสก(ผ้านุ่ ง) 2.อุตตราสงค์(ผ้าห่ม) 3.สังฆาฏิ(ผ้าคลุม/ผ้าทาบ/ผ้าซ้อน)
(เว้นแต่ภิกษุ ได้รบั สมมติ) ทรงอนุ ญาตให้สมมติติจีวรวิปวาส คือ สมมติเพือไม่เป็ นการอยูป่ ราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุ ผอู ้ าพาธ ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา
ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย ์ คือ จีวรเป็ นนิ สสัคคียพ์ ร้อมกับอรุณขึน คือเป็ นของจําต้องสละแก่สงฆ์ แก่คณะหรือแก่บุคคล
[หัตถบาส แปลว่า บ่วงแห่งมือ] <ในบุพพสิกขาวรรณาหน้า 469 กล่าวว่า “มือทีจะเหยียดออกเพือจะให้และรับให้ได้ 2 ศอกคืบ”>
พจนฯ ศัพท์ บ่วงมือ คือทีใกล้ตวั ชัวคนหนึ ง (นังตัวตรง) เหยียดแขนออกไปจับตัวอีกคนหนึ งได้ , อรรถกถา (เช่น วินย.อ. 2/404) อธิบายว่า
เท่ากับช่วงสองศอกคืบ (2 ศอก 1 คืบ หรือ 2 ศอกครึง) วัดจากส่วนสุดด้านหลังของผูเ้ หยียดมือออกไป (เช่นถ้ายืน วัดจากส้นเท้า, ถ้านัง วัดจากสุด
หลังอวัยวะทีนัง, ถ้านอน วัดจากสุดข้างด้านทีนอน) ถึงส่วนสุดด้านใกล้แห่งกายของอีกคนหนึ งนัน (ไม่นับมือทีเหยียดออกมา), โดยนัยนี ตามพระมติที
ทรงไว้ในวินัยมุข เล่ม 1 และ 2 สรุปได้วา่ ให้ห่างกันไม่เกิน 1 ศอก คือมีชอ่ งว่างระหว่างกันไม่เกิน 1 ศอก
<ในบุพพสิกขาวรรณาหน้า 508 กล่าวว่า “โบราณคติสืบมา ท่านบอกเข้าวัด และบอกให้รจู ้ กั อรุณ อรุณแดงขึนมาแล้วให้ออกจากวัด เข้าวัดให้ทนั อรุณ
ขาวก่อนอรุณแดง”>
[14] บ้านทีชือว่า มีอุปจารเดียว คือเป็ นบ้านของสกุลเดียว และมีเครือง มาติกาวิภงั ค์ วิ.ม.2/14/16
ล้อม. ภิกษุ เก็บจีวรไว้ภายในบ้าน ต้องอยูภ ่ ายในบ้าน. เป็ นบ้านไม่มีเครือง [18] เรือนยอดเดียว [19] ปราสาท [20] ทิมแถว [21] เรือ
ล้อม. ภิก ษุ เก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนัน หรือไม่ละจากห ัตถ [22] หมู่เกวียน ของสกุลเดียว ภิก ษุ เก็บจีวรไว้ในหมู่เกวียน ไม่พึงละ
บาส. อพั ภัน ดรด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านละ 7 อพ ั ภัน ดร ด้านข้างด้านละ 1
ทีชือว่า มีอุปจารต่าง คือเป็ นบ้านของต่างสกุล และมีเครืองล้อม. อพ ั ภัน ดร. หมู่เกวียนของต่างสกุล เก็บจีวรไว้ในหมูเ่ กวียน ไม่พึงละจาก
ภิก ษุ เก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยูใ่ นเรือนนัน หรือในห้องโถง หรือทีริม ห ัตถบาส.
ประตูเรือน หรือไม่ละจากห ัตถบาส. เมือจะไปสูห ่ อ้ งโถง ต้องเก็บจีวรไว้ใน [23] ไร่นา ของสกุลเดียวและมีเครืองล้อม ภิกษุ เก็บจีวรไว้ภายในเขตไร่
ห ัตถบาส แล้วอยูใ่ นห้องโถง หรือทีริมประตู หรือไม่ละจากห ัตถบาส. เก็บ นา ต้องอยู่ภายในเขตไร่นา เป็ นไร่น าไม่มีเครืองล้อม ไม่พึงละจากห ัตถ
จีวรไว้ในห้องโถง ต้องอยู่ในห้องโถง หรือทีริมประตู หรือไม่ละจากห ัตถ บาส.
บาส. เป็ นบ้านไม่มีเครืองล้อม เก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยูใ่ นเรือนนัน ไร่น าของต่างสกุลและมีเครืองล้อม เก็บจีวรไว้ภายในเขตไร่นา
หรือไม่ละจากห ัตถบาส. ต้องอยูภ ่ ายในเขตไร่นา หรือทีริมประตู หรือไม่ละจากห ัตถบาส. เป็ นเขต
[15] เรือนของสกุลเดียว และมีเครืองล้อม มีหอ้ งเล็กห้องน้อยต่างๆ ภิกษุ ไม่มีเครืองล้อม ไม่พึงละจากห ัตถบาส.
เก็บจีวรไว้ภายในเรือน ต้องอยู่ภายในเรือน. เป็ นเรือนทีไม่มีเครืองล้อม [24] ลานนวดข้าว [25] สวน [26] วิหาร
เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยูใ่ นห้องนัน หรือไม่ละจากห ัตถบาส. [27] โคนไม้ ของสกุลเดียว กําหนดเอาเขตทีเงาแผ่ไปโดยรอบในเวลา
เรือนของต่างสกุล และมีเครืองล้อม มีหอ้ งเล็กห้องน้อยต่างๆ ภิกษุ เทียง ภิก ษุ เก็บจีวรไว้ภายในเขตเงา ต้องอยู่ภายในเขตเงา. โคนไม้ของ
เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนัน หรือทีริมประตู หรือไม่ละจาก ต่างสกุล ไม่พึงละจากห ัตถบาส.
หตั ถบาส. เป็ นเรือนไม่มีเครืองล้อม เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยูใ่ นห้อง [28] ทีแจ้ง ทีชือว่า มีอุปจารเดียว มีอุปจารต่าง คือ ในป่ าหาบ้านมิได้
นัน หรือไม่ละจากห ัตถบาส. กําหนด 7 อ ัพภันดรโดยรอบ จัดเป็ นอุปจารเดียว พ้นไปนัน จัดเป็ นอุปจาร
[16] โรงเก็บของ ต่าง.
[17] ป้ อม ของสกุลเดียว ภิกษุ เก็บจีวรไว้ภายในป้ อม ต้องอยูภ ่ ายในป้ อม. อ. 7 อ ัพภนดรนี มีประมาณ 28 ศอก
ป้ อมของต่างสกุล มีหอ้ งเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยูใ่ น ถ้า ว่า วิห ารอยู่ไ กล ในระหว่างทางมีพ วกชาวบ้า นสญ ั จรไปมา เธอพบ
ห้องนัน หรือทีริมประตู หรือไม่ละจากห ัตถบาส. ชาวบ้านเหล่านัน พึงนุ่ งผืนหนึ ง ห่มผืน หนึ ง วางผืน หนึ งไว้บนจะงอยบ่า
แล้วพึงเดินไป

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 156


๑. ผ้าภิกษุ อธิษฐานเป็ นจีวรแล้ว
๒. ไม่มีอานิ สงส์กฐิน ต่อหัวข้ อที ๒ หน้ า ๘
๓. ไม่ได้อวิปปวาสสมมติ เรือง กิจวัตรประจําวัน
๔. อยู่ปราศจากผ้านั น ราตรีหนึ งจนอรุณใหม่ขึนมา
พร้อมด้วยองค์ 4 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์ …………..………………………………………………………………..

บทที 3 จีวรของภิ กษุ สาํ เร็จแล้ว กฐิ นเดาะเสียแล้ว อกาลจีวรเกิ ดขึนแก่ภิกษุ ภิ กษุ หวังอยู่ก็พึงรับ ครันรับแล้ว พึงรีบให้ทํา ถ้าผ้านั นมีไม่พอ เมือ
ความหวังว่าจะได้มีอยู่ ภิกษุ นันพึงเก็บจีวรนันไว้ได้เดือนหนึ งเป็ นอย่างยิง เพือจีวรทียังบกพร่องจะได้พอกัน ถ้าเก็บไว้ยิงกว่ากําหนดนัน แม้ความหวังว่า
จะได้มีอยู่ ก็เป็ นนิ สสัคคีย ์ ต้องอาบัติปาจิตตียฯ์
อกาลจีวร คือ จีวรอันเกิดขึนนอกเขตจีวรกาล นอกเขตอานิ สงส์กฐิน หรือเรียกว่า อติเรกจีวร
กาลจีวร คือ ถ้าจําพรรษาแล้วไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วนั ปวารณาไปเดือน 1 คือตังแต่แรม 1 คํา เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12, ถ้าได้กรานกฐินนับต่อไป
อีก 4 เดือน ถึงกลางเดือน 4(รวมเป็ น 5 เดือน)

๑๔๒
ต้นบัญญัต.ิ อกาลจีวรเกิดแก่ภิกษุ รูปหนึ ง เธอจะทําจีวร* ก็ไม่พอ จึงเอาจีวรนันจุม่ นํ าตากแล้วดึงเป็ นหลายครัง พระผูม้ ีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไป
ตามเสนาสนะทรงทอดพระเนตรเห็น .. แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจุม่ จีวรนี ลงในนําแล้วดึงเป็ นหลายครัง เพือประสงค์อะไร ภิกษุ รูปนันกราบ
ทูลว่า อกาสจีวรผืนนี เกิดแก่ขา้ พระพุทธเจ้า จะทําจีวรก็ไม่พอ เพราะฉะนัน ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้จมุ่ จีวรนี ตากแล้วดึงเป็ นหลายครัง พระพุทธเจ้าข้า
พ. ก็เธอยังมีหวังจะได้จีวรมาอีกหรือ ภิกษุ. มี พระพุทธเจ้าข้า
ทรงบัญญัติวา่ “ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้รบั อกาลจีวรแล้วเก็บไว้ได้โดยมีหวังว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิมเติม.”
ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายทราบว่
ั า พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงอนุ ญาตให้รบั อกาลจีวรแล้วเก็บไว้ได้ โดยมีหวังว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิมเติม
จึงรับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้เกินหนึ งเดือน จีวรเหล่านั นเธอห่อแขวนไว้ทีสายระเดียง ท่านพระอานนท์เทียวจาริกไปตามเสนาสนะ ได้เห็นจีวรเหล่านัน
ท่านพระอานนท์จึงเพ่งโทษ ติเตียน แล้วทูลต่อ พ. จึงทรงตัง อนุ บญ ั ญัติ
บทที 4 อนึ ง ภิกษุ ใด ยังภิกษุณีผมู ้ ิใช่ญาติให้ซกั ก็ดี ให้ยอ้ มก็ดี ให้ทุบก็ดี ซึงจีวรเก่า เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ. อดีตภรรยาพระอุ ทายี บวชในสํานั กภิ กษุ ณี ท่านอุ ทายีและนางภิกษุ ณีนังบนอาสนะเปิ ดองค์กําเนิ ดเบืองหน้ากันและกัน พระอุ ทายีมี
ความกําหนัดเพ่งดูองค์กาํ เนิ ดของนาง อสุจิได้เคลือนจากฐาน พระอุทายีจึงพูดว่า น้องหญิง เธอจงไปหานํามา ฉันจักซักผ้าอันตรวาสก นางบอกว่า
ส่งมาเถิด จักซักถวาย นางได้น่าอสุจิสว่ นหนึ งสอดเข้าไปในองค์กําเนิ ด ต่อมานางได้ตงครรภ์
ั ภิกษุ ณีทงหลายเพ่
ั งโทษ นางจึงแจ้งความนันให้ท ราบ
แล้ว
บทที 5 อนึ ง ภิกษุ ใดรับจีวรจากมือภิกษุ ณีผมู ้ ิใช่ญาติ เว้นไว้แต่ของแลกเปลียน เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์
ต้นบัญญัติ. พระภิกษุ ณีอุปปลวัณณาถูกพระอุทายีขอผ้าอันตรวาสก แม้ทดั ทานแล้วว่า “พวกดิฉนั ชือว่ามาตุคามมีลาภน้อย ทังผ้าผืนนี ก็เป็ นจีวร
ผืนสุดท้ายทีครบ 5 ของดิฉนั ๆ ถวายไม่ได้” แต่กลับถูกแคะไค้(พูดหว่านล้อม)
ดูกรฯ เราอนุ ญาตให้รบั จีวรแลกเปลียนกัน ของสหธรรมิกทัง 5 คือ ภิ กษุ ภิ กษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี เราอนุ ญาตให้รบั จี ว ร
แลกเปลียนกันของสหธรรมิกทัง 5 นี
ผูม้ ิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด 7 ชัวอายุของบุรพชนก
บทที 6. อนึ ง ภิกษุ ใด ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผูม้ ิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย,์ สมัยในคํา
นั นดังนี ภิกษุ เป็ นผูม้ ี จีวรถูกชิงเอาไปก็ดี มีจีวรฉิบหายก็ดี นี สมัยในคํานั นฯ 8.1
ผูไ้ ม่ใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื องถึงกันทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด 7 ชัวอายุของบรพชนก
ต้นบัญญัต.ิ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน พระอุปนันทศากยบุ ตร(ผูเ้ ชียวชาญแสดงธรรมมีกถา) บุตรเศรษฐีฟังธรรมแล้วเกิ ดศรัทธา
ได้กล่าวปวารณา ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้กล่าวคํานี กะเศรษฐีบุตรนันว่า “ถ้าท่านประสงค์จะถวายแก่อาตมา ก็จงถวายผ้าสาฎกผืนหนึ งจากผ้า
เหล่านี เศรษฐีบุตรได้กล่าวขอผัดว่า ท่านเจ้าข้า กระผมเป็ นกุลบุตรจะเดินไปมีผา้ ผืนเดียวดูกระไรอยู่ โปรดรออยูช่ วเวลาที
ั กระผมกลับไปบ้าน กระผมไป
ถึงบ้านแล้ว จักจัดส่งผ้าสาฎกผืนหนึ งจากผ้าเหล่านี หรือผ้าทีดีกว่านี มาถวาย .. แม้ครังทีสองแล ท่านพระอุปนันทศากยบุตรก็ได้กล่าวคํานี .. แม้ครังที
สามแล ภายหลัง ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวพ้อว่า ท่านไม่ประสงค์จะถวายก็จะปวารณาทําไม ท่านปวาณาแล้วไม่ถวาย จะมีประโยชน์อะไร ครัน
เศรษฐีบุตรนันถูกท่านพระอุปนันทศากยบุตรแคะได้ จึงได้ถวายผ้าสาฎกผืนหนึ งแล้วกลับไป ชาวบ้านพบเศรษฐีบุตรนันแล้วถามว่า นาย ทําไมท่านจึงมี
ผ้าผืนเดียวเดินกลับมา จึงเศรษฐีบุตรได้เล่าเรืองนันแก่ชาวบ้านเหล่านัน
ในนิ ทานต้นบัญญัติระบุวา่ แม้เขาปวารณา แต่ถา้ ไม่ได้ปวารณาระบุวา่ จะให้จีวร ก็ขอไม่ได้ และในพระบัญญัติไม่มีคาํ ว่าปวารณา ดังนันเว้นไว้
แต่ญาติแล้ว ขอจีวรไม่ได้
อ. อนึ ง ในคําว่า ปวาริตานํ นี มีวินิจฉัยดังนี :- ในปั จจัยทังหลาย ทีเขาปวารณาไว้ดว้ ยอํานาจแห่งสงฆ์ ควรขอแต่พอประมาณเท่านั น. ในการปวารณา
เฉพาะบุคคล ควรขอแต่เฉพาะสิงของทีเขาปวารณาเหมือนกัน . แท้จริง คนใดปวารณาด้วยจตุปัจจัยกําหนดไว้เองทีเดียว แล้วถวายสิงของทีต้องการโดย
อาการอย่างนัน คือ ย่อมถวายจีวรตามสมควรแก่กาล ย่อมถวายอาหารมีขา้ วต้มและข้าวสวยเป็ นต้นทุก ๆ วัน, กิจทีจะต้องออกปากขอกะคนเช่นนัน ไม่
มี. ส่วนบุคคลใดปวารณาแล้ว ย่อมไม่ให้ เพราะเป็ นผูเ้ ขลา หรือเพราะหลงลืมสติ, บุคคลนัน อันภิกษุ ควรขอ. บุคคลกล่าวว่า ผมปวารณาเรือนของผม,
ภิกษุ พึงไปสูเ่ รือนของบุ คคลนันแล้วพึงนัง พึงนอน ตามสบาย ไม่พึงรับเอาอะไร ๆ. ส่วนบุคคลใด กล่าวว่า ผมขอปวารณาสิงของที มีอยูใ่ นเรือนของผม
ดังนี , พึงขอสิงของทีเป็ นกัปปิ ยะซึงมีอยูใ่ นเรือนของบุคคลนัน. ในกุรุนทีกล่าวว่า แต่ภิกษุ จะนังหรือจะนอนในเรือน ไม่ได้. (เล่ม 3 หน้า 812 มมร.)
[ในการสละ เมือสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุ พึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรทีเสียสละแก่ภิกษุ นันเสีย]
อนาบัติ. 1. ภิกษุ ขอต่อญาติ องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า ๑๕๙
2. ภิกษุ ขอต่อคนปวารณา (เข้าใจว่าหมายถึง ปวารณาระบุวา่ จะ ๑. ผ้ากว้างยาวควรวิกปั ได้
ให้จีวร จึงจะไม่ขดั กับนิ ทานต้นบัญญัติและสอดคล้องกับบทภาชนี ย)์ ๒. ไม่มีสมัย
3.ภิกษุ ขอ(จากคนปวารณาและญาติของเขา)เพือประโยชน์ ของ ๓. ขอกับคนไม่ใช่ญาติ
ภิกษุ อืน ๔. ได้มาเป็ นของตน
4.ภิกษุ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน พร้อมด้วยองค์ ๔ ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์

๑๔๓
บทที 7. ถ้าพ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ ดี ผูม้ ิใช่ญาติปวารณาต่อภิกษุ นั น ด้วยจีวรเป็ นอันมากเพือนําไปได้ตามใจ ภิกษุ พึงยินดี
จีวร มีอตุ ราสงค์อันตรวาสกเป็ นอย่างมาก จากจีวรเหล่านั น ถ้ายินดียงิ กว่านั น เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ถ้า…ภิกษุ นัน ได้แก่ ภิกษุ ผมู ้ ีจีวรถูกชิงไป
ภิกษุ พึงยินดีจีวรมีอุตราสงฆ์กบั อันตรวาสกเป็ นอย่างมาก จากจีวรเหล่านัน ความว่า ถ้าจีวรหาย 3 ผืน เธอพึงยินดีเพียง 2 ผืน,
หาย 2 ผืน พึงยินดีเพียงผืนเดียว, หายผืนเดียวอย่าพึงยินดีเลย
พระฉัพพัคคียเ์ ข้าไปหาภิกษุ ทงหลายผู
ั ม้ ีจีวรถูกชิงไป แล้วกล่าวอย่างนี วา่ .. ท่านทังหลายจงขอจีวรเถิด ภิกษุ เหล่านันกล่าวว่า พอแล้ว ขอรับ
พวกผมได้จีวรมาแล้ว ฉ. พวกผมจะขอเพือประโยชน์ของพวกท่าน ลําดับนัน พระฉัพพัคคียเ์ ข้าไปหาพวกพ่อเจ้าเรือนผูม้ ิใช่ญาติ แล้วกล่าวคํานี วา่
ท่านทังหลาย พวกภิกษุ ทีมีจีวรถูกชิงไปมาแล้ว ขอท่านทังหลายจงถวายจีวรแก่พวกเธอ ดังนี แล้ว ขอจีวรได้มาเป็ นอันมาก ครังนัน บุรุษหนึ ง นังอยู่
ในทีชุมชน พูดกะบุรุษอีกผูห้ นึ งว่า พระคุณเจ้าทังหลาย ผูม้ ีจีวรถูกชิงไปมาแล้ว ข้าพเจ้าได้ถวายจีวรแก่ท่านเหล่านันแล้ว แม้บุรุษอีกผูห้ นึ งนันก็กล่าว
อย่างนี .. แม้บุรุษอืนอีกก็กล่าวอย่างนี วา่ แม้ขา้ พเจ้าก็ได้ถวายไปแล้ว บุรุษเหล่านันจึงพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสาย
พระศากยบุตรจึงไม่รจู ้ กั ประมาณ ขอจีวรมามากมายเล่า พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จักทําการค้าผ้าหรือจักตังร้านขายผ้า .. ต่างก็เพ่งโทษ ติ
เตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคียจ์ ึงได้ไม่รูจ้ กั ประมาณ ขอจีวรมามากมายเล่า แล้วกราบทูลเรืองนันแด่ พ.
[ถ้ายินดียิงกว่านั น ความว่า ขอมาได้มากกว่านั น เป็ นทุกกฏในประโยคทียินดีเกินกําหนด,
ต่อหัวข้ อที ๘.๒ หน้ า ๑๕๔
เป็ นนิ สสัคคียด์ ว้ ยได้จีวรมา]
ปั ตตวรรคที ๓ บทที ๒
* สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ คือ ถ้าเขาไม่ใช่ญาติ แม้สําคัญว่าเป็ นญาติ
การห้ ามขอบาตร
………………………………………………………
บทที 8 อนึ ง มีพอ่ เรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผูม้ ิใช่ญาติตระเตรียมทรัพย์ สําหรับจ่ายจีวรเฉพาะภิกษุ ไว้วา่ เราจักจ่ายจีวรด้วยทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรนี แล้ว
ยังภิกษุ ชือนี ให้ครองจีวร ถ้าภิกษุ นันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาแล้ว ถึงการกําหนดในจีวรในสํานักของเขาว่า ดีละ ท่านจงจ่ายจีวรเช่นนั นหรือ
เช่นนี ด้วยทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรนี แล้วยังรูปให้ครองเถิด เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์ ถือเอาความเป็ นผูใ้ คร่ในจีวรดีฯ
อนาบัติ. สังให้จา่ ยจีวรมีราคาน้อยกว่า ไม่เป็ นอาบัติ
บทที 9 อนึ ง มีพอ่ เจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผูม้ ิใช่ญาติสองคน ตระเตรียมทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ ไว้เฉพาะภิกษุ วา่ เราทังหลายจักจ่ายจีวร
เฉพาะผืนๆ ด้วยทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่านี แล้ว ยังภิกษุ ชือนี ให้ครองจีวรหลายผืนด้วยกัน ถ้าภิกษุ นันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหา
แล้วถึงการกําหนดในจีวรในสํานักของเขาว่า ดีละ ขอท่านทังหลายจงจ่ายจีวรเช่นนันหรือเช่นนี ด้วยทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่านี แล้ว ทัง
สองคนรวมกัน ยังรูปให้ครองจีวรผืนเดียวเถิด เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์ ถือเอาความเป็ นผูใ้ คร่ในจีวรดีฯ

บทที 10. ถ้าใครๆ นําทรัพย์มาเพือค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็ นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุตอ้ งการจีวร 7.1


ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกว่า ผูน้ ี เป็ นไวยาวัจกรของภิกษุ ทงหลาย
ั (บอกนี ทีเก็บ แต่อย่าบอกเก็บไว้ทีนี ) ครันเขามอบหมายไวยาวัจกร
นั นแล้ว สังภิกษุ ว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุ นันพึงเข้าไปหาเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวร ดังนี ได้ 3 ครัง ถ้า
ไม่ได้จีวร ไปยืนพอเขาเห็นได้ 6 ครัง ถ้าไม่ได้ขืนไปทวงให้เกิน 3 ครัง ยืนเกิน 6 เขาครัง ได้มา ต้องนิ สสัคคิยปาจิตตีย.์ ถ้าไปทวง
และยืนครบกําหนดแล้วไม่ได้จีวร จําเป็ นต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่า ของนั นไม่สําเร็จประโยชน์ แก่ตน ให้เขาเรียกเอาของคืนมาเสีย
พระบัญญัติ. “อนึ ง พระราชาก็ดี ราชอํามาตย์ก็ดี พราหมณ์ ก็ดี คหบดีก็ดี ส่งทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรไปด้วยทูต เฉพาะภิกษุ วา่ เจ้าจงจ่า ย
จีวรด้วยทรัพย์สําหรับจ่า ยจีวรนี แล้วยังภิกษุ ชือนี ให้ครองจีวร, ถ้า ทูต นันเข้าไปหาภิกษุ นนกล่
ั าวอย่างนี ว่า ทรัพย์สํา หรับจ่ายจีวรนีนํามา
เฉพาะท่าน ขอท่านจงรับทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวร ภิกษุ นนพึ ั งกล่าวต่อทูตนันอย่างนีว่า พวกเราหาได้รบั ทรัพย์สาํ หรับค่าจีวรไม่ พวกเรารับ
แต่จีวรอันเป็ นของควรโดยกาล, ถ้าทูตนันกล่าวต่อภิกษุ นนอย่ ั างนีว่า ก็ใครๆ ผู้เป็ นไวยาวัจกรของท่านมีหรือ ภิกษุ ผู้ต้องการจีวรพึงแสดง
ชนผู้ทําการในอารามหรืออุบาสกให้เป็ นไวยาวัจกร ด้วยคําว่า คนนันแลเป็ นไวยาวัจกรของภิกษุ ทงหลาย ั ถ้า ทูต นันสังไวยาวัจกรนันให้
เข้า ใจแล้ว เข้า ไปหาภิกษุ นนกล่ั าวอย่างนีว่า คนทีท่า นแสดงเป็ นไวยาวัจกรนัน ข้า พเจ้าสังให้เข้าใจแล้ว ท่า นจงเข้าไปหา เขาจักให้ทา่ น
ครองจีวรตามกาล, ภิกษุ ผู้ต้องการจีวรเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวงพึงเตือนสองสามครังว่า รูปต้องการจีวร ภิกษุ ทวงอยู่ เตือนอยู่ สอง
สามครัง ยังไวยาวัจกรนัน ให้จดั จีวรสําเร็จได้ การให้สาํ เร็จได้ด้วยอย่างนี นันเป็ นการดี ถ้าให้สาํ เร็จไม่ได้ พึงยืนนิงต่อหน้า 4 ครัง 5 ครัง
6 ครัง เป็ นอย่างมาก เธอยืนนิงต่อหน้า 4 ครัง 5 ครัง 6 ครัง เป็ นอย่างมาก ยังไวยาวัจกรนันให้จดั จีวรสําเร็จได้ การให้สาํ เร็จได้ด้วยอย่าง
นี นันเป็ นการดี ถ้าให้สาํ เร็จไม่ได้ ถ้าเธอพยายามให้ยงกว่ิ านัน ยังจีวรนันให้สาํ เร็จ เป็ นนิสสัคคิยปาจิตตีย์, ถ้าให้สาํ เร็จไม่ได้ พึงไปเองก็
ได้ ส่งทูตไปก็ได้ ในสํานักทีส่งทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรมาเพือเธอ บอกว่า ท่านส่งทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรไปเฉพาะภิกษุ ใด ทรัพย์นนหาสํ ั าเร็จ
ประโยชน์น้อยหนึ งแก่ภก ิ ษุ นนไม่
ั ท่านจงทวงเอาทรัพย์ของท่านคืน ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย นีเป็ นสามีจก ิ รรมในเรืองนันๆ”
ไวยาวัจกร ได้แก่ ผูท้ ํากิจ ความว่า กัปปิ ยการก หมายถึง ผูท้ าํ หน้าทีจัดของทีสมควรแก่ภิกษุ บริโภค, ผูป้ ฏิบตั ิภิกษุ , ศิษย์พระ
ภิกษุ ต้นบัญญัต.ิ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันฯ มหาอํามาตย์ผู้อุปฏ
ั ฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตร ส่งทรัพย์สาํ หรับจ่าย
จีวรไปกับทูต แต่พระอุปนันทศากยบุตรไม่รบั ทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรนัน (“พวกเรารับทรัพย์สาํ หรับจ่ายจีวรไม่ได้ รับได้แต่จีวรอันเป็ นของ
ควรโดยกาลเท่านัน”) ภายหลังพระอุปนันทศากยบุตรเข้าไปหาอุบาสก(ไวยาวัจกร) นัน แล้วได้กล่าวว่า ”ฉันต้องการจีวร” โดยคาดคนเอา ั
ให้ได้ภายในวันนัน โดยยึดชายพกไว้
[เข้าใจว่า สิกขาบทนีเกิดขึนภายหลังการบัญญัติสิกขาบทที 8 ในโกสิยวรรค]
สิก ขาบทวิ ภังค์ [ภิ ก ษุ ผูต้ อ้ งการจี ว รพึ ง แสดงชนผู ท้ ํา การในอารามหรื ออุ บ าสกให้เ ป็ นไวยาวัจกร ด้ว ยคํา ว่ า คนนั นแลเป็ น
ไวยาวัจกรของภิกษุ ทงหลาย
ั ไม่ควรกล่าวว่า จงให้แก่คนนั น หรือว่าคนนั นจักเก็บไว้ หรือว่าคนนั นจักแลก หรือว่าคนนั นจักจ่าย]
วิ.ม.2/71/66
[ภิกษุ ผตู ้ อ้ งการจีวรเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวงพึงเตือนสองสามครังว่า รูปต้องการจีวร อย่าพูดว่า จงให้จีวรแก่รูป จงนํ าจีวร
มาให้รูป จงแลกจีวรให้รูป จงจ่ายจีวรให้รูป พึงพูดได้ แม้ครังทีสอง พึงพูดได้แม้ครังทีสาม]
[การทวงและการยืน ภิกษุ แม้อนั ไวยาวัจกร เชิญนั ง ก็ไม่ควรนั ง, แม้เขาขอให้รับอามิสใดๆ แม้เล็กน้อย ก็ไม่ควรรับ, แม้เขาขอให้
กล่าวมงคลหรืออนุ โมทนาอันใด ก็ไม่ควรกล่าว, เมือถูกเขาถามอย่างเดียวว่า ท่านมาเพราะเหตุอะไร จงบอกเขาว่า จงรูเ้ อาเอง
เถิด]
[ถ้านั งบนอาสนะก็ดี รับอามิสก็ดี กล่าวธรรมก็ดี ชือว่าหักการยืนเสีย, พึงยืนได้แม้ครังทีสอง พึงยืนได้แม้ครังทีสาม]
[ถ้าเธอพยายามให้ยิงกว่านั น ยังจีวรให้สําเร็จ เป็ นทุกกฏในประโยคทีพยายาม เป็ นนิ สสัคคียเ์ มือได้จีวรมา]
วิ.ม.2/71/67 และ วิ.อ.3/857
[ลดการยืน 2 ครัง พึงเพิมการทวงครังหนึ ง โดยลักษณะว่า การทวงหนึ งครังเท่ากับการยืนสองครัง] วิ.ม.2/71/67 และ วิ.อ.3/858
[ทรัพย์สําหรับจ่ายจีวรนั น เพือไม่ให้สําเร็จกรรมน้อยหนึ ง คือ แม้มีประมาณเล็กน้อย แก่ภิกษุ นัน, ภิกษุ พึงไปเอง หรือส่งทูตไปใน
สํานั กทีส่งทรัพย์สําหรับจ่ายจีวรมา, ภิกษุ ใดไม่ไปเอง ทังไม่ส่งทูตไป ภิกษุ นัน ย่อมต้องทุกกฏ เพราะละเลยวัตร] วิ.อ.3/859
ภิกษุทังหลาย! มีอยู่พวกมนุษย์ทีมีศรัทธาเลื อมใส มนุษย์เหล่านัน ย่อมมอบหมายเงิน และทองไว้ในมือแห่ งกัปปิ ยการก
ทังหลาย… ภิกษุทังหลาย! เราอนุญาตให้ยินดีสิงของซึ งเป็ นกัปปิ ยะจากเงินและทองนัน, ภิกษุทังหลาย! แต่เราหากล่าวไม่
เลยว่าภิกษุพึงยินดีและพึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายใดๆ (แสดงไว้หลังจากบัญญัติ โกสิยวรรคแล้ว) เล่ม 3 หน้า 862 มมร.
(ดูเภสัชขันธกะ ข้อ 22.2 (หน้า 56) ประกอบ)
[ 1ภิกษุ อีกรูปหนึ งถูกทูตถามแล้ว เพราะไวยาวัจกรไม่มี หรือเพราะไม่อยากจะจัดการ จึงกล่าวว่าพวกเราไม่มีกปั ปิ ยการก และใน
ขณะนั นมีคนบางคนผ่านมา ทูตจึงมอบอกัปปิ ยวัตถุไว้ในมือของเขา แล้วกล่าวว่า ท่านพึงรับเอาจีวรจากมือของผูน้ ี เถิด แล้วไปเสีย
ไวยาวัจกรนี ชือว่า ผูอ้ นั ทูตแสดงต่อหน้า]
[ 2ยังมีทูตอืนอีกเข้าไปยังบ้านแล้ว มอบอกัปปิ ยวัตถุไว้ในมือของผูใ้ ดผูห้ นึ ง แล้วมาบอก หรือ 3ว่าวานผูอ้ ืนมาบอก หรือ 4กล่าวว่า
ผมจักให้ทรัพย์สําหรับจ่ายจีวรไว้ในมือของคนชือโน้น ท่านพึงรับเอาจีวรเถิ ด ดังนี แล้วไปเสี ย ไวยาวัจกรทัง 3 นี ชือว่า ผูท้ ีทูต
แสดงไม่พร้อมหน้า]
[ในอธิการแห่งไวยาวัจกร 41234 จําพวกทีทูตแสดงนี ไม่มีกาํ หนดการทวง การทีภิกษุ ผไู ้ ม่ยินดีมูลค่า ยินดีแต่กปั ปิ ยภัณฑ์โดยการ
ทวงหรือการยืนแม้ตงพั ั นครัง ก็ควร, ถ้าไวยาวัจกรนั นไม่ให้ แม้จะพึงตังกัปปิ ยการกอืน ให้นํามาก็ได้]
[ถ้าทูตมอบอกัปปิ ยวัตถุไว้ในมืออุปัฏฐากของภิกษุ สังว่า ท่านพึงถวายจีวรแก่พระเถระ แล้วหลีกไป (ไม่ได้บอกแจ้งพระภิกษุ ให้ทราบ)
ชือว่า กัปปิ ยการกลับหลัง และชือว่า กัปปิ ยการกทีทูตไม่ได้แสดง, ถ้ากัปปิ ยการกนั น นํ าจีวรมาถวายเอง ภิกษุ พึงรับ, ถ้าไม่ได้
นํ ามาถวาย ภิกษุ อย่าพึงพูดคําอะไรๆ] วิ.อ.3/863

พระปิ ลินทวัจฉเถระซ่อมแปลงเงือมเขา พระพุทธานุญาตอารามิก วิ.ม.5/45/42


[45] ก็โดยสมัยนั นแล ท่านพระปิ ลิ นทวัจฉะ กําลังให้คนชําระเงือมเขา ในเขตพระนครราชคฤห์ ประสงค์จะทําให้เป็ นสถานที
เร้น ขณะนั นพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เสด็จพระดําเนิ นไปหาท่านพระปิ ลิ นทวัจฉะถึ งสํานั ก ทรงอภิวาทแล้วประทับ
เหนื อพระราชอาสน์ อนั ควรส่วนข้างหนึ ง ได้ตรัสถามท่านพระปิ ลินทวัจฉะว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า พระเถระกําลังให้เขาทําอะไรอยู่?
ท่านพระปิ ลินทวัจฉะถวายพระพรว่า อาตมภาพกําลังให้เขาชําระเงือมเขา ประสงค์ให้เป็ นสถานทีเร้น ขอถวายพระพร
พิ. พระคุณเจ้าต้องการคนทําการวัดบ้างไหม?
ปิ . ขอถวายพระพร พระผูม้ ีพระภาคยังไม่ทรงอนุ ญาตคนทําการวัด
พิ. ถ้าเช่นนั น โปรดทูลถามพระผูม้ ีพระภาค แล้วบอกให้ขา้ พเจ้าทราบ

๑๔๕
ท่านพระปิ ลินทวัจฉะรับพระราชโองการว่า จะปฏิบตั ิอย่างนั น ขอถวายพระพร แล้วชีแจงให้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาค
ธราชให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครันพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช อันท่านพระปิ ลิ นทวัจฉะ
ชีแจงให้เห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากพระราชอาสน์ ทรงอภิวาทท่านพระปิ ลินทวัจฉะ
ทรงทําประทักษิ ณแล้วเสด็จกลับ หลังจากนั น ท่านพระปิ ลินทวัจฉะ ส่งสมณทูตไปในสํานั กพระผูม้ ีพระภาคกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช มีพระราชประสงค์จะถวายคนทําการวัด ข้าพระพุทธเจ้าจะพึง ปฏิ บัติ
อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?
ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั น แล้วรับสังกะภิกษุ
ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลายั เราอนุ ญาตให้มีคนทําการวัด
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เสด็จพระราชดําเนิ นไปหาท่านพระปิ ลิ นทวัจฉะถึงสํานั กเป็ นคํารบสอง ทรงอภิวาท
แล้วประทับเหนื อพระราชอาสน์ อันควรส่วนข้างหนึ ง แล้วตรัสถามพระปิ ลินทวัจฉะว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า คนทําการวัด พระผูม้ ีพระ
ภาคทรงอนุ ญาตหรือ?
ท่านพระปิ ลินทวัจฉะถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร ทรงอนุ ญาตแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า ถ้าเช่นนั น ข้าพเจ้าจักถวายคนทําการวัดแก่พระคุณเจ้า ครังนั น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
ทรงรับปฏิญาณถวายคนทําการวัดแก่ท่านพระปิ ลินทวัจฉะดังนั นแล้ว ทรงลืมเสีย ต่อนานมาทรงระลึกได้ จึงตรัสถามมหาอํามาตย์
ผูส้ ําเร็จราชกิจทังปวงผูห้ นึ งว่า พนาย คนทําการวัดทีเราได้รบั ปฏิญาณจะถวายแก่พระคุณเจ้านั น เราได้ถวายไปแล้วหรือ?
มหาอํามาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ ยังไม่ได้พระราชทาน พระพุทธเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า จากวันนั นมานานกีราตรีแล้ว?
ท่านมหาอํามาตย์นับราตรีแล้ว กราบทูลในทันใดนั นแลว่า ขอเดชะ 500 ราตรี พระพุทธเจ้าข้า.
พระราชารับสังว่า พนาย ถ้าเช่นนั น จงถวายท่านไป 500 คน ท่านมหาอํามาตย์ รับพระบรมราชโองการว่าเป็ นดังโปรดเกล้า ขอ
เดชะ แล้วได้จัดคนทําการวัดไปถวายท่านพระปิ ลิ นทวัจฉะ 500 คน หมู่บา้ นของคนทําการวัดพวกนั นได้ตังอยู่แผนกหนึ ง คน
ทังหลายเรียกบ้านตําบลนั นว่า ตําบลบ้านอารามิกบ้าง ตําบลบ้านปิ ลินทวัจฉะบ้าง.
วิธีปฏิบตั ิในเรืองเงินและทองทีมีผถู ้ วาย วิ.อ.3/863
[ถ้าใครๆ นํ าทองและเงินมาถวายแก่สงฆ์ กล่าวว่าท่านทังหลายจงสร้างอาราม วิหาร ฯลฯ เป็ นต้น จะรับทองและเงินนั นไม่ควร,
ภิกษุ รูปใดรับเพือประโยชน์ แก่ผอู ้ ืน เป็ นทุกกฏ]
[ถ้าเมือภิกษุ ปฏิเสธว่า ภิกษุ ทงหลายจะรั
ั บทองและเงินนั น ไม่สมควร เขากล่าวว่า ทองและเงินจะอยู่ในมือของพวกช่างไม้หรือ
พวกกรรมกร ท่านทังหลายจงรับทราบการงานทีเขาทําดีและไม่ดีอย่างเดียวดังนี แล้วหลีกไป, จะรับก็ควร]
เป็ นลักษณะคนงานของวัด (ภิกษุ สามารถเรียกใช้กรรมกรทีรับทองและเงินแล้วนัน ตามทีทายกแจ้งไว้ได้)
[ถ้าแม้นเขากล่าวว่า ทองและเงินจักอยู่ในมือของพวกคนของผมเอง หรือว่าจักอยู่ในมือของผมเอง ท่านพึงส่งข่าวไปเพือประโยชน์
แก่บุคคลผูท้ ีเราจะต้องให้ทองและเงินเขาอย่างเดียว อย่างนี ก็ควร]
เป็ นการว่าจ้างทํางานตามความต้องการของพระภิกษุ โดยไปรับค่าจ้างจากทายกผูจ้ า่ ยทรัพย์ วิ.อ.3/864
[ถ้าพวกเขาไม่ระบุสงฆ์ คณะ หรือบุคคล กล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายเงิน และทองนี แก่เจดีย์ วิหาร เพือ นวกรรม ดังนี จะปฏิเสธไม่ควร
, พึงบอกแก่กปั ปิ ยการกว่า ชนพวกนี กล่าวคํานี (เพือกัปปิ ยการกดูแล จัดการอะไรต่างๆ เอง สงฆ์ไม่เกียว), แต่เมือเขากล่าวว่า ท่านพึง
เก็บไว้เพือประโยชน์ แก่เจดีย์ เป็ นต้นเถิด นี ไม่ควรรับ]
[ถ้าคนนํ าเอาเงินและทองมา กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอถวายแก่สงฆ์ ท่านทังหลายจงบริโภคปั จจัย 4 เถิด นี ไม่ควรรับ, ถ้าบรรดาภิกษุ
เหล่านั น ภิกษุ รูปหนึ งปฏิเสธว่า สิงนี ไม่ควร และอุบาสกกล่าวว่า ถ้าไม่ควรจักเป็ นของผมเสียเอง, ภิกษุ นันอันภิกษุ บางรูปไม่พึง
กล่าวคําอะไรๆ ว่า เธอทําลายลาภของสงฆ์ ภิกษุ ใดโจทเธอ เป็ นอาบัติติดตัว]
[อนึง เขาถวายเพือประโยชน์แก่จวี ร(จตุปัจจัยใด)(ตามแต่เจตนาของผูใ้ ห้)…ถ้าว่าไม่มีความต้องการจีวร(จตุปัจจัย)นัน, สงฆ์
ลําบากด้วยปั จจัยบิณฑบาตเป็ นต้น พึงอปโลกน์เพือความเห็นดีแห่งสงฆ์แล้วน้อมไป] วิ.อ. 3/865
[การสละ เมือสละแล้ว ภิกษุ ผรู ้ บั การสละพึงคืนจีวร]
[อนึ ง อกัปปิ ยวัตถุทีเขาถวายเพือประโยชน์ แก่เสนาสนะ พึงไปในเสนาสนะเท่านั น เพราะเสนาสนะเป็ นครุภณ ั ฑ์ (ถ้าเป็ นเครืองใช้
ถาวรวัตถุ(จําพวกครุภณั ฑ์) ต้องใช้ตามความต้องการของผูใ้ ห้ก่อน), ก็ถา้ ว่า เมือพวกภิกษุ ละทิงเสนาสนะไป เสนาสนะจะเสียหาย,
ในกาลนี พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงอนุ ญาตให้ภิกษุ ทงหลาย ั แม้จาํ หน่ ายเสนาสนะแล้วบริโภค(ปั จจัย) ได้]

๑๔๖
วิธีปฏิบตั ิในบึงและสระนําทีมีผถู ้ วาย
[ถ้าใครๆ กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอถวายบึงใหญ่นันแก่สงฆ์, ถ้าสงฆ์รบั บึงใหญ่นัน เป็ นอาบัติทงในการรั
ั บ และในการบริโภค, ถ้าเขาจัก
ทําให้เป็ นกัปปิ ยะแล้วถวาย เขาพึงกล่าวว่า ท่านทังหลาย จงบริโภคปั จจัย 4 เถิด, ถ้าเขากล่าวดังนี ควรรับอยู่, ถ้ากัปปิ ยการกไม่มี
จึงกล่ าวว่า คนชือโน้นจักจัดการบึงนี หรือว่า จักอยู่ในความดู แลของคนโน้น หรือในความดูแลของข้าพเจ้า ขอสงฆ์จงบริ โภค กัป
ปิ ยภัณฑ์เถิด ดังนี ควรรับอยู่, ถ้าทายกนั นถูกภิกษุ ปฏิเสธว่าไม่ควร แล้วกล่าวว่า คนทังหลายจักบริโภคนํ า จักซักล้างสิงของ พวก
เนื อและนกจักดืมกิน แม้การกล่าวอย่างนี ก็สมควร] วิ.อ.3/866
[ถ้าทายกถูกพระภิกษุ ปฏิเสธว่า ไม่ควร แล้วกล่าวว่า ขอท่านทังหลายจงรับโดยมุ่งถึงของสมควรเป็ นใหญ่เถิด, ภิกษุ จะกล่าวว่า ดี
ละ! อุบาสก สงฆ์จกั ดืมนํ า จักซักล้างสิงของ พวกเนื อและนกจักดืมกิน ดังนี แล้วบริโภค ควรอยู่]
[ถ้าพวกภิกษุ ขอหัตถกรรม และขุดปฐพีให้สร้างสระนํ า(ให้ขุดเอง) กันคันสระใหม่ ในสระทีรับไว้ดว้ ยอํานาจแห่งนํ า แม้เป็ น กัป
ปิ ยโวหาร ย่อมควร, ถ้าพวกชาวบ้านอาศํยสระนํ าทําข้าวกล้าให้สําเร็จแล้วถวายกัปปิ ยภัณฑ์ในวิหาร ควรอยู่, ถ้าแม้นชาวบ้านขุด
พืนทีของสงฆ์เพือต้องการอุปการะแก่สงฆ์(ผูอ้ ืนขุดให้) แล้วถวายกัปปิ ยภัณฑ์จากกล้าทีอาศัยสะนํ านั นสําเร็จแล้ว กัปปิ ยภัณฑ์แม้
นี ก็สมควร, ต่อมา ถ้าชาวบ้านนั นหนี ไป ชาวบ้านอืนจักทําอยู่ และไม่ถวายอะไรๆ แก่ภิกษุ ทงหลาย ั พวกภิกษุ หวงห้ามนํ าก็ได้ ก็
หวงห้ามได้ในฤดูทาํ นาเท่านั น]
[ถ้าภิกษุ ทังหลายสละแล้ว(ไม่บริโภคใช้สอย) เจ้าของสระ บุตรและธิดาของเขา สามารถถวายด้วยกัปปิ ยโวหารใหม่ได้, ถ้าเจ้าของ
สระ…สกุลวงศ์ของเขาขาดสูญ ขัตติยะริบเอาแล้ว ถวายคืน แม้อย่างนี ก็ควร] วิ.อ.3/867
[การทีภิกษุ เห็นพวกชาวบ้านอาศัยสระนั น กระทําข้าวกล้าอยู่(ทํานาอยู่) จะตังกัปปิ ยการก ไม่ควร(เรียกเก็บค่าใช้นํา), หรือภิกษุ
รูปใดสังว่า จงจัดข้าวยาคู เป็ นต้นด้วยกหาปณะประมาณเท่านี ด้วยความสําคัญว่าสงฆ์ไม่รับกหาปณะ ของนั นก็เป็ นอกัปปิ ยะ ไม่
ควร เพราะภิกษุ จดั การกหาปณะ, ถ้าพวกชาวนานํ าข้าวเปลื อกมาถวายสงฆ์… ภิกษุ รูปใดรูปหนึ งกล่าวว่า พวกท่านจงนํ าเอาสิ งนี
และสิ งนี มาด้วยข้าวเปลื อกประมาณเท่า นี (ให้เอาข้าวเปลือกไปแลกของมาให้) สิ งของทีรับมานั น เป็ นอกัปปิ ยะเฉพาะแก่ภิก ษุ นั น
เท่านั น เพราะภิกษุ จัดการข้าวเปลื อก(ดังให้เขาแลกเปลียนสิงของ ดังโกสิยวรรค บทที 9) ถ้าพวกเขาถวายกัปปิ ยภัณฑ์เสียเอง ควรรับ,
ถ้าพวกเขาไม่ถวาย ไม่ควรทวงไม่ควรเตือน, การทีจะตังกัปปิ ยการกในสระทีรับไว้ดว้ ยอํานาจแห่งปั จจัย(ทุกอย่าง) ควรอยู่, แต่การ
โกยดินขึนและกันคันสระใหม่ ไม่ควร, ถ้าพวกกัปปิ ยการก กระทําเองเท่านั น จึงควร, ถ้าใช้กปั ปิ ยการกทํา ไม่ควร]
วิ.อ.3/868–869
[แม้ในสระโบกขรณี ฝาย เหมือง นา สวน ป่ า เมือทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายนา เป็ นต้น ไม่ควร, ถ้าเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวาย
เพือประโยชน์ แก่การบริโภคปั จจัย 4 ภิกษุ ควรรับ, ถ้าพวกชาวบ้าน ตัดต้นไม้ในป่ านั น ถวายสวน(ต้นไม้)แก่ภิกษุ จะรับก็ควร,
พวกเขาไม่ถวาย ไม่ควรทวง ไม่ควรเตือน, ถ้าเขาถวายเขตแดน โดยนั ยข้างต้น ภิกษุ ไม่ควรปั กเสา วางหิน กําหนดเขตแดน
เพราะแผ่นดินมีค่านั บไม่ได้ ภิกษุ จะพึงเป็ นปาราชิก แม้ดว้ ยเหตุเล็กน้อย แต่พึงบอกอารามิกชนว่า เขตของพวกเราไปถึงทีนี ก็ถา้
แม้นว่าพวกเขาถื อเอาเกินไปไม่เป็ นอาบัติ เพราะกล่ าวโดยปริยาย, ก็ถา้ ว่าพระราชาและราชอํามาตย์เป็ นต้น ให้ปักเสาเองแล้ว
ถวายว่า ขอท่านทังหลายจงบริโภคปั จจัย 4 เถิด การถวายนั น ควรเหมือนกัน] วิ.อ.3/871
[ถ้าใครๆ ประสงค์จะถวายอ้อย ฯลฯ ตามทีเกิดแล้วนั นแหละ กล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายไร่ออ้ ยทังหมดนี ดังนี , พระมหาปทุมเถระ
กล่าวว่า นั นเป็ นแต่โวหาร, เพราะภูมิภาคนั น ยังเป็ นของพวกเจ้าของอยู่นันเอง, เพราะเหตุนัน จึงควร]
วิธีปฏิบตั ิในทาส คนวัด และปศุสตั ว์ทีมีผถู ้ วาย วิ.อ.3/872–873
[ทายกกล่ าวว่า ข้าพเจ้าถวายทาส การถวายนั น ไม่ควร, เมือเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายคนวัด ถวายไวยาวัจกร ถวายกัปปิ ยการก,
การรับทาสย้อมผ้า ทาสช่างหูก อย่างใดอย่างหนึ ง โดยชือว่า อารามิกชน ดังนี จึงควร]
[ถ้าอารามิกชนนั น ทําการงานของสงฆ์เท่านั นทังก่อนภัตและภายหลังภัต ภิกษุ พึงกระทําแม้การพยาบาลด้วยยาทุกอย่างแก่เขา
เหมือนกับสามเณร, ถ้าเขาทําการงานของสงฆ์ก่อนภัตเวลาเดียว ภายหลังภัตไปกระทําการงานของตน ไม่พึงให้อาหาร ในเวลา
เย็น, แม้ชนจําพวกใดกระทํางานของสงฆ์ตามวาระ 5 วัน(จ.- ศ.) หรือตามวาระปั กษ์ ในเวลาทีเหลือทํางานของตน
(สรุป) พึงให้ภตั และอาหารแม้แก่บุคคลพวกนัน ในเวลากระทําเท่านัน]
[ถ้าพวกทายกกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าถวายโคทังหลาย ดังนี ไม่สมควร, เมือพวกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายไว้เพือประโยชน์ แก่การ
บริโภคปั ญจโครส ดังนี ควรอยู่, ถ้าพวกชาวบ้านกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าถวายช้าง ม้า กระบือ ไก่ สุกร ดังนี ไม่ควรรับ (แล้ว)ถ้าพวก
ชาวบ้านบางหมู(่ พวกอืนๆ)กล่าวว่า พวกผมจักรับสัตว์เหล่านี แล้ว ถวายกัปปิ ยภัณฑ์แก่ท่านทังหลาย แล้วรับไป ย่อมควร, จะปล่อย
เสียในป่ าด้วยกล่าวว่า ไก่และสุกรนี จงอยู่ตามสบายเถิด ดังนี ก็ควร]

๑๔๗
สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ ปั ณณัตติวชั ชะ
ประเด็นสิกขาบททัง 3
๑. พระรับ หรือให้รบั หรือยินดีในเงินทองไม่ได้
๒. พระต้องไม่มีสิทธิในทรัพย์นัน ได้เพียงการไปบอกความต้องการ
๓. พระต้องไปแจ้งเจ้าภาพ เมือไม่ได้ของ
๔. พระซือขายด้วยเงินทอง ไม่ได้
๕. พระแลกเปลียนของกับคฤหัสถ์ไม่ได้

ปั ญหาในปั จจุบนั
๑. สังคมแห่งการแข่งขัน ญาติโยมไม่มีเวลามาวัด จึงไม่มีผอู ้ าจปวารณา หรือดําเนิ นการจัดหาสิงของให้
๒. แม้การจ้างคนงานวัด หรือไวยาวัจกร ก็ตอ้ งใช้เงินจ้าง ซึงต้องอาศัยผูม้ ีอาํ นาจสักคนเบิกจ่าย จะเป็ นใคร
๓. ไวยาวัจกรใว้ใจได้ยาก
๔. ปั จจุบนั ขาดพระราชาอุปถัมภ์
๕. พระสังฆเถระขาดปั ญญาและคุณธรรม
๖. ความเจริญกระจุกตัวในเมืองใหญ่เท่านั น ตาม ตจว.พระเณรต้องซือหาของใช้เองทังนั น ทําให้พระเณรอยากมาอยู่ใน
เมืองหลวง ได้โอกาสได้เล่าเรียน ทีปั จจัยพรังพร้อม แล้วพอเรียนจบ ก็สึกหาลาเพศไป

ไม่รบั และไม่เอา รับแต่ไม่เอา เอาแต่ไม่รบั รับด้วยและเอาด้วย (ยินดีทาํ การสังสม) – พระพรหมคุณาภรณ์

อยากอยู่ในวัดทีสบาย ซึงความสบายก็มาจากการกรทําผิดไปจากพระวินัยบางอย่าง เราก็ไม่ยอมจากไปจากที


นั น แต่ก็จะต่อต้านการทําผิดวินัยนั น ทังทีเป็ นทีมาของความสบาย ไปก็ไม่ไป แล้วก็ทนอยู่ เพือความสบาย แต่อยากจะ
ไปเปลียนแปลงคนอืน , ก็เพราะการต้องปฏิบตั ิตามพระวินัย นี ล่ ะ ทําให้ชีวิตต้องอยู่ยากลําบาก และเพราะความ
ยากลําบากนี ล่ะ จึงจะสามารถรักษาพระวินัยเอาไว้ได้

ญาติโยมไม่เคยเป็ นพระ ก็ไม่รู ้ คนไม่บวช อยากจะควบคุมคนบวช คนไม่เคยเป็ นทหาร อยากจะเรียกร้องใน


ทหารอยู่ในวินัย ตัวอย่าง การต้องช่วยกันนั บเงิน ของพระในวัดญาณเวศกวัน และการควบคุมการซือของ ซ่อมบํารุง
ภายในวัด
อยากจะกินปลา ก็ตอ้ งมีคนฆ่าปลา ฉันนั งกลางวงหลับตา เพราะรูค้ นชอบฆ่าปลายังมี

ต่อหัวข้ อที 8 หน้ า 201


อเจลกวรรคที 5 บทที 7
เรืองการขอปั จจัยและการปวารณา

๑๔๘
โกสิยวรรคที 2 (โกสิยะ แปลว่า วัตถุทีเกิดจากครรภ์ดกั แด้ คือเส้นไหมนันเอง มุ่งถึงวัตถุทีใช้ทาํ สันถัตนันเอง)
บทที 1 อนึ ง ภิกษุ ใด ให้ทาํ สันถัตเจือด้วยไหม เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์ วิ.ม.2/74/70
สันถัต ได้แก่ ผ้ารองนังทีเขาหล่อ ไม่ใช่ทอ
ต้นบัญญัติ. โดยสมัยนั น พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย ์ เขตพระนครอาฬวี ครังนั น พระฉัพพัคคียเ์ ข้าไปหาพวกช่างไหม
กล่าวอย่างนี วา่ ท่านทังหลาย พวกท่านต้มตัวไหมไว้เป็ นอันมาก จงให้พวกอาตมาบ้าง แม้พวกอาตมาก็ปรารถนาจะทําสันถัตเจือด้วยไหม ช่างไหม
เหล่านันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะ เชือสายพระศากยบุ ตรจึงได้เข้ามาหาพวกเรากล่าวอย่างนี .. แม้พวกเราผูซ้ ึงทําสัตว์ตวั เล็ กๆ
มากมายให้วอดวาย เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรและภริยา ก็ยงั ชือว่าไม่ได้ลาภ หาได้ (ด้วยความ) ไม่สุจริต
[ภิกษุ ได้สนั ถัตทีคนอืนทําไว้แล้ว ใช้สอย ต้องทุกกฏ] วิ.ม.3/76
อนาบัติ. ภิกษุ ทาํ เป็ นเพดาน เป็ นเครืองลาดพืน เป็ นม่าน เป็ นเปลือกฟูก เป็ นเปลือกหมอน
บทที 2 อนึ ง ภิกษุ ใด ให้ทาํ สันถัตแห่งขนเจียมดําล้วน เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ ชาวบ้านติเตียนว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผบู ้ ริโภคกามเล่า (หรูหรา ราคาแพง)
บทที 3 อนึ ง ภิกษุ ผใู ้ ห้ทาํ สันถัตใหม่ พึงถือเอาขนเจียมดําล้วน 2 ส่วน ขนเจียมขาวเป็ นส่วนที 3 ขนเจียมแดงเป็ นส่วนที 4 ถ้าภิกษุ ไม่ถือเอาขนเจียม
ดําล้วน 2 ส่วน ขนเจียมขาวเป็ นส่วนที 3 ขนเจียมแดงเป็ นส่วนที 4 ให้ทาํ สันถัตใหม่ เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ พระฉัพพัคคียท์ ราบว่า พระผูม้ ีพระภาคทรงห้าม การกระทําสันถัตแห่งขนเจียมดําล้วน จึงถือเอาขนเจียมขาวหน่ อยหนึ งปนไว้ทีชายสันถัต,
แล้วให้ทาํ สันถัตแห่งขนเจียมดําล้วนเหมือนอย่างเดิมนันแหละ.
บทที 4 อนึ ง ภิกษุ ให้ทาํ สันถัตใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ 6 ฝน ถ้ายังหย่อนกว่า 6 ฝน เธอสละเสียแล้วก็ดี ยังไม่สละแล้วก็ดี เป็ นสันถัตนัน ให้ทาํ สันถัต
อืนใหม่ เว้นไว้แต่ภิกษุ ได้สมมติ เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ ภิ กษุ ทังหลายให้เขาทําสันถัตใช้ทุกๆ ปี , พวกเธอวอนขอเขาอยู่ราไปว่
ํ า ท่านทังหลายจงให้ขนเจียม อาตมาต้องการขนเจียม ... ชาวบ้าน
โพนทนะนาว่า ส่วนสันถัตของพวกเราทําคราวเดียว ถูกเด็กๆ ของพวกเราถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปั สสาวะรด บ้าง หนู กดั เสียบ้าง ก็ยงั อยูไ่ ด้ถึง 5-6 ปี
บทที 5 อนึ ง ภิกษุ ผใู ้ ห้ทาํ สันถัตสําหรับนัง พึงถือเอาคืบสุ คตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า เพือทําให้เสียสี ถ้าภิกษุ ไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า
ให้ทาํ สันถัตสําหรับนังใหม่ เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์ (ให้รูจ้ กั รักษาของ) วิ.ม.2/92/89
ต้นบัญญัติ พ.ปรารถนาการอยูผ่ เู ้ ดียวตลอดไตรมาส (สงฆ์ในนครสาวัตถีทาํ กติกากันว่า ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้ าพระองค์ ยกเว้นภิกษุ ผนู ้ าํ
บิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว ภิกษุ รูปใดเข้าไปเฝ้ าต้องอาบัติปาจิตตีย)์ , ครังนัน ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตกับภิกษุ บริษัทเข้าไปเฝ้ า พ. ถึงที
ประทับ พ.ตรัสถามภิกษุ สทั ธิวิหาริกของท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า
พ. ดูก่อนภิกษุ ผ้าบังสุกุลเป็ นทีพอใจของเธอหรือ
ภิ. ภิกษุ รูปนันกราบทูลว่า ผ้าบังสุกุล มิได้เป็ นทีพอใจของข้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าข้า
พ. ก็ทาํ ไมเธอจึงได้ทรงผ้าบังสุกุลเล่า ภิกษุ
ภิ. พระอุปัชฌายะของข้าพระพุทธเจ้าทรงผ้าบังสุกุล ข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องทรงผ้าบังสุกุลอย่างนันบ้าง พระพุทธเจ้าข้า
ลําดับนันแล พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า ดูก่อนอุปเสน บริษัทของเธอนี น่าเลือมใสนัก เธอแนะนํ าบริษัทอย่างไร
ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ผูใ้ ดขออุปสมบท ... ขอนิ สยั ต่อข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าบอกกะเขาอย่างนี วา่ อาวุโส
ฉันเป็ นผูอ้ ยูป่ ่ าเป็ นวัตร ถือบิณฑบาตเป็ นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็ นวัตร ถ้าท่านจักถืออยูป่ ่ าเป็ นวัตร ถือบิณฑบาตเป็ นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็ นวัตรบ้าง
ฉันก็ จกั ให้ท่านอุ ปสมบทตามประสงค์ ... จักให้นิสยั แก่ท่านตามประสงค์ ถ้าเขารับคําของข้าพระพุทธเจ้า ๆ จึงให้เขาอุ ปสมมท ... จึงจะให้นิสยั
ข้าพระพุทธเจ้า แนะนําบริษัทอย่างนี แล พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน เธอแนะนําบริษัทได้ดีจริง ๆ เออ ก็เธอรูก้ ติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม อุปเสน
อุ. ไม่ทราบเกล้า ฯ พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูก่อนอุปเสน สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี ตังกติกากันไว้วา่ ท่านทังหลาย พระผูม้ ีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตร
มาส ใคร ๆ อย่าเข้าไปเฝ้ าพระองค์ นอกจากภิกษุ ผนู ้ ําบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว ภิกษุ ใดเข้าไปเฝ้ าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย ์
อุ. พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี จักทราบทัวกันตามกติกาของตน พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตังสิกขาบททีพระองค์มิได้ทรงบัญญัติ และ
จักไม่เพิกถอนสิกขาบททีทรงบัญญัติไว้ จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามทีทรงบัญญัติไว้
ภ. ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน ไม่ควรแต่งตังสิกขาบททีเรายังมิได้บญ ั ญัติ หรือว่าไม่ควรเพิกถอนสิกขาบททีเราบัญญัติ ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบท
ตามทีเราได้บญ ั ญัติไว้ เราอนุ ญาตให้พวกภิกษุ ผถู ้ ือการอยูป่ ่ าเป็ นวัตร ถือบิ ณฑบาตเป็ นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็ นวัตร เข้าหาเราได้ตามสะดวก
เวลานัน ภิกษุ หลายรูปกําลังรออยูท่ ีนอกซุม้ ประตูพระวิหาร ด้วยตังใจว่า พวกเราจักให้ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรแสดงอาบัติปาจิตตีย ์ ครัน
ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุ บริษัทลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผูม้ ีพระภาคเจ้าทําประทักษิ ณหลีกไปแล้ว จึงภิกษุ เหล่านันได้ถามท่านพระ
อุปเสนวังคันตบุตรดังนี วา่ อาวุโส อุปเสน ท่านทราบกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม

๑๔๙
ท่านพระอุปเสนวังคันตบุ ตรตอบว่า อาวุโสทังหลาย แม้พระผูม้ ีพระภาคเจ้าก็รบั สังถามกระผมอย่างนี .. กระผมกราบทูลว่า ไม่ทราบเกล้า
ฯ พระพุทธเจ้าข้า พระองค์รบั สังต่อไปว่า ดูก่อนอุปเสน สงฆ์ในพระนครสาวัตถีได้ทงกติ ั กากันไว้ .. กระผมกราบทูลว่า พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัต
ถีจกั ทราบทัวกันตามกติกาของตน พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตังสิกขาบททีพระองค์มิได้ทรงบัญญัติ และจักไม่เพิกถอนสิกขาบททีทรงบัญญัติไว้
จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที ทรงบัญญัติไว้ ดังนี พระผูม้ ีพระภาคเจ้าเลยทรงอนุ ญาตให้บรรดาภิกษุ ผูถ้ ือการอยูป่ ่ าเป็ นวัตร ถือบิณฑบาต
เป็ นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็ นวัตร เข้าเฝ้ าได้ตามสะดวก ดังนี
ภิกษุ เหล่านันเห็นจริงด้วยในทันใดนันว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรพูดถูกต้องจริงแท้ พระสงฆ์ไม่ควรแต่งตังสิกขาบททียังมิได้ทรงบัญญัติ
หรือไม่ควรเพิกถอนสิกขาบททีทรงบัญญัติไว้ ควรสมาทานประพฤติในสิกกาบทตามทีทรงบัญญัติไว้.
ภิกษุ ทงหลายได้
ั ทราบข่าวว่า พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงอนุ ญาตให้ภิกษุ ผถู ้ ือการอยูป่ ่ าเป็ นวัตร ถื อบิณฑบาตเป็ นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็ นวัตร
เข้าเฝ้ าได้ตามสะดวก ภิกษุ เหล่านันปรารถนาจะเข้าเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคเจ้า ต่างละทิงสันถัตพากันสมาทานอารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์
ปั งสุกูลิกธุดงค์ (ด้วยคิดว่า เดียวทําใหม่เอาก็ได้)
หลังจากนัน พระผูม้ ีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ เป็ นอันมาก เสด็จเทียวประพาสตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็นสันถัตซึงถูกทอดทิงไว้ใน
ทีนัน ๆ ครันแล้วรับสังถามภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั สันถัตเหล่านี ของใคร ถูกทอดทิงไว้ในทีนัน ๆ
อนาบัติ ภิกษุ หาไม่ได้ ไม่ถือเอาเลยแล้วทํา1 ภิกษุ ได้สนั ถัตทีคนอืนทําไว้แล้ว ใช้สอย1 ภิกษุ ทาํ เป็ นเพดาน เครืองลาดพืน ม่าน เปลือกฟูก
ปลอกหมอนก็ด1ี
บทที 6 อนึ ง ขนเจียมเกิดขึนแก่ภิกษุ ผเู ้ ดินทางไกล ภิกษุ ตอ้ งการพึงรับได้ ครันรับแล้ว เมือคนถือไม่มี พึงถือไปด้วยมือของตนเองตลอดระยะทาง 3
โยชน์เป็ นอย่างมาก ถ้าเธอถือเอาไปยิงกว่านัน แม้คนถือไม่มี เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ ภิกษุ รูปหนึ งเดินทางไปสูพ่ ระนครสาวัตถี แถบ โกศลชนบท. ขนเจียมเกิดขึนแก่เธอในระหว่างทาง จึงภิกษุ นันได้เอาผ้าอุ ตราสงค์ห่อขน
เจียมเหล่านันเดินไป. ชาวบ้านเห็นภิกษุนันแล้วพูดสัพยอกว่า ท่านเจ้าข้า ท่านซือขนเจียมมาด้วยราคาเท่าไร กําไรจักมีสกั เท่าไร.
ภิกษุ รูปนันถูกชาวบ้านพูดสัพยอกได้เป็ นผูเ้ ก้อ. ครันเธอไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทังๆ ทียืนอยูน่ ันแล ได้โยนขนเจียมเหล่านันลง.
1 โยชน์นัน กําหนดเอา 400 เส้นๆ ละ2 วาๆ ละ 2 เมตร ฉะนันมีความยาว 1600 เมตร

บทที 7 อนึ ง ภิกษุ ใด ยังภิกษุณีผมู ้ ิใช่ญาติ ให้ซกั ก็ดี ให้ยอ้ มก็ดี ให้สางก็ดี ซึงขนเจียม เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัต.ิ พระฉัพพัคคียใ์ ช้ภิกษุ ณีซกั บ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึงขนเจียม ภิกษุ ณีทงหลายมั
ั วสาละวนซัก ย้อม สางขนเจียมอยู่ จึงละเลยอุ เทศ ปริปุจฉา
อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

บทที 8. อนึง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รบั ก็ดี ซึงทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็ นนิสสัคคิยปาจิตตีย ์ 7
วิ.ม.2/105/132
รับ คือ รับเอง ให้รบั คือ ให้คนอืนรับแทน ยินดี หมายถึง ยินดีทองและเงินทีเขาเก็บไว้ให้ดว้ ยบอกว่า ของนี จงเป็ นของพระคุณเจ้า
ข้อแนะนํา. อย่าถือเอากรรมสิ ทธิในเงินและทองนั น แต่ควรถือกรรมสิทธิในอันจะได้เพือของทีควรบริโภคใช้สอยเท่าทีจําเป็ นจาก
เงินและทองนั น, ไม่พึงยินดีในทองและเงินทีเก็บไว้เพือตน แต่ควรทําในใจว่าจะใช้เพือประโยชน์ แก่สงฆ์ และส่วนรวมเป็ นหลัก
ภิกษุ ตน้ บัญญัต.ิ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนั ภัตประจําเพือพระอุปนันทศากยบุตร เวลาเช้ามืด เด็กในบ้านร้องขอไป เขาจึงปวารณาด้วยภัต
1 กหาปนะ พระอุปนันทศากยะจึงขอหนึ งกหาปนะนัน จึงถูกบุรุษนันติเดียนว่ารับรูปิยะเหมือนคฤหัสถ์
[ธัญชาติ 7 ชนิ ด ได้แก่ มณี ทับทิม เป็ นต้น, ทาสหญิง ทาสชาย นาไร่ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ จัดเป็ นวัตถุแห่งทุกกฏ] วิ.อ.3/946
[การรับ ภิกษุ รบั เพือประโยชน์ ตน ต้องนิ สสัคคีย,์ รับเพือประโยชน์ แก่สงฆ์ คณะบุคคลและเจดีย์ ต้องทุกกฏ]
[การยินดี ภิกษุ มีจิตยินดี แต่ปฏิเสธว่าไม่ควร ไม่เป็ นอาบัติ, แม้ไม่หา้ มด้วยกายและวาจา แต่มีจิตบริสุทธิ ไม่ยินดี ไม่เป็ นอาบัต]ิ
[การสละ ภิกษุ ผรู ้ บั รูปิยะไม่พึงรับส่วนแบ่งจากของสละ, คนผูท้ าํ การวัด เอาวัตถุนัน จ่ายค่าเตียง สร้างอุโบสถาคารก็ดี จะบริโภค
ใช้สอยก็ไม่ควร, แม้ร่มเงาของมัน แผ่ไปตามเขตของเรือน ก็ไม่ควร, แม้นําในสระทีขุดด้วยวัตถุนัน ก็ไม่ควร, สงฆ์ตงวั ั ตถุนันเป็ น
ของฝาก(เก็บดอกผล) บริโภคปั จจัย ก็ไม่ควร (ฝาก ธ.กินดอกเบีย), ถ้าภิกษุ ซือพืนดินอย่างเดียว เพาะปลูกพืชอืน จะบริโภคผล ควร
อยู่]
[บุคคลวางเงินทองไว้ใกล้เท้า ด้วยกล่าวว่า นี จงเป็ นของท่าน ภิกษุ หา้ มว่า นี ไม่ควร อุบาสกพูดว่า กระผมสละถวายท่านแล้ว ก็ไป,
มีคนอืนมาทีนั น ถามว่า นี อะไร ขอรับ! พึงบอกคําทีอุบาสกนั น และตนพูดกัน, ถ้าเขาพูดว่า ผมจักเก็บให้ ขอรับ! ท่านจงแสดงที
เก็บ แต่อย่าพึงบอกว่า จงเก็บไว้ในทีนี , อกัปปิ ยวัตถุ(มีทองและเงินเป็ นต้น) ย่อมอาศัยวัตถุทีเป็ นกัปปิ ยะและอกัปปิ ยะ ตังอยู่ดว้ ย,
พึงปิ ดประตูแล้วอยู่รกั ษา] วิ.อ.3/948

๑๕๐
[การบริโภคปั จจัยทีเกิดขึนจากรูปิยะนั น ย่อมไม่ควรแก่ภิกษุ ผรู ้ ับรูปิยะนั น ฉันใด, ปั จจัยทีเกิดขึน เพราะการอวดอุตริมนุ สธรรม
อันไม่มีจริงก็ดี เพราะการประทุษร้ายสกุลก็ดี เพราะการหลอกลวงเป็ นต้นก็ดี ย่อมไม่ควรแก่ภิกษุ นัน และแก่ภิกษุ อืน ฉันนั น,
ก็ถึงปั จจัยทีเกิดขึนโดยธรรมโดยสมําเสมอ ยังไม่ได้พิจารณา จะบริโภค ก็ไม่ควร] วิ.อ.3/951
[ในการสละ(พึงสละในท่ามกลางแห่งสงฆ์ (ไม่สละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคลโดยเฉพาะ เพราะเป็ นอกัปปิ ยะ)) เมือสละแล้ว ภิกษุ ผรู ้ บั การ
สละ ไม่ตอ้ งคืน]
i.

องค์ 5 ของภิกษุ ผทู ้ ิงรูปิยะ


1.ไม่ถึงความลําเอียง เพราะความชอบพอ 4. ไม่ถึงความลําเอียง เพราะกลัว
2. ไม่ถึงความลําเอียง เพราะเกลียดชัง 5. รูจ้ กั ว่าทําอย่างไรเป็ นอันทิงหรือไม่เป็ นอันทิง
3. ไม่ถึงความลําเอียง เพราะงมงาย

อนาบัติ. 1. ภิกษุ หยิบรูปิยะตกในวัด หรือในทีอยู่ ภิกษุ เก็บไว้ดว้ ยตังใจว่า เจ้าของจะมาเอาไป


สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ แม้ไม่มีเจตนาแต่ยินดีและรับเข้า ก็ตอ้ งอาบัติ และเป็ นปั ณณัตติวชั ชะ
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 167
1. ของนั นเป็ นทองและเงินทีเป็ นนิ สสัคคิยวัตถุ 3. รับเองหรือใช้ให้เขารับ หรือเขาเก็บไว้ให้ ยินดีเอาอย่างใดอย่างหนึ ง
2. เฉพาะเป็ นของตัว พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์

บทที 9. อนึง ภิกษุใดถึงความซือขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ เป็ นนิสสัคคิยปาจิตตีย ์ วิ.ม.2/109/137


[ โย ปน ภิกฺขุ นานปฺปการกํ รูปิยสํโวหารํ สมาปชฺ เชยย นิ สฺสคฺคิย ํ ปาจิตฺติย ํ ]
รูปิยะ ได้แก่ ทองคํา กหาปณะ มาสก ซึงใช้เป็ นมาตราสําหรับแลกเปลียนซื อขายกันได้
ถึงความซือขาย คือ เอาของทีเป็ นรูปพรรณบ้าง ยังไม่เป็ นรูปพรรณบ้าง ซือของทีเป็ นรูปพรรณบ้าง ยังไม่เป็ นรูปพรรณบ้าง,
มีประการต่างๆ คือ เป็ นรูปพรรณบ้าง ไม่เป็ นรูปพรรณบ้าง เป็ นทังรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณบ้าง
เป็ นรูปพรรณ ได้แก่ เครืองประดับ, ไม่เป็ นรูปพรรณ ได้แก่ รูปิยะทีทําเป็ นแท่ง
ต้นบัญญัต.ิ พระฉัพพัคคียถ์ ึงความซือขายด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ
(มจร. แปลว่า แลกเปลียน, กรมการฯ แปลว่า ซือขาย, มมร. แปลว่า ซือขาย แต่ในภิกขุปาฏิโมกข์ของ มมร. ก็แปลว่า ความแลกเปลียนด้วยรูปิยะ, แต่
ความจริงในความหมายนี เมือดูจากคําอธิบายในวิธีเสียสละ วิ.ม.2/110/139 คือการแลกเปลียนรูปิยะกัน เพราะกล่าวถึงการรับสละรูปิยะแล้วมอบให้
คนทําการวัดไป คนทําการวัดนํ าไปหาของทีเป็ นกัปปิ ยะมา เช่น เนยใส นํามัน เป็ นต้น) ในอรรถกถา หมายถึง การมีรูปิยะเข้าไปเกียวข้องในการซือขาย
แลกเปลียน
[การสละ ภิกษุ ผซู ้ ือขายรูปิยะ ไม่พึงรับส่วนแบ่งจากของสละ, ในการสละ เมือสละแล้ว ภิกษุ ผรู ้ บั การสละ ไม่ตอ้ งคืน ]
วิ.ม.2/110/139
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 170
1. ของทีแลกเปลียนมาก็ดี ทรัพย์ของตนทีจะเอาไป 2. สําเร็จในการซือขายแลกเปลียนกัน
แลกเปลียนก็ดี ข้างใดข้างหนึ งเป็ นรูปิยะ เป็ นนิ สสัคคิยวัตถุ พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์
เล่ม 3 หน้า 965 [บทว่า สมาปชฺชนฺติ มีความว่า พวกภิกษุ ฉัพพัคคียม์ องไม่เห็นโทษในการแลกเปลียนด้วยทองและเงินทีคนรับไว้
แล้ว เพราะพระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงห้ามการรับอย่างเดียว จึงกระทํา (การแลกเปลียนด้วยรูปิยะ).]
ข้าพเจ้า จักกล่ าววินิจฉัยในบทว่า รูปเย รูปยสฺญี​ เป็ นต้นต่อไป:- บรรดาวัตถุทีกล่าวแล้วในสิกขาบทก่อน เมือภิกษุ ซือขายนิ ส
สัคคิยวัตถุ ดว้ ยนิ สสัคคิยวัตถุ เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยสิ กขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า, ในเพราะการซื อขายของอืนๆ
เป็ นนิสสัคคิยปาจิตตียด์ ว้ ยสิกขาบทนีแล. แต่เมือซือขายทุกกฏวัตถุ หรือกัปปิ ยวัตถุ ด้วยนิ สสัคคิยวัตถุ ก็มีนัยอย่างนี เหมือนกัน.

บทที 10. อนึง ภิกษุใดถึงการแลกเปลียนมีประการต่างๆ เป็ นนิสสัคคิยปาจิตตีย ์


[โย ปน ภิกฺขุ นานปฺปการกํ กยวิกฺกยํ สมาปชฺ เชยฺย นิ สฺสคฺ คิย ํ ปาจิตฺติย]ํ
ถึงการแลกเปลียน คือ ภิกษุพูดเป็ นเชิงบังคับว่า จงให้ของสิงนี ดว้ ยของสิงนี , จงนําของสิงนี มาด้วยของสิงนี , จงแลกเปลียนของสิงนี ดว้ ยของสิงนี , จงจ่าย
ของสิงนี ดว้ ยของสิงนี ต้องอาบัติทุกกฎ

๑๕๑
ต้นบัญญัติ. พระอุปนันทศากยบุตร แลกผ้ากับปริพาชกผูห้ นึ ง แล้วปริพาชกขอเปลียนคืนในภายหลัง แล้วท่านไม่ยอมให้
(มจร. แปลว่า ความซือขาย, กรมการฯ แปลว่า การแลกเปลียน, มมร. แปลว่า การแลกเปลียน แต่ในภิกขุปาฏิโมกข์ของ มมร. ก็แปลว่า การซือและ
การขาย, แม้ในอรรถกถา ก็แปล กยวิกฺกยํ ว่าได้แก่ การซือและการขาย (เอาไงแน่ ), แต่เมือดูจากคําอธิบายในวิธีเสียสละ วิ.ม.2/114/146 คือ การ
แลกเปลียนสิงของทีไม่เกียวด้วยเงินทอง เพราะกล่าวถึงการรับสละสิงของแล้วพึงคืนของทีสละแก่ภิกษุ นันด้วย)
มีประการต่างๆ ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช โดยทีสุด แม้ไม้ชาํ ระฟั น และด้ายชายผ้า
ภิกษุ เมือถือเอากัปปิ ยภัณฑ์ของคนอืน นัยว่า ท่านจงให้สิงนี ดว้ ยสิงนี ชือว่าย่อมถึงการซือ, เมือให้กปั ปิ ยภัณฑ์ของตน ชือว่าย่อมถึงการขาย วิ.อ.3/979
ภิกษุ ไม่ควรจับจ่ายใช้สอยซือของด้วยเงินนัน (การใช้ทองและเงินหากเป็ นไปได้ ควรให้ญาติโยมจับจ่ายซือ
ของแทน หรือหากต้องไปเลือกดูของเอง ก็ควรมีญาติโยมพาไป และเป็ นผูจ้ บั จ่ายซือแทน, ในการเดินทางควรแจ้ง
ญาติโยม และใช้ปัจจัยเท่าทีจําเป็ น)
[ภิกษุ มีขา้ วสารเป็ นเสบียงทาง เห็นบุรุษถือข้าวสุกในระหว่างทางแล้วพูดว่า “เรามีขา้ วสาร และเราไม่มีความต้องการด้วยข้าวสาร
นี แต่มีความต้องการด้วยข้าวสุก” ดังนี , บุรุษรับเอาข้าวสารแล้วถวายข้าวสุก ควรอยู่ ไม่เป็ นอาบัติ เพราะพุทธเจ้าทรงอนุ ญาต
ภิกษุ พูดว่า เรามีสิงนี แต่มีความต้องการด้วยสิงนี และสิงนี , แต่ถา้ ภิกษุ ใด ไม่กระทําอย่างนี แลกเปลียนว่า ท่านจงให้สิงนี ดว้ ยสิงนี
เป็ นอาบัติตามวัตถุ]
[ท่านทรงแสดงเฉพาะกัปปิ ยภัณฑ์ตังต้นแต่จีวร มีดา้ ยชายผ้าเป็ นทีสุด เพราะการแลกเปลียนด้วยอกัปปิ ยภัณฑ์ย่อมไม่ถึงการ
สงเคราะห์เข้าในการซือขาย]
[ภิกษุ เมือถือเอา(ครอบครองสิทธิ)ภัณฑะของคนอืน ชือว่า ซือ, และเมือให้ภณ ั ฑะของตน ชือว่า ขาย]
[เมือภิกษุ กล่าวกะมารดาหรือบิดาว่า “ท่านจงให้สิงนี ” ไม่เป็ นการออกปากขอ เมือภิกษุ กล่าวว่า “ท่านจงถือเอาสิงนี ” ไม่เป็ นการ
ยังสัทธาไทยให้ตกไป, เมือภิกษุ พูดกะผูม้ ิใช่ญาติว่า “ท่านจงให้สิงนี ” เป็ นการออกปากขอ เมือพูดว่า “ท่านจงถือเอาสิงนี เป็ นการ
ยังสัทธาไทยให้ตกไป] วิ.อ.3/979
[การสละ เมือสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุ พึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนของทีเสียสละแก่ภิกษุ นันเสีย]
อนาบัติ. วิ.ม.2/116/147
1.ภิกษุ ถามราคา
2.ภิกษุ บอกแก่กปั ปิ ยการกว่า “ของสิงนี ของเรามีอยู่ แต่เราต้องการของสิงนี และของสิงนี”
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 170
1. ของๆ ตนทีจะเอาไปแลกก็ดี ของๆ ผูอ้ ืนทีตนจะ 2. เจ้าของภัณฑะนั น เป็ นคฤหัสถ์ไม่ใช่สหธรรมิก
แลกมาก็ดี ทัง 2 นี เป็ นกัปปิ ยภัณฑ์ของควร 3. พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์

เรืองพระยสกากัณฑกบุตร วิ.จุล.7/631/259
อุปมาภิกษุ ใช้สอยเงิน เหมือนพระอาทิตย์ถูกเมฆบดบัง
[631] สมัยนัน ท่านพระยสกากัณฑกบุตรเทียวจาริกในวัชชีชนบทถึง พระนครเวสาลี ข่าวว่า ท่านพระยสกากัณฑกบุตรพักอยูท ่ กู
ี ฏา
คารศาลาป่ ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนน ั ฯ
[632] สมัยนัน พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ถึงวันอุโบสถ เอาถาดทองสัมฤทธิ ตักนําเต็มตังไว้ ในท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ กล่าว
แนะนําอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลี ทีมาประชุมกันอย่างนีว่า
“ท่า นทังหลายจงถวายรูปิยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึ งก็ได้ กึ งกหาปณะก็ได้ บาทหนึ งก็ได้ มาสกหนึ งก็ได้ สงฆ์จกั มีกรณี ยะด้วย
บริขาร” เมือพระวัชชีบุตรกล่าวอย่างนีแล้ว ท่านพระยสกากัณฑบุตรจึงกล่าวกะอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลีวา่
“ท่า นทังหลาย พวกท่า นอย่าได้ถวาย รูปิ ยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึ งก็ตาม กึ งกหาปณะก็ต าม บาทหนึ งก็ตาม มาสกหนึ ง ก็ตาม
ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะเชือสายพระศากยบุตร พระสมณะเชือสาย พระศากยบุตรไม่ยน ิ ดีทองและเงิน พระสมณะเชือสายพระ
ศากยบุตรไม่รบั ทองและ เงิน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร มีแก้วและทองวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน”
อุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลี แม้อน ั ท่านพระยสกากัณฑกบุตร กล่าวอยูอ
่ ย่างนี ก็ยงั ขืนถวายรูปิยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึงบ้าง
กึ งกหาปณะบ้าง บาทหนึ งบ้าง มาสกหนึ งบ้าง ครันล่วงราตรีนนแล้ ั ว พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ได้จดั ส่วนแบ่ง เงินนันตาม
จํา นวนภิกษุ แล้ว ได้กล่า วกะท่า นพระยสกากัณ ฑกบุ ตรว่า ท่า นพระยส เงินจํา นวนนี เป็ นส่วนของท่า น ท่า นพระยสกล่า วว่า ท่า น
ทังหลาย ฉันไม่มีสว่ นเงินฉันไม่ยน ิ ดีเงิน ฯ
[633] ครังนัน พวกพระวัช ชี บุต รชาวเมืองเวสาลีกล่าวว่า “ท่า นทังหลาย พระยสกากัณฑกบุตรนี ด่า บริภ าษ อุบ าสกอุบาสิกา ผู้มี
ศรัทธาเลือมใส ทํา ให้เขาไม่เลือมใส เอาละ พวกเราจะลงปฏิสารณี ยกรรมแก่ท่าน” แล้วได้ลงปฏิสารณี ยกรรมแก่พระยสกากัณฑก
บุตรนัน
ครังนัน ท่านพระยสกากัณฑกบุตร ได้กล่าวกะพวกพระวัชชีบุตรชาวเมือง เวสาลีวา่ ท่านทังหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
ไว้วา่ สงฆ์พงึ ให้พระอนุทูต แก่ภิกษุ ผู้ถูกลงปฏิสารณี ยกรรม ขอพวกเธอจงให้พระอนุทูตแก่ฉน ั จึงพวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี
ได้สมมติภิกษุ รูปหนึ งให้เป็ นอนุทูต แก่ทา่ นพระยสกากัณฑกบุตร

๑๕๒
ต่ อ มา ท่า นพระยสกากัณ ฑกบุ ต ร พร้อ มด้ ว ยพระอนุ ทูต พากันเข้ า ไป สู่พ ระนครเวสาลี แล้ว ชี แจงแก่อุ บ าสกอุบ าสิกา
ชาวเมืองเวสาลีวา่ “อาตมาผู้กล่าว สิงไม่เป็ นธรรม ว่าไม่เป็ นธรรม สิงเป็ นธรรม ว่าเป็ นธรรม สิงไม่เป็ นวินยั ว่าไม่เป็ นวินยั สิงเป็ น
วินยั ว่าเป็ นวินยั เขาหาว่าด่าบริภาษท่านอุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาเลือมใส ทําให้ไม่เลือมใส ฯ”

เครืองเศร้าหมองของพระจันทร์พระอาทิตย์ 4 อย่าง วิ.จุล.7/634/260


[634] พระยสกากัณฑกบุตรกล่าวต่อไปว่า ท่านทังหลาย สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณ
ฑิกคหบดี เขต พระนครสาวัตถี ณ ทีนันแล พระผู้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พระจันทร์พระอาทิตย์เศร้า
หมองเพราะเครืองเศร้าหมอง 4 ประการนี จึงไม่แผดแสง ไม่สว่า ง ไม่รุ่งเรือง เครืองเศร้า หมอง 4 ประการเป็ นไฉน ดู กร ภิกษุ
ทังหลาย
1. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครืองเศร้าหมอง คือ หมอก จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รงุ่ เรือง
2. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครืองเศร้าหมอง คือ นําค้าง จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รงุ่ เรือง
3. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครืองเศร้าหมอง คือ ละอองควัน จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รงุ่ เรือง
4. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครืองเศร้าหมอง คือ อสุรน
ิ ทราหู จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รงุ่ เรือง
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้า หมองเพราะเครืองเศร้า หมอง 4 ประการนีแล จึงไม่แผดแสง ไม่สว่า ง ไม่รงุ่ เรือง
ฉันใด
เครืองเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ 4 อย่าง
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง เศร้าหมองเพราะเครืองเศร้าหมอง 4 ประการนี จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
เครืองเศร้าหมอง 4 ประการ เป็ นไฉน
1. ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั มี สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง ดื มสุรา ดื มเมรัย ไม่งดเว้นจากการดืมสุราเมรัย นี เป็ นเครืองเศร้าหมองของสมณ
พราหมณ์ ข้อทีหนึ ง ซึ งเป็ นเหตุให้สมณพราหมณ์ พวกหนึ งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
2. อนึ ง สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง เสพเมถุนธรรม ไม่งดเว้นจากเมถุนธรรม นีเป็ นเครืองเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ ข้อทีสอง ซึ ง
เป็ นเหตุให้สมณ พราหมณ์ พวกหนึ ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
3. อนึ ง สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง ยินดีทองและเงิน ไม่งดเว้นจากการรับทองและเงิน นีเป็ นเครืองเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ขอ ้ ที
สาม ซึ งเป็ นเหตุ ให้สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
4. อนึ ง สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง เลียงชีวต ิ โดยมิจฉาชีพ ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ นีเป็ นเครืองเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ ข้อที สี
ซึ งเป็ นเหตุให้สมณ พราหมณ์ พวกหนึ ง เศร้าหมองไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั สมณพราหมณ์ พวกหนึ งเศร้า หมองเพราะเครืองเศร้า หมอง 4 ประการนี แล จึงไม่มี สง่า ไม่ผ่องใส ไม่
ไพโรจน์ ฉันนัน ท่านทังหลาย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคํานี ครันแล้วพระสุคตผู้ศาสดาได้ตรัสประพันธคาถา มีเนือความ ว่าดังนี:
[635] สมณพราหมณ์ เศร้าหมอง เพราะราคะและโทสะ เป็ นคนอันอวิชชาหุม ้ ห่อ เพลิดเพลิน รูปทีน่ ารัก เป็ นคนไม่รู ้ พวกหนึ ง ดืม
สุราเมรัย พวกหนึ งเสพเมถุน พวกหนึ งยินดีเงินและทอง พวกหนึ งเป็ นอยูโ่ ดยมิจฉาชีพ เครืองเศร้าหมองเหล่านี พระพุทธเจ้าผู้เป็ น
เผ่าพันธุ์ แห่งพระราชาผู้สูงศักดิตรัสว่า เป็ นเหตุให้สมณพราหมณ์ พวกหนึ งเศร้า หมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ มีกเิ ลสธุลีดุจ
มฤค ถูกความมืดรัดรึง เป็ นทาส ตัณหา พร้อมด้วยกิเลส เครืองนําไปสูภ ่ พ ย่อมเพิมพูนสถาน ทิงซากศพให้มาก ย่อมถือเอาภพใหม่
ต่อไป ฯ

...................................................

ต่อหัวข้อที 7.1 หน้า 144


จีวรวรรคที 1 บทที 10
เรืองไวยาวัจกร

๑๕๓
ปั ตตวรรคที 3 (ปั ตตะ หมายถึง บาตร) วิ.ม.2/117/124
บทที 1 อนึ ง ภิกษุ ใด ทรงอติเรกบาตร พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ 10 วัน เป็ นอย่างยิง ภิกษุให้ลว่ งกําหนดนันไป เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์
ต้นบัญญัติ. พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน พระฉัพพัคคียส์ งสมบาตรไว้
ั เป็ นอันมาก ชาวบ้านพากันเทียวชมวิหาร เห็นแล้วพากันเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้สงสมบาตรไว้
ั เป็ นอันมาก ท่านจักทําการขายบาตร หรือจักตังร้านขายภาชนะดินเผา.
[118] ก็โดยสมัยนันแล อติเรกบาตรเกิดขึนแก่ท่านพระอานนท์มีอยู่ และท่านประสงค์จะถวายบาตรนันแก่ท่านพระสารีบุตร, แต่ท่าน
พระสารีบุตรอยูถ่ ึงเมืองสาเกต. ท่านพระปริวิตกว่า เราจะพึงปฏิบตั ิอย่างไรหนอ? ครันแล้ว ได้กราบทูล พ. พ. ถามว่า ดูกรอานนท์ ยังอีกนาน
เท่าไร สารีบุตรจึงจะกลับมา?. พระอานนท์กราบทูลว่า ท่านจะกลับมาในวันที 9 หรือ 10 พระพุทธเจ้าข้า.
สิกขาบทวิภงั ค์ ทีชือว่า อติเรกบาตร ได้แก่ บาตรทียังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้วิกปั
ทีชือว่า บาตร มี 2 อย่าง คือ บาตรเหล็ก 1 บาตรดินเผา 1.
ขนาดของบาตร บาตรมี 3 ขนาด คือ บาตรขนาดใหญ่ 1 บาตรขนาดกลาง 1 บาตรขนาดเล็ก 1.
บาตรขนาดใหญ่ จุขา้ วสุกแห่งข้าวสารกึงอาฬหก ของเคียวเท่าส่วนที 4 กับข้าวพอสมควรแก่ขา้ วสุกนัน.
บาตรขนาดกลาง จุขา้ วสุกแห่งข้าวสาร 1 นาฬี ของเคียวเท่าส่วนที 4 กับข้าวพอสมควรแก่ขา้ วสุกนัน. 5 มุฏฐิ [คือกํามือ] เป็ น 1 กุฑวะ
บาตรขนาดเล็ก จุขา้ วสุกแห่งข้าวสาร 1 ปั ตถะ ของเคียวเท่าส่วนที 4 กับข้าวพอสมควรแก่ขา้ วสุกนัน. [คือฟายมือ]
ใหญ่กว่านันเป็ นบาตรทีใช้ไม่ได้ เล็กกว่านันเป็ นบาตรทีใช้ไม่ได้. 2 กุฑวะ " 1 ปั ตถะ [คือกอบ]
2 ปั ตถะ " 1 นาฬี [คือทะนาน]
ตามคําในเรืองเมณฑกเศรษฐีในอรรถกถาธรรมบท ตอนมลวรรค ข้าวสารนาฬีหนึ ง หุงเป็ นข้าวสุก
4 นาฬี " 1 อาฬหก.
แจกกัน 5 คน ส่วนทีคนหนึ งได้ พอกินอิม แต่ไม่พอแก่ 2 คน โดยนัยนี
วินัยมุข เล่ม 1
บาตรขนาดเล็ก จุขา้ วสุก 2 คนกินเหลือ 3 คนไม่พอ
บาตรขนาดกลาง จุขา้ วสุกกินได้ 5 คน (วัดรอบตัวบาตรได้ 27 นิ วฟุตครึง)
บาตรขนาดใหญ่ จุขา้ วสุกกินได้ 10 คน วินัยมุข เล่ม 2
[ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตบาตร 2 ชนิ ด คือ บาตรเหล็ก1 บาตรดิน1] วิ.จุล.7/34
บาตรพระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงห้าม 11 อย่าง อนุ ญาต 2 อย่าง คือบาตรเหล็ก บาตรดิน. ภาชนะ 3 อย่าง คือ ภาชนะเหล็ก ภาชนะดิน ภาชนะ
ทองแดง อนุ โลมแก่บาตรนันแล. วิ.ม.อ.7 หน้า 190 มมร.
[ภิกษุ ไม่เสียสละบาตรทีเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์ ใช้สอย ต้องทุกกฏ]
[บาตรทีภิกษุ เสียสละแล้ว สงฆ์ คณะหรือบุคคล จะไม่คืนให้ไม่ได้ ภิกษุ รูปใดไม่คืนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ]
อนาปั ตติวาร ภิกษุ อธิษฐาน1 ภิกษุ วิกปั ไว้1 ภิกษุ สละให้ไป1 บาตรหายไป1 บาตรฉิบหาย1 บาตรแตก1 โจรชิงเอาไป1 ภิกษุ ถือวิสาสะ1
[อ. บาตรเหล็ก ระบมแล้วด้วยการระบม 5 ไฟ บาตรดินระบมแล้วด้วยการระบม 2 ไฟ จึงควรอธิษฐาน] เล่ม 3 หน้า 995 มมร.

บทที 2. อนึ งภิกษุ ใด มีบาตรมีแผลหย่อนห้า(น้อยกว่า 5 แผล) ให้จา่ ยบาตรใหม่อืน เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์ , 8.2
ภิกษุ นั นพึงสละบาตรใบนั นในภิกษุ บริษัท บาตรใบสุดแห่งภิกษุ บริษัทนั น พึงมอบให้ภิกษุ นั นสังว่า ภิกษุนี บาตรของ
ท่าน พึงทรงไว้กล่าวจะแตก นี เป็ นสามีจิกรรมในเรืองนั นๆ
บาตรทีว่ามีแผล ได้แก่ บาตรทีมีรอยร้าวยาวถึงสององคุลี บาตรทีชือว่าใหม่ ตรัสหมายถึง บาตรทีขอเขามา
ให้จา่ ย คือ ขอเขา เป็ นทุกกฏในประโยคทีขอ, เป็ นนิ สสัคคียด์ ว้ ยได้บาตรมา จําต้องเสียสละในท่ามกลางสงฆ์
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ. พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิ โครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ ์ นายช่างหม้อปวารณาภิกษุทงหลาย ั แต่ภิกษุ ขอไม่รจู ้ กั ประมาณ ต่าง
เปลียนบาตรตามปรารถนา ช่างหม้อไม่อาจทํากิจอย่างอืน, พ.ทรงบัญญัติวา่ ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่ควรขอบาตร ภิกษุ ใดขอ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา บาตรของภิกษุ รูปหนึ งแตก ภิกษุ นันรังเกียจว่า การขอบาตร พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติหา้ มแล้ว จึงไม่ขอบาตร เขาเทียวรับบิณฑบาต
ด้วยมือทังสอง พ.ทรงบัญญัติวา่ ดูก่อนภิกษุ ทงหลายั เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผมู ้ ีบาตรหายหรือมีบาตรแตกขอบาตรเขาได้... สมัยต่อมา พระฉัพพัคคียท์ ราบ
ว่า พ. ทรงอนุ ญาติให้ภิกษุ ผมู ้ ีบาตรหายหรือมีบาตรแตก ขอบาตรเขาได้ แม้พวกเธอมีบาตรแตกเพียงเล็กน้อย ทะลุเพียงเล็กน้อย กะเทาะเพียง
เล็กน้อย มีรอยขีดเพียงเล็กน้อย ก็ไม่รจู ้ กั ประมาณ ขอบาตรเขามาไว้เป็ นอันมาก นายช่างหม้อผูน้ ันมัวทําบาตรเป็ นอันมากถวายแก่ภิกษุ ทงหลายอยู ั ่
ไม่สามารถจะทําของขายอย่างอืนได้ แม้ตนเองก็ไม่พอครองชีพ (เขาเป็ นโสดาบัน) แม้บุตรภรรยาของเขาก็ลาํ บาก
[ถ้าอธิษฐานบาตรเลว ด้วยหมายจะได้บาตรทีมีราคามาก ต้องอาบัติทุกกฏ] วิ.ม.2/131/161
วิธีเสียสละบาตร ภิกษุ ผรู ้ บั สมมติแล้วนัน พึงให้เปลียนบาตร พึงกราบเรียนพระเถระว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระเถระจงเปลียนบาตร ถ้าพระเถระเปลียน พึง
ถวายบาตรพระเถระ ให้พระทุติยเถระเปลียน อันภิกษุ จะไม่เปลียนเพราะความสงสารภิกษุ นันไม่ได้ ภิกษุ ใดไม่ยอมเปลียน ต้องอาบัติทุกกฏ ไม่พึงให้
ภิกษุ ผไู ้ ม่มีบาตรเปลียน พึงให้เปลียนเลือนลงมาโดยอุบายนี แล ตลอดถึงพระสังฆนวกะ ก็แลบาตรใดเป็ นใบสุดท้ายแห่งภิกษุบริษทั นัน พึงมอบบาตร
นัน แก่ภิกษุ ผตู ้ อ้ งอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตียน์ ัน ด้วยสังกําชับว่า ดูก่อนภิกษุ นี บาตรของเธอ พึงใช้ไปกว่าจะแตก ดังนี ภิกษุ นันอย่าเก็บบาตรใบนันไว้ในที
อันไม่ควร อย่าใช้โดยอาการอันไม่ควร อย่าทอดธุระว่าบาตรใบนี จะเป็ นอย่างไรก็ตาม คือ จะหาก็ชา่ ง จะฉิบหาย ก็ชา่ ง จะแตกก็ชา่ ง ถ้าเก็บไว้ในที ๆ
ไม่ควรก็ดี ใช้อย่างทีเขาไม่ใช้กนั ก็ดี ปล่อยทิงเสียก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ

๑๕๔
บาตร
พระทุติยเถระ มัชฌิมะ
บาตร บาตร
พระเถระ นวกะ
บาตรนิ สสัคคีย ์
เมือพระเถระไม่รบั ไว้เพืออนุ เคราะห์เป็ นทุกกฏ. แต่เพราะความสันโดษ ไม่เป็ นอาบัติแก่ภิกษุ ผไู ้ ม่รบั ด้วยคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรแก่เราด้วย
บาตรใบอืน. เล่ม 3 หน้า 1024 มมร.

ธรรมเนียมการรักษาบาตร
ดูกรฯ บาตรทียังมีนํา ภิกษุ ไม่พึงเก็บงํา รูปใดเก็บงํา ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรฯ บาตรทียังมีนํา ภิกษุ ไม่พึงผึงไว้ รูปใดผึงไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรฯ ภิกษุ ไม่พึงวางบาตรไว้ในทีร้อน รูปใดวางไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ..เราอนุ ญาตให้ผึงไว้ทีร้อนครูเ่ ดียว แล้วจึงเก็บงําบาตร
ดูกรฯ ภิกษุ ไม่พึงวางบาตรไว้ริมกระดานเลียบ รูปใดวางไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุ ทงหลายควํ
ั าบาตรไว้ทีพืนดิน ขอบบาตรสึก ดูกรฯ เราอนุ ญาตให้เอาหญ้ารอง/ท่อนผ้ารอง
เราอนุ ญาตแท่นเก็บบาตร/หม้อเก็บบาตร/ถุงบาตร/สายโยก
ดูกรฯ ภิกษุ ไม่พึงแขวนบาตรไว้ รูปใดแขวนไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรฯ ภิกษุ ถือบาตรอยู่ ไม่พึงผลักประตูเข้าไป รูปใดผลักต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรฯ ภิกษุ ไม่พึงใช้บาตรรับเศษอาหาร ก้าง หรือนําบ้วนปาก รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ..เราอนุ ญาตให้ใช้กระโถน
อนาบัติ. 1. ภิกษุ มีบาตรหาย 2. ภิกษุ มีบาตรแตก
3. ภิกษุ ขอจากญาติ 4.ภิกษุ ขอต่อคนปวารณา (เข้าใจว่าการขอต่อญาติหรือคนปวารณาอย่างไรก็ตอ้ งมีแผลห้าก่อน)
5. ภิกษุ ขอเพือประโยชน์ ของภิกษุ อืน
ต่อหัวข้อที 8.3 (หน้า 195) โภชนวรรคที 4 บทที 9 ห้ามขอโภชนะอันประณีต

บทที 3. ภิกษุรบั ประเคนเภสัชทัง 5 คือ เนยใส เนยข้น นํามัน นําผึง นําอ้อย แล้วเก็บไว้ฉนั ได้เพียง 7
วัน เป็ นอย่างมาก ให้เกินกําหนดนันไป ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย ์
พระบัญญัติ. อนึ ง มีเภสัชอันควรลิมของภิกษุ ผูอ้ าพาธ คือ เนยใส เนยข้น นํ ามัน นํ าผึง นํ าอ้อย ภิกษุ รบั ประเคนของนั นแล้ว พึง
เก็บไว้ฉันได้เจ็ดวันเป็ นอย่างยิง ภิกษุ ให้ลว่ งกําหนดนั นไป เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์
ที ชือว่า เนยใส ได้แก่ เนยใสที ทําจากนํ ามันโคบ้าง นํ านมแพะบ้าง นํ ามันกระบื อบ้าง มังสะของสัตว์เหล่าใดเป็ นของควร เนยใสที ทําจากนํ านมสัตว์
เหล่านัน ก็ใช้ได้
ทีชือว่า เนยข้น ได้แก่ เนยข้นทีทําจากนํานมสัตว์เหล่านันแล
ทีชือว่า นํามัน ได้แก่ นํามันอันสกัดออกจากเมล็ดงาบ้าง จากเมล็ดพันธุผ์ กั กาดบ้าง จากเมล็ดมะซางบ้าง จากเมล็ดละหุ่งบ้าง จากเปลวสัตว์บา้ ง
ทีชือว่า นําผึง ได้แก่ รสหวานทีแมลงผึงทํา
ทีชือว่า นําอ้อย ได้แก่ รสหวานทีเกิดจากอ้อย
ภิกษุ ตน้ บัญญัติ. พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันฯ พระเจ้าพิมพิสารตัองการถวายคนทําการวัด 500 คนแก่พระปิ ลินทวัจฉะ “ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั
เราอนุ ญาตให้มีคนทําการวัด” หมูบ่ า้ นของคนทําการวัดพวกนัน ได้ตงอยู
ั แ่ ผนกหนึ ง คนทังหลายเรียกตําบลบ้านนันว่า ตําบลบ้านอารามิกบ้าง ตําบล
บ้านปิ ลินทวัจฉะบ้าง. ขณะนัน เมือพระปิ ลินทวัจฉะบิณฑบาต ธิดาของสตรีผทู ้ าํ การวัดนัน เห็นเด็กๆ พวกอืนตกแต่งกายประดับดอกไม้แล้วร้องอ้อนต่อ
บิดามารดาว่า จงให้ดอกไม้แก่ขา้ พเจ้า จงให้เครืองตกแต่งกายแก่ขา้ พเจ้า แต่บิดามารดาไม่อาจให้ได้เพราะเป็ นคนจน ขณะนัน ท่านพระปิ ลินทวัจ ฉะ
หยิบหมวกฟางใบหนึ งส่งให้แล้วกล่าวว่า เจ้าจงสวมหนวกฟางนี ลงทีศีรษะเด็กหญิงนัน ทันใดนางได้รบั หมวกฟางนันสวมลงทีศีรษะเด็กหญิงนัน หมวก
ฟางนั นได้กลายเป็ นระเบียบดอกไม้ทองคํา ภายหลัง เด็กน้อยและครอบครัวถูกจับเพราะหาว่าเป็ นขโมย พระปิ ลินทวัจฉะจึงเข้าเฝ้ าพระเจ้าพิมพิสาร
และอธิษฐานปราสาทพระเจ้าพิมพิสารให้เป็ นทองคํา จึงมีชาวบ้านเลือมใสถวายเภสัชห้าเป็ นอันมาก ท่านจึงแบ่งแก่บริษัท แต่บริษัทของท่านเป็ นคนมัก
มาก เก็บเภสัชห้าไว้มากมายจนหนู ขึน
[ในการสละ เมือสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ครันรับอาบัติแล้ว ภิกษุ ผรู ้ บั การสละพึงคืนเภสัช]
[เภสัชทีเสียสละแล้ว ภิกษุ นันได้คืนมา ไม่พึงใช้ดว้ ยกิจเกียวกับกาย และไม่ควรฉัน พึงน้อมเข้าไปในการตามประทีปหรือในการ
ผสมสี ภิกษุ อืนจะใช้ดว้ ยกิจเกียวกับกายได้อยู่ แต่ไม่ควรฉัน]

๑๕๕
(เล่ม 3 หน้า 1038 มมร.) บรรดาเภสัชมีเนยใส เป็ นต้น ทีภิกษุ รบั ประเคนก่อนฉัน ควรจะฉันเจืออามิสก็ได้ ปราศจากอามิสก็ได้ ในเวลาก่อนฉันในวัน
นัน. ตังแต่ภายหลังฉันไป พึงฉันปราศจากอามิสได้ตลอด 7 วัน. แม้เพราะล่วง 7 วันไป ถ้าภิกษุ เก็บไว้ในภาชนะ เป็ นนิ สสัคคีย ์ เนยใสทีภิกษุ รบั ประเคน
ภายหลังฉัน ควรฉันได้ไม่เจืออามิสเลยตลอด 7 วัน.
(หน้า 1044) ภิกษุ ทงหลาย
ั ! เราอนุ ญาต เปลวมัน 5 ชนิ ด คือ เปลวหมี, เปลวปลา, เปลวปลาฉลาม, เปลวสุกร, เปลวลา* ก็ บรรดาเปลวมัน 5 ชนิ ด
นี ด้วยคําว่า เปลวหมี พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงอนุ ญาตเปลวมันแห่งสัตว์ทีมีมงั สะเป็ นอกัปปิ ยะทังหมด เว้นเปลวมันแห่งมนุ ษย์เสีย. บรรดาอวัยวะอย่าง
อืน มีนํานมเป็ นต้น ชือว่า เป็ นอกัปปิ ยะ ไม่มี.
(หน้า 1047) พวกภิกษุ อาพาธด้วยโรคลม เติมนํามันเปลวหมีและสุกรเป็ นต้นลงในข้าวยาคูทีต้มด้วยนําฝาดรากไม้ 5 ชนิ ด แล้วดืมข้าวยาคู, ข้าวยาคู
นันบําบัดโรคได้ เพราะมีความร้อนสูง ดังนี จึงกล่าวว่าสมควรอยู่
(หน้า 1048) นําอ้อยชนิ ดทียังไม่ได้เคียว หรือทีเคียวแล้วไม่มีกาก หรือทีไม่มีกากแม้ทงหมดจนกระทั
ั งนําอ้อยสดพึงทราบว่า นําอ้อย.
อนาบัติ. 1. ภิกษุ ผูกใจไว้ว่าจะไม่บริโภค
2. ในภายในเจ็ดวัน ภิกษุ ให้แก่อนุ ปสัมบันด้วยจิตคิดสละแล้ว ทิงแล้ว ปล่อยแล้ว ไม่หว่ งใย กลับได้คืนมา ฉันได้

บทที 4. ภิกษุ รวู ้ า่ ฤดูรอ้ นยังเหลืออีก 1 เดือน พึงแสวงหาจีวรคือผ้าอาบนํ าฝนได้ รูว้ า่ ฤดูรอ้ นยังเหลืออีกกึงเดือน พึงทํานุ่ ง
ได้ ถ้าเธอรูว้ า่ ฤดูรอ้ นเหลือลํากว่า 1 เดือน แสวงหาจีวร คือผ้าอาบนํ าฝน รูว้ า่ ฤดูรอ้ นเหลือลํากว่ากึงเดือน ทํานุ่ ง เป็ นนิ สสัคคิ ย
ปาจิตตีย ์
ต้นบัญญัติ. พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พ. ทรงอนุ ญาตผ้าอาบนําฝนแก่ภิกษุ ทงหลายแล้ ั ว. พระฉัพพัคคียจ์ ึงแสวงหาจีวรคือผ้าอาบนํ าฝน
เสียก่อนบ้าง ทําแล้วนุ่ งเสียก่อนบ้าง, ครันผ้าอาบนําฝนเก่าแล้ว ก็เปลือยกายอาบนําฝน.
สิกขาบทวิภงั ค์ [146] คําว่า ภิกษุ รวู ้ า่ ฤดูรอ้ นยังเหลืออีก 1 เดือน พึงแสวงหาจีวร คือผ้าอาบนําฝนได้ นัน อธิบายว่า ภิกษุ พึงเข้าไปหาชาวบ้าน
บรรดาทีเคยถวายจีวร คือ ผ้าอาบนําฝนมาก่อน แล้วกล่าวอย่างนี วา่ ถึงกาลแห่งผ้าอาบนําฝนแล้ว ถึงสมัยแห่งผ้าอาบนําฝนแล้ว แม้ชาวบ้านเหล่า
อื น ก็ ถวายจีวรคือผ้าอาบนําฝน ดังนี แต่อย่าพูดว่า จงให้จีวรคือผ้าอาบนํ าฝนแก่อาตมา จงหาจีวร คือผ้าอาบนํ าฝนมาให้อาตมา จงแลกเปลียน
จีวรคือผ้าอาบนําฝนมาให้อาตมา จงจ่ายจีวรคือผ้าอาบนําฝนมาให้อาตมา ดังนี เป็ นต้น
[เมือผ้าอาบนํ าฝนมี ภิกษุ เปลื อยกายอาบนํ าฝน ต้องอาบัติทุกกฏ]
ผ้าอาบนํ าฝนนั น เป็ นของทรงอนุ ญาตเป็ นบริขารพิเศษชัวคราวของภิกษุ อธิษฐานไว้ใช้ได้ตลอด 4 เดือนฤดู ฝน พ้นนั นเป็ น
ธรรมเนี ยมให้วิกปั
* สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ แม้นับวันพลาดไป
บทที 5 อนึ ง ภิกษุ ใดให้จีวรแก่ภิกษุ เองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
บทว่า ชิงเอามา คือ ยือแย่งเอามาเอง
ต้นบัญญัต.ิ พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้กล่าวชวนภิกษุ สทั ธิวิหาริกของภิกษุ ผเู ้ ป็ นพีน้องกันว่า อาวุโส จง
มา เราจักพากนหลีกไปเทียวตามชนบท ภิกษุ รูปนันตอบว่า ผมไม่ไปขอรับ เพราะมีจีวรเก่า ท่านพระอุปนันทศากยบุ ตรกล่าวขยันขยอว่า ไปเถิด
อาวุโส ผมจักให้จีวรแก่ท่าน แล้วได้ให้จีวรแก่ภิกษุ รูปนัน ภายหลัง ภิกษุ รูปนันได้ทราบข่าวว่า พ.จักเสด็จเทียวจาริกไปตามชนบท จึงคิดว่า บัดนี
เราจักตามเสด็จ พ. ครันถึงกําหนด ท่านพระอุปนันทศากยบุ ตรได้กล่าวคํานี กะภิกษุ รูปนันว่า มาเถิด อาวุโส เราจักพากันไปเทียวตามชนบทใน
บัดนี ภิกษุ รูปนันตอบว่า ผมไม่ไปกับท่านละ ผมจักตามเสด็จ พ. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวว่า ผมได้ให้จีวรแก่ท่านไปด้วยหมายใจว่าจักไป
เทียวตามชนบทด้วยกัน ดังนี แล้วโกรธ น้อยใจ ได้ชิงจีวรทีให้นันคืนมา ภิกษุ รูปนันจึงได้แจ้งเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย

ภิกษุ ให้บริขารอย่างอืนแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุ ให้จีวรก็ดี บริขารอย่างอืนก็ดี แก่อนุ ปสัมบันแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใดขอด้ายมาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวร เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ ครังนันถึงคราวทําจีวร พระฉัพพัคคีย ์ ขอด้ายเขามาเป็ นอันมาก. แม้ทาํ จีวรเสร็จแล้ว ด้ายก็ยงั เหลืออยูเ่ ป็ นอันมาก. จึงพระฉัพพัคคียไ์ ด้
ปรึกษากันว่า อาวุโสทังหลาย ผิฉะนัน พวกเราพากันไปขอด้ายแม้อืนมาให้ช่างหูกทอจีวรเถิ ด. ครันไปขอด้ายแม้อืนมาแล้ว ให้ชา่ งหูกทอจีวร. แม้
ทอจีวรแล้ว ด้ายก็ยงั เหลืออยูอ่ ีกมากมาย. จึงไปขอด้ายแม้อืนมา ให้ชา่ งหูกทอจีวรอีกเป็ นครังทีสอง. แม้ทอจีวรแล้ว ด้ายก็ยงั เหลืออยูอ่ ีกมากมาย.
จึงไปขอด้ายแม้อืนมา ให้ชา่ งหูกทอจีวรอีกเป็ นครังทีสาม.
อนาบัติ ภิกษุ ขอด้ายมาเพือเย็บจีวร1 ภิกษุ ขอด้ายมาทําผ้ารัดเข่า1 ประคดเอว1 ผ้าอังสะ1 ถุงบาตร1 ผ้ากรองนํา1 ภิกษุ ขอต่อญาติ1 ภิกษุ ขอต่อคน
ปวารณา1 ภิกษุ ขอเพือประโยชน์ของภิกษุ อืน1 ภิกษุ จา่ ยมาด้วยทรัพย์ของตน1

๑๕๖
บทที 7 อนึ ง พ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผูม้ ิใช่ญาติ สังช่างหูกให้ทอจีวรเฉพาะภิกษุ ถ้าภิกษุ นัน เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกแล้ว
ถึงความกําหนดในจีวรในสํานักของเขานันว่า จีวรผืนนี ทอเฉพาะรูป ขอท่านจงทําให้ยาว ให้กว้าง ให้แน่ น ให้เป็ นของทีขึงดี ให้เป็ นของทีทอดี ให้เป็ น
ของทีสางดี ให้เป็ นของทีกรีดดี แม้ไฉนรูปจะให้ของเล็กน้อยเป็ นรางวัลแก่ท่าน ครันกล่าวอย่างนี แล้ว ภิกษุ นันให้ของเล็กน้อยเป็ นรางวัล โดยทีสุดแม้สกั
ว่าบิณฑบาต เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
ต้นบัญญัติ. บุรุษผูห้ นึ ง เมือจะไปแรมคืนต่างถิน ได้ กล่าวคํานี กะภรรยาว่า จงกะด้ายให้แก่ชา่ งหูกคนโน้นให้ทอจีวรแล้วเก็บไว้, ฉันกลับมาแล้ว
จักนิ มนต์พระคุณเจ้าอุปนันทะให้ครองจีวร. เมือพระอุปนันทะรูเ้ ข้า ได้ เข้าไปหาช่างหูกผูน้ ันถึงบ้าน. ครันแล้วได้กล่าวคํานี กะช่างหูกผูน้ ันว่า ท่าน
จีวร ผืนนี แล เขาให้ท่านทอเฉพาะเรา, ท่านจงทําให้ยาว, ให้กว้าง ให้แน่ น ให้เป็ นของทีขึงดี ให้เป็ นของทีทอดี ให้เป็ นของทีสางดี และให้เป็ นของที
กรีดดี. ช่างหูกกล่าวว่า เขากะด้ายส่งมาให้กระผมเท่านี เอง ขอรับ แล้วสังว่า จงทอจีวรด้วยด้ายเท่านี , กระผมไม่สามารถจะทําให้ยาว ให้กว้าง หรือ
ให้แน่ นได้, แต่สามารถจะทําให้เป็ นของทีขึงดี ให้เป็ นของทีทอดี ให้เป็ นของทีสางดี และให้เป็ นของทีกรีดดีได้ ขอรับ.
ท่านพระอุปนันทะ กล่าวรับรองว่า เชิญท่านช่วยทําให้ยาว ให้กว้าง และให้แน่ นเถิด, ความขัดข้องด้วยด้ายนัน จักไม่ม.ี
ครันช่างหูกนํ าด้ายตามที เขาส่งมาเข้าไปในหูกแล้ว, ด้ายไม่พอ. จึงเข้าไปหาสตรีเจ้าของ แจ้งว่า ต้องการด้าย ขอรับ. สตรีเจ้าของกล่าวค้านว่า
ดิฉนั สังคุณแล้วมิใช่หรือว่า จงทอจีวรด้วยด้ายเท่านัน? ช่างหูกอ้างเหตุวา่ ท่านสังผมไว้จริง ขอรับ, แต่พระคุณเจ้าอุปนันทะบอกผมอย่างนี วา่
เชิญท่านช่วยทําให้ยาว ให้กว้าง และให้แน่ นเถิ ด, ความขัดข้องด้วยด้ายนั น จักไม่มี. จึงสตรีผูน้ ั นได้ให้ดา้ ยเพิมไปอี กเท่าทีให้ไว้คราวแรก. สามีรู ้
เรืองเข้าจึงเพ่งโทษ ติเตียน

บทที 8 วันปุรณมีทีครบ 3 เดือน แห่งเดือนกัตติกา ยังไม่มาอีก 10 วัน อัจเจกจีวรเกิดขึนแก่ภิกษุ ภิกษุ รวู ้ า่ เป็ นอัจเจกจีวร พึงรับไว้ได้ ครันรับ
ไว้แล้ว พึงเก็บไว้ได้จนตลอดสมัยทีเป็ นจีวรกาล ถ้าเธอเก็บไว้ยิงกว่านัน เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
บทว่า ยังไม่มาอีก 10 วัน คือ ก่อนวันปวารณา 10 วัน
บทว่า วันปุรณมีทีครบ 3 เดือน แห่งเดือนกัตติกา คือ วันปวารณา ท่านกล่าวว่าวันเพ็ญเดือนกัตติกา
ทีชือว่า อัจเจกจีวร อธิบายว่า บุคคลประสงค์จะไปในกองทัพก็ดีบุคคลประสงค์จะไปแรมคืนต่างถินก็ดี บุคคลเจ็บไข้ก็ดี สตรีมีครรภ์ก็ดี บุคคล
ยังไม่มีศรัทธา มามีศรัทธาเกิ ดขึนก็ดี บุคคลทียังไม่เลือมใส มามีความเลือมใสเกิดขึนก็ดี ถ้าเขาส่งทูตไปในสํานักภิกษุ ทงหลายว่ ั า นิ มนต์ท่านผูเ้ จริญมา
ข้าพเจ้าจัดถวายผ้าจํานํ าพรรษา ผ้าเช่นนี ชือว่าอัจเจกจีวร วิ.ม.2/162/175
สมัยทีเป็ นจีวรกาล คือ เมือไม่ได้กรานกฐิน ได้ทา้ ยฤดูฝน 1 เดือน เมือกรานกฐินแล้ว ได้ขยายออกไปเป็ น 4 เดือน
อัจเจกจีวร แปลว่า “จีวรรีบร้อน” คือ จีวรทีทายกมีเหตุจาํ เป็ นจะต้องถวายก่อนวันกําหนด ทรงอนุ ญาตให้รบั ล่วงหน้าได้ เลียงเชียง
ต้นบัญญัติ. พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน มหาอํามาตย์ผูห้ นึ ง เมือจะไปแรมคืนต่างถิ น ได้ส่งทูตไปในสํานั กภิกษุ ทงหลายว่
ั า นิ มนต์ท่านผูเ้ จริญ
ทังหลายมา ข้าพเจ้าจักถวายผ้าจํานําพรรษา ภิกษุ ทงหลายไม่
ั ไป รังเกียจอยูว่ า่ พ. ทรงอนุ ญาตผ้าจํานําพรรษาแก่ภิกษุ ทงหลายผู
ั อ้ อกพรรษาแล้ว
จึงท่านมหาอํามาตย์ผนู ้ ันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนท่านผูเ้ จริญทังหลาย เมือเราส่งทูตไปแล้ว จึงได้ไม่มาเล่า เพราะเราจะไปในกองทัพ จะ
เป็ นหรือจะตายก็ยากทีจะรูไ้ ด้
พระองค์ทรงแสดงกาลเป็ นทีเก็บจีวรซึงเกิดขึนจําเดิมแต่วนั ที 5 คํา แห่งชุณหปั กษ์ (ข้างขึน) ของเดือนปวารณา. ก็กาลเป็ นทีเก็บจีวรนันสําเร็จ
ด้วยคําว่า พึงทรงอติเรกจีวรได้ 10 วัน เป็ นอย่างยิง นี ก็จริงแล แต่ทรงแสดงเรืองเหมือนไม่เคยมี ด้วยอํานาจแห่งเรืองทีเกิดขึน แล้วทรงตังสิกขาบทไว้.
จีวรทีทายกมีความประสงค์จะถวายด้วยเหตุเหล่านี จึงส่งทูตมา หรือมาบอกเองอย่างนี วา่ ข้าพเจ้าจักถวายผ้าจํานํ าพรรษา ได้ชือว่า อัจเจกจีวร
วิ.อ.3/1107
ถ้าพวกทายกถวายผ้าจํานําพรรษา ในเวลาทีภิกษุ ปวารณาเสร็จแล้ว ผิวา่ ภิกษุ ทงหลายรั
ั บอรุณโดยวาระ 7 วัน พึงรับเถิด.. แด่ภิกษุ ผพู ้ รรษา
ขาด พึงบอกว่า เราทังหลายมิได้จาํ พรรษาในวัดนัน เราขาดพรรษา ถ้าเขากล่าวว่า เสนาสนะของพวกข้าพเจ้า ท่านให้ถึงแก่พระผูเ้ ป็ นเจ้าเหล่าใด
พระผูเ้ ป็ นเจ้าเหล่านัน จงรับเถิ ด ดังนี ภิกษุ ควรรับ. วิ.อ.6/562
บทที 9 อนึ ง ภิกษุ จาํ พรรษาแล้ว จะอยูใ่ นเสนาสนะป่ า ทีรูก้ นั ว่าเป็ นทีมีรงั เกียจ มีภยั จําเพาะหน้า ตลอดถึงวันเพ็ญเดือน 12 ปรารถนาอยู่ พึง
เก็บจีวร 3 ผืนๆ ใดผืนหนึ งไว้ในละแวกบ้านได้ และปั จจัยอะไรๆ เพือจะอยูป่ ราศจากจีวรนั น จะพึงมีแก่ภิกษุ นัน ภิกษุนันพึงอยูป่ ราศจากจีวรนั นได้ 6
คืนเป็ นอย่างยิง ถ้าเธออยูป่ ราศจากยิงกว่านัน เว้นไว้แต่ภิกษุ ได้สมมติ เป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตียฯ์
เสนาสนะป่ า คือ เสนาสนะทีมีระยะไกล 500 ชัวธนู เป็ นอย่างน้อย(จากบ้านคน วัดโดยทางทีไปมาตามปกติไม่ใช่ลดั )
(ชัวคันธนู หนึ งมี 4 ศอก คือ 1 วา หรือ 25 เส้นๆ ละ 40 เมตร)
ต้นบัญญํติ. พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ภิกษุ ทงหลายออกพรรษาแล้
ั วยับยังอยูใ่ นเสนาสนะป่ า พวกโจรเดือน 12 เข้าใจว่า ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งได้
ลาภแล้ว จึงพากันเทียวปล้น
ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผอู ้ ยูใ่ นเสนาสนะป่ า เก็ บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ งไว้ในละแวกบ้านได้
ก็ โดยสมัยนั นแล ภิ กษุ ทังหลายทราบว่า พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงอนุ ญาตให้ภิกษุ ผูอ้ ยู่ในเสนาสนะป่ า เก็ บไตรจีวรผื นใดผื นหนึ งไว้ใน
ละแวกบ้านได้ จึงเก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ งไว้ในละแวกบ้าน แล้วอยูป่ ราศเกิ น 6 คืน จีวรเหล่านันหายบ้าง ฉิบหายบ้าง ถูกไฟไหม้บา้ ง ถูกหนู กดั
บ้าง ภิกษุ ทงหลายมี
ั แต่ผา้ ไม่ดี มีแต่จีวรปอน
หน้า 1117 ภิกษุ ทงหลายเหล่
ั านัน แม้ในกาลก่อน ก็อยูใ่ นป่ าเหมือนกัน. แต่ภิกษุ เหล่านันอยูจ่ าํ พรรษาในเสนาสนะใกล้เเดนบ้าน ด้วยสามารถแห่ง
ปั จจัย เพราะเป็ นผูม้ ีจีวรครําคร่า เป็ นผูม้ ีจีวรสําเร็จแล้ว ปรึกษากันว่า บัดนี พวกเราหมดกังวลแล้ว จักกระทําสมณธรรม จึงพากันอยูใ่ นเสนาสนะป่ า.

๑๕๗
บทที 10. อนึง ภิกษุใดรูอ้ ยู่ น้อมลาภทีเขาน้อมไว้เป็ นของจะถวายสงฆ์มาเพือตน เป็ นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
รูอ้ ยู่ คือ รูเ้ อง หรือคนอืนบอกเธอ หรือเจ้าตัวบอก ทีเขาน้อมไว้ คือ เขาได้เปล่งวาจาไว้วา่ จักถวาย จักกระทํา 2/169/185
ต้นบัญญัติ. พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ในพระนครสาวัตถี มีชาวบ้านหมูห่ นึ ง จัดภัตตาหารพร้อมทังจีวรไว้ถวายสงฆ์ ด้วยตังใจว่าจักให้ฉัน
แล้วจึงให้ครองจีวร ณ เวลาเดียวกันนันแล พระฉัพพัคคียไ์ ด้เข้าไปหาชาวบ้านหมูน่ ั น ครันแล้วได้กล่าวคํานี กะชาวบ้านหมู่นันว่า ท่านทังหลาย ขอพวก
ท่านจงให้จีวรเหล่านี แก่พวกอาตมา ชาวบ้านหมูน่ ันกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกกระผมจะถวายไม่ได้ เพราะพวกกระผม จัดภิกษาหารพร้อมทังจีวรได้ถวาย
แก่พระสงฆ์ทุกปี พระฉัพพัคคียก์ ล่าวว่า ดูก่อนท่านทังหลาย ทายกของสงฆ์มีมาก ภัตตาหารของสงฆ์ก็มีมาก พวกอาตมาอาศัยพวกท่าน เห็นอยูแ่ ต่พวก
ท่าน จึงอยู่ในที นี ถ้าพวกท่านไม่ให้แก่พวกอาตมา เมือเป็ นเช่นนี ใครเล่าจักให้แก่พวกอาตมา ขอพวกท่านจงให้จีวรเหล่านี แก่พวกอาตมาเถิ ด เมือ
ชาวบ้านหมูน่ ัน ถูกพระฉัพพัคคียแ์ ค่นได้ จึงได้ถวายจีวรตามทีได้จดั ไว้แก่พระฉัพพัคคียแ์ ล้วอังคาสพระสงฆ์เฉพาะภัตตาหาร บรรดาภิกษุ ทีทราบว่า เขา
จัดภัตตาหารพร้อมทังจีวรไว้ถวายพระสงฆ์ แต่ไม่ทราบว่า เขาได้ถวายจีวรแก่พระฉัพพัคคียไ์ ปแล้ว จึงได้กล่าวอย่างนี วา่ ท่านทังหลาย ขอพวกท่านจง
น้อมถวายจีวรแก่พระสงฆ์เถิด ชาวบ้านหมูน่ ันกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า จีวรตามทีได้จดั ไว้ไม่มี เพราะพระคุณเจ้าเหล่าพระฉัพพัคคียน์ ้อมไปเพือตนแล้ว
[ในประโยคทีทํา(น้อมลาภ) เป็ นทุกกฏ ได้มาเป็ น นิ สสัคคีย]์
[ลาภทีเขาน้อมไว้เพือสงฆ์ ภิกษุ น้อมมาเพือสงฆ์หมู่อืน เจดียฯ์ ลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ลาภทีเขาน้อมไว้เพือบุคคล ภิกษุ น้อมมาเพือสงฆ์ บุคคลอืน ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[การสละ เมือสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุ พึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนของทีเสียสละแก่ภิกษุ นันเสีย]
[น้อมลาภพระเจดีย์ / บุคคล ให้สับกันเสียเป็ นอาบัติทุกกฏ]
อนาบัติ. 1.ทายกถามว่า จะถวายทีไหน ดังนี บอกแนะนําว่า ไทยธรรมของท่าน พึงได้รบั การใช้สอย หรือพึงตังอยู่
ได้นาน ในทีใด, ก็หรือจิตของพวกท่านเลือมใสในภิกษุ รูปใด ก็จงถวายในทีนัน หรือ(แม้) ภิกษุ รูปนัน
เถิดดังนี
สิกขาบทนี เป็ นสจิตตกะ
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 176
1. ลาภทายกน้อมไปแล้วในสงฆ์ 3. ได้มา
2. รูแ้ ล้วน้อมมาเพือตน พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย์

ดูสหธรรมิกวรรคที 8 บทที 12
(หน้า 219)
น้อมลาภสงฆ์ไปเพือบุคคล

๑๕๘
(สุทธิกะ) ปาจิตตีย ์ ( สุทธิกปาจิตตีย ์ แปลว่า ปาจิตตียล์ ว้ น )
มุสาวาทวรรคที 1 (มุสาวาท แปลว่า การกล่าวเท็จ, ว่าด้วยเรืองของคําพูดเป็ นส่วนใหญ่)
บทที 1. พูดปด ต้องปาจิตตีย ์ (ไม่ควรพูดเล่น จริงบ้าง เท็จบ้าง หาสาระแน่ นอนไม่ได้)
พระบัญญัติ. เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาทฯ วิ.ม.2/173/191
สัมปชานมุสาวาท ได้แก่ วาจา เสียงทีเปล่งฯ เจตนาทีให้เขาเข้าใจทางวาจา ของบุคคลผูจ้ งใจจะพูดให้คลาดจากความจริง
ต้นบัญญัต.ิ พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระหัตถกะศากยบุตรเป็ นคนพูดสับปรับ ท่านเจรจาอยูก่ บั พวกเดียรถีย ์ กล่าวปฏิเสธแล้วรับ
กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรืองอืนกลบเกลือนเรืองอืน กล่าวเท็จทังๆ ทีรูอ้ ยู่ พูดนั ดหมายไว้แล้ว ทําให้คลาดเคลือน.
ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยินเดียรถียพ์ วกนัน เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงเข้าไปถามพระหัตถกะศากยบุตร จริงหรือ?. พระหัตถกะศากยบุตร
ตอบว่า อาวุโสทังหลาย ขึนชือว่าพวกเดียรถียเ์ หล่านี เราต้องเอาชนะด้วยวิธีใดวิธีหนึ ง เราไม่ควรให้ความชนะแก่เดียรถียพ์ วกนัน.
[รับคําของเขาด้วยจิตบริสุทธิแล้ว ภายหลังไม่ได้ทาํ ตามรับนั น เรียกปฏิสสวะ (ฝื นคําทีรับปากเขาไว้) ปรับทุกกฏ]
อนาบัติ. 1. ภิกษุ พูดพลัง (พูดเร็วไป)
๒. ภิกษุพูดพลาด (ตังใจว่าจักพูดคําอืน แต่กลับพูดไปอีกอย่าง)
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 167
1. คิดจะกล่าวให้คลาดจากความจริงเป็ นเบืองหน้า พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นนิ สสัคคิยปาจิตตีย ์
2. ทําประโยคกายหรือวาจา ให้ผฟู ้ ั งรูค้ วามทีตนหมายจะกล่าว
ด้วยจิตจะพูดให้คลาดจากความจริง

บทที 2. ด่าภิกษุ ต้องปาจิตตีย์


พระบัญญัติ. เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะโอมสวาทฯ
ต้นบัญญัติ. พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคียท์ ะเลาะกับพวกภิกษุ ผมู ้ ีศีลเป็ นทีรัก กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุ ผมู ้ ีศีลเป็ นทีรัก คือ
ด่าว่า สบประมาท กระทบกําเนิ ดบ้าง ชือบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบา้ ง คําด่าทีทราม
บ้าง.
เรืองโคนันทิวิสาล วิ.2/183/205
[183] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เรืองเคยมีมาแล้ว. พราหมณ์คนหนึ งในเมืองตักกสิลา มีโคถึกตัวหนึ งชือนันทิวิสาล. ครังนันโคถึกชือนันทิวิสาล ได้กล่าว
คํานี กระพราหมณ์นันว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ท่านจงไปพนันกับเศรษฐีดว้ ยทรัพย์ 1,000 กษาปณ์วา่ โคถึกของข้าพเจ้า จักลากเกวียน 100 เล่ม
ที ผูกเนื องกันไปได้. ดูกรภิ กษุ ทังหลาย จึงพราหมณ์นันได้ทาํ การพนั นกับเศรษฐี ดว้ ยทรัพย์ 1,000 กษาปณ์ว่า โคถึ กของข้าพเจ้าจักลากเกวียน
100 เล่มทีผูกเนื องกันไปได้.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ครันแล้วพราหมณ์ได้ผูกเกวียน 100 เล่มให้เนื องกัน เทียมโคถึกนันทิวิสาลเสร็จแล้ว ได้กล่าวคํานี วา่ จงฉุดไป เจ้าโคโกง
จงลากไป เจ้าโคโกง. ดูกรภิ กษุ ทังหลาย ครังนั น โคถึ กนั นทิ วิสาลได้ยืนอยู่ในทีเดิมนั นเอง. ดูกรภิ กษุ ทังหลาย ครังนั นแล พราหมณ์นันแพ้พนัน
เสียทรัพย์ 1,000 กษาปณ์แล้ว ได้ซบเซา.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ต่อมา โคถึกนันทิวิสาลได้ถามพราหมณ์นันว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เหตุไรท่านจึงซบเซา?
พ. ก็เพราะเจ้าทําให้เราต้องแพ้ เสียทรัพย์ไป 1,000 กษาปณ์ นันละซิ เจ้าตัวดี.
น. ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ท่านมาเรียกข้าพเจ้าผูไ้ ม่โกง ด้วยถ้อยคําว่าโกงทําไมเล่า?
ขอท่านจงไปอีกครังหนึ ง จงพนันกับเศรษฐีดว้ ยทรัพย์ 2,000 กษาปณ์วา่ โคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน 100 เล่มทีผูกเนื องกันไปได้ แต่
อย่าเรียกข้าพเจ้าผูไ้ ม่โกง ด้วยถ้อยคําว่าโกง. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ทันใดนันแล พราหมณ์นันได้พนันกับเศรษฐีดว้ ยทรัพย์ 2,000 กษาปณ์วา่ โคถึก
ของข้าพเจ้าจักลากเกวียน 100 เล่มทีผูกเนื องกันไปได้. ครันแล้วได้ผูกเกวียน 100 เล่มให้เนื องกัน เทียมโคถึกนันทิวิสาลแล้วได้กล่าวคํานี วา่ เชิญ
ฉุดไปเถิด พ่อรูปงาม เชิญลากไปเถิด พ่อรูปงาม.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ครังนันแล โคถึกนันทิวิสาลได้ลากเกวียน 100 เล่ม ซึงผูกเนื องกันไปได้แล้ว.
[184] บุคคลกล่าวควรแต่ถอ้ ยคําเป็ นทีจําเริญใจ, ไม่ควรกล่าวถ้อยคําอันไม่เป็ นทีจําเริญใจ ในกาลไหน ๆ. เพราะเมือพราหมณ์กล่าวถ้อยคํา เป็ น
ทีจําเริญใจ, โคถึกนันทิวิสาลได้ลากเกวียนหนักไป, ยังพราหมณ์นันให้ได้ทรัพย์, และได้ดีใจเพราะพราหมณ์ได้ทรัพย์โดยการกระทําของตนนันแล.
[185] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั แม้ครังนัน คําด่า คําสบประมาทก็มิได้เป็ นทีพอใจของเรา ไฉน ในบัดนี คําด่า คําสบประมาท จักเป็ นทีพอใจเล่า? การ
กระทําของพวกเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิงของชุมชนทีเลือมใสแล้ว ...
เล่ม 4 หน้า 128 พระโพธิสตั ว์เป็ นโคถึกชือนันทิวิสาล. พราหมณ์เลียงดูโคถึกนันอย่างดีเหลือเกิน ด้วยอาหารมียาคูและข้าวสวยเป็ นต้น . ครังนัน
โคนันทิวิสาลนัน เมือจะอนุ เคราะห์พราหมณ์ จึงกล่าวคําว่า เชิญท่านไปเถิด ดังนี เป็ นต้น .
หน้า 129 คําด่าทรงจําแนกมีอยู่ 2 คือ คําค่าทีเลว1 คําด่าทีดี1

๑๕๙
โอมสวาท ได้แก่ คําพูดเสียดแทงให้เจ็บใจด้วยอาการ 10 อย่าง(วัตถุ 10 ประการ สําหรับอ้างขึนกล่าวเสียดแทง เรียกว่า อัก
โกสวัตถุ คือ ชาติ ชือ โคตร การงาน ศิลปะ โรค รูปพรรณ กิเลส อาบัติ และคําด่า (ทีดี เช่น เป็ นโค ลา สุนัข, ทีเลว เช่น คน
ชาติกษัตริย์ ลูกเทวดา นั กปราชญ์ พ่อคนฉลาด)
กิริยาเสียดแทง 1. แกล้งพูดยกย่องด้วยเรืองทีดีเกินความจริง เรียกว่า พูดแดกดัน หรือ พูดประชด
2. พูดกดให้เลวลง เรียกว่า ด่า
[187] ทีชือว่า ชาติ ได้แก่ชาติ 2 คือ ชาติทราม 1 ชาติอุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า ชาติทราม ได้แก่ชาติคนจัณฑาล ชาติคนจักสาน ชาติพราน ชาติคนช่างหนั ง ชาติคนเทดอกไม้ นี ชือว่าชาติทราม.
(วรรณะแพศย์-ศูทย์) , ทีชือว่า ชาติอุกฤษฏ์ ได้แก่ชาติกษัตริย์ ชาติพราหมณ์ นี ชือว่าชาติอุกฤษฏ์.
[188] ทีชือว่า ชือ ได้แก่ชือ 2 คือ ชือทราม 1 ชืออุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า ชือทราม ได้แก่ ชืออวกัณณกะ ชวกัณณกะ ธนิ ฏฐกะ สวิฏฐกะ กุลวัฑฒกะ, ก็หรือชือทีเขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม
เกลียดชัง ดูหมิน ไม่นับถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่าชือทราม.
ชือว่า ชืออุกฤษฏ์ ได้แก่ชือทีเกียวเนื องด้วยพุทธะ ธัมมะ สังฆะ, ก็หรือชือทีเขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดู
หมิน นั บถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่า ชืออุกฤษฏ์.
[189] ทีชือว่า โคตร ได้แก่วงศ์ตระกูล มี 2 คือ วงศ์ตระกูลทราม 1 วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า วงศ์ตระกูลทราม ได้แก่วงศ์ตระกูลภารทวาชะ, ก็หรือวงศ์ตระกูลทีเขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิน ไม่นับ
ถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่าวงศ์ตระกูลทราม.
ทีชือว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์ ได้แก่วงศ์ตระกูลโคตมะ วงศ์ตระกูลโมคคัลลานะ วงศ์ตระกูลกัจจายนะ วงศ์ตระกูลวาเสฏฐะ, ก็
หรือวงศ์ตระกูลทีเขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิน นั บถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์.
[190] ทีชือว่า การงาน ได้แก่งานทีทํา มี 2 คือ งานทราม 1 งานอุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า งานทราม ได้แก่งานช่างไม้ งานเทดอกไม้, ก็หรืองานทีเขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดู หมิน ไม่นับถือกัน ใน
ชนบทนั นๆ นี ชือว่างานทราม. (งานรับจ้าง ใช้แรงงาน งานช่าง)
ทีชือว่า งานอุกฤษฏ์ ได้แก่ งานทํานา งานค้าขาย งานเลียงโค, ก็หรืองานทีเขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดู
หมิน นั บถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่า งานอุกฤษฏ์. (งานค้าขาย ทํานา ทําไร่)
[191] ทีชือว่า ศิลปะ ได้แก่วิชาการช่าง มี 2 คือ วิชาการช่างทราม 1 วิชาการช่างอุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า วิชาการช่างทราม ได้แก่ วิชาการช่างจักสาน, วิชาการช่างหม้อ วิชาการช่างหูก วิชาการช่างหนั ง วิชาการช่างกัลบก,
ก็หรือวิชาการช่างทีเขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดู หมิน ไม่นับถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่าวิชาการช่างทราม. (ช่าง
ทอ ช่างเย็บ ช่างหนั ง ช่างตัดผม ใช้ความชํานาญ)
ทีชือว่า วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ได้แก่วิชาการช่างนั บ วิชาการช่างคํานวณ วิชาการช่างเขียน, ก็หรือวิชาการช่างทีเขาไม่เย้ย
หยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิน นั บถือกันในชนบทนั นๆ นี ชือว่าวิชาการช่างอุกฤษฏ์. (งานเลขา ช่างเขียน ใช้
ปั ญญา)
[192] โรค แม้ทงปวง
ั ชือว่าทราม, แต่โรคเบาหวาน ชือว่าโรคอุกฤษฏ์.
[193] ทีชือว่า รูปพรรณ ได้แก่รูปพรรณมี 2 คือ รูปพรรณทราม 1 รูปพรรณอุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า รูปพรรณทราม คือ สูงเกินไป ตําเกินไป, ดําเกินไป ขาวเกินไป นี ชือว่ารูปพรรณทราม.
ทีชือว่า รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือไม่สูงนั ก ไม่ตานั ํ ก ไม่ดํานั ก ไม่ขาวนั ก นี ชือว่า รูปพรรณอุกฤษฏ์.
[194] กิเลส แม้ทงปวง ั ชือว่าทราม.
[195] อาบัติ แม้ทงปวงั ชือว่าทราม, แต่โสดาบัติ สมาบัติ ชือว่า อาบัติอุกฤษฏ์ (ต้องด้วยกระแส ต้องด้วยความสงบ)
[196] ทีชือว่า คําด่า ได้แก่คาํ ด่า มี 2 คือ คําด่าทราม 1 คําด่าอุกฤษฏ์ 1.
ทีชือว่า คําด่าทราม ได้แก่คาํ ด่าว่า เป็ นอูฐ, เป็ นแพะ, เป็ นโค, เป็ นลา, เป็ นสัตว์ดิรจั ฉาน, เป็ นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี,
ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, คําด่าว่าทีเกียวด้วยยะอักษร ภะอักษร, หรือนิ มิตของชายและนิ มิตของหญิง นี ชือว่าคําด่าทราม.
ทีชือว่า คําด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่ คําด่าว่า เป็ นบัณฑิต เป็ นคนฉลาด เป็ นนั กปราชญ์ เป็ นพหูสูต เป็ นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่
มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, นี ชือว่าคําด่าอุกฤษฏ์.
อนาบัติ ภิกษุ มุ่งอรรถ1 ภิกษุ มุ่งธรรม1 ภิกษุ มุ่งสังสอน1 ภิกษุ วิกลจริต1 ภิกษุ มีจิตฟุ้งซ่าน1 ภิกษุ กระสับกระส่าย
เพราะเวทนา1
๑๖๐
กกจูปมสูตร ม.มู.12/263/171 สงบเสงียม อ่อนโยนเรียบร้อยอยู่ได้ ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เมือนันแหละ
ควรถือว่าเธอเป็ นคนสงบเสงียม เป็ นคนอ่อนโยน เป็ นคนเรียบร้อยจริง
อุปมาด้วยเลือย ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เราไม่เรียกภิกษุ รูปทีเป็ นคนว่าง่าย ถึงความ
(ตัดมาตอนท้ายสูตร) แม่เรือนชือเวเทหิกา เป็ นคนว่าง่าย เพราะเหตุได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะแลคิลานปัจจย
เภส ช ั บริข ารว่า เป็ นคนว่า ง่า ยเลย ข้อ นันเพราะเหตุ ไ ร? ดู ก รภิก ษุ
[266] ดูกรภิกษุ ท งหลาย ั เรืองเคยมีมาแล้ว ทีพระนครสาวัตถี นี
ท งหลาย
ั เพราะภิก ษุ รูปนันเมือไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิ
แหละมีแม่เรือนคนหนึ งชือว่าเวเทหิกา ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เกียรติศ ัพท์อ ัน
ลานปัจจยเภส ัชบริขารนัน ก็จะไม่เป็ นคนว่าง่าย จะไม่ถ ึงความเป็ นคน
งามของแม่เรือนชือว่าเวเทหิกาขจรไปแล้วอย่างนี ว่า แม่เรือนชือว่าเวเทหิ
ว่าง่ายได้
กา เป็ นคนสงบเสงียมอ่อนโยน เรียบร้อย
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั อนึ ง ภิก ษุ รูปใดแล มาสกั การะเคารพนอบ
ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั ก็แ ม่เรือนเวเทหิกา มีทาสีชือกาลีเป็ นคนขย ัน
น้ อมพระธรรมอยู่ เป็ นคนว่าง่าย ถึงความเป็ นคนว่าง่าย เราเรียกภิกษุ
ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี ต่อมา นางกาลีได้คด ิ อย่างนี ว่า เกียรติศ ัพท์
รูปนันว่า เป็ นคนว่าง่าย ดังนี เพราะฉะนันแหละ ภิกษุ ทงหลาย ั พวกเธอ
อ ันงามของนายหญิงของเราขจรไปแล้วอย่างนี ว่า แม่เรือนชือว่าเวเทหิ
พึงศึกษาอย่างนี ว่า เราจักเป็ นผูส้ ักการะ เคารพนอบน้อมพระธรรม จัก
กา เป็ นคนสงบเสงียม อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี นายหญิงของเราไม่ทํา
เป็ นผูว้ า่ ง่าย จักถึงความเป็ นคนว่าง่ายดังนี .
ความโกรธทีมีอยูภ ่ ายในให้ปรากฏ หรือไม่มีความโกรธอยูเ่ ลย หรือว่า
นายหญิงของเราไม่ทาํ ความโกรธทีมีอยูภ ่ ายในให้ปรากฏ ก็เพราะเรา ถ้อยคําทีคนอืนจะพึงกล่าว 5 ประการ
จัดการงานท งหลายเรีั ยบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนันเลย
[267] ดูก รภิก ษุ ทงหลาย
ั ทางแห่งถ้อยคําทีบุคคลอืนจะพึงกล่าว
จําเราจะต้องทดลองนายหญิงดู วันรุง่ ขึนนางกาลีทาสี ก็แสร้งลุกขึนสาย
กะท่านมีอยู่ 5 ประการ คือ
ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั ฝ่ ายแม่เรือนเวเทหิกา ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสี
กล่าวโดยกาลอ ันสมควรหรือไม่สมควร 1
ขึนว่า เฮ้ย อีคนใช้กาลี นางกาลีจงึ ขานรับว่า อะไรเจ้าขา.
กล่าวด้วยเรืองจริงหรือไม่จริง 1
เว. เฮ้ย เองเป็ นอะไรจึงลุกจนสาย.
กล่าวด้วยคําอ่อนหวานหรือคําหยาบคาย 1
กา. ไม่เป็ นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
กล่าวด้วยคําประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1
นางจึงกล่าวอีกว่า อีคนชัวร้าย ก็เมือไม่เป็ นอะไร ทําไมเองจึงลุก
มีจติ เมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว 1
ขึนจนสาย ดังนี แล้ว โกรธ ขัดใจ ทําหน้าบึง.
ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เมื อบุ ค คลอื นจะกล่า วโดยกาลอ นั สมควร
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ทีนนนางกาลี
ั ทาสีจงึ คิดว่า นายหญิงของเราไม่
หรือไม่สมควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรืองจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าว
ทําความโกรธทีมีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านัน ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
ถ้อยคําอ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคําประกอบด้ว ย
ทีไม่ทําความโกรธทีมีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงาน
ประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมี
ท งหลายเรี
ั ยบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนันเลย เราจะต้อง
โทสะในภายในกล่าวก็ตาม
ทดลองนายหญิงให้ยงขึ ิ นไป
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั แม้ในข้อนัน พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี ว่า จิต
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั ถ ดั จากวัน นันมา นางกาลีทาสี จึงลุก ขึ นสาย
ของเราจัก ไม่แ ปรปรวน เราจัก ไม่เปล่งวาจาลามก เราจัก อนุ เคราะห์
กว่านันอีก ครังนัน แม่เรือนเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า เฮ้ย อี
ด้วยสิงอ ันเป็ นประโยชน์ เราจักมีจต ิ เมตตา ไม่มีโทสะในภายใน เราจัก
คนใช้กาลี.
แผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนัน และเราแผ่เมตตาจิตอ ันไพบูลย์ ใหญ่ยงิ หา
กา. อะไรเล่า เจ้าข้า.
ประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพ ยาบาท ไปตลอดโลก ทุก ทิศทุก ทาง ซึ ง
เว. อีคนใช้ เองเป็ นอะไรจึงนอนตืนสาย.
เป็ นอารมณ์ ของจิตนัน ดังนี ดูก รภิก ษุ ท งหลายั เธอท งหลายพึ
ั งศึกษา
กา. ไม่เป็ นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
ด้วยอาการดังทีกล่าวมานี แล.
นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีคนชัวร้าย ก็เมือไม่เป็ นอะไร ทําไมเอง
จึงนอนตืนสายเล่า. ดังนี แล้ว โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคําหยาบ [268] ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เปรี ย บเหมือนบุ รุษ ถื อ เอาจอบและ
คาย ตะกร้ามาแล้ว กล่าวอย่างนี ว่า เราจักกระทําแผ่นดินอ ันใหญ่นีไม่ให้เป็ น
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ทีนน ั นางกาลีทาสีจงึ คิดดังนี ว่า นายหญิงของเรา แผ่นดิน ดังนี เขาขุดลงตรงทีนันๆ โกยขีดินทิงในทีนันๆ บ้วนนําลายลง
ไม่ทาํ ความโกรธทีมีอยูใ่ นภายในให้ปรากฏเท่านัน ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ ในทีนันๆ ถ่ายปัสสาวะรดในทีนันๆ แล้วสําท ับว่าเองอย่าเป็ นแผ่น ดิน ๆ
ที ไม่ทําความโกรธทีมี อยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็ เพราะเราจัดการงาน ดังนี ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจะสําคัญความข้อนันเป็ นไฉน บุรุษนัน
ท งหลายให้
ั เรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนันเลย เราจะต้อง จักทําแผ่นดินอ ันใหญ่นีไม่ให้เป็ นแผ่นดินได้หรือไม่?
ทดลองให้ยงขึ ิ นไปกว่านี อีก ดังนี ภิกษุ เหล่านันกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า
ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั แต่น นมา ั นางกาลีทาสีก็ลุกขึนสายกว่าทุกวัน ข้อนันเพราะเหตุไร?
ครังนัน แม่เรือนเวเทหิกาผูน ้ าย ก็รอ้ งด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า อีกาลี เพราะเหตุว่าแผ่น ดิน อน ั ใหญ่นี ลึก หาประมาณมิได้ เขาจะทํา
ตัวร้าย. แผ่นดินอ ันใหญ่นี ไม่ให้เป็ นแผ่นดินไม่ได้งา่ ยเลย ก็แลบุรุษนันจะต้อง
กา. อะไรเล่า เจ้าข้า. เหน็ ดเหนื อยลํา บากเสี ย เปล่ า เป็ นแน่ แ ท้ ดัง นี แม้ฉ ัน ใด ดู ก รภิก ษุ
เว. อีคนใช้ เองเป็ นอะไร จึงตืนสายนักเล่า. ท งหลาย
ั ทางแห่งถ้อยคําทีบุคคลอืนจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ 5 ประการ
กา. ไม่เป็ นอะไรดอก เจ้าค่ะ. คือ กล่าวโดยกาลอ ันสมควรหรือไม่สมควร 1 กล่าวด้วยเรืองจริงหรือไม่
นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีชาติช ัว ก็ไม่เป็ นอะไร ทําไมจึงนอนตืน จริ ง 1 กล่ า วด้ ว ยคํ า อ่อ นหวานหรื อ คํา หยาบคาย 1 กล่ า วด้ ว ยคํา
สายนัก เล่า ดังนี แล้ว โกรธจัด จึงคว้าลิมประตู ปาศีรษะ ปากก็ว่า กูจะ ประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 มีจิตเมตตา
ทํา ลายหวั มึง ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย ั คราวนัน นางกาลี ทาสีมีศีรษะแตก หรือมีโทสะในภายในกล่าว 1 ก็ฉน ั นันเหมือนก ัน
โลหิตไหลโซม จึงเทียวโพนทะนา ให้บา้ นใกล้เคียงทราบว่า คุณแม่คุณ ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เมื อบุ ค คลอื นจะกล่า วโดยกาลอ น ั สมควร
พ่อทงหลายั เชิญดูการกระทําของคนสงบเสงียม อ่อนโยน เรียบร้อยเอา หรือไม่ควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรืองจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วย
เถิด ทําไมจึงทําแก่ทาสีคนเดียวอย่างนี เล่า เพราะโกรธเคืองว่า นอนตืน ถ้อยคําอ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคําประกอบด้ว ย
สาย จึงคว้าลิมประตูปาเอาศีรษะ ปากก็วา่ กูจะทําลายห ัวมึง ดังนี ประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมี
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั แต่น นมา ั เกียรติศพ ั ท์อนั ชัวของแม่เรือนเว โทสะในภายในกล่าวก็ตาม
เทหิกา ก็ขจรไปอย่างนี ว่า แม่เรือนเวเทหิกา เป็ นคนดุรา้ ย ไม่ออ่ นโยน ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั แม้ในข้อนัน พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี ว่า จิต
ไม่สงบเสงียมเรียบร้อย แม้ฉน ั ใด ของเราจัก ไม่แ ปรปรวนเราจัก ไม่เปล่งวาจาทีลามก เราจัก อนุ เคราะห์
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ บางรูปในพระธรรมวินยั นี ก็ฉน ั นัน เป็ น ด้วยสิงทีเป็ นประโยชน์ เราจัก มีจิตเมตตา ไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่
คนสงบเสงียมจัด เป็ นคนอ่อนโยนจัด เป็ นคนเรียบร้อยจัด ได้ก็เพียงชัว เมตตาจิตไปถึงบุคคลนัน และเราจักแผ่เมตตาจิตอ ันเสมอด้วยแผ่น ดิน
เวลาที ย งั ไม่ไ ด้ก ระทบด้ว ยคํา อ น ั ไม่เ ป็ นที พอใจเท่า นัน ดู ก รภิก ษุ ไพบูลย์ ใหญ่ยิง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพ ยาบาท ไปตลอดโลก
ท งหลายั ก็เมือใด เธอกระทบถ้อยคําอ ันไม่เป็ นทีพอใจเข้า ก็ย ังเป็ นคน ทุก ทิศทุก ทาง ซึ งเป็ นอารมณ์ ของจิตนัน ดังนี ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เธอ
ทงหลายพึ
ั งศึกษาด้วยอาการดังทีกล่าวมานี แล. เปรียบเหมือนกระสอบหนังแมว
เปรียบเหมือนบุรุษเขียนรูปในอากาศ [271] ดูก รภิก ษุ ท งหลาย ั เปรียบเหมือนกระสอบหนังแมวทีนาย
ช่างหนังฟอกดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่ มดังปุยนุ่ นและสําลี เป็ นกระสอบทีตี
[269] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาครังก็ตาม สี
ได้ไม่ดงั ก้อง ถ้ามีบุรุษถือเอาไม้หรือกระเบืองมา พู ดขึ นอย่างนี ว่า เรา
เหลืองสีเขียว หรือสีเหลืองแก่ก็ตามมาแล้ว กล่าวอย่างนี ว่า เราจักเขียน
จักทํากระสอบหนังแมว ทีเขาฟอกไว้ดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่ มดังปุยนุ่ น
รูปต่างๆ ในอากาศนี กระทําให้เป็ นรูปเด่นชัด ดังนี ดูก รภิกษุ ทงหลายั
และสํา ลี ที ตี ไ ด้ ไ ม่ด งั ก้อ งนี ให้เ ป็ นของมี เ สี ย งดัง ก้อ ง ด้ว ยไม้ห รื อ
พวกเธอจะสําคัญความข้อนันเป็ นไฉน บุรุษนันจะเขียนรูปต่างๆ ใน
กระเบือง ดังนี
อากาศนี กระทําให้เป็ นรูปเด่นชัดได้หรือไม่?
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั พวกเธอจะสําคัญความข้อนันเป็ นไฉน บุรุษ
ไม่ได้พระเจ้าข้า
นันจะทํากระสอบหนังแมวทีเขาฟอกไว้ดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่ มดังปุย
ข้อนันเพราะเหตุอะไร?
นุ่ มและสําลี ทีตีได้ไม่ดงั ก้องนี ให้ก ลับมีเสียงดังก้องขึ นด้วยไม้ห รื อ
เพราะธรรมดาอากาศนี ย่อมเป็ นของไม่มีรูปร่าง ชีให้เห็นไม่ได้
กระเบืองได้หรือไม่?
เขาจะเขียนรูปในอากาศนัน ทําให้เป็ นรูปเด่นชัดไม่ได้ง่ายเลย ก็แหละ
ไม่ได้พระเจ้าข้า
บุรุษนันจะต้องเหน็ ดเหนื อยลําบากเสียเปล่าเป็ นแน่ แท้ ดังนี แม้ฉน ั ใด
ข้อนันเพราะเหตุไร?
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ทางแห่งถ้อยคําทีบุคคลอืนจะพึงกล่าวกะท่าน มีอยู่ 5
เพราะเหตุว่า กระสอบหนังแมวนี เขาฟอกดีเรียบร้อยแล้ว อ่อน
ประการ .. ก็ฉน ั นัน ..
นุ่ มดังปุยนุ่ นและสําลี ซึงเป็ นของทีตีได้ไม่ด ังก้อง เขาจะทํากระสอบหนัง
ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เมื อบุ ค คลอื นจะกล่า วโดยกาลอ นั สมควร
แมวนัน ให้ก ลับเป็ นของมีเสียงดังก้องขึ นด้วยไม้หรือกระเบืองไม่ได้
หรือไม่สมควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรืองจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าว
ง่ายเลย บุรุษคนนัน จะต้องเหน็ ดเหนื อยลําบากเสียเปล่าเป็ นแน่แท้ ดังนี
ถ้อยคําอ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคําประกอบด้ว ย
แม้ฉน ั ใด ดูก รภิก ษุ ทงหลาย ั ทางแห่งถ้อยคําทีบุคคลอืนจะพึงกล่าวกะ
ประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมี
ท่านมีอยู่ 5 ประการ .. ก็ฉน ั นัน ..
โทสะในภายในกล่าวก็ตาม
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เมือคนอืนจะกล่าวโดยกาลอ ันสมควรหรือไม่
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั แม้ในข้อนัน พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี ว่า จิต
สมควรก็ ต าม จะกล่า วด้ว ยเรื องจริง หรื อไม่จ ริงก็ ต าม จะกล่า วด้วย
ของเราจัก ไม่แ ปรปรวน เราจัก ไม่เปล่งวาจาลามก เราจัก อนุ เคราะห์
ถ้อยคําอ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวด้วยถ้อยคํามีประโยชน์
ด้วยสิงอ ันเป็ นประโยชน์ เราจักมีจต ิ เมตตา ไม่มีโทสะในภายใน เราจัก
หรือไร้ประโยชน์ ก็ตาม จะมีจต ิ เมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าวก็ตาม
แผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนัน และเราจะแผ่เมตตาจิตอ ันไพบูลย์ ใหญ่ยงิ
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั แม้ในข้อนัน พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี ว่า จิต
หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึง
ของเราจักไม่แปรปรวน เราจัก ไม่เปล่งวาจาทีลามก เราจัก อนุ เคราะห์
เป็ นอารมณ์ ของจิตนัน ดังนี ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เธอท งหลายพึ
ั งศึกษา
ผูอ้ ืนด้วยสิงทีเป็ นประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน เราจัก
ด้วยอาการดังกล่าวมานี แล.
แผ่เ มตตาจิต ไปถึง บุ ค คลนัน และเราจัก แผ่เ มตตาจิต อ น ั เสมอด้วย
เปรียบเหมือนบุรุษเผาแม่นําคงคา กระสอบหนัง แมว ไพบู ล ย์ ใหญ่ยิง หาประมาณมิไ ด้ ไม่มี เ วร ไม่มี
พยาบาท ไปตลอดโลก ทุก ทิศทุก ทาง ซึ งเป็ นอารมณ์ ของจิตนันดังนี
[270] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาคบหญ้าทีจุด
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เธอทงหลายพึ
ั งศึกษาด้วยอาการดังทีกล่าวมานี แล.
ไฟมาแล้ว กล่าวอย่างนี ว่า เราจักทําแม่นําคงคาให้รอ้ นจัด ให้เดือดเป็ น
ควันพลุง่ ด้วยคบหญ้าทีจุดไฟแล้วนี ดังนี ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั พวกเธอจะ พระโอวาทแสดงการเปรียบด้วยเลือย
สําคัญความข้อนันเป็ นไฉน บุรุษนันจัก ทําแม่นํ าคงคาให้รอ้ นจัด ให้
[272] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั หากจะมีพวกโจรผูม้ ีความประพฤติตํา
เดือดเป็ นควันพลุง่ ด้วยคบหญ้าทีจุดไฟแล้วได้หรือไม่?
ช้า เอาเลือยทีมีทีจับท งสองข้
ั าง เลือยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้
ไม่ได้พระเจ้าข้า
ในเหตุนน ั ภิกษุ หรือภิกษุ ณีรูปใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านัน ภิกษุ หรือ
ข้อนันเพราะเหตุไร?
ภิก ษุ ณีรูปนัน ไม่ชือว่าเป็ นผู้ทาํ ตามคําส ังสอนของเรา เพราะเหตุทีอด
เพราะแม่นํ าคงคาเป็ นแม่นํ าทีลึก สุ ด ที จะประมาณ เขาจะทํา
กลันไม่ได้นน ั
แม่นํ าคงคานันให้รอ้ นจัด ให้เดือดเป็ นควัน พลุ่ง ด้วยคบหญ้าทีจุดไฟ
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั แม้ในข้อนัน เธอท งหลายพึ
ั งศึก ษาอย่างนี ว่า
แล้วไม่ได้งา่ ยเลย ก็แลบุรุษนันจะต้องเหน็ ดเหนื อยลําบากเสียเปล่าเป็ น
จิ ต ของเราจัก ไม่ แ ปรปรวน เราจัก ไม่ เ ปล่ ง วาจาที ลามก เราจัก
แน่ แท้ ดังนี แม้ฉน ั ใด ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ทางแห่งถ้อยคําทีบุคคลอืนจะ
อนุ เคราะห์ผอ ู้ ืนด้วยสิงทีเป็ นประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิตไม่มีโทสะใน
พึงกล่าวกะท่านมีอยู่ 5 ประการ .. ก็ฉน ั นัน ..
ภายใน เราจัก แผ่เมตตาจิต ไปถึง บุค คลนัน และเราจัก แผ่เมตตาอน ั
ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั เมื อบุ ค คลอื นจะกล่า วโดยกาลอ น ั สมควร
ไพบูลย์ ใหญ่ยิง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพ ยาบาท ไปตลอดโลก
หรือไม่สมควรก็ตาม เขาจะกล่าวด้วยเรืองจริงหรือไม่ก็ตาม จะกล่าว
ทุก ทิศทุก ทาง ซึ งเป็ นอารมณ์ ของจิตนัน ดังนี ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั พวก
ถ้อยคําอ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคําประกอบด้ว ย
เธอพึงศึกษาด้วยอาการดังทีกล่าวมานี แล.
ประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็ตาม จะมี จิตเมตตาหรือมี
โทสะในภายในกล่าวก็ตาม [273] ดูกรภิกษุ ทงหลายั ก็พวกเธอควรใส่ใจถึงโอวาท แสดงการ
ดูก รภิก ษุ ท งหลาย
ั แม้ในข้อนัน พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี ว่า จิต เปรี ย บด้ว ยเลื อยนี เนื องนิ ต ย์เ ถิด ดู ก รภิก ษุ ท งหลาย
ั พวกเธอจะไม่
ของเราจักไม่แปรปรวน เราจัก ไม่เปล่งวาจาทีลามก เราจัก อนุ เคราะห์ มองเห็นทางแห่งถ้อยคําทีมีโทษน้อย หรือโทษมากทีพวกเธอจะอดกลัน
ด้วยสิงทีเป็ นประโยชน์ เราจัก มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะในภายใน เราจัก ไม่ได้ หรือย ังจะมีอยูบ่ า้ ง
แผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนัน และเราจักแผ่เมตตาจิตอ ันเสมอด้วยแม่นํา ไม่มีพระเจ้าข้า
คงคา ไพบูลย์ ใหญ่ยงิ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอด เพราะเหตุนนแหละ
ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงใส่ใจถึงโอวาท
โลกทุกทิศทุกทาง ซึงเป็ นอารมณ์ของจิตนัน ดังนี ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เธอ แสดงการเปรียบด้วยเลือยนี เนื องนิ ตย์เถิด ข้อนันจักเป็ นประโยชน์ และ
ทงหลาย
ั พึงศึกษาด้วยอาการดังทีกล่าวมานี แล. ความสุขแก่พวกเธอสินกาลนาน ดังนี แล.
พระผู้มีพ ระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์ นีแล้ว ภิก ษุ เหล่านันมีใจ
ชืนชมยินดีภาษิตของพระผูม ้ ีพระภาคแล้วแล.
...............................

______________________

๑๖๒
บทที 3. ส่อเสียดภิกษุ ต้องปาจิตตีย์ คําส่อเสียด(ยุแหย่) เรียกว่า เปสุญญวาท
[256] วัตถุสําหรับเก็บมาส่อเสียดมีได้ดว้ ยอาการ 2 คือ
* ของคนผูต้ อ้ งการจะให้เขาชอบ1 (มีเจตนาด้วยปรารถนาจะได้เป็ นทีรักของเขาบ้าง)
* ของคนผูป้ ระสงค์จะให้เขาแตกกัน1 (ด้วยปรารถนาจะให้แตกกันบ้าง)
ต้นบัญญัติ. ครังนันพระฉัพพัคคีย ์ เก็บเอาคําส่อเสียดของพวกภิกษุ ผกู ้ ่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอกคือฟั งคําของฝ่ ายนี แ ล้ว
บอกแก่ฝ่ายโน้น เพือทําลายฝ่ ายนี ฟั งคําของฝ่ ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี เพือทําลายฝ่ ายโน้น เพราะเหตุนัน ความบาดหมางทียังไม่เกิดก็เกิ ดขึ น
ทีเกิดขึนแล้วก็รุนแรงยิงขึน.
อนาบัติ ภิกษุ ไม่ตอ้ งการจะให้เขาชอบ1 ภิกษุ ไม่ประสงค์จะให้เขาแตกกัน1
บทที 4. อนึง ภิกษุใดยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท(ทุกๆ บทพร้อมกันกับตน) เป็ นปาจิตตียฯ์ 2/284/290
ภิกษุ ไม่ควรกล่าว/สวดธรรมโดยว่าพร้อมกัน (แข่งกันกล่าวธรรม/ต่อคํา/ว่าไม่คล่องปาก) กับญาติโยม
ทีชือว่า ธรรม ได้แก่บาลีทีเป็ นพุทธภาษิ ต สาวกภาษิ ต อิสิภาษิ ต เทวตาภาษิ ต ซึงประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.
อนุ ปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี นอกนันชือว่าอนุ ปสัมบัน ธรรมโดยบท ได้แก่ บท อนุ บท อนุ อกั ขระ อนุ พยัญชนะ
บท คือ ขึนต้นพร้อมกัน ให้จบลงพร้อมกัน อนุ บท คือ ขึนต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน
อนุ อกั ขระ คือ ภิกษุ สอนว่า รูปํ อนิ จฺจ ํ ,อนุ ปสัมบันกล่าวพร้อมกันว่า รู ดังนี แล้วหยุด (เล่นตัวอักษร)
อนุ พยัญชนะ คือ ภิกษุ สอนว่า รูปํ อนิ จฺจ,ํ อนุ ปสัมบันเปล่งเสียงรับว่า เวทนา อนิ จฺจา (เล่นต่อคํา)
ต้นบัญญัติ [284] โดยสมัยนัน พ.ประทับ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคียย์ งั เหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบท พวกอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่
ยําเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมูภ่ ิกษุ อยู.่
อนาบัติ. 1.ภิกษุให้สวดพร้อมกัน 2.ท่องพร้อมกัน
3.อนุ ปสัมบันผูก้ ล่าวอยู่ สวดอยู่ ซึงคัมภีรท์ ีคล่องแคล่วโดยมาก 4.วิกลจริต 5.อาทิกมั มิกะ
[โดยมาก ในครังโบราณสอนธรรมกันด้วยปาก แล้วให้ลูกศิษย์ว่าตามจนกว่าจะจําได้ ในกรณีนี ถ้าภิกษุ ใดให้ลูกศิษย์เป็ นอนุ ปสัมบัน ว่าตามไปพร้อมกันกับตน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ นานาวินิจฉัย 98-9]
เล่ม 4 หน้า 158 มมร. [คําว่า ปทโส ธมฺ มํ วาเจยฺย ความว่า ให้กล่าวธรรมเป็ นบทๆ รวมกัน (กับอนุ ปสัมบัน), อธิบายว่า ให้กล่าว(ธรรม) เป็ นโกฏฐาสๆ
(เป็ นต้นส่วนๆ). ก็เพราะบททีมีชือว่าโกฎฐาสนัน มีอยู่ 4 อย่าง. ฉะนัน เพือแสดงบททัง 4 อย่างนัน พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะว่า บทอนุ บท อนุ
อักขระ อนุ พยัญชนะ. ให้กล่าวธรรมทุกๆ บทพร้อมกัน(กับตน) อธิบายว่า ให้กล่าวธรรมเป็ นส่วนๆ]
[บท หมายเอา คาถาบาทหนึ ง, อนุ บท หมายเอา บาททีสอง, อนุ อกั ขระ หมายเอา อักขระตัวหนึ ง, อนุ พยัญชนะ หมายเอา พยัญชนะตัวท้ายคล้ายกับพยัญชนะ
ตัวต้น, ประชุมอักขระ ชือว่า อนุ พยัญชนะ, ประชุมอักขระและอนุ พยัญชนะ ชือว่า บท]
ºÑ´¹Õé ºÑ³±Ôµ¾Ö§·ÃÒºÇÔ¹Ô¨©ÑÂ㹤íÒÇ‹Ò »·í ¹ÒÁ àÍ¡âµ »¯þ€à»µÚÇÒ àÍ¡âµ âÍÊÒà»¹ÚµÔ µ‹Íä» àÁ×èÍÀÔ¡ÉØãˌ¡Å‹ÒǸÃÃÁà¹×èͧ´ŒÇÂ
¤Ò¶Ò àÃÔÁè º·áµ‹Åк·¹ÕéÇ‹Ò Á⹻ؾ¾Ú §Ú¤ÁÒ ¸ÁÚÁÒ ¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹ áŌÇãˌ¨ºÅ§¡ç¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹. áÁŒÊíÒËÃѺÀÔ¡Éؼٌãˌ¡Å‹ÒÇÍ‹ҧ¹Õé ¡ç¾Ö§
»ÃѺ»Ò¨ÔµµÕËÅÒµÑǵÒÁ¨íҹǹº·.
¾Ö§·ÃÒºÇÔ¹Ô¨©ÑÂ㹤íÒÇ‹Ò Í¹Ø»·í ¹ÒÁ »Òà¯¡Ú¡í »¯þ€à»µÚÇÒ àÍ¡âµ âÍÊÒà»¹ÚµÔ µ‹Íä» :- àÁ×è;ÃÐà¶ÃСŋÒÇÇ‹Ò Á⹻ؾ¾Ú §Ú¤ÁÒ ¸ÁÚ
ÁÒ ´Ñ§¹Õé ÊÒÁà³Ã¡Å‹ÒǺ·¹Ñ¹é äÁ‹·¹Ñ ¨Ö§¡Å‹ÒǺ··ÕÊè ͧ¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹Ç‹Ò Áâ¹àʯþ€Ò Áâ¹ÁÂÒ. ÀÔ¡ÉØáÅÐÊÒÁà³Ã·Ñé§ÊͧÃÙ»¹Õé ª×èÍÇ‹Ò¢Ö¹é µŒ¹
µ‹Ò§¡Ñ¹ ãˌ¨ºÅ§¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹. áÁŒÊíÒËÃѺÀÔ¡Éؼٌãˌ¡Å‹ÒÇÍ‹ҧ¹Õé ¡ç¾Ö§»ÃѺ»Ò¨ÔµµÕËÅÒµÑǵÒÁ¨íҹǹ͹غ·.
¾Ö§·ÃÒºÇÔ¹Ô¨©ÑÂ㹤íÒÇ‹Ò Í¹ÚÇ¡Ú¢Ãí ¹ÒÁ ÃÙ»™ ͹Ԩ¨Ú ¹ÚµÔÇ¨Ø Ú¨ÁÒâ¹ ÃÙµÔ âÍ»ÒàµµÔ µ‹Íä»:- ÀÔ¡ÉØÊ͹ÊÒÁà³ÃÇ‹Ò á¹‹ÐÊÒÁà³Ã ! à¸Í¨§Ç‹Ò
ÃÙ»™ ͹Ԩ¨Ú í ¡Å‹ÒǾÌÍÁ¡Ñ¹à¾Õ§ÃÙ- ÍÑ¡ÉÃ෋ҹѹé áŌÇËÂØ´ÍÂÙ.‹ áÁŒÊÒí ËÃѺÀÔ¡Éؼٌãˌ¡Å‹ÒÇÍ‹ҧ¹Õé ¡ç¾Ö§»ÃѺ»Ò¨ÔµµÕËÅÒµÑǵҹ¨íҹǹ͹Ø
ÍÑ¡¢ÃÐ. áÅÐáÁŒã¹¤Ò¶Ò¾Ñ¹¸ ºÑ³±Ôµ¡ç‹ÍÁ䴌¹ÑÂઋ¹¹ÕéàËÁ×͹¡Ñ¹á·Œ·Õà´ÕÂÇ.
¾Ö§·ÃÒºÇÔ¹Ô¨©ÑÂ㹤íÒÇ‹Ò Í¹Ø¾ÂÚ Úª¹í ¹ÒÁ ÃÙ»™ ͹Ԩ¨Ú ¹ÚµÔ ÇبڨÁÒâ¹ àÇ·¹Ò ͹Ԩ¨Ú ÒµÔ Ê·Ú·í ¹Ô¨©Ú ÒàÃµÔ µ‹Íä»:- ÊÒÁà³ÃãˌºÍ¡ÊٵùÕéÇҋ
ÃÙ»™ ÀÔ¡¢Ú àÇ Í¹Ô¨¨Ú í àÇ·¹Ò Í¹Ô¨Ú¨Ò à»š¹µŒ¹ ¾ÃÐà¶ÃÐºÍ¡Ç‹Ò ÃÙ»™ ͹Ԩ¨í ´Ñ§¹Õé à»Å‹§ÇҨҡŋÒÇ͹Ԩ¨º·¹ÕéÇ‹Ò àÇ·¹Ò ͹Ԩ¨Ú Ò ¾ÃŒÍÁ¡ÑºÍ¹Ô¨
¨º·¢Í§¾ÃÐà¶ÃÐÇ‹Ò ÃÙ»™ ͹Ԩ¨Ú í ¹Õé à¾ÃÒÐ໚¹¼ÙŒÁÕ»˜­­ÒNjͧäÇ. áÁŒÊíÒËÃѺÀÔ¡Éؼٌãˌ¡Å‹ÒÇÍ‹ҧ¹Õé ¾ÃÐÇÔ¹ÂÑ ¸Ã¡ç¾Ö§»ÃѺ»Ò¨ÔµµÕËÅÒµÑÇ
µÒÁ¨íҹǹ͹ؾÂÑ­ª¹Ð. ʋǹ¤ÇÒÁÊѧࢻ㹺·àËŋҹÕéÁմѧ¹ÕéÇ‹Ò ºÃôҺ·à»š¹µŒ¹¹Õé ÀÔ¡ÉءŋÒǺ·ã´ æ ¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹ ‹ÍÁµŒÍ§ÍҺѵԴŒÇÂ
º·¹Ñé¹ æ.
[NjҴŒÇÂÀÒÉÔµ 4 ÁÕ¾·Ø ¸ÀÒÉԵ໚¹µŒ¹]
ÇԹѻ®¡·Ñé§ÊÔé¹ ÍÀÔ¸ÃÃÁ»®¡ ¸ÃÃÁº· ¨ÃÔÂÒ»®¡ ÍØ·Ò¹ ͵ÔÇØ·¤¡Ð ªÒµ¡Ð Êصµ¹ÔºÒ· ÇÔÁÒ¹Çѵ¶Ø ໵Çѵ¶Ø áÅоÃÐÊÙ µÃ
·Ñé§ËÅÒ ÁÕ¾ÃËÁªÒÅÊÙµÃ໚¹µŒ¹ ª×èÍÇ‹Ò ¾Ø·¸ÀÒÉÔµ.
¸ÃÃÁ·Õè¾Ç¡ÊÒÇ¡¼ÙŒ¹Ñºà¹×èͧ㹺ÃÔÉÑ· 4 ÀÒÉÔµänj ÁÕ͹ѧ¤³Êٵà ÊÑÁÁÒ·Ô¯°ÔÊ٨à ͹ØÁÒ¹Êٵà ¨ÙÌàÇ·ÑÅÅÊٵà ÁËÒàÇ·ÑÅÅÊÙµÃ໚¹
µŒ¹ ª×èÍÇ‹Ò ÊÒÇ¡ÀÒÉÔµ.
¸ÃÃÁ·Õè¾Ç¡»ÃÔ¾Òª¡ÀÒ¹͡¡Å‹ÒÇänj ÁÕÍÒ·ÔÍ‹ҧ¹Õé ¤×Í »ÃÔ¾Òª¡ ÇÃä·Ñé§ÊÔé¹ ¤íһب©Ò¢Í§¾ÃÒËÁ³ 16 ¤¹ ¼ÙŒà»š¹ÍѹàµÇÒÊÔ¡ ¢Í§
¾ÃÒËÁ³ª×è;ÒÇÃÕ ª×èÍÇ‹Ò ÍÔÊÔÀÒÉÔµ.

๑๖๓
¸ÃÃÁ·Õè¾Ç¡à·Ç´Ò¡Å‹ÒÇänj ª×èÍÇ‹Ò à·ÇµÒÀÒÉÔµ. à·Ç¨µÒÀÒÉÔµ¸ÃÃÁ¹Ñé¹ ºÑ³±Ôµ¾Ö§·ÃÒº ´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨áˋ§àÃ×èͧÁÕà·Ç´ÒÊѧ
Âصµ à·Ç»ØµµÊѧÂصµ ÁÒÃÊѧÂصµ ¾ÃËÁÊѧÂصµ áÅÐÊÑ¡¡ÊѧÂصµà»š¹µŒ¹ .
º·Ç‹Ò ͵ڶ»Ù ʐÚËâÔ µ 䴌ᡋ ¸ÃÃÁ·ÕèÍÒÈÑÂÍÃö¡¶Ò. º·Ç‹Ò ¸ÁÚÁ»Ù ʐÚËâÔ µ 䴌ᡋ ¸ÃÃÁ·ÕèÍÒÈѾÃкÒÅÕ. áÁŒ´ŒÇº··Ñé§
Êͧ¹Õé ¾ÃÐÍغÒÅÕà¶ÃСŋÒǸÃÃÁ·ÕèÍÒÈѹԾ¾Ò¹«Ö§è »ÃÒȨҡÇÑ®¯Ð¹Ñè¹àͧ. ¨Ð¡Å‹ÒǶ֧¸ÃÃÁ·ÕèÍÒÈѹԾ¾Ò¹«Ö觻ÃÒȨҡÇÑ®¯Ð
áÁŒ¡ç¨ÃÔ§, ¶Ö§¡ÃйÑé¹ ¡ç໚¹ÍҺѵÔᡋÀÔ¡Éؼٌãˌ¡Å‹ÒǸÃÃÁ·Õè¢Öé¹ÊًÊѧ¤ÕµÔ·Ñé§ 3 ¤ÃÒÇâ´Âº·àËÁ×͹¡Ñ¹ . äÁ‹à»š¹ÍҺѵáÔ ÁŒäÁ‹¤Òí ·ÕÍè ÒÈÑÂ
¾ÃйԾ¾Ò¹ «Ö§è ·‹Ò¹Ã¨¹Òänj â´Â¼Ù¡à»š¹¤Ò¶ÒâÈš໚¹µŒ¹ ´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨ÀÒÉÒµ‹Ò§ æ.
áÁŒã¹Êٵ÷ÕèäÁ‹ä´ŒÂ¡¢Öé¹ÊًÊѧ¤ÕµÔ 3 ¤ÃÒÇ àª‹¹¹Õé ¤×Í ¡ØÅØÁ¾Êٵà ÃÒâªÇÒ·Êٵà µÔ¡¢Ô¹·ÃÔÂÊٵà ¨µØ»ÃÔÇѵµÊٵà áÅйѹ
â·»¹Ñ¹·Êٵà ¡ç໚¹ÍҺѵÔàËÁ×͹¡Ñ¹ ¶Ö§¡Ò÷ÃÁÒ¹¾­Ò¹Ò¤ ª×èÍNjÒÍ»ÅÒÅÐ ÍÒ¨ÒÏ¡ç¡Å‹ÒÇänj (´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨¡‹Íãˌà¡Ô´ÍҺѵ)Ô áµ‹
ã¹ÁËÒ»˜¨¨ÃÕ·‹Ò¹»®Ôàʸ (͸ԺÒÂNjÒäÁ‹ ໚¹ÍҺѵ)Ô .
ã¹»¯ÔÀҳʋǹµÑǢͧ¾ÃÐà¶ÃÐ ã¹àÁ³±¡ÁÔÅ¹Ô ·»˜­ËÒ äÁ‹à»š¹ÍҺѵÔ. (ᵋ) ໚¹ÍҺѵÔ㹶ŒÍ¤íÒ·Õè¾ÃÐà¶ÃйíÒÁҡŋÒÇ à¾×èÍãˌ
¾ÃÐÃҪҷçÂÔ¹ÂÍÁ.
ÍÒ¨ÒÏ·Ñé§ËÅÒ¡ŋÒÇÇ‹Ò ¡ç»¡Ã³·Ñé§ËÅÒÂÁÕÍÒ·Ô ¤×Í Çѳ³»®¡ Íѧ¤ØÅÁÔ ÒÅ»®¡ ÃÑ°»ÒŤÃêԵ ÍÒÅÇ¡¤ÃêԵ ¤ØÌËÍØÁÁѧ
¤Ð ¤ØÌËàÇÊÊѹ´Ã ¤ØÌËÇԹѠàÇ·ÑÅÅ»®¡ ໚¹µŒ¹ äÁ‹à»š¹¾Ø·¸¾¨¹á·Œ
ÍÒ¨ÒϺҧ¾Ç¡¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ¸ÃÃÁª×èÍÇ‹Ò ÊÕŻ٠à·Ê ¾ÃиÃÃÁàʹҺ´Õ¡Å‹ÒÇänj 㹸ÃÃÁ¹Ñé¹ à»š¹ÍҺѵÔàËÁ×͹¡Ñ¹ ÂѧÁÕ»¡Ã³áÁŒÍ¹×è
ઋ¹ ÁѤ¤¡¶Ò
* ໚¹¾ÃÐÊٵý†ÒÂÁËÒÂÒ¹ ¢Í§àÃÒäÁ‹ÁÕ-¼ÙŒªíÒÃÐ.
¾ÃÐÇԹѻ®¡ ÁËÒÇÔÀѧ¤ àŋÁ 2 - ˹ŒÒ·Õè 162 (àŋÁ 4 ˹ŒÒ 162 ÁÁÃ.)
ÍÒÃÑÁÁ³¡¶Ò Çر²Ô¡Ãѳ±¡­Ò³Çѵ¶Ø áÅÐÍÊØÀ¡¶Ò໚¹µŒ¹ ã¹»¡Ã³àËŋҹÑé¹ ·‹Ò¹¨íÒṡ⾸Ի˜¡¢Ô¸ÃÃÁ 37 änj. ã¹
¸Ø´§¤»˜­ËÒ ·‹Ò¹¨íÒṡ»¯Ô»·Òänj à¾ÃÒÐà˵عÑé¹ ·‹Ò¹¨Ö§¡Å‹ÒÇÇ‹Ò à»š¹ÍҺѵÔã¹»¡Ã³àËŋҹÑé¹. ᵋã¹ÍÃö¡¶ÒÁËÒ»˜¨¨ÃÕ໚¹
µŒ¹ ·‹Ò¹¡Å‹ÒÇÍҺѵÔänj 㹨íҾǡÃÒâªÇÒ·Êٵà µÔ¡¢Ô¹·ÃÔÂÊٵà ¨µØ»ÃÔÇѵµÊٵà ¹Ñ¹â·»¹Ñ¹·Êٵà ¡ØÅØÁ¾ÊÙµÃ*¹Ñè¹áÅ «Öè§äÁ‹¢Öé¹Êً
Êѧ¤ÕµÔ áŌǡíÒ˹´ÍÃöänj´Ñ§¹ÕéÇ‹Ò ºÃôҤíÒ·ÕèàËÅ×Í à©¾ÒФíÒ·Õ跋ҹ¹íÒÁÒ¨Ò¡¾Ø·¸¾¨¹¡Å‹ÒÇänj෋ҹÑé¹ à»š¹Çѵ¶Øáˋ§ÍҺѵÔ
¹Í¡¨Ò¡¹ÕéËÒ໚¹äÁ‹.
¤íÒÇ‹Ò àÍ¡âµ ÍØ··Ú ÊÔ Ò໹Úâµ ÁÕ¤ÇÒÁÇ‹Ò ÀÔ¡ÉØáÁŒàÃÕ¹ºÒÅÕËÇÁ¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹¡Å‹ÒǾÌÍÁ¡Ñ¹ äÁ‹à»š¹ÍҺѵ.Ô ã¹¤íҹѹé ÁÕ
ÇÔ¹Ô¨©Ñ´ѧµ‹Í仹Õé :- ÍØ»ÊÑÁºÑ¹¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹¹Ñè¹áÅŒÇ ¢ÍãˌÍÒ¨ÒÏÊÇ´ ÍÒ¨ÒÏ¤Ô´Ç‹Ò àÃÒ¨ÐÊǴᡋÍØ»ÊÑÁºÑ¹áÅÐ͹ػÊÑÁºÑ¹·Ñé§
Êͧ¼ÙŒ¹§Ñè áÅŒÇ ¨Ö§ÊÇ´¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹¡Ñºà¸ÍàËŋҹѹé . ໚¹ÍҺѵÔᡋÍÒ¨ÒÏ ໚¹Í¹ÒºÑµÔᡋÀÔ¡ÉؼٌàÃÕ¹àÍҾÌÍÁ¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹. áÁŒ
ÍØ»ÊÑÁºÑ¹¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹·Ñé§ÊͧÂ×¹àÃÕ¹ÍÂً ¡çÁÕ¹ÑÂÍ‹ҧ¹ÕéàËÁ×͹¡Ñ¹ ÀÔ¡ÉØ˹؋Á¹Ñè§ ÊÒÁà³ÃÂ×¹, äÁ‹à»š¹ÍҺѵÔᡋÍÒ¨ÒϼٌºÍ¡
´ŒÇÂ¤Ô´Ç‹Ò àÃҨСŋÒÇᡋÀÔ¡Éؼٌ¹Ñè§. ¶ŒÒÀÔ¡ÉØ˹ØÁ‹ Â×¹ ½†ÒÂÊÒÁà³Ã¹Ñè§ äÁ‹à»š¹ÍҺѵÔáÁŒá¡‹ÍÒ¨Òϼ¡ÙŒ ŋÒÇÍÂً ´ŒÇÂµÔ´Ç‹Ò àÃÒ¨Ð
¡Å‹ÒÇᡋÀÔ¡ÉؼٌÂ×¹.
¶ŒÒÊÒÁà³ÃÃٻ˹Öè§ÍÂًã¹ÃÐËNjҧÀÔ¡ÉØÁÒ¡ÃÙ» ໚¹Í¨Ôµµ¡ÒºÑµÔᡋÍÒ¨Òϼٌãˌ¡Å‹ÒǸÃÃÁâ´Âº·ã¹à¾ÃÒÐÊÒÁà³Ã¹Ñè§ÍÂً
´ŒÇÂ.
¶ŒÒÊÒÁà³ÃÂ×¹ËÃ×͹Ñè§ÅÐÍØ»¨ÒÃàÊÕ à¾ÃÒÐÊÒÁà³ÃäÁ‹¹Ñºà¹×èͧÍÂÙ㋠¹¾Ç¡ÀÔ¡ÉØ·ÕèÍÒ¨ÒÏãˌ¡Å‹ÒÇ (¸ÃÃÁâ´Âº·) à¸Í¨Ö§¶Ö§¡ÒÃ
¹ÑºÇ‹Ò àÃÕ¹àÍÒ¤ÑÁÀÕÏàÅç´ÅÍ´ÍÍ¡ä»â´Â·ÔÈÒÀҤ˹֧è ; à¾ÃÒЩйÑé¹ ¨Ö§äÁ‹à»š¹ÍҺѵ(Ô á¡‹ÍÒ¨ÒÏ)
* ໚¹¾ÃÐÊٵý†ÒÂÁËÒÂÒ¹ ¢Í§àÃÒäÁ‹Á.Õ - ¼ÙŒªíÒÃÐ.
¾ÃÐÇԹѻ®¡ ÁËÒÇÔÀѧ¤ àŋÁ 2 - ˹ŒÒ·Õè 163
¤íÒÇ‹Ò à͡ⵠʪڬÒÂí ¡âùÚâµ ÁÕ¤ÇÒÁÇ‹Ò ÍØ»ÊѹºÑ¹àÁ×Íè ¡ÃзíÒ¡ÒÃÊÒ¸ÂÒÂËÇÁ¡Ñ¹¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹ ÊÇ´¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹
¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹¹Ñ¹é áÅ äÁ‹à»š¹ÍҺѵ.Ô áÁŒÀÔ¡ÉØàÃÕ¹ÍØà·Èã¹Êíҹѡáˋ§Í¹Ø»ÊÑÁºÑ¹ ÊǴËÇÁ¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹¹Ñ鹡çäÁ‹à»š¹ÍҺѵ.Ô
à¾ÃÒÐÇ‹Ò áÁŒÍØ»ÊÑÁºÑ¹¹Õé¡ç¶§Ö Íѹ¹ÑºÇ‹Ò ¡ÃзíÒÊÒ¸ÂÒ¾ÌÍÁ¡Ñ¹á·Œ.
¤íÒÇ‹Ò àÂÀØÂàÚ Â¹ »¤Ø³í ¤³Ú€í À³¹Úµí âÍ»ÒàµµÔ ÁÕ¤ÇÒÁÇ‹Ò ¶ŒÒ㹤ҶÒà´ÕÂǡѹ ºÒ·Ë¹Öè§ æ Âѧ¨íÒäÁ‹ä´Œ ·ÕèàËÅ×ͨíÒ
䴌 ¹Õéª×èÍNjҤÑÁÀÕÏ·Õè¤Å‹Í§á¤Å‹Ç â´ÂÁÒ¡. áÁŒã¹¾ÃÐÊٵà ¼ÙŒÈÖ¡ÉÒ¡ç¾Ö§·ÃÒºâ´Â¹Ñ¹Õé. äÁ‹à»š¹ÍҺѵÔᡋÀÔ¡Éؼٌ·Ñ¡ãˌ¤Ñ³°Ð
¹Ñ鹤ŒÒ§ÍÂً ¨Ö§ÊÇ´áÁŒ¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹´ŒÇ¡ŋÒÇÇ‹Ò à¸Í¨§ÊÇ´Í‹ҧ¹Õ.é
Êͧº·Ç‹Ò âÍÊÒàùڵí âÍ»ÒàµµÔ ÁÕ¤ÇÒÁÇ‹Ò äÁ‹à»š¹ÍҺѵáÔ ¡‹À¡Ô Éؼ¡ÙŒ ŋÒÇ¡Ð͹ػÊÑÁºÑ¹¼Ùʌ Ç´ÊÙµÃǡǹÍÂً ã¹·‹ÒÁ¡ÅÒ§
ºÃÔÉ·Ñ Ç‹Ò à¸Í¨§ÊÇ´Í‹ҧ¹Õé áŌÇÊÇ´áÁŒ¾ÃŒÍÁ¡Ñ¹¡ÑºÍ¹Ø»ÊÑÁºÑ¹¹Ñé¹. ¡ç´íÒã´·Õ跋ҹ¡Å‹ÒÇänjã¹ÍÃö¡¶ÒÁËÒ»˜¨¨ÃÕ໚¹µŒ¹
¹ÕéÇ‹Ò ÀÔ¡ÉؼٌÍѹ͹ػÊÑÁºÑ¹¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ·‹Ò¹ÍÂًÊÇ´¡Ñº¼Á ¶ŒÒÊǴ໚¹Í¹ÒºÑµÔ ´Ñ§¹Õ.é ¤íÒ¹Ñé¹äÁ‹ÁÕã¹ÁËÒÍÃö¡¶Ò. ¡çÀÒÇÐáˋ§
¤íÒ·Õ跋ҹ¡Å‹ÒÇänjã¹ÍÃö¡¶ÒÁËÒ»˜¨¨ÃÕ໚¹µŒ¹ ¹Ñé¹äÁ‹ÁÕàÅ ¶Ù¡áÅŒÇ (¡ç¤ÇÒÁ·ÕÍè ҺѵÔäÁ‹ÁÕᡋÀÔ¡ÉعÑé¹àÅ ¶Ù¡áŌÇ). à¾ÃÒÐ
à˵Øäà ? à¾ÃÒÐÍҺѵÔà¡Ô´¨Ò¡¡ÒáÃзíÒ. ᵋàÁ×èÍÁÕ¡Òö×ÍàÍÒÍÃö¹Í¡¹Õé ÊÔ¡¢Òº·¹Õé ¨Ð¾Ö§à»š¹·Ñ駡ÔÃÔÂÒ·Ñé§Í¡ÔÃÔÂÒº·
·ÕèàËÅ×Íã¹ÊÔ¡¢Òº·¹Õé ÁÕÍÃöµ×é¹·Ñ駹Ñé¹.
ÊÔ¡¢Òº·¹Õé ÁÕ¸ÃÃÁâ´Âº·à»š¹ÊÁد°Ò¹ à¡Ô´¢Öé¹·Ò§ÇÒ¨Ò 1 ÇҨҡѺ¨Ôµ 1 ໚¹¡ÔÃÔÂÒ â¹ÊÑ­­ÒÇÔâÁ¡¢ ͨԵµ¡Ð »˜³³Ñµ
µÔÇѪªÐ ǨաÃÃÁ ÁÕ¨Ôµ 3 ÁÕàÇ·¹Ò 3 ´Ñ§¹ÕéáÅ.

๑๖๔
บทที 5. อนึ ง ภิกษุ ใดสําเร็จการนอนร่วมกับอนุ ปสัมบันยิงกว่า 2-3 คืน เป็ นปาจิตตีย ์ วิ.ม.2/289/293 (อจิตกกะ)
อนุ ปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ นอกนันชือว่าอนุ ปสัมบัน [ย่อมเป็ นแม้กบั สัตว์เดรัจฉาน]
คําว่า สําเร็จกานอน ความว่า ในวันที 4 เมือพระอาทิตย์อสั ดงคตแล้ว, อนุ ปสัมบันนอนแล้ว ภิกษุ นอนต้องอาบัติปาจิตตีย ์
การนอน ได้แก่ ภูมิสถานเป็ นทีนอนอันเขามุงทังหมด บังทังหมด, มุงโดยมาก บังโดยมาก
ต้นบัญญัติ. พ.ประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย ์ เขตเมืองอาฬวี ครังนัน พวกอุ บาสกพากันมาสูอ่ ารามเพือฟั งธรรม เมือพระธรรมกถึกแสดงธรรมจบแล้ว
ภิกษุ ชนเถระกลั
ั บไปยังทีอยู่ ภิกษุ ชนนวกะสํ
ั าเร็จการนอนร่วมกับพวกอุบาสกอยูใ่ นศาลาทีฟั งธรรมนันเอง เผลอสติ ไม่รูส้ ึกตัว เป็ นผูเ้ ปลือยกายละเมอ
กรนอยู.่ พวกอุบาสกต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน ฯลฯ
สมัยต่อมา พ.ประทับอยูพ่ ทริการาม เขตพระนครโกสัมพีนัน. ภิกษุ ทงหลายได้
ั กล่าวคํานี กะท่านสามเณรราหุลว่า อาวุโสราหุล พระผูม้ ีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้วา่ ภิกษุ ไม่พึงสําเร็จการนอนร่วมกับอนุ ปสัมบัน อาวุโสราหุล ท่านจงรูส้ ถานที ควรนอน. วันนัน ท่านสามเณรราหุลหาทีนอน
ไม่ได้ จึงสําเร็จการนอนในวัจจกุฎี. ครันปั จจุสสมัยแห่งราตรี พ.ทรงตืนบรรทมแล้ว ได้เสด็จไปวัจจกุฎี, ครันถึง จึงทรงพระกาสะ แม้ท่านราหุ ลก็กระแอม
รับ. พ.ตรัสถามว่า ใครอยูใ่ นวัจจกุฎีนี ท่านสามเณรราหุลทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าราหุล พระพุทธเจ้าข้า.
พ.ตรัสถามว่า ดูกรราหุล เหตุไรเธอจึงนอน ณ ทีนี จึงท่านสามเณรราหุล กราบทูลเรืองนันให้ทรงทราบ.
ลําดับนัน พระผูม้ ีพระภาคทรงกระทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนันต่อมาทีเมืองโกสัมพี ภิกษุ ทงหลายได้
ั หา้ มพระราหุลมิได้นอนด้วย
ท่านจึงเข้าไปนอนในวัจจกุฎี
อนาบัติ. 1. ภิกษุ อยู่ 2 คืน แล้วคืนที 3 ออกไปก่อนอรุณ แล้วอยู่ใหม่ 4. อยู่ในสถานทีไม่มุงโดยมาก ไม่บงั โดยมาก
2. อยู่ในสถานทีมุงทังหมด ไม่บงั ทังหมด 5. อนุ ปสัมบันนอน ภิกษุ นัง (ไม่ตอ้ งการให้ภิกษุ นอน)
3. อยู่ในสถานทีบังทังหมด ไม่มุงทังหมด 6. นั งทังสอง
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 183
1. เสนาสนะเป็ นวัตถุแห่งปาจิตตีย์ 3. อาทิตย์อสั ดงคตลับไปในวันทีสี
2. นอนกับอนุ ปสัมบันในเสนาสนะนั น พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

บทที 6. ภิกษุ นอนในทีมุงทีบังเดียวกันกับผูห้ ญิง (แม้หญิงนันเกิดได้เพียงวันเดียว) ไม่ได้แม้เพียงคืนแรก


พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดสําเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม เป็ นปาจิตตีย ์ วิ.ม.2/294/296 (อจิตตกะ) 6.2
มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์ โดยทีสุดแม้เกิ ดในวันนัน
สําเร็จการนอน ความว่า เมือพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว, มาตุคามนอนแล้ว ภิกษุ นอน ต้องอาบัติปาจิตตีย ์
พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครังนัน ท่านพระอนุ รุทธะเดินทางไปพระนครสาวัตถี
ในโกศลชนบท ได้ไปถึงหมูบ่ า้ นแห่งหนึ ง ณ เวลาเย็น ก็แลสมัยนัน ในหมูบ่ า้ นนันมีสตรีผหู ้ นึ ง จัดเรือนพักสําหรับอาคันตุกะไว้. จึงท่านพระอนุ รุทธะ
เข้าไปหาสตรีนัน แล้วได้กล่าวคํานี กะสตรีนันว่า ดูกรน้องหญิง ถ้าเธอไม่หนักใจ อาตมาขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ ง.
สตรีนันเรียนว่า นิ มนต์พกั แรมเถิด เจ้าข้า.
พวกคนเดินทางแม้เหล่าอืนก็ เข้าไปหาสตรีนัน แล้วได้กล่าวคํานี กะสตรีนันว่า คุณนายขอรับ ถ้าคุณนายไม่หนักใจ พวกข้าพเจ้าขอพักแรมใน
เรือนพักสักคืนหนึ ง.
นางกล่าวว่า พระคุณเจ้าสมณะนันเข้าไปพักแรมอยูก่ ่อนแล้ว ถ้าท่านอนุ ญาตก็เชิญพักแรมได้.
จึงคนเดินทางพวกนัน พากันเข้าไปหาท่านพระอนุ รุทธะแล้ว ได้กล่าวคํานี กะท่านพระอนุ รุทธะว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านไม่หนักใจ พวกกระผมขอ
พักแรมคืนในเรือนพักสักคืนหนึ ง
ท่านพระอนุ รุทธะตอบว่า เชิญพักเถิดจ้ะ.
อันที จริง สตรีนันได้มีจิตปฏิพทั ธ์ในท่านพระอนุ รุทธะพร้อมกับขณะทีได้เห็น ดังนั น นางจึงเข้าไปหาท่านพระอนุ รุทธะ แล้วได้กล่าวคํานี วา่
ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้าปะปนกับคนพวกนี จักพักผ่อนไม่สบาย ทางทีดีดิฉนั ควรจัดเตียงทีมีอยูข่ า้ งในถวายพระคุณเจ้า.
ท่านพระอนุ รุทธะรับด้วยดุษณี ภาพ.
ครังนัน นางได้จดั เตียงทีมีอยูข่ า้ งในด้วยตนเองถวายท่านพระอนุ รุทธะ แล้วประดับตกแต่งร่างกายมีกลินแห่งเครืองหอม เข้าไปหาท่านพระอนุ
รุทธะ แล้วได้กล่าวคํานี กะท่านพระอนุ รุทธะว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้ามีรูปงามนัก น่าดูน่าชม ส่วนดิฉันก็มีรูปงามยิง น่าดูน่าชม, ทางทีดีดิฉัน
ควรจะเป็ นภรรยาของพระคุณเจ้า. เมือนางพูดอย่างนี ท่านพระอนุ รุทธะได้นิงเสีย. แม้ครังที 2 ... แม้ครังที 3 นางก็ได้กล่าวคํานี กะท่านพระอนุ รุ
ทธะว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้ามีรูปงามนัก น่ าดู น่ าชม, ส่วนดิฉนั ก็มีรูปงามยิง น่ าดู น่ าชม, ทางทีเหมาะ ขอพระคุณเจ้า จงรับปกครองดิฉันและ
ทรัพย์สมบัติทงหมด.
ั แม้ครังที 3 ท่านพระอนุ รุทธะก็ได้นิงเสีย.
ลําดับนัน นางได้เปลื องผ้าออกแล้ว เดินบ้าง ยืนบ้าง นังบ้าง นอนบ้าง เบืองหน้าท่านพระอนุ รุทธะ. ฝ่ ายท่านพระอนุ รุทธะ สํารวม
อินทรีย ์ ไม่แลดู ไม่ปราศรัยกะนาง. ดังนัน นางจึงอุทานว่า น่าอัศจรรย์นัก พ่อเอ๋ย ไม่น่าจะมีเลยหนอพ่อผูจ้ าํ เริญ คนเป็ นอันมากยอมส่งทรัพย์
มาให้เรา 100 กษาปณ์บา้ ง 1000 กษาปณ์บา้ ง. ส่วนพระสมณะรูปนี เราวิ งวอนด้วยตนเอง ยังไม่ ปรารถนาจะรับปกครองเราและสมบัติ

๑๖๕
ทังหมด ดังนี แล้วจึงนุ่ งผ้าซบศีรษะลงทีเท้าของท่านพระอนุ รุทธะ แล้วได้กล่าวคําขอขมาต่อท่านดังนี ว่า ท่านเจ้าข้า โทษล่วงเกินได้เป็ นไปล่วงดิ ฉัน
ตามคนโง่ ตามคนหลง ตามคนไม่ฉลาด ดิฉันผูใ้ ดได้ทําความผิ ดเห็ นปานนั นไปแล้ว ขอพระคุ ณเจ้าโปรดรับโทษทีเป็ นไปล่วง โดยความเป็ นโทษ
เป็ นไปล่วงของดิฉนั ผูน้ ัน เพือจะสํารวมต่อไปเถิดเจ้าข้า.
ท่านพระอนุ รุทธะตอบว่า เชิญเถิดน้องหญิง โทษล่วงเกิน ได้เป็ นไปล่วงเธอ ตามคนโง่ ตามคนเขลา ตามคนไม่ฉลาด เธอได้ทาํ อย่างนี
แล้ว เพราะเล็งเห็นโทษทีเป็ นไปล่วง โดยความเป็ นโทษเป็ นไปล่วงจริง แล้วทําคืนตามธรรม เราขอรับโทษทีล่วงเกินนันของเธอไว้ ดูกร
น้องหญิง ข้อทีบุคคลเล็งเห็นโทษทีเป็ นไปล่วง โดยความเป็ นโทษเป็ นไปล่วงจริง แล้วยอมทําคืนตามธรรม ถึงความสํารวมต่อไป นีแหละ
เป็ นความเจริญในอริยวินัย.
ครันราตรีนันผ่านพ้นไป นางได้อังคาสท่านพระอนุ รุทธะด้วยขาทนี ยโภชียาหารอันประณี ตด้วยมือของตนจนให้หา้ มภัตแล้ว กราบไหว้ท่าน
พระอนุ รุทธะผูฉ้ ันเสร็จนํ ามือออกจากบาตรแล้ว ได้นัง ณ ที ควรส่วนข้างหนึ ง. ท่านพระอนุ รุทธะได้ชีแจงให้สตรีผูน้ ั งอยู่ ณ ที ควรส่วนข้างหนึ งนัน
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครันแล้ว นางได้กล่าวคํานี กะท่านพระอนุ รุทธะว่า ท่านเจ้าข้า ภาษิ ตของท่านแจ่มแจ้งนัก ภาษิ ต
ของท่านไพเราะนัก พระคุณเจ้าข้า อนุ รุทธะได้ประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่
คนหลงทาง หรือส่องประทีปในทีมืด ด้วยประสงค์วา่ คนมีจกั ษุ จกั เห็นรูป ดังนี , ดิฉนั นี ขอถึงพระผูม้ ีพระภาคเจ้าพระองค์นัน ทังพระธรรม และภิกษุ
สงฆ์วา่ เป็ นสรณะ
ขอพระคุณเจ้าจงจําดิฉนั ว่าเป็ นอุบาสิกาผูถ้ ึงสรณะตลอดชีวิต จําเดิมแต่วนั นี เป็ นต้นไป. ต่อจากนัน ท่านพระอนุ รุทธะเดินทางไปถึงพระนครสาวัต
ถี แล้ว ได้แจ้งความนันแก่ภิกษุ ทังหลาย บรรดาภิ กษุ ผูม้ กั น้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกี ยจ ผูใ้ คร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอนุ รุทธะจึงได้สาํ เร็จการนอนร่วมกับมาตุคามเล่า ครันแล้ว ภิกษุ เหล่านันได้กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม้ ีพระภาค ...
[นอนร่วมกับนางยักษ์ และนางเปรตผูม้ ีรูปปรากฏให้เห็น หรือสัตว์เดรัจฉานตัวเมียเฉพาะทีเป็ นวัตถุ แห่งเมถุ นธรรม (เฉพาะที
พอจะเสพเมถุนได้ เป็ นทุกกฏ]
อนาบัติ. เหมือนสิกขาบทที 5 ตังแต่ขอ้ 2–ข้อ 7 ต่างเพียง เปลียนจากคําว่า อนุ ปสัมบัน เป็ น มาตุคาม
หมายเหตุ. การจําวัดในเวลากลางวัน ต้องปิ ดประตู
ภิ กษุ รูปหนึ งอยูใ่ นที พักกลางวัน ณ กูฏาคารศาลาป่ ามหาวัน เปิ ดประตูจาํ วัดหลับอยู่ อวัยวะน้อยใหญ่ของเธอถูกลมรําเพยให้ตึงตัว สตรี
หลายคนเข้ามายังวิหารเห็นภิกษุ นันแล้ว ได้นังคร่อมองค์กาํ เนิ ดกระทําการพอแก่ความประสงค์แล้วกลับไป ภิ กษุ นันตืนขึนเห็นองค์กาํ เนิ ดเปรอะ
เปื อน จึงกราบทูล ตรัสว่า ภิกษุ นันเป็ นพระอรหันต์ไม่ตอ้ งอาบัติ
“ดูก่อนภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ภิกษุผจู ้ ะพักผ่อนในกลางวัน ปิ ดประตูก่อนจึ งจะพักผ่อนได้”
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 184
1. เสนาสนะเป็ นวัตถุแห่งปาจิตตีย์ 3. อาทิตย์อสั ดงคตลับไปแม้แต่ในคืนแรก
2. นอนกับหญิงมนุ ษย์ในเสนาสนะนั น พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

บทที 7. ภิกษุไม่แสดงธรรมแก่สตรี (สตรีทีไม่มีบุรุษรูเ้ ดียงสาร่วมอยู่ดว้ ย) เว้นแต่แก้ขอ้ ถามในธรรม 6.3


พระอนุ บญ
ั ญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใดแสดงธรรมแก่มาตุคามยิงกว่า 5-6 คํา เว้นไว้แต่มีบุรษุ ผูร้ เู ้ ดียงสาอยู่ เป็ นปาจิตตีย ์
มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์ เป็ นผูร้ เู ้ ดียงสา สามารถทราบถ้อยคําทีเป็ นสุภาษิ ต ทุพภาษิ ต ชัวหยาบและสุภาพ
ต้นบัญญัติ. [298] ในเวลาเช้าพระอุทายีเดินเข้าไปหาหญิงแม่เรือนแล้วแสดงธรรมทีข้างหูนาง หญิงสะใภ้เห็นเข้าจึงสงสัยว่าเป็ นชูก้ นั จากนันพระอุทายี
เดินเข้าไปหาหญิงสะใภ้แล้วแสดงธรรมทีข้างหูญิงสะใภ้อีก ฝ่ ายแม่เรือนก็ สงสัยว่าจะเป็ นชูก้ นั เมือพระอุทายีกลับไปแล้ว ทังสองจึงสอบถามกันและกัน
ทราบว่าท่านแสดงธรรม, ทังสองจึงเพ่งโทษติเตียนว่า “ไฉนพระคุ ณเจ้าอุ ทายีจึงแสดงธรรมในทีใกล้หูมาตุคามเล่า ธรรมดาของผูแ้ สดงธรรมควรจะ
แสดงด้วยเสียงชัดเจน เปิ ดเผย มิใช่หรือ?
[299] ก็โดยสมัยนันแล พวกอุบาสิกาพบภิกษุ ทงหลาย ั แล้วได้กล่าวนิ มนต์วา่ ข้าแต่ พระคุณเจ้าทังหลาย ขออาราธนาพระคุณเจ้าแสดงธรรม. ภิกษุ
เหล่านันตอบปฏิเสธว่า ดูกรน้องหญิง การแสดงธรรมแก่มาตุคามไม่ควร.
พวกอุบาสิกาอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทังหลาย ขออาราธนาแสดงธรรมเพียง 5-6 คํา พวกข้าพเจ้าก็สามารถจะรูท้ วถึ ั งธรรม แม้ดว้ ยถ้อยคําเพียง
เท่านี . ภิกษุ เหล่านันกล่าวว่า ดูกรน้องหญิง การแสดงธรรมแก่มาตุคามไม่ควรดังนี แล้ว รังเกียจ ไม่แสดงธรรม.
พวกอุบาสิกาต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทังหลาย อันเราอาราธนาอยู่ จึงไม่แสดงธรรมเล่า.
[คาถาบทหนึ ง ชือว่า วาจาคําหนึ ง จะกล่าวเพียง 5-6 บทเท่านั น ควรอยู่]
อนาบัติ. มาตุคามถามปั ญหา ภิกษุ ถูกถามปั ญหา แล้วกล่าวแก้
[มาตุคามถามว่า ท่านเจ้าค่ะ ชือว่า ทีฆนิ กายแสดงอรรถอะไร? ภิกษุ แม้จะกล่าวแก้ทีฆนิ กายทังหมด ก็ไม่เป็ นอาบัติ]

๑๖๖
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 185
1. แสดงธรรมยิงกว่า 6 คํา 4. ไม่มีชายผูร้ เู ้ ดียงสาอยู่ดว้ ย
2. มาตุคามเป็ นหญิงมนุ ษย์ทีรูค้ ําชัวดีและหยาบไม่หยาบ 5. ไม่ใช่กาลวิสัชนาปั ญหา
3. ไม่เปลียนอิริยาบถ พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
ต่อหัวข้อที 6.4 หน้า 213
สัปปาณวรรคที 7 บทที 7
ชักชวนมาตุคามเดินทาง
……………………………………………………………………………..
บทที 8. อนึง ภิกษุใดบอกอุตตริมนุสสธรรมแก่อนุปสัมบัน เป็ นปาจิตตีย ์ เพราะมีจริงฯ
[บอกภิกษุ อืนเข้าปฐมฌาน, บอก คือ บอกแก่อนุ ปสัมบันว่า ภิกษุ ใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุ นันเข้าแล้ว เป็ นผูไ้ ด้ฯ ซึงปฐมฌาน
ต้องอาบัติทุกกฏ]
ต้นบัญญัติ. ในแคว้นวัชชี กรุงเวสาลี เกิดอัตคัดอาหาร ข้าวกล้าตาย ต้องมีสลากซืออาหาร ภิกษุ หลายรูปริมฝั งแม่นําวัคคุมุทา ต่างกล่าวชมคุณวิเศษ
ของกันและกันให้คฤหัสถ์ได้ยิน ประชาชนพากันถวายภัตตาหาร ในขณะทีภิกษุ อืนซูบผอม ออกพรรษาแล้วได้เข้าเฝ้ า พ. ณ ป่ ามหาวัน กรุงเวสาลี
อรรถกถา เล่ม 4 หน้า 244 มมร. ในจตุตถปาราชิกนัน พวกภิกษุ บอกอุตริมนุ สธรรมอันไม่มีจริง ในสิกขาบทนี บอกอุตริมนุ สธรรมทีมีจริง. ปุถุชน
ทังหลาย บอกอุตริมนุ สธรรมแม้ทีมีจริง (เช่นฌานและอภิญญาเป็ นต้น). อริยเจ้าทังหลายไม่บอก. จริงอยู่ ชือว่า ปยุตตวาจา (วาจาทีเปล่งเพราะเหตุ
เเห่งท้อง) ไม่มีแก่พระอริยเจ้าทังหลาย. แต่เมือผูอ้ ืน บอกคุณของตนเอง ท่านก็ไม่หา้ มคนเหล่าอืน และยินดีปัจจัยทังหลายทีเกิดขึน โดยอาการทีไม่
ทราบว่าเกิดขึน (เพราะการบอกคุณของตน).
บัณฑิตพึงทราบว่า ภิกษุ ทงหลายเหล่
ั าใด กล่าวคุณแห่งอุตริมนุ สธรรม ภิกษุ เหล่านัน ได้กราบทูลแล้ว. พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิ กษุ ทังหลาย คุ ณวิเสสของพวกเธอ มีจริงหรือ ? ก็ ภิกษุ เหล่านั นแม้ทังหมดทูลรับปฏิญาณว่า ข้าแต่พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ! มีจริง, เพราะว่า อุ ตริ
มนุ สธรรมมีจริงในภายใน แม้แห่งพระอริยเจ้าทังหลาย เพราะฉะนัน ครังนัน พระผูม้ ีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า โมฆปุริสา เพราะภิกษุ เหล่านันปะปน
ด้วยพระอริยะ
พระอริยเจ้าทังหลาย ฟั งคําของตนเหล่าอื น ถูกพวกชาวบ้านผูม้ ีความเลือมใสถามอยู่ โดยนั ยเป็ นต้นว่า ข้าแต่ท่านผูเ้ จริญ ! ได้ยินว่า พระผู ้
เป็ นเจ้า เป็ นโสดาบันหรือ ! ดังนี มีปกติเห็นว่าไม่มีโทษ ในเมือสิกขาบททีพระผูม้ ีพระภาคเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติ จึงปฏิญาณการบรรลุคุณวิเสส ของ
ตนและของคนเหล่าอืน เพราะเป็ นผูม้ ีจิตบริสุทธิ, และท่านเหล่านัน เมือปฏิญาณอย่างนี แม้ยินดีอยูซ่ ึงบิณฑบาตทีปุถุชนเหล่าอืนกล่าวคุณแห่งอุ ตริ
มนุ สธรรมเพราะเหตุแห่งท้องให้เกิดขึนแล้ว ด้วยความเป็ นผูม้ ีจิตบริสุทธิ จึงเป็ นเหมือนกล่าวคุณแห่งอุตริมนุ สธรรม เพราะเหตุแห่งท้อง; ฉะนัน พระ
ผูม้ ีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยสัพพสังคาหิ กนั ยนั นแลว่า ดูก่อนภิ กษุ ทังหลาย ! ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุ ตริมนุ สธรรมของกันและกัน แก่คฤหัสถ์
ทังหลาย เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ? ดังนี . คําทีเหลือเป็ นเช่นเดียวกับเรืองจตุตถปาราชิกทังนันแล.
แม้ในวิภงั ค์แห่งสิกขาบท ในจตุตถปาราชิกนัน เป็ นปาราชิกกับถุลลัจจัยอย่างเดียว, ในสิกขาบทนี เป็ นปาจิตตียแ์ ละทุกกฏ เพราะเป็ นคุณมี
จริง, นี เป็ นความแปลกกัน. บททีเหลือ มีนัยดังกล่าวแล้ว นันแล. คําว่า บอกคุณวิเสสทีมีจริง แก่อนุ ปสัมบัน (นี ) ท่านกล่าวหมายเอาอุตริมนุ ส ธรรม
นันเอง. จริงอยู่ ภิกษุ ผถู ้ ูกรบเร้าถามในเวลาปรินิพพานและในกาลอืน จะบอกคุณทีมีจริงแก่อุปสัมบันก็ควร.
อนึ ง จะบอกคุณ คือ สุตะ ปริยตั ิ และศีล แม้แก่อนุ ปสัมบันก็ควร, ไม่เป็ นอาบัติแก่ภิกษุ ผเู ้ ป็ นต้นบัญญัต,ิ
แต่คาํ ว่า อุมฺมตฺ ตกสฺ ส นี พระผูม้ ีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ในสิกขาบทนี . เพราะเหตุไร ? ท่านวิจารณ์ไว้ในอรรถกถามหาปั จจรีวา่ เพราะท่าน
ผูถ้ ึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่มีความบ้า หรือจิตฟุ้งซ่าน ดังนี . แต่ท่านผูไ้ ด้ฌาน พึงเป็ นบ้าได้ในเมือฌานเสือม. แม้สาํ หรับท่านผูน้ ั นก็ไม่ควรกล่าวอนาบัติ
ซึงมีการบอกฌานทีมีจริงเป็ นปั จจัย เพราะฌานทีมีจริงนันแหละไม่มฉี ะนี แล บททีเหลือมีอรรถตืนทังนันแล.
สิกขาบทนี ชือว่า อจิตตกะ ปั ณณัตติวชั ชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต 2 โดยเป็ นกุศลจิตกับอัพยากตจิต มีเวทนา 2 โดยเป็ นสุ ขเวทนา กับอุ เบกขา
เวทนา ฉะนี แล.
[ดูกรภิกษุทังหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฏิหาริยซ์ ึ งเป็ นธรรมอันยวดยิงของมนุษย์แก่พวกคฤหั สถ์ รูปใดแสดง ต้อง
อาบัติทุกกฏ] วิ.จุล.7/33/11
อิทธิปาฏิหาริย ์ แปลว่า การแผลง ทรงห้ามแล้ว แต่ฤทธิทีสําเร็จด้วยอํานาจอธิษฐาน พึงทราบว่าไม่ได้ทรงห้าม วิ.จุล.อ.9 หน้า 84
แผลง แปลว่า แปลงสิงเดิมให้เพียนแปลกไป, (วิเศษณ์) ทีแตกต่างไปจากปกติ, ออกฤทธิ
ต้นบัญญํติ. การแสดงฤทธิ (ในพรรษาที 6) [29] สมัยนัน ปุ่ มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บงั เกิดแก่เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐี ได้คิ ด
ว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่ มไม้แก่นจันทน์นี ส่วนทีกลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็ นทาน หลังจากนัน ท่านราชคหเศรษฐี ให้
กลึงบาตรด้วยปุ่ มไม้แก่นจันทน์ นัน แล้วใส่สาแหรกแขวนไว้ทีปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึนไป แล้วกล่าวอย่างนี ว่า “สมณะหรือพราหมณ์ผใู ้ ด เป็ นพระ
อรหันต์และมีฤทธิ จงปลดบาตรทีเราให้แล้วไปเถิด”””

๑๖๗
[30] ขณะนัน ปูรณกัสสป ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุ ตร ท่านนิ ครนถ์นาฎบุตร ต่างเข้าไปหาท่าน
ราชคหเศรษฐี แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี แหละเป็ นพระอรหันต์ และมีฤทธิ ขอท่านจงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้า
พระคุณเจ้าเป็ นพระอรหันต์และมีฤทธิ ก็จงปลดบาตรทีข้าพเจ้าให้แล้วนันแลไปเถิด.
[31] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะ ครองอัตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถื อบาตรจีวร เข้าไปบิ ณฑบาตในเมืองรา
ชคฤห์ อันทีแท้ ท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะ เป็ นอรหันต์และมีฤทธิ แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็ นพระอรหันต์และมีฤทธิ จึงท่านพระปิ ณโฑลภาร
ทวาชะ ไค้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิ ด ท่านโมคคัลลานะ จงปลดบาตรนั นลง บาตรนั นของท่าน แม้ท่านพระโมคัคลลานะก็กล่าวกะ
ท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนันลง บาตรนันของท่าน จึงท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะเหาะขึนสู่เวหาส ถือบาตร
นันเวียนไปรอบเมืองราชคฤห์ 3 รอบ.
[32] ครังนัน ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยูใ่ นเรือนของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิ มนต์วา่ ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าภารทวา
ชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี เถิด จึงท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะ ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนัน ท่านราชคหเศรษฐี รบั
บาตรจากมือของท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จดั ของเคียวมีคา่ มาก ถวายท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิ ณโฑลภารทวาชะได้รบั บาตรนั น
ไปสูพ่ ระอาราม ชาวบ้านได้ทราบข่าว มีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิ ณโฑลภารทวาชะไปข้างหลัง ๆ พระผูม้ ีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับเสียงอึ กทึ ก
เกรียวกราว ครันแล้วตรัสถามพระอานนท์ ...
[33] ลําดับนัน พระผูม้ ีพระภาคเจ้ารับสังให้ประชุ มภิกษุ สงฆ์ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น .. ทรงติเตียนว่า ภารทวาชะ การกระทําของเธอนันไม่เหมาะ
ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทํา ไฉนเธอจึงได้แสดงอิ ทธิ ปาฎิหาริย ์ ซึ งเป็ นธรรมอันยวดยิงของมนุ ษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุ
แบ่งบาตรไม้ ซึงเป็ นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับเพราะเหตุแห่งทรัพย์เป็ นดุจซากศพแม้ฉนั ใด เธอก็ฉนั นันเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย ์
ซึงเป็ นธรรมอันยวดยิงของมนุ ษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ซึงเป็ นดุจซากศพ การกระทําของเธอนันไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุ ม ชน
ทียังไม่เลือมใส . . . ครันแล้วทรงทําธรรมีกถารับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย ์ ซึงเป็ นธรรมอันยวดยิงของมนุ ษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ ,
ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงทําลายบาตรไม้นัน บดให้ละเอียด ใช้เป็ นยาหยอดตาของภิกษุ ทงหลาย ั อนึ ง ภิกษุ ไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.

บทที 9 อนึ ง ภิกษุ ใด บอกอาบัติชวหยาบของภิ


ั กษุ แก่อนุ ปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุ ได้รบั สมมติ เป็ นปาจิตตียฯ์
ชัวหยาบ ได้แก่ ปาราชิก 4 และสังฆาทิเสส 13

บทที 10. อนึ ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขดุ ก็ดี ซึงปฐพี เป็ นปาจิตตีย ์ วิ.ม.2/349/344
[349] โดยสมัยนัน พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐ อาฬวี. ครังนัน พวกภิกษุ ชาวรัฐอาฬวีช่วยกันทํา นวก
รรม ขุดเองบ้าง ให้คนอืนขุดบ้างซึงปฐพี. คนทังหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึง ได้ขุด
เองบ้าง ให้คนอืนขุดบ้างซึงปฐพี? พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร ย่อมเบียดเบียนอินทรียอ์ ย่างหนึง ซึงมีชีวะ.
พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทังหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอืนขุดบ้างซึงปฐพีเล่า? เพราะคนทังหลาย
สําคัญในปฐพีวา่ มีชีวะ การกระทําของพวกเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิงของชุมชน
ทีเลือมใสแล้ว-.
ปฐพี ได้แก่ ปฐพี 2 อย่าง คือ ชาตปฐพีอย่างหนึ ง อชาตปฐพีอย่างหนึ ง
ชาตปฐพี คือ มีดินร่วนล้วน มีดินเหนี ยวล้วน, มีหินน้อย มีกรวดน้อย มีกระเบืองน้อย มีแร่น้อย มีทรายน้อย มีดินร่วนมาก มีดิน
เหนี ยวมาก แม้ดินทียังไม่ได้เผา ก็เรียกว่า ปฐพีแท้, กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนี ยวก็ดี ทีฝนตกรดเกิน 4 เดือนมาแล้ว แม้นีกเ็ รียกว่า ปฐพี
แท้ฯ
อชาตปฐพี คือ เป็ นหินล้วน เป็ นกรวดล้วน เป็ นกระเบืองล้วน เป็ นแร่ลว้ น เป็ นทรายล้วน, มีดินร่วนน้อย มีดินเหนี ยวน้อย มีหินมาก
มีกรวดมาก มีกระเบือง มีแร่ มีทรายมาก แม้ดินทีเผาไฟแล้ว ก็เรียกว่า ปฐพีไม่แท้, กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนี ยวก็ดี ทีฝนตกรดยังหย่อน
กว่า 4 เดือน แม้นีกเ็ รียกว่า ปฐพีไม่แท้ฯ (ไม่นับเข้าในสิกขาบทนี )
สิกขาบทวิภงั ค์
[352] ปฐพี ภิกษุ สาํ คัญว่า ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทําลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทําลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้อง
อาบัติปาจิตตีย.์ บทภาชนี ย์
อนาบัติ [353] ภิกษุ กล่าวว่า ท่านจงรูด้ ินนี ท่านจงให้ดินนี ท่านจงนําดินนี มา เรามีความต้องการด้วย
ดินนี ท่านจงทําดินนี ให้เป็ นกัปปิ ยะ ดังนี 1 ภิกษุ ไม่แกล้ง 1 ภิกษุ ไม่มีสติ 1 ภิกษุ ไม่รู ้ 1 ภิกษุ วิกลจริต 1 ภิกษุ
อาทิกมั มิกะ 1 ไม่ตอ้ งอาบัติแล.

๑๖๘
[บาลีมต
ุ ตกวินจ
ิ ฉัยวาดวยการขุดดินเปนตน] เลม 4 หนา 259 มมร.
ภิกษุกลาววา เธอจงขุดสระโบกขรณี ดังนี้ ควรอยู. เพราะวา สระที่ขุดแลวเทานั้น จึงชื่อวา เปนสระโบกขรณี ฉะนั้น โวหารนี้ เปนกัป
ปยโวหาร. แมในคําเปนตนวา จงขุด บึง บอ หลุม ดังนี้ ก็มีนัยอยางนี้เหมือนกัน.
แตจะกลาววา จงขุดโอกาสนี้ (ตรงนี้) จงขุดสระโบกขรณี ในโอกาสนี้ ดังนี้ ไมควร. จะกลาวไมกําหนดแนนอนลงไปวา จงขุดเหงา
จงขุดราก ดังนี้ ควรอยู จะกลาววา จงขุดเถาวัลยนี้ จงขุดเหงา หรือรากในโอกาสนี้ ดังนี้ ไมสมควร. เมื่อชําระสระโบกขรณี อาจจะเอาหมอ
วิดเปอกตมเหลว ๆ ใดออกได, จะนําเปอกตมนั้นออก ควรอยู. จะนําเปอกตมที่ขนออก ไมควร. เปอกตมแหงเพราะแสงแดด แตกระแหง ใน
เปอ กตมแหงนั้น สว นใดไมเนื่องกับแผนดินในเบื้องลาง, จะนําเปอกตมนั้นแลออก ควรอยู. ชื่อ วาระแหง (แผน คราบน้ํา, ดิน รว นเพราะน้ํา
แหง) มีอยูในที่น้ําไหลไป ยอมไหวเพราะถูกลมพัด จะนําเอาระแหงนั้นออก ควรอยู.
ฝง (ตลิ่ง) แหงสระโบกขรณีเปนตน พังตกลงไปริมนา. ถาถูก ฝนตกรดต่ํากวา ๔ เดือ น จะฟน ออก หรือ ทุบออก ก็ควร , ถาเกิน ๔
เดือน ไมควร. แตถาตกลงในน้ําเลย. แมเมื่อฝนตกรดเกิน ๔ เดือนแลว ก็ควร เพราะน้ํา (ฝน) ตกลงไปในน้ําเทานั้น.
... เสนาสนะเกา ไมมีหลังคา หรือมีหลังคาพังก็ตาม ถูกฝนตกรดเกิน 4 เดือน ยอมถึงซึ่งอันนับวา ปฐพีแทเหมือนกัน. ภิกษุจะถือเอา
กระเบื้องมุงหลังคา หรือเครื่องอุปกรณมีกลอนเปนตน ที่เหลือจากเสนาสนะเกานั้น ดวยสําคัญวา เราจะเอาอิฐ จะเอากลอน จะเอาเชิงฝา จะ
เอากระดานปูพื้น จะเอาเสาหิน ดังนี้ ควรอยู. ดินเหนียวตกลงติดกับกระเบื้องหลังคาเปนตนนั้น ไมเปนอาบัติ. แตเปนอาบัติแกภิกษุผูเอาดิน
เหนียวที่ฉาบฝา. ถาดินกอนใดๆ ไมเปยกชุม, ภิกษุถือเอาดินกอนนั้น ๆ ไมเปนอาบัติ.
ภายในเรือนมีกองดิน เมื่อกองดินนั้น ถูกฝนตกรดเสียวันหนึ่ง ชนทั้งหลายจึงมุงเรือน. ถากองดินเปยกทั้งหมด, ตอลวงไปได 4 เดือน
กลายเปนปฐพีแทเหมือนกัน. ถาสว นเบื้องบนแหงกองดินนั้นเทานั้นเปยก ภายในไมเปยก จะใชใหพวกกัปปยการกคุยเอาดินเทาจํานวนที่
เปยกออกเสีย ดว ยกัปปยโวหารแลว ใชส อยดินสวนที่เหลือตามสะดวกก็ควร. จริงอยู ดิน ที่เปยกน้ําแลวจับติดเนื่องเปนอัน เดียวกันนั่นแล
จัดเปนปฐพีแท. นอกนี้ไมใชแล.
ภิกษุจะโยกเอาเสามณฑปที่ตั้งอยูในที่แจง ไปทางโนนทางนี้ ทําใหดินแยกออก ไมควร ยกขึ้นตรง ๆ เทานั้น จึงควร. สําหรับภิกษุผู
จะถือเอาตนไมแหง หรือตอไมแหงแมอยางอื่น ก็นัยนี้แล. ภิกษุทั้งหลายเอาพวกไมทอนงัดหิน หรือตนไมกลิ้งไป เพื่อการกอสราง. แผนดิน
ในที่กลิ้งไปนั้น แตกเปนรอย. ถาภิกษุทั้งหลายมีจิตบริสุทธิก ์ ลิ้งไป ไมเปนอาบัติ. แตทวา ภิกษุทั้งหลาย เปนผูใครจะทําลายแผนดินดวยเลศ
นั้นนั่น เอง เปนอาบัติ. พวกภิกษุผูลากกิ่งไมเปนตนไปก็ดี ผาพื้นบนแผนดินก็ดี ก็มีนัยอยางนี้เหมือนกัน จะตอกหรือจะเสียบแมวัตถุอยางใด
อยางหนึ่ง มีก ระดูก เข็มและหนามเปนตน ลงไปในแผนดิน ก็ไ มควร. แมจะถายปสสาวะ ดว ยคิดอยางนี้วา เราจะพังแผนดินดวยกําลังแหง
สายน้ําปสสาวะ ก็ไ มควร. เมื่อ ภิกษุถายดินพัง เปน อาบัติ. แมจะเอาไมกวาดครูดถู ดว ยติดวา เราจัก ทําพื้นดิน ที่ไมเสมอ ใหเสมอ ดังนี้ก็ไม
ควร. ความจริง ควรจะกวาดดวยหัวขอแหงวัตรเทานั้น.
ภิกษุบางพวก กระทุงแผนดิน ดวยปลายไมเทา เอาปลายนิ้วหัวแมเทาขีดเขียน (แผนดิน). เดินจงกรมทําลายแผนดิน ครั้งแลวครั้ง
เลา ดวยคิดวา เราจักแสดงสถานที่ที่เราจงกรม ดังนี้, กรรมเชนนั้น ไมควรทุกอยาง. แตภิกษุผูกระทําสมณธรรมเพื่อยกยองความเพียร มีจิต
บริสุทธิ์ จงกรม สมควรอยู. เมื่อกระทํา (การเดินจงกรมอยูแผนดิน) จะแตกก็ไมเปนอาบัติ. ภิกษุทั้งหลายครูดสีทแ ี่ ผนดิน ดวยคิดวา จักลางมือ
ไมควร. สวนภิกษุ ผูไมครูดสี แตวางมือเปยกลงบนแผนดิน แลวแตะเอาละอองไป ไดอยู. ภิกษุบางพวกอาพาธดวยโรคคัน และหิดเปนตน จึง
ครูดสีอวัยวะใหญนอยลงบนที่มีตลิ่งชันเปนตน, การทํานั้น ก็ไมสมควร.

[วาดวยการะขุดเองและการใชใหขด ุ แผนดินเปนตน] หนา 263 มมร.


สองบทวา ขนติ วา ขนาเปติ วา มีความวา ภิก ษุขุดเองก็ดี ใชใ หผูอื่นขุดก็ดี (ซึ่งแผนดิน) ชั้น ที่สุดดวยปลายนิ้วเทาบาง ดว ยซี่ไม
กวาดบาง สองบทวา ภินท ฺ ติ วา ภินท
ฺ าเปติ วา มีความวา ภิกษุทําลายเองก็ดี ใชใหผูอื่นทําลายก็ดี (ซึ่งแผนดิน) ชั้นที่สุด แมจะเทน้ํา. สองบท
วา ทหติ วา ทหาเปติ วา มีความวา ภิกษุเผาเองก็ดี ใชใหผูอื่นเผาก็ดี ชั้นที่สุดจะระบมบาตร. ภิกษุจุดไฟเอง หรือใชใหผูอน ื่ จุดในที่มีประมาณ
เทาใด เปนปาจิตตียมีประมาณเทานั้นตัว. ภิกษุ แมเมื่อจะระบมบาตร พึงระบมในที่เคยระบมแลวนั่นแหละ. จะวางไฟลงบนแผนดินที่ไฟยังไม
ไหม ไมควร. แตจะวางไฟลงบนกระเบื้องสําหรับระบมบาตร ควรอยู. วางไฟลงบนกองฟน, ไฟนั้นไหมฟนเหลานั้น แลวจะลุกลามเลยไปไหม
ดินไมควร. แมในที่มีอิฐและหินเปนตน ก็มีนัยอยางนั้นเหมือนกัน. จริงอยู ในที่แมนั้น จะวางไฟลงบนกองอิฐเปนตนนัน ่ แล ควรอยู. เพราะเหตุ
ไร ? เพราะอิฐเปนตนนั้น มิใชเชื้อไฟ. จริงอยู อิฐเปนตนนั้น ไมถึงอันนับวาเปนเชื้อแหงไฟ. จะติดไฟแมที่ตอไมแหง และตนไมแหงเปนตน ก็
ไมควร.
แตถาวา ภิกษุจะติดไฟดวยคิดวา เราจักดับไฟที่ยังไมทัน ถึงแผนดินเสียกอนแลวจึงจักไป ดังนี้ ควรอยู. ภายหลังไมอาจเพื่อจะดับได
ไมเปนอาบัติ เพราะไมใชวิสัย ภิกษุถือคบเพลิงเดินไป เมื่อมือถูกไฟไหมจึงทิง้ ลงทีพ ่ ื้น, ไมเปนอาบัติ. ทานกลาวไวในมหาปจจรีวา จะเติมเชื้อ
กอไฟ ในที่คบเพลิงตกนั่นแหละ ควรอยู. ทานกลาวไวในมหาปจจรีนั้นนั่นแลวา ก็ที่มีประมาณเทาใดในแผนดินซึ่งถูกไฟไหม ไอรอนระอุไป
ถึง จะโกยที่ทั้งหมดนั้น ออก ควรอยู. พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม 2 - หนาที่ 264
ก็ภิกษุใด ยังไมรูจะสีใหไฟเกิดดวยไมสีไฟ เอามือหยิบขึน ้ แลวกลาววา ผมจะทําอยางไร ? ภิกษุอื่นบอกวา จงทําใหลุกโพลงขึ้น. เธอ
กลาววา มันจะไหมมือผม จึงบอกวา จงทําอยางที่มันจะไมไหม. แตไมพึงบอกวา จงทิ้งลงที่พื้น. ถาวา เมื่อไฟไหมมือ เธอทิ้งลง ไมเปนอาบัติ
เพราเธอไมไดทิ้งลงดวยตั้งใจวา เราจักเผาแผนดิน. ทานกลาวไวในกุรุนทีวา ถึงจะกอไฟในที่ไฟตกลง ก็ควร
ก็ในคําวา อนาปตฺติ อิม ชาน เปนตน ผูศึกษาพึงทราบใจความอยางนี้ คือ (ไมเปนอาบัติแกภก ิ ษุผูกลาววา) เธอจงรูหลุมสําหรับเสานี,้
จงรูดินเหนียวกอนใหญ จงรูดิน ปนแกลบ จงใหดินเหนียวกอนใหญ จงใหดินปนแกลบ. จงนําดินเหนียวมา. จงนําดิน รวนมา, ตอ งการดิน
เหนียว, ตองการดินรวน จงทําหลุมใหเปนกัปปยะสําหรับเสานี้, จงทําดินเหนียวนาใหเปนกัปปยะ, จงทําดินรวนนี้ใหเปนกัปปยะ.
บทวา อสฺจจ ิ จ
ฺ มีความวา เมื่อภิกษุกลิ้งหินและตนไมเปนตนไปหรือเดินเอาไมเทายัน ๆ ไป แผนดินแตก. แผนดินนั้นชื่อวา อันภิกษุ
ไมไดแกลงทําแตก เพราะเธอไมไดจงใจทําลายอยางนี้วา เราจักทําลาย (แผนดิน) ดวยไมเทานี้, ไมเปนอาบัติแกภิกษุผไู มแกลงทําลาย ดวย
ประการฉะนี้.
บทวา อสติยา มีความวา ภิกษุสงใจไปทางอืน ่ ยืนพูดอะไรกับคนบางคนเอานิว้ หัวแมเทา หรือไมเทาขีดเขียนแผนดินไปพลาง ไมเปน
อาบัติแกภิกษุผูขีดเขียน หรือทําลาย (ดิน) ดวยไมมีสติอยางนี้.
สิกขาบทนี้ เปน สจิตตกะ ปณณัตติวัชชะ
................................................

๑๖๙
ภูตคามวรรคที 2
บทที 1. เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะพรากภูตคามฯ
[354] โดยสมัยนั น พ.ประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี. ครังนั น พวกภิกษุ ชาวรัฐอาฬวีทาํ นวกรรม ตัดต้นไม้เอง
บ้าง ให้คนอืนตัดบ้าง. แม้ภิกษุ ชาวรัฐอาฬวีรูปหนึ งก็ตดั ต้นไม้. เทวดาผูส้ งิ สถิตอยูท่ ีต้นไม้นนั ได้กล่าวคํานีกะภิกษุนันว่า
ท่านเจ้าข้า ท่านประสงค์จะทําทีอยู่ของท่าน โปรดอย่าตัดต้นไม้อนั เป็ นทีอยู่ของข้าพเจ้าเลย. ภิกษุรูปนันไม่เชือฟั งได้
ตัดลงจนได้ แลฟั นถูกแขนทารกลูกของเทวดานัน. เทวดาได้คิดขึนว่า ถ้ากระไรเราพึงปลงชีวิตภิกษุ รูปนี เสีย ณ ทีนี แหละ
แล้วคิดต่อไปว่า ก็การทีเราจะพึงปลงชีวิตภิกษุ รูปนี เสีย ณ ทีนี นันไม่สมควรเลย ถ้ากระไรเราควรกราบทูลเรืองนี แด่พระผูม้ ี
พระภาค ดังนั นเทวดานั นจึงเข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค แล้วกราบทูลเนื อความนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค.
พ.ทรงประทานสาธุการว่า ดีแล้วๆ เทวดา ดีนกั หนาทีท่านไม่ปลงชีวิตภิกษุรูปนัน ถ้าท่านปลงชีวิตภิกษุรูปนันใน
วันนี ตัวท่านจะพึงได้รบั บาปเป็ นอันมาก ไปเถิดเทวดา ต้นไม้ในโอกาสโน้นว่างแล้ว ท่านจงเข้าไปอยู่ทีต้นไม้นัน.
ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พวกพระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึงได้ตดั ต้นไม้เองบ้าง ให้คน
อืนตัดบ้าง? พระสมณะเชือสายพระศากยบุตรทังหลาย ย่อมเบียดเบียนอินทรีย ์ อย่างหนึงซึงมีชีวะ.
ชือว่าภูต เพราะย่อมเกิดย่อมเจริญ หรือเกิดแล้วเจริญแล้ว, คาโม แปลว่า กอง, ภูตคาม จึงแปลว่า กองแห่งภูตทังหลาย
คําว่า ภูตคาม นันเป็ นชือหญ้าและต้นไม้เขียวสดทียืนต้นแล้ว
ภาวะแห่งการพราก คือ ภาวะอันบุคคลพึงบริโภคใช้สอยตามความพอใจด้วยการตัดและการทุบเป็ นต้น อรรถกถา
ภูตคาม ได้แก่ พืช 5 ชนิ ด คือ พืชเกิดจากเง่า, ต้น, ข้อ, ยอด, เมล็ด
พืชเกิดจากเง่า ได้แก่ ขมิน ขิง ว่านนํ า ข่า ฯลฯ พืชเกิดจากยอด ได้แก่ ผักบุง้ ล้อม แมงลัก
พืชเกิดจากต้น ได้แก่ ต้นโพธิ ต้นไทร ต้นเต่าร้าง พืชเกิดจากเมล็ด ได้แก่ ข้าว ถัว งา
พืชเกิดจากข้อ ได้แก่ อ้อย ไม้ไผ่ ไม้ออ้
พีชคาม คือ พืชพันธุอ์ นั ถูกพรากจากทีแล้ว แต่ยงั จะเป็ นได้อีก, พรากพีชคาม เป็ นอาบัติทุกกฏ เลียงเชียง
บทภาชนี ย์ (ลักษณะการพราก คือ)
[พืช ภิกษุ สาํ คัญว่าพืช ตัดเองก็ดี ให้คนอืนตัดก็ดี ทําลายเองก็ดี ใช้คนอืนทําลายก็ดี ต้มเองก็ดี ใช้คนอืนต้มก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย]์
อนาบัติ. 1. ภิกษุ กล่าวว่า ”ท่านจงรูพ้ ืชนี , ท่านจงให้พืชนี , ท่านจงนําพืชนี มา, เรามีความต้องการด้วยพืชนี ,
ท่านจงทําพืชนี ให้เป็ นกัปปิ ยะ”
2. ภิกษุ ไม่แกล้งพราก
บทที 2. พระอนุ บญั ญัติ. เป็ นปาจิตตียใ์ นเพราะความเป็ นผูก้ ล่าวคําอืน ในเพราะความเป็ นผูใ้ ห้ลาํ บากฯ
[358] โดยสมัยนั น พ.ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี. ครังนั น ท่านพระฉันนะประพฤติอนาจารเอง แล้ว
ถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรืองอืนมาพูดกลบเกลือนว่า ใครต้อง ต้องอะไร? ต้องเพราะเรืองอะไร?
ต้องอย่างไร? ท่านทังหลายว่าใคร? ว่าเรืองอะไร?
ความเป็ นผูก้ ล่าวคําอืน(อัญญวาทกกรรม) คือ เอาเรืองอืนมาพูดกลบเกลือน
ความเป็ นผูใ้ ห้ลาํ บาก(วิเหสกกรรม) คือ ไม่ปรารถนาจะบอกเรืองนันจึงนิ งเสีย ทําสงฆ์ให้ลาํ บาก
“สงฆ์จงยกอั ญ ญวาทกกรรม(หรือ วิเ หสกกรรม) อย่า งนี คื อ ภิ ก ษุ ผูฉ้ ลาด พึ ง ประกาศให้ส งฆ์ทราบด้ว ยญัต ติ ทุติย
กรรมวาจาว่าดังนี “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟั งข้าพเจ้า ภิกษุ ฉันนะนี ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรืองอืนมาพูด
กลบเกลือน (หรือ ได้นิงเสีย ทําสงฆ์ให้ลาํ บาก) ถ้าความพร้อมพรังของสงฆ์ถึงทีแล้ว สงฆ์พึงยกอัญญวาทกกรรม(หรือ วิเหสก
กรรม) แก่ภิกษุ ฉันนะ นี เป็ นญัตติ
“ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟั งข้าพเจ้า ภิกษุ ฉันนะนี ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรื องอื นมาพูดกลบ
เกลือน(หรือ ได้นิงเสีย ทําสงฆ์ให้ลาํ บาก) สงฆ์ยกอัญญวาทกกรรม(หรือ วิเหสกกรรม) แก่ภิกษุ ฉันนะ การยกอัญญวาทกกรรม
แก่ภิกษุ ฉันนะ ชอบแก่ผใู ้ ด ท่านผูน้ ั นพึงเป็ นผูน้ ิ ง ไม่ชอบแก่ทา่ นผูใ้ ด ท่านผูน้ ั นพึงพูด
“อัญญวาทกกรรม(หรือ วิเหสกกรรม) อันสงฆ์ยกแล้วแก่ภิกษุ ฉันนะ ชอบแก่สงฆ์เหตุนั นจึงนิ ง ข้าพเจ้าจงความนี ไว้ดว้ ยอย่างนี ฯ

๑๗๐
บทที 3 เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะความเป็ นผูใ้ ห้โพนทะนา ในเพราะความเป็ นผูบ้ ่นว่าฯ
[368] โดยสมัยนั น พ.ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนั .ครังนั นท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตรแก่สงฆ์.
สมัยนั น พระเมตติยะและพระภุมมชกะเป็ นผูบ้ วชใหม่ และมีบุญน้อย. เสนาสนะของสงฆ์ทีเลวและอาหารทีทรามย่อมตก
มาถึงเธอทังสอง. เธอทังสองจึงให้ภิกษุ ทงหลายเพ่
ั งโทษท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า จัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัตร
ตามความพอใจ.
ความเป็ นผูใ้ ห้โพนทะนา คือ อุปสันบันผูอ้ นั สงฆ์สมมติแล้วให้เป็ นผูจ้ ดั เสนาสนะ ฯลฯ หรือแจกของเล็กน้อยก็ตาม ภิกษุ ประสงค์จะแส่โทษ ให้อปั ยศ ให้
เก้อเขิน จึงให้โพนทะนาก็ดี บ่นว่าก็ดี ซึงอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตียฯ์
บทภาชนี ย์ [372] ภิกษุ ให้โพนทะนา หรือบ่นว่าอนุ ปสัมบัน, ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาบัติ. [373] ภิกษุ ผใู ้ ห้โพนทะนา หรือบ่นว่าภิกษุ ผมู ้ ีปกติทาํ เพราะฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ
บทที 4 อนึ ง ภิกษุ ใดวางไว้แล้วก็ดี ให้วางไว้แล้วก็ดี ซึงเตียงก็ดี ตังก็ดี ฟูกก็ดี เก้าอีก็ดี อันเป็ นของสงฆ์ในทีแจ้ง เมือหลีกไปไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้เก็บก็ดี
ซึงเสนาสนะทีวางไว้นัน หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย เป็ นปาจิตตียฯ์
[374] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนั น เป็ นฤดูหนาว ภิกษุ ทงหลายจั
ั ดตังเสนาสนะในทีกลางแจ้ง ผิงกายอยู่, ครันเขา
บอกภัตตกาล เมือจะหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอืนเก็บซึงเสนาสนะนั น ไม่บอกมอบหมายแล้วหลีกไป เสนาสนะถูกนํ าค้าง
และฝนตกชะ.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้เก็บเสนาสนะไว้ในปะรําหรือทีโคนไม้ หรือในทีซึงนกกาหรือนกเหยียวจะไม่ถ่ายมูลรดได้
ตลอด 8 เดือน ซึงกําหนดว่ามิใช่ฤดูฝน.
สิกขาบทวิภงั ค์ [376] ทีชือว่า เตียง ได้แก่ เตียง 4 ชนิ ด คือ เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา 1 เตียงมีแคร่เนื องเป็ นอันเดียวกัน
กับขา 1 เตียงมีขาดังก้ามปู 1 เตียงมีขาจรดแม่แคร่ 1.
ทีชือว่า ตัง ได้แก่ ตัง 4 ชนิ ด คือ ตังมีแม่แคร่สอดเข้าในขา 1 ตังมีแม่แคร่เนื องเป็ นอันเดียวกันกับขา 1 ตังมีขาดัง
ก้ามปู 1 ตังมีขาจรดแม่แคร่ 1.
ทีชือว่า ฟูก ได้แก่ ฟูก 5 ชนิ ด คือ ฟูกขนสัตว์ 1 ฟูกเปลือกไม้ 1 ฟูกเศษผ้า 1 ฟูกหญ้า 1 ฟูกใบไม้ 1.
บทที 5 อนึ ง ภิกษุ ใด ปูแล้วก็ดี ให้ปูแล้วก็ดี ซึงทีนอนในวิหารเป็ นของสงฆ์ เมือหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้เก็บก็ดี ซึงทีนอนอันปูไว้นัน หรือไม่บอก
มอบหมาย ไปเสีย เป็ นปาจิตตียฯ์
[379] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนั น พระสัตตรสวัคคียม์ ีพวก 17 รูปเป็ นสหายกัน เมืออยู่ก็อยู่พร้อมกัน เมือหลีกไป
ก็หลีกไปพร้อมกัน. พวกเธอปูทีนอนในวิหารเป็ นของสงฆ์แห่งหนึ งแล้ว เมือหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ให้คนอืนเก็บซึงทีนอนนั น
ไม่ได้บอกมอบหมาย หลีกไป เสนาสนะถูกปลวกกัด.
ทีชือว่า ทีนอน ได้แก่ ฟูก เครืองลาดรักษาผิวพืน เครืองลาดเตียง เครืองลาดพืน เสืออ่อน ท่อนหนั ง ผ้าปูนัง ผ้าปูนอน
เครืองลาดทําด้วยหญ้า เครืองลาดทําด้วยใบไม้.
บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ สําเร็จการนอนแทรกแซงภิกษุ ผเู ้ ข้าไปก่อน ในวิหารของสงฆ์ ด้วยหมายว่า ผูใ้ ดมีความคับใจ ผูน้ ันจักหลีกไปเอง ทํา
ความหมายอย่างนี เท่านั นให้เป็ นปั จจัย หาใช่อย่างอืนไม่ เป็ นปาจิตตียฯ์
[383] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนั น พระฉัพพัคคียก์ ีดกันทีนอนดีๆ ไว้ ให้พระเถระทังหลายย้ายไปเสีย แล้วคิดกัน
ว่า ด้วยอุบายอะไรหนอ? พวกเราจะพึงอยู่จาํ พรรษา ณ ทีนี แหละ แล้วสําเร็จการนอนแทรกแซงพระเถระทังหลายด้วยหมาย
ใจว่า ผูใ้ ดมีความคับใจ ผูน้ ั นจักหลีกไปเอง.
บทที 7 อนึ ง ภิกษุ ใด โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึงภิกษุ จากวิหารของสงฆ์ เป็ นปาจิตตียฯ์
[387] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนั น พระสัตตรสวัคคียป์ ฏิสังขรณ์วิหารใหญ่แห่งหนึ ง ซึงตังอยู่สุดเขตวัด ด้วย
หมายใจว่าพวกเราจักอยู่จาํ พรรษา ณ ทีนี . พระฉัพพัคคีย์ได้เห็นพระสัตตรสวัคคียผ์ กู ้ าํ ลังปฏิสังขรณ์วิหาร ครันแล้วจึงพูดกัน
อย่างนี ว่า อาวุโสทังหลาย พระสัตตรสวัคคียเ์ หล่านี กําลังปฏิสังขรณ์วิหาร, อย่ากระนั นเลย พวกเราจักไล่พวกเธอไปเสีย.
ภิกษุ บางเหล่าพูดอย่างนี ว่า อาวุโสทังหลาย โปรดรออยู่ก่อน จนกว่าเธอจะปฏิสังขรณ์เสร็จ เมือเธอปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วพวก
เราจึงค่อยไล่ไป.

๑๗๑
ครันพระสัตตรสวัคคียป์ ฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว. พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าวคํานี กะพระสัตตรสวัคคียว์ ่า อาวุโสทังหลาย พวก
ท่านจงย้ายไป วิหารถึงแก่พวกเรา.
พระสัตตรสวัคคียต์ อบว่า อาวุโสทังหลาย พวกท่านควรจะบอกล่วงหน้ามิใช่หรือ? พวกผมจะได้ปฏิสังขรณ์วิหารหลังอืน.
ฉ. อาวุโสทังหลาย วิหารเป็ นของสงฆ์มิใช่หรือ?
ส. ขอรับ วิหารเป็ นของสงฆ์.
ฉ. พวกท่านจงย้ายไป วิหารถึงแก่พวกเรา.
ส. วิหารหลังใหญ่ แม้พวกท่านก็อยู่ได้ แม้พวกผมก็จกั อยู่.
พระฉัพพัคคียก์ ล่าวว่า พวกท่านจงย้ายออกไป วิหารถึงแก่พวกเรา ดังนี แล้ว ทําเป็ นโกรธ ขัดใจ จับคอฉุดคร่าออกไป.
พระสัตตรสวัคคียถ์ ูกฉุดคร่าออกไปก็รอ้ งไห้.
อนาบัติ. [391] ภิกษุ ฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึงภิกษุ อลัชชี 1 ภิกษุ ขนก็ดี ให้ขนก็ดีซึงบริขารของภิกษุ อลัชชี 1
ภิกษุ ฉุดคร่าก็ดี .. ซึงภิกษุ วิกลจริต 1 ภิกษุ ขนก็ดี .. ซึงบริขารของภิกษุ วิกลจริตนั น 1
ภิกษุ ฉุดคร่าก็ดี .. ซึงภิกษุ ผกู ้ ่อการบาดหมางก็ดี ก่อการทะเลาะก็ดี การก่อการวิวาทก็ดี ก่อความอือฉาวก็ดี ก่ออธิกรณ์ใน
สงฆ์ก็ดี 1 ภิกษุ ขนก็ดี .. ซึงบริขารของภิกษุ ผกู ้ ่อการบาดหมางเป็ นต้นนั น 1
ภิกษุ ฉุดคร่าก็ดี ซึงอันเตวาสิก หรือสัทธิวิหารริก ผูป้ ระพฤติไม่เรียบร้อย 1, ภิกษุ ขนก็ดี .. ซึงบริขาร .. 1
บทที 8 อนึ ง ภิกษุ ใด นังทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึงเตียงก็ดี ซึงตังก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็ นของสงฆ์ เป็ นปาจิตตียฯ์
ร้าน ได้แก่ ร้านทีไม่กระทบศีรษะของมัชฌิมบุรุษ
[392] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนั น ภิกษุ 2 รูป อยู่บนร้านในวิหารเป็ นของสงฆ์ รูปหนึ งอยู่ชนล่ ั าง รูปหนึ งอยู่ชนั
บน ภิกษุ อยู่ชนบนนั
ั งทับโดยแรง ซึงเตียงอันมีเท้าเสียบ เท้าเตียงตกโดนศีรษะภิกษุ ผอู ้ ยู่ชนล่
ั าง ภิกษุ นันส่งเสียงร้องลัน ภิกษุ
ทังหลายพากัน วิงเข้าไปถามภิกษุ นันว่า ท่านส่งเสียงร้องทําไม?
บทที 9 อนึ ง ภิกษุ ผใู ้ ห้ทาํ ซึงวิหารใหญ่ จะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู จะบริกรรมช่องหน้าต่าง พึงยืนในทีปราศจากของสดเขียว อํานวยให้
พอกได้ 2-3 ชัน ถ้าเธออํานวยยิงกว่านัน แม้ยืนในทีปราศจากของสดเขียว ก็เป็ นปาจิตตียฯ์
[397] พ.ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี. ครังนั น มหาอํามาตย์อุปัฏฐากของท่านพระฉันนะสร้างวิหาร
ถวายท่านพระฉันนะ. แต่ท่านพระฉันนะสังให้มุงให้โบกฉาบวิหารทีทําสําเร็จแล้วบ่อยครัง. วิหารหนั กเกินไป ได้ทะลายลงมา.
จึงท่านพระฉันนะมัวสาละวนเก็บรวบรวมหญ้าและไม้ ได้ทาํ นาข้าวเหนี ยวของพราหมณ์คนหนึ งให้เสียหาย.
สิกขาบทวิภงั ค์ บทว่า จะวางเช็ดหน้า คือ จะวางประตู.
ถ้าภิกษุ ยืนสังการอยู่ในทีมีของสดเขียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาบัติ. [401] ภิกษุ มุง 2-3 ชัน 1 ภิกษุ มุงหย่อนกว่า 2-3 ชัน 1 ภิกษุ สร้างถํา 1 คูหา 1 กุฎีมุงหญ้า 1 ภิกษุ สร้างกุฎีเพือ
ภิกษุ อืน 1 ภิกษุ สร้างด้วยทรัพย์ของตน 1 ยกอาคารอันเป็ นทีอยู่เสีย ภิกษุ สร้างทุกอย่างไม่ตอ้ งอาบัติ 1

บทที 10 อนึง ภิกษุใด รูอ้ ยูว่ ่านํามีตวั สัตว์ รดก็ดี ให้รดก็ดี ซึงหญ้าก็ดี ดินก็ดี เป็ นปาจิตตียฯ์
[402] พ.ประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี. ครังนั นพวกภิกษุ ชาวรัฐอาฬวี กําลังกระทํานวกรรม รูอ้ ยู่ว่านํ ามีตวั
สัตว์ จึงรดเองบ้าง ให้คนอืนรดบ้าง ซึงหญ้าบ้าง ดินบ้าง
…………………………………………………………………….

๑๗๒
โอวาทวรรคที 3
บทที 1 อนึ ง ภิกษุ ใดไม่ได้รับสมมติ กล่าวสอนพวกภิกษุ ณี เป็ นปาจิตตีย์ฯ
ภิกษุ ณี ได้แก่ สตรีผอู ้ ุปสมบทแล้วในสงฆ์ 2 ฝ่ าย

บทที 2 ถ้าภิกษุ แม้ได้รบั สมมติแล้ว เมือพระอาทิตย์อสั ดงค์แล้ว กล่าวสอนพวกภิกษุ ณี เป็ นปาจิตตียฯ์

บทที 3 อนึ ง ภิกษุ ใด เข้าไปสู่ทีอาศัยแห่งภิกษุ ณีแล้ว สังสอนพวกภิกษุ ณี เว้นไว้แต่สมัย เป็ นปาจิตตีย์ สมัยในเรืองนั นดัง นี
คือ ภิกษุ ณีอาพาธ นี เป็ นสมัยในเรืองนั นๆ

บทที 4 อนึ ง ภิกษุ ใด กล่าวอย่างนี ว่า พวกภิกษุ สังสอนพวกภิกษุ ณีเพราะเหตุอามิส เป็ นปาจิตตียฯ์

บทที 5 อนึ ง ภิกษุ ใด ให้จีวรแก่ภิกษุ ณี ผูม้ ิใช่ญาติ เว้นไว้แต่แลกเปลียน เป็ นปาจิตตียฯ์

บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใด เย็บก็ดี ให้เย็บก็ดี ซึงจีวร เพือภิกษุ ณีผมู ้ ิใช่ญาติ เป็ นปาจิตตียฯ์

บทที 7 อนึ ง ภิ ก ษุ ใ ดชัก ชวนกันแล้วเดิ น ทางไกลด้ว ยกัน กับ ภิ ก ษุ ณี โดยที สุ ด แม้สิ นระยะบ้า นหนึ ง เว้น ไว้แ ต่ ส มัย เป็ น
ปาจิตตีย์ นี สมัยในเรืองนั น ทางเป็ นทีจะต้องไปด้วยพวกเกวียน รูก้ นั อยู่ว่าเป็ นทีน่ ารังเกียจ มีภยั เฉพาะหน้า นี สมัย
ในเรืองนั นๆ

บทที 8 อนึ ง ภิกษุ ใดชักชวนกันแล้ว โดยสารเรือลํ าเดียวกับ ภิ กษุ ณี ขึ นนํ าไปก็ดี ล่ องนํ าไปก็ดี เว้นไว้แต่ขา้ มฟาก เป็ น
ปาจิตตียฯ์

บทที 9 อนึ ง ภิกษุ ใดรูอ้ ยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุ ณีแนะนํ าให้ถวาย เว้นแต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน เป็ นปาจิตตียฯ์

บทที 10 อนึ ง ภิกษุ ใด ผูเ้ ดียว สําเร็จการนั งในทีลับกับภิกษุ ณีผเู ้ ดียว เป็ นปาจิตตียฯ์
………………………………………………………………………………..

แทรก ภิกขุณีวิภังค์ ครุธรรม ๘ ประการ อันตรธาน


หน้า ๒๘๖

๑๗๓
โภชนวรรคที 4 (โภชนะ แปลว่า ของบริโภค ของฉัน) วิ.ม.2/470/424 วิฆาสะ=อาหารเดน=คนกินเดน
บทที 1. ภิกษุ ฉนั อาหารจากโรงทานทัวไป ได้อย่างมากเพียงวันเว้นวัน (ห้ามฉันต่อกันตังแต่ 2 วันขึนไป)
พระอนุ บญ
ั ญัติ. ภิกษุ ผมู ้ ิใช่ผูอ้ าพาธ พึงฉันอาหารในโรงทานได้ครังหนึ ง ถ้าฉันยิงกว่านั น เป็ นปาจิตตีย ์
อาหารในโรงทาน ได้แก่ โภชนะ 5 อย่างใดอย่างหนึ งซึงเขาจัดตังไว้ มิได้จาํ เพาะใคร มีพอแก่ความต้องการ
[470] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ณ สถานอันไม่หา่ งจากพระนครสาวัตถีนน ั มีประชาชน หมู่หนึ งได้จดั ตังอาหารไว้ในโรงทาน.
พระฉัพพัค คีย์ค รองผ้า เรียบร้อยแล้ว ถือบาตรจีวรเข้า ไปบิณ ฑบาตยังพระนครสาวัต ถี , เมื อไม่ได้อาหาร ได้พากันไปสู่โ รงทาน.
ประชาชนตังใจอังคาสด้วยดีใจว่า แม้ต่อนานๆ ท่านจึงได้มา. ครันวันที 2 และวันที 3 เวลาเช้า พระฉัพพัคคีย์ครองอันตรวาสกแล้ว ถือ
บาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี, เมือไม่ได้อาหาร ได้พากันไปฉันในโรงทาน. ครันแล้วได้ปรึกษากันว่า พวกเราจักพา
กันไปสู่อารามทํา อะไรกัน แม้พรุ่งนี ก็จกั ต้องมาทีนี อีก จึงพากันอยู่ใ นโรงทานนันแหละ, ฉันอาหารในโรงทานเป็ นประจํา . พวก
เดียรถีย์พากันหลีกไป. ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกพระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้อยูฉ ่ น
ั อาหารใน
โรงทานเป็ นประจํา อาหารในโรงทานเขามิได้จดั ไว้เฉพาะท่านเหล่านี, เขาจัดไว้เพือคนทัวๆ ไป.
[471] สมัยต่อมา ท่า นพระสารีบุตร เดินทางไปพระนครสาวัตถีในโกศลชนบท ได้ไปยังโรงทานแห่งหนึ ง. ประชาชนตังใจอังคาส
ด้วยดี ใ จว่า แม้ต่อนานๆ พระเถระจึงได้มา. ครันท่า นพระสารีบุตรฉันอาหารแล้ว บังเกิดอาพาธหนัก ไม่สามารถจะหลีกไปจากโรง
ทานนันได้. ครันวันที 2 ประชาชนพวกนันได้กราบเรียนท่านว่า นิมนต์ฉน ั เถิด เจ้าข้า. จึงท่านพระสารีบุตรรังเกียจอยูว่ า่ พระผู้มีพระ
ภาคทรงห้ามการอยูฉ ่ น
ั อาหารในโรงทานเป็ นประจํา ดังนี จึงไม่รบั นิมนต์ ท่านได้ยอมอดอาหารแล้ว. ครันท่านเดินทางไปถึงพระนคร
สาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลายๆ
ั ได้กราบทูลเนือความนันแด่พระผู้มีพระภาค.
อนาบัติ เจ้าของนิ มนต์ให้ฉัน 1 ภิกษุ ฉันอาหารทีเขาจัดไว้จาํ เพาะ 1
ภิกษุ ฉันอาหาร ทีเขามิได้จดั ไว้มากมาย 1 ภิกษุ ฉันอาหารทุกชนิ ดเว้นโภชนะห้า 1
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 205
1. เป็ นก้อนข้าวในโรงทาน 3. เฝ้ าฉันอยู่
2. ไม่เป็ นไข้ พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

บทที 2. ถ้าญาติโยมนิมนต์ฉนั โดยแจ้งชืออาหารไว้กอ่ นว่าจะทําอะไรถวาย แล้วไปรับของนันมา หรือฉัน


ตังแต่ 4 รูปขึนไป ต้องปาจิตตีย ์ เว้นแต่ สมัยหน้าจีวรกาล เดินทางไกล ไปทางเรือ อยูม่ ากบิณฑบาตไม่พอฉัน
พระอนุ บญั ญัติ. เว้นไว้แต่สมัย เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะฉันเป็ นหมู่, นี สมัยในเรืองนั น คือคราวอาพาธ คราวทีเป็ นฤดูถวาย
จีวร, คราวทีทาํ จีวร คราวทีเดินทางไกล คราวทีโดยสารเรือไป คราวประชุมใหญ่ คราวภัตของสมณะ นี เป็ นสมัยในเรืองนั นฯ
นวโกวาท. ถ้าทายกเขามานิ มนต์ ออกชือโภชนะทัง 5 อย่าง คือ ข้าวสุกขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื อ อย่างใดอย่างหนึ ง ถ้าไปรับ
ของนั นมา หรือฉันของนั นพร้อมกันตังแต่ 4 รูปขึนไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือ เป็ นไข้อย่าง1 หน้าจีวรกาลอย่าง1 เวลาทํา
จีวรอย่าง1 เดินทางไกลอย่าง1 ไปทางเรืออย่าง1 อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง1 โภชนะเป็ นของสมณะอย่าง 1.
สิกขาบทวิภงั ค์ [483] ทีชือว่า ฉันเป็ นหมู่ คือ คราวทีมีภิกษุ 4 รูปอันเขานิ มนต์ดว้ ยโภชนะ 5 อย่างใดอย่างหนึ ง แล้วฉัน ในชือว่าฉันเป็ นหมู.่
ทีชือว่า คราวอาพาธ คือ โดยทีสุดแม้เท้าแตก ภิกษุ คิดว่าเป็ นคราวอาพาธแล้วฉันได้
ทีชือว่า คราวทีเป็ นฤดูถวายจีวร คือ เมือกฐินยังไม่ได้กราน กําหนดท้ายฤดูฝน 1 เดือน เมือกฐินกรานแล้ว 5 เดือน ภิกษุ คิดว่าเป็ นคราวทีเป็ นฤดู
ถวายจีวร แล้วฉันได้.
ทีชือว่า คราวทีทําจีวร คือ เมือภิกษุ กาํ ลังทําจีวรกันอยู่ ภิกษุ คิดว่าเป็ นคราวทีทําจีวร แล้วฉันได้
ทีชือว่า คราวเดินทางไกล คือ ภิกษุ คิดว่า จักเดินทางไปถึงกึงโยชน์ แล้วฉันได้ เมือจะไปก็ฉนั ได้ มาถึงแล้วก็ฉนั ได้.
ทีชือว่า คราวโดยสารเรือไป คือ ภิกษุ คิดว่า เราจักโดยสารเรือไป แล้วฉันได้ เมือจะโดยสารไปก็ฉนั ได้ โดยสารกลับมาแล้วก็ฉนั ได้.
ทีชือว่า คราวประชุมใหญ่ คือ คราวทีมีภิกษุ 2 - 3 รูปเทียวบิณฑบาตพอเลียงกัน แต่เมือมีรูปที 4 มารวมด้วย ไม่พอเลียงกัน ภิกษุ คิดว่าเป็ นคราว
ประชุมใหญ่ แล้วฉันได้.
ทีชือว่า คราวภัตของสมณะ คือ คราวทีมีผใู ้ ดผูห้ นึ งซึงนับเนื องว่าเป็ นนักบวชทําภัตตาหารถวาย ภิกษุ คิดว่าเป็ นคราวภัตของสมณะ แล้วฉันได้.
นอกจากสมัย ภิกษุ รบั ว่า จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติปาจิตตีย ์ ทุก ๆ คํากลืน.
(àŋÁ 4 ˹ŒÒ 467 ÁÁÃ.) ¤íÒÇ‹Ò âÂ â¡¨Ô »ÃÔ¾¾Ú Òª¡ÊÁÒ»¹Ú⹠䴌ᡋ ºÃôҾǡÊ˸ÃÃÁÔ¡¡ç´Õ ¾Ç¡à´ÕÂöՏ¡ç´Õ ¹Ñ¡ºÇª¾Ç¡ã´¾Ç¡Ë¹Öè§,
¡çàÁ×è͹ѡºÇªÁÕÊ˸ÃÃÁԡ໚¹µŒ¹àËŋҹÑé¹ ÃÙ»ã´Ãٻ˹Ö觷íÒÀѵµÒËÒÃáÅŒÇ ÀÔ¡Éؾ֧͸ÔÉ°Ò¹Ç‹Ò à»š¹¤ÃÒÇÀѵ¢Í§ÊÁ³Ð áŌǩѹà¶Ô´.
นิ ทานต้นบัญญัติ [วิ.ม.2/475/427] โดยสมัยนั น พระผูม้ ีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนั วิหาร ครังนั น พระเทวทัตเสือมจากลาภและ
สักการะ พร้อมด้วยบริษัทเทียวขออาหารในตระกูลทังหลายมาฉัน ประชาชนเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึง
ได้เทียวขออาหารในตระกูลทังหลายมาฉันเล่า โภชนะทีดีใครจะไม่พอใจ อาหารทีอร่อยใครจะไม่ชอบใจ
พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้พร้อมด้วยบริษัทเทียวขออาหารในตระกูลทังหลายมาฉันเล่า ...

๑๗๔
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท พระบัญญัติ. เป็ นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็ นหมู่.
(วิ.จุล.7/384/127) ครังนัน พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค .. กราบทูลพระผูม้ ีพระภาค ขอประทานพระวโรกาส วัตถุ 5
ประการ คือ .. การอยูป่ ่ าเป็ นวัตรตลอดชีวิต .. บิณฑบาตเป็ นวัตรตลอดชีวิต .. ถือผ้าบังสุกุลเป็ นวัตรตลอดชีวิต .. อยูโ่ คนไม้เป็ นวัตรตลอดชีวิ ต..
ไม่พึงฉันปลาและเนื อตลอดชีวิต
พระผูม้ ีพระภาครับสังว่า อย่าเลย เทวทัต ภิกษุ ใดปรารถนา ภิกษุ นัน จงถือ ...
ต่อมา พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปสูก่ รุงราชคฤห์แล้ว ประกาศให้ประชาชนเข้าใจวัตถุ 5 ประการ, ภิกษุ ทงหลาย ั .. บรรดาทีเป็ นผูม้ กั
น้อย .. ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพือทําลายสงฆ์ เพือทําลายจักร แล้วกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระ
ภาคเจ้า.
พระผูม้ ีพระภาคเจ้า . . . ทรงสอบถามว่า ดูก่อนเทวทัต ข่าวว่า เธอพยายามเพือทําลายสงฆ์ เพือทําลายจักร จริงหรือ.
พระเทวทัตทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าเลย เทวทัต เธออย่าชอบใจการทําลายสงฆ์ เพราะการทําลายสงฆ์มีโทษหนักนัก ผูใ้ ดทําลายสงฆ์ผพู ้ ร้อมเพ
รีองกัน ย่อมประสบโทษตังกัป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ส่วนผูใ้ ดสมานสงฆ์ผแู ้ ตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน ย่อมประสบบุญอันประเสริฐ ย่อม
บันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป อย่าเลย เทวทัต เธออย่าชอบใจการทําลายสงฆ์เลย เพราะการทําลายสงฆ์มีโทษหนักนัก.
[387] ครังนั นเป็ นเวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งอันตรวาสก ถื อบาตร จีวร เข้าไปบิ ณฑบาตยังกรุ งราชคฤห์ พระเทวทัตได้พบท่านพระอานนท์
กําลังเทียวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์แล้วได้กล่าวว่า ท่านอานนท์ ตังแต่วนั นี เป็ นต้นไป ผมจักทําอุโบสถ จักทําสังฆ
กรรม แยกจากพระผูม้ ีพระภาคเจ้า แยกจากภิกษุ สงฆ์ (เรืองพระเทวทัต มาใน ขุ.ธ.อ.40 หน้า 181 มมร.)

นิทานต้นบัญญัติ. (àŋÁ 4 ˹ŒÒ 471 ÁÁÃ.) ÇÔ¹Ô¨©ÑÂã¹ÊÔ¡¢Òº··Õè 2 ¾Ö§·ÃÒº´Ñ§¹Õé


º·Ç‹Ò »ÃÔËÕ¹ÅÒÀÊ¡Ú¡Òâà ÁÕ¤ÇÒÁÇ‹Ò ä´ŒÂÔ¹Ç‹Ò ¾ÃÐà·Ç·Ñµ¹Ñé¹á¹Ð¹íÒãˌ¾ÃÐ਌ÒͪҵÈѵÃٻŧ¾ÃЪ¹Á¾ÃÐÃÒªÒ¡ç´Õ ÊÑ觹Ò¢Áѧ
¸¹Ùä» (à¾×èͻŧ¾ÃЪ¹Á¾Ãе¶Ò¤µ) ¡ç´Õ ·íÒâÅËԵػºÒ·¡ç´Õ 䴌໚¹¼ÙŒÅÕéÅѺ»¡»´, ᵋã¹àÇÅһŋͪŒÒ§¸¹ºÒÅ¡ä»ã¹¡ÅÒ§ÇѹáÊ¡ æ ¹Ñè¹
áŠ䴌à¡Ô´à»´à¼Â¢Öé¹. ¤×ÍÍ‹ҧäà ? ¤×Í à¾ÃÒÐÇ‹Ò àÁ×èÍà¡Ô´¾Ù´¡Ñ¹¢Öé¹Ç‹Ò ¾ÃÐà·Ç·Ñµ»Å‹ÍªŒÒ§ä» (à¾×èͻŧ¾ÃЪ¹Á¾Ãе¶Ò¤µ) ¡ç䴌໚¹¼ÙŒ
»ÃÒ¡¯ªÑ´Ç‹Ò ÁÔ㪋ᵋ»Å‹ÍªŒÒ§Í‹ҧà´ÕÂÇ áÁŒ¾ÃÐÃÒªÒ ¾ÃÐà·Ç·Ñµ¡çãˌ»Å§¾ÃЪ¹Á ¶Ö§¾Ç¡¹Ò¢Áѧ¸¹Ù¡çʋ§ä» áÁŒÈÔÅÒ¡ç¡ÅÔé§, ¾ÃÐà·Ç·Ñµ
໚¹¤¹ÅÒÁ¡. áÅÐàÁ×èÍÁռٌ¶ÒÁÇ‹Ò ¾ÃÐà·Ç·Ñµä´Œ·íÒ¡ÃÃÁ¹ÕéËÇÁ¡Ñºã¤Ã ? ªÒÇàÁ×ͧ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ¡Ñº¾ÃÐ਌ÒͪҵÈѵÃÙ. ã¹ÅíҴѺ¹Ñé¹ ªÒÇàÁ×ͧ¡ç
ÅØ¡Î×Í¢Öé¹ ¾Ù´Ç‹Ò ä©¹Ë¹Í ¾ÃÐÃÒªÒ¨Ö§à·ÕèÂÇÊÁ¤ºâ¨Ã¼ÙŒà»š¹àÊÕé¹˹ÒÁµ‹Í¾ÃÐÈÒʹÒàËç¹»Ò¹¹ÕéàÅ‹Ò ? ¾ÃÐÃҪҷç·ÃÒº¤ÇÒÁ¡íÒàÃÔº
¢Í§ªÒÇàÁ×ͧ ¨Ö§·Ã§¢ÑºäÊäŋʋ§¾ÃÐà·Ç·Ñµä»àÊÕ áÅеÑé§áµ‹¹Ñé¹ÁÒ¡ç·Ã§µÑ´ÊíÒÃѺ 500 ÊíÒÃѺ áˋ§¾ÃÐà·Ç·Ñµ¹Ñé¹àÊÕÂ. áÁŒ·ÕèºíÒÃا¾ÃÐ
à·Ç·Ñµ¹Ñé¹ ¡çÁÔ䴌àÊ´ç¨ä», ¶Ö§ªÒǺŒÒ¹¾Ç¡Í×蹡çäÁ‹ÊíҤѭ¢Í§ÍÐäÃ æ ·Õè¨Ð¾Ö§¶ÇÒ ËÃ×;֧·íÒᡋ¾ÃÐà·Ç·Ñµ¹Ñé¹ . ´ŒÇÂà˵عÑé¹ ¾ÃиÃÃÁ
Êѧ¤ÒË¡Ò¨ÒϨ֧¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ÁÕÅÒÀáÅÐÊÑ¡¡ÒÃÐàÊ×èÍÁÊÔé¹áŌÇ.
¢ŒÍÇ‹Ò ¡Øà ÅÊØ ÇÔÚ Ò໵ÚÇÒ ÇÔÚ Ò»µÚÇÒ Àؐڪ µÔ ÁÕ¤ÇÒÁNjҾÃÐà·Ç·Ñµ¹Ñé¹ ´íÒÃÔÇ‹Ò ¤³Ð¢Í§àÃÒÍ‹Ò䴌ᵡ¡Ñ¹àÅ àÁ×èͨÐàÅÕé§
ºÃÔÉÑ· ¨Ö§ä´Œ¾ÃŒÍÁ´ŒÇºÃÔÉÑ·à·ÕèÂÇ¢ÍÍÒËÒéѹÍÂً㹵ÃСÙÅ·Ñé§ËÅÒÂÍ‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ·‹Ò¹¨§¶ÇÒÂÀѵᡋÀÔ¡ÉØ 1 ÃÙ» ·‹Ò¹¨§¶ÇÒÂᡋÀÔ¡ÉØ 2 ÃÙ»
´Ñ§¹Õé.
º·Ç‹Ò ¤³âÀªà¹ ¤×Í ã¹à¾ÃÒСÒéѹ¢Í§ËÁً (ã¹à¾ÃÒСÒéѹ໚¹ËÁً) ¡çã¹ÊÔ¡¢Òº·¹Õé ·Ã§»ÃÐʧ¤àÍÒÀÔ¡ÉصÑé§áµ‹ 4 ÃÙ»¢Öé¹ä» ª×èÍ
Ç‹Ò ¤³Ð (ËÁً).
อนาปั ตติวาร [485]
ภิกษุ ฉันในสมัย 1 ภิกษุ 2-3 รูปฉันรวมกัน 1 ภิกษุ หลายรูปเทียวบิณฑบาตแล้วประชุมฉันแห่งเดียวกัน 1
ภัตเขาถวายเป็ นนิ ตย์ 1 ภัตเขาถวายตามสลาก 1 ภัตเขาถวายในปั กข์ 1 ภัตเขาถวายในวันอุโบสถ 1
ภัตเขาถวายในวันปาฎิบท 1 ภิกษุ ฉันอาหารทุกชนิ ด เว้นโภชนะห้า 1 ภิกษุ วิกลจริต 1 ภิกษุ อาทิกมั มิกะ 1 ไม่ตอ้ งอาบัติแล.

บทที 3. รับนิ มนต์ทีหนึ งไว้แล้ว แล้วกลับไปฉันอีกทีหนึ ง ต้องอาบัติปาจิตตีย ์


พระอนุ บญ
ั ญัติ. เว้นไว้แต่สมัย เป็ นปาจิตตีย ์ เพราะโภชนะทีหลัง, นี สมัยในเรืองนี คือ คราวเป็ นไข้ คราวทีถวายจีวร คราวทีทาํ
จีวร นี สมัยในเรืองนั นฯ
ปรัมปรโภชนะ ความว่า ภิกษุ รบั นิ มนต์ดว้ ยโภชนะ 5 อย่างใดอย่างหนึ งไว้แล้ว เว้นโภชนะนันฉันโภชนะ 5 อย่างใดอย่างหนึ งอืน นี ชือว่า โภชนะทีหลัง
[486] พ.ประทับ อยู่ ณ กูฏ าคารศาลาป่ ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี. ครังนัน ประชาชนได้จดั ตังลําดับภัต ตาหารอันประณี ตไว้ใน
พระนครเวสาลี. คราวนัน กรรมกรเข็ญใจคนหนึ งดําริวา่ ทานนีจักไม่เป็ นกุศลเล็กน้อย เพราะประชาชนพวกนีทําภัตตาหารโดยเคารพ
ผิฉะนัน เราควรทําภัตตาหารบ้าง ดังนันเขาจึงเข้าไปหานายกิรปติกะบอกความจํานงว่าคุณครับ กระผมปรารถนาจะทําภัตตาหารถวาย
ภิกษุ สงฆ์มี พระพุทธเจ้าเป็ นประมุข , ขอท่า นโปรดให้คา่ จ้างแก่กระผม แม้นายกิรปติกะนัน ก็เป็ นคนมี ศ รัทธาเลือมใส เขาจึงได้ให้
ค่าจ้างแก่กรรมกรเข็ญใจนันเกินปกติ ฝ่ ายกรรมกรเข็ญใจนัน ได้เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีสมควรส่วนข้า ง
หนึ ง ครันแล้วได้กราบทูลอาราธนาว่า ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพือเจริญ
บุญกุศลและปี ติปราโมทย์ ในวันพรุง่ นีด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุ สงฆ์หมู่ใหญ่นกั เธอจงทราบ. กรรมกรนันกราบทูลว่า ภิกษุ สงฆ์หมู่ใหญ่ก็ไม่เป็ นไร พระพุทธเจ้า
ข้า. ผลพุทราข้าพระพุทธเจ้าจัดเตรียมไว้มาก อาหารทีเป็ นเครืองดืมเจือด้วยพุทราจักบริบูรณ์ .
พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ ... ภิกษุ ทงหลายทราบข่
ั าวว่า กรรมกรเข็ญใจผู้หนึ ง นิมนต์ภิกษุ สงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็ นประมุข เพือฉันในวันพรุง่ นี, อาหารทีเป็ นเครืองดืมเจือด้วยผลพุทราจักบริบูรณ์ เธอจึงเทียวบิณฑบาตฉันเสียแต่เช้า.

๑๗๕
ชาวบ้านทราบข่าวว่า กรรมกรเข็ญใจผู้หนึ งได้นิมนต์ภิกษุ สงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็ นประมุข เขาจึงนําของเคียวของฉันเป็ นอันมาก
ไปช่วยกรรมกรเข็ญใจ. ส่วนกรรมกรเข็ญใจผู้นน ั สังให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณี ต โดยล่วงราตรีนน ั แล้วให้ไปกราบทูล
ภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ได้เวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
ขณะนันแลเป็ นเวลาเช้า พระผู้มี พระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงบาตรจีวรเสด็จไป ยังทีอยู่ของกรรมกรเข็ญใจผู้นน ั ประทับนัง
เหนือพุทธอาสน์ทีเขาจัดถวายพร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์. จึงกรรมกรเข็ญใจผู้นนอั ั งคาสภิกษุ ทงหลายในโรงภั
ั ตตาหาร.
ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นกล่าวอย่างนีว่า อาวุโส จงถวายแต่น้อยเถิด, จงถวายแต่น้อยเถิด.
กรรมกรกราบเรียนว่า พระคุณ เจ้าทังหลาย โปรดอย่า เข้าใจว่า กระผมนี เป็ นกรรมกรเข็ญใจ แล้วรับ แต่น้อยๆ เลย เจ้า ข้า . ของ
เคียวของฉันกระผมได้จดั หาไว้มากมาย ขอพระคุณเจ้าทังหลายได้โปรดเรียกร้องตามประสงค์เถิด เจ้าข้า.
ภิกษุ ทงหลายตอบว่
ั า พวกฉันขอรับแต่น้อยๆ มิใ ช่เพราะเหตุนนเลย
ั เพราะพวกฉันเทียวบิณฑบาตฉันมาแต่เช้า แล้วต่างหาก
ฉะนัน พวกฉันจึงขอรับแต่น้อยๆ.
ลําดับนันแล กรรมกรเข็ญใจผู้นนจึั งเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าผู้เจริญทังหลาย อันข้าพเจ้านิมนต์ไว้แล้ว จึง
ได้ฉนั เสียในทีอืนเล่า? ข้าพเจ้าไม่สามารถจะถวายให้เพียงพอแก่ความต้องการหรือ.
อนาบัติ. 1. ภิกษุ ฉันบิณฑบาตทีรับนิ มนต์ไว้ 2-3 แห่งรวมกัน
2. ภิกษุ รบั นิ มนต์ชาวบ้านทังมวลแล้วฉัน ณ ทีแห่งใดแห่งหนึ งในตําบลนั น
3. ภิกษุ ถูกเขา(ผูน้ ิ มนต์ก่อน) นิ มนต์ แต่บอกว่า จักรับภิกษา(คือบอกเพียงว่าจะไปรับเท่านัน)
4. ภัตตาหารทีเขา(ผูน้ ิ มนต์ทีหลังหรือไม่ได้นิมนต์ไว้ก่อน) ถวายเป็ นนิ ตย์
5. ภิกษุ ฉันอาหารทุกชนิ ด เว้นโภชนะ 5
บทที 4 อนึ ง เขาปวารณาเฉพาะภิกษุ ผเู ้ ข้าไปสู่ตระกูล ด้วยขนมก็ดี ด้วยสัตตุผงก็ดี เพือนําไปได้ตามปรารถนา ภิกษุ ผตู ้ อ้ งการพึงรับได้เต็ม 2-3 บาตร
ถ้ารับยิงกว่านันเป็ นปาจิตตีย ์ นําออกจากทีนันแล้ว พึงแบ่งปั นกับภิกษุทงหลายนี
ั เป็ นสามีจิกรรมในเรืองนันๆ
ทีชือว่า ขนม ได้แก่ ของกินชนิ ดใดชนิ ดหนึ งทีเขาจัดเตรียมไว้ เพือต้องการเป็ นของ กํานัล.
ทีชือว่า สัตตุผง ได้แก่ ของกินอย่างใดอย่างหนึ งทีเขาจัดเตรียมไว้เพือต้องการเป็ นเสบียง.
คําว่า ถ้ารับยิงกว่านัน ความว่า รับเกินกว่ากําหนดนัน ต้องอาบัติปาจิตตีย ์ ครันรับเต็ม 2-3 บาตรแล้ว ออกจากทีนันไปพบภิกษุ แล้วพึงบอกว่า
ณ สถานทีโน้นกระผมรับเต็ม 2-3 บาตรแล้ว ท่านอย่ารับ ณ ทีนันเลย ถ้าพบแล้วไม่บอก ต้องอาบัติทุกกฏ ถ้าเมือบอกแล้ว ภิกษุ ผรู ้ บั บอกยังขืนรับ
ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรืองอุบาสิกาชือกาณมาตา
[494] โดยสมัยนัน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครัง
นัน อุบาสิกาชือกาณมาตาเป็ นสตรีผม ู้ ีศรัทธาเลือมใส ได้ยกบุตรีชือกาณาให้แก่ชายผู้หนึงในตําบลบ้านหมู่หนึ ง ครังนัน นางกาณาได้
ไปเรือนมารดาด้วยธุระบางอย่าง ฝ่ ายสามีของนางกาณาได้สง่ ทูตไปในสํานักนางกาณาว่า แม่กาณาจงกลับมา, ฉันปรารถนาให้แม่
กาณากลับ จึงอุบาสิกาชือกาณมาตาคิดว่า การทีบุตรีจะกลับไปมือเปล่า ดูกระไรอยู่ จึงได้ทอดขนม เมือขนมสุกแล้ว ภิกษุ ผู้ถือเทียว
บิณฑบาตรูปหนึงได้เข้ามาถึงบ้านอุบาสิกากาณมาตา จึงอุบาสิกากาณมาตาสังให้ถวายขนมแก่ภิกษุ รูปนัน ภิกษุ รป ู นันออกไปแล้ว ได้
บอกแก่ภก ิ ษุ รป
ู อืน นางก็ได้สงให้
ั ถวายขนมแม้แก่ภิกษุ รูปนัน ภิกษุ รูปนันออกไปแล้ว ได้บอกแก่ภิกษุ รป ู อืน นางก็ได้สงให้
ั ถวายขนม
แม้แก่ภิกษุ รูปนัน ขนมตามทีจัดไว้ได้ หมดสินแล้ว.
แม้คราวทีสอง สามีของนางกาณาก็ได้สง่ ทูตไปในสํานักนางกาณาว่า แม่กาณาจงกลับมา …
แม้คราวทีสอง อุบาสิกากาณมาตาก็คด ิ ว่า การทีบุตรีจะกลับไปมือเปล่าดูกระไรอยู่ จึงได้ทอดขนม เมือขนมสุกแล้ว ภิกษุ ผถู้ ือ
เทียวบิณฑบาตรูปหนึง ได้เข้ามาถึงบ้านอุบาสิกากาณมาตา ... แล้วได้บอกแก่ภิกษุ รูปอืน …
แม้คราวทีสาม สามีของนางกาณาก็ได้สง่ ทูตไปในสํานักนางกาณาว่า แม่กาณาจงกลับมา ฉันปรารถนาให้แม่กาณากลับมา ถ้า
แม่กาณาไม่กลับ ฉันจักนําหญิงอืนมาเป็ นภรรยา.
แม้คราวทีสาม อุบาสิกากาณมาตาก็คด ิ ว่า การทีบุตรีจะกลับไปมือเปล่าดูกระไรอยู่ จึงได้ทอดขนม เมือขนมสุกแล้ว ภิกษุ ผถ ู้ ือ
เทียวบิณฑบาต ...
ครันสามีของนางกาณานําหญิงอืนมาเป็ นภรรยาแล้ว พอนางกาณาทราบข่าวว่า สามีได้นาํ หญิงอืนมาเป็ นภรรยา นางได้ยืนร้องไห้อยู.่
ขณะนันแลเป็ นเวลาเช้า, พ. ทรงบาตรจีวร เสด็ จเข้า ไปถึงบ้านอุบาสิกากาณมาตา.. พ. ตรัสถามอุบาสิกากาณมาตา.. ว่า นาง
กาณานี ร้องไห้ทาํ ไม? จึงอุบาสิกากาณมาตากราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค พ.ทรงชีแจงให้อุบาสิกากาณมาตาเห็นแจ้ง สมาทาน
อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาแล้ว ทรงลุกจากทีประทับเสด็จกลับ.
เรืองพ่อค้า
[495] พ่อค้าเกวียนพวกหนึ งประสงค์จะเดินทางไปยังถินตะวันตก จากพระนครราชคฤห์ ภิกษุ ผู้ถือเทียวบิณฑบาตรูปหนึ ง ได้
เข้าไปบิณฑบาตถึงพวกพ่อค้าเกวียนหมู่นน ั อุบาสกคนหนึ งได้สงให้
ั ถวายข้าวสัตตุแก่ภกิ ษุ นนๆ
ั ออกไปแล้วได้บอกแก่ภิกษุ รูปอืน …
เสบียงตามทีเขาได้จดั เตรียมไว้ได้หมดสินแล้ว จึงอุบาสกนันได้บอกแก่คนพวกนัน (พ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่) ว่า วันนีท่านทังหลายจงรอ
ก่อน เพราะเสบียงตามทีเรา (ตัวผม) ได้จดั เตรียมไว้ ได้ถวายพระคุณเจ้าทังหลายไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าจักจัดเตรียมเสบียงก่อน คน
พวกนันกล่าวว่า พวกกระผมไม่สามารถจะคอยได้ ขอรับ เพราะพวกพ่อค้าเกวียนเริมเดินทางแล้ว ดังนี แล้วได้พากันไป.
เมืออุบาสกนันตระเตรียมเสบียงเสร็จแล้ว เดินทางไปภายหลัง (โดยลําพัง) จึงถูกพวกโจรแย่งชิงทรัพย์สน ิ ไป
ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้ร ับอย่างไม่รป ู ้ ระมาณ อุบาสกนีถวาย
เสบียงแก่พระสมณะเหล่านีแล้ว จึงเดินทางไปภายหลังได้ถก ู พวกโจรแย่งชิง.

๑๗๖
บทที 5. พระอนุ บญ
ั ญัติ. ภิกษุ ใดฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว เคียวก็ดี ฉันก็ดี ซึงของเคียวก็ดี ซึงของฉันก็ดี อันมิใช่เดน เป็ นปาจิตตีย ์
a.

ลักษณะการห้ามภัต คือ กําลังฉันอาหารอยู-่ ทายกนําโภชนะมาถวายอีก-ทายกอยูใ่ นหัตถบาส-ทายกน้อมถวาย-ภิกษุ หา้ มเสีย


เป็ นเดน คือ 1. ของทีทําให้เป็ นกัปปิ ยะแล้ว-ภิกษุ รบั ประเคนแล้ว-ภิกษุ ยกขึนส่งให้-ทําในหัตถบาส-ภิกษุ ฉนั แล้วทําหรือฉันเสร็จห้ามภัตแล้ว ยังไม่ลุก
จากอาสนะทํา-ภิกษุ พดู ว่า ทังหมดนันพอแล้ว เป็ นเดนภิกษุ อาพาธ
มิใช่เดน คือ ของทียังมิได้ทาํ ให้เป็ นกัปปิ ยะ 1 ภิกษุ มิได้รบั ประเคน 1 ภิกษุ มิได้ยกขึนส่งให้ 1 ทํานอกหัตถบาส 1 ภิกษุ ฉนั ยังไม่เสร็จทํา 1 ภิกษุ ฉนั
เสร็จ ห้ามภัตแล้ว ลุกจากอาสนะแล้ว ทํา 1 ภิกษุ มิได้พูดว่า ทังหมดนันพอแล้ว 1 ของนันมิใช่เป็ นเดนภิกษุ อาพาธ 1
[499] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พราหมณ์คนหนึ ง นิมนต์ภิกษุ ทงหลายให้ ั ฉน
ั . ภิกษุ ทงหลายฉั
ั นเสร็จ ห้าม
ภัตแล้ว ไปสูต ่ ระกูลญาติ. บางพวกก็ฉน ั อีก บางพวกก็ร ับบิณฑบาตไป. หลังจากเลียงพระแล้ว พราหมณ์ ได้กล่าวเชิญชวนพวกเพือน
บ้านว่า ท่านทังหลาย ข้าพเจ้าเลียงภิกษุ ให้อมหนํ
ิ าแล้ว มาเถิด ข้าพเจ้าจักเลียงท่านทังหลายให้อมหนํ
ิ าบ้าง.
พวกเพือนบ้านพากันกล่าวแย้งอย่างนีว่า ท่านจักเลียงพวกข้าพเจ้าให้อมได้ ิ อย่างไร แม้ภก
ิ ษุ ทงหลายที
ั ท่านนิมนต์ให้ฉน
ั แล้ว ยัง
ต้องไปทีเรือนของพวกข้าพเจ้า บางพวกก็ฉน ั อีก บางพวกก็รบั บิณฑบาตไป.
จึงพราหมณ์ นนเพ่ ั งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญทังหลาย ฉันทีเรือนของเราแล้ว ไฉนจึงได้ฉน ั ณ ทีแห่งอืนอีก
เล่า ข้าพเจ้าไม่มีกาํ ลังพอจะถวายให้พอแก่ความต้องการหรือ
เรืองอาหารเดน [500] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายนํ ั าบิณฑบาตอันประณี ตไปถวายพวกภิกษุ อาพาธ. พระภิกษุ อาพาธฉันไม่ได้ดงั
ใจประสงค์. ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งทิงบิณฑบาตเหล่านันเสีย.
พ.ทรงสดับเสียงนกการ้องเกรียวกราว ครันแล้วได้ร ับสังถามท่านพระอานนท์วา่ ดูกรอานนท์ เสียงนกการ้องเกรียวกราวนัน
อะไรกันหนอ. จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค.
ภ. ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุ ทงหลายฉั
ั นอาหารอันเป็ นเดนของภิกษุ อาพาธหรือ?
อา. มิได้ฉนั พระพุทธเจ้าข้า.
ลําดับนัน พ.รับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตให้ฉน ั อาหารอันเป็ นเดนของภิกษุ ผู้อาพาธและมิใช่ผู้อาพาธ
ได้ แต่พงึ ทําให้เป็ นเดน อย่างนีว่า ทังหมดนันพอแล้ว.
เพราะมีภิกษุ ผูม้ าทีหลัง ให้ภิกษุ ผนู ้ ั งในลําดับลุกขึนทังทียังฉันอาหารค้างอยู่ จึงทรงตรัสว่า “ดูกรภิ กษุ ทงหลาย
ั ภิ กษุ ไม่พึงให้ภิกษุ ผนู ้ ังใน
ลําดับลุกขึนทังทียังฉันอาหารค้างอยู่ รูปใดให้ลุกขึน ต้องอาบัติทุกกฎ ถ้าให้ลุกขึนย่อมเป็ นอันห้ามภัตด้วย พึงกล่าวว่าท่านจงไปหานํามา ถ้าได้
อย่างนี นันเป็ นการดี..” วิ.จุล.7/271/79
หมายเหตุ. ในระหว่างการฉัน ไม่ควรลุกไปจากทีฉันก่อนฉันเสร็จ
บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใดรูอ้ ยู่ เพ่งจะหาโทษให้ นําไปปวารณาภิกษุ ผฉู ้ นั เสร็จ ห้ามภัตแล้ว ด้วยของเคียวก็ดี ด้วยของฉันก็ ดี อันมิใช่เดน บอกว่า นิ มนต์เถิ ด
ภิกษุ เคียวก็ตาม ฉันก็ตาม พอเธอฉันแล้ว ปาจิตตียฯ์
[504] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนัน ภิกษุ 2 รูปเดินทางไกลไปยังพระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท. ภิกษุ รป ู หนึ ง
ประพฤติอนาจาร. ภิกษุ ผู้เป็ นเพือนจึงเตือนเธอว่า อาวุโส ท่านอย่าได้ทาํ อย่างนัน เพราะมันไม่สมควร. เธอได้ผูกใจเจ็บในภิกษุ เพือน
นัน. ครันภิกษุ 2 รูปนันไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว พอดีเวลานันในพระนครสาวัตถีมีสงั ฆภัตของประชาชนหมู่หนึ ง. ภิกษุ ผู้เป็ นเพือน
ฉันเสร็จห้ามภัตแล้ว.
ภิกษุ รูปทีผูกใจเจ็บไปสูต ่ ระกูลญาติร ับบิณฑบาตมา แล้วเข้าไปหาภิกษุ ทีเป็ นเพือนนัน. ครันแล้วได้กล่าวคํานีกะเธอว่า อาวุโส
นิมนต์ฉนั . ภิกษุ ผู้เป็ นเพือนปฏิเสธว่า พอแล้ว อาวุโส ผมบริบูรณ์ แล้ว.
รูปทีผูกใจเจ็บแค่นไค้วา่ อาวุโส บิณฑบาตอร่อย นิมนต์ฉน ั เถิด. ครันภิกษุ ผู้เป็ นเพือนถูกภิกษุ ผู้ผูกใจเจ็บนันแค่นไค้ จึงได้ฉน

บิณฑบาตนัน. รูปทีผูกใจเจ็บจึงพูดต่อว่าภิกษุ ผู้เป็ นเพือนว่า อาวุโส ท่านได้สาํ คญ ั ผมว่าเป็ นผู้ทีท่านควรว่ากล่าว ท่านเองฉันเสร็จห้าม
ภัตแล้ว ยังฉันโภชนะอันมิใช่เดนได้.
ภิกษุ ผู้เป็ นเพือนค้านว่า อาวุโส ท่านควรบอกมิใช่หรือ รูปทีผูกใจเจ็บพูดแย้งว่า อาวุโส ท่านต้องถามมิใช่หรือ
ครันแล้วภิกษุ ผู้เป็ นเพือนได้แจ้งเรืองนันแก่ภก ิ ษุ ทงหลาย.
ั บรรดาภิกษุ ผมู้ กั น้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
…………………………………………………………..

๑๗๗
บทที 7. ภิกษุใด เคียวก็ดี ฉันก็ดี ซึงของเคียวก็ดี ซึงของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล เป็ นปาจิตตีย์ 3
[508] โดยสมัยนัน พ.อยู่ ณ พระเวฬุวน ั วิหาร. ครังนัน ในพระนครราชคฤห์มีมหรสพบนยอดเขา. พระสัตตรสวัคคีย์ได้ไปดู
มหรสพบนยอดเขา. ประชาชนเห็นพระสัตตรสวัคคีย์ จึงนิมนต์ให้สรงนํา ให้ลูบไล้ของหอม ให้ฉน ั อาหารแล้วได้ถวายของเคียวไป
ด้วย. พระสัตตรสวัคคียน ์ ําของเคียวไปถึงอารามแล้วได้กล่าวคํานีกะพระฉัพพัคคีย์วา่ อาวุโสทังหลายนิมนต์รบั ของเคียวไปขบฉันเถิด.
พระฉัพพัคคียถ์ ามว่า อาวุโสทังหลาย พวกท่านได้ของเคียวมาจากไหน? พระสัตตรสวัคคีย์ได้แจ้งเรืองนันแก่พระฉัพพัคคีย.์
ฉ. อาวุโสทังหลาย ก็พวกท่านฉันอาหารในเวลาวิกาลหรือ ส. เป็ นอย่างนัน อาวุโสทังหลาย.
พระฉัพพัคคีย์จงึ เพ่งโทษ ติเตียน
กาลิก (แปลว่า เนื องด้วยกาล, ขึนกับกาล) คือ ของฉันทีอนุ ญาตไว้ตามกําหนดกาลเวลา 4 อย่าง คือ
 ยาวกาลิก เพราะเป็ นของอันภิกษุ พึงฉันได้ชวเวลา ั คือ เทียงวัน
 ยามกาลิก คือ ปานะ 8 อย่าง กับพวกอนุ โลมปานะ พึงฉันได้ตลอดชัวยาม คือ ปั จฉิมยามแห่งราตรี
 สัตตาหกาลิก ได้แก่ เภสัช 5 อย่าง พึงเก็บไว้ได้ถึง 7 วัน
 ยาวชีวิก ได้แก่ กาลิกทีเหลือแม้ทงหมด ั เว้นนํ าเปล่า พึงรักษาไว้ฉันได้ตลอดชีวิตเมือมีเหตุ
(สิงใดสิงหนึ งก็ดี อันไม่สาํ เร็จอาหารกิจของมนุ ษย์ในประเทศนันๆ คือ เขาไม่ได้ใช้เป็ นอาหาร เขาใช้เป็ นยา จัดเป็ นยาวชีวิกทังนัน)

ของฉัน(โภชนี ยะ) ได้แก่ โภชนะ 5 คือ ข้าวสุก ขนมกุมมาส(ขนมสด, เกิดจากข้าวเหนี ยว) ข้าวตู(ขนมแห้ง) ปลา(สัตว์เกิดในนํา) เนื อ
พืชทีใช้เป็ นมูลแห่งโภชนะนันเป็ น 2 ชนิ ด คือ วิ.ม.5/86/116
1. บุพพัณณะ(บุพพัณชาติ) คือ เป็ นของจะพึงกินก่อน ได้แก่ พืชทีมีกาํ เนิ ดเป็ นข้าวทุกชนิ ด
2. อปรัญญะ(อปรัณชาติ) คือ เป็ นของจะพึงกินในภายหลัง ได้แก่ ถัวเขียว ถัวราชมาส งา (ถัวต่างชนิ ดและงา) พืชผักทีกินหลังอาหาร
ธัญญผลรส ได้แก่ รสแห่งข้าว (ธัญชาติ) 7 ชนิ ด คือ (มจร.ใช้คาํ ว่า บุพพัณชาติ)
1. สาลิ ข้าวสาลี (RICE) 5. วรก(วรโก) ลูกเดือย (THE BEAN PHASEOLUS TRILOBUS)
2. วีหิ ข้าวเปลือก (RICE PABBY) (มจร.หมายถึงข้าวเจ้า) 6. ยว ข้าวยวะ (CORN BARIEYS) (มจร.หมายถึงข้าวเหนี ยว)
3. กุทรูส(กุทฺรูสโก) หญ้ากับแก้(ชือข้าวชนิ ดหนึ ง) (A KIND OF GRAIN) 7. กงฺค (กงฺคุ) ข้าวฟ่ าง (PANIC SEED)
4. โคธูม (โคธูโม) ข้าวละมาน (WHEAT)
ขนม ได้แก่ ของกินชนิ ดใดชนิ ดหนึ งทีเขาจัดเตรียมไว้ เพือต้องการเป็ นของกํานัล
สัตตุผง ได้แก่ ของกินอย่างใดอย่างหนึ งทีเขาจัดเตรียมไว้ เพือต้องการเป็ นเสบียง วินัยมุข นธ.โท
ของเคียว(ขาทนี ยะ) คือ เว้น [โภชนะ 5–ของทีเป็ นยามกาลิก-สัตตาหกาลิก-ยาวชีวิก] นอกนันชือว่าของเคียว เช่นหมากฝรัง,ผลไม้และเง่ามีมนั เป็ นต้น
เวลาวิกาล มี 2 แบบ คือ
แบบที 1 กาล / วิกาล, วิกาล หมายถึง ตังแต่ อาทิ ตย์อสั ดง ถึง อรุณขึน(เวลาคํา) วิ.ม.2/509/457
แบบที 2 กาล หมายถึง ปุเรภัต(ก่อนฉัน) คือ เช้าถึงเทียง
วิกาล ประกอบด้วย ปั จฉาภัต(ทีหลังฉัน) คือ เทียงถึงก่อนคํา และเวลาคํา หรือ หมายเอาเวลาเมือเทียงวันล่วงไปจนถึงอรุณขึน

(ในวิกาล) ภิกษุ รบั ไว้ดว้ ยตังใจว่า จักเคียว จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ (หมายถึง การรับของเคียวของฉัน ในวิกาล) วิ.ม.อ.4/539
อนาบัติ. ภิกษุ ฉนั ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวกิ เมือมีเหตุสมควร (ยาวกาลิก ไม่ยกเว้นให้) (ดูเภสัชฯ ข้อ 8 ประกอบ)
เภสัชชขันธกะ (หมวดว่าด้วยยา) ว่าด้วยเรือง ทรงอนุญาตเภสัช 5 และอืนๆ คือ วิ.ม.5/25/36
1. ทรงอนุญาต เภสัช 5 นอกกาล เพราะฉันอาหารแล้วอาเจียนออก(เพราะอาหารไม่ย่อย) จึงซูบผอม วิ.ม.5/26/37
พ.ประทับ ณ พระเชตะวัน ในสารทฤดู ภิกษุ ทังหลายอันอาพาธเกิดชุม ยาคูทีดืมก็พงุ่ ออก ข้าวสวยก็พงุ่ ออก จึงซูบผอม พ.ทรงปริวติ กว่า
เราจะพึงอนุ ญาตอะไรหนอ เป็ นเภสัชแก่ภิกษุ ทังหลาย ซึงเป็ นเภสัชอยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็ นเภสัช ทังจะพึงสําเร็จประโยชน์ ใน
อาหารกิจแก่สตั วโลก และจะไม่พงึ ปรากฏเป็ นอาหารหยาบ ทีนันพระองค์ได้มีพระปริวติ กสืบต่อไปว่า
‘เภสัช 5 นี แล คือ เนยใส เนยข้น นํามัน นําผึง นําอ้อย เป็ นเภสัชอยูใ่ นตัว และเขาสมมติวา่ เป็ นเภสัช ทังสําเร็จประโยชน์ในอาหาร
กิจแก่สตั วโลก และไม่ปรากฏเป็ นอาหารหยาบ ผิฉะนัน เราพึงอนุ ญาตเภสัช 5 นี แก่ภิกษุ ทังหลาย’ ...
“ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราอนุ ญาตให้รบั ประเคนเภสัช 5 นัน แล้วบริโภคได้ทังในกาลทังนอกกาล”
2. ทรงอนุ ญาต มูลเภสัช(ยาทีเป็ นหัวหรือเหง้าไม้) คือ ขมิน ขิง(กระชาย) ว่านนํ า ว่านเปราะ อุตพิด ข่าแฝก แห้วหมู ไพร
กระเทียม หรือมูลเภสัชแม้ชนิ ดอืน ทีไม่ใช่ของควรเคียว ของควรบริโภค ภิกษุ รบั ประเคนมูลเภสัชเหล่านั นแล้วเก็บไว้ได้จนตลอด
ชีพ เมือมีเหตุจึงบริโภคได้ เมือไม่มีเหตุ บริโภคต้องอาบัติทุกกฏ วิ.ม.5/28/39

๑๗๘
3. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ทีอาพาธมีความต้องการนํ าฝาดเพือเป็ นเภสัช เราอนุ ญาต ให้ฉันปั ณณเภสัช(ใบไม้ทีเป็ นยา)ได้ตลอด
ชีวิต ในเมือมีเหตุอนั ควร เช่น ใบชา แมงลัก โมกมัน ใบสะเดา ใบกะเพรา วิ.ม.5/30/40
4. ทรงอนุ ญาติ ผลเภสัช(ผลไม้ทีเป็ นยา) เช่น มะขามป้ อม พริก สมอผสมมูลโค[แก้โรคผอมเหลือง] (เม็ดกาแฟ บ๊วย ลูกพรุน) ฉันได้
ตลอดชีวิต ในเมือมีเหตุอนั สมควร วิ.ม.5/31/40
*** เราอนุ ญาตเกลือเป็ นเภสัช
5. ทรงอนุ ญาต เนื อสัตว์ดิบ โลหิตดิบ ในเมืออาพาธ, เนื องจากอมนุ ษย์ ครันเคียวกินและดืมแล้วได้ออกไป วิ.ม.5/36/42
[36] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ รูปหนึ งอาพาธเพราะผีเข้า พระอาจารย์ พระอุ ปัชฌายะ ช่วยกันรักษาเธอ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หายโรคได้ เธอเดินไปทีเขียง
แล่หมู แล้วเคียวกินเนื อดิบ ดืมกินเลือดสด อาพาธเพราะผี เข้าของเธอนัน หายดังปลิดทิง ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระ
ภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตเนื อดิบ เลือดสด ในเพราะอาพาธเกิดแต่ผีเข้า.
เล่ม 7 หน้า 167 มมร.
อมนุ ษย์เคียวกินเนื อดิบและดืมเลือดสด เพราะเหตุนัน ภิกษุ จึงชือว่า ไม่ได้เคียวกินเนื อดิบและดืมเลือดสดนัน. อมนุ ษย์ ครันเคียวกินและดืมแล้วได้
ออกไป เพราะเหตุนัน พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุ ษย์นันของเธอ ย่อมระงับ.
6. ทรงอนุ ญาต นํ ามันทํายา เติมนํ าเมา(ชนิ ดไม่มีสี กลิน รสนํ าเมา)(แก้โรคลม) วิ.ม.5/39/39
(ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ดืมนํ ามันเจือนํ าเมา ชนิ ดทีเขาหุงไม่ปรากฏสี กลิน และรสของนํ าเมา)
7. ทรงอนุ ญาต การทําให้เหงือออก ตังแต่อย่างธรรมดาถึงอย่างเข้ากระโจมโดยมีถาดนํ าร้อนอยู่ในนั น วิ.ม.5/42/48
8. ทรงอนุ ญาต การลูบไล้ดว้ ยของหอม(แก้โรคผิวหนัง), ทรงอนุ ญาต นํ าด่างจากขีเถ้าของข้าวสุกเผา(แก้โรคท้องอืด), นํ าข้าวใส(เป็ นยา
ประจุถ่าย), นํ าถัวเขียวต้ม(แม้ยงั งอกได้), นํ าเนื อต้ม [ทรงอนุ ญาตยาและอาหารอ่อน ตามควรแก่โรค และความจําเป็ น] วิ.ม.5/44/50
9. เภสัช 5 คือ เนยใส เนยข้น นํ ามัน นํ าผึง นํ าอ้อย ภิกษุ รบั ประเคนของนั นแล้ว พึงเก็บไว้ฉันได้ 7 วันเป็ นอย่างยิง
(สิกขาบทต้นเรือง ปั ตตวรรคที 3 บทที 3 (หน้า 62)) วิ.ม.5/47/55
10. ทรงอนุญาต นําอ้ อยใส่ขเถ้
ี าใส่แป้ งเล็กน้ อย(เพือให้ ยึดติดกัน) วิ.ม.5/48/55
ตัวอย่างการปรับแก้ และเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย
[49] [พระอานนท์ออกปากของงา ข้ าวสาร ถัวเขียว แล้ วต้ มข้ าวต้ มปรุงเองถวาย พระพุทธเจ้ าทรงประชวรด้ วยโรคลมในอุทร]
พุทธประเพณี ผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์วา่ ดูกรอานนท์ ยาคูนีได้มา
พระตถาคตทังหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรง แต่ไหน? ทรงตําหนิทา่ นพระอานนท์
ทราบอยู่ ย่อ มไม่ต รัส ถามก็ มี ทรงทราบกาลแล้ว ตรัส ถาม ทรง พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดู กรอานนท์ การ
ทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทังหลาย ย่อมตรัสถามสิงที กระทําของเธอนัน ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร มิใช่กจิ ของสมณะ ใช้
ป ระกอบ ด้ ว ยประโยชน์ ไม่ ต รัส ถา ม สิ งที ไม่ ป ระกอบด้ ว ย ไม่ได้ ไม่ค วรทํา ดู กรอานนท์ ไฉนเธอจึงได้พอใจในความมัก
ประโยชน์ ในสิงทีไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงกําจัด มากเช่ น นี เล่า ดู ก รอานนท์ อามิ ส ที เก็ บ ไว้ใ นภายในที อยู่ เป็ น
ด้วยข้อปฏิบตั ิ อกัปปิ ยะ แม้ทีหุงต้มในภายในทีอยู่ ก็เป็ นอกัปปิ ยะ แม้ทีหุงต้มเอง
พระผู้ มี พ ระภาคพุ ท ธเจ้ า ทังหลายย่อ มสอบถามภิก ษุ ก็ เ ป็ นอกัป ปิ ยะ การกระทํ า ของเธอนัน ไม่ เ ป็ นไปเพื อความ
ทังหลายด้วยอาการ 2 อย่า ง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ ง จัก เลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส .... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถา
ทรงบัญญัติสก ิ ขาบทแก่พระสาวกทังหลายอย่างหนึ ง ครังนัน พระ รับสังกะภิกษุ ทงหลาย
ั ดังต่อไปนี:-
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงฉันอามิส (อาหาร) ทีเก็บไว้ในภายในทีอยู่ ทีหุงต้มในภายในทีอยู่ และทีหุงต้มเอง รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฎ” วิ.ม.5/49/48
[50] “ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้อุ่นภัตตาหารทีต้องอุ่น” เพราะอามิสทีสุกแล้ว จะอุ่นควรอยู่ วิ.ม.5/50/49
(แม้อามิสทีสุกแล้ว เขาต้มเดือดแล้วครังหนึ ง ทําให้สุกอีกครังหนึ ง) (เหมือนข้อ 21)
[51] ก็โดยสมัยนั นแล พระนครราชคฤห์บงั เกิดทุพภิกขภัย คนทังหลายนํ าเกลือบ้าง นํ ามันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของควรเคียวบ้าง
มายังอาราม ภิกษุ ทงหลายให้
ั เก็บของเหล่านั นไว้ขา้ งนอก สัตว์ต่างๆ กินเสียบ้าง พวกโจรลักเอาไปบ้าง ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ล
เรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทงหลายว่
ั า
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาต ให้เก็บไว้ ณ ภายในได้”
กัปปิ ยการกทังหลายเก็บอามิสไว้ขา้ งในแล้ว หุงต้มข้างนอก พวกคนกินเดนพากันห้อมล้อม ภิกษุ ทงหลายไม่ ั พอใจฉัน แล้ว
กราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทงหลายว่ ั า
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้หงุ ต้มในภายใน”
ในคราวเกิดทุพภิกขภัย พวกกัปปิ ยการกนํ าสิงของไปเสียมากมาย ถวายภิกษุ เพียงเล็กน้อย ภิกษุ ทังหลายกราบทูลเรือง
นั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทังหลายว่า “ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราอนุ ญาตให้หงุ ต้มเอง”
“ดูกรภิกษุ ทงหลายั เราอนุ ญาตอามิสทีเก็บไว้ในภายในทีอยู่ ทีหุงต้มในภายในทีอยู่ และทีหุงต้มเอง”

๑๗๙
[52] ก็โดยสมัยนั นแล ภิกษุ หลายรูปด้วยกันจําพรรษาในกาสี ชนบทแล้ว เดินทางไปสู่พระนครราชคฤห์ เมือเฝ้ าพระผูม้ ีพระ
ภาค ในระหว่างทางไม่ได้โภชนาหารทีเศร้าหมอง หรือประณีตบริบูรณ์ พอแก่ความต้องการเลย ถึงของขบเคียวคือผลไม้มีมาก
แต่ก็หากัปปิ ยการกไม่ได้ ต่างพากันลําบาก ครันเดินทางไปพระนครราชคฤห์แล้วเข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาต ภิกษุ เห็นของขบเคียว คือ ผลไม้ในทีใด ถึงกัปปิ ยการกไม่มี ก็ให้หยิบนํ าไปเอง พบกัปปิ ยการก
แล้ว วางไว้บนพืนดิน ให้กปั ปิ ยการกประเคนแล้วฉัน ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราอนุ ญาตให้รบั ประเคนสิงของทีภิกษุ ถูกต้องแล้วได้”
(ในการเดินทางไกล ทรงอนุ ญาตให้รับประเคนผลไม้ทีเก็บมาเองได้ (อุคคหิต) (เรืองต่อไป) วิ.ม.5/52/50
(ต่อมาทรงยกเลิก ดูในสิกขาบทที 10 ประกอบ)
[53] ทรงอนุ ญาต ให้ภิกษุ ผฉู ้ ันแล้วบอกห้ามภัตตาหารแล้ว ฉันโภชนาหารทีไม่เป็ นเดนทีนํ ามาจากทีฉันได้ วิ.ม.5/53/51
(ต่อมาทรงยกเลิก ดู [81])
[55] ตระกูลอุปัฏฐาก สังว่า ต้องมอบให้พระคุ ณเจ้าอุปนนท์ถวายสงฆ์ ครันท่านพระอุปนั นทศากยบุตร เข้าไปเยียมตระกูล
ทังหลายก่อนเวลาฉัน แล้วมาถึงต่อ (ใกล้) กลางวัน ก็คราวนั นเป็ นสมัยทุพภิกขภัย
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงรับประเคน ฉันเถิด เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผฉู ้ ันเสร็จ ห้ามภัตรแล้ว ฉันโภชนะอันไม่เป็ นเดน ซึงรับ
ประเคนไว้ในปุเรภัตร (ในเวลาฉัน) ได้”
[ถ้าเขาถวายอาหาร(ให้พระรูปอืน)ในปุเรภัต(เวลาฉัน) ภิกษุ ทงหลายรั
ั บไว้ให้ก่อนตนเองจะห้ามภัต และพระนั นไม่ได้กลับมาฉัน]
วิ.ม.5/54/52 (ต่อมาทรงยกเลิก คู [81])
กัปปิ ยการก หมายถึง ผูท้ าํ หน้าทีจัดของทีสมควรแก่ภิกษุ บริโภค, ผูป้ ฏิบตั ิภิกษุ , ศิษย์พระ
[55] ท่านพระสารีบุตรอาพาธเป็ นไข้ตวั ร้อน ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเยียมถามท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโส สารีบุตร
เมือก่อนท่านอาพาธเป็ นไข้ตวั ร้อน รักษาหายด้วยเภสัชอะไร?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า รักษาหายด้วยรากบัวและเง่าบัว.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะมาอยู่ ณ ริมฝั งสระโบกขรณีมนั ทากินี ช้างเชือกหนึ งได้ได้กล่าวว่า พระคุ ณเจ้าต้องประสงค์สิง
ไร ข้าพเจ้าจะถวายสิงไร เจ้าข้า? ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ฉันประสงค์เง่าบัวและรากบัว จ้ะ. ช้าง ใช้งวงถอนเง่าบัว
และรากบัวล้างนํ าให้สะอาด ม้วนเป็ นห่อเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะ
แม้ชา้ งเชือกนั นก็ได้หายไปตรงริมฝั งสระโบกขรณีมนั ทากินี มาปรากฏตัวทีพระวิหารเชตวัน ได้ประเคนเง่าบัวและรากบัวแก่
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วหายตัวไปทีพระวิหารเชตวันมาปรากฏตัวทีริมฝั งสระโบกขรณีมนั ทากินี เมือท่านพระสารีบุตร
ฉันเง่าบัวและรากบัวแล้ว โรคไข้ตวั ร้อนก็หายทันที เง่าบัวและรากบัวยังเหลืออยู่มากมาย ก็แลสมัยนั นอัตคัดอาหาร ภิกษุ
ทังหลายรับสิงของเล็กน้อยแล้วห้ามเสียบ้าง ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่รบั ประเคน.
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิด เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผฉู ้ ันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว ฉันโภชนะอันไม่เป็ นเดน
ซึงเกิดในป่ า เกิดในสระบัว” วิ.ม.5/55/53 (ต่อมาทรงยกเลิก ดู [81])
[56] ก็โดยสมัยนั นแล ในพระนครสาวัตถี มีของฉัน คือ ผลไม้เกิดขึนมาก แต่กปั ปิ ยการกไม่มี ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่ฉัน
ผลไม้ “ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ฉันผลไม้ทีไม่มีพืช (ใช้เพาะพันธุ์ไม่ได้) หรือทีปล้อนพืช (เมล็ด) ออกแล้ว ยังมิได้ทาํ
กัปปะ (ไม่มีใครทําเป็ นกัปปิ ยะให้) ก็ฉันได้” วิ.ม.5/56/54
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิด เราอนุ ญาตให้ฉันผลไม้ โดยสมณกัปปะ 5 อย่างคือ วิ.จุล.7/25
1.ผลไม้ทีลนด้วยไฟ 2.ผลไม้ทีกรีดด้วยศัตรา 3.ผลไม้ทีจิกด้วยเล็ บ 4.ผลไม้ทีไม่มีเมล็ด 5.ผลไม้ทีปล้อนเมล็ดออกแล้ว
ต้นบัญญัติ เรืองทรงห้ามฉันมะม่วง (ทีมา สมณกัปปะ) วิ.จุล.7/23/7
[23] สมัยต่อมา มะม่วงทีพระราชอุทยาน ของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช กําลังมีผล พระองค์ทรงอนุ ญาตไว้ว่า ขอ
อาราธนาพระคุ ณเจ้าทังหลาย ฉันผลมะม่วงตามสบายเถิ ด พระฉัพพัคคีย์สอยผลมะม่วงกระทังผลอ่อนๆ ฉัน พระเจ้าพิม
พิ ส ารจอมเสนามาคธราชต้องพระประสงค์ผลมะม่ วง จึ ง รับ สั งกับ มหาดเล็ ก ว่ า ไปเถิ ด พนาย จงไปสวนเก็ บ มะม่ วงมา
มหาดเล็กรับพระบรมราชโองการแล้ว ไปสู่พระราชอุทยาน บอกคนรักษาพระราชอุทยานว่า ในหลวงมีพระประสงค์ผลมะม่วง
ท่านจงถวายผลมะม่วง
คนรักษาพระราชอุทยานตอบว่า ผลมะม่วงไม่มี ภิกษุ ทังหลายเก็บไปฉันหมด กระทังผลอ่อนๆ มหาดเล็ กเหล่ านั น จึงกราบ
ทู ล เรื องนั น แด่ พระเจ้า พิ ม พิ ส ารๆ รับ สั งว่ า พระคุ ณ เจ้า ทังหลายฉั น ผลมะม่ วงหมดก็ดี แล้ว แด่ พระผู ม้ ี พระภาคเจ้า ทรง
สรรเสริญความรูจ้ กั ประมาณ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึงไม่รจู ้ กั ประมาณ

๑๘๐
ฉันผลมะม่วงของในหลวงหมด ภิกษุ ทังหลายได้ยินพวกนั นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ี
พระภาคเจ้า.
พระผูม้ ีพระภาคเจ้า...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงฉันผลมะม่วง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[24] สมัยต่อมา สัปบุรุษหมู่หนึ งถวายภัตตาหารแก่สงฆ์ เขาจัดผลมะม่วงเป็ นชิน ๆ ไว้ในกับข้าว ภิกษุ ทงหลายรั ั งเกียจ ไม่รบั
ประเคน... พระผูม้ ีพระภาคเจ้า...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิด เราอนุ ญาตผลมะม่วงเป็ นชิน ๆ.
สมณกัปปะ 5 อย่าง วิ.จุล.7/25/8
[25] สมัยต่อมา สัปบุรุษหมู่หนึ งถวายภัตตาหารแก่สงฆ์ เขาไม่ได้ฝานมะม่วงเป็ นชิน ๆ ในโรงอาหารล้วนแล้วไปด้วยผล
มะม่วงทังนั น ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่รบั ประเคน . . .
พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทังหลาย พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิ ด เราอนุ ญาตให้ฉันผลไม้โดยสมณกัปปะ 5
อย่าง คือ 1. ผลไม้ทีลนด้วยไฟ 2. ผลไม้ทาํ กรีดด้วยศัสตรา 3. ผลไม้ทีจิกด้วยเล็บ
4. ผลไม้ทีไม่มีเมล็ด 5. ผลไม้ทีปล้อนเมล็ดออกแล้ว .
ดูก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ฉันผลไม้โดยสมณกัปปะ 5 อย่างนี .

[͸ԺÒ¡Ò÷íÒ¡Ñ»»ÂÐáÅÐÇѵ¶Ø·ãÕè ªŒ·Òí ¡Ñ»»ÂÐ] ÇÔ.Á.Í.àŋÁ 4 ˹ŒÒ 282 ÁÁÃ.


... ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ àÃÒ͹حҵà¾×èͺÃÔâÀ¤¼ÅäÁŒ ´ŒÇÂÊÁ³¡Ñ»»Ð (ÊÁ³âÇËÒÃ) 5 ¤×Í ¼Å·Õè¨Õ鴌ÇÂä¿ ·Õèá·§´ŒÇÂÁÕ´ ·Õè¨Ô¡´ŒÇÂàÅçº ¼Å·Õè
äÁ‹ÁÕàÁÅç´ ·Õè»ÅŒÍ¹àÁç´ÍÍ¡áÅŒÇ à»š¹·Õè¤íÒú 5.1
º·Ç‹Ò ͤڤԻÃÔ¨Ôµí ÁÕÍÃÃ¶Ç‹Ò ©Òº ¤×Í ÅÇ¡ à¼Ò ¨ÕéáŌǴŒÇÂä¿.
º·Ç‹Ò ʵڶ¡»ÃÔ¨Ôµí ÁÕÍÃÃ¶Ç‹Ò ¨´ ¤×Í ½Ò¹ µÑ´ ËÃ×Íá·§áŌǴŒÇÂÁÕ´àÅç¡æ. ã¹¢ŒÍÇ‹Ò ¨Ô¡´ŒÇÂàÅçº ¡ç¹Ñ¹Ñé¹¹Ñè¹áÅ.
¼ÅäÁŒ·ÕèäÁ‹ÁÕàÁÅç´áÅмÅäÁŒ·Õè»ÅŒÍ¹àÁÅç´ÍÍ¡áÅŒÇ à»š¹¡Ñ»»ÂдŒÇµÑÇÁѹàͧ᷌.
ÀÔ¡ÉØàÁ×èͨзíÒ¡Ñ»»ÂдŒÇÂä¿ ¾Ö§·íÒ¡Ñ»»ÂдŒÇºÃôÒä¿¿„¹áÅÐä¿â¤ÁÑÂ໚¹µŒ¹ Í‹ҧã´Í‹ҧ˹Öè§ â´Â·ÕèÊØ´áÁŒ´ŒÇÂᵋ§âÅËзÕè
Ì͹. ¡çáÅÇѵ¶Ø¹Ñ鹨Ѻänj¢ŒÒ§Ë¹Öè§ ¾Ö§¡Å‹ÒǤíÒÇ‹Ò ¡Ñ»»Âѧ2 áŌǷíÒà¶Ô´.
1. ÇÔ. ¨ØÅÚÅ. 7/11 2. ÍØ»ÊÑÁºÑ¹¼ÙŒãˌ·íÒ¡Ñ»»ÂСŋÒÇÇ‹Ò "¡»Ú»Âí ¡âÃËÔ" ͹ػÊÑÁºÑ¹¼ÙŒ·íÒ¡Ñ»»ÂÐàÍÒÁ×Í˹Ö觨ѺÊÔ觢ͧ·Õè¨Ð·íÒ¡Ñ»»ÂÐ Á×Í˹Ö觨Ѻ
Çѵ¶Ø·Õè¨Ð㪌·íÒ¡Ñ»»ÂÐ ÁÕÁմ໚¹µŒ¹áÅŒÇ µÑ´ËÃ×ͽ†ÒËÃ×ͨÕéŧ价ÕèÊÔ觢ͧ¹Ñ鹾ÌÍÁ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò "¡»Ú»Â À¹Úàµ" ໚¹àÊÃ稾ԸÕ, =¼ÙŒªíÒÃÐ.
àÁ×èͨзíÒ´ŒÇÂÁÕ´. áÊ´§Ã͵Ѵ Ãͼ‹Ò ´ŒÇ»ÅÒ ËÃ×Í´ŒÇ¤Ááˋ§ÁÕ´·Õè·íÒ´ŒÇÂâÅËÐÍ‹ҧã´Í‹ҧ˹Öè§ â´Â·ÕÊØ´áÁŒáˋ§à¢çÁáÅÐÁÕ´
µÑ´àÅçºà»š¹µŒ¹. ¾Ö§¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ¡Ñ»»Âѧ áŌǷíÒà¶Ô´.
àÁ×èͨзíÒ¡Ñ»»ÂдŒÇÂàÅçº Í‹Ҿ֧·íÒ´ŒÇÂàÅçºà¹‹Ò. ¡çàÅ红ͧ¾Ç¡Á¹Øɏ ÊѵǏ 4 à·ŒÒ ÁÕÊÕËÐ àÊ×Íâ¤Ã‹§ àÊ×ÍàËÅ×ͧ áÅÐÅԧ໚¹µŒ¹ áÅÐ
áˋ§¹¡·Ñé§ËÅÒ ໚¹¢Í§áËÅÁ¤Á, ¾Ö§·íÒ´ŒÇÂàÅçºàËŋҹÑé¹. ¡Õºáˋ§ÊѵǏ ÁÕÁŒÒ ¡Ãк×Í ÊØ¡Ã à¹×éÍ áÅÐâ¤à»š¹µŒ¹ äÁ‹¤Á Í‹Ҿ֧·íÒ´ŒÇ¡պ
àËŋҹÑé¹. áÁŒ·íÒáŌǡçäÁ‹à»š¹Íѹ·íÒ. ʋǹàÅ纪ŒÒ§ äÁ‹à»š¹¡Õº. ¨Ð·íÒ¡Ñ»»ÂдŒÇÂàÅ纪ŒÒ§àËŋҹÑé¹ ¤ÇÃÍÂً ᵋ¡Ò÷íÒ¡Ñ»»ÂдŒÇÂàÅçºàËŋÒã´
ÊÁ¤ÇÃ, ¾Ö§áÊ´§¡ÒõѴ ¡Òèԡ ´ŒÇÂàÅçºàËŋҹÑé¹·Õèà¡Ô´ÍÂً㹷Õè¹Ñ鹡ç´Õ ·Õè¡¢Ö鹶×Íänj¡ç´Õ ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ¡Ñ»»Âѧ áŌǡÃзíÒà¶Ô´.
ºÃôҾת໚¹µŒ¹àËŋҹÑé¹ ¶ŒÒáÁŒ¹Ç‹Ò¾×ª¡Í§à·‹ÒÀÙà¢Ò¡ç´Õ µŒ¹äÁŒ¨íҹǹ¾Ñ¹·Õèà¢ÒµÑ´áÅŒÇ ·íÒãˌà¹×èͧ໚¹Íѹà´ÕÂǡѹ¡Í§änj¡ç´Õ ͌ÍÂÁÑ´
ãË­‹·Õèà¢ÒÁÑ´ÃÇÁänj¡ç´Õ, àÁ×èÍ·íҾתàÁÅç´Ë¹Öè§ ¡Ôè§äÁŒ¡Ôè§Ë¹Öè§ËÃ×Í͌ÍÂÅíÒ˹Öè§ãˌ໚¹¡Ñ»»ÂÐáÅŒÇ Â‹ÍÁ໚¹Íѹ·íÒãˌ໚¹¡Ñ»»ÂÐáŌǷÑé§ËÁ´. ͌ÍÂ
ÅíÒáÅÐäÁŒ¿„¹à»š¹¢Í§Íѹà¢ÒÁÑ´ÃÇÁ¡Ñ¹änj. ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¨Ðá·§äÁŒ¿„¹´ŒÇµÑé§ã¨Ç‹Ò àÃҨѡ¡ÃзíÒ͌ÍÂãˌ໚¹¡Ñ»»ÂÐ ´Ñ§¹Õé ¡ç¤ÇÃàËÁ×͹¡Ñ¹. ᵋ
¶ŒÒ໚¹¢Í§·Õèà¢Ò¼Ù¡ÁÑ´´ŒÇÂàª×Í¡ËÃ×Í´ŒÇÂà¶ÒÇÑŏ㴠¨Ðá·§àª×Í¡ËÃ×Íà¶ÒÇÑŏ¹Ñé¹ äÁ‹¤ÇÃ. ª¹·Ñé§ËÅÒºÃèءÃÐઌÒãˌàµçÁ´ŒÇÂÅíÒ͌Í·‹Í¹
áŌǹíÒÁÒ. àÁ×èÍ·íÒ͌Í·‹Í¹ÅíÒ˹Öè§ãˌ໚¹¡Ñ»»ÂÐáÅŒÇ ÍŒÍ·‹Í¹·Ñé§ËÁ´ ‹ÍÁ໚¹Íѹ·íÒãˌ¡Ñ»»ÂÐáŌ ÇàËÁ×͹¡Ñ¹. ¡ç¶ŒÒÇ‹Ò ¾Ç¡·Ò¡¹íÒÀѵ
»¹¡Ñº¾ÃÔ¡Êء໚¹µŒ¹ÁÒ àÁ×èÍÀÔ¡ÉءŋÒÇÇ‹Ò ¨§¡ÃзíÒ¡Ñ»»ÂÐ ¶ŒÒáÁŒ¹Ç‹Ò ͹ػÊÑÁºÑ¹á·§·ÕèàÁÅç´¢ŒÒÇÊÇ ¡çÊÁ¤ÇÃàËÁ×͹¡Ñ¹. áÁŒã¹àÁÅç´§Ò
áÅТŒÒÇÊÒÃ໚¹µŒ¹ ¡ç¹Ñ¹Ñé¹¹Ñè¹áÅ. ᵋ¾ÃÔ¡Êء໚¹µŒ¹¹Ñé¹ ·Õèà¢Òãʋŧ㹢ŒÒǵŒÁ äÁ‹µÑé§ÍÂًµÔ´à¹×èͧ໚¹Íѹà´ÕÂǡѹ. ºÃôҾÃÔ¡Êء໚¹µŒ¹¹Ñé¹
¾Ö§·íÒ¡Ñ»»ÂÐá·§·ÕÅÐàÁÅç´¹Ñè¹à·ÕÂÇ. àÂ×èÍã¹áˋ§¼ÅÁТÇԴ໚¹µŒ¹ Ë͹à»Å×Í¡áŌǤÅ͹ÍÂً (ËÅØ´¨Ò¡¡ÐÅÒ¤Å͹ÍÂًªŒÒ§ã¹) ÀÔ¡Éؾ֧ãˌ·Øº
áŌÇãˌ·íÒ¡Ñ»»ÂÐ. (¶ŒÒ) ÂѧµÔ´à¹×èͧ໚¹Íѹà´ÕÂǡѹ (¡Ñºà»Å×Í¡), ¨Ð·íÒ (¡Ñ»»ÂÐ) áÁŒ·Ñé§à»Å×Í¡ (·Ñ駡ÐÅÒ) ¡çÊÁ¤Çà .
........................................................
[58] พ.ประทับอยู่ ณ อิสิปตนะมฤคทายวัน สมัยนั น อุบาสกสุปปิ ยะและอุบาสิกาสุปปิ ยา 2 คน เป็ นผูเ้ ลือมใส เป็ นทายกกัป
ปิ ยการก ภิกษุ รูปหนึ งดืมยาถ่ ายและได้บอกอุบาสิ กาสุ ปปิ ยาว่า ต้องการนํ าเนื อต้ม อุบาสิ กาสุ ปปิ ยารับคําว่า ดิฉั นจักนํ ามา
ถวายเป็ นพิเศษ เจ้าข้า แล้วไปเรือนสังชายคนรับใช้ว่า เจ้าจงไปหาซือเนื อสัตว์ทีเขาขายมา เทียวหาซือทัวพระนครพาราณสี ก็
มิได้พบเนื อสัตว์ทีเขาขาย เพราะวันนี หา้ มฆ่าสัตว์
อุบาสิกาสุปปิ ยาได้หยิบมีดหันเนื อมาเชือดเนื อขาส่ งให้หญิงคนรับใช้สังว่า แม่สาวใช้ แม่จงต้มเนื อนี แล้วนํ าไปถวายภิ กษุ
รูปทีอาพาธอยู่ในวิหารหลังโน้น ผูใ้ ดถามถึงฉัน จงบอกว่าป่ วย แล้วเอาผ้าห่มพันขา เข้าห้องนอนบนเตียง. ขณะนั น อุบาสกสุปปิ
ยะร่าเริงดีใจว่า อัศจรรย์นักชาวเราไม่เคยมีเลยชาวเรา แม่สุปปิ ยานี มีศรัทธาเลือมใสถึงแก่สละเนื อของตนเอง สิ งไรอืนทําไม
นางจักให้ไม่ได้เล่ า แล้วเข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค ได้กราบทูล ขอพระผูม้ ีพระภาคพร้อมด้วยพระสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของ

๑๘๑
ข้าพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี
ขณะนั นเป็ นเวลาเช้า พระผูม้ ีพระภาคทรงครองอันตรวาสก แล้วถือบาตรจีวรเสด็จไปสู่นิเวศน์ ของอุบาสกสุ ปปิ ยะ ได้ตรัส
ถามว่า อุบาสิกาสุปปิ ยาไปไหน?
อุ. นางป่ วย พระพุทธเจ้าข้า
พ. ถ้าเช่นนั น เชิญอุบาสิกาสุปปิ ยามา
อุ. นางไม่สามารถ พระพุทธเจ้าข้า
พ. ถ้าเช่นนั น พวกเธอช่วยกันพยุงพามา
ขณะนั น อุบาสกสุปปิ ยะได้พยุงอุบาสิกาสุปปิ ยามาเฝ้ า พร้อมกันนางได้เห็นพระผูม้ ีพระภาค แผลใหญ่เพียงนั นได้งอกเต็ม มี
ผิวพรรณเรียบสนิ ท เกิดโลมชาติทนั ที
[58]-[60] ภิกษุไม่พึงฉันเนือ 10 อย่าง (สงเคราะห์เอาเลือดเข้าในเนือด้วย) คือ
1. มนุษย์(อุบาสิกาสุปปิ ยา) อาบัติถุลลัจจัย
2. ช้าง (ราชพาหนะ) 3. ม้า (ราชพาหนะ) 4. สุนขั (น่ารังเกียจ) 5. งู(น่าเกลียด,พญานาคขอพร) 6. ราชสีห(์ ถูกราชสีหท์ าํ ร้ายเพราะ
กลินเนือ) 7. เสือโคร่ง 8. เสือเหลือง 9. หมี 10.เสือดาว - 9 อย่างนี เป็ นวัตถุแห่งทุกกฏ วิ.ม.5/58-60/55-61
18. ทรงอนุญาต รับนิมนต์ไว้ แล้ วไปฉันปรัมปรโภชนะ อันได้ แก่ข้าวยาคู(นําข้ าวต้ ม) และขนมปรุงด้ วยนําหวาน ก่อนได้ ไม่เป็ นอาบัติ
เพราะการห้ ามภัต
เรืองพราหมณ์ถวายยาคูและขนมปรุ งด้วยนําหวาน เดือนแล้ว ด้วยหมายใจว่าได้โอกาสเมือใด จักทําภัตตาหารถวาย
[61] ครังนัน พระผู้ มี พ ระภาคประทับ อยู่ใ นพระนคร เมื อนัน แต่ ก็ ห าโอกาสไม่ ไ ด้ อนึ ง เราตัว คนเดี ย วและยัง เสีย
พาราณสี ตามพระพุทธาภิรมณ์ แล้วเสด็จพระพุทธดําเนินมุ่ง ไป ประโยชน์ ท างฆราวาสไปมาก ไฉนหนอ เราพึ ง ตรวจดู โ รง
ทางอัน ธกวินทะชนบท พร้อ มด้ ว ยภิก ษุ สงฆ์ห มู่ใ หญ่ป ระมาณ อาหาร สิงใดไม่มีในโรงอาหาร เราพึงตกแต่งสิงนันถวาย แล้วจึง
1,250 รูป คราวนันประชาชนชาวชนบทบรรทุกเกลือบ้างนํามัน ตรวจดู โ รงอาหารมิได้เห็นมี ของ 2 สิง คือยาคู 1 ขนมปรุงด้วย
บ้าง ข้าวสารบ้าง ของควรเคียวบ้าง เป็ นอันมากมาในเกวียน เดิน นําหวาน 1 จึงเข้า ไปหาท่า นพระอานนท์ถึงสํา นัก ครันแล้วได้
ติด ตามภิกษุ สงฆ์ มี พระพุทธเจ้า เป็ นประมุ ข มาข้า งหลังๆ ด้วย กราบเรียนคํา นี แด่ท่า นอานนท์ .. ถ้า ข้า พเจ้า ตกแต่งยาคู และ
ตังใจว่า ได้โ อกาสเมือใดจักทําภัตตาหารถวายเมือนัน อนึ ง คน ขนมปรุงด้วยนําหวานถวาย ท่านพระโคดมจะพึงรับของข้าพเจ้า
กินเดนประมาณ 500 คน ก็พลอยเดินติดตามไปด้วย ครันพระผู้ ไหม เจ้าข้า?
มีพระภาคเสด็จพระพุทธดําเนินผ่านระยะทางโดยลําดับ เสด็จถึง ท่า นพระอานนท์กล่าวว่า ดู กรพราหมณ์ ถ้า เช่นนันฉันจัก
อันธกวินทชนบท. ทูลถามพระผู้มี พระภาค ดังนี แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มี
ขณะนันพราหมณ์ คนหนึ ง ยังหาโอกาสไม่ได้ จึงดําริในใจ พระภาคทันที. พระผู้มี พระภาคตรัสว่า ดู กรอานนท์ ถ้า เช่นนัน
ว่า เราเดินติดตามภิกษุ สงฆ์ มี พระพุทธเจ้า เป็ นประมุข มากว่า 2 พราหมณ์ จงตกแต่ง ถวายเถิด.
ดูกรพราหมณ์ ยาคู(ข้าวต้ม) มีอานิสงส์ 10 ประการ คือ ผู้ถวายยาคู ชือว่า 1.ให้อายุ 2.ให้วรรณะ 3.ให้สุขะ 4.ให้พละ 5.ให้
ปฏิภาณ 6.บรรเทาความหิว 7.ระงับความกระหาย 8.ให้ลมเดินสะดวก 9.ล้างลําไส้ 10.เผาอาหารทียังไม่ยอ ่ ยให้ยอ
่ ย
อานิสงส์ยาคู 5 ประการ (ข้อ 6-ข้อ10) มาใน องฺ.ป จฺ .22/207/255 (ยาคุสต ู ร)
พระสุคตตรัสว่า ยาคูเป็ นยา ดังนันผู้ทีต้องการความสุขอันเป็ นของมนุษย์ตลอดกาลนาน และปรารถนาความสุขอันเป็ นทิพย์ หรือ
ปรารถนาความงามอันเป็ นของมนุษย์ จึงควรถวายยาคู วิ.ม.5/61/74,
19. ไม่ทรงอนุ ญาต การฉันปรัมปรโภชนะ อันได้แก่โภชชยาคู(ข้าวต้มข้น) ถ้าฉันต้องอาบัติ เพราะการห้ามภัต วิ.ม.5/64/78
สิกขาบททียืนยันว่า พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ฉันเนือสัตว์ ไม่เป็ น มังสวิรตั ิ
เรืองสีหะเสนาบดี ดําริเข้าเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค (วิ.ม.5/78/78)
[78] ก็โดยสมัยนั นแล เจ้าลิจฉวีบรรดาทีมีชือเสียง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดย
อเนกปริยาย และเวลานั น สีหะเสนาบดีสาวกของนิ ครนถ์ นั งอยู่ในทีประชุมนั นด้วย จึงคิดว่า ... ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปเฝ้ า พ. แล้ว
จึงได้เข้าไปหานิ ครนถ์นาฏบุตรถึงสํานั ก และได้แจ้งความประสงค์นี แก่นิครนถ์นาฏบุตร
อกิริยวาทกถา
นิ ครนถ์นาฏบุตรพูดค้านว่า ท่านสีหะ ก็ท่านเป็ นคนกล่าวการทํา ไฉนจึงจักไปเฝ้ าพระสมณโคดมผูเ้ ป็ นคนกล่าวการไม่ทาํ
เล่า ... ขณะนั น ความตระเตรียมในอันจะไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคของสีหะเสนาบดีได้เลิกล้มไป.
แม้ครังทีสอง ....
แม้ครังทีสาม เจ้าลิ จฉวีบรรดาที มีชือเสี ยง ต่างพากันตรัสสรรเสริ ญ พระพุทธคุ ณ พระธรรมคุ ณ พระสังฆคุ ณ โดยอเนก
ปริยาย ท่านสี หะเสนาบดีก็ได้คิดเป็ นครังทีสามว่า ... ก็พวกนิ ครนถ์ เราจะบอกหรือไม่บอกจักทําอะไรแก่เรา ผิฉะนั น เราจะไม่

๑๘๒
บอกพวกนิ ครนถ์ ไปเฝ้ า พ. เวลาบ่าย สีหะเสนาบดีออกจากพระนครเวสาลีพร้อมด้วยรถ 500 คัน ไปเฝ้ า พ. ... ได้กราบทูลเรือง
นี แด่พระผูม้ ีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทราบมาว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทาํ ทรงแสดงธรรมเพือการไม่ทาํ และทรงแนะนํ า
สาวกตามแนวนั น บุคคลจําพวกทีกล่าวอย่างนี … ได้กล่าวตามทีพระผูม้ ีพระภาคตรัสแล้ว ... บ้างหรือ ...
พระพุทธดํารัสตอบ
[79] พ. ตรัสตอบว่า มีอยู่จริง สีหะ เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวการไม่ทาํ แสดงธรรมเพือการไม่ทํา และ
แนะนํ าสาวกตามแนวนั น ดังนี ชือว่า กล่าวถูก.
มีอยู่จริง สีหะ เหตุทีเขากล่ าวหาเราว่า พระสมณโคดม กล่าวการทํา แสดงธรรมเพือการทํา และแนะนํ าสาวกตามแนวนั น
ดังนี ชือว่ากล่าวถูก.
ทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวความขาดสูญ ... พระสมณโคดมช่างรังเกียจ แสดงธรรมเพือความรังเกียจ .. แสดง
ธรรมเพือความกําจัด .. แสดงธรรมเพือความเผาผลาญ .. แสดงธรรมเพือความไม่ผุดเกิด .. แสดงธรรมเพือความเบาใจ .. ชือว่า
กล่าวถูก.
ทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทาํ … เพราะเรากล่าวการไม่ทาํ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าว
การไม่ทาํ สิงทีเป็ นบาปอกุ ศลหลายอย่างนี แล
ดูกรสีหะ อนึ ง เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการทํา แสดงธรรมเพือการทํา ... เพราะเรากล่าวการทํากาย
สุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เรากล่าวการทําสิงทีเป็ นกุศลหลายอย่าง นี แล
เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวความขาดสูญ ... เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ โมหะ เรา
กล่าวความขาดสูญแห่งสถานะทีเป็ นบาปอกุศลหลายอย่าง นี แล
เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างรังเกียจ แสดงธรรมเพือความรังเกียจ ... เพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต เรารังเกียจความถึงพร้อมแห่งสถานะทีเป็ นบาปอกุศลหลายอย่าง นี แล
เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างกําจัด แสดงธรรมเพือความกําจัด … เพราะเราแสดงธรรมเพือกําจัดราคะ
โทสะ โมหะ แสดงธรรมเพือกําจัดสถานะทีเป็ นบาปอกุศลหลายอย่าง นี แล
เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างเผาผลาญ แสดงธรรมเพือความเผาผลาญ ... เพราะเรากล่าวธรรมทีเป็ นบาป
อกุศล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็ นธรรมควรเผาผลาญ ธรรมทีเป็ นบาปอกุศล ซึงควรเผาผลาญ อันผูใ้ ดละได้แล้ว
ตัดรากขาดแล้ว ทําให้เป็ นเหมือนตาลยอดด้วน ทําไม่ให้มีในภายหลัง มีอนั ไม่เกิดอีกต่อไปเป็ นธรรมดา เรากล่าวผูน้ ั นว่า เป็ นคน
ช่างเผาผลาญ ดูกรสีหะ ธรรมทีเป็ นบาปอกุศลซึงควรเผาผลาญตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทําให้เหมือนตาลยอดด้วน ทํา
ไม่ให้มีในภายหลัง มีอนั ไม่เกิดอีกต่อไปเป็ นธรรมดา นี แล
เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมไม่ผุดเกิด แสดงธรรมเพือความไม่ผุดเกิด ... เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การ
เกิดในภพใหม่ อันผูใ้ ดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทําให้เป็ นเหมือนตาลยอดด้วน ทําไม่ให้มีในภายหลัง มีอนั ไม่เกิดอีกต่อไปเป็ น
ธรรมดา เรากล่าวผูน้ ั นว่า เป็ นคนไม่ผุดเกิด ดูกรสีหะ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาด
แล้ว ทําให้เป็ นเหมือนตาลยอดด้วน ทําไม่ให้มีในภายหลัง มีอนั ไม่เกิดอีกต่อไปเป็ นธรรมดา
เหตุทีเขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็ นผูเ้ บาใจ แสดงธรรมเพือความเบาใจ ... เพราะเราเบาใจ ด้วยธรรมทีให้เกิด
ความโล่งใจอย่างสูงและแสดงธรรมเพือความเบาใจ
แสดงตนเป็ นอุบาสก
[80] เมือพระผูม้ ีพระภาคตรัสอย่างนี แล้ว ท่านสีหะเสนาบดี ได้กราบทูลคํานี แด่ พระผูม้ ีพระภาคว่า ภาษิ ตของพระองค์
แจ่มแจ้งนั ก ภาษิ ตของพระองค์ไพเราะนั ก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี เปรียบเหมือน
บุคคลหงายของทีควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในทีมืดด้วยตังใจว่า คนมีจกั ษุ จกั เห็นรูป ดังนี
ข้าพระพุทธเจ้านี ขอถึงพระผูม้ ีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์วา่ เป็ นสรณะ ขอพระองค์โปรด ทรงจําข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็ น
อุบาสกผูม้ อบชีวิตถึงสรณะ จําเดิมแต่วนั นี เป็ นต้นไป.
ภ. ดู ก รสี หะ เธอจงทํา การที ใคร่ค รวญเสี ยก่ อนแล้วทํา เพราะการใคร่ค รวญเสี ย ก่อนแล้วทํา เป็ นความดี สํา หรับคนมี
ชือเสียงเช่นเธอ.
สี . พระพุทธเจ้าข้า โดยพระพุทธดํารัสแม้นี ข้าพระพุทธเจ้ายินดี พอใจยิงกว่าคาดหมายไว้ เพราะพระองค์ตรัสอย่างนี กะ
ข้าพระพุทธเจ้าว่า ดูกรสีหะ เธอจงทําการทีใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทํา เพราะการใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทําเป็ นความดีสําหรับคนมี

๑๘๓
ชื อเสี ย งเช่ นเธอ ความจริ ง พวกอัญ ญเดี ย รถี ย์ไ ด้ข า้ พระพุ ทธเจ้า เป็ นสาวก พึ ง ยกธงเที ยวประกาศทัวพระนครเวสาลี ว่า สี หะ
เสนาบดีเข้าถึ งความเป็ นสาวกของพวกเราแล้ว แต่ส่วนพระองค์สิ มาตรัสอย่างนี กะข้าพระพุทธเจ้าว่า ดู กรสี หะ เธอจงทําการที
ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทํา เพราะการใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทํา เป็ นความดีสําหรับคนมีชือเสี ยงเช่นเธอ ข้าพระพุทธเจ้านี ขอถึ ง
พระผูม้ ีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็ นสรณะ แม้ครังทีสอง ขอพระองค์โปรดทรงจําข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็ นอุบาสกผูม้ อบ
ชีวิตถึงสรณะ จําเดิมแต่วนั นี เป็ นต้นไป พระพุทธเจ้า.
ภ. นานนั กแล สีหะ ตระกูลของเธอได้เป็ นสถานทีรับรองพวกนิ ครนถ์มา ด้วยเหตุนัน เธอพึงสําคัญเห็นบิณฑบาตว่าเป็ นของ
ควรให้นิครนถ์เหล่านั นผูเ้ ข้าไปถึงแล้ว.
สี. โดยพระพุทธดํารัสแม้นี ข้าพระพุทธเจ้ายินดีพอใจยิงกว่าคาดหมายไว้ ... ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบว่า พระสมณะโคดม
รับสังอย่างนี ว่า ควรให้ทานแก่เราผูเ้ ดียว ไม่ควรให้ทานแก่คนพวกอืน ควรให้ทานแก่สาวกของเราเท่านั น ไม่ควรให้ทานแก่สาวก
ของศาสดาอืน เพราะทานทีให้แก่เราเท่านั น มีผลมาก ทานทีให้แก่คนพวกอืนไม่มีผลมาก ทานทีให้แก่สาวกของเราเท่านั น มีผล
มาก ทานทีให้แก่สาวกของศาสดาอืนไม่มีผลมาก แต่ส่วนพระองค์ทรงชักชวนข้าพระพุทธเจ้า ในการให้แม้ในพวกนิ ครนถ์ แต่
ข้าพระพุทธเจ้าจักรูก้ าลในข้อนี เอง ข้าพระพุทธเจ้านี ขอถึงพระผูม้ ีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็ นสรณะ แม้ครังทีสาม ขอ
พระองค์โปรดทรงจําข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็ นอุบาสกผูม้ อบชีวิตถึงสรณะ จําเดิมแต่วนั นี เป็ นต้นไป พระพุทธเจ้าข้า.
สีหเสนาบดีได้ธรรมจักษุ
ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาคได้ทรงแสดงอนุ ปุพพิกถาแก่สีหะเสนาบดี คือ ทรงประกาศทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความ
ตําทราม ความเศร้าหมองของกามทังหลาย และอานิ สงส์ในความออกจากกาม เมือพระองค์ทรงทราบว่า สีหะเสนาบดีมีจิตคล่ อง
มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิ ว รณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงได้ทรงประกาศ ทุกข์ สมุทัย นิ โรธ มรรค ดวงตาเห็น ธรรม
ปราศจากธุ ลี ปราศจากมลทินได้เกิดแก่สีหะเสนาบดี ณ สถานทีนั งนั นแลว่า สิ งใดสิ งหนึ งมีความเกิดขึนเป็ นธรรมดา สิ งนั นทัง
มวลมีความดับเป็ นธรรมดา ... ครันสีหะเสนาบดีเห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว ... ได้กราบทูลคํา ขอพระผูม้ ีพระภาคพร้อมกับ
ภิ ก ษุ ส งฆ์ จงทรงพระกรุ ณ าโปรดรับ ภัต ตาหารของข้า พระพุ ทธเจ้า เพื อเจริ ญ บุ ญ กุ ศ ลและปิ ติ ป ราโมทย์ใ นวัน พรุ่ ง นี ด ว้ ยเถิ ด
พระพุทธเจ้าข้า พระผูม้ ีพระภาคทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ
ต่อมาสี หะเสนาบดีใช้มหาดเล็ กผูห้ นึ งว่า พนาย เจ้าจงไปหาซือเนื อสดทีเขาขาย แล้วสังให้ตกแต่งขาทนี ยโภชนี ยาหารอัน
ประณีต โดยผ่านราตรีนันแล้ว ให้มหาดเล็กไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผูม้ ีพระภาค
ครันเวลาเช้า พระผูม้ ีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดําเนิ นไปทางนิ เวศน์ ของสีหะเสนาบดี ครัน
ถึงแล้วประทับนั งเหนื อพุทธอาสน์ ทเขาจั ี ดถวาย พร้อมกับภิกษุ สงฆ์.
ก็โดยสมัยนั นแล พวกนิ ครนถ์เป็ นอันมาก พากันประคองแขน ครําครวญไปตามถนนหนทางสีแยก สามแยกทัวทุกสายใน
พระนครเวสาลีว่า วันนี สีหะเสนาบดีลม้ สัตว์ของเลียงตัวอ้วนๆ ทําอาหารถวายพระสมณะโคดม พระสมณะโคดมทรงทราบอยู่ ยัง
เสวยเนื อนั นซึงเขาทําเฉพาะเจาะจงตน ขณะนั น มหาดเล็ กผูห้ นึ งเข้าไปเฝ้ าสี หะเสนาบดีทูลกระซิบว่า ขอเดชะ ฝ่ าพระบาทพึ ง
ทราบว่านิ ครนถ์มากมายเหล่านั น พากันประคองแขนครําครวญไปตามถนนหนทาง สีแยกสามแยกทัวทุกสายในพระนครเวสาลี
สี หะเสนาบดีตอบว่า ช่างเถิ ดเจ้า ท่านเหล่ านั นมุ่งติเตียนพระพุทธเจ้ามุ่งติเตียนพระธรรม มุ่งติเตียนพระสงฆ์มานานแล้ว
แต่ก็กล่าวตู่พระผูม้ ีพระภาคพระองค์นันด้วยถ้อยคําอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่จริง ยังไม่หนํ าใจ ส่วนพวกเราไม่ตงใจปลงสัั ตว์จากชีวิต
แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย. …
ครังนั น สีหะเสนาบดีองั คาสภิกษุ สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็ นประมุข ด้วยขาทนี ยโภชนี ยาหารอันประณีตด้วยมือของตน จนพระ
ผูม้ ีพระภาคเสวยเสร็จ ทรงนํ าพระหัตถ์ออกจากบาตร ห้ามภัตรแล้ว นั งเฝ้ าอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง พระผูม้ ีพระภาคทรงชีแจงให้
สีหะเสนาบดีผนู ้ ั งเฝ้ าอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ งเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากทีประทับเสด็จ
กลับไป.
พระพุทธบัญญัติหา้ มฉันเนือทีทําเฉพาะ
ครังนั นพระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ รอู ้ ยู่ไม่พึงฉันเนื อทีเขาทําจําเพาะ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. วิ.ม.5/80/85
ดูกรภิกษุ ทงหลายั เราอนุ ญาต ปลา เนื อ ทีบริสุทธิโดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รงั เกียจ (นึ กสงสัย)
(อุททิสสมังสะ แปลว่า เนื อเจาะจง, ปวัตตมังสะ แปลว่า เนื อมีอยูแ่ ล้ว)

๑๘๔
ชีวกสูตร (ฆ่าสัตว์ทาํ บุญได้บาปด้วยเหตุ 5 ประการ) ม.ม.13/56/48 (เล่ม 20 หน้า 99 มมร.)
[60] ดูกอ
่ นชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นนย่ ั อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ
ผู้นนกล่
ั าวอย่างนีว่า ท่านทังหลายจงไปนําสัตว์ชือโน้นมา ดังนีชือว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ ป ระการที 1 นี.
สัตว์นนเมืั อถูกเขาผูกคอนํามา ได้เสวยทุกข์โทมนัส ชือว่า ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ ป ระการที 2 นี.
ผู้นนพูั ดอย่างนีว่า ท่านทังหลายจงไปฆ่าสัตว์นี ชือว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ ป ระการที 3 นี.
สัตว์นนเมื ั อเขากําลังฆ่า ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ชือว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุป ระการที 4 นี.
ผู้นนย่ ั อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยน ิ ดีด้วยเนือเป็ นอกัปปิ ยะ ชือว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ ป ระการที 5 นี.
ดูกอ่ นชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคต ผู้นนย่ ั อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมากด้วยเหตุ 5 ประการนี.

ทัศนะต่อการ กินเจ ของหลวงพ่อชา


วันหนึ งมีคนมาถามหลวงพ่อชา เกียวกับเรืองการกินเจ กับการกินอาหารเนื ออาหารปลา ต่างกันอย่างไร อย่างไหนถู ก
อย่างไหนผิด ท่านตอบว่า
"เหมือนกบกับคางคกนั นแหละ โยมว่า กบ กับ คางคก อย่างไหนมันดีกว่ากัน ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉัน อะไร
ไม่ได้เป็ นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็ นอะไรอีกแล้ว
การบริโภคอาหารเป็ นสักแต่ว่า เป็ นเครืองหล่ อเลียงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ใน
ทุกสิงทุกอย่าง ให้รจู ้ กั ประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา นี เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็ น
อะไรแล้ว
ถ้าคนกินเนื อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื อ นั นเป็ นตัณหา ถ้าคนไม่กินเนื อ พอเห็นคนอืนกินเนื อก็รงั เกียจและโกรธเขา ไปด่าว่า
นิ นทาเขา เอาความชัวของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั นก็เป็ นคนโง่กว่าเขา ทําไปตามอํานาจของตัณหาเหมือนกัน
การทีเราไปโกรธเกลี ยดเขานั น มันก็คือผีทีสิ งอยู่ในใจเรา เขากินเนื อเป็ นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็ นผีเป็ นบาปอีกเหมือนกัน
มันยังเป็ นสัตว์อยู่ทงสองฝ่
ั าย ยังไม่เป็ นธรรมะ อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก
แต่ทางทีถู กนั น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ คนกิ นเนื อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่ อย
จนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน ส่วนคนกินเจก็ให้เชือมันในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอืนกินเนื ออย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่า
ให้คิดอยู่ในการกระทําภายนอก
พระเณรในวัดนี ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถื อข้อวัตรฉันเจก็ถือไป องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่
อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในแง่รา้ ย อาตมาสอนอย่างนี ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร
ให้เข้าใจว่า ธรรมะทีแท้นัน เราจะเข้าถึงได้ดว้ ยปั ญญา ทางปฏิบตั ิทีถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปั ญญา ถ้าเราสํารวมอินทรีย์ คือ ตา หู
จมูก ลิ น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ และปั ญญาความรูเ้ ท่าทันสภาพของสังขารทังหลาย ก็จะเกิดขึน จิตใจก็เบือหน่ ายจากสิงที
น่ ารักน่ าใคร่ทงหลาย
ั วิมุตติก็เกิดขึนเท่านั น"
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทั โท)
จากหนั งสือ "ใต้ร่มโพธิญาณ"
ตัวอย่าง การบัญญัติแล้วเพิกถอน เพิกถอนแล้วบัญญัติใหม่ วิ.ม.5/81/85
[81] ก็โดยสมัยนั นแล พระนครเวสาลีมีภิกษาหารมาก มีขา้ วกล้างอกงาม บิณฑบาตก็ง่าย ภิกษุ สงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็ นไป
ด้วยการถือบาตรแสวงหาก็ทาํ ได้ง่าย ครังนั น พระผูม้ ีพระภาคประทับหลีกเร้นอยู่ในทีสงัด ทรงปริวิตกนี ว่า ภัตตาหารทีเราอนุ ญาต
แก่ภิกษุ ทังหลาย เมือคราวอัตคัดอาหาร มีขา้ วกล้าน้อย บิณฑบาตได้ฝืดเคือง คืออาหารทีเก็บไว้ภายในทีอยู่ 1 อาหารทีหุงต้ม
ภายในทีอยู่ 1 อาหารทีหุงต้มเอง 1 อาหารทีจับต้องแล้วรับประเคนใหม่ 1 อาหารทีทายกนํ ามาจากทีนิ มนต์นัน 1 อาหารทีรับ
ประเคนฉันในปุเรภัต 1 อาหารทีเกิดในป่ าและเกิดในสระบัว 1 ภัตตาหารเหล่ านั น ภิกษุ ทังหลายยังฉันอยู่ทุกวันนี หรือ หนอ.
ครันเวลาเย็น พระผูม้ ีพระภาคเสด็จออกจากทีประทับพักเร้น แล้วรับสังถามท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์ทูลว่า ยังฉันอยู่
พระพุทธเจ้าข้า. ลําดับนั น ผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น
[81] ภิกษุ ทงหลาย!
ั ภัตตาหารทีเราอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทังหลายเมือคราวอัตคัดอาหาร มีขา้ วกล้าน้อย บิณฑบาตฝื ดเคืองภัตตาหาร
เหล่ านั น เราห้ามจําเดิมแต่วันนีเป็ นต้นไป. คือ อาหารทีเก็ บ ไว้ภายในที อยู่ อาหารทีหุงต้มภายในที อยู่ อาหารทีหุง ต้ม เอง
อาหารทีจับต้องแล้วรับประเคนใหม่, ส่วนอาหารทีทายกนํ ามาจากทีนิ มนต์นัน อาหารทีรับประเคนฉันในปุเรภัต อาหารทีเกิด
ในป่ าและเกิดในสระบัว ภัตตาหารเหล่านั น เราห้ามจําเดิมนี เป็ นต้นไป
ดู กรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ไม่พึงฉันอาหารทีเก็บไว้ภายในทีอยู่ อาหารทีหุงต้มภายในทีอยู่ อาหารทีหุงต้มเอง อาหารทีจับ
ต้องแล้วประเคนใหม่ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

๑๘๕
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ส่วนอาหารทีทายกนํ ามาจากทีนิ มนต์นัน อาหารทีรับประเคนฉันในปุเรภัต อาหารทีเกิดในป่ าและเกิด
ในสระบัว ยังไม่เป็ นเดน ภิกษุ ฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว ไม่พึงฉัน รูปใดฉัน พึงปรับอาบัติตามธรรม. (ต้นบัญญัติ.โภชนวรรคที 4 บทที 5
(หน้า 69))
22. (หลังออกพรรษาที 5) ทรงอนุ ญาต เสบียงเดินทาง “ภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตปั ญจโครส(คือของ 5 อย่างทีเกิดจากโค คือ นมสด นม
ส้ม(นมข้น CURDS) เปรียง(นมส้ม BUTTERMILK) เนยข้น เนยใส)
22.1 ภิกษุ ทงหลาย!
ั หนทางกันดาร อัตคัดนํ า อัตคัดอาหารมีอยู่ ภิกษุ ไม่มีเสบียงเดินทางไป ต้องลําบาก เราอนุ ญาตให้แสวงหา
เสบียงได้ คือ ผูต้ อ้ งการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร ผูต้ อ้ งการถัวเขียว..ถัวราชมาส..เกลือ..นํ าอ้อยงบ..นํ ามัน..เนยใส..พึงแสวงหา”
22.2 ภิกษุทงหลาย!
ั คนทังหลายทีศรัทธาเลือมใสมอบเงินและทองไว้แก่กปั ปิ ยการก กล่าวว่า “สิงใดควรแก่พระคุณเจ้า
จงถวายสิงนันจากกัปปิ ยภัณฑ์นี” ดังนีมีอยู่ “ภิกษุทงหลาย!
ั สิงใดควรจากกัปปิ ยภัณฑ์นนั เราอนุญาตให้ยินดีสงนั ิ นได้ แต่
เราไม่ได้กล่าวว่า ภิกษุพึงยินดีและแสวงหาทองและเงิน ไม่ว่ากรณีใดๆ” วิ.ม.5/85/113
23. ภิกษุทงหลาย
ั เราอนุญาตนําอัษฐบาน”(ในวิกาล) (แสดงหลังออกพรรษาที 5) วิ.ม.5/86/116
ปานะ คือ นํ าสําหรับดืมทีคันออกจากนํ าผลไม้, ปานะนี ให้ใช้ของสด ห้ามมิให้ตม้ ด้วยไฟ
นํ าอัษฐบาน(อัษฐปานะ) แปลว่า นํ าดืม 8 ชนิ ด คือ
1. อัมพปานะ นํ ามะม่วง 5. มธุกปานะ นํ ามะทราง(มาซาง)
2. ชัมพุปานะ นํ าชมพู่หรือนํ าหว้า 6. มุททิกปานะ นํ าผลจันทน์ หรือองุ่น
3. โจจปานะ นํ ากล้วยมีเมล็ด 7. สาลุกปานะ นํ าเหง้าอุบล(รากบัว)
4. โมจปานะ นํ ากล้วยไม่มีเมล็ด 8. ผารุสกปานะ นํ ามะปรางหรือลินจี
ปานะ 8 อีกอย่างหนึง คือ ขุ.มหานิ สเทส.29/742/397
1.นํ าผลสะคร้อ 2.นํ าผลเล็บเหยียว 3.นํ าผลมะนาว 4.ปานะทีทําด้วยเปรียง(นํ าเนยใส) 5.นํ ามัน
6.นํ าข้าวยาคู(ยาคุปานํ นํ าข้าวยาคูมีรสเปรียวเป็ นต้น) 7.นํ านม(ปโยปานํ) 8.ปานะทีทําด้วยรส(รสปานํ มีรสผักเป็ นต้น)
ภิกษุ ทงหลาย!
ั เราอนุ ญาตนํ าผลไม้ทุกชนิ ด เว้นนําต้มเมล็ดข้าวเปลือก(ธัญญผลรส)
เราอนุ ญาตนํ าใบไม้ทุกชนิ ด เว้นนํ าผักดอง(รสแห่งผักทีสุก),
เราอนุ ญาตนํ าดอกไม้ทุกชนิ ด เว้นนํ าดอกมะซาง(สามารถปรุงเป็ นนําเมา)
เราอนุ ญาตนํ าอ้อยสด(ไม่มีกาก)
 นําแห่งผลไม้ใหญ่ 9 ชนิ ด คือ ตาล มะพร้าว ขนุ น สาเก นําเต้า ฟั กเขียว ฟั กทอง แตงไทย แตงโม ไม่ควร
ฉันในวิกาล วิ.ม.อ.7 หน้า 189-190 มมร. (วิ.อฏ.3/205)
มหาปเทส 4 เพื่อ ประโยชนที่ภิก ษุทั้งหลายจะไดถือไวเปนแบบ พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัส มหาปเทส (คือ หลัก สําหรับอางใหญ) 4 ขอ
เหลานั้น วา ยํ ภิก ฺข เว มยา อิท ํ น กปฺปติ เปนตน.
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย เมื่อ ถือเอาสูตรสอบสวนดูในมหาปเทสนั้น ไดเห็น ความขอนี้วา. ดว ยพระบาลีวา ฐเปตฺ ว า ธ ฺญ
ผลรสํ นี้ ธัญญชาติ 7 ชนิด เปนอันหามแลววา ไมควรในปจฉาภัต. มหาผล 9 อยาง คือ ผลตาล ผลมะพราว ผลขนุน ผลสาเก น้ําเตา ฟก
เขียว แตงไท แตงโม ฟก ทอง เปน อัน ทรงหาม และอปรัณณชาติทุกชนิด มีคติอยางธัญญชาติเหมือนกัน.
มหาผลและอปรัณณชาตินน
ั้ ไมไดทรงหามไวกจ
็ ริง ถึงกระนัน
้ ยอมเขากับสิง่ ทีเ่ ปนอกัปปยะ; เพราะเหตุนน
ั้ จึงไมควรในปจฉาภัต.
น้ําปานะ 8 อยาง ทรงอนุญาตไว น้ําปานะแหงผลไมเล็กมี หวายมะชาม มะงั่ว มะขวิด สะครอ และเล็บเหยี่ยว เปน ตน มีคติอยาง
อฏัฐบานแท , น้ําปานะแหงผลไมเหลานั้น ไมไ ดท รงอนุญาตไวก ็จริง . ถึงกระนั้น ยอ มเขากับสิ่งที่เปน กัปปยะ; เพราะฉะนั้น จึงควร.
ในกุรุนทีแกวา จริงอยู เวนรสแหงเมล็ดขาวกับทั้งสิ่งที่อนุโลมเสียแลว ขึ้นชือ
่ วาน้าํ ผลไมอน
ื่ ที่ไมควร ยอมไมมี น้ําผลไมทุกชนิด
เปนยามกาลิกแท.
วิ.ม.อ.7 หนา 189-190 มมร.

๑๘๖
µÑÇÍ‹ҧÁËÒ¼Å·Õ¨è ´Ñ à»š¹ÍÒËÒáѺá¡ÅŒÁ
Êͧº·Ç‹Ò Í»ËÃÔൠ€Ô൹ ¤×Í Â×¹ÍÂً㹷Õè»ÃÒȨҡ¢Í§Ê´à¢ÕÂÇ.¡ç㹤íÒÇ‹Ò ËÃÔµí ¹Õé ·Ã§»ÃÐʧ¤àÍҺؾ¾Ñ³ªÒµÔµÒ‹ §
â´Â໚¹¢ŒÒÇà»Å×Í¡ 7 ª¹Ô´ áÅÐÍ»ÃѳªÒµÔµ‹Ò§â´Â໚¹¶ÑÇè à¢ÕÂÇ ¶ÑèÇàËÅ×ͧ §Ò ¶ÑèǾ٠¹éíÒàµŒÒ áÅп˜¡à¢ÕÂÇ໚¹µŒ¹ . ´ŒÇÂà˵Ø
¹Ñé¹áÅ ¾ÃÐͧ¤¨Ö§µÃÑÊÇ‹Ò ·Õèª×èÍÇ‹Ò ¢Í§Ê´à¢ÕÂÇ ä´Œá¡‹ ºØ¾¾Ñ³ªÒµÔ Í»ÃѳªÒµÔ. ÇÔ.Á.Í.4 ˹ŒÒ 348 ÁÁÃ.
㹼Ţҷ¹ÕÂÐ ÁÕÇÔ¹Ô¨©Ñ´ѧ¹Õé :- ¼ÅäÁŒ·Ñé§ËÅÒ ÁÕ¢¹Ø¹ ¢¹Ø¹ÊíÒ»ÐÅ͵ÒÅ ÁоÌÒÇ ÁÐÁ‹Ç§ ªÁ¾Ù‹ ÁС͡ ÁТÒÁ
ÁЧÑèÇ ÁТÇÔ´ ¹éíÒàµŒÒ ¿˜¡à¢ÕÂÇ ¼Åᵧä·Â ÁоÅѺ ᵧâÁ ÁÐà¢×Í (ÁÐánj§) ¡ÅŒÇÂÁÕàÁÅç´ ¡ÅŒÇÂäÁ‹ÁÕàÁÅç´ áÅÐÁЫҧ໚¹
µŒ¹ (áÅÐ) ¨íҾǡ¼ÅäÁŒ·ÕèÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇÃà¤ÕéÂÇ áÅзÕèÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇúÃÔâÀ¤ ¢Í§ËÁًÁ¹Øɏ´ŒÇÂ
ÍÒËÒõÒÁ»¡µÔ㹪¹º·¹Ñé¹ æ ã¹âÅ¡ ·Ø¡ æ Í‹ҧ໚¹ÂÒÇ¡ÒÅÔ¡. áÅдŒÇÂÍíÒ¹Ò¨¡ÒùѺª×èÍ ã¤Ã æ ¡çäÁ‹ÍÒ¨¨ÐáÊ´§¼ÅäÁŒ
·Õè໚¹ÂÒÇ¡ÒÅÔ¡àËŋҹÑé¹ãˌÊÔé¹Êش䴌.
¡çáżÅàËŋÒã´·Õè¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀҤ਌ҵÃÑÊänj㹾ÃкÒÅÕÇ‹Ò ´Ù¡‹Í¹ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ! àÃÒ͹حҵ¼ÅàÀÊѪ (¼ÅäÁŒ·Õè໚¹
ÂÒ) ¤×Í ÅÙ¡¾ÔÅѧ¡ÒÊÒ ´Õ»ÅÕ ¾ÃÔ¡ ÊÁÍä·Â ÊÁ;ÔàÀ¡ ÁТÒÁ»‡ÍÁ ¼Åáˋ§â¡°, ¡çËÃ×ͼÅàÀÊѪª¹Ô´Í×è¹ã´ ºÃôÒÁÕ ·ÕèäÁ‹
ÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇÃà¤ÕéÂÇ ã¹¢Í§¤ÇÃà¤ÕéÂÇ ·ÕèäÁ‹ÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇúÃÔâÀ¤ã¹¢Í§¤ÇúÃÔâÀ¤ * ´Ñ§¹Õé, ¼Å
àËŋҹÑé¹à»š¹ÂÒǪÕÇÔ¡. *ÇÔ.ÁËÒ.5/42-3. ÇÔ.Á.Í.4 ˹ŒÒ 537 ÁÁÃ.
áÁŒ¼ÅäÁŒ·Õè໚¹ÂÒǪÕÇÔ¡àËŋҹÑé¹ ã¤Ãæ ¡çäÁ‹ÍÒ¨¨ÐáÊ´§ãˌÊÔé¹Êشŧ´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨áˋ§ª×èÍÍ‹ҧ¹Õé ¤×Í ¾Ç¡¼Åáˋ§ËÁÒ¡
ä¿ (ÅÙ¡à¢çÁ) ÅÙ¡ä·Ã ËÃ×͵íÒÅÖ§ ¡ÒÃÐà¡´ (ÅíÒà¨Õ¡) ä¢‹à¹‹Ò (ÁеÙÁ) ໚¹µŒ¹·ÕèÂѧäÁ‹ÊØ¡ ÅÙ¡¨Ñ¹·¹à·È ÅÙ¡¢‹Ò (¾ÃÔ¡)
¡ÃÐÇÒ¹ãË­‹ ¡ÃÐÇÒ¹ (àÅç¡) ໚¹µŒ¹.
ã¹Íѯ°Õ¢Ò·¹ÕÂÐ ÁÕÇÔ¹Ô¨©Ñ´ѧ¹Õé:- àÁÅç´·Ñé§ËÅÒ ÁÕÍÒ·ÔÍ‹ҧ¹Õé ¤×Í àÁÅç´¢¹Ø¹ÊíÒ»ÐÅÍ àÁÅç´¢¹Ø¹ àÁÅç´ÁС͡
àÁÅç´ËÙ¡ÇÒ§ àÁÅ索ͧ¼Å·ÕèÂѧ͋͹áˋ§¨íҾǡÍÔ¹·¼ÅÑÁ (໇§¡çNjÒ) ¡ÒÃÐà¡´ (ÅíÒà¨Õ¡) ÁоÅѺ àÁÅç´ÁТÒÁ àÁÅç´µíÒÅÖ§
àÁÅç´ÊÐ¤ÃŒÍ àÁÅç´ºÑÇ (ÅÙ¡ºÑÇ) ª¹Ô´ÍغŠáÅл·ØÁ ·ÕèÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇÃà¤ÕéÂÇ áÅзÕèÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇÃ
ºÃÔâÀ¤ ´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨áˋ§ÍÒËÒõÒÁ»¡µÔ¢Í§ËÁًÁ¹Øɏ㹪¹º·¹Ñé¹ æ ¨Ñ´ ໚¹ÂÒÇ¡ÒÅÔ¡. àÁÅç´ÁÕÍÒ·ÔÍ‹ҧ¹Ñé¹ ¤×Í àÁÅç´
ÁЫҧ àÁÅ紺ع¹Ò¤ àÁÅç´¨íҾǡÊÁÍä·Â໚¹µŒ¹ àÁÅ紾ѹ¸Ø¼Ñ¡¡Ò´ àÁÅ紼ѡªÕŌÍÁ ¨Ñ´à»š¹ÂÒǪÕÇÔ¡. àÁÅç´·Õè໚¹ÂÒǪÕÇÔ¡
àËŋҹÑé¹ ¼ÙŒÈÖ¡ÉÒ¾Ö§·ÃÒºÇ‹Ò Ê§à¤ÃÒÐˏࢌҡѺ¼ÅàÀÊѪ㹾ÃкÒÅÕ¹Ñè¹áÅ.
ã¹»¯°¢Ò·¹ÕÂÐ ÁÕÇÔ¹Ô¨©Ñ´ѧ¹Õé:- ệ§·Ñé§ËÅÒÂÁÕÍÒ·ÔÍ‹ҧ¹Ñ鹤×Íệ§áˋ§¸Ñ­ªÒµÔ 7 ª¹Ô´ ¸Ñ­ªÒµÔ͹ØâÅÁáÅÐÍ»Ãѳ
ªÒµÔ ệ§¢¹Ø¹ ệ§¢¹Ø¹ÊíÒ»ÐÅÍ á»‡§ÁС͡ ệ§ËÙ¡ÇÒ§ ệ§µÒÅ ·Õè¿Í¡áÅŒÇ á»‡§ËÑÇ¡ÅÍ (à¶Ò¹éíÒ¹Á à¶Ò¢ŒÒÇÊÒáçÇҋ ) ·Õè
ÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇÃà¤ÕéÂÇáÅзÕèÊíÒàÃ稻ÃÐ⪹á¡‹¢Í§¤ÇúÃÔâÀ¤ áˋ§ËÁًÁ¹Øɏ´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨áˋ§ÍÒËÒõÒÁ»Ã¡µÔã¹
ª¹º·¹Ñé¹ ¨Ñ´à»š¹ÂÒÇ¡ÒÅÔ¡. ệ§µÒÅ·ÕèÂѧäÁ‹ä´Œ¿Í¡ ệ§ËÑÇ¡ÅÍ (à¶Ò¹éíÒ¹Á à¶Ò¢ŒÒÇÊÒáçNjÒ) ệ§µŒ¹»‡Òệ¹* ໚¹µŒ¹
(·ÕèÂѧäÁ‹ 䴌¿Í¡) ¨Ñ´à»š¹ÂÒǪÕÇÔ¡. ệ§·Õè໚¹ÂÒǪÕÇÔ¡àËŋҹÑé¹ ¼ÙŒÈÖ¡ÉÒ¾Ö§·ÃÒºÇ‹Ò Ê§à¤ÃÒÐˏࢌҡѺ¾Ç¡¹éíÒ½Ò´áÅоǡ
ÃÒ¡¼Å. * µŒ¹ÊÒ¤Ù ¡ÃÐÁѧ ? ÇÔ.Á.Í.4 ˹ŒÒ 538 ÁÁÃ.
1
ã¹¹ÔÂÂÒÊ¢Ò·¹ÕÂÐ ÁÕÇÔ¹Ô¨©Ñ´ѧ¹Õ:é - ÂÒ§ ͌Í (¹éíÒ͌͵ѧàÁ) Í‹ҧà´ÕÂÇ à»š¹ÊѵµÒË¡ÒÅÔ¡. ÂÒ§·ÕèàËÅ×Í«Ö觵ÃÑÊ
änj㹾ÃкÒÅÕÍ‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ´Ù¡‹Í¹ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ! àÃÒ͹حҵªµØàÀÊѪ (ÂÒ§äÁŒ·Õè໚¹ÂÒ) ¤×Í ÂÒ§ÍѹäËÅÍÍ¡¨Ò¡µŒ¹ËÔ§¤Ø ÂÒ§
Íѹà¢Òà¤ÕèÂǨҡ¡ŒÒ¹áÅÐãºáˋ§µŒ¹ËÔ§¤Ø ÂÒ§Íѹà¢Òà¤ÕèÂǨҡãºáˋ§µŒ¹ËÔ§¤Ø ËÃ×Íà¨×ͧ͢Í×è¹´ŒÇ ÂÒ§ÍѹäËÅÍÍ¡¨Ò¡ÂÍ´äÁŒ
µÑ¡¡Ð2 ÂÒ§ÍѹäËÅÍÍ¡¨Ò¡ãºáˋ§µŒ¹µÑ¡¡Ð ÂÒ§Íѹà¢Òà´ÕÂǨҡ㺠ËÃ×ÍäËÅÍÍ¡¨Ò¡¡ŒÒ¹áˋ§µŒ¹µÑ¡¡Ð ¡íÒÂÒ¹ ¡çËÃ×ͨµØ
àÀÊѪª¹Ô´Í×è¹ã´ºÃôÒÁÕ ´Ñ§¹Õé ¨Ñ´à»š¹ÂÒǪÕÇÔ¡. ã¤Ã æ ¡çäÁ‹ÍÒ¨¨ÐáÊ´§ªµØàÀÊѪ·Õè·Ò‹ ¹Ê§à¤ÃÒÐˏ´ŒÇÂàÂÇÒ»¹¡¹Ñ 㹾ÃÐ
ºÒÅÕ¹Ñé¹ ãˌÊÔé¹Êشŧ´ŒÇÂÍíÒ¹Ò¨áˋ§ª×èÍÍ‹ҧ¹Ñé¹ ¤×Í ÂÒ§¡ÃóԡÒÏ ÂÒ§ÁÐÁ‹Ç§à»š¹µŒ¹.
ºÃôҢҷ¹ÕÂÐÁÕÁÙÅ¢Ò·¹ÕÂÐ໚¹µŒ¹ àËŋҹÑé¹ ´Ñ§¡Å‹ÒÇÁÒ¹Õé ÂÒÇ¡ÒÅÔ¡ª¹Ô´ã´ª¹Ô´Ë¹Öè§áÁŒ·Ñé§ËÁ´ ·‹Ò¹Ê§à¤ÃÒÐˏ
ࢌÒã¹ÍÃö¹ÕéÇҋ ·ÕèàËÅ×Í ª×èÍÇ‹Ò ¢Ò·¹ÕÂÐ (¢Í§¤ÇÃà¤ÕéÂÇ). ʋǹ¤íÒ·Õè¤ÇáŋÒÇ㹤íÒÇ‹Ò âÀª¹Ð 5 Í‹ҧ ª×èÍÇ‹Ò âÀª¹ÕÂÐ
(¢Í§¤ÇúÃÔâÀ¤) ໚¹µŒ¹ ¢ŒÒ¾à¨ŒÒ䴌¡Å‹ÒÇáŌÇáÅ.
¤íÒÇ‹Ò ¢Ò·ÔÊÊÚ ÒÁÔ ÀؐªÚ ÊÔ ÊÚ ÒÁÕµÔ »¯Ô¤¤Ú ³ÚËÒµÔ ÍÒ»µÚµÔ ·Ø¡¡Ú ¯ÊÚÊ ÁÕ¤ÇÒÁÇ‹Ò ÀÔ¡ÉØã´ÃѺ»ÃÐह¢Ò·¹ÕÂÐáÅÐâÀª¹ÕÂÐ
¹Ñè¹ã¹àÇÅÒÇÔ¡ÒÅ, ÀÔ¡ÉعÑé¹µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯ã¹à¾ÃÒÐÃѺ¡‹Í¹. º··ÕèàËÅ×Íã¹ÊÔ¡¢Òº·¹Õéµ×é¹·Ñ駹Ñé¹áÅ.
ÇÔ.Á.Í.4 ˹ŒÒ 539 ÁÁÃ.
สรุปโดยย่อ ตังแต่เทียงไปแล้ว สิงทีควรฉัน ได้แก่
 เภสัชทัง 5 เนยใส เนยข้น นํามัน นําผึง นําอ้อย ฉันได้ 7 วัน
 ใบไม้ทีเป็ นยา เช่น ใบชา, ผลเภสัช เช่น มะขามป้ อม สมอดอง เม็ดกาแฟ ฉันได้
 นําผลไม้ทุกชนิด ถ้าไม่มีกาก (กรองกากออกแล้ว) ฉันได้

๑๘๗
 นํานม (เป็ นปานะ ตามคัมภีรม์ หานิทเทส) ฉันได้
 นําทีมีสว่ นผสมของธัญพืช เช่น โอวัลตินมีสว่ นผสมของมอลท์ ? พิจารณาก่อน
( ช็อกโกแลตทีไม่มีธญ
ั พืชผสมอยู่ เช่น ช็อกโกแลตนม ฉันได้ ; แต่ช็อกโกแลตทีมีถวั ฉันไม่ได้ )
 นําข้าวใส นําต้มถัว นําต้มเนือ (เป็ นเภสัช ตามพระวินยั ) พิจารณาก่อน
 นําข้าวยาคู นําผัก (รสปานํ) (เป็ นปานะ ตามคัมภีรม์ หานิทเทส) พิจารณาก่อน
 นําทีมีสว่ นผสมของธัญพืช เช่น นมถัวเหลือง พิจารณาก่อน
 นําเปรียว ฉันไม่ได้
หมายเหตุ. การฉันปานะ ต้องนังฉันให้เรียบร้อย หากยืนฉันต้องอาบัติทุกฏ
พ. ดู ก่อนภิกษุ ทงหลายั พวกเธอไม่มี ม ารดาไม่มีบิด า ผู้ใ ดเล่า จะพึงพยาบาลพวกเธอ ถ้า พวกเธอจักไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่า จัก
พยาบาล ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ผู้ใดจะพึงอุปฏ ั ฐากเรา ผู้นนพึ
ั งพยาบาลภิกษุ อาพาธ
ถ้ามีอุปช ั ฌายะๆ พึงพยาบาลจนตลอดชีวต ิ หรือจนกว่าจะหาย
ถ้ามีอาจารย์ ๆ พึงพยาบาลจนตลอดชีวต ิ หรือจนกว่าจะหาย
ถ้ามีสทั ธิวหิ าริก ๆ พึงพยาบาลจนตลอดชีวต ิ หรือจนกว่าจะหาย
ถ้ามีอน ั เตวาสิก ๆ พึงพยาบาลจนตลอดชีวต ิ หรือจนกว่าจะหาย
ถ้ามีภิกษุ ผู้รว่ มอุปช ั ฌายะ ภิกษุ ผู้รว่ มอุปช
ั ฌายะพึงพยาบาลจนตลอดชีวต ิ หรือจนกว่าจะหาย
ถ้ามีภิกษุ ผู้รว่ มอาจารย์ ภิกษุ ผู้รว่ มอาจารย์ พึงพยาบาลจนตลอดชีวต ิ หรือจนกว่าจะหาย
ถ้าไม่มีอุปช ั ฌายะ อาจารย์ สัทธิวห ิ าริก อันเตวาสิก ภิกษุ ผู้รว่ มอุปช
ั ฌายะ หรือภิกษุ ผู้รว่ มอาจารย์ สงฆ์ต้องพยาบาล ถ้าไม่พยาบาลต้อง
อาบัติทุกกฏ. วิ.ม. 5/166/179

องค์ของภิกษุ อาพาธทีพยาบาลได้ยาก 5 อย่าง (วิ.ม.5/166/180)


ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ อาพาธทีประกอบด้วยองค์ 5 เป็ นผู้พยาบาลได้ยาก คือ
ไม่ทาํ ความสบาย 1 ไม่รป ู ้ ระมาณในความสบาย 1 ไม่ฉน ั ยา 1 ไม่บ อกอาการไข้ตามจริงแก่ผู้พยาบาลทีมุ่งประโยชน์ คือ ไม่บอก
อาการไข้ทีกําเริบว่า กําเริบ อาการไข้ทีทุเลาว่าทุเลา อาการไข้ทีทรง อยูว่ า่ ทรงอยู่ 1
มีนิสยั เป็ นคนไม่อดทนต่อทุกขเวทนาทีเกิดปรากฏในร่างกาย อันกล้าแข็ง รุนแรง ไม่เป็ นทียินดี ไม่เป็ นทีพอใจ อันจะพล่าชีวต
ิ เสีย 1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ อาพาธทีประกอบด้วยองค์ 5 นีแล เป็ นผู้พยาบาลได้ยาก.
องค์ของภิกษุ อาพาธทีพยาบาลได้ง่าย 5 อย่าง
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ อาพาธทีประกอบด้วยองค์ 5 เป็ นผู้พยาบาลได้ง่าย คือ
ทํา ความสบาย 1 รูป ้ ระมาณในความสบาย 1 ฉันยา 1 บอกอาการป่ วยไข้ตามจริงแก่ผู้พยาบาลทีมุ่งประโยชน์ คือ บอกอาการไข้ที
กําเริบว่ากําเริบอาการไข้ทีทุเลาว่าทุเลา อาการไข้ทีทรงอยูว่ า่ ทรงอยู่ 1
มีนิสยั เป็ นคนอดทนต่อทุกขเวทนา อันกล้าแข็ง รุนแรง ไม่เป็ นทียินดี ไม่เป็ นทีพอใจ อันจะพล่าชีวต
ิ เสีย 1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ อาพาธทีประกอบด้วยองค์ 5 นีแล เป็ นผู้พยาบาลได้ง่าย.
องค์ของภิกษุ ผู้ไม่เข้าใจพยาบาล 5 อย่าง
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ทีประกอบด้วยองค์ 5 ไม่ควรพยาบาลไข้ คือ
เป็ นผู้ไม่สามารถเพือประกอบยา 1
ไม่รจู ้ กั ของแสลงและไม่แสลง คือ นําของแสลงเข้าไปให้ กันของ ไม่แสลงออกเสีย 1
พยาบาลไข้เห็นแก่อามิส ไม่มีจต ิ เมตตา 1
เป็ นผู้เกลียดทีจะนําอุจจาระ ปัสสาวะ เขฬะ หรือของทีอาเจียนออกไป 1
เป็ นผู้ไม่สามารถจะชีแจงให้คนไข้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาในกาลทุกเมือ 1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ ทีประกอบด้วยองค์ 4 นีแล ไม่ควรพยาบาลไข้.
องค์ของภิกษุ ผู้เข้าใจพยาบาล 5 อย่าง
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ทีประกอบด้วยองค์ 5 ควรพยาบาลไข้ คือ
เป็ นผู้สามารถประกอบยา 1
รูจ้ กั ของแสลง และไม่แสลง คือกันของแสลงออก นําของไม่แสลง เข้าไปให้ 1
มีจต ิ เมตตาพยาบาลไข้ ไม่เห็นแก่อามิส 1
เป็ นผู้ไม่เกลียดทีจะนําอุจจาระ ปัสสาวะ เขฬะ หรือของทีอาเจียนออกไปเสีย 1
เป็ นผู้สามารถทีจะชีแจงให้คนไข้ เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ในกาลทุกเมือ 1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ พยาบาลไข้ทีประกอบด้วยองค์ 5 นีแล ควรพยาบาลไข้.

๑๘๘
พระพุทธานุญาตยามหาวิกฏ
ั ๔ อยาง วิ.ม.๕/๔๓/๔๑
[๔๓] ก็โดยสมัยนั้น แล ภิก ษุรูปหนึ่งถูก งูกัด ภิก ษุทั้งหลายกราบทูล เรื่อ งนั้น แดพระผูมีพระภาคเจา ๆ ตรัส อนุญาตวา ดูกอ นภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตใหใชยามหาวิกัฏอยาง คือ คูถ มูตร เถา ดิน
ตอมาภิกษุทั้งหลายติดสงสัยวา ยามหาวิกัฏไมตองรับประเคน หรือตองรับประเคน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแดพระผูมีพระภาคเจา ๆ ตรัส
อนุญาต แกภิกษุทั้งหลายวา
“ดูก อ นภิก ษุท ั้งหลาย เราอนุญาตใหภ ิก ษุรับประเคน ในเมื่อ มีก ัปปยการก เมื่อ กัปปยการกไมมี ใหภ ิก ษุหยิบบริโภคเองได”
สมัยตอ มา ภิก ษุรูปหนึ่งดื่มยาพิษเขาไป ภิก ษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แดพระผูมีพระภาคเจา ๆ ตรัส อนุญาตแกภิก ษุทั้งหลายวา
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ใหคืนน้ําเจือคูถ ตอมา ภิกษุทั้งหลายคิดสงสัยวา น้ําเจือคูถ นั้นจะไมตองรับประเคน หรือตองรับประเคน จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแดพระผูมีพระภาคเจา ๆ ตรัสอนุญาตแกภิกษุทั้งหลายวา
“ดูก อ นภิก ษุท ั้งหลาย เราอนุญาตคูถ ที่ภ ิก ษุหยิบไวตอนกําลังถาย นั่น แหละเปน อัน ประเคนแลว ไมตอ งรับประเคนอีก ”

[ อธิบายขอทีท
่ รงอนุญาตไวเฉพาะ 7 อยาง ] เลม 3 หนา 1050 มมร.
ก็ขอที่ชื่อวาทรงอนุญาตเฉพาะ มี 7 อยาง คือ อนุญาตเฉพาะอาพาธ 1 เฉพาะบุคคล 1 เฉพาะกาล 1 เฉพาะสมัย 1 เฉพาะประเทศ 1
เฉพาะมันเปลว 1 เฉพาะเภสัช 1.
บรรดาอนุญาตเฉพาะ 7 อยางนั้น
ที่ชื่อวาทรงอนุญาตเฉพาะอาพาธ ไดแก ขอที่ทรงอนุญาตเฉพาะอาพาธอยางนีว้ า ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตเนื้อสด เลือดสด
ในเพราะอาพาธอันเกิดจากมนุษย*. เนื้อสด และเลือดสดนั้น ควรแกภิกษุผูอาพาธดวยอาพาธนั้นอยางเดียว ไมควรแกภิกษุอื่น. ก็แล เนื้อ
สดและเลือดสดนั้นเปนกัปปยะก็ดี เปนอกัปปยะก็ดี ยอมควรทั้งนั้น ทั้งในกาลทั้งในวิกาล.* วิ. มหา. 5/35
ที่ชื่อ วาทรงอนุญาตเฉพาะบุคคล ไดแ ก ขอ ที่ทรงอนุญาตเฉพาะบุคคลอยางนี้วา ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตการเรออวกแก
ภิก ษุผูมักเรออวก, ภิก ษุทั้งหลาย ! แตที่เรออวกมานอกทวารปากแลว ไมควรกลืนกิน.1 การเรออวกนั้น ควรแกภก ิ ษุผูมักเรออวกนั้นเทานั้น
ไมควรแกภิกษุอื่น. 1. วิจุล. 7/48.
ที่ชื่อวาทรงอนุญาตเฉพาะกาล ไดแก ขอที่ทรงอนุญาตเฉพาะกาลที่ภิกษุถูกงูกด ั อยางนีว้ า ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตยามหา
วิกัฏ 4 คือ คูถ มูตร เถา ดิน.2 ยามหาวิกัฎนั้น เฉพาะในกาลนั้น แมไมรับประเคน ก็ควร, ในกาลอื่นหาควรไม. 2. มหา. 2/312.
(สันนิษฐานวา ถาภิกษุถก
ู งูกัด แลวไมมียารักษา ใหใช อุจจาระ ปสสาวะ ขี้เถา และดิน ผสมกัน เพือ ่ ดืม
่ กิน เปนการขับพิษ)

ที่ชื่อ วาทรงอนุญาตเฉพาะสมัย ไดแก อนาบัติทั้งหลาย ที่ท รงอนุญาตไวเฉพาะสมัยนั้น ๆ โดยนัยมีวา (เปน ปาจิตตีย) ในเพราะคุณ
โภชนะ เวนแตสมัย3 ดังนี้ เปนตน. อาบัติเหลานั้นเปนอาบัติเฉพาะในสมัยนั้น ๆ เทานั้น, ในสมัยอื่นหาเปนไม.
ที่ชื่อ วาอนุญาตเฉพาะประเทศ ไดแ ก สังฆกรรมมีอุปสมบทเปนตน ที่ท รงอนุญาตเฉพาะในปจจันตประเทศอยางนี้วา ดูกอ นภิกษุ
ทั้งหลาย ! เราอนุญาตการอุปสมบท ดวยคณะมีพระวินัยธรเปนที่ 5 ในปจจันตชนบทเห็นปานนี.้ 4 สังฆกรรมมีอุปสมบทเปนตนนั้น ยอมควร
เฉพาะในปจจันตชนบทนัน ้ เทานั้น, ในมัชฌิมประเทศหาควรไม. 3. 4. วิ. มหา. 5/51-36-41-39.
ที่ชื่อ วาทรงอนุญาตเฉพาะมันเปลว ไดแ ก ขอ ที่ทรงอนุญาตเภสัชโดยชื่อแหงมันเปลวอยางนี้วา ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาต
เปลวมันเปนเภสัช.5 เปลวมันเภสัชนั้น ของจําพวกสัตวมีเปลวมันเปน กัปปยะและอกัปปยะทั้งหมด เวน เปลวมันของมนุษยเสียยอมควร เพื่อ
บริโภคอยางบริโภคน้ํามัน แกพวกภิกษุผูมีความตองการดวยน้ํามันนั้น. 5. วิ. มหา. 5/51-36-41-39.
ที่ชื่อวาทรงอนุญาตเฉพาะเภสัช ไดแก เนยใส เนยขน น้ํามัน น้ําผึ้ง และน้ําออย ที่สามารถแผไปเพื่อสําเร็จอาหารกิจ ซึ่งทรงอนุญาต
ไว โดยชื่อแหงเภสัชอยางนี้วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตเภสัช 5. เภสัช 5 เหลานั้น ภิกษุรับประเคนแลว พึงบริโภคไดตามสบายใน
ปุเรภัตในวันนั้น, ตั้งแตปจฉาภัตไป เมื่อมีเหตุ พึงบริโภค ไดตลอด 7 วัน โดยนัยดังกลาวแลว.

………………………………………………

๑๘๙
พระวินยั ปิ ฎก มหาวิภงั ค์ เล่ม 1 ภาค 3 (วิ.ม.อ.3 หน้าที 575) เฉพาะพวกเธอนัน, แต่ควรสําหรับพวกอืน. แม้พวกเธอรูอ้ ยูว่ า่ เขา
[ปลาเนือบริสุทธิโดยส่วน 3 เป็ นกัปปิ ยมังสะควรฉันได้] กระทําเพือประโยชน์แก่พวกเรา, ถึงภิกษุ พวกอืนก็รวู ้ า่ เขาทําเพือ
พึงทราบวินิจฉัยในเรืองปลาและเนือ ดังนี:- ประโยชน์ แก่ภิกษุ พวกนี ไม่ค วรแก่พวกเธอทังหมด. พวกภิกษุ
บทว่า ติ โ กฏิปริสุทฺธํ ได้แก่ บริสุทธิโดยส่วน 3. อธิบ ายว่า ทังหมดไม่ร,ู ้ ย่อมควรแก่พวกเธอทังหมด. บรรดาสหธรรมิกทัง 5
เว้นจากทีไม่บ ริสุทธิ มี การเห็นเป็ นต้น. ด้วยเหตุ นน ั พระผู้มี พระ มังสะอันเขาทํา เจาะจงเพือประโยชน์ แก่สหธรรมิกรูป ใดรูป หนึ ง
ภาคเจ้าจึงตรัสว่า ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยน ิ ไม่ได้รงั เกียจ. หนึ งก็ตาม ย่อมไม่สมควรแก่สหธรรมิกทังนัน.
บรรดามังสะ 3 อย่า งนัน มังสะทีชื อว่า ไม่ได้เห็น คือ ไม่ ถามว่า ก็ถา้ ว่า มีบุคคลบางคนฆ่าสัตว์ เจาะจงภิกษุ รูปหนึ ง
เห็นชาวบ้านฆ่าเนื อและปลา เอามาเพือประโยชน์ แก่พวกภิกษุ . ที บรรจุบ าตรให้เต็ ม แล้ว ถวายแก่ภิกษุ รูป นัน และเธอรูอ ้ ยู่ด้วยว่า
ชื อว่า ไม่ได้ยิน คือ ไม่ได้ยินว่า พวกชาวบ้า นฆ่า เนื อ ปลา เอามา มังสะเขากระทํา เพือประโยชน์ ตน รับ ไปแล้วถวายแก่ภิกษุ รูปอืน
เพือประโยชน์แก่พวกภิกษุ , ส่วนทีไม่ได้รงั เกียจ ผู้ศึกษาควรรูจ้ กั ภิกษุ รูป อืนนันฉันด้วยเชือภิกษุ นน, ั ใครต้องอาบัติเล่า ? ตอบว่า
มังสะทีรังเกียจด้วยการเห็น รังเกียจด้วยการได้ยน ิ และทีรังเกียจ ไม่ต้องอาบัตแ ิ ม้ทงสองรู
ั ป. ด้วยว่า มังสะทีเขาทําเฉพาะภิกษุ ใด ไม่
พ้นจากเหตุ ทงสองนั ั น แล้วพึง ทราบโดยส่วนตรงกันข้ามจากสาม เป็ นอาบัติแก่ภิกษุ นนเพราะเธอไม่
ั ได้ฉน ั , และไม่เป็ นอาบัติแ ก่
อย่างนัน. ภิ ก ษุ นอกนี เพราะไม่ รู ้. แท้จ ริง ในการรับ กัป ปิ ยมัง สะ ไม่ เ ป็ น
คือ อย่า งไร ? คือว่า พวกภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี เห็นพวก อาบัติ. แต่ภิกษุ ไม่รู ้ ฉันมังสะทีเขากระทําเจาะจง ภายหลังรูเ้ ข้า กิจ
ชาวบ้านถือแหและตาข่ายเป็ นต้น กําลังออกไปจากบ้าน หรือกําลัง ด้ ว ยการแสดงอาบัติ ไม่ มี . ส่ว นภิ ก ษุ ไม่ รู ้ฉ ัน อกัป ปิ ยมัง สะ แม้
เทียวไปในป่ า. และในวันรุ่งขึ น พวกชาวบ้า นนําบิณฑบาตมีปลา ภายหลังรูเ้ ข้า พึงแสดงอาบัติ.
และเนื อม า ถวา ยแก่ ภิ ก ษุ เหล่ า นัน ผู้ เ ข้ า ไป ยัง บ้ า นนันเพื อ จริงอยู่ เป็ นอาบัติแก่ภิกษุ ผู้รแ ู ้ ล้ว ฉันมังสะทีเขาทําเจาะจง.
บิ ณ ฑบาต. ภิ ก ษุ เหล่ า นันรัง เกี ย จด้ ว ยการได้ เ ห็ น นันว่ า พวก และเป็ นอาบัติ เ หมื อ นกัน แม้ แ ก่ภิ ก ษุ ผู้ ไ ม่ รู ้ ฉัน อกัป ปิ ยมัง สะ.
ชาวบ้านทําเนือเพือประโยชน์ แก่พวกภิกษุ หรือหนอแล ? มังสะนี เพราะเหตุ นน ั ภิกษุ ผู้เกรงกลัวต่ออาบัติ แม้เมื อกํา หนดรูปการณ์
ชื อว่า รังเกียจโดยได้เห็นมา. จะรับ มังสะเช่นนัน ไม่ค วร. มังสะที พึงถามก่อนแล้วจึงรับประเคนมังสะ, จะรับประเคนด้วยใจตังว่า ใน
ไม่ ไ ด้ ร งั เกี ยจเช่น นันจะรับ ควรอยู่. ก็ ถ้า พวกชาวบ้า นเหล่า นัน เวลาฉันเราจักถามแล้ว จึงจะฉัน ควรถามก่อนแล้ว จึงฉัน.
ถามว่า ทํา ไม ขอรับ ! ท่า นจึงไม่รบ ั ? ได้ฟงั ความนันแล้ว พูด ว่า ถามว่า เพราะเหตุไร ?
มังสะนี พวกกระผมไม่ได้กระทําเพือประโยชน์ แก่ภิกษุ ทงหลาย, ั ตอบว่า เพราะมังสะรูไ้ ด้ยาก.
พวกกระผมกระทํา เพื อประโยชน์ แ ก่ต นบ้า ง เพื อประโยชน์ แก่ ความจริง เนื อหมี ก็ค ล้า ยกับเนื อสุกร. เนื อเสือเหลืองเป็ น
ข้าราชการเป็ นต้นบ้าง ดังนี, มังสะนัน ควร. ต้น ก็เหมื อนกับ เนื อมฤคเป็ นต้น. เพราะเหตุ นน ั เพราะอาจารย์
ภิ ก ษุ ทังหลายหาเห็ น ไม่แล, แต่ ไ ด้ ฟ ัง ว่า ได้ ยิน ว่ า พวก ทังหลายจึงกล่า วว่า การถามแล้ว จึง รับ ประเคนนันแล เป็ นธรรน
ชาวบ้า นมี มื อถือแหและตาข่า ยออกจากบ้า น หรือเทียวไปในป่ า เนียม.
และในวันรุ่งขึ นพวกชาวบ้านนําบิณฑบาตมีปลาและเนื อมาถวาย [แก้อรรถตอนพระเทวทัตทูลขอวัตถุ 5]
แก่ภิกษุ เหล่านัน ผู้เข้าไปยังบ้านนัน เพือบิณฑบาต. พวกเธอสงสัย ได้ยน ิ ว่า พระเทวทัตนันคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต
ด้วยการได้ยินนันว่า เขาทํา เพือประโยชน์ แก่ภิกษุ ทงหลาย ั หรือ วัต ถุ 5 เหล่า นี , บัด นี เราจักอาจเพือทําสังฆเภท ดังนี จึงได้แสดง
อย่างไรหนอ ? มังสะนี ชือว่ารังเกียจด้วยได้ยน ิ มา. จะรับมังสะนัน อาการลิงโลดแก่พระโกกาลิก ไม่รวู ้ า่ ทุกข์ทีตนจะพึงบังเกิดในอเวจี
ไม่ควร. มังสะทีไม่ได้สงสัยอย่างนีจะรับ ควรอยู.่ ก็ถา้ พวกชาวบ้าน แล้วเสวย แม้ซึ งใกล้เข้ามาเพราะสังฆเภทเป็ นปัจจัย ร่าเริงเบิกบาน
เหล่านัน ถามว่า ทําไม ขอรับ ! ท่านจึงไม่รบั เล่า ? ได้ฟงั ความนัน ใจว่า บัด นี เราได้อุบาย เพือทํา ลายสงฆ์ เหมื อนดังบุรุษผู้ประสงค์
แล้ว จึงพูด ว่า มังสะนี พวกกระผมไม่ได้ทําเพือประโยชน์แก่ภิกษุ จะกินยาพิษ
ทังหลาย, พวกกระผมทํ า เพื อประโยชน์ แ ก่ ต นเองบ้ า ง เพื อ ...............................................................
ประโยชน์แก่ข้าราชการเป็ นต้นบ้าง ดังนี, มังสะนันควรอยู.่ พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม 5 ภาค 2 (วิ.ม.อ.7 หนาที่ 173)
อนึ ง ภิกษุ ทงหลายไม่
ั ได้เห็น ไม่ได้ฟงั มาเลย, แต่เมือพวก วาดวยเนือ้ ทีค
่ วรและไมควร
ภิกษุ เหล่านันเข้าไปยังบ้านนันเพือบิณฑบาต ชาวบ้านรับบาตรไป บทวา ปวตฺตมํส ํ ไดแก เนื้อของสัตวที่ตายแลวนั้นเอง.
แล้วจัดบิณฑบาตมีปลา เนือ นํามาถวาย. พวกเธอรังเกียจว่า มังสะ บทวา มาฆาโต มีความวา วัน นั้น ใคร ๆ ไมไ ดเพื่อจะปลงสัตวนอย
นี เขาทําเพือประโยชน์ แก่ภิกษุ ทงหลาย ั หรืออย่า งไรหนอ ? นี ชื อ หนึ่งจากชีวิต.
ว่า มังสะทีรังเกียจพ้นจากเหตุ ทงสองนั ั น. แม้ม งั สะเช่นนัน ก็ไม่ มีดสําหรับเชือดเนื้อเรียกวา โปตถยิก ะ.
สมควรรับ. มังสะทีไม่ได้รงั เกียจอย่างนัน จะรับ ควรอยู่ บทวา กิมฺปมาย พึงตัดวา กิมฺป อิมาย.
ก็ถ้า ว่า พวกชาวบ้า นเหล่า นัน ถามว่า ทํา ไม ขอรับ ! พวก คําวา น ภควา อุส ฺสหติ มีความวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจานางไม
ท่านจึงไม่รบั ? แล้วได้ฟงั ความนัน จึงพูดว่า มังสะนี พวกกระผม สามารถจะมาได.
ไม่ได้กระทํา เพือประโยชน์ แก่ภิกษุ ทงหลาย, ั พวกกระผมกระทํา บทวา ยตฺร หิ นาม มีความวา ชื่อเพราะเหตุไร ?
เพือประโยชน์แก่ตนบ้าง เพือประโยชน์แก่พวกข้าราชการเป็ นต้น บทวา ปฏิเวกขิ ไดแก วิมํส ิ แปลวา เธอพิจารณาแลวหรือมี คําอธิบาย
บ้ า ง, หรื อ ว่า พวกกระผมได้ ป วัต ตมัง สะ เฉพาะที เป็ นกัป ปิ ยะ วา เธอสอบถามแลวหรือ ?
เท่า นัน จึงปรุงให้สํา เร็จเพือประโยชน์ แก่ภิกษุ ทงหลาย ั มังสะนัน บทวา อปฺป ฏิเวกฺข ิตฺว า ไดแ ก อปฺป ฏิปุจฺฉ ิตฺว า แปลวาไมส อบถาม
ควรอยู.่ แม้ในมังสะทีเขาทําเพือประโยชน์แห่งเปตกิจ แก่ผู้ตายไป แลว. ก็ถา ภิกษุรูอยูวา นี้เปนเนื้อชนิดนั้น กิจที่จะสอบถาม ยอมไมมี
แล้ว ก็ ดี เพื อประโยชน์ แก่ง านมงคลเป็ นต้ น ก็ ดี ก็ มี น ยั อย่า งนี แตเมื่อไมรู ตองถามกอนจึงฉัน.
เหมือนกัน. วินิจฉัยในคําวา สุน มํส ํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
จริงอยู่ มังสะชนิดใด ๆ ทีเขาไม่ได้กระทําเพือภิกษุ ทงหลาย ั สุนัขปายอมเปนเหมือนสุนข ั บาน. เนื้อสุนัขปานั้นควร.1 ฝาย
เลย และภิกษุ ก็ไม่มีความสงสัยในมังสะใด, มังสะนัน ๆ ควรทังนัน. สุนัขใด เกิดดวยแมสุนัขบานกับพอสุนข ั ปาผสมกัน หรือดวยแมสน ุ ข

ก็ถ้า ว่า มังสะทีเขาทําอุทิศพวกภิกษุ ในวิหารหนึ ง และพวกเธอไม่ ปากับพอสุนัขบานผสมกัน เนื้อของสุนัขนั้น ไมควร. เพราะสุนัขนั้น
ทราบว่า เขากระทําเพือประโยชน์ตน, แต่ภิกษุ พวกอืนรู ้ พวกใดรู ้ ชองเสพทั้งสองฝาย.
ไม่ควรแก่พวกนัน. พวกอืนไม่รู ้ แต่พวกเธอเท่านันรู,้ ย่อมไม่ควร 1. นําจะไมควร.
บทวา อหิมส ํ ํ มีความวา เนื้อแหงทีฆชาติซงึ่ ไมมีเทาชนิดใดชนิดหนึง่

๑๙๐
ไมควร. เนื้อราชสีห เปนตนเปนของชัดแลวทั้งนั้น. การแผ่เมตตา
ก็บรรดาอกัปปยมังสะเหลานั้น เนื้อ มนุษย อัน พระผูมีพระ [58] ดู ก่อนชีวก ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี อาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใด
ภาคเจาทรงหาม ก็เพราะมนุษยมีชาติเหมือนตน เนื้อ ชางและมา ที่ แห่งหนึ งอยู่ เธอมี ใ จประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศ หนึ งอยู่
ทรงห ามก็เ พราะเปน ราชพาหนะ เนื้ อ สุ นัข และเนื้อ งูที่ท รงหาม ก็ ทิศที 2 ทิศที 3 ทิศที 4 ก็เหมือนกัน ตามนัยนี ทังเบืองบน เบืองล่าง
เพราะเปนของสกปรก เนื้อ 5 อยางมีเนื้อราชสีหเ ปนตน ที่ทรงหาม ก็ เบื องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทัวสัต ว์ทุกเหล่า โดยความมีต นทัวไป
เพื่อ ตอ งการความไมมีอันตรายแกคน ฉะนั้น แล. เนื้อ ก็ดี กระดูกก็ดี ในทีทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็ น
เลือ ดก็ดี หนังก็ดี ขนก็ดี แหงสัตว 10 ชนิด มีมนุษยเปนตนแหลานี้ ใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มี เวร ไม่มี ค วามเบียดเบียนอยู่ คฤหบดี
ไมควรทั้งหมด ดวยประการฉะนี้.
หรือบุ ต รคฤหบดี เขาไปหาเธอแล้วนิม นต์ ด้วยภัต เพือให้ฉน ั ใน
วันรุง่ ขึ น ดูกอ ่ นชีวก เมือภิกษุ หวังอยู่ ก็รบั นิมนต์ พอล่วงราตรีนน ั
เมื่อ ภิก ษุรูก็ตาม ไมรูก็ตาม ฉัน อยางใดอยางหนึ่ง คงเปน
ไป เวลาเช้า ภิกษุ นนนุ ั ่ งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของ
อาบัติแท รูเมื่อใด พึงแสดงเมื่อนั้น. ไมถามกอน รับดวยตั้งใจวา เรา
คฤหบดี หรือบุ ต รของคฤหบดี แล้วนังลงบนอาสนะทีเขาปูลาดไว้
จัก ฉัน ตอ งทุก กฏ แมเพราะรับ. รับดว ยตั้งใจวา จัก ถามกอนจึงฉัน คฤหบดี ห รื อ บุ ต รของคฤหบดี น น ั อัง คาสเธอด้ ว ยบิณ ฑบาตอัน
ไมเปนอาบัติ. ประณี ต ความดําริว่า ดีหนอ คฤหบดี หรือบุ ต รคฤหบดี ผู้นี อังคาส
อนึ่ง เปน อาบัติเฉพาะแกภิก ษุผูรูแ ลว ฉันเนื้อที่เปน อุททิสส เราอยูด ่ ้วยบิณฑบาตอันประณี ตดังนี ย่อมไม่มีแก่เธอ แม้ความดําริ
มังสะ เธอรูในภายหลัง ไมควรปรับอาบัติ. ว่ า โ อหนอ ค ฤหบ ดี ห รื อ บุ ต รคฤหบดี ผู้ นี พึ ง อัง คาสเราด้ ว ย
................................................... บิณ ฑบาตอันประณี ต เช่นนี แม้ต่อไป ดังนี ก็ไม่มี แก่เธอ เธอไม่
พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม 5 ภาค 2 (วิ.ม.อ.7 หนาที่ 180) กําหนด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบิณฑบาตนัน มีปรกติเห็นโทษ มีปญ ั ญา
วาดวยอุททิสสมังสะ เครืองถอนตน บริโภคอยู่
บทวา อุท ฺท ิส ฺส กตํ ไดแก มังสะที่เขาทําเฉพาะตน. ดูกอ ่ นชีวก ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉนว่า ในสมัย
บทวา ปฏิจฺจกมฺมํ มีความวา มังสะที่เขาเจาะจงตนกระทําอีก อยาง นัน ภิกษุ นนย่ ั อมติดเพือเบียดเบียนตน เพือเบี ยดเบี ยนผู้อืน หรือ
หนึ่ ง คํ า ว า ปฏิ จ จกรรม นี้ เป น ชื่ อ ของนิมิต กรรม. แม มั ง สะ ท าน
เพือเบียดเบียนทังสองฝ่ าย บ้างหรือ.
ไม่เป็ นเช่นนัน พระพุทธเจ้าข้า.
เรียกวา ปฏิจจกรรม นี้ เปนชื่อของนิมิตกรรม. แมมังสะ ทานเรียกวา
ดูกอ่ นชีวก สมัยนัน ภิกษุ นนชื ั อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ.
ปฏิจจกรรม ก็เพราะเหตุวา ในมังสะนี้มีปฏิจจกรรมนั้น. จริงอยู ผูใด
อ ย่ า ง นั น พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า ข้ า ข้ า แ ต่ พ ร ะ อ ง ค์ ผู้ เ จ ริ ญ
บริ โ ภคมั ง สะเห็ น ปานนั้ น . ผู นั้ น ย อ มเป น ผู รั บ ผลแห ง กรรมนั้ น ข้า พระพุทธเจ้า ได้สดับมาว่า พรหมมี ป รกติอยู่ด้วยเมตตา คํา นัน
อธิบายวา กรรม คือ การฆาสัตวยอมมีแมแกผูนั้น เหมือ นมีแกผูฆา เป็ นแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมา คํานีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็ นองค์
เอง. พยานปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงมีปรกติอยูด ่ ้วย
.................................... เมตตา.
ชีวกสูตร ม.ม.13/56/42 ดู ก่อนชีวก บุ ค คลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ
โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนัน ตถาคตละแล้ว มี มู ลอันขาดแล้ว
หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็ นดุ จตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มี อน ั ไม่เกิดต่อไปเป็ นธรรมดา
[56] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี. ดูกอ ่ นชีวก ถ้าแลท่านกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ เป็ น
สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคเจ้า ประทับ อยู่ ณ อัม พวันของ ต้นนี เราอนุญาตการกล่าวเช่นนันแก่ทา่ น.
ทมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์ ครังนันแล หมอชีวกโก ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระพุทธเจ้า กล่าวหมายเอาการ
มารภัจจ์เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงทีประทับ ถวายบังคมพระ ละราคะ โทสะและโมหะ เป็ นต้นนี.
ผู้มี พระภาคเจ้าแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ได้กราบทูลพระผู้มี การแผ่กรุณา มุทต
ิ า อุเบกขา
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟงั คํานีมา [59] ดู ก่อนชีวก ภิกษุ ใ นธรรมวินยั นี อาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใด
ว่า ชนทังหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดม แห่ง หนึ งอยู่ เธอมี ใ จประกอบด้ว ยกรุ ณ า. . .มี ใ จประกอบด้วย
ทรงทราบข้อนันอยู่ ยังเสวยเนือทีเขาทําเฉพาะตน อาศัยตนทําดังนี มุ ทิต า. . . มี ใ จประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ งอยู่ ทิศที
ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนีว่า ชนทังหลายย่อม 2 ทิศ ที 3 ทิศ ที 4 ก็เหมื อนกัน ตามวินยั นี ทังเบื องบน เบื องล่า ง
ฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนันอยู่ เบื องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทัวสัต ว์ทุกเหล่า โดยความมีต นทัวไป
ยังเสวยเนือทีเขาทําเฉพาะตน อาศัยตนทํา ดังนี ชนเหล่านันชือว่า ในทีทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็ น
กล่าวตรงกับทีพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไม่ชือว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระ ใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน คฤหบดีหรือ
ภาคเจ้า ด้ ว ยคํา อัน ไม่เ ป็ นจริง ชื อว่า ยื น ยันธรรมอันสมควรแก่ บุ ต รคฤหบดี เ ข้ า ไปหาเธอ แล้ ว นิ ม นต์ ด้ ว ยภัต เพื อให้ ฉ ัน ใน
ธรรม การกล่า วและกล่า วตามทีชอบธรรมจะไม่ถึงข้อติเตี ย นละ วันรุง่ ขึ น ดูกอ่ นชีวก เมือภิกษุ หวังอยู่ ย่อมรับนิมนต์. พอล่วงราตรี
หรือ. นันไป เวลาเช้า ภิกษุ นนนุ ั ่ งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์
เนื อทีไม่ควรบริโภค และควรบริโภค 3 อย่าง ของคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี แล้วนังลงบนอาสนะทีเขาปูลาดไว้.
[57] พ. ดูกอ ่ นชีวก ชนใดกล่าวอย่างนีว่า ชนทังหลายย่อมฆ่าสัตว์ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนน ั อังคาสเธอด้วยบิณฑบาตอัน
เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนันอยู่ ก็ยงั ประณี ต ความดําริว่า ดี หนอ คฤหบดี หรือบุ ต รคฤหบดี ผู้นี อังคาส
เสวยเนื อสัต ว์ทีเขาทํา เฉพาะตน อาศัยตนทํา ดังนี ชนเหล่า นันจะ เราอยูด ่ ้วยบิณฑบาตอันประณี ตดังนี ย่อมไม่มีแก่เธอ แม้ความดําริ
ชือว่ากล่าวตรงกับทีเรากล่าวหามิได้ ชือว่ากล่าวตู่ด้วยคําอันไม่เป็ น ว่ า โ อหนอ ค ฤหบ ดี ห รื อ บุ ต รคฤหบดี ผู้ นี พึ ง อัง คาสเราด้ ว ย
จริง ดู ก่อนชี วก เรากล่า วเนื อว่าเป็ นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ 3 บิณฑบาตอันประณี ตนีแม้ตอ ่ ไป ดังนี ก็ไม่มีแก่เธอ เธอไม่กาํ หนด
ประการ คือ เนื อทีตนเห็น 1 เนื อทีตนได้ยน ิ 1 เนื อทีตนรังเกียจ 1 ไม่สยบ ไม่รีบ กลืนบิณฑบาตนัน มี ป รกติเห็นโทษ มี ป ัญญาเครือง
ดู ก่อ นชี ว ก เรากล่า วเนื อว่า เป็ นของไม่ ค วรบริโ ภคด้ ว ยเหตุ 3 ถอนตน บริโภคอยู่
ประการนีแล. ดูกอ ่ นชีวก เรากล่าวเนือว่า เป็ นของควรบริโภคด้วย ดูกอ ่ นชีวก ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉนว่า ในสมัย
เหตุ 3 ประการ คือ เนื อทีตนไม่ได้เห็น เนื อทีตนไม่ได้ยิน เนื อที นันภิกษุ ย่อมคิดเพือเบี ยดเบี ยนตน เพือเบี ยดเบี ยนผู้อืน หรือเพือ
ตนไม่ได้รงั เกียจ ดู ก่อนชี วก เรากล่า วเนื อว่า เป็ นของควรบริโภค เบียดเบียนทังสองฝ่ าย บ้างหรือ.
ด้วยเหตุ 3 ประการนีแล. ไม่เป็ นเช่นนัน พระพุทธเจ้าข้า.
ดูกอ่ นชีวก สมัยนัน ภิกษุ นนชื ั อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ.
อย่ า งนัน พระพุ ท ธเจ้ า ข้ า ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ เ จริ ญ
ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาว่า พรหมมีปรกติอยูด ่ ้วยอุเบกขา คํานัน

๑๙๑
เป็ นแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมา คํานีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็ นองค์ มีพระภาคเจา ในสวนมะมวงของเรานี้แหละ ดังนั้น จึงใหสรางที่เรน
พยานปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงมีปรกติอยูด ่ ้วย กุฎี และมณฑปเปน ตน สําหรับพัก กลางคืน และพัก กลางวัน สราง
อุเบกขา. พระคัน ธกุฎี ที่เหมาะแกที่พระผูมีพระภาคเจา ในสวนอัมพวัน นั้น
ดู ก่อนชี วก บุ ค คลพึงมี ความเบี ยดเบียน มี ค วามไม่ยินดี มี สรางกําแพงสีใบไมแดงสูง 18 ศอก ลอมสวนอัมพวันไว อังคาสเลี้ยง
ความกระทบกระทังเพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะ ภิก ษุส งฆ มีพระพุท ธเจาเปน ประมุข ดว ยภัตตาหารพรอ มจีว รแล ว
นัน ตถาคตละแล้วมีมูลอันขาดแล้ว เป็ นดุ จตาลยอดด้วน ถึงความ
หลั่งทักษิโณทก มอบถวายวิหาร ท านหมายเอาสวนอัมพวันนั้น จึง
ไม่มี มี อน
ั ไม่เกิด ต่อไปเป็ นธรรมดา ดู ก่อนชี วก ถ้า แลท่า นกล่า ว
กลาววา ชีว กสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน ดังนี้.
หมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะเป็ นต้นนี เราอนุ ญาตการกล่าว
เช่นนันแก่ทา่ น. คํ า ว า อารภนฺติ แปลว า ฆ า . คํ า ว า อุ ท ฺ ท ิส ฺส กตํ แปลว า กระทํ า
ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระพุทธเจ้า กล่าวหมายเอาการ เจาะจง.
ละราคะ โทสะโมหะ เป็ นต้นนี. คําวา ปฏิจฺจ กมฺมํ แปลวา กระทําเจาะจงตน.
ฆ่าส ัตว์ทาํ บุญได้บาปด้วยเหตุ 5 ประการ อีก อยางหนึ่ง คําวา ปฏิจฺจ กมฺมํ นี้เปน ชื่อ ของนิมิตตกรรม. กรรมที่
อาศัยตนเปนเหตุกระทํามีอยูในเนื้อนัน ้ เพราะเหตุนั้น ทานจึงอธิบาย
[60] ดู ก่อนชี วก ผู้ใ ดฆ่า สัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้
วา กรรมมีอยูเพราะอาศัยเนื้อ. ลัทธิ(ความเชื่อถือ) ของคนเหลานัน ้ มี
นันย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ
ผู้นนกล่
ั าวอย่างนีว่า ท่านทังหลายจงไปนําสัตว์ชือโน้นมา อยูวา ผูใ ดบริโภคเนื้อ เชน นั้น (อุทิศมังสะ) ผูนั้น ก็ตอ งเปน ผูรับผล
ดังนี ชื อว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุประการที ของกรรมนัน ้ ดวย ปาณฆาตกรรม จึงมีแมแกคนนั้นเหมือนกับฆาเอง.
1 นี. คําวา ธมฺมสฺส จ อนุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ ความวา ยอมกลาวเหตุตามเหตุ
สัต ว์นนเมื ั อถูกเขาผูกคอนํามา ได้เสวยทุกข์โทมนัส ชื อว่า ที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวในคํานั้น การบริโภคเนื้อโดยสวน 3 ชื่อ
ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ ป ระการที 2 นี. วา เหตุ การพยากรณอยางนั้นของมหาชนชื่อวา ตามเหตุ. แตพระผู
ผู้ น นพูั ด อย่า งนี ว่า ท่า นทังหลายจงไปฆ่า สัต ว์ นี ชื อว่า มีพระภาคเจา ไมเสวยเนื้อที่เขาทําเจาะจง (อุทิศมังสะ) เพราะฉะนั้น
ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ ป ระการที 3 นี. ขอนั้นไมชื่อวาเหตุ. การกระทําอยางนั้นของพวกเดียรถียก็ไมชอ ื่ วา
สัตว์นนเมื ั อเขากําลังฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ชือว่าย่อม ตามเหตุ.
ประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุป ระการที 4 นี. คําวา สหธมฺมโิ ก วาทานุวาโท ความวา การกลาวหรือการกลาวตาม
ผู้นนย่ ั อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดี ด้วยเนื อ ของพวกท า นมี เ หตุ โดยเหตุ ที่ ค นอื่ น ๆ กล า วแล ว เป น เหตุ ที่ ผู รู
เป็ นอกัป ปิ ยะ ชื อว่า ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ด้วยเหตุ
ทั้งหลายพึงติเตียนวาทะอะไร ๆ เล็ก นอ ย จะมาถึงหรือ หนอ ทาน
ประการที 5 นี.
อธิบายวา เหตุที่จะพึงติเตียนในวาทะของพวกทานยอ มไม มี โ ดย
ดู ก่อนชีวก ผู้ใ ดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคต ผู้
นันย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมากด้วยเหตุ 5 ประการนี. อาการทั้งหมดหรือ.
[61] เมือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนีแล้ว หมอชีวกโกมารภัจจ์ คําวา อพฺภ าจิก ฺข นฺติ แปลวา กลาวขม (ตู).
ได้ ก ราบทู ล พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ว่า ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ เ จริญ น่ า คําวา าเนหิ คือ โดยเหตุทั้งหลาย.
อัศ จรรย์ ข้ า แต่ พระองค์ผู้เจริ ญ ไม่ เ คยมี ข้ า แต่ พระองค์ผู้เจริญ บรรดาสวนทั้ง 3 มีสว นที่เห็นแลว เปน ตน เห็น เขาฆาเนื้อ
ภิ ก ษุ ทังหลายย่อ มฉัน อาหารอันไม่มี โ ทษหนอ ข้ า แต่ พ ระองค์ผู้ และปลาแลว เอามา (ทําอาหาร) ถวายภิก ษุทั้งหลาย ชื่อ วา สว นที่
เจริญ ภาษิ ตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิต เห็นแลว. ไดยินมาวา ชื่อวา สวนที่สงสัยมี 3 อยาง คือสวนที่สงสัยวา
ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีควํา เปิ ด ไดเห็น มา สว นที่ส งสัยวา ไดยิน มา สว นที่ส งสัยอัน นอกไปจากทั้ง
ของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีบในทีมืด ด้วยคิด สองอยางนั้น. ในสวนที่สงสัยทั้ง 3 นั้น มีวินิจฉัยรวบรัด ดังนี้.
ว่า ผู้ มี จ กั ษุ จัก เห็ น รู ป ฉัน ใด พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ทรงประกาศ ภิก ษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ เห็น คนทั้งหลายถือ ตาขาย
ธรรมโดยอเนกปริยายฉันนันเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า และเหเปน ตน กําลังออกไปจากบานหรือ กําลังเที่ยวอยูใ นปา แต
พระองค์นี ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และภิกษุ สงฆ์วา่
วันรุงขึ้น เมื่อภิกษุเหลานั้น เขาไปบิณฑบาตยังบานนั้น คนเหลานั้น
เป็ นสรณะ ขอพระผู้มี พ ระภาคเจ้า จงทรงจํา ข้า พระองค์ว่า เป็ น
ก็นําบิณฑบาต (อาหาร) ที่มีเนื้อปลาถวาย ภิกษุเหลานั้น ก็สงสัยโดย
อุบาสก ผู้ถงึ สรณะตลอดชีวต ิ ตังแต่บดั นีเป็ นต้นไป ดังนีแล.
การเห็นนั้นวา เนื้อปลาเขาทํามาเพื่อประโยชนแกภก ิ ษุทงั้ หลายหรือ
................................................
หนอ. นี้ชื่อ วาสงสัยโดยเห็น รับอาหารที่ส งสัยโดยการเห็น นั้น ไม
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก เลม 2 ภาค 1 - หนาที่ 104
ควร. อาหารใด ภิก ษุไมไดสงสัยอยางนั้น รับอาหารนั้นก็ควร. ก็ถา
5. อรรถกถาชีวกสูตร
คนเหล า นั้ น ถามว า ท า นเจ า ข า เหตุ ไ รพระคุ ณ เจ า จึ ง ไม รั บ ฟ ง
พระบาลีนี้วา ตสฺส ชีว กสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน ที่ชื่อวา
คําตอบของพวกภิกษุแลว ก็ก ลาววา อาหารนี้ พวกเรา มิไ ดทําเพื่อ
ชีว ก เพราะยังเปนอยู (มีชีวิตอยู). ที่ชื่อวา โกมารภัจจ เพราะอันพระ
ประโยชนแ กภิก ษุทั้งหลายดอก แตพวกเราทําเพื่อ ประโยชนข อง
ราชกุมารชุบเลี้ยงไว ดังที่ทานกลาวไววา พระกุมาร (หมายถึง อภัย
ตนเองหรือเพื่อประโยชนแกขาราชการเปนตนตางหาก รับอาหาร
ราชกุมาร) ตรัส ถามวา นั่น อะไร พนาย ฝูงกาจึงเกลือ ่ นกลาด. พวก
นั้นก็ควร.
ราชบุรุษทูลวา ทารก พระเจาคะ. ตรัสถามวา ยังเปนอยูหรือ พนาย.
ภิก ษุทั้งหลายไมเห็น อยางนั้นเลย แตไ ดยิน มาวา เขาวา
ทูลตอบวา ยังเปนอยูพระเจาคะ. จึงตรัสสั่งใหนําทารกเขาวัง มอบให
คนทั้งหลายถือตาขายและแหเปนตน ออกจากบานไป หรือเที่ยวไป
แมนมเลี้ยงดู. คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อทารกนัน ้ วา ชีวก เพราะยังเปนอยู
ในป า รุ ง ขึ้ น เมื่ อ ภิ ก ษุ เ หล า นั้ น เข า ไปบิ ณ ฑบาตยั ง บ า นนั้ น คน
และตั้งสรอย ชื่อ วา โกมารภัจจ เพราะพระราชกุมารใหชุบเลี้ยงไว
เหลานั้น ก็นําบิณ ฑบาตที่มี เนื้อปลามาถวายภิกษุเหลานั้น ก็ส งสัย
ในพระสูตรนี้มีความสังเขปดังกลาวมานี้ สวนเรื่องโดยพิสดารมาใน
โดยการไดยิ น นั้น วา เขาทํ าเพื่อ ประโยชน แก ภิก ษุทั้งหลายหรือ
ชีวกวัตถุขันธกวินัย แมคําวินิจฉัยเรื่องหมอชีวกโกมารภัจจนั้นทาน
หนอ. นี้ชื่อวา สงสัยโดยไดยินมา. รับอาหารนั้น ไมควร. อาหารใด
ก็กลาวไวแลว ในอรรถกถาพระวินัย ชื่อสมัน ตปาสาทิกา. หรือชีวก
มิไดสงสัยอยางนั้น รับอาหารนั้นก็ควร.
โกมารภัจจผูนี้ ถวายพระโอสถระบายออ นๆ ระบายพระกายที่มาก
แตถาคนเหลานั้น ถามวา ทานเจาขา เหตุไ ร พระคุณ เจา
ไปดวยโทษของพระผูม  ีพระภาคเจา แลวตั้งอยูในโสดาปตติผล เวลา
จึ ง ไม รับ ฟ ง คํ า ตอบของภิก ษุเ หลานั้น แลว ก็ ก ลาววา ท านเจาขา
จบอนุโมทนาถวายผาคูที่ไดมาจากแควนสีพี. ดําริวา เราตองไปเฝา
อาหารนี้ พวกเรามิไดทาํ เพื่อประโยชนแกภก ิ ษุทงั้ หลายดอก แตพวก
อุปฏฐากพระพุทธองค วันละ 2- 3 ครั้ง พระเวฬุวันนี้ ก็อยูใกลเกินไป
เราทําเพื่อประโยชนแกตนเอง หรือเพื่อประโยชนแกพวกขาราชการ
สวนมะมวงของเรายังใกลกวา อยาเลย เราจะสรางวิหารถวายพระผู
เปนตนตางหาก รับอาหารนั้นก็ควร.

๑๙๒
อนึ่ ง ภิ ก ษุ ไ ม เ ห็ น ไม ไ ด ยิ น มา เมื่ อ ภิ ก ษุ เ หล า นั้ น เข า ไป จริงอยู พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายถึงพระองคเทานั้นใน 3 อาคต
บิณฑบาตยังบานนั้น คนทั้งหลายรับบาตรเอาไปตกแตงบิณฑบาตที่ ส ถ า น คื อ ใ นมหาวั จ ฉโ คตต สู ต ร ใ น จั งกี สู ต ร และในสู ต รนี้ .
มีเนื้อปลานําไปถวาย ภิกษุเหลานั้น ก็สงสัยวา เขาทําเพื่อประโยชน ในอนังคณสูตร หนหลังที่วา ปณีเตน ปณ ฺฑปาเตน ทานหมายเอาวา
แกภิกษุทั้งหลายหรือ นี้ชื่อวาสงสัย นอกไปจากทั้งสองอยางนั้น. รับ บิณฑบาตที่มีคามากทุกชนิด ชื่อวาบิณฑบาตอันประณีต แตในสูตร
อาหารแมนั้นก็ไมควร อาหารใดมิไดสงสัย อยางนั้นรับอาหารนั้นก็ นี้ . หมายเอามั งสะที่สุก . คํ า ว า อคธิโต คื อ ไม ต ะกรามดว ยความ
ควร. อยาก.
แลวถาคนเหลานั้น ถามวา ทานเจาขา เหตุไรพระคุณเจา คําวา อมุจฺฉ ิโต คือ ไมหมกมุนดวยการหมกมุนดวยความอยาก.
จึงไมรับ ฟงคําตอบของพวกภิกษุแลว ก็กลาววา ทานเจาขา อาหาร คําวา อนชฺฌาปนฺโน คือ ไมถูก ความอยากครอบงํา อธิบายวา ไม
นี้ พวกเรามิ ไ ด ทํ า ประโยชน แ ก ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายดอก เราทํ า เพื่ อ เป น ดั ง กาที่ ต อ งการขะม้ํ าทั้ ง หมดกลื น ลงคอ ด ว ยการจิ ก ที เ ดี ยว
ประโยชน แ ก ต นเอง หรื อ เพื่ อ ประโยชน แ ก ข า ราชการเป น ต น เทานั้น.
ตางหาก หรือ วา พวกเราไดปวัตตมังสะ (เนื้อ ที่เขามีอ ยูแ ลว ) เปน คําวา อาทีนวทสฺสาวี คือ เห็นโทษโดยนัยเปนตนวา อาหารนี้กักอุน 
ของกัปปยะ (ควร) ทั้งนั้น จึงตกแตงเพื่อประโยชนแกภิกษุทั้งหลาย อยูที่พื้นทองคืนหนึ่ง แลวก็ออกไปทางปากแผล.(ทวาร)ทั้ง9.
รับอาหารนั้นก็ควร. คํ า ว า นิ ส ฺ ส รณปฺโ  ปริ ภ ุ ฺชติ คื อ กํ า หนดดว ยป ญญาว า การ
ในอาหารที่ เ ขาทํ า เพื่ อ ประโยชน เ ป น เปตกิ จ (อุ ทิ ศ ) บริโภคอาหารก็เพื่อประโยชนอันนี้ แลวบริโภค.
สําหรับคนที่ตายไปแลว หรือเพื่อประโยชนแกการมงคลเปนตนก็นย ั คําวา อตฺตพฺยาพาธาย วา เจเตติ คือ คิดเพื่อทําทุกขแกตน.
นี้เหมือ นกัน. แทจริงอาหารใด ๆ เขามิไ ดก ระทําเพื่อ ประโยชนแก คําวา สุตํ เม ตํ คือ เรื่อ งนั้น เราไดยิน มา พระผูมีพระภาคเจา ทรง
ภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายก็มิไดเคลือบแคลง สงสัยในอาหาร แสดงวา แตกอน เรื่องนั้น เราเพียงแตไดยินมาเทานั้น.
อัน ใด รับอาหารนั้น ทุก อยางก็ควร. แตถาอาหารเขาทําอุทิศภิกษุ คําวา สเจ โข เต ชีว ก อิท ํ สนฺธ าย ภาสิตํ ความวา ดูกอ นชีวก หาว
ทั้งหลายในวัดหนึง่ ภิกษุเหลานั้น ไมรูวาเขาทําเพื่อประโยชนแกตน มหาพรหมละพยาบาทเปน ตน ดว ยวิก ขัมภนปหาน ละดว ยอํานาจ
ภิก ษุเหลาอื่น รูภิก ษุเหลาใดรู อาหารนั้น ก็ไ มควรแกภิก ษุเหลานั้น การขมไว ดวยเหตุนั้นทาวมหาพรหมนั้น จึงชื่อวา อยูดวยเมตตา ถา
ควรแกภิก ษุน อกจากนี้ ภิก ษุเหลาอื่น ไมรู ภิก ษุเหลานั้น เทานั้นที่รู ทานกลาวหมายถึงขอนี้ดวยสมุจเฉทปหานละอยางเด็ดขาดของเรา
อาหารนั้น ก็ไ มควรแกภิก ษุเหลานั้น ควรแกภิก ษุเหลาอื่น แมภิก ษุ เมื่อเปนเชนนี้ เราก็อนุมัติคํานี้ของทาน หมอชีวกก็รับ. ครั้งนั้น พระ
เหลานั้นรูวา เขาทําเพื่อประโยชนแกพวกเรา แมภิกษุเหลาอื่นก็รูวา ผูมีพระภาคเจา เมื่อทรงพรรณนาเทศนาใหยิ่งขึ้นไป แมดวยอํานาจ
เขาทําเพื่อ ประโยชนแ กภิก ษุเหลานั้น อาหารนั้น ก็ไ มควรแกภิกษุ พรหมวิหารที่เหลือแกหมอชีวกนั้น จึงตรัสวา อิธ ชีว ก ภิกข ฺ ุ ดังนี้เปน
ทั้งหมด ภิกษุทั้งหมดไมรู ก็ควรแกภิกษุทั้งหมดนั่นแหละ. ตน คํานอกนั้น มีเนื้อ ความตื้น ทั้งนั้น . อรรถวา โย โข ชีว ก นี้เปน
บรรดาสหธรรมิก 5 รูป อาหารที่เขาทําอุทิศแกภก ิ ษุรูปใดรูป อนุสนธิที่แยกแสดงตางหาก
หนึ่ ง ย อ มไม ส มควรแกส หธรรมิ ก หมดทุก รูป ก็ ถ า บางคนฆ าสัตว จริงอยู ในฐานะนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงปดประตู ทรง
เจาะจงภิก ษุรูปหนึ่ง แลว บรรจุบาตรเต็มดวยเนื้อ สัตวนั้น ถวาย แม แสดงความเอ็นดูสัตว ก็ถาคนทั้งหลายถวายบิณฑบาตมีรสอยางยิ่ง
ภิกษุนั้นก็รูอยูวา เขาทําเพื่อประโยชนแกตน ครั้นรับแลว ก็ถวายแก แกภิกษุไร ๆ นั้น อยางนีแ ้ ลว กลับไดสวรรคถึงแสนกัปไซร เขาก็จะ
ภิกษุรูปอื่น ภิกษุนั้นก็ฉันดวยความเชื่อถือภิกษุนั้น. ถามวา ใครเปน พึ ง ทํ า กรรมอย า งใดอย า งหนึ่ ง แม ทํ า ผู อื่ น ให ต ายแล ว ถวาย
อาบัติ. ตอบวา ไมเปน อาบัติทั้งสองรูป เพราะวา อาหารใด เขาทํา บิ ณ ฑบาตมี ร สได เพราะเหตุ นั้ น พระผู มี พ ระภาคเจ า เมื่ อ จะทรง
เจาะจงแกเธอ เธอก็ไ มเปนอาบัติเพราะเธอไมฉันอาหารนั้น อีก รูป ปฏิเสธความขอนั้น จึงตรัสวา โย โข ชีว ก ตถาคตํ ดังนี้เปนตน. ใน
หนึ่ง (ฉัน ) ก็ไ มเปน อาบัติเพราะไมรู ในการรับกัปปยมังสะ (เนื้อที่ คํานั้น คําวา อิมน ิ า ปเมน าเนน ไดแกดวยเหตุทห ี่ นึง่ ซึ่งเปนเพียง
สมควรแกส มณะ) ไม เ ป น อาบั ติ. ภิ ก ษุ ไ ม รูว าเป น อุทิ ศ มัง สะ มารู คําสั่งเทานั้น อันนี้กอน.
ภายหลังที่ฉันแลว ก็ไ มมีกิจ คือ การแสดงอาบัติ. สว นภิก ษุไ มรูวา คําวา คลปฺปเวเกน ไดแ กสัตวที่ถูกเชือกผูกคอลากมาหรือสัตวที่มี
เปน อกัปปยมังสะ มารูภ ายหลั งฉัน แลว ตอ งแสดงอาบัติ ภิก ษุรูวา คอถูกผูกลากมา.
เป น อุ ทิศ มังสะแลว ฉัน เปน อาบัติ แม ภิ ก ษุไ มรูว าเปน อกัปปยมังสะ คําวา อารภิยมาโน ไดแกถูกเขาทําใหตาย.
แลวฉัน ก็เปนอาบัติทั้งนั้น เพราะฉะนั้นภิกษุผูกลัวอาบัติ แมกําหนด คําวา อกปฺปเ ยน อสฺส าเทติ ความวา คนที่ใ หภิก ษุฉัน เนื้อ หมีดว ย
รูปเปน อารมณอ ยู ถามแลว คอ ยรับมังสะหรือ เธอรับดว ยคิด วาจัก สําคัญวา เนื้อหมู ฉันเนื้อเสือเหลืองดวยสําคัญวาเนื้อมฤค ก็พูดเสียด
ถามแลวฉัน ในเวลาฉันถามแลวคอยฉัน. ถามวาเพราะอะไร. ตอบ สีวา ทานยังชื่อวาสมณะหรือ ทานฉันอกัปปยมังสะ. สวนคนเหลาใด
วา เพราะเปนของที่ไดยาก จริงอยู เนื้อ หมีก็เหมือนๆ กับเนื้อหมู แม รูวา เนื้อ หมีเหมือ นเนื้อ หมู เนื้อ เสือ เหลือ งเหมือ นเนื้อ มฤค ในยาม
เนื้อเสือเหลืองเปนตน ก็คลายกับเนื้อมฤค เพราะฉะนั้น พระอาจารย อาหารหายาก หรือ ใชเยียวยาความเจ็บไขไดก็พูด วา นี้เนื้อ หมู นี้
ทั้งหลาย จึงกลาววา ถามแลวคอยรับจึงควร. เนื้อ มฤค ใหภิก ษุ ฉันดวยอัธยาศัยเกื้อ กูล พระผูมีพระภาคเจา มิไ ด
คําวา ไมเ ห็น คือ ไมเห็น เนื้อ ที่เขาฆาแลว เอามาเพื่ อ ประโยชน แ ก ทรงหมายถึงคนเหลานั้น ตรัสคํานี้ เพราะคนเหลานั้นยอมไดบุญเปน
ภิกษุทั้งหลาย. อัน มาก บุคคลผูนี้ก ลาววา พระเจาขา ขาพระบาทนี้ข อถึงพระผูมี
คําวา ไมไ ดยิน คือ ไมไดยินวา เขาฆาแลว เอามาเพื่อประโยชนแก พระภาคเจา ทั้งพระธรรม ทั้งพระภิกษุสงฆวาเปนสรณะ ชื่อ วาเปน
ภิกษุทั้งหลาย. อริยสาวกผูประสบผล ผูรูคําสั่งสอนเปนผูเห็นสัจจะแลว สว นหมอชี
คําวา ไมส งสัย คือไมสงสัย ดวยอํานาจสงสัยวาเห็นมาเปนตน. วกหยั่งซึ้งพระธรรมเทศนานี้ เกิด ความเลื่อมใส กระทําการชมเชย
คําวา ปริโภคนฺติ วทามิ ความวา มังสะที่บริสุทธิ์ดวยเหตุ 3 (สดุดี) ธรรมกถา จึงกลาวอยางนี้. คํานอกนี้ในที่ทุกแหงตื้นทั้งนั้น.
ประการนี้ ชื่อ วาบริสุทธิ์ โดยสว น 3 จริงอยู การฉัน มังสะที่บริสุทธิ์ ...............................................................
โดยสวน 3 นั้น ก็เชน เดียวกับฉันกับขาวและผักดองที่เกิดเองในปา
ภิกษุผูอยูดวยเมตตา ฉันมังสะเชนนั้นยอมไมมีโทษ เพราะฉะนั้น เรา
จึงกลาววา ก็มังสะนั้นควรฉันได.
บัด นี้ เพื่อ จะทรงแสดงความที่ภิก ษุผูอ ยูดว ยเมตตา ไมมี
โทษในการฉันมังสะเชนนั้น จึงตรัส วา อิธ ชีว ก ภิก ฺข ุ ดังนี้เปนตน.
ในคํานั้น ถึงพระผูมีพระภาคเจามิไดทรงกําหนดแลวตรัสวา. ภิก ฺข ุ ก็
จริง ที่แ ทพึงทราบวา ทรงหมายถึง พระองคนั่น แลจึงตรัส อยางนี้

๑๙๓
สีหสูตร องฺ .อฏฺ ฐ.23/102/138 อรรถกถาสีหสูตร เลม 37 หนา 382 มมร.
[102] สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคเจ้า ประทับ อยู่ ณ กูฆา บทว า ปวตฺตมํส ํ ได แ ก เนื้ อ ที่ เ ป ป กัป ปย ะ ที่ เ ป น ไปแลว ตามปกติ.
คารศาลา ป่ ามหาวัน ใกล้ก รุ ง เวสาลี สมัย นันแล เจ้า ลิจ ฉวี ผู้ มี อธิบายวา เธอจงหาซื้อเอาในรานตลาด.
ชือเสียงเป็ นจํานวนมาก นังประชุมกันทีสัณฐาคาร กล่าวสรรเสริญ บทวา สมฺพหุล า นิคฺคณฺ า ไดแก นิครนถประมาณ 500.
พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย. บทวา ถูล ํ ปสํ ไดแก สัตวของเลี้ยงกลาวคือ กวาง กระบือ และสุกรที่
ก็สมัยนันแล สีหเสนาบดี สาวกของนิครนถ์นงอยู ั ใ่ นบริษท ั อวนคือตัวใหญ.
นัน ลําดับนันสีหเสนาบดีได้มีความคิดดังนีว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า บทวา อุท ฺท ิส ฺส กตํ ความวา เนื้อที่เขาทํา คือ ฆาเจาะจงตน.
พระองค์นน ั จักเป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย บทวา ปฏิจฺจกมฺมํ ความวา พระสมณโคดมนี้นั้น ยอ มถูก ตอ งกรรม
จริงอย่า งนัน เจ้า ลิจฉวีผู้มี ชื อจํา นวนมากประชุ ม กันทีสัณ ฐาคาร คือ การฆาสัตวมีชีวิตนั้น เพราะอาศัยเนื้อนี้. นิครนถเหลานั้นมีลัทธิ
กล่า วสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โ ดยอเนกปริยาย ผิ อย า งนี้ ว า จริ ง อยู กรรมที่ เ ป น อกุ ศ ลนั้ น มี แ ก ท ายกกึ่ ง หนึ่ ง มี แ ก
ฉะนัน เราพึงเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธ
ปฏิ ค าหกกึ่งหนึ่ง . อี ก นั ย หนึ่ง บทว า ปฏิจฺจ กมฺมํ ได แ ก เนื้ อ ที่เขา
เจ้า พระองค์นนเถิ ั ด ลํา ดับ นัน สีหเสนาบดี เข้า ไปหานิค รนถ์นาฏ
อาศัยตนทํา. อีกนัยหนึ่ง บทวา ปฏิจฺจกมฺมํ นี้ เปนชื่อของนิมิตกรรม.
บุ ต รถึงทีอยู่ ครันแล้ว จึงกล่า วกะนิครนถ์นาฏบุตรว่า ข้า แต่ทา่ นผู้
เจริญ ข้าพเจ้าปรารถนาจะเข้าไปเฝ้ าพระสมณโคดม. ปฏิจจกรรมมีในเนื้อนี้ เพราะเหตุนั้น แมเนื้อก็เรียกวา ปฏิจจกรรม.
........ ....................................................
(หน้า 143) ครังนันแล สีหเสนาบดีผู้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรม [81] อาสวะทังหลาย ย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จํา พวกเหล่า ไหน ?
แล้ว รูแ ้ จ้งธรรมแล้ว หยังซึ งถึงธรรมแล้ว ข้า มพ้นความสงสัยได้ ผู้ทีไม่ประพฤติรงั เกียจ สิงทีไม่ควรรังเกียจ 1.
แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลงแล้ว ถึงความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ ผู้ทีประพฤติรงั เกียจ สิงทีควรรังเกียจ 1.
ต้องเชื อผู้อืน ในพระศาสนาของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มี อาสวะทังหลาย ย่อมไม่เจริญ แก่บุคคล 2 จําพวก เหล่านี......
พระภาคเจ้า ว่า ข้ า แต่ พ ระองค์ผู้เ จริญ ของพระผู้ มี พ ระภาคเจ้า จบบุคคล 2 จําพวก
พร้อ มด้ ว ยภิก ษุ สงฆ์ร บ ั นิ ม นต์ ฉน
ั อาหารบิณ ฑบาตในวันพรุ่งนี พระอภิธรรมปิ ฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม 3- หน้าที 272
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับโดยดุษณี ภาพ.
คําว่า "อาสวา" ได้แก่ กิเลสทังหลาย.
ครังนันแล สีหเสนาบดีทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
คํา ว่า "น กุ กฺ กุ จฺจ ายิต พฺ พํ กุ กฺ กุ จฺ จ ายติ" ความว่า ย่อ มประพฤติ
นิม นต์ แล้วลุกจากทีนัง ถวายอภิวาทพระผู้มี พระภาคเจ้า กระทํา
ประทักษิ ณแล้วหลีกไป ครังนันแล สีหเสนาบดี เรียกชายคนหนึ ง รังเกียจ สิงทีไม่ค วรรังเกียจ เช่น ภิกษุ ได้เนื อสุกรแล้วประพฤติ
มาบอกว่า พ่อมหาจํา เริญ พ่อจงไปหาเนื อ เลือกเอาเฉพาะทีขาย รังเกียจว่า เป็ นเนื อหมี . ได้เนื อมฤคแล้วประพฤติรงั เกียจว่า เป็ น
ทัวไป พอล่วงราตรีนน ั สีหเสนาบดี สงให้ ั จดั ขาทนี ยโภชนี ยาหาร เนือเสือเหลือง, เมือกาล (แห่งภัต) ยังมีอยู่ ย่อมประพฤติรงั เกียจว่า
อันประณี ตไว้ในนิเวศน์ของตนแล้ว ให้ไปกราบทูลเวลาภัตตาหาร กาลไม่มี , ไม่ถูกห้า ม แต่ป ระพฤติรงั เกียจว่า เราถูกห้า มเสียแล้ว
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วพระ เมื อละอองธุ ลี ยงั ไม่ต กไปในบาตรเลย ย่อ มประพฤติร งั เกี ยจว่า
เจ้าข้า ภัตตาหารในนิเวศน์ของท่านสีหเสนาบดีสาํ เร็จแล้ว. ละอองธุลีต กไปแล้ว. เมื อเขายังไม่กระทํา เนื อปลาอุทิศ ต่อตน ก็
ครังนัน ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวา ประพฤติรงั เกียจว่า เขากระทําเนือปลาอุทศ ิ ต่อเรา.
สกทรงถื อบาตรและจี ว ร เสด็ จ เข้ า ไปยังนิเ วศน์ ข องสีหเสนาบดี คํา ว่า "กุกฺกุจฺจายิตพฺพํ น กุ กฺกจฺจายติ" ความว่า ย่อมไม่ประพฤติ
ประทับนังบนอาสนะทีปูไว้พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์ ก็สมัยนัน นิครนถ์ รังเกียจ สิงทีควรประพฤติรงั เกียจ เช่น ภิกษุ ได้เนือหมีแล้วย่อมไม่
เป็ นจํา นวนมาก พากัน ประคองแขนครําครวญตามถนนต่า ง ๆ ประพฤติรงั เกียจว่า เป็ นเนื อหมี ฯลฯ ครันเมื อเขาการทํา เนื อปลา
ตามสีแยกต่าง ๆ ในกรุงเวสาลีว่า วันนี สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์อว้ นพี
อุทศิ คือเจาะจงตน ย่อมไม่ประพฤติรงั เกียจว่า เขาทําเนือปลาอุทศ ิ
ปรุงเป็ นอาหารถวายพระสมณโคดม พระสมณโคดมทังทีรู ้ ทรงฉัน
คือ เจาะจงซึ งเรา.
อุทิศ มังสะทีเขาอาศัยตนทํา .
ลําดับนัน บุรุษคนหนึ งเข้าไปหาสีหเสนาบดีกระซิบบอกว่า ส่วนใน อรรถกถาอังคุตตรนิกาย ท่า นกล่าวคําไว้มีประมาณเท่านี
พระเดชพระคุณได้โปรดทราบ นิค รนถ์เป็ นจํานวนมากเหล่านีพา ว่า คําว่า "กุกกุจฺจายิตพฺพ"ํ ได้แก่ การไม่ตงไว้ ั การไม่พจิ ารณาซึ ง
กันประคองแขนครําครวญตามถนนต่าง ๆ ตามสีแยกต่า ง ๆ ใน ส่วนอันเป็ นของสงฆ์ ชื อว่า อันใคร ๆ ไม่พึงรังเกียจ ย่อมรังเกียจ
กรุงเวสาลีว่า วันนี สีหเสนาบดี ฆ่า สัต ว์อ้วนพีป รุงเป็ นภัต ตาหาร สิงนัน.
ถวายพระสมณโคดม พระสมณโคดมทังทีรูอ้ ยู่ ทรงฉันอุทศ ิ มังสะที คํา ว่า "กุกฺกุจฺจายิตพฺพํ" ความว่า การตังไว้ การพิจารณาซึ งสิงอัน
เขาอาศัยตนทํา. เป็ นของสงฆ์นนนั ั นแหละ ย่อมไม่รงั เกียจของนัน.
สีหเสนาบดีกล่า วว่า อย่า เลย เพราะเป็ นเวลานานมาแล้วที คํา ว่า "อิ เ มสํ" ความว่า อาสวะทังหลาย ย่อ มเจริญ แน่ น อนแก่
พระคุณเจ้าเหล่านัน ใคร่จะกล่าวโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บุ ค คลทัง 2 พวกเหล่า นัน ทังในกลางวัน ทังในกลางคืน ดุ จหญ้า
แต่ทา่ นเหล่านีไม่กระดากอายเสียเลย ย่อมกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค และเถาวัลย์เป็ นต้น งอกงามเจริญอยูใ่ นภูมิภาคอันดี. ในธรรมขาว
เจ้าด้วยคําอันไม่เป็ นจริง แม้เพราะเหตุแห่งชีวต ิ ไม่ บัณ ฑิตพึงทราบเนือความโดยนัยนีว่า ภิกษุ ใดได้กปั ปิ ยะมังสะ คือ
ลํ า ดั บ นั น สี ห เ ส น า บ ดี ไ ด้ อัง ค า ส พ ร ะ ภิ ก ษุ ส ง ฆ์ มี
เนื อทีสมควร แล้วก็รบ ั เอาเนื อทีสมควรนันแหละ ชื อว่า ย่อมไม่
พระพุทธเจ้า เป็ นประมุ ข ให้อิมหนํา สํา ราญด้วยขาทนี ยโภชนี ยา
ประพฤติรงั เกียจสิงทีไม่ควรประพฤติรงั เกียจ.
หารอัน ประณี ต ด้ว ยมื อ ของตน และเมื อพระผู้มีพ ระภาคเจ้า ฉัน
เสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว สีหเสนาบดีนงั ณ ทีควร .......................................................
ส่วนข้า งหนึ ง ครันแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงชีแจง สีหเสนา
บดี นงเรี
ั ยบร้อยแล้ว ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ รืนเริง
ด้วยธรรมมีกถา แล้วเสด็จลุกจากทีนังหลีกไป.
..............................................

๑๙๔
บทที 8. ภิกษุใดเคียวก็ดี ฉันก็ดี ซึงของเคียวก็ดี ซึงของฉันก็ดี ทีทาํ การสังสม เป็ นปาจิตตีย ์
ทําการสังสม หมายถึง รับประเคนในวันนี ขบฉันในวันอืน , การสังสม เรียกว่า สันนิ ธิ
[512] พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่านพระเวฬัฏฐสีสะพระอุปช ั ฌายะของท่านพระอานนท์ อยูใ่ นอาวาสป่ า ท่านเทียวบิณฑบาต
ได้บณ
ิ ฑบาตเป็ นอันมาก แล้วเลือกนําแต่ขา้ วสุกล้วนๆ ไปสูอ ่ าราม ตากให้แห้งแล้วเก็บไว้ เมือใดต้องการอาหาร ก็แช่นําฉันเมือนัน ต่อ
นานๆ จึงเข้าบ้านเพือบิณฑบาต. ภิกษุ ทงหลายถามท่
ั านว่า อาวุโส ทําไมนานๆ ท่านจึงเข้าบ้านเพือบิณฑบาต จึงท่านได้แจ้งเรืองนันแก่
ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ทงหลายถามว่
ั า อาวุโส ก็ทา่ นฉันอาหารทีทําการสังสมหรือ?
ท่านรับว่า อย่างนัน อาวุโสทังหลาย. บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม้ กั น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน

ภิกษุฉันอาหาร(ยาวกาลิก)ทีประเคนไว้คา้ งคืน ต้องอาบัติปาจิตตีย ์ ดูเภสัชขันธกะข้อ 21 ประกอบ


ภิกษุฉันนําปานะ(ยามกาลิก)ทีประเคนไว้คา้ งคืน ต้องอาบัติทุกกฏ
การให้โยมหรือเณรประเคนปานะให้ใหม่ทุกเช้า) การให้ในเวลา รับคืนได้ แตกต่างจาก การถูกบังคับสละเมือเลยเวลา รับคืนไม่ได้ เว้นแต่ฉนั เพราะจําไม่ได้

“ดูกรอานนท์ โดยล่ วงไปแห่ งเรา สงฆ์จาํ นงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็ กน้อยเสียบ้างได้” ที.ม.10/141/136


อนาบัติ. ภิกษุ ฉันของเป็ นยาวชีวิกในเมือมีเหตุสมควร, วิ.ม.2/515/461
ภิกษุ ไม่เสียดาย สละโภชนะใดให้แก่สามเณร ถ้าสามเณรเก็บโภชนะนั นไว้ถวายแก่ภิกษุ ควรทุกอย่าง
……………………………………………………………………………..

บทที 9. ภิกษุใด มิใช่ผอู ้ าพาธ ขอโภชนะอันประณีต(โภชนะประณีต 9 อย่าง) เห็นปานนี คือ 8.3


เนยใส เนยข้น นํามัน นําผึง นําอ้อย ปลา เนือ นมสด นมส้ม เพือประโยชน์แก่ตนแล้วฉัน เป็ นปาจิตตีย ์
[516] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ขอโภชนะอันประณี ตเพือประโยชน์แก่ตนมาฉัน. ประชาชนพากันเพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึงได้ขอโภชนะอันประณีตเพือประโยชน์แก่ตนมาฉัน โภชนะทีดีใคร
จะไม่พอใจ ของทีอร่อยใครจะไม่ชอบ
เรืองภิกษุ อาพาธ [517] ก็โดยสมัยนันแล มีภก ิ ษุ ทงหลายอาพาธอยู
ั ่ พวกภิกษุ ผู้พยาบาลได้ถามพวกภิกษุ ผู้อาพาธว่า อาวุโสทังหลาย ยัง
พอทนได้อยูห ่ รือ? ยังพอครองอยูห
่ รือ? ภิกษุ อาพาธเหล่านันตอบว่า อาวุโสทังหลาย เมือก่อนพวกกระผมขอโภชนะอันประณีตเพือ
ประโยชน์แก่ตนมาฉัน เพราะเหตุนน ั พวกกระผมจึงมีความผาสุก แต่เดียวนี พวกกระผมรังเกียจอยูว่ า่ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว
จึงไม่ขอ เพราะเหตุนน ั พวกกระผมจึงไม่มีความผาสุก.

อนาบัติ. 1. ภิกษุ ขอต่อญาติ 2. ภิกษุ ขอต่อคนปวารณา 3. ภิกษุ ขอเพือประโยชน์ แก่ภิกษุ อืน


ต่อหัวข้ อที ๘.๔ หน้ า ๒๓๐
เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้ อ ๑๑
ไม่อาพาธห้ ามขอสูปะ
……………………………………………………………………..

บทที 10. ภิกษุใด กลืนอาหารทีเขายังไม่ได้ให้(อทินฺนํ) ล่วงช่องปาก เว้นแต่นาและไม้ ํ ชาํ ระฟั น เป็ นปาจิตตีย ์ 4
อาหาร(ธัญชาติ 7 ชนิ ด ระคนด้วยของประณีต)ทียังไม่มีผใู ้ ห้ คือ ยังไม่ได้รบั ประเคน ยังฉันไม่ได้
ของทีเขาไม่ได้ให้ หมายถึง ทรัพย์ทีผูอ้ ืนหวงแหน
เว้นแต่อาหารทีได้รบั จากการบิณฑบาตโดยยังไม่ได้ผ่านมือโยมอีกครังหนึ ง ฉันได้เลย (ปั ณณัตติวชั ชะ)
แต่หากโยมนํ าไปจัดการให้ก่อน ต้องนํ ามาประเคนใหม่
๒.

[522] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี. ครังนัน ภิกษุ รูปหนึ งเป็ นผู้มีปกติถือของทุกอย่าง
เป็ นบังสุกุล สํานักอยูใ่ นสุสานประเทศ ท่านไม่ปรารถนาจะรับอาหารทีประชาชนถวาย เทียวถือเอาอาหารเครืองเซ่นเจ้าตามป่ าช้าบ้าง
ตามโคนไม้บา้ ง ตามธรณีประตูบา้ ง มาฉันเอง. ประชาชนต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุ นีจึงได้ถือเอาอาหารเครืองเซ่น
เจ้าของพวกเราไปฉันเองเล่า ภิกษุ นีอ้วนลํา บางทีจะฉันเนือมนุษย์.
ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยน
ิ ประชาชนพวกนัน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาทีเป็ นผูม
้ กั น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า ไฉนภิกษุ จงึ ได้กลืนอาหารทีเขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปากเล่า

๑๙๕
การเคียวไม้ชาํ ระฟั น มีอานิ สงส์ 5 ประการ คือ
1.นั ยน์ ตา(สว่าง) แจ่มใส 2.ปากไม่มีกลินเหม็น 3.ลินรับรสอาหารบริสุทธิ 4.ดีและเสมหะไม่หมุ ้ ห่ออาหาร
5.ชอบฉันอาหาร (อาหารย่อมอร่อยแก่เขา) องฺ.ป ฺจ.22/208/255 (ทันตกัฏฐสูตร)

อนาบัติ. กลืนนําและไม้ชาํ ระฟั น ๑


ฉันยามหาวิกตั ิ ๔ เมือมีเหตุฉุกเฉิน เมือกัปปิ ยการกไม่มี ภิกษุ ถือเอาเองแล้วฉันได้ (อจิตตกะ)
ลักษณะการรับประเคน (พระบาลี) วิ.ม.5/524/554
1. เขาถวายด้วยกาย(แม้ดว้ ยนิ วเท้า) ด้วยของเนืองด้วยกาย(มีทพั พีเป็ นต้น) หรือด้วยโยนให้ (ฝ่ ายทายก)
2. เขาอยูใ่ นหัตถบาส
3. ภิกษุ รบั ประเคนด้วยกาย หรือด้วยของเนื องด้วยกาย(มีบาตรและถาด เป็ นต้น) (ฝ่ ายปฏิคาหก)
( อยูใ่ นหัตถบาส คือ เข้าไปอยูใ่ กล้ๆ วิ.ภิกขุนีวิภงั ค์.3/169/105 , หัตถบาส มีคาํ อธิบายว่า ประมาณ 2 ศอกคืบ วิ.ม.3/745 )
(อรรถกถา.พึงกําหนดประมาณหัตถบาสทางศีรษะของผูย้ ืนอยูบ่ นพืน และทางริมด้านในแห่งอวัยวะทีใกล้กว่าของผูย้ ืนอยูท่ างอากาศ ยกเว้นมือทีเหยียด
ออกเพือให้ หรือเพือรับเสีย , หรือพึงเหยียดแขนออกไป โดยเว้นมือทีเหยียดออกของทายกผูน้ ังอยู)่ วิ.ม.อ.4/511
ลักษณะการรับประเคน (องค์แห่งการประเคน 5 ประการ) (ในบาลีมุตตกวินิจฉัย) วิ.ม.4/524/563
1. ของพอบุรุษมีกาํ ลังปานกลางยกได้ (และยกของนันพ้นจากพืนถวายให้ดว้ ยมือทัง 2 ข้าง)
2. หัตถบาสปรากฏ (ผูป้ ระเคนอยู่ในหัตถบาสแห่งภิกษุ) ไม่เกิน 1 ศอกคืบ
3. การน้อมถวายปรากฏ (เขาแสดงอาการน้อมถวาย, พูดแล้วน้อมถวาย)
4. เทวดาก็ตาม มนุ ษย์ก็ตาม ดิรจั ฉานก็ตามถวาย
5. ภิกษุ รบั ประเคนด้วยกาย หรือของเนืองด้วยกาย (รับด้วยมือตนถ้าเป็ นบุรุษ / รับประเคนด้วยผ้าทอดรับหากเป็ นสตรี
หรือเป็ นบุรุษและสตรี)
การรับประเคนภัตตาหารนั น ต้องประกอบพร้อมด้วยลักษณะการรับประเคน 5 ประการ คือ
1. สิงของทีจะรับประเคนนั น ต้องไม่ใหญ่โต หรือหนั กเกินไป ขนาดคนปานกลางยกคนเดียวไหว และต้องยกสิงของนั นให้ขึน
พ้นจากพืนทีสิงของนั นตังอยู่
2. ผูป้ ระเคนต้องเข้ามาอยู่ในหัตถบาส (บ่วงมือหรือทีใกล้ตวั นั งห่างกันไม่เกิน 1 ศอก กับ 1 คืบ)
3. ผูป้ ระเคนน้อมสิงของนั นเข้ามาให้ ด้วยอาการแสดงความเคารพอ่อนน้อม
4. กิริยาอาการทีน้อมสิงของเข้ามาให้นัน จะส่งให้ดว้ ยมือก็ได้ หรือจะส่งให้ดว้ ยของเนื องด้วยกาย เช่น ใช้ทพั พีตกั ถวายก็ได้.
(ข้อนี ในอรรถกถาเป็ น: เทวดา มนุ ษย์ ดิรจั ฉานก็ตาม ถวาย(ประเคน))
5. พระภิกษุ ผูร้ บั ประเคนจะรับด้วยมือก็ได้ จะใช้ผา้ ทอดรับก็ได้ หรือจะใช้ภาชนะรับ เช่น ใช้บาตร หรือจานรับสิงของทีเขาตัก
ถวายก็ได้ วินย.อ.2/428, อธิบายใน วินย.ฏีกา.3/338
1.[ถ้าพูดแล้วยังไม่น้อมใช้ไม่ได้ เช่นกล่าวว่า นิ มนต์ท่านรับเถิด(กล่าวเชิญให้รบั ),นิ มนต์ท่านรับนํ าอ้อยสด,
ถ้าการน้อมเข้ามาถวายยังไม่ปรากฏ ไม่สมควรรับ แม้รบั ประเคนก็ไม่ขึน]
2.[บาตรมากใบ เขาวางไว้บนเตียงก็ดี ฯลฯ ผูใ้ ห้อยู่ในหัตถบาสแห่งภิกษุ ภิกษุ แม้เอานิ วแตะเตียง เป็ นต้น ด้วยความหมายว่ารับ
ประเคน เป็ นอันรับประเคนแล้วทังหมด]
3.[วางบาตรทังหลายบนแผ่นดิน เอากระพุง้ กับกระพุง้ จดกัน เขาถวายของในบาตรใบทีภิกษุ แม้เอานิ วมือแตะอยู่ เป็ นอันรับ
ประเคนแล้วทังหมด]
4.[การรับประเคนบนของเกิดกับที เช่นใบบัว ในเตียง ฯ ทีตรึงไว้ ในหิน ฯ ทีเป็ นอสังหาริมะ การรับประเคนนั น ย่อมไม่ขึน]
5.[ของเนื องด้วยกายผูร้ บั ทีเล็กจนไม่สามารถจะตังไว้ได้ดว้ ยดี การรับประเคนนั น ย่อมไม่ขึน]
6.[ถ้าภิกษุ ผนู ้ ั งถือบาตรหลับอยู่ เขานํ าโภชนะมาถวายอยู่ก็ไม่รู ้ โภชนะจัดว่ายังไม่ได้รบั ประเคน, แต่ถา้ นั งใส่ใจแต่ตน้ แต่หลับไป
(ไม่รเู ้ ขาประเคนเมือไร) ควรอยู่]
7.[ทรงอนุ ญาต ให้ภิกษุ หยิบเอาของตกทีเขากําลังถวายฉันเองได้ ข้อนั นเพราะเหตุไร? เพราะของนั นพวกทายกเขาสละให้แล้ว]

๑๙๖
ว่าด้วยของเป็ นอุคคหิตก์ และไม่เป็ น (เสียการประเคนหรือไม่) วิ.ม.อรรถกถา 4/525/571
1.[ภิกษุ ตงใจว่
ั า เราจะหยิบของทีรับประเคนไว้แล้ว ไพล่ไปหยิบของทีไม่ได้รบั ประเคน รูแ้ ล้วกลับวางไว้ในทีทีตนหยิบมา ของนั น
ไม่เป็ นอุคคหิตก์]
2.[นํ าอันดาดาษไปด้วยดอกไม้ทีหล่นจากต้น ถ้ารสดอกไม้ไม่ปรากฏ ไม่มีกิจทีจะต้องรับประเคน]
3.[ดอกแคฝอยและดอกมะลิเป็ นของทีเขาใส่แช่ไว้ นํ าคงอยู่เพียงถูกอบกลิน นํ านั นเป็ นอัพโพหาริก ควรกับอามิสแม้ในวันรุ่งขึน]
4.[ถ้าภิกษุ ประสงค์จะดูดรสแห่งไม้สีฟันนั นทีไม่ได้รับประเคนไว้ ต้องรับประเคน แม้เมือรสเข้าไปในลําคอ ก็เป็ นอาบัติแก่ภิกษุ ผู ้
ไม่รเู ้ หมือนกัน เมือยังไม่ได้รบั ประเคน] 577
5.[ภิกษุ ดืมไม่เป็ นอาบัติ วัตถุนี คือ นํ าตา นํ าลาย นํ ามูก มูตร กรีส เสลษม์ มูลฟั น คูถตา คูถหู ส่าเกลือ(เหงือไคล) เกิดในกาย
ควรทุกอย่าง]
***ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงกลืนอาหารทีออกมานอกปากแล้วเข้าไปอีก รูปใดกลืน พึงปรับอาบัติตามธรรม(ปาจิตตีย์)
วิ.จูฬ.7/273/59
6.[ราขึนในนํ ามันทีรับประเคนแล้ว ธรรมดาเกิดในนํ ามันนั นนั นเอง ไม่ตอ้ งรับประเคนใหม่]
7.[ภิกษุ เห็นผลไม้หล่นอยู่ในป่ า ตังใจว่า เราจักให้แก่สามเณร(หรือบิดามารดา) แล้วนํ ามาให้ ควรอยู่ และ(เมือได้รบั ประเคนแล้ว) แม้
จะขบฉันผลไม้นันควรอยู่ ไม่ตอ้ งโทษเพราะสันนิ ธิและอุคคหิตก์เป็ นปั จจัย]
8.[ในเวลาหุง(ข้าว)จะต้องเปิ ดดู จึงจะรูค้ วามทีข้าวเป็ นของสุกได้ ถ้าข้าวสุกไม่ดี จะปิ ดเพือต้องการให้สุกไม่ควร จะปิ ดเพือต้องการ
ไม่ให้ผงหรือขีเถ้าตกลงไป ควรอยู่] 573
9.[สามเณรตักนํ าดืม(ปานะ)จากนํ าดืมทีภิกษุ เก็บไว้ แล้วเทนํ าทีเหลือจากทีตนดืมแล้วลงในนํ าดืมนํ าอีก พึงรับประเคนใหม่]
10. [ถ้าภิกษุ อนุ ญาตให้สามเณรแบ่งงบอ้อย(อาหาร)ไปได้ตามต้องการ ก็ในส่วนทียังเหลือ ไม่มีกิจทีจะต้องรับประเคนใหม่] 575

ลักษณะการรับประเคนทีไม่ถกู ต้อง - ภิกษุ ยงั ไม่ได้รบั สิงของนัน ผูป้ ระเคนรีบวางสิงของนันเสียก่อน เช่น การ
ทอดผ้ารับประเคนจากสตรี ภิกษุ ยงั ไม่ได้จบั ผ้า สตรีวางสิงของทีผ้าเสียก่อน
- ภิกษุ ชว่ ยหยิบสิงของส่งให้เขาประเคนตน (อุคคหิต) (ดูเภสัชขันธกะ ข้อ 12 (หน้า49) ประกอบ)

ข้อควรทราบ การรับบิณฑบาต หรือการฉันอาหาร ต้องรออรุณขึนก่อน


 งดรับประเคนอาหารหลังเพล รวมถึงปานะทีไม่ได้ฉัน ไม่ตอ้ งรับประเคน (ทําในใจ)
 อาหารทีโยมประเคนให้แล้ว ไม่ใช่ว่าโยมจะแตะต้อง หรือขยับอีกไม่ได้
แต่ขอให้โยมแสดงเจตนาว่าจะช่วยจัดหรือขยับให้ก็ใช้ได้ ไม่ตอ้ งประเคนใหม่
 ก่อนการฉันอาหาร จะต้องพิจารณาอาหารก่อนทุกครัง อาบัติทุกกฏ

ภัตตาหารทีประเคนแล้ว ญาติโยมจับต้องได้อีกหรือไม่ 4.1


คนส่ ว นมาก รวมทังภิ ก ษุ บ างรู ป ด้วย มัก เข้า ใจกันว่า สิ งของที พระภิ กษุ รับประเคนแล้ว อนุ ป สัมบัน (คื อสามเณรและ
คฤหัสถ์) จะถูกต้องไม่ได้ หากไปถูกต้องเข้าจะโดยตังใจก็ตามหรือโดยไม่ตงใจก็ ั ตาม ของนั นจะต้องประเคนใหม่พระจึงจะฉันได้ ถ้า
ไม่ประเคนใหม่พระจะฉันไม่ได้ หากฉันจะต้องอาบัติ เพราะฉันของทีเขาไม่ได้ให้ บางครังมีคฤหัสถ์ประเคนแล้ว อยากจะจัดสิงของ
ให้เข้าที พระต้องวุ่นวายห้ามปรามกันเป็ นการใหญ่ และต้องให้ประเคนใหม่ เป็ นการเสียเวลา ทังอาจเป็ นการทําให้ทายกพลอยไม่
สบายใจไปด้วยทีต้องทําให้พระอึดอัดขัดข้องใจ อันทีจริงแล้ว ถ้าคฤหัสถ์หรือสามเณรก็ตามมาถูกต้องอาหารทีพระภิกษุ รับ
ประเคนไว้แล้ว จะโดยตังใจหรือโดยบังเอิญก็ตาม ของทีพระรับประเคนไว้นนไม่ ั ถือว่าเสียการประเคน แม้ไม่ประเคนใหม่
พระก็ยงั ฉันอาหารนันได้โดยไม่อาบัติ ดังทีพระพระอรรถกถาจารย์และฎีกาจารย์แสดงไว้ว่า
ถ้าหากพระภิกษุ ยงั มีความเยือใยในอาหารบิณฑบาตอยู่ แต่วางบาตรไว้ทีเชิงบาตรและบอกสามเณรว่า “เธอจะเอาขนม
หรือข้าวจากบาตรนี มาฉันก็ได้” และถ้าสามเณรล้างมือของตนให้สะอาดหยิบเอาขนมหรือข้าวจากบาตรสักร้อยครัง โดยไม่ถูกต้อง
อาหารในบาตรของตน(คือของเณร) เมือเป็ นเช่นนี ก็ไม่ตอ้ งรับประเคนอีก วินย.อ.2/434, อธิบายใน วินย.ฏีกา.3/343

๑๙๗
การทีของพระภิกษุ รบั ประเคนไว้แล้วจะเสียประเคนหรือไม่ ไม่ใช่เพราะเหตุทีคฤหัสถ์หรือสามเณรมา
ถูกต้อง แต่เสียด้วยองค์ 7 ประการ ตามทีมีแสดงไว้ในอรรถกถาพระวินัยว่า
ชือว่าการรับประเคนย่อมสละเสียไป (ด้วยองค์ 7)
(คําว่า การรับประเคนย่อมสละเสียไป หมายความว่า ขาดกรรมสิทธิในความเป็ นเจ้าของทรัพย์นัน)
เพราะการกลับเพศ (ชายกลายเป็ นหญิง) ของภิกษุ ผรู ้ บั ประเคน 1,
เพราะการมรณภาพของภิกษุ ผรู ้ บั ประเคน 1,
เพราะการลาสิกขาของภิกษุ ผรู ้ บั ประเคน 1,
เพราะการหันไปเป็ นคนเลว (คือต้องอาบัติปาราชิก) 1,
เพราะให้อนุ ปสัมบัน 1,
เพราะการสละไปโดยไม่มีความเยือใยแล้ว 1,
เพราะการถูกคนอืนแย่งชิงไป 1 วินย.อ.1/331

สมัยต่อมา ภิกษุ รูปหนึ งมีของใช้มาก มีบริขารมาก ได้ถึงมรณภาพ ภิกษุ ทังหลายกราบทูลเรืองนันแด่พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า
“ดูกอ่ นภิกษุ ทังหลายเมือภิกษุ ถึงมรณภาพ สงฆ์เป็ นเจ้าของบาตรจีวร แต่ภิกษุ ผูพ้ ยาบาลไข้มีอุปการะมากเราอนุ ญาให้สงฆ์มอบ
ไตรจีวรและบาตรให้แก่ภิกษุ ผูพ้ ยาบาลไข้ บรรดาสิงของเหล่านัน สิงใดเป็ นลหุภณ ั ฑ์ ลหุบริขาร สิงนันเราอนุ ญาตให้สงฆ์พร้อมเพรียงกัน
แบ่ง บรรดาสิงของเหล่านัน สิงใดเป็ นครุภณ ั ฑ์ ครุบริขาร สิงนันเป็ นของสงฆ์ผูอ้ ยูใ่ นจตุรทิ ศ ทังทีมาแล้วและยังไม่มา ไม่ควรแบ่ง ไม่ควร
แจก.” วิ.ม. 5/167/183
การเสียประเคนของพระภิกษุ เพราะการจับต้องของคฤหัสถ์หรือสามเณรก็ตาม ไม่มีแสดงไว้ในพระวินัย
ดังทีท่านกล่าวมาแล้ว ดังนันเมือคฤหัสถ์หรือสามเณรก็ตาม กระทบถูกอาหารวัตถุทีได้รบั ประเคนไว้แล้ว จึ งไม่
ควรห้ามปราบหรือให้ประเคนใหม่ ………………………………………….. จากนานาวินิจฉัย พระธัมมานันทมหาเถระ

พระภิกษุ บางรูปผูเ้ คร่งครัดในพระวินัยเรียกว่าถือข้างเคร่งไว้โดยมาก บางครังอาจมีความระแวงในอาหารทีรับประเคนไว้


แล้วว่าอาจจะเสียประเคนหากมีอนุ ปสัมบันมาจับต้องเข้า เพราะไม่ทราบเจตนาของทายกผูป้ ระเคนว่าต้องการนํ าเอาของนั นคืน
หรือไม่ ดังนั นทุกครังทีมีอนุ ปสัมบันมาถูกต้องภัตตาหารเข้าจึงต้องการให้ทายกประเคนใหม่ทุกครัง ด้วยเหตุนี เพือความมันใจ
และเพือความสบายใจของทัง 2 ฝ่ าย โดยธรรมเนี ยมปฏิบตั ิเมือทายกผูต้ อ้ งการจะช่วยจัดสิงของให้เข้าที จึงควรกล่าววาจาแก่
พระภิกษุ ดงั นี ว่า “กระผมจะช่วยจัดให้นะครับ / ขอดิฉันช่วยขยับให้นะคะ” ดังนี เป็ นต้น
อย่างไรก็ตาม พระภิกษุ บางรูปมีวตั รปฏิบตั ิในการฉันภัตตาหารด้วยความสันโดษ ปลีกวิเวก และปรารถนาความสงบ จึง
ไม่นิยมให้ญาติโยมมาช่วยจัด ขยับ หรือจัดแจงสิงใดให้อีกเมือได้ประเคนภัตตาหารแล้ว ด้วยเหตุนีเมือญาติโยมได้ประเคน
ภัตตาหารแล้วหากไม่มีความจําเป็ นจึงไม่ควรเข้าไปจัดแจงหรือต้องช่วยจัดภัตตาหารนันอีก ดังนี แล
…………………………………………..
วิ.จุล.9 หน้า 218 มมร.
มีด (ครุภณ ั ฑ์) เป็ นต้น เป็ นของทีชนเหล่าใดถวายไว้ในวิหาร, ถ้าชนเหล่านั นเมือถูกไฟไหม้เรือน หรือถูกโจรปล้น จึง
กล่าวว่า ท่านผูเ้ จริญจงให้เครืองมือแก่พวกข้าพเจ้าเถิด แล้วจักคืนให้อีก, ควรให้. ถ้าเขานํ ามาส่ง อย่าพึงห้าม, แม้เขาไม่นํามาส่งก็
ไม่พึงทวง.
เครืองมือทําด้วยโลหะทุกอย่าง มีทงั ค้อน คีม และคันชังเป็ นต้น ของช่างไม้ ช่างกลึง ช่างสาน ช่างแก้ว และช่างบุบาตร
เป็ นครุภัณฑ์ จําเดิมแต่กาลทีถวายสงฆ์แล้ว. แม้ในเครืองมือของช่างดีบุก ช่างหนั ง ก็มีนัยเหมือนกัน.

ต่อหัวข้ อที ๕ หน้ า ๒๒๘


เสขิยวัตร

๑๙๘
อเจลกวรรคที 5 (วิ.ม.2/527/470) (อเจลก แปลว่า ผูเ้ ปลือย,นั กบวชเปลือย)
บทที 1 อนึ ง ภิกษุ ใด ให้ของเคียวก็ดี ของกินก็ดี แก่อเจลกก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วยมือของตน เป็ นปาจิตตียฯ์
[527] พ.ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี. ครังนัน กองขนมเครืองขบฉันเกิดแก่พระสงฆ์ จึงท่านพระ
อานนท์ได้กราบทูล พ. พ. ตรัสว่า ดู กรอานนท์ ถ้า เช่นนัน เธอจงให้ขนมเป็ นทานแก่พวกคนกินเดน. ท่า นพระอานนท์ทูลรับสนอง
พระพุทธดํา รัสแล้ว จัด คนกินเดนให้นงตามลํั าดับ แล้วแจกขนมให้ค นละชิน ได้แจกขนม 2 ชิน สํา ค ญ ั ว่า ชินเดียวแก่ปริพาชิกาผู้
หนึ ง. พวกปริพาชิกาทีอยูใ่ กล้เคียง ได้ถามปริพาชิกาผู้นนว่ ั า พระสมณะนันเป็ นคูร่ กั ของเธอหรือ?
นางตอบว่า ท่านไม่ใช่ครู่ กั ของฉัน ท่านแจกให้ 2 ชิน สําคญ ั ว่าชินเดียว.
แม้ครังทีสอง ท่านพระอานนท์เมือแจกขนมให้คนละชิน ก็ได้แจกขนม 2 ชิน สําคญ ั ว่าชินเดียวแก่ปริพาชิกาคนนันแหละ
แม้ครังทีสาม ท่านพระอานนท์เมือแจกขนมให้คนละชิน ได้แจกขนม 2 ชิน สําคญ ั ว่าชินเดียวแก่ปริพาชิกาคนนันแหละ ...
พวกปริพาชิกาจึงล้อเลียนกันว่า คูร่ กั หรือไม่ใช่ครู่ กั .
อาชีวกอีกคนหนึ ง ได้ไปสูท ่ ีอังคาส. ภิกษุ รูปหนึ งคลุกข้าวกับเนยใสเป็ นอันมากแล้ว ได้ให้ข้าวก้อนใหญ่แก่อาชีวกนัน. เมือเขา
ได้ถือข้า วก้อนนันไปแล้ว อาชี วกอีกคนหนึ งได้ถามอาชี วกผู้นนว่ ั า ท่า นได้ก้อนข้า วมาจากไหน? อาชี วกนันตอบว่า ได้ม าจากที
อังคาสของสมณโคดมคหบดีโล้นนัน.
อุบาสกทังหลายได้ยน ิ สองอาชีวกนันสนทนาปราศรัยกัน จึงพากันเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ครันถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควร
ส่วนข้า งหนึ ง ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้า ข้า เดี ยรถีย์พวกนี เป็ นผู้มุ่งติเตี ยนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ข้า พระพุทธเจ้าขอ
ประทานพระวโรกาส ขออย่าให้พระคุณเจ้าทังหลายให้ของแก่พวกเดียรถีย์ด้วยมือของตนเลย.

บทที 2 อนึ ง ภิกษุ ใด กล่าวต่อภิกษุ อย่างนี วา่ ท่านจงมาเข้าไปสูบ่ า้ นหรือสูน่ ิ คมเพือบิณฑบาตด้วยกัน เธอยังเขาให้ถวายแล้วก็ดี ไม่ให้ถวายแล้วก็ดี
แก่เธอ แล้วส่งไปด้วยคําว่า ท่านจงไปเถิ ด การพูดก็ดี การนังก็ดี ของเรากับท่าน ไม่เป็ นผาสุกเลย การพูดก็ดี การนังก็ดี ของเราคนเดียว
ย่อมเป็ นผาสุก ทําความหมายอย่างนี เท่านันแลให้เป็ นปั จจัย หาใช่อย่างอืนไม่ เป็ นปาจิตตีย ์
[531] พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้กล่าวชวนภิกษุ ผู้เป็ นสัทธิวิหาริกของพระพีชายว่า มา
เถิด อาวุโส เราจักเข้าบ้านเพือบิณฑบาตด้วยกัน แล้วสังไม่ให้เขาถวายอะไรแก่เธอ ซําส่งกลับด้วยบอกว่า กลับเถิด อาวุโส การพูดก็ดี
การนังก็ดี ของเรากับคุณไม่นําความสําราญมาให้ การพูดก็ดี การนังก็ดี ของเราคนเดียว ย่อมจะสําราญ ขณะนัน เป็ นเวลาใกล้เทียง
แล้ว ภิกษุ นนไม่
ั สามารถเทียวหาบิณฑบาตฉันได้ แม้จะไปฉันทีโรงฉันก็ไม่ทน ั กาล จํา ต้องอดภัตตาหาร ครันเธอไปถึงอารามแล้ว
ได้แจ้งเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย.

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 218


1. ใคร่จะประพฤติอนาจาร 3. ผูต้ อ้ ง ไล่ล่วงอุปจาร
2. ไล่อุปสัมบันเพือประโยชน์ นัน พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

บทที 3. อนึ ง ภิกษุ ใด สําเร็จการนั งแทรกแซงในตระกูลทีมีคน 2 คน เป็ นปาจิตตีย ์


มีคน 2 คน คือ มีเฉพาะสตรี 1 บุรุษ 1 ทังสองคนยังไม่ออกจากกัน ทังสองคนหาใช่ผปู ้ ราศจากราคะไม่
[535] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่า นพระอุป นันทศากยบุ ตรไปสู่เรือนของสหายแล้ว สํา เร็จการนังในเรือนนอนกับ
ภรรยาของเขา จึงบุรุษสหายนันเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ครันแล้วกราบไหว้ทา่ นพระอุปนันทศากยบุตรแล้วนัง ณ ทีควร
ส่วนข้างหนึ ง เขานังเรียบร้อยแล้วบอกภรรยาว่า จงถวายภิกษาแก่พระคุณเจ้า จึงนางได้ถวายภิกษาแก่ทา่ นพระอุปนันทศากยบุ ต ร
บุ รุษ นันได้เรียนท่านพระอุป นันทศากยบุตรว่า นิม นต์ ท่า นกลับเถิด ขอรับ เพราะภิกษาข้าพเจ้าก็ได้ถวายแก่พระคุณเจ้าแล้ว สตรี
ภรรยานันกําหนดรูใ้ นขณะนันว่า บุรุษนีอันราคะรบกวนแล้ว จึงเรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ทา่ นนังอยูก ่ อ
่ นเถิด เจ้าค่ะ
อย่าเพิงไป
แม้ค รังทีสอง บุ รุษ นัน ... แม้ค รังทีสาม บุ รุษนันก็ได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุต รว่า นิม นต์ ท่า นกลับเถิด ขอรับ เพราะ
ภิกษาข้าพเจ้าก็ได้ถวายแก่พระคุณเจ้าแล้ว.
แม้ครังทีสาม หญิงนันก็ได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ทา่ นนังอยูก ่ อ
่ นเถิดเจ้าค่ะ อย่าเพิงไป.
ทันใด บุ รุษ สามีเดินออกไปกล่า วยกโทษต่อภิกษุ ทงหลายว่
ั า ท่า นเจ้า ข้า พระคุณ เจ้า อุปนันทะนีนังในห้องนอนกับภรรยาของ
กระผม กระผมนิมนต์ให้ทา่ นกลับไป ก็ไม่ยอมกลับ กระผมมีกจิ มาก มีกรณี ยะมาก.

อนาบัติ. ภิกษุ นังในสถานทีอันมิใช่หอ้ งนอน


………………………………………………………………………………

๑๙๙
บทที 4. ก็ ภิกษุใดนังบนอาสนะทีกําบังในทีลับ(ตา) กับมาตุคาม ต้องอาบัติปาจิตตีย ์ 6
[539] พ. ประทับ ณ พระเชตวัน. ครังนัน ท่า นพระอุป นันทศากยบุ ตรไปสู่เรือนของสหายแล้ว สํา เร็จการนังในทีลับ (ตา) คือใน
อาสนะกําบังกับภรรยาของเขา จึงบุรุษสหายนัน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าอุปนันทะจึงได้สาํ เร็จการนังในทีลับ
คือ ในอาสนะกําบังกับภรรยาของเราเล่า.

บทที 5. ก็ ภิกษุใดนังในทีลับ(หู) กับมาตุคามสองต่อสอง ต้องอาบัติปาจิตตีย ์


[543] พ. ประทับ ณ พระเชตวัน. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไปสูเ่ รือนของสหายแล้ว สําเร็จการนังในทีลับ(หู) กับภรรยาของเขา
หนึ งต่อหนึ ง จึงบุรุษสหายนันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าอุปนันทะจึงได้สาํ เร็จการนังในทีลับกับภรรยาของเรา
หนึ งต่อหนึ งเล่า
บทที 4. ทีลับ ได้แก่ ทีลับตาและลับหู,
ทีลับตา หมายถึง ทีซึงเมือบุคคลขยิบตา ยักคิวหรือผงกศีรษะขึน ใครๆ ก็ไม่สามารถแลเห็นได้,
พอจะทําการได้ คือ อาจจะเสพเมถุนธรรมกันได้, มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์,
นัง หมายถึง เมือมาตุคามนัง ภิกษุ นัง/นอน - เมือภิกษุ นัง มาตุคามนัง/นอน – หรือนอนทังสองคน
บทที 5. ทีลับหู หมายถึง ทีซึงไม่มีใครสามารถได้ยินถ้อยคําทีพูดกันตามปกติได้,
มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุ ษย์ทีรูเ้ ดียงสา สามารถรับรูถ้ อ้ ยคําสุภาษิ ต ทุพภาษิ ต คําหยาบและคําสุภาพ
อนาบัติ. 1.มีบุรุษรูเ้ ดียงสาอยูเ่ ป็ นเพือน 2.ภิกษุยืนไม่ได้นัง 3.ภิกษุไม่ได้มุ่งเป็ นทีลับ 4. ภิกษุ นังคิดเรืองอืน
……………………………………………………………….

ต่อหัวข้อที ๖.๑ หน้า ๑๓๗


อนิ ยต ๒

บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใด รับนิ มนต์แล้ว มีภตั อยู่แล้วไม่บอกลาภิกษุ ซึงมีอยู่ ถึงความเป็ นผูเ้ ทียวไปในตระกูลทังหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่
สมัย เป็ นปาจิตตีย ์ นี สมัยในเรืองนันคือ คราวทีถวายจีวร คราวทีทําจีวร นี สมัยในเรืองนันฯ
[547] พ.ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวน ั วิหาร. ครังนัน ตระกูลอุปฏ ั ฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตร นิม นต์ ท่า นฉันภัตตาหาร แม้
ภิกษุ เหล่าอืนเขาก็นิมนต์ด้วย เวลานัน เป็ นเวลาก่อนอาหาร ท่า นพระอุปนันทศากยบุตรยังกําลังเข้าไปสูต ่ ระกูลทังหลายอยู่ จึงภิกษุ
เหล่านันได้บอกทายกเหล่านันว่า ท่านทังหลายจงถวายภัตตาหารเถิด พวกทายกกล่าวว่า นิมนต์รออยู่ จนกว่าพระคุณเจ้าอุปนันทะจะ
มา ขอรับ.
แม้ค รังทีสอง .. แม้ค รังทีสาม ภิกษุ เหล่า นันก็ได้บอกทายกเหล่านันว่า ท่า นทังหลายจงถวายภัตตาหารเถิด เวลาก่อนเทียงจะ
ล่วงเลยแล้ว ทายกอ้อนวอนว่า พวกกระผมตกแต่งภัตตาหารก็เพราะเหตุแห่งพระคุณเจ้าอุปนันทะ นิม นต์ รออยูจ่ นกว่าพระคุณเจ้า
อุปนันทะจะมา ขอรับ.
คราวนัน ท่า นพระอุป นันทศากยบุ ต รได้เข้า ไปสู่ต ระกูลทังหลายก่อ นเวลาฉัน มาถึงเวลาบ่า ย ภิกษุ ทงหลายไม่ ั ได้ฉนั ตาม
ประสงค์ บรรดาภิก ษุ ที เป็ นผู้ม กั น้อ ย ... ต่ า งก็ เ พ่ง โทษ ติ เ ตี ย น โพนทะนาว่า ท่า นพระอุ ป นัน ทศากยบุ ต รรับ นิ ม นต์ เขาแล้ว มี
ภัตตาหารอยูแ ่ ล้ว ไฉนจึงได้ถงึ ความเป็ นผู้เทียวไปในตระกูลทังหลายก่อนเวลาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค ...
[548] ก็โดยสมัยนันแล ตระกูลอุปฏ ั ฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้สง่ ของเคียวไปถวายแก่สงฆ์ สังว่า ต้องมอบให้พระคุณ
เจ้าอุปนันทะถวายแก่สงฆ์ แต่เวลานันท่านพระอุปนันทศากยบุตรกําลังเข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน เมือชาวบ้านเหล่านันไปถึงอาราม
แล้วถามภิกษุ ทงหลายว่
ั า พระคุณเจ้าอุปนันทะไปไหน เจ้าข้า?
ภิกษุ ทงหลายตอบว่
ั า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนัน เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านแล้วจ้ะ.
ชาวบ้านสังว่า ท่านขอรับ ของเคียวนีต้องมอบให้พระคุณเจ้าอุปนันทะถวายแก่สงฆ์. ภิกษุ ทงหลายได้ ั กราบทูลเนือความนันแด่
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสังว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ถ้าเช่นนัน พวกเธอจงรับประเคนแล้วเก็บไว้จนกว่าอุปนันทะจะกลับมา.
ส่วนท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้คด ิ ว่า การถึงความเป็ นผู้เทียวไปในตระกูลทังหลายก่อนเวลาฉัน พระผู้มีพระภาคทรงห้าม
แล้ว จึงเข้าไปยังตระกูลทังหลายหลังเวลาฉันแล้ว บ่ายจึงกลับ ของเคียวได้ถูกส่งคืนกลับไป.
[549] โดยสมัยต่อมา ถึงคราวถวายจีวรกัน ภิกษุ ทงหลายพากั ั นรังเกียจไม่เข้า ไปสู่ต ระกู ล จีวรจึงเกิด ขึ นเพียงเล็กน้อย ภิกษุ
ทังหลายได้กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มี พระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ในคราวทีถวายจีวร เราอนุญาตให้เข้า
ไปสูต่ ระกูลได้.
[550] โดยสมัยต่อมาอีก ภิกษุ ทงหลายทํ
ั าจีวรกันอยู่ ต้องการเข็มบ้าง ด้า ยบ้า ง มี ด บ้าง. ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นรังเกียจไม่เข้าไปสู่
ตระกูล
[551] โดยสมัยต่อจากนันมา ภิกษุ ทงหลายอาพาธ
ั และมี ค วามต้องการเภสัช ภิกษุ ทังหลายพากันรังเกียจไม่เข้าไปสูต ่ ระกูล จึง
กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 220


1. ยินดีเขานิ มนต์ดว้ ยโภชนะ 5 อันใดอันหนึ ง 4. ยังไม่ล่วงเวลาเทียงไป
2. ไม่ลา ไม่บอกภิกษุ ทีมีอยู่ 5. ไม่มีสมัยหรืออันตราย
3. ไปเรือนอืนจากเรือนผูน้ ิ มนต์ พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
………………………….……………………………………

๒๐๐
บทที 7. ภิกษุไม่เป็ นไข้ พึงยินดีการปวารณาด้วยปั จจัยเพียง 4 เดือน เว้นไว้แต่ปวารณาอีก เว้นไว้แต่
ปวารณาเป็ นนิตย์ ถ้ายินดีเกินกว่ากําหนดนัน ต้องอาบัติปาจิตตีย ์ 8
ปวารณา มี 2 ความหมาย คือ
1. หมายถึง ยอมให้ขอ, เปิ ดโอกาสให้ขอ , คนปวารณา หมายถึง คนยอม(หรือบอก) ให้ขอปั จจัยเมือต้องการ
2. หมายถึง ยอมให้วา่ กล่าวตักเตือน, เปิ ดโอกาสให้วา่ กล่าวตักเตือน, ชือสังฆกรรมทีพระสงฆ์ทาํ ในวันสุ ดท้ายแห่งการจําพรรษา คือ ในวันขึน 15
คํา เดือน 11 เรียกว่า วันมหาปวารณา โดยภิกษุ ทุกรูปจะกล่าวปวารณา คือ เปิ ดโอกาสให้กนั และกันว่ากล่าวตักเตือนได้
[557] คําว่า ภิกษุ มิใช่ผอู ้ าพาธ พึงยินดีปวารณาด้วยปั จจัยเพียงสีเดือน นัน ความว่าพึงยินดีปวารณาเฉพาะปัจจัยของภิกษุ ไข้ แม้เขาปวารณาอีกก็พึง
ยินดีวา่ เราจักขอชัวเวลาทียังอาพาธอยู่ แม้เขาปวารณาเป็ นนิ ตย์ ก็พึงยินดีวา่ เราจักขอชัวเวลาทียังอาพาธอยู.่

ภิกษุสามารถขอปั จจัย อาทิเช่น ปั จจัย 4 และบริขาร จากผูท้ ีเป็ นญาติได้ตลอด โดยไม่ตอ้ งปวารณาก่อน หรือขอ
จากผูท้ ีปวารณาไว้ตามทีได้แจ้งภายในกําหนดเวลาทีเขากําหนดไว้เท่านัน ห้ามขอจากผูท้ ีไม่ใช่ญาติและไม่ได้ปวารณา
(เช่น การเรืยไร,การอาเนสนา) แต่เว้น การบอกบุญ
ยกเว้น กรณีจีวรถูกโจรลักไป ขอได้เพียงผ้า 2 ผืนเท่านั น (ห้ามขอจีวร ดูจีวรวรรคที 1 บทที 6-7 (หน้า 132) ประกอบ)
การเรียไร แปลว่า การขอร้องให้ชว่ ยออกเงินทําบุญ เป็ นต้น ตามความสมัครใจ เช่น เรียไรสงเคราะห์เด็กกําพร้า
อเนสนากรรม หมายถึง กรรมคือการแสวงหา(ปั จจัย)อันไม่ควร
การบอกบุญ แปลว่า การบอกชักชวนให้ทาํ บุญ เช่น ในการสร้างโบสถ์ทอดกฐิน
[555] พ.ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ สักกชนบท ครังนัน มหานามศากยะมีเภสัชมากมาย จึงเข้าเฝ้ าพระผูม ้ ี
พระภาค ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ได้กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยปัจจัยเภสัชตลอด
4 เดือน พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ตรัสว่า ดีๆ มหานาม ถ้าเช่นนัน เธอจงปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอด 4 เดือนเถิด.
ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่รบั ปวารณา ได้กราบทูลเหตุนนแด่ั พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย

เราอนุญาตให้ยน ิ ดีการปวารณาด้วยปัจจัย 4 ตลอด 4 เดือน.
ก็สมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายขอปั ั จจัยเภสัชต่อมหานามศากยะเพียงเล็กน้อยเท่า นัน ปัจจัยเภสัช ของมหานามศากยะ จึงยังคง
มากมายอยูต ่ ามเดิมนันแหละ
แม้ ค รังที สอง มหานามศากยะก็ เ ข้ า เฝ้ าพระผู้ มี พ ระภาค ถวายบัง คมแล้ ว นัง ณ ที ควรส่ ว นข้ า งหนึ ง ได้ ก ราบทู ล ว่า
ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชต่ออีก 4 เดือน พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีๆ มหานาม ถ้าเช่นนัน เธอจงปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชต่ออีก 4 เดือนเถิด.
ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่รบั ปวารณา ได้กราบทูลเหตุนนแด่
ั พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย

เราอนุญาตให้ยน ิ ดีการปวารณาต่ออีกได้.
ก็สมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายขอปั ั จจัยเภสัชต่อมหานามศากยะเพียงเล็กน้อยเท่า นัน, ปัจจัยเภสัช ของมหานามศากยะจึงยังคง
มากมายอยูต ่ ามเดิมนันแหละ
แม้ ค รังที สาม มหานามศากยะก็ เ ข้ า เฝ้ าพระผู้ มี พ ระภาค ถวายบัง คมแล้ ว นัง ณ ที ควร ส่ ว นข้ า งหนึ ง ได้ ก ราบทู ล ว่า
ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอดชีวต ิ พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีๆ มหานาม ถ้าเช่นนัน เธอจงปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอดชีวต ิ เถิด.
ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจไม่รบั ปวารณาได้กราบทูลเหตุนนแด่
ั พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย

เราอนุญาตให้ยน ิ ดี แม้ซึ งการปวารณาเป็ นนิตย์.
[556] ครันสมัยต่อมา พระฉัพพัค คีย์นุ่ งห่มผ้าไม่เรียบร้อย ไม่สมบูรณ์ ด้วยมรรยาท ถูกมหานามศากยะกล่าวตําหนิว่า ทําไม
ท่า นทังหลายจึงนุ่ งห่ม ผ้า ไม่เรียบร้อย ไม่สมบู รณ์ ด้วยมรรยาท, ธรรมเนี ยมบรรพชิต ต้องนุ่ งห่มผ้าให้เรียบร้อย ต้องสมบู รณ์ ด้วย
มรรยาท มิใช่หรือ? พระฉัพพัคคีย์ผูกใจเจ็บในมหานามศากยะ ครันแล้วได้ปรึกษากันว่า ด้วยอุบายวิธีไหนหนอ?
เราจึงจะทํามหานามศากยะให้ได้รบั ความอัปยศ แล้วปรึกษากันต่อไปว่า อาวุโสทังหลาย มหานามศากยะได้ปวารณาไว้ต่อสงฆ์ด้วย
ปัจจัยเภสัช พวกเราพากันไปขอเนยใสต่อมหานามศากยะเถิด แล้วเข้า ไปหามหานามศากยะกล่า วคํา นี ว่า อาตมภาพทังหลาย
ต้องการเนยใส 1 ทะนาน.
มหานามศากยะขอร้องว่า วันนี ขอพระคุณ เจ้าได้โปรดคอยก่อน คนทังหลายยังไปคอกนําเนยใสมา พระคุณ เจ้า ทังหลายจัก
ได้รบั ทันกาล.
แม้ครังทีสอง ... แม้ครังทีสาม พระฉัพพัคคีย์ก็ได้กล่าวว่า อาตมภาพทังหลายต้องการเนยใส 1 ทะนาน.
มหานามศากยะรับสังว่า วันนีขอพระคุณเจ้าทังหลาย ได้โปรดรอก่อน คนทังหลายยังไปคอกนําเนยใสมา พระคุณเจ้าจักได้รบั
ทันกาล พระฉัพพัคคีย์ต่อว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยเนยใสทีท่านไม่ประสงค์จะถวาย แต่ได้ปวารณาไว้ เพราะท่านปวารณาไว้แล้ว
ไม่ถวาย.
จึงมหานามศากยะ เพ่งโทษ ติเตี ยน โพนทะนาว่า ก็เมื อฉันขอร้องพระคุณ เจ้า ว่า วันนี ขอพระคุณ เจ้าทังหลายได้โปรดคอย
ก่อน ดังนี ไฉน พระคุณเจ้าจึงรอไม่ได้เล่า?
ภิกษุ ทงหลาย ั ได้ยนิ มหานามศากยะ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ...

๒๐๑
บทภาชนีย ์ [559] ในการกําหนดเภสัช ภิกษุ ขอเภสัชอย่างอืนนอกจากเภสัชทีเขาปวารณา ต้อง อาบัติปาจิตตีย.์
ในการกําหนดกาล ภิกษุ ขอในกาลอืนนอกจากกาลทีเขาปวารณา ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
ในการกําหนดทังเภสัชกําหนดทังกาล ภิกษุ ขอเภสัชอย่างอืนนอกจากเภสัชทีเขาปวารณา และในกาลอืนนอกจากกาลทีเขาปวารณา ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
ไม่ตอ้ งอาบัติ ในการไม่กาํ หนดเภสัช ไม่กาํ หนดกาล ... ไม่ตอ้ งอาบัติ.
[560] ในเมือต้องการใช้ของทีมิใช่เภสัช ภิกษุ ขอเภสัช, ต้องอาบัติปาจิตตีย.์ ในเมือต้องการใช้เภสัชอย่างอืน ขอเภสัชอีกอย่าง ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
[เมือไม่มีความจําเป็ นด้วยเภสัช ภิกษุ ออกปากขอเภสัช, เมือมีความจําเป็ นด้วยเภสัชอย่างหนึ ง ภิกษุ ออกปากขอเภสัชอีกอย่างหนึ ง
ต้องอาบัติปาจิตตีย]์
อนาบัติ.
1. บอกขอว่า ท่านปวารณาพวกข้าพเจ้าด้วยเภสัชเหล่านี แต่พวกข้าพเจ้าต้องการเภสัชชนิ ดนี และชนิ ดนี
2. บอกขอว่า ระยะกาลทีท่านได้ปวารณาไว้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ขา้ พเจ้ายังต้องการเภสัช
3. ขอเภสัชจากญาติ 4. ขอเภสัชเพือภิกษุ อืน 5. ขอเภสัชทีจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 221
1. เขาปวารณาแก่สงฆ์ 4. ล่วงกําหนดแล้ว
2. ขอยาให้เกินกว่านั น พร้อมด้วยองค์ 4 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
3. ไม่เป็ นไข้
.......................................................
ต่อหัวข้อ ๘.๑ ดูจีวรวรรคที ๑ บทที ๖-๗ (หน้า ๑๔๓) ห้ามขอจีวร เว้นแต่ถูกลัก
ต่อหัวข้อ ๘.๒ ดูปัตตวรรคที ๓ บทที ๒ (หน้า ๑๕๔) ห้ามขอบาตร
ต่อหัวข้อ ๘.๓ ดูโภชนวรรคที ๔ บทที ๙ (หน้า ๑๙๕) ห้ามขอโภชนะอันประณีต
ต่อหัวข้อ ๘.๔ ดูเสขิยวัตร โภชนปฏิสงั ยุต (หน้า ๒๓๐) ไม่อาพาธ ไม่ขอแกงหรือข้าวสุก
ต่อหัวข้อ ๘.๕ ดูสงั ฆาทิเสส บทที ๖ (หน้า ๑๐๐) ห้ามภิกษุ สร้างกุฏิเกินกําหนด
จบหมวดวินยั สําคัญควรทราบ
ต่อหัวข้อที ๙ หน้า ๓๖
“หลักวิชาพระวินยั ”

บทที 8 อนึ งภิกษุ ใด ไปเพือจะดูเสนาสนะอันยกออกแล้ว เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนันเป็ นรูป เป็ นปาจิตตียฯ์


เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนันเป็ นรูป คือ ยกเหตุจาํ เป็ นเสีย
[562] พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยกกองทัพออก พระฉัพพัคคีย์ได้ไปดูกองทัพทียกออกแล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทอดพระเนตรเห็นพระฉัพพัคคีย์กาํ ลังเดินมาแต่ไกลเทียว ครันแล้วรับสังให้นิมนต์มาตรัสถามว่า พระคุณเจ้า
ทังหลายมาเพือประสงค์อะไร เจ้าข้า?
พระฉัพพัคคีย์ถวายพระพรว่า พวกอาตมภาพประสงค์จะเฝ้ ามหาบพิตร.
พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสังว่า จะได้ประโยชน์อะไรด้วยการดูดิฉน ั ผู้เพลิดเพลินในการรบ พระคุณเจ้าควรเฝ้ าพระผู้มีพระภาค
มิใช่หรือ?
ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้พากันมาดูกองทัพซึ งยกออกแล้ว
เล่า? ไม่ใช่ลาภของพวกเรา แม้พวกเราทีพากันมาในกองทัพ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยาก็ได้ไม่ดีแล้ว,
[563] ก็โ ดยสมัยนันแล ลุงของภิกษุ รูปหนึ งป่ วยอยูใ่ นกองทัพ เขาส่งทูตไปในสํานัก ภิกษุ นนว่
ั า ลุงกํา ลังป่ วยอยู่ในกองทัพ ขอ
พระคุณเจ้าจงมา ลุงต้องการให้พระคุณเจ้ามา จึงภิกษุ นนดํ ั าริวา่ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสกิ ขาบทแก่ภิกษุ ทงหลายไว้
ั วา่ ภิกษุ ไม่
พึงไปเพือจะดูเสนาอันยกออกแล้ว ก็นีลุงของเราป่ วยอยูใ่ นกองทัพ เราจะพึงปฏิบตั ิอย่างไรหนอ แล้วแจ้งความนันแก่ภิกษุ ทงหลายๆ ั
กราบทูลเนือความนันแด่พระผู้มีพระภาค.

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 221


1. กระบวนจุรงั คินีเสนายกทัพออก 4. ไม่มีเหตุสมควรหรืออันตราย
2. ไปเพือจะดู พร้อมด้วยองค์ 4 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
3. เห็นในทีอืน พ้นโอกาสทีพระพุทธเจ้าทรงอนุ ญาต

๒๐๒
บทที 9 อนึ ง ปั จจัยบางอย่างเพือจะไปสูเ่ สนา มีแก่ภิกษุ นัน ภิกษุ นันพึงอยูไ่ ด้ในเสนาเพียง 2-3 คืน ถ้าอยูย่ ิงกว่านัน เป็ นปาจิตตียฯ์
[567] โดยสมัยนัน พ. ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์มีกจิ จําเป็ นเดินผ่านกองทัพไป แล้วแรมคืนอยูใ่ นกองทัพ
เกิน 3 ราตรี. ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน ...

บทที 10 ถ้าภิกษุ อยูใ่ นเสนา 2-3 คืน ไปสูส่ นามรบก็ดี ไปสูท่ ีพักพลก็ดี ไปสูท่ ีจัดขบวนทัพก็ดี ไปดูกองทัพทีจัดเป็ นขบวนแล้วก็ดี เป็ นปาจิตตียฯ์
[571] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์กาํ ลังอยูใ่ นกองทัพ 2-3 คืน ไปสูส
่ นามรบบ้าง ไปสูท ่ ีพักพลบ้าง ไปสู่
ทีจัดขบวนทัพบ้าง ไปดูกองทัพทีจัดเป็ นขบวนแล้วบ้าง. พระฉัพพัคคีย์รูปหนึ งไปสูส ่ นามรบแล้วถูกยิงด้วยลูกปื น. คนทังหลายจึงล้อ
เธอว่า พระคุณเจ้าได้รบเก่งมาแล้วกระมัง, พระคุณเจ้าได้คะแนนเท่าไร. เธอถูกเขาล้อได้เก้อเขินแล้ว, ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้มาถึงสนามรบ เพือจะดูเขาเล่า?
…………………………………………………………………………………
พระภิกษุควรไม่ควรเห็นการฆ่ าฟั นกันเป็ นเรืองสนุ ก
ไม่ควรเข้ าด้ วยฝักฝ่ ายให้ ประชาชน (ฝ่ ายทีไม่เห็นด้ วย) เสือมศรัทธาต่อสงฆ์
เมือพระภิกษุแตกกัน ก็จะเป็ นเหตุให้ ประชาชนแตกสามัคคีกนั ดังเช่น เช่น ภิกษุโกสัมพี

7 พระสูตร ว่าด้วยเหตุไม่ควรโกรธ
[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] ปฐมสังคามวัตถุสูตร สํ.ส.15/368/104
[368] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ครังนัน พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียมจตุรงคินีเสนา (กองทัพมีกําลังสีเหล่า คือ เหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ เหล่า
ราบ) ยกไปรุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงแคว้นกาสีฯ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงสดับข่าวฯ ลําดับนัน พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงจัดจตุ
รงคินีเสนายกออกไปต่อสูพ ้ ระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. ป้ องกันแคว้นกาสีฯ
ครังนัน พระเจ้า แผ่นดินมคธ อชาตสัต รู. . กับ พระเจ้า ปเสนทิโ กศล ทรงทํา สงครามกันแล้ว แต่ใ นสงครามครังนัน พระเจ้า
แผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. ทรงชํานะพระเจ้าปเสนทิโกศลฯ ฝ่ ายพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ปราชัย ก็เสด็จล่าทัพกลับพระนครสาวัตถี ราชธานี
ของพระองค์ ฯ
[369] ครังนัน เวลาเช้า ภิกษุ เป็ นจํานวนมากนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เทียวบิณฑบาตไป
ในพระนครสาวัตถีแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระ
ภาค..
[370] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู เวเทหิบุตร มีมิตรเลวทราม มีสหายเลวทราม
มีพระทัยน้อมไปในคนเลวทราม
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ฝ่ ายพระเจ้าปเสนทิโกศล มีมิตรดีงาม มีสหายดีงาม มีพระทัยน้อมไปในคนดีงาม ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั วันนีพระ
เจ้าปเสนทิโกศลทรงแพ้มาแล้วอย่างนี จักบรรทมเป็ นทุกข์ตลอดราตรีนี ฯ
[371] พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครันตรัสไวยากรณ์ ภาษิ ตนีจบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้ชํานะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ยอ
่ มนอนเป็ นทุกข์ บุคคลละความชนะและความแพ้เสียแล้ว จึงสงบระงับ นอนเป็ นสุข ฯ
..............................................

[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] ทุติยสังคามวัตถุสูตร สํ.ส.15/372/105


[372] ครังนัน พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียมจตุรงคินีเสนา ยกไปรุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงแคว้น
กาสี ฯ .. ลําดับนัน พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงจัดจตุรงคินีเสนา ยกออกไปต่อสูพ ้ ระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. ป้ องกันแคว้นกาสี ฯ
ครังนัน พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทําสงครามกันแล้ว แต่ในสงครามครังนัน พระเจ้าปเสนทิ
โกศลทรงชํานะพระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. และทรงจับพระองค์เป็ นเชลยศึกได้ ฯ
[373] ครังนัน พระเจ้า ปเสนทิโ กศลได้มี พ ระดํา ริว่า ถึง แม้ พ ระเจ้า แผ่น ดินมคธอชาตสัต รู . . นี จะประทุ ษ ร้า ยเราผู้มิได้
ประทุษร้าย แต่เธอก็ยงั เป็ นพระภาคิไนย (หลาน คือลูกพีสาวหรือน้องสาว) ของเรา อย่ากระนันเลย เราควรยึดพลช้าง.. พลม้า.. พลรถ.. พลเดิน
เท้าทังหมดของพระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. แล้วปล่อยพระองค์ไปทังยังมีพระชนม์อยูเ่ ถิด ฯ
ลํา ดับ นัน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยึดพลช้าง..พลม้า.. พลรถ.. พลเดินเท้าทังหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู.. แล้ว
ทรงปล่อยพระองค์ไปทังยังมีพระชนม์อยู่ ฯ
[374] ครังนัน เวลาเช้า ภิกษุ เป็ นจํานวนมาก นุ่งห่มแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เทียวบิณฑบาต
ไปในพระนครสาวัตถีแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค.. ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
[375] ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนือความนีแล้วจึงได้ทรงภาษิ ตพระคาถาเหล่านีในเวลานันว่า
บุรุษจะแย่งชิงเขาได้ ก็ชวกาลที
ั การแย่งชิงของเขายังพอสําเร็จได้ แต่เมือใด คนเหล่าอืนย่อมแย่งชิง, ผู้แย่งชิงนัน ย่อมถูกเขา
กลับแย่งชิงเมือนัน ฯ
เพราะว่า คนพาลย่อมสําคญ ั ว่า เป็ นฐานะ(โอกาส) ตราบเท่าทีบาปยังไม่ให้ผล แต่บาปให้ผลเมือใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมือนัน ฯ
ผู้ฆ่า ย่อมได้รบ
ั การฆ่าตอบ ผู้ชํา นะย่อมได้รบ ั การชนะตอบ ผู้ด่า ย่อมได้รบั การด่าตอบ และผู้ขึ งเคียดย่อมได้รบั ความขึ งเคียด
ตอบ ฉะนัน เพราะความหมุนเวียนแห่งกรรม ผู้แย่งชิงนัน ย่อมถูกเขากลับแย่งชิงคืน ฯ
..............................................

๒๐๓
[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] ธนัญชานีสตู ร สํ.ส.15/626/194
[626] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี
สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคประทับอยูใ่ นพระวิหารเวฬุวน ั อันเป็ นทีพระราชทานเหยือ
แก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ก็โดยสมัยนันแล นางพราหมณี ชือธนัญชานีแห่งพราหมณ์ ผู้ภารทวาชโคตรคนหนึ ง1 เป็ นผู้เลือมใสยิง
ในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ฯ
[627] ครังนันแล นางธนัญชานีพราหมณี กําลังนําภัตเข้าไปเพือพราหมณ์ ภารทวาช
โคตร ก้าวเท้าพลาดจึงเปล่งอุทาน 3 ครังว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นน ั ฯ
เมือนางธนัญชานีพราหมณี กล่าวอย่างนีแล้ว พราหมณ์ ภารทวาชโคตรได้กล่าวกะนางธนัญชานีพราหมณี วา่ ก็หญิงถ่อยนีกล่า ว
คุณของสมณะโล้นอย่างนีอย่างนี ไม่วา่ ทีไหนๆ แน่ ะหญิงถ่อย บัดนี เราจักยกวาทะ (พูดให้จนมุม) ต่อพระศาสดานันของเจ้า ฯ
นางธนัญชานี พราหมณี กล่าวว่า พราหมณ์ ฉันยังไม่เห็นบุคคลผู้จะพึงยกถ้อยคําต่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นนในโลก
ั พร้อมด้วยเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สตั ว์ พร้อมด้วยสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้าแต่พราหมณ์ เอา
เถิด ท่านจงไป แม้ไปแล้วก็จกั รู ้ ฯ
[628] ลําดับนันแล พราหมณ์ ภารทวาชโคตรโกรธขัดใจ เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค
ถึงทีประทับ ครันแล้ว สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคแล้วนังอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ฯ พราหมณ์ ภารทวาชโคตรนัง ณ ทีควรส่วน
ข้างหนึ งแล้ว ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
บุคคลฆ่าอะไรได้ ย่อมนอนเป็ นสุข ฆ่าอะไรได้ ย่อมไม่เศร้าโศก ข้าแต่พระโคดม พระองค์ยอ ่ มชอบใจการฆ่าธรรมอะไรเป็ น
ธรรมอันเอก ฯ
[629] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลฆ่าความโกรธได้ยอ ่ มนอนเป็ นสุข ฆ่าความโกรธได้ยอ ่ มไม่เศร้าโศก ดูกรพราหมณ์ พระอริยะเจ้าทังหลาย ย่อมสรรเสริญ
การฆ่าความโกรธ อันมีมูลเป็ นพิษ มีทีสุด (ยอด) อันคืนคลาย เพราะว่าบุคคลฆ่าความโกรธนันได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
[630] เมื อพระผู้มี พระภาคตรัสอย่างนี แล้ว พราหมณ์ ภ ารทวาชโคตรได้กราบทูลพระผู้พระภาคว่า ข้า แต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิ ต ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้า แต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิ ต ของพระองค์แจ่ม แจ้งนัก พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดย
ปริยายเป็ นอันมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในทีมืดด้วยคิดว่า คนมีจกั ษุ
ย่อมเห็นรูปได้ ฉะนัน ข้าพระองค์นี ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับทังพระธรรมและพระภิกษุ สงฆ์วา่ เป็ นสรณะ ขอข้าพระองค์พงึ ได้บรรพชา
พึงได้อุปสมบทในสํานักของพระโคดมผู้เจริญ ฯ
พราหมณ์ ภารทวาชโคตรได้บรรพชาได้อุปสมบทแล้วในสํานักของพระผู้มีพระภาค ก็ทา่ นพระภารทวาชอุปสมบทแล้วไม่นาน
หลีกไปอยู่ผู้เดี ยวไม่ป ระมาท มี ค วามเพียร มี ต นส่งไปอยู่ ไม่นานเท่า ไรนัก ก็กระทํา ให้แจ้งซึ งคุณ วิเศษอันยอดเยียม เป็ นทีสุด แห่ง
พรหมจรรย์ ซึ งกุลบุตรทังหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ ด้วยปัญญาเป็ นเครืองรูย้ งเองในปั ิ จจุบน
ั นีเข้าถึง
อยู่ ได้ทราบว่า ชาติสินแล้ว พรหมจรรย์อยูจ่ บแล้ว กิจทีจะต้องทําได้ทําเสร็จแล้ว กิจอืนอีกเพือความเป็ นอย่างนีมิได้มี ก็แหละท่านพระ
ภารทวาชได้เป็ นพระอรหันต์รูปหนึ ง ในบรรดาพระอรหันต์ทงหลาย ั ดังนีแล ฯ
..............................................
1
หมายความว่า นางพราหมณีชือธนัญชานี ผูเ้ ป็ นภรรยาของพราหมณ์ตระกูลภารทวาชะ

[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] อักโกสกสูตร สํ.ส.15/631/195


[631] สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคประทับอยูใ่ นพระวิหารเวฬุวน ั ฯ อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้สดับมาว่า ได้ยน ิ ว่า พราหมณ์
ภารทวาชโคตรออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิต ในสํานักของพระสมณโคดมแล้ว ดังนี โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้ าพระผูม ้ ีพระภาคถึงทีประทับ
ครันแล้ว ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ฯ
[632] เมืออักโกสกภารทวาชพราหมณ์ กล่าวอย่างนีแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะ
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ วา่ ดูกรพราหมณ์ ท่านย่อมสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน มิตรและอํามาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็ นแขกของท่าน
ย่อมมาบ้างไหม ฯ
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ตอบว่า พระโคดมผู้เจริญ มิตรและอํามาตย์ญาติสาโลหิต
ผู้เป็ นแขกของข้าพระองค์ยอ ่ มมาเป็ นบางคราว ฯ
พระผู้มี พระภาคตรัสว่า ดู กรพราหมณ์ ท่า นย่อมสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ท่า นจัดของเคียวของบริโภคหรือของดืมต้อนรับ
มิตรและอํามาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็ นแขกเหล่านันบ้างหรือไม่ ฯ
อ. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์จดั ของเคียวของบริโภคหรือของดืมต้อนรับมิตรและ
อํามาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็ นแขกเหล่านันบ้างในบางคราว ฯ
พ. ดู กรพราหมณ์ ก็ถ้า ว่า มิตรและอํามาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็ นแขกเหล่านันไม่รบ ั ของเคียวของบริโ ภคหรือของดืมนันจะเป็ น
ของใคร ฯ
อ. พระโคดมผู้เจริญ ถ้าว่ามิตรและอํามาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็ นแขกเหล่านันไม่รบั ของเคียวของบริโภคหรือของดืมนัน ก็เป็ น
ของข้าพระองค์อย่างเดิม ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ข้อนีก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่านหมายมันเราผู้ไม่หมายมันอยู่ เรา
ไม่รบั เรืองมีการด่าเป็ นต้นของท่านนัน ดูกรพราหมณ์ เรืองมีการด่าเป็ นต้นนันก็เป็ นของท่านผู้เดียวฯ
แล้วตรัสต่อไปว่า ดู กรพราหมณ์ ผู้ใ ดด่าตอบบุคคลผู้ดา่ อยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่ หมายมันตอบบุคคลผู้หมายมันอยู่ ดู กร
พราหมณ์ ผู้ นี เรากล่า วว่า ย่อ มบริโ ภคด้วยกัน ย่อ มกระทํา ตอบกัน เรานันไม่บ ริโ ภคร่ว ม ไม่ ก ระทํา ตอบด้วยท่า นเป็ นอันขาด ดู ก ร
พราหมณ์ เรืองมีการด่าเป็ นต้นนันเป็ นของท่านผู้เดียว ดูกรพราหมณ์ เรืองมีการด่าเป็ นต้นนันเป็ นของท่านผู้เดียว ฯ
อ. บริษทั พร้อมด้วยพระราชา ย่อมทราบพระโคดมผู้เจริญ อย่างนีว่าพระสมณโคดม
เป็ นพระอรหันต์ ก็เมือเป็ นเช่นนัน ไฉนพระโคดมผู้เจริญ จึงยังโกรธอยูเ่ ล่า ฯ
[633] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้ไม่โกรธ ฝึ กฝนตนแล้ว มีความเป็ นอยูส ่ มําเสมอ หลุดพ้นแล้วเพราะรูช
้ อบ สงบ คงทีอยู่ ความ
โกรธจักมีมาแต่ทีไหน ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นนเป็ั นผู้ลามกกว่าบุคคลนันแหละ เพราะการโกรธตอบนัน บุคคลไม่โกรธตอบ

๒๐๔
บุคคลผู้โกรธแล้ว ชือว่าย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรูว้ า่ ผู้อืนโกรธแล้ว เป็ นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นนชื
ั อว่าย่อมประพฤติ
ประโยชน์แก่ทงสองฝ่
ั าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอืน เมือผู้นนรั ั กษาประโยชน์อยูท ่ งสองฝ่
ั าย คือของตนและของบุคคลอืน ชนทังหลายผู้ไม่
ฉลาดในธรรมย่อมสําคญ ั บุคคลนันว่าเป็ นคนเขลา ดังนี ฯ
[634] เมือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล้ว อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูล
พระผู้มี พระภาคว่า ข้า แต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิ ต ของพระองค์แจ่ม แจ้งนัก ฯ ข้า พระองค์นีขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และ
พระภิกษุ สงฆ์วา่ เป็ นสรณะ ขอข้าพระองค์พงึ ได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักของพระโคดมผู้เจริญ ฯ
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชาได้อุปสมบทแล้วในสํานักของพระผู้มีพระภาค ก็ทา่ นอักโกสกภารทวาชอุปสมบทแล้ว
ไม่นานแล หลีกไปอยูผ ่ ูเ้ ดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทําให้แจ้งซึ งคุณวิเศษอันยอดเยียมเป็ นทีสุด
แห่งพรหมจรรย์ฯ ก็แหละท่านพระอักโกสกภารทวาชะได้เป็ นพระอรหันต์รูปหนึ ง ในบรรดาพระอรหันต์ทงหลาย ั ดังนีแล ฯ
..............................................

[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] อสุรินทกสูตร สํ.ส.15/635/198


[635] สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคประทับอยูใ่ นพระวิหารเวฬุวน ั ฯ อสุรนิ ทกภารทวาชพราหมณ์ได้สดับมาว่า ได้ยน ิ ว่า พราหมณ์
ภารทวาชโคตรออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตในสํานักของพระสมณโคดม โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันแล้ว
ด่า บริภาษพระผู้มีพระภาคด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ฯ
เมืออสุรนิ ทกภารทวาชพราหมณ์กล่าวอย่างนีแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิงเสีย ฯ ลําดับนันแล อสุรน ิ ทกภารทวาชพราหมณ์ได้
กล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า พระสมณะ เราชนะท่านแล้ว พระสมณะ เราชนะท่านแล้ว ฯ
[636] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนพาลกล่าวคําหยาบด้วยวาจา ย่อมสําค ญ ั ว่าชนะทีเดียว แต่ค วามอดกลันได้ เป็ นความชนะของบัณฑิตผู้รูแ ้ จ้งอยู่ ผู้ใ ดโกรธ
ตอบบุค คลผู้โ กรธแล้ว ผู้นนเป็
ั นผู้ลามกกว่าบุคคลผู้โกรธแล้ว เพราะการโกรธตอบนัน บุ ค คลไม่โกรธตอบบุค คลผู้โ กรธแล้ว ย่อมชือว่า
ชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรูว้ า่ ผู้อืนโกรธแล้ว เป็ นผู้มีสติสงบอยูไ่ ด้ ผู้นนชื
ั อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทงสองฝ่ั าย คือ
แก่ตนและแก่ผู้อืน เมือผู้นนรั
ั กษาประโยชน์อยูท ่ งสองฝ่
ั าย คือของตนและของผูอ ้ ืน ชนทังหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสําคญ ั บุคคลนันว่า
เป็ นคนเขลา ดังนี ฯ
[637] เมือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล้ว อสุรน ิ ทกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผูเ้ จริญ
ภาษิ ตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯ ข้า พระองค์นีขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุ สงฆ์วา่ เป็ นสรณะ ขอข้าพระองค์ พึงได้
บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักของพระโคดมผู้เจริญ ฯ
อสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชา ได้อุป สมบทแล้วในสํานักของพระผู้มีพระภาค ก็ท่า นอสุรินทกภารทวาชะอุปสมบท
แล้วไม่นานแล หลีกไปอยูผ ่ ู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทําให้แจ้งซึ งคุณวิเศษอันยอดเยียมเป็ น
ทีสุดแห่งพรหมจรรย์ฯ ก็แหละท่านพระอสุรน ิ ทกภารทวาชะได้เป็ นพระอรหันต์รูปหนึ ง ในบรรดาพระอรหันต์ทงหลาย ั ดังนีแล ฯ
..............................................

[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] พิลงั คิกสูตร สํ.ส.15/638/199


[638] สมัยหนึ ง พระผู้มีพระภาคประทับอยูใ่ นพระวิหารเวฬุวน ั ฯ พิลงั คิกภารทวาชพราหมณ์ ได้สดับมาว่า ได้ยน ิ ว่า พราหมณ์
ภารทวาชโคตรออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตในสํานักของพระสมณโคดม ดังนี โกรธ ขัด ใจ เข้า ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีประทับ
ครันแล้วได้ยืนนิงอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ฯ
[639] ลําดับนันแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวต ิ ก แห่งใจของพิลงั คิกภาร
ทวาชพราหมณ์ ด้วยพระหฤทัยแล้ว ได้ตรัสกะพิลงั คิกภารทวาชพราหมณ์ ด้วยพระคาถาว่า
ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้าย เป็ นบุรุษผู้หมดจด ไม่มีกเิ ลสเป็ นเครืองยัวยวน บาปย่อมกลับสนองผู้นนผู
ั ้เป็ นพาลนันเอง
เปรียบเหมือนธุลีอน ั ละเอียด ทีบุคคลซัดไปสูท ่ ีทวนลม ฉะนัน ฯ
[640] เมือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล้ว พิลงั คิกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิ ต ของพระองค์แจ่มแจ้งนักฯ ข้า พระองค์นีขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุ สงฆ์ว่าเป็ นสรณะ ขอข้า พระองค์พงึ ได้
บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักของพระโคดมผู้เจริญ ฯ
พิลงั คิกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้วในสํานักของพระผู้มีพระภาค ก็ทา่ นพิลงั คิกภารทวาชอุปสมบทแล้วไม่
นานแล หลีกไปอยูผ ่ ู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทําให้แจ้งซึ งคุณวิเศษอันยอดเยียม เป็ นทีสุดแห่ง
พรหมจรรย์ฯ ก็แหละท่านภารทวาชะได้เป็ นพระอรหันต์รูปหนึ ง ในบรรดาพระอรหันต์ทงหลาย ั ดังนีแล ฯ
..............................................

[พระไตรปิ ฎก ฉบับ คัดย่อ] อหิงสกสูตร สํ.ส.15/641/200


[641] สาวัตถีนิทาน ฯ ครังนันแล อหิงสกภารทวาชพราหมณ์ เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคยังทีประทับ ครันแล้ว สนทนาปราศรัย
กับ พระผู้มีพระภาคแล้ว ครันผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนังอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง.. แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระ
ภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชือว่าอหิงสกะ (แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียน) ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชือว่าอหิงสกะ ฯ
[642] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าว่าท่านมีชือว่าอหิงสกะ ท่านพึงเป็ นผู้ไม่เบียดเบียนด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ผู้นนย่
ั อม
เป็ นผู้ชือว่า อหิงสกะ โดยแท้เพราะไม่เบียดเบียนซึ งผู้อืน ฯ
[643] เมือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล้ว อหิงสกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิ ตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯ ก็แหละพระอหิงสกภารทวาชะ ได้เป็ นพระอรหันต์รูปหนึ ง ในบรรดาพระอรหันต์ทงหลายดั ั งนีแล ฯ
............................................

๒๐๕
สุราปานวรรคที 6 (วิ.ม.2/575/506)
บทที 1. เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะดืมสุราเมรัยฯ
ความหมายสุราเมรัย
สุรา ได้แก่ สุราทีทําด้วยแป้ ง ขนม หรือข้าวสุก, สุราทีหมักด้วยส่าเหล้า, สุราทีผสมด้วยเครืองปรุง
เมรัย ได้แก่ นําดองดอกไม้ ผลไม้ นําผึง หรือนําอ้อยงบ, นําดองทีผสมด้วยเครืองปรุง
หน้า ๒๔๙

[575] พ.เสด็จจาริกในเจติยชนบทได้ดาํ เนินทรงไปทางตําบลบ้านรัวงาม คนเลียงโค คนเลียงปศุส ัตว์ คนชาวนา คนเดินทาง ได้แล


เห็น พ.กําลังทรงดําเนินมาแต่ไกลเทียว. ครันแล้วได้กราบทูล พ.ว่า ขอพระองค์อย่าได้เสด็จไปยังท่ามะม่วงเลย พระพุทธเจ้าข้า,
เพราะทีท่ามะม่วงมีนาคอาศัยอยูใ่ นอาศรมชฏิล เป็ นสัตว์มีฤทธิเป็ นอสรพิษร้าย มันจะได้ไม่ทาํ ร้ายพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า.
เมือเขากราบทูลเรืองนันแล้ว พระองค์ได้ทรงดุษณี, แม้ครังทีสองแล ... แม้ครังทีสามแล ...
ครัน พ.เสด็จจาริกโดยลําดับ ถึงตําบลบ้านรัวงามแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ ตําบลบ้านรัวงามนัน.
ครังนันแล ท่านพระสาคตะเดินผ่านไปทางท่ามะม่วง อาศรมชฎิล. ครันถึงแล้วได้เข้าไปยังโรงบูชาไฟ ปูหญ้าเครืองลาด นังคู้
บัลลังก์ ตังกายตรง ดํารงสติไว้เฉพาะหน้า. นาคนัน พอแลเห็นท่านพระสาคตะเดินผ่านเข้ามา ได้เป็ นสัตว์ดุรา้ ยขุ่นเครือง, จึง
บังหวนควันขึ นในทันใด. แม้ทา่ นพระสาคตะก็บงั หวนควันขึ น. มันทนความลบหลูไ่ ม่ได้ จึงพ่นไฟสูใ้ นทันที. แม้ทา่ นพระสาคตะก็เข้า
เตโชธาตุกสิณสมาบัติ บันดาลไฟต้านทานไว้. ครันท่านครอบงําไฟของนาคนันด้วยเตโชสิณแล้ว เดินผ่านไปทางตําบลบ้านรัวงาม.
ส่วน พ.ประทับอยู่ ณ ตําบลบ้านรัวงาม ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกไปสูจ่ าริกทางพระนครโกสัมพี. พวกอุบาสกชาวพระ
นครโกสัมพีได้ทราบข่าวว่า พระคุณเจ้าสาคตะได้ต่อสูก ้ ับนาคผู้อยู่ ณ ตําบลท่ามะม่วง. พอดี พ.เสด็จจาริกโดยลําดับถึงพระนครโกสัม
พี. จึงพวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีพากันรับเสด็จ พ.แล้ว เข้าไปหาท่านพระสาคตะ กราบไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง,
แล้วถามท่านว่า ท่านขอรับ อะไรเป็ นของหายากและเป็ นของชอบของพระคุณเจ้า พวกกระผมจะจัดของอะไรถวายดี?
เมือเขาถามอย่างนันแล้ว, พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าวตอบคํานีกะพวกอุบาสกว่า มี ท่านทังหลาย สุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ เป็ นของ
หายาก ทังเป็ นของชอบของพวกพระ ท่านทังหลาย จงแต่งสุรานันถวายเถิด.
ครังนัน พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพี ได้จดั เตรียมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบไว้ทุกๆ ครัวเรือน, พอเห็นท่านพระสาคตะ
เดินมาบิณฑบาต จึงต่างพากันกล่าวเชือเชิญว่า นิมนต์พระคุณเจ้าสาคตะดืมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบเจ้าข้า, นิมนต์พระคุณเจ้าสาค
ตะดืมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ เจ้าข้า.
ครังนัน ท่านพระสาคตะได้ดืมสุราใสสีแดงดังเท้าดังนกพิราบทุกๆ ครัวเรือนแล้ว เมือจะเดินออกจากเมือง, ได้ลม ้ กลิงอยูท่ ีประตู
เมือง. พอดี พ.เสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุ เป็ นอันมาก, ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระสาคตะล้มกลิงอยูท ่ ประตู
ี เมือง, จึงรับสัง
กะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงช่วยกันหามสาคตะไป.
ภิกษุ เหล่านันรับสนองพระพุทธดํารัสแล้ว หามท่านพระสาคตะไปสูอ ่ ารามให้นอนหันศีรษะไปทางพระผูม
้ ีพระภาค. แต่ทา่ นพระ
สาคตะได้พลิกกลับนอนผันแปรเท้าทังสองไปทางพระผูม ้ ีพระภาค.
ลําดับนัน พ.รับสังถามภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สาคตะมีความเคารพ มีความยําเกรงในตถาคตมิใช่หรือ?
ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลว่า เป็ นดังรับสัง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เออก็บดั นี สาคตะมีความเคารพ มีความยําเกรงในตถาคตอยูห ่ รือ?
ภิ. ข้อนันไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั สาคตะได้ตอ ่ สูก
้ ับนาคอยูท ่ ตํ
ี าบลท่ามะม่วงมิใช่หรือ?
ภิ. ใช่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เดียวนีสาคตะสามารถจะต่อสูแ ้ ม้ก ับงูนําได้หรือ?
ภิ. ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั นําทีดืมเข้าไปแล้วถึงวิสญ ั ญีภาพนันควรดืมหรือไม่?
ภิ. ไม่ควรดืม พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั การกระทําของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กจิ ของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทํา, ไฉน สาคตะจึงได้
ดืมนําทีทําผูด้ ืมให้เมาเล่า? การกระทําของสาคตะนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิง
ของชุมชนที เลือมใสแล้ว ... (หลังออกพรรษาที 9 แล้ว)
อนาบัติ. ภิกษุ ดืมนํ าเมาทีเจือลงในแกง-เนื อ-นํ ามัน-นํ าอ้อยทีดองมะขามป้ อม
สิกขาบทนี เป็ นอจิตตกะ (คือแม้ไม่มีเจตนา สําคัญว่ามิใช่นาเมาํ ดืมเข้าไป ก็คงเป็ นอาบัติ) เทียบ สุราเมรัย หน้า 249
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 223
1. เป็ นนํ าเมา 2. ดืมกิน พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

บทที 2. เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะจีด้วยนิ วมือฯ


[579] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ได้ทาํ ภิกษุ รูปหนึงในจําพวกภิกษุ ส ัตตรสวัคคีย์ให้หวั เราะ เพราะจีด้วยนิว
มือ. ภิกษุ รูปนันเหนือย หายใจไม่ทน
ั ได้ถงึ มรณภาพลง. บรรดาภิกษุ กราบทูลเรืองนันแด่ผมู้ ีพระภาค ...

[582] ภิกษุ เอากายถูกต้องของเนื องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.


องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 224
1. อธิบายจะเล่นสนุ ก 2. ต้องกายอุปสัมบันด้วยกายตน พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

๒๐๖
บทที 3. เป็ นปาจิตตีย ์ ในเพราะธรรมคือหัวเราะในนําฯ
ธรรมคือหัวเราะในนํา หมายถึง ในนําลึกพ้นข้อเท้าขึนไป ภิกษุ มีความประสงค์จะรืนเริง ดําลงก็ดี ผุ ดขึนก็ดี ว่ายไปก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย ์
[586] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระสัต ตรสวัค คีย์กํา ลังเล่นนํากันอยู่ใ นแม่นําอจิรวดี ขณะนัน พระเจ้า ปเสนทิโ กศล
ประทับอยู่ ณ พระปราสาทชันบน พร้อมด้วยพระนางมัลลิกาเทวี ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสัตตรสวัคคีย์กาํ ลังเล่นนําอยูใ่ นแม่นําอจิรว
ดี ครันแล้วก็ได้รบั สังกะพระนางมัลลิกาเทวีวา่ นีแน่ ะแม่มลั ลิกา นันพระอรหันต์กาํ ลังเล่นนํา
พระนางกราบทูลว่า ขอเดชะ ชะรอยพระผู้มีพระภาคจะยังมิได้ทรงบัญญัตส ิ ก
ิ ขาบท หรือภิกษุ เหล่านันจะยังไม่สน
ั ทัดในพระ
วินยั เป็ นแน่ พระพุทธเจ้าข้า
ขณะนัน ท้าวเธอทรงรําพึงว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ เราจะไม่ต้องกราบทูลพระผู้มีพระภาค และพระผูม ้ ีพระภาคจะพึงทรงทราบ
ได้วา่ ภิกษุ เหล่านีเล่นนํา ครันแล้วท้าวเธอรับสังให้นม
ิ นต์พระสัตตรสวัคคียม
์ า แล้วพระราชทานนําอ้อยงบใหญ่แก่ภิกษุ เหล่านัน รับสัง
ว่า ขอพระคุณเจ้าโปรดถวายนําอ้อยงบนีแด่พระผู้มีพระภาค
พระสัตตรสวัคคีย์ได้นํานําอ้อยงบนันไปเข้าเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคแล้วกราบทูลว่า พระเจ้าแผ่นดินถวายนําอ้อยงบนีแด่พระองค์
พระพุทธเจ้าข้า
พระผูม้ ีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็พระเจ้าแผ่นดินพบพวกเธอทีไหนเล่า?
พระสัตตรสวัคคีย์กราบทูลว่า พบพวกข้าพระพุทธเจ้ากําลังเล่นนําอยูใ่ นแม่นําอจิรวดี พระพุทธเจ้าข้า
[ภิกษุ เล่นนํ าตืนใต้ขอ้ เท้า ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ภิกษุ เล่นเรือ ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ภิกษุ เอามือวักนํ าก็ดี เอาเท้าแกว่งนํ าก็ดี เอาไม้ขีดนํ าก็ดี เอากระเบืองปานํ าเล่นก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ]
[นํ า(ชนิ ดใดก็ตาม) ฯลฯ ซึงขังอยู่ในภาชนะ ภิกษุ เล่น ต้องอาบัติทุกกฏ]
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 224
1. นํ าลึกท่วมข้อเท้า 2. ลงเล่นประสงค์จะสนุ ก พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์

ตัวอย่าง สมชาย สุรชาตรี โฆษกสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

บทที 4. เป็ นปาจิตตีย์ ในเพราะความไม่เอือเฟื อฯ


ความไม่เอื อเฟื อ ได้แก่ ความไม่เอือเฟื อ 2 อย่างคือ ความไม่เอือเฟื อในบุคคล1 ความไม่เอือเฟื อในธรรม1
ความไม่เอื อเฟื อในบุคคล ได้แก่ ภิกษุ ผอู ้ นั อุปสัมบันว่ากล่าวอยูด่ ว้ ยพระบัญญัติ แสดงความไม่เอื อเฟื อ โดยอ้างว่า ท่านผูน้ ี ถูกยกวัตร ถูกดูหมิน
หรือถูกติเตืยน เราจักไม่ทาํ ตามถ้อยคําของท่านผูน้ ี ดังนี
ความไม่เอื อเฟื อในธรรม ได้แก่ ภิกษุ ผอู ้ นั อุปสัมบันว่ากล่าวอยูด่ ว้ ยพระบัญญัติ แสดงความไม่เอื อเฟื อ โดยอ้างว่า ไฉนธรรมข้อนี จะพึงเสือม สูญ
หาย หรืออันตรธานเสีย ดังนี ก็ดี ไม่ประสงค์จะศึกษาพระบัญญัตินัน จึงแสดงความไม่เอือเฟื อก็ดี
[592] พ.ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี ครังนัน ท่านพระฉันนะประพฤติอนาจาร ภิกษุ ทงหลายได้ ั วา่ กล่าวอย่างนี
ว่า อาวุโสฉันนะ ท่านอย่าได้ทาํ เช่นนัน การกระทําเช่นนันไม่ควร ท่านพระฉันนะไม่เอือเฟื อยังขืนทําอยูอ
่ ย่างเดิม บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผู้
มักน้อย ... ต่างก็พากันเพ่งโทษ ติเตียน (หลังออกพรรษาที 9 แล้ว)

[595] ภิกษุ ถูกอุปสัมบันว่ากล่าวอยู่ ด้วยข้อธรรมอันมิใช่พระบัญญัติ แสดงความไม่เอื อเฟื อโดยอ้างว่า ข้อนีไม่เป็ นไปเพือความขัดเกลา ไม่เป็ นไป
เพือความจํากัด ไม่เป็ นไปเพือความเป็ นผูท้ ีน่ าเลือมใส ไม่เป็ นไปเพือความไม่สะสม ไม่เป็ นไปเพือปรารภความเพียร ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุ ถูกอนุ ปสัมบันว่ากล่าวอยูด่ ว้ ยพระบัญญัติก็ดี ด้วยข้อธรรมอันมิใช่พระบัญญัติก็ดี แสดงความไม่เอือเฟื อโดยอ้างว่า ข้อนี ไม่เป็ นไปเพือความขัด
เกลา ไม่เป็ นไปเพือความกําจัด ไม่เป็ นไปเพือความเป็ นผูท้ ีน่ าเลือมใส ไม่เป็ นไปเพือความไม่สะสม ไม่เป็ นไปเพือปรารภความเพียร ต้องอาบัติทุกกฏ.
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 225
1. อุปสัมบันตักเตือนว่ากล่าวด้วยบัญญัติ พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
2. ทําความไม่เอือเฟื อ

บทที 5อนึ ง ภิกษุ ใดหลอนซึงภิกษุ เป็ นปาจิตตียฯ์


หลอน ความว่า อุปสัมบันมุง่ จะหลอนอุปสัมบัน แสดงรูปก็ดี เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะก็ดี เธอผูถ้ ูกหลอนนันจะตกใจก็ตาม ไม่ตกใจก็ตาม
[598] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์หลอนพระสัตตรสวัคคีย์ พวกเธอถูกหลอนจึงร้องไห้. ภิกษุ ทงหลายถาม

พระสัตตรสวัคคีย์วา่ อาวุโสทังหลาย พวกท่านร้องไห้ทาํ ไม?
พระสัตตรสวัคคียต ์ อบว่า พระฉัพพัคคีย์พวกนีหลอนพวกผม ขอรับ.

[601] อุปสัมบันมุง่ จะหลอนอนุปสัมบัน แสดงรูปก็ดี เสียงก็ดี กลินก็ดี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดี เขาจะตกใจก็ตาม ไม่ตกใจก็ตาม ต้อง
อาบัติทุกกฏ.

๒๐๗
บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใด มิใช่ผอู ้ าพาธ มุง่ การผิง ติดก็ดี ให้ติดก็ดี ซึงไฟ เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนันเป็ นรูป เป็ นปาจิตตียฯ์
[604] พ.ประทับอยู่ ณ เภสกลามฤคทายวัน เขตเมืองสุงสุมารคิระ ในภัคคชนบท สมัยนัน ถึงเดือนฤดูหนาว ภิกษุ ทงหลายได้ ั กอ

ไฟทีขอนไม้ มีโพรงใหญ่ทอ ่ นหนึ งแล้วผิง ก็งูเห่าในโพรงไม้ทอ่ นใหญ่นนถู
ั กไฟร้อนเข้า ได้เลือยออกไล่พวกภิกษุ ๆ ได้วงหนี
ิ ไปในที
้ กั น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา (หลังออกพรรษาที 8)
นันๆ บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม
[605] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายอาพาธ
ั บรรดาภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ ได้ถาม พวกภิกษุ อาพาธว่า อาวุโสทังหลาย พออดทนได้
หรือ? พอยังอัตภาพให้เป็ นไปได้หรือ?
ภิกษุ อาพาธตอบว่า อาวุโสทังหลาย เมือก่อนพวกผมก่อไฟผิงได้ เพราะเหตุนนความผาสุ
ั กจึงมีแก่พวกผม แต่บดั นี พวกผม
รังเกียจอยูว่ า่ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว จึงผิงไฟไม่ได้ เพราะเหตุนนั ความผาสุกจึงไม่มีแก่พวกผม.
[606] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นรังเกียจการตามประทีปบ้าง การก่อไฟบ้าง การติดไฟในเรือนไฟบ้าง จึงได้กราบทูล
เรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค
อนาบัติ. ภิกษุ ผิงไฟทีผู้อืนติดไว้ 1 ภิกษุ ผิงถ่านไฟทีปราศจากเปลว 1
ภิกษุ ตามประทีปก็ดี ก่อไฟใช้อย่างอืนก็ดี ติดไฟในเรือนไฟก็ดี เพราะมีเหตุเห็นปานนัน 1

บทที 7 อนึ ง ภิกษุ ใด ยังหย่อนกึงเดือน อาบนํา เว้นไว้แต่สมัย เป็ นปาจิตตีย์ นีสมัยในเรืองนัน เดือนกึงท้ายฤดูรอ้ น เดือนต้นแห่ง
ฤดูฝน สองเดือนกึงนี เป็ นคราวร้อน เป็ นคราวกระวนกระวาย คราวเจ็บไข้ คราวทําการงาน คราวไปทางไกล คราวฝนมากับพายุ นี
สมัยในเรืองนันฯ
[610] พ.ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวน ั วิหาร. ครังนันภิกษุ พากันสรงนําอยูใ่ นแม่นําตโปทา ขณะนันแล พระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปสู่
แม่นาตโปทา
ํ ด้วยพระราชประสงค์จะทรงสนานพระเศียรเกล้า แล้วประทับพักรออยูใ่ นทีควรแห่งหนึ ง ด้วยตังพระทัยว่า จักทรงสนาน
ต่อเมือพระคุณเจ้าสรงนําเสร็จ ภิกษุ ทงหลายได้
ั สรงนําอยูจ่ นถึงเวลาพลบ ดังนัน ท้าวเธอจึงสรงสนานพระเศียรเกล้าในเวลาพลบคํา เมือ
ประตูพระนครปิ ด จําต้องประทับแรมอยูน ่ อกพระนคร แล้วเสด็จเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคแต่เช้า ทังๆ ทีเครืองประทินทรงยังคงปรากฏ
อยู่ ถวายบังคมพระผูม ้ ีพระภาค แล้วประทับเหนือพระราชอาสน์อน ั สมควรส่วนข้างหนึ ง.
พระผูม ้ ีพระภาคตรัสถามท้าวเธอผู้นงประทับเรี
ั ยบร้อยแล้วว่า ดูกรมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาแต่เช้า ทังเครืองวิเลปนะทีทรง
ยังคงปรากฏอยู่ เพือพระราชประสงค์อะไร?
จึงท้าวเธอกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงชีแจ้งให้ทา้ วเธอทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถา. ครันท้าวเธออันพระผูม ้ ีพระภาคทรงชีแจ้ง ให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากทีประทับ
ทรงอภิวาทพระผูม ้ ีพระภาค ทําประทักษิณแล้วเสด็จกลับ. (หลังออกพรรษาที 16)
[611] ครันถึงคราวร้อน คราวกระวนกระวาย ภิกษุ ทงหลายพากันรัั งเกียจไม่อาบนํา ย่อมนอนทังๆ ทีร่างกายชุ่มด้วยเหงือ เหงือนัน
ย่อมประทุษร้ายทังจีวรทังเสนาสนะ ภิกษุ ทงหลายได้ ั กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย ในคราวร้อน ในคราวกระวนกระวาย เราอนุญาต ยังหย่อนกึงเดือนก็อาบนําได้.
[612] สมัยต่อมา ภิกษุ ทงหลายอาพาธ
ั บรรดาภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ได้ถามพวกภิกษุ ผู้อาพาธว่า อาวุโสทังหลาย พออดทนได้หรือ?
พอยังอัตภาพให้เป็ นไปได้หรือ?
ภิกษุ ผู้อาพาธตอบว่า อาวุโสทังหลาย เมือก่อน พวกผมอาบนําในกาลยังหย่อนกึงเดือนได้ เพราะเหตุนน ั พวกผมจึงมีความผาสุก
แต่บดั นีพวกผมรังเกียจอยูว่ า่ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว จึงไม่ได้อาบนํา เพราะเหตุนน ั พวกผมจึงไม่มีความผาสุก.

บทที 8. ภิกษุได้จวี รใหม่ตอ้ งพินทุ(ทําจุดกลม) ก่อน จึงจะนุ่งห่มได้ 1


หมายเหตุ. ต้องอธิษฐานไตรครอง และบาตร ก่อนนําไปใช้
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด ได้จีวรมาใหม่ พึงถือเอาวัตถุทาํ ให้เสียสี 3 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ ง คือ สีเขียวครามก็ได้ สีตมก็ได้ สี
ดําคลําก็ได้. ถ้าภิกษุ ไม่ถือเอาวัตถุสาํ หรับทําให้เสียสี 3 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ ง ใช้จีวรใหม่ เป็ นปาจิตตีย ์
[619] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนัน พวกภิกษุ ก ับพวกปริพาชกต่างพากันเดินทางจากเมืองสาเกตไปยังพระนครสาวัตถี.
ในระหว่างทางพวกโจรได้พากันออกมาแย่งชิงพวกภิกษุ กบั พวกปริพาชกเหล่านัน พวกเจ้าหน้าทีได้ออกจากพระนครสาวัตถี ไปจับ
โจรเหล่านันได้พร้อมทังของกลาง แล้วส่งทูตไปในสํานักภิกษุ ทงหลายว่
ั า นิมนต์พระคุณเจ้าทังหลายมา จําจีวรของตนๆ ได้แล้วจงรับ
เอาไป. ภิกษุ ทงหลายจํ
ั าจีวรไม่ได้ ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน …

ความมุ่งหมายในนิ ทานต้นบัญญัติ ก็เพือจะได้จาํ ได้ว่าของตน


ส่วนในตัวสิกขาบท เพ่งความให้เสียสีอนุ โลมตามลูขปฏิบตั ิ คือ ประพฤติปอน ใช้ของเศร้าหมอง
พินทุ แปลว่า หยาดนํา จุดเล็กๆ, กปฺป=จุดดํา จุดเครืองหมายบนผ้า, พินทุ กปั ปะ แปลว่า (ทําให้เสียสี) โดยทําจุดกลมหรือดวงกลม
ทุพฺพณฺ ณ กรณานํ=ทําให้เสียสี นี ล=ํ สีเขียว กทฺทมํ=สีตม กาฬสามํ=ดําคลํา

๒๐๘
111
@@@
กขคง
ต่อหัวข้ อที ๑.๑ หน้ า ๑๓๘
ลักษณะตานกยูง โดยนัยแห่งอรรถกถา จีวรวรรคที ๑ บทที ๑-๒
อนาบัติ. ภิกษุ นุ่งห่มผ้าปะ ผ้าทาบ หรือ ผ้าดาม ทรง ๑๐ วันทําวิกปั และรับอรุณ

องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 228


1. ผ้าดังว่าไม่ได้ทาํ กัปปพินทุ 3. นุ่ งหรือห่มผ้านั น
2. ไม่ใช่ผมู ้ ีจึวรหายเป็ นต้น พร้อมด้วยองค์ 3 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
………………………………………………………………………………………………

บทที 9อนึ ง ภิกษุ ใดวิกปั จีวรเอง แก่ภิกษุ ก็ดี ภิกษุ ณีก็ดี สิกขมานาก็ดี สามเณรก็ดี สามเณรีก็ดี แล้วใช้สอยจีวรนั น ซึงไม่ให้
เขาถอนก่อน เป็ นปาจิตตียฯ์
[623] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนัน ท่านพระอุปนันทศากยบุตร วิกปั จีวรเองแก่ภิกษุ สทั ธิวห ิ าริกของภิกษุ ผู้เป็ นพีน้องกัน
แล้วใช้สอยจีวรนัน ซึ งยังมิได้ถอน ครันแล้วภิกษุ นน
ั เล่าเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลายว่
ั า อาวุโสทังหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนี วิกปั
จีวรเองแก่ผมแล้วใช้สอยจีวรนันซึ งยังมิได้ถอน บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม
้ กั น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน

วิกปั คือ การทําให้เป็ นของสองเจ้าของ มี 2 อย่าง คือ


1.วิกปั ต่อหน้า คือกล่าวคําว่า ข้าพเจ้าวิกปั จีวรผืนนี แก่ท่าน หรือว่าข้าพเจ้าวิกปั จีวรผืนนี แก่สหธรรมิกผูม้ ีชือนี
2.วิกปั ลับหลัง คือกล่าวคําว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี แก่ท่านเพือช่วยวิกปั ภิกษุ ผูร้ บั วิกปั นันพึงถามว่า ใครเป็ นมิตรหรือเป็ นผูเ้ คยเห็นของท่าน
พึงตอบว่า ท่านผูม้ ีชือนี และท่านผูม้ ีชือนี , ภิกษุ ผูร้ บั วิกปั นันพึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าให้แก่ภิกษุ มีชือนันและภิกษุ ณีมีชือนัน จีวรผืนนี เป็ นของ
ภิกษุ เหล่านี ท่านจงใช้สอยก็ตาม จงสละก็ตาม จงทําตามปั จจัยก็ตาม

บทที 10. อนึ ง ภิกษุ ใด ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ งบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนังก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี ของภิกษุ โดยทีสุด
แม้หมายจะหัวเราะ เป็ นปาจิตตียฯ์
[627] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระสัตตรสวัคคีย์เป็ นผู้ไม่เก็บงําบริขาร พระฉัพพัคคีย์จงึ ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของ
พระสัต ตรสวัคคีย์ๆ จึงกล่า วขอร้องพระฉัพพัคคีย์วา่ อาวุโ สทังหลาย ขอท่า นจงคืนบาตรให้แก่พวกผมดังนี บ้าง ว่า ขอท่า นจงคืนจีวร
ให้แก่พวกผมดังนีบ้าง. พระฉัพพัค คีย์พากันหัวเราะ พระสัต ตรสวัคคีย์รอ ้ งไห้ ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นถามว่า อาวุโ สทังหลาย พวกท่าน
ร้องไห้ทาํ ไม? พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทังหลาย พวกพระฉัพพัคคีย์เหล่านีพากันซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของพวกผม.
ภิกษุ ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ งบริขารอย่างอืน โดยทีสุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติ ทุกกฏ.

อนาบัติ. 1. ภิกษุ เก็บไว้ดว้ ยหวังสังสอนแล้วจึงจะคืนให้


องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 229
1. ซ่อนบาตรเป็ นต้น ของอุปสัมบัน พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี จึงเป็ นปาจิตตีย์
2. ใคร่จะให้เจ้าของลําบากหรือหัวเราะเล่น

……………………………………………………..……………………………….

๒๐๙
สัปปาณวรรคที 7
บทที 1. ภิกษุจงใจปลงชีวิตสัตว์ ต้องอาบัติปาจิตตีย2์
พระบัญญัติ. อนึ ง ภิกษุ ใด แกล้งพรากสัตว์จากชีวติ เป็ นปาจิตตีย ์ 1
1
แกล้ง คือ รูอ้ ยู่ รูด้ ีอยู่ ตังใจ พยายาม ละเมิด
1
พราก..จากชีวิต หมายถึง ตัดทอน บันทอน ซึงอินทรียม์ ีชีวิต ทําความสืบต่อให้กาํ เริบ
2
ปลงชีวิต ได้แก่ ตัดทําลายชีวิตินทรีย,์ ตัดความสืบต่อ, ทําความสืบต่อให้กาํ เริบ
สัตว์ ในสิกขาบทนี หมายถึง สัตว์ดิรจั ฉาน (สัตว์มีปาณะ(ปราณ)),
ในสัตว์เล็ก ใหญ่ เป็ นอาบัติเท่ากัน แต่ในสัตว์ใหญ่เป็ นอกุศลมาก เพราะมีความพยายามมาก
[631] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่า นพระอุทายีเป็ นผู้ชํานาญในการยิงธนู นกกาทังหลายไม่เป็ นทีชอบใจของ
ท่านๆ ได้ยงิ มัน แล้วตัดศีรษะเสียบหลาวเรียงไว้เป็ นลําดับ ภิกษุ ทงหลายถามอย่
ั างนีว่า อาวุโส ใครฆ่านกกาเหล่านี? พระอุทายีตอบ
ว่า ผมเองขอรับ เพราะผมไม่ชอบนกกา.

บทภาชนี ย์ (องค์ประกอบของการแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต คือ)


1. สัตว์มีชีวิต 2. ภิกษุ สําคัญว่าสัตว์มีชีวิต 3. พรากจากชีวิต
อาจแยกองค์ประกอบเป็ น 5 ประการ คือ
1. สัตว์มีชีวิต 2. สําคัญว่าเป็ นสัตว์มีชีวิต 3. จงใจจะปลงชีวิตสัตว์ 4. ปลงชีวิต 5. สัตว์ตาย
๓.

๔.

อนาบัติ. ไม่จงใจจะปลงชีวิต
บทที 2. อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ บริโภคนํ ามี ตวั สัตว์ เป็ นปาจิตตีย ์
บริโภค หมายถึง ดืม ใช้ลา้ งบาตร เอาบาตรข้าวต้มร้อนแช่ให้เย็น อาบ หรือแม้ลงไปลุยนําในตระพัง ในสระโบกขรณี ทําให้เกิดคลืนเพือให้ทะลักออก
สิกขาบทวิภงั ค์
บทว่า มีตวั สัตว์ ความว่า ภิกษุ รอู ้ ยู่ คือ รูว้ า่ สัตว์ทงหลายจั
ั กตายเพราะการบริโภค ดังนี บริโภค, ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
[635] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์รอ
ู ้ ยู่ บริโภคนํามีตวั สัตว์...

บทที 3 อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ ฟื นอธิกรณ์ทีทาํ เสร็จแล้วตามธรรม เพือทําอีก เป็ นปาจิตตียฯ์
[639] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัค คีย์รูอ ้ ยู่ฟืนอธิกรณ์ ทีทํา เสร็จแล้วตามธรรมเพือทําอีก ด้วย
กล่าวหาว่า กรรมไม่เป็ นอันทําแล้ว กรรมทีทําแล้วไม่ดี กรรมต้องทําใหม่ กรรมไม่เป็ นอันทําเสร็จแล้ว กรรมทีทําเสร็จแล้วไม่ดี ต้อง
ทําให้เสร็จใหม่

สิกขาบทวิภงั ค์ ทีชือว่า ตามธรรม คือ ทีสงฆ์ก็ดี บุคคลก็ดี ทําแล้วตามธรรม ตามสัตถุศาสน์ นี ชือว่า ตามธรรม.
บทภาชนี ย ์ [642] กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมเป็ นธรรม ฟื น ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ มีความสงสัย ฟื น ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ฟื น ไม่ตอ้ งอาบัติ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมเป็ นธรรม ฟื น ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ มีความสงสัย ฟื น ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ฟื น ไม่ตอ้ งอาบัติ.
บทที 4. อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ ปิ ดอาบัติชัวหยาบของภิกษุ เป็ นปาจิตตีย ์
สิกขาบทวิภงั ค์ อาบัติชวหยาบ
ั ได้แก่ อาบัติปาราชิก 4 และอาบัติสงั ฆาทิเสส 13
บทว่า ปิ ด ความว่า เมือภิกษุ คิดเห็นว่า คนทังหลายรูอ้ าบัตินีแล้วจักโจท จักบังคับให้ ให้การ จักด่าว่า จักติเตียน จักทําให้เก้อ, เราจักไม่บอกละ ดังนี
พอทอดธุระเสร็จ, ต้องอาบัติปาจิตตีย.์ (ปิ ด หมายถึง ไม่บอก ทอดธุระ)
บทภาชนีย ์ ภิกษุ ปิดอาบัติไม่ชวหยาบ
ั ต้องอาบัติทุกกฏ.
[644] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่า นพระอุป นันทศากยบุตรต้องอาบัติชือ สัญเจตนิกาสุกกวิสฏ ั ฐิแล้ว บอกแก่ภิกษุ
สัทธิวห
ิ าริกของภิกษุ ผู้พีน้องกันว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติ ชือสัญเจตนิกาสุกกวิสฏั ฐิแล้ว คุณอย่าได้บอกแก่ใครๆ เลย. ครันต่อมาภิกษุ
รูปหนึ งต้องอาบัติชือสัญเจตนิกาสุกกวิสฏั ฐิแล้ว ขอปริวาสเพืออาบัตินนต่ ั อสงฆ์. สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพืออาบัตินนแก่
ั เธอแล้ว. เธอกําลัง
อยูป
่ ริวาสอยู่ พบภิกษุ รูปนันแล้วได้บอกภิกษุ รูปนันว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชือสัญเจตนิกาสุกกวิสฏั ฐิแล้ว ได้ขอปริวาสเพืออาบัตินน ั
ต่อสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพืออาบัตินนแก่ ั ผมแล้ว ผมนันกําลังอยูป่ ริวาส ผมขอบอกให้ทราบ ขอท่านจงจําผมว่าบอกให้ทราบ ดังนี.
ภิกษุ นนถามว่
ั า อาวุโส แม้ภิกษุ รูปอืนใด ต้องอาบัตินี แม้ภิกษุ นนก็
ั ทาํ อย่างนีหรือ?
ภิกษุ ผู้อยูป
่ ริวาสตอบว่า ทําอย่างนี อาวุโส.

๒๑๐
ภิกษุ นนพู ั ดว่า อาวุโ ส ท่า นพระอุปนันทศากยบุตรนีต้องอาบัติชือสัญเจตนิกาสุกกวิสฏ ั ฐิแล้ว ท่า นได้บอกแก่ผมว่า อาวุโ ส ผม
ต้องอาบัติชือสัญเจตนิกาสุกกวิสฏั ฐิแล้ว คุณอย่าได้บอกแก่ใครเลย.
ภิกษุ ผู้อยูป ่ ริวาสถามว่า อาวุโส ก็ทา่ นปกปิ ดอาบัตินนหรื
ั อ?
ภิกษุ นนตอบว่
ั า เป็ นเช่นนัน ขอรับ.
ครันแล้วภิกษุ ผู้อยูป ่ ริวาสนันได้แจ้งเรืองแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผู้มกั น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน ภิกษุ รอู ้ ยู่ จึงได้ปกปิ ดอาบัติชวหยาบของภิ
ั กษุ เล่า? แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค ...

อนาบัติ. 1. ภิกษุ เห็นว่าความบาดหมางก็ดี ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง การวิวาทก็ดี จักมีแก่สงฆ์ แล้วไม่บอก


2. ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าสงฆ์จกั แตกแยกกัน
3. ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าภิกษุ รูปนี เป็ นผูโ้ หดร้ายหยาบคายจักทําอันตรายชีวิต หรือทําอันตรายพรหมจรรย์
4. ไม่พบภิกษุ อืนทีสมควร จึงไม่บอก
5. ไม่ตงใจจะปิ
ั ด แต่ยงั ไม่บอก
6. ไม่บอกด้วยเห็นว่าจักปรากฏเอง ด้วยการกระทําของตน

บทที 5. อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ ยังบุคคลมีปีหย่อน 20 ให้อปุ สมบท บุคคลนั นไม่เป็ นอุปสัมบันด้วย ภิกษุ ทงหลายนั
ั น ถูกติเตียน
ด้วย นี เป็ นปาจิตตียใ์ นเรืองนั นฯ (สจิตกกะ)
อายุครบ 20 ปี กําหนดนับเอาตังแต่วนั ทีถือปฏิสนธิ จิตดวงแรกเกิดในครรภ์มารดา วิ.อ.4 หน้า 703
[648] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเวฬุวน ั วิหาร ครังนันในพระนครราชคฤห์ มี เด็ กชายพวกหนึ ง 17 คน เป็ นเพือนกัน เด็ กชายอุบ าลีเป็ น
หัวหน้าของเด็กเหล่านัน ครังนัน มารดาบิดาของเด็กชายอุบาลีได้หารือกันว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ? เมือเราทังสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลี
จะพึงอยูเ่ ป็ นสุขและไม่ต้องลําบาก ครันแล้วหารือกันต่อไปว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงเรียนหนังสือ ด้วยวิธีอย่างนีแหละ เมือเราทังสองล่วงลับไป
เจ้าอุบาลีก็จะอยูเ่ ป็ นสุขและไม่ต้องลําบาก แล้วหารือกันต่อไปอีกว่า ถึงเจ้าอุบาลีจกั เรียนหนังสือ นิวมือก็จกั ระบม ... ถ้าเจ้าอุบาลีจกั เรียน
วิช าคํานวณ เขาจักหนักอก .. ถ้า เจ้า อุบาลีจกั เรียนวิช าดูรูปภาพ นัยน์ ต าทังทังสองของเขาจักชอกชํา พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร
เหล่านีแล มีความสุขเป็ นปกติ มีความประพฤติเรียบร้อย บริโภคอาหารทีดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงได้บวชในสํานัก
พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีอย่างนีแหละ เมือเราทังสองล่วงลับไป เจ้าอุบาลีก็จะอยูเ่ ป็ นสุขและไม่ต้องลําบาก.
[649] เด็กชายอุบาลีได้ยน ิ ถ้อยคําทีมารดาบิดาสนทนาหารือกันดังนี จึงเข้าไปหาเพือนเด็กเหล่านัน ครันแล้วได้พูดชวนดังนีว่า มา
เถิดพวกเจ้า เราจักพากันไปบวชในสํานักพระสมณะเชือสายพระศากยบุตร. เด็กชายพวกนันพูดว่า ถ้าเจ้าบวช แม้พวกเราก็จกั บวช
เหมือนกัน.
ไม่รอช้า เด็กชายเหล่านันต่างคนต่างก็ไปหามารดาบิดาของตนๆ แล้วขออนุญาตว่า ขอท่านทังหลายจงอนุญาตให้พวกข้าพเจ้าออก
จากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตเถิด.มารดาของเด็กเหล่านันก็อนุญาตทันที ด้วยคิดเห็นว่า เด็กเหล่านีต่างก็มีฉน ั ทะร่วมกัน มีความมุ่งหมายดี
ด้วยกันทุกคน.เด็กพวกนันเข้าไปหาภิกษุ ทงหลายขอบรรพชาแล้
ั ว. ภิกษุ ทงหลายก็
ั ได้ให้เด็กพวกนันบรรพชาและอุปสมบท.
ครันปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุ ใหม่เหล่านันลุกขึ นร้องไห้วงิ วอนว่า ขอท่านทังหลายจงให้ข้าวต้ม จงให้ขา้ วสวย จงให้ของเคียว.
ภิกษุ ทงหลายกล่
ั าวอย่างนีว่า อาวุโสทังหลาย จงรอให้ราตรีสว่างก่อน ถ้าข้าวต้มมี จักดืมได้ ถ้าข้าวสวยมี จักฉันได้ ถ้าของเคียวมี จักเคียว
ฉันได้ ถ้าข้าวต้มข้าวสวยหรือของเคียวไม่มี ต้องเทียวบิณฑบาตฉัน.
ภิกษุ ใหม่เหล่านันอันภิกษุ ทงหลายแม้
ั กล่าวอยูอ
่ ย่างนีแล ก็ยงั ร้องไห้วงิ วอนอยูอ
่ ย่างนัน แลว่า จงให้ข้าวต้ม จงให้ขา้ วสวย จงให้ของ
เคียว ดังนี ย่อมถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง ซึ งเสนาสนะ.
[650] พระผู้มีพระภาคทรงตืนบรรทม ณ เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี ได้ทรงสดับเสียงเด็กๆ ครันแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มา
ตรัสถามว่า นันเสียงเด็กๆ หรือ อานนท์?
จึงท่านพระอานนท์ได้กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาคแล้ว.
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสก ิ ขาบท ลําดับนัน พระผู้มีพระภาครับสังให้ประชุมภิกษุ สงฆ์ ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนัน แล้วทรงสอบถามภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข่าวว่า ภิกษุ ทงหลายรู
ั อ้ ยูย่ งั บุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี ให้อุปสมบท จริง
หรือ? ภิกษุ ทงหลายทู
ั ลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ไฉน โมฆบุรุษเหล่านันรูอ้ ยู่ จึงได้ยงั บุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี ให้อุปสมบท
เล่า? เพราะบุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี เป็ นผู้ไม่อดทนต่อเย็น ร้อน หิวกระหาย เป็ นผู้มีปกติไม่ทนทานต่อสัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลมแดดสัตว์
เสือกคลาน ต่อคํากล่าวทีเขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนาทางกาย อันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็ นทียินดี ไม่เป็ นทีพอใจ อันอาจ
ผลาญชีวต ิ ได้ ทีเกิดขึ นแล้ว อันบุคคลมีอายุครบ 20 ปี เท่านัน จึงจะเป็ นผู้อดทนต่อเย็น ร้อน หิวกระหาย เป็ นผู้มีปกติทนทานต่อสัมผัส
แห่ง เหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เสือกคลาน ต่อคํากล่าวทีเขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนาทางกาย อันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็ นที
ยินดี ไม่เป็ นทีพอใจ อันอาจผลาญชีวต ิ ได้ทีเกิดขึนแล้ว ...

[ภิกษุ ตงใจว่
ั าจักให้อุปสมบท แล้วแสวงหาคณะก็ดี พระอาจารย์ บาตร จีวร สมมติสีมาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ]
[จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ, จบกรรมวาจา 2 ครัง ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว, จบกรรมวาจาครังสุดท้าย พระอุปัชฌายะต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ คณะและพระอาจารย์ ต้องอาบัติทุกกฏ]
อนาบัติ - บุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี ภิกษุ สาํ คัญว่ามีอายุครบ 20 ปี ให้อุปสมบท

๒๑๑
¹ÑºÍÒÂØ 20 »‚·§Ñé ÍÂÙ㋠¹¤ÃÃÀ (¾ÃСØÁÒáÑÊʻ໚¹µÑÇÍ‹ҧ) ÇÔ.Á.4/141/153
[141] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ·‹Ò¹¾ÃСØÁÒáÑÊÊ»ÁÕÍÒÂؤú 20 »‚·Ñé§ÍÂً㹤ÃÃÀ ¨Ö§ä´ŒÍØ»ÊÁº·. µ‹ÍÁÒ·‹Ò¹ä´ŒÁÕ¤ÇÒÁ´íÒÃÔÇ‹Ò ¾ÃмٌÁÕ
¾ÃÐÀÒ¤·Ã§ºÑ­­ÑµÔänj Ç‹Ò ºØ¤¤ÅÁÕÍÒÂØË‹͹ 20 »‚ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãˌ ¡çàÃÒÁÕÍÒÂؤú 20 ·Ñé§ÍÂً㹤ÃÃÀ ¨Ö§ä´ŒÍØ»ÊÁº· ¨Ð໚¹Íѹ
ÍØ»ÊÁº·ËÃ×ÍäÁ‹Ë¹Í. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¨֧¡ÃÒº·ÙÅàÃ×èͧ¹Ñé¹á´‹¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤.
¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤µÃÑÊ͹حҵᡋÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÇ‹Ò ´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¨Ôµ´Ç§ááã´à¡Ô´áŌÇã¹ÍØ·ÃÁÒÃ´Ò ÇÔ­­Ò³´Ç§áá»ÃÒ¡¯áŌ Ç
ÍÒÈѨԵ´Ç§áá ÇÔ­­Ò³´Ç§áá¹Ñé¹¹Ñè¹áËÅÐ໚¹¤ÇÒÁà¡Ô´¢Í§ÊѵǏ¹Ñé¹
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ àÃÒ͹حҵãËŒÍ»Ø ÊÁº·¡ØźصÃÁÕÍÒÂؤú 20 »‚ ·Ñ§é ÍÂÙ㋠¹¤ÃÃÀ.
¹Ñ¡¸ÃÃÁàÍ¡ - ÇÔ¹ÑÂÁØ¢ àŋÁ 3 - ˹ŒÒ·Õè 94
ÍØ»ÊÁº·
¤¹Íѹʧ¦¨Ð¾Ö§ÃѺãˌÍØ»ÊÁº·à¾×èÍࢌÒÍÂًã¹ËÁًÀÔ¡ÉØ µŒÍ§à»š¹¼ÙŒªÒ ÁÕÍÒÂؤú 20 »‚ºÃÔºÙó ÁÔ㪋ÍÀѾºØ¤¤Å¼ÙŒ¶Ù¡ËŒÒÁà´ç´¢Ò´.
ÍÒÂعÑé¹ ¡íÒ˹´¹Ñº¨íÒà´ÔÁᵋááµÑ駻¯Ôʹ¸ÔÁÒ. ¶ŒÒäÁ‹Ãٌṋ¾Ö§¹Ñº¡Ò÷ÕèÍÂً㹤ÃÃÀºÃèºÇѹà¡Ô´Í‹ҧÁÒ¡à¾Õ§ 9 à´×͹ à¾ÃÒÐã¹µíÒÃÒ
¤ÃÃÀÃÑ¡ÉҡŋÒÇÇ‹Ò â´Â»¡µÔ µÑ駤ÃÃÀÁÒ䴌»ÃÐÁÒ³ 270 Çѹ ¨Ö§¤ÅÍ´ ¤ÅÍ´àÃçǡNjҹÑé¹à´ç¡äÁ‹¤‹ÍÂÃÍ´ ¹Ñº¶×ÍàÍÒ¹ŒÍÂNjҹÑé¹äÁ‹ÁÕ»˜­ËÒ.
¡íÒ˹´ 20 »‚¹Ñé¹äÁ‹¾Ö§¹Ñº»‚à¡Ô´à»š¹»‚ 1 »‚ÍØ»ÊÁº·à»š¹ 20 ´Ñ§¤¹ÊÒÁÑ­¹ÑºÍÒÂØ ¹ÑºÍ‹ҧ¹Õé ÍÒ¨¢Ò´à»š¹ËÅÒÂà´×͹ ઋ¹¤¹à¡Ô´
à´×͹ÂÕè ¹Ñºà»š¹»‚ 1 Íѹ·Õè¨Ãԧ䴌Í‹ҧÁÒ¡à¾Õ§ 3 à´×͹ ᵋÍ‹ҧ¹Ñé¹ ‹µŒÍ§à¡Ô´¢Öé¹ 1 ¤èíÒ Ë‹͹ 3 à´×͹ÁÒ¡¡Ç‹ÒÁÒ¡ ¢Ò´ä» 9 à´×͹¡Ç‹ÒáŌÇ
ÍØ»ÊÁº·ã¹¢ŒÒ§¢Öé¹à´×͹ 8 䴌à¾Õ§ 3 à´×͹ÁÕàÈÉÇѹ ¢Ò´ÍÕ¡ 8 à´×͹ÁÕàÈÉÇѹ ÃÇÁ¢Ò´¶Ö§ 17 à´×͹àÈÉä»ËÒ 18 à´×͹ ¹Ñºà´×͹ÍÂً㹤ÃÃÀ
à¾ÔèÁࢌҴŒÇ¡çÂѧäÁ‹¾Í.
ÍÕ¡Í‹ҧ˹Öè§ äÁ‹¾Ö§¹Ñº 12 à´×͹â´Â¨Ñ¹·Ã¤µÔ໚¹»‚ÃÇ´ä» â´ÂÍÃö¡¶Ò¹ÑÂ, ¹ÑºÍ‹ҧ¹Ñé¹ã¹ 19 »‚àµçÁ 䴌à´×͹͸ԡÁÒÊà¾ÔèÁࢌÒÍÕ¡
¶Ö§ 7 à´×͹, à´×͹͸ԡÁÒÊà¾ÔèÁࢌÒà¾×èÍ㪌Çѹ¨Ñ¹·Ã¤µÔ ÍѹÃØ¡àÃçÇ仡NjÒÇѹÊØÃÔ¤µÔãˌŧ¡Ñ¹ àÍÒÁÒ㪌¹ÑºäÁ‹ä´Œ, Íѹ¨Ð¹Ñº»‚à´×͹â´Â¨Ñ¹·Ã¤µÔ
ÃÇ´ä»à¡Ô´ 3 »‚·Õ袌ÒÁ͸ԡÁÒÊäÁ‹ä´ŒàÅ Ĵ٨ѡâŒä»ËÁ´ ´Ô¶Õ¨íÒ¾ÃÃÉҨѡäÁ‹Â×¹ÍÂً˹ŒÒ½¹ ¨Ñ¡àÅ×è͹ࢌÒä»Ë¹ŒÒÌ͹˹ŒÒ˹ÒÇ à¾ÃÒÐÍ‹ҧ¹Õé ¶Ö§
»‚ÁÕ͸ԡÁÒÊ ¨Ö§ÁÕ¾Ãоط¸Ò¹Ø­Òµãˌ͹ØÇѵ¹µÒÁ»ÃÐླÕàÁ×ͧ àÅ×è͹Çѹ਌ҾÃÃÉÒä»ÍÕ¡à´×͹˹Öè§ âËÃÊÂÒÁ·´à´×͹͸ԡÁÒʵ‹Íà´×͹ 8
ºÑ­­ÑµÔàÃÕ¡à´×͹ 8 àËÁ×͹¡Ñ¹ ໚¹áµ‹àµÔÁ¤íÒÁÒµ‹Ò§Ç‹Ò ˹ŒÒáÅÐËÅѧ ÁÕẤÒÂÍÂً à¾×èÍÂѧÊÒÁÑ­ª¹ãˌÃÙŒÇ‹Ò à»š¹à´×͹·Õè¹ÑºàÍÒÁÔ䴌. ¾Ö§¹Ñº
ºÃèºÃͺà¡Ô´à´×͹ÂÕè ໚¹ 1 »‚µ‹ÍàÁ×èͶ֧à´×͹ÂÕè˹ŒÒ ¾Ö§¹Ñºãˌ䴌 19 Ãͺ»‚¡Ñº 3 à´×͹àµçÁ໚¹Í‹ҧ¹ŒÍ ànj¹à´×͹͸ԡÁÒÊ 7 à´×͹ã¹
ÃÐËNjҧàÊÕ ¹Ñºà´×͹ÍÂً㹤ÃÃÀà¾ÔèÁÍÕ¡ 9 à´×͹ ໚¹àµçÁ 20 Ãͺ»‚¾Í´Õ ¶ŒÒ¹Ñºà´×͹â´ÂÊØÃÔ¤µÔÁÕà¾ÔèÁÇѹänjàÊÃç¨ äÁ‹µŒÍ§à¾ÔèÁ͸ԡÁÒÊ Ãͺ
»‚ 1 ໚¹ 12 à´×͹àÊÁ͡ѹ äÁ‹ÅÑ¡ÅÑè¹à»š¹ 12 ¡çÁÕ à»š¹ 13 ¡çÁÕ Í‹ҧÃͺ»‚â´Â¨Ñ¹·Ã¤µÔ·ÕèªÇ¹¤¹¼ÙŒäÁ‹ÃٌâËÃÒÈÒʵÏËŧ.
¤¹ÁÕÍÒÂØË‹͹ 20 »‚ÍØ»ÊÁº·äÁ‹¢Öé¹ ÀÔ¡ÉØÃٌÍÂً ÃѺ໚¹ÍØ»˜ª¬ÒÂÐ ¤×Í ¼ÙŒªÑ¡¹íÒࢌÒã¹Ê§¦ãˌÍØ»ÊÁº· µŒÍ§ÍҺѵԻҨԵµÔÂÐ ÀÔ¡ÉØ
¹Í¡¨Ò¡¹Ñé¹ ¼ÙŒà¢ŒÒ»ÃЪØÁ໚¹Ê§¦ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡® äÁ‹ÃٌËÃ×ÍÊíҤѭ¼Ô´ ÃѺãˌÍØ»ÊÁº· äÁ‹à»š¹ÍÒºÑµÔ áµ‹¤¹¹Ñ鹤§ÍØ»ÊÁº·äÁ‹¢Öé¹ÍÂً¹Ñè¹àͧ.
µ‹Ò§Ç‹Ò¤¹¹Ñé¹ÃѺÍØ»ÊÁº·áÅŒÇ ÍÂًÂÑè§Â׹䴌µ‹Í仨¹ÁÕ¾ÃÃÉÒ໚¹à¶ÃÐ໚¹ÍØ»˜ª¬ÒÂÐãˌÍØ»ÊÁº· ÀÒÂËÅѧÃٌ¢Öé¹Ç‹Ò ¼ÙŒ¹Ñé¹àÁ×èÍÍØ»ÊÁº·
ÍÒÂØÂѧäÁ‹¤Ãº ઋ¹¹Õé ¨Ñ¡·íÒÍ‹ҧäáѹ. ? ¶ŒÒµŒÍ§Ã×éͶ͹¡Ò÷Õè¼ÙŒ¹Ñé¹·íÒänjáŌǨѡÂ؋§ãË­‹ äÁ‹à»š¹·Ò§¨Ð¾Ö§·íÒàÅ à¾ÃÒÐÍ‹ҧ¹Ñé¹ ¾ÃÐÍÃö¡¶Ò
¨ÒϨ֧¡Å‹ÒÇänj ã¹Í¸Ô¡ÒÃáˋ §ÊÔ¡ ¢Òº· »ÃѺâ·ÉÀÔ¡ÉؼٌÃٌÍÂً ãˌÍØ»ÊÁº·¤¹ÍÒÂØËÂ‹Í ¹ 20 ã¹ÊÑ»»Ò³ÇÃä áˋ§»Ò¨ÔµµÔ¡ѳ±Ç‹Ò ¤¹¼ÙŒ
ÍØ»ÊÁº·ä»áÅŒÇ ¹Í¡¨Ò¡¼ÙŒ¹Ñé¹ ª×èÍÇ‹Ò à»š¹ÍѹÍØ»ÊÁº·áÅŒÇ ànj¹áµ‹Áռٌ¹Ñé¹à»š¹·ÕèÊØ´áˋ§Í§¤¡íÒ˹´¢Í§Ê§¦ ½†Ò¼ٌ¹Ñé¹ÃٌµÑÇáÅŒÇ ¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãËÁ‹.
¤íҢͧ¾ÃÐÍÃö¡¶Ò¨ÒÏ໚¹°Ò¹ÐÍÂً à¾ÃÒСÒÃãˌÍØ»ÊÁº·¹Ñé¹ ä´Œ·íÒ໚¹¡ÒÃʧ¦ ᵋ·‹Ò¹¡Å‹ÒÇ¡ànj¹ ã¹àÁ×èͼٌ¹Ñé¹à»š¹·ÕèÊØ´áˋ§Í§¤¡íÒ˹´
áˋ§Ê§¦ ·‹Ò¹¤§à·Õº´ŒÇºÒÅÕÇ‹Ò àÍÒ¤¹µŒÍ§ÍѹàµÔÁÇѵ¶ØáŌÇÁÒ໚¹·ÕèÊØ´áˋ§Í§¤¡íÒ˹´áˋ§Ê§¦ ·íÒ¡ÃÃÁ¹Ñé¹ æ ¡ÃÃÁ·Õè·íÒ໚¹Íѹ㪌äÁ‹ä´Œ
à·Õºâ´Â¹Ñ¹Õé ¼ÙŒ¹Ñé¹à»š¹¡ÃÃÁÇÒ¨Ò¨ÒÏÊÇ´¡ÃÃÁÇÒ¨ÒÍØ»ÊÁº·¡çàËÁ×͹¡Ñ¹.
»ÃÐླÕà¡‹Ò ¤¹à¡Ô´»ÅÒ»‚ ãˌÍØ»ÊÁº·µ‹ÍàÁ×èÍÍÒÂØ 22 â´Â»‚ ˹ѡṋ¹´ÕÍÂً ¹ÑºÍÒÂØäÁ‹à»š¹ ¡çäÁ‹à»š¹ÍÐäà à»ÃÕº¡Ñ¹ÍÕ¡½†ÒÂ˹Ö觷Õè
ÃÕººÇªã¹»‚·Õè 20 ᵋ¡íÒà¹Ô´ Í‹ҧ¡‹Í¹´Õ¡Ç‹ÒÍ‹ҧËÅѧ ¶ŒÒ¹ÑºÍÒÂØäÁ‹à»š¹ ÍÒ¨¨Ð¾ÅÒ´ ·íÒ¤ÇÒÁÅíҺҡᡋ¼ÙŒÍØ»ÊÁº·ã¹ÀÒÂËÅѧ.
¤¹¼ÙŒ¤ÇÃãˌÃѺÍØ »ÊÁº·ã¹»‚·Õè 20 ¹Ñé¹ ¤ÇÃ໚¹ºØÃØɾÔà ÈÉ ã¹ºÒÅÕáÊ´§¾ÃСØÁÒÃ¡Ñ ÊÊ»äÇŒà »š¹ µÑ ÇÍÂ‹Ò § ËÃ×ͤÄËÑʶ ¼ÙŒÊÙ § ÈÑ ¡ ´Ôì
ÍØ»ÊÁº·¢Öé¹áŌǨѡ·íÒÍØ»¡ÒÃÐᡋ¾ÃÐÈÒÊ¹Ò à¡Ô´ÈÃÑ·¸ÒàÅ×èÍÁãÊ Áթѹ·Ðã¹ÍØ»ÊÁº· ÃÍänjÍÒ¨¨ÐÁÕÍѸÂÒÈÑÂà»ÅÕèÂ¹ä» àª‹¹¹Õé ¨ÐÃÕºãˌÍØ»ÊÁº·
ã¹»‚·Õè 20 ¤ÇÃÍÂً. ÍÕ¡½†ÒÂ˹Öè§ ¼ÙŒÍÂً仰ҹÐÍ‹ҧ¹Ñé¹ ¨ÐÁÕÍØ»ÊÁº·äÁ‹ÁÑ蹤§¡çËҪͺäÁ‹ ¤ÇÃÍØ»ÊÁº·«éíÒÍÕ¡¤ÃÒÇ˹Öè§ à»š¹¡Ò÷íÒãˌÁÑè¹ ¢Öé¹
àÃÕÂ¡Ç‹Ò ·ÑÌËÕ¡ÃÃÁ 䴌à¤Â·íҡѹÁÒ㹤ÃÒÇ·Õè¡ÒÃÍØ»ÊÁº· ·íҡѹâ´ÂËÅÐËÅÇÁ ໚¹à˵ØÃѧà¡Õ¨áˋ§¤¹¶×ͨء¨Ô¡. ·‹Ò¹á¡ŒÇ‹ÒäÁ‹à»š¹Íء⡯¹Ð
¡ÒÃà´ÔÁ à¾ÃÒÐäÁ‹ä´ŒàÅÔ¡¶Í¹ ໚¹áµ‹·íÒ«éíÒ.
Ẻ»ÃСͺ¹Ñ¡¸ÃÃÁàÍ¡ - »ÃÐÁÇÅ»˜­ËÒáÅÐà©Å ÇԹѺѭ­ÑµÔ - ˹ŒÒ·Õè 65
ÍØ»ÊÁº·
¶. ¡ÒùѺÍÒÂآͧ¡Øźصüٌ·Õè¨ÐÍØ»ÊÁº· ¹Ñºâ´Â»‚ËÃ×͹Ѻâ´Â¡ÒŽ¹ µŒÍ§ÍŒÒ§ËÅÑ¡´ŒÇ ઋ¹¤¹à¡Ô´à¾ç­à´×͹ 2 »‚ªÇ´ ¨ÐºÇª
à¾ç­à´×͹ 12 »‚ÁÐáÁ·Õè 2 ¤ÃººÇªËÃ×ÍÂѧ ໚¹Í‹ҧäÃ?
µ. ¹Ñºâ´Â¡ÒŽ¹ ͌ҧÊÔ¡¢Òº· â »¹ ÀÔ¡Ú¢Ø ÍÙ¹ÇÕʵÔÇÊÚʙ »Ø¤Ú¤Å™ ÍØ»ÊÁÚ»Òà·ÂÚÂ. Ï à» Ï »Ò¨ÔµÚµÔ™. Ï ¤ÃºáÅŒÇ ¡ÒäíҳǹÍÒÂآͧ
¼ÙŒ¨ÐÍØ»ÊÁº· µŒÍ§¹Ñº 20 ½¹·Ñé§ã¹¤ÃÃÀ ¤¹à¡Ô´à´×͹ 2 ÍÂً㹤ÃÃÀàµçÁ¡ÒŽ¹ ¹Ñºà»š¹ 1 䴌 ¶Ö§à¾ç­à´×͹ 12 »‚ÁÐáÁ ÃÇÁ 20 ¡ÒŽ¹àµçÁ
ºÃÔºÙó 8 / 9 / 2469
¶. ¡Øźص÷ÕèÁÕ»‚ÂѧäÁ‹¤Ãº 20 äÁ‹ÃٌµÑÇ ä´ŒÍØ»ÊÁº·¢Öé¹ ÍÂً仨¹à»š¹ÍØ»˜ª¬ÒÍÒ¨ÒϢͧ¡ØźصÃÍ×è¹Íա໚¹ÍѹÁÒ¡ ÀÒÂËÅѧÃٌࢌÒ
à¸Í¨Ö§¡ÅѺÁÒ¢ÍÍØ»ÊÁº·ãËÁ‹ ʋǹ¡Øźص÷Õèà¸Í໚¹ÍØ»˜ª¬ÒÍÒ¨ÒϹÑé¹ ¨ÐµŒÍ§ÍØ»ÊÁºÑ¹ËÃ×ͤÇèѴ¡ÒÃÍ‹ҧäà ËÃ×ÍäÁ‹µŒÍ§?
µ. ã¹àÇÅÒÍØ»ÊÁº· ¶ŒÒÁÕʧ¦ÁÒ¡¡Ç‹Ò¡íÒ˹´ ¡ØźصùÑé¹à»š¹ÍØ»ÊÑÁºÑ¹ ¶ŒÒÁÕà¸Í¹Ñé¹à»š¹·ÕèÊØ´áˋ§Í§¤¡íÒ˹´¢Í§Ê§¦ ¡ØźصùÑé¹

๒๑๒
໚¹Í¹Ø»ÊÑÁºÑ¹ ¤ÇèѴ¡ÒÃãˌÍØ»ÊÁº·àÊÕÂãËÁ‹ µŒÍ§¨Ñ´¡ÒÃÍ‹ҧ¹Õé. 7 / 9 / 2468
¶. ʧ¦à»š¹ãË­‹ã¹Êѧ¦¡ÃÃÁ·Ñ駻ǧ ºØ¤¤ÅËÃ×ÍàÍ¡ª¹äÁ‹à»š¹ãË­‹ ᵋà˵ØäÃ㹡ÒÃãˌÍØ»ÊÁº· ¡ØźصÃÁÕ¡ÒŽ¹Ë‹͹ 20 ¨Ö§»ÃѺ
ÍҺѵԻҨԵµÕᡋàÍ¡ª¹ ¤×Í ÍØ»˜ª¬ÒÂРʋǹÀÔ¡Éؼٌ¤³»Ùáж١»ÃѺà¾Õ§·Ø¡¡® àÁ×èÍྋ§¶Ö§¤ÇÒÁ໚¹ãË­‹ã¹Êѧ¦¡ÃÃÁáÅŒÇ ¹‹Ò¨Ð»ÃѺÍҺѵÔ
˹ѡᡋÀÔ¡Éؼٌ໚¹¤³»ÙáзÑé§ËÁ´ÁÔ㪋ËÃ×Í áµ‹·íÒäÁ¨Ö§µÃ§¡Ñ¹¢ŒÒÁ ËÃ×ÍNjÒàÍ¡ª¹à»š¹ãË­‹ ½†ÒÂʧ¦à»š¹áµ‹à¾Õ§¼ÙŒÊ¹ÑºÊ¹Ø¹ äÁ‹à»š¹ãË­‹ÍÂ‹Ò §
ṋ¹Í¹ ¢Í¤ÇÒÁá¹Ð¹Ð?
µ. ¤ÇÒÁ¨Ãԧʧ¦à·‹Ò¹Ñé¹ à»š¹ãË­‹ã¹Êѧ¦¡ÃÃÃÁ·Ñé §»Ç§ àÍ¡ª¹äÁ‹à»š¹ãË­‹ ᵋ·Õ·Ã§»ÃѺÍҺѵÔ˹ѡá¡ÍØ»˜ª ¬ÒÂÐ ¡çâ´Â°Ò¹·Õè
ÍØ»˜ª¬ÒÂÐ໚¹µÑÇ¡Òüٌ¹íÒࢌÒËÁً ෋ҡѺ໚¹¹Ò¡ͧ¢Í§Ê§¦ã¹Êѧ¦¡ÃÃÁ à¾ÃÒеŒÍ§ÃѺÃͧÍØ»ÊÑÁ»·Ò໡¢«Ö觵¹¹íÒࢌÒÁÒÍØ»ÊÁº·´ŒÇÂ
Í»âÅ¡¹ãˌʧ¦·íÒ¡ÑÁÁÊѹ¹ÔÉ°Ò¹ 30 / 8 /2471
บทที 6. อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกเกวียนพวกต่างผูเ้ ป็ นโจร โดยทีสุดแม้สินระยะบ้าน
หนึ ง เป็ นปาจิตตีย ์
ทีชือว่า พวกเกวียนพวกต่างผูเ้ ป็ นโจร ได้แก่ พวกโจรผูท้ าํ โจรกรรมมาก็ดี ไม่ได้ทํามาก็ดี ผูท้ ีลักของหลวงก็ดี ผูท้ ีหลบซ่อนของเสีย
ภาษี ก็ดี.
บทว่า โดยทีสุดแม้สินระยะบ้านหนึ ง ความว่า ในตําบลบ้านกําหนดชัวไก่บินถึง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะบ้าน ในป่ าหาบ้าน
มิได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะกึงโยชน์ .
[654] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พวกพ่อค้าเกวียนต่างหมู่หนึ งประสงค์จะเดินทางจากพระนครราชคฤห์ ไปสูช ่ นบททางทิศ
ตะวันตก ภิกษุ รป
ู หนึ งได้กล่าวกะพ่อค้าพวกนันว่า แม้อาตมาจักขอเดินทางไปร่วมกับพวกท่าน.
พวกพ่อค้าเกวียนต่างกล่าวว่า พวกกระผมจักหลบหนีภาษี ขอรับ. ภิกษุ นนพู ั ดว่า ท่านทังหลายจงรูก้ น ั เองเถิด.
เจ้าพนักงานศุลกากรทังหลายได้ทราบข่าวว่า พวกพ่อค้าเกวียนต่างจักหลบหนีภาษี จึงคอยซุม ่ อยูท
่ ีหนทาง ครันพวกเจ้าพนักงาน
เหล่านันจับพ่อค้าเกวียนต่างหมู่นนั ริบของต้องห้ามไว้ได้แล้ว ได้กล่าวกะภิกษุ พวกนันว่า พระคุณเจ้ารูอ้ ยูเ่ หตุไรจึงได้เดินทางร่วมกับ
พ่อค้าเกวียนต่างผู้ลกั ซ่อนของต้องห้ามเล่า? เจ้าหน้าทีไต่สวนแล้วปล่อยภิกษุ นนไป
ั ครันภิกษุ รูปนันไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่า
เรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย

……………………………………………………………………………….

บทที 7. อนึ ง ภิกษุใด ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกับมาตุคาม โดยทีสุดแม้สินระยะบ้านหนึ ง 6.4


เป็ นปาจิตตียฯ์
[658] พ. ประทับ ณ พระเชตวัน. ครังนัน ภิกษุ รูปหนึ งกําลังเดินทางไปสูพ ่ ระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท เดินทางไปทางประตูบ้าน
แห่งหนึ ง. สตรีผู้หนึ งทะเลาะกับสามีแล้วเดินออกจากบ้านไป พบภิกษุ รูปนันแล้วได้ถามว่า พระคุณเจ้าจักไปไหน เจ้าข้า? ภิกษุ นน ั
ตอบว่า ฉัน จัก ไปสู่พ ระนครสาวัต ถี จ้ะ . สตรี น นขอร้
ั อ งว่า ดิ ฉ ัน จักไปกับ พระคุณเจ้า ด้ว ย. ภิ ก ษุ นันกล่า วรับ รองว่า ไปเถิด จ้ะ.
ขณะนัน สามีของสตรีนนออกจากบ้
ั านแล้ว ถามคนทังหลายว่า พวกท่านเห็นสตรีมีรูปร่างอย่างนีบ้างไหม? คนทังหลายตอบว่า สตรีมี
รูปร่างเช่นว่านันเดินไปกับพระ. ในทันที เขาได้ติดตามไปจับภิกษุ นนทุ ั บตีแล้วปล่อยไป ภิกษุ นนนั
ั งพ้อตนเองอยู่ ณ โคนต้นไม้แห่ง
หนึ ง. จึงสตรีนนได้
ั กล่าวกะบุรุษผู้สามีวา่ นาย พระรูปนันมิได้พาดิฉน ั ไป ดิฉน
ั ต่างหากไปกับท่าน พระรูปนันไม่ใช่เป็ นตัวการ นาย
จงไปขอขมาโทษท่านเสีย. บุรุษนันได้ขอขมาโทษภิกษุ นน ั ในทันใดนันแล.

อนาบัติ. 1. มาตุคามชักชวน ภิกษุไม่ได้ชวน 2. ภิกษุ ไปผิดวันผิดเวลา 3. มีอนั ตราย


เวสฺ ส=แพศย์ พ่อค้า เวสิยา
อโคจร มี 6 ประการ คือ 1.หญิงแพศยา 2.หญิงหม้าย 3.สาวเทือ 4.ภิกษุ ณี 5.บัณเฑาะก์ 6.ร้านสุรา
อโคจร ถินของปรปั กษ์สําหรับภิกษุ คือ กามคุณ 5 อันน่ าปรารถนา น่ าใคร่ น่ าพึงใจ ประกอบด้วยความใคร่ เป็ นทีตังแห่งความ
กําหนั ด, โคจรของภิกษุ คือ สติปัฏฐาน 4 ชือว่า วิวฏั กคามีกุศล ที.ปา.อ.15/127(จักกวัตติสูตร)
ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ พวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบตั ิในมาตุคามอย่างไร พ. การไม่เห็น อานนท์
ข้าแต่พระผูม้ ีพระภาค เมือการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบตั ิอย่างไร พ. การไม่เจรจา อานนท์
ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ เมือต้องเจรจา จะพึงปฏิบตั ิอย่างไร พ. พึงตังสติไว้ อานนท์ ที.ม.10/132/136
อรรถกถา. การไม่เห็นมาตุคามเสียได้เลย เป็ นข้อปฏิบตั ิธรรมอันสมควรในข้อนี , จริงอยู่ ภิกษุ เปิ ดประตูนังบนเสนาสนะ ตราบใดทีไม่ยงั
เห็นมาตุคามทีมายืนอยูท่ ีประตู ตราบนัน ภิกษุ นันย่อมไม่เกิดโลภะ จิตไม่หวันไหวโดยส่วนเดียวเท่านัน, แต่เมือยังเห็นอยู่ แม้ทงั 2 อย่างนัน(คือโลภะ
และความทีจิตหวันไหว) ก็พึงมี.
พระอานนท์ทูลถามว่าเมือการเห็นในทีๆ ภิกษุ เข้าไปรับภิกษาเป็ นต้น ภิกษุจะพึงปฏิบตั ิอย่างไร, ครังนันพระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุรุษผูย้ ืน
ถือมีดด้วยกล่าวว่า ถ้าท่านพูดกับเราๆ จะตัดศีรษะของท่านเสียในทีนี แหละ หรือนางยักษิ ณียืนพูดว่า ถ้าท่านพูดกับเราๆ จะแล่เนื อท่านเคียวกินเสียใน
ทีนี นี แหละยังจะดีกว่า เพราะความพินาศเหตุมีขอ้ นันเป็ นปั จจัย ย่อมมีได้อัตภาพเดียวเท่านัน ไม่ตอ้ งเสวยทุกข์ทีกําหนดไม่ได้ในอบายทังหลาย ส่วน
เมือมีการเจรจาปราศรัยกับมาตุคามอยู่ ความคุน้ ก็มี เมือความคุ น้ มี ช่องทางก็มี ภิกษุ ผมู ้ ีจิตถูกราคะครอบงําก็ถึงความพินาศแห่งศีล ต้องไปเต็มกันอยู่
ในอบาย สมดังคําที(พ.)ท่านกล่าวไว้วา่ “บุคคลพึงพูดกับบุคคลผูม้ ีดาบในมือ กับปี ศาจ นังชิดกับอสรพิษ ผูท้ ีถูกคนมีดาบ ปี ศาจ อสรพิษกัดแล้วย่อมไม่
มีชีวิต ภิกษุ พดู กับมาตุคามสองต่อสอง ก็ยอ่ มไม่มีชีวิตเหมือนกัน”

๒๑๓
ถ้ามาตุคามถามวันขอศีล ใคร่ฟังธรรม ถามปั ญหา หรือมีกิจกรรมทีบรรพชิตจะพึงทําแก่มาตุคามนัน มาตุคามนัน ก็จะพูดกะภิกษุ ผไู ้ ม่พดู ใน
เวลาเห็นปานนี วา่ “ภิกษุ องค์นีเป็ นใบ้ หูหนวก ฉันแล้วก็นังปากแข็ง” เพราะฉะนัน ภิกษุ พึงพูดโดยแท้,
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า พระเจ้าข้า ภิกษุ เมือพูดอย่างนี แล้ว จะพึงปฏิบตั ิอย่างไร ลําดับนันพระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระโอวาททีว่า
“มาเถิดภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจงตังจิตคิดว่า(เป็ น)มารดาในสตรีปูนมารดา ตังจิตคิดว่า(เป็ น)พีสาวในสตรีปูนพีสาว ตังจิตคิดว่า(เป็ น)ลูกสาวในสตรี
ปูนลูกสาว” (แล้ว)จึงตรัสว่า อานนท์ พึงตังสติไว้ อรรถกถา มหาปรินิพพานสูตร ที.ม.13/132/427 (มมร.)
ปั ญหาเทคโนโลยี 1. จดหมาย 2. โทรศัพท์บา้ น 3. Email Computer 4. MSN Chatroom - Facebook Messenger Computer
5. Moblie phone 6. Line App Mobile phone 7. Skype - Line Video Call – facetime

ต่อหัวข้ อที ๗ หน้ า ๑๕๐


โกสิยวรรคที ๒ บทที ๘
การรับจ่ายเงินทอง และไวยาวัจกร
..................................................................
บทที 8 อนึ ง ภิกษุ ใด กล่าวอย่างนี ว่า ข้าพเจ้ารูท้ วถึ
ั งธรรมทีพระผูม้ ีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการว่าเป็ นธรรมทําอันตรายได้
อย่างไร ธรรมเหล่านั นหาอาจทําอันตรายแก่ผูเ้ สพได้จริงไม่ ภิกษุ นั นอันภิกษุ ทงหลายพึ
ั งกล่าวอย่างนี ว่า ท่านอย่าได้พูดอย่า งนั น
ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผูม้ ี พระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผูม้ ี พระภาคเจ้าไม่ดีดอก พระผูม้ ี พระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั นเลย แน่ ะ
เธอ พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสธรรมทําอันตรายไว้โดยบรรยายเป็ นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั น อาจทําอันตรายแก่ผูเ้ สพได้จริง แล
ภิกษุ ทงหลายว่
ั า กล่าวอยูอ่ ย่างนั น ขืนถืออยูอ่ ย่างนั นแล ภิกษุ นั นอันภิกษุ ทงหลายพึ
ั งสวดประกาศห้ามจนหนที 3 เพือสละการนั น
เสียได้ ถ้าเธอถูกสวดประกาศห้ามอยูจ่ นหนที 3 สละการนั นเสียได้ การสละได้ดงนี ั นั นเป็ นการดี ถ้าไม่สละ เป็ นปาจิตตียฯ์
[662] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทฏ ิ ฐิทรามเห็นปานนีเกิดขึ นว่า
เรารูท้ วถึ
ั งธรรมทีพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการทีตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านีเป็ นธรรมทําอันตราย ธรรมเหล่านันหา
อาจทําอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ภิกษุ หลายรูปได้ทราบข่าวว่า พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทฏ ิ ฐิทรามเห็นปานนี แล้วพากัน
เข้าไปหาพระอริฏฐะ ถามว่า อาวุโส .. ดังนี จริงหรือ? อ. จริงอย่างว่านันแล
ภิ. อาวุโส อริฏฐะ ท่านอย่าได้วา่ อย่างนัน ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาค
ไม่ได้ตรัสอย่างนันเลย ธรรมอันทําอันตรายพระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยบรรยายเป็ นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านันอาจทํา อันตรายแก่ผู้เ สพ
ได้จริง กามทังหลายพระผู้มี พระภาคตรัสว่า มี ค วามยินดี น้อย มี ทุกข์ ม าก มี ค วามค บ ั แค้นมาก โทษในกามทังหลายนี มากยิงนัก กาม
ทังหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคบั แค้นมาก โทษในกามทังหลายนีมากยิงนัก กามทังหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบเหมือนชินเนือ ... กามทังหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบเหมือนคบหญ้า ... หลุมถ่านเพลิง ... ความ
ฝัน ... ของยืม ... ผลไม้ ... เขียงสําหรับสับเนือ ... แหลนหลาว ... ศีรษะงู …
พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง แม้อน ั ภิกษุ เหล่านันว่ากล่าวอยูอ
่ ย่างนีก็ย ังยึดถือทิฏฐิเห็นปานนันอยู่ ด้วยความยึดมันอย่างเดิม
ซํายังกล่าวยืนยันว่า ผมกล่าวอย่างนันจริง อาวุโสทังหลาย ผมรูท ้ วถึ
ั งธรรมทีพระผูม ้ ีพระภาคทรงแสดงแล้ว

บทที 9. อนึ ง ภิกษุ ใด รูอ้ ยู่ กินร่วมก็ดี อยูร่ ว่ มก็ดี สําเร็จการนอนด้วยกันก็ดี กับภิกษุ ผกู ้ ล่าวอย่างนั น ยังไม่ได้ทาํ กรรมอัน
สมควร ยังไม่ได้สละทิฏฐินั น เป็ นปาจิตตียฯ์
ยังไม่ได้ทาํ กรรมอันสมควร คือ เป็ นผูถ้ ูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว สงฆ์ยงั ไม่ได้เรียกเข้าหมู่
กินร่วมก็ดี หมายถึง การคบหามี 2 อย่าง คือ คบหากันในทางอามิส1 คบหากันในทางธรรม1
คบหากันในทางอามิส คือ ให้อามิสก็ดี รับอามิสก็ดี / คบหากันในทางธรรม คือ บอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม
อยูร่ ว่ มก็ดี หมายถึง ทําอุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ร่วมกับภิกษุ ผถู ้ ูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว
สําเร็จการนอนด้วยกันก็ดี หมายถึง ในทีมีหลังคาเดียวกัน เมือภิกษุ ผถู ้ ูกสงฆ์ยกวัตรนอน ภิกษุ นอนด้วย
[669] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์รอ ู ้ ยู่ กินร่วมบ้าง อยูร่ ว่ มบ้าง สําเร็จการนอนด้วยกันบ้าง กับพระอิรฏฐะผู้
กล่าวอย่างนัน ผู้ยงั ไม่ได้ทาํ กรรมอันสมควร ยังไม่ได้สละทิฏฐินน ั

บทที 10 ถ้าแม้สมณุ ทเทสกล่าวอย่างนี ว่า ข้าพเจ้ารูท้ ัวถึงธรรมทีพระผูม้ ี พระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการทีตรัสว่าเป็ น


ธรรมทําอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั นหาอาจทําอันตรายแก่ผเู ้ สพได้จริงไม่ สมณุทเทสนั น อันภิกษุ ทงหลายพึ ั งว่ากล่าวอย่าง
นี ว่า อาวุโส สมณุ ทเทส เธออย่าได้พู ดอย่างนั น เธออย่าได้กล่าวตู่พระผูม้ ี พระภาค การกล่าวตู่พระผูม้ ี พระภาคไม่ดีดอก พระผูม้ ี
พระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั นเลย อาวุโส สมณุ ทเทส พระผูม้ ี พระภาคตรัสธรรมทําอันตรายไว้โดยบรรยายเป็ นอันมาก ก็ แลธรรม
เหล่านั นอาจทําอันตรายแก่ผูเ้ สพได้จริง และสมณุทเทสนั น อันภิกษุ ทงหลายว่
ั ากล่าวอยูอ่ ย่างนั น ขืนถืออยูอ่ ย่างนั นเทียว สมณุ ท
เทสนั นอันภิกษุ ทั งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี ว่า แน่ ะอาวุโส สมณุ ทเทสเธออย่าอ้างพระผูม้ ี พระภาคนั นว่าเป็นพระศาสดาของเธอ
ตังแต่วนั นี ไป และพวกสมณุทเทสอืนย่อมได้การนอนร่วมเพียง 2-3 คืน กับภิกษุ ทงหลายอั ั นใด แม้กิรยิ าทีได้การนอนร่วมนั นไม่มี

๒๑๔
แก่เธอ เจ้าคนเสี ย เจ้าจงไปเ จ้าจงฉิ บหายเสี ย อนึ ง ภิกษุ ใดรูอ้ ยู่ เกลียกล่อมสมณุ ทเทสผูถ้ ูกให้ฉิบหายเสี ยอย่างนั นแล้วก็ ดี ให้
อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สําเร็จการนอนร่วมก็ดี เป็ นปาจิตตียฯ์
[673] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน สมณุ ทเทสชือกัณฑกะ มี ทิฏ ฐิทรามเห็นปานนีเกิดขึ นว่า เรารูท ้ วถึ
ั งธรรมทีพระผู้มีพระ
ภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการทีตรัสธรรมเหล่าใดว่าธรรมเหล่านีเป็ นธรรมทําอันตราย ธรรมเหล่านันหาอาจทําอันตรายแก่ผู้เสพได้
จริงไม่ ภิกษุ หลายรูป ได้ทราบข่าวว่า สมณุ ทเทสชือกัณฑกะมีทฏ ิ ฐิทรามเห็นปานนีเกิดขึ น ภิกษุ เหล่านันเข้าไปหาสมณุ ทเทสชือกัณฑ
กะถึงสํานักแล้วถามว่า อาวุโส กัณฑกะ ข่าวว่า เธอมีทฏ ิ ฐิทรามเห็นปานนีเกิดขึ น ดังนี จริงหรือ?
ก. จริงอย่างว่านันแล ขอรับ ผมรูท ้ วถึ
ั งธรรมทีพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
ภิ. อาวุโ ส กัณ ฑกะ เธออย่าได้ว่าอย่างนัน เธออย่า ได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่า วตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ พระผู้มีพระ
ภาคมิได้ตรัสอย่างนันเลย ธรรมอันทําอันตราย พระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยบรรยายเป็ นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านันอาจทําอันตรายแก่ผู้
เสพได้จริง กามทังหลาย พระผู้มี พระภาคตรัสว่ามีค วามยินดี น้อย มี ทุกข์ ม าก มี ค วามคบั แค้นมาก โทษในกามทังหลายนีมากยิงนัก
กามทังหลายพระผู้มี พระภาคตรัสว่า เปรียบเหมือนร่า งกระดูก ... ชินเนื อ ... คบหญ้า ... หลุม ถ่า นเพลิง ... ความฝัน ... ของยืม ...
ผลไม้ ... เขียงสําหรับสับเนือ ... แหลนหลาว ... ศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคบั แค้นมาก โทษในกามทังหลายนีมากยิงนัก.
สมณุ ทเทสกัณฑกะ อันภิกษุ เหล่านันว่ากล่าวอยูเ่ ช่นนี ยังยึดถือทิฏฐิทรามนัน ด้วยความยึดมันอย่างเดิม
ประชุมสงฆ์โปรดให้นาสนะ พ.รับสังให้ประชุมภิกษุ สงฆ์ ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วทรงสอบถาม
สมณุ ทเทสกัณฑกะว่า ดูกรกัณฑกะ ข่าวว่า เธอมีทฏ ิ ฐิอน ั ทรามเห็นปานนีเกิดขึ น .. ดังนีจริงหรือ?
สมณุ ทเทสกัณฑกะทูลรับว่า ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนันจริง พระพุทธเจ้าข้า
พ. ตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เพราะเหตุใด เจ้าจึงเข้าใจธรรมทีเราแสดงแล้ว เช่นนันเล่า ธรรมอันทําอันตรายเรากล่าวไว้โดยบรรยาย
เป็ นอันมากมิใช่หรือ? และธรรมเหล่านันอาจทําอันตรายแก่ผเู้ สพได้จริง กามทังหลายเรากล่าวว่ามีความยินดีน้อย ... ก็เมือเป็ นเช่นนัน
เจ้าชือว่ากล่าวตู่เราด้วยทิฏฐิ ทีตนยึดถือไว้ผิด ชือว่าทําลายตนเอง และชือว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก ข้อนันแหละ จักเป็ นไป
เพือผลไม่เป็ นประโยชน์เกือกูล เพือผลเป็ นทุกข์แก่เจ้า ตลอดกาลนาน .. ครันแล้วทรงทําธรรมีกถา รับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย เพราะเหตุนนแล ั สงฆ์จงนาสนะสมณุ ทเทสกัณฑกะ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ก็แลสงฆ์พงึ นาสนะอย่างนี ว่าดังนี:-
เจ้า กัณ ฑกะ ตังแต่วนั นี เป็ นต้นไป เจ้า อย่า อ้างพระผู้มี พระภาคนันว่าเป็ นศาสดาของเจ้า และสมณุ ทเทสอืนๆ ย่อมได้การนอน
ด้วยกันเพียง 2-3 คืนกับภิกษุ ทงหลายอั
ั นใด แม้กริ ยิ าทีได้การนอนร่วมนันไม่มีแก่เจ้า เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย.
ครังนัน สงฆ์ได้นาสนะสมณุ ทเทสกัณฑกะแล้ว.
[674] ต่อมา พระฉัพพัคคีย์รอ ู ้ ยู่ เกลียกล่อมสมณุ ทเทสกัณฑกะ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ อย่างนันแล้ว ให้อุปฏ ั ฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สําเร็จ
การนอนด้วยกันบ้าง.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้นาสนะสามเณรผูป้ ระกอบด้วยองค์ 10 คือ วิ.ม.4/124/141
1. ทําสัตว์ทีมีชีวิตให้ตกล่วงไป 6. กล่าวติพระพุทธเจ้า
2. ถือเอาพัสดุอนั เจ้าของมิได้ให้ 7. กล่าวติพระธรรม
3. ประพฤติกรรมอันเป็ นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ 8. กล่าวติพระสงฆ์
4. กล่าววาจาเท็จ 9. มีความเห็นผิ ด
5. ดืมนําเมา 10. ประทุษร้ายภิกษุณี
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ลงทัณฑกรรม แก่สามเณรผูป้ ระกอบด้วยองค์ 5 คือ วิ.ม.4/121/139
1. พยายามเพือความเสือมลาภแห่งภิกษุ ทงหลายั 4. ด่า บริภาษ ภิกษุ ทงหลาย

2. พยายามเพือความพินาศแห่งภิกษุ ทงหลาย
ั 5. ยุยงภิกษุ ตอ่ ภิกษุ ให้แตกกัน
3. พยายามเพือความอยูไ่ ม่ได้แห่งภิกษุ ทงหลาย

ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผูป้ ระกอบด้วยองค์ 5 นี แล.
ครังนัน ภิกษุ ทงหลายได้
ั มีความดําริว่า จะพึงลงทัณฑกรรมอย่างไรหนอแล
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามปราม.”
ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายลงทั
ั ณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่งแก่พวกสามเณร. สามเณรเข้าอารามไม่ได้ จึงหลีกไปเสียบ้าง สึก
เสียบ้าง ไปเข้ารีดเดียรถียบ์ า้ ง. ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผูม้ ีพระภาค.
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรม คือห้ามสังฆารามทุกแห่ ง รูปใดลงต้องอาบัติทุกกฏ”
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามเฉพาะสถานทีทีสามเณรจะอยู่หรือจะเข้าไปได้.”
ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายลงทั
ั ณฑกรรมคือห้ามอาหารซึงจะกลืนเข้าไปทางช่องปากแก่พวกสามเณร. คนทังหลายทําปานะคือยาคูบา้ ง
สังฆภัตรบ้าง จึงกล่าวนิ มนต์พวกสามเณรอย่างนี วา่ นิ มนต์ท่านทังหลายมาดืมยาคู นิ มนต์ท่านทังหลายมาฉันภัตตาหาร. พวกสามเณรจึง
กล่าวอย่างนี วา่ อาวุโสทังหลาย พวกอาตมาทําอย่างนันไม่ได้ เพราะภิกษุ ทงหลายลงทั
ั ณฑกรรม คือห้ามไว้. ประชาชนจึงเพ่งโทษ
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรมคือห้ามอาหารทีจะกลืนเข้าไปทางช่องปาก รูปใดลง ต้องอาบัติทุกกฏ.”
นาสนะ มี 3 อย่าง คือ วิ.อ.3/489
1. ลิงคนาสนะ เช่น สามเณรผูป้ ระทุษร้าย(นางภิกษุ ณี) สงฆ์พึงให้ฉิบหายเสีย [ไล่สึกเสีย]
2. สังวาสนาสนะ เช่น พวกภิกษุ ทาํ อุปเขปนี ยกรรม เพราะไม่เห็น หรือไม่ทําคืนอาบัติก็ดี เพราะไม่สละทิษฐิลามาเสียก็ดี [ไล่ออกจากการร่วม
กิจกรรม]
3. ทัณฑกัมมนาสนะ เช่น พวกภิกษุ ทาํ ทัณฑกรรม(แก่สมณุ เทศ คือ สามเณร) ว่า เจ้าคนเลว เจ้าจงไปเสีย จงฉิบหายเสีย [ลงโทษให้พน้ จากสังกัด]

๒๑๕
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] โปตลิยสูตร ม.ม.13/36/30
โปตลิยคฤหบดี อุปมาโทษของกาม 7 ข้อ
[47] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นีว่า ดูกอ ่ นคฤหบดี เปรียบเหมือนสุนขั อันความเพลียเพราะความหิวเบียดเบียนแล้ว พึง
เข้าไปยืนอยูใ่ กล้เคียงของนายโคฆาต นายโคฆาตหรือลูกมือของนายโคฆาตผูฉ ้ ลาด พึงโยนร่างกระดูกทีเชือดชําแหละออกจนหมดเนือ
แล้ว เปื อนแต่เลือดไปยังสุนขั ฉันใด ดูกอ ่ นคฤหบดี ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน สุนขั นันแทะร่างกระดูกทีเชือดชําแหละออกจน
หมดเนือ เปื อนแต่เลือด จะพึงบําบัดความเพลียเพราะความหิวได้บ้างหรือ.
ไม่ได้เลยพระองค์ผู้เจริญ ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะเป็ นร่างกระดูกทีเชือดชําแหละออกจนหมดเนือ เปื อนแต่เลือด และสุนขั นัน
พึงมีแต่สว่ นแห่งความเหน็ดเหนือยคบั แค้นเท่านัน.
ดูกอ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยร่างกระดูก มี
ทุกข์ มาก มี ค วามค ับแค้นมาก ในกามนีมีโทษอย่างยิง ครันเห็นโทษแห่งกามนีตามความเป็ นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนีแล้ว ย่อม
เว้นขาดซึ งอุเบกขาทีมีความเป็ นต่าง ๆ อาศัยความเป็ นต่าง ๆ แล้วเจริญอุเบกขาทีมีความเป็ นอารมณ์ เดียว อาศัยความเป็ นอารมณ์
เดียว อันเป็ นทีดับความถือมันโลกามิสโดยประการทังปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[48] ดู ก่อนคฤหบดี เปรียบเหมือนแร้งก็ดี นกตะกรุมก็ดี เหยียวก็ดี พาชินเนื อบินไป แร้งทังหลาย นกตะกรุมทังหลาย หรือเหยียว
ทังหลาย จะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชินเนือนัน ฉันใด ดูกอ ่ นคฤหบดี ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ถ้าแร้ง นกตะกรุม หรือเหยียวตัว
นัน ไม่รบ ิ ปล่อยชินเนือนันเสีย มันจะถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตายเพราะชินเนือนันเป็ นเหตุ.
อย่างนัน พระองค์ผู้เจริญ.
ดูกอ ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยชินเนือ มีทุกข์
มาก ...
[49] ดูกอ ่ นคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงถือคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทัวแล้ว เดินทวนลมไป ฉันใด ดูกอ ่ นคฤหบดี ท่านจะสําคญ ั ความ
ข้อนัน เป็ นไฉน ถ้า บุ รุษ นันไม่รีบ ปล่อยคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทัวนันเสีย คบเพลิงหญ้า อันไฟติดทัวนัน พึงไหม้มื อ ไหม้แขน หรือ
อวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ งของบุรษ ุ นัน บุรุษนันจะถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนันเป็ นเหตุ.
อย่างนัน พระองค์ผู้เจริญ.
ดูกอ ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผูม ้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยคบเพลิงหญ้า
มีทุกข์มาก ...
[50] ดู ก่อนคฤหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่า ชัวบุรุษหนึ ง เต็ ม ด้วยถ่า นเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุ รุษผู้รกั
ชี วิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุ รุษ มี กาํ ลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนันข้างละคน ฉุ ด เข้าไปยังหลุมถ่า นเพลิง ฉันใด
ดูกอ ่ นคฤหบดี ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน บุรุษนันจะพึงน้อมกายเข้าไปด้วยคิดเห็นว่าอย่างนี ๆ บ้างหรือ.
ไม่เป็ นเช่นนัน พระองค์ผู้เจริญ ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะบุรุษนันรูว้ า่ เราจักตกลงยังหลุมถ่านเพลิงนี จักถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตาย
เพราะการตกลงยังหลุมถ่านเพลิงเป็ นเหตุ.
ดูกอ ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนหลุม
ถ่านเพลิง มีทุกข์มาก ...
[51] ดู ก่อนคฤหบดี เปรียบเหมื อนบุ รุษ พึ งฝันเห็นสวนอันน่ ารืนรมย์ ป่ าอันน่ า รืนรมย์ ภาคพืนอันน่ า รืนรมย์ สระโบกขรณี อน ั น่ า
รืนรมย์ บุรุษนันตืนขึ นแล้ว ไม่พงึ เห็นอะไร ฉันใด
ดูกอ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยความฝัน
มีทุกข์มาก ...
[52] ดูกอ ่ นคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ คือแก้วมณี และกุณฑลอย่างดีบรรทุกยานไป เขาแวดล้อมด้วยทรัพย์สมบัตท ิ ี
ตนยืม มา พึงเดินไปภายในตลาด คนเห็นเขาเข้า แล้ว พึงกล่า วอย่า งนี ว่า ดู ก่อนท่า นผู้เจริญ บุ รุษ ผู้นีมี โ ภคสมบัติหนอ ได้ยินว่า ชน
ทังหลายผู้มีโภคสมบัติ ย่อมใช้สอยโภคสมบัติอย่างนี ดังนี พวกเจ้าของพึงพบบุรุษนัน ณ ทีใด ๆ พึงนําเอาของตนคืนไปในทีนัน ๆ ฉัน
ใด ดูกอ ่ นคฤหบดี ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน จะสมควรหรือหนอ เพือความทีบุรุษนันจะเป็ นอย่างอืนไป.
ไม่เป็ นเช่นนัน พระองค์ผู้เจริญ ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะเจ้าของย่อมจะนําเอาของตนคืนไปได้.
ดูกอ ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยของยืม มีทุกข์
มาก ...
[53] ดูกอ ่ นคฤหบดี เปรียบเหมือนราวป่ าใหญ่ ในทีไม่ไกลบ้านหรือนิคม ต้นไม้ในราวป่ านัน พึงมีผลรสอร่อย ทังมีผลตก แต่ไม่มีผล
หล่นลง ณ ภาคพืนสักผลเดียว บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเทียวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่ านัน เห็นต้นไม้อน ั มีผลรสอร่อย มี
ผลดกนัน เขาพึงคิดอย่างนีว่า ต้นไม้นีมีผลรสอร่อย มีผลตก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพืนสักผลเดียว แต่เรารูเ้ พือขึ นต้นไม้ ไฉนหนอ
เราพึงขึ นต้นไม้นีแล้วกินพออิม และห่อพกไปบ้า ง เขาขึ นต้นไม้นนแล้ ั ว กินจนอิม และห่อพกไว้. ลํา ดับ นัน บุ รุษ คนทีสองต้องการ
ผลไม้ . ถือขวานอันคมเทียวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่ านันแล้ว เห็นต้นไม้มีผลรสอร่อย มีผลดกนัน เขาพึงคิดอย่างนีว่า
ต้นไม้นีมีผลรสอร่อย มีผลดกแต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพืนสักผลเดียว และเราก็ไม่รเู ้ พือขึ นต้นไม้ ไฉนหนอเราพึงตัดต้นไม้นีแต่โคน
ต้น แล้วกินพออิม และห่อพกไปบ้าง เขาพึงตัดต้นไม้นนแต่ ั โคนต้นฉันใด ดูกอ ่ นคฤหบดี ท่านจะสําคญั ความข้อนันเป็ นไฉน บุรุษคน
โน้นซึ งขึ นต้นไม้กอ ่ นนัน ถ้าแลเขาไม่รีบลง ต้นไม้นนจะพึ ั งล้มลง หักมือหักเท้า หรือหักอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ งของบุ รุษ นัน
บุรุษนันพึงถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นนล้ ั มเป็ นเหตุ.
เป็ นอย่างนัน พระองค์ผู้เจริญ.
ดูกอ ่ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉน ั นันแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า กามทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบด้วยผลไม้ มี
ทุกข์ มาก มี ค วามค ับแค้นมาก ในกามนีมีโทษอย่างยิง ครันเห็นโทษแห่งกามนีตามความเป็ นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนีแล้ว ย่อม
เว้นขาดซึ งอุเบกขาทีมีความเป็ นต่าง ๆ อาศัยความเป็ นต่าง ๆ แล้วเจริญอุเบกขาทีมีความเป็ นอารมณ์ เดียว อาศัยความเป็ นอารมณ์
เดียว อันเป็ นทีดับความถือมันโลกามิส โดยประการทังปวง หาส่วนเหลือมิได้.
ทีเหลืออีก 3 ข้อ (เขียง หอก งู) อรรถกถากล่าวถึงเล็กน้อยใน ขุ.มหา.อ. 65 หน้า 82 มมร.
มหาทุกขักขันธสูตร (ม.มู.12/194/114)

๒๑๖
สหธรรมิกวรรคที 8
บทที 1 อนึ ง ภิ กษุ ใด อันภิ กษุ ทังหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม กล่าวอย่างนี ว่า แน่ ะเธอ ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี (จักยังไม่ใส่ใจ ถื อปฏิบตั ิ
ตาม) ตลอดเวลาที ยังไม่ได้สอบถามภิ กษุ อืนผูฉ้ ลาด ผูท้ รงวินัย เป็ นปาจิตตีย ์ , ดูกรภิ กษุ ทังหลาย อันภิ กษุ ผูศ้ ึกษาอยู่ ควรรูท้ ัวถึ ง ควร
สอบถาม ควรตริตรอง นี เป็ นสามีจิกรรมในเรืองนันฯ
ทีชือว่า ชอบธรรม คือ สิกขาบทใดทีพระผูม้ ีพระภาคทรงบัญญัติไว้ นันชือว่าชอบธรรม
บทว่า ผูศ้ ึกษาอยู่ คือ ผูใ้ คร่จะสําเหนี ยก.
[680] พ.ประทับ อยู่ ณ โฆสิต าราม เขตพระนครโกสัมพี. ครังนัน ท่า นพระฉันนะ ประพฤติอนาจาร ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นว่ากล่าว
อย่างนีว่า อาวุโส ฉันนะ ท่านอย่าได้ทาํ การเห็นปานนัน การทําอย่างนัน นันไม่ควร.
ท่านกล่าวอย่างนีว่า อาวุโส ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี ตลอดเวลาทีฉันยังไม่ได้สอบถามภิกษุ อืน ผู้ฉลาด ผู้ทรงวินยั .
บทภาชนีย ์ ภิกษุ ผอู ้ นั ภิกษุ ทงหลายว่
ั ากล่าวอยู่ ตามสิกขาบททีมิได้ทรงบัญญัติไว้ กล่าวอย่างนี วา่ สิกขาบทนี ไม่เป็ นไปเพือความขัดเกลา ไม่เป็ นไป
เพือความกําจัด ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใส ไม่เป็ นไปเพือความไม่สะสม ไม่เป็ นไปเพือปรารภความเพียร และซําพูดว่า แน่ ะเธอ เธอจักยังไม่ศึกษาใน
สิกขาบทนี ตลอดเวลาทียังไม่ได้สอบถามภิกษุ อืน ผูฉ้ ลาด ผูท้ รงวินัย เป็ นบัณฑิต มีปัญญา เป็ นพหูสูต เป็ นธรรมกถึก ดังนี , ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุ ผอู ้ นั อนุ ปสัมบันว่ากล่าวอยูต่ ามสิกขาบททีทรงบัญญัติไว้ก็ตาม ทีมิได้ทรงบัญญัติไว้ก็ตาม พูดอย่างนี วา่ สิกขาบทนี ไม่เป็ นเพือความขัดเกลา
ไม่เป็ นไปเพือความกําจัด ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใส ไม่เป็ นไปเพือความไม่สะสม ไม่เป็ นไปเพือปรารภความเพียร, และซํากล่าวว่า แน่ ะเธอ ฉันจักยัง
ไม่ศึกษาในสิกขาบทนี ตลอดเวลาทียังไม่ได้สอบถามภิกษุ อืนผูฉ้ ลาด ผูท้ รงวินัย เป็ นบัณฑิต มีปัญญา เป็ นพหูสูต เป็ นธรรมกถึก ดังนี , ต้องอาบัติทุกกฏ.
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 236
1. อุปสัมบันว่ากล่าวด้วยบัญญัติ พร้อมด้วยองค์ 2 ดังนี เป็ นปาจิตตีย ์
2. กล่าวผัดเพียนไปดังนัน ด้วยหวังจะไม่ศึกษา

บทที 2 อนึ ง ภิ กษุ ใด เมือมีใครสวดปาติโมกข์อยู่ กล่าวอย่างนี ว่า ประโยชน์ อะไรด้วยสิกขาบทเล็กน้อยเหล่านี ทีสวดขึนแล้ว ช่างเป็ นไปเพือความ
รําคาญ เพือความลําบาก เพือความยุง่ เหยิงนี กระไร เป็ นปาจิตตีย ์ เพราะก่นสิกขาบทฯ
คําว่า เมือมีใครสวดปาติโมกข์อยู่ ความว่า เมือมีผใู ้ ดผูห้ นึ งยกปาติโมกข์ขึนแสดงอยูก่ ็ดี ให้ผอู ้ ืนยกขึนแสดงอยูก่ ็ดี ท่องบ่นอยูก่ ็ด.ี
[685] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครังนัน พระผู้มีพระภาคตรัสวินยั กถา ทรง
พรรณนาคุณแห่งพระวินยั ตรัสอานิสงส์แห่งการเรียนพระวินยั ทรงยกย่องโดยเฉพาะท่านอุบาลีเนืองๆ แก่ภิกษุ ทงหลาย ั โดยอเนก
ปริยาย ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นกล่าวว่า พระผู้ มี พระภาคตรัสวินยั กถา ทรงพรรณนาคุณแห่งพระวินยั ตรัสอานิสงส์แห่งการเรียนพระ
วินยั ทรงยกย่องโดยเฉพาะท่านพระอุบาลีเนื องๆ โดยอเนกปริยาย อาวุโสทังหลาย ดังนัน พวกเราพากันเล่าเรียนพระวินยั ในสํา นัก
ท่านพระอุบาลีเถิด ก็ภิกษุ เหล่านันมากเหล่า เป็ นเถระก็มี เป็ นมัชฌิมะก็มี เป็ นนวกะก็มี ต่างพากันเล่าเรียนพระวินยั ในสํานักท่านพระ
อุบาลี.
ส่วนพระฉัพพัคคีย์ได้หารือกันว่า อาวุโสทังหลาย บัดนี ภิกษุ เป็ นอันมาก ทังเถระ มัชฌิมะ และนวกะ พากันเล่าเรียนพระวินยั
ในสํา นักท่า นพระอุบ าลี ถ้า ภิกษุ เหล่า นี จักเป็ นผู้รูพ
้ ระบัญญัติใ นพระวินยั ท่า นจักฉุ ด กระชากผลักไสพวกเราได้ตามใจชอบ อย่า
กระนันเลย พวกเราจงช่วยกันก่นพระวินยั เถิด เมือตกลงดังนัน พระฉัพพัคคีย์จงึ เข้าไปหาภิกษุ ทงหลาย ั กล่าวอย่างนีว่า จะประโยชน์
อะไรด้วยสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ เหล่านีทียกขึ นแสดงแล้ว ช่างเป็ นไปเพือความรําคาญ เพือความลําบาก เพือความยุง่ เหยิงนีกระไร.

บทภาชนีย ์ ภิกษุ ก่นธรรมอย่างอืน ต้องอาบัติทุกกฏ.


ภิกษุ ก่นพระวินัยหรือพระธรรมอย่างอืนแก่อนุ ปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทที 3 อนึ ง ภิกษุใด เมือพระวินัยธรสวดปาติโมกข์อยูท่ ุกกึงเดือน กล่าวอย่างนี วา่ ฉันเพิงรูเ้ ดียวนี เองว่า เออ ธรรมแม้นีก็มาแล้วในสูตร เนื องแล้วใน
สูตร มาสูอ่ ุ เทศทุกกึงเดือน ถ้าภิกษุ ทงหลายอื
ั นรูจ้ กั ภิกษุ นันว่า ภิกษุ นีเคยนังเมือปาติโมกข์กาํ ลังสวดอยู่ 2-3 คราวมาแล้ว กล่าวอะไรอีก อันความพ้น
ด้วยอาการทีไม่รู ้ หามีแก่ภิกษุ นันไม่ พึงปรับเธอตามธรรม ด้วยอาบัติทีต้องในเรืองนัน และพึงยกความหลงขึนแก่เธอเพิมอีกว่า แน่ ะเธอ ไม่ใช่ลาภของ
เธอ เธอได้ไม่ดีแล้ว ด้วยเหตุวา่ เมือปาติโมกข์กาํ ลังสวดอยู่ เธอหาทําในใจให้สาํ เร็จประโยชน์ดีไม่ นี เป็ นปาจิตตียใ์ นความเป็ นผูแ้ สร้งทําหลงนันฯ
[689] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ ประพฤติอนาจารแล้วตังใจอยู่ว่า ขอภิกษุ ทงหลายจงทราบว่
ั า พวกเรา
เป็ นผู้ต้องอาบัติดว้ ยอาการทีไม่รู ้ แล้วเมือพระวินยั ธรยกปาติโมกข์ขึ นแสดง กล่าวอย่างนีว่า พวกผมเพิงทราบเดียวนีเองว่า ธรรมแม้
นีก็มาในพระสูตร เนืองในพระสูตร มาสูอ ่ ุเทศทุกกึงเดือน

บทที 4. อนึ ง ภิกษุ ใด โกรธน้อยใจ ให้ประหารแก่ภิกษุ เป็ นปาจิตตีย ์


[695] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ โกรธ น้อยใจ ให้ประหารแก่พระสัตตรสวัคคีย์ พระสัตตรสวัคคีย์รอ้ งไห้

บทภาชนีย ์ ภิกษุ โกรธ น้อยใจ ให้ประหาร แก่อนุ ปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.


อนาบัติ. ภิกษุ ถูกใครๆ เบียดเบียน ประสงค์จะป้ องกันตัว ให้ประหาร

๒๑๗
บทที 5 อนึ ง ภิกษุ ใด โกรธ น้อยใจ เงือหอกคือฝ่ ามือขึนแก่ภิกษุ เป็ นปาจิตตียฯ์
[699] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์โกรธ น้อยใจ เงือหอกคือฝ่ ามือขึนแก่พระสัตตรสวัคคีย์ พระสัตตรสวัคคีย์
หลบประหารแล้วร้องไห้
บทภาชนีย ์ ภิกษุ โกรธ น้อยใจ เงือหอกคือฝ่ ามือขึนแก่อนุ ปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาบัติ ภิกษุ ถูกใครๆ เบียดเบียน ประสงค์จะป้ องกันตัว เงือหอกคือฝ่ ามือขึน

บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใด กําจัดซึงภิกษุ ดว้ ยอาบัติสังฆาทิเสสหามูลมิได้ เป็ นปาจิตตียฯ์


[703] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์โจทภิกษุ ด้วยอาบัติสงั ฆาทิเสส ไม่มีมูล

บทภาชนีย ์ ภิกษุ โจทด้วยอาจารวิบตั ิก็ดี ด้วยทิฏฐิวิบตั ิก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.


ภิกษุ โจทอนุ ปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

บทที 7. อนึ ง ภิ ก ษุ ใ ด แกล้ง ก่ อความรํา คาญแก่ ภิ ก ษุ ด ว้ ยหมายว่า ด้ว ยเช่ น นี ความไม่ ผาสุ ก จั ก มี แ ก่ เ ธอแม้ค รู ่ห นึ ง ทํา
ความหมายอย่างนี เท่านั นแลให้เป็ นปั จจัย หาใช่อย่างอืนไม่ เป็ นปาจิตตียฯ์
ก่อความรําคาญ หมายถึง เป็ นต้นว่า กล่าวว่า “ชะรอย(สงสัย) ท่านมีอายุ 20 ฝน อุปสมบทแล้ว, ชะรอยท่านบริโภคอาหารในเวลาวิกาลแล้ว, ชะรอย
ท่านดืมนําเมาแล้ว, ชะรอยท่านนังในทีลับกับมาตุคามแล้ว ดังนี เป็ นต้น
[707] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัค คีย์แกล้งก่อความรํา คาญให้แก่พระสัต ตรสวัค คีย์ ด้วยพูด ว่า อาวุโ ส
ทังหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสกิ ขาบทไว้วา่ สงฆ์ไม่พงึ อุปสมบทบุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี ดังนี ก็พวกท่านมีอายุหย่อน 20 ปี
อุปสมบทแล้ว พวกท่านเป็ นอนุปสัมบันของพวกเรา กระมัง พระสัตตรสวัคคีย์เหล่านันร้องไห้.

บทภาชนีย ์ ภิกษุ แกล้งก่อความรําคาญให้แก่อนุ ปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

บทที 8. อนึ ง ภิกษุ ใด เมือภิกษุ ทงหลายเกิ


ั ดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกัน ยืนแอบฟั งด้วยหมายว่า จักได้ฟังคําที
เธอพูดกัน ทําความหมายอย่างนี เท่านั นแล ให้เป็ นปั จจัย หาใช่อย่างอืนไม่ เป็ นปาจิตตียฯ์
ยืนแอบฟั ง คือ เดินไปด้วยตังใจว่า เราจักฟั งคําของภิกษุ เหล่านันแล้วจักท้วง จักเตือน จักฟ้ อง จักให้สาํ นึ ก จักทําให้เก้อเขิน ดังนี ต้องอาบัติทุกกฏ,
ยืนอยูใ่ นทีใด ได้ยิน ต้องอาบัติปาจิตตีย ์
[711] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับพวกภิกษุ มีศีลเป็ นทีรัก พวกภิกษุ มีศีลเป็ นทีรักกล่าวสนทนา
กันอยูอ
่ ย่างนีว่า อาวุโสทังหลาย พระฉัพพัคคีย์พวกนีเป็ นอลัชชี พวกเราไม่อาจจะทะเลาะกับพระพวกนีได้.
พระฉัพพัคคีย์กล่าวต่ออย่างนีว่า อาวุโสทังหลาย ทําไม พวกท่านจึงได้เรียกพวกเราด้วยถ้อยคําว่าอลัชชี.
พวกภิกษุ ผู้มีศีลเป็ นทีรักถามว่า อาวุโสทังหลาย พวกท่านได้ยน
ิ มาแต่ทีไหน?
พระฉัพพัคคีย์ตอบว่า เรายืนแอบฟังพวกท่านอยู.่
บทภาชนีย ์ ภิกษุ ยืนแอบฟั งถ้อยคําของอนุ ปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาบัติ. ภิกษุ เดินไปหมายว่า จักฟั งถ้อยคําของภิกษุ เหล่านี แล้ว จักงด จักเว้น จักระงับ จักเปลืองตน ดังนี

บทที 9 อนึ ง ภิกษุ ใด ให้ฉนั ทะเพือกรรมอันเป็ นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง เป็ นปาจิตตียฯ์


[715] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจารแล้ว เมือการกสงฆ์ทาํ กรรมแก่ภิกษุ แต่ละรูปอยู่ ย่อม
คดั ค้าน ครันสงฆ์ประชุมกันด้วยกรรมบางอย่างทีสงฆ์จะต้องทํา พระฉัพพัคคีย์สาละวนทําจีวรกรรมกันอยู่ ได้ให้ฉน ั ทะไปแก่พระรูป
หนึ ง ทันใด สงฆ์จงึ กล่าวว่า อาวุโสทังหลาย ภิกษุ รูปนีเป็ นพวกพระฉัพพัคคีย์มารูปเดียว ฉะนัน พวกเราจะทํากรรมแก่เธอ ดังนี แล้ว
ได้ทาํ กรรมแก่พระฉัพพัคคีย์รูปนัน เมือเสร็จแล้ว ภิกษุ ฉพ ั พัคคีย์รูปนัน ได้เข้าไปหาพระฉัพพัคคีย์ พระฉัพพัคคีย์ถามภิกษุ รูปนันว่า
อาวุโส สงฆ์ได้ทาํ อะไร?
ภิกษุ รูปนันตอบว่า สงฆ์ได้ทาํ กรรมแก่ผม ขอรับ.
พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า อาวุโส เราไม่ได้ให้ฉน ั ทะไปเพือหมายถึงกรรมนีว่า สงฆ์จกั ทํากรรมแก่ทา่ น ถ้าเราทราบว่า สงฆ์จกั ทํา
กรรมแก่ทา่ น เราจะไม่พงึ ให้ฉน ั ทะไป.

บทภาชนีย ์ [717] กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมเป็ นธรรม ให้ฉนั ทะไปแล้ว บ่นว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ สงสัย ให้ฉนั ทะไปแล้ว บ่นว่า ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ให้ฉนั ทะไปแล้ว บ่นว่า ไม่ตอ้ งอาบัติ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมเป็ นธรรม ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ... ไม่ตอ้ งอาบัติ.

๒๑๘
บทที 10 อนึ ง ภิกษุ ใด เมือเรืองอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็ นไปอยูใ่ นสงฆ์ ไม่ให้ฉนั ทะแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย เป็ นปาจิตตียฯ์
ทีชือว่า เรืองอันจะพึงวินิจฉัยในสงฆ์ ได้แก่ เรืองทีโจทก์จาํ เลยแจ้งไว้แล้ว แต่ ยังไม่ได้วินิจฉัย 1 ตังญัตติแล้ว 1 กรรมวาจายังสวดค้างอยู่ 1
[719] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน สงฆ์ประชุมกันด้วยกรรมบางอย่างทีสงฆ์จะต้องทํา พระฉัพพัคคีย์สาละวนทําจีวรกรรม
กันอยู่ ได้ให้ฉนั ทะไปแก่ภิกษุ รูปหนึ ง ถึงก็พอดี สงฆ์ตงญัั ตติแล้วว่า สงฆ์ประชุมกันเพือประสงค์ทาํ กรรมใด พวกเราจักทํากรรมนัน
ดังนี.
ภิกษุ รูปนันจึงพูดขึ นว่า ภิกษุ เหล่านีทํากรรมแก่ภิกษุ แต่ละรูปอย่างนี พวกท่านจักทํากรรมแก่ใครกัน แล้วไม่ให้ฉน
ั ทะ ลุกจาก
อาสนะหลีกไป.
บทภาชนีย ์ กรรมเป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ไม่ให้ฉนั ทะแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไป ไม่ตอ้ งอาบัติ.
กรรมไม่เป็ นธรรม ภิกษุ สาํ คัญว่ากรรมไม่เป็ นธรรม ไม่ตอ้ งอาบัติ.
องค์แห่งอาบัติ บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 242
1. ตัดสินความหรือสังฆกรรมค้างอยู่ 4. อยูใ่ นสีมาด้วยสงฆ์
2. กรรมนันเป็ นธรรม 5. ตนมีสงั วาสเสมอด้วยสงฆ์
3. รูอ้ ยูว่ า่ เป็ นธรรม 6. ประสงค์จะให้กรรมกําเริบแล้วลุกไป พร้อมด้วยองค์ 6 ดังนี เป็ นปาจิตตีย ์

บทที 11 อนึ ง ภิ กษุ ใดกับสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียงกัน ให้จีวรแก่ภิกษุ แล้ว ภายหลังถึ งธรรมคือบ่นว่า ภิ กษุ ทังหลายน้อมลาภของสงฆ์ไปตามชอบใจ
เป็ นปาจิตตียฯ์
คําว่า ภายหลังถึงธรรมคือบ่น ความว่า เมือให้จีวรแก่อุปสัมบันทีสงฆ์สมมติให้เป็ นผูจ้ ดั เสนาสนะก็ดี ให้เป็ นผูแ้ จกอาหารก็ดี ให้เป็ นผูแ้ จกยาคูก็ดี ให้เป็ น
ผูแ้ จกผลไม้ก็ดี ให้เป็ นผูแ้ จกของเคียวก็ดี ให้เป็ นผูแ้ จกของเล็กน้อยก็ดี แล้วบ่น ต้องอาบัติปาจิตตีย.์
[723] พ.ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวน ั วิหาร ครังนัน ท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์ แต่ทา่ นเป็ นผู้มีจีวร
เก่า. สมัยนัน มีจีวรผืนหนึ งเกิดขึ นแก่สงฆ์ สงฆ์จงึ ได้ถวายจีวรผืนนันแก่ทา่ นพระทัพพมัลลบุตร พวกพระฉัพพัคคีย์พากันเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุ ทงหลายน้
ั อมลาภของสงฆ์ไปตามชอบใจ.

บทภาชนีย ์ ให้บริขารอย่างอืนแล้ว บ่น ต้องอาบัติทุกกฎ


เมือให้จีวรหรือบริขารอย่างอืนแก่อนุ ปสัมบันผูท้ ีสงฆ์สมมติก็ดี ไม่ได้สมมติก็ดี ให้เป็ นผูจ้ ดั เสนาสนะ ให้เป็ นผูแ้ จกอาหาร ให้เป็ นผูแ้ จก
ยาคู ให้เป็ นผูแ้ จกผลไม้ ให้เป็ นผูแ้ จกของเคียว หรือให้เป็ นผูแ้ จกของเล็กน้อยแล้ว บ่น ต้องอาบัติทุกกฏ.

บทที 12. อนึ ง ภิกษุใด รูอ้ ยู่ น้อมลาภทีเขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพือบุคคล เป็ นปาจิตตียฯ์


[727] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ในพระนครสาวัตถี มี ช าวบ้า นหมู่หนึ งได้จดั อาหารพร้อมทังจีวรไว้เพือสงฆ์ ด้วย
หมายใจว่า ให้ทา่ นฉันแล้วจักให้ครองจีวร. ครังนันแล พวกพระฉัพพัคคีย์ได้เข้าไปหาชาวบ้านหมู่นนแล้ ั วกล่าวว่า ท่านทังหลาย ขอ
จงถวายจีวรเหล่านีแก่ภิกษุ พวกนีเถิด.
ชาวบ้านหมู่นนกล่
ั าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกกระผมจัดถวายไม่ได้ เพราะพวกกระผมได้จดั อาหารพร้อมทังจีวรไว้เพือสงฆ์ ทุกๆ ปี .
พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ท่านทังหลาย ทายกผู้ถวายแก่สงฆ์มีจาํ นวนมาก อาหารสําหรับสงฆ์ก็มีมาก ภิกษุ เหล่านีอาศัยพวกท่า น
เห็นอยูแ
่ ต่พวกท่าน จึงอยูใ่ นทีนี หากพวกท่านจักไม่ให้แก่ภิกษุ เหล่านี ก็บดั นี ใครเล่าจักให้แก่ภิกษุ เหล่านี ขอท่านทังหลาย จงให้จีวร
เหล่านีแก่ภิกษุ พวกนีเถิด.
เมื อชาวบ้านพวกนันถูกพระฉัพพัคคีย์แค่นได้ จึงได้ถวายจีวรตามทีได้จดั ไว้แก่พวกพระฉัพพัค คีย์ไป แล้วอังคาสสงฆ์ด้วย
อาหารอย่างเดียว. บรรดาภิกษุ ทีทราบว่า อาหารพร้อมทังจีวรทีเขาจัดไว้ถวายสงฆ์มี แต่ไม่ทราบว่า เขาได้ถวายจีวรแก่พระฉัพพัค
คีย์ไปแล้ว ได้กล่าวขึ นอย่างนีว่า ท่านทังหลาย ขอจงถวายจีวรแก่สงฆ์เถิด.
ชาวบ้านหมู่นนกล่
ั าวว่า ท่านเจ้าข้า จีวรตามทีได้จดั ไว้ไม่มี เจ้าข้า เพราะพระคุณเจ้า เหล่าฉัพพัคคีย์ได้น้อมไปเพือพระคุณเจ้า
เหล่าฉัพพัคคีย์ด้วยกันแล้ว.
……………………………………………………………….

๒๑๙
รตนวรรคที 9 วินย.๒/๗๓๑/๖๐๗
บทที 1. อนึ ง ภิ ก ษุ ใ ด ไม่ ไ ด้ร ับ บอกก่ อน ก้า วล่ว งธรณี เ ข้า ไปในห้องของพระราชาผู ก้ ษั ต ริย ไ์ ด้ร ับ มุร ธาภิ เ ษกแล้ว ที
พระราชายังไม่ได้เสด็จออก(จากตําหนักทีผทม) ทีรตั นะยังไม่ออก เป็ นปาจิตตีย ์
๕.

ยังไม่ได้รบั บอกก่อน คือ ไม่มีใครนิ มนต์ไว้ก่อน


ได้รบั มุรธาภิเษกแล้ว คือ ได้รบั อภิเษกโดยสงสนานให้เป็ นกษัตริยแ์ ล้ว
ทีรัตนะยังไม่ออก คือ พระมเหสียงั ไม่เสด็จออกจากตําหนักทีผทม
[731] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสสังเจ้าหน้าทีผู้รกั ษาพระราชอุทยานว่า ดูกรพนาย เจ้าจงไป
ตกแต่งอุทยานให้เรียบร้อย เราจักประพาสอุทยาน. เจ้าหน้าทีรักษาพระราชอุทยานผู้นน ั รับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ตกแต่ง
พระราชอุทยานอยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนังอยู่ ณ โคนไม้ต้นหนึ ง ครันแล้ว จึงเข้าเฝ้ าพระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลว่า ขอ
เดชะ พระราชอุทยานเรียบร้อยแล้ว และพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โคนไม้ในพระราชอุทยานนัน พระพุทธเจ้าข้า.
ท้า วเธอรับ สังว่า ช่า งเถอะพนาย เราจักเฝ้ าพระผู้มี พระภาค ครันแล้วเสด็ จไปสู่พระราชอุ ทยาน เข้า เฝ้ าพระผู้มี พระภาค
ขณะนันมีอุบาสกผู้หนึ งนังเฝ้ าพระผู้มีพระภาคอยูใ่ กล้ๆ ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นอุบาสกนันนังเฝ้ าอยูใ่ กล้พระผู้มีพระภาค ทรง
ตกพระทัยยืนชะงักอยู่ ครันแล้วทรงพระดําริวา่ บุรุษผู้นีคงไม่ใช่คนตําช้า เพราะเฝ้ าพระผู้มีพระภาคอยูใ่ กล้ๆ ได้ ดังนี แล้วเข้าไป
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ประทับนัง ณ ราชอาสน์อน ั สมควรส่วนข้างหนึ ง.
ส่วนอุบาสกนันไม่ถวายบังคม ไม่ลุกรับเสด็จพระเจ้าปเสนทิโกศล ด้วยความเคารพต่อพระผู้มีพระภาค จึงพระเจ้าปเสนทิโกศล
ไม่ทรงพอพระทัยว่า ไฉนบุรุษนี เมือเรามาแล้ว จึงไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ
พระผู้มี พระภาคทรงทราบว่า พระเจ้า ปเสนทิโ กศลไม่ทรงพอพระทัย จึงตรัสขึ นในขณะนันว่า มหาบพิต ร อุบ าสกผู้นี เป็ น
พหูสูต เป็ นคนเล่าเรียนพระปริยตั ิธรรมมาก เป็ นผู้ปราศจากความยินดีในกามทังหลาย.
ครังนันแล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระดําริวา่ อุบาสกผู้นีไม่ใช่เป็ นคนตําต้อย แม้พระผู้มีพระภาคก็ยงั ตรัสชมเขา แล้วรับสัง
กะอุบาสกนันว่า ดูกรอุบาสก เธอพึงพูดได้ตามประสงค์เถิด.
อุบ าสกนันกราบทูลว่า เป็ นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเกล้า ฯ พระพุทธเจ้าข้า. ลํา ดับนัน พระผู้มี พระภาคทรงชีแจงให้พระ
เจ้าปเสนทิโกศลทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครันพระเจ้าปเสนทิโกศลอันพระผู้มีพระภาคทรงชีแจงให้ทรง
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากทีประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทําประทักษิ ณแล้วเสด็จ
กลับ.
[732] ต่อมา พระเจ้า ปเสนทิโกศลประทับอยู่ ณ พระมหาปราสาทชันบน ได้ทอดพระเนตรเห็นอุบาสกนันเดินกันร่มไปตาม
ถนน จึงโปรดให้เชิญตัวมาเฝ้ าแล้วรับสังว่า ดูกรอุบาสก ได้ทราบว่า เธอเป็ นพหูสูต เป็ นคนเล่าเรียนพระปริยตั ิธรรมมาก ดีละ อุบาสก
ขอเธอจงช่วยสอนธรรมแก่ฝ่ายในของเรา.
อุบาสกนันกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารูธ้ รรมด้วยอํานาจแห่งพระคุณเจ้าทังหลาย พระคุณเจ้าเท่านัน จักสอนธรรมแก่
ฝ่ ายในของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้.
พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสังขึ นในขณะนันว่า อุบาสกพูดจริงแท้ ดังนีแล้วเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วประทับนัง
ณ ราชอาสน์อน ั สมควรส่วนข้างหนึ ง กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ภก ิ ษุ รป

หนึ ง ไปเป็ นผูส้ อนธรรมแก่ฝ่ายในของหม่อมฉัน พระพุทธเจ้าข้า. ...
ทรงแต่งตังท่านพระอานนท์เป็ นครูสอนธรรม
ลํา ดับนัน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดู กรอานนท์ ถ้า เช่นนัน เธอจงสอนธรรมแก่ฝ่ายในของพระ
เจ้าแผ่นดิน.
ท่านพระอานนท์ ทูลรับสนองพระพุทธดํารัสแล้วเข้าไปสอนธรรมแก่ฝ่ายในของพระเจ้าแผ่นดินทุกเวลา ต่อมาเช้าวันหนึ ง ท่าน
พระอานนท์ครองอันตรวาสกแล้วถือบาตร จีวร เข้าไปสูพ ่ ระราชนิเวศน์ ขณะนัน พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับอยูใ่ นห้องพระบรรทม
กับพระนางมัลลิกาเทวี พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระอานนท์มาแต่ไกลเทียว จึงผลีผลามลุกขึ น พระภูษาทรงสีเหลืองเลียน
ได้เลือนหลุด ท่านพระอานนท์กลับจากสถานทีนันในทันที ไปถึงอารามแล้วแจ้งเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย ั ...
พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตี ยนว่า ดู กรอานนท์ ไฉน เธอยังไม่ได้รบ ั บอกก่อนจึงได้ เข้า สู่พระราชฐานชันในเล่า การ
กระทําของเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส ... ครันแล้ว ทรงทําธรรมีกถา แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลาย ั
ดังต่อไปนี.
โทษ 10 อย่าง ในการเข้าสูพ
่ ระราชฐานชันใน
[733] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั โทษในการเข้าสูพ่ ระราชฐานชันในมี 10 อย่าง 10 อย่าง อะไรบ้าง?
1. ดู ก รภิ ก ษุ ทงหลาย
ั ในพระราชฐานชันในนี พระเจ้า แผ่นดิน กํา ลัง ประทับ อยู่ใ นตํา หนักที ผทมกับ พระมเหสี ภิ ก ษุ เข้า ไปใน
พระราชฐานชันในนัน พระมเหสีเห็นภิกษุ แล้วทรงยิมพรายให้ปรากฏก็ดี ภิกษุ เห็นพระมเหสีแล้วยิมพรายให้ปรากฏก็ดี ในข้อ
นันพระเจ้าแผ่นดินจะทรงระแวงอย่างนีว่า คนทังสองนีรักใคร่กน ั แล้ว หรือจักรักใคร่เป็ นแม่นมัน นีเป็ นโทษข้อทีหนึ งฯ
2. ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง โทษทีจะพึงกล่าวยังมีอยูอ่ ีก พระเจ้า แผ่นดินทรงมีพระราชกิจมาก ทรงร่วมกับพระสนมคนใดคนหนึ ง
แล้วทรงระลึกไม่ได้ พระสนมนันตังพระครรภ์เพราะเหตุทีทรงร่วมนัน [ในเรืองนันพระเจ้าแผ่นดินจะทรงระแวงอย่างนีว่า ใน
พระราชฐานชันในนี คนอืนเข้ามาไม่ได้สกั คน นอกจากบรรพชิต ชะรอยจะเป็ นการกระทําของบรรพชิต] นีเป็ นโทษข้อทีสองฯ
3. รัตนะบางอย่างในพระราชฐานชันในหายไป [ในเรืองนันพระเจ้าแผ่นดินจะทรงระแวง… ] นีเป็ นโทษข้อทีสามฯ
4. ข้อราชการลับทีปรึกษากันเป็ นการภายในพระราชฐานชันใน เปิ ดเผยออกมาภายนอก [..จะทรงระแวง.. ]
5. ในพระราชฐานชันใน พระราชโอรสปรารถนาจะปลงพระชนม์พระราชบิดา หรือพระราชบิดาปรารถนาจะปลงพระชนม์พระราช
โอรส [ทังสองพระองค์นนจะทรงระแวง…]

6. พระเจ้าแผ่นดินทรงเลือนข้าราชการผูด ้ ํารงอยูใ่ นตําแหน่ งตําไว้ในฐานันดรอันสูง พวกชนทีไม่พอใจการทีทรงเลือน ข้าราชการผู้
นันขึ น [ จะระแวงอย่างนีว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงคลุกคลีกบั บรรพชิต ชะรอยจะเป็ นการกระทําของบรรพชิตฯ ]

๒๒๐
7. พระเจ้า แผ่น ดิน ทรงลดข้ า ราชการผู้ ดํา รงอยู่ใ นตํา แหน่ ง สูงไว้ใ นฐานันดรอันตํา พวกชนที ไม่ พ อใจการทีทรงลดตํา แหน่ ง
ข้าราชการนันลง [ จะระแวง.. ]
8. พระเจ้าแผ่นดินทรงส่งกองทัพไปในกาลอันไม่ควร พวกชนทีไม่พอใจพระราชกรณี ยะนัน [ จะระแวง.. ]
9. พระเจ้าแผ่นดิน ทรงส่งกองทัพไปในกาลอันควร แล้วรับสังให้ยกกลับเสียในระหว่างทาง พวกชนทีไม่พอใจพระราชกรณี ยะนัน [
จะระแวง.. ]
10. พระราชฐานชันในเป็ นสถานที รื นรมย์เ พราะช้า ง ม้ า รถ และมี อ ารมณ์ เ ป็ นที ตังแห่ง ความกํา หนัด เช่ น รู ป เสี ย ง กลิน รส
โผฏฐัพพะ ซึ งไม่สมควรแก่บรรพชิตฯ นีแลเป็ นโทษข้อทีสิบ ในการเข้าสูพ ่ ระราชฐานชันใน

บทที 2. อนึ ง ภิกษุ ใด เก็ บเอาก็ ดี ให้เก็ บเอาก็ ดี ซึ งรัตนะก็ ดี ซึ งของทีสมมติวา่ รัตนะก็ ดี เว้นไว้แต่ในวัดทีอยูก่ ็ดี ในทีอยู่
พัก ก็ดี เป็ นปาจิตตีย,์ และภิกษุ เก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึงรัตนะก็ดี ซึงของทีสมมติวา่ เป็ นรัตนะก็ดี ในทีอยูก่ ็ดี ใน
ทีอยูพ่ กั ก็ดี แล้วพึงเก็บไว้ดว้ ยหมายว่า ของผูใ้ ด ผูน้ ั นจะได้นําไป นี เป็ นสามีจิกรรมในเรืองนั นฯ
รัตนะ ได้แก่ แก้วมุกดา แก้วมณี ฯลฯ เงิน ทอง
ของทีสมมติวา่ รัตนะ ได้แก่ เครืองอุปโภค เครืองบริโภคของมวลมนุ ษย์
คําว่า และภิ กษุ เก็บเอาก็ดี ให้เก็ บเอาก็ ดี ซึ งรัตนะก็ ดี ซึ งของทีสมมติวา่ รัตนะก็ดี ในวัดที อยู่ก็ดี ในที อยู่พกั ก็ดี แล้วพึงเก็ บไว้ นั น ความว่า ภิ กษุ พึงทํา
เครืองหมายตามรูปหรือตามนิ มิตเก็บไว้ แล้วพึงประกาศว่าสิงของ ของผูใ้ ดหาย ผูน้ ันจงมารับไป ถ้าเขามาในที นัน พึงสอบถามเขาว่า สิงของของท่าน
เป็ นเช่นไร ถ้าเขาบอกรูปพรรณหรือตําหนิ ถูกต้อง พึงให้ไป ถ้าบอกไม่ถูกต้อง พึงบอกเขาว่า จงค้นหาเอาเอง. เมือจะหลีกไปจากอาวาสนัน พึงมอบไว้ใน
มือของภิกษุ ผสู ้ มควรทีอยูใ่ นวัดนัน แล้วจึงหลีกไป ถ้าภิกษุ ผสู ้ มควรไม่มี พึงมอบไว้ในมือของคหบดีผสู ้ มควรทีอยูใ่ นตําบลนัน แล้วจึงหลีกไป.
[738] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ภิกษุ รูปหนึ งอาบนําอยูใ่ นแม่นําอจิรวดี แม้พราหมณ์ คนหนึ งวางถุงเงินประมาณ 500
กษาปณ์ ไว้บนบก แล้วลงอาบนําในแม่นําอจิรวดี เสร็จแล้วได้ลืมถุงทรัพย์นนไว้ ั ไปแล้ว จึงภิกษุ นนได้
ั เก็บไว้ด้วยสําคญ ั ว่า นีถุงทรัพย์
ของพราหมณ์ นน ั อย่าได้หายเสียเลย ฝ่ ายพราหมณ์ นนนึั กขึ นได้ รีบวิงมาถามภิกษุ นนว่
ั า ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้าเห็นถุงทรัพย์
ของข้าพเจ้าบ้างไหม?
ภิกษุ นนได้
ั คืนให้พร้อมกับกล่าวว่า เชิญรับไปเถิด ท่านพราหมณ์ .
พราหมณ์ ฉุกคิดขึ นได้ในขณะนันว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องให้คา่ ไถ่รอ ้ ยละห้าแก่ภิกษุ นี จึงพูดเป็ นเชิงขู่ขึ นว่า
ทรัพย์ของข้าพเจ้าไม่ใช่ 500 กษาปณ์ ของข้าพเจ้า 1,000 กษาปณ์ ดังนี แล้วปล่อยตัวไป ครันภิกษุ นนไปถึ ั งพระอารามแล้ว ได้แจ้ง
เรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย.

[739] สมัยต่อมา ในพระนครสาวัตถี มี ม หรสพ ประชาชนต่า งประดับประดาตกแต่งร่างกาย แล้วพากันไปเทียวชมสวน แม้นาง
วิสาขามิคารมาตาก็ประดับประดาตกแต่งร่างกายออกจากบ้านไปด้วยตังใจว่า จักไปเทียวชมสวน แล้วหวนคิด ขึ นว่า เราจักไปสวน
ทําไม เราเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคดีกว่า ดังนีแล้วได้เปลืองเครืองประดับออก ห่อด้วยผ้าห่มมอบให้แก่ทาสี สังว่า แม่สาวใช้ เธอจงถือ
ห่อเครืองประดับนีไว้ ครันแล้วเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง. ...
ครันนางวิสาขามิคารมาตาอันพระผู้มีพระภาคทรงชีแจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รา่ เริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ลุกจาก
ทีนัง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทําประทักษิ ณหลีกไปแล้ว. ฝ่ ายทาสีคนนัน ได้ลืมห่อเครืองประดับนันไปแล้ว ภิกษุ ทงหลายพบเห็ ั น
จึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ถ้าเช่นนัน พวกเธอจงเก็บ เอามารักษาไว้.
[740] ก็โ ดยสมัยนันแล อนาถบิณ ฑิกคหบดี มี โ รงงานอยู่ใ นกาสีช นบท และคหบดี นนได้ ั สงบุ
ั รุษ คนสนิทไว้ว่า ถ้า พระคุณ เจ้า
ทังหลายมา เจ้าพึงแต่งอาหารถวาย. ครันต่อมา ภิกษุ หลายรูป ไปเทียวจาริกในกาสีชนบท ได้เดินผ่านเข้าไปทางโรงงานของอนาถบิณ
ฑิกคหบดี บุรุษนันได้แลเห็นภิกษุ เหล่านันเดินมาแต่ไกลเทียว ครันแล้วจึงเข้าไปหาภิกษุ เหล่านัน กราบไหว้แล้ว ได้กล่าวอาราธนาว่า
ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าทังหลาย จงรับนิมนต์ฉน ั ภัตตาหารของท่านคหบดีในวันพรุง่ นี.
ภิกษุ เหล่านันรับนิมนต์ด้วยอาการดุษณี ภาพ.
จึงบุรุษนัน สังให้ตกแต่งของเคียว ของฉัน อันประณี ตโดยล่วงราตรีนนแล้ ั วให้คนไปบอกภัตตกาล แล้วถอดแหวนวางไว้ อังคาส
ภิกษุ เหล่านันด้วยภัตตาหาร แล้วกล่าวว่า นิมนต์พระคุณเจ้าฉันแล้วกลับได้ แม้กระผมก็จกั ไปสูโ่ รงงานดังนี ได้ลืมแหวนนัน ไปแล้ว.
ภิกษุ ทงหลายพบเห็
ั นแล้ว ปรึกษากันว่า ถ้าพวกเราไปเสีย แหวนวงนีจักหาย แล้วได้อยูใ่ นทีนันเอง.
ครันบุรุษนันกลับมาจากโรงงาน เห็นภิกษุ เหล่านันจึงถามว่า เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าทังหลายจึงยังอยูใ่ นทีนีเล่า ขอรับ.
จึงภิกษุ เหล่านันได้บอกเรืองราวนันแก่เขา ครันเธอไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ทงหลายได้

กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.

บทที 3. อนึ ง ภิกษุ ใด ไม่อาํ ลาภิกษุ ทีมีอยูแ่ ล้วเข้าไปสู่บา้ นในเวลาวิกาล เว้นไว้แต่กิจรีบด่วนมีอย่างนั นเป็ นรูป เป็ นปาจิตตียฯ์
เวลาวิกาล หมายเอาเวลาเมือเทียงวันล่วงไปแล้วจนถึงอรุณขึน
คําว่า เว้นไว้แต่กิจรีบด่วนมีอย่างนันเป็ นรูป คือ เว้นไว้แต่มีกิจจําเป็ นทีรีบด่วน เห็นปานนัน.
[744] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์เข้าบ้านในเวลาวิกาลแล้ว นังในทีชุมนุม กล่าวดิรจั ฉานกถามี
เรืองต่างๆ คือ เรืองพระราชา เรืองโจร เรืองมหาอํามาตย์ เรืองขุนพล เรืองภัย เรืองรบ เรืองข้าว เรืองนํา เรืองผ้า เรืองทีนอน เรือง
ดอกไม้ เรืองของหอม เรืองญาติ เรืองยาน เรืองบ้าน เรืองนิคม เรืองนคร เรืองชนบท เรืองสตรี เรืองสุรา เรืองตรอก เรืองท่านํา เรือง
คนทีล่วงลับไปแล้ว เรืองเบ็ดเตล็ด เรืองโลก เรืองทะเล เรืองความเจริญและความเสือม ด้วยประการนันๆ ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติ
เตียน ...
[745] ก็โ ดยสมัยนัน ภิกษุ หลายรูป เดินทางไปพระนครสาวัต ถีใ นโกศลชนบท ได้เข้า ไปถึงหมู่บ้า นตํา บลหนึ งในเวลาเย็ น. พวก
ชาวบ้านเห็นภิกษุ เหล่านันแล้ว ได้กล่าวอาราธนาว่า นิมนต์เข้าไปเถิด ขอรับ ภิกษุ เหล่านันรังเกียจอยูว่ า่ การเข้าไปสูบ
่ ้านในเวลาวิกาล
พระผู้มี พระภาคทรงห้ามแล้ว จึงไม่ได้เข้าไป. พวกโจรได้แย่งชิงภิกษุ เหล่านัน ครันภิกษุ เหล่านันไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่า
เรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ทงหลายได้
ั กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค. ...

๒๒๑
[746] สมัยต่อมา ภิกษุ รูปหนึ งเดินทางไปสูพ ่ ระนครสาวัตถีในโกศลชนบท ได้เข้าถึงหมู่บ้านตําบลหนึ งในเวลาเย็น. พวกชาวบ้านเห็น
ภิกษุ นนแล้
ั วได้กล่าวอาราธนาว่า นิม นต์ เข้าไปเถิด ขอรับ ภิกษุ นนรั
ั งเกียจอยู่ว่า การไม่อําลาแล้วเข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล พระผู้มี
พระภาคทรงห้ามแล้ว ดังนี จึงไม่ได้เข้าไป พวกโจรได้แย่งชิงภิกษุ นน ั ครันภิกษุ นนไปถึ
ั งพระนครสาวัตถี
แล้ว ได้เล่าเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ทงหลายได้
ั กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.
[747] ต่อจากสมัยนันแล ภิกษุ รูปหนึ งถูกงู กดั ภิกษุ อีกรูปหนึ งจะเข้าไปสู่บ้านหาไฟมา แต่เธอรังเกียจอยูว่ ่า การไม่อาํ ลาภิกษุ ทีมีอยู่
แล้วเข้าไปสูบ่ ้านในเวลาวิกาล พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว ดังนี จึงไม่ได้เข้าไป แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.

อนาบัติ. 1. ไปสูอ่ ารามอืน 2. เดินไปตามทางอันผ่านบ้าน 3. มีอนั ตราย

บทที 4 อนึ ง ภิกษุ ใด ให้ทาํ กล่องเข็ม แล้วด้วยกระดูกก็ดี แล้วด้วยงาก็ดี แล้วด้วยเขาก็ดี เป็ นปาจิตตีย ์ ทีให้ตอ่ ยเสียฯ
[751] โดยสมัยนัน พ.ประทับ อยู่ ณ นิโ ครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ สักกชนบท. ครังนัน ช่า งงาคนหนึ งปวารณาต่อภิกษุ
ทังหลายไว้วา่ พระคุณเจ้าเหล่าใด ต้องการกล่องเข็ม กระผมจะจัดกล่องเข็มมาถวาย จึงภิกษุ ทงหลายขอกล่
ั องเข็มเขาเป็ นจํานวนมาก
ภิกษุ มีกล่องเข็มขนาดย่อม ก็ยงั ขอกล่องเข็มขนาดเขือง ภิกษุ มีกล่องเข็มขนาดเขือง ก็ยงั ขอกล่องเข็มขนาดย่อม ช่างงามัวทํากล่องเข็ม
เป็ นจํานวนมากมาถวายภิกษุ ทงหลายอยู
ั ่ ไม่สามารถทําของอย่างอืนไว้สาํ หรับขายได้ แม้ตนเองจะประกอบอาชีพก็ไม่สะดวก แม้บุตร
ภรรยาของเขาก็ลาํ บาก. ...
อนาบัติ [754] ทําลูกดุม 1 ทําตะบันไฟ 1 ทําลูกถวิน 1 ทํากลักยาตา 1 ทําไม้ป้ายยาตา 1 ทําฝั กมีด 1 ทําธมกรก 1

บทที 5. อนึ ง ภิกษุ ผใู ้ ห้ทาํ เตียงก็ดี ตังก็ดี ใหม่(การทําขึน) พึงทําให้มีเท้าเพียง 8 นิ ว ด้วยนิ วสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่เบืองตํา .
เธอทําให้ลว่ งประมาณนั นไป เป็ นปาจิตตีย ์ ทีให้ตดั เสียฯ วินย.๒/๗๕๕/๖๒๗
ทีชือว่า เตียง ได้แก่เตียง 4 ชนิ ด คือ เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา 1 เตียงมีแม่แคร่ติดเนื องเป็ นอันเดียวกันกับขา 1 เตียงมีขาดังก้ามปู 1 เตียงมีขาจรด
แม่แคร่ 1.
ทีชือว่า ตัง ได้แก่ตงั 4 ชนิ ด คือ ตังมีแม่แคร่สอดเข้าในขา 1 ตังมีแม่แคร่เนื อง เป็ นอันเดียวกันกับขา 1 ตังมีขาดังก้ามปู 1 ตังมีขาจรดแม่แคร่ 1.
คําว่า "แม่แคร่" หมายถึง กรอบไม้หรือไม้ไผ่ประกับแคร่ทงั ๔ ด้าน หรือไม้ ๔ อันทีต่อเป็ นสีเหลียมสําหรับรองแคร่ (พจนฯ ราชบัณฑิต)
(พูดง่ายๆ ว่า กรอบสําหรับวางแผ่นไม้ทาํ เตียงนันเอง)
[755] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกําลังนอนอยูบ ่ นเตียงนอนอันสูง พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จ
จาริกตามเสนาสนะ พร้อมด้วยภิกษุ เป็ นอันมาก ผ่านเข้าไปทางทีอยูข ่ องท่านพระอุปนันทศากยบุตร ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้แล
เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลเทียวครันแล้วได้กราบทูลว่า ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรเตียงนอนของข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
ข้า. จึงพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับจากทีนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอพึงทราบโมฆบุรุษเพราะทีอยูอ่ าศัย
ครันแล้วทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยาย ...
บทภาชนีย ์ ภิกษุ ได้เตียง ตังทีคนอืนทําสําเร็จแล้วมาใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.

บทที 6 อนึ ง ภิกษุ ใดทําเตียง หรือตังหุม้ นุ่ น ต้องอาบัติปาจิตตีย ์ ให้รือเสีย (ทีชือว่า อุททาลนกะ (มจร.)) วินย.๒/๗๕๙/๖๒๙
อุททาลนกะ แปลว่า มีการรือออก คือ ต้องรือออกเสียก่อนจึงแสดงอาบัติตก
ทีชือว่า นุ่ น ได้แก่นุ่น 3 ชนิ ด คือ นุ่ นเกิดจากต้นไม้ 1 นุ่ นเกิ ดจากเถาวัลย์ 1 นุ่ นเกิดจากดอกหญ้าเลา 1. ต้องรือเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
[759] โดยสมัยนัน พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระฉัพพัคคีย์ให้ทาํ เตียงบ้าง ตังบ้าง ยัดด้วยนุ่น พวกชาวบ้านเทียวไปทาง
วิหารเห็นเข้าแล้ว ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตรจึงได้ให้ทาํ เตียงบ้าง ตังบ้าง ยัดด้วย
นุ่น เหมือนพวกคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกามเล่า ...

[ภิกษุ ได้เตียงตังทีผูอ้ ืนทําสําเร็จแล้วมาใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ]


อนาบัติ [762] ทําสายรัดเข่า 1 ทําประคตเอว 1 ทําสายโยกบาตร 1 ทําถุงบาตร 1 ทํา ผ้ากรองนํ า 1 ทําหมอน 1
ได้เตียงตังทีผูอ้ ืนทําสําเร็จแล้วมาทําลายก่อนใช้สอย 1 วินย.๒/๗๖๒/๖๓๐
บทที 7. อนึ ง ภิกษุ ผูท้ าํ ผ้าสําหรับนั ง พึงให้ทาํ ให้ได้ประมาณ นี ประมาณในคํานั น โดยยาว 2 คืบ โดยกว้างคืบครึง ชายคืบหนึ ง
ด้วยคืบสุคต เธอทําให้ลว่ งประมาณนั นไปเป็ นปาจิตตีย ์ ทีให้ตดั เสียฯ
ผ้าสําหรับนัง เรียกชือตามบาลีวา่ นิ สีทนะ ได้แก่ ผ้าทีเขาเรียกกันว่า ผ้ามีชาย
[763] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าสําหรับนังแก่ภิกษุ ทงหลายแล้
ั ว พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าสําหรับนังแล้ว จึงใช้ผ้าสําหรับนังไม่มีประมาณ ให้หอ ้ ยลงข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง แห่งเตียงบ้าง แห่ง
ตังบ้าง
[764] ก็โดยสมัยนันแล ท่านพระอุทายีเป็ นผู้มีรา่ งกายใหญ่ ท่านปูผ้าสําหรับนังลงตรงเบืองพระพักตร์พระผู้มีพระภาค แล้วนังดึงออก
อยู่โ ดยรอบ พระผู้มี พระภาคได้ต รัสถามท่า นพระอุทายีใ นขณะนันว่า ดู กรอุทายี เพราะเหตุ ไร เธอปู ผ้า สํา หรับ นังแล้ว จึง ดึงออก
โดยรอบเหมือนช่างหนังเก่าเล่า. ท่า นพระอุทายีกราบทูลว่า จริงดังพระดํารัส พระพุทธเจ้า ข้า เพราะพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้า
สําหรับนัง แก่ภิกษุ ทงหลายเล็
ั กเกินไป.

๒๒๒
นิสที นะ ยาว 2 คืบ กว้างคืบครึง ชาย 1 คืบ โดยมีการต่อชาย ดังนี
2 คืบ ชายกว้าง 1 คืบ

1 1/2 คืบ อรรถกถาจารย์ ต่อแล้วได้ขนาด


ด้านสกัด(ด้านสัน) ชายผ้า ยาว 3 คืบ * กว้าง 1 1/2 คืบ เท่าเดิม
(75 ซม.*37.50 ซม.)*3 เท่า = 225 ซม.*112.50 ซม.

สมเด็จกรมพรยาปวเรศ ต่อแล้วได้ขนาด
วริยาลงกรณ์ ยาว 2 1/2 คืบ * กว้าง 2 คืบ
(62.50 ซม.*50 ซม.)*3 เท่า = 187.50 ซม.*150 ซม.

ชายกว้าง 1 คืบ
นํามาตัดเป็ น 3 ส่วน

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ต่อแล้วได้ขนาด
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ยาว 2 คืบ * กว้าง 2 คืบ (จัตุรสั )
(50 ซม.*50 ซม.)*3 เท่า = 150 ซม.*150 ซม.
This image This image cannot currently be display ed. This image cannot
cannot currently be
currently display ed.
be
display ed.

ชาย 1 คืบ จัตุรสั


นํามาตัดเป็ น 3 ส่วน

บทที 8 อนึ ง ภิกษุ ผใู ้ ห้ทาํ ผ้าปิ ดฝี พึงให้ทาํ ให้ได้ประมาณนี ประมาณในคํานั น โดยยาว 4 คืบ โดยกว้าง 2 คืบ ด้วยคืบสุคต เธอให้ลว่ งประมาณนั นไป
เป็ นปาจิตตีย ์ ทีให้ตดั เสียฯ
[769] ทีชือว่า ผ้าปิ ดฝี ได้แก่ผา้ ทีทรงอนุ ญาตแก่ภิกษุ อาพาธ เป็ นฝี เป็ นสุกใส เป็ นโรคอันมีนําหนอง นําเหลืองเปรอะเปื อน หรือเป็ นฝี ดาด ทีใต้
สะดือลงไป เหนื อหัวเข่าขึนมา เพือจะได้ใช้ปิดแผล.
[768] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าปิ ดฝี แก่ภก ิ ษุ ทงหลายแล้
ั ว พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้
มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าปิ ดฝี แล้ว จึงใช้ผ้าปิ ดฝี ไม่มีประมาณ ปล่อยเลือยไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง เทียวไป ...

บทที 9. อนึ ง ภิกษุ ผใู ้ ห้ทาํ ผ้าอาบนํ าฝน พึงให้ทาํ ให้ได้ประมาณ นี ประมาณในคํานั น โดยยาว 6 คืบ โดยกว้าง 2 คืบครึง
ด้วยคืบสุคต เธอให้ทาํ ล่วงประมาณนั น เป็ นปาจิตตีย ์ มี อันให้ตดั เสียฯ
ผ้าอาบนําฝน ได้แก่ ผ้าทีทรงอนุ ญาตให้ใช้ได้สีเดือนแห่งฤดูฝน
ผ้านุ่ งมีประมาณ ด้านยาว 5 ศอกกํา ด้านกว้าง 2 ศอกคืบ, แม้ผา้ นุ่ งขนาดกว้าง 2 ศอกก็ควร เพือจะปิ ดมณฑลเข่าได้ วิ.อ.4/950
[772] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน. ครังนัน พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบนําฝนแก่ภิกษุ ทงหลายแล้
ั ว พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า
พระผู้มี พระภาคทรงอนุ ญาตผ้าอาบนําฝนแก่ภิกษุ ทงหลายแล้
ั ว จึงใช้ผ้า อาบนําฝนไม่มีประมาณ ปล่อยเลือยลงข้างหน้าบ้าง ข้า งหลัง
บ้าง เทียวไป ...

บทที 10. อนึ ง ภิกษุ ใด ให้ทาํ จีวรมี ประมาณเท่าสุคตจีวรหรือยิงกว่า เป็ นปาจิตตีย ์ มีอันให้ตดั เสีย นี ประมาณแห่งสุคตจีวรของ
พระสุคตในคํานั น โดยยาว 9 คืบ โดยกว้าง 6 คืบ ด้วยคืบสุคต นี ประมาณแห่งสุคตจีวรของพระสุคตฯ
ประมาณแห่งสังฆาฏิและอุ ตราสงค์นัน กําหนดอย่างตํา ด้านยาว 5 ศอกกํา ด้านกว้าง 2 ศอกกํา เพราะอาจปกปิ ดสะดือด้วยผ้านุ่ งและผ้าห่มได้
พระพุทธเจ้าสูง 18 ศอก ขุ.อป.อรรถกถา วิ.อ.3/716
[776] โดยสมัยนัน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ท่านพระนันทะโอรสพระมาตุจฉาของพระผู้มี พระ
ภาค เป็ นผู้ทรงโฉม เป็ นทีต้องตาต้องใจ ตํากว่าพระผู้มีพระภาค 4 องคุลี ท่านทรงจีวรเท่าจีวรพระสุคต ภิกษุ เถระได้เห็นท่านพระนัน
ทะมาแต่ไกล ครันแล้วลุกจากอาสนะสํา ค ญ ั ว่า พระผู้มี พระภาคเสด็ จมา ท่า นพระนันทะเข้า มาใกล้จึงจํา ได้ แล้วเพ่งโทษ ติเตี ยน
โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระนันทะจึงได้ทรงจีวรเท่าจีวรของพระสุคตเล่า แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.

๒๒๓
จีวร = ผ้าทีใช้นุ่งห่มของพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา สี ตอ้ งห้ามสําหรับจีวร คือ (วินย.5/169/234) นี ล
ผืนใดผืนหนึ ง ในจํานวน 3 ผืนทีเรียกว่า ไตรจีวร คือผ้าซ้อน กะล้วน (สี เขียวคราม) ปี ตกะล้วน (สี เหลื อง) โลหิตกะล้วน
นอกหรื อผ้า ทาบซ้อน (สั ง ฆาฏิ ) ผ้า ห่ม (อุ ต ราสงค์) และ (สี แ ดง) มัญ เชฏฐก์ล ้ว น (สี บ านเย็ น ) กัณ หะล้ว น (สี ดํา )
ผ้านุ่ ง (อันตรวาสก), แต่ในภาษาไทย นิ ยมเรียกเฉพาะผ้าห่ม มหารงครัตต์ลว้ น (สีแดงมหารงค์ อรรถกถาอธิบายว่าสี
คืออุตราสงค์ ว่าจีวร; อย่างหลังตะขาบ แปลกันมาว่าสีแสด) มหานามรัตต์ลว้ น
จี ว รมี ข นาดที กํา หนดตามพุ ทธบัญ ญัติใ นสิ ก ขาบทที (สี แดงมหานาม อรรถกถาอธิ บายว่าสี แกมกัน อย่างสี ใบไม้
10 แห่งรตนวรรค (ปาจิตตีย์ ข้อที 92; วินย.2/776/511) เหลือง บ้างว่าสีกลีบดอกปทุมอ่อน แปลกันมาว่าสีชมพู) ทังนี
คือ มิให้เท่าหรือเกินกว่าสุ คตจีวร ซึง ยาว 9 คืบ กว้าง 6 คืบ สี ทีรับรองกันมา คือสี เหลื องเจื อแดงเข้ม หรือสี เหลื องหม่ น
โดยคืบพระสุคต, เช่นสียอ้ มแก่นขนุ น ทีเรียกว่าสีกรัก
ผ้าทําจีวรทีทรงอนุ ญาตมี 6 ชนิ ด ดังทีตรัสว่า (วินย. จี ว รนั น พระพุ ทธเจ้า โปรดให้พระอานนท์ออกแบบ
2/139/193) "ภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุ ญาตจีวร 6 ชนิ ด คือ โข จัดทําตามรูปนาของชาวมคธ (วินย.5/149/202) ทําให้มี
มะ จีวรผ้าเปลื อกไม้ 1 กัปปาสิ กะ จีวรผ้าฝ้ า ย 1 โกเสยยะ รูปลักษณ์เป็ นระเบียบแบบแผน โดยทรงกําหนดให้เป็ นผ้าที
จีวรผ้าไหม 1 กัมพละ จีวรผ้าขนสัตว์ (ห้ามผมและขนมนุ ษย์) ถูกตัดเป็ นชินๆ นํ ามาเย็บประกอบกันขึนตามแบบทีจัดวางไว้
1 สาณะ จีวรผ้าป่ าน 1 ภังคะ จีวรผ้าของในห้าอย่างนั นเจื อ ชินทังหลายมีชือต่างๆ เป็ น กุสิ อัฑฒกุสิ มณฑล อัฑฒมณฑล
กัน 1"; วิวฏั ฺ ฏะ อนุ วิวฏั ฺ ฏะ คีเวยยกะ ชังเฆยยกะ พาหันตะ ทังนี เมือ
เป็ นผ้า ที ถู ก ตัด ก็ จะเป็ นของเศร้า หมองด้ว ยศัส ตรา คื อมี

๒๒๔
ตําหนิ เสี ยรูปเสี ยความสวยงาม เสื อมค่า เสี ยราคา สมควร มณฑลกับอัฑฒมณฑล มีเส้นคันดุจคันนาขวาง เรียกว่าอัฑฒ
แก่สมณะ และพวกคนทีประสงค์รา้ ยไม่เพ่งจ้องอยากได้ กุ สิ, มณฑล กับอัฑฒมณฑล และอัฑฒกุ สิ รวมเป็ นขัณฑ์หนึ ง
มีพุทธบัญญัติว่ า (วินย.5/97/137) จีวรผืน หนึ งๆ โดยมี เ ส้ น คั นระหว่ า งขั ณ ฑ์ นั น กั บ ขั ณ ฑ์ อื น อยู่ ส องข้า ง
ต้องตัดเป็ นปั ญจกะ (มีส่วนประกอบห้าชิน หรือห้าผืนย่อย, ของขัณฑ์ ดุ จคันนายืน เรียกว่า กุ สิ, เมือรวมเป็ นจีวรครบผืน
ชินใหญ่หรือผืนย่อยนี ต่อมาในชันอรรถกถา เรียกว่า "ขัณฑ์" (นิ ยมเรียงขัณฑ์ทีต่อกัน ให้ดา้ นมณฑลกับด้านอัฑฒมณฑล
จึงพูดว่าจีวรห้าขัณฑ์) หรือเกินกว่าปั ญจกะ (พูดอย่างอรรถ สลับกัน) มีผา้ ขอบจีวรทังสีด้าน เรียกว่า อนุ วาต (แปลว่าพลิว
กถาว่า มากกว่า 5 ขัณฑ์ เช่น เป็ น 7 ขัณฑ์ 9 ขัณฑ์ หรือ 11 ตามลม, อนุ วาตก็เป็ นกุสิอย่างหนึ ง);
ขัณฑ์) ขั ณ ฑ์ แ ต่ ล ะขั ณ ฑ์ มี ชื อเรี ย กเฉพาะต่ า งกัน ไป (ตาม
ตามพุ ท ธบั ญ ญั ติ เ ดิ ม นั น จี ว รทั ง 3 (คื อ สั ง ฆาฏิ คําอธิบายของอรรถกถา วินย.อ.3/236) คือ ขัณฑ์กลาง ชือวิ
อุ ต ราสงค์ และอัน ตรวาสก) ต้องเป็ นผ้า ที ถู ก ตัด เป็ นชิ น ๆ วัฏฏะ (แปลตามศัพท์ว่า คลี ขยายออกไป), ขัณฑ์ทีอยู่ข ้า งวิ
นํ ามาเย็บประกอบกันขึนอย่างทีกล่ าวข้างต้น แต่ภิกษุ บางรูป วัฏฏะทังสองด้าน ชืออนุ วิวฏั ฏะ (แปลตามศัพท์ว่าคลีขยายไป
ทําจีวร เมือจะให้เป็ นจีวรผ้าตัด ทุก ผืน ผ้าไม่พอ จึงเป็ นเหตุ ตาม), ขัณฑ์ทีอยู่ขอบนอกทังสองข้าง ชือพาหันตะ (แปลว่า
ปรารภให้มี พุ ทธานุ ญ าตยกเว้น ว่ า (วิ น ย.5/161/219) สุ ดแขน หรือปลายพาดบนแขน) นี สําหรับจีวร 5 ขัณฑ์, ถ้า
"ภิกษุ ทังหลาย เราอนุ ญาตจีวรผ้าตัด 2 ผืน จีวรผ้าไม่ตัด 1 เป็ นจี ว รที มี ขั ณ ฑ์ ม ากกว่ า นี (คื อ มี 7 ขั ณ ฑ์ ขึ น ไป) ขั ณ ฑ์
ผื น " เมื อผ้า ยัง ไม่ พอ ก็ ต รัส อนุ ญ าตว่ า "ภิ ก ษุ ทังหลาย เรา ทุ ก ขัณ ฑ์ทีอยู่ ร ะหว่ า งวิ วัฏ ฏะกับ พาหัน ตะ ชื อว่ า อนุ วิ วัฏ ฏะ
อนุ ญาตจีวรผ้าไม่ตดั 2 ผืน จีวรผ้าตัด 1 ผืน" ถึงอย่างนั น ก็มี ทังหมด (บางที เ รี ย กให้ต่ า งกัน เป็ น จู ฬ านุ วิ วัฏ ฏ์ กับ มหานุ
กรณีทีผ้ายังไม่พออีก จึงตรัสว่า "ภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุ ญาตให้ วิวฏั ฏ์);
เพิมผ้าเพลาะ แต่ผา้ ไม่ตดั เลยหมดทุกผืน ภิกษุ ไม่พึงใช้ รูปใด นอกจากนี มี แ ผ่ น ผ้า เย็ บ ทาบเติ ม ลงไปตรงที หุม้ คอ
ใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ" เรียกว่า คีเวยยกะ และแผ่นผ้าเย็บทาบเติมลงไปตรงทีถู กแข้ง
ในสมัยต่อมา นิ ยมนํ าคําว่า "ขัณฑ์" มาใช้เป็ นหลักใน เรียกว่า ชังเฆยยกะ (นี ว่าตามคําอธิบายในอรรถกถา แต่พระ
การกําหนดและเรียกชือส่วนต่างๆ ของจีวร ทําให้กาํ หนดง่าย มติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ขึนอีก ดังได้กล่าวแล้วว่า จีวรมีอย่างน้อย 5 ขัณฑ์ คือ จีวรทีมี ในหนั ง สื อวิ นั ย มุ ข เล่ ม 2 ว่ า ในจี ว รห้า ขัณ ฑ์ๆ กลาง ชื อคี
รูปสีเหลียมผืนผ้าผืนหนึ งนี เมือคลีแผ่ออกไปตามยาว จะเห็น เวยยกะ เพราะเมือห่มจีวร อัฑฒมณฑลของขัณฑ์นันอยู่ทีคอ,
ว่ามีขัณฑ์ คือผ้าผืนย่อยขนาดประมาณเท่าๆ กัน ยาวตลอด ขัณฑ์ถัดออกมาทัง 2 ข้าง ชือชังเฆยยกะ เพราะอัฑฒมณฑล
จากบนลงล่ าง 5 ผืน เรียงต่อกันจากซ้ายไปสุดขวา ครบเป็ น ของ 2 ขัณฑ์นัน อยู่ทีแข้งในเวลาห่ม, ขัณฑ์ถัดออกมาอีกทัง 2
จีวร 1 ผืน; ข้า ง ชื อพาหัน ตะ เพราะอัฑฒมณฑลของ 2 ขัณ ฑ์นั น อยู่ ที
ขัณฑ์ทงั 5 นี แต่ละขัณฑ์มีส่วนประกอบครบในตัว คือ แขนในเวลาห่ม); ต่อมา มีเหตุการณ์อนั เป็ นกรณี ต่างหาก ซึง
มี 2 กระทง ได้แก่ กระทงใหญ่ เรียกว่ามณฑล กับกระทงเล็ ก เป็ นข้อปรารภให้ทรงอนุ ญ าตลู ก ดุ ม (คัณ ฐิ ก า) และรังดุ ม
(ราวครึ งของกระทงใหญ่ ) เรี ย กว่ า อัฑฒมณฑล, ระหว่ า ง (ปาสกะ) (วินย.7/166/65); ดู ไตรจีวร, ขัณฑ์
……………………………….………………………………….

พระพุทธานุญาตผ้าทีตัดและไม่ตดั วิ.ม.5/161/173
[161] ก็โดยสมัยนันแล เมือสงฆ์กําล ังทําจีวรให้ภก ิ ษุ รป
ู หนึ ง ผ้าตัดทังหมดไม่พอ ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผู้มี
พระภาค. พระผู้มีพระภาคตร ัสอนุญาตว่า
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตผ้าทีต้องตัด 2 ผืน ไม่ต้องตัด 1 ผืน.”
ผ้าต้องตัด 2 ผืน ไม่ต้องตัดผืนหนึ ง ผ้าก็ยงั ไม่พอ ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผูม
้ ีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตร ัส
อนุญาตว่า
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตผ้า 2 ผืนไม่ต้องตัด ผืนหนึ งต้องตัด.”
ผ้า 2 ผืนไม่ต้องตัด ผืนหนึ งต้องตัด ผ้าก็ยงั ไม่พอ ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตร ัส
อนุญาตว่า
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตให้เพิมผ้าเพลาะ แต่ผ้าทุกผืนทีไม่ได้ตดั ภิกษุ ไม่พงึ ใช้ รูปใดใช้ ต้องอาบัตท ิ ก
ุ กฏ.”
............................................................

๒๒๕
ปาฏิเทสนียะ (แปลว่า จะพึงแสดงคืน)

บทที 1 อนึ ง ภิกษุ ใด รับของเคียวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน จากมือของภิกษุ ณีผมู ้ ิใช่ญาติ ผูเ้ ข้าไปแล้วสู่ละแวกบ้าน แล้วเคียว
ก็ดี ฉันก็ดี อันภิกษุ นันพึงแสดงคืนว่า แน่ ะเธอ ฉันต้องธรรมทีน่ าติ ไม่เป็ นทีสบาย ควรจะแสดงคืน ฉันแสดงคืนธรรมนั นฯ
[781] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ภิกษุ ณีรูปหนึ งเทียวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถี เวลากลับ พบภิกษุ รูปหนึ งแล้ว
ได้กล่าวคํานีว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า นิมนต์พระคุณเจ้าโปรดรับภิกษา ภิกษุ นนกล่ ั าวว่า ดีละ น้องหญิงแล้วได้รบั ภิกษาไปทังหมด ครัน
เวลาเทียงใกล้เข้า ไป ภิกษุ ณี นน ั ไม่อาจไปเทียวบิณ ฑบาตได้ จึงอดอาหาร ครันต่อมาวันที 2 ... ต่อมาวันที 3 ภิกษุ ณี นนเที ั ยวไป
บิณฑบาตในพระนครสาวัตถี เวลากลับพบภิกษุ รูปนันแล้วได้กล่าวคํานีว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า นิมนต์พระคุณเจ้าโปรดรับภิกษา ภิกษุ
นันกล่า วว่า ดี ละ น้องหญิง แล้วรับ ภิกษาไปทังหมด ครันเวลาเทียงใกล้เข้าไป ภิกษุ ณีนนไม่ ั อาจไปเทียวบิณฑบาตได้ จึงอดอาหาร
ครันต่อมาวันที 4 ภิกษุ ณี นนเดิ ั นซวนเซไปตามถนน เศรษฐีค หบดีขึ นรถสวนทางมา ได้กล่า วคํานี กะภิกษุ ณีนนว่ ั า นิม นต์ หลีกไป
หน่ อยแม่เจ้า ภิกษุ ณีนนหลี
ั กหลบล้มลงในทีนันเอง เศรษฐีคหบดีได้ขอขมาโทษภิกษุ ณีนนว่ ั า ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านโปรดอดโทษแก่
ข้าพเจ้าทีทําให้ทา่ นล้มลง เจ้าข้า.
ภิกษุ ณีตอบว่า ดูกรคหบดี ท่านไม่ได้ทาํ ให้ฉน ั ล้ม ฉันเองต่างหากทีมีกาํ ลังน้อย. เศรษฐีคหบดีถามว่า ข้าแต่แม่เจ้า ก็เพราะเหตุ
ไรเล่า แม่เจ้าจึงมีกาํ ลังน้อย จึงภิกษุ ณีนนได้
ั แจ้งเรืองนันให้เศรษฐีคหบดีทราบ เศรษฐีคหบดีจงึ นําภิกษุ ณีนนไปให้ ั ฉน
ั ทีเรือน แล้ว
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าผู้เจริญทังหลาย จึงได้รบั อามิสจากมือภิกษุ ณีเล่า เพราะมาตุคามมีลาภอัตคดั

บทที 2 อนึ ง ภิกษุ ทงหลายรั


ั บนิ มนต์ฉันอยู่ในสกุล ถ้าภิกษุ ณีมายืนสังเสียอยู่ในทีนั นว่า จงถวายแกงในองค์นี จงถวายข้าวในองค์
นี ภิกษุ ทงหลายนั
ั นพึงรุกรานภิกษุ ณีนันว่า น้องหญิง เธอจงหลีกไปเสีย ตลอดเวลาทีภิกษุ ฉันอยู่ ถ้าภิกษุ แม้รูปหนึ งไม่
กล่าวออกไปเพือจะรุกรานภิกษุ ณีนันว่า น้องหญิง เธอจงหลีกไปเสีย ตลอดเวลาทีภิกษุ ฉันอยู่ ภิกษุ เหล่านั นพึงแสดงคืน
ว่า แน่ ะเธอ พวกฉันต้องธรรมทีน่ าติ ไม่เป็ นทีสบาย ควรจะแสดงคืน พวกฉันแสดงคืนธรรมนั นฯ
[784] พ.ประทับ อยู่ ณ พระเวฬุวน ั วิหาร ครังนัน ภิกษุ ทงหลายรั
ั บ นิมนต์ฉนั ในสกุล มี ภิกษุ ณีเหล่าฉัพพัคคีย์มายืนบงการให้เขา
ถวายของแก่พระฉัพพัคคีย์วา่ จงถวายแกงทีท่านองค์นี จงถวายข้าวทีท่านองค์นี พวกพระฉัพพัคคีย์ได้ฉน ั ตามความต้องการ ภิกษุ
เหล่าอืน ฉันไม่ได้ดงั จิตประสงค์ บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผู้มกั น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จงึ ไม่ห้า ม
ปรามภิกษุ ณีฉพั พัคคีย์ผู้บงการเล่า แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.

บทที 3. อนึ ง ภิกษุ ใด ไม่ได้รับนิ มนต์ก่อน มิใช่ผูอ้ าพาธ รับของเคียวก็ดี ของฉันก็ดี ในตระกู ลทังหลายทีสงฆ์สมมติว่าเป็ น
เสกขะเห็นปานนี ด้วยมือของตน แล้วเคียวก็ดี ฉันก็ดี ภิกษุ นันพึงแสดงคืนว่า แน่ ะเธอ ฉันต้องกรรมทีน่ าติ ไม่เป็ นที
สบาย ควรจะแสดงคืน ฉันแสดงคืนธรรมนั นฯ
ตระกูลทีสงฆ์สมมติวา่ เป็ นเสกขะ ได้แก่ ตระกูลทีเจริญด้วยศรัทธา แต่หย่อนด้วยโภคสมบัติ ได้รบั สมมติดว้ ยญัตติทุติยกรรมว่าเป็ นเสกขะ
ไม่ได้รบั นิ มนต์ไว้ คือ เขาไม่ได้นิมนต์เพือฉันในวันนี หรือพรุง่ นี ไว้ ภิกษุ ผ่านอุปจารเรือนเข้าไป เขาจึงนิ มนต์ นี ชือว่าไม่ได้รบั นิ มนต์ไว้
มิใช่ผอู ้ าพาธ คือ สามารถไปบิณฑบาตได้
[788] พ.ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ครังนัน ในพระนครสาวัตถี มี ต ระกูลหนึ งเป็ นตระกูลทีเลือมใส ทังสองสามีภรรยาเจริญด้วย
ศรัทธา แต่หย่อนด้วยโภคทรัพย์ เขาได้สละของเคียวของฉันอันเป็ นอาหารมือเช้า ซึ งบังเกิดในตระกูลนันทังหมด แก่ภิกษุ ทงหลาย ั
แล้ว บางคราวถึงกับอดอาหารอยู.่ ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ...
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกร
ภิกษุ ทงหลาย
ั ตระกูลใดเจริญด้วยศรัทธา แต่หย่อนด้วยโภคทรัพย์ เราอนุญาตให้สมมติวา่ เป็ นเสกขะแก่ตระกูลเห็นปานนันด้วยญัตติ
ทุติยกรรม ดูกรภิกษุ ทงหลายั ก็แลพึงให้เสกขะสมมติอย่างนี.
[789] ก็โ ดยสมัยนันแล ในพระนครสาวัตถีมีงานมหรสพ พวกชาวบ้านนิมนต์ ภิกษุ ทงหลายไปฉั ั น แม้ตระกูลนันก็ได้นิมนต์
ภิกษุ ทงหลายไปฉั
ั น ภิกษุ ทงหลายไม่
ั รบั นิมนต์ รังเกียจอยูว่ า่ การรับของเคียวของฉันในตระกูลทีสมมติวา่ เป็ นเสกขะ ด้วยมือของตน
แล้วเคียวฉัน พระผู้มี พระภาคทรงห้า มแล้ว เขาจึงเพ่งโทษ ติเตี ยน โพนทะนาว่า พวกเราจะมี ชี วิต อยู่ไปทํา ไม เพราะพระคุณเจ้า
ทังหลายไม่รบั นิมนต์ฉน ั ของพวกเรา ...
[790] โดยสมัยต่อจากนันแล ภิกษุ รูปหนึ งเป็ นกุลุปกะของตระกูลนัน ครันเวลาเช้า เธอครองอันตรวาสกแล้วถือบาตจีวรเดินผ่า น
เข้า ไปในตระกูลนัน ครันถึงแล้วจึงนังบนอาสนะทีเขาจัดถวาย ภิกษุ นนเกิ ั ดอาพาธในทันใด จึงชาวบ้านเหล่านันได้กล่าวอาราธนา
ภิกษุ นนว่ ั า นิม นต์ ฉน
ั เถิด ขอรับ ภิกษุ นนไม่
ั รบ ั นิม นต์ รังเกียจอยู่ว่า ภิกษุ ผู้อน
ั ทายกไม่ได้นิมนต์ ไว้ก่อน รับ ของเคียวของฉันใน
ตระกูลทีสงฆ์สมมติว่าเป็ นเสกขะด้วยมือของตน แล้วเคียวฉัน พระผู้มี พระภาคทรงห้า มแล้ว ดังนี แล้วไม่อาจไปบิณฑบาต ได้อด
อาหารแล้ว ครันหายจากอาพาธแล้ว เธอได้ไปสูอ ่ ารามแจ้งเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลายๆ
ั ได้กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.

อนาบัติ. 1. ภิกษุ ฉันของเป็ นเดนภิกษุ ผไู ้ ด้รบั นิ มนต์ไว้ หรือผูอ้ าพาธ


2. ภิกษุ ฉันภัตตาหารทีเขานํ าออกจากเรือนไปถวาย
3. ภิกษุ ฉันนิ ตยภัต

๒๒๖
บทที 4. อนึ ง ภิกษุ ใดอยู่ในเสนะสนะป่ า ทีรูก้ ันว่าเป็ นทีมีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า รับของเคียวก็ดี ของฉันก็ดี อัน เขาไม่ได้
บอกให้รไู ้ ว้ก่อน ด้วยมือของตน ในวัดทีอยู่ ไม่ใช่ผอู ้ าพาธ เคียวก็ดี ฉันก็ดี ภิกษุ นันพึงแสดงคืนว่า แน่ ะเธอ ฉันต้อง
กรรมทีน่ าติ ไม่เป็ นทีสบาย ควรจะแสดงคืน ฉันแสดงคืนธรรมนั นฯ
เสนาสนะป่ า ทีชือว่า ป่ า มีกาํ หนดเขต 500 ชัวธนู เป็ นอย่างตํา ( 4 ศอก เป็ น 1 ธนู )
เป็ นทีมีรงั เกียจ คือ ในอาราม ในอุปจารแห่งอาราม มีสถานที พวกโจรซ่องสุม บริโภค ยืน นัง นอน ปรากฏอยู่
มีภยั เฉพาะหน้า คือ ในอาราม ในอุปจารแห่งอาราม มีสถานทีชาวบ้านถูกพวกโจรฆ่า ปล้น ทุบตี ปรากฏอยู่
บอกให้รู ้ คือ ผูใ้ ดผูห้ นึ งเป็ นสตรีก็ตาม เป็ นบุรุษก็ตาม มาสูอ่ าราม หรืออุปจารแห่งอารามแล้วบอกว่า ท่านเจ้าข้า สตรีหรือบุรุษชือโน้น จักนําของเคียว
หรือของฉันมาถวายภิกษุ นีชือนี , ถ้าสถานทีนันเป็ นสถานมีรงั เกียจ ภิกษุ พึงบอกเขาว่า เป็ นสถานมีรงั เกียจ, ถ้าสถานทีนันเป็ นสถานมีภัย
เฉพาะหน้า พึงบอกเขาว่า เป็ นสถานมีภยั เฉพาะหน้า ถ้าเขาบอกว่า ไม่เป็ นไร เจ้าข้า เขาจักนํามาเอง ภิกษุ พึงบอกพวกโจรว่า ชาวบ้านจัก
เข้ามาในทีนี พวกท่านจงปลีกไปเสีย
ไม่ใช่ผอู ้ าพาธ คือ ผูส้ ามารถไปเทียวบิณฑบาตได้

[794] พ.ประทับอยู่ ณ นิ โครธาราม เขตพระนครกบิ ลพัสดุ ส์ กั กะชนบท. ครังนั น พวกบ่าวของเจ้าศากยะทังหลายก่อการร้าย นางสากิ ยานี
ทังหลายปรารถนาจะทําภัตตาหารถวายภิ กษุ ทังหลายผูอ้ ยู่ในเสนาสนะป่ า พวกบ่าวๆ ของเจ้าศากยะได้ทราบข่าวว่า นางสากิ ยานี ทังหลาย
ปรารถนาจะทําภัตตาหารถวายภิ กษุ ทังหลายผูอ้ ยู่ในเสนาสนะป่ า จึงไปซุ่มอยู่ทีหนทาง เหล่านางสากิ ยานี พากันนํ าของเคียวของฉันอย่ า ง
ประณี ต ไปสู่เสนาสนะป่ า พวกบ่าวๆ ได้ออกมาแย่งชิงพวกนางสากิยานี และประทุ ษร้าย พวกเจ้าศากยะออกไปจับผูร้ า้ ยพวกนั นได้พร้อมด้วย
ของกลาง แล้วพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมือพวกผูร้ า้ ยอาศัยอยูใ่ นอารามมี ไฉนพระคุณเจ้าทังหลายจึงไม่แจ้งความเล่า ...
[795] โดยสมัยต่อจากนันแล มีภิกษุ รูปหนึ งอาพาธอยูใ่ นเสนาสนะป่ า ชาวบ้านได้พากันนํ าของเคียวของฉันไปสูเ่ สนาสนะป่ า ครันแล้วได้กล่าว
อาราธนาภิกษุ นันว่า นิ มนต์ฉนั เถิด ขอรับ. ภิกษุ นันไม่รบั รังเกียจอยูว่ า่ การรับของเคียวหรือของฉันในเสนาสนะป่ า ด้วยมือของตน แล้วเคียว
ฉัน พระผูม้ ีพระภาคทรงห้ามแล้ว ดังนี แล้วไม่สามารถไปเทียวบิณฑบาต ได้อดอาหารแล้ว เธอได้แจ้งเรืองนันแก่ภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ทงหลายได้

กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม้ ีพระภาค.
………………………………………………………………………..

๒๒๗
เสขิยวัตร (ว่าด้วยธรรมเนี ยมปฏิบตั ิ) วิ.ม.2/800/659 5
เสขิยะ แปลว่า ควรศึกษา , เสขิยวัตร จึงแปลว่า วัตร(หรือธรรมเนี ยม) ทีภิกษุ ควรศึกษา หรือจะต้องศึกษา

สารูปที 1 ว่าด้วยธรรมเนี ยมควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน มี 26 สิกขาบท จัดเป็ นคู่ๆ ได้ 13 คู่


บทที 1. ภิกษุ พึงทําความศึกษาว่า เราจะนุ่งเป็ นปริมณฑล (เราจักครองอันตรวาสกให้เรียบร้อย มจร./นวโกวาท)
ต้นบัญญัติ [800] โดยสมัยนัน พ. อยู่ ณ พระเชตวัน พระนครสาวัตถี ครังนัน พระฉัพพัคคียน์ ุ่ งผ้า เลือยหน้าบ้าง เลือยหลังบ้าง ชาวบ้านพากันเพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้นุ่งผ้าเลือยหน้าบ้าง เลือยหลังบ้าง เหมือนพวกคฤหัสถ์ผบู ้ ริโภคกามเล่า
อนาบัติ ไม่แกล้ง 1 ไม่มีสติ 1 ไม่รตู ้ วั 1 อาพาธ 1 มีอนั ตราย 1 วิกลจริต 1 อาทิกมั มิกะ 1
[นุ่ งเป็ นปริมณฑล คือ นุ่ งปิ ดมณฑลสะดือ ใต้มณฑลเข่า, ภิกษุ ใดไม่เอือเฟื อ ครองอันตรวาสกย้อยข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ต้องอาบัติทุกกฎ]
[พวกภิกษุ ฉพั พัคคียน์ ุ่ งผ้าอย่างคฤหัสถ์นุ่งผ้ามีชายดุจงวงช้าง นุ่ งผ้าดุจหางปลา นุ่ งผ้าไว้ 4 มุมแฉก นุ่ งผ้าดุ จขัวตาล นุ่ งผ้ามีกลีบทังร้อย*]
วิ.อ.4/949-950
บทที 2. ภิกษุ พึงทําความศึกษาว่า เราจักห่มเป็ นปริมณฑล (เราจักครองอุตตราสงค์ให้เรียบร้อย มจร./นวโกวาท)
[ห่มเป็ นปริมณฑล คือ ทําชายจีวรทังสองให้เสมอกัน, ภิกษุ ใดไม่เอือเฟื อ ครองอุตตราสงค์ยอ้ ยย้อยข้างหน้าบ้าง ย้อยข้างหลังบ้าง ต้องอาบัติทุกกฏ]
[ห่มเข้าบ้าน คือ ปิ ดคลุมคอ ปกข้อมือทังสอง ปกเข่าทังสอง] วิ.อ.4/952

บทที 3 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักปกปิ ดกายดี ไปในละแวกบ้านฯ


บทที 4 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักปกปิ ดกายดี นังในละแวกบ้านฯ
[ภิกษุ พึงนังเปิ ดศีรษะตังแต่หลุมคอ เปิ ดมือทัง 2 ตังแต่ขอ้ มือ เปิ ดเท้าทัง 2 ทังแต่เนื อปลีแข้ง (ในละแวกบ้าน).] วิ.อ.4/952
[บทว่า วาสูปคตสฺส มีความว่า ภิกษุ ผเู ้ ข้าไปเพือต้องการอยูพ่ กั ถึงจะนังเปิ ดกายในกลางวัน หรือกลางคืน ก็ไม่เป็ นอาบัติ.]

บทที 5 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักสํารวมดี ไปในละแวกบ้านฯ


บทที 6 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักสํารวมดี นังในละแวกบ้านฯ

บทที 7 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักมีตาทอดลง ไปในละแวกบ้านฯ


บทที 8 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักมีตาทอดลง นังในละแวกบ้านฯ
[มองดูชวแอก
ั คือ แลดูภาคพืนไปข้างหน้าประมาณ 4 ศอก ภิกษุ พึงเดินแลดูชวระยะประมาณเท่
ั านี ] วิ.อ.4/952
[ภิกษุ ใดเดินแลดูทิศาภาค ปราสาท เรือนยอด ถนนนันๆ ไปพลาง, ภิกษุ นันต้องอาบัติทุกกฏ. แต่เพียงจะหยุดยืนในทีแห่งหนึ ง ตรวจดูวา่ ไม่มี
อันตรายจากช้าง ม้าเป็ นต้น ควรอยู.่ แม้ภิกษุ ผจู ้ ะนัง ก็ควรนังมีจกั ษุ ทอดลงเหมือนกัน.]

บทที 9 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทังเวิกผ้าฯ


บทที 10 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่นังในละแวกบ้าน ด้วยทังเวิกผ้าฯ

บทที 11 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทังความหัวเราะลันฯ


บทที 12 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่นังในละแวกบ้าน ด้วยทังความหัวเราะลันฯ

บทที 13 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักมีเสียงน้อยไปในละแวกบ้านฯ


บทที 14 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักมีเสียงน้อย นังในละแวกบ้านฯ
สิกขาบทวิภงั ค์
อันภิกษุ พึงมีเสียงเบาเดินไปในละแวกบ้าน ภิกษุ ใดอาศัยความไม่เอือเฟื อ เดินส่งเสียงตะเบ็งเสียงตะโกนไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อันภิกษุ พึงมีเสียงเบา นังในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอือเฟื อส่งเสียงตะเบ็งเสียงตะโกน นังในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[พระสังฆเถระปรึกษากับพระเถระที 2 พระเถระรูปที 2 ฟั งเสียงและกําหนดถ้อยคําของพระสังฆเถระนันได้ ส่วนพระเถระรูปที 3 ได้ยินเสียงกําหนด
ถ้อยคําไม่ได้ ด้วยขนาดเสียงเท่านี จดั เป็ นผูม้ ีเสียงน้อย แต่ถา้ ว่าพระเถระรูปที 3 กําหนดถ้อยคําได้ ชือว่า เป็ นผูม้ ีเสียงดังแล] วิ.อ.4/954

บทที 15 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่เดินโยกกายไปในละแวกบ้านฯ


บทที 16 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่นังโยกกายในละแวกบ้านฯ

บทที 17 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนไปในละแวกบ้านฯ


บทที 18 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนนังในละแวกบ้านฯ

๒๒๘
บทที 19 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่โคลงศีรษะไปในละแวกบ้านฯ
บทที 20 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่โคลงศีรษะนังในละแวกบ้านฯ
[ตังศีรษะไม่เอียงไปเอียงมา ได้แก่ ให้ตรง (ไม่นังคอพับ)] วิ.อ.4/95

บทที 21 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ทาํ ความคํา ไปในละแวกบ้านฯ


บทที 22 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ทาํ ความคํา นังในละแวกบ้านฯ
[การยกมือวางบนสะเอวทําความคํา ชือว่า ทําความคํา] วิ.อ.4/955

บทที 23 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่คลุมศีรษะ ไปในละแวกบ้านฯ


บทที 24 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่คลุมศีรษะ นังในละแวกบ้านฯ

บทที 25 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทังความกระหย่ง(เท้าเดิน)ฯ


[เดินด้วยเพียงปลายเท้าหรือเดินด้วยเพียงส้นเท้า ชือว่า เดินเขย่งเท้า] วิ.อ.4/955

บทที 26 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่นังในละแวกบ้าน ด้วยทังความรัด(เข่า)ฯ

ดูกรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ไม่พงึ ไว้ผมยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ


ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราอนุ ญาตให้ไว้ผมได้สองเดือนหรือยาวสององคุลี วิ.จุล.7/13
…………………………………………………………………

โภชนปฏิสงั ยุตที 2 ว่าด้วยธรรมเนี ยมรับบิณฑบาตและฉันอาหาร มี 30 สิกขาบท


1 บทที 27 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเอือเฟื อ (โดยเคารพ ไม่ทาํ อาการดุจทิงเสีย)ฯ
ต้นบัญญัติ. พระฉัพพัคคียร์ บั บิณฑบาต พลางแลไปในทีนันๆ เมือเขากําลังเกลียบิณฑบาตลงก็ดี เมือเกลียเสร็จแล้วก็ดี หารูส้ ึกตัวไม่. .

2 บทที 28 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักจ้องในบาตรรับบิณฑบาต (ไม่รบั บิณฑบาตพลางเหลียวแลไปในทีนันๆ)ฯ

3 บทที 29 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตมีสูปะเสมอกันฯ (ไม่รบั แต่สูปะอย่างเดียวเป็ นส่วนมาก)ฯ


สิกขาบทวิภงั ค์ ทีชือว่า สูปะ มีสองชนิ ด คือ สูปะทําด้วยถัวเขียว 1 สูปะทําด้วยถัวเหลือง 1 ทีจับได้ดว้ ยมือ.
อันภิกษุ พึงรับบิณฑบาตมีสูปะพอสมกัน ภิกษุ ใดอาศัยความไม่เอือเฟื อ รับแต่สูปะอย่างเดียวเป็ นส่วนมาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาบัติ อาพาธ 1 รับกับข้าวต่างอย่าง 1 รับของญาติ 1 รับของผูป้ วารณา 1 รับเพือประโยชน์แก่ภิกษุ อืน 1 จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน 1 มีอนั ตราย 1
[บิณฑบาตซึงมีกบั ข้าวประมาณเท่าส่วนที 4 แห่งข้าวสวย ชือว่าบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.]
(บิณฑบาตพอเหมาะกับแกงคือบิณฑบาต 3 ส่วแกง 1 ส่วน) วิ.อ.4/955

4 บทที 30 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตจดเสมอขอบบาตร (ไม่รบั บิณฑบาตจนล้น)ฯ


[บิณฑบาตล้นบาตร กําหนดด้วยอะไร? พระเถระกล่าวว่า กําหนดด้วยยาวกาลิก ส่วนยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก รับให้ลน้ เหมือนยอดสถูป
แม้ดว้ ยบาตรควรอธิษฐานก็ได้. ภิกษุ รบั ภัตตาหารด้วยบาตร 2 ใบ บรรจุให้เต็มใบหนึ งแล้วส่งไปยังวิหาร ควรอยู.่ ] วิ.อ.4/956

5 บทที 31 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเอือเฟื อฯ (ไม่ฉนั บิณฑบาตโดยรังเกียจ ทําอาการดุ จไม่อยากฉัน)ฯ


สิกขาบทวิภงั ค์
อันภิกษุ พึงฉันบิณฑบาตโดยไม่รงั เกียจ ภิกษุ ใดอาศัยความไม่เอือเฟื อ ฉันบิ ณฑบาตโดยรังเกียจ ทําอาการดุจไม่อยากฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

6 บทที 32 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักจ้องดูอยูใ่ นบาตร ฉันบิณฑบาตฯ (ไม่ฉนั บิณฑบาตพลางแลดูไปในทีนันๆ)ฯ

7 บทที 33 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง (ไม่ฉนั บิณฑบาตเจาะลงในทีนันๆ)ฯ

8 บทที 34 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน ฯ


ภิกษุ พึงฉันแกงพอสมควรแก่ขา้ วสุก (ไม่ฉนั แต่กบั ข้าวเปล่าๆ)
สิกขาบทวิภงั ค์ อันภิกษุ ใดอาศัยความไม่เอือเฟื อฉันแต่สูปะอย่างเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ
อนาบัติ. ฉันของญาติ ฉันของคนปวารณา ฉันเพือประโยชน์ แก่ภิกษุ อืน จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน

๒๒๙
9 บทที 35 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ขยุม้ ลงแต่ยอด ฉันบิณฑบาตฯ

10 บทที 36 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่กลบแกงก็ดี กับข้าวก็ดี ด้วยข้าวสุก อาศัยความอยากได้มากฯ

11 บทที 37 ภิกษุพึงทําศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพือประโยชน์แก่ตนฉัน 8.4


ต้นบัญญัติ. [836] ครังนัน พระฉัพพัคคียข์ อกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพือประโยชน์แก่ตนมาฉัน ชาวบ้านพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้ขอกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพือประโยชน์แก่ตนมาฉันเล่า กับข้าวหรือข้าวสุกทีดี ใครจะไม่พอใจ ของทีมีรส
อร่อยใครจะไม่ชอบใจ
อนุ บญั ญัติ. [837] ก็โดยสมัยนันแล ภิกษุ ทงหลายอาพาธ
ั พวกภิกษุ ผพู ้ ยาบาลได้ถามภิกษุ ทงหลายผู
ั อ้ าพาธว่า อาวุโสทังหลาย พวกท่านยังพอ
ทนได้หรือ ยังพอให้อตั ภาพเป็ นได้หรือ
ภิกษุ อาพาธทังหลายตอบว่า อาวุโสทังหลายเมือก่อนพวกผมขอสูปะบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพือประโยชน์แก่ตนมาฉันได้ พวกผมมีความผาสุกเพราะ
เหตุนัน แต่บดั นี พวกผมรังเกียจอยูว่ า่ พ.ทรงห้ามแล้ว จึงไม่ขอเพราะเหตุนัน พวกผมจึงไม่มีความผาสุก ภิกษุ ทงหลายได้
ั กราบทูลเรืองนันแด่ พ.
อนาบัติ อาพาธ 1 ขอต่อญาติ 1 ขอต่อคนปวารณา 1 ขอเพือประโยชน์แก่ภิกษุ อืน 1 จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน 1 มีอนั ตราย 1

ต่อหัวข้อที ๘.๕ หน้า ๑๐๐


สังฆาทิเสส ข้อที ๖
ภิกษุ สร้างกุฎีส่วนตัว
12 บทที 38 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่เพ่งโพนทะนา แลดูบาตรของผูอ้ ืน (ไม่พึงมุง่ หมายจะเพ่งโทษ แลดูบาตรของภิกษุ อืน)ฯ
อนาบัติ แลดูดว้ ยคิดว่าจักเติมของฉันให้ หรือจักสังให้เขาเติมถวาย 1 มิได้มีความมุง่ หมายจะเพ่งโทษ 1

13 บทที 39 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ทาํ คําข้าวให้ใหญ่(เกินไป)นัก

14 บทที 40 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักทําคําข้าวให้กลมกล่อม (ไม่ทาํ คําข้าวยาว)

15 บทที 41 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เมือคําข้าวยังไม่นํามาถึง เราจักไม่อา้ ช่องปาก (เมือคําข้าวยังไม่นํามาถึง จะไม่อา้ ช่องปากไว้ท่า)ฯ

16 บทที 42 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราฉันอยู่ จักไม่สอดมือทังนันเข้าในปากฯ

17 บทที 43 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า ปากยังมีคาํ ข้าว เราจักไม่พูด (ไม่เจรจาทังๆ ทีในปากยังมีคาํ ข้าว)


สิกขาบทวิภงั ค์ อันภิกษุ ผฉู ้ นั อาหารไม่พึงพูดด้วยทังปากยังมีคาํ ข้าว (ไม่ฉนั ไปคุยไป อันเป็ นอาการของชาวบ้าน )
บางครังญาติโยมไม่ทราบพระวินัยข้อนี จึงได้ชวนพระภิกษุ คุยในขณะกําลังฉันภัตตาหาร บางท่านถึงกับกล่าวว่า “ไม่เป็ นไร
ฉันไปคุยไปก็ได้” บางครังด้วยความทีพระภิกษุ มีความเกรงใจญาติโยมจึงไม่ได้ว่ากล่าวประการใด เป็ นเหตุให้พลังเผลอต้องอาบัติ
เมือทราบดังนี ญาติโยมจึงไม่ควรชวนพระภิกษุคุยในระหว่างการฉันภัตตาหาร ดังนี แล

18 บทที 44 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเดาะคําข้าว (ไม่ฉนั อาหารโยนคําข้าว)ฯ

19 บทที 45 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันกัดคําข้าวฯ


อนาบัติ. ฉันขนมทีแข้นแข็ง-ฉันผลไม้น้อยใหญ่-ฉันกับแกง (เช่นถัวฟั กยาว)

20 บทที 46 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทํา(กระพุง้ แก้ม)ให้ตยุ่ ฯ (ฉันทีละมาก ๆ หรือรับอาหารเข้าไปมากเสียจนแก้มตุ่ย)


อนาบัติ. ฉันผลไม้น้อยใหญ่

21 บทที 47 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันสลัดมือฯ

22 บทที 48 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทําเมล็ดข้าวตก (ไม่ฉนั อาหาร โปรยเมล็ดข้าว)

23 บทที 49 ภิกษุ พึงศึกษาว่า เราจักไม่ฉนั แลบลินฯ

24 บทที 50 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทําเสียงจับๆ

๒๓๐
25 บทที 51 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทําเสียงดังซูดๆ
ต้นบัญญัติ. [851] พ. ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี ครังนัน พราหมณ์คนหนึ งปรุงปานะนํานมถวายพระสงฆ์ ภิกษุ ทงหลายซด ั
นํานมดังซูดๆ ภิกษุ รูปหนึ งเคยเป็ นนักฟ้ อนรํา กล่าวขึนอย่างนี วา่ ชะรอยพระสงฆ์ทงปวงนี
ั อนั ความเย็นรบกวนแล้ว บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม้ กั น้อย. .
. ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุ จึงได้พดู ปรารภพระสงฆ์เล่นเล่า . . . แล้วกราบทูลเรืองนันแด่ พ.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อันภิกษุ ทั งหลายไม่พึงพูดปรารภพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์เล่น(ล้อเลียน) รูปใดฝ่ าฝืน ต้อง
อาบัติทกุ กฏ
26 บทที 52 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือฯ
[ภิกษุ จะเอานิ วมือทังหลายหยิบยาคูแข้น นําอ้อยงบ และข้าวปายาสเป็ นต้น แล้วสอดนิ วมือเข้าในปากฉัน ควรอยู่] วิ.อ.4/960
27 บทที 53 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร (เลียบาตร หรือขูดอาหารจนแห้งขอดบาตร)
อนาบัติ. ข้าวสุกเหลือน้อย กวาดขอดรวมกันเข้าแล้วฉัน
28 บทที 54 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝี ปาก
[แต่จะเอาเฉพาะเนื อริมฝี ปากทังสองข้างคาบแล้วขยับให้เข้าไปภายในปาก ควรอยู]่ วิ.อ.4/960
29 บทที 55 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่รบั โอนําด้วยมือเปื อนอามิสฯ
อนาบัติ. รับประเคนด้วยหมายว่าจักล้างเอง หรือให้ผอู ้ ืนล้าง
30 บทที 56 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่เทนํ าล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้านฯ
อนาบัติ อาพาธ-เก็บเมล็ดข้าวออกแล้ว จึงเทนําล้างบาตร หรือขยีเมล็ดข้าวให้ละลายแล้วเท หรือเทนํ าล้างบาตรลงในกระโถนแล้วนําไปเทข้างนอก
…………………………………………………………………

เปลือยกายรับประเคน-ฉัน
ดูกรภิกษุ ทงหลาย..
ั ไม่พึงเปลือยกายรับประเคน ไม่พึงเปลือยกายเคียวของ ไม่พึงเปลือยกายฉันอาหาร ไม่พึงเปลือยกาย ลิมรส ไม่พึง
เปลือยกายดืม รูปใดดืม ต้องอาบัติทุกกฏ วิ.จุล.7/90

เรืองให้ภิกษุกาํ ลังฉันค้างอยูล่ กุ ขึน วิ.จุล.7/272/78


[272] สมัยนัน มหาอํามาตย์ผู้หนึ งเป็ นสาวกของอาชีวกได้เลียงอาหารพระสงฆ์ ท่านพระอุปนันทศากยบุตรมาภายหลัง ได้ให้
ภิกษุ ผู้นงในลํ
ั าดับลุกขึ นทังทีกําลังฉันอาหารค้างอยู่ โรงอาหารได้เกิดโกลาหล จึงมหาอํามาตย์ผู้นน ั เพ่งโทษ ติเตี ยน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื อสายพระศากยบุ ต รมาทีหลัง จึงได้ใ ห้ภิกษุ ผู้นงในลํ ั า ดับ ลุกขึ นทังทียังฉันอาหารค้า งอยู่เล่า โรงอาหารได้เกิด
โกลาหลขึ น ภิกษุ ผู้นงแม้
ั ในทีอืน จะพึงได้ฉน ั จนอิมอย่างไรเล่า
ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยินมหาอํา มาตย์ผู้นน ั เพ่งโทษ ติเตี ยน โพนทะนาอยู่ บรรดาทีเป็ นผู้ม กั น้อย ... ต่า งก็เพ่งโทษ ติเตี ยน
โพนทะนา.. กราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .ทรงสอบถามว่า ดูกอ ่ นอุปนันทะ ข่าวว่า เธอมาทีหลังได้
ให้ภิกษุ ผู้นงในลํ
ั าดับลุกขึ นทังทียังฉันอาหารค้างอยู่ โรงอาหารได้เกิดโกลาหลขึ น จริงหรือ.
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกราบทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกอ ่ นโมฆบุรุษ ไฉนเธอมาทีหลังจึงให้ภิกษุ ผู้นงในลํ
ั าดับลุกขึนทังทียังฉันอาหารค้าง
อยู่ โรงอาหารได้เกิดโกลาหลขึ น การกระทําของเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส... ครันแล้วทรงทําธร
รมีกถา รับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า
ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พงึ ให้ภิกษุ ผู้นงในลํ
ั าดับลุกขึ น ทังทียังฉันอาหารค้างอยู่ รูปใดให้ลุกขึ น ต้องอาบัติทุกกฏ ถ้าให้
ลุกขึ นย่อมเป็ นอันห้ามภัตรด้วย (ภิกษุ หนุ่ ม) พึงกล่าว (แก่ภกิ ษุ แก่) ว่า ท่านจงไปหานํามา ถ้าได้อย่างนี นันเป็ นการดี ถ้าไม่ได้ พึงกลืน
เมล็ดข้าวให้เรียบร้อยแล้ว จึงให้อาสนะแก่ภิกษุ ผู้แก่กว่า
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง เรากล่าวมิได้หมายความว่า ภิกษุ พงึ หวงกันอาสนะ แก่ภิกษุ ผู้แก่กว่าโดยปริยายไร ๆ รูปใดหวงกัน
ต้องอาบัติทุกกฏ.
ธรรมเนียมในโรงฉัน ว่าด้วยธรรมเนียมในโรงฉัน เล่ม 9 หน้า 189 มมร.
บทวา ÇÔ» Ú»¡µâÀªà¹ มีความวา ภิกษุกําลังฉันอยูในที่ใดทีห
่ นึ่ง ในละแวกบานก็ตาม ในวิหารก็ตาม ในปาก็ตาม เมื่อการฉันยังไม
เสร็จไมควรใหลก ุ . ในละแวกบาน ภิกษุผูมาที่หลังพึงรับภิกษาแลวไปยังที่แหงภิกษุผเู ปนสภาคกัน. ถาชาวบานหรือภิกษุทงั้ หลาย นิมนต
วา ทานจงเขาไป ควรบอกวา เมื่อเราเขาไป ภิกษุทั้งหลายจักตองลุกขึ้น. เธออัน เขากลาววา ที่นี่ยังมีที่นั่ง จึงควรเขาไป. ถาใคร ๆ ไม
กลาวคํานี้นอยหนึ่ง พึงไปที่อาสนศาลาแลวเฉียดมายืนอยูในที่แหงภิกษุผูเปน สภาคกัน ; เมื่อ ภิก ษุทั้งหลายทําโอกาสแลว เธออันเขา
นิมนตวา นิมนตเขามาเถิด ดังนี้ พึงเขาไป. แตถา ที่อาสนะซึ่งจะถึงแกเธอ มีภิกษุมิไดฉันนั่งอยู จะใหภิกษุนั้นลุกขึ้น ควรอยู ภิกษุผูนั่ง
ดื่มหรือขบฉันยาคู และของเคี้ยวเปนตน อยางใดอยางหนึ่งแลว แมมีมือวางก็ไมควรใหลก ุ จนกวาภิกษุอื่นจะมา เพราะวาเธอนับวาเปน
ผูฉันคางเหมือนกัน.
ขอวา ÊਠÇد €þ Òà»µÔ มีความวา ถาแมเธอแกลงลวงอาบัติใหลุกขึ้นจนได. ขอวา »ÃÔÇ ÒÃÔâµ ¨ âËµÔ มีความวา เธอจะใหภิกษุใดลุก,
ถาภิกษุนี้ เปนผูหามโภชนะแลว, เธออันภิกษุนั้นพึงกลาววา จงไปหาน้ํามา. จริง ขอนี้แล เปนสถานอันหนึ่ง ที่ภิกษุหนุมใชภิกษุแกกวา
ได. ถาเธอไมหาน้าํ มาให. ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคเจา จะทรงแสดงหนาที่ซงึ่ ภิกษุผูออ  นกวาจะพึงกระทํา จึงตรัสคําเปนตน วา พึงกลืน
เมล็ดขาวใหเรียบรอย.

๒๓๑
ธัมมเทสนาปฏิสงั ยุตที 3 ว่าด้วยธรรมเนียมไม่ให้ แสดงธรรมแก่บุคคลแสดงอาการไม่เคารพ มี 16 สิกขาบท
บทที 1 - 16 รวมความว่า ภิกษุ จะไม่แสดงธรรมแก่ผแู ้ สดงอาการไม่เคารพ (เหตุทีไม่แสดงธรรมแก่เขานัน ก็ดว้ ยความนับถือเชิดชูธรรม)
(ในวินัยมุข เล่ม 1 หน้า 210) อนึ ง การห้ามแสดงธรรมแก่คนมีอาการไม่เคารพนั น ก็ดว้ ยความนั บถือเชิดชูธรรม น่ าจะเห็นว่า
เป็ นข้อทีพระสาวกตังมากกว่าพระศาสดาทรงเอง.นี เป็ นข้ออันหนึ ง ซึงนั กวินัยควรดําริ
(ในวินัยวินิจฉัย หน้า 85) ในเสขิยสิกขาบทนี ไม่ได้ปรับอาบัติไว้โดยตรง มีแต่เพียงว่าพึงทําความศึกษาหรือรักษา. ในคัมภีรว์ ิภงั ค์
แก้ว่า อาศัยความไม่เอือเฟื อทําให้ผิดธรรมเนี ยมไป ต้องทุกกฏ. มีความตังใจจะทําให้ถูกตามธรรมเนี ยม แต่ล่วงไปด้วยไม่แกล้ง
ด้วยเผลอ ด้วยไม่รตู ้ วั หรือไม่รจู ้ กั จะทําให้ถูก และอาพาธไม่อาจรักษากิจวัตรให้เรียบร้อยได้ ท่านยกเว้นไม่ปรับอาบัติ.
1 บทที 57 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ มีรม่ ในมือ (ผูก้ นร่
ั ม)ฯ
สิกขาบทวิภงั ค์ ทีชือว่า ร่ม ได้แก่ร่ม 3 ชนิ ด คือ ร่มผ้าขาว 1 ร่มลําแพน 1 ร่มใบไม้ 1 ทีเย็บเป็ นวงกลมผูกติดกับซี.
ทีชือว่า ธรรม ได้แก่ ถ้อยคําทีอิงอรรถอิงธรรม เป็ นพุทธภาษิ ต สาวกภาษิ ต อิสีภาษิ ต เทวตาภาษิ ต.
บทว่า แสดง คือแสดงโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ อักขระ.
(วินย.อ.เล่ม 4 หน้า 961 มมร.) ก็คาํ ว่า มณฺ ฑลพทฺธํ สลากพทฺธํ นี พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพือทรงแสดงโครงร่มทัง 3 ชนิ ด. ก็รม่ ทัง 3 ชนิ ด
นัน เป็ นร่มทีเย็บเป็ นวงกลม และผูกติดกับซี. ถึงแม้รม่ ใบไม้ใบเดียว อันเขาทําด้วยคันซึงเกิดทีต้นตาลเป็ นต้น ก็ชือว่าร่มเหมือนกัน.
บรรดาร่มเหล่านี ร่มชนิ ดใดชนิ ดหนึ งทีมีอยูใ่ นมือของบุคคลนัน; เหตุนันบุคคลนัน ชือว่า มีรม่ ในมือ. บุคคลนันกันร่มอยูก่ ็ดี แบกไว้บนบ่าก็ดี วาง
ไว้บนตักก็ดี ยังไม่ปล่อยมือคราบใด จะแสดงธรรมแก่เขาไม่ควรตราบนัน เป็ นทุกกฏแก่ภิกษุ ผแู ้ สดง โดยนัยดังทีกล่าวแล้วนันแล. แต่ถา้ ว่า ผูอ้ ืนกางร่ม
ให้เขาหรือร่มนันตังอยูบ่ นทีรองร่ม พอแต่รม่ พ้นจากมือ ก็ไม่เชือว่า ผูม้ ีรม่ ในมือ, จะแสดงธรรมแก่บุคคลนันควรอยู.่
2 บทที 58 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ มีไม้พลองในมือ
ไม้พลอง ได้แก่ ไม้พลองยาวสีศอกของมัชฌิมบุรุษ
3 บทที 59 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ มีศสั ตราในมือฯ
ศัสตรา ได้แก่ วัตถุเครืองประหารมีคมข้างเดียว มีคมสองข้าง
4 บทที 60 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ มีอาวุธในมือฯ
อาวุธ ได้แก่ ปื น เกาทัณฑ์
(วินัยวินิจฉัย หน้า 87) การแสดงธรรม แก่คนทีต้องถือศัสตราวุธติดกับมือ หรือผูกสอดสวมอยูใ่ นมือเป็ นนิ ตย์ เช่นทหาร หรือพวกพลเมืองผูพ้ กศัสตรา
วุธอยูก่ บั ตัว เช่นพวกมลายู พวกชวา พกกริช. การผูกสอดสวมและพกศัสตราวุ ธเช่นนี เป็ นตามธรรมเนี ยมของพวกนักรบหรือพวกชอบรบชอบสู ้ ไม่ใช่
แสดงความดุรา้ ย แสดงได้ ไม่เป็ นอาบัติ.
5 บทที 61 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ สวมเขียงเท้า (ผูเ้ หยียบเขียงเท้าก็ดี)ฯ
6 บทที 62 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ สวมรองเท้าฯ (ผูเ้ หยียบรองเท้าก็ดี)ฯ
(นักธรรมตรี วินัยวินิจฉัย หน้า 87) คําว่าเขียนเท้าในข้อ 5, คําว่ารองเท้าในข้อ 6, ต่างกันอย่างไร ?.
ต่างกันอย่างนี คือเขียนเท้ามีสน้ เช่นเกือกบู๊ตหรือเกือกคัดชู ส่วนรองเท้าไม่มีสน้ เช่นเกือกสลิปเปอร์ เกือกแตะ.
การแสดงธรรมแก่คนทีเคารพ แม้ใส่เกือกตามประเพณี นิยม เช่นในราชการเป็ นต้น ก็ไม่เสียหาย แสดงได้ไม่เป็ นอาบัติ.
7 บทที 63 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ไปในยานฯ
สิกขาบทวิภงั ค์ ทีชือว่า ยาน ได้แก่ คานหาม รถ เกวียน เตียงหาม วอ เปลหาม.
ถ้าแม้นว่า คนทีถูกชน 2 คนหามไปด้วยมือประสานกันก็ดี คนทีเขาวางไว้บนผ้า แล้วใช้บ่าแบกไปก็ดี คนผูน้ ังบนยานทีไม่ได้เทียม มีคานหาม
เป็ นต้นก็ดี ผูน้ ังบนยานทีเขารือออกวางไว้ แม้มีแต่เพียงล้อก็ดี ย่อมถึงการนับว่า ผูไ้ ปในยาน ทังนัน.
แต่ถา้ คนแม้ทงสองั 2 ฝ่ าย นังไปบนยานเดียวกัน จะแสดงธรรมแก่อีกฝ่ ายหนึ ง ควรอยู.่ แม้ใน 2 คนผูน้ ังแยกกัน ฝ่ ายผูน้ ังอยูบ่ นยานสูง จะแสดง
ธรรมแก่ฝ่ายผูน้ ังอยูบ่ นยานตํา ควร. จะแสดงแก่ผนู ้ ัง แม้บนยานทีเสมอกัน ก็ควร. ภิกษุ ผนู ้ ังอยูบ่ นยานข้างหน้า จะแสดงธรรมแก่ผนู ้ ังบนยานข้างหลัง
ควร. แต่ภิกษุ ผนู ้ ังบนยานข้างหลังแม้สูงกว่า จะแสดงธรรมแก่ผนู ้ ังบนยานข้างหน้า (ซึงไม่เจ็บไข้) ไม่ควร. วิ.อ.4/963
8 บทที 64 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ ผูอ้ ยูบ่ นทีนอน (คนไม่เป็ นไข้ผนู ้ อนอยู)่ โดยทีสุ ดแม้บนพืนดิน)ฯ
9 บทที 65 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ นังรัดเข่าฯ
10 บทที 66 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ พันศีรษะฯ
พันศีรษะ(โพกศีรษะ) คือ พันไม่ให้เห็นปลายผม, อนาบัติ. ให้เขาเปิ ดปลายผมจุกแล้วแสดง
11 บทที 67 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผูเ้ จ็บไข้ คลุมศีรษะฯ
คลุมศีรษะ คือ ทีเขาเรียกกันว่าคลุมตลอดทังศีรษะ

๒๓๒
12 บทที 68 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เรานังอยูท่ ีพืนดิน จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผูน้ ั งบนอาสนะฯ
13 บทที 69 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เรานังบนอาสนะตํา จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผูน้ ังบนอาสนะสูงฯ
[จะแสดงธรรมแก่ผไู ้ ม่เจ็บไข้ซึงนังอยูบ่ นอาสนะ ชันทีสุด แม้บนภูมิประเทศทีสูงกว่า ก็ไม่ควร.] วิ.อ.4/966
(วินัยมุข เล่ม 2 หน้า 78) อนึ ง ข้อทีทรงอนุ ญาตอาสนะดีกว่าตามลําดับผูแ้ ก่นัน ภิกษุ ผนู ้ ้อยแสดงธรรม จะนังสูงกว่าพระเถระ และพระเถระจะ
นั งตํากว่า หรือต่างนั งเสมอกัน ด้วยเคารพในธรรมควรอยู่ และผูน้ ้อยเมือจะแสดงธรรม ต้องอาปุ จฉาให้ได้รบั อนุ ญาตจากผูใ้ หญ่ก่อน จึงแสดงได้
ไม่เช่นนันเป็ นข้ามผูใ้ หญ่ เพราะหน้าทีแสดงธรรมเป็ นของผูใ้ หญ่ ต่อผูใ้ หญ่ไม่สามารถด้วยประการไร จึงถึงผูน้ ้อย.
14 บทที 70 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เรายืนอยูจ่ กั ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผูน้ ังอยูฯ่
[869] สาวัตถีนิทาน. ครังนัน พระฉัพพัคคียอ์ ยูท่ ีพืนดินแสดงธรรมแก่บุคคล ผูน้ ังอยู่ บนอาสนะ ...
15 บทที 71 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราเดินไปข้างหลัง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผูเ้ ดินทางไปข้างหน้าฯ
16 บทที 72 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราเดินไปนอกทาง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผูไ้ ปอยูใ่ นทางฯ
หมายเหตุ. ดูกร ภิกษุไม่ได้รบั อาราธนา ไม่พึงแสดงธรรมในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดแสดงต้องอาบัติทุกกฏ,
เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผเู ้ ป็ นเถระแสดงธรรมเอง หรืออาราธนาให้ผูอ้ ืนแสดง
เมือมีผแู ้ สดงธรรม แสดงความเคารพในธรรม โดยไม่พูดคุยกัน หรือหยิบหนังสือขึนมาอ่าน

ไม่อนุญาตการให้พรเมือมีผู้จาม วิ.จุล.7/185/46
[185] สมัยนัน พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้า อันบริษ ัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว กํา ลังทรงแสดงธรรม ได้ทรงจามขึ น ภิกษุ ทงหลายได้ั
ถวายพระพรอย่างอึงมีว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระชนมายุ ขอพระสุคตจงทรงพระชนมายุเถิด พระพุทธเจ้าข้า ธรรมกถาได้พกั ใน
ระหว่า งเพราะเสียงนัน จึงพระผู้มีพระภาค รับ สังถามภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั บุ ค คลทีถูกเขาให้พรว่า ขอจงเจริญ ชนมายุใน
เวลาจาม จะพึงเป็ น หรือพึงตายเพราะเหตุทีให้พรนันหรือ
ภิ. ไม่อย่างนัน พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พงึ กล่าวคําให้พรว่า ขอจงมีชนมายุ ในเวลาทีเขาจาม รูปใดให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
[186] สมัยนัน ชาวบ้านให้พรในเวลาทีภิกษุ ทงหลายจามว่
ั า ขอท่านจงมีชนมายุ ภิกษุ ทงหลายรั
ั งเกียจ มิได้ให้พรตอบ ชาวบ้านเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากยบุตร เมือเขาให้พรว่า จงเจริญชนมายุ จึงไม่ให้พรตอบเล่า ภิกษุ ทงหลายกราบทู ั ล
เรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค พระผูม ้ ีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ชาวบ้านมีความต้องการด้วยสิงเป็ นมงคล เราอนุญาตให้ภิกษุ ผู้ที
เขาให้พรว่า จงเจริญชนมายุ ดังนี ให้พรตอบแก่ชาวบ้านว่า ขอท่านจงเจริญชนมายุยืนนาน ฯ
ภัตตานุโมทนา วิ.จุล.7/420/149
[420] สมัยนัน ภิกษุ ทงหลายไม่
ั อนุโมทนาในโรงฉัน คนทังหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชือสายพระศากย
บุตรจึงได้ ไม่อนุโมทนาในโรงฉัน ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยน
ิ คนพวกนันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยูจ่ งึ กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย เรา อนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉัน ฯ
[421] ครังนัน ภิกษุ ทงหลายคิ
ั ดว่า ใครหนอพึงอนุโมทนาในโรงฉัน แล้วจึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค ลําดับนัน พระผู้มีพระ
ภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาต
ให้ภิกษุ ผู้เถระอนุโมทนาในโรงฉัน ฯ
[422] สมัยนัน ประชาชนหมู่หนึ งถวายภัตรแก่พระสงฆ์ ท่านพระสารีบุตรเป็ นสังฆเถระ ภิกษุ ทงหลายคิ ั ดว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาต
ให้ภิกษุ ผู้เถระอนุโมทนาในโรงฉัน จึงเหลือท่านพระสารีบุตรไว้รูปเดียว แล้วพากันกลับไป ลําดับนัน ท่านพระสารีบุตรแสดงความยินดีกะ
คนเหล่านัน แล้วได้ไปทีหลังรูปเดียว พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระสารีบุตรเดินมาแต่ไกลรูปเดียว จึงรับสังถามว่า ดูกร
สารีบุตร ภัตรมีมากมายกระมัง
ท่านพระสารีบุตรทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ภัตรมีมากมาย แต่ภิกษุ ทงหลาย
ั ละข้าพระพุทธเจ้าไว้ผู้เดียว แล้วพากันกลับไป
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย เราอนุญาตให้ภก ิ ษุ เถรานุเถระ 4-5 รูปรออยูใ่ นโรงฉัน ฯ
[423] สมัยต่อมา พระเถระรูปหนึ งปวดอุจจาระรออยูใ่ นโรงฉัน เธอกลันอุจจาระอยูจ่ นสลบล้มลง ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนันแด่พระผู้
มีพระภาคๆรับสังว่า ดูกรภิกษุ ทงหลายั เมือมีกรณียกิจ เราอนุญาตให้บอกลาภิกษุ ผู้นงอยู
ั ใ่ นลําดับ แล้วไปได้ ฯ
เรืองเดียรถีย์ [201] ขุ.ธ.อ.43 หน้า 86 มมร.
ทรงอนุญาตอนุโมทนากถา
พระศาสดา เมือประทับอยูใ่ นพระเชตวัน ทรงปรารภพวกเดียรถีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานีว่า "น โมเนน" เป็ นต้น.
เหตุทีทรงอนุ ญาตอนุโมทนากถา
ได้ยินว่า พวกเดี ยรถีย์เหล่านันทําอนุ โมทนาแก่พวกมนุษย์ ในสถานทีตนบริโภคแล้ว, กล่า วมงคลโดยนัยเป็ นต้นว่า " ความ
เกษมจงมี, ความสุขจงมี, อายุจงเจริญ; ในทีชือโน้นมีเปื อกตม, ในทีชือโน้นมีหนาม, การไปสูท
่ ีเห็นปานนันไม่ควร" แล้วจึงหลีกไป.

๒๓๓
ก็ในปฐมโพธิกาล ในเวลาทียังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนาเป็ นต้น ภิกษุ ทงหลายไม่
ั ทาํ อนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงภัต เลย
ย่อมหลีกไป. พวกมนุษย์ยกโทษว่า "พวกเราได้ฟงั มงคลแต่สาํ นักของเดียรถีย์ทงหลาย,ั แต่พระผู้เป็ นเจ้าทังหลายนิงเฉย หลีกไปเสีย."
ภิกษุ ทงหลายยกราบทู
ั ลความนันแด่พระศาสดา.
พระศาสดาทรงอนุญาตว่า " ภิกษุ ทงหลาย
ั ตังแต่บดั นีไป ท่า นทังหลายจงทําอนุโมทนาในทีทังหลายมีโรงภัตเป็ นต้น ตามสบาย
ิ นกถาเถิด" 1 ภิกษุ เหล่านันทําอย่างนันแล้ว.
เถิด, จงกล่าวอุปนิสน
1 “ถอยคําของผูเขาไปนั่งใกล”, การนั่งคุยสนทนาอยางกันเองหรือไมเปนแบบแผนพิธี เพื่อตอบคําซักถาม แนะนําชี้แจง ใหคําปรึกษา เปนตน

พวกเดียรถีย์ตเิ ตียนพุทธสาวก
พวกมนุ ษ ย์ฟงั วิธีอนุ โมทนาเป็ นต้น ถึงความอุตสาหะแล้ว นิม นต์ ภิกษุ ทงหลาย
ั เทียวทํา สักการะ. พวกเดี ยรถีย์ยกโทษว่า "
พวกเราเป็ นมุนีทาํ ความเป็ นผู้นิง, พวกสาวกของพระสมณโคดมเทียวกล่าวกถามากมาย ในทีทังหลายมีโรงภัตเป็ นต้น.
ลักษณะมุนีและผูไ้ ม่ใช่มน
ุ ี
พระศาสดาทรงสดับความนัน ตรัสว่า " ภิกษุ ทงหลายั เราไม่กล่าวว่า ' มุนี ' เพราะเหตุสกั ว่าเป็ นผู้นิง; เพราะคนบางพวกไม่รู ้
ย่อมไม่พูด, บางพวกไม่พูด เพราะความเป็ นผูไ้ ม่แกล้วกล้า, บางพวกไม่พูด เพราะตระหนีว่า ' คนเหล่าอืนอย่ารูเ้ นือความอันดียงนี ิ ของ
เรา; เพราะฉะนัน คนไม่ชือว่าเป็ นมุนี เพราะเหตุสกั ว่าเป็ นคนนิง, แต่ชือว่าเป็ นมุนี เพราะยังบาปให้สงบ." ดังนีแล้ว ได้ตรัสพระคาถา
เหล่านีว่า
น โมเนน มุนิ โหติ มูฬฺหรูโป อวิทฺทสุ โย จ ตุลว ปคฺคยฺห วรมาทาย ปณฺฑิโต
ปาปานิ ปริวชฺเชติ ส มุนิ เตน โส มุนิ โย มุนาติ อุโภ โลเก มุนิ เตน ปวุจฺจติ.
" บุคคลเขลา ไมรูโดยปกติ ไมชื่อวาเปนมุนี เพราะความเปนผูนิ่ง,
สวนผูใดเปนบัณฑิตถือธรรมอันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตาชั่ง เวนบาปทั้งหลาย, ผูนั้นเปนมุนี,
ผูนั้นเปนมุนี เพราะเหตุนั้น; ผูใดรูอรรถทั้งสองในโลก 2, ผูนั้นเรากลาววา ' เปนมุนี ' เพราะเหตุนั้น."
2 โย มุนาติ อุโภ โลเก ความวา บุคคลผูใดรูอรรถทั้งสองนี้ ในโลกมีขันธเปนตนนี้ โดยนัยเปนตนวา "ขัน ธเหลานี้เปนภายใน, ขันธเหลานี้เปนภายนอก"
..............................................

ปกิณณกะที 4 ว่าด้วยธรรมเนี ยมถ่ายอุจจาระปั สสาวะ มี 3 สิกขาบท (ปกิณณกะ แปลว่า หมวดเบ็ดเตล็ด)


บทที 73 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ หรือถ่ายปั สสาวะฯ

บทที 74 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปั สสาวะ หรือบ้วนเขฬะ บนของสดเขียวฯ


[ถึงแม้นํามูก ก็สงเคราะห์เข้ากับนําลายในสิกขาบทนี ดว้ ย] วิ.อ.4/967
[เมือยังกําลังมองหาทีปราศจากของสดเขียวอยูน่ ันแหละ อุจจาระหรือปั สสาวะพลันทะลักออกมา จัดว่าตังอยูใ่ นฐานะเป็ นผูอ้ าพาธ ควรอยู]่

บทที 75 ภิกษุ พึงทําศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปั สสาวะ หรือบ้วนเขฬะ ในนํ าฯ


พระผูม้ ีพระภาคตรัสหมายถึงนําบริโภคเท่านัน แต่นําในวัจจกุฏีและนําทะเลเป็ นต้น ไม่ใช่ของบริโภค ไม่เป็ นอาบัติ วิ.อ.4/968
(เพือสุขอนามัยแก่สาธารณะ ป้ องกันความมักง่าย)

(วินัยมุข เล่ม 1) เป็ นธรรมเนี ยมของภิกษุ นังถ่ายปั สสาวะ และทิงสิงโสโครกในนาในไร่ทีเขาปลูกพืช และในนําทีบริโภคใช้สอยไม่ได้. ลานหญ้าทีเขา
รักษาในบัดนี สงเคราะห์เข้าในของเขียวสด ภูตคามทีเขาไม่ได้รกั ษาเป็ นแต่ขึนรก หาได้จดั เข้าในทีนี ไม่. นํานัน ในบ่อในสระทีคนขุดไว้ใช้ก็ตาม ในทีขัง
อยูเ่ อง เช่นในหนองในบึงก็ตาม ในทีนําไหล เช่นในคลองในแม่นําก็ตาม ห้ามทังนัน เว้นไว้แต่นําทีไม่ใช้บริโภค เช่นนําเน่ า นําทะเล. ในคราวทีมีนําท่วม
ไม่มีทีบกจะถ่าย ห่านอนุ ญาต. คนสามัญ มักเห็นการถ่ายของโสโครกลงในนําไหลไม่เป็ นไร แต่พวกภิกษุ เข้าใจมาก่อนแล้วว่า ทํานําให้เสีย จึงมีธรรม
เนี ยมห้ามตลอดถึงนําไหล
(วินัยวินิจฉัย หน้า 88) ของเขียวทีห้ามมิให้ภิกษุ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปั สสาวะ บ้วนเขฬะรดนัน ประสงค์เอาทีสดเขียวเขาปลูกรักษาไว้ดูเล่นงาม ๆ เช่น
สนามหญ้า เป็ นสถานทีต้องห้าม. นําทีห้ามไม่ให้ภิกษุ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปั สสาวะ บ้วนเขฬะลงไปนัน ประสงค์เอานําทีดีและสะอาด ทีเขายังใช้สอย
บริโภคได้อาบได้. ถ้าเป็ นนําเน่ าไม่หา้ ม หรือในคราวนําท่วมสินไปทุกแห่ง ไม่มีทีบกถ่าย หรือในทะเล เช่นนี จาํ เป็ นไม่หา้ มเหมือนกัน. ข้อนี คนสามัญมัก
เห็นการถ่ายของโสโครกลงในนําไหล ไม่เป็ นไร แต่พวกภิกษุ เข้าใจมาก่อนแล้ว ว่าทํานําให้เสีย จึงมีธรรมเนี ยมห้ามตลอดถึงนําไหล. แต่ธรรมเนี ยมนี
ละเอียดเกินไปสําหรับคนพืนเมือง จึงไม่มีใครรูถ้ ึง ในหมวดนี มีปรับอาบัติทุกกฎ เพราะไม่เอือเฟื อ และมีขอ้ ยกเว้นตามเคย.

ต่อเรืองที 6 หน้า 200


อเจลกวรรคที 5 บทที 4-5
ภิกษุ นังในทีลับกับมาตุคาม

๒๓๔
อธิกรณสมถะ (แปลว่า สําหรับระงับอธิกรณ์ (มี 7 ประการ)) วิ.มหา.2/880/716 10
อธิกรณ์ หมายถึง เรืองทีเกิดขึนแล้ว จะต้องจัดต้องทําให้ลุลว่ งไป จําแนกไว้ 4 ประเภท คือ
1. วิวาท หรือวิวาทาธิกรณ์ ได้แก่ การเถียงกันปรารภพระธรรมวินัย นีจะต้องได้รบั ชีขาดว่าถูกว่าผิด
2. อนุ วาทาธิกรณ์ คือ ความโจทหากันด้วยอาบัติ นี จะต้องได้รบั วินิจฉัยว่าจริงหรือไม่จริง
3. อาปั ตตาธิกรณ์ คือ กิรยิ าทีต้องอาบัติหรือถูกปรับอาบัติ นี จะต้องทําคืน คือ ทําให้พน้ โทษ
4. กิจจาธิกรณ์ คือ กิจธุระทีสงฆ์จะพึงทํา เช่น ให้อุปสมบท นีจะต้องทําให้สาํ เร็จ
วิวาทาธิกรณ์เป็ นไฉน คือ ภิกษุ ทงหลายในธรรมวิ
ั นัยนี ย่อมวิวาทกันว่า วิ.จุ.6/633
1.นี เป็ นธรรม นี ไม่เป็ นธรรม
2.นี เป็ นวินัย นีไม่เป็ นวินัย
3.ตรัส 4.ประพฤติ 5.บัญญัติ 6.เป็ นอาบัติ 7.อาบัติเบา 8 มีสว่ นเหลือ 9.อาบัติหยาบคาย

อธิกรณสมถะ (ข้อสําหรับระงับอธิกรณ์) มี 7 ประการ คือ


1. สัมมุขาวินัย แปลว่า ระเบียบอันพึงทําในทีพร้อมหน้า ทัง 4 อย่าง คือ
1.1 ในทีพร้อมหน้าสงฆ์ คือ ภิกษุ เข้าประชุมครบองค์กาํ หนดเป็ นสงฆ์
1.2 ในทีพร้อมหน้าบุคคล คือ บุคคลผูเ้ กียวข้องในเรืองนันอยูพ่ ร้อมกัน
1.3 ในทีพร้อมหน้าวัตถุ ได้แก่ การยกเรืองทีเกิดนันขึนวินิจฉัย
1.4 ในทีพร้อมหน้าธรรมวินัย ได้แก่ วินิจฉัยถูกโดยธรรมถูกโดยวินัย
2. สติวินัย แปลว่า ระเบียบยกเอาสติขึนเป็ นหลัก ได้แก่ กิริยาทีสงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ ว่า
เป็ นผูม้ ีสติเต็มที เพือระงับอนุ วาทาธิกรณ์ทีมีผโู ้ จทว่าด้วยสีลวิบตั ิ
3. อมูฬหวินัย แปลว่า ระเบียบทีให้แก่ภิกษุ ผหู ้ ายเป็ นบ้าแล้ว ได้แก่ กิริยาทีสงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่ภิกษุ ผู ้
หายเป็ นบ้าแล้ว เพือระงับอนุ วาทาธิกรณ์ทีมีผโู ้ จทเธอด้วยความละเมิดทีเธอทําในเวลาเป็ นบ้า
4. ปฏิญญาตกรณะ แปลว่า ทําตามรับ ได้แก่ปรับอาบัติตามปฏิญญาของจําเลยผูร้ บั เป็ นสัตย์
(การแสดงอาบัติ ก็จดั ว่าทําปฏิญญาณ ท่านนับเข้าในข้อนี ดว้ ย)
5. เยภุ ย ยสิก า แปลว่า ตัด สินเอาตามคําของคนมากเป็ นประมาณ วิธีนีสําหรับใช้ในเมื อความเห็นของคน
ทังหลายเป็ นอันมากแตกต่างกัน ให้ฟังเอาข้างมาก
6. ตัสสปาปิ ยสิกา แปลว่า กิริยาทีลงโทษแก่ผผู ้ ิด แยกได้เป็ น 2 ส่วน คือ
6.1 เป็ นวิธีเพิมโทษแก่ภิกษุ ผูป้ ระพฤติผิดอีกส่วนหนึ งจากความผิดเดิม เช่น ผูท้ ําความผิดหลายครัง ต้อง
ได้รบั โทษเพิม
6.2 กิริยาทีตัดสินลงโทษแก่ผผู ้ ิด แม้ไม่รบั เป็ นสัตย์ แต่พิจารณาสมจริง ดังกล่าวไว้ในอนิ ยตสิกขาบทนัน
7. ติณวัตถารกวินัย แปลว่า ระเบียบดังกลบไว้ดว้ ยหญ้า ได้แก่ กิริยาทีให้ประนี ประนอมกันทัง 2 ฝ่ าย ไม่ตอ้ ง
ชําระสางหาความผิด

๒๓๕
การใช้อธิกรณสมถะระงับอธิกรณ์
1. สัมมุขาวินัย เป็ นเครืองระงับอธิกรณ์ได้ทุกอย่าง
2. สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิ ยสิกา ทัง 3 นี เป็ นเครืองระงับเฉพาะอนุ วาทาธิกรณ์
3. ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ ทัง 2 นี เป็ นเครืองระงับอาปั ตตตาธิกรณ์ และอนุวาทาธิกรณ์
4. เยภุยยสิกา เป็ นเครืองระงับเฉพาะวิวาทาธิกรณ์
………………………………………..……………………………

นิคหกรรม ท่านแสดงไว้ 6 อย่าง คือ


นิ คคหะ แปลว่า การกดหรือการข่ม,การกําราบ หรือการลงโทษ – คําพูดทีเป็ นนิ คคหะ คือ คําเหมือนคําด่าให้เจ็บใจ,ข่มขีชีโทษ พจฯ ประมวลศัพท์
ตรงกันข้ามกับ ปั คคาหะ แปลว่า ยกย่องขึนมา ยกย่องให้สบาย คํายกย่อง

นิ คหกรรม แปลว่า การลงโทษตามพระธรรมวินัย, เป็ นชือของสังฆกรรมประเภททีใช้ลงโทษผูท้ าํ ความผิด


1. ตัชชนี ยกรรม คือ (กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุ อนั จะพึงขู)่ การตําหนิ โทษภิกษุ ผกู ้ ่อความทะเลาะวิวาท
ก่ออธิกรณ์ขึนในสงฆ์ เป็ นผูม้ ีอาบัติมาก และคลุกคลีกบั คฤหัสถ์ในทางทีไม่สมควร
2. นิ ยสกรรม คือ (กรรมอันสงฆ์พึงทําให้เป็ นผูไ้ ร้ยศ) การถอดยศแก่ภิกษุ ผมู ้ ีอาบัติมาก หรือคลุกคลีกบั คฤหัสถ์
ด้วยการคลุกคลีอนั ไม่ควร โดยปรับให้ถือนิ สยั ใหม่อีก
3. ปั พพาชนี ยกรรม คือ (กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุอนั พึงจะไล่เสีย) การขับออกจากหมู่, การไล่ออกจากวัด, กรรมนี
สงฆ์ทาํ แก่ภิกษุ ผปู ้ ระทุษร้ายสกุลและประพฤติเลวทรามเป็ นข่าวเซ็งแซ่ หรือแก่ภิกษุ ผเู ้ ล่น
คะนอง, อนาจาร, ลบล้างพระบัญญัติ และมิจฉาชีพ
4. ปฏิสารณียกรรม คื อ (กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุ อันจะพึงให้ก ลับไป) การที สงฆ์ลงโทษให้ภิก ษุ ไ ปขอขมาคฤหัสถ์
กรรมนี สงฆ์ทาํ แก่ภิกษุ ปากกล้า ด่าว่าคฤหัสถ์ผมู ้ ีศรัทธาฯ
5. อุกเขปนี ยกรรม คือ (กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุอนั จะพึงยกเสีย) การตัดสิทธิของภิกษุ ชวคราว ั (ยกเธอเสียจากการสมโภค
กับสงฆ์) คื อ ไม่ ใ ห้ฉัน ร่วม ไม่ ใ ห้อ ยู่ร่วม ไม่ ใ ห้มี สิ ทธิ เ สมอกับ ภิ กษุ ทังหลาย เป็ นวิ ธี การ
ลงโทษทีสงฆ์กระทําแก่ภิกษุ ผูต้ อ้ งอาบัติแล้ว ไม่ยอมรับว่าเป็ นอาบัติหรือไม่ยอมทําคืน
อาบัติ หรือมีความเห็นชัวร้าย(ทิฏฐิบาป) ไม่ยอมสละ ซึงเป็ นทางเสียสีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา
6. ตัสสปาปิ ยสิกากรรม คือ (กรรมอันสงฆ์พึงทําเพราะความทีภิกษุนันเป็ นผูเ้ ลวทราม) การลงโทษตามความผิดแม้วา่ เธอจะ
ไม่รบั หรือเพือเพิมโทษจากอาบัติทีต้อง กรรมนี สงฆ์ทาํ แก่ภิกษุ ผเู ้ ป็ นจําเลยในอนุ วาทาธิ
กรณ์ ให้การกลับไปกลับมา พูดกลบเกลือนข้อทีถูกซัก พูดมุสาซึงหน้า เป็ นต้น
………………………………………..……………………………

สามคามสูตร มูลเหตุแห่งความวิวาท 6 อย่าง อธิกรณ์ 4 อธิกรณสมถะ 7 สาราณิยธรรม 6

๒๓๖
พระพุทธานุญาตมหาประเทศ 4 (หมวดที 2 เฉพาะในทางพระวินยั ) (หลังพรรษาที 5) วิ.ม.5/92/123
(ข้อสําหรับอ้างใหญ่ คือ ข้ออ้างสําหรับอนุ โลมตามพระวินัย) วินัยธร แปลว่า ผูท้ รงวินัย, ภิกษุ ผชู ้ าํ นาญวินัย
ก็โดยสมัยนั นแล ภิกษุ ทังหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ งบางอย่างว่า สิ งใดหนอ พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรง
อนุ ญาตไว้ สิงไรไม่ทรงอนุ ญาต จึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค
วัตถุเป็ นกัปปิ ยะและอกัปปิ ยะ
พระผูม้ ีพระภาคได้ตรัสประทานแบบสําหรับอ้าง 4 ข้อ ดังต่อไปนี .
1. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สิงใดทีเราไม่ได้หา้ มไว้ว่า สิงนี ไม่ควร หากสิงนั นเข้ากับสิงทีไม่ควร ขัดกับสิงทีควร สิงนันไม่ควรแก่เธอ
ทังหลาย
2. ดู กรภิกษุ ทังหลาย สิงใดทีเราไม่ได้หา้ มไว้ว่า สิ งนี ไม่ควร หากสิ งนั นเข้ากับสิงทีควร ขัดกับสิงทีไม่ควร สิงนันควรแก่เธอ
ทังหลาย
3. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั สิงใดทีเราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิงนี ควร หากสิงนั นเข้ากับสิงทีไม่ควร ขัดกับสิงทีควร สิงนันไม่ควรแก่เธอ
ทังหลาย
4. ดู กรภิกษุ ทังหลาย สิงใดทีเราไม่ได้อนุ ญาตไว้ว่า สิ งนี ควร หากสิ งนั นเข้ากับสิงทีควร ขัดกับสิงทีไม่ควร สิงนันควรแก่เธอ
ทังหลาย
……………………………………………………………….
ก่อนทีพระพุทธองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบท
พ.จะทรงสอบถาม “ดูกรภิกษุ ทังหลาย ข่าวว่า พวกเธอ…จริงหรือ
แล้วทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท “ดูกรโมฆบุรุษทังหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้… การกระทําของพวกเธอนัน ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใส
ของชุมชนทียังไม่เลือมใส หรือเพือความเลือมใสยิงของชุมชนทีเลือมใสแล้ว

โยโว อานนฺ ท มยาธมฺ โม จ วินโย จ


เทสิโต ป ฺ ญตฺ โต โส โว มมจฺ จเยน สตฺ ถา
ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนีว่า พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ขอ้ นี พวกเธอ
ไม่พึงเห็นอย่างนี ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั น จัก
เป็ นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ที.ม.10/132/136

ดูกรอานนท์ โดยล่วงไปแห่ งเรา สงฆ์จาํ นงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้


ดูก่อนอานนท์ ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้าง จงถอนเถิ ด (มมร.) ที.ม.10/141/136

พระวินยั ทีนําสืบกันมาช้านาน โดยปกติกด็ ี โดยจารึกเป็ นอักษรก็ดี ย่อมมีขอ้ เข้าใจผิดเข้าแทรกแซง อยู่เป็ นธรรมดา ตาม
คราวทีพระอาจารย์ ผูเ้ ข้าใจผิดรจนาเข้าไว้ ... ความฟั นเฝื อแห่งพระวินยั ทําให้เกิดผลเป็ น 2 ทาง (คือ)
1.ยังผูไ้ ม่เคร่ง ไม่ให้มีแก่ใจเพือจะปฏิ บตั ิ เมือเป็ นเช่นนี ย่อมไม่สาํ เร็จประโยชน์ ในการปกครองภิ กษุ บริ ษทั ให้เรียบร้อย
2.ยังภิ กษุผเ้ ู คร่งครัดให้หลงถืองมงาย สําคัญว่าตนดีกว่าผูอ้ ืน ตังรังเกียจผูอ้ ืนเพราะเหตุเล็กน้ อย เพียงสักว่าธรรมเนี ยมก็
ได้ ทําความรําคาญ ให้แก่ตนเองในเมือจะต้องเข้าสมาคมด้วย
เมือเป็ นเช่นนี ย่อมไม่ยงั ผลคือความสบายใจให้เกิดแก่ผปู้ ฏิบตั ิ สมคําว่า พระวินยั มีความไม่ต้องเดือดร้อนใจเป็ นอานิ สงส์
กลับจะได้ผล ตรงกันข้าม คือวิปฏิสาร
ข้าพเจ้าปรารภพระวินยั อันเป็ นมาอย่างไรดังกล่าวแล้ว มีความสลดใจ จึงคิดรจนาวินยั มุขเล่มนีขึน เพือจะชีประโยชน์แห่ง
พระวินยั ให้เพือน สหธรรมิกเห็น แม้ไฉนจะได้ตงอยู ั ่ในปฏิบตั พิ อดีพองาม ผูไ้ ม่เคร่ง จะได้สาํ รวมรักษามรรยาทสมเป็ นสมณะ
ฝ่ ายผูเ้ คร่งครัดเกิ นไปจะได้หาย งมงาย ไม่ถือดีดหู มิ นผู้อืน หรือแม้ชกั นําผูอ้ นในปฏิ
ื บตั อิ นั ดี ต่างจะได้อานิสงส์คอื ไม่ม ี
วิปฏิสาร เพือกันความฟั นเฝื ออึดอัดใจ เพราะเห็นอาบัตมิ ากมาย ก่ายกองเหลือทีจะหลีกเลียงให้พน้
กรม-วฃิรญาณวโรรส

๒๓๗
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] เถรสูตร องฺ .ทสก.24/98/171
ภิกษุผปู ้ ระกอบด้วยเถรธรรม จักเป็ นทีพึงแก่บุคคลทังหลาย
[98] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ผู้เถระประกอบด้วยธรรม 10 ประการจะอยูใ่ นทิศใดๆ ย่อมอยูส่ าํ ราญโดยแท้ 10 ประการเป็ นไฉน คือ
(๑) ภิกษุ เป็ นเถระรัตตัญ ู บวชมานาน 1
(๒) เป็ นผู้มีศีล สมาทานศึกษาอยูใ่ นสิกขาบททังหลาย 1
(๓) เป็ นพหูสูต ทรงสุตะ สังสมสุตะ เป็ นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้ คล่องปากขึ นใจ แทงตลอดด้วยดีดว้ ยทิฐิ ซึ งธรรมอันงามในเบืองต้น
งามในท่ามกลางงามในทีสุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทังอรรถ ทังพยัญชนะ บริสุทธิ บริบูรณ์ สินเชิง 1
(๔) จําปาติโมกข์ทงสองด้
ั วยดีโดยพิสดาร จําแนกด้วยดี ให้เป็ นไปได้ด้วยดีวน
ิ ิจฉัยได้แล้วโดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ 1
(๕) เป็ นผู้ฉลาดในการระงับอธิกรณ์ ทีเกิดขึ น 1
(๖) เป็ นผู้ใคร่ธรรม รักการฟังธรรมการแสดงธรรม มีความปราโมทย์ยงในธรรมอัิ นยิงในวินยั อันยิง 1
(๗) เป็ นผู้สนั โดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมีตามได้ 1
(๘) เป็ นผู้ประกอบด้วยอาการอันน่ าเลือมใสในการก้าวไปและถอยกลับ แม้นงในละแวกบ้
ั านก็สาํ รวมแล้วด้วยดี 1
(๙) เป็ นผู้ได้ตามปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลาํ บาก ซึ งฌาน 4 อันมีในจิตยิง เป็ นเครืองอยูเ่ ป็ นสุขในปัจจุบน ั 1
(๑๐) ย่อมทําให้แจ้งซึ งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทังหลายสินไปด้วยปัญญาอันยิงด้วยตนเอง ในปัจจุบน ั
เข้าถึงอยู่ 1
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ผู้เถระประกอบด้วยธรรม 10 ประการนีแล จะอยูใ่ นทิศใดๆ ย่อมอยูส ่ าํ ราญโดยแท้ ฯ
...........................

ต่อหัวข้ อที ๑๑ หน้ า ๒๓๙


(หน้ าถัดไป)
ธรรมก่อนลาสิกขา

๒๓๘
ธรรมก่อนลาสิกขา 11
เบญจศีล หรือ ศีล5 [230] อง.ป ฺจ.22/145/154 (นิ รยสูตร)
(บาลี) 1.สิกขาบท 5 แปลว่า ข้อปฏิบตั ิในการฝึ กตน (คัมภีรอ์ ปทานและพุทธวงส์)ในสมัยหลังเรียกว่า [230]
2.ธรรม 5 [เมือปฏิบตั ิได้ตามนี ก็ชือว่าเป็ นผูม้ ีศีล] 1.นิจสีล แปลว่า ศีลทีคฤหัสถ์ควรรักษาเป็ นประจํา,
2.มนุ ษยธรรม แปลว่า ธรรมของมนุ ษย์ หรือธรรมทีทําให้เป็ นมนุ ษย์
1. เว้นจากการปลงชีวิต
2. เว้นจากการถือเอาของทีเขามิได้ให้
3. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4. เว้นจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง
5. เว้นจากนําเมาคือสุราและเมรัยอันเป็ นทีตังแห่งความประมาท
พราหมณ์ 2 คน มีอายุได้ 120 ปี เพราะการรักษาศีล 5 (หลังออกพรรษาที 8)
ดูกรภิกษุ ทงหลายั บุคคลผูป้ ระกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูเ้ หมือนถูกฝั งไว้ในนรก คือ บุคคลเป็ นผูม้ กั ฆ่าสัตว์1 ฯลฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั บุคคลผูป้ ระกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูเ้ หมือนถูกเชิญไปอยูใ่ นสวรรค์ คือ บุคคลเป็ นผูง้ ดเว้นจากปาณาติบาต1 ฯลฯ
อง.ป ฺจ.22/145/154 (นิ รยสูตร)
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูห้ ยังลงสูค่ วามครันคร้าม คือ อุบาสกเป็ นผูฆ้ า่ สัตว์1 ฯลฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูแ้ กล้วกล้า คือ อุบาสกเป็ นผูง้ ดเว้นจากปาณาติบาต1 ฯลฯ
องฺ.ป ฺจ.22/171/206 (สารัชชสูตร)
(ในสารัชชสูตร ในอีกทีหนึ งกล่าวว่า) ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูห้ ยังลงสูค่ วามครันคร้าม คือ 1.ไม่มี
ศรัทธา 2.ทุศีล 3.ไม่สดับน้อย 4.เกียจคร้าน 5.มีปัญญาทราม
ดูกรภิกษุ ทงหลายั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูแ้ กล้วกล้า คือ 1.มีศรัทธา 2.มีศีล 3.ได้สดับมาก 4.ปรารภความเพียร 5.มี
ปั ญญา องฺ.ป ฺจ.22/158/186 (สารัชชสูตร)
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูไ้ ม่แกล้วกล้าครองเรือน คือ อุบาสกเป็ นผูฆ้ ่าสัตว์1 ฯลฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นผูม้ ีความแกล้วกล้าครองเรือน คือ อุบาสกเป็ นผูง้ ดเว้นจากปาณาติบาต1 ฯลฯ
องฺ.ป ฺจ.22/172/207 (วิสารทสูตร)
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ เหมือนถูกนํามาวางไว้ในนรก คือ อุบาสกเป็ นผูฆ้ า่ สัตว์1 ฯลฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั อุบาสกประกอบด้วยธรรม 5 ประการ เหมือนถูกเชิญมาอยูใ่ นสวรรค์ คือ อุบาสกเป็ นผูง้ ดเว้นจากปาณาติบาต1 ฯลฯ
องฺ.ป ฺจ.22/173/207 (นิ รยสูตร)
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ (ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา อาชีวก นิ ครนถ์ สาวกนิ ครนถ์ ชฎิล ปริพาชก เดียรถีย ์
ฯลฯ) ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนํามาโยนลง คือ เป็ นผูฆ้ า่ สัตว์ ฯลฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ (ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา อาชีวก นิ ครนถ์ สาวกนิ ครนถ์ ชฎิล ปริพาชก เดียรถีย ์
ฯลฯ) ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้ คือ เป็ นผูง้ ดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ
องฺ.ป ฺจ.22/263-264/288-289
ดูกรคฤหบดี อุบาสกไม่ละภัยเวร 5 ประการ เราเรียกว่าผูท้ ุศีลด้วย ย่อมเข้าถึงนรกด้วย ภัยเวร 5 ประการเป็ นไฉน คือ การฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ดูกรคฤหบดี อุบาสกผูล้ ะภัยเวร 5 ประการ เราเรียกว่าผูม้ ีศีลด้วย ย่อมเข้าถึงสุคติดว้ ย ภัยเวร 5 ประการเป็ นไฉน คือ การฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ดูกรคฤหบดี 1อุบาสกผูฆ้ า่ สัตว์ ย่อมประสบภัยเวรใด ทังในปั จจุบนั ทังในสัมปรายภพ ย่อมเสวยทุกขโทมนัสใดแม้ทางจิตเพราะเหตุฆ่าสัตว์
อุบาสกผูง้ ดเว้นจากปาณาติบาต ย่อมไม่ประสบภัยเวรนั น ทังในปั จจุบนั และในสัมปรายภพ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัสนันแม้ทางจิต ภัยเวรนัน ของ
อุบาสกผูง้ ดเว้นจากปาณาติบาตย่อมสงบระงับด้วยประการฉะนี ฯลฯ
นรชนใดย่อมฆ่าสัตว์ ถือเอาสิงของทีเจ้าของมิได้ให้ในโลก คบชูภ้ รรยาของผูอ้ ืน กล่าวคําเท็จ และประกอบการดืมสุราเมรัยเนื องๆ นรชน
นันไม่ละเวร 5 ประการแล้ว เราเรียกว่าเป็ นผูท้ ุ ศีล มีปัญญาทราม ตายไปแล้วย่อมเข้าถึงนรก, นรชนใดไม่ฆา่ สัตว์ ไม่ถือเอาสิงของทีเจ้าของมิได้ให้
ในโลก ไม่คบชูภ้ รรยาของผูอ้ ืน ไม่กล่าวคําเท็จ และไม่ประกอบการดืมสุราเมรัย นรชนนันละเวร 5 ประการแล้ว เราเรียกว่าเป็ นผูม้ ีศีล มีปัญญา เมือ
ตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติ องฺ.ป ฺจ.22/174/208 (เวรสูตร)
.......................................................................

๒๓๙
อุโปสถสูตร อง.ติก.20/510/233, องฺ .อฏฺ .23/132/230
ดูกรนางวิสาขา อุโบสถมี 3 อย่าง คือ โคปาลกอุโบสถ 1 นิคณ
ั ฐอุโบสถ 1 อริยอุโบสถ 1
โคปาลกอุโบสถ เป็ นอย่างไร คือ เปรียบเหมือนนายโคบาล เวลาเย็นมอบฝูงโคให้แก่เจ้าของแล้ว พิจารณาดังนีว่า วันนีโคเที ยว
ไปในประเทศโน้นๆ ดื มนําในประเทศโน้นๆ พรุ่งนี โคจักเทียวไปในประเทศโน้นๆ จักดื มนําในประเทศโน้นๆ แม้ฉน ั ใด ฉันนัน
เหมือนกัน คนรักษาอุโบสถบางคนในโลกนี พิจารณาดังนีว่า วันนีเราเคียวของเคียวชนิดนี กินของชนิดนี พรุง่ นีเราจะเคียวของเคียว
ชนิดนี จักกินของกินชนิดนี เขามีใจประกอบด้วยความโลภอยากได้ของเขา ทําวันให้ลว่ งไปด้ยความโลภนัน
นิค ณั ฐอุโบสถ เป็ นอย่างไร คือ นิครนฐ์นนชั
ั กชวนสาวกอย่างนีว่า มาเถอะพ่อคุณ ท่านจงวางทัณฑะในหมู่สตั ว์ทีอยูใ่ นทิศบู รพา
ในทีเลยร้อยโยชน์ไป ฯลฯ นิครนถ์เหล่านันชักชวนเพือเอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ไม่ชกั ชวนเพือเอ็นดูสตั ว์บางเหล่า ด้วยประการฉะนี
นิครนถ์เหล่านันชักชวนสาวกในวันอุโบสถเช่นนันอย่างนีว่า มาเถอะพ่อคุณ ท่านจงทิงผ้าเสียทุกชินแล้วพูดอย่างนีว่า เราไม่เป็ นทีกังวล
ของใครๆ ในทีไหนๆ ดังนี เขาชักชวนในการพูดเท็จ ในสมัยทีควรชักชวนในคําสัตย์ ด้วยประการฉะนี
อริยอุโบสถ เป็ นอย่างไร ดูกรวิสาขา
1.จิต ทีเศร้า หมองย่อมทํา ให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร คือ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตอยู่ จิต ย่อมผ่องใส อริยสาวกนี เราเรียกว่า รักษา
พรหมอุโ บสถ
2.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงพระธรรมอยู่ จิตย่อมผ่องใส, อริยสาวกนีเราเรียกว่ารักษา ธรรมอุโบสถ
3.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ จิตย่อมผ่องใส, อริยสาวกนีเรียกว่ารักษา สังฆอุโบสถ
4.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงศีลอันบริสุทธิของตนอยู่ จิตย่อมผ่องใส, อริยสาวกนีเรียกว่ารักษา สีลอุโบสถ
5.จิต ฯลฯ ย่อมผ่องแผ้วได้ฯ คือ ย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาทังของตนและของเทวดาเหล่านันอยู่ จิตย่อมผ่องใส, อริย
สาวกนีเรียกว่ารักษา เทวดาอุโ บสถ
ดูกรนางวิสาขบูชา พระอริยสาวกนันย่อมพิจารณาเห็นดังนีว่า พระอรหันต์ทงหลาย
ั ละการฆ่าสัตว์ ละการลักทรัพย์ ละกรรมเป็ น
ข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ละการพูดเท็จ ละการดืมนําเมาคือสุราและเมรัย ฉันหนเดียว งดการบริโภคในวิกาล เว้นขาดจากการฟ้ อนรําขับร้อง
การประโคมดนตรี และการดูการเล่นอันเป็ นข้าศึกแก่กุศล จากการทัดทรงประดับและตกแต่งกายด้วยดอกไม้ของหอมเครืองประทินผิว
ละการนังนอนบนทีนังทีนอนอันสูงใหญ่อยู่ตลอดชัวชีวิต แม้เราก็ละการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ตลอดคืนหนึ งกับวันหนึ งในวันนี เราชื อว่าทําตาม
พระอรหันต์ทงหลายแม้
ั ด้วยองค์นี ทังอุโบสถจักชือว่าเป็ นอันเราได้รกั ษาแล้ว
ดูกรวิสาขา อริยอุโบสถเป็ นเช่นนีแล อริยอุโบสถทีบุคคลรักษาอย่างนีแลย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุง่ เรืองมาก เปรียบ
เหมือนผู้ใดพึงครองราชย์เป็ นอิศราธิบดีแห่งชนบทใหญ่ 16 แคว้นเหล่านี อันสมบูรณ์ ด้วยรัตนะ 7 ประการ การครองราชย์ของผู้นนยั ั ง
ไม่ถงึ เสียวที 16 แห่งอุโบสถทีประกอบด้วยองค์ 8 ข้อนันเพราะเหตุไร เพราะราชสมบัติทีเป็ นของมนุษย์ เมือนําเข้าไปเปรียบเทียบกับสุข
อันเป็ นทิพย์ เป็ นของเล็กน้อย ... ข้อนีเป็ นฐานะทีจะมีได้ คือ สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี เข้าจําอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 8 แล้ว เมือ
แตกกายตายไป พึงเข้าถึงความเป็ นสหายของเทวดา...ชันปรนิมมิตวสวัสดี (พระเจ้าจักรพรรดิ = 1/256 ส่วนของอุโบสถ)
Ê â¢ âÊ ÇÔÊÒࢠÍÃÔÂÊÒÇâ¡ ÍÔµÔ »¯ÔÊ Ú¨Ô¡Ú¢µÔ ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ »Ò³ÒµÔ»Òµí »ËÒ »Ò³ÒµÔ»ÒµÒ »¯ÔÇÔÃµÒ ¹ÔËÔµ·³Ú±Ò ¹ÔËԵʵڶÒ
ÅªÚªÕ ·ÂÒ»¹Ú¹Ò ʾھ»Ò³ÀÙµËԵҹءÁÚ»‚ ÇÔËÃ¹ÚµÔ ÍËÁÚ»ªÚª ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí »Ò³ÒµÔ»Òµí »ËÒ »Ò³ÒµÔ»ÒµÒ »¯ÔÇÔÃâµ ¹ÔËÔµ·³Úâ±
¹ÔËԵʵÚâ¶ ÅªÚªÕ ·ÂÒ»¹Ú⹠ʾھ»Ò³ÀÙµËԵҹءÁÚ»‚ ÇÔËÃÒÁÔ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÔ Ï
ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ Í·Ô¹Ú¹Ò·Ò¹í »ËÒÂ Í·Ô¹Ú¹Ò·Ò¹Ò »¯ÔÇÔÃµÒ ·Ô¹Ú¹Ò·ÒÂÕ ·Ô¹Ú¹»Ò¯Ô¡§Ú¢Õ Íà¶à¹¹ ÊبÔÀÙ൹ ͵ڵ¹Ò ÇÔËÃ¹ÚµÔ ÍËÁÚ»ªÚª
ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí Í·Ô¹Ú¹Ò·Ò¹í »ËÒÂ Í·Ô¹Ú¹Ò·Ò¹Ò »¯ÔÇÔÃâµ ·Ô¹Ú¹Ò·ÒÂÕ ·Ô¹Ú¹»Ò¯Ô¡§Ú¢Õ Íà¶à¹¹ ÊبÔÀÙ൹ ͵ڵ¹Ò ÇÔËÃÒÁÔ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚ
ह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÔ Ï
ÂÒªÕÇí ÍÃ˹Úⵠ;ÚÃËÚÁ¨ÃÔÂí »ËÒ ¾ÚÃËÚÁ¨ÒÃÕ ÍÒÃÒ¨ÒÃÕ 1 ÇÔÃµÒ àÁ¶Ø¹Ò ¤ÒÁ¸ÁÚÁÒ ÍËÁÚ»ªÚª ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí ;ÚÃËÚÁ¨ÃÔÂí
»ËÒ ¾ÚÃËÚÁ¨ÒÃÕ ÍÒÃÒ¨ÒÃÕ ÇÔÃâµ àÁ¶Ø¹Ò ¤ÒÁ¸ÁÚÁÒ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÔ Ï
ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ ÁØÊÒÇÒ·í »ËÒ ÁØÊÒÇÒ·Ò »¯ÔÇÔÃµÒ Ê¨Ú¨ÇÒ·Õ Ê¨Ú¨Ê¹Ú¸Ò à¶µÒ »¨Ú¨ÂÔ¡Ò ÍÇÔÊíÇÒ·¡Ò âÅ¡ÊÚÊ ÍËÁÚ»ªÚª ÍÔÁ Ú¨ õڵÖ
ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí ÁØÊÒÇÒ·í »ËÒ ÁØÊÒÇÒ·Ò »¯ÔÇÔÃⵠʨڨÇÒ·Õ Ê¨Ú¨Ê¹Ú⸠à¶âµ »¨Ú¨ÂÔâ¡ ÍÇÔÊíÇÒ·â¡ âÅ¡ÊÚÊ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Ê
ⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÔ Ï
ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ ÊØÃÒàÁÃÂÁªÚª»ÁÒ·¯þ€Ò¹í »ËÒ ÊØÃÒàÁÃÂÁªÚª»ÁÒ·¯þ€Ò¹Ò »¯ÔÇÔÃµÒ ÍËÁÚ»ªÚª ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí ÊØÃÒ
àÁÃÂÁªÚª»ÁÒ·¯þ€Ò¹í »ËÒ ÊØÃÒàÁÃÂÁªÚª»ÁÒ·¯þ€Ò¹Ò »¯ÔÇÔÃâµ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÔ Ï
ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ àÍ¡ÀµÚµÔ¡Ò ÃµÚµÙ»ÃµÒ ÇÔÃµÒ ÇÔ¡ÒÅâÀª¹Ò ÍËÁÚ»ªÚª ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí àÍ¡ÀµÚµÔ⡠õڵٻÃâµ ÇÔÃâµ ÇÔ¡ÒÅ
âÀª¹Ò ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÔ Ï
ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ ¹¨Ú¨¤ÕµÇÒ·ÔµÇÔÊÙ¡·ÊÚÊ¹Ò ÁÒÅÒ¤¹Ú¸ÇÔàÅ»¹¸ÒóÁ³Ú±¹ÇÔÀÙʹ¯þ€Ò¹Ò »¯ÔÇÔÃµÒ ÍËÁÚ»ªÚª ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí
¹¨Ú¨¤ÕµÇÒ·ÔµÇÔÊÙ¡·ÊÚÊ¹Ò ÁÒÅÒ¤¹Ú¸ÇÔàÅ»¹¸ÒóÁ³Ú±¹ÇÔÀÙʹ¯þ€Ò¹Ò »¯ÔÇÔÃâµ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚ
ÊµÔ Ï
ÂÒǪÕÇí ÍÃ˹Úâµ ÍبڨÒʹÁËÒÊÂ¹í »ËÒ ÍبڨÒʹÁËÒÊÂ¹Ò »¯ÔÇÔÃµÒ ¹Õ¨àÊÂÚÂí ¡»Úà»¹ÚµÔ Á ڨࡠÇÒ µÔ³Ê¹Ú¶ÒÃà¡ ÇÒ ÍËÁÚ»ªÚª
ÍÔÁ Ú¨ ÃµÚµÖ ÍÔÁ Ú¨ ·ÔÇÊí ÍبڨÒʹÁËÒÊÂ¹í »ËÒ ÍبڨÒʹÁËÒÊÂ¹Ò »¯ÔÇÔÃâµ ¹Õ¨àÊÂÚÂí ¡»Úà»ÁÔ Á ڨࡠÇÒ µÔ³Ê¹Ú¶ÒÃà¡ ÇÒ ÍÔÁÔ¹Ò» ͧÚ
ह ÍÃ˵í ͹ءâÃÁÔ ÍØâ»Êⶠ¨ àÁ ÍØ»ÇصÚⶠÀÇÔÊÚÊµÕµÔ Ï
.....................................................................

๒๔๐
เบญจธรรม หรือ เบญจกัลยาณธรรม (ธรรม 5 หรือธรรมอันดีงาม 5 อย่าง) [ท่านผูกเป็ นหมวดธรรมขึนในภายหลัง]
1. เมตตาและกรุณา
2. สัมมาอาชีวะ หรือ ทาน (การแบ่งปั นเอือเฟื อเผือแผ่)
3. กามสังวร หรือ สทารสันโดษ (ความพอใจด้วยภรรยาของตน)
4. สัจจะ (ความสัตย์ ความซือตรง)
5. สติสมั ปชัญญะ (ระลึกได้และรูต้ วั อยูเ่ สมอ) หรือ อัปปมาท (ความไม่ประมาท)
.....................................................................
สัมมาอาชีวะ คืออะไร
(มงคล คาถาที 5) 18.อนวัชชานิ กมฺ มานิ (กระทําการงานไม่มีโทษ)
พระพุทธองค์ทรงให้ความหมายของคําว่า สัมมาอาชีวะ ใน มหาจัตตารีสกสูตร ว่า
“อริยสาวกในธรรมวินัยนี ย่อมละมิจฉาอาชีวะ เลี ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ ดู กรภิกษุ ทังหลาย นี เป็ นสัมมาอาชี วะ ... ดู กร
ภิกษุ ทงหลาย
ั ความงด 1 ความเว้น 1 เจตนางดเว้นจากมิจฉาอาชีวะ 1 ...” ม.อุ.22/275/347 มมร.
และทรงแสดงไว้ใน พระอภิธรรมปิ ฎก ว่า อภิ.สํ.75/220/583 มมร.
“ สัมมาอาชีวะ คือ การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครืองเว้น การไม่ทาํ การไม่ประกอบ การไม่ล่วงละเมิด การไม่ลํา
เขต การกําจัดต้นเหตุมิจฉาชีพ การเลี ยงชีพชอบอันเป็ นองค์แห่งมรรค นั บเนื องในมรรคในสมัยนั น อันนี ชือว่า สัมมาอาชีวะ ใน
สมัยนั น ” จากพระพุทธพจน์ ทีได้ยกมาแสดงนี ก็หมายความว่า สัมมาอาชีวะ ก็คือ อาชีพใดก็ตามทีมิใช่มิจฉาอาชีวะ หรือไม่
เข้าข่ายมิจฉาอาชีวะนั นเอง ซึงในทีนี ก็อาจจะทําให้เราสงสัยต่อไปอีกว่า แล้วอะไรเล่าทีเป็ นมิจฉาอาชีวะทีพระพุทธองค์ทรงแสดง
ไว้
จึงขอยกพุทธภาษิ ตใน มหาจัตตารีสกสูตร มาประกอบอีกครังหนึ ง ดังนี ว่า
“ ก็มิจฉาอาชีวะเป็ นไฉน? ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั การโกง 1 การล่อลวง 1 การตลบตะแลง 1 การทําอุบายโกง 1 การเอา
ลาภต่อลาภ 1 นี คือ มิจฉาอาชีวะ ” ม.อุ.22/275/347 มมร.
จากพระบาลีทีพระพุทธองค์ทรงแสดงนั น บางครังเราก็ยงั รูส้ ึกว่าไม่ชัดเจนอยู่นันเอง ว่าแล้วอาชีพใดเล่าทีเข้าข่ายเป็ นมิ จฉา
อาชีวะทีเราควรงดเว้นบ้าง
ฉะนั น จึงจะขอยก อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร มาแสดงเพิมเติมเพือความเข้าใจยิงขึน คือ
คําว่า มิจฉาอาชีวะ ได้แก่ กายทุจริตและวจีทุจริต ทีเป็ นไปเพือต้องการของเคียวของกินเป็ นต้น ฯลฯ
ความไม่เกิดแห่งเจตนาเครืองทุศีล อันเป็ นมิจฉาอาชีวะทีเกิดแล้วในฐานะ 7 (กายทุจริต 3 วจีทุจริต 4)
เหล่านี แหละ เพราะตัดทางได้ขาด นี ชือว่า สัมมาอาชีวะ
จากพระบาลีและอรรถกถาทียกมาแสดงข้างต้นนั น พอสรุปความได้ว่า สัมมาอาชีวะ ก็คือ การประกอบอาชีพใดๆ ก็ตาม ที
ไม่เป็ นเหตุแห่งการล่วงละเมิดอกุศลกรรมบท 7 ประการแรก คือ ทางกายทวาร 3 และ วจีทวาร 4 นั นเอง เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
ฉะนั น ขอขยายความอกุศลกรรมบถต่อไปอีกว่า อกุศลกรรมบท 10 ประการนั นได้แก่
การฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต)
การลักทรัพย์ (อทินนาทาน) ทางกาย 3
การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร)
การพูดโกหก (มุสาวาท)
การพูดส่อเสียดให้เขาแตกกัน (ปิ สุณวาท) ทางวาจา 4
การพูดคําหยาบ (ผรุสวาท)
การพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปวาท)
การเพ่งเล็งในทรัพย์ของผูอ้ ืนให้ได้มาในทางทุจริต (อภิชฌา)
การคิดเบียดเบียนทําร้ายเขา (พยาบาท) ทางใจ 3
การมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)
ฉะนั น จึงขอสรุปความอีกครังหนึ งว่า หากอาชีพใดไม่เป็ นเหตุแห่งการล่วงละเมิดอกุศลกรรมบท 7 ประการแรก มีการ
ฆ่าสัตว์ เป็ นต้นแล้ว ก็เรียกว่าเป็ น สัมมาอาชีวะ
…………………………………………………….

๒๔๑
"มิจฉาวณิชชา" องฺ .ป ฺ จ.22/177/186
อาชีพค้าขายทีชาวพุทธไม่ควรกระทําไว้ 5 ประการ
1. การค้าขายศัสตรา อาวุธ 4. การค้าขายนําเมา(สุราเมรัย)
2. การค้าขายสัตว์(มนุ ษย์) เช่น ค้าทาส 5. การค้าขายยาพิษ
3. การค้าขายเนื อสัตว์(ขายสัตว์เป็ นๆ เพือเป็ นอาหาร)
การค้าขาย อย่างนี เป็ นบาปเล็กน้อย เพราะเป็ นปั จจัยให้เกิดการทําบาป แต่ไม่สามารถนํ าไปสู่การเกิดในอบายภูมิได้ เพราะ
ไม่ได้กระทําบาปเอง
…………………………………………………….
อบายมุข 4 (ช่องทางของความเสือม, ทางทีจะนําไปสูค่ วามพินาศ, เหตุยอ่ ยยับแห่งโภคทรัพย์)
1. อิตถีธุตตะ (เป็ นนักเลงหญิง, นักเทียวผูห้ ญิง) 3. อักขธุตตะ (เป็ นนักการพนัน)
2. สุราธุตตะ (เป็ นนักเลงสุรา, นักดืม) 4. ปาปมิตตะ (คบคนชัว)
อบายมุข อย่างนี ตรัสกับผูค้ รองเรือนทีมีหลักฐานแล้ว และตรัสต่อท้ายทิฏฐธัมมิกตั ถสังวัตตนิ กธรรม มุ่งความ
ว่าเป็ นทางพินาศแห่งโภคะทีหามาได้แล้ว ͧÚ.ͯþ€¡.23/144/292.
อบายมุข 6 (ช่องทางของความเสือม, ทางแห่งความพินาศ, เหตุยอ่ ยยับแห่งโภคทรัพย์)
ที.ปา. / -184/196-198.
1. ติดสุราและของมึนเมา มีโทษ คือ
) ทรัพย์หมดไปๆ เห็นชัดๆ ) เสียเกียรติเสียชือเสียง
) ก่อการทะเลาะวิวาท ) ทําให้ไม่รอู ้ าย
) เป็ นบ่อเกิดแห่งโรค 6) ทอนกําลังปั ญญา
2. ชอบเทียวกลางคืน มีโทษ คือ
) ชือว่าไม่รกั ษาตัว ) เป็ นทีระแวงสงสัย
) ชือว่าไม่รกั ษาลูกเมีย ) เป็ นเป้ าให้เขาใส่ความหรือข่าวลือ
) ชือว่าไม่รกั ษาทรัพย์สมบัติ ) เป็ นทางมาของเรืองเดือดร้อนเป็ นอันมาก
3. ชอบเทียวดูการละเล่น มีโทษ โดยการงานเสือมเสีย เพราะใจกังวลคอยคิดจ้อง กับเสียเวลาเมือไปดูสงนั
ิ นๆ
ทัง กรณี คือ
) รําทีไหนไปทีนั น )- ) ขับร้อง, ดนตรี, เสภา, เพลง, เถิดเทิงทีไหน ไปทีนั น*
4. ติดการพนัน มีโทษ คือ
) เมือชนะย่อมก่อเวร ) เข้าทีประชุม เขาไม่เชือถือถ้อยคํา
) เมือแพ้ก็เสียดายทรัพย์ทีเสียไป ) เป็ นทีหมินประมาทของเพือนฝูง
) ทรัพย์หมดไปๆ เห็นชัดๆ ) ไม่เป็ นทีพึงประสงค์ของผูท้ ีจะหาคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเห็นว่า
จะเลียงลูกเมียไม่ไหว
5. คบคนชัว มีโทษ โดยนําให้กลายไปเป็ นคนชัวอย่างคนทีตนคบทัง ประเภท คือ ได้เพือนทีจะนําให้กลายเป็ น
) นั กการพนั น (gamblers) ไม่มีความมันคง จิตใจไม่สงบ เช่น เล่นพนั นเป็ นอาชีพ เข้าบ่อน แข่งม้า แทงบอล เล่นหวย หุน้
) นั กเลงหญิง (rakes; seducers) เป็ นทีเกลียดชัง ไม่น่าไว้วางใจ ครอบครัวแตกแยก ลูกเมียเป็ นทุกข์ เช่น หลอกลวงหรือเกาะ
ผูห้ ญิงกิน
) นั กเลงเหล้า (drunkards) ไม่มีสติสัมปชัญญะ ตัดสินใจผิดพลาดเสมอ เช่น นั กดืมนั กชิม
) นั กลวงของปลอม (cheaters with false things) ถูกติเตียน เป็ นทีเกลียดชัง ไม่น่าไว้วางใจ ถูกกฎหมายลงโทษ
เช่น ปลอมปนสินค้า ใช้ตราสินค้าปลอม
) นั กหลอกลวง (swindlers) ใครเขาไม่เชือถือถ้อยคํา ไม่มีมิตร
) นั กเลงหัวไม้ (men of violence) ถูกทําร้ายปางตาย หรือตาย เช่น เก็บค่าคุม้ ครอง ทวงหนี

๒๔๒
6. เกียจคร้านการงาน มีโทษ โดยทําให้ยกเหตุต่างๆ เป็ นข้ออ้างผัดเพียนไม่ทาํ การงาน โภคะใหม่ก็ไม่เกิด โภคะทีมี
อยูก่ ็หมดสินไป คือให้อา้ งไปทัง กรณีวา่
1)-6) หนาวนั ก - ร้อนนั ก - เย็นไปแล้ว - ยังเช้านั ก - หิวนั ก - อิมนั ก**
…………………………………………………….
อุบาสกธรรม 5 (สมบัติของอุบาสก 5 ประการ) [247]
อุบาสก แปลว่า ชายผูน้ ังใกล้พระรัตนตรัย หรือคนใกล้ชิดพระศาสนา
ธรรมของอุบาสกรัตน์(บาลี) หรือ “อุบาสกปทุม”(อุบาสกดอกบัว) / ตรงกันข้ามกับ “จัณฑาลอุบาสก”(อุบาสกหยากเยือ)
1. มีศรัทธา
2. มีศีลบริสุทธิ
3. ไม่ถือมงคลตืนข่าว เชือกรรม ไม่เชือมงคล
คือ มุ่งหวังผลจากการกระทําและการงาน มิใช่จากโชคลาง และสิงทีตืนกันว่าขลังศักดิสิทธิ
4. ไม่แสวงหาทักขิไณย์(เขตบุญ)นอกหลักพระพุทธศาสนา
5. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บาํ รุงพระพุทธศาสนา หรือบําเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา
จัณฑาลสูตร องฺ.ป จฺ .22/175/209
ธรรมสําหรับอุบาสกดีและอุบาสกชัว
[175] ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั อุบ าสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้า หมอง และน่ า เกลียด ธรรม 5
ประการเป็ นไฉน ? คือ อุบาสกเป็ นผู้ไม่มีศรัทธา 1 เป็ นผู้ทุศีล 1 เป็ นผู้ถือมงคลตืนข่าว เชือมงคลไม่เชือกรรม 1 แสวงหาเขตบุญภายนอก
ศาสนานี 1 ทําการสนับสนุนในศาสนานัน 1
ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย
ั อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการนีแล เป็ นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่ าเกลียด.
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็ นอุบาสกแก้ว อุบาสกปทุม อุบาสกบุณฑริก ธรรม 5 ประการ
เป็ นไฉน ? คือ อุบาสกย่อมเป็ นผูม ้ ีศรัทธา 1 เป็ นผูม
้ ีศีล 1 เป็ นผู้ไม่ถือมงคลตืนข่าว เชือกรรมไม่เชือมงคล 1 ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอก
ศาสนานี 1 ทําการสนับสนุนในศาสนานี 1
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการนีแล เป็ นอุบาสกแก้ว อุบาสกปทุม อุบาสกบุณฑริก.

อรรถกถาจัณฑาลสูตร องฺ.ป จฺ ก.อ.36 หน้ า 374 มมร.


บทวา อุปาสกปฏิกฏ ิ โ € ไดแก เปนอุบาสกชัน้ ต่ํา. บทวา โกตุหลมงฺคลิโก คือ เปนผูประกอบดวยอารมณทไี่ ดเห็น ไดฟง ไดลม ิ้ เปนมงคล
ไดแก ตืน
่ ขาว เพราะเปนไปไดอยางนีว้ า สิ่งนี้จก
ั มีไดดวยเหตุนี้ ดังนี้. บทวา มงฺคลํ ปจฺเจติ โน กมฺมํ ไดแก มองดูแตเรือ
่ งมงคล ไมมองดู
เรื่องกรรม. บทวา อิโต จ พหิทธฺ า ไดแก ภายนอกจากศาสนานี้. บทวา ปุพพ ฺ การํ กโรติ ไดแก กระทํากุศลกิจมีทานเปนตนกอน.

……………………….…………………………….

๒๔๓
อานิสงสแหงการถือไตรสรณคมน ที.สี.อ. 11 หนา 487-492 (สามัญญผลสูตร)
ก็เมื่ออุบาสกหรืออุบาสิกาผูถอ ื สรณะอยางนี้แลว ถึงไหวญาติแมบวชในอัญญเดียรถีย ดวยคิดวา ผูน  ี้เปนญาติของเรา ดังนี้ ยอมไม
ขาดสรณคมน ไมจําเปนตองกลาวถึงผูทไี่ มไดบวช. ผูไ หวพระราชาโดยความกลัวก็เหมือนกัน เพราะพระราชานัน ้ เมือ ่ ใครไมไหว จะพึงทํา
แมความพินาศใหก็ได เพราะเปนผูทรี่ ัฐบูชาแลว ดังนี้. ถึงไหวแมเดียรถียผูสอนศิลปะคนใดคนหนึง่ ดวยคิดวา ผูน  ี้เปนอาจารยของเรา ดังนี้ ก็
ไมขาดสรณคมน. พึงทราบประเภทแหงสรณคมน ดวยประการฉะนี้.
ก็ในที่นี้ สรณคมนที่เปนโลกุตตระ มีสามัญญผล 4 เปนวิบากผล มีความสิ้นไปแหงทุกขทั้งปวงเปนอานิสังสผล. สมจริงดังที่กลาวไววา
สว นผูใ ดยึดเอาพระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆเปนสรณะ ผูน ั้นเห็นอริยสัจ 4 ดว ยปญญาอันชอบ คือ เห็นทุกข เหตุเกิดแหงทุกข
ความลว งพน ทุกข และมรรคซึง่ ประกอบดว ยองค 8 อัน ประเสริฐ อัน เปนทางถึงความดับทุกข สรณะนัน ้ ของผูนน ั้ เปนสรณะอันเกษม เปน
สรณะสูงสุด บุคคลอาศัยสรณะนี้แ ลว ยอ มหลุด พน จากทุก ขท ั้งปวงได ดังนี้.
อีกอยางหนึ่ง พึงทราบอานิสงั สผลแหงสรณคมนนี้ แมโดยการที่เขาไมเขาถึงภาวะมีนิจจสัญญาเปนตน. สมจริงดังทีก ่ ลาวไววา
ไมเปนฐานะ ไมเปนโอกาสทีบ ่ ค
ุ คลผูถ
 งึ พรอมดวยทิฏฐิจะพึงยึดถือสังขารอะไร ๆ โดยเปนของเทีย ่ ง ยึด ถือสังขารอะไร ๆ วาเปนสุข
ยึด ถือธรรมอะไร ๆ วาเปนตัวคน ฆามารดา ฆาบิดา ฆาพระอรหันต มีจิตประทุษรายพระตถาคตทําใหหอ  พระโลหิต ทําลายสงฆ อุทศ ิ ศาสดา
อื่น นั่น ไมใ ชฐ านะที่จะมีไ ด.
ก็สรณคมนที่เปนโลกิยะ มีภวสมบัตบ ิ าง โภคสมบัติบา ง เปนผลแนนอน. สมจริงดังที่กลาวไววา
ชนเหลาใดเหลาหนึง่ ถึงพระพุทธเจาวาเปนทีพ ่ งึ่ ชนเหลานัน ้ จักไมไปอบายภูมิ ละกายมนุษยแลว จักยังเทวกายใหบริบรู ณ ดังนี.้
แมผลอยางอื่นของสรณคมนที่เปนโลกิยะ ทานก็กลาวไววา ครั้งนั้นแล ทาวสักกะจอมเทวดาพรอมดวยเทวดา 8 หมื่น เขาไปหา
ทานพระมหาโมคคัลลานะ ฯลฯ ทานพระมหาโมคคัลลานะไดกลาวคํานี้กะทาวสักกะจอมเทวดาผูยืนอยู ณ ทีค ่ วรแหงหนึ่งวา
แนะจอมเทวดา การถึงพระพุทธเจาเปนทีพ ่ งึ่ ดีแล แนะจอมเทวดา สัตวบางจําพวกในโลกนี้ เบื้อ งหนาแตตายเพราะกายแตก ยอม
เขาถึงสุคติโลกสวรรค เพราะเหตุทถ ี่ งึ พระพุทธเจาเปนทีพ ่ งึ่ อยางนี้ สัตวเหลานัน ้ ยอ มเทียบเทาเทวดาเหลาอืน ่ โดยฐานะ 10 อยาง คือ อายุ
ทิพย วรรณะทิพย สุข ทิพย ยศทิพย อธิปไตยทิพย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทิพย ดังนี้. ในพระธรรมและพระสงฆก็นัยนี้.
อีกอยางหนึ่ง พึงทราบผลวิเศษแหงสรณคมน แมดว ยอํานาจเวลามสูตรเปนตน. พึงทราบผลแหงสรณคมนอยางนี้.
ในสรณคมนทั้งโลกิยะและโลกุตตระเหลานัน ้ สรณคมนที่เปนโลกิยะยอมเศราหมองดวยความไมรู ความสงสัยและความเขาใจผิดใน
พระรัตนตรัยเปนตน ไมรุงเรืองมากมายไปได ไมแพรหลายใหญโตไปได. สรณคมนที่เปนโลกุตตระไมมีความเศราหมอง. อนึง่ สรณคมนที่
เปนโลกิยะมี 2 ประเภท คือ ที่มีโทษ 1 ทีไ่ มมีโทษ 1.
ใน 2 อยางนั้นที่มีโทษ ยอ มมีไดดวยเหตุเปนตนวา มอบตนในศาสดาอื่นเปนตน. สรณคมนที่มีโทษนั้น มีผลไมนาปรารถนา. สรณ
คมนที่ไมมีโทษ ยอมมีดวยกาลกิริยา. สรณคมนที่ไมมีโทษนั้น ไมมีผล เพราะไมเปนวิบาก. สวนสรณคมนท่เี ปนโลกุตตระไมมีการแตกเลย.
เพราะพระอริยสาวกไมอุทิศศาสดาอื่นแมในระหวางภพ. พึงทราบความเศราหมอง และการแตกแหงสรณคมน ดวยประการฉะนี้.
บทวา อุปาสกํ มํ ภนฺเต ภควา ธาเรตุ ความวา ขอพระผูม  พ
ี ระภาคเจาโปรดทรงจํา คือทรงทราบขาพระองคไวอยางนี้วา ขาพระองค
อชาตศัตรูนี้เปนอุบาสก.
ก็เพือ่ ความเปนผูฉลาดในวิธีของอุบาสก ควรทราบขอปกิณณกะในทีน ่ ี้ดังนีว้ า ใครเปนอุบาสก เพราะเหตุไรจึงเรียกวา อุบาสก อะไร
คือศีลของอุบาสก อาชีพอยางไร วิบต ั ิอยางไร สมบัตอ ิ ยางไร. ในปกิณณกะนั้น
ใครคืออุบาสก คือคฤหัสถคนใดคนหนึง่ ทีถ
่ ึงพระรัตนตรัยเปนที่พึ่ง. สมจริงดังที่กลาวไววา ดูกอ
 นมหานาม
เพราะเหตุทอ
ี่ ุบาสกเปนผูถงึ พระพุทธเจาเปนที่พึ่ง ถึงพระธรรมพระสงฆเปนที่พึ่ง ดวยเหตุเพียงเทานีแ
้ ล ชือ
่ วาอุบาสก
เพราะเหตุไรจึงเรียกวา อุบาสก ? เพราะนั่งใกลพระรัตนตรัย.
จริงอยู อุบาสกนั้น ชือ
่ วาอุบาสก ดวยอรรถวา นั่งใกลพระพุทธเจา นั่งใกลพระธรรมพระสงฆก็เปนอุบาสกเหมือนกัน.
อะไรคือศีลของอุบาสกนัน
้ ? เวรมณี 5 ขอ เปนศีลของอุบาสก. เหมือนอยางทีก
่ ลาวไววา ดูกอ
 นมหานาม เพราะเหตุที่
อุบาสกเปนผูง ดเวน จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากน้ําเมาคือสุราและเมรัยอันเปนที่ตงั้ แหงความ
ประมาท ดูกอนมหานาม ดวยเหตุเพียงเทานี้แล อุบาสกชือ
่ วาเปนผูมีศล
ี .
อาชีพอยางไร ? คือ ละการคาขายผิดศีลธรรม 5 อยาง เลี้ยงชีพโดยธรรมสม่ําเสมอ.
สมจริงดังทีก
่ ลาวไววา ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย การคาขาย 5 อยางเหลานี้ อุบาสกไมควรทํา 5 อยางอะไรบาง ? การคาขายศัสตรา
การคาขายสัตว การคาขายเนือ ้ สัตว การคาขายน้าํ เมา การคาขายยาพิษ ดูกอ
 นภิกษุทั้งหลาย การคาขาย 5 อยางเหลานี้แล อุบาสกไมควร
ทํา ดังนี.้
วิบต
ั อ
ิ ยางไร ? คือ ศีลวิบต
ั ิและอาชีววิบัตข
ิ องอุบาสกนั้นแหละ เปนวิบัตข
ิ องอุบาสก.
อีกอยางหนึ่ง อุบาสกนี้เปนจัณฑาล เปนมลทิน และเปนผูท  น
ี่ ารังเกียจดวยกิริยาใด กิริยาแมนั้น พึงทราบวาเปนวิบัตข
ิ องอุบาสก. ก็
วิบัติเหลานั้น โดยอรรถไดแกธรรม 5 อยางมีความเปนผูไมมศ ี รัทธาเปนตน.
เหมือนอยางที่ตรัสวา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย อุบาสกผูประกอบดวยธรรม 5 อยาง ยอมเปนอุบาสกจัณฑาล เปนอุบาสกมลทิน และเปน
อุบาสกทีน ่ ารังเกียจ 5 อยางอะไรบาง ? คือเปนผูไมมีศรัทธา เปนคนทุศีล เปนผูถ  ือมงคลตืน
่ ขาว เชื่อมงคลไมเชื่อกรรม และแสวงหา
ทักขิไณยบุคคลนอกพระพุทธศาสนา ทําบุญในทักขิไณยบุคคลเหลานั้น ดังนี้ .
สมบัตอ
ิ ยางไร ? ศีลสมบัติและอาชีวสมบัตข
ิ องอุบาสกนัน
้ นัน
่ แหละ เปนสมบัติของอุบาสก
ไดแกธรรม 5 ประการมีศรัทธาเปนตน ที่กระทําความเปนอุบาสกรัตนะเปนตน. เหมือนอยางทีต
่ รัสไววา ดูกอ
 นภิกษุทั้งหลาย อุบาสก
ผูประกอบดวยธรรม 5 ประการ ยอมเปนอุบาสกรัตนะ เปนอุบาสกปทุมและเปนอุบาสกบุณฑริก 5 ประการอะไรบาง คือเปนผูมีศรัทธา เปนผูม  ี
ศีล ไมเปนผูถอ
ื มงคลตืน
่ ขาว เชื่อกรรมไมเชื่อมงคล ไมแสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพระพุทธศาสนา และทําบุญในพระศาสนานี้ ดังนี.้

....................................................
อุบาสกธรรม 7 หรือ สัมปทาของอุบาสก (ธรรมทีเป็ นไปเพือความเจริญของอุบาสก หรือสมบัติของอุบาสก)
1. ไม่ขาดจากเยียมเยือนพบปะพระภิกษุ
2. ไม่ละเลยการฟั งธรรม
3. ศึกษาในอธิศีล
4. มากด้วยความเลือมใสในภิกษุ ทงหลาย

5. ไม่ฟังธรรมด้วยตังใจจะคอยเพ่งโทษติเตียน
6. ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคําสอนนี
7. กระทําความสนับสนุ นในพระศาสนานี เป็ นเบืองต้น คือขวนขวายในการอุปถัมภ์บาํ รุงพระพุทธศาสนา
หานิ สูตร-วิ ปัตติ สมั ภวสูตร องฺ.สตฺต.23/27-28/26
[27] ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ธรรม 7 ประการนี ย่อมเป็ นไปเพือความเสือมแก่อุบาสก 7 ประการเป็ นไฉน คือ อุบาสกขาดการเยียม
เยียนภิกษุ 1 ละเลยการฟังธรรม 1 ไม่ศึกษาในอธิศีล 1 ไม่มากด้วยความเลือมใสในภิกษุ ทงที ั เป็ นเถระ ทังเป็ นผู้ใหม่ ทังปานกลาง 1 ตัง
จิต ติเตี ยนคอยเพ่งโทษฟังธรรม 1 แสวงหาเขตบุ ญภายนอกศาสนานี 1 ทํา สักการะก่อนในเขตบุ ญภายนอกศาสนานี 1 ดู ก่อนภิกษุ
ทังหลาย ธรรม 7 ประการนีแล ย่อมเป็ นไปเพือความเสือมแก่อุบาสก
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ธรรม 7 ประการนี ย่อมเป็ นไปเพือความไม่เสือมแก่อุบาสก 7 ประการเป็ นไฉน คือ อุบาสกไม่ขาดการเยียม
เยียนภิกษุ 1 ไม่ละเลยการฟังธรรม 1 ศึกษาในอธิศีล 1 มากด้วยความเลือมใสในภิกษุ ทงที ั เป็ นเถระ ทังเป็ นผู้ใหม่ ทังปานกลาง 1 ไม่ตงั
จิต ติเตียน ไม่ค อยเพ่งโทษฟังธรรม 1 ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอก 1 กระทํา สักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี 1 ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั
ธรรม 7 ประการนีแล ย่อมเป็ นไปเพือความไม่เสือมแก่อุบาสก.
อุ บ าสกใดขาดการเยียมเยียนภิกษุ ผู้อบรมตน ละเลยการฟังอริยธรรม ไม่ศึกษาในอธิศีล มี ค วามไม่เลือมใสเจริญยิง ๆ ขึ นไปใน
ภิ ก ษุ ทงหลาย
ั ตังจิต ติเตี ยนปรารถนาฟัง สัท ธรรม แสวงหาเขตบุญอืนภายนอกศาสนานี และกระทํา สักการะก่อนในเขตบุญภายนอก
ศาสนานี อุบ าสกนันซ่องเสพธรรม อันเป็ นทีตังแห่งความเสือม อันเราแสดงแล้ว 7 ประการนี แล ย่อมเสือมจากสัทธรรม
อุบ าสกใดไม่ขาดการเยียมเยียนภิกษุ ผู้อบรมตน ไม่ละเลยการฟังอริยธรรม ศึกษาอยูใ่ นอธิศีล มี ค วามเลือมใสเจริญยิง ๆ ขึ นไปใน
ภิกษุ ทงหลาย
ั ไม่ตงจิ
ั ตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม ไม่แสวงหาเขตบุญอืนภายนอกศาสนานี และกระทําสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนา
นี อุบ าสกนันซ่องเสพธรรมอันไม่เป็ นทีตังแห่งความเสือม อันเราแสดงดี แล้ว 7 ประการนี แล ย่อมไม่เสือมจากสัทธรรม.
อรรถกถาหานิสต
ู รที่ 9 องฺ.สตฺต.37 หนา 81
บทวา ภิกข
ฺ ท
ุ สฺสนํ หาเปติ ความวา ทําการไปเยี่ยมภิกษุสงฆใหเสียไป บทวา อธิสเี ล ไดแก ในศีลอันสูงสุด กลาวคือศีล 5 และศีล 10
บทวา อิโต พหิทธฺ า ไดแก นอกพระศาสนานี.้ บทวา ทุกข
ฺ เิ ณยฺยํ คเวสติ ความวา แสวงหาบุคคลผูรบ
ั ไทยธรรม. บทนี้ อิธ จ ปุพพ
ฺ การํ กโรติ
ความวา ใหทานแกพวกเดียรถีย ภายนอก (พระศาสนา) เหลานั้น แลวจึงถวายทานแกภก
ิ ษุทั้งหลายในภายหลัง
.....................................................................
กุศลกรรมบท 10 (ทางแห่งกุศลกรรม, กรรมดีอนั เป็ นทางนําไปสูค่ วามสุขความเจริญหรือสุคติ)
(บาลี) 1.ธรรมจริยา แปลว่า ความประพฤติธรรม, 2.อริยธรรม แปลว่า ธรรมของผูเ้ จริญ,
3.อริยมรรค แปลว่า มรรคาอันประเสริฐ, 4.สัทธรรม แปลว่า ธรรมดี-ธรรมแท้,
5.สัปปุริสธรรม แปลว่า ธรรมของสัตบุรุษ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย..
ั สมัยใด เมือบรรพชิตผู้มีศีลเข้าไปหาสกุล
 จิตของพวกมนุษย์ยอ ่ มเลือมใสเพราะเห็นท่าน สมัยนัน สกุลนันชือว่าปฏิบตั ป
ิ ฏิปทาทียังสัตว์ให้เป็ นไปพร้อมเพือ สวรรค์
 พวกมนุษย์ยอ ่ มลุกรับ กราบไหว้ ให้อาสนะ สมัยนัน สกุลนันชือว่าปฏิบตั ป ิ ฏิปทาทียังสัตว์ให้เป็ นไปพร้อมเพือ เกิดในสกุลสูง
 พวกมนุษย์ยอ ่ มกําจัดมลทินคือความตระหนี สมัยนัน สกุลนันชือว่าปฏิบตั ป ิ ฏิปทาทียังสัตว์ให้เป็ นไปพร้อมเพือ ความเป็ นผู้มีศกั ดิใหญ่
 พวกมนุษย์ยอ ่ มจัดของถวายตามสติกาํ ลัง สมัยนัน สกุลนันชือว่าปฏิบตั ป
ิ ฏิปทาทียังสัตว์ให้เป็ นไปพร้อมเพือ ความเป็ นผูม
้ ีโภคทรัพย์มาก
 พวกมนุษย์ยอ ่ มไต่ถาม สอบสวน ย่อมฟังธรรม สมัยนัน สกุลนันชือว่าปฏิบตั ป ิ ฏิปทาทียังสัตว์ให้เป็ นไปพร้อมเพือ ความเป็ นผูม ้ ี
ปัญญามาก
สมัยใด บรรพชิตผูม ้ ีศีลเข้าไปหาสกุล พวกมนุษย์ในสกุลนันย่อมประสบบุญเป็ นอันมาก โดยฐานะ 5 ประการนี
องฺ.ป จฺ .22/199/247 (กุลสูตร)
…………………………………………………………………..

๒๔๕
สิงทีควรทราบ ๑. กําหนดการลาสิกขา – ฤกษ์ยาม
๒. การทําความสะอาดเสนาสนะ ๓. บริขารทีสละ ถลกบาตร จีวร
๔. ปั จจัยทีได้รบั ในขณะบวช ๕. การนิ มนต์ท่านเจ้าคุณฯ เป็ นประธาน
๖. การเตรียมตัวในวันลาสิกขา ไม่ตอ้ งเร่งรีบ การแสดงอาบัติ
๗. การประกอบพิธีลาสิกขา คติการลาสิกขา, การแผ่สว่ นบุญ (ทีกรวดนําคนละ
ชุดกับญาติโยม) ธรรมเนี ยมหลังจากสึก การสมาทานอุโบสถศีล การนุ่ งขาว
การนอนบ้าน

เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้ าที 10 อย่างด้ วยกัน


1.นับถือศาสนา 2.รักษาธรรมเนียมมัน 3.เชือฟังครูอาจารย์ 4.วาจานันต้ องสุภาพอ่อนหวาน 5.ยึดมันกตัญ ู 6.เป็ นผู้ร้ ูเรืองการงาน
7.ต้ องศึกษาให้ เชียวชาญ มานะบากบัน ไม่เกียจไม่คร้ าน 8.รู้จักออมประหยัด 9.ซือสัตย์ตลอดกาล 10.นําใจนักกีฬากล้ าหาญ

สิงของทีจะนํากลับบ้าน ควรพิจารณา โดยต้องแยกสิงของออกเป็ น 4 ส่วน คือ


1.ของทีได้รับมาก่อนการบรรพชาหรือของทีญาติมอบให้ในฐานะลูกหลาน ไม่ใช่ในฐานะภิกษุ อย่างนี นํากลับไปได้
2.ของทีทางวัดแจกให้เป็ นสาธารณะอยู่แล้ว เช่น หนั งสือและซีดีธรรมะ อย่างนี ก็นํากลับไปได้
3.ของทีสงฆ์มอบให้ เพราะเราได้ขอท่านไว้ หรือของใช้ส่วนตัวทีสงฆ์ไม่ตอ้ งการ เพราะเกินจําเป็ น หรือต้องการสละ เช่น สบู่ ยาสี
ฟั น แชมพู ผ้าเช็ดตัว จีวรเก่า หมอน เป็ นต้น อย่างนี ก็นํากลับไปได้
4.ของทีได้รับมาเพราะการเป็ นภิกษุ เช่น ของสังฆทานต่างๆ อย่างนี ถ้าจะนํ ากลับไป ควรขออนุ ญาติต่อสงฆ์ หรือทําการผาติ
กรรม (ชําระเป็ นทรัพย์ เช่น ด้วยสิงของหรือปั จจัย) แก่สงฆ์ตามแต่ตกลงกัน, ซึงในกรณีสุดท้ายนี ถ้านํ ากลับไปแล้วโดยไม่รเู ้ ท่า
ทัน สามารถทําได้ 2 ลักษณะ คือ 1.นํ ามาคืน หรือ 2.ทําการชําระหนี สงฆ์ ด้วยการถวายปั จจัยคืนวัด โดยประมาณราคาตามควร
ซึงอาจบอกแจ้งแก่ภิกษุ รูปใดรูปหนึ งเพือให้เกิดความสบายใจก็ได้

๒๔๖
อกุศลกรรมบท 10 11.1
(โดยละเอียดจาก อรรถกถาสัมมาทิฏฐิสูตร เล่ม 17 หน้า 541 มมร. (ม.มู 12/110/63), อภิ.อ.75 หน้า 286 มมร.)
ความประพฤติไม่เรียบร้อย/เรียบร้อย(สาเลยยกสูตร)ม.มู.12/485/367 ความไม่สะอาด/สะอาด(จุนทสูตร)24/164/238
อกุศลกรรม/กุศลกรรม ที.ปา.11/359/245 ธรรม 10 อย่างทีเป็ นไปในส่วนข้างเสือม/เจริญ ที.ปา.11/470/285
สัปปุริสธรรม/อสัปปุริสธรรม อริยธรรม/อนิ รยธรรม

1.ปาณาติบาต คือ การยังสัตว์มีชีวติ ให้ตกล่วงไป


ในบรรดาสัตว์เดรัจฉานทีไม่มีคุณ ปาณาติบาตนันชือว่ามีโทษน้อยเพราะสัตว์เล็ก ชือว่ามีโทษมากเพราะ
ร่างกายใหญ่ เพราะมีความพยายามมาก แม้จะมีความพยายามเสมอกันก็มีโทษมากเพราะวัตถุใหญ่
ในบรรดาสัตว์ทีมีคุณมีมนุ ษย์เป็ นต้นชือว่ามีโทษน้อยเพราะสัตว์มีคุณน้อย ชือว่ามีโทษมากเพราะมีคุณมาก
เมือสัตว์นันมีสรีระและคุณเท่ากัน ปาณาติบาตมีโทษน้อยเพราะกิเลสและความพยายามอ่อน มีโทษมาก
เพราะกิเลสและความพยายามกล้า
ปาณาติบาตนัน มีองค์ 5 คือ การฆ่าผูอ้ ืน / การฆ่าตัวตาย / การทําแท้ง
1 ปาโณ สัตว์มีชีวิต สิงใดบาปมากกว่ากัน
2 ปาณส ฺ ญิตา รูว้ ่าสัตว์มีชีวิต หน้า ๖๙
3 วธกจิตฺตํ มีจิตคิดฆ่า
4 อุปกฺ กโม มีความพยายาม
5 เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั น

2.อทินนาทาน คือ การถือเอาสิงของ(ภัณฑะ)ทีเจ้าของไม่ให้ (ข้อสมมติในทางโลกเท่านัน)


อทินนาทานนันชือว่ามีโทษน้อยเพราะวัตถุนอ้ ย ชือว่ามีโทษมากเพราะวัตถุประณีต
เมือวัตถุเสมอกัน อทินนาทานมีโทษมากเพราะเป็ นวัตถุของบุคคลผูม้ ีคุณอันยิง มีโทษน้อยเพราะวัตถุของ
บุคคลผูม้ ีคุณอันเลว
อทินนาทานนัน มีองค์ 5 คือ
1 ปรปริคฺคหิตํ สิงของทีเขาเก็บรักษาไว้
2 ปรปริคฺคหิตส ฺ ญิตา รูว้ ่าสิงของทีเขาเก็บรักษาไว้
3 เถยฺยจิตฺตํ มีจิตคิดลัก
4 อุปกฺ กโม มีความพยายาม
5 เตน หรณํ นํ าสิงของนั นไปด้วยความพยายามนั น

3.กาเมสุมิจฉาจาร กาเมสุ แปลว่า ของรัก ได้แก่ การเสพเมถุน [กาเมสุ ได้แก่ ในวัตถุกามทังหลาย วิ.อ.78/505]
มิจฉาจาร คือ การประพฤติลามกอันบัณฑิตติเตียน ว่าโดยลักษณะได้แก่เจตนาเป็ นเหตุกา้ วล่วงฐานะทีไม่ควร
เกียวข้องทีเป็ นไปทางกายทวารโดยประสงค์ อสัทธรรม (หน้า 548 มมร.)
หญิง 20 จําพวก ทีชือว่า อคมนียฐาน (ฐานะทีไม่ควรเกียวข้อง) คือ
1 หญิงทีมารดา 2 บิดา 3 มารดาบิดา 4 พีชายน้องชาย 5 พีสาวน้องสาว 6 ญาติ 7 ตระกูล 8 ธรรม รักษา
9 หญิงทีรับหมันแล้ว 10 หญิงทีกฏหมายคุม้ ครอง
11 หญิงทีเป็ นภรรยามีการซือมาด้วยทรัพย์ ดังนี คือ ภรรยาทีซือไถ่มาด้วยทรัพย์
12 ภรรยาทีอยู่ดว้ ยความพอใจ 13 อยู่ดว้ ยโภคะ 14 อยู่ดว้ ยผ้า 15 ภรรยาทีทําพิธีรดนํ า 16 ทีชายปลงเทริดลงจากศีรษะ
17 ทีเป็ นทาสีในบ้าน 18 ทีจ้างมาทํางาน 19 ทีเป็ นเชลย 20 ทีอยู่ดว้ ยกันครู่หนึ ง

๒๔๗
มิจฉาจารนัน ชือว่ามีโทษน้อยเพราะฐานะทีไม่ควรเกียวข้อง/ล่วงเกิ นนัน เว้นจากคุณ(ความดี)มีศีลเป็ นต้น
ชือว่ามีโทษมากเพราะฐานะนันถึงพร้อมด้วยคุณ(ความดี/สิงเกือกูล)
มิจฉาจารนัน มีองค์ 4 คือ
1 อคมนี ยวัตถุ วัตถุทีไม่ควรเกียวข้อง
2 ตสมึ เสวนจิตฺตํ มีจิตคิดเสพในหญิงนั น
3 เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ
4 มคฺ เคน มคฺ คปฏิปตฺ ติอธิวาสนํ การยังมรรคให้ถึงมรรค

4.มุสาวาท แปลว่า วาทะอันไม่เป็ นจริง คือ ความพยายามทางวาจาหรือทางกายอันทําลายประโยชน์ ของบุคคลผู ้


มุ่ง กล่าวให้ขัดแย้ง (กับความจริง)คลาดเคลือนเป็ นอย่างอืนต่อบุ คคลอืน ว่าโดยลักษณะได้แก่เจตนาที ตังขึนด้วย
เคลือนไหวอย่างนันของบุคคลผูป้ ระสงค์ให้คนอืนรูถ้ ึงเรืองไม่จริงแท้ [สจฺจวาจา=คําพูดจริง,คําจริง]
มุสาวาทนันชือว่ามีโทษน้อยเพราะประโยชน์ทีผูพ้ ดู ทําลายนันมีนอ้ ย มีโทษมากเพราะทําลายประโยชน์มาก
(เจตนาเบียดเบียนมากหรือน้อย)
อีกอย่างหนึ ง มุสาวาทของคฤหัสถ์ทงหลายที
ั กล่าวโดยนัยว่าไม่มีเพราะประสงค์จะไม่ให้วตั ถุทีตนมีอยู่ ชือว่า
มีโทษน้อย มุสาวาททีตนเป็ นพยานกล่าวเพือทําลายประโยชน์ ชือว่ามีโทษมาก (จําเป็ นต้องโกหกทังทีไม่อยากทํา)
มุ สาวาทของบรรพชิต ทังหลายที กล่าวประชดประชันโดยประสงค์จ ะหัว เราะเล่นชือว่ามี โทษน้อ ย แต่
มุสาวาทของบรรพชิตผูก้ ล่าวโดยนัยว่าไม่เห็นเลยว่าเห็นดังนี ชือว่ามีโทษมาก (ไม่มงุ่ ความเสียหาย เพียงมุง่ ความบันเทิง)
มุสาวาทนัน มีองค์ 4 อย่างคือ ทางการปฏิบตั ิ สติทีไม่ดาํ เนิ นต่อเนื อง
1 อตถํ วตฺ ถุ เรืองไม่จริง หลีกเลียงโดย ไม่พดู -พูดไปเรืองอืน-พูดความจริงบางส่วน
2 วิสํวาทนจิตฺตํ คิดจะกล่าวให้คลาดเคลือน เมือรูว้ า่ สิงนันไม่ดี ยกเลิกสัญญา บาปไหม ? หน้า 148
3 ตชฺ โช วายาโม พยายามเกิดด้วยความคิดนั น
4 ปรสฺ ส ตทตฺ ถวิชานนํ คนอืนรูเ้ นื อความนั น

5.สุราเมรัยฯ สุรา ได้แก่ สุรา 5 ชนิ ด คือ 1 สุราทําด้วยแป้ ง 2 สุราทําด้วยขนม 3 สุราทําด้วยข้าวสุก 4


สุราทีเอาเชือเหล้า(ส่าเหล้า)ใส่เข้าไป 5 สุราทีเขาปรุงด้วยเครืองปรุง,
เมรัย ได้แก่ เครืองหมักดอง 5 ชนิด คือ 1 นําดองด้วยดอกไม้ 2 นําดองด้วยผลไม้ 3 นําดองด้วยนําอ้อยงบ
4 นําดองดอกมะซาง(นําผึง) 5 นําดองทีเขาปรุงด้วยเครืองปรุง
สุราและเมรัยชือว่ามัชชะ(นําเมา)เพราะเป็ นทีตังแห่งความมัวเมา ชนทังหลายดืมสุราหรือเมรัยด้วยเจตนาใด
เจตนานันชือว่าเป็ นทีตังแห่งความประมาทเพราะเป็ นเหตุให้หลงงมงาย (เจตนามุง่ ความเมา ต้องการทําลายสติของตน)
อภิ.วิ.อ.75/505
การดืมของเมามีโทษมากน้อยตามอกุศลจิตหรือกิเลสในการทีจะดืม (ติดใจมากหรือน้อย)
การดืมนําเมาเพียงเล็กน้อยก็มีโทษน้อย การดืมมากมีโทษมาก(ตามปริมาณทีดืม)
เมือดืมแล้วยังกายให้เคลือนไหวไปทํากรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็ นต้นมีโทษมาก(ตามผลทีจะก่อให้เกิดการกระทํา
ผิดพลาดชัวร้าย) โทษของสุราเมรัย ที.ปา.11/179/040

สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานนัน มีองค์ 4 คือ 1.ทรัพย์หมดไปอย่างชัดเจน


1 มชฺ ชภาโว ความเป็ นของเมา 2.ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท
2 ปาตุกมฺ ยตาจิตฺตํ จิตคิดจะดืม 3.เป็ นบ่อเกิดของโรค เช่น ตับแข็ง ผอมแห้ง
3 ตชฺ โช วายาโม ความพยายามอันเกิดแต่จิตนั น 4.ทําให้เสียชือเสียงเกียรติยศ ประพฤติไม่มียางอาย
4 อชฺ โฌหรณํ กลืนให้ล่วงลงในลําคอ ขุ.อิติ.อ.45/452 5.บันทอนกําลังปั ญญา ไม่รอู ้ ะไรควรไม่ควร

๒๔๘
5.ปิ สุณาวาจา คือ บุคคลกล่าววาจาแก่บุคคลอืนเพราะหวัง ประโยชน์คือ ความรักในตนแล้วกล่าวป้ ายร้ายแก่
บุคคลอืน เพือความแตกแยกของชนเหล่าอืน [อปิ สุณวาจา=คําไม่สอ่ เสียด,ไม่พดู ส่อเสียด]
เจตนาของบุ คคลผูม้ ีจิตเศร้าหมองอันให้เกิดกายประโยคและวจีประโยค เพือให้ค นอืนแตกกันก็ดี เพือ
ต้องการทําตนให้เป็ นทีรักก็ดี ชือว่า ปิ สุณาวาจา (ที.สี.อ.11 หน้า 194 มมร.)
วาจาทีเป็ นเหตุให้หวั ใจของบุคคลผูท้ ี ตนพูดด้วย เกิดความรักตนและเกลียดชังคนอืน ชือว่า ปิ สุณาวาจา.
(ม.มู.อ.17 หน้า 551 มมร.)
ปิ สุณาวาจานันชือว่า มีโทษน้อยเพราะเจตนาทําความแตกแยกให้บุคคลผูม้ ีคุณน้อย
มีโทษมากเพราะบุคคลนันมีคุณมาก
ปิ สุณาวาจา มีองค์ 4 คือ
1 ภินฺทิตพฺโพ ปุโร มีผทู ้ ีตนจะพึงทําให้แตกกัน (ผูถ้ ูกทําลายเป็ นบุคคลอืน) ข้อหนึ งใน
2 เภทปุเรกฺ ขารตา มีเจตนากล่าวให้แตกกันหรือเพือต้องการทําตนให้เป็ นทีรัก อาชีวฏั ฐมกศีล
3 ตชฺ โช วายาโม มีความพยายามเกิดขึน
4ตสฺ ส ตทตฺ ถวิชานนํ บุคคลนั นรูค้ วามหมาย
เมือบุคคลอืนไม่แตกกัน กรรมบทไม่แตก เมือบุคคลแตกกันนันแล กรรมบทจึงแตก
6.ผรุสวาจา คือ กายหรือวาจาอันกระทําความหยาบคายแก่ตนบ้างแก่ผูอ้ ืนบ้าง อีกอย่างหนึ งวาจาใดทําความ
หยาบคายเอง ไม่เพราะหูไม่จบั ใจ วาจานี ชือว่าผรุสวาจา, วจึประโยคไม่เป็ นผรุสวาจา เพราะผูพ้ ดู มีจิตอ่อนโยน แต่
เมือผูพ้ ดู มีจิตหยาบคาย แม้คาํ พูดอ่อนหวานนี ก็เป็ นผรุสวาจา [สณฺ หวาจา=พูดสุภาพอ่อนโยน]
ผรุสวาจานันชือว่ามีโทษน้อยเพราะความทีบุคคลนันมีคุณน้อย มีโทษมากเพราะบุคคลนันมีคุณมาก
เรืองวาจาหยาบ แต่ใจไม่หยาบ ได้ยินว่า เด็กคนหนึ งไม่เอือเฟื อถ้อยคําของมารดาไปป่ า มารดาไม่สามารถให้เด็กนั น
กลับได้ จึงได้ด่าว่า ขอให้แม่กระบือดุจงไล่มึง ทันใดนั น แม่กระบือป่ าได้ปรากฏแก่เด็กนั น เหมือนอย่างมารดาว่าทีเดียว เด็ก
นั นได้กระทําสัจจกิริยาว่า สิงทีมารดาของเราพูดด้วยปาก จงอย่ามี สิงทีมารดาคิดด้วยใจ จงมีเถิด แม่กระบือได้ยืนอยู่เหมือน
ถูกผูกไว้ในป่ านั นเอง.
ประโยคแม้ตัดความรักอย่างนี ก็ไม่เป็ นผรุสวาจา เพราะมีจิตอ่อนโยน. จริงอยู่ บางครังมารดาบิดาย่อมกล่ าวกะลู กน้อย ๆ ถึ ง
อย่างนี ว่า พวกโจรจงหําหันพวกเจ้าเป็ นชิน ๆ ดังนี แต่ก็ไม่ปรารถนาแม้ใ ห้ก ลี บ บัว ตกเบืองบนของลู กน้ อย ๆ เหล่ านั น อนึ ง
อาจารย์และอุปัชฌาย์ บางคราว ก็กล่าวกะพวกศิษย์อย่างนี ว่า พวกนี ไม่มียางอาย ไม่เกรงกลัว คุยอะไรกัน จงไล่มนั ไปเสีย ก็แต่ว่า
ย่อมปรารถนาให้ศิษย์เหล่านั นสําเร็จการศึกษา และบรรลุมรรคผล. เหมือนอย่างว่า วาจาไม่เป็ นผรุสวาจา เพราะคําอ่อนหวานก็
หาไม่. ด้วยว่าผูต้ อ้ งการจะฆ่า พูดว่า จงให้ผนู ้ ี นอนให้สบาย ดังนี จะไม่เป็ นผรุสวาจาก็หาไม่. ก็วาจานี เป็ นผรุสวาจาทีเดียวเพราะมี
จิตหยาบ (ที.สี.อ.11 หน้า 196 มมร.)
ผรุสวาจานัน มีองค์ 3 คือ ด่าคนดี บาปมาก เช่น นางจิญจมาณวิกา นางมาคัณฑิยา
1 อกฺ โกสิตพฺโพ ปโร มีคนทีตนจะพึงด่า พระโกกาลิกะ พระกปิ ละเกิดเป็ นปลาทองปากเหม็น
2 กุปิตจิตฺตํ มีจิตโกรธ
3 อกฺ โกสนา มีการด่า / ประชด แนวปฏิบตั ิ - มีโทสะไม่พูด ภรรยาอมนํามนต์ในปาก

7.สัมผัปปลาปะ คือ บุคคลย่อมพูดเพ้อเจ้อคือไร้ประโยชน์โดยภาวะใดภาวะหนึ งโดยอกุศลเจตนาอันจะทําให้


บุคคลอืนรูส้ ิงทีไม่เป็ นประโยชน์ซึงกระทําด้วยความพยายามทางกายและวาจา [มนฺ ตาภาสา=พูดด้วยปั ญญา]
สัมผัปปลาปะชือว่ามีโทษน้อยเพราะความทีมีการซ่องเสพน้อย ผูพ้ ดู มีอาเสวนะอ่อน(ความเคยชินน้อย)
ชือว่ามีโทษมากเพราะมีการซ่องเสพมาก ผูพ้ ดู มีอาเสวนะมาก(ความเคยชินมาก)

๒๔๙
สารธรรม(ธรรมทีเป็ นแก่นสาร)มี 4 ประการคือ
1 สีลสารธรรม ธรรมทีเป็ นแก่นสารคือศีล 4 วิมุตติสารธรรม ธรรมทีเป็ นแก่นสารคือวิมุตติ
2 สมาธิสารธรรม ธรรมทีเป็ นแก่นสารคือสมาธิ 5.วิมุตติญาณทัสสนะสารธรรม
3 ปั ญญาสารธรรม ธรรมทีเป็ นแก่นสารคือปั ญญา องฺ.จตุก.21/150
กถาวัตถุ 10 (เรืองทีควรพูด, เรืองทีควรนํามาสนทนากันในหมู่ภิกษุ)
1. อัปปิ จฉกถา เรืองความมักน้อย,ไม่มกั มากอยากเด่น 6. สีลกถา เรืองศีล
2. สันตุฏฐิกถา เรืองความสันโดษ,ไม่ฟ้ งุ เฟ้ อหรือปรนเปรอ 7. สมาธิกถา เรืองสมาธิ
3. ปวิเวกกถา เรืองความสงัด,ให้มีความสงัดกายใจ 8. ปั ญญากถา เรืองปั ญญา
4. อสังสัคคกถา เรืองความไม่คลุกคลีดว้ ยหมู่ 9. วิมุตติกถา เรืองวิมุตติ
5. วิริยารัมภกถา เรืองการปรารภความเพียร,มุ่งมันทําความเพียร 10.วิมุตติญาณทัสสนกถา เรืองความรูค้ วามเห็นในวิมุตติ
ม.มู12/292 ม.อุ.14/348 อง.ทสก.24/69
สัมผัปปลาปะนัน มีองค์ 2 คือ
1 ภารตยุทฺธสีตาหรณาทินิรตฺ ถกถาปุเรกฺ ขารตา ความเป็ นผูม้ ีเจตนาจะพูดเรืองไร้ประโยชน์
มีภารตยุทธ์และการลักพานางสีดาไป (รามเกียรติ) เป็ นต้น
2 ตถารูปีกถากถน กล่าววาจาเช่นนั น
ก็เมือบุคคลอืนไม่ถือเอาถ้อยคํานัน กรรมบทก็ไม่แตก(คือไม่ใส่ใจหรือไม่ปฏิบัติตาม) แต่เมือมีผอู ้ ืนถือ สัมผัปปลา
ปะนัน กรรมบทจึงแตก
8.อภิชฌา คือ ธรรมชาติทีเพ่งเล็ง มีความหมายว่า เป็ นผูม้ ุ่งต่อสิงของของผูอ้ ืน มีการเพ่งเล็งภัณฑะของบุคคลอืน
เป็ นลักษณะอย่างนี วา่ สิงนี พึงเป็ นของเรา(โดยทางทุจริต)
อภิชฌานันมีลกั ษณะเพ่งเล็งภัณฑะของผูอ้ ืนอย่างนีวา่ ไฉนหนอ ของสิงนี จะพึงเป็ นของเรา
อภิชฌานันชือว่ามีโทษน้อยและโทษมากเหมือนอทินนาทาน
(คือ โทษน้อยเพราะวัตถุน้อย โทษมากเพราะวัตถุประณี ต, โทษมากเพราะเป็ นของผูม้ ีคุณสูง โทษน้อยเพราะเป็ นของผูม้ ีคุณอันตํา)
อภิชฌานัน มีองค์ 2 คือ
1 ปรภณฺ ฑํ เป็ นสิงของของบุคคลอืน
2 อตฺ ตโน ปริฌามน ฺ จ น้อมมาเพือตน
เมือความโลภในวัตถุนันเกิดขึน กรรมบทยังคงไม่แตก ตราบเมือเขาน้อมมาเพือตนอย่างนี วา่ วัตถุนีพึงเป็ น
ของเรา กรรมบทจึงแตก
9 พยาบาท คือ สภาวธรรมทียังประโยชน์เกือกูลและความสุขให้พินาศไป มีความมุ่งร้ายเพือให้ผอู ้ ืนพินาศเป็ น
ลักษณะ
มีโทษน้อยและมีโทษมากเหมือนผรุสวาจา (คือ โทษน้อยเพราะบุคคลมีคุณน้อย โทษมากเพราะบุคคลมีคุณมาก)
พยาบาทนัน มีองค์ 2 คือ
1 ปรสตฺ โต สัตว์อืน
2 ตสฺ ส จ วินาสจินฺตา มีความคิดทีให้สัตว์นันพินาศไป
เมือความโกรธเกิดขึน กรรมบทยังไม่แตก ตราบเมือคิดยังสัตว์ให้พินาศว่าทําอย่างไรหนอสัตว์นีพึงขาดสูญ
หรือพินาศไป กรรมบถจึงแตก
ตัวอย่าง นางมาคัณฑิยา พระเทวทัต อาจารย์สญ
ั ชัย

๒๕๐
10.มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดโดยไม่ถือเอาตามความเป็ นจริง มีความเห็นวิปริตเป็ นลักษณะ อาทิ ทานทีบุคคล
ให้แล้วไม่มีผล
มิจฉาทิฏฐิชือว่ามีโทษน้อยมีโทษมาก เหมือนสัมผัปปลาปะ (คือ โทษน้อยเพราะส้องเสพน้อย โทษมากเพราะส้องเสพมาก)
อนิ ยตมิจฉาทิฏฐิมีโทษน้อย นิ ยตมิจฉาทิฏฐิมีโทษมาก
ลัทธิประเภทอกิริยทิฏฐิ ติตถสูตร (องฺ.ติก.20/501/167)
นิยตมิจฉาทิฏฐิ(ทิฏฐิ 3) อปั ณณกสูตร (ม.ม.13/105/81) 1.ปุพเพกตเหตุวาท(ลัทธิกรรมเก่า)
1 อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าการกระทําไม่มีผล เช่น ปุพเพกตเหตุวาท 2.อิสสรนิ มมานเหตุวาท(ลัทธิพระเป็ นเจ้า)
2 อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าสิงทังหลายไม่มีเหตุปัจจัย 3.อเหตุอปั จจยวาท(ลัทธิเสียงโชค)
3 นั ตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือไม่มีการกระทําหรือสภาวะทีจะกําหนดเอาเป็ นหลักได้
มิจฉาทิฏฐินนั มีองค์ 2 คือ
1 วตฺ ถุโน จ คหิตาการวิปรีตตา การทีเรืองวิปริต(ผิดไป) จากอาการทีถือเอา
2 ยถา จ ตํ คณฺ หาติ ตถาภาเวน ตสฺ สูปฏฺ ฐานํ เรืองนั นปรากฏโดยความไม่เป็ นจริงตามทียึดถือ
ในบรรดามิจฉาทิฏฐิทงหลายกรรมบทจะแตกเพราะนิ
ั ยตมิจฉาทิฏฐิเท่านัน กรรมบถย่อมไม่แตกไปเพราะทิฏฐิอืน
 ผลบาปสูงสุด เริมจาก นิ ยตมิจฉาทิฏฐิกรรม อนันตริยกรรม อริยุปวาทกรรม อัตตวินิบาตกรรม
กุศลกรรมบถ 7 ประการแรกเป็ นตัวเจตนากุศล แต่ 3 ประการหลังเป็ นธรรมสัมปยุตด้วยเจตนา (คือมีโสภณเจตสิกประกอบด้วย
เจตนา), กรรมบถ 7 ประการแรกเป็ นกรรมบถอย่างเดียวไม่ เป็ นรากเหง้า (มูล ) แต่ธรรม 3 ประการหลังเป็ นทังกรรมบถเป็ นทั ง
รากเหง้า(มูล), เวรมณีจะมีได้กโ็ ดยได้เผชิญกับวัตถุทีจะต้องก้าวล่วงเท่านัน อุปมา.กรรมบทต้องมีชีวติ ินทรีย์ เป็ นต้นเป็ นอารมณ์ จึงจะ
ละทุศีลมีปาณาติบาต เป็ นต้นได้
อกุศลกรรมบถ10 และกุศลกรรมบถ10 เว้นอภิชฌา เป็ นทุกขสัจจ์, อภิชฌาและโลภะทีเป็ นอกุศลมูล เป็ นสมุทยสัจจ์โดยตรง แต่
กรรมบถทังหมด เป็ นทุ กขสัจจ์โดยอ้อม กุศลมูลและอกุศลมูลทังหมดเป็ นสมุทยสัจจ์ ความไม่เป็ นไปแห่งกุศลมูลและอกุศลมูลทัง 2
เป็ นนิ โรธสัจจ์ เมือกําหนดรูท้ ุกข์ เมือละสมุทัย เมือรูจ้ กั นิ โรธ อริยมรรคเป็ นมรรคสัจจ์

[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] ติตถสูตร องฺ .ติก.20/501/167


อกิริยาทิฏฐิ - ลัทธิเดียรถีย ์ 3 อย่าง 1
[501] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ลัทธิของเดียรถีย์ 3 อย่างนี ถูกบัณฑิตไต่ถามซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างลัทธิสืบๆ มา ตังอยูใ่ นอกิ
ริยทิฐิ 3 อย่าง ทิฐิ 3 อย่างเป็ นไฉน คือ
1. มี สมณพราหมณ์ พวกหนึ งมีวาทะอย่า งนี มี ทิฐิอย่า งนี ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ ง ทีบุค คลเสวยนัน
ล้วนแต่มีกรรมทีได้ทาํ ไว้แต่กอ ่ นเป็ นเหตุ
2. สมณพราหมณ์ พวกหนึ งมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ ง ทีบุคคลเสวยนัน ล้วน
แต่มีการสร้างสรรของอิสรชน (พระผู้เป็ นเจ้า) เป็ นเหตุ
3. มี สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง มี วาทะอย่า งนี มี ทิฐิอย่า งนี ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ ง ทีบุ ค คลเสวยนัน
ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั บรรดาสมณพราหมณ์ ทงั 3 พวกนัน พวกทีมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่าง
ใดอย่างหนึ ง ทีบุคคลเสวยนัน ล้วนมีแต่กรรมทีได้ทาํ ไว้แต่กอ ่ นเป็ นเหตุ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์ พวกนัน แล้วถามอย่างนีว่า ได้
ยินว่าท่านทังหลายมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ ง ทีบุคคลเสวยนัน ล้วนแต่มีกรรมทีได้ทาํ
ไว้แต่กอ ่ นเป็ นเหตุ จริงหรือ
ถ้าสมณพราหมณ์ พวกนันถูกเราถามอย่างนีแล้ว ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนัน เพราะกรรมทีได้ทาํ ไว้แต่
ก่อนเป็ นเหตุ ท่านทังหลายจักต้องฆ่าสัตว์ จักต้องลักทรัพย์ จักต้องประพฤติกรรมเป็ นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ จักต้องพูดเท็จ จักต้องพูด
คําส่อเสียด จักต้องพูดคําหยาบ จักต้องพูดคําเพ้อเจ้อ จักต้องมากไปด้วยอภิชฌา จักต้องมีจต ิ พยาบาท จักต้องมีความเห็นผิด
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เมือบุคคลยึดถือกรรมทีได้ทาํ ไว้แต่กอ ่ นโดยความเป็ นแก่นสาร ความพอใจหรือความพยายามว่า กิจนี
ควรทํา หรือว่า กิจนี ไม่ค วรทํา ย่อมจะมี ไม่ได้ ก็เมื อไม่ได้กรณี ยกิจและอกรณี ยกิจโดยจริงจังมันคงดังนี สมณวาทะทีชอบธรรม
เฉพาะตัว ย่อมจะสํา เร็จไม่ได้ แก่ผู้มี สติฟนเฟื ั อน ไร้เครืองป้ องกัน ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เรามี วาทะสําหรับข่มขีทีชอบธรรม ในสมณ
พราหมณ์ พวกนันผู้มีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีอย่างนีแลเป็ นข้อแรก
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั บรรดาสมณพราหมณ์ ทงั 3 พวกนัน พวกทีมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่าง
ใดอย่างหนึ งทีบุคคลเสวยนัน ล้วนแต่มีการสร้างสรรของอิสรชนเป็ นเหตุ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์ พวกนันแล้วกล่าวอย่างนีว่า ได้
ยินว่า ท่านทังหลายมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ ง ทีบุคคลเสวยนัน ล้วนแต่มีการสร้างสรร
ของอิสรชนเป็ นเหตุ จริงหรือ
ถ้าสมณพราหมณ์ นนถู ั กเราถามอย่างนีแล้ว ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนัน เพราะการสร้างสรรของอิสรชน

๒๕๑
เป็ นเหตุ ท่านทังหลายจักต้องฆ่าสัตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด

ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เมือบุคคลยึดถือการสร้างสรรของอิสรชนไว้โดยความเป็ นแก่นสาร ความพอใจหรือความพยายามว่า
กิจนี ควรทําหรือว่ากิจนี ไม่ควรทําย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื อไม่ได้กรณี ยกิจและอกรณี ยกิจโดยจริงจังมันคงดังนี สมณวาทะทีชอบธรรม
เฉพาะตน ย่อมจะสําเร็จไม่ได้แก่ผู้มีสติฟนเฟื ั อน ไร้เครืองป้ องกัน ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เรามี วาทะสําหรับ ข่มขีทีชอบธรรม ในสมณ
พราหมณ์ พวกนันผู้มีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนี อย่างนีแลเป็ นข้อที 2
ดูกรภิกษุ ทงหลายบรรดาสมณพราหมณ์
ั ทงั 3 พวกนัน พวกทีมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุขทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใด
อย่า งหนึ ง ทีบุ ค คลเสวยนัน ล้วนแต่หาเหตุ หาปัจจัยมิได้ เราเข้า ไปหาสมณพราหมณ์ พวกนัน แล้วกล่า วอย่า งนี ว่า ได้ยินว่า ท่า น
ทังหลายมีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ ง ทีบุคคลเสวยนัน ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้ จริง
หรือ
ถ้าสมณพราหมณ์ พวกนันถูกเราถามอย่างนีแล้ว ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนัน เพราะหาเหตุหาปัจจัยมิได้
ท่านทังหลายจักต้องฆ่าสัตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ก็เมือบุคคลยึดถือความไม่มีเหตุไว้โดยความเป็ นแก่นสาร ความพอใจหรือความพยายามว่า กิจนีควรทํา
หรือว่า กิจนี ไม่ควรทํา ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื อไม่ได้กรณี ยกิจและอกรณี ยกิจ โดยจริงจังมันคงดังนี สมณวาทะทีชอบธรรมเฉพาะตน
ย่อมจะสําเร็จไม่ได้ แก่ผู้ทีมีสติฟนเฟื ั อน ไร้เครืองป้ องกัน ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เรามีวาทะสําหรับข่มขีทีชอบธรรม ในสมณพราหมณ์
พวกนันผู้มีวาทะอย่างนี มีทฐิ อ ิ ย่างนี อย่างนีแลเป็ นข้อที 3
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ลัทธิเดียรถีย์ 3 อย่างนีแล ถูกบัณฑิตไต่ถามซักไซ้ไล่เรียงเข้า ย่อมอ้างถึงลัทธิสืบๆ มา ตังอยูใ่ นอกิรยิ ทิฐิ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ส่วนธรรมทีเราแสดงไว้นีแล คนอืนข่มขีไม่ได้ ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้าน โดยสมณพราหมณ์
ผู้รก
ู ้ ็ธรรมทีเราแสดงไว้แล้ว คนอืนข่มขีไม่ได้ ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้านโดยสมณพราหมณ์ ผู้รู ้ เป็ นไฉน
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ธรรมทีเราแสดงไว้วา่ ธาตุหก คนอืนข่มขีไม่ได้ ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้าน โดยสมณพราหมณ์
ผู้รธู ้ รรมทีเราแสดงว่า ผัสสายตนะ 6 ... มโนปวิจาร 18 ... อริยสัจ 4 ...
ธาตุ 6 คนอืนข่มขี ไม่ได้ ไม่ม วั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกค ดั ค้านโดยสมณพราหมณ์ ผู้รู ้ นี เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี แล เพราะ
อาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดงั นัน
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ธาตุ 6 เหล่านี คือ ปถวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ เพราะอาศัยคําทีเรา
ได้กล่า วไว้ว่า ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ธรรมทีเราแสดงไว้ว่า ธาตุ 6 คนอืนข่ม ขี ไม่ได้ ไม่ม วั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกค ดั ค้า น โดยสมณ
พราหมณ์ ผู้รู ้ ฉะนัน เราจึงได้กล่าวไว้ดงั นัน
ก็คาํ ว่าธรรมทีเราแสดงไว้วา่ ผัสสายตนะ 6 คนอืนข่มขีไม่ได้ ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้านโดยสมณพราหมณ์ ผู้รู ้ นี
เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนีแล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดงั นัน
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ผัสสายตนะ 6 เหล่านี คือ อายตนะเป็ นเหตุแห่งผัสสะ คือ ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ ..
ก็คาํ ว่า ธรรมทีเราแสดงไว้วา่ มโนปวิจาร 18 คนอืนข่มขีไม่ได้ ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้านโดยสมณพราหมณ์ ผู้รู ้
นีเรากล่าวไว้แล้วเช่นนีแล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดงั นัน
ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั บุ ค คลเห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมเข้า ไปไตร่ตรองรูปอันเป็ นทีตังแห่งโสมนัส เข้า ไปไตร่ตรองรูปอันเป็ น
ทีตังแห่งโทมนัส เข้า ไปไตร่ต รองรูป อันเป็ นทีตังแห่งอุเบกขา ฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลินด้วยจมู ก ... ลิมรสด้วยลิน ... ถูกต้อ ง
โผฏฐัพพะด้วยกาย ... รูแ ้ จ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจแล้ว ย่อมเข้าไปไตร่ตรองธรรมอันเป็ นทีตังแห่งโสมนัส เข้า ไปไตร่ตรองธรรมอัน
เป็ นทีตังแห่งโทมนัส ..
ก็คาํ ว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ธรรมทีเราแสดงไว้วา่ อริยสัจ 4 คนอืนข่มขีไม่ได้ ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้านโดยสมณ
พราหมณ์ ผู้รู ้ นีเราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนีแล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดงั นัน
ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เพราะถือมันธาตุ 6 สัต ว์จึงลงสู่ค รรภ์ เมื อมี การลงสู่ค รรภ์ จึงมี นามรูป เพราะนามรูป เป็ นปัจจัย จึง
มีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็ นปัจจัย จึงมีผสั สะ เพราะผัสสะเป็ นปัจจัย จึงมีเวทนา เราบัญญัติวา่ นีทุกข์ นีเหตุให้เกิดทุกข์ นีความ
ดับทุกข์ นีข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ความดับทุกข์แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่
ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ทุกขอริยสัจเป็ นไฉน คือ แม้ช าติก็เป็ นทุกข์ แม้ช ราก็เป็ นทุกข์ แม้ม รณะก็เป็ นทุกข์ แม้โ สกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุป ายาส เป็ นทุกข์ ความประสบกับ สิงทีไม่เป็ นทีรัก เป็ นทุกข์ ค วามพลัด พรากจากสิงทีรักเป็ นทุกข์ แม้ค วาม
ปรารถนาสิงใดไม่ได้สมหวังก็เป็ นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็ นทุกข์ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั นีเรียกว่า ทุกขอริยสัจ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ทุกขสมุทยั อริยสัจเป็ นไฉน คือ เพราะอวิชชาเป็ นปัจจัย จึงมีสงั ขาร เพราะสังขารเป็ นปัจจัย จึงมีวญ ิ ญาณ
เพราะวิญญาณเป็ นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็ นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็ นปัจจัย จึงมีผสั สะ เพราะผัสสะเป็ น
ปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็ นปัจจัย จึงมีตณ ั หา เพราะตัณหาเป็ นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็ นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ
ภพเป็ นปัจจัย จึงมี ช าติ เพราะชาติเป็ นปัจจัย จึงมี ช รา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุป ายาส กองทุกข์ทงมวลนี ั ย่อมเกิดขึ น
ด้วยประการอย่างนี ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั นีเรียกว่าทุกขสมุทยั อริยสัจ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ทุกขนิโรธอริยสัจเป็ นไฉน เพราะอวิชชาดับโดยสํารอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณ
จึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับเพราะผัสสะดับ เวทนาจึง
ดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจงึ ดับ เพราะชาติ
ดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ กองทุกข์ทงมวลนี ั ย่อมดับด้วยอาการอย่างนี ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั นีเรียกว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจ
ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็ นไฉน อริยมรรคมีองค์ 8 คือ ความเห็นชอบ ความดําริชอบ เจรจา
ชอบ การงานชอบ เลียงชี วิต ชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตังใจชอบ ดู กรภิกษุ ทงหลายนี ั เรียกว่า ทุ กขนิโ รธคามินี
ปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เพราะอาศัยถ้อยคําทีเราได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ธรรมทีเราแสดงไว้วา่ อริยสัจ 4 คนอืนข่มขีไม่ได้
ไม่มวั หมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคดั ค้านโดยสมณพราหมณ์ ผู้รู ้ ฉะนันเราจึงได้กล่าวไว้ดงั นัน ฯ
……………………………………………………

๒๕๒
อรรถกถาติตถายตนสูตร เล่ม 34 หน้า 274 มมร.
ผูไ ดชอ
ื่ วาเปนเดียรถีย
.. ทิฏฐิ 62 ชื่อวา ติตถะ (ลัทธิ). บุคคลผูใหเกิดทิฏฐิ 62 เหลานั้นชื่อวา ติตถกร. บุคคลผูพอใจ ชอบใจ ทิฏฐิ 62 เหลานั้น ชื่อวา
เดียรถีย บุคคลผูถวายปจจัยแกเดียรถียเหลานั้น ชื่อวา สาวกของเดียรถีย.
อธิบายศัพทวา อายตนะ
บทวา อายตน ความวา ถิ่น เกิด ชื่อวา อายตนะ.. สถานที่สโมสร ชื่อ วา อายตนะ.. เหตุ ชื่อ วา อายตนะ (เชน ) ในประโยคนี้วา
ดูก อ นภิก ษุท ั้งหลาย วิมุตตายตนะ (เหตุแหงวิมุตติ) 5 ประการเหลานี้..
เพราะวา มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทัง้ หมด เมื่อเกิดก็เกิดในฐานะ 3 นี้เทานั้น แมเมื่อรวมลง ยอมรวมลง คือ ประชุมลง ตกลงในฐานะ 3 นี้
เชนกัน. ก็เมื่อบุคคลเหลานัน ้ เปนมิจฉาทิฏฐิ เหตุทั้ง 3 เหลานี้นั่นแล ชื่อวา อายตนะ เพราะความหมายมีอาทิวา เปนเสมือนทาน้ํา คือเปน
ถิ่นที่เกิดขึ้น (แหงลัทธิทั้งหลาย) แมเพราะเหตุนั้น จึงชือ ่ วา ติตถายตนะ. อนึ่ง ชื่อวา ติตถายตนะ เพราะอรรถวาเปนบอเกิดของเดียรถีย
ทั้งหลาย ดวยความหมายนั้นนั่นแล..
บทวา อกิริยาย สณฺ หนฺติ คือ ดํารงอยูในฐานะมาตรวาเปนอกิริยทิฏฐิ..
ก็ ติตถายตนะเหลานี้ ที่ดําเนินไปอยูอยางนี้คือ อาจารยของเราทั้งหลาย เปนปุพเพกตวาที (เปนผูมีวาทะวา กรรมที่ทําไวในชาติ
กอนเปนเหตุ .. ลัทธิที่ถือวา สุดแตกรรมเกา)
อาจารยของเราทั้งหลายเปนอิสสรนิมมานวาที (เปนผูมีวาทะวา การนิรมิตของพระอิศวรเปนเหตุ)
อาจารยของเราทั้งหลาย เปนอเหตุกอปจจยวาที (เปนผูมีวาทะวา ไมมีเหตุ ไมมีปจจัย)
ก็ ติตถายตนะเหลานั้น ... ผูสรางหรือผูใหสรางของมิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหลานั้น ก็ไมปรากฏแมแตคนเดียว.
อธิบายปุพเพกตเหตุวาทะ
บทวา ปุพฺเพกตเหตุ แปลวา เพราะกรรมที่คนทําไวในชาติกอนเปนเหตุ อธิบายวา บุรุษบุคคลเสวย (สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
ทุก ขมสุขเวทนา) เพราะกรรมที่คนทําไวในชาติกอนเปนปจจัยเทานั้น . ดว ยบทวา ปุพฺเพกตเหตุ นี้ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหลายปฏิเสธ
กรรมเวทนา (เวทนาเกิดแตกรรม) และกิริยเวทนา (เวทนาเกิดแตกิริยา) ยอมรับแตเฉพาะวิปากเวทนา (เวทนาที่เกิดจากวิบาก) อยาง
เดียวเทานั้น.
วาดวยโรค 8 อยางเปนตน
พระผูมีพระภาคเจาตรัสโรคไว 8 อยางเหลานี้ คืออาพาธมีน้ําดี (กําเริบ) เปนสมุฏฐาน 1 อาพาธมีเสมหะเปนสมุฏฐาน 1 อาพาธมี
ลมเปนสมุฏฐาน 1 อาพาธที่เกิดจากโรคดี โรคเสมหะ โรคลม มาประชุมกัน 1 อาพาธที่เกิดจากเปลี่ยนฤดู 1 อาพาธที่เกิดจากการบริหาร
(รางกาย) ไมถูกตอง 1 อาพาธที่เกิดจากการพยายาม (ทําใหเกิดขึ้น) 1 อาพาธที่เกิดจากวิบากกรรม 1. ในโรคทั้ง 8 อยางนั้น. มิจฉา
ทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธโรค 7 อยางขางตนแลวยอมรับแตเฉพาะโรคชนิดที่ 8 เทานั้น.
ในบรรดากองแหงกรรม 3 ชนิด ที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไว คือ ทิฏ ฐธรรมเวรทนียกรรม (กรรมใหผลในภพปจจุบัน) 1 อุปปชช
เวทนียกรรม (กรรมใหผลในภพถัดไป) 1 อปรปริยายเวทนียกรรม (กรรมใหผลในภพตอๆ ไป) 1 มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธกรรม 2 ชนิด
(ขางตน) ยอมรับแตเฉพาะอปรปริยายกรรม อยางเดียวเทานั้น.
แมในกองวิบาก 3 ชนิด ที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไว คือ ทิฏ ฐธรรมเวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ใหผลในปจจุบัน) 1 อุปปชช
เวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ใหผลในภพถัดไป) 1 อปรปริยายเวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ใหผลในภพตอๆไป)1. มิจฉาทิฏฐิก
บุคคลปฏิเสธวิบาก 2 อยาง (ขางตน) ยอมรับแตเฉพาะอปรปริยายวิบากอยางเดียวเทานั้น.
แมในกองเจตนา 4 ชนิด ที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไว คือ กุศลเจตนา 1 อกุศลเจตนา 1 วิปากเจตนา 1 กิริยเจตนา 1 มิจฉาทิฏฐิก
บุคคลปฏิเสธเจตนา 3 ชนิด ยอมรับแตเฉพาะวิปากเจตนาอยางเดียวเทานั้น.
อธิบายอิสสรนิมมานเหตุ
บทวา อิส ฺส รนิมม
ฺ านเหตุ แปลวา เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเปนเหตุ. อธิบายวา บุรุษบุคคลเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
ทุก ขมสุข เวทนา ก็เพราะถูกพระอิศวรนิรมิต (บัน ดาล). ดว ยวา มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหลานั้นมีความเขาใจดังนี้วา เวทนาทั้ง 3 นี้ บุรุษ
บุคคลไมสามารถเสวยไดเพราะมีกรรมทีต ่ นทําไวในปจจุบัน เปนมูลบาง เพราะสั่งบังคับ (ของคนอืน
่ ) เปนมูลบาง เพราะกรรมที่ตนทําไว
ในชาติกอนบาง เพราะไมมีเหตุไมมีปจจัย (คือ โดยบังเอิญ) บาง แตบุรุษบุคคลเสวยเวทนาเหลานีไ้ ด เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเปน
เหตุอยางเดียว.
ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหลานี้มีวาทะอยางนี้ จึงไมยอมรับโรคแมชนิดหนึ่งในบรรดาโรค 8 อยางที่กลาวไวแลวในตอนตน ปฏิเสธ
ทั้งหมด และไมยอมรับกรรมชนิดหนึ่งในบรรดากองกรรม 3 ชนิด วิบากชนิดหนึ่งในบรรดากองวิบาก 3 ชนิด และเจตนาชนิดหนึ่งใน
บรรดากองเจตนา 4 ชนิด ที่กลาวไวแลวในตอนตน ปฏิเสธทั้งหมด.
อธิบายอเหตุปจ
 จยา
บทวา อเหตุอปจฺจยา ไดแก เวนจากเหตุและปจจัย. อธิบายวา บุรุษบุคคลเสวยสุข เวทนา ทุก ขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา โดย
ไมมีเหตุเลย. ดวยวา มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหลานัน้ มีความเขาใจดังนี้วา เวทนาทั้ง 3 นี้ ใครๆ ไมสามารถจะเสวยได เพราะกรรมที่ตนทําไว
ในปจจุบันเปน มูลบาง เพราะการสัง่ บังคับ (ของคนอื่น) เปนมูลบาง เพราะกรรมที่ทําไวในชาติกอ  นบาง เพราะการนิรมิตของพระอิศวร
เปน เหตุบาง บุรุษบุคคลเสวยเวทนาเหลานี้ โดยไมมีเหตุไมมีปจจัยเลย. ก็มิจฉาทิฏ ฐิกบุคคลเหลานั้น มีวาทะอยางนี้ จึงไมยอมรับเหตุ
ทั้งหลายที่กลาวไวแลวในตอนตน มีโรคเปนตนแมสักอยางหนึ่ง ปฏิเสธทั้งหมด.
พระพุทธเจาทรงตัง้ ลัทธิ
พระศาสดา ครั้นทรงยกมาติกาอยางนี้ขน ึ้ แลว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกแสดงมาติกานั้น จึงตรัสคําวา .. บทวา เตนหายสฺมนฺโต ติด
บทเปน เตนหิ อายสฺมนฺโต. มีคําอธิบายอยางไร. มีคําอธิบายวา ถาขอนั้นเปนจริง เมื่อ เปน อยางนั้น ตามวาทะของทานทั้งหลายนั้น..
ความวา บุรุษบุคคลเหลาใดเหลาหนึ่งในโลกฆาสัตว บุรุษบุคคลเหลานั้นทั้งหมดจักเปนปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทําไวในชาติกอ  นเปน
เหตุ. เพราะเหตุไร เพราะทานทั้งหลายมีลัทธิดังนี้วา เขาสามารถเสวยกรรม คือ ปาณาติบาต เพราะกรรมที่ตนทําไวเปนมูลก็หามิได
เพราะการสั่งบังคับ (ของผูอื่น) เปนมูลก็หามิได เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเปนเหตุก็หามิได เพราะไมมีเหตุไมมีปจจัยก็หามิได เขา
เสวยเพราะกรรมที่ทําไวในภพกอนเปนเหตุเทานั้น.
ก็บุรุษบุคคลเปนปาณาติบาต โดยอาการใด แมเมื่องดเวนจากปาณาติบาต ก็จักงดเวนโดยอาการนั้น คือ เพราะกรรมที่ทําไวใ น

๒๕๓
ชาติกอนเปนเหตุเหมือนกัน..
บทวา ฉนฺโท ไดแก กัตตุกัมยตาฉันทะ (ความพอใจความเปนผูใครเพื่อจะทํา). ในบทวา อิท  วา กรณีย อิท  วา อกรณีย นี้ มีอธิบาย
ดังนี้วา ไมมีความเปนผูใครเพื่อจะทํา หรือความบากบั่นของบุรุษเฉพาะตัว เพื่อตองการทําสิ่งที่ควรทํา ดวยคิดวา สิ่งนี้ควรทํา หรือเพื่อ
ไมตองการทําสิ่งที่ไมควรทํา ดวยคิดวา สิ่งนี้ไมควรทํา. อีกอยางหนึ่ง เมื่อฉันทะและวายามะไมมี ก็ไมมีความคิดวา สิ่งนี้ควรทํา สิ่งนี้ไม
ควรทํา.
เมื่อสิ่งที่ควรทําและไมควรทํา ไมปรากฏ คือ ไมไดโดยความเปนจริง โดยเปนของถองแทอยางนี.้ ก็ถาบุคคลจะพึงไดทส ี่ ิ่งทีค
่ วรทํา
จะพึงไดเวนจากสิ่งที่ไมควรทําไซร สิ่งที่ควรทําและไมควรทํา เขาก็จะพึงไดโดยความเปนของจริง โดยเป น ของแท. แตเพราะเหตุที่
ไมไดทั้ง 2 อยาง อยางนี้ ฉะนั้น กิจที่ควรทําและไมควรทํานั้น เขาจึงไมไดโดยความเปนของจริง โดยเปนของแท คือวาไมไดสิ่งที่ควร
ทําและไมควรทํานั้นดวยอาการอยางนี้.
วาทะวาเปนสมณะ พรอมทั้งเหตุเฉพาะตัว วาเราทั้งหลายเปนสมณะ ยอมไมมี คือ ไมสําเร็จ แกทานทั้งหลายหรือบุคคลเหลาอืน ่ ผู
เปนอยางนี้. เพราะวา แมสมณะทั้งหลายก็เปนผูมีกรรมที่ทําไวในชาติกอนเปนเหตุเหมือนกัน แมผูมิใชสมณะก็เปนผูมีกรรมที่ทําไวใน
ชาติกอนเปนเหตุเหมือนกันแล .. ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหลานั้นเปนอันถูกขมแลวแล .. ...
อธิบายธาตุ
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ธาตุโย ไดแ ก สภาวะทั้งหลาย ความหมายวา สภาวะที่ประกาศถึงความไมใชชีวะไมใชสัตว
ชื่อวา ความหมายของธาตุ. บทวา ผสฺสายตนานิ ไดแก ชื่อวา อายตนะ เพราะหมายความวาเปนบอเกิดของวิปากผัสสะทั้งหลาย. บทวา
มโนปวิจารา ไดแก การทองเทีย ่ วไปของใจในฐานะ 18 ดวยเทา คือ วิตกและวิจาร. บทวา ปฐวีธาตุ ไดแก ธาตุที่ตั้งมั่น. บทวา อาโปธาตุ
ไดแก ธาตุทําหนาที่เชื่อมประสาน บทวา เตโชธาตุ ไดแก ธาตุทําหนาที่ใหอบอุน. บทวา วาโยธาตุ ไดแก ธาตุทําหนาที่ใหเคลื่อนไหว.
บทวา อากาสธาตุ ไดแก ธาตุที่ถูกตองไมได. บทวา วิฺาณธาตุ ไดแก ธาตุทําหนาที่รูแจง. .....
……………………………………………………
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] เทวทหสูตร ม.อุ.14/1/1
วาทะของพวกนิครนถ์และพระตถาคต
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี
สมัยหนึ ง พระผู้มี พระภาคประทับอยู่ทีสักยนิค ม อันมี นามว่า เทวทหะ ในสักกชนบท สมัยนันแล พระผู้มี พระภาคตรัสเรียก
ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ เหล่านันทูลรับพระดํารัสแล้ว ฯ
[2] พระผู้มี พระภาคได้ตรัสดังนีว่า ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั มี สมณพราหมณ์ พวกหนึ ง มี วาทะอย่างนี มี ทิฐิอย่า งนีว่า ปุ ริสบุ คคลนี
ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ใน
ก่อน ทังนี เพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ ไม่ทาํ กรรมใหม่จกั มีความไม่ถูกบังคบั ต่อไป เพราะไม่ถูกบังคบั ต่อไป จักมีความสินกรรม
เพราะสินกรรม จักมีความสินทุกข์ เพราะสินทุกข์ จักมีความสินเวทนา เพราะสินเวทนา ทุกข์ทงปวงจั ั กเป็ นของอันปุรส
ิ บุคคลนันสลัด
ได้แล้ว ดูกรภิกษุ ทงหลายพวกนิ
ั ครนถ์มกั มีวาทะอย่างนี ฯ
[3] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราเข้าไปหาพวกนิครนถ์ผมู้ ีวาทะอย่างนีแล้ว ถามอย่างนีว่า ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ จริงหรือทีมีข่าวว่า พวก
ท่านมีวาทะอย่างนี ..
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกนิครนถ์นนถูั กเราถามอย่างนี แล้วย่อมยืนยัน เราจึงถามพวกนิครนถ์นนอย่ ั างนีว่า ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ
พวกท่านทราบละหรือว่าเราทังหลายได้มีแล้วในก่อน มิใช่ไม่ได้มีแล้ว ฯ
นิครนถ์เหล่านันตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
เรา. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า เราทังหลายได้ทาํ บาปกรรมไว้ในก่อน มิใช่ไม่ได้ทาํ ไว้ ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
เรา. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า เราทังหลายได้ทาํ บาปกรรมอย่างนีบ้างๆ ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
เรา. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า ทุกข์เท่านีเราสลัดได้แล้ว หรือว่าทุกข์เท่านีเราต้องสลัดเสีย หรือว่าเมือทุกข์
เท่านีเราสลัดได้แล้วจักเป็ นอันเราสลัดทุกข์ได้ทงหมด
ั ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
เรา. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบการละอกุศลธรรม การบําเพ็ญกุศลธรรมในปัจจุบน ั ละหรือ ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
[4] เรา. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ เท่าทีพูดกันมานีเป็ นอันว่า พวกท่านไม่ทราบว่า เราทังหลายได้มีแล้วในก่อน มิใช่ไม่ได้มีแล้ว ไม่
ทราบว่าเราทังหลาย ได้ทาํ บาปกรรมไว้ในก่อน มิใช่ไม่ได้ทาํ ไว้ ไม่ทราบว่าเราทังหลายได้ทาํ บาปกรรมอย่างนีบ้างๆ ไม่ทราบว่าทุกข์
เท่า นี เราสลัด ได้แล้ว หรือว่า ทุกข์ เท่า นี เราต้องสลัด เสีย หรือว่า เมื อทุกข์ เท่า นี เราสลัด ได้แล้ว จักเป็ นอันเราสลัดทุกข์ ได้ทงหมดไม่

ทราบการละอกุศลธรรม การบําเพ็ญกุศลธรรมในปัจจุบน ั เมือเป็ นเช่นนีพวกนิครนถ์ผู้มีอายุ ไม่บงั ควรจะพยากรณ์ วา่ ปุรส ิ บุคคลนี
ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ใน
ก่อน ทังนี เพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ ไม่ทาํ กรรมใหม่ จักมีความไม่ถูกบังคบั ต่อไป เพราะไม่ถูกบังคบั ต่อไป จักมีความสินกรรม
เพราะสินกรรม จักมีความสินทุกข์ เพราะสินทุกข์ จักมีความสินเวทนาเพราะสินเวทนา ทุกข์ทงปวงจั ั กเป็ นของอันปุรส
ิ บุคคลนันสลัด
ได้แล้ว ฯ
ดู กรนิค รนถ์ผู้มี อายุ ก็ถ้า พวกท่า นพึงทราบว่า เราทังหลายได้มี แล้วในก่อนมิใ ช่ไม่ได้มี แล้ว พึงทราบว่า เราทังหลายได้ทํา
บาปกรรมไว้ในก่อน มิใช่ไม่ได้ทาํ ไว้ พึงทราบว่าเราทังหลายได้ทาํ บาปกรรมอย่างนีบ้างๆ พึงทราบว่าทุกข์เท่านีเราสลัดได้แล้ว หรือ
ว่าทุกข์เท่านีเราต้องสลัดเสียหรือว่าเมือทุกข์เท่านีเราสลัดได้แล้ว จักเป็ นอันเราสลัดทุกข์ได้ทงหมด ั พึงทราบการละอกุศลธรรม การ
บําเพ็ญกุศลธรรมในปัจจุบน ั เมือเป็ นเช่นนีพวกนิครนถ์ผู้มีอายุควรจะพยากรณ์ ได้วา่ ปุรส ิ บุคคลนีย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึง
เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ในก่อน ..

๒๕๔
[5] ... [6] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เมื อเรากล่าวอย่างนี พวกนิค รนถ์นนได้
ั กล่าวกะเราดังนีว่า ดู กรท่า นผู้มีอายุ ท่า นนิครนถ์นาฏ
บุตร เป็ นผู้รธ
ู ้ รรมทังปวง เป็ นผู้เห็นธรรมทังปวง ยืนยันญาณทัสสนะตลอดทุกส่วนว่า เมือเราเดินก็ดี ยืนก็ดี หลับก็ดี ตืนก็ดี ญาณทัส
สนะได้ปรากฏติดต่อเสมอไป ท่านกล่าวอย่างนีว่าดูกรพวกนิครนถ์ผู้มีอายุ บาปกรรมทีพวกท่านทําไว้ในก่อนมีอยู่ พวกท่านจงสลัด
บาปกรรมนันเสีย ด้วยปฏิป ทาประกอบด้วยการกระทํา ทีทําได้ยากอันเผ็ด ร้อนนี ข้อทีท่า นทังหลายเป็ นผู้สํารวมกาย สํา รวมวาจา
สํา รวมใจ ในบัด นี นัน เป็ นการไม่ทํา บาปกรรมต่อไป ทังนี เพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ ไม่ทํา กรรมใหม่ จักมี ค วามไม่ถูกบังคบั
ต่อไป เพราะไม่ถูกบังคบั ต่อไป จักมีความสินกรรม เพราะสินกรรม จักมีความสินทุกข์ เพราะสินทุกข์ จักมีความสินเวทนา เพราะสิน
เวทนา จักเป็ นอันพวกท่านสลัดทุกข์ได้ทงหมด ั ก็แหละคํานันถูกใจและควรแก่พวกข้าพเจ้า และเพราะเหตุนน ั พวกข้าพเจ้าจึงได้ชืน
ชม ฯ
[7] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เมื อพวกนิครนถ์กล่าวแล้วอย่างนี เราได้กล่าวกะพวกนิครนถ์นน ั ดังนี ว่า ดู กรนิครนถ์ผู้มีอายุ ธรรม 5
ประการนี แล มี วิบ าก 2 ทางในปัจจุบ น ั 5 ประการเป็ นไฉน คือ ความเชื อ ความชอบใจ การฟังตามเขาว่า ความตรึกตามอาการ
ความปักใจดิงด้วยทิฐิ ดู กรนิครนถ์ผู้มีอายุ เหล่า นี แล ธรรม 5 ประการ มี วิบ าก 2 ทางในปัจจุบน ั บรรดาธรรม 5 ประการนัน พวก
นิค รนถ์ผู้มีอายุ มี ค วามเชืออย่างไร ชอบใจอย่างไร รําเรียนมาอย่างไร ได้ยินมาอย่างไร ตรึกตามอาการอย่า งไร ปักใจดิงด้วยทิฐิ
อย่า งไร ในศาสดาผู้มีวาทะเป็ นส่วนอดีต ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เรามี วาทะอย่า งนี แล จึงไม่เล็งเห็นการโต้ตอบวาทะอันชอบด้วยเหตุ
อะไรๆ ในพวกนิครนถ์ ฯ
[8] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เรากล่าวกะพวกนิครนถ์นนต่ ั อไปอีกอย่างนีว่า ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสําคญ
ั ความข้อนันเป็ น
ไฉน สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนัน พวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อัน
เกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความความพยายามแรงกล้า ไม่มีความเพียรแรงกล้า สมัยนัน พวกท่านย่อม
ไม่เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า ฯ
นิครนถ์รบั ว่า พระโคดมผู้มีอายุ สมัยใด พวกข้าพเจ้ามีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนัน พวกข้าพเจ้าย่อม
เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บ แสบ อันเกิด แต่ความพยายามแรงกล้า สมัยใด พวกข้า พเจ้า ไม่มีความพยายามแรงกล้า สมัยนัน
พวกข้าพเจ้าย่อมไม่เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า ฯ
[9] พ. ดู กรนิค รนถ์ผู้มีอายุ เท่า ทีพูด กันมานี เป็ นอันว่า .. เมื อเป็ นเช่นนี พวกนิค รนถ์ผู้มีอายุ ไม่บ งั ควรจะพยากรณ์ ว่า ปุ ริส
บุคคลนีย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตน
ทํา ไว้ใ นก่อน ... พวกท่า นนันเสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้า เจ็บ แสบ อันเกิด แต่ค วามเพียรเองทีเดียว ย่อมเชื อผิดไป เพราะอวิชชา
เพราะความไม่รู ้ เพราะความหลงว่า ปุรส ิ บุคคลนีย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ ง เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อ
นันทังหมดเป็ นเพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ในก่อน .. ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เรามีวาทะแม้อย่างนีแล จึงไม่เล็งเห็นการโต้ตอบวาทะ
อันชอบด้วยเหตุอะไรๆ ในพวกนิครนถ์ ฯ
[10] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เรากล่าวกะพวกนิครนถ์นนต่ ั อไปอีกอย่างนีว่า ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสําคญ
ั ความข้อนันเป็ น
ไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดงั นีหรือว่า กรรมใดเป็ นของให้ผลในปัจจุบน ั ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลในชาติหน้า ด้วยความ
พยายามหรือด้วยความเพียรเถิด
พวกนิครนถ์นนกล่ั าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ดงั นี หรือว่า กรรมใดเป็ นของให้ผลในชาติหน้า ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลในปัจจุบน ั
ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดงั นีหรือว่า กรรมใดเป็ นของให้ผล
เป็ นสุข ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลเป็ นทุกข์ ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ด งั นี หรือว่า กรรมใดเป็ นของให้ผลเป็ นทุกข์ ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลเป็ นสุข ด้วย
ความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. ดู กรนิค รนถ์ผู้มีอายุ พวกท่า นจะสํา ค ญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน พวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ดงั นีหรือว่า กรรมใดเป็ นของ
ให้ผลเสร็จสินแล้ว ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลอย่าเพ่อเสร็จสิน ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ดงั นี หรือว่า กรรมใดเป็ นของให้ผลยังไม่เสร็จสิน ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลเสร็จสิน
ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. ดู กรนิค รนถ์ผู้มีอายุ พวกท่า นจะสํา ค ญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน พวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ดงั นีหรือว่า กรรมใดเป็ นของ
ให้ผลมาก ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผลน้อย ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ด งั นี หรือว่า กรรมใดเป็ นของให้ผ ลน้อย ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผ ลมาก ด้วยความ
พยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. ดู กรนิค รนถ์ผู้มีอายุ พวกท่า นจะสํา ค ญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน พวกท่า นจะพึงปรารถนาได้ดงั นีหรือว่า กรรมใดเป็ นของ
ให้ผล ขอกรรมนันจงเป็ นของอย่าให้ผล ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดงั นีหรื อว่า กรรมใดเป็ นของไม่ให้ผล ขอกรรมนันจงเป็ นของให้ผล ด้วยความพยายาม
หรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนีหามิได้เลย ฯ
[11] พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ ... เมือเป็ นเช่นนีความพยายามของพวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ไร้ผล ความเพียรก็ไร้ผล ฯ

๒๕๕
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั พวกนิครนถ์มีวาทะอย่างนี การกล่าวก่อนและการกล่าวตาม 10 ประการอันชอบด้วยเหตุของพวกนิครนถ์
ผู้มีวาทะอย่างนีย่อมถึงฐานะน่ าตําหนิ ฯ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ถ้าหมู่สตั ว์ยอ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้ทาํ กรรมชัว
ไว้กอ ่ นแน่ ในบัดนี พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์ กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีอิศวร
เนรมิตให้ พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้ถูกอิศวรชันเลวเนรมิตมาแน่ ..
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีมีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้มีความบังเอิญชัวแน่ ..
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้มีอภิชาติเลวแน่ ..
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบน ั พวกนิครนถ์ต้องเป็ นผู้มีความพยายามในปัจจุบน ั เลว
แน่ ในบัดนี พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็ นทุกข์กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้า หมู่สตั ว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ในก่อน พวกนิค รนถ์ต้องน่ าตําหนิ ถ้า หมู่
สัตว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งกรรมทีตนทําไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ก็ต้องน่ าตําหนิ
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีอิศวรเนรมิตให้ .. ถ้าหมู่สตั ว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีอิศวรเนรมิต ให้
พวกนิครนถ์ก็ต้องน่ าตําหนิ
ถ้า หมู่สตั ว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีมีความบังเอิญ .. ถ้า หมู่สตั ว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุทีมีความบังเอิญ
พวกนิครนถ์ก็ต้องน่ าตําหนิ
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ .. ถ้าหมู่สตั ว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์
ก็ต้องน่ าตําหนิ
ถ้าหมู่สตั ว์ยอ ่ มเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบน ั พวกนิครนถ์ต้องน่ าตําหนิ ถ้าหมู่สตั ว์ไม่ใช่เสวยสุข
และทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบน ั พวกนิครนถ์ก็ต้องน่ าตําหนิ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกนิครนถ์มีวาทะอย่างนี การกล่าวก่อนและการกล่าวตาม 10 ประการ อันชอบด้วยเหตุของพวกนิครนถ์ผู้
มีวาทะอย่างนี ย่อมถึงฐานะน่ าตําหนิ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ความพยายามไร้ผล ความเพียรไร้ผล อย่างนีแล ฯ
[12] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ก็อย่า งไร ความพยายามจึงจะมี ผ ล ความเพียรจึงจะมี ผ ล
ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิ กษุ ในธรรมวินยั นี ไม่เอาทุกข์ทบั ถมตนทีไม่มีทุกข์ทบั ถม 1 ไม่สละความสุข ทีเกิดโดยธรรม 1 ไม่เป็ นผู้
หมกมุ่นในความสุขนัน 1 เธอย่อมทราบชัดอย่างนีว่า ถึงเรานีจักยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื อเริมตังความเพียร วิราคะย่อมมีได้เพราะการ
ตังความเพียร อนึ ง ถึงเรานีจะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื อวางเฉย บํา เพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ย่อมมีได้ เธอพึงเริมตังความเพียร .. และ
บํา เพ็ญอุเบกขา ในทํา นองทีภิกษุ ยงั มีเหตุแห่งทุกข์ วางเฉย บํา เพ็ญอุเบกขาอยู่ ย่อมมีวริ าคะ .. แม้อย่างนี ทุกข์นนก็
ั เป็ นอันเธอสลัด
ได้แล้ว ฯ
[13] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมือนชายผู้กาํ หนัด มีจต ิ ปฏิพทั ธ์พอใจอย่างแรงกล้า มุ่งหมายอย่างแรงกล้าในหญิง เขาเห็น
หญิงนันยืนพูดจากระซิกกระซีร่าเริงอยูก ่ บั ชายอืน ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน ความโศก ความรําพัน
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคบั แค้นใจ จะพึงเกิดขึ นแก่ชายนัน เพราะเห็นหญิงคนโน้นยืนพูดจากระซิกกระซีร่าเริงอยูก่ ับ
ชายอืนบ้างหรือไม่ ฯ
พวกภิกษุ ทูลว่า ต้องเป็ นเช่นนัน พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ข้อนันเพราะเหตุไร ฯ
ภิ. พระพุทธเจ้าข้า เพราะชายคนโน้นกําหนัดนักแล้ว มีจต ิ ปฏิพทั ธ์พอใจอย่างแรงกล้า มุ่งหมายอย่างแรงกล้าในหญิงคนโน้น
ฉะนัน ความโศกความรําพัน ความทุกข์ กาย ความทุกข์ ใจและความคบั แค้นใจ จึงเกิด ขึ นได้แก่เขา เพราะเห็นหญิงนันยืนพูดจา
กระซิกกระซีร่าเริงอยูก ่ บั ชายอืน ฯ
พ. ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั ต่อมาชายคนนันมีความดําริอย่างนีว่า เรากํา หนัด นักแล้ว มี จิต ปฏิพท ั ธ์ พอใจอย่า งแรงกล้า มุ่งหมาย
อย่า งแรงกล้าในหญิงคนโน้น ความโศก ความรําพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคบั แค้นใจ จึงเกิด ขึ นแก่เราได้ เพราะ
เห็นหญิงคนโน้นยืนพูด จากระซิกกระซี ร่าเริงอยูก ่ บั ชายอืน อย่ากระนันเลย เราพึงละความกําหนัดพอใจในหญิงคนโน้นทีเรามี นน ั
เสียเถิด เขาจึงละความกําหนัดพอใจในหญิงคนโน้นนันเสีย สมัยต่อมา เขาเห็นหญิงคนนันยืนพูดจากระซิกกระซีร่าเริงอยูก ่ บั ชายอืน
ดูกรภิกษุ ทงหลายพวกเธอจะสํ
ั าคญั ความข้อนันเป็ นไฉน ความโศก ความรําพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคบั แค้นใจ
จะพึงเกิดขึ นแก่ชายนัน เพราะเห็นหญิงคนโน้นยืนพูดจากระซิกกระซีร่าเริงอยูก ่ บั ชายอืนบ้างหรือไม่ ฯ
ภิ. ข้อนันหามิได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ข้อนันเพราะเหตุอะไร ฯ
ภิ. พระพุทธเจ้าข้า เพราะชายคนโน้น คลายกําหนัดในหญิงคนโน้น แล้ว ฉะนัน ความโศก ความรําพัน ความทุกข์กาย ความ
ทุกข์ใจ และความ คบั แค้นใจ จึงไม่เกิดขึ นแก่เขา เพราะเห็นหญิงนันยืนพูดกระซิกกระซีร่าเริงอยู่ กับชายอืน ฯ
[14] พ. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ฉันนันเหมือนกันแล ภิกษุ ไม่เอาทุกข์ทบั ถมตนทีไม่มีทุกข์ทบั ถม 1 ไม่สละความสุขทีเกิดขึ นโดย
ธรรม 1 ไม่เป็ นผู้หมกมุ่นในความสุขนัน 1 เธอย่อมทราบชัดอย่างนี ว่า ถึงเรานีจะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื อเริมตังความเพียร วิราคะ
ย่อมมีได้ .. อนึ งถึงเรานีจะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมือวางเฉย บําเพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ยอ
่ มมีได้ เธอจึงเริมตังความเพียร .. เพราะการ
เริมตังความเพียร และบําเพ็ญอุเบกขา ในทํานองทีภิกษุ ยงั มีเหตุแห่งทุกข์ วางเฉย บําเพ็ญอุเบกขาอยู่ ย่อมมีวริ าคะ .. แม้อย่างนี ทุกข์
นันก็เป็ นอันเธอสลัดได้แล้ว .. ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ความพยายามมีผล ความเพียรมีผล แม้อย่างนี ฯ
[15] ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั อีกประการหนึ ง ภิกษุ พิจารณาเห็นดังนีว่า เมื อเราอยูต
่ ามสบาย อกุศ ลธรรมย่อมเจริญยิง กุศ ลธรรม
ย่อมเสือม แต่เมือเราเริมตังตนเพือความลําบาก อกุศลธรรมย่อมเสือม กุศลธรรมย่อมเจริญยิง อย่ากระนันเลย เราพึงเริมตังตนเพือ
ความลําบากเถิด เธอจึงเริมตังตนเพือความลําบาก เมือเธอเริมตังตนเพือความลําบากอยู่ อกุศลธรรมย่อมเสือม กุศลธรรมย่อมเจริญ
ยิง สมัยต่อมา เธอไม่ต้องเริมตังตนเพือความลําบากได้ ข้อนันเพราะเหตุไร ดู กรภิกษุ ทงหลาย ั เพราะภิกษุ นนเริ
ั มตังตนเพือความ
ลําบากเพือประโยชน์ใด ประโยชน์นนของเธอ
ั เป็ นอันสําเร็จแล้ว ฉะนัน สมัยต่อมา เธอจึงไม่ต้องเริมตังตนเพือความลําบากได้
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เปรียบเหมือนช่างศร ย่างลนลูกศรบนข่าไฟ 2 อัน ดัดให้ตรงจนใช้การได้ เพราะเหตุทีลูกศรเป็ นของอันช่าง
ศรย่างลนบนข่าไฟ 2 อัน ดัดให้ตรงจนใช้การได้แล้ว สมัยต่อมา ช่างศรนันไม่ต้องย่างลนลูกศรนันบนข่าไฟ 2 อัน ดัดให้ตรงจนใช้
การได้ ข้อนันเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เพราะช่างศรนันพึงย่างลนลูกศรบนข่าไฟ 2 อันดัดให้ตรงจนใช้การได้ เพือประโยชน์

๒๕๖
ใด ประโยชน์นนของเขาเป็
ั นอันสําเร็จแล้ว ฉะนัน สมัยต่อมา ช่างศรจึงไม่ต้องย่างลนลูกศรบนข่าไฟ 2 อัน ดัดให้ตรงจนใช้การได้
ฉันใด ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ฉันนันเหมือนกันแล .. ความพยายามมีผล ความเพียรมีผล แม้อย่างนี ฯ
[16] ดู กรภิกษุ ทงหลายั อีกประการหนึ ง ตถาคตอุบตั ิขึ นในโลกนี เป็ นพระอรหันต์ ตรัสรูเ้ องโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ
จรณะ ดําเนินไปดีรแ ู ้ จ้งโลก เป็ นสารถีผู้ฝึกบุรุษทีควรฝึ กอย่างหาคนอืนยิงกว่ามิได้ เป็ นครูของเทวดาและมนุษย์ทงหลาย ั เป็ นผู้ตืน
แล้ว เป็ นผู้แจกธรรม ตถาคตนันทําให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิงเองแล้ว สอนโลกนีพร้อมทังเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สตั ว์พร้อม
ทังสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุ ษ ย์ใ ห้รูท ้ วั แสดงธรรมไพเราะในเบื องต้น ในท่า มกลาง ในทีสุด พร้อมทังอรรถท งพยั ั ญ ชนะ
ประกาศพรหมจรรย์อน ั บริสุทธิบริบูรณ์ สนเชิ
ิ ง
คฤหบดี ก็ดี บุ ต รของคฤหบดีก็ดี คนเกิด ภายหลังในสกุลใดสกุลหนึ งก็ดี ย่อมฟังธรรมนัน ครันฟังแล้ว ย่อมได้ค วามเชือใน
ตถาคต เขาประกอบด้วยการได้ความเชือโดยเฉพาะนัน จึงพิจารณาเห็นดังนีว่า ฆราวาสคบั แคบ เป็ นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็ น
ช่องว่า ง เรายังอยู่ค รองเรือนจะประพฤติ พรหมจรรย์ใ ห้บริสุทธิบริบูรณ์ โดยส่วนเดี ยวดุ จสังข์ ทีเขาขัด แล้วนี ไม่ใ ช่ทํา ได้ง่าย อย่า
กระนันเลย เราพึงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตเถิด
สมัยต่อมา เขาละโภคสมบัติน้อยบ้าง มากบ้าง ละเครือญาติเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปลงผมและหนวดนุ่ งห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วออก
จากเรือนบวชเป็ นบรรพชิต เขาบวชแล้วอย่า งนี ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชี พของภิกษุ ทงหลาย ั ละปาณาติบ าต เป็ นผู้ เว้นขาดจาก
ปาณาติบาต วางอาชญา วางศาตราแล้ว มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ ด้วยความเกือกูลในสรรพสัตว์อยู่ ละอทินนาทาน
เป็ นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของทีเขาให้ หวังแต่ของทีเขาให้ มีตนเป็ นคนสะอาดไม่ใช่ขโมยอยู่ ละกรรมอันเป็ นข้าศึก
แก่พรหมจรรย์ เป็ นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติหา่ งไกล เว้นเมถุนอันเป็ นธรรมดาของชาวบ้าน ละมุสาวาท เป็ นผู้เว้นขาดจาก
มุสาวาท เป็ นผู้กล่าวคําจริง ดํารงอยูใ่ นคําสัตย์เป็ นหลักฐานเชือถือได้ ไม่พูดลวงโลก ละวาจาส่อเสียด เป็ นผู้เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด
ได้ยนิ จากฝ่ ายนีแล้ว ไม่บอกฝ่ ายโน้น เพือทําลายฝ่ ายนี หรือได้ยน ิ จากฝ่ ายโน้นแล้ว ไม่บอกฝ่ ายนี เพือทําลายฝ่ ายโน้น ทังนี เมือเขา
แตกแยกกันแล้ว ก็สมานให้ดีกน ั หรือเมือเขาดีกน ั อยูก
่ ส
็ ง่ เสริม ชอบความพร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนทีพร้อมเพรียงกัน ชืนชมในคน
ทีพร้อมเพรียงกัน เป็ นผู้กล่าววาจาสมานสามัคคีกน ั ละวาจาหยาบ เป็ นผู้เว้นขาดจากวาจาหยาบ เป็ นผู้กล่าววาจาซึ งไม่มีโทษเสนาะหู
ชวนให้รกั ใคร่ จับใจ เป็ นภาษาชาวเมือง อันคนส่วนมากปรารถนาและชอบใจ ละการเจรจาเพ้อเจ้อ เป็ นผู้เว้นขาดจากการเจรจาเพ้อ
เจ้อ กล่า วถูกกาล กล่า วตามเป็ นจริง กล่า วอิงอรรถ กล่า วอิงธรรม กล่า วอิงวินยั เป็ นผู้กล่า ววาจามี หลักฐาน มี ทีอ้า ง มี ข อบเขต
ประกอบด้วยประโยชน์ตามกาล
เธอเป็ นผู้เว้นจากการพรากพืชคามและภูตคาม เป็ นผู้ฉน ั หนเดียว งดฉันในเวลา ราตรี เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาล เป็ นผู้
เว้นขาดจากการฟ้ อนรําขับร้องประโคมดนตรี และดู การเล่น อันเป็ นข้าศึกแก่กุศล เป็ นผู้เว้นขาดจากการทัดทรงและตกแต่งด้วย
ดอกไม้ของหอม และเครืองประเทืองผิวอันเป็ นฐานะแห่งการแต่งตัว เป็ นผู้เว้นขาดจากการนังนอนบนทีนังทีนอนอันสูงใหญ่ เป็ นผู้
เว้นขาดจากการรับทองและเงิน เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับธัญญชาติดิบ เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับเนื อดิบ เป็ นผู ้เว้นขาดจากการรับ
หญิงและกุมารี เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร
เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้าและลา เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับไร่นาและทีดิน เป็ นผู้เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการ
รับใช้ เป็ นผู้เว้นขาดจากการซือและการขาย เป็ นผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชัง การโกงด้วยของปลอมและการโกงด้วยเครืองตวง
วัด เป็ นผู้เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง เป็ นผู้เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจํา การตีชิง การปล้น
และการกรรโชก เธอเป็ นผู้สน ั โดษด้วยจีวรเป็ นเครืองบริหารกาย และบิณฑบาตเป็ นเครืองบริหารท้อง จะไปทีใดๆ ย่อมถือเอาบริขาร
ไปได้หมด เหมือนนกมีปีก จะบินไปทีใดๆ ย่อมมีแต่ปีกของตัวเท่านันเป็ นภาระบินไป ฯ
[17] เธอประกอบด้วยศีลขันธ์อน ั เป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน เห็นรูปด้วยจักษุ แล้ว ย่อมไม่
เป็ นผู้ถือเอาโดยนิมิต และโดยอนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบตั เิ พือสํารวมจักขุนทรีย์ ทีเมือไม่สาํ รวมแล้ว พึงเป็ นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก
คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงําได้ ย่อมรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสํารวมในจักขุนทรีย์ ได้ยน ิ เสียงด้วยโสต ... ได้ดมกลินด้วยฆานะ
... ได้ลมรสด้
ิ วยชิวหา ... ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... ได้รแ ู ้ จ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่เป็ นผู ้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุ
พยัญชนะ ย่อมปฏิบตั ิเพือสํารวมมนินทรีย์ ทีเมือไม่สาํ รวมแล้ว พึงเป็ นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงําได้
ย่อมรักษามนินทรีย์ ถึงความสํารวมในมนินทรีย์ ฯ
[18] เธอประกอบด้วยอินทรีย์สงั วรอันเป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมเสวยสุขอันไม่เจือทุกข์ในภายใน เป็ นผู้ทาํ ความรูส้ ก
ึ ตัวในเวลา
ก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดูและเหลียวดู ในเวลาคูเ้ ข้าและเหยียดออก ในเวลาทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในเวลาฉัน ดืม เคียว
และลิม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นัง นอนหลับ ตืน พูด และนิง ฯ
[19] เธอประกอบด้วยศีลขันธ์อน ั เป็ นอริยะเช่นนี ประกอบด้วยอินทรีย์สงั วรอันเป็ นอริยะเช่นนี และประกอบด้วยสติสมั ปชัญญะ
อันเป็ นอริยะเช่นนีแล้ว ย่อมพอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่ า โคนไม้ ภูเขา ถําป่ าช้า ป่ าชัฏ ทีแจ้ง และลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาต
ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นังคู่บ ลั ลังก์ ตังกายตรง ดํา รงสติมนเฉพาะหน้
ั า ละอภิช ญาในโลกได้แล้ว มี จิต ปราศจากอภิช ฌาอยู่ ย่อม
ชําระจิตให้บริสุทธิจากอภิชฌา ละความประทุษร้ายคือพยาบาท เป็ นผู้มีจต ิ ไม่พยาบาท อนุเคราะห์ด้วยความเกือกูลในสรรพสัต ว์อ ยู่
ย่อ มชํ า ระจิต ให้บ ริสุ ท ธิจากความประทุ ษ ร้า ยคือ พยาบาท ละถี น มิ ท ธะแล้ว เป็ นผู้ มี จิต ปราศจากถี น มิท ธะ มี อ าโลกสัญ ญา มี
สติสมั ปชัญญะอยู่ ย่อมชําระจิตให้บริสุทธิจากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจะกุกกุจจะแล้ว เป็ นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจติ สงบภายในอยู่ ย่อมชําระจิต
ให้บริสุทธิจากอุทธัจจะกุกกุจจะได้ ละวิจก ิ จิ ฉาแล้วเป็ นผู้ข้ามความสงสัย ไม่มีปญ
ั หาอะไรในกุศลธรรมทังหลายอยู่ ย่อมชําระจิตให้
บริสุทธิจากวิจก ิ จิ ฉาได้ ฯ
[20] เธอครันละนิวรณ์ 5 ประการอันเป็ นเครืองทําใจให้เศร้าหมอง ทํา ปัญญาให้ถอยกําลังนี ได้แล้ว จึงสงัด จากกาม สงัดจาก
อกุศ ลธรรม เข้า ปฐมฌานมีวิตก มี วิจาร มี ปี ติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั แม้อย่างนี ก็ชือว่าความพยายามมีผล ความ
เพียรมีผล ...
............................................

๒๕๗
อุปสมบทกรรม วิ.ม.4/139 อุปสัมปทา เสริมในพรรษา 1
ว่าด้วยเหตุการณ์สมัยทีทรงเริมแสดงธรรมโปรดสัตวโลก (ทีมาของการบรรพชา) วิ.ม.4/18/19
ครันเมือพระผูม้ ีพระภาคทรงทําให้แจ้งซึงอนุ ตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงระลึกถึงพวกภิกษุ ปัญจวัคคียผ์ เู ้ คยเฝ้ าอุปัฏฐากอยู่
ในสมัยทีพระองค์ทรงบําเพ็ญเพียร ณ ตําบลอุรุเวลาเสนานิ คม จึงเสด็จตรงไปยังป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี
เมือเสด็จถึงป่ าอิสิปตนมฤคทายวันแล้ว ทรงชีแจงให้พวกปั ญจวัคคียย์ อมรับในอนุ ตตรสัมมาสัมโพธิ ญาณ แล้วทรงแสดง
ปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสู ตรแก่พวกเขา เมือแสดงธรรมจบ โกณฑัญญะผูเ้ ป็ นหัวหน้า ได้ธรรมจักษุ (ดวงตาเห็นธรรมคือ
โสดาปั ตติมรรคญาณ) เป็ นโสดาบัน [ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รธู ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยังลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึงความเป็ นผูแ้ กล้วกล้า ไม่ตอ้ งเชือผูอ้ ืนในคําสอนของพระศาสดา] ทูลขอบวชเป็ นพระภิกษุ ต่อพระผูม้ ีพระภาคว่า
“ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสํานักพระผูม้ ีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า”
[พระผูม้ ีพระภาคตรัสว่ า “เธอจงเป็ นภิกษุมาเถิด, ธรรมอันเรากล่ าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพือทําทีสุดทุกข์โดยชอบเถิด”]
พระผูม้ ีพระภาคทรงบวชให้ท่านด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา (แปลว่า อุปสมบทด้วยทรงอนุ ญาตให้เป็ นภิกษุ มา) เป็ นภิกษุ รูปแรก
ในพระพุทธศาสนา
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วิ.ม.4/13/15
[10] ครังนัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดําริวา่ เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรูท้ วถึ
ั งธรรมนีได้ฉบ
ั พลัน ครันแล้วทรง
พระดําริต่อไปว่าอาฬารดาบสกาลามโคตรนีแล เป็ นผู้ฉลาด เฉี ยบแหลม มีปญ ั ญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุ น้อยเป็ นปรกติมานาน ถ้ากระไร
เราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบสกาลามโคตรก่อน เธอจักรูท ้ วถึ
ั งธรรมนี ได้ฉบั พลัน ทีนน ั เทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า อาฬารดาบสกาลามโคตร สินชี พได้ 7 วันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลาม
โคตรสินชีพได้ 7 วันแล้ว จึงทรงพระดําริวา่ อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็ นผู้มีความเสือมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟงั ธรรมนีจะพึงรู ้ทวถึ ั ง
ได้ฉบ ั พลัน.
ลํา ดับ นัน พระผู้มี พระภาคเจ้าได้ทรงพระดําริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรูท ้ วถึ
ั งธรรมนีได้ฉบ
ั พลัน
ครันแล้วทรงพระดําริต่อไปว่าอุทกดาบสรามบุตรนีแลเป็ นผู้ฉลาดเฉี ยบแหลม มีปญ ั ญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุ น้อยเป็ นปรกติมานาน ถ้า
กระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อุทกดาบสรามบุตรก่อน เธอจักรูท ้ วถึ
ั งธรรมนี ได้ฉบั พลัน ทีนน ั เทพดาอันตธานมากราบทูลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า อุทกดาบสรามบุตรสินชีพเสียวานนีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อุทกดาบสรามบุตรสินชีพเสีย
วานนีแล้ว
จึงทรงพระดําริวา่ อุทกดาบสรามบุตรนี เป็ นผู้มีความเสือมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟงั ธรรมนี จะพึงรูท ้ วถึ
ั งได้ฉบั พลัน.
ลํา ดับ นัน พระผู้มี พระภาคเจ้าได้ทรงพระดําริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรูท ้ วถึ
ั งธรรมนี ได้ฉบั พลัน
ครันแล้วทรงพระดําริต่อไปว่า ภิกษุ ปญ ั จวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามาก ได้บํารุงเราผู้ตงหน้
ั าบําเพ็ญเพียรอยู่ ถ้ากระไรเราพึงแสดงธรรม
แก่ภิกษุ ปญั จวัคคีย์ก่อน ครันแล้วได้ทรงพระดําริต่อไปว่า บัด นี ภิกษุ ป ัญจวัค คีย์อยู่ทีไหนหนอ พระผู้มี พระภาคเจ้าได้ทรงเห็นภิกษุ
ปัญจวัคคีย์อยู่ ณ ป่ าอิสป
ิ ตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี ด้วยทิพพจักขุอน ั บริสุทธิ ล่วงจักษุ มนุษย์ ครังพระองค์ประทับอยู่ ณ
อุรุเวลาประเทศตามควรแก่พุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครพาราณสี.
เรืองอุปกาชีวก
[1 ] อาชีวกชืออุปกะได้พบพระผูม้ ีพระภาคเจ้าเสด็จดําเนินทางไกล ระหว่างแม่นําคยาและไม้โพธิพฤกษ์ ครันแล้วได้ทูลคํานีแด่พระผู้
มีพระภาคเจ้าว่า ดูกอ ่ นอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิงนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิผุดผ่อง ดูกอ ่ นอาวุโส ท่านบวชอุทศิ ใคร ใครเป็ น
ศาสดาของท่าน หรือท่านชอบธรรมของใคร เมืออุปกาชีวกกราบทูลอย่างนีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถาตอบ อุปกาชีวก
ว่าดังนี:-
เราเป็ นผู้ครอบงําธรรมทังปวง รูธ้ รรมทังปวงอันตัณหาและทิฏฐิ ไม่ฉาบทา แล้วในธรรมทังปวง ละธรรมเป็ นไปในภูมิสาม
ได้หมด พ้นแล้วเพราะความสินไปแห่งตัณหา เราตรัสรูย้ งเองแล้ิ วจะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอ
เหมื อนเราก็ไม่มี ในโลกกับทังเทวโลก เพราะเราเป็ นพระอรหันต์ในโลกเราเป็ นศาสดา หาศาสดาอืนยิงกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็ นพระ
สัมมาสัมพุทธะ เราเป็ นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพือประกาศธรรมจักรให้เป็ นไป เราจะตีกลองอมตะใน
โลกอันมืด เพือให้สตั ว์ได้ธรรมจักษุ .
อุปกาชีวกทูลว่า ดูกอ ่ นอาวุโส ท่านปฏิญาณโดยประการใด ท่านควรเป็ นผู้ชนะหาทีสุดมิได้ โดยประการนัน.
พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า บุ ค คลเหล่าใดถึงความสินอาสวะแล้ว บุ ค คลเหล่านันชือว่าเป็ นผู้ชนะเช่นเรา ดู ก่อนอุปกะ เรา
ชนะธรรมอันลามกแล้ว เพราะฉะนันเราจึงชือว่าเป็ นผู้ชนะ
เมือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนีแล้ว อุปกาชีวกทูลว่า พึงเป็ นผู้ชนะเถิดท่านผู้มีอายุดงั นีแล้ว ก้มศีรษะลงแล้วแยกทางหลีกไป.
เรืองพระปั ญจวัคคีย ์
[12] ครังนัน พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกโดยลําดับ ถึงป่ าอิสปิ ตนะมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เสด็จเข้าไปทางสํานักพระปัญจ
วัคคีย์ พระปัญจวัคคีย์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล แล้วได้นดั หมายกันและกันว่า ท่านทังหลาย พระสมณะโคตมนีเป็ นผู้
มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพือความเป็ นคนมักมาก กําลังเสด็จมา พวกเราไม่พงึ อภิวาท ไม่พงึ ลุกขึ นต้อนรับพระองค์ ไม่พงึ รับ
บาตรจีวรของพระองค์ แต่พงึ วางอาสนะไว้ ถ้าพระองค์ปรารถนาก็จกั ประทับนัง
ครันพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปถึงพระปัญจวัคคีย์ พระปัญจวัคคีย์นนไม่
ั ตงอยู
ั ใ่ นกติกาของตน ต่างลุกขึ นต้อนรับพระผู้
มีพระภาคเจ้า รูปหนึ งรับบาตรจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า รูปหนึ งปูอาสนะ, รูปหนึ งจัดหานําล้างพระบาท, รูปหนึ งจัดตังตังรองพระ
บาท, รูปหนึ งนํากระเบืองเช็ดพระบาทเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนังบนอาสนะทีพระปัญจวัคคีย์จดั ถวาย แล้วทรงล้างพระ
บาท ฝ่ ายพระปัญจวัคคีย์เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยระบุพระนาม และใช้คาํ ว่า อาวุโส เมือพระปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนันแล้ว พระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ตรัสห้ามพระปัญจวัคคีย์วา่

๒๕๘
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธออย่าเรียกตถาคตโดยระบุชือ และอย่าใช้คาํ ว่า อาวุโ ส ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ตถาคตเป็ นอรหันต์
ตรัสรูเ้ องโดยชอบ พวกเธอจงเงียโสตสดับ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสังสอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏิบตั ิอยูต ่ ามทีเราสังสอน
แล้ว ไม่ช้าสักเท่าไร จักทําให้แจ้งซึ งคุณอันยอดเยียม อันเป็ นทีสุดแห่งพรหมจรรย์ ทีกุลบุตรทังหลาย ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิต
โดยชอบต้องการนัน ด้วยปัญญาอันยิงด้วยตนเองในปัจจุบน ั เข้าถึงอยู.่
เมือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนีแล้ว พระปัญจวัคคีย์พูดทูลค้านพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อาวุโสโคตม แม้ด้วยจริยานัน แม้
ด้วยปฏิปทานัน แม้ด้วยทุกกรกิรยิ านัน พระองค์ก็ยงั ไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรมอันเป็ นความรูค ้ วามเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่าง
สามารถ ก็บ ด ั นี พระองค์เป็ นผู้มกั มาก คลายความเพียร เวียนมาเพือความเป็ นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุอุต ตริมนุสสธรรม อันเป็ น
ความรูค ้ วามเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้เล่า.
เมือพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ตถาคตไม่ใช่เป็ นคนมักมาก ไม่ได้
เป็ นคนคลายความเพียร ไม่ได้เวียนมาเพือความเป็ นคนมักมาก ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ตถาคตเป็ นอรหันต์ ตรัสรูเ้ องโดยชอบ พวกเธอ
จงเงียโสตสดับ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสังสอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏิบตั ิอยูต ่ ามทีเราสังสอนแล้ว ไม่ช้าสักเท่าไร จักทํา
ให้แจ้งซึ งคุณอันยอดเยียม อันเป็ นทีสุดแห่งพรหมจรรย์ ทีกุลบุ ตรทังหลายออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตโดยชอบต้องการนัน ด้วย
ปัญญาอันยิงด้วยตนเองในปัจจุบน ั เข้าถึงอยู.่
แม้ครังทีสอง พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า . . .
แม้ครังทีสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสว่า . . .
แม้ครังทีสาม พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผูม ้ ีพระภาคเจ้า ...
เมือพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอยังจําได้หรือว่า ถ้อยคํา
เช่นนี เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลนี. พระปัญจวัคคีย์กราบทูลว่า คํานีไม่เคยได้ฟงั เลย พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ตถาคตเป็ นอรหันต์ ตรัสรูเ้ องโดยชอบ พวกเธอจงเงียโสตสดับ เราได้บรรลุ
อมตธรรมแล้ว เราจะสังสอนจักแสดงธรรม พวกเธอปฏิบตั ิอยูต ่ ามทีเราสังสอนแล้ว ไม่ช้า สักเท่า ไร จักทํา ให้แจ้งซึ งคุณอันยอดเยียม
อันเป็ นทีสุดแห่งพรหมจรรย์ ทีกุลบุ ต รทังหลายออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตโดยชอบต้องการนัน ด้วยปัญญาอันยิงด้วยตนเองใน
ปัจจุบ น ั เข้าถึงอยู่ พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงสามารถให้พระปัญจวัคคีย์ยินยอมได้แล้ว ลํา ดับ นันพระปัญจวัคคีย์ ได้ยอมเชือฟังพระผู้มี
พระภาคเจ้า เงียโสตสดับ ตังจิตเพือรูย้ ง. ิ
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วิ.ม.4/13/15
ปฐมเทศนา
[13] ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสังกะพระปัญจวัคดีย์วา่ ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ทีสุด 2 อย่างนีอันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ.
การประกอบตนให้พวั พันด้วยกามสุขในกามทังหลาย เป็ นธรรมอันเลว เป็ นของชาวบ้าน เป็ นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1.
การประกอบความเหน็ดเหนือยแก่ตน เป็ นความลําบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ทีสุดสองอย่างนันนันตถาคตได้ตรัสรูแ ้ ล้ว ด้วยปัญญาอันยิง ทําดวงตาให้
เกิด ทําญาณให้เกิด ย่อมเป็ นไปเพือความสงบ เพือความรูย้ งิ เพือความตรัสรู ้ เพือนิพพาน.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลายั ก็ปฏิปทาสายกลายทีตถาคตได้ตรัสรูแ ้ ล้วด้วยปัญญาอันยิง ทําดวงตาให้เกิด ทําญาณให้เกิด ย่อมเป็ นไป
เพือความสงบ เพือความรูย้ งิ เพือความตรัสรู ้ เพือนิพพานนัน เป็ นไฉน ?
ปฏิป ทาสายกลางนัน ได้แก่อริยมรรคมีองค์ 8 นี แหละ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ 1 ความดําริชอบ 1 เจรจาชอบ 1 การงาน
ชอบ 1 เลียงชีวต ิ ชอบ 1 พยายามชอบ 1 ระลึกชอบ 1 ตังจิตชอบ 1.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั นีแลคือปฏิปทาสายกลายนัน ทีตถาคตได้ตรัสรูแ ้ ล้ว ด้วยปัญญาอันยิง ทําดวงตาให้เกิด ทําญาณได้เกิด
ย่อมเป็ นไปเพือความสงบ เพือความรูย้ งิ เพือความตรัสรู ้ เพือนิพพาน.
[14] ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ข้อนี แลเป็ นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิด ก็เป็ นทุกข์ ความแก่ก็เป็ นทุกข์ ความเจ็บ ไข้ก็เป็ นทุกข์
ความตายก็เป็ นทุกข์ ความประจวบด้วยสิงทีเป็ นทีรักก็เป็ นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิงทีเป็ นทีรักก็เป็ นทุกข์ ปรารถนาสิงใดไม่ได้สิง
นันก็เป็ นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็ นทุกข์
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ข้อนีแลเป็ นทุกขสมุทยอริยสัจ คือ ตัณหาอันทําให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกําหนัดด้วยอํานาจความ
เพลิน มีปรกติเพลิดเพลินในอารมณ์ นน ั ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั ข้อนีแลเป็ นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานันแลดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อย
ไป ไม่พวั พัน.
ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ข้อนี แลเป็ นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 นี แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ 1. . .
ตังจิตชอบ 1.
[15] ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา ญาณ ปัญญา วิช ชา แสงสว่างได้เกิดขึ นแล้ว แก่เราในธรรมทังหลายทีเราไม่เคยฟังมา
ก่อนว่า] นีทุกขอริยสัจ.
ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา.. ] ทุกขอริยสัจนีนันแล ควรกําหนดรู.้
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา..] ทุกขอริยสัจนีนันแล เราก็ได้กาํ หนดรูแ ้ ล้ว.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา..] นีทุกขสมุทยอริยสัจ.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา.. ] ทุกขสมุทยอริยสัจนีนันแล ควรละเสีย.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา..] ทุกขสมุทยอริยสัจนีนันแล เราได้ละแล้ว.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา..] นีทุกขนิโรธอริยสัจ.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา.. ] ทุกขนิโรธอริยสัจนีนันแล ควรทําให้แจ้ง.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา.. ] ทุกขนิโรธอริยสัจนีนันแล เราทําให้แจ้งแล้ว.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา.. ] นีทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา.. ] ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนีนันแล ควรให้เจริญ.
ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย ั [ดวงตา..} ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนีนันแล เราให้เจริญแล้ว.

๒๕๙
ญาณทัสสนะมีรอบ 3 มีอาการ 12
[ 16] ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั ปัญญาอันรูเ้ ห็นตามเป็ นจริงของเราในอริยสัจ 4 นี มี รอบ 3 มี อาการ 12 อย่า งนี ยังไม่หมดจดดี แล้ว
เพียงใด ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เรายังยืนยันไม่ได้ว่า เป็ นผู้ต รัสรูส้ ม ั มาสัม โพธิญาณ อันยอดเยียมในโลก พร้อมทังเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สตั ว์ พร้อมทังสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนัน.
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เมือใดแล ปัญญาอันรูเ้ ห็นตามเป็ นจริงของเราในอริยสัจ 4 นี มีรอบ 3 มีอาการ 12 อย่างนี หมดจดดี
แล้ว ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั เมื อนัน เราจึงยืนยันได้ว่า เป็ นผู้ต รัสรูส ้ มั มาสัมโพธิญาณ อันยอดเยียมในโลก พร้อมทังเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สตั ว์ พร้อมทังสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์.
อนึ ง ปัญญาอันรูเ้ ห็นได้เกิดขึ นแล้วแก่เราว่า ความพันวิเศษของเราไม่กลับกําเริบ ชาตินีเป็ นทีสุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
ก็แลเมือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนีอยู่ ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ นแก่ทา่ นพระ
โกณฑัญญะว่า ‘สิงใดสิงหนึ งมีความเกิดขึ นเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวล มีความดับเป็ นธรรมดา.’
[17] ครันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรให้เป็ นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้บนั ลือเสียงว่า นันพระธรรมจักรอัน
ยอดเยียม พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงประกาศให้เป็ นไปแล้ว ณ ป่ าอิสิป ตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์
เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก จะปฏิวตั ิไม่ได้.
เทวดาชันจาตุมหาราช ได้ยน ิ เสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บน ั ลือเสียงต่อไป.
เทวดาชันดาวดึงส์ ได้ยน ิ เสียงของพวกเทวดาชันจาตุมหาราชแล้ว ...
เทวดาชันยามา . . .
เทวดาชันดุสต ิ ...
เทวดาชันนิมมานรดี . . .
เทวดาชันปรนิมมิตวสวัตดี . . .
เทวดาทีนับเนืองในหมู่พรหมได้ยน ิ เสียงของพวกเทวดาชันปรนิมมิตวสวัตดีแล้ว ก็บน ั ลือเสียงต่อไปว่า นันพระธรรมจักรอันยอดเยียม
พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงประกาศให้เป็ นไปแล้ว ณ ป่ าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร
พรหม หรือใคร ๆ ในโลก จะปฏิวตั ิไม่ได้.
ชัวขณะกาลครูห ่ นึ งนัน เสียงกระฉ่ อนขึ นไปจนถึงพรหมโลกด้วยประการฉะนันแล. ทังหมืนโลกธาตุนีได้หวันไหวสะเทื อน
สะท้าน ทังแสงสว่างอันยิงใหญ่หาประมาณมิได้ ปรากฏแล้วในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทังหลาย.
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญโกณฑัญญะได้รแ ู ้ ล้วหนอ ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รแ
ู ้ ล้ว
หนอ เพราะเหตุนน ั คําว่า อัญญาโกณฑัญญะนี จึงได้เป็ นชือของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี.
พระปั ญจวัคคียท์ ูลขอบรรพชาอุปสมบท
[18] ครังนัน ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รูธ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว มี ธรรมอันหยังลงแล้ว ข้าม
ความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึงความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ตอ ้ งเชือผู้อืนในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานีต่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอข้าพระองค์พงึ ได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ตรัส ว่า เธอจงเป็ นภิ ก ษุ มาเถิด ดัง นี แล้ว ตรัส ต่ อ ไปว่า ธรรมอัน เรากล่า วดี แ ล้ว เธอจงประพฤติ
พรหมจรรย์ เพือทําทีสุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานันแล ได้เป็ นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนน. ั
[19] ครันต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประทานโอวาทสังสอนภิกษุ ทงหลายที ั เหลือจากนันด้วยธรรมีกถา เมือพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประทานโอวาทสังสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิด ขึ นแก่ท่า นพระวัป ปะและท่าน
พระภัททิยะ พระมหานามะและท่านพระอัสสชิวา่ สิงใดสิงหนึ งมีความเกิดขึ นเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวลมีความดับเป็ นธรรมดา. ท่าน
ทังสองได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รธ ู ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว. มีธรรมอันหยังลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคํา
แสดงความสงสัย ถึงความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื อผู้อืนในคํา สอนของพระศาสดา ได้ทูลคํา นี ต่อพระผู้มี พระภาคเจ้า ว่า ขอข้า
พระองค์ทงสอง
ั พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า เธอทังสองจงเป็ นภิกษุ มาเถิด ดังนี แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอทังสองจง
ประพฤติพรหมจรรย์ เพือทําทีสุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานันแล ได้เป็ นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทงสองนั ั น.
…………………………………………………………
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร วิ.ม.4/20/20
[20] ครังนัน พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสังกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั รูป เป็ นอนัตตา ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้า รูป นีจักได้
เป็ นอัตตาแล้ว รูปนีไม่พงึ เป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็ นอย่างนีเถิด รูปของเราอย่าได้เป็ นอย่างนันเลย
ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เพราะรูปเป็ นอนัตตา ฉะนัน รูปจึงเป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็ นอย่างนีเถิด
รูปของเราอย่าได้เป็ นอย่างนันเลย.
เวทนาเป็ นอนัตตา ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้าเวทนานีจักได้เป็ นอัตตาแล้ว เวทนานีไม่พงึ เป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน
เวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็ นอย่างนี เถิด เวทนาของเราจงอย่า ได้เป็ นอย่างนันเลย ดู ก่อนภิกษุ ทงหลาย ั ก็เพราะเวทนาเป็ นอนัตตา
ฉะนัน เวทนาจึงเป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็ นอย่างนันเถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็ นอย่าง
นันเลย.
สัญญาเป็ นอนัตตา ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้าสัญญานีจักได้เป็ นอัตตาแล้ว สัญญานีไม่พงึ เป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน
สัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็ นอย่างนีเถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็ นอย่างนันเลย ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เพราะสัญญาเป็ นอนัตตา ฉะนัน
สัญญาจึงเป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็ นอย่างนีเถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็ นอย่างนันเลย.
สังขารทังหลายเป็ นอนัตตา ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้าสังขารเหล่านีจักได้เป็ นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านีไม่พงึ เป็ นไปเพืออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในสังขารทังหลายว่า สังขารทังหลายของเราจงเป็ นอย่างนีเถิด สังขารทังหลายของเราอย่าได้ เป็ นอย่างนันเลย ดูกอ ่ น
ภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เพราะสังขารทังหลายเป็ นอนัตตา ฉะนัน สังขารทังหลายจึงเป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทังหลาย
ว่า สังขารทังหลายของเรา จงเป็ นอย่างนีเถิดสังขารทังหลายของเราอย่าได้เป็ นอย่างนันเลย.

๒๖๐
วิญญาณเป็ นอนัตตา ดูกอ
่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ถ้าวิญญาณนีจักได้เป็ นอัตตาแล้ว วิญญาณนีไม่พงึ เป็ นไปเพืออาพาธ และบุคคล
พึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็ นอย่างนีเถิด วิญญาณของเราอย่าไว้เป็ นอย่างนันเลย ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั ก็เพราะวิญญาณ
เป็ นอัต ตา ฉะนัน วิญญาณจึงเป็ นไปเพืออาพาธ และบุ ค คลไม่ได้ใ นวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็ นอย่างนี เถิด วิญญาณของเรา
อย่าได้เป็ นอย่างนันเลย.
ตรัสถามความเห็นของพระปั ญจวัคคีย ์
[21] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั พวกเธอสําคญ
ั ความนันเป็ นไฉน รูปเทียงหรือไม่เทียง.
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เทียง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่
ิ เทียง สิงนันเป็ นทุกข์หรือเป็ นสุขเล่า ?
ป. เป็ นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่
ิ เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควร
หรือจะตามเห็นสิงนันว่า นันของเรา นันเป็ นเรา นันเป็ นตนของเรา ?
ป. ข้อนัน ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. เวทนา / สัญญา / สังขาร / วิญญาณ เทียงหรือไม่เทียง ?
ป. ไม่เทียง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สงใดไม่ ิ เทียง สิงนันเป็ นทุกข์หรือเป็ นสุขเล่า ?
ป เป็ นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ ก็สงใดไม่
ิ เทียง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควร
หรือจะตามเห็นสิงนันว่า นันของเรา นันเป็ นเรา นันเป็ นตนของเรา ?
ป. ข้อนันไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตะญาณทัสสนะ
[22] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกอ ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั เพราะเหตุนนแล ั รูปอย่างใดอย่างหนึ ง ทีเป็ นอดีต อนาคต และปัจจุบน ั ภายใน
หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณี ต ไกลหรือใกล้ ทังหมดก็เป็ นแต่สกั ว่ารูป เธอทังหลายพึงเห็นรูปนันด้วยปัญญาอันชอบ
ตามเป็ นจริงอย่างนีว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่เป็ นเรา นันไม่ใช่คนของเรา.
เวทนา / สัญญา / สังขาร / วิญญาณ อย่า งใดอย่า งหนึ ง ทีเป็ นอดี ต อนาคต และปัจจุบ น ั ภายในหรือภายนอก หยาบหรือ
ละเอียด เลวหรือประณี ต ไกลหรือใกล้ ทังหมดก็เป็ นแค่สกั ว่าเวทนา เธอทังหลายพึงเห็นเวทนานันด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็ นจริงอ
ย่างนีว่า นันไม่ใช่ของเรา นันไม่เป็ นเรา นันไม่ใช่ตนของเรา.
[23] ดูกอ่ นภิกษุ ทงหลาย
ั อริยาสาวกผู้ได้ฟงั แล้ว เห็นอยูอ
่ ย่างนี ย่อมเบือหน่ ายแม้ในรูป ย่อมเบือหน่ ายแม้ในเวทนา ย่อมเบือหน่ ายแม้
ในสัญญา ย่อมเบือหน่ ายแม้ในสังขารทังหลาย ย่อมเบือหน่ ายแม้ในวิญญาณ เมือเบือหน่ ายย่อมสินกําหนัด เพราะสินกําหนัด จิตก็พน ้
เมือจิตพ้นแล้ว ก็รวู ้ า่ พ้นแล้ว อริยสาวกนันทราบชัดว่า ชาติสนแล้ ิ ว พรหมจรรย์ได้อยูจ่ บแล้ว กิจทีควรทําได้ทาํ เสร็จแล้ว กิจอืนอีกเพือ
ความเป็ นอย่างนีมิได้.
[24] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใ จยินดีเพลิดเพลินภาษิ ตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แลเมือพระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิ ตนีอยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์พน ้ แล้วจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมัน.
อนัตตลักขณสูตร จบ
ครังนัน มีพระอรหันต์เกิดขึนในโลก 6 องค์. .. ปฐมภาณวาร จบ
..............................................
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] เรืองยสกุลบุตร วิ.ม.4/25/24
[25] ก็โดยสมัยนันแล ในพระนครพาราณสี มีกุลบุตร ชือ ยส เป็ นบุตรเศรษฐี สุขุมาลชาติ. ยสกุลบุตรนันมีปราสาท 3 หลัง คือ
หลังหนึ งเป็ นทีอยูใ่ นฤดู หนาว หลังหนึ งเป็ นทีอยูใ่ นฤดู รอ้ น หลังหนึ งเป็ นทีอยูใ่ นฤดูฝน. ยสกุลบุตรนันรับบําเรอด้วยพวกดนตรี ไม่มี
บุรุษเจือปน ในปราสาทฤดูฝนตลอด 4 เดือน ไม่ลงมาเบืองล่างปราสาท. คําวันหนึ ง เมือยสกุลบุตรอิมเอิบพร้อมพรังบําเรออยูด ่ ้วยกาม
คุณ 5 ได้นอนหลับก่อน ส่วนพวกบริวารชนนอนหลับภายหลัง. ประทีปนํามันตามสว่างอยูต ่ ลอดคืน. คืนนันยสกุลบุตรตืนขึ นก่อน ได้
เห็นบริวารชนของตนกําลังนอนหลับ บางนางมีพณ ิ ตกอยูท ่ ีรักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยูข ่ า้ งคอ บางนางมีเปิ งมางตกอยูท ่ ีอก บางนาง
สยายผม บางนางมีนําลายไหล บางนางบ่นละเมอต่างๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจป่ าช้าผีดิบ. ครันแล้วความเห็นเป็ นโทษได้ปรากฏแก่ย
สกุลบุตร จิตตังอยูใ่ นความเบือหน่ าย จึงยสกุลบุตรเปล่งอุทานว่า ท่านผู้เจริญ ทีนีวุน ่ วายหนอ ทีนีขัดข้องหนอ แล้วสวมรองเท้าทองเดิน
ตรงไปยังประตูนิเวศน์ พวกอมนุษย์เปิ ดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆ อย่าได้ทาํ อันตรายแก่การออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตของย
สกุลบุตรเลย. ลําดับนัน ยสกุลบุตร เดินตรงไปทางประตูพระนคร. พวกอมนุษย์เปิ ดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆ อย่าได้ทาํ อันตราย
แก่การออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตของยสกุลบุตร. ทีนน ั ยสกุลบุตรได้เดินตรงไปทางป่ าอิสป ิ ตนะมฤคทายวัน.
[26] ครันปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคตืนบรรทมแล้วเสด็จจงกรมอยู่ ณ ทีแจ้ง ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมา
แต่ไกล ครันแล้วเสด็จลงจากทีจงกรมประทับนังบนอาสนะทีปู ลาดไว้. ขณะนัน ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในทีไม่ไกลพระผู้มี พระภาคว่า
ท่านผู้เจริญ ทีนีวุน
่ วายหนอ ทีนีขัดข้องหนอ. ทันทีนน ั พระผู้มีพระภาคตรัสกะยสกุลบุตรว่า ดูกรยส ทีนีไม่วน ุ่ วาย ทีนีไม่ขดั ข้อง มา
เถิดยส นังลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ. ทีนัน ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่า ได้ยน ิ ว่า ทีนีไม่วน ุ่ วาย ทีนีไม่ขดั ข้อง ดังนี แล้วถอดรองเท้า
ทองเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง เมือยสกุลบุตรนังเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระ
ภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความตําทราม ความเศร้าหมองของกามทังหลาย และ
อานิสงส์ในความออกจากกาม. เมือพระองค์ทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจต ิ สงบ มีจต ิ อ่อน มีจต ิ ปลอดจากนิวรณ์ มีจต ิ เบิกบาน มีจต ิ ผ่อง
ใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ทีพระพุทธเจ้าทังหลายทรงยกขึ นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค. ดวงตา
เห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า สิงใดสิงหนึ งมีความเกิดขึนเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวลมีความดับเป็ นธรรมดา ได้เกิดแก่ย
สกุลบุตร ณ ทีนังนันแล ดุจผ้าทีสะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รบั นําย้อมเป็ นอย่างดี ฉะนัน.
บิดาของยสกุลบุตรตามหา
[27] ครันรุ่งเช้า มารดาของยสกุลบุต รขึ นไปยังปราสาท ไม่เห็นยสกุลบุ ต ร จึงเข้า ไปหาเศรษฐีผู้ค หบดี แล้วได้ถามว่า ท่า น
คหบดีเจ้าข้า พ่อยสกุลบุตรของท่านหายไปไหน? ฝ่ ายเศรษฐีผู้คหบดีสง่ ทูตขีม้าไปตามหาทัง 4 ทิศแล้ว ส่วนตัวเองไปหาทางป่ าอิสปิ ต

๒๖๑
นะมฤคทายวัน. ได้พบรองเท้าทองวางอยู่ ครันแล้วจึงตามไปสูท ่ ีนัน. พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีผู้คหบดีมาแต่ไกล.
ครันแล้วทรงพระดําริวา่ ไฉนหนอ เราพึงบันดาลอิทธาภิสงั ขารให้เศรษฐีคหบดีนงอยู ั ่ ณ ทีนี ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นงอยู
ั ่ ณ ทีนี แล้วทรง
บันดาลอิทธาภิสงั ขาร ดังพระพุทธดําริ. ครังนัน เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า พระผู้มี พระภาคทรงเห็นย
สกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคหบดี ถ้าอย่างนัน เชิญนัง บางทีทา่ นนังอยู่ ณ ทีนี จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นงอยู ั ่ ณ ทีนี.
ครังนัน เศรษฐีผู้คหบดีรา่ เริงบันเทิงใจว่า ได้ยนิ ว่า เรานังอยู่ ณ ทีนีแหละ จักเห็นยสกุลบุตรผู้นงอยูั ่ ณ ทีนี จึงถวายบังคมพระผูม ้ ี
พระภาค แล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้า งหนึ ง. เมื อเศรษฐีผู้ค หบดีนงเรี ั ยบร้อยแล้ว พระผู้มี พระภาคได้ทรงแสดงอนุ ปุ พพิกถา คือ ทรง
ประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความตําทราม ความเศร้าหมองของกามทังหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. เมือพระ
ผู้มีพระภาคทรงทราบว่า เศรษฐีผู้คหบดี มีจต ิ สงบ มีจต
ิ อ่อน มีจต ิ ปลอดจากนิวรณ์ มีจต ิ เบิกบาน มีจติ ผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระ
ธรรมเทศนาทีพระพุทธเจ้าทังหลายทรงยกขึ นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุ ทยั นิโ รธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี
ปราศจากมลทินว่า สิงใดสิงหนึ งมีความเกิดขึนเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวลมีความดับเป็ นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ทีนังนัน
แล ดุจผ้าทีสะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รบั นําย้อม ฉะนัน.
ครันเศรษฐีผู้คหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รธ ู ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยังลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึงความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชือผู้อืนในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานีแด่พระผู้มีพระภาค
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิ ตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิ ตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรม
โดยอเนกปริยายอย่างนี เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในทีมืดด้วยตังใจ
ว่า คนมี จกั ษุ จกั เห็นรูปดังนี ข้า พระพุทธเจ้า นี ขอถึงพระผู้มี พระภาค พระธรรม และพระสงฆ์ ว่า เป็ นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจํา
ข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็ นอุบาสกผูม ้ อบชีวต
ิ ถึงสรณะจําเดิมแต่วนั นีเป็ นต้นไป. ก็เศรษฐีผู้คหบดีนน ั ได้เป็ นอุบาสกกล่าวอ้างพระรัตนตรัย
เป็ นคนแรกในโลก.
ยสกุลบุตรสําเร็จพระอรห ัตต์
[28] คราวเมือพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่บด ิ าของยสกุลบุตร จิตของยสกุลบุตร ผู้พจิ ารณาภูมิธรรมตามทีตนได้เห็น
แล้ว ได้รแู ้ จ้งแล้ว ก็พน
้ จากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมัน. ครังนัน พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดําริวา่ เมือเราแสดงธรรมแก่บด ิ า
ของยสกุลบุตรอยู่ จิตของยสกุลบุตร ผู้พจิ ารณาเห็นภูมิธรรมตามทีตนได้เห็นแล้ว ได้รแ ู ้ จ้งแล้ว พ้นแล้วจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่
ถือมัน. ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็ นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็ นคฤหัสถ์ครังก่อน ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิส ังขารนันได้แล้ว.
พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสงั ขารนัน. เศรษฐีผค ู้ หบดีได้เห็นยสกุลบุตรนังอยู่ ครันแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อยส มารดา
ของเจ้าโศกเศร้าครําครวญถึง เจ้าจงให้ชีวต ิ แก่มารดาของเจ้าเถิด. ครังนัน ยสกุลบุตรได้ชาํ เลืองดูพระผูม ้ ีพระภาคๆ ได้ตรัสแก่เศรษฐี
ผู้คหบดีวา่ ดูกรคหบดี ท่านจะสําคญ ั ความข้อนันเป็ นไฉน? ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมือเธอ
พิจารณาภูมิธรรมตามทีตนได้เห็นแล้ว ได้รแ ู ้ จ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมัน ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรควรหรือ
เพือจะกลับเป็ นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็ นคฤหัสถ์ครังก่อน?.
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า ข้อนันไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มี พระภาคตรัสรับ รองว่า ดู กรคหบดี ยสกุลบุ ต รได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภู มิเหมือนท่า น เมื อเธอพิจารณาภูมิ
ธรรมตามทีตนได้เห็นแล้ว ได้รูแ ้ จ้งแล้ว จิต พ้นแล้วจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมัน ดู กรคหบดี ยสกุลบุ ต รไม่ค วรจะกลับเป็ น
คฤหัสถ์บริโภคกามเหมือนเป็ นคฤหัสถ์ครังก่อน.
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การทีจิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมันนัน เป็ นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตร
ได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคมียสกุลบุตรเป็ นปัจฉาสมณะ จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพือเสวยในวันนี
เถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณี ภาพ. ครันเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มี พระภาคแล้ว ได้ลุก
จากทีนัง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทําประทักษิ ณแล้วกลับไป.
กาลเมื อเศรษฐีผู้ค หบดีกลับ ไปแล้วไม่นาน ยสกุลบุ ต รได้ทูลคํา นีต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้า ข้า ขอข้า พระองค์พงึ ได้
บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็ นภิกษุ มาเถิด แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรา
กล่า วดี แล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด. พระวาจานันแล ได้เป็ นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนน ั สมัยนัน มี พระอรหันต์เกิดขึ นใน
โลก 7 องค์.
มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ
[29] ขณะนันเป็ นเวลาเช้า พระผู้มี พระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรมีท่านพระยสเป็ นปัจฉาสมณะ เสด็ จพระพุทธ
ดําเนินไปสูน ่ ิเวศน์ของเศรษฐีผู้คหบดี ครันถึงแล้ว ประทับนังเหนือพุทธอาสน์ ทีเขาปูลาดถวาย. ลําดับนัน มารดาและภรรยาเก่าของ
ท่า นพระยสะ พากันเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง. พระผู้มี พระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่นางทัง
สอง คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความตําทรามความเศร้าหมองของกามทังหลาย และอานิสงส์ในความออกจาก
กาม. เมื อพระผู้มี พระภาคทรงทราบว่า นางทังสองมีจิตสงบ มี จิต อ่อน มี จิต ปลอดจากนิวรณ์ มี จิต เบิกบาน มี จิต ผ่องใสแล้ว จึงทรง
ประกาศพระธรรมเทศนาทีพระพุทธเจ้า ทังหลายทรงยกขึ นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุ ทยั นิโ รธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรม
ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิงใดสิงหนึ ง มีความเกิดขึ นเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวลมีความดับเป็ นธรรมดา ได้เกิดแก่นางทังสอง
ณ ทีนังนันแล ดุจผ้าทีสะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รบั นําย้อมเป็ นอย่างดี ฉะนัน. มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้เห็นธรรม
แล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รธ ู ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยังลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึง
ความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชือผู้อืนในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานี ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิ ตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิ ตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคล
หงายของทีควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในทีมืดด้วยตังใจว่า คนมีจกั ษุ จกั เห็นรูป ดังนี หม่อมฉันทังสองนี ขอถึง
พระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุ สงฆ์วา่ เป็ นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจําหม่อมฉันทังสองว่า เป็ นอุบาสิกาผู้มอบชีวต ิ ถึงสรณะ
จําเดิมแต่วนั นีเป็ นต้นไป. ก็มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส ได้เป็ นอุบาสิกา กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็ นชุดแรกในโลก.
ครังนัน มารดาบิด าและภรรยาเก่า ของท่า นพระยสได้องั คาสพระผู้มี พระภาคและท่า นพระยส ด้วยขาทนี ยโภชนี ยาหารอัน
ประณี ตด้วยมือของตนๆ จนให้ห้า มภัต ทรงนํา พระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง. ขณะนัน พระผู้มีพระภาค
ทรงชี แจงให้มารดา บิด า และภรรยาเก่าของท่านพระยส เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่า เริง ด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะ
กลับไป.

๒๖๒
สหายคฤห ัสถ์ 4 คนของพระยสออกบรรพชา
[30] สหายคฤหัสถ์ 4 คนของท่านพระยส คือ วิม ล 1 สุพาหุ 1 ปุ ณ ณชิ 1 ควัม ปติ 1 เป็ นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มา ในพระ
นครพาราณสี ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตแล้ว. ครันทราบดังนัน
แล้ว ได้ดําริวา่ ธรรมวินยั และบรรพชาทียสกุลบุตร ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน บวชเป็ นบรรพชิตแล้วนัน คงไม่
ตําทรามแน่ นอน ดังนี จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทงั 4
นัน เข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ 4
คนนี ชื อ วิม ล 1 สุพาหุ 1 ปุ ณ ณชิ 1 ควัม ปติ 1 เป็ นบุ ต รของสกุลเศรษฐีสืบ ๆ มาในพระนครพาราณสี ขอพระผู้มี พระภาคโปรด
ประทานโอวาทสังสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี.
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความตําทราม ความเศร้า
หมองของกามทังหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. เมือพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจต ิ สงบ มีจติ อ่อน มีจต
ิ ปลอด
จากนิวรณ์ มีจต ิ เบิกบาน มีจต
ิ ผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาทีพระพุทธเจ้าทังหลายทรงยกขึ นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิงใดสิงหนึ งมีความเกิดขึ นเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวล มี
ความดับเป็ นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ทีนังนันแล ดุจผ้าทีสะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รบั นําย้อมเป็ นอย่างดี ฉะนัน. พวกเขา
ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บ รรลุธรรมแล้ว ได้รูธ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว มี ธรรมอันหยังลงแล้ว ข้า มความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดง
ความสงสัย ถึงความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชือผู้อืนในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานีต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอ
พวกข้าพระองค์พงึ ได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาค.
พระผู้มี พระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็ นภิกษุ ม าเถิด ดังนี แล้วได้ต รัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่า วดี แล้ว พวกเธอจงประพฤติ
พรหมจรรย์ เพือทํา ทีสุดทุกข์โดยชอบเถิด. พระวาจานันแล ได้เป็ นอุปสมบทของท่า นผู้มีอายุเหล่า นัน. ต่อมา พระผู้มี พระภาคทรง
ประทานโอวาทสังสอนภิกษุ เหล่านันด้วยธรรมีกถา. เมื อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสังสอนภิกษุ หล่านันด้วยธรรมีกถา จิต
ของภิกษุ เหล่านัน พ้นแล้วจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมัน. สมัยนัน มีพระอรหันต์เกิดขึ นในโลก 11 องค์.
สหายคฤห ัสถ์ 50 คน ของพระยสออกบรรพชา
[31] สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส เป็ นชาวชนบทจํานวน 50 คน เป็ นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร
ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตแล้ว. ครันทราบดังนันแล้วได้ดาํ ริวา่ ธรรมวินยั และบรรพชาที ยส
กุลบุ ต รปลงผมและหนวด นุ่ งห่ม ผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตแล้วนัน คงไม่ตําทรามแน่ นอน ดังนี จึงพากันเข้าไปหา
ท่า นพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง จึงท่า นพระยสพาสหายคฤหัสถ์จํานวน 50 คนนันเข้าเฝ้ าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนัง ณ ทีควรส่วนข้างหนึ ง ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์เหล่านีเป็ นชาวชนบท เป็ นบุตร
ของสกุลเก่าสืบๆ กันมา ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสังสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี.
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความตําทราม ความเศร้า
หมองของกามทังหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. เมือพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจต ิ สงบ มีจติ อ่อน มีจต
ิ ปลอด
จากนิวรณ์ มีจต ิ เบิกบาน มีจต
ิ ผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ทีพระพุทธเจ้าทังหลายทรงยกขึ นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิงใดสิงหนึ งมีความเกิดขึ นเป็ นธรรมดา สิงนันทังมวลมี
ความดับเป็ นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ทีนังนันแล ดุจผ้าทีสะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รบั นําย้อมเป็ นอย่างดี ฉะนัน. พวกเขา
ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บ รรลุธรรมแล้ว ได้รูธ้ รรมแจ่มแจ้งแล้ว มี ธรรมอันหยังลงแล้ว ข้า มความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดง
ความสงสัย ถึงความเป็ นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชือผู้อืนในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานีต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอ
พวกข้าพระองค์พงึ ได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาค.
พระผู้มี พระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็ นภิกษุ ม าเถิด ดังนี แล้วได้ต รัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่า วดี แล้ว พวกเธอจงประพฤติ
พรหมจรรย์เพือทํา ทีสุด ทุกข์ โ ดยชอบเถิด . พระวาจานันแล ได้เป็ นอุป สมบทของท่านผู้มีอายุเหล่า นัน. ต่อมาพระผู้มี พระภาคทรง
ประทานโอวาทสังสอนภิกษุ เหล่านัน ด้วยธรรมีกถา. เมือพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสังสอนภิกษุ เหล่านันด้วยธรรมีกถา จิต
ของภิกษุ เหล่านันพ้นแล้วจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมัน. สมัยนัน มีพระอรหันต์เกิดขึ นในโลก 61 องค์.
สหายคฤห ัสถ์ 50 คน ของพระยสออกบรรพชา จบ.
เรืองพ้นจากบ่วง วิ.ม.4/32/32
[32] ครังนัน พระผู้มี พระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดู กรภิกษุ ทงหลาย
ั เราพ้นแล้วจากบ่วงทังปวง ทังทีเป็ นของทิพย์ ทังที
เป็ นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พน ้ แล้วจากบ่วงทังปวง ทังทีเป็ นของทิพย์ ทังทีเป็ นของมนุษย์ พวกเธอจงเทียวจาริก เพือประโยชน์และ
ความสุข แก่ช นหมู่ม าก เพืออนุ เคราะห์โ ลก เพือประโยชน์ เกือกูลและความสุข แก่ทวยเทพและมนุ ษ ย์ พวกเธออย่า ได้ไปรวมทาง
เดี ยวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบืองต้น งามในท่ามกลาง งามในทีสุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทังอรรถทังพยัญชนะครบ
บริบู รณ์ บริสุทธิ สัต ว์ทงหลายจํ
ั าพวกทีมีธุลีคือกิเลศในจักษุ น้อย มี อยู่ เพราะไม่ได้ฟงั ธรรมย่อมเสือม ผู้รูท ้ วถึ
ั งธรรม จักมี ดู กรภิกษุ
ทังหลาย แม้เราก็จกั ไปยังตําบลอุรุเวลาเสนานิคม เพือแสดงธรรม.
.......................................

ทรงอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ วิ.ม.4/34/38
ในชันแรก พระผูม้ ีพระภาคทรงให้กุล บุต รบวชด้ว ยวิธีเ อหิภิก ขุ อุปสัม ปทาด้วยพระองค์เ อง แต่หลังจากที ทรงส่ ง พระ
อรหันตสาวก 60 รูปออกไปประกาศพระศาสนายังทิศต่างๆ แล้ว ได้มีกุลบุตรผูเ้ ลือมใสประสงค์ทีจะบวชได้เดินทางจากทิศไกลมา
เฝ้ าเป็ นจํานวนมาก
[“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราไปในทีสงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ทีนี ได้มีใจปริวิตกเกิ ดขึนอย่างนี ว่า บัดนี ภิกษุทงหลายพากุ
ั ลบุตรผูม้ งุ่ บรรพชาและผูม้ ุ่ง
อุปสมบท มาจากทิศต่างๆ จากชนบทต่างๆ ด้วยตังใจว่า พระผูม้ ีพระภาคจักให้พวกเขาบรรพชาอุปสมบท ในเพราะเหตุนัน ทังพวกภิกษุ ทังกุลบุตรผูม้ งุ่
บรรพชาและกุ ลบุ ตรผูม้ ุ่งอุ ปสมบท ย่อมลําบาก ผิ ฉะนั น เราพึงอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิ กษุ ทังหลาย บัดนี พวกเธอนั นแหละจงให้กุลบุตร
ทังหลายบรรพชาอุปสมบทในทิศนันๆ ในชนบทนันๆ เถิด”,

๒๖๓
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั บัดนี เราอนุ ญาต พวกเธอนันเแหละจงให้กลุ บุตรทังหลายบรรพชาอุปสมบทในทิศนันๆ ในชนบทนันๆ เถิด”]
จึงทรงอนุ ญาตให้สาวกบรรพชาอุปสมบทกุ ลบุต รได้ โดยไม่ตอ้ งมาเข้าเฝ้ าพระพุทธองค์ ด้วยวิธี ติสรณคมนู ปสัมปทา
(แปลว่า อุปสมบทด้วยถึงสรณะทัง 3) คือ
ชันแรก พวกเธอพึงให้กุลบุตรผูม้ งุ่ บรรพชาและผูม้ งุ่ อุปสมบท ปลงผมและหนวด แล้วให้ครองผ้ากาสายะ ให้ทาํ ผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
. ให้กราบเท้าภิกษุทงหลายแล้
ั ว ให้นังกระหย่องประคองอัญชลีสงว่ ั า เธอจงว่าอย่างนี แล้วให้วา่ สรณคมน์ ดังนี
เปล่งวาจาว่า
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ. ทุติยมฺปิ พุทธํ ฯลฯ ตติยมฺปิ พุทธํ ฯลฯ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็ นทีพึง, แม้ครังที 2 ฯลฯ, แม้ครังที 3 ฯลฯ
ธมฺม ํ สรณํ คจฺ ฉามิ. ทุติยมฺปิ ธมฺม ํ ฯลฯ ตติยมฺปิ ธมฺ ม ํ ฯลฯ
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็ นทีพึง, แม้ครังที 2 ฯลฯ, แม้ครังที 3 ฯลฯ
สํฆพํ ุทฺธํ สรณํ คจฺ ฉามิ. ทุติยมฺปิ สํฆ ํ ฯลฯ ตติยมฺปิ สํฆ ํ ฯลฯ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็ นทีพึง, แม้ครังที 2 ฯลฯ, แม้ครังที 3 ฯลฯ
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตบรรพชาอุปสมบท ด้วยไตรสรคมน์นีฯ” (เป็ นอันบรรพชาอุปสมบทเป็ นภิกษุ โดยสมบูรณ์)

ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญตั ติจตุตถกรรม วิ.ม.4/85/92


ในกาลต่ อมา พระศาสนาเจริ ญ แพร่ หลายขึ นโดยลํ า ดับ พุ ทธบริ ษั ทมี ทังบรรพชิ ต และคฤหัสถ์ พระพุ ทธองค์ทรงมุ่ง
ประโยชน์ ของมหาชนยิงกว่าผลส่วนพระองค์เอง จึงได้ทรงอนุ ญาตมอบให้สงฆ์เป็ นใหญ่ในการบริหารคณะ (สงฆ์ หมายถึง ภิกษุ หลาย
รูปเข้าประชุมกันเป็ นหมูเ่ พือทํากิจอย่างใดอย่างหนึ ง ซึงมีอาํ นาจให้สาํ เร็จกิจนันๆ ได้ มีกาํ หนดตังแต่ 4 รูปขึนไป) สงฆ์นันมีองค์กาํ หนดสําหรับกิจ
นั นๆ กิจโดยมาก ต้องการสงฆ์มีภิกษุ 4 รูป สงฆ์ผทู ้ าํ กิจเช่นนี เรียกว่า จตุวรรค แปลว่า มีพวก 4
กิจบางอย่าง ต้องการสงฆ์มีภิกษุ 5 รูปบ้าง 10 รูปบ้าง 20 รูปบ้าง สงฆ์ผทู ้ ํากิจเช่นนี เรียกว่า ปั ญจวรรค มีพวก 5,
ทสวรรค มีพวก 10 และ วีสติวรรค มีพวก 20
ต่อมา สืบเนื องมาจากมีพราหมณ์เฒ่าคนหนึ ง(ชือราธะ) ประสงค์จะบวชเป็ นพระภิกษุ แต่ไม่มีภิกษุ รูปใดเป็ นอุปัชฌาย์บวช
ให้ ทําให้(ราธ)พราหมณ์นันเกิดความทุกข์ใจจนซูบผอม
1.

พระผูม้ ีพระภาคทรงทราบความนั น จึงตรัสถามภิกษุ ทงหลายว่


ั า “ใครระลึกถึงบุญคุณของ(ราธ)พราหมณ์นันได้บา้ ง”
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า เมือข้อพระพุทธเจ้าเทียวบิณฑบาตอยู่ ณ พระนครราชคฤห์นี (ราธพราหมณ์)
พราหมณ์ผนู ้ ั นได้สังให้ถวายภิกษา 1 ทัพพี ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นันได้เท่านี แล พระพุทธเจ้าข้า”
ภ. “ดีละๆ สารีบุตร ความจริงสัตบุรุษทังหลาย เป็ นผูก้ ตัญ ูกตเวที, สารีบุตร ถ้าเช่นนั น เธอจงให้พราหมณ์นันบรรพชา
อุปสมบทเถิด”
ส. “ข้าพระพุทธเจ้าจะให้พราหมณ์นันบรรพชาอุปสมบทอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”
ในเพราะเหตุแรกเกิด เป็ นเค้ามูลนั น แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
“ดูกรภิกษุทังหลาย ตังแต่วันนีเป็ นต้นไป เราห้ามการอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ซึ งเราได้อนุญาตไว้,
ดูกรภิกษุทังหลาย เราอนุญาตการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม”
เรียกวิธีอุปสมบทโดยสงฆ์แบบนี ว่า “ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา”
(คือ ภิกษุ ผฉู ้ ลาดผูส้ ามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ โดยการตังญัตติ 1 ครัง และสวดกรรมวาจา 3 ครัง โดยมีภิกษุ สงฆ์ประชุมร่วมกัน)

(สรุป) วิธีอุปสมบทโดยทัวไปมี 3 อย่าง คือ การก แปลว่า ผูท้ าํ (กิจ) การกสงฆ์แห่งกิจนันๆ มี 4


1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา อุปสมบทด้วยพระพุทธองค์ทรงประทานด้วยพระองค์เอง 1. จตุวรรค มีพวก 4
2. ติสรณคมนูปสัมปทา อุปสมบทด้วยให้ถึงสรณะ 3 2. ปั ญจวรรค มีพวก 5
3. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา อุปสมบทด้วยกรรมมีญตั ติเป็ นที 4 3. ทสวรรค มีพวก 10
4. วีสติวรรค มีพวก 20
……………………………………………………………

๒๖๔
ครันทรงเลิกติสรคมนู ปสัมปทาเสียแล้ว ได้ทรงอนุ ญาตให้เอาวิธีนันมาใช้บวชกุลบุตรผูม้ ีอายุไม่ครบกําหนดเป็ นภิกษุ ให้เป็ น
สามเณร ยังให้สําเร็จด้วยอํานาจบุคคล คือสาวกหรือภิกษุ ผูเ้ ป็ นเถระนั นเอง
เมือมีสามเณรขึน การบวชจึงแบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ
1. การบวชเป็ นภิกษุ เรียกว่า อุปสัมปทา หรืออุปสมบท
2. การบวชเป็ นสามเณร เรียกว่า บรรพชา
และวิธีทีสงฆ์จะให้อุปสมบท ก็ให้แก่ผูไ้ ด้รบั การบรรพชาเป็ นสามเณรมาแล้ว นี ใช้เป็ นธรรมเนี ยมมาจนปั จจุบนั
ทรงอนุญาตให้บรรพชากุลบุตรเป็ นสามเณรด้วยวิธีไตรสรณคมน์ วิ.ม.4/118/160
เรืองพระราหุลกุมารทรงผนวชเป็ นสามเณร [สมัยนัน พระผูม้ ีพระภาคประทับอยู่ ณ นิ โครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ ์ ทรงเสด็จพระพุทธ
ดําเนิ นไปสูพ่ ระราชนิ เวศน์ ประทับอยู่ ครังนัน พระเทวีราหุลมารดาได้บอกแก่ราหุลกุมารว่า “ดูกรราหุล พระสมณะนันเป็ นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูล
ขอทรัพย์มรดกต่อพระองค์ ราหุลกุมารจึงเข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค แล้วทูลว่า “ข้าแต่พระสมณะ พระฉายาของพระองค์เป็ นสุข” ทันใดนัน พระผูม้ ี
พระภาคเสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์แล้วกลับไป ราหุลกุมารได้ตามเสด็จไปเบืองหลัง พลางทูลว่า “ข้าแต่พระสมณะ ขอได้โปรดประทานทรัพย์มรดก
แก่หม่อมฉัน ๆ, ลําดับนัน พระผูม้ ีพระภาคตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมารับสังว่า “ดูกรสารีบุตร ถ้าเช่นนัน เธอจงให้ราหุลกุมารบวช” ท่านพระสารี
บุตรทูลถามว่า จะให้ราหุลกุมารทรงผนวชอย่างไร พระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสัง
กะภิกษุ ทงหลายว่
ั า “ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตการบวชกุลบุตรเป็ นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์” ]
[ต่อมา พระเจ้าสุ ทโธทนะศากยะทูลขอพระพรต่อพระผูม้ ีพระภาคว่า “เมือพระผูม้ ีพระภาคทรงผนวชแล้ว ความทุ กข์ลน้ พ้นได้บังเกิ ดแก่
หม่อมฉัน เมือพ่อนันทะบวชก็เช่นเดียวกัน เมือพ่อราหุลบรรพชา ทุกข์ยิงมากล้น พระพุทธเจ้าข้า ความรักบุตรย่อมตัดผิว ครันแล้ว ตัดหนัง ตัดเนื อ
ตัดเอ็ น ตัดกระดูก แล้วตังอยู่จรดเยือในกระดูก หม่อมฉันขอประทานพระวโรกาสพระคุ ณเจ้าทังหลายไม่พึงบวชบุตรทีบิ ดามารดายังมิได้อนุ ญาต
พระพุทธเจ้าข้า, ลําดับนั นพระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ฯ แล้วรับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า “ดูกรภิกษุทังหลาย บุตรที มารดาบิดาไม่อนุ ญาต
ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ, ครังนัน ต่อมาทรงเสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี ประทับอยูใ่ นพระวิหารเชตวัน]

สมบัติแห่งการอุปสมบท 5 ประการ
1. วัตถุสมบัติ มี 4 ประการ คือ
1. เป็ นชายมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ (นับแต่ปฏิสนธิมา) วิ.ม.4/111/147 com 126, วิ.ม.4/141

นับอายุ 20 ปี ทังอยูใ่ นครรภ์ (พระกุมารกัสสปเป็ นตัวอย่าง) วิ.ม.4/141/153


[141] ก็โดยสมัยนั นแล ท่านพระกุมารกัสสปมีอายุครบ 20 ปี ทังอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท. ต่อมาท่านได้มีความดําริว่า พระผู ้
มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า บุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี ภิกษุ ไม่พึงอุปสมบทให้ ก็เรามีอายุครบ 20 ทังอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท
จะเป็ นอัน อุปสมบทหรือไม่หนอ. ภิกษุ ทังหลายจึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ
ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในอุทรมารดา วิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว อาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวง
แรกนั นนั นแหละเป็ นความเกิดของสัตว์นัน
ดูกรภิกษุทังหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมีอายุครบ 20 ปี ทังอยู่ในครรภ์.
[สมัยนัน ในพระนครราชคฤห์มีเด็กชายพวกหนึ ง 17 คนเป็ นเพือนกัน เด็กชายอุบาลีเป็ นหัวหน้า ครังนันมารดาบิดาได้หารือกันว่า ด้วยวิธี
อะไรหนอ เมือเราทังสองล่วงลับไปแล้วเจ้าอุบาลีจะอยู่เป็ นสุ ข และจะไม่ตอ้ งลําบาก “ถ้าเจ้าอุบาลีจกั เรียนหนังสือ นิ วมือก็จกั ระบม, ถ้าเจ้าอุบาลีเรียน
วิชาคํานวณเขาจักหนักอก, ถ้าเจ้าอุบาลีจกั เรียนวิชารูปภาพ นัยน์ตาทังสองของเขาจักชอบชํา พระสมณเชือสายพระศากยบุตรเหล่านี แล มีปรกติสุขฯ
เด็กชาย อุ บาลีได้ยินถ้อยคําของมารดาบิ ดา จึงได้ไปชักชวนเพือนบวชด้วยกัน มารดาบิ ดาของเด็กชายเหล่านั นก็ อนุ ญาตทันที ด้วยคิดเห็ นว่า เด็ก
เหล่านี ตา่ งก็มีฉนั ทะร่วมกัน มีความมุง่ หมายดีดว้ ยกันทุกคน, ครันบรรพชาอุปสมบทแล้ว ในราตรีตา่ งก็รอ้ งไห้ ขอข้าวต้ม ข้าวสวย ของเคียวบ้าง ภิกษุ
ทังหลายจึงพูดว่า จงรอให้ชา้ วก่อนเถิด แต่ภิกษุ ใหม่ก็ยงั คงร้องไห้ ยังคงขอของเคียวของฉัน ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปั สสาวะรดบ้าง ซึงเสนาสนะ พ.จึง
ตรัสถามพระอานนท์ จึงตรัสว่า “ดูกรภิกษุ ทงลายบุ ั คคลมีอายุหย่อน 20 ปี เป็ นผูไ้ ม่อดทนต่อ เย็น ร้อน หิว ระหาย เป็ นผูม้ ีปรกติไม่อดกลันต่อ สัมผัส
แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เลือยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคําทีเขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนาทางกายทีเกิดขึนแล้วอันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน
ไม่เป็ นทียินดี ไม่เป็ นทีชอบใจ อันอาจนําชีวิตเสียได้ ส่วนบุคคลมีอายุ 20 ปี ย่อม(มีนัยตรงข้าม ฯลฯ)]
[ดูกรภิกษุทงหลาย
ั ภิกษุรอู ้ ยู่ ไม่พึงให้บุคคลมีอายุหย่อน 20 ปี อุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้องปรับตามธรรมฯ] วิ.ม.4/111/147 com 126
หมายเหตุ: เรืองเกียวกับการบรรพชาสามเณร
เรืองตายเพราะอหิวาตกโรค [สมัยนัน ตระกูลหนึ งตายลง เพราะอหิวาตกโรค เหลืออยูเ่ พียงพ่อกับลูก สามเณรน้อยได้วิงเข้าไปขอภิกษาจากภิกษุ
ผูเ้ ป็ นบิดา ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน]
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เด็กชายมีอายุหย่อน 15 ปี ภิกษุ ไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ” วิ.ม.4/112/149

๒๖๕
เรืองเด็กชายตระกูลอุปัฏฐาก [สมัยนั น ตระกูลอุ ปัฏฐากพระอานนท์มีศรัทธาเลือมใส ได้ตายลงเพราะอหิ วาตกโรค เหลืออยู่แต่เด็กชาย 2 คน
พระอานนท์มีความดําริวา่ ด้วยวิธีใดหนอเด็กชายสองคนนี จึงจะไม่เสือมเสีย ดังนี จึงกราบทูลพระผูม้ ีพระภาค ๆ ตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ เด็กชายสอง
คนนันอาจไล่กาได้ไหม ท่านอานนท์กราบทูลว่าได้ พระพุทธเจ้าข้า] อ. เด็กคนใดถือก้อนดินด้วยมือซ้ายหนึ งแล้ว อาจเพือจะไล่กาทังหลายซึงพากันมา
ให้บินหนี ไป แล้วบริโภคอาหารซึงวางไว้ขา้ งหน้าได้ เด็กนี จดั ว่า ผูไ้ ล่กาได้ จะให้เด็กนันบวชก็ควร
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้บวชเด็กชายมีอายุหย่อน 15 ปี แต่สามารถไล่ กาได้ฯ” วิ.ม.4/113/150
เรืองสามเณรของท่านพระอุปนนท์ [สมัยนัน ท่านพระอุปนนทศากบุตรมีสามเณรอยู่ 2 รูป เธอทังสองประทุษร้ายกันและกัน]
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ รปู เดียว ไม่พึงให้สามเณร 2 รูปอุปัฏฐาก รูปใดให้อุปัฏฐาก ต้องอาบัติทุกกฏฯ” วิ.ม.4/114/150
เรืองทรงอนุ ญาติให้ภิกษุ ผฉู ้ ลาดมีสามเณรมากรูปได้ [สมัยนัน ตระกูลอุปฐากของท่านพระสารีบุตร ส่งเด็กชายไปขอพระเถระโปรดบรรพชา
เด็กคนนี ทีนัน ท่านพระสารีบุตรได้มีความดําริว่า พระผูม้ ีพระภาคทรงบัญญัติไม่ภิกษุ รูปเดียวรับสามเณร 2 รูปไว้อุปฐาก ก็เรามีราหุลอยู่แ ล้วที นี
เราจะปฏิบตั ิอย่างไร จึงกราบทูลพระผูม้ ีพระภาค, พระผูม้ ีพระภาครับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
“ดูกรภิกษุทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ภิกษุผฉู ้ ลาด ผูส้ ามารถรูปเดียว รับสามเณรสองรูปไว้อุปัฏฐากได้ ก็หรือเธออาจจะโอวาทอนุ ศาสน์
สามเณรมีจาํ นวนเท่าใดก็ให้รบั ไว้อุปฐาก มีจาํ นวนเท่านัน”] วิ.ม.4/119/163

ÊѵǏ´ÔÃѨ©Ò¹äÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ÇÔ.Á.4/127/143
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ¾ÃйҤ¹Ñé¹ (¹Ò¤µÑÇ˹Öè§) ÍÒÈÑÂÍÂًã¹ÇÔËÒÃÊشࢵ¡ÑºÀÔ¡ÉØÃٻ˹Öè§. ¤ÃÑé¹»˜¨¨ØÊÊÁÑÂáˋ§ÃÒµÃÕ ÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Ñé¹ µ×蹹͹áŌÇ
ÍÍ¡ä»à´Ô¹¨§¡ÃÁÍÂً ã¹·Õè ᨌ §. ¤ÃÑé¹ÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Ñé¹ ÍÍ¡ä»áŌ Ç. ¾ÃйҤ¹Ñ鹡çÇҧ㨨íÒ ÇÑ ´. ÇÔËÒ÷Ñé§ËÅÑ §àµç Á ä»´Œ ǧ٠. ¢¹´Â×è¹ÍÍ¡ä»·Ò§
˹ŒÒµ‹Ò§. ¤ÃÑé¹ÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Ñé¹¼ÅÑ¡ºÒ¹»ÃеٴŒÇµÑé§ã¨¨Ñ¡à¢ŒÒÇÔËÒà 䴌àËç¹ÇÔËÒ÷Ñé§ËÅѧàµçÁä»´ŒÇ§٠àËç¹¢¹´Â×è¹Í͡价ҧ˹ŒÒµ‹Ò§ ¡çµ¡ã¨ ¨Ö§
ÌͧàÍÐÍТÖé¹. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¾ҡѹÇÔè§à¢ŒÒä»áŌÇ䴌¶ÒÁÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Ñé¹Ç‹Ò ÍÒÇØâÊ ·‹Ò¹ÃŒÍ§àÍÐÍÐä»·íÒäÁ?
ÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Ñé¹ºÍ¡Ç‹Ò ÍÒÇØâÊ·Ñé§ËÅÒ ÇÔËÒùÕé·Ñé§ËÅѧàµçÁä»´ŒÇ§٠¢¹´Â×è¹Í͡价ҧ˹ŒÒµ‹Ò§.
¢³Ð¹Ñé¹ ¾ÃйҤ¹Ñé¹ ä´Œµ×è¹¢Öé¹à¾ÃÒÐàÊÕ§¹Ñé¹ áŌǹÑè§ÍÂًº¹ÍÒʹТͧµ¹. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¶ÒÁÇ‹Ò ÍÒÇØâÊ ·‹Ò¹à»š¹ã¤Ã? ¹. ¼Á໚¹
¹Ò¤ ¢ÍÃѺ. ÀÔ. ÍÒÇØâÊ ·‹Ò¹ä´Œ·íÒઋ¹¹Õéà¾×èÍ»ÃÐʧ¤ÍÐäÃ? ¾ÃйҤ¹Ñ鹨֧ᨌ§à¹×éͤÇÒÁ¹Ñé¹á¡‹ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂ. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¡ÃÒº·ÙÅàÃ×èͧ¹Ñé¹
ᴋ¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤.
ÅíҴѺ¹Ñé¹ ¾ 䴌·Ã§»Ãзҹ¾Ãоط¸â¸ÇÒ·¹Õéᡋ¹Ò¤¹Ñé¹Ç‹Ò ¾Ç¡à¨ŒÒ໚¹¹Ò¤ ÁÕ¤ÇÒÁäÁ‹§Í¡§ÒÁ㹸ÃÃÁÇÔ¹ÂÑ ¹Õàé »š¹¸ÃÃÁ´Ò ä»à¶Ô´
਌ҹҤ ¨§ä»ÃÑ¡ÉÒÍØâºÊ¶ã¹Çѹ·Õè 14 ·Õè 15 áÅзÕè 8 áˋ§»˜¡É¹Ñé¹áËÅÐ ´ŒÇÂÇÔ¸Õ¹Õé਌Ҩѡ¾Œ¹¨Ò¡¡íÒà¹Ô´¹Ò¤ áÅШѡ¡ÅѺ䴌ÍѵÀҾ໚¹Á¹Øɏ
àÃçǾÅѹ. ¤ÃÑé¹¹Ò¤¹Ñé¹ä´Œ·ÃÒºÇ‹Ò µ¹ÁÕ¤ÇÒÁäÁ‹§Í¡§ÒÁã¹¾ÃиÃÃÁÇԹѹÕé໚¹¸ÃÃÁ´Ò ¡çàÊÕÂã¨ËÅÑ觹éíÒµÒ Ê‹§àÊÕ§´Ñ§áŌÇËÅÕ¡ä».
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ à˵Øáˋ§¤ÇÒÁ»ÃÒ¡¯µÒÁÊÀÒ¾¢Í§¹Ò¤ ÁÕÊͧ»ÃСÒùÕé ¤×Í àÇÅÒàʾàÁ¶Ø¹¸ÃÃÁ¡Ñº¹Ò§¹Ò¤ ¼ÙŒÁÕªÒµÔàÊÁ͡ѹ 1
àÇÅÒÇҧ㨹͹ËÅѺ 1 ´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ à˵Øáˋ§¤ÇÒÁ»ÃÒ¡¯µÒÁÊÀÒ¾¢Í§¹Ò¤ 2 »ÃСÒùÕéáŔ
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ÊѵǏ´ÔÃ¨Ñ ©Ò¹ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãËŒÍ»Ø ÊÁº· ·ÕÍè »Ø ÊÁº·áÅŒÇ µŒÍ§ãËŒÊ¡Ö àÊÕ”. วิ.ม.4/127/144
ทังปาราชิก(เมือยังไม่สละเพศ)และสัตว์เดรัจฉาน จัดเป็ นอภัพพบุคคล ไม่อาจตรัสรูไ้ ด้
2. ไม่เป็ นมนุ ษย์วิบตั ิ คือถูกตอนเป็ นต้นไม่
ภาวรูป 2 : ภาวรูป แปลว่า รูปบอกความเป็ นหญิง เป็ นชาย มี 2 ชนิ ด คือ อิตถีภาวะความเป็ นหญิงหรือเพศหญิง ปุริสภาวะ ความเป็ นชายหรือเพศ
ชาย สิงทีเป็ นเครืองบอกเพศนัน มี 4 อย่าง คือ สงฺคห.ปริจเฉท 1 หน้า 10
(1) ลิงฺค อวัยวะเพศ ตลอดจนรูปร่างสัณฐาน หน้าตา มือ เท้า เป็ นต้น ของหญิงก็เป็ นอย่างหนึ ง ของชายก็เป็ นอย่างหนึ ง มีลกั ษณะเฉพาะแต่ละเพศ
(2) นิ มิตฺต เครืองหมายเพศ เช่น เสียงพูด เสียงหัวเราะ การยิม ตลอดจนเครืองหมายเพศอืนๆ เช่น ชายมีหนวด มีเครา หญิงไม่มี เป็ นต้น
(3) กุตฺต กิริยาท่าทาง นิ สยั การเคลือนไหว การเล่น การกระทํา หญิงก็นุ่มนวล อ่อนโยน เรียบร้อย ชายก็เข้มแข็ง ว่องไว อาจหาญ ขึงขัง เป็ นต้น
(4) อากปฺป กิริยามารยาท การเดิน การนัง การนอน การกิน การพูด สําหรับหญิงก็อ่อนโยน แช่มช้อย สําหรับชายก็เข้มแข็ง องอาจ เป็ นต้น
3. ไม่ใช่คนทําความผิดอย่างร้ายแรง เช่น ฆ่ามารดาบิดา พระอรหันต์ ประทุษร้ายภิกษุ ณี เป็ นต้น
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ¤¹¦‹ÒÁÒÃ´Ò ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕÂ. ÇÔ.Á.4/128/145
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ¤¹¦‹ÒºÔ´Ò ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕÂ. ÇÔ.Á.4/129/145
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×ͤ¹¦‹Ò¾ÃÐÍÃËѹµ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕÂ. ÇÔ.Á.4/130/146
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×ͤ¹»ÃзØÉÌÒÂÀÔ¡ÉØ³Õ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕÂ. ÇÔ.Á.4/131/146
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×ͤ¹¼ÙŒ·íÒÊѧ¦àÀ· ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕÂ.
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×ͤ¹·íÒÌÒ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨¹¶Ö§ËŒÍ¾ÃÐâÅËÔµ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áÅŒÇ µŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕÂ.

๒๖๖
4. ไม่ใช่คนทําความเสียหายในพระพุทธศาสนาอย่างหนัก เช่น เป็ นปาราชิกเมือบวชคราวก่อน หรือไป
เข้ารีตเดียรถียท์ งที
ั เป็ นภิกษุ
(สําหรับผูเ้ คยเป็ นอัญญเดียรถียม์ าก่อน) ทรงวางหลักติตถิยปริวาส วิ.ม.4/100/133
ก็สมัยนั น ภิกษุ รูปหนึ ง เคยเป็ นอัญญเดียรถีย(์ เคยบวชในลัทธิอืน) ประพฤติไม่เหมาะสม พระอุปัชฌาย์จึงว่ากล่าวตักเตือน
แต่ภิกษุ นันไม่ยอมเชือฟั ง ย้อนกล่าวตอบโต้พระอุปัชฌาย์ แล้วกลับไปเข้ารีตเดียรถีย์ตามเดิม ต่อมาไม่นาน ภิกษุ นันออกจาก
สํานั กเดียรถีย์ มาขอบวชเป็ นภิกษุ ในพระพุทธศาสนาอีก พระผูม้ ีพระภาคทรงทราบเรืองนั น จึงทรงวางข้อกําหนดไว้ว่า
“ดู ก รภิ ก ษุ ทั งหลาย ภิ ก ษุ ที เคยเป็ นอั ญ ญเดี ย รถีย์ อั นอุ ปั ชฌาย์ว่ า กล่ าวอยู่โ ดยชอบธรรม ได้ย กวาทะของ
อุปัชฌายะเสี ย แล้วเข้าไปสู่ลัทธิ เดี ยรถีย์นันดังเดิ ม มาแล้ว ไม่ พึงอุปสมบทให้, แม้ผอู ้ ื นที เคยเป็ นอั ญญเดี ยรถีย์ หวัง
บรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินยั นี พึงให้ปริวาส 4 เดือนแก่เธอ”
ปริวาสนี เรียกว่า “ติดถิ ยปริวาส” ผูเ้ คยเป็ นอัญญเดียรถี ย์จะสมาทานปฏิบัติตอ้ งเปล่งคําขอถึงพระรัตนตรัย กล่ าวคําขอ
ติตถิยปริวาส สงฆ์ให้ปริวาสด้วยญัตติทุติยกรรม ผูน้ ั นอยู่ปริวาสกรรม 4 เดือน ต่อจากนั นจึงมีสิทธิบวชเป็ นภิกษุ ได้
แต่พระผูม้ ีพระภาคให้ขอ้ ยกเว้นไม่ตอ้ งอยู่ติดถิยปริวาสแก่พวกชฎิลบูชาไฟ เพราะทรงถือว่าเป็ นผูท้ ีสังสอนศาสนิ กในทางที
เหมาะสมอยู่แล้ว คือ เป็ นพวกกรรมวาทีและกิริยวาที และทรงให้ขอ้ ยกเว้นแก่พวกพระญาติ
(แจกแจงรายข้อได้ดงั นีคือ) บุคคลทีถูกห้ามอุปสมบทโดยเด็ดขาด คือ
1. บัณเฑาะก์(กระเทย) 3 ประเภท ได้แก่ [ห้ามบัณเฑาะก์อุปสมบท วิ.ม.4/125/167] สึก
[125] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ºÑ³à±ÒС (¡ÃÐà·Â) ¤¹Ë¹Ö觺Ǫã¹ÊíҹѡÀÔ¡ÉØ. à¸ÍࢌÒä»ËÒÀÔ¡ÉØ˹؋Áæ áŌǾٴªÇ¹Í‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò “ÁÒà¶Ô´·‹Ò¹
·Ñé§ËÅÒ ¨§»ÃзØÉÌÒ (ËÇÁ»ÃÐàdzÕËÃ×Í¢‹Á¢×¹) ¢ŒÒ¾à¨ŒÒ”. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¾ٴÃØ¡ÃÒ¹Ç‹Ò à¨ŒÒºÑ³à±ÒС¨§©ÔºËÒ ਌Һѳà±ÒС¨§¾Ô¹ÒÈ
¨Ð»ÃÐ⪹ÍÐäôŒÇÂ਌Ò. à¸Í¶Ù¡¾Ç¡ÀÔ¡ÉؾٴÃØ¡ÃÒ¹ ¨Ö§à¢ŒÒä»ËҾǡÊÒÁà³Ã⤋§¼ÙŒÁÕËҧÅèíÒÊѹ áŌǾٴªÇ¹Í‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ÁÒà¶Ô´·‹Ò¹·Ñé§ËÅÒÂ
¨§»ÃзØÉÌÒ¢ŒÒ¾à¨ŒÒ. ¾Ç¡ÊÒÁà³Ã¾Ù´ÃØ¡ÃÒ¹Ç‹Ò à¨ŒÒºÑ³à±ÒС¨§©ÔºËÒ ਌Һѳà±ÒС¨§¾Ô¹ÒÈ ¨Ð»ÃÐ⪹ÍÐäôŒÇÂ਌Ò. à¸Í¶Ù¡¾Ç¡
ÊÒÁà³Ã¾Ù´ÃØ¡ÃÒ¹ ¨Ö§à¢ŒÒä»ËҾǡ¤¹àÅÕ駪ŒÒ§ ¤¹àÅÕé§ÁŒÒ áŌǾٴÍ‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ÁÒà¶Ô´ ·‹Ò¹·Ñé§ËÅÒ ¨§»ÃзØÉÌÒ¢ŒÒ¾à¨ŒÒ. ¾Ç¡¤¹àÅÕé§
ªŒÒ§ ¾Ç¡¤¹àÅÕé§ÁŒÒ »ÃзØÉÌÒÂáŌǨ֧ྋ§â·É µÔàµÕ¹ â¾¹·Ð¹ÒÇ‹Ò ¾ÃÐÊÁ³Ðàª×éÍÊÒ¾ÃÐÈҡºصÃàËŋҹÕé໚¹ºÑ³à±ÒС ºÃôҾǡ
ÊÁ³ÐàËŋҹÕé áÁŒ¾Ç¡ã´·ÕèÁÔ㪋ºÑ³à±ÒС áÁŒ¾Ç¡ ¹Ñ鹡ç»ÃзØÉÌÒºѳà±ÒС àÁ×èÍ໚¹àª‹¹¹Õé ¾ÃÐÊÁ³ÐàËŋҹÕé¡çŌǹᵋäÁ‹ãª‹à»š¹¼ÙŒ»ÃоĵÔ
¾ÃËÁ¨ÃÏ. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂ䴌ÂÔ¹¾Ç¡¤¹àÅÕ駪ŒÒ§ ¾Ç¡¤¹àÅÕé§ÁŒÒ ¾Ò¡Ñ¹à¾‹§â·É µÔàµÕ¹ â¾¹·Ð¹ÒÍÂً ¨Ö§¡ÃÒº·ÙÅàÃ×èͧ¹Ñé¹á´‹¾ÃмٌÁÕ¾ ÃÐ
ÀÒ¤.
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ºÑ³à±ÒС ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕ”.
วิ.ม.อ.6 หน้า 309 มมร. (อรรถกถาปั ณฑกวัตถุ)
1.1 คนทีเป็ นบัณเฑาะก์ในเวลาข้างแรมด้วยอานุ ภาพอกุศลวิบาก แต่ในเวลาข้างขึน ความเร่าร้อนย่อมระงับไป
[ชายมีราคะจัด ชอบประพฤตินอกรีตในการเสพกาม และยัวยวนชายอืนให้ประพฤติตามอย่าง] ชือว่า ปั กขบัณเฑาะก์
1.2 ชายทีถูกตัดองคชาต (หรือทีเรียกว่า ขันที) ชือว่า โอปั กกมิกบัณเฑาะก์
1.3 คนทีเป็ นบัณเฑาะก์โดยกําเนิ ด ชือว่า นปุงสกบัณเฑาะก์
1.4 คนทีดับความใคร่เร่าร้อน(เพราะกาม) ของตนโดยการใช้ปากอมองคชาตของผูอ้ ืนแล้วให้นําอสุจิราดตัวเอง ชือว่า อาสิตตบัณเฑาะก์
1.5 คนทีเมือเห็นผูอ้ ืนประพฤติลว่ งเกินทางเพศกัน เกิดความริษยาขึน ความเร่าร้อนจึงระงับไป ชือว่า อุสูยบัณเฑาะก์
ในอรรถกถาชือกุรุนทีแก้ว่า ในบัณเฑาะก์ 5 ชนิ ดนั น อาสิตตบัณเฑาะก์ และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่หา้ มบรรพชา, 3 ชนิ ดนอกนี หา้ ม
แม้ในบัณเฑาะก์ 3 ชนิ ดนั น สําหรับปั กขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปั กข์ทีเป็ นบัณเฑาะก์เท่านั น. ก็ในบัณเฑาะก์ 3
ชนิ ดนี บัณเฑาะก์ใดทรงห้ามบรรพชา พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาบัณเฑาะก์นัน ตรัสคํานี ว่า อนุ ปสมฺ ปนฺ โน นาเสตพฺโพ.
บัณเฑาะก์แม้นัน ภิกษุ พึงให้ฉิบหายด้วยลิงคนาสนาทีเดียว. เบืองหน้าแต่นี แม้ในคําทีกล่าวว่า พึงให้ฉิบหาย ก็มีนัยนี เหมือนกัน.
2. อุภโตพยัญชนก คือ คน 2 เพศ วิ.ม.4/132/172 สึก
[132] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ÍØÀâµ¾ÂÑ­ª¹¡¤¹Ë¹Öè§ä´ŒºÇªã¹ÊíҹѡÀÔ¡ÉØ . à¸ÍàʾàÁ¶Ø¹¸ÃÃÁã¹ÊµÃÕ·Ñé§ËÅÒ ´ŒÇ»ØÃÔʹÔÁÔµ¢Í§µ¹ºŒÒ§ ãˌ
ºØÃØÉÍ×è¹àʾàÁ¶Ø¹¸ÃÃÁã¹ÍÔµ¶Õ¹ÔÁÔµ¢Í§µ¹ºŒÒ§. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¨֧¡ÃÒº·ÙÅàÃ×èͧ¹Ñé¹á´‹¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤.
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ÍØÀâµ¾ÂÑ­ª¹¡ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕ”.

๒๖๗
3. คนฆ่ามารดา วิ.ม.4/128/170 สึก
4. คนฆ่าบิดา วิ.ม.4/129/171 สึก
5. คนฆ่าพระอรหันต์ ผูก้ ระทําอนั นตริยกรรม 5 วิ.ม.4/130/171 สึก
6. คนทําร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต
7.คนทําลายสงฆ์
8. คนประทุษร้าย(ข่มขืน)ภิกษุ ณี วิ.ม.4/131/172 สึก
9. คนทีเคยต้องอาบัติปาราชิกเมือบวชครังก่อน สึก
10. คนลักเพศ (และคนเข้ารีตเดียรถีย)์ วิ.ม.4/126/168 สึก
หรือ 11.คนเข้ารีตเดียรถีย์
[126] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ºØµÃ¢Í§µÃСÙÅࡋÒᡋ¤¹Ë¹Öè§ à»š¹ÊØ¢ØÁÒÅªÒµÔ ÁÕËÁً­ÒµÔ·ÕèÃٌ¨Ñ¡¡Ñ¹ã¹µÃСÙÅËÁ´ÊÔé¹ä». ¤ÃÑ駹Ñé¹ à¢Ò䴌ÁÕ¤ÇÒÁ
´íÒÃÔÇ‹Ò ‘àÃÒ໚¹¼ÙŒ´Õ äÁ‹ÊÒÁÒö¨ÐËÒâÀ¤·ÃѾ·ÕèÂѧËÒäÁ‹ä´Œ ËÃ×ÍäÁ‹ÊÒÁÒö¨Ð·íÒâÀ¤·ÃѾ·ÕèËÒ䴌áŌÇãˌà¨ÃÔ­§Í¡§ÒÁ ´ŒÇÂÇÔ¸ÕÍÐäÃË¹Í àÃÒ
¨Ö§¨ÐÍÂً໚¹ÊØ ¢ áÅÐäÁ‹µŒÍ§ÅíÒ ºÒ¡’ áŌǤԴ䴌 ã¹·Ñ ¹·Õ¹Ñé¹ Ç‹Ò ¾Ç¡ÊÁ³Ðàª×éÍÊÒ¾ÃÐÈÒ¡ÂºØ µÃàËŋҹÕé áÅ ÁÕ»¡µÔ໚¹ÊØ¢ ÁÕ¤ÇÒÁ»ÃоĵÔ
àÃÕºÌÍ ©Ñ¹ÍÒËÒ÷Õè´Õ ¹Í¹ã¹ËŒÍ§¹Í¹ÍѹÁÔ´ªÔ´ ¶ŒÒ¡ÃÐäà àÃÒ¾Ö§¨Ñ´á¨§ºÒµÃ¨ÕÇà ⡹¼ÁáÅÐ˹Ǵ ¤Ãͧ¼ŒÒŒÍÁ½Ò´àÊÕÂàͧ áŌÇä»
ÍÒÃÒÁÍÂًËÇÁ¡ÑºÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂ. µ‹ÍÁÒ à¢Ò䴌¨Ñ´á¨§ºÒµÃ¨ÕÇà ⡹¼ÁáÅÐ˹Ǵ ¤Ãͧ¼ŒÒŒÍÁ½Ò´àͧ áŌÇä»ÍÒÃÒÁ¡ÃÒºäËnjÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂ.
ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¶ÒÁÇ‹Ò ¤Ø³ÁÕ¾ÃÃÉÒ䴌෋ÒäÃ? à¢ÒŒ͹¶ÒÁÇ‹Ò ·Õèª×èÍNjÒÁÕ¾ÃÃÉÒ䴌෋Òäà ¹Ñè¹ÍÐäáѹ ¢ÍÃѺ? ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¶ÒÁÇ‹Ò ÍÒÇØâÊ ã¤Ã
໚¹¾ÃÐÍØ»˜ª¬Ò¢Í§¤Ø³? à¢ÒŒ͹¶ÒÁÇ‹Ò ·Õèª×èÍNjҾÃÐÍØ»˜ª¬Ò ¹Ñè¹ÍÐäáѹ ¢ÍÃѺ? ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂ䴌ᨌ§àÃ×èͧ¹Ñé¹µ‹Í·‹Ò¹¾ÃÐÍغÒÅÕÇ‹Ò ÍÒÇØâÊ
ÍغÒÅÕ ¢Í¹ÔÁ¹µ·‹Ò¹ÊͺÊǹ ºÃþªÔµÃÙ»¹Õé. ¤ÃÑé¹à¢Ò¶Ù¡·‹Ò¹¾ÃÐÍغÒÅÕÊ ÍºÊǹ ¨Ö§á¨Œ§àÃ×è ͧ¹Ñé¹ ãˌ· ÃÒº. ·‹Ò¹¾ÃÐÍغÒÅÕ䴌ᨌ §ãˌ ÀÔ ¡ ÉØ
·Ñé§ËÅÒ·ÃÒºáŌÇ. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ¨֧¡ÃÒº·ÙÅàÃ×èͧ¹Ñé¹á´‹¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤.
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ¤¹ÅÑ¡à¾È ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áŌǵŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕ”.
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ͹ػÊÑÁºÑ¹ ¤×Í ¼ÙŒä»à¢ŒÒÃÕ´à´ÕÂöՏ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌÍØ»ÊÁº· ·ÕèÍØ»ÊÁº·áÅŒÇ µŒÍ§ãˌÊÖ¡àÊÕ”.
บุคคลทีไม่ได้ถูกห้ามอุปสมบทโดยเด็ดขาด [รูปใดให้บวชต้องอาบัติทุกกฏ]
ºØ¤¤ÅäÁ‹¤ÇÃãˌºÃþªÒ 32 ¨íҾǡ (ÇÔ.Á.4/135/149)
[135] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒºÃþªÒ¤¹Á×Í´ŒÇ¹ ... ºÃþªÒ¤¹à·ŒÒ´ŒÇ¹ ... ºÃþªÒ¤¹·Ñé§Á×ÍáÅÐ෌ҴŒÇ¹ ... ºÃþªÒ¤¹ËÙ ¢Ò´
... ºÃþªÒ¤¹¨ÁÙ¡áËNj§ ... ºÃþªÒ¤¹·Ñé§ËÙ¢Ò´ áÅШÁÙ¡áËNj§ ... ºÃþªÒ¤¹¹ÔéÇÁ×͹ÔéÇ෌ҢҴ ... ºÃþªÒ¤¹ÁÕ§‹ÒÁÁ×ͧ‹ÒÁ෌ҢҴ ...
ºÃþªÒ¤¹àÍç¹¢Ò´ ... ºÃþªÒ¤¹Á×Í໚¹á¼‹¹ ... ºÃþªÒ¤¹¤‹ÍÁ ... ºÃþªÒ¤¹àµÕé ... ºÃþªÒ¤¹¤Í¾Í¡ ... ºÃþªÒ¤¹¶Ù¡ÊÑ¡ËÁÒÂ
â·É ... ºÃþªÒ¤¹ÁÕ ÃÍÂà¦Õè ¹´ŒÇÂËÇÒ ... ºÃþªÒ¤¹¶Ù ¡ ÍÍ¡ËÁÒÂÊÑè§¨Ñ º ... ºÃþªÒ¤¹à·ŒÒ »Ø¡ ... ºÃþªÒ¤¹ÁÕ âäàÃ×é ÍÃÑ § ...
ºÃþªÒ¤¹ÁÕÃٻËҧäÁ‹ÊÁ»ÃСͺ ... ºÃþªÒ¤¹µÒºÍ´¢ŒÒ§à´ÕÂÇ ... ºÃþªÒ¤¹§‹Í ... ºÃþªÒ¤¹¡ÃШ͡ ... ºÃþªÒ¤¹à»š¹âä
ÍÑÁ¾Òµ ... ºÃþªÒ¤¹ÁÕÍÔÃÔÂÒº¶¢Ò´ ... ºÃþªÒ¤¹ªÃҷؾ¾ÅÀÒ¾ ... ºÃþªÒ¤¹µÒºÍ´Êͧ¢ŒÒ§ ... ºÃþªÒ¤¹ãºŒ ... ºÃþªÒ¤¹ËÙ
˹ǡ ... ºÃþªÒ¤¹·Ñ駺ʹáÅÐ㺌 ... ºÃþªÒ¤¹·Ñ駺ʹáÅÐ˹ǡ ... ºÃþªÒ¤¹·Ñé§ãºŒáÅÐ˹ǡ ... ºÃþªÒ¤¹·Ñ駺ʹ㺌áÅÐ˹ǡ.
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ºÃþªÒ¤¹Á×Í´ŒÇ¹ ... äÁ‹¾Ö§ºÃþªÒ¤¹·Ñ駺ʹ㺌áÅÐ˹ǡ Ãٻ㴺ÃþªÒãˌ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯”.

1. คนเป็ นโรคติดต่อ เป็ นโรคเรือรัง เช่นโรคเรือน โรคฝี โรคกลาก วิ.ม.4/101/139


[ในมคธชนบทเกิดโรคระบาด ขึน 5 ชนิ ด คือ โรคเรือน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ(โรคหลอดลมโป่ งพอง มีเสมหะแห้งอยูใ่ นช่องหลอดลม ทําให้มี
อาการไอเรือรัง) โรคลมบ้าหมู สมัยนั นประชาชนทังหลายจึงบวชเพือต้องการรักษาโรคระบาด จากหมดชีวกโกมารภัจจ์ โดยมีความดําริว่า “พระ
สมณะเชือสายพระศากยบุตรเหล่านี แล มีปรกติเป็ นสุข มีความประพฤติสบาย ฉันอาหารทีดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้ากระไร เราพึงบวชในสํานั ก
พระสมณะเชือสายพระศากยบุ ตร ในทีนัน ภิกษุ ทงหลายจั ั กพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์จกั รักษา-” “- เราหายโรคแล้วจักสึก” จึงพากันไปขอ
บรรพชาอุปสมบท ภิกษุ ทงหลายให้
ั พวกเขาบรรพชาอุปสมบท แล้วต้องพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์ตอ้ งรักษาพวกเขา สมัยต่อมา ภิกษุ ทงหลาย ั
พยาบาลภิกษุ อาพาธมากรูป เป็ นเหตุให้เป็ นผูม้ ากด้วยการขอร้อง มากด้วยการขออยูว่ า่ “ขอจงให้อาหารสําหรับภิกษุ ผพู ้ ยาบาลภิกษุ อาพาธ ขอจงให้
เภสัชสําหรับภิกษุ ผอู ้ าพาธ” แม้หมอชีวกฯ ก็ตอ้ งปฏิบตั ิราชกิจบกพร่อง ต่อมา มีภิกษุ รูปหนึ งหายโรคแล้วก็สึก]
2. คนอวัยวะไม่สมบูรณ์ เช่น มือด้วน เท้าด้วน หูขาด จมูกแหว่ง นิ วมือนิ วเท้าขาด ………….
3. คนอวัยวะไม่สมประกอบ (คนมีรูปร่างผิ ดปกติ) เช่น คอพอก คนค่อม สูง-ตํา-ดํา-ขาวเกินไป
4. คนพิการ เช่น ตาบอด ตาบอดข้างเดียว เป็ นง่อย เป็ นใบ้ หูหนวก บุคคลไม่ควรให้บวช 32 จําพวก
5. คนทุพพลภาพ คือ คนแก่ คนเคลือนไหวเองไม่ได้ …………………………………... (วิ.ม.4/135/176)

๒๖๘
6. คนทีมีขอ้ ผูกพัน เช่น เป็ นราชภัฏ(ข้าราชการ) มารดาบิดาไม่อนุ ญาต
ห้ามราชภัฏบวช (วิ.ม.4/102/119) [ราชภัฏ(เหล่าทหาร)กลัวบาปหนี ทหารออกบวช พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามมหาอํามาตย์ผพู ้ ิพากษาว่า “ภิกษุ
รูปใดให้ราชภัฏบวช ภิกษุ รูปนันมีโทษสถานใด” มหาอํามาตย์กราบทูลว่า “พระอุปัชฌายะต้องถูกตัดศีรษะ พระอนุ สาวนาจารย์ตอ้ งถูกดึงลินออกมา
พระคณะปูรกะต้องถูกหักซีโครงแถบหนึ ง” ท้าวเธอเข้าเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค แล้วได้กราบขอประทานพรต่อพระผูม้ ีพระภาคว่า
“มีอยู่ พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าแผ่นดินทังหลาย ทีไม่มีศรัทธา ไม่ทรงเลือมใสจะพึงเบียดเบียนภิกษุ ทงหลาย
ั แม้ดว้ ยกรณี เพียงเล็กน้อย หม่อม
ฉันขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผูเ้ ป็ นเจ้าทังหลายไม่พึงให้ ราชภัฏบวช”]
[ดูกรภิกษุทงหลาย
ั ราชภัฏ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ]
7. คนเคยถูกอาญาแผ่นดิน เช่น เคยติดคุก [ห้ามบวชบุรุษผูถ้ ูกลงอาญาเฆียนด้วยหวาย และสักหมายโทษ วิ.ม.4/106-7/145]
[ห้ามบวชโจรหนีเรือนจํา คนเป็ นทาส] วิ.ม.4/104/143
ห้ามบวช โจรผูถ้ ูกออกหมายสังจับ [105] ൹ ⢠»¹ ÊÁ๠ÍÚµâà »ØÃÔâÊ â¨ÃÔ¡í ¡µÚÇÒ »ÅÒÂÔµÚÇÒ ÀÔ¡Ú¢ÙÊØ »¾Ú¾ªÔâµ âËµÔ Ï âÊ ¨ ÃÚâ ͹Úàµ
»Øàà ÅÔ¢Ôâµ âËµÔ ÂµÚ¶ »ÊÚÊÔµ¾Úâ¾ µµÚ¶ ˹ڵ¾Úâ¾µÔ Ï Á¹ØÊÚÊÒ »ÊÚÊÔµÚÇÒ àÍÇÁÒËíÊØ ÍÂí âÊ ÅԢԵ⡠â¨âà ˹ڷ ¹í ˹ÒÁÒµÔ Ï
¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ºØÃØɤ¹Ë¹Ö觷íÒâ¨Ã¡ÃÃÁ áŌÇ˹Õ仺Ǫã¹ÊíҹѡÀÔ¡ÉØ áÅкØÃØɹÑ鹶١਌Ò˹ŒÒ·ÕèÍÍ¡ËÁÒ»ÃСÒÈänj·ÑèÇ
ÃÒªÍҳҨѡÃÇ‹Ò ¾ºã¹·Õèã´ ¾Ö§¦‹ÒàÊÕÂã¹·Õè¹Ñé¹. ¤¹·Ñé§ËÅÒÂàËç¹áÅŒÇ ¡Å‹ÒÇÍ‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Õé ¤×Íâ¨Ã¼ÙŒ¶Ù¡ÍÍ¡ËÁÒ¨Ѻ¤¹¹Ñé¹ ¶ŒÒ¡ÃÐäÃ
¾Ç¡àÃÒ¨§¦‹ÒÁѹàÊÕÂ.
ห้ามบวช คนมีหนี [108] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ Å١˹Õ餹˹Öè§Ë¹ÕºÇªã¹ÊíҹѡÀÔ¡ÉØ. ¾Ç¡à¨ŒÒ·ÃѾ¾ºáÅŒÇ ¡Å‹ÒÇÍ‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ÀÔ¡ÉØÃÙ»¹Õé¤×ÍÅ١˹Õé
¢Í§¾Ç¡àÃÒ¤¹¹Ñé¹ ¶ŒÒ¡ÃÐäà ¾Ç¡àÃÒ¨§¨ÑºÁѹ. ਌ҷÃѾºÒ§¾Ç¡¾Ù´·Ñ´·Ò¹Í‹ҧ¹ÕéÇ‹Ò ·‹Ò¹·Ñé§ËÅÒÂÍ‹Ò䴌¾Ù´àª‹¹¹Õé à¾ÃÒоÃÐ਌ҾÔÁ
¾ÔÊÒèÍÁàʹÒÁÒ¤¸ÃÒª 䴌ÁÕ¾ÃкÃÁÃҪҹحҵäÇŒÇ‹Ò “¡ØźصÃàËŋÒ㴺Ǫã¹Êíҹѡ¾ÃÐÊÁ³Ðàª×éÍÊÒ¾ÃÐÈҡºصà ¡ØźصÃàËŋҹÑé¹
ã¤Ãæ ¨Ð·íÒÍÐäÃäÁ‹ä´Œ à¾ÃÒиÃÃÁÍѹ¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤µÃÑÊänj´ÕáÅŒÇ ¨§»ÃоĵԾÃËÁ¨ÃÏà¾×èÍ·íÒ·ÕèÊØ´·Ø¡¢â´ÂªÍºà¶Ô´”.
»ÃЪҪ¹¨Ö§à¾‹§â·É µÔàµÕ¹ â¾¹·Ð¹ÒÇ‹Ò ¾ÃÐÊÁ³Ðàª×éÍÊÒ¾ÃÐÈҡºصÃàËŋҹÕé ÁÔ㪋¼ÙŒËźËÅÕ¡ÀÑ ã¤Ãæ ¨Ð·íÒÍÐäÃäÁ‹ä´Œ ᵋ
䩹¨Ö§ãˌ¤¹ÁÕ˹ÕéºÇªàŋÒ. ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¡ÃÒº·ÙŤÇÒÁàÃ×èͧ¹Ñé¹á´‹¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤.
¾ÃмٌÁÕ¾ÃÐÀÒ¤ÃѺÊÑ觡ÐÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÇ‹Ò “´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¤¹ÁÕ˹Õé ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ãˌºÇª ÃÙ»ã´ãˌºÇª µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯”.
8. คนก่อความไม่สงบแก่สังคม เช่น เป็ นโจรมีชือโด่งดัง (วิ.ม.4/103/121)
[โจรองคุลิมาลบวช ชาวบ้านเห็นแล้วพากันตกใจ เมินหน้าไปทางอืน ปิ ดประตูเสียบ้าง ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน]
[“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั โจรทีขึนชือโด่งดัง ภิกษุ ไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ”]
9. คนไม่มีอุปัชฌาย์ หรือมีบุคคลอืนทีขาดคุณสมบัติเป็ นอุปัชฌาย์
10. คนไม่มีบาตร ไม่มีจีวร
ºØ¤¤ÅäÁ‹¤ÇÃãËŒÍ»Ø ÊÁº· 20 ¨íҾǡ (ÇÔ.Á.4/133-4/147-8)
[133] … ´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¡ØźصüٌäÁ‹ÁÕÍØ»˜ª¬Ò ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãˌ ÃÙ»ã´ÍØ»ÊÁº·ãˌ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯.
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¡ØźصÃÁÕʧ¦à»š¹ÍØ»˜ª¬Ò ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãˌ ÃÙ»ã´ÍØ»ÊÁº·ãˌ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯.
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¡ØźصÃÁÕ¤³Ð໚¹ÍØ»˜ª¬Ò ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãˌ ÃÙ»ã´ÍØ»ÊÁº·ãˌ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯.
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصÃÁպѳà±ÒС... ºØ¤¤ÅÅÑ¡à¾È... ÀÔ¡ÉØä»à¢ŒÒÃÕ´à´ÕÂöՏ... ÊѵǏ´ÔÃѨ©Ò¹... ¤¹¦‹ÒÁÒôÒ... ¤¹
¦‹ÒºÔ´Ò... ¤¹¦‹Ò¾ÃÐÍÃËѹµ... ¤¹»ÃзØÉÌÒÂÀÔ¡ÉسÕ... ¤¹·íÒÊѧ¦àÀ·... ¤¹·íÒÌÒ¾ÃÐÈÒÊ´Ò¨¹ËŒÍ¾ÃÐâÅËÔµ... ÍØÀâµ¾ÂÑ­ª¹¡à»š¹
ÍØ»˜ª¬Ò.
“´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¡ØźصÃÁպѳà±ÒСà»š¹ÍØ»˜ª¬Ò ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãˌ ÏÅÏ ÃÙ»ã´ÍØ»ÊÁº·ãˌ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯”.
[134] ¡çâ´ÂÊÁѹÑé¹áÅ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصüٌäÁ‹ÁÕºÒµÃ. ¾Ç¡à¸Íà·ÕèÂÇÃѺºÔ³±ºÒµ´ŒÇÂÁ×Í...
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصüٌäÁ‹ÁÕ¨ÕÇÃ. ¾Ç¡à¸Íà»Å×Í¡ÒÂà·ÕèÂÇÃѺºÔ³±ºÒµ.
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصüٌäÁ‹ÁÕ·Ñ駺ҵ÷Ñ駨ÕÇÃ
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصÃÁպҵ÷ÕèÂ×Áà¢ÒÁÒ. àÁ×èÍÍØ»ÊÁº·áÅŒÇ à¨ŒÒ¢Í§¡ç¹íҺҵä׹ä».
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصÃÁÕ¨ÕÇ÷ÕèÂ×Áà¢ÒÁÒ.
ÊÁѵ‹ÍÁÒ ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂÍØ»ÊÁº·¡ØźصÃÁÕºÒµÃáÅШÕÇ÷ÕèÂ×Áà¢ÒÁÒ.
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ÏÅÏ ¡ØźصÃÁÕºÒµÃáÅШÕÇ÷ÕèÂ×Áà¢ÒÁÒ ÀÔ¡ÉØäÁ‹¾Ö§ÍØ»ÊÁº·ãˌ ÃÙ»ã´ÍØ»ÊÁº·ãˌ µŒÍ§ÍҺѵԷء¡¯.
อัฐบริขาร หมายถึง เครืองใช้สอยของพระในพระพุทธศาสนา มี 8 อย่าง คือ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนหรือทีตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว กระบอก
นํา , บริขาร แปลว่า เครืองใช้สอยของนักพรต ม.ม.อ.21/530, วิ.ม.อ.1/769
[ภิกษุ ไม่มีผา้ กรองนํา อย่าเดินทางไกล รูปใดเดินทาง ต้องอาบัติทุกกฏ, ถ้าผ้ากรองนําหรือกระบอกกรองนําไม่มี แม้มุมผ้าสังฆาฏิก็พึงอธิษฐานว่า
เราจักกรองนําด้วยมุมผ้าสังฆาฏินีดืม] วิ.จุล.7/74
(ถ้าเป็ นคนมีโทษข้อใดข้อหนึ งในวัตถุสมบัติ จะอุปสมบทไม่ได้ เรียกว่า วัตถุวิบตั ิ)

๒๖๙
บริ ข าร = ของใช้ส่ ว นตัว ของพระ, เครื องใช้ส อยประจํา ตัวของ หรือรองเท้า) ก็เรียกว่ามักน้อย สันโดษ แต่มิใช่ผู้ทีทรงมุ่งหมาย
ภิกษุ ; บริขารที จําเป็ นแท้จริง คือ บาตร และ[ไตร]จีวร ซึงต้องมี ในพระสูตรดังกล่าวนัน
พร้อมก่อนจึงจะอุปสมบทได้ แต่ได้ยึดถือกันสืบมาให้มี บริขาร 8 รายการบริขารในพระไตรปิ ฎก ที มีชือและจํานวนใกล้เคียง
(อัฐบริขาร) คือ ไตรจีวร (สังฆาฏิ อุตราสงค์ อันตรวาสก) บาตร กับบริขาร 8 นี พบในสิกขาบทที 10 แห่งสุราปานวรรค ปาจิตตีย์
มีดเล็ก (วาสี, อรรถกถามักอธิบายว่าเป็ นมีดตัดเหลาไม้สีฟัน แต่ (ภิกษุ ซ่อนบริขารของภิกษุ อืน) ได้แก่ บาตร [ไตร]จีวร ผ้านิ สีทนะ
เรานิ ยมพูดกันมาว่ามีดโกนหรือมีดตัดเล็บ) เข็ม ประคดเอว ผ้า กล่องเข็ม ประคดเอว (นับได้ 7 ขาดมีด และเครืองกรองนํา แต่มี
กรองนํา (ปริสสาวนะ, หรือกระบอกกรองนําคือ ธมกรก, ธมกรณ์ นิ สีทนะเพิมเข้ามา), ในคราวจะมีสงั คายนาครังที 2 พวกภิกษุ วชั ชี
, ธัมมกรก หรือธัมมกรณ์) ดังกล่าวในอรรถกถา (เช่น วินย.อ. บุตรได้เทียวหาพวกด้วยการจัดเตรียมบริขารเป็ นอันมากไปถวาย
1/284) ว่า พระเถระบางรูป (วินย.7/643/410) ได้แก่ บาตร จีวร นิ สีทนะ
ติจีวร ฺ จ ปตฺ โต จ วาสี สูจิ จ พนฺ ธนํ กล่ อ งเข็ ม ประคดเอว ผ้า กรองนํ า และธมกรก (ครบ 8 แต่ มี
ปริสฺสาวเนนฏฺ เฐเต ยุตฺตโยคสฺ ส ภิกฺขุโน. นิ สีทนะมาแทนมีด)
ตามปกติ อรรถกถากล่าวถึงบริขาร 8 เมือเล่าเรืองของท่าน คัมภีร์อปทาน (ขุ.อป.33/208/549) นอกจากบรรยาย
ผู ้บรรลุธรรมเป็ นพระปั จเจกพุทธเจ้า ซึงมีบริขาร 8 เกิดขึนเอง เรืองพระบรมสารีริกธาตุ ที ได้รับการอัญเชิญไปบรรจุไว้ ณ สถู ป
พร้อมกับการหายไปของเพศคฤหัสถ์ และเรืองของพระสาวกในยุค เจดียสถานต่างๆ แล้ว ยังได้กล่าวถึงบริขารของพระพุทธเจ้า ซึง
ต้นพุทธกาล ซึงมีบริขาร 8 เกิดขึนเอง เมือได้รับอุปสมบทเป็ น ประดิษฐานอยู่ในทีต่างๆ (หลายแห่งไม่อาจกําหนดได้ว่าในบัดนี
เอหิ ภิ ก ขุ นอกจากนี ท่ า นอธิ บายลัก ษณะของภิ ก ษุ ผู้สันโดษว่า คือทีใด) คือ บาตร ไม้เท้า และจีวรของพระผูม้ ีพระภาค อยูใ่ นวชิ
ภิ ก ษุ ผู้ สั น โดษที พระพุ ท ธเจ้า ทรงมุ่ ง หมายในพระสู ต ร (เช่ น รานคร สบงอยู่ ใ นกุ ล ฆรนคร (เมื อ งหนึ งในแคว้น อวัน ตี )
สามัญญผลสูตร, ที .สี.9/91/61) ซึงเบาตัวจะไปไหนเมือใดก็ได้ บรรจถรณ์อยูเ่ มืองกบิล ธมกรกและประคดเอวอยูน่ ครปาฏลิ บุ ตร
ตามปรารถนาดังนกที มีแต่ปีกจะบินไปไหนเมือใดได้ดงั ใจนั น คือ ผ้าสรงอยู่ทีเมืองจัมปา ผ้ากาสาวะอยู่ในพรหมโลก ผ้าโพกอยู่ที
ท่ า นที มี บริ ข าร 8 ส่ ว นผู ้ที มี บริ ข าร 9 (เพิมผ้า ปู ล าด หรื อ ลู ก ดาวดึงส์ ผ้านิ สีทนะอยูใ่ นแคว้นอวันตี ผ้าลาดอยูใ่ นเทวรัฐ ไม้สีไฟ
กุญแจ) มีบริขาร 10 (เพิมผ้านิ สีทนะ หรือแผ่ นหนั ง) มีบริขาร อยู่ในมิถิลานคร ผ้ากรองนําอยู่ในวิเทหรัฐ มีดและกล่องเข็มอยูท่ ี
11 (เพิมไม้เท้า หรือทะนานนํ ามัน) หรือมีบริขาร 12 (เพิมร่ม เมื อ งอิ น ทปั ตถ์ บริ ข ารเหลื อ จากนั นอยู่ ใ นอปรั น ตกชนบท
(สันนิ ษฐานว่าเป็ นดินแดนแถบรัฐ Gujarat ในอินเดีย ถึง Sind ใน
ปากีสถานปั จจุบนั )
………………………………………………………

2. ปริสสมบัติ ได้แก่ ครบองค์กาํ หนดการประชุมสงฆ์ผทู ้ าํ กิจนันๆ


อุปสมบทด้วยคณะ วิ.ม.4/89/97
สมัยนั นแล ภิกษุ ทงหลายอุ
ั ปสมบทด้วยคณะมีพวก 2 บ้าง มีพวก 3 บ้าง มีพวก 4 บ้าง
“ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงให้อุปสมบทด้วยคณะ ซึงมีพวกหย่อน 10 รูปใดให้อุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ”,
“ดูกรภิกษุทังหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทด้วยคณะมีพวก 10 หรือมีพวกเกิน 10 ฯ”
(ซึงต่อมาได้ทรงกําหนดภิกษุ สงฆ์ผเู ้ ข้าร่วมในอุปสมบทกรรมว่าต้อง 5 รูปเป็ นอย่างตํา สําหรับในปั จจันตชนบท,
และ 10 รูปเป็ นอย่างตํา สําหรับการอุปสมบทในมัธยมประเทศ)
[23] ... 1. ´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¨Ñ§ËÇÑ´ÍÇѹµÕ·Ñ¡¢Ô³Òº¶ ÁÕÀÔ¡ÉعŒÍÂÃÙ» àÃÒ͹حҵ¡ÒÃÍØ»ÊÁº·´ŒÇ¤³Ðʧ¦ÁÕÇԹѸÃ໚¹·Õè 5 䴌
·ÑèÇ»˜¨¨Ñ¹µª¹º· 1- (ÇÔ.Á.5/23/27)
¡íÒ˹´à¢µ»˜¨¨Ñ¹µª¹º·áÅÐÁѪ¬ÔÁª¹º· ºÃôҪ¹º·àËŋҹÑé¹ »˜¨¨Ñ¹µª¹º· ÁÕ¡íÒ˹´à¢µ ´Ñ§¹Õé:-
ã¹·ÔȺÙþÒÁÕ¹Ô¤Áª×èÍ¡ªÑ§¤ÅÐ ¶Ñ´¹Ô¤Á¹Ñé¹ÁÒ¶Ö§ÁËÒÊÒŹ¤Ã ¹Í¡¹Ñé¹ÍÍ¡ä»à»š¹»˜¨¨Ñ¹µª¹º· ËÇÁã¹à»š¹ÁѪ¬ÔÁª¹º· 1-
@1. ¨Ñ§ËÇÑ´ÀÒÂã¹à»š¹Èٹ¡ÅÒ§¢Í§»ÃÐà·È
ã¹·ÔÈÍÒ¤à¹Â ÁÕáÁ‹¹éíÒª×èÍÊÑÅÅÇµÕ ¹Í¡áÁ‹¹éíÒÊÑÅÅǵչÑé¹ÍÍ¡ä» à»š¹»˜¨¨Ñ¹µª¹º· ËÇÁã¹à»š¹ÁѪ¬ÔÁª¹º·
ã¹·ÔÈ·Ñ¡ÉÔ³ ÁÕ¹Ô¤Áª×èÍàʵ¡Ñ³³Ô¡Ð ¹Í¡¹Ô¤Á¹Ñé¹ÍÍ¡ä»à»š¹»˜¨¨Ñ¹µª¹º· ËÇÁã¹à»š¹ÁѪ¬ÔÁª¹º·
ã¹·ÔÈ»˜¨©ÔÁ ÁÕ¾ÃÒËÁ³¤ÒÁª×èͶٹР¹Í¡¹Ñé¹ÍÍ¡ä» à»š¹»˜¨¨Ñ¹µª¹º· ËÇÁã¹à»š¹ÁѪ¬ÔÁª¹º·
ã¹·ÔÈÍØ´Ã ÁÕÀÙà¢Òª×èÍÍØÊÕøªÐ ¹Í¡¹Ñé¹ÍÍ¡ä» à»š¹»˜¨¨Ñ¹µª¹º· ËÇÁã¹à»š¹ÁѪ¬ÔÁª¹º·
´Ù¡ÃÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ àÃÒ͹حҵ¡ÒÃÍØ»ÊÁº· ´ŒÇ¤³Ðʧ¦ÁÕÇԹѸÃ໚¹·Õè 5 䴌 ·ÑèÇ»˜¨¨Ñ¹µª¹º·àËç¹»Ò¹¹Õé
(โดยสรุป) องค์กาํ หนดของสงฆ์ผใู ้ ห้อุปสมบทได้นัน
1. ในประเทศทีมีพระมาก เดิมหมายถึง มัธยมประเทศ กําหนดองค์ของสงฆ์อย่างตํา 10 รูป (รวมอุปัชฌาย์)
2. ในประเทศทีหาพระยาก เดิมหมายถึง ปั จจันตประเทศ กําหนดองค์ของสงฆ์อย่างตํา 5 รูป
(ถ้าหย่อนไปกว่ากําหนด เรียกว่า ปริสวิบตั ิ ให้อุปสมบทไม่สําเร็จ)
3. สีมาสมบัติ ได้ แก่ เขตทีชุมนุมภิกษุผู้เข้ าประชุมสงฆ์แม้ ครบองค์กาํ หนดแล้ ว ก็ต้องสันนิบาตในเขตชุมนุม(สีมา)
ผู้ไม่ได้เข้ าประชุมหรือเข้ าประชุมไม่ได้ (เมืออยู่ในเขตสีมา) ต้ องมอบฉันทะ
(ถ้ าชุมนุ มไม่พร้ อมกัน ไม่ได้ รับฉันทะของผู้ไม่ได้ เข้ าประชุ ม เรียกว่า สีมาวิบตั ิ)
กิจที(สงฆ์ผ้ ใู ห้ อปุ สมบทนัน)จะต้องทําก่อนสวดประกาศ(อุปสมบท) เรียกว่า บุพพกิจ มี 4 ข้อ คือ
1. ต้ องตรวจตราผู้จะอุปสมบทให้ เป็ นผู้สมควร
2. ต้ องให้ มพี ระอุปัชฌายะ (ภิกษุผ้ รู ับรองหรือชักนําเข้ าหมู่)
3. ต้ องตรวจตราบริขารทีจําเป็ นของภิกษุ (คือ ไตรจีวรกับบาตร)
4. ผู้อปุ สมบทต้ องเปล่งคําขออุปสมบท (เพือแสดงความสมัครใจขอผู้จะอุปสมบท)
กรรมวาจาสมบัติ เป็ นหน้ าทีของภิกษุรปู หนึง ผู้มคี วามรู้ความสามารถจะประกาศให้ สงฆ์ฟัง คือ
 เทียวแรก เป็ นคําเผดียงสงฆ์ขอให้ อปุ สมบทให้ แก่ผ้ จู ะอุปสมบท เรียกว่า ญัตติ
 อีก 3 เทียว เป็ นคําหารือและตกลงกันของสงฆ์ เรียกว่า อนุสาวนา
4. ญัตติสมบัติ รวมเรียกว่า กรรมวาจาสมบัติ
5. อนุสาวนาสมบัติ
ต่อจากนันจะมีคาํ ประกาศซําท้ ายว่า “สงฆ์รับผู้นันเป็ นภิกษุเข้ าหมู่เสร็จแล้ ว ผู้ประกาศจําข้ อความนีไว้ ” ในคําประกาศนัน
จะต้ องออกชือผู้ขออุปสมบท และอุปัชฌายะผู้รับรองให้ ถูกต้ อง ขาดไม่ได้
(ถ้ าไม่ถูกระเบียบตามนี เรียกว่า กรรมวาจาวิบตั ิ ใช้ ไม่ได้ )
…………………………………………………………………………..

พระอุปเสนวังคันตบุตรอุปสมบทสัทธิวิหาริก วิ.ม.4/90/97
พระอุปเสนวังคันตบุตร มีพรรษาเดียว อุปสมบทสัทธิวิหาริก พระผู้มีพระภาคทรงติเตียน
“ดูกรโมฆบุรษุ เธอยังเป็ นผู้อนั ผู้อนพึ
ื งโอวาทอนุศาสน์อยู่ ไฉนจึงสําคัญตนเพือโอวาทอนุศาสน์ผ้ อู นเล่
ื า เธอเวียนมาเพือ
ความเป็ นผู้มักมาก ซึงมีความพัวพันด้ วยหมู่เร็วเกินนัก ฯลฯ”
“ดูกรภิกษุทังหลาย ภิกษุมีพรรษาหย่อน 10 ไม่พงึ ให้อุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ,
ดูกรภิกษุทังหลาย เราอนุญาตให้ภกิ ษุมีพรรษาได้ 10 หรือมีพรรษาเกิน 10 ให้อุปสมบทฯ”
(สมัยต่ อมา) ดูกร ภิกษุผเู้ ขลาไม่เฉียบแหลมไม่พงึ อุปสมบท รูปใดให้การอุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ ..
เราอนุญาตภิกษุผมู้ ีความสามารถ มีพรรษาได้ 10 หรือมีพรรษาเกิน 10 ให้อุปสมบท
…………………………………………………………………………..

๒๗๑
ข้อว่า ฉายา เมตพฺ พา มีความว่า พึงวัดเงาว่าชัวบุรุษ 1 หรือว่า 2 ชัวบุรุษ.
ข้อว่า อุตุปฺปมาณํ อาจิกฺขิตพฺ พํ มีความว่า พึงบอกประมาณฤดูอย่างนี ว่า ฤดู ฝน ฤดู หนาว ฤดู รอ้ น และฤดู นันเอง ชือ
ประมาณแห่งฤดูในคํานี ถ้าฤดูทงหลายมีั ฤดู ฝนเป็ นต้น ยิงไม่เต็ม ฤดูใดของอุปสัมบันใด ยังไม่เต็มด้วยวันมีประมาณเท่าใด,
พึงกําหนดวันเหล่านั น แห่งฤดูนัน แล้วบอกส่วนแห่งวัน แก่อุปสัมบันนั น. อีกประการหนึ ง พึงบอกประมาณฤดูอย่างนี ว่า
ฤดูชือนี ทงฤดู
ั นันแลเต็มหรือยังไม่เต็ม พึงบอกส่วนแห่งวันอย่างนี ว่า เช้าหรือเย็น.
บทว่า สงฺ คีติ เป็ นต้น มีความว่า พึงประมาณการบอกทังหมดมีบอกกําหนดเงาเป็ นต้นนี แลเข้าด้วยกันบอกอย่างนี ว่า
เธออันใคร ๆ ถามว่า ท่านได้ฤดูอะไร ? เงาของท่านเท่าไร ? ประมาณฤดูของท่านอย่างไร ส่วนแห่งวันของท่านเท่าไร ? ดังนี
พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฤดูชือนี คือ ฤดูฝนก็ตามฤดูหนาวก็ตาม ฤดูรอ้ นก็ตาม เงาของข้าพเจ้าเท่านี ประมาณฤดูเท่านี ส่วน
แห่งวันเท่านี . วิ.ม.อ.6 หน้า 375

ความหมายของภิกษุ ”12 วินย.1/26/31 พระวินยาธิการ


บทว่า ภิกษุ ความว่า วินยาธิการ /วินะยาทิกาน/ (วินย + อธิ + การ, แปล "เจ้าการพระ
วินยั ") หรือภาษาปากว่า ตํารวจพระ หมายถึง พระภิกษุ ชาวไทยผูม ้ ีหน้าที
ทีชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นผูข้ อ ปฏิบ ัติการตามพระวินยั เรียกเต็มว่า "พระวินยาธิการ"
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร
พระวินยาธิการเป็ นคําใหม่ทีใช้เรียกพระภิกษุ ผไู้ ด้ร ับแต่งตังจาก
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าทีถูกทําลายแล้ว เจ้าคณะจังหวัดให้มีหน้าทีช่วยเหลือด้านการปกครองคณะสงฆ์ในจังหวัด
ชือว่า ภิกษุ โดยสมญา โดยเฉพาะหน้าทีเกียวก ับความสงบเรียบร้อยด้านการปฏิบ ัติวน ิ ยั ของ
พระภิกษุสามเณร
ชือว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา พระวิน ยาธิก ารมีห น้ า ทีตรวจตรา แนะนํ า ตัก เตื อ น และชี แจง
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นเอหิภิกษุ ระเบี ย บปฏิบ ต ั ิแ ก่พ ระภิก ษุ สามเณรในจัง หวัด หรื อ ที เข้า มาในจัง หวัด
บรรดาทีประพฤติไม่เรียบร้อย และหากไม่ปฏิบตั ิตามหรือพบการกระทํา
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นผูอ้ ุปสมบทแล้วด้วยไตร ความผิดก็มีอาํ นาจจับกุมตัวส่งเจ้าคณะผู้ รับผิดชอบหรือเจ้าหน้าทีบ้านเมือง
ให้ดาํ เนินการตามอํานาจหน้าที แต่ไม่มีอาํ นาจในการให้สละสมณเพศ
สรณคมน์ ปัจจุบ ัน พระวินยาธิการเป็ นตําแหน่ งทีย ังไม่มีกฎหมายรองรับ ทํา
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นผูเ้ จริญ ให้ก ารปฏิบตั ห ิ น้าเป็ นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ พระรัตนเมธี เจ้าอาวาสวัดแก้ว
ฟ้ าจุฬ ามณี และเจ้าคณะเขตบางซือ ในฐานะหวั หน้ าพระวิน ยาธิการเขต
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม กรุงเทพมหานคร กล่าวเมือวัน ที 13 มีน าคม 2552 ว่า "การทํางานของ
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นพระเสขะ พระวิน ยาธิการขณะนี ถือว่าลําบาก เพราะเป็ นตําแหน่ งทีย ังไม่มีกฎหมาย
รองรับ จะดําเนินการอะไรก ับพระทีทําผิดพระธรรมวินยั ไม่มีอาํ นาจในการ
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นพระอเสขะ ลงโทษ เมือพบพระทีทําความผิดก็ตอ้ งพาไปให้เจ้าคณะผูป ้ กครองในท้องที
ชือว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็ นผูอ้ นั สงฆ์พร้อมเพรียงกันให้ นัน ๆ วินิ จฉัยลงโทษ รวมท งต้ ั องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าทีตํารวจ
ด้วย" อย่างไรก็ดี หวั หน้ าพระวินยาธิก ารเขตกรุงเทพมหานครเปิ ดเผยว่า
อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กาํ เริบ ควร กําลังมีก ารเสนอร่างพระราชบัญญัติอุปถ ัมภ์และคุม ้ ครองพระพุทธศาสนา
แก่ ฐ านะ บรรดาผู ท้ ี ชื อว่ า ภิ ก ษุ เ หล่ า นั น ภิ ก ษุ นี ใ ดที โดยจะมี ก ารกํา หนดสถานะของพระวิน ยาธิก าร ซึ งจะทํา ให้มีก ฎหมาย
รองรับและจะมีการออกกฎหมายลูกตาม มาอีก โดยอาจจะกําหนดให้พระ
สงฆ์พร้อมเพรียงกันให้อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถ วิน ยาธิก ารมีอํานาจในการวินิ จฉัยตัดสิน ใจลงโทษได้เ ลย ทําให้มีความ
กรรม อันไม่กําเริบ ควรแก่ฐานะ ภิกษุ นี พระผูม้ ีพระ รวดเร็ ว ในการทํางาน รวมท งจะต้ ั องมีก ารออกระเบีย บการแต่ง ตังพระ
วินยาธิการให้มีคุณสมบัติเป็ นพระส ังฆาธิการด้วย เพือความสะดวกในการ
ภาคทรงประสงค์ว่า ภิกษุ ในอรรถนี วินิ จฉัยลงโทษ และจะทําให้รูปแบบของพระวิน ยาธิก ารเป็ นในลัก ษณะ
เดียวก ันท ัวประเทศ ผิดก ับปัจจุบ ันทีย ังเป็ นในลักษณะต่างคนต่างทําอยู่

๒๗๒
ศัพท์ทีควรรูใ้ นการสอบ เสริมในพรรษา 2
วัตถุสมบัติ คือ ผูบ้ วชต้องปราศจากโทษทีต้องห้าม เช่นเป็ นโรคเรือน เป็ นต้น
ปริสสมบัติ คือ ภิกษุ ผูร้ ่วมประชุมสงฆ์ ในมัชฌิมประเทศมีจาํ นวนอย่างน้อย 10 รูป ส่วนในปั จจันตประเทศอย่างน้อย 5 รูป
อุปัชฌาย์ คือ ภิกษุ ผูร้ บั รองหรือชักนํ าเข้าหมู่
นิ สสัย (นิ สัย) คือ ปั จจัยเครืองอาศัยของบรรพชิต
วินยั คือ หลักปฏิบตั ิสาํ หรับทําให้เกิดความเรียบร้อยทางกายและทางวาจา
อาคาริยวินยั คือ วินยั ของอุบาสกอุบาสิกา(ชาวบ้าน), วินยั ของผูค้ รองเรือน
อนาคาริยวินยั คือ วินยั ของนักบวชในพระพุทธศาสนา เช่น ภิกษุ ภิกษุณี, วินยั ของผูไ้ ม่ครองเรือน
วินยั บัญญัติ ได้แก่ ข้อทีพระพุทธเจ้าทรงห้าม และข้อทีพระพุทธเจ้าทรงอนุญาต
พระวินัย คือ พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร, ทรงตังขึนเพือบริหารหมู่สาวกให้ประพฤติดีงาม ชักจูงให้มีความประพฤติ
ลงรอยเดียวกัน เป็ นทีตังแห่งศรัทธาปสาทะของผูพ้ บเห็น
สิกขาบท คือ พระบัญญัติมาตราหนึ งๆ เป็ นสิกขาบทอันหนึ งๆ หรือรวมมูลบัญญัติและอนุ บญ ั ญัติ
อาทิพรหมจริยกา คือ ข้อห้ามสําหรับภิกษุ (ภิกษุ ณี) เพือป้ องกันความประพฤติเสี ยหาย และกําหนดโทษแก่ภิกษุ (ภิกษุ ณี)
ผูล้ ะเมิดด้วยปรับอาบัติ
อภิสมาจาร คือ ขนบธรรมเนี ยมทีพระพุทธเจ้าทรงตังขึน เพือชักนํ าความประพฤติของสงฆ์ให้ดีงาม, ข้อห้ามเพือความ
ประพฤติและมารยาทอันดีงามสําหรับภิกษุ (ภิกษุ ณี)
อาทิพรหมจริยกาสิกขา คือ ข้อศึกษาอันเป็ นเบืองต้นแห่งพรหมจรรย์
อภิสมาจาริกาสิกขา คือ ข้อศึกษาเนื องด้วยอภิสมาจารคือมารยาทอันดีงาม
มูลบัญญัติ คือ พระบัญญัติทีทรงตังไว้เดิม (ข้อทีทรงบัญญัติไว้เดิม) หรือตังไว้เป็ นคราวแรก
อนุ บญั ญัติ คือ พระบัญญัติทีทรงตังเพิมเติม หรือแก้ไขข้อทีทรงตังไว้เดิม, ข้อทีทรงแก้ไขเพิมเติม
อาบัติ คือ กิริยาทีล่วงละเมิดพระบัญญัติ และมีโทษเหนื อตนอยู่, โทษทีเกิดเพราะละเมิดสิกขาบท คือข้อที
พระพุทธเจ้าทรงห้าม
อาบัติทีเป็ นสจิตตกะ คือ อาบัติทีเกิดขึนโดยสมฏฐานมีเจตนา, เป็ นอาบัติเพราะละเมิดสิกขาบทโดยมีเจตนา เช่น ภิกษุ มี
เจตนาฆ่ามนุ ษย์ให้ตาย เป็ นต้น
อาบัติทีเป็ นอจิตตกะ คือ เป็ นอาบัติเพราะละเมิดสิกขาบท แม้ไม่มีเจตนาก็เป็ นอาบัติ เช่น ทรงอติเรกจีวรเกิน 10 วัน
โลกวัชชะ หมายถึง ชาวโลกติเตียน, เป็ นโทษทางโลก คือผูท้ ีมิใช่ภิกษุ ทําเข้าก็เป็ นความผิด เช่น ลักขโมย
อาบัติโลกวัชชะ คือ อาบัติทีเป็ นโทษทางโลกทีคนสามัญหรือผูม้ ิใช่ภิกษุ ทาํ เข้าก็เป็ นความผิดความเสียหายเหมือนกัน
เช่น ทําโจรกรรม ตลอดถึงโทษทีเบา เช่น ทุบตีกนั ด่ากัน เป็ นต้น
ปั ณณัตติวชั ชะ คือ เป็ นโทษเฉพาะทางพระ(พุทธ)บัญญัติ คือ ผูท้ ีมิใช่พระภิกษุ ทาํ เข้าก็ไม่จดั ว่าผิด เช่น ตัดต้นไม้
อาทิกมั มิกะ คือ ภิกษุ ผกู ้ ่อเหตุทาํ ให้ทรงบัญญัติสิกขาบท
อาบัติทีเป็ นอนาณัตติกะ คือ ภิกษุ ใช้ให้ผูอ้ ืนทํา ตนย่อมไม่เป็ นอาบัติ เช่น ใช้ให้คนอืนกินอาหารในวิกาล
อาบัติทีเป็ นสาณัตติกะ คือ ภิกษุ แม้ใช้ผอู ้ ืนทํา ตนก็เป็ นอาบัติ
อทินนาทาน คือ การถือเอาของผูอ้ ืน ด้วยมีไถยจิต(จิตคิดจะลัก)
ลักสับ หมายความว่า มีไถยจิตสับสลากชือตนกับชือผูอ้ ืนในกองของ ด้วยหมายจะเอาลาภของผูอ้ ืนทีมีราคากว่า
หรือการเอาของปลอมสับเอาของดี
สุงกฆาตะ คือ หนี ภาษี เป็ นอาบัติเพราะของตนเอง
อุตตริมนุ สสธรรม คือ ธรรมอันยิงของมนุ ษย์ ได้แก่ ฌาน สมาบัติ มรรค ผล นิ พพาน
โจทไม่มีมูล คือ โจทด้วยเว้นจากได้เห็น หรือได้ยิน หรือได้รงั เกียจ
หาเลศโจท คือ เอาความผิดทีคนอืนทํามาเป็ นเลศ หรือเอาความผิดเล็กน้อยทีจําเลยทํามาเป็ นเลศโจทให้แรงถึง
ปาราชิก
ทุฏ ุลลาบัติ คือ อาบัติชวหยาบั เพราะมีเรืองหยาบคายอยูม่ าก ได้แก่ อาบัติสังฆาทิเสส
อนิ ยตสิกขาบท คือ สิกขาบททีกําหนดอาบัติไว้ไม่แน่ นอน
ทีลับตา หมายถึง ทีกําบังอันอาจประพฤติล่วงละเมิดถึงปฐมปาราชิก
ทีลับหู หมายถึง ทีแจ้งแต่หา่ ง พูดฟั งไม่ได้ยินอันอาจประพฤติล่วงละเมิดเพียงสังฆาทิเสสเป็ นอย่างสูง

๒๗๓
จีวรอธิษฐาน(ไตรครอง) คือ จีวรทีภิกษุ อธิษฐาน กําหนดไว้ใช้ประจําตัว 3 ผืน คือ สังฆาฏิ อุตตราสงค์และอันตรวาสก
อติเรกจีวร คือ จีวรนอกจากจีวรอธิษฐาน
จีวร คือ ผ้ามีขนาดตังแต่ กว้าง 4 นิ ว ยาว 8 นิ ว ขึนไป
ญาติ คือ คนร่วมสายโลหิตกันทางบิดามารดานั บชันตน1นั บข้างล่าง3นั บข้างบน3 รวมเป็ น 7 วิ.อ.2/165/503
ปวารณา หมายถึง 1.การทีภิกษุ ยอมให้ภิกษุ ดว้ ยกันตักเตือนได้ ปั ตตวรรค บทที 8
2.การทีคฤหัสถ์ยอมให้ภิกษุ ขอปั จจัยได้ หรืออนุ ญาตให้ขอได้ อเจลกวรรค บทที 7
เภสัช 5 คือ เนยใส เนยข้น นํ ามัน นํ าผึง นํ าอ้อย
โภชนะอันประณีต คือ โภชนะอันได้แก่ เนยใส เนยข้น นํ ามัน นํ าผึง นํ าอ้อย ปลา เนื อ นมสด นมข้น อย่างใดอย่างหนึ ง
มุสาวาท แปลว่า กล่าวเท็จ, พูดปด หมายถึง พูดให้คลาดเคลือนจากความจริงด้วยประสงค์จะให้ผอู ้ ืนเข้าใจผิด
ชาตปฐพี(ชาตปฐวี) แปลว่า แผ่นดินแท้ หมายถึง ดินล้วน ดินไม่มีอะไรปน หรือมีสิงอืนปนอยู่เป็ นส่วนน้อย
อชาตปฐพี (อชาตปฐวี) แปลว่า แผ่นดินไม่แท้ หมายถึง หิน/กรวด/กระเบือง/ทรายล้วน หรือมีดินร่วน ดินเหนี ยวปนน้อย
เป็ นของอืนมาก, กองดินร่วน ดินเหนี ยว อันฝนตกรดยังน้อยกว่า 4 เดือน
ภูตคาม หมายถึง พืชพันธุ์ทีเกิดอยู่กบั ที, ต้นไม้เขียวสดทียืนต้นแล้ว
พีชคาม หมายถึง พืชพันธุ์อนั ถูกพรากจากทีแล้ว แต่ยงั เป็ นได้อีก
ปรัมปราโภชน์ หมายถึง โภชนะทีหลัง ได้แก่ กิริยาทีภิกษุ รบั นิ มนต์ไว้ในทีแห่งหนึ ง แล้วกลับไปฉันในทีอืน
ซึงเขานิ มนต์ไว้ทีหลัง
ไม่เอือเฟื อ คือ ภิกษุ ถูกอุปสัมบันว่ากล่าวด้วยบัญญัติหรือข้อวินัยแสดงความไม่เอือเฟื อต่อบุคคลผูต้ กั เตือน
หรือข้อพระวินัยทียกขึนกล่าวนั น,
ความไม่เอือเฟื อ ได้แก่ ความไม่เอือเฟื อ 2 อย่าง คือ ความไม่เอือเฟื อในบุคคล1 ความไม่เอือเฟื อในธรรม1
เสขิยวัตร แปลว่า วัตรทีภิกษุ ควรศึกษา, วัตรทีภิกษุ จะต้องศึกษา, วัตรทีภิกษุ สามเณรจะพึงศึกษา
นุ่ งผ้าเป็ นปริมณฑล คือ นุ่ งปิ ดสะดือ ปกเข่าทัง2
ห่มเข้าบ้านเป็ นปริมณฑล คือ ปิ ดคลุมคอ ปกข้อมือทัง2 ปกเข่าทัง2
อธิกรณ์ คือ เรืองทีเกิดขึนจะต้องจัดต้องทํา
อธิกรณสมถะ แปลว่า ธรรมเป็ นเครืองระงับอธิกรณ์
วิวาทาธิกรณ์ คือ การถกเถียงกันปรารภธรรมวินัยว่า อย่างนี ถูกอย่างนี ผิด
ติณวัตถารกวินัย แปลว่า ระเบียบดังกลบไว้ดว้ ยหญ้า ได้แก่ กิริยาทีให้ประนี ประนอมกันทัง 2 ฝ่ าย ไม่ตอ้ งชําระ ไม่ตอ้ ง
สะสางความเดิม วิธีนีใช้ในเรืองยุ่งยาก และเป็ นเรืองสําคัญอันเป็ นเครืองกระเทือนทัวไป
บริขารสําคัญทีภิกษุ ตอ้ งไว้ประจําตัวมี 8 อย่าง เรียกว่า อัฏฐบริขาร ประกอบด้วย
1.บาตร 2.สังฆาฏิ 3.อุตตราสงฆ์ 4.อันตรวาสก
5.ประคดเอว 6.กระบอกกรองนํ า 7.ด้าย-กล่องเข็ม 8.มีดโกน
อเจลก หมายถึง นั กบวชผูถ้ ือเพศเปลือยเป็ นวัตร หรือทีเรียกว่า ชีเปลือย
………………………………………………………….

๒๗๔
[พระไตรปิ ฎก ฉบับคัดย่อ] วัสสูปนายิกขันธกะ วิ.ม.4/205/223
ว่าด้วยการจําพรรษา เสริมในพรรษา 3
เรืองภิกษุ หลายรูป
[205] โดยสมัยนันแล พระผูม ้ ีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวน ั อันเป็ นสถานทีพระราชทานเหยือแก่กระแต เขตพระนครรา
ชคฤห์. ครังนัน พระผูม ้ ีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัตก ิ ารจําพรรษาแก่ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ เหล่านันเทียวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูรอ้ น
และฤดูฝน. คนทังหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตร จึงได้เทียวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดู
ร้อน และฤดูฝน เหยียบยําติณชาติอน ั เขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ งซึ งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ จํานวนมากให้ถงึ ความวอดวายเล่า ก็
พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านีเป็ นผู้กล่าวธรรมอันตําทราม ยังพัก ยังอาศัยอยูป ่ ระจําตลอดฤดูฝน อนึ ง ฝูงนกเหล่านีเล่า ก็ย ังทํารังบน
ยอดไม้ และพักอาศัยอยูป ่ ระจําตลอดฤดูฝน ส่วนพระสมณะเชือสายพระศากยบุตรเหล่านี เทียวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูรอ้ น และฤดู
ฝน เหยียบยําติณชาติอน ั เขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ งซึ งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ จํานวนมากให้ถงึ ความวอดวาย.
ภิกษุ ทงหลาย
ั ได้ยน ิ คนพวกนันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา จึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผู้มีพระภาค.
ลําดับนัน พระผูม ้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุญาตให้จาํ พรรษา.
การจําพรรษา 2 อย่าง
[206] ครังนัน ภิกษุ ทงหลายคิ ั ดกันว่า พวกเราพึงจําพรรษาเมือไรหนอ แล้วกราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสังว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาตให้จาํ พรรษาในฤดูฝน.
ครังนัน ภิกษุ ทงหลายคิ
ั ดกันว่า วันเข้าพรรษามีกีวันหนอ จึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสังว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั วันเข้าพรรษานีมี 2 คือ ปุรม ิ กิ า วันเข้าพรรษาต้น 1 ปัจฉิมก ิ า วันเข้าพรรษาหลัง 1
เมือพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ ง พึงเข้าพรรษาต้น เมือพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ อาสาฬหะล่วงไปแล้ว
เดือนหนึ ง พึงเข้าพรรษาหลัง ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั วันเข้าพรรษามี 2 วันเท่านีแล.
พระฉัพพัคคีย์เทียวจาริกทุกเวลา
[207] ก็โดยสมัยนันแล พระฉัพพัคคีย์จาํ พรรษาแล้ว ยังเทียวจาริกในระหว่างพรรษา. คนทังหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
... ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยน
ิ คนพวกนันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา. บรรดาทีเป็ นผู้มกั น้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัค
คีย์จาํ พรรษาแล้ว จึงได้เทียวจาริกระหว่างพรรษาเล่า จึงภิกษุ เหล่านัน กราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค.
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน ในเพราะเหตุแรกเกิดนัน แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ จาํ พรรษา ไม่อยูใ่ ห้ตลอด 3 เดือนต้น หรือ 3 เดือนหลัง ไม่พงึ หลีกไปสูจ่ าริก รูปใดหลีกไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระฉัพพัคคีย์ไม่จาํ พรรษา
[208] ก็โดยสมัยนันแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ประสงค์จะจําพรรษา ภิกษุ ทงหลาย ั จึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค. พระผูม ้ ีพระ
ภาครับสังห้ามว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ จะไม่จาํ พรรษาไม่ได้ รูปใดไม่จาํ พรรษา ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ ไม่ประสงค์จะจําพรรษาในวันเข้าพรรษา แกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย. ภิกษุ ทงหลายจึ ั งกราบทูลเรืองนัน
แด่พระผูม ้ ีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสังห้ามว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่ประสงค์จะจําพรรษาในวันเข้าพรรษา ไม่พงึ แกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย
รูปใดล่วงเลยไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
เลือนกาลฝน
[209] ก็โดยสมัยนันแล พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราช มีพระราชประสงค์จะทรงเลือนกาลฝนออกไป จึงทรงส่งทูตไปใน
สํานักภิกษุ ทงหลายว่
ั า ถ้ากระไร ขอพระคุณเจ้าทังหลายพึงจําพรรษาในชุณหปักษ์ (ข้างขึ น) อันจะมาถึง. ภิกษุ ทงหลายจึ ั งกราบทูลเรือง
นันแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสังว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน.
เรืองทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะ วิ.ม.4/210/225
ทายกสร้างวิหารเป็ นต้นถวาย
[210] ครังนัน พระผู้มีพระภาคประทับอยูใ่ นพระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จ
จาริกไปโดยลําดับ ลุถงึ พระนครสาวัตถี. ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
นัน. ก็โ ดยสมัยนันแล อุบ าสกชื ออุเทนได้ให้สร้า งวิหารอุทิศต่อสงฆ์ไว้ใ นโกศลชนบท. เขาได้ส่งทูต ไปในสํา นักภิกษุ ทงหลายว่ ั า ขอ
อาราธนาพระคุณเจ้าทังหลายจงมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุ ทงหลาย. ั
ภิกษุ ทงหลายตอบไปอย่
ั างนีว่า ท่านอุบาสก พระผูม ้ ีพระภาคทรงบัญญัติไว้วา่ ภิกษุ จาํ พรรษา ไม่อยูใ่ ห้ตลอด 3 เดือนต้น หรือ 3
เดือนหลัง ไม่พงึ หลีกไปสูจ่ าริก ขออุบาสกอุเทนจงรอชัวระยะเวลาทีภิกษุ ทงหลายจํ ั าพรรษา ออกพรรษาแล้วจึงจักไปได้ แต่ถา้ ท่านจะมี
กรณี ยกิจรีบด่วน จงให้ประดิษฐานวิหารไว้ในสํานักภิกษุ เจ้าถิน ในโกศลชนบทนันนันแหละ.
อุบาสกอุเทนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเมือเราส่งทูตไปแล้ว พระคุณเจ้าทังหลายจึงได้ไม่มาเล่า เราก็เป็ นทายก เป็ นผู้
ก่อสร้าง เป็ นผู้บาํ รุงสงฆ์.
ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยน
ิ อุบาสกอุเทนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรืองนันแด่พระผูม ้ ีพระภาค.
ลําดับนัน พระผู้มีพระภาคทรงทําธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนัน แล้วรับสังกะ ภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เมือ
บุคคล 7 จําพวกส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แม้เมือเขาไม่สง่ มา เราไม่อนุญาต บุคคล 7 จําพวก คือ ภิกษุ ภิกษุ ณี
สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เมือบุคคล 7 จําพวกนีส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณี ยะได้
แต่เมือเขาไม่สง่ มา เราไม่อนุญาต พึงกลับใน 7 วัน.
...........................................

๒๗๕
สัตตาหกรณียะ วิ.ม.4/210/225
คือ การอนุ ญาตให้เดินทางได้ในระหว่างพรรษาโดยให้กลับภายใน 7 วัน ในเมือมีเหตุจาํ เป็ นเกิดขึน
1 ทายก-ปรารถนาจะบําเพ็ญกุศล ส่งฑูตมานิ มนต์ ทรงอนุ ญาตให้ไปได้เฉพาะทีเขาส่งคํานิ มนต์มา
ทายก หมายถึง บุคคล 7 จําพวก คือ ภิกษุ ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา (พุทธบริษัททัง 4)
2 สหธรรมิก(ทัง 5)-ป่ วยไข้ ฯลฯ(ก็ตาม) จะส่งฑูตมานิมนต์หรือไม่ก็ตาม ทรงอนุ ญาตให้ไปได้
สหธรรมิกทัง 5 คือ ภิกษุ ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี (บรรพชิต) วิ.ม.4/211/276
ทรงบัญญัติอนุ ญาตไว้ดงั นี คือ
1. เมือเพือนสหธรรมิกเป็ นไข้ ภิกษุ ปรารถนาจะช่วยแสวงหาภัตตาหาร ผูอ้ ุปัฏฐาก และคิลานเภสัช
2. เมือเพือนสหธรรมิกไม่ยินดี มีความกระสัน(จะสึก) มีความรําคาญ(ในการประพฤติพรหมจรรย์) ไปเพือระงับเหตุนัน
3. เมือเพือนสหธรรมิกต้องอาบัติสังฆาทิเสส ปรารถนาการออกจากอาบัติ (ไปร่วมพิธีเพือการปริวาสกรรม มานั ต หรืออัพภาน)
4. เมือเพือนสหธรรมิกถูกสงฆ์ลงทัณฑกรรม แล้วนิ มนต์ไปเพือไกล่เกลียไม่ให้ตอ้ งทํากรรม หรือลงโทษสถานเบา
5. ไปเพือเกลียกล่ อมปลอบใจให้เพือนสหธรรมิกปฏิบตั ิโดยชอบด้วยพระวินัย
6. เมือมีผปู ้ ระสงค์จะบรรพชาอุปสมบท ไปเพือกิจนั น
3 บุคคล 7 จําพวก ป่ วยไข้ แม้มิได้สง่ ฑูตมา ก็ทรงอนุ ญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ คือ
บุคคล 7 จําพวก ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี บิดา และมารดา (บรรพชิต และบิดามารดา) วิ.ม.4/212/284
1. ไปด้วยปรารถนาให้เขาได้เห็น เพราะเขาต้องการพบ
2. ไปด้วยปรารถนาแสวงหาอาหาร ผูอ้ ุปัฏฐาก และเภสัช เพือการเยียมเยียน หรือเพือพยาบาล
 ในกิจเพราะพีชาย น้องชาย พีสาว น้องสาว และญาติ(ทางสายโลหิต 7 ชัวโคตร) ป่ วยไข้ เมือเขาส่งฑูตมา พึงไปด้วย สัตตา
หกรณียะได้ ถ้าเขาไม่ส่งฑูตมา ไม่พึงไป
 ผูภ้ กั ดีต่อภิกษุ ในศาสนานี (โยมอุปัฏฐาก) ป่ วยไข้ เมือเขาส่งฑูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ ถ้าเขาไม่ส่งฑูตมา ไม่พึงไป
 ในกรณี ผูเ้ ป็ นอุปัฏฐากของบิดามารดา ซึงเป็ นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ป่ วยไข้ เมือเขาส่งฑูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณี ยะได้
ถ้าเขาไม่ส่งฑูตมา ไม่พึงไป วิ.ม.อ.6/542(มมร.)
……………………………………………………..

4 วิหารชํารุด ไปเพือหาสิงของมาปฏิสงั ขรณ์ (นิ ทานต้นบัญญัติ. ไปเพือรับเอาสิงของอันเขาถวาย เพือการปฏิสงั ขรณ์วิหาร)


……………………………………………………. วิ.ม.4/213/286
ดูกร ภิกษุ จาํ พรรษา ไม่อยูใ่ ห้ตลอด 3 เดือนต้น หรือ 3 เดือนหลังแล้ว ไม่พึงหลีกไปสูจ่ าริก รูปใดหลีกไปต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกร ภิกษุ จะไม่จาํ พรรษาไม่ได้ รูปใดไม่จาํ พรรษา ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกร ภิกษุ ไม่ประสงค์จะจําพรรษาในวันเข้าพรรษา ไม่พึงแกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย รูปใดล่วงเลยไปต้องอาบัติทุกกฏ วิ.ม.4/185/293
วินิจฉัยในรัตติเฉท(อรรถกา)
1. ความว่า อันเขานิ มนต์นัน รวมถึ ง การนั ดหมายกันไว้ก่อนล่วงหน้า โดยระบุวันไว้แน่ ชดั ดังนี , รวมทังเหตุ เพราะอุปัชฌาย์
และอาจารย์ใช้ให้ไปแทน เพือการนั ดหมายนั น ก็ควรอยู่ (คือสามารถถือสัตตาหกรณี ยะได้)
2. วัดอยู่ไม่ไกลนั ก เธอไปในวัดนั น ด้วยตังใจว่า จักกลับมา(ให้ทนั )ในวันนี ทีเดียว แต่ไม่สามารถจะมาให้ทนั ได้ ควรอยู่
(เพราะผูกใจไว้วา่ จักไม่ละทิงราตรี),
 ย่อมไม่ได้ เพือการไป โดยเพือประโยชน์ แก่อุเทศ(ข้อที ตังไว้ คือตังใจไว้ก่อน) และปริปุจฉา(เพียงเพราะการสนทนา)
 ถ้าไปด้วยคิดว่า เพียงเพือเยียม(เยียน)อาจารย์ แล้วคิดจะกลับ แต่ดว้ ยเหตุทีอาจารย์กล่าวว่า “คุณจงอย่า(กลับ)ไปในวันนี เลย”
ดังนี จะไม่กลับก็ควร
 ย่อมไม่ได้ เพือการไป (เพียง)เพือเยียมเยียนสกุลอุปัฏฐาก หรือสกุลแห่งญาติ
……………………………………………………….

๒๗๖
ในเรืองสัตตาหกรณียะทังหลาย สมันตปาสาทิกา ภาค 3 วสฺ สูปนายิกกฺ ขนฺ ธกวณฺ ณนา หน้า 179
ข้อว่า “เพือจะไปด้วยสัตตาหกรณียะ” หมายความว่า กิจใดอันพึงกระทําภายใน 7 วัน กิจนั นชือว่า สัตตาหกรณียะ,
เราอนุ ญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ คือเรืองทีเป็ นการอันจะทํานั น
ข้อว่า “เพือจะไป เมือเขาส่งฑูตมา” หมายความว่า เราอนุ ญาตให้ไป ในเมือบุคคล 7 ประเภทเหล่านี มีภิกษุ เป็ น
ต้น ส่งฑูตมาแล้วนั นแหละ

 ข้อว่า “พึงกระทําการกลับมาในสัปดาห์” หมายความว่า พึงกลับมาใน 7 วันทีเดียว ไม่พึงให้อรุณที 8 ขึนมาในทีทีไป


นั น
ถาม: มีพระฝากกราบเรียนถามว่า การสัตตาหกรณียะ ในกรณีทีพระไปเรียนหนั งสือ ซึงจะต้องลาไป 5-6 วัน จะทําได้
ไหม และในอีกกรณีหนึ ง คือ การไปพักรักษาตัวอยูท่ ีโรงพยาบาล ในช่วงเข้าพรรษา แต่ไม่เกิน 7 วัน จะได้หรือไม่ ซึง
ในกรณีหลังนี มีพระมหาเถระระดับสมเด็จ เคยถือปฏิบตั ิมาว่า ท่านไม่สัตตาหะเกียวกับธุระการรักษาตัวเช่นนี โดยให้
เหตุผลว่า เรืองสัตตาหกรณียะนี เป็ นกรณียกเว้นเพือกิ จของผูอ้ ื น หรืองานพระศาสนา มิ ใช่เพือกิ จธุระของตัวเอง ถ้า
ตนเองมีความจําเป็ นเช่นนั น ก็จะต้องสละสิทธิทีจะพึงได้จากอานิ สงส์การจําพรรษาไป
ตอบ: ตามทีถามไป ก็ตอบได้ว่า ถ้าเคร่งครัดตามพระพุทธานุ ญาต ก็เป็ นอย่างทีสมเด็จท่านว่านั นแหละ เพราะพระ
พุทธานุ ญาต มีแต่เรืองให้ไปได้เพือกิจหรือประโยชน์ ของผูอ้ ืน ตามทีทรงระบุไว้ คือ
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 4/210/273 ว่า:
ภิกษุ ทังหลาย เมือบุคคล 7 พวก ส่ งทูตมา เราอนุ ญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณี ยะได้ แต่เมือเขาไม่ส่งมา เราไม่
อนุ ญาต; บุคคล 7 พวก คือ ภิกษุ ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา (สหธรรมิก 7)...
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 4/211/281 ว่า:
ภิกษุ ทังหลาย เมือบุคคล 5 พวก แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุ ญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณี ยะได้ จะกล่ าวไปไยถึงเมือ
เขาส่งทูตมา สหธรรมิก 5 คือ ภิกษุ ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี (สหธรรมิก 5)...
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 4/212/290 ว่า:
ภิกษุ ทงหลาย
ั เมือบุคคล 7 พวก แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุ ญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื อ
เขาส่งทูตมา บุคคล 7 จําพวก คือ ภิกษุ ภิกษุ ณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี มารดา บิดา ...
พระวินยั ปิ ฎก เล่ม 4/213/291 ว่า:
ภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ไปได้เพราะกรณียะของสงฆ์ แต่ตอ้ งกลับใน 7 วัน...
......................................................................................................
สําหรับเรืองส่วนตัว ตามพุทธานุ ญาต มีแต่ว่า (4/214/292) เมือเกิดเหตุจาํ เป็ น เช่น มีสัตว์รา้ ย ไฟไหม้ นํ าท่วม
โจรปล้น ขาดแคลนหรือลําบากในเรืองอาหาร ให้ไปได้ โดยขาดพรรษา แต่ไม่ตอ้ งอาบัติ
ในอรรถกถามีบอกด้วยว่า (วินย.อ.3/161) มีบาลีมุตตกวินิจฉัยในเรืองรัตติเฉทว่า ย่อมไม่ได้เพือจะไป แม้เพือ
ประโยชน์ แก่อุเทสและปริปุจฉา เป็ นต้น (นี คือไปเล่าเรียนโดยเป็ นกิจส่วนตัว ก็ไม่ได้, จะเห็นทางได้ ก็คือ อุปัชฌาย์
อาจารย์เรียกตัวให้มาเรียน)
พระพรหมคุณาภรณ์ 14 สิงหาคม 2554

๒๗๗
อภิสมาจาริยกาสิกขา
ทรงอนุญาตรองเท้า วิ.ม.5/2/4
เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะ .. ได้รบั บรรพชา อุปสมบทในพุทธสํานั กแล้ว ก็แลท่านพระโสณะอุปสมบทแล้วไม่นาน ได้พาํ นั กอยู่
ณ ป่ าสี ตะวัน ท่านปรารภความเพียรเกินขนาด เดินจงกรมจนเท้าทัง 2 แตก สถานทีเดินจงกรมเปื อนโลหิต ดุ จสถานทีฆ่าโค
ฉะนั น.
ครังนั น ท่านพระโสณะไปในทีสงัดหลี กเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึนอย่างนี ว่า บรรดาพระสาวกของพระผู ม้ ีพระ
ภาค ทีปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็ นรูปหนึ ง แต่ไฉน จิตของเราจึงยังไม่หลุ ดพ้นจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมันเล่ า สมบัติ
ในตระกู ลของเราก็ยงั มีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบําเพ็ญกุศล ถ้ากระไร เราพึงสึ กเป็ นคฤหัสถ์แล้วบริโภคสมบัติ และบําเพ็ญ
กุศล
ครังนั น พระผูม้ ีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านด้วยพระทัยแล้ว จึงทรงอันตรธานทีคิชฌกู ฏบรรพต มา
ปรากฏพระองค์ ณ ป่ าสีตวัน เปรียบเหมือนบุรุษมีกําลัง เหยียดแขนทีคู ้ หรือคูแ้ ขนทีเหยียด ฉะนั น คราวนั น พระองค์พร้อมด้วย
ภิกษุ เป็ นอันมาก เสด็จเทียวจาริกตามเสนาสนะ ได้เสด็จเข้าไปทางสถานที เดินจงกรมของท่านพระโสณะ ได้ทอดพระเนตรเห็น
สถานทีเดินจงกรมเปื อนโลหิต ครันแล้วจึงตรัสเรียกภิกษุ ทงหลายมารั
ั บสังถาม ..
ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาคได้เสด็จเข้าไปทางทีอยู่ของท่านพระโสณะ ..
ตังความเพียรสมําเสมอเทียบเสียงพิณ
พระผูม้ ีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระโสณะผูน้ ั งเฝ้ าอยู่ว่า ดู กรโสณะ เธอไปในทีสงัด หลี กเร้นอยู่ได้มีความปรีวิตกแห่งจิต
เกิดขึน อย่างนี ว่า บรรดาพระสาวกของพระผูม้ ีพระภาคทีปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็ นรูปหนึ ง แต่ไฉน จิตของเราจึงยังไม่ หลุ ด
พ้นจากอาสวะทังหลาย เพราะไม่ถือมันเล่า สมบัติในตระกูลของเราก็ยงั มีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบําเพ็ญกุศล ถ้ากระไร เรา
พึงสึกเป็ นคฤหัสถ์ แล้วบริโภคสมบัติและบําเพ็ญกุศล ดังนี มิใช่หรือ?
ท่านพระโสณะทูลรับว่า อย่างนั น พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสําคัญความข้อนั นเป็ นไฉน เมือครังเธอยังเป็ นคฤหัสถ์ เธอฉลาดในเสียงสายพิณ มิใช่หรือ?
โส. อย่างนั น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสําคัญความข้อนั นเป็ นไฉน คราวใดสายพิณของเธอตึงเกินไป คราวนั นพิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้
บ้างไหม?
โส. หาเป็ นเช่นนั นไม่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดู กรโสณะ เธอจะสําคัญความข้อนั นเป็ นไฉน คราวใดสายพิณของเธอหย่อนเกินไป คราวนั นพิณของเธอมีเสียงหรือใช้
การได้บา้ งไหม?
โส. หาเป็ นเช่นนั นไม่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสําคัญความข้อนั นเป็ นไฉน คราวใดสายพิณของเธอไม่ตึงนั ก ไม่หย่อนนั ก ตังอยู่ในคุณภาพสมําเสมอ
คราวนั น พิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บา้ งไหม?
โส. เป็ นอย่างนั น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดู กรโสณะ เหมือนกันนั นแล ความเพียรทีปรารภเกินไปนั ก ย่อมเป็ นไปเพือความ ฟุ้งซ่าน ความเพียรทีย่อหย่อนนั ก ก็
เป็ นไปเพือเกียจคร้าน เพราะเหตุนันแล เธอจงตังความเพียรแต่พอเหมาะ จงทราบข้อทีอินทรีย์ทังหลายเสมอกัน และจงถือนิ มิต
ในความสมําเสมอนั น
ท่านพระโสณะทูลรับสนองพระพุทธพจน์ ว่า จะปฏิบัติ ตามพระพุทธโอวาทอย่างนั น พระพุทธเจ้าข้า ครันพระผูม้ ีพระภาค
ทรงสังสอนท่านพระโสณะด้วยพระโอวาทข้อนี แล้ว ทรงอันตธานทีป่ าสีตวันต่อหน้าท่านพระโสณะ แล้วมาปรากฏพระองค์ ณ คิชฌ
กูฏบรรพต
พระโสณะสําเร็จพระอรหัตผล
ครันกาลต่อมา ท่านพระโสณะได้ตังความเพียรแต่พอเหมาะ .. ไม่นานเท่าไรนั ก ได้ทําให้แจ้งซึงคุ ณพิเศษอันยอดเยียม
เป็ นทีสุดพรหมจรรย์ .. ท่านพระโสณะได้เป็ นพระอรหันต์รูปหนึ งแล้ว
พรรณนาคุณของพระขีณาสพ
[3] ครังนั น ท่านพระโสณะบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้คิดว่า ถ้ากระไรเราพึงพยากรณ์อรหัตผลในสํานั กพระผูม้ ีพระภาค แล้วจึง
เข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคถวายบังคมนั งเฝ้ าอยู่ ครันแล้ว ได้กราบทูลคํานี แด่พระผูม้ ีพระภาค ว่าดังนี :-
พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุ ใด เป็ นพระอรหันต์มีอาสวะสิ นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจทีควรทําได้ทําเสร็จแล้ว ปลงภาระลง

๒๗๘
แล้ว มีประโยชน์ ของตนได้ถึงแล้วโดยลําดับ มีกิเลสเครืองประกอบสัตว์ไว้ในภพหมดสิ นแล้ว หลุ ดพ้นแล้วเพราะรูช้ อบ ภิกษุ นัน
ย่อมน้อมใจ ไปสู่เหตุ 6 สถาน คือ
1. น้อมใจไปสู่บรรพชา 2. น้อมใจไปสู่ความเงียบสงัด
3. น้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน 4. น้อมใจไปสู่ความสินอุปาทาน
5. น้อมใจไปสู่ความสินตัณหา และ 6. น้อมใจไปสู่ความไม่หลงไหล
พระพุทธเจ้าข้า ก็บางทีจะมีบางท่านในพระธรรมวินัยนี สําคัญเห็นเช่นนี ว่า ท่านผูน้ ี อาศัยคุณแต่เพียงศรัทธาอย่างเดียวเป็ น
แน่ จึงน้อมใจไปสู่บรรพชา ดังนี พระพุทธเจ้าข้า ก็ขอ้ นี ไม่พึงเห็นอย่างนั นเลย ภิกษุ ขีณาสพผูอ้ ยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจทีควรทําได้
ทําเสร็จแล้ว ไม่เห็นว่าตนยังมีกิจทีจําจะต้องทํา หรือจะต้องกลับสะสมทํากิจทีได้ทําแล้ว จึงน้อมใจสู่บรรพชา โดยทีตนปราศจาก
ราคะ เพราะสินราคะ จึงน้อมใจไปสู่บรรพชา โดยทีตนปราศจากโทสะ เพราะสินโทสะ จึงน้อมใจไปสู่บรรพชา โดยทีตนปราศจาก
โมหะ เพราะสินโมหะ
พระพุทธเจ้า ข้า ก็บางทีจะมีบางท่ านในพระธรรมวินั ยนี สําคัญเห็นเช่นนี ว่ า ท่านผูน้ ี ปรารถนาลาภสัก การะและความ
สรรเสริ ญ เป็ นแน่ จึ ง น้ อมใจไปในความเงี ย บสงัด ดัง นี พระพุ ทธเจ้า ข้า ข้อนี ก็ ไ ม่ พึง เห็น อย่ า งนั นเลย ภิ ก ษุ ขี ณ าสพผู อ้ ยู่ จ บ
พรหมจรรย์แล้ว มีกิจทีควรทําได้ ทําเสร็จแล้ว ไม่เห็นว่าตนยังมีกิจทีจําจะต้องทํา หรือจะต้องกลับสะสมทํากิจทีได้ทาํ แล้ว จึงน้อม
ใจไปสู่ความเงียบสงัด โดยทีตนปราศจากราคะ เพราะสินราคะ จึงน้อมใจไปสู่ความเงียบสงัด โดยทีตนปราศจากโทสะ เพราะสิ น
โทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความเงียบสงัด โดยทีตนปราศจากโมหะ เพราะสินโมหะ
พระพุทธเจ้าข้า ก็บางทีจะมีบางท่านในพระธรรมวินัยนี สําคัญเห็นเช่นนี ว่า ท่านผูน้ ี เชือถือสีลัพพตปรามาส โดยความเป็ น
แก่นสารเป็ นแน่ จึงน้อมใจไปสู่ ความไม่เ บีย ดเบี ยน ดังนี พระพุทธเจ้า ข้า ข้อนี ก็ไม่พึง เห็น อย่ า งนั นเลย ภิกษุ ขีณาสพผู ้อ ยู่ จ บ
พรหมจรรย์แล้ว มีกิจทีควรทําได้ทาํ เสร็จแล้ว ไม่เห็นว่าตนยังมีกิจทีจําจะต้องทํา หรือจะต้องกลับสะสมทํากิจทีได้ทาํ แล้ว จึงน้อมใจ
ไปสู่ ความไม่เบียดเบียน โดยทีตนปราศจากราคะ เพราะสิ นราคะ จึงน้อมใจไปสู่ ความไม่เบียดเบียน โดยทีตนปราศจากโทสะ
เพราะสินโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน โดยทีตนปราศจากโมหะ เพราะสินโมหะ
... จึงน้อมใจไปสู่ ความสิ นอุปาทาน โดยทีตนปราศจากราคะ เพราะสิ นราคะ จึงน้อมใจไปสู่ ความสิ นอุป าทาน โดยทีตน
ปราศจากโทสะ เพราะสินโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความสินอุปาทาน โดยทีตนปราศจากโมหะ เพราะสินโมหะ
... จึงน้อมใจไปสู่ความสินตัณหา โดยทีตนปราศจากราคะ เพราะสินราคะ จึงน้อมใจไปสู่ความสินตัณหา โดยทีตนปราศจาก
โทสะ เพราะสินโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความสินตัณหา โดยทีตนปราศจากโมหะ เพราะสินโมหะ
... จึงน้อมใจไปสู่ ความไม่ หลงใหล โดยทีตนปราศจากราคะ เพราะสิ นราคะ จึงน้อมใจไปสู่ ค วามไม่ หลงใหล โดยที ตน
ปราศจากโทสะ เพราะสินโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความไม่หลงใหล โดยทีตนปราศจากโมหะ เพราะสินโมหะ
พระพุทธเจ้าข้า แม้หากรูปารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยจักษุ ผ่านมาสู่คลองจักษุ ของภิกษุ ผมู ้ ีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ
อย่างนี ก็ไม่ครอบงําจิตของภิกษุ นันได้เลย จิตของภิกษุ นัน อันอารมณ์ไม่ทําให้เจือติดอยู่ได้ เป็ นธรรมชาติตงมั ั นไม่หวันไหว และ
ภิกษุ นันย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั น
แม้หากสัททารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยโสต ....
แม้หากคันธารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยฆานะ ....
แม้หากรสารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยชิวหา ....
แม้หากโผฏฐัพพารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยกาย ....
แม้หากธรรมารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยมโน ผ่านมาสู่ คลองใจของภิกษุ ผูม้ ีจิตหลุ ดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี ก็ไม่
ครอบงําจิตของภิกษุ นันได้เลย จิตของภิกษุ นันอันอารมณ์ ไม่ทาํ ให้เจือติดอยู่ได้ เป็ นธรรมชาติตงมั ั นไม่หวันไหว และภิกษุ นันย่อม
พิจารณาเห็นความเกิด และความดับของจิตนั น
พระพุทธเจ้าข้า ภูเขาล้วนแล้วด้วยศิลา ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็ นแท่งทึบอันเดียวกัน แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศ
ตะวันออก ก็ยงั ภูเขานั นให้หวันไหวสะเทือนสะท้าน ไม่ได้เลย
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศตะวันตก ....
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศเหนื อ ....
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศใต้ ก็ยงั ภูเขานั นให้หวันไหว สะเทือนสะท้านไม่ได้เลย แม้ฉันใด.
พระพุทธเจ้าข้า แม้หากรูปารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยจักษุ ผ่านมาสู่คลองจักษุ ของภิกษุ ผมู ้ ีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ
อย่างนี ก็ย่อมไม่ครอบงําจิตของภิกษุ นันได้เลย จิตของภิกษุ นันอันอารมณ์ไม่ทําให้เจือติดอยู่ได้ เป็ นธรรมชาติตงมั ั นไม่หวันไหว
และภิกษุ นันย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั น.
แม้หากสัททารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยโสต ....

๒๗๙
แม้หากคันธารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบด้วยฆานะ ....
แม้หากรสารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบด้วยชิวหา ....
แม้หากโผฏฐัพพารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยกาย ....
แม้หากธรรมารมณ์ทีหยาบ ซึงจะพึงทราบชัดด้วยมโน ผ่านมาสู่ คลองใจของภิกษุ ผูม้ ีจิตหลุ ดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี ก็ไม่
ครอบงําจิตของภิกษุ นันได้เลย จิตของภิกษุ นันอันอารมณ์ ไม่ทาํ ให้เจือติดอยู่ได้ เป็ นธรรมชาติตงมั
ั นไม่หวันไหว และภิกษุ นันย่อม
พิจารณาเห็นความเกิด และความดับของจิตนั น ฉันนั นเหมือนกันแล.
นิ คมคาถา
[4] ภิกษุ น้อมไปสู่บรรพชา 1 ผูน้ ้อมไปสู่ความเงียบสงัดแห่งใจ 1 ผูน้ ้อมไปสู่ความไม่เบียดเบียน 1 ผูน้ ้อมไปสู่
ความสินอุปาทาน 1 ผูน้ ้อมไปสู่ความสินตัณหา 1 ผูน้ ้อมไปสู่ความไม่หลงไหลแห่งใจ 1 ย่อมมีจิตหลุดพ้นโดย
ชอบ เพราะเห็นความเกิด และความดับแห่งอายตนะ ภิกษุ มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบนั น ไม่ตอ้ งกลับ
สะสมทํากิจทีได้ทาํ แล้ว กิจทีจําจะต้องทําก็ไม่มี เปรียบเหมือนภูเขาทีล้วนแล้วด้วยศิลาเป็ นแท่งทึบอันเดียวกัน
ย่อมไม่สะเทือนด้วยลม ฉันใด รูป เสียง กลิน รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ ทังทีน่ าปรารถนา และไม่น่า
ปรารถนาทังสิน ย่อมทําท่านผูค้ งทีให้หวันไหวไม่ได้ ฉันนั น จิตของท่านตังมัน หลุดพ้นแล้ว ท่านย่อมพิจารณา
เห็นความเกิด และความดับของจิตนั นด้วย.

วิ.ม.5/5/10 [5] ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาค รับสังกะภิกษุ ทงหลายว่ั า ด้วยวิธีอย่างนี แล ภิกษุ ทงหลาย
ั ทีพวกกุลบุตรพยากรณ์
อรหัตกล่าวแต่เนื อความ และไม่น้อมเข้าไปหาตน ก็แต่ว่าโมฆบุรุษบางจําพวกในธรรมวินัยนี พยากรณ์อรหัต ทําทีเหมือนเป็ นของ
สนุ ก ภายหลังต้องทุกข์เดือดร้อน ดังนี .
ต่อแต่นันพระองค์รบั สังกะท่านพระโสณะว่า ดูกรโสณะ (โกฬิวิสะ) เธอเป็ นสุขุมาลชาติ เราอนุ ญาตรองเท้าชันเดียวแก่เธอ.
ท่านพระโสณะกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าละเงินประมาณ 80 เล่มเกวียน และละกองพลกอปรด้วยช้าง 7 เชือก ออกจาก
เรือนบวชเป็ นบรรพชิตแล้ว จักมีผกู ้ ล่าวแก่พระพุทธเจ้าว่า โสณโกฬิวิสะละเงินประมาณ 80 เล่มเกวียน และละกองพลกอปรด้วย
ช้าง 7 เชือก ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตแล้ว เดียวนี ยงั ข้องอยู่ในเรืองรองเท้าชันเดียว ถ้าพระผูม้ ีพระภาคจักได้ทรงอนุ ญาตแก่
พระภิกษุ สงฆ์ แม้ขา้ พระพุทธเจ้าจักใช้สอย ถ้าจักไม่ทรงอนุ ญาตแก่พระภิกษุ สงฆ์ แม้ขา้ พระพุทธเจ้าก็จักไม่ใช้สอย พระพุทธเจ้า
ข้า.
ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั น แล้วรับสังกะภิกษุ ทังหลาย
ว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตรองเท้าชันเดียว ภิกษุ ไม่พึงสวมรองเท้า 2 ชัน ไม่พึงสวมรองเท้า 3 ชัน ไม่พึงสวมรองเท้าหลาย
ชัน รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติหา้ มสวมรองเท้าสีต่างๆ
[6] ก็โดยสมัยนั นแล พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้าสี เขียวล้วน .... สวมรองเท้าสี เหลื องล้วน .... สวมรองเท้าสี แดงล้วน .... สวม
รองเท้าสีบานเย็นล้วน .... สวมรองเท้าสีดําล้วน .... สวมรองเท้าสีแสดล้วน .... สวมรองเท้าสีชมพูลว้ น ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติ
เตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผูบ้ ริโภคกาม ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคทรง
บัญญัติหา้ มว่า ดูกรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ไม่พึงสวมรองเท้าสีเขียวล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสี เหลื องล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีแดงล้วน
ไม่พึงสวมรองเท้าสี บานเย็นล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสี ดาํ ล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีแสดล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีชมพูลว้ น รูปใดสวม
ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติหา้ มสวมรองเท้ามีหูไม่สมควร
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้ามีหูสีเขียว .... สวมรองเท้ามีหูสีเหลื อง .... สวมรองเท้ามีหูสีแดง .... สวมรองเท้ามีหูสี
บานเย็น .... สวมรองเท้ามีหสู ีดาํ .... สวมรองเท้ามีหสู ีแสด .... สวมรองเท้ามีหสู ีชมพู ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
เหมือนพวกคฤหัสถ์ผบู ้ ริโภคกาม ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาค ทรงบัญญัติหา้ มว่า ดูกร
ภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงสวมรองเท้ามีหสู ีเขียว ไม่พึงสวมรองเท้ามีหสู ี เหลื อง ไม่พึงสวมรองเท้ามีหสู ีแดง ไม่พึงสวมรองเท้ามี หูสี
บานเย็น ไม่พึงสวมรองเท้ามีหสู ีดาํ ไม่พึงสวมรองเท้ามีหสู ีแสด ไม่พึงสวมรองเท้ามีหสู ีชมพู รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติทรงห้ามสวมรองเท้าบางชนิด
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคียส์ วมรองเท้าติดแผ่นหนั งหุม้ ส้น .... สวมรองเท้าหุม้ แข้ง .... สวมรองเท้าปกหลังเท้า .... สวมรองเท้ายัด

๒๘๐
นุ่ น .... สวมรองเท้ามีหูลายคล้ายขนปี กนกกระทา .... สวมรองเท้าทีทําหูงอนมีสัณฐานดุ จเขาแกะ .... สวมรองเท้าทีทําหูงอนมี
สัณฐานดุ จเขาแพะ .... สวมรองเท้าทีทําประกอบหูงอนดุ จหางแมลงป่ อง .... สวมรองเท้าทีเย็บด้วยปี กนกยูง .... สวมรองเท้าอัน
วิจิตร คนทังหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผูบ้ ริโภคกาม ภิกษุ ทังหลายจึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ี
พระภาค. พระผูม้ ีพระภาค ทรงบัญญัติหา้ มว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงสวมรองเท้าติดแผ่นหนั งหุม้ ส้น ไม่พึงสวมรองเท้าหุม้
แข้ง ไม่พึงสวมรองเท้าปกหลังเท้า ไม่พึงสวมรองเท้ายัดนุ่ น ไม่พึงสวมรองเท้ามีหลู ายคล้ายขนปี กนกกระทา ไม่พึงสวมรองเท้าทีทํา
หูงอนมีสัณฐานดุ จเขาแกะ ไม่พึงสวมรองเท้าทีทําหูงอนมีสัณฐานดุ จเขาแพะ ไม่พึงสวมรองเท้าทีทําประกอบหูงอนดุ จหางแมลง
ป่ อง ไม่พึงสวมรองเท้าทีเย็บด้วยขนปี กนกยูง ไม่พึงสวมรองเท้าทีอันวิจิตร รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติทรงห้ามสวมรองเท้าขลิบหนัง
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคียส์ วมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งราชสีห์ .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนั งเสือโคร่ง .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนั ง
เสื อเหลื อง .... สวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งชะมด .... สวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งนาก .... สวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งแมว .... สวม
รองเท้าขลิ บด้วยหนั งค่าง .... สวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งนกเค้า คนทังหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์
ผูบ้ ริโภคกาม ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาค ทรงบัญญัติหา้ มว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ
ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนั งราชสี ห์ ไม่พึงสวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งเสื อโคร่ง ไม่พึงสวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งเสื อเหลื อง ไม่พึง
สวมรองเท้าขลิบด้วยหนั งชะมด ไม่พึงสวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งนาก ไม่พึงสวมรองเท้าขลิ บด้วยหนั งแมว ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบ
ด้วยหนั งค่าง ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนั งนกเค้า รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทรงอนุญาตรองเท้าหลายชันทีใช้แล้ว
[7] ครังนั น เวลาเช้า พระผูม้ ีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จพระพุทธดําเนิ นเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร
ราชคฤห์ มีภิกษุ รูปหนึ งเป็ นปั จฉาสมณะ แต่ภิกษุ รูปนั นเดินเขยกตามพระผูม้ ีพระภาคไปเบืองพระปฤษฎางค์ อุบาสกคนหนึ งสวม
รองเท้าหลายชัน ได้เห็นพระผูม้ ีพระภาคกําลังเสด็จพระพุทธดําเนิ นมาแต่ไกลเทียว ครันแล้วจึงถอดรองเท้า เข้าไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระ
ภาค ถวายบังคมแล้วเข้าไปหาภิกษุ รูปนั น อภิวาทแล้วจึงได้ถามว่า เพราะอะไร พระผูเ้ ป็ นเจ้าจึงเดินเขยก ขอรับ?
ภิกษุ รูปนั นตอบว่า เพราะเท้าทังสองของอาตมาแตก จ้ะ.
อุ. นิ มนต์พระผูเ้ ป็ นเจ้ารับรองเท้า ขอรับ.
ภิ. อย่าเลย ท่าน เพราะผูม้ ีพระภาคทรงห้ามรองเท้าหลายชัน.
พระผูม้ ีพระภาครับสังว่า เธอรับรองเท้านั นได้ ภิกษุ .
ครังนั น พระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั น แล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดู กรภิกษุ ทังหลาย เราอนุ ญาตรองเท้าหลายชันทีใช้แล้ว, ดู กรภิกษุ ทังหลาย รองเท้าหลายชันทีใหม่ ภิกษุ ไม่พึงสวม รูปใดสวม
ต้องอาบัติทุกกฏ.
ห้ามสวมรองเท้าในทีบางแห่ง
[8] ก็โดยสมัยนั น พระผูม้ ีพระภาคมิได้ทรงฉลองพระบาทเสด็จพระดําเนิ นอยู่ในทีแจ้ง ภิกษุ เถระทังหลายทราบว่า พระศาสดา
มิได้ทรงฉลองพระบาทเสด็จพระพุทธดําเนิ นอยู่ ดังนี จึงเดินไม่สวมรองเท้า เมือพระศาสดาเสด็จพระพุทธดําเนิ นมิได้ทรงฉลอง
พระบาท แม้เมือภิกษุ ผเู ้ ถระทังหลายเดินก็ไม่สวมรองเท้า แต่พระฉัพพัคคียเ์ ดินสวมรองเท้า บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม้ กั น้อย ... จึงเพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมือพระศาสดาเสด็จพระพุทธดําเนิ นมิได้ทรงฉลองพระบาท แม้เมือภิกษุ ผเู ้ ถระทังหลายเดินก็ไม่ สวม
รองเท้า ไฉนพระฉัพพัคคียจ์ ึงได้สวมรองเท้าเล่า? แล้วกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค.
พระผูม้ ีพระภาคทรงสอบถามภิกษุ ทังหลายว่า ดู กรภิกษุ ทังหลาย ข่าวว่าเมือเราผูศ้ าสดาเดินมิได้สวมรองเท้า แม้เมือภิกษุ ผู ้
เถระทังหลายเดินก็ไม่สวมรองเท้า แต่พระฉัพพัคคียเ์ ดินสวมรองเท้า จริงหรือ? ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เมือเราผูศ้ าสดาเดินมิได้สวมรองเท้า แม้เมือภิกษุ ผเู ้ ถระทังหลายเดิน
ก็ไม่สวมรองเท้า แต่ไฉนโมฆบุรุษเหล่ านั นจึงได้เดินสวมรองเท้าเล่ า อันคฤหัสถ์ชือเหล่านี นุ่งห่มผ้าขาว ยังมีความเคารพ มีความ
ยําเกรง มีความประพฤติเสมอภาค ในอาจารย์ทังหลาย เพราะเหตุแห่งศิลปะซึงเป็ นเครืองเลี ยงชีพอยู่ ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั พึงงาม
ในธรรมวินัยนี เป็ นแน่ ถ้าพวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี จะพึงมีความเคารพ มีความยําเกรง มีความประพฤติ
เสมอภาค อยู่ในอาจารย์ ในภิกษุ ปูนอาจารย์ ในอุปัชฌายะ ในภิกษุ ปูนอุปัชฌายะ การกระทําของเหล่าโมฆบุรุษนั น ไม่เป็ นไปเพือ
ความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลือมใส .... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถารับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เมืออาจารย์ ภิกษุ ปูนอาจารย์ อุปัชฌายะ ภิกษุ ปูนอุปัชฌายะ เดินมิได้สวมรองเท้า ภิกษุ ไม่พึงเดินสวมรองเท้า

๒๘๑
รูปใดเดินสวมรองเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ, ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงสวมรองเท้าภายในอาราม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุอาพาธเป็ นหน่อทีเท้า
[9] ก็โดยสมัยนั นแล ภิกษุ รูปหนึ งอาพาธเป็ นหน่ อทีเท้า ภิกษุ ทงหลายพยุ
ั งภิกษุ รูปนั นให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ให้ถ่ายปั สสาวะบ้าง
พระผูม้ ีพระภาคเสด็จเทียวจาริกตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็น พวกภิกษุ กําลังพยุงภิกษุ รูปนั นให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ให้ถ่าย
ปั สสาวะบ้าง จึงเสด็จเข้าไปใกล้ภิกษุ พวกนั น แล้วได้ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ รูปนี อาพาธเป็ นอะไร?
ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลว่า ท่านรูปนี อาพาธเป็ นหน่ อทีเท้า พวกข้าพระพุทธเจ้าต้องพยุงท่านรูปนี ให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ให้ถ่าย
ปั สสาวะบ้าง พระพุทธเจ้าข้า.
พระพุทธานุญาตให้สวมรองเท้าเป็ นพิเศษ
[10] ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั น แล้วรับสังกะภิกษุ
ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ภิกษุ ผมู ้ ีเท้าชอกชํา หรือมีเท้าแตก หรืออาพาธมีหน่ อทีเท้า สวมรองเท้าได้
สมัยต่อมา ภิกษุ ทงหลายมี
ั เท้ามิได้ลา้ ง ขึนเตียงบ้าง ขึนตังบ้าง ทังจีวร ทังเสนาสนะย่อมเสียหาย พวกภิกษุ จึงกราบทูลเรื องนั น
แด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทงหลายว่ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้สวมรองเท้าในขณะที คิดว่า
ประเดียวจักขึนเตียง หรือขึนตัง.
สมัยต่อมา เวลากลางคืน ภิกษุ ทงหลายเดิ
ั นไปสู่โรงอุโบสถก็ดี สู่ทีประชุมก็ดี ย่อมเหยียบตอบ้าง หนามบ้าง ในทีมืด เท้าทังสอง
ได้รบั บาดเจ็บ ภิกษุ ทงหลายจึ
ั งกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค.
พระผูม้ ีพระภาคตรัสอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภายในอาราม เราอนุ ญาตให้สวมรองเท้า และใช้คบเพลิ ง
ประทีป ไม้เท้าได้.
พระพุทธบัญญัติหา้ มสวมเขียงเท้าไม้
ครันต่อมา ถึงเวลาปั จจุสมัยแห่งราตรี พระฉัพพัคคีย์ลุกขึนสวมเขียงเท้าทีทําด้วยไม้ แล้วเดินอยู่กลางแจ้ง มีเสียงขฏะขฏะ ดัง
อึกทึก กล่าวดิรจั ฉานกถา มีเรืองต่างๆ คือ พูดเรืองพระราชา เรืองโจร เรืองมหาอํามาตย์ เรืองขุนพล เรืองภัย เรืองรบ เรืองข้าว
เรืองนํ า เรืองผ้า เรืองทีนอน เรืองดอกไม้ เรืองของหอม เรืองญาติ เรืองยาน เรืองบ้าน เรืองนิ คม เรืองนคร เรืองชนบท เรืองสตรี
เรืองบุรุษ เรืองคนกล้าหาญ เรืองตรอก เรืองท่านํ า เรืองคนทีล่วงลับไปแล้ว เรืองเบ็ดเตล็ ด เรืองโลก เรืองทะเล เรืองความเจริ ญ
และความเสือมด้วยประการนั นๆ เหยียบแมลงตายเสี ยบ้าง ยังภิกษุ ทงหลายให้ั เคลื อนจากสมาธิ บา้ ง บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม้ ักน้ อย
.... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์ เมือเวลาปั จจุสมัยแห่งราตรี ได้ลุกขึนสวมเขียงเท้าทีทําด้วยไม้แล้ว เดิน
อยู่กลางแจ้ง มีเสี ยงขฏะขฏะ ดังอึกทึก กล่ าวดิรัจฉานกถา มีเรืองต่างๆ คือ พูดเรืองพระราชา เรืองโจร .... เรืองความเจริญและ
ความเสือมด้วยประการนั นๆ เหยียบแมลงตายเสียบ้าง ยังภิกษุ ทงหลายให้
ั เคลื อนจากสมาธิ บา้ ง แล้วจึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผู ้
มีพระภาค.
พระผูม้ ีพระภาคทรงสอบถามภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข่าวว่าภิกษุ ฉัพพัคคีย์ เมือปั จจุสมัยแห่งราตรี ได้ลุกขึน
สวมเขียงเท้าทีทําด้วยไม้ แล้วเดินอยู่กลางแจ้ง มีเสี ยงขฏะขฏะดังอึกทึก กล่ าวดิรัจฉานกถา มีเรืองต่างๆ คือ พูดเรืองพระราชา
เรืองโจร .... เรืองความเจริญและความเสือมด้วยประการนั นๆ เหยียบแมลงตายเสียบ้าง ยังภิกษุ ทงหลายให้ ั เคลือนจากสมาธิ บ า้ ง
จริงหรือ?
ภิกษุ ทงหลายทู
ั ลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า .... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถารับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เขียงเท้าทีทํา
ด้วยไม้ อันภิกษุ ไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติหา้ มสวมเขียงเท้าใบตาล
[11] ครังนั น พระผูม้ ีพระภาคประทับอยู่ ณ พระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระพุทธดําเนิ นไปสู่จ าริกทาง
พระนครพาราณสี เสด็จพระพุทธดํา เนิ นสู่ จาริ กโดยลํ าดับ ถึ งพระนครพาราณสี ทราบว่า พระองค์ประทับ อยู่ใ นป่ าอิสิ ป ตนะ
มฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสีนัน.
ก็โดยสมัยนั นแล พระฉัพพัคคียค์ ิดว่า พระผูม้ ีพระภาคทรงห้ามเขียงเท้าไม้ จึงให้ตดั ต้นตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลมาทําเขียงเท้า
สวม ต้นตาลเล็กๆ นั นถูกตัดแล้วย่อมเหียวแห้ง. ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระศากยบุ ตร
จึงได้ให้ตัดต้นตาลเล็ กๆ แล้วเอาใบตาลมาทําเขียงเท้าสวมเล่ า ต้นตาลเล็ กๆ ถู กตัดแล้วย่อมเหียวแห้ง พระสมณะเชือสายพระ

๒๘๒
ศากยบุตรเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ งซึงมีชีวะ ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยินชาวบ้านเหล่านั น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูล
เรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค. พระผูม้ ีพระภาคทรงสอบถามภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลายั ข่าวว่าภิกษุ ฉัพพัคคีย์ สังให้ตดั ต้น
ตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลมาทําเขียงเท้าสวม ต้นตาลเล็กๆ นั นถูกตัดแล้ว ย่อมเหียวแห้ง จริงหรือ?
ภิกษุ ทงหลายทู
ั ลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าจึงทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ไฉนโมฆบุรุษเหล่านั นจึงได้ให้ตดั ต้นตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลทํา
เขียงเท้าสวมเล่ า ต้นตาลเล็ กๆ นั นถู กตัดแล้ว ย่อมเหียวแห้ง ดู กรภิกษุ ทังหลาย เพราะชาวบ้านมีความสําคัญในต้นไม้ว่ามีชีวะ
การกระทําของเหล่าโมฆบุรุษนั น ไม่เป็ นไปเพือความเลือมใสของชุมชนทียังไม่เลื อมใส .... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถารับสังกะภิกษุ
ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เขียงเท้าสานด้วยใบตาล อันภิกษุ ไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติหา้ มสวมเขียงเท้าไม้ไผ่
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์คิดว่า พระผูม้ ีพระภาคทรงห้ามเขียงเท้าสานด้วยใบตาล จึงได้ให้ตัดไม้ไผ่เล็ กๆ แล้วเอาใบไผ่มาทํา
เขียงเท้าสวม ไม้ไผ่เล็ กๆ นั น ถู กตัดแล้ว ย่อมเหียวแห้ง. ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสายพระ
ศากยบุตรจึงได้ให้ตดั ไม้ไผ่เล็กๆ แล้วเอาใบไผ่มาทําเขียงเท้าสวมเล่า ไม้ไผ่เล็กๆ นั นถูกตัดแล้วย่อมเหียวแห้ง พระสมณะเชือสาย
พระศากยบุตรย่อมเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ งซึงมีชีวะ. ภิกษุ ทงหลายได้
ั ยินชาวบ้านเหล่านั น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึง
กราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค.
พระผูม้ ีพระภาคทรงสอบถามภิกษุ ทังหลายว่า .... ครันแล้วรับสังกะภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เขียงเท้าสานด้วยใบไผ่
อันภิกษุ ไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติหา้ มสวมเขียงเท้าต่างชนิด
[12] ครังนั น พระผูม้ ีพระภาคประทับอยู่ในพระนครพาราณสี ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระพุทธดําเนิ นจาริกทางพระ
นครภัททิยะ เสด็จพระพุทธดําเนิ นจาริกโดยลําดับถึงพระนครภัททิยะ ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ในป่ าชาติยาวัน เขตพระนคร
ภัททิยะนั น.
ก็โดยสมัยนั นแล พวกภิกษุ ชาวพระนครภัททิยะ ตังหน้าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ทําเองบ้าง สังให้ทําบ้าง
ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสาน
ด้วยหญ้าปล้อง ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ ง ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยแฝก ทําเองบ้าง
สังให้ทําบ้าง ซึงเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ พวกเธอละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิ ศีล อธิ จิต อธิ ปัญญาเสี ย. บรรดาภิกษุ ทีเป็ นผูม้ กั น้อย
.... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเล่าพวกภิกษุ ชาวพระนครภัททิยะ จึงได้ตงหน้ ั าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลาย
อยู่ คือ ได้ทาํ เองบ้าง ได้สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ได้ทาํ เองบ้าง ได้สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่ าย
ได้ทาํ เองบ้าง ได้สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้อง ได้ทาํ เองบ้าง ได้สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ ง ได้ทําเอง
บ้าง ได้สังให้ทําบ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยแฝก ได้ทําเองบ้าง ได้สังให้ทําบ้าง ซึงเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ ภิกษุ เหล่ านั นได้ละเลย
อุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเสีย แล้วกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค
พระผูม้ ีพระภาคทรงสอบถามภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ข่าวว่าพวกภิกษุ ชาวพระนครภัททิยะตังหน้าพากเพียรตกแต่ง
เขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้า
มุงกระต่าย ทําเองบ้าง สังให้ทําบ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้อง ทําเองบ้าง สังให้ทําบ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ ง ทําเอง
บ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าสานด้วยแฝก ทําเองบ้าง สังให้ทาํ บ้าง ซึงเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ ย่อมละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล
อธิจิต อธิปัญญาเสีย จริงหรือ?
ภิกษุ ทงหลายทู
ั ลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดู กรภิกษุ ทังหลาย ไฉนเล่ าโมฆบุรุษเหล่ านั น จึงได้ตังหน้าพากเพีย รตกแต่งเขียงเท้า
หลากหลายอยู่ ... ดู กรภิกษุ ทังหลาย การกระทําของเหล่ าโมฆบุรุษนั นไม่เป็ นไปเพือความเลื อมใสของชุมชนทียังไม่เลื อมใส ....
ครันแล้วทรงทําธรรมีกถารับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า ดู กรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ไม่พึงสวมเขียงเท้าสานด้วยหญ้า เขียงเท้าสานด้วย
หญ้ามุงกระต่าย เขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้อง เขียงเท้าสานด้วยใบเป้ ง เขียงเท้าสานด้วยแฝก เขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ เขียงเท้า
ประดับด้วยทองคํา เขียงเท้าประดับด้วยเงิน เขียงเท้าประดับด้วยแก้วมณี เขียงเท้าประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ เขียงเท้าประดับด้วย
แก้วผลึก เขียงเท้าประดับด้วยทองสัมฤทธิ เขียงเท้าประดับด้วยกระจก เขียงเท้าทําด้วยดีบุก เขียงเท้าทําด้วยสังกะสี เขียงเท้า ทํา
ด้วยทองแดง รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง เขียงเท้าบางชนิ ดทีสําหรับสวมเดิน อันภิกษุ ไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ

๒๘๓
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตเขียงเท้าทีตรึงอยู่กับที ไม่ใช่สําหรับใช้สวมเดิน 3 ชนิ ด คือ เขียงเท้าทีสําหรับเหยียบถ่ายอุจจาระ
1 เขียงเท้าทีสําหรับเหยียบถ่ายปั สสาวะ 1 เขียงเท้าทีสําหรับเหยียบในทีชําระ 1.
........................................................
พระพุทธบัญญัติหา้ มจับโค วิ.ม.5/13/18
[13] ครังนั น พระผูม้ ีพระภาคประทับอยู่ในพระนครภัททิยะ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จพระพุทธดําเนิ นจาริกทางพระนคร
สาวัตถี เสด็จพระพุทธดําเนิ นจาริกโดยลําดับถึ งพระนครสาวัตถีแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ในพระเชตวัน อารามของอนาถ
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนัน
ก็โดยสมัยนั นแล พระฉัพพัคคียจ์ บั โคกําลังข้ามแม่นําอจิรวดี ทีเขาบ้าง ทีหูบา้ ง ทีคอบ้าง ทีหางบ้าง ขึนขีหลังบ้าง มีจิตกําหนั ด
ถูกต้ององค์กาํ เนิ ดบ้าง กดลูกโคให้จมนํ าตายบ้าง ประชาชนทังหลาย พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชือสาย
พระศากยบุตร จึงได้จบั โคกําลังข้ามนํ า ทีเขาบ้าง ทีหูบา้ ง ทีคอบ้าง ทีหางบ้าง ขึนขีหลังบ้าง มีจิตกําหนั ด ถูกต้ององค์กําเนิ ด บ้าง
กดลู ก โคให้จมนํ าตายบ้า ง เหมื อนพวกคฤหัสถ์ผูบ้ ริ โภคกาม ฉะนั น. ภิ ก ษุ ทังหลายได้ยิ น ชาวบ้า นเหล่ านั น เพ่ ง โทษ ติ เ ตี ยน
โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค
พระผูม้ ีพระภาคทรงบัญญัติหา้ มภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ภิกษุ ไม่พึงจับเขาโค หูโค คอโค หางโค ไม่พึงขีหลังโค รูป
ใดจับและขึนขี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั อนึ ง องค์กาํ เนิ ดโค อันภิกษุ มีจิตกําหนั ด ไม่พึงถูกต้อง รูปใดถูกต้องต้องอาบัติถุลลัจจัย ภิกษุ ไม่พึงฆ่าลู กโค
รูปใดฆ่า พึงปรับอาบัติตามธรรม.
เรืองยาน วิ.ม.5/13/18
[14] ก็โดยสมัยนั นแล พระฉัพพัคคีย์ขียานซึงเทียมด้วยโคตัวเมีย มีบุรุษเป็ นสารถี , เทียมด้วยโคตัวผู ้ มีสตรีเป็ นสารถี บา้ ง.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนชายหนุ่ มหญิงสาวไปเล่นนํ าในแม่นําคงคาและแม่นํามหี ฉะนั น ภิกษุ ทงหลาย ั
กราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค พระผูม้ ีพระภาคทรงบัญญัติหา้ มภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ไม่พึงไปด้ว ยยาน
รูปใดไปต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุ รูปหนึ งไปพระนครสาวัตถีในโกศลชนบทเพือเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค แต่อาพาธเสียกลางทาง และได้หลีกจากทาง
นั งอยู่ ณ โคนไม้แห่งหนึ ง ประชาชนพบภิกษุ นันจึงเรียนถามว่า พระคุณเจ้าจะไปไหน ขอรับ?
ภิกษุ นันตอบว่า อาตมาจะไปพระนครสาวัตถี เพือเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาค จ้ะ
ป. นิ มนต์มา ไปด้วยกันเถิด ขอรับ
ภิ. อาตมาไม่อาจ เพราะกําลังอาพาธ จ้ะ
ป. นิ มนต์มาขึนยานเถิด ขอรับ
ภิ. ไม่ได้จะ้ เพราะพระผูม้ ีพระภาคทรงห้ามยาน
ภิกษุ นันรังเกียจอยู่ดงั นั นจึงไม่ยอมขึนยาน ครันไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว จึงแจ้งเรืองนั นแก่ภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ทงหลายกราบ

ทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค.
ลําดับนั น พระผูม้ ีพระภาคทรงทําธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็ นเค้ามูลนั น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั น แล้วรับสังกะภิกษุ ทังหลาย
ว่า ดูกรภิกษุ ทงหลายั เราอนุ ญาตยานแก่ภิกษุ ผอู ้ าพาธ.
ครังนั น ภิกษุ ทงหลายได้
ั คิดกันว่า ยานทีทรงอนุ ญาตนั นเทียมด้วยโคตัวเมีย หรือเทียมด้วยโคตัวผู ้ แล้วกราบทูลเรืองนั นแด่พระ
ผูม้ ีพระภาค พระผูม้ ีพระภาคทรงอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั เราอนุ ญาตยานทีเทียมด้วยโคตัวผู ้ และยานทีใช้
มือลาก.
สมัยต่อมา ภิกษุ รูปหนึ งไม่ผาสุกอย่างแรง เพราะความกระเทือนแห่งยาน ภิกษุ ทังหลายกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาค
พระผูม้ ีพระภาคทรงอนุ ญาตแก่ภิกษุ ทงหลายว่ ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตคานหามมีตงนัั ง และเปลผ้าทีเขาผูกติดกับไม้คาน.
........................................................
เรืองร่ม วิ.จุล.7/131/34
[131] สมัยนั น ร่มบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุ ทังหลายกราบทูลเรืองนั นแด่ พระผูม้ ีพระภาคพระผูม้ ีพระภาค ตรัสว่า ดู กรภิกษุ
ทังหลาย เราอนุ ญาตร่ม ฯ
[132] สมัยนั น พระฉัพพัคคีย์เดินกันร่มเทียวไป ครังนั น อุบาสกผูห้ นึ งได้ไปเทียวสวนกับสาวกของอาชีวกหลายคน พวกสาวก

๒๘๔
ของอาชีวกเหล่านั น ได้เห็นพระฉัพพัคคีย์เดินกันร่มมาแต่ไกล ครันแล้วได้กล่าวกะอุบาสกผูน้ ั นว่าพระคุ ณเจ้าเหล่ านี เป็ นผู เ้ จริ ญ
ของพวกท่าน เดินกันร่มมาคล้ายมหาอํามาตย์โหราจารย์ อุบาสกผูน้ ั นกล่าวว่า นั นมิใช่ภิกษุ เป็ นปริพาชก ขอรับ พวกเขาแคลงใจ
ว่า ภิกษุ หรือมิใช่ภิกษุ ครันอุบาสกเข้าไปใกล้ ก็จาํ ได้ จึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าทังหลายจึงเดินกันร่ม ภิกษุ
ทังหลายได้ ยินอุบาสกนั น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรืองนั นแด่พระผูม้ ี พระภาคๆ ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั
ข่าวว่า ... จริงหรือ ภิกษุ เหล่านั นกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครันแล้วทรงทําธรรมีกถา
รับสังกะ ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ ไม่พึงกันร่ม รูปใดกัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
[133] สมัยต่อมา ภิกษุ รูปหนึ งอาพาธ เธอเว้นร่มแล้วไม่สบาย ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาคๆ ตรัสว่า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เรา อนุ ญาตร่มแก่ภิกษุ อาพาธ ฯ
[134] สมัยต่อมา ภิกษุ ทังหลายทราบว่า พระผูม้ ีพระภาคทรงอนุ ญาต ร่มแก่ภิกษุ อาพาธเท่านั น ไม่ได้ทรงอนุ ญาตแก่ภิกษุ ไม่
อาพาธ จึงรังเกียจทีจะกันร่มในวัดและอุปจารของวัด ภิกษุ ทงหลายกราบทู
ั ลเรืองนั นแด่พระผูม้ ีพระภาคพระผูม้ ีพระภาค ... ตรัสว่า
ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั เราอนุ ญาตให้ภิกษุ แม้ไม่อาพาธกันร่มในวัด หรือในอุปจารของวัดได้ ฯ
(วิ.จุล.อ.หน้า 9 หน้า 96 มมร.) [ว่าด้วยร่ม] วินิจฉัยในคําว่า คิลานสฺ ส ฉตฺ ตํ นี พึงทราบดังนี :-
ภิกษุ ใด มีความร้อนในกาย หรือมีความกลุ ม้ ใจ หรือมีตาฟางก็ดี หรืออาพาธบางชนิ ด อย่ างอืน ทีเว้นร่มเสี ย ย่อมเกิ ด
(อาพาธ) ขึน, ภิกษุ นันควรกางร่มในบ้านหรือในป่ า. อนึ ง เมือฝนตก จะกางร่มเพือรักษาจีวร และในทีควร กลัวสัตว์รา้ ยและโจร จะ
กางร่มเพือป้ องกันตนบ้าง ก็ควร. ส่วนร่มทีทําด้วยใบไม้ใบเดียว ควรในทีทังปวงทีเดียว.
........................................................
ธัมมกรก ตัดหญ้า

๒๘๕
ภิกขุนีวิภงั ค์
ครุธรรม 8 ประการ (พรรษาที 5) (โคตมีสูตร) องฺ.อฏฺ ฐ.23/141/24, วิ.จุ.7/516/256
1. ภิกษุ ณีอุปสมบทแล้ว 100 ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทําอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุทีอุปสมบทในวันนัน [ธรรม
แม้นี ภิกษุ ณีตอ้ งสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต]
2. ภิกษุ ณีไม่พึงอยู่จาํ พรรษาในอาวาสทีไม่มภี ิกษุ [ธรรมแม้นี …]
3. ภิกษุ ณีตอ้ งหวังธรรม 2 ประการ คือ ถามวันอุโบสถ 1 เข้าไปฟั งคําสังสอน 1 จากภิกษุ สงฆ์ทุกกึงเดือน [ธ…]
4. ภิกษุ ณีอยู่จาํ พรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ าย โดยสถานทัง 3 คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ [ธ…]
5. ภิกษุ ณีตอ้ งธรรมทีหนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ 2 ฝ่ าย [ธ…]
6. ภิกษุ ณีตอ้ งแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ 2 ฝ่ าย เพือสิกขมานาผูม้ ีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม 6 ประการ ครบ 2 ปี แล้ว
[ธ…]
7. ภิกษุ ณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ ง [ธ…]
8. ตังแต่วนั นี เป็ นต้นไป ปิ ดทางไม่ให้ภิกษุ ณีทงหลายสอนภิ
ั กษุ เปิ ดทางให้ภิกษุทงหลายสอนภิ
ั กษุ ณี [ธ…]
ดูกรอานนท์ ก็ถา้ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม 8 ประการนี ข้อนี แหละ จงเป็ นอุปสัมปทาของพระนางฯ
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ หากมาตุ คามจักไม่ได้ออกบวชเป็ นบรรพชิ ตในธรรมวินัยที ตถาคต
ประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยงั จะตังอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดํารงอยู่ได้ 1,000 ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็ นบรรพชิ ต
ในธรรมวินัยที ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตังอยู่นาน ทังสัทธรรมก็จกั ดํารงอยู่เพี ยง 500 ปี ดูก่อนอานนท์
ตระกู ล ใดตระกู ล หนึ งที มีห ญิ ง มากชายน้ อย ตระกู ล นั นถู ก พวกโจรกําจัดได้ง่า ย แม้ฉันใด มาตุ ค ามได้ออกบวชเป็ น
บรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนันจักไม่ตงอยู ั ่นาน ฉันนันเหมือนกัน อนึ ง ขยอกลงในนาข้าวทีสมบูรณ์
นาข้าวนั นก็ย่อมไม่ตังอยู่นาน แม้ฉันใด... เพลี ยลงในไร่ออ้ ยนั นก็ย่อมไม่ตังอยู่นาน แม้ฉันใด มาตุ คามได้ออกบวชเป็ น
บรรพชิ ตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนันย่อมไม่ตังอยู่นาน ฉันนั นเหมือนกัน อนึ ง บุรุษกันคันสระใหญ่ไว้
ก่ อน เพื อไม่ ให้นํ าไหลออก ฉันใด เราบัญ ญัติค รุ ธ รรม 8 ประการไม่ ให้ภิ ก ษุ ณี ก า้ วล่ วงตลอดชี วิตเสี ย ก่ อน ฉันนั น
เหมือนกัน.
อ. [ก็ดว้ ยบทว่า มหโต ตฬากสฺ ส ปฏิกจฺ เจว ปาลึ นี พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมือเขาไม่
พูนคันกันสระใหญ่ นํ าสักหน่ อยหนึ งก็ไม่ขงั อยู่เลย แต่เมือเขาปิ ดไว้ครังแรกนั นแหละ นํ าใดทีไม่ขงั อยู่ เพราะไม่ปิดกันเป็ นปั จจัยนํ า
แม้นันก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด. ครุธรรมเหล่านี ก็ฉันนั นเหมือนกัน เราบัญญัติเสียก่อน เพือประโยชน์ จะไม่ให้นางภิกษุ ณีจงใจล่วงละเมิด
ในเมือเรืองยังไม่เกิดขึน เพราะเมือเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่ านั น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมจักดํารงอยู่ได้ 500 ปี แต่ครุ
ธรรมทีเราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดํารงอยู่ได้อีก 500 ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดํารงอยู่ได้เพียง 1,000 ปี ซึงได้
ตรัสไว้ก่อนดังกล่าวมาฉะนี .
ก็คาํ ว่า วสฺ สสหสฺ สํ นี ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผูบ้ รรลุ ปฏิสัมภิทาเท่านั น แต่เมือกล่าวให้ยิงไปกว่านั น 1,000 ปี โดยมุ่ง
ถึ งพระขีณาสพผูส้ ุ กขวิ ปัส สก 1,000 ปี โดยมุ่งถึ งพระอนาคามี 1,000 ปี โดยมุ่งถึ งพระสกทาคามี 1,000 ปี โดยมุ่งถึ ง พระ
โสดาบัน ปฏิ เ วธสั ทธรรมถู ก ดํา รงอยู่ ไ ด้ 5,000 ปี โดยอาการดัง กล่ า วมานี แม้พระปริ ยัติ ธ รรมก็ ดํา รงอยู่ ไ ด้ 5,000 ปี นั น
เหมือนกัน. เพราะเมือปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ ได้ แม้เมือปริยัติธรรมไม่ มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมือปริยัติธรรมแม้
อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จกั แปรเป็ นอย่างอืนไปแล.]
องฺ.อฏฺ ฐ.อ.37 หน้า 553-4

๒๘๖
ภิกขุนิกขันธกวรรณนา [ว่าด้วยครุธรรม 8] วินิจฉัยในภิกขุนิกขันธกะ พึงทราบดังนี :-
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผูม้ ีพระภาคเจ้าจึงทรงห้ามว่า อย่าเลยโคตมี(บรรพชาของมาตุคาม) อย่าได้ชอบใจแก่ท่านเลย,
บริษัทของพระพุทธเจ้าแม้ทงปวง ั ย่อมมี 4 มิใช่หรือ
ตอบว่า บริษัทของพระพุทธเจ้าแม้ทงปวงมี ั 4 ก็จริง ถึงกระนั น พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์จะยังพระนางมหาป
ชาบดีโคตมีให้ลําบากแล้ว จึงทรงอนุ ญาตทําให้เป็ นของสําคัญ(อย่างนี ) ว่า สตรีทงหลายจั ั กคิดว่า บรรพชานี เราได้ยาก ดังนี แล้ว
จักบริบาลไว้โดยชอบซึงบรรพชา อันเราถูกวิงวอนแล้วมากครังจึงอนุ ญาต ดังนี จึงทรงห้ามเสีย.
กถาว่าด้วยครุธรรม 8 ได้กล่าวไว้แล้ว ในมหาวิภงั ค์*แล.
บทว่า กุมฺภเถนเกหิ ได้แก่ โจรผูต้ ามประทีปในหม้อแล้ว ค้นสิงของในเรือนของชนอืนด้วยแสงนั น ลักเอาไป. ข้อว่า เสตฏฺ ฐิ
กา นาม โรคชาติ นั น ได้แก่ ชือสัตว์มีชีวิตชนิ ดหนึ ง. รวงข้าวสาลี แม้พลุ่ งแล้ว ไม่อาจเลี ยงนํ านมไว้ได้ เพราะถู กสัตว์ใดเจาะแล้ว
สัตว์นัน ย่อมเจาะไส้ซึงยังอยู่ในปล้อง. ข้อว่า ม ฺ เชฏฺ ฐิกา นาม โรคชาติ นั น ได้แก่ การทีอ้อยเป็ นโรคไส้แดง.
* มหาวิภงฺค. ทุติย. 270. 2. องฺกุร.
ก็แล ด้วยคําว่า มหโต ตฬากสฺ ส ปฏิกจฺเจว ปาลึ นี พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนื อความนี ว่า เมือขอบแห่งสระใหญ่แม้
ไม่ได้ก่อแล้ว นํ าน้อยหนึ งพึงขังอยู่ได้, แต่เมือได้ก่อขอบไว้เสี ยก่อนแล้ว นํ าใดไม่พึงขังอยู่ เพราะเหตุทีมิได้ก่อขอบไว้, นํ าแม้นันพึง
ขังอยู่ได้ เมือได้ก่อขอบแล้ว ข้อนี ฉันใด; ครุธรรมเหล่านี ใด อันพระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงรีบบัญญัติเสียก่อน เพือกันความละเมิด ใน
เมือยังไม่เกิดเรือง, เมือครุธรรมเหล่านั น อันพระผูม้ ีพระภาคเจ้าแม้มิได้ทรงบัญญัติ พระสัทธรรมจะพึงตังอยู่ได้หา้ ร้อยปี เพราะ
เหตุทีมาตุคามบวช, แต่เพราะเหตุทีทรงบัญญัติครุธรรมเหล่ านั นไว้ก่อน พระสัทธรรมจักตังอยู่ได้อีกห้าร้อยปี ข้อนี ก็ฉันนั นแล จึง
รวมความว่า พระสัทธรรมจักตังอยู่ตลอดพันปี ทีตรัสทีแรกนั นเอง ด้วยประการฉะนี .
แต่คาํ ว่า พันปี นั น พระองค์ตรัสด้วยอํานาจพระขีณาสพผูถ้ ึ งความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั น. แต่เมือจะตังอยู่ยิงกว่า
พันปี นั นบ้าง จักตังอยู่สินพันปี ด้วยอํานาจแห่งพระขีณาสพสุ กขวิปัสสกะ, จักตังอยู่สินพันปี ด้วยอํานาจแห่งพระอนาคามี, จัก
ตังอยู่สินพันปี ด้วยอํานาจแห่งพระสกทาคามี, จักตังอยู่สินพันปี ด้วยอํานาจพระโสดาบัน, รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจัก
ตังอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี .
ฝ่ ายพระปริยัติธรรมจักตังอยู่เช่นนั นเหมือนกัน. เมือปริยัติไม่มี ปฏิเวธจะมีไม่ได้เลย เมือปริยัติมี ปฏิเวธจะไม่มีก็ไม่ได้.
แต่เมือปริยตั ิแม้เสือมสูญไปแล้ว เพศจะเป็ นไปตลอดกาลนานฉะนี แล.
วิ.จุ.อ.9 หน้า 498-9
………………………………………………………..
[พระพุทธศาสนาอาจตังอยู่ได้ 5,000 ปี ] วิ.ม.อ.เล่ม 1 หน้า 60 มมร.
ก็ในเวลาจบการร้อยกรองพระพุทธพจน์ นัน มหาปฐพีเหมือนเกิดความปราโมทย์ให้สาธุการอยู่ว่า พระมหากัสสปเถระ
ทําพระศาสนาของพระทศพลนี ให้สามารถเป็ นไปได้ตลอดกาลประมาณ 5,000 พระวรรษา ดังนี ก็หวันไหวเอนเอียง สะเทือน
สะท้านเป็ นอเนกประการ จนถึงนํ ารองแผ่นดินเป็ นทีสุด และอัศจรรย์ทงหลายเป็
ั นอันมากก็ได้ปรากฏมีแล้ว ด้วยประการฉะนี .
สังคีติใดในโลก ท่านเรียกว่า ปั ญจสตาสังคีติ เพราะพระธรรมสังคาหกเถระ 500 รูปทํา, และเรียกว่า เถริกาสังคีติ เพราะ
พระเถระ ทังหลายนั นแลทําแล้ว สังคีตินี ชือปฐมมหาสังคีติ ด้วยประการฉะนี .
………………………………………………………..

๒๘๗
ธรรมเพือความเสือมสูญ อันตรธานแห่งสัทธรรม อง.เอก.20/115-138/19-25
[115] ดูกรภิกษุทงหลายั เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึง ทีเป็ นไปเพือความเสือมสูญ เพือความอันตรธาน
แห่งสัทธรรม เหมือนความประมาท ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ความประมาทย่อมเป็ นไปเพือความเสื อมสู ญ เพือความอันตรธานแห่ง
สัทธรรม ฯ
[116] ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอืนแม้อย่างหนึง ทีเป็ นไปเพือความดํารงมัน เพือความไม่เสือม
สูญ เพือความไม่อนั ตรธานแห่งสัทธรรม เหมือนความไม่ประมาท ดูกรภิกษุ ทงหลาย ั ความไม่ประมาท ย่อมเป็ นไปเพือความ
ดํารงมัน เพือความไม่เสือมสูญ เพือความไม่อนั ตรธานแห่งสัทธรรม ฯ
[117] ...เหมือนความเป็ นผูเ้ กียจคร้าน [118] ...เหมือนการปรารภความเพียร
[119] ...เหมือนความเป็ นผูม้ กั มาก [120] ...เหมือนความเป็ นผูม้ กั น้อย
[121] ...เหมือนความเป็ นผูไ้ ม่สันโดษ [122] ...เหมือนความเป็ นผูส้ ันโดษ
[123] ...เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย [124] ...เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย
[125] ...เหมือนความเป็ นผูไ้ ม่รสู ้ ึกตัว [126] ...เหมือนความเป็ นผูร้ สู ้ ึกตัว
[127] ...เหมือนความเป็ นผูม้ ีมิตรชัว [128] ...เหมือนความเป็ นผูม้ ีมิตรดี
[129] ...เหมือนการประกอบอกุศลธรรมเนื องๆ การไม่ประกอบกุศลธรรม
[130] ... เหมือนการประกอบกุศลธรรมเนื องๆ การไม่ประกอบอกุศลธรรม
[131] ดูกรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ พวกทีแสดงอธรรมว่า ธรรม ภิกษุ เหล่านันชือว่าเป็ นผูป้ ฏิบัติเพือไม่เป็ นประโยชน์
เกือกูล ไม่เป็ นความสุขแก่ช นเป็ นอันมาก เพืออนัตถะมิใช่ประโยชน์เ กือ กูลแก่ช นเป็ นอันมาก เพือทุกข์แก่ เทวดาและ
มนุษย์ทงหลาย
ั ทังย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็ นอันมาก และย่อมจะยังสัทธรรมนีให้อนั ตรธาน ฯ
[132] ดูกรภิกษุ ทงหลายั ภิกษุพวกทีแสดงธรรมว่า อธรรม ฯลฯ
ทีแสดงสิงทีมิใช่วินัยว่า วินัย ฯลฯ ทีแสดงวินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ
ทีแสดงพระดํารัสอันพระตถาคตมิได้ทรงภาษิ ต มิได้ตรัสไว้ว่า พระตถาคตทรงภาษิ ตไว้ ตรัสไว้ ฯลฯ
ทีแสดงพระดํารัสอันพระตถาคตได้ทรงภาษิ ตไว้ ตรัสไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงภาษิ ต มิตรัสไว้ ฯลฯ
ทีแสดงกรรมอันพระตถาคตมิได้ทรงสังสมว่า พระตถาคตทรงสังสม ฯลฯ
ทีแสดงกรรมอันพระตถาคตมิได้ทรงสังสมไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงสังสมไว้ ฯลฯ
ทีแสดงสิงอันพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ว่า พระตถาคตทรงบัญญัติไว้ ฯลฯ
ทีแสดงสิงอันพระตถาคตทรงบัญญัติไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้
[133] ดูกรภิกษุทงหลาย ั ภิกษุพวกทีแสดงอธรรมว่าอธรรม ภิกษุเหล่านันชือว่า เป็ นผูป้ ฏิบตั ิเพือประโยชน์เกื อกู ล
เพือความสุขแก่ชนเป็ นอันมากเพืออัตถะประโยชน์เกือกูลแก่ชนเป็ นอันมาก เพือความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย ั ทัง
ย่อมประสบบุญเป็ นอันมาก และย่อมดํารงสัทธรรมนีไว้มนั ฯ
[134] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุพวกทีแสดงธรรมว่า ธรรม ฯลฯ
ทีแสดงสิงทีมิใช่วินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ ทีแสดงวินัยว่า วินัย ฯลฯ
ทีแสดงพระดํารัสอันพระตถาคตมิได้ทรงภาษิ ต มิได้ตรัสไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงภาษิ ตมิได้ตรัสไว้ ฯลฯ
ทีแสดงพระดํารัสอันพระตถาคตได้ทรงภาษิ ต ได้ตรัสไว้ว่าพระตถาคตได้ทรงภาษิ ต ได้ตรัสไว้ ฯลฯ
ทีแสดงกรรมทีพระตถาคตมิได้ทรงสังสมว่า พระตถาคตมิได้ทรงสังสม ฯลฯ
ทีแสดงกรรมอันพระตถาคตทรงสังสมว่า พระตถาคตทรงสังสม ฯลฯ
ทีแสดงสิงอันพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติว่า ตถาคตทรงบัญญัติ
[135] ดูกรภิกษุ ทงหลาย
ั ภิกษุ พวกทีแสดงอนาบัติว่า อาบัติ ฯลฯ ทีแสดงอาบัติว่า อนาบัติ ฯลฯ
ทีแสดงลหุกาบัติว่า เป็ นครุกาบัติ ฯลฯ ทีแสดงครุกาบัติว่า เป็ นลหุกาบัติ ฯลฯ
ทีแสดงอาบัติชวหยาบว่
ั า อาบัติไม่ชวหยาบ
ั ฯลฯ ทีแสดงอาบัติไม่ชวหยาบว่
ั า อาบัติชวหยาบ ั ฯลฯ
ทีแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ฯลฯ ทีแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า อาบัติมีส่วนเหลือ ฯลฯ
ทีแสดงอาบัติทาํ คืนได้ว่า อาบัติทาํ คืนไม่ได้ ฯลฯ ทีแสดงอาบัติทาํ คืนไม่ได้ว่า อาบัติทาํ คืนได้

๒๘๘
ภิ ก ษุ เ หล่ า นันชือว่ าเป็ นผูป้ ฏิ บัติเพื อไม่ เป็ นประโยชน์เกือ กู ล เพื อไม่ เ ป็ นสุ ขแก่ ชนเป็ นอันมาก เพื ออนัต ถะใช่
ประโยชน์เกือกูลแก่ชนเป็ นอันมากเพือความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทังหลาย ทังย่อมประสบบาปใช่บุญเป็ นอันมาก และ
ย่อมทําให้สทั ธรรมนีอนั ตรธาน ฯ
[136] ดูกรภิกษุทงหลาย ั ภิกษุพวกทีแสดงอนาบัติว่า อนาบัติ ...
[137] ดูกรภิกษุทงหลาย ั ภิกษุพวกทีแสดงอาบัติว่า อาบัติ
[138] ดูกรภิกษุ ทงหลายั ภิกษุ พวกทีแสดงลหุกาบัติว่า เป็ นลหุกาบัติ ฯลฯ ทีแสดงครุกาบัติว่า เป็ นครุกาบัติ ฯลฯ
ทีแสดงอาบัติชวหยาบว่
ั าอาบัติชวหยาบ
ั ฯลฯ ทีแสดงอาบัติไม่ชวหยาบว่ ั า อาบัติไม่ชวหยาบ ั ฯลฯ
ทีแสดงอาบัติทีมีส่วนเหลือว่า อาบัติมีส่วนเหลือ ฯลฯ ทีแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ฯลฯ
ทีแสดงอาบัติทาํ คืนได้ว่า อาบัติทาํ คืนได้ ฯลฯ ทีแสดงอาบัติทาํ คืนไม่ได้ว่า อาบัติทาํ คืนไม่ได้
ภิกษุเหล่านันชือว่าเป็ นผูป้ ฏิบตั ิเพือประโยชน์เกือกูล เพือความสุขแก่ชนเป็ นอันมาก เพืออัตถะประโยชน์เกือกูลแก่ช น
เป็ นอันมาก เพือความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทงหลาย ั ทังย่อมประสบบุญเป็ นอันมาก และย่อมดํารงสัทธรรมนีไว้มนั ฯ
..............................................
อันตรธาน 3 ใน ม.อุ.อ.22 หน้า 316 อภิ.วิ.อ.78 หน้า 690-694 ที.ปา.อ.15 หน้า 251 สํ.นิ .อ.26 หน้า 634
ก็ในคําทีตรัสไว้ในทีสุดแห่งสูตรทังปวงว่า ก็ภิกษุ เหล่านั นย่อมยังธรรมนี ให้อนั ตรธานไปนั น ชือว่าอันตรธานมี 5 อย่างคือ
อธิคมอันตรธาน อันตรธานเห่งการบรรลุ 1 ปฏิปัตติอนั ตรธาน อันตรธานแห่งการปฏิบตั ิ 1 องฺ.เอก.อ.32 หน้า 167-175
ปริยตั ติอนั ตรธาน อันตรธานแห่งปริยตั ิ 1 ลิงคอันตรธาน อันตรธานแห่งเพศ 1
ธาตุอนั ตรธาน อันตรธานแห่งธาตุ 1.
ใน 5 อย่างนั น มรรค 4 ผล 4 ปฏิสัมภิทา 4 วิชชา 3 อภิญญา 6 ชือว่า อธิคม. อธิคมนั น เมือเสือมย่อมเสื อมไปตังแต่
ปฏิสัมภิทา. จริงอยู่ นั บตังแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 1000 ปี เท่านั น ภิกษุ ไม่สามารถจะให้ปฏิสัมภิทาบังเกิดได้ ต่อแต่นันก็
อภิญญา 6. แต่นันเมือไม่สามารถทําอภิญญาให้บังเกิดได้ ย่อมทําวิชชา 3 ให้บังเกิด. ครันกาลล่ วงไป ๆ เมือไม่สามารถจะทํา
วิชชา 3 ให้บงั เกิด ก็เป็ นพระอรหันต์สุกขวิปัสสก โดยอุบายนี เอง ก็เป็ นพระอนาคามี พระสกทาคามี และพระโสดาบัน. เมือท่าน
เหล่ านั นยังทรงชีพอยู่ อธิ คมชือว่ายังไม่เสือม อธิ คมชือว่า ย่อมเสื อมไปเพราะความสินไปแห่งชีวิต ของพระอริยบุคคลผูโ้ สดาบัน
ชันตําสุดดังกล่าวนี ชือว่าอันตรธานแห่งอธิคม.
ภิกษุ ไม่สามารถจะให้ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล บังเกิดได้ รักษาเพียงจาตุปาริสุทธิศีล ชือว่าอันตรธานแห่งข้อปฏิบัติ.
เมือกาลล่ วงไป ๆ ภิกษุ ทังหลายคิดว่า เราจะรักษาศีลให้บริบูรณ์และจะประกอบความเพียรเนื อง ๆ แต่เราก็ไม่สามารถจะทําให้
แจ้งมรรคหรือผลได้ บัดนี ไม่มีการแทงตลอดอริยธรรม จึงท้อใจ มากไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่ตกั เตือนกันและกัน ไม่รงั เกียจกัน
(ในการทําชัว) ตังแต่นันก็พากันยํายี สิกขาบทเล็กน้อย. เมือกาลล่วงไป ๆ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย ต่อแต่นันต้องครุกาบัติ.
เพียงอาบัติปาราชิกเท่านั นยังคงอยู่. เมือภิกษุ 100 รูปบ้าง 1000 รูปบ้างผูร้ กั ษาอาบัติปาราชิก ยังทรงชีพอยู่ การปฏิบตั ิชือว่ายัง
ไม่อนั ตรธาน จะอันตรธานไป เพราะภิกษุ รูปสุดท้ายทําลายศีล หรือสินชีวิต ดังกล่าวมานี ชือว่า อันตรายแห่งการปฏิบตั ิ.
บทว่า ปริยตฺ ติ ได้แก่ บาลี พร้อมทังอรรถกถาในพุทธพจน์ คือ พระไตรปิ ฎก บาลี นันยังคงอยู่เพียงใด ปริยัติก็ชือว่ายัง
บริบูรณ์อยู่เพียงนั น. เมือกาลล่วงไป ๆ พระราชาและพระยุพราชในกุลียุค ไม่ตงอยู ั ่ในธรรม เมือพระราชาและยุพราชเหล่ านั น ไม่
ตังอยู่ในธรรม ราชอมาตย์เป็ นต้น ก็ไม่ตังอยู่ในธรรม แต่นันชาวแคว้นและชาวชนบท ก็ไม่ตังอยู่ในธรรม ฝนย่อมไม่ตกต้องตาม
ฤดู กาล เพราะคนเหล่ านั นไม่ตังอยู่ในธรรม. ข้าวกล้าย่อมไม่บริบูรณ์ เมือข้าวกล้าเหล่ านั นไม่บริบูรณ์ ทายกผูถ้ วายปั จจัย ก็ไม่
สามารถจะถวายปั จจัยแก่ภิกษุ สงฆ์ได้ ภิกษุ ทงหลายลํ
ั าบากด้วยปั จจัย ก็ไม่สามารถสงเคราะห์พวกอันเตวาสิก. เมือเวลาล่วงไป ๆ
ปริยตั ิย่อมเสือม ภิกษุ ทงหลายไม่
ั สามารถจะทรงจําอรรถไว้ได้ ทรงจําไว้ได้แต่พระบาลีเท่านั น. แต่นันเมือกาลล่วงไป ก็ไม่สามารถ
จะทรงบาลี ไว้ได้ทังสิน. อภิธรรมปิ ฎกย่อมเสือมก่อน. เมือเสื อม ก็เสื อมตังแต่ทา้ ยมา. จริงอยู่ ปั ฏฐานมหาปกรณ์ย่อมเสื อมก่อน
ทีเดียว เมือปั ฏฐานมหาปกรณ์เสือม ยมก กถาวัตถุ บุคคลบัญญัติ ธาตุกถา ธัมมสังคณี ก็เสือม เมืออภิธรรมปิ ฎก เสือมไปอย่างนี
สุ ตตันตปิ ฎก ก็เสื อมตังแต่ทา้ ยมา อังคุ ตตรนิ กายเสื อมก่อน เมืออังคุ ตตรนิ กายเสือม เอกาทสกนิ บาตเสือมก่อน ต่อแต่นัน ทสก
นิ บาต ฯลฯ ต่อนั นเอกนิ บาต เมืออังคุตตรนิ กายเสื อมไปอย่างนี สังยุตตนิ กาย ก็เสือมตังแต่ทา้ ยมา. จริงอยู่มหาวรรค เสือมก่อน
แต่นันสฬายตนวรรค ขันธกวรรค นิ ทานวรรค สคาถวรรค เมือสังยุตตินิกายเสื อมไปอย่างนี มัชฌิมนิ กายย่อมเสือมตังแต่ทา้ ยมา
จริงอยู่ อุปริปัณณาสก์เสือมก่อน ต่อนั น มัชฌิมปั ณณาสก์ ต่อนั นมูลปั ณณาสก์. เมือมัชฌิมนิ กายเสือมอย่างนี ทีฆนิ กายเสือมตังแต่
ท้ายมา. จริงอยู่ ปาฏิยวรรคเสือมก่อน แต่นันมหาวรรค แต่นันสีลขันธวรรค เมือทีฆนิ กายเสือมอย่างนี พระสุตตันตปิ ฎกชือว่าย่อม
เสื อม. ทรงไว้เฉพาะชาดกกับวินัยปิ ฎกเท่านั น. ภิกษุ ผูเ้ ป็ นลัชชีเท่านั นทรงพระวินัยปิ ฎก. ส่ วนภิกษุ ผูห้ วังในลาภ คิดว่า แม้เมือ

๒๘๙
กล่าวแต่พระสูตร ก็ไม่มีผจู ้ ะกําหนดได้ จึงทรงไว้เฉพาะชาดกเท่านั น. เมือเวลาล่วงไป ๆ แม้แค่ชาดกก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้. ครัง
นั น บรรดาชาดกเหล่ า นั น เวสสั น ตรชาดกเสื อมก่อน ต่ อแต่ นั น ปุ ณ ณกชาดก มหานารทชาดก เสื อมไปโดยย้อนลํ า ดั บ ใน
ทีสุดอปั ณณกชาดกก็เสือม. เมือชาดกเสือมไปอย่างนี ภิกษุ ทงหลายย่ ั อมทรงไว้เฉพาะพระวินัยปิ ฎกเท่านั น. เมือกาลล่วงไป ๆ ก็ไม่
สามารถจะทรงไว้ได้แม้แต่พระวินัยปิ ฎก แต่นันก็เสื อมตังแต่ทา้ ยมา. คัมภีร์บริวารเสื อมก่อน ต่อแต่นัน ขันธกะ ภิกษุ ณีวิภังค์ ก็
เสือม แต่นัน ก็ทรงไว้เพียงอุโปสถขันธกเท่านั น ตามลําดับ. แม้ในกาลนั น ปริยตั ติก็ชือว่ายังไม่เสือม ก็คาถา 4 บาท ยังหมุนเวียน
อยู่ในหมู่มนุ ษย์เพียงใด ปริยัตติก็ชือว่ายังไม่อันตรธาน เพียงนั น. ในกาลใด พระราชาผูม้ ีศรัทธาเลือมใสทรงให้ใส่ถุงทรัพย์หนึ ง
แสนลงในผอบทองตังบนคอช้างแล้วให้ตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า ชนผูร้ คู ้ าถา 4 บท ทีพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว จงถือเอา
ทรัพย์หนึ งแสนนี ไป ก็ไม่ได้คนทีจะรับเอาไป แม้ดว้ ยการให้เทียวตีกลองประกาศคราวเดียว ย่อมมีผไู ้ ด้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง จึงให้
เทียวตีกลองประกาศไปถึง 3 ครัง ก็ไม่ได้ผูท้ ีจะรับเอาไป. ราชบุรุษทังหลาย จึงให้ขนถุ งทรัพย์ 100,000 นั น กลับสู่ ราชตระกูล
ตามเดิม. ในกาลนั น ปริยตั ติ ชือว่า ย่อมเสือมไป ดังว่านี ชือว่าการอันตรธานแห่งพระปริยตั ติ.
เมือกาลล่ วงไป ๆ การรับจีวร การรับบาตร การคู ้ การเหยียด การดู แล การเหลี ยวดู ไม่เป็ นทีนํ ามาซึงความเลื อมใส.
ภิกษุ ทงหลายวางบาตรไว้
ั ปลายแขนถื อเทียวไป เหมือนสมณนิ ครนถ์ ถือบาตรนํ าเต้าเทียวไป. แม้ดว้ ยอาการเพียงเท่านี เพศก็ชือ
ว่ายังไม่อนั ตรธาน. เมือกาลล่วงไป ๆ เอาบาตรลงจากปลายแขนหิวไปด้วยมือหรือด้วยสาแหรกเทียวไป แม้จีวรก็ไม่ทาํ การย้อมให้
ถูกต้อง กระทําให้มีสีแดงใช้. เมือกาลล่วงไป การย้อมจีวรก็ดี การตัดชายผ้าก็ดี การเจาะรังดุมก็ดี ย่อมไม่มี ทําเพียงเครืองหมาย
แล้วใช้สอย ต่อมากลับเลิกรังดุม ไม่ทาํ เครืองหมาย ต่อมา ไม่การทําทัง 2 อย่าง ตัดชายผ้าเทียวไปเหมือนพวกปริพาชก เมือกาล
ล่วงไปก็คิดว่า พวกเราจะต้องการอะไร ด้วยการกระทําเช่นนี จึงผูกผ้ากาสายะชินเล็ก ๆ เข้าทีมือหรือทีคอ หรือขอดไว้ทีผม กระทํา
การเลี ยงภรรยา เทียวไถ่ หว่านเลียงชีพ. ในกาลนั น ชนเมือให้ทักขิณา ย่อมให้แก่ชนเหล่านั นอุทิศสงฆ์ พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ทรง
หมายเอาข้อนี จึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จักมีโคตรภูบุคคล ผูม้ ีผา้ กาสายพันคอ เป็ นผูท้ ุศีล เป็ นผูม้ ีธรรมอันลามก
ชนทังหลายให้ทาน ในคนผูท้ ุศีล ผูม้ ีธรรมอันลามกเหล่ านั น อุทิศสงฆ์ อานนท์ ในกาลนั น เรากล่าวว่า ทักษิ ณาไปแล้วในสงฆ์ มี
ผลนั บไม่ได้ ประมาณไม่ได้. แต่นัน เมือกาลล่วงไป ๆ ชนเหล่านั นคิดว่า นี ชือว่า เป็ นธรรมเครืองเนิ นช้า พวกเราจะต้องการอะไร
ด้วยธรรมเครืองเนิ นช้านี จึงทิงท่อนผ้าโยนไปเสี ยในงา. ในกาลนั น เพศชือว่าหายไป. ได้ยินว่า การห่มผ้าชาวเทียวไปเป็ นจารีต
ของคนเหล่านั น มาแต่ครังพระกัสสปทศพล ดังว่านี ชือว่าการอันตรธานไปแห่งเพศ.
ชือว่า อันตรธานไปแห่งธาตุ พึงทราบอย่างนี :- ปรินิพพานมี 3 คือกิเลสปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งกิเลส, ขันธปริ
นิ พพาน การปรินิพพานแห่งขันธ์, ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ บรรดาปรินิพพาน 3 อย่างนั น กิเลสปรินิพพาน ได้มีที
โพธิบลั ลังก์. ขันธปรินิพพาน ได้มีทีกรุงกุสินารา ธาตุปรินิพพาน จักมีในอนาคต. จักมีอย่างไร ? คือครังนั น ธาตุทงหลายที ั ไม่ ได้
รับสักการะ และสัมมานะในทีนั น ๆ ก็ไปสู่ที ๆ มีสักการะ และสัมมานะ ด้วยกําลังอธิษฐานของพระพุทธเจ้าทังหลาย. เมือกาลล่วง
ไป สักการะและสัมมานะก็ไม่มีในทีทังปวง. เวลาพระศาสนาเสือมลง พระธาตุทังหลายในตามพปั ณณิ ทวีปนี จักประชุ มกันแล้ว
ไปสู่มหาเจดีย์ จากมหาเจดีย์ ไปสู่นาคเจดีย์ แต่นันจักไปสู่โพธิบลั ลังก์. พระธาตุทงหลายจากนาคพิ
ั ภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จาก
พรหมโลกบ้าง จักไปสู่โพธิบลั ลังก์แห่งเดียว. พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผกั กาดจักไม่หายไปในระหว่าง. พระธาตุทังหมด
จักประชุ มกันทีมหาโพธิ มัณฑสถานแล้ว รวมเป็ นพระพุทธรูป แสดงพุทธสรีระ ประทับนั งขัดสมาธิ ณ โพธิ มัณฑสถาน. มหาปุริ
สลักษณะ 32 อนุ พยัญชนะ 80 พระรัศมีประมาณวาหนึ ง ทังหมดครบบริบูรณ์ทีเดียว. แต่นันจักการทําปาฏิหาริยแ์ สดง เหมือนใน
วันแสดงยมกปาฏิหาริย์. ในกาลนั น ชือว่า สัตว์ผูเ้ ป็ นมนุ ษย์ ไม่มีไปในที นั น. ก็เทวดาในหมืนจักรวาฬ ประชุ มกันทังหมด พากัน
ครวญครํารําพันว่า วันนี พระทสพลจะปรินิพพาน จําเดิมแต่บดั นี ไป จักมีแต่ความมืด. ลําดับนั น เตโชธาตุลุกโพลงขึนจากพระสรีร
ธาตุ ทําให้พระสรีระนั นถึงความหาบัญญัติมิได้. เปลวไฟทีโพลงขึนจากพระสรีรธาตุ พลุ่ งขึนจนถึ งพรหมโลก เมือพระธาตุแม้สัก
เท่าเมล็ดพรรณผักกาดยังมีอยู่ ก็จกั มีเปลวเพลิงอยู่เปลวหนึ งเท่านั น เมือพระธาตุหมดสินไป เปลวเพลิงก็จกั ขายหายไป. พระธาตุ
ทังหลายแสดงอานุ ภาพใหญ่อย่างนี แล้ว ก็อันตรธานไป. ในกาลนั น หมู่เทพกระทําสักการะด้วยของหอม ดอกไม้และดนตรีทิพย์
เป็ นต้น เหมือนในวันทีพระพุทธเจ้าทังหลายปรินิพพาน กระทําปทักษิ ณ 3 ครัง ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผูม้ ีพระ
ภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ จักได้เห็นพระพุทธเจ้าผูเ้ สด็จอุบตั ิขึนในอนาคต ดังนี แล้วก็กลับไปทีอยู่ของตน ๆ นี ชือว่าอันตรธานแต่ง
พระธาตุ.
การอัน ตรธานแห่ง ปริยัติ นันแล เป็ นมู ล แห่ง อัน ตรธาน 5 อย่ า งนี จริ ง อยู่ เ มื อพระปริ ยัต ติ อันตรธานไป ปฏิ บัติ ก็ ย่ อม
อันตรธาน เมือปริยตั ติคงอยู่ ปฏิบตั ิก็คงอยู่. เพราะเหตุนันแหละ ในคราวมีภยั ใหญ่ครังพระเจ้าจัณฑาลติสสะในทวีปนี ท้าวสักกะ
เทวราชนิ รมิตแพใหญ่แล้วแจ้งแก่ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ภัยใหญ่จกั มี ฝนจักไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภิกษุ ทงหลายพากั
ั นลําบากด้วยปั จจัย
4 จักไม่สามารถเพือจะทรงพระปริยตั ิไว้ได้. ควรทีพระผูเ้ ป็ นเจ้าทังหลายจะไปยังฝั งโน้นรักษาชีวิตไว้ โปรดขึนแพใหญ่นีไปเถิด เจ้า
ข้า ทีนั งบนแพนี ไม่เพียงพอแก่ภิกษุ เหล่าใด ภิกษุ เหล่านั น จงเกาะขอนไม่ไปเถิด ภัยจักไม่มีแก่ภิกษุ ทงปวง. ั

๒๙๐
ในกาลนั น ภิกษุ 60 รูปไปถึ งฝั งสมุทรแล้วกระทํากติกากันไว้ว่า ไม่มีกิจทีพวกเราจะไปในทีนั น พวกเราจักอยู่ในทีนี แล
จักรักษาพระไตรปิ ฎก ดังนี แล้ว จึงกลับจากทีนั นไปสู่ ทัก ขิณมลยะชนบท เลี ยงชีวิ ตอยู่ดว้ ยรากเหง้าและใบไม้. เมือร่างกายยัง
เป็ นไปอยู่ก็พากันนั งกระทําการสาธยาย เมือร่างกายเป็ นไปไม่ได้ ย่อมพูนทรายขึนล้อมรอบศีรษะไว้ในทีเดี ยวกันพิจารณาพระ
ปริยตั ิ. โดยทํานองนี ภิกษุ ทงหลายทรงพระไตรปิ
ั ฎก พร้อมทังอรรถกถาให้บริบูรณ์อยู่ได้ถึง 12 ปี .
เมือภัยสงบ ภิกษุ 700 รูป ไม่ทาํ แม้อกั ขระตัวหนึ ง แม้พยัญชนะตัวหนึ งในพระไตรปิ ฎกพร้อมทังอรรถกถาจากสถานที ๆ
ในรูปแล้วให้เสียหาย มาถึงเกาะนี แหละ เข้าไปสู่มณฑลารามวิหาร ในกัลลคามชนบท. ภิกษุ 60 รูป ผูย้ งั เหลืออยู่ในเกาะนี ได้ฟัง
เรืองการมาของพระเถระทังหลาย คิดว่าจักเยียมพระเถระทังหลาย จึงไปสอบทานพระไตรปิ ฎกกับพระเถระทังหลาย ไม่พบแม้
อักขระตัวหนึ ง แม้พยัญชนะตัวหนึ ง ชือว่าไม่เหมาะสมกัน. พระเถระทังหลายเกิดสนทนากันขึนในทีนั นว่า ปริยตั ิเป็ นมูลแห่งพระ
ศาสนา หรือปฏิบตั ิเป็ นมูล. พระเถระผูถ้ ือผ้าบังสุกุลเป็ นวัตร กล่าวว่า ปฏิบตั ิเป็ นมูลแห่งพระศาสนา. ฝ่ ายพระธรรมกถึกทังหลาย
กล่าวว่า พระปริยตั ิเป็ นมูล.
ลําดับนั น พระเถระเหล่ านั นกล่ าวว่า เราจะไม่เชือโดยเพียงคําของท่านทังสองฝ่ ายเท่านั น ขอพวกท่านจงอ้างพระสู ตรที
พระชินเจ้าทรงภาษิ ตไว้. พระเถระ 2 พวกนั นกล่ าวว่า การนํ าพระสู ตรมาอ้าง ไม่หนั กเลย พระเถระฝ่ ายผูท้ รงผ้าบังสุ กุล จึงอ้าง
พระสูตรว่า ดูก่อนสุภทั ทะ. ก็ภิกษุทงหลายในพระศาสนานี
ั พึงอยูโ่ ดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทังหลาย. ดูก่อน
มหาบพิตร พระศาสนาของพระศาสดา มีปฏิบัติเป็ นมูล มีการปฏิบัติเป็ นสาระ เมือทรงอยูใ่ นการปฏิบัติ ก็ชือว่ายังคงอยู.่
ฝ่ ายเหล่าพระธรรมกถึกได้ฟังพระสูตรนั นแล้ว เพือจะรับรองวาทะของตน จึงอ้างพระสูตรนี ว่า พระสูตรยังดํารงอยูต่ ราบใด พระ
วินยั ยังรุ่งเรือง อยูต่ ราบใด ภิกษุทงหลายย่
ั อมเห็นแสงสว่าง เหมือนพระอาทิตย์อุทยั อยูต่ ราบนัน เมือพระสูตรไม่มีและแม้
พระวินยั ก็หลงเลือนไป ในโลกก็จกั มีแต่ความมืด เหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต เมือภิกษุยงั รักษาพระสูตรอยู่ ย่อมเป็ นอัน
รักษาปฏิบตั ิไว้ดว้ ย นักปราชญ์ดาํ รงอยูใ่ นการปฏิบตั ิ ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ ดังนี เมือพระธรรมกถึก นํ า
พระสูตรนี มาอ้าง พระเถระผูท้ รงผ้าบังสุกุลทังหลายก็นิง. คําของพระเถระผูเ้ ป็ นธรรมกถึกนั นแล เชือถือได้.
เหมือนอย่างว่า ในระหว่างโคผู ้ 100 ตัว หรือ 1000 ตัว เมือไม่มีแม่โคผูจ้ ะรักษาเชือสายเลย วงศ์เชือสาย ก็ไม่สืบต่อกัน
ฉันใด เมือภิกษุ เริมวิปัสสนา ตัง 100 ตัง 1000 รูปมีอยู่ แต่ปริยัติไม่มี ชือว่าการแทงคลอดอริยมรรคก็ไม่มี ฉันนั นนั นแล. อนึ ง
เมือเขาจารึกอักษรไว้หลังแผ่นหิน เพือจะให้รขู ้ ุมทรัพย์ อักษรยังทรงอยู่เพียงใด ขุมทรัพย์ทงหลายชื
ั อว่ายังไม่เสื อมหายไปเพีย งนั น
ฉันใด เมือปริยตั ิยงั ทรงอยู่ พระศาสนาก็ชือว่ายังไม่อนั ตรธานไปฉันนั นเหมือนกันแล.
…………………………………………………………………….

๒๙๑
ปาราชิกภัณฑ์ 8 สิกขาบท
สิกขาบทที 1. ว่าด้วยการยินดีการจับต้องของชายทีบริเวณเหนื อเข่าขึนไป
อนึ ง ภิกษุ ณีใด มีความกําหนั ด ยินดีการลู บก็ดี คลําก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรษุ บุคคลผูก้ าํ หนั ด ใต้
รากขวัญลงไป เหนื อเข่าขึนมา แม้ภิกษุ ณีนีก็เป็ นปาราชิก ชืออุพภชานุ มัณฑลิกา หาสังวาสมิได้ฯ
อนาบัติ. 1. ภิกษุ ณีไม่ตงใจ
ั 2. เผลอ 3. ไม่รตู ้ วั 4. ไม่ยินดี

สิกขาบทที 2. ว่าด้วยการปกปิ ดโทษ


อนึ ง ภิกษุ ณีใด รูอ้ ยูว่ า่ ภิกษุ ณีล่วงอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ ในเวลาทีภิกษุ ณีนั นยังดํารงเพศอยูก่ ็ดี
เคลือนไปแล้วก็ ดี ถูกนาสนะแล้วก็ ดี ไปเข้ารีดเดียรถียเ์ สี ยก็ ดี ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า เมื อก่อนดิฉันรู จ้ ัก
ภิกษุ ณีนันได้ดีทีเดียวว่า นางเป็ นพีหญิง น้องหญิง มี ความประพฤติเช่นนี และมี ความประพฤติเช่นนี แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน ไม่
บอกแก่คณะ แม้ภิกษุ ณีนีก็เป็ นปาราชิก ชือวัชชปฏิจฉาทิกา หาสังวาสมิได้ฯ
อนาบัติ. 1. ภิกษุ ณีไม่บอกด้วยเกรงว่าความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท จักมีแก่สงฆ์
2. ไม่บอกด้วยเข้าใจว่า สงฆ์จกั แตกกัน สงฆ์จกั ร้าวรานกัน
3. ไม่บอกด้วยแน่ ใจว่า ภิกษุ ณีนีเป็ นคนร้ายกาจหยาบคาย จักทําอันตรายแก่ชีวิต หรือพรหมจรรย์
4. ไม่พบภิกษุ อืนๆ ทีสมควรจะบอก จึงไม่บอก
5. ไม่ประสงค์จะปกปิ ด แต่ยงั มิได้บอก
6. ไม่บอกด้วยสําคัญว่า จักปรากฏด้วยการกระทําของเขาเอง

สิกขาบทที 3. ว่าด้วยการประพฤติตามภิกษุ ทีถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม


อนึ ง ภิกษุ ณีใด พึงประพฤติตามภิกษุ ผูถ้ ูกสงฆ์พร้อมเพรียงกั นยกเสี ยแล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ ผูไ้ ม่
เอือเฟื อ ไม่ทาํ คื นอาบัติ มิ ได้ทาํ ภิกษุ ผูม้ ี สังวาสเสมอกันให้เป็ นสหาย ภิกษุ ณีนั นอันภิกษุ ณีทั งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี ว่า แม่เจ้า
ภิกษุ นันแล อันสงฆ์ผูพ้ ร้อมเพรียงกันยกเสี ยแล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ เป็ นผูไ้ ม่เอือเฟื อ ไม่ทาํ คื นอาบัติ มิ ได้ทาํ
ภิกษุ ผมู ้ ีสังวาสเสมอกันให้เป็ นสหาย แม่เจ้าอย่าประพฤติตามภิกษุ นันเลย แลภิกษุ ณีนั น อันภิกษุ ณีทงหลายว่ ั ากล่าวอยูอ่ ย่างนี ยัง
ยกย่องอยูอ่ ย่างนั นเทียว ภิกษุ ณีนั นอันภิกษุ ณีทั งหลายพึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ เพือให้สละกรรมนันเสีย หากนางถูก
สวดสมนุ ภาส กว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั นเสี ย การสละได้อย่างนี นั นเป็ นการดี หากนางไม่สละเสี ย แม้ภิกษุ ณีนีก็ เป็ น
ปาราชิก ชือ อุกขิตตานุ วตั ติกา หาสังวาสมิได้ฯ

สิกขาบทที 4. ว่าด้วยวัตถุ 8 มีการยินดีการจับต้องมือของชายเป็ นต้น


อนึ ง ภิกษุ ณีใด มีความกําหนั ด ยินดีการทีบุรษุ บุคคลผูก้ าํ หนั ดจับมือก็ดี จับชายผ้าสังฆาฏิก็ดี ยืนด้วยก็ดี สนทนาด้วยก็ดี
ไปสู่ทีนัดหมายกันก็ดี ยินดีการทีบุรษุ มาหาตามนั ดก็ดี เข้าไปสู่ทีมงุ ด้วยกันก็ดี ทอดกายเพือประโยชน์แก่บุรษุ นั น เพือประสงค์จะ
เสพอสัทธรรมนั นก็ดี แม้ภิกษุ ณีนีก็เป็ นปาราชิก ชืออัฏฐวัตถุกา หาสังวาสมิได้ฯ
ยินดีการจับมือก็ดี ความว่า ที ชือว่า มือ กําหนดตังแต่ขอ้ ศอกถึงปลายเล็บ, ภิกษุ ณียินดีการจับอวัยวะเหนื อรากขวัญขึนไป ใต้เข่าลงมา เพือประสงค์จะ
เสพ อสัทธรรมนัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ยินดีการจับชายผ้าสังฆาฏิก็ดี คือ ยินดีการจับผ้านุ่ งก็ดี ผ้าห่มก็ดี เพือประสงค์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ยืนด้วยก็ดี ความว่า ยืนอยูใ่ นระยะช่วงมือของบุรุษ เพือประสงค์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
สนทนาด้วยก็ดี ความว่า ยืนพูดอยูใ่ นระยะช่วงมือของบุรุษ เพือประสงค์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ไปสูท่ ีนัดแนะกันก็ดี ความว่า บุรุษพูดนั ดว่า โปรดมาสู่สถานที ชือนี ดังนี ภิ กษุ ณีไปเพือประสงค์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัตทิ ุกกฏทุกๆ ก้าว พอย่าง
เข้าระยะช่วงมือของบุรุษ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ยินดีการทีบุรุษมาหาตามนั ดก็ดี ความว่า ยินดีการมาตามนัดของบุรุษ เพือประสงค์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัติทุกกฏ พอย่างก้าวเข้าระยะช่วงมือ
ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เข้าไปสูท่ ีมุงด้วยกันก็ดี ความว่า พอย่างเข้าสูส่ ถานทีอันมุงไว้ ด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ ง เพือประสงค์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ทอดกายเพือประโยชน์แก่บุรุษนันก็ดี ความว่า อยูใ่ นระยะช่วงมือของบุรุษ แล้วทอดกายเพือประโยชน์จะเสพอสัทธรรมนัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
[เมือภิกษุ ณีล่วงละเมิดแต่ละวัตถุ ต้องอาบัติเล็กน้อยดังนี
1. ในขณะทีเดินทางไปทีนั ดหมาย ต้องอาบัติทุกกฏทุกๆ ย่างก้าว พอก้าวเข้าสู่หตั ถบาส(ระยะช่วงแขน)ของชาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย]

๒๙๒
2. ยินดีการทีชายมา ต้องอาบัติทุกกฏ พอชายก้าวเข้าสู่หตั ถบาส ต้องอาบัติถุลลัจจัย]
[ส่วนวัตถุทีเหลืออีก 6 คือ 1. ยินดีการจับมือ 2. ยินดีการจับมุมสังฆาฏิ 3. ยืนเคียงคู่กนั 4. สนทนากัน 5. ตามเข้าไปสู่ ทีลับ
6. น้อมกายเข้าไปเพือจะเสพอสัทธรรม, ปรับอาบัติถุลลัจจัยเท่านั นสําหรับแต่ละวัตถุ]
ภิกษุ ณีตอ้ งอาบัติถุลลัจจัยเพราะล่วงละเมิดแต่ละวัตถุแล้ว ไม่คิดจะสลัดทิง โดยคิดว่า “เราจะต้องอาบัติแม้เพราะวัตถุ อืน
อีก” แม้จะแสดงอาบัติก็ไม่เป็ นอันแสดง อาบัตินันยังสะสมอยู่ เมือต้องอาบัติถุลลัจจัยเพราะล่วงละเมิดวัตถุ อืนๆ ก็เป็ นการสะสม
อาบัติเรือยไป พอเมือล่วงละเมิดครบวัตถุทัง 7 ต้องอาบัติปาราชิก, แต่ถา้ ภิกษุ ณีนันล่วงละเมิดวัตถุใดวัตถุ หนึ งแล้ว คิดสลัดทิงไป
ว่า “บัดนี เราจักไม่ตอ้ งอาบัติ” แล้วแสดงอาบัติ อาบัติถุลลัจจัยนั นย่อมตกไป ไม่สะสมอยู่ แม้จะล่วงละเมิดวัตถุอืนๆ อีกจนครบทัง
8 ก็ไม่ตอ้ งอาบัติปาราชิก เพราะเธอทําการสลัดทิงโดยแสดงอาบัติทุกครังทีล่วงละเมิดวัตถุแต่ละอย่าง
วิ.อ.2/676/468, กงฺขา.อ.345–346

“แม่เจ้าทังหลาย ธรรมคือปาราชิก 8 สิกขาบท ดิฉันยกขึนแสดงแล้วแล ภิกษุ ณีตอ้ งอาบัติปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ งแล้ว


ย่อมไม่ได้อยู่ร่วมกับภิกษุ ณีทงหลาย
ั ในภายหลัง เหมือนในกาลก่อน เป็ นปาราชิกหาสังวาสมิได้ …”
[สิกขาบทที 5 ถึง 8 เหมือนของภิกษุ แต่ใช้สํานวนต่างโดยควรแก่เพศ, ส่วนในอุภโตปาฏิโมกข์ นั บส่วนทีเหมือนของภิกษุ ตงเป็
ั น
จํานวน 4 แล้ว จึงนั บส่วนของภิกษุ ณีต่อจนครบ 8 ฯ]
ปาราขิกของภิกษุณีสงฆ์แบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ
1. อสาธารณปาราชิก เป็ นสิกขาบททีพระผูม้ ีพระภาคทรงปรารภภิกษุ ณีสงฆ์บญ
ั ญัติไว้เฉพาะสําหรับภิกษุ ณีสงฆ์
2. สาธารณปาราชิก เป็ นสิกขาบททีพระผูม้ ีพระภาคทรงปรารภภิกษุ สงฆ์บญ
ั ญัติไว้ ซึงภิกษุ ณีสงฆ์พึงรักษาด้วย
………………………………………………………
2.

สังฆาทิเสสภัณฑ์ 17 สิกขาบท
บทที 1. อนึ ง ภิกษุ ณีใด ชอบกล่าวหาเรืองกับคหบดีก็ดี บุตรคหบดีก็ดี ทาสก็ดี กรรมกรก็ดี โดยทีสุด แม้สมณะปริพาชก
ภิกษุ ณีนีตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติขณะแรกทําฯ
นิ สสารณี ยะ ได้แก่ ขับออกจากหมู,่ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติขณะแรกทําฯ ความว่า ต้องอาบัติพร้อมกับล่วงวัตถุ โดยไม่ตอ้ งสวดสมนุ ภาส
คดีถึงทีสุด ต้องอาบัติสงั ฆาทิ เสส
(อุบาสกถวายโรงเก็บขอแล้วถึงอนิ จจกรรม บุตร 2 คนๆ หนึ งไม่มีศรัทธา แล้วฟ้ องมหาอํามาตย์ผพู ้ ิพากษา ภิกษุ ณีถุลลนันทาชนะ จึงถูกโพนทะนาว่า
ฉ้อโกง ภิกษุ ณีถุลลนันทาได้แจ้งความแก่มหาอํามาตย์ให้ปรับสินไหม บุรุษนันได้ให้อาชีวกกล่าวล่วงเกินพวกภิกษุ ณี ภิกษุณีถุลลนันทาได้แจ้งแก่มหา
อํามาตย์ให้จองจํา ชาวบ้านจึงพากันเพ่งโทษว่า ครังแรกได้ให้ริบโรงเก็บของ ครังทีสองให้ปรับไหม ครังทีสามให้จองจํา คราวนี เห็นทีจะให้ประหารชีวิต)
อนาบัติ. ภิกษุ ณีถูกมนุ ษย์เกาะตัวไป1 ขอรักขา1 บอกไม่เจาะจงตัว1

บทที 2. อนึ ง ภิกษุ ณีใด รูอ้ ยู่ว่าหญิงเป็ นโจร ผูป้ รากฏเป็ นนั กโทษประหาร ไม่บอกกล่าวพระราชา หมู่(ภิกษุ ณี) คณะ นายหมวด
หรือนายกอง รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติขณะแรกทําฯ.
เว้นแต่บวชมาแล้ว มีสอง คือ บวชมาแล้วในสํานักเดียรถีย1์ บวชมาแล้วในสํานักภิกษุ ณีเหล่าอืน1
(ชายาของเจ้าลิจฉวีในพระนครเวสาลีประพฤตินอกใจ แม้สามีตกั เตือนแล้วก็ไม่ฟัง สามีจกั ฆ่าเสีย จึงเก็บของทีดีๆ หนี ไปยังพระนครสาวัตถี ให้ห่อของ
ภิกษุ ณีถุลลนันทาเป็ นกํานัล แล้วขอบวชในสํานักภิกษุ ณี พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่เอาโทษเพราะบวชแล้ว เจ้าลิจฉวีจึงโพนทนา)
อนาบัติ. ไม่รู ้ รับให้บวช1 ขออนุ ญาตแล้ว รับให้บวช1 บวชมาในฝ่ ายอืนแล้ว รับให้อยู่ในสํานั ก1

บทที 3. อนึ ง ภิกษุ ณีใด ผูเ้ ดียวไปสู่ละแวกบ้ายก็ดี ผูเ้ ดียวไปสู่ฝังแม่นําก็ดี ผูเ้ ดียวไปสู่ฝังแม่นําก็ดี ผูเ้ ดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรี
ก็ดี ผูเ้ ดียวเดินปลีกไปจากคณะก็ดี ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติขณะแรกทําฯ
(1. ภิกษุณีอนั เตวาสินีของพระเถรีภทั ทกาปิ ลานี ทะเลาะกับภิกษุ ณีทงหลายแล้
ั วหนี ไปสูส่ กุลของตน
2. ภิ กษุ ณีสองรูปเดินทางจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี คนพายเรือพาข้ามแม่นําไปรูปเดียว ถึ งฝั งแล้วข่มขืนใจภิ กษุ ณีนัน ฝ่ ายภิ กษุ ณีรูปทียังไม่
ข้ามฝาก ก็ถูกคนเรืออีกคนหนึ งข่มขืนใจ เช่นกัน
3. ภิกษุ ณีหลายรูปเดินทางไปสู่พระนครสาวัตถี เข้าตําบลหนึ งในเวลาเย็น ภิกษุ ณีรปู หนึ งโฉมวิไลน่ าพิศพึงชม บุรุษหนึ งพอได้สบนางก็เกิดจิตปฏิ พทั ธ์
จึงตกแต่งทีพักแรมของนางแยกไว้ ณ ส่วนข้างหนึ ง คราวนันนางกําหนดรูไ้ ด้ทนั ที ว่า บุรุษผูน้ ี ถูกราคะกลุม้ รุมแล้ว ถ้ากลางคืนเขาจักเข้าหา ความ
เสียหายจักมีแก่เรา จึงไม่บอกลาภิกษุ ณีทงหลายหนี
ั ไปพักแรมในสกุ ลอื น ครันราตรีบุรุษนั นมาค้นหานางไม่พบ จึงกระทบถึงภิกษุ ณีทงหลายๆั จึง
กล่าวว่า นางตามผูช้ ายหนี ไปแล้วเป็ นแน่

๒๙๓
4. ภิกษุ ณีหลายรูปเดินทางไกลไปพระนครสาวัตถี ภิกษุ ณีรูปหนึ งปวดอุจจาระจึงได้เดินล้าหลังไปแต่ผูเ้ ดียว ได้ถูกข่มขืนใจแล้ว ภิกษุ ณีทงหลายได้
ั ถาม
ว่า ทําไมเธอเดินล้าหลังแต่ผเู ้ ดียวเล่า ไม่ถูกคนรังแกดอกหรือ นางตอบว่า ถูกรังแกมาแล้ว)
อนาบัติ. มีอนั ตราย

บทที 4. อนึ ง ภิกษุ ณีใด ไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รฉู ้ ันทะของคณะ เรียกภิกษุ ณีผซู ้ ึงสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ ตามธรรม
ตามวินัย อันเป็ นสัตถุศาสน์ แล้วให้เข้าหมู่ ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติขณะแรกทําฯ
(ภิกษุ ณีจณ ั ฑกาลีเป็ นผูก้ ่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอือฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เมือสงฆ์จะลงทัณฑกรรมแก่นาง แต่
ภิกษุ ณีถุลลนันทาค้านไว้ ครังนัน เมือภิกษุ ณีถุลลนันทาได้ไปสูต่ าํ บลอืนด้วยกิจบางอย่าง สงฆ์ได้ยกภิกษุ ณีจณ
ั ฑกาลีเสียจากหมูเ่ พราะไม่เห็นอาบัติ ครัน
ภิกษุ ณีถุลลนันทากลับมา กล่าวว่า เราจะพึงทํากรรมทีเราไม่ได้รว่ มทํา หรือจะพึงทํากรรมทีเขาทําแล้วให้กาํ เริบ แล้วให้ประชุมภิกษุ ณีสงฆ์ดว่ น เรียก
ภิกษุ ณีจนั ฑกาลีให้เข้าหมู)่

บทที 5. อนึ ง ภิกษุ ณีใด มีความพึงพอใจ รับของเคียวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตนเอง จากมือของบุรุษบุคคลผูม้ ีความพึงพอใจ
แล้วเคียวก็ดี ฉันก็ดี ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติขณะแรกทําฯ (ทังสองฝ่ ายพึงพอใจ)
บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุ ษย์ผุช้ าย ไม่ใช่ยกั ษ์ผชู ้ าย ไม่ใช่เปรตผูช้ าย ไม่ใช่บณ
ั เฑาะก์ ไม่ใช่สตั ว์เดรัจฉานตัวผู ้ เป็ นผูร้ คู ้ วาม สามารถเพือจะยินดียิงนัก
(เรืองภิกษุ ณีสุนทรีนันทาเป็ นผูท้ รงโฉมวิไล น่ าพิศพึงชม คนทังหลายแลเห็นนางทีในโรงฉันแล้วมีความพึงพอใจ ต่างถวายโภชนาหารที ดีๆ แก่นางผูม้ ี
ความพึงพอใจ)
ฝ่ ายหนึ ง(ภิกษุ ณีเท่านัน)มีความพึงพอใจ รับประเคนด้วยตังใจว่า จักเคียว ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติถุลลัจจัยทุกๆ คํากลืน
เขา(บุรุษ)มีความพึงพอใจฝ่ ายเดียว (ภิกษุ ณี)รับประเคนด้วยตังใจว่า จักเคียวจักฉันต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คํากลืน

บทที 6. อนึ ง ภิกษุ ณีใด กล่าวอย่างนี ว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทําอะไรแก่แม่เ จ้าได้
เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิ มนต์เถิด เจ้าค่ะ บุรุษบุคคลนั นจะถวายสิงใด เป็ นของเคียวหรือของฉันก็ตามแก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าจง
รับประเคนของสิงนั นด้วยมือของตน แล้วเคียวหรือฉันเถิด ดังนี ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสสชือ นิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ ง
อาบัติขณะแรกทําฯ

บทที 7. อนึ ง ภิกษุ ณีใด โกรธ ขัดใจ พึงกล่าวอย่างนี ว่า “ข้าพเจ้าขอบอกคืนพระพุทธเจ้า ขอบอกคืนพระธรรม ขอบอกคืนพระสงฆ์
ขอบอกคืนสิกขา ภิกษุ ณีทีชือว่าสมณี จะมีเฉพาะสมณีศากยธิดาเหล่านี เมือไร แม้สมณีเหล่าอืนทีมีความละอาย มีความรังเกียจ ผู ้
ใคร่ต่อสิกขาก็ยงั มี ข้าพเจ้าจักประพฤติพรหมจรรย์ในสํานั กสมณี เหล่านั น” ดังนี ภิกษุ ณีนันอันภิกษุ ณีทังหลายพึงกล่ าวอย่างนี ว่า
“แม่เจ้า อย่าได้โกรธ ขัดใจ กล่าวอย่างนี ว่า ข้าพเจ้าขอบอกคืนพระพุทธเจ้า ขอบอกคืนพระธรรม ขอบอกคืนพระสงฆ์ ขอบอกคืน
สิ กขา ภิกษุ ณีทีชือว่าสมณี จะมีเฉพาะสมณี ศากยธิ ดาเหล่ านี เมือไร แม้สมณี เหล่ าอืนทีมีความละอาย มีความรังเกียจ ผูใ้ คร่ต่อ
สิกขาก็ยงั มี ข้าพเจ้าจักประพฤติพรหมจรรย์ในสํานั กสมณีเหล่านั น” ดังนี ภิกษุ ณีทงหลายจึ
ั งกล่าวว่า “แม่เจ้าจงยินดียิง พระธรรม
อันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพือทําทีสุดทุกข์โดยชอบเถิ ด” และภิกษุ ณีนันอันภิกษุ ณีทงหลายว่
ั ากล่ าวอยู่
อย่างนี ยังยกย่องอยู่อย่างนั นเทียว ภิกษุ ณีนันอันภิกษุ ณีทงหลาย
ั พึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ เพือให้สละกรรมนั น ถ้าเธอ
กําลังถู กสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั นเสี ย สละได้อย่างนี นั นเป็ นการดี หากเธอไม่สละ ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ ง
ธรรมคือสังฆาทิเสสชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติในเมือสวดสมนุ ภาสครบสามจบฯ
(ภิกษุ ณีจณ
ั ฑกาลีทะเลาะกับภิกษุณีทงหลาย
ั โกรธ ขัดใจ แล้วกล่าวอย่างนี ..)

บทที 8. อนึ ง ภิกษุ ณีใด ถู กตัดสิ นให้แพ้ในอธิ กรณ์เรืองหนึ งแล้วโกรธ ขัดใจ กล่ าวอย่างนี ว่า “พวกภิกษุ ณีถึงฉันทาคติ โทสาคติ
โมหาคติ และภยาคติ” ดังนี ภิกษุ ณีนัน อันภิกษุ ณีทังหลายพึงว่ากล่ าวอย่างนี ว่า แม่เจ้าถู กตัดสิ นให้แพ้ในอธิกรณ์เรืองหนึ งแล้ว
อย่าโกรธ ขัดใจ กล่าวอย่างนี ว่า “พวกภิกษุ ณีถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ” ดังนี แม่เจ้าต่างหาก ถึงฉันทาคตคิบา้ ง
โทสาคติบา้ ง โมหาคติบา้ ง ภยาคติบา้ ง และภิกษุ ณีนัน อันภิกษุ ณีทงหลายว่
ั ากล่ าวอยู่อย่างนี ยังยกย่องอยู่อย่างนั นเทียว ภิกษุ ณี
นั น อันภิกษุ ณีทังหลายพึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ เพือให้สละกรรมนั น หากเธอถู กสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่
สละกรรมนั นเสียได้ การสละได้อย่างนั น นั นเป็ นการดี หากเธอไม่สละ ภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มี
อันให้ตอ้ งอาบัติในเมือสวดสมนุ ภาสครบสามจบฯ
(ภิกษุ ณีจณ
ั ฑกาลีถูกตัดสินให้แพ้ในอธิกรณ์เรืองหนึ ง โกรธ ขัดใจ กล่าวอย่างนี ..)

บทที 9. อนึ ง ภิกษุ ณีทงหลายอยู


ั ่คลุกคลีกนั มีอาจาระทราม มีเกียรติศพั ท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุ ณีสงฆ์ ชอบ
ปกปิ ดโทษของพรรคพวกกัน ภิกษุ ณีเหล่านั นอันภิกษุ ณีทงหลายพึ
ั งว่ากล่ าวอย่างนี ว่า พีน้องหญิงทังหลายแลอยู่คลุกคลีกนั มีอาจา

๒๙๔
ระทราม มีเกียรติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุ ณีสงฆ์ ชอบปกปิ ดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้า ทังหลายจง
แยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พีน้องหญิงทังหลาย แลภิกษุ ณีเหล่านั น อันภิกษุ ณีทังหลายว่ากล่ าวอยู่
อย่างนี ยังยกย่องอยู่อย่างนั นเทียว ภิกษุ ณีเหล่ านั น อันภิกษุ ณีทังหลาย พึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ เพือให้สละวัตถุนัน
หากเธอเหล่านั นถู กสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละวัตถุนันเสียได้ การสละได้อย่างนี นั นเป็ นการดี หากไม่สละ ภิกษุ ณี
แม้เหล่านี ก็ตอ้ งธรรมคือ สังฆาทิเสส ชือนิ สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติในเมือสวดสมนุ ภาสครบสามจบฯ.
(เหล่าภิกษุ ณีอนั เตวาสินีของภิกษุ ณีถุลลนันทา ชอบอยูค่ ลุกคลีปนเปกัน ...)

บทที 10. อนึ ง ภิกษุ ณีใด กล่ าวอย่างนี ว่า แม่เจ้าทังหลาย ท่านทังหลายจงอยู่คลุ กคลี กันเถิ ด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุ ณีแม้
เหล่ าอืนทีมีอาจาระเช่นนี มีเกียรติศัพท์เช่นนี มีอาชีวะเช่นนี มักเบียดเบียนภิกษุ ณีสงฆ์เช่นนี ชอบปกปิ ดโทษของพรรคพวกกัน
เช่นนี ก็ยังมีในสงฆ์ สงฆ์ไม่ว่ากล่ าวอะไรภิกษุ ณีพวกนั น สงฆ์ว่ากล่ าวเฉพาะพวกท่าน ด้วยความดู หมิน ด้วยความไม่สุภาพ ด้วย
ความไม่อดกลัน ด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความทีพวกท่านเป็ นคนอ่อนแออย่างนี ว่า “พีน้องหญิงทังหลายแล อยู่คลุกคลีกนั มีอา
จาระทราม มีเกียรติศพั ท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุ ณีสงฆ์ ชอบปกปิ ดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทังหลายจง
แยกกันอยู่เถิ ด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พีน้องหญิงทังหลาย” ดังนี ภิกษุ ณีนัน อันภิกษุ ณีทังหลายพึงว่ากล่ าว
อย่างนี ว่า แม่เจ้าอย่าได้กล่าวอย่างนี ว่า แม่เจ้าทังหลาย ท่านทังหลายจงอยู่คลุ กคลีกนั เถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุ ณีแม้เหล่ า
อืนมีอาจาระเช่นนี มีเกียรติศพั ท์เช่นนี มีอาชีวะเช่นนี มักเบียดเบียนภิกษุ ณีสงฆ์เช่นนี ชอบปกปิ ดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี ก็ยงั
มีในสงฆ์ สงฆ์ไม่ว่ากล่าวอะไรภิกษุ ณีเหล่านั น สงฆ์ว่ากล่าวเฉพาะพวกท่าน ด้วยความดูหมิน ด้วยความไม่สุภาพ ด้วยความไม่อด
กลัน ด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความทีพวกท่านเป็ นคนอ่อนแออย่างนี ว่า “พีน้องหญิงทังหลายแล อยู่คลุกคลีกนั มีอาจาระทราม
มีเกียรติศพั ท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุ ณีสงฆ์ ชอบปกปิ ดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทังหลายจงแยกกันอยู่เถิ ด
สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พีน้องหญิงทังหลาย” ดังนี แลภิกษุ ณีนันอันภิกษุ ณีทังหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี ยังยก
ย่องอยู่อย่างนั นเทียว ภิกษุ ณีนันอันภิกษุ ณีทังหลายพึงสวดสมนุ ภาสกว่าจะครบสามจบ เพือให้สละวัตถุนัน หากเธอ ถูกสวดสมนุ
ภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละวัตถุ นันเสีย สละได้อย่างนี นั นเป็ นการดี หากไม่สละภิกษุ ณีแม้นีก็ตอ้ งธรรมคือสังฆาทิเสส ชือนิ
สสารณียะ มีอนั ให้ตอ้ งอาบัติในเมือสวดสมนุ ภาสครบสามจบ.
(ภิกษุ ณีถุลลนันทา ถูกสงฆ์สวดสมนุ ภาสแล้วยังกล่าวกะภิกษุ ณีทงหลายอย่
ั างนี ..)
………………………………………………………
สังฆาทิเสส 17 สิกขาบท ของภิกษุณีสงฆ์ แบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ
1. อสาธารณสังฆาทิเสส 10 สิกขาบท
2. สาธารณสังฆาทิเสส 7 สิกขาบท อนุ โลมตามสิกขาบทของภิกษุ (คือสิกขาบทที 5, 8, 9, 10, 11, 12 และ 13)
อสาธารณสังฆาทิเสส บทที 1-6 และ สาธารณสังฆาทิเสส บทที 5, 8, 9 รวม 9 สิ กขาบท ให้ตอ้ งอาบัติเมือแรกทํา,
อสาธารณสังฆาทิเสส บทที 7-10 และ สาธารณสังฆาทิเสส บทที 10-13 รวม 8 สิกขาบท ให้ตอ้ งอาบัติเมือสวดสมนุ ภาสครบ
สามจบ
ภิกษุ ณีล่วงสิกขาบทใดแล้ว ต้องประพฤติปักขมานั ตในสงฆ์สองฝ่ าย ภิกษุ ณีประพฤติมานั ตแล้ว ภิกษุ ณีสงฆ์มีคณะ 20 อยู่
ในสีมาใด พึงเรียกภิกษุ ณีนันเข้าหมู่ในสีมานั น (อัพภาน)
………………………………………………………

๒๙๕
อ้างอิง (ศาสนาต่างๆ ในโลก)
ศาสนา (อังกฤษ: religion) หมายถึง ความเชือในสิงศักดิสิทธิ สิงเหนื อธรรมชาติ ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิงเกิด
ขึนมาดํารงอยู่และจะเป็ นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ทีเป็ นทีเคารพโดยทัวไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็ น
สิงทีควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุ ษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิ ยม วัฒนธรรมร่วมกันและ
วิถีทางทีมนุ ษย์เลือกใช้ในการดํารงชีวิต ให้สังคมเป็ นหนึ งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม
ศิลธรรมทีเป็ นบรรทัดฐานเดียวกัน
นอกจากการนั บถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชือไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก "อศาสนา" (อังกฤษ:irreligion) และผูไ้ ม่นับถือ
ศาสนาเรียก "อศาสนิ กชน" (อังกฤษ: irreligious person)
ก. ความหมายและความสําคัญ[แก้]
1. บอกถึงหลักอภิปรัชญา ว่าโลกนี เกิดขึนมาจากอะไร และจะเป็ นเช่นไร
2. สอนหลักคุณธรรมศีลธรรมจริยธรรมของมนุ ษย์ในการอยู่ร่วมกัน
3. ให้รจู ้ กั การดําเนิ นชิวิตเช่นไรจึงจะถูกต้อง
4. มีเป้ าหมายในชีวิต เป็ นมนุ ษย์ทีสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เกิดมาเพือกิน และเสพกามเท่านั น
5. หลักศรัทธา ว่าทําดีได้รางวัลคือขึนสวรรค์ ทําชัวได้โทษคือตกนรก ทําให้แม้จะลับตาคนไร้กฎหมายก็ไม่ทําชัวทําแต่ดี
6. เป็ นทีพึงทางใจ ในยามชีวิตประสบปั ญหาสินหวัง ไร้กาํ ลังใจ หรือปลอบประโลม ผูส้ ูญเสีย บุคคลอันเป็ นทีรัก
7. เป็ นบ่อเกิดแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณี
ข. ประวัติ[แก้]
มีความเชือว่าศาสนานั นเกิดมาจากความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุ ษย์ นั บแต่อดีตมนุ ษย์จะสงสัยว่าสิงต่าง ๆ เกิด
ขึนมาได้อย่างไร ทําไมต้องเกิดขึน จะเปลียนแปลงได้หรือไม่ เปลียนแปลงแล้วจะเกิดผลอะไรต่อมาอีก จนนํ ามาสู่การค้นหา
แนวทางต่างๆเพือตอบปั ญหาเหล่านี จนนํ ามาเป็ นความเชือและเลือมใส ตัวอย่างเช่นศาสนาพุทธ เกิดจากเจ้าชายสิทธัตถะทรง
เห็นความทุกข์ จึงทรงหาแนวทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ จนทรงค้นพบอริยสัจ 4 ด้วยวิธีที เป็ นการฝึ ก
จิตด้วยสติจนถึงซึงความรูแ้ จ้ง ในสรรพสิง และความดับความทุกข์ ทรงตรัสรูเ้ ป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับสินซึงกิเลส ทรงสอนให้
มนุ ษย์ ให้ทาํ บุญ รักษาศีล และภาวนา เพือจะได้เป็ นแนวทางในการพ้นทุกข์ของมหาชน อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาในปั จจุบนั
คําอธิบายของการเกิดขึนและพัฒนาการของศาสนา สามารถแบ่งได้เป็ นสีกลุ่ม[ต้องการอ้างอิง]

 ศาสนาเป็ นสิงทีมนุ ษย์สร้างขึนจากความกลัว ในธรรมชาติทีตนเองไม่รู ้ จนต้องวิงวอนและร้องขอในสิงทีอยากได้


 ศาสนาเกิดจากความไม่รสู ้ งสัย ในอภิปรัชญาว่าโลกเกิดขึนมาได้อย่างไร และจะเป็ นเช่นไรต่อไป
 ศาสนาเกิดจากความต้องการทีจะสร้างความเชือขึนมา เพือช่วยควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ให้สังคมสงบสุข
 ศาสนาเกิดจากความต้องการทีจะพ้นจากความทุกข์ เช่นความอดอยาก โรคระบาด ความแก่ ความตาย การสูญเสีย
ค. องค์ประกอบ[แก้]
1. พระเป็ นเจ้า (กรณีเป็ นเทวนิ ยม)
2. ศาสดา
3. คัมภีร์
4. นั กบวช
5. ศาสนสถาน
6. สัญลักษณ์
7. พิธีกรรม

๒๙๖
ศาสนาคริสต์ (อังกฤษ: Christianity) ราชบัณฑิตยสถานเรียกว่า คริสต์ศาสนา[1] เป็ นศาสนาประเภทเอกเทวนิ ยม ทีมี
พืนฐานมาจากชีวิตและการสอนของพระเยซูตามทีปรากฏในพระวรสารในสารบบ (canonical gospel) และงานเขียนพันธสัญญา
ใหม่อืน ๆ[2] ผูน้ ั บถือศาสนาคริสต์เรียกว่าคริสต์ศาสนิ กชนหรือคริสตชน
คริสตชนเชือว่าพระเยซูเป็ นพระบุตรพระเป็ นเจ้า และเป็ นพระเจ้าผูม้ าบังเกิดเป็ นมนุ ษย์และเป็ นพระผูช้ ่วยให้รอด ด้วยเหตุ
นี คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเมสสิยาห์"[3]ศาสนาคริสต์ปัจจุบนั แบ่งเป็ นสามนิ กายใหญ่
คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิรน์ ออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึงยังแบ่งนิ กายย่อยได้อีกหลายนิ กาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิก
และออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิ กายโป
รแตสแตนต์เกิดขึนหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที 16 ซึงแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก[4]
ศาสนาคริสต์ในช่วงแรกถือเป็ นนิ กายหนึ งของศาสนายูดาห์เมือกลางคริสต์ศตวรรษที 1[5][6]โดยถือกําเนิ ดขึนในชายฝั ง
ทะเลเมดิเตอร์เรเนี ยนทางตะวันออกของตะวันออกกลาง (ปั จจุบัน คืออิสราเอลและปาเลสไตน์ ) ไม่นานก็แผ่ขยายไปยัง
ซีเรีย เมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์ และอียิปต์ศาสนาคริสต์มีขนาดและอิทธิพลเพิมขึนอย่างมากในช่วงไม่กีทศวรรษ และจนถึง
คริสต์ศตวรรษที 4 ได้กลายมาเป็ นศาสนาประจําชาติจกั รวรรดิโรมัน[7] ระหว่างสมัยกลาง ดินแดนยุโรปทีเหลือส่วนมากรับศาสนา
คริสต์แล้ว แต่บางภูมิภาค เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนื อ เอธิโอเปี ย และบางส่วนของอินเดีย คริสตชนยังถือเป็ นศาสนิ กชน
กลุ่มน้อย[8][9] หลังยุคสํารวจ ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปยังทวีปอเมริกา ออสตราเลเซีย แอฟริกาซับสะฮารา และส่วนทีเหลือของ
โลกผ่านงานมิชชันนารีและการล่าอาณานิ คม
คริสต์ศาสนิ กชนเชือว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ทีพยากรณ์ไว้ในคัมภีรฮ์ ีบรู ซึงในศาสนาคริสต์เรียก "พันธสัญญาเดิม"
พืนฐานเทววิทยาศาสนาคริสต์นันแสดงออกมาในหลักข้อเชือสากล(ecumenical creed) ทีมีมาตังแต่ศาสนาคริสต์ยุคแรก และ
เป็ นทียอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาคริสต์ศาสนิ กชน การประกาศความเชือนี มีอยู่ว่า พระเยซูทรงรับพระ
ทรมาน สินพระชนม์ และถูกฝั งไว้ ก่อนจะคืนพระชนม์เพือให้ชีวิตนิ รนั ดร์แก่ผทู ้ ีเชือในพระองค์และไว้วางใจว่าพระองค์เป็ นผูไ้ ถ่บาป
[10]
พวกเขายังเชืออีกว่าพระเยซูเสด็จขึนสู่สวรรค์ ทีซึงพระองค์ทรงควบคุมและปกครองรวมกับพระเจ้าพระบิดา นิ กายส่วนใหญ่
สอนว่าพระเยซูจะกลับมาพิพากษามนุ ษย์ทุกคน ทังคนเป็ นและคนตาย และให้ชีวิตนิ รนั ดร์แก่สาวกของพระองค์[11] พระองค์ทรง
ถูกมองว่าเป็ นแบบอย่างของชีวิตอันดีงาม และเป็ นทังผูเ้ ผยพระวจนะและเป็ นพระเจ้าลงมารับสภาพมนุ ษย์[12]
ช่วงต้นคริสต์ศตรวรรษที 21 ศาสนาคริสต์มีศาสนิ กชนประมาณ 2.2 พันล้านคนทัวโลก[13][14]คิดเป็ นหนึ งในสีถึงหนึ งใน
สามของประชากรโลก และเป็ นศาสนาทีมีผนู ้ ั บถือมากทีสุดในโลก[15][16]ทังยังเป็ นศาสนาประจําชาติในหลายประเทศ

บัญญัติ ประการ หรือ ธรรมบัญญัติ คือรายการคําสอนและข้อปฏิบตั ิตามคัมภีรไ์ บเบิล ซึงเป็ นพระบัญญัติทีพระเจ้า


ทรงประทานแก่ชนชาติอิสราเอล ทีกล่ าวโดย โมเสสบนยอดเขา Sinai และสลักไว้ในแผ่นหิน แผ่น บัญญัติ ประการเป็ นที
รูจ้ ักสําหรับคริสต์ศาสนา และศาสนายูดาห์ และมีการใช้ในภาษากรีก ซึงแปลมาจากภาษาฮิบรู หมายถึ ง คําศัพท์สิบคํา ("Ten
Commandments")
ตามคัมภีรฮ์ ีบรู บัญญัติชุดนี ปรากฏในหนั งสืออพยพและหนั งสื อเฉลยธรรมบัญญัติ และไม่ได้แบ่งเป็ นข้อไว้แต่แรก ในสมัย
ต่อมาจึงจัดลําดับเป็ น 10 ข้อเพือความสะดวก อย่างไรก็ตาม ตําราทางศาสนาคริสต์แต่ละฉบับไล่ลําดับบัญญัติทงั 10 ไว้ต่างกัน
ในปั จจุบันมีแบ่งไว้ 2 แบบ[4] คือแบบปิ ตาจารย์กรีกซึงใช้ในคริส ตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์และคริสตจักรปฏิรูป และแบ่งแบบ
นั กบุญออกัสตินแห่งฮิปโปซึงใช้ในคริสตจักรโรมันคาทอลิกและลูเทอแรน

๒๙๗
แบบปิ ตาจารย์กรีก  แบบนักบุญออกัสติน
หนั งสืออพยพ ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน หนั งสือเฉลยธรรมบัญญัติ ในพระคัมภีรภ์ าคพันธสัญญา
2011 ได้แปลบัญญัติ 10 ประการ ตามการแบ่งของปิ ตาจารย์ เดิม ของคณะกรรมการคาทอลิกเพือพระคัมภีร์ ได้แปลบัญญัติ
กรีกไว้ ดังนี [5] สิบประการไว้ ดังนี [6]
1. ห้ามมีพระเจ้าอืนใดนอกเหนื อจากเรา 1. ท่านต้องไม่ทาํ รูปเคารพสําหรับตน ไม่ว่าจะเป็ นรูปสิงใดสิง
2. ห้ามทํารูปเคารพสําหรับตน เป็ นรูปสิงใดซึงมีอยู่ในฟ้ าเบือง หนึ งซึงอยู่ในท้องฟ้ า เบืองบน หรืออยู่ในแผ่นดินเบืองล่าง
บน หรือบนแผ่นดินเบืองล่าง หรือในนํ าใต้แผ่นดิน ห้าม หรืออยู่ในนํ าใต้แผ่นดิน ท่านต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพ
กราบไหว้หรือปรนนิ บตั ิรูปเหล่ านั น เพราะเราคือยาห์เวห์ เหล่านั น เพราะเรา องค์พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็ น
พระเจ้าของเจ้า เป็ นพระเจ้าทีหวงแหน ให้โทษของบิดาตก พระเจ้าทีไม่ยอมให้ประชากรของเรารักและซือสัตย์ต่อพระ
ทอดไปถึงลูกหลานของผูท้ ีชังเราจนถึงสามชัวสีชัวอายุคน เจ้าอืนใด เราลงโทษความผิดของบิดาทีเกลียดชังเราไปถึง
แต่แสดงความรักมันคงต่อคนทีรักเรา และรักษาบัญญัติของ ลูกหลาน จนถึงสามสีชัวอายุคน แต่เราแสดงความรักมันคง
เราจนถึงนั บพันชัวอายุคน ต่อผูท้ ีรักเรา และปฏิบตั ิตามบทบัญญัติของเราจนถึงพันชัว
3. ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางทีผิด อายุคน
เพราะผูท้ ีใช้พระนามของพระองค์ไปในทางทีผิดนั น พระยาห์ 2. อย่ากล่าวนามองค์พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างไม่
เวห์จะทรงเอาโทษ สมควร เพราะองค์พระผูเ้ ป็ นเจ้าจะไม่ทรงเว้นโทษ ผูท้ ีกล่าว
4. จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็ นวันบริสุทธิ จงทํางานทังสิน พระนามของพระองค์อย่างไม่สมควร
ของเจ้าหกวัน แต่วนั ทีเจ็ดนั นเป็ นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์ 3. จงรักษาวันสับบาโตไว้เป็ นวันศักดิสิทธิ ดังทีองค์พระผูเ้ ป็ น
พระเจ้าของเจ้า ในวันนั นห้ามทํางานใด ๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือ เจ้า พระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาแก่ท่าน ท่านจะต้องออกแรง
บุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้ ทํางานทังสินของท่านในหกวัน แต่วนั ทีเจ็ดเป็ นวันพักผ่อนที
งานของเจ้า หรือคนต่างด้าวทีอาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า ถวายแด่องค์พระผูเ้ ป็ นเจ้าของท่าน ท่านทังหลายพร้อมกับ
เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้ าและแผ่นดิน ทะเล บุตรชายบุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา และสัตว์อืน ๆ
และสรรพสิงซึงมีอยู่ในทีเหล่ านั น แต่ในวันทีเจ็ดทรงพัก ของท่าน รวมทังคนต่างถินทีอยู่กบั ท่าน ต้องไม่ทํางานใด ๆ
เพราะฉะนั นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตัง ในวันนั น ดังนี บ่าวไพร่ชายหญิงของท่านจะได้พกั ผ่อน
วันนั นไว้เป็ นวันบริสุทธิ เช่นเดียวกับท่าน จงจําไว้ว่า ท่านเคยเป็ นทาสในแผ่นดิน
5. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพืออายุของเจ้าจะได้ยืน อียิปต์ และองค์พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของท่าน ทรงใช้พระ
ยาวบนแผ่นดิน ซึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่ หัตถ์อนั ทรงฤทธิและพระอานุ ภาพอันยิงใหญ่นําท่านออก
เจ้า จากทีนั น เพราะฉะนั น องค์พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของท่าน
6. ห้ามฆ่าคน (เทียบศีลข้อ 1) จึงทรงบัญชาให้ท่านรักษาวันสับบาโต ไว้เป็ นวันพักผ่อน
7. ห้ามล่วงประเวณี ผวั เมียเขา (ศีลข้อ 3) 4. จงนั บถือบิดามารดา ดังทีองค์พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของท่าน
8. ห้ามลักขโมย (ศีลข้อ 2) ทรงบัญชา เพือท่านจะได้มีอายุยืน อยู่อย่างมีความสุขใน
9. ห้ามเป็ นพยานเท็จใส่รา้ ยเพือนบ้าน (ศีลข้อ 4) แผ่นดินทีองค์พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของท่านประทานให้
10. ห้ามโลภบ้านเรือนของเพือนบ้าน ห้ามโลภภรรยาของ 5. อย่าฆ่าคน
เพือนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือ 6. อย่าล่วงประเวณี
สิงใด ๆ ซึงเป็ นของของเพือนบ้าน (กุศลกรรมบถข้อ 8) 7. อย่าลักขโมย
8. อย่าเป็ นพยานเท็จใส่รา้ ยเพือนบ้าน
9. อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพือนบ้าน (อย่าปลงใจในความ
อุลามก)
10. อย่าโลภมักได้บา้ นเรือนของเพือนบ้าน ไร่นา บ่าวไพร่ชาย
หญิง โค ลา และทรัพย์สินใด ๆ ทีเป็ นของเพือนบ้าน (อย่า
มักได้ทรัพย์ของเขา)
.................................................

๒๙๘
ศาสนาอิสลาม (อังกฤษ: Islam) เป็ นศาสนาเอกเทวนิ ยม (monotheism) บัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุ รอาน ซึงสาวกมองว่า
เป็ นพระวจนะคํา ต่ อคํา ของพระเจ้า (อาหรับ : ‫ ﷲ‬อัล ลอฮฺ ) และโดยคํา สอนและตัว อย่ า งเชิ ง ปทัส ถาน (เรี ย กว่ า สุ นั ต และ
ประกอบด้ว ยหะดี ษ ) ของมุ ฮั ม มั ด ซึ งสาวกมองว่ า เป็ นศาสดาหรื อ นบี อ งค์ สุ ด ท้า ยของพระเจ้า สาวกของศาสนาอิ ส ลาม
เรียกว่า มุสลิม
มุ ส ลิ ม เชื อว่ า พระเจ้า เป็ นหนึ งและหาที เปรี ย บไม่ ไ ด้ และจุ ด ประสงค์ข องการดํา รงอยู่ คื อ เพื อรั ก และรับ ใช้พระเจ้า
[1][2]
มุสลิ มยังเชือว่า ศาสนาอิสลามเป็ นศรัทธาตังแต่ยุคกําเนิ ดโลกทีสมบูรณ์และเป็ นสากลทีสุ ด ซึงได้มีโอกาสเผยมาในหลาย
โอกาสและสถานทีก่อนหน้านั น รวมทังผ่านอับราฮัม โมเสส และพระเยซู ซึงมุสลิมมองว่าเป็ นศาสดาเช่นกัน[3] พวกเขายึดมันว่า
สารและการเปิ ดเผย (revelation) ได้มีการเปลียนแปลงหรือด่างพร้อยบางส่วนเมือเวลาผ่านไป[4] แต่มองว่าอัลกุรอานเป็ นทังการ
เปิ ดเผยสุ ดท้ายและทีเปลี ยนแปลงไม่ไ ด้ข องพระเจ้า[5]มโนทัศ น์ และหลั กศาสนามี เสาหลัก ทังห้า ของอิสลาม ซึงเป็ นมโนทัศ น์
พืนฐานและการปฏิบัติตนนมัสการทีต้องปฏิบัติตาม และกฎหมายอิสลามทีตามมา ซึงครอบคลุ มแทบทุกมุมของชีวิตและสังคม
โดยกําหนดแนวทางในหัวเรืองหลายหลาก ตังแต่การธนาคารไปจนถึงสวัสดิการ การสงครามและสิงแวดล้อม[6][7]
หลักศรัทธาอิสลาม แนวท่านศาสดาทีเชือถือได้ (ซุนนีย)์
1. ศรัทธาว่าอัลลอฮฺ เป็ นพระเจ้า
2. ศรัทธาในบรรดาคัมภีรต์ ่าง ๆ ทีอัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น เตารอต อินญีล ซะบูร และอัลกุรอาน
3. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ทีอัลลอฮฺ ได้ทรงส่งมายังหมู่มนุ ษย์ และนบีมุฮมั หมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม
เป็ นศาสนทูตคนสุดท้าย
4. ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผูร้ บั ใช้อลั ลอฮฺ
5. ศรัทธาในวันสินสุดท้าย คือหลังจากสินโลกแล้ว มนุ ษย์จะฟื นขึน เพือรับการตอบสนองความดีความชัวทีได้ทาํ ไปบนโลกนี
6. ศรัทธาในกฎสภาวะ หรือ สิงทีเป็ นการกําหนด และเงือนไขการกําหนดจากพระผูเ้ ป็ นเจ้า
ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของซุนนีย ์ (หลักปฏิบตั ิ 5 ประการ)
1. การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอืนใดนอกจากอัลลอหฺและมุฮมั มัดเป็ นศาสนทูตของอัลลอหฺ
2. ดํารงการละหมาด วันละ เวลา
3. จ่ายซะกาต (บริจาคทรัพย์หรือให้ทานแก่คนทีเหมาะสม เช่น เด็กกําพร้า คนขัดสน เพือขัดเกลาจิตใจ
4. ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนทุกปี (งดอาหาร เครืองดืม เพศสัมพันธ์ตงแต่ ั พระอาทิตย์ขึนถึงตกในเดือน 9 1 เดือน)
5. บําเพ็ญฮัจญ์ หากมีความสามารถ (เดินทางไปเมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย)
.................................................

๒๙๙
ศาสนาฮินดู (อังกฤษ: Hinduism) เป็ นศาสนาแบบพหุเทวนิ ยมทีพัฒนาการต่อมาจากศาสนาพราหมณ์ซึงเป็ นศาสนาแบบ เอก
เทวนิ ยม มีพระเจ้าองค์เดียว(เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์และอิสลาม) จึงมักเรียกรวมกันว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่ปรากฏแน่
ชัดว่าใครเป็ นศาสดา มีคมั ภีรศ์ าสนาเรียกว่าพระเวท มีศาสนิ กชนมากเป็ นอันดับที ของโลก มีจาํ นวนประมาณ ล้านคน
ศาสนานี นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เรียกว่า "พหุเทวนิ ยม" เทพเจ้าแต่ละองค์ในแต่ละยุคสมัย มีบทบาท และตํานานต่างกัน
ไป ในแต่ละท้องถินยังมีความเชือเกียวกับเทพเจ้าองค์หนึ งๆ แตกต่างกันไปด้วย โดยทัวไปถือว่าชาวฮินดู เชือว่ามีเทพเจ้าสูงสุด ที
ได้อวตารแยกร่างออกมาเป็ น องค์ เรียกว่า "ตรีมูรติ" คือ พระพรหม[3]ซึงเป็ นพระผูส้ ร้างโลก พระศิวะเป็ นผูท้ าํ ลาย และพระ
วิษณุเป็ นผูป้ กป้ องและรักษาโลก
ก. คัมภีรท์ างศาสนา
คัมภีรพ์ ระเวท มี 3 คัมภีร์ เรียกว่า "ไตรเวท" คือ
1.ฤคเวท เป็ นคัมภีรท์ ีรวบรวมบทสวดสดุดีพระผูเ้ ป็ นเจ้าทังหลาย บรรดาเทพเจ้าทีปรากฏในฤคเวทสัมหิตามีจํานวน 33 องค์ ทัง
33 องค์ ได้จดั แบ่งตามลักษณะของทีอยู่เป็ น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าทีอยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าทีอยู่ในอากาศ และเทพเจ้าทีอยู่ในโลก
มนุ ษย์ มีจาํ นวนกลุ่มละ 11 องค์
2.ยชุรเวท เป็ นคัมภีรท์ ีรวบรวมบทประพันธ์ทีว่าด้วยสูตรสําหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็ น 2 แขนง คือ
2.1 ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวทขาว ได้แก่ ยชุรเวททีบรรจุมนต์ หรือคําสวดและสูตรทีต้องสวด
2.2 กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดํา ได้แก่ ยชุรเวททีบรรจุมนต์และคําแนะนํ าเกียวกับการประกอบยัญพิธีบวงสรวง
ตลอดทังคําอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย
3.สามเวท เป็ นคัมภีรท์ ีรวบรวมบทประพันธ์อนั เป็ นบทสวดขับร้อง บทสวดในสามเวทสัมหิตามีจาํ นวน 1,549 บท ในจํานวนนี มี
เพียง 75 บท ทีมิได้ปรากฏในฤคเวท ส่วนอาถรรพเวท หรือทีเรียกกันว่า อาถรรพเวท เป็ นคัมภีรท์ ีเกิดขึนภายหลัง เป็ นคัมภีร์ที
รวบรวมบทประพันธ์ทีว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่างๆ
ข. หลักปรัชญาของศาสนาของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู[แก้]
ปรมาตมัน หมายถึง สิงทียิงใหญ่ อันเป็ นทีรวมของทุกสิงทุกอย่างในสากลโลก ได้แก่ "พรหม" ปรมาตมันกับพรหมจึงเป็ น
สิงเดียวกัน ซึงมีลักษณะดังนี
1. เกิดขึนเอง
2. เป็ นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิงทังหลาย และเป็ นสิงทีมองไม่เห็นด้วยตา
3. เป็ นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทังปวง
4. สรรพสิงล้วนแยกออกมาจากพรหม
5. เป็ นตัวความจริง (สัจธรรม) สิงเดียว
6. เป็ นผูป้ ระทานญาณ ความคิด และความสันติ
7. เป็ นสิงทีดํารงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล
วิญญาณทังหมดเป็ นส่วนทีแยกออกมาจากปรมาตมัน วิญญาณย่อยเหล่านี เมือแยกออกมาแล้ว ก็เข้าจุติในชีวิตรูปแบบ
ต่างๆ เช่น เทวดา มนุ ษย์ สัตว์ และพืช มีสภาพดีบา้ ง เลวบ้าง ตามแต่พรหมจะลิขิต
ค. หลักปฏิบตั ิของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู[แก้]
อาศรม หมายถึง ขันตอนการดําเนิ นชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะทีเป็ นพราหมณ์วยั ต่างๆ โดยกําหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี
แบ่งช่วงของการไว้ชีวิตไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ช่วงชีวิตแต่ละช่วงเรียกว่า อาศรม(วัย) อาศรมทัง 4 ช่วง มีดงั นี
1. พรหมจรยอาศรม เริมตังแต่อายุ - ปี ผูเ้ ข้าสู่อาศรมนี เรียกว่า พรหมจารี
2. คฤหัสถาศรม อยู่ในช่วงอายุ - ปี
3. วานปรัสถาศรม อยู่ในช่วงอายุ - ปี
4. สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตงแต่ ั ปี ขึนไป สําหรับผูป้ รารถนาความหลุดพ้น(โมกษะ) จะออกบวชเป็ น "สันยาสี" เมือ
บวชแล้วจะสึกไม่ได้
ง. จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู[แก้]
โมกษะ การหลุดพ้น (เปรียบได้กบั นิ พพานของศาสนาพุทธ) ถือว่าเป็ นหลักความดีสูงสุด ดังคําสอนของศาสนาฮินดูสอน
ว่า "ผูใ้ ดรูแ้ จ้งในอาตมันของตนว่าเป็ นหลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว ผูน้ ั นย่อมพ้นจากสังสาระการเวียนว่าย ตาย เกิด และจะไม่
ปฏิสนธิอีก"

๓๐๐
ศาสนาซิ กข์ หรือ ศาสนาสิกข์ (ปั ญจาบ: ਿਸੱਖੀ, สัท.: [ˈsɪkːʰiː], อังกฤษ: Sikhism) เป็ นศาสนาทีถื อกําเนิ ดขึนใน
ราวคริสต์ศตวรรษที 16 ในตอนเหนื อของอินเดีย จากคําสอนของ นานั ก และคุรุผสู ้ ืบทอดอีก 9 องค์ หลักปรัชญาของศาสนาซิกข์
และการปฏิบัติตามหลักศาสนา นิ ยมเรียกว่า "คุ รมัต" (ความหมายโดยพยัญชนะ หมายถึ ง "คําสอนของคุ รุ" หรือ "ธรรมของ
ซิกข์")
คําว่า "ซิกข์" หรือ "สิ กข์" มาจากภาษาสันสกฤตว่า "ศิษฺย" หมายถึ ง ศิษย์ ผูเ้ รียน หรือ "ศิกฺษ" หมายถึ ง การเรียน และ
ภาษาบาลีว่า "สิกฺข" หรือ "สิกฺขา" [1] หมายถึง การศึกษา ผูศ้ ึกษา หรือผูใ้ ฝ่ เรียนรู ้
ศาสนาซิกข์ เป็ นศาสนาแบบเอกเทวนิ ยม เนื องจากหลักความเชือของศาสนาซิกข์ คือ ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือ "วา
หคุรู" ปฏิบตั ิสมาธิในนามของพระเจ้า และโองการของพระเจ้า ศาสนิ กชาวซิกข์จะนั บถื อหลักคําสอนของคุรุซิกข์ทงั 10 หรือผูน้ ํ า
ผูร้ ูแ้ จ้ง และคัมภีร์ศักดิสิ ทธิ ทีเรียกว่า "คุ รุ ครันถ์ สาหิพ" ซึงเป็ นบทคัดสรรจากผูเ้ ขียนมากมาย จากภูมิหลังทางศาสนา และ
เศรษฐกิจสังคมทีหลากหลาย คัมภีรข์ องศาสนาเป็ นบัญญัติของคุรุ โคพินท์ สิงห์ คุรุองค์สุดท้ายแห่งขาลสา ปั นถ (Khalsa Panth)
การสอนและหลักปฏิบัติของศาสนาซิกข์มีความเกียวพันกับประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของภูมิภาคปั ญจาบในลักษณะ
ต่างๆ กัน
ชาวสิ กข์ทุกคนต้องทํา พิธี "ปาหุล" คือพิธีลา้ งบาป เมือเสร็จพิธีแล้วก็จะรับ เอา "กะ" คือสิ งทีเริมต้น ด้วยอักษร "ก" 5
ประการ ดังต่อไปนี
1. เกศ การไว้ผมยาวโดยไม่ตดั เลย
2. กังฆา หวีขนาดเล็ก
3. กฉา กางเกงขาสัน
4. กรา กําไลมือทําด้วยเหล็ก
5. กิรปาน ดาบ
ผูท้ ีทําพิธีปาหุลแล้วจะได้นามว่า "สิ งห์" แปลว่า สิ งโต หรือ ราชสี ห์ ต่อท้ายเหมือนกันทุกคน ถื อว่าผ่านความเป็ นสมบัติ
ของพระเจ้าแล้ว ถ้าเป็ นหญิงจะมีคําว่า "กอร์" (ผูก้ ล้า) ต่อท้ายชือ การทําพิธีลา้ งบาปและรับอักษร 5 ก. เพือเป็ นชาวสิ กข์โดย
สมบูรณ์นัน มีขึนในภายหลัง คือในสมัยของคุรุโควินทสิงห์ ซึงเป็ นศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาสิกข์ ศาสนาสิกข์ เป็ นศาสนาของ
ชาวอิ น เดี ย แคว้น ปั ญ จาบและบริ เ วณใกล้เ คี ย ง ทุ ก คนที นั บ ถื อสิ ก ข์ ถื อว่ า เป็ นพวกเดี ย วกัน เป็ นพี น้ องกัน โดยศาสนา และ
ขนบธรรมเนี ยมประเพณี ชาวสิกข์นิยมเรียกพระเจ้าว่า "พระนาม" (The Name) โดยมีคาํ สอนสรรเสริญพระพุทธคุ ณของพระเจ้า
ว่าเป็ นผูฉ้ ลาด มีพระกรุณา มีพระหฤทัยเผือแผ่
ศาสนาซิกข์นับเป็ นศาสนาทีมีผนู ้ ั บถือมากเป็ นอันดับที 9 ของโลก ปั จจุบนั มีผนู ้ ั บถือศาสนาซิกข์มากกว่า 23 ล้านคนทัวไป
ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐปั ญจาบ ของอินเดีย

 จํานวนผูน้ บั ถือศาสนา[2][แก้]
1. ศาสนาคริสต์: . พันล้านคน – . พันล้านคน
2. ศาสนาอิสลาม: . พันล้านคน – . พันล้านคน [3]
3. ไม่นับถือศาสนา/เชือในวิทยาศาสตร์แบบตายแล้วสูญ/อศาสนา: . พันล้านคน
4. ศาสนาฮินดู: . พันล้านคน – . พันล้านคน
5. ศาสนาพุทธ: ล้านคน[2]
6. ศาสนาซิกข์: ล้านคน
7. ลัทธิจูเช (นั บถือคิมอิลซุง) : ล้านคน
8. นั บถือผี: ล้านคน
9. ศาสนายูดาห์: ล้านคน
10. ศาสนาบาไฮ: ล้านคน
11. ศาสนาโซโรอัสเตอร์: . ล้านคน
12. ลัทธิเพแกนใหม่: ล้านคน
13. ขบวนการราสตาฟาเรียน: แสนคน
...........................................

๓๐๑
บุพพสิกขาวรรณนา นวโกวาทและวินยั มุข ซึ งใช้หนังสือของท่านพระอมราภิรกั ขิตนัน
คํานํา เป็ นคู่มื อ และได้ใ ช้เป็ นหลักสูต รแห่งการศึกษานักธรรมในคณะ
สงฆ์ในปัจจุบน ั
บุ พพสิกขาวรรณนา เป็ นหนังสือแสดงอธิบ ายพระวิน ยั ที
หนังสือบุ พพสิกขาวรรณนา ปรากฏว่า เดิม เป็ นหนังสือ
ท่า นพระอมราภิร กั ขิต (อมโร เกิด ) เป็ นผู้ รจนาขึ น ท้า ยหนังสือ
จารในคมั ภีร์ใบลาน ต่อมาจึงได้มีการคดั ลอกพิมพ์เป็ นเล่มสมุดขึ น
บอกไว้วา่ เสร็จทังหมดในปี วอก พุทธศักราช 2403 นับเป็ นปี ที 10
และได้ พิมพ์ต่อมาอีกหลายครัง ฉบับพิมพ์ในสมัยต่าง ๆ กัน เท่าที
ในรัช กาลที 4 ได้พบใน เวลาทําคํานํานี มีเป็ นลําดับดังต่อไปนี
ในเบื องต้ นของบุ พ พสิก ขาวรรณา ท่า นผู้ ร จนาได้ ก ล่า ว พ. ศ. 2438 (ร. ศ. 114) สมเด็จพระราชปิ ตุลาบรมพงศาภิ
ปรารภถึงบุ พพสิกขาทีท่านได้แต่งไว้แล้วโดยย่อ เพือให้กุลบุตรผู้ มุ ข กรมพระยาภาณุ พน ั ธุวงศ์วรเดช ขณะดํารงพระยศเป็ นพระเจ้า
เป็ นคนใหม่ใ นศาสนา ศึกษาตามในกาลเป็ นเบืองต้น จึงจะทําการ น้องยาเธอ เจ้าฟ้ าภาณุ รงั ษี สว่างวงศ์ กรมพระภาณุ พน ั ธุวงศ์วรเดช
วรรณนาบุ พ พสิกขานัน โดยพิส ดารสักหน่ อ ย เพื อผู้ ใ คร่จ ะรูจ้ ะ โปรดให้พม ิ พ์ 1,000 เล่ม ถวายไว้ในมหากุฏราชวิทยาลัย เป็ นการ
ศึกษา ตามคําปรารภนี แสดงว่า ท่า นผู้รจนาได้แต่งเรืองทีท่านให้ ทรงบํา เพ็ญพระกุศล ในสมัยตรงกับวันประสูติครบ 36 ปี บริบูรณ์
ชือว่าบุพพสิกขา ไว้กอ ่ นแล้วโดยย่อ สําหรับ ' คนใหม่ ' จะได้ศึกษา ในวันที 11 มกราคม ศกนัน มีแจ้งในอารัมภกถาตอนหนึ งว่า
ในเบื องต้น ตรงกับ ชื อเรืองว่า ' บุ พพสิกขา ' ทีแปลว่า ' ศึกษาใน " ในครังนีกรมหมืนวชิรญาณวโรรส จึงได้ทรงแนะนําให้
เบื องต้ น ' เรื องบุ พ พสิก ขาที เป็ นต้ น เดิ ม ของหนัง สื อ บุ พ พสิกขา สร้างหนังสือ ' บุพพสิกขาวรรณนา ' นี ทีพระอมราภิรกั ขิต ( เกิด )
วรรณนา เจ้า หน้ า ที ได้ พ บในตู้ ห นัง สื อ บนตํ า หนัก ล่า ง ซึ งเป็ น วัด บรมนิ วาสได้แ ต่งขึ นไว้ เป็ นหนัง สือแสดงข้อวินยั ปฏิบ ต ั ิโ ดย
ตําหนักเดิมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโร พิสดาร เป็ นของทีนิยมนับถือของพระสงห์ทงปวง ั จึงเป็ นหนังสือ
รส เรียกชื อเต็ ม ว่า สัต ตปัพ พปุพ พสิกขา เรียกสันในคํา เริมต้นว่า สํา ค ญ
ั ทีต้องการผู้ศึกษา แต่ก่อนเป็ นหนังสือจารในค ม ั ภี ร์ใบลาน
บุพพสิกขา กล่าวถึงเรืองทีกุลบุตรพึงศึกษาก่อน 7 ข้อ คือ ข้อต้นว่า มักจารวิปลาสคลาดเคลือนและผู้ศึกษาจะหาได้ด้วยยาก เมื อได้ลง
ด้วยคุณพระรัตนตรัย พิม พ์ใ ห้เป็ นเล่มสมุดให้แพร่หลายมากขึ นแล้ว ก็จะเป็ นประโยชน์
ข้อที 2 ว่าด้วยชืออาบัติเป็ นต้น แก่พระภิกษุ สามเณรซึ งจะศึกษาทัวไป.
ข้อ 3 ว่าด้วยสิกขาบททีใกล้จะต้องเป็ นปากเป็ นทางปฏิบตั ม ิ าก ในการทีพิม พ์ " บุ พพสิกขาวรรณนา " ฉบับ นี พระเจ้า น้องยาเธอ
ข้อ 4 ว่าด้วยกาลิก กรมหมื นวชิ ร ญาณวโรรส ทรงมอบพระธุ ร ะให้ หม่ อ มเจ้า พระ
ข้อ 5 ว่าด้วยพินทุอธิษฐาน วิก ัปป์และปัจจุทธรณ์ สถาพรพิ ริ ย พรต วัด ราชบพิ ธ ชํ า ระสอบทานกับ ต้ น ฉบับ โดย
ข้อ 6 ว่าด้วยขาดอธิษฐานเป็ นต้น ละเอียดแล้ว หนังสือบุพพสิกขาวรรณนาฉบับพิมพ์ ซึ งได้ทรงสร้าง
ข้อ 7 ว่าด้วยแสดงอาบัติเป็ นต้น ขึนในครังนี พิเศษกว่าหนังสือบุพพสิกขาวรรณนาทีจารในใบลาน
ในตอนท้ายแต่งเป็ นฉันท์บาลี 1 คาถาบอกว่า ' อมระ ' เป็ นผู้แต่ง ทังสิน สมควรทีผู้ศึกษาจะใช้เป็ นหนังสือสําหรับ ศึกษาทัวไป การ
คํา นี ตรงกับ นามฉายาของท่า นผู้ ร จนาบุ พ พสิ ก ขาวรรณนา จึง พิมพ์ครังนันโปรดให้พม ิ พ์ทีโรงพิมพ์วชั รินทร์ ซึ งหม่อมเจ้าวัชรินท์
สันนิษฐานได้วา่ ท่านอมระผู้แต่งบุพพสิกขานัน คือท่านผู้รจนาบุพ ทรงเป็ นผู้จดั การ ...
พสิกขาวรรณนานันเอง ... คํา บาลีใ ช้อกั ษรอริยกะทังหมด อักษร พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็ จพระปรมินทรมหาภู มิพลอ
อริยกะนี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงคิดขึ นตังแต่ ดุ ล ยเดช รัช กาลปัจ จุ บ น ั ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้า ฯ ให้พิม พ์
สมัยทียังทรงผนวชอยู่ และทรงตังโรงพิมพ์ขึ นด้วย ในวัดบวรนิเวศ พระราชทานในงานพระศพ สมเด็ จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ
วิ ห าร ตรงที สร้า งตํ า หนัก เพชรในปัจ จุ บ น ั ใช้ อ ก
ั ษรไทยพิม พ์ พระสังฆราช (อยู่ าโณทโย) วัดสระเกษราชวรมหาวิหาร ณ พระ
ภาษาไทย ส่วนภาษาบาลีใช้อกั ษรอริยกะทีทรงคิดขึ น ในเวลานัน เมรุ ห น้ า พลับ พลาอิ ศ ริ ย าภรณ์ วัด เทพศิ ริ น ทราวาส วัน ที 20
นิยมใช้เขียนด้วยอักษรของ ... ต่อมา ท่านผู้รจนาบุพพสิกขา 7 ข้อ พฤศจิกายน 2508 ปรากฏในบานแผนกตอนหนึ งว่า
จึง ได้ ร จนาวรรณนาแห่ง บุ พ พสิก ขา 7 ข้ อ นันโดยพิส ดาร ดัง ที " ได้ทรงเผดียงพระสาสนโสภณ เจ้า อาวาสวัด บวรนิเวศวิหาร ให้
เรียกว่า " บุ พพสิกขาภวรรณนา " นี บุ พพสิกขาวรรณนาใช้เป็ น เลือกสรรหนังสือทีจะพิมพ์ขึ น เป็ นวิทยาทานเพือระลึกถึงงานนี พร
หลักในการศึกษาปฏิบตั พ ิ ระวินยั ในสมัยก่อนมานาน เป็ นทีนิยมนับ สาสนโสภณถวายชือหนังสือขึ นมาบางเรือง ได้ทรงเลือกให้พิม พ์
ถื อ ของพระสงฆ์ ผู้ เ ป็ นนัก ศึ ก ษาปฏิ บ ต ั ิ ท วไป
ั และบุ พ พสิก ขา หนัง สื อ บุ พ พสิก ขาวรรณนา วินิ จ ฉัย พระวิน ยั บัญ ญัติ เพื อหวัง
วรรณนานีกล่าวได้วา่ เป็ นต้นเดิมของหนังสือวินยั มุข ทีสมเด็จพระ ประโยนชน์ในทางศึกษาเทียบเคียง เพราะหนังสือเรืองนีแม้จ ะเคย
มหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงรจนาขึ น ดังที พิมพ์กน ั มาแล้วหลายครัง ก็ยงั ควรจะใช้ได้อีก และเวลานีก็เหลืออยู่
ทรงไว้ในคํานําของวินยั มุขว่า น้อยเล่มแล้ว ทรงอุทศ ิ พระราชกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์
" ในการรจนาหนัง สื อ นี ข้ า พเจ้ า ได้ อ าศัย บุ พ พสิก ขา นัน " ในครังนี พิม พ์ทีโรงพิม พ์พระจันทร์ ทรงพระกรุณ าโปรด
วรรณนาเป็ นอย่า งมาก เพราะท่า นผู้ ร จนาได้ เ ลื อ กจากปกรณ์ เกล้า ฯ ให้พิม พ์พระราชทานในงานพระศพ 3,000 เล่ม ... บัด นี
ทังหลายมารวบรวมไว้ในเรืองเดียว ทังความมุ่งหมายของข้าพเจ้า พิจารณาเห็นว่าสมควรจะพิมพ์ สัตตปัพพปุพพสิกขา หรือ เรียกสัน
ก็เพือจะแต่งแก้บุ พพสิกขาวรรณนา เหมื อนเป็ นฎี กาของหนังสือ ว่า บุ พพสิกขา ทีท่า นพระอมราภิรกั ขิต (อมโร เกิด ) ได้รจนาไว้
นัน บุรณะข้อทีบกพร่อง แลแก้ข้อทีผิด ให้สาํ เร็จประโยชน์ จึงต้อง ก่อน ซึ งได้พบในตู้หนังสือดังกล่าวข้างต้น เพิมไว้ข้างหน้าบุพพสิก
ใช้ ห นังสื อนันเป็ นเครื องมื อ จะถื อ ว่า เก็บ ข้อความในบุ พพสิกขา ขาวรรณนารวมเป็ นเล่มเดียวกัน จึงได้ดําเนินการพิมพ์รวมเข้าดังที
วรรณนานัน มาเรียงเข้ารูปใหม่ก็ได้ ข้า พเจ้า ขอแสดงความระลึก ปรากฏอยู่นี .. จะมี ต่า งอยู่ก็อกั ษรทีเป็ นภาษาบาลี จํา เป็ นต้องใช้
ถึงอุปการ ของท่านพระอมราภิรกั ขิต (อมร เกิด) เจ้าวัดบรมนิวาส ดังทีใช้อยูใ่ นปัจจุบน ั เพราะตัวอักษรอริยกะไม่มี หนังสือบุพพสิกขา
ผู้รจนาหนังสือนัน " วรรณนา พร้อ มด้ ว ยบุ พ พสิก ขา ซึ งเป็ นต้ นเดิม เป็ นหนัง สื อทีมี
แม้ ห นัง สื อ นวโกวาทของสมเด็ จ พระมหาสมณเจ้ า ประโยชน์เกือกูลแก่การศึกษาปฏิบตั ิพระวินยั อันถือว่าเป็ นรากแก้ว
พระองค์นน ั ก็ดู มี เค้าความประสงค์คล้ายหนังสือบุพพสิกขา เพระ พระพุ ท ธศาสนาเป็ นอัน มาก แม้ ใ นบัด นี ได้ มี หนัง สื อ วิน ยั มุ ข
เป็ นหนังสือย่อข้อทีควรศึกษาก่อน สําหรับคนใหม่เช่นเดียวกัน แต่ พร้อมกับนวโกวาทเป็ นหลักสูตรแห่งการศึกษาทีใช้ ทัวไปแล้ว แต่
มี ต่า งกัน เช่นนวโกวาท ย่อความในสิกขาบทมาในพระปาติโมกข์ ถ้ า หากได้ มี บุ พ พสิก ขากับ บุ พ พสิ ก ขาวรรณนา สํ า หรับ ศึ ก ษา
ครบถ้วนเป็ นต้น ประกอบเข้าอีก ก็จะได้ความรูเ้ ทียบเคียงกว้างขวางยิงขึ น ทังยังใช้
สรูปความว่า ท่านพระอมรารักขิต (อมโร เกิด) ได้รจนา เกือกูลแก่การปฏิบตั ิพระวินยั ได้อีกส่วนหนึ งด้วย ..
หนังสือบุ พพสิกขา หรือสัต ตปัพพปุพพสิกขาขึ นสําหรับนวกะแล้ว กองอํานวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย 21 มกราคม 2510
รจนาบุ พพสิกขวรรณนา สํา เร็จตังแต่ในรัชกาลที 4 ต่อมา สมเด็จ ..........................................
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรจนาหนัง สื อ

๓๐๒
¡ÒŠʶҹ·Õè ¶Ô蹡ºÔžÑʴ؏ µÃСÙÅ¡ÉѵÃԏ ¾ÃÐÁÒôÒ, ¡ÒÅÍѹ¤ÇÃ
¾Ãоط¸»ÃÐÇѵâÔ ´ÂÊѧࢻ ·Õè¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏ¨ÐŧÁÒÍØºÑµÔ ¤×Í ª‹Ç§àÇÅÒ·ÕèÁ¹ØɏÁÕÍÒÂصÑé§áµ‹ 1 áʹ
ÃǺÃÇÁâ´Â ¾ÃлÂÐÅѡɳ »‚ ¶Ö§ 100 »‚ áÅÐ㹤ÃÑ駹Õé ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¢Í§àÃÒ¡çŧÁÒÍغѵÔã¹Âؤ·Õè
»ÃÐÇÑµÔ á»ÅÇ‹Ò àÃ×èͧÃÒǤÇÒÁ໚¹ÁÒ, Á¹Øɏ¹Ñé¹ÁÕÍÒÂØà¾Õ§ 100 »‚à·‹Ò¹Ñé¹
¾Ø·¸»ÃÐÇÑµÔ á»ÅÇ‹Ò àÃ×èͧÃÒǤÇÒÁ໚¹ÁҢͧ¾Ãоط¸à¨ŒÒ ã¹»˜ ¨ ¨Ø ºÑ ¹ àÁ×è ;ÃÐ¾Ø · ¸Í§¤ · ç»ÃÔ ¹Ô ¾ ¾Ò¹Å‹ Ç §áŌ Ç ¡Ç‹ Ò
2500 »‚ Á¹Øɏ㹻˜¨¨ØºÑ¹ ÁÕÍÒÂØ¡Ñ» (ª‹Ç§ªÕÇÔµ) â´Â»ÃÐÁÒ³ 75 »‚
1.¾Ãоط¸ÈÒʹÒà¡Ô´¢Ö¹é ·Õäè ˹ (·Ø¡ 100 »‚ŋǧä»ã¹Âؤ¹Õé Á¹Øɏ¨ÐÁÕÍÒÂØŴŧ 1 »‚)
¾Ãоط¸à¨ŒÒ ·Ã§à¡Ô´ã¹´Ô¹á´¹·Õè ã¹ÊÁÑ âºÃÒ³àÃÕ¡¡Ñ¹ Ç‹Ò ªÁ¾Ù
·ÇÕ» ¾ÃÐ⾸ÔÊµÑ Ç»ÃÐÊÙµÔ
·ÇÕ» á»ÅÇ‹Ò ·ÕèÍÂً ´Ô¹á´¹ ʶҹ·Õè, àÁ×èÍã¡ÅŒ»ÃÐÊÙµÔ ¾Ãйҧ»ÃÒö¹ÒàÊ´ç¨àÂ×èÂÁÊ¡ØÅ
ªÁ¾ÙËÃ×͵Œ¹ªÁ¾Ù¾Ä¡É á»ÅÇ‹Ò µŒ¹ËÇŒÒ ¢Í§¾ÃÐͧ¤ ã¹¹¤Ãà·Ç·ËÐ ã¹ÃÐËNjҧ·Ò§ 䴌»ÃÐÊÙµÔ¾ÃÐâÍÃÊ ³
ªÁ¾Ù · ÇÕ » ËÁÒ妅 § ´Ô ¹ á´¹·Õè ÁÕ ¤ÇÒÁÍØ ´ ÁÊÁºÙ ó Á Ò¡ ÁÕ µŒ¹ Ënj Ò ÍØ· ÂÒ¹ÅØÁ¾Ô¹ÕÇѹ 㵌ËÁ äÁŒÊÒÅÐ ã¹àÇÅÒÊÒ ¡‹Í¹¾Ø·¸È¡ 80 »‚,
¢Ö¹é ÍÂًâ´Â·ÑèÇä» áŌǾÃÐ⾸ÔÊѵǏ 䴌·Ã§´íÒà¹Ô¹ 7 ¡ŒÒÇ à»Å‹§ÍÒÊÀÔÇÒ¨Ò (ÇÒ¨ÒÍÒ¨
ªÁ¾Ù·ÇÕ» ẋ§Í͡໚¹ 2 ʋǹ ¤×Í ËÒ­) ¾ÃŒ ÍÁ·Ñé §à¡Ô ´ Ê˪ҵԷÑé§ 7 ¤× Í 1.¾Ãйҧ¾Ô Á ¾Ò 2.¾ÃÐ
1.ÁѪ¬ÔÁª¹º·(ʋǹ¡ÅÒ§) 2.»˜¨¨Ñ¹µª¹º·(ªÒÂá´¹) ÍÒ¹¹· 3.¹Ò©ѹ¹Ð 4.¡ÒÌØ·ÒÂÕÍíÒÁҵ 5.ÁŒÒ¡Ñ³±¡Ð 6.µŒ¹¾ÃÐ
ªÁ¾Ù · ÇÕ » ã¹»˜ ¨ ¨Ø ºÑ ¹ ÁÕ ÈÙ ¹Â ¡ÅÒ§ÍÂً ·Õè »ÃÐà·ÈÍÔ ¹à´Õ áÅÐ ÈÃÕÁËÒ⾸Ôì 7.¢ØÁÊÁºÑµÔÊÕè¢ØÁ
»ÃСͺ´Œ Ç Â»ÃÐà·Èµ‹ Ò §æ ÍÑ ¿ ¡Ò¹Ô Ê ¶Ò¹ ๻ÒÅ ºÑ § ¤ÅÒà·È
»Ò¡Õʶҹ áÅÐÀÙ°Ò¹ ¡ÒÌà·ÇÔÅ·íÒ¹Ò¾ÃÐÅѡɳÐ
ᵋà´ÔÁ ªÁ¾Ù·ÇÕ»»ÃСͺ仴ŒÇª¹à¼‹ÒÁÔÅÑ¡¢Ð «Öè§à»š¹ªÒǾ×é¹ àÁ×èÍ»ÃÐÊÙµÔ䴌 3 Çѹ ÍÊÔµ´ÒºÊ (¡ÒÌà·ÇÔÅ´ÒºÊ) ¢³Ð·Õè
¶Ôè¹áµ‹à´ÔÁ áÅЪ¹à¼‹ÒÍÃÔ¡Р«Öè§Í¾Â¾Å§ÁÒ¨Ò¡·Ò§µÍ¹à˹×Í áÅÐ ¾Ñ ¡ ¼‹ ͹ÍÂً ã¹ÊÇÃä ªÑé ¹ ´ÒÇ´Ñ §Ê 䴌 · ÃÒº¢‹ Ò Ç ¡ÒÃÍØ ºÑ µÔ¢Í§¾ÃÐ
ÃØ¡äŋ¾Ç¡ÁÔÅÑ¡¢Ð ãˌ¶ÍÂ˹ä»Êً»ÅÒÂá´¹, áÅоط¸à¨ŒÒ¢Í§àÃÒ¡ç·Ã§ â¾¸Ô ÊÑ µÇ ¨Ö §ä´Œ à ¢Œ Ò à½‡ Ò ¶ÇÒ弄 §¤Á¾ÃÐ¡Ø Á Òà ¾ÂҡóÁ ËÒºØÃØÉ
໚¹ ª¹à¼‹ÒÍÃÔ¡дŒÇÂઋ¹à´ÕÂǡѹ Ê׺àª×éÍÊÒÂÁÒ¨Ò¡ ¾ÃÐ਌ÒâÍ¡ ÅѡɳР¾ÃÐÃÒªºÔ´Ò·Ã§ºÑ§¤Á ¾ÃÐâÍÃÊ໚¹¤ÃÑ駷Õè 1
¡Ò¡ÃÒª ¨¹¶Ö§ ¾ÃÐ਌ҪÑÂàʹ(·Ç´) ¾ÃÐ਌ÒÊÕË˹Ø( »Ù†) ¾ÃÐà¨ŒÒ ÊØ
·â¸·¹Ð໚¹¾ÃÐÃÒªºÔ ´Ò áÅоÃйҧ ÊÔÃÔÁËÒÁÒÂÒ໚¹¾ÃÐÃÒª à©ÅÔÁ¾ÃйÒÁ¾ÃÐâÍÃÊ
ÁÒÃ´Ò àÁ×èÍ»ÃÐÊÙµÔ䴌 5 Çѹ 䴌àªÔ­¾ÃÒËÁ³ 108 ÁÒºÃÔâÀ¤ÍÒËÒÃ
2.»ÃÐÇѵ¢Ô ͧ¾Ãоط¸à¨ŒÒµÑé§áµ‹¤ÃÑé§Í¸ÔÉ°Ò¹¨Ôµ áÅоÃÒËÁ³ 8 ¤¹ ·íÒ¹Ò¾ÃÐ ÅѡɳоÃÐâÍÃÊ áÅжÇÒ¾ÃÐ
¨¹¶Ö§ ºÑ§à¡Ô´à»š¹·ŒÒÇÊѹ´ØÊµÔ à·ÇÃÒª ¹ÒÁÇ‹Ò ÊÔ·¸Ñµ¶Ð á»ÅÇ‹Ò ÁÕ¤ÇÒÁµŒÍ§¡ÒÃÊÔè§ã´ ¡çÊíÒàÃ稷ء»ÃСÒÃ
Œ͹ËÅѧ¡ÅѺ仹ҹáʹ¹Ò¹ ໚¹ÃÐÂÐàÇÅÒ 4 Íʧä¢Â 1 àÁ×èÍ»ÃÐÊÙµÔ䴌 7 Çѹ ¾ÃйҧÊÔÃÔÁËÒÁÒÂÒ ¾ÃÐÃÒªÁÒôÒ
áʹÁËÒ¡Ñ» (ËÁÒ¶֧ ¹Ò¹à»š¹¨íҹǹ¹ÑºäÁ‹ä´Œ¶Ö§ 4 ¤ÃÑé§ áÅÐÍÕ ¡ 䴌ÊÔé¹¾ÃЪ¹ÁÅ§ áŌÇÍغѵÔã¹ÊÇÃ䏪Ñé¹´ØÊÔµ ¾ÃÐ਌ÒÊØ· ⸷¹Ð ¨Ö §
ÃÐÂÐàÇÅÒàÁ×èÍâšᵡä»áÅŒÇ 1 áʹ¤ÃÑé§) Áͺ¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏᡋ¾ÃйҧÁËÒ»ªÒº´Õ(⤵ÁÕ)໚¹¼ÙŒ´ÙáÅ
¾Ãоط¸à¨ŒÒ㹤ÃÑé§àÊǾÃЪҵÔ໚¹ ÊØàÁ¸´ÒºÊ ÍÂً㹾ÃÐ àÁ×è;ÃÐ⾸ÔÊѵǏà¨ÃÔ­ÇÑ¢Öé¹ä´Œä»ÈÖ¡ÉÒÈÔÅ»ÇÔ·ÂÒã¹Êíҹѡ ¤ÃÙ
¹¤ÃÍÁÃÒÇ´Õ ¹Í¹·Í´µ¹à»š¹Êоҹ ÊÅЪÕÇÔµ µÑ駤ÇÒÁ»ÃÒö¹Ò ÇÔÈÇÒÁԵà àÁ×è;ÃЪ¹ÁÒÂØ䴌 7 ¾ÃÃÉÒ ã¹¤ÃÒǧҹ ÇÑ»»Á§¤Åáá
͸ÔÉ°Ò¹¨Ð໚¹¾Ãоط¸à¨ŒÒ µ‹Í˹ŒÒ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¾ÃйÒÁNjҷջ§˜ ¡Ã ¹Ò¢ÇÑ­ ¾ÃСØÁÒûÃзѺ¹Ñ觢ѴÊÁÒ¸Ô Âѧ»°Á¬Ò¹ãˌà¡Ô´¢Öé¹ ã¹Ã‹Á
ËÅÑ § ¨Ò¡¹Ñé ¹ ¾ÃÐͧ¤ ¡ç à ÃÔè Á ÊÌ Ò §ºÒÃÁÕ (¸ÃÃÁ·Õè ·í Ò ãˌ à »š ¹ ªÁ¾Ù¾Ä¡É(µŒ¹ËnjÒ) ¢³Ð¹Ñé¹à»š¹àÇÅÒº‹ÒÂᵋà§ÒÁÔ䴌¤ÅŒÍµÒÁ ¡ÅѺ
¾Ãоط¸à¨ŒÒ) 10 »ÃСÒÃ(·ÑÈ) ¤×Í ·Ò¹ ÈÕŠ๡¢ÑÁÁÐ »˜­­Ò ÇÔÃÔÂÐ µÑé §ÍÂً à ËÁ× Í¹ àÇÅÒà·Õè  §ÇÑ ¹ ໚ ¹ ÍÑ È ¨ÃÏ ¾ÃÐÃÒªºÔ ´ ҷçºÑ §¤Á
¢Ñ¹µÔ ÊѨ¨Ð ͸ÔÉ°Ò¹ àÁµµÒ ÍØມ¢Ò áÅÐã¹áµ‹ÅлÃСÒùÑé¹áº‹ § ¾ÃÐâÍÃÊ à»š¹¤ÃÑ駷Õè 2
ºÒÃÁÕÍ͡໚¹ 3 ¢Ñé¹ ¤×Í àÁ×è;ÃЪ¹ÁÒÂØ䴌 16 ¾ÃÃÉÒ ä´ŒÍÀÔàÉ¡¡Ñº ¾ÃйҧÂâʸÃÒ
1.¢Ñé¹¾ÃкÒÃÁÕÊÒÁÑ­ 2.¢Ñé¹¾ÃÐÍØ»ºÒÃÁÕ 3.¾ÃлÃÁѵ¶ºÒÃÁÕ ÃÇÁ (¾ÔÁ¾Ò) ¾ÃÐÃÒªºØµÃÕ¾ÃÐ਌ÒÊØ»»¾Ø·¸Ð áˋ§à·Ç·Ë¹¤Ã ¾ÃÐÃÒª
໚¹ºÒÃÁÕ 10*3= 30 ·ÑÈ ºÔ´Ò ¾ÃÐÃÒª·Ò¹»ÃÒÊÒ· 3 ËÅѧ(Ä´Ù)
áÅÐã¹¾ÃÐªÒµÔ ÊØ´·ŒÒ Â㹡ÒÃÊÌ Ò §ºÒÃÁÕ ·‹Ò¹ä´ŒÍغѵÔà »š ¹ à˵Øáˋ§¡ÒÃÍÍ¡¼¹Çª
¾ÃÐàÇÊÊѹ´Ã ºíÒà¾ç­·Ò¹ºÒÃÁÕ à»š¹ºØµÃ¾Ãйҧ¼ØÊ´Õ
áÅоÃÐ਌ÒÊ­ªÑ ¤Ãͧá¤ÇŒ¹ÊÕ¾Õ ¾ÃйҧÁÑ·ÃÕªÒÂÒ ªÒÅÕ໚¹ ¾ÃÐ àÁ×è ;ÃЪ¹ÁÒÂØ ä´Œ 29 ¾ÃÃÉÒ ·Ã§àÊ´ç ¨ »ÃоÒÊ ÃÒª
ÃÒªâÍÃÊ ¡Ñ³ËÒ໚¹¾ÃÐÃÒª¸Ô´Ò ·Ã§ºÃÔ¨Ò¤ªŒÒ§»˜¨¨Â¹Ò¤ ᡋá¤ÇŒ¹ ÍØ·ÂÒ¹ ·Í´¾ÃÐ๵ÃàËç¹¹ÔÁÔµ 4 »ÃСÒà ·Ã§ÊѧàǪÊŴ㨠µ‹Í
¡ÒÅÔ§¤Ð ໚¹à˵ض١à¹Ãà·Èä»ÍÂً à¢Òǧ¡µ ¾ÃÒËÁ³ 4 ¤¹ÁÒ¢ÍÁŒÒ à·Ç±Ùµ·Ñé§ 3 áÅÐÁÕã¨ÂÔ¹´Õ㹺ÃþªÒà¾ÃÒСÒÃ䴌àËç¹ÊÁ³Ð 㹤׹
áÅÐö¾ÃзÕè¹Ñè§ ¾ÃÒËÁ³ªÙª¡ªÒÇàÁ×ͧ¡ÅÔ§¤Ð ·ÙÅ¢ÍÊͧ¡ØÁÒà ãËŒÍ ¹Ñé¹¾ÃР⾸ÔÊѵǏ䴌àËç¹ÊµÃչҧʹÁµ‹Ò§æ ¹Í¹àÃÕèÂÃÒ´´Ø¨«Ò¡È¾
ÁÔµµ´ÒÀÃÃÂÒÊÒÇ àÁ×èÍ 6 ¾ÃÐͧ¤ ¾º¡Ñ¹à¡Ô´½¹âº¡¢Ã¾ÃÃɏ à¡Ô´àº×èÍ˹‹Ò áÅÐà¾ÃÒСÒÃ䴌àËç¹¾ÃÐâÍÃÊ ¾ÃйÒÁNjÒÃÒËØÅ à¡Ô´
ËÅѧ¨Ò¡¹Ñé¹ ·‹Ò¹ä´Œä»à¡Ô´à»š¹ ·ŒÒ ÇÊѹ´ØÊÔµà·ÇÃÒª ¹ÒÁÇ‹Ò ËÇÑè ¹ äËǾÃÐËÄ·Ñ ´ŒÇ¤ÇÒÁÃÑ ¡ ·Ã§à»Å‹ §ÍØ · ҹNj Ò “ÃÒËØÅí ªÒµí
àʵࡵØà·¾ºØµÃ ã¹ÊÇÃ䏪Ñé¹´ØÊÔµ «Öè§à»š¹ÊÇÃ䏪Ñé¹·Õè 4 «Öè§à»š¹·Õè ¾¹Ú¸Ò¹í ªÒµí” ¨Ö§ÃٌNjҤÇÒÁÃÑ¡ÍҨ໚¹à˵ØãˌäÁ‹ÊÒÁÒöµÑ´ã¨ä´Œ
ÍÂً¢Í§»ÃÒª­¼ÙŒÁÕ»˜­­Ò·Ñé§ËÅÒ àÁ×è Í ¶Ö § ¡ÒÅÍÑ ¹ ¤Çà ෾´ÒáÅÐ ÍÍ¡ÁËÒÀÔà¹É¡ÃÁ³(ÍÍ¡¼¹Çª)
¾ÃËÁ·Ñé§ËÅÒ ¨Ö§ä´ŒÍÒÃÒ¸¹Ò¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏ ãˌÁÒÍغѵÔÂѧâÅ¡Á¹Ø ɏ
à¾×è Íâ»Ã´ÊÑ µÇ ãˌ ¾Œ ¹ ¨Ò¡¤ÇÒÁ·Ø ¡ ¢ ·Ã§¾Ô ¨ ÒóÒÁËÒÇÔ â Å¡¹ 5 ¨Ö§µÑ´ÊÔ¹ã¨à´ç´à´ÕèÂÇàÊ´ç¨Ë¹ÕÍÍ¡¨Ò¡àÁ×ͧ乤׹¹Ñé¹ â´Â·Ã§
»ÃСÒä×Í ÁŒÒ¡Ñ³±¡ÐÍÍ¡¼¹Çª â´ÂÁÕ¹Ò ©Ñ¹¹ÐµÔ´µÒÁä»

๓๐๓
਌ҪÒÂÊÔ·¸Ñµ¶Ð·Ã§¼¹Çª µÃÑÊÃÙ¾Œ ÃÐÊÑÁÁÒÊÑÁ⾸ԭҳ
Ã؋§àªŒÒàʴ稶֧Êشࢵᴹá¤ÇŒ¹ÊÑ¡¡Ð ¶Ö§ÃÔÁ ½˜›§áÁ‹¹éíÒÍâ¹ÁÒ ¡‹Í¹ÍҷԵÍÑÊ´§¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏÂѧ¨Ôµãˌ໚¹ÊÁÒ¸Ô ÂÒÁáá
á¤ÇŒ¹ ÁÑÅÅÐ ·Ã§µÑ´¾ÃÐàÁÒÅÕ´ŒÇ¾ÃТÃä â¹¢Ö鹺¹ÍÒ¡ÒÈ·ŒÒÇ à¡Ô´»˜­­ÒÃÐÅÖ¡ªÒµÔ¡‹Í¹ä´Œ, ÂÒÁÊͧà¡Ô´»˜­­Ò Ãٌ¡ÒÃà¡Ô´µÒ¢ͧ
ÊÑ¡¡ÐÃѺänj ͸ÔÉ°Ò¹à¾ÈºÃþªÔµ â¹¼ŒÒÍÒÀó»ÃдѺ¡Ò ¢Ö鹺¹ ÊѵǏ ÂÒÁÊØ´·ŒÒ à¡Ô´»˜­­ÒËÂÑè§Ãٌ¸ÃÃÁ·ÕèÊÔ鹡ÔàÅÊ
ÍÒ¡ÒÈ ·Œ Ò ÇÁËÒ¾ÃËÁÃÑ º änj ÁŒ Ò ¡Ñ ³ °¡Ð¢Ò´ã¨µÒ ºÑ § à¡Ô ´ ã¹ µÃÑÊÃٌã¹ÍÃسÃ؋§Çѹà¾ç­à´×͹ 6 ¡‹Í¹¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª 45 »‚ (ࢌÒÇѹáÃÁ
´ÒǴ֧ʏ ·Ã§àÊǤÇÒÁÊØ¢ ¨Ò¡ºÃþªÒ ÃÔÁ½˜›§áÁ‹¹éíÒÍâ¹ÁÒÍÂً 7 1 ¤èíÒ)
Çѹ áŌÇàʴ稵‹Íä» ¼‹Ò¹á¤ÇŒ¹â¡ÈŠࢌÒÊً¡ÃاÃÒª¤Äˏ á¤ÇŒ¹Á¤¸ ÊѵµÁËÒʶҹ ʶҹ·Õ»è ÃзѺËÅѧµÃÑÊÃٌ 7 áˋ§
àʴ稡ÃاÃÒª¤Äˏ ÊÑ»´Òˏ·Õè 1 â¾¸Ô ºÑ ÅÅÑ §¡ ¾Ô ¨ Òóһ¯Ô ¨ ÊÁØ » ºÒ· à»Å‹ § ÍØ · Ò¹
¾ÃÐ਌ Ò ¾Ô Á ¾Ô Ê ÒÃãˌ Á ËÒ´àÅç ¡ µÔ ´ µÒÁ´Ù µÃÑ Ê Ç‹ Ò “¶Œ Ò à»š ¹ “àÁ×èÍã´ ¸ÃÃÁ»ÃÒ¡¯á¡‹¾ÃÒËÁ³Ï”
à·Ç´Ò¨ÐàËÒÐä» ¶ŒÒ໚¹ÍÁ¹Øɏ¨ÐËÒÂä» ¶ŒÒ໚¹¹Ò¤¨Ð´íÒ´Ô¹ ¶ŒÒ ÊÑ»´Òˏ·Õè 2 ͹ÔÁÔÊ਴Տ Â×¹·Í´¾ÃÐ๵õŒ ¹¾ÃÐÈÃÕ Á ËÒ⾸Ôì
໚¹Á¹Øɏ¨ÐËÒ·ÕèºÃÔâÀ¤ÍÒËÒÔ ¾ÃÐÃÒªÒàÊ´ç¨ÁÒµÃÑʶÒÁ áÅзÙÅ (E/N)
àªÔ­ãˌ¤ÃͧÃÒªÊÁºÑµÔËÇÁ¡Ñ¹ ᵋ¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏ»¯Ôàʸ ¨Ö§¢Íãˌ àÊ´ç ¨ ÊÑ»´Òˏ·Õè 3 Ãѵ¹¨§¡Á਴Տ àʴ稨§¡ÃÁÃÐËNjҧµŒ¹ ¾ÃÐÈÃÕÁËÒ
ÁÒâ»Ã´àÁ×èÍ䴌µÃÑÊÃٌáÅŒÇ â¾¸Ôì áÅÐ͹ÔÁÔÊ਴Տ
·Ã§ºíÒà¾ç­·Ø¡Ã¡ÔÃÂÔ Ò ÊÑ»´Òˏ·Õè 4 Ãѵ¹¦Ã਴Տ ¾Ô¨ÒóÒÍÀÔ¸ÃÃÁ»®¡ (W/N)
ÊÑ»´Òˏ·Õè 5 ͪ»ÒŹÔâ¤Ã¸(µŒ¹ä·Ã) ¾ÃÒËÁ³ËÖËÖ ¶ÒÁ¶Ö§¸ÃÃÁ
¾ÃÐ⾸ÔÊµÑ ÇàÊ´ç¨ä»ÈÖ¡ÉҡѺÍÒ¨ÒÏÍÒÌÒÃ´ÒºÊ ¡ÒÅÒÁ ·Õè·íÒãˌ໚¹¾ÃÒËÁ³ ¸Ô´ÒÁÒÃࢌҼ¨­ (E)
⤵à áÅÐÍØ· ¡´ÒºÊ ÃÒÁºØµÃ ¨¹¶Ö§ä´Œ¬Ò¹ÊÁÒºÑ µÔ 8 ᵋ¡ç · ç ÊÑ»´Òˏ·Õè 6 Áب¨ÅÔ¹·(µŒ¹¨Ô¡) ½¹µ¡à¨×ÍÅÁ˹ÒÇ ¾­Ò¹Ò¤á¼‹
·ÃÒºÇ‹Ò ÂѧÁÔ㪋·Ò§µÃÑÊ Ãٌ·Õè᷌ ¨ÃÔ § ¨Ö§·Ã§àÃÔèÁºíÒà¾ç ­ ·Ø¡Ã¡ÔÃÔÂ Ò ¾Ñ§¾Ò¹ à»Å‹§ÍØ·Ò¹ “¤ÇÒÁʧѴϔ (E/S)
µÒÁ¤ÇÒÁàª×è ͧ͢¤¹ã¹ÊÁÑ Â¹Ñé ¹ Nj Ò ¨Ð·í ÒãËŒË Á´¡Ôà ÅÊ䴌 ³ ÃÔ Á ½˜› § ÊÑ»´Òˏ·Õè 7 ÃÒªÒµ¹Ð(µŒ¹à¡´) µ»ØÊÊÐ-ÀÑÅÅԡжÇÒÂÊѵµØ¼§-
áÁ‹¹éíÒà¹ÃÑ­ªÃÒ ÊѵµØ¡ŒÍ¹ ·ŒÒǨµØâÅ¡ºÒŶÇÒºҵà (S)
·Ã§ºíÒ à¾ç­·Ø¡Ã¡ÔÃÔÂÒÍÂً 6 »‚ â´ÂÁÕ»˜­¨ÇÑ ¤¤Õ·Ñé § 5 ཇÒ
ÍØ»˜¯°Ò¡´ÙáŠᵋ¡çÁÔ䴌ÊíÒàÃ稼Ŵѧ »ÃÒö¹Ò ·Ã§¾Ô¨ÒóÒàËç¹Ç‹Ò ÍغÒÊ¡¤Ùዠá㹾Ãоط¸ÈÒʹÒ
·Ò§áˋ§¡ÒõÃÑÊÃٌ¤§¨ÐÁÔ㪋·Ò§¹Õé໚¹á¹‹á·Œ ¨Ö§·Ã§à¡Ô´¾ÃÐʵÔÃÐÅÖ¡ ¢³Ð»ÃзѺÍÂً㵌µŒ¹ÃÒªÒµ¹Ð µ»ØÊÊÐ-ÀÑÅÅÔ¡Ð ¾‹Í¤ŒÒªÒÇ
¶Ö § ¡ÒúíÒ à¾ç­ à¾Õ §·Ò§ã¨ ÁÔ ã ª‹ ¡ Ò÷ÃÁÒ¹Ã‹Ò §¡Ò ¨Ö § ·Ã§àÅÔ¡ ÍصµÃÒ»¶Ðà´Ô¹·Ò§ÁÒ¨Ò¡ ÍØ¡¡ÅÒª¹º· ¶ÇÒÂÀѵµÒËÒÃÁ×é Íáá
·ÃÁҹËҧ¡Ò ¡ÅѺÁҩѹÀѵµÒËÒõÒÁà´ÔÁ ½†Ò»˜­¨ÇѤ¤Õ·Ñé§ 5 ËÅѧµÃÑÊÃٌ ໚¹à·ÚÇÇÒ¨Ô¡ÍغÒÊ¡ ·Ã§¶ÇÒ¾ÃÐà¡ÈÒãˌ
äÁ‹à¢ŒÒ㨠¤Ô´Ç‹Ò ¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏ·Ã§¡ÅѺÁÒ໚¹¤¹ÁÑ¡Áҡ㹡ÒÁàÊÕ Â ·ŒÒÇÁËÒ¾ÃËÁÍÒÃÒ¸¹Òã¹áÊ´§¸ÃÃÁ
áŌ Ç ¨Ö §Ë¹Õ ¨ Ò¡¾ÃÐͧ¤ ä» ·Ôé §¾ÃÐâ¾¸Ô ÊÑ µÇ ä nj à ¾Õ Â §¼ÙŒ à ´Õ Â Ç µ‹ Ò §
à´Ô¹·Ò§ä»Êً»†Ò ÍÔÊÔ»µ¹ÁĤ·ÒÂÇѹ ÊÑ » ´Òˏ ·Õè 8 àÊ´ç ¨ ¡ÅÑ º ä»ÂÑ § Ë Á äÁŒ Í ª»ÒÅ¹Ô â ¤Ã¸ÍÕ ¡ ¤ÃÑé §
¾Ô¨ÒóҸÃÃÁNjÒÅÖ¡«Öé§ ·ŒÒÇÊËÑÁº´Õ ¾ÃËÁÍÒÃÒ¸¹Ò à»ÃÕºÊѵǏ´§Ñè
¹Ò§ÊتҴҶÇÒ¢ŒÒÇÁ¸Ø»ÒÂÒÊ ºÑÇ 4 àËÅ‹Ò ÃÐÅÖ¡¶Ö§ÍÒÌÒôҺÊáÅÐÍØ·¡´ÒºÊ
¨¹¶Ö§Çѹ¢Öé¹ 15 ¤èíÒ ÇÔÊÒ¢Ðà¾ç­à´×͹ 6 ¹Ñºáµ‹ºÃþªÒÁÒ 6 »˜­¨ÇѤ¤Õ
»‚ ÍÒÂØ䴌 35 ¾ÃÃÉÒ ã¹µÍ¹àªŒÒ ¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏ»ÃзѺ¹Ñè§ãµŒµŒ¹ ä·Ã
¹Ò§ÊتҴҺصÃÕ¾‹Í¤ŒÒ¹ÒºŒÒ¹àËç¹¾ÃÐ⾸ÔÊѵǏ ࢌÒã¨Ç‹Ò໚¹ ෾ »ÃСÒȸÃÃÁâ»Ã´»˜­¨ÇѤ¤Õ·Õ軆ÒÍÔÊÔ»µ¹ÁĤ·ÒÂÇѹ á¢Ç§
´Ò ¨Ö§ä´Œ¶ÇÒ¢ŒÒÇÁ¸Ø»ÒÂÒʾÌÍÁ¶Ò´·Í§á¡‹¾ÃÐ⾸ÔÊÑµÇæ ·Ã§¶×Í àÁ×ͧ¾ÒÃÒ³ÊÕ
仩ѹÃÔÁ½˜›§ áÁ‹¹éíÒà¹ÃÑ­ªÃÒ à·È¹Ò¡Ñ³±áá ¸ÑÁÁ¨Ñ¡¡Ñ»»Çѵ¹ÊÙµÃ
·Ã§ÅͶҴ͸ÔÉ°Ò¹ ·Ã§áÊ´§·ÕèÊØ´ 2 Í‹ҧäÁ‹¤ÇÃàʾ ·Ò§ÊÒ¡ÅÒ§ ÁÃäÁÕ
áŌǷç͸ÔÉ°Ò¹Åͺҵ÷ǹ¡ÃÐáʹéíÒ µ‹Í¨Ò¡¹Ñ鹷ç ͧ¤ 8 áÅÐÍÃÔÂÊѨ 4
»ÃзѺ¾Ñ¡¼‹Í¹ãµŒµŒ¹ÊÒÅШ¹àÂç¹ ÃÐËNjҧàÊ´ç¨ ä»ÂѧµŒ¹ÍÑÊÊѵ¶Ð ¾ÃÐÃѵ¹µÃÑÂ
(µŒ¹â¾¸Ôì) âʵ¶Ô¾ÃÒËÁ³¶ÇÒÂË­ŒÒ¤Ò 8 ¡íÒ ·Ã§»ÙÅҴ໚¹ºÑÅÅѧ¡
·Ò§·ÔȵÐÇѹÍÍ¡¢Í§µŒ¹â¾¸Ôì ͸ÔÉ°Ò¹¾ÃзÑÂÇ‹Ò “µÃҺ㴠äÁ‹ºÃÃÅØ ·‹Ò¹â¡³±Ñ­­Ð䴌ºÃÃÅØ໚¹¾ÃÐâʴҺѹ àÍËÔÀÔ¡¢ØÍØ»ÊÑÁ»·Ò
¾ÃÐÊÑÁÁÒÊÑÁ⾸ԭҳ áÁŒà¹×éÍáÅÐàÅ×Í´ ¨ÐàË×Í´áˌ§ä»àËÅ×Íáµ‹Ë¹Ñ § à¡Ô´¾ÃÐʧ¦Í§¤áá ¤Ãº¾ÃÐÃѵ¹µÃÑ áÅе‹ÍÁÒ䴌áÊ´§ ͹ѵµ
àÍç¹ ¡Ãд١ ¡çµÒÁ·Õ ¡ç¨ÐäÁ‹ÅØ¡ µÃÒº¹Ñ鹔 ÅÑ¡¢³Êٵà ¾Ã똭¨ÇѤ¤ÕºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å
µ‹ÍÊÙ¡Œ ºÑ ¾­ÒÁÒà ÂÊ¡ØźصÃ
ÇÊÇѵµÕÁÒâÕ誌ҧ¤ÔÃÕàÁ¢Å ᵋäÁ‹ÊÒÁÒö·íÒãˌµ¡¾ÃзÑÂ䴌 ·Ã§áÊ´§Í¹Ø »Ø ¾ ¾Ô ¡ ¶Òᡋ  ÊШ¹ºÃÃÅØ ¸ ÃÃÁ໚ ¹âʴҺѹ
áŌǢnjҧ¨Ñ¡Ããʋ ¡ÅÒÂ໚¹à¾´Ò¹´Í¡äÁŒ áÅÐáÊ´§á¡‹ºÔ´Ò¨¹ºÃÃÅظ ÃÃÁઋ¹¡Ñ¹ ¾ÃŒ Í ÁáÊ´§µ¹ ໚¹ »°Á
ÍØ º ÒÊ¡ ¼ÙŒ ¶×;ÃÐÃÑ µ¹µÃÑ Â à»š ¹ ÊóРÂÊ¡Ø ÅºØ µÃºÃÃÅØ ÍÃËѵ ¢Í
·Ã§ª¹Ð¾­ÒÁÒà ºÃþªÒ ÁÒôÒáÅÐÀÃÃÂÒ ¿˜§¸ÃÃÁ䴌ºÃÃÅظÃÃÁÍÕ¡áÅÐ¢Í¶× Í¾ÃÐ
·Ã§ÃÐÅÖ¡¶Ö §ºÒÃÁÕ á¼‹¹´Ô¹à»š¹¾ÂÒ¹ áÁ‹¾ÃÐ¸Ã³Õ ä´ŒºÕº Ãѵ¹µÃÑÂ໚¹ÊóР໚¹ Íغ ÒÊԡҤًáá㹾Ãоط ¸ÈÒÊ¹Ò µ‹ÍÁÒ
ÁǼÁ·‹ÇÁ·ÑºàʹÒÁÒÃ件֧ÊÁØ·Ã ÊËÒ¢ͧ ¾ÃÐÂÊÐÍÍ¡ºÇªµÒÁÍÕ ¡ 54 ¤¹ 䴌 º ÃÃÅØ à »š ¹ ¾ÃÐ
ÍÃËѹµ·Ñé§ËÁ´ ÃÇÁÁÕ¾ÃÐÍÃËѹµà¡Ô´¢Öé¹ã¹âÅ¡ 61 ÃÙ»

๓๐๔
·Ã§»ÃСÒȾÃÐÈÒÊ¹Ò â»Ã´ª®ÔÅ 3 ¾Õ¹è ͌ § ¾ÃйҧÁËÒ»ªÒº´Õ⤵ÁÕ ·Ã§¶ÇÒ¼ŒÒ ¤Ù‹Ë¹Öè§á´‹¾Ãоط¸Í§¤ ÍŒÍ ¹
Ç͹¶Ö§ 3 ¤ÃÑé§ áµ‹·Ã§¡Å‹ÒÇÇ‹Ò “´Ù¡Ã⤵ÁÕ ¾Ãйҧ¨§¶ÇÒÂʧ¦à¶Ô´”àÁ×èͶÇÒÂ
ËÅÑ § ÍÍ¡¾ÃÃÉÒáÅŒÇ ¤ÃÑé § ¹Ñé ¹ ¾Ãмٌ ÁÕ ¾ÃÐÀҤ਌ Ò ÃÑ º ÊÑè § ¡ÐÀÔ ¡ ÉØ Ê§¦áÅŒÇ ¨Ñ¡à»š¹ÍѹNjҾÃйҧ䴌ºÙªÒ·Ñé§ÍÒµÁÀÒ¾áÅÐʧ¦ à¾ÃÒÐਵ¹Ò3 ¤×Í
·Ñé§ËÅÒÂÇ‹Ò ¡‹Í¹¶ÇÒÂ1 ¡íÒÅѧ¶ÇÒÂ1 âÊÁ¹ÑÊàÁ×èͶÇÒÂáŌÇ1 ¤ÇÒÁ»ÃÒö¹Ò¢Í§¾Ãйҧ¨Ñ¡
“´Ù¡‹Í¹ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ àÃÒ¾Œ¹áŌǨҡº‹Ç§·Ñ§é »Ç§ ·Ñ駷Õè໚¹¢Í§·Ô¾Â ·Ñé§ ÃÇÁ໚¹Íѹà´ÕÂǡѹ ¨Ñ¡à»š¹ä»à¾×èÍ»ÃÐ⪹à¡×éÍ¡ÙÅ à¾×èͤÇÒÁÊØ¢µÅÍ´¡ÒŹҹ
·Õè໚¹Á¹Øɏ ¾Ç¡à¸Í¨§à·ÕèÂǨÒÃÔ¡ à¾×èÍ»ÃÐ⪹áÅФÇÒÁÊآᡋª¹ËÁًÁÒ¡ à¾×èÍ á¡‹¾Ãйҧ
͹Øà¤ÃÒÐˏâÅ¡ à¾×èÍ»ÃÐ⪹à¡×éÍ¡ÙÅ áÅФÇÒÁÊآᡋ·ÇÂà·¾áÅÐÁ¹Øɏ ¾Ç¡à¸Í Çѹ·Õèà¨ç´ ¾ÃйҧÂâʸÃÒʋ§ÃÒËØÅ¡ØÁÒÃä»·ÙŢͻÃзҹ·ÃѾ ·Ã§ãˌ
Í‹ Ò ä´Œ ä»ÃÇÁ·Ò§à´Õ Â Ç¡Ñ ¹ ÊͧÃÙ » ¨§áÊ´§¸ÃÃÁ§ÒÁã¹àº×é Í §µŒ ¹ §ÒÁã¹ ¾ÃÐÊÒÃպصà ºÃþªÒÃÒËØÅ໚¹ÊÒÁà³Ã ͧ¤áá㹾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò àÁ×èÍÁÕ¾ÃÐ
·‹ÒÁ¡ÅÒ§ §ÒÁã¹·ÕèÊØ´ ¨§»ÃСÒȾÃËÁ¨ÃÏ ¾ÃŒÍÁ·Ñé§ÍÃö ·Ñ駾ÂÑ­ª¹Ð¤Ãº ªÑ¹ÉÒ䴌 7 »‚ ¾Ãоط¸ºÔ´Ò·ÙŢ;ÃÇ‹Ò ãˌ䴌ÃѺ͹حҵ¨Ò¡ºÔ´ÒÁÒôҡ‹Í¹
ºÃÔºÙó ºÃÔÊØ·¸Ôì Êѵ Ǐ·Ñé§ËÅÒ¨íҾǡ ·ÕèÁÕ¸ØÅÕ¤×Í¡ÔàÅÊ㹨ѡÉعŒÍÂÁÕÍÂً à¾ÃÒÐ ÇÑ ¹ ·Õè á »´ ·Ã§áÊ´§ÁËÒ¸ÃÃÁ»ÒŪҴ¡â»Ã´ ¾Ø · ¸ºÔ ´ ÒºÃÃÅØ
äÁ‹ä´Œ¿˜§ ¸ÃÃÁ‹ÍÁàÊ×èÍÁ ¼ÙŒÃٌ·ÑèǶ֧¸ÃÃÁ ¨Ñ¡ÁÕ ´Ù¡‹Í¹ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ áÁŒàÃÒ¡ç¨Ñ¡ä» ͹ҤÒÁÔ¼Å
ÂѧµíÒºÅÍØÃØàÇÅÒàʹҹԤÁ à¾×èÍáÊ´§¸ÃÃÁ” ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§»ÃзѺÍÂً ³ ¹Ôâ¤Ã¸ÒÃÒÁ ¡Ãا¡ºÔžÑʴ؏ 2 ÊÑ»´Òˏ
àÊ´ç¨ä»µíÒºÅÍØÃØàÇÅÒ ¾ºÀÑ··ÇѤ¤Õ 30 ¤¹ áÅЪ®ÔÅ 3 ¾Õè áŌÇàʴ稡ÅѺ¡ÃاÃÒª¤Äˏ ÈÒ¡ÂÃÒª 6 ͧ¤ ¤×Í ÀÑ··ÔÂР͹ØÃØ·¸Ð ÍÒ¹¹· ÀѤ
¹ŒÍ§ ·Ã§áÊ´§ÍÒ·Ôµµ»ÃÔÂÒÂÊٵà ³ µíҺŤÂÒÊÕÊÐ ºÃÃÅØÍÃËÑ µ ¤Ø ¡ÔÁ¾ÔÅÐ áÅÐà·Ç·Ñµ µÒÁàÊ´ç¨ÍÍ¡ºÇª ³ ͹ػÂÍÑÁ¾Çѹ ¾ÃŒÍÁÍغÒÅÕ¡Ñź¡
·Ñé§ 1003 ÃÙ» áŌÇàʴ稡ÃاÃÒª¤Äˏ â»Ã´¾ÃÐ਌ҾÔÁ¾ÔÊÒà ³ Åѯ°Ô ¢³Ð»ÃзѺ ³ ͹ػÂÍÑÁ¾Çѹ ·Ñ¾¾ÁÑÅÅ¡ØÁÒà âÍÃʢͧ਌ÒÁÑÅÅÐͧ¤
Çѹ ¾ÃŒÍÁÃѺàÇÌØÇѹ໚¹ÇÑ´áˋ§áá ã¹¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò Ë¹Öè§ ÁÕÍÒÂØ 7 ¢Çº ¢ÍºÇª ¢³Ð¡íÒÅѧ»Å§¼Á »ÍÂáá ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å »ÍÂ
Êͧ ºÃÃÅØÊ¡Ô·Ò¤ÒÁԼŠ»ÍÂÊÒÁ ºÃÃÅØ͹ҤÒÁԼŠ¤ÃÑ鹻ŧàÊÃç¨áÅŒÇ ºÃÃÅØ
¾ÃÐÊÒÃÕºµØ à ¾ÃÐâÁ¤¤ÑÅÅҹРÍÃËѵµ¼Å ¹Ô¾¾Ò¹àÁ×è;Ãоط¸Í§¤·Ã§ÁÕ¾ÃÃÉÒ·Õè 17 ©Ð¹Ñé¹·‹Ò¹¨Ö§ÁÕÍÒÂØ 23
»‚
¾ÃÐÊÒÃպصÃ໚¹ÍѤÃÊÒÇ¡àº×éͧ¢ÇÒ à»š¹àÅÔÈã¹·Ò§ÁÕ»˜­­Ò àʴ稶֧¡ÃاÃÒª¤Äˏ Êطѵ µÐ(͹Ҷ»³±Ô¡àÈÃÉ°Õ) «Öè§ÁÒ·íÒ ¸ØÃÐÂѧ
¾ÃÐâÁ¤¤Ñ ÅÅÒ¹Ð໚¹ ÍÑ ¤ÃÊÒÇ¡àº×é ͧ«ŒÒ  ໚¹àÅÔÈã¹·Ò§ÁÕ ¡ÃاÃÒª¤Äˏ¾Ñ¡ÍÂً·ÕèºŒÒ ¹¢Í§ÃÒª¤ËàÈÃÉ°Õä´Œà¢ŒÒ à½‡Ò ä´Œ¿˜§Í¹Ø»Ø¾¾Ô¡¡¶ÒáÅÐ
Ä·¸Ôì ÍÃÔÂÊѨ4 䴌ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µ µÔ¼Å
ᵋà´ÔÁ ÍØ»µÔÊÊÐáÅÐâ¡ÅԵоÌÍÁºÃÔÇÒà 250 ໚¹ÈÔɏ㹠㹾ÃÃÉÒ·Õè 2 ¾ÃÐÀÑ· ·Ô кÃÃÅØÍÃËѵ µ¼Å ÍØ·Ò¹Ç‹Ò “ÊØ¢Ë¹Í ÊØ¢
Êíҹѡ¢Í§ÊÑ­ªÑ»ÃÔ¾Òª¡, ÍØ»µÔÊÊÐ(¾ÃÐÊÒÃպصÃ) 䴌¾º¾ÃÐÍÑÊÊªÔ Ë¹Í”, ¾ÃÐà·Ç·Ñµ 䴌âÅ¡ÕÂÍÀÔ­­Ò, ¾ÃÐ͹ØÃØ·¸Ð 䴌·Ô¾Â¨Ñ¡¢Ø, ¾ÃÐÀѤ¤ØºÃÃÅØ
ÍÃËѵµ¼Å, ¾ÃÐÍغÒÅշçÊ͹¾ÃÐÇԹѴŒÇ¾ÃÐͧ¤àͧ ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å ໚¹
¾ÃÐâÁ¤¤ÑÅÅÒ¹Ð䴌ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼ÅàÁ×èͺǪ䴌 7 Çѹ ³ ¡ÑÅÅÇÒÅÁص àÅÔÈã¹·Ò§¾ÃÐÇÔ¹ÑÂ
µ¤ÒÁ ¾ÃÐÊÒÃպصÃ䴌ºÃÃÅؾÃÐÍÃËѵµ¼Å àÁ×èͺǪ䴌 15 Çѹ ³ ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 2 ਌ÒÅÔ¨©ÇÕ¹ÔÁ¹µ¾Ãоط¸Í§¤àʴ稡ÃاàÇÊÒÅÕ à¾×èÍ
¶éíÒÊØ¡Ã¢ÒµÒ à¢Ò¤Ôª¬¡Ù¯ ´Ñº·Ø¾ÀÔ¡¢ÀѾÌÍÁÀÔ¡ÉØ 500 ÃÙ» à´Ô¹·Ò§ 5 Çѹ ˹·Ò§ÃÒºàÃÕº (´ŒÇ¼Å
áˋ§¡ÃÃÁ·Õè¶Í¹Ë­ŒÒ·Õè¾ÃÐ਴Տ¾Ãл˜¨à¨¡¾Ø·¸à¨ŒÒ) ½¹µ¡ (´ŒÇ¼Åáˋ§¡ÃÃÁ·Õè
¨ÒµØç¤Êѹ¹ÔºÒµ ÇѹÁÒ¦ºÙªÒ àÃÒ »ÃоÃÁ¹éíÒ·ÕèÅÒ¹¾ÃÐ਴Տ) µÃÑÊÃѵ ¹ÊÙµ à áŌÇàʴ稡ÅѺ¡ÃاÃÒª¤Äˏ
àÂç¹Çѹ¹Ñ鹷ç»ÃЪØÁ¾ÃÐÊÒÇ¡ 1250 ÃÙ» ³ ¾ÃÐàÇÌØÇѹ ÁÕ Í¹Ò¶ºÔ³±Ô¡àÈÃÉ°Õ
ÊÒÇ¡ÊÑ ¹ ¹Ô º Òµ (¡ÒûÃÐªØ Á ¾ÃÐÊÒÇ¡) ¤ÃÑé §ãË­‹ ¤ÃÑé §à´Õ Â Ç ·Ã§
ʶһ¹ÒÍѤÃÊÒÇ¡ ·Ã§áÊ´§âÍÇÒ·»Ò®ÔâÁ¡¢ µ‹Í ÁҷçàÊ´ç¨ä»Âѧ ¡ÃاÊÒÇѵ¶Õ à¾×èÍ ÃѺ¶ÇÒ¾ÃÐ
»»¼ÅÔÁÒ³¾áÅйҧÀÑ··¡Ò»ÅÒ¹ÕÍÍ¡ºÇª »»¼ÅÔÁÒ³¾(¾ÃÐÁËÒ¡ÑÊÊ ÇÔËÒÃવÇѹ ¨Ò¡Í¹Ò¶»³±Ô¡àÈÃÉ°Õ (â´Â«×éÍ·Õè´Ô¹ 18 ⡯Ô
»Ð) ¾º¾Ãоط¸à¨ŒÒ ³ ¾Ëػصµ¡¹Ôâ¤Ã¸ ÃÐËNjҧ¡ÃاÃÒª¤Äˏ¡ºÑ ¹ÒÅѹ·Ò ·Ã§ ÊÃŒÒ §ÇÔËÒà 18 â¡¯Ô ©ÅͧÇÔËÒà 9 à´×Í ¹ 18 ⡯Ô) ÃÇÁ
»Ãзҹ¨ÕÇÃãˌ ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Åã¹ 7 Çѹ ໚¹àÅÔÈã¹·Ò§¼ÙŒ·Ã§¸Ø´§¤, ¹Ò§ÀÑ··
¡Ò»ÅÒ¹Õ ÍÍ¡ºÇªä´Œ 5 »‚ ¨Ö§ä´ŒÍØ»ÊÁº·à»š¹ÀÔ¡ÉسÕÊíÒàÃ稾ÃÐÍÃËѵ ໚¹àÅÔÈ ·Ñé§ÊÔé¹ 54 â¡®Ô
ã¹·Ò§ºØ¾à¾¹ÔÇÒÊÒ¹ØÊʵԭҳ ¾Ãлس³ÁѹµÒ¹ÕºµØ à ËÅÒ¹¢Í§¾ÃÐÍÑ­­Ò⡳±Ñ­­Ð (໚¹àÅÔÈã¹
·Ò§¡ÒÃáÊ´§¸ÃÃÁ) ࢌÒཇҾÃоط¸Í§¤ ³ ¡ÃاÊÒÇѵ¶ÕáŌÇ仾ѡ·Õ軆ÒÍѹ¸Çѹ
àʴ稡Ãا¡ºÔžÑʴ؏ ÈÒ¡ÂÃÒª 6 ͧ¤¼¹Çª ¾ÃÐÊÒÃպصÃà¢ŒÒ ä»Ê¹·¹Ò¸ÃÃÁÇ‹Ò ´ŒÇÂÇÔÊØ·¸Ô 7 (öÇÔ¹Õµ ÊÙµ Ã), ËÅѧ¨Ò¡¹Ñé¹
¾ÃÐÍÒ¹¹· 䴌¿˜§¡¶ÒÇѵ¶Ø 10 ¨Ò¡¾Ãлس³ÁѹµÒ¹ÕºØµÃ ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 1 ¾ÃÐ਌ÒÊط⸷¹Ðʋ§ÃÒª±Ùµ ÁÒ·ÙÅ ã¹¾ÃÃÉÒ¹Õé
àªÔ­¾Ãоط¸Í§¤ 9 ¤³Ðæ ÅÐ 1000 ¤¹ â´Â㹤ÃÑ§é ·Õè 10 ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 3 ÃÒª¤ËàÈÃÉ°Õ¶ÇÒ¡د Ô 60 ËÅѧ ³ ÊǹÍÑÁ¾Çѹ ¡Ãا
ʋ§ ¡ÒÌØ·ÒÂÕÍíÒÁҵÁÒ¹ÔÁ¹µ ¤ÃÑé¹Çѹà¾ç­à´×Í ¹ 4 ·Ã§ ÃÒª¤Äˏ, µ‹Í Áҷç͹حҵàÀÊѪ 5, ·Ã§Ê͹ÊÒÁ à³ÃÃÒËØÅàÃ×èͧ¹éíÒ¹ŒÍÂã¹
ÀÒª¹Ð, ÍÊԾѹ¸¡ºØµÃ¶ÒÁàÃ×èͧ¾Ô¸ÕËÅѧ¤ÇÒÁµÒÂ, ·Ã§Í¹Ø­ÒµÇÔ¸ÍÕ »Ø ÊÁº·´ŒÇÂ
àʴ稾Ãй¤Ã¡ºÔÅ ¾ÑÊ ´Ø ¾ÃŒÍ ÁÀÔ¡ ÉØ 20000 ÃÙ» ¾Ñ¡ ·Õè¹Ô ­ÑµµÔ¨µØµ¶¡ÃÃÁᡋÃÒ¸¾ÃÒËÁ³ 2-3 Çѹ䴌ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å ໚¹¼ÙŒàÅÔÈã¹·Ò§
⤸ÒÃÒÁ ·Ã§áÊ´§Ä·¸Ôì ¾ÃÐÃÒªºÔ´Ò ·Ã§ºÑ§¤Á¾ÃÐâÍÃÊ ¼ÙŒÁÕ»¯ÔÀÒ³
໚¹¤ÃÑ駷Õè 3 ½¹âº¡¢Ã¾ÃÃÉ ä´Œµ¡Å§ÁÒ áŌǵÃÑÊàÇÊÊѹ´Ã ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 3 ¾ÃÐà¨ŒÒ ¾ÔÁ¾ÔÊÒâÍãˌ·Ã§Í¹Ø­Òµ Çѹ »ÃЪØÁ
áÊ´§¸ÃÃÁ¢Í§Ê§¦ã¹Çѹ 14 ¤èíÒ 15 ¤èíÒ áÅÐ 8 ¤èíÒ áˋ§»˜¡É, ¾ÃÐâʳ¡Ø¯¡Ô ³ Ñ ³Ð
ªÒ´¡ ᡋ¾ÃлÃÐÂÙÃ­ÒµÔ ÊÑ·¸ÔÇÔËÒÃÔ¡¢Í§¾ÃÐÁËҡѨ¨Ò¹ÐࢌÒཇҢ;ط¸Ò¹Ø­Òµ 5 »ÃСÒà ઋ¹ºÇª
Çѹ·ÕèÊͧ ·Ã§ºÔ³±ºÒµ áŌÇáÊ´§¸ÃÃÁâ»Ã´ ¾Ø· ¸ºÔ´ÒºÃÃÅØâÊ´Ò ´ŒÇÂʧ¦ 5 ÃÙ», ¡íÒ˹´¾ÃÃÉÒ 10 ᡋ¾ÃÐÍØ»˜ª¬Ò »ÃÒÃÀ¾ÃÐÍØ»àʹÇѧ¤Ñ¹µ
»˜µ µÔ¼Å ºØµÃ 2 ¾ÃÃÉÒ໚¹ÍØ»˜ª¬Ò, ·Ã§ºÑ­­ÑµãÔ ËŒ¾ÃÐàÃÔèÁÍÂÙ¨‹ Òí ¾ÃÃÉÒ, ¾ÃÐ⤸ԡÐ
Çѹ·ÕèÊÒÁ ·Ã§ÃѺ¹ÔÁ¹µáŌÇáÊ´§¸ÃÃÁâ»Ã´ ¾Ø·¸ºÔ´ÒºÃÃÅØÊ¡Ô·Ò¤ÒÁÕ ä´Œà¨âµÇÔÁصµÔáŌÇàÊ×èÍÁ¶Ö§ 6 ¤ÃÑé§à¾ÃÒÐâäàÃ×éÍÃѧ 㹤ÃÑ駷Õè 7 䴌㪌ÁÕ´»Å§¼Á
¾ÃйҧÁËÒ»ªÒº´Õ⤵ÁÕºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å àÊ´ç¨ä»»ÃÒÊÒ· ¾ÃйҧÂâʸÃÒ µÑ´¤Íµ¹àͧ ºÃÃÅؾÃÐÍÃËѵ , ¾Ãоط¸Í§¤ · çµÃÑÊ ÍÒ¯Ò¹Ò¯ÔÂÊÙµ Ã໚ ¹
¾ÃŒÍÁÍѤÃÊÒÇ¡ ·Ã§µÃÑÊàŋҨѹ·¡Ô¹¹ÃªÒ´¡â»Ã´¾Ãйҧ ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µ µÔ¼Å à¤Ã×èͧ»‡Í§¡Ñ¹ÀѨҡÍÁ¹Øɏ, ·ŒÒ ÇÊÑ¡¡ÐºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼ÅáŌǨص(Ô ÊÑ¡¡»˜­Ë
ÇÑ ¹ ·Õè ÊÕè à¨ŒÒ ªÒ¹ѹ ·ÐÍÀÔà É¡ÊÁÃÊ ·Ã§ãˌº ǪáŌǾÒä»ÊÇÃ䏪Ñé¹ ÊÙµ Ã)
´ÒÇ´Ö§ ʏ ºÃÃÅØ Í ÃËÑ µ ໚ ¹ ¼ÙŒ à ÅÔ È ã¹·Ò§¼ÙŒ Ê ÒÁÒö¤ØŒ Á ¤Ãͧ·ÇÒÃã¹ÍÔ ¹ ·ÃÕ Â ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 4 ËÁͪÕÇ¡â¡ÁÒÃÀѨ¨ 䴌ÃѺᵋ§µÑé§à»š¹á¾·ÂËÅǧ ÃÑ¡ÉÒ
·Ñé§ËÅÒ ¾ÃÐÈÒÊ´Òà¾×èÍ¡ÒâѺ¶‹Ò áŌÇ䴌¶ÇÒ¼ŒÒᡋ¾Ãоط¸Í§¤ ᵋ¹Ñ鹷ç͹حҵ
¤Ëº´Õ¨ÇÕ Ãᡋʧ¦ ¿˜§¸ÃÃÁáÅŒÇ ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å ¶ÇÒÂÊǹÁÐÁ‹Ç§ã¹ÍÑÁ¾Çѹ
(ªÕ Ç ¡Ñ Á ¾Çѹ ), ·Ã§ÃÑ º ÊÑè § ¾ÃÐÍÒ¹¹·µÑ´áµ‹§¨ÕÇà ઋ ¹ á»Å§¹Ò¢Í§ªÒÇÁ¤¸,
ÍغÒÊÔ¡ÒàÁ×ͧ¾ÒÃÒ³ÊÕª×èÍÊØ»ÂÒ à©×͹à¹×é͢Ңͧµ¹¶ÇÒÂÀÔ¡ÉØÍÒ¾Ò¸

๓๐๕
¾Ãоط¸ºÔ´Ò¹Ô¾¾Ò¹ áÅоÃйҧÁËÒ»ªÒº´Õ⤵ÁÕ¼¹Çª ¾Ãоط¸Í§¤àÊ´ç¨Å§¨Ò¡´ÒǴ֧ʏã¹ÇѹÁËÒ»ÇÒÃ³Ò ³ »ÃеÙàÁ×ͧ
Êѧ¡ÑÊÊÐ Ë‹Ò §¨Ò¡¡ÃاÊÒÇѵ¶Õ 30 ⪹ ʶҹ·ÕèàËÂÕº¾Ãкҷ ª×èÍÇ‹Ò Í¨Åà¨
ËÅѧ ÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 4 ¾ÃÐ¾Ø · ¸Í§¤ à Ê´ç ¨ ¡ÃØ § ¡ºÔ Å ¾Ñ Ê ´Ø µÔÂʶҹ, ·ŒÒ ÇÊÑ¡¡ÐãˌÇÔÊÊØ¡ÃÃÁà·¾ºØµ Ãà¹ÃÁÔµ ºÑ¹ä´á¡ŒÇµÃ§¡ÅÒ§ÊíÒËÃѺ
à¾ÃÒзÃÒºÇ‹Ò ¾Ãоط¸ºÔ´Ò·Ã§»ÃЪÇÃ˹ѡ áÅŒÇ ·Ã§ ¾ÃÐÈÒÊ´Ò ºÑ¹ä´·Í§ÍÂً´ŒÒ ¹¢ÇÒÊíÒËÃѺàËÅ‹Ò à·Ç´Ò áÅкѹä´à§Ô¹ÍÂً´ŒÒ ¹«ŒÒ Â
ÊíÒËÃѺàËŋÒÁËÒ¾ÃËÁ
áÊ´§¸ÃÃÁâ»Ã´¨¹ºÃÃÅØÍÃËѵ áÅе‹ÍÁÒäÁ‹¹Ò¹ ¡çà Ê´ç¨
»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ËÅѧ¶ÇÒ¾ÃÐà¾ÅÔ§¾ÃÐȾáÅŒÇ ·Ã§áÊ´§Í¹Ô¨¨ ¾ÃÐ਌һàʹ·Ôâ¡ÈÅ
µÒ·Ô¸ÃÃÁÊÙµÃ(NjҴŒÇÂÊѧ ¢ÒÃäÁ‹à ·Õè§ ໚¹·Ø¡ ¢ áÅÐäÁ‹ãª‹ ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 7 ¾ÃÐ਌һàʹ·Ôâ¡ÈÅ«Öè§ÁÕ¾ÃЪ¹ÁÒÂØ෋Ò
µÑ Ç µ¹) áŌ Ç µÃÑ Ê ¡Ñ º ¾ÃÐÊÒÃÕ ºØ µ ÃNj Ò “ºØ ¤ ¤Åã´ÁÕ ¨Ô µ ¾ÃÐ¾Ø · ¸Í§¤ ¤ÃÑé §Ë¹Öè §ä´Œ à ¢Œ Ò à½‡ Ò ·Ù ŶÒÁ»˜ ­ËÒNj Ò ºØ¤¤Åã¹âÅ¡ÁÕ¡Õè
»ÃÒö¹Ò¾ÃÐ⾸ԭҳ ¨§ÍصÊÒËÐÍÀÔºÒźíÒÃاºÔ´ÒÁÒÃ´Ò »ÃÐàÀ· ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§µÃÑÊNjÒÁÕ 4 »ÃÐàÀ·¤×Í 1.ºØ¤¤Å¼ÙŒÁÒÁ×´ä»
»ÃÐ¾ÄµÔ¡Ø ÈÅÊØ ¨ÃÔµ ¸ÃÃÁ ¨Ñ ¡ ÊÁ»ÃÒö¹Ò·Ø¡ »ÃСÒÔ Á×´ 2.ºØ¤¤Å¼ÙŒÁÒÊÇ‹Ò §ä»Á×´ 3.ºØ¤¤Å¼ÙŒÁÒÁ×´ä»ÊÇ‹Ò § 4.ºØ¤¤Å¼ÙŒ Á Ò
ÊNjҧä»ÊNjҧ áÅÐ㹤ÃÑé§Ë¹Öè§ä´Œ·ÙŶÒÁÇ‹Ò ¾ÃÐͧ¤ÂѧÍÂًã¹ÇÑÂ˹؋Á
ÇѹÃ؋§ ¢Öé¹àÊ´ç¨ä»ËŒÒÁ¾ÃЭҵÔàÃ×èͧዧ¹éíÒã¹áÁ‹¹éíÒâÃËÔ³Õ, à¾Ô觨кǪ à˵Øã´¨Ö§¡ÅŒÒ¡Å‹Ò ÇÇ‹Ò ä´ŒµÃÑÊ Ãٌ ¾ÃÐÊÑÁÁÒÊÑÁâ¾¸Ô ­Ò³
¾Ãйҧ⤵ÁվÌÍÁ´ŒÇºÃÔÇÒÃࢌÒཇҢͺÃþªÒÍØ»ÊÁº· ·Ã§µÃÑÊÇ‹Ò ÁËÒº¾ÔµÃ ÊÔ觷ÕèäÁ‹¤ÇôÙËÁÔè¹ 4 »ÃСÒà ¤×Í äÁ‹¤ÇôÙ
Âѧ¾ÃÐÇÔËÒùÔ⤸ÒÃÒÁ ÁÔ䴌·Ã§Í¹Ø­Òµ ·Ã§àʴ稡ÃاàÇ ËÁÔè¹ ¡ÉѵÃԏÂѧàÂÒǏ §ÙµÑÇàÅç¡ ä¿¡Í§àÅç¡ áÅÐÀÔ¡ÉØà¾Ô觺Ǫ
ÊÒÅÕ ¹Ò§»ÃÔ¾ÒªÔ¡Òª×èÍ ¹Ò§¨Ô­¨ÁÒ³ÇÔ¡Ò ÃѺÍÒÊҾǡà´ÕÂöՏãʋ¤ÇÒÁ¾ÃÐ
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 5 ¾Ãйҧ⤵ÁÕ¹ŒÍÂ㨻ŧ¾ÃÐà¡ÊÒ ¤Ãͧ ¾Ø·¸Í§¤Ç‹Ò໚¹ÊÒÁÕáÅкÃÔÀÒɾÃоط¸Í§¤µ‹Í˹ŒÒÁËÒª¹ ¶Ù¡¸Ã³ÕÊÙº
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 8 ÁҤѹ·Ô¾ÃÒËÁ³ «Ö觨СÊÙ¡ÊÒÇãˌ ¾Ãоط¸
¼ŒÒ ¡ÒÊÒÇеÒÁàʴ稢ͺǪ ¾ÃÐÍÒ¹¹·ª‹Ç·ÙÅ ¢Í¶Ö§ 3 ͧ¤â»Ã´ãˌºÃÃÅØ͹ҤÒÁÔ¼ÅáÅÐÍÍ¡ºÇªºÃÃÅØÍÃËѵ µ¼Å áÅйíÒ ¸Ô´Ò«Ö觼١
¤ÃÑé§ ¡çÁÔ䴌·Ã§Í¹Ø­Òµ ¾ÃÐÍÒ¹¹·¨Ö§·ÙŶÒÁÇ‹Ò ÊµÃÕÍÍ¡ ÍҦҵ㹾Ãоط¸Í§¤ä»½Ò¡änj¡ÑºÍÒª×èͨÙÌÁҤѹ·ÔÂÒ
ºÇª ÊÒÁÒöºÃÃÅØÁÃä¼Å¹Ô¾¾Ò¹ä´ŒËÃ×ÍäÁ‹ ·Ã§ºÑ­­ÑµÔ ¡ØźصêÒÇ¡ØÃØÃÑ° ¶ØÅÅ⡯°Ôµ¹Ô¤Á ª×èÍ ÃÑ°»ÒÅÐ Í´¢ŒÒ Ƕ֧ 7 Çѹ ÍÍ¡
ºÇªà»š¹àÅÔȡNjÒÀÔ¡ÉØ·Ñ駻ǧ¼ÙŒºÇª´ŒÇÂÈÃÑ·¸Ò
¤ÃØ¡ÃÃÁ 8 »ÃСÒà áŌÇ䴌¼¹Çª ໚¹ÀÔ¡ÉسÕ໚¹ÃÙ»áá ´ÒºÊ 500 à¾ÃÒÐ䴌¾ºÃØ¡¢à·Ç´Ò«Ö§è à´ÔÁ໚¹ºÃÔÇÒâͧ͹ҶºÔ³±Ô¡
µ‹ÍÁÒ ¾ÃйҧÂâʸÃÒ ·Ã§¼¹ÇªáŌÇ䴌 ª×èÍÇ‹Ò ¾ÃÐÀÑ··Ò¡Ñ¨¨Ò¹Ò àÈÃÉ°Õ Íغѵ Ô¢Ö鹨ҡ¼Å¢Í§ÍØâºÊ¶¤ÃÖè§Çѹ áŌǷíÒ ¡ÒÅÐã¹àÂç¹¹Ñé¹ ä´Œ¿˜§¸ÃÃÁ
ÀÔ¡ÉØ³Õ à¨ÃÔ­ÇÔ»˜ÊʹÒÍÂًäÁ‹¶Ö§¡Öè§à´×͹ 䴌º ÃÃÅؾÃÐÍÃËѵ ໚¹àÅÔȡNjÒÀÔ¡ÉØ³Õ ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å, àÈÃÉ°Õ¡Ãاâ¡ÊÑÁ¾Õ 3 ¤¹ ¤×Í â¦Ê¡Ð ¡Ø¡¡Ø¯Ð áÅлÒÇÒÃԡР䴌
·Ñé§ËÅÒÂã¹·Ò§¼ÙŒºÃÃÅØÍÀÔ­­ÒãË­‹(¹Ñè§ÊÁÒ¸Ô¤ÃÑé§à´ÕÂÇ ÊÒÁÒöÃÐÅÖ¡ªÒµÔ䴌 ¶Ö§ ¿˜§¸ÃÃÁáŌǺÃÃÅØâÊ´Ò»˜µ µÔ¼Å ¶ÇÒÂâ¦ÊÔµ ÒÃÒÁ »ÒÇÒÃÔ¡ÒÃÒÁ áÅСء¡Ø¯Ò
Íʧä¢Âáʹ¡Ñ») ÃÒÁ
¾ÃйҧÃÙ» ¹Ñ¹ ·Ò ËÅÑ § ¨Ò¡¾ÃÐ¹Ñ ¹ ·ÐºÃÃÅؾÃÐÍÃËѵ áŌ Ç ä´Œ Í Í¡ ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 9 ¹Ò§ÊÒÁÒÇ´Õ ¸Ô ´Ò¢Í§ÀÑ · ·Ç´Õ à ÈÃÉ°Õ ºŒ Ò ¹à¡Ô ´âä
¼¹Çªáµ‹ÁÔ䴌ºÇª´ŒÇÂÈÃÑ·¸Ò ᵋºÇª´ŒÇ¤ÇÒÁÊÔà¹ËÒã¹¾ÃЭҵԷÕè¾Ò¡Ñ¹ºÇª ÃкҴ 䴌;¾ÁÒÂѧâç·Ò¹ ¹ÒÂÁÔµµÐ¤¹áº‹§ÍÒËÒÃÃѺänj໚¹ºØµÃÕ â¦Ê¡
ËÁ´ ¹Ò§à»š¹¼ÙŒËŧã¹ÃÙ»¢Í§µ¹ ·ÃҺNjҾÃоط¸Í§¤·Ã§µÔàµÕ¹ÃÙ» áÊ´§â·É àÈÃÉ°ÕÃѺänj໚¹ºØµÃÕ µ‹ÍÁÒ䴌ÍÀÔàɡ໚¹ÍѤÃÁàËÊբͧ¾ÃÐ਌ÒÍØà·¹ µ‹ÍÁÒ䴌
¢Í§¡ÒÃËŧã¹ÃÙ»ÁÒ¡ÁÒ ¨Ö§äÁ‹¡ÅŒÒࢌÒä»à½‡Ò ¾Ãоط¸Í§¤¨Ö§ÊÑè§ãˌࢌÒཇҵÒÁ ¿˜§¸ÃÃÁ¨Ò¡¹Ò§¢ØªªØµµÃÒ «Ö觺ÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å໚¹àÅÔÈã¹·Ò§¾ËÙÊÙµ 䴌ºÃÃÅØ
ÇÒÃÐ ·Ã§à¹ÃÁÔµ ÃٻʵÃÕãˌàËç¹ ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µ µÔ¼Å µ‹ÍÁÒ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§ âÊ´Ò»˜µµÔ¼ÅµÒÁ¾ÃŒÍÁºÃÔÇÒà 500, ¾ÃйҧÇÒÊØŷѵµÒ ÃÒª¸Ô´Ò¢Í§¾ÃÐ਌Ò
áÊ´§¡Ò¤µÒʵԨ¹ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å ¨Ñ³±»˜ªâªµÔ 䴌໚¹ÍѤÃÁàËÊÕ, ¹Ò§ÁҤѹ·ÔÂÒ ä´Œà»š¹ÍѤÃÁàËÊÕ áŌǨŒÒ §¤¹ä»
ºÃÔÀÒɾÃÐÈÒÊ´Ò áŌÇËÒ·Ò§·íÒÅÒ¹ҧÊÒÁÒÇ´Õ ¨¹¾ÃÐ਌ÒÍØà·¹Ëŧàª×èÍ ¨Ñº
ÇÔÊÒ¢ÒÁËÒÍغÒÊÔ¡Ò àÃÕ§á¶ÇÂÔ§¸¹Ùãʋ ᵋ´ŒÇÂàÁµµÒÈè֧Œ͹¤×¹ ¾ÃÐà¨ŒÒ ÍØà·¹¶×ÍäµÃÊó¤Á¹
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 5 ·Ã§àÊ´ç¨ÀÑ··Ô¹¤Ã â»Ã´àÁ³±¡àÈÃÉ°Õ µ‹ÍÁÒ ¾ÃйҧÊÒÁÒÇ´ÕáÅкÃÔÇÒú٪ҾÃиÃÃÁᡋ¾ÃÐÍÒ¹¹·´ŒÇ¼ŒÒÍصµÃÒ
à´ç¡Ë­Ô§ÇÔÊÒ¢Ò«Ö§è ¢³Ð¹Ñ¹é ÁÕÍÒÂØà¾Õ§ 7 »‚(ËÅÒ¹ÊÒÇàÁ³±¡àÈÃÉ°Õ) ʧ¤ 500 ¼×¹ ã¹·ÕèÊØ´ ¾ÃйҧÁҤѹ·ÔÂÒ¨Ö§ãˌÍÒແ´àÃ×͹¤Åѧ¼ŒÒ áÅФÅѧ¹éíÒÁѹ
»´»Ãе٨شä¿à¼Ò¹Ò§ÊÒÁÒÇ´Õ·Ñé§à»š¹ ¾Ãйҧ䴌¡íÒ Ë¹´àÇÅÒ໚¹ÍÒÃÁ³ä´Œ
¹Ò§¨Ñ¹·»·ØÁÒ ¸¹Ñ­ªÑÂàÈÃÉ°Õ ¹Ò§ÊØÁ¹Òà·ÇÕ áÅйÒ»س³Ð ·Ñé§ 6 ºÃÃÅØÊ¡Ô·Ò¤ÒÁԼźŒÒ§ ºÃÃÅØ͹ҤÒÁԼźŒÒ§
䴌 º ÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å, µ‹ ÍÁÒ䴌 ¶ÇÒ弯 ¾ ¾ÒÃÒÁ ·í Ò ¡ÒéÅͧ 4 ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 9 ³ ÊÕÊ»ÒÇѹ ¾ÃÐͧ¤·Ã§¶×Í ãº»ÃдًÅÒ 2-3
à´×͹ÊÔé¹·ÃѾ 27 â¡¯Ô à»š¹ÍغÒÊÔ¡Ò ¼ÙŒàÅÔÈã¹·Ò§¡ÒöÇÒ·ҹ 㺠áŌ Ç à»ÃÕ Âº¡Ñº 㺺¹µŒ¹ áŌ Ç µÃÑ Ê Ç‹Ò ÊÔè § ·Õè à ÃÒÃٌ áŌ ÇÁÔä ´Œ º Í¡ÂѧÁÕÍÕ¡ÁÒ¡
¾ÃÐÊÒÃպص ÃáÊ´§ Êѧ¤Õµ ÔÊÙµ à »ÃÒÃÀ¹Ô¤Ã¹¶¹Ò¶ºØµ ÷íÒ ¡ÒÅзÕ蹤ûÒÇÒ à¾ÃÒÐÊÔ觹Ñé¹äÁ‹»ÃСͺ´ŒÇ»ÃÐ⪹ äÁ‹à»š¹ä»à¾×èͤÇÒÁ˹‹Ò à¾×èͤÇÒÁµÃÑÊÃٌ
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 6 ÃÒª¤ËàÈÃÉ°Õ ¡ÃاÃÒª¤Äˏ á¢Ç¹ºÒµÃäÁŒ¨Ñ¹·¹á´§änj ÊÔ觷ÕèàÃҺ͡áŌǤ×Í ·Ø¡¢ ÊÁØ·Ñ ¹Ôâø ÁÃä à¾ÃÒлÃСͺ´ŒÇ»ÃÐ⪹
¾Ãл³â±ÅÀÒ÷ÇÒªÐàËÒТÖé¹ä»àÍҺҵà (ºÑ­­Ñµ ÔËŒÒ ÁáÊ´§Ä·¸Ôì) ໚¹ä»à¾×èͤÇÒÁ˹‹Ò ¤ÇÒÁËÅØ´¾Œ¹ áÅйԾ¾Ò¹
ËÅÑ § ÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 6 ¾Ç¡à´Õ Â Ã¶Õ Â ¤Ô ´ÊÌ Ò §Êí Ò ¹Ñ ¡ ¢Öé ¹ ³ ËÅÑ § ¾ÃÐ ¾ÃЩѹ ¹Ð´ŒÇ¤ÇÒÁ¶×͵¹ äÁ‹ÂÍÁ¿˜§¤íÒ µÑ¡àµ×͹¢Í§ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒÂ
ÇÔËÒÃવÇѹ 䴌¹íÒ à¤Ã×èͧºÃóҡÒöÇÒ¾ÃÐ਌һàʹ·Ôâ ¡ÈÅ ¢Í·Õè´Ô¹à¾×èÍ áÅлÃоĵԼԴÇÔ¹ÑÂᵋäÁ‹ÂÍÁÃѺ¼Ô´ ¾Ãоط¸Í§¤ä´ŒÅ§Íءࢻ¹Õ¡ÃÃÁ ¾ÃЩѹ
ÊÌҧÊíҹѡ ¢³Ð¡íÒÅѧ¡‹ÍÊÌҧ ¾Ãоط¸Í§¤ä´Œãˌ¾ÃÐÍÒ¹¹· ¾ÃÐÊÒÃպصà áÅÐ ¹Ð¡ÅѺÁÒཇҾÃÐÈÒÊ´Ò·ÙŢ͢ÁÒ áµ‹¡çà»ÅÕè¹¹ÔÊÑÂ䴌à¾Õ§ªÑèǤÃÒÇ
¾ÃÐâÁ¤¤ÑÅÅÒ¹Ð à¢ŒÒ à½‡Ò áµ‹äÁ‹ãˌ¾º ¨¹µŒÍ§àÊ´ç¨ä»àͧ ·Ã§Â¡ ÀÃتҴ¡ ¢Öé¹ ¾ÃÐʧ¦ã¹¡Ãاâ¡ÊÑÁ¾Õ·ÐàÅÒСѹ ÊÒà˵بҡ¾ÃÐÇԹѸÃáÅоÃиÃÃÁ
áÊ´§ µ‹ÍÁÒãˌ໚¹ÍÒÃÒÁ¢Í§ÀÔ¡Éسժ×èÍ ÃÒª¡ÒÃÒÁ ¡¶Ö¡ ³ ÇÑ´â¦ÊÔµÒÃÒÁ
¾Ãоط¸Í§¤ ·Ã§áÊ´§ÂÁ¡»Ò¯ÔËÒÃԏ ³ µŒ¹¤Ñ³±ÒÁ¾¾Ä¡É(µŒ¹ ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 10 ¨íÒ¾ÃÃÉÒ»†ÒµíҺŻÒÃÔàÅÂ¡Р³ ⤹äÁŒÀÑ··ÊÒÅÐ
ÁÐÁ‹Ç§¢Í§¹Ò¤ѳ±Ð) ã¹¹¤ÃÊÒÇѵ¶Õ àÇÅÒº‹ÒÂã¹Çѹà¾ç­ à´×͹ 8, »Ùó¡ÑÊÊ ã¡ÅŒàÁ×ͧâ¡ÊÑÁ¾Õ 㹤ÃÒÇÀÔ¡ÉتÒÇâ¡ÊÑÁ¾Õ ·ÐàÅÒСѹ
»Ð਌ÒÊíҹѡà´ÕÂöՏⴴ¹éíÒ¦‹ÒµÑǵÒºѧà¡Ô´ã¹ÍàÇ¨Õ ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 10 ¾ÃÐÍÒ¹¹·¹íÒ ÀÔ¡ÉØã¹·Õ赋ҧæ 500 ÃÙ»à¢ŒÒ à½‡Ò
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 7 ¤ÃÑé¹áÊ´§ÂÁ¡»Ò¯ÔËÒÃԏáÅŒÇ ä´Œàʴ稢ֹé ä»Âѧ´ÒǴ֧ʏ ¿˜§¸ÃÃÁºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å, ½†ÒÂÀÔ¡ÉتÒÇàÁ×ͧâ¡ÊÑÁ¾ÕࢌÒཇҢ͢ÁÒ¾Ãоط¸Í§¤
¾ÔÀ ¾ »ÃзѺ¹Ñè§à˹×Í ºÑ³±Ø¡ÑÁ¾ÅÈÔÅÒÍÒʹ ³ ¤Ç§äÁŒ »ÒÃԩѵ µ¡Ð áÊ´§ ·Õè¾ÃÐÇÔËÒÃવÇѹ ¾Ãоط¸Í§¤¡Å‹Ò ÇÇ‹Ò à¸Í·Ñé§ËÅÒÂ໚¹ºØµ âͧàÃÒ äÁ‹¤ÇÃ
¸ÃÃÁâ»Ã´¾Ãоط¸ÁÒÃ´Ò «Öè§àÊ´ç¨Å§ÁÒ¨Ò¡ÇÔÁÒ¹ªÑé¹´ØÊÔµ¨¹ºÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ ·íÒÅÒÂâÍÇÒ··ÕèºÔ´Òãˌänj áŌǵÃÑÊ ·Õ¦ÕµÔâ¡ÈŪҴ¡ ÀÔ¡ÉØàËŋҹÑé¹ä´ŒºÃÃÅØ âÊ´Ò
¼Å »˜µµÔ¼Å
¾Ãоط¸Í§¤·Ã§µÃÑÊÊ͹Íѧ¡ØÃà·¾ºØµ ÃÇ‹Ò ·Ò¹·ÕèãˌᡋÁËÒª¹áÁŒ ¾ÃÐÈÒʴҷçáÊ´§à¨´Õ 3 »ÃÐàÀ·á¡‹¾ÃÐÍÒ¹¹· ¤×Í ¸ÒµØ਴Տ
ÁÒ¡ÁÒÂᵋÇҋ §à»Å‹Ò¨Ò¡·Ñ¡¢Ôä³ÂºØ¤¤ÅÁռŹŒÍ ᵋ·Ò¹·ÔèÍÔ¹·¡à·¾ºØµÃ¹Ñé¹ãˌ ºÃÔâÀ¤à¨´Õ ÍØà·Êԡ਴Տ áÅŒÇ ¾ÃÐÍÒ¹¹·¹íÒ Ë¹‹ÍµŒ¹â¾¸ÔìÁÒ»ÅÙ¡¢ŒÒ §·Ò§à¢ŒÒ
´ŒÇÂÀÑ¡ÉÒà¾Õ§·Ñ¾¾Õà´ÕÂÇᡋ¾ÃÐ͹ØÃØ·¸Ð¼ÙŒà»š¹·Ñ¡¢Ôä³ÂºØ¤¤ÅÃ؋§àÃ×ͧÂÔè§¡Ç‹Ò ¾ÃÐવÇѹ

๓๐๖
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 12 ¨í Ò ¾ÃÃÉÒ ³ ¤Ç§äÁŒ ÊÐà´Ò àÁ× Í §àÇÃÑ­ªÒ ·Ñé§ à¡Ô´ ¾ÃÐÍÒ¹¹·
·Ø¾ÀÔ¡ ¢ÀÑ »ÃЪҪ¹µÒ¨íÒ ¹Ç¹ÁÒ¡ ¾‹Í¤ŒÒ ÁŒÒ ªÒÇÍص µÃÒ»¶Ð ¹íÒ ÁŒÒ 500
ÁÒ¶Ö § µÔ ´Ä´Ù ½ ¹ ¶ÇÒ¢ŒÒ Çá´§¨Ò¡ÍÒËÒâͧÁŒÒ µÅÍ´¾ÃÃÉÒ â´ÂàÇÃÑ ­ ª ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 20 ¾ÃÐÍÒ¹¹· âÍÃÊáˋ§¾ÃÐ਌ÒÊØ¡â¡·¹Ð䴌ÃѺᵋ§µÑé§
¾ÃÒËÁ³¶Ù¡ÁÒôÅã¨ãˌÅ×ÁÇ‹Ò ä´ŒÍÒÃÒ¸¹Òãˌ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨íÒ¾ÃÃÉÒ ´ŒÇÂÇÔºÒ¡ ໚¹ ¾Ø·¸ÍØ»˜¯ °Ò¡»ÃШíÒ â´Â¢Í¾Ã 8 »ÃСÒÃ
¡ÃÃÁ·Õè¾Ãоط¸Í§¤à¤ÂºÃÔÀÒɺÃôÒÊÒÇ¡¢Í§¾ÃмØÊÊоط¸à¨ŒÒ·Õè©Ñ¹ÍÒËÒà 㹾ÃÃÉÒ·Õè 21 ³ ¡ÃاÊÒÇѵ¶Õ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§àÅÔ¡âÍÇÒ·»Ò¯ÔâÁ¡¢
Íѹ»ÃÐ³ÖµÇ‹Ò “¾Ç¡ÊÁ³ÐâŌ¹ ·‹Ò ¹¨§¡Ô¹¢ŒÒÇᴧᵋà¾Õ§Í‹ҧà´ÕÂÇà¶Ô´ ÍÂ‹Ò áÅŒÇ Í¹Ø­ÒµÍÒ³Ò»ÒµÔâÁ¡¢
¡Ô¹ÍÒËÒÃÁÕÃÊàÅ” ¾ÃÐͧ¤¨Ö§µŒÍ§àÊÇÂᵋ¢ŒÒÇá´§µÅÍ´¾ÃÃÉÒ ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 26 Êѹ¹ÔÉ°Ò¹Ç‹Ò ã¹¾ÃÃÉÒ¹Õé ¾ÃÐÃÒËØÅ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ³
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 12 ¾ÃÐÁËÒ»ªÒº´Õ⤵ÁÕà¶ÃÕ à¢ŒÒà½‡Ò ³ ¡ÃاàÇÊÒÅÕ ´ÒǴ֧ʾÔÀ¾ àÁ×èÍÁÕ¾ÃЪ¹ÁÒÂØ䴌 32 ¾ÃÃÉÒ (͌ҧÍÔ§ ·Õ.Á.àŋÁ2 ÀÒ¤2 ¡Å‹ÒÇ
·ÙÅ ÅÒ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ¾ÃÐÈÒÊ´Ò ¾Ãйѹ·Ð ¾ÃÐÃÒËØÅ áÅоÃÐÍÒ¹¹· ¾ÃŒÍ Á Ç‹Ò ¾ÃÐÃÒËØÅäÁ‹à¤ÂàËÂÕ´ËÅѧº¹àµÕ§àŵÅÍ´àÇÅÒ 12 »‚ËÅѧ¨Ò¡ºÃÃÅØ
¾ÃÐÀÔ¡ÉØʧ¦ä´ŒàÊ´ç¨ä»Ê‹§¾ÃÐÁҵب©Ò¶Ö§«ØŒÁ»ÃеÙÊíҹѡÀÔ¡ÉسÕà¾×èÍ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ÍÃËѵµ¼Å)
à¡Ô´á¼‹¹´Ô¹äËÇ ·ÇÂà·¾¾Ò¡Ñ¹¤ÃèíÒ ¤ÃÇ­ ½¹´Í¡äÁŒµ ¡Å§¨Ò¡ÍÒ¡ÒÈ ¢Ø¹à¢Ò
¡ÑÁ»¹Ò·ËÇÑè¹äËÇ ÁËÒÊҤá绘›¹»†Ç¹ ¾ÃÐà·Ç·Ñµ
ÊØ·Ô¹ ¹¡Åѹ·ºØµÃ ÍÂً㠡Ō¡ÃاàÇÊÒÅÕ ÍÍ¡ºÇªáŌÇÀÒÂËÅѧàʾàÁ¶Ø¹ »ÃÐÁÒ³¾ÃÃÉÒ·Õè 37 ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒáÅŒÇ ¾Ãоط¸Í§¤»ÃзѺ
¸ÃÃÁ¡ÑºÀÃÃÂÒà¡‹Ò µ‹ÍÁÒ䴌ºØµÃ໚¹ªÒª×èÍ ¾Õª¡Ð ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§ºÑ­­ÑµÔ ³ â¦ÊÔµÒÃÒÁ ¾ÃÐà·Ç·Ñµ(âÍÃʾÃÐ਌ÒÊØ»»¾Ø·¸Ðáˋ §â¡ÅÔ Â Ç§È
ÊÔ¡¢Òº·Ç‹Ò໚¹ÍҺѵԻÒÃÒªÔ¡ ¹Ñºà»š¹ »°ÁºÑ­­Ñµ Ôã¹¾ÃиÃÃÁÇÔ¹ÑÂ
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 13 ¢³Ð»ÃзѺÍÂً·Õè¡ÃاÊÒÇѵ¶Õ ·ŒÒÇÊÑ¡¡Ðãˌà·Ç´Ò ¾ÕèªÒ¾ÃйҧÂâʸÃÒ) ÃÔÉÂÒã¹ÅÒÀ¢Í§¾Ãоط¸Í§¤áÅоÃÐÊÒÇ¡
ͧ¤Ë¹Öè§à¢ŒÒ à½‡Ò ¾ÃÐ¾Ø ·¸Í§¤ à ¾×è Í ·ÙÅ ¶ÒÁ “Á§¤ÅÍѹ ÊÙ§ÊØ´”, ÀÔ¡ÉØ 500 ÃÙ» ¨Ö§à´Ô¹·Ò§ä»¡ÃاÃÒª¤Äˏ ¾Ñ¡ÍÂً·Õè ¤ÂÒÊÕÅÐ áÊ´§Ä·¸Ô쵋Í਌ҪÒÂ
ºíÒ à¾ç­ÊÁ³¸ÃÃÁã¹»†Ò ¶Ù¡à·Ç´ÒËÅÍ¡¨Ö§à¢ŒÒ à½‡Ò ¾Ãоط¸Í§¤æ ·Ã§áÊ´§ ͪҵÈѵÃÙ µ‹ÍÁÒ ¾ÃÐà·Ç·Ñµà¡Ô´¤ÇÒÁ¤Ô´µŒÍ§¡ÒúÃÔËÒÃÀÔ¡ÉØʧ¦
“¡Ã³ÕÂàÁµµ»ÃԵÔ (àÁµµÒÊÙµÃ), ¾Ãлٵ¤Ô µÑ µµÔÊÊà¶ÃÐ ÍҾҸ໚¹µØÁ‹ ¢Öé¹ àͧ ¨Ö§àÊ×èÍÁ¨Ò¡Ä·¸Ôì áŌÇࢌÒཇҾÃоط¸Í§¤·Õè¾ÃÐàÇÌØÇѹ ¡ÃÒº·ÙÅ
àµçÁµÑÇ ¡ÒÂà¹‹Ò áÅСÃд١ᵡ à¾ÃÒмŨҡºØ¾¡ÃÃÁ໚¹¾ÃÒ¹¹¡ËÑ¡¢Ò¹¡ Nj Ò ¾ÃÐ¾Ø · ¸Í§¤ · ç¾ÃЪÃÒáŌ Ç ¢Í·Ã§ÁͺÀÔ ¡ ÉØ Ê §¦ á ¡‹
¾Ãоط¸Í§¤·Ã§¾ÂÒºÒÅ´ŒÇ¾ÃÐͧ¤àͧ, ¾ÒËÔ·ÒÃبÃÕ ÔÂÐ ÍÂً·Õ跋ÒÊØ»»ÒáР¢ŒÒ¾Ãоط¸à¨ŒÒ»¡¤Ãͧà¶Ô´ ¾Ãоط¸Í§¤µÃÑÊ»¯Ôàʸ ¨Õ§¤Ô´Ç‹Ò¾ÃÐ
à´Ô¹·Ò§ 120 ⪹à¢ŒÒ à½‡Ò ¾Ãоط¸à¨ŒÒ ¿˜§¸ÃÃÁáŌǺÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å໚¹àÅÔÈ
·Ò§µÃÑÊÃٌàÃçÇ, àÁ×è;Ãоط¸Í§¤àÊ´ç¨ä»»ÃзѺ ³ ¾ÃÐàÇÌØÇѹ ¾ÃÐÍÑ­­Ò⡳ ¾Ø·¸Í§¤äÁ‹àËç¹á¡‹Ë¹ŒÒàÃÒàÅ ¨Ö§¼Ù¡ÍÒ¦Òµ¾Ãоط¸Í§¤ ¾Ãоط¸
±Ñ­­Ð «Ö觷ÙÅÅÒä»à¨ÃÔ­ÊÁ³¸ÃÃÁ ³ ÊÃÐÁ³±Ò¡Ô¹Õ »†Ò©Ñ··Ñ¹µ ËÔ¹Çѹµ ໚¹ ͧ¤ · çãˌ¾ ÃÐÊÒÃպص áÃзíÒ »¡ÒʹÕ ¡ÃÃÁ »ÃСÒÈNj Ò ¾ÃÐ
àÇÅÒ¶Ö§ 12 »‚ ¡ÅѺÁÒà½‡Ò ·ÙÅÅÒ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ à·Ç·Ñµà»ÅÕè¹ä»áÅŒÇ ¨Ð¡ÃзíÒÊÔè§ã´¡çµÒÁ äÁ‹¾Ö§àËç¹Ç‹Ò¾ÃÐʧ¦ ໚¹
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 14 ³ ¾ÃÐÇÔËÒÃવÇѹ ÊÒÁà³ÃÃÒËØÅÁÕÍÒÂؤú 20 ઋ¹¹Ñé¹ ¾Ö§·ÃҺNjÒ໚¹¡ÒáÃзíÒ੾ÒоÃÐà·Ç·Ñµàͧ µ‹ÍÁÒ ¾ÃÐ
»‚ 䴌ÃѺÍØ»ÊÁº·à»š¹¾ÃÐÀÔ¡ÉØâ´Â¾ÃÐÊÒÃպصÃ໚¹¾ÃÐÍØ»˜ª¬Ò ¾ÃÐâÁ¤¤ÑÅÅÒ à·Ç·Ñµä´ŒÂؾÃÐ਌ÒͪҵÈѵÃÙ·íÒ»µØ¦Òµ ʋǹµ¹¨Ð»Å§¾ÃЪ¹Á¾ÃÐ
¹Ð໚¹¾ÃСÃÃÁÇÒ¨Ò¨ÒÏ ËÅѧ¨Ò¡¹Ñé¹ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§áÊ´§ ¨ÙÌÃÒËØâÅÇÒ· ÈÒÊ´Ò áŌÇ໚¹¾Ãоط ¸à¨ŒÒ àÊÕ àͧ ͪҵÈѵÃÙ» ŧ¾ÃЪ¹Á ¾ ÃÐ
Êٵà ᡋ¾ÃÐÃÒËØÅ ³ »†ÒÍѹ¸Çѹ ¨¹ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 14 ÀÔ¡ÉØÀ·Ñ ·ÇѤ¤Õ 30 ÃÙ» ·Õè䴌ÃѺàÍËÔÀÔ¡¢ØËÅѧµÃÑÊ à¨ŒÒ¾ÔÁ¾ÔÊÒÃáÅŒÇ ¾ÃÐà·Ç·Ñµä´Œãˌ¾Å¸¹ÙÅͺ»Å§¾ÃЪ¹Á¾Ãоط¸
ÃٌãËÁ‹æ 䴌仺íÒà¾ç­à¾ÕÂ÷Õ軆Òä°ÂÃÑ° àÁ×ͧ»Ò°Ò(»Òà°ÂÂÐ) ã¹á¤ÇŒ¹ÁÑÅÅлÒÇÒ Í§¤ 㹤ÃÑ駷ÕèÊͧ ¡ÅÔé§ËԹŧ¨Ò¡à¢Ò¤Ôª¬¡Ù¯ ·íÒ¾Ãоط¸à¨ŒÒˌ ;ÃÐ
¡‹Í¹à¢ŒÒ¾ÃÃÉÒ¹ÕéµÑé§ã¨¨ÐࢌÒÁÒཇÒᵋÁÒäÁ‹·Ñ¹ ¨Õ§¨íÒ¾ÃÃÉÒ·ÕèàÁ×ͧÊÒࡵ ÍÍ¡ âÅËÔ µ 㹤ÃÑé §·Õè Ê ÒÁ »Å‹ ͪŒ Ò §¹ÒÌÒ¤Ô ÃÕ·í Ò ÃŒ Ò Â¾ÃÐ¾Ø ·¸Í§¤ ¢³Ð
¾ÃÃÉÒáŌǨ֧䴌ࢌÒÁÒཇÒ䴌¿˜§ ͹ÁµÑ¤¤¸ÃÃÁà·È¹Ò ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å áÅŒÇ ºÔ³±ºÒµ à˵ءÒó¤ÃÑ駹Õéà¡Ô´¢Öé¹ã¹¡ÃاÃÒª¤Äˏ ÁËÒª¹ÃٌàË繡ѹ
¾Ãоط¸Í§¤·Ã§»ÃÒÃÀà˵ØÀÔ¡ÉØÀÑ··ÇѤ¤Õà´Ô¹·Ò§ÂÒ¡ÅíÒºÒ¡ áŌÇ͹حҵ ·Ñè Çä» µ‹ Ò §¡Å‹ Ò ÇNj Ò ¾ÃÐà·Ç·Ñ µ¹Õé º Ò»Ë¹Ñ ¡ ¹Ñ ¡ ¤Ô ´ »Å§¾ÃЪ¹Á
¡ÒáÃÒ¹¡°Ô¹ áŌǨÐ䴌ÃѺÍÒ¹Ôʧʏ 5 »ÃÒ¡Òà ¾Ãоط¸à¨ŒÒ à˵Øã´¾ÃÐÃÒªÒàÃÒÂѧÍØ»¶ÑÁÀ ÍÂً ¾ÃÐ਌ÒͪҵÈÑ µÃÙ
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 15 ·Ã§àʴ稹¤Ã¡ºÔžÑʴ؏ »ÃзѺ ³ ¹Ôâ¤Ã¸ÒÃÒÁ
»ÃÒÃÀ¾ÃÐ਌ÒÊØ»»¾Ø·¸ÐáŌǵÃÑÊÇ‹Ò ·Ã§¼Ù¡ÍÒ¦Òµ¾Ãоط¸Í§¤à¾ÃÒÐ 1.¾ÃÐ ¡ÅÑºä´ŒÊµÔ µÑ´¡ÒúíÒÃاáÅÐˌÒÁ¾ÃÐà·Ç·Ñµà¢ŒÒཇÒÍÕ¡ ¾ÃÐà·Ç·Ñµ¨Ö§
ÊÁ³â¤´Á ·Í´·Ôé§ÅÙ¡ÊÒÇàÃÒÍÍ¡ºÇª 2.¾ÃÐÊÁ³â¤´ÁãˌÅÙ¡ªÒÂàÃÒ(à·Ç·Ñµ ) ÇҧἹ·íÒÊѧ¦àÀ· â´ÂࢌÒཇҾÃоط¸Í§¤ ·ÙÅàʹ͢ŒÍ»¯ÔºÑµÔà¾×èÍ
ºÇªáŌǡÅѺ¨Í§àÇõ‹ÍÅÙ¡ªÒÂàÃÒ Çѹ˹Ö觾ÃÐ਌ÒÊØ»»¾Ø·¸ÐÊÑ觻´¡Ñé¹·Ò§·Õè¾ÃÐ ¤ÇÒÁÁÑ¡¹ŒÍ 5 »ÃСÒà àÁ×èͷ绯Ôàʸ ¾ÃÐà·Ç·Ñµ¨Ö§»ÃСÒÈãˌ
¾Ø·¸Í§¤¨ÐàÊ´ç¨à¾×èͺԳ±ºÒµ áŌǹÑè§àÊǹéíҨѳ±ÍÂًã¹ÃÐËNjҧ·Ò§¹Ñé¹ àÁ×èÍ ÁËÒª¹à¢ŒÒã¨Ç‹Òµ¹à»š¹¼ÙŒ¢Ñ´à¡ÅÒ Ê‹Ç¹¾Ãоط¸Í§¤à»š¹¼ÙŒÁÑ¡ÁÒ¡ ¾ÃÐ
¾Ãоط¸Í§¤àÊ´ç¨ÁÒ¶Ö§ äÁ‹Áշҧ仨֧àʴ稡ÅѺ µÃÑʡѺ¾ÃÐÍÒ¹¹·Ç‹Ò ã¹Çѹ·Õè ¾Ø·¸Í§¤·Ã§·ÃÒº¨Ö§â»Ã´ãˌࢌҾº ¾ÃÐà·Ç·ÑµÃѺNjҨÃÔ§ ¾Ãоط¸
7 ¹Ñºáµ‹Çѹ¹Õé ¾ÃÐà¨ŒÒ ÊØ»»¾Ø·¸Ð¨Ñ¡¶Ù¡¸Ã³ÕÊÙº·Õèã¡ÅŒàªÔ§ºÑ¹ä´ÀÒÂã¹»ÃÒÊÒ· ͧ¤·Ã§µÃÑÊàµ×͹NjÒÍ‹Ò䴌¾Íã¨ã¹¡Ò÷íÒÅÒÂʧ¦ áÅзçáÊ´§¶Ö§
¢Í§à¸Í¹Ñé¹àͧ ¾ÃÐ਌ÒÊØ»»¾Ø·¸Ð·ÃÒº¢‹ÒǨ֧¢Öé¹ä»ÍÂًº¹»ÃÐÊÒ·ªÑé¹ 7 áŌǪѡ
ºÑ¹ä´ »´»Ãе٠µÑ駤¹á¢ç§áç»ÃШíÒ ·Õè»ÃеÙæ ÅÐ 2 ¤¹ ¤ÃÑé¹Çѹ·Õè 7 ÁŒÒ à¡Ô´ ¼Å¡ÃÃÁÍѹ˹ѡ ᵋ¾ÃÐà·Ç·ÑµÁÔ䴌ʹ㨠µ‹ÍÁÒ ¾ÃÐà·Ç·Ñµä´Œá¨Œ§
¤Ð¹Í§ ¾ÃÐ਌ÒÊØ»»¾Ø·¸Ð µŒÍ§¡ÒèѺÁŒÒ ŧ¨Ò¡»ÃÒÊÒ· »ÃеٷÑé§ 7 ªÑé¹à»´ ¾ÃÐÍÒ¹¹·¢³ÐºÔ³±ºÒµÇ‹Ò µÑé§áµ‹Çѹ¹Õéä» ¨Ñ¡á¡·íÒÍØâºÊ¶¨Ò¡
ÍÍ¡àͧ ºÑ¹ä´·ÕèªÑ¡änj¡ç¡ÅѺÁÒÍÂً·Õèà´ÔÁ àÁ×èͶ֧¾×é¹¡ç ¶Ù¡á¼‹¹´Ô¹ÊÙº ŧä»à¡Ô´ã¹ ¾Ãоط¸à¨ŒÒáÅÐÀÔ¡ÉØʧ¦ µ‹ÍÁÒ¾ÃÐÊÒÃպصùíÒÀÔ¡ÉغǪãËÁ‹¡ÅѺÁÒ
ÍàǨÕÁËҹá áŌǡÃÒº·ÙÅÇ‹Ò ÊÁ¤ÇÃãˌÀÔ¡ÉØàËŋҹÕéÍØ»ÊÁº·ãËÁ‹ÍÕ¡¤ÃÑé§Ë¹Öè§ ¾ÃÐ
ã¹¾ÃÃÉÒ·Õè 16 ³ àÁ× Í §ÍÒÌÇÕ â»Ã´ÍÒÌÇÂÑ¡ ɏ ºÃÃÅØ ¾Ø · ¸Í§¤ · çµÃÑ Ê Ç‹ Ò Í‹ Ò àÅ à¸Í¨§ãˌ ÀÔ ¡ ÉØ à Ëŋ Ò¹Ñé ¹áÊ´§ÍҺѵÔ
âÊ´Ò»˜µµÔ¼Å ¶ØÅÅѨ¨ÑÂà¶Ô´ ¾ÃÐà·Ç·ÑµàÊÕÂã¨ÅŒÁ»†Ç¶֧ 9 à´×͹ ÀÒÂËÅѧÊíҹ֡䴌
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 16 ¢³Ð»ÃÐ·Ñ º ³ ¾ÃÐÇÔ Ë ÒÃàÇÌØ ÇÑ ¹ ·Ã§
â»Ã´ÊÔ§¤ÒÅ¡ÁÒ¹¾ µÃÑÊÇԹѢͧ¤ÄËÑʶ, ¢ÍãˌÊÒÇ¡ËÒÁä»à½‡Ò¾Ãоط¸Í§¤ àÁ×èͶ֧˹ŒÒ¾ÃÐવÇѹ Ἃ¹´Ô¹
¹Ò§ÊÔÃÔÁÒ ¸Ô´Ò¢Í§¹Ò§ÊÒÅÇ´Õ¤³Ô¡Ò«Öè§à»š¹¹ŒÍ§ÊÒǢͧËÁͪÕÇ¡â¡ ÊÙº¾ÃÐà·Ç·Ñµ¨Áŧ¶Ö§¤Í ¾ÃÐà·Ç·Ñµ ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò “¢ŒÒ¾ÃÐͧ¤ ¢Í¶Ö §
ÁÒÃÀѨ¨ ¿˜§¸ÃÃÁáŌǺÃÃÅØâÊ´Ò»˜µµÔ¼Å ¹ÔÁ¹µ¾ÃÐÀÔ¡ÉØÃѺºÒµÃ໚¹»ÃШíÒ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¾ÃÐͧ¤¹Ñé¹Ç‹Ò໚¹·Õè¾Ö觴ŒÇ¡Ãд١àËŋ Ò¹Õé¾ÃŒÍÁ´ŒÇÂÅÁ
䴌¶Ö§á¡‹¡ÒÅÐ ºÑ§à¡Ô´à»š¹à·Çբͧ·ŒÒÇÊØÂÒÁÐ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§¢Íãˌ§´¬Ò»¹¡Ô¨ ËÒÂ㨔 áŌǺѧà¡Ô´ã¹ÍàǨÕÁËҹá (ÍÃö¡¶Ò¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ã¹Í¹Ò¤µ
Ⱦ áŌǷçáÊ´§ÍÊØÀ¡ÃÃÁ°Ò¹â»Ã´ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ¨ºáŌÇÊÔÃÔÁÒà·¾¡Ñ­­Ò䴌 ¨Ñ¡ä´Œà»š¹¾Ãл˜¨à¨¡¾Ø·¸à¨ŒÒ¾ÃйÒÁÇ‹Ò Íѯ°ÔÊÊÃÐ)
ºÃÃÅØ͹ҤÒÁԼŠ»ÃÐÁÒ³¾ÃÃÉÒ·Õè 38 ¾ÃÐà¨ŒÒ ÍªÒµÈѵ ÃÙ ·Ã§Êíҹ֡㹤ÇÒÁ¼Ô´·Õè»Å§
¾ÃÐÁËÒ¡ÑÊʻРÍҾҸ˹ѡ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§áÊ´§â¾ª¬§¤ 7 ໚¹ ¾ÃЪ¹Á¾ÃкԴÒÁÕ¤ÇÒÁà´×ʹÌ͹¾ÃзÑ ÃѺÊÑè§ãˌËÁͪÕǡϾÒä»à½‡Ò ¾Ãоط¸
à˵ØãˌËÒ¨ҡÍÒ¾Ò¸ ͧ¤ «Ö觻ÃзѺÍÂً·Õ ªÕÇ¡ÑÁ¾Çѹ ·Ã§áÊ´§ÊÒÁÑ­­¼ÅÊٵà ËÅѧ¨Ò¡¾ÃÐ਌Òͪҵ
ËÅѧ ÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 19 ·Ã§àÊ´ç ¨ 仡ÃØ § ÊÒÇѵ ¶Õ â»Ã´»Ø ³ ³ÁÒ³¾ Èѵ ÃÙ¡ÅѺä»áÅŒÇ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§¾ÂҡóÇ‹Ò à¸Í¨Ñ¡µŒÍ§ºÑ§à¡Ô´ã¹âÅË¡ØÁÀÕ
¾‹Í¤ŒÒªÒÇàÁ×ͧÊعһÃѹµÐ µÃÑʻسâ³ÇÒ·ÊÙµ à ¹Ã¡ ÀÒÂËÅѧ¨Ñ¡ä´Œà»š¹¾Ãл˜¨à¨¡¾Ø·¸à¨ŒÒ ¾ÃйÒÁÇ‹Ò ªÕÇÔµ ÇÔàÊÊÐ
â»Ã´â¨Ãͧ¤ØÅÔÁÒÅ, ÊÑ ¹ ¹Ô É °Ò¹Ç‹ Ò ¹Ò§ÇÔ Ê Ò¢ÒàÃÔè ÁÊÃŒÒ §ÁÔ¤ÒÃÁÒµØ
»ÃÒÊÒ· ã¹ÍØ·ÂÒ¹ºØ¾¾ÒÃÒÁ

๓๐๗
¾ÃÐ਌һàʹ·Ôâ¡Èŷç¾Ôâø·Õè¾ÃÐ਌ÒͪҵÈѵÃٻŧ¾ÃЪ¹Á¾ÃÐÃÒª ¨Ò¡¹Ñé¹ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§àÊ´ç¨ä»Âѧ¾ÃÐÇÔËÒÃàÇÌØǹÑ
ºÔ´Òµ¹àͧ ¨Ö§Í͡ú¡Ñ¹ËÅÒ¤ÃÑ駼ÅÑ´¡Ñ¹á¾Œª¹Ð ÊØ´·ŒÒ·ç¨Ñº¾ÃÐ਌Òͪҵ
Èѵ ÃÙ䴌 ᵋ·Ã§»Å‹ÍÂä»à¾ÃÒÐàËç¹à»š¹ËÅÒ¹ áÅС¾ÃиԴҪ×èÍǪÔÃÒãˌÍÀÔàÉ¡ ¡ÃاÃÒ¢¤Äˏ ¾Ç¡à´ÕÂöՏ¨ŒÒ§¾Ç¡â¨Ãä»·íÒÌÒ ¾ÃÐâÁ¤¤ÑÅ
´ŒÇ ÅҹР³ µíҺšÒÌÊÔÅÒ ÀÙà¢ÒÍÔÊÔ¤ÔÅÕ á¤ÇŒ¹Á¤¸ ¾Ç¡â¨Ã·Øº
¾ÃÐ਌һàʹ·Ôâ¡ÈÅ ¤ÃÑé§àÊ´ç¨à½‡Ò¾Ãоط¸Í§¤·Õè àÁ·ÌػРá¤ÇŒ¹ÊÑ¡¡Ð µÕ¾ÃÐâÁ¤¤ÑÅÅҹШ¹áËÅ¡àËÅÇ ·‹Ò¹»ÃÐÊÒ¹¡Ò´ŒÇ¡íÒÅѧ
¡‹Í¹à¢ŒÒÊً¾ÃФѹ¸¡Ø®Õ䴌Áͺà¤Ã×èͧÃÒª¡¡Ø¸Àѳ±ãˌ ·Õ¦¡ÒùÐÍíÒÁҵ à¡çº
ÃÑ¡ÉÒ áµ‹·Õ¦¡ÒùФԴ¡º¯à¾ÃÒФÇÒÁÍÒ¦Òµ·Õè¾ÃÐ਌һàʹ·ÔâÈÅÊÑ觻ÃÐËÒà ¬Ò¹áŌÇ䴌ࢌÒཇҾÃÐÈÒÊ´Òà¾×èÍ ·ÙÅÅÒ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ã¹Çѹ
ªÕÇÔµ ¾Ñ¹¸ØÅÐàʹҺ´Õ ¼ÙŒà»š¹Åا¾ÃŒÍÁºØµÃªÒ 32 ¤¹ ¨Ö§¹íÒà¤Ã×Íè §ÃÒª¡¡Ø¸Àѳ± áÃÁ 15 ¤èíÒ à´×͹ 12 ¡‹Íʶٻänj ³ «ØŒÁ»ÃеپÃÐÇÔËÒÃàÇÌØ
ÊÑ­­Åѡɳ¢Í§¡ÉѵÃÔ¶ ÇÒÂᡋ ÇÔ±Ù±ÀÐ áÅоÃйҧÇÒÊÀ¢ÑµµÔÂÒ áµ‹§µÑ§é ãˌ Çѹ
໚¹¾ÃÐÃÒªÒ àËÅ×Íà¾Õ§ÁŒÒµÑÇ˹Ö觾ÌÍÁ¹Ò§·ÒÊÕ¤¹Ë¹Öè§änjãˌ ¾ÃÐà¨ŒÒ »àʹ·Ô ÃÐÂйÑé¹ ¾ÃÐà¨ŒÒ ÍªÒµÈѵ ÃÙ µŒÍ§¡ÒÃÃÇÁá¤ÇŒ¹ÇѪªÕänjã¹ÍíÒ ¹Ò¨¢Í§
â¡ÈÅ æ àÊ´ç¨ÍÍ¡ÁÒ¨Ò¡¾ÃФѹ¸¡Ø®Õ ·ÃÒº¤ÇÒÁ¨Ò¡¹Ò§·ÒÊÕáÅŒÇ ¨Õ§àÊ´ç¨ä» á¤ÇŒ¹Á¤¸ ¨Ö§Ê‹§ÇÑÊÊ¡ÒþÃÒËÁ³ä»à½‡Ò¾Ãоط¸Í§¤ à¾×è͵ŒÍ§¡Ò÷ÃҺNjÒ
¡ÃاÃÒª¤Äˏà¾×èͤ͢ÇÒÁª‹ÇÂàËÅ×Í áµ‹»ÃеÙàÁ×ͧ»´áÅŒÇ ¨Ö§·Ã§ºÃ÷Áã¹ÈÒÅÒ ¾Ãоط¸Í§¤¨Ð·Ã§¾ÂҡóÍ‹ҧ㴠·Ã§áÊ´§Í»ÃÔËÒ¹Ô¸ÃÃÁ 7 »ÃСÒÃ
˹Ö觹͡àÁ×ͧ à¹×èͧ¨Ò¡·Ã§à˹×èÍÂŌҨҡ¡ÒÃà´Ô¹·Ò§áÅзç¾ÃЪÃÒÁÒ¡áÅŒÇ à»š¹à˵ØˌÒÁ·Ñ¾ä´Œ¶Ö§ 3 »‚
¨Ö§ ·Ã§ÊÇÃäµ 㹤׹¹Ñé¹àͧ ¤ÃÑé¹àÊ´ç¨ä»Âѧ ¹Ò·Ô¡¤ÒÁ ¢³Ð·Ã§¾Âҡ󏤵ԢͧÍغÒÊ¡ªÒǺŒÒ¹
ÇÔ±Ù±ÀР㹤ÃÑ駷Õè䴌ÃѺµíÒá˹‹§àʹҺ´ÕµÍ¹ÍÒÂØ 16 ¾ÃЪѹÉÒ àÊ´ç¨ ¹Ò·Ô¡Ð ª¹ÇÊÀÂѡɏ (¾ÃÐ਌ҾÔÁ¾ÔÊÒÃ) ä´Œà¢ŒÒ ÁÒà½‡Ò ¡ÃÒº·ÙÅÇ‹Ò ä´ŒºÑ§à¡Ô´à»š¹
àÂ×èÂÁÈҡµÃСÙŠᵋ¶Ù¡´ÙËÁÔè¹¼Ù¡ã¨à¨çº ¤ÃÑé¹àÊÇÂÃÒªáŌǨ֧¡¡Í§·Ñ ¾ä» ÊËÒ¢ͧ·ŒÒ ÇàÇÊÇѳÁËÒÃÒª áŌǨѡºÑ§à¡Ô´à»š¹ÃÒªÒã¹ËÁًÁ¹ØɏÍÕ¡ 7 ªÒµÔ
ËÁÒ¨ÐŌҧÈҡµÃСÙÅ ¾Ãоط¸Í§¤·Ã§àÊ´ç¨ä»ËŒÒÁ·Ñ¾ËÅÒ¤ÃÑé§ ã¹·ÕèÊØ´ ¨Ò¡¹Ñ鹷çáÊ´§ »°ÁÁóÑÊʵÔÊٵà ·ØµÔÂÁóÑÊʵÔÊٵà ¨Ò¡¹Ñ¹é ·Ã§àÊ´ç¨ä»
àËç¹Ç‹Ò ໚¹¡ÃÃÁ·Õè¡ÃзíÒµ‹Í¡Ñ¹ÁÒ ¨Ö§»Å‹ÍÂãˌú¡Ñ¹ ÈÒ¡ÂÃҪŌÁµÒÂ໚¹Íѹ ¡Ãا àÇÊÒÅÕ ¹Ò§ÍÑÁ¾»ÒÅÕ¶ ÇÒÂÊǹÁÐÁ‹Ç§ ÍÑ Á ¾»ÒÅÕÇѹ ໚¹ ÍÒÃÒÁÊØ´·ŒÒ Â
ÁÒ¡ ¢³ÐÇÔ±Ù±ÀÐàʴ稡ÅѺ¶Ù¡¡ÃÐáʹéíÒ·‹ÇÁ·ÑºÊÔé¹¾ÃЪ¹Á µ‹ÍÁÒ¹Ò§ÍÑÁ¾»ÒÅÕÍÍ¡ºÇª ÍÒÈѤÇÒÁàÊ×èÍÁâ·ÃÁáˋ§ÊÃÕÃÐ ºÑ§à¡Ô´¤ÇÒÁÊѧàǪ
แต่ในธรรมเจติยสูตร ธรรมเจติยสูตร (ม.ม.13/569/201) พระ 䴌ºÃÃÅØÍÃËѵµ¼Å
เจ้าปเสนทิโกศลกล่าวสรรเสริฐพระพุทธเจ้า ดังนี ว่า ¾ÃÃÉÒ·Õè 45 ·Ã§¾ÃлÃЪÇÃ˹ѡ ¨Ç¹¨Ð»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹áµ‹·Ã§Í´¡ÅÑé¹
[569] ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ อีกประการหนึ ง แม้พระผูม ้ ีพระภาค àÇ·¹Òänj ·ŒÒÇÊÑ¡¡Ð·Ã§à¢ŒÒཇÒÍØ»˜¯°Ò¡,
เจ้าก็เป็ นกษัตริย์ แม้หม่อมฉันก็เป็ นกษัตริย์ แม้พระผูม้ ีพระภาคเจ้าก็เป็ น ËÅѧ¾ÃÃÉÒ·Õè 45 áÅŒÇ º‹Ò ÂÇѹ˹Öè§ÀÒÂËÅѧàÊÃç¨Àѵ¡Ô¨ã¹¡ÃاàÇÊÒÅÕ
ชาวโกศล แม้ ห ม่ อ มฉัน ก็ เ ป็ นชาวโกศล แม้ พ ระผู้ มี พ ระภาคเจ้า ก็ มี áÅŒÇ ·Ã§ªÇ¹¾ÃÐÍÒ¹¹·ä»Âѧ»ÒÇÒÅ਴Տ µÃÑʶ֧ÍÔ·¸ÔºÒ· 4 Ç‹Ò ¼ÙŒã´à¨ÃÔ­ãˌ
พระชนมายุ 80 ปี แม้หม่อมฉันก็มีอายุ 80 ปี ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ ด้วย ÁÒ¡ àÁ×èÍ»ÃÒö¹Ò¡ç¨Ð¾Ö§´íÒçªÕ¾ÍÂً䴌µÅÍ´¡Ñ»ËÃ×Íà¡Ô¹¡Ç‹Ò¡Ñ» áÁŒµ¶Ò¤µàÁ×èÍ
เหตุนี แล หม่อมฉัน จึงได้ทําความเคารพนบนอบเป็ นอย่างยิงในพระผูม ้ ี »ÃÒö¹Ò¡ç¨Ð¾Ö§´íÒçÍÂً䴌µÅÍ´¡Ñ»ËÃ×Íà¡Ô¹¡Ç‹Ò¡Ñ» µÃÑÊÂéíÒ àª‹¹¹Õé ¶Ö§ 3 ¤ÃÑé§
พระภาคเจ้า และแสดงอาการเป็ นฉัน ท์มิตร ข้าแต่พ ระองค์ผู้เจริญ ถ้า ᵋ¾ÃÐÍÒ¹¹·äÁ‹ä´Œà©ÅÕÂÇ㨠ÁÔ䴌ÍÒÃÒ¸¹Ò¡ÃÒº·ÙÅãˌ·Ã§´íÒ Ã§ÍÂًµÅÍ´¡Ñ»
เช่นนัน หม่อมฉันขอทูลลาไป ณ บัดนี หม่อมฉันมีกจิ มาก มีกรณียะมาก. àÁ×è;ÃÐÍÒ¹¹·ËÅÕ¡ÁÒáÅŒÇ ÁÒÃä´Œà¢ŒÒ ÁÒ¡ÃÒº·ÙÅãˌ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ¾Ãоط¸Í§¤
ฉ ะ นั น พ ร ะ เ จ้ า ปเส นทิ โ ก ศล ค วรส วรรคตใ น ปี เดี ย วก ับ ·Ã§»Å§¾ÃЪ¹ÁÒÂØÊѧ¢ÒÃã¹Çѹà¾ç­ à´×͹ÁÒ¦Ð
พระพุ ทธเจ้า
àʴ稨ÒÃÔ¡¤Ãѧé ÊØ´·ŒÒÂ
¾Ãоط¸¡Ô¨ 45 ¾ÃÃÉÒ ¾Ø·¸¡Ô¨»ÃШíÒÇѹ 5 »ÃСÒÃ
1.»Ø¾Ú¾³ÚàË »³Ú±»ÒµÚ¨ àÇÅÒઌÒàʴ稺Գ±ºÒµ
àªŒÒ Çѹµ‹Í ÁÒ ¾Ãоط¸Í§¤ · çàʴ稺Գ±ºÒµã¹
2.ÊÒ³ÚàË ¸ÁÚÁà·Ê¹í àÇÅÒàÂ繷çáÊ´§¸ÃÃÁ ¡ÃØ § àÇÊÒÅÕ ÀÒÂËÅÑ § ÀÑ µ ¡‹ Í ¹ÍÍ¡à´Ô ¹ ·Ò§ ·Ã§ËÑ ¹ ä»
3.»â·àÊ ÀÔ¡Ú¢ØâÍÇÒ·í àÇÅÒ¤èíÒ»ÃзҹâÍÇҷᡋàËŋÒÀÔ¡ÉØ ·Í´¾ÃÐ๵áÃاàÇÊÒÅÕà »š¹¤ÃÑé§ ÊØ´·ŒÒ áÅŒÇ àʴ稵‹Íä»
4.ͱڲõÚൠà·Ç»³Ú˹í à·Õ觤׹ ·Ã§µÍº»˜­ËÒà·Ç´Ò ¨¹¶Ö§âÀ¤¹¤Ã »ÃзѺÍÂً ³ Íҹѹ·à¨´Õ ·Ã§áÊ´§ÁËÒ»
5.»¨Ú ¨Ø à ÊÇ ¤àµ ¡ÒàÅ À¾Ú ¾ ÒÀ¾Ú à ¾ ÇÔ âÅ¡¹í ¨Ç¹ÊNj Ò § ·Ã§µÃǨ à·Ê 4 ÊíÒËÃѺÀÔ¡ÉØ áŌÇàʴ稵‹Íä»ÂѧàÁ×ͧ»ÒÇÒ ¹Ò¨ع·Ð
¾Ô¨ÒóÒÊѵǏ·ÕèÊÒÁÒöáÅзÕèÂÑ §äÁ‹ÊÒÁÒöºÃÃÅظ ÃÃÁ Íѹ¤ÇèР¡ÑÁÁÒúصà ¶ÇÒÂÊÙ¡ÃÁÑ··ÇÐ ËÅѧàÊÇÂÀѵµÒËÒÃáŌÇà¡Ô´
àÊ´ç¨ä»â»Ã´ËÃ×ÍäÁ‹ âÅËÔµ»˜¡¢Ñ¹·Ô¡Ò¾Ò¸Í‹ҧáç¡ÅŒÒ (·Ã§Å§¾ÃÐâÅËÔµ) ã¡ÅŒ
»ÃÐÁÒ³¾ÃÃÉÒ·Õè 43 ¾ÃÐÂâʸÃÒà¶ÃÕ(¾ÃÐÀÑ··Ò¡Ñ¨¨Ò¹ÒÀÔ¡ÉسÕ) ·ÙÅ
ÅÒ»ÃÔ¹¾Ô ¾Ò¹ “..ºÑ´¹ÕéËÁ‹ÍÁ©Ñ¹ÁÕÍÒÂØ 78 »‚ ŋǧࢌһ˜¨©ÔÁÇѹ ËÁ‹ÍÁ©Ñ¹¢Í¶ÇÒ »ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ ᵋ·Ã§Í´¡ÅÑé¹àÇ·¹ÒÁÔ䴌ËÇÑè¹äËÇ µÃÑʡѺ¾ÃÐ
ºÑ§¤Á¾ÃÐÂؤźҷ ·ÙÅÅÒ¹Ô¾¾Ò¹ àÁ×èÍËÁ‹ÍÁ©Ñ¹·‹Í§à·ÕèÂÇä»ã¹ÊѧÊÒÃÇѯ ËÒ¡ÁÕ ÍÒ¹¹·Ç‹Ò àÃҨѡ仡Ãا¡ØÊÔ¹ÒÃÒ áÇд×èÁ¹éíÒáÁ‹¹éíÒ¡¡Ø¸Ò ¢ŒÒÁ
¤ÇÒÁ¾ÅÒ´¾ÅÑé§ã´ã¹¾ÃÐͧ¤ ¢Í·Ã§â»Ã´Í´â·ÉᡋËÁ‹ÍÁ©Ñ¹à¶Ô´” áÁ‹¹éíÒËÔÃÑ­Ç´Õ à¢ŒÒÊً¡Ãا¡ØÊÔ¹ÒÃÒ á¤ÇŒ¹ÁÑÅÅÐ »ÃзѺ㵌µŒ¹
¤Ù͋ ¤Ñ ÃÊÒÇ¡¹Ô¾¾Ò¹ ÊÒÅФً Ëѹ¾ÃÐàÈÕÂÃä»·Ò§·ÔÈà˹×Í ãˌ¾ÃÐÍÒ¹¹· ᨌ§ÁÑÅ
ËÅѧÍÍ¡¾ÃÃÉÒ·Õè 44 ¾ÃÐÊÒÃպصà ࢌÒཇҾÃÐÈÒÊ´Ò ³
Å¡ÉѵÃԏ
¾ÃÐÇÔËÒÃવÇѹ à¾×èÍ·ÙÅÅÒ»ÃÔ¹¾Ô ¾Ò¹ã¹ÍÕ¡ 7 Çѹ ³ ˌͧ ÊÒǡͧ¤Ê´Ø ·ŒÒ ÊѧàǪ¹ÕÂʶҹ 4 ¾ÃÐÇÒ¨ÒÊØ´·ŒÒÂ
·Õè¶×Í ¡íÒ à¹Ô´ã¹¹ÒÅ¡¤ÒÁ à¾×èÍâ»Ã´ÁÒôÒ(ãˌºÃÃÅØâÊ´Ò ÊØÀÑ· ·»ÃÔ¾ Òª¡à¢ŒÒ ÁÒ·ÙÅ ¶ÒÁ»˜­ËÒ ¢ÍºÇª
»˜µµÔ¼Å) ¨Ö§à´Ô¹·Ò§ä»¾ÃŒÍÁ¾ÃШع·à¶ÃÐ ¾ÃŒÍÁÀÔ¡ÉØ 500 ÊíÒàÃç¨à»š¹¾ÃÐÍÃËѹµ ໚¹ÊÒǡͧ¤ÊØ´·ŒÒ 㹾ÃÐÈÒʹÒ
ÃÙ» àÁ×èͶ֧ºŒÒ¹áŌǡçà¡Ô´ »˜¡¢Ñ¹¸Ô¡Ò¾Ò¸(·ŒÍ§Ã‹Ç§) ¤ÃÑ鹨ǹ µÃÑÊÊÑ觾ÃÐÍÒ¹¹·Ç‹Ò “àÁ×Íè µ¶Ò¤µ»ÃÔ¹¾Ô ¾Ò¹áÅŒÇ ¸ÃÃÁ¡ç´Õ
ÊNjҧ ·‹Ò¹ä´ŒàÃÕ¡»ÃЪØÁʧ¦·ÕèµÔ´µÒÁÁÒáŌÇÇ‹Ò “¼ÙŒÁÕÍÒÂØ ¾ÃÐÇԹѡç´Õ·Õ赶Ҥµ áÊ´§áŌǺѭ­ÑµÔáÅŒÇ ¸ÃÃÁÇԹѹÑé¹
¾Ç¡·‹Ò ¹ÍÂً¡ÑºàÃÒÁÒ¶Ö§ 44 »‚ ËÒ¡·‹Ò ¹äÁ‹ª ͺ㨡ÃÃÁ ¨Ð໚¹ ÈÒʴҢͧ¾Ç¡à¸Í·Ñé§ ËÅÒ” ÊÑ § àǪ¹Õ  ʶҹ4
ã¹·Ò§¡Ò ËÃ×Í·Ò§ÇҨҢͧàÃÒÍѹ㴠¼ÙŒÁÕÍÒÂب§§´â·É¹Ñé¹ »ÃÐÊÙµÔ µÃÑÊÃٌ áÊ´§»°Áà·È¹Ò »ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ »˜¨©ÔÁâÍÇÒ·
àÊÕÂà¶Ô´” ¤ÃÑé¹àÁ×èÍÍÃسÃ؋§¾ÃÐÊÒÃպصáç¹Ô¾¾Ò¹ µÃ§¡ÑºÇѹ “àÃÒ¢Íàµ×͹¾Ç¡à¸ÍÇ‹Ò Êѧ¢Ò÷Ñé§ËÅÒÂÁÕ¤ÇÒÁ àÊ×èÍÁä»à»š¹
¢Öé¹ 15 ¤èíÒ à´×͹ 12 䴌¡‹Íʶٻänj ³ ¾ÃÐÇÔËÒÃવÇѹ ¸ÃÃÁ´Ò à¸Í·Ñé§ ËÅÒ ¨§·íÒ »ÃÐ⪹µ¹ áÅмٌÍ×è¹´ŒÇ Â
¤ÇÒÁäÁ‹»ÃÐÁÒ·à¶Ô´”

๓๐๘
ᨌ§¢‹ÒÇ»ÃÔ¹¾Ô ¾Ò¹ ¶ÇÒ¾ÃÐà¾ÅÔ§ ¾. 5 ¡Ù¯ Ò¤ÒÃã¹»†Ò ÁËÒÇѹ ¹¤ÃàÇÊÒÅÕ (â»Ã´¾Ø·¸ºÔ´Ò
Ã؋§ ઌҾÃÐ͹ØÃØ·¸Ðᨌ§¢‹ÒÇ»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹á¡‹ÁÑÅ »ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹·Õè¡Ãا¡ºÔžÑʴ؏ â»Ã´¾ÃЭҵԷÕèÇÔÇÒ·àÃ×èͧáÁ‹¹éíÒ
Å¡ÉѵÃԏ ¼ŒÒãËÁ‹ 500 ¤Ù‹ ÃÒ§àËÅç¡àµçÁ´ŒÇ¹éíÒ ËÍÁ ºÙªÒ âÃËÔ³Õ ÁËÒ»ªÒº´Õ¼¹Çª à¡Ô´ÀÔ¡ÉسÕʧ¦)
µÅÍ´ 6 Çѹ Çѹ·Õè 7 ¶ÇÒ¾ÃÐà¾ÅÔ§·Ò§·ÔÈ E ³ Á¡Ø¯¾Ñ¹¸ ¾. 6 Á¡ØźÃþµ (ÀÒÂËÅѧ·Ã§áÊ´§ÂÁ¡»Ò¯ÔËÒÃԏ·Õ蹤Ã
਴Տ ¾ÃÐÁËÒ¡ÑÊʻР¾ÃŒÍÁÀÔ¡ÉØ 500 à´Ô¹·Ò§¨Ò¡àÁ×ͧ ÊÒÇѵ¶Õ)
»ÒÇÒÊً¡ØÊÔ¹ÒÃÒ·ÃÒº¢‹ÒÇ ¶ÇÒºѧ¤ÁáŌǨԵ¡Ò¸Ò¹ (·Õèà¼Ò ¾. 7 ´ÒÇ´Ö§Êà·ÇâÅ¡ (áÊ´§¾ÃÐÍÀÔ¸ÃÃÁâ»Ã´¾Ãоط¸
¾ÃÐȾ) ¡çâ¾Å§¢Öé¹àͧ ÍÑ­àªÔ­¾ÃкÃÁÊÒÃÕÃÔ¡ ¸ÒµØŧ㹠ÁÒôÒ)
ÃÒ§·Í§à¢ŒÒ¾Ãй¤ÃáÅŒÇºÙªÒ 7 Çѹ ¾. 8 àÀÊ¡ÅÒÇѹ ã¡ÅŒàÁ×ͧÊاÊØÁÒäÕÃÕ á¤ÇŒ¹ÀѤ¤Ð (¾º¹¡ØÅ
ºÔ´ÒáÅй¡ØÅÁÒôÒ)
ẋ§¾ÃкÃÁÊÒÃÕÃ¡Ô ¸ÒµØ â·³¾ÃÒËÁ³ ¾. 9 â¦ÊÔµÒÃÒÁ àÁ×ͧâ¡ÊÑÁ¾Õ
ẋ§ 8 ʋǹ¹íÒä»ÊÌҧʶٻ ¡ÃاÃÒª¤Äˏ ¡ÃاàÇÊÒÅÕ ¾. 10 »†ÒµíҺŻÒÃÔàÅ¡Рã¡ÅŒàÁ×ͧâ¡ÊÑÁ¾Õ (㹤ÃÒÇ·Õè
¡Ãا¡ºÔžÑʴ؏ ¡ÃاÍÑÅÅ¡Ñ»»Ð ¡ÃاÁÑÅÅСØÊÔ¹ÒÃÒ àÁ×ͧÁÑÅÅÐ ÀÔ¡ÉتÒÇàÁ×ͧâ¡ÊÑÁ¾Õ·ÐàÅÒСѹ)
»ÒÇÒ àÁ×ͧÃÒÁ¤ÒÁ àÁ×ͧàǯ°·Õ»Ð áÅСÉÑÃԏâÁÃÔÂл»¼ÅÔ ¾. 11 ËÁًºŒÒ¹¾ÃÒËÁ³ª×èÍàÍ¡¹ÒÅÒ
ÇÑ ¹ ºÃÃ¨Ø ¾ ÃÐÍѧ ¤ÒÃ(à¶ŒÒ ¶‹Ò ¹) ãˌ à Á× Í §»» ¼ÅÔÇѹ â·³ ¾. 12 àÁ×ͧàÇÃÑ­ªÒ
¾ÃÒËÁ³ ÊÌҧʶٻ·Ð¹Ò¹·Í§µÇ§ ¾ÃкÃÁÊÒÃÕÃÔ¡¸ÒµØ ¾. 13 ¨ÒÅÔºÃþµ
¾. 14 ¾ÃÐવÇѹ (¾ÃÐÃÒËØÅÍØ»ÊÁº·¤ÃÒǹÕé)
........................................ ¾. 15 ¹Ôâ¤Ã¸ÒÃÒÁ ¹¤Ã¡ºÔžÑʴ؏
¾Ø·¸¡Ô¨ 45 ¾ÃÃÉÒ (¾¨¹È¾Ñ ·) ¾. 16 àÁ×ͧÍÒÌÇÕ (·ÃÁÒ¹ÍÒÌÇ¡Âѡɏ)
¾. 17 ¾ÃÐàÇÌØÇѹ ¹¤ÃÃÒª¤Äˏ
ã¹ÃÐËNj Ò §àÇÅÒ 45 »‚ á ˋ § ¡Òúí Ò à¾ç ­ ¾Ø · ¸¡Ô ¨ ¾. 18, 19 ¨ÒÅÔºÃþµ
¾Ãоط¸à¨ŒÒ䴌àÊ´ç¨ä»»ÃзѺ¨íÒ¾ÃÃÉÒ ³ ʶҹ·Õèµ‹Ò§æ ¾. 20 ¾ÃÐàÇÌØÇѹ ¹¤ÃÃÒª¤Äˏ (â»Ã´ÁËÒâ¨Ãͧ¤ØÅÔÁÒÅ,
«Ö觷‹Ò¹ä´Œ»ÃÐÁÇÅänj ¾ÃŒÍÁ·Ñé§à˵ءÒóÊíҤѭºÒ§Í‹ҧÍѹ ¾ÃÐÍÒ¹¹·ä´ŒÃѺ˹ŒÒ·Õè໚¹¾Ø·¸ÍØ»˜¯°Ò¡»ÃШíÒ)
¤ÇÃÊѧࡵ ´Ñ§¹Õé
¾ÃÃÉÒ·Õè 1 »†ÒÍÔÊÔ»µ¹ÁĤ·ÒÂÇѹ ã¡ÅŒ¡Ãا¾ÒÃÒ³ÊÕ (â»Ã´ ¾. 21–44 »ÃзѺÊÅѺä»ÁÒ ³ ¾ÃÐવÇѹ ¡ÑººØ¾¾ÒÃÒÁ
¾ÃÐອ¨ÇѤ¤Õ) ¾Ãй¤ÃÊÒÇѵ¶Õ (ÃÇÁ·Ñé§ ¤ÃÒÇ¡‹Í ¹¹Õé´ŒÇ Â ÍÃö¡¶ÒNjÒ
¾. 2, 3, 4 ¾ÃÐàÇÌØÇѹ ¡ÃاÃÒª¤Äˏ (ÃÐÂлÃдÔÉ°Ò¹¾ÃÐ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ»ÃзѺ·ÕèવǹÒÃÒÁ 19 ¾ÃÃÉÒ ³ ºØ¾¾Ò
ÈÒÊ¹Ò àÃÔèÁᵋâ»Ã´¾ÃÐà¨ŒÒ ¾ÔÁ¾ÔÊ Òà 䴌ÍѤÃÊÒÇ¡ ÏÅÏ ÃÒÁ 6 ¾ÃÃÉÒ)
àʴ稹¤Ã¡ºÔžÑʴ؏¤ÃÑé§áá ÏÅÏ Í¹Ò¶ºÔ³±Ô¡àÈÃÉ°Õà »š¹ ¾. 45 àÇÌØǤÒÁ ã¡ÅŒ¹¤ÃàÇÊÒÅÕ
ÍغÒÊ¡¶ÇÒ¾ÃÐવÇѹ; ¶ŒÒ¶×͵ÒÁ¾ÃÐÇԹѻ®¡ ¾ÃÃÉÒ·Õè
3 ¹‹Ò¨Ð»ÃзѺ·Õè¾ÃÐવÇѹ ¹¤ÃÊÒÇѵ¶Õ) ........................................

วิชาพระวินัย นั กธรรมชันตรี
เรียบเรียงโดย พระปิ ยะลักษณ์ ป ฺญาวโร
วัดญาณเวศกวัน นครปฐม

ชําระโดย รัตนอุบาสก
11 กันยายน 2563

๓๐๙
คติแห่งการจาริกแสดงธรรมเพือประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์
ตามนัยแห่งพุทธพจน์ในพระวินยั ปิ ฎก วินย.4/32/39
จรถ ภิกฺขเว จาริก ํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุ กมฺ ปาย อตฺ ถาย หิตาย สุขาย
เทวมนุ สฺ สานํ มา เอเกน เทฺ ว อคมิ ตฺ ถ เทเสถ ภิ กฺ ขเว ธมฺ มํ อาทิ ก ลฺ ยาณํ มชฺ เฌกลฺ ยาณํ
ปริโยสานกลฺ ยาณํ สาตฺ ถ ํ สพฺ ย ฺ ชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺ รหฺ มจริย ํ ปกาเสถ สนฺ ติ สตฺ ตา
อปฺปรชกฺ ขชาติกา อสฺ สวนตา ธมฺ มสฺ ส ปริหายนฺ ติ ภวิสฺสนฺ ติ ธมฺ มสฺ ส อ ฺ ญาตาโร อหมฺ ปิ
ภิกฺขเว เยน อุรเุ วลาเสนานิ คโม เตนุ ปสงฺ กมิสฺสามิ ธมฺ มเทสนายาติ.

ครังนัน พระผูม้ ีพระภาคเจ้ารับสังกะภิกษุ ทงหลายว่


ั า
ดูก่อนภิกษุ ทังหลาย เราพ้นแล้วจากบ่ว งทั งปวง ทังทีเป็ นของ
ทิพย์ ทังทีเป็ นมนุ ษย์ พวกเธอจงเทียวจาริก เพือประโยชน์และความสุข
แก่ชนหมู่มาก เพืออนุ เคราะห์โลก เพือประโยชน์ เกือกูล และความสุข
แก่ ท วยเทพ และมนุ ษ ย์ พวกเธออย่ า ได้ไ ปรวมทางเดี ย วกันสองรูป
จงแสดงธรรม งามในเบืองต้น งามในท่ามกลาง งามในทีสุด จงประกาศ
พรหมจรรย์ พร้ อ มทั งอรรถทั งพยั ญ ชนะครบบริ บู ร ณ์ บริ สุ ท ธิ
สัตว์ทังหลายจําพวกที มีธุ ลี คือกิเ ลสในจักษุ น้อยมีอยู่ เพราะไม่ไ ด้ฟัง
ธรรม ย่อมเสือม ผูร้ ูท้ ัวถึงธรรมจักมี ดูก่อนภิกษุ ทังหลาย แม้เราก็จกั
ไปยังตําบลอุรุเวลา เสนานิ คม เพือแสดงธรรม

You might also like