Professional Documents
Culture Documents
โดย รัตนอุบาสก - วิชาธรรม ๓ (ธรรมวิภาค)
โดย รัตนอุบาสก - วิชาธรรม ๓ (ธรรมวิภาค)
ภาคเรียนที่ ๒
ธรรมวิภาค
ธรรมมีอปุ การะมาก 2 (ธรรมที่เกื้ อกูลในกิจหรือในการทาความดีทุกอย่าง)
1. สติ (ความระลึกได้, นึ กได้, สานึ กอยูไ่ ม่เผลอ)
2. สัมปชัญญะ (ความรูช้ ดั , รูช้ ดั สิ่งที่นึกได้, ตระหนัก, เข้าใจชัดตามความเป็ นจริง)
D.III.273; A.I.95. ที.ปา.11/378/290; องฺ.ทุก.20/424/119.
ธรรมทาให้งาม 2
1. ขันติ (ความอดทน, อดได้ทนได้เพื่อบรรลุความดีงามและความมุง่ หมายอันชอบ)
2. โสรัจจะ (ความเสงี่ยม, อัธยาศัยงาม รักความประณีตหมดจดเรียบร้อยงดงาม)
Vin.I.349; A.I.94. วินย.5/244/335; องฺ.ทุก. 20/410/118.
บุคคลหาได้ยาก 2
1. บุพการี (ผูท้ าอุปการะก่อน, ผูท้ าความดีหรือทาประโยชน์ให้แต่ตน้ โดยไม่ตอ้ งคอยคิดถึงผลตอบแทน)
2. กตัญญูกตเวที (ผูร้ อู ้ ุปการะที่เขาทาแล้วและตอบแทน , ผูร้ จู ้ กั คุณค่าแห่งการกระทาดีของผูอ้ ื่น และแสดงออก
เพื่อบูชาความดีน้ัน)
A.I.87. องฺ.ทุก.20/364/108
๑
รัตนตรัย (รัตนะ 3, แก้วอันประเสริฐ หรือสิ่งล้าค่า 3 ประการ, หลักที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธ -ศาสนิ กชน 3
อย่าง)
1. พระพุทธเจ้า (พระผูต้ รัสรูเ้ องและสอนผูอ้ ื่นให้รตู ้ าม)
2. พระธรรม (คาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ)
3. พระสงฆ์ (หมูส่ าวกผูป้ ฏิบตั ิตามคาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้า)
ในบาลีที่มา เรียกว่า สรณะ 3
Kh.1. ขุ.ขุ.25/1/1.
คุณของรตนะ ๓ อย่าง
๑ พระพุทธเจ้ารู้ดีรชู อบด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนผูอ้ ื่นให้ร้ตู ามด้วย.
๒ พระธรรมย่อมรักษาผูป้ ฏิ บตั ิ ไม่ให้ตกไปในที่ชว.
ั่
๓ พระสงฆ์ปฏิ บตั ิ ชอบตามคาสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผูอ้ ื่นให้กระทาตามด้วย.
๒
อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสังสอน
่ ๓ อย่าง
๑ ทรงสังสอนเพื
่ ่อจะให้ผฟ้ ู ังรู้ยิ่งเห็นจริ งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น.
๒ ทรงสังสอนมี
่ เหตุที่ผฟ้ ู ังอาจตรองตามให้เห็นจริ งได้.
๓ ทรงสังสอนเป็
่ นอัศจรรย์ คือผูป้ ฏิ บตั ิ ตามย่อมได้ประโยชน์ โดยสมควรแก่ความปฏิ บตั ิ .
นัย. องฺ. ติก. ๒๐/๓๕๖.
๓
กุศลมูล 3 (รากเหง้าของกุศล, ต้นตอของความดี)
1. อโลภะ (ความไม่โลภ, ธรรมที่เป็ นปฏิปักษ์กบั โลภะ, ความคิดเผื่อแผ่, จาคะ)
2. อโทสะ (ความไม่คิดประทุษร้าย, ธรรมที่เป็ นปฏิปักษ์กบั โทสะ, เมตตา)
3. อโมหะ (ความไม่หลง, ธรรมที่เป็ นปฏิปักษ์กบั ความหลง, ปั ญญา)
D.III.275. ที.ปา.11/394/292.
อปั ณณกปฏิ ปทา 3 (ข้อปฏิบตั ิที่ไม่ผิด, ปฏิปทาที่เป็ นส่วนแก่นสารเนื้ อแท้ ซึ่งจะนาผูป้ ฏิบตั ิให้ถึงความเจริญ
งอกงามในธรรม เป็ นผูด้ าเนิ นอยูใ่ นแนวทางแห่งความปลอดพ้นจากทุกข์อย่างแน่ นอนไม่ผิดพลาด)
1. อิ นทรียสังวร (การสารวมอินทรีย์ คือระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงาใจ เมื่อรับรูอ้ ารมณ์ดว้ ยอินทรียท์ ้งั 6)
2. โภชเนมัตตัญญุตา (ความรูจ้ ักประมาณในการบริโภค คือรูจ้ ักพิจารณารับประทานอาหารเพื่อหล่อเลี้ ยง
ร่างกายใช้ทากิจให้ชีวติ ผาสุก มิใช่เพื่อสนุ กสนานมัวเมา)
3. ชาคริ ยานุโยค (การหมัน่ ประกอบความตื่น ไม่เห็นแก่นอน คือขยันหมัน่ เพียร ตื่นตัวอยูเ่ ป็ นนิ ตย์ ชาระจิตมิให้
มีนิวรณ์ พร้อมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบตั ิกิจให้กา้ วหน้าต่อไป)
A.I.113. องฺ.ติก.20/455/142.
๕
อคติ ๔ (ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติที่ผิด, ความไม่เที่ยงธรรม, ความลาเอียง)
1. ฉันทาคติ (ลาเอียงเพราะชอบ: prejudice caused by love or desire; partiality)
2. โทสาคติ (ลาเอียงเพราะชัง: prejudice caused by hatred or enmity)
3. โมหาคติ (ลาเอียงเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา: prejudice caused by delusion or stupidity)
4. ภยาคติ (ลาเอียงเพราะกลัว: prejudice caused by fear)
D.III.182,228; A.II.18. ที.ปา.11/176/196; 246/240; องฺ.จตุกฺก.21/17/23.
๗
[๑๙๑] ดูกรภิกษุท้งั หลาย ก็ภยั เพราะคลืน่ เป็ นไฉน ดูกรภิกษุท้งั หลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกบวชเป็ นบรรพชิต ด้ วย
คิดว่า เราเป็ นผู้อนั ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ท่วมทับแล้ ว
ทาไฉน การทาที่สดุ แห่งกองทุกข์ท้งั สิ้นนี้ จะพึงปรากฏได้ เพื่อนพรหมจรรย์ท้งั หลายย่อมตักเตือนสั่งสอนกุลบุตรนั้น ผู้บวชแล้ วอย่างนั้นว่า
ท่านพึงก้าวไปอย่างนี้ ท่านพึงถอยกลับอย่างนี้ ท่านพึงแลอย่างนี้ ท่านพึงเหลียวอย่างนี้ ท่านพึงคูเ้ ข้าอย่างนี้ ท่านพึงเหยียดออกอย่างนี้
ท่านพึงทรงสังฆาฏิ บาตรและจี วรอย่างนี้ กุลบุตรนั้นย่อมมีความดาริอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็ นคฤหัสถ์ ย่อมตักเตือนบ้ าง สั่งสอนบ้ าง ซึ่ง
คนอื่น ก็ภิกษุเหล่านี้ เพียงคราวบุตรคราวหลานของเรา ยังมาสาคัญการที่จะพึงตักเตือนพร่ าสอนเรา เขาจึงบอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กุลบุตรผู้น้ เี รากล่าวว่า กลัวแต่ภัยเพราะคลื่น แล้ วบอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุท้งั หลาย คาว่า ภัยเพราะคลื่นนี้ เป็ นชื่อของความ
คับใจด้วยสามารถความโกรธ.
[๑๙๒] ดูกรภิกษุท้งั หลาย ก็ภยั เพราะจระเข้เป็ นไฉน ดูกรภิกษุท้งั หลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกบวชเป็ นบรรพชิต
ด้ วยคิดว่า เราเป็ นผู้อนั ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ท่วมทับ
แล้ ว ทาไฉน การทาที่สดุ แห่งกองทุกข์ท้งั สิ้นนี้จะพึงปรากฏได้ เพื่อนพรหมจรรย์ท้งั หลายย่อมตักเตือนสั่งสอนกุลบุตรผู้บวชแล้ วอย่างนั้นว่า
สิ่งนี้ ท่านควรเคี้ ยวกิน สิ่งนี้ ท่านไม่ควรเคี้ ยวกิน สิ่งนี้ ท่านควรฉัน สิ่งนี้ ท่านไม่ควรฉัน สิ่งนี้ท่านควรลิ้ม สิ่งนี้ท่านไม่ควรลิ้ม สิ่งนี้ท่านควร
ดื่ม สิ่งนี้ท่านไม่ควรดื่ม สิ่งเป็ นกัปปิ ยะท่านควรเคี้ยวกิน สิ่งเป็ นอกัปปิ ยะท่านไม่ควรเคี้ยวกิน สิ่งเป็ นกัปปิ ยะท่านควรฉัน สิ่ง เป็ นอกัปปิ ยะท่าน
ไม่ควรฉัน สิ่งเป็ นกัปปิ ยะท่านควรลิ้ม สิ่งเป็ นอกัปปิ ยะท่านไม่ควรลิ้ม สิ่งเป็ นกัปปิ ยะท่านควรดื่ม สิ่งเป็ นอกัปปิ ยะท่านไม่ควรดื่ม ท่านควร
เคี้ยวกินในกาล ท่านไม่ควรเคี้ยวกินในวิกาล ท่านควรฉันในกาล ท่านไม่ควรฉันในวิกาล ท่านควรลิ้มในกาล ท่านไม่ควรลิ้มในวิกาล ท่านควร
ดื่มในกาล ท่านไม่ควรดื่มในวิกาล ดังนี้
กุลบุตรนั้นย่อมมีความดาริอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็ นคฤหัสถ์ ปรารถนาจะเคี้ยวกินสิ่งใด เคี้ยวกินสิ่งนั้นได้ ไม่ปรารถนาจะเคี้ยวกิน
สิ่งใด ก็ไม่เคี้ยวกินสิ่งนั้นได้ ปรารถนาจะบริโภคสิ่งใด ก็บริโภคสิ่งนั้นได้ ไม่ปรารถนาจะบริโภคสิ่งใด ก็ไม่บริโภคสิ่งนั้นได้ ปรารถนาจะลิ้มสิ่ง
ใดก็ล้ ิมสิ่งนั้นได้ ไม่ปรารภจะลิ้มสิ่งใด ก็ไม่ล้ ิมสิ่งนั้นได้ ปรารถนาจะดื่มสิ่งใด ก็ด่ มื สิ่งนั้นได้ ไม่ปรารถนาจะดื่มสิ่งใด ก็ไม่ด่ มื สิ่งนั้นได้ จะ
เคี้ยวกินสิ่งเป็ นกัปปิ ยะก็ได้ จะเคี้ยวกินสิ่งเป็ นอกัปปิ ยะก็ได้ จะบริโภคสิ่งเป็ นกัปปิ ยะก็ได้ จะบริโภคสิ่งเป็ นอกัปปิ ยะก็ได้ จะลิ้มสิ่งเป็ นกัปปิ ยะ
ก็ได้ จะลิ้มสิ่งเป็ นอกัปปิ ยะก็ได้ จะดื่มสิ่งเป็ นกัปปิ ยะก็ได้ จะดื่มสิ่งเป็ นอกัปปิ ยะก็ได้ จะเคี้ยวกินในกาลก็ได้ จะเคี้ยวกินในวิกาลก็ได้ จะ
บริโภคในกาลก็ได้ จะบริโภคในวิกาลก็ได้ จะลิ้มในกาลก็ได้ จะลิ้มในวิกาลก็ได้ จะดื่มในกาลก็ได้ จะดื่มในวิกาลก็ได้ ก็คฤหบดีท้งั หลายผู้มี
ศรัทธา ย่อมให้ ของควรเคี้ยว ของควรบริโภคอันประณีตในวิกาลเวลากลางวัน อันใด แก่เราทั้งหลาย ชรอยภิกษุเหล่านั้นจะทาการห้ ามปาก
ในสิ่งนั้นเสีย ดังนี้ เขาจึงบอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุท้งั หลาย กุลบุตรผู้น้ เี รากล่าวว่า กลัวแต่ภัยเพราะจระเข้ บอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย คาว่าภัยเพราะจระเข้นี้ เป็ นชื่อของความเป็ นผูเ้ ห็นแก่ทอ้ ง.
[๑๙๓] ดูกรภิกษุท้งั หลาย ก็ภยั เพราะน้ าวนเป็ นไฉน ดูกรภิกษุท้งั หลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกบวชเป็ นบรรพชิต
ด้ วยคิดว่า เราเป็ นผู้อนั ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ท่วมทับ
แล้ ว ทาไฉน การทาที่สดุ แห่งกองทุกข์ท้งั สิ้นนี้จะพึงปรากฏได้ เขาบวชแล้ วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งสบงแล้ว ถือบาตรและจี ว รเข้าไปบิณฑบาต
ยังบ้านหรือนิคม ไม่รกั ษากาย ไม่รกั ษาวาจา ไม่ดารงสติ ไม่สารวมอินทรียเ์ ลย เขาเห็ นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ผูเ้ อิบอิ่มพร้อมพรัง่
บาเรออยู่ดว้ ยกามคุณห้า ในบ้านหรือนิคมนั้น เขามีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็ นคฤหัสถ์ เป็ นผู้เอิบอิ่มพร้ อมพรั่งบาเรออยู่ด้วยกาม
คุณห้ า สมบัตกิ ม็ อี ยู่ในสกุล เราสามารถจะบริโภคสมบัตแิ ละทาบุญได้ ดังนี้ เขาจึงบอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุท้งั หลาย กุลบุตรผู้น้ ีเ รากล่าว
ว่า ผู้กลัวต่อภัยเพราะนา้ วน บอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุท้งั หลาย คาว่าภัยเพราะน้ าวนนี้ เป็ นชื่อแห่งกามคุณห้า.
[๑๙๔] ดูกรภิกษุท้งั หลาย ก็ภยั เพราะปลาร้ายเป็ นไฉน ดูกรภิกษุท้งั หลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกบวชเป็ นบรรพชิต
ด้ วยคิดว่า เราเป็ นผู้อนั ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ครอบงาแล้ ว เป็ นผู้อนั ทุกข์ท่วมทับ
แล้ ว ทาไฉน การทาที่สดุ แห่งกองทุกข์ท้งั สิ้นนี้ จะพึงปรากฏได้ เขาบวชแล้ วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งสบงแล้วถือบาตรและจี วร เข้าไปบิณฑบาต
ยังบ้านหรือนิคม ไม่รกั ษากาย ไม่รกั ษาวาจา ไม่ดารงสติ ไม่สารวมอินทรียเ์ ลย เขาย่อมเห็ นมาตุคามผูน้ ุ่งผ้าไม่ดี หรือห่ มผ้าไม่ดีใน
บ้านหรือนิคมนั้น เพราะเหตุมาตุคามผู้นุ่งผ้ าไม่ดี หรือห่ มผ้ าไม่ดี ความกาหนัดย่อมตามกาจัดจิตของกุลบุตรนั้น เขามีจิตอันความกาหนัด
ตามกาจัดแล้ ว จึงบอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุท้ั งหลาย กุลบุตรผู้น้ ีเรากล่ าวว่ า กลัวแต่ภัยเพราะปลาร้ ายบอกคืนสิกขาสึกไป ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย คาว่าภัยเพราะปลาร้ายนี้ เป็ นชื่อแห่ งมาตุคาม ดูกรภิกษุท้งั หลาย ภัย ๔ อย่ างนี้แล เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็ น
บรรพชิตในธรรมวินัยนี้ พึงหวังได้ .
พระผู้มพี ระภาคได้ ตรัสพระพุทธพจน์น้ แี ล้ ว. ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มพี ระภาคแล้ วแล.
.................................................
๘
ปธาน 4 (ความเพียร —: effort; exertion)
1.สังวรปธาน (เพียรระวังหรือเพียรปิ ดกั้น คือ เพียรระวังยับยัง้ บาปอกุศลธรรมที่ยงั ไม่เกิด มิให้เกิดขึ้ น)
2.ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกาจัด คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้ นแล้ว)
3.ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทากุศลธรรมที่ยงั ไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น)
4.อนุรกั ขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้ นแล้วให้ต้งั มัน่ และให้เจริญยิ่งขึ้ นไปจน
ไพบูลย์)
ปธาน 4 นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปปธาน 4 (ความเพียรชอบ, ความเพียรใหญ่)
A.II.74,16,15. องฺ.จตุกฺก.21/69/96; 14/20; 13/19.
อธิ ษฐาน ๔ หรือ อธิ ษฐานธรรม 4 (ธรรมเป็ นที่มนั ่ , ธรรมอันเป็ นฐานที่มนั ่ คงของบุคคล, ธรรมที่ควรใช้เป็ นที่
ประดิษฐานตน เพื่อให้สามารถยึดเอาผลสาเร็จสูงสุดอันเป็ นที่หมายได้ โดยไม่เกิดความสาคัญตนผิด และไม่
เกิดสิ่งมัวหมองหมักหมมทับถมตน, บางทีแปลว่า "ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ")
1. ปัญญา (ความรูช้ ดั คือ หยัง่ รูใ้ นเหตุผล พิจารณาให้เข้าใจในสภาวะของสิ่งทั้งหลายจนเข้าถึงความจริง)
2. สัจจะ (ความจริง คือ ดารงมัน่ ในความจริงที่รชู ้ ดั ด้วยปั ญญา เริ่มแต่จริงวาจาจนถึง ปรมัตถสัจจะ)
3. จาคะ (ความสละ คือ สละสิ่งอันเคยชิน ข้อที่เคยยึดถือไว้ และสิ่งทั้งหลายอันผิดพลาดจากความจริงเสียได้
เริ่มแต่สละอามิสจนถึงสละกิเลส)
4. อุปสมะ (ความสงบ คือ ระงับโทษข้อขัดข้องมัวหมองวุน่ วายอันเกิดจากกิเลสทั้งหลายแล้ว ทาจิตใจให้สงบ
ได้)
ทั้ง 4 ข้อนี้ พึงปฏิบตั ิตามกระทูด้ งั นี้
1. ปญฺญํ นปฺปมชฺเชยฺย (ไม่พึงประมาทปั ญญา คือ ไม่ละเลยการใช้ปัญญา)
2. สจฺจํ อนุรกฺเขยฺย (พึงอนุ รกั ษ์สจั จะ)
3. จาคํ อนุพฺรูเหยฺย (พึงเพิ่มพูนจาคะ)
4. สนฺตึ สิกฺเขยฺย (พึงศึกษาสันติ)
D.III.229; M.III.243. ที.ปา.11/254/241; ม.อุ.14/682/437.
๙
ควรทาความไม่ประมาทในที่ ๔ สถาน
๑. ในการละกายทุจริ ต ประพฤติ กายสุจริ ต.
๒. ในการละวจีทุจริ ต ประพฤติ วจีสจุ ริ ต.
๓. ในการละมโนทุจริ ต ประพฤติ มโนสุจริ ต.
๔. ในการละความเห็นผิด ทาความเห็นให้ถกู
อีกอย่างหนึ่ ง
๑. ระวังใจไม่ให้กาหนัดในอารมณ์ เป็ นที่ตงั ้ แห่งความกาหนัด.
๒. ระวังใจไม่ให้ขดั เคืองในอารมณ์ เป็ นที่ตงั ้ แห่งความขัดเคือง.
๓. ระวังใจไม่ให้หลงในอารมณ์ เป็ นที่ตงั ้ แห่งความหลง.
๔. ระวังใจไม่ให้มวั เมาในอารมณ์ เป็ นที่ตงั ้ แห่งความมัวเมา.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๑.
อารักขกัมมัฏฐาน ๔
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่มีในพระองค์และทรงเกื้อกูลแก่ผอ้ ู ื่น.
๒. เมตตา แผ่ไม่ตรีจิตคิ ดจะให้สตั ว์ทงั ้ ปวงเป็ นสุขทัวหน้
่ า.
๓. อสุภะ พิ จารณาร่างกายตนและผูอ้ ื่นให้เห็นเป็ นไม่งาม.
๔. มรณัสสติ นึ กถึงความตายอันจะมีแก่ตน.
กัมมัฏฐาน ๔ อย่างนี้ ควรเจริญเป็ นนิ ตย์.
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ.
๑๐
3. มุทิตา (ความยินดี ในเมื่อผูอ้ ื่นอยูด่ ีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยูเ่ สมอ ต่อสัตว์
ทั้งหลายผูด้ ารงในปกติสุข พลอยยินดีดว้ ยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิง่ ขึ้ นไป)
4. อุเบกขา (ความวางใจเป็ นกลาง อันจะให้ดารงอยูใ่ นธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปั ญญา คือมีจิตเรียบตรง
เที่ยงธรรมดุจตราชัง่ ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สตั ว์ท้งั หลายกระทาแล้ว อันควรได้รบั ผลดี
หรือชัว่ สมควรแก่เหตุอนั ตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบตั ิไปตามธรรม รวมทั้งรูจ้ กั วางเฉยสงบใจมองดู
ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทา เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รบั ผลอันสม
กับความรับผิดชอบของตน)
ผูด้ ารงในพรหมวิหาร ย่อมช่วยเหลือมนุ ษย์สตั ว์ท้งั หลายด้วยเมตตากรุณา และย่อมรักษาธรรมไว้ได้ดว้ ย
อุเบกขา ดังนั้น แม้จะมีกรุณาที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์แต่ก็ตอ้ งมีอุเบกขาด้วยที่จะมิให้เสียธรรม
พรหมวิหารนี้ บางทีแปลว่า ธรรมเครื่องอยูข่ องพรหม, ธรรมเครื่องอยูอ่ ย่างพรหม, ธรรมประจาใจที่ทาให้
เป็ นพรหมหรือให้เสมอด้วยพรหม, หรือธรรมเครื่องอยูข่ องท่านผูม้ ีคุณยิง่ ใหญ่
พรหมวิหาร 4 เรียกอีกอย่างว่า อัปปมัญญา 4 เพราะแผ่สมา่ เสมอโดยทัว่ ไปในมนุ ษย์สตั ว์ท้งั หลาย ไม่มี
ประมาณ ไม่จากัดขอบเขต
พรหมวิหารมีในผูใ้ ด ย่อมทาให้ผนู้ ้ันประพฤติปฏิบตั ิเกื้ อกูลแก่ผอู้ ื่น ด้วยสังคหวัตถุเป็ นต้น.
อนึ่ ง ในการที่จะเข้าใจและปฏิบตั ิพรหมวิหาร 4 ให้ถกู ต้อง พึงทราบรายละเอียดบางอย่าง โดยเฉพาะสมบัติ
และวิบตั ิ ของธรรม 4 ประการนั้น ดังนี้
ก. ความหมายโดยวิ เคราะห์ศพั ท์
1. เมตตา = (มีน้ ำใจ)เยือ่ ใยใฝ่ ประโยชน์สุขแก่คนสัตว์ท้ งั หลำย หรื อน้ ำใจปรำรถนำประโยชน์สุขที่เป็ นไปต่อมิตร
2. กรุณา = ทำควำมสะเทือนใจแก่สำธุชน เมื่อคนอื่นประสบทุกข์ หรื อถ่ำยถอนทำทุกข์ของผูอ้ ื่นให้หมดไป หรื อแผ่
ใจไปรับรู้ต่อคนสัตว์ท้ งั หลำยที่ประสบทุกข์
3. มุทติ า = โมทนำยินดีต่อผูป้ ระกอบด้วยสมบัติหรื อผลดีน้ นั ๆ
4. อุเบกขา = คอยมองดูอยู่ โดยละควำมขวนขวำยว่ำสัตว์ท้ งั หลำยจงอย่ำผูกเวรกัน เป็ นต้น และโดยเข้ำถึงควำมเป็ น
กลำง
ข. ลักษณะ หน้ าทีห่ รือกิ จ (รส) ผลปรากฏ (ปัจจุปัฏฐาน) และปทัสถาน (เหตุใกล้)
1. เมตตา = (ในสถำนกำรณ์ที่คนอื่นอยูเ่ ป็ นปกติ)
ลักษณะ = เป็ นไปโดยอำกำรเกื้อกูลแก่คนสัตว์ท้ งั หลำย
หน้ าที่ = น้อมนำประโยชน์เข้ำไปให้แก่เขำ
ผลปรากฏ = กำจัดควำมอำฆำตแค้นเคืองให้ปรำศไป
ปทัสถาน = เห็นภำวะที่น่ำเจริ ญใจของคนสัตว์ท้ งั หลำย
2. กรุณา = (ในสถำนกำรณ์ที่คนอื่นตกทุกข์เดือดร้อน)
ลักษณะ = เป็ นไปโดยอำกำรปลดเปลื้องทุกข์แก่คนสัตว์ท้ งั หลำย
หน้ าที่ = ไม่นิ่งดูดำย/ทนนิ่งอยูไ่ ม่ได้ต่อทุกข์ของคนสัตว์ท้ งั หลำย
ผลปรากฏ = ไม่เบียดเบียน/อวิหิงสำ
ปทัสถาน = เห็นภำวะไร้ที่พ่ งึ /สภำพน่ำอนำถของคนสัตว์ท้ งั หลำยที่ถกู ทุกข์ครอบงำ
3. มุทติ า = (ในสถำนกำรณ์ที่คนอื่นมีสุขสำเร็ จหรื อทำอะไรก้ำวไปด้วยดี)
๑๑
ลักษณะ = พลอยยินดี/ยินดีดว้ ย
หน้ าที่ = ไม่ริษยำ/เป็ นปฏิปักษ์ต่อควำมริ ษยำ
ผลปรากฏ = ขจัดควำมริ ษยำ ควำมไม่ยนิ ดีหรื อควำมทนไม่ได้ต่อควำมสุขสำเร็ จของผูอ้ ื่น
ปทัสถาน = เห็นสมบัติ/ควำมสำเร็ จของคนสัตว์ท้ งั หลำย
4. อุเบกขา = (ในสถำนกำรณ์รักษำธรรมตำมควำมรับผิดชอบต่อกรรมที่เขำทำ)
ลักษณะ = เป็ นไปโดยอำกำรเป็ นกลำงต่อคนสัตว์ท้ งั หลำย
หน้ าที่ = มองเห็นควำมเสมอภำคกันในสัตว์ท้ งั หลำย
ผลปรากฏ = ระงับควำมขัดเคืองเสี ยใจและควำมคล้อยตำมดีใจ
ปทัสถาน = มองเห็นภำวะที่ทุกคนเป็ นเจ้ำของกรรมของตน ว่ำสัตว์ท้ งั หลำยจักได้สุข พ้นทุกข์ ไม่เสื่ อมจำกสมบัติที่
ได้ที่ถึง ตำมใจชอบได้อย่ำงไร
ค. สมบัติ (ความสมบูรณ์หรือความสัมฤทธิ ผ์ ล) และวิ บตั ิ (ความล้มเหลว หรือการปฏิ บตั ิ ผิดพลาด ไม่สาเร็จผล)
1. เมตตา: สมบัติ = สงบหำยไร้ควำมแค้นเคืองไม่พอใจ วิบัติ = เกิดเสน่หำ
2. กรุณา: สมบัติ = สงบหำยไร้วิหิงสำ วิบัติ = เกิดควำมโศกเศร้ำ
3. มุทติ า: สมบัติ = สงบหำยไร้ควำมริ ษยำ วิบัติ = เกิดควำมสนุกสนำน
4. อุเบกขา: สมบัติ = สงบหำยไม่มีควำมยินดียนิ ร้ำย วิบัติ = เกิดควำมเฉยด้วยไม่รู้ (เฉยโง่ เฉยเมย เฉยเมิน)
ง. ข้าศึก คือ อกุศลซึง่ เป็ นศัตรูค่ปู รับทีจ่ ะทาลายหรือทาธรรมนัน้ ๆ ให้เสียไป
1. เมตตา: ข้ าศึกใกล้ = รำคะ ข้ าศึกไกล = พยำบำท คือควำมขัดเคืองไม่พอใจ
2. กรุณา: ข้ าศึกใกล้ = โทมนัส คือควำมโศกเศร้ำเสี ยใจ ข้ าศึกไกล = วิหิงสำ
3. มุทติ า: ข้ าศึกใกล้ = โสมนัส (เช่นดีใจว่ำตนจะพลอยได้รับผลประโยชน์)
ข้ าศึกไกล = อรติ คือควำมไม่ยนิ ดี ไม่ใยดี ริ ษยำ
4. อุเบกขา: ข้ าศึกใกล้ = อัญญำณุเบกขำ (เฉยไม่รู้เรื่ อง เฉยโง่ เฉยเมย)
ข้ าศึกไกล = รำคะ (ควำมใคร่ ) และปฏิฆะ (ควำมเคือง) หรื อชอบใจและขัดใจ
พึงทรำบด้วยว่ำ ฉันทะ คือ กัตตุกัมยตาฉั นทะ (ควำมอยำกจะทำให้ดี หรื อควำมต้องกำรที่จะทำให้คนสัตว์
ทั้งหลำยดีงำมสมบูรณ์ปรำศจำกโทษข้อบกพร่ อง เช่น อยำกให้เขำประสบประโยชน์สุข พ้นจำกทุกข์เป็ นต้น) เป็ นจุด
ตั้งต้น (อำทิ) ของพรหมวิหำรทั้ง 4 นี้ กำรข่มระงับกิเลส (เช่นนิวรณ์) ได้ เป็ นท่ำมกลำง สมำธิถึงขั้นอัปปนำ (คือ
ภำวะจิตที่มนั่ คงเรี ยบรื่ นสงบสนิทดีที่สุด) เป็ นที่จบ ของพรหมวิหำรทั้ง 4 นั้น
AIII.226; Dhs.262; Vism.320. องฺ.ปญฺจก 22/192/252; อภิ.สํ.34/190/75; วิสุทฺธิ.2/124.
๑๓
หนึ่ ง (หมวดที่ 5 คือ ธาตุมนสิการบรรพ).
D.II.294; M.I.185; M.III.240; Vism.347. ที.ม.10/278/329; ม.มู.12/342/350; ม.อุ.14/684-7/437; วิสุทฺธิ.2/161.
๑๔
อภิ ณหปัจจเวกขณ์ ๕ (ข้อที่สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาเนื องๆ)
1. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนื องๆ ว่า เรามีความแก่เป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้)
2. พยาธิ ธมั มตา (ควรพิจารณาเนื องๆ ว่า เรามีความเจ็บป่ วยเป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่ วยไปได้)
3. มรณธัมมตา (ควรพิจารณาเนื องๆ ว่า เรามีความตายเป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้)
4. ปิ ยวิ นาภาวตา (ควรพิจารณาเนื องๆ ว่า เราจักต้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้ น)
5. กัมมัสสกตา (ควรพิจารณาเนื องๆ ว่า เรามีกรรมเป็ นของตน เราทากรรมใด ดีก็ตาม ชัว่ ก็ตาม จักต้องเป็ น
ทายาท ของกรรมนั้น)
ข้อที่ควรพิจารณาเนื องๆ 5 อย่างนี้ มีวตั ถุประสงค์เพื่อละสาเหตุต่างๆ มีความมัวเมา เป็ นต้น ที่ทาให้สตั ว์
ทั้งหลายตกอยูใ่ นความประมาท และประพฤติทุจริตทางไตรทวาร กล่าวคือ
ข้อ 1 เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความเป็ นหนุ่ มสาวหรือความเยาว์วยั
ข้อ 2 เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความไม่มีโรค คือ ความแข็งแรงมีสุขภาพดี
ข้อ 3 เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในชีวติ
ข้อ 4 เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความยึดติดผูกพันในของรักทั้งหลาย
ข้อ 5 เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความทุจริตต่างๆ โดยตรง
เมื่อพิจารณาขยายวงออกไป เห็นว่ามิใช่ตนผูเ้ ดียวที่ตอ้ งเป็ นอย่างนี้ แต่เป็ นคติธรรมดาของสัตว์ท้งั ปวงที่
จะต้องเป็ นไป เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้ เสมอๆ มรรคก็จะเกิดขึ้ น เมื่อเจริญมรรคนั้นมากเข้า ก็จะละสังโยชน์
ทั้งหลาย สิ้ นอนุ สยั ได้.
A.III.71. องฺ.ปญฺจก.22/57/81.
๑๖
อุทายิสูตร องฺ.ปญฺจก.๒๒/๑๕๙/๑๖๖
[๑๕๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้ เมืองโกสัมพี สมัยนั้น ท่านพระอุทายีผ้ ูอนั คฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่
แวดล้ อมแล้ ว นั่งแสดงธรรมอยู่ ท่านพระอานนท์ได้ เห็นท่านพระอุทายี ผู้อนั คฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้ อมแล้ ว นั่งแสดงธรรมอยู่ จึงได้ เข้ า
ไปเฝ้ าพระผู้มพี ระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้ างหนึ่ง ครั้นแล้ วได้ กราบทูลว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ท่านพระอุทายี ผู้
อันคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้ อมแล้ ว นั่งแสดงธรรมอยู่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดู กรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผูอ้ ื่นไม่ใช่ทาได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผูอ้ ื่น พึงตั้งธรรม ๕
ประการไว้ภายใน แล้วจึ งแสดงธรรมแก่ผูอ้ ื่น ๕ ประการเป็ นไฉน คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่า เราจักแสดงธรรมไปโดยลาดับ ๑ เราจักแสดง
อ้างเหตุผล ๑ เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑ เราจักเป็ นผูไ้ ม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑ เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผูอ้ ื่น ๑
แล้วจึ งแสดงธรรมแก่ผูอ้ ื่น ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผ้ อู ่นื ไม่ใช่ทาได้ ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผ้ อู ่นื พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ ใน
ภายใน แล้ วจึงแสดงธรรมแก่ผ้ อู ่นื ฯ
อรรถกถาอุทายิสูตร องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๓๖ หน้าที่ ๓๓๔ มมร.
บทว่า อนุปุพฺพิกถํ กเถสฺสามิ ความว่ า ยกลาดับแห่ งเทศนาอย่างนี้ว่า ศีลในลาดับทาน สวรรค์ในลาดับศีล หรือบทพระสูตร หรือบท
คาถาใดๆ หรือพึงตั้งจิตว่า เราจักกล่าวกถาสมควรแก่บทนั้นๆ แล้ วแสดงธรรมแก่ผ้ อู ่นื .
บทว่า ปริยายทสฺสาวี ได้ แก่ แสดงถึงเหตุน้นั ๆ แห่งเนื้อความนั้นๆ. จริงอยู่ในสูตรนี้ท่านกล่าวเหตุว่าปริยาย.
บทว่า อนุทฺทยตํ ปฏิจฺจ ได้ แก่ อาศัยความเอ็นดูว่า เราจักเปลื้องสัตว์ท้งั หลายผู้ถงึ ความยากลาบากมาก จากความยากลาบาก.
บทว่า น อามิสนฺตโร ได้ แก่ ไม่เห็นแก่อามิส อธิบายว่า ไม่หวังลาภคือปัจจัย ๔ เพื่อตน.
บทว่า อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ ได้ แก่ ไม่กระทบตนและผู้อ่นื ด้ วยการกระทบคุณโดยยกตนข่มผู้อ่นื .
..................................................
ธรรมสวนานิ สงส์ ๕ (อานิ สงส์ในการฟั งธรรม: benefits of listening to the Dhamma)
1. อสฺสตุ สุณาติ (ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยงั ไม่เคยฟั ง, ได้เรียนรูส้ ิ่งที่ยงั ไม่เคยเรียนรู ้ - He hears things not heard.)
2. สุต ปริ โยทเปติ (สิ่งที่เคยได้ฟัง ก็ทาให้แจ่มแจ้ง เข้าใจชัดเจนยิง่ ขึ้ น - He clears things heard.)
3. กงฺข วิ หนติ (แก้ขอ้ สงสัยได้, บรรเทาความสงสัยเสียได้ - He dispels his doubts.)
4. ทิ ฏฺ ึึ อุชุ ึ กโรติ (ทาความเห็นให้ถกู ต้องได้ - He makes straight his views.)
5. จิ ตฺตมสฺส ปสีทติ (จิตของเขาย่อมผ่องใส - His heart becomes calm and happy.)
A.III.248. องฺ.ปญฺจก.22/202/276.
๑๗
นิ วรณ์ 5 (สิ่งที่ก้นั จิตไม่ให้กา้ วหน้าในคุณธรรม, ธรรมที่ก้นั จิตไม่ให้บรรลุคุณความดี , อกุศลธรรมที่ทาจิตให้
เศร้าหมองและทาปั ญญาให้อ่อนกาลัง)
1.กามฉันทะ (ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ—sensual desire)
2.พยาบาท (ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ —illwill)
3.ถีนมิ ทธะ (ความหดหูแ่ ละเซื่องซึม —sloth and torpor)
4.อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้ งซ่านและร้อนใจ, ความกระวนกระวายกลุม้ กังวล —distraction and remorse; flurry
and worry; restlessness and anxiety)
5. วิ จิกิจฉา (ความลังเลสงสัย —doubt; uncertainty)
A.III.62; Vbh.378. องฺ.ปญฺจก.22/51/72; อภิ.วิ.35/983/510.
๑๘
คารวะ หรือ คารวตา 6 (ความเคารพ, การถือเป็ นสิ่งสาคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบตั ิดว้ ยความเอื้ อเฟื้ อ หรือโดย
ความหนั กแน่ นจริงจัง, การมองเห็นคุณค่าและความสาคัญแล้วปฏิบตั ิต่อบุคคลหรือสิ่งนั้ นโดยถูกต้อง ด้วย
ความจริงใจ)
1. สัตถุคารวตา (ความเคารพในพระศาสดา ) ข้อนี้ บางแห่งเขียนเป็ น พุทธคารวตา (ความเคารพใน
พระพุทธเจ้า)
2. ธัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม —reverence for the Dhamma)
3. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์ —reverence for the Order)
4. สิ กขาคารวตา (ความเคารพในการศึกษา —reverence for the Training)
5. อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไม่ประมาท)
6. ปฏิ สนั ถารคารวตา (ความเคารพในปฏิสนั ถาร)
ธรรม 6 อย่างนี้ ย่อมเป็ นไปเพื่อความไม่เสื่อมแห่งภิกษุ .
A.III.330. องฺ.ฉกฺก.22/303/368.
๑๙
อายตนะ ๑๒ (สิ่งที่เชื่อมต่อกันให้เกิดความรู,้ แดนต่อหรือแดนเกิดแห่งความรู:้ sense-fields; sense-spheres)
1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6.
2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6.
Vbh.70. อภิ.วิ.35/99/85.
๒๐
สัมผัส ๖ หรือ ผัสสะ 6 (ความกระทบ, ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ)
1. จักขุสมั ผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวญ ิ ญาณ: eye-contact)
2. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ: ear-contact)
3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ: nose-contact)
4. ชิ วหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้ น คือ ลิ้ น + รส + ชิวหาวิญญาณ: tongue-contact)
5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ: body-contact)
6. มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ -: mind-contact)
D.III.243; S.II.3. ที.ปา.11/307/255; สํ.นิ.16/12/4.
ธาตุ ๔ (สิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยูเ่ อง คือมีอยูโ่ ดยธรรมดา เป็ นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผสู้ ร้าง ไม่มีอตั ตา มิใช่สตั ว์
มิใช่ชีวะ: elements) ได้แก่ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ คือ มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 นั น่ เอง. ดู
[39] มหาภูต 4 และ [147] ธาตุ-กัมมัฏฐาน 4
ธาตุ ๖ (: the six elements) ได้แก่ธาตุ 4 หรือมหาภูต 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ นั้ น
กับเพิ่มอีก 2 อย่าง คือ
5. อากาสธาตุ (สภาวะที่วา่ ง โปร่งไป เป็ นช่อง the space-element)
6. วิ ญญาณธาตุ (สภาวะที่รแู ้ จ้งอารมณ์ ธาตุรู ้ ได้แก่วญ
ิ ญาณธาตุ 6 คือ จักขุวญ
ิ ญาณธาตุ โสต~ ฆาน~ ชิวหา~
กาย~ มโนวิญญาณธาตุ element of consciousness; consciousness-element)
ดู [39] มหาภูต 4 และ [146] ธาตุ 4.
M.III.31; Vbh.82. ม.อุ.14/169/125; อภิ.วิ.35/114/101.
อปริ หานิ ยธรรม 7 ของภิ กษุ หรือ ภิ กขุอปริ หานิ ยธรรม 7 (ธรรมอันไม่เป็ นที่ต้งั แห่งความเสื่อม เป็ นไป
เพื่อความเจริญฝ่ ายเดียว สาหรับภิกษุ ท้งั หลาย)
1. หมันประชุ
่ มกันเนื องนิ ตย์
2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิ กประชุม พร้อมเพรียงกันทากิ จที่สงฆ์จะต้องทา
ข้อนี้ แปลอีกอย่างว่า: พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันลุกขึ้นจัดการแก้ไขสิ่ งเสียหาย เหตุไม่งาม
พร้อมเพรียงกันทากิ จที่สงฆ์จะต้องทา
3. ไม่ บ ญั ญัติ สิ่ ง ที่ พ ระพุท ธเจ้ า ไม่ ท รงบัญ ญัติ ไม่ ล้ ม ล้ า งสิ่ ง ที่ พ ระองค์ ท รงบัญ ญัติ ไ ว้ สมาทานศึ ก ษาอยู่ ใ น
๒๑
สิ กขาบททัง้ หลายตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
4. ภิ กษุ เหล่าใดเป็ นผู้ใหญ่ เป็ นสังฆบิ ดร เป็ นสังฆปริ ณายก เคารพนับถือภิ กษุ เหล่านัน้ เห็นถ้อยคาของท่ านว่า
เป็ นสิ่ งอันควรรับฟัง
5. ไม่ลอุ านาจตัณหาคือความอยากที่เกิ ดขึ้น
6. ยิ นดีในเสนาสนะป่ า
7. ตัง้ สติ ระลึกไว้ในใจว่า เพื่อนพรหมจารีทงั ้ หลายผูม้ ีศีลงาม ซึ่งยังไม่มา ขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่ผาสุก
D.II.77; A.IV.20. ที.ม.10/70/90; องฺ.สตฺตก.23/21/21.
๒๔
ลักษณะตัดสิ นธรรมวิ นัย ๘ ประการ (ธรรมเหล่าใดเป็ นไปเพื่อ)
๑. วิ ราคะ คือ ความคลายกาหนัด ความไม่ติดพัน
๒. วิ สงั โยค คือ ความหมดเครื่องผูกรัด ความไม่ประกอบทุกข์
๓. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนกิเลส
๔. อัปปิ จฉตา คือ ความอยากอันน้อย ความมักน้อย
๕. สันตุฏฐี คือความสันโดษ
๖. ปวิ เวก คือ ความสงัด
๗. วิ ริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร
๘. สุภรตา คือ ความเลี้ ยงง่าย
ธรรมเหล่านี้ พึงรูว้ า่ เป็ นธรรม เป็ นวินัย เป็ นสัตถุสาสน์ คือ คาสอนของพระศาสดา
วินย.๗/๕๒๓ วินย.๙/๕๒๓ องฺ.อฏฺฐ.๒๓/๑๔๓/๒๕๕ (สังขิตตสูตร)
๒๕
มละ ๙ (มลทิน - Mala: stains)
1. โกธะ (ความโกรธ -: anger)
2. มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีผอู้ ื่น: detraction; depre-ciation)
3. อิ สสา (ความริษยา envy; jealousy)
4. มัจฉริ ยะ (ความตระหนี่ : stinginess; meanness)
5. มายา (มารยา - deceit)
6. สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, สาไถย: hypocrisy)
7. มุสาวาท (การพูดปด: false speech)
8. ปาปิ จฉา (ความปรารถนาลามก: evil desire)
9. มิ จฉาทิ ฏฐิ (ความเห็นผิด: false view)
Vbh.389. อภิ.วิ.35/1021/526.
อกุศลกรรมบท ๑๐
(โดยละเอียดจาก อรรถกถาสัมมาทิฏฐิสูตร ม.มู.๑๗/๑๑๐/๕๔๑, อภิ.อ.๗๕ หน้า ๒๘๖ มมร.)
ความประพฤติไม่เรียบร้อย/เรียบร้อย (สาเลยยกสูตร) ม.มู.๑๒/๔๘๕/๓๖๗ ความไม่สะอาด/สะอาด (จุนทสูตร) ๒๔/๑๖๔/๒๓๘
อกุศลกรรม/กุศลกรรม ที.ปา.๑๑/๓๕๙/๒๔๕ ธรรม ๑๐ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม/เจริญ ที.ปา.๑๑/๔๗๐/๒๘๕
สัปปุริสธรรม/อสัปปุริสธรรม อริยธรรม/อนิรยธรรม
๒๖
๓.กาเมสุมิจฉาจาร กาเมสุ แปลว่า ของรัก ได้แก่ การเสพเมถุน [กาเมสุ ได้แก่ ในวัตถุกามทั้งหลาย วิ.อ.๗๘/๕๐๕]
มิจฉาจาร คือ การประพฤติลามกอันบัณฑิตติเตียน ว่าโดยลักษณะได้แก่เจตนาเป็ นเหตุกา้ วล่วงฐานะที่ไม่ควร
เกี่ยวข้องที่เป็ นไปทางกายทวารโดยประสงค์ อสัทธรรม
หญิง ๒๐ จาพวก ที่ชื่อว่า อคมนียฐาน (ฐานะที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง) คือ
๑ หญิงที่มารดา ๒ บิดา ๓ มารดาบิดา ๔ พี่ชายน้องชาย ๕ พี่สาวน้องสาว ๖ ญาติ ๗ ตระกูล ๘ ธรรม รักษา
๙ หญิงที่รบั หมั้นแล้ว ๑๐ หญิงที่กฏหมายคุม้ ครอง
๑๑ หญิงที่เป็ นภรรยามีการซื้ อมาด้วยทรัพย์ ดังนี้ คือ ภรรยาที่ซอไถ่ ื้ มาด้วยทรัพย์
๑๒ ภรรยาที่อยูด่ ว้ ยความพอใจ ๑๓ อยูด่ ว้ ยโภคะ ๑๔ อยูด่ ว้ ยผ้า ๑๕ ภรรยาที่ทาพิธีรดน้ า ๑๖ ที่ชายปลงเทริดลงจากศีรษะ
๑๗ ที่เป็ นทาสีในบ้าน ๑๘ ที่จา้ งมาทางาน ๑๙ ที่เป็ นเชลย ๒๐ ที่อยูด่ ว้ ยกันครู่หนึ่ ง
มิจฉาจารนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อยเพราะฐานะที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง/ล่วงเกินนั้น เว้นจากคุณ(ความดี)มีศีลเป็ นต้น ชื่อว่ามี
โทษมากเพราะฐานะนั้นถึงพร้อมด้วยคุณ(ความดี/สิ่งเกื้ อกูล)
มิจฉาจารนั้น มีองค์ ๔ คือ
๑ อคมนี ยวัตถุ วัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง
๒ ตสมึ เสวนจิตฺต มีจิตคิดเสพในหญิงนั้น
๓ เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ
๔ มคฺ เคน มคฺ คปฏิปตฺติอธิวาสน การยังมรรคให้ถึงมรรค
๒๘
กถาวัตถุ ๑๐ (เรื่องที่ควรพูด, เรื่องที่ควรนามาสนทนากันในหมู่ภิกษุ)
๑. อัปปิ จฉกถา เรื่องความมักน้อย,ไม่มกั มากอยากเด่น ๖. สีลกถา เรื่องศีล
๒. สันตุฏฐิกถา เรื่องความสันโดษ,ไม่ฟุ้งเฟ้ อหรือปรนเปรอ ๗. สมาธิกถา เรื่องสมาธิ
๓. ปวิเวกกถา เรื่องความสงัด,ให้มีความสงัดกายใจ ๘. ปั ญญากถา เรื่องปั ญญา
๔. อสังสัคคกถา เรื่องความไม่คลุกคลีดว้ ยหมู่ ๙. วิมุตติกถา เรื่องวิมุตติ
๕. วิริยารัมภกถา เรื่องการปรารภความเพียร,มุ่งมัน่ ทาความเพียร ๑๐.วิมุตติญาณทัสสนกถา เรื่องความรูค้ วามเห็นในวิมุตติ
ม.มู๑๒/๒๙๒ ม.อุ.๑๔/๓๔๘ อง.ทสก.๒๔/๖๙
๑๐.มิ จฉาทิ ฏฐิ คือ ความเห็นผิดโดยไม่ถือเอาตามความเป็ นจริง มีความเห็นวิปริตเป็ นลักษณะ อาทิ ทานที่บุคคลให้
แล้วไม่มีผล
มิจฉาทิฏฐิชื่อว่ามีโทษน้อยมีโทษมาก เหมือนสัมผัปปลาปะ (คือ โทษน้อยเพราะส้องเสพน้อย โทษมากเพราะส้องเสพมาก)
อนิ ยตมิจฉาทิฏฐิมีโทษน้อย นิ ยตมิจฉาทิฏฐิมีโทษมาก
๒๙
ลัทธิประเภทอกิริยทิฏฐิ
นิยตมิจฉาทิฏฐิ(ทิฏฐิ ๓) ม.ม.๑๓/๑๐๕/๘๑ ๑.ปุพเพกตเหตุวาท(ลัทธิกรรมเก่า)
๑ อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าการกระทาไม่มีผล เช่น ปุพเพกตเหตุวาท ๒.อิสสรนิ มมานเหตุวาท(ลัทธิพระเป็ นเจ้า)
๒ อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย ๓.อเหตุอปั จจยวาท(ลัทธิเสี่ยงโชค)
๓ นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือไม่มีการกระทาหรือสภาวะที่จะกาหนดเอาเป็ นหลักได้
มิจฉาทิฏฐิน้นั มีองค์ ๒ คือ
๑ วตฺถุโน จ คหิตาการวิปรีตตา การที่เรื่องวิปริต(ผิดไป) จากอาการที่ถือเอา
๒ ยถา จ ต คณฺ หาติ ตถาภาเวน ตสฺ สปู ฏฺฐาน เรื่องนั้นปรากฏโดยความไม่เป็ นจริงตามที่ยดึ ถือ
ในบรรดามิจฉาทิฏฐิท้งั หลายกรรมบทจะแตกเพราะนิ ยตมิจฉาทิฏฐิเท่านั้น กรรมบทย่อมไม่แตกไปเพราะทิฏฐิอื่น
กุ ศลกรรมบถ ๗ ประการแรกเป็ นตัวเจตนากุ ศล แต่ ๓ ประการหลังเป็ นธรรมสัมปยุตด้วยเจตนา (คือมีโสภณเจตสิกประกอบด้วย
เจตนา), กรรมบถ ๗ ประการแรกเป็ นกรรมบถอย่างเดียวไม่เป็ นรากเหง้า(มูล) แต่ธรรม ๓ ประการหลังเป็ นทั้งกรรมบถเป็ นทั้งรากเหง้า (มูล),
เวรมณีจะมีได้ก็โดยได้เผชิญกับวัตถุที่จะต้องก้าวล่วงเท่านั้น อุปมา.กรรมบทต้องมีชีวิตินทรีย์ เป็ นต้นเป็ นอารมณ์ จึงจะละทุศีลมีปาณาติบาต
เป็ นต้นได้
อกุ ศลกรรมบถ๑๐ และกุ ศลกรรมบถ๑๐ เว้นอภิ ชฌา เป็ นทุ กขสัจจ์, อภิชฌาและโลภะที่เป็ นอกุ ศลมูล เป็ นสมุทยสัจ จ์โดยตรง แต่
กรรมบถทั้งหมด เป็ นทุกขสัจจ์โดยอ้อม กุศลมูลและอกุศลมูลทั้งหมดเป็ นสมุทยสัจจ์ ความไม่เป็ นไปแห่งกุศลมูลและอกุศลมูลทั้ง ๒ เป็ นนิ โรธ
สัจจ์ เมื่อกาหนดรูท้ ุกข์ เมื่อละสมุทยั เมื่อรูจ้ กั นิ โรธ อริยมรรคเป็ นมรรคสัจจ์
๓๐
ธรรมที่บรรพชิ ตควรพิ จารณาเนื องๆ ๑๐ อย่าง องฺ.ทสก.๒๔/๔๘/๙๑
๓๑
บาเพ็ญคุณความดีท้งั หลาย ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผอู้ ื่นให้สาเร็จได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์
D.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25.
๓๓
โพธิ ปักขิ ยธรรม ๓๗ (ธรรมอันเป็ นฝั กฝ่ ายแห่งความตรัสรู ้ คือ เกื้ อกูลแก่การตรัสรู,้ ธรรมที่เกื้ อหนุ นแก่
อริยมรรค)
1. สติ ปัฏฐาน 4
2. สัมมัปปธาน 4
3. อิ ทธิ บาท 4
4. อิ นทรีย์ 5
5. พละ 5
6. โพชฌงค์ 7
7. มรรคมีองค์ 8
โพธิปักขิยธรรมนี้ ตามที่ทัว่ ไปในพระไตรปิ ฎก ตรัสไว้เพียงเป็ นคารวมๆ โดยไม่ได้ระบุชื่อองค์ธรรม
นอกจากในสังยุตตนิ ก ายแห่งพระสุ ตตันตปิ ฎก ที่ มีพุทธพจน์ ตรัสระบุ ไว้ว่า ได้แก่ อินทรีย์ 5 (ส .
ม.19/1024/301; 1041-3/305; 1071-1081/313-5) และในคัมภีรว์ ิภงั ค์แห่งพระอภิธรรมปิ ฎก ซึ่งไข
ความว่า โพธิปักขิยธรรม ได้แก่ โพชฌงค์ 7 (อภิ.วิ.35/611/336)
ธรรมชุ ดนี้ เมื่อตรัสระบุ ชื่อทั้งชุ ดในพระสูตร ทรงเรียกว่าเป็ น อภิญญาเทสิตธรรม เช่น ที .
ม.10/107/141; ที.ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คือเป็ นอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระ
อภิธรรม ท่านแสดงไว้วา่ ธรรม 37 ประการนี้ เป็ น สัทธรรม
นอกจากนี้ ธรรม 37 ประการชุดนี้ ยังได้ชื่อว่าเป็ น สันติบท คือ ธรรมที่เป็ นไปเพื่อการบรรลุสนั ติ (รวมทั้ง
เป็ น อมตบท และ นิ พพานบท เป็ นต้น-ขุ.ม.29/701/414; ขุ.จู.30/391/188) และเป็ น เสรีธรรม หรือ
ธรรมเสรี (ขุ.จู.30/681/340; 684/342)
ในพระวินัยปิ ฎก ท่านแสดงธรรม 37 ประการนี้ ไว้เป็ นคาจากัดความของคาว่า มรรคภาวนา (ดู
วินย.1/236/175; 2/308/212)
ต่อมา ในคัมภีรช์ ้นั อรรถกถา รวมถึงวิสุทธิมคั ค์ จึงระบุและแจกแจงไว้ชดั เจนว่า โพธิปักขิยธรรม 37
ประการ ได้แก่ธรรมเหล่านี้ (ดู องฺ.อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิส.อ.2/95, 196, 261; วิสุทฺธิ.3/328)
Vism.681. วิสุทฺธิ.3/328.
..............................................
รวม ครั้งที่ ๑
โดย พระปิ ยะลักษณ์ ปญฺญาวโร
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔
๓๔