โดย รัตนอุบาสก - พระพุทธประวัติโดยสังเขป

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 8

พระพุทธประวัติ

แปลว่า
โดยสังเขป ,
. . .
. * =

, ,
,

. ( ) . ( )

( ) ชมพูทวีป
( ) มัชฌิมชนบท( ) ,

( )
( ( )
)

,
( ) ( )
( ) .
. . . .
. . สี่ บังเกิด ในดาวดึ งส์

( )
ดึ


( )

( ) ขณ

( )
( )

“ ” ฐ

( )
( )


บรรลุอรหัตตผล

(เข้าวันแรม ๑ คา่ )

“ ” ผู้มี

(E/N) “
มู่

(W/N)
( )
(E) อยู่ ผูร้ ทู้ ั่
( ) ”
“ ” (E/S) ๓๐ คน
( ) - -
(S)

ขณะประทับอยู่ -

, ( )

( )

( )
ตผลใน ๗
วัน ,


( )
( ) แล้ว

ฑิ ฐ
หลังออกพรรษา
ต่อมาทรง เพื่อรับถวายพระวิหาร
เชตวัน จากอนาถปิ ณฑิกเศรษฐี (โดยซื้ อที่ดิน ๑๘ โกฏิ สร้างวิหาร
๑๘ โกฏิ ฉลองวิหาร ๙ เดือน ๑๘ โกฏิ) รวมทั้งสิ้ น ๕๔ โกฎิ

( )

( ),

ในพรรษา
, ,
, ,
-

หลัง ออกพรรษา
,

,
“ ,
” ,

,
,
( )
ในพรรษา

( ),
,

ทั หลัง ออกพรรษา

นิ พพานเมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพรรษาที่ ๑๗ ฉะนั้นท่านจึงมี ทรงแสดงอนิ จจตาทิธรรมสูตร(ว่า


อายุ ๒๓ ปี
ด้วยสังขารไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน) แล้วตรัสกับพระสารี
( ) ะ
พักอยู่ที่บา้ นของราชคหเศรษฐี
บุตรว่า “บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญ าณ จงอุตสาหะอภิบาล
บ ารุ ง บิ ด ามารดา ประพฤติ กุ ศ ลสุ จ ริ ต ธรรม จัก สมปรารถนาทุ ก
ในพรรษา “ ประการ”
”, , , ,
,
ในพรรษา
หลังออกพรรษา


พระพุทธองค์ ครั้งหนึ่ งได้เข้าเฝ้ าทูลถามปั ญหาว่าบุ คคลในโลกมีกี่
ประเภท พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ามี ๔ ประเภทคือ ๑.บุคคลผูม้ ามืด
ไปมืด ๒.บุคคลผูม้ าสว่างไปมืด ๓.บุคคลผูม้ ามืดไปสว่าง ๔.บุคคลผู้
ต่อมา พระนางยโสธรา ทรงผนวชแล้ว ได้ชื่ อว่ า พระภัท ทากัจ จานา มาสว่ า งไปสว่ า ง และในครั้ ง หนึ่ งได้
ภิกษุ ณี เจริญวิปัสสนาอยู่ไม่ถึงกึ่งเดือน ได้บรรลุพระอรหัต เป็ นเลิศกว่าภิกษุ ณี
ทั้งหลายในทางผูบ้ รรลุอภิญญาใหญ่(นัง่ สมาธิครั้งเดียว สามารถระลึกชาติได้ถึง
อสงไขยแสนกัป)
พระนางรู ป นันทา หลัง จากพระนั น ทะบรรลุ พระอรหัตแล้ว ได้ออก
ผนวชแต่มิได้บวชด้วยศรัทธา แต่บวชด้วยความสิเนหาในพระญาติที่พากันบวช
นางปริพาชิกาชื่อ นางจิญจมาณวิกา รับอาสาพวกเดียรถียใ์ ส่ความพระ
หมด นางเป็ นผูห้ ลงในรูปของตน ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงติเตียนรูป แสดงโทษ
พุทธองค์ว่าเป็ นสามีและบริภาษพระพุทธองค์ต่อหน้ามหาชน ถูกธรณีสูบ
ของการหลงในรูปมากมาย จึงไม่กล้าเข้าไปเฝ้ า พระพุทธองค์จึงสัง่ ให้เข้าเฝ้ าตาม
วาระ ทรงเนรมิตรูปสตรี ให้เ ห็ น บรรลุ โสดาปั ตติ ผล ต่ อมาพระพุทธองค์ท รง หลังออกพรรษาที่ ๘ มาคันทิ ยพราหมณ์ ซึ่ งจะยกสู กสาวให้ พระ
แสดงกายคตาสติจนบรรลุอรหัตตผล พุทธองค์โปรดให้บรรลุอนาคามิผลและออกบวชบรรลุอรหัตตผล และนาธิดาซึ่ง
ผูกอาฆาตในพระพุทธองค์ไปฝากไว้กบั อาชื่อจูฬมาคันทิยา
วิสาขา กุลบุตรชาวกุรุรฐั ถุลลโกฏฐิตนิ คม ชื่อ รัฐปาละ อดข้าวถึง ๗ วัน ออก
บวชเป็ นเลิศกว่าภิกษุ ท้งั ปวงผูบ้ วชด้วยศรัทธา
หลังออกพรรษา ๕ ทรงเสด็จภัททิยนคร โปรดเมณฑกเศรษฐี
ดาบส ๕๐๐ เพราะได้พบรุกขเทวดาซึ่งเดิมเป็ นบริวารของอนาถบิณ
เด็ กหญิ ง วิ สาขาซึ่ งขณะนั้นมี อายุเพี ยง ๗ ปี (หลานสาวเมณฑก ฑิกเศรษฐี อุบัติขึ้นจากผลของอุโบสถครึ่งวัน แล้วทากาละในเย็นนั้ น ได้ฟัง
เศรษฐี ) นางจัน ทปทุ มา ธนั ญชัยเศรษฐี นางสุ ม นาเทวี และนาย ธรรมบรรลุอรหัตตผล, เศรษฐีกรุงโกสัมพี ๓ คน คือ โฆสกะ กุกกุฏะ และปาวาริ
ปุณณะ ทั้ง ๖ ได้บรรลุโสดาปั ตติผล, ต่อมาได้ กะ ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุโสดาปั ตติผล ถวายโฆสิตาราม ปาวาริการาม และกุก
กุฏาราม
ในพรรษาที่ ๙ นางสามาวดี ธิ ด าของภัท ทวดี เ ศรษฐี บ้า นเกิด โรค
พระสารี บุตรแสดง สังคีติสูตร ปรารภนิ ครนถ์นาถบุตรทากาละที่ ระบาด ได้อพยพมายังโรงทาน นายมิตตะคนแบ่งอาหารรับไว้เป็ นบุตรี โฆสก
นครปาวา เศรษฐีรบั ไว้เป็ นบุตรี ต่อมาได้อภิเษกเป็ นอัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน ต่อมาได้
ในพรรษาที่ ๖ ราชคหเศรษฐี กรุงราชคฤห์ แขวนบาตรไม้จนั ทน์แดง ฟั งธรรมจากนางขุช ชุตตรา ซึ่งบรรลุ โสดาปั ตติผลเป็ นเลิ ศในทางพหูสูต ได้
ไว้ พระปิ ณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้ นไปเอาบาตร (บัญญัติหา้ มแสดงฤทธิ์) บรรลุโสดาปั ตติผลตามพร้อมบริวาร ๕๐๐, พระนางวาสุลทัตตา ราชธิดาของ
หลังออกพรรษา ๖ พวกเดี ย รถี ย์คิ ดสร้า งส านั ก ขึ้ น ณ หลังพระ พระเจ้าจัณฑปั ชโชติ ได้เป็ นอัครมเหสี , นางมาคันทิยา ได้เป็ นอัครมเหสี แล้ว
วิหารเชตวัน ได้นาเครื่องบรรณาการถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอที่ดินเพื่อ จ้างคนไปบริภาษพระศาสดา แล้วหาทางทาลายนางสามาวดี จนพระเจ้าอุเทนห
ลงเชื่อ จับเรียงแถวยิงธนู ใส่ แต่ดว้ ยเมตตาศรจึงย้อนคืน พระเจ้าอุเทนถือไตร
สร้างสานัก ขณะกาลังก่อสร้าง พระพุทธองค์ได้ให้พระอานนท์ พระสารีบุตร และ
สรณคมน์ ต่อมา พระนางสามาวดีและบริวารบูชาพระธรรมแก่พระอานนท์
พระโมคคัลลานะ เข้าเฝ้ าแต่ไม่ให้พบ จนต้องเสด็ จไปเอง ทรงยก ภรุชาดก ขึ้ น
แสดง ต่อมาให้เป็ นอารามของภิกษุ ณีชื่อ ราชการาม ด้วยผ้าอุตตราสงค์ ๕๐๐ ผืน ในที่สุด พระนางมาคันทิยาจึงให้อาเปิ ดเรือนคลัง
พระพุทธองค์ ทรงแสดงยมกปาฏิ หาริย ์ ณ ต้นคัณฑามพพฤกษ์ (ต้น ผ้า และคลั ง น้ า มัน ปิ ดประตู จุ ด ไฟเผานางสามาวดี ท้ั ง เป็ น พระนางได้
มะม่วงของนายคัณฑะ) ในนครสาวัตถี เวลาบ่ายในวันเพ็ญ เดือน ๘, ปูรณกัสส กาหนดเวลาเป็ นอารมณ์ได้บรรลุสกิทาคามิผลบ้าง บรรลุอนาคามิผลบ้าง
ปะเจ้าสานักเดียรถียโ์ ดดน้ าฆ่าตัวตายบังเกิดในอเวจี หลังออกพรรษาที่ ๙ ณ สีสปาวัน พระองค์ทรงถือ ใบประดู่ลาย ๒-๓
ในพรรษาที่ ครั้นแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ได้เสด็จขึ้ นไปยัง ใบ แล้ว เปรี ยบกับใบบนต้น แล้วตรัสว่า สิ่งที่เรารูแ้ ล้วมิได้บอกยังมีอีกมาก เพราะ
สิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็ นไปเพื่อความหน่ าย เพื่อความตรัสรู้ สิ่งที่
ดาวดึงส์พิภพ ประทับนั ง่ เหนื อ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ ปาริฉัตตกะ
เราบอกแล้วคือ ทุกข์ สมุทัย นิ โรธ มรรค เพราะประกอบด้วยประโยชน์ เป็ นไป
แสดงธรรมโปรด ซึ่ งเสด็ จ ลงมาจากวิ มานชั้นดุสิตจนบรรลุ
เพื่อความหน่ าย ความหลุดพ้น และนิ พพาน
โสดาปั ตติผล
พระฉันนะด้วยความถือตน ไม่ยอมฟั งคาตักเตือนของภิกษุ ท้ังหลาย
พระพุท ธองค์ทรงตรัสสอนอังกุรเทพบุตรว่า ทานที่ให้แก่มหาชนแม้
และประพฤติผิดวินัยแต่ไม่ยอมรับผิด พระพุทธองค์ได้ลงอุกเขปนียกรรม พระ
มากมายแต่ว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคลมีผลน้อย แต่ทานทิ่อินทกเทพบุตร
ฉันนะกลับมาเฝ้ าพระศาสดาทูลขอขมา แต่ก็เปลี่ยนนิ สยั ได้เพียงชัว่ คราว
นั้นให้ดว้ ยภักษาเพียงทัพพีเดียวแก่พระอนุ รุทธะผูเ้ ป็ นทักขิไณยบุคคลรุ่งเรืองยิ่ง
พระสงฆ์ในกรุ งโกสัมพีทะเลาะกัน สาเหตุ จากพระวิ นัย ธรและพระ
กว่า
ธรรมกถึก ณ วัดโฆสิตาราม
พระพุท ธองค์เ สด็ จ ลงจากดาวดึ งส์ในวันมหาปวารณา ณ ประตูเมือง
ในพรรษาที่ ณ โคนไม้ภัททสาละ
สังกัสสะ ห่างจากกรุงสาวัตถี ๓๐ โยชน์ สถานที่เหยียบพระบาท ชื่อว่า อจลเจติย
สถาน, ท้าวสักกะให้วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตบันไดแก้วตรงกลางสาหรับพระ
หลังออกพรรษาที่ ๑๐ พระอานนท์นาภิกษุ ในที่ต่างๆ ๕๐๐ รูปเข้าเฝ้ า
ศาสดา บันไดทองอยู่ดา้ นขวาส าหรับเหล่ า เทวดา และบันไดเงินอยู่ดา้ นซ้า ย
สาหรับเหล่ามหาพรหม ฟั งธรรมบรรลุอรหัตตผล, ฝ่ ายภิกษุ ชาวเมืองโกสัมพีเข้าเฝ้ าขอขมาพระพุ ทธองค์
ที่พระวิหารเชตวัน พระพุทธองค์กล่าวว่า เธอทั้งหลายเป็ นบุตรของเรา ไม่ควร
ทาลายโอวาทที่บิดาให้ไว้ แล้วตรัส ทีฆีติโกศลชาดก ภิกษุ เหล่านั้นได้บรรลุโสดา
ปั ตติผล
หลังออกพรรษา ๗ พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งมีพระชนมายุเท่า พระศาสดาทรงแสดงเจดีย ์ ๓ ประเภทแก่พระอานนท์ คือ ธาตุเจดี ย์


บริโภคเจดีย์ อุเทสิกเจดีย์ แล้วพระอานนท์นาหน่อต้นโพธิ์มาปลูกข้างทางเข้า สิงคาลกมานพ ตรัสวินยั ของคฤหัสถ์,
พระเชตวัน นางสิริมา ธิดาของนางสาลวดีคณิกาซึ่งเป็ นน้องสาวของหมอชีวกโกมาร
ในพรรษาที่ ๑๒ จ าพรรษา ณ ควงไม้สะเดา เมื องเวรัญ ชา ทั้งเกิ ด ภัจจ์ ฟั งธรรมแล้วบรรลุโสดาปั ตติผล นิ มนต์พระภิกษุ รับบาตรเป็ นประจา ได้ถึง
ทุพภิกขภัย ประชาชนตายจานวนมาก พ่อค้าม้า ชาวอุตตราปถะ นาม้า ๕๐๐ แก่กาละ บังเกิดเป็ นเทวีของท้าวสุยามะ พระพุทธองค์ทรงขอให้งดฌาปนกิจศพ
มาถึ งติ ดฤดูฝ น ถวายข้าวแดงจากอาหารของม้าตลอดพรรษา โดยเวรัญช แล้ว ทรงแสดงอสุ ภ กรรมฐานโปรดภิ กษุ ท้ังหลาย จบแล้ว สิ ริ ม าเทพกัญญาได้
พราหมณ์ถูกมารดลใจให้ลืมว่าได้อาราธนาให้พระพุทธเจ้าจาพรรษา ด้วยวิบาก บรรลุอนาคามิผล
กรรมที่พระพุทธองค์เคยบริภาษบรรดาสาวกของพระผุสสะพุทธเจ้าที่ฉันอาหาร พระมหากัสสปะ อาพาธหนัก พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗
อันประณึตว่า “พวกสมณะโล้น ท่านจงกินข้าวแดงแต่เพียงอย่างเดียวเถิด อย่า เป็ นเหตุให้หายจากอาพาธ
กินอาหารมีรสเลย” พระองค์จึงต้องเสวยแต่ขา้ วแดงตลอดพรรษา หลัง ออกพรรษาที่ ๑๙ ทรงเสด็ จ ไปกรุ ง สาวัต ถี โปรดปุ ณณมาณพ
หลังออกพรรษาที่ ๑๒ พระมหาปชาบดีโ คตมี เถรี เข้าเฝ้ า ณ กรุงเว พ่อค้าชาวเมืองสุนาปรันตะ ตรัสปุณโณวาทสูตร
สาลี ทูลลาปริ นิพพาน พระศาสดา พระนั นทะ พระราหุ ล และพระอานนท์ โปรดโจรองคุลิมาล, สัน นิ ษ ฐานว่ า นางวิ ส าขาเริ่ ม สร้า งมิค ารมาตุ
พร้อ มพระภิ ก ษุ ส งฆ์ไ ด้เ สด็ จ ไปส่ งพระมาตุ จ ฉาถึ งซุ ม้ ประตูส านั กภิ กษุ ณี เ พื่ อ ปราสาท ในอุทยานบุพพาราม
ปริ นิพพาน เกิด แผ่ นดิ น ไหว ทวยเทพพากันคร า่ ครวญ ฝนดอกไม้ต กลงจาก
อากาศ ขุนเขากัมปนาทหวัน่ ไหว มหาสาครก็ปั่นป่ วน
พระอานนท์
สุ ทิ น น์กลัน ทบุต ร อยู่ใ กล้กรุ ง เวสาลี ออกบวชแล้ว ภายหลัง เสพ ในพรรษาที่ ๒๐ พระอานนท์ โอรสแห่ ง พระ เจ้า สุ ก โกทนะได้รั บ
เมถุนธรรมกับภรรยาเก่า ต่อมาได้บุตรเป็ นชายชื่อ พีชกะ พระพุทธองค์ทรง แต่งตั้งเป็ น พุทธอุปัฏฐากประจา โดยขอพร ๘ ประการ
บัญญัติสิกขาบทว่าเป็ นอาบัติปาราชิก นับเป็ น ปฐมบัญญัติในพระธรรมวินยั ในพรรษาที่ ๒๑ ณ กรุงสาวัตถี พระพุทธองค์ทรงเลิกโอวาทปาฏิโมกข์
หลังออกพรรษาที่ ๑๓ ขณะประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ท้าวสักกะให้เทวดา แล้ว อนุญาตอาณาปาติโมกข์
องค์หนึ่ งเข้าเฝ้ าพระพุทธองค์เพื่อทูลถาม “มงคลอันสูงสุด ”, ภิกษุ ๕๐๐ รูป ในพรรษาที่ ๒๖ สันนิ ษฐานว่า ในพรรษานี้ พระราหุลปรินิพพาน ณ
บาเพ็ญสมณธรรมในป่ า ถูกเทวดาหลอกจึงเข้า เฝ้ าพระพุทธองค์ๆ ทรงแสดง ดาวดึงสพิภพ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๒ พรรษา (อ้างอิง ที.ม.เล่ม๒ ภาค๒ กล่าว
“กรณียเมตตปริตร” (เมตตาสูตร), พระปูติคตั ตติสสเถระ อาพาธเป็ นตุ่มขึ้ น ว่า พระราหุล ไม่เ คยเหยียดหลังบนเตี ย งเลยตลอดเวลา ๑๒ ปี หลังจากบรรลุ
เต็มตัว กายเน่ าและกระดูกแตก เพราะผลจากบุพกรรมเป็ นพรานนกหักขานก อรหัตตผล)
พระพุทธองค์ทรงพยาบาลด้วยพระองค์เอง, พาหิยทารุจีริยะ อยู่ที่ท่าสุปปาร
กะ เดินทาง ๑๒๐ โยชน์ เข้าเฝ้ าพระพุทธเจ้าฟั งธรรมแล้วบรรลุอรหัตตผลเป็ น
เลิศทางตรัสรูเ้ ร็ว, เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปประทับ ณ พระเวฬุวนั พระอัญญา ประมาณพรรษาที่ ๓๗ หลังออกพรรษาแล้ว พระพุทธองค์ประทับ
โกณฑัญญะ ซึ่งทูลลาไปเจริญสมณธรรม ณ สระมณฑากินี ป่ าฉัททันต์ หินวันต์ ณ โฆสิ ตาราม พระเทวทัต (
เป็ นเวลาถึง ๑๒ ปี กลับมาเฝ้ า ทูลลาปรินิพพาน
ย ) ริษยาในลาภของพระพุทธองค์และพระสาวก
ในพรรษาที่ ๑๔ ณ พระวิหารเชตวัน สามเณรราหุลมีอายุครบ ๒๐ ปี
จึงเดินทางไปกรุงราชคฤห์ พักอยู่ที่ คยาสีละ แสดงฤทธิ์ต่อเจ้าชาย
ได้รบั อุปสมบทเป็ นพระภิกษุ โดยพระสารีบุตรเป็ นพระอุปัชฌาย์ พระโมคคัลลา
นะเป็ นพระกรรมวาจาจารย์ หลังจากนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดง จูฬราหุโลวาท อชาตศัตรู ต่อมา พระเทวทัตเกิดความคิดต้องการบริหารภิกษุ สงฆ์
สูตร แก่พระราหุล ณ ป่ าอันธวัน จนบรรลุอรหัตตผล เอง จึงเสื่อมจากฤทธิ์ แล้วเข้าเฝ้ าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวนั กราบทูล
หลังออกพรรษาที่ ๑๔ ภิกษุภทั ทวัคคีย ์ ๓๐ รูป ที่ได้รับเอหิภิกขุหลัง ว่ า พระพุ ท ธองค์ ท รงพระชราแล้ ว ขอทรงมอบภิ ก ษุ สงฆ์ แ ก่
ตรัสรูใ้ หม่ๆ ได้ไปบาเพ็ญเพียรที่ป่าไฐยรัฐ เมืองปาฐา(ปาเฐยยะ) ในแคว้นมัลละ ข้าพระพุทธเจ้าปกครองเถิด พระพุทธองค์ตรัสปฏิเสธ จีงคิดว่าพระ
ปาวา ก่อนเข้าพรรษานี้ ตั้งใจจะเข้ามาเฝ้ าแต่มาไม่ทนั จีงจาพรรษาที่เมืองสาเกต พุทธองค์ไม่เห็นแก่หน้าเราเลย จึงผูกอาฆาตพระพุทธองค์ พระพุทธ
ออกพรรษาแล้วจึงได้เข้ามาเฝ้ าได้ฟัง อนมตัคคธรรมเทศนา บรรลุอรหัตตผล
องค์ทรงให้พระสารีบุตรกระทาปกาสนี ยกรรม ประกาศว่า พระ
แล้ว พระพุ ท ธองค์ท รงปรารภเหตุ ภิ ก ษุ ภัท ทวัค คี ย์เ ดิ นทางยากลาบาก แล้ว
อนุญาตการกรานกฐิน แล้วจะได้รบั อานิ สงส์ ๕ ปราการ เทวทัตเปลี่ยนไปแล้ว จะกระทาสิ่งใดก็ตาม ไม่พึงเห็นว่าพระสงฆ์เป็ น
ในพรรษาที่ ๑๕ ทรงเสด็ จ นครกบิล พัส ดุ์ ประทับ ณ นิ โ ครธาราม เช่นนั้น พึงทราบว่าเป็ นการกระทาเฉพาะพระเทวทัตเอง ต่อมา พระ
ปรารภพระเจ้าสุปปพุทธะแล้วตรัสว่า ทรงผูกอาฆาตพระพุทธองค์เพราะ ๑.พระ เทวทัตได้ ส่วนตนจะปลงพระชนม์พระ
สมณโคดม ทอดทิ้ งลูกสาวเราออกบวช ๒.พระสมณโคดมให้ลูกชายเรา(เทวทัต) ศาสดา แล้วเป็ นพระพุทธเจ้าเสี ยเอง อชาตศัตรูปลงพระชนม์พระ
บวชแล้วกลับจองเวรต่อลูกชายเรา วันหนึ่ งพระเจ้าสุปปพุทธะสัง่ ปิ ดกั้นทางที่พระ เจ้าพิมพิสารแล้ว พระเทวทัตได้ให้ นู ลอบปลงพระชนม์พระพุทธ
พุทธองค์จะเสด็จเพื่อบิณฑบาต แล้วนั ง่ เสวยน้ าจัณฑ์อยู่ในระหว่างทางนั้ น เมื่อ องค์ ในครั้งที่ ส อง
พระพุทธองค์เสด็จมาถึง ไม่มีทางไปจึงเสด็จกลับ ตรัสกับพระอานนท์ว่า ในวันที่
ในครั้งที่สาม ทาร้ายพระพุทธองค์
๗ นั บแต่วนั นี้ พระเจ้าสุปปพุทธะจักถูกธรณีสูบที่ใกล้เชิงบันไดภายในปราสาท
ของเธอนั้ นเอง พระเจ้าสุปปพุทธะทราบข่าวจึงขึ้ นไปอยู่บนประสาทชั้น ๗ แล้ว ขณะบิณฑบาต เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้ นในกรุงราชคฤห์ มหาชนรูเ้ ห็น
ชักบันได ปิ ดประตู ตั้งคนแข็งแรงประจาที่ประตูๆ ละ ๒ คน ครั้นวันที่ ๗ ม้าเกิด กันทัว่ ไป ต่ างกล่ าวว่า พระเทวทัตนี้ บาปหนั กนั ก คิดปลงพระชนม์
คะนอง พระเจ้าสุปปพุทธะ ต้องการจับม้า ลงจากปราสาท ประตูท้งั ๗ ชั้นเปิ ด พระพุทธเจ้า เหตุ ใดพระราชาเรายังอุปถัมภ์อยู่ พระเจ้าอชาตศัตรู
ออกเอง บันไดที่ชกั ไว้ก็กลับมาอยู่ที่เดิม เมื่อถึงพื้ นก็ ถูกแผ่นดินสูบ ลงไปเกิดใน กลับได้สติ ตัดการบารุงและห้ามพระเทวทัตเข้าเฝ้ าอีก พระเทวทัตจึง
อเวจีมหานรก วางแผน โดยเข้าเฝ้ าพระพุทธองค์ทูลเสนอข้อปฏิบตั ิเพื่อ
ในพรรษาที่ ๑๖ ณ เมืองอาฬวี โปรดอาฬวยักษ์ บรรลุโสดาปั ตติผล ความมักน้อย ๕ ประการ เมื่อทรงปฏิเสธ พระเทวทัตจึงประกาศให้
หลังออกพรรษาที่ ๑๖ ขณะประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงโปรด
มหาชนเข้าใจว่าตนเป็ นผูข้ ดั เกลา ส่ วนพระพุทธองค์เป็ นผูม้ ักมาก

พระพุทธองค์ทรงทราบจึงโปรดให้เข้าพบ พระเทวทัตรับว่าจริง พระ .
พุทธองค์ทรงตรัสเตื อนว่าอย่าได้พอใจในการทาลายสงฆ์ และทรง . เ
แสดงถึ ง ผลกรรมอัน หนั ก แต่ พ ระเทวทัต มิ ไ ด้ส นใจ ต่ อ มา พระ .
เทวทัตได้แ จ้งพระอานนท์ขณะบิ ณฑบาตว่า ตั้งแต่วัน นี้ ไป จัก .
แยกทาอุโบสถจากพระพุทธเจ้าและภิกษุ สงฆ์ ต่อมาพระสารีบุตร
น าภิ ก ษุ บ วชใหม่ ก ลับ มา แล้ว กราบทูล ว่ า สมควรให้ภิ ก ษุ เหล่ า นี้
อุปสมบทใหม่อีกครั้งหนึ่ ง พระพุท ธองค์ทรงตรัสว่า อย่าเลย เธอจง ประมาณพรรษาที่ ๔๓ พระยโสธราเถรี (พระภัททากัจจานาภิกษุ ณี )
ทูลลาปรินิพพาน “..บัดนี้ หม่อมฉันมีอายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้าปั จฉิมวัน หม่อมฉันขอ
ให้ภิกษุ เหล่านั้นแสดงอาบัติถุลลัจจัยเถิด พระเทวทัตเสียใจล้มป่ วยถึง
ถวายบังคมพระยุคลบาท ทูลลานิ พพาน เมื่อหม่อมฉันท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ
๙ เดื อ น ภายหลัง ขอให้ส าวก หากมีความพลาดพลั้งใดในพระองค์ ขอทรงโปรดอดโทษแก่หม่อมฉันเถิด”
จม ถึ งคอ พระ
เทวทัต กล่าวว่า “ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์น้ั นว่าเป็ นที่
พึ่งด้วยกระดูกเหล่านี้ พร้อมด้วยลมหายใจ” แล้วบังเกิดใน มหา หลังออกพรรษาที่ ๔๔ พระสารีบุตร เข้าเฝ้ าพระศาสดา ณ พระ
นรก (อรรถกถากล่าวว่า ในอนาคตจักได้เป็ นพระปั จเจกพุทธเจ้าพระ วิหารเชตวัน เพื่อ ทูลลาปรินิพพานในอีก ๗ วัน ณ ห้องที่ถือกาเนิ ด
นามว่า อัฏฐิสสระ) ในนาลกคาม เพื่อโปรดมารดา(ให้บรรลุโสดาปั ตติผล) จึงเดินทางไป
ประมาณพรรษาที่ ๓๘ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงสานึ กในความผิดที่ปลง พร้อมพระจุนทเถระ พร้อมภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อถึงบ้านแล้วก็เกิด ปั ก
พระชนม์พระบิดามีความเดือดร้อนพระทัย รับสัง่ ให้หมอชีวกฯพาไปเฝ้ าพระ
ขัน ธิ ก าพาธ(ท้อ งร่ ว ง) ครั้น จวนสว่ า ง ท่ า นได้เรี ยกประชุ ม สงฆ์ที่
พุทธองค์ ซึ่งประทับอยู่ที ชีวกัมพวัน ทรงแสดงสามัญญผลสูตร หลังจากพระ
เจ้าอชาตศัตรูกลับไปแล้ว พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า เธอจักต้องบังเกิดในโลห
ติดตามมาแล้วว่า “ผูม้ ีอายุ พวกท่านอยูก่ บั เรามาถึง ๔๔ ปี หากท่าน
กุมภีนรก ภายหลังจักได้เป็ นพระปั จเจกพุทธเจ้าพระนามว่า ชีวิตวิเสสะ ไม่ชอบใจกรรมในทางกาย หรือทางวาจาของเราอันใด ผูม้ ีอายุจงงด
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพิโรธที่พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระราช โทษนั้ นเสียเถิด” ครั้นเมื่ออรุณรุ่งพระสารีบุตรก็นิพพาน ตรงกับวัน
บิดาตนเอง จึงออกรบกันหลายครั้งผลัดกันแพ้ชนะ สุดท้ายทรงจับพระเจ้าอชาต ขึ้ น ๑๕ คา่ เดือน ๑๒ ได้ก่อสถูปไว้ ณ พระวิหารเชตวัน
ศัตรูได้ แต่ทรงปล่อยไปเพราะเห็นเป็ นหลาน และยกพระธิดาชื่อวชิราให้อภิเษก จากนั้ น พระพุทธองค์ทรงเสด็ จไปยังพระวิ หารเวฬุวัน กรุ ง
ด้วย
ราขคฤห์ พวกเดียรถียจ์ า้ งพวกโจรไปทาร้าย
พระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้งเสด็จเฝ้ าพระพุทธองค์ที่ เมทฬุ ปะ แคว้น
สักกะ ก่อนเข้าสู่พระคันธกุฎไี ด้มอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ให้ ทีฆการยนะอามาตย์ ตาบล แคว้นมคธ พวก พระโมคคัลลา
เก็บรักษา แต่ทีฆการยนะคิดกบฏเพราะความอาฆาตที่พระเจ้าปเสนทิโศลสัง่ นะ ท่านประสานกายด้วยกาลังฌานแล้วได้เข้าเฝ้ าพระ
ประหารชีวิต พันธุละเสนาบดี ผูเ้ ป็ นลุงพร้อมบุตรชาย ๓๒ คน จึงนาเครื่องราช ศาสดาเพื่อทูลลาปรินิพพาน ในวัน ก่อ
กกุธภัณฑ์ สัญญลักษณ์ของกษัตริยถ์ วายแก่ วิฑฑ ู ภะ และพระนางวาสภขัตติ ไว้ ณ ซุม้ ประตูพระวิหาร
ยา แต่งตั้งให้เป็ นพระราชา เหลือเพียงม้าตัวหนึ่ งพร้อมนางทาสีคนหนึ่ งไว้ให้ ระยะนั้ น พระเจ้า อชาตศัตรู ต้องการรวมแคว้นวัช ชี ไ ว้ในอานาจของ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ๆ เสด็จออกมาจากพระคันธกุฎี ทราบความจากนางทาสี แคว้นมคธ จึงส่งวัส สการพราหมณ์ไปเฝ้ าพระพุทธองค์ เพื่อต้องการทราบว่ า
แล้ว จีงเสด็จไปกรุงราชคฤห์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ประตูเมืองปิ ดแล้ว จึงทรง พระพุทธองค์จะทรงพยากรณ์อย่างใด ทรงแสดงอปริหานิ ยธรรม ๗ ประการ
บรรทมในศาลาหนึ่ งนอกเมือง เนื่ องจากทรงเหนื่ อยล้าจากการเดิ นทางและทรง เป็ นเหตุหา้ มทัพได้ถึง ๓ ปี
พระชรามากแล้ว จึง ทรงสวรรคต ในคืนนั้นเอง ครั้นเสด็ จไปยัง นาทิกคาม ขณะทรงพยากรณ์คติของอุบาสกชาวบ้าน
วิฑฑู ภะ ในครั้งที่ได้รับตาแหน่ งเสนาบดีตอนอายุ ๑๖ พระชันษา เสด็ จ นาทิกะ ชนวสภยักษ์ (พระเจ้าพิมพิสาร) ได้เข้ามาเฝ้ ากราบทูลว่า ได้บงั เกิด
เยื่ย มศากยตระกูล แต่ ถูกดูห มิ่นผูกใจเจ็ บ ครั้นเสวยราชแล้ว จึงยกกองทัพไป เป็ นสหายของท้า วเวสวัณมหาราช แล้วจักบังเกิดเป็ นราชาในหมู่มนุ ษย์อีก ๗
หมายจะล้างศากยตระกูล พระพุทธองค์ทรงเสด็ จไปห้ามทัพหลายครั้ง ในที่สุด ชาติ จากนั้ นทรงแสดง ปฐมมรณัส สติสูตร ทุ ติย มรณัส สติสูตร จากนั้น ทรง
เห็นว่าเป็ นกรรมที่กระทาต่อกันมา จึงปล่อยให้รบกัน ศากยราชล้มตายเป็ นอัน เสด็จไปกรุงเวสาลี นางอัมพปาลีถวายสวนมะม่วง อัมพปาลีวัน เป็ นอาราม
มาก ขณะวิฑฑู ภะเสด็จกลับถูกกระแสน้ าท่วมทับสิ้ นพระชนม์ สุดท้าย ต่อมานางอัมพปาลีออกบวช อาศัยความเสื่อมโทรมแห่งสรีระ บังเกิด
แต่ในธรรมเจติยสูตร ธรรมเจติยสูตร (ม.ม.๑๓/๕๖๙/๒๐๑) พระเจ้าปเสนทิ ความสังเวช ได้บรรลุอรหัตตผล
โกศลกล่าวสรรเสริฐพระพุทธเจ้า ดังนี้ ว่า
[๕๖๙] ข้าแต่ พระองค์ผูเ้ จริ ญ อี กประการหนึ่ ง แม้พระผูม้ ี พระภาคเจ้าก็ เป็ น พรรษาที่ ๔๕ ทรงพระประชวรหนัก จวนจะปรินิพพานแต่ทรงอดกลั้น
กษัตริย์ แม้หม่อมฉันก็เป็ นกษัตริย์ แม้พระผูม้ ีพระภาคเจ้าก็เป็ นชาวโกศล แม้หม่อมฉัน เวทนาไว้ ท้าวสักกะทรงเข้าเฝ้ าอุปัฏฐาก,
ก็เป็ นชาวโกศล แม้พระผูม้ ี พระภาคเจ้าก็มีพระชนมายุ ๘๐ ปี แม้หม่อมฉันก็มีอายุ หลังพรรษาที่ ๔๕ แล้ว บ่ายวันหนึ่ งภายหลังเสร็จภัตกิจในกรุงเวสาลี
๘๐ ปี ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ ด้วยเหตุ นี้แล หม่อมฉันจึงได้ทาความเคารพนบนอบเป็ น แล้ว ทรงชวนพระอานนท์ไปยังปาวาลเจดีย์ ตรัสถึงอิทธิบาท ๔ ว่า ผูใ้ ดเจริญให้
อย่างยิ่งในพระผูม้ ีพระภาคเจ้า และแสดงอาการเป็ นฉันท์มิตร ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ ถ้า มาก เมื่อปรารถนาก็จะพึงดารงชีพอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป แม้ตถาคตเมื่อ
เช่นนั้น หม่อมฉันขอทูลลาไป ณ บัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก. ปรารถนาก็จะพึงดารงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป ตรัสย้าเช่นนี้ ถึง ๓ ครั้ง
ฉะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ควรสวรรคตในปี เดียวกับพระพุทธเจ้า แต่พระอานนท์ไม่ได้เฉลียวใจ มิได้อาราธนากราบทูลให้ทรงดารงอยู่ตลอดกัป
๔๕ ๕ เมื่อพระอานนท์หลีกมาแล้ว มารได้เข้ามากราบทูลให้ปรินิพพาน พระพุทธองค์
ทรงปลงพระชนมายุสงั ขารในวันเพ็ญ เดือนมาฆะ
.


เช้าวันต่อมา พระพุทธองค์ทรงเสด็ จบิณฑบาตในกรุงเวสาลี ครั้งแรก ฯลฯ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็ นอุบาสกถวายพระเชตวัน ; ถ้า
ภายหลังภัตก่อนออกเดินทาง ทรงหัน กรุง เป็ น ถือตามพระวินัยปิ ฎก พรรษาที่ ๓ น่ าจะประทับที่พระเชตวัน นครสา
ครั้งสุดท้าย แล้วเสด็ จต่ อไป จน โภคนคร ประทับอยู่ ณ อานั นท วัตถี)
เจดี ย์ ทรงแสดงมหาปเทส ๔ ส าหรับ ภิ ก ษุ แล้ว เสด็ จ ต่ อ ไปยัง พ. ๕ กูฏาคารในป่ ามหาวัน นครเวสาลี (โปรดพุทธบิดาปรินิพพานที่
ะ หลัง เสวย กรุงกบิลพัสดุ์ โปรดพระญาติที่วิวาทเรื่องแม่น้ าโรหิณี มหาปชาบดี
ภั ต ต า ห า ร แ ล้ ว เ กิ ด โ ล หิ ต ปั ก ขั น ทิ ก า พ า ธ อ ย่ า ง แ ร ง ก ล้ า ผนวช เกิดภิกษุ ณีสงฆ์)
( ) ใกล้ป ริ นิ พ พาน แต่ ท รงอดกลั้ น เวทนามิ ไ ด้ พ. ๖ มกุลบรรพต (ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริยท์ ี่นครสาวัตถี)
หวัน่ ไหว ตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจักไปกรุงกุสิ นารา พ. ๗ ดาวดึงสเทวโลก (แสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา)
พ. ๘ เภสกลาวัน ใกล้เมืองสุงสุ มารคีรี แคว้นภัคคะ (พบนกุลบิดา
และนกุลมารดา)
พ. ๙ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี
พ. ๑๐ ป่ าต าบลปาริ เลยยกะ ใกล้เ มื อ งโกสัม พี (ในคราวที่ ภิ ก ษุ

ชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน)
พ. ๑๑ หมู่บา้ นพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พ. ๑๒ เมืองเวรัญชา
“ พ. ๑๓ จาลิยบรรพต
พ. ๑๔ พระเชตวัน (พระราหุลอุปสมบทคราวนี้ )
” พ. ๑๕ นิ โครธาราม นครกบิลพัสดุ์
“ พ. ๑๖ เมืองอาฬวี (ทรมานอาฬวกยักษ์)
พ. ๑๗ พระเวฬุวนั นครราชคฤห์
” พ. ๑๘, ๑๙ จาลิยบรรพต
พ. ๒๐ พระเวฬุวนั นครราชคฤห์ (โปรดมหาโจรองคุลิมาล, พระ
อานนท์ได้รบั หน้าที่เป็ นพุทธอุปัฏฐากประจา)
พ. ๒๑–๔๔ ประทับสลับไปมา ณ พระเชตวัน กับบุ พพาราม พระ
นครสาวัต ถี (รวมทั้ง คราวก่ อ นนี้ ด้ว ย อรรถกถาว่ า พระพุ ท ธเจ้า
E ประทับที่เชตวนาราม ๑๙ พรรษา ณ บุพพาราม ๖ พรรษา)
พ. ๔๕ เวฬุวคาม ใกล้นครเวสาลี
( )
........................................

( )

........................................
พุทธกิจ ๔๕ พรรษา (พจน์ศัพท์)
ในระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบาเพ็ญพุทธกิจ พระพุทธเจ้า
ได้เสด็ จไปประทับจาพรรษา ณ สถานที่ต่างๆ ซึ่งท่านได้ประมวลไว้
พร้อมทั้งเหตุการณ์สาคัญบางอย่างอันควรสังเกต ดังนี้
พรรษาที่ ๑ ป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุ งพาราณสี (โปรดพระ
เบญจวัคคีย)์
พ. ๒, ๓, ๔ พระเวฬุวนั กรุงราชคฤห์ (ระยะประดิษฐานพระศาสนา
เริ่มแต่โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ได้อคั รสาวก ฯลฯ เสด็จนครกบิลพัสดุ์

You might also like