Love Sick2

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 154

Love sick series 2

23rd CHAOS
ในที่สุดก็มาถึงวันจริงของงานบอล ที่วันซ้อมว่าเหนื่อยแล้ว แต่วันจริงเหนื่อยชิบหาย ผมไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนเพราะต้องวิ่งวุ่นเรื่องชุด เรื่อง
เครื่องดนตรี เรื่องจิปาถะอะไรทั้งหลาย งีบไปหน่อยนึงตอนตีสอง โดนไอ้โอมเตะปลุกตอนตีสองยี่สิบห้า เพราะฮอร์นมีปัญหา เชี่ยไรวะ วัน
ก่อนก็ซ่อมไปแล้วทําไมยังพังอีก ถึงเวลาทําเรื่องซื้อฮอร์นใหม่ได้แล้วมั้งเนี่ย สรุปว่าจนถึงตอนนี้ผมเพิ่งได้นอนไปยี่สิบห้านาที และก็สะโหลสะ
เหลมาถึงสนามศุภฯตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ แดดตอนเช้าส่องลงมาแรงมากจนน้อง ๆ ในวงโยฯทําท่าจะเป็นลมหลายคน ผมต้องวิ่งวุ่นไปคุ้ยกล่อง
ปฐมพยาบาลซึ่งโชคดีที่เตรียมมา มาถือไว้ กลายเป็นมือหนึ่งถือวอ (วอล์กกี้ทอล์กกี้) มือหนึ่งถือกล่องปฐมพยาบาล แถมยังต้องวิ่งเอาเครื่อง
ดนตรีไปซ่อมเป็นระยะ ๆ หรือถ้ามีของบางอย่างที่ขาดจริง ๆ ก็ต้องใช้ให้รุ่นน้องที่ว่างอยู่วิ่งไปซื้อจากสยามมาให้ เฮ้อ.. วุ่นวายดีแท้
"เฮ้ย! อย่าเพิ่งเป็นลม ๆๆ" นั่นไง! ยังไม่ทันขาดคํา.. ผมรีบหันไปประคองน้องเอตําแหน่งคลาริเน็ตที่หน้าไม่เหลือสีเลือดแล้ว พลางคว้ าเอา
ผ้าขนหนูชุบนํ้ามาซับให้มันเพราะดูซีดมาก แถมนอกจากต้องดูแ ลน้องในวงแล้ว หูก็ยังต้องคอยฟังและตอบวอจากคนโน้นคนนี้เป็นระยะอีก
ทําเอามึนไปเหมือนกัน
"แบงค์เรียกโน่ วงพร้อมยังครับ" เสียงเรียกชื่อผมดังก้องอยู่ในเฮดโฟนจนสะดุ้ง ต้องรีบกดวอตอบกลับเป็นการใหญ่
"โน่ตอบแบงค์ ก็พร้อมแล้วครับ"
"ครับ งั้นตั้งแถวได้เลยครับ" เอาวะ... สู้ ๆ ผมตบหลังเรียกน้องวงโยฯทั้งหมดให้ลุกขึ้น ก่อนจะวอส่งต่อไปให้ไอ้ฟิล์มที่ตอนนี้เสือกหายหัวไป
ไหนแล้วไม่รู้
"โน่เรียกฟิล์ม ไปประจําจุดด้วยครับ กําลังจะส่งน้องไปแล้ว"
"ฟิล์มตอบโน่ ครับ กําลังไปครับ" มึงหายไปหลีหญิงมาชัวร์ ๆ ผมส่ายหัวให้ ไอ้เพื่อนหน้าม่อ ก่อนจะเดินนําน้องในวงไปยังจุดตั้งแถว แต่ก็มี
เสียงหนึ่งเรียกชื่อผมดังเข้ามาในวอซะก่อน
"เอิ้นเรียกโน่ อย่าลืมนัดของเรานะ" เอ๊ะ ไอ้ห่านี่... มึงโผล่มาจากไหนวะ?? ผมมองวองง ๆ แต่ก็กดตอบกลับไป
"โน่ตอบเอิ้น เออ รอกูเสร็จก่อนครับ" วอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมีคนพูดต่อเข้ามา
"อย่าเล่นวอครับ.." เล่นเอาผมหลุดขําเสียงดังทันทีจนรุ่นน้องแถวนั้นต้องหันมามองด้วยสีหน้างง ๆ ก็นี่มันเสียงไอ้ปุณณ์นี่หว่าาาา ***
เมื่อแถว marching band ทยอยเดินขบวนลงสนามศุภชลาศัย ผมก็ไม่มีหน้าที่อะไรต้องสะเออะไปเจ๋อแถวนั้นอีก (เพราะมีไอ้ฟิล์มกับไอ้โอม
คุมอยู่แล้ว) แต่หน้าที่ใหม่ของผมคือวิ่งไปใต้แสตนเพื่อขอเช็คภาพจากจอมอนิเตอร์ว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหนในขบวนบ้าง แล้ววอบอกไอ้ฟิล์ม
อีกที ผมเดินกึ่งวิ่งไปใต้แสตนที่มีทั้งฝ่ายเชียร์ เทคนิค ดีไซน์เนอร์ นั่งใส่ชุดหมีปฏิบัติงานกันอยู่ พลางโบกมือไอ้ให้มาร์คฝ่ายดีไซน์ที่วาดผังแก้
แสตนใหม่หน้าตาตื่นแต่ก็ยังมีอารมณ์ชูมือทักผม (ยังมีเวลานะมึง) ตรงใกล้ ๆ กันนั้นเป็นไอ้โมที่วันนี้รับหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ยืนหน้า เครียดคุย
กับเหน่งฝ่ายสวัสฯ พร้อมกางแปลนอะไรไม่รู้ในมือ ท่าทางตอนนี้มีแต่คนยุ่งว่ะ ผมลุกลี้ลุกลนหามอนิเตอร์ที่จะช่วยผมได้ แต่ยืนเคว้งอยู่แค่ไม่
นาน น้องแพงม.4 ก็กวักมือเรียกผมยิกทันที
"เครื่องนี้พี่!" ผมยิ้มพลางวิ่งไปนั่งปุลงข้าง ๆ น้อง ภาพที่เห็นในจอคือวงโยฯ และขบวนย่อยกองร้อยต่าง ๆ ที่เดินอยู่ในสนาม อันที่จริงแล้ว
ผมไม่ได้ตั้งใจดูเท่าไหร่หรอกเพราะมัวแต่คุยกับไอ้แพงเรื่องปังย่าเพลิน เหอ ๆๆ (ห้ามบอกไอ้ฟิล์มกับไอ้โอมเรื่องนี้เด็ดขาด) แน่นอนว่าผมเห็น
หลังไอ้ปุณณ์ใส่ชุดหมีอยู่ไว ๆ แถว ๆ นั้น (มันอยู่ฝ่ายเทคนิคครับ อันนี้ผมก็เพิ่งรู้ตอนเห็นมันใส่ชุดฟอร์มเหมือนกัน) แต่ไม่ได้สนใจอะไรมาก
เพราะกําลังยุ่งอยู่ จนน้องแพงที่กําลังคุยกับผม อยู่ดี ๆ ก็เงียบไป
"มีไรฮะพี่ปุณณ์?" หา??? อะไรวะ? พอผมได้ยินน้องแพงพูดอย่างนั้น ก็ต้องหันกลับไปมองด้านหลังตัวเองทันที กลายเป็นหน้าไอ้ปุณณ์ ภู
มิพัฒน์ สะเออะมานั่งยอง ๆ เจ๋ออยู่ข้างหลังผม ทั้งที่บนหัวมันเองยังมีเฮดโฟนอันเบ้อเร้อครอบอยู่
"ขอนั่งนี่ได้ปะ แลกกัน" มันพูดงั้นกับน้องแพง ผมล่ะแทบอยากตบกะโหลกมัน.. แน่นอนว่าด้วยอํานาจแห่งรุ่นพี่รุ่นน้อง น้องแพงจึงต้องยอม
ลุกเปลี่ยนหน้าที่กับไอ้ปุณณ์ ผู้มีอิทธิพลแต่โดยดี.. เหอะ ๆๆๆ... มันยังมีหน้ามายิ้มกว้างพลางถอดเฮดโฟนที่ครอบหัวตัวเองออกส่งให้น้องต่อ
"เอานี่ไปด้วย เอิ้นกําลังสั่งงานอยู่ช่อง 2" แถวบ้านกูเรียกโยนงานปะวะ
"แล้วน้องเขาจะทําได้เหรอ?" ผมกระซิบถามมันแผ่ว ๆ แต่เห็นมันแค่คลี่ยิ้มสบาย ๆ พลางรับเอาเฮดโฟนน้องแพงมาใส่ ตอนนี้มันเลยได้ฟัง
สัญญาณช่อง 11 เหมือนกันกับผม
"ทําได้สิ ดูถูกทําไมวะ" ปุณณ์พูดพลางกดคอมพิวเตอร์ยุกยิกนิดหน่อยเพื่อเปลี่ยนมุมกล้องให้เห็นแถววงโยฯที่กําลังเดินอยู่ชัดขึ้นไปอีก พลาง
หันมายิ้มเผล่
"กูรู้ใจมึงมากกว่า"
"ปากดีนะมึง........" ผมด่ามันอย่างนั้นแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นวงชัดขึ้น ก่อนจะวอไปบอกไอ้ ฟิล์มว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนบ้าง ใช้เวลาไม่นาน
เท่าไหร่ในการเดินขบวนทั้งของกองร้อยและวงโยฯเมื่อรุ่นน้องคนสุดท้ายเดินออกจากสนามศุภฯ ผมถอนหายใจโล่งเฮือกใหญ่ เพราะทุกอย่าง
ผ่านไปได้ด้วยดี ยกเว้นแต่เสียงฟลุทของไอ้ง่อยที่แหวผิดคีย์ 2 ครั้ง น่ากระทืบนัก
"เฮ้ออออ"
"วันนี้เสร็จแล้วสิ" ปุณณ์ถามพลางเปลี่ยนหน้าจอเป็นกลับไปที่แสตนเชียร์เหมือนเดิม แต่ผมตอบไม่ถูก เพราะจะว่าเสร็จแล้วก็เสร็จ แต่จ ะว่า
ยังไม่เสร็จ มันก็ไม่ยังเสร็จ
"มีติดค้างไอ้เอิ้นอยู่อีกนิดหน่อยว่ะ"
"เออ ที่มันพูดในวอคืออะไรวะ" พอได้โอกาสปุณณ์รีบถามผมทันที ผมบิดขี้เกียจใส่มัน
"ก็ที่มันช่วยค่ากลองให้ชมรมกูไง มันเลยขอกูให้แบ่งนํ้าวงโยฯไปช่วยมันหน้าแสตนหน่อย เพราะแม่งบ่นว่าไม่มีใครคอยให้นํ้ามันเลย" ผมพู ด
จบแล้วทําท่าจะลุกขึ้นไปทําอย่างที่บอก แต่ปุณณ์กลับดึงผมไว้ให้ลงมานั่งต่อ
"งั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว"
"ทําไมวะ???" ผมขมวดคิ้วมองหน้าปุณณ์ที่ยิ้มกับจอคอมพิวเตอร์เมื่อแสตนเชียร์แปรอักษรเป็นคํากวนตีน ๆ หราอยู่หน้าจอ แต่ผมคิดว่า
หน้าตาไอ้ปุณณ์ตอนนี้กวนตีนกว่า
"ก็กู.. คืนเงินให้เอิ้นไปแล้ว แท็คเหล็กด้วย" มันตอบเร็ว ๆ พลางยกวอขึ้นมาคุยต่อ
"มอนิเตอร์เรียกเชียร์ครับ s-30 ผิด ช่วยดูด้วย"
"เห้ย! มึงพูดไม่เคลียร์!!!" ผมดึงแขนเสื้อมันไปมาจนมันกดคีย์บอร์ดไม่ได้
"กูพูดเคลียร์แล้วววว" แต่ปุณณ์ยังเถียงผมพลางหัวเราะแล้วยื้อแขนไปกดเปลี่ยนมุมกล้องต่อ
"อะไรของมึงวะ คืนเงินแล้ว? โรงเรียนออกเงินให้ชมรมกูแล้วเหรอ?"
"ยัง"
"แล้วมึงคืนเงินมันได้ยังไง"
"ไม่บอก...... มอนิเตอร์เรียกเชียร์ครับ e-14 ครับ" มันเฉไฉไปเรื่อย ไอ้กวนประสาทนี่..... ผมย่นจมูกใส่มัน (ทั้งที่มันไม่ได้มอง) แล้วยกตูดจะลุก
ขึ้นต่อทันที
"แต่ยังไงก็ต้องไปว่ะ กูสัญญาไว้แล้ว" รอบที่สองที่มันดึงผมให้นั่งลง ทีงี้ล่ะเร็วนะมึง
"มึงคุมมอนิเตอร์เป็นใช่ปะ" ปุณณ์ถามผมอย่างนั้น ผมพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเก็ทอะไร
"อยากใส่ชุดหมีใช่ปะ" แต่พอถึงตรงนี้ผมชักไม่ค่อยแน่ใจว่าควรพยักหน้าดีหรือเปล่า แม้ในใจจะโคตรอยากก็เหอะ.ผมขมวดคิ้วมองมันตาเขม็ง
"ไม่ต้องทําหน้างง รู้ว่าอยาก ตามมานี่... เติ้ล ผมฝากหน่อยนะ เดี๋ยวมา" มันว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วดึงผมให้ตามไปด้วย อะไรของแม่งวะ!!!!!!??
*** เราสองคนมาหยุดตรงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าหลีด ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครเลยยย เพราะหลีดพากันออกไปแสตนบายตรงหน้าประตูหมด ผมยืนขมวด
คิ้วงง ๆ มองมันที่รูดซิปชุดหมีตํ่าลงเรื่อย ๆ
"เฮ้ย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!! มึงทําไรวะ!!!!!!!!!!!" จะปลํ้ากูตรงนี้กูไม่เอานะเว่ย!!!! พื้นมันแข็ง..เอ๊ย! กูไม่ยอม!! มันไม่สนใ จคําโวยวาย
ของผม แต่ยังคงหน้าด้านถอดชุดหมีออกเรื่อย ๆ ขณะที่ผมต้องหลับตาปี๋ เพราะไม่อยากเห็นภาพอุจาด หูยังได้ยินเสียงสวบสาบ ๆ ดังจากมัน
ไม่หยุด ไม่นานนักก็รู้สึกว่ามีอะไรถูกโยนมาที่ไหล่... ผมลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเผยให้เห็นไอ้ปุณณ์อยู่ในเสื้อยืดสีขาว กางเกงบ๊อกเซอร์ มันยิ้มพลาง
ส่ายหัวเหมือนจะขําผม
"แลกกัน เอาที่โน่ใส่มา" โห.... มึ งพูดง่ายยยยยย มึงใส่ชุดหมีก็ต้องมีเสื้อกับกางเกงข้างในนี่!! แต่กูน่ะ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ที่เหลือมีแต่เนื้อ
หนังมังสาล้วน ๆ !!!
"ไอ้สัด ไม่เอา กูไม่อยากใส่แล้ว"
"แต่กูถอดแล้ว เร็ว ๆ ฝากงานไว้ที่เติ้ลนานไม่ดี" ผมลังเลชั่วครู่ก่อนจะชี้มือบอกมัน "งั้นมึงหันไป!" แล้วคํานี้มันตลกตรงไหนวะ มั นถึงได้ขํา
แตกงั้นเนี่ย!!
"อายอะไรวะ... ก็......... ผู้ชายเหมือนกัน" ผมว่าก่อนมันจะพูดว่า "ก็ผู้ชายเหมือนกัน" มันต้องคิดอย่างอื่ นก่อนแน่ ๆ ไอ้สัดเอ๊ย!! แน่นอนว่าถึง
ผมจะยอมคนง่าย แต่คราวนี้อย่าหวัง! ผมยังไม่ลดมือที่ชี้อยู่ให้มันหันไป มันขําพลางบอกผมว่า
"มึงจะถอดหมดรึไง ถอดแต่กางเกงยีนส์เอามาให้กูใส่ก็พอ เสื้อกูมีของกู ส่วนเสื้อมึงใช้รองในชุดหมี ไม่งั้นมึงคันนะเว่ย!" เออว่ะ.... ทําไมผมโง่งี้
วะ.. ผมมองชุดหมีงง ๆ แล้วก็ตัดสินใจถอดกางเกงยีนส์ออก (ยังมีบ๊อกเซอร์เหลือครับ) ก่อนจะโยนให้มัน แล้วเราก็ต่างคนต่างใส่เสื้อผ้า ที่ไม่ใช่
ของตัวเอง ผมมองชุดหมีสีกากีอ่อน ๆ นี่อย่างปลาบปลื้มใจ ถึงแม้บนหน้าอกจะไม่ได้ปักคําว่า swasdikarn อย่างที่เคยใฝ่ฝันไว้ แต่
techque นี่มันก็เท่ห์น้อยอยู่ที่ไหน
"กูไม่ถอดคืนนะ!" ผมขู่มัน
"เออ หน้าด้านใส่กลับบ้านก็เอาเลย" ไอ้ปุณณ์ว่างั้นก่อนจะเดินนําผมออกไปจากห้องแต่งตัวหลีด ผมเดินกลับไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ ก่อนจะ
ยิ้มให้เหน่งที่ทําหน้ามึนนิดหน่อย เพราะคนที่เดินไปเป็นไอ้ปุณณ์แต่ดันกลับมาเป็นผม แหะ ๆๆ.. แหม ผมทําเป็นจริง ๆ นะ คุมมอนิเตอร์เนี่ย
เชื่อมือผมสิ ผมสะบัดคอนิดหน่อยไล่ความเมื่อย ก่อนจะหยิบเอาเฮดโฟนที่วางบนพื้นอยู่ข้าง ๆ มาครอบหัวแล้วกดดูภาพหน้าแสตนทันที
ตรงนั้นผมเห็นเอิ้นยืนบอกคิวน้องอยู่ และ.... นั่นไง... ไอ้ปุณณ์เดินถือนํ้าออกไปแล้ว ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อเห็นสีหน้าช็อค
สนิทของไอ้เอิ้นที่เจอปุณณ์กับนํ้าในมือเข้าไป แทนที่จะเป็นผม มันรีบวอมาโวยในช่อง 11 ที่ผมฟังอยู่ทันทีว่าผมหลอกมัน พร้อมเสียงหัวเราะ
ฮ่า ๆ ของไอ้ปุณณ์เป็นแบ็คกราวด์ เออ ผมก็ขําหวะ (ฮ่า ๆ) แต่หัวเราะไม่ได้ เดี๋ยวโดนด่า เลยได้แต่ขอโทษขอโพยมันไปแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร
อีก เพราะต้องคอยดูแลภาพบนแสตนคู่กับฝ่ายดีไซน์มากกว่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเกมการแข่งขันบนสนาม และบรรยากาศการแปร
อักษรบนแสตน มีเสียงเฮเป็นระยะ ๆ เพราะลูกบอลเฉียดประตูไปหลายรอบ อีกทั้งเสียงเฮจากอัฒจรรย์ เพราะพวกมันแปรอักษรโต้ตอบกับ
โรงเรียนฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามันส์ ไหนจะรุ่นพี่ศิษย์เก่าอีกที่โวยวายไม่แพ้ศิษย์ปัจจุบัน ทําเอาผมที่เฝ้าจอมอนิเตอร์อยู่ (เห็นทุก เหตุการณ์)
พลอยคึกคักไปด้วย หน้าที่ของปุณณ์ที่ผมสวมรอยมาทําต้องเฝ้าทั้งหน้าจอมอนิเตอร์ และดูแลอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีปัญหา หลายครั้งก็ต้องเดิน
ไปหน้าแสตนเพื่อคุยกับฝ่ายอื่น ๆ เพราะในวอมีคนคุยกันหลายคนจัด จนบางครั้งฟังไม่ถนัดว่าใครเป็นใคร สรุปว่าเดินคุยกันเองง่ายกว่า
แน่นอนว่าทุกครั้งที่ผมโผล่หัวไปหน้าแสตนไอ้เอิ้นก็จะค้อนกลับมาจนเพื่อน ๆ คนอื่นยังขํา ส่วนไอ้ปุณณ์ก็กวนตีนตลอดโดยการพยายามป้อน
ข้าวป้อนนํ้าไอ้เอิ้น ดูเหมือนจะเอาใจ แต่ผมว่ามันน่ารําคาญมากกว่า จนกลายเป็นเรื่องโจ๊กหน้าแสตนไป (ฮ่า ๆ) ผมขํากับบรรยากาศการ
ทํางานหนักที่ดูสบาย ๆ ของพวกเรา เพราะถึงแม้จะเหนื่อยแต่แค่มีเพื่อน ๆ ร่วมมือร่วมใจกันเยอะแบบนี้ ไอ้ความรู้สึกฮึกเหิมอยากจะสามัคคี
กันทํางานก็เลยมีมากกว่า ปุณณ์ยังคงอาสาเป็นคนดูแลส่วนตัวให้เอิ้นอยู่ตลอดงาน แต่ก็เจียดเวลาเข้ามาดูผมเป็นระยะเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่
มันเข้ามามักจะมีนํ้า ขนม ที่บางครั้งผมคิดว่ามันคงบังคับใครซัก คนให้เดินไปซื้อจากสยามมาให้ เพราะขนมปัง bread papa's ร้านอร่อยใน
พาราก้อนนี่ไม่น่าจะมีแจกบนแสตน (ถ้ามีไอ้เอิ้นก็จะลงทุนเกินไปและ)... ผมส่ายหัวในความแอ๊บแบ๊วของมัน เพราะถามกี่ครั้งมันก็ปฏิเสธ
ตลอด บอกแต่ว่าของบนแสตนนั่นแหละ สงสัยคิดว่าผมโง่นักรึไง แต่ก็เอาเหอะ ขี้เกียจเถียง ขนมปังอร่อยดี นอกจากเอานํ้าเอาขนมมาให้
แล้ว ปุณณ์ก็ยังขยันถามอย่างสมํ่าเสมออีกว่าผมเหนื่อยรึเปล่า อยากจะแลกชุดคืนมั้ย แต่ผมก็ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้าซะแล้วว่ะ เลยได้ แต่ตอบ
มันทุกครั้งว่าไม่เป็นไร จนกระทั่งฟ้ามืดเสียงเฮก็ดังลั่นเมื่อนักฟุตบอลทีมโรงเรียนเราซัดประตูนําฝ่ายตรงข้ามเข้าไปตุงตาข่าย ก่อนจะป้องกัน
ประตูตัวเองเอาไว้ได้จนในที่สุด ผลคะแนน 1-0 ก็โชว์หราบนสกอร์บอร์ด เป็นหลักฐานแห่งชัยชนะที่พวกเรารอคอยมาแสนนาน! ผมกับเพื่อน
ทุกคนถอดเฮดโฟนกระโดดดีใจวิ่งโห่ร้องกอดกันชุลมุนภายในส่วนเตรียมงานใต้แสตน ก่อนจะเฮโลขึ้นไปบนสนามเพื่อแหกปากร้องทั้งเพลง
เชียร์ เพลงโรงเรียน และกอดคอกันบูมให้เสียงดังก้องทั่วทั้งสนามกีฬา เป็นความเต็มตื้นที่ผมอธิบายได้ยากมาก เพราะความเหนื่อยล้าทั้ งหมด
ที่มีหายเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่ได้เห็นความสําเร็จของพวกเรา ผมเห็นเพื่อนทุกคนที่อยู่ หน้าแสตนเปื้อนคราบนํ้าตากันถ้วนหน้า แม้แต่ปุณณ์ ภู
มิพัฒน์ ก็ยังมีรอยรื้นของคราบนํ้าตาปรากฏอยู่ มาสเตอร์บรรชายกป้ายสั่งบูมชูขึ้นสูงให้พวกเราทุกคนกอดคอกันแล้วประสานเสียงบูมดังลั่ น
... ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมวันนี้เลยจริง ๆ ... หลังจากจบเกมแล้ว นักเรียนทุกโรงเรียนยังคงใช้เวลาอยู่กับเพื่อนตัวเองภายใน
สนามกีฬาอีกระยะ เพื่อแสดงความยินดีกับที่งานทุกส่วนผ่านราบรื่นไปได้ด้วยดี (แถมโรงเรียนเรายังได้แชมป์อีกต่างหาก) ซึ่งอันที่จริง แล้ว ไม่
ว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะ ช่วงเวลาที่ผมชอบมากที่สุดก็คือช่วงเวลานี้อยู่ดี เพราะเราจะได้เจอเพื่อนต่างโรงเรียนมากมาย อย่างเมื่อกี้ผมเพิ่ง
แยกมาจากบรรดาเพื่อนที่นั่งอยู่อีกแสตน (มันกางเกงดําครับ อิอิ) หลังจบงานพวกมันรีบวิ่งเข้ามาแสดงความยินดีกับโรงเรียนผม ทําให้เห็ น
สปิริตความมีนํ้าใจนักกีฬา ที่ไม่ว่าคนไหนจะแพ้หรือชนะ สิ่งที่เราได้รับกลับมาจากงานนี้ก็คือ มิตรภาพ ที่ไม่มีสีกางเกง หรือรั้วโรงเรียนไหน ๆ
มากางกั้น ^___^ ระหว่างที่ผมกําลังคุยกับรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ปรี่เข้ามาแสดงความยินดีอยู่ด้วยอีกกลุ่มนั้นเอง (เห๊ย.. ผมไม่ใช่นักบอลว่ะ มาแสดง
ความยินดีกับผมนักหนาทําไมวะ) เสียงเจื้อยแจ้วที่โคตรคุ้น ก็ดังขึ้นขัดจังหวะสนทนาจากด้านหลังเสียก่อน..
"โน่!!!!!!! ยูหาตั้งนาน!" เฮ้ย!! แบบนี้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครครับ!! ผมเริ่มสงสัยว่ายูริแอบติด GPRS แถวตัวผมรึเปล่า ทําไมคนเยอะขนาดนี้
ยังอุตส่าห์หาจนเจอ -_-"
"แหม ไอ้โน่.. เดี๋ยวนี้มีแฟนเป็นสาวน่ารักนะมึง เออ ไว้ค่อยเจอกัน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะเข้าไปโรงเรียน" พี่โมทย์ศิษย์เก่าที่ผมคุยด้วยอยู่ยิ้มล้อ
ๆ พลางตัดบทสนทนาทันที แล้วทีนี้ผมจะทําไงได้ล่ะครับ นอกจากต้องฝืนยิ้มให้เขากลับไป แล้วโบกมือลา
"ไว้เจอกันครับพี่ ^^;;;" หลังจากที่คล้อยหลังพี่โมทย์ไปแล้ว จึงเป็นคิวของผู้หญิงตัวเล็กข้าง ๆ ผมบ้าง
"ยูริตามหาผมมีอะไรรึป่าว"
"มีสิ.. แต่ยูเพิ่งรู้ว่าโน่เป็นสต๊าฟแสตนด้วย!" ก็กะแล้วว่าต้องถูกทักแบบนี้ เพราะยูริรู้ดีว่าหน้าที่ผมจริง ๆ แล้ว อยู่กับวงโยฯ (ใส่เสื้อยืดกางเกง
ยีนส์) ไม่ใช่เจ้าหน้าที่แสตน ใส่ชุ ดหมีรุงรังอย่างที่เห็นนี้แน่นอน.. แต่ถึงผมจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าต้องโดนถาม ก็ยังอดกระอั่กกระอ่วน
แปลก ๆ ไม่ได้ ที่จะต้องบอกยูริว่านี่...
"ของปุณณ์น่ะ แลกกัน" สิ้นคําตอบผม ก็ได้เห็นรอยยิ้มกว้างของยูริที่เล่นเอาเสียวสันหลังประหลาด ๆ ทันที ผมพูดอะไรผิด รึเปล่าวะ!?!?
เธอคลี่ยิ้มน่ารักอยู่แป๊บนึงก่อนจะเอื้อมมือมาเกาะแขนผมแจ
"ออกไปกินข้าวกันนะ" เอาล่ะเหวย.....ผมเหลือบมองใบหน้าขาว ๆ ขี้อ้อนนั่นพร้อมกับรู้สึกหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที เอาไงดีวะ.. ผมมอง
หน้ายูริขณะที่หูได้ยินเสียงเพื่อน ๆ คนอื่นเริ่มนัดแผนการณ์ฉลองคืนนี้ผ่านวอเช่นเดียวกัน…..

24th CHAOS
ในที่สุดก็ถ่อมาถึงนี่จนได้...... ผมนั่งแหมะหันรีหันขวางภายในร้านอาหารตกแต่งสไตล์เก๋ ที่ตั้งอยู่แถวเอกมัยบ้านผมเอง เคยได้ยินยู ริบ่นอยาก
มากินหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เคยมาซักที (เพราะร้านมันเปิดแต่ตอนดึก ๆ นี่ครับ) ครั้งนี้คงสมใจอยาก เพราะยูริเป็นคนเลือกร้านอาหารเอง
จัดการอะไรเองเสร็จสรรพ แต่ผมน่ะงง... ไม่ใช่เพราะงงว่าที่ไหน (ก็มันแถวบ้านผม) แต่งงว่า ตกลงผมละเมอตามยูริมาถึงนี่ได้ยังไง.. ? ผม
ขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ ร้านที่ตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยตู้ปลามากมายเข้ากันกับทั้งคอนเซปต์และชื่อร้านที่ต้องการให้เป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่นี่
มีชื่อมากในเรื่องสไตล์การจัดแต่งร้านและรสชาติอาหารครับ ผมเคยมากินกับเพื่อน ๆ หลายที (เวลามีตังค์) หรือบางครั้งอาป๊าก็พามาเองบ้ าง
แต่วันนี้นอกจากปลาตัวเบ้อเริ่มที่ว่ายวนอยู่รอบร้านแล้ว ข้าง ๆ ผมยังมียูริ และ.... ไอ้ปุณณ์กับเอมที่นั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะ -_-"
"ดีใจจังที่ปุณณ์กับโน่สนิทกัน รู้งี้ชวนไปเที่ยวกัน 4 คนนานแล้วเนอะเอม~" เสียงเจื้อยแจ้วของยูริยังคงดังข้าง ๆ ผม ก่อนจะตามมาด้วย
รอยยิ้มสวยจากเอมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ผมฟังคํานั้นแล้วโคตรอึดอัด..ไม่รู้ปุณณ์ฟังแบบนี้แล้วจะรู้สึกยังไง แต่สําหรับผมน่ะ กระอั่กกระอ่วน
พิลึกว่ะ ถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่าไปทําอีท่าไหนผมดันมาโผล่ที่นี่กับยูริ เอม แล้วก็ปุณณ์ได้... คืออันที่จริงผมไม่ได้ทําอะไรเลยครับ แค่
ถูกยูริอ้อนซะจนไม่รู้จะบอกปัดยังไง สุดท้ายเลยลงเอยแบบเดิมตรงที่เธอคิดเองเออเองว่า ผมไปด้วยแน่นอน (เฮ้ย!?) แล้วเรื่องก็จบแบบเดิม ๆ
คือ.. ผมกลายเป็นเหยื่อความคิดไปเองของยูริทู้กกกกกทีสิน่า!! ตอนแรกแค่นึกว่าเราจะมากินกันสองคน แบบสบาย ๆ แล้วก็แยกย้ายกันกลับ
บ้านเฉย ๆ แต่ที่ไหนได้วะ ผมคิดผิด.. เพราะพอยูริต กลงกับตัวเองเสร็จว่าผมจะไปด้วย (หมายความว่าไงวะนั่น) เธอก็โทรหาเอมทันที
เป็นอันว่าชีวิตผมจบเห่... ปุณณ์ไปด้วยแน่นอน เมื่อกลายเป็นเหยื่อของผู้หญิงของตัวเองด้วยกันทั้งคู่.. เราสองคนก็ได้แต่ปลงในชะตาชีวิต เดิน
กลับไปทําพิธีเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่ห้องเปลี่ยนชุดหลีดห้องเดิม แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะจากหลังเลิกงานคนก็ทะลักทะลายมาก กว่าพวก
ผมจะทําใจถอดกางเกงได้แต่ละที พลพรรคแก็งค์นางฟ้าเล่นกรี๊ดกร๊าดซะจนห้องแทบแตก ทําเอาคนจะถอดเสียเซลฟ์ไปหลายนาที นึกว่าตูคง
ไม่รอดออกมาซะแล้ว (โดยเฉพาะไอ้ปุณณ์) -_-" แถมไอ้ปุณณ์ยังกวนตีนชิบหายอีก เพราะตอนแรกผมงงว่ามันจะใส่ชุดหมีไปกินข้าวรึไง (ก็
ผมจะเอากางเกงยีนส์คืน) แต่ปรากฏว่าไม่............. เพราะจริง ๆ แล้วมันก็เอากางเกงยีนส์มาเหมือนกัน ไอ้สัด!!!!แล้วใส่กางเกงยีนส์ กูอยู่ได้ทั้ง
วัน โคตรเหม็นเหงื่อชิบหาย ไอ้ห่า........... กวนตีนนัก แต่ไม่เป็นไรครับ คนอ่านไม่ต้องกลัวว่าโน่จะเสียเปรียบ เพราะผมดึงกางเกงยีนส์มันมา
กระทืบ ๆๆ ซํ้า แก้แค้นเรียบร้อยแล้ว ก๊าก ๆๆๆ โอเค.. ตัดกลับมาที่ห้องส่ง ผมแค่นั่งเหม่อแป๊บเดียว สองสาวก็จัดการสั่งอาหารกันเรี ยบร้อย
เสร็จสรรพ โดยที่ทั้งปุณณ์และผมไม่ต้องเสียเวลาอ้าปากออกความคิดเห็นอะไรเลย.. ดีเหมือนกันครับ เพราะพวกผมมันลิ้นจระเข้ ให้กินอะไร
ก็กินได้ทั้งนั้น ขอแค่เป็นของที่มนุษย์เขากินกัน
"ยูสั่งขาหมูเยอรมันนํ้าตกของโปรดโน่มาให้ด้วยแหละ" ยูริหันมาพูดกับผมยิ้ม ๆ ซึ่งผมก็ยิ้มกลับไปแบบ งง ๆ....เอ.. ผมเคยชอบด้วยเหรอวะ?
"ขอบคุณครับ" แต่ก็เอาเหอะ.. ชอบก็ชอบ..-_-".. ไม่ได้ถึงกับไม่ชอบอะไรนี่หว่า.. แหะ ๆๆ
"แหม... เอมก็สั่งไก่ทอดฟาโรห์ของโปรดปุณณ์ให้เหมือนกันนะ รู้ใจรึเปล่า?" นั่น.. จะขยันทําคะแนนไปไหนกันครับสาว ๆ!! แค่นี้พวกผมก็แข่ง
กันยิ้มแหะ ๆๆ จะแย่อยู่แล้วว ผมเหล่มองไอ้ปุณณ์ที่ยิ้มแหะ ๆ (ท่าเดียวกะผมเดี๊ยะ) ก่อนมันจะเหลือบตามองผมนิดหน่อยแล้วตอบเอมว่า
"ครับ.. ขอบคุณมาก" เล่นเอาผมขมวดคิ้วเป็นเงื่อนพิรอดทันที.. มึงจะทําท่ากระมิดกระเมี้ยนทําไมวะะ กูไม่เกี่ยวซักหน่อย.. ในขณะที่ผม
กําลังคิดอยู่นั่นเอง (ว่ามันจะต้องสนใจผมทําไม) ก็มีอาหารจานแรกซึ่งเป็นรวม appetizer ต่าง ๆ ถูกบริกรพามาเสิร์ฟตรงหน้าเรียกความ
สนใจไปจากผมเสียก่อน น่ากินนน จนลืมเรื่องอื่นเลยแหะ!
"อันนี้ให้โน่ ๆๆ" ยูริรีบยกช้อนส้อมขึ้นตักขาหมูเยอรมันในนั้นให้ผมทันที ขณะที่เอมไม่ยอมแพ้ เธอยกมือตักแซลม่อนแช่นํ้าปลาให้ปุณณ์เป็น
การใหญ่... เฮ้ย! แต่ผมก็อยากกินแซลม่อนแช่นํ้าปลานะะะ! แน่นอนว่าผมต้องยับยั้งความตะกละของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากติดภาระกิจต้อง
ปฏิบัติตนเป็นสุภาพบุรุษที่ดีก่อน
"อะครับ..." แต่แค่ผมตักปลาหมึกวงทอดให้ยูริแค่นี้ เธอเล่นดีใจซะจนออกนอกหน้า รีบยกขึ้นมาอวดเอมเป็นการใหญ่ ^^"... เอาเข้าไปครับ
ผู้หญิงสองคนนี้ ผมหลุดหัวเราะขําออกมาเบา ๆ เอมหน้างํ้าลงไปเล็กน้อยเมื่อปุณณ์ยังคงง่วนกับการรินนํ้าเติมให้แก้วทุกคนอยู่ เลยไม่ทัน
สนใจตักของกินให้เอม ผมแอบเห็นมือเล็ก ๆ ของเธอกระตุกชายเสื้อยืดปุณณ์เป็นการใหญ่
"ปุณณ์อะ... ไม่ตักให้เอมบ้างเลย" เอาแล้วไงเมิง หึหึ. ปุณณ์หันมาทําหน้าเหวอไปกับคํานั้นทําเอาผมขํานิดหน่อย ก่อนที่จะเห็นมันรี บเอื้อม
มือตักชีสทอดให้เอม
"นี่ไงครับ ปุณณ์มัวแต่รินนํ้าให้อยู่ ขอโทษนะ" แต่สาวเจ้าไม่เห็นมีท่าทีจะดีใจขึ้นเลยแหะ? ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยในท่าทางงอนหนักกว่าเก่า
ของแฟนเพื่อนตรงหน้า แต่ดูไอ้ปุณณ์จะไม่ทันสังเกต เพราะหลังจากนั้น มันก็เสือกตักแซลม่อนแช่นํ้าปลาในจานมันแบ่งมาให้ผมแทนซะงั้น
"อะมึง.. ขอขาหมูเยอรมันกูมั่งดิ แลกกัน" อ้าวไอ้นี่... ขี้โมเมอีกคนละ
"ตลก ใครตกลงกะมึงวะ แต่ขอบใจนะสําหรับแซลม่อน กูอยากพอดี" ผมว่าพลางจิ้มเนื้อแซลม่อนเข้าปากแล้วกั๊กขาหมูไว้ไม่ให้ไอ้ปุณณ์ขโมย
ได้ แว่วเสียงมันร้องโอดครวญยกใหญ่ หึหึ ไอ้ปัญญาอ่อน..
"ถ้าแดกคนเดียว ขาหมูเยอรมันมึงจะยกพวกตีกันกับแซลม่อนกูในหลอดอาหาร แล้วบึ้ม!!!..."
"กลายเป็นโกโก้ครั้นรึไง.. มึงบ้าป่าววหลอดอาหารกูไม่ใช่ทุ่งข้าวสาลี อยากแดกขนาดนั้นเอาไปเลยสาดดด" ทุเรศมากครับ ผมโวยใส่มุขควาย
ของไอ้เชี่ยปุณณ์ (ที่ได้ยินทุกเช้าเสาร์อาทิตย์เวลาดูช่องเก้าการ์ตูน) ก่อนจะยอมแบ่งขาหมูเยอรมันให้มันเสี้ยวหนึ่งจากที่ผมมี ทั้งที่มันตักให้แซ
ลม่อนผมมาครึ่ง ๆ เด๊ะ ๆ.. ฮ่า ๆ ผมไม่ใช่คนเอาเปรีย บใช่ปะคับ ในที่สุด ระหว่างผมกับมันก็กลายเป็นสงครามแย่ งของกินย่ อย ๆ ไป
ช้อนส้อมเราปัดกันมั่วไปมาบนจานข้าวผมบ้างจานข้าวมันบ้าง จนโต๊ะนี้มีแต่เสียงเด็กผู้ชายโวยวายอยู่พักหนึ่งแบบน่าผิดสังเกต? ไอ้ปุณณ์เป็น
คนแรกที่รู้สึกได้ก่อนผม มันรีบหยุดสู้แล้วหันกลับไปหาเอมทันที
"เป็นไรป่าวครับเอม? เงียบเชียว หืม?" พอผมเห็นเอมยังคงนั่งหน้าบึ้งอยู่อย่างนั้นแล้วก็ต้องปรับลดดีกรีความซ่าส์ของตัวเองลงบ้าง โดยไม่ลืม
จะแอบมองหน้ายูริไปด้วย (เผื่อไวรัสงอนจะเป็นโรคติดต่อ) แต่รายนี้เขายังยิ้มสนุกอยู่ว่ะ ท่าทางจะดูผมกับไอ้ปุณณ์ตีกันเพลิน
"ปุณณ์ตักชีสทอดให้เอมทําไม... ปุณณ์จําไม่ได้เหรอว่าเอมไดเอท" เอาแล้วไงครับพี่น้อง เรื่องของครอบครัวเขาเราไม่เกี่ยวว่ะ... ผมคิดได้ดังนั้น
ก็รีบคว้าแก้วนํ้ามาดื่มทันที ทําทีเป็นไม่ได้ยิน
"โธ่... ปุณณ์ขอโทษนะ" แว่วเสียงมันง้องอนกันอยู่พักหนึ่ง พี่บริกรก็เอาอาหารจานอื่น ๆ มาเสิร์ฟ ผมเห็นมือปุณณ์รีบคว้าเอาสลัดจานสี สดใส
ไปอย่างว่องไว
"นี่ไง Rocket Salad ของเอม ปุณณ์จําได้ เห็นมั้ยครับ" เออมันเก่งว่ะ.. ขณะที่ผมยังมึนอยู่เลยว่าอันไหนของยูริ เธอก็คว้าสปาเกตตี้เบค่อนกุ้ง
ของตัวเองไปก่อน เออดี.. รายนี้ก็ไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อยอะไรดี ผมชอบ หลังจากที่นั่งฟังไอ้สองคนฝั่งตรงข้ามง้องอนกันมาได้พักใหญ่ (พักใหญ่
มากจริง ๆ เอมงอนโคตรนาน) ในที่สุดเอมก็พอยิ้มออกบ้างเมื่อปุณณ์คอยตักยําวุ้นเส้นซีฟู้ด และสารพันอาหารอร่อยต่าง ๆ เอาใจเธอไม่ขาด
ส่วนผมที่นั่งมองภาพตรงหน้า ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดความรู้สึกอะไร ช้อนส้อมที่ถืออยู่มันหนักอึ้ง เสียจนทําได้แค่เ ขี่ยข้าวใน
จานไปมา..
"โน่.... โน่....... โน่........โน่!!!!!!" ห๊ะ!!!?? สะดุ้งสุดตัวเลยครับเพราะยูริเขย่าผมในตอนท้ายจนตกอกตกใจ เออนี่ผมมัวแต่เหม่อไปไหนวะ ยังถือ
ช้อนส้อมคามืออยู่แท้ ๆ น่าอายจริง... ผมสะบัดหัวตัวเองไล่ความคิดแปลก ๆ นิดหน่อยก่อนจะหันไปมองคนที่เรียกชื่อผมทั้งตัว
"วะ ว่าไงครับ??"
"เหม่อจัง... เสียดายขาหมูเหรอ ยูสั่งให้อีกก็ได้"
"ไม่ใช่ ๆ อะไรจะขนาดนั้นเล่า" ผมรีบปฏิเสธจนเธอขําคิกคัก ก่อนจะวางช้อนส้อมในมือลงแล้วเอื้อมไปสะกิดเอมบ้าง
"นี่ ๆ เอม พูดซักทีสิ ฉันรออยู่นะ" เป็นเพราะอยู่ดี ๆ ยูริก็พูดจาแปลก ๆ แบบนั้ น ทําเอาผมกับปุณณ์ต้องมองหน้าสองสาวแบบงง ๆ พร้อม
กัน ด้วยตามไม่ทันว่าพวกเธอวางแผนอะไรอยู่ เอมมีท่าทีกระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสะกิดไหล่ปุณณ์ทั้งที่ปุณณ์เองก็มองเธออยู่
แล้ว
"มีไรป่าวครับ?"
"ปุณณ์ สุดสัปดาห์หน้าว่างไหมคะ" แม้ท่าทางปุณณ์จะงง ๆ แต่ก็หยิบมือถือออกมากดดูตารางแต่โดยดี แน่นอนว่ายูริไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน
"โน่ดูด้วยสิ ๆๆ" เธอคะยั้นคะยอ แต่คนอย่างผมมีเหรอจะเซฟตารางงานไว้ในมือถือ (ใช้ระบบความจําล้วน ๆ ครับ.. ถึงได้ลืมบ่อย) เท่าที่ จําได้
ก็คงไม่มีอะไรมั้ง? ปุณณ์กดมือถือยุกยิก ๆ อยู่สองสามทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ
"ก็ว่างอยู่ครับ อยากไปไหนรึเปล่า?" ด้วยคําตอบนี้ทําเอาเอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในขณะที่ยูริเองก็ใช้ไหล่ถองผมไม่หยุดเช่นกัน
"โน่ล่ะ ๆ"
"ว่างมั้งครับ มีอะไรกันเนี่ย" อมพะนําอยู่ด๊ายย อยากรู้จะแย่แล้วว! ทั้งที่ผมเป็นคนออกปากถามอย่างนั้นเอง แต่พอเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ ของ
ยูริกับเอมแล้วดันรู้สึกไม่แน่ใจว่าอยากฟังคําตอบอย่างประหลาด... ผมกลืนนํ้าลายเอื้อกเพราะจับพลังได้ว่าสองสาวมองหน้ากันอย่างมีเลศนัย
แปลก ๆ แถมยังเลยมามองพวกผมสองคนอย่างมีนัยแฝงไปด้วย..... ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่วะเนี่ย!?
"เอมเขาได้ไอ้นั่นมาล่ะ" คนเริ่มพูดก่อนคือยูริ เธอเกริ่นพลางยื่นมือมาตีมือเอมยกใหญ่เหมือนจะให้โชว์ "ไอ้นั่น" ที่เพิ่งพูดถึง... ว่าแต่.. "ไอ้นั่น"
มันคืออะไรวะ????? นักเรียนชายเขาคิดลึกกันนะเฮ้ย!! แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดไปถึงไหนต่อไหน บางอย่างสีขาว ๆ ก็ปรากฏตรงหน้า
เสียก่อน...มันคือการ์ด gift voucher ครับ ผมพยายามจะเพ่งมองว่ามันคือ gift voucher ของอะไร แต่ยูริคงเห็นหน้าผมยังไม่ฉลาดซักที เธอ
จึงพูดให้ฟังต่อ
"เอมเขาได้ gift voucher มาจาก serenade น่ะ เป็นที่พักของรีสอร์ทในหัวหิน ได้มาตั้งสองห้องแน่ะ ไปกันนะ ๆๆๆ" ถึงตอนนี้แขนผมแปร
สภาพเป็นต้นไผ่ที่มีหมีโคอาล่าเกาะแจไปแล้ว เอาไงดีวะเนี่ย.. เมื่อเงยหน้ามาก็พบกับไอ้ปุณณ์กําลังมองหน้าผมแปลก ๆ ซึ่งคงเป็นแบบ
เดียวกันกับที่ผมมองมัน เพราะผมเองก็รู้สึกแปลก ๆ... ที่จะต้องไปไหนมาไหนกัน... สี่คนอย่างนี้
"ตกลงว่าไงอะโน่..... ไปนะ!!!" เอาแล้วไงครับ โรคคิดเองเออเองของยูริ บวกกับรอยยิ้มหวานบาดใจจากเอม
"ปุณณ์ไปนะคะ" แล้วผู้ชายหน้าไหนจะปฏิเสธสองคนนี้ลงล่ะครับ! *** หลังจากที่ท้องอิ่มแปล้ (จะแข่งกันเอาใจแฟนไปไหน ผู้หญิงสมัยนี้)
จนเช็คบิลค่าเสียหายไปเป็นเลขสี่หลักกว่า ๆ ก็ถึงเวลาที่พวกผมต้องเดินไปส่งเธอ ๆ ขึ้นรถแท็กซี่กัน โดยไม่ลืมจะเลือกคันสีฟ้า เพราะมี GPS
ติดอยู่ (เห็นมันโฆษณาว่างั้น) และถ่ายรูปทะเบียนรถเก็บไว้ในมือถือเสร็จสรรพ (ปลอดภั ยไว้ก่อนครับ ดึกแล้ว) ถ้าจะถามว่าทําไมไม่ไปส่งน่ะ
เหรอ........ ก็เพราะพวกผมยังมีภาระกิจต่อน่ะสิ 'อูโว่ อูโว๊ะ โอ๊ะ ก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น น่ารัก.. ก็เลยเข้าไปท าความรู้จัก ' ไอโฟนผมแหกปาก
ร้องเพลงดังลั่น (เพิ่งเปลี่ยนริงโทนตอนทํางานบอลครับ น้องแพงบลูทูธให้ ) หลังจากรถแท็กซี่สีฟ้าคล้อยหลังไปได้ไม่เกินครึ่งวิ ผมลุกลี้ลุกลน
ควักมันออกมา มองแค่หน้าจอปราดเดียวก็รู้ว่าหน้าเหี้ย ๆ อย่างนี้ ไอ้โอมแน่นอน
"อาราย..."
"แยกกะแม่มึงยังวะ!!!!!!!!!!!" หูยยยยยย....!!!! จะตะโกนเสียงดังไปเพื่อใครวะ!! ผมสะดุ้งจนไอ้ปุณณ์ยังขํา (อายเค้ามั้ยมึง) แน่นอนว่าอย่าหวังจะ
ได้คําตอบ ขอกูด่าก่อนเหอะ
"มึงตะโกนหาผู้ว่ากทม.เหรอ!!!!!!!!! อยู่ไหนวะ เสียงดังสาดด!!"
"อยู่ร้านแล้วสิวะ!!!!!! เขามากันครบหมดทั้งองค์ประชุม เหลือแต่มึงกับพ่อมึงอะ!!!!!!!!!!" แล้วไอ้ห่านี่นี่มันยังไง... จะให้กูมีทั้งแม่ทั้งพ่อ
"เออ ๆ กูกับพ่อกูกําลังจะไป!! เพิ่งแยกกะแม่ มึงรอขัดรองเท้าให้กูที่หน้าร้านได้เลย ไม่เกินยี่สิบนาที ไปละ!" ผมรีบคุยรีบวางทันที เพราะเสียง
มันค่อนข้างดังมาก ทั้งดนตรี (ไม่ได้ไปผับหรอกครับ แต่ร้านอาหารที่มันนัดเลี้ยงกันมีดนตรีสดเล่ นด้วย) แล้วยังเพื่อนโวยวายกัน... นี่เดาจาก
แค่เสียงก็รู้ว่าแม่งต้องยกกันไปถล่มร้านเขาชัวร์ ล้านเปอร์เซ็นต์
"ตกลงร้านไหนวะ" ปุณณ์ถามผมพลางโบกแท็กซี่ให้จอดแล้ว ผมเปิดประตูรถเข้าไปแล้วบอกพี่คนขับทันทีว่า
"สวนลุมครับ" ใช้เวลาไม่นานในการบึ่งมาถึงร้านที่เพื่อน ๆ นัดหมาย.. ซึ่งจริง ๆ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าร้านไหนเพราะมันชอบมาชิวกันที่นี่
บ่อย ๆ ไม่เข้าใจว่าทําไมเหมือนกัน รู้แต่ว่ามีเพื่อนที่ไหน ผมก็ว่าดีทั้งนั้นนั่นแหละ ผมกับปุณณ์ลงจากรถก่อนจะเดินมาด้วยกันจนถึ งโซนที่
พวกมันนั่งอยู่ ได้ยินเสียงเฮรับอย่างกะหมาเวลามันหอนรับกันเป็นทอด ๆ (อายเชี่ย) แล้ว.. อื้อหืออออ........ แม่งยกกันมาหมดทั้งโรงเรียนเลย
ปะวะะะ โซนนี้ผมเห็นแต่เพื่อนตัวเองหมดเลยครับ สี่สิบห้าสิบคนได้
"คู่รักใหม่ว่ะ!!!!!! ฮิ้ว ๆๆๆๆๆๆๆ" ไอ้เชี่ยโอมร้องเย้ว ๆ เหมือนคนเมา (ก็คงจะเมา) เรียกให้เพื่อนคนอื่นเฮตามจนผมล่ะอยากจะกุบขมับแล้ว
เดินกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่ปุณณ์แค่ทําท่ายิ้ม ๆ ก่อนจะดึงผมไปโอบไหล่ เล่นเชี่ยอะไร!!!!!!!!!!! สวนลุมจะแตกก็เพราะเสียงพวกแม่งโห่ฮา
กันนี่ล่ะครับ -_-"
"เฮ้ย! ปุณณ์! มึงก็เล่นไปได้ โน่มานั่งนี่เร็ว ๆๆๆๆ" ขอบคุณพระเจ้า.... เสียงสวรรค์ที่ส่งมาช่วยชีวิตผมคือไอ้เอิ้น มันตะโกนชวนผมไปนั่งใกล้ ๆ
ขณะที่ปุณณ์เองก็มีเพื่อนอีกกลุ่มนึงเรียกให้ไปนั่งอีกฝั่ง ผมแหมะลงบนเก้าอี้ที่พวกมันเว้นว่างไว้เผื่อ ตรงนี้มีบรรดาม.5 สุมกันอยู่หลายคน ทั้ง
พวกช่วยงานบอล หลีด กองร้อย พาเหรด สแตน วงโยฯ หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ยังมาโมเมฉลองด้วย ซึ่งไม่มีคิดมากอยู่แล้วครับ
ยังไงเราก็เพื่อนกัน ^__^ แต่ที่เซอร์ไพร์สสุด ๆ เห็นทีจะเป็น. ไอ้กอล์ฟ!!!!!!! ไอ้กอล์ฟ!! มันมาด้วยครับ!!!!!!!! กอล์ฟเป็นเพื่อนสนิทผมคน
หนึ่ง (ซึ่งก็เคยอยู่วงนะ แต่อยู่แป๊บ ๆ ก็ขี้เกียจซ้อม ลาออก ไอ้ห่านี่...) มันเป็นคนดีใช้ได้ รักสนุก รักเพื่อนฝูง (เพื่อน ๆ ก็รักมันครับ) เฮไหนเฮ
นั่น เสียแต่ดันเป็นคนใจร้อน มุทะลุ แล้วก็ไม่ค่อยรอบคอบไปหน่อย บวกกับหน้าตามันกวนตีนด้วย เลยโดนรุ่นพี่กับพวกโรงเรียนอื่นเขม่น
บ่อย ๆ จนชกต่อยกันประจํา (ลากเอาผมไปซวยด้วยก็หลายครั้งอยู่) แต่ล่าสุดไอ้คนที่มันมีเรื่องเสือกเป็นหลาน ๆ ของอธิการโรงเรียน กอล์ฟ
มันเลยซวย ถูกไล่ออกไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง (ตอนนั้นพวกผมเกลียดอธิการแทบแย่... ตอนนี้ผมก็ยังเกลียดอยู่เหมือนกัน) แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยัง
ติดต่อกันประจําครับ บางทีก็นัดไปเที่ยวบ้าง หรือมันแวะมาหาผมที่บ้านบ้าง โทรคุยกันก็บ่อย แต่ผ่านมาระยะนึงแล้วที่ผมไม่ค่อยได้เจอมัน
เลย (ตั้งแต่ช่วงเตรียมงานบอลยุ่ง ๆ นี่ล่ะ) จนมาวันนี้ถึงได้เจอซักที
"เป็นไงมาไงวะสาด! หายหัวไปเลยนะมึง!!" ผมตบบ่ามันดังป้าบบ เริ่มต้นทักทายทัน ที
"ก็ดีว่ะ โรงเรียนใหม่สาวลูกครึ่งน่ารักตรึม กูเปรม" มันได้ทีรีบเกทับพวกผม เออ.. ใช่ซี่.... พวกกูมันเจอแต่ผู้ชายด้วยกันเองจนเอี ยนกันไปข้าง
แล้วเนี่ย อิจฉาว่ะ ไอ้กอล์ฟมันย้ายออกไปอยู่นานาชาติแถวสุขุมวิทครับ
"กูอยากได้ลูกครึ่งมั่งว่ะ หาให้กูคนดิ่" หื่นอย่างนี้ไม่ใช่ผมแน่ครับ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้โอม ที่ยื่นหน้ามาซะจนกลิ่นเหล้าตลบอบอวล
ไปหมดแล้วว
"มันก็มีนะเว่ย แต่ผู้หญิงเขาก็เลือกว่ะ"
"ไอ้สาดดดดดดดดดด ด่ากู!" เออ... ไอ้กอล์ฟมันพูดความจริงก็หาว่ามันด่าอีก ฮ่า ๆๆ ผมขําหน้าไอ้โอมว่ะ ตอนนี้ มันเป็นสีดํา ๆ แดง ๆ แสดง
ว่าเมาได้ที่ (ไอ้โอมมันเป็นคนผิวคลํ้าแดดครับ ไม่ถึงกับดําแต่ก็แทน ๆ) แต่แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ไอ้โอมที่หื่นอยู่คนเดียว.. เพราะไอ้เวรนี่ก็ไม่ได้
แพ้กันเลย..
"เฮ้ย! กูไม่ขอฝรั่ง แต่กูอยากได้ญี่ปุ่นแบบน้องยูริของไอ้โน่อะ หาให้คนดิ่" ไอ้เชี่ยฟิล์ม.. มึงลามปามและ ผมตบหัวมันทันทีปั้กใหญ่
"อู๊ย!!!! ตบทําเชี่ยไรวะ เออ มึงยกน้องยูริให้กูเลยดีกว่า ได้ข่าวว่าไม่อยากได้... แล้วมึงก็เอากะไอ้ปุณณ์ ผัวใหม่มึงไป" ไอ้เชี่ยพวกนี้ ปากหมามัน
เป็นโรคติดต่อทางลมหายใจหรือเพศสัมพันธ์วะ ทําไมกระทรวงสาธารณสุข ไม่ลงมาดูแล 'อูโว่ อูโว๊ะ โอ๊ะ ก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น น่ารัก.. ก็เลย
เข้าไปทําความรู้จัก' แต่ยังไม่ทั๊นน.... ที่ผมจะต่อปากต่อคําอะไรกลับ คู่กรณีฝ่ายหญิงของผมดันโทรเข้ามาซะก่อน สงสัยคงอยากรายงานว่า
ถึงบ้านแล้วมั้ง.. ผมกดรับโทรศัพท์พลางชี้หน้าไอ้ฟิล์มเป็นเชิงฝากไว้ก่อน เห็นมันทําหน้าลิงใส่ผมกลับแล้วอยากกระทืบซักทีจริง ๆ ผ มเดิน
ออกจากโต๊ะเลี่ยงมาคุยยังด้านนอกของร้านเพื่อไม่ให้เสียงดังรบกวน ยูริโทรมาบอกผมว่าถึงบ้านแล้วจริง ๆ ก่อนจะกําชับให้ดื่มเหล้าน้อย ๆ
อย่าเมา และส่ง sms บอกเธอเมื่อถึงบ้าน... เอาน่า มีคนคอยเป็นห่วงยังดีกว่าไม่มี ผมบอกตัวเองว่าอย่างนั้น ผมยืนคุยกับยูริอยู่พักนึงก่อนจะ
สังเกตเห็นว่ากอล์ฟตามมาสมทบอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับมองหน้าผมแบบแปลก ๆ เหมือนมีเรื่องอยากจะคุยด้วยจนผิดสังเกต ความรู้สึกผมมัน
บอกว่ากอล์ฟไม่ได้แค่บังเอิญมายืนสูบบุหรี่อยู่ข้าง ๆ แน่ ๆ จึงรีบตัดสินใจวางสายยูริลง
"งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวถึงบ้านจะส่งข้อความไป... ครับ ๆ หวัดดี " เมื่อผมวางสายเสร็จกอล์ฟก็ยื่นบุหรี่มาให้ตัวนึงทันที แต่พอดีผมไม่ใช่
คนสูบบุหรี่ว่ะ เพราะกลัวปากไม่ชมพู... ตลกละครับ อย่าเชื่อทุกเรื่องที่ผมพูดได้ปะ.. ผมสูบไม่เป็นต่างหาก แล้วถ้าอาป๊ารู้มีหวังบ่ นหูชาาา
"ไม่เอาว่ะ มึงมีไรป่าววะกอล์ฟ" ที่แน่ ๆ ผมไม่เคยเห็นมันทําท่าซีเรียสแบบนี้มาก่อน
"ช่วงนี้มึงสนิทกับปุณณ์เหรอวะ" โอ่ย....เบื่อตอบคําถามนี้จริงโว๊ย!!! เป็นคนอื่นมาถามผมคงด่ากลับไปแล้ว แต่เผอิญไอ้กอล์ฟมันทําหน้ า
จริงจังชอบกลว่ะ?
"ก็เออ.. นิดหน่อย มึงเป็นไรเนี่ย" ยิ่งเห็นมันทําท่าทีลุกลี้ลุกลนผมยิ่งนึกสงสัย แล้วแม่งไม่บอกซักทีเนี่ยก็ทําให้อยากรู้เข้าไปใหญ่
"มึงมีไร บอกกูมา...." เร็ว ๆ!!
"มัน.... ไอ้ปุณณ์น่ะ... ยังคบกับแฟนอยู่ป่าววะ"
25th CHAOS
"มัน.... ไอ้ปุณณ์น่ะ... ยังคบกับแฟนอยู่ป่าววะ" ผมงง ๆ กับคําถามนั้นของกอล์ฟเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ มันจะถามขึ้นมาทําไม และที่
สําคัญ เรื่องแบบนี้ไม่ถามเจ้าตัว แต่ดันมาถามคนเป็นเพื่อนอย่าง ผม?
"กับเอมน่ะเหรอ คบดิ่ เพิ่งไปกินข้าวด้วยกันมาเนี่ย" ผมตอบทั้งที่รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด จนต้องบอกตัวเองยํ้า ๆ ซํ้ า ๆ
ว่า มันคือความถูกต้องที่สุดแล้ว ที่สองคนนี้ยังไม่เลิกกัน.. จมูกผมสูดลมหายใจลึกพลางมองหน้ามึน ๆ ของไอ้กอล์ฟ ที่ดูจะไม่ซึ้งกับรักนิรันดร์
ของเพื่อนเอาซะเลยยย เป็นไรของมันวะ
"มีไรปะวะ?" แต่ถึงจะถูกถามอย่างนั้น มันก็ยังคงไม่ตอบ ผมมองกอล์ฟที่ส่ายหัวดิก พลางอัดควันบุหรี่เข้าปอดก่อนจะยื่น XDA โอทูมาให้ผม
อะไรของมันเนี่ย???
"หืมม? ทําเป็นอวด หมั่นไส้คนรวยเว๊ย!" ผมแกล้งด่า เลยโดนมันบ้องหัวเข้าให้ สงสัยจะผิดประเด็น ^^"
"ไอ้ควาย กูไม่ได้เอามาอวด... มึงเปิดวีดีโอดูดิ่" แม่ง.. แหย่แค่นี้ทําเป็นซีเรียส ผมเหล่มองใบหน้าเครียด ๆ ของมันแล้วก็ยอมคลําโทรศัพท์ไฮโซ
เปิดดูแต่โดยดี... ว่าแต่ไอ้มือถือแบบนี้มันใช้ยังไง ต้องจิ้มตรงไหนวะเนี้ยยย
"เปิดไงวะ!!!!!!!!" ผมโวยวายไปใช้ปากกาจิ้มโน่นจิ้มนี่ไป แต่ไอ้กอล์ฟไม่แม้แต่จะสนใจมองผม (พังแล้วอย่าโทษกูนะมึง) มันเดินเลี่ยงไปสูบบุหรี่
อีกที่หนึ่งไม่ไกลจากผมนัก คงกลัวว่าผมจะเหม็นควันบุหรี่ จนในที่สุด ผมที่มึน ๆ ก็คลําหาทางไปยังส่วนของคลังวีดีโอสําเร็จจนได้ ไอ้สาดดด
มึงมีคลิปโป๊ตรึม!!!
"ห่ า... บ้ ากามนะมึง ไรท์ ให้ กูมั่ งดิ่ หึ หึหึ" ผมตะโกนบอกมัน ขํา ๆ แต่พ อกอล์ ฟได้ยิ นดั งนั้ นถึงกับรีบปรี่เดิน มาหา ผมทัน ที ใบหน้ า
เคร่งเครียดของมันทําผมงง ก่อนจะใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งบังจอโทรศัพท์มือถือไว้ แล้วมองผมนิ่ง
"มึงดูนี่...... แล้วบอกกูว่ามึงเห็นอะไร....." กอล์ฟบอกโดยไม่รอให้ผมถามต่อเพราะพอพูดเสร็จมันก็ผละไปสูบบุหรี่ต่อทันที ปล่อยให้ค น
อย่างโน่งงต่อไป? มีวิธีเดียวที่จะทําให้หายงงได้คือ ต้องเปิดดู ผมกดเล่นคลิปวีดีโอที่มันเลือกไว้ อย่างกระหายใคร่รู้ ในจอนั้นฉายภาพเหมือน
เป็น home video อะไรซักอย่าง เพราะเห็นหน้าผู้ชายเต็มจอกําลังตั้งกล้องอยู่ ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง.... ถึงตรงนี้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วน
ขึ้นมาเล็กน้อย เพราะไม่แน่ใจว่าที่ดูอยู่มันคือคลิปโป๊รึปล่าววะ!! แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ -_-"... ในจอมือถือตรงหน้าผมกําลังเล่นคลิป
วีดีโอโป๊อย่างโจ๋งครึ่ม ตรงหน้ากล้องตอนนี้เผยร่างชายหญิงเปลือยเปล่าคู่หนึ่งกําลังผวาเข้ากอดจูบกันบนเตียง (ท่าทางจะเป็นโรมแรม) อย่าง
นัวเนียไม่มีใครยอมใคร แต่กล้องดันตั้งตํ่าเกินไป ผมเลยมองเห็นหน้าผู้หญิงไม่ถนัด (ส่วนผู้ชายน่ะเห็นตั้งแต่ตอนมันตั้งกล้องละ) แต่หู ยยยย....
ผู้หญิงหุ่นดีน่าฟัดเป็นบ้าเลยว่ะ ขาวจั๊วะ เนียนนนนซะอย่าบอกใคร หน้าอกหน้าใจก็กําลังพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ทําเอาผมเริ่ มกลัวใจ
ตัวเองจนไม่ค่อยกล้าดูต่อ เพราะเดี๋ยวคึกคักขึ้นมาแถวนี้จะลําบาก แล้วไอ้เชี่ยกอล์ฟเป็นเชี่ยไรเนี่ยยย!! มันแกล้งผมเล่นรึเปล่าวะ!! ในขณะที่
ผมกําลังจะหันไปด่าเจ้าของมือถือนั่นเอง ภาพตรงหน้ากลับทําเอาผมพูดไม่ออกซะก่อน... มาถึงตรงนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็ มคํา ว่าผมไม่มี
ทางเกิดอารมณ์กับคลิปวีดีโอนี้เป็นอันขาด ผมเบิกตากว้างเพื่อเพ่งดูให้ชัด ๆ อีกครั้ง เพราะเมื่อชายหญิงคู่นั้นค่อย ๆ ล้มตัวลงบนเตี ยง ทําให้
ผมเห็นหน้าฝ่ายหญิงชัดเจน........สิ่งที่ฟ้องเต็มตาผมคือเครื่องหน้าสวยไร้ที่ติซึ่งคุ้นเคยดี กับดวงตาคมคู่ที่ เคยเห็นประจํากําลังหรี่ปรือราวกับ
เต็มไปด้วยแรงปรารถนาเต็มที่ อีกทั้งภาพเคลื่อนไหวในโทรศัพท์ยังฉายให้เห็นจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากอิ่มสีแดงจัด ที่ถูกกัดเมื่อเจ้า ตัวกําลังถึง
จุดหนึ่งของอารมณ์ ผมไม่เคยเห็นใบหน้าของเธอในเวลาแบบนั้นมาก่อน แต่ทั้งหมดที่เห็นในตอนนี้ ก็มากพอจะปลุกทุกสํานึกในตัวผมให้ร้อง
บอกตัวเองดังก้องว่า ผู้หญิงคนนี้คือ เอม แฟนของ ปุณณ์ เพื่อนผมแน่นอน ผมมองดูภาพหน้าจอนั้นด้วยความคิดที่หลากหลาย ยิ่งเห็นทุก
การกระทํากําลังดําเนินต่อไปก็ยิ่งรู้สึกว่าทนดูมากกว่านี้ไม่ไหว ผมเลือกที่จะกดหยุดแล้วเบือนหน้ าหนีไปอีกทาง แม้วีดีโอจะยังคงเหลือความ
ยาวอีกหลายนาทีก็ตามที กอล์ฟท่าทางจะเห็นว่าผมรู้ในสิ่งที่มันอยากบอกแล้ว จึงได้เดินมาลูบหัวผมเบา ๆ หลังจากที่ดึงมือถือกลับไป
"กูก็ดูไม่จบเหมือนกัน รู้สึกแย่โคตร ๆ ว่ะ"
"นี่หมายความว่าไงวะ" ผมถามพลางล้มตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นอย่างหมดแรง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้
กอล์ฟล้มตัวนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ ผม
"ผู้ชายในนั้นเพื่อนกูเอง.. มึง... ที่โรงเรียนกูน่ะนะ.." มันเริ่มเกริ่น
"เอมดังมาก.... เพื่อนกูนอนกับผู้หญิงคนนี้มาจะครบทุกคนแล้ว"
"เป็นไปได้ไง...."
"แถมยังไม่ต้องเสียตังซักบาท..." มันว่าต่อพลางพ่นควันบุหรี่ออกมาอีก ผมไม่รู้ว่ากอล์ฟหมายถึงอะไร แต่ไม่ชอบคํา ๆ นี้เอาซะเลย
"มึง... เข้าใจอะไรผิดปะ เอมเค้าเสียหายนะเว้ย"
"กู... เจอมากับตัวเองแล้วด้วยโน่.." แต่เป็นเพราะคําพูดนี้ ทําให้ผมต้องรีบหันหน้าไปมองมันทันที
"มึงเจอไรวะ?"
"วันก่อนกูไปเจ็ท เจอเอมอยู่กับกลุ่มเพื่อนกู..."
"แล้วไงต่อ"
"พอเริ่มเมาก็เข้ามานัวเนียกูใหญ่ สงสัยไม่รู้มั้งว่ากูเคยอยู่โรงเรียนอะไร ตอนนั้นกูก็คิดว่าหรือเอมจะเลิกกับปุณณ์แล้ว"
"............"
"กูหิ้วไปถึงโรมแรมแล้วด้วย แต่ทําไม่ลงว่ะ สวยขนาดไหนก็คนเคย ๆ เห็นกันมา... กูรู้สึกแปลก ๆ เลยทําไม่ลง ของกูไม่แข็งเลยด้วยซํ้า แม่ง..
เปลืองค่าโรมแรมชิบหาย หึหึ" ผมแค่นหัวเราะตามมัน เพราะคําหลังไอ้กอล์ฟคงตั้งใจบ่นกวนตีนไปงั้น ๆ ผมรู้ว่าคนรักเพื่อนอย่างกอล์ฟ ไม่มี
ทางทําอะไรแบบนี้เด็ดขาด ถึงแม้มันกับปุณณ์จะไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายก็ตามเถอะ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะกําลังรู้สึกสับสนไปหมด
ทุกอย่างมันฟ้องทั้งภาพ ทั้งเรื่องที่กอล์ฟเล่า แต่ผมก็กลัวเกินกว่าจะยอมปักใจเชื่ออะไร สมองเอาแต่คิดว่าอาจมีบางอย่างผิ ดพลาด ต้องเป็น
อย่างนั้นแน่ ๆ เพราะผมอยากจะเชื่อว่าอย่างนั้น.. กอล์ฟดูท่าทางเข้าใจความสับสนที่ผมกําลังเผชิญอยู่ดี.. มันยื่นมือมาบีบไหล่ผมเบา ๆ
"มึงเตือน ๆ ไอ้ปุณณ์หน่อยก็ดีนะ กูว่ามันน่าสงสารว่ะ"
"ได้ที่ไหน... กูไม่รู้จะพูดยังไง.." ผมตอบมันพลางบีบมือ ตัวเองแน่น เห็นใบหน้าไอ้กอล์ฟพยักเพยิดขึ้นลงเป็นเชิงเข้าใจ เราสองคนนั่งเงียบ ๆ
กันอีกพักใหญ่ก่อนกอล์ฟจะตบไหล่แล้วชวนผมให้เดินกลับไป.... ตอนนี้ผมรู้สึกมึนไปหมดจริง ๆ *** เมื่อกลับมาถึงโต๊ะ สิ่งที่ผมถามหาอย่าง
แรกคือเหล้า..
"เฮ้ย! มึงไปเสี้ยมไรไอ้โน่มา ทํ าไมกลับมากลายเป็นตาแก่ขี้เมางี้วะ!" เสียงเอิ้นตะโกนด่ากอล์ฟดังแว่วเข้ามาในหูผม คงเพราะตั้งแต่กลับมา
หลังจากหายไปด้วยกัน แก้วผมก็ยังคงเต็มไปด้วยเหล้าไม่มีขาด.. แล้วใครบอกว่าผมขี้เมาวะ!!! ยังไม่เมาซักหน่อยโว๊ย!!!! แค่รู้สึกว่าโลกเราวันนี้
แรงดึงดูดเยอะจัง... ทําไมหัวมันทิ่ม ๆ ตลอดเวลาเลยวะ..
"เอามาอีกแก้ววว" แต่ถึงเอิ้นจะบ่นเอา ๆ ยังไง ก็ยังมีไอ้โอมที่รู้ใจ มันกุลีกุจอผสมเหล้าแก้วใหม่ให้ผมจนไม่รู้แล้วว่านี่เป็นแก้ว ที่เท่าไหร่
ท่าทางโอมจะเมาพอดูเหมือนกัน เพราะรู้สึกว่ามันยิ่งชง เหล้าก็ยิ่งเข้มขึ้นทุกที ๆ ผมปรือตามองแบล็คขวดใหม่ที่เพื่อน ๆ สั่งเพิ่มมาอีก พลาง
รู้สึกว่าภาพเบลอเล็กน้อย สงสัยเพราะม่านตาผมไม่สามารถปรับโฟกัสอะไรได้ถนัด เงาลาง ๆ ของไอ้เก่งยื่นมือมาตบหัวผม พร้อม ๆ กับเสียง
ที่ลอยมาว่า
"ไอ้ห่านี่แม่งเมา" เอ๊ะ.. กูไม่ได้เมาซักหน่อย!! ผมชักฉุนว่ะ แต่ไม่สนใจหรอกว่าใครจะพูดยังไง รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ปวดหัว ไม่มีอารมณ์จะเถียง
ด้วย ยิ่งก้มหน้าลงตํ่าก็ยิ่งอยากจะคะย้อนเอาขาหมูเยอรมันกับแซลม่อนแช่นํ้าปลาเมื่อเย็นออกมา สงสัยเป็นเพราะอย่างนั้นเลยคิดว่าเปลี่ ยน
มานั่งเงยหน้าท่าทางจะดีกว่า ผมเงยหน้าขึ้นสู้แสงจากเสาไฟของร้าน พลางรู้สึกว่าหัวคิ้วตัวเองย่นหากันแน่นราวกับมีแม่เหล็กคอยดูด.. ไม่ว่า
ผมจะพยายามยังไง ก็แก้มันไม่ออก สิ่งที่ผมคิดภายในหัวตอนนี้ล้วนตีกันวุ่นไปหมด จนผมสับสนไม่รู้จะทํายังไง ภาพวีดีโอที่เห็นเพี ยงแว่บ
เดียว แต่กลับเด่นชัดในความคิด คอยสะกิดบอกทุกจิตสํานึกในตัวผมตลอดเวลาว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร เช่นเดียวกับเสียงของกอล์ฟที่ยังคงดัง
ก้อง วนซํ้าไปมา ยํ้าว่ามีเกิดอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยที่ปุณณ์ไม่เคยรู้มาก่อน. ผมคิดถึงรอยยิ้มของปุณณ์ ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นจะมีให้ผม ให้เอม หรือ
ให้ใคร มันก็เป็นรอยยิ้มที่สวยเสมอ จนผมไม่อยากให้อภัยคนที่ทําลายมัน ผมไม่อยากให้อภัยคนที่ไม่เห็นค่าของปุณณ์ คนที่ทําให้ความรู้สึกดี
ๆ ของปุณณ์ต้องสูญเปล่า วันนี้ผมเจ็บยิ่งกว่าวันที่เราต้องแยกจากกันซะอีก ผมกํามือตัวเองแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ.. แค่คิดว่าปุ ณณ์
จะต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นขนาดไหน ในใจผมกลับบีบตัวเองจนเจ็บยิ่งกว่า ผมไม่สมควรมารับรู้เรื่องนี้เลยจริง ๆ เพราะผมไม่รู้จะทําอะไร
ให้ปุณณ์ได้บ้าง.. หรือต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ต่อไป.. ในหัวมีแต่คําถามว่าทําไม ทําไม ทําไม.. เสียงเพื่อน ๆ ยังคงเฮฮากั นดังลั่นไม่
ยอมหยุด ในขณะที่ผมไม่มีแรงจะออกไปแจมด้วยเท่าไหร่ ไม่ใช่เป็นเพราะผมเมา แต่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับความคิดตัวเองกําลังเล่นงาน
ผมมากกว่า ผมยอมรับว่าทนเห็นเรื่องราวผิดพลาดอย่างนี้ไม่ได้ จนไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเรื่องที่เห็นวันนี้เป็นความจริง หรือแค่ฝันไป.. มันอาจ
มีอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอมอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง (ที่ผมคิดไม่ออก) หรือนั่นอาจไม่ใช่เอมเลยก็เป็นได้..ผมตะโกนบอกตัวเอง
ในใจเป็นร้อยครั้งว่าจะยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องใด ๆ เป็นอันขาด เพราะสุดท้ายคนเสียหายที่สุดจะเป็นเอม และคนเสียใจที่สุดก็คือเพื่อน ผมเอง
ผม.. ไม่เชื่อ..
"โน่.. เป็นไรวะ?" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยมากที่สุดเสียงหนึ่งดังขึ้นรบกวนความคิด จนเมื่อผมลืมตาดู ก็พบคนที่กําลังคิดถึงมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
พร้อมรอยยิ้มเผล่
"ใครให้มันดื่มขนาดนี้เนี่ย ตัวแดงเลยว่ะ" ปุณณ์หันกลับไปถามเพื่อน ๆ ผม
"เออ ดูแลมันหน่อยดิ๊ แฟนมึงลํายองว่ะ" เป็นเสียงไอ้รถเก๋งแน่นอนที่ร้องตอบพลางหัวเราะคิกคัก.. หน็อยย ไอ้ห่าพวกนี้ ถ้ามีแรงซักนิ ดจะเดิน
ไปกระทืบซะให้เข็ด.. แต่มันไม่ค่อยมีแรงว่ะ ซ่าส์ไม่ไหวจริง ๆ ผมนั่งอยู่นิ่ง ๆ มองปุณณ์ที่หย่อนก้นลงบนพนักแขนเก้าอี้ผม พลางหันไปคุย
สนุกสนานกับบรรดาเพื่อน ๆ คนอื่น ได้ยินเสียงหัวเราะของปุณณ์ดังแว่วมาตลอด เช่นเดียวกับใบหน้าคมนั้น ที่หันมาดูเป็นระยะ ๆ ว่าผมตาย
ไปรึยัง
"โน่ อีกแก้ว ๆๆ" แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ไอ้โอมก็ยังคงกระดี๊กระด๊าจะส่งเหล้ามาให้ไม่ยอมหยุดอยู่ดี แน่นอนว่าของแบบนี้ไม่มีปฏิเสธ ผมเอื้อม
มือไปจะรับแก้วเหล้าจากมัน แต่มีมือของใครบางคนสกัดกั้นเอาไว้ก่อน "โน่มันเมาแล้วโอม ผมว่าพอเหอะ" ขี้ขัดใจกูแบบนี้มีคนเดียวแน่ ๆ
"เฮ้ย! ไม่ได้ว่ะปุณณ์ ขวดนี้สั่งมาแล้ว ไอ้โน่ต้องรับผิดชอบเด่ะะ" เสียงอ้อแอ้ของโอมบ่งบอกว่ามันไม่ยอมแน่นอน ตัวผมเองมองไม่เห็นหรอ
กว่าปุณณ์กําลังทําหน้าแบบไหนอยู่ แต่เงาลาง ๆ ที่ปรากฏ เห็นเป็นมือของคนที่นั่งบนแขนเก้าอี้ผม ยื่นไปรับเหล้าแก้วนั้นมาไว้กับตัว เอง
"งั้นโอมก็ชงให้ผมแล้วกัน เดี๋ยวผมดื่มเอง" เมื่อได้ยินคํานั้น มือของผมก็เอื้อมไปจับแขนปุณณ์ไว้โดยอัตโนมัติทันที
"ไม่เอาปุณณ์... ให้กูเมาคนเดียวพอ..."
"ผมไม่เมาหรอกโน่.ไม่อ่อนว่ะ" เสียงมันเจ้าเล่ห์จนน่าถีบ แต่ผมถีบมันไม่ไหวยิ่งพอมันจิ้มหน้าผากผม ผมถึงกับหงาย เพราะไม่มีแรงต้านมื อมัน
"เมาขนาดนี้จะดื่มต่อได้ไงหืม?" สัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือข้างเดิมนั้น ที่ลูบผมหน้าผมแผ่ว ๆ ทําให้รอยยิ้มอดจะปรากฏออกมาไม่ได้ ผมเอื้อม
จับมือมันที่วางอยู่บนหน้าผากผมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
"ปุณณ์............."
"ว่าไงครับ?"
"ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น.. ก็ยังมีเรานะ"

26th CHAOS
ปวดหัวชิบหาย.....นี่คือความคิดเดียวที่วนเวียนรบกวนผมตอนนี้... แม่งปวดหัวมากจนแทบสลบ อยากจะนอนผึ่งอยู่ตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดด้ วย
ซํ้าไป แต่ใครวะดันลากผมเดินไม่ยอมหยุด
"ปล่อยกู......... กูจะ.... นอนนนน"
"เดี๋ยวได้นอนแล้ว" ไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยว่านี่เสียงใคร... ผมรู้ได้ทันที
"ไอ้ปุณณ์.... มึงจา.. ลากกู.. ไปหนายยย" แต่กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคํานี่ยากลําบากจริงเว้ยเฮ้ย!
"ไปนอนไง.. โน่อย่าดิ้นสิครับ กูหนัก" เสียงปุณณ์ตอบพลางขยับท่อนแขนผมให้พาดลําคอมันถนัด ๆ ผมรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้นิดหน่อย เหมื อน
มีอะไรกําลังจะขย้อนออกมา
"ใกล้ถึงแล้ว" พอได้ฟังคํามันพูดแบบนั้น ใจผมค่อยชื้นขึ้นหน่อย เราสองคนเดินทุลักทุเลขึ้นบันได ขณะที่ความรู้สึกปวดหัวยังคงเล่นงานผมอยู่
ไม่หายระหว่างปุณณ์กําลังเปิดประตูอะไรซักอย่างออก จนเมื่อลืมตาดูผมก็เห็น........ห้องนอนมัน.. ผมรีบหลับตาลงอย่างปวดหัวทันที พากูมา
ทําไมวะ!! กูจะกลับบ้าน!!!!!
"กลับบ้าน! กลับบ้านน! กลับบ้าน! จาา กลาบบ บ้านนน!!" ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีดิ้นขลุกขลักทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองกําลังอยู่ไหน ซึ่งก็ ไม่แน่ใจ
เหมือนกันว่าจะเอะอะโวยวายไปทําไม ปุณณ์กระชับแขนผมที่พาดบ่ามันอยู่แน่นยิ่งขึ้น
"อย่าดื้อได้มั้ย เมาขนาดนี้กลับไปให้อาป๊าตีรึไง" ตามด้วยเสียงบ่นผมอะไรต่ออีกก็ไม่รู้งึมงํา กระทั่งรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าหลังตั วเองกําลังสัมผัส
ลงบนเตียงนุ่มเหมือนได้อยู่บนสวรรค์ แต่ดันไม่มีแรงแม้แต่จะเขยิบตัวขึ้นไปนอนดี ๆ นี่สิ ผมดิ้นขลุก ขลักไปมาบนเตียงเพราะรู้สึกไม่ค่อย
สบายตัว เดือดร้อนปุณณ์ต้องสอดมือช่วยดันหลังผมให้เคลื่อนขยับขึ้นไปนอนบนเตียงดี ๆ แต่ผมกําลังปวดหัวมาก จนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้น
ยึดไหล่มันเอาไว้
"ไหวป่าวโน่?" จะบอกว่าไหวหรือไม่ไหวดีล่ะ... หัวแทบจะระเบิดแล้วตอนนี้ แค่อ้าปากพู ดยังไม่ค่อยมีแรงเลยด้วยซํ้า อาการปวดหัวของผมดู
รุนแรงขึ้นจนต้องฝืนลืมตาตัวเองขึ้นมา.. สิ่งแรกที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือ ใบหน้าของปุณณ์ ภูมิพัฒน์ที่ใกล้ซะจนสัมผัสลมหายใจ ทันที ที่ผม
เห็นดวงตาคมสีดําแลดูตระหนกคู่นั้นจับจ้องอยู่ตรงหน้าผม ครู่หนึ่งกลับลืมความปวดหัวทั้งหมดเป็นปลิดทิ้ง.. น่าแปลกที่ในดวงตาปุณณ์มักมี
อะไรบางอย่างดึงดูดให้ละสายตาไปไม่ได้เสมอ ราวกับถูกนัยน์ตาสีนิลคู่นั้นร้องขอให้อย่าจากไป.. ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาวูบไหวคู่นั้น ที่
ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมอย่างช้า ๆ จนเราต่างเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน... ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือปุณณ์ที่ลูบไล้บนศรีษะผมเล่นอย่าง
อ่อนโยน เช่นเดียวกับริมฝีปากของเราที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวสัมผัสกัน.. แต่..
"อุ๊บ..... แหวะะะะะ" ฉุกเฉินแล้วครับพี่น้อง!!!!!!!!!!!!!!!!!! ต้องรีบเอาออกด่วน!!!!!!!!!!!! ผมผลักไอ้ปุณณ์กระเด็นพลางพุ่งเข้ าห้องนํ้าเพื่อกอดโถชัก
โครกทันที
"แหวะะะะะะะ"
"หึหึ...... อ้วกด้วยเหรอวะ อ่อนว่ะ" เสียงกวนประสาทของไอ้ปุณณ์ยังคงดังตามหลังผมมาไม่ไกล แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงด้ วย
แล้ว เพราะการเบ่งอ้วกให้ตัวเองสําคัญกว่า ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะในลําคอก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีมือหนา ๆ กําลังช่วยลูบหลังให้ผมอยู่
"อ้วกก็ดีจะได้สบายตัว" แค่พูดมันก็ง่ายแต่ให้ทําจริงน่ะยาก!! ผมอยากจะหันไปด่ามันจริง ๆ แต่ติดอยู่ว่าตอนนี้รู้สึกผะอืดผะอมอยากจะอ้วก
พอไอ้ครั้นพยายามเบ่งออกมาจริง ๆ ก็ดันเสือกมีแต่นํ้าย่อย ปุณณ์คอยลูบหลังให้ผมอย่างใจเย็น จนเวลาผ่านไปนานเหมือนกัน
"อ้วกปะวะ?" มันคงเห็นว่านานมากแล้วที่ผมมานั่งกอดโถส้วมไว้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแบบนี้
"อยากก... แต่... ม่ายยอ้วก..." ในที่สุดก็เป็นผมที่ต้องยอมจํานนให้สถานการณ์เลวร้ายแต่โดยดี ทั้งที่ยังรู้สึกพะอืดพะอมจ นเหมือนจะทนไม่
ไหว แต่ครั้นจะมานั่งแกร่วกอดคอโถส้วมโดยให้ปุณณ์คอยดูแลลูบหลังลูบไหล่ก็น่าเกรงใจมากอยู่ ผมจึงตัดสินใจปล่อยมือออกจากคอห่าน
ปล่อยให้ปุณณ์เป็นธุระช่วยประคองผมลุกขึ้นยืนเพื่อกลับไปนอนบนเตียงดังเดิม แต่ระหว่างที่กําลังก้ม ๆ เงย ๆ นั้นเอง ผมกลับรู้สึ กว่าตัวเอง
ทนไม่ไหวแล้ว
"อ้วกกกกก" ทะยานเต็มตัวทั้งมันและผมเลยครับ พี่น้อง -_-".....พอทันทีที่กระสุนนัดแรกพุ่งออกมา ผมก็ขาอ่อนลงไปกองปวกเปียกกับพื้น
ห้องนํ้าอย่างคนหมดแรง
"ไหวป่าวโน่!" น่าแปลกที่ปุณณ์ไม่ด่าผม แต่กลับนั่งลงประคองร่างกะปลกกะเปลี้ยของผมยกใหญ่ซะงั้น ผมกําลังจะอ้าปากบอกมันว่าไม่เป็นไร
แต่..
"อ้วกกก" ก๊อกสองครับท่าน!!! นี่ควบคุมตัวเองไม่ได้จริง ๆ นะ!!!! ปล่าวแกล้ง!!! สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้ก็คือไหน ๆ อ้วกออกมาแล้วดังนั้นต้องล้วง
ออกมาให้หมด ตอนนี้ผมไม่สนแล้วว่าจะอ้วกรดใส่ใครบ้าง เอาเป็นว่าขอฉวยโอกาสที่ปุณณ์ไม่ด่าเป็นโชคงาม ๆ ของผมหน่อยแล้วกัน
"อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"
"หมดยัง?" มันลูบหลังลูบไหล่ผมเป็นการใหญ่จนได้ขย้อนอีกสองสามทีก่อนจะรู้สึกว่ากระเพาะตัวเองกลวงโบ๋และว่างเปล่า
"หมดแล้วววว"
"แน่นะ?" ปุณณ์ถามยํ้าผมอีกครั้งก่อนจะพาไปล้างปากล้างตัวในอ่าง ตอนนี้เราเหม็นอ้วกกันทั้งคู่เลยครับ ถ้าจะอ้วกอีกรอบก็เพราะเหม็นอ้วก
ตัวเองนี่แหละ ผมนั่งหมดแรงอยู่บนขอบอ่างกลายเป็นโน่เชื่อง ๆ ยอมให้ปุณณ์ถอดเสื้อ ผมออกแต่โดยดี รวมถึงกางเกงยีนส์ที่เลอะเทอะหมด
แล้วนี่ด้วย ผมนั่งก้มหน้าให้สายนํ้าจากฝักบัวรดหัว ขณะที่รอปุณณ์ถอดเสื้อผ้าของมันเองออกบ้าง จนเราสองคนเหลือแต่บ๊อกเซอร์ตัว
เดียวกันทั้งคู่
"เมิงจะทํารายย" เมาแล้วขี้ระแวงไปหมดนั่นแหละครับ
"ทําอะไรล่ะ! ล้างตัวสิวะ!" มันตอบกลั้วหัวเราะพลางดึงสายฝักบัวมาฉีดทําความสะอาดล้างตัวให้ผม ผมปัดป้องตัวเองนิดหน่อยเมื่อปุณณ์
ทําท่าจะถูสบู่ให้
"จะทามรายกู-------"
"ถ้ามึงนอนไม่อาบนํ้า กูลากลงไปนอนโรงรถแน่" มันขู่ว่างั้นแล้วก็ยกแขนยกขาผมถูสบู่ต่อ ซึ่งจะเถียงก็ไม่ได้เพราะผมคิดว่าวันนี้ตัวเองก็
โสโครกจริง ๆ ผมนั่งเฉย ๆ ปล่อยให้ปุณณ์ทําความสะอาดตัวผมไปขณะที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มสร่างเมาขึ้นเรื่อย ๆ จนตาสว่างเต็มตื่นแล้ว จึงได้
เห็นว่าตอนนี้ปุณณ์กําลังอาบนํ้าให้ตัวเองอยู่ ผมมองภาพนั้นพลางคิดว่ามันออกจะแปลก ๆ กับการอาบนํ้าโดยยังใส่กางเกงบ๊อกเซอร์อยู่
อย่างนี้...
"ปุณณ์..."
"ว่าไง สร่างยัง?" มันหันมาถามผมทั้งที่ยังขยี้หัวตัวเองด้วยแชมพูอยู่
"ก็ดี... มึงไม่อึดอัดเหรอวะ"
"อึดอัดไรวะ" มันถามต่อพร้อมกับหันหลังล้างผมไปด้วย
"ใส่บ๊อกเซอร์อาบนํ้าเนี่ย........" อืม... ถึงแม้ผมจะคิดว่าเป็นคําถามที่ออกจะล่อแหลมไปหน่อย... แต่คงเป็นเพราะความที่กําลังกึ่ม ๆ เลยกล้า
ถามออกไปอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าปุณณ์หยุดล้างผมตัวเองไปพักหนึ่ง หน้าหล่อ ๆ ของมันหันมายักคิ้วล้อ ๆ
"แล้วไง จะให้กูถอดหมดรึไง"
"ปกติมึงไปเข้าค่าย มึงใส่งี้อาบนํ้ากะเพื่อนป่าวล่ะ" ผมถามกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
"ไม่.. ล้อนจ้อน" มันตอบมากลั้วหัวเราะ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่อยากนึกจินตนาการ
"เออ แล้วนี่บ้านมึง ก็เอาที่มึงสะดวกสิ" แล้วทําไมผมพูดงี้วะเนี่ยยยยยยยย ปากนะปากกกก มีแรงหน่อยจะตบให้เข็ด! หลังจากคําพูดนั้น ผม
สังเกตเห็นว่าปุณณ์นิ่ง แล้วหันไปล้างผมต่อจนเสร็จ ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัวเราทั้งคู่
"นี่...." มันเกริ่น
"กูก็ไม่ใช่คนดีขนาดนั้นอะนะ... แล้วก็ไม่อยากจะเลวกว่านี้ด้วย" รอยยิ้มเหงา ๆ ของมันทําให้ผมจุกในอกอย่างบอกไม่ถูก ปุณณ์ยิ้ม ให้ผม
แว่บหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงริมฝีปากนุ่ม ที่โน้มลงมาสัมผัสหน้าผากผมแผ่ว ๆ
"แค่นี้ก็ดีใจแล้ว......... ไปนอนกันเหอะ อย่าอ้วกบนเตียงอะ" มันพูดแค่นั้น ก่อนจะลากผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนด้วยกัน เรานอนห่าง
กันโดยมีหมอนข้างกั้น.. แต่เพียงแค่มือที่จับกันไว้ก็ทําให้ผมรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด ถ้าความอ่อนโยนนี้เป็นสิ่งเดียวกับที่ปุณณ์ให้เอม..
ผมไม่อยากให้มันเสียเปล่า *** ผมโผล่หน้าไปโรงเรียนในวันจันทร์เพื่อจะโดนไอ้โอมแซวชิบหายเรื่องที่เมาคาสวนลุมจนถูกไอ้ปุณณ์หิ้วกลั บ
บ้าน แถมยังวีรกรรมเชี่ย ๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่ทําไว้อีก... โอ๊ยยยยย ขายหน้า!
"เชี่ยแม่งเมาแล้วเก๋าชิบหายอะ ใครขัดใจพ่อจะตื้บหมด" มันยังไม่เลิกครับ ตอนนี้มันกําลังเดินขบวนแห่ประจานผมอยู่ นับได้เป็นรายที่ สาม
ของเช้านี้แล้วที่ไอ้โอมเอาผมไปขาย
"จริงเหรอวะ ไอ้โน่อะนะ!?" ไอ้ปาล์มอุทานเสียงหลงจนผมฉุนปึ๊ด! ทําไมวะ! คนอย่างกูจะเก๋ามั่งไม่ได้รึไง!
"เออ ไอ้โน่นี่แหละ เห็นแม่งเพี้ยน ๆ งี้ เมาแล้วเก๋าชิบหาย ไอ้ปุณณ์อุตส่าห์ช่วยมันดื่มตอนขวดสุดท้าย แต่แม่งเสือกตบหัวไอ้ปุณณ์ค วํ่า
คุณชายเขาเหวอจนเพื่อนขําทั้งโต๊ะเลย น่าอายโคตร ฮ่า ๆๆๆ" เชี่ยยยยยยยย ผมทําเรื่องแบบนั้นจริง ๆ เหรอวะ!!!!??
"ตบหัวปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ไอ้เลขาฯสภาฯอะนะ!?"
"เอออออออออ ทําไปได้อะ แม่งข่มผัว ไอ้ปณ ุ ณ์ก็กลัวเมียซะ" สาดด กูวา่ อุปมามึงนีใ่ ช้ไม่ได้ละ โอม ผมกําลังอ้าปากจะด่ามัน แต่ไอ้ปาล์ มชิ่งส่ง
สายตาตกใจมาทางผมเสียก่อน
"มึงกะไอ้ปุณณ์ไปสัมพันธ์กันแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?" ผัวะ!! สรุปว่าตบไอ้เหี้ยนี่ก่อนคนแรกเลยครับ โทษฐานไม่มีวิจารณญาณในการฟัง
แม่งงง... ไอ้โอมหัวเราะเสียงดังเอิ๊กอ๊าก (เพราะมันรอด) ก่อนจะสะกิดปาล์มให้ฟังต่อ ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะบาดเจ็บไปแล้วแต่ก็ยังไม่เข็ ด ไอ้
ปาล์มตั้งใจฟังความเชี่ยของผมเมื่อวันเสาร์มากครับ แต่จริง ๆ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงผมไปทําเชี่ยไรไว้บ้าง (ไอ้โอมมันพูด จริงหรือ
ว่าใส่ไข่วะ!!) แต่ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งไม่อยากรู้ต่อ T__T ผมเลวมากอะครับ ทั้งเสียงดัง โวยวาย กวนตีนบ๋อย ชนเหล้าหก ทําร้า ยร่างกายเพื่อน ๆ
แถมเพิ่งระลึกชาติได้ด้วยว่าทํามือถือตัวเองตกไปตั้งสามรอบ จนพวกมันลงมติตรงกันว่าต้องรีบเอาผมกลับ แต่ผมยังไม่ยอมกลับบ้านดี ๆ อี ก
โอมมันบอกว่าต้องใช้เพื่อนประมาณสิบกว่าคนช่วยกันรุมมัดผมขึ้นแท็กซี่เพื่อให้ไอ้ปุณณ์ (ผู้โชคร้าย) เอากลับไปลงหม้อถ่ วงนํ้า แล้วทําไม
ปุณณ์ไม่บอกผมซักคําเลยล่ะวะ ว่าผมเชี่ยขนาดนั้น!!! T__T มึงอย่ามาพระเอกกกกกกกก
"ไอ้เชี่ย มีตอนนึง ห่าโน่แม่งเมาแล้วเก๋า จะเดินไปไหนไม่รู้ ไอ้ปุณณ์ก็คอยดึง ๆ ไม่ให้มันไป แต่แม่งไม่ยอม เสือกสะบัดปุณณ์กระเด็ นแล้วเดิน
ไปหน้าจะควํ่าเอง ดีว่าไอ้ห่าปุณณ์มันไว ดึงไอ้โน่ไว้ทัน... ท่าแม่งงงงงงงงงงงงง อย่างกับพระเอกประคองนางเอกในนิยายยยย"
"โรแมนติกโคตรเลยสิวะ!" กูว่ามึงฟังเงียบ ๆ ไม่ต้องเสริมจะดีกว่านะปาล์ม!
"เออ.. โรแมนติกสัด สุดท้ายนางเอกต่อยพระเอกควํ่า แล้วลงไปล้มกองอยู่กับพื้นทั้งคู่ เอง พวกกูฮาแตกกกกกกกกกกกกกก" โอ๊ยยยย
อยากจะหายตัวเดี๋ยวนี้เลยครับ!! ไอ้โอมกับไอ้ปาล์มพักขํากลิ้งกัน ก่อนจะเริ่มวิจารณ์ต่อ
"ถ้าแม่งไม่ได้มีแฟนกันแล้วทั้งคู่นะ กูฟันธงไปแล้ววว แม่งเหมือนผัวเมียตีกันชิบหาย" นับว่ายังดีที่มันระลึกได้วา่ ผมมีแฟน..หลังจากนัน้ พวกมัน
จะเล่าอะไรต่อผมไม่ค่อยได้ฟังแล้ว (เยอะจัด) ตอนนี้คิดแต่ว่าปุณณ์จะเป็นไงมั่งวะนั่น ผมเองก็ไม่ได้มองซะด้วยว่าร่างกายมันบอบชํ้าข นาด
ไหน สงสัยผมจะเมามากไปหน่อยจริง ๆ
"แล้วปุณณ์เจ็บตัวเยอะป่าววะโน่ กูเห็นมึงทุบมันเอา ทุบมันเอา ชํ้าปะ" โอมแว่บมาถามผมขณะที่ผมกําลังใช้ความคิดอยู่
"ไม่รู้"
"เอ๋า.. แล้วตอนอาบนํ้ามึงไม่เห็นรึไง"
"กูเมาว่ะ ภาพมันเบลอ ๆ ลาง ๆ"
"..........................................." เอ๊ะ!? นี่ผมโดนหลอกถามอะไรรึเปล่าวะ..
"ไอ้เชี่ยโน่กับปุณณ์แม่งอาบน ้าด้วยกัน!!!!" ฉิบหาย!!ไอ้โอมตะโกนดังมากครับ ดังจนเพื่อนทั้งห้องกรูมาตรงนี้เลยที่เดียว ไอ้สาดดดดดด กูป่าวว
"เห๊ย! สัด!!!!!!! กูใส่บ๊อกเซอร์อาบกันทั้งคู่เหอะ!!!!!!!!" ผมพยายามปกป้องตัวเองครับ! แต่ไอ้รถเก๋ง (ที่วิ่งมาสมทบทีห ลัง) หันมาชี้หน้าผมอย่าง
พยายามจะหาเรื่องให้
"ถ้าพวกมึงสองตัวไม่ได้คิดไรกัน มึงแก้ผ้าอาบด้วยกันไปแล้ว นี่แม่งมีใส่บ๊อกเซอร์ห้ามใจด้วยว่ะ!!"
"ฮิ้ววววววววววววววววววววววว" แต่กูล่ะเกลียดไอ้เหี้ยพวกที่เป็นลูกคู่จริง ๆ (ชั่วววว)... ทําไมพวกมันรู้ทันผมไปหม ดเลยครับ ไม่รู้จะเอา
เรี่ยวแรงที่ไหนมาเถียงแล้วววว แถมในขณะที่ทุกคนกําลังตั้งวงล้อผมกันสนุกสนานนั่นเอง...
"ห้องนี้เล่นไรกัน เสียงโคตรดัง" ไอ้ห่า....... มึงมาทําไมตอนนี้!! ผมหันไปมองหน้าปุณณ์ คู่กรณีที่มายืนเด๋ออยู่กลางห้อง พร้อมรู้ สึกเหมือน
ตัวเองเห็นผี
"ฮิ้วววววววววววววววววว" ไอ้ลูกคู่เอาอีกแล้วครับ มึงไปหากลองยาว กรับ แคน ต้นกล้วย มาเลยนะ กุจะตั้งประตูเงินประตูทอง
"อะ ส่งเจ้าสาวเข้าเรือนหอออออออออออออออออออออออออออออ" เชี่ยรถเก๋งกับไอ้เก่งดันหลังผมไปหาไอ้ปุณณ์ใหญ่ (ยังไม่ทันมีประตูเงิน
ประตูทองเลย แม่งส่งกูเข้าเรือนหอแล้ว!? สาดด ไร้ค่าหวะ) ปุณณ์ดูไม่ค่อยเข้าใจมุกนี้เท่าไหร่แต่ก็ยิ้มให้พวกผม เห็นมันขํากับความเพี้ยนของ
เพื่อนผมแล้วก็ยิ่งหนักใจ -_-".. มึงช่วยรู้เรื่องบ้าง ไรบ้าง
"ยืมตัวเจ้าสาวแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเอามาคืน" แล้วพูดงั้นมึงรู้ความหมายป่าววะ!!!!!!!! เสียงเพื่อนผมโห่รับกันใหญ่ ขณะที่ผมโดนมันลากออกไป
นอกห้องแล้ว ToT.. ชีวิตกรู
"เพื่อนเล่นไรกันอะโน่ ท่าทางสนุกว่ะ" ทันทีที่ออกมา มันก็ถามอย่างตื่นเต้นเมื่อเรายืนอยู่หน้าห้องกัน แต่ผมก็ไม่รู้จะตอบไงว่ะ เห อ ๆๆ
"มึง..." ผมรีบถามเรื่องที่ผมสงสัยทันที "มึงโดนกูเล่นเยอะเลยเหรอวะ ที่สวนลุม" ท่าทางมันคงคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคําพูดนี้จากผม เพราะเห็น
มันอึ้งไปน่าดู
"ทําไมอะ"
"ไอ้โอมบอกกูเมาเชี่ยมาก อัดมึงสารพัด เชี่ย กูขอโทดดดดดดดดด กูเมาาาาาาาาาาาาาาา กูไม่ตั้งใจจจจจจจจจจจจจจจจจ" ผมยกมือไหว้มัน
ปลก ๆ ด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นโคตร ๆ แต่ก็มันนั่นแหละ! แม่งจะพระเอกไปไหน ทนผมไปได้ไง แถมยังไม่ยอมเอามาบ่นซักคํา ได้
ยินเสียงมันหัวเราะหึหึอย่างมีเลศนัย "เออ... กูเจ็บตัวมากอะ มึงรุนแรงกับกูชิบหาย กูว่าจะหาทางเอาคืนอยู่" "เชี่ยยยยยย ขอโทษษษษ
ต่อยกูเลย ๆๆ เตะกูก็ได้ วันนี้กูยอมมมมมมมม" "ก้มหน้า หลับตา!" เชี่ยแม่งเป็นพี่ว้ากรึไงวะ แต่ผมขัดคําสั่งมันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผมบอก
วันนี้จะยอมมัน หวังว่าคงไม่อัดผมหนักมากนะ Y__Y ผมก้มหน้า หลับตาปี๋ พร้อมกับคิดไปด้วยว่าปุณณ์จะทําอะไร มันอาจอยากตบหัว
ผม หรือไม่ก็ดีดหู ศอกหลัง ตีเข่า หรืออะไรซักอย่าง?....... ว่าแต่แบบไหนมันเจ็บสุดวะ ผมจะทนเท่าที่มันทนผมได้ป่าวเนี่ยยย ผมคิด คิด คิด
จนรู้สึกว่ามีอะไรเย็น ๆ มายุกยิก ๆ บริเวณคอ "ลืมตาได้" สิ่งที่เห็นอย่างแรกคือแท็คเหล็ก ของที่ระลึกงานบอลห้อยอ ยู่บนคอผม!!
"เฮ้ย!!!!!!!!! เกือบลืมไปแล้วว่ามี!!! ตกลงมันเหลือจากแสตนเหรอวะ!?" ปุณณ์ยิ้ม ๆ พลางส่ายหน้า "ไม่อะ น้องสํารองขึ้นเยอะ พวกพี่ศิษย์
เก่าก็เอาด้วย นี่พอดีตอนนั้นกูป้อนข้าวป้อนนํ้าเอิ้นอยู่หน้าแสตนพอดี เลยคว้ามาทัน อันนึง" "อันเดียว?"
"อืม" "แล้วของมึงอะ" "ไม่เป็นไร นี่ไง เอามาให้มึง" แล้วเมื่อไหร่มันจะเลิกทําตัวพระเอกซักทีครับ ผมเครียดด "ตลก! มึงเอามาได้
มึงก็เอาไปสิวะ!" ผมด่าพลางพยายามจะแกะแท็คออก แต่ปุณณ์คว้ามือผมไว้แน่น พร้อมส่งสายตาไม่พอใจมาอย่างประหลาด "กูให้... มึง...
อย่าทําแบบนี้ได้ปะ" เออ ผมลืมไปว่าทําแบบนี้มันไม่ควร.. ปุณณ์คงเห็นว่าผมไม่แกะแท็คเหล็กแน่แล้วจึงยอมปล่อยมือผม "แต่มึงก็ทํ างาน
หนักนะ ต้องอยากได้สิ... ปกติของแบบนี้เขาเอาไปให้แฟนกันนะเว่ย" คําหลังผมพูดทําไมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่นี่เป็นเรื่องจริ งครับ
ของที่ระลึกงานสําคัญ ๆ ส่วนใหญ่ ถ้าจะให้ใครสักคน คน ๆ นั้นก็มักเป็นแฟน ปุณณ์ถอนหายใจยาวจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจมัน "เอมเขา
ได้ไปจากกูเยอะแล้ว.... ขอกูให้อะไรมึงมั่งเหอะ... อย่าห้ามอะ" ได้ฟังแบบนี้แล้วผมจะพูดอะไรต่อได้ เราสองคนยืนมองหน้ากันเงีย บ ๆ แต่
ในหัวผมกลับมีเรื่องที่คิดอยู่มากมาย... ผมรู้ว่าปุณณ์เองก็เหมือนกัน ดวงตาคมคู่นั้นพยายามจะบอกอะไรผมบางอย่าง "เฮ้ย โน่! อ้ าว...
ปุณณ์ ห้องเรียนอยู่ไหน?" เราสองคนสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อได้ยินเสียงเอิ้นทักผมและแซวไอ้ปุณณ์ดังมาแต่ไกล ปุณณ์หันไปยิ้มให้เ พื่อนที่เพิ่งทํา
หน้าที่ประธานเชียร์เสร็จเมื่อวันเสาร์ "แล้วห้องเรียนมึงล่ะ" มันหันไปแซวกลับขํา ๆ เห็นเอิ้นหัวเราะกลับมา "มึงหายเจ็บแล้วเหรอวะ" ไอ้
สาดดดดดด พวกมึงเลิกพูดถึงเรื่องที่สวนลุมซักทีได้ปะ!! เสียงปุณณ์หัวเราะลั่นพลางหันมาหลิ่วตาล้อผม "กูว่าจะฟ้องพ่ออยู่เนี่ย" สาดด ไอ้
ลูกแหง่ ถ้าไม่ติดว่าเมื่อวันเสาร์ผมต่อยมันไปหลายทีแล้วนะ วันนี้ผมจะต่อยอีกที "เออ เอาเลย.. แล้วมึงคุยกะโน่เส็ดยังเนี่ย กู ต่อ" แต่
สรุปว่าไอ้ห่าพวกนี้เห็นกูเป็นโรตีบอยรึไง วันหลังผมคงต้องทําบัตรคิวมายืนแจกแล้วครับ ปุณณ์คลี่ ยิ้มให้ผม "เสร็จแล้ว.. วันศุกร์อย่าลืม
นะโน่" มันตอบเอิ้นแค่นั้นก่อนจะกําชับผมเรื่องหัวหิน... ซึ่งก็เกือบลืมไปแล้วจริง ๆ ท่าทางไอ้เอิ้นมันงง ๆ มองตามหลังปุณณ์จนหายลั บไป
"วันศุกร์มีไรอะ?" "ไม่มีไรหรอก มึงแหละ มีไร" ผมบอกปัดพลางถามกลับเพราะเห็นมันทําท่าเหมือนมีเรื่องอยากจะคุยกับผม "อ๋อใช่ ๆ
กูเอานี่มาให้ ตามสัญญา" เอิ้นยิ้มเผล่แล้วแบมือโชว์แท็คเหล็กงานบอลที่คงจะเอามาให้ผม แต่.... อะไรวะเนี่ยยยยยยยยยยยย? "เฮ้ย! กูใส่
อยู่เนี่ย!" ผมรีบชี้คอตัวเอง มันไม่ได้มองเลยใช่ไหม -_-" ไอ้เอิ้นทําหน้าตกใจเหมือนเห็นผี "เอามาจากไหนวะ! ฝ่ายเทคนิคไม่มีใครได้เลยไม่ใช่
เหรอ!?" แต่กูคงจะเป็นเทคนิคที่ได้ซ้อนกันสองอันว่ะ ฮ่า ๆๆ "ปุณณ์มันเพิ่งเอามาให้เมื่อกี้เอง เสียใจด้วยพวก... อกหักแล้ว" ผมตบบ่ามัน
ล้อ ๆ ไม่ได้กะจะพูดจริงจัง แต่เห็นหน้ามันสลดลงไป "เออว่ะ.. สงสัยจะอกหักจริง ๆ" มันพึมพําว่าอะไรนะครับ ได้ยินไม่ถนัด? "ห๊ะ???"
"เปล่า ๆๆๆ งั้นกูเข้าเรียนก่อน เรื่องไลฟ์คอนเทสต์ วงกูสมัครด้วยนะ เดี๋ยวเอาใบไปส่งให้" เอิ้นเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องงาน Live Contest ที่
ชมรมผมกําลังจะจัดช่วงก่อนคริสมาสต์ เพื่อหาวงดนตรีเล่ นงานคริสมาสต์ และไปแข่งงาน RAD ที่วัดราชบพิตร ผมยิ้มให้มันอย่างยินดี
"เออ ๆๆ ส่งที่ห้องชมรมนะ ไม่ว่างไปก็เอามาให้กูที่ห้องได้" ผมบอกมันอย่างนั้น แต่เห็นมันแค่นยิ้มตอบแบบเหนื่อย ๆ ก่อนจะรํ่าลากัน แล้ว
เดินจากผมกลับห้องตัวเองไป เป็นไรของมันวะ ทําท่าเหมือนคนเซ็งโลก? แต่ช่างเหอะ... ศุกร์นี้ผมต้องไปหัวหินแล้วเหรอวะเนี่ยยย..

27th CHAOS
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา กลายเป็นอาทิตย์สุขสันต์สําหรับพวกเราทุกคนเลยครับ เพราะผลงานบอลออกมาดี ทุกคนเลยพลอยอารมณ์ดีไปด้วย
ขนาดมาสเตอร์เฟี้ยมที่ปกติต้องยืนปั้นหน้าเหวี่ยงเด็กบริเวณประตูทางเข้าเป็นประจํา อาทิตย์ที่ผ่านมาผมยังไม่เห็นแกเลยครับ สงสัยมัวแต่
ปลื้มใจจัด เออ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมชอบบบ (ไม่ต้องคอยเอาเสื้อยัดในกางเกง) ^___^ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าก็ยังไม่เคย
เห็นใจผมครับ! เพราะแม้จะเป็นอาทิตย์สุขแสนสําหรับทุกคน... แต่สําหรับผมน่ะ......... เสือกเป็นอาทิตย์นรกดี ๆ นี่เอง -_-" ซึ่งอันที่จริง
ผมก็ลืม ๆ ไปแล้วว่าช่วงชีวิตที่ปกติสุขน่ะมันเป็นยังไง เพราะนับแต่วันแรกที่ได้รับมอบหมายตําแหน่งประธานชมรมดนตรีต่อจากพี่โอ๊ค
(อย่างขืนใจ) จนถึงวันนี้.. ชีวิตผมก็ยังหาความสงบสุขไม่ได้ แม้ในช่วงเวลาที่คนอื่นเขาแฮปปี้กัน แต่ไอ้ประธานชมรมดนตรีผู้น่าสงสารอย่างผม
ยังต้องวิ่งไปวิ่งมาหัวปั่นอยู่เลยครับ
ก็จะอะไรซะอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเหลือแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงงานไลฟ์คอนเทสต์ที่ชมรมผมรับหน้าที่เป็นโต้โผจัดกันประจําทุกปี อยู่แล้ววว งาน
นี้มีไว้เฟ้นหาวงดนตรีที่ดีที่สุดเพื่อทําชื่อเสียงคุณประโยชน์ให้แก่โรงเรียนต่อไปครับ ซึ่งถือเป็นเป็นงานเปิด ไม่ใช่คนในชมรมดนตรี ก็สามารถ
เข้าร่วมการแข่งขันได้ เพราะอยู่ชมรมดนตรีไม่ได้หมายความว่าจะเก่งที่สุดเสมอไป (ดูไอ้โอมซิ โง่ชิบหาย) (โอ๋... ล้ อเล่นครับ มันก็มีดีของมัน
...... รึเปล่าวะ) อย่างเช่นไอ้เอิ้นก็มาสมัครครับ (มันอยู่ชมรมเชียร์) จริง ๆ แล้วมันร้องเพลงเพราะครับไอ้นี่ ผมเคยจีบมาช่วย ชมรมเรา
หลายทีละ มันก็ช่วยบ้างปฏิเสธบ้าง แล้วแต่จะสะดวกอะนะ คราวนี้เอิ้นมาพร้อม ๆ เพื่อนสต๊าฟเชียร์ของมันครบวง คงสนุกมันล่ะ ปุณณ์
เองก็มีรายชื่อติดอยู่ในวงหนึ่งเหมือนกัน (ไปซุ่มฟอร์มวงมาตั้งแต่ตอนไหนวะนั่น) ถ้าจําไม่ผิดรู้สึกจะเล่นกีต้าร์นี่แหละครับ มันเล่ นดนตรีเก่ง
(เคยได้เดี่ยวเปียโนในงานคริสมาสต์เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วด้วยมั้ง) เราเคยเกือบได้อยู่ชมรมเดียวกัน แล้วด้วยครับ ถ้ามันไม่ได้เก่งจัดซะจนโดนบรา
เดอร์ลากไปทํางานให้สภานักเรียนก่อน มันก็คงอยู่ชมรมดนตรีกับผมนี่แหละ (หรือมันจะอยู่ชมรมบาสหว่า... คิดไปคิดมา ชมรมซึโดคุก็ได้
ชมรมคํานวณก็ดี... เออ สรุปว่ามันเก่งหลายเรื่องครับ ปล่อยมันไปทําสภาฯแหละดีแล้ว) นอกจากนี้ยังมีอีกล้านแปดแสนวงเดินแถวกันเข้า
มาสมัครยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเหมือนอยากช่วยเพิ่มงานให้ผม.. ให้มันได้อย่างงี้เซ่! (จะขยันอะไรกันนักหนา) เดี๋ยวอาทิตย์หน้าคงต้องเปิดแข่งรอบ
คัดเลือกก่อนขึ้นเวทีใหญ่รอบนึง ไม่งั้นมีหวังผมได้จัดงานยาวถึงตีสามแหง๋ (โลกร้อนครับ ไม่ดี) (ที่จริงไม่มีตังช่วยโรงเรียนจ่ายค่าไฟ) "เป็น
ไรโน่... เงียบเชียว" แต่ก่อนที่ผมจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เสียงไอ้ปุณณ์ดันสะกิดให้ตื่นจากภวังค์(แห่งความเครียด)เสียก่อน ผมสะดุ้ งมองนอก
กระจกรถ ที่ตอนนี้เปลี่ยนวิวทิวทัศน์เป็นทุ่งนาของตัวจังหวัดราชบุรีไปแล้ว "มึงอย่าเสียงดัง.. กูกําลังเงี่ยหูฟังเสียงทะเลอยู่" ผมบอกปัดมัน
มั่ว ๆ ได้ยินเสียงไอ้ปุณณ์หัวเราะหึ ๆ พลางบ่นอะไรทํานองว่า ผมบ้า ซักอย่าง
หึหึ.. ตกใจล่ะสิว่าวันนี้ผมมาอยู่นกี่ ับมันได้ยังไง.. วันนี้ผมโดดเรียนครับ! งดหน้าที่ประธานชมรมดนตรีไว้ชั่วคราว (ที่แม่งช่วงนี้ เนื้อหอมชิบ
หาย ใคร ๆ ก็เรียกหา) มานั่งเจ๋ออยู่บนรถเก๋งสีดําคันเดิมของไอ้ปุณณ์ สืบเนื่องจากที่เผอิญตกปากรับคําสาว ๆ ไว้ ว่าจะไปเที่ยวหัวหินด้วยกัน
เมื่ออาทิตย์ก่อน จริง ๆ แล้วผมว่านี่เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันครับ เพราะจะได้ถือโอกาสหนีจากไอ้พวกบ้านั่นที่เจ้าปัญหาไม่รู้ จบ (พี่ครับ
ใบสมัครยับได้ไหม พับได้หรือเปล่า ผมอยากเปลี่ยนชื่อวง เล่นเพลงไทยสากลหรือฝรั่งดี นักดนตรีไม่ครบยืมวงอื่นได้ไหม เอาแฟนมาดูด้วยได้รึ
เปล่า แมวที่บ้านไม่กินปลาทูควรจะทําไง... พ่อมึงสิ) ตอนนี้ผมกําลังนั่งอยู่บนเบาะด้านหลังคนขับครับ ซึ่งแน่นอนว่าเอมนั่งเป็นตุ๊ก ตาหน้ารถคู่
กับปุณณ์ ส่วนผมกับยูริ เรานั่งข้างหลังกัน "โน่ กิน ๆ" ยูริยื่นถุงสีแดงของขนมโดริโทสที่เ ธอแวะตุนจากวิลล่าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนส่งให้ผม
แน่นอนว่าเรื่องกิน(ขนม)ผมไม่มีขัด ผมหยิบกินพลางถามไอ้ปุณณ์ไปด้วย "กินป่าวมึง" "ไอ้ห่านี่.. ชวนเหมือนเป็นเจ้าของเอง" แต่แม่ งเสือก
ด่าผมกลับซะงั้น เฮ้ย!! คนชวนดี ๆ ก็กวนตีนวะ!!!! เสียงยูริหัวเราะคิกคักกับการทะเลาะกันเป็นเด็ก ๆ ของพวกเราก่อนจะยื่นถุงขนมให้
ปุณณ์เอง "กินสิคะ ขนมถุงเบ้อเร้อ ยูกินเองไม่ไหวหรอก" ผมเหล่ตามองไอ้หน้าหล่อที่ทําเป็นอิดออดเกรงใจอยู่พักนึงแต่ก็กินอยู่ดี.. เ หอะ ๆ
บางทีก็หมั่นไส้อยากจะถีบมันจริง ๆ "เอมกินไหมครับ" ปุณณ์หันไปถามแฟนตัวเองหลังจากที่เพิ่งรู้ตัวว่าปล่อยให้เอมนั่งเงียบมาได้พักใหญ่
แล้ว ผมลอบมองหน้าสาวเจ้าที่งอหงิกนิดหน่อยอย่างงง ๆ เห็นเธอหันหนีไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะพูดว่า "เอมไดเอท.........." ไม่รู้นี่ เป็น
คําตอบหรือแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดาแฮะ.. แต่ก็ช่างเหอะเพราะยังไงผมก็จะกินขนมต่ออยู่ดี "เราสองคนเป็นคู่อ้วนเนอะโน่เนอะ" ยูริว่า
คํานั้นพลางหันมายิ้มโชว์เขี้ยวสวย เรียกให้ผมยิ้มกลับ "ช่ายยย
ไปทะเลเราก็จะไม่จม เพราะเรามีห่วงยาง" ผมต่อปากต่อคําจนได้ยินเสียงเธอหัวเราะร่ากลับมา "แต่ถ้ามีลูก ลูกจะมีพุงเหมือนเราไม่ไ ด้นะ
ต้องเป็นเด็กสุขภาพดี" แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก... สําลักขนมครับ! เจอมุกแบบนี้เข้าผมไปต่อไม่ถูกเลย ได้แต่ปล่อยผงโดริโทสพ่นออก
จมูกอย่างทรมานจนน่าสงสาร ในขณะที่ยูริหัวเราะขําตัวงอ "โน่!!!!!! ยูพูดเล่น!!!!!!!!! ทําไมตกใจขนาดนั้นล่ะ ฮะฮะฮะ อะนํ้า ๆๆ" เธอหัวเราะ
พลางกุลีกุจอรินนํ้าจากขวดยื่นให้ ก็เข้าใจล้อเล่นนะผู้หญิงสมัยนี้ สนุกใช่ไหมที่ทําผมใจหล่บวูบบบ ลงไปกองอยู่ตาตุ่มได้เนี่ยยย ผมรับแก้ว
นํ้ามาพลางเหลือบมองปุณณ์ ที่แอบมองผมผ่านกระจกมองหลังนั่นอยู่แล้ว ขําอะไรวะ ไอ้ห่าาา *** ปุณณ์ขับรถไปเรื่อย ขณะที่
ผู้โดยสารอย่างเอม ยูริ และผม ชวนคุยกันตลอดทาง เราแวะปั๊มหลายที่ ซึ่งทุกที่ยูริก็มักได้ขนมติดไม้ติดมือมาเสมอ (เธอบอกว่าตุนไปกินต่ อที่
โรงแรมครับ เชื่อเขาเลย) หรือบางทีผมกับยูริก็ผลัดกันเลือกแว่นกันแดดรูปทรงประหลาด ๆ เล่นเสียงดังบ้าง ในขณะที่คู่ของปุณณ์และเอมดู
จะอยู่กันเงียบ ๆ มากกว่าที่ผมคิด เพราะไม่ว่าจะหันไปมองกี่ครั้ง ก็มักเห็นปุณณ์เป็นฝ่ายเดินตามเอมอยู่เสมอ จนในที่สุดเราก็มา ถึงรี
สอร์ทที่พักตอนบ่ายแก่ ๆ เย้!.. ผมก้มลงมองนาฬิกาตัวเองที่บอกเวลาบ่ายสามโมงกว่าขณะที่ปุณณ์และเอมเป็นธุระเดินไปเช็คอินให้ "รี
สอร์ทเขาน่ารักมากเลยเนอะ" ยูริพูดพลางทิ้งนํ้าหนักตัวลงนั่งบนโซฟาทรงโมเดิร์นกลางล็อบบี้อย่างสําราญใจ เธอขย่มมันนิดหน่อยสปริงเบาะ
คงจะเด้งดึ๋งสะใจเธอดี ผมแอบนึกขํา "โซฟาขนหางกระรอกเลยนะเนี่ย" "จริงเหรอ!!!!?" ลุกพรวดพราดเร็วมากครับพี่น้อง.. อันนี้ต้องทํา
ความเข้าใจกันนิดนึงว่ายูริเขาเป็นชมรมคน
รักสัตว์ตัวเล็ก ๆ รักซะจนผมคิดว่าคงจบไปทํางานกับกรีนพีซได้เลย ไม่มีปัญหาแน่ ๆ ดังนั้นเรื่องทรมานสัตว์เป็นเรื่องต้องห้ามสําหรั บยูริที่ผม
รู้ดี (ครั้งนึงเธอเคยห้ามไม่ให้ผมเล่นเกมชิพกับเดล เพราะสงสารไอ้กระรอกสองตัวที่ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามทุ่มแอ๊บเปิ้ลใส่) "ซะ เมื่อไหร่.."
แน่นอนว่าพอสิ้นคําปุ๊บ ผมก็โดนหมอนที่ตั้งอยู่บนโซฟาเขวี้ยงอัดหน้าปับ๊ ทันที ฮ่า ๆๆ (หาเรื่องให้ตัวเองทําไมวะเนี่ย) พวกผมสองคนยื นขําคิก
คักพลางแกล้งหยอกกันไปมาอยู่อีกพักใหญ่ จนกระทั่งเอมและปุณณ์เดินกลับเข้ามาพร้อมพวงกุญแจห้องในมือ "เล่นไรกันสองคนนี้" เสียง
เอมถามยิ้ม ๆ เมื่อยังคงเห็นพวกผมสองคนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายกันอยู่ แน่นอนว่ายูริได้ทีก็รีบฟ้องเพื่อนยกใหญ่ "โน่ขี้แกล้งมากเลย ฉัน
ทนไม่ไหวแล้ว เด็กโรงเรียนนี้ขี้แกล้งเหมือนกันทุกคนรึเปล่าปุณณ์!" อ้าวเฮ้ย! อยู่ ๆ เหมาสถาบันซะงั้น ปุณณ์ยิ้มรับคํานั้นของยูริพลางมอง
ผมขํา ๆ "มันคนเดียวครับยูริ" แล้วไอ้สัดนี่ก็ไม่ได้ช่วยกูเล้ย ผมเหล่ตามองมันก่อนจะแหย่ยูริต่อ "ยูริก็ขี้แกล้งเหมือนกัน สาว ๆ โรงเรียนนี้เขา
เป็นงี้กันทั้งโรงเรียนเลยรึป่าวครับเอม" แล้วก็เป็นเพราะคําถามนั้น ผมเลยโดนยูริตีแขนเข้าไปอีกหลายฉาด (อู่ยย.. เจ็บนะเนี้ย) แน่นอนว่า
เอมหัวเราะขําความเพี้ยนของพวกผม "ยูริกับโน่สนิทกันดีจังเนอะ งี้ให้นอนด้วยกันแล้วกัน" เธอว่าอย่างนั้นพลางยื่นกุญแจห้องพวงหนึ่ง มาให้
แต่ผมอึ้งสนิท ได้แต่มองกุญแจดอกนั้นสลับกับหน้าปุณณ์ไปมาอย่างไม่แน่ใจ สีหน้าเจ้านั่ นดูหนักใจขึ้นมาทันที "เอมครับ..... ปุณณ์นึกว่า
เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ" "ปุณณ์พูดเองเออเองอยู่คนเดียวต่างหาก" เอาล่ะจุ้ย..... เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้ล่ะครับเนี่ย.. ผมกับยูริเริ่ม
ปิดปากเงียบพลางลอบมองหน้ากันเองอย่างงง ๆ ขณะที่ปุณณ์กับเอมยังคงต่อล้อต่อเถียงกัน "ถ้ารู้ว่ามาเที่ยวกันแล้วจะให้นอนคนละห้อง
เอมไม่มาด้วยหรอก!" แต่เป็นเพราะเสียงค่อนข้างดังของเอม ทําให้พวกพนักงานในล็อบบี้หันมามองเราแบบแปลก ๆ ขณะที่ปุณณ์ส่ายหัว
ระอาก่อนจะดึงให้เอมตามออกไปยังบริเวณอื่น (ที่ไม่ค่อยมีคน)
"รอแป๊บนะโน่ ยูริ" มันหันมาบอกพวกผมแค่นั้น ผมจึงได้แต่ยืนคอยต่อไปอย่าง งง ๆ ยูริล้มตัวนั่งบนโซฟาอีกที "เอมเขาคงอยากนอน
ห้องเดีย วกับปุณ ณ์น่ะ" แต่ผมที่กําลังจะนั่งตามไม่ค่อยเข้าใจความคิด ของผู้หญิงสมัยนี้ เท่าไหร่ "ไม่ดี หรอก.." นี่คือความคิ ดของ ผม
"ทําไมล่ะ ก็เขามีอะไรกันแล้วนะ นอนด้วยกันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอไงโน่" ยูริยังคงพยายามเข้าข้างเพื่อนตัวเองอยู่ จนดูเหมือนจะลืมเรื่องอื่น ๆ
ไปสนิท "แล้วเราล่ะ?" ผมจึงหวังว่าคําถามของผมจะทําให้เธอฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง ท่าทางยูริซึมไปจนผมต้องพูดต่อ "ชายหญิงนอน
ห้องเดียวกันคนอื่นมองไม่ดีหรอกครับ ผู้ชายเราไม่มีอะไรเสียหาย แต่ยูริกับเอมจะแย่เอารู้มั้ย... มีคนรู้จักพ่อแม่ผ่านมาเจอเข้าจะทําไง ผมไม่มี
ตังค์ไปสู่ขอนะเนี่ยย" ผมพยายามพูดติดตลกพลางลูบผมหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ เพราะไม่อยากให้เธอคิดมาก แต่คําถามที่ได้รับกลับ มา
ทําเอาผมสะอึก "โน่รังเกียจยูเหรอ.." "ทําไมพูดงั้นอะครับ" นัยน์ตากลมแป๋วของยูริเริ่มจะแดง ๆ ขึ้นมาจนน่าหวั่นใจ... "ก็โน่...... ไม่
เคยแตะต้องยูเลย" เฮ้ยย.. อย่าร้องนะ ไอ้โรคแพ้นํ้าตาผู้หญิงมาก ๆๆ เนี่ย ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็น "เฮ้ยย -- ไม่ดีรึไง ผมให้เกี ยรตินะ"
"โน่รังเกียจ"
"ผมให้เกียรติ" "รังเกียจ" "ให้เกียรติ" "โน่..........................." เมื่อทําท่าว่าจะเถียงไม่ชนะเธอจึงเปลี่ยนเป็นยื่นปากแบบเด็ก ๆ แทน
จนผมอดขํากับท่าทางแบบนั้นไม่ได้ "ยูเองก็โตแล้ว เข้าใจผมหน่อยสิ" ผมพูดพลางตบหั วปลอบเธอเบา ๆ (ไม่แรงอย่างเวลาตบหัวไอ้โอม)
"แต่ยูอิจฉา..... เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องนั้น..... มันเหมือนกับเขารักกันมาก" "....................." ยิ่งพอได้ยินแบบนั้น ผมก็ยิ่งไม่รู้จะตอบว่ายังไง
คงเป็นเพราะผมรู้ตัวเองดีว่าคงไม่มีทางให้ในสิ่งที่ยูริต้องการได้ นัยน์ตาของเธอแดงกํ่า จนผมได้แต่กุมมือเล็กไว้เบา ๆ อย่างต้องการปลอบใจ
ยูรินั่งเงียบ ก่อนจะเปิดปากพูด "ยูรู้ว่าโน่ไม่เคยรักยูเลย.... ไม่ว่ายูจะพยายามแค่ไหน โน่ก็ไม่เคยรักยู.." พร้อมปล่อยหยดนํ้าตาร่ วงบนหลังมือ
ผล็อย จนใจผมหายวาบ.. รู้สึกตัวอีกครั้ง ยูริก็ร้องไห้จนตัวโยนในขณะที่ผมไม่รู้ว่าควรทํายังไง ผมไม่ถนัดการปลอบใจผู้หญิงจริง ๆ ที่ทําได้
อย่างมากก็เพียงกุมมือเธอให้แน่นขึ้นเท่านั้น "ยูเป็นอะไรน่ะ!?" เสียงเอมดังจากข้างหลังจนผมต้องเงยหน้ามองอย่างต้องการขอความ
ช่วยเหลือ ท่าทางทั้งปุณณ์และเอมอึ้งไปเมื่ อเห็นยูริร้องไห้อยู่ ครู่หนึ่งยูริก็เป็นฝ่ายลุกเอง "เอม.... เราอยากพัก ขอเข้าห้องก่อนนะ" เธอพูด
พลางหันไปคว้าเอากระเป๋าสัมภาระ และถุงข้าวของต่าง ๆ เดินนําออกไป โดยมีเอมวิ่งตามช่วยไขกุญแจให้ ปุณณ์มองหน้าผมงง ๆ เหมือน
อยากถามอะไรบางอย่าง แต่คงเป็นเพราะผมส่ายหัวกลับ มันเลยพาผมเข้าห้องพักบ้าง
เราสองคนเดินต๊อกแต๊กกันตามทางเดินที่ถูกตกแต่งมาอย่างเก๋ ผมเพิ่งสังเกตว่ารีสอร์ทแห่งนี้หรูมาก ราคาคงแพงระยับถ้ามากันเอง ปุณณ์
ไขกุญแจลงในห้องหนึ่ง ที่พนักงานบอกพวกเราว่ามันคือห้อง Studio Piers ฟังจากชื่อผมก็งง ๆ ว่าเกี่ยวอะไรกับท่านํ้า แต่พอเปิดเข้าไปดูก็
ร้องอ๋ออออ เพราะหลังห้องที่พวกเราพักต่อเติมเป็นคล้าย ๆ โป๊ะออกไปสู่สระนํ้าได้ (เรียกว่ามีสระนํ้าผ่านหลังห้อง) ผมเห็นแล้วตาวาวทันที
เดาว่าป่านนี้สาว ๆ คงกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ ผมรีบโยนกระเป๋าลงเตียงพลางเดินวนสํารวจรอบห้อง พบว่าภายในถูกตกแต่งให้น่าอยู่มากครับ
ห้องนี้มีทีวี LCD เข้าผนัง เตียงนอนคิงไซส์ อ่างอาบนํ้ากึ่งสปา ไม่ใช่ว่าจะธรรมดานะเนี่ยยย คงเพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจไปหน่อย เลยไม่ทัน
สังเกตว่าไอ้ปุณณ์กําลังค่อย ๆ จัดของออกจากกระเป๋า "ไม่จัดของไงวะ?" มันส่งเสียงตะโกนถามผม "จัดไม จะเอาไรค่อยหยิบ ไม่กี่วันก็
กลับ" แต่อย่าลืมว่าสันดานคนมันต่างกัน... ปุณณ์หัวเราะร่วนกับความไร้ระเบียบในชีวิตผม ขณะที่มันค่อย ๆ แขวนเสื้อเก็บ พร้อมกับได้ ยิน
เสียงสาว ๆ กรี๊ดกร๊าดแว่วดังมาจากกําแพงอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน "พวกผู้หญิง คงอารมณ์ดีแล้ว.." ปุณณ์พูดพลางยิ้ม จนผมต้องยิ้มกลับ
เรานั่งรอเวลาไม่นานนัก พอเห็นว่าแดดร่มก็เริ่มตั้งท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปชวนพวกผู้หญิงเล่นนํ้ากัน แต่ขณะที่ผมกําลังใส่รองเท้าแตะอยู่
หน้าห้องนั้นเอง ก็บังเกิดความคิดอยากถามจะอะไรปุณณ์ขึ้นมาข้อหนึ่ง "มึง........" ผมเกริ่นนําให้มันละสายตาจากเชือกกางเกงที่กําลังง่วน
ผูกอยู่ เงยขึ้นมามองหน้าผม "อะไร?" "ทําไมไม่นอนกับเอม?" ขอเช็คหน่อยแล้วกันว่ามันคิดอะไร หลังจบคํานั้น ปุณณ์ไม่มีท่าทีอึกอัก
ใด ๆ ระหว่างตอบผมกลับมา "ไม่ใช่เรื่องดีหรอก แค่ที่ผ่านมาก็เลว
พอแล้ว" มันว่าพลางหยิบผ้าเช็ดตัวให้ทั้งผมและมันเอง... ได้ฟังคําตอบแบบนี้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะ ผมตบบ่าปุณณ์พร้อมรอยยิ้มกว้าง "ตอนนี้
มึงเป็นคนดีแล้วแหละ กูว่า" เพราะก่อนหน้านั้นผมคิดในใจว่า.. ถ้าปุณณ์ตอบว่าอยากนอนกับผม ผมจะต่อยให้ควํ่าแล้วโบกรถกลับกรุงเทพฯ
ทันที *** เราออกจากห้อง เดินไปชวนพวกผู้หญิงเล่นนํ้า ซึ่งดูเหมือนเธอจะรออยู่แล้ว ผมยอมรับว่าตัวเองกลืนนํ้าลายลําบากเมื่ อเห็น
สองสาวในชุดบิกินี่สีหวาน.... อืมมมม เป็นวัยรุ่นนี่ดีจริง ๆ หึหึ แต่ท่าทางไอ้ปุณณ์จะรู้ทันผมหวะ เพราะมันกระทืบเท้าผมปัง! โ คตรพ่อ
เจ็บ! กูจะมองแฟนมึงมั่งไม่ได้เลยใช่มั้ย!!! "เอานี่ไปเล่นด้วย ๆๆ" ยูริส่งเสียงเริงร่าพลางหอบเอาลูกบอลชายหาดกับตุ๊กตายางรูป ปลาโลมา
ตัวใหญ่ออกมา ผมอาสาช่วยยูริถืออย่างไม่รอช้าซึ่งเธอก็ปล่อยให้ผมทําอย่างนั้น แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ายูริไม่มองหน้า ผมเลย.. เรา
สี่คนเดินกึ่งวิ่งไปยังชายหาดบริเวณหน้ารีสอร์ท ที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากครับ ส่วนมากมักเป็นฝรั่ง (อืมมมม ผมชอบ หึหึ) กะเหรี่ยง
อย่างเรา ๆ พอเห็นทะเลก็วิ่งร่าลงนํ้ากันโครม ๆ ยกเว้นเอมไว้คนนึงที่อิดออดอยู่นานกว่าจะยอมลงมาได้ "มาซี่เ อม!!!!!! ชวนมาเองน๊า!!!!!"
เสียงยูริตะโกนเรียกเพื่อนตัวเองจากไกล ๆ เพราะเธอบุกนํ้าจนเปียกไปครึ่งตัวแล้ว ผมกับปุณณ์เองก็ยืนรออยู่ในนํ้าเช่นกันครับ
"เฮ้ยไม่เอา... ว่ายนํ้าไม่เป็น" เอมอุบอิบพูดจนพวกเราหัวเราะก๊าก นี่จบอนุบาลจากโรงเรียนไหนมาเนี่ยยเอม! พวกผมหัวเราะขําขณะที่ได้
ยินเสียงปุณณ์เองก็หัวเราะเหมือนกัน "อะไรเนี่ยยย นํ้ามันไม่ลึกซักหน่อย ใครเขาว่ายกันล่ะ! จะนั่งดูอยู่ตรงนั้นรึไง! ?" แต่ยูริยังไม่เลิกล้ม
ความพยายามที่จะชักชวนเพื่อนตัวเองให้ลงทะเลอยู่ ผมมองเห็นเอมพยักหน้าหงึกหงักจากบนชายหาด ยูริส ะบัดตัวไปมาเหมือนเด็ก ๆ
เธอเอื้อมมือไปเกาะแขนไอ้ปุณณ์แจ "ปุณณ์จัดการให้หน่อยน๊า ๆๆๆ" "ยังไงดีล่ะ..." หมอนั่นขํากับท่าทางของยูริที่เข้ามาเกาะแขนแน่ น ยูริ
ยังคงส่งเสียงออดอ้อนอยู่ "ยังไงก็ได้นะ.. น๊าาาาาาาาาาา" หึหึ.. เจอแบบนี้ใครจะปฏิเสธไหวล่ะครับ (ผมเองยังไม่รอดเลย) ปุณณ์ก็ปุณณ์
เหอะ.. หึหึ.. ในที่สุด ยอดชายนายปุณณ์ก็เป็นอันพ่ายแพ้ต่อนางสาวยูริ ต้องยอมเดินขึ้นไปหาเอมให้แต่โดยดี พวกผมยืนมองสองคนนั้น คุย
อะไรกันบนฝั่งอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางเหมือนกําลังอยู่ในช่วงตกลงอะไรซักอย่าง (เฮ้ย.. เล่นทะเล ไม่ใช่เล่ นหุ้น ไม่ต้องเจรจานานขนาดนั้น) ก่อนที่
ปุณณ์จะพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วช้อนตัวเอมไว้ในสองแขนวิ่งเข้ามา "มาแล้ว ๆๆ เจ้าหญิงมาแล้ววว" มันตะโกนว่าอย่างนั้นก่อนจะโยนแฟน
ตัวเองลงทะเลซะเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด แน่นอนว่ายูริกับผมขํากลิ้ง ก่อนที่เอมจะแหวกนํ้าขึ้นมาตะโกนลั่ น "ปุณณ์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไม่ได้ตกลงว่าจะลงอย่างนี้นี่!!!!!!" หญิงสาวประท้วงพลางทุบอกปุณณ์เป็นการใหญ่ ผมเห็นเจ้านั่นหัวเราะร่าจนตาหยี "ก็เอมไม่ได้บอกว่ าอยาก
ลงแบบไหนนี่ครับ" หลังจากนั้นเราทั้งสี่คนก็เปียกไปตาม ๆ กันเมื่อไม่มีใครยอมหนาวอยู่ฝ่ายเดียว ผมจําได้ว่าเอมกดปุณณ์ลงนํ้าเพื่อเป็น
การทําโทษ แต่มันเสือกไม่ยอมโดนน็อคอยู่คนเดียว แขนที่ผอม ๆ แต่อุดมด้วยแรงเยอะกว่าฉุดผมลงใต้นํ้าเป็นเพื่อน (สําลักโว๊ย) จนบังเกิ ด
ความอาฆาตพยาบาท การพยายามฆาตรกรรมกันหมกทะเลจึงเกิดขึ้น
พวกเราเล่นนํ้าเสียงดังอยู่นานสลับกับขึ้นไปตีลูกบอลเล่นบนบก ไม่อยากจะบ่นว่าลิงชิงบอลนี่แม่งโคตรเหนื่อยชิบหายเพราะไม่ยอมมีใคร
เป็นลิงซักทีนอกจากผม... พวกนั้นโยนบอลข้ามหัวผมไปมาอย่างสนุกสนานดี แต่นอกจากความสนุกตรงหน้าแล้ว สิ่งที่ผมสังเกตได้
อย่างนึงก็คือ ยูริแทบจะไม่พูดคุยหรื อมองหน้าผมเลย... ทุกครั้งที่เราสบตากัน มักจะเป็นเธอที่หลบก่อนเสมอ จนผมเองเริ่มไม่แน่ใจว่าเรา
กําลังผิดใจกันเรื่องอะไร ซึ่งผมก็พยายามทําตัวเองให้เป็นปกติที่สุด "หนาวป่าวครับ" ลองชวนคุยหน่อยก็ได้มั้ง... (ถึงจะยังไม่แ น่ใจว่า
ทะเลาะกันเรื่องอะไรก็เถอะ) ผมถามพลางลุยนํ้าเข้าไปหายูริที่ขี่โลมายักษ์ หลังจากเพิ่งเล่นลิงชิงบอลเสร็จ คงเพราะลมเย็นจากทะเลเริ่มตีขึ้น
มาแล้ว ทําให้ผมอดเป็นห่วงเธอหน่อย ๆ ไม่ได้ "ไม่... ค่ะ.." แต่ยูริกระท่อนกระแท่นตอบผมแค่นั้น ถือเป็นเรื่องแปลกมากเพราะปกติยูริพูด
ได้นํ้าไหลไฟดับจนผมแทบจะไหว้ให้หยุด.. แต่ตอนนี้ผมคงต้องไหว้ให้เธอพูดแทน ว่าตกลงแล้วเธอเป็นอะไรกันแน่ "เป็นไรรึเปล่า ทําไม
เงียบ ๆ" "โอ๊ย!!" แต่ยังไม่ทันที่ผมกับยูริจะทันคุยกันรู้เรื่องดี เสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดของเอมก็ดังขึ้นก่อน.. ผมหั นไปมองว่าไอ้
คู่รักบนบกคู่นั้นเล่นอะไรกัน แต่ก็เห็นเอมลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว ปุณณ์ก้มพลิกดูข้อเท้าแฟนตัวเองไปมาก่อนจะทําสัญลักษณ์มือบอกผม
ว่าเอมข้อเท้าพลิก ผมพยักหน้ารับทราบพลางมองมันที่แบกเอมขึ้นหลังกลับรีสอร์ทไป
ยูริมองตามแผ่นหลังของปุณณ์ที่แบกเอมไว้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วสะสายตากลับมาตีขาเล่นบนโลมายักษ์เหมือนเดิม.. ยิ่งผมเห็นท่าทางลอยหน้า
ลอยตาแบบนั้น ก็ยิ่งทําให้นึกเคืองขึ้นมาตะหงิด ๆ "ยูริครับ... มาเที่ยวกันอย่างอนเป็นเด็กอย่างงี้สิ" เสียงผมที่เอ็ดไปคงจะฟั งดูเย็นชามาก
สาวเจ้าเลยหันกลับมาจ้องหน้าผมกลับนัยน์ตาเขม็ง "ยูไม่ใช่เด็ ก!" เธอแหวผมเสียงดัง ดวงตาโตนั้นวาวโรจน์จ้องมาทางผมอย่างที่ไม่เคย
เห็นมาก่อน อันที่จริงแล้วต้องพูดว่า ผมไม่เคยเห็นยูริงอนเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เลยด้วยซํ้า แต่วันนี้ยูริงอนจนเหมือนกับเธอกําลัง โกรธอะไร
ผมอยู่นั่นแหละ ผมขมวดคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าที่เริ่มปีนลงจากโลมายักษ์มาแช่ในนํ้าทะเลตรงหน้าผมอย่างสงสัย... นัยน์ตากลมโตนั้นมี
ประกายราวกับทั้งโกรธและท้าทายผมบางอย่าง "โน่เป็นผู้ชายจริงรึเปล่า" ริมฝีปากบางของยูริขยับถามอย่างนั้น ก่อนจะคว้ามือผมไปจั บ
ลงบนหน้าอกเธอ ผ่านเนื้อผ้าบิกินี่

28th CHAOS
ทันทีที่ผมรู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่ามือ ผมรีบสะบัดออก พร้อมความโมโหที่ปะทุขึ้นมา "ทําอะไรน่ะยูริ!?" "โน่เป็นผู้ชายจริงหรือเปล่า" แต่ยูริ
ไม่ตอบ ซํ้ายังถามยํ้าอีก เธอดึงมือผมให้จับหน้าอกอีกครั้งอย่างแรง คราวนี้นิ้วเล็ก ๆ ของยูริกดมือผมให้ขยําลงไป ทําเอาโกรธจั ดจนตัวสั่น "ยู
เห็นผู้ชายเราเป็นยังไง" "บ้ากาม!" เธอตะโกนใส่หน้าพร้อมขยับเข้ามาอย่างท้าทาย ผมไม่เคยรู้ว่ายูริจะเป็นคนแบบนี้มาก่อน "ผ ม
ผิดหวังในตัวยูมาก" ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคํานี้แล้วจริง ๆ มือข้างหนึ่งที่ว่างของผมผลักยูริให้ถอยห่าง ก่อนจะขอตัวเดินขึ้ นฝั่งเพื่อกลับห้อง
.. ตอนนี้ผมรู้สึกโมโหจนตัวสั่นเลยจริง ๆ เท้าสองข้างของผมเดินดุ่ม ๆ ขึ้นชายหาดโดยไม่ลืมคว้าเอาผ้าขนหนูมาคลุมหัว เพราะไม่อยากให้
ใครเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ตอนนี้ แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งไล่ตามมาจากด้านหลังไม่ยอมปล่อยผมให้ทันตั้งตัว เมื่อมี
นํ้าหนักขนาด 45 กิโลกรัมกระโดดขึ้นขี่หลังผมทันที "ทําอะไรน่ะยู!!!!" คือยูริครับที่วิ่งมากระโดดขี่หลังผมทั้งที่เราเพิ่งทะเลาะกันไปเมื่อกี้
"รักโน่ที่สุดเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย" เสียงยูริตะโกนคํานั้นข้างหูพร้อมล็อคคอผมเข้าไปกอดแน่น ตอนนี้
ผมงงไปหมด คิดอะไรไม่ทันแล้ว "อะไรน่ะ!?" "ยูยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเมื่อกี้โน่ปลํ้าจริง ยูจะร้องให้คนช่วยยังไง แถวนี้มีแต่ฝรั่ง" แต่เธอไม่สนใจ
ตอบคําถามผม ยังคงพูดต่อพลางหัวเราะคิกคัก ซึ่งนั่นทําให้ความโกรธที่ผมมีทั้งหมดหายวับไปเกือบสิ้น "ลองใจเหรอ!" ผมตวาดพลางแกล้ง
ยกตัวยูริที่ขี่หลังอยู่ให้กระดกสูง ๆ เธอส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างชอบใจ "นิดหน่อยเองงงงงงงงงงงงงงงงง" แขนเล็ก ๆ รัดคอผมแน่นเข้าไป
อีกสงสัยเพราะกลัวหล่น ทําให้เมื่อกี้ถึงผมจะโกรธ แต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ไม่ใช่ผม ยูแย่ไปแล้วรู้รึเปล่า วั นหลังห้ามลองใจใครแบบ
นั้น เข้าใจมั้ย" แต่ยังไงก็ต้องเตือนไว้ล่ะ เพราะเล่นอะไรไม่เข้าท่าจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้ ยูริยังคงส่งเสียงดังหัวเราะร่าไม่มีทีท่ าจะหยุด "ดีใจจัง
ได้เป็นแฟนโน่~~~~" เธอว่างั้นพร้อมซบหัวตัวเองลงมาชนกับหัวผม... เอ๊ะ... ตกลงผมเป็นแฟนยูริจริ ง ๆ ใช่ไหม!? "นี่โน่!!" "หืม?" เรา
เกือบจะเดินถึงรีสอร์ทกันอยู่แล้ว "ทําไมไม่เคยบอกคนอื่นเลยล่ะว่าจริง ๆ แล้วโน่ไม่ใช่แฟนยู" อ๋อ... สรุปว่ายูริก็ยังจําเรื่อ งนี้ได้ มหัศจรรย์
จริง ๆ "ก็ยูริพูดว่าเป็นไปแล้วนี่... จะให้ผมปฏิเสธได้ยังไง"
"ยูขี้โกงเนอะ..." "ช่ายยยยย" ผมตอบทันที แล้วก็โดนยูริตีหลังให้ทันทีเหมือนกัน อ้าวเฮ้ย!? ผิดตรงไหนวะ!? "ไม่รักษานํ้าใจเลยนะ!
นี่.... แล้วผู้หญิงที่ชอบจะไม่เข้าใจผิดเหรอ ไม่ปฏิเสธอย่างนี้" อืม.. คิดแบบนี้ก็เป็นนี่ยูริ... เฮ้อ.. ปลื้ม "ไม่มีหรอก.. ช่างเหอะ" ผมตอบพลาง
คิดว่าจริง ๆ แล้วที่ผ่านมา นอกจากผมจะไม่ปฏิเสธยูริเพราะไม่อยากให้เธอเสียหน้าแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะถ้ามีแฟนไว้กันท่าบ้ างสัก
คนคงจะดี ชีวิตอาจสงบสุขมากกว่าตอนนั้น ครั้งที่พวกผมไปเล่นดนตรีให้งานโรงเรียนที่คอนแวนต์กันแล้วหอประชุมเกือบพั ง ซึ่งจริง ๆ แล้วก็
ดีใจนะที่สาว ๆ ชอบวงพวกเรากันขนาดนั้น แต่พอหลังจากงานจบแล้วมีโทรศัพท์สายแปลก ๆ โทรเข้ามาทุกวันเนี่ย... ผมเริ่มไม่แน่ใจ "ยู
คิดแล้วว่าโน่ต้องเป็นสุภาพบุรุษ.. ไม่มีทางหักหน้ายูแน่นอน.... ดีนะ ยูชิงพูดคนแรก ถ้าคนอื่นพูดก่อนแล้วโน่ไม่ปฏิ เสธเหมือนกัน ยูคงเสียใจ
ตายเลย" เออ สรุปว่าสุดท้ายผมกลายเป็นสินค้าในกระบะลดราคาไป.. ใครเร็วใครได้ ผมขําพลางคิดว่าจริง ๆ แล้วที่ผมไม่ปฏิเสธยูริก็
เพราะยูริเป็นผู้หญิงนิสัยดีมากคนหนึ่ง ไม่เสียหายอะไรที่จะคบเธอไว้เป็นเพื่อน ลองถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่น่ารําคาญมากกว่านี้สิ ผมคงพูดจา
แรง ๆ ต่อว่าเธอตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยข่าวแล้ว เราสองคนเดินเรื่อยมาจนถึงบริเวณที่ล้างขา ผมปล่อยให้ยูริลงจากหลังเพื่อล้างทรายออก
"โน่......." "ว่าไง?"
"ถ้ามีคนที่ชอบเมื่อไหร่บอกยูนะ.. จะช่วย" อยู่ดี ๆ เธอก็พูดประโยคนี้ ขึ้นมาโดยไม่มองหน้าผม.. ผมดูยูริที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจล้างขาแล้วก็
ยิ้มออกมาแผ่ว ๆ "จริงเร้อ..." "จริงสิ... ตอนแรกนึกว่าโมเมเป็นแฟนโน่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวโน่คงจะรักยูไปเอง" โอ้โห... ตรรกะนี้ก็คิด
ไปได้นะยูริ ผมล่ะอดขําในความคิดบ๊อง ๆ ของเธอไม่ได้ "อย่าขําสิ... แต่เห็นแล้วว่าผ่านมาก็นานโน่ยังดูไม่รู้สึกอะไรกับยูอยู่เลย เลยทําใจ
แล้วแหละว่าคงไม่มีวัน" เธอพูดต่อพลางช่วยล้างขาให้ผมแล้วจัดแจงปิดฝักบัว รอยยิ้มนั้นยังคงสดใสเหมือนเคย "อยากเห็นหน้าคนที่โน่
ชอบเร็ว ๆ จัง.. ต้องพามาให้ยูดูคนแรกนะ" ผมมองรอยยิ้มของยูริที่ส่งมาอย่างเปี่ยมล้นด้วยความรัก พลันรู้สึกจุกในอกอย่างประหลาด..
ทําไมผมถึงไม่ชอบยูรินะ ทั้งที่เธอดีกับผมขนาดนี้ ส่วนคนที่ผมชอบน่ะเหรอ... หน้าของปุณณ์ลอยมาเป็นคนแรก ทั้งที่ผมยังไม่รู้ เลยว่า
ลึก ๆ แล้ว ความรู้สึกที่ผมมีต่อปุณณ์คืออะไร... ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นคือความรัก แต่ผมเป็นห่วงมันมาก และทุกครั้งขอแค่มีปุณณ์
อยู่ข้าง ๆ ผมก็ไม่เคยต้องการสิ่งใด "โน่......" เสียงยูริเรียกผมอีกครั้งหลังจากปิดนํ้าฝักบัวเรียบร้อยแล้ว เรายังคงยืนตรงที่ ล้างขากันอยู่
"มีอะไรครับ? ไม่รีบเข้าห้องอะ หนาวนะ"
"จูบยูหน่อยได้ไหม" "..................................." ดวงตากลมสีดําใสแจ๋วนั้นมองมาทางผมเหมือนอยากจะขอร้อง แต่.. "มันไม่ทําให้อะไร
ดีขึ้นหรอกยู.. มีแต่แย่ลง เชื่อผมสิ" ยูริแค่นหัวเราะออกมานิดหน่อยเท่านั้น หลังจากได้ฟังคําตอบจากปากผม "ว่าแล้ว...... งั้นแค่กอดก็ได้
... นะ.... นิดนึง" ผมอมยิ้มบาง ๆ กับคําต่อรองนั้น ก่อนจะยื่นแขนไปโอบเธอให้เข้ามาใกล้หลวม ๆ "ไปหาคนดี ๆ รักดีกว่าน่า...." "นี่แหละ
ดีที่สุดแล้ว" เสียงยูริอู้อี้ตอบกลับมา พลางกระชับกอดผมแน่นบ้าง บางครั้งผมก็เกลียดตัวเองที่รักยูริไม่ได้จริง ๆ *** จวบจนจบ
วัน ผมรู้สึกว่าเป็นวันที่เหนื่อยโคตร ๆ เลยว่ะ... ตอนเย็นพอเอมเริ่มเดินได้คล่องหน่อย พวกเราก็ขับรถพากันไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารในตัว
เมืองจนอิ่มแปล้ กลับถึงรีสอร์ทเหลือแต่แรงอาบนํ้าก่อนจะหงายตัวนอนสลบเหมื อดบนเตียงอย่างกะคนหมดแรง "เหนื่อยยยยยยยยว่ะ"
ให้พูดคําอื่นพูดไม่เป็นแล้วครับ
ปุณณ์ที่กําลังจัดของอะไรซักอย่างอยู่ หันมาหัวเราะหึหึใส่ผม "มึงขับรถเหรอ" "เอออออออ ไอ้คนเหนื่อยกว่า" แม่งแค่นี้ทําข่ม.. กูแค่
หายใจก็เหนื่อยแล้วเหอะ ผมว่าประชดมันพลางเขยิบตัวขึ้นนอนดีดี แล้วหันหน้าออกไปทางอื่น แว่วเสียงมันสาวเท้าเข้ามาข้างเตียง "จะ
นอนแล้วเหรอวะ" "อืม.." "งั้นปิดไฟ" โดยไม่รอคําตอบ ปุณณ์จัดแจงดับไฟห้องทันที ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทําให้รู้ว่าปุณณ์อยู่บนเตียงแล้วคือ
แสงจากดวงจันทร์และความรู้สึกว่าที่นอนยวบลงไปเท่านั้น "อย่าลืมไหว้พระอะมึง" ผมเตือนมัน โดยไม่ลืมพลิกตัวมองว่าได้ทําตามจริงรึ
เปล่า ภาพที่เห็นคือเงาของไอ้ปุณณ์ล้มลงนั่งก่อนจะไหว้หมอนตามคําบอกแต่โดยดี มันก้มลงกราบพระสามครั้งแล้วล้มตัวนอนข้าง ๆ ผม
ผมเหลือบมองคนข้าง ๆ ผ่านแสงสลัวของดวงจันทร์ ก็เห็นปุณณ์กําลังนอนก่ายหน้าผากอยู่ "เป็นไรวะ มีเรื่องไรรึเปล่า" ลองใครมานอนท่านี้
เป็นอันมีเรื่องทุกรายสิน่า "ไม่รู้ว่ะ..." ปุณณ์ตอบ ทั้งที่มือยังคงก่ายหน้าผาก ก่อนที่เราจะเงียบงันในความมืด.. "................................."
"วันนี้กูเห็น..........." หลังจากนอนเงียบอยู่พักหนึ่งจนผมเกือบหลับ อยู่ดี ๆ ปุณณ์ก็พูดคํานี้ขึ้นมา ทําเอาสะดุ้งโหยง ผมรีบกระพริบตาถี่ ๆ ไล่
ความง่วง "เห็นไรวะ เห็นหมํารึเปล่า" แน่นอนว่ามันปล่อยฝ่ามือพิฆาตลงกลางหัวผม
"เดี๋ยวกูท้าดมเลย ไอ้ห่านี่.... วันนี้กูเห็นมึง.... กอดกับยูริ ด้วย" ปุณณ์กระท่อนกระแท่นตอบเรื่องที่ผมทําจริงเมื่อเย็น.. อืมมม... ตาไวดีแฮะ
แล้วผมควรตอบกลับไปว่าอะไรดี.. "หึงรึไง" ตัดใจแซวไปอย่างนั้นทั้งที่รู้สึกเจ็บในใจอย่างประหลาด.. มันเป็นความรู้สึกเจ็บหนืด ๆ เหมือน
เวลาเราพยายามทําเรื่องเศร้าให้เป็นเรื่องตลก อย่างไงอย่างงั้น แว่วเสียงปุณณ์ถอนหายใจให้ผมฟัง "ทุเรศเนอะ..." มันเงียบไปก่อนจะพูด
ต่อ "กูไม่มีสิทธิ์เลยแท้ ๆ" ผมที่ฟังคําเหล่านั้นก็ได้แต่เงียบ... ไม่อยากยอมรับเลยว่าวันนี้ที่เห็นปุณณ์อุ้มเอมไปก็รู้สึกปั่นป่วนในท้องไม่แพ้กัน
เราสองคนนอนฟังเสียงทะเลซัดชายหาดดังแผ่ว ๆ เช่นเดียวกับภายในจิตใจ ที่เหมือนมีกําปั้นใครยื่นเข้ามาทุบหัวใจให้มันเจ็บซํ้า ๆ.. "มึง
รักเอมปะ..." อยู่ดี ๆ ผมก็ถามคํานี้ขึ้นมา จะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ผมทอดสายตามองด้านข้างของปุณณ์ที่ส่งสีหน้าลําบากใจ "กู ยังไม่รู้
เลยว่ารักคืออะไร.. แต่กูเป็นห่วงเค้า แล้วก็.. เต็มใจที่จะคอยดูแล" "มึงก็คงรักนั่นแหละ" คําตอบของปุณณ์ชัดเจน แต่สมองผมกลับ ว่าง
เปล่าจนต้องหลับตาในความมืด "โน่............" "......................" แต่ถึงแม้ผมจะไม่ได้ขานรับ ปุณณ์ก็คงรู้ดี ว่าฟังอยู่ เสียงทุ้มนั้นจึงพูดต่อ
"แต่กับมึง..... ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเอมเลยนะเว้ย"
พูดทําไมวะ.. "พูดทําไมวะ" ผมถามออกไปพร้อมความรู้สึกจุกถึงคอหอย.. มีคําหลายคํายังคงอัดแน่นอยู่ข้างใน เรียกร้องให้ผมรีบบอก..
แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บมัน ไม่ให้หลุดจากปากผมที่เฝ้าบอกตัวเองซํ้า ๆ ว่าเราอย่าพูดอะไรที่ทําให้ปุณณ์ลําบากใจ เราสองคนนิ่งเงียบ ก่อน
ปุณณ์จะตัดสินใจรวบตัวผมเข้าไปกอด.. ผมตอบรับอ้อมแขนนั้นด้วยอ้อมแขนของตนเองกลับ เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่ยังเหลือ เอาไว้ยํ้าว่ายั งมี
เราสองคนอยู่ข้าง ๆ กัน... แม้ความสัมพันธ์จะกลับกลายเป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่ได้กอดกันอย่างนี้ ผมก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจ "โน่....... กูขอโทษ"
ปุณณ์กอดผมแน่นพลางกดจูบลงบนขมับ "กูอยากจะห้ามตัวเองให้ได้มากกว่านี้ แต่กู......" เสียงนั้นหายไปพร้อมกับอ้อมแขนที่สั่นเทา จน
ผมต้องถอนตัวเองออก เพื่อยกศีรษะมองใบหน้าคมที่ถูกพาดผ่านโดยแสงจันทร์ เรามองกันอยู่นิ่ง ราวกับต้องการให้ดวงตาสองคู่นี้เป็น
ตัวแทนบอกทุกอย่าง.. "กูก็ทําไม่ได้เหมือนกัน..." เป็นผมเองที่พูดคํานั้นก่อนจะมอบริมฝีปากให้ปุณณ์อย่างแผ่วเบา.. สําหรั บผม..
ระหว่างเราไม่จําเป็นต้องมีคําจํากัดความใดเลยก็ได้ ผมแค่อยากให้เราอยู่ข้าง ๆ กันนาน ๆ ผมต้องการแค่นั้นเอง..

29th CHAOS
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาไม่ถนัดนัก เพราะตอนหกโมงเช้าผมเพิ่งตื่นขึ้นมาปิดก่อนรอบนึง.... อืมม แล้วจะพูดทําไมวะ เรื่ อง
ของเรื่องคือละเมอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อกี้นี้แล้วยกนาฬิกาข้อมือดู ปรากฏว่าปาเข้าไปเก้าโมงกว่าแล้วแต่ยังไม่มีใครตื่นซักคน ผมยกข้อมือ
ข้างที่มีนาฬิกาดูพลางขยี้ตานิดหน่อยก่อนจะปล่อยมือวางไว้ตรงที่เดิม ที่ ๆ มีไอ้ปุณณ์นอนทับอยู่ ผมขยับแขนเพราะความเมื่อยเล็กน้อยแล้ว
ก็ต้องยิ้มออกมา เมื่อเห็นใบหน้ายามหลับของปุณณ์ซุกอยู่กับตัวผมท่าทางสบายเป็นที่สุด หมั่นเขี้ยวก็ต้องขอซักทีสิครับ! 'ป๊าบบ'
"อืมมมมมมมมมมม.. ตบไมวะ!" มันโวยทั้งที่หน้ายังซุกกับอกผม ก่อนจะขืนตัวมาลูบหัวป้อย ๆ ให้ได้ขําสะใจเล่น "เก้าโมงแล้ว มึงจะนอนให้
ถึงวันกลับเลยมะ" แต่ไอ้ปุณณ์ดูท่าทางไม่ตื่นดี มันหลับตาปี๋ขณะฟังผมพูด พลางควานมือหามือถือบนหัวเตียงแต่หาไม่เจอ ผมเลยยื่น
ข้อมือตัวเองให้มันดูนาฬิกาเป็นหลักฐานแทน "เก้า.... โมงงงงง" ยํ้าอีกทีเผื่อขี้ตาจะอุดจนดูไม่ออก มันขมวดคิ้วมองเข็มนาฬิกาบนหน้าปัด
ดีเซลเล็กน้อย ก่อนจะคว้ามือผมไปซุกนอนที่แก้มอีกครั้ง "สิบโมงปลุก" "เออ นอนไป กูจะไปหาไรกิน" ไม่ตื่นก็ไม่ง้อวะ! ผมช่างแม่งแล้วลุก
ขึ้นหมายจะสะบัดมือออกจากแก้มมันให้พ้น แต่ไอ้คนง่วงนอนทําไมแรงเสือกเยอะชิบหาย มันเล่นดึงผมพรวดเดียวลงไปนอนเอ้งเม้งบน
เตียงเหมือนเดิมซะฉิบ "ไม่เอา... นอนด้วยกันก่อน สิบโมงค่อยไป" เสียงปุณณ์อู้อี้อยู่กับหมอนและมือผม
"ตลก กูหิวมั่งเหอะ" "นอนก่อน" "แดกก่อน" "นอนก่อน" "จะแดก" "นอน...................." เอ๊ะไอ้ห่านี่ ทําไมบัง คับจิตใจกันจัง
วะ!! (แล้วตกลงชีวิตนี้ผมเคยเถียงชนะใครมั่งมั้ย!?) ผมขมวดคิ้วใส่มันแต่ก็เห็นตัวปัญหาหลับตาพริ้ม แถมยักคิ้วกวนตีนกลับมาให้อีกต่างหาก
ตกลงมึงตื่นแล้วใช่ปะ... เดี๊ยวพ่อกระทืบไส้แตกคาเตียงซักที! ปากผมขมุบขมิบด่าไป มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างก็คว้ารีโมทมากดเปิดที วีฆ่าเวลา
ไป ทนอยู่ได้ไม่นาน ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้อง 'โครกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก' เยี่ยมไปเลยครับพี่น้อง! เพราะหลังจากท้องผมร้อง
ประท้วงเสียงดังยิ่งกว่าเจ้าของแล้ว ปุณณ์ก็ได้ฤกษ์ลืมตาตื่นทันที "มึงหิวขนาดนั้น ?" "เออ" สิ้นคําตอบผมปุ๊บ (แม่งอายจะแย่) มันก็
ปล่อยหัวเราะก๊ากปั๊ บ (ฝากไว้ก่อนนะมึง) ก่อนจะลุกมานั่งบิดขี้เกียจบนเตียง "กินก็กินวะ อาบนํ้าแป๊บ" ปุณณ์สรุปโดยไม่ฟังอะไรก็คว้า
ผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องนํ้าหน้าตาเฉย... เอ๊ะ!? ไอ้ห่านี่.. แม่งตื่นก็ตื่นหลังกูแท้ ๆ เสือกซิวห้องนํ้าไปก่อนซะงั้น!
ผมส่ายหัวปลง ๆ กับความกวนตีนของมันแล้วก็เปลี่ยนช่องจากหนังฝรั่งไปดูช่องเก้าการ์ตูนยามเช้าแก้เซ็ง "โน่ครับ" อ้าววว แล้วอยู่ดี ๆ
มึงโผล่หัวออกมาอีกทําไม.. ผมหันไปมองหน้าหล่อ ๆ ของปุณณ์ ที่ตอนนี้ดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อย "ไรของเมิง" ภาษาระดับเดียวกันเห็น ๆ ค รับ
ท่านผู้ชม... ไม่ได้หรอก ผมเป็นคน(หยาบ)เสมอต้นเสมอปลาย สิ่งที่เห็นต่อมาคือไอ้ปุณณ์ยิ้มหวานพลางกวักมือเรียกผมให้ไปหามันหน้า
ห้องนํ้ายิก แน่นอนว่าผมโคตรขี้เกียจ แต่ไอ้นั่นไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ เลยต้องเดินไปดูซักหน่อยเพราะกลัวมันจะกวักจนมือหัก "มึงเจ อนาง
เงือกในอ่ างรึไง" ผมบ่นอุ บอิบ พลางลากเข้า ขาไปหามัน โดยไม่ทัน ตั้งตั วก็ถูกดึง ไปกดจูบลงบนจมูกอย่า งแรง เชี่ ยแม่ งง ฟันก็ไม่แ ปรง!
"morning kiss" มันพูดแค่นั้นแล้วปิดประตูห้องนํ้าปัง! ไปเลย... ไอ้สัดดด หึหึหึ... ผมหุบยิ้มไม่ได้แล้วตอนนี้ หึหึหึ.... หึหึหึ "โน่!!!!!
ปุณณ์!!!!!!!!! ตื่นเร้ววววววววววววว กินข้าวกัน ๆๆ" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินผละจากหน้าประตูห้องนํ้าดี เสียงโหวกเหวกโวยวายของพวก
ผู้หญิงก็ดังข้ามอีกฝั่งประตูห้องมาเสียก่อน อืมม.. มาได้เวลากันจริง ๆ ผมฟังเสียงยูริใสกิ๊งแต่เช้าแบบนี้ก็อดขําไม่ได้ "ว่าไงสาว ๆ ตื่นเร็วไม่
โทรปลุกเลยนะ" เมื่อเปิดประตูห้องออกไป ก็พบทั้งยูริและเอมแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จจนหอมฟุ้งกันแล้ว ทั้งที่ผมยังใส่ชุดนอน(กางเกงบอล)อยู่
เลย ยูริมองหน้าผมกลับมาแล้วยิ้มแฉ่ง "โน่ตอนเพิ่งตื่นน่ารักจัง ตาปรือ ปากแดงงงงงง" อื้อหือ... คําชมผู้ชายจริงเหรอนั่น!? ผมรีบสะบัด
หัวให้ตาโตกว่านี้ทันที ส่วนปากนั่นไม่รู้จะเอายังไงกับมันดีเหมือนกัน
ได้ยินเสียงปุณณ์อาบนํ้าอยู่แป๊บหนึ่งก่อนที่มันจะเปิดประตูออก ยื่นแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันแล้วส่งมาให้ผม "คุยกะคนอื่นอยู่ได้ ฟัน ก็ไม่
แปรง" อ้าวววว แล้วจะให้กูใช้ภาษามือรึไง ผมคิดในใจแต่ก็รับแปรงจากมันแต่โดยดี สาว ๆ นั่งดูการ์ตูนในห้องเราอย่างสนุกสนานอยู่ครู่
หนึ่ง รอทั้งผมและปุณณ์จัดการตัวเองเรียบร้อย จึงได้ออกไปหาข้าวเช้าทานกัน แต่คงเรียกว่าข้าวเช้าได้ยาก เพราะดูนาฬิกายังไงก็เฉียด สิบ
เอ็ดโมงกว่าไปแล้วเห็น ๆ "รอจนเที่ยงค่อยออกมากินข้าวเที่ยงทีเดียวไม่ดีกว่าเร้ออออ" ผมเปรยลอย ๆ แน่นอนว่าไอ้ปุณณ์หันขวับ "ปากดี
มึงแหละท้องร้องดังจนกูตื่น" "จริงเหรอโน่!!!!!!!" ประมวลผลไวมากครับยูริ -_-".... คอร์ทูดูโอ้คู่กับไอ้ปุณณ์จริง ๆ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเอา
มาประจานกลางวงสาว ๆ เลยโว๊ยยย เราสี่คนเดินเข้าไปในร้านอาหารของรีสอร์ทที่ราคาแพงระยับ แต่ก็ขี้เกียจเซ้าซี้ให้ปุณณ์ขับรถ
ออกไปกินไกล ๆ เพราะแดดร้อนอยู่... อืมม... ถ้าไอ้โอมได้มาอ่านถึงตรงนี้มันคงปรี่เข้ามาโบกหัวผม ด้วยฝังใจว่าคนดีอย่างผมเกรงใจใครไม่
เป็น (รักกูจริง ๆ) แต่ที่แน่ ๆ... เรื่ องแบบนั้น ยูริกินขาดกว่าเยอะครับ "ปุณณ์.......... อยากกินหนมมม" นั่นไง.. ผมลอบมองเจ้าของเสียง
กระง๊องกระแง๊งที่ดังขึ้นทันทีหลังฟาดอาหารเช้าจานโตเสร็จ... ไงล่ะ บอกแล้วว่าคนสํานึกน้อยกว่าผมยังมี ฮ่า ๆ "จะไปกินที่ไหนครั บยู ขา
มาซื้อตุนตั้งเยอะไม่ใช่รึไง" ผมออกปากถามแทนเพราะเกรงใจปุณณ์ (เกรงใจเป็นจริง ๆ ครับ) ก็แดดข้างนอกร้อนจะแย่ แต่ยูริกลับพองลมเข้า
แก้มจนแก้มป่อง "หมดแล้ว......" เธอตอบปัดผม พลางเอื้อมมือไปจับแขนปุณณ์อย่างต้องการจะอ้อนต่อ (เอ๊ะ ตกลงนี่แฟนใครวะ) "น๊าาา
ปุณณณณ์ ตอนขามายูเห็นมีห้าง ไปซื้ อหนมกันน้าาา อยู่รีสอร์ทตอนบ่ายก็ไม่ได้ทําอะไร น๊าาาาา..." ผมแอบขํา เจอแบบนี้ไปเป็นไงล่ะมึง
เข้าใจหัวอกกูยัง หึหึ
"ไปสิครับ เอมเดินไหวรึเปล่า" เออ แต่ผมเกือบลืมว่าไอ้ปุณณ์มันบ้าจี้ แถมยังชอบทําตัวเป็นคนดีเกินเหตุอีกต่างหาก พอสิ้นคํานั้น ยูริ ก็หัน
มายิ้มตาปิดเย้ยผมอย่างผู้ชนะทันที... เอาใจกันเข้าไปเถ๊อะ! "ไม่รู้สิ... เอม.. อยากพัก" แต่เพราะเสียงหญิงสาวข้าง ๆ ปุณณ์ที่อ้อมแอ้มตอบ
ส่งผลให้ยูริต้องหน้าหงอย "ว้า....." ถึงคราวผมยักคิ้วเย้ยยูริแล้วตอนนี้ หึหึ อด "แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยูไปกับปุณณ์ก็ได้ เ อมจะรออยู่ที่นี่
แหละ" เอ.... แต่ผมว่าฟังประโยคนี้ของเอมแล้วมันดูแปลก ๆ ยูริรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขันทันที "งั้นยูไปกับปุณณ์นะ แล้วเอมอยู่ กับโน่
ที่นี้... โน่ก็ขี้เกียจไปใช่ปะล่ะ ?" อ่า.... เอ่อ.... "โอเค ตามนี้... พี่เก็บตัง!" ผมถูกยูริมัดมือชกอีกแล้ วครับคุณผู้อ่าน Y____Y ***
หลังจากสองคนนั้นขับรถออกไปยังตัวเมือง ก็เหลือเพียงผมกับเอมที่ต้องนั่งจุ้มปุ้กกันอยู่ในห้องสองคน... ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่ห้ องผู้หญิง
ครับ บทสนทนาระหว่างเราไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เน้นเปิดทีวีดูกันมากกว่า ผมเป็นฝ่ายถือรีโมทเปลี่ยนช่องอยู่ปลายเตียง ส่วนเอมกึ่งนั่งกึ่งนอน
อยู่หัวเตียง.. อันที่จริงแล้วคือความตั้งใจของผมเองที่จะรักษาระยะห่างระหว่างเราสองคน "โน่คบกับยูมานานรึยังคะ" แต่อยู่ดี ๆ เธอก็ถาม
ผมด้วยคํานี้ ทําเอาผมอึ้งไป.... นานยังวะ? "มะ... ไม่รู้สิครับ"
"กี่เดือนแล้วล่ะ ถึงปีรึยัง" อืม.... ผมพยายามคิดต่อว่าเรารู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน... คอนเสิร์ตที่คอนแวนต์คราวก่อนราวเดือน มิถุนายน....
แล้วยูริเอาผมไปพูดว่าเป็นแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนั่น... จําไม่ได้จริง ๆ -_-" "ไม่ถึงหรอกครับ... จําไม่ได้เหมือนกัน แหะ ๆๆ" ผมตอบพลาง
หัวเราะแก้เก้อ ไม่ได้หันไปมองด้วยซํ้าว่าเอมทําหน้ายังไง "โน่นี่ก็น่ารักเนอะ.. ยูริโชคดีจัง" เอ.......... ผมคิดว่าฟังประโย คนี้แล้วมันรู้สึก
แปลก ๆ แต่ก็ต้องทําใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อน "เพื่อนผมมันหล่อไม่พอรึไงครับเอม ฮ่า ๆๆ" มาถึงตรงนี้ผมรู้สึกได้ ถึงแรงยวบของเตียง ว่ามีคน
คลานเข้ามาใกล้จากด้านหลัง "หล่อคนละแบบน่า... โน่ดูหล่อแบบน่ารัก ๆ ดี" คําชมปะวะนั่น...? ผมไม่ค่อยแน่ใจ เพราะรู้แต่ว่า พอหันไปมอง
ก็เห็นเอมกําลังคลานเข้ามาใกล้ จนตัวผมต้องแข็งทื่อ.. แน่นอนว่าผมแกล้งทําเป็นหันหน้ามองทีวีเหมือนไม่สนใจ ทั้งที่ความคิดฟุ้งซ่านปั่นป่วน
ไปหมด.. คําพูดของกอล์ฟที่เคยบอกว่าเอมเริ่มก่อน วิ่งกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ทั้งที่พยายามลืมแล้วแท้ ๆ เชียว แต่เอมไม่ได้ เข้ามาใกล้
ผมมากกว่านั้น เธอแค่ผ่านเพื่อลงจากเตียงแล้วเดินไปหยิบที่รวมผมมาเก็บผมยาวสลวยให้ขึ้นไปรวมกัน แทน เอมหันมามองหน้าผมยิ้ม ๆ "รู้รึ
เปล่าว่าตอนโน่มาเล่นคอนเสิร์ตที่โรงเรียนเอมเมื่อกลางปี สาว ๆ กรี๊ดกันมากเลย... เอมก็ชอบ" ผมถอนหายใจพลางพยักหน้ายิ้มรับคํา พูด
นั้นของเอม เพราะถ้ามองในแง่ดีแล้วเอมก็แค่ชวนผมคุยเท่านั้น ไม่ยุติธรรมเลยหากผมจะระแวงด้วยความคิดอคติ รอยยิ้มเอมสวยจนผมเคลิ้ม
ไปพักหนึ่ง "ถ้ารู้ว่าปุณณ์สนิทกับโน่ เอมก็ชวนไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ แล้ว" "ไม่ดีหรอกครับ เป็นก้างแย่" "ไม่หรอกกก โน่น่ ารักขนาดนี้
... นี่ ๆๆ มาใส่สร้อยให้เอมหน่อยสิคะ มองไม่เห็นล่ะ" แต่ผมว่าเอมชักจะชมผมว่าน่ารักเกินพอดีละ (เป็นผู้ชายก็ต้องอยากได้ยินคําว่า หล่อ
เป็นธรรมดา) ผมคิดอย่างนั้นแต่ก็เดินไปเป็นธุระช่วยใส่สร้อยให้เอม ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว ตะขอสร้อยเส้นนั้นก็ถูกเกี่ยวจนเข้าที่ แต่ เมื่อมัน
สําเร็จปุ๊บ เอม
ก็หันมาขอบคุณปั๊บ โดยไม่ปล่อยให้ผมทันถอยออกไปไหนดี "ขอบคุณค่ะ" เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ผมรู้สึก
ตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว แถมผู้หญิงตรงหน้ายังคลี่ยิ้มหวานเฉียบเหมือนคนไม่ทุกข์ร้อนอะไรอีก สุดท้ายจึงกลายเป็นผมที่งงเอง ว่าตกลงเ รา
ควรถอยออกมาแน่หรือเปล่า "ปากโน่แดงจัง... ขอจับหน่อยนะ" เอมยิ้มพลางเอี้ยวตัวมาสัมผัสริมฝีปากผมด้วยปลายนิ้ว ผมมองเข้าไปใน
ดวงตาสวยคู่นั้นที่ดูราวกับท้าทายอะไรบางอย่าง ที่แน่ ๆ ผมไม่เล่นด้วย... "ออกไปเดินเล่นตรงหาดกันมั้ยครับ" ผมเบือนหน้าหนี พลาง
พยายามชวนเอมให้ออกไปที่อื่น เพราะคงไม่ดีแน่หากเรายังอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็แพ้ทางเอมอยู่ดี ตราบใดที่เธอพูดคําว่า
"ไม่อะค่ะ... ยังเจ็บขาอยู่เลย" รอยยิ้มที่ส่งมาทางผมดูเป็นรอยยิ้มของผู้ถือไพ่เหนือกว่า ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูหวานยังขยับ พูดกับผมต่อ
"ยูริคงเลือกขนมอีกนานแหละ กว่าจะกลับ" "ครับ..." เป็นเพราะทุก อย่างในเวลานั้นล้วนทําเอาผมสับสนไปหมด สติอันรางเลือนของผม
กําลังฉายภาพในคลิปวีดีโอนั้นซํ้าไปซํ้ามา จวบจนเบื้องหน้าเมื่อเห็นเอมกําลังถอดเสื้อยืดสีขาวบนตัวเองออก จึงเรียกให้ผมเห็นความจริง
เด่นชัดยิ่งกว่าคลิปวีดีโอของกอล์ฟเสียอีก... ผมยืนตะลึงมองภาพนั้นอย่า งไม่อยากเชื่อ ตรงหน้าผมคือแฟนเพื่อนที่มีเพียงบราลูกไม้สีขาว
บนร่างกาย กับสร้อยคอ "เอมจะทําอะไรครับ..." นี่ไม่ใช่ประโยคคําถามแต่เป็นเหมือนคําพูดเตือนสติผู้หญิงตรงหน้ามากกว่าว่าเธอไม่ ควร
ทํา... แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมา มีเพียงรอยยิ้มท้าทาย
"ถ้าโน่ไม่รังเกียจ เอมก็อยากจะเจอกับโน่แบบสองคนบ่อย ๆ" ร่างกายบอบบางนั้นสาวเท้ามาประชิดตัวผม ก่อนจะจับมือผมให้เอื้อมไป
ด้านหลัง บริเวณตะขอชั้นใน "ได้ไหม..." ผมรู้ดี ว่านี่ไม่ใช่การลองใจเล่น ๆ แบบยูริ.. ผมเป็นผู้ชาย... ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้า
ทั้งล่อแหลมและยั่วยวนพฤติกรรมดิบของผมแค่ไหน กลิ่นกายหอมฟุ้งของเอมแนบเข้ามาจดจ่อชิดอยู่ติดกับตัวผม เช่นเดียวกับผิวขาวเรียบ
เนียนนั้น ที่หยิบยื่นสัมผัสวาบหวามให้ ทั้งหมดถือเป็นเครื่องมือเย้ายวนชั้นยอดจริง ๆ เอมซุกเข้าพรมริมฝีปากทั่วต้นคอผม เรื่อ ยเลยมาถึง
ใบหู ขณะที่แผ่นอกภายใต้เสื้อยืดของผม ก็ถูกรุกรานอย่างหนักเช่นเดียวกัน ในที่สุดร่างกายก็แทบไม่ฟังคําสั่ง เมื่อเสียงเอมที่พรํ่าบอกว่า
ต้องการผมยังคงดังอยู่ข้างหูไม่ไปไหน ราวกับเธออยากสะกดจิต ซึ่งอาจได้ผล เพราะฝ่ามือร้อนของผมเริ่มป่ายเรื่อยไปทั่วแผ่นหลังบาง
ตรงหน้ า นั้ น จวบจนถึง ตะขอเสื้ อใน... แต่ นี่ มั น แฟนเพื่ อน! แถมเพื่ อ นคนนั้ น คื อปุ ณ ณ์ ! ปุ ณ ณ์ ที่ เป็ น มากกว่ า เพื่ อ นของผม!
"เอม!!!!!!!!!!!!" ผมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างบงการความรู้สึกผิดชอบชัว่ ดีอีกต่อไป เสียงเรียกอันดังทําให้เจ้าของชื่อนั้นสะดุ้งได้นดิ หน่อย แต่ก็ยังคงไม่
หยุดรุกรานร่างกายผมอยู่ดี "โน่ก็มีอารมณ์แล้วนี่คะ..."
"เอมครับ!!!!" ผมใช้ฝ่ามือแข็งดันเอมออกไปจนสุดแขน ถึงแม้จริง ๆ จะไม่อยากทําแบบนั้น เพราะแค่มองสีหน้าก็พอรู้ว่าแรงผู้ชายทําให้เธอ
เจ็บ แต่ผมเหลือเพียงวิธีเดียวที่จะหักห้ามใจตัวเองจริง ๆ ผมสูดลมหายใจลึกก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่พาดเก้าอี้อยู่มาคลุมร่างเอม "ผม
อยู่ห้องข้าง ๆ มีอะไรไปเคาะเรียกได้นะ พักผ่อนเถอะ!" เพราะไม่มีคําพูดใดอยากต่อว่าเธอทั้งนั้น ผมจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้อยู่ในสภ าพเดิม
ก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องออกไป อันที่จริงแล้ว .. ผมไม่เหลือคําพูดอะไรจะพูดกับเธอ.. คนเดียวที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือ
ปุณณ์เท่านั้น เรื่องที่กอล์ฟพูดทั้งหมดเป็นความจริง

30th CHAOS
ทันทีที่(รอด)กลับมาจากหัวหิน คนแรกที่ผมโทรหาคือไอ้กอล์ฟ อันที่จริงผมอยากโทรหามันตั้งแต่ตอนอยู่หัวหินเลยด้ว ยซํ้า แต่หลังจากนั้น
ผมก็ไม่มีโอกาสอีก เพราะช่วงกลางวันยูริเกาะติดผมแจ ส่วนกลางคืนก็ดันนอนห้องเดียวกับปุณณ์ จนไม่รู้จะเอาเวลาไหนปลีกตัวไปโทรได้
ดังนั้นเรื่องจะให้ต่อสายฮอทไลน์ไปปรึกษาไอ้กอล์ฟทันทีนี่เป็นอันต้องพับโครงการไป ส่วนกอล์ฟ คําแรกที่มันพูดหลังฟั งเหตุการณ์ทั้งหมด
คือเสียงตะโกนว่า "เชี่ยแม่ง!!!!!!!!! มันกล้าจะเอากับมึงเลยเหรอวะ!!!!!!!!!" เออว่ะ ตรงใจที่สุด... ผมก็ไม่เข้าใจว่าเอมกล้าทําแบ บนั้นไปได้ยังไง
"แม่งต้องคิดว่ายังไงมึงก็เล่นด้วยแน่ ๆ คงไม่คิดว่าจะผิดแผนขนาดนี้ไง" กอล์ฟที่อยู่ปลายสายยังคงพยายามวิเคราะห์เป็นฉาก ๆ แต่ผมช่าง
แม่งแล้ว เอมจะเป็นอะไร คิดยังไงก็ช่างเขาเหอะ คนเดียวที่ผมเป็น
ห่วงคือไอ้ปุณณ์... ผมจะทํายังไงกับเรื่องที่ผมเฉยใส่ไม่ได้ดี ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกว่า นี่มันเป็นบ้าอะไรไปหมด ตกลงที่ผมกับปุณณ์เคยร้องไห้กัน
ในวันนั้น เราสองคนทําไปเพื่ออะไร เพื่อให้ปุณณ์กลับไปอยู่กับผู้หญิงพรรค์นั้นน่ะเหรอ แม่งงงง! กอล์ฟบ่นอะไรไม่รู้ให้ผมฟังทาง
โทรศัพท์อีกสักพัก (ก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่หรอก) ก่อนจะวางสายไปโดยทิ้งท้ายว่า มันจะเข้ามาหาผมที่โรงเรียนตอนเย็นวันจันทร์ เพราะวัน
นั้นเป็นวันคัดวงรอบแรก ที่ผมต้องอยู่ชมรมจนคํ่าพอดี เช้าวันจันทร์ผมมาถึงโรงเรียนด้วยสภาพกะปลกกะเปลี้ย เพราะเมื่อคืนกว่าไอ้
ปุณณ์จะขับรถมาส่งหน้าบ้านได้ก็ดึก แถมยังต้องคุยโทรศัพท์กับไอ้กอล์ฟอีก ถกปัญหากันยาวยันตีสองตีสาม จนฟ้าแทบสว่างคาตา (จริง ๆ
ไร้สาระไปมากกว่าครึ่ง) "เฮ้ย!! แม่งหน้าตาอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนคนขาดนํ้า ไปหัวหินสามวันรีดออกหมดตัวยังวะ!!" แล้วปากเหรอนั่น
ไอ้เชี่ยโอม... ผมโผล่หัวเข้าไปในห้องเรียนเพื่อจะฟังเสียงหมาเห่าหอนของมัน แล้วจะมีวันไหนมั่งมั้ยที่ผมไม่ต้องนึกด่ามัน แน่นอนว่ าวันนี้ผม
ถอยทัพ เพราะไม่มีแรงเหลือจะสู้ เลยต้องชิ่งปาห่อของฝากใส่หน้ามันไปก่อน ไอ้โอมเปลี่ยนจากหน้าตีนเป็นหลังมือทันที "เย๊ดดดดดดดดด
มีของฝาก!! เฮ้ยไอ้นี่กูชอบบบ เก่ง!!! มาแดกกัน!!!!!" อื้อหือ.. เหมือนเวลาหมาจะวิ่งเข้ามากัดแล้วเขวี้ยงกระดูกให้มันยังไงยังงั้น ท่าทางไอ้โอม
มันดีใจจนหางกระดิก เท่านั้นไม่พอยังเรียกไอ้เก่ง (ที่ยืนโม้อยู่หน้าห้อง) ให้ร่วมขบวนการณ์หางกระดิกดิ๊ก ๆๆ ปรี่มาทางโต๊ะผมอีกคน
"เย๊ด ปลาหมึกนี่กูก็ชอบ เจ๋งหวะ ๆๆ" ไอ้เก่งว่าพลางลงมือฉีกซองเปิดซิงปลาหมึกหวานทันที ส่วนผมได้แต่ขํา "เมื่อวันศุกร์มีไรปะวะ ที่ กูไม่
มา" ผมถามขณะกําลังรื้อเศษกระดาษออกจากกระเป๋าอยู่ "ไม่ค่อยว่ะ มิสพัชรีถามหามึงด้วย แต่กูช่วยบอกมิสว่ามึงโดดเรียนไปหัวหินให้ "
อ้าวว ไอ้เชี่ยยยยยยยยยย ไอ้เพื่อนทรยศ!!!! ผมหันไปมองหน้า แต่ไอ้โอมยังคงกวนตีนต่อไป "เออ ก็เนี่ย.. แต่ถ้ามึงเอาปลาหมึกหว านไป
ฝากมิสพัชรีเค้าคงไม่ค่อยโกรธ มึงไม่ต้องขอบใจพวกกูหรอกนะเว้ย" ถึงมึงไม่บอกกูก็ไม่ขอบใจอยู่แล้วแสดดดดดดด "ไอ้สันดาน งั้นปลาหมึก นี้
ให้มิสพัชรี มึงไม่ต้องแดก" ริบคืนแม่งงง เก็บไปฝากน้อง ๆ ที่ชมรมยังจะเชื่องซะกว่า แต่พอดึงซองปลาหมึกหวานลงจากโต๊ะปุ๊บ ผมก็ได้ ยิน
เสียงพวกไอ้โอมไอ้เก่งร้องกันระงมเหมือนหมาหงอยปั๊บ "กูล๊อออออเล๊นนนนนนนนนนน กูบอกมิสให้ว่ามึงไม่ฉบายยยย" หืมม.. ไอ้ไข่หมา
.. มึงไม่ต้องมาทําเสียงอ่อนเสียงหวาน กูขนลุก! ผมย่นจมูกใส่พวกมันแล้วปล่อยถุงปลาหมึกหวานให้กินกันต่อตามเดิม "เฮ้ยนี่ ๆๆๆ แล้วมึง
เป็นไงมั่งวะหัวหิน... ทริปแรกป่าว ตั้งแต่คบมา" แต่พอล้มตัวนั่งลงอีกรอบ ไอ้เก่งก็เปิดประเด็นใหม่ทันที โดยมีไอ้โอมพยักหน้ารับเป็ นกําลัง
เสริม แม้ปากจะยังคงคาบแผ่นปลาหมึกอยู่อย่างโคตรรรตะกละ (ทั้งคู่) "สําเร็จปะวะ ๆ" เชี่ยแม่งก็พยายามดีเนอะ.. ผมเหล่ตามองพวกมัน
ที่แดกอยู่แต่ก็อยากจะถาม "สําเร็จไรของพวกเมิงง" "เผด็จศึก!" ไอ้โอมตะโกนพลางลุกขึ้นยืน ฟันมือโช๊ะกลางอากาศเหมือนทํายุท ธ
หัตถีอะไรซักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่ากูอายคนอื่น ต้องรีบดึงไหล่มันให้นั่งลงมาบนเก้าอี้เหมือนเดิม "พอเลยมึง... เสร็จห่าอะไร กูไม่ได้ คิดกับยูริ
แบบนั้น มึงก็รู้" "เฮ้ย!! แล้วไปนอนอยู่ด้วยกันตั้งสองคืนอะนะ อย่าบอกว่าไม่มีไร!!!!! มึงขันธีปะวะ!!!!!!" แล้วจะตะโกน
ให้ตํารวจตรงสี่แยกได้ยินเลยมั้ย ไอ้สัด... ผมโบกหัวมันทีนึงพอให้เกิดสํานึก "กูแยกห้องชายหญิงมั่งเหอะ!" หลังได้ฟังคํานั้ น ไอ้โอมไอ้
เก่งดูท่าเซ็งขึ้นมาทันที.. เป็นเชี่ยไรของมัน "แม่งงงง กูก็นึกว่าจะสองคู่ชู้ชื่น... มึงเสือกไปนอนให้ไอ้ปุณณ์ตุ๋ยเฉยเลย" โหไอ้โ อม... น้อย ๆ
หน่อยไอ้เชี่ย!!! "ตลกละพวกมึง เป็นห่าไรนักหนา ทําไมล้อกูกะไอ้ปุณณ์นัก" ผมด่าพลางหยิบแผ่นปลาหมึกมากินมั่ ง ดูพวกมันทําหน้า
ครุ่นคิดกันอยู่พักใหญ่ "ก็เพราะว่า..... อยู่ดี ๆ พวกมึงก็สนิทกันแบบ... ผิดปกติ" "ใช่.... ใช้คําว่า 'อยู่ดี ๆ' เลยนะเว้ย!! ไม่มีวี่แววอะ
เมื่อก่อนมึงกับมันยังแค่ยิ้มให้กันอยู่เลย เดี๋ยวนี้เจอกันแทบกระโดดใส่" โอ้โห... ไอ้เว่อร์! พวกมึงช่วยลดดีกรีความโอเว่อร์ลงนิดนึงด้วยครับ กู
ไปทําแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่!!! "มึงอย่าใส่ไข่ กูกะมันก็คุยกันปกติ มันช่วยเรื่องตังชมรมนี่หว่า" "แต่ก็เกินไปอยู่ดีว่ะ ช่วยเรื่องตังชมรมก็
หน้าที่มันอยู่แล้ว นี่พวกมึงเล่นรวมหัวหายไปไหนให้แฟนโทรตามซะวุ่น เข้าขั้นแปลกว่ะ" ไอ้เชี่ยโอมยังคงวิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ จนผมปลง...
เวลามาสเซอร์ให้โจทย์เลขมา อยากรู้ว่ามึงตีจนแตกงี้มะ? ผมกําลังจะอ้าปากเถียงมันอีกซักคําสองคําซักหน่อย แต่เสียงไอ้คมตะโกนเรียก
ผมจากหน้าห้องดังขัดขึ้นมาก่อน "ไอ้โน่!!! ปุณณ์เรียก!!!" ชิบหายแล้วไง แม่งเลี้ยงลูกกรอกปะวะ!!? พูดปุ๊บมาปั๊บทําเอาไอ้โอมไอ้เก่งหัวเราะ
ลั่น "เห็นมะ!! กูบอกแล้ว!!! มึงสองคนตัวติดกันยังกะปลิงขี้ควาย เชี่ยแม่ง... มาทีหลังยังเสือกซิวเพื่อนกุไปอีก ร้ายนักนะไอ้ปุณณ์ " เสียงไอ้โอม
แซวปนบ่นงึมงํา ๆ เหมือนจะน้อยใจ แต่ก็ไม่เห็นมันสนใจ
อะไรผม เพราะตอนนี้ปลาหมึกข้างหน้าคงน่าคุยด้วยมากกว่า... เหอะ ๆ.. ไอ้โคตรจริงใจ!! แต่เอ๊ะ... เมื่อกี้มันเปรียบผมกับปุณณ์เป็นอะ ไร
ควาย ๆ วะ??? ช่างแม่งงงง ผมส่ายหัวพลางเดินลากขาไปหน้าห้องเรียนเพราะปุณณ์เสนอหน้ามากวักมือเรียกผมยิก ๆ เร่งให้ออกไปเร็ ว
ๆ หน่อย... แต่คือ.. มึงช่วยอย่าแสล๋นนักจะได้มะ เพื่อนกูมองกูกันประหลาดจะแย่อยู่แล้ว "มีไร" ผมถามมันขณะที่เรายืนอยู่หน้าห้ องกัน
"ตกลงเรื่องคัดวงว่าไงวะ" หืม... ปุณณ์มาเพราะธุระเรื่อง Live Contest ที่สมัครทิ้งไว้นี่เองครับ ผมพยักหน้ารับ แต่เอ... กู เพิ่งโทรบอกไอ้ฟี่
(ประธานนักเรียน และนักร้องนําวงมัน) เรื่องนี้เองไม่ใช่เหรอ "กูบอกฟี่ไปแล้วไง วงมึงคุยกันมั่งปะเนี่ยย" "มึงโทรไปตอนไอ้ฟี่หลับเหอะ มัน
บอกมันอือ ๆ ออ ๆ รับมึงไปงั้น จริง ๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรอก" เออดี ตัดทิ้งแม่งเลยดีมั้ยวะ วงนี้ -_-" ผมหัวเราะเหอะ ๆ "วันนี้เย็น... ห้อง
ชมรมตึก ฟ." แต่พอยํ้าให้ฟังอีกครั้งชัด ๆ ดันเห็นมันทําตาโตเท่าไข่ห่าน "เฮ้ย!! กะทันหันจังวะ กูไม่ได้เอาอะไรมาเลย!!" อ้าวไอ้ห่านี่.... ก็
หัวหน้าวงมึงไม่ฟังกูเองอะ กูผิดป่าววะ! หน้าเหวอ ๆ ของมันทําให้ผมรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า "เรื่องของเมิ๊งง ไม่มาคัดกูตัดสิทธิ์" นี่ไง
ครับ... กล้าปะล่ะ ประธานชมรม ขู่วงประธานนักเรียน... หึหึหึ.. เก๋าไม่เก๋าไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ.. เลขาฯสภาหน้าจ๋อย ก๊ากกก "มึง ทํากับกูลง
เหรอว๊าาา โน่" อ้าวไอ้ห่านี่.. ทําเป็นคอตกสงสัยนึกว่าผมจะสงสาร แล้วมันมาไม้ไหนวะเนี่ย ทําไมผมต้องทําไม่ลง ปุณณ์เงยหน้ามาส่ง
สายตาประกายปิ๊งๆ เหมือนกับมันดูน่ารักเต็มประดา "คนที่มึงรักเชียวนะ...." อุแห
วะะะะะะ กูจะอ้วกกกก กูเคยพูดตอนไหนวะ!!!! "มึงเมาปีโป้เหรอ" ผมเถียงกลับ "เออ คนที่รักมึงก็ได้.. แป๊บนะ" มั นยอมเปลี่ยนให้ง่าย
ๆ แล้วหันไปควักมือถือที่ร้องลั่นออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างลน ๆ ผมยืนพิงกําแพงรอมัน 'I could be brown, I could be blue, I
could be violet sky~' 'ติ๊ด' "หวัดดีครับเอม" อืมมม......... นี่ไงล่ะคนที่มึงรัก แล้วก็คนที่รักมึง........ ผมคิดอย่างเคยชินแต่เดี๋ยวก่อน!!
เอมงั้นเหรอ!!!? หน้าผมบอกบุญไม่รับขึ้นมาทันที... แม่งเอ๊ย แค่ได้ยินชื่อก็โมโหจะตายห่า ผมรู้สึกว่าตัวเองฟึดฟัด แต่ทุกอย่างก็เกิดจาก
ความเป็นห่วงเป็นใยไอ้หน้าหล่อตรงหน้าผมล้วน ๆ ท่าทางผมจะแสดงออกมากไปหน่อยจนปุณ ณ์ดูออก มันเลิกคิ้วมองหน้าผมที่บึ้ง
สนิทด้วยความประหลาดใจ อาจเป็นเพราะผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่เก่ง ทําให้พอคิดอะไรเลยพาลไหลออกมาทางสีหน้าหมด ตอนนี้ผม
รู้สึกเหมือนตัวเองมีป้าย 'ไม่พอใจ' แปะหราประจานอยู่กลางหน้าผาก ในขณะที่ปุณณ์เองก็แปะป้าย 'ไม่เข้าใจ' กลับมาเช่นเดียวกัน "ครับ
เอม... วันนี้ไม่ได้หรอก ผมต้องอยู่คัดวงที่ชมรมดนตรีล่ะ กะทันหันมากเลย" ผมมองปุณณ์ที่กําลังโต้ตอบกับปลายสายไป มองหน้าผมไป
พร้อมเลิกคิ้วมาให้เหมือนจะถามว่าผมเป็นอะไร "ครับ... ที่ผมเคยบอกน่ะแหละ..... หืม ?.. โน่เหรอ?" มันยังคงคุยต่อ แต่ประโยคเหล่านั้น
ทําให้รู้ว่าเอมถามถึงผม!? ถามอะไร?? ถามทําไมวะ???
ผมขมวดคิ้วมองหน้ามันที่ดูงง ๆ กับทั้งสองฝั่ง "โน่ก็อยู่ด้วยสิครับ มันเป็นประธานชมรมนี่ ฮะฮะฮะ........... เอ๋ ?..." แต่ถึงตรงนี้ปุณณ์ก็กําลัง
เริ่มขมวดคิ้วเช่นกัน "จะมาทําไมครับ ไม่สนุกหรอก มีแต่เพื่อน ๆ ผมทั้งนั้น" หึหึ... แค่ได้ฟังปุณณ์ตอบแบบนี้ผมก็รู้แล้วว่าปลายสายต้องการ
อะไร รู้แม้กระทั่งว่าทําไม เอมจึงอยากทําแบบนั้น "ครับ... อืม.... มาถึงแล้วบอกแล้วกัน ผมจะเดินไปรับหน้ารั้ว" เรายืนกันอยู่ ซักพัก รอให้
ปุณณ์รํ่าลาแฟนเป็นคําสุดท้ายก่อนวางสาย.. ผมมองมันเก็บมือถือลงกระเป๋า แต่ไม่วายส่งสายตาง้องอนมาทางผมเหมือนคนรู้สึกผิด "โกรธรึ
เปล่า... เอมจะมา" ถึงตรงนี้ผมงง? เพราะสิ่งที่ปุณณ์คิดมันไม่ใช่ ถ้าปุณณ์คิดว่าผมโกรธเพราะผมหึงหรือหวงปุณณ์ บอกได้เต็มปากเต็ม
คําว่ามันคิดผิดถนัด ผมไม่เคยอยากเป็นเจ้าของปุณณ์เลยแม้แต่ปลายเล็บ เพราะผมเป็นลูกผู้ชายพอจะรู้ดีว่าอะไรคืออะไร.. ทุกวันนี้ผมพูดได้
เต็มปากว่าผมพอใจแล้วกับความสัมพันธ์ของเราสองคนที่เป็นแบบนี้ ผมพอใจที่เรามีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันโดยไม่ต้องจํากัดคํานิยามใด ๆ
หรือแม้กระทั่งเรื่องบนเตียงมาเจือปนอีก ผมรักสิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่ผมเกลียดสิ่งที่กําลังจะเป็นต่อจากนี้ ผมทนให้ใครมาทําร้ายคน
สําคัญของผมคนหนึ่งไม่ได้ "เปล่า ไม่ได้โกรธอะไรมึง... คิดมาก" อาจเป็นคําตอบที่ดูเหมือนปัด ๆ ไป แต่ผมก็พยายามที่สุดแล้วที่ จะไม่ทํา
ให้ปุณณ์ต้องกังวลใจ "โอเคใช่มั้ย? ขอโทษนะ..." ฝ่ามือแกร่งข้างนั้นบีบบนหัวไหล่ผมเบา ๆ เรียกให้ผมรีบพยักหน้ารับกลับไป "เฮ้ย ไม่
เป็นไรจริง ๆ เออ กูกลับเข้าไปลอกการบ้านก่อนนะ วันศุกร์ที่หยุดไปงานตรึม" สุดท้ายจึงต้องพึ่งคําโกหกคําโต (เพราะไอ้โอมบอกว่าสบาย
มาก ไม่มีอะไรซักอย่าง) แต่คงดีกว่ามายืนหน้าบอกบุญไม่รับใส่ปุณณ์อย่างนี้... เดี๋ยวมันจะเข้าใจผิดเปล่า ๆ ว่าผมโกรธมัน "อืม... ขอโทษ
นะโน่.." ปุณณ์ยังคงยํ้าอีกที ขณะที่ผมพยักหน้ารับถี่ ๆ พร้อมแตะไหล่มันเบา ๆ
"ไม่ต้องคิดมาก" ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวกลับห้องเรียนไป ทําไมผมจะไม่รู้ว่าเอมต้องถ่อมาเฝ้าปุณณ์ถึงนี่เพราะอะไร

31st CHAOS
เสียงมิสเมตตาบอกเลิกเรียนดังขึ้นพร้อม ๆ กับโทรศัพท์ผมที่สั่นอยู่บนโต๊ะพอดิบพอดี นับว่าเป็นบุญยิ่งนักที่ในห้องเรียนเสียงดังอยู่ แล้ว มิส
เลยไม่ได้ยินว่าไอโฟนผมกําลังถูตัวกับโต๊ะเรียนอย่างหนัก ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วก็คิดว่าเชี่ยกอล์ฟแม่งกะเวลาแม่นจริง ๆ "อยู่ไหนแล้ว
วะมึง" "ใกล้ถึงแล้ว ออกมารับเลย" เฮ้ยไอ้นี่!! มึงทําตัวเหมือนตัวเองไม่ใช่ศิษย์เก่า "ตลกละ มึงไปเจอกูใต้ตึกฟ. ห้องชมรม กูต้องเตรียม
งานคัดวง จะรออยู่ที่นั่น เค๊?" "ไม่โอเคโว๊ยยย กูเสียสละเวลาหลีสาวมาเพื่อมึง ดังนั้นต้องออกมารับกู จะถึงแล้ว เจอกัน!" ไอ้ห่านี่ก็คิดเอง
เออเองไม่ฟังผมพูดอีกคน (อะไรของชีวิตโน่นักหนาเนี่ย เคยบงการใครเขาได้บ้างมั้ย!!?) มันว่าก่อนจะตัดสัญญาณโทรศัพท์ไป ทิ้งให้ผมต้อง
ยอมจํานนเก็บมือถือเข้ากระเป๋าแล้วเตรียมตัวออกไปรับมันอย่างสมยอม "โอม กูฝากเตรียมห้องก่อนนะ เดี๋ยวรีบไป" ซึ่งแน่นอนว่าไอ้
ห่านี่ต้องบ่น "ไรของมึงงงงงงงง จะไปไหนอีก! เดี๋ยวคัดวงแล้วนะมึง!" "เออ แป๊บเดียว กูออกไปรับไอ้กอล์ฟ มันจะมา" อ้างชื่อ นี้ไอ้โอม
เลยพลอยตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง "จริงปะ!? เออ รีบไปแล้วลากมันมาให้กูเตะเลย วันก่อนแม่งชง
เหล้านํ้าปลาให้กูที่สวนลุม เค็มชิบหาย มันต้องโดนมิใช่น้อยยย" ฮ่า ๆๆ เรื่องนี้มึงก็เคลียร์กันเองแล้วกันนะเพื่อนนน!! ผมเดิ นกึ่งวิ่งผ่าน
รูปปั้นออกไปหน้าประตูโรงเรียนด้วยความรีบร้อน เพราะหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาใกล้กําหนดการคัดวงเข้าไปทุกที แต่ยังมองไม่เห็นไอ้กอล์ฟ
แม้เงา "สัดแม่ง.. ไหนบอกใกล้ถึงแล้วไงวะ" ผมบ่นกับตัวเองเซ็ง ๆ แต่ระหว่างรออยู่นั้นเอง ร่างขาว ๆ ในชุดนักเรียนคอนแวนต์สะดุ ดตาก็
ดึงความสนใจผมไปเสียก่อน... ใครวะ?? มองไกล ๆ ยังรู้ว่าสวยชิบหาย ถ้าลองได้เห็นใกล้ ๆ นี่ โอ๊ยยยย... ไม่อยากจินตนาการ ผมเพ่งมองร่าง
ขาว ๆ นั้นที่ค่อยเดินใกล้เข้ามาด้วยความตื่นเต้นตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่................. เชี่ยเอ๊ยย... ทําไมกูไม่ เอะใจเลยวะ... ผม
มองเอมที่ยุรยาตรมาจนถึงหน้ารั้วโรงเรียนผม แล้วก็ต้องทําเป็นเมินไม่เห็นเสีย เพราะไม่มีอะไรจะคุยกัน รู้สึกได้ว่าเธอมองมาอยู่เช่นกัน
แต่แน่นอนว่าตรงนี้นอกจากผม พี่ยาม มาสเตอร์สุชาติและนักเรียนที่ค่อย ๆ เดินออกมาหลังเลิกเรียนแล้ว ผมก็ไม่เห็นมีไอ้หน้าหล่อคนไหนที่
ดูคล้าย ๆ ปุณณ์สักคน... เหอะ ๆๆ.. นั่นหมายความว่าทั้งผมและเอมยังต้องรอคนที่นัดอยู่ต่อไป แต่ผมไม่อยากสนใจเธอนักหรอก.. เลิกทําตัว
เป็นคนดีมีมารยาทไปแล้ว ในเมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด ทําผมเสียความรู้สึกกับผู้หญิงคนนี้ไปจนสิ้น ผมยืนผิวปากพิงรั้วโรงเรียนอย่าง
สบายอารมณ์โดยไม่ทักเอมซักแอะหวังจะยั่วโมโห.. ซึ่งเท่าที่แอบมองดูก็เห็นเอมหงุดหงิดจริง ๆ หึ... ผมมองใบหน้าหวานที่งองํ้านั้นด้วยรู้ทัน
ว่า ที่เอมอุตส่าห์ถ่อมาหาปุณณ์ถึงนี่น่ะ ก็เพราะคิดจะมาคอยเฝ้าปุณณ์ไม่ให้เข้าใกล้ผมเพราะกลัวโดนฟ้องแหง๋ ๆ
หารู้ไม่ว่าผมไม่ฟ้องหรอก (ไม่ใช่นิสัยผม) ถ้าจะฟ้องคงฟ้องไปตั้งแต่ตอนอยู่หัวหินแล้ว และถ้าผมใจแข็งขนาดนั้นก็คงไม่ต้องโทรลากไอ้
กอล์ฟมาช่วยคิดอย่างนี้หรอก... แม่ง แล้วเมื่อไหร่มันจะมาวะ ผมบ่นในใจได้ไม่เท่าไหร่ รถแท็กซี่คันสีม่วงก็แล่นมาจอดเทียบริมฟุ ตบาธ
เผยให้เห็นร่างสูงของกอล์ฟที่กําลังงก ๆ เงิ่น ๆ ควักเงินจ่ายคุณลุงคนขับอยู่ มันจัดแจงจ่ายเงินเสร็จแล้วก้าวเท้าลงมาทั้งชุดไปรเวทที่โรงเรียน
มันอนุญาตให้ใส่ พร้อมรอยยิ้มกว้างทันที "โทษว่ะะะ แม่งรถติดหน้าโอเรียลเต็นชิบหาย ไม่รู้เป็นเชี่ยไร" มันรีบแก้ตัวพัลวันเพราะคงกลัว
ผมเหวี่ยง (ก็กะอยู่) แต่ยังไม่ทันที่กอล์ฟกับผมจะได้เดินเข้าโรงเรียนดี สายตาสองคู่ของเราก็เหลือบไปสะดุดร่างขาว ๆ ของเอมที่ดูตกใจเป็น
อย่างหนักเสียก่อน เออ แน่สิว่าต้องตกใจ ผมเพิ่งนึกออกว่าตอนเอมเจอกอล์ฟเอมไม่รู้นี่หว่าว่ากอล์ฟเป็นศิษย์เก่าที่นี้ หึหึ แบบ นี้มีหวัง
สนุก... เหลือแค่คู่กรณีอีกคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มา แต่ผมบอกแล้วว่าไอ้ห่านี่มันเลี้ยงลูกกรอก อย่าได้พูดหรือคิดถึงมันเชียว ประเดี๋ยวมัน
จะโผล่มาพอดี "อ้าวโน่ มาอยู่นี่เอง โอมมันบ่นถึงอยู่แน่ะ" เห็นปะล่ะ... ปุณณ์ดิลิเวอรี่ คิดปุ๊บมาปั๊บ พร้อมกับความสนุกมาเยือนแล้ ว หึหึ ผม
หันไปยิ้มให้ไอ้ปุณณ์ที่เพิ่งวิ่งตามมาสมทบ เห็นมันหอบเหนื่อยมาแต่ไกลสงสัยรีบวิ่งมารับเอม ปุณณ์พักเหนื่อยชั่วครู่ก่อนจะสังเกตเห็นคน
ที่ยืนข้างผม "กอล์ฟ!? แวะมาดูด้วยเหรอ?" นั่นแหละ.... ตอนนี้ผมคิดว่าหน้าเอมใกล้เคียงนางเอกหนังผีเข้าไปทุกทีแล้ว (ตอนเห็นผีด้วยนะ)
กอล์ฟเองก็ดูสนุกสนานกับเหตุการณ์นี้ดี "เออ พอดีไอ้โน่ชวนเลยแวะมาดูหน่อย แล้วมึงมาตรงนี้ทําไมวะ ไม่เตรียมตัวเหรอ" มันหยอด หึหึ
"อ๋อ... ผมมารับเอมน่ะ... เอมครับ นี่กอล์ฟ ศิษย์เก่าที่นี่ ซี้โน่เค้า รู้จักกับผมเหมือนกัน" ผมว่าถึงตรงนี้ไอ้กอล์ฟต้องคิดเหมือนผมแหง๋ ๆ ว่าเอม
จะตอบปุณณ์ว่าอะไร... "ค่ะ.. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" อืม.... กล้า...
"เอมหน้าคุ้น ๆ นะครับ" แต่ไม่วายโดนกอล์ฟซัดไปหนึ่งดอก ฮ่าฮ่า! ผมแทบจะยกรูปปั้นคุณพ่อมาให้มันเป็นรางวัลด้วยความสะใจจจ
เอมผงะไปแต่ดูจากแววตาแล้ว เธอยังไม่ยอมแพ้ง่ าย ๆ "ปุณณ์เคยพาเอมมาที่นี่น่ะค่ะ อาจจะเคยเห็นกัน" สรุปว่านี่ก็แถได้โล่อีกคน... งานนี้
ผมคงต้องโคลนรูปปั้นคุณพ่อออกเป็นสองรางวัลซะแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เรื่องราวจะสนุกชุลมุนมากกว่านี้... โทรศัพท์ผมเสือกดังเป็นกระดิ่ง
ห้ามยกเสียก่อน 'อูโว่ อูโว๊ะ โว๊ะ ก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น น่ารัก.. ก็เลยเข้าไปท าความรู้จัก ' หน้าจอ LCD ปรากฏรูปนิ้วกลางของไอ้โอม
หรา "ไร..." รับสายมันไม่จําเป็นต้องพูดดี ๆ ครับ เปลืองพลังงาน "มึงจะมาตอนไหนวะ!!!!!!! จะได้เวลาแล้วนะไอ้สาดดดดดดดดดดดด!!!!!!!"
แต่อู้หู.... มันเล่นตะโกนด่าจนไอ้กอล์ฟยังได้ยินเลยว่ะ แม่งบ้าพลังจริง ผมต้องรีบเออ ๆ ออ ๆ รับปากมันว่าจะรีบไป ขณะที่ไอ้กอล์ฟก็ดันหลัง
ผมเหมือนกัน "เออรีบเร็ว เป็นประธานชมรมอย่าสายสิวะ" อ้าวววไอ้ห่านี่...... "ก็เพราะมึงอ่ะแหละ!" *** ผมรีบเดินกึ่ งวิ่งกลับไป
หน้าห้องชมรม เจอไอ้โอมยืนปั้นหน้ายักษ์รออยู่ แต่อย่านึกว่าคนอย่างโน่จะกลัว
"อะไร... กุหายไปแป๊บเดียวคิดถึงจนต้องโทรหาเลยเหรอ?" ซึ่งแน่นอนว่าการกวนตีนมันในเวลานี้เท่ากับเพิ่มภัยให้ตัวเองเห็น ๆ แต่ผมก็ยัง
จะทํา เลยได้เป็นกําปั้นทุบลงบนหัวแรง ๆ หนึ่งที "ไอ้ห่า ยัง กล้ากวนตีนอีกนะ ไปตรงโน้นเลย แอมป์มีปัญหา" ชิ! ยอมให้แม่งวันนึงก็ได้
ผมรีบเอาไอ้กอล์ฟไปนั่งรอหลังโต๊ะกรรมการแล้วจัดแจงเดินไปเช็คตู้แอมป์ตัวที่โอมบอกว่าเสีย เราเตรียมการเพียงไม่นานก็เริ่มคัด วงได้..
การคัดรอบนี้เป็นงานปิด เพราะเป็นแค่คัดรอบแรกก่อนขึ้นเวทีจริง ผมจึงให้ทุกวงมารุมคัดกันในห้องชมรมดนตรีแคบ ๆ แห่งนี้ แต่แน่นอนว่า
ยอดวง 35 วง ถึงจะพอบรรจุคนไว้ในห้องกันเดียวได้ แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้วงไหนนําเครื่องดนตรีมา (เพราะกินเนื้อที่และเสียเวลาเช็ค
ซาวด์สุด ๆ) จําต้องบังคับให้ใช้เครื่องดนตรีของทางชมรมเท่านั้น แล้วก็น่ากลัวว่าคืนนี้ผมคงได้นอนค้างที่นอี่ ยู่กับวงสุดท้ายแน่นอน "แม่ง...
วงละสองเพลงจริงเหรอวะ เพลงเดียวได้ปะ" ผมเริ่มงอแงอยู่บนโต๊ะกรรมการหลังจากคํานวนเวลาทั้งหมดเสร็จ เลยโดนไอ้โอมด่าเข้าให้หนึ่ง
ดอก "ก็มึงอะแหละบอกว่าสองเพลง! กูบอกแล้วว่าเพลงเดียวพอ เดี๋ยวก็ได้นอนนี่กันพอดี ห่าจิง ๆ" ได้ทีขี่แพะไล่นี่หว่า.... ก็ตอนนั้นผมคิดว่า
จะให้ตัดสินเลยภายในเพลงเดียวมันไม่ยุติธรรมอ่ะ แต่ตอนนี้ชักอยากเปลี่ยนใจทําตัวไม่ยุติธรรมแล้ว Y__Y ... เวลาผ่านไปอย่าง
เชื่องช้า.. น่าเพลียมากในความคิดผม เพราะแม้ทุกวงจะฝีมือดี แต่การต้องมานั่งตั้งใจฟังแถมให้คะแนนทุกเพลง นี่แม่งโคตรเหนื่อยชิบหาย
ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่โอ๊ค (ประธานปีที่แล้ว) แล้วว่าเป็นยังไง นับว่ายังโชคดีที่ปีนี้ผมไหวตัวทัน รีบปิดรับสมัครแต่ เนิ่น ๆ
ไม่อย่างนั้นถ้าทะลักทลายมา 50 วงแบบปีที่แล้วของพี่โอ๊คนี่มีหวัง.. กรรมการตายกันพอดี (คัดกันสองวันเลยครับตอนนั้น แทบจะต้องซด
กระทิงแดงเอ็กซ์ตร้า) ผมบิดตัวไล่ความง่วงพลางเหลือบมองไปยังมุมห้องตรงที่วงของไอ้ปุณณ์นั่งอยู่ ตรงนั้นนอกจากมีนักเรียน
ชายหัวเกรียนนั่งเรียงกันเป็นตับแล้ว ผมยังเห็นสาวคอนแวนต์คนสวยอย่างเอมร่วมแจมอยู่ด้วย เธอเลือกที่นั่งใกล้ประตูเพราะผมสังเกตว่าเอม
มักชวนปุณณ์ออกไปข้างนอกตลอด พอกลับมาแต่ละทีก็มีนํ้า ขนม นม เนย อะไรเต็มมือไปหมด จนแอบสงสัยว่าเอมงดไดเอท หรือแค่อยาก
ชวนปุณณ์ออกไปไหนไกล ๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งมองหน้าผมกันแน่ เพราะเกือ บทุกครั้งที่ผมเหลือบมองไป ก็มักเห็นสายตาไอ้ปุณณ์อ่อน
ละห้อยมาทางผมราวกับจะงอนง้อ จนกูล่ะปวดหัว... คือจะให้บอกอีกกี่ทีวะ! ว่าไม่ได้งอน ไม่ได้โกรธ ไม่ได้หึงหวงอะไรเลยยยยยยย แค่เห็น
ผู้หญิงคนนี้ที่เขาหลอกมึงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วมันอารมณ์เสียน่ะ รู้บ้างมั้ยยยยยยยยย เฮ้อ... ไม่รู้จะพูดไง.. เอาเป็นว่าผมจะพยายามทําตัวให้
เป็นปกติที่สุดแล้วกัน "กูว่าไอ้ปุณณ์นึกว่ามึงโกรธมันแน่เลยว่ะ ที่เอาคนนอกเข้ามาอะ.. เห็นชอบมองมึงแล้วทําหน้าหงอยบ่อย ๆ" ดูดิ่..
ขนาดไอ้กอล์ฟที่นั่งหลังผมยังสังเกตได้ เหอ ๆ ดีนะมันไม่มีจิตอกุศลแบบไอ้โอม กอล์ฟมองผมที่ส่ายหัวตอบมันแล้วอยู่ดี ๆ ก็ทําท่าเข่นเขี้ยว
ขึ้นมา "คันปากอยากเดินไปฟ้องไอ้ปุณณ์ตอนนี้เลยว่ะ ทําไงดี" "เฮ้ย!! ใจเย็นนน" แม่งไม่พูดเปล่ายังทําท่าจะคลานเข้าไปจริง ๆ อี ก! ไอ้ห่า
นี่! ผมต้องรีบคว้ามันไว้เพราะรู้ว่ามันน่ะเลือดร้อนไม่มี ใครเกิน หลังจากนั้นไม่นานวงรุ่นน้องม.3 ที่เล่นอยู่ตรงหน้าผมก็แสดงจบลง (เออ
เก่งดีเหมือนกันนะ) นําให้ผมต้องปล่อยคอเสื้อไอ้กอล์ฟแล้วหันกลับมาขานชื่อวงต่อไป "ต่อไปวงที่ 15 วง..... พี่เชี่ย ครับ... ชื่อมึงเชี่ยจริงว่ะ
เอิ้น" คือวงไอ้เอิ้นนั่นเอง คนอื่น ๆ (โดยเฉพาะน้องม.ต้น) ขําชื่อวงมันกันระนาวเพราะช่างตรงใจ วงมันประกอบด้วยสต๊าฟฝ่ายเชียร์ของงาน
บอลทั้งหมดเลยครับ หรือที่น้อง ๆ เรียกกันว่า พี่เชียร์ ลับหลังหน่อยก็เรียก พี่เชี่ย (เพราะแม่งดุเหมือนหมา) อันนี้ไอ้เอิ้นเป็นคนแอบได้ยินเอง
กะหู แต่มันไม่โกรธหรอก เพราะมั นบอกว่าตอนอยู่ม.ต้น มันก็เรียกพี่เชียร์ว่าพี่เชี่ยเหมือนกัน ฮา ๆๆ (แถวบ้านกูเรียนกรรมตามสนองนะ)
วงมันเซทเสียงนิดหน่อย (ไม่ต้องประดิษฐ์มาก เพราะผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว) ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงแรก
ซึ่งคือเพลง Change ของวง Deftones ที่ผมเคยได้ยินไอ้โอมฟังบ่อย ๆ... หึ.. ป่านนี้ใบคะแนนเอิ้นในมือกรรมการโอมคงท่วมท้นล้นกระฉูด
แล้วสิ!... อ๋อ ไอ้โอมนี่ดูถูกไม่ได้นะครับ (แม้ผมจะดูถูกมันบ่อย ๆ) เพราะพ่อมันเป็นนักออเคสตร้าใหญ่ ควบตําแหน่งอาจารย์พิเศษที่ดุ ริยางค์
มหิ ดลเลยทีเดี ยว ดัง นั้น ไอ้โ อมก็ไม่ ใช่ขี้ ๆ ติด แต่จ ะทํ า ตัว โง่ใ ห้คนอ่า นชอบเข้าใจผิด ก็เท่ านั้ น (หรือจริง ๆ แล้ วมั นโง่ จริง ผมก็ไ ม่ แน่ ใจ
เหมือนกัน) ผมแอบมองใบคะแนนมันแล้วยิ้มขํา ๆ "มึงขี้โกง..." "มันเล่นดีโว้ยย!" ไอ้โอมแก้ตัวเสียงขุ่นพลางปิดใบคะแนนตัวเอง ใหญ่
ส่วนผมได้แต่หัวเราะหึหึ วงเอิ้นก็เล่นดีจริง ๆ แหละ ตัวเอิ้ นที่เป็นนักร้องนําก็ทําหน้าที่ได้ดีมาก เสียแต่เพลงมันโหยหวนไปหน่อย ตอนนี้ผม
ใกล้จะหลับแล้วว ขณะที่ผมกําลังสะลึมสะลือชั่งใจว่าจะหลับดีหรือไม่หลับดีอยู่นั้นเอง เสียงเรียกชื่อผมก็ดังลอดมาจากลําโพงเสี ยก่อน
"โน่อย่าเพิ่งหลับครับ ยังเหลืออีกเพลง" เอ่อ... ไอ้เอิ้น.. มึงเล่นงี้เลยเหรอ.. กูอายยยยยยยย ผมสะดุ้งมาเกาหัวแกรก ๆ มองหน้ามัน ขณะที่คน
อื่น ๆ หัวเราะครืน (ฝากไว้ก่อนเหอะมึง) แล้วก็ต้องยกนํ้าขึ้นมาดื่มแก้เขิน (และแก้ง่วง) เอิ้นส่งยิ้มกว้างอวดลักยิ้มให้ผมก่ อนจะเริ่มเพลง
ต่อไป "ตั้งใจฟังเพลงนี้ดี ๆ ล่ะโน่" สงสัยมันกลัวผมแอบงีบอีก เสียงแฮ็คมือกลองตบไม้ให้จังหวะก่อนทํานองกีต้าร์ของเพลงที่สองจะเริ่ม
บรรเลง.. "ใกล้ไป ไม่อยากให้ใกล้ไป ยังไม่อยากจะเข้าไป อยู่ตรงนี้มันคงไม่เป็นไร ชัดไป ถ้าหากมันชัดไป มันอาจไม่ซึ้งเท่าไร แค่เท่านี้
มันคงไม่มากไป ขอเข้าไปใกล้เธอทีละน้อย ค่อย ๆ ซึมลงไปในใจจนเจอรักเธอ
อย่าเพิ่งรู้ว่าฉันนั้นคิดอะไรก็แล้วกัน ปล่อยให้ฉันได้ฝันได้เพ้อนาน ๆ อีกซักหน่อย แค่เท่านี้ก็ดีอยู่แล้วถึงมันจะเลื่อนลอย อาจเป็นเพียง
ความฝันน้อย ๆ แต่ฉันก็จะคอยต่อไป ถ้าใกล้กว่านี้ ก็กลัวว่าเธอจะถอยไป ห่างใจฉันไปไกลไม่กลับมา ขอเข้าไปใกล้เธอทีละน้อย ค่อย
ๆ ซึมลงไปในใจจนเจอรักเธอ โอ... ลา.. ลา... ลา อย่าเพิ่งรู้ว่าฉันนั้นคิดอะไรก็แล้วกัน ปล่อยให้ฉันได้ฝันได้เพ้อนาน ๆ อีก ซักหน่อย
แค่เท่านี้ก็ดีอยู่แล้วถึงมันจะเลื่อนลอย อาจเป็นเพียงความฝันน้อย ๆ แต่ฉันก็จะคอยต่อไป ถ้าใกล้กว่านี้ ก็กลัวว่าเธอจะถอยไป ห่างใจฉันไป
ไกลไม่กลับมา โอ... ห่างใจฉันไปไกลไม่กลับมา ไม่อยากจะใกล้ไป...." หืมมม!? ผมชอบ Friday ครับ (ฝันอยากจะมีเสียงนุ่ม ๆ
ชวนฝันอย่างพี่บอย-ตรัยมั่ง) แต่............................ ทําไมไอ้เอิ้นมันต้องร้องไปมองหน้าผมไป จนผมกลายเป็นฝ่ายอาย ต้องหลบตามัน
แทนอย่างนั้นด้วย!? ท่าทางจะไม่ใช่ผมที่คิดไปเองคนเดียวซะด้วย
"เชี่ยเอิ้น! มึงร้องเพลงจีบบอสพวกกูในที่ประชุมชน!!!" นั่นไง.. เสียงไอ้เชี่ยโอมโวยวายขึ้นมาทันทีที่ เพลงจบ -_-" ไอ้เชี่ยยย... กูอายเค้า มึง
ไปโวยกันเบา ๆ หลังไมค์ได้มั้ย กูอายยยยยย ผมกุมขมับตัวเองพลางเหล่มองไอ้เอิ้นที่ยืนยิ้มเผล่รับคําแซวไอ้โอม... เฮ้ยยยยยย!? ไอ้นี่ก็อีก
คน มึงช่วยปฏิเสธบ้างไรบ้าง กูจะขอบคุณมาก ไหงเสือกยืนเป็นเป้านิ่งให้ไอ้โอมมันแซวเละอย่างงั้น!!! หมาในปากไอ้โอมยิ่งได้ใจ ตอกบัตร
โอทีแล้วทํางานต่อไป "แต่เอิ้น มึงพลาดแล้ว ตัวจริงบอสกูแม่งเดินมาโน่น มึงโดนไอ้ปุณณ์อัดแน่คราวนี้" อ้าวสัด! ซัดทอดอีก!! แต่ก็เป็นอย่างที่
โอมบอกจริง ๆ ครับ ผมเห็นปุณณ์เดินดุ่ม ๆ มาทางด้านหลังเอิ้น แต่เรื่องจริงกว่านั้นคือวงมันเป็นวงที่ 16 เลยต้องออกมาเตรียมเครื่องดนตรี
อยู่แล้วต่างหาก.. ผมมองหน้าไอ้ปุณณ์ที่ยิ้มขํา ๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไร แค่เดินผ่านเอิ้นไปแล้วหยิบสายกีต้าร์มาเสียบในตําแหน่งมัน 'โป๊ก!!'
"ปากมึงนี่ก็หมาไม่ได้ดูกาละเทศะเลยนะ!! แหกตาดูมั่งว่าน้องปุ ณณ์เค้าเอาแฟนมาดูด้วย!" เออ พี่ ดีมาก ด่ามันเยอะ ๆ.. ผมหันไปหัวเราะให้
พี่ดิวผู้สอยหมาออกมาจากปากไอ้โอม ด้วยอาวุธคือก้นแก้วกาแฟโขกลงกลางกบาลที่ท่าทางจะจุแต่ขี้เลื่อยของมัน ซึ่งแน่นอนว่าไอ้โอมได้แต่
คลําหัวตัวเองป้อย ๆ อย่างน่าเวทนา "เฮ้ยขอโทษษ กูลืม" ทุกคนฮากันครืนอีกครั้งเมื่อโอมยกมือไหว้ปุณณ์ปลก ๆ จนไอ้เลขาสภาฯต้องรีบ
รับไหว้กลับพลางโบกไม้โบกมือตอบอย่างไม่ถือสา เพียงแต่ตอนนี้มันเลิกมองหน้าผมไปแล้ว... "เชี่ยแม่ง แล้วกูจะตัดสินไงวะ ขืนไม่ใ ห้วง
มันผ่านมีหวังไม่โดนไล่ออก ก็ตัดงบประมาณปีหน้าแหง๋" เหอ.. ไอ้ เชี่ยโอม.. มึงขอโทษเขาอยู่แหม็บ ๆ แต่เสือกมากระซิบนินทาต่อ.... แล้ว
กระซิบของมันเนี่ย ต่อให้ผมยืนอยู่หน้ารั้วโรงเรียนก็ยังได้ยิน เสียงคนอื่น ๆ ในห้องหัวเราะครืนกันอีกครั้ง คราวนี้ไอ้ฟี่ (ประธานนักเรียน
และนักร้องนํา) ที่เปิดไมค์แล้วส่งเสียงโต้ตอบกลับมา "ไม่ให้กูผ่านกูไม่ว่า แต่กวนตีนอีก กูไม่ปล่อยเงินแน่ สองหมื่นบาทของพวกมึง" โหไอ้ชั่ว
... มันเล่นเอาจุดอ่อนชมรมผมมาขู่ครับ ทําเอาผมผวาเฮือก แต่ไอ้โอมดันหัวเราะสู้อย่างผู้มีชัย
"ไม่กลัวเว้ยยย ไอ้ปุณณ์มันควักเนื้อให้พวกกูแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า" แล้วเชี่ยนี่บอกเค้ าทําไม -_-" "จริงเหรอวะ!?" แต่ท่าทางไอ้ฟี่จะยังไม่รู้
พฤติกรรมของเลขาฯมันเองครับ หน้ามันตกใจชิบหายตอนปุณณ์พยักหน้ารับว่าที่โอมพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง ฟี่พึมพําใส่ไมค์ตัวเองให้ เสียง
ออกลําโพงว่า "เชี่ยปุณณ์.... มึงจีบไอ้โน่จริง ๆ ใช่มะ" แล้วไง!! สุดท้ ายพวกมึงก็ต้องลงที่กูกันอยู่ดี ไอ้สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ช่วย
เล่นอะไรให้มันไกล ๆ กูบ้างไรบ้าง! แล้วนั่น... ไอ้พวกน้องม.ต้น กับพี่ม.หก แล้วยังคนอื่นที่ไม่รู้จักกับผม แต่มาร่วมหัวเราะขํากั นใหญ่นี่
หมายความว่ายังไง Y____Y โธ่... ศักดิ์ศรีไอ้โน่... ป่นปี้เพราะไอ้ห่าพวกนี้หมดแล้วว ผมยกนิ้วกลางใส่พวกเวรเรียงตัวอย่างไม่รู้จะด่าว่า
อะไร แต่เห็นไอ้ปุณณ์แค่ทําท่าสบาย ๆ ดีดเช็คสายกีต้าร์ไปเรื่อยก่อนจะหันบอกมือกลองของมัน (ใครวะ) ว่าพร้อมเล่นแล้ว ที่แน่ ๆ......
มันไม่มองหน้าผมเลย

32nd CHAOS
สรุปว่าวันนี้ กว่าการคัดวงจะจบลงก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมล่ะอยากจะบ้า พี่ยามแม่งก็เดินมาไล่แล้ววว ไล่อีก คิดว่าพวกผมไม่อยากกลับ
บ้านรึไง ถ้ากลับได้เผ่นกลับตั้งนานแล้วโว๊ยยยย โว๊ะ! แถมพอนั่งฟังนาน ๆ ก็ชักเพลียอีก เห็นไอ้โอมสัปหงกคาโต๊ะกรรมการตั้งหลายทีผลั ด ๆ
กันกับผมนี่แหละ ผมก้มมองมองนาฬิกาดีเซลบนข้อมือตัวเองที่บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่งกว่า ๆ ระหว่างเรากําลังเก็บกวาดห้องชมรมอยู่ โดยมีไอ้
กอล์ฟและน้องม.4 ซึ่งคัดเป็นวงสุดท้ายคอยช่วยเหลือเป็นกําลังเสริมให้ ส่วนวงอื่นน่ะคัดเสร็จเขาก็แยกย้ายกลับบ้านไปนานแล้ว ไม่มีใครบ้าจี้
อยู่ต่อจนจบหรอก (นอกจากกรรมการอย่างพวกผม T___T) อ๋อ... แต่ก็มีคนบ้าจี้อยู่คนนึงครับคือไอ้เอิ้น มันเป็นอีกคนที่ยังอยู่ ตอนนี้เดิน
ไปเก็บของกับไอ้โอมตรงมุมห้องโน้น เพราะมันบอกอยากช่วย เออ ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ขัดศรัทธา คนละไม้คนละมือจะได้ช่วยกันกลับ
บ้านไว ๆ แต่หากจะถามถึงไอ้ปุณณ์น่ะเหรอ.. เหอะ.. มันน่ะหนีกลับไปตั้งแต่ตอนวงมันเล่นเสร็จแล้ว (จําไว้นะมึง) แถมก่อนกลับยังฝาก
น้องม.3ที่อยู่แถวนั้นเดินมาบอกผมอีก ว่าเดี๋ยวมันจะวนกลับมารับผม เดาว่าที่ออกไปก่อนคงไปส่งเอมมั้ง... เหอะ ๆๆ ผมล่ะอยากบอกมันใจ
จะขาดว่าไม่ต้องกลับมาหรอก (เกรงใจ) แต่ก็พูดไม่ทันเพราะมันเดินออกไปแล้วไม่รอฟังคําตอบ "เฮ้ยโน่ โซฟาตรงนี้ขาดนิดนึงว่ะ จะซ่อม
เลยหรือค่อยซ่อมตอนเช้า" เสียงไอ้โอมดังขัดความคิดผมจากแถว ๆ ท้ายห้องที่พวกเราเข็นโซฟายาวไปตั้งอยู่ ด้วยเพราะไม่อยากให้มันเสีย
แต่ก็แม่งเอ๊ย... งานเข้าจนได้ ผมโคตรเซ็ง "เออ ซ่อมเลย ๆ แต่แป๊บนึง" ในขณะที่กําลังตะโกนตอบกับไอ้โอมอยู่นั้นเอง พลันรู้สึกว่ามีมือ
ใครสักคนมากระตุกแขนเสื้อนักเรียนผมอย่างแรงเสียก่อน...... เฮือกกกกกกก... มันคือไอ้กอล์ฟครับ! เชี่ยแม่ง! ทํากูใจควํ่าแทบแย่นึกว่ าผี
(เออ แต่ก็ใกล้เคียงกัน) มันสะกิดแขนผมโคตรแรงพลางยื่นหน้ามากระซิบข้างหูว่า "กูต้องกลับแล้วว่ะ เดี๋ยวป๊าด่า มึงมาเอานี่ก่อน!" เออ เกือบ
ลืมไปเลยว่ามันมาทีนี่เพราะอะไร คิดว่ามาเที่ยวเล่นจริง ๆ ตามที่บอกคนอื่น ๆ ซะแล้ว ผมกับกอล์ฟพากันเดินออกจากห้องชมรมไปใต้ตึ ก
เรียน พบว่าทุกอย่างมืดตื๋อ แต่ยังดีว่าพี่ยามใจดี เปิดไฟให้พวกเรานิดนึง ผมกับกอล์ฟเลยหยุดยืนคุยกันใต้ดวงไฟนั้น "กูเข้าใจแล้วว่ะ ว่า
พอจะพูดแม่งพูดไม่ออกจริง ๆ" กอล์ฟเป็นคนเริ่มบทสนทนานี้ก่อน แน่นอนว่าผมถอนหายใจกลับอย่างหนักใจไม่แพ้กัน "ก็เออดิ่... กูก็พูดไม่
ออก ไม่อยากพูดด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นยุให้มันสองคนเลิกกันขึ้นมา" "กูว่าวันนี้เอมต้องมากันไอ้ปุณณ์ไม่ให้คุยกะมึงแน่เลยว่ะ กูเห็นพอไอ้
ปุณณ์จะเดินมาหามึง เอมแม่งเรียกตลอด" แต่เรื่องนี้ผมไม่ได้สังเกตว่ะ เพราะคัดวงอยู่ (จริง ๆ แล้วแอบงีบหลับ) แต่พอจะเข้าใจว่าเป็ นใคร
เขาก็คงใช้วิธีนี้... แล้วไม่คิดเลยหรือไงว่าผมมีเวลาอยู่กับไอ้ปุณณ์ที่โรงเรียนทั้งวัน นึกอยากจะเดินไปพูดตอนไหนก็พูดได้ แต่ที่เ อมถ่อมาถึง
โรงเรียนผมตอนเย็นแล้วปุณณ์ยังไม่รู้เรื่องอีกเนี่ย ไม่ใช่หลักฐานหรือไงว่าผม
เปล่าเป็นคนขี้ฟ้อง.. "กูไม่ฟ้องไอ้ปุณณ์หรอก... กูพูดไม่ออก..." "เออ...... งั้นเอาไงดี จะปล่อยไปเหรอวะ.." กอล์ฟถามด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ
ผมดูก็รู้ว่ามันเป็นห่วงไอ้ปุณณ์ไม่แพ้กัน นั่นเป็นสิ่งหนึ่งในตัวกอล์ฟที่ผมนับถือมาก เพราะถึงแม้ในสายตาอาจารย์คนอื่น มันจะเป็นลู กศิษย์
โคตรเหี้ยยังไง แต่สําหรับพวกผม มันคือเพื่อนที่ดีติดอันดับต้น ๆ เสมอ ดูขนาดมันกับปุณณ์ไม่สนิทอะไรกัน มันยังแคร์ไอ้ปุณณ์ขนาดนั้น
"กูไม่อยากปล่อย.... เอาไว้มีโอกาสเหมาะ ๆ กูจะลองแย๊บดู.." ผมรับปากพลางตบบ่ากอล์ฟปุ ๆ เห็นมันพยักหน้ารับกลับก่อนจะควักแผ่นซีดี
ในกระเป๋ากางเกงออกมา "เอางี้... มึงเอานี่ไป เผื่ออยากได้หลักฐาน กูไปตามเก็บจากเพื่อนคนอื่น รวมได้ 4 ไฟล์" "ไอ้เชี่ยยยยยยยยยย
4 ไฟล์เลยเหรอวะ!!!!!?" ดูแค่อันเดียวก็โมโหจะบ้าแล้ว ยังเสือกมีเพิ่มมาอีก 3 ผมคงต้องมัดตัวเองไว้นิ่ง ๆ ซักพักไม่ให้ไปซัดหน้าเอมซะแล้ว
"เออ.... เด็ดสัด 4 คลิป 4 คน เก๋าปะล่ะ... จริง ๆ มีเยอะกว่านี้อีก แต่กูกลัวไอ้ปุณณ์ช็อคก่อน เอาไปแค่นี้พอ" "แค่นี้ก็ช็อคแล้ว... กูคงให้มัน
ดูอันเดียวอะ" ผมบ่นเสียงอ่อยพลางยื่นมือรับซีดีเชี่ย ๆ แผ่นนั้นมาไว้กับตัวเอง กอล์ฟถอนหายใจยาว "ตามใจมึงหวะ เอาไปก่อนแล้วกั น"
มันมองหน้าผมนิ่งก่อนจะตบบ่าส่งกําลังใจมาให้อีกสองสามที "สู้ ๆ นะมึง งั้นกูกลับก่อน ป๊ารอบ่นแล้วป่านนี้" "ให้กูออกไปส่งปะ" "ไม่
เป็นไร มึงกลับไปซ่อมเบาะเหอะ ไม่ได้กลับบ้านแน่ คืนนี้ หึหึ" อ้าวไอ้ห่านี่หนีกลับก่อนแล้วยังให้พร
กูอีก ผมยกนิ้วกลางใส่มันที่ เดินลงจากตึกไปแล้ว เหลือก็แต่ผมที่เก็บแผ่นซีดีลงกระเป๋ากางเกงพลางเดินเข้าไปในห้องชมรมใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เป็นไอ้โอมกับน้อง ๆ ตั้งท่าจะกลับบ้านกัน "เฮ้ย เสร็จแล้วเหรอวะ!?" ผมรีบท้วงทันที "เออดิ่ รีบแทบแย่ ดึกกว่านี้กูคงนอนโรงเรียน
ดีกว่าอะ" เสียงไอ้โอมบ่นพลางท้าวสะเอวมองพวกน้องม.ต้นเหมือนจะเร่งให้พวกมันรีบเก็บของไว ๆ ผมมองมันตาละห้อย "จะกลับแล้วเหรอ
วะ?" อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยก็ไม่ได้นะสาด "กลับดิ่... โทษทีว่ะ แม่กูบ่น แล้วกูต้องเอาไอ้มํ่ากลับบ้านด้วย เดี๋ยวอาม่ามันด่ากูเป็น ภาษาจีนอีก
กูฟังไม่รู้เรื่อง" ไอ้โอมว่าพลางหันไปตบหัวน้องชายแถวบ้านตัวจํ้ามํ่าของมันที่ยืนฉีกยิ้มโชว์ฟันให้ผมดูครบสามสิบสองซี่อยู่ เฮ้อ... เป็นแบบนี้
จะให้ทําไงได้ "เออ ๆ ส่งน้องคนอื่นขึ้นรถดี ๆ ฝากด้วยอะมึง" ผมฝากฝังแค่นั้นก่อนมันจะกลายร่างเป็นหัวหน้าทัวร์ลูกเป็ด พาเด็ก ๆ ใน
ชมรมเดินตามต้อย ๆๆ กันออกไป หึหึ... เห็นไอ้โอมเพี้ยน ๆ อย่างนี้ แต่รุ่นน้องรักมันกันโคตร ๆ ครับ ไม่รู้ทําไม สงสัยมันกวนตีนอย่างมีเสน่ห์
สุดท้ายสรุปว่า.. ตอนนี้เหลือผมคนเดียวในห้องชมรม กับนาฬิกาแขวนบนผนังที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่ม ชวนให้ผมเริ่มคิดว่า หรือกูจ ะนอนที่นี่
เลยดี.. เบาะก็ยังซ่อมไม่เสร็จ เฮ้อ.. ชีวิตกู.. "โน่!! รีบซ่อมเบาะเร็ว จะได้กลับบ้าน!" เฮ้ยยยยยยยยยยย ผีหลอก!? เสียงใครวะ!!!!!!? ผม
เหลือกตาหันไปมองต้นเสียงอย่างประหลาดใจ พบว่าคือไอ้เอิ้นที่ยังไม่กลับ แถมถืออุปกรณ์เย็บเบาะมาให้ผมอีก "มึงยัง ไม่กลับอีก!?" ผมส่ง
เสียงถามอย่างตกใจ "กลับยังไงล่ะ ไม่งั้นมึงจะอยู่คนเดียวรึไง" มันพูดยิ้ม ๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมโคตรรรดีใจ ที่มีคนอยู่เป็นเพื่อน "ขอบใจว่ะ!"
*** เวลาผ่านไปพักหนึ่งที่ผมยังคงขมีขมันกับการเย็บรอยขาดบนเบาะหนังสีฟ้าอ่อนอยู่... ก็เชี่ยแม่ งทําท่าจะเสร็จ ๆ แต่ไม่เสือกเสร็จซัก
ที สงสัยไอ้ที่เย็บผิดเย็บถูกเป็นเพราะผมเริ่มง่วงจนตาเบลอไปหมดแล้ว เสียงพลิกหนังสือการ์ตูนดังขึ้นข้าง ๆ ผม จากไอ้เอิ้นที่ค อยอยู่ใกล้
ๆ ตอนแรกมันก็ว่าจะช่วยผมเย็บหรอก แต่หลังจากที่ลองดูก็พบสัจธรรมว่าสกิลมันตํ่าต้อยนัก แม่งแทบจะเย็บตัวเองติดกับเบาะอยู่มะรอมมะ
ร่อแล้วเลยใช้งานไม่ลง เอาเป็นว่ามึงนั่งเป็นเพื่อนกูเฉย ๆ ก็พอแล้วกัน "โน่นี่เก่งเนอะ ซ่อมโซฟาเองก็เป็นด้วย จ้างไปซ่อมที่บ้ านมั่งได้ปะ"
เออ อ่านการ์ตูนดี ๆ ไม่ชอบ เสือกกวนตีนกูอีก ผมแค่นหัวเราะเหอะ ๆ ใส่ไอ้เอิ้นทั้ งที่ไม่ได้หันไปมองหน้ามัน "ได้ แต่ซุปเปอร์สตาร์อย่าง
กูน่ะค่าตัวแพงงง" "สําหรับโน่ เท่าไหร่ผมก็จ่ายไหว" หืม!!!???? พอได้ยินคํานั้นแล้วก็ต้องหันไปมองหน้ามันทันที เห็นมันยิ้มแปล้อยู่ แต่กูจะ
อ้วกกกกกกกกก ฟังดูเหมือนตัวเองเป็นกะหรี่ชอบกล "มึงอย่าเล่ นงี้ได้ปะ กูตกใจหมด ตอนร้องเพลงก็ทีนึงแล้ว" จริง ๆ ผมอยากบอกมัน
ด้วยซํ้าว่า กูคิดลึกนะไอ้สาดด แต่ก็นั่นแหละ... ไม่อยากพูดอะไรมาก ได้ยินเสียงไอ้เอิ้นหัวเราะหึหึดังมา ก่อนที่มันจะท้าวคางกั บเบาะแล้ว
ดูผมเย็บต่อ.. เออดี ตกลงมึงไม่อ่านการ์ตูนแล้วใช่มั้ย มานั่ งจ้องอยู่ได้เนี่ย มันเกร็งนะโว้ยยย "มองเชี่ยไรวะ อ่านการ์ตูนไปเหอะมึง กูเกร็ง"
แน่นอนว่าไอ้เอิ้นหัวเราะตอบ แต่ไม่ยักทําตามคําบอกผมซักคํา มันยังคงนั่งมองผมเย็บเบาะต่อจนผมสอยเข็มเข้ากับมือตัวเองจนได้ โอ๊ยยยย!!
ไอ้สัดเอ๊ยยยยยย กูบอกแล้วว่าอย่ามอง!! แม่งเจ็บชิบหาย
"อูยยยยยยยยยยยยยยยยย" "เฮ้ย! ขอโทษ เกร็งจริงเหรอวะ!" ดูมันยังมีหน้ามาถาม.. มึงลองเย็บผ้าแล้วมีคนมาจ้องหน้ามึงดูมั่งมั้ยล่ะ
เชี่ยเอิ้น แต่มันไม่ให้เวลาผมด่า เมื่อสองมือมันตระกองมือข้างที่เลือดซิบของผมไว้พลางก้มมาดูใกล้ ๆ "เชี่ย อย่าจั บแรง กูปวด" ผมบ่น
เพราะรู้สึกว่ายิ่งเห็นเลือดก็ยิ่งปวด ไม่รู้เจ็บหรือกลัวมากกว่ากัน โฮ ๆๆ... ไส้มันจะทะลักออกมาทางรูนี้มั้ยยยยยยยย แต่ระหว่างที่ผมกําลัง
โวยวายอยู่นั้นเอง (เข็มทิ่มกับโดนแทง ผมร้องเท่ากันครับ) เอิ้นก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดตรงมือผม "โดนเข็มทิ่ม ร้องอย่างกับตกลูก
เลยนะมึง เว่อร์จริง" มันด่าพลางอุดเลือดบนนิ้วมือแล้วเป่าพ้วงให้เหมือนปลอบใจเด็ก "โอมเพี้ยงง ไม่เจ็บแล้วนะ" "มึงอย่ามา... กูไม่ใช่เด็ก
ปัญญาอ่อนนะ สาด" "อ้าว ก็กูเห็นมึงร้องโวยวายเหมือนเด็กปัญญาอ่อนนี่หว่า" เอ๊ะไอ้ห่านี่... เดี๋ยวบั๊ดตัดสินให้แพ้ตั้งแต่รอบแรกเลย โทษ
ฐานมาว่ากูปัญญาอ่อน ผมเหล่มองไอ้เอิ้นตาขวาง ซึ่งดูเหมือนมันจะรู้ตัว "เฮ้ยยย ด่าแค่นี้อย่าขี้โกงปรับวงกูแพ้อะ" "กูกําลั งคิดอยู่พอดี
....." หึหึหึ "ไอ้สาดดดดดดด โอ๋ ๆๆ อย่าถือสาผู้น้อยเลยนะครับคุณโน่ ผู้ ฉลาด เพียบพร้อม ทั้งทรัพย์ รูปกาย วาจา ใจ และสติปัญญา"
ถุ๊ย!!! ประชดขนาดนี้มึงด่ากูเหี้ยเลยยังดีซะกว่า ผมที่กําลังจะเย็บเบาะต่อจึงบังเกิดความหมั่นไส้ไอ้เอิ้นคนจริงใจชิบหาย(ประชด) ต้ องหันไป
พร้อมอาวุธในมือ(เข็ม) เพื่อประหารมันทันที! ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆ เป็นรูทั้งตั วแน่มึงวันนี้!! ผมไม่ได้ซาดิสถ์นะครับ แต่ถ้าวันนี้ไม่ได้เอาเลือดไอ้
เอิ้นออกก็อย่าเรียกผมท่านโน่!! หึหึ เชี่ยเอิ้น มึงอย่าหวังจะรอด...........
ผมไล่เอาเข็มจิ้มแขนมันไม่ยั้งขณะที่ผู้ถูกกระทําเบี่ยงหลบเป็นพัลวันพลางหัวเราะลั่นสลับกับโวยวาย ฮ่า ๆๆๆ มึ งทําเป็นมาด่าแต่กู ผมจึง
สวนมันกลับ "เชี่ยแม่ง เข็มทิ่มแค่นี้ ร้องอย่างกับตกลูก เว่อร์จริง" คุ้น ๆ ปะครับคํานี้ หึ... มันจะได้รู้ซะบ้างว่าเวลาโดนเข็มน่ ะ เจ็บยังไง!
ไอ้เอิ้นดิ้นพราด ๆ แต่ไม่วายเถียง "ก็นี่มันไม่เหมือนกันนี่หว่าาา ฮ่า ๆๆๆ โอ๊ย ๆๆ หยู๊ดดดดดด กูไม่ไหวแล้วววววว โน่ ๆๆๆ กูขอโทษ ๆๆๆ ไม่
ว่าแล้ว ๆๆๆ นะ ๆๆๆ ปล่อยกูเหออออออออออออ โอ๊ยยย ฮ่า ๆๆๆ" มันยังคงโวยวายสลับกับหัวเราะเสียงดังลั่นห้องจนผมเริ่มสนุก ตอนนี้
เบาะเบอะเลยไม่เป็นอันเย็บกันแล้ว เพราะมันเสือกคว้าเข็มสํารองมาได้อันนึงและพยายามจะทิ่มผมกลั บอยู่ เราเลยพัลวันชุลมุนกันใหญ่
ไอ้เชี่ยเอิ้นแม่งซาดิสถ์ชิบหายยยยยยยยยยยย โอ๊ยยย ฮ่า ๆๆ ช่วยจิ้มตรงพุงกูที ลมจะได้ออก ซิกซ์แพ็คจะได้งอกบ้าง กร๊ากกกก แต่
ขณะที่เรากําลังนัวเนียแย่งกันเอาเข็มทิ่มแขนทิ่มพุงของอีกฝ่ายนั่นเอง......... อยู่ดี ๆ ประตูห้องชมรมก็ถูกเปิดออกดังผลัวะ! โดยไม่มีเสียงเคาะ
เตือนล่วงหน้า ผมและเอิ้นผวาวาบ (นึกว่าผี) หันไปมองประตูนั้นทันทีและพบว่าสิ่งที่อยู่หน้าประตูคือ ร่างสูงของปุณณ์ ภูมิพั ฒน์... ผู้
ปรากฏตัวอีกครั้งตอนห้าทุ่มครึ่ง พร้อมใบหน้าที่บูดบึ้งอย่างประหลาด..

33rd CHAOS
"ยังไม่เสร็จอีกเหรอ.. งั้นผมออกไปรอข้างนอกนะ" นั่นคือคําพูดของปุณณ์เมื่อห้านาทีก่อน.. ก่อนที่มันจะเดินหายออกไปโดยไม่แม้จะก้าวเท้า
เข้ามาในห้องชมรมแม้แต่ก้าวเดียว.. ผมกับเอิ้นมองตากันปริบ ๆ พลางสํานึกได้ว่าควรเลิกเล่นแกล้งกันแล้วตั้งใจซ่อมเบาะให้เสร็ จอย่าง
จริงจัง ก่อนนาฬิกาจะบอกเวลาดึกมากไปกว่านี้ "ปุณณ์มันกลับมาทําไมวะ" เสียงทุ้มของเอิ้นถามขึ้นอย่างสงสัยระหว่างที่ผมกําลังขมี ขมัน
ขยันเย็บเบาะอยู่
.. อืมมมม... จะว่าไปผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าปุณณ์จะกลับมารับตามที่มันบอกจริง ๆ "ไม่รู้ดิ เห็นมั นบอกอยู่ว่าจะกลับมา แต่ไม่นึก
ว่าแม่งเอาจริง" ผมบ่นขณะที่มือยังคงสอยด้ายไปด้วย ไม่ได้เงยมองหน้าเอิ้นด้วยซํ้าว่ามันกําลังทําหน้าแบบไหนตอนพูดคําว่า "เออ เดี๋ยวกู
ไปตามมันมาข้างในดีกว่า ข้างนอกคงยุงกัด" อืม.. ถือเป็นความคิดที่ดี ผมเห็นด้วยกับเอิ้นในใจเงียบ ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะได้ยินเสียงมัน
เปิดประตูเดินออกไปนอกห้องแล้ว ว่าแต่ใจคอมึงจะปล่อยกูทิ้งไว้ในห้องคนเดียวเหรอว๊าาาาาาาาาาาาา ใจร้ายเกินไปแล้วนะมึงงงงงงงง
เมื่อเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้นผมจึงต้องรีบสอยด้ายขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เพราะพอไอ้เอิ้นไม่อยู่ ห้องชมรมทั้งห้องก็ดูเงียบสงัดขึ้นทันตา ผม
เหลือบมองไปข้าง ๆ อย่างโคตรผวา... โฮ...... ตั้งแต่อยู่ชมรมมาไม่เคยเกลียดเปียโนตัวนั้นขนาดนี้มาก่อน เพราะพอต้องนั่งจ้องกับมันเงียบ ๆ
ในความมืดแล้วช่าง....... รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในโลเกชั่นหนังผีฝรั่งยังไงยังงั้น ดังนั้นรีบเย็บรีบกลับบ้านดีกว่า!! ผมปลอบใจตัวเองว่าเหลือ
อีกนิดเดียวพลางหรี่ตามองรอยขาดของเบาะที่โหว่เป็นช่องอีกเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ก่อนจะเร่งมือสอยไม่ยั้ง ณ เวลานี้ ไม่เอาความสวยงาม
แล้วโว๊ยยย (เคยมีเหรอ?) กูอยากกลับบ้านนนนนนนนน ผมนั่งสอยนั่งเนาด้ายขึ้นลงอย่างรวดเร็วพร้อมคิดว่าเชี่ยเอิ้นทําไมไปนานจัง ไหน
บอกจะชวนไอ้ปุณณ์เข้ามานั่งไง นี่ไม่ใช่พวกมันพากันแพ็คคู่หนีกลับบ้านไปแล้วนะ!! แต่พบว่ายิ่งคิดก็ยิ่งเสียเวลา ผมเลยตัดสินใจซ่อม เบาะ
ตรงหน้าต่อดีกว่า ส่วนเรื่องมันสองคนหายไปไหนค่อยว่ากันทีหลัง ใช้ความพยายามเพียงไม่นานผมก็จัดการซ่อมโซฟาตัวยาวตรงหน้า
สําเร็จ แม้ฝีมือจะไม่เนี้ยบเหมือนมือ
อาชีพเขาทํากัน (ผมแค่สอยด้ายขึ้นลงธรรมดาพอให้มันติดกันว่ะ) แต่ก็ดีกว่าจ้างคนอื่นซ่อม เพราะชมรมเรายังมีเรื่องให้ใช้ตังค์อีกมาก โข
ผมพิศมองผลงานตัวเองที่ออกมาค่อ นข้างน่าพอใจ ก่อนจะจัดการเก็บสัมภาระเข็มและด้ายลงกล่องอุปกรณ์เหมือนเดิม พลางกวาดสายตา
มองไปรอบ ๆ ห้อง พบว่านอกจากตัวผมเองที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ก็มีแค่...... เครื่องดนตรี โน๊ตเพลง และ.. ข้าวของที่พวกเด็ก ๆ ฝากห้อง ไว้
ไหนวะไอ้เอิ้นที่บอกจะพาไอ้ปุณณ์เข้ามา T____T มึงหลอกกู!!! ผมคิดอย่างแค้น ๆ ผสมกลัว ๆ พลางกระแทกกระทั้นเก็บของเข้าที่พลาง
รีบจัดแจงคว้ากระเป๋านักเรียนมาสะพาย ก่อนจะเปิดตูดแน่บออกจากห้องชมรมสยองโดยด่วน แต่ขณะที่ผมกําลังก้ม ๆ เงย ๆ ใส่รองเท้า
อยู่นั้นเอง หัวใจก็แทบหยุดเต้นเมื่อมีเงาประหลาดก้อนหนึ่งตัดแสงอยู่บริเวณทางเดินใต้ตึกฟ. ซึ่งแน่นอนว่าเวลาเที่ยงคืนกว่าอย่างนี้จะมีใคร
บ้ามาเดินเล่นกัน ซํ้าร้ายผมยังรู้สึกว่าเงานั้นใกล้เข้ามา.. ชิบหายแล้วแม่งงงงงงงงงงงงงงงงง! อาป๊าอาม๊าช่วยโน่ด้วย!!!! โน่ขอโทษที่เคย
ดื้อ เคยซน ชอบกลับบ้านดึก ขับมอไซค์ไปไหนมาไหนตอนกลางคืนบ่อย ๆ ค้างบ้านเพื่อนก็ไม่ค่อยโทรบอก แต่หลังจากนี้โน่จะกลับตัวกลับใจ
เป็นเด็กดี ไม่ทําให้อาป๊าบ่นแล้ว!!! แต่อาป๊าต้องช่วยอั๊วะก่อนนนนนนนนนน T[]T! ระหว่างที่ผมกําลังยืนสติแตกตัวสั่นเอาหัวโขกกําแพง
อยู่นั้นเอง ทันใดนั้นพลันมีอะไรอุ่น ๆ มาสัมผัสบ่าผมที่สั่นอยู่แล้วให้ยิ่งสั่นขึ้นไปอีกเสียก่อน! โฮ............. ซี้แหง๋แก๋แล้วกู!!!
"เชี่ยโน่!!!!!!! ยืนตัวสั่นทําห่าอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่กลับบ้านรึไง!!!" อ้าวไอ้สัด.. เสียงแบบนี้คุ้น ๆ... ผมค่อย ๆ หันหน้ากลับไปมอ งต้นเสียงจาก
ด้านหลัง พบว่าเป็นไอ้เอิ้นกับไอ้ปุณณ์กําลังยืนหัวเราะตัวขดตัวงอกันอยู่ เชี่ยยยยยยยยยยย! "ไอ้สัด!! กูนึกว่าพวกมึงกลับไปแล้ว!!! กลัว
โคตรพ่อ!!!!" "เชี่ยแม่งกลัวผี โดนล้อแน่มึงพรุ่งนี้" ไอ้เอิ้นแซวผมต่อไม่พอยังชี้หน้าหัวเราะเยาะอีก ฮือ ๆๆ มึงนะมึง เป็นมึง ไม่กลัวรึไง!
"ก็มึงแหละเชี่ยเอิ้น! ไหนบอกจะไปตามไอ้ปุณณ์ไง แม่งเสือกหายเงียบ กูก็นึกว่ากลับสิวะ" ผมพูดต่อพร้อมปัดนิ้วมือที่ยื่นมาชี้ล้อผมอ ยู่
ตรงหน้าไปด้วย พลางพยายามใส่รองเท้านักเรียนต่อให้เสร็จ ได้ยินเสียงหัวเราะตํ่า ๆ ของปุณณ์ตามมาอีก "คุยกันเพลินไปหน่อยเนอะ" ไอ้
เลขาสภาหน้าหล่อหันไปพยักเพยิดกับประธานเชียร์ ก่อนที่ผมจะเห็นเอิ้นยิ้มกว้างโชว์ลักยิ้มสวย ขณะที่พวกเราเริ่มออกเดินไปยังประตูหน้ า
โรงเรียนกัน จนเมื่อถึงถนนหน้าโรงเรียนแล้วเอิ้นจึงหันกลับมาถามพวกผม "เออ... แล้วพวกมึงกลับไง ปุณณ์มึงเอาโน่กลับใช่ปะ" "อืม"
ผมมองหน้าเอิ้นอย่างใช้ความคิด เมื่อนึกออกว่าบ้านมันอยู่คนละทางกับพวกเรา "แล้วมึงกลับไงอะเอิ้น" "เดี๋ยวกูโบกแท็กซี่กลับเองนี่แหละ
เออ กลับดี ๆ นะพวกมึง" มันตอบพลางยกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งที่ขับผ่านมาพอดี ผมจึงได้แต่โบกมือลาขณะรถกําลังเคลื่อนตัวออกไป จนใน
ที่สุดเหลือเพียงผมกับปุณณ์ยังยืนรอแท็กซี่อยู่เท่านั้น
ผมเหลือบมองใบหน้าคมที่ฉายแววเพลียของคนข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง "ไม่เหนื่อยเหรอวะ ย้อนกลับไปกลับมานะมึงอะ" เพราะเห็นหน้า
แม่งเหนื่อยขนาดนั้น เลยกลัวว่าเดี๋ยวคุณชายจะไม่สบายจนต้องนอนซมอีก ผมคงโดนกล่าวหาว่าพาลูกเขามาทรมาน "ไม่เป็นไร จะปล่อย
มึงกลับคนเดียวได้ไงล่ะ" แต่.. อื้อหือออออออ ดูมันทําตัวพระเอกดิ่! นั่น... มาทําตานํ้าเชื่อมใส่กูอีก ผมถอนหายใจแรง "กูก็กลั บเองคน
เดียวตลอดเหอะ มึงอย่ามาเว่อร์" แต่ก็ได้แค่บ่นเท่านั้น เพราะหลังจากปุณณ์แค่นหัวเราะเสียงเบา รถแท็กซี่คันสีฟ้าก็แล่นผ่านมาให้พวกเราได้
โบกกัน "เอกมัยครับพี่..." ปุณณ์ส่งเสียงบอกแท็กซี่ว่าอย่างนัน้ หมายความว่ามันจะไปส่งผม เพราะบ้านมันอยู่ทองหล่อ ได้ยินเสียงพี่แท็กซี่
ตอบรับงึมงํา ก่อนปุณณ์จะเปิดประตูกว้าง เคลียร์ทางให้ผมเข้าไปนั่งก่อน..... อืมม ทําอย่างกับกูเป็นสาวน้อยแลยแฮะ แต่ทั้งง่วงทั้งเพลียแบบ
นี้ขี้เกียจคิดอะไร งั้นกูขอปีนขึ้นรถก่อนเลยแล้วกัน เสียงกดมิเตอร์ดังท่ามกลางเพลงจากคลื่นวิทยุที่พี่คนขับเปิดคลอไว้เบา ๆ ผมเงี่ยหูฟัง
ท่วงทํานองเนิบช้าเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองง่วงขึ้นมาอย่างประหลาด งั้นขอหลับซักงีบก่อนแล้วกัน ไหน ๆ ปุณณ์ก็รู้ทางไปบ้านผมแล้ว
คงไม่มีอะไรต้องคอยดูอีก.. เมื่อสมองประมวลผลได้ดังนั้นหนังตาผมก็จัดแจงปิดตัวเองทันที แต่ระหว่างที่กําลังจะหลับแหล่ไม่หลับ แหล่
อยู่นั้นเอง เสียงทุ้ม ที่ยังฟั งดูสดใสอยู่ของปุณ ณ์ก็ดัง ขัดขึ้นมาก่อน "วัน นี้เหนื่อยรึเปล่า" "อืม..." แต่ คนง่ว งอย่า งผมก็มี แรงตอบแค่ นี้
ปุณณ์ยังคงถามต่อไป "วงกูเล่นดีมะ พอไหวปะ"
"อืม..." ผมก็ยังมีแรงตอบกลับไปแค่นี้อยู่ดี "มึงหิวรึเปล่า จะให้แวะกินข้าวที่ไหนมั้ย" อืม.. ซอกแซกจังวะ.. ถึงตรงนี้ผมส่ายหัว พร้อม
กับความคิดว่ากูง่วงจะตายห่า.. ขณะที่ไอ้ปุณณ์ดูจะยังไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ "โจ๊กทองหล่อเอาป่าว" "ไม่........" มึงเข้าใจไหมว่ากูง่วงนอน
เสียงปุณณ์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่มันจะพูดขึ้นมาอีกว่า "โน่... มึงโกรธกูเหรอ.." อะไรนะ!!? ผมรู้สึกตื่นขึ้นมานิดหน่อย พร้อมกับคิดในใจว่า
กูจะโกรธมึงเรื่องอะไร นึกยังไงก็นึกไม่เห็นออก เชี่ยแม่งไร้สาระว่ะ อีกอย่างตอนนี้ผมก็ง่วงเกินกว่าจะมานั่งคิดอะไรแล้ว "ปล่าวว..." "เฮ้ย...
กูขอโทษ.. เรื่องเอม..." ขอโทษ? ขอโทษอะไรอีกกก.. เรื่องเอม? เรื่องเอมทําไม...? ผมขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ตอบอะไร เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่อง
สําคัญเท่าไหร่ แต่ดูท่าทางปุณณ์เข้าใจผิดยกใหญ่ มันละลํ่าละลักแก้ตัวยาวเป็นหางว่าว "เขาเป็นพวกถ้าจะมาก็ต้องมาให้ได้ ถึงกูป ฏิเสธไป
เขาก็มาอยู่ดี มึงเข้าใจใช่ป่าวโน่" "อืม...." อ๋อ.. เรื่องนี้นี่เอง... ผมไม่ได้คิดอะไร แล้วก็เข้าใจจริง ๆ "โน่...... อย่าทําแบบนี้สิครับ..." แต่ถ้า
จะโกรธก็โกรธตอนนี้แหละ! "อะไร..." ผมเริ่มมีนํ้าโหแล้ว...
"กูไปส่งเอมเพราะจําเป็นต้องไป แต่กับมึง กูมาหาเพราะกูอยากมานะโน่... อย่าโกรธกูแบบนี้ สิ" ตอนนี้ผมคิดว่าไอ้เลขาสภาฯตรงหน้า
ท่าทางจะเละเทะใหญ่ ก็บอกว่าไม่คิดอะไรก็คือไม่คิดอะไรสิวะ!! ถึงตรงนี้ความอดทนผมคงสิ้นสุด จนต้องลืมตาโพลงขึ้นมามองหน้ามัน
กะทันหัน ปากผมไปไวเท่าความคิด "กูไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้ว่าอะไรด้วย มึงจะเอาเอมมา จะไปส่งเอมถึ งไหนก็เรื่องของมึง เข้าใจปะ กู
ไม่ได้คิดอะไรเลย!" เออ!... หวังว่าหลังจากฟังคํานี้มันคงเข้าใจแล้วปล่อยผมไปนอนสักที ผมบอกมันเสร็จก็คิด(เอาเอง)ว่าปุณณ์คงเคลียร์ แล้ว
จึงได้หลับตาลงหวังจะนอนพักต่อ แต่ยังไม่ทันงีบหลับ เสียงเรียบ ๆ ของปุณณ์ก็ดังขึ้นก่อน เป็นคํ าว่า.. "เออ... กูมันคิดไปเองว่ามึงจะ
สนใจ... แต่กูลืมไปว่าสําหรับมึงกูไม่ใช่อะไรเลย.... กูมันไม่ดีเท่าไอ้เอิ้นหรอก" อ้าววว ไอ้ห่านี่นอกเรื่อง... ผมฟังประโยคสุดท้า ยแล้วก็ต้องลืมตา
ขึ้นมาขมวดคิ้วมองมันที่กําลังทําสีหน้าแปลก ๆ "มึงว่าไงนะ?" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้รับคําตอบอะไรดี รถแท็กซี่ก็มาจอดเทียบอยู่หน้ารั้ว
บ้านผมแล้ว ปุณณ์หยิบเป้โรงเรียนส่งให้ผม ก่อนจะพูดคําว่า "ฝันดีครับโน่" ด้วยสีหน้าตรงข้ามกับคําพูดโดยสิ้นเชิง ผมทั้งง่ วงและงงไป
หมดแล้ว นี่ผมทําอะไรผิดรึเปล่าวะ? ช่างมันเหอะ ง่วงโคตร ขอตัวขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า ZZzz ***
อืม.. หลังจากที่ได้นอนเต็มอิ่มไปหกชั่วโมง ร่างกายของผมก็เริ่มกลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม หึหึหึ.... ตกลงเมื่อคืนผมกลับบ้า นยังไงวะ
จําไม่ค่อยได้ นึกออกลาง ๆ ว่าไอ้ปุณณ์นั่งแท็กซี่มาส่ง พอถึงบ้านผมก็เดินสะโหลสะเหลสะบัดถุงเท้ารองเท้า ขึ้นห้องแล้วนอนเลย (นํ้าก็ไม่
อาบ) โสโครกขั้นสุดดดดดดดดดด แต่ได้นอนไปแล้วก็สบายอารมณ์ขึ้นล่ะนะ แถมยังดีใจอีกต่างหากที่เรื่องคัดวงผ่านไปด้วยดี ทําเอาโล่ งใจ
ได้เปราะใหญ่ ผมคิดพลางเดินยิ้มแปล้หน้าตาชื่นบานข้าโรงเรียนแต่เช้า แต่ในระหว่างที่กําลังเดินผิวปากอารมณ์ดีอยู่นั้นเอง สายตาพลัน
เหลื อบเห็ น ปุ ณ ณ์กํา ลั ง ทํา หน้ า ที่เลขาสภาฯ เดิ น ถือแฟ้ ม เอกสารไปมาบนตึกอํ า นวยการเสี ย ก่อน... แน่ น อนว่า ของแบบนี้ ไ ม่ต้ องผ่ า น
กระบวนการทางความคิดผมจัดการก็โบกมือทักมันเป็นอัตโนมัติทันที แต่.................... มันไม่โบกกลับ.. เพียงแค่หยุดมองหน้าผมแว่บหนึ่ง
แล้วถือแฟ้มหายเข้าห้องไปเท่านั้น.. เชี่ยไรของมันวะ? ผมยืนอึ้งขณะที่น้องมาวิน (เพื่อนสนิทไอ้เป้อ เด็กในชมรม) เดินผ่านมายกมือ
ไหว้ผมอย่างนอบน้อม.. อืมม ไอ้ปุณณ์มันไม่เห็นกูหรือผีเข้าอะไรอีก ?.. แต่ก็ช่างเหอะ... ผมหันไปรับไหว้น้องวินแล้วพากันเดินขึ้นตึกเรียน
พร้อมกันอย่างสงสัยอยู่ในที แล้วหลังจากนั้นเรื่องก็ดําเนินไปในทางคุ้น ๆ... นั่นคือ ไอ้ปุณณ์เมินผมอย่างเห็นได้ชัด สังเกตไ ด้จากที่ผม
ตะหงิด ๆ ใจแต่เช้าว่ามันไม่ยอมโบกมือตอบผมกลับเหมือนทุกที แล้วยังก่อนเข้า ห้องเรียนอีกที่มันเดินคอแข็งหน้าตั้งผ่านผมไปโดยไม่แม้แต่
จะชายตาแลสักนิด!? อะไรของมันวะ!!!!! หรือสายตามึงสั้นกะทันหัน ??? แต่ช่างเถอะ.. คราวนี้ผมถึงจะรู้ตัวเองว่าถูกเมินแต่ไม่ค่อยรู้สึกเศร้า
อะไรเท่าไหร่ คงเพราะยังงง ๆ ปนสงสัยมากกว่า.... ตกลงกูไปทําไรให้วะ!!!
ผมตัดสินใจพิสูจน์ความผิดปกติของมันอีกครั้งตอนยื่นโครงการ คราวนี้ผมอุตส่าห์แบกหน้าไปถึงห้องสภาฯเพื่อยื่นโครงการด้วยตัวเอง
(ปกติจะใช้รุ่นน้องเป็นส่วนมาก) เพราะอยากรู้ว่าไอ้ห่านี่มันเมินผมจริงหรือเปล่า (โดยไม่ลืมพกไอ้โอมไปด้วย กันเหนียว) แต่พอเราสองคนถ่อ
ไปถึง ก็เจอมันนั่งพิมพ์งานก๊อกแก๊กอยู่ สายตางี้.. จ้องคอมเขม็งไม่มองหน้าผม เพียงแค่ส่งเสียงเย็น ๆ กลับมาว่า "วางเอกสารไว้บนโต๊ ะก็ได้"
อะไรของมึง!? หน็อย........ คิดว่าง้อรึไงวะะ! ผมหงุดหงิดออกมาจากห้องสภาฯเพราะเริ่มรู้แล้วว่ามันเมินผมอย่างเห็น ได้ชัด จนขนาดไอ้
โอมที่มาด้วยกันยังต้องออกปากพูดเลยว่า "ทะเลาะเชี่ยไรกันอีกผัวเมียคู่นี้ มึงรีบ ๆ ไปง้อผัวหรือเมียมึงไป กูรําคาญ" อ้าวววว แล้ว ทําไมกูต้อง
เป็นฝ่ายง้อด้วยวะ!! กูผิดตรงไหนเนี่ย!!!!!!!! ครึ่งวันเช้าผ่านไปอย่างเซ็ง เพราะไอ้เชี่ยนั่นเล่นปั้นหน้าเหวี่ยงใส่ผมตลอด.. เดินเจอกันทีไรเห็น
พี่แกเอาแต่ค้อนตาควํ่า (เป็นเชี่ยไรวะ!) จนผมนึกไม่ออกแล้วว่าตัวเองเผลอไปเหยียบหางมันตอนไหน? ตัวผมเองพอเห็นมันเหวี่ยงใส่ก็ชักจะ
เหวี่ยงกลับเหมือนกันมั่ง แต่เหวี่ยงตัวต้นเหตุไม่ได้เลยเบนเข็มไปเหวี่ยงทุกคนที่ขวางหน้าแทน วันนี้ใครทําอะไรขัดใจเป็นต้องเจอผมโวยวาย
ใส่หมด ไม่รู้ทําไมอารมณ์เสียได้ขนาดนั้นเหมือนกัน ฮึ่มมมม.. "มึงไปทําไรมัน คิดดี ๆ สัด..." จนในที่สุด ไอ้โอมผู้อดรนทนไม่ไหว (เพราะ
ซวยอยู่ใกล้ผมที่สุดเลยโดนลูกหลงบ่อยสุด) ตัดสินใจถามขึ้นระหว่างเรากําลังพักกลางวันอยู่ มันคงรําคาญที่เห็นผมหงุดหงิดแต่เช้า แต่ถ้าผมรู้
ว่าตัวเองไปทําอะไรปุณณ์ตอนไหน ผมจะหงุดหงิดได้ขนาดนี้มั้ยล่ะ!! "ไม่รู้ว้อยยย กูอยู่ของกูเฉย ๆ แม่งงงง.. เซ็ง" "แล้วเมื่ อวานมัน
กลับมารับมึงจริงปะ"
"เออ มา" "แม่งผัวเมียจริง ๆ มึงสองตัว... แล้วระหว่างได้กันมึงไปทําอะไรให้มันไม่พอใจปะ" "-วย! มันนั่งแท็กซี่ไปส่งกูที่บ้าน แล้วกู
ก็ง่วง จําไม่ค่อยได้.... เออ กูง่วง แล้วกูจําได้ว่าเหมือนมันชวนกูคุย แต่กูง่วงลยจับใจความไม่ค่อยถูก..." "แล้วไงต่อ คิดดี ๆ สัด" ดูเหมือนไอ้
โอมจะสนใจผมมากเลยใช่ปะครับ แต่จริง ๆ แล้วโคตรจะไม่! มันแค่พูดไปอย่างนั้นขณะที่ยกนํ้าก๋วยเตี๋ยวในชามซดอยู่ ปล่อยให้ผมนั่งคิดมาก
เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว ว่าแต่.. สรุปแล้วตอนอยู่บนรถมันมีอะไรต่อวะ... "แล้วไงต่อวะ... แม่ง.. ชวนกูคุยบนรถชิบหายจนกูแอบโมโห แล้วกู
ก็........ ก็..............." "กูไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้ว่าอะไรด้วย มึงจะเอาเอมมา จะไปส่งเอมถึงไหนก็เรื่องของมึง เข้าใจปะ กูไม่ได้คิดอะไร
เลย!" อื้อหืออออ... ณ เวลานี้ เข้าใจถ่องแท้แล้วครับ..... ไอ้คําพูดนั้นมันย้อนกลับมาเตือนความจําผมในหัวเหมือนกรอเทปซํ้ายั งไงยังงั้น..
ชิบหายแล้วกู... ผมเพิ่งนึกออกว่าตัวเองพูดแรงขนาดไหน "เฮ้ยมึง...." ผมส่งเสียงเรียกโอมเบา ๆ เมื่อนึกออก "ไร" "กูจํา ได้แล้วว่ากู
ทําไรไว้..."
"แล้วไง... มึงผิดจริงปะ" "ผิดจริงหวะ.." ถึงตรงนี้ไอ้โอมถอนหายใจหน่ายพลางส่ายหน้ามองผมอย่างเซ็ง ๆ มันวางตะเกียบในมือ "ก็
ไปง้อผัวมึงหรือเมียมึงไป กูรําคาญมึงแม่งอยู่ดี ๆ เดี๋ยวก็ด่า อยู่ดี ๆ เดี๋ยวทําหน้าหมาหงอย เหมือนแม่กูเวลามีเมนส์เลยเหอะ รีบ ๆ วิ่งไปง้อ
มันเลยนะมึงง" อ้าวไอ้ห่านี่... ไม่ไล่ผมเปล่า ยังถีบเก้าอี้ผมจากใต้โต๊ะอีก สัด!... พ่อมึงเก๋ารึ ไง ได้ข่าวว่าเป็นเก้าอี้ยาว มีรุ่นน้องอีกสองสามคน
กําลังนั่งอยู่ปลายฝั่งเก้าอี้ด้านผมถึงกับสะดุ้ง เพราะไอ้โอมมันถีบแรง "เชี่ยนี่ น้องเค้าตกใจเห็นมั้ย!" "เออ มึงก็รีบ ๆ ไปเลย กูจะไปห้อง
ชมรมแล้ว นัดสอนฮอร์นน้องมิกไว้" "อ้าวไอ้เชี่ย ได้ข่าวว่าคนนี้ไอ้ฟิล์มหวง" "ก็มันเล่นฮอร์นไม่เป็นเลยบอกให้กูสอนแทนนี่หว่า มึงอย่า
เจ้าปัญหาได้ปะ รีบไปง้อพ่อมึงเลยไป" ไอ้โอมว่าพลางโบกไม้โบกมือไล่แล้วยืนถือจานจะไปเก็บ.. ผมเห็นดังนั้นเลยยืนมั่งแล้วตบบ่ามันสองที
"เออ เจอกันตอนบ่าย" "เออ ๆ" มันตอบรับผมปัด ๆ ก่อ นที่เราจะแยกย้ายไปทําธุระของตัวเองกัน ผมเดินออกจากโรงอาหารด้วย
สภาพมึน ๆ เพราะยังไม่รู้จะไปตามหาคนที่ไอ้โอมสถาปนาว่าเป็น 'พ่อ' ผมจากไหนดี... ไอ้นี่มันแดกข้าวในโรงอาหารรึเปล่าวะ? แต่ผมไม่ยัก
เห็นมันว่ะ คนอย่างปุณณ์ ภูมิพัฒน์ถ้าโผล่หน้ามาก็น่าจะเห็นได้ไม่ยาก หรือมันออกไปกินข้าวที่คอนแวนต์อีก ?... เอาไงดี... ผมควรโทรหามัน
ก่อนมั้ย?... แต่แม่ง....... เป็นผมถ้าโดนพูดจาแรงขนาดนั้นคงบล็อคสายทิ้งตั้งแต่จบประโยคแล้ว.. เหอะ ๆๆ
ทําไมกูง่วงแล้วปากเสียงั้นวะเนี่ยยยยยยยยยยยยย จะบ้าตาย! ผมคิดพลางทุบหัวเหม่ง ๆ ของตัวเองเป็นการลงโทษสันดานปากเสีย แต่
ในขณะที่กําลังเดินมึนอย่างไร้ทิศทางอยู่นั้น สายตาดันเหลือบไปเห็นหลังของประธานนักเรียนไว ๆ ไม่ไกลจากผมซะก่อน แน่นอนว่าผม
พุ่งเข้าใส่มันทันที "ฟี่!!!!!" "เฮ้ย!! ตกใจหมด!! มีไรครับโน่? วงผมผ่านรอบคัดเลือกใช่ปะ" โว๊ะ! ไอ้ห่านี่ก็ไซโคกูจริง ๆ..... ผมขมวดคิ้วมองมัน
ที่ยิ้มแฉล้มโชว์ฟันเหล็กอยู่ "ตลกครับ! ยังไม่ประกาศผล! ไอ้ปุณณ์อยู่ไหนอะฟี่" จะมาถามเรื่องนี้ต่างหาก ฟี่มองหน้าผมงง ๆ เหมือนกับ
ว่าคํานี้ไม่ควรหลุดจากปาก "ผมว่าระยะนี้มันสนิทกับโน่นะ... ถ้าโน่ยังไม่รู้แล้วผมจะรู้ป่าวเนี่ย" "เฮ้ยย มันแม่งงอนเราไปไหนแล้วไม่รู้ว่ะ
โทรถามให้หน่อยดิว่ามันอยู่ไหน นะ ๆๆๆ" ผมเริ่มสวมบทบาทสมมติเป็นเด็กสามขวบที่เกาะแขนผู้ใหญ่แจเพราะอยากได้ของเล่น โชคดีที่ฟี่ใจ
ดีกว่าคนอื่น เพราะปกติผมทําแบบนี้ทีไรโดนดีดกลับทู้กกที "อะไรยังไงคู่นี้... มีงอนกันด้วย... รอแป๊บนะโน่" หึหึหึ น่าคบไหมล่ะครับ
ประธานนักเรียนผม.. ผมยืนรอฟี่ต่อสายหาเลขาฯมัน เพียงแค่แป๊บเดียวก็ได้คุยกับปลายสาย "เออปุณณ์ อยู่ไหนวะ........... เออน่ะ อยู่ไหน
............ โรงยิมใช่ปะ โอเค แล้วจะอยู่อีกนานปะ........... อืม ๆ ไม่มีไร เดี๋ยวจะให้คนไปหา.... เออน่า อยู่ตรงนั้นไปแหละ.... หึหึ เออ ๆ"
"ขอบคุณมากฟี่!!!!!!!" ผมกอดคอมันเขย่า ๆ ทันทีที่คุยเสร็จเป็นการตอบแทน (วิธีนี้ดีแล้วจริงเหรอวะ..) ก่อนจะวิ่งไปทางโรงยิมตามที่ ได้ยินมา
เมื่อถึงโรงยิม ก็พบว่าไอ้ปุณณ์อยู่ในนี้จริง ๆ ด้วย ท่าทางมันคงรอเรียนพละอยู่ เพราะเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงวอร์มเรียบร้อย.. ผมรู้ ว่า
ปุณณ์เห็นผม เพราะมันมองมาแต่แม่งเสือกเมินไป.... เล่นอย่างนี้อีกแล้วนะมึง! ผมยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงคนร้องทั ก "อ้าวโน่!!!!"
แต่ไม่ใช่ไอ้ปุณณ์ครับ เป็นไอ้ตั้ม เพื่อนร่วมห้องปุณณ์ อดีตเพื่อนร่วมชมรมผมที่เพิ่งลาออกไปเมื่อปลายเทอมที่ผ่านมา เพราะทนทางบ้า นบ่น
ไม่ไหว พ่อมันอยากให้ตั้งใจเรียนมากกว่า ซึ่งจริง ๆ ป๊าผมก็บ่นอย่างนั้นเหมือนกันแต่ผม....... ดื้อ ฮ่า ๆๆๆ (ขอโทษนะครับป๊า) "ไงวะตั้ม
ไม่แวะไปที่ห้องชมรมเลยนะมึง" ผมเอ่ยทักตอบกับตั้มที่เดินเข้ามาหา แอบเหลือบเห็นไอ้ปุณณ์เนียนหนีไปโยนบาสเล่นกับเพื่อนเรียบร้อย ไม่
ชายตามองผมเลยสักนิด ไอ้ตั้มผลักไหล่ผมเบา ๆ "มึงอย่ามาตอแหล กูไปเหอะ มึงอะแหละไม่ค่อยอยู่ห้องชมรม เป็ นประธานเชี่ยอะไร"
อ้าวเหรอ ฮ่า ๆๆๆ เออว่ะ ช่วงนี้ผมแว่บมาแว่บหายจริง ๆ ดีที่ได้ไอ้โอมอาสาเป็นผีเฝ้าห้องคอยรายงานสถานการณ์ให้ ไม่งั้นคงโดนรุ่นพี่ คน
อื่นสวดยับไม่ต้องผุดต้องเกิดอีก ผมหัวเราะแหะ ๆ รับคําบ่นตั้ม ก่อนที่มันจะยิงคําถามใส่ผมต่อ "ตกลงมึงมาทําไม มาหาใครรึเปล่า"
"เออ กูมาหาไอ้ปุณณ์ว่ะ มึงเรียกให้หน่อยดิ่ แม่งกวนตีน" แน่นอนว่าไม่ลืมจะด่ามันในประโยคสุดท้าย หึหึหึ... ก็มันกวนตีนจริง ๆ นี่ หว่า ไม่
ยอมรอฟังกูอธิบายเลย "อะไรของพวกมึง" ไอ้ตั้มท่าทางงง ๆ แต่ก็ช่วยหันไปเรียกให้ "ปุณณ์! ปุณณ์!!!! ปุณ ณ์!!!!!! ปุณณ์!!!!!!!! ไอ้เชี่ย
ปุณณ์!!!!!!!!!!!!!" นั่น.. ดูความกวนตีนของมัน..... กับเพื่อนร่วมห้องตัวเองยังไม่เว้น ผมล่ะสงสารไอ้ตั้มที่ตะโกนเรียกปุณณ์ให้ผมซะคอแทบแตก
"เชี่ยแม่งกวนตีนจริง ๆ ด้วย เดี๋ยวกูจัดการให้" ในที่สุดจึงถึงทีไอ้ตั้มโมโหบ้าง ผมรู้เพราะหลังจากที่มันบอกผมอย่างนั้น ก็เห็นมันเดินลิ่ว ๆ
ๆ ไปตบหัวปุณณ์กลางสนามบาสในโรงยิมอย่างโคตรรรร สะใจ มันสองคนเถียงอะไรกันนิดหน่อย ก่อนปุณณ์จะเดินทําหน้าเซ็งมาหาผม...
เหอะ ๆๆๆ เอาไงดีวะ พูดอะไรดี "มีไรครับโน่" แล้วแม่ง.... โผล่มาภาษาดอกไม้แบบนี้ ได้ง้อกันยาวอีก ผมเริ่มด้วยประโยคคลาสสิก..
"มึง.... ทําไรอยู่วะ" แต่ไอ้ปุณณ์ตอบไม่สร้างสรรค์เลย "ว่ายนํ้ามั้งครับ.." ไอ้เชี่ยยยยย มึงช่วยจริงจังหน่อยได้ปะ! "สะ......" กะจะด่าว่า
สาดดดด แต่ต้องชะงักไว้เพราะคิดได้ว่าวันนี้มาง้อมัน ดังนั้นต้องพูดดี ๆ "สนุกมะ" เปลี่ยนคําก็ได้.. ไอ้ปุณณ์ดูอึ้งไปนิดหน่อย สงสัยเพราะ
ตอบไม่ถูก แต่ถ้าเป็นทุกครั้งมันต้องกวนตีนกลับมาแล้ว ไม่เหมือนครั้งนี้ที่มันนิ่ง ไม่ยอมเล่นกับผม... ผมเริ่มใจเสีย.. ผมตัดสิ นใจเกาหัว
ตัวเองแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่า "เฮ้ยมึงอะ... โกรธไรวะะ กูไม่ตั้งใจพูดซักหน่อย เมื่อคืนอ่ะ ก็... ก็กูง่วง.. มึงอย่าเป็นงี้ดี๊" "................." เงียบ..
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก.... ดูเหมือนที่ผมอุตส่าห์พูดอธิบายซะยืดยาว แต่ไอ้ปุณณ์ไม่สนใจฟังเลย มันหันไปพยักเพยิด
อะไรกับเพื่อนร่วมห้องบนสนามนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับมาทําหน้านิ่งใส่ "โน่มีไรอีกปะ... ผมต้องไปแล้ว" ตอแหล.... พักกลางวันยังอีกตั้ง
นาน อยู่คุยกับกูแค่นี้ก่อนก็ไม่ได้
แต่ผมไม่อยากตื้อมันมาก เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายจะพาลรําคาญเอา "อือ... ไปเหอะ.." ถึงจะตอบกลับอย่างนั้น ผมก็ยังอดรู้ สึกน้อยใจลึก ๆ
ไม่ได้ เพราะพอไอ้ปุณณ์หันหลังทําท่าจะเดินออกไปจริง ๆ ผมรู้สึกใจหาย มือผมคว้าแขนมันเร็วกว่าความคิด "เฮ้ยยยย....." "อะไร....."
แต่แม่งหันมาถามเสียงดุสัด.. Y___Y ผมหงอลงนิดหน่อยก่อนจะควัก ๆ เอาลูกอมลูกกวาดที่ติดไว้ในกระเป๋าออกมาแบ่งมัน แก้เก้อ "อะ....
เผื่อคาบบ่ายง่วง ๆ เอาไว้อม" นี่สมบัติลํ้าค่าเชียวนะ! ผมยื่นให้มัน แต่ไม่รู้อุปาทานไปเองหรือเปล่าว่าเห็นปุณณ์หลุดยิ้มนิดนึ ง ก่อนจะ
กลับไปเก็กหน้าขรึมเหมือนเดิม "อืม... ขอบใจ" มันตอบผมแค่นั้นก่อนจะรับลูกอมไว้แล้วเดินจากไป... เหอะ แม่ง ขี้งอนเป็นบ้า กูอุตส่าห์
บากหน้ามาง้อถึงนี่ ยังไม่หายโกรธอีกก็ไม่ง้อแล้วนะโว๊ยยยยยยย แบร่!!!!
34th CHAOS
"เป็นไง พ่อมึงหายงอนยัง" เสียงไอ้โอมถามทันทีที่ผมยื่นขาเข้ามาในห้อง... เหอะ ๆๆ ทําไมมันมาถึงห้องเรียนก่อนผมอีกวะ ไหนบอกจะไป
สอนน้องมิกเล่นฮอร์นไง "ช่างแม่งเหอะ ทําไมมึงมาเร็วอะ" "กูไล่น้องเค้ากลับไปเป่าขลุ่ยก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน" ขนาดนั้น -_-".... เหอ
ๆๆ ผมมองไอ้โอมที่ทําหน้าเซ็งแล้วก็ต้องขํา ไอ้โอมมันปัญญาอ่อนเวลาอยู่กับเพื่อนก็จริงครับ แต่กับรุ่นน้องมันโหดชิบหาย ดีไม่ดีบางทียังเป็น
การเป็นงานมากกว่าผมอีก พอได้รู้เรื่องรุ่นน้องผู้เคราะห์ร้ายคนต่อไปจึงได้แต่หัวเราะ ก่อนจะล้มลงนั่งพลางค้นเอาหนังสือวิชาต่อไปมาเตรียม
ตัวเรียน
"ทํ า หน้ า งี้ ยั ง ไม่ ดี กัน ชั ว ร์" เสี ย งโอมบ่ น ลอย ๆ ระหว่ า งหั น ไปค้น กระเป๋ า ของมั น มั่ ง ทํ า เอาผมหั น ขวั บ "ทํ า ไม หน้ า กูมั น ทํ า ไม!"
"เชี่ยยยย หน้าโคตรหงอย มึงไปส่องกระจกไป" ด่าไม่พอยังจิ้มหน้าผากกูอีก ไอ้ห่านี่.. กูไม่ใช่เด็กนะว้อยยยยย "กูส่องยังไงก็หล่ อ สาดด"
"ไอ้เชี๊ย กระจกมันหลอกหรือมาตรฐานมึงตํ่าว๊ะะ" อ้าวไอ้เวรรร.... ลามเป็นขี้กลาก "ถามจริง... มึงกะไอ้ปุณณ์นี่ อะไร" แต่อยู่ดี ๆ ไอ้โอมก็
วกเข้าเรื่องต้องห้ามจนได้! ถ้าผมดื่มนํ้าอยู่คงมีการสําลักพรวดออกมาบ้างล่ะ!! แต่โชคดีว่าพักกลางวันหมดไปแล้ว ผมเลยได้แต่ทําตาเหลือก
มองมันอย่างคาดไม่ถึง "อะ.... อะไร... คือ.... อะไร...??" ไอ้โอมส่ายหัวเซ็งพลางยกนิ้วชี้ ชี้หน้าผม "ก็ดูเด๊ะ... ทําตัวโคตรมีพิรุธ อ่านง่าย
ที่สุดในโลกแล้วมึงอะ... ตกลงมึงกะไอ้ปุณณ์เป็นเชี่ยไรกัน กูเห็นว่าพวกมึงแปลก ๆ มาซักพักแล้วเนี่ย" แสดงว่าไอ้ห่านี่เก็บข้อมูล... ผมมองตา
ไอ้ โอมที่ จ้ องมาเป๋ง ทํา เอาจนมุม อย่า งที่ ไม่ เคยมาก่อน ต่ อให้ หลบตาไปซ้า ยที ขวาทีก็รู้ ว่า ยัง ไงคงหนีไ ม่ พ้น มัน "ก็เป็น เพื่ อนกันไง.."
"จริงอะ?" "เอออออออออออออ"
"ถ้ากูงอนมึง มึงจะง้อขนาดนี้ปะ" "งะ.... ง้อสิวะ...." มั้ง.... ไม่แน่ใจ เพราะใจอีกด้านหนึ่งผมตะโกนบอกว่าคงถีบมันกลับมากกว่า ไอ้
โอมเหล่มองปฏิกิริยาผมก่อนจะพูดต่อ "แต่กูว่ากูคงไม่งอนมึงว่ะ ไม่ใช่เรื่องที่เพื่อน ๆ เค้าจะทํากัน" เอ่อ........... ผมหลบตาไอ้โอมอีกครั้ง
แต่ยังยืนยันคําเดิม "เพื่อนกัน....." เรียกให้เสียงถอนหายใจจากมันดังหลังผมพูดคําเมื่อกี้จบ ไอ้โอมส่ายหัวพลางหันกลับไปสนใจหนังสือ
ต่อ "เรือ่ งของมึง ไม่อยากบอกก็เรื่องของมึง" "โหยยย ไรวะะะะ" ช่วยอย่ามางอนกูซํ้าซากอีกคนได้ปะ!! แม่งเซ็งงง T___T ผมนั่งทํา
หน้าเซ็งพลางคิดทบทวนตัวเองว่าผมกับปุณณ์เป็นอะไรกัน... อืมม... ก็เราเป็นเพื่อนกันจริง ๆ นี่หว่า! ถึงแม้บางครั้งจะทําอะไรเกินเลยไปบ้าง
แต่กรอบระหว่างเราก็ยังเป็นแค่ เพื่อน จริง ๆ... เฮ้อ.. คิดแล้วเหนื่อยใจ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดตกดี ก็มีมือหยาบ ๆ มาลูบหัวผมสองสามที
ก่อน "พร้อมบอกเมื่อไหร่ กูยังรอฟังอยู่นะ" ไอ้โอมว่างั้นแม้จะไม่มองหน้าผม แต่ผมรู้ว่าโอมเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ^________^
*** ตอนเย็นหลังเลิกเรียน พวกเรานัดแนะไปรวมพลกันในห้องชมรมเพื่อรวมผลคะแนนการประกวด live contest รอบคัดเลือก ซึ่งทํา
เอาปวดหัวชิบหายเพราะมีวงดี ๆ เยอะ แต่ยังไงให้ขึ้นวันจริงทั้ง 35 วง คงมีอ้วกออกมาเป็นโน๊ตเพลงกันทั้งกรรมการและคนดูแน่ (แค่เมื่อ
วานผมก็แทบน็อคแล้วครับ) "กูว่ายังไงวงพี่โอ๊คก็กินขาดอีกว่ะปีนี้ แค่รอบคัดเลือกยังเจ๋งสัด" ไอ้อาร์ทว่าพลางมองดูใบคะแนนของวง All
Star ซึ่งเป็นวงของพี่โอ๊ค ประธานชมรมคนเก่า ที่ผมเองก็คิดว่าโคตรเก่ง... "มึงอย่าดูถูกวงอื่นสิวะ เขาอาจจะเก็บฝีมือไว้โชว์วันจริง อีกทีก็
ได้" ผมว่าพลางหยิบใบอื่นมารวมคะแนนต่อ แต่เสียงเห่าหอนของไอ้เป้อดังมาไม่หยุด "แหม.... ชอบวงพี่เอิ้นอะดิพี่..." อ้าวไอ้นี่. .. มีพาดพิง
... มึงต้องการจะสื่ออะไรวะ? ผมหันไปมองหน้าตี๋จัดของมันแบบงง ๆ "ไรของมึง" "ก็พี่เอิ้นเค้าร้องเพลงให้พี่อะ หึหึหึหึ" อ้าววววววว ไอ้
ห่าาาา!!!! หาเรื่องให้กูแล้วไหมล่ะ ผมเห็นรุ่นพี่คนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวาน รีบหันมองผมตาเป็นมันทันที "จริงเหร อวะ!! ไอ้เอิ้น
ประธานเชียร์อะนะ!?" -_-".... เอาแล้วไง ต้องรีบแก้ตัว "ไอ้เป้อมันไร้สาระ พี่เชื่อมันก็ออกลูกเป็นจามรีแล้ว" "เฮ้ย แต่กูเชื่อ เป็นไงมั่งวะ
เป้อ รู้งี้กูอยู่ดู" โห... ซึ้งใจมากครับพี่พงษ์... อุตส่าห์อยากจะอยู่ดูเพื่อการนี้ ผมล่ะซาบซึ้งจริง ๆ.... T___T
"ก็งี้นะพี่... พี่เอิ้นนะ มาร้องเพลงฝรั่งเพลงนึง แล้วพี่โน่หลับ พอเพลงต่อไปพี่เอิ้นก็ปลุกพี่โน่บอกให้พี่โน่ตั้งใจฟังดี ๆ แล้วก็ร้องเพลง ใกล้ไป
ให้พี่โน่ ตางี้หวานเยิ้ม เป้อนะ เห็นความรักอยู่ใน............ อุ๊บบบ อี้ โอ้ อ่อยยยยยยยยยยยย" ผมว่าไอ้เชี่ยนี่ชักจะเพ้อเจ้อ ต้ องรีบจัดการปิด
ลําโพงเสีย ๆ ของมันด่วนนน ก่อนจะลามปามไปยิ่งกว่านี้ "มึงไร้สาระแล้วเป้อ กูให้มาช่วยรวมคะแนนไม่ใช่เพ้อเจ้อ มึงเอาปึ้งนี้ไปนับเลย
ห้ามใช้เครื่องคิดเลขด้วยนะสาดดด จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน" แต่ถึงมันจะงานเข้าไปแล้ว ก็ยังเสือกมีเวลามากพอจะส่งซิกทําหน้าทําตาพยักเพยิด กับพี่
พงษ์เรื่องที่มันพูดเมื่อกี้อยู่ดี -_-"... ไอ้เด็กนี่.... เราใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ผลการรวมคะแนนก็ออกมาเสร็จ คัดจาก 35 วง เหลือ 15 วง
ครับ ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับ 20 วงที่เหลือด้วย ผมก็ได้แต่หวังว่าปีหน้าพวกเขาจะได้กลับมาแข่งอีก ทันทีที่ผลรายชื่อออก
เราก็ส่งให้ไอ้เงาะ (เบ๊ชมรม) เป็นคนเอาไปพิมพ์ ส่วนพวกเรามีหน้าที่นั่งคุยกันเฮฮา (ขั้นตอนนี้สําคัญมากกก) พอเสร็จแล้วก็เอามาแปะหน้า
ประตูชมรมเพื่อให้แต่ละวงเช็คผลคัดเลือกได้สะดวก ผมเดินออกไปดูบ้างว่ามีวงไหนผ่าน ทั้งที่ก็พอรู้อยู่แล้ว... ลองส่องสายตาแสกน ไป
เรื่อย ๆ ก็เห็นทั้งวงเอิ้นและปุณณ์ผ่านกันทั้งคู่.. แหง๋สิ... วงไอ้ปุณณ์แม่งมาเฟียนี่หว่า ขืนไม่ให้ผ่านมีหวังชมรมผมบึ้มแน่ (ล้อเล่นครับ มันก็เก่ ง
แหม ๆๆ) ผมมองชื่อวงมาเฟีย... (พวกมันใช้ชื่อนี้จริง ๆ ครับ.. แม่งรู้ตัวนี่หว่า) พลางคิดถึงมือกีต้าร์ที่ช่วงนี้หน้าบูดชิบหาย แล้วก็อดลังเล
ไม่ได้ที่จะ......... เปล่า... กูไม่ได้จะง้อนะ...... กูแค่จะไปบอกว่าวงมึงผ่าน... แค่นี้เอง................ หึ!
*** ผมบอกน้อง ๆ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ในห้องชมรมว่าจะไปเข้าห้องนํ้า เดี๋ยวมา ทั้งที่จริงคิดว่าจะไปไกลกว่านั้นมาก... ว่าแล้ วก็รีบใส่
รองเท้าลวก ๆ ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งลงจากตึกฟ. เป้าหมายไปยังตึกอํานวยการใหม่ แต่............... ไอ้เชี่ยที่นอนตัวยาวอยู่บนสแตนข้างสนามบอล
นั่นคุ้น ๆ ผมมองพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้.. เหอะ ๆ.. คุณชายปุณณ์นอนบนสแตนไม่กลัวเปื้อนหรือไง ไอ้เรื่องแบบนี้มีแต่เด็ กสถุล ๆ เขาทํา
กัน (กูด้วยคนหนึ่ง) ผมเดินไปหยุดตรงหน้ามันที่หลับตาอยู่ กะว่าจะปลุกซักหน่อย แต่มันเสือกลืมตาโพลง!! "เฮ้ย!!!!!!!!!!!!" คนตกใจเป็นผม
ครับ เชี่ยแม่ง ขวัญกูหนีหมด! ปุณณ์เองก็ดูตกใจไม่น้อยที่ลืมตามาเห็นผม มันค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งพลางปัดเสื้อตัวเองไปมา แต่ปัดออกไม่หมด
ผมเลยช่วยมันบ้าง แต่แม่งเสือกเอี้ยวตัวหลบ..... หน็อย... ยังงอนไม่เลิกอีกนะมึง! "โน่มีไร.." มันส่งเสียงเย็นชามาได้อีก จนผมต้องเหล่มอง
ไอ้ปุณณ์เคือง ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนั่งข้างมันบ้างอย่างหน้าด้าน ๆ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เชิญ "แล้วไมมานอนตรงนี้ ห้องสภาฯเย็น ๆ ไม่ชอบ
นะมึง" ผมถามมันนํ้าเสียงปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใบหน้าคมนั้นกลับนิ่งกว่า.. "อืม...." โห..... คิดดูว่าแค่จะเถียงกับ ผมมันยังไม่ยอม
เถียงเลยครับ.. ไอ้นี่ท่าทางอาการหนักของจริง
ผมเหลือบมองปุณณ์ที่ไม่ยอมมองผมตอบ พร้อมคิดสงสัยว่าไอ้พวกเด็กม.1 ที่วิ่งเตะบอลรอแม่มารับอยู่กลางสนามมีอะไรดี ไอ้เลขาสภาฯ
ถึงได้เอาแต่มองอยู่ได้อย่างนั้น!.. ใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ดูเฉยสนิทจนผมทําตัวไม่ถูก จึงได้แต่ก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองแทนหน้าบูด ๆ ของ
ปุณณ์ (อืม... จะว่าไปก็คล้าย ๆ กันนะ) "จะกลับบ้านตอนไหนอะ..." ผมหยอดถามมัน เผื่อจะฟลุคยอมกลับด้วยกัน "ไม่รู้สิ" "กลับ
พร้อมกันปะ...." "................." แต่แม่งเงียบ......... แปลว่าอะไรวะ...... T__T ผมไม่ยอมแพ้ ยังคงทําใจดีสู้เสือต่อไป "ลูกอมกูได้กินมั่ง
ป่าว..." ".................." ก็ยังได้ยินแค่เสียงลมและเด็กเตะบอลเหมือนเคยเท่านั้น T______T โอ๊ยยย... ไม่รู้จะทํายังไงดีแล้วโว๊ยย
หงุดหงิดมาก ๆ เข้าเลยตัดสินใจเงยหน้ามองมัน แต่เห็นมันรีบหุบยิ้มฉับ..... เอ๊ะ ? อะไรวะ?... หรือปุณณ์จะหายโกรธแล้ว... ? เห็นท่าที
อย่างนั้นผมเลยรีบเขยิบเบียดอีกฝ่ายแล้วเอานิ้วก้อยสะกิดหลังมือมันทันที (อย่าถามว่าเอาวิธีนี้มาจากไหน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน) "เฮ้ย... ขอ
โทษ... อย่าโกรธดิ่.... กูไม่ตั้งใจพูดงั้นจริง ๆ นะ แค่ง่วงอะ... นะ ๆๆ" ผมใช้นิ้วก้อยตัวเองสะกิดมือนั้นยิก เห็นเจ้าของมือกลั้น ขํา แต่ยังมีกะใจ
แกล้งหันหน้าหนีไปทางอื่น เหอะ ๆๆๆ ไอ้ขี้เก็กเอ๊ย!!! ผมตัดสินใจกระโดดลงจากแสตนที่นั่งอยู่ ไปยืนบนขั้นตํ่ากว่ามันทันที แต่แ ม้จะ
พยายามเดินไปอยู่ตรงหน้า ปุณณ์ก็ยังคงพากเพียรหันหลบผมไปอีกทางอยู่ดี เชี่ยแม่ง... น่ารักตายอะ มึงไปเลียนแบบน้องสาวมึงมาป่ าว
เนี้ยยย
"ดีกันน๊า... สุดหล่ออ...... แล้วเดี๋ยวเลี้ยงขนม.... น๊า ๆๆๆ" ผมพยายามตะล่อมมันต่อด้วยของกิน (เพราะปกติวิธีนี้ใช้ได้ผลกับผม) แต่ ไอ้
ปุณณ์ยังคงยึกยักลีลาจัด มันถอนหายใจแล้วปั้นหน้าบึ้ง ๆ ออกมาจนผมเริ่มเซ็ง เป็นอันหมดช่วงโปรโมชั่น!! "เออ! เรื่องของมึงวะ!!! กูไปละ
จริง ๆ แค่จะมาบอกว่าวงมึงผ่านรอบคัดเลือกนะ ดีใจด้วย" เหอะ! ง้อเท่านี้ก็บุญเท่าไหร่ ปกติเคยทําที่ไหน.. กลับห้องชมรมดีกว่าโว๊ย! !! ผม
กระแทกเสียงใส่มันก่อนจะหันหลังทําท่ากลับขึ้นตึกฟ. แต่ไอ้ปุณณ์ยื่นมือมารั้งแขนผมไว้ทันพอดี เฮ้ย.............. ง้ออีกหน่อยไม่ได้รึไงว๊า....
น่ารักดีอะ" โห ไอ้เหี้ยนี่ยังมีหน้ามาพูด... ตอนนี้ถึงทีของผมแล้ว.... ผมไม่ยอมหันไปพูดกับมันหรอก มือไอ้ปุณณ์ยังคงกระตุกแขนผมต่ออีก
สองสามที เรียกให้หันกลับไป แต่อย่าหวังว่าผมจะยอมง่าย ๆ... หึหึ "เฮ้ย..... หายโกรธแล้ว.... ไม่งอนแล้ว.... อย่าทํางี้ดิ่โน่.... ดีกันแล้วไง....
เฮ้ยยยย.... หันมาก่อนดิ่ ๆๆ" มันยังเขย่าแขนผมไปมาไม่ยอมหยุด ขําว่ะ หึหึหึ... แต่นี่เป็นช่วงเอาคืน "เลี้ยงไอติม เอาป่าวว ไ ปหน้า
โรงเรียนกัน" อืม... ข้อเสนอดี แต่ยังไม่ดึงดูดเท่าไหร่ "โออิ ชิบุฟเฟ่ต์.." ผมต่อรอง... แน่นอนว่าโดนมันโบกหัวกลับ "ราคาใกล้เคียงกัน
มาก" อ้าว.. ตกลงมันง้ออยู่จริงปะครับ? แต่เอาเหอะ ให้ยืนนาน ๆ ก็เมื่อยเหมือนกัน สุดท้ายผมยอมลงไปนั่งข้างมันแต่โดยดี ปุณณ์หันมา
คลี่ยิ้มให้ผม "เขยิบมาใกล้ ๆ อย่างเมื่อกี้อีกดิ่ กูชอบอะ" แต่อย่ามาตลกแดกครับพี่น้อง!!! ผมตีหน้าบื้อ "เมื่อกี้กูทําไรอะ จําไม่เห็นได้"
"ฝากไว้ก่อนเหอะมึง.." มันอุบอิบด่าจนผมหัวเราะออกมา แล้วเราก็นั่งเงียบ ๆ ดูเด็กม.ต้นเตะบอลกัน
ผมตัดสินใจถามมันบ้างในที่สุด "มึง.... ไม่ได้คิดมากใช่ปะ... เรื่องเมื่อคืน" .. เพราะรู้สึกเหมือนมีเรื่องชวนเข้าใจผิดเยอะอยู่ แต่ไอ้ปุณณ์แค่
หันมาทางผมยิ้ม ๆ "เรื่องไหนดีล่ะ?" หลายเรื่องจริง ๆ ด้วย -_-".... "ก็ทุกเรื่องอะ.." ถึงตรงนี้ปุณณ์หัวเราะออกมาเสียงแผ่ว "ถ้าเรื่อง
ที่มึงด่ากูบนรถอะ กูไม่โกรธหรอก ฮ่า ๆๆ... กูขอโทษว่ะ กูเซ้าซี้เอง ไม่เห็นใจว่ามึงคงเพลีย อยากนอน" อ้าวไอ้ห่านี่ แล้วทําเป็นงอนอยู่ตั้งนาน
เดี๋ยวเหนี่ยวเลย... ผมเตะขามันเบา ๆ ว่าจะเป็นการทําโทษ แต่ไอ้ปุณณ์เสือกชักหลบ เก่งนักนะมึง! "มึงไม่ตั้งใจพูดแบบนั้นใช่มั้ ยล่ะ" มัน
ถามผมพลางยักคิ้วให้ ผมยักคิ้ว ตอบ "เออดิ่... แต่เรื่องเอมกูไม่คิดมากจริง ๆ นะ.. มันเป็นสิทธิ์ของมึงอะ" ก็เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมเอง
ต่างหากที่ไม่ใช่อะไรเลยของปุณณ์... แค่ทุกวันนี้ที่เราได้อยู่ด้วยกันก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่เสียงมันเงียบไป... ปุณณ์ถอนหายใจยาวก่ อนจะพูด
ออกมา "แต่เรื่องเอิ้น.... กูโกรธจริง ๆ นะ" อ้าว.. อยู่ดี ๆ เสือกพาดพิงถึงอีกคน ผมก็เหวอดิ่ครับ! "วงมันผ่านด้วยปะ" แล้วเกี่ยวไรกันอีกวะ!?
"ผ่าน.... มึงโกรธเชี่ยไรเนี่ย อย่าบอกนะมึงคิดไรงี่เง่า กูกับมันไม่มีอะไรเลยนะโว๊ยย" ผมรีบปัดความเข้าใจผิดยกใหญ่ (ไอ้พวกในชมรมก็ เล่นผม
มาทีนึงละ) แต่ปุณณ์ยังทําหน้าเครียดอยู่ "เปล่า..... กูโกรธตัวเอง...." ห๊ะ!? อะไรของมัน? ผมขมวดคิ้วมองใบหน้าคมที่ดูเคร่งขรึมไป
ก่อนปุณณ์จะหันมาสบตาผม "กู..... โกรธตัวเองที่ร้องเพลงให้
มึงมั่งไม่ได้ว่ะ... กูไม่น่าเล่นกีต้าร์เลย.... แล้วกูก็โกรธตัวเองที่....... กูไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนมึงเมื่อคืน.... กู.... ขอโทษนะ" สายตามันจริงจังจน
หลบไปทางไหนไม่ได้ "เฮ้ย! คิดมากไรวะ!!" ผมรีบตบบ่ามันสองที "กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นอะ มึงก็อุตส่าห์มารับกูไง" แต่ดวงตาจริง จังของ
ปุณณ์ยังไม่หายไป "กูไม่ได้ อุตส่าห์.. กูตั้งใจ.." เอ่อ...... ผมไปต่อไม่ถูก.. ปุณณ์ถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดกับผมต่อ "โน่................ ..
ถ้าเอิ้นมาบอกว่าชอบมึง.. มึงจะว่าไงวะ" แต่มาถามแบบนี้หมายความว่าไงวะ! คําตอบผมขอมอบเป็นฝ่ามืออรหันต์ โบกเข้ากลางกบาลมัน
แทนแล้วกัน โทษฐานคิดได้!! หน้ามันเหวอไปขณะที่ผมทํานํ้าเสียงจริงจัง "เชี่ยปุณณ์...... มึงฟังกูนะ...." ผมหวังว่าสิ่งที่กําลังจะพูดต่อจากนี้
คงทําให้มันเข้าใจผมมากขึ้นบ้าง "กูไม่ใช่เกย์....... มึงอย่ามาดูถูกว่าผู้ชายคนไหนชอบกู กูก็จะไป...." "กูขอโทษ..." เสีย งปุณณ์อุบอิบ
งึมงําเหมือนคนรู้สึกผิด.. หน้ามันตอนนี้กลายเป็นหมาหงอยไม่กล้าสบตาผมตรง ๆ ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าผมยิ้มอยู่ ผมยืนขึ้น หันหลัง ให้มัน
พลางกลั้นใจพูดคําสุดท้ายออกมา "ผู้ชายที่กูชอบ..... ก็มีแต่มึงอะแหละ.... หัดจําซะมั่ง" พูดจบแล้วต้องเผ่นครับ!!!!!! ผมวิ่งจู๊ดดดดด รวด
เดียวถึง ใต้ตึกฟ. (ซึ่งไม่ ห่างกับสแตนเท่า ไหร่ ถือว่ายังมองเห็นกัน) พอหั นกลับไปมองปุณ ณ์อีกที ก็เห็นมันยื นทําหน้า เหวออยู่ ก่อนจะ
เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างแล้วป้องปากส่งเสียงกลับมา "กูก็ชอบมึงนะ!!!!!!!!!!!"
เชี่ยแม่ง!!!! จะตะโกนทําไม.... อายเค้า!!!!!!!!!!!! ผมชูนิ้วกลางใส่มันแล้วรีบวิ่งเข้าห้องชมรมทันที

35th CHAOS
เวลาเดินทางมาจนถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมนั่งปั่นการบ้าน (ลอกไอ้เก่ง) ยิก ๆๆ อยู่กับไอ้โอม (ที่ลอกของปาล์ม) แบบไม่
ลืมหูลืมตา คิดดูว่าลนขนาดต้องถ่อมาโรงเรียนตั้งแต่เจ็ดโมง (โทรปลุกไอ้เก่งด้วยให้มาเร็ว ๆ) เพื่อลอกการบ้านวิชาภาษาอังกฤษบทนี้ เพราะ
ซัมมารี่ที่ให้ทําแม่งโคตรยาก แถมช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมายังเอาแต่เกเรไม่ยอมทํางานอีก เออ... สมนํ้าหน้าตัวเอง "เชี่ยปาล์ม กูว่ าประโยคนี้
มันเขียนผิดว่ะ มึงเอาของไอ้เก่งมาดูหน่อยเด๊ะ" เสียงไอ้โอมบ่นพลางพลิกหน้ากระดาษไปมาแล้วชะโงกหัวมองสมุดไอ้เก่งข้าง ๆ ผม มันค้าง
อยู่อย่างนั้นแป๊บนึงก่อนโทรศัพท์ผมจะดัง 'ขอให้เจ้าภาพจงจาเริ๊นนนนน คิดเงินให้ได้เงินนนน คิดทองให้ได้ทองงงงง ขอให้เจ้าภาพจง
เจริญญญญ' พอดีเปลี่ยนริงโทนเป็นงานอดิเรกอะครับ (ว่างมาก) ไอ้โอมเหล่ตามองผมทั้งที่มือยังลอกการบ้านอยู่ "ไอโฟนมึงลาวเพราะ
ริงโทนนี่แหละ" สัด... กูชอบของกู ผมยักไหล่ไม่สนใจคําแขวะมันก่อนจะชะโงกหัวมองว่าใครโทรมา อึ๋ยยยย..... รีบกดปิดเสียงก่อนดีก ว่า
"แม่มึงอีกสิ" แต่ไอ้เพื่อนข้าง ๆ เสือกรู้ทันทั้งปี ผมว่าผมไม่ต้องตอบมันหรอก ยังไงมันก็รู้คําตอบอยู่ดี "มึงรับเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคนซวยจะคือกู"
ไอ้โอมด่าอีกแต่โทรศัพท์ผมเงียบไปแล้ว รอแค่อึดใจเดียวเท่านั้นเสียงริงโทนก็เปลี่ยน
'อย่าขี้โม้วววววววว์ อย่าขี้โม้วววววววววววววว์ อย่าขี้โม้วววววววววว์ โอ่ โอ่ โอ....' เชี่ยแม่งด่าแต่กู ริงโทนนี้ก็ทํา LG Secret ของมึงไร้
ราคาเหมือนกันแหละวะ! ไอ้โอมเหล่ผมตาขวางทันทีที่มือถือมันดัง พลางคว้าเอาโทรศัพท์ส่งมาให้โดยที่ไม่ต้องมองว่าใครโทรมาด้วยซํ้ า
"มึงเอาไปคุยเองเลย แม่มึงแหละ กูไม่ว่างเป็นต้นห้อง" "เฮ้ย ไรวะ... งั้นกูปิดเสียงนะ" ผมว่าพลางจะกดปิดเสียง (แล้วมันปิดยังไงวะ) แต่ไอ้
โอมหันมาจ้องหน้าผมเขม็ง "รับสายไปสิวะ แฟนมึงอะ อีกอย่าง นโยบายมือถือกู รับสายผู้หญิงทุกคน ดังนั้นมึงห้ามม แหกกฎ!!" โหไอ้
ชั่ววววววววววว มึงเอาเหตุผลควาย ๆ ของมึงมาบังคับกูเนี่ยนะ! ผมทําหน้าปูเลี่ยนมองจอ LG ของโอมที่ขึ้นชื่อว่า 'แม่โน่' หรา.... ก็เข้าใจเม็ม
นะมึง! เอาวะ... รับก็รับ "ครับยูริ" ผมตัดสินใจกดรับสาย ทั้งที่จริง ๆ แล้วการบ้านที่ต้องทําเยอะจะตายห่า แถมต้องจัดการใ ห้เสร็จ
ก่อนเข้าเรียนตอนเช้าอีก ได้ยินเสียงยูริดังผ่านโทรศัพท์มาฟังดูสดใสร่าเริงจนผมอดอิจฉาไม่ได้ ว่าเธอเคยมีเรื่องเครียดกับใครเขาบ้างรึเปล่า
"โน่เย็นนี้ว่างมั้ย" คิดแล้วเชียว ผมแอบขํากับโทรศัพท์ของไอ้โอมเล็กน้อย "เย็นนี้ก็ไม่มีอะไรครับ.." ตอบโดยเหมาเองเสร็จสรรพว่ าโอมคง
อยู่ดูชมรมให้ได้ แต่ก็ต้องหัวทิ่มไป เพราะโดนมันตบเอา ยูริส่งเสียงดังมาต่อ "ไปเดินเล่นกัน ยูอยากได้ของขวัญวันเกิดให้โต้ซังอะ ช่วย
เลือกหน่อยนะ" อืม... เหตุผลน่าไป (ยูริเรียกพ่อว่าโต้ซังครับ เพราะพ่อเธอเป็นชาวญี่ปุ่น) ผมรู้ว่าถ้าปล่อยยูริให้เลือกของเอง โต้ ซังมีแววจะได้
ที่ทับกระดาษลายคิตตี้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูง..
"ได้สิ ที่ไหนครับ" "เลิกเรียนเจอกันที่สยามนะโน่ เดี๋ยวยูเดินเล่นรอ" เธอนัดไว้แค่นั้นก่อนจะวางสายไป ผมคืนโทรศัพท์ให้โอม ได้ ยินเสียง
มันผิวปากแซวหวือ "เนื้อหอมนะมึงงง" เชี่ยไรของแม่งวะ.. ผมชักไม่ค่อยแน่ใจว่ามันรู้อะไรบ้าง *** พอเลิกเรียนผมรีบตรงไปหายูริที่
สยามทันที จนเมื่อถึงที่หมายและลงจากแท็กซี่แล้ว ผมก็คว้ามือถือกะจะโทรหา แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นร่างขาว ๆ นั้นกําลังเลือกขนมอยู่ ใน
au bon pain ซะก่อน เซอร์ไพร์สเล่นหน่อยดีกว่า... หึหึ ผมคิดแผนชั่วพลางค่อย ๆ ย่องเข้าไปในร้าน กะจะแกล้งจ๊ะเอ๋ให้ยูริร้องกรี๊ด
ๆ แสบแก้ ว หู เ ล่ น ในขณะที่ กํ า ลั ง ค่ อ ย ๆ ย่ อ งเข้ า ไปจนเกื อ บถึ ง ตั ว อี ก ฝ่ า ยอยู่ นั้ น เอง..... ยู ริ เ สื อ กหั น มาตะโกนใส่ ห น้ า ผมลั่ น
"แว๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" "เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!" ผิดแผนละ... เพราะไอ้คนร้องเสียงหลงดันกลายเป็นผมซะเอง อาย
เขาชิบหาย แอบเห็นพี่ ๆ พนักงานในร้าน แถมยังคนที่นั่งกินขนมปังอยู่กลั้นหัวเราะแทบแย่ "ตกใจหมดยูริ!!!!" ผมโวยใส่พลางลูบหน้า อก
ตัวเองเรียกขวัญยกใหญ่ แต่ยูริกลับชี้หน้าผมหัวเราะร่า เฮ้ย! โคตรอายเหอะ!!
"ฮ่า ๆๆๆ จะแกล้งยูอะเร็วไปสิบชาติ ฮ่า ๆๆๆๆ กินไรป่าวโน่ กําลังจะจ่ายเงินพอดี" แล้วใครจะไปกินครับ! รีบจ่ายรีบออกดีกว่า แทบมุดดิ น
หนีแล้วเนี่ย!! ยูริเห็นผมส่ายหัวเซ็ง ๆ อย่างนั้นก็หัวเราะร่าเริงทับถมกันอีกทีก่อนจะหันไปจ่ายตังค์ เธอถือถุง ของร้านออกมาพลางคล้อง
แขนลงกับผมฉับ "จะไปซื้อที่ไหนดีอะ โน่ช่วยคิดหน่อย" "อืม... ยูริอยากซื้ออะไรให้โต้ซังล่ะ" "อยากได้พวกของที่ใช้งานได้อะ ซื้อของใช้
สํานักงานให้ดีมั้ย" ภาพที่ทับกระดาษลายคิตตี้ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที.... "โน่ว่าผู้ชายเขาอยากได้อะไรอะ......." "ไม่ใช่ที่ทับกระดาษ
ลายคิตตี้แน่ ๆ" ผมรีบชิงพูด แต่พอถึงตรงนี้ ยูริกลับปล่อยมือจากแขนผมก่อนจะมองมาอย่างอึ้ง ๆ "รู้ได้ไง!!!!!!!!!!! กําลังคิดอ ยู่พอดี
เลย!!!!!!!!!!!!!!!!!" นั่นไง.... กูว่าแล้ว........... คิดถูกจริง ๆ ที่มาเป็นเพื่อน "หึหึหึ...." ผมหัวเราะขําขณะที่ยูริตีแขนผมไปมา "โน่บอกมา
เดี๋ยวนี้นะว่ารู้ได้ไง! อ่านใจยูออกเหรอ!!!" "หึหึหึ....." "โน่รู้ได้ยังไงอะ!!!?" "หึหึหึ....."
"โน๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" ก็ผมว่ายูริน่ะ เดาง่ายจะตาย หึหึหึ หลังจากที่ต กลงกันแล้วว่าจะไม่ซื้อที่ทับกระดาษลายคิตตี้ ยูริก็พาผมเดิน
วนรอบสยามซะขาแทบขวิด.. แต่ดูผิดประเด็นเล็กน้อย เพราะตอนนี้เราเข้ามาเลือกกระโปรงอยู่ในร้านเสื้อผ้าแถวซอยสี่... โต้ซังคงไม่ใส่
กระโปรงมั้ง.. "โน่ว่าตัวนี้น่ารักปะ" ยูริถามผมขึ้นขณะที่หยิบกระโปรงตัว หนึ่งมาทาบลองอยู่ "อือ น่ารักดี" แต่ผมไม่รู้จะตอบยังไง
เพราะว่าตัวไหนผมว่าก็เหมือน ๆ กัน "สั้นไปมะ" เธอยังคงถามต่อ "ก็สั้นนะ..." ถึงตรงนี้ยูริเริ่มพองแก้มป่องมองมาทางผมอย่า งงอน ๆ
แล้วครับ เสียงเล็กนั้นเริ่มกระเง้ากระงอด "ให้ใส่จริงเหรอ ไม่หวงหน่อยเหรอ..." มาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย.. ผมขําออกมาเบา ๆ "ก็ตัวยูริเอง
นี่ครับ ถ้าอยากใส่โน่จะห้ามได้ไง" "ไม่หวงเลยจริง ๆ ด้วย" เธอพึมพํากับตัวเองพลางทําไหล่ห่อ ดูแล้วน่ารักชะมัด เห็นดังนั้นผมเลยพูดต่อ
อีกซักหน่อย "ใส่ได้ แต่อย่ากลับบ้านดึก ๆ ก็พอ มั นอันตรายรู้มั้ย" แต่พอจบคํานี้ ยูริตาโตทันที "เป็นห่วงใช่มั้ย!?" เอ๋า.... ก็ผู้หญิงใส่
กระโปรงสั้น ๆ เดินกลับบ้านคนเดียว ในฐานะที่ผมเป็นผู้ชาย ผมรู้ดีว่ามันเสี่ยงต่ออะไร
แต่ไม่รู้ยูริคิดไปถึงไหน เธอยิ้มกว้างก่อนจะแขวนกระโปรงลงราวเดิมแล้วเอื้อมมากอดแขนผมแน่น(มาก) "โน่น่ารักจังเลยยยยยย" ทําเอา
ผมนิ่งไปเพราะตามไม่ทัน อ๋อ... สรุปว่าอยากให้เป็นห่วงใช่รึเปล่า.. อืม... แปลกดีนะ หลังเดินมือเปล่าออกมาจากร้านกระโปรง เราก็
เดินลัดเลาะสยามสแควร์เพื่อข้ามฝั่งไปสยามเซ็นเตอร์ ก่อนจะทะลุออกสยามดิส เพราะยูริบอกอยากดูของใน Loft ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
ว่าคนข้าง ๆ ผมจะมาซื้อของให้ตัวเองหรือซื้อให้โต้ซังกันแน่ เห็นจากที่สุดท้ายยูริได้ถุงผ้า กระเป๋าดินสอ แผ่นรองเม้าส์ และ ตุ๊กตุ่ นรองข้อมือ
มาอย่างละอัน... อืมม.. แล้วไหนล่ะ ของขวัญโต้ซัง ตอนยูริจ่ายตังค์ เธอหันมามองหน้าผมแหย ๆ "มีแต่ของยูเองอะ ทําไงดี" ทําเอาผม
หลุดขํา "ก็เตือนแล้วว่าอย่ามาที่นี่" ยูริพยักหน้ารับคําผมอย่างปลง ๆ พลางหยิบเอาถุงสีเหลืองอ๋อยที่จ่ายเงินแล้วจากพนักงานมา "งั้น
ไปไหนดีอะ..." เธอบ่นกับตัวเองเสียงเบา ขณะที่ผมรับถุงสีเหลืองนั้นมาเก็บไว้ในถุงแฮรอดของยูริที่อาสาถือให้คู่กับกระเป๋านักเรียน ใบหน้า
ขาวนั้นดูครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง "ไปเซ็นทรัลกันนะ ดูของในเซ็นทรัลคงไม่มีอะไรยั่วยูเท่าไหร่" อืม มีเหตุผล ผมคิดแล้วว่า
มาสยามคงไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ลองก้มมองนาฬิกาข้อมือตัว เองดู ก็เห็นบอกเวลาห้าโมงกว่า นับว่าเย็นแล้วแต่ยังพอมีเวลา ผมจึงพยักหน้ารับ
ก่อนที่เราสองคนจะต่อรถไฟฟ้าไปเซ็นทรัลชิดลมกันแทน ที่เซ็นทรัลชิดลมดูจะได้เรื่องกว่าจริง ๆ เพราะมีแต่ของผู้ใหญ่ วัยรุ่นอย่ างยูริเลย
หน้าเซ็งลงไปหน่อย แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าอยากซื้อของให้โต้ซังก็ต้องบรรยากาศแบบนี้จึงจะถูก ผมอมยิ้มกับท่าทางจริงจังนั้นของยูริ
ระหว่างกําลังเลือกว่าจะซื้อเข็มกลัดเนคไทค์ หรือ นาฬิกาให้คุณพ่อสัญชาติญี่ปุ่นของเธอดี "โน่ว่าอันนี้สวยปะ" เธอหยิบเข็มกลัด เนคไทค์ดู
ภูมิฐานมาอันหนึ่งให้ผมช่วยดู "สวยดีนะ" "แล้วนาฬิกานี่ล่ะ" แล้วก็ยกนาฬิกาขึ้นมาเทียบอีกเรือน ถึงตรงนี้ผมเริ่มเขว "เลือกยาก
แหะ..." ตอบไม่ถูกจริง ๆ เพราะถึงนาฬิกาจะแพงกว่า แต่ก็สวยน่าดูเหมือนกัน ยูริถอนหายใจแรง "เฮ้อ..... เป็นโน่อยากได้อะไรอะ" เ ธอ
ถามพลางเงยหน้ามาขอความคิดเห็นจากผมเหมือนอยากอ้อน ผมยิ้มให้ท่าทางแบบนั้น "ถ้าเป็นโน่ โน่อยากได้นาฬิกา แต่พ่อยูริ โน่ไม่รู้
เหมือนกัน" "งั้นยูซื้อเข็มกลัดให้โต้ซัง แล้วซื้อนาฬิกาให้โน่ดีกว่า" เฮ้ยยยย!! เธอเหมาเองเสร็จสรรพ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ยอมแน่ ๆ เป็น
เสียอย่างนั้นจึงต้องรีบปราม "อย่าาา ทําอย่างนี้สิครับยูริ.... ไม่เอานะ แพงไป" แต่พอได้ยิน ยูริก็ยิ่งทําหน้าบู้ "ก็อยากซื้อให้โน่ด้วยนี่" ผมจึง
ต้องเปลี่ยนจากดุเป็นปลอบ "ไม่เอาครับ วันนี้มาซื้อของให้โต้ซังนะ" เพราะอย่างนั้นท่าทางยูริจึงได้อ่อนลง เธอพยักหน้ารับก่อนจะยื่ นเข็ม
กลัดเนคไทค์ไปให้พนักงานคิดเงิน รอเพียงไม่นานเราก็ได้เข็มกลัดเน็คไทค์บรรจุในกล่องสวยงามมา ยูริยิ้มร่าเหมือนเด็ก ๆ "หิวแล้วล่ะ ไป
หาอะไรกินกันเถอะ" เธอว่าพลางรับของที่ห่อเรียบร้อยแล้วจากพนักงาน ก่อนจะหันมาชูของขวัญโชว์ผมหรา อืม... หิวเหมือนกัน กระเพาะ
เริ่มส่งเสียงร้องประท้วงว่าหิว
แล้วด้วยสิ เราสองคนจึงมาลงเอยที่มอสเบอร์เกอร์ชั้นใต้ดินตามฟอร์ม.. ยูริติดมอสเบอร์เกอร์มากครับ ไม่รู้ร้านนี้แอบผสมยาบ้าเข้ าไปรึ
เปล่า เพราะถ้าผมไปสยามกับยูริสองคน เธอก็ชอบพาผมข้ามไปกินในพาราก้อนประจํา หรือถ้าเป็นสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีสาขาในพาราก้อน
ยูริก็ถึงขนาดพาผมเดินจากสยามไปยันเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อกินเลยก็มี เห็นว่าโต้ซังของเธอก็ชอบ ผมเองก็ชอบเหมือนกันนะ ให้เนื้อเยอะ ขนมปัง
ก็หวาน เสียอย่างเดียวที่มันใหญ่ไปหน่อย เห็นยูริกินทีไรก็เปื้อนปากไปหมดทุกที "นั่น.... เลอะหมดแล้ว หึหึหึ" ผมว่าพลางยื่นทิชชู่ให้คนที่
นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นยูริทําหน้าหรอหราก่อนจะรับไปซับ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเช็ดออกไม่หมดอยู่ดี เห็นดังนั้นผมจึงช่วยดูให้ "ขวาอีก
หน่อยยูริ ขึ้นไปหน่อยครับ ไม่ ๆ ลงมา ขวาอีกนิด อีกนิด.. เฮ้ออ มานี่ ผมเช็ดให้" ลุ้นจนเหนื่อย ผมว่าผมจัดการเองดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็หันไป
หยิบทิชชู่อีกแผ่นจัดแจงเช็ดให้เองอย่างเบามือ (มั้ง) "อื้อ.. เบา ๆ หน่อยสิโน่ ถูแรงหวยก็ไม่ขึ้นหรอก" อ้าวเหรอ ตกลงว่าคงแรงเกิน ผมจึง
ปรับระดับความเบาลงไปอีก ทีนี้หน้ายูดูเกลี้ยงขึ้นเยอะ แต่........................... ไ อ้คนที่ยืนมองผมตาค้างหน้าเค้าท์เตอร์นั่นคุ้นชิบหาย
"ปุณณ์......" ผมเผลอเรียกชื่อมันเบา ๆ พลางชักมือกลับจากกิจกรรมที่กําลังทําอยู่ จนยูริต้องหันไปมองด้วยอีกคน "อ้าวปุณณ์! มานั่งนี่สิ!"
เฮ้ย!!! อย่าไปเรียก!!!! แต่ไม่ทันแล้ววว ยูริกวักมือยิกขณะที่ปุณณ์ก็ว่าง่าย เดินเข้ามาแต่โดยดี มันมองหน้าผมแปลก ๆ ขณะที่ผมมองมันได้ไม่
นานก็ต้องหลบตา ไม่รู้จะสั่นทําไมเหมือนกัน รู้แต่ว่ากลัว กลัวปุณณ์เสียใจ.... ทั้งที่ก็เถียงกับตัวเองไปด้วยว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
ปุณณ์เดินมาบีบไหล่ผมเบา ๆ หนึ่งที แต่ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร "นัดเอมไว้เหรอปุณณ์" เสียงยูริเจื้อยแจ้วถามถึงเพื่อนเธออีกคน
หนึ่ง ดูท่าทางปุณณ์อึกอักไป "เอ่อ... เปล่า.... ไม่ได้นัดกับเอม" มันลงมานั่งข้างผม พลางมองหน้าผมไปด้วย "อ้าว แล้วมาถึง นี่ทําไม" ยูริ
ยังคงถามต่อ ส่วนผมเงียบสนิท เหล่ตามองปุณณ์เป็นระยะ แปลกที่เห็นหน้ามันยังดูสดใสดี "มารับน้องน่ะ นัดกันไว้" "น้องแป้งเหรอ"
ผมถามขึ้น เห็นมันพยักหน้ายิ้ม ๆ... ชิบหายแล้วไง...... ผมลืมว่าโรงเรียนน้องแป้งอยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลชิดลมนี้เอง "นัดกี่โมง ที่ ไหนวะ" ผม
ถามต่อเสียงอ่อยพลางคิดล่วงหน้าในใจว่าถ้าน้องแป้งมาเห็นตอนนี้ล่ะแย่แน่ แต่ปุณณ์กลับดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลยสักนิด "หกโมง หน้า
ประตูโรงเรียน อ๊ะ ขอบคุณครับ" มันยังตอบไม่ทันเสร็จดี พี่พนักงานก็เดินเอาเมนูที่ปุณณ์สั่งแบบกลับบ้านไว้มาให้ก่อน ผมมองถุงพลาสติ กใบ
โตนั่น พลางคิดเดาว่าปุณณ์คงสั่งเผื่อน้องแป้งด้วย มันเช็คของในถุงก่อนจะเงยหน้ามาพูดยิ้ม ๆ "งั้นผมไปรับน้องก่อนนะ แล้วเจอกัน"
ประโยคหลังมันหันมาพูดกับผมก่อนจะลุกขึ้นโบกมือลา ยูริก็โบกด้วย แต่ไม่วายทําหน้าหงิกออกมาเมื่อลับตาปุณณ์ "ปุณณ์โกหก...." เป็ น
เพราะอยู่ดี ๆ ยูริก็พูดคํานั้น ผมจึงได้แต่เหวอไป "อ้าว ทําไมพูดงั้นล่ะ"
เธอเบ้หน้าก่อนจะดูดนํ้าพันช์ในแก้วตัวเอง พลางพูดว่า "ก็วันนี้ปุณณ์บอกเอมว่าไม่ว่างดูหนังด้วย มีธุระสําคัญ... ที่แท้มาจีบสาวอยู่ ชิดลม
นี่เอง" ผมรีบช่วยมันแก้ตัวเป็นพัลวัน "เฮ้ย น้องมันเรียนอยู่ที่นี่จริง ๆ" แต่ดูเหมือนยูริจะไม่ยอมฟังแล้ว ใบหน้าใสนั้นยังคงงอหงิก "หลัง
ๆ มานี้ปุณณ์เป็นแบบนี้บ่อย.. ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่อง" ผมรู้ดีว่าเรื่องอะไร และก็คิดว่าตัวเองรู้ ว่าปุณณ์เป็นอะไร.... ในใจเกือบจะรู้สึกผิดอยู่แล้ว
ถ้าเรื่องเอมที่ระยองไม่ได้ผุดขึ้นมาในหัวเสียก่อน "สงสารเอม ไม่น่ายอมปุณณ์เลยจริง ๆ" เสียงยูริยังคงพูดต่อ แต่สิ่งที่ผมทําคือ แค่กินเบอร์
เกอร์ในมือต่อไปนิ่ง ๆ ถึงแม้จะอยากหัวเราะออกมาก็ตาม "เรื่องบางเรื่องก็โทษแต่พวกเราผู้ชายไม่ได้หรอกนะยูริ" ถึงตรงนี้ ใบหน้า
ขาวของคู่สนทนาจ้องผมนิ่งเหมือนอยากเถียง แต่ผมเพียงส่ายหน้ากลับ เพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว เพื่อนใคร ใครก็รัก ยูริ
อาจจะรักเพื่อนเธอ ผมเองก็รักปุณณ์เหมือนกัน

36th.1 CHAOS
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมก็รู้ชะตากรรมตัวเองแน่แล้ว.... เพราะที่บ้านไม่มีทางมีรองเท้าหนังหัวแหลมวางอยู่สิบคู่เป็นตับอย่างนี้แน่นอน ไอ้
มหกรรมรองเท้าเต็มหน้าบ้านอย่างนี้ก็มีแต่............. "ไอ้เชี่ย พวกมึงไม่คิดจะบอกเจ้าของบ้านก่อนเลยใช่มะ ว่าจะมา" ผมตะโกนด่าเข้าไป
ขณะที่ถอดรองเท้าตัวเองเพิ่มปริมาณอยู่ ได้ยินเสียงไอ้พวกเวรหัวเราะกันดังลั่นหลังจากรวมหัวหุบปากเงียบรอเซอร์ไพร์สผม
มานาน ไอ้เก่งตบหัวไอ้ปาล์มฉาดใหญ่ "ก็กูบอกแล้วให้มึงอะไปเก็บรองเท้าก่อน เยอะงั้นไอ้โน่มันก็รู้ดิวะ!" แต่คนโดนตบกลับทําหน้ าเหวอ
"ไอ้เชี่ยยย มึงเนียนนะ! คนบอกอะกู มึงนั่นแหละไม่ไป!!!" แล้วหัวไอ้เก่งก็โดนไอ้ปาล์มตบกลับอีกสองที เป็นอันว่าหายกัน.. เออ ดี.. เอาเข้าไป
บ้านกูถล่มอีกตามเคย ผมส่ายหน้าขําพวกมัน พลางพยายามกะเกณฑ์จากสายตาก็พบว่าคงมากกว่าสิบ ตรงนั้นที่ล้อมหม้อสุกี้อยู่มีไอ้เก่ง
ไอ้ปาล์ม ไอ้คม ไอ้พ้ง ไอ้เอ็ม ส่วนที่เล่นเกมหน้าทีวีมีไอ้โอม ไอ้เป้อ ไอ้น็อต นั่งอยู่ แล้วยังแว่ว ๆ เสียงไอ้โด่ง ไอ้รถเก๋ง ไอ้เคน อีก ที่ดังมาจาก
ครัว จับใจความได้ว่ากําลังง่วนกับการทํายําวุ้นเส้นอยู่ สรุปนับรวมได้ อืม.... สิบเอ็ดคนครับ ยังไม่ทําลายสถิติ (มากที่สุดคือสิบ เจ็ด เมื่อปีใหม่
ที่แล้ว บ้านเกือบแตกครับ) "ใครเป็นสายรายงานพวกมึงอีก ล่ะ ว่าป๊าม๊ากูไม่อยู่" เพราะของแบบนี้ไม่มีทางนั่งญาณได้เองแน่ ๆ ซึ่งจริง ๆ
แล้วแค่ถามเป็นมารยาทไปอย่างนั้นเอง เพราะผมรู้คําตอบดีว่าใคร "พี่อิมมมมมมมมม สุดที่รักของกู ~~~~~~~~~" ว่าแล้ววววว -_-"......
พี่อิมชอบไอ้โอมมากครับ ไม่รู้ราหูดลใจ หรือทําเวรกรรมอะไรร่วมกันมา เพราะทุกครั้งที่น้องโอมของพี่อิมมาเที่ยวบ้าน ผมจะรู้สึกว่าบ้าน
ตัวเองมีขนมเยอะผิดหูผิดตา (นี่ถ้าไอ้โอมไม่มา ผมจะได้กินมั้ย) แล้วแถมเวลาป๊าม๊าไม่อยู่ (บางทีเขาต้องไปเช็คโรงงานที่ต่างจังหวัด ต้องค้าง
หลาย ๆ คื น ครั บ ) ก็ เ ป็ น พี่ อิ ม อี ก นั่ น แหละ ที่ ช อบโทรบอกไอ้ โ อม พากั น นั ด แนะให้ มั น มาถล่ ม บ้ า นผมตลอด จํ า ไว้ เ ลยนะ
พี่อิมมมมมมมมมมมมมมมม!! ผมส่ายหัวหน่ายพลางโยนกระเป๋านักเรียนลงพื้น (โซฟาไม่ว่างแล้วตอนนี้) แอบเห็นว่าไอ้ตัวดีคนไหนซักคน
ยกเอาเครื่อง ps3 ของผมลงมาต่อทีวีข้างล่าง แล้วก็ไม่รู้ไอ้ตัวดีตัวไหนอีกเหมือนกัน ที่มันยกหม้อสุกี้ออกมาต้มกินกันหอมฉุยแล้วตอนนี้
เออดี! เพราะถึงจะกินอะไรมาแล้ว แต่พอได้กลิ่นอีกก็หิวอีกที ผมสะบัดถุงเท้าออกพลางล้มตัวนั่งในวงสุกี้ ข้างไอ้พ้งทันที "แดกได้ ยังวะ
กูหิว" "เดี๋ยวดิ่! หมูยังไม่สุก.. เชี่ยโอมบอกมึงไปเดท กูนึกว่าจะกลับดึกกว่านี้" ไอ้พ้งว่าพลางแง้มฝาหม้อดูให้ควันฉุยขึ้นมาเล่น ๆ ขณะที่ไอ้
ปาล์มหันไปหยิบอาวุธเป็นชามและตะเกียบยื่นมาให้ ผมเพิ่งสังเกตว่าพวกมันใส่เส้นมาม่าลงไปด้วย เล่นหนักจริงนะมึง "เดทเชี่ยไร กู ไปซื้อ
ของเป็นเพื่อนยูริเฉย ๆ" "ก็นั่นแหละเดท กลับเร็วนะมึง แฟนไม่เร้าใจรึไง" แต่ปากเสียงี้เลยโดนฝ่าตีนผมยันเข้าเต็มเข่าเลยครับไอ้เอ็ม ผม
เอาตะเกียบชี้หน้ามันให้หยุดพูด ก่อนจะยกฝาหม้อสุกี้ดูอีกที ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ยังกินไม่ได้ เสียงไอ้โอมรีบเห่าหอนมารับช่วงต่อจากไอ้เอ็ม "ยู
ริเค้าออกจะน่ารัก มึงบอกไม่เร้าใจได้ไง เพื่อนเราปกตินะเว่ยยยยย" เสียงมันกวนประสาทจริง ๆ ครับ ผมเหล่มองไอ้ตัวต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกล
เท่าไหร่ แค่หน้าทีวีนี้เอง แต่ยิ่งเห็นแม่งหัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วก็ยิ่งนึกอยากเดินไปสับคัทเอ้าท์ไฟขึ้นมาตะหงิด ๆ ให้มันเดือดร้อน เล่นดูซักที
"เดี๊ยะเหอะเมิง กูแช่งให้ได้กะน้องปลาคาร์ฟ" ผมจึงเลือกปล่อยท่าไม้ตายครับ แค่คํานี้ ทําเอาไอ้โอมจอยเกมหลุดมือทันที ฮ่า ๆๆ "ไอ้
สาดดดดดดดดดดดดดดดดดด มึงแช่งกูสอบตกทุกวิชายังรู้สึกดีซะกว่า" มันลุกขึ้นโวยเสียงดังจนเพื่อน ๆ ยังงง ยิ่งไอ้โด่ง ไอ้รถเก๋ง ไอ้เ คน ที่
เพิ่งถือจานยํามั่วของมันมาสมทบแล้วยิ่งงงใหญ่ "อะไร ทําไมอยู่ดี ๆ ไอ้โอมอยากสอบตกทุกวิชา" โด่งถามพลางวางจานยําจานที่หนึ่งลง
กับพื้นในวงสุกี้
"จริง ๆ ไม่แช่ง แม่งก็ตกอยู่แล้วป่าววะ" รถเก๋งพูดต่อ พร้อมด้วยยําจานที่สองกลางวงสุกี้ "น้องปลาคาร์ฟว่าที่เมียมึ งใช่มะ กูเคยเห็น
แล้ว" ไอ้เคนปิดท้าย ก่อนจะสูดวุ้นเส้นในจานยําของตัวเองแล้ววางลงกลางวงเป็นคนสุดท้าย แน่นอนว่าหน้าไอ้โอมตอนนี้บอกบุญไม่รับ
อย่างโคตร ๆๆ มันจิ๊ปากส่งเสียงหงุดหงิดทําทีเป็นไม่ฟังพวกผม หึหึหึ ไม่รู้เพราะกําลังแข่งรถแพ้ไอ้เป้อหรือพวกผมแทงใจดํ ามันกันแน่.. น้อง
ปลาคาร์ฟเป็นน้องโรงเรียนตรงข้ามผมนี่ล่ะครับ แต่ไม่รู้เกิดอาเพศอะไรมาหลงเสน่ห์ไอ้โอมได้ (ตาบอดโคตร ๆ ผมว่าผมหล่อกว่าตั้งเยอะ)
น้องเขาตามตื้อโอมมาสามสี่เดือนละ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดไฟ จริง ๆ แล้วเขาชื่อน้องแนน แต่พวกผมเรียกน้องปลาคาร์ฟเป็ นโค้ดลับ
อย่าถามว่าเพราะอะไรนะครับ ก็เดี๋ยวมันไม่เป็นความลับ หึหึหึ พวกเราคุยกันถึงน้องปลาคาร์ฟได้แป๊บนึง เสียงไอ้เป้อก็ดังแหวขึ้น มา
"พี่โอมเขาไม่สนใจปลาคาร์ฟหรอก เขาชอบ หนู---------------" ด้วยประโยคนี้ทําเอาพวกผมหันควับ! พอมองไปหน้าทีวีก็เห็นไอ้โ อมจ้องไอ้เป้อ
เขม็งอยู่เหมือนกัน "หนูไหนวะเป้อ!!! มึงพูดต่อออ! เชี่ยโอมแม่งดีแต่แซวคนอื่น วันนี้กูจะล้วงให้ถึงรูตูดเลย" เสียงไอ้รถเก๋งค าดโทษอย่าง
โคตรคะนอง แต่ไอ้โอมรีบเข่นเขี้ยวขู่ "ถ้ามึงพูดนะไอ้เป้อ........" พอจบคํานี้ผมก็ไม่รู้แล้วไอ้เป้อมันซื่อหรือแกล้งโง่กันแน่ เพราะมันหันไป
ถามโอมกลับทันควัน "อ้าวพูดไม่ได้เหรอพี่ เรื่องน้องมิกกี้เม้าส์อะ?" เชี่ยโอม!!!!!!!! น้องมิกกี้ที่เพิ่งสมัครเข้าวงเมื่อต้นเทอมครับ!!!!!!! น้อง
อยู่ม.3 น่ารักโคตรของโคตรของโคตรของโคตร จนไอ้ฟิล์มถึงขนาดลั่นวาจาไว้ว่าใครก็ตามห้ามแตะ! แต่อุตส่าห์ไว้ใจไอ้โอมให้เป็นคนช่วยสอน
ฮอร์นน้องเขา ก็เสือกมีซัมธิงรองกันซะงั้น!?
"ไอ้โอม!!! มึงทําไรน้องมิก!!!!!!" ผมตะโกนถามมันด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพรุ่นน้อง เห็นผู้ต้องสงสัยรีบส่ายหน้าพรืดอย่างมีพิรุธโคตร ๆ
"กูปล่าวทํา!!!!!!!!!!!!!!!!!!" "น้องเค้าชอบพี่โอมอะพี่โน่!!!!!!!!!" หืม ไอ้เป้อวันนี้มึงน่ารักมาก! ผมคิดว่าจะอนุญาตให้มันโดดซ้อมได้อาทิตย์ละ 2
ครั้งตามโควต้าที่มันขอ เพราะวันนี้มันทําตัวถูกใจดีจริง ๆ หึหึหึ "เชี่ยโอมมึงทําเสน่ห์ยาแฝด" เสียงไอ้เคนตะโกนไป ได้รับเป็น นิ้วกลางของ
โอมชูกลับมาแทน "เอาจริง ๆ น้องเค้าชอบมึงเหรอวะ คนจีบโคตรเยอะเลยนะนั่น กูไม่ได้เป็นเกย์กูยังชอบเลย น้องแม่งน่ารักชิบหาย" ไอ้
คมพู ดต่ ออย่ า งอึ้ ง ๆ ตอนนี้หม้ อสุ กี้ไ ม่มี คนสนใจแล้ว ครับ มองกัน แต่ หลั ง ไอ้ โ อมที่ ไม่ ย อมหั นหน้ ามาสบตาคุย กับพวกผมซักที "ไม่
รูว้ ้อยยยยยย" แต่แม่งไอ้ห่านี่มีไรโวยวายไว้ก่อน ไอ้เป้อยังคงทําหน้าที่ตัวแฉของมันต่อไป "ผมเห็นพี่โอมกอดน้องมิกด้วยเหอะ คอยดู จะ
ฟ้องพี่ฟิล์ม" เฮ้ย!! เรื่องใหญ่!!! ไอ้เป้อ! มึงพูดอีก!!! "เชี่ยเป้อ!! มึงแอบดูพวกกูเหรอ!" ถึงตอนนี้ผมเห็นไอ้โอมเริ่มโชว์เ ขาออกมาทีละนิดแล้ว
ครับ ไอ้เป้อรีบโบกมือว่อน "ป่าวพี่!!!!!! วันนั้นผมลืมโน้ตเพลงไว้พอดี จะกลับไปเอา แต่เจอฉากเด็ดก่อนเลยทิ้งเนื้อเพลงไว้งั้น ตอนเช้าเลย
เล่นไม่ได้ไง เช้านั้นที่พี่โน่ด่าผมเรื่องเพลงมาร์ชอ่ะแหละ" อ๋ออออ เรื่องนี้ผมจําได้แล้ว เพราะกําชับไว้ดิบ ดีให้ไอ้เป้อไปซ้อมมาดี ๆ แต่ตอนเช้า
มันเสือกไม่ได้ซ้อมซะงั้น ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เฮ้ย!!! เรื่องมันเพิ่งเมื่อวานซืนเองนี่หว่า!!!!!!!!!!
"ไอ้เป้อ มึงทําเป็นเผากู ของมึงกับน้องมาวินนะ.... กูเห็น" พอมาถึงจุดวิกฤติ ไอ้โอมก็เริ่มเบี่ยงประเด็น โยนขี้ไปให้ไอ้เป้อแทนแล้วครับ เอา
วะวันนี้ ช่วงแฉรอบวง "ผมกับวินอะไรพี่? เพื่อนกันเหอะ" คนถูกแฉรายต่อมาบอกปัดยกใหญ่ แต่ผมรู้จักน้องมาวินครับ เห็นเป้อบอกเป็น
เพื่อนกันตั้งแต่เด็ก แต่น้องวินเขาดูเรียบร้อยเป็นผู้เป็นคนกว่าไอ้เป้อเย้ออ รู้มาว่าพ่อน้องเขาเป็นนายทหารใหญ่ก็เลยค่อนข้างเข้มงวด ไม่รู้
ปล่อยให้ลูกชายมาคบกับกุ๊ยอย่างไอ้เป้อเป็นเพื่อนสนิทได้ไง ฮ่า ๆๆ "มึงอย่ามา วันก่อนน้องมาวินร้องไห้ กูปลอบอยู่ มึงนะใจร้ายกับเขา"
"ใช่พี่ ไอ้เป้อแม่งโคตรใจร้ายอะ พอวินมาใกล้ ๆ ก็ด่ารําคาญ พอวินมันหายไปก็วิ่งไปง้อถึงบ้าน" ไอ้น็อตที่นั่งเงียบมานานเริ่มผสมโรงแฉเพื่อน
ตัวเองอีกคน จนตอนนี้หูไอ้เป้อจากดํา ๆ (ตัวมันขาว แต่มันหน้าม่อครับ หูเลยดํา ฮ่า ๆ) กลายเป็นสีแดงเหมือนเสกได้ทันตา ผมเลยขอ
ร่วมวงด้วยคน "อะไรเป้อ ปุณณ์บอกเจอมึงกินข้าวกลางวันที่คอนแวนต์ตลอด มึงจะเอาแบบไหนกันแน่" แต่เสือกเผลอพูดชื่อบุคคลต้องห้าม
ซะงั้น!?... ชิบหายแล้วไง ขว้างงูไม่พ้นคอจนได้ ประเด็นไอ้เป้อยังไม่ทันจบ ไอ้โอมหันมาทําหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ผมทันที "เออ คงเหมือนไอ้ปุณณ์
อะ แดกข้าวกลางวันคอนแวนต์ แต่เช้าเย็นอยู่กับมึง........ กูรู้นะ เรื่องหน้าตึกฟ.อะ" เชี่ยแม่ง!!!!!! กูว่าแล้วต้องถึงหูไอ้โอม แม่งเล่นตะโกน
ขนาดนั้น ตอนนี้เพื่อนคนอื่นเริ่มสนใจประเด็นผมกับไอ้ปุณณ์แทนแล้วครับ "ยังไงวะ ๆๆ" ไอ้เก่งไม่ถามเปล่ายังเอากระบวยมาเคาะพื้น อีก
เชี่ย เดี๋ยวพื้นเป็นรอย ผมรีบฉกกระบวยจากมือมันมาเคาะหัวเหม่ง ๆ ของแม่ง แทน ก่อนจะคว้าเบียร์ลังนึงที่ตั้งอยู่บนพื้นไปห้องครัวทันที
"กูแช่เบียร์ให้นะ พวกมึงวางไว้งี้เดี๋ยวไม่เย็น"
"เชี่ย มึงแม่งหนี!!!!!!!!!!" "กูแค่จะไปแช่เบียร์!!!!!!!!!!!!!!" ไม่ฟังแล้วครับมันจะด่าอะไร ผมรีบชิ่งไปกบดานในห้องครัวก่อนดี กว่าาาาาาา
*** ผมใช้เวลาพักหนึ่งสิงอยู่ในห้องครัว (รอจนกว่าพวกมันจะลืมก่อน) แช่เบียร์เข้า เอาเบียร์ออก แช่เบียร์ใหม่ เอาเบียร์ออกมา อีก เอา
เข้าเอาออกอยู่อย่างนั้น (เพื่อไรวะ) หรือไม่ก็ทําเป็นจัดขวดนํ้า ขวดเบียร์ ขวดนมต่าง ๆ ให้เข้าที่ (ทั้งที่พี่แอนจัดเป็นระเบีย บอยู่แล้ว) เฮ้อ....
มันเลิกพูดถึงเรื่องนั้นยังวะ? ผมเดินไปเดินมา แล้วก็ได้ไอเดียใหม่ว่าหั่นมะนาวกับเทเกลือเตรียมออกไปให้พวกมันเลยดีกว่า เพราะเห็นมี
ขวดวอดก้ามาด้วย อืม... เข้าท่าแฮะ แบบนี้จะได้อยู่ในครัวนานขึ้นอีกหน่อย (หึหึ) ผมคิดได้ดังนั้นก็หยิบเอามีด เขียง กับมะนาวในตู้เย็น
ออกมาทันที แต่ด้วยความที่ไม่เคยทํา.... มะนาวมันต้องหั่นยังไงวะ? ต้องเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน ตามยาวหรือตามขวาง (แต่แม่งก็กลม
ๆ หมดนี่หว่า) งงว่ะ??? ผมกลับมะนาวไปกลับมะนาวมาอย่างมึน ๆ แถมพอหั่นลงไปที นํ้าก็พุ่งปรี๊ดด ออกมาอีก เฮ้ย!! เข้าตา!! แสบว่ะ!!!
ขณะที่กําลังหันรีหันขวางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดตาอยู่นั้นเอง หูก็ดันแว่ว ๆ ได้ยินเสียงประหลาด นอกจากเสียงโวยวายของไอ้พวกกลางบ้าน
แล้ว ยังมีเสียงเครื่องยนต์รถกําลังจอดอีก... ใครแม่งมาเพิ่มวะ แค่นี้ยังถล่มบ้านกูกันไม่พอรึไง ผมคิดสงสัย แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ (เพราะ
กําลังแสบตามากกว่า) แต่ระหว่างกําลังตัดสินใจได้ว่า เช็ดยังไงคงไม่หายแสบ สู้ไปล้างตาในห้องนํ้าจะแลดูฉลาดกว่า อยู่นั้นเอง.... สายตาปรือ
ๆ ของผมก็เหลือบไป
เห็น........ สิ่งที่ทําผมตกใจได้พอ ๆ กับผีเสียก่อน "เช็ดแรงงั้นเดี๋ยวก็ตาแดงหรอก" เสียงที่คุ้นหูผมดีดังขึ้นอยู่ตรงหน้า พลางพยายามปรี่เข้า
มาช่วยพาผมไปห้องนํ้า ในขณะที่ผมกําลังคิดว่ามันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง ก็รู้สึกถึงนํ้าเย็น ๆ กําลังถูกวักเข้าหน้าเสียก่ อน "ต้องถูเบา ๆ อย่างนี้
... เอามือออกสิ" เสียงนั้นยังคงสั่งให้ผมเอามือลง (ก็บ้าจี้ทําตามอีก) ก่อนจะช่วยลูบให้อย่างเบา ๆ จนอาการแสบตาเริ่มหายไป ผมจึง
กระพริบเปลือกตาถี่ ๆ เพื่อไล่นํ้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยซับหยดนํ้าออกให้อย่างเบามือ "หั่นมะนาวแค่นี้ก็ไม่เป็น หึหึ... อดตาย
แน่มึง" อ้าวไอ้ห่า แค่นี้ต้องด่ากูด้วย กูไม่ใช่แม่บ้านนะถึงจะได้ทําเป็น ผมเอียงคอมองไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าอย่างเอา
เรื่อง "มึงมาได้ไงเนี่ย" "แท็กซี่" "ไอ้ห่า.... กูหมายความว่า........" ถึงตรงนี้ไม่รู้จะถามยังไงให้ไม่น่าเกลียดแล้วว่ะครับ "หมายความ
ว่ากูจะมาทําไมใช่ปะ... เออ งั้นกลับก็ได้" อ้าววววว ซะงั้น ว่าแล้วต้องโดนแบบนี้ ผมเกาหัวแกรกเพราะเห็นมันหันหลังกลับทําท่าจะเดิ น
ออกไปจริง ๆ แล้วทุกอย่างก็เร็วกว่าใจคิด เมื่อมือผมเอื้อมไปรั้งมันไว้ทันที เพียงแค่นั้น ไอ้คนที่ว่าจะกลับตะกี้ดันหยุดกึก โดยไม่มีการปัด
ป้องใด ๆ.... โด่เอ๊ย!! มึงรอให้กูรั้งอยู่ก็บอกเหอะไอ้ปุณณณณณ์!!! "มีไร..." มันยังมีหน้ามาถาม
ผมทําหน้าเซ็งเพราะรู้สึกว่าแพ้ทางมัน ก่อนจะพูด "เอาผ้าเช็ดหน้ากลับไปด้วย" ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สะใจว๊อยยย สิ้นคําปุ๊บ ปุณณ์ก็
หันกลับมาทําหน้าเหวี่ยงใส่ผมทันที แน่นอนว่าผมยักคิ้วกวนตีนกลับ มันคงเห็นอย่างนั้นเลยเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างงงมาให้ผมอย่างมีเลศนั ยแทน
"ไล่ก็ไม่กลับว่ะ หึหึหึ มาแล้วต้องอยู่ให้ถึงที่สุด" มันว่างั้นก่อนจะเดินนําผมเข้าไปในครัว เพื่อจัดแจงช่วยหั่นลูกมะนาวให้ต่อ เพิ่งรู้ว่าไอ้คุณหนู
นี่คล่องชิบหาย หั่นเหมือนเป็นเรื่องกล้วย ๆ จนผมเองยังงง "มึงไปฝึกหั่นมะนาวมาจากไหนวะ" "ไอ้เชี่ย ใคร ๆ เขาก็ทําเป็นกัน กูต้อง
ถามมึงมากกว่าว่าไปอยู่ไหนมา หั่นมะนาวไม่เป็น" อ้าววววววววว เสียหมาอีกกู โดนคุณหนูอย่างไอ้ปุณณ์พูดงี้แล้วแทบอยากเอาหัวมุดกระทะ
แต่ระหว่างที่กําลังมองหาว่ากระทะอยู่ไหนนั้นเอง เสียงไอ้ปุณณ์ก็หัวเราะหึหึดังขึ้นซะก่อน "ล้อเล่นน กูเป็นลูกมือช่วยแป้งทําครัวบ่อยอะ
เรื่องหั่น ๆ กูต้องทําให้น้อง ไม่งั้นได้มีเด็กเสียเลือดแน่" มันเฉลยพลางยิ้มละมุน ปุณณ์มักจะยิ้มอย่างนี้เสมอเวลาพูดถึงน้องแป้ง ไม่ต้องบอกก็รู้
ว่าหมอนี่รักน้องสาวมากขนาดไหน ผมพยักหน้ารับคํามัน "วันหลังแบ่งของที่น้องแป้งทํามากินมั่งเด่ะ อยากชิม" ว่าแล้วก็จัดแจงปีนขึ้ นไป
นั่งบนเค้าเตอร์เตรียมอาหารดีกว่า (มุมประจําของพี่แอนพี่อิมครับ) ผมปีนขึ้นไปนั่งพลางคว้าเอาครัวซองค์ในตระกร้าขนมมากัด เพราะพอพูด
ถึงของกิน ก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที อ่า... (กระเพาะผมคงทํางานดีเกินไปว่ะ) ปุณณ์ยิ้มพลางเดินไปหามะนาวมาหั่นเพิ่ม เพราะดูท่าทางไม่พอ
พวกข้างนอก "มึงได้ท้องเสียแน่ กูกินเองกูยังป่วยเลย" เออ ไอ้นี่... เผาน้องตัวเองก็เป็น ผมหัวเราะขําพลางยัดครัวซองก์คําสุดท้ายเข้าปาก
แต่ดูท่าทางมันคงใหญ่ไปนิด (ไม่นิดมั้ง) เลยทุลักทุเลเอา
การในการเคี้ยว "อ้าวนั่น กลัวกูแย่งแดกรึไง ค่อย ๆ กินก็ได้ ครัวซองก์ไม่ได้มีชิ้นเดียวในโลกซักหน่อย" แล้วเชี่ยปุณณ์ดันหันมาเจอตอนผม
กําลังยัดพอดีนี่สิครับ เลยโดนกัดไปตามระเบียบ ผมอยากเถียงจะแย่ แต่....... "อ้อ อึง อิ" ครัวซองก์เต็มปาก ด่าไม่ถนัดครับ อ็อก.... ผม
พยายามเคี้ยวอย่างทุลักทุเล แต่คงดูตลกมากเพราะเห็นไอ้ปุณณ์ขํา มันมองหน้าผมยิ้ม ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาเช็ดเศษครัวซองก์ที่ติดอยู่ตามมุม
ปากให้ นัยน์ตาคมนั้นมีแววประหลาดเล็กน้อย "คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นฉากนี้เมื่อเย็นเลยนะ...." มันพูด ทําเอาครัวซองก์ที่ยังเคี้ยวไม่ทัน
ละเอียด ไหลลงคอผมทันที "เฮ้ยยย.... แค่ก ๆๆ" สําลักเลยครับ!! วุ่นวายไอ้ปุณณ์ต้องวิ่งไปหยิบนํ้ามารินให้ "เคี้ยวก่อนกลืนด้วยดิ! บอก
แล้วไงว่าอย่ารีบกิน" แถมยังโดนดุเป็นเด็ก ๆ อีก แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้ว เพราะมีอีกเรื่องหนึ่งอยากจะรีบบอกมัน "มึง... เมื่อเย็นกูกับยูริ
ไม่ได้มีอะไรนะเว่ย" "เห๋ ?" "คือ... ยูริเค้าแค่แบบ... กินเลอะเทอะอะ! กูเลยช่วยเช็ดให้เฉย ๆ กูไม่ได้... เอ่อ.... โอ๊ยย พูดไม่ถูกว่ะ!" ดู
เหมือนแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ผมเกาหัวตัวเองแรง ๆ อีก แต่ไอ้ปุณณ์กลับขํา "เออ... ช่างเหอะ กูเข้าใจ" มันว่าพลางหัวเราะเหมือนผม
เป็นเด็ก ๆ แต่ไม่ค่อยอยากเชื่อคําพูดมันเลยว่ะ
"เห้ย จริง ๆ นะ มึงอย่าทํางี้ดิ่" ผมดึงแขนมันไว้ก่อนที่มันจะหันไปหั่นมะนาวต่อ หน้าไอ้ปุณณ์ที่หันมาดูงง ๆ ก่อนจะหัวเราะใส่ผมอีก
"กูไม่ได้คิดไรจริง ๆ!" เชื่อได้ปะวะ... ผมเหล่ตามองมันที่ยืนขําอยู่เป็นวรรคเป็นเวร "แล้ วมึงขําไร........" "ขํามึงอะ" "กูทําไมวะ?" ผม
ยังไม่เข้าใจ แต่ปุณณ์แค่ส่ายหัวแล้วหันไปหยิบมะนาวมาหั่นต่อพลางพูด "ก็มึงเหมือนกูวันนั้นเลย" "วันไหน" "บนแท็กซี่ไง หึหึ" มัน
ว่าแล้วก็ขําอีก อารมณ์ดีนักนะ ระวังเหอะ มีดจะบาดมือเอา ผมคิดตามมันช้า ๆ ก่อนจะร้องอ๋อออกมาเบา ๆ แล้วก็ต้องขําเอง จนไอ้
ปุณณ์หันมายักคิ้วให้ผมอย่างรู้ทันนิดหน่อย เออว่ะ... ผมวันนี้ เหมือนไอ้ปุณณ์วันนั้นที่ตื้อขอโทษผมเรื่องเอมบนรถแท็กซี่จริง ๆ ตอนนี้ผม
คิดว่าผมเข้าใจมันมากขึ้น แล้วก็มั่นใจว่าปุณณ์คงเข้าใจผมมากขึ้นเช่นกัน ระหว่างเรา.. ไม่ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง อีกฝ่ายจะต้องอยู่กับ
ใคร แต่ในโลกเล็ก ๆ ของผมและปุณณ์ใบนี้... ขอแค่ยังได้อยู่ข้าง ๆ กันก็พอใจ ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อคิดเรื่ อง ๆ นึงอ
อก
นี่ผมเกือบลืมเรื่องสําคัญไปเสียสนิท..... วันก่อนผมตัดสินใจครั้งนึงแล้วว่าจะบอกปุณณ์เรื่องเอมเลยเอาคลิปใส่ในมือถือไว้แต่ก็ไม่กล้าบอก
จนเกือบลืมไปแล้ว กระทั่งความรู้สึกเมื่อฝ่ามือสัมผัสมือถือของตัวเองในกระเป๋าอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้เรียกความทรงจําในเรื่องที่ผมอยากลืมที่สุด
ขึ้นมา... เรื่องที่จะทําให้ปุณณ์เสียใจมากที่สุด.... ผมควรบอกเรื่องนั้นกับปุณณ์ยังไง หรือผมไม่ควรบอก... แต่ผมคงทนไม่ได้ที่จะเห็นปุณณ์
ต้องถูกหลอกอยู่อย่างนั้นซํ้าแล้วซํ้าเล่า "ปุณณ์......." ปากไปไวเท่าความคิด เพียงแค่คิดว่าคนตรงหน้าผมกําลังถูกผู้หญิงคนนั้ นหลอก ปาก
เจ้ากรรมก็ทําท่าจะเปิดเผยความจริงทันที ปุณณ์หันมามองหน้าผมที่อึกอักอยู่ด้วยความสงสัย แต่ผมในเวลานี้กลับตะกุกตะกักอย่างที่ไม่เคย
มาก่อน "เอ่อ....." "มีไรรึเปล่าครับ?" ดวงตาคมที่เคลือบรอยยิ้มให้ผมตลอดเวลานั้น.... เหมือนกับยิ่งตอกยํ้าว่า.. ผมจะทําร้ายปุณณ์ได้
อย่างไร.. ผมนิ่ง ก่อนจะเริ่มพูด ".......... มะนาวพอแล้วแหละ เอาออกไปดีกว่า เดี๋ยวไอ้พวกนั้นบ่น" สุดท้ายวิธีที่ถูกเลือกกลับกลายเป็น
การตัดบทเสียดื้อ ๆ ผมเลื่อนตัวลงจากเค้าท์เตอร์แล้วพาตัวเองเดินออกจากห้องครัวทั้งอย่างนั้น โดยปล่อยให้ทุกอย่างดําเนินต่อไป.. ทั้ งที่แม้
ผมจะรู้ แต่กลับไม่มีความกล้ามากพอจะหยุดมัน ผมไม่เข้มแข็งพอจะทําลายรอยยิ้มของปุณณ์...

36th.2 CHAOS
"ไอ้เชี่ยยยยยยย หายเข้าไปโคตรนานนนนนน กูนึกว่าพวกมึงหนีออกหลังบ้านไปซานติก้าแล้ว" ทันทีที่พวกผมโผล่มาพร้อมถาดมะนาวกองโต
เสียงดังของไอ้โอมก็โวยวายล้งเล้ง ตอนนี้มันนั่งจ่ออยู่หน้าหม้อสุกี้แล้วครับ ส่วนคนผลัดเวรไปเล่นเกมคือไอ้คม ไอ้เคน และรถเก๋ง เปลืองค่า
ไฟบ้านกูจริง ๆ แล้วใครใช้ให้เปิดแอร์อีกวะเนี่ยยย ขออนุญาตกูกันรึยังงงง!!
"เชี่ยแม่ง ถ้าเปิดแอร์พวกมึงออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกเลยนะ เดี๋ยวม๊ากูบ่น" "เออรู้น่า ไอ้โด่งกับไอ้เป้อออกไปสูบอยู่" เสียงไอ้ปาล์มตอบ
พลางช่วยยกสํารับสุกี้ทั้งหลายออก เพื่อเคลียร์ที่ทางให้ผมกับปุณณ์ได้นั่งบ้าง เช่นเดียวกับไอ้เก่งที่กระเถิบตูดให้ พลางพูด "แล้วตกลงมึง
มาได้ไงวะปุณณ์ ไอ้โน่โทรไปเรียกเหรอ" อ้าวเชี่ยเก่ง.... พูดงี้ห มายความว่าไงวะ! ปุณณ์หัวเราะขํา ก่อนจะส่งถ้วยกับช้อนตักสุกี้ให้ผม
"เปล่า ๆ พอดีที่บ้านไล่มาอะ เขาบอกคืนนี้ไม่ให้นอนบ้าน หึหึ" แต่คําตอบของปุณณ์ดูกํากวมจนผมยังงง "ทําไมวะ ทะเลาะกับพ่อเหรอ"
เป็นผมเองที่ถามมันขึ้นมา ถึงแม้จะฟังดูไม่น่าใช่ก็เถอะ ปุ ณณ์รีบส่ายหัวพรืด "เปล่า ๆ ไม่ได้ทะเลาะกับใครทั้งนั้น" "อ้าว... แล้ว
หมายความว่าไงอะ?" แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี มันไม่ได้ทะเลาะกับที่บ้านแล้วทําไมโดนตะเพิดออกมาอย่างนั้นวะ? หน้าผมตอนนี้คงมี
เครื่องหมายคําถามแปะหราอยู่จนเพื่อน ๆ คนอื่นต้องช่วยกันคีบผักคีบเนื้ อในหม้อสุกี้มาให้ เพื่อเป็นของปิดปากผมยกใหญ่ "ไอ้ปุณณ์มัน
ไม่ บ อกมึ ง ก็ถามอยู่นั่ น แหละ แดกเข้าไปเยอะ ๆ จะได้ หายขี้ส งสัย ! เฮ้ย ปุ ณ ณ์ ไม่ ต้องเกรงใจ เต็ มที่ เว้ ย ยย คิดซะว่ าเป็ น บ้า นมึ งเอง!"
หน็อยยยยยยย ไอ้เชี่ยพ้ง!! บ้านกูโว๊ย!!!!!!! ผมหันไปทําหน้าเหวี่ยงใส่มั นก่อนจะมองไอ้ปุณณ์ที่หัวเราะร่วนพลางยักคิ้วยิ้ม ๆ ให้ผมอยู่ เออ
ออออ ตาม สะ บายยยย คิด ซะ ว่า เป็น บ้าน มึง เองงงงงงงงงงงงง!! ผมนั่งหน้าเซ็ง พลางกัดตะเกียบไว้ในปากอันนึง ส่วนอีกอันนึงใ ช้
เขี่ยหาของกินในหม้อสุกี้ เพียงไม่นานแก้วนํ้าบรรจุของเหลวสีอําพันก็ถูกส่งต่อมาถึง แต่แค่จิบแรกที่เข้าปาก ผมก็ต้องหันไปด่าตัวคนชงทันที
"เชี่ยแม่ง!!! เข้มชิบหาย เปลืองเหล้า!" ชงเข้ม ๆ แบบนี้ไอ้โด่งแน่นอนครับ! ผมหันไปโวยมันแต่แม่งดันกินสุกี้ต่อไม่สนใจใคร "งกไ รวะ
เหล้ามีโคตรเยอะ เบียร์อีก วอดก้าไอ้คมอีก กูกลัวพวกมึงกินไม่ทันว่ะ ขี้เกียจแบกกลับ" เออดี... แล้วถ้าอ้วกใครจะเช็ด มึงแล้วกันนะเชี่ยโด่ง
งงง ผมปลงตกให้กับเหตุผลมันพร้อมคิดว่ารีบกินสุกี้ก่อนจะกินไม่ทันดีกว่า หึหึ ข้างในหม้อดูมั่วมากครับ มีทุกอย่างที่อยากกินจริ ง ๆ ผัก
น้อยมาก เนื้อเยอะมากกกก แถมเมื่อกี้ไอ้ เชี่ยโอมยังพยายามจะเอาป๊อกกี้ใส่ลงไปอีกเพราะอยากกินป๊อกกี้ด้วย มึงก็คิดได้นะ.. ดีว่าน้องน็อ
ตรีบห้ามไว้ทัน ด้วยเป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่ ๆ ทุกคน... งานนี้มึงเป็นฮีโร่จริง ๆ ว่ะน็อต พวกเรานั่งจ้วงกันไม่นานเพื่อน ๆ คน อื่นก็แห่
ตามลงมาสมทบด้วย ไม่ว่าจะเป็นพวกที่หายไปเล่นเกม หรือพวกที่ออกนอกบ้านไปสูบบุหรี่ วงสุกี้ตอนนี้เลยใหญ่โตมโหฬารมากครับ แต่หม้อ
เสือกเล็กจึ๋งเดียว ต้องแย่งกันแดกก็เลยสนุกดี อาศัยว่าผมมีผู้ช่วยฝีมือฉกาจเป็นเลขาสภาฯผู้คล่องแคล่วทุกกระบวนท่า เพราะไม่ว่าผมจะเอ่ย
ปากว่าอยากกินอะไร มันก็ใช้กระบวยควานหาขึ้นมาให้ได้ทุกครั้ง เออ แม่งเก่งว่ะ ทําไมเวลากูหาเองถึงไม่เจอ? อันนี้อาจจะเป็นเรื่องของไสย
ศาสตร์ก็ได้.. ใครจะรู้..... พวกเราคุยกันเฮฮาสนุกสนานเสียงดังลั่นบ้าน แม้แต่ปุณณ์เองที่ตอนก่อนมาไม่ได้สนิทกับเพื่อนผมเท่าไ หร่ แต่
ตอนนี้ขึ้นมึงกูกันเรียบร้อยวงเหล้าแล้ว สงสัยที่เขาว่าแค่เหล้าเข้าปากก็เป็นเพื่อนกันทั้งโลกนี่ท่าจะจริง ตอนนี้ผมกําลังนั่งหัวเราะเอิ๊ก ๆ ดู
ไอ้น็อตกับไอ้เป้อถูกพวกไอ้รถเก๋งมอมเหล้าอยู่ โทษฐานเป็นรุ่นน้องแค่สองคนที่บังอาจกล้ามากินเหล้ากับรุ่นพี่ได้ ฮ่า ๆ ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย พวก
มึงตายแน่..... ตอนนี้ผิวหน้าไอ้เป้อที่ปกติขาวเหลือง ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดเข้าไปใหญ่ (เมาระยะไหนของมันวะนั่น) ส่วน
น้องน็อตก็กําลังหน้าแดงขึ้น ๆ ตามลําดับ ผมว่าไอ้สองตัวนี้รอดยากซะแล้วว่ะ ฮ่า ๆๆ ระหว่างที่ทุกคนกําลังสนุกสนานอยู่นั้นเอง ผมดัน
เหลือบไปเห็นไอ้ปุณณ์ยังคงตักเต้าหู้ปลาของโปรดผมลงถ้วยสุกี้หน้าผมไม่ขาด จนต้องรีบเอ่ยปากปราม ๆ มัน
"เฮ้ยพอแล้ว เดี๋ยวกูขี้ออกมาเป็นสี่เหลี่ยม" เหตุผลนี้ฟังดูเข้าท่าใช่ปะครับ แน่นอนว่าไอ้ปุณณ์ขํา ก่อนจะลงมือกินถ้วยสุกี้ตรงหน้า มันเอง
บ้าง เออ.... กินซักที มัวแต่ตักให้กูอยู่นั่นแหละ "แล้วตกลงใครไล่มึงออกจากบ้านมาเนี่ย" แต่เพราะผมโคตรสงสัย เลยอดถามมันไม่ได้ กะ
ว่าจังหวะที่ไม่มีใครสนใจนี่แหละเหมาะสุด เผื่อว่ามันทะเลาะกับที่บ้านจริง ๆ แล้วอาจจะอายจนไม่อยากเล่าเอา แต่มันแค่หัวเราะขํ า ๆ
พลางตักสุกี้กินต่อด้วยท่าทีสบาย ๆ "แป้งเห็นมึงเดินกับยูริเมื่อเย็นว่ะ" อ้าวเชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย "ชิบหายแล้วไง! ทําไงวะ น้องรู้แล้ว
ดิ่" "รู้อะไร?" ปุณณ์หันมาเลิกคิ้วถามผมเหมือนลืมแล้วว่าพวกเราอําอะไรน้องแป้งไว้ ผมก็ชักอึกอัก.. "ก็รู้ว่ากูกับมึงไม่ได้เป็นอะไรกัน...
ไง" เพราะประโยคนี้ยิ่งพูดกลับยิ่งรู้สึกแปลก ๆ... แล้วยังมีสายตาไอ้ปุณณ์จ้องมองมาก็เลยยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ นัยน์ตาคมนั้นเป็นประกายวิบ
วับเหมือนอยากล้อผมอะไรบางอย่าง "อ้าว... ไม่ได้เป็นเหรอ" นั่นไง กูว่าแล้ว ผมเลยต้องปั้นหน้าเหวี่ยงใส่มันแทน "ไอ้สัด อย่ ามากวน
ตีน ตกลงน้องมึงว่าไงปะ" ช่วยเป็นการเป็นงานหน่อยสิวะ!!!! ปุณณ์ส่ายหัวยิ้ม ๆ พลางนั่งกินสุกี้ของมันต่อเหมือนไม่ค่อยสนใจ "ก็ไม่ว่ าไง
นึกว่ากูกับมึงทะเลาะกัน ไล่กูมาง้อเนี่ยไม่งั้นไม่ให้กลับบ้าน.. ตอนแรกกูกลัวมึงไล่กูกลับบ้านอีกคน แต่มาเห็นอย่างงี้ค่อยสบายใจห น่อย มี
ปาร์ตี้ไม่บอกเลยนะ" "ไม่มีใครบอกกูเหมือนกันแหละเรื่องปาร์ตี้เนี่ย แต่ถึงไม่มีกูก็ไม่ไล่มึงหรอก คิดไรมากวะ ทีมึงไม่เห็นเคยไล่กูเลย" ผม
ว่าพลางตบบ่ามันสองสามที เห็นปุณณ์หันมายิ้มดีใจให้แว่บหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันที่เราจะคุยอะไรต่อ เสียงดัง ๆ ของไอ้โอมก็ขัดขึ้น "เฮ้ย ๆๆ เล่นเปิดใจกัน ๆ!!!" มันว่าพลางชูขวดโซดาขึ้นสูง ปกติพวกผม
ชอบเล่นเกมนี้กันในวงเหล้ามากครับ เว้นแต่วันนี้ที่ผมรู้ดีว่าไอ้โอมต้องการอะไร ดังนั้นสิ่งควรทําต่อไปคือรีบคิดหาทางว่าจะหนีมันยั งไง!
"เออเล่น ๆๆ ล้อมวง ๆๆ" เพื่อนคนอื่นส่งเสียงร้องรับกันระงมพลางกระเถิบตูดเข้ามารวมกันมากขึ้น แม้แต่ไอ้ปุณณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เอา
กับเขาด้วย เป็นอย่างนั้นผมเลยได้เห็นหน้าไอ้โอมสะใจใหญ่ "เดี๋ยวต้องอธิบายก่อน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน เพราะคราวนี้เรามีสม าชิก
ใหม่เป็นปุณณ์ ไอ้เป้อ แล้วก็น้องน็อต" สิ้นคําเกริ่นของไอ้โอม สามคนที่ถูกพูดถึงก็พยักหน้าหงึก ๆ ทันที ขณะที่ผมจ้องไอ้เชี่ยต้นคิดเขม็ง
เพราะรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ "ขวดโซดานี้นะ เดี๋ยวจะหมุนกลางวง ถ้าไปหยุดโดนใคร ถูกถามอะไรต้องตอบ โอเคปะ?" "โห่ยยยพี่ ทุกอย่าง
เลยเหรอ" แล้วจากประสบการณ์ ยิ่งโวยวายแบบนี้ยิ่งโดนแกล้งว่ะเป้อ นี่มึงโง่หรือโง่วะ ไอ้โอมทําหน้าสะใจยกใหญ่ "เออ ไม่เล่นก็กลับไป
เลย" "ได้ไงอะ เออ ๆ เล่นก็เล่น" ไอ้เด็กหน้าตี๋บ่นอุบแต่ก็ยอมเออออตามรุ่นพี่โดยดี ผมเห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครจะเป็นเป็นผู้โชคดีรายแรก....
เชี่ยโอมแม่งหมุนขวดแม่นยังกะจับวาง ไม่รู้ทําไมเรื่องอื่นไม่เก่งขนาดนี้บ้างเหมือนกัน ขวดที่หมุนติ้วหยุดหันปากไปทางไอ้เป้ออย่างไม่มี
อะไรผิดเพี้ยน "มึงโดนเลย เป็นไงล่ะโวยวายนัก" ผมได้ทีกัดมัน เห็นตาตี่ ๆ สองคู่นั้นเบิ่งโตสุดขีด(เท่าที่มันจะโตได้) เออ หน้ ามึงก็ขําดีว่ะ
ฮ่า ๆๆ
ไอ้โอมทําท่าคิดอยู่แว่บหนึ่ง ก่อนจะป้อนคําถามแจ็คพอตแตกให้ไอ้เป้อเป็นการประเดิม "มึงนอนกับเด็กคอนแวนต์มากี่คนแล้ว... ห้าม
ปฏิเสธ กูรู้นะ" แรงงงง!!! ผมพอจะรู้อยู่บ้าง ว่าไอ้เป้อมันโคตรเจ้าชู้ แต่ไม่เคยคิดว่าแม่งจะเป็นได้ขนาดนั้น ตอนนี้หน้ามั นเหวอหนักกว่าเก่า
เข้าไปอีก "เฮ้ยยยย ไม่เคย!!!" "โกหกมึงโดนแน่...." เอาแล้วไง... ไม่รู้เป็นไร ใครเจอไอ้โอมขู่แบบนี้ เป็นไม่กล้าโกหกมันซั กราย... ผมเห็น
ไอ้เป้อกลืนนํ้าลายเอื้อกพลางหันไปมองน้องน็อตเหมือนอยากขอตัวช่วย แต่ตอนนี้ไม่มีใครช่วยมึงได้แล้วว่ะ เสียใจด้วย พอรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้
แน่ ไอ้เป้อจึงส่ายหัวปลง ก่อนจะทําท่านับนิ้ว.... อะไรวะ! O.o ไอ้เด็กนี่!? "เอ่อ..... เอาเฉพาะคอนแวนต์ใช่ปะพี่" นั่น!!!!!!! "เออ เฉพาะ
คอนแวนต์" "ทุกคอนแวนต์เลยเหรอ" "มึงนี่เหี้ยกว่าที่กูคิดอีกนะเนี่ย" ไอ้โ อมเริ่มด่า "เอาทุกคอนแวนต์นั่นแหละโว๊ย!!" ไอ้เป้อพยัก
หน้าพลางนับนิ้วตัวเองต่อ "......... สี่.. เอ๊ย ห้า.... ห้าคนอะพี่...." แต่ดันถูกไอ้น้องน็อตถองศอกใส่ยิก "หก กูนับแล้ว" เฮ้ยยยย น้องผมมันขนาด
นั้นเลย!!? เป้อมองหน้าไอ้น็อตงง ๆ ก่อนจะเถียง "กูนับได้ห้า" แต่ไอ้น็อตยังคงแย้งต่อ "นับพร้อมกันปะล่ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกมันจึง
ค่อย ๆ ไล่ชื่อกันทีละคน "โบว์ พี่แอม มีมี่ พิ้งค์ น้องเต็ม... ใครอีกวะ" "กูว่าแล้วมึงต้องลืมพี่หนิง"
"เออ ๆ หนิงด้วย สรุปว่าหก.... หกครับพี่" มันตกลงกันยุกยิก ๆ ก่อนจะหันมาสารภาพกับพวกผมเสียงอ่อย เลยโดนลงโทษด้วยการรุมตบ
หัวมันรอบวงคนละทีด้วยความหมั่นไส้ "ป้องกันดี ๆ ล่ะเมิงงง!" กูล่ะปวดหัวกับเด็กพวกนี้จริง ๆ หลังจากที่บังคับไอ้เป้อให้รับปากกันได้
แล้ว ก็ถึงคิวเชือดรายต่อไป ซึ่งผมไม่ทันมองด้วยซํ้าตอนไอ้โอมหมุนขวด มารู้ตัวอีกทีก็เห็นว่า ปากขวดที่หมุนหยุดอยู่ตรงหน้า......... คนข้าง ๆ
ผม.... ซะแล้ว "ปุณณ์........" เสียงเรียกชื่อนั้นทําเอาเจ้าตัวสะดุ้งเฮือก ปุณณ์มองหน้าผมแว่บนึงก่อนมองตอบสายตาไอ้โอม " ว่าไง?"
โบราณว่าใจดีสู้เสือครับ ยิ้มเข้าไว้นั่นแหละดีแล้วมึง! โอมพยักหน้ารับรอยยิ้มนั้นของปุณณ์อย่างโคตรเจ้าเล่ห์ ก่อนที่มันจะเริ่มถาม "ที่มึง
ตะโกนวันนั้น... จริงจังปะวะ" ไอ้สัด!!!! ชิบหายแล้วไง!!!!!!! ผมเลิ่กลั่กมองหน้าปุณณ์อย่างเก็บอาการไม่อยู่ แต่ดูเจ้าตัวมันไ ม่เก็ทเลย
"ตะโกนไรวะ?" ปุณณ์ถามกลับ "ที่หน้าตึกฟ. วันก่อน... อย่าบอกนะว่าจําไม่ได้ มึงโดน" เดาจากสีหน้า.. ผมคิดว่าตอนแรกไอ้ปุณณ์มันยัง
นึกไม่ ออก แต่พอเจอสายตาไอ้โอมเข้า ไปมัน เลยนึ กออกกะทัน หัน แถมแม่ งพอจํ าได้แล้วยัง หันมามองหน้าผมทันทีอีกแน่ะ (กูไ ม่เกี่ย ว
นะโว๊ยยย) แน่นอนว่าผมทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยกถ้วยสุกี้มากินต่อเหมือนคนไม่รู้เรื่อง โทษทีนะ แต่เรื่องนี้กูขอสละเรือว่ะ "ว่าไง จริงจังปะ" ไอ้
โอมถามยํ้า ผมไม่ได้มองหน้าปุณณ์ด้วยซํ้าว่ากําลังเป็นแบบไหน ระหว่างที่เสียงทุ้มนั้นตอบชัดเจนว่า "จริงจัง"
"เฮ้ย เรื่องไรวะ ๆๆ มึงอย่ารู้กันสองคนดิ๊!!!" ไอ้ปาล์มแหวขึ้นมาขณะที่ทุกคนยังงง ๆ กันอยู่ จนผมต้องถอนหายใจโล่ง เพราะดูเหมือนคน
อื่นจะยังไม่รู้เรื่องนี้กัน แสดงว่าไอ้เชี่ยโอมมันอมพะนําเก่งพอตัว โอมไม่ได้ตอบคําถามเพื่อนคนอื่น มันแค่ยิ้มแล้วเอื้อมมาตบไหล่ปุณณ์เบา
ๆ เท่านั้น "ดีว่ะ กล้ารับด้วย กูหนับหนุน สู้ ๆ นะมึง" แล้วนี่ใช่เวลามาควรดีใจปะวะ.... ผมว่าไม่... เพราะตอนนี้เชี่ยโอมกําลังมองหน้าผม
แปลก ๆ จนชักเดาออกว่าเหยื่อรายต่อไปจะเป็นใคร ขณะที่มันกําลังจะหมุนขวดโซดานั้นเอง "เชี่ย!!!!!! ปวดขี้!!! เดี๋ยวมานะ" ผ มชิง
ตะโกนแล้วผุดลุกทันทีไม่ให้โอกาสมันได้หมุนขวดทัน หึหึหึ มุกนี้ใช้ประจําอยู่ครับ ถ้าไอ้โอมจะรู้ทันก็ไม่แปลก "ไม่ได้โว๊ยยยยยยยยยย ตา
นี้จบก่อน!!!" "ไม่ทันโว๊ยยยยยยยยยย ขี้จะราด กูไปแล้ว ๆๆๆๆๆ" ผมโวยวายพลางรีบใส่เกียร์หมาแล้วโกยแน่บเร็วจี๋จากลานประหารมุ่ง สู่
ประตูห้องนํ้าทันที ฮ่า ๆๆ เอาวะ! อย่างน้อยก็รอดได้ประมาณสิบห้านาที เข้าไปแกล้งท้องเสียดีกว่า หรือจะหลับในห้องนํ้าไปเลยดี ? เมื่อ
วิ่งมาถึงหลุมหลบภัย ผมก็เปิดประตูห้องนํ้าผลัวะ ก่อนจะปิดฝาชักโครกแล้วล้มตัวนั่งตั้งท่าจะหลับรอเวลา ยิ่งพอได้อิงหัวตัวเองกับฝา ผนัง
แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกง่วงนอนขึ้น มาอย่างประหลาด อาจจะเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เพิ่งซัดเข้าไปก่อนหน้านี้ด้วย เสียงพวกข้างนอกเฮฮา
โวยวายดังลอดมาเป็นระยะ กระตุ้นต่อมเสือกผมให้อยากทํางาน คิดแล้วก็แอบเสียดายนิดหน่อยว่ะ เพราะความลับคนอื่นมันยั่วต่อมอยากรู้
ผมชิบหาย (นิสัยแย่ใช่ปะครับ ฮ่า ๆ) แต่กฏของเกมนี้คือห้ามเอาเรื่องที่รู้ในวงออกไปพูดต่อ ดังนั้นโอกาสจะได้ฟังอีกเท่ากับศูนย์ ทําเอาผม
โคตรเซ็ง.... แต่อย่างน้องคงดีกว่านั่งเสนอหน้าให้ไอ้โอมมันเชือดล่ะมั้ง
ผมคิดพลางเอนหัวไปมาเพราะเริ่มเคลิ้มอยากหลับทีละนิด ๆ... แต่ในระหว่างที่กําลังครึ่งหลั บครึ่งตื่นอยู่ เสียงคําตอบจากปุณณ์เมื่อครู่ก็
แว่วมาในความคิดให้ผมได้อมยิ้มอย่างปิดไม่มิดซะก่อน... หึหึ..... เพราะถึงแม้ผมจะไม่ได้เห็นสีหน้ามันตอนพูด แต่ถ้าไม่ได้หลงตัวเองเกินไป ก็
คิดว่าพอจะเดาออกดี... ปุณณ์เป็นอย่างนี้เสมอ.. ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ผิดกันกับผม ที่บางทีก็วิ่งหนีตัวเองอย่าง
โง่ ๆ เหมือนที่กําลังทําอยู่ตอนนี้เป็นต้น เวลาผ่านไปขณะหนึ่งระหว่างที่ผมมัวแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ในห้องนํ้านานพอดู (หลับไปหนึ่ง งีบเต็ม ๆ
เลยครับ) จนก้มลงมองนาฬิกาตัวเองอีกทีก็พบว่าเวลาล่วงเลยมากกว่า 45 นาที (ชักจะหายใจไม่ออก) ผมจึงคิดเอาเองว่าป่านนี้พวกมันคงเลิก
เล่นเกมบ้านั่นแล้ว งั้นก็ออกไปดีกว่า 'แอ๊ดด' "เชี่ยแม่ง ไอ้ตัวแสบออกมาแล้ว!!!!!! ฝากไว้ก่อนเหอะมึง!!!" พอโผล่หัวปุ๊บก็โดนด่าปั๊บเลย
ครับ ฮ่า ๆๆ ไม่มีอะไรพลิกโผแม้แต่น้อย ผมเดินทําหน้าเหนือเข้าไปหาพวกมันที่กําลังเริ่มป๊อกว้อดก้ากันอยู่ "มึงเล่นกูไม่ได้หรอก แล้วเมื่อ
กี้มีใครโดนแฉไรมั่งวะ อยากรู้" 'ผัวะ!!' นี่เป็นรางวัลของคนอยากเสือกแต่ไม่อยาากเสี่ยงครับ อู่ยยย เจ็บ ไอ้เชี่ยเก่งแม่งมือหนักสัด ๆ ผม
ลูบหัวตัวเองทันที "หนีแล้วยังมีหน้ามาถามอีกนะมึง ห้ามใครเล่าให้ไอ้โน่ฟังเด็ดขาดดด" ลองมันพูดแบบนี้แสดงว่าแม่งโดนเองแน่ ๆ หึหึหึ
ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยหลอกถามไอ้น้องน็อตวันหลังก็ได้ ไอ้นี่มันซื่อครับ ผมรู้ หึหึหึ ผมรับแก้วป๊อกมาจากมือไอ้โด่งพร้อมกับความรู้สึกว่าวง
เหล้าคนน้อยลงไป... จนเมื่อหันรีหันขวางจึงได้พบว่า ปุณณ์ไม่อยู่?
"ปุณณ์ไปไหนวะ?" ผมเอ่ยปากถามถึงสมาชิกที่หายไปทันที "พ่อมึงงอนมึงกลับบ้านไปแล้ว" แต่ไอ้เหี้ยรถเก๋ง... คนเขาถามดี ๆ ก็ช่วย
อย่ากวนตีนได้มั้ย! ผมด่ามันกลับ "สาดด เอาดีดี ขึ้นไปเข้าห้องนํ้าเหรอ" เพราะเมื่อกี้ผมนอนในห้องนํ้าข้างล่างครับ เลยคิดว่ามันอาจขึ้นไป
เข้าข้างบนแทน แต่ไอ้พวกนั้นกลับยักไหล่กัน "เปล่า กลับบ้านจริง ๆ อยู่ดี ๆ ก็ขอตัวกลับ" คําตอบจากไอ้พ้งดังข้ามขวดวอดก้าที่มั นกําลัง
จัดการมา ซึ่งแน่นอนว่าทําเอาผม งง???? "อะไรของแม่งวะ ไม่ลาเจ้าของบ้านเลย" ผมบ่น ๆ พลางยกเหล้าป๊อกตรงหน้าขึ้นซดรวดเดียว
หมด แต่เชี่ยแม่งผสมเค็มชิบหาย ไม่รู้เพราะเกลือเยอะหรือขี้มือใครหล่นลงไปกันแน่ ไอ้คมยื่นมือมาช่วยรับแก้วป๊อกจากผมไป ก่อนจะส่ง
ต่อให้พ้งคนรับหน้าที่ป๊อกเหล้าประจําคืนนี้ ข้าง ๆ ผมที่เคยเป็นปุณณ์ ตอนนี้ แทนด้วยน้องน็อตผู้กําลังผะอืดผะอมกับเหล้าของพี่ ๆ ที่
พยายามกรอกให้มันอยู่ ผมมองใบหน้าแดงจัดนั้นขํา ๆ พลางสังเกตเห็นว่ามือถือตัวเองหล่นอยู่หลังน้องมัน "อ้าว มือถือกูหล่นอยู่นี่ เหรอ"
มิน่าล่ะ ตอนอยู่ในห้องนํ้าหาไม่เจอ อดเล่นเกมเลย ต้องนอนสถานเดียว น้ องน็อตเหลือบไปมองไอโฟนหลังผมตัวมันแล้วก็พยักหน้าหงึก
หงัก "ใช่คับ เมื่อกี้พี่โอมเอาคลิปพี่โน่ตอนปั้นข้าวเหนียวไปยัดตรารถเบ็นซ์อธิการให้พี่ปุณณ์ดูด้วย" "เล่นแรงนะนั่น มันเป็นเลขาสภาฯนะ
มึง ฟ้องอธิการเมื่อไหร่กูเด้งตามไอ้กอล์ฟเลย" ผมหันไปด่าไอ้โอมก่อนจะนึก อะไรบางอย่างออก "เฮ้ย.... แล้วมึงให้มันดูยังไงอะ หาให้มัน
เหรอ!?" โอมเงยหน้าจากมะนาวที่กําลังบีบอยู่ในมือมาตอบคําถามผม "เหอะะ กูให้มันหาเอง มันก็ใช้มือถือมึงเป็น
นิ่" ถึงตรงนี้มือผมเย็นเฉียบขึ้นมากะทันหันทั้งที่แอร์ไม่ได้เย็นเท่าไหร่ "แล้ว มันพูดว่าอะไรรึเปล่า" โอมทําหน้าคิด ๆ ก่อนจะตอบ
"แม่งเส้นลึกกว่าที่คิดหวะ นึกว่าจะขํา แต่เห็นแค่ทําหน้านิ่ง ๆ แล้วก็ขอตัวกลับบ้าน" "กูว่ากลับไปฟ้องอธิการแน่มึง" เสียงไอ้ คมเสริมพลาง
หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับเพื่อนคนอื่น ๆ ขณะที่ผมเริ่มจับใจความได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร "ชิบหายแล้วไงกู........" ผมพึมพํากับตัวเองเบา ๆ มีแต่
น้องน็อตเท่านั้นที่ได้ยิน "มีอะไรอะพี่โน่ ?" แต่ไม่ว่าจะเป็นเรี่ยวแรงหรือเสียงตอบ ผมก็ไม่เหลืออีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทําได้ตอนนี้คือลุก
พรวดพราดยืนขึ้นโดยไม่สนใจเพื่อนที่ตกใจกันด้วยซํ้า "เดี๋ยวกูมา!" ใจผมไปถึงหน้าบ้านปุณณ์ก่อนจะทันสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์เสียอีก

37th CHAOS
ที่หน้าบ้านภูมิพัฒน์เวลาเที่ยงคืนกว่า... ผมเบรครถมอเตอร์ไซค์จอดหน้ารั้วประตูอัลลอยด์ที่ปิดสนิทจนไม่รู้จะหาวิธีดอดเข้าไปยังไง เบื้อง
หน้าผมคือบ้านหลังใหญ่ถูกปกคลุมด้วยความมืด เหลือเพียงหน้าต่างบานเดียวเท่านั้นที่ยังคงสว่างโร่อยู่... เป็นหน้าต่างบานที่ผมรู้จักดี
ผมยืนมองหน้าต่างห้องปุณณ์พลางถอนหายใจยาว เพราะไม่รู้เลยว่าเจ้าของห้องนั้นกลับมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ปุณณ์ช็อคมากหรือ
เปล่ากับสิ่งที่ได้เห็น หรือปุณณ์โกรธผมมากหรือเปล่า ที่ปล่อยให้ปุณณ์รู้ด้วยวิธีที่เชี่ยที่สุด "เหี้ยเอ๊ย..." ผมสบถด่าตัวเองพลางทุบแฮนด์
มอเตอร์ไซค์อย่างอารมณ์เสีย ไม่น่าปล่อยให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นแบบนีเ้ ลย ถ้าเพียงแค่ผมใจแข็ง บอกกับปุณณ์ด้วยปากผมเองสักนิด ปุณณ์
ก็คงไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้... อย่างน้อย ๆ มันก็อาจจะรับรู้บ้าง ว่ายังมีผมที่พร้อมยืนอยู่ข้าง ๆ มัน ไม่ใช่ปล่อยให้มันเห็นเองแล้วต้องหนีกลับมา
เหมือนกับมันไม่เหลือใครแล้วแบบนี้ ผมมองหน้าต่างห้องบานนั้นที่ยังคงติดไฟอยู่อย่างทุรนทุรายใจ เพราะอยากเข้าไปหาแล้วอธิบายทุ ก
อย่างให้ฟังใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าแม้กดออด ผมภาวนาให้ปุณณ์มองเห็นผมที่ยืนร้อนใจอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะเดินมาตรงหน้าต่าง
เลย ไอโฟนเจ้าปัญหาที่ทิ้งนํ้าหนักอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมเหมือนกําลังร้องบอกให้ใช้งานมันเพื่อไถ่โทษ ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อน จะหยิบ
โทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก 'ได้แค่เพื่อนก็ดีเท่าไหร่ แม้จะได้แค่เพียงใกล้กัน ใครคนนั้นคงไม่ว่า.. ช่วยไม่ได้ถ้ารักเขาก่อน ฉันต้องซ่อน
อาการมากมาย ไม่ให้เธอรับรู้ได้จากสายตา...' caller ring ของปุณณ์ยังคงเป็นเพลงเดิม (ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเพลงอะไร ต้องขอบคุณไอ้ง่อยที่
เอามาเปิดในห้องชมรมเมื่อวันก่อน) แต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่ผมต้องฟังเพลงนี้วนซํ้า ๆ ซํ้า ๆ ซํ้า ๆ หลายต่อหลายรอบ โดยไม่มีทีท่าว่า
ปลายทางจะยอมรับสายเลย ผมเพียรกดเบอร์นั้นใหม่ซํ้าแล้วซํ้าเล่าด้วยใจไม่ยอมแพ้ แม้จะรู้ว่ามันน่ารําคาญขนาดไหน เวลามีใคร
พยายามโทรหาเราซํ้า ๆ ขณะที่เราไม่อยากคุย แต่ผมก็ไม่อยากปล่อยให้ปุณณ์อยู่กับความเข้าใจผิดแบบนั้นทั้งคืนจริง ๆ
Caller ring เพลงนั้นของมันยังคงดังในหูอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มของเจ้าของห้อง ที่โผล่มาหลังหน้าต่าง.....
ปุณณ์ยืนมองผมนิ่งอย่างนั้น ก่อนมือถือผมจะร้องดังเป็นเสียงเตือนข้อความเข้า 'ขอผมอยู่คนเดียวซักพักนะ แล้วจะติดต่อไป' sender :
ปุณณ์ สภาฯ แล้วผมควรจะทําอะไรอีก.... นอกจากปล่อยให้ปุณณ์ได้อยู่เงียบ ๆ ตามที่ต้องการ *** วันเสาร์ผมตื่นมาด้วยอาการ
ปวดหัวอย่างหนักเพราะเมื่อคืนพอกลับถึงบ้านก็ซัดเอา ๆ แบบไม่ดูสภาพตัวเองเลยว่าเพลียแค่ไหน ไอ้พวกเพื่อนเวรก็รักผมกันจริง ๆ รินได้
รินดีไม่มีพร่อง แถมหลังจากที่หมดว้อดก้าหนึ่งขวดและเบียร์อีกหนึ่งลังแล้ว ยังเสือกมีอารมณ์บึ่งมอไซค์ออกไปซื้อเหล้าขาวมาผสมกระทิงแดง
นํ้าแดง โซดา ทําสูตรพั้นช์นรกของพวกมันกันต่ออีก จนสุดท้ายไอ้เป้อไอ้น็อตแพ้ภัยตัวเอง อ้วกหลับกองบนพื้นอย่างคนหมดสภาพ ส่วนไอ้
เก่ง ไอ้โด่ง ไอ้คม ไอ้รถเก๋ง หลับกระจัดกระจายบนโซฟาหน้าทีวี โดยมี ผม ไอ้ปาล์ม ไอ้พ้ง ไอ้เอ็ม ไอ้เคน นอนเกยทับเอกเขนกกันบนพรม
หน้าโซฟาอีกที ส่วนไอ้โอมหายไปไหนน่ะเหรอ... ก็เสือกมีแรงตะกายขึ้นไปนอนสบายในห้องผมไงล่ะ ไอ้เลวววววว ผมสะดุ้งตื่นเพราะ
เสียงจานชามขวดเหล้ากระทบกันขณะพี่อิมกับพี่แอนช่วยกันเก็บของอยู่ (เขาไม่ได้นอน
บ้านผมครับ มาตอนเช้า ตอนเย็นก็กลับ) จนต้องลุกขึ้นมาเกาหลังที่ไม่มีอะไรปกคลุมเลย เนื่องจากเสื้อถูกถอดออกตั้งแต่เมื่อคืนที่เมาจนร้อน
มาก ๆ ก่อนจะน็อคสลบกลายเป็นชีเปลือยเหลือแต่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวกันถ้วนหน้าทุกตัวทุกคน "น้องโอมไปไหนล่ะน้องโน่ ~~" เสียงพี่อิมก
ระซิบกระซาบถามผมอย่างบอกจุดประสงค์สุด ๆ หึหึหึ... อยากดูแผ่นอกสีนํ้าผึ้งของไอ้โอมล่ะสิ! ฝันไปเหอะพี่อิม ไอ้โอมนี่ก็สงสัยจะแอบรู้ทัน
เพราะมันกระแดะขึ้นไปนอนห้องข้างบนเก็บตัวเรียบร้อยเฉย... ผมกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความง่วง จนทันทีที่รู้สึกว่าเรี่ยวแรงกลับมา สิ่งแรก
ที่ผมควานหาคือโทรศัพท์ ไอโฟนผมกลิ้งอยู่ไม่ไกลนักพอให้คว้ามาได้ แต่ภาพที่เห็นคือทุกอย่างปกติ.. ไม่มีอะไรเกิดขึ้น.... ไม่มีแม้แต่
missed call เดียวจากปุณณ์ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองยิ้มไม่ออก.. "ตื่นไม่ปลุกเลยหวะสัด" เสียงไอ้เอ็มบ่นงัวเงีย ๆ สงสัยผมคงขยับจนไป
สะกิดมันตื่นเข้าให้ ก่อนที่มันจะบิดขี้เกียจไปมาจนมือป่ายถูกขาไอ้คมให้สะดุ้งด้วยอีกคน ส่วนไอ้คมก็ขยี้ตาจนศอกไปกระทุ้งรถเก๋งมันเลยตื่น
ด้วยอีกราย ในที่สุดกลายเป็นมหกรรมสะกิดต่อไปเป็นทอด ๆ จนตื่นครบกันทุกคน เหลือแต่ไอ้ห่าที่เสือกดอดขึ้นไปนอนข้างบนตัวเดียว
"เดี๋ยวกูเดินไปปลุกไอ้โอมเอง" ผมอาสาพลางค่อย ๆ ลุกแล้วเดินเกาหั วขึ้นบันไดชั้นสองไป ลากขาอย่างมึน ๆ อยู่แป๊บหนึ่งก็มาถึงหน้า
ห้องนอนตัวเองที่ปิดประตูอยู่ แถมยังมีไอเย็นของแอร์ลอดออกมาอีก นี่มึงขึ้นมานอนเตียงสบายไม่พอ ยังเปิดแอร์ด้วยนะไอ้เชี่ย!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมเข่นเคี้ยวอย่างนึกแค้นก่อนจะผลักประตูแรง ๆ เข้าไป
"เชี่ยโอม!!!!!!!!!!!! ตื่นเลยมึง!!!!!!!! ไอ้สัด! เหม็นเหล้าแล้วยังเสือกนอนบนเตียงกูอีก มึงลุกแล้วดึงผ้าปูที่นอนให้กูเดี๋ยวนี้เ ลยนะ ไอ้ห่า ตื่น
โว๊ย!!!!!!!!" โวยวายดังขนาดนี้ไม่ตื่นก็หูหนวกแล้วครับ! แต่ไม่รู้ว่าไอ้เชี่ยโอมแม่งหูหนวกหรือกวนตีนกันแน่ เพราะยิ่งผมโวยวายดังเท่าไหร่ มันก็
ยิ่งหันหนีเอาหัวไปซุกกับหมอนมากเท่านั้น ผมตรงดิ่งไปกระชากหมอนออกจากหัวมันทันที "ตื่น!!!!!!!!!!......... หรือต้องให้น้องมิ กมาปลุก?"
ได้ผลว่ะ พูดคําหลังเบากว่าคําหน้าตั้งเยอะ แต่แม่งเสือกชูนิ้วกลางตอบผมได้เฉย "กวนตีนนะมึ ง" ไม่เท่ามึงหรอกกก! ไอ้โอมเกาอกเกา
แขนนิดหน่อยก่อนจะยอมลุกขึ้นนั่งบนเตียงแต่โดยดี ผมส่ายหัวให้ท่าทางยังไม่ค่อยตื่นนั้นของมันก่อนจะเลยไปคว้าผ้าขนหนูสองสามผืน
ออกมาจากตู้ "อะ อาบนํ้า อาบบนห้องกูปะ พวกข้างล่างคงอาบข้างล่างกัน" ผมถามพลางเดินนําเข้าห้องนํ้าไปก่อน โดยเปิดประตูทิ้งไว้
จัดแจงถอดบ็อกเซอร์แล้วเข้าไปบิดฝักบัวให้นํ้าไหลมากระทบขอบอ่าง เสียงกึกกักด้านหลังบอกว่าไอ้โอมกําลังตามมา "เออดี โคตรเหนีย ว
ตัวชิบหาย" มันบ่นพลางถอดเสื้อผ้าแล้วคว้าฝักบัวในมือผมไปรดหลังมันเองบ้างก่อนจะสั่ง "มึงขัดหลังให้กูห น่อยดิ่ ขี้ไคลเยอะว่ะ" อ้าวเฮ้ย!...
ไอ้ห่านี่!? กูไม่มีแรงมั่งเหอะ ผมปฎิเสธมันทันที "ขี้เกียจ สาดดด" แต่แม่งไม่รู้จักฟัง.. ไอ้เชี่ยโอมดึงผมลงไปนั่งในอ่างก่อนจะหันหลังมาเป็น
เชิงว่า ยังไงก็ต้องขัด... เลววว "เดี๋ยวกูก็ขัดให้มึงไง แลกกัน" มันยังยื่นข้อเสนอต่อ.. เอาวะ ช่างแม่ง.. เหนียวตัวแบบนี้ก็อยากขัดขี้ไคลออก
เหมือนกัน ผมส่ายหัวพลางรดนํ้าแล้วถูหลังให้มันแรง ๆ อย่างช้า ๆ..
ผมกับโอมเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กครับ เพราะตอนป.สองเราเรียนห้องเดียวกัน แถมยังเสือกซวยนั่งข้าง ๆ กันอีก แต่ความซวยไม่ได้จบ
เพียงเท่านั้น เพราะพ่อไอ้โอมดันเป็นอาจารย์ของครูที่สอนเปียโนผม มันก็เลยมานั่งเรียนเปียโนกับผมอีก! (ไม่ให้พ่อสอนเองวะ!!) ดังนั้นผมเลย
สนิทกับมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ้านเราก็สนิทกันครับ เวลาป๊าม๊าผมไปไหนมักจะซื้อของมาฝากด็อกเตอร์แหวน (พ่อไอ้โอม) เสมอ เรื่ อง
อาบนํ้าด้วยกันของพวกเราผู้ชายก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ จริง ๆ แล้วผมอาบนํ้ากับใครก็ได้ไม่ค่อยอายเท่าไหร่ (แบบว่ามั่นใจขนาด หึหึหึ )
โดยเฉพาะกับไอ้โอม ที่โดนจับแก้ผ้าอาบนํ้าด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ (บางทีเรียนเสร็จดึก ๆ ด็อกเตอร์แหวนไม่อยู่ มันก็มานอนบ้านผมประจํ าครับ)
อาบกับมันเลยเหมือนอาบกับเป็ดลอยนํ้าอะ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร มันเองก็เหมือนกันครับ เราสนิทกันมาก จนผมคิดว่าไม่มีเรื่องไหนของ
มันที่ผมไม่รู้... แต่.... "มึงคบอยู่กับน้องมิกเหรอวะ" เรื่องที่ได้รู้โดยบังเอิญเมื่อคืน ทําเอาผมตกใจไม่น้อย.... ไม่ใช่ตกใจที่รู้ว่ามันคบกับน้อง
แต่ตกใจที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนต่างหาก เสียงไอ้โอมถอนหายใจยาว "ปล่าว.... ไม่มีอะไรจริง ๆ" แต่ผมไม่ค่อยอยากเชื่อ.. "มึงทํา ไมไม่บอก
กูวะ.. กูเสียใจว่ะ" ผมบอกกับมันตรง ๆ เพราะรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เห็นไอ้โอมหันมามองผมแว่บนึง ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันหน้ากลับไป
ตามเดิม "กูกะน้องเค้าไม่ได้มีอะไรจริง ๆ... มึงกับไอ้ปุณณ์เหอะ คิดว่ากูไม่รู้สึกอะไรรึไง" แต่ทําไมอยู่ ๆ มาเข้าตัวเองเฉยเล ยอะครับ.. ?
ผมได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจยาวกว่าไอ้โอม "กูกับปุณณ์ก็.... เพื่อนกัน" ถึงตรงนี้ท่าทางมันดูฟึดฟัด "ปากแข็งนะมึงอะ หันหลังไป กูเจ็บแล้ว
ตามึงมั่ง" แน่นอนว่าผมยอมทําตาม
คําสั่งมันแต่โดยดี เราเปลี่ยนตําแหน่งคนโดนขัดกับคนขัดกันนิดหน่อย ก่อนเสียงไอ้โอมจะเริ่มพูดต่อ "มึงไม่เห็นกูเป็นเพื่อนแล้ว ใช่ปะ" โห
... แต่ถ้าคิดแบบนี้ผมขอเวลานอก หันไปโบกกะบาลมันซักทีเหอะว่ะ "ไอ้เชี่ย!!! พูดงี้อีก กูต่อยแน่" มันเพิ่มนํ้าหนักที่ขัดหลังผมลงไปอีกจน
ชักแสบ "อยากต่อยมึงเหมือนกัน.. กูอุตส่าห์ไม่ถาม รอให้มึงบอก แต่มึงก็ไม่... มึงรู้ปะ กูคิดบ่อย ๆ ว่าสงสัยมึงไม่ไว้ใจกูแล้ว" ได้ยินอย่าง
นั้นผมจึงต้องรีบปฏิเสธ "เฮ้ย! ไม่ใช่นะเว้ย... แต่กูไม่รู้จะเล่ายังไงดีว่ะ.. ความสัมพันธ์มัน... กํ้ากึ่ง... กูพูดไม่ถูก" ผมพยายามอธิบาย แต่ก็ไม่รู้จะ
หาคําไหนมาจํากัดความดี จึงเริ่มวักนํ้าในอ่างเล่น เพราะตอนนี้เริ่มขึ้นมาถึงบริเวณเอวแล้ว ไอ้โอมส่ายหัว "ช่างเหอะ แต่พวกมึง โอเคใช่ปะ
.." มันว่าขณะที่ผมอมยิ้ม เพราะโอมเป็นอย่างนี้เสมอ.. แม้บางครั้งจะปากหมา (ไม่ใช่บางครั้งแล้วว่ะ ตลอดเวลามากกว่า) แต่มันก็เป็นห่ว งผม
จนหากจะถามว่านอกจากป๊ากับม๊าแล้ว มีใครคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยผมมากที่สุด ผมก็ไม่ลังเลที่จะตอบว่าคือใคร... "ก็มั้ง...." ไอ้โอม
ยังคงพูดต่อ "แล้วเมื่อคืนปุณณ์โกรธไรมึงอีกอะ กูเห็นท่าแม่งแปลก ๆ หรือมึงไปเอากะใครแล้วอัดคลิปไว้ในนั้น" โห.... ไอ้ห่านี่สงสัย จะมีตา
ทิพย์ว่ะ เล่นเดาซะ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ผมวักนํ้าจากเอวมารดเข่าตัวเองเซ็ง ๆ "เรื่องนี้กูเล่าไม่ได้จริง ๆ ว่ะ มันไม่ใช่ เรื่องของกูเองด้วย...
โทษทีนะ" ว่าแล้วก็หันไปเอื้อมมือตบแขนมันที่ถูขี้ไคลให้ผมอยู่ข้างหลังสองสามที ไอ้โอมตบไหล่ผมเบา ๆ กลับมาเป็นคําตอบ "เออ ดี ๆ
นะมึง มีไรก็บอกได้ กูก็ช่วยไม่ได้มากหรอก ไม่เคยมีประสบการณ์ว่ะ แต่เรื่องเสือก เอ๊ย.. เรื่องรับฟัง กูทําได้ " นั่นไง.. มันเผยธาตุแท้ออก
มาแล้วครับ ผมล่ะอยากหันไปต่อยมันจัง แต่ติดแค่ขี้เกียจ
เปลี่ยนเป็นถามเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า... หึหึหึ "แล้วมึงกะน้องมิกอะ ว่าไง จะเล่าไม่เล่า" อย่านึกว่ามึงเนียนไม่พูดแล้วกูจะจําไม่ ได้นะว๊อยย
เชี่ยโอมแค่นหัวเราะตอบผมหึหึ "เอาไว้กูศึกษาจากมึงสองคนก่อนค่อยว่ากัน" มันตอบแค่นั้น ก่อนจะคว้าฝักบัวมารดหลังไล่ก้อนขี้ไคลให้ผม
อย่างไม่เปิดช่องให้ซักต่อ ผมน่าจะรู้ว่าไอ้ห่านี่แม่งเอาเปรียบตลอดด *** กว่าพวกเราทั้งสิบสองคนจะอาบนํ้าแต่งตัว แย่งกันกิ นข้าวที่
พี่อิมพี่แอนทําเสร็จ ก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ ๆ แล้วครับ เพื่อนและน้องของผมทุกคนในชุดนักเรียนกางเกงนํ้าเงินรองเท้าหนังเต็มยศทยอยเดินกัน
ออกจากประตูบ้านพลางรํ่าลาพี่อิมพี่แอนกันเสร็จสรรพ พร้อมคํามั่นสัญญาว่าจะกลับมาถล่มบ้านผมใหม่เมื่อป๊าม๊าไม่อยู่ (เลวกันจริงนะมึ ง!)
ผมเดินไปส่งพวกมันที่หน้าปากซอยบ้าน จนขึ้นแท็กซี่กันครบทุกคน โดยมีไอ้โอมเป็นคนสุดท้าย.. ก่อนกลับไปมันหันมาตบบ่าผมสองทีเป็น
กําลังใจ ผมเองก็ฉี กยิ้มกว้างให้มันเช่น กัน ท้ายรถแท็กซี่ของไอ้โอมลับ ตาไปซักพักแล้ว แต่ ผมบังเกิดความรู้สึกขี้เกียจเดินเข้า บ้า น
กะทันหันขึ้นมาเสียก่อน พอก้มมองนาฬิกาดูก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า จึงตัดสินใจโบกแท็กซี่ไปซื้อของในวิลล่า โทษฐานขนมในบ้าน
ถูกไอ้พวกห่านั่นซัดลงกระเพาะซะหมดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากลอง ถนนวันเสาร์โล่งสบาย ๆ ครับ ผมใช้เวลาแป๊บเดียวในการบึ่งแท็กซี่จาก
ซอยบ้านมาเจอเวนิว (มิเตอร์ขึ้นไม่ถึงสี่สิบบาทเลยด้วยซํ้า) หลังควักเงินจ่ายให้คนขับแล้ว ผมก็เดินหลบแดดเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตที่แวะ
เวียนมาตุนขนมเป็นประจํา แต่แค่ย่างเท้าเหยียบพื้นซุปเปอร์มาร์เก็ต มือถือผมก็ร้องแหกปากทันที
'ขอให้เจ้าภาพจงจาเริ๊นนนนน คิดเงินให้ได้เงินนนน คิดทองให้ได้ทองงงงง ขอให้เจ้าภาพจงเจริญญญญ' ปุณณ์!? ชื่อนี้คือชื่อแรก
ที่แว่บเข้ามาในความคิดผมหลังจากได้ยินเสียงมือถือร้องดังในกางเกง เลยกลายเป็นความลนลานรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา เพื่อจะพบว่า
หน้าจอที่กําลังโชว์รูปและเบอร์คนโทรเข้ามาหรา เป็นหน้าของ.... ยูริ... ผมถอนหายใจยาวพลางกดรับเหมือนคนไม่มีแรง "ว่าไงครับ"
"เพิ่งตื่นเหรอโน่ ทําไมเสียงเพลียจัง" แต่สงสัยจะแสดงออกมากไปหน่อยว่าไม่อยากคุย.. ผมจึงรีบสะบัดหัวตัวเองไม่ให้เอาความหงุดหงิดไปลง
กับยูริทันที "เปล่า ๆ ตื่นนานแล้ว นี่ออกมาวิลล่าน่ะ" ผมตอบพลางเข็นเอารถเข็นเพื่อเดินเลือกขนมในซุปเปอร์ไปด้วย ขณะที่เสียงยูริยังคง
ดังแจ้ว ๆ มาตามสาย "แล้วพรุ่งนี้โน่ไปไหนรึเปล่า ดูหนังกับยูนะ ๆๆ" เอาแล้วไง... โรคขี้อ้อนของยูริมาอีกแล้ว เราเพิ่งจะไปซื้ อของด้วยกัน
มาไม่ใช่หรือไง.. ผมยิ้มแหย ๆ กับโทรศัพท์ที่รังสีตัวอ้อนเริ่มแผ่ แต่ครั้งนี้ผมไม่เหลือกะจิตกะใจจะไปทําอะไรแล้วจริง ๆ "ผมเพลียอะครับ
... ขอนอนอยู่บ้านได้มั้ย ไว้วันอื่นนะ" คําปฏิเสธของผมคราวนี้คงจริงจังมากพอจะทําให้ยูริหยุด เธออ้อมแอ้มตอบรับผมอย่างไม่คิด เซ้าซี้
ต่อ "เหรอ.... ไม่เป็นไร โน่พักเถอะ แล้วนี่ไปทําอะไรมาถึงเพลียขนาดนั้น" แต่ถ้าจะให้บอกว่ากินเหล้าเมื่อคืนคงไม่ดีแน่
ระหว่างที่ผมกําลังเดินคิดข้ออ้างเพื่อหาข้อแก้ตัวอยู่นั้นเอง พลันเสียงแจ้ว ๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็มาดังอยู่ไม่ไกลนักเสียก่อน "พี่
โน่!!!" ผมแทบจะทําโทรศัพท์หลุดจากมือ เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ ของน้องแป้งยืนประจันอยู่ตรงหน้า

38th CHAOS
"พี่โน่!!!" ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นน้องแป้งยืนเลือกขนมพลางเรียกชื่อผมอยู่ จําไม่ได้แล้วเหมือนกันว่านานเท่าไหร่ที่ผมไม่ได้ เจอกับน้องแป้ง
แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่จังหวะเหมาะสมที่จะเจอกันเลยเช่นกัน... "ยูริ... เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ บาย.." ผมรีบวางสายโทรศัพท์ พลางพยายามคลี่
ริมฝีปากให้น้องแป้งที่ยืนยิ้มเผล่มาทางผมอยู่ แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้คุยอะไรกันดี เสียงจากบุคคลที่สามก็ดังขึ้นก่อน "แป้งคะ เบ้กกิ้งโซดา
อยู่ตรงนู้น เอาแบบไหนอะ พี่เลือกไม่ถูก" ผมไม่รู้จะดีใจหรือรู้สึกยังไงดี เพราะปุณณ์มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว.. เรายืนมองกันสักพัก เห็น
นัยน์ตาคมคู่นั้นเบิกกว้างอย่างตกใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ฝืนแค่นยิ้มให้ผม "อ้าว.. โน่" "เออ... หวัดดี... มาทําไรกันอะ" กูนี่ มันถามอะไร
โง่ ๆ ออกไปแท้ ๆ คนเขามาซุปเปอร์อยากทําไร่ไถนามั้ง ผมนึกด่าตัวเองในใจ
แต่น้องแป้งไม่ใช่คนกวนตีนแบบนั้นหรอกครับ ผมรู้ เธอคลี่ยิ้มกว้าง พลางกระโดดมายืนข้างผม "มาซื้อของไปทําคุกกี้ พี่โน่ไปกินนะ ๆ
ๆๆๆ" ซํ้ายังสวมวิญญาณยูริ อ้อนผมแจทันที ผมยืนอึกอักมองเด็กหญิง ตรงหน้าสลับกับปุณณ์อย่างไม่รู้ควรให้คําตอบยังไง ในที่สุด
ปุณณ์ก็ตัดบท "แป้งคะ... พี่โน่เขาไม่ว่างหรอก อย่ากวนพี่โน่สิ" มันเอ็ดน้องพลางมองหน้าผมแล้วถอนหายใจ.. ผมรู้ปุณณ์ยังเข้าใจผิดอยู่ แล้วก็
รู้ด้วยว่ามันไม่อยากให้ผมไปบ้านตอนนี้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่ล่ะที่เราจะเข้าใจกัน "พี่ว่างครับ เดี๋ยวไปช่วยชิมนะ" ผมชิงตอบ
รับคําชวนนั้นด้วยตัวเองทันที นําให้น้องแป้งกระโดดดีใจยกใหญ่... ส่วนปุณณ์ผมไม่รู้ว่าเป็นยังไง เพราะไม่มีความกล้าแม้แต่จะเงยหน้ ามอง
มัน.. ตลอดทางบนรถแท็กซี่ ผมเงียบเกือบตลอด มีเพียงเสียงน้องแป้งเท่านั้นที่ดังแจ้ว ๆ ชวนผมคุยบ้างชวนปุณณ์คุยบ้างไม่ยอมหยุด
ขณะที่เราสองคนไม่มีฝ่ายไหนคุยกันเองเลย จนกระทั่งถึงหน้ารั้วบ้านใหญ่ ปุณณ์ก็กุลีกุจอถือของเข้าบ้านให้น้องสาว เลยไม่ทันได้เห็น
เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่หันหน้ามาขยิบตาใส่ผม "โกรธกันใช่ปะ" เราคงเงียบจนน้องแป้งสังเกตได้มั้งครับ ผมฝืนยิ้มตอบไปอย่างแห้งเหี่ยว
"ปละ... เปล่าหรอกครับ" "โกหก! คุยกันดี ๆ นะ เดี๋ยวแป้งทําขนมมาให้" น้องแป้งว่าอย่างนั้นก่อนจะวิ่งเร็วปรื๋อหายไปในครัว ปล่ อยผมให้
ยืนงงอยู่กลางบ้านอย่างนั้น แต่ไม่นานนักปุณณ์ก็เดินออกมา "อ้าวแป้งล่ะ?" "บอกว่าจะไปทําขนมมาให้กิน"
"อือ.... ดูทีวีปะ" มันถามพลางเดินนําผมไปยังห้องนั่งเล่นของบ้านอย่างเสียไม่ได้ ทีวีเครื่องใหญ่ถูกเปิดติดเป็นช่อง HBO ที่คงมีคนดูค้างไว้
ผมลอบมองใบหน้าเรียบเฉยนั้นของปุณณ์ที่กดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปมา โดยไม่หันมาหาผมเลยสักนิด "ปุณณ์...." ผมถอนหายใจพลางเริ่ม
เกริ่น "ว่าไง..." แม้เสียงที่มันตอบจะฟังดูธรรมดา แต่ผมรู้ดีว่าข้างในใจปุณณ์เต็มไปด้วยอะไรมากกว่านัน้ "กูขอโทษนะ.. ที่ ทําให้มึงต้องรู้
ด้วยวิธีนั้น.." ".............." เหลือเสียงการ์ตู นเน็ทเวิร์คตรงหน้าเพียงอย่างเดียวที่ทําลายความเงียบระหว่างเราตอนนี้..... ผมแทบกลั้นลม
หายใจรอคําตอบ เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้พูดสิ่งที่อยากบอกไปแล้ว.. ส่วนนอกเหนือจากนี้ก็เหลือแค่ปุณณ์จะตัดสินใจ ใบหน้าคมคายที่ ผม
เห็นนั้นหมองลงไปเล็กน้อย ริมฝีปากบางสีอมส้ม ถูกเม้มหากันเหมือนกําลังชั่งใจอะไรบางอย่าง "มึง.... ไม่รู้จะบอกกูยังไง ใช่รึเปล่า.." ปุณณ์
ถามผมเสียงเบาเหมือนกับว่าเจ้าตัวแสนเหนื่อย.. ผมมองท่าทางแบบนั้นด้วยความทรมานใจ ทั้งที่เคยตั้งใจจะทําทุกอย่างให้คนตรงหน้ามี
ความสุขแท้ ๆ แต่ตัวผมกลับกลายเป็นคนทําให้ ปุณณ์กลายเป็นอย่างนี้เสียเอง ดวงตาคมของปุณณ์ปิดสนิทราวกับไม่อยากรับรู้อะไรอีก
"มึง..... ไม่ได้ตั้งใจปิดบังกู... ใช่มั้ย...." คําหลังของมันฟังดูอ้อนวอนมากกว่าเป็นประโยคคําถาม.. ผมกระเถิบเข้าไปใกล้ร่างแกร่ งนั้นที่ในเวลานี้
ดูอ่อนแอเหลือเกิน ก่อนจะทาบมือบนหลังมือมันแผ่วเบา "ปุณณ์... กูขอโทษ... กูไม่รู้จะบอกยังไงจริง ๆ... เพราะกูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบ
นี้..." ผมบีบมือปุณณ์แน่นขึ้น เห็นคนตรงหน้าใช้มือข้างที่เหลือกุมขมับตัวเองพลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออันสั่นเทาของปุณณ์ เช่นเดี ยวกับดวงตาที่ปิดอยู่คู่นั้น ที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นนัยน์ตา แต่ผมรับรู้ได้ว่าเจ้าของมันต้อง
พยายามต่อสู้กับตัวเองเพียงใด "นอกจากมึงมีใครรู้อีกรึเปล่า" เสียงปุณณ์กระซิบถามให้ผมส่ายหน้า แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้มองก็ตาม "กูรู้
มาจากกอล์ฟ แต่นอกจากนี้แล้วกูไม่ไ ด้บอกใคร" "กูไม่อยากให้คนอื่นมองเอมไม่ดี" ถึงแม้จะถูกทําอย่างเจ็บแสบ แต่มันก็ยังคงเป็นห่วง
ผู้หญิงคนนั้นอยู่... ผมรู้ว่าปุณณ์เป็นคนอย่างนั้น หากปุณณ์หวังดีกับใครแล้ว ปุณณ์ก็จะหวังดีจนถึงที่สุด ใบหน้าคมคายที่ผมเห็ นบิดเบี้ยว
ก่อนจะเค้นคําพูดต่อ "แล้วกูก็ไม่อยากให้มึงเสียใจที่เห็นกูเป็นแบบนี้...." ปุณณ์พูดพลางดึงเอามือที่ผมกุมไว้ออก ก่อนจะเป็นฝ่ายกุมมือผมเสีย
เอง เสียงทุ้มนั้นยังคงพูดต่อ "... มึงโกรธรึเปล่าที่กูเสียใจเรื่องเอม" ผมว่าแล้วว่าปุณณ์ต้องคิดแบบนี้... ผมคิดแล้วว่าปุณณ์ ต้องกลัวผมจะ
เสียใจหากต้องเห็นว่าปุณณ์แคร์เอมมากเพียงใด ซึ่งผิดถนัด เพราะนี่ไม่ใช่เวลาจะมาหึงหวงหรือน้อยใจอะไรไร้สาระเลย ในทางกลับกัน.. ถ้า
ปุณณ์ไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ ผมนี่แหละจะกลายเป็นฝ่ายรู้สึกแย่กับปุณณ์เอง ผมชอบปุณณ์เพราะปุณณ์จริงใจกับทุกคนเสมอ เพราะปุ ณณ์
ใส่ใจทุกคนเสมอ... หากปุณณ์เป็นคนเห็นแก่ตัว มองแต่ความสุขของตัวเองคนเดียว ผมคงไม่เข้ามายุ่งกับปุณณ์ ผมใช้มืออีกข้างนึงวางลง
บนมือปุณณ์ที่ทาบมือผมไว้อีกที "ฟังนะปุณณ์...." ใบหน้าคมคายนั้นหันมามองตาตอบผม ก่อนที่ผมจะเริ่มพูดต่อ "พวกมึงคบกันมา
นานเท่าไหร่... ถ้าเจอเรื่องแบบนี้แล้วมึงยังเฉย ๆ กูสิจะรู้สึกแย่...... กูดีใจนะที่เจอคนดี ๆ อย่างมึง... ขอโทษอีกทีว่ะที่ไม่ยอมบอกมึงดี ๆ แต่
ปล่อยให้มึงมาเจอเองแบบนี้...." แต่ยิ่งพูดถึงตรงนี้ผมกลับยิ่งรู้สึกแย่ มันเกลียดตัวเองจนไม่กล้าแม้จะสบตาปุณณ์ในตอนท้าย เหลือเพี ยงหาง
ตาที่เห็นผ่าน ๆ ว่าปุณณ์
ส่ายหัวไปมา "กูเข้าใจ... ขอบใจนะที่เป็นห่วงกู... มึงรู้มานานยังวะ" "ตั้งแต่... งานบอล" "นานเชียว.." มันว่าพลางแค่ นหัวเราะ ทั้งที่
ผมรู้ว่ามันไม่ได้ขําเท่าไหร่ ผมเหลือบมองใบหน้าปุณณ์ที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก่อนปุณณ์จะพูดคํ าหนึ่งออกมา "ขอเวลากูหน่อย
นะโน่... ถ้าพร้อมแล้วกูจะบอกมึงเอง.." นํ้าตาลูกผู้ชายของปุณณ์ที่ไหล.. ทําให้ผมเจ็บใจเหลือเกิน *** วันจันทร์ผมโผล่ไปโรงเรียน วาง
กระเป๋าลงกับโต๊ะ ยกมือทักทายไอ้โอมและเพื่อนคนอื่นตามธรรมเนียม ก่อนจะรีบเลี่ยงออกมาโทรศัพท์น อกห้องทันที ผมต่อสายหาไอ้
กอล์ฟ เพราะมีเรื่องสําคัญเรื่องหนึ่งจําเป็นต้องบอก แต่หากจะถามว่าทําไมไม่โทรบอกกันตั้งแต่วันอาทิตย์ ผมก็จะตอบว่า เพราะสําหรับ ไอ้
กอล์ฟ วันอาทิตย์ถือเป็นวันครอบครัวครับ! ดูไม่เข้ากันใช่ปะ แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ.. เห็นแม่งชั่ว ๆ อย่างนั้นแต่ที่จริงแล้วกอล์ฟติดบ้านมาก
ครับ ใครเสือกโทรมาลากไปไหนวันอาทิตย์มีแต่โดนด่ากระเจิง แถมโทรศัพท์มันก็ไม่ค่อยจะรับสายจนเป็นอันรู้กันว่าวันอาทิตย์ต้องเมซเซสอ
ย่างเดียวครับ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสําคัญเกินกว่าจะคุยทางเมซเซส ผมจึงรอบอกมันวันจันทร์เลยดีกว่า...
'Give me something to believe in. Cause I don't believe in you anymore, anymore.. I wonder if it even makes a
difference to try, yeah, So this is goodbye~...' "ฮัลโหลเพื่อนนน กินเหล้าที่ไหนว่ามาเลย" เสียง caller ring ไอ้กอล์ฟดังจนจะขึ้น
ท่อนใหม่อยู่แล้วกว่าแม่งจะรับสายได้ ผมล่ะอยากสวดมันเรื่องชอบรับโทรศัพท์ช้าจริง ๆ ติดที่ตอนนี้มีเรื่องอื่นน่าด่ามากกว่า "ตลกละมึง
เค้ามากันตั้งแต่วันศุกร์ เสือกหายหัวนะ" ผมด่าพลางคิดว่าถ้าวันนั้นไอ้กอล์ฟอยู่ด้วยเรื่องคงไม่แย่ขนาดนี้ แต่เสียงกวนตี นของมันยังคง
โต้ตอบกลับมา "กูก็ติดสัด เอ๊ย ติดสาวบ้าง ไรบ้าง ทําไมวะ มีอะไรเจ๋ง ๆ ที่กูพลาดรึเปล่า" "เออ...... สุด ๆ" ผมบอกพลางแค่นลมห ายใจ
แรง จนกอล์ฟคงจับพิรุธได้ "มีอะไรวะ?" "ปุณณ์มันรู้เรื่องเอมแล้วว่ะ...." "เฮ้ยยยยยยยยย มึงบอกมันแล้วเหรอวะ!! ไม่บอกกูก่อน
เลยนะ!!!" แน่นอนว่าเสียงไอ้กอล์ฟโวยวายดังแทบทะลุออกนอกลําโพง แต่ผมไม่มีเวลาคิดหนวกหู เพราะกําลังหนักใจเรื่องของตัวเองอยู่
"กูไม่ได้บอก....." "แล้วปุณณ์รู้ได้ไงอะ" "มันบังเอิญเจอคลิป.... ในมือถือกู.." ".............." ถึงตรง นี้ เราสองคนได้แต่เงียบ... ผมรู้ว่า
กอล์ฟคิดอะไร
"วิธีโคตรแย่ที่สุดเลยว่ะ.. แต่กูไม่ได้ว่ามึงนะ มึงคงไม่ตั้งใจ" แน่ใจนะว่าไม่ได้ว่า ผมเหล่มองโทรศัพท์อย่างเคือง ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว
ออกมา "ก็เออดิ่... กูตกใจชิบหายตอนมันรู้ แต่ปรับความเข้าใจกันแล้ว.. มั นบอกขอเวลาอีกหน่อยว่ะ" เสียงกอล์ฟจากปลายสายช่วย
ผมถอนหายใจหนัก ๆ อีกแรง "เออ.. ถ้ามันพร้อมแล้วก็บอกกู กูจะช่วยหาทางให้" "ขอบใจว่ะ.... ขอบใจแทนไอ้ปุณณ์ด้วยนะเว่ย" "ไม่
เป็นไร คนเคย ๆ เห็นกันมาตั้งนาน เพื่อนมึงก็เหมือนเพื่อนกูแหละ" ด้วยคําตอบนี้เรียกเอาความรู้สึกอบอุ่นให้เต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจ ผมคลี่ยิ้ม
กลั บ ไปแม้ป ลายทางจะไม่ เห็ น แต่ ผ มรู้สึกว่ า ตั ว เองช่ า งโชคดี ที่ ชี วิ ต มีแต่ เพื่ อนดี ๆ รายล้อมรอบตัว แบบนี้ "รักมึง ว่ ะ กอล์ ฟ" ***
ช่วงเวลาพักกลางวันที่ผู้คนคลาคลํ่าในโรงอาหาร จริง ๆ แล้ววันนี้ผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่เพราะมีธุระต้องติดต่อกับฝ่ายนู้นฝ่ายนี้เยอะแยะเต็ม
ไปหมด เกี่ยวกับเรื่องขอความอนุเคราะห์ในการจัดงาน Live Contest ที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมเดินกึ่งวิ่งไปทางร้านขายเครื่องดื่ม
เพราะสําเหนียกตัวเองได้ว่าสภาพแบบนี้ให้กินข้าวคงจะไม่ทั น ด้วยความที่เหลือเรื่องต้องคุยกับฝ่ายสถานที่อีกบาน ปีนี้พวกเราจัดงานใน
โรงยิมครับ เลยวุ่นวายนิดหน่อยเพราะคนดูแลโรงยิมค่อนข้างดุ (มากถึงมากที่สุด)
"ป้า เอา... สแปลชขวดนึง" งั้นติ๊ต่างว่าวันนี้ตัวเองเป็นนิชคุณไปก่อนวันนึงแล้วกัน Y__Y ผมสั่งเมนูอนาถาประจํามื้อเที่ยงพลางกวาดตา
มองไปรอบ ๆ โรงอาหารระหว่างรอป้าก้ม ๆ เงย ๆ หยิบและเปิดขวดนํ้าอยู่ พลันสายตาสะดุดไปเห็นร่างโปร่งของคนที่เดินทําหน้าหล่อ
แต่ไม่ยิ้มเลย ปรากฏอยู่ไม่ไกล ผมอ้าปากจะเรียกชื่อมัน แต่ก็คิดว่าไม่ทําอย่างนั้นคงดีกว่า (เจ็บคอครับ) "ป้าเอาโอวัลตินด้วยกล่องนึง" ผม
อ้าปากสั่งเพิ่ม ลําบากป้าต้องงก ๆ เงิ่น ๆ เดินไปเปิดตู้แช่อีก ทันทีที่ได้รับของทั้งหมดมา ผมก็ปรี่ไปหาน้องมิก (กิ๊กไอ้โอม) ที่บังเอิญนั่ง
ทานข้าวอยู่กับเพื่อน ๆ แถวนั้นพอดี "มิกครับ!" "วะ... ว่าไงครับ... พี่โน่" น้องมิกดู เป็นเด็กผู้ชายที่ตกใจตลอดเวลา ผมสังเกตมาหลาย
ครั้งแล้วครับ ถ้าเมื่อไหร่เรียกชื่อน้องมิกเสียงดัง ๆ น้องจะสะดุ้งแรงมาก จนบางทีพวกผมก็ชอบแกล้ง (เลยโดนไอ้ฟิล์มด่าประจํา เพราะเป็น
เด็กโปรดมัน) "พี่ยืมปากกากับโพสต์อิทหน่อยได้ไหมอะ" "ได้ครับ" น้องมิกตอบพลางควานหาของพวกนั้นในกระเป๋าดินสอที่น้องถือมา
กินข้าวด้วย (สงสัยเพิ่งเปลี่ยนคาบเรียนเสร็จ) ผมยืนรอแค่สักแป๊บน้องนิกก็ส่งปากกานํ้าเงินและโพสต์อิทสีชมพูแปร๋นให้ผม จะดีเหรอวะ -
-____--" "ไม่มีสีอื่นเหรอมิกกก" ผมโอดครวญ พลางคิดว่าถ้าไอ้ฟิล์มอยู่แถวนี้คงโดนด่า เพราะน้องเขาให้แล้วยังงอแงอีก (แตะไม่ได้เลยนะ
น้องมิกมึงเนี่ย)
แต่น้องมิกส่ายหัวดิ๊ก "ไม่มีอะพี่โน่... อันนี้มิกก็จิ๊กพี่สาวมาอีกที" เออ.. ผมก็ว่าถ้าน้องซื้อเองจะดูน่ารักน่าชังเกินไป(แบบแปลก ๆ) เอาเถอะ
ครับ สีอะไรก็เหมือนกัน ผมคว้าเอาโพสต์อิทมาฉีก พลางเขียนอะไรยุกยิก ๆ อย่างไม่รอรี "ขอบใจมากมิก! ไว้จะเพิ่มโควต้าให้อยู่กับไอ้โอม
สองต่อสอง หึหึ" ไม่อยู่รอฟังน้องมิกแก้ตัวแล้วครับ (ชอบบ่ายเบี่ยงกันทั้งคู่) ผมรีบไปก่อนเป้าหมายจะหายดีกว่า ปุณณ์เดินกับ เพื่อนร่วม
ห้องกลุ่มใหญ่อยู่บริเวณหน้าโรงอาหารไม่ ไกลจากผมนัก สงสัยคงกินเสร็จแล้วกําลังจะกลับขึ้นตึก ผมจึงไม่รอช้า รีบเดินเร็ว ๆ ผ่านหน้ามัน
แล้วยัดกล่องโอวัลตินใส่มือเลขาฯสภาฯทันที (สภาพเหมือนโจรยัดยาบ้าเลยครับ) ': ) ยิ้มหน่อยสิมึง : )' คือคําที่ผมเขียนใส่โพสต์อิท
แล้วแปะไว้บนกล่องโอวัลติน แต่ไม่ได้หันไปมองหรอกครับว่าปุณณ์กําลังยิ้มอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า เพราะอายว่ะ ไม่รู้เพื่อนมันทันเห็นบ้าง
มั้ย ผมมัวแต่รีบจํ้าอ้าวเดินกลับตึกฟ.ไปห้องชมรมก่อน 'ตื้ด ตื้ด' เสียงข้อความเรียกเข้ามือถือดังขึ้น จนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
'ขอบใจนะ ยิ้มแล้ว =]' sender : ปุณณ์ สภาฯ
อีโมชั่นยิ้มของมันทําให้ผมยิ้มใส่โทรศัพท์ซะกว้างเหมือนคนบ้า.. ผมไม่หวังให้ปุณณ์ทําใจกับเรื่องแย่ ๆ ได้ทั้งหมด ผมแค่อยา กให้
ปุณณ์ยิ้ม... และมีความสุขกับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ เท่านั้นเอง.. 'กูอยู่ตรงนี้นะ'

39th CHAOS
หลังจากวันนั้น ผมถึงแม้จะวุ่น แต่ก็พยายามทําทุกอย่างเพื่อเรียกรอยยิ้มของปุณณ์ให้กลับมาตลอด ทุกเช้าผมมักเจอปุณณ์ทําหน้ายุ่งอยู่ บน
ตึกอํานวยการตามปกติ แต่ไม่ว่าผมจะรีบ (เพราะมาสาย) ขนาดไหน ก็ไม่ลืมส่งรอยยิ้มและโบกไม้โบกมือให้ไอ้เลขาฯสภาฯหน้ายุ่งที่มัก มีแฟ้ม
เอกสารเล่มโตคามืออยู่ตลอดเวลา ซึ่งทุกครั้งที่ปุณณ์เห็นผมก็มักเปลี่ยนจากสีหน้ายุ่ง ๆ เป็นยิ้มสดใสทันที : ) ผมเชื่อนะ ว่าหากเราตั้งใจยิ้มให้
ใครสักคนด้วยความจริงใจแล้ว รอยยิ้มมักเป็นโรคติดต่อที่มีอานุภาพรุนแรงเสมอ เมื่อมันถูกส่งไปจากคนหนึ่ง ผมก็เชื่อว่า ผู้รับอีกคนหนึ่งจะ
สามารถสบายใจและยิ้มตามได้ทันที : ) นับตั้งแต่วันที่เราคุยกันในบ้านปุณณ์วันนั้น ผมก็ไม่เคยถามอะไรปุณณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้นอี ก เพราะ
ไม่รู้จะตอกยํ้าให้มันกลับไปคิดถึงเรื่องแย่ ๆ ทําไม ผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่าปุณณ์ทําอะไรลงไปแล้วบ้าง หรือมันจะยั งไม่ได้เริ่มทําอะไรเลย เพราะผม
เคารพการตัดสินใจของปุณณ์เสมอ หากปุณณ์อยากให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นเรื่องไม่น่าจดจํา และทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะ ผมก็พร้อมจะทําตาม
หรือถ้าวันไหนถึงเวลาที่ปุณณ์พร้อมจะเผชิญหน้ารับความจริงทุกอย่าง ตัวผมเองก็พร้อม... ที่จะยืนอยู่ข้า ง ๆ ปุณณ์ ขอแค่ปุณณ์บอกว่า
ต้องการ เย็นวันหนึ่ง ผมมีภารกิจหนัก ต้องมาง่วนเดินเอกสารระหว่างห้องชมรมกับฝ่ายงานธุรการอยู่เป็นวรรคเป็นเวร แม้นาฬิกาข้อมื อ
จะบอกเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว แต่ผมยังต้องวนไปเวียนมาระหว่างตึกฟ.กับตึกธุรการไม่เป็นอันไปไหน เพราะใบคําร้ องที่ปริ้นมาไม่ถูกตาม
รูปแบบซักที... แม่งเอ๊ย! นี่ก็ว่าตรวจทานดีแล้วนะ!
ผมเดินลากขาหน้าเซ็งจากตึกฟ.ไปตึกธุรการอีกครั้ง นับได้เป็นรอบที่ห้า ในใจอารมณ์เสียไปหมดคิดแต่ว่าถ้ารอบนี้ยังไม่ผ่านกูก็จะไม่ทํ าแม่ง
แล้ว (แต่มีไอ้อาร์ทปลอบให้ผมใจเย็น ๆ หน่อย เพราะถ้ าไม่จัดการให้เสร็จในวันนี้ก็จะออกใบขอสปอนเซอร์ไม่ทัน) เอาวะ... จะยอมอดทน
จนกว่าทําเรื่องได้แล้วกัน ไหน ๆ มิสที่ห้องธุรการก็ช่วยอยู่โยงจนเย็นยํ่าเพื่อทําเรื่องให้ผมแล้ว ผมเดินทําปากขมุบขมิบ บ่นกั บตัวเองมา
ตลอดทางเพราะอารมณ์เสียที่ทําเอกสารพลาดซํ้าแล้วซํ้า เล่า จนไม่ทันสังเกตเห็นร่างสูง ๆ กําลังวิ่งมาประชิดข้างตัวผมในระยะใกล้จนไหล่
กระทบกัน "เป็นไร ทําหน้าเหมือนแดกรังแตน" เป็นไอ้ปุณณ์นั่นเองครับ ที่ถามผมกลั้วรอยยิ้ม เรียกให้ผมหันไปมองหน้ามันก่อนจะพ่นลม
หายใจแล้วชูกระดาษเอกสารแผ่นนั้นให้มันดูกับตาเอง "อะไรวะ?" ปุณณ์ขมวดคิ้วก่อนจะอ่านออกเสียง "เรื่อง... ขอความอนุเคราะห์ใน
การจัดการประกวด LIVE CONTEST ของชมรมดนตรี โรงเรียนxxx... มึงทําเอกสารสปอนเซอร์ให้งานตอนนี้จะทันเหรอ??" แล้วดูมัน... ยังมี
หน้ามาตอกยํ้าความชักช้าของพวกผมอีก ผมถอนหายใจใส่ก่อนจะตอบ "ก็ถ้ าออกได้ภายในวันนี้ก็ทันอะ แต่ถ้าไม่ได้วันนี้กูซวยแน่ ควัก
เนื้อ.... เออ ว่าแต่เงินชมรมกูสองหมื่นออกยัง เงินมึงจมบ้างรึเปล่า" ผมถามด้วยความเป็นห่วงเพราะยังจําได้ว่าสุดท้ายคนควักเงินโปะให้ชมรม
ผมคือใคร (แม้ตอนแรกจะเป็นเงินเอิ้นก็เถอะ) ปุณณ์คลี่รอยยิ้มตอบผมด้วยท่าทีสบาย ๆ "ใกล้ออกแล้ว ซักมะรืนนี้แหละ เงินไม่จมหรอก
กูพอมีเงินเก็บน่ะ" อ๋อออ.. ก็ลืมไปว่ามึงน่ะรวยยยยยยย ผมได้ทีหันไปฉีกยิ้มให้มันเผล่ "เออ.. เงินเหลือก็เอามาเป็นสปอนเซอร์ให้ กูหน่อยดิ่
กูอยากได้อีกซักสามสี่หมื่น หึหึหึ... โอ๊ย!!!" ไม่น่าเลยกู พูดให้ไอ้ปุณณ์มันโบกหัวอีกทําไมวะเนี่ย!!! ผมลูบหัวตัวเองป้อย ๆ พลางยกนิ้วชี้หน้า
มันเคือง ๆ "ไม่ให้แล้วยังทําร้ายร่างกายอีกนะ ไอ้เวรรร แล้วนี่มึงไม่ไปไหนรึไง" แต่หลังจากที่สําออยพอประมาณแล้วจึงเปลี่ยนเป็นเดิ นผิวปาก
แทน เพราะรู้สึกสบายอารมณ์ขึ้นมาอย่างประหลาด ตั้งแต่เห็นหน้าไอ้ปุณณ์ก็ไม่รู้ทําไมเหมือนกันครับ แต่เปลี่ยนจากที่อารมณ์เสีย
กลายเป็นอารมณ์ดีได้ซะเฉย ๆ ปุณณ์ยิ้มพลางเดินข้าง ๆ ผมต่อ "ไม่ไปว่ะ พอดีเคลียร์งานเสร็จเร็วอะนะ" มันพูดพลางยักคิ้วให้เหมือ น
อยากล้อ... เออ... ใช่ซี่....... ชมรมกูมันงานเสร็จช้าาาาาาาา ใครจะเก่งเหมือนสภานักเรียนล่าาาาาาาาาาาาา กะจะด่ามันซักหน่อยแต่เสือก
เดินมาถึงหน้าห้องธุรการก่อนครับ (รอดไปนะมึง) ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ ก่อนจะผลักประตูห้องธุรการเข้าไป ตรงที่นั่งเดิมนั้น ยังปรากฏ
มิสพรรัตน์คอยทําเอกสารให้ผมอยู่ ไม่ไปไหน ปุณณ์ตามเข้ามารอด้วย ขณะที่ผมใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ลุ้นว่าตัวเอกสารครั้งนี้จะผ่านหรือเปล่า
จนแม้ว่าแอร์ในห้องธุรการจะเย็นเฉียบ แต่ผมกลับยืนเหงื่อแตกพลั่ก ๆ จ้องหน้ามิสพรรัตน์ที่ตรวจเอกสารอยู่ ด้วยกลัวว่าถ้าไม่ผ่านอีก ครั้งผม
คงขี้เกียจแก้รอบที่หก "อืม..... นภัทร..." เสียงมิสพรรัตน์ขานชื่อจริงผมมาห้ารอบแล้วครับ... แต่ละรอบไม่ใช่เรื่องดีเอาซะเลย "ครับ ?"
ผมขานรับด้วยใจเต้นตึกตัก เพราะหวังว่าคงไม่ใช่ข่าวร้ายอย่างห้าครั้งที่ผ่านมา แต่มิสพรรัตน์กลับหันเอกสารที่พับครึ่งมาทางผม และพู ดว่า
"วัน ที่นี้มั นพับ แล้ว ไม่ กลางล่ะ นภัท ร... ครูก็ไม่อยากพูดคํานี้ หรอกนะ แต่ ไปทํ ามาใหม่ได้ รึเปล่า" "โห่ ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
มิสสสสสสส ผมเหนื่อยอะะะ" เริ่มงอแงประท้วงเป็นเด็ก ๆ แล้วครับ!! แต่ถึงจะทําอย่างนั้น มิสพรรัตน์ก็แค่ส่ายหัวปลง ๆ กลับมาทางผม
"เฮ้อ.... ก็สงสารหรอก แต่ปล่อยผ่านไปฝ่ายอื่นเขาก็เด้งเอกสารเธอกลับมาอยู่ดี ไปแก้เถอะ... แล้วปารเมธไปไหนล่ะ ทําไมไม่มาทําเอกสารให้
เหมือนทุกที" มิสถามถึงไอ้เมธที่เป็นสารนียากรประจําชมรมผมครับ แต่มันเสือกเป็นไข้เลือดออกนอนพะงาบอยู่โรงพยาบาล (เมื่อวานพวกผม
ก็เพิ่งยกขโยงไปเยี่ยมกันมา) ดังนั้นวันนี้หน้าที่เดินเอกสารทั้งหมดจึงตกเป็นของผมเอง ทั้งที่ไม่ได้ฉลาดเรื่องนี้ซักเท่าไหร่
แต่ก็เอาวะ! แก้เป็นแก้... มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องทําให้เสร็จ! ผมรับเอกสารคืนจากมิสพรรัตน์อย่างจํานน "มันไม่สบายอะครับ... มีตรงไหน
ต้องแก้อีกป่าวอ่า.. ผมจะได้ทําทีเดียว" แต่เธอแค่คลี่ยิ้มละมุนพลางหันไปพูดกับปุณณ์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังผม "ปุณณ์ไปช่วยดูเอกสารให้น
ภัทรเขาหน่อยสิ ท่าทางจะแย่นะเนี่ย... เธอทําเก่ง ไปช่วยเพื่อนหน่อยได้ไหม" หืม ? ผมหันไปมองไอ้หน้าหล่อที่ยืนเหวออยู่ด้านหลัง ก่อนมัน
จะผงกหัวรับอาจารย์ "ครับ" เราสองคนเดินออกจากห้องธุรการโดยที่มีผมแซวมันยิ้ม ๆ "อ้าวววว มีของดีอยู่ใกล้ตัวกูไม่น่ามั่วเองอยู่ตั้ง
นานเลยว่ะ โด่เอ๊ยยย" เรียกให้ไอ้ปุณณ์ขําได้ทันที "มึงไม่บอกล่ะว่าไม่มีใครช่วยทําเอกสาร ถ้ารู้กูไปช่วยแต่แรกแล้ว... จริง ๆ ถึงมิสไม่บอก
กูก็ว่าจะช่วยมึงนะ" แหม... ไอ้คนดี.... ผมแกล้งเบ้ปากทําเหมือนไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากมัน (ทั้งที่จริง ๆ แล้วอยากได้ใจจะขาด) เลย
ถูกมันทุบหัวไปอีกสองที แต่หลังจากนั้น เมื่อผมได้ผู้ช่วยเป็นเลขาสภาฯแล้ว ทุกอย่างก็ดูง่ายขึ้นทันตาครับ! ปรากฏว่าผมมีจุด ที่ต้องแก้อีก
บานนน จนไอ้ปุณณ์แทบจะยกเอกสารทั้งหมดมาทําใหม่ เห็นมันควักแว่นตาในกระเป๋าเสื้อมาใส่แล้วพิมพ์อะไรก๊อกแก๊กระหว่างผมนั่งบิดรู
บิครอ (สมาชิกคนอื่นซ้อมวงอยู่อีกห้องครับ) แค่เพียงไม่นานเสียงเครื่องปริ้นก็ทํางาน ก่อนที่มันจะหันมาบอกผมว่า "ถ้าคราวนี้ ต้องแก้อีก
กูให้เตะ" เหอะ ๆๆๆ บางทีก็หมั่นไส้ อยากให้มันต้องแก้อีกซักรอบ จะได้เตะไอ้คนอวดดี แต่สุดท้ายผมก็อดเตะมันว่ะ เพราะเป็นอย่า งที่
แม่งบอกทุกอย่าง เอกสารรอบนี้ถูกต้องตรงเป๊ะตามรูปแบบ
ราชการจนมิสพรรัตน์ส่งยิ้มให้ผมเหมือนดีใจด้วยที่ได้ผู้ช่วยดี ..แต่ผมหมั่นไส้ไอ้เจ้าของผลงานที่ยืนแอ็คอยู่นี่ว่ะ เลยขอแอบเตะหน้าขามันไป
ป้าบหนึ่ง หึหึ หลังจากฝ่าด่านยื่นเอกสารได้แล้ว เราก็ยังวนเวียนอยู่ใต้ตึกใหม่จนกระทั่งมืดคํ่า ไม่ได้ออกไปผุดไปเกิด เพราะเสื อกมีภาระ
ต้องส่งแฟ็กซ์และดําเนินงานอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ส่วนมากบริษัทที่ต้องเดินเรื่องเป็นบริษัทที่เราติดต่อเอาไว้แล้ว เหลือแค่ส่ง
เอกสารตามไปอย่างเดียว ดังนั้นเวลาแบบนี้ (เกือบสองทุ่ม) ถ้ามีบริษัทไหนสามารถรับเอกสารได้ผมก็จัดการส่งให้เลย ไม่ต้องรอพรุ่งนี้เ ช้า
เพราะเสียเวลา หรือบางบริษัทเป็นกิจการของครอบครัวน้อง ๆ ในชมรม ผมก็ฝากมันเอากลับบ้านไปให้พ่อ ประหยัดค่าส่งแฟ็กซ์ได้อีกหลาย
บาท กระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มกว่า ผมจึงรู้ตัวว่าควรวางงาน แล้วเดินออกจากโรงเรียนซักที หันมองไปข้าง ๆ ตัว ก็ยังเห็นปุณณ์ รอ
ผมอยู่ ระหว่างผมโทรศัพท์หาคนโน้นคนนี้วุ่นไปหมด มันกลับแค่นั่งคุ้ยหนังสือในห้องมาอ่านเงียบ ๆ (มีแต่หนังสือดนตรีทั้งนั้นอะครับ) ไม่เอ่ย
ปากเร่งผมซักคํา "หิวป่าวปุณณ์ ขอโทษว่ะ กูเพลิน" ผมวางงานในมือแล้วหันไปถามมัน เพราะปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้วเรายังไม่มีอะไรตก
ถึงท้องเลย ปุณณ์ปิดหนังสือเล่มใหญ่ก่อนจะมองผมยิ้ม ๆ "นึกว่าจะปล่อยกูหิวตายซะแล้ว" โอ๊ยยยยยยยย ขอโทษษษษษษษษษ ผมยก
มือไหว้มันปลก ๆ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของทั้งหมดแล้วบอกตัวเองว่า กูได้กลับบ้านซักที! *** ขากลับปุณณ์ยืนยันว่าจะมาส่งผม ทั้ งที่ผม
เถียงแล้วว่าให้มันกลับบ้านเลย ไม่ต้องเสียเวลา (ดึกแล้วนะนั่น) แต่หัวเด็ดตีนขาดมันก็บอกว่า "ไม่" แถมยังเถียงว่าไม่ไกลกันเท่าไหร่ ส่งก่อน
ได้สบายมาก เออ เอาเข้าไป
พระเอกเข้าไป ผมล่ะหน่ายกับมัน สุดท้ายเหนื่อยจนเถียงไม่ไหวเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ยอมให้มันมาส่งแต่โดยดี จวบจนถึงปากซอย
บ้านแล้วผมจึงคิดได้ว่าควรเลี้ยงขอบคุณมันสักหน่อย โทษฐานที่อุตส่าห์แก้เอกสารให้ อยู่เป็นเพื่อนจนดึก แล้วยังมาส่งถึงบ้านอีก "ไปหาไร
กินกัน" ผมหันไปชวนมันหลังจากบอกแท็กซี่ให้จอดแค่หน้าปากซอยแล้ว เห็นปุณณ์ทําสีหน้าโล่งใจพลางพูดกับผมว่า "นึกว่ามึงจะไม่ชวน
ซะแล้ว.........." อ้าวว รอให้ชวนอยู่ทําไมไม่บอกล่ะวะ!! ผมพามันลงหน้าปากซอยเอกมัย ก่อนจะพาเดินไปร้านไก่ย่างตะวันที่มีคนจับจอง
โต๊ะนั่งกันเยอะอยู่ จริง ๆ แล้วผมไม่เคยกินร้านนี้หรอกครับ แต่ท่าทางอยู่ข้างถนน กินไปดมควันรถเยอะ ๆ ไปน่าสนุกดี ก็เลยเอาซักหน่ อย
แล้วกัน เราสองคนแทรกผู้คนเข้าไปจองที่นั่งภายในร้าน ก่อนไอ้เชี่ยปุณณ์จะอ้าปากสั่งเมนูยาวเป็นหางว่าว "เอา.... ตําไทยไข่เค็ม ไก่
ย่าง แซลม่อนนํ้าปลา ต้มแซ่บกระดูกหมู เนื้อกระทะร้อน ตับหวาน ปลากระพงนึ่งมะนาว แล้วก็ข้าวเหนียวสองครับพี่ อ้อ.. เป๊บซี่นะ" อื้ อหือ
ออออออออออออ มึงกะจะถล่มกูใช่มะ!!!!!! ผมเหลือกตามองมันพลางควักกระเป๋าตังค์มาดูเงินทันที "กูจะมีจ่ายให้มึงมะเนี่ย!!!!!!! สั่งยังกะ
ได้กิฟท์วอชเชอร์มาสามพัน!!" "อ้าว? โน่จะเลี้ยงเหรอ? ผมไม่รู้นะเนี่ย งั้นขอสั่งเพิ่ม" มันพูดยิ้ม ๆ พลางยกมือเหมือนจะขอสั่งเพิ่มจนผม
ต้องรีบเอื้อมไปตบหัวมัน "พอเลยมึง แดกส้มตํามื้อนี้เสร็จกูแดกแกลบต่อ" ผมบ่นอุบขณะที่พนักงานเดินมาเสิร์ฟผักกับนํ้าให้กินแก้
กระหาย ได้ยินเสียงไอ้ปุณณ์หัวเราะหึหึ พลางส่งยิ้มมาทางผม "กูจ่ายเองก็ได้ แหม... มึงจะสั่งไรเพิ่มอีกป่าว" ยังมีหน้ามาถาม ที่ มึงสั่งก็
เยอะจนแทบแดกไม่ หมดแล้ ว เหอะ ผมส่ ายหั วตอบมัน พลางตั้ งหน้ า ตั้ง ตารอเมนู ทั้ งหมดอย่ า งใจโหยหา (หิ วโคตร ๆ เหมือนกันครับ )
เสียงเพลงดังแว่วมาจากผับข้างเคียงระหว่างเราสองคนรออาหารอยู่ ช่วยเสริมบรรยากาศให้ดูสบาย ๆ ยิ่งขึ้น รออีกเพียงไม่นานนัก เมนู
ทั้งหลายของปุณณ์ก็ทยอยมาเสิร์ฟ เริ่มตั้งแต่ตําไข่เค็ม ไก่ย่าง และแซลม่อนนํ้าปลาก่อน "อะนี่... อร่อย กูกับแป้งพิสูจน์มาแล้ว" ไอ้เลขา
สภาฯว่าพลางตักไก่ย่างใส่จานผม อ๋อ... ที่แท้มันเคยมากินร้านนี้แล้วนี่เองครับถึงได้สั่งคล่องปากซะผมตกใจแบบนั้น สรุปว่าจากที่ตั้ งใจพามัน
มากินข้าว เลยกลายเป็นมัน ที่พาผมมากินข้าวไปซะฉิบ "เฮ้ย ๆ พอแล้ว แดกเองมั่งเหอะ!" แต่พอนานไปจานผมยิ่งพูนด้วยของกินขึ้นทุกที
โดยเฉพาะตอนปลากระพงมาเสิร์ฟ ไอ้ปุณณ์ยิ่งกุลีกุจอเลือกเนื้อให้ผมใหญ่... เฮ้ย นี่โน่ ไม่ใช่น้องแป้ง! "อ้าวเหรอ เออ กินเยอะ ๆ อะ เห็น
ช่วงนี้เหนื่อย ๆ คงต้องใช้แรงเยอะ" มันบอกว่าอย่างนั้นก่อนจะตักเนื้ออีกชิ้นส่งท้ายให้ผม แล้วลงมือกินเองบ้าง จนผมต้องส่ายหัวหน่าย
กลับไปให้มัน "มึงเหอะ ซ้อมเป็นไง กูไม่เห็นวงมึงจะนัดอะไรกันเลย ซ้อมมั่งปะเนี่ย!" แต่ปุณณ์แค่หัวเราะเจ้าเล่ห์กลับ "คอย ดูแล้วกัน
เซอร์ไพร์สแน่นอน" เซอร์ไพร์สอะไรของมันวะ? แต่ผมไม่ได้ถามต่อ เพราะแม่งเริ่มตักไข่เค็มให้ผมอีกแล้ว นี่มึงคิดจะขุนกูให้อ้วนแล้วเอาไป
ชําแหละขายใช่มั้ยยยยยยยย!!!!!!!! เราใช้เวลากันไม่นานในการกําจัดของกินตรงหน้าทั้งหมด จนตอนนี้ไม่อยากเชื่อเลยว่าเมื่อหนึ่ง ชั่วโมงที่
แล้วเคยมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะจนนึกว่าจะกินไม่หมด ผมรวบช้อนส้อมลงกับจานพลางดื่มนํ้าช่วยย่อยหลังจากเพิ่งซดต้มแซ่บกระดูกหมูเฮือก
สุดท้ายไป.. ตอนนี้รู้สึกอิ่มจะแย่ จุกจนแทบลุกไม่ไหวเลยครับ
"อิ่ ม ปะ สั่ ง ไรอี ก ปะ" แต่ ไ อ้ ปุ ณ ณ์ ยั ง คุ้ ย ๆ ปลาของมั น ต่ อ อย่ า งไม่ ทุ ก ข์ ร้ อ น แถมมี ห น้ า มาถามอี ก !! ใครจะกิน ต่ อ ไม่ รู้ แ ล้ ว แต่ ผ ม
ม่ายยยยยยยยยย ขอบายสถานเดียว! "ไม่ไหวแล้ว อิ่มจะตายห่า..." "กินน้อยจัง" ดูมัน... ทําเป็นข่มกูอีก ผมมองใบหน้าหล่อที่กําลังหลิ่ว
ตากวนตีนนั้นอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะยกนิ้วกลางด่า รอแค่เพียงแป๊บ ๆ ปุณณ์ ก็ทําหน้าที่เทศบาล กวาดของกินตรงหน้าจนหมด แถมยังสั่ง
ทับทิมแก้วมาเพิ่มเป็นของหวานอีก ผมมองภาพเหล่านั้นด้วยความทึ่ง เพราะอัศจรรย์ใจว่าผอม ๆ อย่างปุณณ์แดกแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหน???
แต่ท่าทางคงเป็นความลับของจักรวาลว่ะ เพราะไม่ว่าจะมองยังไง ไอ้หมอนี่ก็ไม่มีส่วนเกินซักกะติ๊ดดด "เดินเข้าบ้านแล้วกันเนอะ คิดซะว่า
เดินย่อย" นี่คือคําพูดของปุณณ์หลังจากพวกเราเพิ่งเถียงกันเสร็จ และผมคือผู้ชนะ ได้เป็นคนจ่ายตังค์ (มันแย่งจะจ่ายครับ แต่ยังไงผม ก็ไม่
ยอมเด็ด ๆ เพราะวันนี้รบกวนมันไว้เยอะอยู่) เราสองคนตกลงว่าจะเดินเข้าบ้านกัน เพราะจากปากซอยนี้ถึงบ้านผมก็ไม่ไกลนัก ถือเป็นการ
เผาผลาญแคลลอรี่ในตัว ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินตีพุงออกจากร้านพร้อมกับมัน แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นภาพบนถนนฝั่งเยื้องกัน
เสียก่อน.... ผมน่าจะรู้ว่าไม่ควรพาปุณณ์มาเดินข้างถนนเอกมัยในเวลาเกือบห้าทุ่มแบบนี้ "เฮ้ยโน่ แถวนี้ผับเยอะว่ะ ตรงนั้นร้านไรอะ"
แล้วทําไมมึงต้องมาขี้สงสัยตอนนี้ด้วยวะ! ผมสะดุ้งเฮือกทันที ก่อนจะวิ่งไปขวางปุณณ์ ไม่ให้หันไปถูกทาง
"ไหน.... อ๋อ ถ้าเดินไปทางนี้อีกหน่อยจะเป็นร้าน curve เว้ย กําลังดังเลยแต่แพงชิบหาย เนี่ยแล้วถ้ามึงเดินไปหลัง ๆ ซอยจะมีบารากุให้ดูด
ด้วย อยากลองป่ะ" ผมพยายามเบนความสนใจให้มันมองแต่ถนนฝั่งนี้ ซึ่งปุณณ์ก็ดูคล้อยตามผมดี จนเราคงได้เข้าซอยโดยสวัสดิภาพไปแล้ว
ถ้าไอ้รถเวรตะไล ไม่เสือกเปิดเครื่องเสียงดังกระหึ่ม เรียกร้องความสนใจจากคนทั้งถนนไปได้เสียก่อน เสียงโหวกเหวกโวยวายของเพลง
อะไรฟังไม่ได้ศัพท์ดังจากรถคันนั้นพร้อม ๆ กับปุณณ์ที่หันหน้าไปมอง แต่แทนที่จะมองรถคันนั้น ผมกลับพบว่านัยน์ตาปุณณ์วางนิ่งบนภาพที่
ผมไม่อยากให้มันเห็นเข้าพอดี.. เอมในชุดเดรสสายเดี่ยวอวดผิวเนียนกระจ่าง กําลังยืนอยู่หน้าร้าน JET บนถนนฝั่งตรงข้ามพร้อมกับ
ผู้ชายคนหนึ่ง ผมมองตามปุณณ์เห็นว่าเอวบางนั้นถูกโอบไว้ไม่ห่าง..... นาทีนั้นผมไม่สนใจแล้วว่าเอมจะทําอะไร กําลังมั่วอยู่กับใ คร
อันตรายแค่ไหน เพียงเห็นว่าคนที่เดินมาด้วยกันหยุดฝีเท้านิ่ง มองภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม ทั้งที่ผมสู้พยายามเรียกรอยยิ้ม
นั้นให้กลับมาตั้งนาน ผมก็ไม่อาจเฉยได้อีกต่อไป สองแขนผมยื่นไปรั้งร่างปุณณ์ให้หันมามองแค่ผม ตัวปุณณ์เบาหวิวจนปลิวมาตามแรง
ได้ง่ายมาก ทั้งที่ยังไม่ทันออกแรงเท่าไหร่ ผมมองใบหน้าคมนั้นที่ยากจะเดาความรู้สึก ก่อนจะดึงมันมากอดไว้แน่น โดยไม่ส นใจสายตาใครที่
มองมายังเราสองคนอีกต่อไป ผมรู้แค่ว่าต้องทําให้ปุณณ์หยุดมองภาพนั้น หยุดกลับไปคิดถึงเรื่องพวกนั้น หลีกหนีจากความทุกข์เหล่านั้น แล้ว
ลืมตามองแต่ผม... ผมที่ยังเป็นห่วงมัน และพร้อมจะยืนข้างมันเสมอ "ปุณณ์........... อย่ามองสิวะ......" แปลกที่คนร้ องไห้กลายเป็นผม.. นํ้า
ตาผมหลั่งไหลออกมามากมายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดยที่ผมไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน สิ่งเดียวที่รู้คือ เป็นผมทั้งนั้นที่ทําลายชีวิต ปุณณ์ ผมเอาเรื่อง
ไม่ดีมาบอกปุณณ์ ผมพาปุณณ์มาเห็นสิ่งไม่ดี ทุกอย่างมันเป็นเพราะผมทั้งนั้น เพราะผม เพราะผม..
"ปุณณ์....... มึงมองกูนะ... ไม่หันไปมองตรงนั้นนะ........ มองกูนะ...." ผมยํ้าซํ้า ๆ พร้อมกระชับกอดมันแน่นขึ้นแม้สองแขนจะอ่อนแรง นํ้า
ตาที่ไหลมากมายคงเปียกเสื้อนักเรียนคนตรงหน้าไปหมด ตัวผมสั่นเทาขณะที่ปุณณ์ค่อย ๆ กอดผมตอบ... "ขอโทษว่ะปุณณ์... กู... ขอ
โทษ.........." "ไม่โน่........ ขอบคุณ.... ผม.. ขอบคุณ...." มือของปุณณ์เย็นเฉียบ ขณะที่กอดผมไว้แน่นราวกับต้องการรั้งเป็ นที่พึ่งสุดท้าย..
ถ้ามึงมองไปแล้วพบว่าตัวเองไม่เหลือใคร มองกลับมาตรงนี้ก็ยังมีกู...

40th CHAOS
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ปุณณ์มีสภาพเหมือนคนกลับไปเริ่มนับศูนย์ใหม่อีกครั้ง รวมถึงผมด้วยก็เช่นกัน เป็นช่วงที่หนักมากสําหรับทั้ งผม
และมัน เพราะมันจําเป็นต้องใช้สมาธิอย่างหนักในการซ้อมดนตรี ขณะที่ผมเองก็ต้องใช้สมองอย่างหนักในการเตรียมงานเช่นกัน โดยต้อง
พยายามยิงมุกใส่มันเพื่อเรียกรอยยิ้มไปด้วย เฮ้อ... แทบจะซื้อขายหัวเราะให้มันวันละเล่มแล้วครับ (ติดแต่ว่าหนังสือออกรายสัปดาห์เลยทํา
ไม่ได้) ปุณณ์ดูซึมในช่วงวันแรก ๆ แต่ก็ยิ้มออกบ้างในวันถัด ๆ มา ทุกครั้งที่เจอมุกโง่ ๆ ของผม (อาทิเช่น สัตว์อะไรปลูกต้นไม้ได้ ไม่รู้ล่ะสิ
เป็ดไงมึง... ก็เพราะว่า เป็ด... ปักกิ่ง... ไง ขําปะ... ไม่ต้องตอบกู กูบังคับให้ขํา) ปุณณ์แสดงออกว่าแจ่มใสมากขึ้น น่าจะเป็นเพราะมีอย่างอื่น
ต้องทําและไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง (เพื่อน ๆ มันก็เริ่มสังเกตว่าปุณณ์ดูแปลก ๆ ไปเลยทยอยมาถามผมแล้วครับ แต่ผมไม่มีหน้า ที่ตอบ ได้
แต่บอกปัด ๆ ไปว่าไม่รู้เหมือนกัน) จนบางครั้งผมไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มที่ปุณณ์แสดงออก มันมาจากใจจริงหรือแค่พยายามแกล้งทํา เพราะแวว
ตาที่เคยฉายความมั่นใจเอาไว้เต็มเปี่ยมของปุณณ์นั้น ดูหมองลงไม่เข้มแข็งเหมือนอย่างเมื่อก่อนสักที...
ก่อนวัน Live Contest วันนึงเป็นวันที่ผมยุ่งมาก เพราะตู้แอมป์มีปัญหาหลายตู้ ทําให้ต้องเรียกช่างมาดูเป็นการใหญ่ (ไอ้เครื่องใช้ไฟฟ้า
แบบนี้ผมซ่อมเองไม่เป็นครับ) แถมการขนย้ายไปโรงยิมก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลอีก เพราะไม่มีเงินเหลือพอจะจ้างเขายก ลําบากต้องใช้แรง
ตัวเองยกล้วน ๆ แต่ขณะที่ผมกําลังแบกตู้แอมป์เบสออกจากตึกฟ.หวังจะมุ่งหน้าไปโรงยิมนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งเรียกผมขึ้นซะก่อน "โน่
... ทําไมเกินตัวงั้นวะ! มาช่วย ๆๆ" เป็นไอ้เอิ้นที่เดินผ่านมาพอดีครับ สวรรค์ชิบหาย ผมรีบฉีกยิ้มแป้นแล้วยื่นแอมป์เบสให้มันทันที โดยไม่รอ
ช้า ผมขอมันให้รอสักพัก แล้ววิ่งไปเอาขาตั้งไมค์อีก 2 ตัวออกมาแบกแทนแอมป์ "โห... ของเยอะว่ะ คนช่วยขนไม่มีเลยเหรอ" เอิ้นถาม
พลางเริ่มเดินฝ่าแสงแดดจากตึกฟ.มุ่งหน้าจะไปโรงยิม ผมใช้ต้นแขนปาดเหงื่อบนขมับตัวเองนิดหน่อยก่อนจะตอบ "มีดิ แต่พวกน้อง ๆ ไม่
ว่างว่ะ เรียนอยู่ ก็มีแต่พวกม.5 อะช่วยกัน" "เหลืออีกเยอะปะ บ่ายนี้มิสพรรณีปล่อยพวกกูเข้าห้องสมุด เดี๋ยวกูอยู่ช่วยมึง" โอ๊ยยย เสียง
สวรรค์รึเปล่าครับ!! ผมรีบหันไปยิ้มแฉ่งให้เอิ้นทันที "เออดีเลย เหลืออีกบาน ช่วยหน่อยนะ" แล้วบ่ายนั้นเอิ้นก็ได้ช่วยผมจ ริง ๆ เรา
สองคนเดินวนไปวนมาระหว่างตึกฟ.กับโรงยิมมากกว่าสิบรอบเห็นจะได้ แต่ระหว่างกําลังเดินแบกของรอบที่เก้าครึ่ง (ของเริ่มน้อยแล้ว) อยู่
นั้นเอง เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี 'ขอให้เจ้าภาพจงจาเริ๊นนนนน คิดเงินให้ได้เงินนนน คิดทองให้ได้ทองงงงง ขอให้เจ้าภาพ
จงเจริญญญญ'
ไอ้เชี่ยโอมครับ.. "ไรมึง" ผมกรอกเสียงลงโทรศัพท์ที่หนีบอยู่กับต้นคอ เพราะตอนนี้มือไม่ว่างต้องแบกลังแทมโบรีน แซก แล้วก็ไมค์ลอย
ที่ชมรมต้องเตรียมไปเองอีก "หนังกลองหย่อน ขอกุญแจกลองด่วน ๆ เลยมึง" อ้าวไอ้ห่านี่... สั่งตลอด! ผมขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์ "รอบหน้า
รอบนี้กูออกมาแล้ว" "เฮ้ยไม่ได้!! กําลังซาวด์เช็ครอบแรกอยู่!" แล้วมึงรอหน่อยไม่ได้รึงายยยยยยยย ผมชักหงุดหงิด (เพราะอากาศร้ อน)
แต่ขี้เกียจเถียงกับมันเลยหันไปบอกเอิ้นแทน "เอิ้นเดินไปก่อนนะ เดี๋ยวเรามา... เออ ๆ เดี๋ยวกูเอาไปให้ ช้าหน่อย แค่นี้นะ" ประโยคสุดท้ายผม
บอกไอ้โอม ก่อนจะจัดแจงยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วเลี้ยวกลับไปห้องชมรมใต้ตึกฟ.ทันที "ให้รอป่าวโน่! ?" เสียงเอิ้นตะโกนไล่หลังมา
แต่ผมส่ายหัวพรืด "ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป" ผมแบกลังอันเดิม (แต่ไม่ค่อยหนักมาก) กลับไปที่ห้องชมรม ไขกุญแจเพื่ อหยิบกุญแจกลอง
และพวกไขควง ประแจเลื่อนอะไรออกมาอีกนิดหน่อย (เพราะรู้ว่าลองเป็นอย่างนี้เดี๋ยวพวกมันก็ถามหาอีก) ก่อนจะปิดประตูห้องเหมือนเดิม
แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ปุณณ์ผ่านมาพอดี "อ้าว... ขนไรเต็มมือเลยโน่?" "มือกูมีแต่ของ ไม่มีขน" ตอบงี้เลยโดนมันทุ บหัวเข้าให้ (หาเรื่อง
ใส่ตัวแท้ ๆ เลยกู) "กวนตีนนะมึง ตกลงแบกอะไรนักหนา" "เตรียมของให้พวกมึงพรุ่งนี้แหละ" ผมโบ้ยความผิดใส่มัน เพราะพวกมัน
เป็นคนประกวดพรุ่งนี้ ไม่ใช่ผม
ซักหน่อย... เออ เริ่มพาลแล้วว่ะ ได้ข่าวว่างานนี้ผมเป็นเจ้าภาพเอง "โทษกูอีกนะ... ให้ช่วยปะ ของเยอะมั้ย" ช้าไปแล้วมึง... "จะเสร็จ
ละ ไม่เป็นไรหรอก" ผมเห็นหน้ามันหมอง ๆ เหมือนคนรู้สึกผิด เลยฉีกยิ้มกว้างพลางถองศอกใส่มันซะหนึ่งที "คิดมาก! ไม่มีเรียนรึไง?" มัน
ยิ้มตอบผมบาง ๆ ทําเอาผมรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้สําหรับผม สิ่ งมีค่าที่สุดคือรอยยิ้มปุณณ์ "ก็มีว่ะ นี่ลงมาเอาของให้มิส
ศุภางค์.. ไหวแน่นะ?" "ไหว ๆๆ ไว้เจอกันพรุ่งนี้" ผมยิ้มยืนยันมันอีกที เห็นปุณณ์ยิ้มกลับกว้างกว่าเดิม "ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้หรอก เดี๋ยวตอน
เย็นแวะไปหา อยู่ในโรงยิมใช่ปะ?" "อื้ม" ผมพยักหน้าตอบมัน ก่อนร่างโปร่ง ๆ นั้นจะโบกมือลาแล้วเดินผ่านไปเอาของให้อาจารย์ เห็น
ปุณณ์ดูดีขึ้น แววตาสดใสมากขึ้นแบบนี้แล้วผมก็สบายใจ *** การขนของเสร็จสิ้นลงในที่สุด ผมล่ะแทบอยากลงไปนอนแผ่หงายกลาง
โรงยิม (จริง ๆ ทําไปแล้ว แต่โดนพี่นนท์ด่าว่าทุเรศ ก่อนจะดึงผมให้ลุกขึ้ นมานั่งดี ๆ) เลยทําได้แค่หลบไปนอนบนแสตน ฟังเสียงไอ้โอม ไอ้
อาร์ท และเพื่อนคนอื่น ๆ ช่วยกันซาวด์เช็ครอบที่หนึ่งพลาง ปัดแมลงวันที่เริ่มบินมาตอมตัวพลาง (กูอาบนํ้าแล้วนะมึง) ไม่นานนักก็มีใ ครคน
หนึ่งล้มลงนั่งข้างผม "เหนื่อยเหรอโน่" เสียงไอ้เอิ้นครับ
"เออดิ่ เหนื่อย มึงไม่เหนื่อยเหรอวะ ขอบใจมากนะเว่ย" ผมยกมือไหว้มันปลก ๆ ทั้งที่ยังนอนตัวยาวหลับตาอยู่ โดยไม่รู้หรอกว่าเอิ้นทําสี
หน้าแบบไหน แค่ได้ยินเสียงมันหัวเราะแผ่ว ๆ กลับมา "ไม่เป็นไรหรอก ทําให้มึงทําได้ทุกอย่างแหละ หึหึหึ" เอ๊ะ!? ผมลืมตาขึ้นขมวด
คิว้ มองหน้ามันที่ทําเป็นไม่มองผม แต่ผมยังติดใจคําพูดเมื่อกี้อยู่ "มะ............." ว่าจะถามอะไรบางอย่าง เอิ้นก็ชิงพูดตัดขึ้น มาก่อน "กูไม่
มีหวังเลยใช่ปะ" หมายถึงอะไรของมันวะ? "หวังอะไรวะ" แม้คําถามผมจะดูซื่อ ๆ แต่ผมก็ซื่อจริง ๆ นี่ครับ ถึงพอเดาออกบ้างก็เหอะว่า
ไอ้เพื่อนคนนี้มันแอบคิดอะไร "มึงแม่ง... แกล้งทําเป็นไม่รู้นะ" มันตัดพ้อผม เออ ก็เก่งว่ะ เรื่องบางเรื่องรู้ไปทําอะไรไม่ได้ ก็แกล้งไม่รู้ซะ
ดีกว่า.. ถึงทีผมหัวเราะบ้าง "แล้วไง อยากให้กูทําเป็นรู้เหรอ" ผมล้อมันพลางลุกขึ้นมานั่งคุยด้วยดี ๆ เมื่อทอดสายตาไปข้างหน้า ภาพที่เรา
สองคนเห็นก็คือเวที Live Contest ที่เอิ้นจะต้องขึ้นประกวดวันพรุ่งนี้ กําลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละน้อย ด้วยฝีมือชาวชมรมดนตรี
อย่างพวกเรา เสียงเอิ้นถอนหายใจยาว ก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบา ๆ "กูทําให้มึงลําบากใจบ้างรึเปล่า... โทษนะ"
"เฮ้ย!! เปล่าเลย คิดมาก!" ได้ยินดังนั้นผมจึงรีบโบกมือปฏิเสธมันเป็นพัลวัน เห็นเอิ้นแค่นยิ้มเล็กน้อย ก่อนมันจะพูดต่อ "กู.... ก็ไม่รู้จะพูด
ยังไงว่ะ กูว่ากูไม่ได้เป็นเกย์นะ แต่มึง.... น่ารักดีว่ะ... เฮ้ยย อย่าทําตาขวางอย่างงั้ น.. กูหมายถึงมึง... กวนตีนกูดี อยู่ใกล้แล้ว.. สบายใจว่ะ..
หน้ามึงแม่งเหมือนแป๊ะยิ้มด้วย ดูดิ่ หัวเหม่ง ๆ ตาตี่ ๆ กู... ชอบว่ะ" หืมมมม ไอ้เชี่ยเอิ้น!! นี่มึงกําลังสารภาพรักกับกูหรือแค่ หลอกด่า ผมเริ่ม
ไม่แน่ใจเลยกะว่าจะตอกกลับแม่งซักหน่อยว่ามึงหล่อนักล่ะ ดี ว่าสังเกตเห็นเอิ้นมันทําหน้าตาจริงจังเสียก่อน เลยปรับโหมดซีเรียสตามมัน
ผมเกาหัวเกรียน ๆ ของตัวเองสองสามทีอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่เคยมีใครพูดตรง ๆ ด้วยอย่างนี้มาก่อน "เอ่อ... มึง... ก็เป็นเพื่อนที่ ดีของกู
นะ กูก็ดีใจอะที่มึงชอบกู แต่... กูไม่ได้คิดอย่างอื่นกับมึงจริง ๆ ถ้ากูทําให้รู้สึกแย่ กูก็ขอโทษนะ... กู.. เห็นมึงเป็นเพื่อนจริง ๆ" ที่ตัดสินใจบอก
ออกไปแบบนี้ เพราะเปล่าประโยชน์ที่เอิ้นจะมาหวังกับผมจริง ๆ ครับ... สําหรับผมเอิ้นเป็นเพื่อนที่ดี ไม่เคยคิดเกินเลยไปถึงไหน จนกล้ าพูด
ว่าต่อให้ไม่มีปุณณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ไม่เคยมองเอิ้นในแง่นั้นอยู่ดี เอิ้นพยักหน้าเข้าใจเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา "ขอบใจว่ะที่บอก...
ขอบใจด้วย ที่ไม่เคยให้ความหวังกูเลย" อ้าวไอ้เชี่ย ชมหรือด่า!? "ด่ากูเรอะ!" ผมโบกกะบาลมัน จนเอิ้นส่งเสียงหัวเราะร่า "ชม!!! ก็ดีแล้ว
ไงมึง กูจะได้ไม่ต้องตัวลอยมาก แต่มีอะไรให้กูช่วยบอกได้ตลอดเลยนะ กูยังเหมือนเดิมแหละ" มันตบท้ายด้วยรอยยิ้ม นําให้ผมยิ้มตาม จึงยื่น
มือไปตบบ่ามันเหมือนกัน "ขอบใจ ๆๆ" แต่ยังไม่ทันที่เราจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันดี เสียงไอ้เชี่ยโอมก็ดังออกลําโพง ผ่า นไมโครโฟน
ตัวที่มันเช็คเสียงอยู่เสียก่อน "อ้าวปุณณ์ เข้ามาดิ่! ไอ้โน่นั่งจู๋จี๋กับเอิ้นอยู่ตรงโน้นว่ะ มึงจัดการเลย" แล้วไอ้เชี่ยนี่ปากกก
กกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!! เอิ้นหัวเราะขําทันที "งั้นกูไปก่อนนะ สู้ ๆ อะมึง พรุ่งนี้เจอกัน" ผมโบกมือลาตอบมัน เห็นปุณณ์ตบไหล่
เอิ้นระหว่างเดินสวนกัน ก่อนมันจะเดินขึ้นมาหาผม "จู๋จี๋กันกลางโรงยิมเลยนะพวกมึง" มันบ่นทําเป็นประชด แต่ใบหน้าเคลือบด้วยรอยยิ้ม
อยู่ บ่งว่าไม่จริงจังอะไร ผมเลยแกว่งเท้าไปเตะหน้าแข้งมันดังป๊าบ โทษฐานปากดี "มาทําไม เขาจัดของเสร็จหมดแล้ว กลับบ้านไปมึงอะ"
แต่มนั ยังหน้าด้าน ทําเป็นหัวเราะลอยหน้าลอยตาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผมอย่างไม่สะทกสะท้านได้อีกครับ "จะอยู่ จะอยู่รอส่งประธานชมรม
กลับบ้าน ใครจะทําไม" "ตีสอง" ผมขู่มัน "งั้นเดี๋ยวกลับไปนอนแล้วขับรถมารับอีกที" นั่นไง เผยธาตุแท้ออกมาแล้วไอ้เลววว ไหน บอก
จะอยู่รอกู! ผมตบหัวมันเบา ๆ (มั้ง) อีกครั้ง "จริงใจสัด ๆ เลยนะมึงง" "ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ขึ้นเวทีแล้วไม่หล่อ คนถ่ายรูปเยอะอี ก ต้อง
ดูดี" มันว่างั้น พลางเก็กหน้าหล่อ โคตรจะหมั่นไส้เลยว่ะ ผมโก่งคออ้วกแม้จะแอบดีใจว่าปุณณ์กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว แว่วเสียงมันผิว
ปากเป็นเพลงอะไรซักอย่างเบา ๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เห็นปุณณ์กลับมาเป็นคนเดิมอีกแล้ว "บอสครับ มัวแต่สวีทนะครับ ช่วยมา
ดูตู้แอมป์ไหม้อีกแล้วด้วยครับ" เสียงไอ้เชี่ยโอมคนเดิม ดังมาจากลําโพงตัวเดิม กวนตีนจริง ๆ ว่ะ ผมว่าเดินไปถึงหน้าเวทีคงต้องยึ ดไมโครโฟน
ให้ห่างจากปากหมา ๆ ของมัน
เพราะเดี๋ยวคนใช้ต่อจะติดโรคพิษสุนัขบ้าเรื้อรัง ปุณณ์หัวเราะขํากับถ้อยคําเสียดสีเหล่านั้น แต่ยังไม่วายดึงเอาผมไปโอบไหล่ซะแน่นโชว์
ไอ้เชี่ยโอมอีก (เสียงไอ้โอมอ้วกออกไมค์ดังมากครับ) เฮ้ย!! ไอ้ห่านี่ก็ชอบบ้าจี้กับเขา ผมดิ้นขลุกขลัก ก่อนจะสะบัดตัวออกแล้วลุกขึ้นยืนบนแส
ตน ชี้หน้าไอ้ปุณณ์อย่างคาดโทษทันที "เล่นนักนะเมิงง!! เดี๋ยวกูมา ตกลงรอใช่ปะ" แต่สงสัยผมจะไม่น่าเกรงขามพอว่ะ เพราะไอ้ปุณณ์ มัน
หัวเราะขํา "หึหึหึ เออ" "ฝากไว้ก่อนนะมึง" ผมเข่นเขี้ยวบอกมัน ก่อนจะเดินจากไปยั งบริเวณหน้าเวที เพื่อต่อยตีกับตู้แอมป์ที่ขยันเสียทุก
5 นาที ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ขณะรถแท็กซี่ที่ไอ้ปุณณ์นั่งมาส่ง กําลังจอดเทียบรั้วบ้านผม.. นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสองทุ่มกว่า แม้ จะไม่
ดึกเท่าที่ขู่มัน แต่ก็ถือว่าช้ามาก ๆ อยู่ดี (ขนาดขอเวลาทั้งบ่ายไปจัดสถานที่แล้วนะเนี่ย) ผมคว้าเอากระเป๋านักเรียนมาถือ พร้อมสํารวจ
ข้าวของต่าง ๆ ว่าหลงลืมไว้หรือไม่ ก่อนจะโบกมือลามัน "บายเว้ย พรุ่งนี้สู้ ๆ นะ" "ขอคะแนนพิเศษได้ป่าว" มันอ้อนถาม ผมหัวเราะเหอะ
ๆ "กูตงฉิน เสียใจด้วย" ผมทําหน้าเหนือใส่มัน เห็นมันหัวเราะกลั บมาเช่นกัน "ก็ด๊ายย หึหึ" "เจอกันพรุ่งนี้นะ" ต้องรีบตัดบท เพราะ
เกรงใจพี่คนขับแท็กซี่อาจจะหงุดหงิดได้เพราะจอดนาน แต่ขณะกําลังก้าวขาลงจากรถอยู่นั้น ปุณณ์กลับคว้าแขนข้างหนึ่งของผมเอาไว้มั่น
เสียก่อน "หืม?" จนต้องหันกลับไปส่งเสียงถามอย่างสงสัย
"โน่...." คนที่นั่งมาด้วยกันเรียกชื่อผม ให้เลิกคิ้วมองมันที่ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อ "พรุ่งนี้รอฟังนะ... มีอะไรจะบอก" ประตู
แท็กซี่ถูกปิดลง พร้อม ๆ กับรถที่วิ่งจากไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ปุณณ์ มีอะไร แต่นัยน์ตา
ที่กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมของปุณณ์ บอกให้ผมรู้ว่า.... ผมได้ปุณณ์คนเดิมกลับมาแล้ว : )

41st CHAOS
เช้าวันงาน Live Contest ชมรมดนตรีทุกคนวิ่งวุ่นมาก โดยเฉพาะผมกับไอ้โอม เพราะเสือกถูกบราเดอร์ศักดาแกล้งเทสย่อยในห้องเรียนโดย
ไม่ยอมบอกก่อนล่วงหน้า เลยโดดเรียนไปเตรียมงานไม่ได้อีก กว่าจะแจ้นออกมาจากห้องได้ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงกว่า ต้องวิ่งตามงานกันเหงื่อ
แตกเลยทีเดียว ตู้แอมป์มีปัญหาจนวันสุดท้าย ไม่รู้จะอะไรกันนักหนาครับ จนตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายซ่อมแซมบูรณะประจําชมรมไปแล้ว
(เหอ ๆ) มีอะไรพังพวกมันวิ่งลิ่ว ๆ มาให้ผมซ่อมตลอด จากตอนแรกซ่อมตู้แอมป์เองไม่เป็น (กลัวไฟดูด) ตอนนี้เริ่มบ้าดีเดือด อาจหาญถึง
ขนาดแกะสายไฟออกมาดูว่าแม่งเป็นเชี่ยอะไรนักหนา ในที่สุดไขควงกับประแจก็กลายเป็นอวัยวะส่วนที่ 33 และ 34 ของผมไปเรียบร้อย
แล้วครับ.... เอาสิเมิงง อะไรเสียอีก เอามาให้หมด กูสู้ตาย! วันนี้ไอ้โอมมันปรนนิบัติพันวีผมยกใหญ่ เพราะผมช่วยซ่อมเครื่อง
ดนตรีไปเยอะมากกก จนมันบอกว่าเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน "เหลืออีกครึ่งชั่วโมงนะครับ งานจะเริ่ม ประมาณอีกสิบห้านาทีเชิญวงแรกกับ
วงที่สองไปแสตนบายหลังเวทีได้เลยครับ" ผมเดิน (ทั้งที่ยังถือไขควงและประแจในมืออยู่) เข้ามาในห้องพักเก็บตัวของผู้ประกวดที่นั่งกั นหน้า
สลอนอยู่เต็มไปหมด.. โอ้โห กูว่าจัดห้องให้กว้างแล้ว แต่คนดันเยอะจนห้องดูแคบไปถนัด สงสัยเพราะแต่ละคนต่างแบกเครื่องดนตรีส่วนตัว
มาด้วยอีกล่ะมั้ง ผมพูดจบก่อนจะหันหลังแปะป้ายลําดับวงลงบนประตูห้องให้อีกที เผื่อจะมีคนจําไม่ได้ แต่เพราะรีบมาก เลยไม่ทันสนใจ
มองว่าห้องนี้มีคนรู้จักผมนั่งอยู่บ้างรึเปล่า เดี๋ยวต้องไปดูตรงซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่น้องน็อตช่วยรับผิดชอบแบบเกร็ง ๆ อยู่อีก ช้า นักจะไม่ทัน
การณ์ ผมล่ะกลัวมันทําแผงซาวด์เอ็นฯพัง "โน่!!" แต่เสียงที่คุ้นเคยดีดังขึ้นด้านหลังผมระหว่างกําลังแปะรายชื่อวงอยู่ครับ นํา ให้ผมขานรับ
ทั้งที่ยังไม่ทันหันไปมองหน้ามัน "ไงเอิ้น" "เหนื่อยมั้ย?" เอิ้นถามผม ขณะผมกําลังตบประตูปัง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่ากระดาษติดแน่นกับประตูดี
อยู่ ผมทุบอีกสองสามทีก่อนจะอ้าปากตอบมัน "โคตร ๆ กูไปก่อนนะ ซาวด์เอ็นฯกําลังมึน" เอ่อ... ดูตัดบทมากเกินไปปะครับ ? พูดแล้วก็สํานึก
ได้ เลยหันไปมองหน้าเอิ้นที่ดูหงอย ๆ ลงไปซักหน่อย เอาไงดี.... ผมเลยยื่นมือตบบ่ามันอีกสองทีเป็นกําลังใ จ "สู้ ๆ นะเว่ย กูดูอยู่" นั่น
แหละ มันถึงได้ยิ้มออก ผมยิ้มพลางคิดว่าจะรีบเดินกลับไปหาไอ้น็อต (ป่านนี้จิตตกแย่แล้ว) แต่รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกําลังมองอยู่ อีก
เลยหันกลับไปเช็คดูภายในห้องสักหน่อย ปรากฏว่าเป็นวงพี่โอ๊ค (ประธานชมรมปีที่แล้ว) กําลังยิ้มส่ งแปล้ให้ผมอยู่ครับ เห็นดังนั้นผมจึง
ผงกหัวกลับเป็นการทักทายทันที วงพี่โอ๊คสมชื่อ All Star จริง ๆ เพราะสมาชิกวงแต่ละคน ตัวเก๋า ๆ ทั้งนั้น เด็กชมรมดนตรีเก่ง ๆ ก็ถูก
เกณฑ์ไปร่วมวงหมด งี้ไม่ให้ผมเทคะแนนให้ได้ไง!! ตัวเก็งเลย วงพี่เขาน่ะ
ผมทักทายวงพี่โอ๊ค ก่อนสายตาจะมองผ่านไปข้าง ๆ ไม่ไกลกันนัก เห็นสมาชิกวงมาเฟียจับจองที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าด้านข้างของไอ้ปุณณ์
กําลังคุยกับเพื่อนร่วมวงอย่างออกรสอยู่ ไม่ได้มองเล๊ยย ว่าผมเดินเข้ามา มีแต่ฟี่เท่านั้นที่สบตาผมเข้าพอดี ผมทําไม้ทํามือบอกฟี่ให้สะกิด
ปุณณ์หน่อย ซึ่งมันก็ทําตามโดยเร็ว ปุณณ์โดนฟี่สะกิดแรง ๆ สองสามที กว่ามันจะยอมหันมามองได้ แล้วก็ต้องทําหน้าประหลาดใจที่เจอผม
ยืนอยู่ตรงนี้... เออ ขําดีว่ะ กูยืนอยู่นานแล้วเหอะ มันส่งยิ้มกว้างมาทางผม นําให้ผมยักคิ้วพลางแอบชูสองนิ้วกลับไป (ชูสูงมากไม่ได้ครับ
เดี๋ยวคนอื่นหาว่าลําเอียง) อ่า... อยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไอ้น้องน็อตจะตายเอาครับ ผมทําปากบอกมันว่า 'โชคดี' ก่อนจะรีบแจ้นออกนอกห้อง
ไป *** หลังจากซาวด์เช็ครอบสุดท้ายปรับเสียงกับซาวด์เอ็นฯเสร็จ และน้องน็อตเก่งพอจะคุมแผงเครื่องมือคนเดียวได้แล้ว (จริง ๆ มีไอ้
อาร์ทช่วยดูอยู่ด้วย กันเหนียวครับ เครื่องมือมันแพง) ผมก็ได้เวลากลับไปประจําที่นั่งกรรมการซักที โดยไม่ลืมจะถือวอ ประแจ และไขควงมา
ด้วย เพราะถ้าตู้แอมป์ตัวไหนไหม้อีก จะได้ขึ้นไปช่วยทัน (เป็นประธานชมรมต้องอดทนครับ) กําหนดการณ์เปิดงานโดยอธิการขึ้นมาพูดก่อน
(ใครชวนมาวะ) ตามด้วยมิสและมาสเซอร์ที่ปรึกษาชมรมเรา ปิดท้ายด้วยประธานชมรมซึ่งคือผม (พูดสั้นนิดเดียว) ก่อนงานจะเปิดอย่างเต็ม
ตัว ลําดับ 15 วง ถือว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไปครับ ผมพลิกรายชื่อวงไปมาจึงเห็นว่ามีรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักลงแข่งกันหลายคน.. ไอ้เป้อก็เป็น
หนึ่งในนั้นด้วย ผมเห็นน้องมาวินนั่งเชียร์อยู่บนแสตนห่างจากเวทีพอดู สงสัยมันคงทะเลาะกันอีก พลิก ๆ ไปก็เห็นรายชื่อน้องมิก ถูกรวมอยู่
ในวงพวกเด็กม.4 ด้วย เลยอดแหย่ไอ้โอมไม่ได้
"เฮ้ย.. วงนี้สงสัยจะคะแนนเฟ้อว่ะ" ผมแกล้งชี้ชื่อวงที่น้องมิกรวมอยู่ แต่คนอย่างไอ้เชี่ยโอมมีเหรอจะเผยไต๋ "ไอ้ฟิล์มไม่ได้เป็นกรรมการ
ด้วยซักหน่อย" โบ้ยนะมึง!! หมั่นไส้หวะ ผมส่ายหน้าเซ็ง โดยไม่รู้ตัวเล้ยย ว่างานกําลังจะเข้าตัวเองในอีกไม่กี่วินาที "ว่าแต่มึ งเหอะ... พี่เชี่ย
หรือ มาเฟีย ดีล่ะจ๊ะะ พ่อหนุ่มเนื้อหอมมมม" นั่นไง โดนเลยกู ผมหันไปค้อนมันทันที "ตลกละมึง! มาเฟียดิ่! ฮ่า ๆๆๆๆ" มุกครับมุก ไอ้โอมโบก
กะโหลกผมดังป๊าบบ "กูว่าแล้ว! ล้มมวยนะมึง!!!" ตบไม่พอ มันล็อคคอผมอีก อ็อกกกกกกกก หายใจไม่ออกโว๊ยยย "ล้อ ล้อ ล้อ... ล้อ
เล่นนนนนน... ปล่อยเส่ะวะะะะะ" ผมดิ้นขลุกขลักในแขนไอ้โอม ได้ยิ นเสียงมันหัวเราะสะใจ หึ! ฝากไว้ก่อนเหอะมึง! ถ้าไม่ติดว่างานเริ่มแล้ว
ผมคงไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกทําร้ายอยู่ฝ่ายเดียวแน่ ๆ แต่ใช่แล้ว..... ตอนนี้พิธีกรในงาน (ซึ่งคือน้องคิมกับไอ้เคน มาช่วยเป็นให้) กํ าลังเริ่มขึ้นมา
แนะนําวงแรก พวกผมจึงต้องปรับโหมดตัวเองสู่ฟังก์ชั่ นตั้งใจทํางานทันที เวลผ่านไปพักใหญ่ กว่าจะมาถึงวงที่สี่ นับว่ากินเวลา
ประมาณหนึ่งเพราะเอฟเฟกต์กีต้าร์ของวงที่ 3 แอบช็อต ทําให้เสียงหอนทั่วทั้งโรงยิม (กําลังจะหลับอยู่ สะดุ้งเลยครับ สงสัยมันจงใจปลุก)
แล้วหน้าที่คนถือไขควงไปงัดเอฟเฟกต์คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากยอดชายนายโน่ คนดีศรีชมรมอีกตามเคย เหอ ๆๆ ขอรางวัลพิเศษให้
ตัวเองได้ไหมอะ โทษฐานเป็นกรรมกรประจํางาน แต่สุดท้ายสายไฟไม่ได้ช็อตครับ มือกีต้าร์มันเสือกปรับ sequence ผิดต่างหาก (คือการ
ปรับหน้าปัดของแอมป์เพื่อลดเสียงแผด เสียงแหลม เสียงทุ้มครับ ถ้าปรั บผิดเวลาเหยียบเอฟเฟกต์กีต้าร์ก็จะหอนเหมือนเวลาไมค์อยู่ใกล้
ลําโพง โคตรหนวกหู) ทํากูเหนื่อยฟรีนะมึง! งี้ต้องหักคะแนนให้เข็ด! ผมนั่งหลับมั่งตื่นมั่งจนวงที่ 5 ของไอ้เอิ้น ถึงได้ตื่นเต็มตาขึ้นมาหน่อย
ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ แต่ไอ้
โอมแม่งกระทืบเท้าผมยิก ไอ้ห่านี่... รองเท้าหนังกูเป็นรอยซื้อให้ใหม่เลยนะมึง! ผมหันไปด่ามันแบบไม่มีเสียง ก่อนจะพลิกกระดาษให้คะแนน
เปลี่ยนเป็นหน้าต่อไป เพื่อลงคะแนนใหม่ให้วงพี่เชี่ยของพวกเอิ้น แข่งรอบสุดท้ายให้โควต้าวงละ 3 เพลงครับ ภายในเวลา 15 นาที ห้าม
เวิ่นเว้อ เครื่องดนตรีพังก็ต้องรีบซ่อม (กรณีที่เป็นของวงเอง แต่ถ้าของงานพัง จะหยุดเวลาให้) วงเอิ้น (ไอ้พวกพี่เชียร์ทั้งหลาย) ขึ้นมาเซท
เครื่องดนตรีอย่างว่องไวไม่ให้เสียเวลา ท่ามกลางเสียงตะโกนต้อนรับจากรุ่นน้องมากมาย เพราะความที่วงมันเป็นพี่เชียร์ทุกคน เลยมีฐาน
เสียงจากน้อง ๆ ม.ต้น เด็กแสตนของพวกมันเยอะเป็นพิเศษ พี่เชี่ยเล่นเพลงเอาใจกรรมการโอมอีกแล้วครับ เพราะมันเริ่มด้วย Deftones
วงโปรดไอ้โอม เพลง 7words (กล้ามาก) ตอนมันร้อง Suck, Suck, ผมล่ะต้องรีบหันไปมองบราเดอร์ที่ทําหน้าขึงขังทันที (พอซักพักตะโกน
คําว่า FUCK ออกไมโครโฟนอีก ทํากูเครียดจัดเลยนะมึง!!) แต่ก็เอาเหอะนะ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เพราะเป็นช่วงเวลาของเด็ก ๆ เขา
ปลดปล่อยกัน ฮ่า ๆๆ แต่จริง ๆ ผมชอบเพลงนี้นะ จังหวะมันหลากหลายดี ผมเป็นคนชอบฟังเสียงเบส (สงสัยเพราะตัวเองเล่นเชลโล่)
เลยโปรดเพลงนี้เป็นพิเศษ เอาเป็นว่าให้คะแนนพิศวาสมั นนิดนึงละกัน หึหึหึ (รู้แล้วเหยียบไว้ครับ) เพลงต่อไปเป็น Zero ของ The
Smashing Pumpkins ไม่รู้วงนี้จะเอาใจไอ้โอมไปถึงไหน มันถึงกับนั่งโยกไม่หยุด ก่อนจะหันมากระซิบกับผมว่า "ไอ้เอิ้นก็ดีนะ หล่อไม่เท่า
ปุณณ์แต่รสนิยมดี" ไอ้ห่าาาาาา ใจง่ายนะมึง!! ผมส่ายหัว หน่ายไม่อยากจะเถียงสู้มัน แต่ก็โยกตามเพลงที่เอิ้นเล่นไปด้วย อืม.. กลองทํา
timing ดีว่ะ เครื่องดนตรีอื่นเลยลื่นไหลไปไม่มีปญ ั หา อันนี้ไม่ได้ลําเอียงครับ ผมให้คะแนนไปเยอะจริง ๆ ติดแต่เสียงเอิ้นกวนตีนไม่เท่าคุณ บิล
ลี่ นักร้องนําต้นตํารับนี่สิ สงสัยเพราะเสียงเอิ้นมันหล่อไปหน่อย เหมาะจะร้องเพลงค่ายเบเกอรี่มิวสิกมากกว่า (ฮา..) แน่นอนว่าพอพูดถึง
ไก่ ไก่ก็มา... เพราะถึงจะไม่ใช่เบเกอรี่มิวสิก แต่อารมณ์มันใกล้เคียงกัน ผมเงยหน้ามองอินโทรกีต้าร์เพลงคุ้น ๆ ที่ดังอยู่บนเว ที ตัด
กับฟีลร็อคหนัก ๆ อย่างเพลงเมื่อกี้ พร้อ มใบหน้าของเอิ้นที่ส่งยิ้มให้ผมกว้างอย่างคนมีเลศนัย เสียงทุ้มนั้นพูดออกไมค์ระหว่างอินโทรเพลง
สุดท้ายกําลังเล่นอยู่ว่า "เพราะรู้ว่าตัวเองจะอกหัก เลยซ้อมเพลงนี้ไว้" เออเอาเข้าไป... คนอื่นขําครืน แต่ผมทําได้แค่
หัวเราะแหะ ๆ ระหว่างไอ้เชี่ยโอมเตะหน้าขาผมดังป้าบ ๆ (คิดว่ากูไม่เจ็บรึไง!) เอิ้นส่งสายตามาทางผมพลางคลี่ริมฝีปากอวดลักยิ้ม
ประจําตัวมันมาให้ "ยังไงก็อยากให้ลองคิดดูอีกทีนะ" "อาจเป็นแค่ความฝัน มีไหมวันที่เราสองคนจะรักกัน ก็เลยถาม ว่าเธอคิดอย่ างไร
กับสิ่งที่ฉันได้ทําให้เธอ เธอรู้หรือไม่ เสียใจ เมื่อเธอนั้นได้พูดว่า ไม่อาจจะให้มากไป ฉันขอเพียง แค่เธอนั้น ให้โอกาสฉันได้ไหม อย่าเพิ่ง
ถอยหนีไป ลองคิดดู สิ่งที่ฉันทํา เธอไม่ต้องกลัวมันแค่เรื่องของหัวใจ และฉันเอง ก็อาจจะไม่ใช่ เธอแค่ลองเปิดรับหัวใจของฉันหน่อย จะ
ได้ไหม เธอคิดอย่างไร กับสิ่งที่ฉันได้ทําให้เธอ เธอรู้หรือไม่ เสียใจ เมื่อเธอนั้นได้พูดว่า ไม่อาจจะให้มากไป ฉันขอเพียง แค่เธอนั้น ให้
โอกาสฉันได้ไหม อย่าเพิ่งถอยหนีไป ลองคิดดู สิ่งที่ฉันทํา เธอไม่ต้องกลัวมันแค่เรื่องของหัวใจ และฉันเอง ก็อาจจะไม่ใช่ เธอ แค่ลอง
เปิดรับหัวใจของฉันหน่อย จะได้ไหม ลองคิดดู สิ่งที่ฉันทํา เธอไม่ต้องกลัวมันแค่เรื่องของหัวใจ และฉันเอง ก็อาจจะไม่ใช่ เธอแค่ลอง
เปิดรับหัวใจของฉันหน่อย ลองคิดดู สิ่งที่ฉันทํา เธอไม่ต้องกลัวมันแค่เรื่องของหัวใจ และฉันเอง ก็อาจจะไม่ใช่ เธอแค่ลองเปิ ดรับหัวใจ
ของฉันหน่อย จะได้ไหม"
อืมมมม......... ไอ้เชี่ยโอมมันยื่นเท้ามาเตะขาผมยิกเลยแฮะ..... อืมมมมม....... แล้วเมื่อไหร่เอิ้นมันจะเลิกมองหน้าผมซักที (เป็นโรคใครมอง
มาแล้วชอบมองตอบซะด้วย) อืมมมมมม....... เอาไงดีวะ มือผมตอนนี้ถึงกะให้คะแนนไม่ถูก จนเมโลดี้สุดท้าย จบลง ผมยิ้มขํา ๆ ให้ไอ้
นักร้องนําที่ก็ยิ้มให้ผมอยู่เหมือนกัน ก่อนจะเดินลงจากเวทีไป เสียงไอ้โอมแหวมาคนแรก "กลางโรงยิมเลยว่ะมึง! กล้าโคตร!" ตลกละมึ ง
มันไม่ได้พูดชื่อกูซักคํา ไม่มีใครเขาขี้เสือกอย่างมึงหรอก ผมส่ายหัวหน่าย พลางไล่ให้คะแนนในช่องของวงเอิ้ นไปด้วย อืม... ดนตรีใช้ได้
เสียงร้องสองเพลงแรกขัด ๆ แต่เพลงที่สามกําลังพอดี (บอกแล้ว เสียงเอิ้นเหมาะจะร้องเพลงจีบสาวมากกว่า) เสียแต่ set list สะเปะสะปะ
ไปหน่อยนะเพื่อน มึงเล่นไม่คุมคอนเซปต์เล้ยยย นึกอยากเล่นพั้งค์ก็เล่น อยากเล่นร็อคก็เล่น อยากเล่นซอฟท์ร็อค... มึงงง ก็เล่น สรุปว่ากู
ปรับตัวตามไม่ทัน โดนหักนิดหน่อยแล้วกันนะ หวังว่าคงเข้าใจ วงเอิ้นลงไป วงต่อไปก็ขึ้นมา ผมมองชื่อวง Seven Dwarfs แล้วต้อง
หัวเราะหึหึ.... เพราะนี่มันวงน้องมิกนี่หว่าาา แต่ไอ้โอมทําเป็นตีบื้อครับ มันเคาะปากกาไปมา ตาก็มองอยู่แค่ กระดาษคะแนนตรงหน้า ไม่
ยอมมองตอบน้องมิกเค้า ที่อุตส่าห์ส่งสายตาตื่น ๆ มาทางกรรมการโอมเหมือนอยากขอกําลังใจ ถึงคราวผมกวนตีนมันมั่ง ผมยื่นเท้าไปเตะ
หน้าแข้งมันกลับ "เด็กมึงว่ะ ตื่นเวทีด้วย น่ารักชิบหาย" "ลามปามนะมึง ระวังโดนไอ้ฟิล์มอัด" แต่มันยังมีหน้าบ่ ายเบี่ยง ก่อนอินโทรเพลง
แรกจะดัง เราจึงต้องหยุดทะเลาะกันแล้วเงยหน้ามองการแสดง วงของน้องมิกเน้นเล่นเพลงแนว ska เพราะมีเครื่องเป่าเต็มไปหมดครับ
น้องมิกรับหน้าที่ตําแหน่งฮอร์นของวง (เก่งนี่หว่าไอ้เชี่ยโอม สอนจนน้องเขาเป่าเป็นแล้ว) เวลาออกมาเป่าข้างหน้าทีก็ มีเสียงฮือฮาที (น่ารัก
จริง ๆ ครับ เด็กอะไร) อันนี้ได้คะแนนพิศวาสจากผมไปเยอะ เพราะผมฟังเพลงแนวนี้อยู่พอดี เราเลยเข้าทาง
กัน ระหว่างฟังผมก็นั่งสั่นขาไปอย่างสุนทรีย์ครับ เลยโดนไอ้เชี่ยโอมเตะขาเข้าให้ สงสัยมันจะหมั่นไส้ "ชอบนักนะเมิงงง" อ้าวไอ้ นี่ แม่งขี้
หึงว่ะ ผมยักไหล่ใส่มันอย่างไม่สนใจแล้วนั่งให้คะแนนต่อ แอบเหลือบมองไอ้โอมก็เห็นมันอมยิ้มให้น้องเขาเป็นระยะ และทุกครั้งที่ต าน้อง
มิกกับโอมประสานกัน ผมก็เห็นน้องอายม้วนต้วน จนแทบเป่าผิดโน๊ตทุกที น่ารักแฮะ! (เพื่อนกูมีดีตรงไหนวะเนี่ย) ถัดจากวงของน้องมิ ก
(ที่ลงจากเวทีไปพร้อมด้วยสายตาละห้อยจากกรรมการโอม.. เห็นอย่างนี้แล้วมึงยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกนะ!) ก็ตามด้วยวงอื่น ๆ อีกมากมาย
ระหว่างนั้นมีวงที่ไอ้เป้อเล่นกีต้าร์ให้ (ร้องเองด้วยเพลงนึง) เป็นวงที่เล่นเอาแต่ใจตัวเองกันชิบหาย อินดี้ซะจนกูยังไม่รู้จักว่า เพลงอะไร แอบ
เห็นว่าเพลงสุดท้ายที่ไอ้เป้อร้อง มันมองน้องมาวินตลอดจนน้องวินร้องไห้ (ไม่รู้ด้วยความซาบซึ้ง หรือละอายแทนที่มันร้องผิดคีย์ตั้ง แต่โน๊ตตัว
แรก)... อันนี้อาจเป็น talk of the town ของวันพรุ่งนี้ได้ครับ... หึหึหึ เวทีกูไม่ใช่ลานสารภาพรักนะมึง! ส่วนวง All Star ตัวเก็งประจํา
งานก็หรูหราดังคาด พี่โอ๊คเล่นเปลี่ยนนักดนตรีเสริมกันทุกเพลง (ไปหามาจากไหนนักหนา) arrage เพลงใหม่กันมาเองด้วย อื้อหือ.... เวทีผม
ไม่ใช่ hot wave music award นะครับพี่! คะแนนแต่ละช่องเต็มแค่ 30 ผมล่ะจนปัญญา อยากให้ซักแปดสิบก็ไม่รู้จะหาโกงได้ ที่ไหน งั้นให้
เต็มแม่งทุกช่องเลยแล้วกัน ตัดปัญหา! ผ่านไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงวงสุดท้าย ผมซึ่งกําลังมึน ๆ ได้ที่ ขอเวลานอกก้มลงไปดูดนํ้าจากแก้วที่
ง่อยเพิ่งเปลี่ยนเอามาให้ แต่พอเงยหน้ามาก็พบกับปุณณ์กําลังเซทเครื่องดนตรีตัวเองอยู่ข้างบนแล้ว มันยิ้มให้ ผมนิดหน่อย (แบบผ่าน ๆ)
ก่อนจะเช็คสายกีต้าร์ เช็คเอฟเฟกต์ตัวเองไปเรื่อย โดยไม่ได้มองมาทางผมอีก
เพลงแรกของไอ้พวกมาเฟีย คือ เพราะเราคือคน ของ Street Funk Rollers เอาใจกูกันอีกละ ผมตกใจนิดหน่อยที่วงมันเลือกใช้เพลงที่มี
เครื่องเป่า แต่พอเงยหน้าดูก็ถึงบางอ้อ เพราะมันยืมตัวแก็งค์น้องมํ่าเด็กเล่นเครื่องเป่าในชมรมผมไปนี่เอง (เจรจากันมาตอนไหนวะ) ผม
ค่อนข้างชอบซาวด์กีต้าร์ของปุณณ์ เพราะมันเล่นได้พริ้วเข้ากับเบสดี ส่วนกลองตีเสียงดังไปหน่อยแต่พอทําเนาครับ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
เหมือนกัน ตายห่าละ... ให้คะแนนมันเยอะใครจะหาว่ าลําเอียงป่าวเนี่ย!!!!!!! จบเพลง เพราะเราคือคน ไป ต่อด้วยอะไรหว่า.... อ๋อ.. ต่อ
ด้วย ตุ๊ก ตุ๊ก เบรดดาวน์ ของ Kai-Jo Brothers ครับ... สรุปว่าวงนี้มันกลายร่างเป็น reggae ไปตั้งแต่เมื่อไหร่? (รอบคัดเลือกล่ะทําเป็นร็อค
นะ) นี่ใช่มะเซอร์ไพร์สของวงพวกมึง ผมตลกชิบหาย ตอนที่คนดูออกมาเซิ้งกันใหญ่ แถมไอ้โอมยังร่วมทะเล้นลุกขึ้นเต้นกลางโต๊ะกรรมการอีก
มันพยายามดึงผมให้ลุกขึ้นบ้างแต่ม่ายอาววววววววววครับ! หน้ากูบางงงงมั่งไรมั่งเหอะ! ปุณณ์หัวเราะร่าให้กับคนดูที่จับกลุ่มเต้น ระบําท่า
ประหลาดกันอยู่ (แก็งค์นางฟ้านั่นแหละ ไม่ใช่ใครที่ไหน) จนผมรู้สึกว่าวันนี้มันหล่อเป็นพิเศษ ไม่รู้แม่งแอบไปทําอะไรมา? หรือที่เมื่อวานมัน
บอกว่าวันนี้ต้องหล่อหน่อยจะเป็นเรื่องจริง มันแอบไปมาส์กหน้า โบ๊ะแป้งมาป่าววะ ดูใสวิ้งค์แปลก ๆ คิดไปคิดมามันอาจขึ้นกับไฟสีส้มบ น
เวทีก็ได้.. ขําที่สุดต้องตอนไอ้ฟี่ควักแคนออกมาครับ! กร๊ากกกกกกก.. มึงเป่าเป็นด้วย!!!!? หมดชื่อประธานนักเรียนกันเลยทีนี้ หมอลําซิ่งลิซึ่มก็
ไม่บอกกก (ฮ่า ๆๆ) ผ่านไปสองเพลง ทําคนดูโคตรรร เหนื่อย... ผมว่าวงนี้สงสัยมันเล่นเอามันส์ไม่สนรางวัลแน่ ๆ เพราะเพลงที่สองพวก
มันมั่วกันกระจายยย แต่ฮาดี นับว่าพอแถ ๆ ผ่านไปได้ คะแนน technique อาจไม่เท่าไหร่ แต่ performance เกินสามสิบบบบบบครับ! ทํา
ไอ้โอมหอบได้นี่นับว่าเจ๋งมาก (ฮ่า ๆๆ) จบตุ๊ก ตุ๊ก เบรคดาวน์ ผมรอด้วยใจระทึกว่าต่อไปจะเป็นเพลงอะไร แต่อยู่ดี ๆ พวกน้องเครื่ องเป่า
ก็ชักแถวลงจากเวทีซะงั้น ปล่อยให้พวกมันเหลือแค่ 4 คน ก่อนฟี่จะเดินมาพูดใส่ไมค์ "พวกเราขอหยุดเวลาความมันส์เอาไว้เท่านี้... เพราะ
อยู่ดี ๆ คนที่หน้าตาเห่ยที่สุดในวงเรา ก็เสือกอยากจะจับไมค์ร้องเพลงเอง" เรียกเสียงโห่ฮาได้ดังลั่น เพราะมีคนตะโกนขึ้นมาว่า "ก็มึ งไม่ใช่
เหรอ" ฮาาาาาาา
ผมเห็นไอ้ฟี่เกือบชูนิ้วกลางกลางเวที ดีว่ามันห้ามตัวเองไว้ได้ทันครับ! ก่อนจะหันไปยิ้มแหย ๆ ให้บราเดอร์ "เข้าใจผิดกันแล้วครับเพื่ อน ๆ
ทําไมมีตาหามีแววไม่อย่างนี้ล่ะครับ.. เออ ไอ้ปุณณ์ ร้องดี ๆ ล่ะมึง คะแนนหดเพราะมึงกูเอาตาย" ฟี่โต้ตอบกับคนดูก่อนจะหันไปสั่ งเสีย
มือกีต้าร์ตัวดีของมัน ที่ตอนนี้กําลังเตรียมเสียบสายกีต้าร์โปร่งที่มันแบกมาเปลี่ยนอยู่ ปุณณ์ลากเก้าอี้สูงมานั่งพลางยิ้มบาง ๆ ไ ม่ได้โต้ตอบ
อะไร "ยกเวทีให้มันครับ!" ฟี่ตบท้ายแล้วพาตัวเองเดินเลี่ยงลงจากเวทีไป ปล่อยให้ปุณณ์นั่งเป็นจุดสนใจอยู่บนกลางเวทีค นเดียว เสียงคนดู
ที่เคยจ้อกแจ้กเริ่มเงียบสนิท เพราะท่าทางเหมือนปุณณ์กําลังใช้สมาธิอยู่เช่นกัน เสียงเกลากีต้าร์โปร่งดังขึ้นเป็นท่อนเพลงบรรเ ลงฟังดู
หวานหูจนผมไม่สามารถละสายตาไปทางอื่นได้ แม้ไอ้โอมจะเพียรพยายามขยันเอาตีนสะกิดขาผมยิกก็ตาม ปุณณ์เงยหน้ามายิ้ มอาย ๆ ให้
ผมแว่บหนึ่งก่อนจะก้มลงร้องเพลงและดีดกีต้าร์ต่อไป "ในโลกที่มีความวกวน ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน ที่สับสนร้อนรนจนใจนั้นแสน
เหนื่อย ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อย ๆ จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร แต่ยิ่งชีวิตยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบยิ่งเจอ กลับทําให้
ฉันยิ่งคิดในใจ ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ เธอคือกําลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหน ๆ ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบอะไร ฉันก็รู้
และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้ ในอุปสรรคที่มากมาย ในความหวาดหวั่นที่วุ่นวาย ในอนาคต ในปัจจุบัน และอดีต ในความ
เจ็บปวดที่ต้องเจอ ที่ไม่เคยพ้นไปสักที ยังไม่รู้พรุ่งนี้ต้องเจอกับเรื่องใด แต่ยิ่งชีวิตยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบยิ่งเจอ กลับทําให้ฉันยิ่งคิดในใจ
ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ เธอคือกําลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหน ๆ ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบอะไร ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่า
ฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้ แต่ยิ่งชีวิตยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบยิ่งเจอ กลับทําให้ฉันยิ่งคิดแน่ใจ.. ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่ เจอเธอ เธอคือกําลังใจ
เดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหน ๆ ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใคร ๆ ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้ ... ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่... กับฉัน....." เมโลดี้สุดท้ายจบลงพร้อมด้วยเสียงปรบมือดังลั่น แม้แต่กรรมการทุกคนเองก็ยังต้องพากันยื นปรบมือ
ให้ปุณณ์ ผมแอบเห็นมันปาดนํ้าตา เช่นเดียวกับคนฟังอีกหลายคนที่ทําแบบนั้น รวมถึงผมเองด้วยก็เช่นกัน ปุณณ์ไม่ใช่คนเสียงดี (ออกจะ
เพี้ยน ๆ โน๊ตหลายตัวด้วยซํ้า) ไม่ใช่คนร้องเพลงเพราะ หรือเอื้อนทํานองหวานได้เท่าเอิ้น เช่นเดียวกับกีต้าร์ของปุณณ์ที่ไม่ได้เต็ม ด้วยเทคนิค
แพรวพราวอย่างรุ่นพี่ หรือเพื่อนคนอื่น ๆ แต่ความตั้งใจและจริงใจที่ปุณณ์พยายามสื่อออกมาผ่านบทเพลง สิ่งนั้นต่างหาก ล้วนทําให้ผมรู้สึก
ว่า.. คนที่มันร้องเพลงนี้ให้ เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก "ปุณณ์ชนะว่ะ" ไอ้โอมว่าขณะยังยืนปรบมือไม่หยุดอยู่ ผมหันไปขําแม้จะยั งมีรอยรื้น
ติดอยู่บนหางตาก็ตาม เลยโดนมันโยกหัวเบา ๆ เหมือนเห็นผมเป็นเด็กขี้แง เอิ้นที่ยืนปรบมืออยู่อีกฝั่งโรงยิมหันมายิ้มให้ผม เหมือน
ต้องการบอกอะไรบางอย่าง.. แต่ไม่ว่าสิ่งที่เอิ้น
ต้องการบอกจะคืออะไร ผมก็ยิ้มกลับไปด้วยความยินดี ** ผลการประกวด Live Contest ไม่มีอะไรพลิกโผ วง All Star ของพี่โอ๊คเอาที่
หนึ่งไปกินตาดคาด ที่สองเป็นของพี่ม.6 อีกวงนึง ส่วนที่สามคือวงของเอิ้น (ได้คะแนนจากไอ้โอมเยอะชัวร์ครับ) ทุกรางวัลไม่มีรางวัลไหนค้าน
สายตาคนดูแม้แต่น้อย ผมขึ้นไปแสดงความยินดีกับทุกวงด้วยใจจริงครับ : ) วงปุณณ์ไม่ติดอันดับหนึ่งในสาม แต่ได้คะแนนขวัญใจมหาชน
ตามระเบียบ เพลงเร็วก็มันส์ซะ (แถมยังเล่นมั่วกระจาย) เพลงช้าก็ทําซะซึ้ง จึงไม่มีใครค้านตําแหน่งนี้ของพวกมันเลยสักคน และถึงแม้จ ะไม่มี
โล่หรือเงินสดมอบให้ (มีแต่ขนมปี้บให้มันไปแบ่งกันเอง เอาฮาครับ ฮ่า ๆๆ) รอยยิ้มสดใสของปุณณ์ที่เฉิดฉายอยู่บนเวทีก็ยังคงเป็นสิ่งที่น่ามอง
มากที่สุดอยู่ดี หลังจากพวกเราชมรมดนตรี ทั้งคนขึ้นประกวด และไม่ได้ประกวด ทยอยช่วยกันเก็บของลงจากเวทีอย่างคับคั่งแล้ว (ตอน
เตรียมงานไม่เห็นมีคนช่วยเยอะงี้เลยครับ ชิ!) ก็ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ในการเก็บข้าวของทั้งหมดเข้าที่ "ขอบคุณมากทุกคน ขอบคุณมาก"
ผมกล่าวขอบคุณพี่ ๆ เพื่อน ๆ และน้อง ๆ พลางยกมือไหว้จากใจ งานใหญ่ลุล่วงไปได้อีกงานก็เพราะทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน จะขาดใครคน
ใดคนหนึ่งไปไม่ได้ เพราะงานคงไม่สําเร็จ แอบเห็นไอ้เป้อมีน้องมาวินมานั่งรอรับกลับบ้าน (รู้เพราะเห็นมันหลุกหลิก หันไปมองตรงแสตนเป็น
พัก ๆ สงสัยจะเป็นห่วง) ไอ้โอมก็ช่วยกันขนของกับน้องมิกน่ารักดี หึหึหึ... (ทําเป็นปฏิเสธนะมึง) เดือดร้อนผมต้องฟังไอ้ฟิล์มบ่นเป็ นวรรคเป็น
เวรอีก ว่าไม่น่าฝากปลาย่างไว้กับแมวเลย (อย่างไอ้โอมอะนะแมว? หมาสิไม่ว่า... เหอ ๆๆ) ส่วนปุณณ์ตอนนี้ช่วยเพื่อนผมคนอื่นขนของอยู่
ฝั่งซาวด์เอ็นฯครับ เห็นหน้าไอ้น้องน็อตภูมิใจมากที่วันนี้มันคุมซาวด์เอ็นฯคนเดียวได้ โดยไม่ต้องให้ไอ้อาร์ทช่วย (สรุปว่าอาร์ทไปนั่ งอ่าน
การ์ตูนครับ ไอ้เวรนี่) ผมก็
ดีใจด้วยว่ะที่มีทายาทอสูรซาวด์เอ็นฯแล้ว เราทยอยเก็บของและรํ่าลากันไม่นานก็ถึงเวลาตัวใครตัวมัน ผมโบกมือบ๊ายบายให้เพื่อนทุกคน
ก่อนจะแยกเดินออกจากโรงเรียนไปพร้อมกับปุณณ์.. ฟ้ามืดสนิทจนอากาศเย็นนิดหน่อย แต่มีปุณณ์อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่รู้สึกหนาวเท่าเวลาเดินคน
เดียว.. "ร้องเพลงเพราะนะ... หึหึหึ" ผมเริ่มแซวมัน จนมั นหน้าแดงกลํ่า สงสัยเพราะตั้งแต่ลงจากเวทีมา มันก็โดนเล่นงานไม่มีหยุด
"อย่ายํ้าได้ปะ!! รู้แล้วน่าว่าร้องไม่เพราะะะะ!" มันส่งเสียงโวยวายเป็นเด็ก ๆ เลยครับ ฮ่า ๆๆ ขําว่ะ กูยังไม่ทันว่าอะไรซักหน่อย.. ผมยิ่งเห็นมัน
โวยวายไม่มั่นใจในตัวเองแล้วก็ยิ่งขําหนักเข้ าไปอีก สงสัยคงจะโดนแซวเอาไว้มากจริง ๆ "กูไม่ได้ว่าซักคํา เพราะจริง ๆ ชอบ..." ผมพูด
แทรกขึ้นมา แล้วก็ต้องรู้สึกแปลก ๆ ซะเอง... แบบนี้มันเหมือนจะบอกอะไรปุณณ์รึเปล่าหว่า... ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าผมไม่กล้าหันไ ปมอง
หน้าปุณณ์เลย "จริงเหรอ... ชอบใช่รึเปล่า" "อืม.." "แน่นะ...." "เอออออออ" ถามอะไรนักหนาวะ กะอีแค่เพลงที่ร้องไปแล้วเนี่ย
ผมกลั้นยิ้มไม่อยู่.. ระหว่างเราเงียบไปพักหนึ่ง ปล่อยให้เสียงรถแล่นผ่านทําลายความเงียบของท้องถนน ผมค่อย ๆ เดินก้มหน้าลากขา
ขณะที่รู้สึกว่าอยู่ดี ๆ มือตัวเองก็อุ่นขึ้นมา ผมหันไปมองปุณณ์ที่ยิ้มให้ผมแว่บหนึ่ง ก่อนมันจะทําเป็นมองถนนใหญ่ต่อเหมือนเดิม.... มือเรา
สองคนประคองกันเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบ นี่เป็นครั้งแรก ที่ได้ทําอะไรแบบนี้
"โน่......." เสียงปุณณ์เรียกผมให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์ ก่อนที่มันจะหยุดเดิน แล้วหันหน้ามา นัยน์ตาคมคู่นั้นจ้องผมนิ่งสนิท ราวกับเรื่องที่
กําลังจะพูดต่อจากนี้ คือสิ่งสําคัญ... ผมเห็นปุณณ์สูดหายใจลึก พลางรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองถูกกระชับแน่นขึ้น ริมฝีปากบางของปุณ ณ์ขยับพูด
คําต่อไปช้า ๆ.. "กูพร้อมแล้ว.... ที่จะรู้ความจริงทั้งหมด..." ปุณณ์พูดเรื่องที่ผมเกือบลืมไปแล้วขึ้นมา นัยน์ตาคมคู่นั้นจริงจังและอ่อนโยนใน
เวลาเดียวกัน "โน่จะอยู่ข้างผม ในเวลาแบบนั้นใช่มั้ย" สําหรับผม การอยู่ข้างปุณณ์ ไม่เคยมีข้อแม้ใด "กูจะอยู่ข้าง ๆ มึง "

42nd CHAOS

หลังจาก Live Contest ไม่กี่วัน ผมกับปุณณ์ก็นัดแนะกอล์ฟได้ในคืนวันเสาร์คืนหนึ่ง เวลาห้าทุ่มครึ่ง เรานั่งจิบกาแฟร้อนรอกอล์ฟอยู่ในแมค


โดนัลด์สาขาราชประสงค์ ถนนใหญ่ด้านนอกแลดูขวักไขว่แม้จะดึกมากแล้ว ฝูงคนกลุ่มใหญ่ยังคงเดินสวนผ่านกันไปมาไม่มีขาด แต่คนที่นั่ ง
ร่วมโต๊ะผมอยู่ตรงหน้ากลับมีเพียงความเงียบงันเเสมือนรอบตัวมันมีเพียงมันนั่งอยู่แค่คนเดียว.. ผมจิบกาแฟร้อนพลางลอบมองหน้าปุณณ์
ที่เดาอารมณ์ยากไปด้วย เพราะตั้งแต่เข้ามาในร้าน ผมก็ยังไม่เห็นรอยยิ้มของปุณณ์เลยแม้แต่นิด ไม่ว่าจะพยายามแหย่ แกล้ง หรือเล่ามุก ตลก
ความเปิ่นของเพื่อน ๆ ให้ฟังแค่ไหน รอยยิ้มจากปุณณ์ที่ส่งมาก็ยังเป็นเพียงรอยยิ้มฝืน ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะราวกับให้ทุกอย่างผ่าน ๆ ไป
เท่านั้น..
ปุณณ์อาจจะอยากใช้ความคิดกับตัวเองมากกว่า ในเวลาแบบนี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงตัดสินใจนั่งรอเป็นเพื่อนมันเงียบ ๆ ปล่อยให้
เสียงเพลงที่คลอแว่วจากลําโพงเป็นฝ่ายขับกล่อมปุณณ์ที่กําลังอยู่ในภวังค์... จนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืน กอล์ฟก็โผล่มา "โทษทีมาช้า!! กู
เตี๊ยมกันนานไปหน่อย หวัดดีปุณณ์" เสียงไอ้กอล์ฟแม่งมาก่อนตัวอีกครับ ผมโบกมือทักมันเบา ๆ เพราะกําลังซดกาแฟอยู่ ก่อนไอ้คนมาใหม่
จะล้มตัวนั่งข้างผมพร้อมยกนาฬิกาข้อมือมาเช็คดู "ไปกันเลยปะ? นัดไว้ที่อารีย์ นั่งรถไฟฟ้าไป เที่ยวสุดท้ายแล้วมั้งเนี่ย" มันว่าพลางลุกขึ้น
นําให้พวกผมยืนตามเสร็จสรรพ ผมยกมือขอเวลาเดี๋ยว แล้วจัดแจงกระดกกาแฟอึกสุดท้ายก่อนจะรีบเดินตามพวกมันไป "อารีย์ ร้านเหล้า
เหรอวะ?" ผมถามเพราะไม่ยักรู้ว่าแถวนั้นมีร้านเหล้าด้วย (ก็ไม่ใช่เด็กเที่ยวนี่ครับ อิอิ) แต่ไอ้กอล์ฟส่ายหัวยิก "ไม่ใช่... คอนโด...." มันตอบก่อน
จะหันไปมองหน้าปุณณ์ "เตรียมใจมาดีแล้วจริงรึเปล่า" ปุณณ์มีแววตาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแน่วแน่ เหมือนกับที่ผมเคย
เห็นในวันนั้น "อืม.... รบกวนด้วยนะ" *** รถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายพาเรามาถึงสถานีอารีย์ กอล์ฟมองนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงคืนนิ ด ๆ
ก่อนจะหันมาพูดกับพวกผม "รออีกหน่อย ซักตีหนึ่งกว่า ๆ ค่อยขึ้นไปแล้วกัน"
ได้ยินดังนั้นผมกับปุณณ์จึงหาที่นั่งรอกัน บริเวณลานเบียร์แถวนั้น ส่วนไอ้กอล์ฟขอตัวออกไปโทรศัพท์ไกล ๆ ในขณะที่ปุณณ์ยังคงเงียบ
สนิท "เบียร์มั้ย" ไหน ๆ นั่งลานเบียร์แล้วชักเปรี้ยวปากก็เอาซักหน่อยแล้วกัน ปุณณ์แค่นยิ้มให้ผมแต่ไม่มีคําตอบอะไรลอดจากริมฝี ปาก
กลับมา "เอาเบียร์เหยือกนึงครับ" ผมจึงคิดเอาเองว่านั้นคือการตอบตกลง (เหอ ๆ) งั้นสั่งแบบเบา ๆ ไปก่อน เพราะไม่อยากเมามาก ผม
หันไปบอกสาวเชียร์เบียร์ที่ดูไปก็ไม่ได้สวยเท่าไหร่ (มาเป็นได้ไงวะ) แต่หน้าอกใหญ่ชิบหาย (คงเพราะอย่างนี้นี่เอง) ที่กําลังเดินนวยนาดไปสั่ง
เบียร์ให้พวกเราอยู่ ผมละสายตาจากบั้นท้ ายหญิงสาวในชุดนํ้าเงิน ก่อนหันมาเพื่อจะพบกับสีหน้าปุณณ์ ที่มีแววครุ่นคิดตลอดจนผมอด
ห่วงไม่ได้ ริมฝีปากบางนั้นถูกเม้มซํ้าแล้วซํ้าอีกราวกับเจ้าตัวกําลังอยู่ในสภาวะเครียดอย่างหนัก จนผมรู้สึกหดหู่ตาม.. เพราะถ้าปุณณ์เป็นทุกข์
ผมก็ทุกข์ยิ่งกว่า "ปุณณ์........" ผมเอ่ยปากเรียกให้มันหันมา ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมไปกุมมือฝ่ายตรงข้ามที่เย็นเฉียบไว้เบา ๆ "ไม่ต้อง
กังวล... กูอยู่นี่" ครั้งแรกในรอบวันที่ผมเห็นรอยยิ้มจากใจของปุณณ์.. นัยน์ตาคมนั้นยิ้มให้ผม ก่อนจะยื่นมืออีกข้างหนึ่งกลับ มาจับมือผม
ไว้แน่น "ขอบใจนะ" เรานั่งจิบเบียร์ช้า ๆ จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีหนึ่งกว่า เมื่อไอ้กอล์ฟเดินกลับมาบอกว่าได้ฤกษ์
แล้ว ผมเห็นปุณณ์มีท่าทีใจหาย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับผมเลย "มาถึงนี่แล้ว... อย่าถอยนะมึง" กอล์ฟพูดดักคอไอ้คนหน้าซีดที่เดินกล้า ๆ กลัว ๆ
อยู่ตรงหน้า ปุณณ์สะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปมองกอล์ฟที่กําลังตบบ่ามันสองสามที "ผู้หญิงดี ๆ มีอีกเยอะน่า" กอล์ฟว่าแค่นั้นแล้วเดินนํา
พวกเราเข้าไปในซอยที่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก คอนโดนี้ถือเป็นคอนโดขนาดใหญ่ครับ มีระบบป้องกันความปลอดภัยแน่นหนา นั่นคือสาเหตุว่า
ทําไมรปภ.ถึงจ้องเราเขม็งตั้งแต่ก้าวผ่านประตูเข้ามา "มาหาใครครับ" "เอกมันบอกไว้รึยังครับว่าเพื่อนจะมา" กอล์ฟถามรปภ.กลับไป
หน้าตายด้วยท่าทีไม่เกรงกลัวสักนิด ในขณะที่ใบหน้าผมลังเลเพราะไม่รู้จักคนชื่อเอกเลย "อ๋อ เพื่อนคุณเอก เชิญครับ" ได้ผล รปภ.คนนั้น
รีบเปลี่ยนจากขึงขังเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน ก่อนจะกุลีกุจอไปกดลิฟท์ให้พวกเราอย่างว่องไว กอล์ฟกดลิฟท์ชั้น 17 เมื่อเราเข้าไปในลิฟท์
ภายในตู้สี่เหลี่ยมก็คงเหลือแต่ความเงียบ... "แม่งต้องรีบ เดี๋ยวไอ้เอกเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะหมดกัน" ไอ้กอล์ฟสบถเบา ๆ พลางกดเลข 17 ซํ้า
ๆ เหมือนอยากเร่งให้ลิฟท์เคลื่อนเร็ว ๆ ขึ้น แต่มันทําได้ที่ไหนล่ะ มึงอย่ามาปัญญาอ่อน ผมหัวเราะขําพลางเหลือบตามองปุณณ์ที่ดูจิตใจจะ
ไม่ได้อยู่ในลิฟท์นี้.. แววตาคมคู่นั้น มีทั้งความทั้งสับสนและไม่มั่นใจ... ผมไม่เคยเห็นปุณณ์เป็นแบบนี้มาก่อนจนอดห่วงไม่ได้ ผม
ตัดสินใจดึงฝ่ามือเย็นเฉียบของปุณณ์มากุมไว้แผ่วเบา.. เจ้าของใบหน้าคมนั้นสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันมองผม แน่นอนว่าสิ่งที่มันเห็นกลับไป
จะต้องเป็นรอยยิ้มเท่านั้น
ผมฉีกยิ้มกว้างให้ปุณณ์อย่างต้องการมอบกําลังใจทั้งหมดที่มีส่งไปให้ ปุณณ์ยิ้มรับการกระทํานั้นของผม ก่อนลิฟท์ จะเปิดออกให้เราสาม
คนได้เดินไปด้วยกัน เสียงฝีเท้าสามคู่ดังถึงหน้าห้องพักที่กอล์ฟบอกว่าเป็นของเพื่อนตัวเอง พวกเราหยุดยืนนิ่งตรงนั้นครู่หนึ่ ง กอล์ฟ
เริ่มส่งสายตามองปุณณ์ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ "ถอยไม่ได้แล้วนะมึง... พร้อมจริงปะ" คงเป็นเพราะในเวลานี้กอล์ ฟดูจริงจังจนแววตาปุณณ์
กลายเป็นฝ่ายลังเลไปถนัด ผมตบบ่าแกร่งนั้นสองสามทีด้วยกลัวว่าสถานการณ์จะบีบบังคับให้มันเครียดจนเกินไป "ถ้ายังไม่พร้อมไว้วัน
หลังก็ได้นะมึง" แต่ฝ่ามือของปุณณ์ยื่นมาตบหลังมือผมกลับเบา ๆ "ให้มันจบวันนี้แหละ... ผมพร้อมแล้วกอล์ฟ" กอล์ฟพยักหน้าช้า ๆ
พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือของมันขึ้นมา... เพียงไม่นานก็เราก็ได้ยินเสียงตอบกลับจากปลายสาย "กูอยู่
ข้างหน้าแล้ว หยุดเลยมึง" ไอ้กอล์ฟกรอกคําพูดหนัก ๆ ลงไป ไม่รู้อุปาทานหรือเปล่าที่ผมได้ยินเสียงตึงตังหลังประตูนั้นแผ่ว ๆ และเพียงไม่
นาน ก็มีผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผม เปิดประตูออกมา "กว่าจะมานะมึง! กูแทบทนไม่ไหวละ!" น่าจะเป็นเอก? เอกเปิดประตูมา
สวดไอ้กอล์ฟยับทั้งที่มันมีผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวห่อลําตัวท่อนล่างอยู่ "คุณรีบเข้าไปในห้องนอนเลย ผมต้องเข้าห้องนํ้าด่วนแล้ วตอนนี้ ไม่
ไหวว่ะ" คนชื่อเอกหันมาบอกปุณณ์แค่นั้น ก่อนจะวิ่งปร๋อไปปิดประตูห้องนํ้าทันที ปล่อยให้พวกผมสามคนยืนมองกันอย่างงง ๆ แต่ไอ้
กอล์ฟดันขํา "ดีนะ ที่มันยังอดทนรอมึง กูนึกว่าแม่งจะผิดแผนซะละ.... เออ พวกกูไม่เข้าไปด้วยนะ
คุยกันดี ๆ ล่ะ" ฝ่ามือภายใต้เ สื้อแจ็คเก็ตแขนยาวของกอล์ฟตบลงบนบ่าปุณณ์เป็นเชิงให้กําลังใจ ขณะที่ผมทําได้แต่ยืนมองมันนิ่ง ผม
พอจะรู้ว่าในห้องนอนที่ว่านั้นมีอะไรรอปุณณ์อยู่ ผมพอจะรู้ว่าปุณณ์กําลังอยู่ในสภาพความรู้สึกแบบไหน แต่สิ่งที่เดียวผมไม่รู้เลย.. คือผมไม่รู้
ว่า... ปุณณ์จะเข้มแข็งได้มากเท่าไร ปุณณ์แค่นยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย แม้นัยน์ตาจะว่างเปล่าเหลือเกิน "รอแป๊บนะ... เดี๋ยวเจอกัน"
จบคํานั้น ประตูห้องพักก็ถูกปิดลงทันที.. ผมไม่มีสิทธิ์รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้นอีกแล้ว เพียงแค่เสียงกรี๊ดด้วยความตกใจของเอมที่ได้ยิน
ผ่านผนังมาแผ่ว ๆ ก็ทําให้ผมแทบหมดแรง กอล์ฟโอบไหล่ผมเบา ๆ เหมือนจะให้กําลังใจ "มึงต้องเชื่อในตัวปุณณ์สิวะ... เดี๋ยวทุกอย่า งก็จะ
ผ่านไป" ใช่.... อีกแค่นิดเดียว ...... ทุกอย่างก็จะผ่านไป *** ผมกับกอล์ฟพาตัวเองลงมาชั้นล่าง นั่งบนรอโซฟาหน้าล็ อบบี้โดยไม่มี
ใครเริ่มคุยกับใครก่อน.. ท่าทางกอล์ฟเองก็เป็นกังวลเรื่องปุณณ์ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเวลาปกติหากมีเพื่อนเครียดมันจะคอยเป็นตัวชูโ รง
ทําหน้าที่เฮฮาแหย่คนโน้นที คนนี้ที ไม่ให้เครียดได้ตลอด ผมเองก็เคยถูกมันแกล้งบ่อย ๆ เวลาเครียด ๆ แต่วันนี้ไม่เป็นอย่า งนั้น ผมมอง
กอล์ฟที่ถอนหายใจเสียงดังหลายครั้ง ขณะนั่งอยู่บนโซฟาคนละตัวกับผมเช่นเดียวกัน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ามากในความคิด หนึ่งวินาทีนานราวกับเป็นหนึ่งชั่วโมง ขณะที่หนึ่งนาทีเหมือนกับหนึ่งวัน กอล์ฟเป็นฝ่ายกระวน
กระวายมากกว่า มันผุดลุกผุดนั่งมองลิฟท์ตั้งหลายที จนในที่สุดก็บอกผมว่าจะออกไปเซเว่น อยากได้อะไรบ้างหรือเปล่า ผมส่ายหัวปฏิเสธ
เพราะไม่มีอารมณ์จะคิดเรื่องกินตอนนี้ รู้ว่ากอล์ฟเองก็คงไม่ได้หิวเหมือนกัน คงแค่อยากออกไปฆ่าเวลาบ้าง แต่ผมอ่อนแรงเกินกว่าจะทํา แบบ
นั้น ผมบอกกอล์ฟว่าจะนั่งรอปุณณ์อยู่ตรงนี้ เผื่อมันลงมาจะได้เห็นว่ายังมีผมอยู่.. เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง.. ผมท้อใจเกินกว่าจะคํานวน
หน้าปัดนาฬิกาแล้ว ว่าเราลงมารอกันนานเท่าไหร่.. กอล์ฟที่บอกว่าจะเดินไปเซเว่นกลับมาพร้อมถุงสีขาว บรรุกาแฟสองกระป๋อง และขนม
กรอบ ๆ ที่พวกเราชอบกินด้วยกันอีกจํานวนหนึ่ง "อะ... อาจจะนาน มันคงอยากคุยอะไรกัน" กอล์ฟว่าอย่างนั้นพลางยื่นกาแฟมาตรงหน้า
ผม ผมไม่อยากกินแต่ก็ยกขึ้นจิบเพราะไม่มีอะไรทําที่ดีกว่านี้ จมูกได้กลิ่นบุหรี่ลอยคละคลุ้งจากตัวเพื่อนแผ่ว ๆ ทําให้รู้ว่ากอล์ฟถื อโอกาส
ออกไปสูบบุหรี่มา.. ผมมองในถุงนั้น เห็นยังมีช็ อกโกแลต หมากฝรั่ง และขนมกรอบ ๆ อีกนิดหน่อย คนซื้อมาบอกว่าของพวกนี้ช่วยให้เรา
คลายเครียดได้ .. .. กอล์ฟกับผมนั่งดื่มกาแฟ กินขนม จนทุกอย่างหมดไปนานแล้ว เราเปลี่ยนเป็นหยิบนิตยสารที่วางไว้ในชั้น
หนังสือของล็อบบี้มาอ่านก็ตั้งหลายสิบเล่ม จนกอล์ฟต้องเดิ นไปชวนลุงรปภ.ที่เฝ้าเวรอยู่คุยเล่น แต่ไม่ว่าจะทําอย่างไร ฆ่าเวลาด้วยวิธีไหน
ลิฟท์ตัวนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏร่างของปุณณ์ ภูมิพัฒน์ โผล่ออกมาเลย.. ผมตัดสินใจมองนาฬิกาว่าบอกเวลาเท่าไหร่ แล้วก็ต้องตกใจ
เพราะนี่มันปาเข้าไปตีสองกว่า จนอดคิดไม่ได้ว่านานเกินไปหรือเปล่า!?
"กอล์ฟ ตีสองกว่าแล้ว มันยังไม่ลงมาเลยว่ะ" ผมหันไปบอกกอล์ฟอย่างร้อนอกร้อนใจ ดูท่าทางมันก็กระวนกระวายเหมือนกัน "ขึ้นไป
ดูมั้ย" ผมถามอีก แต่กอล์ฟถอนหายใจหนัก "อย่าเลยมึง คนเขาคบกันมานาน อยู่ดี ๆ จะให้เดินไปบอกว่าเลิกกันแล้วออกมา ก็คงไม่ ใช่"
คําพูดของกอล์ฟฟังดูมีเหตุผลก็จริง แต่.......... กอล์ฟคงรู้ว่าผมเครียดมาก มันบีบไหล่ผมหนัก ๆ "เชื่อในตัวไอ้ปุณณ์หน่อยดิ่ว๊ า มันเก่งจะ
ตาย" "อืม....." 'กิ๊ง' เสียงลิฟท์ร้องดังจากด้านหลัง เรียกให้ทั้งผมและกอล์ฟหันกลับไปได้แทบจะทันที ผมรู้ สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็น
ร่างสูง ๆ ของปุณณ์ค่อย ๆ ก้าวออกมา เราสามคนปรี่ไปรับปุณณ์จากหน้าลิฟท์ราวติดจรวดทันที "นานนะมึง..." ไอ้กอล์ฟพูดล้อ ๆ เหมือ น
คนไม่คิดมาก แต่ผมรู้ว่ามันไม่กล้าถามปุณณ์ว่าผลเป็นยังไง.. ผมเองก็ไม่กล้าถามเหมือนกัน ยิ่งเห็นนัยน์ตาคมแดงกํ่าเหมือนคนเพิ่งผ่านการ
ร้องไห้มาอย่างหนัก ผมก็ยิ่งไม่กล้าถาม.... ริมฝีปากบางสีอมส้มพยายามแย้มยิ้มให้พวกผม... ซึ่งดูเหมือนทําได้ยากยิ่งกว่าตอนก่อ นเข้าไป
ในห้องนั้นเสียอีก "อืม... โทษทีนะ" "หิวรึเปล่าปุณณ์" ผมถามขณะที่เราพากันเดินลงจากคอนโด ด้วยหวังว่าของกินอร่อย ๆ อาจทําให้
เพื่อนผมรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง แต่....
"ไม่อะ.. กลับดีกว่า" ดูเหมือนการชวนปุณณ์ไปไหนมาไหน หรือชวนคุยอะไรตอนนี้ จะไม่ใช่ความคิดที่ดี... ผมกับกอล์ฟมองหน้ากัน
อย่างเศร้า ๆ "งั้นกูกลับก่อนนะ.... ดี ๆ นะเว้ยเพื่อน" กอล์ฟตบบ่าปุณณ์สองทีก่อนจะแยกไปโบกแท็กซี่อีกทาง ปุณณ์หันไปยกมือตอบให้
มัน "ขอบใจนะ.. เพื่อน.." กอล์ฟมองใบหน้าคมของปุณณ์ด้วยนัยน์ตาเปี่ยมกําลังใจ มันสูดลมหายใจพลางบีบไหล่แกร่งของปุณณ์แรง ๆ
เหมือนอยากถ่ายทอดพลังทั้งหมดของมันที่มี ผ่านฝ่ามือไปให้ ก่อนจะขึ้นแท็กซี่ไป ปุณณ์มองตามแท็กซี่คันนั้นก่อนจะหันมาแค่นยิ้มให้ผม
หลังจากที่แท็กซี่ของกอล์ฟลับสายตา จึงเป็นคราวของเราสองคนบ้าง ผมโบกแท็กซี่สีฟ้าคันหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าไป "ทองหล่ อ
พี่... กูไ ปส่ ง มึ ง ละกัน นะ" ปุ ณ ณ์ พ ยั กหน้ า รับ คํา ผมเบา ๆ ทั้ ง ที่ ต ายั ง เหม่ อมองท้ องถนน.. เวลาตี ส ามบนถนนพหลโยธิ น นั้ น เงี ย บสนิ ท
เช่นเดียวกับนัย น์ตาของปุณณ์ ที่ราวกับเจ้าตั วไม่ ได้มองสิ่ง ที่มันทอดสายตาไป.. ตลอดทางบนรถแท็ กซี่ ไม่มีเสียงใดเลยนอกจาก
เครื่องยนต์และวิทยุที่คุณลุงคนขับเปิด ผมลอบมองปุณณ์เป็นระยะ ๆ แต่ไม่ว่ากี่ครั้ง ก็เห็นเพียงปุณณ์ที่เหม่อมองข้างทาง โดยผมไม่รู้ว่าเจ้า
ตัวกําลังคิดอะไรอยู่ สิ่งเดียวที่ทําได้คือเอื้อมไปบีบมือปุณณ์ไว้เบา ๆ ก่อนผมจะรู้สึกว่าปุณณ์เองก็บีบมือข้างนั้นกลับมาเช่น เดียวกัน..
รถแท็กซี่สีฟ้าจอดนิ่ม ๆ ลงหน้ารั้วบ้านภูมิพัฒน์ที่ดับไฟมืด คงเป็นเพราะเวลาตีสาม จึงเหลือเพียงโคมหน้า
บ้านเท่านั้นที่ยังส่องสว่างเหนือประตูเล็กที่ผมเคยผ่านเข้าไปประจําอยู่ "มีกุญแจใช่ปะ?" ผมถาม ได้รับคําตอบเป็นการพยักหน้าช้า ๆ จาก
ปุณณ์ "เออ งั้นก็โช.............." แต่ยังไม่ทันจะพูดจนจบคําดี ท่อนแขนแกร่งนั้นกลับรวบผมไปกอดเอาไว้ทั้งตัวเสียก่อน ผมตกใจจนหายง่วง
เป็นปลิดทิ้ง เพราะปุณณ์กอดผมแน่นราวกับต้องการยึดเป็นที่พึ่งสุดท้าย นานอยู่ชั่วหนึ่งที่ปุณณ์กอดผมนิ่งอย่างนั้น ผมลูบหลังปลอบโยน
มันเบา ๆ พร้อมกับเหลือบมองพี่คนขับแท็กซี่ไปด้วยเพราะชักเกรงใจ แต่แกก็แค่ยิ้มให้พวกเราผ่านกระจกมองหลังเท่านั้น... อืมม.. โชคดีที่
เจอคนใจดี เห็นท่าทางเขาไม่ว่าอะไร ผมจึงไม่คิดเร่งเร้าปุณณ์เช่นกัน "ไหวป่าวมึง... นอนบ้านกูมั้ย" แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายนิ่งมาพักใหญ่แล้ว
จึงได้ถาม เพราะเสียงสูดนํ้ามูกเบา ๆ และความเปียกชื้นบนหัวไหล่ บอกให้ผมรู้ว่ าปุณณ์กําลังเป็นอะไรอยู่ "โน่.........." ปุณณ์เรียกผม นํา
ให้ผมตบหลังกลับไปแผ่ว ๆ เพื่อทําให้มันรู้ว่าผมกําลังฟัง "กูเลิกกับเอมแล้วนะ.." แต่เพราะคํานั้นทําเอาผมใจหาย... แม้จะรู้ว่ าเอมไม่ดี
และยังไงเหตุการณ์ก็ต้องจบลงแบบนี้ แต่ผมก็อดรู้สึกโหวง ๆ ในใจแทนความสัมพันธ์ที่ปุณณ์สู้อุตส่าห์ประคับประคองมาหลายปีไม่ได้..
วันที่ปุณณ์เคยบอกผมว่ามันรักเอมขนาดไหน.. ผมยังจําได้ดี วันที่ปุณณ์เคยพูดว่าอยากให้เอมมีความสุขยังไง.. ทุกคํายังคงติดอยู่ในหัวผม
แน่น วันนั้นผมไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้... วันที่ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก และความหวังดีของเพื่อนผมต่อผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นเพียงสายลม
ที่กําลังจะพัดไป.. "เออ ไม่เป็นไรเว้ย หน้าหล่อพ่อรวย หาใหม่มึงจะเอาให้เจ๋งกว่านี้ขนาดไหนก็ได้!" ผมฝืนใจปลอบมันขํา ๆ แม้สม องจะ
ว่างเปล่าไปหมด หวังเพียงให้ปุณณ์อารมณ์ดีขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลายเป็นอ้อมกอด ที่
กระชับเข้ามาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก "กู........ เริ่มใหม่กับใครไม่ได้........" คือคําพูดของปุณณ์ในเวลาต่อมา ผมขมวดคิ้วกั บคํานั้น
ก่อนที่ปุณณ์จะพูดต่อ "มันเร็วเกินไปถ้ากูจะ..... ให้ใครมาแทนที่เอม.... กูยังทําแบบนั้ นไม่ได้..." เสียงทุ้มนั้นทั้งสั่นและพร่า แต่ผมกลับได้
ยินทุกคําถนัด.. ผมรู้.. ว่าปุณณ์กําลังหมายถึงอะไร "ไม่เป็นไร.. ธรรมดา กูเข้าใจ" "ขอโทษนะโน่................." ปุณณ์กํ าแขนเสื้อผมแน่น
เข้าไปอีก ผมตบหัวมันเบา ๆ "เออ เข้าใจ" เพราะถ้าปุณณ์หมายถึงเรื่องมันกับผม... ผมไม่เคยคิด ไม่เคยหวังอะไร.. สําหรับผมตอนนี้แค่ได้
เป็นเพื่อนกัน แค่ได้เห็นรอยยิ้มมัน ได้รู้ว่าเพื่อนผมมีความสุข ผมก็พอใจเท่าไหร่.. เหมือนกําลังทําตัวเป็นพระเอกใช่ปะครับ แต่ที่ จริงแล้วผมก็
เป็นแค่คนธรรมดานั่นแหละ คนธรรมดาที่อยากให้คนที่ตัวเองรัก สบายใจ ก็เท่านั้นเอง.. "รอผมนะโน่.........." ปุณณ์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น
ก่อนจะยิ้มแล้วลงจากรถแท็กซี่ไป ผมรอจนแผ่นหลังกว้างนั้นลับตา แล้วบอกพี่คนขับ (ที่ยิ้มมองผมไม่หุบ) ให้ออกรถต่อไปยังบ้านผม ผม
เชื่อว่าปุณณ์จะผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ ผมเชื่ อว่าสองแขนผมจะช่วยประคองปุณณ์ต่อไปได้ ผมไม่ได้รอปุณณ์... แต่ผมจะอยู่ข้าง ๆ
ปุณณ์

43rd CHAOS
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเหตุการณ์ก็ปกติดีครับ วันจันทร์ผมรีบโผล่หัวไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพราะอยากรู้ว่าไอ้ปุณณ์อกหักอาการไปถึง ไหน
ปรากฏว่าเห็นมันยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าห้องสภาฯสภาพเหมือนคนปกติดีทุกอย่าง เออ ผมคงเป็นห่วงมันมากเกินไปเอง ชีวิตเราก็เลยดําเนิน
ตามปกติครับ มีหลายงานที่ทั้งผมและปุณณ์วุ่น ๆ ต้องคอยดูแล คริสมาสต์แฟร์ก็งานหนึ่งที่ทําเอาปวดกะบาลสุด ๆ เพราะแอมป์ตัวที่ว่า
อาการร่อแร่อยู่ เสือกจะตายสนิทวันนั้นพอดี (ก็เข้าใจเลือกวันนะมึง) เดือดร้อนผมกับไอ้โอมต้องโบกแท็กซี่กลับไปยังบ้านดร.แหวนกลางงาน
เพื่อยกแอมป์ที่บ้านนั้นมาอีก (ซึ่งโคตรหนัก แบกกันสองคนมาถึงโรงเรียนอีกทีเหงื่อท่วมครับ) ส่วนไอ้ปุณณ์ก็วิ่งวุ่นมาก เนื่องจากเด็ กม.ต้น
ต่อยกันในงาน (เพื่อไรวะน้อง) มั นเลยต้องเป็นธุระทั้งห้ามมวย ลากคอไปห้องพยาบาล ลากคอไปห้องปกครอง ทําจดหมายเชิญผู้ปกครอง
และนั่งรออาจารย์ฝ่ายปกครองเทศน์เด็กอีกเกือบครึ่งวัน! เดือดร้อนกันไปหมด ยังดีที่สุดท้ายพอมีเวลาตอนใกล้ ๆ จบวันให้เราได้ไปเดินเที่ยว
ชมงาน (ที่ใกล้ปิดแล้ว) กัน ^___^ แก็งค์นางฟ้าตลกดีครับ พวกนั้นเปิดซุ้มหนุ่มน้อยตกนํ้า(?) ผมกับปุณณ์เลยแวะเข้าไปยืนเขวี้ยงได้พัก
ใหญ่ (สอยร่วงไปหลายคนครับ สะใจดี โทษฐานชอบแอบจับก้นกูกันนัก!) แต่จู่ ๆ เสือกถูกพวกนางฟ้าลากเข้าไปในซุ้มซะงั้น!? ไม่พอยังจับผม
ผูกติดกับเป้า กลายร่างเป็นหนุ่มน้อยตกนํ้ากันเอง (เฮ้ย!! พวกมึงช่วยถามความสมัครใจกูด้วย!!!) ผมสาบานว่าพยายามดิ้นแล้วแต่แม่งโคตรไม่
ฟัง กะเทยอะไรแรงเยอะชิบหาย (น่ากลัวมากครับ ถ้าปลํ้ากันนี่ผมแพ้เห็น ๆ) ส่วนไอ้ปุณณ์ไม่ว่าอะไร มันได้แค่หัวเราะตาหยี ปล่อยให้พว ก
กะเทยพาขึ้นแท่นประหารแต่โดยดี เราขึ้นไปนั่งรอไม่นานก็มีร่างหนา ๆ ของไอ้เอิ้นถูกแห่มามัดไว้อีกคน หลังจากนั้นงานก็ยิ่งสนุกเข้าไป
ใหญ่เลยครับ เพราะใคร ๆ ก็แห่เข้ามาปาพวกผมชิบหาย (ฝากไว้ก่อนเถอะมึง) โดยเฉพาะนักเรียนที่ถูกสภาฯทําทัณฑ์บนบ้าง เรี่ยไรเงินบ้าง
ชักแถวกันมาปาไอ้ปุณณ์ซะยาวเหยียดเลยครับ (จริง ๆ มันคงอยากจับไอ้ฟี่มามัดมากกว่า แต่ไม่รู้แม่งหายไปไหน สงสัยไหวตัวทัน) ส่วนน้อง
ม.ต้นที่ขึ้นแปรอักษรให้เอิ้น คราวนี้ถึงทีพวกมันกลับมาเอาคืนประธานเชียร์บ้าง แล้วผมน่ะเหรอ........ ไอ้เหี้ยโอมก็ยกทัพชมรมดนตรี มาทั้ง
ขบวนเพื่อจัดการผมน่ะสิ! ไอ้เลวววววววว สรุปว่าสนุกดีครับ เปียกแม่งทั้งตัวจนต้องไปซื้อเสื้อพละใหม่มาใส่เลย คิดถูกจริง ๆ ที่ห้ามยูริ
ไม่ให้มาด้วย
เพราะผมคิดว่าตัวเองคงไม่มีเวลาดูแลเธอแน่ ๆ แล้วก็ไม่มีจริง ๆ วันนั้นผมยุ่งมาก ยูริไม่มาถือเป็นโชคแล้วจริง ๆ ครับ ส่วนหากจะถามถึง
เรื่องปุณณ์กับเอม บอกตามตรงว่าถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสองคนคุยอะไรบนคอนโดวันนั้น รู้แต่ตอนนี้เอมควงผู้ชายคนใหม่แล้ว
(โคตรเร็ว) เป็นนักเรียนโรงเรียนเครือเดียวกับผมนี่ล่ะ แต่คนละโรงเรียนกัน ผมเองก็ไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นหรอก แค่เคยบังเอิญเจอเอมเดินควง
อยู่ที่สยามหนสองหน ซึ่งก็ไม่ได้เข้าข้างปุณณ์นะ... แต่ผมคิดว่าเพื่อนตัวเองหล่อกว่าจริง ๆ (ฮ่า ๆ) ยูริเองช่วงแรก ๆ บ่นปุณณ์ให้ผมฟังยาว
ตั้งแต่คํ่าถึงเช้าว่าไปหักอกเพื่อนเธอ โดยที่ผมเถียงไม่ได้ซักคําเพราะไม่รู้จะพูดอะไร จนสุดท้ายพอเธอเห็นว่าเอมควงหนุ่มใหม่ได้ในพริบตาก็
เงียบ ๆ ไป ไม่พูดถึงเรื่องปุณณ์กับเอมอีก... คงจะเริ่มเข้าใจอะไร ๆ ขึ้นมาบ้างแล้วมั้ง.. ปุณณ์ดูไม่ค่อยเศร้ากับเรื่องเอมเท่าช่วงแรก ๆ แล้ว
ครับ ไม่เหมือนตอนที่มันเพิ่งเลิกกันใหม่ ๆ ปุณณ์ค่อนข้าง "พยายาม" ทําตัวเป็นปกติมาก... คือผมใช้คําว่ามัน "พยายาม" นะ เพราะไม่ว่าจะ
ทําเป็นยิ้ม ทําเป็นหัวเราะแค่ไหน ก็ยังมีมุมที่ปุณณ์แอบไปนั่งหงอยคนเดียว หรือไม่ก็ซึม ๆ เหม่อ ๆ ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว บ้าง แต่
นับว่ามันมีความพยายามมากครับ เพราะเวลาผ่านไปแค่อาทิตย์กว่า ๆ ผมก็ได้ยินเสียงแม่งหัวเราะลั่น กวนตีนเหมือนเดิม ตอนนี้ อาการแปลก
ๆ เหล่านั้นหายไปหมดแล้ว สําหรับผมช่วงนี้ก็งานเข้านิดหน่อยครับ ตอนนี้กําลังหมกตัวทําความสะอาดเครื่องดนตรีทั้งหมดในห้องชมรม
อยู่ โคตรเยอะชิบหาย โสโครกมากด้วย ใช้กันไม่ช่วยดูแลเล้ยย เฮ้อ.. "ไอ้ง่อย!!!!!!! ปรับสายเชลโล่ด้วยนะมึง! เดี๋ยวมันขาด!!" เสียงไอ้โอม
ตะโกนด่าเบ๊ชมรมลั่น เพราะไอ้ง่อยดันทะลึ่งเช็ดคันชักโดยไม่ปรับสายให้หย่อนก่อน... เออ ถ้าแม่งขาดนะ กูจะเอามึงไปขายที่บาร์เกย์ ไถ่ค่า
สายเชลโล่ใหม่ เอ.. แต่คงจะได้ไม่กี่ตังค์ ตอนนี้ห้องชมรมผมกําลังคนเยอะมากครับ เพราะเป็นธรรมเนียมว่าหลังจากช่ วงปีใหม่ต้องมีการ
ทําความสะอาดเครื่องดนตรีครั้งใหญ่หนึ่งที น้อง ๆ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ทุกคนเลยแห่กันมาขมักเขม้นทําความสะอาดเครื่องดนตรีประจําตัวเอง
ส่วนผมเป็นนักดนตรีแผนกไปเรื่อย กลายเป็นซวยมากหน่อย ต้องช่วยเช็ดทุกอย่าง
'เช้าไม่กลัว ไม่กลัว ก็กลัวจะไม่เช้า เช้าแค่ไหนก็ไหว' ไม่ต้องตกใจครับ.. เปลี่ยนริงโทนอีกแล้ว แหะ ๆๆๆ... เสียงลีโอพุฒดังลั่นมือถือจน
ผมต้องรีบคว้ามารับทั้งที่ยังไม่ทันมองชื่อ (เพราะวางไว้บนพื้นแล้วตอนมันสั่นจะครูดพื้นแรงมาก ผมตกใจ) แต่ถึงไม่มอง แค่ฟังเสียงปลายสาย
ที่ดังมาก็รู้แล้วว่าใคร "อยู่ไหนวะ" ไอ้เลขาฯสภาฯขี้เหงานั่นเอง... ตั้งแต่เลิกกะแฟนก็ติดผมเป็นตังเม "ห้องชมรมว่ะ มึงอะ" ผมตอบไป
พลางหนีบโทรศัพท์เข้าข้างหู เนื่องจากตอนนี้กําลังใช้นํ้ามันเช็ดกระเดื่องฟลุ้ตอยู่ ได้ยินเสียงพลิกกระดาษไปมาแว่วผ่านโทรศัพท์ "สภาฯ
มึงยังไม่กลับอีกเหรอวะ มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อยดิ่" บอกแล้วว่าแม่งกลายเป็นผู้ชายขี้เหงาไปซะงั้น เพื่อนกู หลัง ๆ มานี้ปุณณ์ชวนผมไปไหนมา
ไหนบ่อยมากครับ จนกลายเป็นว่าห้องสภาฯแทบจะมีผมเป็นสมาชิกอีกคนแล้ว แต่วันนี้ผมไปหามันไม่ได้จริง ๆ เพราะงานกําลังเข้าตรึม
"ไม่ได้ เช็ดเครื่องดนตรีอยู่" "เอามาเช็ดที่นี่ดิ่" ก็คิดได้นะมึง... จะให้กูแบกดับเบิ้ลเบส ทรอมโบน อีเล็กโทน ไปห้องสภาฯรึไง! "ตลกละ
มึงล่ะทําไร" ผมถามกลับ เสียงมันพลิกกระดาษยังดังอยู่ "สํารวจงบประมาณต้นปี ปวดหัวมากเลย" ถามว่าทําอะไรเฉย ๆ ไม่ได้ถามว่าปวด
หัวไหม... แม่งเรียกร้องความสนใจจริง ๆ แต่อย่าคิดว่าคนอย่างโน่จะขี้สงสาร "แบกมาทํานี่เด่ะ เร็ว ๆ อยู่คนเดียวผีหลอกแน่มึง" ผมบอก
มันแค่นั้นก่อนกดวางสาย ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องชมรมผมก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของปุณณ์ ภูมิพัฒน์ที่มายืนยิ้มเผล่อยู่
... นี่มึงเตรียมตัวไว้แล้วรึเปล่าเนี่ย!?
"พี่ปุณณ์หวัดดีค้าบบบบบบบบบ----" เสียงรุ่นน้องทักพลางยกมือไหว้มันกันสลอน เรื่องจริงคือช่วงนี้แม่งก็มาบ่อยจนจะกลายเป็นสมาชิก
ชมรมดนตรีอีกคนอยู่แล้วเหมือนกัน ผมหันไปมองหน้าหล่อ ๆ ของปุณณ์ที่ผงกหัวทักทุกคนทั้งที่มีแฟ้มเบ้อเร้อติดมือมา 3 อัน ก่อนมันจะลาก
ขามานั่งปุลงข้าง ๆ ผม "คึกคักนะห้องนี้" ปุณณ์ว่าพลางเปิดแฟ้มตั้งท่าจะทํางานต่อ ถ้าไม่ได้มีเสียงหมา ๆ เห่าหอนขึ้นมาเสียก่อ น
"อะไรวะปุณณ์ กูว่าอยู่ห้องสภาฯสบายกว่าห้องนี้นะ จะมาให้ลําบากทําไมว๊าาาาาา" ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ปะครับว่าเสียงใคร เจ้าประจํา เจ้าเดิม..
แม่งไม่เหนื่อยมั่งรึไงวะ แซวได้แซวดีเนี่ยยยยยยย "อย่าพูดงั้นสิพี่โอม... ห้องนี้ถึงจะลําบากกาย แต่พี่ปุณณ์เขา สบายจายยยยยยยยยยยย"
"ฮิ้วววววววววววววววววววว" ไอ้เชี่ยเป้อ!!!! มึงกลายเป็นทายาทอสูรของไอ้โอมตั้งแต่เมื่อไหร่!!!!!!!! แถมทุกคนในห้องชมรมยังพร้อมใจหยุดทํา
ความสะอาดเครื่องดนตรีตรงหน้าตัวเอวมาโห่รับมันสองคนเป็นลูกคู่อีก! หมดกันนนนนน ชีวิตกู! ผมชูนิ้วกลางด่ารอบห้อง ขณะที่ไอ้ปุณ ณ์
แค่หัวเราะขํา "ถือว่าถูก..." "โห่ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" นั่นมึง... ไปเล่นกับมันอีก โห่ดังเข้าไปใหญ่เลยทีนี้ -_-"... ไม่ติดว่าฟลุ้ตตัวนี้เพิ่ง
ลงนํ้ามันเสร็จเมื่อกี้นะ กูจะฟาดกะบาลให้แม่งสมองไหลอีกซักที หลังจากส่งเสียงแซวกันไปแซวกันมาอีกหลายดอก จนไอ้โอมเริ่มเข้าเนื้ อ
แล้ว (เพราะตอนนี้น้องมิกก็นั่งอยู่ในห้องด้วย) ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกรากันไป ต่างคนต่างกลับไปสนใจงานของตัวเอง ปุณณ์ที่ตอนนี้ใส่แว่น
นอนตัวยาวกดเครื่องคิดเลขอยู่ข้างผม กําลังดูขมักเขม้นในการจัดสรรงบประมาณต้นปีอยู่ ผมไม่ค่อยเห็นมันใส่แว่นบ่อย ๆ หรอกครับ (มัน
บอกว่าใส่เฉพาะเวลาเพ่งตัวหนังสือเยอะ ๆ เท่านั้น)
แต่รู้สึกว่าเวลามันใส่แล้วดูเท่ห์ดี "แอบมองไร... กูหล่อใช่ปะ" โห่ยยยยยยยย ไอ้ห่า... กล้าพูด ผมเลิกคิ้วมองหน้าไอ้ปุณณ์ที่หลิ่วตามาทาง
ผมล้อ ๆ แล้วยิ่งรู้สึกว่าอยากหาอะไรทุ่มใส่มัน "ถ้าเทียบกับเล็บขบกูอะนะ มึงก็คงหล่อ" หึหึ.... ถึงตรงนี้ผมก็คิดว่าตัวเองกล้าพูดเหมือนกัน
หึหึหึ... ปุณณ์แค่ยักไหล่เหมือนไม่อยากสนใจคําพูดผม ก่อนจะกดเครื่องคิดเลขต่อ 'เช้าไม่กลัว ไม่กลัว ก็กลัวจะไม่เช้า เช้าแค่ไหนก็ไหว'
เสียงลีโอพุฒแหกปากร้องเพลงอีกแล้วครับบ ผมสะดุ้งอีกที แต่คราวนี้คนที่หันไปมองเร็วกว่าคือปุณณ์ ชื่อและรูปยูริขึ้นหรา... มันมองหน้า
ผมตลอดเวลาที่ผมรับโทรศัพท์ "ครับ... วันไหนเอ่ย พรุ่งนี้เหรอ.... ได้ ๆ" ผมโต้ตอบปลายสายพร้อมกับรู้สึกถึงสายตาไอ้ปุณณ์ที่มองมาอยู่
ด้วย ไม่รู้มันจะมองอะไรนักหนา "เจอกันที่สยามเลยแล้วกันครับ โน่อาจออกไปช้านิดหน่อยอะ.. คร้าบบ หวัดดี ครับ" "พรุ่งนี้ไม่ว่างแล้ว
เหรอ" แถมพอกดวางสายปุ๊บ มันรีบยิงคําถามใส่ปั๊บ จนผมต้องหันไปมองหน้ามันแบบงง ๆ แทน "ก็เออ... เพิ่งไม่ว่างเมื่อกี้ ทําไมวะ"
"เปล่า...." ปุณณ์ส่งเสียงตอบแค่นั้น ก่อนจะหันไปทํางานต่อไม่ได้สนใจผมอีก อะไรของมัน...
*** ที่สยามเวลาเย็น หลังจากเมื่อวานเพิ่งได้รับโทรศัพท์ออดอ้อนของยูริ ผมก็รีบเคลียร์งานเรื่องที่ฝ่ายกิจกรรมโรงเรียนคอนแวนต์
ติดต่อมาขอให้ชมรมผมเอาวงดนตรีไปช่วยเล่นในงานปิดของที่นั่น ซึ่งจริง ๆ แล้วผมก็เพิ่งไปมาเมื่อกลางปีที่แล้วเอง แต่ท่าทางพวกเขาจะติด
ใจใหญ่ เลยทําเรื่องขอมาอีก เล่นเอาผมวุ่นนิด ๆ แต่ไม่เท่าไหร่ เพราะมาสเซอร์คนอื่น ๆ เซ็นต์รับทราบแล้ว เหลือแต่พวกผมที่ต้องตกลง
กันเองว่าจะเกณฑ์ใครไป ผมออกจาก BTS มาถึงสถานีสยามตอนเวลาเกือบห้าโมงเย็น ก่อนจะรีบมุ่งตรงไปยังสตาร์บั๊กส์ที่ยูริบอกว่ากําลัง
รอผมอยู่ทันที หลังจากที่เมื่อวานสาวเจ้าโทรมางอแงกับผมว่าตั้งแต่ปีใหม่ก็ยังไม่เห็นหน้าผม จึงต้องโผล่หัวมาให้เธอเจอสักหน่อย "โทษทีที่
ช้านะ" ผมรีบชิงขอโทษก่อนเพราะกลัวยูริจะมารอนานแล้ว แต่เธอแค่ยิ้มหวาน "ไม่ช้านี่... นึกว่าจะช้ากว่านีอ้ ีก" ยูริตอบพลางยิ้ม แป้น แล้ว
เก็บหนังสือที่กําลังอ่านใส่ถุงแฮรอด ก่อนจะลุกขึ้นคล้องแขนผมเดินออกนอกร้าน "ไปหาอะไรกินกันเนอะ วันนี้โน่รีบกลับรึเปล่า" "โน่ อะไม่
เคยรีบหรอก แต่ยูกลับดึกไม่ดีรู้รึเปล่า" ผมยังอดเตือนเธอด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ แต่หน้าขาว ๆ นั้นทําเป็นไม่ฟังผมทุกทีสิน่าา เราเดิน
เลือกร้านมาเรื่อยจนจบที่ฮ่องกงนู้ดเดิ้ล เพราะยูริบ่นอยากกินเกี๊ยวกุ้งตัวใหญ่ ๆ พูดจนผมนึกอยากด้วยเหมือนกัน เราจึงตกลงใจกินที่ ร้านนี้
พนักงานเดินมาเสริฟแก้วชาเย็นให้ยูริก่อน "นี่ ได้ข่าวว่าชมรมโน่จะมาเล่นคอนเสิร์ตที่โรงรียนยูอีกแล้วเหรอ" อยู่ดี ๆ เธอก็ถามเรื่องที่ผม
เพิ่งเคลียร์เสร็จไปเมื่อเย็นขึ้นมา นําให้ผมหยักหน้าหงึก
"อื้ม.. มาสเซอร์เพิ่งเซ็นต์อนุมัติเสร็จ โรงเรียนยูมีงานอะไรกันเหรอ" "โอเพ่นเฮ้าส์ธรรมดาน่ะแหละ แต่ดีจัง จะได้เห็นโน่ร้องเพ ลงอีก
แล้ว" ยูริพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง แน่นอนว่าผมยิ้มรับกลับไป "ไม่แน่หรอกว่าจะเป็นโน่ เดี๋ยวดูน้องคนอื่นก่อน ถ้ามีวงอื่นพร้อมโน่ก็ไม่เล่น"
"โห่ยยยยยยยย...." เสียงถอนหายใจเซ็ง ๆ ดังจากผู้หญิงตรงหน้าจนผมอดยื่นมือไปขยี้หัวเล่นด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เราสองคนรอเพียงไ ม่
นาน ชามก๋วยเตี๋ยวเบ้อเร้อก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า รวมถึงข้าวผัดปูที่สั่งมากินด้วยกันอีกจานหนึ่ง แล้วยังเป็ดย่างอีก ยูริกินไปก็บ่นไปว่าเกี๊ยวกุ้ง
ตัวใหญ่จริง ๆ ยัดลําบาก ขณะที่ผมจําได้แม่นว่าเธอมาร้านนี้เพราะอยากกินเกี๊ยวกุ้งโดยเฉพาะ (แล้วจะบ่นทําไม) ท่าทางทุลักทุเลของยู ริเวลา
กินน่ารักดีครับ แต่พอเธอเริ่มตื้อ ๆ ก็ยกเกี๊ยวกุ้งอันใหญ่ให้ผมชิ้นนึงไปกําจัดแทน ระหว่างเราทานกันจนใกล้จะหมดนั้น พลันมีเสียงล้งเล้ง
ของเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งดังเข้ามาก่อน แต่ผมไม่ทันสนใจเจ้าของเสียงเหล่านั้น (เพราะมัวแต่กินอยู่) จนกระทั่งยูริยิ้มทักทายกับสาว ๆ ที่มาใหม่
"อ้าวยูริ แหม... เดทเหรอ" สาวผมเปียคนหนึ่งทักทายโต๊ะผม ก่อนที่คนอื่น ๆ จะกรูมาล้อมกันหมด... เอ่อ.. น่ากลัวแฮะ "ช่ายย ไม่อ นุญาต
ให้รบกวนนะ อิอิ" ยูริตอบพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมก็ได้แต่ยิ้มไปผงกหัวไปทักทายสาว ๆ ทุกคนกลับ ดูเหมือนพวกเธอจ้องมาที่ผมมาก เป็น
พิเศษ ไม่แน่ใจว่าคิดมากไปเองหรือเปล่าเหมือนกัน "นี่โน่ใช่มั้ย เนี่ย... ยูรินะแสบมากเลย ตอนที่โน่มาเปิดคอนเสิร์ตที่โรงเรีย นคราวที่แล้ว
กรี๊ดอยู่ด้วยกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายยูริคาบไปควงเฉยเลย"
"ใช่ ๆ โน่โดนเสน่ห์ยาแฝดรึเปล่าเนี่ย" สาว ๆ กลุ่มนั้นแซวยูริกันสนุกสนาน แต่ผมเห็นใบหน้าใสของยูริไม่ได้สนุกด้วยเลย "ตลกละ พูด
ให้มันดี ๆ นะยะ" "ไม่หรอกครับ" ผมช่วยยูริพูดแก้ตัวพลางยิ้ม พวกเธอหยุดคุยกับเราอีกนิดหน่อยก่อนจะเดินจากไปยังโต๊ะของตัวเอง
ตอนนั้นเอง ผมจึงได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของยูริเต็มตา "เป็ นไรเปล่ายู?" ผมถาม แต่เห็นเธอแค่ส่ายหัวตอบ "เปล่า... รีบกินรีบไปกัน
เถอะโน่" จริง ๆ ผมเองตั้งใจจะทําอย่างนั้นอยู่แล้วเหมือนกัน (เพราะอยากขึ้นไปดูหนังสือในคิโนะต่อสักหน่อย) แต่ยิ่งเห็นยูริพูดแบบนี้ ผมก็
ยิ่งเร่งมือเข้าไปใหญ่ ขณะที่เราสองคนกําลังกินคํ าสุดท้ายอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงลากเก้าอี้มาร่วมโต๊ะดังขัดขึ้นก่อน "หวัดดีค่ะ" ผมเงยหน้า
มองเห็นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเมื่อกี้ เธอลากเก้าอี้มานั่งหัวโต๊ะเราพลางส่งยิ้มให้ผม นั่นทําให้ยูริหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด "หวะ... หวัด
ดีครับ" ผมจําใจทักกลับไป แม้จะรู้ว่ายูริไม่อยากให้ทําแบบนั้นก็ตาม "โน่เป็นประธานชมรมดนตรีปีนี้ใช่ไหม เราเป็นสมาชิกชมรมดนตรีที่
โรงเรียนเหมือนกันนะ" เธอคนนั้นชวนผมคุยต่อ จนงง ๆ ว่านี่คือเพื่อนยูริหรือเพื่อนผมกันแน่ แต่ผมก็คงไม่เสียมารยาทพอจะไล่เธอไป
"ครับ..." "ได้ข่าวว่าโน่เล่นดนตรีเก่ง แต่เราไม่ค่อยเก่งล่ะ ขอเบอร์ไว้ปรึกษาเรื่องดนตรีหน่อยได้ไหม" อืม.... รุกหนักเกินงามแฮะ เจอแบบนี้
ผมก็มึนไปเหมือนกัน.. แต่ถ้าเอาเรื่องดนตรีมาอ้าง ในฐานะประธานชมรม ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว
"เอ่อ..... 089.... โอ๊ย!!" ขณะที่ผมกําลังจะให้นั้นเอง ยูริดันชิงเตะหน้าขาผมเสียก่อน เฮ้ย! มีการทําร้ายร่างกายด้วยว่ะ!! ผู้หญิงที่เพิ่งทํา
ร้ายผมเมื่อกี้หันไปส่งยิ้มหวานปานนํ้าผึ้งเดือนห้าแก่สาวที่เข้ามาแจมทันที "มีอะไรถามผ่านเราก็ได้นะ เดี๋ยวเราถามโน่ให้อีกที... พี่เช็คบิล!" ยูริ
ตอบแทนผมพลางหัน ไปสั่งพนักงานให้มาเก็บตังค์ ขณะที่ผมยังงง ๆ ปรับตัวไม่ทันแต่ก็ยื่นแบงค์สีม่วงให้พนักงานทันที "โน่เลี้ยงเอง"
หลังจากผมพูดคํานี้ ยูริก็หันไปยิ้มให้ผู้หญิงอีกคนอย่างดูมีความสุขในที "ไปก่อนนะจ้ะ ไว้เจอกัน" เธอพูดเท่านั้นก่อนจะคล้องแขนผมฉับ
แล้วเดินไปจากร้าน.... อืม.. ตอนนี้ผมว่าตัวเองเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วนะ
44th CHAOS
แต่เป็นเพราะยูริอ้อนว่าอยากดูหนัง เราสองคนจึงออกจากสยามกันค่อนข้างดึก ผมอาสานั่งแท็กซี่ไปส่งเธอก่อนแล้วค่อยวกกลับบ้านตัวเอง
จนนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่มกว่า ทําให้ผมคิดว่าป๊ากับม๊าคงเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว ผมที่โคตรจะเพลียลงจากแท็กซี่มาเปิดและปิดรั้วบ้าน
ก่อนจะทุบต้นคอตัวเองรัวระหว่างเดินตามทางเดินไปด้วย สงสัยเพราะคาบพละวันนี้ทําเอาปวดเอวชิบหาย ตอนก้มถอดรองเท้าถึงได้เจ็บ
แปลบอย่างนั้น แต่... นอกจากความรู้สึกเจ็บที่เอวแล้ว ผมยังเห็นฝ่าเท้าไม่ค่อยคุ้นยืนอยู่ตรงหน้าระหว่างกําลังถอดรองเท้าอีก? ผมเงยมอง
ทันที "มาไง!!!?" ไอ้ปุณณ์ครับ!! มันโผล่มาอยู่ในบ้านผมได้ยังไง!? "ขี่พรมวิเศษมา" เสียงทุ้มนั้นตอบกวน ๆ ก่อนจะช่วยผมถือกระเป๋าเข้า
บ้าน "เข้ามาเร็ว ๆ! เดี๋ยวยุงเข้าบ้าน" แต่... เฮ๊อะ! ตกลงนี่กูมาบ้านผิดรึเปล่า?
ผมเดินตามมันอย่างงง ๆ เข้าบ้านตัวเอง ปุณณ์พาผมตรงไปยังโต๊ะกินข้าวที่มีแพนงไก่ของโปรด ผัดถั่วฝักยาว และทอดมันหมูข้าวโพดตั้ง
รออยู่ "ม๊าโน่ทําไว้แน่ะ อร่อยมากเลย รับรอง" อ๋อ... หมายความว่าไอ้ห่านี่มาตั้งแต่เย็น ตีซี้กับ บ้านผมเรียบร้อยแล้วสิ "แทรกแซง
ครอบครัวกูนะมึง แล้วป๊าม๊าไปไหนอะ" "ขึ้นนอนแล้ว กูบอกเค้าว่าจะอยู่รอมึงเอง หึหึ" เออดี.... แบ่งเบาภาระม๊ากับป๊ากูได้ดี ผมคิดพลาง
เดินไปตักข้าวแล้วลงมือทานอาหารทั้งหมด เพราะถึงจะกินก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว แต่พอดูหนังเสร็จก็หิวใหม่อยู่ดี "กลับช้านะ ทําไรกันมา" มัน
ถามผม ผมพยายามจะตอบ แต่ต้องกลืนคํานี้ลงคอก่อน อึก.. "ดูหนัง เฉินหลงหวะ ฮาเสียงพากย์พันธมิตรชิบหาย" ผมเล่าพลางตักแพนง
กินต่อ ได้ยินเสียงไอ้ปุณณ์หัวเราะเบา ๆ ขณะกําลังรินนํ้าให้ผม "เออ ค่อย ๆ กินสิมึง ติดคอพอดี" เรานั่งกินข้าว ดูทีวี และคุยกันอยู่พัก
ใหญ่กว่าจะขึ้นห้องได้ เลยรู้ว่าปุณณ์แวะมาหาผมตั้งแต่หัวคํ่าแล้ว แต่ผมยังไม่กลับ มันเลยนั่งคุยกับป๊าแล้วก็ม๊าไปก่อน ไป ๆ มา ๆ ม๊าเลย
ชวนมันกินข้าวเย็นด้วย แปลงร่างเป็นลูกรักของม๊าผมไปอย่างที่เห็น "ม๊ามึงจีบกูอะ เขาชมกูหล่อหลายทีจนกูอายเลย" เนี่ยนะอาย... ผม
เหล่หน้าคนพูดที่ดูโคตรจะภูมิใจระหว่างเรากําลังเดินขึ้นบันไดกัน ยิ่งเห็นอย่างนั้นยิ่งอยากหันไปถีบแม่งให้ตกบันได เสียโฉมดูซักที "น้อย
ๆ หน่อย มึงน่ะไม่ได้ครึ่งอาป๊ากูหรอก" ลูกที่ดีต้องเข้าข้างป๊าตัวเองครับ หึหึ ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะระหว่างเรากําลังเปิดประตูห้องอยู่
ทันทีที่ไฟติด ผมตรงดิ่งไปโยนกระเป๋าลงข้างโต๊ะคอมพลางถอดถุงเท้าทันที ส่วนปุณณ์กําลังง่วนกับการ
เปิดทีวี เราสองคนต่างทํานู้นทํานี่อยู่พักหนึ่ง ผมจึงได้เกิดคําถาม "ตกลงมึงมาทําไมเนี่ย บอกที่บ้าน ยัง" ปุณณ์เปิดช่องดิสนี่ย์ทิ้งไว้
พลางนั่งขัดสมาธิลงหน้าทีวีดว้ ยท่าทีสบาย ๆ "บอกแล้ว วันนี้มีญาติมานอนค้างบ้านเป็นเพื่อนแป้งว่ะ พี่ชายอย่างกูเลยหัวเน่า มานอนค้ างเป็น
เพื่อนมึงมั่งดีกว่า" "โห... โตเป็นควายยังกล้าพูด" ผมบ่นมันพลางเดินไปเปิดตู้เย็นเล็ก หยิบนํ้าออกมาเทส่งให้มันแก้วหนึ่งแต่มันส่ายหัว ก็
เลยดื่มเอง "ที่แท้งอนน้องสาว แวะมาเลียแผลใจในบ้านกูนี่เอง" "เปล่า..... คิดถึงมึง ไม่ได้กอดตั้งนานแล้วต่างหาก" พรวดดดดดดด! ! ผม
สําลักนํ้าอย่างแรงเพราะคําพูดหน้าตายของไอ้เลขาสภาฯที่ได้ยินมาเมื่อครู่ "มึงว่าไรนะ! แค่ก ๆๆ" สําลักนํ้าจริง ๆ ว่ะ ผมโวยไปไอไปอย่าง
น่าสงสาร แต่เห็นไอ้ผู้มาเยือนแค่หันมาส่งยิ้มพลางตบลงตรงข้างตัวมันปุ ๆ "มานั่งนี่เร็ว!" ไรของมัน พูดจาแปลก ๆ แล้วยังกล้ามา สั่ง
เจ้าของบ้านอีก ผมมองไอ้หน้าหล่อที่ยิ้มเผล่นั่นอย่างไม่ไว้ใจ "มีรายยยย" "มาเร็วซี่!" มันตบพื้นอีกจนผมล่ะหน่าย... เฮ้อ ไปก็ได้วะ เดี๋ยว
พื้ น ห้ อ งกู สึ ก พอดี แต่ ยั ง ไม่ ทั น ที่ ผ มจะล้ ม ตั ว ลงนั่ ง ตามที่ มั น บอกดี ไอ้ ปุ ณ ณ์ ก ลั บ ดึ ง เอาผมไปกอดซะแน่ น เสี ย ก่ อ น
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!! ผมดิ้นไปมาขลุกขลักในวงแขนแกร่งนั้น เพราะสภาพผมตอนนี้กลายเป็นว่ากําลังนั่งซ้อนอยู่บนตักไอ้ปุณณ์ที่
มัดผมเอาไว้ซะแน่น "เฮ้ย!! ปล่อย!!!!!!" "ปล่อยให้โง่ อยากกอดมาตั้งหลายวัน วันนี้ไม่ปล่อยหรอก" มันว่าอย่างนั้นพลางฝังจมู กลงกับ
แก้มผม นํา
ให้ผมดิ้นอีกสองสามที เพราะตอนนี้ปลายจมูกโด่ง ๆ ของปุณณ์พยายามฉวยโอกาสหอมนู้นหอมนี่ตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าอย่าหวังซะให้ยาก
"เฮ้ย!!!!! เป็นไรของมึงเนี้ยยยยยย" ติดที่แรงแม่งเยอะชิบหาย ผมเริ่มเหนื่อยแล้วครับ "ไม่ได้เหรอ...." สู้กันอยู่นานจนเสียงไอ้ ปุณณ์เริ่ม
หงอย ถึงกับควักเอามุกน่าสงสารมาใช้เลยเหรอวะ... ผมเหลือบตามองมันพลางหยุดดิ้ นนิดหน่อย "ขอนั่งดี ๆ ก่อน" ต้องมีข้อต่อรอง ผม
บอกปุณณ์ ซึ่งมันก็ยอมปล่อยผมลงพื้นแต่โดยดี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายว่าง่ายดังนั้น ผมจึงเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปกอดมันเอง "เป็นไง แบบนี้ ดีกว่ามั้ย"
"แบบไหนก็ดีทั้ งนั้ น" เสียงมัน อู้อี้ตอบกลั บ ขณะที่กระชับ กอดผมแน่ น อยู่ เรานิ่ง ในท่ านั้ นนาน จนกระทั่ งปุณ ณ์เป็น ฝ่า ยถอยออกก่อน
ใบหน้าคมวางห่างจากผมไม่ถึงคืบ "จูบได้ปะ......" เสียงทุ้มพร่านั้นถาม ทั้งที่ริมฝีปากไม่ได้ไกลจากปากผมเท่าไหร่ ผมมองตอบดวงตา
คมคู่นั้น ก่อนจะค่อย ๆ ปิดตาลง เมื่อริมฝีปากเราต่างหยิบยื่นความหวานให้แก่กัน ผมและปุณณ์จูบกันอยู่นานจนในหัวเราขาวโพลนไป
หมด.. เราไม่ได้จูบกันอย่างนี้มานานแล้วนับตั้งแต่ที่บางแสนคราวนั้น.. (จริง ๆ เมื่อวันคริสมาสต์ปุณณ์ก็จูบผม แต่ไม่นับแล้วกัน เพราะเราแค่
แตะริมฝีปากกันเบา ๆ) จูบของปุณณ์ยังคงให้ความรู้สึกน่ารักเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่การจูบแบบรีบร้อน แต่เป็นจูบที่ค่อย ๆ แตะชิมเอา
ความคิดถึงผ่านปลายลิ้นจากผม ปุณณ์สอดลิ้นมาเกี่ยวกระหวัดความคิดถึงนั้นกลับ จนเราต่างส่งความรู้สึกตัวเองผ่านปลายลิ้นอยู่พักใหญ่
ก่อนเจ้านั่นจะขบเม้มปากผมอีกหลายที ปุณณ์ถอนริมฝีปากออกแล้วส่งยิ้ม กว้างมาให้อย่างพอใจ "จูบเก่งเหมือนเดิมนี่... ดีใจจัง" มัน
พูดพลางดึงผมไปกอดอีกทีแน่น ๆ "วันนี้คุ้มละ"
"นะ... แน่สิ!" ผมละลํ่าละลักตอบกลับ ขณะที่อีกฝ่ายค่อย ๆ ปล่อยตัวผม ถึงอย่างนั้นก็ยังตามมาจูบหน้าผากรวมถึงหอมแก้มต่ออีกฟอด
ใหญ่ "กูอาบนํ้าก่อนนะ!" ไอ้ปุณณ์พูดพลางลุกขึ้นหันมายิ้มเผล่ ปล่อยผมที่โคตรจะงง นั่งหน้าแดงอย่างปิดไม่มิดอยู่คนเดียว... หน็ อย... ไอ้
เลวเอ๊ย!! หลอกให้กูอยากแล้วจากไปนะเนี่ย! ผมยกนิ้วกลางด่ามันก่อนจะโบกมือไล่พลางหันไปเปิดเครื่องเกมเพื่อเล่นดับอารมณ์ตัวเอง
อย่างเคือง ๆ ได้ยินเสียงทุ้มนั้นแว่วต่อมาเบา ๆ ว่า "รอกูนะ...." ก่อนที่เจ้าของคํานั้นจะหายเข้าห้องนํ้าไป ยังจําได้อี กเหรอ ว่ากูรอมึง..
*** ตอนเช้าเราโผล่หัวไปโรงเรียนพร้อมกันครับ แน่นอนว่าเจอไอ้ปากหมาโอมตามคาด (เป็นเชี่ยไร เวลาแบบนี้ต้องเจอมันทุกที) แต่ครั้ ง
นี้มันเงียบหน่อย เพราะเสือกมาพร้อมน้องมิกเหมือนกัน เอาเป็นว่าเจ๊า.... ไม่มีใครพูดอะไร หึหึหึ การเรียนการสอนดํ าเนินตามปกติ
เช่นเดียวกับทุกอย่างที่อยู่ในสภาวะปกติดีครับ มีแต่ไอ้โอมคนเดียวเท่านั้นที่ผมว่าไม่ค่อยปกติ... สงสัยมันคงเริ่มคบกับน้องเขาจริง จังแล้วมั้ง
เพราะเห็นแม่งโทรศัพท์ติดหูตลอดเวลา ลองเงี่ยฟังดูก็ได้ยินมันเอาแต่เช็คว่าน้องมิกอยู่ไหน กําลังทําอะไร เออไอ้ นี่.. อยู่กับเพื่อนก็ปากเป็น
หมา อยู่กับแฟนก็หวงเหมือนหมา... มันเกิดมาเพื่อเป็นหมาจริง ๆ ว่ะ
ตอนเย็นผมเข้าชมรมเหมือนที่เคยเข้าอยู่ทุกวัน แต่แปลกเพราะวันนี้ไม่ค่อยมีใคร สงสัยคงใกล้สอบกลางภาคแล้ว พวกมันเลยซุ่มอ่าน
หนังสือสอบกัน (แล้วกูล่ะ ?) ส่วนผมเป็นอัจริยะครับ พกความรู้ไว้เต็มโพย ฮ่า ๆๆ 'เช้าไม่กลัว ไม่กลัว ก็กลัวจะไม่เช้า เช้าแค่ไหนก็ไหว'
อ้าว แล้วใครโทรมาอีกวะ ผมควักโทรศัพท์ขึ้นมามองอย่างงง ๆ เพราะที่โชว์อยู่เป็นเบอร์ไม่คุ้นเลย "หวัดดีครับ" "โน่! นี่จิ๊ ดเองนะ" จิ๊ด
ไหนวะ????? ผู้หญิงซะด้วย? ผมขมวดคิ้วกับโทรศัพท์อย่างสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะ แต่.. จิ๊ดไหนอะครับ" "จิ๊ดที่เราเจอกันในร้าน
ฮ่องกงนู้ดเดิ้ลที่สยามเมื่อวานไง จิ๊ดที่อยู่ชมรมดนตรีของคอนแวนต์อะ" อ๋อ นึกออกตั้งแต่ตอนบอกว่าเจอกันในร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วล่ะ ว่าแต่เธอ
เอาเบอร์ผมมาจากไหนวะ? คิดได้ดังนั้นผมจึงหัวเราะเสียงแห้ง ๆ ใส่โทรศัพท์กลับไป "อ่าครับ จําได้... ว่าไงเอ่ย" "ตอนนี้จิ๊ดอยู่หน้า
โรงเรียนโน่นะ ออกมาหาหน่อยได้ไหม" อ้าวเฮ้ย!? ผู้หญิงโรงเรียนนี้เป็นอะไรกันครับเนี่ย!! โผล่มาหน้าโรงเรียนผมอีกแล้ว ผมรีบรับปากก่อน
จะใส่รองเท้าลวก ๆ แล้ววิ่งไปหาทันที สิ่งที่ผมชอบน้อยที่สุด (รองจากแมงมุม) ก็คือการมีผู้หญิงมายืนรออยู่หน้าโรงเรียนนี่แหละครับ
ไม่ใช่ว่าผมรําคาญ วางฟอร์ม หรือหยิ่งอะไรนะ แต่ผมคิดว่ามันอันตราย ผู้ชายเยอะ ร้อยพ่อพันแม่ ใครดีใครเลวยังไงก็ไม่รู้ โดนอะไรเข้ าไปจะ
ทํายังไง พวกนี้ยิ่งหิว ๆ ผู้หญิงกันอยู่ เฮ้ออ ผมวิ่งหอบไปถึงหน้ารั้วโรงเรียน เห็นจิ๊ดในชุดคอนแวนต์เดียวกับยูริยืนยิ้มคอยอยู่ ซึ่งจริง ๆ ผม
จําหน้าจิ๊ด
ไม่ได้หรอก แต่ดูจากรูปการแล้วคงเป็นคนนี้ไม่ผิดแน่ "มีอะไรรึเปล่าครับจิ๊ด แฮ่ก ๆๆ" ผมถามไปหอบไปด้วยความเหนื่อย "ไม่เห็นต้องวิ่ง
มาเลยค่ะโน่ จิ๊ดรอได้!" ยังจะพูด.. นี่ตกลงไม่ได้รู้เลยใช่ไหมว่ามันไม่ควรน่ะ "ตกลงมีอะไรรึเปล่าครับ" ผมรีบตัดบท คุย ๆ ไปให้ เสร็จดีกว่า
ท่าทีจิ๊ดดูลังเลก่อนจะตอบผมออกมา "โน่อยู่ชมรมดนตรีใช่ปะ จิ๊ดขอยืมแบนด์สกอร์ Barbarian Horde หน่อยสิ แบนด์สกอร์โรงเรียนจิ๊ด
เล่นแล้วมันแปร่ง ๆ อะ" เออ แบบนี้ก็มีด้วย... ผมเลิกคิ้วงง ๆ เพราะกําลังคิดว่าเขามีการส่งคนเดินมาขอโน๊ตเพลงข้ามโรงเรียนแบบนี้กั นด้วย
เหรอวะ เพราะจริง ๆ แล้วถ้าอยากได้ แค่ให้ทางชมรมของโรงเรียนนั้นแฟ็กซ์คําขอมาให้ พวกผมก็พร้อมจะแฟ็กซ์กลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลา
เดินมาสักก้าวเดียว แต่ก็เอาเถอะ ไม่ได้เสียหายอะไร ผมพยักหน้าพลางเดินนําเธอเข้ามาในรั้วโรงเรียนเพื่อไปยังตึกฟ. ระหว่างทางมี เพื่อน
รุ่นผมแอบมองล้อ ๆ หลายคน สงสัยนึกว่าพาสาวมามั้ง ลําบากผมเลยต้องส่ายหัวตลอด เพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด อีกอย่างก็จะเป็นจิ๊ด
นั่นแหละที่เสียหายเอง ถึงหน้าห้องชมรม ผมปล่อยเธอให้ยืนรออยู่หน้าห้อง ส่วนผมอาสาจะเข้าไปหาให้เอง แต่ไม่รู้โน๊ตเพลงนี้ไอ้ฟิ ล์มเอา
ไปซุกไว้ไหนอะดิ่ เธอคงรอผมอยู่นานมากจนต้องถอดรองเท้าเข้ามาถาม "ให้จิ๊ดช่วยหาไหมคะ?" "ไม่เป็นไรครับ ๆ" ผมรีบบอกปัดพลางคุ้ย
แฟ้มโน๊ตเพลงต่อ (มีโคตรจะหลายแฟ้มเลยครับ ไม่รู้แม่งปริ้นมาเยอะ ๆ ทําไมนักหนา) ในที่สุดก็เจอเพลงที่ว่าซุกอยู่ในลิ้นชักนอกแฟ้มนี่ เอง
ให้กูหาตั้งนาน "นี่ครับ ใช่รึเปล่า" ผมยื่นเอกสารปึกนั้นไปให้จิ๊ด เธอก้าวขามาดูก่อนจะพยักหน้ารับ "ใช่ค่ะ อันนี้แหละ" "เอาอันนี้ไป
เลยก็ได้ครับ พวกผมมีสํารองอีกหลายชุด" ทําใจดีอีกกู....
"ขอบคุณค่ะ" แต่ขณะที่จิ๊ดกําลังรับกระดาษจากมือผมนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก ผมหันไปมองก่อนจะอดคิดไม่ได้ว่า..... ไอ้ปุณณ์ ภู
มิพัฒน์... มึงช่างมาถูกเวลาจริง ๆ "อ้าวโน่........ มีแขกเหรอ" มันถามแบบนั้นเมื่อเห็นผมกับผู้หญิงแปลกหน้ายืนอยู่ ก็เข้าใจคิดนะ... ถึง
ไม่ใช่แต่ใกล้เคียง "อือ ฝั่งคอนแวนต์มาขอยืมเนื้อเพลงอะ" ผมบอกปัด ๆ พลางหันไปถามจิ๊ดต่อ "เอาเพลงไรอีกป่าวครับ" "ไม่เอาแล้ว
ค่ะ ถ้ายังไงโน่ช่วย...." "เดี๋ยวผมจะเดินกลับไปแถวหน้าโรงเรียน ให้ผมไปส่งเอามั้ย" แต่เสียงไอ้ปุณณ์ที่แทรกขึ้นมาก่อนจิ๊ดพูดจบ ฟังดู
เหมือนกําลังถามผมมากกว่า... ประหลาดว่ะ... ได้ข่าวว่ามึงเพิ่งมา? ผมมองใบหน้าคมนั้นสลับกับหน้าจิ๊ด ก่อนจะพยักหน้าตัวเองเบา ๆ
"เออ ฝากด้วย จิ๊ดไปกับมันนะครับ ขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ไปส่งเอง" "ไม่เป็นไรค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ" อืม.. จะได้เจอกันอีกเหรอ..? สอง
คนนั้นเดินจากไป ทิ้งคําถามไว้ให้ผมพอประมาณ... แต่ก็ช่างเถอะ ว่าแต่กูมีโน๊ตเพลงนี้สํารองจริงเหรอวะ!! หาอีกทีไม่เห็นเจอ!

45th CHAOS
เวลาเดินทางมาจนถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่โรงเรียนคอนแวนต์ขอความอนุเคราะห์จากโรงเรียนเราให้ส่งวงดนตรีไปร่วมเล่นในงานโอเพ่นเฮ้าส์
หนึ่งวง โดยหลังผ่านการประชุมมาพักใหญ่แล้ว หวยคงจะออกที่วงไหนไปไม่ได้ นอกจาก......... วงผม
ไม่ใช่เพราะวงผมเล่นเก่งที่สุดแต่อย่า งใด (ซ้อมยังไม่ค่อยซ้อมกันเลยครับ) แต่ทุกคนในชมรมเอาแต่เกี่ยง ไม่มีใครยอมเล่นกัน บ่นแต่
การบ้านเยอะ รายงานเยอะ หรืออะไรก็ตามที่มันอ้างได้... เออ ประหลาด ทําไมคราวนี้อิดออดไม่ยอมไปคอนแวนต์กันวะ สุดท้ายมารู้ทีหลัง
ว่าไอ้เปา (มือกลองผม) แอบล็อบบี้กับคนอื่นในชมรมว่าห้ามขัดขวางทางรักของมันเด็ดขาด คราวนี้มันกะจะไปหาแฟนใหม่ในคอนแวนต์ให้ได้
เออ... เอาเข้าไป วันที่ผมไปยื่นเรื่องกับสภาฯ ขอใบออกนอกโรงเรียนเพราะต้องไปเล่นให้งานที่คอนแวนต์นั้น เป็นวันที่ปุณณ์อยู่พอดี (จริง
ๆ ก็จงใจไปวันที่มันอยู่นั่นแหละครับ จะได้คุยกันง่าย ๆ ดี) แต่พอมันเห็นว่าคือพวกผมที่ถูกส่งไปเป็นตัวแทนชมรมเท่านั้นล่ะ ก็ดันเสือกเกิด
อาการกวนตีนขึ้นมากะทันหัน เพราะมันเอาแต่ต่อรองว่า ถ้าไม่ให้ไปด้วย ก็จะไม่ยอมออกใบให้ เนื่องจากสภาฯจําเป็นต้องควบคุมดูแล ว่า
นักเรียนที่ทําใบขอออกนอกโรงเรียนไป ได้ทําธุระตามที่กล่าวอ้างมาจริงหรือเปล่า ซึ่ง..... ตลกล่ะมึง! คราวก่อนที่กูออก ไอ้ฟี่แทบไม่สนใจด้วย
ซํ้าว่าชมรมดนตรีจะไปตายห่าที่ไหน ยังไง ไม่เห็นมันเรื่องมากแบบมึงเลย (สรุปว่าผมคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่มาเจอมัน) หลังจากยืน เถียงกัน
ได้พักใหญ่และไอ้ปุณณ์เอาแต่ทําหน้ากวนตีนจนอยากถีบส่ง ผมก็ต้องยอมให้มันไปด้วยอย่างจํานน ซึ่งเอาเห๊อะ! อยากไปก็ไป ดีเหมือนกันจะ
ได้มีคนช่วยขนของ วันศุกร์เราเดินขบวนออกจากโรงเรียนตอนบ่ายแก่ ๆ ครับ เพื่อลําเลียงเครื่องดนตรีออกไปคอนแวนต์ แต่พอถึงหน้า
โรงเรียนที่หมายผมก็ต้องผงะ เพราะเหนือรั้วดันมีป้ายแขวนโชว์หราว่า 'ยินดีต้อนรับนักดนตรีจาก xxx' เอ่อ........ คราวที่แล้วมันมีป้ายอย่างนี้
ปะวะ... ผมลืม? เราเดินงง ๆ จับกลุ่มกันเข้าไป ตอนขนของมีรุ่นน้องในชมรมตามออกมาช่วยเยอะครับ ไม่ใช่แค่เรานักดนตรี จนพอเข้าไป
ถึงได้เห็นการต้อนรับอย่างดีจากชมรมดนตรีของที่นั่น (เจอหน้าจิ๊ดคนแรกเลยครับ) ก็ถึงกับงง.. พวกสาว ๆ เชื้อเชิญเราไปยังห้องพักที่จัด
รับรองไว้อย่างสะดวกสบาย จนผมต้องส่องกระจกซํ้า ๆ เพื่อเช็คดูว่าวันนี้ตัวเองเป็นนายโน่ หรือพี่ตูน บอดี้สแลม (พวกนั้นอาจเข้าใจผิ ดได้
เพราะความหล่อใกล้เคียงกัน) เหอ ๆๆๆ อะไรจะขนาดนั้นวะ ปีที่แล้วที่พักผมยังเป็นแค่เต้นท์เพิง ๆ ตั้งอยู่ข้างสนามเองไม่ใช่เหรอไง?
พวกผมทุกคนขอบคุณนักเรียนที่นั่น ก่อนจะทั้งหิ้วทั้งแบกเครื่องดนตรีขึ้นไปเซทเสียงบนเวที ซึ่งตอนนี้ถูกปล่อยว่างไว้เพราะมีงานแถว
สนามแทน จะเหลือก็แต่น้อง ๆ ม.ต้นสองสามกลุ่ม ที่วิ่งชักชวนมาดูพวกผมเช็คซาวด์เครื่องเสียงและเครื่องดนตรีกัน "โน่เหนื่อยไหมคะ"
แต่ระหว่างกําลังต่อสายแอมป์อยู่นั้นเอง จิ๊ดก็ถือนํ้าขึ้นมาเสิร์ฟผม ซึ่งออกจะลําเอียงไปหน่อยเพราะบนเวทีมีแสลนบังแดดกางร่มสบายดี
ขณะที่ไอ้อาร์ทและน้องน็อตต้องยืนตากแดดจ้ าอยู่ในคอกซาวด์เอ็น ผมว่าสองคนนั้นน่าจะได้รับการดูแลมากกว่า จึงบอกปัดจิ๊ดไป "ไม่
เหนื่อยครับ วานช่วยเอานํ้าไปให้เพื่อนกับน้องผมตรงซาวด์เอ็นหน่อยได้ไหม มันคงใกล้ตายแล้ว" สงสัยเพราะคํานี้ เลยได้เห็นจิ๊ดทําท่า ทาง
หน้าเสียนิดหน่อย "เอ่อ... เดี๋ยวเพื่อน ๆ จิ๊ ดก็เอานํ้าไปให้อยู่แล้วล่ะ" เธอว่าอย่างนั้น ก่อนจะชวนผมคุยต่อ "แล้วโน่ทานอะไรมารึยังคะ"
"โน่ มึงแดกนี่ดิ่ โคตรอร่อยย" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ อยู่ดี ๆ เสียงไอ้ปุณณ์ก็ดังขัดขึ้นมาก่อน แถมยังยัดทาโกยากิก้อนโตเข้าปากผมอีก ไอ้
สัดดดดดดด โคตรร้อน!!! "อัด อูอ้อน!!!!....... ห่า!" ผมหันไปด่ามันซึ่งกําลังยืนขํา แต่ก็อร่อยดีจริง ๆ ว่ะ ซื้อมาจากไหนวะ พอหายร้อนแล้ว
จึงถามไปถามมาถึงได้รู้ว่ามีนักเรียนของที่นี่ตั้งซุ้มขายอาหารกันอยู่แถวสนามโน่นนน ปุณณ์ที่เพิ่งเดินไปติดต่อกับอาจารย์ในโรงเรี ยนมาเลย
ได้อานิสสงส์ของกินฟรีติดไม้ติดมือด้วยจํานวนหนึ่ง นอกจากทาโกยากิแล้วผมยังเห็นมันตุนอย่างอื่นไว้เพียบ ทั้งขนมปังสังขยา ไข่นกกระทา
ยํามาม่า ดังนั้นพอมีเรื่องของกินเข้ามาเกี่ยว ผมกับปุณณ์เลยยืนคุยกันนาน โดยลืมสังเกตด้วยซํ้าว่าจิ๊ดหายลงจากเวทีไปตั้งแต่ตอนไหน
"โน่!!!!!!!! มาแล้วทําไมไม่โทรบอก!?" แต่แล้วเสียงแหลม ๆ ของยูริก็ดังขึ้นจนได้ครับ นําให้ผมที่กําลังคุยกับปุณณ์พลางคาบน็อตไว้ในปากสอง
สามตัว ต้องหันไปมองต้นเสียงซึ่งกําลังยืนโบกไม้โบกมือมาให้จากหน้าเวที "มาเมื่อกี้เอง จะมาดูรึเปล่า" ผมตะโกนถาม เห็นใบหน้าขาวนั้น
ยิ้มตอบ
"มาสิ!!!!! แต่ขอไปแคะหนมครกก่อนนะ ฮี่ ๆๆ" สงสัยยูริจะเปิดซุ้มขายขนมครกครับ ฮ่า ๆ น่ารักดี ผมพยักหน้ารับคํานั้น ก่อนยูริในชุดผ้ า
กันเปื้อนที่ดูมอมแมมหน่อย ๆ จะวิ่งจากไป "หัวกะไดไม่แห้งเลยนะมึง.." เอ๊ะ เสียงไอ้ปุณณ์ประชดผมแปลก ๆ จนต้องหันไปมอง แต่มัน
กลับทําหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเดินร่อนทั่วเวทียาวลงไปถึงคอกซาวด์เอ็น เพื่อแบ่งขนมที่ได้มาให้กินกัน นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง
หมายถึงกําหนดการณ์ที่พวกผมจะต้องเล่นดนตรีกัน โดยมีพิธีกรสาวสวย (ใครวะ โคตรสวยเลย) ขึ้นมาพูดแนะนําเชิญชวนผู้ชมซึ่งเป็น
นักเรียนหญิงล้วน ๆ ให้เล่นเกมกันก่อน.. คือจะเล่นอะไรก็ไม่ได้ว่าอะครับ แต่แอบงงตรงที่เวลาแจกของรางวัลยังต้องให้พวกผมขึ้นไปยืนมอบ
ด้วยนี่สิ!? เฮ้ย.... คือผมไม่ใช่อธิการ -_-".... เอาเป็นว่าโดยรวมก็สนุกดีครับ =] ไอ้เปาท่าทางคงได้หลีสาวสมใจ เพราะตอนอยู่หลังเวทีมัน
นั่งคุยกับพิธีกรสองสาวนั้นสลอน ท่าทางจิ๊ดเองก็พยายามจะเข้ามาชวนผมคุยเหมือนกัน (สังเกตเห็นอยู่หลายครั้งครับ) แต่คงหาจังหวะยาก
หน่อยเพราะวันนี้ผมโคตรเป็นคนของประชาชนเลย เดี๋ยวต้องมีใครสักคนเรียกผมไปตรงโน้นตรงนี้ หรือไม่ก็ชวนคุยไว้ก่อนตลอด (อย่างน้อย
ๆ ก็ไอ้ปุณณ์ล่ะคนหนึ่ง) เราช่วยพิธีกรสาว ๆ เล่นเกมและแจกรางวัลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้เวลาวงพวกเราเต็มตัว ผมซึ่งอยู่ในตําแหน่ง
กีตาร์และนักร้องนําวันนี้ควบหน้าที่ mc ของวงไปด้วย แต่แค่ออกปากทักทายสาว ๆ ก็ได้รับเป็นเสียงกรี๊ดกระหึ่มกลับมาทันที! ? หนักกว่า
ตอนมาคราวที่แล้วอีกนะนั่น พวกเราถึงจะงง ๆ แต่ The Show Must Go On ครับ (แปลว่าอะไรวะ พูดเท่ห์ ๆ ไปงั้นแหละ) ไอ้เปาเริ่ม
อินโทรเสียงกลองเพลง That thing you do ของ The Wonders ที่คราวก่อนพวกเราก็มาเล่นเพลงนี้เป็นเพลงเปิดกัน เรียกเสียงกรี๊ดหน้า
เวทีได้กระหึ่มทันที! โอ้โหเฮะ.... ให้ความร่วมมือกันล้นหลามอย่างนี้ นักดนตรีจะไม่สนุกได้ไง!
ผมร้องไปหัวเราะร่าไปเมื่อเหลือบเห็นยูริเต้นถวายหัวอยู่ไกล ๆ (หน้าตึกเรียนครับ) ฮ่า ๆๆ! ตลกมาก ๆ ผมว่าเพลงผมออกจะน่ารัก ก็ช่วย
เต้นให้มันน่ารักเหมือนกับเพลงและหน้าตาไม่ได้หรือไง นี่เล่นซะผมหลุดขําบนเวที แต่ยิ่งยูริเห็นผมชอบใจเธอยิ่งเอาใหญ่... เอาเข้าไป ๆ คนที่
ไม่เหลืออะไรแล้วน่ะ ผมว่ายูริเองนั่นแหละ ฮ่า ๆ ปุณณ์ตอนนี้หลบฉากไปอยู่ในคอกซาวด์เอ็นกับ น้องน็อตแล้วครับ มันตั้งอยู่ห่างจากเวที
ไม่กี่เมตร ตรงหน้าผมนี้เอง แต่ตอนนี้ผมว่าไอ้ปุณณ์เหมือนคนบ้า เพราะมันเล่นยืนส่งยิ้มมาไม่หุบ ทําเอาผมรู้สึกเขิน ๆ แต่ก็อืม... เอาเหอะ!
สุดท้ายผมกับมันเลยบ้ากันสองคน เพราะเราเอาแต่ยิ้มให้กันไปมา ^____^ ต่อจาก That thing you do เป็น กอดได้ไหม ของ Skykick
Ranger ครับ คนเลือกเพลงนี้คือไอ้โอม (อยากกอดใครล่ะมึง!) แหม... แซวเล่นครับ ปกติเรามักเล่นเพลงแนวนี้ในงานรื่นเริงอยู่แล้ว (เพื่อเพิ่ม
ความรื่นเริงยิ่งขึ้น) เป็นสาเหตุที่ลากเอาพวกน้องมํ่ามาขึ้นเวทีดว้ ย เพราะต้องใช้เครื่องเป่าของพวกมัน (สามคนครับ น้องมํ่า น้องเฮง และน้อง
ลอย... ไม่มีน้องมิกว่ะ ทําไมวะ... อืม... แต่ก็ดีแล้ว เพราะถ้าขืนให้น้องมิกขึ้นเวทีเดียวกับพี่โอม มีหวังสมาธิกระเจิง เป่าโน๊ตผิ ดกระจาย) ผม
แกล้งร้องท่อน "อยากจะกอดเธอได้ไหม" แล้วหว่านมือไปรอบ ๆ หน้าเวที เรียกเสียงกรี๊ดได้กระหนํ่า (พร้อมด้วยแขนของสาว ๆ ที่ชูตอบ
ขึ้นมาอีกเพียบ) อื้อหือ...... รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหล่อก็ตอนนี้แหละ!! ตลกดีครับ ฮ่า ๆๆ ต่อจาก กอดได้ไหม เปลี่ยนเป็นเพลงร็อค ๆ บ้าง ตาม
ประสาวงเด็กผู้ชาย เพราะเล่นแต่เพลงหลั่นล้า ๆ เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่แมนเอา (อืม... ผมว่าผมแมนนะ!) เพลงประจําของผมที่ทุกคนในชมรมรู้
ดีก็คือ รูปไม่หล่อ ของ Modern Dog ครับ หึหึ.... ถึงแม้จริง ๆ แล้วผมจะหล่อก็ตาม (แนะนําว่าอย่าอ้วกครับ เสียดายข้าวที่เพิ่งทานมา) ส่วน
สาเหตุที่ผม ผู้ซึ่งรูปหล่อ แต่ชอบร้องเพลง รูปไม่หล่อ ก็เป็นเพราะ มัน ร้องง่ายดีครับ (ไหน.. เสียงใครด่าผมว่าไอ้มักง่ายหา!!) ฮ่า ๆๆ แถม
จังหวะเท่ห์ดีด้วย ผมชอบเพลงแบบกระตุก ๆ แรง ๆ เบา ๆ หาจังหวะยากแบบนี้แหละครับ เวลาเล่นแล้วสะใจดี เหมือนมีช่วงให้ปลดปล่อย
(ยังไงวะ) เอาเป็นว่าตามนั้นแล้วกัน ส่วนคนรับบทเป็น ฟักกิ้งฮีโร่ ที่แร็พในเพลงนี้คือ ไอ้เปา นั่นเอง... เก่งปะล่ะครับ ตีกลองไปแร็พไปก็ได้
ด้วย ไม่ใช่จะธรรมดานะเพื่อนผม! หลังจากจบเพลง รูปไม่หล่อ (ที่ร้องโดยคนรูปหล่ออย่างผม) และนักร้องนําได้ดื่มนํ้าพอเป็นพิธีแล้ ว ก็ต่อ
ด้วยเพลง เพลงนี้ไม่เกี่ยวกับความรัก ของ Silly Fools ครับ =] เป็นเพลงเกือบช้า ที่ไม่ช้า... เออ ไม่รู้จะพูดเป็น
ภาษาคนยังไงดีเหมือนกันแฮะ แต่จะให้เล่นเจ็ดเพลงเป็นเพลงบีทเร็ว ๆ หมดเลยคงได้ตายกันยกวงก่อน (แต่ละคนฟิต ๆ ทั้งนั้นครับ วัน ๆ
เอาแต่กินกับนอน) เลยขอคั่นด้วยเพลงนี้แล้วกัน เพราะนักดนตรีได้พัก แต่คนดูก็ยังได้โยกตามไปด้วย ผมยอมรับว่าเสียงไปไม่ถึงพี่โตครับ (ไอ้
วิธีทําหางเสียงตวัด ๆ แบบนั้นมันต้องไปเรียนที่ไหนวะ) เลยมีการปรับโน๊ตให้ตํ่ามาลงหน่อยนึง ไม่เพราะมากแต่มันส์ครับ... คือจริง ๆ ผมก็
ไม่ใช่คนร้องเพลงเทพอะไรอยู่แล้ว (ไม่เคยเรียนร้องเพลงนี่หว่า อาศัยร้องคาราโอเกะกับไอ้ห่าโอมนี่แหละ) ดังนั้นเอาเป็นว่า ขอให้ไม่น่าเกลียด
เป็นพอ ฮี่ ๆๆๆ (แก้ตัวชัด ๆ เนอะ) แต่ไอ้ปุณณ์เสือกหัวเราะตอนผมปรับโน๊ตลงกะทันหันว่ะ... เลวนะมึง เป็นมึงกูว่าคงเพี้ยนยิ่งกว่านี้ อีก!
(อ้างอิงได้จากเมื่อ Live Contest ที่ผ่านมาครับ) พักไปแล้วหนึ่งเพลง อีกเพลงหนึ่งจะอู้พักอีกก็ไม่ได้ งั้นขอขยับอารมณ์กระโดดขึ้นมาอีก
นิดแล้วกัน... ไม่น่าเชื่อว่าแค่เสียงโอมเกลากีต้าร์เป็นคอร์ด E กับ A แค่สองโน๊ตเท่านั้น เสียงเด็กนักเรียนก็กรี๊ดเหมือนรู้ทันพวกผมทันที อ่า
.. อาจจะเดาถูกมั้งครับว่ากําลังจะเล่นเพลง หวั่นไหว ของ บอดี้สแลม ฮะ ๆๆ ไหน ๆ วันนี้ผมก็เสน่ห์แรงเป็นพี่ตูนแล้วนี่ งั้นขอหน่อยแล้วกัน
หึหึหึ... เพลงบอดี้สแลมร้องยากแต่นักดนตรีสนุกมากครับ เปาบอกชอบตีกลองวงนี้ ผมกับโอมก็ชอบกีต้าร์เหมือนกัน เสียแต่ไอ้ภูมิคนเดียวที่
บ่น เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้คีย์บอร์ดทํา ฮ่า ๆๆ (ร็อคก็งี้แหละมึง ทําใจไปเพลงนึงนะ) ผมว่าเพลงนี้เป็นเพลงเช็คเสียงคนดูเลยนะว่ายังมีแรง
เหลือรึเปล่า ยิ่งตอนท่อนกลาง ๆ ผมปล่อยให้เด็กผู้หญิงจํานวนมากกว่าห้าร้อยหน้าเวทีนี่รับตําแหน่งนักร้องนําแทนผมไปเลย เพราะทุกคน
ร้องกันเสียงดังน่าดีใจแทนพี่ตูนมากครับ ที่เพลงพี่ดังขนาดนี้ (เขาคงได้ยินจนเบื่อแล้ว) เสียอย่างเดียว ตรงที่เสียงไอ้นิว (มือเบสผมครับ) มัน
เพี้ยนทุกทีเวลาคอรัส (โอ่ะ โอ โอ้ โน...) ทั้งที่มันก็ร้องพร้อมไอ้โอมกับไอ้ภูมิแล้วก็ไอ้เปาแท้ ๆ แต่ทําไมมันชอบเพี้ยนสูงกว่าชาวบ้านเขาเรื่อย
เลยวะ!! ขํา ๆ ครับ ไม่คิดมาก =] (ด่าจนขี้เกียจด่าแล้ว ฮา...) หลังจากเช็คแรงคนดูเสร็จ (และพบว่ายังมีแรงล้นเหลือ) เราจึงเริ่มเล่น
เพลงต่อไปทันที หมดช่วงร็อคแล้วครับ หึหึหึ... บอกแล้วว่าช่วงนี้ผมบ้าเพลงสกา และหลังจากบังคับขู่เข็นกันอยู่นาน ผมก็ได้เพลงนี้มาไว้ใน
เซทลิสต์... What Ska Is ของ Skalaxy ครับ เพลงนี้เล่นสดสนุกจริง ๆ นะขอบอก ได้เล่นสักครั้งจะติดใจ =]
น้องมํ่า น้องเฮง น้องลอย หลังจากที่ได้พักไปสามเพลงพากันชักแถวขึ้นมาเป่าเครื่องดนตรีของมันต่อครับ แอบเห็นมีสเต็ปเต้นหมุนไปหมุน
มาด้วย... มึงเตี๊ยมกันตอนไหนวะ? แต่เอาเหอะครับ น่ารักดี ผมว่าอ้วน ๆ อย่างน้องมํ่านี่ประมาทไม่ได้เลยนะ เห็นสาว ๆ ม.ต้นแอบกรี๊ดกร๊าด
กันเยอะอยู่ (จับพลังได้ตอนน้องเดี่ยวทรอมโบนครับ) แต่เอ... ยูริก็กรี๊ดอยู่ใต้ตึกเหมือนกันนี่นา... ยูริกรี๊ดใครหว่า... อืม ต้อง กรี๊ดผมสิเนอะ
ไม่ใช่กรี๊ดน้องมํ่าหรอก ฮ่า ๆ (เสียงใครแว่วด่าว่าผมหลงตัวเองวะ?) เราเล่นเพลงนี้กันจนแทบหมดแรงจะเล่นเพลงต่อไปครับ ทั้งที่ตอนเรียง
เพลงบอกแล้วว่าให้เล่นเป็นเพลงสุดท้าย ดันไม่มีใครเชื่อผม (ใช้แรงเยอะมากจริง ๆ นะ ทั้งคนร้อง คนเล่น คนเต้น คนดู) แต่จริง ๆ แล้ว เก็บ
เพลงนั้นไว้เป็นเพลงสุดท้ายก็ดีเหมือนกันนะ... ผมพักดื่มนํ้าอึกใหญ่ (กระดกรวดเดียวแทบหมดขวด) ก่อนจะวางกีต้าร์ลงเพราะเพลงนี้ผม
ไม่ต้องเล่นเองแล้ว นัยน์ตาผมจับจ้องบนเซทลิสต์ที่วางอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้ามองปุณณ์ ที่กําลังยิ้มให้ผมอยู่เหมือนกัน (เรื่องจ ริงคือ
ตั้งแต่เริ่มเพลงแรกยันตอนนี้มันยังไม่หุบยิ้มเลยต่างหากครับ... เหงือกมึงแห้งรึยัง ?) ผมคลี่ยิ้มกว้างให้ปุณณ์ ก่อนจะพูดชื่อเพลงสุดท้ายใส่
ไมค์ด้วยนํ้าเสียงไม่ดังนักว่า "เชื่อในตัวผมนะครับ" แต่ถึงแม้เสียงกรี๊ดดังลั่นจากเด็กสาวหน้าเวทีทั้งหลายจะแทบดังกลบอิน โทรสแนร์
ของเปายังไง ผมก็ยังเห็นชัดท่ามกลางผู้คน ว่าปุณณ์ส่งยิ้มมาทางผมอย่างที่ผมอยากจะเห็นมาตลอด จริง ๆ ตอนซ้อมผมไม่ตั้งใจจะเลือก
เพลงนี้ให้มันหรอกนะ... แต่ถ้าปุณณ์ฟังเพลงนี้แล้วลองคิดดู ก็คงดีเหมือนกัน ผมยิ้มให้มันอีก ก่อนจะจับไมโครโฟนเพื่อร้องประโยคแ รก
ออกมา "อยากให้เธออยู่กับฉัน ทุก ๆ วันได้ไหมเธอ.. อยากจะรักอยู่เสมอ ขอมีเธออยู่ในหัวใจ อยากจะเป็นคน ๆ นั้น ที่เธอฝันถึง
เรื่อยไป.. อยากจะคอยดูแล หัวใจ ให้เธอ...." ผมยกมือขึ้นมาตบตามจังหวะสแนร์ที่เหนือหัว นําให้คนดูอื่น ๆ ทําตาม เช่นเดียวกับปุ ณณ์ที่
ทั้งยิ้มและช่วย
ผมตบมือก่อนท่อนฮุคจะขึ้นเป็นลําดับต่อไป ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหุบยิ้มไม่ได้เข้าไปอีก "เชื่อในตัวฉันขอให้มั่นใจ ฉันจะไม่ ทําให้เธอ
ผิดหวัง จะกอดเธอไว้แม้ในภวังค์ ขอเพียงเธอเชื่อใจกันสักครั้ง ขอให้เธอรู้ว่ามีฉันอยู่ ที่จะเฝ้าคอยดูแล ไม่ไปไหน เ พื่อเธอพร้อมทํา
ด้วยใจ ให้ฉันได้รักเธอ... โวเย้...... เย.." เสียงเด็กสาว ๆ ตะโกนอะไรขึ้นมาฟังไม่ได้ศัพท์เต็มไปหมด แต่ในสายตาผมตอนนี้ มองเห็นแค่
ปุณณ์ที่ยืนยกนิ้วโป้งให้ผมอยู่จากคอกซาวด์เอ็น โชคไม่ดีที่มันมัวแต่มองหน้าผมเลยไม่สังเกตว่าถูกไอ้น้องน็อตประทุษร้ายเอาเสียแล้ว ไอ้
ปุณณ์หน้าเหวอใหญ่ตอนที่น้องน็อตตัดสินใจถอนเฮดโฟนบนหัววางไว้เหนือแผงซาวด์เอ็น แล้วจัดแจงดันหลังปุณณ์ลัดเลาะออกมาข้างเวที! ?
แม้แต่ไอ้โอมและไอ้นิวที่กําลังโซโล่อยู่ หรือพวกน้อง ๆ เครื่องเป่าก็ยังงง เพราะตอนนี้ไอ้น็อตมันดันปุณณ์ขึ้นม าประชิดตัวผมบนเวทีได้
เรียบร้อยแล้ว ผมมองหน้าไอ้น็อตแบบงงมาก เพราะตั้งตัวไม่ติด มีแค่มันคนเดียวเท่านั้นกําลังยิ้มเผล่ ก่อนจะกระซิบข้างหูผมเบา ๆ ว่า "ก็
ร้องด้วยกันสิพี่... หึหึ" ไอ้แสบ!!!!!!!!!!!! ผมเตะก้นมันไม่ได้เพราะตอนนี้อยู่บนเวที แต่หมายมาดไว้ในใจว่าลงไปต้องจัดการมัน ไอ้โอมมอง
หน้าผมล้อ ๆ ขณะที่สต๊าฟงานคนหนึ่งลากไมโครโฟนตัวใหม่มาให้ปุณณ์ มันหัวเราะเขิน ๆ แต่ก็ร่วมร้องเพลงกับวงผมแต่โดยดี.. ระหว่าง
กําลังรอท่อนโซโล่นี้จบอยู่นั้น ผมก็คิดคํานวนในหัวตัวเองเสร็จสรรพ ว่าถ้าเสียงปุณณ์เพี้ยนตํ่ามาอีก ควรต้องประคองยังไงถึงจะไปได้รอดฝั่ง
(ฮ่า ๆๆ)
โอมทิ้งจังหวะกีต้าร์พลางมองหน้าปุณณ์แว่บหนึ่งเป็นเชิงเตือนว่าใกล้ถึงท่อนต่อไปที่ต้องร้องแล้ว เจ้าของใบหน้าคมนั้นพยักหน้ายิ้ม ๆ
ก่อนจะประสานเสียงกับผมได้พอดิบพอดี "เชื่อในตัวฉันขอให้มั่นใจ ฉันจะไม่ทําให้ เธอผิดหวัง จะกอดเธอไว้แม้ในภวังค์ ขอเพียงเธอ
เชื่อใจกันสักครั้ง อยากให้เธอรู้ว่ามีฉันอยู่ ที่จะเฝ้าคอยดูแลไม่ไปไหน เพื่อเธอพร้อมทําด้วยใจ ให้ฉันได้รักเธอ อยากให้เธอรู้ว่ามีฉันอยู่
ที่จะเฝ้าคอยดูแลไม่ไปไหน เพื่อเธอพร้อมทําด้วยใจ ให้ฉันได้รักเธอ โวเย้... เย" เราสองคนกอดคอกันกระโดดร้องเพลงจนเพลงจบ
(โคตรเหนื่อยครับ) เห็นยูริเองก็กระโดดเย้ว ๆ พลางส่งเสียงกรี๊ดดังกว่าใครเพื่อนที่ใต้ตึกเรียนไปด้วย (แอบเห็นหันไปบอกเพื่อนด้วยว่ า "แฟน
ฉัน ๆๆ" อ่านปากออกนะนั่น!) จนกว่าเอฟเฟกต์สุดท้ายจะดับลง ผมก็ เหงื่อแตกแทบหมดแรง จบเซทลิสต์ทั้งหมด ผมเห็นปุณณ์ยืนหอบ
เหงื่อชุ่มหลังเหมือนกัน (ขนาดมึงร้องแค่ครึ่งเพลงนะนั่น) คงเพราะสปอร์ตไลท์ที่สาดมายังเราทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นหน้าตามันก็ดูมี ความสุขดี
เราต่างมองกันยิ้ม ๆ ก่อนจะจับมือกันแล้วโค้งรํ่าลาคนดูทั้งหมดที่ สาดแสงชัตเตอร์มาชุดใหญ่ แต่ขณะที่เรากําลังขอบคุณคนดูอยู่นั้นเอง ผม
กลับนึกบางอย่างออก เอมล่ะ!? ตั้งแต่มาวันนี้ผมยังไม่เจอเอมเลย!?
แล้วปุณณ์ได้เจอบ้างหรือเปล่า!? ที่ปุณณ์ขอตามมาด้วยแบบนี้เพราะทําใจได้แล้วหรืออยากมาเจอเอมกันแน่! ?... ผมอดคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ
นา ๆ ไม่ได้ แต่ไม่รู้ปุณณ์อ่านความคิดผมออกหรืออย่างไร เพราะข้อมือข้างที่เพิ่งจะจับกับมือผมอยู่เมื่อกี้นี้ เอื้อมไปคว้าผ้า ขนหนูชุบนํ้าบน
แอมป์ตัวใหญ่มาคลุมหัวผมให้ ก่อนจะขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงส่งมาว่า "กู... เชื่อ..." ถ้าอย่างนั้นผมเองก็ควรเชื่อใจปุณณ์เช่นกัน =]
***
หลังจบงานผมรู้สึกเหมือนตัวเองแปลงร่างเป็นดงบังชินกิ (ก็กล้าเทียบนะ) เพราะมีเด็กสาว ๆ เข้ามารุมกรี๊ดจนไม่หวาดไม่ไหว เอาเป็นว่า ผม
ลงจากเวทีด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้สต๊าฟงานซึ่งเป็นคนของชมรมดนตรีทีนี่ค่อย ๆ พาพวกผมออกไป เราค่อย ๆ เดินอย่างทุลักทุเลผ่านแสง
แฟลชมากมายที่ประเดประดังเข้ามา (วันนี้เข้าใจความรู้สึกซุปเปอร์สตาร์แล้วครับ) จวบจนถึงห้องพักนักดนตรีแดนสวรรค์ของพวกเรา ผมถึง
ได้มีโอกาสสูดลมหายใจเต็มปอดสักหน่อย "ไอ้น็อต เล่นไม่รู้เรื่องนะมึง" พอถึงห้องของเรา ผมก็จัดการไอ้เด็กม.4คนเดียวในห้องทันที ก้น
มันโดนผมเตะจนแทบชํ้า แต่ยังมีหน้าหัวเราะร่าไม่ยอมหยุด "อ๊าวววว ก็เห็นพี่โน่มองหน้าพี่ปุณณ์อยู่ได้ นึกว่าอยากให้พี่ปุณณ์ร้องด้ วย" ดูมัน
แก้ตัว เดี๊ยะเหอะมึง! "มึงนะมึง ลากไอ้ปุณณ์มาร้อง วงเกือบล่ม" ผมก่นด่าพลางแอบแซวไอ้ปุณณ์คําหลัง ทําเอาคนโดนแขวะที่กําลังดื่มนํ้า
อยู่หันมามองหน้าเหวอ "อ้าวววววว" ทุกคนในห้องหัวเราะตบมือกันครึกครื้น แถมไอ้นิวยังเอาแทมโบรีนมาเขย่าอีก "เออ กูต้องลดคีย์ใ หญ่
เลย"
ไอ้ภูมิ มือคีย์บอร์ดของวงว่าขํา ๆ เรียกให้คนอื่นหัวเราะตามอีกที ขณะที่ปุณณ์เกาหั วแกรก "ขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูขอโท้ดดดดดดดดด"
มันยกมือไหว้รอบวงนําให้พวกเราส่งเสียงเฮฮากันดังลั่น ก่อนจะอ้าปากแซวโต้กันไปมาอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร เพียงแค่ไม่นานนัก
ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปรากฏร่างเด็กผู้หญิงสองสามคนกําลังเดินเข้ามา (พวกผมรีบหุบปากเงีย บครับ) หนึ่งในนั้นมีจิ๊ดอยู่ด้วย ผมเห็นพวก
เธอต่างถือพวงกุญแจรูปตุ๊กตาเด็กคอนแวนต์มาแจกพวกผมคนละอัน แต่ด้วยความที่มันมีหลายแบบหลายสี เลยตัดปัญหานักดนตรีเรื่องมาก
โดยการให้พวกผมหลับตาหยิบมั่ว ๆ ห้ามเลือก ผมเห็นเพื่อนตัวเองร้องเฮ ๆ กันลั่น เมื่อฟลุ้คได้ตั วที่ถูกใจ หรือไม่ก็ตบเข่าฉาดอย่าง
เสียดายเพราะพลาดตัวที่อยากได้ไป ซึ่งผมว่าแบบนี้ก็ตลกดี แต่มีแค่จิ๊ดเท่านั้นที่แอบเดินมายืนข้างหลังผมแล้วยื่นพวงกุญแจทุกแบบให้ "โน่
อยากได้อันไหนคะ จิ๊ดให้เลือก" อ้าววว.... เสือกมีอภิสิทธิ์ซะงั้นกู?? ผมมองหน้าจิ๊ดอย่างงง ๆ แต่ขณะกําลังลังเลว่าจะเลือกหรือไม่เลือกดี
อยู่นั้นเอง ปุณณ์ก็ยื่นพวงกุญแจอันนึงมาให้ผมก่อน "อะกูหยิบให้ เอาตัวนี้ไป" ซึ่งไอ้ห่านี่โคตรขัดลาภเลย ผมอยากได้อีกตัวนึงมากกว่ า แต่ช่าง
เหอะ "ขอบคุณครับ ไม่เป็นไร" ผมหันไปยิ้มบอกจิ๊ดแล้วรับพวงกุญแจตัวนั้นมาจากปุณณ์แทน เห็นสาวเจ้าดูหน้าตาบูดบึ้งไป แต่ไม่รู้สิ เสียงไอ้
โอมที่ร้องจ๊ากเพราะได้พวงกุญแจเด็กคอนแวนต์ใส่ชุดเนตรนารีดันขโมยความสนใจจากผมไปซะก่อน ฮ่า ๆๆๆๆ สมนํ้าหน้ามึง!!! หลังจาก
นั้นเราก็นั่งคุยกันเป็นการพักเหนื่อยต่ออีกสักครู่ เพราะคนข้างนอกยังเยอะอยู่ ทําให้ ขนเครื่องดนตรีลําบาก แต่ระหว่างคุยกันอยู่ก็มีเสียงเมซ
เซสเรียกเข้าดังจากมือถือผม 'ยูเข้าไปหาโน่ไม่ได้ พวกชมรมดนตรีนิสัย! Sender : ยูริ' อ้าว... ทําไมล่ะ? ผมขมวดคิ้วงง ๆ หลังจาก
อ่านข้อความนั้น พลางมองหาคนให้ถามแถวนี้ แต่ก็พบแค่จิ๊ด
ยืนอยู่ เลยต้องเรียกเธออย่างเสียไม่ได้ (ที่ไม่อยากเรียกก็เพราะผมรู้สึกว่ามีจิ๊ดคอยป้วนเปี้ยนทีไร ปุณณ์ต้องทําตัวแปลก ๆ ทุกที) เธอเดินยิ้ม
ร่าเข้ามา "โน่มีไรป่าวคะ" "ให้ยูริเข้ามาได้ป่าวครับ เห็นส่งเมซเซสบอกผมว่าเข้าไม่ได้อะ" แต่พอจบคําผม เจ้าของรอยยิ้มนั้ นแปร
เปลี่ยนเป็นถอนหายใจทันที "ไม่ได้หรอกค่ะ ห้องพักนี้ห้ามบุคคลอื่นเข้า ให้เข้าได้แต่นักดนตรี แล้วก็สมาชิกชมรมดนตรี" เฮ้ย ? อะไรวะ!?
มันจะรักษาความปลอดภัยไปถึงไหน? ผมไม่ใช่สุลต่านนะ! โว๊ะ!!... ผมคิดอย่างหงุดหงิดแต่ก็ช่างมันเหอะ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่เป็นไร ไว้ผมถึง บ้าน
แล้วค่อยโทรหายูริแล้วกัน เรารอจนนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงกว่าซึ่งเย็นแล้ว จึงได้ฤกษ์ออกไปทยอยขนข้าวของเครื่องดนตรีลําเลียงลงจาก
เวที โดยมีรุ่นน้องสาว ๆ ในชุดนักเรียนม.ต้นเข้ามาขอถ่ายรูปคู่กับผมระหว่างกําลังเคลียร์ของอยู่ไม่ขาด แรก ๆ ผมก็งง ๆ ไม่รู้จะทํา ท่าไหนดี
เพราะปกติถ่ายรูปกับพวกไอ้เชี่ยโอมก็มีแต่แข่งกันทําหน้าอุบาทว์ แต่น้องเขาอุตส่าห์เข้ามาขอถ่ายรูปกับผมด้วยแบบนี้คงไม่อยากได้ภาพหน้า
อุบาทว์กลับไปมั้ง?... แล้วการทําหน้าหล่อมันต้องทํายังไงวะ ไม่เห็นมีใครเคยสอนเลยหวะ... ผมว่าจะหันไปขอความเห็นจากปุณณ์สักหน่อย
(เห็นแม่งทําหน้าหล่อเป็นงานอดิเรก) แต่กลับพบว่ามันก็กําลังถูกสาว ๆ ม.ปลายลากไปถ่ายรูปคู่อยู่เหมือนกัน เหอ ๆๆๆ... จริง ๆ ไม่เห็ นต้อง
ถามมันก็ได้ เพราะหน้าผมทํายังไงก็หล่ออยู่แล้ว หึหึ เราเก็บของไป หยุดถ่ายรูปไปอยู่พักหนึ่ง จนทางชมรมดนตรีของคอนแวนต์ต้ อง
ประกาศออกไมโครโฟนว่าขอความกรุณาอย่าขัดขวางการเก็บของของพวกเรา (เพราะไม่อย่างนั้นคงเก็บเสร็จตอนสามทุ่มอะครับ มัวแต่เก็บ
ไปแอ็คท่าถ่ายรูปไป) สถานการณ์จึงดีขึ้นเล็กน้อย เพราะพวกนักเรียนสาว ๆ ปล่อยผมให้มีเวลาเก็บของมากขึ้นโดยไม่มีการรบกวนใด ๆ
ผมพันสายไฟม้วนสุดท้ายพลางกดโทรศัพท์เรียกพวกไอ้เป้อกับสมาชิกชมรมคนอื่น ที่คอยเปิดห้องชมรมในโรงเรียนให้อยู่ เพื่อเรียกมันมาช่วย
แบกของ หลังจากวางสายเรารอเพียงไม่นานพวกมันก็โผล่หัวมา (อยาก
มาอยู่แล้วครับพวกนี้ ขอให้เป็นคอนแวนต์เถอะ) จึงได้ถึงเวลาทยอยลําเลียงของออกจากคอนแวนต์กันอย่างลําบากนิดหน่อย เพราะผมถูก
น้องผู้หญิงม.ต้นกรูเข้ามารุมทันทีที่ลงจากเวที (เฮ้ยยย!!) น้อง ๆ แรงเยอะมากครับ บวกกับผมไม่กล้าขยับตัวเท่าไหร่ด้วย เพราะเกรงว่ าแรง
ผู้ชายของผมจะทําให้เด็กผู้หญิงเจ็บ เลยได้แต่ยืนเอนไปเอนมาทั้งที่สะพายกีต้าร์ไฟฟ้าไว้บนหลั ง แบกแสตนตั้งโน๊ตเพลง 2 อัน บวกกับถือ
กล่องสายไฟไว้ในมืออีกหนึ่ง จัดว่าเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉินประจําปีเลย ผมถูกเบียดไปเบียดมาจนกลายเป็นจราจลย่อย ๆ อยู่พักหนึ่ง
แสงแฟลชสาดกระจายรอบทิศจนโคตรมึน ตอนนี้ตาผมเบลอเห็นแต่จุดสีม่วง ๆ เต็มไปหมดครับ แต่ในขณะที่กําลั งคิดว่าตัวเองแย่แน่ ๆ อยู่
นั้นเอง จิ๊ดก็ฝ่ากลุ่มสาว ๆ ม.ต้นเข้ามาคว้าแขนผมไว้ได้เสียก่อน "หลบทางด้วยค่ะ!" เธอตวาดเด็ก ๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผม "โน่ตามจิ๊ดมา
ดีกว่านะ" ทั้งที่มือยังจับแขนผมแน่นอยู่... เอ่อ... แบบนี้จะดีเหรอวะ? ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้ขัดขืนเธอ เพราะพอจิ๊ดมาคว้าแขน
ผมไว้ น้อง ๆ ม.ต้นก็ดูสงบลงทันที จิ๊ดพาผมเดินไปได้ไม่นาน ก็มีมือเล็ก ๆ อีกมือมาคว้าแขนผมอีกข้างไปเสียก่อน "ให้ฉันพาโน่ ไปเอง
แฟนฉัน ฉันดูแลได้ย่ะ" ยูริครับ!? โผล่มาจากไหนวะ??? นึกว่ากลับบ้านไปแล้วนะนั่น!? ผมอ้าปากเหวอมองหน้ายูริที่จับแขนผมข้างหนึ่งอย่าง
งง ๆ สลับกับมองหน้าจิ๊ด ที่ไม่ยอมปล่อยแขนผมอีกข้างหนึ่งราวกับไม่ยอมแพ้กัน "นี่เป็นเรื่องของชมรมดนตรีนะยู" "เลิกงานแล้ ว เป็น
เวลาของแฟนแล้วย่ะ" สองสาวเถียงกันจนผม.. จากที่งง ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนี้เริ่มค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร "เอ่อ...."
ต้องพูดอะไรซักหน่อยแล้วมั้ง! ว่าแต่...... อะไรดีวะ???
'หมับ' แต่ไม่ทันที่สองสาวจะตัดสินแพ้ชนะ หรือผมได้พูดอะไรออกไป ก็มีมือบุคคลที่สามยื่นมาคว้าตัวผมเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับฉวย
เอาแสตนตั้งโน๊ตเพลงในมือทั้งสองอัน ไปช่วยถือให้ "มากูช่วยถือ... สาว ๆ ครับ ขอบคุณมาก เดี๋ยวผมพาโน่กลับโรงเรียนเอง" จบข่าว....
ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ คลี่ยิ้มให้ทั้งยูริและจิ๊ด ก่อนจะกอดคอกึ่งลากผมให้เดินออกจากคอนแวนต์ไป ผมหันรีหันขวางไปโบกมือบ๊ายบายให้ยูริที่ก็
โบกผมกลับ ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้เลขานุการสภาฯซึ่งกําลังทําเป็นยิ้ม ซํ้ายังกอดคอผมไว้แน่น "กวนตีนนะมึง"

46th CHAOS
หลังจากจบงานที่คอนแวนต์ พวกเราก็ไปถล่มร้านหมูกระทะของบ้านน้องน็อต แถวถนนเกษตร-นวมินทร์กันครับ มาบ่อยจนเตี่ยน้องน็อตป
ลงแล้ว ฮ่า ๆๆ เพราะไปทีไรทําเสียงดังทู้กกที แต่เตี่ยแกชอบ บอกมีเด็ก ๆ ไปกินเยอะ ๆ แกกระชุ่มกระชวย "เฮ้ยยยยย ใครแม่งเอาเนื้ อ
มาปิ้งบนเตานี้วะ!!! เดี๋ยวกูโบกเกรียนแตก!" แต่เสียงไอ้ภูมิคนที่เคยนั่งด้วยความสงบมาตลอดชั่วโมงกว่า ตอนนี้ร้องจ้าดังลั่น เมื่อเห็นเนื้อแดง
ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเตาที่ตกลงกันไว้ว่าจะ 'ไม่กินเนื้อ' ทําเอาผมสะดุ้งโหยงต้องมองตามด้วยอีกคน แต่เรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ จะมีใครที่ไหนเขา
ทํากัน นอกซะจาก..... "โห่....... มึงดูยังไงวะว่าเป็นเนื้อ" นั่นไงครับ ตัวการมันเริ่มเผยไต๋ออกมาแล้ว ผมคาบตะเกียบมองไอ้โอมที่ค่อย ๆ
บรรจงคี บ สิ่ ง ที่ ภู มิ เ รี ย กว่ า 'เนื้ อ ' ขึ้ น มาโชว์ ห น้ า เจ้ า ทุ ก ข์ ห รา "มึ ง ดู ดิ่ . .. นี่ มั น ................ ผั ก บุ้ ง ชั ด ๆ"
ควายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย กูไม่เคยเห็นใครแถได้ทุเรศเท่ามึงมาก่อนนนนน แน่นอนว่าหลังจากนั้น หัวไอ้โอมก็
กลายเป็นถังขยะ รวมเอาทิชชู่ใช้แล้วที่ถูกปาจากเพื่อน ๆ รอบโต๊ะทันที เออ สมนํ้าหน้ามึงจากก้นบึ้งหัวใจกูเลย
เสียงไอ้ภูมิกับไอ้โอมเถียงกันล้งเล้งนิดหน่อย ว่าตกลงนี่คือเนื้อหรือผักบุ้ง (ก็ยังกล้าเถียงกับเขานะ) ก่อนศิษย์เจ้าแม่กวนอิมจะชนะ เมื่อมัน
ตะโกนบอกพนักงานในร้านให้ช่วยมาเปลี่ยนกระทะด่วน เป็นกรณีฉุกเฉินอย่างที่สุด พวกผมที่นั่งขํากันอยู่ทยอยคีบเอาหมู ไก่ เบค่อน
และอีกสารพัดลงจากหน้าเตาเพื่อรอกระทะใหม่มาเปลี่ ยน โดยระหว่างนั้นก็จกกินจากอีกกระทะหนึ่งไปพลาง ๆ ก่อน... วันนี้พวกเราชมรม
ดนตรีแห่มากันหลายคนครับ ต่อโต๊ะยาวสามโต๊ะ วางหม้อสามหม้อ เดินกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหว "อะนี่... หมู" แต่ผมคงลืมบอกไปว่า
ตั้งแต่นั่งกินมา ผมยังไม่ได้โงหัวขึ้นจากจานตัวเองเลยครับ หรือแม้แต่จะปิ้งก็ยังไม่ได้ทํา เพราะคนคอยปิ้ง คอยดูว่าชิ้นไหนกินได้ ชิ้นไหนไหม้
เกินไปกินไม่ได้ แถมยังคอยคีบจากเตามาใส่จานผมอีก คือไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ เลขาฯสภานักเรียนที่ดันสะเออะมากินเลี้ยงด้วย (เพราะมัน
สะเออะไปแจมงานที่คอนแวนต์ก่อน) แต่ตอนนี้สงสัยมาทําหน้าที่เลขาฯประธานชมรมดนตรีแทน เพราะแม่งคอยนั่งปรนนิบัติพัดวีผมไม่ขาด
นี่ถ้ามันเคี้ยวแล้วกลืนแทนผมได้ ผมว่ามันก็คงทํา.. "เฮ้ย กินเองมั่งดิ่วะมึงอะ ไม่หิวไง?" ผมรีบคีบหมูคีบไก่คืนใส่จานมันเพราะเห็นว่า
ตรงหน้าปุณณ์ช่างว่างเปล่า ต่างกับจานผมที่มีทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ กองเป็นภูเขาเหล่ากา (อ๋อ... จริง ๆ แล้วเป็ดไม่มีหรอกครับ พูดให้มันคล้อง
กันเฉย ๆ ฮ่า ๆๆ) แต่ไอ้ปุณณ์ดันแค่ยิ้ม แถมไม่ยอมเลิกคีบเนื้อคีบหมูจากกระทะมาใส่จานผมอีกต่างหาก... โอ๊ย.. ตกลงมึงกวนตีน
ปะเนี่ยยยยยยย!! เออ... เอาเหอะครับ! อยากทําอะไรก็ ทํา... ดีเหมือนกัน นั่งเฉย ๆ ผมจะได้เป็นง่อย.. ซึ่งจริง ๆ แล้วนับว่าเป็นโชค
เหมือนกันครับ ที่จานผมเต็มไปด้วยของกํานัลจากปุณณ์ เพราะหลังจากนั้นแค่สักพัก ไอ้นิวก็เริ่มเปิดเมนูพิศดารของมัน (ซึ่งอย่าให้ผมอธิบาย
เลย เพราะมันทั้งลึกลํ้า และเยาวชนไม่ควรทําตามสุด ๆ) แต่ไอ้
น้องเฮง ผู้เกือบโชคร้าย สงสัยจะทําบุญมาดีพอ ๆ กับผม เพราะยังไม่ทันโดนเมนูสยองยัดเข้าปาก พี่พนักงานในร้านก็ยกเอาเตาปิ้งใหม่ที่ ไอ้
ภูมิสั่งเปลี่ยนมาให้พอดี.. ผมที่นั่งใกล้จุดวางเตาจึงเบี่ยงตัวให้พี่เขาทํางานสะดวก ๆ (เพราะไม่อยากเจ็บตัวด้วย) แต่ท่าทางจะมีคนอยากเจ็บ
ตัวอยู่คนนึง.. "อยากมีพี่สาวจังเลยค๊าบบบบบบบบบบบบบบ สนใจเอาเด็กม.ปลายไปอุปการะมั้ยค๊าบบบบบบบบบบบบบพี่" เหอะ ๆๆ..
อีแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าเป็นคําพูดของคนเมา เพราะที่แน่ ๆ ถ้าคนสติดี ๆ จะไม่มีทางยุ่งกับพี่สาวที่มีเตาถ่านอยู่ในมือเด็ดขาด.... ผม
เห็นพี่สาวของไอ้เป้อกระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะขยับมือที่มีเตาถ่านร้อน ๆ ไปมาจนน่ากลัวว่าเขาจะนาบใส่หน้าตี๋ ๆ ของมัน แต่ยังนับว่ าไอ้
เป้อโชคดีครับ ที่พี่เขาอาจใช้คติอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา มันจึงยังลอยนวลนั่งกินหมูกระทะแกล้มเบียร์ได้อยู่อย่างนี้ (เพราะตอนนี้ผมคิดว่า
เพื่อนตัวเองเกือบทั้งโต๊ะเข้าข่ายทั้งคนบ้าและคนเมาเกือบหมด) ใช่แล้วครับ โต๊ะผมสั่งเบียร์กันโคตรหลายขวดมาก ๆ สาเหตุจากที่ไ อ้ฟิล์ม
ชมสาวเชียร์เบียร์ร้านน้องน็อตว่าสวย (ไอ้น็อตเลยได้ทําเป็นยืดไปด้วย แถมยังอวดว่ามันคัดเองกับมือ) และก็เพราะสาวสวยพวกนี้เอาแต่ริน
เบียร์ให้เพื่อนผมนั่นแหละ (ผมไม่ดื่มครับ วันนี้ไม่อยาก ไอ้ปุณณ์ก็เลยไม่ดื่มเป็นเพื่อนกัน) ตอนนี้เพื่อนผมเลยอยู่ในสภาพกึ่ม ๆ ได้ที่กันทุกคน
แถมยังทยอยชักแถวขึ้นไปแหกปากบนเวทีเพลงเพื่อชีวิตของร้านน้องน็อตอีก จนตอนนี้แปลงร่างจากเวทีเพลงเพื่อชีวิตกลายเป็น.. "จันทร์
ไม่มองแล้ววว จันทร์ไม่มองง" "จันทร์ไม่มอง น้องงงงงงงงง ก็ไม่ห้ายยยยยยยย" อื่ม........ ใครก็ได้ช่วยบอกที.. ว่าเหตุการณ์สยดสยอง
ตรงหน้านี้คืออะไร.......... ไม่ใช่ไอ้โอมกับไอ้ฟิล์มกําลังร้องเพลงจูบเย้ยจันทร์ด้วยกันอยู่ใช่ไหม!!!!!!!!!!!!!!!!!!
โอ่ย.... แน่นอนว่าคนที่เหลือสติอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นผมกับปุณณ์ทําได้แต่นวดขมับตัวเองพลางท่องซํ้า ๆ ว่า... ภาพตรงหน้าคงเ ป็น
แค่ฝันไป.... คืนนี้หลังจากหลับไปหนึ่งตื่น ผมก็จะลืม... คิดว่าคงทําได้นะ... โอ่ย... ใครก็ได้... ช่วยเอาผมออกไปที---- 'เช้าไม่กลัว ไม่กลัว ก็
กลัวจะไม่เช้า เช้าแค่ไหนก็ไหว' แต่เยี่ยม!!!! มือถือผมทั้งร้องทั้งสั่นอยู่ในกางเกงพอดีครับ!! ทําให้ต้องลุกลี้ลุกลนรีบควักจากกระเป๋ายกใหญ่
จนปุณณ์ได้แต่ถือตะเกียบมองตาม บิงโก! ยูริ!! เธอโทรเข้ามาช่วยชีวิตผมไว้จริง ๆ เพราะผมไม่อยากอยู่ดูภาพอุจาดมากไปกว่านี้แล้ว...
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อกี้ไอ้น้องมํ่าเพิ่งลั่นชัตเตอร์ขณะไอ้ฟิล์มกําลังหอมแก้มไอ้โอมประกอบเพลงบนเวทีไว้ได้ (จะอ้วกกกกกกกกกกกกก) ซึ่ ง
แน่นอนว่าถ้ารูปนี้ถูกสองคนนั้นเจอเข้าระหว่างมันกําลังมีสติดี ๆ กันทั้งคู่ล่ะก็.......... ผมจะได้บอกไปว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไร เพราะกําลังคุย
โทรศัพท์กับยูริอยู่นี่ไง หึหึหึ "ฮัลโหลครับ" "โน่อยู่ไหนอะ เสียงดังจังเลย" เสียงยูริแจ้ว ๆ ตะเบ็งจากปลายสายเหมือนต้อ งการแข่งกับ
ความอึกทึกรอบตัวผม เมื่อได้ยินดังนั้นจึงต้องเดินเลี่ยงไปบริเวณสนามหญ้าของร้านสักหน่อย เพื่อหลีกหนีจากมลภาวะทางเสียงให้มากที่สุด
(เนื่องจากตอนนี้สับเวรเป็นไอ้เป้อขึ้นไปแหกปากร้องเพลงคู่กับเตี่ยน้องน็อตแทนแล้วครับ น่ากลัวมาก) "อยู่หมูกระทะอะ แล้วนี่ถึงบ้านยัง"
"ถึงตั้งนานแล้ว กินข้าว ล้างจาน อาบนํ้า ใส่ชุดนอน เล่น msn แล้วก็กําลังจะนอนแล้วด้วย" อืม.... ตอบ
ละเอียดดีแฮะ ผมขําเบา ๆ ก่อนจะแกล้งถามต่อ "อ้าว จะนอนแล้วโทรหาโน่ทําไม ไม่นอนล่ะ" แม้จะรู้ว่าเดี๋ยวต้องถูกแว้ดกลับมาก็ตาม
"ได้ไงล่ะ!!!!!!!!!!!! วันนี้โน่อยู่ในโรงเรียนยูแท้ ๆ แต่เราคุยกันไม่เกิน 10 คําเลยนะ!!!!!!!!! ถ้าโน่ยังจะไล่ยูให้ไปนอนตอนนี้ล่ะก็ ฝันไปเหอะ!"
ท่าทางจะเอาจริงครับ หึหึหึ ผมขํากับความมุ่งมั่นนั้นของยูริ แต่ก็ยอมล้มตัวนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ ๆ แถวนั้นเพื่อคุยกับเธอโดยดี... คิดซะว่า
คุยโทรศัพท์ย่อยอาหารแล้วกัน เพราะตอนนี้ ผมก็ชักจะอิ่ม ๆ แล้ว เราเลยนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องงานวันนี้ ยูริแอบเม้าท์พวกชมรม
ดนตรีว่าแต่ละคนปลื้มวงผมมาจากงานกลางปีทแี่ ล้วทั้งนั้น ก็เลยเป็นตัวตั้งตัวตีติดต่อให้มาเล่นงานนี้อีก ซึ่งตลกดี เพราะงานกลางปีที่ แล้วเป็น
งานที่พวกเราเล่นกันได้มั่วมาก เรียกว่าคุณภาพไม่เน้น เน้นฮาอย่างเดียว จนไม่น่าเชื่อว่าชมรมดนตรีของคอนแวนต์จะฟังไม่ออกตอนไอ้โอม
กับไอ้นิวเล่นกีต้าร์และเบสเพี้ยนไปคนละทิศกัน ทําเอาผม ซึ่งเป็นนักร้องนําแทบดํานํ้าต่อไม่ถูก แต่เอาน่า... อย่างน้อย ๆ งานครั้งนี้พวก
เราก็ไม่ได้พลาดอะไร (มั้ง) ผมนั่งฟังยูริเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปพลางหัวเราะร่า แต่ระหว่างกําลังเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง ก็มีมือหนัก ๆ เอื้อมมา
แตะบนไหล่จากด้านหลังเสียก่อน "ปุณณ์?" ผมหันไปอุทานเป็นชื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนเจ้าของชื่อนั้นจะล้มลงนั่งบนก้อนหิน ทั้งที่ถือจาน
ของกินไว้ในมือเช่นกัน "กินปะ?" เสียงไอ้ปุณณ์ถามไม่ดังนัก (เทียบกันแล้วเสียงไอ้เป้อหอนใส่ไมค์ยังดังกว่า) แต่ดูเหมือนยูริจะได้ยินถนัด
"ปุณณ์มาด้วยเหรอ?..." เธอถามผมเบา ๆ จากปลายสาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกคาดการณ์เอาไว้แล้ว... ผมรู้ครับว่ายูริยังตะขิดตะขวงใจกับปุ ณณ์อยู่
ไม่น้อย เพราะฝังใจว่าปุณณ์เป็นคนบอกเลิกเอมก่อน (วันแรกที่สองคนนี้เลิกกันผมต้องนั่งฟังยูริบ่นในโทรศัพท์ยาวจนหูแทบแฉะ เพราะยูริ
เชื่อว่าระหว่างปุณณ์กับเอม ยังไงปุณณ์ก็ต้องผิดที่มาบอกเลิกเอมก่อน) จนเวลาผ่านไปแค่วันสองวันจากเหตุการณ์นั้น และปรากฏว่าเอมควง
หนุ่ม
ใหม่ในทันที ยูริถึงได้เงียบ ๆ ไป ผมไม่แน่ใจว่าเธอรู้อะไรแล้วบ้าง... แต่คิดว่าคงไม่กล่าวโทษปุณณ์เหมือนช่วงแรก ๆ ที่ผ่านมา เพีย งแต่ตอนนี้
ถ้าจะให้คุยกับปุณณ์เลย คงยังกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งเรื่องนี้ผมเข้าใจ ว่าอาจมีบางอย่างเล็ก ๆ ยังติดค้างอยู่ในความรู้สึก "อืม...
ทุกคนที่ช่วยงานวันนี้ก็มากันหมดแหละ" ผมตอบพลางหันไปยักคิ้วให้ปุณณ์ที่ยื่นจานใส่หมูใส่ข้าวเกรียบใส่หมี่หยก มาให้ผม ก่อนเสียงยู ริจะ
อ้อมแอ้มตอบกลับมา "ฝากหวัดดีปุณณ์ด้วยแล้วกัน" "ยูริหวัดดีมึงอะ" ได้ยินดังนั้น ผมจึงรีบทําหน้าที่คนส่งสาสน์ตามคําบอกทันที เห็น
ไอ้ปุณณ์หน้าเหวอ ๆ นิดหน่อยแต่ก็ยิ้มเผล่ "หวัดดีครับ ยูริยังไม่นอนอีกเหรอ" อืม... ไปชวนเขาคุยอีกนะ ผมเหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาห้ า
ทุ่มกว่า ระหว่างเสียงปลายสายตอบกลับมา "กะจะคุยกับโน่จนหลับไปเลยนี่ไง! ฮิฮิ" ดีจริง ๆ! ผมหันไปบอกปุณณ์ว่ายูริตอบอะไรก่อนมัน
จะหัวเราะขําแล้วเตือนปลายสายว่าหากนอนดึกจะกลายเป็นหมีแพนด้า ตาโหลเป็นชั้น ๆ แถมยังผิวเหี่ยวเร็วเหมือนคนแก่อีก อื้อหือ........ แต่
ละคําที่มึงพูดเป็นคําต้องห้ามสําหรับผู้หญิงทั้งนั้น! ผมเลยได้ยินเสียงยูริโวยวายจากปลายสายตามคาด (เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากฟัง
ชะตากรรมของตัวเอง) ก่อนจะเถียงกับปุณณ์อีกพักหนึ่งว่ามีครีมบํารุงช่วยได้ แต่ปุณณ์ยังไม่วายขู่ว่าครีมพวกนั้นก็ทํามาจากซากกระเพา ะ
ปัสสาวะของปลาวาฬที่ตายแล้ว จนยูริยิ่งงอแงในโทรศัพท์อีกยกใหญ่ สุดท้ายผมเลยส่งมือถือให้มันเถี ยงกันเองเลยครับ จะได้สะดวก ๆ (ไม่
ต้องลําบากล่ามอย่างผมด้วย) แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังได้ยินเสียงยูริร้องจ้าดังลั่นเวลาถูกไอ้ปุณณ์แกล้งดังลอดออกมาอยู่ดี ขณะที่ตั วการมีสี
หน้าสุดจะสดใส สงสัยเพราะแกล้งคนได้ แต่นี่มึง.... ยูริไม่ใช่น้องสาวมึงนะ จะได้แหย่เอาแหย่เ อาน่ะ ผมเห็นสองคนนั้นคุยกันหัวเราะคิก
คัก ก็รู้สึกสบายใจนิดหน่อย ด้วยเพราะแอบหวังว่ายูริจะรู้สึกดีกับปุณณ์ขึ้นบ้างแล้ว.. สองคนนี้เป็นคนที่ผมรักทั้งคู่ ถ้ายังผิดใจกั นเพราะเรื่อง
ไม่ค่อยดีพวกนั้น ผมคงรู้สึกไม่สบายใจ ปุณณ์คุยไปขําไปกับยูริอีกพักใหญ่ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้ผมนั่งฟังยูริบ่นยาวเหยียดเรื่องที่เธอไม่
เคยรู้ว่าปุณณ์กวนประสาทอย่างนี้มาก่อน (ไม่รู้ก็รู้ซะครับ.. มันน่ะตัวพ่อเลย) เสียงยูริเวลาพูดถึงปุณณ์ดูสนิทใจและสดใสขึ้นกว่าเดิ มมากจน
ผมอดยิ้มด้วยไม่ได้ ขณะที่มีปุณณ์นั่งข้าง ๆ ผม
เราคุยกันอีกพักใหญ่ (โดยมีเสียงปุณณ์แทรกคุยด้วยเป็นระยะ ๆ) จึงได้ถึงเวลาพวกข้างในเดินออกมาตามว่าจะกลับแล้ว (แถมยังไม่วาย
ตะโกนแซวพวกผมอีก! ดีนะ... ยูริไม่ทันฟัง!) ก่อนวางสายยูริขอคุยกับปุณณ์ก่อน ไม่รู้ว่าพูดอะไรเหมือนกัน แต่ได้ยินไอ้ปุณณ์ตอบกลับไ ปว่า
"รับรองจะดูจนกว่ามันหลับเลย" เอ........ ยังไงของแม่งวะ? และผมก็ได้รู้คําตอบตอนขากลับบ้านครับ!! ครั้งนี้เตี่ยน้องน็อตใจดีอีกตามเคย
เพราะให้เด็กในร้านขับรถมาส่งพวกเราถึงบ้านกันเลยทีเดียว แต่ไม่รู้เป็นอะไร ทําไมต้องมาส่งบ้านผมก่อน (อยู่ก็ไม่ได้ใกล้นะ) รู้แต่ ว่าพอผม
กับไอ้ปุณณ์ลงพร้อมกัน เสียงพวกในรถก็ร้องโห่ชิบหาย หืม... ไอ้พวกอกุศลเอ๊ย!!! ใช่เลยครับ... ที่ปุณณ์พูดกับยูริอย่างนั้นก็เพราะมันจะ
โมเมมานอนบ้านผมวันนี้ โดยการอ้างว่าชมรมดนตรีทํามันเหนื่อย ใช้ให้แบกของ เซทเครื่องเสียง แล้วยังเอามันขึ้นไปร้องเพลงขายหน้าบน
เวทีอีก ดังนั้นประธานชมรมอย่างผมต้องรับผิดชอบ โดยการเอามันไปประคบประหงมหนึ่งคืน ซึ่งมึงก็กล้าพูดดดดดดดดดด ได้ข่าวว่าขอตาม
ไปเองแท้ ๆ แล้วจะมาบ่นทําไม.. -_-" แต่ก็เอาเถอะครับ อยากมาก็มา ผมพยักหน้าอนุญาตปลง ๆ พลางโบกมือรํ่าลาพวกบนรถที่โวยวาย
แซวผมกับปุณณ์ไม่หยุด (เป็ นเชี่ยไรว๊ะ!! ทีไอ้เป้อก็ขอนอนบ้านน้องน็อตไม่เห็นมีใครว่าอะไรเลย!) จนสุดท้ายต้องเปลี่ยนจากโบกมือเป็นชู
นิ้วกลางแทน เพราะแม้รถจะเคลื่อนตัวไปไกลแล้วแต่ไอ้พวกปากหมายังคงเปิดกระจกมาโห่ล้อผมกันไม่เลิก เดี๊ยะเหอะมึง! จะเที่ยงคืนแล้ว
ชาวบ้านเขาจะนอน! ผมกับปุณณ์ยืนขํา ๆ มองดูรถตู้ที่ลับออกจากซอยไป ก่อนจะเดินเข้าบ้านที่มืดสนิทแล้วด้วยกัน ตลอดเวลาปุณณ์เอา
แต่บ่นว่าอิ่ม เพราะมันซัดทั้งหมูกะทะและอาหารทะเลเผาไปเยอะมาก ส่วนผมเหนื่อยหวะ กินอะไรไม่ค่อยลง ส่วนใหญ่ได้กินกุ้งอบวุ้นเส้น
มากกว่า อุ่น ๆ พุงดี เราสองคนเข้าห้องนอนมาก็เปิดแอร์ทันที เพราะเป็นต้นปีที่อากาศร้อนมากกกกกกกกครับ ผมเดินไปเก็บกีต้าร์ไฟฟ้า
สุดหวงไว้ที่ประจําของมัน ซึ่งปกติไม่ค่อยเอาไปไหนมาไหนด้วยเท่าไหร่ ต้องมีงานจริง ๆ ถึงจะหยิบออกไปครั้งหนึ่ง เพราะกีต้าร์ตัวนี้ ผมลงทุน
ฝากอาเจ็กออคชั่นมาจากญี่ปุ่นเลยนะ! โคตรของโคตรของโคตรแพง แต่ก็ยังถูกกว่ามือหนึ่งที่เขาขายหน้าร้านกัน ถึงจะเป็นอย่างนั้น.. ต่อให้มี
รอยขีดข่วนแค่นิด
หน่ อย ผมก็ค งชํ้า ใจตายอยู่ ดี แต่ ขณะที่เราต่ างเก็บ ข้า วของตั ว เองกัน เงี ย บ ๆ นั้ น... จู่ ๆ ผมกลั บ นึ กถึง เรื่อง ๆ หนึ่ ง ขึ้น มา... .......
"ปุณณ์" "ว่าไง..." มันขานรับผม ฟังดูเหมือนกําลังถอดเสื้อนักเรียนอยู่ แต่ไม่รู้เป็นอะไร ผมไม่มีความกล้าพอจะหันไปมองมัน ริมฝี ปาก
ผมแห้งผาก เมื่อต้องพูดคําต่อมา "วันนี้มึง............ ได้เจอเอมป่าววะ..." คงเป็นเพราะบางทีที่รู้สึกแน่น ๆ ในอกตลอดวัน.. อาจจะมีสาเหตุจาก
คําถามนี้ก็ได้ สิ้นคํานั้น.. ผมรู้สึกว่าปุณณ์เงียบไป.. มันไม่ตอบผมเร็วเหมือนเช่นทุกที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตอบ.... "เจอ.... ตอนกูเดินไปคุย
กับฝ่ายธุรการ" "เหรอ..." คําพูดผมสามารถเปล่งได้เพียงเท่านี้... ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วจริง ๆ เราเงี ยบกันอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ผมทําที
เป็นเช็ดกีต้าร์ตัวเองอยู่ เสียงไอ้ปุณณ์จึงเล่าต่อ "กูก็พยายามยิ้มทักเค้านะ แต่เค้าทําเป็นมองไม่เห็นกูว่ะ.... ไม่รู้ใครควรต้องโกรธใครกันแน่ หึ
หึ" บอกตามตรงว่าเสียงกลั้วหัวเราะในตอนท้ายนั้นไม่สามารถทําให้ผมเชื่อได้เอาเสียเลย.. สิ่งเดียวที่ผมทําจึงมีแค่เพียงนั่งนิ่ง ๆ ด้วยความคิด
วนไปวนมาว่าปุณณ์ยังเจ็บปวดกับเรื่องนั้นอยู่.. ".................... หึง... รึไง" แต่อยู่ดี ๆ เสียงทุ้มของปุณณ์ก็โผล่มาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่
รู้!? ผมสะดุ้งโหยงหันไปมองใบหน้าหล่อ ๆ ที่มาปั้นยิ้ มเผล่อยู่ข้างหลัง เท่านั้นไม่พอยังพยายามดึงเอวผมไปกอดอีก "เฮ้ยยยยยยย เล่นไร
ของมึง!!! กูเช็ดกีต้าร์อยู่ เดี๋ยวเป็นรอย!!!!!!" ผมส่งเสียงโวยเป็นระยะเพราะห่วงกีต้าร์จริง ๆ แม่งถ้ามีรอยขีดซักนิดนึงผมคงร้อง ไห้ตาย ว่าแต่
เมื่อกี้ไอ้ปุณณ์มันพูดอะไรหึง ๆ วะ!?
"บอกกูก่อนว่ามึงหึง.... หึหึหึ.... แต่กูไม่ได้ติดใจอะไรเอมแล้วจริง ๆ นะ มันจบแล้ว.. แต่มึงยอมรับมาเหอะว่ามึงหึง... หึหึหึ" หืม ....!! ไอ้ห่า
นี่มันกวนตีน พูดอะไรของมันฟังไม่รู้เรื่อง! ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อน ๆ แล้วก็คิดว่าการมีมันนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังออกจะแปลก ๆ ไป
หน่อย เลยยิ่งพยายามขืนตัวจากแขนแข็ง ๆ ที่มัดเอวผมไว้เข้าไปอีก "ปล่อยกู๊!!!!!!!! มึงแม่งพูดไรไม่รู้เรื่องว่ะ!!!!!! ปล่อยยยยยย" เอาวะ ทีนี้
แรงใครจะเยอะกว่ากัน อยากรู้จริง ๆ ครับ! แต่หลังจากที่ผมทั้งดิ้น ทั้งผลัก จนเวลาผ่านไป 10 นาทีเห็นจะได้ จึงเริ่มสําเหนียกว่าแรงไอ้
ปุณณ์มันเยอะชิบหาย ทั้งที่ตัวก็ผอมกว่า แต่ไม่รู้เอาแรงไปเก็บไว้ตรงไหนของมัน! ผมคิดอย่างหงุดหงิดขณะที่ปุณณ์หัวเราะร่าอยู่หลังผ ม
"หึงกูหน่อยก็ไม่ได้นะ... วันนี้กูออกจะหึงมึงแทบแย่" แล้วมันเรื่องอะไรกูต้องหึงมึงด้วยวะเนี่ย!? แต่เฮ้ยยยยยยยย... เมื่อกี้มันพูดว่าอะไรนะ!!??
ปุณณ์ยังคงพล่ามต่อ "เชื่อแล้วว่าคบกับมึงต้องหึงผู้หญิงมากกว่าผู้ชายจริง ๆ นี่... อย่าทําตัวเท่ห์ ๆ นักได้ปะ เดี๋ยวสาว ๆ เขาเข้ าใจผิดหมด"
แต่ผมฟังอะไรจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วครับตอนนี้!!?????? หึง........? มัน.......... หึง........ ผม?? หึงทําไมวะ...... คนเราเวลาหึงกันเขาหึงเพราะ
อะไรวะ????????? ผมหันไปมองหน้ามันงง ๆ แต่เห็นมันแค่ยิ้มเผล่กลับมาให้ "โน่........." แถมยังเรียกชื่อผมอีก!? "อะ..... อะไร!" ได้แต่
ทําใจดีสู้เสือกลับไปแล้วครับ! ผมปั้นเสียงแข็งถาม นําให้ปุณณ์คล้ายวงแขนออก ก่อนจะจับตัวผมให้หันไปมองหน้ามันดี ๆ ดวงตาคมคู่เดิม
นั้นมองตรงมาทั้งรอยยิ้ม จนผมทําอะไรไม่ถูก "มีอะไรวะ!" จึงได้แต่ทําเป็นโวยวายกลับไป ปุณณ์ยังคงยิ้มเผล่ "นี่......... ไหน ๆ มึงก็รักกู
แล้ว เหมือนกับที่กูรักมึง............ งั้นเรามาคบกันมั้ย" แล้ว
สาบานนะนั่นว่ามันถาม!!!???? แต่เหมือนประโยคแรกเจ้าตัวจะคิดเองเออเองไปหมดแล้วนะ! ผมรีบสวนกลับแทบจะทันที "มึงไปเอามา
จากไหนว่ากูรักมึง" ปรากฏว่ามันยักคิ้วมาให้ "มองตาก็รู้แล้ว" ไอ้เสี่ยววววววววววววววววเอ๊ย!! ผมเลยนั่งนิ่งมองมันครู่ใหญ่เพราะกําลังใช้
ความคิดอย่างหนัก (ตกลงนี่มันขอคบหรือบังคับผมกันแน่วะ) แต่สงสัยจะคิดนานเกินไป ปุณณ์เลยรวบผมเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว "เฮ้ย!
อะไร!!" คนกําลังคิดเพลิน ๆ จู่ ๆ ถูกดึงไปกอด ก็ต้องงงเป็นธรรมดาสิครับ!!! ปุณณ์กระชับกอดผม พลางซุกหน้าลงบนไหล่แน่น... แน่นจน
ผมรู้สึกได้ว่าปุณณ์ตัวสั่น.. แต่ไม่แน่ใจว่าสั่นเพราะอะไร "ก็กู......... อายนะ..... มึงรีบตอบดิ่!........ เขินจะแย่แล๊ว!!!!!" อ๋อ ที่แท้สั่นเขิน ฮ่า ๆ
ๆๆๆ น่ารักดีหวะ พอเห็นเป็นอย่างนั้นผมเลยแกล้งคิดต่ออีกนิดหน่อย "เรื่องพวกนี้กูก็ต้องคิดนาน ๆ สิวะ อืม.... เอาไงดี" แต่ท่าทางมันไม่สนุก
ด้วยว่ะ "ต้องคิดขนาดนั้นเลยเหรอวะ.... อืมม... ขอโทษที่ทําให้ลําบากใจ" เสียงไอ้คนร่าเริงเมื่อกี้ฟังดูหงอยลงไปถนัด จนผมนึกสงสารมัน
ขึ้ น มา ปุ ณ ณ์ ทํ า ท่ า จะปล่ อ ยผม แต่ ไ ม่ ไ ด้ ทํ า อย่ า งนั้ น ง่ า ย ๆ หรอก เพราะตอนนี้ ผมเป็ น ฝ่ า ยดึ ง มั น มากอดกลั บ "เออ ก็
ด้ายยยยยยยยยยยยย" หลับหูหลับตาพูดไปแล้วครับ! "หมายความว่าไงวะ!?" แล้วยังมีหน้ามาถาม... ถึงตรงนี้ผมว่าคนน่าอายมากกว่าคือ
ผมแล้วนะ! เป็นซะอย่างนั้นเลยขอตบหัวมันเบา ๆ หนึ่งที "ก็ถามว่าอะไรล่ะ สัด!"
สิ้นคําผมปุณณ์จึงดูเหมือนคนนึกออก ก่อนจะลูบหลังถามผมอย่างตื่น ๆ "เฮ้ยยยย เรื่อง..... เรื่องนั้น... อะนะ!?" อ้าว แล้วตกลงนี่มึงตื่นเต้น
ทําไม ไหนเมื่อกี้พูดเองเออเองหมดแล้วว่ากูก็รักมึง ผมไม่ได้ตอบ หรือด่าอะไรมันมากกว่านั้น สิ่งที่ทําได้ในเวลานี้มีเพียงพยัก หน้ารับกับ
ไหล่มันเบา ๆ "เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยย.... เอาดี ๆ yes or no?" แต่เจ้าตัวยังไม่วายกระแดะถามเป็นภาษาอังกฤษออกมาอีก แปลว่า
อะไรวะ? ผมเงียบไปนิดนึงก่อนจะยิ้มแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า "เยส................. มึงอย่าถามเยอะสิวะ!!!! ไอ้ห่าาาาา จบ ๆๆๆ" อาย
โว๊ยยยยยยย ปุณณ์ที่ท่าทางดีใจจัดส่งเสียงอะไรต่อไม่รู้อีกพักใหญ่ มันทั้งส่งเสียงดีใจ ทั้งดึงผมไปกอดซํ้าแล้วซํ้าอีกจนตัวแทบชํ้า แต่ผม
กลับรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขล้นเหลืออย่างประหลาด ซึ่งมันก็คงเหมือนกัน ผมปล่อยให้ปุณณ์ทั้งกอดทั้งรัดอยู่อย่างนั้น ด้วยหัวใ จที่แทบ
สําลักความสุข ก่อนปุณณ์จะค่อย ๆ ฝังปลายจมูกลงบนข้างแก้มผม พลางสอดฝ่ามือร้อนผ่านใต้เสื้อนักเรียนมาลูบไล้ทั่วแผ่นหลังผมเบา ๆ ทํ า
เอาสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนปุณณ์จะเลื่อนวงหน้าตัวเองมาประชิดติดกับใบหน้าผม "เป็นแฟนกันแล้วอย่างนี้... ก็ไม่มีอะไรต้องทนแล้วสิ" อืม .......
จะตอบยังไงดีวะ.. แต่ดูเหมือนปุณณ์ไม่ต้องการคําตอบ ริมฝีปากบางนั้นคลี่ยิ้มมา ก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปากผมผะแผ่ว เลื่อนเรื่อ ยถึง
ข้างใบหู แล้วเปล่งเสียงกระซิบคําที่ผมอยากได้ยินที่สุดออกมา นํ้าตาหนึ่งหยดไหลจากความยินดีเมื่อได้ฟังคํานั้น คําที่ผมทั้ งอยากฟังและ
อยากบอกมาตลอด วันนี้คํานั้นเป็นของผม เช่นเดียวกับความรู้สึกของผมทั้งหมดที่ยกให้แก่ปุณณ์... ปุณณ์ที่ทั้งจูบและบอกรักผมซํ้า ๆ ราวกับ
หลังจากนี้ไปเราจะไม่ยอมปล่อยมือกันอีก.. ผมปล่อยให้ปุณณ์ได้สัมผัสผมตามใจต้องการ รวมถึงปล่อยตัวเองให้บดเบียดร่างก ายสัมผัส
ปุณณ์กลับ เรียกเอาความรู้สึกที่เคยกักไว้ ให้ค่อย ๆ ปะทุขึ้นมา เป็นความรู้สึกต้องการปุณณ์ ที่ผมไม่จําเป็นต้องเก็บไว้
คนเดียวอีกต่อไป นี่คือครั้งแรก ที่ปุณณ์ในอ้อมกอดผม.. เป็นปุณณ์ของผม จริง ๆ

47th CHAOS
ตอนเช้าผมตื่นมาด้วยความงง... เพราะไม่รู้แขนขาที่ปีนป่ายกันมั่วซั่วนี่แขนใคร ขาใคร ผมกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความง่วงแล้วก็ต้องหัวเราะขํา
เมื่อเห็นหน้าไอ้ปุณณ์หลับปุ๋ย แถมยังผมเพ้ากระเซิงยุ่งเหยิงเหมือนเด็ก ๆ อีก.... จริง ๆ ก็สมควรจะสลบอะครับ เพราะเมื่อคืนมันซ่าส์ มาก
เลยโดนผมสําเร็จโทษกลับ สรุปว่าถึงจะนับแต้มแล้วผมเป็นฝ่ายเสียหาย แต่ไอ้ปุณณ์ก็ไม่ได้กินผมฟรี ๆ เหมือนกัน หึหึ หึ... ผมมองนาฬิกา
ข้อมือตัวเองบอกเวลาเกือบเที่ยงแล้วก็ต้องเขย่าปลุกปุณณ์เบา ๆ "ตื่นนน จะเที่ยงแล้วมึง" แต่ต้องออกแรงอยู่หลายที กว่าไอ้ขี้เซานี่จะขยับตัว
ได้ ปุณณ์บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะยื่นแขนมากอดผม "อืมม... เมื่อคืนมึงแสบมากนะ.. พลิกมาได้" หึหึหึ มันยังบ่นเรื่องนี้ไม่หาย ได้ยิน
ดังนั้นผมเลยยักคิ้วกวนอารมณ์มัน แม้จะเห็นว่าหน้าไอ้ปุณณ์ยังซุกอยู่กับหมอนก็ตาม "เออ ถ้ามึงยังผอมอย่างนี้กูได้พลิกบ่อย ๆ แน่... นี่กูยัง
เอาคืนไม่ครบนะ มึงระวัง" เป็นเพราะเมื่อคืนหมดแรงก่อน เลยต้องคาดโทษมันเอาไว้ครับ แต่พอสิ้นคําผม เสียงทุ้มนั้นกลับหัวเราะร่วน
"ตอนนี้เลยปะล่ะ" แถมมือกับปากยังไวพอกัน! ผมรีบคว้ามือมันหมับเมื่อรู้สึกว่าชักจะเลื่อนไปในที่แปลก ๆ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งที่ เหลือ ผม
ใช้ตบเสยหัวมันแทน "หมกมุ่นนะสัด! ตื่นไปทํามาหากินได้แล้ว กูหิวข้าว" ผมว่าพลางลุกขึ้นเดินไปหมายจะเข้าห้องนํ้า แต่เห็นมันเดินขยี้ตาขยี้
หัวตามมา จะเอาอะไรของมัน "มึงมาทําไม?"
"อ้าว... ก็อาบนํ้าไง" "กูอาบก่อน" กูเจ้าของห้องนะเว้ย "อาบพร้อมกันเลย" มันต่ อรองพลางเกาแขนตัวเองเหมือนกําลังพูดเรื่อง ดิน
ฟ้า อากาศ ธรรมดา ขณะที่ผมทําหน้าเหมือนเพิ่งฟังเรื่องผีไปแล้ว "ตลก!! มึงออกไปเลย กูจะอาบนํ้า" แต่ไม่ว่าจะผลักจะดันเท่าไหร่ ไอ้ตัว
สูงนี่กลับไม่ยอมกระดิกเลยแม้แต่นิดเดียวครับ! แถมยังยิ้มกวนบาทาส่งมาอีก "ทีกะไอ้โอมมึงยังอาบได้เลย กูรู้นะ" แล้วเชี่ยแม่งไปคุยกันมา
ตอนไหน! แต่ไม่รู้ล่ะ! ไม่เกี่ยวกัน! "มึงอย่ามามั่ว ไอ้โอมมันเพื่อนกู" "อ้าว.... แล้วกูล่ะ" พอถึงตรงนี้มันทําหน้าอ้อนแล้วค รับ... แต่อ้อน
ตีนน่ะ เข้าใจไหมว่าอ้อนตีน..... ผมทําท่าจะไม่ยอมมัน แต่ไอ้ปุณณ์เสือกเดินแทรกผมเข้าไปเปิดฝักบัวรดหัวตัวเอง พลางกวักมือเรียกยิกให้ผม
เข้าไปอาบนํ้าอีก "มาเร็ว เปลืองนํ้า" เฮ้อออออออออออออออออออออ ตามใจละกัน! เราใช้เวลาอาบนํ้าแต่งตัวนิดหน่อย ก่อนผมจะ
บึ่งรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งไอ้ปุณณ์ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านมัน เพราะเจ้าตัวบ่นอยากดูหนัง.. เออดี.. มึงยังมีแรงเหลือเที่ยวอีกเนอะ กูนี่เพลียจะ
ตาย ผมรอมันขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางนั่งคุยกับน้องแป้งในห้องนั่งเล่นฆ่าเวลา น้องสาวมันก็ยังชอบพูดจาสองแง่สามง่ามล้อเรื่อง ผมกับ
มันอยู่ดีล่ะครับ เพียงแต่วันนี้ผมรู้สึกแปลกไป.. สงสั ยเพราะเรื่องเล่น ๆ ที่เคยอําน้องแป้งเอาไว้ วันนี้ดันกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เหอ ๆๆ
ปุณณ์ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะลงมาด้วยชุดไปรเวทหล่อเนี้ยบบ... อื้อหือ ไอ้ทรยศ กูใส่ขาสั้น (กางเกง
นักเรียนด้วย!) รองเท้าแตะมึงก็เห็นอยู่ แล้วจะเสือกขุดกางเกงยีนส์มาข่มกูทําไม!!! แน่นอนว่าผมส่งสายตาเขียวปั๊ดให้มันทันทีที่ปรากฏกายลง
มา "หล่อมะ" ยังมีหน้ามาถาม "พี่ปุณณ์หล่อที่สุดอยู่แล้วว" เสียงน้องแป้งอวยมันพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง แต่ผมน่ะได้แค่ยิ้มแหย ๆ "มึงไป
เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเดี๋ยวนี้" ต้องส่งเสียงลอดไรฟันขู่กันซักหน่อยแล้วครับ! แต่คนอย่างปุณณ์ ภูมิพัฒน์มีหรือจะฟังผม อย่า งตอนนี้มัน
ก็แค่ยิ้มเผล่ พร้อมยื่นมือขยี้หัวน้องแป้งไปมา "พี่ปุณณ์หล่อแบบนี้ใครก็อยากควงเนอะ มีแต่พี่โน่แหละชอบให้พี่ปุณณ์ไม่ หล่อ" กวนตีนนักนะ
มึง! หลังจากมันได้ทําการพยักเพยิดเรียกขวัญกําลังใจเรื่องกางเกงขายาวของมันกับน้องแป้งจนพอใจแล้ว จึงได้หันมาดึงผมให้ไปต่อ "ไป
เร็ว ๆ เดี๋ยวไม่มีรอบดี ๆ ดู" โอ๊ยยยไอ้นี่ ตกลงมึงหูหนวก หรือพูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ! กูบอกให้เปลี่ยนกางเกง!! แล้วสุดท้าย... ผมก็โดนยอด
ชายนายปุณณ์ลากมาถึงสยามจนได้ ในสภาพเสื้อยืดอยู่บ้าน กางเกงนักเรียน(สีนํ้าเงิน)ขาสั้น แถมยังรองเท้าแตะ เออ เอาเข้าไป สภาพเชี่ย
กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แถมตอนแรกผมนึกว่าจะดูแถวเมเจอร์เอกมัย แต่ไอ้ปุณณ์ดันหักหลังด้วยการบอกพี่แท็กซี่ว่าจะมาที่นี่... แล้วผมก็ได้มาถึง
สยามจริง ๆ ในสภาพที่เป็นคนใช้คุณชายปุณณ์! "คิดมากไรวะ หล่อนะมึง ใส่อะไรก็หล่อ" แล้วดูมันปลอบผม.... หาความจริงใจไม่ได้
เลยยย "เออ รู้ก็ดี" แต่อย่าหวังว่าคนอย่างโน่จะถ่อมตัว ผมเกทับมันกลับ ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ นําหน้าไปโรงหนัง ปุ ณณ์กับผมอยากดูหนัง
เรื่องเดียวกันพอดีครับ เป็นหนังฟอร์มเล็ก ๆ ที่ฉายเฉพาะบนลิโด้และสถาล่าเท่านั้น เราไปถึงสกาล่าตอนบ่ายสอง แต่หนังมีรอบเกือบสี่โ มง
เย็น เลยตัดสินใจหาอะไรกินฆ่าเวลาก่อน ถึงแม้จะอิ่มแล้ว เพราะเพิ่งกินมื้อกลางวันมาจากบ้านปุณณ์
"โคคานะ อยากกิน" แล้วสาบานนะว่านี่คืออาหารฆ่าเวลาของมัน!? แม่งเล่นใหญ่เอี้ย ๆ จนผมเหวอ แต่เห็นปุณณ์ทําท่าอยากกินจริง ๆ ก็
เลยไม่อยากขัด.. ถือซะว่าตามใจมันวันนึงแล้วกัน ถึงแม้ผมจะแอบคิดว่าไอ้ห่านี่ชอบกินอะไรโคตรแก่เหมือนไอ้โอมก็เถอะ เราสองคนเดิ น
ข้ามจากฝั่งสยามสแควร์ไปสยามดิสคัฟเวอรี่ ร้านโคคาคนน้อยเหมือนเคยครับ ไม่ต้องรอคิวนานสองชั่วโมงเหมือนซิสเลอร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
ผมกับปุณณ์เดินคุยกัน ระหว่างตามพี่พนักงานที่นําเราไปยังโต๊ะที่นั่งภายในร้าน แต่ยังไม่ทันได้กวาดตามองอะไรดี ผมที่กําลังหย่อนก้ นลงบน
เก้าอี้ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก่อน "พี่โน่! ?" ใครวะ?? เสียงนั้นถึงจะไม่ดัง แต่ผมก็ได้ยินถนัด เลยต้องหันหน้าไปมองต้นเสียงซัก
หน่อย ปรากฏว่าเป็นน้องมิกที่โดนไอ้โอมปิดปากยกใหญ่ หึ ๆๆ คิดจะซ่อนกูเหรอ เร็วไปสิบชาติ! ปุณณ์เองก็ดูตกใจเหมือนกันครับที่
บังเอิญมาเจอโอมที่นี่ ส่วนผมยิ้มเย็น ๆ ขณะสาวเท้าไปหามันสองคนทันที "สร่างแล้วเหรอมึง! ถึงได้มีแรงพากันมาสอนฮอร์นที่สยามวันเสาร์
แบบเนี้ย" หึหึหึ ดูซิมันจะแถยังไง "เปล่าครับพี่ พี่โอมเขาชวนมาเอาหนังสือ" แต่ไอ้น้องมิก.. มึงซื่อได้ใจกูมากกกก ผมหัวเราะขํ าเพราะไอ้
โอมปิดปากน้องมิกอีกรอบไม่ทัน เสียงเพื่อนตัวดีของผมถอนหายใจแรง "ไม่ต้องบอกเขาหมดก็ได้นะมิก!" แถมยังไม่วายคาดโทษน้องที่มา
ด้วยกันอีก ก่อนจะปั้นหน้าโกรธผมที่ดันรู้ทันมัน "แล้วมึงล่ะ มาเดทกับไอ้ปุณณ์นี่ยังไง" นั่น.... งานเข้ากูเองจนได้ครับพี่น้อง แน่นอนว่าพอ
เรียกชื่อปุณณ์ ไอ้เจ้าของชื่อก็โผล่มายิ้มเผล่ข้างหลังผมทันที "หวัดดีโอม... น้องน่ารักดีนะ" หึหึ ดีมากกก ช่วยกันแซวไป ขอกูคิดข้ อแก้ตัวของ
กูก่อน
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงไอ้โอมกับไอ้ปุณณ์คุยกันจุกจิกอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เพื่อนผมจะวกกลับสู่เรื่องของพวกผมเอง "แล้วตกลงมึงกับ
ไอ้โน่นี่ยังไงกันวะ กูสงสัยนะเนี่ยยย" แต่เชี่ยยย!! อย่าถามไอ้ปุณณ์ เดี๋ยวมัน...... "ผมกับโน่ก็........." "ทําไม กูจะมากับไอ้ปุณณ์ไม่ได้รึไง
ก็เมื่อวานมันนอนบ้านกูไง" ทางเดียวที่จะหนีรอดคือผมต้องพูดตัดบทปุณณ์ครับ (กูรู้นะมึงจะพูดอะไร!) จนเห็นไอ้คนถูกขโมยซีนทําหน้าเซ็ง
ส่วนไอ้โอมยกตะเกียบขึ้นชี้ผม "โกหกเจี๊ยวด้วน!" โหย......... แช่งแรงจังวะ!!!!! ผมเอามือคลําเป้าตัวเองอัตโนมัติ ก่อนจะชี้มั นกลับ "มึงก็
เหมือนกัน ตกลงเป็นอะไรกับน้องมิกกันแน่! โกหกเจี๊ยวด้วน!!" เอาสิวะ! หึหึหึ แช่งกูไ ด้ กูก็แช่งมึงได้เหมือนกัน อยากรู้นักคราวนี้มันจะตอบ
ยังไง หลังคําผม ไอ้โอมก็เลิ่กลั่กหันไปมองหน้าน้องมิกแว่บหนึ่ง สังเกตว่ารุ่นน้องชมรมผมกําลังนั่งหลบตาหน้าแดงอยู่.. อืมม น่ ารักว่ะ
แต่เสียงห้วน ๆ ของไอ้โอม ก็ตะโกนออกมาทันใจ "พี่น้องงง!" ยังมีหน้ามาบอก! ถึงตรงนี้ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ว่าเห็นน้องมิกดูซึมลงทันที
แต่ไม่มีเวลาสังเกตอะไรมากแล้วครับ! เพราะไอ้โอมดันยิงคําถามใส่ผมกลับ "มึงเหอะ เพื่อนแน่นะ?" แล้วยังวกเข้าเรื่องเดิมอีกจนได้! ผมหันไป
มองหน้าปุณณ์ที่ก็กําลังมองผมอยู่ เหมือนอยากฟังคําตอบนั้นเช่นกัน เอาไงดีวะ..... "เออ เพื่อน!!" ผมบอกปัดไปมั่ว ๆ แม้ในใจจะไม่ได้
คิดอย่างนั้น "เสียเวลาว่ะ กูไปกินของกูละ! ห่า... แม่ง ๆๆ" พอ! ไม่คุยด้วยดีกว่า ผมลากปุณณ์ให้เดินกลับไปยังโต๊ะพวกเรา ขณะได้ยิน เสียงไอ้
โอมหัวเราะไล่หลังตามมา
*** ตลอดเวลาที่เรากินสุกี้กัน ปุณณ์ไม่พูดอะไรอีก.. ผมงงนิดหน่อยกับความผิดปกติเหล่านั้นของมัน แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร คิดว่า
ปุณณ์อาจจะหิว เลยอยากกินอย่างเดียวไม่อยากคุย (ซึ่งผมก็ไม่คิดขัดใจ) แต่มันยิ่งแปลกขึ้นไปอีก เพราะเมื่อเราเข้าไปดูหนังแล้ว ปุณณ์ ก็ยัง
เงียบอยู่.. ผมเหลือบมองใบหน้าปุณณ์ภายในความมืดของโรงหนัง เห็นมันใส่แว่นทําท่าทางเคร่งขรึมอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่หนังตรงหน้าเราออก
จะตลก ศอกผมจึงถองแขนมันเบา ๆ "ไม่ขําเหรอวะ ไหนมึงว่าอยากดู" "อืม..." มันส่งเสียงตอบเหมือนแค่ปัด ๆ ไป ผมเลยต้องหุบปาก
แล้วสนใจจอหนังตรงหน้าต่อ แต่ทําได้อยู่ไม่เกินสิบนาที ผมก็ต้องเหลือบมองหน้าปุณณ์ใหม่ มัมยังดูบึ้ง ๆ อยู่... "ปุณณ์.... เป็นไรวะ"
"เปล่า" อะไรของมัน คบได้แค่วันเดียวก็แผลงฤทธิ์ซะแล้ว ผมขมวดคิ้วมองไอ้คนเอาแต่ใจข้าง ๆ ด้วยความงง แต่ก็คิดว่าโรคนี้จะรักษาให้
หายขาดต้องใช้วิธีปล่อยมันไป รึเปล่าวะ....
ผมเหลือบตามองใบหน้าปุณณ์อีกครั้ง ก็เห็นมันยังคงเก็กขรึม เลยตัดสินใจว่าปล่อยไปแล้วกัน.. เรื่องราวภายในหนังดําเนินไปเรื่อย ๆ
อย่างโคตรตลก ตลกจนผมหัวเราะแล้วหัวเราะอีกแทบตกเก้าอี้ ผิดกับไอ้เชี่ยปุณณ์ที่นิ่งมาก นั่งเงียบเหมือนคนเป็นอัมพฤตซีกซ้าย ไม่รู้มันไม่
ขําหรือปวดขี้ เพราะเห็นแค่ทําคิ้วขมวด ๆ อยู่อย่างเดียว จนกระทั่งหนังจบ เราจึงเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่เปื้อนทั่วหน้าผม ท้องฟ้าข้าง
นอกบอกเวลาเย็นมากแล้ว ผมก้มมองนาฬิกาพร้อมคิดว่าหรือที่ปุณณ์เงียบไปอาจจะเพราะหิวอีก ? "หาไรกินมะ" ผมเอ่ยถามมันอย่าง
อารมณ์ดี เห็นคนที่มากับผมถอดแว่นเก็บใส่กางเกงแล้วส่ายหัว อ้าว... ไม่ได้หิวเหรอวะ "งั้นอยากซื้อไรปะ" เพราะไหน ๆ ก็มาสยามแล้ ว
จริง ๆ ผมอยากขึ้นไปดูหนังสือบนคิโนะเหมือนกัน วันก่อนจอง Music Express เล่มใหม่เอาไว้ แล้วก็อยากดูซีดีด้วย แต่.... หน้าไอ้ปุณณ์มัน
บอกบุญไม่รับจริง ๆ ว่ะ "ไม่.. โน่ล่ะ" เสียงมันตอบเรียบ ๆ แต่ยังดีที่มีแก่ใจถามถึงผม ซึ่ง.. จะให้บอกว่าอยากไปไหนได้ยังไงล่ ะ ดูหน้ามันดิ่
"ไม่อะ...." เอาไว้วันหลังค่อยมาดูเองละกัน ปุณณ์พยักหน้ารับคําตอบผมพลางมองนาฬิกาข้อมือของมันเองก่อนจะเดินไปโบกแท็กซี่ "งั้น
เดี๋ยวผมไปส่งโน่ที่บ้าน" เออ... ง่ายดี... ผมงง ๆ แต่ก็เดินขึ้นแท็กซี่ไป ในใจคิดว่าปุณณ์คงเพลียมั้ง ถ้าได้กลับไปนอนพักก็คงดีเหมือนกัน

48th CHAOS.
แต่ดูเหมือนที่ผมคิดไว้ว่าปุณณ์จะกลับเป็นปกติได้เองนั้น เป็ นการคาดคะเนผิดอย่างมหันต์ เพราะตั้งแต่วันเสาร์ ผ่านมาถึงวันจันทร์ ผมก็ยัง
ไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากปุณณ์เลย? ผมงง ๆ นิดหน่อยเมื่อวันอาทิตย์ เพราะชักตงิดเกี่ยวกับอาการแปลก ๆ ทั้งหลายของมัน กะว่าจะ
โทรไป
ถามสักหน่อยว่าเป็นไงมั่ง แต่คิดดี ๆ ก็ไม่อยากกวน ผมเลยใช้วิธีออนไลน์ msn นั่งรอปุณณ์ทั้งวันแทน.. ตอนบ่ายผมเห็นปุณณ์เด้งขึ้นมาข้าง
จอแว่บนึง แต่พอกดทักไปเสือกเงียบแล้วออฟไลน์หนี ไม่รู้มันเป็นเชี่ยไร!!?? แน่นอนว่าหลังจากนั้น ผมก็ไม่เห็นปุณณ์ออนไลน์อีกเลย สรุปที่
พูดมายืดยาวทั้งหมด แค่จะบอกสาเหตุที่ผมมาโรงเรียนสายเช้านี่ครับ ก็เพราะมัวแต่นั่งรอแม่งจนดึกนั่นแหละ! "นภัทร!! โตแล้วท าไมไม่
เป็นตัวอย่างให้น้อง!!" ชิบหาย.... เสียงมาสเซ่อร์เฟี้ยมดังข้างหลังผมระหว่างกําลังแอบวิ่งเข้าประตูโรงเรียนอยู่ แต่.. แย่แล๊วววว วว ลืมยัด
เสื้อ!!!!! ผมรีบหยุดยัดเสื้ออย่างกะทัน หัน แต่ไม่ทันไม้เรียวที่ฟาดลงบนน่องอย่างแรงเสียก่อน อู่ยยยยยยย ไม่ได้โดนมากี่ปีแล้ววะเนี่ยกู
"ไปเลย รู้หน้าที่ก็ไปเลย" มาสเซอร์ตีไม่พอยังสั่งลงโทษผมโทษฐานมาสายอีก โหดว่ะะะ! ผมทําหน้าเสีย ก่อนจะยอมวางกระเป๋า แล้วเดินตาม
มาสเซอร์ไปวิดพื้นหน้ารูปปั้นคุณพ่อ แต่โดยดี.. ซึ่ง.. เชี่ยแม่งงง.. อายยยยยชิบหาย โตเป็นควายแล้วด้วยกู "อยู่ม.ห้า ต้องหนึ่งร้อยครั้ง!"
แถมยังตรรกะไหนอีกวะนั่น!!!!!!? ผมเหลือกตามองคนออกคําสั่งอย่างตกใจเพราะไม่ได้ออกกําลังกายมานานมากแล้ว แต่ถ้ายิ่งต่อรองมีหวัง
โดนเพิ่มโควต้าถึงสามร้อยแหง๋ ๆ เอาไงเอากันวะ! -_-" หมู่นี้ไอ้โอมชอบกัดว่าอ้วนด้วย คิดซะว่าวิดพื้นฟิตหุ่นแล้วกัน.. ผมล้มตัวลงวิดพื้น
ตามคําสั่งประสาเด็กว่านอนสอนง่าย (หึหึหึ..) "หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ...." แต่เหลือบมองดูเห็นมาสเซอร์กําลัง คุยกับลุง
นักการอยู่ ไม่ได้สนใจผมเลยนี่หว่า.... ถ้าอย่างนั้นก็... หึหึหึ "สิบ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ...." ขอโกงหน่อยเหอะคร๊าบบบบบบบ แขนจะหักอยู่
แล๊ววววววว "นภัทร!!!!! นับใหม่ คราวนี้สองร้อย!!" เอ๋งงงงงงงงงงงงงงงงง... ไม่น่าเลยกู!!!!!! หลังคํานั้นผมแทบล้มลงไปนอนตายกั บพื้นปูน
ตรงหน้า พยายามส่งสายตาอ้อนวอนมาสเซอร์ก็แล้ว สํานึกผิดก็แล้ว แต่แกไม่ยักสนใจว่ะ แถมยังมายืนเฝ้าผมตาเขม็งอีก โอ๊ยยยยย
"หนึ่ง สอง สาม สี่..." ดังนั้นจึงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าทําตามแกบอก (ก่อนจะถูกเพิ่มเป็นห้าร้อย) ผมเริ่มวิดพื้นใหม่อย่างทุลักทุเล เพราะไม่ได้
ออกกําลังกายมานานชาติเศษ ร่างกายเลยปรับสภาพกับการหักโหมอย่างหนักไม่ค่อยทัน "ห้าสิบห้า ห้าสิบหก ห้าสิบเจ็ด...." แล้วจะตาย
ไหมวะเนี่ยกู... รู้งี้ไดเอทซักหน่อยก็คงดี เพราะวิด ๆ พื้นไปก็ชักหงุดหงิดตัวเองที่ตัวหนัก จะยกขึ้นแต่ละทีนี่แสนลําบากกก ปวดเมื่ อยจนแขน
ระบมไปหมด "มาสเซอร์ครับ ช่วยเซ็นต์เอกสารนี้หน่อยสิครับ" แต่.. เอ๋ ?? เสียงคุ้นมาก??? ผมเหลือบตามองเจ้าของเสียงทันทีที่ได้ยิน
ปรากฏว่าคือไอ้ตัวการคนทําให้ผมอดหลับอดนอน ออนไลน์ msn ทั้งคืนนั่นแหละครับ อืม.. โผล่มาได้เวลาดีมาก ผมมองปุณณ์ที่เดินถือแฟ้ม
เบ้อเร้อมาสองสามแฟ้ม พลางขอร้องแกมบังคับให้มาสเซอร์เฟี้ยมช่วยเซ็นต์เอกสารให้มัน เมื่อมีธุระดังนั้นมาสเซอร์จึงต้องหันหลังเพื่อ
เซ็นต์เอกสารในมือไอ้ปุณณ์ทันที โดยปล่อยผมผู้ซึ่งกําลังวิดพื้นรอบที่หกสิบสี่เอาไว้เพียงลําพัง.. "อันนี้ด้วยครับ อันนี้ด้วย... นี่อีกครับ" แต่
ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าปุณณ์ ภูมิพัฒน์ มันเข้ามาช่วยผม.. ผมเลิกคิ้วมองมันระหว่างวิดพื้นอย่างงง ๆ เพราะเห็นปุณณ์ทําหน้าทําตา ยักคิ้ว
ให้เหมือนจะไล่ผมไปอย่างแปลก ๆ 'เอา.. จริง..?..' ปากผมขยับถามแบบนั้น ก็เห็นปุณณ์ยักคิ้วถี่ ๆ รับอีกแว่บหนึ่ง ก่อนจะถ่วงเวลามาส
เซอร์ต่อ "แฟ้มนี้อีกครับ" โอ๊ย!! รักมึงจังว่ะ!!!! ผมรีบกระเด้งตัวเองลุกขึ้นแล้วคว้ากระเป๋าวิ่งหนีจากตรงนี้ทันที "เฮ้ย!!! !! ไอ้นภัทร!!!!!!
กลับมา!!!!!!!!!!!!!!" "มาสเซอร์ครับ ตรงนี้ก็ต้องเซ็นต์ด้วยครับ" ก๊ากกกกกกกกกกกก ขอบใจว่ะปุณณ์!
ผมวิ่งพรวดเดียวขึ้นตึก โผล่ไปหอบหน้าห้องเรียนที่มิสวนิดากําลังสอนฟิสิกส์คาบแรกอยู่ "สายนะ" เธอทักผมด้วยคํานั้น จนเพื่อนคนอื่น
ๆ ขําครืน ผมยกมือไหว้แกลวก ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่ ระหว่างหย่อนตูดอยู่ ไอ้โอมก็หยิบชีทยื่นมาให้ "อะนี่ มิสแจกต้นคา บ กูเก็บไว้ให้"
ขอบใจว่ะ!! ผมผงกหัวแรง ๆ ให้มันเพราะไม่มีแรงพูดอย่างอื่นแล้ว (วิดพื้นกับวิ่งหนี ไม่รู้อะไรเหนื่อยกว่ากัน) ไอ้โอมเห็นดังนั้ น จึงช่วยเอา
ชีทปึกหนามาโบกลมให้ผม "ใจเย็นมึง โดนทําโทษมาสิ ตัวแดงเลย" มันกระซิบพลางช่วยพัดให้ ทําเอาสบายตัวขึ้นเยอะ เฮ้ออออออ บางทีไอ้
โอมก็น่ารักจริง ๆ "วิดพื้นหรือแทงปลาไหล" แต่มันยังอยากรู้ต่อ "วิด..." ผมตอบไปสั้น ๆ พลางลูบเหงื่อบนหน้า แว่วเสียงมันหัวเราะขําดัง
มา หืม.. ไอ้ห่า... โดนเองจะขํามั้ย ? "กี่ทีวะ" "สองร้อย แต่กูหนีมา" "เซียนนะมึง หนียังไง คราวหน้ ากูเอามั่ง" "จะเลียนแบบก็ยาก
หน่อยนะ เพราะของกู มีเลขาสภาช่วยหวะ" ผมตอบพลางยักคิ้วให้มันอย่างเป็นต่อ จนไอ้โอมทําหน้าเบ้แล้ววางชีทที่กําลังพัดอยู่ทันที "ถุ๊ ย
หมั่นไส้" อ้าวววว ก็บุญวาสนามันต่างกันนี่ครับเพื่อนน ฮ่า ๆๆ "ตกลงมึงจะบอกกูได้ยังว่าพวกมึงสองคนตอนนี้เป็นอะไรกัน" แล้วทําไม
ชอบกลับเข้าประเด็นนี้นักวะ! ผมขมวดคิ้วมองไอ้เชี่ยโอม แต่เห็นมันทําหน้ากวนตีนเหมือนจะท้าให้ผมบอกความจริงอยู่ เออ.. อยากฟังงั้น
เรอะ.. หึหึ
"แล้วมึงกับน้องมิกล่ะ.. จะบอกกูรึเปล่า" ของแบบนี้จะให้บอกก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนครับ หึหึ ผมเลิกคิ้วมองหน้าไอ้โอม ซึ่งไอ้โอมก็เลิก
คิ้วกลับมามองหน้าผมเช่นกัน "พูดพร้อมกันปะล่ะ" มันท้า! เอาสิวะ อยากทํางั้นก็เอา "เออ" "หนึ่ง... สอง... สาม...." "นภัทร!!! ธัช
กร!!!! พูดมากนักออกมายืนหน้าห้อง!!" ซวยอีกแล้วกู!!!!!!!!!!!!!!! *** สรุปว่าวันนี้ซวยโคตรครับ.. ตอนเช้าผมมาสาย โดนมาสเซอร์เฟี้ยมสั่ง
วิดพื้นไม่พอ (ถึงจะหนีมาได้ก็เหอะ) ยังโดนมิสวนิดาสั่งให้ไปยืนเรียนหน้าห้องกับไอ้โอมอีก (แยกกันคนละมุมห้องครับ) โอ๊ยย ไม่รู้จะซวยซํ้า
ซวยซ้อนไปไหน ผมล่ะโคตรเซ็ง เรื่องที่คุยค้างไว้เลยเป็นอันล้ม ทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาดว่าตกลงไอ้โอมกับน้องมิกเป็นยังไง เออ... แต่คิดไป
คิดมายังไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าไอ้โอมบอกผมเรื่องน้องมิก ผมก็ต้องบอกมันเรื่องปุณณ์ ตามที่ตกลงว่าจะแลกกัน จริง ๆ ผมก็ไม่ ได้
อยากปิดบังอะไรนะ... แค่อาย ๆ ว่ะ... ไม่รู้ว่าอายอะไรเหมือนกัน แต่...... ผมรู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรไปปะวะ? เออ!! สรุปเพิ่งนึกออก
ว่าไอ้ปุณณ์มันกําลังงี่เง่ากับผมอยู่ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร รู้แต่อยู่ดี ๆ มันก็เงียบไปเมื่อวันเสาร์ หายไปเมื่อวันอาทิตย์ และวันจันทร์....... มัน
ก็ช่วยผมปกติดีนี่หว่า? หรือผมจะแค่คิดมากไปเอง? มันไม่ได้โกรธอะไรผมหรอก? หรือจริง ๆ มันโกรธจนหายแล้ววะ? หรือ........... อืมม ขี้
เกียจคิด สรุปว่าแวะไปหามันดีกว่าว่ะ "เฮ้ย! เดี๋ยวกูมานะ!" พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ลุกพรวดพราดจากโต๊ะกินข้าวในคาบพักกลางวัน เพื่ อไป
ตามหาไอ้คนเข้าใจยากทันที (แว่วเสียงไอ้โอม เก่ง รถเก๋ง ปาล์ม คม พ้ง ด่าตามหลัง แต่ช่างแม่ง เอาไว้ก่อน) ผมเดินกึ่งวิ่งอย่างไม่ค่อยรู้
จุดหมายปลายทางเท่าไรไปยังที่ต่าง ๆ แต่พักกลางวันแบบนี้มันจะไปซุกหัวอยู่ไหนวะ? ยิ่งเลิกกับเอมแล้วเรื่องจะหนีไปคอนแวนต์คงต้องตัด
ออก ปุณณ์น่า จะยังอยู่ในโรงเรียนมากกว่า แต่ติดที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ผมหันรีหันขวางอยู่พักใหญ่แล้วก็........ เห็นไอ้หน้าหล่อหุ่นผอม
ชะลูดเดินกับเพื่อนอยู่ใต้ตึก ก. "ปุณณ์!!" ผมตะโกนเรียกชื่อมันทันที ซึ่งได้ผล ปุณณ์เลิกคิ้วมองหน้าผมงง ๆ ก่อนจะหันไปหัวเราะกับเพื่อน
ที่ดูเหมือนกําลังแซวมัน ปุณณ์รํ่าลากับเพื่อนตัวเองพักหนึ่งแล้วแยกเดินมาหาผม.. ทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้ว่าตอนแรกมันเคืองอะไร แต่ดูจากสภาพ
รูปการตอนนี้คิดว่าคงหายดีแล้ว เลยไม่อยากถามถึงเรื่องผ่าน ๆ มาอีก.. อืม.. ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเรื่องคุยเลยดีกว่า "เมื่อ เช้าขอบใจว่ะ"
"เออ ไม่เป็นไร" ปุณณ์ตอบผมยิ้ม ๆ ขณะล้วงมือในกางเกงทั้งสองกระเป๋า ก่อนจะพูดต่อ "กูเห็นหน้ามึงจะตาย ไม่ช่วยไว้คงมีโน่แดดเดียวเป็น
ลมอยู่หน้ารูปปั้น" เออ ก็ยังดีที่คิดได้ ผมหัวเราะขํา เราหยุดยืนคุยกันพักใหญ่เหมือนคนไม่ได้คุยมาหลายเดือน แต่ระหว่างกําลังคุยอย่าง
ออกรสอยู่นั้น (ปุณณ์เผาว่าเมื่อเช้ามาสเซอร์หัวเสียใหญ่ แต่ก็ยอมเซ็นต์เอกสารใน
แฟ้มให้จนครบหมด ฮ่า ๆ) อยู่ดี ๆ ผมก็คันแขนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ สงสัยเพราะเมื่อกี้ที่เห็นแว้บ ๆ ว่ามีมดไต่อยู่ "โอ๊ยเชี่ยยย ตัวไรกัด
วะ!" พอแขนแดงผมก็เริ่ มโวย แถมยังรู้สึกคันยิบ ๆ ด้วยครับ "คันหวะะะ" มืออีกข้างของผมลงมือเกาตรงที่คันยกใหญ่ทันที ไอ้ปุณณ์
ผู้เห็นเหตุการณ์ดูท่าทางเหวอ ๆ คงเป็นเพราะผมยิ่งคันก็ยิ่งเกา แต่ยิ่งเกาผิวบริเวณนั้นก็ยิ่งเป็นตุ่มแดง ดูช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่ มันจึงรีบคว้า
มือผมที่ตั้งหน้าตั้งตาเกาอยู่ให้ห่างจากแขนทันที "อย่าเกาสิวะ!! แดงแล้วเห็นป่าว!" ปุณณ์เอ็ดผมพลางค่อย ๆ ลูบตรงนั้นให้เบามือ แต่แสบว่ะ
... แล้วเฮ้ย!!!!!!? ไอ้น้องน็อตเสือกเดินดูดกล่องกาแฟผ่านมาทางนี้พอดี ".... หวัดดีพี่..." แถมสายตามันตอนทักทายยังดูไม่น่าไว้ใจอีก จนผม
ต้องรีบผละห่างจากปุณณ์อย่างอัตโนมัติเหมือนคนโดนนํ้าร้อนลวกอย่างไงอย่างงั้น "เหอ!? หวะ... หวัด.. หวัดดี!... มึงแดกกาแฟทําไมแต่วัน
วะ" เปลี่ยนไปเรื่องอื่นดีกว่า แต่ลืมว่าไอ้นี่มันฉลาด เพราะถึงอย่างนั้น มันก็ยังมองปุณณ์กับผมยิ้ม ๆ อยู่ดี "ก็ง่วงอะ.... แต่ผม ไปละ.. ไม่อยู่
รบกวนพี่สองคนหรอก... หึหึ" ไอ้น้องน็อตว่าพลางยักคิ้วกวนส่งมาให้ ก่อนจะเดินจากไป ไม่เปิดโอกาสให้ผมคว้าคอมันทัน โอ๊ยยยยยยยยยย
ป่านนี้คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ววะ!! ผมคิดพลางเกาหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดพักหนึ่ง แต่ก็ต้องเปลี่ยนมาเกาแขนต่อ เพราะความรู้สึ กคันยังมี
เท่าเดิม... ไม่ไหวแล้วว่ะ สงสัยต้องไปขอคาลามายน์ห้องพยาบาลหน่อย แต่คิดดี ๆ ห้องสภาฯก็มีกล่องปฐมพยาบาลนี่หว่า "ปุณณ์..." ผมจึง
ตัดสินใจเรียกคนที่ยังยืนอยู่ข้างผม พลางยื่นแขนไปสะกิดมัน สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาคือปุณณ์รีบเบี่ยงตัวเองให้ห่างผม จ นผมต้องมอง
ใบหน้างองํ้าของคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ "เป็นไรวะ? มึง.. กูขอยืมคาลามายน์หน่อยดิ่ คันว่ะ" แต่คําตอบที่มันบอกผมคือ "โน่ไปเอาที่
ห้องพยาบาลเหอะ" "ทําไมอะ?" "ไปไหนมาไหนกับผมบ่อย ๆ เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอก" ปุณณ์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะเดินจากไป..
ครั้งนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นอะไร
โอ๊ยยย ทําไงดีวะ!

49th CHAOS
วันนี้ทั้งวันผมครุ่นคิดแต่วิธีทําโทษตัวเอง ว่าต้องทํายังไงดีปุณณ์ถึงจะยอมยกโทษให้... ผมยอมรับแล้วว่าตัวเองแย่มากที่ทําร้ายจิต ใจปุณณ์ไป
แบบนั้น เพราะมาลองคิดดูถึงเรื่องเมื่อวันเสาร์ ที่ผมบอกไอ้โอมต่อหน้าปุณณ์หน้าตาเฉยว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน ทั้ง ๆ ที่คืนก่อนหน้านั้นปุณณ์
เพิ่งใช้ความกล้าอย่างหนักในการขอคบผมเป็น... แฟน... เออนั่นแหละ (พูดคํานี้ทีไรรู้สึกไม่ชินซักที จั๊กจี๋ว่ะ) แต่ทั้งที่ปุณณ์ยอมใจอ่อนพูดกับ
ผมดี ๆ แล้ว เมื่อตอนกลางวันผมยังทําร้ายจิตใจปุณณ์ ด้วยการทําเหมือนปฏิเสธมันต่อหน้าน้องน็อตอีก นี่ผมจะเห็นแก่ตัวไปถึงไหนวะ!!
ปุณณ์ไม่เห็นอายใครเลยเรื่องคบกับผม ผมเห็นเพื่อนมันแซวมันก็ยิ้มกลับ ไม่มีทีท่าเป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนผมสักกะติ๊ด สรุปว่าเป็นผมเองใช่
ไหมที่ไม่ยอมรับมัน ทั้งที่ใจผมคิดตรงข้ามโดยสิ้นเชิง.. โอ๊ยย ทําไงดีวะ! ผมนอนขมวดคิ้วไป ถอนหายใจไปภายในห้องชมรมยามเย็น ที่มี
น้อง ๆ พลุกพล่านนิดหน่อย เพราะพวกมันนัดซ้อมวงโยฯกันเตรียมไปแข่งช่วงอาทิตย์หน้า แต่เสียงดังอย่างนี้ยิ่งไม่มีสมาธิใหญ่เลยว่ะ!! ผม
คงส่งเสียงจิ๊จ๊ะมากจนน่ารําคาญ ไอ้ฟิล์มเลยเดินมาโบกเข้าให้ "อยากอยู่เงียบ ๆ แล้วมาห้องชมรมทําไมไอ้สั ด!! พวกกูจะซ้อมวง มึงอย่ามาทํา
เป็นจิ๊จ๊ะได้ปะ กูสติหลุด" เอ่อ... ผมผิดอีกแล้ว จริงของมันว่ะ ผมรีบยกหัวมาไหว้ขอขมาน้อง ๆ รอบวง (เพราะเมื่อกี้เผลอหงุดหงิดจนส่ งเสียง
จิ๊จ๊ะรบกวนการซ้อมมากไปหน่อย) น้องทุกคนหน้าเหวอรับไหว้ผมกันสลอน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาซ้อมต่อเหมือนเดิม ขณะที่ผมยังหาทางออก
ให้ตัวเองไม่ได้อยู่ "เป็นเชี่ยไรวะ เมนส์มารึไง ดีนะเว้ย แสดงว่าไม่ท้อง" แต่ไอ้เชี่ยฟิล์ม มึงมันปากหมา เพื่อนผมมีใครปากดี ๆ สักคนไหม
วะ จะยกให้เป็นเพื่อนแท้ซักที ผมโบกหัวมันกลับ "ทะลึ่ง! กูนับหน้าเจ็ดหลังเจ็ดมาดี หึหึหึ" ผมเล่นกลับ เห็นมันหัวเราะก๊าก ก่อนจะหัน
ไปดุน้องดรัมที่ตีผิดจังหวะแล้วหันมาคุยกับผมต่อ "ทําไมทําหน้าเครียดวะ ไม่เหมือนเพื่อนมึงเลย ดูดิ๊ กูไม่เคยเห็นมันทําหน้าตอแหลอย่าง
นั้นมาก่อน" ไอ้ฟิล์มว่าพลางพยักเพยิดไปที่ไอ้เชี่ยโอมซึ่งนั่งอยู่กลางวงน้อง ๆ เครื่องเป่ า... หึหึหึ ผมยิ้มตาม เพราะไม่เคยเห็นมันทําหน้าแบบ
นั้นจริง ๆ เรื่องของเรื่องคือ ไอ้โอมถึงจะเป็นเพื่อนเพี้ยน ๆ ของผม แต่สําหรับรุ่นน้องมันค่อนข้างเป็นรุ่นพี่ที่เฮี้ยบมากครั บ คือ รุ่นเดียวกัน
หรือรุ่นพี่ แซวเล่นกับมันได้ แต่หากถามถึงรุ่นน้องล่ะก็ ในเวลาเป็ นการเป็นงาน ไม่มีใครกล้าเล่นกับมันเด็ด ๆ (โดยเฉพาะน้องม.ต้นครับ)
เพราะแค่เห็นหน้าไอ้โอมก็กลัวหัวหดกันแล้ว เวลามันไม่ทําหน้าทะเล้นหน้ามันก็ขรึม ๆ เหมือนคนปกติทั่วไปอะครับ จนบางครั้งมันยังคุมน้ อง
ได้ดีกว่าผมอีก ผมมองโอมที่ตอนนี้กําลังยิ้มน้อย ๆ ขณะคอยมองน้องมิกเป่าฮอร์นพร้อมสอนไปด้วยอย่างประหลาดใจ... อาการหนักนะ
มึงอะ! (ช่วงแรก ๆ ผมเห็นมันดุซะจนน้องแทบร้องไห้) หน้าตามีความสุขไม่ไหวแล้วจนผมอยากหาอะไรเขวี้ยงหัวมันเพราะอิจฉา น้องมิกของ
มันก็น่ารักดีจริง ๆ ครับ พอไอ้โอมเข้าไปใกล้ทีนึงก็หน้าแดงที จนผมล่ะอยากจะ........... ฮึ่มม แยกพวกมันให้ห่าง ๆ กันหน่อย มีคนหมั่นไส้
เยอะโว้ยยย ไอ้ฟิล์มยิ้มกว้างกับภาพเหล่านั้น "ตอนแรกก็ว่าจะด่า แต่ตอนนี้กูว่ามันน่ารักดี... ยกน้องมิกให้มันก็ได้วะ แม่งง คาบไปแดก"
ฟิล์มพูดทั้งที่ยังมองคู่นั้นไม่ละสายตา ผมพยักหน้ายิ้ม ๆ รับคําพูดมั น "เออ นาน ๆ จะมีแบบนี้ที ให้มันไปเหอะ" เพราะรู้ ๆ กันอยู่ ว่าฟิล์ม
เป็นชมรมคนพิทักษ์น้องมิกครับ ที่ผ่านมาใครแกล้งน้องมิกมันเอาตายหมด แต่ตอนนี้คงต้องยกหน้าที่ให้ไอ้โอมซะแล้วมั้ง "มันบอกมึงปะว่า
มันเป็นไรกะน้องเค้าตอนนี้" ฟิล์มถามผมต่อ ผมหยุดคิดแต่ก็ส่ายหัว "ไม่ว่ะ ปากแข็งเป็นหิน ง้างไงก็ไม่พูด โคตรสันดาน" "พอกันแหละ
มึงสองคน.. แต่ไอ้โอมยังดีหน่อยที่มันแสดงออก" อ้าว... พูดงี้หมายความว่าไงวะ ผมหันไปมองหน้าไอ้ฟิล์มที่ยักคิ้วให้ผมยิ้ม ๆ อยู่
"ไอ้พวกไม่พูดแล้วยังสงวนท่าทีอีกเนี่ย... น่าตื้บว่ะ สงสารคนที่หลงไปรักมันจริง ๆ" ถึงตรงนี้ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อน ๆ เหมือนกําลังถูก
หลอกด่ายังไงชอบกล แต่ไอ้ฟิล์มแค่หัวเราะขําท่าทางผม ก่อนจะผลักหัวผมเล่น "ชอบใครเพื่อนก็ไม่ได้ว่าซักหน่อยนี่ว๊า... มัวแต่อมพะนํ า
ระวังจะเสียใจนะมึง" มันทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะลุกขึ้นตบมือเรียกน้องเสียงดังก้องห้องชมรม "พอ ๆๆ!! ลงสนามได้! แดดร่มแล้ว!!" ผมยิ้ม
ขอบใจไอ้ฟิล์ม ก่อนที่มันจะพาน้อง ๆ ทั้งหมดเดินออกจากห้องไป ช่วงนี้มันกําลังจะพาน้องไปแข่งวงโยฯที่ยุโรปครับ เลยต้องซ้อมหนักหน่ อย
ผมเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบเหมือนกัน แต่ภารกิจส่วนใหญ่ตกที่ไอ้ฟิล์มมากกว่า ผมล้มตัวนอนยาวบนโซฟาพลางถอนหายใจพรู หลังจากที่
ทั้งเพื่อนและน้องทยอยออกไปหมดแล้ว... ปุณณ์จะรู้สึกยังไงตอนผมทําเรื่องพวกนั้นบ้างวะ ผมหลับตาเห็นภาพมันตอนช่วยผมจากมาสเซอร์
แล้วยังเป็นห่วงแขนผมที่ถูกแมลงกัดอีก... เฮ้ออออ... ทั้ง ๆ ที่ผมทําร้ายจิตใจมันขนาดนั้นแท้ ๆ เซ็งว่ะ...... ผมรู้สึกเบื่อตัวเองมากจนต้อง
ควานหาหูฟังในกระเป๋าเสื้อมาต่อสายไอโฟนเพื่อเปิดเพลงฟังกลบความหน่ายใจตัวเองก่อนจะเฉาตายก่อน เสียงกีต้าร์พี่เมธีดีดอินโทรเพลง
เวตาลจากอัลบั้ม The Very Common of Modern Dog ดังก้องในหูผม ผมนอนเขย่าขาตามจังหวะเพลงในอัลบั้มรวมฮิตของ Modern
Dog พลางฮัมเบา ๆ และทําท่าดีดกีต้าร์ไปด้วย (เอ็นเตอร์เทนตัวเองก็เป็นครับ) จนผ่านไปสามเพลง ระหว่างพี่ป๊อดกําลังตะโกน 'บรรโจง!
ร้อยเป็นมาลัยยยยยย' อยู่ในหูผมนั้นเอง อยู่ดี ๆ ก็มีคนดึงหูฟังออกจากหูผมเสียก่อน "เฮ้ย!! เรียกไม่ได้ยินเลยรึไง!!?" อ้าว... พี่ป๊อดแปลง
ร่างเป็นไอ้ปุณณ์ว่ะครับ ผมกระพริบตามองหน้ามันงง ๆ พร้อมกับปิดไอโฟนแล้วลุกขึ้นมาคุยกับปุณณ์ดี ๆ "มาตอนไหนวะ ?" "นานแล้ว
เรียกมึงอยู่สิบชาติ ไหนล่ะเอกสารขอใบลา" มันบ่นพลางเดินไปมองโต๊ะเก็บเอกสารของชมรมผม แต่ผมยังงงอยู่ "ใบลาไรวะ?"
ถึงตรงนี้ปุณณ์หันมาเลิกคิ้วให้ "อ้าว.. กูเจอฟิล์มกลางสนาม มันบอกให้เข้ามาเอาใบขออนุญาตลากะมึง มันบอกมึงจะขออนุญาตพาน้องไป
แข่งวงโยฯอาทิตย์นึง" อ๋อ.. เออ มีเรื่องแบบนั้นจริง ๆ ด้วย แต่............ เราทํ าใบขออนุญาตกันตั้งแต่ตอนไหนวะ? ผมยังไม่ได้ใช้ไอ้ง่อยพิมพ์
เลยซักแอะ (มัวแต่ขี้เกียจอยู่) เป็นซะอย่างนั้นก็เลยอึกอัก "เอ่อ... ยัง... ไม่ได้พิมพ์ว่ะ... โทษที ไว้ทําเสร็จแล้วจะเอาเข้ าไปให้" แหะ ๆๆ ผม
ส่งยิ้มแหยตบท้ายอีกที เห็นปุณณ์ถอนหายใจแรงจนผมได้ยิน "อืม ... เอาเข้าไปแล้วกัน จะจัดการให้...." มันหันมามองหน้าผม "งั้นไม่มีอะไร
แล้วใช่มั้ย?" ก่อนทําท่าเหมือนจะเดินออก ผมอึกอักชั่วครู่ แต่พอเห็นแผ่นหลังนั้นทําท่าจะคล้อยออกไป ก็เอื้อมมือคว้าไว้แทบไม่ทัน "เฮ้ย!!
อยู่ก่อนดิ่!!" ทําเอาปุณณ์ที่กําลังจะก้าวต้องหงายหลัง "เฮ้ยยยย อย่าดึงสิวะ ตกใจ!!! แค่ก ๆๆ" มันหันมาเอ็ดผมพลางดึงคอเสื้อให้เข้าที่ เพราะ
เมื่อกี้ผมกระชากแรงมากจนมันไอ อ่า.. ขอโทษว่ะ "ขอโทษ... มึงต้องไปทําไรต่อป่าวอะ" ปุณณ์ถอนหายใจนิดหน่อย "เปล่า..." ผม
เลยได้โอกาส "อยู่นี่ดิ่.... แอร์เย็นนะ..." แต่ไม่รู้มันจะใจอ่อนไหม "ไม่อะ... แอร์ห้องสภาฯก็เย็น" "มี... ขนมด้วย" ผมชี้ไปทางกองขนมที่
ไอ้เป้อซื้อมาตุน ปุณณ์เหลือบมองพลางยักไหล่ "ไม่หิว" "เดี๋ยวเปิดเพลงให้ฟังไง..." ผมยังคงเซ้าซี้ต่อ ถึงตรงนี้ปุณณ์ถอนหา ยใจพรู
"ไม่อยากฟัง.... โน่ไม่ต้องทําแบบนี้หรอก เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเขาจะเข้าใจผิด" เฮ้อออ... ว่าแล้วต้องเป็นอย่างนี้
เห็นท่าทางเหวี่ยงแบบนั้น ผมเลยแกล้งจับแขนมันยิ้ม ๆ ปุณณ์สะบัดสะบิ้งนิดหน่อยแต่คงไม่จริงจังนัก เพราะผมยังถือแขนมันได้อยู่
"เข้าใจผิดไรว้าาา" พอลองแกล้งถาม ก็เห็นมันทําหน้าขรึมขึ้นมานิดหน่อย "เข้าใจผิดว่ามึงกับกูเป็นแฟนกันไง" "อ้าว... ไม่ได้เป็นเหรอ.."
ผมหยอด เห็นมันหลุดยิ้ม แต่ก็กลับไปตีหน้าขรึมเหมือนเดิม.. โห่.. ไอ้อ่อนเอ๊ยย ใจไม่แข็งเลย "มีคนเขาไม่อยากเป็น คบกะกูคงน่าอายอะ"
มันได้ทีว่า แต่เสียงอ่อนลงมากแล้ว ผมจึงหยอดต่อไป "หล่อขนาดนี้ ใครอายวะ โคตรตาไม่ถึงเลย" "นั่นดิ่" หืมม ไอ้ห่า... ไม่มีถ่อมตัวนะ
มึง!! เราสองคนหลุดหัวเราะออกมาขํา ๆ ผมดีใจที่ปุณณ์ไม่ถือสาผมมากแล้ว "มึงอะ... กูขอโทษว่ะ กูไม่ได้อายนะ กูแค่ไม่ชิน มึงเข้ าใจกู
ปะ" ผมตัดสินใจถามออกไป เห็นปุณณ์ส่ายหัวพลางถอนหายใจเหมือนคนปลงชีวิต "กูเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ" แล้วอะไรของมัน!? ปุณณ์
มองหน้าผมก่อนจะพูดต่อ "กูก็ไม่ชินนะที่เป็นแบบนี้... แต่กูก็...... รักมึงว่ะ... กูอยากตะโกนบอกคนทั้งโลกด้วยซํ้าว่ากูได้เป็นแฟนมึง แต่เวลา
เห็นมึงทําท่าเหมือนอายที่จะเป็นแฟนกูแล้วกู...... กู.. บังคับใจมึงเรื่องนี้เหรอ... มึงถึงเป็นอย่างนั้น.. ถ้ากูบังคับมึงมึงปฏิเสธกูได้นะ.. กูไม่อยาก
ทําให้มึงลําบากใจอย่างนี้" มันพ่นความรู้สึกในใจออกมายาวเป็นหางว่าว จนผมต้องสะดุดกับคําหลัง "ไมคิดงั้นวะ! กูเปล่านะ กูแค่ไ ม่ชิน กู
ไม่ได้ลําบากใจ..... กู... กู... กูกลัวเพื่อนล้ออะ" ผมพูดอย่างอาย ๆ ซึ่งมันก็น่าอายจริง ๆ ทําไมผมคิดอย่างนี้วะ ทั้งที่ปุณณ์ชัด เจนกับผมโดยไม่
กลัวอะไรมาตลอด แต่ทําไมผมเป็น
อย่างนี้ ปุณณ์คลี่ยิ้มส่งมาก่อนจะดึงผมไปกอด "เออ... เพื่อนมึงปากอย่างนั้นเป็นกู ก็คงเกร็งเหมือนกัน หึหึ..." อ้าวไอ้เชี่ยนี่หลอกด่าเพื่อน
ผม แต่สรุปว่ามันเข้าใจใช่ปะ? ผมกอดปุณณ์กลับเบา ๆ ด้วยความรู้สึกล้นปรี่ "แต่หลังจากนี้จะพยายาม.." ถึงแม้ดูเป็นคํารับปากอ้อมแอ้ม
ไม่เต็มเสียงนัก แต่ผมก็ตั้งใจจะทําให้มันดีกว่านี้จริง ๆ เพื่อสมกับที่ปุณณ์อุตส่าห์เข้าใจ.. เสียงทุ้มหัวเราะหึหึ "ฝืนนักก็ไม่เป็นไรหรอก แบบ
นี้ก็มีความสุขดี..." ปุณณ์ว่าพลางยกหน้าผมให้มองตามัน ใบหน้าคมคายนั้นคลี่ยิ้มสวยที่สุดให้ผม "รู้กันสองคนเนอะ" ผมยิ้มกลับ พร้อมคิด
ว่า.. ผมเองก็อยากตะโกนบอกคนให้ทั้งโลกรู้เหมือนกัน ว่าผู้ชายคนนี้คือแฟนผม ปุณณ์น่ารักจริง ๆ "แป๊บนะ... มีไรจะให้ฟัง หึหึ" จู่ ๆ
ก็นึกถึงเพลงนั้นขึ้นมาซะงั้น เพลงที่ผมเคยหัดเล่นกับไอ้โอมเมื่อตอนเพิ่งวางแผงใหม่ ๆ ปุณณ์ทําหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยให้ผมเดินไปนั่งหน้า
เปียโนแต่โดยดี ไม่ได้เล่นเครื่องนี้มานานกี่เดือนแล้ววะเนี่ย.. ผมคิดพลางไล่โน๊ตฟังซํ้า ๆ ก่อนจะเริ่มพรมนิ้วลงไป โดยไม่ลืมมองหน้าไอ้คน
ยืนงงอยู่กลางห้องยิ้ม ๆ แต่แค่ได้ยินเสียงอินโทร ปุณณ์ก็ยิ้มจนแก้มปริทันที... ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น หึหึหึ ไปดี ดให้สาวฟัง สาว
ยังระทวย หนุ่ม ๆ อย่างมันก็คงใช้ตรรกะเดียวกัน หึหึหึ... "เคยไหมบางทีที่เธอต้องการพูดอะไรออกไป เคยไหมบางทีคําพูดมันไม่ยอม
ตรงกันกับใจ ทั้งที่พยายามและไม่ว่าจะเตรียมตัวสักขนาดไหน เหมือนฉันเองที่กําลังเผชิญหน้าความเป็นจริง และถึงแม้ข้างในพยายา
ยามพูดออกไปให้หมดทุกสิ่ง
อย่างที่ตั้งใจ แต่มันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไร เมื่อต้องพูดคํานั้นเสียงฉันมันก็หายไป อ่านปากของฉันนะ ว่า.. ....
อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า...... และจะเป็นอย่างนี้กับเธอไม่ว่านานสักเท่าไหร่ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ ฉัน
จะเป็นอย่างนี้ จะ.... ตลอดไป ฉันรู้ดีว่าบางทีมันก็ดูเหมือนน่ารําคาญ แต่ฉันจะพยายามที่จะพูดออกไปให้หมดทุกสิ่ง ให้หมดทั้งหั วใจ
แต่ว่ามันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่ เมื่อต้องพูดคํานั้นเสียงฉันมันก็หายไป อ่านปากของฉันนะ ว่า....... อยากจะพูดอีกครั้ง
ว่า..... และจะเป็นอย่างนี้กับเธอไม่ว่านานสักเท่าไหร่ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ ฉันจะเป็ นอย่างนี้ จะ
...... ตลอดไป" แต่ระหว่างที่ผมกําลังจะเล่นท่อนต่อไปอยู่นั้นเอง ปุณณ์ก็เข้ามานั่ งบนเก้าอี้หน้าเปียโน ข้าง ๆ ผมเสียก่อน ผมมอง
ใบหน้าหล่อที่แสนเจ้าเล่ห์นั้นงง ๆ แต่ก็ร้องต่อ "แต่ว่ามันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่ เมื่อต้องพูดคํานั้นเสียงฉันมั นก็หายไป....."
ปุณณ์พรมมืออีกข้างลงบนเปียโน เพื่อช่วยผมเล่นพลางหันมายิ้มให้ "เล่นด้วยนะ" มันบอกว่างั้น นําให้ผมหัวเราะแล้วเล่นต่อไป "อ่านปาก
ของฉันนะ ว่า.......
อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า....... และจะเป็นอย่างนี้กับเธอไม่ว่านานสักเท่าไหร่ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ ยนหัวใจ
ฉันะจะเป็นอย่างนี้ จะ..... ตลอดไป จะยํ้าด้วยคํา ๆ นี้ ว่า............." แต่ผมก็ต้องเงียบไปเมื่อปุณณ์ชิงร้องคําสุดท้ายในเพลงแทรกเข้ามา
ข้างหูผม ก่อนเราจะหัวเราะกันเมื่อเมโลดี้สุดท้ายจบลง หึหึหึ... เขินว่ะ.. ผมไม่รู้จะทําอะไรดี เลยได้แต่วาดวงแขนโอบไหล่มันให้เข้ ามาใกล้
"เหมือนกันนะเว้ยยย..." ก็ถ้าให้พูดคํานั้นมันรู้สึกแปลก ๆ นี่ครับ ไม่ได้หน้าด้านอย่างมันนิ่ หึหึ ปุณณ์ขําพลางเอนหัวมาโขกกับหัวผมเบา ๆ
ให้ผมได้พูดต่อ "แต่... ไม่สัญญาว่าตลอดไปว่ะ.. หึหึ... เอาของวันนี้ไปก่อนแล้วกัน" ผมว่าพลางหันไปกดปลายจมูกลงบนแก้มมัน ได้กลิ่น
โคโลญจน์หอมกรุ่น ปุณณ์ตามมาจูบผมกลับ อืม.. มึงขี้โกงว่ะ แต่ผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป เราจูบกันอยู่นาน กว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะ
ยอมถอนริมฝีปากออก ปุณณ์ตามมาขบเม้มริมฝีปากผมเบา ๆ อีกหลายต่อหลายที กว่าจะยอมผละออกไป ผมยิ้มให้ใบหน้าคมคายนั้น แล้ว
ตัดสินใจพูดคํา ๆ หนึ่งออกมา "ปุณณ์...." "ว่าไงครับ" "พรุ่งนี้กูจะ................." ผมสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอด มองตอบนัยน์ตาคม
ของปุณณ์ ที่ส่งต่อความสงสัยมาให้ "กูจะไปบอกเลิกยูริ"
50th CHAOS
เย็นวันพุธที่สยาม ผมมานั่งรอยูริตั้งแต่ก่อนเวลานัดด้วยใจว้าวุ่น จริง ๆ ผมโทรไปหาเธอตั้งแต่คืนวันจันทร์แล้ว กะจะนัดเจอกันวันอังคาร
แต่เธอไม่ว่าง ดันไปนัดกับเพื่อนคนอื่นไว้ก่อน ยูริบ่นเสียดายมาเป็นหางว่าว เพราะนาน ๆ ผมจะเป็นฝ่ายโทรมาชวนก่อนเอง แต่ก็ไม่ลืมเลื่ อน
นัดผมเป็นวันพุธ พร้อมคําสัญญาว่าจะรีบมาเจอแน่ ๆ ผมที่ได้ฟังเสียงร่าเริงดีใจอย่างนั้น แล้วอดรู้สึกจุกในอกไม่ได้ ผมกําลังจะทําอะไร
... ปุณณ์มานั่งเป็นเพื่อนผมอยู่จนกระทั่งสิบนาทีก่อน พร้อมคอยปลอบประโลมผมที่คงดูเครียดมากว่ามันไม่เป็นไร.. หากผมยังไม่พร้อ ม
มันก็รอได้ เป็นแบบนี้สบายดี.. แต่ถึงปุณณ์จะพูดอย่างไรผมก็ไม่ยอม... ผมไม่อยากทําร้ายยูริทางอ้อมแบบนี้อีกแล้ว ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจอีก
สาเหตุหนึ่งที่ไม่กล้าบอกใครว่าเป็นแฟนปุณณ์ เพราะตราบใดที่ผมยังมียูริอยู่ ผมก็ไม่สามารถทําร้ายยูริด้วยวิธีนั้นได้ ปุณณ์บีบ บ่าให้
กําลังใจผมเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไปเนื่องด้วยใกล้เวลานัดเต็มที มันบอกผมว่าจะเดินดูหนังสือรอ พอเสร็จแล้วให้โทรไปหา ผมรับคําเหล่านั้น
โดยไม่มองหน้าปุณณ์ด้วยซํ้า เพราะจิตใจทั้งหมดยังว้าวุ่นกับสิ่งที่กําลังจะทําหลังจากนี้ ... นั่งรอเพียงไม่นาน ร่างเล็ก ๆ ที่สดใสเสมอก็
โผล่หน้ามา.. ยูริมาหาผมก่อนเวลานัดทุกครั้ง รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน ดูเธอแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมรออยู่ก่อน "โน่!!!! มาเร็วจัง!" เสียงสดใสนั้น
ตะโกนพลางกระโดดพรวดเดียวถึงเก้าอี้ผม พร้อมรอยยิ้มหวานโชว์เขี้ยวสวย ผมแค่นยิ้มรับอย่างเจ็บแปลบในหัวใจ.. รอยยิ้มนี้ใช่ไหมที่ ผม
กําลังจะทําลาย
"พอดีวันนี้ไม่มีอะไรน่ะ" "แล้วโน่อยากไปไหนรึเปล่า อยากซื้ออะไรรึเปล่า ให้ยูช่วยเลือกนะ... โอ๊ยย ดีใจจัง โน่โทรมาชวนเองครั้งแรก
เลยนะเนี่ย!! มีอะไรให้ยูช่วยยูถวายหัวช่วยเต็มที่เลย!" เธอว่าพลางยกกําปั้นเล็ก ๆ ขึ้นสูงเป็นท่าสู้ตาย ในขณะที่ผมเกลียดตัวเองเห ลือเกิน
"ยูอยากไปไหนรึเปล่าครับ" ผมไม่มีแรงตอบอะไรนอกจากถามกลับ เห็นเจ้าของใบหน้าขาวนั้นส่ายหัวดิ๊กอย่างไม่ต้องการอะไร "เมื่อวานยู
เพิ่งช้อปปิ้งกับเพื่อนไปเอง วันนี้ไม่มีเงินซื้อของหรอก ฮ่า ๆ" เธอว่าพลางหันออกไปนอกร้าน "แต่อยากกินเครปไอโนะอะ! ไปซื้อกันนะ!" เสียง
สดใสนําให้ผมยิ้มกับท่าทีนั้น ก่อนจะพาเธอเดินออกไปซื้อเครปของโปรดแต่โดยดี เรารอกันไม่นาน ยูริก็ได้เครปไส้ครีมพุดดิ้งมาสมใจ ผม
ยื่นเงินจ่ายให้ ก่อนจะพาคนข้าง ๆ เดินไปเรื่อย ๆ "อยากได้อะไรอีกรึเปล่า" แต่ดูเหมือนยูริยังงงไม่หายกับความใจดีผิดปกติวัน นี้ของผม
"ไม่หรอก โน่ไม่อยากได้อะไรเลยเหรอ เห็ดนัดยูมา" ผมอึกอัก "อ๋อ... ก็.. เปล่าหรอก... นัดมาเฉย ๆ น่ะ" ทั้งที่โกหกออกไปคําโต แต่ยิ่งทํา
ให้ยูริยิ้มกว้างขึ้นอีก "เหรอ!!! งั้นเดินเล่นกันนะ วันนี้ไม่รีบกลับล่ะ" เธอร้องอย่างดีใจพลางหนีบแขนผมไว้เหมือนเด็ก ๆ ผมมองความยินดี
ทั้งหมดนั้นด้วยความเจ็บปวด เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มจากตรงไหน ยังไงถึงจะดี... ยิ่งได้เห็นยูริยิ้มมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งทําร้ ายเธอไม่ลง
เท่านั้น ผมประเมินไม่ถูกด้วยซํ้าว่าสิ่งที่กําลังคิดทํามันจะส่งผลอย่างไรบ้าง
.. เราเดินเล่นกันรอบ ๆ สยามเหมือนคู่ชายหญิงมัธยมทั่วไป ยูริพาผมเข้าร้านนี้บ้าง ออกร้านโน้นบ้าง ให้ช่วยดูเสื้อผ้าที่เธอบ่นว่าอยาก
ได้อีกแล้วบ้าง หรือบางครั้งก็เลือกเสื้อเชิ้ตตัวสวย ๆ มาทาบกับผมบ้าง เราทั้งเดินทั้งดูของเยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่า ง เพราะยู
ริบอกว่าเมื่อวานเธอซื้อของเยอะพอแล้ว ส่วนผมวันนี้ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งซื้อของให้ตัวเอง เราเดินวนทั่วสยามพักใหญ่ เดิน ข้ามไป
ดูชอปต่าง ๆ ในพารากอน ออกสยามเซ็นเตอร์ เดินต่อไปดูหนังสือในดิสคัฟเวอรี่ ผ่านทางเชื่อมถึงมาบุญครอง ลงโบนันซ่า ยูริแวะซื้อตุ้ม หูกับ
กําไล แล้วก็ออกมาสยามอีก... ถ้าเป็นปกติผมคงบ่นไม่หยุดไปแล้ว แต่วันนี้ผมได้แค่เดินเงียบ ๆ อย่างใช้ความคิด ในขณะที่ยูริดูกําลัง สนุกยก
ใหญ่ "โน่!! วันนี้ไม่เมื่อยเหรอ!?.... โน่....... โน่??...... โน่!!!!" "ห๊ะ!!? อะไรนะ??" แต่สงสัยผมจะคิดอะไรเพลินไปหน่อยเลยไม่ได้ยินเสียงยูริ
เรียก ใบหน้าขาวจึงงองํ้าเป็นเด็ก แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา "ยูถามว่าวันนี้โน่ไม่เมื่อยเหรอ? เราเดินกันเป็นกิโลฯแล้วมั้งเนี่ยย" เป็นเพราะ
รอยยิ้มกว้างนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะร่า ผมจึงต้องแค่นหัวเราะกลับพลางส่ายหัว "ไม่อะ.... ยังไหวอยู่ หิวรึเปล่า มิลค์พลัสมั้ย?" ประจวบกับ
เราสองคนเดินผ่านหน้าร้านพอดีผมเลยชวนยูริเข้าไป จําได้ว่ายูริชอบแวะร้านนี้แล้วนั่งแช่นาน ๆ เพื่อดูคนเดินผ่านไปมาเสมอ เจ้าของใบหน้า
สดใสรีบพยักหน้ารับอย่างยินดีพลางควงแขนผมเข้าไปในร้านที่มีคนจอแจ เสียงพนักงานตะโกนต้อนรับเรา ขณะที่ผมเหลือบเห็นปุณณ์นั่ง
อ่านหนังสืออยู่มุมร้าน ไม่ต่างจากยูริก็เช่นกัน "อ้าวปุณณ์!" ยูริร้องทักอย่างร่าเริงทันที นําให้ปุณณ์เงยหน้าจากหนังสือมาพบเราทั้งคู่
ดวงตาคมนั้นมีแววตกใจอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะตวัดมองผม แต่ก็แค่นยิ้มพลางยกมือตอบยู ริกลับ "หวัดดี...." "หืม...... นั่งรอใครอะ?" ร่าง
เล็กของยูริกระเซ้าพลางล้มตัวนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนผม ผมรู้สึกกระอั่กกระอ่วนไม่น้อยขณะที่ปุณณ์มองตรงมาอย่างขอความเห็น "ปละ. .
ปล่าว.... หาที่อ่านหนังสือเฉย ๆ" แต่พอผมไม่ได้สบตาตอบมันเลยบอกยูริอย่างนั้ น เสียงใสของหญิงสาวคนเดียวในโต๊ะขานรับอื้ออึงในลําคอ
"กินอะไรด้วยกันมั้ยปุณณ์ นั่งอีกนานรึเปล่า" เธอถามต่อ แต่คําตอบของปุณณ์คือการปิดหนังสือช้า ๆ "ไม่เป็นไรหรอก ผมจะกลับพอดี. ..."
นัยน์ตาคมนั้นมองตรงมาทางผมครู่หนึ่ง "กินข้าวกันรึยัง..." แต่ไม่รู้ว่า มันถามผม ถามยูริ หรือถามเราทั้งคู่กันแน่... ถึงยังไงก็เถอะ เหมือนกัน
อยู่ดี "นี่ไง กําลังจะมาหาอะไรกิน" ยูริเป็นฝ่ายตอบให้พร้อมรอยยิ้มแฉ่ง นําให้ปุณณ์ยิ้มกลับ ผมมองเจ้าของใบหน้าคมที่คลี่ยิ้ม น้อย ๆ
พลางกวาดหนังสือและกล่องปากกาบนโต๊ะลงกระเป๋าไป "งั้นผมไปก่อนนะ... โชคดีครับ.." ปุณณ์พูดเพียงเท่านั้นพลางตบบ่าผมเบา ๆ ผม
มองตอบดวงตาคมที่จ้องตรงมาเหมือนต้องการถามว่าไหวไหม.. เห็นดังนั้นผมเลยคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้าเบา ๆ กลับ ไหวสิ... ยังไงก็ต้องไหว
ปุณณ์ยิ้มบาง ๆ รับท่าทางผม ก่อนจะขยับปากพูดเป็นคําว่า 'อย่า ลืม โทร มา' ระหว่างเดินออกนอกร้านไป.. ผมมองตามแผ่นหลังกว้างนั้น
ด้วยความรู้สึกอาวรณ์.. เพราะอยากให้เวลาแบบนี้มีปุณณ์อยู่ข้าง ๆ คอยเป็นกําลังใจให้ผม แต่ผมรู้ดี ว่าเรื่องต่อจากนี้เป็นหน้าที่ข องผม คน
เดียว
ยูริมองตามหลังปุณณ์ที่เดินออกไปด้วยสีหน้าประหลาด "โน่ว่า... ปุณณ์มารอแฟนใหม่ปะ?" "ทําไมคิดงั้นล่ะ!?" ผมรีบท้วง ขณะที่หัวเล็ก
ๆ ของอีกฝ่ายโคลงไปมาเหมือนกําลังครุ่นคิดอยู่ "ก็ที่ปุณณ์มาบอกเลิกเพื่อนยูเพราะมีคนใหม่แน่ ๆ อยากเห็นนักว่าใครจะสวยกว่าเอม หึ!"
ด้วยคํานั้นเฉลยให้ผมทราบว่ายูริยังไม่รู้ความจริงเท่าไหร่เลย ยิ่งเป็นอย่างนั้นผมยิ่งรู้สึกกระอั่กกระอ่วนจนเริ่มมวนในท้อง "เฮ้ย... คิดมาก
ไปรึเปล่า เขาสองคนอาจจะมีปัญหากันก็ได้" "โน่รู้เหรอว่าเขามีเรื่องอะไรกัน!?" อ้าว... พูดไปก็เข้าตัวอีก.... ผมรู้สึกร้อน ๆ ขึ้นมา ทั้งที่แอร์
ในร้านเย็นฉํ่า "เฮ้ย... จะไปรู้ได้ไง เรื่องของเค้า... ไม่สั่งอะไรเหรอยูริ พี่เขารอนานแล้วนะ" ทางที่ดีคือตัดบทดีกว่า.. ยูริมองหน้าผมเหมือน
ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ยอมหันไปสั่งขนมปังกับนมแต่โดยดี เรานั่งคุยเล่นอยู่ในร้านมิลค์พลัสจนฟ้าเริ่มมืด ยูริเล่าให้ผมฟังเรื่องเพิ่งไปเยี่ยมญาติ
ที่ญี่ปุ่นมาอย่างสนุกสนาน (ก็ทําไปได้นะ ขึ้นไปขี่รูปปั้นหมากลางชิบูย่ามาเนี่ย) ผมทั้งฟังและมองใบหน้าร่าเริงนั้นจนเพลิน อีกทั้ งท่าประกอบ
ตลก ๆ อีก จนแทบลืมไปเลยด้วยซํ้าว่าวันนี้ตัวเองต้องการมาทําอะไร ยูริเล่าอีกหลายเรื่องให้ผมได้หัวเราะเสียงดัง หรือบางทีก็ทําท่าทาง
ประหลาด ๆ ให้ดู จนผมขําซะปวดท้อง กว่าเธอจะหยุดทรมานผมด้วยเรื่องตลกพวกนั้นได้ก็เล่นเอาหัวเราะจนเสียนํ้าตาไปหลายหยด "โน่
รู้ตัวเปล่า....." อยู่ดี ๆ ยูริก็พูดขึ้น หลังจากที่เราเพิ่งขํากับความเปิ่นของน้องชายวัยเจ็ดขวบของยูริเสร็จ ผมเลิกคิ้วสูงเพื่อรอฟังต่อว่าเธอจะ
พูดอะไร ยูริเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มให้ผม "วันนี้โน่น่ารักมากเลย" อืม.... อยู่ดี ๆ ชมแบบนี้ก็เขินแฮะ
"ทํ า ไมอะ... วั น นี้ ผ มหล่ อ เหรอ" ก็ แ กล้ ง พู ด แก้ เ ขิ น ไปอย่ า งนั้ น เอง แต่ ยู ริ ก ลั บ ส่ า ยหั ว ดิ๊ ก มาทั น ที อ้ า วววว สรุ ป ว่ า ผม ไม่ ห ล่ อ ???
"ไม่ช่ายยย โน่ของยูน่ะหล่อทุกวันอยู่แล้ว" อืม.. พูดงี้ค่อยน่าคบหน่อย ฮ่า ๆ ผมยิ้มเข้าไปอีกขณะยูริพูดอีกคําหนึ่งขึ้นมา "แต่วันนี้ น่ารักเป็น
พิเศษอะ แบบว่า.... ใจดีมากเลย" "ปกติผมใจร้ายกับยูรึไง" "ปล่าววววววว... แค่วันนี้.. ใจดี..... เป็ นพิเศษ" แน่ะ.. ยังจะแก้ตัว ผมมอง
ใบหน้าขาวที่ฉีกยิ้มกว้างแล้วก็ต้องยิ้มตามออกมาด้วย แม้ภายในใจจะถูกบีบจนรัดแน่น เพราะรู้ดีว่าความใจดีของผมในวันนี้เกิดจากอะไร
"ยู......." "เราไปถ่ายรูปกันนะ! โน่ใจดีงี้ต้องบันทึกไว้! นะ ๆๆๆๆ ร้านอยู่บนมิลค์พลัสแค่นี้ เอง น๊า ๆๆ" แต่ยังไม่ทันจะปฏิเสธก็ถูกอ้อนซะ
แล้ว ผมมองมือเล็ก ๆ สองข้างนั้นที่เอื้อมมาเขย่าแขนผมเบา ๆ อย่างลําบากใจ... วันนี้ไม่อยากขัดอะไรยูริเลยจริง ๆ "ก็เอาสิ...." เพียงแค่
ประโยคเดียวเรียกให้ยูริยิ้มเริงร่าอย่างดีใจ เธอรีบดึงผมให้ตามไปยังบริเวณชั้นสองข้าง ๆ ร้านมิลค์พลัส ซึ่งผมก็ยอมถูกลากไปแต่โดยดี
ถ่ายรูปที่ยูริบอกคือรูปสติ๊กเกอร์ครับ.. เราเดินขึ้นไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ตู้อิมพอร์ตจากญี่ปุ่นที่สาว ๆ เรียกกว่า พุริคุระ กัน ตู้ มันก็น่ารักดีหรอก
ยูริบอกว่าเราสามารถเขียนตัวอักษรเองได้ แล้วก็มีการ์ตูนให้ ปั๊มลงไปตกแต่งรูปเราได้... อืม.. ปล่อยให้ยูริจัดการไปแล้วกัน ผมไม่ถนัด ^^"
ปรากฏว่าภาษาญี่ปุ่นที่ดังจากตู้ทําผมงงมากครับ!? มันดังอะไรไม่รู้อยู่สองสามทีแล้วกล้องก็ถ่ายแชะ!
เฮ้ยยยยยย ยังไม่ทันเตรียมตัวเลย! หน้าผมเหวอได้โล่ ยูริขําใหญ่ก่อนจะสะกิดผมให้ถ่ายอีก คราวนี้ผมเริ่มรู้ทันแล้ว เราเลยแอ็คชั่นกัน
สนุกสนาน ผ่านไป 4 รูปก็เพิ่งจะได้ทําหน้าสวย ๆ หล่อ ๆ ตอนรูปสุดท้ายนี่แหละ (นอกนั้นแข่งกันทําหน้าประหลาดหมด) ยูริหัวเราะร่าชอบ
ใจเมื่อตู้โชว์รูปที่ถ่ายไปแล้วของพวกเราขึ้นมา "โห...... โน่นี่ก็ทําไปได้เนอะ" หัวเราะไม่พอยังกัดอีก เหอ ๆๆ ผมเหล่มองรูปยูริที่ก็ไม่ได้
ดีกว่าผมเท่าไหร่ "พอกันแหละ" เธอหัวเราะร่วนก่อนจะเขียนอะไรยุกยิก ๆ ลงบนหน้าจอ ส่วนผมไม่ได้ตั้งใจมองเท่าไหร่... นาฬิกาบอก
เวลาคํ่าลงเรื่อย ๆ แล้ว นี่ผมจะยื้อเวลาไปทําไม.... เสียงยูริหัวเราะคิ กคักไม่ไกล ระหว่างผมกําลังยืนนิ่งอยู่ เธอปริ้นสติ๊กเกอร์ออกจากตู้
พลางตัดมันอย่างสนุกสนานดี "นี่ของโน่นะ! นี่ของยู..." ยูริยื่นซองเล็ก ๆ ที่มีรูปบรรจุไว้มาให้ผม ผมเลิกคิ้วมองภาพเหล่านั้นที่ ถูกตกแต่งซะ
รกไปหมดแล้วก็ต้องขําออกมาจนได้ เพราะบนหน้าผมในรูปเต็มไปด้วยตีนหมาตีนไก่ตีนแมวเยอะแยะไปหมด "นี่! แต่งซะไม่หล่อเลยเห็น
มั้ย!" ผมแกล้งดุ เห็นยูริทําหน้าเจ้าเล่ห์ตอบ "ปกติก็ใช่ว่าจะหล่อ............." อ้าวววว พูดงี้สวยสิครับ เมื่อตอนอยู่ในมิล์คพลั สยังชมผมหล่ออยู่
เลย! ผมรีบล็อคคอพลางเอาซองรูปนั้นตีลงบนหัวเล็ก ๆ ของยูริเบา ๆ ให้เธอทั้งดิ้นทั้งหัวเราะร่า ก่อนจะรีบหยิบอีกรูปหนึ่งมาโชว์ให้ผมดู
ใหญ่ "แต่รูปนี้โน่หล่อออกกก ยูชอบรูปนี้!" ผมหยุดมองรูปที่ยูริยื่นมาแต่โดยดี เป็นรูปสุดท้ายที่เราถ่ายแล้วยูริบอกให้ทําหน้า ดี ๆ กัน.. ใน
รูปนั้นถูกตกแต่งด้วยสแตมป์มงกุฏเจ้าหญิง เจ้าชาย อีกทั้งยังมีหัวใจลอยเต็มไปหมด
ผมรู้สึกเจ็บแปลบ เมื่อเห็นยูริเขียนคําว่า NO YUU ไว้บนรูปของเรา "ยูริครับ.............." ผมขาน
ชื่อเธอแผ่ว ๆ ทั้งที่รู้สึกลําคอแห้งผาก แต่ยูริยังคงยิ้มร่าหยิบรูปอื่น ๆ มาอวดอยู่ "แต่ถึงรูปนี้จะตลกก็น่ารักดีออกน๊า!!" "ยู........" ผมเรียก
อีก ขณะยูริหยิบรูปมาอีกใบ "เอารูปนี้ไว้ในกระเป๋าตังค์กันนะ เวลาโน่เห็นจะได้คิดถึงยูไง!" "ยู!!" ผมเพิ่มเสียงให้ดังอีกหน่อย ... หญิงสาว
ตรงหน้าจึงเงียบไป.. นัยน์ตากลมโตนั้นฉายแววฉงนมาอย่างสงสัย "มีอะไรคะโน่?" "ผม..... ขอโทษ" "........................................" ยูริ
นิ่งจ้องตรงมายังผม ราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ริมฝีปากเล็กนั้นเม้มแน่นก่อนจะถามคําหนึ่งขึ้นมา "ขอโทษ... เรื่องอะไรเหรอ โน่" ผม
ยอมรับว่าผมพูดต่อไม่ออก.. เราสองคนต่างนิ่งเงียบจมในความคิดตัวเองอยู่อย่างนั้น จนยูริสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวผม "โน่..... มี
คนนั้นแล้วใช่มั้ย" เสียงใสสั่นเครือจนผมไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่ายูริกําลังเผชิญความรู้สึกแบบไหน.. ผมพยักหน้าช้า ๆ ก่อนตัดสิ นใจหันมอง
ใบหน้าขาวนั้นชัด ๆ.. ภาพตรงหน้าคือยูริมีนํ้าตาคลอเต็มสองเบ้า ทั้งที่มือยังถือถุงสติ๊กเกอร์ไว้สองใบ
"........ จิ๊ด... เหรอ..." "ไม่ใช่... ไม่ใช่จิ๊ดหรอก" ผมตอบพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างเล็ก ๆ นั้นที่เหมือนจะยืนไม่อยู่แล้ว... ไหล่บางสะท้าน
จนผมต้องโอบเข้ามาแนบตัวอย่างเบามือ "เรายังเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยยู...." เสื้อนักเรียนผมเปื้อนหยดนํ้าตาจากคนในอ้อมแขนนี้มากมาย "โน่
.... บอกได้ไหม...... ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร..... ใครเป็นคนโชคดีคนนั้น......" เสียงยูริขาดเป็นช่วงพร้อมกับกระชับกอดผมกลับ.. ผ มรู้สึกว่า
ตัวเองใจร้ายกับผู้หญิ งคนนี้เหลือเกิน.. "... ขอโทษนะ..." เสียงสะอื้นของยูริที่ดังมากขึ้นกับอกผมทําใจผมแทบสลาย เธอร้องไห้
เหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้พบเจอกัน ทั้งที่สําหรับผมแล้ว ผมยังยกให้ยูริเป็นเพื่อนที่ดี และพร้อมจะมาหาทุกครั้งที่ ยูริอยากเจอ
เสมอ มือเล็ก ๆ นั้นกําเสื้อผมไว้แน่นขณะที่ผมละอีกมือหนึ่งมาลูบเปียเธอแผ่ว ๆ "เรายังเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยยู...." ผมถามซํ้าอีกครั้ง แม้จ ะรู้
ดีว่าเป็นคําขอร้องที่เห็นแก่ตัวก็ตาม ยูริถอนสะอื้นก่อนปล่อยมือจากผม แม้นัยน์ตายังแดงกํ่า และริมฝีปากยังคงสั่น ถึงกระนั้น ยูริก็
พยายามส่งยิ้มมา ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วโน้มหน้ามาใกล้ผม.. ริมฝีปากอิ่มสีแดงสวยเฉียดกับริมฝีปากผมไปหน่อยเดียว ก่อนที่จมูกเล็ก ๆ
ของเธอจะฝังลงบนแก้มผมแน่น... เนิ่นนาน ผมปล่อยให้ยูริสูดกลิ่นความหวังดีจากผมไปอย่างนั้น.. ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกว่านํ้าต าตัวเอง
กําลังไหล
เช่นเดียวกัน ยูริก็ถอนจมูกออก "ยูเชื่อว่าโน่จะทําให้เขามีความสุขได้..... เหมือนที่โน่เคยทําให้ยูมีความสุข" เธอพูดพร้อมรอยยิ้มที่เต็มด้วย
คราบนํ้าตา "ยูรักโน่มาก ๆ เลยนะ" เสียงเล็กนั้นเอ่ย ทั้งที่เจ้าตัวดูอ่อนแรงลงทุกที ผมมองภาพยูริที่ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายอย่างใจหาย จนเมื่อ
ร่างเล็ก ๆ นั้นหยิบกระเป๋าทําท่าจะเดินจากไป ผมต้องรีบคว้าข้อมือนั้นให้เธอหันกลับมา "เราจะเจอกันอีกมั้ยยู?" รอยยิ้มตรงหน้ายังคง
น่ารักเสมอ "ต้องเจอสิ! ยูเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของโน่ไง!" ยูริพูดพลางขืนข้อมือลง... ก่อนผมจะปล่อยเธอ ให้เดินจากไปตามทางที่น่าจะมี
ความสุขได้มากกว่า.. ยูริเหนื่อยกับผมมามากแล้วจริง ๆ.. โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดูหนักอึ้งกว่าทุกที.. ผมหยิบมัน ขึ้นมาต่อ
สายหาคนที่รอผมอยู่ด้วยใจเหนื่อยอ่อน "ปุณณ์......... กู.. ไม่ไหวว่ะ.......... ขอบคุณนะที่รอ.. แต่วันนี้ขอกูอยู่คนเดียวก่อนได้มั้ย........ อืม..
กูไม่เป็นไร.. ขอบคุณว่ะ... ไว้เจอกัน.." ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทําร้ายคนอื่นได้มากขนาดนี้..

Special CHOAS
Shining Brightly.

"สีเขียวสู้ ๆ" "สีฟ้าสู้ตาย" "สีเขียวไว้ลาย" "สู้ตายสีฟ้า" เสียงตะโกนจากกองเชียร์ดังลั่นรอบสนามบาสเกตบอล เมื่อเกมการแข่งขัน


ชักเย่อรอบชิงชนะเลิศกําลังจะเริ่มขึ้น เด็กผู้ชายตัวเล็กในเสื้อยืดหลากสียืนล้อมกรอบสนามพลางส่งเสียงเชียร์ตัวแทนสีตัวเองบ้าง เพื่ อน
ตัวเองบ้างดังลั่น โดยไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะยอมแพ้กัน แน่นอนว่าการแข่งขันแมตช์สําคัญอย่างรอบชิงชนะเลิศนี้ สมาชิกจากทั้งสองสีไม่
พลาดที่จะเลือกเอาพี่ใหญ่ประจําแมตช์การแข่งขันมาบรรจุเป็นตัวจริงเกินครึ่ง ซึ่งก็คือนักเรียนชั้นป.3 พี่ใหญ่ของการแข่งขันระหว่างนักเรียน
ชั้นประถมต้นนั้นเอง "พร้อมแล้ว ๆ" เสียงตะโกนจากเด็กชายตัวใหญ่ปลายแถวร้องบอกผู้ประจําตําแหน่งหน้าสุดในเสื้อยืดสีฟ้า ตามธรรม
เนียม 'แรงเยอะอยู่หลัง ข่มขวัญอยู่หน้า ' ซึ่งดูเหมือนพลพรรคสีฟ้าจะตกลงใจให้เพื่อนที่บรรดาครูสาว ๆ โปรดปรานมากที่สุดในทีม (หรื
อาจจะในชั้นป.3) เป็นผู้ครองตําแหน่งกองหน้าประจันกับทัพนักกีฬาเสื้อเขียว ที่เวลานี้ยังตกลงกันไม่ได้วา่ จะให้ใครยืนตําแหน่งไหนดี หลัง
เวลาผ่านไปนาทีกว่า ก็ดูเหมือนกลุ่มเด็กผู้ชายในเสื้อเขียวตองจะตกลงใจกันเสร็จ เสียงประสานมือร้องเฮลั่นสามทีดังขึ้น ก่อนทุกคนจะเ ข้า
ประจําที่ตามได้นัดหมาย ไม่มีอะไรผิดคาด เมื่อเด็กผู้ชายตัวใหญ่สุดรั้งตําแหน่งท้ายแถวตามธรรมเนียม จะมีก็แต่ทัพหน้าประจําสีเขียวเท่านั้น
ที่ส่งเด็กชายหน้าตี๋ นัยน์ตากลมป๋อง เจ้าของจมูกแดง ๆ คล้ายคนถูกอาการหวัดเล่นงานนิดหน่อย มาประจําตําแหน่ง 'ผู้ข่มขวัญ' ของทีม
เด็กชายหน้าตาสะอาดสะอ้านผู้ยึ ดตําแหน่งคนแรกสุดในทีมสีฟ้า ประสานสายตากับคู่แข่งเจ้าของดวงตากลมโตที่มายืนประจันอยู่ตรงหน้า
ก่อนเสียงนกหวีดจากกรรมการจะดังขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันแมตช์ดุเดือดนี้
เสียงตะโกนเชียร์จากผู้ชมด็กชายล้วนดังก้องรอบขอบสนาม สลับกับเสียงอาจารย์สาว ๆ ที่ กําลังสนุกกับเกมการแข่งขันสุดสูสีของคู่นี้อยู่
เพราะดูเหมือนว่าท้ายแถวของทั้ง 2 ฝ่ายจะแรงดีไม่มีตก เห็นได้จากผ้าสีแดงที่มัดไว้ตรงกลางเชือกนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังนิ่งสนิทอยู่ที่เดิมไม่ไป
ไหน เพราะผู้แข่งจาก 2 สี ยังคงยึดยื้อไปมา แบบไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน "เขียวสู้ ๆ !!" "ฟ้าสู้ ๆ !!" "เขียวสู้ ๆ !!" "ฟ้าสู้ ๆ !!"
แถมท่าทางจะไม่ใช่นักกีฬาเท่านั้นที่แรงยังไม่หมด เพราะดูจากกองเชียร์ตัวน้อยก็แรงดีไม่มีตกเช่นเดียวกัน เด็กชายเจ้าของตําแหน่งหน้ าสุด
ของนักกีฬาทีมสีฟ้ายกข้อมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนขมับตนเองเบา ๆ ด้วยอาการเพลียแดด ผิดกับเจ้าของผิวขาวท้าแสงอาทิตย์ในเสื้อเขียวฝั่งตรง
ข้ามซึ่งยังดูสบาย ๆ อยู่ ติดก็แต่ว่าคล้ายมีอาการผิดปกติบางอย่าง กําลังเกิดขึ้นกับเจ้าตัวเท่านั้น "ฮะ.. ฮะ.. ฮัด..... ฮัด......" เด็กชายเสื้อ
ฟ้าเริ่มสังเกตเห็นอาการไม่ค่อยดีข องเพื่อนคู่แข่งชัดเจน เมื่อดวงตาสีดําขลับมองเห็นคิ้วเส้นบางของคู่แข่งตรงหน้าค่อย ๆ ขมวดหากัน ซํ้า
จมูกแดง ๆ ของเจ้านั่นยังขยับไปมาอีก เหมือนไม่มีสมาธิสนใจการแข่งขันเท่าที่ควรอย่างไงอย่างงั้น "ฮะ... ฮะ.... ฮะ......... ฮั ด..." คราวนี้
ดวงตากลมภายใต้หนังตาครึ่งชั้นเริ่มหยีเข้าหากัน ก่อนริมฝีปากแดงจัดจะเบะออก ด้วยท่าทางทั้งหมดที่เห็นนั้น ส่งผลให้เด็กชายคนหน้าสุด
ของทีมสีฟ้า ลืมสนใจเกมการแข่งขันไปครู่หนึ่ง "ฮัดเช้ย---------!!!!!!!!!!!"[/i][/size]
เสียงจามดังสนั่นลั่นสนาม เมื่อริมฝีปากแดงจัดพอ ๆ กับปลายจมูกส่งเสียงร้องออกมาดังลั่น ซํ้ายังเผลอปล่อยมือจากเชือกอีก เป็นเหตุให้
คนอื่น ๆ ที่ตกใจเสียงประหลาด พากันปล่อยมือจากเชือกจนหกล้มระเนระนาดไม่เป็นท่าไปด้วย "โอ๊ยยย!!" เหล่านักกีฬาตัวเล็กบ้าง
ใหญ่บ้างในสนามส่งเสียงร้องระงม โดยเฉพาะตัวต้นเหตุที่ท่าทางอาการหนักกว่าใครเพื่อน เพราะหัวเข่าขาว ๆ ล้มลงครูดกับพื้นสนามจนเป็น
แผลถลอก เดือดร้อนคุณครูกรรมการต้องวิ่งกรูมาดูให้วุ่น "เอาไปทําแผลที่ห้องพยาบาลหน่อยซิ!" มาสเซอร์วิชาพละผิวคลํ้าแดดสรุป
หลังจากประเมินแผลบนหัวเข่าเจ้าเด็กตี๋ตรงหน้าเสร็จ ติดแต่ริมฝีปากแดงของคนเจ็บ ยังคงร้องจ้าประท้วงไม่ยอมหยุด "ไม่ไปอ้า ---!!! ไม่
เจ็บซะหน่อย!!!!" เลือดออกขนาดนั้นยังกล้าพูด... เห็นดังนั้นครูพละจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ "ไม่เจ็บก็ต้องไป เดี๋ยวเป็นแ ผลเป็น"
"ไม่เอาอ้า----!!!!!!!!" แต่เสียงเล็กนั้นยังโวยวายอยู่ กลางสนามอย่างไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อย จนครูพละอย่างมาสเซอร์สุวัฒน์ไม่รู้ควรทําอย่างไร
นอกจากปล่อยให้มันงอแงไป กระทั่งมีเสียงเด็กชายอีกคนแทรกเข้ามา "นี่.... ไปกับเราก็ได้ เราก็จะไปห้องพยาบาลเหมือนกัน" "หื้ ม???"
คิ้วบางของคนที่เคยโวยวายอยู่ขมวดมุ่นเมื่อเห็นผู้มายืนตรงหน้าคือคู่แข่งจากทีมตรงข้ามที่เพิ่งจ้องตากันเมื่อกี้ เด็กชายเสื้อเขียวขมวดคิ้วมอง
อีกฝ่ า ยในเสื้ อยื ด ที มสี ฟ้ า ที่ ม ายืน ตรงหน้า เขาอย่ างงง ๆ แต่ เมื่ อไล่ สายตามองเรื่อย ๆ ก็ถึง บางอ้ อ เพราะหั ว เข่าเจ้ า นั่ น ก็มีแ ผลถลอก
เช่นเดียวกัน
แถมเจ้าของใบหน้าสะอาดสะอ้านไม่พูดเปล่า ยังส่งยิ้มพร้อมยื่นมือมาให้คนเจ็บได้จับอีก เจ้าเสื้อเขียวมองการกระทําทั้งหมดนั่นด้วยความ
ลังเล "ไปด้วยกันนะ" ครั้งนี้ฝ่ามือขาวยอมให้เพื่อนเสื้อฟ้าพยุงไปห้องพยาบาลแต่โดยดี *** "อะ... มากันครบรึยัง ? ถ้าไม่ครบก็ไม่
รอแล้วนะ ครูจะเริ่มประชุมนักแสดงในละครวันงานภาษาไทยปีนี้แล้ว" เสียงอาจารย์หญิงมีอายุท่าทางเฮี้ยบคนหนึ่งดังขึ้นขณะเคาะปึกชีทล
งบนโต๊ะประชุมเบา ๆ รองเท้าส้นสูงไล่เวียนแจกชีทบทละครทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดตรงหน้าเด็กชายท่าทางสุภาพคนหนึ่ง "ปุณณ์ ป.5
มีเธอเป็นตัวแทนคนเดียวเหรอ?" "เอ่อ...." แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรออกไป เสียงคนผลุนผลันเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะก่อน
"ขอโทษครับที่มาสาย!!! แฮ่ก... แฮ่ก... แฮ่ก....." เด็กชายตัวขาว ท่าทางล้งเล้ง ชายเสื้อหลุดรุ่ยยืนยกมือไหว้อาจารย์พลางหอบแฮ่กตรงกรอบ
ประตูห้องอยู่ จนอาจารย์หญิงต้ องตวัด สายตาคาดโทษไปให้ แต่ สุดท้ ายก็ยอมพยักหน้า อนุ ญาตให้ ศิษ ย์ตัว แสบเข้ามาในห้ องแต่โ ดยดี
"เฮ้ยย ขอบใจที่จองที่ให้!" คนมาใหม่ยิ้มร่าขณะพุ่งไปนั่งเก้าอี้ข้างเพื่อนร่วมชั้นปีทันที แม้เขาจะไม่สนิทกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่ เพราะอยู่ในรั้ว
โรงเรียนเดียวกันมา 5 ปี ทําให้พอจะเคยคุยกันอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย "อะนี่.. เราเก็บบทไว้ให้ โน่ทําไมมาช้าอะ"
"เฮ้ยยย ขอบใจอีกรอบ! เราทําเวรอะ นี่หนีมาก่อนนะเนี่ย กลับไปโดนโอมบ่นแหง" ริมฝีปากแดงนั้นทั้งตอบทั้งบ่น ขณะกวาดลูกตากลมสี
ดําไปทั่วแผ่นกระดาษที่เพิ่งรับมา "โอ้โห!! บทไรเนี้ย!? เสด็จให้มาทูลถามเสด็จว่า เสด็จจะเสด็จหรือไม่เสด็จ ถ้าเสด็จจะเสด็จ เสด็จก็จะ
เสด็จ แต่ถ้าเสด็จไม่เสด็จ เสด็จก็จะไม่เสด็จ!? จะบ้าตายยยยย!! พูดให้มันเป็นภาษาคนกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง!!!!" เสียงแหลมนั้นบ่งล้งเล้งจน
เพื่อนข้าง ๆ ต้องเอื้อมมือไปปิดปากแดง ๆ ที่ช่างพูดอยู่ได้ตลอดเวลาเป็นการด่วน แต่ไม่ไวกว่าอาจารย์คนเดิมที่ส่งสายตาดุ ๆ มาอีกแล้ว
ปุณณ์คลี่ยิ้มให้อาจารย์แหะ ๆ ก่อนจะกระซิบเพื่อนร่วมชั้นลอดไรฟันเบา ๆ "อย่าบ่นดังซี่...." "อื้อ ๆ" เสียงที่เคยบ่นเมื่อกี้ต อบรับแข็งขัน
"โทษที.." โน่กระซิบตอบพลางผงกหัวขอโทษอาจารย์อย่างเกร็ง ๆ "ของเราก็ยากเหมือนกัน" เด็กชายปุณณ์พูดต่อขณะกลับไปพลิก
กระดาษเช็คบทตนเองไปมา ดวงตาคมเหลือบมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งเกาหัวเหม่ง ๆ อยู่ข้างเขาแล้วก็ต้องอมยิ้ม "โน่จะไปซ้อมท่องบทกั บ
เราไหมล่ะ ตอนพักกลางวัน?" ด้วยคําพูดนี้ เรียกให้หัวคิ้วที่กําลังขมวดมุ่นของคนมาใหม่ให้เลิกสูงทันที "จริงปะ!?!" "อือ.." "ไป ๆๆ
ขอบใจนะ!! วันนี้เราขอบใจปุณณ์มากี่รอบแล้วอะ?" ดวงตาโตนั้นฉายแววดีใจอย่างเห็นได้ชัด ปุณณ์หัวเราะเบา ๆ "ไม่ได้นับอะ ฮะ ๆๆ งั้น
พรุ่งนี้เจอกันตอนเที่ยง"
"อื้อ!!" *** "โอ๊ยเชี่ยเก๋ง!!!!!!!!!!!!! มึงลากกูมาทําไมเนี้ยยยยยยย น่าเบื่อชิบหาย! พูดคําหยาบก็ไม่ได้! แม่ง ๆๆ" เสียงแ ตกหนุ่มที่กําลัง
โวยวายของเจ้าหัวเกรียนปากแดงดังแหวขึ้นท่ามกลางทํานองดนตรีฟังสบาย ที่เปิดคลออยู่บริเวณสนามหญ้า ซึ่งวันนี้ถูกเนรมิตเป็นสถานที่จัด
งานครบรอบวันเกิดปีที่ 15 ของลูกชายคนโตเจ้าของบ้าน แน่นอนว่ากบาลเหม่ง ๆ ของคนขี้โวยวาย ไม่รอดพ้นฝ่ามือพิฆาตจากเจ้าของชื่อ
รถเก๋ง ไปได้ "รู้ว่าพูดไม่ได้แล้วเสือกพูดเสียงดังเพื่อ!!! เอ้า.. เอาไปแดก หาอะไรยัดปากซะ จะได้ไม่เป็นบ้า" เด็กชายตั วผอมว่าพลางผลัก
จานของกินตรงหน้า ยกให้เพื่อนตัวแสบแต่โดยดี เสียงหน่วยปราบเกรียนยังคงบ่นต่อ "ก็เห็นมึงรู้จักไอ้ปุณณ์นี่หว่า.. บ้านก็ใกล้ เลยไปชวน
มา" ขณะที่คนฟังเงียบไปนานแล้ว เพราะกําลังง่วนกับการสวาปามกุ้งระเบิดตรงหน้า ให้หมดภายในเวลาไม่ถึงนาที โน่รี บเคี้ยวรีบกลืน
ก่อนจะคว้าแก้วนํ้ามาดื่มตามอึกใหญ่ "ก็ไม่ได้สนิทไรมากมายนี่หว่า.. เออ กูไปละ! มึงอยู่ต่อใช่ปะ กูกลับไปเล่นเกมดีกว่า" "เฮ้ ย!? แดกอิ่มก็
ชิ่งเลยนะสัด!" "เออ นี่แหละสันดานกู... ไปก่อนเว้ย! เจอกัน" เจ้าตัวดีว่าพลางยืนขึ้นอย่างไม่ยี่หร่ะ ก่อนจะโบกมือลาทั้งรถเก๋งและเพื่อนคน
อื่น ๆ ที่พอรู้จักกันนิดหน่อย แล้วพาตัวเองออกจากรั้วบ้านหลังใหญ่ไป "อ้าวเก๋ง... โน่อะ? เห็นมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ??" แต่เพียงคล้อย
หลังไอ้ตัวดีไปยังไม่ถึงนาที เสียงทุ้มของ
เจ้าภาพก็ดันถามหาคนที่เพิ่งจากไปเมื่อกี้เสียก่อน "มันเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เองปุณณ์ มีไรกะมันป่าว?" "อ้าว????" แถมท่าทางเจ้างานจะ
ตกใจน่าดู เห็นดังนั้นรถเก๋งจึบรีบพูดต่อให้ "โน่นเลย.... ถ้ามีไรมึงรีบวิ่งตามไปเลย มันเพิ่งไปเอง รับรองตามทัน" "ขอบใจน ะ" ปุณณ์
รับคําทั้งรอยยิ้มก่อนจะรีบวิ่งออกไป ท่ามกลางความมืดมิดของเวลากลางดึก มีเพียงแสงจากไฟนีออนเท่านั้นที่ส่องกระทบพื้นถนนร้าง
ผู้คนในซอยแคบ โน่ไล่ฝีเท้าตามทางเดินที่พอรู้จักดี พลางมองหารถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปด้วย แม้สองหูจะยังคงได้ยินเสียงเพลงดังแว่ วจาก
บ้านที่เพิ่งจากมาก็ตาม 'ตึก ตึก ตึก' "โน่!! โน่!!" เสียงใครวะ?... เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกคิดก่อนจะหันกลับไปเพื่อพบว่าคนวิ่งเรียกชื่อ
เขาตามมาจากด้านหลัง คือเจ้าของงานวันเกิดที่เพิ่งหนีออกมานั่นเอง "ปุณณ์?? ว่าไงวะ?" โน่หยุดฝีเท้ารอจนอีกฝ่ายวิ่งมาใกล้ ให้ปุณณ์ได้
หยุดหอบหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "กลับเร็วจัง ไม่สนุกเหรอ ขอโทษนะ"
"เฮ้ย!!!" ถึงจะเป็นความจริง แต่ให้บอกตรง ๆ ก็น่าสงสารเจ้าของงานแย่ "เปล่า!! ม๊าโทรตามอะ เลยต้องรีบกลับ โทษทีนะ อยู่จนจบไม่ได้
อะ" ดังนั้นเด็กชายหน้าตี๋จึงรีบกระทําการ ตอแหล พลางตบลงบนบ่าเพื่อนห่าง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ขนานนามว่า หล่อ อย่างสํานึกผิดในที ปุณณ์
คลี่ยิ้มอย่างโล่งใจ "งั้นเราไปส่งมั้ย เพิ่งรู้ว่าบ้านโน่ก็อยู่แถวนี้" "ไม่เป็นไร! กลับเองสบายมาก!" ไอ้หน้าตี๋ยิ้มเผล่ ก่อ นจะทําสุ้มเสียงเจ้าเล่ห์
"เจ้าของงานหายตัวนาน ๆ ได้ไงวะ! สาว ๆ เหงาแย่ หึหึหึ " เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าในงานวันเกิดมีสาว ๆ จากคอนแวนต์มาแจมด้วยหลายคน
จนคนถูกแซวได้แต่ยิ้มเขิน ก่อนโน่จะใช้ศอกตัวเองกระทุ้งแขนเพื่อนหน้าหล่ออีกสองสามที "กูชอบคนชุดชมพูอะ แนะนําบ้างดิ่" "ฮะ ๆ
ๆ ได้ ๆ" คนฟังรับคําทั้งรอยยิ้มจนตาหยี เมื่อเห็นดังนั้นโน่จึงยิ้มออกมาบ้าง "ไปก่อนนะ!" "อื้อ.. กลับดี ๆ นะครับโน่" "จะพยายาม..
หึหึ" เด็กชายรับปากก่อนจะหันหลังเพื่อเดินไปตามทางที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่ก็ดูเหมือนเพิ่งคิดอะไรออกบางอย่าง จึงหันกลับมาใหม่ "เฮ้ย
ปุณณ์!!!" แถมยังตะโกนซะดังเพราะคิดว่าเจ้าตั วเดินกลับแล้ว ที่ไหนได้.. ปุณณ์ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เห็นดังนั้นเจ้าของ
ใบหน้าขาวจึงได้แต่เกาหัวตัวเองแก้เก้อ "Happy Birthday นะเว่ย.." โน่พูดไปทั้งที่ไม่คาดคิดด้วยซํ้า ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาจะเป็นรอยยิ้ม
กว้างจากปุณณ์ถึงเพียงนั้น แม้เจ้าของใบหน้าคมจะทําเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองในตอนแรก แต่รอยยิ้มกว้างในเวลาถัดมาก็เรียกเอารอยยิ้ม
กว้างขวาง
จากคนพูดกลับไปได้เช่นเดียวกัน "ไม่มีของขวัญอะ โทษที.." โน่อ้อมแอ้มแก้ตัวอีก ขณะที่ปุณณ์ส่ายหัวตอบ "ไม่เป็นไร โน่มาเราก็ดีใจ
แล้ว" อืม... เป็นหน้าที่เจ้าภาพงานต้องพูดกับแขกใช่ปะ.. เด็กชายหัวเกรียนคิดแต่ก็ยิ้มกลับ "บาย.." ฝ่ามือขาวถูกโบกเหนือหัวเป็นการ
อําลา ก่อนเจ้าของมือข้างนั้นจะเดินจากไป ในวันนั้น.. โน่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสกลับมาบ้านนี้อีกครั้ง และไม่สามารถหันหลังให้ ปุณณ์ได้
อีก - FIN –

51st CHAOS
ผมกลับมาบ้าน โยนกระเป๋าพลางเปิดคอมด้วยความเหนื่อยหน่าย.. แต่หางตาดันเหลือบเห็นพวงกุญแจที่เคยซื้อเป็นคู่กันกับยูริที่ร้าน
Loft อันนั้น ห้อยอยู่บนกระเป๋านักเรียนตัวเองก่อน... พวงกุญแจนั้นที่ยูริทําท่าดีใจเป็นเด็ก ๆ เมื่อเห็นและคิดเป็นนานว่าจะซื้ออันสีส้ มหรือสี
ฟ้าดี จนสุดท้ายเธอตัดสินใจซื้อให้ตัวเองและผมคนละอัน แต่เป็นผมที่อาสาจ่ายเงินให้ เพราะรอยยิ้มเวลาดีใจของยูริน่ามองเสมอ ผมเพิ่ง
ทําลายรอยยิ้มนั้นไป...
ความรู้สึกเกลียดตัวเองแล่นลามไปทั่วร่างกายผม แม้กระทั่งปลายนิ้ว.. ผมล้มตัวลงบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์อย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะ
นอนหลับ ๆ ไปให้พ้นจากความรู้สึกพรรค์นี้ ถ้าไม่ติดว่าดันรับปากไอ้เก่งไว้ ว่าจะส่งโครงงานชีวะให้มันทาง msn วันนี้ ผมคงได้ปิดตัวเองไป
อยู่ในโลกแห่งความฝันแล้ว เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: ส่งงานมึงมาเดี๋ยวนี้ นี่คือการปล้น คิดยังไม่ทันขาดคํา พอออนไลน์ได้ปุ๊บ
หน้าต่างไอ้เชี่ยเก่งก็เด้งมาทวงงานปั๊บ จนผมต้องส่ายหัวหน่ายก่อนจะเลือกกด send file ให้มันโดยที่ไม่พิมพ์ตอบอะไร เชิญบูชาเทพได้
ที่นี่ พูดว่า: วันนี้กูเจอเด็กมึงที่สยามด้วย แต่ไอ้เก่งไม่เลิกชวนคุยต่อ ซํ้าประโยคล่าสุดยังทําให้ผมตื่นตัวขึ้นมานิด นึงได้อีก.. ผมขมวด
คิ้วมุ่นมองตัวอักษรเหล่านั้นที่มันพิมพ์มา ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไป โน่ พูดว่า: ใครวะ? เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า:
ญี่ปุ่นคอนแวนต์แฟนมึงไง เก่งเจอยูริ!?? เจอตอนไหน!? ก่อนหรือหลังแยกจากผมแล้ว!!? ผมคิดอย่างกระวนกระวายด้วยใจอยากรู้ว่าหลัง
แยกกับผม ยูริเป็นยังไงบ้าง เธอกลับบ้านโดยสวัสดิภาพหรือเปล่า ร้องไห้เสียใจมากไหม แต่ดูท่าทางเก่งคงให้คําตอบอะไรผมเท่าที่ต้องการ
ไม่ได้ เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: เจอตอนคํ่าๆ ก้มหน้าก้มตาว่ะ กะจะทักแต่โบกแท็กซี่หายไปเลย
โน่ พูดว่า: อือ เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: เป็นไรของเมิงวะ ซึม เออ.. รู้ว่าเคยพูดคํานี้ไปแล้ว แต่จะขอพูดเป็นครั้งที่สอง ไอ้
ห่านี่มันเก่งสมชื่อจริง ๆ ตั้งกล้องแอบดูกูป่าววะ โน่ พูดว่า: ป่าว มึงบ้าปะ กูกะลังนั่งดูเดี่ยวหก หัวเราะก๊ากๆๆอยู่ใ นห้องเนี่ย เชิญ
บูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: ไอ้ควาย อ้าว แล้วแม่งด่ ากูทําไม.. หึหึ ผมหัวเราะขํามันที่เหมือนกําลังพิมพ์อะไรต่อ แต่ไฟล์ที่ส่งให้ดันโหลด
เสร็จพอดี จึงฉวยโอกาสกด sign out จากโปรแกรมซะ.. เอาเป็นว่าวันนี้ขอกูพักแล้วกันนะเพื่อน 'ก็อก ก็อก ก็อก' "โน่.... โน่...... โน่...."
แต่พอปิดคอมปุ๊บ เสียงม๊าเคาะประตูก็ดังเรียกผมหน้าห้องทันที ผมหันไปมองต้นเสียงหลังประตูไม้อย่างงง ๆ แป๊บหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกไป
เปิดให้.. หลังประตูบานนั้นคือม๊าที่มาหยุดยืนอยู่ พร้อมถุงอะไรในมือถุงหนึ่ง "น้องปุณณ์มาหาเมื่อกี้ บอกว่าโน่ลืมของไว้ที่เขา เลยเอามา
ให้" ผมขมวดคิ้วรับคําม๊าอย่างงง ๆ เพราะไม่ได้ฝากอะไรไว้กับมันซักหน่อย ยิ่งตอนม๊ายื่นถุงก๊อปแก๊ปสีขาวมาให้ผมก็ยิ่งงงใหญ่ แต่ไม่ได้สนใจ
อะไรมากมาย เพราะยังมัวสงสัยว่าเจ้าของถุงหายไปไหน "แล้วมันไปไหนแล้วอะม๊า"
"กลับไปแล้ว" "อ้าวเหรอ..." ผมงง ๆ เล็กน้อย แต่ก็ผงกหัวขอบคุณ ที่ม๊าอุตส่าห์เป็นธุระให้ ดูเหมือนม๊าคงสังเกตเห็นว่าผมแปลก ๆ
เพราะตอนนี้สายตารู้ทันคู่นั้นเล่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า "อาบนํ้าก่อนนอนด้วยนะโน่ อย่านอนดึก" "คร้าบบ" ม๊าก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่
ค่อยถาม แต่เป็นห่วงผมเสมอ ผมจึงต้องรีบรับปากพลางฉีกยิ้มเพื่อให้ม๊าสบายใจ ก่อนที่ม๊าจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนอยู่คนเดียวกับถุงใบสี
ขาวนั้นจากไอ้ปุณณ์อย่างงง ๆ ผมเดินถือถุงเข้าห้องพลางปิดประตู จนพอได้ลองสังเกตดี ๆ ถึงรู้ว่าเป็นถุงใส่กล่องขนมจากร้าน bread
papa's เจ้าอร่อยในพาราก้อนนั่นเอง อืม... มันเดินไปซื้อให้ผมตั้งแต่ตอนไหนวะ? ผมจ้องตากับลุงหนวดบนกล่องแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่าง
ช่วยไม่ได้ และยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าภายในบรรจุชูครีมคุ้กกี้ของโปรดผมไว้หลายก้อน ไอ้ปุณณ์มันเก่งว่ะ รู้ได้ไงว่าชอบแบบนี้ อันที่จริง
ผมไม่ค่อยนิยมกินครีมนักหรอกครับ เพราะมันเลี่ยนไม่เหมาะกับลิ้นผมเท่าไหร่ แต่เศษคุ้กกี้ที่ติดอยู่กับแป้งชูครีมอร่อยมาก จนผมเผลอกินที
ละไม่เคยตํ่ากว่า 5 ก้อนซักที (นี่แหละสาเหตุที่มาของพุงผม..) เห็นดังนั้นเลยเอื้อมมือหมายจะซัดให้เรียบหมดกล่องแก้เซ็งสักหน่อย แต่
หางตาดันเหลือบเห็นกระดาษแผ่นสีส้มเล็ก ๆ แปะอยู่บนฝากล่ องด้านใน? ผมจึงต้องขมวดคิ้วมองโพสอิทที่ถูกเขียนด้วยปากกานํ้าเงินอย่าง
สนใจ 'ขนมวิเศษ กินแล้วหลับฝันดี : ) โน่ทําดีที่สุดแล้วคับ พรุ่งนี้ยิ้มกันนะ : )' อืม.. ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้หรอก.. เพราะแค่เห็น
ข้อความลายมือคุ้นตาก็เรียกรอยยิ้มจากผมได้ทันที หึหึ... ชูครีมอร่อยขึ้นเยอะเลยแฮะ สงสัยจะเป็นชูครีมวิเศษ กินแล้วหลับฝันดีจริง ๆ =]
*** แต่สงสัยตอนเด็ก ๆ ผมจะฟังนิทานที่ม๊าเล่ามากไปหน่อย เพราะโลกแห่งความเป็นจริง ชูครีมวิเศษมันมีที่ไหน.. แน่นอนว่าไอ้ชู
ครีมของปุณณ์เมื่อคืน หวานจนต้องกินไปยิ้มไปก็จริง แต่พอหมดกล่องแล้วล้มตัวนอน หน้ายูริที่ผมทําใจลืมได้แค่ยี่สิบนาทีก็วนย้อนกลับมาที่
เดิมใหม่ แถมไม่ยอมหายไปไหนอีกต่างหาก... เป็นซะอย่างนั้น ผมเลยได้แต่พลิกตัวไปมาบนเตียงทั้งคืน เพราะทุกครั้งเมื่อหลับตา รอยยิ้ม
ที่ยูริพยายามส่งให้ผมทั้งนํ้าตาก็ยังคงผุดขึ้นมาเด่นชัดในความคิดทุกที ยิ่งผมพลิกตัวมากเท่าไหร่ ความรู้สึกว่ายูริเพิ่งมาร้องไห้กับอกผมเมื่อ
ตอนเย็นก็ยิ่งย้อนกลับมาเท่านั้น สุดท้ายลงที่ผมนอนไม่หลับทั้งคืน หรือกระทั่งจะลุกไปล้างหน้าล้างตากลางดึกก็ยังไม่อยาก เพราะแค่เห็น
หน้าตัวเองผมก็อยากหาอะไรเขวี้ยงกระจกแรง ๆ แล้ว.. เพราะไม่ใช่ผมหรือไง คนดี ๆ อย่างยูริถึงต้องมาร้องไห้เสียใจ ไอ้คนห่วย ๆ อย่างผม
มันเป็นลูกผู้ชายที่ไหน ผมทําให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้... ตอนเช้าผมสะโหลสะเหลไปโรงเรียนในสภาพไม่อํานวยให้สู้รบปรบมือ กับ
ใครทั้งสิ้น ก็คิดดูว่าอาการหนักขนาดตอนแวะเซเว่นก่อนขึ้นรถไฟฟ้า เสือกเจอพวกกางเกงนํ้าเงินย่านอโศกดักรอปล้นเข็มโรงเรียนตั้งแต่ไก่โห่
(จะเอาไปใส่บาตรพระรึไงวะ) ขนาดมันมีกันแค่ 3 คน ผมยังถอดให้ง่าย ๆ เลย.. เออ อยากเอาไปกอดจูบลูบคลําหรือทําห่าอะไรก็เชิญ ไม่มี
อารมณ์จะบู๊ด้วยจริง ๆ เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่เอาก็ได้วะ ราคาไม่ถึงร้อย... นี่ผมคิดถึงขนาดว่าวันหลังต้องซื้อพกไว้ทีละหลาย ๆ โหล เพราะเห็น
พวกมันอยากได้กันจัง ไอ้เข็มโรงเรียนเนี่ย อยากรู้นักถ้าตราโรงเรียนผมเป็นรูปแมวคิตตี้ พวกมันจะยังอยากได้กันอยู่ไหม เห๊อะ!?
หลังจากผ่านเหตุการณ์ปล้นเข็มและขึ้นไปแออัดกับคนในรถไฟฟ้าเป็นปลากระป๋องจนมาถึงโรงเรียนได้แล้ว ผมก็เดินหน้ามึนเข้ารั้วทั้งที่
กระเป๋าเสื้อไม่ได้ติดเข็มอยู่ อาศัยว่ายกมือไหว้มาสเซอร์แล้วเนียน ๆ ใช้แขนปิดอกเสื้อไว้เลยรอดฉลุย จนลากขาผ่านตึกอํานวยการที่ปุ ณณ์มัก
ปักหลักอยู่ทุกเช้า จนผมทักมัน เป็นปกติไปแล้วนั่นล่ะ เพียงแต่วันนี้ผม............ ยังไม่สนิทใจที่จะทักแฮะ.. มันยังรู้สึกผิดยังไงอยู่ไม่รู้..
ผมเหลือบมองปุณณ์ที่ยืนถือแฟ้มเอกสารเล่มโตไว้ในมือพลางคุยกับน้องม.ต้นไปด้วย เหมือนคนกําลังยุ่งอยู่เพราะเล่นขุดเอาแว่นมาใส่ สงสั ย
ช่วงต้นปีแบบนี้แถมยังก่อนการเลือกตั้งประธานนักเรียนคนใหม่อีก มันเลยวุ่น ๆ ล่ะมั้ง งั้นขอเดินผ่านไปก่อนแล้วกัน คงไม่ว่าใช่ไหม... ผมคิด
พลางตั้งใจจะทําแบบนั้นอยู่แล้วถ้าปุณณ์ไม่ได้หันมาเห็นซะก่อน.. "โน่!" อืม... สุดท้ายก็ต้องทักมันอยู่ดี ผิดจากเดิมตรงที่ คราวนี้ปุณณ์
เป็นฝ่ายทั้งโบกมือและเรียกผมจากบนตึก ท่าทางมันตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเดินเข้าโรงเรียนตั้งแต่เช้า (แล้วตกใจทําไมวะ) ก่อนจะรีบฝากแฟ้ม
ไว้กับน้องที่มันคุยงานค้างไว้ แล้วกระวีกระวาดลงจากตึกมาหาผมทันที แต่.... "เชี่ยโน่!!!!!!!! มาเช้านะมึง!! ตื่นเช้าหรือยัง ไม่นอน" ไอ้รถเก๋ง
เสือกวิ่งมาทักพลางฟาดกระเป๋าลงกับหลังผมดัง บั้ก!! ก่อน... อูยย นี่เหรอวิธีอรุณสวัสดิ์เพื่อนรักของมึง แล้วคนอย่างกูมาเช้านี่จะมองในแง่ดี
หน่อยไม่ได้รึไง! ปุณณ์เมื่อเห็นผมมีเพื่อนเดินแล้วจึงชะงักฝีเท้าหยุดอยู่แค่นั้น ไม่เดินเข้ามาหาผมต่อ ก็พอเข้าใจว่ามันไม่อยากกวน ผมเลย
ยกมือตอบกลับไปเชิงไม่เป็นไร.. ไว้ค่อยเจอกันทีหลังก็ได้.. "อ้าว กูมาเป็น กขคงจฉช พวกมึงปะวะ!" ไอ้รถเก๋งสงสัยจะสังเกตเห็นท่ าทาง
ผิดปกติเหล่านั้นเลยถามขึ้นแม้ยังกอดคอผมไว้แน่นอยู่... เออ... กูล่ะอยากตอบมึงแบบนั้นจริง ๆ แต่ช่างเหอะ ที่จริงให้คุยกับปุณณ์เวลานี้ก็ไม่
รู้จะคุยอะไรดี เพราะหากปุณณ์ถามถึงเรื่องเมื่อวานผมคง... ไม่รู้จะตอบยังไง
"ซื้อสตาร์ซ้อกเกอร์มาปะวะ" เปลี่ยนเรื่องดีกว่า.. ผมหันไปถามถึงผลบอลเมื่อคืนที่ลืมดูซะสนิท เพราะมัวแต่เซ็งตัวเอง สุดท้ายเลยไม่รู้ ว่า
ปืนใหญ่ที่รักเป็นยังไง อาการโคม่าถึงขั้นไหนแล้ว แต่แค่เห็นหน้าไอ้เก๋งฉีกยิ้มเผล่ผมก็รู้ผลอัตโนมัติทันที "มึงอย่าอ่านเลย เดี๋ยวปวดใจ" โห
ไอ้ส าดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทีม กูอ่อนให้หรอกมึง ถึง ชูคอได้ อย่ างนี้ เอาไว้ งวดหน้ ามีเอาคืน ถึงโอลแทรฟฟอร์ดแน่.. ฟั นธง
ขณะที่ผมกําลังเบื่อขี้หน้าไอ้รถเก๋งผู้กระดี๊กระด๊าเหลือเกิน (เนื่องจากผีแดงมันถล่มปืนใหญ่ผมได้ราบคาบเมื่อคืนนี้) แถมยังไม่ทันหายเซ็ งดี
เสียงไอ้ปาล์มก็ดังมาพร้อม ๆ กับฝีเท้าที่วิ่งชาร์ตจากด้านหลังอย่างแรงเสียก่อน "เฮ้ยยยยยยย ได้ดูป่าววะเมื่อคืน!!!! สองศูนย์ !! ลูกสุดท้าย
เจ๋งโคตรรรรรรรร" โอ๊ย............ อะไรกันนักหนาวะพวกนี้!!! *** สรุปว่าตั้งแต่เริ่มวันมา ยังไม่มีอะไรดีเลยครับ เริ่มจากตอนเช้า
ผมโดนโรงเรียนคู่อริปล้นเข็มโรงเรียนไป แถมพอเข้าโรงเรียนได้ยังไม่ทันเท่าไหร่ ก็เสือกถูกตอกยํ้าเรื่องบอลทีมโปรดโชว์ฟอร์มห่วยสาดเมื่อคืน
อีก แล้วพอเดินเข้ามาในห้องหน่อย ดันปรากฏว่าเพื่อนทุกคนนั่งหน้าดําครํ่าเครียดอ่านหนังสือกันจะเป็นจะตายเพราะหน่วยข่าวกรองบอกมา
ว่ามาสเซอร์นิวัฒน์จะควิซวันนี้ ชิบหายเลยกู! เรียนก็ไม่เรียน เรื่องอ่านหนังสือไม่ต้องพูดถึง ขออนุญาตจดโพยลงต้นขาเลยแล้วกัน!!
แต่โพยก็ไม่ช่วยอะไรครับ...... เพราะมาสเซอร์ดันจัดที่นั่งสอบใหม่หมด โอ๊ยย แค่ควิซท้ายบทจะทําให้ยุ่งยากทําไมเนี่ย!! แล้วผมก็ต้อ ง
หงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อที่นั่งสอบผมอยู่........... ข้างมาสเซอร์.. เยี่ยม......... อย่าว่าแต่ดูโพย... จะตดแต่ละทียังต้องคิดหนักเลยครับ T___T
ถุย ชีวิต.. เอาเป็นว่าจบเรื่องตอนเช้า ผมออกจากห้องเรียนด้วยสภาพซอมบี้ยิ่งกว่าเก่า เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วยังเจอข้อสอบมหาหิน
เข้าไปอีก แถมไอ้เชี่ยโอมยังทําตัวน่าหมั่นไส้ด้วยการอวดทุกคนยกใหญ่ว่ามันได้ลอกข้อสอบไอ้เก่งเกือบทั้งแผ่น เพราะเสือกดวงเฮง ได้นั่งมุม
อับที่มาสเซอร์ไม่ค่อยสนใจพอดี เออ เอาเข้าไป ทับถมกูกันเข้าไปปปป หมั่นไส้เว่ยย สุดท้ายผมเลยได้แต่เดินหงุดหงิด เข้าแคนทีนแบบเซ็ง
ๆ แถมวันนี้ไม่รู้เป็นห่าอะไร ผมรู้สึกว่าแอร์เย็นกว่าปกติถึงขั้นหนาว แต่ไม่มีใครบ่นอะไรซักคํา หรือผมจะคิดไปเองวะ? เพราะขนาดไอ้เคน
ที่ว่าขี้หนาวแล้ว มันยังไม่พูดถึงอุณหภูมิของแคนทีนวันนี้เลย เออ ผมคงคิดมากไปเองแหละ เดินไปร้านประจําเลยดีกว่า กิน ๆ เข้าไป
ร่างกายจะได้อบอุ่น ผมเดินลากขาพาตัวเองไปร้านข้าวราดแกงเจ้าประจํา ที่เวลาไม่รู้จ ะกินอะไรดีก็จบชีวิตลงร้านนี้ทุกครั้ง แต่วันนี้
.................... มัน.......... ปิด...... ป้าครับบบบบบบบบบบบบบบ!!! ขอบคุณมากครับที่ชว่ ยซํ้าเติมความโคตรซวยของผม!!! ขอบคุณมากเลย
ครับป้า!!!!!!!! ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกําลังจะเป็นบ้า โว๊ยยยยยยยย เอาไงกะชีวิตดีวะเนี่ย!! ยอมรับว่ารู้สึกเสียศูนย์ไม่น้อย เลยต้องโซซัดโซเซ
ไปพึ่งพาไอ้โอมที่ต่อแถวหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจําของมันอยู่ แม่งงง มึงแดกไรวะ กูแดกด้วย "อะ สั่งให้กูด้วย เอาเหมือนมึงอะ"
"เฮ้ยยย!? ไรวะ ไหนว่าจะแดกข้าว" แต่ไอ้นี่ช่วยอย่าถามมากได้ไ หม ไม่มีอารมณ์จะเถียงโว้ย "มันปิด อย่าถามมาก แดกกะมึงนี่แหละ"
"เออ ๆ แดกไร" ก็กูเพิ่งบอกไปว่าเอาเหมือนมึง ไอ้ห่านี่แคะขี้หูมั่งป่าววะ "แดกเหมือนมึงอะ อะไรก็ได้เอามาเหอะ.. กูไปรอตรงโน้ นนะ" ผม
ตอบโอมอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะยัดบัตรเงินสดใส่มือมันแล้วปลีกตัวออกนอกแถวไปรอห่าง ๆ เพราะเกรงสายตาครหาจากคนกําลังต่อแถวอยู่ ว่า
ผมโผล่มาจากไหนไม่รู้ จู่ ๆ ก็ฝากเพื่อนสั่งให้เฉยเลย เหอ ๆๆ ขอเลวซักวันแล้วกันครับพี่น้อง ผมเซ็งจริง ๆ ยืนรอแค่ไม่นานไอ้โอ มก็
เดินหน้าแฉล้ม ถือชามก๋วยเตี๋ยวฝาแฝดมาสองชาม กูล่ะหมั่นไส้หน้าตาคนมีความรักจริง ๆ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ผมว่าช่วงนี้หน้ามัน
ตอแหลขึ้นเยอะ "อะ บัตรมึง ตังค์จะหมดแล้วนะไอ้ควาย หัดเติมซะมั่ง" อะเหรอ... เออ นี่ก็ซวยอีกเรื่อง เพราะเมื่อเช้าตอนมาโรงเรี ยน
บัตรรถไฟฟ้าผมเพิ่งเงินหมดพอดี แล้วไหนจะต้องเติมบัตรแคนทีนอีก... จนสนิทสิกู ผมรับชามก๋วยเตี๋ยวจากมือไอ้โอม พลางแอ่นอกให้มัน
ยัดบัตรแคนทีนลงกระเป๋าเสื้อ โอมจึงสังเกตเห็นว่ากระเป๋าผมไม่มีเข็มโรงเรียนติด "เฮ้ย เข็มมึงไปไหน!?" "โดนปล้นเมื่อเช้า..." ผมตอบ
เรียบ ๆ เหมือนไม่ใส่ใจ ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ แหละ แต่เพิ่งนึกออกว่าต้องซื้อเข็มใหม่ โอ๊ยยย นี่ก็เรื่องเสียตังค์อีกแล้ว!! "โรงเรียนไหนเอา
ไปอีกวะ!?" ไอ้โอมยังคงซักต่อขณะเราเดินมาวางจานบนโต๊ะแล้ว ตอนนี้พวกไอ้โด่ง ไอ้เก๋ง ไอ้ปาล์ม ไอ้คม และสาวกผีแดงทั้งหลาย (ทําไม
เยอะจังวะ!!) กําลังใช้แลปทอปต่อ wi-fi เปิดรีรันลูกฟรีคิกสุดท้ายที่ปั่นเข้าประตูอาร์เซนอลไปอยู่.. เออนะ พวกมึงตื่นเต้นอะไร ทําอย่างกับไม่
เคยชนะ... งี้แหละผีแดง ปล่อยมันได้ใจไป เดี๋ยวปืนใหญ่กูเอาจริงแล้วจะหนาววว แต่ดูเหมือนประเด็นลูกฟรีคิกเมื่อคืนจะตกไปทันทีที่ โด่ง
ได้ยินเสียงโอมถามผม "พูดเรื่องไรกันวะ อย่า
บอกนะเรื่องเข็ม" "เออดิ่ เชี่ยโน่แม่งอ่อน ให้เด็กโรงเรียนอื่นเอาไปได้ว่ะ" ไอ้เชี่ยโอมได้ทีฟ้อง จนผมต้องเหล่มัน ทีมึงล่ะไม่ เคยเลยมั้ง ผมจํา
ได้ว่ามันเคยโดนปล้นที่ท่าพระอาทิตย์ ทั้งที่สภาพจิตใจปกติไม่ได้เพิ่งหักอกผู้หญิงมาแบบผมซักนิด ติดแค่อีกฝ่ายยืนล้อมมั นเป็นสิบคนเท่า
นั้นเอง... "โหเชี่ยย กูว่าแล๊วว ไม่เห็นเข็มที่อกมัน แต่นึกว่าแม่งช็อคที่อาร์เซนอลแพ้จนลืมติด ที่ไหนได้...." ไอ้โด่งเว้นช่ วง ให้ผมได้สบ
โอกาสเบิ้ดกะโหลกมันเบา ๆ ด้วยความรัก.. มึงก็เคยโดน กูจําได้! สรุปว่ามีแต่ผมนี่แหละ ที่เพิ่งมาโดนตอนอยู่ ม.5 "อ้าว ปล้นเข็มอีกแล้ว
เหรอวะ อะ ๆๆ เอาของกูไปดิ่ กูพกสํารองไว้พอดี เชี่ยแม่งโรคจิต สงสัยเอาไปชั่งกิโลขาย" แน่นอนว่าพ้งเป็นคนดีที่สุด เพราะนอกจากไม่ ว่า
ผมแล้ว พอรู้ว่าผมตกเป็นเหยื่อคดีปล้นเข็มโรงเรียน มันก็ควักเข็มใหม่เอี่ยมที่พกติดกระเป๋าตังค์ไว้ให้ผ มอีก (สงสัยนี่จะเคยโดนมากกว่า 3
ครั้ง) ผมรับเอาเข็มจากพ้งมาติดอกเสื้อพร้อมกับไชโยสามทีในใจว่า ไม่ต้องเสียตังค์ 70 บาทแล๊วววว! "เออ มัวแต่ดีใจ ไม่เสือกแดก
ก๋วยเตี๋ยวซักที เส้นมึงอืดเป็นศพย่านาคแล้วสัด" เออว่ะ จริงด้วย ผมก้มมองเส้นเล็กต้มยําในชามตัวเองแล้วก็ต้องรีบยกตะเกียบกินทันที แอบ
นึ ก ขอบใจไอ้ โ อมนิ ด หน่ อ ยที่ ช่ ว ยพู ด ให้ ส ติ ผ ม แต่ พ อคํ า แรกเข้ า ปาก ก็ ต้ อ งเปลี่ ย นเป็ น ตะโกนด่ า มั น ลั่ น โรงอาหารทั น ที "ไอ้
เชี๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย โอม!!!!!!! มึงจะฆ่ากูเหรอออออ!!!!!!!!!" นํ้าอึกใหญ่ถูกส่งลงคออย่างเร่งด่วนเมื่อคว ามเผ็ดลุกลามทั่ว
ปลายลิ้นจนโคตรแสบคอหอย แต่ไอ้ห่าตัวต้นเหตุเสือกนั่งตบมือหัวเราะเอิ๊ก ๆ อย่างสาแก่ใจ(มัน)ซะงั้น!! "ฮ่า ๆๆ!!! ก็มึงบอกเอาเหมือนกู
กูแค่บอกป้าว่าเอา เหมือนเดิม 2 จาน แค่นี้เอง" ไอ้ควายยยยยยยยยย มึงมันกวนตีน!! ก็รู้ตัวเองอยู่ว่าแดกเผ็ดกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา! จะ
กรุณาใช้สมองถั่ว ๆ คิดหน่อยไม่ได้รึไงว่าต้องทํายังไงกับจานกูดี!!!! โหไอ้...... โว๊ะ!! ไม่รู้จะสรรหาคําไหนมาด่าไอ้เพื่อนเวร ที่ นั่งลอยหน้าลอย
ตาแดกก๋วยเตี๋ยวนรกเผ็ดสัด ๆ ตัวนี้ดี
"เชี่ยแม่ง เอาไปแดกเลยไอ้ควาย กูไม่แดกแล้ว" งอน... ไม่ กินก็ได้วะ! ผมผลักชามก๋วยเตี๋ยวยกให้เป็นผลประโยชน์แก่ไอ้เชี่ยโอม ที่ท่าทาง
กระดี๊กระด๊าใหญ่ สงสัยจะเป็นแผนกินเบิ้ลสองชามแบบไม่ต้องจ่ายตังค์ของมัน มึงเลวได้อีกกกก ผมเขม่นตามองไอ้ตอแหลนั่นด้วยความ
ไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่งเห็นมันทําหน้าระรื่นตอนสูดก๋วยเตี๋ ยวจากชามผมเข้าปากทั้งที่ยังกินชามตัวเองไม่หมดแล้วยิ่งอยากกกกกกกกก
โดดถีบยอดหน้าแม่ง! อย่าเผลอนะมึง กูเอาคืนแน่ แต่ระหว่างผมกําลังมองตาขวางใส่เชี่ยโอมผู้เสวยสุขกับอดีตก๋วยเตี๋ยวของผมอยู่นั้น จู่ ๆ
ก็รู้สึกถึงนํ้าหนักมือใครบางคน ที่กดลงบนหัวผมเองเบา ๆ เสี ยก่อน "ไม่กินข้าวเหรอโน่" ปุณณ์ ? ผมหันกลับไปมองเลขาสภาฯที่มายืนคํ้า
หัวอยู่ พร้อมใบหน้าคล้ายจะดุผมตลอดเวลา (ถ้าไม่กินข้าว) "ก็ไอ้เชี่ยโอมสั่งก๋วยเตี๋ยวห่าไรมาให้ไม่รู้ เผ็ดสัด กูล่ะแม่ง.... " แต่ยิ่งพูดยิ่ง
หยาบว่ะ อืม.. หุบปากก่อนดีกว่า พอได้ยินผมพู ดอย่างนั้นไอ้โอมเลยร้อนตัว รีบคีบลูกชิ้นไปจุ่มนํ้าซุปข้าวมันไก่ของไอ้พ้ง ล้างความเผ็ดให้
ทันที "ไอ้ห่า... ขี้ฟ้องนะมึงอะ เอาไป ๆๆ เอาไปแดกกก" มันบ่นพลางยัดลูกชิ้นใส่ปากผม เออ ทํางี้แต่แรกก็หมดเรื่อง ลูกชิ้นเอาไปล้างนํ้า
ซุปแล้วแม้จะยังเผ็ดนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าเมื่อกี้เยอะ ปุณณ์คลี่ยิ้มพลางโยกหัวผมเล่นอีกหลายที "งั้นกูไปกินข้าวก่อนนะ มึงก็กินเยอะ ๆ อะ"
"เออ ๆ" ผมโบกมือรับปากมัน ก่อนที่ปุณณ์จะหายไปสมทบกับเพื่อนคนอื่น... หัวใจผมหยุดเต้นชั่วขณะ ระหว่างเหลือบตามองเพื่อนทั้งโต๊ะอยู่
ว่าจะมีใครเกิดปฏิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์เมื่อกี้บ้าง.... แต่ทุกคนกลับทําตัวปกติ ไอ้พลพรรคปีศาจแดงยังถกเถียงเรื่องเป้าหมายทริปเปิ้ล
แชมป์ปีนี้ของมันกันอย่างออกรส (ถุ๊ย ฝันไปเหอะมึง) ไอ้พ้งไอ้เก่งไอ้เคนยังเล่น psp ไปกินข้าวไป ส่วนไอ้โอมก็ยังตั้งหน้าตั้งตาฟาด
ก๋วยเตี๋ยวสองชามตรงหน้ามัน โดยไม่มีใครปริปากถามอะไรผมซักคํา... คงรู้กันได้เองแล้วล่ะมั้ง ก็ดีเหมือนกันนะ.. เพราะถ้ามีใครถามอะไร
ขึ้นมาตอนนี้ ผมไม่แน่ใจเลย ว่าตัวเองพร้อมจะพูดจริงหรือเปล่า

เวลาผ่านไปจนถึงบ่าย.. ผมบอกว่าตอนเช้าโคตรซวยใช่หรือเปล่าครับ.. ถ้าอย่างนั้นตอนบ่า ยนี่จะเรียกว่าอะไรดีวะ... มหาซวยสัด ๆๆๆๆ


วินาศสันตะโรเลยดีไหม!? ชีวิตผมเริ่มวุ่นวายชิบหายตั้งแต่ตอนไอ้ฟี่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาถึงห้องนั่นแหละ! แม่งพูดมาได้ จะเอาคําร้องขอใบลา
ของน้อง ๆ วงโยฯที่จะไปยุโรป ภายในสามโมงเย็นนี้!!!!!! ฟี่.... น้องกู (และเพื่อนกับรุ่นพี่อีกนิดหน่อยด้วย) ไปกันครึ่งร้อย มึงวิ่งมาบอกกู
ตอนบ่ายกว่า ๆ แล้วจะเอาภายในสองชั่วโมงเนี่ยนะ!!!!! ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงกรี๊ดไปแล้วครับ ดีว่ายังมีสํานึกอยู่บ้าง เลยได้แต่มองหน้ ากับไอ้โอม
แล้วใส่เกียร์หมา เตรียมโดดเรียนโกยไปห้องชมรมทันที แต่.................. มิสพรพิศเข้ามาพร้อมกับข้อสอบโดยไม่มีการบอกพวกผม
ล่วงหน้า!? (อยากจะกรี๊ดจริง ๆ แล้วนะเนี่ย) มิสครับ!!!!!!! ทําไมต้องวันนี้ครับ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ผมยืนปวดหัวเป็นไอ้บ้าอยู่นาน ไล่กดโทรศัพท์
หาทั้งเพื่อนและรุ่นน้องในชมรมทุกคนให้ช่วยทําใบคําร้องแทนหน่อย ไอ้เมธฝ่ายสารนียากรก็เสือกติดสอบเหมือนผมอีก (อะไรนักหนา บรรดา
มิส ๆ จะขยันไปไหน) รุ่นน้องหลายคนก็ไม่ค่อยสะดวก อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะเป็นช่วงใกล้ปลายเทอมแล้ว หลาย ๆ ห้องเรียนเริ่มติว สอบ
กัน รวมถึงเทสเก็บคะแนนด้วย แต่ผมรู้ว่ามีคนหนึ่งไม่แคร์เรื่องพวกนั้นแน่... จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้เชี่ยเป้อ... ไอ้ห่านี่ ไม่สนใจติว
สอบหรือคะแนนเก็บอยู่แล้ว (ไม่ใช่ว่ามันฉลาดนะครับ มันสันดานเสียมากกว่า) แล้วผมก็คิดไม่ผิดเลยที่โทรหามัน เพราะแค่พูดไม่ กี่คํามันก็ตก
ลงใจจะเป็นธุระให้ทันที! ไม่เท่านั้นน้องน็อตยังตามออกมาช่วยอีก! (คนนี้เขาไม่ได้สันดานเสียเหมือนเชี่ยเป้อหรอกครับ เขาฉลาดแล้วของจริง)
ผมล่ะอยากโดดกอดพวกมันผ่านสัญญาณโทรศัพท์เดี๋ยวนั้นเลย!! เป็นอันว่า เมื่อได้ผู้กู้ชีวิตแล้ว (ขนาดนั้น ?) ผมก็รีบวิ่งเอาฟอร์มคําร้อง
ทั้งหมดไปให้พวกมันทันที คุ้ยหา
เอกสารเก่า ๆ ให้ดูเป็นแนวทางอีกนิดหน่อยด้วย เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เห็นสองคนพยักหน้ารับปากผมแข็งขันพลางผลัดกันตบบ่าบอกผม
ให้วางใจมัน... คือ กูก็วางใจน็อตอยู่อะนะ แต่เป้อ... มึงอย่าทําเสียงานนะเว่ย!!! ผมมองหน้าไอ้เป้อแบบดุ ๆ เป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย
ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปเพื่อเทสวิชาเคมีต่อ เห็นไอ้ตี๋นั่นทําท่ากระตือรือร้นแล้วก็โล่งใจ ผมคงไว้ใจได้จริง ๆ มั้ง... กระทั่งเวลาบ่ายสามโมง
พอดี พวกมั น ก็ ส่ ง sms มาบอกผมว่ า 'เรี ย บร้ อ ยว่ ะ พี่ คนอะไรไม่ รู้ เก่ ง จั ง sender : เป้ อ ปิ่ น เกล้ า '
เย๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด น้องกูมันทําได้จริง ๆ ว่ะ!!?! ทันทีที่ได้รับ sms หลงตัวเองจากไอ้เป้อ (มันเป็นคนเม็มชื่อนี้เองครับ บอก
ว่าจิ๊กโก๋ดี) ผมกับไอ้โอมก็แทบกระโดดกอดกันกลางคาบภาษาอังกฤษซะให้รู้แล้วรู้รอด โอ๊ยยยยย ทําไมน้องผมถึงฉลาดงี้วะ!! คราวที่แล้วตอน
ผมทําเอกสารเองยังต้องงมแทบตาย ถ้าไม่ได้ไอ้ปุณณ์ช่วยอย่าหวังจะเสร็จ แต่ทําไมไอ้พวกนี้ผ่านฉลุยกันดีจัง เอ๊ะ หรือผมโง่เองวะ? (ยิ่งคิดยิ่ง
ไม่ไว้ใจตัวเอง) ตอนเย็นพอมิสปล่อยกลับบ้านปุ๊บ ผมกับโอมก็รีบพุ่งออกไปห้องชมรมปั๊บ หวังจะชมไอ้สองตัวนั้นให้ลอยติดเพดานซัก
หน่อย แต่น่าจะรู้ว่าคนอย่างไอ้เป้อไม่ต้องรอผมมาชมหรอก มันจัดการของมันเองได้อยู่แล้ว "โหพี่ แล้วตรงที่ยากที่สุดน่ะนะ ต้องเป็นตอน
กะตัวอักษรให้อยู่ระยะพับสองทบแล้วทับเส้นพอดีอะพี่!" เห็นมะ... กูว่าแล้วมันต้องมายืนโม้อ ยู่ ผมกับโอมเปิดประตูเจอเชี่ยเป้อยืนหันหลัง
ขณะกําลังโม้นํ้าลายแตกฟองให้พี่ดิวฟังเรื่องความดีความชอบของมันเมื่อรอบบ่าย แถมดูท่าพี่ดิวจะรู้งานอีก เพราะพอเขาเห็นพวกผมเปิด
ประตูเข้ามาก็ทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเป้อโม้ต่อตาแป๋ว
จนไอ้เด็กพูดมากไม่ทันรู้สักนิดว่าผมเข้ามาแล้ว พอเห็นดังนั้น ผมกับโอมเลยได้ที.................. คลานลงกับพื้น.. แล้ว..... "เนี่ย แก้ตั้งหลาย
รอบแน่ะพี่!! ขนาดไอ้น็อตยังเบลอเลย! ดีว่าผมน่ะนะ..... โอ๊ย!!!!!!!!!!!!!!!!!! " "ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ขํานํ้าตา
เล็ดว่ะ! ผมกับโอมลงไปนอนขํากลิ้งพลางยกมือแปะกันอย่างชอบใจทั้งที่เราทั้งคู่ยังมีขนหน้าแข้งไอ้เป้อติดมือกันคนละกระจุกอยู่ กร๊ากกกก
กกก ไอ้เด็กหน้าตี๋ร้องอูย ๆๆ พลางล้มตัวมองซากความเสียหายของขนที่ร่วงเป็นหย่อม ๆ บริเวณหน้าขา "เล่นไรวะพี่!! โคตรเจ็บ!" "ก็
มึงขี้โม้ กูหมั่นไส้ นี่แน่ะ!" ไม่ด่าเปล่า ขอตบหัวอีกทีเหอะ ผมกับโอมผลัดกับโบกหัวเหม่ง ๆ ของไอ้เป้ออย่างสนุกสนานขณะที่พี่ดิวผสมโรงขํา
ไปด้วย "มันเล่าไรพี่ อย่าไปเชื่อมัน แม่ง ขี้โม้" "เหอะ กูไม่ได้ฟัง ปล่อยแม่งพล่าม" ก๊ากกกกกกกก เท่านั้นแหละ ไอ้เป้อหน้ าบูดเป็นตูด
น้องวินทันที "จําไว้เลยนะ... งอนแล้ว!" อ้าว ชิบหายอีกกู เดี๋ยววันหลังมีงานด่วนจะเรียกใช้มันไม่ได้ "โอ๋ ๆๆ ล้อเล่นนนนนน มึ งเก่งงงงงงง
งงง อย่างอน ๆๆ เอ่เอ้ ๆ" แต่อย่าคิดว่าวิธีปัญญาอ่อนแบบนี้จะเป็นของผมครับ ไอ้เชี่ยโอมเห็น ๆ ที่ทําท่าก๊องแก๊งอยู่หน้า ไอ้เป้อมัน (ตั้งแต่มี
แฟนเด็ก เอาใจเก่งขึ้นเยอะนะมึง) จนไอ้เป้อต้องหัวเราะแล้วปัดมือรุ่นพี่ปัญญาอ่อนไปมา.. เออกูว่าพวกมึงอะ ปัญญาอ่อนพอกัน "แล้ ว
ไอ้น็อตไปไหนอะ ไว้ว่าง ๆ จะพามึงสองตัวไปเลี้ยงหนม" "ช่วยพี่ฟิล์มดูโซนวงโยฯอยู่ลานอิฐอะพี่ เดี๋ยวผมบอกมันให้" เป้อตอบผมให้พยัก
หน้ารับ แต่.... ฟังแล้วแปลก ๆ ว่ะ
"ไอ้น็อตช่วยไอ้ฟิล์มอยู่ลานอิฐ ?...... แล้วมึงล่ะ!? ไอ้สัดนี่ อู้นัก ไปช่วยพวกนั้นเลย!" ผมบ่นพลางเงื้อมือหมายจะตบกบาลมันซํ้าอีกรอบ
แต่แม่งเสือกรู้ทัน เพราะเป้อแค่ยิ้มแหะ ๆ แล้ววิ่งปรู๊ดหายออกไปจากห้องชมรมทันที "แล้วจะออกไปช่วยวงป่าวโน่" เสียงพี่ดิวถามผมที่ชู
มือเก้อ ขณะกําลังยกคูลเลอร์นํ้าออกไปสวัสดิการน้อง ๆ อยู่ "ไปดิ่พี่ เอามา ๆ เดี๋ยวผมช่วยถือ" ผมอาสาช่วยพี่ดิวเต็มที่ แต่.... ทํ าดีไม่ค่อยขึ้น
จริง ๆ ว่ะ เพราะไอ้โอมเสือกฉุดคอเสื้อผมลงไปนั่งหงายหลังบนโซฟาแทนซะอย่างนั้น!? "ไม่ต้องกระแดะ มึงอยู่นี่รับโทรศัพท์จากสมาคม
ไป เขาจะโทรมาก่อนห้าโมงเย็นเรื่องส่งวงโยฯไปแข่ง แต่ถ้าเค้าไม่โทรมามึงต้องโทรไป เข้าใจ๊!" เออดี มอบหน้าที่สบายโคตร ๆ ให้กูเชีย ว แค่
นอนในห้องรอโทรศัพท์เฉย ๆ เนี่ยนะ!? ทําไมไม่ทําเองวะ ผิดวิสัยขี้เกียจของมึงว่ะ ผมขมวดคิ้วมองหน้าไอ้โอมงง ๆ แล้วก็ต้องหัวเราะหึ
เมื่อนึกอะไรบางอย่างออก "เออ ได้ กูนอนตากแอร์เฝ้าโทรศัพท์เอง เชิญมึงไปลําบากป้อนข้าวป้อนนํ้าเด็กวงโยฯตามสบาย หึหึหึ" แต่พ อ
จบคํ าเท่า นั้น แหละ แม่ง หัน มาส่ง สายตาเขีย วปั๊ด ใส่ ทัน ที "เดี๋ย วกูเปลี่ย นใจแม่ง !" โห ขู่อีก เห็น ดัง นั้น ผมเลยต้ องรีบ ยกมือไหว้มั น "ไป
เหอะค๊าบบบบ พี่โอมม น้องโน่อาสารอโทรศัพท์คุณหญิงอยู่ที่นี่แหละก๊าบบบบ" ก็เพราะเดี๋ยวเกิดเปลี่ยนใจจริง ๆ ผมจะพลอยซวยอดนอน
ตากแอร์ไปด้วย แหะ ๆ ตัวกูเป็นขนว่ะ ไอ้โอมยกนิ้วชี้หน้าผมเคือง ๆ ก่อนจะเดินช่วยพี่ดิวถือคูลเลอร์นํ้าออกไปขณะผมปฏิบัติภาระกิจ
กลิ้งเล่นรอบห้องอยู่ โอ่ย.. น่าเบื่อชิบหาย บทจะมีอะไรทําก็ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันซะหมด แต่พอบทจะว่าง ก็ไม่มีห่าอะไรให้จรรโลงใจ
เล้ยยย ผมเดินไปนั่งแหมะบนพื้นกลางห้องพลางคว้าเอากีต้าร์โปร่งตัวที่ใครสักคนคงวางทิ้งไว้มาดีดไล่เสียง.. อืม เล่นเพลงไรดีวะ ผมพลิก
หนังสือเพลงตรงหน้าหาอะไรทําฆ่าเวลาไปด้วย 'เช้าไม่กลัว ไม่กลัว ก็กลัวจะไม่เช้า เช้าแค่ไหนก็ไหว'
แต่ไม่ใช่เพลงนี้มั้ง...... โทรศัพท์กูดังนี่หว่า ผมยกตูดขึ้นข้างหนึ่งดึงมือถือในกระเป๋ากางเกงมากดรับทั้งที่ไม่มองเบอร์ "อยู่ไหนอะโน่" แต่
ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร "ห้องชมรม มึงล่ะ" ปุณณ์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามผมเสียงเบา ๆ แทนคําตอบว่า "ไปหาได้มั้ย.." แล้วทํ าไมต้อง
ทําเสียงอย่างนั้นวะ? "มาดิ่ มาเลย" ผมอนุมัติคําขอ ก่อนปลายสายจะวางหูไป รอไม่นานนักประตูห้องชมรมก็เปิดออก "อ้าว อยู่คนเดียว
อีกแล้วเหรอ" "อือ คนอื่นซ้อมวงอยู่ลานอิฐ กูรอรับโทรศัพท์" ปุณณ์พยักหน้ารับคําอธิบายนั้นก่อนจะเดินมาล้มตัวลงนัง่ หน้าผม "ก็ ว่าได้ยิน
เสียงอยู่.. แล้วนี่ทําไรวะ" "ขูดหินปูนมั้ง.." ก็ถามมาได้ เห็นอยู่ว่ากูแบกกีต้าร์ไว้บนตัก แต่พอจบคํานั้น ผมถูกไอ้ปุณณ์ทุบหัวหนึ่งที "กวนตีน
... ขนมเมื่อคืนได้กินป่าว" ไม่เห็นเกี่ยวกันเลยนี่หว่า ผมเลิกคิ้วมองหน้ามัน แล้วยิ้มตอบ "กินดิ่ อร่อยดี ขอบใจว่ะ" เรียกรอยยิ้ม ปุณณ์ให้กว้าง
ขึ้นไปอีก "แล้วฝันดีมั้ย" "ดูตากูเด่ะ.." แรคคูณซิตี้ขนาดนี้ยังกล้าถาม ไอ้ปุณณ์หัวเราะฮ่า ๆ ขณะที่ผมขําเบา ๆ แล้วนั่งเกลากีต้าร์เป็น
เพลงมั่วต่อ ระหว่างเราเงียบไปพักหนึ่ง เหลือเพียงเสียงกีต้าร์เท่านั้นที่ดังในห้อง... ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อ สัมผัสได้ว่า
ปุณณ์มองผมนานเกิน 5 นาทีแล้ว ทั้งที่ผมไม่ได้สบสายตามันเลย
ไม่รู้สิ... คงเป็นเพราะผมรู้ล่ะมั้ง ว่าปุณณ์ถ่อมาถึงนี่ทําไม.. "เมื่อวานที่มึงโทรมา กูเป็นห่วงมากนะ.. รู้ใช่รึเปล่า" ............. อืม นี่ไง.. ผมรู้
.. รู้ว่าทําให้ปุณณ์ไม่สบายใจ.. แต่ทุกอย่างก็บอกผม ว่าผมจะแบกความรู้สึกพวกนั้นไปหาปุณณ์ไม่ได้... เป็นเพราะผมเพิ่งทําให้ยูริร้องไห้และ
เดียวดายกลับไป ผมเองก็ไม่สมควรจะมีใครมาปลอบใจเช่นเดียวกัน ผมไม่ได้ตอบคําถามนั้น จึงกลายเป็นช่วงเวลาทีเ่ ราสองคนต่างเงียบใน
ห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ.. แม้กระทั่งเสียงกีต้าร์จากปลายนิ้วผมก็หายไป.. เพราะรู้สึกราวกับตัวเองถูกดูดพลังทั้งหมดไปแล้ว.. เราเงียบจนได้
ยินแม้เสียงลมจากแอร์ที่ให้ความเย็นอยู่.. ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนปุณณ์จะพูดอีกประโยคออกมา "มีอะไรที่กูต้องรู้บ้างมั้ย..." ผมเงยหน้า
มองตอบดวงตาคมที่เต็มด้วยความหวาดหวั่นคู่นั้น เพราะไม่เคยเห็นปุณณ์เป็นอย่างนี้มาก่อน ใบหน้าปุณณ์ราวกับอ้อนวอนผมอะไรบางอย่าง
ที่ยังไม่เข้าใจ ดวงตาคู่นั้นทําให้ผมปฏิเสธคําตอบไม่ได้ แต่กว่าคําพูดจะถูกแค่นออกมาก็ยากลําบากเหลือเกิน "กู... ไปบอกเลิกยู ริมา.. บอก
เขาว่าคงคบต่อไม่ได้ แล้วเขาก็............ ร้องไห้..." ผมค่อย ๆ เล่าโดยไม่สบนัยน์ตาคู่นั้นอีก พื้นห้องที่มองอยู่ดูเวิ้งว้างจนหนาวเหน็บ "กู.... ไม่รู้
ดิ่.... กูไม่อยากเห็นเค้า.. ร้องไห้..... มันทําให้กู.. เกลียดตัวเอง..." "โน่คิดดีแล้วจริงหรือเปล่า.." แต่ด้วยคํานั้นทําให้ ผมต้องกลับไปมองหน้า
ปุณณ์ทันที คราวนี้เป็นปุณณ์เองที่ไม่สบตาผม "โน่คิดเรื่องยูริดีแล้วจริงเหรอ.." "ทําไมปุณณ์พูดงั้น ?" ผมส่งเสียงหนัก ๆ กลับไปหาคน
ตรงหน้า ที่ดูมีอะไรในใจมากมายจนเดาไม่ออก "..............." ปุณณ์ไม่ตอบผมแต่ใบหน้าด้านข้างที่เห็นนั้นดูเศร้าหมองจนต้องเอื้ อมมือแตะ
ไหล่มัน ให้หันมาสบตาผมใหม่ "ปุณณ์...." ผมเรียกชื่อนั้นอีกครั้งเบา ๆ อีกฝ่ายจึงได้ส่งยิ้มฝืน ๆ มาให้
"ไม่รู้ดิ่... กูคงคิดมากไปเอง ฮะ ๆๆ" แต่เสียงหัวเราะที่ได้ยินกลับฟังดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย ผมมองใบหน้าหมองที่หลบตาผมอีกครั้ง มอ ง
ปุณณ์ทําทีเป็นเปิดหนังสือเพลง ไม่มองผมอีก ท่าทางผิดปกติเหล่านั้นเรียกให้ผมส่ายหัวหน่าย ก่อนจะเกลาอินโทรกีต้าร์เพลงหนึ่ง ที่ยังคง
จําได้ดีขึ้นมา ฉันดีใจที่มีเธอ... ปุณณ์มองหน้าผมด้วยความตกใจ แทบจะทันทีที่อินโทรเพลงนี้ดัง.. ผมยิ้มให้ท่าทางแบบนั้นข องมัน
ก่อนจะพูดต่อขณะเกลากีต้าร์ไป "กูคิดดีแล้วเรื่องยูริ... เพราะถึงจะคบกันต่อ กูก็คงรักเขาไม่ได้....." "รู้ได้ไง.. มึงเสียใจขนาดนั้น จริง ๆ
อาจจะรักยูริก็ได้ ใครจะรู้" เสียงทุ้มที่ได้ยินตัดพ้อเป็นเด็ก ๆ นําให้ผมหัวเราะหึหึ ก่อนจะพูดต่อ "ก็รักมึงไปแล้วนี่หว่า...." อืม.. ท่อนนี้เกลา
ยากเหมือนกันแฮะ ปุณณ์มันก็เก่งใช่เล่นนี่หว่า.. "อะไรนะ!!!?" โห... จะตะโกนเสียงดังหาแมวที่ไหนไม่ทราบ ผมเหลือบตามองไอ้หล่อที่นั่ง
หน้าเหวออยู่ ก่อนจะแกล้งทําเป็นเกลากีต้าร์ต่อ ไม่สนใจคําถามมัน "โน่......... เมื่อกี้พูดว่าอะไรครับ!! ขอฟังอีกรอบได้ไหมอะ!! นะโน่ นะ ๆ
ๆๆๆๆๆๆๆ" ว่าแต่ไอ้คนเล่นบทโศกเมื่อกี้ มันหายไปไหนแล้ววะ!? ผมหัวสั่นหัวคลอนทั้งที่มือยังเกลากีต้าร์เพราะไอ้ปุณณ์เล่นเขย่าตัวผมด้วย
ความแรงวัดได้ 8 ริกเตอร์โดยประมาณ "พูดไร กูปล่าวววววววววววววว หึหึหึหึ" ผมโบ้ยทั้งที่ยังถูกเขย่าอยู่ โว้ยยย คนจะเล่นกีต้าร์ มึงยุ่ง
อะไรนักหนาเนี้ย!! ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปดีดคอร์ดเพลง น้องเปิ้ลน่ารัก ของ พาราด็อกซ์ ที่บังเอิญเปิดเจอเรียบร้อยแล้วครับ
"โน่!!! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!! ถ้าไม่พูดนะ!!!! กูจะ......................." มันจะทําอะไรวะ.. จะฆ่ากูป่าววะ เมื่อเช้าเพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ลงข่าวผัว
หึงโหด ใช้ปืนยิงเมียดับ ขึ้นหน้าหนึ่งไทยรัฐด้วย.. เอ๊ะ แล้วระหว่างเราใครเป็นผัวเป็นเมียวะ เออช่างเหอะ ปุณณ์คงไม่ทําแบบนั้นมั้ งงงง
ผมหยุดดีดพลางเหล่มองมันอย่างกลัว ๆ เพราะเกรงว่าเดี๋ยวมีงอนอีกรึเปล่า แต่ปุณณ์กลับยิ้มกว้างแล้วดึงผมไปกอดแน่น จนแทบไม่มีอากาศ
หายใจ "กูจะกอดมึงให้แน่นที่สุดเลย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" เฮ้อ.. โล่ง... ผมหัวเราะขําก่อนจะดึงมือออกจากกีต้าร์มาตบบ่าตอบมันเบา ๆ ปุณณ์
กระชับกอดผมแน่นพลางพูดต่อ "มึงรู้ปะว่าเมื่อคืนกูนอนไม่ได้ทั้งคืน กูกลัวไปหมดอะโน่ กูกลัวว่ามึงจะคิดได้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่มึงรักเป็นยูริ
ไม่ใช่กู.. กูกลัวว่าทั้งหมดจะเป็นความผิดพลาดในการตัดสินใจของมึง.. กูกลัวว่ามึงจะตื่นมาตอนเช้าแล้วบอกกูว่ามึงเลือกยูริ กูกลัวจนกูแทบ
ทําอะไรไม่ได้... เพราะสําหรับกู กูคิดดีที่สุดแล้ว ว่าคนที่กูรักหลังจากนี้ต้องเป็นมึงเท่านั้น.... ได้ยินมั้ยโน่... กูรักใครไม่ได้แล้วถ้าไม่ใช่มึง.."
ปุณณ์พ่นความรู้สึกในใจออกมาทั้งหมดพร้อมอ้อมแขนแนบแน่นจนผมต้องกอดกลับ เพื่อให้รู้ว่าผมเองก็ไม่ได้คิดต่างจากปุณณ์เท่าไหร่ ผม
กอดพลางโขกหัวตัวเองลงกับคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะค่อยผลักร่างอีกฝ่ายออกมา "ปุณณ์... มึงฟังนะ..." ผมสบดวงตาคมคู่นั้น หวังให้มัน
เห็นความจริงจากนัยน์ตาผม แต่สิ่งที่เห็นกลายเป็นดวงตาปุณณ์ มองตอบมาราวกับจะอ้อนวอน ซึ่งไม่จําเป็นเลย.. ผมไม่เคยคิดทําให้คน
ตรงหน้าเสียใจอยู่แล้ว "กูได้ยินอย่างนี้กูน้อยใจนะ.. กูไม่เคยทําให้มึงเชื่อเลยใช่มั้ยว่ากูคิดยังไง...." ถึงตรงนี้ไอ้หน้าหล่ออ้าปากจะเถียง แต่
มึงรอไปก่อน ขอกูพูดให้จบ "ทั้งเรื่องของมึง แล้วก็เรื่องของยูริ เป็นเรื่องที่กูคิดมาดีแล้วพอ ๆ กัน... กูรักยูริมาก แต่มึงก็รู้ ว่ารักที่กูมีให้ยูริมัน
ไม่เหมือนที่กูมีให้มึง... ยูริเป็นเพื่อนที่ดีกับกูมาก เขาเคยอดทนกับกูมาทุกอย่าง แต่กูกลับทําให้เขาเสียใจ...." ผมเว้นวรรคไปช่วงหนึ่งเมื่อภาพ
ใบหน้าเปื้อนนํ้าตาของยูริกลับมาในความคิดอีกครั้ง "กู... เกลียดตัวเองที่ทําให้คนอื่นต้องเสียใจ.... ไม่รู้ดิ่.. เขาทําอะไรให้กูตั้งหลายอย่าง... แต่
กู... นอกจากจะตอบแทนเขาไม่ได้แล้ว กูยัง..............." ถึงตรงนี้ริมฝีปากนุ่มของปุณณ์เลื่อนมาประทับกางกั้นคําพูดผม ราวกับ ไม่อยากฟัง
ต่อ ผมยอมให้ปุณณ์ขโมยคําพูดทั้งหมดไป เพราะคนตรงหน้าทําให้ผมรู้สึกสบายใจเหลือเกิน
"ไม่พูดต่อนะ... โน่ทําดีที่สุดแล้ ว รู้มั้ยครับ.." ปุณณ์กระซิบให้กําลังใจผม ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ทําให้อุ่นไปถึงหัวใจ "โน่ไม่รู้หรอกว่าตัวเอง
วิเศษแค่ไหน... โน่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตผมนะ" เข้าใจยอนี่! ผมยิ้มรับคําอวยจากปุณณ์ ก่อนริมฝีปากบางคู่นั้นจะทาบทับลงมาอีก ครั้ งนี้ผม
ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทําตามใจ เพราะช่างน่าแปลกที่แค่สัมผัสเดียวจากปุณณ์ กลับเรียกเอาพลังและกําลังทั้งหมดกลับคืนมา.. จูบนี้เปรียบดั่ง
รางวัลการันตี ว่าสิ่งที่ผมทําลงไปนั้น ถูกต้องแล้ว ปุณณ์เองก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตผมเช่นกัน =] เราสองคนผลัดกันจูบอย่ างโหยหา
ในความรักจากอีกฝ่าย จูบของปุณณ์ราวกับต้องการส่งต่อความรู้สึกทั้งหมดที่มีผ่านปลายลิ้นนี้ เลยกลายเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องตอบโต้กลับ
เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า สิ่งที่อัดแน่นในใจผมนั้น ไม่แตกต่างกันเลย จูบของเราร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่มีใครเป็นฝ่ายยอมจํานนก่อ น ริมฝีปาก
ปุณณ์ทาบลงมาซํ้า ๆ ยํ้า ๆ พร้อมปลายลิ้นอุ่น ที่ทั้งออดอ้อนและซุกซนไม่แพ้มือเจ้าของ ผมตีมือปุณณ์ทั้งที่เรายังจูบกันอยู่ เมื่อมือ ข้างหนึ่ง
เริ่มรุกรานมาในเสื้อนักเรียนผมโดยพละการ ปุณณ์ส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลําคอ ก่อนจะใช้มือข้างนั้นเลื่อนมาจับใบหน้าผมให้เอียงรั บรสจูบ
หวาน ๆ ได้ลึกลํ้ายิ่งขึ้น เราสองคนเบียดร่างกายเข้าหากันแม้จะมีกีต้าร์คั่นกลาง เป็นเวลานานจนแทบไม่เหลืออากาศหายใจ เมื่อคน
ตรงหน้าผมไม่มีทีท่าจะยอมหยุด ซํ้ายังชักจูงจนผมเคลิบเคลิ้มกับการกระทํานั้นไปด้วย แต่หากยิ่งปล่อยให้นาน เราก็ยิ่งต่างควบคุมตัวเองได้
ยากขึ้นทุกที ผมค่อย ๆ ยกมือข้างหนึ่ง หมายจะดันอีกฝ่ายให้ถอนริมฝีปากออก แต่ไม่ไวกว่าประตูห้องชมรมที่ถูกเปิด พร้อมเสียงแหลมเล็ก
ซึ่งผมคุ้นเคยดีเสียงหนึ่ง "โน่................. ปุณณ์........................." ยูริ!?

52nd CHAOS
"กูขอโทษษษษษษษษษษษ!!!!!!!!!" เบื้องหน้าผมตอนนี้คือไอ้โอมที่ยกมือไหว้ไม่ยอมเอาลง นานกว่า 10 นาทีแล้ว ใช่ครับ.. เป็น 10 นาที
แล้ว ที่ยูริเข้ามาเห็นคําตอบของคําถามทั้งหมดที่เธอเคยถาม ก่อนจะวิ่งจากไปโดยไม่มีคําถามใด ๆ เพิ่มเติมอีก "เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงไม่ผิดจริง
ๆ" ผมบอกพลางแตะมือโอมที่ไหว้ค้างไว้ไม่ยอมเอาลง ด้วยเหตุผลเพราะไม่อยากให้มันเก็บเรื่องนี้ไปคิดมาก ว่ามันเป็นตัวการที่พายูริเข้ ามาจน
เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างเมื่อกี้นี้.... ก็ในเมื่อเราทุกคนต่างจํากัดความว่ามันคือ 'เหตุการณ์ไม่คาดฝัน' แล้วผมจะปล่อยให้โอมคิดโทษ
ตัวเองอยู่แต่ฝ่ายเดียวได้ยังไง "ไอ้เหี้ย! กูแม่ง.... ไม่น่าพายูริมาเลย..... กูขอโทษว่ะ..... กู...." "เฮ้ยพอ... มึงไม่ ผิดเลยจริง ๆ เป็นพวกกูที่
ไม่ระวังเองโอม.... พวกกู... ประมาทเอง" ผมแค่นคําพูดออกมาอย่างยากลําบาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเอา ซะเลยที่จะยอมรับความจริง ว่า
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของตัวผมเอง.. มันไม่ได้เกิดจากยูริ ที่เพียงต้องการเอารูปสติ๊กเกอร์เมื่อวานมาให้ผ มตาม
ประสาเพื่อนที่ดีเท่านั้น มันไม่ได้เกิดจากโอม ที่เพียงแค่หวังดีพายูริมาหาผมในห้องชมรม จะได้ไม่ต้องฝ่ าฝูงผู้ชายมาเองทั้งที่ไม่ค่อยปลอดภัย
เท่าไหร่ แต่ทุกอย่างล้วนเกิดจากตัวผม.. ผมที่สนใจแค่ความต้องการของตัวเอง โดยไม่เคยคํานึงถึงผลที่จะตามมาเลยสักครั้ง ผมบีบมือโอม
เบา ๆ เตือนให้มันลดมือที่พนมอยู่ลง แม้ว่าหน้าตามันจะไม่ยินยอมอยากทําอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ทํ าตามโดยดี โอมมองตอบใบหน้าผม
เหมื อนต้องการพู ดคํ าขอโทษต่ ออี กสักร้อยคํา ทั้ งที่ ผมคิดว่ าโอมไม่ มีความจํา เป็น ที่จ ะต้ องทําเช่น นั้น เลย.. "โอ๊ย ย... กูแ ม่ง งง.. ......
โว๊ยยยยยยย!!!" สุดท้ายมันจึงได้แค่แหกปากโวยวาย ตีอกชกหัวตัวเอง ก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึง ๆ ออกจากห้ องไป โดยไม่ลืมปิดประตูให้
พวกผมก่อนออก (แม้จะโคตรรรแรงก็เหอะ) เฮ้อ.. ไอ้โอมก็แบบนี้แหละครับ ชีวิตเหมือนจะไร้สาระ แต่ก็รับผิดชอบทุกอย่างที่ทํา (เวลาที่มั น
ไม่ได้กวนตีนนะ)
เพียงแค่ครั้งนี้ ผมไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่โอมสมควรต้องรับผิดชอบจริง ๆ เสียงที่เคยโหวกเหวกภายในห้องชมรมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนกลายเป็น
สงบลง เหลือเพียงลมหายใจของผม ที่ถูกระบายออกมาหนัก ๆ.. ความรู้สึกปวดหัวและสับสนกําลังประเดประดังเข้ามาเล่นงานจนผมตั้งตัวไม่
ทัน จําต้องล้มลงนั่งบนโซฟาตัวยาว ที่มีอีกคนเอนหลังอยู่ก่อนแล้ว ใช่ครับ.. ปุณณ์ยังไม่ไ ปไหน มันยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ และมีท่าทีกังวล
ตลอดจนผมรู้สึกได้ ผมเหลือบมองใบหน้าคมคายที่เต็มด้วยเค้าแห่งความกังวลนั้น ประกอบกับฝ่ามือชื้นเหงื่อทั้งสองข้าง ที่เจ้าของมันกอบกุม
กันแน่นอีก "ปุณณ์.... เป็นไรรึเปล่า?" แต่ถึงแม้เรี่ยวแรงตนเองแทบจะหมด ผมก็ยังอดเอ่ยถามคนข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เพราะรู้ดี
ว่าสิ่งที่ปุณณ์กําลังคิดคงไม่ต่างจากโอมเท่าไหร่ "กู.... ขอโทษนะ" แล้วก็เป็นดังคาด ผมมองปุณณ์ที่หันมาตอบเสียงแผ่วพร้อมนัยน์ตาหมอง
ถนัด แล้วอย่างนี้คนฟังอย่างผมจะทําเช่นไรได้ นอกจากส่งยิ้มเรียกกําลังใจคืนกลับไป เรี่ยวแรงที่คงเหลืออยู่ทั้งหมด ผมขอใช้มันยิ้มให้แก่
คนตรงหน้าผม "ขอโทษไรวะ คิดมาก! ถ้าจะผิด ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่แหละ" ผมว่าพลางตบบ่าแกร่งนั้นเบา ๆ ด้วยคําพูดที่ตรงกับใจเพียงครึ่ง หนึ่ง
เพราะในความคิดของผมจริง ๆ แล้ว ผมไม่เคยนึกโทษปุณณ์แม้แต่น้อย หากใบหน้าคมนั้นยังคงเคร่งขรึม "แต่เป็นกูที่........... เริ่ม.." อืม
... งั้นถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ...... ผมคลี่ยิ้มให้ไอ้คนหน้าเครียดที่กําลังสบสายตาผมอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนวงหน้าไปจรดริมฝีปากเหนือ กลีบปากสี
อมส้มนั้นเบา ๆ ปุณณ์ดูตระหนกนิดหน่อย แต่ก็ยินยอมให้ผ มเป็นฝ่ายรุกลํ้าโดยดี ผมแอบอมยิ้มกับท่าทีว่าง่ายนั้นก่อนจะกวาดชิมรสหวาน
จากปากของปุณณ์จนกว่าตนเองจะพอใจ "ทีนี้ผิดเท่ากันรึยัง" จนกระทั่งถอนริมฝีปากออก ผมจึงได้หลิ่วตาถามคนตรงหน้า ให้มันส่งเสียง
หัวเราะ
เบา ๆ แทนคําตอบที่ผมต้องการ "แล้ว.... ไม่ตามเค้าไปจะดีเหรอ.." คือคําถามจากปุณณ์ในเวลาต่อมา อืม.... ความรู้สึกหนักอึ้งแล่นวน
กลับมาทันทีหลังจากได้ฟังคําถามนั้น ผมยอมรับว่าตัวเองนิ่งไปเพราะจนด้วยคําตอบ.. แม้เมื่อกว่า 10 นาทีก่อน สองขาของผมจะสั่งการให้
ตัวเองวิ่งตามยูริไป แต่สมองกลับตะโกนถามดังกว่านั้น ว่าผมจะตามยูริไปอีก เพื่ออะไร ในเมื่อผมไม่สามารถทําอะไรให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้สัก
อย่าง ไม่ว่าจะก้าวออกไปยอมรับหรือปฏิเสธ.. ผมไม่สามารถปิดบังเรื่องราวทั้งหมดได้ต่อ ในเมื่อภาพที่ยูริเห็น ล้วนฟ้องความจริงจนหมด
เปลือก แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับไม่มีความกล้าหลงเหลือพอที่ จะสารภาพความจริงออกไป ในเมื่อ.. ยิ่งผมพูดมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับยิ่งซํ้าเติม
จิตใจของยูริมากเท่านั้น แล้วผมยังเหลือวิธีไหนอีก......... ทุกอย่างในหัวรวมกันหนักอึ้งเสียจนต้องหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่ อน "โน่
..." แต่แล้วเนื้อเสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดี กลับคอยฉุดให้ผมตื่นจากภวังค์ พร้อม ๆ กับฝ่ามืออุ่นข้างเดิมนั้น ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คอยยํ้าเตือนเสมอ ว่า
ที่ตรงนี้ยังมีใครอีกคนคอยเคียงข้างผมอยู่.. ผมลืมตามองรอยยิ้มปุณณ์ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็น่ามองจนไม่อยากให้หายไป "ขอบคุณนะ" ผมเอ่ย
คํานี้กับคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บรรยายไม่ถูก... ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยเช่นไร แต่ผมรู้สึกอุ่นใจ ทุกครั้งที่
ลืมตามาเห็นปุณณ์อยู่ข้างกาย ผมรู้สึกว่าตัวเองจะปลอดภัย
*** หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ก็ดูท่าว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับยูริจะจบลง เพราะเธอไม่เคยโทรมาหา ออดอ้อนชวนไปดูหนัง กินข้าว
รวมถึงช้อปปิ้งด้วยกันอีก แม้แต่ในเวลาที่ผมตัดสินใจต่อสายโทรศัพท์ไปหาเธอ กลับพบว่ามีเพียงสัญญาณเรียกเข้าเท่านั้น ที่ยูริอนุญาตให้ผม
ได้ยิน เย็นวันหนึ่งเมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมา เราสองคนบังเอิญเจอกันบนรถไฟฟ้าระหว่างทางกลับบ้านโดยไม่คาดคิด ผมยอมรับว่า
ตัวเองรู้สึกประหม่าไม่น้อยที่ต้องเผชิญหน้ากับยูริ ทั้งที่เคยทําเรื่องไม่ดีไว้ขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถทําอย่างอื่นได้อีก นอกจากส่งยิ้มเป็นมิตรให้
เธอตามแบบฉบับที่ผมเคยเป็น แม้จะรู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากเห็นหน้า หรือแม้แต่ผูกมิตรกับคนอย่างผมแล้ว ภาพที่จําได้ติดตาคือใบหน้า
เฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกันของยูริ.. ดวงตาเธอมองผ่านผมไปราวกับว่าผมไม่มีตัวตนอยู่ ซึ่งก็คงถูกแล้วที่เป็นเช่นนั้น เพราะไอ้คนอย่า งผม หาก
ไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตยูริจริง ๆ.. เรื่องทั้งหมดก็คงดีกว่านี้ ยิ่งผมได้กลับมาคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง
ทําร้ายยูริมากเท่านั้น เพราะมันเป็นผม.. คนที่เพิ่งบอกเลิกเธอกับปากเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน ก่อนที่จะปล่อยให้เธอมาเห็นกับตาตัวเองว่า สาเหตุ
ที่ผมบอกเลิกยูริ เป็นเพราะอะไร.. เป็นเพราะ ผม เลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับ ปุณณ์ ผู้ชายที่มีศักดิ์เป็นถึงแฟนเก่าของเพื่อนสนิทเธอ อีกทั้ง
ยังภาพที่ยูริเห็น ก็แทบเป็นภาพเดียวกับภาพสุดท้ายในโลกที่เธออยากเห็น.. ผมไม่เคยคิดโทษยูริที่โกรธขนาดนั้น เพราะผมมันไม่มีสิ ทธิ์
อะไรเลย ในเมื่อผม คือฝ่ายที่ทําร้ายความรู้สึกเธอ จึงไม่ใช่ผม.. ที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าควรทําอย่างไรต่อไป หากแต่เป็นยูริ ซึ่งถ้าเธอพิพากษาว่าคน
อย่างผมไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนด้วยอีก ผมคงไม่สามารถอุทรณ์อะไรต่อได้... เพราะไม่ว่ายูริจะมอบบทสรุปรูปแบบไหนให้แก่ผม.. ผม ก็
ยินยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด
ผมสมควรแล้วที่จะได้รับบทสรุปนั้น.. เฮ้ออออ... เค้าว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุจะสั้นลง 7 วิ (จริงปะวะ) แต่ถ้าจริงผมคงเหลืออายุขัย
อีกไม่กี่นาทีแหง๋ ๆ ก็..... 'โครมมมมมม' แล้วใครวะเอาหมอนมาทุ่มหัวกู!!!!!!!!!!!!!! แม่งงงง... คนกําลังนอนใช้ความคิดอยู่แท้ ๆ!! ผมพลิก
ตัวมองหน้าผู้ต้องหาที่มายืนคํ้าหัวอยู่แล้วก็ต้องผงะ เพราะผมที่นอนตัวยาวบนพื้นห้องชมรมในตอนนี้ พบว่าหน้าตัวเองวางห่างจากตีนไอ้ โอม
แค่ไม่ถึงคืบ "หืมม ไอ้เชี่ยยยยยยยยยย เอาออกไปเลยนะ!!" แล้วใครยอมนอนดมตีนมันต่อก็บ้าแล้วครับ!! ไอ้สาดดดดด ผมผลุนผลันดันตีน
มันออก ก่อนจะต้องลุกขึ้นนั่งเกาหัวอย่างขัดใจ แต่ไอ้โอมยังมีหน้ามาหัวเราะอีก "ก็กูเห็นมึงนอนเหม่อดีนัก เรียกไงก็ไม่ตอบ เลยต้องเอา
กลิ่นมาดามหอมชื่นนนนใจให้ดม เป็นไง ชื่นนนนใจม๊ะ?" พ่ออออออ มึงสิ ผมหันไปชูนิ้วกลางใส่มันด้วยความพิศวาสกลิ่นมาดามเป็นอย่างยิ่ง
เฮ้อ.. วันนี้เป็นวันที่เราสองคน (ผมกับโอม) ต้องมานอนเฝ้าห้องชมรมกันทั้งเช้า กลางวัน รวมถึงเย็นด้วยครับ เนื่องจากไม่มีใครอยู่เ ลย
นอกจากพวกผม เพราะไอ้ฟิล์มเล่นยกโขยงพาน้อง ๆ รวมถึงรุ่นพี่บางส่วนไปแข่งขันวงโยธวาทิตที่เมืองนอก นั บดูแล้วเหลืออีกตั้งหลายวัน
กว่าจะกลับ ทิ้งให้พวกผมดักดานอยู่ในประเทศเขต(โคตร)ร้อนแบบนี้อย่างสุดแสนจะเซ็ง ผมนั่งเหล่ไอ้โอมที่เมื่อกี้แวะมาทุ่มหมอนกวน
ประสาทผม ก่อนมันจะเดินไปกระชากใบอะไรบางอย่างจากบอร์ดออกมายื่นให้ต่อ...... อะไรวะ? "ร้านคิโนะเค้าโทรมาบอกให้มึงไปเอา
สารานุกรมที่สั่งไว้วันนี้ ไอ้ควายยยยยยย โทรศัพท์แหกปากลั่นห้องตั้งนานมึงไม่รู้สึกตัวเลยใช่มะ!!" อ้าวเหรอ........ แล้วโทรศัพท์ ดังตอนไหน
วะ??? ว่าแต่.... ถ้าไอ้โอมอยู่ใน
ห้องด้วยแล้วปล่อยโทรศัพท์ดังตั้งนานกว่าจะรับทําไม นี่แสดงว่าระหว่างผมเผลอมันแอบเปิดตูดหนีไปเตะบอลอี กแล้วสิ! โห ไอ้เพื่อน
ชั่วววววว..... ผมล่ะอยากอ้าปากด่ามันซักสามยก ถ้าไม่ติดว่าใบเสร็จรับเงินปั้มตราร้านหนังสือ kinokuniya ลอยมาปิดหน้าเอาไว้ก่อน "ไป
เอา ด้ ว ย นะ มึ ง !!" แล้ ว ไอ้ ห่ า นี่ ยั ง มี ห น้ า มายํ้ า อี ก !!!!! แม่ ง พู ด เหมื อ นจะไม่ ไ ปด้ ว ยยั ง งั้ น อะ!!!! "ไปด้ ว ยกั น สิ ว ะ!" "ไม่ ว่ า ง
โว๊ยยยยยยยยยยยย" แต่อ้าววว........ แล้วอะไรของมัน?? ผมมองตอบไอ้โอมที่ร้องปฏิเสธแทบทันทีด้วยใบหน้าที่เขียนคําว่า 'ไม่เข้าใจ' ตัวใหญ่
กว่าควายแปะคาไว้บนหน้าผาก ท่าทางไอ้โอมจะอ่านใบหน้าแบบนั้นของผมออก เพราะตอนนี้มันกําลังอ้าปากอธิบายต่อ "ก็วันนี้อั๋นถึง
กําหนดกลับมาแล้วว บ้านกูต้องแห่ไปตั้งขบวนรับที่สนามบินนู่นน กูโดนจิกให้รีบกลับบ้านหลังเลิกเรียนเนี่ย" อ้าวจริงดิ่! ? เฮียอั๋นจะกลับ
มาแล้วเหรอ!? ผมเริ่มลิงโลดเป็นเด็ก ๆ เพราะเฮียอั๋นคือพี่ชายแท้ ๆ ของไอ้เชี่ยโอมครับ ทั้งหน้าตาดี ใจดี และมีกึ๋นต่างกับมันลิบลับ ก็เฮีย
เล่นเป็นนักเรียนนอก พ่วงดีกรีปริญญาโททางด้านวิศวกรรมมาจากอังกฤษ แบบนี้จะเอาไอ้โอมไปเทียบด้วยได้ไงอะครับ ก็ไอ้ห่านี่แค่เรียนม.
ปลายจะรอดรึเปล่า ดร.แหวนยังต้องลุ้นอยู่เลย "เฮ้ย แล้วมึงว่าเฮียอั๋นจะมีของฝากมาให้กุปะวะ กุตื่นเต้นว่ะ" ว่าแล้วก็ขอฝันถึงช็อคโกแล
ตกล่องโต ๆ ซักสามสี่กล่องหน่อยเถอะน่าาาา อู๊ยย ลาภปากกกก 'โป๊ก!!' แต่แม่งงงง!! ไอ้ห่านี่จะขัดลาภกูไปถึงไหน!! ผมหรี่ตามอง
ไอ้เชี่ยโอมที่เพิ่งประทุษร้ายผมด้วยมะเหงกอันใหญ่ก่อนจะตามมาเบิ้ดกะโหลกต่ออีกหนึ่งครั้งถ้วน (โหไอ้นี่ ได้ทีเอาใหญ่นะ!!) "พี่กูยังไม่ทัน
กลับ เสือกถามถึงของฝากละ ไม่ค่อยเลยนะมึง!!" ก็ทําอย่างกับมึงไม่เคย!! ผมเริ่มอุบอิบด่ามันไม่เป็นภาษา เพราะเคืองที่แม่งไม่ช่วยแ บก
หนังสือแล้วยังจะงกของฝากอีก เออ พูดถึงเรื่องหนังสือ มันไม่ไปช่วยแบกแล้วผมจะหอบกลับมาท่าไหนวะนั่น!
"เชี่ยโอมม มึงไม่ไปช่วยกูจริงอะ สารานุกรมแม่งมีตั้ง 14 เล่มนะเว่ย" แถมปกแข็งอีกต่างหาก.. ผมขมวดคิ้วมองไอ้โอมที่ทําหน้าครุ่นคิดอยู่
พักหนึ่ง แต่ก็ลงท้ายด้วยการสะบัดหัวพรืดอยู่ดี "เหอะะะะะ ไม่ได้จริง ๆ ว่ะ วันนี้บ้านกูสั่งให้รีบที่สุด" "หูยยยยยยย แล้วใจคอมึงจะให้
กูแบกคนเดียวจริงเหรอว๊าาาาา" แค่คิดก็หนักแล้ว... ยิ่งแต่ละเล่ม ไซส์ควาย ๆ ทั้งนั้น โอ่ย... ผมนั่งเกาหัวตัวเองไปมองใบเสร็จ รับเงินของคิ
โนะไปอย่างจนตรอก แต่เพียงแค่ไม่นาน นํ้าเสียงเจ้า เล่ห์ของไอ้โอมก็ดังขึ้น "มึงจะไปยากอาไร๊..... แค่ยกโทรศัพท์กริ๊งเดียว ไอ้ปุณณ์ก็รีบ
กระดิกหางไปช่วยมึงแบกหนังสือแทนกูละ" เออว่ะ!!!!!! ลืมได้ไงเนี่ย!!!!!!! ว่าแต่ตะกี้ไอ้โอมมันบอกว่าปุณณ์ทําไมนะ ? กระดิกหางรึเปล่า.....?
เอ๊ะไอ้นี่ชักลามปาม แต่เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีทีหลัง ตอนนี้ขอโทรหาปุณณ์ก่อน ผมหันไปยกนิ้วโป้งให้ความคิด (ชั่ว ๆ) ของไอ้เชี่ยโอม ก่อนจะต่อ
สายหาเบอร์เลขาสภาฯทันที 'อย่าลืมค าว่า รัก ค านั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น.. ค าส าคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี...... อย่าลืมค าว่า รัก ค
านั้น ที่เคยบอกกันและกัน.. เพียงแค่คืนและวันได้เลยผ่าน อย่าให้อะไรมาเปิด รักเรา' อืม......... แล้วก็เป็นเพราะ caller ring เพลงนี้แหละ
ที่ทําให้ทุกครั้งเวลาผมเจอไอ้ฟี่ มันเป็นต้องหยุดชี้หน้าผม แล้วพูดคําว่า 'อย่าลืม' ทุกครั้งไป -_- เป็นไรมากมั้ยมึง -_- นี่ยังไม่ได้เอาผิดกับไอ้ตัว
ต้นเหตุเลยนะ ฝากไว้ก่อนเหอะ.... ผมนั่งฟังเสียงพี่บีร้องเพลงอยู่พักหนึ่งจนคิดว่าตัวเองจะต้องคอยเก้อซะแล้ว แต่จนแล้วจนรอดเจ้ าของ
เบอร์ก็โผล่มารับสายจนได้ "ว่าไงครับโน่ ?....... เฮ้ยแม็ก! แม็กพิมคํานี้ผิด" เอ่อ...... เริ่มต้นมาก็ดูท่าไม่ค่อยดีเลยแฮะ ผมเกาหัวแกรก ๆ
ขณะฟังเสียงปุณณ์บอกรุ่นน้องว่าต้องพิมพ์เอกสารคําร้องยังไง "ไงโน่ โทษที อยู่ห้องสภาฯอ่ะ" เอ้อ... กูโทรไปกวนรึเปล่าหว่า...
"งั้นทํางานไปเหอะ เดี๋ยวกูค่อยโทรไปใหม่" "เฮ้ยไม่เป็นไร! คุยได้ มีไรรึเปล่าครับ" แล้วคุยได้จริงเหรอว้าา.... ผมขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือน
ได้ยินเสียงไอ้ฟี่โวยวายล้งเล้งอยู่ไกล ๆ คล้ายว่ามันกําลังเปิดศึกทะเลาะกับใครอยู่ แต่ช่างเหอะ.. "เย็นนี้..... ว่างปะ" ไหน ๆ เสียเงินโทร
มาแล้วก็ถามเลยละกัน (ไม่งั้นเสียดายค่าโทรศัพท์อีก) ได้ยินเสียงปุณณ์พลิกกระดาษอะไรซักอย่างในมือสองสามทีก่อนจะตอบ "ทําไมเหรอ มี
ธุระไรรึเปล่า" เอ.... ฟังดูเป็นลางไม่ดีแฮะ.. "ก็...... ต้องไปเอาหนังสือที่พาราก้อนอะ" "เยอะมั้ย" ".............. สิบ.. สี่เล่ม.." เยอะป่าว
วะ แหะ ๆๆๆ "ฟี่!!!!!!!! เย็นนี้กูไม่อยู่ห้องสภาฯนะ!!" เอาแล้วไง.... เพราะพอสิ้นคําผมปุ๊บ ไอ้ปุณณ์ก็หันไปแหกปากปั๊บ เออดี... ว่าแต่ไอ้ฟี่
จะยอมเหรอ "ไม่ได้โว๊ยยยยยยยย!!!! มึงต้องอยู่!" ไหมล่ะ... กูว่าแล้ว ผมกําลังจะอ้าปากบอกปุณณ์ว่าถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร (บอกคนในคิ
โนะให้ช่วยขนของขึ้นแท็กซี่หน่อยคงได้มั้ง?) แต่ไอ้ปุณณ์ดันชิงตะโกนตอบฟี่ก่อน "มึงจะให้กูใจร้ายปล่อยแฟนไปขนหนังสือคนเดียวรึไง!!!"
แล้วนั่น!!!!!!!!!!! ปากกกกกกกกกกก มึงเหรอออออออ ที่พูดน่ะ!!!! ไอ้เลขาสภาฯเวรรรรรร กูจะ ฆ่าาาาาาาาาาาา มึง!!!!!!!!! "เออ!!!!!!!!" แต่ไม่
มีช่องว่างให้ผมด่า เมื่อเสียงฟี่ที่ได้ยินตะโกนตอบกลับมาทําเอาแสบแก้วหู แล้วก็คงต้องฟังไอ้เลขาฯกับประธานสภาฯเถียงกันอีกนานแน่ ถ้า
ผมไม่รีบตัดบทอะไรซักอย่าง
"ปุณณ์!! ไม่ว่างไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปคนเดียวก็ได้ แค่โทรมาถามเฉย ๆ โอเคนะ?" ผมพยายามหว่านล้อมปลายสายที่กําลังคุยด้วยให้แยกย้าย
กันไปทําหน้ าที่ของตัวเอง แต่อ้อ! จริง ๆ แล้วผมน่าจะบอกมันอีกด้วยว่า มึงไม่ต้องป่าวประกาศเรื่องกูเป็นแฟนมึงขนาดนั้นก็ได้ หน้ากู
บาง!!!!!!!! "ไม่เป็นไร ไปได้ เจอกันเย็นนี้นะ" "แต่.........." "ไว้เจอกัน" กริ๊ก อ้าว........ วางสายแล้ว.... อะไรข องมันวะ? ตกลง 'ไปได้'
ของมันนี่คืออะไร ผมมองไอโฟนในมือตัวเองอย่างมึน ๆ แต่ก็หันไปบอกโอมว่าปุณณ์คงไม่ว่าง แต่ไม่เป็นไร ผมไปเองได้ ร้านคิโนะคงมี
บริการช่วยขนหนังสือนั่นแหละน่า.. *** ทันทีที่ออดโรงเรียนบอกเวลาเลิก ไอ้เชี่ยโอมก็วิ่งแจ้นหางจุกตูดออกนอกห้องอย่างไว.... โห นี่ถ้า
ไม่รู้ก่อนว่ามันจะไปรับเฮีย ผมคงคิดว่าเย็นนี้มีถ่ายทอดสดกองประกวด FHM แน่ ๆ เพราะเป็นเหตุผลเดียวที่ดูเข้ากับสันดานเชี่ย ๆ ของมัน
แต่ท่าทางรีบร้อนอย่างนี้สงสัยไม่พ้นฝากเฮียซื้อของไว้แน่นอน...... ว่าแต่คืออะไรวะ ระหว่างหนังสือเพลย์บอยเล่มล่าสุด กับของฝากน้องมิก...
หึหึหึ อย่าให้กูรู้แล้วกัน ผมคิดพลางผิวปากพลางระหว่างทยอยเก็บของจากโต๊ะลงกระเป๋า หลังจากรํ่าลากับพวกไอ้เก่ง รถเก๋ง พ้ง ปาล์ม
โด่ง คมและอีกมากมาย ก็ได้เวลาออกไปทําหน้าที่เบ๊ชมรม เอาของที่สั่งไว้ซักที (เสียดายที่ไอ้ง่อยไปแข่งกะเค้าด้ว ย ไม่งั้นนะ.. พ่อจะใช้ให้
น่วม!) โว้ยย... คิดแล้วก็เบื่อ.. ผมหนีบกระเป๋าเข้าข้างเอว ระหว่างยกมือบ๊ายบายเพื่อนทั้งหมด
อืม..... ว่าแต่ตกลงไอ้ปุณณ์เอาไงวะ โทรศัพท์มือถือก็ไม่เห็นมันติดต่อเข้ามาซักนิด แต่ก็.. เอาเหอะ ช่วงนี้เห็นงานสภาฯยุ่ง ๆ มันคงไม่ว่าง
ไปเซ้าซี้มากก็ไม่ควร ผมบอกตัวเองอย่างนั้นก่อนจะยัดไอโฟนลงกระเป๋าเกงเกงนักเรียน แล้วมุ่งหน้าเดินไปยังประตูรั้วทันที แล้วเรื่ องราวก็
คงราบรื่นมากกว่านี้ หากไอ้ปุณณ์จะไม่ได้พุ่งมาจากไหนไม่รู้ แถมยังลากเอาแขนผมให้วิ่งออกนอกโรงเรียนพร้อมมันอีก!!"เฮ้ย!!!!!!!!! !!! ไรของ
มึง!!!!!!" "เร็วโน่! เดี๋ยวไม่ทัน!" มันว่าพลางลากผมวิ่งตรงดิ่งไปยังประตูทางออกโรงเรียนพร้อมมัน! เฮ้ยยย!! อะไรของมึงวะ!!! "ไม่ทัน
อะไร! ร้านปิดสามทุ่ม!!" มึงมั่วปะเนี่ย!! แต่ไม่ต้องรอให้ปุณณ์พูดต่อ เพราะคําตอบวิ่งตามมาโน่นแล้ว "เชี่ยปุณณ์ !!!!!!!! กลับมาเดี๋ยวนี้!!!!!!!!"
เฮ้ยยยยยย นั่นมึงหนีมันมาเหรอวะ!!!?? ผมผวาหันไปมองไอ้ฟี่เจ้าของเสียงโหวกเหวกด้านหลังแว่บหนึ่ง ก่อนจะถูกปุณณ์รีบผลักหลังยัดใส่
แท็กซี่อย่างเร็ว "กูไปแล้ววววววววว มีไรเรียกใช้น้องแม็กเอง บายเพื่อน!!!!!" เสียงไอ้ปุณณ์ตะโกนตอบประธานนักเรียนคู่ชีวิต ก่อนจะดึงประตู
รถแท็กซี่ปิดอย่างรวดเร็ว "ไปพาราก้อนครับพี่!" "เฮ้ยยยยยยยย มึงหนีมันมาไม!!!!!!" เดี๋ยวแม่งก็หาว่ากูขโมยเลขาสภาฯอีก!!!!!!! ผมหันไป
แว้ดมันทันทีที่รถออก "ก็จะให้กูปล่อยมึงไปคนเดียวได้ไงอะ หนังสือก็ตั้งเยอะ" ปุณณ์หั นมาว่าพลางยิ้มเผล่ทั้งที่เหงื่อเม็ดเป้งยังสิงอยู่บน
ขมับ.... เออ ก็ดีหรอกที่ไม่ทิ้งกูอย่างไอ้โอม แต่............. "แล้วงานสภาฯอะ ทิ้งมางี้ไม่เป็นไรเหรอ" เห็นท่าไอ้ฟี่วิ่งตามมาแล้วกูล่ะหวั่นจริง ๆ
แต่ไอ้ปุณณ์ดันส่งเสียงหัวเราะร่า "งานห่าเหวไรล่ะ! ไอ้ฟี่แม่งกวนตีน แฟนมันไม่ออกมาให้เจอสองอาทิตย์ได้แล้วมั้ง มันเลยจะให้กูอดไป
กับมึงบ้าง ดูความเลวของมันดิ่" อ้าววว ซะงั้น.... ไอ้ชั่วฟี่! ถ้ารู้งี้กูขอวิ่งกลับไปกระทืบซํ้าอีกสองทีก่อน ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแช่งไอ้ประธาน
นักเรียนแสบในใจ ขณะที่ปุณณ์บอกพี่คนขับให้เร่งแอร์หน่อยก่อนจะหันมาพูดต่อ "แต่แฟนกูเค้าไม่ใจร้ายอย่างแฟนไอ้ฟี่นี่หว่า... แล้วจะให้กู
ใจร้ายกับแฟนกูได้ยังไง" หืมมมม.....? ปากดีนักนะมึง ผมหันไปเลิกคิ้วมองหน้าคนพูดที่กําลังยิ้มกริ่มอยู่แล้วก็อดหลุดขําไม่ได้ "อาการหนักนะ
มึง หึหึหึ" "อื้อ มึงอะทํ ากูอาการหนัก ต้องรับผิดชอบด้วย" อ้าวไอ้นี่ จู่ ๆ ก็มายัดเยียดข้อหาให้เฉย ผมส่ายหัวกับความเพี้ยนของมัน (ที่
นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ) ก่อนจะเคาะนิ้วเป็นจังหวะเพลงลูกทุ่งตามที่คุณลุงคนขับกําลังฟังอยู่ ใช้เวลาไม่นานนักเราสองคน (กับอีกหนึ่ง
ลุงคนขับ) ก็มาถึงสยามโดยสวัสดิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าปุณณ์เป็นคนชิงจ่ายเงินทั้งหมดอีก.... โว๊ะ! ไอ้นี่จะทําตัวเสี่ยไปไหนวะ! (รู้แล้วโว๊ยว่าบ้าน
รวย) ผมเหล่ตามองมันที่รับเอาเงินทอนยัดใส่กระเป๋าตังค์โดยไม่นับ ด้วยความหมั่นไส้ "ตลอดอะมึง!! วันหลังกูไม่นั่งแท็กซี่ด้วยแ ล้ว!"
"อ้าว! มึงก็เก็บตังไว้เลี้ยงข้าวกูดิ่ หิวว่ะ กินไรดี" อ้าวไอ้นี่.... กูชวนมาเอาหนังสือ เสือกทําเนียนตลอด ผมเหล่ตามองไอ้ปุณณ์ที่ ทําเป็นยืนลูบ
ท้องหันซ้ายหันขวาแล้วก็อดใช้ศอกกระทุ้งแม่งไม่ได้ "ไปเอาหนังสือกะกูก่อน" "เฮ้ย! ก็โน่บอกเองว่าร้านมันปิดสามทุ่ม เราก็หาไรกินก่อนดิ่
จะให้แบกหนังสือไปกินด้วยรึไง" อืม... พูดจาฉลาดมีเหตุผล เสียอย่างเดียวที่ไม่รอผมตอบตกลงว่ะ เพราะตอนนี้มันเล่นลากผมเข้าสยามเซ็น
เตอร์มาเดินหาของกินเรียบร้อย "กินอะไรดีน๊าาา..." แล้วยังมีหน้ามาทําเสียงแอ๊บแบ๊วอีก เหอ ๆๆๆ เอาเหอะมึง เราสองคนเดินวนไปวน
มาอยู่ในห้างพักใหญ่ โดยที่ไอ้ปุณณ์เอี้ยวคอผมไปกอดไว้แน่นตลอด เอ่อ... ก็
เข้าใจนะว่าเด็กผู้ชายเดินกอดคอกันมันเรื่องปกติ แต่ตอนนี้กูว่า.......... ปล่อยเห๊อะ! ผมเริ่มดิ้นขลุกขลักในแขนมันที่ยังกวนตี นรั้งคอผมไว้
แน่นไม่ยอมปล่อย "โอ่ยยยย กูอึดอัด ปล่อยยยย" แต่ไอ้ห่าเลขาสภาฯเสือกทําเป็นผิวปากสบายใจ ผมเหล่มองมันอีกรอบ "ปล่อยยยยยย
เส่ะวะ..." เพราะตอนนี้เด็กผู้หญิงที่เดินผ่านเราไปเริ่มหันมามองแล้วครับ "เป็นไร ขอวางแขนแค่นี้ก็ไม่ได้" ไอ้ปุณณ์แกล้งทําเป็ นบ่น
กระปอดกระแปด แต่ก็ยอมเอาแขนออกเปลี่ยนเป็นแค่วางไว้บนบ่าผมแทนโดยดี สงสัยมันคงจับพลังได้ว่าผมเอาจริง เราสองคนเดินวนใน
สยามเซ็นเตอร์สองสามรอบ ก่อนปุณณ์จะตกลง (กับตัวเอง) ได้ว่าอยากกินซิสเลอร์... คือมันไม่ถามความเห็นผมเลยครับ จริง ๆ ผมก็อยาก
กินนะ ซิสเลอร์เนี่ย แต่ด้วยจํานวนคนต่อคิวมหาศาลเหมือ นได้กินฟรี ทําเอาแค่คิดก็เล่นซะท้อ แต่ผลของการรอคอยก็ถือว่าคุ้มค่าครับ!!
เพราะเมื่อพนักงานเรียกชื่อผม (แล้วดูแม่งดิ่ มันอยากกินเองแท้ ๆ แต่เสือกเอาชื่อผมไปจองซะงั้น) และพาเราไปยังโต๊ะตัวที่ว่างอยู่นั้ น ผม
พบว่าพวกเราได้โต๊ะดีเกินคาด!!!! เนื่องจากคงไม่มีอะไรดีเกินกว่าการได้นั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้ซุ้มสลัดบาร์แค่เอื้อมมืออีกแล้วว!! อา....... สวรรค์ของ
โน่............ ซุปทูน่าของโน่........ พาสต้าของโน่....... มันบดของโน่.... แค่คิดก็มีความสุขแล้วววว ผมฉีกยิ้มแฉ่งเมื่อเห็ นตําแหน่งของโต๊ะนั่ง
และสลัดบาร์จนปุณณ์ต้องเอื้อมมาบ้องหลังหัวด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้บ้องมันกลับ สายตาพลันเหลือบไปเห็นร่าง
ขาว ๆ ที่คุ้นตาเสียก่อน "ยู.......... ริ...." ผมทวนชื่อเจ้าของร่างนั้นเสียงแผ่ว แต่ก็ดังพอที่จะให้ปุณณ์หันตามได้.. ใช่แล้ วครับ.... ไม่ไกลจาก
โต๊ะเรานักคือโต๊ะของยูริที่มากับเพื่อนสาวสามสี่คน โดยผมรู้สึกได้ว่าเธอเห็นพวกเราแล้ว แต่แสร้งทําเป็นไม่เห็น เพราะไม่ว่าเพื่อนร่วมโต๊ะจะ
สะกิดให้เธอมองผมแค่ไหน เธอก็ไม่ชายตามาเลย เรานั่งใช้อากาศหายใจร่วมกันในซิสเลอร์ได้เพียงไม่ถึงห้านาที ก่อนยูริจะออกปากชวน
เพื่อนไปจ่ายตังค์
บริเวณเค้าท์เตอร์ทางออก... ผมเห็นจากจานเปล่าบนโต๊ะนั้นก็พอรู้ว่ายูริมาถึงก่อนเราซักพักแล้ว แต่สังเกตจากสีหน้าเธอก็รู้เช่นกัน.. ว่าหาก
ผมไม่เข้ามา มื้อนี้คงจะอร่อยกว่ามาก ผมมองตามหลังยูริที่เพิ่งจากไปพร้อมกระเป๋านักเรียนซึ่งพวงกุญแจสีส้ม สดใสยังคงห้อยอยู่... แว่บห
นึ่งในใจผมรู้สึกเหมือนถูกบีบ แม้จะรู้ดีว่าถูกแล้วที่เป็นอย่างนี้ ฝ่ามืออุ่นของปุณณ์เลื่อนมากุมมือผมไว้แผ่วเบา ราวกับต้องการส่งต่อความ
ห่วงใยผ่านปลายนิ้วเหล่านั้น ผมได้แต่หวังว่าคงมีสักวัน ที่เราจะกลับไปยิ้มให้กันอีก แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ก็ตาม..

53rd CHAOS
และแล้วก็ถึงวันที่พวกวงโยฯกลับมาจนได้ครับ!! ซึ่งจริง ๆ มันแข่งเสร็จตั้งหลายวันแล้ว แต่ไอ้ฟิล์มบอกไหน ๆ ได้ยกขโยงกันไปไกลถึงนู่ น ก็
ขอเที่ยวให้สะใจอีกหน่อยแล้วกัน โว๊ยยยยยยย.. ฟังแล้วน่าอิจฉาจริง ๆ!!! แถมแต่ละรูปที่แม่งส่งกลับมาเย้ยทางอีเมลนั้น ทําเอาผมกับไอ้โอม
แทบลงไปนอนดิ้นตายหน้าคอมฯด้วยความอิจฉา T_________T ฮืออออออ ก็ไอ้ยุโรปนี่เคยไปมาแล้วก็จริงครับ แต่พอเห็นมันยกขโยงกันไป
เป็นฝูงใหญ่ ๆ แบบนั้นดูน่าสนุกกว่านี่นาาา แถมเท่านั้นยังไม่พอ เพราะไอ้ฟิล์มยังกวนตีนไอ้โอม โดยการถ่ายรูปน้องมิกส่งกลับมาอย่างเยอะ
อีก!!! ซึ่งโคตรรรรรรรรรรรรร น่ารักอะผมว่า!! สงสัยเป็นเพราะอากาศหนาว (จนอุณหภูมิเกือบติดลบ) ของที่นั่น เลยยิ่งทําให้แก้มน้องมิ กก
ลายเป็นพวงสีแดง ดูน่ารักน่าทนุถนอมชิบเป๋ง! ผมนั่งดูรูปที่ไอ้ฟิล์มส่งมาพลางเหล่ ตามองไอ้โอมไปด้วย แต่เห็นแม่งยังตีขรึม ทําเป็นนิ่งไม่
สะทกสะท้านอยู่ หึ! แต่กูเห็นนะ.... ตอนเปิดไปถึงรูปน้องมิกกําลังนั่งยอง ๆ กัดเบอร์เกอร์ไซส์ XXL ของที่นั่น (ใหญ่มากครับ ใหญ่เกือบเท่า
หัวน้องมิกเลยปะวะนั่น) ผมเห็นไอ้โอมถึงกับหลุดอมยิ้มออกมา ฮั่นแน่!!!!!!!! มึงแอบมีปฏิกริยา! หึหึหึ.... (ว่าแต่ผมไปเสือกเรื่องของมันทําไม?)
ส่วนเรื่องผลการแข่งขันน่ะเหรอครับ....... คือ... ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี.. เพราะตอนวันที่แข่งเสร็จ ผมถึงกับรีบต่อโทรศัพท์ข้ามประเทศหาไอ้ฟิล์ม
ด้วยใจระทึกทันที กะว่ายังไงเพื่อนผมน่าจะได้ซักรางวัลติดไม้ติดมือ
กลับมาบ้างแหละน่า... แต่คําตอบที่ได้รับทําเอาผมถึงกับอึ้ง.. เพราะเสียงหงอย ๆ จากไอ้ฟิล์มที่อยู่ปลายสายค่อย ๆ เล่าผ่านกระบอก
โทรศัพท์ให้ฟังว่า พวกมันชวดทุกรางวัล ไม่มีถ้วยอะไรติดไม้ติดมือกลับประเทศให้ทั้งสมาคมและโรงเรียนเลย.... ผมยอมรับว่า ตอนนั้นตัวเอง
ได้แต่ยืนนิ่ง มือก็เย็นจนพูดอะไรต่อไม่ถูก.. แต่ทุกอย่างไม่ได้เกิดจากความโกรธ โมโห หรือผิดหวังอะไรทั้งสิ้น.. ความรู้สึกในตอนนั้ นล้วนมีแต่
ความสงสาร และเสียใจไปกับเพื่อน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมได้รู้ได้เห็นความพยายามของไอ้ฟิล์มและน้อง ๆ ในวงโยฯมาตลอด ผมได้
เห็นพวกมันที่กินนอนกันแทบไม่เป็นเวลา หายใจเข้าออกเป็นโน๊ตเพลง หรือแม้แต่ดึกดื่นเที่ยงคืน ไอ้ฟิล์มก็ยังเซท busy ใน msn เพราะมัว
แก้ไลน์เดินสวนสนามอยู่ ทําเอาคนอย่างผมที่ไม่มีส่วนร่วมอะไรเท่าไหร่ (นอกจากช่วยป้อนข้าว ป้อนนํ้า ทําใบลา แก้โน๊ตเพลงและเสนอไลน์
เดินนิดหน่อยให้) เห็นแล้วยังเหนื่อยแทน.. แต่ท้ายที่สุดในเมื่อผลออกมาแบบนี้ แล้วผมจะพูดอะไรได้ นอกจากแสดงความเสียใจกับมั น
แล้วชวนปลายสายคุยเล่นแก้เครียดนิดหน่อย แต่ดูไอ้ฟิล์มไม่ค่อยมีอารมณ์สนุกด้วยเท่าไหร่ มันคงต้องการพักหลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน
หลายเดือนล่ะมั้ง.. เมื่อเป็นเช่นนั้นผมจึงต้องวางสาย โดยหวังว่าฟิล์มจะสามารถทําใจยอมรับสภาพผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นได้ในเร็ววัน เฮ้อ
....... ทําเอาผมกับโอมต้องมานั่งวุ่นวายช่วยกันคิดอีก ว่าพอถึงวันไปรับมันที่สนามบิน จะพูดยังไงไม่ให้พวกมันเสียใจดี.. กระทั่ งถึงวันที่มัน
กลับมา ซึ่งแน่นอนว่ามีผมกับโอมและรุ่นพี่อีกจํานวนหนึ่งถ่อไปรับกันที่สนามบิน (ซึ่งไอ้เชี่ยโอมบ่นอุบเลยครับ เพราะเมื่อไม่ กี่วันก่อนก็เพิ่งมา
รับเฮียอั๋นไป) โดยก่อนเครื่องลงพวกเราได้จังแจงสุมหัวเตี๊ยมคําพูดปลอบใจพวกมันไว้เป็นตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะเฟ้นหาคําที่ฟังดูเวิ ร์คสุด ๆ
เจ๋งสุด ๆ ออกมาได้ ด้วยเพราะห่วงใยความรู้สึกพวกวงโยฯมาก จนอยากช่วยบรรเทาความเสียใจให้ ถึงอาจจะช่วยได้ไ ม่มาก แต่แค่นิดหน่อย
ก็ยั ง ดี ผลปรากฏว่ า ... พอเครื่ อ งแลนดิ้ ง ลงพื้ น พวกแม่ ง เสื อก............... แห่ ถ้ว ยรางวั ล ลงจากเครื่ อ ง!!!!!!!!!!!!!! ไอ้ สั น ดาน
นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนเอ๊ยย!!! พวกผมยืนปากสั่นชี้หน้าพวกมันที่ทยอยเดินเป่าเครื่องสาย ตีเกราะเคาะ ไม้ เข
ย่าแทมโบรีน ขณะแห่ถ้วยรางวัลออกมาจากเกทกันอย่างร่าเริง!!
โอ๊ยยยยยยยย นี่กูจะเริ่มด่ามึงด้วยคําไหนก่อนดีวะ!! ไอ้พวกชั่วววววววว คนเค้าอุตส่าห์คิดคําปลอบใจไว้ซะดิบดี หวังทําตัวเป็นเพื่อ นเป็นรุ่นพี่
ที่ดีให้พวกมึงได้พึ่งพา แต่แม่งเสือกกกกกกกกกกก หลอกกูซะงั้น!!!!!!!!!!!!!! สรุปว่าพวกมันได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากการแข่งขันครับ!
ไอ้ฟวยยยยยยย รู้งี้กุไม่สงสารพวกมึงหรอก!!!!!!!!!!!!!! แม่งงงง ผมยืนเคี้ยวฟันมองหน้าไอ้ฟิล์มที่เดินยิ้มแฉ่งมาหาผมด้วยสีหน้ าระริกระรี้
ฮึ่ยยย... ฝากไว้ก่อนเหอะ!!!!!!!! แถมมาถึงก็ยังเอาแต่โม้เรื่องความเก่งของวงโยฯโรงเรียนตัวเองที่ไปคว้าชัยชนะมาได้ไกลถึงต่างแดนอีก (ไม่มี
สํานึกนะมึงงงง) ขณะที่น้องคนอื่น ๆ กรูมาขอโทษขอโพยผมยกใหญ่ จึงได้รู้ว่าทุกคนถูกไอ้ฟิล์มบังคับเล่นบทโศกหลอกผมกันทั้งคณะ หูยย
ไอ้ชั่ววววววว นี่มึงชั่วคนเดียวไม่พอยังบังคับให้น้องกูชั่วอีก!!! แต่ก็เอาวะ! เนื่องจากเพราะทุกคนรู้สึกผิดที่กลั่นแกล้งผม มันเลยแห่ซื้อของฝาก
มาให้กันยกใหญ่ ฮ่า ๆๆๆ ถ้าแบบนี้ไม่เป็นไรครับ เอามาอีกเยอะ ๆ เลย ของฟรีกูชอบบ ว่าแต่จะขนกลับบ้านยังไงวะ เยอะเกิน -_- แต่
ท่ามกลางความชุลมุนวุน่ วาย.. สายตาอันดีของผมยังเหลือบไปเห็นน้องมิกกับไอ้โอมพากันเดินแยกจากหมู่มวลชน ไปคุยกันแค่สองคน หึหึหึ...
จริง ๆ ตอนแรกก็ไม่เห็นหรอกครับ เพราะมัวแต่เฮฮาตบหัวป้าบ ๆๆ กับไอ้เป้อไอ้น็อตอยู่ (ไม่ได้ตบมันหลายวันเหงามือจัด) แต่เป็นเพราะไอ้
ฟิล์มผู้ซึ่งโคตรขี้เสือกเรื่องของชาวบ้านแม่งมาสะกิดไหล่ให้ผมดูยิก ๆๆๆ ทําเอาผมที่ไม่ค่อยอยากเสือกด้วยเท่าไหร่ เลยต้องหันไปแอบดูกะมัน
เหมือนกัน (นี่สาบานได้เลยว่าไม่อยากเสือกจริงจริ๊งงงงง) หืม...... แล้วอย่าให้แฉครับ! (แต่กําลังแฉอยู่เนี่ย) เพราะน้องมิกที่เมื่อห้านาทีก่อน
เพิ่งเอาตุ๊กตาพื้ นเมือง (ของฝากจากประเทศนั้น) มาให้ผมไปแหมบ ๆ แต่ตอนนี้ ผมเห็นว่าน้องกําลังยื่นของฝากกล่องใหญ่ให้ไอ้โอมอยู่!
(ลําเอียงนี่หว่า!!) แต่ยังครับ!!! ยังไม่พอ! เพราะไอ้โอมดันเสือกมีกล่องอะไรซักอย่างเล็ก ๆ ยื่นกลับไปให้น้องมิกเหมือนกัน!!!!!!!! (เดี๋ยวนะ.... ตก
ลงใครเพิ่งกลับจากต่างประเทศกันแน่...) ว่าแต่มันคืออะไรวะ!!!? กูอยากรู้!!!!!!!!!!! ต่อมเสือกผมเริ่มตอกบัตรเข้างาน (ซึ่งจริง ๆ ต่อมนี้ก็ไม่เคยมี
วันหยุด) แต่ไม่ว่าจะพยายามถาม ล้วง แคะ แกะ เกา ไอ้เชี่ยโอมยังไง ไอ้ห่านี่ก็ยังเอาแต่อมพะนําเงียบบบบ ไม่ยอมปริปากพูดซั กคําว่ามันให้
อะไรน้องเค้าไป นิสัยยยยยยยยหนิ!! แต่ไม่บอกก็ไม่อยากรู้ครับ!! (เหรอ....) (เปล่าหรอก จริง ๆ ไว้ไปถามน้องมิกหลังไมค์ดีกว่า หลอกง่าย
กว่า
เยอะ หึหึ) ที่เลิกเซ้าซี้โอมเป็นเพราะมีเรื่องอื่นให้ต้องคิดมากกว่า..... ก็จะอะไรซะอีก นอกจากเพราะทางโรงเรี ยนทราบว่าวงโยธวาทิตของ
ชมรมเราเดินทางไปคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากเมืองนอกมาได้ ก็เลยจะจัดทําเกียรติบัตรและโล่เกียรติยศให้ยกใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่อง
ที่ดีมาก ๆ ครับ เพราะน้อง ๆ จะได้มีเกียรติบัตรเชิดชูความสามารถเก็บใส่ไว้ในพอร์ท แต่ดันติดตรงที่ว่า............... ทางโรงเรียนจะให้ผม ซึ่งมี
ตําแหน่งเป็นประธานชมรมขึ้นไปรับโล่บนเวทีน่ะสิ -_-" แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะหน้าด้านทําแบบนั้นลงเหรอครับ (เอ่อ... ถึงชีวิตปกติจะ
หน้าด้าน แต่ก็มีช่วงเวลาหน้าบางสําหรับบางเรื่องเหมือนกันนะ) เพราะงานนี้คนที่สมควรรับความดีความชอบคือไอ้ฟิล์มเต็ม ๆ เนื่องจากมัน
เป็นคนขวนขวายทั้งหาใบสมัคร พาน้อง ๆ ไปแข่งรอบคัดเลือก ซ้อมน้องเดินแถว คัดเพลง ปรับโน๊ต และอะไรต่าง ๆ อีกมากมายจนพูดได้
เต็มปากเต็มคําว่า หากไม่มีฟิล์ม ถ้วยใบนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้มาประดับไว้ในห้องชมรมแน่ ๆ ในเมื่อเป็นซะอย่างนี้ แล้วจะให้ผมหน้าด้านขึ้นไป
รับรางวัลได้ยังไงกันครับ ผมยอมรับว่าหนักใจไม่น้อยกับสิ่งที่ทางโรงเรียนเพิ่งติดต่อมาบอก ถึงแม้ฟิล์มจะคอยยํ้า นั่งยัน ยืนยั น นอนยัน
เป็นพันครั้งก็ตาม ว่ามันไม่ได้คิดอะไร ให้ผมนั่นแหละเป็นคนขึ้นไปรับโล่ตามระเบียบชมรมที่เคยปฏิบัติ แต่ไอ้บ้าที่ไหนจะทําแบบนั้นลงล่ะ
ครับ! สรุปว่าวันนั้นผมแกล้งมาสาย ยอมถูกมาสเซอร์สั่งกอดคอลุกนั่งห้าสิบที แลกกับการให้ฟิล์มเป็นคนขึ้นไปรับโล่รางวัลด้วยตัวมันเอง แม้
จะเสียใจบ้างลึก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ร่วมบูมหน้าเสาธงให้กับความสําเร็จนั้น แต่ก็ดีแล้วที่ได้เห็นรูปฟิล์มยืนยิ้มแฉ่งคู่กับโล่ที่มันสมควรจับ ดังนั้น
เวลาแบบนี้ต้องฉลองครับ!!!!!!! ผมยืนกวาดตามองเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่มาใช้เวลาช่วงพักกลางวันนอนกลิ้งอยู่ในห้องชมรมกันเกือบ ๆ ยี่สิบ
ชีวิตแล้วก็คิดว่าแค่นี้คงพอเลี้ยงไหว ว่าแต่กินอะไรดีวะระหว่างเป็ดย่างประจักษ์กับพิซซ่า......... แต่โห ของแบบนี้ไม่น่าคิดเสียงดังเลยว่ะ
เพราะแค่พูดถึงอย่างหลังไอ้เป้อก็ยกมือถือมากด 1112 ทันที -*-
"อ่าาาาาหวัดดีคับ ชมรมดนตรีโรงเรียน xxx นะครับ ขอสั่งงงง ฮาวาเอี้ยนถาดใหญ่ 1 ถาด ชิกเก้นทรีโอใหญ่ 1 ถาด ซีฟู้ดคอกเทลใหญ่ 1
ถาด แล้วก็มังสวิรัสใหญ่ 1 ถาด ทุกอย่างขอเป็นขอบชีสนะพี่ แล้วเอาไรอีกอะ????? อ่อ... ปีกไก่ 12 ชิ้น 5 กล่องไปเลย เบรดสติ๊ก 2 เป๊บซี่ไม่
ต้องพี่ ห้องผมมี... ห๊ะ อะไรนะ? ไอ้มํ่าอยากกินสปาเกตตี้??? เออ เอาสปาเกตตี้แฮมเห็ดด้วยพี่ อ่อ ผักโขมอบชีสด้วยของโปรดไอ้น็อต แล้ ว
ใครจะเอาไรอีก?????? ลาซาญญ่าด้วยใช่ปะ เออ จัดไป" โห ๆๆๆๆ พอเหอะมึง!!!!! กะถล่มกูให้จนทั้งเดือนเลยใช่มั้ยเนี่ยยยยยยยยย ผมรีบ
คว้ามือถือจากหูไอ้เป้อมากรอกเสียงใส่ทันที "พอแล้วครับพี่ ส่งที่โรงเรียนเหมือนเดิมนะ ห้องชมรมดนตรีตึกฟ.ครับ ขอบคุณครับ" "โหพี่โน่
........... รีบวางทําไมเนี่ย กะจะฝากคนส่งซือ้ ก๋วยเตี๋ยวตรงตรอกกะจัว๊ มาด้วยซะหน่อย ไม่ใจเลยยยย" ไอ้เชี่ยเป้อ! อยากแดกก๋วยเตี๋ย วก็ไปแคน
ทีนสิวะ!!! ไอ้ห่านี่กวนตีน ผมโยนมือถือคืนมันก่อนจะคิดคํานวนในใจเงียบ ๆ ว่าเงินกูพอรึเปล่า -*-.... เออ ก็คงพอมั้ง แต่เดื อนนี้อาจต้อง
กินแกลบ ฮือ ๆๆ ทําไมกูต้องเลี้ยงพิซซ่าไอ้พวกที่หลอกกูด้วยวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย และในระหว่างเรากําลังนั่งสรวลเสเฮฮา
ดีดกีต้าร์ เคาะกลอง สันทนาการไปเรื่อยขณะรอพิซซ่ามาส่งนั้นเอง จู่ ๆ ไอ้เป้อปากหมาก็โพล่งถามขึ้นมากลางวงว่า "พี่!!!! แล้วตอนพวกผมไม่
อยู่ พวกพี่เหงาาาาาาาาาาาาาาา ปะ" ดู... ดูมันยังกล้าถาม เหอ ๆๆ ผมเหล่มองใบหน้าตี๋ ๆ ของมันที่ทําเหมือนจะอ้อน แต่ดูแล้วคล้าย ๆ
กําลังอ้อนตีนมากกว่า "เออ เหงาาาาาาาาาาาาาา มากกก ไม่มีมึงให้ด่าเนี่ย!!" ผมว่าพลางบ้องหัวไอ้ตี๋เป็บเปอร์ไปฉาดใหญ่จนมั นบ่นอุบ มือ
ขาว ๆ นั้นลูบหัวตัวเองป้อย ก่อนจะขมุบขมิบคําต่อไปออกมา "โห.... คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง กลัวว่าทิ้งพี่โน่อยู่กับพี่โอมสองต่อสอง แล้วจะทํา
อะไรผิดผีกันรึเปล่า" แล้วนั่นมึงใช้สมองหรือเล็บขบคิดวะ!!! ผมอ้าปากค้างมองไอ้เวรเป้อ ขณะที่โอมสําลักอากาศไอแค่ก ๆๆๆ ทันทีหลัง
ประโยคนั้นจบ 'ผัวะ!!' "นี่....... โดนไอ้โน่คนเดียวไม่พอ คิดถึงฝ่ามือกูด้วยใช่มั้ยยยย สาดดด จะบอกให้รู้ไว้นะ ว่าต่อให้กูเปลี่ยวขนาด
ไหนกูก็ไม่เอาแม่งหรอก เจาะรูหมอนข้างแล้วนอนทับยังดีซะกว่า" ใช่ ๆๆ ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับ
คําพูดไอ้โอมก่อนจะรู้สึกทะแม่ง ๆ ในสองวินาทีถัดมา......... อ้าวไอ้นี่... มึงหลอกด่ากูรึเปล่า ? "อย่ามาร้องให้กูขัดขี้ไคลอีกนะมึง!" คิดได้
ดังนั้นผมจึงชี้หน้าคาดโทษแม่งอย่างเคือง ๆ ทันที จนน้อง ๆ ในห้องขําครืน แต่คนโดนขู่ยังปั้นหน้าตอแหลกลับ ไอ้เป้อเลยได้ทีเล่นต่อ "โหพี่
โน่ เค้าหมดยุคให้เพื่อนขัดขี้ไคลแล้ววว ก็พี่โอมน่ะมี.........................." "เชี่ยเป้อ!!! มึงเงียบปาก........" "อุ๊ ปสสสสสสสสสส์!" เล่นเอาทั้ง
ห้องหัวเราะก๊ากก พร้อมตบมือเกรียวกันด้วยความสะใจ (แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ฮ่า ๆๆ) เพราะตอนนี้ไอ้เชี่ยโอมยืนหน้าแดงชี้ไปยังไอ้
เป้ออย่างเอาเรื่อง ขณะที่น้องมิกได้แต่นั่งอายม้วนดึงโซฟาจนหนังแทบขาด โอ๊ยย น่ารัก! (แต่อย่าให้ขาดจริงนะครับมิก พี่ขี้เกียจซ่อ มอีก)
ผมยืนขํามองไอ้เป้อที่ยกมือไหว้ไอ้โอมก่อนจะล้มตัวลงไปนั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมเรียบร้อย พลางคิดว่าสงครามนํ้าลายคงจบแล้ว แต่ไอ้ฟิล์มยัง
ไม่วายแหกปากขึ้นมาสานต่อ "แหม... ไอ้เป้อ!! มึงไม่รู้อะไรอย่ามาพูด! เพื่อนกูน่ะนะ ทนุถนอมน้องเค้าจะตาย ยุงก็ไม่ให้ไต่ ไรก็ไม่ใ ห้ตอม นี่
ตอนกูพาน้องเค้าออกนอกประเทศนะ แม่งอีเมลมาถามกูตลอดอะ ว่ามีใครป่วยรึเปล่า มีคนแพ้อากาศมั้ย อุณหภูมิที่นั่นเท่าไหร่ อาหารการ
กินเป็นยังไง ระวังอย่าให้กับข้าวเผ็ดเกินไปล่ะ.. ถุ๊ยยย! ไอ้ควายยยยยยยย คิดว่ากูไม่รู้รึไงว่าจริง ๆ มึงอยากถามถึงใคร!!!!! แม่ง เป็นห่วงขนาด
นั้นไม่บินตามไปเองเลยล่ะวะ!!" ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จริงดิ่!!? นี่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่ามีเรื่องแบบนั้นด้วย!!!!?! ก็
เห็นเวลาเช็คเมลไอ้ฟิล์มผ่านคอมฯชมรมทีไร เชี่ยโอมก็ทําท่าปกติดีทุกอย่าง (ค่อนไปทางไม่สนใจด้วยซํ้า) แต่ที่แท้แอบสั่งเสียกันทางหลังไมค์
ก็ไม่บอก!!! ผมนั่งขําหน้าไอ้โอมจนท้องแข็งเพราะตอนนี้แม่งยับเยินชิบหาย ยั งกะหมาพันธุ์ปั๊ก สะใจโคตรรรร!!! ก่อนที่ไอ้คนถูกแฉจะชี้
หน้าฟิล์มแบบฝากไว้ก่อน โดยไม่วายเอี้ยวตัวหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นของน้องมิกไปด้วย มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะฟอร์มไรอีกวะ!!! ไอ้
ท่ามากเอ๊ย!!!
ผมร่วมวงโห่แซวมันด้วยอย่างคะนองปาก จนหน้าไอ้โอมเริ่มเปลี่ ยนสี แต่อย่าว่าแค่ไอ้โอมเลยครับ! เพราะยิ่งเพื่อนผมออกอาการมาก
เท่าไหร่ น้องมิกก็ยิ่งมีอาการไม่แพ้กันเท่านั้น ฮ่า! เอาสิวะ!!! วันนี้กูจะง้างปากไอ้เพื่อนตัวดีนี่ให้ได้!!!! คอยดู! "อ้าว ไอ้โน่.. ไปเล่นไอ้โอมนัก
แล้วมึงอะ ได้ข่าวตอนพวกกุไม่อยู่ มึงใช้งานเลขาสภาฯยังกะเบ๊" เฮ้ยยยยยยยยย แล้วแม่งชิ่งกลับมาได้ไงวะ!!?! ผมสะดุ้งขําค้างมองหน้าพี่ดิว
แบบโคตรมึน "ไรพี่!!!!!!" "ก็เมื่อเช้าไอ้ฟี่มันเผามึงหมดอะ ว่ามึงอะนะใช้ไอ้ปุณณ์ทั้งทําเอกสาร เปลี่ยนนํ้ากรอง ซ่อมหลอดไฟ แถมยังลาก
เลขาฯมันไปช่วยแบกหนังสือจากคิโนะอีก ใช่เล่นนะคู่มึง!" หน็อยยยยยยยยย เชี่ยฟี่....... นี่กูเผลอไม่ได้เลยใช่มะ! (ฟ้องตลอด) ก็แหม.... จะให้
ผมทําไงอะครับ ในเมื่อไอ้ง่อยมันไม่อยู่ ส่วนเชี่ยโอมก็ใช้การไม่ค่อยได้ พอดีมีตัวช่วยไว้ก็อยากจะขอความช่วยเหลือนิดหน่อยนี่นา U__U อ้าว
แล้วนั่น!!! ไอ้พวกห่านี่จ ะขําทําไม!!!! ผมเห็นไอ้น็อตนั่งหัวเราะตาหยีอยู่บนพื้นห้องแต่ยังไม่วายพยายามกลั้นขํามาแสดงความคิดเห็นต่อ
"อือใช่ ๆ แต่ไหนแต่ไรแล้วอะ ผมเห็นมีแต่พี่โน่ที่กล้าแหยมเลขาสภาฯ จําได้ว่าเมื่อก่อนพี่โน่ชอบมาแทรกแถวในห้องคุรุพันธ์แล้วฝากพี่ ปุณณ์
จ่ายค่าของให้ แถมช่วงขายบัตรคอนเสิร์ตชมรม ก็มีแต่พี่โน่อะ ที่กล้าเอาบัตรไปล็อคคอขายพี่ปุณณ์ทีละเป็นสิบ ๆ ใบ ฮ่า ๆๆๆ" โอ้โหไอ้นี่.......
ได้ทีมึงขุดเรื่องเก่ามาหากินเลยนะ! ผมกําลังจะหันไปเหวี่ยงไอ้น็อตที่คงเริ่มติดเชื้อไอ้เป้อมาแหง๋ ๆ แต่เชี่ยภูมิเสือกพูดแทรกขึ้ นมาก่อน
"เรื่องบัตรอะ เชี่ยโน่แม่งก็หน้าด้านขายทุกคนแหละมึง!" ช่ายยยยยยย กูไม่ได้ขายแค่ไอ้ปุณณ์คนเดียวซักหน่อย ใส่ร้ายกูกันจริงนะ! ผม
เกือบจะนึกขอบคุณมือคีย์บอร์ดวงตัวเองอยู่แล้วเชียวที่ช่วยพูดแก้ต่างให้ ถ้าแม่งไม่เสือกเห่าประโยค main idea ออกมาก่อน "แต่กูเห็นมีแค่
ไอ้ปุณณ์ว่ะ ที่ยอมซื้อบัตรมันทุกงาน ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆ" อ้าวววววววว ไอ้สัดด!! หักหลังกันนี่หว่า!!!!! ผมหันควับไปชี้หน้าเชี่ยภูมิ คาดโทษ โดย
ที่ผู้ต้องหายังนั่งตีพุงตัวเองหัวเราะเอิ๊ก ๆ อยู่.... นี่กูควรฆ่ามันให้ตายตอนนี้เลย หรือค่อย ๆ ทรมานมันให้ตายอย่างช้า ๆ ดีวะ!
แต่ยังไม่ ทันคิดออก เสีย งแง้มประตูห้องชมรมก็ดั งขึ้นก่อน 'แอ๊ดด' "ห้องนี้มีป าร์ตี้เหรอ? ทําไมสั่ งพิซซ่าเยอะจัง ?"
"ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววววว!!!!!!!" โอ๊ยยยยยยยยยยย ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยย ตกลงมึงเลี้ยงลูกกรอกจริง ๆ ใช่มั้ยยยยยย!!
ถึงได้โผล่มาถูกเวลาตลอดดดดดด ผมอ้าปากค้างมองหน้าเลขาสภาฯที่โผล่มาพร้อมพนักงานส่งพิซซ่าแบบที่เรียกว่า กะเวลาแม่นเหมือนผี
สะกิด เรียกให้พวกลิงในห้องชมรมทั้งหลาย ออกวิ่งตีเกราะเคาะไม้กันอย่างถูกอกถูกใจ เพราะปุณณ์ดันโผล่หัวมาให้ได้ล้ออย่างถูกจังหวะพอดี
.. แต่เดีย๋ วก่อน!!!! ถ้าพวกมึงยังไม่หยุดแกล้งกูตั้งแต่ตอนนี้ กูไม่จ่ายเงินจริง ๆ ด้วย!! ผมเกาหัวแกรก ๆ พลางเดินฝ่าดงลิงทั้งหลายออกไป
หน้าห้องเพื่อจ่ายเงินค่าพิซซ่า เช็คของ และลี้ภัยจากไอ้พวกขี้แซวซักพัก โดยไม่ลืมจะมองหน้าหาเรื่องไอ้ตัวดี "มาไมมึง!!!" แน่ นอนว่าเลขา
สภาฯถึงกับเหวอ "อ้าวววววววว.. ก็พี่เค้ารู้จักตึกฟ.ที่ไหนล่ะ กูเห็นเค้ายืนงงหน้าโรงเรียนอยู่ตั้งนานละ เลยพามาให้เนี่ย แถมของยั งเยอะอีก
ต่างหาก" อืม.... พูดจามีเหตุผล.. ผมฟังไประหว่างควักเงินในกระเป๋าจ่ายพี่คนส่งพิซซ่าไป แถมทิปด้วยอีกนิดหน่อย (หมดตูดเลยว่ะกู) "แต่
ถ้าไงกูไปก็ได้นะ" แล้วนั่น!! ไอ้ตัวปัญหายังเสือกทําเสียงงอนอีก! ผมช้อนตามองหน้าเลขาสภาฯที่เริ่มออกอาการไม่พึงประสงค์ ก่อนจะชิ งลาก
แขนมันเข้ามาในห้องชมรมด้วยกันโดยไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสขัดขืน ซึ่งแน่นอนว่าการกระทําแบบนั้นเท่ากับยิ่งเร่งเสี ยงให้ไอ้พวกลิงโห่ร้อง
แซวกันระงม ก่อนจะเงียบปาก เพราะใบหน้าผมแสดงออกค่อนข้างชัดเจนว่า ขืนยังมีใครแซวกูอยู่ ได้อดแดกแน่ (ฮ่า ๆ) ก็งี้แหละครับ คนมัน
มีอาวุธในมือ ยังไงก็เป็นต่อ อิอิ ผมกับปุณณ์ค่อย ๆ เดินถือเสบียงมาวางกลางห้องชมรม เพื่อให้ง่ายต่อการกินของทุ กคน ซึ่งปรากฏว่ายัง
ไม่ทันที่กล่องพิซซ่าจะแลนดิ้งลงพื้น 100% ฝูงแร้งก็รุมถาดพิซซ่าทั้งหมดทันที! อื้อหือ... พวกมึงอดอยากมา
จากไหนเนี่ย ผมเกาหัวพลางยืนมองเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้า ขณะที่ปุณณ์ถอยไปตั้งหลักตรงมุมห้องเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนี้ในชมรม
กําลังวุ่นวายมากครับ เสียงต่างคนต่างร้องจะเอาพิซซ่าหน้าที่ตัวเองชอบกันระงม จนไอ้น้องน็อตเริ่มเวียนหัว เพราะดันนั่งใกล้พิซซ่าที่สุดพอดี
ฮ่า ๆ ถือว่าถึงคราวเคราะห์แล้วกันนะมึงนะ กูไปล่ะ.. ผมขํากับท่าทีปวดเศียรเวียนเกล้าของน็อต ก่อนจะฉวยเอาพิซซ่ามาสองชิ้น (อิ อิ)
ผมหยิบชิกเก้นทรีโอ้มาชิ้นหนึ่ง กับซีฟู้ดคอกเทลอีกชิ้นหนึ่งเพื่อแบ่งให้ปุณณ์ "เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก ให้คนในชมรมกินเหอะ" แต่ดูมันมาถึงนี่
แล้วยังทําเกรงใจอีกครับ! ผมที่ได้ฟังดังนั้นจึงส่ายหัวดิ๊กด้วยความไม่ลดละที่จะยัดพิซซ่าใส่มือมัน ซึ่งดูปุณณ์ปฏิเสธด้วยความจริงจังเพียง
5% เท่านั้น (หรืออาจน้อยกว่า) ถ้าไม่เชื่อก็คอยดู.. "แดกไปเหอะน่า เงินกู! แล้วยังมีอีกตั้งเยอะ กินกันพออยู่แล้ว" นั่นไง.. เห็นปะครับ.... ผม
บอกแล้ววววว ว่ามันจริงจังแค่ 5% เท่านั้นแหละ เพราะเมื่อได้ยินประโยคนี้ ไอ้เจ้าคนที่เคยปฏิเสธของในมือผมเมื่อครึ่ งนาทีก่อน ก็แทบ
กระโดดคว้าพิซซ่าทันที.... โหแม่ง ไม่ค่อยตะกละ แต่กูจําได้ว่ามึงชอบกินหน้าซีฟู้ดคอกเทล ปุณณ์กัดของกินในมือพลางถองศอกกับข้า ง
เอวผม "รวยขนาดเลี้ยงคนทั้งชมรมเลยเหรอวะ มาเลี้ยงข้าวกูมั่งดิ่ กูกินไม่จุหรอก" แต่ช่วยอย่าพูดถึงได้ปะ -*-... เครียดนะเนี่ยไม่ใช่ไม่เครียด
-*- ผมขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อนึกถึงฐานะการเงินที่คงอัตคัตขัดสนไปทั้งเดือน... ไม่น่าทําเป็นใจปํ้าเลยกู "เลี้ยงพ่อมึงดิ่ เงินกูโบ๋แล้ วเนี่ย"
"ฮ่า ๆๆๆ ก็ทําเป็นเสี่ยดีนัก สม" อ้าวววว... แล้วไอ้นี่ไม่เห็นใจกูยังจะกระทืบซํ้าอีก ผมเหล่ตามองมันอย่างขัดใจ แต่คุณชายปุณณ์ดันมัวแต่จ้อง
พวกน้องมํ่าที่กําลังมุ่งมั่นในการแบ่งเส้นสปาเกตตี้ออกเป็น 5 กอง กองละเท่า ๆ กันอยู่ (เพื่อไรวะ?) เอ้อ....... สงสัยมันจะว่างมาก ส่วน
บรรยากาศในห้องชมรมตอนนี้น่ะเหรอครับ ก็อยู่ในช่วงเฮฮาครึกครื้นอย่าบอกใคร เพราะกําลังเต็มไปด้วยเสียงทุกรูปแบบที่พวกมันสร้างขึ้น
กัน ไม่ว่าจะเป็นเสียงเป่าแตรเวลาไอ้โอมกัดพิซซ่าแต่ละคํา (ฮ่า ๆๆๆๆ) อันนี้เป็นผลพวงจากที่แม่งแย่งพิซซ่าในมือไอ้อาร์ทไปแดกครับ (ชั่ว
มาก) เลยต้องทนฟังเสียงไอ้อาร์ท
เป่าแตรกรอกหูทุกครั้งเวลามันกัดพิซซ่าชิ้นขาดเพื่อนเข้าปาก (ซึ่งชื่อนี้ไอ้นิวลงทุนตั้งให้ด้วยความยกย่องวีรกรรมเหี้ย ๆ ของเชี่ยโอมเป็นอย่าง
ยิ่ง) แถมนอกจากเสียงไอ้อาร์ทเป่าแตรประท้วงแล้ว ยังมีเสียงน้องเฮงตีกรับอีก -_- แต่เดี๋ยวนะ.... มึงไปขโมยกรับมาจากห้องดนตรีไทยตอน
ไหนวะ -_- (อย่าลืมคืนด้วยนะมึง ขี้เกียจฟังไอ้ปันขับเสภาด่า) ผมเหลียวไปมองเสียงน้องเฮงตีกรับรับเป็นจังหวะทุกครั้งเวลาไอ้เป้อโชว์ท่าป๊
อบปิ้นส์แบบชิน-ชินวุฒิ โดยมีกล่องใส่พิซซ่าเปล่า ๆ เป็นพร็อบประกอบการแสดงอยู่ (เออ จะทําอะไรก็ทําเหอะ -_-) กูเครียดว่ะ ใครก็ได้ช่วย
บอกให้มันหยุดที แต่ขณะที่ผมกําลังนั่งเครียดเหงื่อตกอยู่ ไอ้ปุณณ์ดันหัวเราะพลางตบมือซะดังลั่น เมื่อสปาเกตตี้ 5 กองของน้องมํ่า (ที่เฝ้า
แบ่งทีละเส้นด้วยความทนุถนอมอยู่ตั้งนานสองนาน) ดันถูกไอ้โอม (ผู้ซึ้งเขมือบพิซซ่าชิ้นขาดเพื่อนหมดเกลี้ยงแล้ว) เลื้อยมาสูดไปจนราบเป็น
หน้ากลองซะก่อน!! ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กูว่าแล้วพวกมึงอ้อยอิ่งอย่างนี้มีหวังไม่รอด! ตอนนี้เลยไม่ได้มีแค่เสียงแตรประท้วง
จากไอ้อาร์ทเท่านั้น แต่น้องมํ่ายังวิ่งถลาไปเอาทรอมโบนมุมห้องมาเป่าใส่หูเชี่ยโอมเป็นแนวประท้วงด้วยอีกคน ฮ่า ๆๆๆ กูว่างานนี้ไม่ มีใคร
แดกอิ่มนอกจากไอ้โอมชัวร์ เอ้า แล้วไหน ๆ ก็ขนเครื่องดนตรีออกมาเล่นจนตีกันมั่วไปหมดแล้วก็เอาซักหน่อย ผมเห็นพวกเด็ก ๆ เครื่อง
เป่าเริ่มควักอาวุธประจําตัวเองออกมาเป่าเล่นเป็นคู่หูต่อโน๊ตกันยกใหญ่ จนสุดท้ายเพลง disco พาเพลิน ฉบับออริจินัลของพี่ ๆ groove
riders ก็ดังลั่นห้องชมรม ฮ่า ๆๆ เอากะมันสิ งั้นกูขอไมค์ กูอยากเป็นพี่บุรินทร์ (หน้าตาก็ได้อยู่นะ) ปกติเพลงนี้ไม่เมาร้องไม่ได้ แต่สมมติวันนี้
เมาแฟนต้านํ้าแดงแล้วกัน ฮ่า ๆๆ พวกผมเริ่มครวญเพลงกันแบบไม่ได้ศัพท์สุด ๆ จนฟังยังไงก็ไม่เหมือนคนเพิ่งชนะรางวัลระดับโลกมา แต่
เอาเหอะน่าาาา ชีวิตเรามันต้องผ่อนคลายกันบ้าง ไรบ้าง (ถึงแม้พวกผมจะผ่อนคลายกันมาทั้งชีวิตแล้วก็เหอะ) อิอิอิ ปุณณ์นั่งดูพวกผม
เล่นดนตรีกันแบบมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (แอมป์เอิมอะไรก็ไม่เสียบ มีแต่เสียงเครื่องเป่า กีต้าร์โปร่ง แทมโบรีน กรับ) แถมยังร่วมวงกับพวกน้อ ง ๆ ช่วย
นั่งตบมือให้จังหวะอย่างเฮฮาอีก

แล้วดูนั่นดิ่.... ตบมือเสร็จก็อุตส่าห์ทําตัวเป็นแขกที่ดีต่อ เพราะขณะที่คนอื่นกําลังร้องเล่นเต้นระบําอย่างไม่ไว้ภาพชมรมอยู่นั้ น (กูด้วย) แต่ไอ้


ปุณณ์ดันไปช่วยไอ้ง่อยเดินเก็บซากอารยธรรมทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นขยะแห้งหรือเปียกซะทั่วห้องชมรม โว้ววว มึงจะพระเอกไปไหน!! ก็
แม่งเป็นซะแบบนี้อะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
ที่ไอ้ฟี่เอาเรื่องผมใช้งานไอ้ปุณณ์ไปฟ้องคนอื่นก็เหมือนกัน ตอนนั้นผมแค่กําลังจะเปลี่ยนถังนํ้ากรองในห้องชมรม แต่ไอ้ปุณณ์เสือกมาเห็นแล้ว
อาสาจะช่วยผมเอง แถมยังเสนอตัวจะเปลี่ยนหลอดไฟในห้องให้อีก นี่จะเอาผมไปสาบานที่ไหนเลยก็ได้นะ ว่าผมไม่ได้อ้าปากใช้งานมันซัก
กะแอะจริงจริง! เออ แต่ก็ดีวะ พูดง่ายใช้คล่องแบบนี้นา่ รักสุด ๆ ผมปล่อยให้มันช่วยไอ้ง่อยเก็บขยะในห้องชมรมไป ขณะที่พวกเรากอดคอ
กันกระโดดเหยง ๆ ร้องเพลง ทุกอย่าง ของ scrubb ดังลั่น "แม๊เธออจะมี๊ใครไม่ส๊ามมมมมมคัน แค๊เพียงเธอมองงงง มาที่ฉานนน เท่า
น้านนน ก็พออใจอยู่ภายในนนน! อัยยย อั้ยยยยยย แม๊เธอจะมีใครรรรรไม่สนใจจจ แม๊ความเป็นจริงจะเป็นเช้นนไรรรรรรรร!!!!" 'โครม!'
'เพล้ง!' "เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" แต่แล้วดันมีเสียงประหลาดอุบัติขึ้นในเวลาใกล้เคีย งกันถึงสามเสียง (เรียงตามที่บอก) ทําเอาไอ้โอมที่กําลังแหก
ปากร้องเพลงอยู่เมื่อกี้ถึงกับหยุดหอนทันที เพราะเสียงเหล่านั้นล้วน........... ดังมาจากใต้เท้ามันทั้งสิ้น.. ด้วยเหตุนี้ จึงทําเ อาพวกเราทุกคน
หยุดดีด สี ตี เป่า เครื่องดนตรีทุกชนิด ก่อนจะเพ่งสายตามองไปยังจุดเกิดเหตุเป็นตาเดียว....... ชิบหายแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เพราะภาพที่
ผมเห็นตรงหน้าเมื่อได้สติคือฝ่าเท้าควาย ๆ ของไอ้เหี้ยโอมได้กระทําการ กระทืบ ไปโดนกล่องอะไรซักอย่างที่บังเอิญวางไว้แถวนั้น ซึ่ง ถ้าจําไม่
ผิด.............. โอ่ย ตาย ๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้ฟิล์มถึงกับขั้นทิ้งกีต้าร์โปร่งแล้วล้มลงไปทรุดกับพื้นทันที เพราะนั่นคือกล่องถ้วยรางวัลที่มันอุตส่าห์ไป
แบกกลับมาจากเมืองนอกเมืองนา ผลลัพท์ของความพยายามเกินกว่าครึ่งปี.. "ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!! กูท าอะไรลง
ไป!!!!!!!!!!!!!!!!" แน่นอนว่าไอ้โอมพอตั้งสติได้บา้ งก็ร้องตะโกนดังลัน่ ก่อนจะกระโดดเหยง ๆๆ ออกมาจากกล่องกระดาษนั้น ท่ามกลางความเงียบ
งันของคนทั้งห้องชมรม เพราะเหตุการณ์ตรงหน้ามันกะทันหันเกินทําใจรับไหวจริง ๆ
ผมกระพริบตาปริบ ๆ มองภาพไอ้โอมที่กระโดดจากฝากล่องด้วยใจระทึก.... เพราะไม่อยากยอมรับความจริงเลยว่า ล่องกระดาษใบนั้นคือ
กล่องใส่ถ้วยรางวัลจริง ๆ..... ผมไม่อยากยอมรับแม้กระทั่งว่า ตัวเองได้ยินเสียงเครื่องแก้วแตกดังเพล้งหลังจากไอ้โอมเผลอลงส้นเท้าบนกล่อง
ใบนั้น แต่ทั้งหมดก็.............................. "อ้าว เงียบไรกันอะ งานเลี้ยงเลิกแล้วเหรอ?" แล้วปัดโธ่เว้ยยยยยยยยย เชี่ยปุณณ์! เวลาหน้าสิ่ว
หน้าขวานแบบนี้ยังจะถามอะไรอีก! คนทั้งห้องชมรมหันควับไปมองหน้ามันเป็นตาเดียว ราวกับต้องการอ้อนวอน เหมือนว่าปุณณ์จะช่วย
อะไรได้ยังไงยังงั้น... เหอ ๆๆ คงมีแค่ผมคนเดียวมั้งที่เบือนหน้าหันไปทางอื่น เพราะรู้ดี ว่าเรื่องแบบนี้ ต่อให้เลขาสภาฯเทวดาอย่างปุณณ์ ก็
ช่วยอะไรไม่ได้ "ปุณณ์....... มึงช่วยบอกกูหน่อยดิ่ ว่ากล่องที่กูเหยียบไม่ใช่กล่องใส่ถ้วยรางวัลลลล" แล้วไอ้เชี่ยโอม มึงอย่า มาปัญญาอ่อน
หนีความจริง ผมส่ายหัวมองไอ้เพื่อนเวรที่หันไปอ้อนวอนขอความมั่นใจจากเลขาสภาฯหน้าหล่อซึ่งยืนกระพริบตาปริบ ๆ ทั้งที่มีถุงขยะในมือ
ด้วยถุงหนึ่ง "หืม?....... อือ ไม่ใช่หรอกโอม" แล้วมึงจะช่วยมันทําไมวะ -*- ผมหันไปเหล่ไอ้ปุณณ์อย่างเอาเรื่อง แต่มันยังทําหน้าซื่ออยู่
"ไม่ใช่จริง ๆ นะ" แล้วดูมัน.... มันจะมารู้ดีกว่าพวกผมได้ยังไง ผมส่ายหัวหน่ายอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก่อนตัดสินใจเป็นคนเดินไปสํารวจ
ความเสียหายด้วยตนเอง เพราะไอ้ฟิล์มนั่งหมดแรงข้าวต้มอยู่กลางห้องโน่นแล้ว..... เอ่อ.. งั้นขอกูเปิดดูหน่อยแล้วกันนะ ว่าไอ้เสียงเพล้งเมื่อกี้
มันมีอะไรแตกหักบ้าง เผื่อบางทีโชคเข้าข้างเรา ถ้วยอาจเสียหายแค่ไม่มาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมยินดีแบกไปซ่อมให้แน่ ๆ (โดยเรียกเก็บ
ค่าเสียหายที่ไอ้โอมทีหลัง หึหึ..) ผมกลั้นลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจเปิดกล่องกระดาษนั้นออกมาพลางหลับตาปี๋ เนื่องด้วยไม่อ ยาก
เห็นภาพที่กําลังจะปรากฎเลยจริง ๆ แต่........................................ ในกล่องไม่มีถว้ ยรางวัล!!!!!!!!!!!!?
เฮ้ย!!!!? "ถ้วยหายไปไหนอะฟิล์ม!!!!!!!!!!!!!!!!!" ก็นี่มันแย่ยิ่งกว่าถ้วยแตกอีกนะเว้ย!!!!!!!!!!! ผมส่งเสียงตะโกนทั้งสีหน้าเลิกลั่กไปถามไอ้ ฟิล์มที่
นั่งเหวออยู่กลางห้อง เลยได้เห็นมันทํ าหน้าตกใจสุดขีดกลับมาเหมือนกัน!! "ไม่รู้!!!!!!!! ไม่อยู่ในนั้นเหรอ!!!!!" ไอ้ฟิล์มร้องตอบด้วยท่าทาง
เหมือนคนจะช็อคอยู่แล้ว ส่วนผมไม่แน่ใจว่าอาการวูบ ๆ ที่รู้สึกอยู่คืออะไร "มะ...... ไม่อยู่จริง ๆ" "หาถ้วยเหรอ.......... อยู่นี่.." แต่แล้วเสียง
ไอ้ปุณณ์ดันเสือกแทรกขึ้นมากลางปล้อง ขัดระหว่างผมกําลังโวยวายกับไอ้ฟิล์มอยู่ซะงั้น ซึ่งแน่นอนว่าปุณณ์เรียกเราทั้งคู่ให้หันไปมองมันได้
ทันที ปรากฏว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคือนิ้วปุณณ์ชี้ตรงไปยังชั้นกระจกเก็บถ้วยรางวัลต่าง ๆ ของชมรมผม.... ซึ่ง รางวัลนี้ก็เข้าไปรวมอยู่ใน
นั้นแล้วด้วย!!? เฮ้ยแม่งเข้าไปได้ไงวะ!!!!!!? กูว่ากูยังไม่ได้เก็บนะ! ก็มัวแต่ไร้สาระเพลินอยู่เนี่ยย (หรือมันมีขาเดินได้เอง) เสียงปุณณ์
อ้อมแอ้มอธิบายต่อเหมือนกลัวพวกผมโกรธ "ก็กูกลัวพวกมึงจะไม่ระวังทําถ้วยพังกันอะ เลยเอามาเก็บให้.... ขอโทษนะที่ทําให้ตก ใจ.." มัน
อธิบายแผ่ว ๆ เหมือนคนรู้สึกผิด แถมยังทําหน้าระแวงกลัวผมจะด่าอีก แต่............. "เย้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" โอ๊ยย ยยยยยยยยย ไอ้
ปุณณ์!!!!!!!!!! กูไม่เคยรักมึงขนาดนี้มาก่อน!!!!!!!!! คนในห้องชมรมทั้งหมดพากันกระโดดพลางร้องตะโกนเสียงดังลั่นขณะกรูเข้าไปกอดเลขาสภา
ฯกันยกใหญ่ จนมันเองก็คง งง ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ ฮือ ๆๆๆ ซึ้งใจจนร้องไห้เลยว่ะ ทั้งผม ไอ้ฟิล์ม และไอ้โอมแอบเช็ดนํ้าตาพร้อม ๆ กันด้วยความ
โล่งใจเพราะถ้วยนี้สําคัญกับพวกเรามาก แล้วพวกเราก็เชี่ยกันมากที่ไม่ระวังจริง ๆ นี่ถ้าไม่มีคนอย่างปุณณ์คอยดูแลอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะ
เกิดอะไรขึ้นต่อ...... โอ๊ยยย วันนี้มึงฮีโร่จริง ๆ ว่ะ ผมส่งยิ้มให้ปุณณ์ที่ยืนงงอยู่กลางวงล้อมของรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นเดียวกัน และอีกมากมายใน
ห้องชมรม ที่ต่างกรูเข้าไปขอบอกขอบใจมันอย่างล้นหลาม ซึ่งไอ้ปุณณ์ก็ได้แต่ผงกหัวรับซํ้า ๆ คล้ายว่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ล่ะมั้ง ว่าเพิ่งได้ทําสิ่งที่
ยิ่งใหญ่โคตร ๆ ในความคิดของพวกผมไป ฮ่า ๆ อาจฟังดูเวอร์ไปนิด แต่เมื่อกี้ตอนได้ยิน
เสียงแตกดัง เพล้ง! หัวใจผมหล่นไปกองที่ตาตุ่มเลยจริง ๆ คิดว่าทุกคนก็คงเป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นพอรู้ว่าเรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่คิด ความดี
ใจเลยท่วมท้นออกมาอย่างที่เห็น (สรุปว่าเสียงดัง เพล้ง! ที่ได้ยินคือเสียงแก้วใส่นํ้าเขียวแตกครับ ไอ้โอมถูกบาดแล้วยังไม่รู้ตัวอี กแน่ะ มัว
แต่ช็อคอยู่) "โหยยยยยย นี่ถ้าไม่ได้พี่ปุณณ์ พวกผมแย่แน่ ๆ อะ!" ไอ้มํ่าส่งเสียงนําขบวนอวยเลขาสภาฯ จนคนถูกชมออกอาการเขินเกาหัว
เกาหางตัวเองมั่วไปหมด เนื่องจากสมาชิกชมรมผมคนอื่น ๆ ร้องขานรับเห็นด้วยกันอีกเป็นทิวแถว "แบบนี้ใครได้พี่ปุณณ์เป็นแฟน
โคตรรรรรรรร โชคดี หล่อ ฉลาด แล้วยังรอบคอบอีก ผู้หญิงที่ไหนไม่รักก็โง่.............. อุ๊บบบบบบบบบ" แต่ไม่ทันแล้วแหละ ถึงพวกมึงจะ
พยายามช่วยกันปิดปากไอ้น้องมํ่ายังไง มันก็พูดจบประโยคแล้ว เหอ ๆๆๆ ผมมองตอบไอ้พวกลิงแสบในชมรมทั้งหลายที่หันมาส่งยิ้มแหย ๆ
ให้ เหมือนกับอยากขอโทษแทนเพื่อนปากเปราะ.. แต่เฮ้ย!! กูไม่ได้คิดมากซักหน่อย! "ไม่จริงหรอกมํ่า พี่ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก" แ ละก็
เป็นเสียงปุณณ์นั่นเองที่ขโมยความสนใจจากทุกคนกลับไป รวมถึงผมด้วยเช่นกัน ผมเลิกคิ้วมองไอ้หน้าหล่อที่ยืนอมยิ้มอยู่ ขณะที่เจ้าตัว มอง
ม า ท า ง ผ ม แ ว่ บ ห นึ่ ง ก่ อ น จ ะ พู ด ต่ อ " พี่ แ ค่ อ ย า ก ทํ า ทุ ก อ ย่ า ง ใ ห้ ท่ า น ป ร ะ ธ า น ข อ ง มํ่ า ยั ง ยิ้ ม ไ ด้ แ ค่ นั้ น เ อ ง "
"ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!!" คือมึงอย่ามานํ้าเน่าได้ปะปุณณ์............ ผมหลุดขําขณะที่สมาชิกในห้องชมรมคนอื่น ๆ
โห่รับกันอย่างสนุกสนาน ฮ่า ๆๆ ไม่รู้ว่าไอ้ปุณณ์มันแค่ปล่อยมุกเสี่ยวหรือหมายความตามที่พูดจริง ๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างไหน ผมก็รู้สึ กดีมาก
ทีเดียว "ขอบใจนะมึง.." คือคําที่ผมกระซิบบอกปุณณ์แผ่ว ๆ ระหว่างเราและชาวชมรมทุกคนกําลังร่วมมือร่วมใจเก็บขยะทั้งหมดอยู่เพื่อ
เคลียร์ห้องแล้วจะได้ไปเรียนในคาบบ่ายต่อไป บางทีแค่ได้รู้ว่า เพียงรอยยิ้มของเรา มีค่า สําหรับใครบางคน ผมก็รู้แล้ว ว่าค รั้งต่อไป
ผมจะยิ้มเพื่อใคร
=]
54th CHAOS
และแล้วจากเหตุการณ์ผีอาเสี่ยเข้าสิงเมื่อตอนกลางวัน พอเวลาผ่านไปได้สามชั่วโมง (จนผีอาเสี่ยคงเริ่มออก) ผมจึงรู้สึกตัวกับเขาซักที ว่า ไอ้
พวกเวรนั่นทําค่าขนมผมบ๋อแบ๋ทั้งเดือน T__T ฮือ ไอ้ชั่วว แล้วเดือนนี้กูจะเอาเงินที่ไหนใช้! ผมนั่งคิดพลางกุมขมับ เพราะขืนบากหน้าไปขอ
อาป๊าเพิ่ม มีหวังโดนเขกกะบาลยุบกลับมาแหง๋ ๆ แต่เอาเหอะ... นับว่ายังดีที่พอมีเงินเหลือในบัตรแคนทีนอยู่บ้าง ปัญหาใหญ่เลยมีแค่งดออก
เที่ยวตลอดเดือนเท่านั้นเอ๊งง ฮืออ T__T เกิดเป็นโน่ช่างรันทดจริง ๆ T__T ผมคิดอย่างโคตรจะเซ็งระหว่างนั่งฟังบ้าง งีบหลับบ้าง แอบ
เล่นเกม OX บ้าง ในคาบเรียนสุดท้ายของวันที่มิสพัชรีกําลังพูดอะไรไม่รู้อยู่หน้าห้อง.... อือ ผมนั่งตาลอยปล่อยให้เสียงมิสทะลวงเข้าหูซ้าย
แล้วทะลุออกหูขวาอย่างง่ายดาย โดยไม่คิดจะดันความรู้ขึ้นสมองเท่าไหร่ เฮ้ออ.... อีกกี่นาทีจะถึงเวลากลับบ้านวะ ผมนั่งเพ่งมองเข็มยาวของ
นาฬิกาหน้าชั้นเรียนที่ค่อย ๆ เคลื่อนไปหาเลข 8 ด้วยใจระทึก.. 'ออดดดดดดดดดด' นี่ไง!! ใช่เลยยย!! ฮ้าา... ความง่วงตะกี้หายวับเป็น
ปลิดทิ้งทันทีที่ออดเลิกเรียนดัง ก่อนมิสพัชรีจะสั่งการบ้านทิ้งทวนไว้กองเท่าภูเขาแล้วจากไป "เฮ้ย เตะบอลป่าว!!!!!!" เสียงไอ้ปาล์มตะโกน
ถามเพื่อนลั่นห้องก่อนคนอื่นจะวิ่งเฮโลไปสมทบกับมันรวมถึงไอ้โอมด้วย (ไอ้ห่านี่ไปคนแรกเลยเหอะ) "ไอ้โน่ ไปป่าว!!" เสียงพ้งหันมาถ าม
ผมยํ้า ซึ่งไม่มีหรอกที่จะปฏิเสธ แต่ขอเวลากูเก็บของแป๊บบบบนึง เพียงไม่ถึง สิบนาที พวกเราห้อง 5 ก็ลงมาวิ่งชายเสื้อหลุดรุ่ยกัน
สลอน บนสนามของโรงเรียนที่มีวงเตะบอลตั้งอยู่นับสิบ เออ มันก็แยกประสาทกันเล่นได้ว่ะ ? เรื่องนี้เป็นพรสวรรค์เฉพาะโรงเรียนครับ ยาก
แก่การลอกเลียนแบบ แต่เตะบอลคราวนี้แม่งซวยชิบหาย เพราะผมดันโอน้อยออกได้อยู่คนละทีมกับไอ้เชี่ยโอม คือเมื่อก่อนไม่
ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอกครับ เพราะอาศัยว่าอยู่ทีมเดียวกับมันมาตลอด แต่พอครั้งนี้ได้แยกทีมกันแล้วจึงได้ซึ้งว่าแม่งโคตรรรร สั นดาน
เสียเลย!! "ไอ้เชี่ยยยยย!! แม่งขี้โกงงงง!!" ก็คิดดูแล้วกันว่าผมต้องตะโกนคํานี้เป็นครั้งที่ ร้อยกว่าได้แล้วมั้ง!!! เพราะล่าสุดไอ้ห่านั่นแย่งบอล
ผมด้วยการชาร์ตเข้าข้างหลังแล้วเอามือปิดตา ปล่อยให้ไอ้เคนซิวลูกบอลปลายเท้าผมไปได้อย่างง่ายดาย สาดดด มีคําไหนให้กูด่ามึงอีกมั่ง ไหม
เนี่ยย!! แถมสิ่งที่ได้รับกลับมายังเป็นเสียงหัวเราะเอิ๊ก ๆ ของไอ้เชี่ยโอม ที่ไม่สนใจคําด่าผม แล้วยังแปะมือแท็กกับไอ้โด่งเย้ยกันอีก! เออ!
ฝากไว้ก่อนเหอะ! แต่พอตาผมจะเล่นสกปรกใส่มันบ้าง (อาทิเช่นแกล้งเหยียบถุงเท้าให้แม่งดํา หรือไม่ก็พยายามดึงกางเกงนักเรียนมันให้หลุ ด
ตูด) ดันไม่มีอะไรเป็นผลเลยเพราะเชี่ยโอมเสือกรู้ทันหมด!! เออ.. ก็งี้แหละวะ ลืมไปว่าไอ้โอมมันชั่วตัวพ่อ ใครจะไปชั่วกว่าคนอย่างมันได้ แต่
อย่าเผลอล่ะมึง! พวกผมเตะบอลกันไปไล่ด่ากันไปดังลั่นสนามอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเล่นแจมกับน้องม.ต้นที่เตะร่ วมสนาม
เดียวกันแทน ปรากฏการณ์รุ่นพี่แกล้งรุ่นน้องจึงเกิดขึ้น (ฮ่า ๆ) เพราะแค่เด็ก ๆ จะเข้ามาแย่งบอลจากพวกเรา ไอ้รถเก๋งก็ไปแกล้งยกน้องซะ
ตัวลอย จนต้องตีขาหน้าเหวอในอากาศ กลายเป็นการทรมานเด็กซะงั้น!! (ฮ่า ๆๆ) จนผมต้องนั่งยอง ๆ กับพื้นสนามแล้วขํากลิ้งเมื่อเห็นไอ้ร ถ
เก๋งอุ้มน้องม.ต้นคนหนึ่งวิ่งชูรอบสนาม ทํายังกะแห่ฮีโร่โอลิ มปิก เล่นเอาขําแตกทั้งสนาม แต่เรื่องพรรค์นี้อย่าหวังว่าไอ้โอมยอมจะ
น้อยหน้า!! เพราะตอนนี้มันวิ่งไปแบกน้องม.ต้นอีกคนหนึ่งขึ้นบ่าครับ แถมยังมุ่งหน้าไปปะทะกับเด็กที่ไอ้เก๋งกําลังอุ้มอยู่ทันที จนกลายเป็นศึก
ยุทธหัตถีเด็กม.ต้นขึ้น ฮ่า ๆๆ (พวกมึงแปลงร่างเป็นช้างกันเหรอวะ) ผมนั่งขําเมื่อน้องในสังกัดพวกมันต่างเอื้อมมือจะแกล้งตีฝ่ายตรงข้ามยก
ใหญ่ แต่พอเอื้อมใกล้ถึงตัวฝ่ายนั้นทีไร เชี่ยโอมเป็นต้องแกล้งถอยออกมาทู้กกกที นี่มึงกวนตีนเด็กนะ รู้ตัวปะเนี่ยย ทุกคนเริ่ม หยุดมายืน
ขําระหว่างดูรุ่นน้องบนคอไอ้โอมที่เริ่มเปลี่ยนจากตีเพื่อนเป็นตีพี่โอมแทนอย่างขัดใจ เพราะแม่งกวนส้นตีนอย่างกับอะไร ฮ่า ๆๆ เออ สม กวน
ตีนเพื่อนไม่พอยังจะลามปามไปกวนตีนเด็กไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก เอาเลยครับน้อง ตีแม่งแรง ๆ เลยครับ พี่สะใจ
"ทําไรอยู่โน่ ไมมานั่งตรงนี้" อ้าวว... แล้วเสียงคุ้น ๆ แบบนี้จะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่เลขาสภาฯคนเดิม ผมหันไปมองปุณณ์ที่ก้มลงมานั่งยอง ๆ
คุยกับผมอยู่บริเวณข้างสนามบอล (ซึ่งผมนั่งขัดสมาธิไปแล้ว) จึงชี้ให้มันดูศึกยุทธหัตถีในสนาม (ที่ใช้หลังไอ้เชี่ยโอมกับรถเก๋งแทนหลังช้าง) "ดู
ไอ้เชี่ยโอมแกล้งเด็กดิ่ อย่างฮา" เพราะตอนนี้น้อง ๆ เริ่มเปลี่ยนมาเล่นงานพาหนะตัวเองแทนแล้ว โทษฐานกวนอารมณ์ดีนัก ฮ่า ๆๆ "อ้าว
โอมแกล้งเด็กเหรอ นึกว่าจะเปลี่ยนใจมารักเด็กแล้วนะเนี่ย" แต่น่านนน มันอยู่ตั้งไกลยังอุตส่าห์นินทาอีก ผมหันไปขําคําพูดปุณณ์ ก่อ นจะ
ช่วยเสริม "เหอะ ขนาดเด็กที่มันรักมันยังแกล้งเล้ ยย" ก็งี้แหละครับ ความเลวแม่งคงฝังอยู่ในสันดานจริง ๆ ปุณณ์หัวเราะร่วนก่อนจะล้ม
ตัวลงนั่งขัดสมาธิข้าง ๆ ผม อืม.... ไอ้คุณหนูปุณณ์นั่งกับพื้นไม่กลัวกางเกงนักเรียนเปื้อนรึไง ก็ว่าจะลองแซวมันอย่างนั้น แต่อีกฝ่ ายเสือกชิง
หันมาถามอย่างอื่นกับผมก่อน "โน่กลับตอนไหนเนี่ย" ผมจึงเลิกคิ้วมองหน้ามันงง ๆ "ก็กลับตอนไหนก็ได้ วันนี้ชิว ๆ" "งั้นไปหาไรกิน
กันมั้ย วันนี้กูก็ว่าง แวะไปหาแป้งด้วยดิ่ บ่นคิดถึงมึงจะแย่แล้วเนี่ย" หืมม ไอ้เจ้าเล่ห์ ยกเอาน้องมาอ้างว่ะ ผมเลิกคิ้วพลางพยัก หน้าล้อเลียน
มัน แต่ก็..... เอาวะ!! ไปก็ไป เตะบอลจนเหนียวตัวแล้วด้วย ไม่มีแรงเหลือเตะต่อแล้ว "เฮ้ย!!! กูกลับก่อนนะ!!" ดังนั้นผมจึงลุกขึ้นปัดตูด
กางเกงแล้วตะโกนบอกเพื่อน ๆ ในสนามทําเอาพวกมันหันมามองเป็นตาเดียว "โห...... ไอ้เชี่ยปุณณ์! แย่งเพื่อนกูอีกแล้วนะ!" น่าน... ไอ้ที่
มึงแบกน้องม.ต้นขี่คอไว้มันยังไม่เหนื่อยพอใช่มะ ถึงได้หันมากัดกูเพิ่มอีกเนี่ยไอ้เชี่ยโอม ผมชูมะเหงกใส่มันขณะที่ปุณณ์แค่หัวเราะพลางยกมือ
เป็นเชิงว่า ไม่ได้ทําอะไรซักหน่อย หลังจากใช้ภาษากายตอบโต้กันได้พักหนึ่ง จึงถึงเวลาที่ผมควรเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนพลางโบกมือ
ลา
เพื่อน ๆ ทั้งหมดซักที โดยไม่ลืมรับปากไอ้เก่งว่าคืนนี้จะกลับไปดอทเอด้วยแน่ ๆ ให้แม่งเตรียมทีมไว้รอได้เลย ผมโบกมือให้เพื่อนทั้งสนาม
ก่อนจะเดินตามปุณณ์ไปเอากระเป๋านักเรียนในห้องสภาฯแล้วพากันมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าทันที "กินเนื้อย่างร้านเดิมมะ ไม่ได้ไปนาน
แล้ว อยากกินอะ" แต่ยังไม่ทันพ้นประตูโรงเรียนได้เท่าไหร่ ไอ้คนข้าง ๆ ก็เริ่มคิดเมนูประจําเย็นนี้แล้วครับ ขณะที่คนหมดตูดอย่างผมทําหน้า
เหมือนขี้ไม่ออก "ร้านนั้นก็แพงดิ่ว้าา กูว่าแดกข้าวขาหมูตรงซอยนั้นก็ได้มั้ง" "เฮ้ย ข้าวขาหมูกินจนเบื่อแล้ว ไปเหอะ มื้อนี้กู เลี้ยงเอง แล้ว
เดี๋ยวเดือนหน้ามึงค่อยเลี้ยงกู" โอ้โหไอ้นี่ จะเลี้ยงกูทั้งทีก็ช่วยเลี้ยงฟรี ๆ ไม่ได้รึไง ผมเหล่ตามองคนเสนอไอเดียที่ทําเป็นยิ้ มกว้างอยู่แล้วก็ต้อง
พยักหน้าปลง ๆ กลับ เออ... เอาไงก็เอา เราสองคนเดินลากขามาเรื่อยจนถึงสถานีรถไฟฟ้า แต่ขณะบันไดเลื่อนกําลังไต่ขึ้นชานชาลาอยู่นนั้
เสียงเตือนประตูใกล้ปิดเสือกดังขึ้นก่อน!! แล้วก็โรคจิตพอกันทั้งคู่อะครับ ผมว่า... เพราะผมกับปุณณ์มีความเพี้ยนเหมือนกันอย่า งหนึ่งคือ
ได้ยินเสียงเตือน ปิ๊บ ๆๆๆ เวลาประตูรถไฟใกล้ปิดไม่ได้.. ไม่ใช่ว่าฟังแล้วจะลงไปนอนชักดิ้นกะแด่ว ๆ ตายหรอกนะครับ (นั่นก็เวอร์ไป..) แค่
ฟังแล้วคล้าย ๆ กับฟังเพลงปลุกใจ อะไรซักอย่างอะ ความรู้สึกมันเหมือนถูกบังคับให้รีบใส่เกียร์หมาโกยเข้าขบวนโดยเร็ว ยังไงยังงั้น!
แน่นอนว่าโรคจิตทั้งคู่แบบนี้ไม่มีเหลือ.. ผมกับปุณณ์ที่ได้ยินเสียงสัญญาณ ปิ๊บ ๆๆๆๆ ดังก้อ งชานชาลา ถึงกับพากันสะดุ้งโหยง ก่อนจะคว้า
เอาแขนอีกฝ่ายโกยแน่บเข้าโบกี้ขบวนสุดท้ายได้ทันอย่างเฉียดฉิว! ฮูเร่!!!! ว่าแต่กูรีบทําไมวะ รอขบวนใหม่แค่ 3 นาทีเอง เร็วกว่าต้มมาม่าอีก -
_- "แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก.... รีบไมวะ!" แน่นอนว่าพอระลึกชาติได้ว่าตัวเองเพิ่งทําสิ่งไร้สาระโคตร ๆ ไปหมาด ๆ ผมจึงหันไปโวยปุณณ์เข้าให้ดอก
หนึ่ง แม้จะยังหอบตัวโยนอยู่ก็ตาม ซึ่งไอ้คนยืนข้าง ๆ ก็ไม่ได้มีสภาพต่างกันไปซักเท่าไหร่
"มึงแหละพากูรีบ!" อ้าววว ๆๆ โยนอีกก ตกลงใครนําใครก่อนวะ.. ผมหลุดขําออกมาขณะปาดเหงื่อเม็ดเป้งออกจากขมับ หลัง จากค่อย
กลืนนํ้าลายคล่องคอ เป็นสัญญาณว่าเริ่มหายเหนื่อยแล้ว จึงได้เวลามองสํารวจในขบวนรถไฟฟ้าบ้าง ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ถึงกับสังเกตสังกาอะไ ร
มากมายหรอกครับ แค่ตามันเหลือบไปเห็นเองว่า.. .. กว่า 80% ของโบกี้นี้ มีแต่ผู้หญิง..... โอ่ย... ประชากรเพศแม่ในประเทศนี้มันจะ
เยอะไปไหน? ผมลอบมองนักเรียนสาว ๆ ทั้งกระโปรงแดงและกระโปรงนํ้าเงิน ที่เวลาเลิกเรียนคงใกล้ ๆ กับโรงเรียนผม ไหนจะยังสาว
ออฟฟิศบริเวณนั้นอีก ที่ขึ้นมาบนรถไฟขบวนเดียวกัน ต่างคนคงต่างมีจุดหมายปลายทางไม่เหมือนกันไป แต่จุดร่วมที่สาว ๆ ในขบวนนี้มี
เหมือนกันคือ...... ผู้ชายที่ยืนพิงเสาอยู่ข้าง ๆ ผม!? ผมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสังเกตเห็นว่าเกินค่อนของผู้หญิงในขบวนนี้ล้วนจับจ้อง รวมถึงแอบ
มอง มายังไอ้หน้าหล่อซึ่งมัวแต่ยืนผึ่งแอร์รถไฟฟ้าดับร้อนแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่นี่.. ซึ่งอืมมม... ก็รู้มานาน (ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันแล้วแหละ) ว่า
ปุณณ์มันหน้าตาดี... แต่ไม่เคยคิดขนาดว่าจะสามารถดึงดูดให้สาวนั่งมองตามกันตาเป็นมันได้เท่านี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงขอร่วมว งแอบ
มองไอ้คนที่ยืนไหล่กระแทกกันอยู่นี่บ้าง... อืม.. ปฏิเสธไม่ได้แฮะ ว่าปุณณ์ดูดีและโดดเด่นมากขนาดไหน เพราะถึงมันไม่ได้บ้าดีเดือดวิ่งเข้ามา
ในรถไฟตอนประตูจวนเจียนใกล้ปิด แต่แค่ใบหน้าและรูปร่างสูงโปร่งของมัน ก็มากเกินพอแล้วที่จะดึงดูดเอาสายตาใครต่อใครให้ต่างจ้องมอง
มาที่มันได้.. "เงียบไมโน่ ยังเหนื่อยอยู่เหรอ" แต่เอ๋.... ผมถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ปุณณ์ก็หันมาถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทําเอาเจ้าตัวรู้หมด
ว่าผมกําลังแอบมองอยู่
แน่นอนว่าใบหน้าคมนั้นฉายแววยียวนทันที อย่างที่ผมรู้ว่าตัวเองต้องถูกแซวแน่ "แอบมองกูไม.. ถ้าเป็นมึงจะมองตรง ๆ เลยก็ได้นะ หึหึ"
กวนตีนนน ผมด่ามันแบบไม่มีเสียง ก่อนจะเสตาหันไปมองทางอื่น แต่ยังได้ยิ นแม่งหัวเราะแผ่ว ๆ อย่างสนุกในอารมณ์(มัน)อยู่ 'สถานี
ต่อไป ทองหล่อ.. next station Thong-Lor' แต่ก่อนที่เราจะแง่ง ๆ ใส่กันมากไปกว่านี้ เสียงผู้หญิงในอินเตอร์คอมก็ร้องเตือนว่าถึงที่
หมายแล้วเป็นการตัดบทขึ้น นําให้ปุณณ์หันมายิ้มกับผม ก่อนจะค่อย ๆ ดันไหล่ให้เดินไปรอหน้าประตูด้วยกัน บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเอง
ช่างอยู่ผิดที่ผิดทางจริง ๆ *** เราสองคนพากันเดินต๊อกแต๊กขึ้นรถสองแถวสีแดงปากซอยทองหล่อเพื่อมุ่งหน้าไปยังเจอเวนิว เชื่อ มั้ยว่า
ขนาดบนรถสองแถวก็ยังไม่วายมีสาวแก่แม่หม้ายนั่งจ้องไอ้ปุณณ์กันตาเป็นมัน เหอ ๆๆ ของมันแน่นอนจริง ๆ ว่ะ แม้แต่กระเป๋ารถยังดูเกร็ง
เลย เวลาเรียกเก็บตังค์จากคุณชายปุณณ์ และแล้วเราก็หักอกคนทั้งรถสองแถวด้วยการกดออดขอลงที่ปากซอยทองหล่อ 13 เพื่อมาตาย
รังกันที่เจอเวนิวเหมือนเดิม ซึ่งจริง ๆ ก็เอียนนะ กูมาทําไมบ่อย ๆ วะ แต่เอาเหอะช่วยไม่ได้ เสือกอยู่ใกล้บ้านนี่หว่า -_- "เออ ขากลับ
เตือนกูซื้อหนมไปฝากแป้งด้วยนะ เดี๋ยวโดนงอนอีก" แต่เอ๊า! น้องมึงเองเสือกให้กูเตือนซะงั้น!? ผมแกล้งทําเป็นผิวปากไม่ฟังหวังจะกวนตีนมัน
แต่ไอ้พ่อพระดันทุบหัวผมโป้กใหญ่เป็นการทําโทษ อูยย โหดดว่ะ เราเดินคุยกันไปกวนตีนกันไป จนมาถึงหน้าร้านเนื้อย่างเจ้าประจําที่กิน
กี่ทีก็ยังรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
ทุกครั้ง "สองที่ครับ" ปุณณ์หันไปบอกพี่พนักงานก่อนเธอจะนําเราไปนั่งโต๊ะบริเวณข้างกระจก ซึ่งเป็นที่โปรดของผมเลย เพราะเวลากินไปได้
มองสาวสวย ๆ เดินผ่าน มันเจริญอาหารดี อิอิ "กินไรดี มึงเลี้ยงใช่มะ งั้นเอาทุกอย่างที่ร้านนี้มีอะพี่" ผมแกล้งวนนิ้วไปรอบ ๆ เมนูจนไอ้
ปุณณ์ยื่นมือมาโบกเข้าให้ เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากพนักงานในร้านที่มาคอยเราสั่งอาหารอยู่ อูย... ไอ้นี่ ตบหัวกูสองทีแล้วนะ ถ้า คืนนี้
นอนเยี่ยวราดมึงจะซักผ้าปูให้กูปะ "เอาข้าวกระเทียม 2 ครับ หมูหมักนํ้าจิ้ม ริบอาย เนื้อสันนอก เนื้อสันใน" ไอ้ปุณณ์เริ่มร่ายเมนู โดยมี
ผมช่วยแทรกเป็นพัก ๆ "เนื้อสันในเอาแบบหมักนํ้าจิ้มนะ!" "อ่าครับ ตามที่มันบอก เอาเนื้อสันในหมักนํ้าจิ้ม แล้วเอาไรอีกโน่ " "เห็ด
ปลาหมึก... เทมปุระด้วย" โอ่ยยย แค่คิดก็หิว ผมรีบปิดเมนูหลังจากพูดเสร็จเพราะคิดว่าแค่นี้ก็คงพอสําหรับสองคนแล้ว แต่ปุณณ์ยังคงสั่ งต่อ
อีกนิดหน่อย "เนื้อแกะด้วยครับ.... เครื่องดื่มขอชาจีนรีฟิลนะ" แล้วเราก็ได้ฟังพี่สาวคนสวยทวนรายการอาหารอีกครู่หนึ่ง ก่อ นจะถึง
เวลาคอยของกินมา ซึ่งช่างเป็นช่วงที่แสนทรมานจริง ๆ เพราะการแอบมองโต๊ะข้าง ๆ เค้าปิ้งของกินกัน มันช่างยั่วนํ้าลายอะไรเช่นนี้! "โน่
วันนี้แวะเข้าบ้านกูนะ" แล้วอยู่ดี ๆ มาโผล่เรื่องนี้ได้ไงเนี่ย! ผมสะดุ้งโหยงมองหน้ามันแบบงง ๆ "เฮ้ยย ไร ไปทําไม" ก็ไ หน ๆ ได้โอกาสทั้งที
ขอแกล้งโวยมันหน่อยแล้วกันครับ หึหึ ผมว่าพลางทําเป็นมองหน้ากวนตีนมัน แต่เห็นไอ้ปุณณ์แค่คลี่ยิ้มกริ่มส่งกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้า น
"ไปเยี่ยมน้องแป้งไง ไม่เจอหลายวันแล้ว" นี่ก็เอาน้องมาอ้างตลอดด! ผมเลิกคิ้วมองมันเป็นเชิงไม่เชื่อ แต่
ปุณณ์กลับยักคิ้วสบาย ๆ ใส่ก่อนจะคว้าเอามือผมไปจับไว้บนโต๊ะ "เฮ้ย!!!" แล้วมึงจะประเจิดประเจ้อทําไมวะ อายเค้า!! แน่นอนว่าผม
พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อบิดมือตัวเองออกจากมือมันอยู่ "ปล่อย สิ วะ!" "บอกว่าไปก่อน แล้วจะปล่อย" หูยย ไอ้ชั่ว นี่มึ งไปเอาวิธี
เลว ๆ พรรค์นี้มาจากไหน ผมเหลือกตามองมันอย่างสุดจะเคือง แต่ถ้าฝันว่าคนอย่างโน่จะยอมน่ะยาก!! "ยิ่งแกล้งกูยิ่งไม่ไปอะ เอาดิ่ !"
แน่นอนว่าผมขู่กลับ แต่เห็นมันแค่ลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่กลัวอย่างงั้นอะ! "บอกว่าไปดิ่ เร็ว ๆ" แถมยังมีหน้ามาบังคับอีก! ผมกํา ลังจะ
อ้าปากด่ามันอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มี... "ขออนุญาตเสิร์ฟเครื่องดื่มก่อนนะคะ" เฮ้ย!!! เป็นเพราะพี่พนักงานผู้หญิงคนนี้ผมจึงต้องใช้รองเท้าหนัง
ตัวเองถีบเข่าไอ้ปุณณ์ไปอย่าง.. ไม่ค่อยแรง .... เอ่อ.. แรงไม่แรงไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่ามันรีบปล่อยมือผมอย่างเร็ว (ถ้าปล่ อยแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัว
แล้วนะมึง!) "ขอบคุณครับ" ผมหันไปยิ้มรับชาจีนเย็นสองแถ้วมาวางให้ปุณณ์แก้วหนึ่งและผมแก้วหนึ่ง ก่อนที่พี่พนักงานคนสวยจะเดินจาก
ไป เหลือไว้เพียงไอ้ปุณณ์ที่หน้าบูดเป็นตูดลิง "ลอบทําร้ายกูนะ!" ดูมันยังมีหน้ามาบ่นอีก "ก็มึงกวนตีนก่อ นอะ" หรือไม่จริง! หึหึหึ เรา
นั่งเถียงกันได้ไม่นานบรรดาเนื้อสัตว์ทั้งหลายแหล่ที่สั่งไป ก็เริ่มยกขบวนพาเหรดมาวางล่อนํ้าย่อยรวมถึงนํ้าลายบนโต๊ะพวกผม ฮ้าาาา สวรรค์
ของคนกินเนื้ออย่างโน่จริง ๆ ผมรีบจัดแจงช่วยปุณณ์เอาเนื้อลง
เตาอย่างไม่รอช้า โดยคาบกุ้งเทมปุระไว้ในปากด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หึหึ.. ว่าแต่ไอ้ปุณณ์มันจะขี้บริการไปไหนวะ! เพราะตั้งแต่
ย่างเนื้อมา มีห่าเหวอะไรสุกแม่งต้องคีบลงจานผมทั้งปี จนแทบไม่มีที่เหลือแล้วเนี่ยครับ! ส่วนสิ่งที่ผมทําได้ก็มีแต่นั่งเกาหัวอย่า งขัดใจ เพราะ
เท่านั้นยังไม่พอ เวลานํ้าจิ้มหมด ชาหมด ปุณณ์มันยังหันไปหยิบเหยือกชากับกานํ้าจิ้มมาเทเองโดยไม่ยอมเรียกพนักงานอีก! เออ ไอ้นี่อาการ
หนักว่ะ สงสัยอยู่บ้านจะมีคนทําให้ทุกอย่างจนเก็บกด พอออกมาข้างนอกเลยชอบบริการคนอื่นซะงั้น (ว่าแต่มึงลืมไปรึเปล่าว่าที่นี่เค้าคิ ดค่า
เซอร์วิสชาร์จด้วย 7%) "โอ๊ยไอ้เชี่ย กูแดกไม่ทันแล้ว แดกเองมั่งดิ่วะ!!" ก็เป็นอย่างนี้จะไม่ให้ผมบ่นยังไงไหวอะครับ!! ผมเหวี่ยงใส่มันรอบที่
ห้าล้านกว่าเห็นจะได้ แต่ไอ้เชี่ยปุณณ์ยังมัวตีหน้าเฉย โดยที่มือคีบเนื้อย่างใส่จานผมไม่ยอมหยุด จนแน่นท้องไปหมดแล้วเนี่ย โอ่ยยย.. สงสัย
เพราะยัดห่าเกินอัตรา "มึงแหละแดกเข้าไปเยอะ ๆ ของดีมีประโยชน์ทั้งนั้น" แถมไม่ฟังไม่พอ ยังเถียงแล้วคีบเนื้อใส่จานผมเพิ่มอีก! โอ่ย
ยมึง กะจะขุนกูให้อ้วนแล้วเอาไปแล่เนื้อขายใช่มะะ ผมมองหน้าปุณณ์ที่ตั้งอกตั้งใจย่างเนื้อในเตาโดยที่ปากยังพูดไม่หยุด "กูได้ข่าวว่ าเดือนนี้
มึงเหลือตังแค่กินก๋วยเตี๋ยว ฮ่า ๆๆ มีโอกาสกินของดี ๆ ก็กินเข้าไปเหอะ" อ้าวไอ้นี่.... เสือกซํ้าเติมกูอีก ได้ยินดังนั้นผมจึ งหันไปคีบเห็ดจาก
เตายัดใส่ปากมันทันที "มึงก็แดกเข้าไปเหอะ ไม่ต้องพูดมาก" ฮ่า ๆๆ!!! แต่สงสัยจะเป็นเห็ดพิษว่ะ เพราะทันทีที่เห็ดเข้าถึงปากเลขาสภาฯ มันก็
รีบส่งเสียงร้องอุทานไม่เป็นภาษา ก่อนจะคายออกมาอย่างไว ก๊ากกกก "ไอ้สัด ร้อนนน!!" "ฮ่า ๆๆ! ปากพองแน่มึง แดกนํ้าไป เดี๋ย วกูมา
ปวดขี้ว่ะ" ผมว่าพลางดันแก้วนํ้าให้ปุณณ์แบบไร้สํานึก (ก๊ากกก) ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะหมายไปปลดทุกข์ในห้อ งนํ้าซักหน่อย ถ้าไม่ได้เดิน
ผ่านบาร์ที่พนักงานสาว ๆ ชอบแอบไปรวมตัวสิงกันอยู่ แถมบังเอิญได้ยินบางคําที่ทําเอาผมต้องผงะไป "แก๊!!!!!! ดูน้องผู้ชายโต๊ะข้ างกระจก
ดิ่ หล่อมากอะ!" ก็พี่เล่นเริ่มมาแบบนี้ คนปวดขี้อย่างน้องก็ต้องหยุด
ฟังดิ่ครับ! ผมถึงกับสะดุดกึกทั นทีเพราะไอ้ผู้ชายโต๊ะข้างหน้าต่างมีแต่ไอ้ปุณณ์นั่งเด่นอยู่นี่หว่าา "โหยยย เห็นตั้งแต่เดินเข้าร้านแล้วย่ะ!
น้องเค้ามากินออกจะบ่อย ฉันเหล่มานานแล้ว!!" เสียงพนักงานอีกคนเริ่มเกทับคนแรก จนผมต้องหลุดขําออกมาเบา ๆ "จริงเหรอ!? ฉันไม่
เคยเจอเลยอะ น้องเค้าชอบมากินวันไหนเวลาไหนอะไร จะได้ขอผู้จัดการลงตารางงานเอาไว้ถูก อิอิอิ" "เป็นเอามากนะแก!" "เม้าอะไร
กันอยู่เหรอ ไม่ยอมออกไปหน้าบาร์เลย" ผมยืนฟังสองคนนั้นคุยกันได้แป๊บหนึ่ง ก็มีเสียงพนักงานคนที่สามแทรกขึ้นมาอีก ซึ่งถ้าจําไม่ผิ ด คิด
ว่าคงเป็นคนสวย ๆ ที่มารับเมนูโต๊ะพวกผมแหง๋ "น้องโต๊ะ E-2 ไง คนที่หล่อ ๆ ตอนนี้นั่งคนเดียวอะ เห็นปะ" "อ๋อเห็น ฉันเป็นคนรับ
เมนูเค้าเองแหละ อิจฉารึเปล่า ฮิฮิฮิ" ฮ่า... แสดงว่าความจําผมดีจริง ๆ ด้วยครับ อิอิ ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจก่อนจะเกิดความรู้สึก แปลก ๆ
เพราะจะว่าไป การแอบฟังคนอื่นคุยกันมันใช้ได้ที่ไหน.. เมื่อผมฉุกคิดได้ดังนั้น ก็ว่าจะหลบฉากไปเข้าห้องนํ้าตามที่ตั้งใจไว้แล้วเชียว ถ้าไม่ได้
ยินประโยคต่อไปของพนักงานสาว ๆ เสียก่อน "น้องเค้ามากับเพื่อนผู้ชายอีกคนด้วยนะ น่ารักเหมือนกัน สงสัยออกไปทําธุระมั้ง" "คู่ขา
รึเปล่าแก!" "บ้าาาาาาาาาา!... แต่ฉันเห็นน้องเค้านั่งจับมือกันด้วยนะ ตอนที่เข้าไปเสิร์ฟนํ้าอะ!!" เวรแล้วไหมล่ะ! ด้วยประโยคนี้ทําเอาผมที่
กําลังจะก้าวขาออกไปเข้าห้องนํ้าถึงกับยืนตัวแข็งทันที ราวกับถูกหมุดพันเล่มตรึงเท้าไว้ให้ยืนฟังต่อ
"จริงเหรอ!!!!! บ้า คงไม่มีอะไรหรอก น้องเค้าหล่อขนาดนั้นจะเป็นอื่นได้ไง" "อือ ก็คงงั้นแหละ ถ้าหล่อ ๆ แบบนั้นเป็นอย่างว่าจริง ๆ นะ
เสียดายแย่เลย" .............. "ไป ๆๆ ออกไปทํางานเหอะ ผู้จัดการมาแล้ว!" เสียงพนักงานสาว ๆ ในบาร์โวยวายกันพักหนึ่งก่อนจะเงี ยบ
หายไป เหลือไว้แค่เพียงผม ที่ยังคงยืนพ่นลมหายใจ ก็อยากเที่ยวแอบฟังเขาดีนัก ที่กําลังรู้สึกแย่แบบนี้คงเป็นเพราะผลกรรม.. ***
หลังจากนั้น ผมก็กลับมากินเนื้อย่างต่อกับปุณณ์อีกประมาณพักใหญ่ ๆ กว่าคนที่มาด้วยกันจะยอมอิ่ม โห....... เห็นผอม ๆ อย่างนี้แต่ประมาท
ไม่ได้เลยครับ เพราะแม่งกินจุมาก ถึงขนาดหันไปสั่งเนื้ออะไรต่อมิอะไรมาเพิ่มอีกตั้งหลายอย่าง แต่สงสัยคงเป็นเพราะช่วงแรก ๆ มันมัวแต่
ย่างนู่นย่างนี่ให้ผมกินด้วยล่ะมั้ง เลยต้องมาหนักตอนหลังซะเอง เพราะผมน่ะอิ่มจนแน่น ไม่มีแรงกินอะไรต่อแล้ว.... แต่เอ๊ะ!? จะว่าไป นี่ใช่
แผนตัดกําลังคู่ต่อสู้ของมันรึเปล่าวะ? (โถกู.. เพิ่งจะรู้ตัว) แต่ก็เอาเหอะ เพราะยังไงก็ได้กินฟรี (อิอิ) หลังจากจ่ายค่าเสียหายหลังมื้ออาหาร
ไปเป็นเลขสี่หลักกว่า ๆ แล้ว (แพงโคตร ดีนะมีเจ้ามือเลี้ยง) ก็ถึงเวลาเดินย่อยอาหารบ้าง ผมชอบร้านนี้อย่างนึงตรงที่มีเครื่องดู ดกลิ่นข้างเตา
ครับ ทําให้เวลาออกจากร้าน เนื้อตัวก็ยังหอมมม เหมือนตอนเข้าร้านไม่มีผิด อิอิ (อ่อ แต่วันนี้เหม็นนิดหน่อยเพราะไปเตะบอลมา) แต่ถ้ าเป็น
ร้านอื่นน่ะนะ กินเสร็จปุ๊บคงต้องรีบกลับบ้านปั๊บ เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนยังไง ชาวบ้านก็คงรู้กันหมดว่าเพิ่งกินเนื้ อย่างมา ก็กลิ่นติดเสื้อ
เล่นประจานซะขนาดนั้น ปุณณ์กับผมบอกลาร้านเนื้อย่างมาเดินเล่นในวิลล่า เพื่อซื้อขนมกลับไปฝากน้องแป้งอีกนิดหน่อย เลยได้รู้ครั บ
ว่าช่วงนี้น้องแป้งมีสอบเก็บคะแนนหลายวิชาแต่งอแงไม่ยอมอ่านหนังสือ เลยลําบากถึงยอดพี่ชายอย่าง
นายปุณณ์จําเป็นต้องปฏิบัติภารกิจสําคัญ คือการหลอกล่อน้องสาวตัวแสบทุกวิถีทางเพื่อให้แป้งอ่านหนังสือให้ได้ โดยวิธีที่ได้ผลชะงัดสุด ๆ ก็
คือการ 'เอาของกินมาล่อ' (แต่เอ๊ะ.. น้องมึงไม่ใช่ปลาโลมานะ...) เพราะเป็นเช่นนั้นเราจึงต้องมาเดินเลือกซื้อขนมล่อน้องแป้งกันครับ
(รวมถึงล่อตัวเองด้วย เพราะพอเห็นขนมเยอะ ๆ แล้ว ไอ้ที่เคยคิดว่าอิ่ม ก็เสือกกลายเป็นหิวขึ้นมาเฉย ๆ ซะอย่างนั้น) โดยมีผมยืนให้กําลังใจ
ปุณณ์ ที่กําลังคิดไม่ตกอยู่ว่าวันนี้จะซื้อเค้กหรือคุกกี้ไปล่อน้องสาวตัวแสบดี และก็คงต้องใช้เวลานานขึ้นไปอีก เพราะขณะผมกําลังรอปุณณ์
เถียงกับตัวเองอยู่นั้น พลันมีเสียงทักทายหวาน ๆ ดังจากด้านหลังของเราสองคนเสียก่อน "น้องปุณณ์!" หืม ? ซึ่งแน่นอนว่าถึงนั่นไม่ใช่ชื่อ
ผม แต่ก็อดหันไปมองด้วยคนไม่ได้จริง ๆ... ใครวะ? ผมเหลียวไปมองด้านหลังด้วยสีหน้างงงวย ขณะที่ปุณณ์ฉีกยิ้มร่า "อ้าวว หวัดดีครับอา
หมิว... เอ๊ะ.. หรืออาเหมียว?.." เอ่อ.... ตกลงมึงรู้จักเค้าจริงปะวะ ผมเหล่ตามองไอ้ปุณณ์ที่ดูมึน ๆ แบบงง ๆ ไปกะมัน โดยเพิ่งมารู้ทีหลังว่า
พ่อของปุณณ์มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ หมิว กับ เหมียว ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ปุณณ์ก็ไม่เคยแยกหน้าอาตัวเองออกซักครั้ ง นี่จึงเป็น
สาเหตุให้มันถูกแกล้งอยู่บ่อย ๆ (เออ ตลกดีว่ะ เป็นผมผมก็แกล้ง ฮ่า ๆ) ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคําว่าอาจากปากปุณณ์ ก่อนจะมือ ไม้อ่อน
รีบยกไหว้ทักทายตามประเพณีไทยทันที "สวัสดีครับ" "หวัดดีจ้า นี่อาหมิวเอง... เมื่อไหร่จะจําได้ห๊ะเนี่ยน้องปุณ ณ์!" คุณอาคนสวยรับไหว้
ผม ก่อนจะหันไปตีแขนหลานตัวเองอย่างเอาเรื่อง ฮ่า ๆ เอาให้หนัก ๆ เลยก็ได้ครับอา ผมสะใจ ผมยืนขํามองท่าทางสองอาหลานที่หยอกล้อ
กันไปมาครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะเบนความสนใจมายังผม "แล้วนี่เพื่อนเหรอ" ซึ่งแน่นอนว่าคําถามพวกนี้อย่าปล่อยให้ไอ้ตัว ดีได้อ้าปากตอบ
"ครับ เพื่อนครับ ชื่อโน่ครับ แหะ ๆๆ" แต่แม่งมีจิ้งจกที่ไหนวะ มาส่งเสียงจิ๊จ๊ะใส่กู... เดี๊ยะะ เหอะมึง เดี๋ยวเหนี่ยวแม่งเลย
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ปุณณ์แว่บหนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มให้อาหมิวจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ (ครบจริงป่าวก็ไม่รู้ไม่เคยนับ) ในขณะที่ เธอยิ้มกลับมา
อย่างใจดี "แล้วน้องโน่มาเดินเล่นกับน้องปุณณ์สองคนเองเหรอคะ เหงาแย่เลย.... ดาวคอนแวนต์แฟนแกหายไปไหนแล้วล่ะปุณณ์" อ่าวว....
แล้วนี่อาหมิวรู้เรื่องของเอมด้วยเหรอเนี่ย!? ผมถึงกับสะดุ้งโหยงมองหน้าปุณณ์ที่ก็หันมามองตอบโดยอัตโนมัติหลังจากฟังคําถามนั้ น แววตา
ปุณณ์ดูกระอักกระอ่วนอย่างปิดไม่มิด เสียจนอาสาวตรงหน้าเราคงรู้สึกได้ "เลิกแล้วเหรอ?" "เอ่อ..... ครับ" น่าแปลกที่อาหมิวส่งเสียง
หัวเราะร่า "ก็งี้แหละน้าหนุ่มสาว! สวยหล่อทั้งคู่มีทางเลือกเยอะแยะจะทนคบคนเดียวไปนาน ๆ ทําม้ายย!!" เอ่อ..... ว่าแต่ ใช้ตรรกะนี้จริง
เหรอครับ -*- ผมเหงื่อตกมองหญิงสาวตรงหน้าที่อ้าปากหัวเราะเอิ๊ก ๆ พลางตบบ่าหลานชายที่เธอเพิ่งชมว่า 'หล่อ' ไปหมาด ๆ เออนะ.. เห็น
แล้วก็อดขํากับท่าทางไม่ซีเรียสของอาหมิวไม่ได้ "ว่าแต่หาใหม่ได้ยังล่ะ" คําถามแจ็คพอต! ผมเหลือบตามองปุณณ์ที่ยืนใบ้ กินอยู่ทันที
"เอ่อ...." "นี่อย่าทําตัวโสดนานล่ะ! เดี๋ยวผู้หญิงเขาจะนึกว่าเราอาลัยอาวรณ์ เสียเชิงชายหมดรู้ป่าวว! หลานอาหล่อขนาดนี้ ไว้จ ะแนะนํา
เด็กสาว ๆ ในโมเดลลิ่งให้เอามะ มีแต่น่ารักคิกขุเรียนโรงเรียนดี ๆ ทั้งนั้น" อืม... สาว ๆ น่ารักคิกขุเรียนโรงเรียนดี ๆ งั้นเหรอ.. ฟังดูเข้าท่า
แฮะ.. ขนาดผมยังอดสนใจด้วยไม่ได้เลย.. ผมหลุดหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ขณะที่รู้สึกตัวอีกที สิ่งที่มองเห็นตรงหน้าก็กลายเป็นพื้นสีขาวขอ ง
ซุปเปอร์มาร์เก็ตเสียแล้ว ปุณณ์ฉวยฝ่ามือผมมาแอบจับไว้แผ่ว ๆ โดยใช้ลําตัวมันบังสายตาผู้ใหญ่ตรงหน้ าเราเอาไว้ "ไม่เอาหรอกครับ
ปุณณ์มีของปุณณ์แล้ว" แล้วนั่นมึงพูดไรวะ!? ผมเงยหน้ามองปุณณ์แทบจะทันที แต่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากลับไม่มองตอบมาสักนิด แถมยัง
ส่งยิ้มกริ่มอย่างแสนภูมิใจให้อาสาวอีก "อ๋อออออ เหรอจ๊ะะะ... ก็คิดแล้ววว่าหลานอาคงโสดได้ไม่นานหร๊อกก หวั งว่าสาวใหม่จะเจ๋งจน
ควงแล้วหนุ่มอิจฉากันทั้งสยามแบบคนเก่าอีกล่ะ!" เหอ ๆ ก็พูดไป.. ผมยิ้มกับตัวเองเมื่อสิ้นสุดคํานั้นจากอาหมิว
พร้อมความรู้สึกว่าอากาศรอบตัวค่อยหนาวเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด.. ซึ่งผมอาจคิดมากเกินไปก็ได้ หรือไม่วิลล่าคงเปิดแอร์เย็นเอง.. แต่
ความรู้สึกเหล่านั้นกลับอยู่กับผมเพียงไม่นาน เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างที่สัมผัสผมอยู่ ค่อย ๆ กระชับอุ้งมือเย็นเยียบของแผ่วผมเบา ราวกับต้ องการไล่
ความรู้สึกเหล่านั้นให้หายไป แล้วส่งผ่านความอบอุ่นปลอดภัยเข้ามาแทนที่.. "เจ๋งไม่เจ๋งไม่รู้ แต่สําหรับปุณณ์เค้าน่ารั กมากเลย ไว้เค้า
พร้อมแล้วจะพาไปให้อาหมิวรู้จักนะ" เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยนั่นโอ้อวดสรรพคุณของแฟนตัวเองให้อาสาวฟังเสร็จสรรพ จนคนฟังคงยิ้มรับ "ได้ สิ
จะรอนะ... ไปก่อนล่ะ เดี๋ยวต้องแวะเข้าออฟฟิศอีก บายจ้ะน้องโน่น้องปุณณ์" "บ๊ายบายครับ" ผมกับปุณณ์โบกมือลาอาหมิ วที่เพิ่งเดินออก
จากวิลล่าไป ทั้งที่มือข้างหนึ่งของเรายังเกาะกุมกันไว้แน่น ก่อนปุณณ์จะหันมายิ้มให้ผมบาง ๆ "ถ้าพร้อมเมื่อไหร่บอกนะ" ผมแค่นยิ้ม
รับคําพูดนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย .. เพราะไม่รู้ว่าเราจะไปถึงวันนั้นได้จริงหรือเปล่า

55th CHAOS
ดีเซลบนข้อมือผมบอกเวลาเกือบหกโมงเย็นตอนที่เราทั้งคู่มาถึงหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่แปะป้าย ภูมิพัฒน์ กัน จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แวะมา
พักนึงเลยนะเนี่ย นึกถึงเมื่อปลายปีก่อนที่ถ่อมาเกือบทุกวันแล้วรู้สึกจั๊กจี๋พิลึก ผมยืนดูดอกแก้วหน้ารั้วบ้านปุณณ์ที่เริ่มบานส่ง กลิ่นหอม ขณะ
เจ้าของบ้านง่วนกับการเปิดประตูเล็กโดยมีถุงก๊อบแก๊บจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเต็มมืออยู่ (ผมช่วยมันถือครึ่งนึงแล้วนะ แต่ไม่รู้แม่งกะซื้ อมาล่อ
น้องแป้งหรือล่อตัวเองกันแน่ เพราะโคตรรรเยอะเลย)
"พี่ปุณณ์!!!!!!!!" แต่นั่น... เอาแล้วไง... มาถึงปุ๊บก็เจอปั๊บ (ยังกะเลี้ยงลูกกรอกตัวเดียวกับพี่ชาย) ผมผงะไปก้าวหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงใส ๆ
ตะโกนเรีย กพี่ ช ายตั ว เองจากซุ้ ม ไม้ ต รงสนามหน้ า บ้ า น ก่ อนน้ องแป้ ง จะผุ ด ยื น ขึ้ น เมื่ อ เห็ น ว่ า ไม่ ไ ด้ มี แค่ปุ ณ ณ์ ที่ เดิ น เข้า มา "พี่ โ น่
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" เอ่อ.... ถ้าวันนั้นใครอยู่แถวทองหล่อแล้วรู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหวก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ -_-.... เพราะน้องแป้งเล่น
แหกปากลั่นยังกะเจอทอง (อ๋อ... แต่ก็อย่างว่า เพราะผมมันหนุ่มเนื้อทอง อิอิ แต่เดี๋ยวนะ ใครบอกว่าผมตัวเงินตัวทอง เดี๊ยะะะะะะ) แถมส่ง
เสียงดังไม่พอ ยังพุ่งมากอดผมแน่นยังกะผมเป็นมาสคอตหมีโคอาล่าอีก! "ได้ข่าวว่าไม่ยอมอ่านหนังสือสอบ" ดังนั้นพอเจอตัวเจ้าลูกหมีปุ๊บ
ผมจึงแกล้งดุซะเลย หึหึ แต่น้องสาวไอ้ปุณณ์กลับพองลมเข้าแก้มป่อง แถมยังหันไปค้อนพี่ชายอีกต่างหาก "ฟ้องพี่โน่เหรอ!!!!" พี่มันโดนดุเลย
แทนครับ ฮ่า ๆ "ปล่าววววว แค่บอก... ก็แป้งดื้อจริง ๆ นี่คะ วันนี้จะอ่านหนังสือได้รึยัง" "แต่วันนี้ช่องทรูซีรี่ส์มี American Dad นี่นา
แป้งอยากดูอะ" อ๋อ... เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เองปุณณ์ถึงต้องวุ่นวายควานซื้อขนมในวิลล่าซะหลายชั่วโมง ผมที่ได้ยินดังนั้นอมยิ้ มแก้มปริ
อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า เหลือบมองดูปุณณ์ก็เห็นว่ามันพยักเพยิดให้หยิบไม้ตายออกมาโชว์ซักที "งั้นน้องแป้งไม่เอานี่ใช่ปะ" แท่แด๊ม!!! มันคื อ
เค้กมูสช็อคโกแลต เนื้อนุ่ม ครีมนิ่ม จากมูสแอนด์เมอแรง ร้านนี้ที่ปุณณ์คอนเฟิร์มว่าน้องแป้งเดินผ่านเมื่อไหร่ เป็นต้องตะครุบกลับ บ้านไม่ตํ่า
กว่า 2 ชิ้นทุกครั้ง เพียงแต่วันนี้น้องแป้งแค่นั่งอ่านหนังสือ(เรียน)อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ต้องออกไปข้างนอกให้เมื่อย ก็ได้กินเค้กอร่อย ๆ แล้ ว!
แลกกับการอดดูซีรี่ส์ (ที่อาทิตย์นึงผมเห็นทรูเอามารีรันตั้งสามสี่รอบ) แล้วก็ไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเอ๊ง (แต่ถ้า เป็นผมนะ ผมจะขโมยเค้กมา
กินไป แล้วก็ดูทรูซีรี่ส์ไป ไม่เห็นยาก)
"พี่ปุณณ์พี่โน่เล่นงี้เลยเหรอ............." อ้าวววว แต่อย่าเอาพี่ไปเหมารวมดิ่ครับแป้ง! แผนชั่วแบบนี้คนบงการเป็นพี่ชายหนูคนเดีย ว คนจ่าย
ตังค์ก็มันเองคนเดียวเหมือนกัน พี่ไม่มีเกี่ยวจริง ๆ นะ (เพราะตังค์จะซื้อคลอเร็ทดับกลิ่นปากหลังกินเนื้อย่าง พี่ยังไม่มีเลย) ผมฉีกยิ้มให้
เด็กผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าพลางขยี้ผมเปียนั้นเบา ๆ อย่างเอ็นดู "ไปอ่านหนังสือไป้ แล้วเดี๋ยวค่อยเล่นเกมกัน" "จริงนะ!!!!!!! เดี๋ยวแป้งอ่าน
จบบทที่หกพี่โน่ต้องเล่นเกมกับแป้งนะ!!" "อือ แต่อยู่แค่สองทุ่มนะ รีบอ่านล่ะ" ผมกําชับเคอฟิวไว้ก่อนน้องสาวปุณณ์จะยิ้มร่า วิ่งไปหอบ
เอาเครื่อง psp ที่คงนั่งเล่นอยู่ในซุ้มตะกี้เข้าบ้าน (เออ.... นิสัยเหมือนกูแฮะ) โดยมีปุณณ์ตะโกนกําชับไล่หลัง "อ่านเสร็จแล้วทําแบบฝึกหัด
ท้ายบทมาให้ตรวจด้วยนะแป้ง!!" "ค่าาาาา!!!!!" อ้าวแล้วนั่นรีบจนสะดุดประตูบ้านอีก ผมล่ะขํากับท่าทางเพี้ยน ๆ ของน้องสาวปุณณ์มัน
ก่อนเสียงลูกชายเจ้าของบ้านจะแว่วเข้าหูผมว่า "กูลงทุนซื้อเค้กมาทําไมเนี่ย แป้งเห่อมึงยิ่งกว่าเค้กอีก" ก็แหง๋สิ.... กูมันหล่อนี่หว่า ฮ่า ๆๆ
***
หลังจากน้องแป้งถอยทัพไปอ่านหนังสือเรียบร้อย เราสองคนก็แวะยืนคุยกับลุงหนันที่กําลังรดนํ้าต้นไม้ในสวนอีกพักหนึ่ง แต่แค่นั้นมันไม่
สะใจวัยรุ่นครับ เพราะไหน ๆ ชวนลุงหนันคุยซะเพลินแล้วก็ขอลงพื้นที่รดนํ้าต้นไม้ด้วยตัวเองสักหน่อย หึหึ... แล้วเป็นไงล่ะ ผลตอบรับเสือกดี
เกินคาด เพราะสายยางแม่งกวนตีนเหมือนลูกชายเจ้าของบ้านไม่มีผิด! ก็จะไม่ให้ผมด่าสายยางบ้านมันกวนตีนได้ไงอะครับ เพราะพอผมกด
ปลายสายหวังจะให้นํ้าพุ่งไปรดต้นไม้ข้างหน้า แต่มันเสือกพุ่งกลับมาหาตัวผมเองซะงั้น! (ไอ้............ เวร... ไม่รู้จะหาคําไหน มาด่าดี) ปุณณ์
บอกว่าผมไม่มีหัวทางฟิสิกส์ (เกี่ยวเหรอวะ) แต่อย่าหวังว่าคนอย่างโน่จะยอมแพ้ เพราะยิ่งโดนดูถูกว่าโง่ฟิสิกส์เท่าไหร่ (ตกลงเกี่ยว ?) ก็ยิ่ง
............ โง่เท่านั้น -_- (กูพูดทําไมวะ) สายยางห่าไรเนี่ยไม่ได้ดั่งใจกูเล้ยยย แถมรดไปรดมา บีบไปบีบมา เสือกแจ็คพอตแตก พุ่งไปทางไอ้หน้า
หล่อ (แต่ขี้บ่น) ที่มายืนพล่ามเรื่องแรงดันนํ้าและการเสียดสีห่าเหวอะไรซักอย่างอยู่ข้าง ๆ ผมอย่างเต็มเปา ฮ่า ๆๆ !! กางเกงเปียกเ ลยมึง!!!
แต่พอเหอะ -_-.... เปียกเกินจะทนละ เพราะถ้าสายยางมันทรยศไปพุ่งใส่เจ้าของบ้านได้ คนมาเยือนอย่ างผมก็ไม่เหลือเหมือนกัน -_- แม่งก
วนตีนกู เดี๋ยวสังคังถามหากันพอดี ผมตัดสินใจยกธงขาว มอบตําแหน่งคืนให้ลุงหนันผู้พิชิต(สายยาง) ก่อนจะเดินเถียงกับปุณณ์ไปตลอดทาง
ว่าใครกันแน่ที่ผิด (แต่ผมว่ามันนั่นแหละผิด ไหนว่าเก่งฟิสิกส์แล้วไม่เสือกคํานวนดูล่ะวะ ว่าตรงที่มึง ยืนมันคือวิถีกระสุนพอดี) เราเดินกัน
ไปเถียงกันไปไม่ยอมหยุดจนถึงโถงของบ้านใหญ่ ที่สามารถมองทะลุไปห้องนั่งเล่นได้ แต่ปุณณ์กลับหยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น ปล่อยให้นํ้าจากปลาย
กางเกงและถุงเท้าของเราทั้งคู่ หยดลงบนพื้นหินอ่อนที่เพิ่งเดินเข้ามา "พ่อ........" "เออ พ่อมึงดิ่ ใครใช้ให้ไปยืนตรงนั้นวะ กูบอกแล้วไง
ว่ากูใช้สายยางมึงไม่เป็น แล้วยัง............ อะไรนะ!?" ผมที่พล่ามเพลินไปหน่อยถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อชักเรียบเรียงถูกว่าอะไรเป็นอะไร
"ปุณณ์ กลับบ้านแล้วเหรอ" แถมเสียงผู้ชายที่แทรกมายังยํ้าความโง่ของผมอีก ทําเอาต้องรีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน ไอ๋หย๋า....
"หวะ... หวัดดีครับ" "ไหว้พระเถอะโน่ ไม่ได้มานานเลยนะ" พ่อมันรับไหว้ผมพร้อมรอยยิ้มอย่างใจดี ซึ่งอันที่จริงแล้วผมเคยเจอพ่อ
ปุณณ์บ้างเพราะมาบ้านนี้ออกบ่อย แต่ไม่เคยเจอตั้งแต่หัววันแบบนี้ เพราะปกติทั้งสองคนกลับค่อนข้างดึกแถมยังไม่เป็นเวลาอีกต่างหาก
"แล้วไปซนอะไรมาเนี่ย เปียกกันทั้งคู่เลย" เสียงแม่ปุณณ์เสริมหลังจากเพิ่งรับไหว้ผมเสร็จ ทําเอาผมถึงกับยิ้มแหะ ๆ เพราะสภาพเราสองคน
เหมือนเพิ่งขี่มอไซค์ฝ่าวงเล่นสงกรานต์มาก็ไม่ปาน... คือมันไม่ถึงกับเปียกซ่กอะครับ แต่มันก็เปียกแบบ... เย็น ๆ ไข่ (เอ๊ะ คําอธิบายผมติดเรท
ป่าวเนี่ย) "โน่รดนํ้าต้นไม้มาโดนปุณณ์อะแม่ ดูมันดิ่" แล้วไอ้ห่านี่ได้ทีฟ้อง!! นิสัยเสียนะมึง! ทําตัวเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ จะให้ผมยืนเป็นเป้า
นิ่งให้มันโจมตีได้ไง "ไม่จริงเลยครับแม่ ปุ ณณ์เอาตัวมารับนํ้าแทนต้นไม้เองครับ" แต่ไม่รู้มีอะไรน่าขํา เพราะทั้งพ่อแม่ปุณณ์หัวเราะคิก
ก่อนผู้หญิงมีอายุตรงหน้าจะโบกมือไล่เรา "แม่ว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนไป โน่ก็ผึ่งเสื้อผ้าไว้ที่ระเบียงห้องปุณณ์ก่อนก็ได้ ผ้า แห้งเมื่อไหร่ค่อย
กลับนะ หรือคืนนี้จะค้างจ้ะ?" "อ๋อ... ไม่อะครับ เดี๋ยวผ้าแห้งก็กลับแล้ว" "งั้นปุณณ์กับโน่ขึ้นห้องก่อนนะครับ" ไอ้ปุณณ์ได้ทีรีบตัดบท
พลางดันหลังผมหมายจะให้เดินขึ้นบันได แต่ไม่ไวกว่าเสียงพ่อมันที่ดังมาก่อนเราทันขยับขา "เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมานี่หน่อยนะปุณ ณ์ พ่อ
มีเรื่องต้องคุยด้วย" "ครับ..." แต่ทําไมฟังดูเครียด ๆ แฮะ?
*** เราสองคนปิดประตูห้องนอนเนื้อไม้พร้อมทิ้งกระเป๋านักเรียนบนพื้นพรม โดยเจ้าของห้องมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นชัด ผมแอบมอง
ท่าทางปุณณ์ที่ค่อย ๆ ถอดเสื้อออกราวกับว่าอยากยื้อเวลาให้นานที่สุด แต่ก็ไม่ มีความกล้าพอจะถามมัน ว่าเป็นเพราะอะไร ทําไมปุณณ์ถึงมี
ท่าทีแบบนี้หลังจากรู้ว่าพ่อมีเรื่องต้องคุย "โน่รอในห้องแล้วกัน ผมคุยกับพ่อแป๊บเดียว เดี๋ยวมานะ... จะเปิดคอมหรือเล่นเกมรอก็ ได้" อืมม
.... เล่นเกมอยู่แล้วแหละ ผมพยักหน้ารับคํานั้นพลางส่งยิ้มให้คนพูดโดยหวังให้มันสบายใจ แต่ผมจะรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อยิ้มของปุณณ์ดู
แปลกไปไม่เหมือนเคย "กูรอ.... นะ" ผมพูดยํ้าการกระทําอีก เพราะต้องการให้คนฟังรู้ว่า ไม่ว่าสิ่งที่มันกําลังคิดอยู่จะเป็นเรื่ องอะไร แต่
ปุณณ์ยังมีผมที่รอให้กลับมาพักใจได้เสมอ ปุณณ์คลี่ยิ้ มกว้างก่อนจะดึงผมไปกอดไว้หลวม ๆ "อืม......." และใช้ริมฝีปากสีอมส้มนั้นจูบผม
แผ่ว ๆ "กูรักมึงนะ.. เดี๋ยวกูมา" แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าภาพแผ่นหลังปุณณ์ที่หายไปหลังประตูทําให้ เกิดความ
หวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก หรืออาจเป็นตัวผมเอง ที่คิดมากไป..
'BOMMMMMMMMMMMMME'
โอ่ยยยย.... แล้วทําไมแม่งอ่อนจังวะ!! ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้โต๊ะคอมฯ เมื่อทีมตัวเองเพิ่งตีศิลาฝ่ายตรงข้ามแตกเป็นรอบที่ 3 เรียบร้อย
ศิษย์ลูกอินทรีย์ โดยล่าสุดทีมตรงข้ามพวกผมเป็นเด็กโรงเรียนชายล้วนแถว ๆ สีลม เพื่อนบ้านกันนี่เองครับ ปกติเวลาเจอกันแถวสยาม พวก
มันชอบไล่กระทืบเด็กโรงเรียนผมบ่อย ๆ (เป็นไรมากป่ะ!) ด้วยความเก็บกดมาก ๆ เข้า เลยต้องมาไล่ตีพวกแม่งคืนในเกมแทน ฮ่า ๆๆ ไม่ได้
ปอดแหกนะ แค่รักความสงบเอ๊งง BEATdaRULEZ : ek game ma? แล้วไอ้เชี่ยเก่งเอาแรงมาจากไหนนักหนาวะ ขี้เกียจแล้ว
โว๊ยยยยยย ขอทําอย่างอื่นมั่งเห๊อะ!! ผมกําลังจะพิมพ์ด่ามันอย่างนั้น แต่ไอ้โด่งชิงตัดหน้าก่อน ollo : gu poad taaaaaaaaa out out
out nowayout : ok jer nai m ผมตัดบทก่อนจะปิดเกม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หน้าต่างเก่งเด้งขึ้นมาทาง msn พอดี บร๊ะเจ้า
โจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: แม่งซุยแต่อ่อนชิบหาย บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: กูคิลแม่งเลย สรุปว่ายังอารมณ์ค้างกับเกมเมื่อกี้อยู่
ครับ ฮะ ๆๆ ผมขําพลางพิมพ์ข้อความตอบมันในช่องสี่เหลี่ยม โน่ พูดว่า: เกมจบ อารมไม่จบว่ะ 5555+ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูด
ว่า:
เออ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: เด๋วกุลากไอ้โด่งมาต่างนี้ก่อน มันว่างั้นก่อนจะใช้เวลาไม่ถึงนาที ชื่ อของไอ้โด่งก็ถูก invite
เข้ามาในห้องสนทนาเดียวกัน ++[ •สมาคมเชื้อโรคแห่งประเทศไทย •]++ พูดว่า: ลากไมแสรดดดดดด ++[ •สมาคมเชื้อโรคแห่ง
ประเทศไทย •]++ พูดว่า: กุจะไปอาบน้ามมม บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: อย่าเพิ่งเด้ คุยก่อน บร๊ ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า:
นึกจะสะอาดไรวันนี้วะ ++[ •สมาคมเชื้อโรคแห่งประเทศไทย •]++ พูดว่า: ไอ้จวย กุสะอาดทุกวันเหอะ โน่ พูดว่า: 555+
บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: เชี่ยโน่ อย่าเอาแต่ข า บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: มึงอยู่ไหนเนี่ย อ้าว.... แล้วรู้ได้ไงเนี่ย เก่ง
สมชื่ออีกละมึง ผมอึ้งไปก่อนจะพิมพ์ถามกลับแบบยังไม่ยอมรับซะทีเดียว โน่ พูดว่า:
ทําไมวะ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: กูจับพลังได้ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: อยู่บ้านไอ้ปุ ณณ์เหรอ โห....... ตํารวจ
เค้าฝึกมึงมาดีเนอะ กูว่าเรียนจบไปทํางานดมกระเป๋าตรวจปุ๊นที่สนามบินเหอะ ท่าจะรุ่งกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเยอะ โน่ พูดว่า: อือ
++[ •สมาคมเชื้อโรคแห่งประเทศไทย •]++ พูดว่า: อ้าว ไหนว่าวันนี้กลับบ้าน โดนไอ้เก่งจับได้ไม่พอยังโดนไอ้โด่งยํ้าอีก! เออ... กูก็ว่า
จะกลับอยู่ แต่................ ผมหันไปมองเนื้อไม้ของประตูห้องนอนเป็นรอบที่ร้อย เพื่อจะพบว่าปุณณ์ยังไม่กลับมา โน่ พูดว่า: กลับดึกๆ
หน่อยมั้ง????????? บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: กิ้วๆๆๆ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: ติดแฟนเหรอหนุ่มน้อยยยย โน่ พูด
ว่า: K ก็ปากมึงเนี่ยนะ เลี้ยงหมาพอ ๆ กะไอ้เชี่ยโอมเลย ผมส่ายหัวขํา โดยมีเลข 5 ยาวยืดจากไอ้สมาคมเชื้อโรคแห่งประเทศไทย
ก่อนมันจะขอตัวออฟไลน์ไปอาบนํ้า (อาบนํ้าแค่นี้ถึงกับ offline ว่ะ) สุดท้ายเหลือแค่เก่งกับ
ผมในห้องสนทนา บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: เออไอ้โน่ โน่ พูดว่า: ไร บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: กูมีเรื่องอยาก
ถามมึงมาพักนึงและ โน่ พูดว่า: เรื่องไรวะ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: มึงกะไอ้ ปุณณ์อะ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า:
เป็นไรกันวะ อ้าว................. ข้อความที่เก่งเพิ่งพิมพ์ส่งมาทําเอาผมถึงกับนิ่ง ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ระหว่างอ่านทวนประ โยคนั้นเป็น
รอบที่สอง จะว่าไปผมก็ไม่เคยบอกใครให้กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองกั บปุณณ์จริง ๆ ผมปล่อยให้คนนู้นคนนี้แซวตามสะดวก แรก ๆ
อาจมีด่ากลับบ้างตามประสาคนไม่ชิน แต่ช่วงหลัง ๆ ผมปล่อยคนนู้นคนนี้แซวไปตามชอบ โดยไม่เคยออกมาพูดว่าความจริงคืออะไรเลยสัก
ครั้ง จนบางทีผมก็เกือบลืมไปแล้วว่า ที่เพื่อนพูดเพื่อนแซวกันน่ะ มันเป็นการแซวโดยที่คนพู ดแทบไม่รู้ความจริงเลยด้วยซํ้า บร๊ะเจ้าโจ๊ก
ชาบู ชาบู พูดว่า: หรือไม่สะดวกบอกกูวะ บร๊ะเจ้าโจ๊ก ชาบู ชาบู พูดว่า: ไม่เป็นไรนะมึง
ผมคิดว่าเก่งคงรู้สึกไม่น้อยกับการที่ผมไม่เคยบอก ทั้งที่เราสนิทกันในระดับหนึ่ง ผมยอมรับว่าถ้าตัวเองเป็นเก่งก็คงรู้สึกประหลาด ถ้าต้อง
ฟังเรื่องเพื่อนตัวเองผ่านปากคนอื่น โดยที่เราไม่เคยรู้ความจริงจากเพื่อนของเราเลยสักนิด นิ้วมือผมพรมบนคีย์บอร์ดด้วยความตั้ง ใจจะ
ตอบ ถ้าเสียงเคาะประตูไม่ดังขึ้นก่อน 'ก็อก ก็อก ก็อก' ปุณณ์!? ผมสะดุ้งพร้อมหันไปมองประตูเร็ว ยิ่งกว่าถูกไฟช็อต และเพียงแค่
กระโดดพรวดเดียวก็คว้าถึงลูกบิดทันที "เป็นไงมั่งวะ! อ้าว...................... น้องแป้ง ???" เพราะคนที่ยืนรออยู่ไม่ใช่เจ้าของห้องแต่เป็น
น้องสาวมันครับ!? ผมตะลึงมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่เปื้อนหยดนํ้าตาเต็มสองแก้มด้วยทําอะไรไม่ถูก "น้ องแป้งเป็นไรครับ??" "ฮึก... ฮึก.... ฮึก
........" แต่นอ้ งแป้งไม่ตอบคําถามผม มีเพียงข้อมือเล็ก ๆ ที่ปาดนํ้าตาตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจึงต้ องพาแป้งเข้า
มาในห้องก่อน "แป้งอย่าเช็ดแรงงั้นสิเดี๋ยวเป็นรอยนะ" หันรีหันขวางเห็นกล่ องทิชชู่ตั้งบนชั้นข้างทีวี ผมก็คว้ามายื่นให้เด็กผู้หญิงตรงหน้า
ทันที "ไม่ร้องนะครับคนเก่ง" น้องแป้งดึงทิชชู่จากกล่องมาเช็ดนํ้าตาก่อนจะทรุดตัวนั่งทั้งที่ไหล่บางยังสะท้านอยู่ "ฮึก...... ฮึก........ พี่ปุณณ์
....... พี่ปณ
ุ ณ์........." "พี่ปณุ ณ์ทาํ ไมครับแป้ง??" สมองผมตอนนี้เบลอจนแทบเรียบเรียงอะไรไม่ถูกซักอย่าง
แป้งสูดนํ้ามูกแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะแค่นคําพูดต่อมาอย่างยากลําบาก "พี่ปุณณ์..... ทะเลาะกับ.. พ่ออ..... ฮือออออ" "พี่ปุณณ์ทะเลาะกับ
พ่อแล้วแป้งร้องไห้ทําไม" "ก็แป้ง.......... แป้งเป็นคนบอกพี่ปุณณ์.... ฮึก... ว่าแป้ง... ฮึก.... จะช่วยพูดกับพ่อให้...... ฮึก.... แต่แป้ง... ช่วย...
ฮึก..... ช่วย.. ไม่ได้..... ฮืออออ" ถึงตรงนี้ผมเริ่มปะติดปะต่อถูกแล้วครับว่าน้องแป้งกําลังพูดถึงอะไร ในขณะที่สมองผมขาวโพลนเพราะไม่รู้ว่า
ควรรู้สึกแบบไหนดี '!!!!!!!' แล้วใครวะเสือกทักกูมาตอนนี้!? ผมหันไปมองคอมพิวเตอร์เครื่องที่เพิ่งร้องบอกว่ามีคนทักผมทาง msn ผมจึง
ลูบไหล่แป้งเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังหน้าจออย่างเหนื่อยอ่อน OHM..............ohm........ พูดว่า: ส่งคลิปน้องปูเป้เมื่อคืนให้กุหน่อยดิ่
OHM..............ohm........ พูดว่า: อั๋นแม่งเผลอลบของกุ OHM..............ohm........ พูดว่า: เซงสาดดดดดดด มึงไปขอคนอื่น
แล้วกัน... ผมบอกโอมในใจก่อนจะกด sign out จากโปรแกรม รวมถึง shut down เครื่องทันที น้องแป้งดูเย็นลงมากแล้ว ไม่ร้องไห้หนัก
เหมือนห้านาทีก่อน แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นไม่หยุดอยู่ ผมก้าวขามานั่งข้าง ๆ เธอพลางตบหลังมือเล็ก ๆ นั่นให้ทําใจเย็น "ไม่เป็นไรนะแป้ง. ..
ทุกอย่างมีทางออก"
"แต่ถ้าพ่อรู้เรื่องพี่ปุณณ์กับพี่โน่ล่ะ!" เสียงเล็กนั่นแหวลั่นด้วยความกังวล จนผมต้องแอบถอนหายใจโล่งออกมา เพราะถ้าแป้งพูดแบบนี้ ก็
แสดงว่าบ้านปุณณ์ยงั ไม่รู้เรื่องของเรา "ก็ให้ถึงเวลานั้นก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ..." ผมตอบคําถามน้องแป้งทั้งรอยยิ้ม ด้วยหวังว่ าจะทําให้เธอ
สงบได้ "พี่ปุณณ์ของน้องแป้งเก่งอยู่แล้ว ไว้ใจพี่ปุณณ์หน่อยสิ" "แต่แป้งกลัว.... แป้งชอบพี่โน่..... แป้งไม่อยากให้พี่ปุณณ์คบคนอื่น..." "ก็
ถ้าพี่ปุณณ์เค้าชอบพี่ เค้าก็คงไม่คบคนอื่นหรอก... แป้งคิดว่าพี่ปุณณ์ชอบพี่มั้ยล่ะ ?" ด้วยคําถามนี้ทําเอาเด็กสาวตาลุกวาวรีบตอบผมเสียงดัง
ฟังชัดทันที "พี่ปุณณ์รักพี่โน่ล้านเปอร์เซ็นต์อยู่แล้วว!!" "ถ้างั้นจะกลัวอะไรเน๊อะ!!" ผมฉีกยิ้มกว้างแม้ว่าในใจจะทําสิ่งตรงข้าม แต่การดึง
เอาแป้งมาพลอยกังวลไปด้วยไม่ใช่เรื่องดี "เราไปแกะหนมเค้กกินแก้เซ็งกันมั้ย!?" "ไปค่ะ!!!!!" เอ้อ แล้วน้องมันก็ว่าง่ายเหมือนปลาโลมาจริง
ๆ เอาของกินมาล่อหน่อยเดียวล่ะตาเป็นมัน ผมขํากับท่าทางไร้เดียงสานั่น ก่อนจะลุกขึ้นจูงน้องแป้ง โดยมีเป้าหมายเป็นกล่องขนมเค้กที่
ฝากป้าน้อยแช่ไว้ในครัวมากินแก้เซ็ง แต่เมื่อเปิดประตูออก กลับพบร่างสูงของปุณณ์กําลังเดินขึ้นบันไดมาพอดี "พี่ปุณณ์!!!" แป้ง ตะโกน
เรียกพี่ชายตัวเองลั่นก่อนจะวิ่งไปกอดแน่น ผมยืนมองปุณณ์ที่ดูเหนื่อย ๆ แต่ก็กอดตอบน้องสาวอย่างแผ่วเบา "จะชวนพี่โน่ไปซนที่ไหนอีก
คะ?" "เปล่า... จะลงไปกินเค้ก... พี่ปุณณ์ไหวมั้ย ?" ดวงตาคมนั้นแม้จะดูหมองไป แต่ริมฝีปากยังยิ้มได้อยู่ "สบายอยู่แล้ว แต่แป้งลงไป
กินคนเดียวได้มั้ยคะ พี่ขอคุยกับพี่โน่หน่อยนะ" ผมไม่ชอบเวลาที่ปุณณ์ฝืนยิ้มแบบนี้เลย
น้องแป้งหันมามองผมแว่บหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ "ค่ะ.... งั้นแป้งไปนะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ" "เช่นกันค่ะ" ปุณณ์โบกมือลาน้องสาว
ก่อนจะลากเท้ามาหาผมเมื่อน้องแป้งลงบันไดไป ร่างสูงนั้นดันผมเข้าห้องก่อนจะปิดล็อคประตู "ไหวป่าวมึง..." ผมเอ่ยถามเมื่อยิ่งเห็ นปุณณ์
ใกล้ ๆ ยิ่งรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ามีสภาพจิตใจอย่างไร ปุณณ์เม้มปากตัวเองแน่นก่อนจะโถมร่างมากอดผมทั้งตัว "โน่..........." "วะ... ว่าไง
.." ผมอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็กอดปุณณ์กลับ จึงได้รู้ว่าไหล่นั้นกําลังสั่น.. เสียงทุ้มของปุณณ์แหบพร่าราวกับคนไร้เรี่ยวแรง "วันนี้ อยู่กับกูก่อน
นะ..... กูต้องการมึงจริง ๆ" ในเวลาที่ปุณณ์เป็นแบบนี้... ผมคงไม่สามารถไปไหนแล้วมีความสุขได้ ถ้าไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ปุณณ์

เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่ปุณณ์เหนื่อยจนหลับไป..... แต่อย่าคิดอกุศลเชียวนะครับพี่น้องงง มันเหนื่อยจากเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้


แถมยังเหนื่อยกับความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นา ๆ ของตัวมันเองอี ก จนผมต้องเป็นคนกล่อมปุณณ์ให้หลับคามือ (ไม่ได้ต่อยจนสลบแต่อย่างใด)
เนื่องจากเจ้าตัวมีอาการเครียดจนปวดหัว และผมคิดว่าการพักผ่อนคือทางออกที่ดีที่สุด ใบหน้าของปุณณ์ตอนหลับยังดูเคร่งเครียดอยู่ ผม
มองหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้วก็ตัดสินใจลูบคลายปมขมวด
ให้เจ้าของมัน ปุณณ์กับพ่อมีปากเสียงกันค่อนข้างใหญ่โตเมื่อเย็นที่ผ่านมาครับ ผมเพิ่งได้ฟังเรื่องเต็ม ๆ จากปุณณ์หลังเหตุการณ์ทุกอย่าง
สงบแล้ว จึงทําให้รู้ว่าเราทั้งคู่ดูเหมือนจะลืมเรื่องสําคัญเรื่องหนึ่งไป เรื่องที่เป็นต้นเหตุของความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างผมกั บปุณณ์ ใช่
ครับ.... ผมกําลังพูดถึงการดูตัวของปุณณ์ ที่จะว่าไปแล้ว เรียกแบบนั้นอาจไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะครอบครัวภูมิพัฒน์ไม่ได้มีใครในใจเป็ นพิเศษ
ที่จะให้ลูกชายวัย 17 ของพวกเขาเป็นคู่ด้วย เพียงแต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ลูกชายของเพื่อนร่วมพรรคการเมืองที่พ่อปุณณ์สังกัด เพิ่ งมีข่าวอื้อฉาว
เกี่ยวกับผู้หญิงลงในคอลัมภ์ซุบซิบของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ทําเอาคนพูดต่อกันไปทั้งวงการ จนต้องส่งไปเรียนเมืองนอกเพราะทนอยู่
ประเทศไทยไม่ได้... แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น หัวใจคนเป็นพ่อก็คงอดคิดเผื่อมาถึงลูกชายตัวเองไม่ได้ เพราะคงไม่มีพ่อ แม่คนไหน
อยากเห็นลูกตัวเองตกอยู่ในสภาพพ่ายแพ้แก่สังคมแบบนั้น ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวภูมิพัฒน์ ที่ผมเห็นความรักและห่วงใยที่บ้านนี้มีให้กั นมา
ตลอด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พ่อจะอยากรู้ว่าตอนนี้ปุณณ์กําลังคบหากับใคร ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร และคน ๆ นั้นมีแนวโน้มจ ะสร้าง
บาดแผลให้ปุณณ์หรือไม่.. ในขณะที่ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องนํ้าท่วมปาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสําหรับปุณณ์ ที่จะยอมรับความจริงออกไ ป
แต่ก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้เช่นกัน เมื่อน้องแป้งพลั้งปากพูดว่า 'พี่ปุณณ์มีแฟนแล้ว' ยิ่งปิดบังก็ยิ่งน่าสงสัย... ผมรู้ว่ าคํานี้มันจริงเสียยิ่ง
กว่าจริง เพราะยิ่ง ปุณณ์ ดึงดัน ไม่ย อมบอกพ่อมากเท่าไร ความบาดหมางก็ยิ่ง ทวีคูณ มากเท่านั้ น สองพ่ อลูกปะทะคารมกันรุนแรงด้ว ย
ความรู้สึกที่สวนทางกันทั้งสองฝ่าย ในขณะที่พ่อต้องการรู้ว่าปุณณ์คบหาใคร แต่ปุณณ์กลับยืนยันเจตนารมย์แน่วแน่ว่า ความรักเป็ นสิทธิส่วน
บุคคล เรื่องราวค่อย ๆ แย่ลงไปอีกเมื่อความบาดหมางเริ่มเพิ่มระดับเป็นความต้องการเอาชนะ เมื่อพ่อยื่นคําขาดว่าหากปุณณ์ไม่บอก เขา
จะถือว่าปุณณ์ไม่มีใคร และสั่งให้เลขาฯหาเด็กผู้หญิงดี ๆ ให้คบไว้สักคนทันที จนปุณณ์ต้องทําสิ่งที่ไม่เคยทํามาก่อนคือ ตวาดพ่อตัวเอง
"ถ้าท าแบบนี้ก็ไม่ต้องคิดว่าปุณณ์เป็นลูกเลยดีกว่า!" เป็นคําที่ทําให้ปุณณ์ต้องเสียใจในเวลาต่อมา... เพราะปุณณ์ที่ผมรู้จักไม่เคยถูกไล่
ต้อนจนจนตรอกขนาดต้องทําแบบนั้น และผมก็รู้ว่ามันผิดหวังในตัวเองไม่น้อย ผมไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์จึ งไม่มีสิทธิ์วิจารณ์ว่าสิ่งที่
ปุณณ์ทําไปรุนแรงหรือเกินกว่าเหตุหรือเปล่า แต่สิ่งเดียวที่ผมทําได้คือเยียวยาความรู้สึกทั้งหมดของปุณณ์ ที่แม้จะเป็นผู้จบบทสนทนา แต่
กลับมีสภาพราวกับคนพ่ายแพ้กลับมา ผมรู้ว่าความรู้สึกสุดท้ายของปุณณ์ที่ห้องโถงนั้นไม่ใช่ความกระอักกระอ่วนเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองคบใคร
ไม่ใช่ความโกรธที่ถูกพ่อไล่ต้อน แต่เป็นความละอายใจที่พูดไม่ดีกับคนที่มันบอกว่ามันรักที่สุด "ตลอดเวลาที่ผ่านมา กูไม่เคยท าใ ห้เขา
เสียใจมาก่อนเลย กูไม่เคยแม้แต่จะดื้อ หรือท าอะไรให้เขาไม่สบายใจ กูรู้ว่าเขาท าทุกอย่างเพื่อ กูกับแป้ง กูถึงได้พยายามท าให้เขาสบายใจ
และวางใจในตัวกูมาตลอด.... แต่วันนี้.... กู... เลือกที่จะท าร้ายจิตใจเค้า.... กูท าให้เขามองกูอย่างผิดหวัง.... โดยที่กูก็ผิดหวังในตัวเอง.... โน่...
กูไม่ชอบตัวกูตอนนี้เลย... กูอยากจะโยนตัวกูเมื่อเย็นทิ้งไป แต่กูไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว" สองสิ่งที่คนเราเรียกกลับมาไม่ได้คือ คําพูด
และ เวลา... ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ปุณณ์ต้องการเรียกมันกลับมาที่สุด แต่ต่อให้เก่งแค่ไหนก็คงทําไม่ได้.. โดยเฉพาะคนห่วย ๆ อย่างผม ผม
ปลอบใจปุณณ์จนมันคล้อยหลับไปในที่สุด คราบนํ้าตาที่ยังคงติดอยู่บริเวณแก้ม ยํ้าให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้าเจ็บปวดแค่ไหน ซึ่งไม่ต่างกันจากผม
เลย ....
แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างบานโตเข้ามาในห้องอันเงียบสงัด ดูเวิ้งว้างและเศร้าสร้อยผิดกับวันไหน ๆ ผมกุมมือปุณณ์เบา ๆ ขณะมอง
ดวงจันทร์ด้วยลําคอแห้งผาก คนเราถ้าได้กินอะไรหวาน ๆ จะคลายเครียดได้.. ผมนึกถึงคําพูดยูริที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ แล้วก็อดอมยิ้ม
ไม่ได้... เพราะถึงเวลาจะล่วงเลยจนเราแทบไม่ได้เจอกันอีก แต่ยูริยังเป็นคนที่ช่วยประคองผมไว้ ผมตัดสินใจปล่อยมือปุณณ์ ก่อนจะปิ ด
ประตูห้องนอน มุ่งหน้าลงไปชั้นล่างอันเงียบสงัด *** แต่มาคิดอีกที ผมคิดผิดรึเปล่าเนี่ยยที่ลงมา เพราะข้างล่างเงียบชิบหาย........ เงียบ
จนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา.. ผมเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มที่ตั้งอยู่แถวบันไดกําลังบอกเวลาเกือบตีหนึ่งยิ่งทําให้ขนลุกเกรียววว... ถึงจ ะรู้ว่าใน
บ้านมีผีบ้านผีเรือนคอยคุ้มครองเจ้าของบ้านอยู่ก็เหอะ แต่ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านนี่หว่า Y___Y แบบนี้คุณผีจะคุ้มครองผมไหมครับเนี่ย Y___Y
ผมเดินฟุ้งซ่านไป ท่องนะโมตัสสะในใจไป ขณะค่อย ๆ ลากเท้าถึงห้องครัว... โอ่ยยย แล้วทําไมกูไม่เอาขนมขึ้นมาแช่ในตู้เย็นห้องปุณณ์วะ !
กระแดะจะอ้อนป้าน้อยก็ต้องรับกรรมอย่างนี้แหละ T_____T ผมรีบเปิดช่องแช่แข็งคว้าเอาช็อคโกแลตสองสามกล่องออกมา หมายจะรีบ
ห ยิ บ รี บ เ ผ่ น ถ้ า ส า ย ต า ไ ม่ ไ ด้ ส ะ ดุ ด กั บ เ ง า ล า ง ๆ ใ น โ ถ ง ห้ อ ง นั่ ง เ ล่ น ร ะ ห ว่ า ง ผ ม กํ า ลั ง จ ะ วิ่ ง ขึ้ น บั น ไ ด เ สี ย ก่ อ น
เหยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เงาอะไรวะ!!!!!?
ฝีเท้าผมหยุดกึกโดยอัตโนมัติขณะที่จิตใต้สํานึกตีกันยุ่งระหว่างความอยากรู้อยากเห็นและความกลัว Y_____Y แต่ดูเหมือนความอยากรู้
อยากเห็ นจะนํา หน้ าไปไกล เพราะตอนนี้ เท้ าผมกํา ลังเขยิ บใกล้ห้องนั่ งเล่ นเรื่อย ๆ แม้ สมองอี กฟากจะตะโกนบอกว่ า ไอ้โ ง่!!!! อย่ าไป
สนใจ!!!!!!!!!!! แต่ไม่ทันแล้วอะ T______T ตอนนี้ผมมาหยุดอยู่หน้าห้องนั่งเล่นแล้ว....... และเมื่อสายตาคุ้นชินกับความมืดจนได้มองดี ๆ ก็
พบกับ.................... ".... ยังไม่นอนเหรอครับแม่" เป็นแม่ไอ้ปุณณ์นั่นเองครับ เฮ้อ... มานั่งทําอะไรเงียบ ๆ คนเดียว แถมปิดไฟมืดอย่างนี้
เนี่ย ดูท่าคนที่ผมเอ่ยปากทักจะตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน สังเกตได้จากแรงสะดุ้ง (แสดงว่าแม่แอบกลัวเหมือนกันครับ ฮ่า ๆ) แต่เพี ยงเธอ
หันมาเจอหน้าแป้นแล้นของผม ก็ถอนหายใจโล่ง ๆ ทันที "แล้วน้องโน่ล่ะจ๊ะลงมาทําอะไร.... อ๋อ ทานขนมเหรอ" แม่มันคลี่ยิ้มเมื่อเ ห็น
คําตอบในมือผม ก่อนจะตบเบาะข้าง ๆ ให้ลงไปนั่งด้วยกัน "มานั่งสิโน่" "ครับ.." ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินไปนั่งด้วยคน ระหว่างผมกั บแม่
ปุณณ์ เราต่างเงียบกันพักหนึ่งก่อนที่นํ้าเสียงซึ่งแฝงความกังวลของผู้หญิงข้างผมจะดังขึ้น "น้องปุณณ์.... นอนรึยังจ๊ะ" ริมฝีปากผมแห้งผาก
ขณะตอบ "นอนแล้วครับ" "เขาเป็นเด็กเซ้นส์สิทีฟนะ..."
"... ใช่ครับ.." "ปุณณ์เล่าอะไรให้โน่ฟังรึเปล่าจ๊ะ" ดวงตาของคุณแม่ที่ใช้มองผมนั้น ทั้งคมแต่แฝงด้วยแววของคนจิตใจดีเหมือนปุณณ์ไม่
มีผิด เป็นดวงตาที่ผมไม่เคยโกหกอะไรได้สกั ครั้ง "... ก็เล่าครับ" เสียงผมเบาเหมือนคนกระซิบ ริมฝีปากของแม่ปุณณ์คลี่ยิ้ม ก่อนจะเบน
หน้าไปทางผนังอันมืดมิด แต่ดูเหมือนสายตามองไปไกลเกินกว่านั้น "ไม่เคยเห็นพ่อลูกเขาทะเลาะกันมาก่อนเลย... ตกใจเหมือนกันนะ..."
".........." "ปุณณ์เป็นเด็กดี ว่าง่าย ให้ทําอะไรก็เต็มใจทํา แล้วยังทําความดีกับทุกคนอีก พ่อกับแม่รักเขามากเลยนะ ทุกคืนแม่ขอบคุณสิ่ง
ศักดิ์ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่.. ที่ส่งให้น้องปุณณ์มาเป็นลูกแม่" "แม่ไม่อยากให้เขาโกรธพ่อ... เพราะว่าพ่อเขารักปุณณ์มาก ปุ ณณ์เป็น
เด็กดี นิสัยดี ไม่เคยทําเรื่องเหลวไหล แม่กับพ่ออยากให้เด็กดีอย่างเขาเจอแต่อะไรดี ๆ ตลอดไป... ไม่อยากให้เขาพลาดไปเจอสิ่งไม่ดี.. แม่รู้ว่า
ในอนาคต ปุณณ์จะเป็นคนหนึ่งที่ยืนในสังคมได้อย่างองอาจ และกว่าจะถึงเวลานั้น แม่กับพ่อก็อยากดูแลเขาให้ดีที่สุด" ... ผมนิ่งฟั งคําพูด
ราวกับอยากระบายของแม่ปุณณ์ด้วยสมองว่างเปล่า... รู้สึกว่าความรักของตัวเองช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนนี้ จนความรู้สึกบางอย่าง
ปะทุขึ้นในจิตใจ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร "น้องโน่.... บอกแม่ไม่ได้ใช่ไหม ว่าน้องปุณณ์กําลังคบอยู่กับใคร" ผมสะดุ้งสุดตัว
เมื่อได้ยินคําพูดนั้น ทั้งยังสายตาคล้ายเว้าวอนของผู้หญิงตรงหน้าที่ทําผมใจอ่อนลงครึ่งหนึ่งอีก แต่ผมไม่อยู่สถานะที่จะเป็นฝ่ายพูดจริง ๆ
"ก็.... ถ้าปุณณ์เขาไม่พูด... ผมก็คงไม่ควรพูดหรอกครับ.." เสียงถอนลมหายใจเฮือกหนึ่งดังมาหลังผมพูดจบ "... แต่แม่ดีใจนะ ที่เขา มี
น้องโน่เป็นเพื่อน" ใบหน้าสวยของหญิงตรงหน้าผม คลี่ยิ้มละมุนอย่างที่เธอมักเอ็นดูผมมาตลอด "แม่เชื่อว่าน้องโน่จะช่วยประคับประคอง
น้องปุณณ์ไปได้.... ครั้งนี้แม่ก็ขอฝากปุณณ์ด้วยนะ" ฝ่ามืออุ่นของเธอเลื่อนมากุมมือผมด้วยความรู้สึกหนึ่งที่รับรู้ได้ว่า เธอไว้ใจ ผมเต็มปรี่
"ช่วยดูแลให้เขาเจอแต่ความรักดี ๆ สมกับที่เขาเป็นคนดีด้วยนะจ๊ะ" "... ครับแม่" ผมรับปากด้วยคําพูดอันเบาหวิว เพราะลึก ๆ แล้ว ผมคง
เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ ความรักที่ดีเป็นอย่างไรเหรอครับแม่... หากมีคนหนึ่งรักลูกแม่ด้วยใจจริง แต่รักของเขาไม่ใช่สิ่ งที่สังคมยอมรับ
ความรักนี้ถือเป็นรักที่ดีหรือเปล่าครับแม่... TBC. http://www.imeem.com/hedfuc/music/Wk1rJDlk/moderndog/ อีกเนิ่นนาน
ที่ต้องทรมานใจ
ให้ชีวิตต้องเศร้า และเสียใจเท่าไร วันที่ความหม่นหมอง อยู่ลึกลงไปข้างใน กลายเป็นความปวดร้าว ที่ยั งค้างคาใจ ต้องฝืนต้องทนต่อไป อีก
เนิ่นนาน เพราะมันคือความจริง ที่ชีวิตต้องผ่าน อีกเนิ่นนาน จนวันที่พ้นข้ามผ่าน ความทุกข์ทรมาน ผ่านไป วางมันเอาไว้ ลืมมันทิ้งไปก่อน
หยุดความคิดเสียบ้าง วันนี้เรายังต้องนอน ปล่อยให้ความหลับใหล คลายความทุกข์ในใจ กับชีวิตที่ไม่ เคยแน่นอน อีกเนิ่นนาน เพราะมันคือ
ความจริง ที่ชีวิตต้องผ่าน อีกเนิ่นนาน จนวันที่พ้นข้ามผ่าน ความทุกข์ทรมาน ผ่านไป และฉันจะทําใจได้ใช่ไหม ว่าชีวิตที่เหลือนั้นค วรเป็น
เช่นไร ความเป็นจริงบางครั้ง ทําให้เราเข้าใจ กับชีวิตที่ต้องเดินต่อไป อีกเนิ่นนาน เพราะมันคื อความจริง ที่ชีวิตต้องผ่าน อีกเนิ่นนาน จน
วันที่พ้นข้ามผ่าน ความทุกข์ทรมาน อีกเนิ่นนาน เพราะมันคือความจริง ที่ชีวิตต้องผ่าน อีกเนิ่นนาน จนวันที่พ้นข้ามผ่าน ความทุกข์ทรมาน
ผ่านไป ผ่านพ้นไป สิ่งที่เรายังคงต้องเจอ สิ่งที่เธอไม่เคยต้องการ เรายังคงต้องทรมานจนถึงวันที่พ้นทางผ่าน สิ่งที่เรายังคงต้องเจอ สิ่งที่เธอ
ไม่เคยต้องการ เรายังคงต้องทรมานจนถึงวันที่พ้นทางผ่าน สิ่งที่เรายังคงต้องเจอ สิ่งที่เธอไม่เคยต้องการ เรายังคงต้องทรมานจนถึงวัน ที่พ้น
ทางผ่าน สิ่งที่เรายังคงต้องเจอ สิ่งที่เธอไม่เคยต้องการ เรายังคงต้องทรมานจนถึงวันที่พ้นทางผ่าน
....

56th CHAOS
ตอนเช้าปุณณ์มีอาการคลื่นไส้เล็กน้อย เข้าใจว่าเป็นเพราะความเครียดจึงทําให้เกิดอาการเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงมากครับ เพรา ะ
หลังจากมันขย้อนเอาเนื้อย่างที่เพิ่งสวาปามไปเมื่อวานออกมา (เห็นแล้วกูจะอ้วกตามว่ะ) ปุณณ์ ก็ดูสบายดีมากพอที่จะแต่งตัวไปโรงเรียน
"ไหวแน่นะมึง" ผมถามยํ้าไอ้หน้าหล่อที่เดินยิ้มกริ่มออกมาจากขบวนรถไฟฟ้า แต่ยิ่งเห็นรอยยิ้มสบาย ๆ นั่นแล้วยิ่งรู้สึกหมั่นไส้แม่ง ขึ้นมา
"สบ๊าย...." เหอะ.. ขอโทษที่เป็นห่วงละกัน นี่มันคนเดียวกับที่นอนร้องไห้ แถมยังตื่นมาหน้าซีดอ้วกแตกตอนเช้าจริงปะวะ!? เราสองคนวิ่ง
เหยาะ ๆ ลงบันไดชานชาลา แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะแตะถึงพื้นสถานีดี ก็มีเสียงตะโกนลั่นดังมา "เฮ้ยไอ้เชี่ย!!!!!!!!!!!!!!!" แม่งง งงง ใครวะ
เรียกชื่อจริงกูแต่เช้าเลย แต่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ครับ ว่าเสียงแบบนี้มัน... มีอยู่คนเดียว ผมหยุดรอไอ้เชี่ยโอมกับเก่งพ่วงด้วยรถเก๋งที่เดินกึ่ง
วิ่งมาทางเราทั้งคู่จากชั้นบนชานชาลา แน่นอนว่าพอพวกมันประชิดตัวผม ไอ้ห่าโอมก็ทักทายด้วยภาษากายคนป่าของมันทันที 'ผัวะ!!'
"นี่แน่ะ! กูอยู่อีกโบกี้ข้าง ๆ มึง เรียกตั้งนานไม่เสื อกหัน ไอ้หูหนวกเอ๊ย!!" อ้าวววววว แล้วไม่เดินมาล่ะวะ!!! ผมลูบหัวที่โดนโบกรับอรุณ
อย่างเคือง ๆ ขณะไอ้ปุณณ์เอาแต่เดินขํา (ไม่เคยคิดจะช่วยกูนะมึง) เราห้าคน
สอดบัตรรถไฟฟ้าตรงประตูทางออก ก่อนจะเดินลงบันไดสถานีด้วยกัน "แล้วมึงโง่เรียกอยู่ไม ไม่เสือกเดินมาล่ะ" "ก็กูขี้เกียจ.........." เออ
สมควร.. ผมโบกหัวมันคืนสองทีเมื่อได้ยินคําตอบกวนประสาทนั่น โดยมีเสียงไอ้รถเก๋งหัวเราะรับเป็นแบ็คกราวด์ เราห้าคนเดินกันไป ด่ า
กันไป แวะซื้อของกินกันไป ทําร้ายร่างกายกันไป (อย่างหลังเยอะหน่อย) จนเกือบถึงประตูโรงเรียน และผมก็คงได้เดินเข้าโรงเรียนแบบสบาย
ๆ แล้ว ถ้าไอ้โอมไม่เสือกตาดี เห็นว่าร่างกายผมมีบางอย่างแปลกไปก่อน "เฮ้ยหยุด!!!!!!" แถมไม่สั่งเปล่ายังคว้าคอเสื้อกูอีกแน่ะ !! แค่ก ๆๆ
ผมไอเพราะถูกมันรั้งคอเสื้อ ก่อนจะยอมหยุดตามที่ไอ้เชี่ยโอมบอก "มีเชี่ยไรวะ! ไอ้ห่าาา" อยู่ดี ๆ มาดึงแบบนี้ กูตกใจหมด ผมมองตอบ
สายตามันที่สํารวจตามตัวผมไม่หยุด "นี่เสื้อไอ้ปุณณ์นี่หว่า เมื่อคืนมึงนอนบ้านมันเหรอ" เอ่อ.......... ตอบไงดีวะ..... ผมนิ่งไป (เพราะยังอึ้งอยู่)
ขณะที่ปุณณ์หลุดหัวเราะพรืด "ตาไว" มันชมโอมพลางยกนิ้วให้ โดยมีไอ้คนถูกชมยืนยืดอย่างภาคภูมิใจอยู่ โว๊ยยย ไอ้นี่ก็เล่นกะเค้า!!!! มึง
ช่วยเปิดเผยให้มันน้อย ๆ ลงหน่อยได้มั้ยยย!! ผมโบกหัวไอ้คนของประชาชนไปหนึ่งที (โทษฐานเกิดมาเปิดเผยแม่งทุกเรื่อง) ก่อนจะดึงให้
ทุกคนเดินเข้าโรงเรียนต่อ แต่ไอ้รถเก๋งยังไม่วายย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องเมื่อกี้อีก "เฮ้ยย เพื่อนกูแม่งมีดีไรวะปุณณ์ ถึงได้เอาเพื่อนกูไปกกโคตร
บ่อย" โห... พูดยังกะปุณณ์กะกูเป็นครอบครัวแม่ไก่ คนถูกถามหันไปยิ้มกริ่มให้รถเก๋งแบบที่ผมเสียวสันหลังวาบ "ก็เพื่อนมึงน่ารัก อะ" ไหม
ล่ะ!!!!! กูว่าแล้วว่ามึงนี่มันปากตรงกับใจตัวพ่อจริง ๆ ไม่รู้จะแก้ยังไงแล้วโว๊ยยยย! -_- เอาเหอะช่างแม่ง อยากพูดไรก็พูดไป กูไม่สนใจมึงและ..
ผมเกาหัวตัวเองแรง ๆ เป็นการระบายอารมณ์(โมโห) ขณะที่เพื่อนพ้องหัวเราะลั่น
เราเดินกันไปแซวกันไปอยู่พักหนึ่ง (จริง ๆ แล้วคือผมโดนแซวคนเดียวมากกว่า -_-) ก่อนปุณณ์จะขอตัวแว่บไปห้องธุรการ เพราะมีไอ้ฟี่ยืน
ทําหน้ายักษ์ขมูขี เรียกชื่อเลขาฯตัวเองจากตรงนั้นอยู่ เหอ ๆๆ ไอ้นี่ก็ผีหลอกวิญญาณหลอนอีกคนครับ ยิ่งใกล้ช่วงพ้นตําแหน่งยิ่งเห็น มันชอบ
งอแงใส่ปุณณ์ว่ะ ว่าแล้วก็คันปากอยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องของมันกับแฟนที่ว่าแง่ง ๆ ใส่กันน่ะ ไปถึงไหนแล้วบ้าง.. แต่ช่างเหอะ.. เรื่องของ
ชาวบ้านเค้าเราไม่เกี่ยว (เหรอ....?) (ปล่าวหรอกครับ ไว้ค่อยถามจากปุณณ์เอาวันหลังก็ได้ หึหึ) แต่เพราะพอเดิน ๆ ไปซักพักผมเริ่มสําเหนียก
ได้ว่ามีเรื่องสําคัญอย่างอื่นที่ต้องทํามากกว่า... กูยังไม่ได้ท าการบ้านชีวะมานี่หว่า!!!!!!!!! บรรลัยล่ะ!! โดนมิสลัดดาฟ้อนเล็บแน่วันนี้!!
"ไอ้เหี้ย!!!!!!!!! ชีวะเจ๊ดา!!!!!!!!!!" "เออ!!!!!!!!!!!! เหี้ยยยยยยยยยยยยย!!!!" ตายห่ายกกําลังสามอีก! ก็ลองไอ้รถเก๋งไอ้เชี่ ยโอมอุทานเหมือนกัน
แบบนี้แสดงว่าลืมยกกลุ่มแหง๋! (ไอ้เพื่อนชั่ว! จะมาลืมพร้อมกูทําไมวะ!!!) เป็นอย่างนั้นพวกเราจึงรีบพากันโกยแน่บขึ้นลิฟท์เพื่อไปหางานลอก
ทันที นับว่ายังดีที่เก่งบอกว่าทํามาแล้ว เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ยังมีต้นฉบับไว้ให้อุ่นใจหนึ่งเล่มบ้าง ว่าแต่เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ว่ าเก่งก็เดินมา
กับพวกเราด้วยตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้า ทําไมมันถึงเงียบแปลก ๆ วะ... หรือว่าผมแค่คิดไปเอง? ***
และแล้วสิ่งที่ผมแอบคิดเงียบ ๆ เมื่อตอนเช้า ก็เริ่มส่อเค้าเป็นจริงทีละน้อย... เก่งเงียบไปจริง ๆ ครับ แต่เงียบเฉพาะกับผมเท่านั้ น เพราะ
มันก็เฮฮาโวยวายกับเพื่อนคนอื่นปกติ แต่ไม่ยักเข้ามากวนอารมณ์ผมเหมือนทุกวัน ตามแบบที่มันชอบทําจนแทบกลายเป็นงานประจํา (ชั่วพอ
กับไอ้โอม) แต่ถึงมันจะเงียบ มันก็ยังยื่นแบบฝึกหัดวิชาชีวะของมันให้ผมลอกครับ ? แถมยังแบ่งขนมที่ซื้อมาให้ผมกินอีกต่างหาก?
นอกจากนั้นก็ยังช่วยกระซิบคําตอบเวลาบราเดอร์เรียกถามผมในคาบด้วย!? สรุปว่ามันยังเป็นเพื่อนที่ดีเหมือนเดิมนี่หว่า... เพียงแค่มันดู....
เงียบไป? ผมลอบมองเก่งขณะเรากําลังทําเทสย่อยท้ายบทวิชาภาษาอังกฤษอยู่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มันสบตาผมพอดี แต่มันคงคิดว่า
ผมอยากลอกมั้ง เลยช่วยเอนกระดาษคําตอบมาให้ ซึ่ง... จริง ๆ ก็อยากลอกอะนะ แต่ที่มองไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ซักหน่อย ผมยิ้มพลางส่าย
หัวตอบ ก่อนจะก้มหน้าเขียนคําตอบข้อสุดท้ายลงไป "หมดเวลาค่ะ... ใครทําเสร็จแล้วเอากระดาษคําตอบมาวางตรงนี้แล้วไปพักได้"
เสียงมิสร้องบอกพวกผมเมื่อนาฬิกาบอกเวลาพักเที่ยง ก่อนเพื่อน ๆ จะทยอยกันไปส่งข้อสอบรวมถึงผมที่เดินไปพร้อมเก่งพอดี "ทําได้ป่าว
วะ" ผมกระซิบถามมันขณะต่อแถวรอส่งข้อสอบอยู่ แต่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าช้า ๆ โดยไม่ได้เงยจากพื้นมามองผม อืม..... เป็นอะไรรึเปล่า
วะ? .. ..
"เฮ้ย แดกไรดี เชี่ยโน่มีตังป่าวเนี่ย!!!!" แล้ว จะตะโกนเสียงดังทําเพื่ออออออ!!!! ผมหันไปโบกหัวเชี่ยโอมทันทีหลังจากมันเล่นแหกปากช่วย
ประจานผมลั่นแคนทีน "บัตรกูยังมีตังค์อยู่โว๊ยยย" สาดด มึงพูดงี้เดี๋ยวป้าที่กําลังทําก๋วยเตี๋ยวให้กูตกใจหมด ผมเหล่เชี่ยโอมที่ ลูบหัวตัวเอง
ป้อย ๆ ก่อนจะตะโกนสั่งก๋วยเตี๋ยวต้ มยําต่อจากผม "แล้วเมื่อคืนทําอีท่าไหนไปนอนบ้านไอ้ปุณณ์ได้วะ ไหนมึงบอกจะกลับบ้านตัวเอง"
หลังจากได้ชามก๋วยเตี๋ยวในมือไว้คนละชามแล้ว มันก็ป้อนคําถามต่อทันทีขณะกําลังปรุงก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ "ก็มีปัญหานิดหน่อยว่ะ... ช่าง
เหอะ" "แนะ แนะ แน๊.... ปัญหาด้านร่ายกายเหรอหนุ่มน้อยยยย งี้แหละนะ ฮอร์โมนวัยรุ่นมันแรงงงงงงง" โห ไอ้ควายยย ความคิดมึงแต่
ละเรื่องเนี่ยนะ! ผมหันไปใช้ตะเกียบแทงหูแม่งทันที "โอ๊ย!!!! เชี่ยยย เดี๋ยวขี้หูกูไหล!!" เออว่ะ!!!!!!! แบบนี้ตะเกียบกูก็มีมลทิน แล้วดิ่! ผมยก
ตะเกียบชี้หน้ามันอย่างเคือง ๆ (โทษฐานมาทําตะเกียบกูเปื้อนขี้หู) ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนคู่ใหม่มา "เฮ้ย เชี่ยโน่! เดือนนี้มึงเหลือเงิน
เท่าไหร่เนี่ย ได้ข่าวว่าเมื่อวานทําตัวเป็นเสี่ยเลี้ยงเด็กชมรมเหรอวะ" แต่ทันทีที่ผมหย่อนตูดลงเก้าอี้ยาว ซึ่งมีเพื่อน ๆ นั่งอยู่ กันสลอน เสียงไอ้
เคนก็หอนแซวขึ้นมาอย่างว่อง... แล้วใครล่ะ จะคาบข่าวกูหมดตูดไปแฉ ถ้าไม่ใช่.......... "ไอ้เชี่ยโอม ปากมากนะมึง!" ผมเคาะศอกลงบนหัว
เกรียน ๆ ของแม่งซํ้าอีกทีอย่างหมั่นเขี้ยว โดยมีเพื่อนคนอื่นหัวเราะครืน "เฮ้ย นี่กูถามเพราะกูเป็นห่วงหรอก กู้กูก่อนป่าว ไว้ มีแล้วค่อยคืน
ก็ได้" แต่เสียงไอ้เคนยังถามผมต่อ ทําเอาซาบซึ้งนํ้าใจเพื่อน ฮืออ.. แบบนี้สิวะถึงจะเรียกว่าเพื่อนแท้ ผิดกับไอ้โอมราวฟ้ากับเหวจริ ง ๆ Y___Y
และผมก็คงจะอ้าปากตอบมันไปแล้ว ถ้าแม่งไม่เสือกชิงพูดอีกประโยคขึ้นมาก่อน "แต่ดอกเบี้ยร้อยละห้าสิบต่อวันนะ ฮ่า ๆๆๆๆ" ไอ้เพื่อน
เวรรรรรรรรรรรรรรร กูน่าจะรู้ว่าคนอย่างมึงมันชั่ววววววว!!! ผมชูนิ้วกลางโชว์กลางวงทําเอาคนอื่นยิ่งหัวเราะตบมือกันใหญ่ โดยเฉพาะไอ้
เคนที่ขําจนข้าวแทบออกจมูกก่อนจะแค่นคําต่อไปออกมา "เฮ้ย กูล้อเล่น เอาป่าวมึง บัตรแคนทีนมึงเหลือเท่าไหร่เนี่ย" "เกือบสามร้อ ย...
เออ ไม่เป็นไรหรอก เก็บตังค์มึงไว้ผ่อนแมคกับแม่มึงเหอะ ได้ข่าวเหลืออีกหลายเดือน" เพราะเคนมันเพิ่งถอยแมคบุ้คป้ายแดงมาเมื่อเดือน
ก่อนครับ ตัวละเกือบแสนแน่ะ โดยใช้บัตรวีซ่าแม่มันรูด แล้วค่อยผ่อนจ่ายคืนทีหลัง (แต่ก็ไม่รู้ตกลงซื้อมาทําห่าอะไร เพราะเห็นมันเอาแต่เล่น
เกมกับโหลดหนังโป๊ไม่คุ้มราคาแมคเลย) เป็นงี้ยังกล้ามาทําใจปํ้ากับกูอีกนะ ไอ้พ่อพระ! "หรือจะเอาเงินกูก็ได้นะ พอดีบ้านกูรว ยอะ เก็บ
ตังค์ไว้เล่น ๆ ไม่รู้จะทําไร ปลวกใกล้ขึ้นแล้วเนี่ย" "โห่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!" หลังจากจบคําไอ้ปาล์ม เสียงโห่จากเพื่อนรอบโต๊ะก็
ดังขึ้นทันที ฮ่า ๆ ถุย... ไอ้ซุยเอ๊ยย เลยโดนพวกผมรุมเขวี้ยงทิชชู่ทั้งใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ใส่มันอย่างไม่ยั้ง แต่ ขณะเรากําลังสนุกสนานกับ
การเล็งทิชชู่ลงหัวไอ้ปาล์มอยู่นั้น เสียงไอ้โอมเคาะตะเกียบลงชามก๋วยเตี๋ยวตัวเองก็เรียกร้องความสนใจทั้งหมดไปได้ก่อน "นี่ ๆๆๆ พวกมึงไม่
ต้องช่วยเชี่ยโน่มันหรอก เพราะมันอะนะ......" อะไร??... กูทําไม????.... มึงจะพูดเชี่ยไรอีก!!!...... ผมรู้สึกว่าหนังตาขวากระตุกถี่ปะแล่ม ขณะ
มองไอ้โอมยืนพูดปาว ๆ โดยมีลางสังหรณ์ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน มันหันมาหลิ่วตาใส่ผมก่อนจะพูดต่อ "เพราะมันอะนะ มีเลขาสภาฯเลี้ ยง
งงงงงง ฮิ้ววววววววววว" ไอ้ชั่ววววว!!!! กูว่าแล้ว!!!!! ผมนั่งเกาหัวตัวเองจนกบาลแทบร่นเมื่อเพื่อนทุกคนรุมโห่ร้องรับกันอย่างกะมีงานเลี้ยง
รื่นเริง ทั้ง ๆ ที่ดูไปคล้ายงานฌาปนกิจผมมากกว่า.... น้อย ๆ หน่อยเหอะไอ้พวกนี้ ที่นี่มันโรงอาหาร ไม่ใช่โรงมหรสพนะมึง!!!!!
ท่ามกลางเสียงโวยวายของพวกเพื่อนตัวดีทั้งหลาย (จนผมล่ะแทบอยากมุดแคนทีนหนี หรือไม่ก็ตะโกนบอกคนอื่นว่า กูไม่รู้จักม๊านนนน!!)
สายตาผมเหลือบเห็นเก่งที่ยังคงนั่งข้าวเงียบ ๆ อยู่ บางทีผมอาจจะรู้ว่าเก่งเป็นอะไร.. *** "มึงเป็นไรป่าววะเก่ง..... " ผมตัดสินใจ
ถามเจ้าตัวขึ้นในคาบธุรกิจ ที่มาสเซอร์เอาพวกเรามาปล่อยไว้ห้องสมุด เพื่อค้นคว้ารายงานส่งท้ายคาบ แต่เก่งแค่ละสายตาจากชั้นหนังสือ
มามองหน้าผมแว่บหนึ่ง ก่อนจะสนใจหนังสือต่อ "ก็.. เปล่านี่" โกหกชัด ๆ.. ผมถอนหายใจพลางตัดสินใจคุยกับเพื่อนแบบตรง ๆ "คือ....
ถ้าหมายถึงเรื่องที่มึงถามกูเมื่อคืนอะ กูไม่มีเจตนาปิดจริง ๆ นะเว่ย.. พอดีมีเรื่องยุ่ ง ๆ นิดหน่อยอะ กูเลยต้องปิดคอมว่ะ ขอโทษที" ผมว่า
พลางยกมือไหว้ขอโทษมัน จนเก่งต้องหันมารับไหว้ผมด้วยท่าทีตกใจ "เฮ้ย ไหว้ไม!" มันโวย แต่ก็ยอมมองหน้าผมแล้ว ระหว่างเราเงี ยบ
ไปครู่หนึ่ง ก่อนเก่งจะเป็นฝ่ายพูดต่อ ".... จริง ๆ กูก็ไม่มีสิทธิ์เคืองว่ะ... กูเป็นคนบอกเองด้วยซํ้าว่าถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร.." "................"
ลมหายใจยาวของเก่งกระทบแขนผมวูบหนึ่ง บ่งบอกว่าเจ้าของมันสับสนไม่น้อย "... แต่กูก็......... ไม่รู้ว่ะ...
อือ.. ช่างเหอะ.. ขอโทษมึงด้วยละกัน" มันผงกหัวให้ผมเบา ๆ ก่อนทําท่าจะคว้าหนังสือออกไปทางโต๊ะที่เพื่อนนั่งสุมอยู่ แต่ไม่ไวกว่าผมที่คว้า
แขนมันทัน "เฮ้ย!" ฟังกันก่อนได้มั้ยเนี่ย ผมสบตามันด้วยความตั้งใจจริงที่จะพูดคําต่อไป "มึงช่วยถามกูอีกรอบดิ่ แล้วเดี๋ยวกูจ ะตอบให้ฟัง"
"แน่นะ?" "อือ" "งั้นมานี่....." อะ... อะไรวะ? ผมมองตามเก่งอยู่ดี ๆ ก็ยิ้ม แถมยังลากแขนผมออกจากชั้นหนังสือเพื่อมุ่งไปยังโต๊ะที่เพื่อน
ๆ นั่งอยู่อีก ก่อนมันจะเคาะโต๊ะเบา ๆ แล้วกระซิบเข้าไปกลางวงด้วยสําเนียงปนขําว่า "เชี่ยโน่แม่งยอมพูดแล้ว ใครจะฟังมั่ง" ไอ้
สาดดดดดดดดดดดดดดดด สรุปว่าพวกมึงหลอกกูใ ช่มั้ยเนี่ย!!!!!!!! และแล้ว หลังจากเพิ่งรู้ตัวว่าถูกเพื่อนเวรรวมหัวกันหลอก โดยส่งไอ้
เก่งมาเป็นหน้าม้ารางวัลตุ๊กตาทอง (ฝากไว้ก่อนเหอะมึง Y___Y) พวกเราก็พากันย้ายสัมมะโนครัวจากโต๊ะค้นคว้าบริเวณโถงห้องสมุด เป็นนั่ง
ล้อมวงบนพื้น ในซอกเล็ก ๆ ตรงชั้นหนังสือที่ไม่ค่อยมีใครสนใจแทน ผมนั่งเซ็งพลางไล่มองหน้าไอ้เพื่อนตัวดีทีละคนอย่างโคตรรร.. ซึ้ง...
ตรงนี้มีทั้งไอ้เก่ง ปาล์ม คม พ้ง เอ็ม โด่ง รถเก๋ง เคน รวมถึงเชี่ยโอม กําลังนั่งล้อมวงรอฟังความจริงจากปากผมอยู่
"แม่งงง กว่าไอ้โน่จะรู้ตัวว่ะ เชี่ยเก่งเก็กซะเมื่อย อย่างฮาอะมึงง" ไอ้เชี่ยเคนเปิดประเด็นคนแรกพลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากโดยมีไอ้โด่งเสริม
"เออ ตอนแรกกุจะบอกให้แม่งเมินไอ้โน่เลยเว้ย แบบ.. ไม่ต้องยุ่งเลยอะ แต่เชี่ยโน่เสือกไม่ยอมทําการบ้านชีวะมา กูล่ะเซ็งงง ไอ้เก่งก็ พ่อพระ
อี๊ก เอาการบ้านไปให้ลอกซะงั้น กูนึกว่าแผนจะเสียซะละ" แต่ไอ้เก่งเสือกนั่งยืดราวกับว่ามันเป็นฮีโร่เต็มประดา "ถึงกูจะพ่อพระ กูก็ตีบท
แตกเว้ยยย ฮ่า ๆๆ" "โห่ยยยยยยยยยย!!" เรียกเสียงโห่จากเพื่อนได้รอบวงแถมด้วยขนมตุ้บตั้บคนละหมัดครับ ฮ่า ๆ แต่พอสําเหนียกได้ว่ า
เสียงชักดังเกินไป พวกมันก็เอื้อมมือปิดปากกันเองเป็นพัลวัน "ชู่ววววววววววววว์!!!!!" แต่กูว่าเสียง ชู่วววว์ มึงเนี่ย ได้ยินไปถึงสีลมว่ะ.. เหอ
ๆๆ ผมนั่งขําพวกแม่งจนเกือบลืมแล้วว่าตัวเองมานั่งตรงนี้ทําไม กระทั่งไอ้ปาล์มเริ่มได้สติ "เฮ้ย ๆๆ ไร้สาระว่ะ เดี๋ยวเวลาหมด เรามาเข้า
เรื่อง" เอ่อ... จริง ๆ แล้วไม่ต้องเข้าก็ได้ กูชอบออกนอกเรื่องนาน นานนน Y__Y ผมเริ่มรู้สึกกลืนนํ้าลายลําบากขณะไอ้เอ็มเริ่มสอยต่อ
"เออ ไอ้โน่..... พวกกูขอถามตรง ๆ นะ" นํ้าเสียงจริงจังอีกว่ะ... กูเพื่อนนะไม่ใช่นักโทษ T___T ผมสบตามันปิ๊ง ๆ อย่างขอความเห็นใจ แต่
มั น ไม่ ป ราณี ซํ้ า ยั ง ชี้ ให้ ไ อ้ รถเก๋ง จั ด สํ า รับ ใหญ่ ต่ อไปอี ก "มึ ง กั บ ไอ้ ปุ ณ ณ์ ......... เป็ น อะไรกัน วะ ?" เอ่ อ.. ตรงประเด็ น ดี ม าก......
".................................." ความเงียบเริ่มปกคลุมทุกสิ่ง เมื่อทุกสายตาจ้องผมเป็นตาเดียว... คือ... มึงอย่าทํางี้ดิ่ กู.... เกร็ง.. ผมขยับปากช้า ๆ
แบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ "ยะ... ยังไงล่ะวะ......"
แต่ใบหน้าเคร่งขรึมของไอ้เชี่ยรถเก๋งดันเขยิบมาใกล้ผมอย่างต้องการจับผิด "มึง..... ไม่ต้องมาแถเลย... เพราะกูหลอกถามไอ้ปุณณ์มาแล้ ว
...... เหลือแต่มึง!!! จะบอกหรือไม่บอก!" อ้าวเชี๊ยยยยยยยยยยยย สรุปว่ารู้แล้วจะถามกูเพื่ออออออ!! (ว่าแต่ไอ้ปุณณ์นี่เป็นห่าไร วันหลังมึงปริ้น
โฆษณาแปะให้ทั่วโรงเรียนเลยก็ได้นะ ว่ากูเป็นแฟนมึงอะ แม่งง) ผมรู้สึกเหมือนแอร์ไม่เย็นกะทันหัน ทั้งที่ตอนเดินหาหนังสือมันก็ ยังหนาว
ดี "ก็มึง.... รู้จากไอ้ปุณณ์แล้ว.. แล้วมาถามกูไม" "ก็กูอยากฟังจากมึงอะ!" คราวนี้เป็นเสียงไอ้ปาล์มครับที่แหวมา ทําเอาเพื่อนทั้งวงพยัก
หน้าเห็นด้วยกันหงึกหงัก.... โอ่ยยย ไอ้พวกโรคจิต จะอยากฟังไรซํ้า ๆ ซาก ๆ นักหนาว้าาา... "อะ ๆๆ เอางี้...." ไอ้เก่งตัวดีตัด บทด้วยคําที่
ผมชอบได้ยินมันพูดบ่อย ๆ เวลามันพยายามหว่านล้อมอะไรซักอย่าง "ไอ้โน่....." สงสัยว่าเหยื่อคราวนี้จะเป็นผม T___T ผมเลิกคิ้วข้าง
หนึ่งอย่างกลัว ๆ ให้ไอ้เพื่อนที่ทําเอาผมปั่นป่วนตลอดวัน ".. ระ..... ไร" "กูถามแบบตรง ๆ เลยนะ... มึงอะ............" แล้วจะเว้นช่วงให้กูลุ้น
ทําไมฟะ! จะถามไรก็รีบ ๆ ถามมม... ผมแทบกลั้นลมหายใจระหว่างรอฟังเก่งพูดคําต่อไป ".... คบกะไอ้ปุณณ์อยู่ใช่ปะ" "......... ... อะ
.......... เออ" "แบบแฟนน่ะนะ?" "................. อื้อ.." หลับหูหลับตาตอบแล้วครับทีนี้ โว๊ยยย ก็รู้กันหมดแล้วจะมาคาดคั้นอะไรอีกกกก
เสียงพวกมันหัวเราะกันคิกคักรอบวงอย่างกระชุ่มกระชวยหลังได้ฟังคําตอบผม ในขณะที่ผมอะ ถ้าเอาหัวกระแทกพื้นแล้วมุดดินหนีกลับบ้าน
ได้คงทําไปแล้วว
"งี้ใครขอใครคบก่อนวะมึง!" แล้วเกี่ยวไรกะมึงวะพ้ง!! ผมล่ะอยากด่ากลับไปแบบนัน้ จริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าสายตาอยากรู้อยากเห็นจากคนทั้งวง
จ้องรวมมาเป็นตาเดียวก่อน "ก็....... ไอ้.. ปุณณ์ มั้ง.." เป็นอย่างนั้นเลยได้แค่ละลํ่าละลักตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพ ราะสมองเริ่ม
เบลอ ๆ รวน ๆ ไปหมด ได้ยินแต่เสียงไอ้พวกห่านี้ผิวปากแซวกิ๊วก๊าวกันอย่างสนุกในอารมณ์มัน เหลื๊ออเกิน (ทํานาบนหลังคนนะมึง!) "มี
แฟนแล้วเงียบนะ ไม่ยอมแจ้งข่าวอะมึงง" ไอ้โด่งแหย่พลางกระทุ้งศอกเข้าแขนผมหลังจากพวกมันหัวเราะเสร็จกันเรียบร้อย เออ.... ก็ดูปาก
พวกมึงแต่ละคนดิ่ กูคงอยากบอกอยู่อะ "ก็พวกมึงแม่ง ชอบแซวกู.........." "เฮ้ยยย พูดไรงั้น พวกกูแซวเพราะไม่รู้หรอก ถ้าพวกกูรู้พวก
กูไม่แซวอะ" ผมเหล่มองไอ้รถเก๋งที่ทําเป็นพูดดี "เจงงงงงงงงงงงงงปะ" "ไม่จริง ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ" แล้วมึงพูดเพื่อออออออออ!! เดาผิดที่ไหนล่ะ!
ผมเกาหัวตัวเองอย่างสุดจะเซ็ง เพราะหลังจากนี้มีหวังโดนล้อเช้าสายบ่ายเย็นก่อนนอนแหง๋ Y__Y แต่ยังไม่ทันหายเซ็งดี ไอ้เอ็มก็พูดประโยค
ที่ทําเอาผมตกใจโคตร ๆ ออกมา "เนี่ยแม่งอุบเงียบกันทั้งมึงทั้งไอ้โอมอะ มึงเชื่อปะ ว่ากุบีบคอถามไอ้โอมเป็นสิบล้านรอบแล้วแต่แ ม่งไม่
ยอมบอก บอกแต่ให้มาถามมึงเอง" เย๊ดเข้!!!!!!!! คนอย่างไอ้โอมมีอุดมการณ์แบบนี้ด้ วยเหรอวะ!!!!!!!!! ผมหันไปมองหน้าเชี่ยโอมแบบอึ้ง ๆ แต่
เห็นแม่งกําลังนั่งทําหน้าเหนืออยู่ ถุย หมั่นไส้ "แต่มึงไม่ต้องซาบซึ้งไปหรอก เพราะไอ้โอมเป็นคนคิดแผนนี้ให้พวกกูเอง ฮ่า ๆๆๆๆ" อ้าว ไอ้
ชั่วววว หลอกให้กูปลื้มได้ไม่ถึงนาที สันดานมึงก็โผล่อีกละ!!
ผมนั่งส่ายหัวอย่างจนปัญญาขณะที่ฟังพวกมันหัวเราะครื้นเครงอยู่ ก่อนไอ้พ้งจะจุดประเด็นสําคัญขึ้นมา "เฮ้ยมึง........ แล้วแฟนไอ้ปุณณ์
อะ" คําถามแจ็คพ็อตว่ะ.. ผมยอมรับว่าตัวเองอึ้งไป ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง "ก็.... เลิกแล้ว" "เลิกเพราะมึงเลยเหรอวะ" เสียง
ไอ้โด่งถามต่อ แต่..... ผมค่อย ๆ ส่ายหัว "เปล่า... เค้าก็มีปัญหากันนิดหน่อย" "แต่มันมายุ่งกับมึงตั้งแต่ก่อนเลิกกันแล้วใช่ป ะ" เป็นเพราะ
คําถามนี้ ผมจึงได้เห็นว่าโอมหันไปใช้หลังมือแตะปากปาล์มเหมือนให้เงียบไป... ขอบใจว่ะ.... แต่ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าก็เป็นแ บบนั้นจริง ๆ
คิดแล้วรู้สึกแย่แฮะ.. พวกเราเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเสียงคมจะถามต่อ "แล้วมึงกับยูริล่ะ" "ก็......................." ผมไม่รู้ จะตอบยังไง ในเมื่อ
ความสัมพันธ์ของผมกับยูริมันมึนงงมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร ไอ้โอมสั่นกระดิ่งห้ามยกด้วยการ
ตัดบทสนทนา "ถามมากว่ะพวกมึงอะ พอ ๆๆ จะหมดคาบอยู่แล้ว ถ้ากลับห้องเรียนไปไม่มีหนังสือส่งมาสเซอร์ มึงเละแน่" มันว่าพลางลุกขึ้น
ยืนคนแรก ทําเอาเพื่อนคนอื่นบ่นงึม แต่ก็ยอมแยกย้ายกันไปหาหนังสือทํารายงานโดยดี ผมหัน ไปยิ้มให้เพื่อนชั่วที่รู้ใจผมเสมอ "ขอบใจนะ
มึง" "เหอะ..... หาหนังสือเผื่อกูด้วยแล้วกัน เดี๋ยวกูนอนรอ ก๊ากกก" ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยย!!!
*** หลังจากหมดคาบเรียนประจําวันแล้ว ผมกับไอ้โอมที่เพิ่งทําเวรเสร็จ (หรืออีกนัยหนึ่งคือ เพิ่งเอาไม้กวาดกับที่ตั กผงสู้กันเสร็จ) ก็มุ่ง
หน้าไปยังห้องธุรการทันที เพราะได้รับแจ้งว่าสมาคมที่พาชมรมเราไปแข่งวงโยฯที่ยุโรป เพิ่งส่งแฟ็กซ์มาหาพวกผมผ่านทางเครื่องของห้อง
ธุรการ (แล้วเครื่องในห้องชมรมก็มี ไม่แฟ็กซ์มาล่ะค้าบบบบ) ทําเอาผมกับโอมต้องวิ่งหน้าตั้งลงมาติดต่อห้องออฟฟิศด้ว ยสภาพเรียบร้อยสุด
ๆ เนื่องจากมีมิสโคตรเฮี้ยบบบ อยู่ในนั้นหลายคน "ชมรมดนตรี..... มา.. รับแฟ็กซ์ครับ" ผมโผล่หัวเข้าไปในห้องออฟฟิศอย่างเกร็ง ๆ
เพราะหลังเลิกเรียนแบบนี้บุคลากรเล่นอยู่กันครบทีม "มาเอาโต๊ะนี้จ้ะ" เสียงมิสคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักดังขึ้นไกล ๆ เรียกให้ทั้งผมและโอมเดิน
ไปรับแฟ็กซ์ซะลึกเชียว โอ่ย..... แต่จะทําไงได้ ก็ต้องค่อย ๆ เดินตัวลีบผ่านโต๊ะทํางานนับสิบไปยังจุดหมาย โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนอยู่
ในห้องเหมือนกัน ผมยื่นมือไปรับแฟ็กซ์จากมิสท่าทางใจดี แล้วก็คงเผ่นออกนอกห้องออฟฟิศไปไกลแล้ว ถ้าไม่ถูกเรียกชื่อเอาไว้ก่อน "โน่!!!
โอม!!!" "อ้าว....... ผัวมึง" ไอ้เชี่ยยยย เรียกชื่อมันก็ได้! มันชื่อปุณณ์!! ผมกระทืบเท้าไอ้โอมทีนึงก่อนจะมองตอบคนที่ถือใบอ ะไรไม่รู้ในมือ
เหมือนกัน "มาส่งใบค่ายเหรอ" ปุณณ์ถามผมเมื่อเห็นว่ามีเอกสารในมือเหมือนมัน แต่....... ค่ายอะไรวะ??? "ป่าว กูมาเอาแฟ็กซ์" ผมชู
แฟ็กซ์หมึกเยิ้มให้อีกฝ่ายดู เห็นมันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะถามต่อ "แล้วโน่กับโอมไปค่ายป่าวอะ"
"ค่ายไรวะ???" เป็นไอ้โอมนั่นเองที่สอดถามขึ้นมาอย่างขี้เสือก...... ไม่แพ้ผม... (แค่แย่งถามไม่ทัน) เออนั่นดิ่ ค่ายไรวะ?? กูก็อยากรู้
เหมือนกัน ปุณณ์ดูจะแปลกใจไม่น้อยที่เราไม่รู้เรื่องค่าย "ค่ายเภสัชฯอะ อ้าว มิสไม่ได้บอกห้องมึงเหรอวะ" เอ่อ.... อันนี้ก็ไม่ รู้เหมือนกันว่า
มิสไม่บอกหรือกูไม่ฟัง เพราะขนาดค่ายวิศวะคราวก่อนผมยังไม่ได้ไปเลย ดันมัวแต่หลับตอนเค้าประกาศเรื่ องค่ายกัน ปุณณ์เลิกคิ้วมอง
พวกผมอย่างงง ๆ ก่อนจะพลิกกระดาษในมือมันดู "ห้องโน่ก็มีมาลงชื่อไว้หลายคนนะ ปาล์มก็ไป พ้งก็ไป โด่งด้วย..." อ้าวไอ้พวกเชี่ย ไม่มี ชวน
กูอะ สงสัยคิดว่าผมไม่สนใจค่ายเภสัชฯมั้ง ซึ่งมันก็จริง "กูไปด้วย!!!! ลงชื่อกูให้หน่อย!" ว่าแต่ ไอ้เหี้ยนี่สนกะเค้าตั้งแต่ตอนไหนวะ!? ผมหัน
ไปมองหน้าโอมแบบมึน ๆ "จะเข้าเภสัชฯเหรอมึงอะ" "ป่าว.... แต่กูว่าต้องมีสาว ๆ ไปค่ายเยอะชัวร์! งั้นกูไปด้วยคน" โหไอ้เชี่ย ตร รกะ
อย่างเลว แต่น่าสน (หึหึ) ระหว่างผมกําลังคิดอยู่นั้นว่าจะไปกะมันดีมั้ย เสียงปุณณ์ที่กําลังเขียนชื่อเพิ่มอยู่ก็ทวนสิ่งที่มันเขียนมาเป็นคําพูดเบา
ๆ "งั้น ธัชกร กับ นภัทร ห้อง 5 ไปด้วยนะ..." อ้าวเฮ้ยยยยยยยยยย นั่นมันชื่อกู!!!!!! "ตลกละสัด กูบอกตอนไหนเนี่ย" ผมกระซิบพลาง
ตบหัวมันเบา ๆ (เพราะยังอยู่ในห้องออฟฟิศครับ ขืนห้าวมากอาจโดนบราเดอร์ เดินมาบ้องแทนได้) ขณะที่ปุณณ์หัวเราะร่า "ไปเหอะ กูก็ไป"
"อ้าว... มึงอยากเรียนเภสัชฯเหรอวะ?" ก็เห็นปกติแม่งสนใจแต่เศรฐศาสตร์มหภาค การแลกเปลี่ยนการค้าระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ย จน
ผมนึกว่ามันอยากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ซะแล้ว แต่เอ๊ะ... หรือจะใช้ตรรกะเดียวกันกับไอ้โอมวะ? "เปล่า ก็ไปงั้น ๆ อะ ไอ้โจ๊กกับไอ้นันท์มัน
อยากไป" อ่อ..... เออ ไปก็ไป ผมยืนท้าวเอวมองมันที่เขียนชื่อ
ผมกับโอมใส่ใบทะเบียนอย่างสมยอม "งั้นกูเอาใบไปส่งมิสก่อน เพื่อนมึงคนไหนอยากไปเพิ่มก็มาลงชื่อกับมิสเองแล้วกันนะ" อืม ๆ ผม
พยักหน้ารับคําพลางโบกมือให้ แต่ขณะที่กําลังจะหมุนตัวกลับ เพื่อหนีจากห้องออฟฟิศไปห้องชมรมนั้นเอง เสียงปุณณ์ก็ดังขึ้นมาก่อน "โน่
........." ".... หืม?" ผมหันไปรับคําเรียกนั้น แต่ใบหน้าคมที่ดูเหมือนมีเรื่องจะพูดของปุณณ์ กลับแปรเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มคืนมา "ไม่มีอะไร
บาย" "อ่า.... บาย" ... อะไรของมันวะ?

57th CHAOS
สรุปว่าแฟ็กซ์ที่ทางสมาคมฯส่งหาเราคือแฟ็กซ์เชิญชวนชาวชมรมร่วมงานเลี้ยงฉลองรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ที่ทุกคนเพิ่งบุกไปคว้าจาก
ต่างประเทศมาครับ โดยสถานที่คือโรงแรมสุดหรูซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนเพียง..... 20 ก้าว (หรือไม่ถึงวะ..) แล้วอย่างนี้วันนั้นผมควักเนื้อ
เลี้ยงพวกแม่งเพื่ออะไร..................... ทําไมสมาคมไม่ส่งแฟ็กซ์มาให้มันเร็วกว่านี้เล่า!!!!!!! (โว่ยยยยยยย เอาเงินค่าขนมทั้ งเดือนคืนมานะ!!!) ผม
แทบหันไปขยําหัวไอ้ง่อยทันทีหลังอ่านข้อความจบ (มีอะไรก็โทษง่อยไว้ก่อนครับ มันเป็นแก็สโซฮอล์) แต่ด้วยความที่เป้อคงสงสารเพื่อน (หรือ
เพราะวันนี้มันแกล้งง่อยมามากพอแล้ว???) จึงส่งเสียงเตือนสติผมว่า "พี่โน่ก็ไปกินในงานเยอะ ๆ ดิ่ แก้แค้นไง ใส่ถุงกลับบ้านด้วยเลย" เออ
.. ทําไมมึงถึงชั่วงี้วะเป้อ แต่กูชอบว่ะ หึหึหึ..... ในขณะที่ผมกําลังครุ่นคิดอยู่นั้นว่าควรเอาถุงไปกี่ใบ จึงจะอยู่ดีกินดีได้ทั้งเดือน น้องน็อตที่หยิบ
เอาแฟ็กซ์ไปอ่านต่อก็ร้องเตือนผมก่อน
"งานนี้มันวันเดียวกับค่ายเภสัชฯที่ติดประกาศหน้าห้องแนะแนวเลยนิ่พี่... แบบนี้ใครลงชื่อค่ายไว้ก็อดไปดิ่" ห๊ะ!?........ อะไรนะ?? ผมกับ
โอมที่ได้ยินถึงขั้นกระโดดเหยงไปคว้าแฟ็กซ์ใบนั้นมาอ่านรอบสอง ก่อนจะพบว่า.. ชิบหายแล้ว.............. วันเดียวกันจริง ๆ ด้วย อดแดกล่ะสิกู
........ "ค่ายไรวะ ๆ พวกมึงไปค่ายไรกัน!?" แถมยังไม่ทันอ่านจบรอบสองดี ไอ้ฟิล์มก็เสือกโผล่หน้ามาคั่นตรงกลางระหว่างผมกับไอ้โอม
อย่างอยากรู้อีก อ่อ.... ลืมไปว่าไอ้นี่มันก็พวกไม่สนใจโลกพอกัน สงสัยคงไม่รู้ข่าวด้วยอีกคน ผมจึงอาสาเป็นพ่อพระไขความกระจ่าง ให้
"ค่ายเภสัชฯว่ะ วันเดียวกับที่เลี้ยงเลยเนี่ย แต่พวกกูเสือกลงชื่อค่ายไปแล้ว คงไปแดกไม่ได้ โทษทีว่ะ" แต่ถึง จะพูดอย่างนั้นในใจผมกลับแอบ
รู้สึกโล่งนิด ๆ เพราะจะว่าไปผมก็ไม่ใช่คนที่มีส่วนร่วมในการแข่งขันเท่าไหร่ นอกจากทําเอกสาร แบกคูลเลอร์ ชงนํ้าหวานให้น้อง ๆ ก็ไ ม่มี
หน้าที่สําคัญอะไรที่ผมต้องรับผิดชอบอีก เพราะส่วนใหญ่แล้วหน้าที่สําคัญทั้งหมดตกเป็นของไอ้ฟิล์มกับไอ้อ าร์ทที่ต้องคอยช่วยกันดูแล
มากกว่า ดังนั้นหากจะให้ผมหน้าด้านเนียนไปกินด้วยอีกคนคงอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้... คิดไปคิดมาที่ติดค่ายนี่ซะ ก็ถือว่าดีแล้ว แต่ดูหน้า
ไอ้ฟิล์มตอนนี้ดิ่ครับ....... พอรู้เรื่องค่ายเท่านั้นแหละ แม่งทําตาวาวอย่างกะเพิ่งเจอทางไปบ่อทอง "กูไปด้วยยยยยยยย" ไอ้ห่า.........
"ไม่ได้เว้ย!!!!!!! มึงหัวหน้าวงโยฯนะ ไปกินเลี้ยงเด่ะวะ!" ไอ้เหี้ยนี่ก็ทําเป็นเพี้ยน.......... งานเค้าอุตส่าห์จัดให้แท้ ๆ คิดจะโดดหาพ่อออรึไง!? ผม
ตบกะโหลกไอ้ฟิล์มไปสองทีเรียกสติ แต่ดูแม่งยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะไปค่ายง่าย ๆ อยู่.... จนผมรู้สึกเหมือนได้กลิ่นตุ ๆ ขึ้นมาแล้ว.. แม่งมี
พิรุธอะไรปะวะ.. แต่ไม่ต้องรอให้ถาม เสียงแจ้ว ๆ ของน้องมํ่าก็ไขข้อสงสัยทันที "พี่ฟิล์มกลัวป้าประธานสมาคมอะดิ่ ฮ่า ๆๆ" ป้า
ประธานสมาคมไร!? ผมหันไปมองน้องมํ่าที่ส่งเสียงมาจากซอกเครื่องเป่าซึ่งจับกลุ่มกันซ้อมไม่ห่างจากพวกผมเท่าไหร่นัก ด้วยความที่โคตร
สงสัยในคําพูดนั้นเต็ม
เปี่ยมเพราะไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวด้วยมาก่อน "ป้าที่ไหนวะ" โอมถามมํ่า ขณะที่เด็กอ้วนยิ้มตาหยีก่อนจะตอบ "ก็ป้าประธานสมาค มอะ
ชอบพี่ฟิล์ม ตอนอยู่นู่นนะ โทรหาพี่ฟิล์มแทบทู้กกกกกกกวัน ผมว่าดวงพี่ฟิล์มคงได้มีเมียแก่แหง๋ ฮ่า ๆๆ" ก๊ากกกกกกกกกกกก จริงเหรอวะ!!
ผมหันไปเหล่ไอ้ฟิล์มที่ยืนกุมขมับแบบคนหมดสภาพ พลางชี้หน้าไอ้มํ่าเป็นเชิงฝากไว้ก่อน หึหึหึ.... มึงจะทําไรน้องงง น้องมันก็แค่ตอบคําถาม
ไอ้โอมมม "ไม่รู้แหละ กูจะไปค่าย ลงชื่อค่ายที่ไหนวะ" "ห้องออฟฟิศ.." "เออ พวกมึงไปแดกกันเองนะวันนั้น กูขอบายยยย" อ้าว...
ชิ่งอีกไอ้ห่า... ผมกระพริบตาปริบ ๆ มองตามไอ้หัวหน้าวงโยฯที่เพิ่งถามทางไปบ่อทอง ก่อนมันจะผลักประตูออกจากห้องชมรมจนไอ้อาร์ทห
น้าเหวอ (เพราะสงสัยไอ้ฟิล์มจะไปลงชื่อค่า ยจริง ๆ) "เฮ้ย... งั้น...... กู.. ก็ต้อง.... รักษาการณ์ตําแหน่งแทนไอ้ฟิล์มอะดิ่..." ถูกกกกกกก
เพราะมึงเป็นรองประธานวงโยฯ!! "ไอ้เชี่ยฟิล์ม...... ฝากไว้ก่อนเหอะมึง!" ฮ่า ๆๆ เคลียร์กันเองนะเพื่อนน *** หลังจากนั่ งฟังไอ้อาร์
ทบ่นไอ้ฟิล์มอยู่พักใหญ่ (โทษฐานส่งเพื่อนไปเป็นเครื่องบรรณาการป้าแทนตัวเอง) และแยกย้ายกันซ้อมวงจนพระอาทิตย์ตก กระทั่งนาฬิกา
ในห้องชมรมบอกเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ก็ได้เวลาปิดห้องชมรมกันซักที
พวกผมตัดสินใจแยกย้ายไปไล่ไอ้พวกเด็กม.ต้นจอมฟิตให้มันหายบ้าและเลิกซ้อมได้แล้ว เพราะอยากปิดห้องชมรมไปนอนตีพุงที่บ้านใจจะ
ขาด แต่ไม่รู้ไอ้พวกนี้เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนถึงได้ไม่ยอมขยับตูดลุกขึ้นไปเก็บของเลยแม้แต่คนเดียว มัวแต่เป่า ๆ ตี ๆ ดีด ๆ เครื่ องดนตรี
ในมือตัวเองกันอยู่อย่างนั้น -_-"... นี่มึงช่วยอย่ามาฟิตตอนสองทุ่มได้มะ ผมแหวกเข้าไปกลางวงทั้งหลายที่มันยังดื้อซ้อมกันต่ออยู่พลางตบ
มือไล่ แต่แม่งก็น้อยเหลือเกินที่จะยอมกลับกัน (เออดี ฟิตอย่างนี้ให้ได้ตลอดนะมึง ตอนเด็ก ๆ กูก็ฟิตแบบมึงนี่แหละ แล้วดูตอนนี้ดิ่ ..... เหอ..)
จนสุดท้ายต้องเปลี่ยนเป็นงัดไม้ตายออกมาใช้ คือมาตรการดับไฟห้องนั่นเอง.... หึหึหึ ทีนี้ใครอยากอยู่กับผีก็ตามใจ.. ผมยืนท้าวเอวมองไอ้
พวกเปี๊ยกที่ค่อย ๆ ทยอยเก็บข้าวของกลับบ้าน พลางถอนหายใจยาว เฮ้ออ.. กว่าจะยอมกลับนะมึง.. ไม่ต้องฟิตให้มันมากนักหรอก ไอ้ตัว
ขยันถ้ามีเยอะแบ่งมาทางกูบ้างก็ได้ กูอิจฉา ผมคิดขณะยกมือรับไหว้น้อง ๆ ที่ค่อย ๆ ทยอยเดินออกจากห้อง โดยมีคนสุดท้ายคือไอ้น้องลอย
ก่อนจะได้ฤกษ์เคลียร์ข้าวของ สับคัทเอ้าท์ปิดไฟจริง ๆ และลงแม่กุญแจใส่กลอนประตูห้องชมรมเสร็จสรรพตามระเบียบ ฮะฮ้า.... ในที่สุดก็
หมดไปอีกหนึ่งวัน =] แต่ว่าก็โคตรรรรรรรรหิวเลยว่ะ หิวจนจะแดกกันเองได้ทั้งตัวอยู่แล้ว... ผมมองหน้าไอ้ฟิล์มพร้อมความคิดที่ว่า กูไม่
อยากแดกมัน เพราะตัวใหญ่แบบนี้เกรงจะอิ่มไปทั้งเดือน เป็นอย่างนั้นออกไปหาร้านอะไรนั่งกินกันดีกว่า และเพราะทุกคนหิวเหมือนกันหมด
พวกเราที่เหลืออยู่จึงย้ายขบวนจากห้องชมรมไปหน้าโรงเรียนเพื่อตามหาสถานที่ฝากท้องกัน ในขบวนคนหิวตอนนี้มีผม ไอ้ฟิล์ม ไอ้อาร์ท
ไอ้ภูมิ ไอ้ง่อย น้องน็อต ไอ้เป้อ และน้องมาวินครับ (นี่ก็คนดีเหลือเกิ๊นน มานั่งรอกลับบ้านพร้อมไอ้เป้อ ผมล่ะซาบซึ้งแทนนํ้าตาจะไหล) พวก
เราเดินโต๋เต๋ออกมาทางหน้าโรงเรียนพลางเถียงกันพักใหญ่ว่าจะกินอะไรดี จนสุดท้ายมาจบลงที่ร้ านก๋วยจั๊บตรงซอยวินนิ่ง ร้านโปรดของไอ้
ภูมิมัน... ว่าแต่ไม่มีใครสงสัยเลยเหรอครับว่าโอมไปไหน? หึหึ... ของแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่รึเปล่าล่ะ ว่าดึกขนาดนี้แล้วน่ะ... มันก็ไปส่งน้องมิ
กน่ะสิครับ!!!! (แม่งงงงง... แล้วก็มาบอกกูไม่มีอะไรนะ แต่เห็นยืนเร่งมิกให้กลับบ้านเหยง ๆ กูล่ะโมโห..) แน่นอนว่าก่อนมันจะออกไปแม่งโดน
พวกผมโห่แซวกันชิบหาย แต่คนอย่างมันก็หน้าด้านตลอด เพราะไอ้เชี่ยโอมแค่หันมายักคิ้วใส่พวกผมสองสามที (ในขณะที่น้องมิกอายม้วน
แทบมุดจุ๊กกุแร้ตัวเองหนีอยู่แล้ว) แถมยังหยิบเอากระเป๋าเป้น้องมิกมาถือให้ แล้วพากันเดิน
ออกไปอย่างไม่แคร์สายตาประชาชี... หึ่ยยย หมั่นไส้เว้ยยย ฝากไว้ก่อนเหอะมึง วันหลังมึงต้องโดนซักฟอกเป็นรายต่อไป! และแน่นอนว่ า
เรื่องเด่นประเด็นร้อนอย่างนี้ไม่พลาดที่จะเอามานินทาในวงก๋วยจั๊บชัวร์! ผมนั่งฟังไอ้ภูมิเล่าเรื่องที่มันบังเอิญไปดูหนังโรงเดีย วกับไอ้โอมที่
เซ็นทรัลเวิลด์โดยเห็นเพื่อนเราหนีบน้องมิกไปดูหนังด้วย! แถมยังไม่รู้ตัวอีกว่าถูกไอ้ภูมิแอบตามอยู่ ซึ่งไอ้เชี่ยภูมิก็อุตส่าห์อุ บเงียบไว้ตั้งนานไม่
ยอมเล่า (ไม่ได้เป็นคนดีหรอกครับ มันบอกว่ามันลืม) เรื่องที่มันเห็นไอ้โอมเอี้ยวตัวไปทําอะไรแปลก ๆ แถว ๆ แก้มน้องมิก!!!!!!!! ว่าแต่ทําอะไร
ล่ะวะ!!!?? พวกผมพยายามบีบคอมันให้เล่าให้ได้ แต่แม่งเสือกเอาแต่ปฏิเสธบอกว่าโรงหนังมืด เห็นไม่ชัดจริง ๆ รู้แต่ก้มไปยุกยิกอะไรใกล้ ๆ
หน้าน้องมิกเฉย ๆ (แล้วเรื่องแบบนี้มึงกล้าลืมเล่าได้ไงวะ!!!!!! เป็นกูกูรีบส่ง sms บอกคนทั้งโลกตั้งแต่อยู่ในโรงแล้ว!!) ทําเอาเพื่อนทุกคนเริ่ม
งุ่นง่านด้วยความขี้เสือก ว่าตกลงไอ้เชี่ยโอมคิดยังไงกันแน่! ? แต่ในขณะที่พวกผมกําลังเผาเชี่ยโอม (ที่ไม่ยอมมากินด้วยเลยโดนซะ) กัน
อย่างมันส์ปาก โดยมีเสียงไอ้เป้อหัวเราะเอิ๊ก ๆ เป็นแบ็คกราวด์อยู่นั้น ไอ้น้องน็อตก็ชิงขัดคอเพื่อนตัวเองด้วยคําพูดที่ทําเอาคนถูกกัดสําลักนํ้า
เสียก่อน "มึงก็กล้าขําเค้าเนอะ ของมึงเองก็นั่งอยู่เนี่ย" ฮิ้ววววววววววววววววววววววว!! พวกผมโห่แซวไอ้เป้อที่มีน้องวินนั่งอ ยู่ข้าง ๆ
อย่างโคตรสะใจ เลยได้เห็นไอ้เด็กหน้าตี๋สะบัดนํ้าจากหลอดใส่หน้ าน้องน็อตแก้เขิน (มั้ง) แต่จะว่าไปไอ้เป้อกับน้องวินก็น่ารักดีเหมือนกัน
นะครับ... ผมจําได้ว่าเมื่อเดือนก่อนเป้อยังใจร้ายกว่านี้เยอะเลย (เคยเห็นถึงขนาดที่น้องวินมานั่งรอหน้าห้อง แล้วเป้อออกไปพูดจาแรง ๆ ไล่
ให้กลับบ้านด้วยซํ้า) แต่ช่วงนี้ผมเห็นเป้อยอมไปไหนมาไหนกับน้องวินบ่อย ๆ แล้วยังวันนี้ที่เป้อยอมเอาน้องวินมานั่งกินข้าวกับพวกผมอีก
(ถ้าเป็นปกติคงไล่กลับไปแล้ว) แถมเมื่อกี้แอบเห็นมันเอาเครื่องในหมูที่น้องวินไม่ชอบมาช่วยกินเองด้วย! (แล้วยังเอาไข่ในชามตัวเองใส่ให้วิน
กินแทนอีกต่างหาก! แม่ง... พระเอกว่ะ..) น้องผมแม่งก็ทําตัวน่ารักเป็นเหมือนกันนี่หว่า....
"อ้าว!!! เพิ่งปิดห้องกันเหรอ??" พี่ดิวพี่นนท์!!!!!!!? พวกผมหันไปตามเสียงทักของพี่ดิวกับพี่นนท์ที่เพิ่งเดินออกจากซอยข้าง ๆ ร้านแล้วก็ต้อง
ร้ อ งเฮลั่ น พลางเรี ย กทั้ ง คู่ ใ ห้ ม านั่ ง กิ น ด้ ว ยกั น อย่ า งครื้ น เครง ฮะฮ้ า ... . ราตรี นี้ ยั ง อี ก ยาวไกลลลล ไม่ ส ะใจไม่ เ ลิ ก กก!!! ***
โอ่ยยยยยยยยยยย... แต่ไม่น่าตะกละเลยกู เพราะแม่งอิ่มสัด ๆๆๆๆๆๆๆ ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าซอยบ้านด้วยความเพลียอันเนื่องมาจากอิ่ม
และง่วง เป็นเพราะก๋วยจั๊บวันนี้สนุกสุด ๆ ยิ่งพอพี่ดิวพี่นนท์มาชวนไอ้ฟิล์มคุยเรื่องวงโยฯที่ไปโกอินเตอร์กัน ทําเอาไอ้ฟิล์มแม่งยิ่งหน้าบานโม้
ไม่หยุด แต่ก็ฮาดีครับ เพราะทําให้รู้ว่าใครไปทําวีรกรรมอะไรประหลาด ๆ ไว้ที่นั่นบ้าง ฮ่า ๆๆ พวกเราคุยกันเสียงดังแบบโคตรน่ารําคาญ จน
สงสารโต๊ะข้าง ๆ เหมือนกันแต่ทําไงได้.... วัยรุ่นก็งี้แหละพี่ ต้องทํ าใจ ฮ่า ๆ และด้วยความติดลมมากไปหน่อย สุดท้ายเลยกลับบ้านดึก
อย่างที่เห็นครับ.... ผมเพ่งมองนาฬิกาตัวเองที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้วก็ต้องบิดขี้เกียจชุดใหญ่ เพราะง่วงเหลือเกิน 'โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!!' แต่
เอ๊ะ? เสียงไอ้ฉํ่า หมาบ้านพี่นิ่ม (พี่ข้างบ้านผมเองครับ) เห่าอะไรนักหนาวะ ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงมันเห่าไม่หยุดตั้งแต่เข้ามาแค่ต้นซอย
จนตอนนี้เดินจะถึงหน้ารั้วบ้านอยู่แล้ว ไอ้ฉํ่าก็ยังเห่าไม่หยุดอยู่... เป็นอะไรของมัน 'โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!!' ผมค่อย ๆ เดินอย่างสงสัยมาเรื่อย ๆ
จนเริ่มเห็นหน้ารั้วบ้านตัวเองว่ามีเงาใครบางคนกําลังนั่งนิ่งอยู่ เฮ้ยยยยยยยยยยย!!?
"ไอ้เชี่ย!!! มานั่งนี่ทําห่าไร!!" มันคือไอ้เชี่ยปุณณ์ครับ!!! มานั่งอยู่หน้าบ้านผมอีกแล้วว มึงเป็นไรมากปะเนี่ยยย ทําไมไม่โทรมาก่ อน หรือไม่ก็
เข้าไปรอในบ้านวะ!! "อ่าว... มาแล้วเหรอ" แต่ดูมันทักผมดิ่... ผมท้าวเอวมองไอ้เลขาสภาฯที่มัวแต่นั่งเหม่อตรงรั้วบ้าน สงสัยนึกว่าตัวเอง
เป็นพระเอกเอ็มวีมั้ง แต่กูว่าไม่เท่ห์เลยนะมึง! "เออ... มานั่งนี่ทําไมเนี่ย" "ไมอะ มาไม่ได้รึไง" เอ๊ะไอ้นี่... ถามดี ๆ ยังจะกวนตีนกูกลับอีก
ยิ่งเห็นหน้ามันชัดผมยิ่งหายง่วงเป็นปลิดทิ้งครับ จนต้องลงไปนั่งข้างมันด้วยคน "ไม่ใช่!! แต่ทําไมไม่ไปนั่งในบ้าน หรือโทรมาบอกกู กูจะได้รีบ
กลับเร็วกว่านี้" นี่เอาซะกูชิวชิบหายเลย ปุณณ์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าซีเรียสของผม ก่อนจะคลี่ยิ้มตอบ "ก็เพิ่งมาถึงเหมื อนกัน กะ
ว่านั่งรอเรื่อย ๆ แต่เพลินไปหน่อยอ่ะ" เออ ก็คงจะเพลินมากสิมึง... ผมเหล่มองตามตัวมันเห็นมีรอยยุงกัดอยู่หลายจุดยังกล้าพูดว่าเพิ่ งมาถึง
อีก เฮ้อ... กูล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ ผมถอนหายใจยาวก่อนจะยืนขึ้นโดยดึงแขนให้มันยืนตามด้วย "ไป ๆๆ เข้าบ้าน มีไรไปคุยในบ้ าน กินไร
มายัง?" ผมถามขณะไขกุญแจเปิดประตูเล็ก เพราะดึกขนาดนี้อาป๊ากับม๊าล็อคบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่ปุณณ์แค่ถามผมกลับ "แล้วมึงล่ะ....
กินยัง" "กินมาแล้ว..." เฮ้อ.. แบบนี้สงสัยแม่งยังไม่ได้กินชัวร์ ผมหันหลังไปเลิกคิ้วใส่ปุณณ์ แต่เห็นมันแค่ส่งยิ้มตอบมา "อื้อ... กูก็ไม่ค่อยหิว
หรอก" เวรกรรม.... ได้ไงล่ะวะ ดังนั้นพอเข้าบ้านได้ ผมจึงมุ่งหน้าไปในห้องครัวทันที "ทอดมันกุ้ง แพนงไก่ ไข่ต้ม... กินได้ปะวะ กูอุ่นให้
นะ" ผมถามขณะรื้อ ๆ ตู้เย็นอยู่ ซึ่งถือเป็นความโชคดีที่ตัวเองตะกละ ตะกละขนาดที่ว่าอาป๊ากับม๊าต้องแช่
อาหารเย็นที่ยังเหลืออยู่ไว้ให้ เผื่อว่าลูกชายเสือกหิวขึ้นมากลางดึก จะได้มีอะไรไว้ฟาดปากอีกซักมื้อก่อนนอน (ซึ่งก็ไม่เคยเหลือซั กครั้งครับ)
ผมจัดแจงหยิบคัปเปอร์แวร์ที่ม๊าใส่อาหารไว้มาเทลงจานก่อนจะเอาเข้าเวฟ พร้อม ๆ กับเสียบหม้อหุงข้าวที่ยังมีข้าวเหลืออ ยู่นิดหน่อย
"กินด้วยกันดิ่" เสียงปุณณ์ชวนผมขณะมันกําลังเตรียมจานและช้อนส้อมสองชุดอยู่ ทําเอาคนถูกชวนถึงกับนิ่งไป.... เอ่อ...... คือกูยังอิ่ ม
ก๋วยจั๊บว่ะ... แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนํ้าใจ จะกินเป็นเพื่อนมึงหน่อยแล้วกัน.. นี่สาบานได้นะว่าผมไม่ได้หิวรอบสอง! ว่าแต่เมื่อไหร่ข้าวจะสุก
วะ ท้องกูเริ่มร้องอีกแล้ว (อิอิอิ) เราสองคนนั่งคุยกันไป จัดโต๊ะอาหารกันไประหว่างรอข้าวกําลังอุ่น โดยผมไม่พลาดที่จะเผาไอ้โ อมให้
ปุณณ์ฟังซะหลายเรื่อง (ตามที่ฟังเขาเผาต่อ ๆ กันมาอีกทีครับ) เลยได้รู้ว่าไอ้ปุณณ์ก็ขี้เสือกใช่ย่อย เพราะแม่งเล่นถามซอกแซกซะละเอียดยิบ
จนบางทีผมแทบยื่นมือถือให้มันโทรไปถามไอ้โอมเองจะได้ถึงใจ (เหอ ๆๆ) เราสองคนนั่งคุยกันพักหนึ่งกลิ่นข้าวหอม ๆ ก็ลอยมาแตะจมูก
เป็นนิมิตรหมายอันดีว่ากระเพาะผมกําลังจะได้ทํางานแล้ววว ทันทีที่ข้าวสุก ก็ถึงเวลาคดมานั่งกินกันครับ แต่ไอ้เชี่ยปุณณ์แม่งเสือกกวน
ตีนชิบหาย เพราะเล่นเอาส้อมมาจิ้มกลางไข่ต้มผมจนไข่แดงแตก! โหไอ้ชั่ววว (ไข่ยางมะตูมครับ ชอบบ) เป็นซะอย่างนี้ผมเลยเอื้อมมือไปทิ่ ม
ส้อมลงบนไข่มันบ้าง แต่............ เสือกเป็นไข่สุก! นอกจากไม่แตกแล้วยังติดส้อมกูอีก แม่งงงงงง... แบบนี้ แม่งขี้โกงนี่หว่า!! ผมหันไปปั้นหน้า
เหวี่ยงใส่ไอ้ตัวดีที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุด ก่อนมันจะตักทอดมันกุ้งให้ผมเป็นการสงบศึก.... โอเค แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย หลังจากเก็บโต๊ะ
ล้างจาน นั่งดูทีวี และทักทายกับม๊าพอเป็นพิธีแล้ว (ม๊าลงมาดูเพราะได้ยินเสียงคนโวยวายครั บ แหะ ๆๆ) ก็ถึงเวลาปิดไฟชั้นล่าง เพื่อขึ้นไป
เก็บตัวในห้องนอนกันซักที ผมขมวดคิ้วมองปุณณ์ที่เดินขึ้นบันไดนําหน้าอยู่ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ปุณณ์โผล่มาที่นี่ทําไม... เราสองคนเปิด
ประตูห้อง เปิดไฟ เปิดแอร์ เปิดทีวี เปิดคอม (สรุปว่าเปิดทุกอย่าง) โดยมีผมลอบมองไอ้ปุณณ์ที่ยืนอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่อยู่พลาง
พิจารณาในใจเงียบ ๆ.. เพราะไอ้คนตรงหน้าโผล่มาหาผมใน
ชุดเสื้อยืด รองเท้าแตะ ถึงจะยังใส่กางเกงนักเรียนอยู่ แต่ก็หมายความว่าเจ้าตัวกลับบ้านไปหนนึงแล้ว.. แถมยังบอกว่าเพิ่งมานั่งรอผม ได้ไม่
นาน ทั้งที่แขนมีรอยยุงกัดแดง ๆ เต็มไปหมดอีก นี่ก็แสดงว่ามันมานั่งรอนานกว่าที่พูดแน่.... ผมลอบมองเจ้าของร่างโปร่งที่ยืนอ่านการ์ตูนอยู่
ด้วยความสงสัย ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นอีกหรือเปล่า "ปุณณ์....." และทั้งที่ผมส่งเสียงเรียกเพียงแผ่ว ๆ แต่เจ้าตัวกลั บสะดุ้งโหยง
เหมือนคนกําลังใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังไงยังงั้น จนผมอดใช้สีหน้าสงสัย ขณะมองปุณณ์ที่ค่อย ๆ หันมามองตอบไม่ได้ "ว่าไงครับ ?"
"จะค้างเหรอ" ด้วยคําถามนี้ ผมจึงเห็นว่าปุณณ์นิ่งไป ก่อนริมฝีปากบางนั้นจะคลี่ยิ้มเย้าผม "ได้ปะล่ะ" เฮ้อ........ ก็รู้อยู่ว่ าปัญหามันไม่ใช่ได้
หรือไม่ได้... ผมใช้สายตาดุ ๆ จ้องไอ้ตัวดีที่ยังคงปั้นยิ้มกลับมาทางผมอยู่ "แล้วมึงบอกที่บ้านรึเปล่าว่ามานี่" แต่พอถามถึงประโยคนี้ปุณณ์
กลับพ่นหัวเราะพรืด... ขําอะไรของมึงวะ ใบหน้าคมนั้นฉีกยิ้มกว้างพลางวางหนังสือการ์ตูนเก็บลงบนชั้น "มึงคิ ดว่ากูหนีออกจากบ้าน
เหรอ" "แล้วหนีปะล่ะ" "ไม่ได้หนี! กูบอกแม่แล้วว่ามานอนบ้านมึง" เออ... ให้มันจริง ผมกอดอกเหล่มันอย่างไม่ค่อยวางใจ มันเลยได้ที
ลากขามายืนตรงหน้าผมในระยะประชิด "เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย" "ช่วงนี้เดาใจยาก" ว่ากันตรง ๆ แบบนี้ เล่นเอาปุ ณณ์หัวเราะร่าครับ
(เหอะ ๆ.. แต่กูพูดจริงนะ) ผมมองมันขําจนตาหยีก่อนจะคร่อมแขนลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ด้านหลังผม จนกลายเป็นว่าถูกล็อคไว้ซะงั้น
ใบหน้าคมคายนั้นแย้มยิ้มขณะที่ยื่นจมูกเข้ามาแทบชนจมูกผม "คิดถึงเลยมาหามันจะไปยากตรงไหน" แถม
ไม่พูดเปล่ายังฉวยหอมแก้มผมอีก! แต่พอจะอ้าปากด่า ไอ้เลขาสภาฯตัวดีดันรู้ทันรวบตัวผมไปกอดซะงั้น "ขอกอดหน่อยนะ คิดถึงจังครับ"
"คิดถึงอะไรวะ... วันนี้ก็เจออยู่" ยังบังคับกูให้ไปค่ายด้วยอยู่เลย.. ผมเถียงพร้อม ๆ กับรู้สึกได้ว่าหัวไหล่ตัวเองร้อนผ่าว เพราะลมหายใจที่
ถูกถอนของปุณณ์ "ก็... อยากเจออยู่ตลอดนั่นแหละ" แล้วมาทําตัวขี้อ้อนแบบนี้ต้องมีอะไรแหง๋ ๆ ผมถอนหายใจกลับพลางโอบตอบคนตัวสูง
ที่ยืนกอดผมนิ่ง "เป็นไรเปล่าวะ.... บอกกูได้นะ" แต่คําตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นวงแขนแกร่งที่กระชับร่างผมแน่นขึ้นอีก ก่อนปุณ ณ์จะยิง
คําถามใหม่กลับมาหา "โน่............." "มีไร" "มึงรักกูมั้ย" เหยยยยยยยยยยยยยยย... แต่ถามแบบนี้ทําไมวะ!? ผมยอมรับว่าตัวเองอึ้ง
ไปพักใหญ่ด้วยความคาดไม่ถึง ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติผมคงตบหัวหรือไม่ก็กวนตีนกลับไปแล้ว เพียงแต่คราวนี้..... ผมรู้สึกได้ว่าบางอย่างแปลกไป
จนบอกไม่ถูก "ทํา.... ทําไมวะ" แต่ปุณณ์ไม่ตอบคําถามผม ยังคงเอาแต่ยํ้าคําเดิม "รักกูมั้ย..." นั่นยิ่งทําให้ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้ากําลัง
อ่อนแอ..... "รักสิวะ.... รักมากด้วย" ผมตัดสินใจพูดตรง ๆ พลางกระชับกอดมันแน่นบ้าง จนเราสองคนนิ่งอยู่ในท่านั้นพักหนึ่ง ซึ่งสําหรับ
ผม.. ผมยินดีมอบอ้อมกอดนี้ให้ปุณณ์นานเท่าไหร่ก็ได้ เพียงแค่สามารถทําให้ปุณณ์
รู้สึกสบายใจ ... เสียงเข็มนาฬิกาค่อย ๆ เคลื่อนไปตามจังหวะ คือสิ่งเดียวที่ทําลายความเงียบภายในห้องนี้ กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปครู่หนึ่ง
ปุณณ์จึงยอมพูดคําต่อไป "มึงรู้ปะ....." เสียงทุ้มนั้นเริ่มเกริ่น ทั้งที่สองแขนยังกอดผมไว้แน่นอยู่ "แค่ได้รู้ว่ามึงรักกู... กูก็รู้แล้วว่าหลังจากนี้
ต้องทํายังไงต่อไป" แล้วทํายังไงล่ะวะ... "ทํายังไงวะ" ปากไปเร็วเท่าความคิด จนได้ยินเสียงทุ้มของคนตรงหน้าขําผมออกมาแผ่ว ๆ
ปุณณ์ลูบหลังผมไปมาเบา ๆ ส่งผ่านความรู้สึกอบอุ่นทางฝ่ามือที่ผมรักนั้น "ก็..... จะรักมึงให้มาก มากกกกกกกกกก แล้วก็ไม่ยอมปล่อยมึงหนี
ไปไหนเลย ดีมะ" เหอ ๆๆ "แสดงว่าถ้ากูไม่รักมึง มึงก็จะไม่รักกูแล้วไล่กูไปไกล ๆ งั้นสิ" เดี๋ยวมึงจะโดน.... แต่ปุณณ์กลับยิ่ งหัวเราะเข้า
ไปอีกก่อนจะหันมากดจูบลงบนขมับผม "ก็ไม่ให้ไปอยู่ดีนั่นแหละ ฮ่า ๆ" แล้วสรุปมึงจะพูดเพื่อ......? ผมโบกมือลงบนกบาลนั้นเบา ๆ ด้วย
ความอดหมั่นไส้ไม่ได้ เสียงปุณณ์หัวเราะคิกคักก่อนจะกอดผมไว้อีกครู่ใหญ่แล้วจึงยอมปล่อย ผมจ้องตอบใบหน้าคมนั้นที่ฉาบด้วยรอยยิ้ ม
แต่ดวงตาที่เคยสดใสกลับแฝงด้วยความหมองหม่นอย่างประหลาด ผมเริ่มรู้ว่าปุณณ์มาที่นี่ทําไม... และถามคํานั้นเพื่ออะไร......

"กูอาบนํ้าก่อนนะ" ไอ้คนตัวสูงทําลายความเงียบ พลางบิดขี้เกียจไปมาก่อนคว้าเอาผ้าขนหนูที่มันเคยใช้เป็นประจําพาดบ่า "นั่งรอมึงตั้ง นาน


เหนียวตัวจะแย่.... อาบพร้อมกันเลยมั้ย" เหอ ๆ.. ในที่สุดก็ยอมสารภาพมาแล้วใช่มะว่านั่งรอกูตั้งนาน หึ.. แล้วทําเป็นฟอร์มอยู่ได้ ผมส่าย
หัวตอบพลางล้มตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพ์ เพื่อเช็คว่ามีหน้าต่างอะไรเด้งมาบ้าง "อาบก่อนเหอะ
กูขอคุยกะแฟนคลับก่อน แม่งงง... เด้งมาเต็มเลยเนี่ย" แต่พูดอย่างเดียวอาจฟังดูไม่น่าเชื่อถือครับ ปุณณ์เลยต้องยื่นหัวมาดูตรงหน้าจอ เพื่อ
จะพิสูจน์อีกแรงว่าหน้าต่างโปรแกรม msn ของผมตอนนี้ มีทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง และสาว ๆ (นิดหน่อย) พิมพ์ทักทายกันมาเป็นขบวนจน
แทบทักกลับไม่ทัน (ก็เปิดคอมแล้ว msn มันต่อเองอัตโนมัตินี่ครับ ทําไงได้ -_-) มันมายืนมองพลางหัวเราะในลําคอก่อนจะตบหัวผมเบา ๆ
ทีนึงแล้วถอดนาฬิกาสายเหล็กวางทิ้งไว้ "อือ คุยเสร็จแล้วตามมาล่ะ เดี๋ยวกูแช่นํ้ารอ หึหึ..." เออ ทําอย่างกับบ้านกูเป็นสปานะมึ งอะ จะให้
กูไปช่วยนวดนํ้ามันรึไง ผมโบกมือไล่มันให้ไปอาบนํ้า ขณะเริ่มพิมพ์ตอบหน้าต่างไอ้โอมก่อนเป็นคนแรก (แม่งมาขอให้ส่งคลิปให้อีกละ!)
หลังจากปุณณ์เข้าไปอาบนํ้า ผมยอมรับว่าตัวเองนั่งเล่นคอมพ์ทั้งที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะนั ยน์ตาเศร้า
ของปุณณ์ที่ทําให้ผมรู้สึกอย่างนี้ ในเมื่อผมไม่รู้ว่าหลังเกิดปากเสียงกับพ่อเมื่อวาน ปุณณ์ได้คุยอะไรกับที่บ้านเพิ่มอีกบ้าง ผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่ามี
ใครทราบความจริงเรื่องของผมกับปุณณ์แล้วหรือยัง แทบไม่มีอะไรที่ผมรู้เลยสักเรื่องเดียว นอกจากเพียงว่า ผมรู้ว่าผมไม่ต้องการเห็นปุ ณณ์
เป็นแบบนี้.... ผมรักดวงตาสดใสกับท่าทางกวนอารมณ์แบบเก่า จนไม่สามารถนิ่งเฉยได้เมื่อเห็นปุณณ์เปลี่ยนไป ... แต่ผมกลับไม่รู้จะรักษา
เยียวยารอยยิ้มนั้นไว้อย่างไรดี 'อก... หัก... อีกแล้ววววววววววววววว ไม่นึกว่าแป๋วจะท ากับพี่ ได้ลง.. น ้าใจผู้หญิง กลอกกลิ้งไม่ เคย
มั่นคง เลยต้องมาลงกับขวดสุราาาาาาา..' เอ่อ... ไม่ต้องตกใจครับ นี่ริงโทนใหม่ ไอ้โอมเพิ่งเอามายัดเยียดให้เมื่อวันก่อน (ก็ยังไม่รู้
เหมือนกันว่าอีแป๋วนี่เมียใคร) ตอนนี้ผมกับโอมเลยใช้ริงโทนเดียวกันอยู่ครับ พอมือถือดังทีคุ้ยโทรศัพท์ตัวเองกันให้ควั่ก เพราะไม่รู้เครื่องใคร
กําลังดังกันแน่ แต่.... นี่ไม่ใช่ประเด็น (แล้วพล่ามมาตั้งนานทําไมวะ) ผมควรรีบดูว่าใครกําลังโทรเข้ามากกว่า
เบอร์ไม่คุ้น? ใครวะ..... แต่ถึงจะไม่คุ้นผมก็ต้องรับ เพราะเผื่อเป็นโมเดลลิ่งโทรมาจ้างให้ไปเดินแบบ (ใครถุยนํ้าลายใส่จอคอมระวังไฟดูดนะ)
ฮ่า ๆ ล้อเล่นครับ เผื่อเป็นน้องในชมรมที่ผมไม่ได้เม็มเบอร์ไว้แล้วมีธุระด่วน "หวัดดีครับ" แต่นี่เพราะเห็นเบอร์ไม่คุ้นถึงได้ คุยสุภาพด้วย
หรอกนะ อย่าให้รู้ว่าเป็นเชี่ยเป้อโทรมาอํากูแล้วกัน พ่อจะด่าแม่งให้เปิงเหมือนคราวที่ผ่าน ๆ มา (มันชอบเอาเบอร์แปลก ๆ โทรมาอําผมเป็น
คนขายประกันครับ ไอ้เด็กจิตว่าง) "น้องโน่ใช่รึเปล่าจ๊ะ" แต่นี่ไม่ใช่เชี่ยเป้อ........... แถมยังเป็นเสียงแม่ไอ้ปุณณ์ต่างหาก!!!!!!!! ผมถึงกับสะดุ้ง
โหยง พร้อมดีดตัวเองห่างจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ทันที "ใช่ครับ" ผมตอบด้วยจังหวะหัวใจตุ้ม ๆ ต่ อม ๆ เพราะแม้นํ้าเสียงจากปลายสาย
จะฟังดูใจดีไม่เปลี่ยน แต่ไอ้ลูกชายตัวดีของบ้านนั้นที่มานอนอาบนํ้าสบายใจเฉิบอยู่บ้านผม ทําเอาความรู้สึกระแวงมันพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่าง
บอกไม่ถูก "น้องปุณณ์ได้ไปค้างที่บ้านน้องโน่รึเปล่าจ๊ะ" เอาแล้วไงกู.... งี้จะอ้าปากตอบไงดี วะเนี่ย!?.... ผมหันไปเหล่ประตูห้องนํ้า (ที่เปิด
แง้มไว้นิดหน่อย) ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แต่ในเมื่อปุณณ์เป็นคนบอกเองว่ามันไม่ได้หนี ผมก็ควรเชื่อใจมัน.. "อยู่บ้านผมเองครับ อาบนํ้าอยู่
.... ให้เรียกมันมั้ยแม่" ผมถามพลางหมายจะเดินไปเปิดประตูห้องนํ้าเรียกไอ้ตั วแสบออกมาคุยให้รู้แล้วรู้รอด แต่แม่ของปุณณ์รีบชิงปฏิเสธ
ก่อน "ไม่เป็นไรจ้ะน้องโน่ แม่แค่โทรมาเช็คดูเฉย ๆ เห็นเขาบอกจะไปบ้านน้องโน่น่ะ แม่แค่กลัวว่า....." "ปุณณ์ไม่ใช่คนแบบนั้ นหรอก
ครับแม่.." แม้จะรู้ดีว่าการพูดขัดผู้ใหญ่เป็นเรื่องเสียมารยาทที่สุด แต่ ผมก็จําเป็นต้องเตือนความจําผู้หญิงที่ผมกําลังคุยสักหน่อยจริง ๆ... ใน
เมื่อปุณณ์ที่ทั้งแม่และผมรู้จัก (และแม่รู้จัก
ปุณณ์ดีกว่าผมหลายร้อยเท่าด้วยซํ้า) ไม่ใช่คนเหลวไหลอย่างที่แม่กลัวว่าจะเป็นเช่นนั้น เหมือนกับที่มันเพิ่งพิสูจน์ไปเมื่อกี้ ว่าไม่ว่าจะกําลังตก
อยู่สถานการณ์บีบคั้นแค่ไหน ปุณณ์ยังเป็นคนที่เชื่อใจได้อยู่เสมอ เสียงจากปลายสายถอนหายใจรินก่อนจะค่อยตอบผมเบา ๆ "จริงด้วย...
แม่คงคิดมากไป ขอบคุณมากนะจ๊ะ" ".. ผมก็ขอโทษครับแม่ ที่ละลาบละล้วง.." แต่มาลองคิดดูอีกทีแล้ว คนนอกอย่างผมก็ไม่ควรพูดจา
แบบเมื่อกี้เลยจริง ๆ เสียงจากปลายสายหัวเราะเบา ๆ ราวกับต้องการปลอบใจผม "ไม่เป็นไรหรอก แม่ต้องขอบคุณโน่ซะอีก... นี่แม่ลืมไป
ได้ไงว่าลูกชายแม่เป็นเด็กดีขนาดไหน" นั่นน่ะสิ.... ผมล่ะอยากให้ปุณณ์ได้ยินคํานี้จริง ๆ ระหว่างผมกับแม่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนคนทําลาย
ความเงียบจะเป็นผม เพราะยังเหลืออีกเรื่องที่คาใจอยู่ "... วันนี้ปุณณ์เขามีปัญหาอีกแล้วเหรอครับแม่" "จ้ะ..." เสียงจากปลายสายตอบผม
ด้วยเค้าแห่งความกังวล ก่อนแม่ของปุณณ์จะพูดต่อ "จริง ๆ แล้วแม่คิดว่าถ้าน้องปุณณ์ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ก็น่าจะบอกพ่อไปตามตรง เรื่องทุก
อย่างจะได้จบ ๆ... ทั้งที่แม่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากหรือเสียหายใหญ่โตอะไรเลย แต่ทําไมน้องปุณณ์ถึงไม่ยอมพูดนะ.." "..........." ผมไม่รู้จะ
ตอบประโยคบอกเล่าที่คล้ายเป็นคําถามของแม่ปุณณ์ได้อย่างไร ในเมื่อผมรู้อยู่แก่ใจ ว่าเพราะอะไร ปุณณ์ถึงพูดไม่ได้ "ถ้าน้ องโน่มีโอกาสก็
ช่วยคุย ๆ กับเขาให้หน่อยได้ไหมจ้ะ แม่รู้ว่าตอนนี้เขามีทิฐิกับทั้งพ่อกับแม่ แต่ถ้าเป็นน้องโน่น่าจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า... ยังไงก็ ฝากด้วยนะ"
"ได้ครับ.." ผมรับปากด้วยคําโกหกก้อนโต... ทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถทําในสิ่งที่แม่ปุณณ์ขอร้องได้ แต่ผมก็ยังรับปากออกไปว่าจะทํา...
เสียงสัญญาณตัดสายดังเป็นจังหวะทั้งที่โทรศัพท์เครื่องเดิมยังคงแนบหูอยู่ แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงอะไ ร
ในสมองอันว่างเปล่ามีเพียงความสับสนที่วนเวียนไม่ยอมไปไหน ระหว่าง การพูดความจริง แลกกับเราอาจเสียกันและกันไป หรือ เก็บ
เรื่องทั้งหมดไว้ แล้วปล่อยให้ความคลุมเครือเกาะกินหัวใจ ผมไม่รู้ว่าปุณณ์จะเลือกทางไหนเลยจริง ๆ..

58th CHAOS
'Don't underestimate the power of the diet pills. We'd like to set it straight we've got the look the kills!' โว่ยยยย
.......... แล้วโทรศัพท์จะดังปลุกแต่เช้าทําไมวะ!! ผมเกาหัวตัวเองอย่างอารมณ์เสีย พลางเอื้อมมือไปกดปิดเสียงพี่พลอย-หอวังบนหัวเตียง
เพราะเพิ่งนอนได้ยังไม่ถึง 3 ชั่วโมงดี (ตั้งเพลงนี้เป็นเพลงปลุกเพราะอยากฟังเสียงพี่พลอยแต่เช้าครับ จะได้อารมณ์ดี อิอิ) สิ้นเสียงนาฬิกา
ปลุก ความรู้สึกว่าไอ้คนข้าง ๆ เริ่มขยับตัวก็เกิดขึ้น ผมพลิกตัวหันไปมองปุณณ์ที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่ และก็เป็นเพราะอย่างนั้นจึงได้ตายใจ....
ก็ใครจะไปคิดล่ะครับ! ว่าไอ้คนที่ทําท่าเป็นกําลังนอนหลับฝันดี มันจะฉวยโอกาสยื่นมือปลาหมึกมาคว้าตัวผมไปกอดทีเผลอซะแน่นแบบดื้ อ ๆ
อย่างนั้น!! โอ่ยยยยยยยยยยยยย.... อะไรของมึงเนี่ยยยย ตะกี้นอนแยกกันคนละมุมเตียงก็ว่าดีอยู่แล้วนะ แต่ตอนนี้มัน........... ดียิ่งกว่า
เมื่อกี้อีก ^_______^
ผมแอบยิ้มกับตัวเองเพราะคิดว่ามันจะไม่กอดผมซะแล้ว (ก็กว่าจะเล่นเกมเสร็จล่อเข้าไปตีสามนี่ค รับ พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายทั้งคู่
ไม่มีเวลามากอดกันหรอก ง่วง) เป็นซะอย่างนั้นผมเลยเอื้อมมือไปกอดมันตอบ ขณะซุกหัวลงกับแผ่นอกที่รู้สึกว่ากว้างขึ้นทุกครั้งเมื่อเจ อกัน
ขอนอนแบบนี้ต่ออีกซักห้านาทีแล้วกันนะครับพี่พลอย.... ผมบอกกับตัวเอง (และพี่พลอย-หอวัง) ในใจ แต่ทว่า........... "ไอ้เชี่ย! ทําไร!" มือ
ไอ้ห่าที่นอนข้าง ๆ เสือกเริ่มอยู่ไม่นิ่งซะงั้น!! ผมตีมือข้างหนึ่งที่ลามปามผัวะทันที เพราะไม่อนุญาตให้เจ้าของมันได้ทําอะไรตามใ จ "นะ
......... นิดนึง... เมื่อคืนมัวแต่เล่นเกม.. นะนะ" แต่มงึ อย่ามาอ้อน...... ก็ใครเสือกใช้ให้เล่นเกมทั้งคืนเองล่ะวะ (อ๋อ... ผมเอง) เออ นั่นแหละ แต่
นี่มันเช้าแล้ว ไม่เกี่ยวกัน!!! ผมเริ่มฮึดสู้มันเลยได้รู้ว่าการสู้กับปุณณ์ ภูมิพัฒน์ นี่เป็นเรื่องยากกว่าที่คิด เพราะพอผมค ว้ามือซนของมันได้
ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็เริ่มทํางานต่ออย่างว่องไวทันที! โอ่ยยย นี่มึงไปฝึกวิทยายุทธ์แบบนีม้ าจากไหนเนี่ย!! ผมรีบตะครุบมืออีกข้างหนึ่งของมัน
เอาไว้ แต่พอโดนจับได้ทั้งสองข้าง ปากดันเสือกทํางานแทนอีกซะงั้น! "อื้อ....." ผมเอียงหลบริมฝีปากหยุ่นที่ค่อย ๆ เลื่อนเรื่อย จากขมับ
มายังบริเวณกกหู แม่ง.. ไอ้เวรนี่มันเจ้าเล่ห์ เพราะเล่นรู้จุดอ่อนผมเกือบทั้งหมด (แต่ก็แค่เกือบเท่านั้นล่ะ) ปุณณ์พ่นลมหายใจแผ่วเหมือนคน
กลั้นขํา เพราะคงเห็นว่าใบหน้าผมกําลังแดงกํ่า ตอนริมฝีปากสีอมส้มนั้นค่อย ๆ ขบเม้มใบหูเบา ๆ "จะยอมดี ๆ หรือต้องให้ปลํ้า... หืม?"
โห......... เดี๋ยวนี้มึงขู่??? ผมเหล่มองไอ้หน้าหล่อที่ดูแจ่มใสแต่เช้าด้วยความโมโหแกมหมั่นไส้ "คิดว่าปลํ้าได้รึไง" แน่นอนว่าของแบบนี้ต้องขู่
กลับ แต่คนฟังดันหัวเราะด้วยนํ้าเสียงสบาย ๆ จนผมนึกหวั่น
"สงสัยต้องลอง.." ว่าแล้วก็ไม่รอให้ผมได้ทันเตรียมใจอะไรทั้งสิ้น เมื่อใบหน้าคมที่เพิ่งยียวนอยู่เมื่อครึ่งวินาทีที่แล้ว โน้มลงมาหยิบยื่นความ
หวานจากริมฝีปากมันให้ผมทันที ซึ่งแน่นอนว่าผมปิดปากสนิท ไม่ยอมจํานนให้อีกฝ่ายล่วงลํ้าเข้ามาง่าย ๆ แต่ดันกลายเป็นว่าเสือกเผลอ
ปล่อยมือคู่นั้นเป็นอิสระ เจ้าของมันเลยได้ทีเลื่อนมือซน ๆ ข้างหนึ่งเข้ามาใต้เสื้อกล้ามผมแทน ผมเริ่มรู้สึกสะท้าน เพราะสัมผัสอุ่นจาก
ปลายนิ้วปุณณ์มักสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้ผมได้เสมอ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายแต่ก็น่าพิศวงทุกครั้ง เพราะถึงผมจะเคยถอดเสื้ อ
เปลี่ยนในห้องเรียนประจํา โดนเพื่อนรุมแกล้งก็โคตรบ่อย แต่ไม่ว่าใครจะสัมผัสร่างกายผมอย่างไร ก็ไม่เคยทําให้รู้สึกวาบหวามได้เท่าปุณณ์
เลยสักครั้ง อื้อ.... สงสัยจะแย่ซะแล้วโน่.. ผมคิดขณะที่ริมฝีปากปุณณ์ยังคงขมเม้มบนริมฝีปากผมอย่างไม่ลดละ แถมปลายนิ้วอุ่นนั่ นก็มา
สะกิดยอดอกผมเล่นเบา ๆ เหมือนจะยั่วเย้าอีก... เออ.. อยากทําอะไรก็เชิญ ผมเริ่มยอมจํานน ปล่อยให้คนตรงหน้าส่งปลายลิน้ ลํา้ เข้ามาอย่าง
สะดวกเพราะความรู้สึกบางอย่างได้เริ่มก่อตัวแล้ว ลิ้นของเราสองคนเกี่ยวกระหวัดกันไปมาจนยากที่จะแยกได้ว่าใครคือฝ่ายนําใคร แต่ ที่รู้
ๆ คือฝ่ามืออุ่นของปุณณ์ค่อย ๆ เลิกชายเสื้อกล้ามผมขึ้น ก่อนจะป่ายปะทั่วบริเวณผิวอกที่เริ่มสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกแปลก "เอาจริง
เหรอวะปุณณ์...." ผมกระซิบถามคนที่โยกตัวเองขึ้นมาคร่อมผมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ (ตอนไหนวะ!?) ด้วยนํ้าเสียงที่ต่อให้พูดว่า ไม่ต้องการ
ปุณณ์ก็คงไม่เชื่อ ริมฝีปากหยุ่นนั้นละความสนใจจากปากผมก่อนจะพรมจูบเรื่อยไปยังข้างแก้ม "เคยล้อเล่นด้วยเหรอ.." เอ่อ... นี่ใช่คําตอบ
หรือเปล่าวะ.. ผมนอนคิดอยู่ได้ไม่นานสมองทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นขาวโพลน เมื่อปุณณ์ค่อย ๆ ใช้ปลายจมูกโด่งซุกไซร้บริเวณซอกคอด้วยลม
หายใจผะแผ่ว จนสติผมเริ่มกระจัดกระจาย "กะ.... กี่โมงแล้ว" แต่แม้จะพยายามบ่ายเบี่ยงไปถึงเรื่องเวลา ไอ้คนตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าใยดี
แม้แต่น้อย "ไม่รู้" นํ้าเสียงทุ้มนั้นบอกปัด ขณะที่ค่อย ๆ ฝังจูบบริเวณซอกคอผม ก่อนจะลากลิ้นไปเรื่อยถึงยอดอก
"เดี๋ยวสายหรอกมึง.." "ไม่สน" โอ๊ยย อะไรนักหนาวะเนี่ย ผมเริ่มรู้สึกร้อนใจ เพราะร่างกายก็ชักจะร้อนตาม แล้วถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้
เรื่อย ๆ สงสัยคงได้ยาวอย่างที่มันหวังแน่... แต่ขณะที่ฝ่ามือปุณณ์กําลังจะเลื่อนไปถึงขอบบ๊อกเซอร์ผมนั้นเอง เสียงสัญญาณช่วยชี วิตก็ดัง
ขึ้นก่อน! บิงโก!! 'I could be brown, I could be blue, I could be violet sky~' รับโทรศัพท์สิวะ!! "ปุณณ์ มือถือดัง" "อือ"
แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างปุณณ์ ภูมิพัฒน์ จะเด้งไปรับโทรศัพท์ทันทีล่ะก็... ผิดถนัด ผมเริ่มเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือร้อนที่ป้วนเปี้ยนอย่ างอ้อยอิ่ง
บริเวณขอบบ็อกซ์เซอร์ผมราวกับจะยั่ว 'I could be hurtful, I could be purple, I could be anything you like' "ไม่รับเหรอ"
"ไม่อยาก.." แล้วอยากอะไรวะ... ผมแอบถามมันในใจทั้งที่ตัวเองรู้คําตอบดี ก่อนจะต้องร้องโอ๊ย! เมื่อไอ้ตัวแสบเสือกแกล้งฝังเขี้ยวบนยอดอก
ผมซะงั้น! "เป็นหมารึไง!" กัดมาได้! ผมด่ าพลางตบหัวมันผัวะจนปุณณ์หัวเราะร่า ก่อนจะเงยหน้ามามองตอบ "ก็หมั่นเขี้ยว...." แล้วดู
คําตอบมัน ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรขึ้นมาเล้ยย ผมส่ายหัวมองมันยิ้ม ๆ ขณะที่ปุณณ์ก็ยังไม่ละสายตาจากผมเหมือนกัน
"ไม่อยากทําจริง ๆ เหรอ... จะได้ไม่ทํา... ไม่บังคับโน่นะ.." เอ่อ.... จะตอบยังไงดีวะ ไอ้อยากมันก็... "ก็อยากอยู่ แต่....." 'Gotta be
green, gotta be mean, gotta be everything more' ผมเหลือบมองโนเกีย N81 ที่ยังร้องแหกปากไม่หยุดแล้วก็ต้องถอนใจ "ไปรับ
ก่อนไป โทรมาเช้า ๆ แบบนี้เผื่อเค้ามีไรด่วน" "แล้ว ถ้าไม่ด่วนล่ะ..." อ่า....... ถามแบบนี้หมายความว่าไง ผมมองตอบสายตาที่เต็มไปด้วย
ความหวังคู่นั้นอย่างเกร็ง ๆ "ก็.... ค่อยมาว่ากัน......... ต่อ" เอ่อ... ดูท่าปุณณ์จะพอใจกับคําตอบนี้มากเลยแฮะ -_- ผมอดรู้สึกว่าตัวเอง
พลาดไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าคมนั้นลิงโลดเป็นเด็ก ๆ ก่อนจะหอมแก้มผมฟอดใหญ่ แล้วกลิ้งตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ยังแหกปากลั่นมา
กดรับ 'Why don't you like me? Why don't you like me? Why don't you walk out the door!' ติ้ด "หวัดดีครับ....... อืม
ตื่นแล้ว...... ยังอะ ทําไม วันนี้ว่าจะสายหน่อย........ ทําไมวะ............. อ้าว มึงก็มีกุญแจ จะมาเอาของกูทําไม................... โห... ไอ้เวร...........
แล้วจะเข้าไปทําไรแต่เช้า............. เออ ๆ เดี๋ยวกูไป........ เออน่า.... อืม ๆๆ เจอกัน.." กริ๊ก หึหึหึ....... แล้วของแบ บนี้แค่ฟังดูก็พอรู้แล้ว
ครับ ว่าปลายสายน่าจะมีอะไร ส าคัญ แน่ ๆ ผมอมยิ้มมองปุณณ์ที่ทําหน้ายุ่งหลังวางสายเสร็จ "ว่าไง.... ต่อมะ.." ก็เพราะรู้ว่าถือไพ่ เหนือกว่า
หรอกนะ ถึงได้กล้าถามน่ะ!
แต่ดันผิดคาดไปถนัดครับ! เพราะไอ้คนที่เพิ่งวางสายเมื่อตะกี้เสือกหันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม "ต่ออยู่แล้ว!" แถมยังกระโจนขึ้นมาคร่อมอีก
ต่างหาก!!! แม่งคนหรือเสือโคร่งวะเนี่ย!!! น่ากลัวฉิบบ... ผมถึงกับตัวหดเหลือครึ่งนิ้วทันทีที่เห็นไอ้เสือป่าทําท่าอยากขยํ้าลูกกว างเต็มแก่
ปลายจมูกโด่งของปุณณ์คลอเคลียบริเวณแก้มผมไม่ห่าง ก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปากแผ่ ว ๆ พลางขําคิก ".... ล้อเล่น! ต้องรีบไปอะ ไอ้ฟี่
เสือกลืมกุญแจห้องสภาฯไว้ที่บ้าน" ฮ่าฮ่าฮ่า! ได้ฟังอย่างนี้แล้วสะใจโคตร! ผมเผลอหัวเราะลั่นจนไอ้ปุณณ์หน้าเสีย ลงมือตบเหม่งผมรับ อรุณฯ
(โอ๊ย!! แต่เช้าเลยนะมึง!) "นี่แน่ะ! ไม่อยากมีอะไรกับกูขนาดนั้นเลยรึไง" อ้ าว... แล้วเดี๋ยวแม่งงอนกูก็พลอยซวยอีก เป็นซะอย่างนั้นผมจึง
ต้องรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที "ไม่ใช่.... ก็มันเช้าแล้ว กูกลัวไปเรียนสาย" จริง ๆ นะเนี่ย... ผมชี้แจงก่อนจะพยักเพยิดให้ปุณณ์หั นไปมอง
นาฬิกาที่ใกล้บอกเวลาเจ็ดโมงเข้าไปทุกที "งั้นขอมัดจํานิดนึง" แต่ยังไงก็จะเอาใช่มั้ยเนี่ย! ผมขมวดคิ้วมุ่นซึ่งไม่ได้เร็วไปกว่าปุณณ์ที่เอียงตัว
มาขโมยหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่ "แค่นี้ก็ชื่นนใจละ ไปอาบนํ้ากันเร็ว เดี๋ยวสาย!" พอทีงี้มาเร่งกูนะมึง! ผมถอนหายใจปนขํา ขณะถูกปุณ ณ์
ลากข้อมือให้เข้าห้องนํ้าพร้อมกัน *** แล้วทุกอย่างก็ดูรีบร้อนอย่างที่เห็น..... ผมวิ่งพลางใส่นาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาเจ็ดโมงกว่า
ขณะกระโจนพรวดเดียวลงมาถึงชั้นล่างของตัวบ้าน "สายย มั้ยวะเนี่ยย!!" ถ้ารถติดล่ะจบเห่!!
แต่ไอ้ปุณณ์ยังคงหัวเราะแบบสบาย ๆ "สายก็สายดิ่ ทําไงได้" โห.... มึงก็พูดง่ายสิวะ! เป็นถึงเลขาสภาฯคนโปรดนี่ ส่วนผมน่ะ... ถ้าขืนสาย
อีกครั้งไม่มีใครเอาไว้แหง๋! โอ่ย... แค่คิดถึงท่ากอดคอลุกนั่ง 50 ครั้ง (ไม่พร้อมนับใหม่) แล้วก็อยากจะเข่าอ่อนเสียตรงนี้ให้ได้ แต่ขืนหมด
แรงตั้งแต่ต้นทาง มีหวังได้ลุกนั่งที่ปลายทางจริง ๆ แหง๋ ผมบอกตัวเองให้ฟิตขณะวิ่งเข้าครัวไปหยิบแซนวิชที่พี่แอนอบไว้ให้เราสองคนบนโต๊ะ
อาหาร "ไปก่อนนะคร้าบบบ" "โชคดีค่าน้องโน่ น้องปุณณ์" เสียงพี่แอนพี่อิมร้องตอบพวกผม ก่อนทั้งผมและปุณณ์จะรีบเดินกระวีกระวาด
ออกจากบ้านไป (ด้วยความเร็วสูง) "มึงต้องเอากุญแจให้ไอ้ฟี่ก่อนกี่โมงวะ" ผมหันไปถามมันแม้จะมีแซนวิชคาปากและกําลังเดินยัดชายเสื้อใส่
ในกางเกงอยู่ "ไม่รู้ว่ะ ช่างแม่งเหอะ อยากลืมเองช่วยไม่ได้" โห... ดีเนอะ... ซักวันกูจะเปิดโปงความชั่วของมึง คอยดู คงมีคนใน โรงเรียน
เซอร์ไพร์สกันเยอะอยู่ ถ้าได้รู้ว่า ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ บางทีก็แอบเหี้ยใช่ ย่อยเหมือนกัน ผมขํากับความชิวของมันแล้วก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
เพราะไอ้คนข้าง ๆ ดันเดินฮัมเพลงสบายใจเหมือนหนึ่งชั่วโมงมีสองร้อยนาที... ก็.. เอาวะ ถ้ามันไม่รีบ ผมก็ไม่รีบเหมือนกัน คิดดั งนั้นเรา
สองคนจึงเดินลากเท้าคุยเล่นกันไปตลอดทาง โดยไม่ลืมจะอุดหนุน ปาท่องโก๋เจ้าประจําหน้าปากซอยบ้านผมด้วย ฮ้า... กรอบนอกนุ่มในไม่มี
ใครเกิน ใครจะบอกว่าปาท่องโก๋กินแล้วอ้วน เพราะมันอมนํ้ามันก็เชิญครับ เพราะผมกินแล้วมีความสุข ^___^ (แต่ก็กินแค่เช้าละตัวเองนะ!
ยังยั้งใจอยู่!) เรายืนรอกันแค่ไม่นานรถเมล์คันสีแดงก็แล่นมาจอดเทียบป้ายด้วยปริมาณผู้คนล้มหลามครับ.. จะไหวไหมเนี่ยกู.. แต่ก็เอาวะ!
เพราะไม่ขึ้นคันนี้จะให้ขึ้นคันไหน แถมยังต้องเผื่อเวลารถติดอีก (อยู่กลางเมืองต้องอดทนครับ T___T) คิดได้ดังนั้นผมกับปุณณ์จึงค่อย ๆ ไต่
ขึ้นบันไดรถเมล์กันอย่างทุลักทุเล เนื่องจากเกรงว่าอาจถูกประตูหนีบได้ แถมพอเข้าไปแล้ว ก็ยังต้องใช้ความสามารถในการกระเสือกกระสน
ตัวเองเข้าไปในหมู่ฝูงชนอีก เพราะการยืนออหน้าประตูไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก เผื่อวันไหนดวงซวยขึ้นมามีสิทธิ์เผลอตกลงไปตายโดยไม่รู้ตั ว
เราสองคนทนเบียดบนรถเมล์ได้ไม่นานก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้าครับ ได้เวลาเป็นอิสระซักที วันนี้คนในขบวนรถไฟไม่แน่นมาก พอมีที่หลวม ๆ
ให้ยืนกันนิดหน่อย แต่เมื่อลองกวาดตามองไปรอบ ๆ ขบวนแล้ว กลับพบว่ามีเด็กนักเรียนโรงเรียนแปลก ๆ ปะปนอยู่จํานวนหนึ่ง ? (ปกติจะก็
มีแต่โรงเรียนผม กับพวกสาว ๆ โรงเรียนข้าง ๆ แล้วก็พนักงานบริษัทแถวนั้นเองครับ) ผมกวาดตามองไปรอบขบวนรถพร้อมเก็บความสงสัย
ไว้ในใจเงียบ ๆ แล้วก็ได้พบคําตอบ เมื่อเราต่างลงที่สถานีปลายทางเพื่อจะพบกับ.......... นักเรียนโรงเรียนอื่นจํานวนมหาศาลกําลั งชักแถว
เดินเข้าโรงเรียนผม!? "มีงานไรกันวะ???" ผมร้องถามปุณณ์แบบมึน ๆ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้ที่โรงเรียนจะจัดงานอะไรกับเขาบ้าง แต่ไอ้
หน้าหล่อนั่นแค่เลิกคิ้วตอบเหมือนเป็นเรื่องไม่น่าถาม "แข่งตอบปัญหาเศรษฐศาสตร์ระดับมัธยมกันที่ห้องประชุมชั้น 9 อะ" เอ่อ......... มี
เรื่องแบบนี้ด้วยเหรอวะ??? ผมส่งสายตางุนงงไปรับคําตอบมัน แต่ก็สมควรอยู่ที่คนอย่างผมจะไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา เพราะมันคือการแข่งขัน
ตอบปัญหาเศรษฐศาสตร์นั่นเอง (-_-") เอาไว้ให้ลองเป็นเรื่องจัดคอนเสิร์ตสิ รับรองว่าผมรู้ล่วงหน้าได้เป็นครึ่งปี ฮ่า ๆ (อันนี้ก็เว่อร์ไป) ว่าแล้ว
ก็อดกวาดตามองสาว ๆ จากโรงเรียนต่าง ๆ ที่นั่งจับกลุ่มกันเป็นหย่อม ๆ ตั้งแต่หน้าโรงเรียนถึงใต้ตึกใหม่ไม่ได้ "น่ารักว่ะ........" น่ารักจน
ผมต้องเพ้อออกมาเบา ๆ เลยครับ เมื่อเห็นสาวกระโปรงแดงจากโรงเรียนประจําหญิงล้วนแถวอโศกกําลังนั่งถกประโปรงขัดสมาธิกับพื้นพลาง
ช่วยติวหนังสือกันอยู่ แต่ก็ไปได้ไม่ถึงฝั่งฝันดี เพราะดันมีเสียงทุ้ม ๆ ขัดขึ้นก่อน "อย่าแม้แต่จะคิด" โห... แค่คิดก็ไม่ได้! ? ผมหน้าเสียหันไป
มองไอ้ปุณณ์ที่ทําท่ายียวนกวนเบื้องล่างอยู่ แต่ไม่ทันที่เราจะได้ปะทะฝีปากอะไรกัน เสียงแตกตื่นของไอ้เชี่ยฟี่ก็ดังแทรกมาก่อน "เชี่ย
ปุณณ์!!! บอกให้รีบมานี่มึงรีบแล้วเหรอ!!! เอกสารอยู่ในนั้นเต็มเลยนะเว้ย!!" แถมไม่โวยเปล่ายังกระโดดเข้าประชิดตัวปุณณ์แล้วล้วงกระเป๋า
กางเกงนักเรียนเลขาสภาฯอีก! (ทําเหมือนรู้ว่ามันเก็บกุญแจไว้ไหนยังงั้นอะ) ผมยืนขําขณะมองปุณณ์สะดุ้งจนตัวลอย เพราะเชี่ยฟี่เสือก
ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงนักเรียนมันแบบไม่ให้ทันเตรียมใจ
"เฮ้ยอย่าล้วงงงงงง ไม่ได้อยู่ตรงน๊านนนนนนนน!! ฮ่า ๆๆ" เสียงไอ้ปุณณ์โวยวายพลางหัวเราะลั่น (เพราะมันบ้าจี้ตรงต้นขาครับ เรื่องนี้ ผมรู้
หึหึ..) พร้อมพยายามผลักตัวไอ้ประธานนักเรียนคู่ชีวิตให้พ้นรัศมีอันตรายไปด้วย "แล้วอยู่ไหน! มึงเอามานะะะะะะะ" แต่ไอ้ฟี่ยังไม่มีทีท่า
จะยอมแพ้ครับ แม่งยังคงตั้งหน้าตั้งตาล้วงทั้งกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อเลขาฯตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย (แต่ผมว่ามันแค่อยากจะแกล้ง
ปุณณ์มากกว่า) เลยกลายเป็นสงครามย่อย ๆ ระหว่างประธานนักเรียนกับเลขาฯกลางโรงเรียนซะงั้น จนสาว ๆ บริเวณนั้นต้องละสายตาจาก
หนังสือมามองพวกมันแบบแปลก ๆ เสียหายมั้ยนั่น -_-........ ผมยืนขําระหว่างไอ้ปุณณ์กําลังแหกปากโวยวายเรียกผมให้ช่วยอยู่ (แต่
ฝันไปเถอะว่าคนอย่างโน่จะเป็นพ่อพระไปช่วยน่ะ หึหึหึ) จนเวลาผ่านไปพักหนึ่ งเสียงใส ๆ ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ดังขึ้น "อ้าวปุณณ์!!"
"แพม?" เอ๋.... ใครวะ? ผมไม่รู้จักผู้หญิงตรงหน้าเรา นอกจากรู้เพียงว่าเธอสวมชุดนักเรียนโรงเรียนเด็กเก่ง ที่ไม่ปักอักษรย่อของโรงเรียนบน
หน้าอกนอกจากเข็มแค่อันเดียว และเธอก็น่ารักมากจนทําให้ไอ้ฟี่หยุดประทุษร้ายปุณณ์ได้ทันที ดังนั้นเมื่อสบโอกาสเหมาะ ไอ้ปุณณ์จึงรีบ
ดีดไอ้ฟี่ซะกระเด็น ก่อนจะควักเอากุญแจห้องสภาฯที่มันเก็บไว้ในเป้มายื่นให้ประธานนักเรียนอย่างเคือง ๆ "เอาไปเลย! แล้วรีบไปไกล ๆ เลย
นะมึงง!!" ฮ่า ๆๆ สงสัยโมโหที่โดนแกล้งชัวร์ ผมโบกมือให้ฟี่ที่ทําหน้ายียวนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยอมวิ่งขึ้นตึกแต่โดยดี ก่อนเสียงทุ้มของปุณณ์
จะหันกลับไปพูดกับหญิงสาวที่มาใหม่ต่อ "แล้วแพมมาได้ไงเนี่ย แข่งกับเค้าด้วยเหรอ" ว่าแต่นี่... ใครวะ?
ผมยืนหน้ามึน มองคู่สนทนาของปุณณ์ที่ฉีกยิ้มกว้างพลางเดินไปขนาบข้าง ๆ มัน "ใช่สิ แล้วปุณณ์ล่ะ เป็นตัวแทนแข่งด้วยรึเปล่า" แถม
ท่าทางปุณณ์ยังดูผ่อนคลาย ไม่มีปฏิกริยาติดลบอะไรแม้แต่นิดอีก "เปล่าอะ... ไม่ชอบแข่งกับใครหรอก" ผมเลยได้แต่มองท่าทีเป็นมิตรของ
ปุณณ์เหล่านั้นพลางคิดว่า สองคนนี้อาจเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันมาก่อนแหง๋ ๆ เพียงแต่ผมไม่เคยรู้จักด้วยก็เท่านั้น ความรู้สึกว่าตัวเอง
เป็นคนนอกจึงเริ่มก่อตัวทีละนิด.. "โห... โล่งอกเลยนะเนี่ยที่ปุณณ์บอกว่าไม่แข่งอะ เพราะถ้าปุณณ์แข่งแพมจะได้ไปขอถอนตัว ฮิฮิ"
"เวอร์น่า ฮะฮะฮะ" อืม............... "แล้วแพมแข่งที่ไหนรู้ รึเปล่า" "ห้องประชุมชั้น 9 อะ แต่ไปไม่ถูกเลย หลงทางกับเพื่อนด้วยเนี่ย"
"อ๋อ.... งั้นแวะไปส่งก็ได้ ตึกเดียวกับตึกเรียนปุณณ์แหละ" "เหรอ!" ผมมาเดินทําอะไรอยู่ตรงนี้....... เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดีของปุณณ์
ยังคงสนทนากับเพื่อนที่ผมเพิ่งเคยเจอวันแรกอย่างแพมไม่มีหยุด ระหว่างเรากําลังเดินขึ้นตึกเรียนพร้อมกัน โดยคนอย่างผมมองไม่เห็นที่ว่าง
จะให้แทรกกลางได้สักนิด
เราสามคนเดินมาถึงหน้าลิฟท์ที่มีนักเรียนไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเราหรือต่างโรงเรียนมายืนรออยู่แน่นขนัด กระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ประตู
ลิฟท์จึงเปิดออก พวกผมปล่อยให้คนที่มาก่อนค่อย ๆ ทยอยเดินเข้าลิฟท์ไปอย่างช้า ๆ แต่นับว่าโชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง เพราะพอคนเข้ า
ไปจนหมด ลิฟท์ก็ยังเหลือที่ว่างนิดหน่อยสําหรับพวกผม แน่นอนว่าปุณณ์ให้เกียรติแพมเป็นฝ่ายเข้าไปก่อน แล้วจึงตามด้วยผมและปุณณ์เข้า
ไปพร้อมกัน 'ออดดดดด' นํ้าหนักเกิน............. ก็ว่าเมื่อเช้ากินแต่แซนวิชกับปาท่องโก๋ตัวเดียวเองนะ!? ผมหยุดฝีเท้ามามองหน้ากับ
ปุณณ์เลิ่กลั่ก เพราะเราเป็นสองคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาในลิฟท์ซะจนมันร้องประท้วงเสียงดัง ก่อนปุณณ์จะจับไหล่ผมและพูดเบา ๆ ว่า
"เดี๋ยวกูออกเอง" โดยมีเสียงใสของแพมร้องประท้วงตามมา "อ้าววววว" แล้วผมที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ควรทําเช่นไร.... นอกจาก
.. ผมตัดสินใจถอยตัวเองออกจาลิฟท์พลางดันปุณณ์ให้กลับไปแทนที่ใหม่ "เฮ้ยย?" แม้มันจะโวยเสียงหลง "ไปส่งแพมเหอะ เค้าไป
หอประชุมไม่ถูก" และผมรู้ว่าตัวเองพูดจริงไม่ได้ประชด ปุณณ์มองหน้าผมสลับกับแพมแบบหนักใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว "งั้น.....
เดี๋ยวกูไปหาที่ห้องนะ.. เจอกัน" "ไม่เป็นไร.." ผมตอบคํานั้นแบบสั้น ๆ ก่อนประตูลิฟท์จะถูกปิดไป พร้อมลมหายใจที่ถอนออกมายาวไม่
แพ้กัน เฮ้ออ... "อ้าว เชี่ยโน่!!! มาอยู่นี่ได้ไงวะ! ไป ไปเตะบอลกัน!!" แต่อ้าววววว พอลิฟท์ปิดปุ๊บพวกไอ้โด่งเสือกถือลูกบอลลงมาทาง
บันไดปั๊บ!! เจ๋งว่ะ! ผมหันไปมองเพื่อนตัวเองฝูงใหญ่ที่เฮโลกันลงมาเสียงดังลั่นจนเด็กผู้หญิงแถวนั้นถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง (ฮ่า ๆ เ ด็กโรงเรียน
ชายล้วนก็ถ่อยงี้อะครับ ต้องทําใจหน่อยนะ) เออเจ๋งเลย มีไรทําแก้เบื่อแล้วกู ผมเหลือบมองประตูลิฟท์ที่เพิ่งปิดไป ก่อนจะตัดสิน ใจวิ่งลง
ตึกไปเตะบอลต่อกับเพื่อน ๆ ตัวเอง

แล้วท าไมวันนี้มันอากาศร้อนงี้ฟะ!! ผมนั่งคิดอย่างหงุดหงิดในคาบเลขระหว่างมาสเซอร์กําลังบ่นอะไรงึมงําซักอย่างกับไวท์บอร์ดอยู่ คง


เป็นเพราะเมื่อเช้าผมยืนเบียดกับคนในรถเมล์จนเหงื่อแตกมาตลอดทาง แล้วยังแรดไปเตะบอลก่อนเข้าเรียนอีก เนื้อตัวเลยเหนียวไปหมด
แถมพอเข้ามาในห้องยังรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นเท่าไหร่.... มันทําไมวะเนี่ยยย อากาศวันนี้ร้อนถึง 40 องศารึเปล่า!? แล้วจ่ายค่าเทอมตั้งแพงจะเติม
นํ้ายาแอร์ให้มันเย็นกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงวะ! "เป็นเชี่ยไร!" แน่นอนว่าคนรู้ทันอาการหงุดหงิดของผมแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้น อกจาก
ไอ้เชี่ยโอม มันใช้เท้าเตะหน้าขาผมดังป้าบบใต้โต๊ะ ขณะกําลังแอบมาสเซอร์เล่นนินเทนโด้ดีเอสอยู่ "ร้อน... มึงไม่ร้อนเหรอวะ" ผมกระซิบ
มันกลับ แต่เห็นแม่งยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "เหอะ.... กูกําลังคิดว่าหนาว" "เชี่ย... นี่กูว่าวันนี้อุณหภูมิถึง 40 เลยนะเว้ย" ไอ้บ้านี่มันเพี้ยน
ปะวะ ร้อนจะตายห่า.. ผมคิดแบบนั้นขณะไอ้โอมกด pause เกมในมือ "40 เชี่ยไร กูเห็นมีมึงนั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียวเนี่ย" อ้าวเหรอ.... ผม
เกาหัวพลางหันไปเหลือบมองเพื่อนคนอื่น ๆ จึงได้เห็นว่ามันนั่งกันปกติดีทุกอย่าง (ไอ้พ้งแอบกินขนม
ไอ้ปาล์มหลับ ไอ้เก่งเถียงกับมาสเซอร์ว่าคําตอบบนกระดานผิด ไอ้โด่งส่ง msn กระดาษคุยกับไอ้เคน ไอ้รถเก๋งกับไอ้เอ็มแอบเล่น psp) เอ๊ะ....
หรือมีแค่ผมคนเดียววะที่รู้สึกร้อน? "ร้อนใจชัวร์.... แบบนี้แสดงว่าทะเลาะกับแฟนแหง๋" อ้าวไอ้นี่ แพล่มไรของมัน ผมเหล่มองเชี่ยโอม
ก่อนจะจิ๊ปากพลางพลิกหนังสือเรียนหน้าต่อไป "ชัวร์.... มีเรื่องกะไอ้ปุณณ์ชัวร์.... ทําไมวะ? เมื่อคืนมันไม่ยอมเหรอหนุ่มน้อยย" แถมไม่พูด
เปล่ายังลามมาเชยคางกูอีกก! สันดานเหอะ! ผมสะบัดหน้าออกจากปลายนิ้วแม่งก่อนจะหันไปพูดแบบไม่มีเสียงว่า '-วย' "อ้าว ๆๆ ด่ากูอีก
เดี๋ยวปั๊ดโบก คนเค้าถามดี ๆ เพราะเป็นห่วง" ห่วงพ่ออมึงสิ ผมเหล่มองแม่งอย่างไม่อยากไว้ใจ เพราะหน้าชั่ว ๆ ของมันตอนนี้ติดป้าย 'อยากรู้
อยากเห็น' อยู่หรา "ป่าวววว" เป็นเช่นนั้นผมจึงบอกปัด.. ไม่ใช่ว่ามีความลับ ไม่ไว้ใจ หรืออยากปิดบังอะไรเพื่อนหรอกครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะ
เอาอะไรไปเล่าให้มันฟังจริง ๆ... ในเมื่อผมคิดว่าบางทีอาจเป็นผมเองที่งี่เง่า คิดมากไม่เข้าท่า เพราะปุณณ์มันก็มีนํ้าใจกับทุกคนเป็นเรื่องปกติ
อยู่แล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก แต่ทําไมวันนี้ผมถึงมีปฏิกริยา... ผมนี่มันเพี้ยนจริง ๆ "เฮ้ยย ไรวะ มันทําไรมึงแน่เลย เดี๋ยวกูไปต่อย
แม่ง" โอ่ย ๆๆ ใจเย็น ผมหันไปขํา พลางเงื้อมื อหวังโบกกะโหลกเชี่ยโอม (โทษฐานเป็นจอมเวอร์) แต่ยังไม่ทันสําเร็จโทษไอ้เพื่อนเวรดี เสียง
ประกาศิตก็ดังขึ้นก่อน "นภัทร ธัชกร... นี่ใช่เวลาเล่นกันเหรอ!!" ชิบหายแล้วไงกู!!! *** "เห็นมั้ย เพราะมึงแหละโวยวาย!"
"มึงแหละชวนกูคุยก่อน!" "มึงแหละเสียงดัง!" "มึงอะกวนตีน!" "โว่ยย หยุด!! พอกันทั้งคู่อะ ไปหาไรแดกไป ๆๆๆ" และแล้วก็เป็น
เสียงไอ้เก่งนั่นเอง ที่แหวมาตัดความรําคาญในการทะเลาะกันของพวกผม ก่อนมันจะดันหลังทั้งผมและโอมให้แยกกันไปซื้อข้าวแบบตัวใครตัว
มัน ก็ไม่ให้บ่นได้ไงอะครับ เพราะมัวแต่ คุยไร้สาระกับมันในคาบเลขนั่นแหละ เลยถูกมาสเซอร์สั่งทําโทษให้ลงไปวิดพื้นคู่ห้าสิบครั้งเลย
(ขึ้นลงไม่พร้อมกันเอาใหม่) แม่งงง.. กว่าจะนับได้ครบห้าสิบทําเอาเกือบตาย ปวดกระดูกแทบร้าวไปทั้งตัว ผมยืนนวดไหล่ตัวเองขณะต่ อ
แถวร้านข้าวราดแกงอยู่ (ไอ้โอมเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวนรกอีกร้านนึงเรียบร้อย) โดยนวดตัวเองไป คิดไปด้วย ว่าวันนี้จะกินอะไรดี (เอาที่มันถูก ๆ
และอิ่ม ๆ มีไหม) แต่ระหว่างกําลังคิดอยู่ก็มีเสียงล้งเล้ง ๆ ดังมาจากด้านหลังก่อน "อ้าวโน่! แดกไรวะ!" อ่อ... เจ้าของเสียงโหวกเหวกนั้น
คือพวกเพื่อน ๆ ของปุณณ์เองครับ ผมหันไปยกมือทักตอบโจ๊กที่มายืนต่อคิวอยู่ด้านหลังอย่างเป็นมิตร โดยหลังจากโจ๊กไปคือพลพรรคห้อง 1
ชักแถวยาวเป็นหางว่าว "ไม่รู้เลยว่ะ คิดอยู่ แล้วโจ๊กอะ" "ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กะจะมาลอกโน่เนี่ย ฮ่า ๆ" เออดี พอกันเลย ฮ่ า ๆๆ ผมขํา
กับมันพลางเขยิบไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เพราะแถวเริ่มเคลื่อน "อ้าว แล้วปุณณ์อะ ไปไหน" โอ๊ยย แต่ในที่สุดก็พลั้งปากถามไปตามความเคย
ชินจนได้! ผมล่ะอยากตบ
ปากตัวเองซักห้าทีแรง ๆ จริง ๆ ว่ะ แน่นอนว่าพอผมเผลอถามออกไปแล้วก็ต้องทําหน้าเสีย เพราะเพิ่งฉุกคิดได้ว่ายังรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องเมื่อ
เช้าอยู่ แต่ไอ้โจ๊กกลับยิ้มเผล่ "ปุณณ์เหรอ! วันนี้มันไม่ได้กินกับพวกเราหรอก โอ๊ยยย!" เห?? ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัยทันทีหลังฟังคําพูดโจ๊ก
ขณะที่เจ้าตัวถูกนันท์ผู้ซึ่งยืนเงียบ ๆ มานานกระทืบเท้าให้ปั้กใหญ่ (รองเท้าหนังด้วย เจ็บแล้วยังเป็นรอยอีกนะนั่น) "เชี่ยยยโจ๊ก... ปาก
เหรอมึง!" แต่ด้วยคําที่นันท์กระซิบด่าคนตรงหน้าผม ทําเอาผมอดสงสัยไม่ได้ "ทําไมอะ มีอะไรกันป่าว?" แต่คําตอบที่ได้รับกลับมาเป็น
เพียงใบหน้าตื่น ๆ ของโจ๊กและนันท์ที่ส่ายหัวไปมาเท่านั้น "ปล่าววว" แบบนี้มันมีอะไรน่าสงสัยชัด ๆ ผมเขยิบตามแถวอีกก้าวหนึ่ง พลาง
ถามให้เฉพาะเจาะจงลงไปอีกหน่อย "ปุณณ์ไปไหนอะ?" อยากรู้นักว่าถ้าถูกผมถามแบบนี้สองคนนั้นจะเฉไฉอะไรได้อีก โจ๊กกับนันท์มอง
หน้ากันเองอย่างลําบากใจนิดหน่อย จนสุดท้ายกลายเป็นโจ๊กที่ฉีกยิ้มแหย ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปทางอีกมุมหนึ่งของแคนทีนให้ผมได้พิจารณาด้วย
ตาของตั วเอง ภาพที่ผ มเห็น คือ.. ปุ ณณ์ ที่ นั่ง อยู่ ไกล ๆ ฝั่ง เกือบในสุด ของแคนทีน โดยมีแพมขนาบข้า งอยู่ ทั้ง สองคนคุ ยกันอย่า ง
สนุกสนาน ถึงแม้จะมีหนังสือวางไว้ข้างหน้า ก็ไม่เห็นว่าจะสนใจมันสักนิด ริมฝีปากผมแห้งผากทันที.. "เฮ้ย!! แต่มันไม่มี อะไรนะเว้ยโน่!
ปุณณ์มันแค่ไปช่วยติวที่เค้าจะแข่งเฉย ๆ" แต่แม้จะได้ยินคําพูดที่นันท์อธิบายชัดเจน กลับฟังเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาได้อย่างรวดเร็ว
"อย่าเข้าใจมันผิดนะ เพื่อนกูบริสุทธิ์ใจจริง ๆ นะโน่" อืม.... ผมหันไปยิ้มให้ทั้งนันท์และโจ๊กที่ช่วยกันแก้
ต่างให้เพื่อนร่วมห้องตัวเองด้วยรอยยิ้มที่พยายามทําให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทําได้ "เออ ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง กูไม่ได้คิ ดมาก เฮ้ย กิน
ข้าว ๆ ป้า เอายําเบค่อน แล้วก็ปลาผัดพริกไทยดํา จานนึง" ผมตบบ่าสองคนนั้นปุ ๆ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารแล้วรับเอาจานข้าวสกรี นลายตรา
โรงเรียนมาถือ "ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน" "เออ... เจอกัน" สองคนนั้นโบกมือรับผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ อาจจะคิดว่าพวกมันเป็ น
ตัวการทําให้ผมกับปุณณ์เข้าใจผิดกันมั้ง แต่ไม่รู้ดิ่..... ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้ามีความเป็นมายังไง ไม่ รู้แม้กระทั่งความรู้สึก
ของผมในตอนนี้ว่ามันคืออะไร.. ผมก็ยังไม่รู้เลย .... .... ผมเดินถือจานกลับมาที่โต๊ะซึ่งมีบรรดาพรรคพวกนั่งกันอยู่เต็มสลอน ด้วย
ความรู้สึกที่ยังหน่วง ๆ ในจิตใจ แต่ก็ค่อย ๆ ทุเลาลงเมื่อได้กลับมาอยู่กับเพื่อนทุกคน โดยเฉพาะตอนที่พวกมั นช่วยกันรุมเอาเนื้อทุกชนิดที่มี
ในจานตัวเองไปยัดใส่จานสลัดของไอ้พ้งแล้วล่ะก็ ยิ่งฮาหนัก (มันถูกหม่อมแม่บัญชามาให้ลดความอ้วนครับ เลยกินได้แค่สลัด แต่อย่าหวังว่ า
อยู่กับพวกผมแล้วจะรอด! หึหึ) ผมนั่งขํากลิ้งเมื่อไอ้พ้งโวยวายเสียงดังตอนไอ้โอมคีบลูกชิ้นไปวางใส่สลัดมัน แถมยังทําสลัดมันเผ็ดอีก (เพราะ
ไอ้โอมกินเผ็ดชิบหาย) แต่ถึงแม้มันจะบ่น ผมก็เห็นมันกินจนหมด แถมยังกินเบค่อนที่ผมแกล้งเอาไปวางไว้ด้วย! ไก่ตอนของไอ้เอ็มก็เหมือนกัน
.. สรุปว่าแม่ง.. ไอ้คุณหนูพ้งไดเอทแต่ปาก เพราะใครเอาเนื้ออะไรไปวางจานมัน เสือกกินเรียบหมด! ฮ่า ๆๆ แล้วชาตินี้มึงจะผอมได้ป่าววะ ไอ้
คุณหนูพ้ง!! จนพอเริ่มเบื่อที่จะแกล้งไอ้พ้งแล้ว (จริง ๆ คือเริ่มสําเหนียกได้ว่าชักกินไม่คุ้ม มัวแต่เอาไปประเคนให้แม่งอยู่) พวกเราจึง
เปลี่ยนกิจกรรมมาทําการทดลองทางวิทยาศาสตร์กันแทน.... อ่าว... ตกใจอะดิ่ครับ พวกผมน่ะ นั กวิทยาศาสตร์น้อยนะ ต่อให้เป็นในแคนทีน
ก็ทําการทดลองได้ ไม่เชื่อมาดู หึหึหึ
ผมเริ่มนั่งสุมหัวกับเพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่เพื่อสังเกตความเป็นไปของไข่ต้มไอ้ปาล์ม ในชามพะโล้ของไอ้โด่งอย่างใกล้ชิด ด้วยความที่อยู่ ดี ๆ ไอ้
ปาล์มก็อยากรู้ว่าถ้าเอาไข่ต้มของมันไปแช่นํ้าแกงไข่พะโล้ของไอ้โด่ง แล้วมันจะแปลงร่างเป็นไข่พะโล้ได้หรือไม่ ? (ถ้าได้จริงก็ปัญญาอ่อนแล้ว
มึง) แต่ระหว่างที่กําลังลุ้นตัวโก่งอยู่นั้น กลับมีกําปั้นหนึ่งมาเคาะทําลายสมาธิผมเบา ๆ ก่อน "ทําห่าไร เสียงโคตรดัง นี่โรงอาหารนะไม่ใช่
งานวัด หึหึ" โห.. ไอ้นี่.. ทํากูอารมณ์แปรปรวนทั้งวันแล้วยังจะกวนตีนอีก ผมหันไปมองหน้าหล่อ ๆ ของเลขาสภาฯที่มายืนยักคิ้วอยู่หลังผม
แล้วก็อดโมโหหน่อย ๆ ไม่ได้ "พวกกูซักผ้ามั้ง ถามมาได้" กูนั่งในโรงอาหารให้กูทําสังฆทานมั้ง ผมกวนตีนมันพลางยักคิ้วกลับไปข้า งหนึ่ง
จนปุณณ์ขําพรืดที่ยังคาบหลอดนํ้าไว้ในปากอยู่ "อ้าวเชี่ยปุณณ์!! มึงมาดูการทดลองของพวกกูเร็ว!! จะแปลงร่างแล้ว!!" เออแล้วนั่น...
ไอ้เชี่ยรถเก๋ง -_- เพี้ยนกันแต่พวกเราไม่พอยังจะลากให้ปุณณ์มาเพี้ยนอีก ผมถึงกับเกาหัวแกรกเมื่อรถเก๋งร้องเรียกให้ไอ้ปุณณ์มาเข้าวงร่วม
สังเกตการณ์ไข่ต้มในชามพะโล้... เออ เอาเข้าไป ปุณณ์มันคงเล่นด้วยหรอก -_- "ฮ่า ๆๆ กูเคยเล่นแล้วตอนม.2 น้องสาวเป็นคนเล่นเองอะ
เดี๋ยวคอยดูนะ พวกมึงจะได้ไข่ต้มเปื้อนนํ้าพะโล้มาฟองนึง" "ไอ้เชี้ ยยยยยยยย สปอยหาพ่องงมึงเหรอ!!" ฮ่า ๆๆ!! ผมถึงกับขําจนแทบ
สําลักนํ้า ตอนไอ้รถเก๋งยกขามาถีบไอ้ปุณณ์อย่างแรง ก๊ากกกกก "อย่า ๆๆ อย่าไปเชื่อมัน ไข่กูเป็นไข่วิเศษ แปลงร่างเป็นไข่พะโล้ไ ด้
แน่นอน" แต่ไอ้ปาล์มยังพยายามหลอนตัวเองต่อไป ซึ่งดูเหมือนเพื่อนทั้งโต๊ะจะยั งเชื่อมันอยู่ (จินตนาการสําคัญกว่าความรู้จริง ๆ ครับ) จน
เป็นเวลาพักหนึ่งที่ปุณณ์มายืนอยู่กับโต๊ะพวกเราเพื่อสังเกตการณ์การทดลองประหลาดนี่อีกคน "เฮ้ยปุณณ์ แล้วนั่นใครวะ" อะ อ้าวว. ...
ผมหันไปมองตามปลายนิ้วที่ไอ้โอมชี้ เลยได้เห็นผู้หญิงชื่อแพมยังคงยืนรอปุณณ์แถวหน้าร้านเบเกอรี่อยู่
"กิ๊กมันไง" และก็เป็นเสียงผมเอง ที่หันกลับมาตอบแทนคนถูกถามด้วยสีหน้ากึ่งทะเล้น ผมรู้ว่าตัวเองกําลังพยายามทําให้เหมือนเป็นเรื่อ ง
ล้อเล่นอยู่ ทั้งที่จริง ๆ รู้สึกใจหายไปมากกว่าครึ่ง 'ผัวะ!!' แต่แม่งเสยกบาลกูทําไมวะ!!!!!!! ผมกุมหัวตัวเองข้างที่ถูกบ้องก่อนจะหันไปส่ง
สายตาขวางหาเลขาสภาฯที่เพิ่งลอบประทุษร้ายกันเมื่อกี้ "ใส่ร้ายกูนะมึง!" มันว่ากลับด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ในขณะที่ผมทําท่ายียวน ใส่จน
ปุณณ์ต้องพ่นขํา "กูรักแฟนกูขนาดนี้จะมีกิ๊กทําเชี่ยไรวะ" เอ่อ.......... โจ่งแจ้ งตลอดว่ะมึง.. ผมรู้สึกหน้าชาทันทีขณะถูกบรรดาเพื่อนรุมโห่
พลางปาทิชชู่(ใช้แล้ว)ใส่ไม่หยุด "โห่ยยยยยยย ไอ้เชี่ย! ไปจีบกันไกล ๆ เลยย ไข่พะโล้กูจืดหมด สาดดด" เสียงไอ้โอมไล่ปุณณ์ดังกว่ าเพื่อน
เลยครับ ก่อนจะถูกไอ้โด่งเอื้อมมือไปเคาะกะโหลกกลวง ๆ ของแม่งทันที "ไข่พะโล้กู!!!!!!! ไอ้สัดนี่โมเม!!!" ฮ่า ๆๆ คนถูกโจมตีด้วยทิชชู่(ใช้แล้ว)
รายต่อไปจึงเป็นไอ้โอม (โทษฐานชอบเหมาว่าของกินของเพื่อนก็เหมือนของตัวเองตลอด) จนปุณณ์ต้องยืนขําไปด้วย แน่นอนว่ามันยังคง
อยู่กับพวกเราอีกพักหนึ่งจนผมต้องเอ่ยปากถามเบา ๆ "เฮ้ย แพมรอนานแล้ว ไม่รีบไปเหรอวะ" แต่ใบหน้าคมคายนั้นแค่ฉีกยิ้มกลับ "ก็
คิดถึงมึงอะ ขออยู่ด้วยอีกนิดไม่ได้เหรอ" โหยยย ไอ้นํ้าเน่า! ดีนะพวกเพื่อนผมมัวแกล้งไอ้โอมกันจนไม่ทันฟังเสียงปุณณ์ (ที่ก็ไม่ได้ พูดดัง
เท่าไหร่) ส่วนตัวผมน่ะ ทําท่าอ้วกใส่มันไปแล้ว "ไม่ต้องมาทําพูดดี ไปไหนก็ไปไป" แถมยังโบกมือไล่เป็นรีวิวประกอบอีกต่างหาก ทําเอาคน
ฟังหัวเราะร่วน
"งั้นกูไปก่อนนะ ไว้ค่อยเจอกัน" "อือ" ปุณณ์ยิ้มรับผมอีกทีหนึ่ง ก่อนจะรํ่าลากับเพื่อนในโต๊ะผมแล้วเดินจากไป.. ทั้งที่แผ่นห ลังนั้น
กําลังมุ่งหน้าไปหาแพมเหมือนกับที่เคยทําให้ผมรู้สึกกลัว แต่ครั้งนี้จิตใจผมกลับรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะคํานั้น ที่ยํ้าเตือน
ผมราวกับล่วงรู้ถึงความกังวล ว่าคนที่ปุณณ์รัก ที่จริงแล้วคือใคร : )

59th CHAOS
"หมดเวลาแล้ว ใครมีอะไรจะถามอีกรึเปล่า ถ้าไม่มีก็อย่าลืมทําแบบฝึกหัดท้ายบทนะ แล้วก็... นนทกร ไปเอาสมุดแบบฝึกหัดบนโต๊ะมิสมา
แจกคืนเพื่อน ๆ ด้วย" อ่า....... นี่เสียงมิสหรือเสียงสววรค์ครับเนี้ยยย! เพราะเสียงนี้ทําเอาผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทั นทีหลังจากต้อง
ทนนั่งสัปหงก อุทิศหัวถูโต๊ะเรียนเป็นเวลายาวนานเกือบสองชั่วโมง "ฮ้าววววววว" ว่าแล้วก็ขออ้าปากหาวดัง ๆ ประกาศให้โลกรู้ซักหน่อย
เหอะว่ากูง่วง ผมอ้าปากกว้างพลางยืดแขนบิดขี้เกียจให้กระดูกลั่นดังกร็อบบ ช่างสบายเสียนีก่ ระไร เฮ้ออ... ใครล่ะจะรู้ ว่าการพยายามถ่างตา
เป็นเวลานาน ๆ นี่มันใช้พลังงานเยอะกว่าทีค่ ิด! แต่ระหว่างผมกําลังคิดว่าจะขอบิดขี้เกียจเป็นรอบที่สองอยู่นั้นเอง ดันเสือกถูกไอ้หวินใช้ปลาย
นิ้วสะกิดจากที่นั่งด้านหลังเสียก่อน "โน่ ฝากให้โอม" อะไรอีกวะ? ผมรับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ นั้นมาอย่างงง ๆ ก่อนจะยื่นให้โอมต่อ "อะ ไม่
เลิกซักทีนะมึง" ก็จะไม่ให้บ่นได้ไงอะครับ เพราะไอ้เชี่ยพวกนี้แม่งเล่น msn กระดาษกันมาตั้งแต่ต้นคาบ ซึ่งโคตรน่ารําคาญเลยในความคิดผม
เนื่องจากพอจะหลับ ๆ ทีไร ไอ้หวินเป็นต้องสะกิดให้ส่งกระดาษบ้านี่หาไอ้โอมทู้กกกที (มันก็รับต่อ ๆ มาจากข้างหลังอีกทีเหมือนกันครั บ) ทํา
เอากูล่ะโคตรเบื่อออออออ ไม่ได้หลับได้นอน ไอ้ โอมรับกระดาษไปจากมือผม แต่แทนที่มันจะเปิดอ่าน เสือกเอาไปขยําทิ้งซะอย่างนั้น!?
เฮ้ยยยยย อะไร
ของมึงวะ!? ผมนั่งหน้าเหวอขณะไอ้เชี่ยโอมปากระดาษก้อนนั้นใส่หัวเกรียน ๆ ของไอ้เอ็มที่นั่งหัวเราะเอิ๊ก ๆ อยู่อีกฝั่งห้อง "เลิกเรียนแล้ว
สาดดดดดด!! จะส่งมาเพื่ออออ กู ขี้เกียจอ่าน!!!!" ฮ่า ๆๆ แต่เออว่ะ เป็นผมผมก็ด่า ได้ยินอย่างงั้นผมเลยนั่งผสมโรงขํากับคนอื่น ๆ ไปด้วย
ขณะที่ไอ้เชี่ยเอ็มก็ขยํากระดาษสมุดปาใส่หัวไอ้โอมกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ จนห้องเรียนกลายเป็นสนามสงคราม(กระดาษ)ย่อม ๆ และก็
คงอีรุงตุงนังมากกว่านี้ ถ้าไอ้วิช ผู้ซึ่งเป็นเวรกวาดห้องประจําวัน ไม่ได้เดินมาใช้ด้ามไม้กวาดเคาะกะบาลไอ้โอมก่อน "-วย! กูขี้เกียจกวาด มึง
จัดการเลยนะ!" ก๊ากกกก สมนํ้าหน้าเหี้ย ๆ! โดนเลยมึง! ผมนั่งขําไอ้โอมที่ลูบหัวตัวเองป้อย ๆ ก่อนจะโบ้ยไปทางไอ้เอ็มที่ยืนขําไกล ๆ ให้มา
รับผิดชอบร่วมกัน "มาช่วยกูกวาดเลยนะสัดด" "ไม่ได้ว่ะ บังเอิญนัดแก้มไว้ ไปก่อนแล้วกันนะ อิอิ" แถมไม่พูดเปล่ายังรีบกวาดของลงเป้
อย่างเร็วแล้วชิ่งหนีเลยอีกต่างหาก! ก๊ากกกกกกก วันนี้มึงชั่วกว่าไอ้โอมว่ะเอ็ม ผมนั่งขําตาหยีโดยที่ไม่รู้เลยว่าความซวยจะวนกลับเข้ามาหา
ตัวเอง "ไอ้เชี่ยเอ็ม แม่งชั่ว... ดีนะ ไอ้โน่ยังอยู่ หึหึหึ....." อ้าววว อ้าววว อ้าววววว.. ผมเริ่มขําค้าง พลางมองหน้าไอ้โอมที่มองผมอยู่ แล้ว
ด้วยนัย น์ตาโคตรไม่น่ าไว้ วางใจ แถมพอรู้สึ กตั วอีกที เพื่ อนในห้ องเสือกเผ่ นออกไปหมดแล้ว อีก! อ้ าวเฮ้ย !!! หนีกันหมดเลยเว้ย !!!!!
"เหี้ยยย เกี่ยวไรกะกูเนี่ยย" แม่งงงง ไอ้ห่า.... เวรกูก็ไม่ใช่ ทําห้องสกปรกก็ไม่ได้ทํา แต่เสือกต้องมารับกรรมเฉย -_- ผมเกาหัวตัวเองเซ็ง ๆ
ก่อนจะยอมรับไม้กวาดจากมือไอ้โอมมาช่วยกวาด เชี่ยยแม่ง... จําไว้ เราสองคนแยกกันกวาดห้องคนละมุมได้ซักพัก เสียงเพลงจากมือถือ
ไอ้โอมก็ดัง ตอนแรกผมนึกว่ามีคนโทรเข้า แต่ไม่ใช่เพลงอกหักเพราะรักแป๋วว่ะ แถมยังดังตั้งแต่เริ่มเพลงจนจะจบเพลงอยู่แล้วไม่เสือกเงียบซัก
ที เลยต้องหันไปมองหน่อยว่าเสียงเหี้ยไร ถึงได้เห็นหน้าเจ้าของโทรศัพท์กําลังยืนฉีกยิ้มอยู่ อ่อ... มันตั้งใจ
เปิดเพลงในเครื่องให้ผมฟังครับ สงสัยจะอยากสร้างความสุนทรีย์เอาใจกูล่ะสิ หึหึ ดีมากก ที่ยังสํานึกในบุญคุณ หึหึหึ... ผมโยกหัวตามจังหวะ
เพลง คิดถึงรึเปล่า ของ cocktail ที่ไอ้โอมกําลังเปิดอยู่อย่างสําราญใจ "อารมณ์ดีนะมึงง เมื่อเช้าล่ะเห็นหงุดหงิด" แต่ไอ้เหี้ ยนี่จะสื่อไรวะ!
ผมหันไปมองเชี่ยโอมที่แม่งทําเป็นเดินกวาดห้องหน้าเจ้าเล่ห์อยู่ "ไรของเมิง" "หึหึหึ.." แล้วจะหัวเราะทําเชี่ยไร! ผมเริ่ม หยุดกวาดห้อง
แล้วเปลี่ยนมาเป็นท้าวเอวมองไอ้ตัวดี ที่มันเอาแต่หัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์ไม่ยอมหยุด เชี่ยโอมยักคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะยอมเฉลย "พอได้ยินคําว่า
รัก ล่ะ อารมณ์ดีเลยนะ ไอ้นภัทรรร" อ้าวไอ้เชี่ยย ล้อกูว่ะ!! ผมปั้นหน้าเหวี่ยงใส่มันทันที "ตลกกก! ว่างมากก็กวาดห้องไปสัด" มั วแต่แพล่ม
อยู่ได้ ผมด่ามันพลางกวาดห้องต่อทําทีเป็นไม่สนใจ แต่ไอ้ห่านี่ยังหอนไม่ยอมหยุด "มึงหึ งเป็นด้วยเหรอว๊าาา กูเซอร์ไพร์สว่ะ" แล้วมึงจะ
เอาอะไรกะกูนักหนาเนี่ย! ผมเริ่มเปลี่ยนจากกวาดห้องเป็นมองค้อนมัน แต่แม่งยังจะพล่ามต่อ ทั้งที่มือกวาดห้องไปด้วย "กูว่าเชี่ย ปุณณ์แม่
ง.. ถ้าแดกมึงได้มันคงแดกเข้าไปแล้วอะ ทั้งรักทั้งหลงมึงซะขนาดนั้น ไม่นอกใจมึงหรอก รับรอง" แล้ว อื้อหืออ... มึงโดนจ้างมาพูดเท่าไหร่
วะเนี่ย!! ผมมองหน้าไอ้โอมแบบงง ๆ แต่เห็นมันเปลี่ยนโหมด ทําเป็นตั้งใจกวาดห้องต่อเลยไม่อยากพูดอะไรอีก เราสองคนกวาดห้องเงียบ
ๆ โดยปล่อยให้เสียงเพลงจากโทรศัพท์เครื่องเล็กขับกล่อมอารมณ์พักใหญ่ ขณะที่ผมเริ่ มครุ่นคิดเกี่ยวกับบางอย่าง จนพบว่า.. ยิ่งทบทวน
มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิดมหันต์ที่ไม่ไว้ใจปุณณ์เท่านั้น.. ทั้งที่ที่ผ่านมาปุณณ์
จริงใจและแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อตัวผมอย่างหมดเปลือก กระทั่งไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่รับรู้ได้ถึงความรักของปุณณ์ .. แต่
ผมก็ยังสามารถคิดว่าปุณณ์จะปันใจให้คนอื่นได้ ผมนี่มันแย่จริง ๆ เฮ้อ... ลมหายใจแผ่วของผมถูกถอนออกอย่างไม่รู้จะทําอะไรที่
ดีกว่านี้ เป็นเวลาพร้อมกันกับเสียงเพลง เชื่อในตัวฉัน ของ Jetset'er ดังจากมือถือไอ้โอมแว่วมาตามลม ราวกับยิ่งตอกยํ้ าให้ผมนึกออกว่า
ปุณณ์ เคยเชื่อผมยังไง ผมก็ควรจะให้เกียรติด้วยการเชื่อใจปุณณ์เช่นกัน "เฮ้ย! กูไปก่อนนะ" คิดได้ดังนั้นปากก็โพล่งขึ้นมาทันที ทําเอา
ไอ้โอมที่ช้อนขยะอยู่หน้าเหวอ "ไปไหน ลบกระดานก่อนเด๊!" "ลบเองเด่ะ กุช่วยแค่นี้แหละ ไปละ!" แต่ผ มยังยืนยันเจตนารมย์เดิมหนัก
แน่นแถมฉวยกระเป๋ามาถือแล้วอีกต่างหาก ซึ่งแค่มองตาไอ้โอมก็คงรู้ ว่าผมจะไปไหน และไปหาใคร "เออ.... ห่า.... วันนี้มีซ้อมที่ชมรมนะ
รีบเข้าไปด้วยอะ" "เออ ไม่ลืม เดี๋ยวไปแน่ เจอกันที่ห้องชมรมนะ" ผมรับปากโอมพลางโบกมือลามัน ก่อนจะรีบออกจากห้องเรียนเพื่อลงไป
หาใครบางคนในห้องสภาฯชั้นล่าง
แต่........... ห้องสภาฯเสือกถูกล็อคสนิท ปิดตาย ทั้งที่เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว และปกติจะมีคนยั้วเยี้ยเต็มห้องแท้ ๆ แล้วแม่งหายไปไหนกัน
วะ ผมเกาหัวพลางใช้ความคิด ซึ่งในวันแบบนี้ก็คงเป็นสาเหตุอื่นไปไม่ได้ นอกจาก.... ห้องประชุมชั้น 9 ? ผมบอกตัวเองอย่างนั้นขณะ
เดินกลับไปที่ลิฟท์เพื่อขึ้นต่อไปยังชั้น 9 สถานที่จัดงานแข่งขันตอบปัญหาเศรษฐศาสตร์รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศที่โรงเรียนผมเป็น
เจ้าภาพ แต่เพราะความปวดท้องเบา จึงทําให้ต้องแวะที่ชั้น 7 เพื่อเข้าห้องนํ้าสักหน่อย เนื่องจากเกรงว่าห้องนํ้าชั้น 9 และ 8 จะมีคนใช้
บริการเยอะชัวร์ ๆ แล้วก็เป็นดังคาดครับ เพราะตอนนี้ชั้น 7 โล่งร้างผู้คนไปหมด เป็นสัญญาณว่าห้องนํ้าก็คงไม่มีใครแน่ ฮ้า... ผมเดินฮัม
เพลงเบา ๆ อย่างสบายใจขณะลากขามุ่งหน้าไปยังห้องนํ้า และก็คงได้ ปลดทุกข์เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีภาพหนึ่งเตะตาผมอย่างจังเสียก่อน
ภาพของปุณณ์และแพมยืนกอดกันกลม โดยที่ฝ่ามือปุณณ์ข้างหนึ่งลูบผมแพมอย่างแผ่วเบา เช่นเดียวกับที่เคยทําให้ผม ทุกอย่างชัดเจนอยู่
ตรงหน้า ยั ดเยียดให้ ผมมองภาพนั้นพร้อม ๆ กับที่รู้สึกได้ถึงสั มผัสนั้ น สัมผัสเดีย วกันกับที่ผ มเคยได้รับและอบอุ่ นใจ แต่ในวันนี้ กลั บ
กลายเป็นสัมผัสนั้น ที่ย้อนมาทําร้ายผมเสียเอง ให้รู้สึกเจ็บในอกได้ขนาดนี้ สีหน้าตกใจของปุณณ์เป็นสิ่งที่ผมเห็นเพียงแว่บหนึ่ ง ก่อนจะ
หันหลังให้ทั้งคู่และซอยขาลงบันไดอย่างว่องไว... ผมได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกชื่อผม แต่ยิ่งผมคุ้นเคยกับเสียงนั้นมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งเจ็บปวด
เท่านั้น เช่นเดียวกับสัมผัสนั้นที่ผมเคยรักมันมากเท่าไหร่ วันนี้มันก็ทําให้ผมเจ็บปวดได้มากเท่ากัน
สองขาผมสั่งให้ตัวเองวิ่งมาเรื่อยจนถึงห้องชมรม โดยไม่มีวี่แววของปุณณ์ติดตามมาแต่อย่างใด ผมรู้สึกราวกับปุณณ์ที่เคยรู้จัก.. ได้ปลิว
หายไปแล้ว..

"เฮ้ยไอ้มํ่า!! เป็นห่าไรเนี่ย!! ตัวเท่าควายมีแรงเป่าแค่นี้เหรอวะ! ออกไปวิ่งรอบสนามเลยนะมึง ไม่ครบสามรอบไม่ต้องเสือกกลับมาอะ!" เสียง


ไอ้โอมโวยรุ่นน้องลั่น จนห้องชมรมเงียบไปพักหนึ่ง เนื่องจากไม่บ่อยนักที่มันจะของขึ้นแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่เป็น ก็มักมีผมเป็นหน่วยกําลังเสริม
อาสาคอยปลอบใจน้อง ๆ ที่โดนแจ็คพอตเสมอ เพียงแต่วันนี้ ผมไม่มีแรงเหลือพอจะช่วยพยุงความรู้สึกใครแล้วจริง ๆ "มํ่าร้องไห้
แล้วอะพี่โน่" น็อตเตือนผมเบา ๆ พลางกระทุ้งศอกเป็นเชิงให้หันไปดู จึงได้เห็นไอ้น้องมํ่าเดินเช็ดนํ้าตาป้อย ๆ ออกจากห้องชมรมไป ขณะที่
โอมสั่งให้เครื่องเป่าคนอื่น ๆ ซ้อมต่อ "อือ... กูก็อยากจะร้องเหมือนกัน" ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะช่วยจัดระเบียบนิ้วน็อตบนสายเชลโล่
เส้นหนึ่งไปด้วย "เฮ้ยเป็นไรพี่!?" แต่ไอ้ห่านี่เสือกได้ยินว่ะ เมื่อรู้ตัวเช่นนั้นผมจึงต้องรีบส่งยิ้มกลบเกลื่อน "อ๋อ เปล่า... จะร้องไห้เพราะมึง
สอนยากนั่นแหละ หึหึ กูบอกให้เอานิ้วไว้ตรงนี้ไง เดี๋ยวสั่งวิ่งรอบสนามอีกคนเลย หึหึหึ" "โห่ย... อย่าโหดดิ่พี่ ผมเพิ่งหัดไม่กี่วันเองนะ" ด้วย
คํานั้นทําเอาไอ้น็อตบ่นอุบ ก่อนจะหันไปแว้งไอ้เป้อ โทษฐานซ้อมดรัมกวนสมาธิมัน ซึ่ง... โคตรไร้สาระเลย เพราะตอนนี้ห้องชมรมมีแต่เสียง
เครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า ดังสวนกันมั่วไปหมด ฟังไม่ได้ศัพท์ซักนิดเพราะสมาชิกห้องเล่นอยู่กันแบบเต็มอัตรา ผมขําไอ้เด็กสองคนที่เถียง
กันไม่หยุดจนแทบเกิดเป็นสงครามคันชักกับไม้ดรัม ทําเอาคนอื่น ๆ ในห้องพลอยหัวเราะไปด้วย จนบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ชักจะผ่อนคลายลง แถมไอ้น้องน็อตที่มานั่งหน้าบื้อให้ผมสอนเชลโล่อยู่นี่ก็หัวทึบซะจนอดขําแม่งไม่ได้ (เก่งทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ เหรอมึง) แต่
ถึงปากผมจะกําลังหัวเราะ หรือใบหน้าผมจะเปื้อนรอยยิ้มอยู่... ภายในใจกลับมีแค่ความรู้สึกที่ตรงข้ามกันอย่าง
สิ้นเชิง ในเมื่อรู้สึกตัวอีกทีผมก็เฝ้าแต่มองประตูห้องชมรม หวังให้ใครสักคนเดินเข้ามา.. แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่สมหวัง ..ผมน่าจะรู้ว่า
สักวัน เราสองคนก็ต้องจบลงแบบนี้ ... "จะสองทุ่มแล้ว เลิกซ้อมก่อนปะ" เสียงไอ้ฟิล์มถามผมระหว่างกําลังต่อโน๊ตห้องสุดท้ายให้
ไอ้น็อตอยู่ ทําเอาผมต้องลุกลี้ลุกลนดูนาฬิกาตาม แล้วก็พบว่าจริงอย่างมันพูด "เออ ๆๆ ปิดห้อง โทษทีว่ะ กูลืมดูนาฬิกา" ผมตอบฟิล์มกลับไป
อย่างนั้น ก่อนเสียงดัง ๆ ของมันจะตะโกนส่งคําสั่งเป็นทอด ๆ ไป "เลิกซ้อม!! เก็บของ!! ไสหัวกลับบ้านซะ!!!" นั่น... แล้วดูมัน -_-... จะบอกดี
ๆ ก็ไม่ได้เนอะไอ้ห่า ผมส่ายหัวขํา ๆ พลางช่วยน็อตเก็บแสตนตั้งโน๊ตเพลง รวมถึงเอาเชลโล่ลงกล่อง ขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มทยอยเก็บ เครื่อง
ไม้เครื่องมือของตัวเองเช่นกัน ผมช่วยเก็บของในห้องชมรมพลางโบกมือลาน้อง ๆ ที่เริ่มทยอยกลับบ้านกันเป็นระยะ จนเหลือแค่พวกเราม.5
ที่ยังคงเคลียร์ของในห้องชมรมอยู่ "แค่นี้ก็พอแล้วมั้งโน่ ไอ้นี่ไม่ต้องเก็บหรอก เดี๋ยวตอนเช้าให้ง่อยมาพิมพ์" อาร์ทบอกผมพลาง ชี้ไปที่ปึ้
งเอกสารกองใหญ่ที่ต้องคีย์ลงคอมพิวเตอร์ ซึ่งเออ.. ไม่ต้องเก็บก็ดีเหมือนกัน เสียเวลาแยกงานสุด ๆ ผมพยักหน้ารับคําแนะนํานั้น ก่อน จะ
สํารวจห้องแล้วเดินไปเอากระเป๋ามา
"ไม่ลืมไรแล้วนะมึง กูปิดไฟนะ" ผมร้องบอกพวกที่ยืนใส่รองเท้าอยู่หน้าห้อง ได้ยินเสียงพวกมันขานรับอื้ออึง ไม่มีใครทักท้วงอะไรจึงปิดไฟ
แล้วออกมาใส่รองเท้าบ้างทันที แต่สิ่งที่รออยู่หน้าห้องชมรมคือ.. "ปุณณ์...." ผมอุทานชื่อคนที่ยืนตรงหน้าเพราะความตกใจใน แว่
บแรก แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ความรู้สึกเมื่อตอนเย็นก็ประเดประดังกลับมาหาผมอีก ครั้ง "อ้าวปุณณ์ รอโน่เหรอวะ ทําไมไม่เข้าไปอะ
ยุงเยอะจะตายห่า" เสียงฟิล์มร้องถามเลขาสภาฯที่เพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากตอบ "เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ.. โน่ กลับด้วยกันนะ" แต่
มันเอาอะไรคิด ว่าผมจะอยากกลับบ้านกับมัน "โอม... วันนี้เดี๋ยวกูแวะบ้านมึงนะ" ผมไม่ตอบคําชวนนั้น แต่หันไปพูดกับโอมแทน ทําเอาไอ้
โอมหน้าเหวอ แต่สายตาผมคงให้คําตอบอะไรได้หลายอย่าง โอมหยุดมองหน้าผมสลับกับปุณณ์ ก่อนจะถอนหายใจยาว "เรื่องพวกมึงกูไม่
อยากยุ่ง ไปคุยกันเองไป... แล้วถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยมาหากู" เพราะโอมเป็นคนที่รู้เสมอว่าผมคิดอะไร และกําลังจะทําอะไร รวมถึงครั้งนี้มันก็
ยังรู้เช่นกันว่าผมกําลังจะหนี แต่สาเหตุที่หนีเป็นเพราะตัวผมเองยังไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับปุณณ์ดี ในเมื่อแค่เห็นหน้าปุณณ์ตอนนี้ ร่ างกายก็รู้สึก
อ่อนล้าไปหมด ผมอาจจะเคยรอให้ปุณณ์เข้ามาอธิบายเรื่องทั้งหมด แต่พอเวลานี้ มาถึง ผมกลับไม่พร้อมที่จะฟังอะไรเลย ฝ่ามือโอมบีบ
ไหล่ผมแน่นเหมือนต้องการส่งผ่านกําลังใจ พร้อมรอยยิ้มที่มันมีให้แว่บหนึ่งก่อนจะเดินไปพร้อมกับพวกฟิล์ม ปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่กับคนที่ทํา
ร้ายผมเพียงลําพัง "ไปหาอะไรกินกันมั้ย" แล้วคํานี้เหรอที่มันควรพูดออกมาในเวลาแบบนี้? ผมหันไปมองใบหน้าเดิม ๆ นั้นด้วยความไม่
อยากเชื่อหู ว่าคนที่เพิ่งทําร้ายจิตใจกันเมื่อตอนเย็นจะกล้าชวนผมไปกินข้าว ราวกับไม่เคยมี
อะไรเกิดขึ้น "กูจะกลับบ้านวันนี้กูเพลีย" เป็นอย่างนั้นผมจึงตอบปัดอย่างไม่ลังเล พร้อมก้าวขาหมายจะกลับบ้านอย่างที่ พูด หากแต่ฝ่ามือ
แกร่งรีบฉวยแขนผมไว้ได้ก่อน "โน่ อย่าบอกนะว่าซีเรียสเรื่องเมื่อเย็นจริง ๆ" แถมนํ้าเสียงที่ถามออกมายังฟังดูเหมือนไม่อยากเชื่ ออีก
ต่างหาก อ๋อ... หมายความว่าที่กูรู้สึกอยู่นี่มันแปลกมากใช่รึเปล่า ที่กูเสียใจนี่มันประหลาดมากใช่มั้ย ผมหั นไปตอบมันชัดเจนทันที "กูไม่รู้
หรอกนะ ว่ามึงใช้ส่วนไหนของสมองคิดถึงถามมาได้ แต่ตอนนี้กูไม่มีอะไรจะพูดกับมึง... กูจะกลับบ้านนอน" และผมพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น ผม
ฉวยโอกาสตอนมันเผลอดึงข้อมือตัวเองออกจากฝ่ามือนั้น ก่อนจะเดินลิ่ว ๆ มุ่งสู่ประตูรั้วโรงเรียน แต่อีกคนยังตามมาไม่หยุด "เฮ้ย!! ไปกัน
ใหญ่แล้วโน่!! คุยกันก่อนดิ่!" แถมเสียงทุ้มนั้นไม่เรียกเปล่ายังยื้อผมให้หยุดเดินอีก เรากระชากกันไปมาจนยามหน้าโรงเรียนมองด้วยสา ยตา
แปลก ๆ "คุยอะไร วันนี้กูเหนื่อยมาก มึงจะเอาไงค่อยบอกกูพรุ่งนี้แล้วกัน" ผมพูดด้วยนํ้าเสียงไม่ ดังนัก และไม่ใช่การพูดหาเรื่อง คําพูด
ของผมจริงจังจนปุณณ์ต้องนิ่งไป... ชั่วขณะหนึ่งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงยอมแพ้แน่แล้ว แต่ปุณณ์กลับฉุดเอาผมไปนั่งตรงฟุตบาทบริเวณทางออก
โรงเรียนอย่างไม่ลดละ "ไม่เอา! มึงจะกลับไปทั้งแบบนี้ได้ไง มึงเข้าใจผิดอะไรเนี่ย" "........." แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมที่ต้องตอบ "เฮ้ย เรื่อง
แพมไม่มีอะไรเลยจริง ๆ นะ มึงเป็นไรวะ กูไม่คิดว่ามึงจะติดใจขนาดนี้" เฮอะ!! ผมแค่นหัวเราะอย่างไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับมัน "เฮ้ย
โน่... เอาดี ๆ คิดมากเรื่องแพมจริงเหรอวะ" จนเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งจนปุ ณณ์คงรู้ว่าผมไม่อยู่ในอารมณ์จะเสวนาด้วยแน่ ๆ มันจึงย่อลงนั่ง
ตรงหน้าผม แล้วใช้สายตาคมมองตรงมาราวกับจะเค้นคําตอบ
"ฟังดี ๆ เลยนะ.... กู กับ แพม ไม่มีอะไรอย่างที่ มึง คิด.... และสุดท้าย... กู รัก มึง... หัดจําซะบ้าง" มันพูดยํ้าทีละประโยคก่อนจะปิดท้าย
ด้วยการบ้องหัวผมจนหน้าทิ่ม แม่งเอ๊ย!!!!! นี่มึงคิดจะง้อกูจริงเหรอวะ! ไอ้ควาย ผมเงยหน้ามาเงื้อมือหมายจะบ้องมันกลับ และก็คงเกิด
สงครามเก้าทัพไปแล้ว ถ้าเสียงหวาน ๆ ซึ่งผมไม่คุ้นนัก ไม่ได้ดังขึ้นจากทางด้านหลังเสียก่อน "ปุณณ์! ยังไม่กลับอีกเหรอ ?" "อ้าว....
แพม!" หึหึ.. ไงล่ะ... เป็นไงล่ะมึง! ผมเหล่ตามองเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกซึ่งทําหน้าเสียไปแล้ว แต่ยังไม่วายรีบคว้ามือผมไปจับแน่นเพราะรู้ว่าผม
กําลังจะลุกหนีมัน "ยังไม่กลับอีกเหรอ?" เสียงแพมถามซํ้าพลางส่งยิ้มเลยมาถึงผม จนต้องแค่นยิ้มกลับไปอย่างเสียไม่ได้ "ยัง แพมล่ะ
ไหนออกไปตั้งนานแล้ว กลับมาทําไมอีก" "อ๋อ... ไปกินข้าวแถว ๆ นี้มาน่ะ กินเสร็จแล้วเดินผ่านเห็นปุณณ์ยังอยู่ในโรงเรียนเลยแวะม า
ขอบใจเรื่องเมื่อเย็น" เจ้าของเสียงหวานนั้นตอบพร้อมรอยยิ้มเก๋ แต่ทําเอาผมถอนหายใจแรง ในขณะที่ปุณณ์เริ่มกระชับมือผมแน่นขึ้ น
"อืม... แล้ว... โอเคแล้วนะ" "อื้อ โอเคแล้ว..." ผมสังเกตว่านัยน์ตาแพมดูหมองลงไปนิดหน่อย ก่อนเธอจะคลี่ยิ้มแล้วหันไปตะโกนเรี ยก
เพื่อนที่ยืนรอบริเวณหน้าโรงเรียนให้เข้ามา "ไมค์!!!!! เข้ามาดิ!!! นี่ไงปุณณ์!" หืม ? ใครวะ? ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นผู้ชายเจ้า ของชื่อ ไมค์ ที่แพม
เรียก ค่อย ๆ เดินเข้ามาสมทบกับพวกเราอีกคนหนึ่ง "อ๋อ หวัดดีครับปุณณ์ แพมเล่าให้ฟังหมดแล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลแฟนผมให้" อะ
... เอ๋??... อะไรวะ.... ถึงตรงนี้ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าเชี่ยปุณณ์มันยิ้มแบบสะใจชอบกล
"อือ ไม่เป็นไรหรอก" มันตอบคนที่ชื่อไมค์ก่อนจะหันมายิ้มยียวนผมหนึ่งที "กลับบ้านดี ๆ นะ.. แพม ปีหน้าเอาใหม่ล่ะ สู้ ๆ" "จ้า....
ปุณณ์กับโน่ก็กลับบ้านดี ๆ นะ" เสียงใสนั้นบอกลาเราทั้งคู่ก่อนจะโบกมือว่อนแล้วพากันเดินจากไป ทิ้งให้ผมอยู่กับปุณณ์ต่อเพียงลําพั ง "หึ
หึ........ ไอ้ขี้หึง.... หึหึหึ" อะ...... อะไรนะ!.. ไอ้เชี่ยย.... ใครหึงมึงวะ! ผมเหลือกตาใส่มันอย่างไม่ยอมแพ้ "ก็เป็นมึงจะคิดไง ถ้าเห็น งั้นอะ!"
"เป็นกูจะลากมึงออกมาคุยให้รู้เรื่องเดี๋ยวนั้น หึหึหึ" ไหมล่ะ! มันน่ะร้ายกว่าผมอีก! ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ ปนเซ็งที่ ตัวเองคิดมากไป
ปุณณ์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเขยิบมานั่งข้างผมพร้อมตบไหล่เบา ๆ "แพมเค้าตกรอบสุดท้าย เสียใจมากเลยว่ะ กูเลยช่วยปลอบ... แต่ไม่มีอะไร
มากกว่านั้นจริง ๆ นะ มันไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับเวลาที่กูกอดมึงเลย... มึงเชื่อกูใช่เปล่า" "อือ...." ผมตอบคําอธิ บายยืดยาวนั้นเพียงสั้น ๆ
เพราะในหัวกําลังครุ่นคิดไม่ยอมหยุด ว่าวันนี้เป็นอะไร ถึงได้บุ่มบ่ามขนาดนั้น "แต่โน่ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่ครับ... มีอะไรในใจรึเปล่า ทําไม
คิดมากจัง" คําถามของปุณณ์ช่างตรงประเด็น เพราะเป็นคําถามเดียวกับที่ผมกําลังถามตัวเองพอดี ... ผมเป็นอะไร.. ระหว่างเราสอง
คนปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่พักหนึ่ง จนเหลือเพียงเสียงรถยนต์จากด้านนอกที่แล่นผ่านไปมาเท่านั้น จนเข็มนาฬิกาเดินไปนาน
เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ปุณณ์จึงถอนหายใจเสียงยาว
ฝ่ามืออุ่นนั้นเลื่อนมากุมมือผมไว้แผ่วเบา "กูก็ไม่รู้นะว่ามึงเป็นอะไร... แต่ความรู้สึกกูไม่เคยเปลี่ยนหรือลดลงเลย... กูอยากให้มึงมั่นใจในตัว
กูมากกว่านี้ ได้รึเปล่า" ซึ่งผมก็อยากเป็นแบบนั้น แต่.... "ไม่รู้ดิ่... ช่วงนี้กู... แปลก ๆ.." "แปลกยังไงครับ" ผมก ลืนนํ้าลายลงคออึก
หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "กูรู้สึกเหมือน.... ชีวิตมึงคงดีกว่านี้...... ถ้าคนที่อยู่ข้างมึงไม่ใช่กู...... ไม่รู้ดิ่.." แต่ด้วยคําตอบนี้ทําเอาเสียงที่เคยอ่อนโยน
ของปุณณ์ดูแข็งขึ้นมาทันใด "ทําไมโน่คิดอย่างนั้นอะ" ทั้งที่ผมไม่มีเจตนาจะทําให้มันโมโหเลยแม้แต่น้อย "ก็มึงจะไม่ให้กูคิดได้ ไง... ในเมื่อ
ทุกวันนี้มึงมีปัญหากับที่บ้านก็เพราะกู.... จนกู... กูคิดเลยไปว่า ถ้ามึง.... ถ้ามึงได้.. คบกับเด็กผู้หญิงดี ๆ... น่ารัก ๆ เรีย นโรงเรียนดี ๆ เก่ง ๆ
อย่างแพม.... ชีวิตมึงก็คงง่ายกว่านี้... มึงก็คงกล้าบอกที่บ้านอย่างเต็มปากเต็มคําว่า มึงกําลังคบใคร..... แล้วทุกอย่างก็คงดีกว่านี้.... ไม่รู้ดิ่....
แต่เพราะเป็นกู.......... มึงก็เลย......" ผมพ่นความรู้สึกลึก ๆ ในใจที่เคยเก็บไว้กับตัวเองออกมา แต่ไม่สามารถพูดต่อจนจบได้ เพราะทั้งหมดนี้
มันอาจจะมากเกินไป.. จนทําให้ปุณณ์เงียบ ใบหน้าคมคายนั้นวางสายตาที่ใบหน้าผมนิ่ง ก่อนริมฝีปากเรียวจะคลี่ยิ้มบาง ๆ "เพราะแบบนี้
ใช่มั้ย ถึงทําให้โน่ไม่สบายใจ" "อะ.... อืมม" ผมขานรับคําถามมันแบบงง ๆ ขณะที่ปุณณ์ฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นยืนพร้อมมัน "ถ้าอย่ างนั้น
ไปทําให้โน่สบายใจกันเถอะ" หะ....... หาา?? อะไรนะ!? ผมที่มึนงงไปหมดถูกปุณณ์ลากให้ตามไปถึงหน้ารั้วโรงเรียน ก่อนมันจะโบกแท็กซี่ด้วย
คําว่า
"ท่องหล่อครับพี่" เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยย!?

แล้วผมก็ต้องมานั่งหน้ามึนบนแท็กซี่โดยที่ไม่เข้าใจอะไรซักอย่างเดียว! หนําซํ้าไอ้หน้าหล่อที่ฮัมเพลงอารมณ์ดีอยู่ ยังทําหน้ามีเลศนัยชนิดเห็น


แล้วเสียวสันหลังวาบบอีก ไม่น่าวางใจเลยว่ะ! น่ากลัวจนอดระแวงไม่ได้ว่ามึงจะเอากูไปทําอะไรรึเปล่า!? ผมคิดสงสัยพร้อมว่าจะกระชากคอ
เสื้อนักเรียนเรียบแปล้นั่นมาถามให้รู้เรื่อง แต่รถเสือกเบรกเอี๊ยดหน้ารั้วบ้านภูมิพัฒน์จนแทบหงายซะก่อน เหี้ย!! ทําไมรถไม่ติดเลยวะ!? นี่
มันทองหล่อนะ ไม่ใช่พุทธมณฑล!! ทําไมโชคชะตาถึงได้ลําเอียง อะไร ๆ ก็เข้าข้างไอ้ปุณณ์ไปหมดอย่างนี้! ผมนั่งหน้าเหวอทันทีที่เห็ นรั้ว
บ้านคุ้นตา ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ขณะที่ลูกชายบ้านหลังนั้นเพียงยิ้มกริ่ม หยิบเงินจ่ายให้คนขั บแท็กซี่ และลากผมลงจากรถแบบทุลักทุเล
ทันที "จะ.... จะทําอะไรของมึงวะ!!" ก็เห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้วใจไม่ดีนี่หว่า พับผ่าสิ!! แต่ไอ้ห่าตัวสร้างปัญหายังคงยิ้มแบบที่ ผมคิดว่าโคตร
น่ากลัวต่อไป "มาเร็ว.... เดี๋ยวไม่ทัน" แล้วไม่ทันอะไรล่ะ!!!! โว้ยยย.. แถมไม่เหลือเวลาให้ผมประท้วงแล้ว เมื่อทั้งสองแขนถูกมันลากเข้า
บ้านทางประตูเล็กก่อน ผมค่อย ๆ เดินตามไอ้เจ้าของเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีนั่น ขณะตัวเองเหงื่อแตกเต็มหลัง โดยเฉพาะตอนเดิน
ผ่านโรงรถแล้วเห็นรถพ่อมันจอดนิ่งอยู่ ผมยิ่งระแวงหนัก "ปุณณ์..... มึงจะทําไร บอกกูก่อนน" เพราะกูก็มีสิทธิ์ที่จะรู้นะเฮ้ย! ไม่ใช่มาปิด
ประตูตีแมวแบบนี้! ผมพยายามยื้อแขนตัวเองกลับมาแต่ไอ้คนข้างหน้าเสือกคว้าไว้แน่น และยังไม่มีทีท่าจะบอกอะไรให้ฟัง นอกจากทําหน้ายี
ยวนตอบอีกต่างหาก
"ไม่บอก!" "ไอ้เชี่ยยยยยยยย ไม่บอกกูไม่เข้าไปจริง ๆ นะ!!" "ไม่ทันแล้วแหละ" ซึ่งก็คงไม่ทันจริง ๆ เพราะตอนนี้เราสองคนมายืน
หน้าประตูบ้านภูมิพัฒน์เรียบร้อยแล้ว... เสียงทีวีรายการข่าวภาคคํ่าดังแผ่ว ๆ เป็นสัญญาณว่าคนดูช่องนี้ไม่ใช่น้องแป้งแน่... แบบนี้จะ
ไม่ให้ผมกลืนนํ้าลายฝืดคอได้ไงอะ! "เชื่อกูสิ..." แต่น่าแปลกที่คําพูดสั้น ๆ เพียงคําเดียวจากปุณณ์ กลายเป็นดั่งเวทมนต์ไล่ความกังวลใจให้
ผมได้... ผมมองตอบนัยน์ตาเป็นประกายบนใบหน้าคมนั้น แล้วตัดสินใจเดินเข้าตัวบ้านไปพร้อมมัน "พ่อ........" แต่เฮ้ย!!!!!!!!! เรี ยกเลยเหรอ
วะ!!!!!!? ไอ้ห่านี่ทําเอาผมผงะไปสามก้าวเมื่อได้ยินเสียงปุณณ์ทักพ่อตัวเอง ที่กําลังดูทีวีในห้องนั่งเล่น แถมแม้จะภาวนาให้เจ้าของบ้าน
ภูมิพัฒน์ดูทีวีเพลิน หูตึง จนไม่ได้ยินเสียงลูกชายแค่ไหน ก็ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่เคยเข้าข้างผมเลย "ว่าไง... เพิ่งกลั บมาทําไมไม่ไปเก็บ
ของก่อน" ... ผมกลืนนํ้าลายฝืดคออีกครั้ง เพราะพอจะเดาออกว่า ไอ้คนข้าง ๆ กําลังคิดอะไร "พ่อ.." ปุณณ์เรียกพ่อตัวเองอีก ทั้งที่ยัง
ประจันหน้าอยู่ ราวกับคนชั่งใจตัวเองไม่ขาด "........" แต่คราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใหญ่ตรงหน้าแล้ว.. ผมรู้ว่าพ่อรู้ ว่า สาเหตุที่เราสอง
คนมายืนอํ้า ๆ อึ้ง ๆ กันอยู่ เป็นเพราะอะไร
ปุณณ์สูดหายใจทางปากเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดออกมา ".. ผมมีแฟน" แต่เฮ้ย!!! เอางี้เลยเหรอวะ!? ผมถึงกับต้องกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความมึน
เผื่อว่าเมื่อกี้จะแค่หูตาฟ่าฟางไป แต่ภาพที่เห็นยังคงเป็นไอ้ปุณณ์กับพ่อยืนประจันหน้าอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เจ้าของบ้าน
ภูมิพัฒน์ดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด "ยอมพูดแล้วรึไง ไอ้ตัวดี" "ผมจะพูดเท่าที่ผมอยากพูด" แล้วยังไปต่อล้อต่อเถียงกับเค้าอีก!! โ อ่ยยย กูล่ะ
ปวดกบาล เดือดร้อนต้องควานหายาดมในกระเป๋ากางเกงตัวเองแต่ดันเจอแค่โทรศัพท์มือถืออีก โอ่ย... กูลืมไว้ที่ห้องชมรม บรรยากาศเริ่ม
ตึงเครียดจนผมรู้สึกอึดอัด "แล้วแกอยากพูดอะไร" พ่อมันถามกลับพลางถอดแว่นสายตาที่ใช้ดูทีวีเมื่อกี้ออก เป็นสัญญาณว่ากําลังโฟกั สแค่
ลูกชายตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ขณะที่นัยน์ตาปุณณ์ดูมั่นใจขึ้นมาก "ผมคิดอยู่หลายคืน.. ว่าพ่อทําแบบนี้ทําไม.. พ่อจะบังคับให้ผมพูด
เพราะอะไร" "....." "แล้วผมก็ได้คําตอบ.. ว่าเป็นเพราะพ่อรักผม พ่อเลยไม่อยากให้ผมเป็นแบบพี่เภา... แต่พอคิดได้แบบนี้ ผมเลยรู้ว่า...
พ่อไม่เคยไว้ใจผมเลย" "ไม่ใช่ว่าพ่อไม่ไว้ใจแก" เสียงทุ้มของพ่อเริ่มพูดบ้าง หลังจากเงียบอยู่นาน ทําเอาใจผมแทบหยุดเต้น "แต่แกเคยคิด
ไหมว่าอายุแค่นี้มันจะไปกันได้ซักกี่นํ้า แกจริงจังกับเขาแล้วเขาจริงจังกับแกมั้ย ไอ้พวกทื่อ ๆ ซื่อ ๆ อย่างแก พ่อเห็นมานักต่อนัก แล้วว่า
สุดท้าย ก็มานั่งครํ่าครวญว่าเสียใจ ไม่น่าเลือกแบบนี้เลย... หรือถ้าแกโชคร้ายได้เท่าไอ้เภา ซึ่งก็มีโอกาส เพราะแกเป็นลูกพ่อ ใครก็จับตามอง
แก แกก็จะถูกนักข่าวขุดคุ้ยแต่เรื่องไม่ดีออกมาให้โลกรู้ ถ้าถึงวันนั้นแกจะยังยืนทําเก่งแบบนี้ได้รึเปล่า มันคุ้มแล้วเหรอที่แกจะเ อาตัวลงไป
เสี่ยง"
"คุ้มครับ" "อะไรนะ" "ปุณณ์ไม่กลัว แล้วปุณณ์ก็ไม่สนด้วย ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่..." "......" "ปุณณ์ตอบพ่อไม่ได้หรอก ว่า
เราจะไปกันซักกี่นํ้า หรือเขาเป็นคนดีพอสําหรับปุณณ์หรือไม่ แต่วันนี้เรารักกัน และปุณณ์รักเค้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นปุณณ์ก็จะรัก เค้า ต่อให้
วันข้างหน้าต้องเสียใจ หรือเลวร้ายแค่ไหน ปุณณ์จะรับเอาไว้ทั้งหมด และพ่อจะไม่มีวันได้ยินคําว่า เสียใจที่เลือกเค้า จากปากปุณณ์... ไม่มีวัน
นั้น" ห้องโถงกลางเงียบไปครู่ใหญ่.. แม้แต่เสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ ผมก็ยังไม่ได้ยิน ด้านหลังของปุณณ์ดูแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวจนอดทึ่งในความ
กล้าหาญของคนตรงหน้าไม่ได้ ขณะเดียวกันผมก็เกลียดตัวเองเหลือเกิน ที่เคยระแวงคนที่รักผมมากขนาดนี้.. พ่อของปุณณ์สาวเท้าเข้าไป
ใกล้ปุณณ์ จนแทบยืนชนกัน ก่อนมือข้างนั้นจะเอื้อมไปบีบไหล่ลูกชายคนเดียวหนัก ๆ "ก็อยากได้ยินแค่นี้ล่ะ นึกว่าจะไม่เป็นลูกผู้ ชายพอ
ซะแล้ว.. อีกหน่อยมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่กลัวใช่มั้ย" "ครับ" "จะไม่พูดคําว่าเสียใจให้พ่อได้ยินใช่มั้ย" "ใช่ครับ" "คิดดีแล้วใช่มั้ย"
"ดีที่สุดครับ" "เป็นลูกพ่อต้องอดทน... จําคํานี้ได้ใช่มั้ย" "ผมดีใจที่ได้เป็นลูกพ่อครับ" ภาพพ่อกับลูกกอดกันตรงหน้าทําเอาผมนํ้า
ตาซึมหน่อยนึงแฮะ.. ไม่รู้เพราะดีใจหรือโล่งใจหรือสองอย่างปน ๆ กัน เฮ้อ... ไอ้ปุณณ์แอบหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะคุยกับพ่อต่อเหมือนเดิ ม
"ปากหวานนะไอ้นี่ อยู่กับแฟนก็ปากหวานงี้งั้นสิ" "เปล่านะ แค่พูดตามที่คิด" ดูมันยังแถครับ เสียงเจ้าของบ้านภูมิพัฒน์หัวเราะร่วนก่อนจะ
โยกหัวลูกชายคนเดียวเล่นเบา ๆ "จะคบใครก็คบไปเถอะ ถ้ามั่นใจขนาดนี้พ่อกับแม่ค่อยหายห่วงหน่อย ไอ้แบบอํ้า ๆ อึ้ง ๆ อย่างตอน
แรกน่ะ แม่เค้าใจไม่ดี.... อ้าวโน่ มายืนทําอะไร ให้กําลังใจไอ้นี่มันเหรอ" เอ่อ.... ไม่รู้ดิ่ ครับ... ผมเกาหัวตัวเองแกรก ๆ สองทีพร้อมส่งยิ้มแหย
ๆ กลับไป "เอาไปบอกแฟนมันด้วยนะว่าวันนี้มันยอมงัดกับพ่อเพื่ออุดมการณ์ของมัน ฮ่า ๆ นิสัยเหมือนใครวะ" "เหมือนพ่อแหละ งั้ น
ผมไปอาบนํ้าก่อนนะ" ไอ้ปุณณ์ว่าพลางส่งยิ้มเผล่มาทางผม จนขนลุกซู่ด้วยความเสียวสั นหลังวาบ "ไปเถอะ แล้วโน่ล่ะ คืนนี้นอนนี่รึเปล่า
หรือจะกลับบ้าน ถ้ากลับบ้านเดี๋ยวพ่อให้คนรถไปส่ง" "กะ...."
"โน่นอนนี่!!! ผมโทรบอกบ้านโน่แล้ว" ไอ้ตอแหล!!!!!!!!!! ผมหันไปจ้องไอ้ขี้ตู่เขม็งแต่ดูท่าทางแม่งไม่สะทก เจ้าของบ้านภูมิพัฒน์ แค่ยิ้ม
ตอบเรากลับมา ก่อนจะเดินกลับไปนั่งดูทีวีที่โซฟาตามเดิม "งั้นก็รีบขึ้นไปอาบนํ้า ทําการบ้านกันได้แล้ว อย่านอนดึกล่ะ" "คร้าบบ การ
บ้านน่ะทําอยู่แล้ว" เดี๋ยวนะ... มึงพูดเรื่องเดียวกับพ่อปะเนี่ย.. แต่ดูจากสายตาที่หลิ่วมากูว่าไม่ใช่นะ!! ผมยกมือหมายจะชูนิ้วกลางใส่หน้ามัน
แต่ไอ้ตัวดีเสือกลากแขนผมข้างนั้นให้เดินขึ้นบันไดตามไปก่อน เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย ... แอ๊ด ---ปัง!! "เป็นไง รู้สึกดีขึ้นรึเปล่า ?"
เอ่อะ... ปิดประตูห้องปุ๊บก็ถามปั๊บเลยว่ะ กุปรับสภาพไม่ทัน "ก็... มึน ๆ ว่ะ... มึงก็กล้าเนอะ" เพราะถ้าเป็นกู... กูป๊อด ฮ่า ๆๆ.. ผมว่า
พลางเดินไปโยนกระเป๋าลงโซฟาพร้อมขยับชายเสื้อออกมานอกกางเกง ขณะที่ปุณณ์ฉวยรีโมทกดเปิดแอร์ "อือ เพื่อมึงเลยนะ จะได้เลิกคิด
มากซักที" อ๋อเหรอออออออออ ผมแกล้งเบะปากใส่มัน ทําทีเหมือนไม่เชื่อ (ทั้งที่จริง ๆ ก็เชื่อนั่นแหละ แต่อยากแกล้ง จ ะทําไม ฮ่า ๆ) ไอ้
ปุณณ์เลยหน้าบูดเหมือนนมกล่องค้างปี "ไร... ดูทําหน้า... มานี่เลย มาใกล้ ๆ กู" แล้วไม่บูดเปล่ายังกวักมือเรียกอีก ผมหันไปส่ง สายตาไม่
ไว้ใจให้ไอ้เจ้าของห้องนั่น แต่มันกวักมือยิกจนน่ากลัวข้อมือจะหัก เลยเดินไปหาหน่อยก็ได้วะ แล้วก็คิดผิดจริ ง ๆ ที่มา เพราะยังไม่ทันถึง
ตัวอีกฝ่ายดี ไอ้ปุณณ์ก็คว้าผมไปกอดซะแน่น!
ปลายจมูกโด่งกดลงกับแก้มผมแบบที่ไม่รอให้ทันอุทธรณ์ "ไหน... ขอรางวัลหน่อย มีรางวัลอะไรให้กูบ้าง หืม ?" แล้วยังกล้าพูดว่าขอนะ ทั้ง
ที่ทําตัวเหมือนจะมาปล้นกันชัด ๆ ผมคิดระหว่างปุณณ์เริ่มฝั งจูบที่ซอกคอผม "เชี่ย อาบนํ้าก่อน" "ไม่เอา" เอ่อะ.. ลางร้ายเริ่ม
ปรากฏครับ... ผมพยายามเอียงตัวหลบริมฝีปากหยุ่น ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามมาพรมจูบได้ ขณะมือมันสาละวนกับการปลดกระดุมเสื้อนักเรียน
ผมไปด้วย "ปุณณ์....." แล้วฟังกูบ้างป่าวเนี่ย!? "ว่าไงครับ" ในที่สุดไอ้คนตรงหน้าก็ยอมมองตอบ พร้อมหยุดสาละวนกับร่างกายผมครู่
หนึ่ง... แต่.. เอ่อ... สายตาที่มองมานี่ดิ่ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าโคตรเต็มไปด้วยความต้องการเลย.... เอ่อ... เอาไงดีวะ ผม ชักเริ่ม
ตะกุกตะกัก โดยเฉพาะตอนมันมองหน้าและใช้ฝ่ามือลูบข้างลําตัวผมไปด้วย "ปะ... ไปที่เตียงแล้วกัน... บนพรมมัน... จั๊กจี้" โว้ยยยยยยย แล้ว
กูพูดอะไรออกไปวะ!! อย่ามองกูแบบนั้นได้ไหมเนี่ย! ผมแหกปากด่าตัวเอง(ในใจ)ดังลั่น ขณะไอ้ปุณณ์ส่งยิ้มกว้าง "หึหึ..." ใบหน้าคมนั้นโน้ม
มาหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่ ก่อนเสียงกระซิบแผ่วเบา จะดังที่ข้างหู "น่ารักแบบนี้ อย่าหวังจะได้นอน" อ่าวไอ้เหี้ย!!!! ความผิดกูปะวะ! ผมอ้า
ปากทําท่าจะสวนกลับ แต่เสือกถูกลากไปที่เตียง และมีริมฝีปากนุ่มประกบมากางกั้นคําพูดทั้งหมดก่อน เฮ้อ.. วันนี้ตามใจมันแล้ วกัน

60th CHAOS
หลังจากเรื่องร้าย ๆ (สําหรับผม) ผ่านพ้นไป ชีวิตของพวกเราก็ปกติสุขอยู่สองสามวันครับ เป็นสองสามวันที่สุดแสนสงบ เหมือนเวลาฟ้าใส
ก่อนพายุมา จนพวกผมแทบไม่ทันระวัง ว่านี่มันใกล้มรสุมเข้าไปทุกทีแล้ว แถมยังเป็นมรสุมลูกใหญ่ด้วย เพราะมันคือ... มรสุมไฟ
นอล!!!!!!! ชิบหายแล้วแม่งงงงงงงงงงงงง ณ จุด ๆ นี้ฆ่าผม ฆ่าผมให้ตายดีกว่าาา (ก่อนจะโดนอาป๊าฆ่าตอนเกรดออก) ฮือ ๆๆ
Y____Y ก็ไม่ให้รู้ชะตากรรมตัวเองได้ไงอะครับ ในเมื่อวัน ๆ เอาแต่นอน ครูสอนก็เล่น psp กลับบ้านไปเอาแต่ตีดอท แถมตื่นเช้ามายังลอก
การบ้านไอ้เก่งอีก แล้วแบบนี้จะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบวะนั่น!? เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงต้องรีบหอบผ้าหอบผ่อนไปค้างบ้าน ดร.แหวน ซะ
หลายคืน เพื่อ..... ตีดอทกับไอ้โอม.. ไม่ใช่!!! เพื่ออ่านหนังสือต่างหากครับ!!! (หลุดปากจนได้นะเรา) แหะ ๆๆ.. แต่อ่านกับมันสองคนก็ ใช่ว่าจะ
ประเทืองปัญญาอะไรขึ้นมา สุดท้ายเลยต้องโทรลากไอ้เก่ง ไอ้ปาล์ม ไอ้พ้ง ไอ้รถเก๋ง (ที่พอจะมีสมองเหลืออยู่บ้าง) ให้มาช่วยกันติวหน่อย แต่
พอไอ้โด่งไอ้เคนไอ้เอ็มรู้ข่าว เลยตามมาขอแบ่งส่วนบุญ.. เอ๊ย.. ส่วนกุศล.. เอ๊ย!! ความรู้ บ้าง (กูไม่ตั้งใจพูดผิดจริง ๆ น้า...) แล้ว
มหกรรมติวระดับชาติก็เริ่มขึ้นครับ! (เว่อร์ไป ๆ..) ผมนอนควํ่ากับพื้นโดยที่มือก็ช็อตโน้ตเนื้อหาสําคัญที่พวกมันช่วยกันทวนให้ฟังไปด้ วย แต่
โคตรมึนเป็นระยะ ๆ... ไม่ดิ่... มึนตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันเลยต่างหาก เพราะไอ้ติวเตอร์รับเชิญที่มานั่งติวกันแต่ละคน แม่งงงงงงงง โคตรจะไม่
สามัคคีเลยครับ!! มึงเรียนห้องเดียวกันจริงป่าววะ!!! ผมล่ะถึงกับต้องกุมขมับตอนไอ้เก่งกับไอ้ปาล์มเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวรเรื่องคว ามต่าง
ศักย์ไฟฟ้า การต่อเซลส์ไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าห่าเหวอะไรนั่นกันชิบหาย โอ่ยยย.... แล้วกูจะได้รู้เรื่องกะเขาไหมมมมมมมเนี่ยวันนี้ งั้นเปลี่ยนวิชา
แล้ ว กั น ! พวกผมตั ด สิ น ใจปิ ด หนั ง สื อ ฟิ สิ ก ส์ (เพราะหาฝ่ า ยถู ก ฝ่ า ยผิ ด ไม่ ไ ด้ ) แล้ ว เปลี่ ย นเป็ น ชี ว ะแทน แต่ . ....... ก็ ไ ม่ มี อ ะไรดี ขึ้ น
เลยยยยยยยยยยยย ไอ้เก่งกับไอ้ปาล์มยังคง
เดินหน้าตีกันไม่หยุดเหมื๊อนนนเดิม ทุกประการ เรียกได้ว่าพอเก่งพูดปาล์มแย่ง พอปาล์มแย้งเก่งขัด ความซวยเลยตกที่คนฟัง เพราะทั้งมึน
และงง จนต้องปล่อยไอ้ติวเตอร์สองคนเถียงกันไป ก่อนที่โทรศัพท์มือถือผมจะร้องลั่น พลางโชว์ชื่อพ่อพระประจํางานซะหรา....... หึหึหึ
กดโหวต ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ เป็นค าตอบสุดท้ายครับ!!!! ก็ช่วยไม่ได้ อยากซวยโทรมาตอนพวกกูกําลังเดือดร้อนอยู่ทําไม เลยต้องรับ
กรรมไป ฮ่า ๆๆ ปุณณ์มันเป็นพวกหัวดีครับ เด็กห้อง gifted ก็งี้ ถึงจะเห็นวัน ๆ เอาแต่ไร้สาระกับผม แต่เวลาเรียนมันคงตั้งใจอะ เพราะ
คะแนนสอบหรูตลอดจนแอบอิจฉา เรื่องของเรื่องคือวันนั้นปุณณ์มันจะโทรมายืมซีดี nirvana อัลบั้มแรกที่รู้ว่าผมมีในครอบครองครับ (ของ
หายากนะนั่น ขอบอก... ว่าแต่ใกล้สอบแล้วยังมีอารมณ์ฟังเพลงว่ะ ชิวจริงนะมึง) แต่ปัญหาคือผมไม่ได้อยู่บ้าน และที่สําคัญ.... ถ้าอยากได้ ก็
ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน หึหึหึ... ปฏิบัติการติวแบบเร่งรั ดจึงเกิดขึ้น โดยคุณครูปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ผู้... น่าสงสาร... โคตร ๆ... เพราะมี
นักเรียนเป็นพวกผม ฮา ๆๆ ปุณณ์แม่งน่าสงสารจริง ๆ ว่ะ.. ผมล่ะเครียดแทน ยิ่งตอนไอ้โอมพยายามถามซ่อกแซ่กว่าไอ้ออยเลอร์มันเป็นใคร
บ้านอยู่ที่ไหน จะได้ไปตีหัวพ่อออยเลอร์ถูก โทษฐานเสือกคิดทฤษฏีกราฟมาให้มันปวดหัว (เค้าตายแล้วมั้งมึง!) ไอ้ห่านี่ก็คิดได้.... งั้นกูขอฝาก
ตีด้วยคน กูก็เกลียดมันเหมือนกัน -_- สุดท้ายสรุปว่า ไป ๆ มา ๆ ปุณณ์เลยต้องติดแหงกในบ้าน ดร.แหวน ถึง 3 วัน 2 คืนเต็ม ๆ
(ทํายังกะเข้าค่าย) จนพวกผมเกรงใจตะหงิด ๆ แต่เพราะมันบอกว่าไม่เป็นไร ถือซะว่าทบทวนบทเรียนไปในตัว ผมที่ค่อนข้างเป็นคนขี้เกรงใจ
อยู่แล้วก็เลยบอกให้หลังมันติวเลขเสร็จ ช่วยติวฟิสิกส์ต่ออีกวิชาแล้วกัน (ฮา...) แน่นอนว่าตั้งใจติวขนาดนี้ พอถึงเวลาสอบก็ต้อง
.............. ทําไม่ได้อยูด่ ี -_-"......
โว่ยยยยยยยย ต้องการอะไรจากผมเนี่ยยยยมาสเซ่อ!!!!!!!!! แม่งงงงง.. จริง ๆ ที่ไอ้ปุณณ์เก็งข้อสอบไว้มันก็ออกอะนะ แต่ตอนที่มัน
สอนอยู่ผมก็แค่......... เคลิ้มไปหน่อย... แหะ ๆๆ ก็แอร์บ้าน ดร.แหวน อยากเย็นเองทําไมอะ แถมน้าเพ็ญ (คนเก่าคนแก่บ้าน ดร.แหวน เค้า)
ยังชอบยกนํ้าอัดลม ขนม ผลไม้ แห่ขบวนมาปรนเปรอพวกผมซะเต็มอัตราศึกอีก โอ่ย.... เรียกได้ว่าสมาธิ 60% จดจ่ออยู่กับกระป๋องพริกเกิ้ล
20% อยู่กับข้าวเกรียบปากหม้อ 10% อยู่กับโค้ก ส่วนที่เหลือ 10% สุดท้ายจึงได้เป็นหนังสือ ฮ่า ๆๆ.... เกรดเทอมนี้ กูจะกินไข่ป่าวเนี่ย -_-
แต่เอาเถอะครับ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป (เหรอ.. T____T) เพราะยังไงพวกผมก็ได้มีปิดเทอมที่แสนสําราญกันอยู่ดี=D ช่วงต้นปิดเทอม
เราไปเที่ยวทะเลกันมาครับ! มีโอม เก่ง รถเก๋ง พ้ง เอ็ม โด่ง ปาล์ม แล้วก็ผม บุกเกาะช้างกัน 4 วัน 3 คืน กลับมาอย่างดํา! (โดยเฉพาะเชี่ยโอม
ซ่าส์นัก ตอนนี้ตัวดําเป็นเมี่ยง) มีเรื่องสยอง ๆ เกิดขึ้นด้วย แต่ไม่เล่าหรอกครับ อิอิ (ความลับ) แต่ก็ใช่ว่าปิดเทอมจะมีแต่เรื่ องสนุกสนานโอ้
หลั่นล้าไปซะทีเดียว... เพราะทางโรงเรียนดันหน้าเลือดบังคับนักเรียนม.ปลายทุก คนลงเรียนซัมเมอร์ช่วงเดือนมีนาถึงเมษาอีก ฮืออ T___T
ใจร้ายที่สุดด แต่ก็ยังดีครับ ที่มีค่ายเภสัชฯเหลือ ช่วยเยียวยาแผลใจให้พวกผมอยู่ อิอิอิ.... หวังว่าที่ค่ายคงมีสาว ๆ น่ารักมาให้มอง
เป็นขวัญตาอย่างที่ไอ้โอมโม้ไว้นะ หึหึ เช้าวั นที่รุ่นพี่คณะเภสัชศาสตร์นัดผม เป็นเช้าที่โคตรรรรรรรรรรรรรรรร... เช้าครับ!
กําหนดการนัดหมายคือเวลา 7 โมงเช้าที่สถานีรถไฟหัวลําโพง โอ่ย........ กูจะบ้าตาย... ปกติปิดเทอมแบบนี้ 7 โมงเพิ่งเป็นเวลานอนเองนะ -
_- แต่นับว่าโชคยังดีที่ไอ้ปุณณ์ไหวตัวทัน เพราะมันเล่นโทรมาปลุกผมตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ครับ ไม่งั้นคงได้มีเด็กตกรถไฟบ้างล่ะ ก็กว่าผมจะหาย
เห่อเกม wii ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ก็ล่อไปโน่นนนน เกือบตีสี่... ดังนั้นเรื่องจะให้ตื่นตรงเวลาเองนี่ลืมไปได้เลย... ผมคิดพลางเดินสะโหลสะเหลล
งจากแท็กซี่เพราะนั่งสัปหงกมาตลอดทาง (แถมรถยังติดอีกต่างหาก) ผมเดินเซตุปัดตุเป๋ไปหน้าประตูที่ปุณณ์นัดไว้ เห็นแล้วว่าไอ้
หน้าหล่อยืนยิ้มเผล่มาแต่ไกล ท่าทางมันคงลุ้นอยู่ว่าผมจะเดินไปถึงมันโดยสวัสดิภาพมั้ย เพราะจะว่าไป... ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกําลัง หลับตา
เดิน
เลยว่ะ -_- "นอนดึกดิมึง กูบอกแล้วให้รีบนอนไม่เชื่อ" "กูไม่ได้นอนดึกซักหน่อย.......... กูนอนเช้า.." เชี่ยย แล้วพูดผิด
ตรงไหนวะ ถึงได้ตบหัวกูรับอรุณแบบนี้! ผมลูบหัวตัวเองอย่างเคือง ๆ ผสมมึน ๆ (เพราะยังไม่ตื่นดี) ขณะที่โดนปุณณ์ลากแขนให้เดินไปทาง
ชานชาลาด้วยกัน ระหว่างเรากําลังจะเดินเข้าประตูชานชาลา ก็เสือกเจอหน้าตาตื่น ๆ ของไอ้โอมโผล่มาขวางทางเอาไว้ก่อน
"เฮ้ยไอ้ปุณณ์!!!!!!!!!!!" แถมไม่ทักทายกู เสือกเรียกชื่อไอ้ปุณณ์เลยซะงั้น!? ทําเอาผมรู้สึกตื่นขึ้นมาครึ่งนึงทันที "ไรครับ ?" แถมไม่รู้
คิดไปเองหรือเปล่า... ว่าสําเนียงไอ้ปุณณ์ที่ขานกลับถึงจะฟังดูสุภาพ แต่จับพลังได้ว่ามันกวนตีนแปลก ๆ? ผมยืนมองทั้งสองคน
ตาปริบ ๆ ก่อนที่เชี่ยโอมจะแยกเขี้ยวใส่เลขาสภาฯ อดีตผู้มีพระคุณของมัน (เมื่อครั้งไฟนอล) "มึง!!!!!!! ไหนบอกว่าค่ายเภสัชฯไง
วะ!!!! แล้วนี่อะไรเนี่ย!!!!!!" "อะไรอะ????" คราวนี้เป็นผมเองครับที่เจ๋อถามขึ้นมา เพราะอดเสือกไม่ได้จริง ๆ.... ว่าแต่นี่ไม่ใช่ค่าย
เภสัชหรอกเหรอวะ? โอมส่งสายตาเคือง ๆ มาทางผมก่อนจะตอบ "ก็มันเป็นค่ายปลูกป่าไง!!!!! ไอ้ปุณณ์! มึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้!!!"
แถมไม่ถามเปล่ายังดึงเสื้อไอ้ปุณณ์อีก!
แต่ไอ้ห่าเลขาสภาฯแค่ทําท่าขํา ๆ ก่อนจะตอบ "แล้วมันเขียนว่าคณะไรเป็นคนทําค่ายอะโอม" "เภสัช" "เออ
แล้วกูผิดตรงไหน... กูบอกค่ายเภสัชฯ ไม่ได้บอกว่าค่ายแนะแนวเภสัชฯ หึหึ" โห.... ไอ้ชั่ววววววววววว มึงหลอกพวกกู!!!!!!! ผมกับโอมอ้าปาก
ค้า งพร้อมรู้สึกฝัน สลายอย่ างยั บเยิน น ก็แม่ง งงงงงง.. จะมีเด็กผู้หญิง ที่ไ หนมาออกค่า ยปลูกป่า ถึก ๆ อย่า งนี้ กัน ล่ ะครับ เซ็ง โว๊ ย!!!! !!!!!
เป็นอย่างนั้นผมกับโอมเลยทําหน้าเหมือนกันเปี๊ยบบบ คือบ่งบอกว่าอยากกลับบ้านสุด ๆๆๆ แต่ท่าทางไอ้ปุณณ์จะไม่ยอมให้กลับ เพราะรีบ
ดันหลังทั้งผมและโอมยกใหญ่ "เออ ไปเหอะน่า! สนุกดีเหมือนกันล่ะ มึงจะไปทําไมวะค่ายแนะแนว อยากเรียนเภสัชฯเหรอ.. เออ
ไม่ได้อยากเรียนซักหน่อย ไปค่ายปลูกป่าแบบนี้ดีกว่า ได้ประโยชน์กว่าด้วย" เหอะ ๆ.. ดีเนอะมึง พูดเองตอบเองก็เป็น ผมกับโอมเบะปากแข่ง
กันอย่างสุดจะทนในความขี้โมเมของไอ้คนที่มาดันหลังอยู่นี่ แต่ให้ทําไงได้วะ ก็คนมันถ่อมาถึงที่แล้วนี่หว่า... เอาเป็นว่าฝากไว้ก่อ นเหอะ
มึง!!!!!!! สุดท้าย... เราก็มายืนกันตรงนี้จนได้.... ผมฉีกยิ้มแหย ๆ ให้รุ่นพี่สาว ๆ มากหน้าหลายตาที่มายืนรอต้อนรับพวกเราอยู่
โดยมีป้ า ย 'ค่ า ยปลู กป่ าพั ฒ นาชุ ม ชน โดยคณะเภสั ชศาสตร์ มหาวิ ท ยาลั ย xxx' กางหรา.... เฮ้ ออ.. เชี่ ย ปุ ณณ์ น ะเชี่ ย ปุ ณณ์ อํ ากูไ ด้ !
แต่ดูท่าตอนนี้ไอ้โอมจะไม่ผิดหวังเลยสักนิดครับ! เพราะมันกําลังส่งยิ้มเคลิบเคลิ้มให้รุ่นพี่นิสิตสาวหน้าหวาน ที่รับชื่อลงทะเบียนพวกเราอยู่
"ชื่ออะไรกันคะ" "โอมครับ พี่ล่ะ" เก็บงูหน่อยมึง!
พี่สาวคนสวยของไอ้โอมฉีกยิ้มหวานเจี๊ยบบบ อีกหนึ่งที (ขออนุญาตเคลิ้มด้วยคนครับ... โอ๊ยยย น่ารัก!! ว่าแต่ไอ้ปุณณ์เหี้ยติดคอ
เหรอ ไออยู่นั่น) ก่อนจะตอบโอมด้วยสําเนียงสดใสรื่นหูว่า "พี่หมายถึง.... ชื่อที่น้องใช้ลงทะเบียนน่ะ ชื่ออะไรคะ จะได้หาป้ายชื่ อให้" ป่อยยย
ไอ้ โ อมหน้ า แหก ก๊า กกกกก ผมหลุ ดขํา อย่า งสะใจ ขณะที่ เชี่ ย แม่ง ลอบกระทืบ เท้ าผมอย่า งไวเช่ น เดี ย วกัน อู ยยยย เจ็ บ บบนะ ไอ้ สั ด !
หลังจากเราได้ทําการหน้าม่อ หลอกล่อจนรู้ชื่อพี่เค้ามาแล้ว (พี่เค้าชื่อหลิวครับ โอ๊ยย คนอะไรไม่รู้รูปก็งามนามก็เพร าะ ผมกับโอมนี่แอบ
กระทุ้ งกันไปกระทุ้ งกันมาหลายที จนซี่ โครงแทบหั ก) เราจั ดแจงลงทะเบีย นเป็ นคนมาค่า ยพร้อมรับป้ า ยชื่ อด้ วยกัน จึง พบว่า ...........
ป้ายชื่อสามอันมันต่างสีกันอย่างสิ้นเชิง? อะไรวะ???? ผม โอม ปุณณ์ มองหน้ากันเองอย่างงง ๆ เพราะป้ายผมที่มีคํา
ว่า N'โน่ เขียนอยู่เป็นสีแดงเถือก ส่วนไอ้ปุณณ์เหลืองอ๋อย แต่ที่เด็ดสุดต้องของโอมเพราะมัน... ชมพูแป๋นนนนนนนนนนน กร๊ากกกกกก
แต่ไม่ทันที่ไอ้เชี่ยโอมจะได้โวยวายอะไร รุ่นพี่ชายหญิงกลุ่มหนึ่งก็แห่มากระโดดขวางหน้าเราไว้อย่างรวดเร็ว!? เหยยย ตกใจหมด! ผมยืนอ้า
ปากค้างมองดูรุ่นพี่พวกนั้นที่แหกปากตีกลองร้องเพลงสันทนาการลั่นชานชาลาอย่างกับลืมไปว่าตอนนี้น่ะ... เจ็ดโมงเช้านะ!! ปกติ
ตื่นมาเต้นเวลานี้กันทุกวันเหรอครับพี่!? ผม โอม ปุณณ์ ยืนกันแบบกระพริบตาไม่ลงซักปริบ เมื่อเหล่าพี่ ๆ ฝ่ายสันทนาการวิ่งมา
ล้อมรอบพวกเราไว้เป็นวงใหญ่พลางส่งเสียงเอ็ดตะโรโห่ร้องและกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง (ผีเข้ารึเปล่าครับ....) แล้วจะให้เด็กไ ม่รู้
อีโหน่อีเหน่อย่างพวกผมทํายังไงได้.... นอกจากยืนสงบนิ่งอยู่กลางวง ปล่อยให้พี่เขาได้บ้า ๆ บอ ๆ สมใจอยากไป (แต่พี่พอใจเมื่อไหร่ก็ปล่อย
ผมออกจากวงด้วยแล้วกัน Y____Y)
ไป ๆ มา ๆ ไอ้ที่คิดว่าจะได้ยืนมองเฉย ๆ ก็เสือกกลายเป็นผิดถนัด! เพราะหลังจากที่พี่เขาทั้งร้องทั้งเต้นเพลงสันทนาการกันพัก
ใหญ่ พี่ ผู้ ห ญิ ง คนหนึ่ ง ในหมู่ นั้ น ก็ กํ า มื อ เป็ น ไมโครโฟนมาจ่ อ ที่ ป ากไอ้ ปุ ณ ณ์ ก่ อ นจะร้ องเพลงถามมั น พร้ อ มเสี ย งกลองดั ง กระหึ่ ม ว่ า ..
"น้องชื่ออะรายยยยยย น้องชื่ออะรายยยยยยยยยยยยยยย" ทั้งที่แขวนป้ายชื่ออยู่บนคอเนี่ยนะ -_-"... ผมหลุดขําทันที เพราะไอ้ปุณณ์เสือก
สะดุ้งโหยงเหมือนคนเจอผีตอนถูกพี่เค้าประชิดตัว แถมยังเหงื่อตกตอนเจ็ดโมงอีกแน่ะ ตลก! ผมล่ะขําที่เห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดบริเวณขมับเลขา
สภาฯ พลางรู้สึกเป็นบุญตายิ่งนัก ที่ได้มีโอกาสเห็นปุณณ์ ภูมิพัฒน์คนเก่งกําลังตกในที่นั่งลําบากเช่นนี้ ฮ่า ๆๆ "เอ่อ.... ชื่อปะ... ปุณณ์ ครับ"
แล้วไอ้เสียงกรี๊ดรอบทิศทางนี่มันอารายยย! พวกผมถึงกับผงะไปนิดหนึ่งก่อนพี่ ๆ ต้นเสียงนั้นจะตีกลองร้องเพลงต่อ "น้องชื่อปุณณ์!! น้องชื่ อ
ปุณณ์!! ต้องทําท่า อย่างงี้ อย่างงี้!! ต้องทําท่า อย่างงี้ อย่างงี้----!!" แล้วมันท่าอะไรวะนั่น!!!!!! กร๊ากกกกกกก ผมหลุดขําก๊าก เมื่อรุ่นพี่ผู้ชายคน
หนึ่งกระโดดออกมาทําท่าแอ่นก้นไปทางขวา แล้วใช้มือขวาตบก้นสองที เพี๊ยะ ๆ ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ ไอ้ปุณณ์หน้าเสียว่ะ แต่ไม่กล้าหือ (ตอนนี้รุ่ นพี่
มาล้อมวงพวกผมอย่างเยอะอะครับ มองเผิน ๆ นึกว่าโดนรุมกระทืบ) สุดท้ายไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ คนเก่งทุกสถานการณ์ เลย ต้องยอมแอ่น
ตูดงอน ๆ ของมันไปทางขวา แล้วตบตูดตัวเองแบบอาภาพรในเพลงเชพบ๊ะสองที กร๊ากกกกกกกกกกก กูล่ะอยากถ่ายคลิปเก็บจริง ๆ
แน่นอนว่าปุณณ์โดนไอ้โอมก็ไม่เหลือ ผมเลยยิ่งฮาหนักเข้าไปอีก ตอนที่มันโดนเขาสั่งให้ทําท่าชายน้อยเดินรอบชานชาลา ฮ่า ๆๆๆๆ มึง ช่วย
สงสารบุ คคลไม่เกี่ย วข้องมั่ งเหอะ! ผมแอบเห็น คุณ ยายหั ว หงอกสะดุ้ง เฮื อก ตอนมั นเดิน ง่อยเข้า ไปใกล้ ๆ เขา ก๊า กกกกก บาปกรรม!
แต่ไปขําคนอื่นไว้มาก ตัวเองก็ใช่ว่าจะรอดครับ!!!!! เพราะจนแล้วจนรอด หลังจากขําไอ้พวกห่านี่ฟันแทบร่วง วงจรอุบาทว์ก็วกเข้าตัว ผมอยู่ดี
Y____Y "น้องชื่ออะรายยยยย น้องชื่ออะรายยยยยยยย!!" นั่นไง มาแล้ว... ทําไงดีเนี่ยยยกู "นะ.... โน่... ครับ" เอ้า...
กรี๊ดอีก -_-"... สรุปว่ากรี๊ดทุกคนใช่ปะพี่ (สงสัยเผลอกลืนนกหวีดเข้าไป
ตอนตีห้า) ผมได้แต่ฉีกยิ้มแหะ ๆ ระหว่างรอลุ้นว่าจะโดนท่าอะไรเป็นรายต่อไป "น้องชื่อโน่! น้องชื่อโน่! ต้องทําท่า อย่างงี้ อย่างงี้ ต้องทําท่า
อย่างงี้ อย่างงี้--------!!" เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! แล้วอะไรวะนั่น!!!!!!!!?!!! ผมอ้าปากค้างเมื่อไอ้รุ่นพี่คนเดิม (ที่เพิ่งคิดท่าแต๋วแตกกับชาย
น้อยให้ไอ้ปุณณ์ไอ้โอมเมื่อกี้) ตอนนี้ออกมายัดเยียดท่าโคตรแย่ยิ่งกว่านั้นให้ผม!! นั่นคือการ............. ควักขี้เต่าแล้วเอามาดม กูจะบ้าาาาาาา
เมื่อเช้าตื่นสายโรลออนก็ไม่ได้ทา แถมขนจั๊กแร้ยังรกเป็นป่าอเมซอนอีก เอาจริงเหรอพี่!!! ผมส่งสายตาเว้าวอนอย่าง(หวั งว่าจะ)น่า
สงสารไปทางพวกพี่เขา โดยคิดว่าอาจมีใครเห็นใจผมบ้าง แต่ก็ม่ายยยยยยยยยยยย.. ทุกคนยังเอาแต่ตีกลอง เขย่าแทมโบรีนบิ้วท์อารมณ์ผม
ต่อ ฮือออ ๆๆ ใจร้ายยยยยย ทําก็ทําวะ!! อุ๊บบ แหวะะะะะะ เหม็นเป็นบ้าาาา จั๊กแร้ใครเนี้ยยยยยยยยยยยย!!! หลังจากจบการ
ทักทายตามประสาคนทําค่ายและลูกค่าย (ทักกันโหดจังครับ Y___Y) พวกผมก็เคว้งคว้างไปพักใหญ่ เพราะพี่เขารีบย้ายวงไปล้อมชาวค่ายอีก
กลุ่มที่เพิ่งมาถึงแทน... ดูดิ่!! ทิ้งผมเลยนะนั่น! แล้วกูจะไปรอตรงไหนต่อดีวะเนี่ย!! "ปุณณ์! โน่! โอม! ทางนี้ ๆๆ" อ้อ แต่นั่นไงครับ
พวกเพื่อน ๆ ผม ผมหันไปโบกมือตอบไอ้พ้ง โจ๊ก แล้วก็นันท์ ที่คงมาถึงก่อนหน้าแล้ว แต่แอบดูเงียบ ๆ อย่างงี้จะเก็บไว้กัดกูใช่ไหมล่ะ !
"เมื่อกี้ทําเชี่ยไรวะ ดมขี้เต่าตอนเจ็ดโมง กุเห็นแล้วจะอ้วก กร๊ากกกกกก" นั่นไงไอ้ฟวยยยยยยยย!! ไม่คิดจะช่วยแล้วยังกระทืบซํ้าอีก!! ผม
จัดแจงยกนิ้วกลางใส่หน้าคุณหนูพ้งอย่างคาดโทษ โดยมีโจ๊กหัวเราะตัวงอเป็นแบ็กกราวด์ "ของพ้งดีกว่าโน่นักเหรอ ให้เต้น ท่าไม
เคิลแจ็กสันรอบชานชาลาเนี่ย ฮ่า ๆ" ก๊ากกกกกกกก จริงเหรอวะ!! นับว่าเป็นบุญที่กูมาช้ากว่ามันจริง ๆ เพราะไม่อยากภาพหลอนติดตาไป
หลายคืน ผมอ้าปากขําก๊ากใส่หน้ามัน (ฟันแปรงสะอาดป่าวก็ไม่รู้) ก่อนเชี่ยโอมจะยื่นมือไปลูบตูดใหญ่ ๆ ของพ้งจนเจ้าขอ งตูด
กระโดดเหยง "เหี้ยไรวะไอ้โอม!!!!!!!!" "แหม... กูแค่อยากรู้ว่าจะพริ้ววววว แค่ไหน ก๊ากกกกกกก"
'ผัวะ!!' "Kยยยย กูไม่ใช่น้องมิกนะสัด! วางกระเป๋าไว้นี่เลย พี่เขาบอกตอนขึ้นขบวนค่อยช่วยกันแบก" ฮ่า ๆ ไงล่ะมึง โดน
เลย ผมยืนขําโดยลืมไปว่าไม่น่าสะใจเลยกู เพราะไอ้โอมมันหน้าด้านไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว อย่างตอนนี้มันก็แค่ยักไหล่ชิว ๆ ก่อนจะโยนเป้ไปรวม
กับกระเป๋าลากใบโตของคุณหนูพ้งเท่านั้น (โหเชี่ยพ้ง ไปต่างจังหวัดนะไม่ใช่ต่างประเทศ แบกกระเป๋าซะกูตกใจ) "เออเฮ้ย! แล้ว
ทําไมป้ายชื่อคนละสีกันเกือบหมดเลยวะ! มีแต่มึงกะนันท์อะ ที่สีเดียวกัน" เพราะแม้จะดีใจไม่น้อยที่ได้สีแดง ไม่ใช่สีชมพู แต๋วแตกอย่างไอ้โอม
แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี คิดได้ดังนั้นเลยต้องคว้าป้ายชื่อสีแดงของตัวเองไปเทียบกับป้ายสีม่วงของพ้งและนันท์อย่างอดประหลาดใจไม่ได้
"อ๋ออ ไอ้ป้ายนี่อะเหรอ" โจ๊กร้องตอบผมก่อนจะช่วยไขข้อกระจ่างให้ "พี่เค้าบอกว่าเหมือนเล่นกีฬาสีอะโน่ เวลาเล่นเกม ทํางาน หรือสันทนา
การไรงี้ คนละสีกันก็แข่งกัน นี่สงสัยเค้าเห็นเรามาจากโรงเรียนเดียวกันมั้งเลยจับแยกแม่งหมด มีแต่ไอ้นันท์กับพ้งเนี่ยที่ได้อยู่สี เดียวกัน แต่รอ
ดูคนอื่นอีกที โรงเรียนเรายังมาไม่ครบนี่หว่า" เออก็จริงว่ะ เพราะเพื่อนผมเองนี่แหละที่ยังไม่ครบ "เออใช่! แล้วไอ้โด่งไอ้ปาล์มอะ!?
ไอ้เชี่ยปาล์มสายอีกแล้วใช่มะ" นึกออกดังนั้น ผมจึงรีบหันไปถามพ้งทันที แต่ก็ฉุกคิดได้ว่ากูไม่น่าเปลืองนํ้าลายเลยว่ะ! เพราะคนอย่ างไอ้ปาล์ม
ขนาดแค่มาเรียนยังเหมือนกะสั่งให้วิ่งกระโดดข้ามรั้ว แม่งงงงง ประตูไ ม่ปิดไม่วิ่งเข้า ไม่รู้คนห่าไร วิ่งสี่คูณร้อยจากท่านํ้าได้ทุก ๆ เช้า ไม่
เหนื่อยมั่งรึไง ไอ้พ้งเลยได้ทีบ่นถึงเพื่อนเวร "เออ ไอ้ปาล์มอะบอกกูว่าตื่นสาย กําลังรีบมา แต่ไอ้โด่งไม่ไปแล้ว เห็ นว่าติดธุระ ไม่รู้
ธุระห่าไร"อ้าววว เป็นงั้นไป ผมถึงกับหงอยไปครึ่งวิเพราะอยากไปกับเพื่อนเยอะ ๆ ก่อนเสียงไอ้โอมจะหัวเราะแทรก "สงสัยแม่งกลัวค่ายไม่ให้
สูบบุหรี่ ฮ่า ๆ" K นี่ก็ใส่ร้ายมันจัง กูเห็นแม่งเลิกมาพักนึงแล้วเหอะ! คิดได้ดังนั้นจึงหันไปโบกไอ้เชี่ยโอมปากหมา ก่อนจะนึกออกว่ายังเหลือไอ้
ฟิล์มอีกคน "อ้าว แล้วฟิล์มอะ ทําไมยังไม่มาอีก มันโทรหามึงปะ" คราวนี้คนที่ให้คําตอบได้น่าจะเป็นไอ้โอมที่กําลังพยักหน้าหงึก
"โทร ไอ้นี่ก็ไปไม่ได้แล้วเหมือนกันเพราะเชี่ยอาร์ทป่วย เลยต้องแบกหน้าไปต้อนรับคุณป้านายกสมาคมในงานเลี้ยงขอบคุณแทน
ก๊ากกก สมนํ้าหน้ามัน!" ฮ่า ๆๆๆ เออ สมนํ้าหน้าจริง! แต่แบบนี้แก็งค์โรงเรียนเราก็สมาชิกน้อยเลยดิ่ว้าาาา
ผมถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ พลางกวาดตามองรอบชานชาลาที่ชาวค่ายกําลังยืนออรอรถไฟกันแน่นขนัด เลยเพิ่งสังเกตว่าค่ายนี้ก็มีผู้หญิงเยอะ
กว่าที่คิด เพราะจากตอนแรกที่พวกผมรู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นค่ายปลูกป่า ความฝันว่าจะได้มาค่ายกับสาว ๆ เลยสลายวับไปกับตา แต่พอมาเจอ
ประชากรค่ายจริง ๆ ถึงได้รู้ว่า ก็มีหญิงชายเป็นจํานวนครึ่งต่อครึ่งเหมือนกันนะเนี่ย สงสัยเพราะแบบนี้ไอ้โอมเลยอารมณ์ดี ไม่นั่งบ่ นไอ้ปุณณ์
เป็นวรรคเป็นเวรเหมือนตอนแรก ๆ ตรงหน้าประตู ผมยืนคุยเล่นหัวกับเพื่อน ๆ ห้องตัวเองบ้าง ห้องไอ้ปุณณ์บ้าง เพราะโจ๊ก
แบกกีต้าร์มาแต่เสือกลืมจูนสาย เลยวานผมช่วยจูนให้หน่อยเพราะเห็นเป็นประธานชมรมดนตรี (เกี่ยวเหรอวะ) แต่ด้วยความที่ไม่ได้ทําเองมา
นานมากแล้ว (แถมไม่ได้พกเครื่องเทียบสายมาอีกต่างหาก) ผมเลยนั่งมึนอยู่พักใหญ่ จูนเพี้ยนไปเพี้ยนมาจนโดนเชี่ยโอมโบกกะบาลแล้วเอาไป
จูนแทนให้ แถมยังบอกว่าผมทําเสียชื่อชมรมดนตรีอีก! โว่ยยยยยยยยย ก็ปกติกูจูนกับเครื่องนี่หว่า! สาดดด (แต่ทําไมไอ้โอมจูนเองได้วะ แม่ง
... หมั่นไส้ไอ้หูเทพ แต่มันเก่งจริง) สุดท้ายผมที่กลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะไร้ประโยชน์ เลยได้แต่ยืนท้าวเอวรอระหว่างโอมกําลังจูนกีต้าร์ทั้ง
6 สายอยู่ ขณะกําลังมองอะไรเพลิน ๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ขาวหมวยยกกลุ่ม (อะไรจะยั่วนํ้าลายกัน
ขนาดนี้ครับ) หน้าตาก็มาตรฐานอาหมวยไทย แต่ที่สําคั ญคือดูคุ้นมาก ๆๆๆ จนผมแอบสงสัยว่าใช่พวกสาว ๆ คอนแวนต์ข้างโรงเรียนเรารึ
เปล่า แล้วคําตอบก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ เฉลยออกมา เพราะผมคุ้นตากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเหลือเกิน เธอนั่งตรงที่ วาง
กระเป๋าดูเหมือนไม่ได้กําลังคุยกับใครอยู่ ก่อนจะหันมาสบตากับผมและยิ้มให้ นั่นมันคนที่อยู่ชมรมดนตรีของคอนแวนต์นี่หว่า......
ผมพยายามคิดชื่อเธออย่างหงุดหงิด แต่ยังคิดไม่ออก แม่ง.. ชื่ออะไรนะ มันติด ๆ อยู่ที่ปาก... ปิ๊ด ๆ นิด ๆ อะไรซักอย่าง... โอ๊ย นึ กไม่ออก
แต่ต้องเป็นคนเดียวกันแน่ ๆ
แต่ถึงจะยังนึกชื่อเธอไม่ออก ผมก็เป็นคนมีมารยาทพอที่จะรีบผงกหัวพร้อมส่งยิ้มทักทายกลับไปให้ ก่อนสายตาจะเหลือบเห็นร่าง
ขาว ๆ อีกร่างที่คุ้นมาก และมั่นใจว่าคุ้นเคยกว่าคนที่ยังนึกชื่อไม่ออกคนนั้นแน่นอน เธอกําลังยืนหัวเราะปะปนกับเพื่อนในกลุ่มนั้น อยู่
ผมไม่เคยลืมใบหน้าสดใสกับเสียงหัวเราะกังวานแบบนั้นเลย... "ยูริ............." "เห็นแล้วดิ่มึง... ตา บอดกว่าที่คิดนะ"
โอมพูดต่อจากผมทันที หมายความว่ามันก็คงเห็นนานแล้วเหมือนกัน...... แล้วปุณณ์ล่ะ ? ผมเหลือบมองปุณณ์ด้วยสายตาตื่น ๆ
แต่มันกลับคลี่ยิ้มมาทางผมอยู่แล้ว ก่อนจะยักคิ้วกลับมาให้ข้างหนึ่ง ราวกับต้องการบอกว่า ไม่ต้องกังวลอะไร คนสุดท้ายที่รู้คงเป็น
ผมเอง.. ผมถอนหายใจยาว เพราะไม่รู้จะทําอะไรที่ดีกว่านี้ "กู...... กลับบ้านดีกว่าปะวะ" "K... กลับเพื่อ? มึงเกลียดเค้า
เหรอ" และผมรู้ว่าโอมไม่ได้คิดอย่างที่ถาม "เปล่า.... มึงก็รู้...... กูไม่อยากให้เค้าอึดอัด.." "เค้าเห็นมึงตั้งแต่เดินมาละ ถ้า
เค้าอึดอัดคงลากกระเป๋ากลับบ้านไปแล้ว ควายย" แล้วแม่ง จะบอกดี ๆ ก็ไม่ไ ด้ ต้องพูดไปด่ากูไปนะไอ้ห่า ผมมองไอ้เชี่ยโอมที่ทําเป็นจูน
สายกีต้าร์ต่อไม่สนใจ แล้วก็ต้องถอนหายใจยาวขึ้นกว่าเดิม
"เฮ้อ........." "ทําตัวปกติไปเหอะมึง เดี๋ยวไอ้ปุณณ์ก็คิดมากอีกหรอก" จริงของมัน...... ผมเหลือบมองปุณณ์ที่กําลังยืน คุย
กับโจ๊ก นันท์ แล้วก็พ้งอยู่ไม่ไกล แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีแก่ใจหันมาส่งยิ้มให้ผมเป็นระยะ ๆ อีก ผมรู้ดีว่าในดวงตาคู่ที่หยียิ้ มมาทางนี้นั้น ยัง
แฝงด้วยความลังเลอยู่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาปุณณ์ไม่เคยหยุดคิดเลย ว่าเรื่องของยูริกับผมแย่ลงก็เพราะมัน ทั้งที่ผมไม่เคยคิดโทษคนอื่น
เลยแม้แต่น้อย เฮ้อ.... ถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุสั้นลง 7 วิ... ตอนนี้ผมเหลืออายุขัยเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย... เฮ้ออ (อีกแล้ว)
แต่ค่ายนี้ดูท่าจะไม่ยอมให้ผมตายไว เพราะพอกําลังจะถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยกว่า ๆ เสียงเอ็ดตะโรลั่ นชานชาลาก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
ผมกับโอม (ที่กําลังจูนสายกีต้าร์อยู่) สะดุ้งเฮือกเมื่อกลองสันทนาการรัวพร้อมเสียงรุ่นพี่หญิงแท้หญิงเทียมกรี๊ดกันระงมเหมือนเจอข องเล่น
ถูกใจอยู่.... อะไรวะ? ผมคิดพลางเขย่งตัวมองฝ่าวงล้อมของกองสันทนาการเข้าไปเพื่อจะพบกั บ เอิ้น............. ที่ห้อย
ป้ายชื่อสีแดงเหมือนกับผม?

61st CHAOS
แล้วพวกเราก็ได้ออกเดินทางกันตอน แปดโมงครึ่งครับ รถไฟไม่เลท แต่..... ไอ้ปาล์มเลท.... (มึงยิ่งใหญ่มาจากไหนเนี่ยย!) แม่งก็ทําไปไ ด้อะ
ครับ กระโดดขึ้นตอนรถไฟออกไปแล้วนิดนึงด้วยซํ้า (มันไม่เหมือนรั้วโรงเรียนนะโว้ยย ไอ้นี่...) เลยโดนเจ้าหน้าที่ตะโกนด่าซะลั่นสถานี ทําเอา
พวกผมโคตรอายยย ไม่อยากบอกใครว่านั่นเพื่อนกัน -*- แน่นอนว่ามาสายแล้วยังทําขายขี้หน้าแบบนี้ต้องถูกทําโทษ! เพราะพอ
มันตะกายขึ้นรถไฟได้ปุ๊บ ก็
ถูกรุ่นพี่สันทนาการชุดเดียวกันกับที่สงั่ ให้ผมดมขี้เต่า (กรุณาอย่าจินตนาการซํ้าอีกครั้งครับ! ลืมไปได้ก็ดี) เข้ามาล้อมวงรอบไอ้ป าล์มปั๊บ!! ทันที
"กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม!!!!! กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม !!!!! กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม!!!!!!! ฮ่า ๆๆๆๆ" เสียงพวกผมตะโกนเชียร์ดังลั่น
ให้ไอ้ปาล์มถูกทําโทษนานนานนนนนนน เพราะแม่งโคตรฮาาาาาาาาาาา ฮ่า ๆๆ ฮาไม่ไหวแล้ว ทําเอาพวกผมถึงกับลงไปนอนขํากลิ้งบนพื้น
โบกี้ ตอนที่พี่เขาร้องเพลง แอบเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม แต่ให้ไอ้ปาล์มเต้นหันหน้าเข้าหาพี่กะเทยตัวเบ้อเร่อ แถมยังร้องคําว่า "กล้วยส้ม ๆๆ"
ให้มันจําใจต้องเด้งเป้าใส่เค้าไม่ยอมหยุด ก๊ากกกกกกกกกกกกก เสื่อมจริง ๆ ณ จุดจุดนี้ เสื่อมจนไอ้ปาล์มทําหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว ยิ่ง
ตอนที่พี่กะเทยคนนั้นเขยิบไปหามันมากขึ้น ยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ก๊ากกกกกก เอาอีก!!!!!!!! "กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม!!!!!"
แล้วพี่เค้าก็ไม่ยอมหยุดจริง ๆ ด้วยครับ ฮ่า ๆๆ พวกผมตบมือโห่ร้องกันยกใหญ่ขณะที่ไอ้ปาล์มเริ่มวิ่งหนี (ก๊ากกก) มันหนีพี่กะเทยควายคนนั้น
แล้ววิ่งมาหาพวกผมที่นั่งกันอยู่บริเวณท้ายโบกี้ นัยว่าจะขอความช่วยเหลือ แต่เพื่อนที่ดีอย่างพวกผมแน่นอนว่าลุกขึ้นแตกฮือ หนีกันไปคนละ
ทิศ (รักเพื่อนมากกก) จนไอ้ปาล์มตะโกนด่าไม่เป็นภาษาซะลั่นรถไฟ (ฮ่า ๆๆๆ) แน่นอนว่าขณะที่มันหันรีหันขวางหาทางหนีให้พ้นอยู่นั้น พี่
กะเทยควายคนนั้นก็กระโดดมาตะครุบ........................ ... ไอ้ปุณณ์ไว้ได้ก่อน ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
กกกก ไอ้เชี่ยปุณณ์แม่งหน้าเหวอสัด ๆ! โคตรอยากให้ทุกคนมาเห็นหน้ามันตอนนี้เลยครับเพราะมัน... เหวอเกินบรรยาย! ฮ่า ๆๆๆ พวกผม 8
คน (รวมทั้งไอ้ปาล์มผู้รอดชีวิตด้วย) ถึงกับลงไปนั่งขํากลิ้งบนพื้นรถไฟอี กรอบ ตอนพี่กะเทยคนนั้นโถมกอดไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ไว้ทั้งตัว
ท่า มกลางเสีย งรัวกลองของฝ่า ยสั นทนาการ และเสีย งกรี๊ด ของประชากรชาวค่า ยรวมถึง พี่ ส ต๊า ฟคนอื่ น ๆ (นั ยว่ า เสีย ดายของ ฮ่ า ๆ)
"อยากกล้วยส้มกับน้องคนนี้มากกว่าาาาาา" เสียงพี่กะเทยคนนั้นรีเควสต์ แต่ไอ้ปุณณ์รีบส่ายหัวพรืดทั้งที่โดนกอดอยู่อย่างโคตรน่าสงสาร ทํา
เอาพวกผมขําแตกอีกรอบ ก่อนพี่สต๊าฟคนอื่น ๆ จะเห็นใจมัน เลย
วิ่งมาช่วยกันลากพี่กะเทยคนนั้นออกไปอย่างทุลักทุเล (รอดหวุดหวิดนะมึง!) แน่นอนว่าพอเป็นอิสระ มันก็รีบยัดตัวเองเข้ าไปนั่ง
ในสุดของเก้าอี้ทันที! ฮ่า ๆๆ สงสัยแม่งกลัวมีอาฟเตอร์ช็อคอีก ส่วนผมกับพ้งอาสาช่วยไอ้ปาล์ม (ผู้ที่รอดตายเรียบร้อยแล้ว) เก็บสัมภาระบน
ช่องวางของที่ยังว่างอยู่บริเวณหัวขบวน จึงทําให้รู้ว่ายูริเองก็อยู่ในโบกี้นี้ กับเพื่อน ๆ เธออีกสองสามคนด้วย ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
เพราะพี่เขาเหมาไว้โบกี้เดียว ให้ชาวค่ายโดยสารกันจากกรุงเทพฯถึงขอนแก่น ผมแอบมองมองเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนคุ้นเคยนั่นกําลั ง
นั่งกินขนมพลางคุยกับเพื่อน ๆ อยู่ แล้วก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ เพราะรอบตัวยูริยังมีถุงขนมเยอะแยะเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด แต่ที่เปลี่ยนไปก็
คงแค่.... ดวงตาโตคู่นั้น ไม่เคยมองผมอีก ...... ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้หายไป ก่อนจะช่วยไ อ้ปาล์มโยน
กระเป๋ายัดใส่ช่องว่างที่ยังเหลืออยู่ แล้วพาตัวเองกลับไปนั่งบริเวณท้ายโบกี้อย่างเก่า ไม่กี่อึดใจไอ้คุณหนูพ้ งก็ควักขนมปังกับแยมสับปะรด
ออกมา -_-.... ตูล่ะเครียด.. มีเพื่อนนึกอยากจะทําแซนวิชบนรถไฟฉึกกะฉักปู๊น ๆ เนี่ย! ผมถอนหายใจเซ็ง ๆ เพราะอยากกินแยมบลูเบอรี่
มากกว่า (ฮา..) แต่ไม่เป็นไรครับ ณ จุดจุดนี้ อะไรก็กินทั้งนั้น เพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินอะไรเลย หิวโว้ ยยย พวกผมเปิดปาร์ตี้แซนวิชกัน
อย่างครื้นเครงบริเวณท้ายขบวนรถไฟ ก่อนรุ่นพี่สต๊าฟค่ายคนหนึ่งจะเดินถือกล่องจับสลากมาทางพวกเรา จับสลากอะไรวะ? ผม
คิดขณะควานมือในกระป๋อง พร้อมกับที่พี่สต๊าฟค่ายกําชับนักกําชับหนาว่าจับได้อะไรให้เงียบ ๆ ไว้ ห้ามบอกคนอื่น อืม... สงสัยจะเล่นบัดดี้
ค่ายมั้ง ผมแอบเดาในใจขณะเปิดกระดาษมาเจอคําว่า 'ชาวบ้าน' เขียนอยู่หรา.......... มีคนชื่อ 'ชาวบ้าน' ในค่ายด้วยเหรอวะ???....
กูงง สุดท้ายก็ได้รู้ว่าผมเข้าใจผิดจริง ๆ ด้วย พี่เค้าไม่ได้เล่นบัดดี้ แต่พี่เค้าเล่น ปอบ ต่างหาก ฟังดูสยอง
พิลึกแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ Y_Y กติกาคือตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว เนื่องจากคนที่จับฉลากได้เป็น 'ปอบ' สามารถฉีกมุม
ป้ายชื่อของคนที่เป็นชาวบ้าน (อย่างผม) ได้ ถ้าเห็นว่าเดินโต๋เต๋หน้าเซ่ออยู่คนเดียว (หรือบังเอิญซวยเดินไปกับคนที่เป็นปอบสองต่อสองก็โดน
ได้ครับ) ซึ่งพี่ ๆ จะเรียกการ ฉีกป้ายชื่อ นี้ว่าการ ฆ่า (เย้ยยย น่ากลัว) และคนที่ถูกปอบฉีกป้ายชื่อก็คือคนที่ ตายแล้ว นั่นเอง Y____Y แล้ว
อย่างนี้ผมจะมีชีวิตรอดถึงจบค่ายไหมเนี่ย! เสือกเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาอีก แต่ก็ไม่ต้อ งเป็นห่วงว่าปอบจะสบายครับ เพราะในฉลากที่จับ
นอกจากมี ชาวบ้าน กับ ปอบ แล้ว ยังมี หมอผี เอาไว้ฆ่าปอบ เวลาปอบทะเร่อทะร่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียวอีก หึหึ.... ใครเป็นหมอผีวะ กู
จะเกาะติดไม่ปล่อยเลย! คิดได้ดังนั้นผมจึง หันไปมองหน้าไอ้ปุณณ์อย่างมีความหวังทันที "ปุ ณณ์............. มึงได้ไรวะ......"
"หึหึ.........." แต่เสียงหัวเราะมันไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย... ผมมองสายตามีพิรุธของแม่งอย่างหวาด ๆ "ได้ไร ไอ้สัดดดดดด สัญญา กุ
ไม่บอกใคร" ก็อย่างน้อยถ้ารู้ว่าปุณณ์เป็นชาวบ้านเหมือนกัน จะได้เบาใจเวลาไปไหนมาไหนกับมัน หรือถ้าแม่งเสือกเป็นปอบ จะได้หนีทัน แต่
ถ้าเป็นหมอผีล่ะก็........ กูจะได้รักมึงงงงงงงไง "ไม่บอก!" แป่วววว.... แม่งงงงงงง มาค่ายยังทําตัวเ ป็นสภานักเรียน
อี กว่ ะ ! จะตามกฏอย่ า งเคร่ ด ครัด ไปถึ ง ไหน! ผมเหล่ ต ามองไอ้ ห น้ า ยี ย วนนั่ น อย่ า งเคื อง ๆ แต่ ก็ไ ม่ มี ท่ า ที ว่ า เลขาสภาฯจะยอมเผยไต๋
"แม่ง ปอบชัวร์ กูไม่อยู่กับมึงแน่ค่ายนี้" "หึ.... แล้วคิดว่าอยู่กับคนอื่นจะปลอดภัยเหรอ" เออนั่นดิ.... ผมเริ่มขมวดคิ้วพลางคิดว่าจะ
กระโดดลงจากรถไฟเลยดีไหม เล่นเกมอะไรกันน่าขนลุกแบบนี้วะ แถมท่าทางต่อให้กระโดดลงไปจริง ๆ ก็คงไม่ตายอีกต่างหาก เพราะรถไฟ
เล่นวิ่ง 180 กม. / 3 เดือน เหอ ๆๆๆ ช้าไปไหน กูนึกว่าปลิวตามแรงลม "เอ้ย ๆๆๆ!!!!!! พวกมึงได้ไรกันวะ ไหนเอามาดูหน่อยดิ๊!"
แล้วยิ่งมีไอ้ห่านี่อยู่ในค่าย ก็ยิ่งเพิ่มความ
น่าสะพรึงให้ชีวิตเข้าไปอีก! ผมหันไปมองหน้าเชี่ยโอมที่เจ๋อปีนที่นั่งมาทางด้านหลัง แล้วก็ต้องรีบขยําสลากที่เพิ่งจับได้ปาออกนอกตั วขบวน
ทันที "ไม่บอกโว๊ย!!!!!! ฟวย!" บอกให้โง่ดิ่! แต่ไอ้เชี่ยโอมแค่หัวเราะหึหึ ก่อนจะทําหน้าเจ้าเล่ห์กลับมา "อ้อเรอะ.........
อย่ า ให้ กู รู้ แ ล้ ว กั น หึ หึ หึ . .." เหี้ ย ยยยยยยยยยยย... บางที ก ารมี ไ อ้ โ อมเป็ น เพื่ อ นก็ เ หนื่ อ ยกว่ า ที่ คิ ด นะเนี่ ย * **
หลังจากพวกเราชาวค่ายและพี่ ๆ สต๊าฟ ได้กระทําการสันทนาการระดับโลกมาตลอดทางบนรถไฟแล้ว (พี่เขาเรียกอย่างงั้นอะครับ ผมแค่
เรียกตามจริง ๆ นะ) จนเวลาผ่านไปพักใหญ่มาก ๆ (ก็ยังไม่หยุดซักที) ขณะผมชักสงสัย ว่านํ้าที่พวกพี่เขาตุนไว้ในกระติกอาจจะไม่ใช่นํ้ าเปล่า
แต่เป็นกระทิงแดงเอ็กซ์ตร้า 300 อยู่นั้นเอง พี่เขาก็บอกให้พวกผมพักผ่อนตามอัธยาศัยได้ซักที! เย้! (ก็นึกว่าจะเหนื่อยกันไม่เป็นซะแล้วว) แต่
อย่าหวังว่ามากับไอ้โอมแล้วจะได้พักผ่อนซะให้ยาก เพราะพอคล้อยหลังพี่ ๆ ปุ๊บ มันก็........ ควักไพ่ออกมาปั๊บ!!!!!! ให้
มันได้อย่างงี้เซ่!!! อยู่บนรถไฟยังจะเล่นไพ่อีก! ผมโบกกะโหลกแม่งหนึ่ง ทีถ้วน ก่อนจะขอเป็นคนแจกไพ่เอง (ฮา...) ไม่ได้หรอกครับ! เชี่ยโอม
แม่งสันดานชั่ว! ขืนให้ไพ่อยู่ในมือมันมีหวังเสร็จหมา เสียตังทั้งวงแหง๋ แล้วเราก็เล่นไพ่กันอย่างเสียงดังโคตรน่ารํ าคาญและเยาะ
เย้ยกฎหมาย เพราะไอ้ปาล์มเป็นคนบอกเอง
ว่าตํารวจจับไม่ได้ เพราะรถไฟกําลังวิ่งอยู่ กว่าตํารวจจะตามมาจับทัน เราก็แล่นผ่านท้องถิ่นที่สถานีนั้นดูแลแล้ว เป็นไงล่ะเพื่อนกู... มากด้วย
ประสบการณ์ ฉลาดในเรื่องโง่ ๆ จริง ๆ เราขุดไพ่ทุกชนิดมาเล่นเท่าที่พื้นที่เล็ก ๆ จะอํานวย ตั้งแต่ป๊อกเด้ง โป๊กเกอร์ กบดํากบ
แดง เก้าเก ดัมมี่ สลาฟ ยันอีแก่กินนํ้า แต่อีแก่กินนํ้านี่ฮาสุด! เพราะไอ้เอิ้นโดนกินนํ้าตลอดดดดด ตลอดจริง ๆ! กินจนมันปวดเยี่ยวแบบทนไม่
ไหว แถมห้องนํ้ายังเสือกเต็ม เลยต้อง...... ไปยืนฉี่ตรงประตูรถไฟ! ฮ่า ๆๆๆ โคตรโชคดีที่ตอนนั้นเรากําลังแล่นผ่านทุ่ งหญ้าที่เป็น
ป่า ๆ อยู่พอดี ไม่ใช่ตลาดหรือชุมชน ไม่งั้นคงได้มีคนดื่มดํ่าประสบการณ์อวดหนอนชาเขียวพ่นนํ้าสู่สายตาประชาชีก็คราวนี้ล่ะวะ ฮ่า ๆ
แต่พอผมพูดแบบนั้น ไอ้พ้งกับไอ้นันท์ที่เดินไปฉี่เป็นเพื่อนเอิ้นถึงกับรีบแก้ต่างให้ บอกว่าไม่ใช่หนอนชาเขียว พ่นนํ้า แต่เป็นมังกรพ่นไฟ
ต่างหาก เฮ้ย!!! ขนาดนั้นเลยว่ะ! แล้วก็เป็นเพราะผมทําหน้าอยากรู้มากไปหน่อย เลยโดนไอ้ปุณณ์บ้องหัวเข้าให้สองทีถ้วน (สาดดด) แล้ว
ทําไมบ้องกูคนเดียวล่ะวะ! เชี่ยโอม ไอ้ปาล์ม ไอ้โจ๊ก ก็ทําหน้าอยากรู้เหมือนกันนะเฮ้ย!!! แน่นอนว่าพวกเราเฮฮากันอยู่ท้ายโบกี้พัก
ใหญ่ จนได้เพื่อนร่วมค่ายที่มาจากโรงเรียนอื่น ขอแจมวงบ่อนด้วยกันหลายคน ก่อนรถไฟจะเทียบชานชาลาขอนแก่นในเวลาเกือบ 5 โมงเย็น
พี่ ๆ เรียกชาวค่ายรวมกันหน้าสถานีรถไฟทันทีที่ไปถึง ก่อนจะส่งตัวพวกเราขึ้นรถสองแถวเพื่อมุ่งไปยังโรงเรียนที่พักอาศัยเป็นเวลา 3 วัน 2
คืน.... ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก เราจะไปนอนกันที่ โรงเรียน ไม่ใช่ โรงแรม Y___Y แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นครับ เพราะ
โรงเรียนที่ใช้นอนถึงจะเทียบไม่ได้กับโรงเรียนในกรุงเทพฯ (โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนอย่างพวกผม) แต่มันก็ไ ม่ได้แร้นแค้นมากมายอะไร
อย่างน้อยก็มีนํ้า ไฟ สัญญาณโทรศัพท์ให้โทรกลับไปหาอาป๊ากับม๊านั่นแหละน่า (ว่าแต่ห้องอาบนํ้าอยู่ไหนวะเนี่ย...) พว กผมใช้
เวลานั่งรถสองแถวจากสถานีรถไฟกว่าจะมาถึงโรงเรียนที่ห่างไกลตัวเมืองชิบหายย ก็เฉียดสองทุ่มได้ แต่ถึงจะดึ กยังไงก็มีชาวบ้านแถวนั้นมา
รอคอยต้อนรับอยู่เต็มไปหมด ทําเอาคนสันดานเสียอย่างไอ้โอมที่ขนาดบ่นเมื่อยหลัง ๆ บนรถมาตลอดทาง ถึงกับหุบปากสนิท เมื่อเจอพล
พรรคชาวบ้านคอย
ตากยุงรอต้อนรับพวกเรา ทั้งที่เป็นเวลามืดขนาดนี้แล้วก็ตาม ชาวบ้านต้อนรับเราด้วยข้าวต้มร้อน ๆ หอมฉุย แถมยังใส่หมูสับให้
แบบไม่บันยะบันยังด้วย! (ไอ้แบบนี้ร้านอาหารในกรุงเทพฯไม่มีวันทําให้แหง๋ ๆ) แน่นอนว่าพวกผมฟาดกันไปคนละสองชามใหญ่ ก่อนเสียง
พี่สต๊าฟค่ายจะไล่เราขึ้นไปเก็บของเพื่อลงมาทํากิจกรรมต่อกัน (จะสี่ทุ่มแล้วยังให้ทํากิจกรรมอีก!?) พวกผมเดินลากพุงโย้ ๆ ของ
ตัวเอง (อันเนื่องมาจากข้าวต้ม ไม่ใช่โดนเสกหนังควายเข้าท้องแต่อย่างใด) ขึ้นไปบนชั้นสองของตึกเรียนที่ถูกเนรมิตเป็นห้องนอน (ตึกเ รียน
เขาทําด้วยไม้ และมีความสูงแค่ 2 ชั้นนี่แหละครับ) โดยแบ่งเป็นห้องนอนชายและหญิงไว้อย่างชัดเจน ผมเดินลากขาผ่านห้องนอนพวก
ผู้หญิง ก็เห็นยูริกําลังนั่งเก็บกระเป๋าอยู่ข้างในแต่ไม่ยอมมองตอบผมที่เดินผ่านหน้าประตู ผิดกับเพื่อนโรงเรียนเธอ (คนที่ผมยังนึก ชื่อไม่ออก
จํา ได้ แ ค่ ค ลั บ คล้ ายคลั บ คลาว่ า อยู่ช มรมดนตรีของคอนแวนต์ ) ที่ ฉีกยิ้ ม กว้ า งปากจะแยกถึง รูหูม าให้ จ นผมต้ องผงกหั ว ทั กทายกลั บ ไป
ผมถอนหายใจยาวขณะลากขาผ่านห้องนอนผู้หญิงมาจนถึงห้องนอนผู้ชายที่อยู่ติดกัน ก่อนจะปลดเป้ใบโตจากบ่าลงไปกองไว้บนพื้นข้าง ๆ
สัมภาระไอ้โอมที่มีเป้ใบเดียว ปักตราโรงเรียน.......... และยังโคตรจะเหี่ยว!? "เหี้ย!!!!! มึงเอาไรมามั่งเนี่ย!?" แต่แม่งยังมี
อารมณ์ยักไหล่ใส่ผมแบบชิว ๆ อย่างโคตรรร กวนตีนอีก "ก็เสื้อผ้าไง สามวัน สองคืน เสื้อสี่ กางเกงสอง ใส่ซํ้า ๆ เอาก็ได้ หึหึหึ..." -วย!
โสโครก! แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น "แล้วผ้าเช็ดตัวอะ" "ก็............ ใช้ของมึงไง ก๊ากกกกกกกกกก" ไอ้สัด!!!!!!!! สันดานหมาอีก
แล้วครับ!!!! ตอนไปเกาะช้างมันก็ใช้ไม้นี้ ไม่ยอมเอาผ้าเช็ดตัวไปแล้วมาใช้กับผม แถมยังเอาไปเช็ดก่อนจนเหลือแต่ผ้าเช็ดตัวเปียก ๆ มาให้เช็ด
ต่ออีกต่างหาก ไอ้เพื่อนชั่ววววววว!!
"สัด! คราวนี้กูจะอาบก่อนมึง! แล้วเอาอุปกรณ์ไรมามั่ง!" "แหม.... กูก็เอาแปรงสีฟันมานะ อิ อิ อิ" นอกนั้นใช้ของกูอีก
ล่ะ สิ ไอ้ สั น ดานนนน ผมเงื้อมื อหมายจะโบกกะโหลกมั น ให้ เสี ย งดั ง ไปถึง บ้ า นดร.แหวน แต่ เพื่ อน ๆ คนอื่น ส่ ง เสี ย งห้ า มทั พ ไว้ ไ ด้ ก่อน
"เฮ้ย กัดเหี้ยไรกันอีกสองตัวนี้! ลงไปได้แล้ว พี่เค้าเรียกรวมข้างล่าง" ฟวย นี่ก็อีกตัว พวกกูคนโว๊ยไม่ใช่หมา! ผมหันไปแยกเขี้ยวใ ส่ไอ้พ้ง
กับนันท์ที่เสียสละมาแยกทัพ ขณะปุณณ์และคนอื่น ๆ ออกไปยืนรอกันหน้าห้องแล้ว (สงสัยเอือม..) ไอ้โอมหยิบมือถือจากในเป้มา
ยัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะรับปาก "เออ ไปก็ไป แล้วกูต้องแขวนป้ายห่านี่ด้วยปะวะ แม่งงง... เห็นสีแล้วอยากเขวี้ยงทิ้ง!" ฮ่า ๆๆๆ ได้ ฟัง
อย่างนั้นพวกผมเลยขํากันอย่างโคตรรรสะใจในชะตาชีวิตไอ้เชี่ยโอม ที่ต้องผูกคอตัวเองด้วยป้ายสีชมพูแปร๋นนนน ดูแล้วกะเทยที่สุดในโลกา
ไอ้ปาล์มเจ้าของป้ายสีฟ้าเลยได้ทกี ัดมันใหญ่ "เอาไปด้วยดิ่ว่ะ เค้าจะได้รู้ว่าคนไหนแมน... คนไหนตุ๊ด... ฮ่า ๆๆ" ก๊ากกกกกกก ถึงจุด ๆ นี้อยาก
ให้มาเห็นสีหน้าเชี่ยโอมกันจริง ๆ ครับ เพราะแม่งโคตรรรปุเลี่ยนเกินบรรยาย! พวกผมตบมือโห่ป้ายตุ๊ดของมันอย่างสะใจขณะ
กําลังเดินลงบันได แต่น่าจะรู้ว่าคนไอ้เชี่ยโอมมันไม่เคยเชื่อง "เออใช่ ชมพูแมน แดงตุ๊ด.. กูเข้าใจ" ไหมล่ะ จนได้นะไอ้สัด! กูไม่ใ ช่คนด่ามึงเลย
นะเนี่ย!! ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะโต้กลับ "-วยแล้ว มึงไปด่าไอ้เอิ้นทําไม แม่งโบ้ยสัด" 'ผัวะ!' "กูด่า
มึง มึงน่ะแหละโบ้ย" อ้าวเหรอ! ฮ่า ๆๆ ผมลูบหัวตัวเองที่เพิ่งโดนมันเสยเมื่อกี้ ก่อนพวกเราทั้งหมดจะเดินขําเสียงครื้นเครงไปยังสถานที่รวม
พลซึ่งคือศาลาประชุมอเนกประสงค์ของโรงเรียน
พวกผมก้าวมาในศาลา ที่สร้างด้วยปูน มีหลังคา แต่ไม่มีกําแพง เป็นแบบเปิดโล่ง open house ต้อนรับยุงเต็มที่ ชักจะคันแล้ว
เนี่ย... "เอ้า!!! แยกกันนั่งตามสีนะคะ!! น้องสีเหลืองนั่งตรงนั้น สีชมพูตรงนู้น สีม่วงตรงนี้ สีฟ้าตรงถัดจากสีเหลื องไปเห็นรึเปล่าคะ?
ส่วนสีแดงตรงหน้าเวทีขวามือนะ!" โอเคครับ... งงว่ะ -_-... ผมเกาหัวตัวเองสองทีก่อนจะมองเห็นพลพรรคคนเสื้อแดง เอ๊ย.. ป้ายแดง (เกือบ
การเมืองแล้วไหมล่ะ) นั่งกันหน้าสลอนบริเวณมุมศาลามุมหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็แยกเลยแล้วกัน.. "เออ งั้นไปล่ะ" เสียงไอ้ โอมร้อง
บอกก่อนมันจะเดินไปทางกลุ่มสีชมพูแป๋นนนของมัน (ที่ผมเห็นว่ามีสาวชมรมดนตรีคอนแวนต์คนที่ยังนึกชื่อไม่ออกซักทีนั่งอยู่ด้วย) ตาม
ด้วยพ้งกับนันท์ที่แยกไปนั่งประจําโซนสีม่วง ส่วนปาล์มกับโจ๊กไปอยู่ตรงสีฟ้ากัน... "อือ... ไปนะ... ดูแลตัวเองอะ" ปุ ณณ์ที่ยังยืนเก้
ๆ กัง ๆ อยู่ไม่ยอมไปไหนซักที หันมาบอกผมด้วยนํ้าเสียงเบา ๆ เหมือนคนเสียไม่ได้ พลางมองหน้าเอิ้นยิ้ม ๆ ก่อนมันและพีทจะต้องเดินไป
รวมกับบรรดาพรรคพวกสีเหลือง ที่มียูรินั่งรวมอยู่... ราวกับยิ่งตอกยํ้าว่าการมีอยู่ในค่ายของพวกผม สร้างความอึ ดอัดให้แก่เธอ
จริง ๆ ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเดินลากขาตามเอิ้นไปยังโซนสีแดงของพวกเราแบบมึน ๆ เพราะไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่
แต่คงประเมิณสถานการณ์ตํ่าไปอะครับ เพราะลืมไปว่าตัวเองมากับผู้ยิ่งใหญ่ (ฮา...) ก็จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่ท่านประธานเชียร์นาม
เอิ้นไงล่ะ! อื้อหืม... แค่โผล่มานั่งรวมสีแป๊บเดียว สาว ๆ ถึงกับส่งเสียงทักกันเกรียวกราวเลยครับ ส่วนมากคือคนเคยไปงานบอลปีที่แ ล้วกัน
ทั้งนั้น ผมถึงได้รู้ว่าไอ้นี่ก็ป๊อบปูล่าใช่ย่อย คิด ๆ แล้วน่าโมโห เพราะไอ้เอิ้นเพิ่งจะออกไปยืนหน้าแสตนแค่ปีเ ดียว ผิดกับผมที่เดินวงโยฯมาทุก
ปี แต่ดั๊นนนไม่มีใครสนใจจํา มัวแต่กรี๊ดกร๊าดไอ้ประธานเชียร์ตัวดํา ๆ เนี่ย หึ... จําไว้!
พวกผมทักทายและแลกเปลี่ยนกันแนะนําตัวพอเป็นพิธี (เลยได้รู้ว่าสีเรามี 30 คนครับ ชาย 12 ตุ๊ด 6 หญิง 12 เลขสวยมาก...)
แน่นอนว่าหัวหน้าสีก็คงเป็นใครไม่ได้นอกจากท่านประธานเชียร์งานบอล ผู้มีความเป็นผู้นําเป็นเลิศศศ (เห็นสาว ๆ เขาว่างั้นกันอะนะ ถรุ๊ยย
จริง ๆ แล้วสู้ประธานชมรมดนตรีอย่างผมไม่เห็นจะได้ ฮ่า ๆๆ) แต่พอถึงช่วงที่พี่สต๊าฟให้หัวหน้าทุกสีลุกขึ้นยืนแนะนําตัว ผมจึงได้รู้ เพิ่มขึ้นว่า
ฝ่ายบริหารโรงเรียนเรานี่มันแน่นอนจริง ๆ เพราะนอกจากประธานเชียร์จะได้เป็นหัวหน้าสีแดงแล้ว ไอ้เลขาสภาฯก็ได้เป็นหัวหน้าสีเหลือง
เช่นกัน (มึงใช้หน้าตาซื้อตําแหน่งก็สารภาพมาเหอะ.. กูรู้ทัน)
แน่นอนว่าพอได้หัวหน้าแต่ละสี เกมละลายพฤติกรรมทั้งหลายแหล่ก็ค่อย ๆ เริ่มขึ้น โดยส่วนมากเป็นเกมที่ผมเคยเล่นแล้วเกือบทั้งนั้น ไม่ว่า
จะเป็นเกมฝ่ากําแพง (ให้ผู้เล่นสองสีตั้งป้อมกําแพง แล้วพยายามฝ่ากําแพงอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปให้ได้ สีไหนประสบความสําเร็จมากกว่าสีนั้ น
ชนะ) เกมชิบปี้ชิบ (เต้นตามคนหัวแถว.. แม่ง... ใครเสือกเอาตุ๊ดไว้หัวแถวฟะ ท่าเสื่อมมาก กูอายฉิบบ) เกมเป่ายิ้งฉุบอะมีบา (ให้เป่ายิ้งฉุบกัน
ครับ เริ่มจากสภาพปกติ ใครแพ้เป็นกระต่าย ใครชนะได้อัพเลเวลขึ้นเรื่อย ๆ เป็นไก่ , ลิง, คน, ซุปเปอร์แมน ตามลําดับ ตรงข้ามกับคนแพ้
ต้องลดระดับลงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าใครเป็นกระต่ายแล้วยังเสือกแพ้อีกก็ไปเป็นอะมีบาโน่น แล้วทายดิ่ครับว่าใครเป็นอะมีบายันจบการแข่งขัน
ถ้าไม่ใช่.... เออ ผมเอง ไม่ต้องทายถูกไวขนาดนั้นก็ได้ Y___Y แม่ง ดวงจะซวยไปไหน! แถมพอเกมจบยังโดนให้ไปทําท่าอะมีบาโชว์ทุกคน
กลางวงอีก เพราะพี่เค้าบอกผมทําท่าอะมีบาน่ารัก -_-"... ช่วยบ้างงงเหอะ! เห็นอย่างนี้ก็อายเป็นนะ! ตอนนี้คนในค่ายเลยเรียกผมโน่อะมีบา
หมดเลยครับ เวรรรรกรรม กูชื่อ โน่ เฉย ๆ ช่วยเข้าใจกันบ้างได้ไหมเนี่ย!) นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายต่อหลายเกมครับ บรรยายไม่หมด รู้ แต่
ว่าเหนื่อยมากกกกกกกกกก กว่าจะสันทนาการครบก็เล่นเอาหอบ (เหนื่อยพอ ๆ กับฝึก รด. ก็ไม่ปาน) แถมตอนที่พี่สตาฟสั่งให้ทุกสีนั่งประจํา
ที่ได้ จนไอ้เรานึกว่าจะปล่อยขึ้นไปนอนแล้ว แต่พี่ผู้ชายที่เป็นพิธีกรยังเสือกจะมาแนะนําเกมต่อไปที่เขาบอกว่าเป็นเกม "ส่งท้าย" อี ก!?
"เอ้า!!!!! น้อง ๆ คงเหนื่อยกันแล้วใช่มั้ยครับ! (เสียงเด็กตอบกันดังลั่นว่า "ใช่!!!") แต่พี่จะไม่ยอมให้น้อง ๆ ได้กลับไปพักผ่อนสบาย ๆ หรอก (โห่
........) แต่ไม่ต้องกลัวเหนื่อยครับ! เพราะเกมนี้ขอแค่ตัวแทนสีละสองคนเท่านั้น เอาเป็นหัวหน้าสีกับใครก็ได้แล้วกัน ออกมาเลยครับ! "
เอ่อ....... หัวหน้าสีกู.... ไอ้เอิ้น.... แล้วมันจะเลือกใครล่ะ ถ้าไม่ใช่....... กู... ซวยจริง ๆ -_- แค่เป่ายิ้งฉุบอะมีบาก็อับอายวงศ์ตระกูลพอแล้วนะ
นี่มึงจะหาความเสื่อมอะไรมาให้กูอีก! ผมเดินเกาหัวตามไอ้เอิ้นไปกลางวงสันทนาการอย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ แต่พอเห็นปุณณ์เ ดิน
มากับเพื่อนร่วมสีอีกคน (ใคร
วะ... ไม่รู้จัก แล้วทําไมไม่พาพีทออกมาอะ โรงเรียนเดียวกันแท้ ๆ... อ๋อ... ไอ้พีทนั่งหลับพิงเสาศาลาไปแล้วครับ เหี้ยมาก) เอ๊ะ ในวงเล็บนั่น
ผมบ่นไรตั้งนาน.. เออนั่นแหละ เอาเป็นว่าพอเห็นไอ้ปุณณ์ออกมากับบัดดี้มัน ก็ราวกับเรียกความรู้สึกฮึกเหิ มในร่างกายให้บังเกิดขึ้นมาทันที
ฮะฮ้าาา เอาวะ! ท้าประลองกับสภานักเรียนซักตั้งเป็นไง ถึงการเรียนกูจะสู้ไม่ได้ แต่แข่งเกมปัญญาอ่อนแบบนี้กูเทพเว้ย!!! ผมยักคิ้ว ท้าทาย
ไอ้ปุณณ์ข้างหนึ่งแต่มันกลับยักไหล่ตอบก่อนจะเมินไปทางอื่นราวกับว่าอย่างผมไม่ใช่คู่ต่อสู้มัน หน็อยแน่ะมึง!! เดี๋ยวได้เจอดี!
"กติกาคือ ให้น้อง ๆ แต่ละคู่ ช่วยกันใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย ประคองลูกปิงปองพวกนี้ จากตระกร้าตรงหน้าพี่ ไปให้ถึงถังหน้าพี่
แว่นโน่น เข้าใจรึเปล่าครับ ? และเพื่อไม่เป็นการลําเอียง พี่จะให้น้อ ง ๆ จับสลากว่าคู่ไหนได้ใช้อวัยวะใดแล้วกันนะ" ผมตบยุงที่
แขนขณะพี่เขากําลังอธิบายกติกาอยู่ พอเงยหน้าอีกทีก็พบกล่องสลาก (กล่องเดิมกับตอนจับสลากปอบนั่นล่ะครับ เห็นแล้วขนลุกเลย) กําลัง
ยื่นให้พวกเราเลือกจับไล่มาทีละคู่ สีฟ้าได้ใช้หน้าผาก สีชมพูใช้แ ก้ม สีเหลือง(ไอ้ปุณณ์)ใช้ลําตัว (ยากว่ะ) สีม่วงใช้หัวไหล่ (นี่ก็ยาก)... ส่วน
สลากใบสุดท้ายที่เหลือเป็นของพวกผม ทําเอาใจเต้นตึกตัก เพราะกลัวจะได้อะไรยาก ๆ แบบสีไอ้ปุณณ์กับสีม่วงมัน... แต่พวกผมได้........
ใช้ปาก! เย้!!!!!!!!! ง่ายโคตร!! ผมเผลอกํามือร้อง "เยสส" อย่างดีใจ แต่เพิ่งสังเกตว่าสีหน้าเอิ้นดูช็อคสนิท "เฮ้ย เป็นไร
วะ" หรือมันเหนื่อย? "อ๋อ เปล่า ๆ..." เอิ้นบอกปัดผมพลางปาดเหงื่อเม็ดเล็กบนขมับ ร้อนอะไรวะเนี่ย ดึก ๆ แบบนี้กูออก
จะหนาว "มึงดีใจเหรอ" แต่มันยังมีหน้ามาถามอะไรผมแปลก ๆ ? "เอ๊าา! ก็ต้องดีใจสิวะ! ใช้ปากง่ายออก ดีกว่าสีเหลืองกับสีม่วง
ตั้งเยอะ หรือมึงว่าไง?" เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองคิดอะไรผิดไปรึเปล่า ?? ไอ้เอิ้นถึงได้ทําหน้าเหยเกแบบนี้ แต่พอถามกลับไป มันดันรีบ
ส่ายหัวยิกตอบมา "ปละ เปล่า... ไม่ว่าไงอะ มึงว่าดีกูก็ว่าดี.... แหะ ๆ" เออ ประหลาดจริงเว้ย.... ผมขมวดคิ้วมองมันแต่ไม่มีเวลาให้ คิดไรแล้ว
เพราะพวกพี่ ๆ กําลังจะเป่านกหวีดเริ่มเกม ปี๊ดดดดดดด!! เสียงกลองสันทนาการและกองเชียร์ดังลั่นอาคารพร้อม
ๆ กับเสียงนกหวีด กระตุ้นให้พวกผมยิ่งวุ่นวายใช้ปากคาบลูกปิงปองขึ้นมาอย่างไว โดยมีเอิ้นงับไว้ด้านหนึ่ง และผมช่วยงับอีกด้านหนึ่ ง ก่อน
เราจะค่อย ๆ ประคองกันให้ไปถึงถังที่วางห่างจากตะกร้า 20 เมตรโดยประมาณ ว่าแต่สาว ๆ ในค่ายกับพวกรุ่นพี่เค้าจะกรี๊ดกร๊าด
อะไรนักหนาวะ! ยิ่งเวลาผมกับเอิ้นช่วยกันงับลูกปิงปองขึ้นมา เสียงกรี๊ดยิ่งดังแสบแก้วหูเป็นพิเศษ (หน้าที่โว๊ยย) -_-"... อะไรกัน.. พวกผู้หญิง
นี่ชอบคิดอกุศลอยู่เรื่อย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนสั่งให้พวกผมทําเองแท้ ๆ ยังจะมีหน้ามาคิดลึกอี ก โว๊ะ....!! ผมแอบหงุดหงิดพลางสบตาขํา ๆ
กั บ เอิ้ น ก่ อ นจะตั้ ง หน้ า ตั้ ง ตาช่ ว ยกั น งั บ ลู ก บอลต่ อ ไป "จะหมดเวลาแล้ ว !!!!!!!!!!!!! สิ บ ! เก้ า ! แปด! เจ็ ด !"
เหยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แต่แม่งงงงง ทําไมของกูง่ายกว่าของไอ้ปุณณ์ตั้งเยอะ แต่ลูกปิงปองในถังสีเหลืองเสือกเยอะกว่าสีแดง
อีกวะ!!! ไม่ได้การแล้ว! เสียหมาแย่! ผมกับเอิ้นที่โคตรกลัวว่าถ้าแพ้จะโดนปุณณ์เยาะเย้ย ประนามหยามเหยียด รีบพร้อมใจกันเร่งสปีดเพื่ อ
ไม่ให้เสียหน้าทันที เราแข่งกับเสียงพี่สต๊าฟที่นับเวลาถอยหลังน้อยลงเรื่อย ๆ ด้วยใจระทึก รีบหน่อยวะ!!!!!! ผมกับเอิ้นช่วยกันคาบ
ลูกบอลในตะกร้าแล้ววิ่งมาหาถังอย่างรีบร้อน ทําให้ลูก
ปิงปองในปากค่อนข้างหมิ่นเหม่จนดูเอียงกะเทเร่อย่างน่าหวาดเสียว เป็นสาเหตุให้ตอนนี้ปากของผมกับเอิ้นเริ่มอยู่ในตําแหน่งที่ใกล้กั นมาก
ขึ้นทุกที ๆ อีกนิดจะถึงแล้ว... จะถึงแล้ว... จะถึง...... ถึงแล้ว!!!! บิงโก!!!!!!!!!! ผมกับเอิ้นรีบปล่อยปิงปองลูกสุดท้ายสู่จุดหมายอย่าง
รีบร้อนเพราะมันก็จวนจะหล่นแหล่ไม่หล่นแหล่อยู่แล้วเป็นทุนเดิม แน่นอนว่าพอถึงเส้นชัยพวกผมก็รีบปล่อยมันลงถัง พร้อม ๆ กับเสียง
นกหวีดจบการแข่งขัน และริมฝีปากเอิ้นกับผมที่แตะโดนกันแผ่ว ๆ.. ............ เอ่อ.. เราสองคนยืนมองหน้ากันเงียบ
ๆ ครู่หนึ่ง ทั้งที่เกมจบลงแล้ว และรอบข้างมีแต่เสียงโวยวาย.. ผมรู้ว่าคงไม่มีใครสนใจหรอกว่าเมื่อกี้ระหว่างผมกับเอิ้นมีจะอะไรเกิ ดขึ้น
เพราะทุกคนมัวแต่ใจจดใจจ่อกับการลุ้นทีมสีตัวเอง และโห่ร้องแสดงความดีใจเมื่อเวลาหมดแทบทั้งนั้น... หรือถ้าจะให้พูดกันจริง ๆ ก็คือ ผม
ตกใจกับอุบัติเหตุเมื่อครู่นิดหน่อย แต่หากถามว่าใส่ใจหรือเก็บมาเป็นอารมณ์ไหม ก็ตอบได้เลยว่า ไม่... ตอนนี้มีเรื่องอื่นน่าสนใจกว่ าเยอะ
"ผู้ชนะคือสี........ชมพูครับ!!!!!!! รองลงมาคือสีแดง! ส่วนที่สามเป็นสีเหลือง!!!!!!" ก็นี่ไงล่ะครับเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า! เยสสสสสสส!! ในที่สุดผม
ก็ชนะไอ้ปุณณ์จนได้ วะฮ่าฮ่าฮ่า!!! สะใจจริงโว๊ยย ผมกระโดดไปมาเป็นลิง เช่นเดียวกับกองเชียร์คนอื่ น ๆ ที่ส่งเสียงกรี๊ดแข่งกับลําโพงตัวใหญ่
แถมยังมีการวิ่งไปเยาะเย้ยสีอื่นกันอีกต่างหาก! ฮ่าฮ่า ยอมน้อยหน้าที่ไหนล่ะครับคนสีนี้! ผมกระโดดวิ่งไปกอดกับเพื่อ นในสี (ดีใจ
เวอร์มากเหมือนบอลไทยได้แชมป์โลกอะ) เช่นเดียวกับทุกคนในค่ายที่ต่างส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่พักใหญ่ ไม่นานนักผมก็เริ่มสังเกตว่าไอ้
เอิ้นมันเงียบไป... เพราะถึงแม้ริมฝีปากมันจะยิ้มแย้มกับเพื่อนคนอื่น แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับดูแปลก ๆ "เป็นไรวะเอิ้น ? ไม่ดีใจ
เหรอ!?" ผมปลีกตัวจากวงใหญ่ (ที่ตอนนี้เริ่มเต้นเพลงสันทนาการตามใจชอบ
ปิดท้ายก่อนขึ้นนอนอีกแล้วครับ! ไม่เหนื่อยมั่งรึไง!?) มาแตะบ่าเอิ้นเบา ๆ ผลที่ได้รับคือเจ้าตัวสะดุ้งหนัก เหมือนว่าหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"เอ่อ โน่.... เมื่อกี้กู... ขอโทษนะ... กูไม่ได้ตั้งใจ" หา???? อะไรของมันวะ... อ๋อ... ห่า.... ผมยอมรับว่าเกือบลืมเรื่องฉากสุดท้ายใน
เกมไปแล้ว เพราะอันที่จริงมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ผมรู้ว่าอุบัติเหตุก็คืออุบัติเหตุ แล้วของแค่นี้ก็จิ๊บจ๊อยมาก ตราบใดที่มันเป็ นเรื่องไม่
ตั้งใจ "ไรวะ!! มึงยังคิดมากอยู่อีก เห็นกูเป็นผู้หญิงรึไง ห่า.... กูไม่คิ ดไรหรอก ช่างเห๊อะ! ไป ๆๆ ไปเต้นกัน มึงปล่อยอีชาลีเต้นคน
เดียวมันเหงาแย่ ฮ่า ๆๆ" ผมจึงพูดอ้างอิงไปถึงกะเทยคนนึงในสีที่ปลื้มเอิ้นม๊ากกก มากครับ มันชื่อชาลี (ชื่อตามบัตรประชาชน สุชาติ) เป็น
เด็กโรงเรียนชายล้วนแถวโรงเรียนผมนี่ล่ะ แต่กางเกงนํ้าตาล อีชาลีนี่ติดใจไอ้เอิ้นขนาดหนักถึงขั้นจะกิน จะขี้ จะเยี่ยว เป็นต้องเรียกหา
หัวหน้าสีให้มาดูแล (ทั้งที่ไซส์อีชาลีนี่ออกแนวบึก ถึกทนกว่าเอิ้นตั้งเยอะ) เอิ้นก็หนีมันบ้างบางโอกาส แต่จริง ๆ ชาลีมันก็ตลกดี พวกผมเลย
ชอบเล่นกับมันครับ แน่นอนว่าพูดจาเป็นศิราณีแบบนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติเอิ้นคงทุบหัวผมแก้เขินไปแล้ว (รึเปล่าวะ ฮ่า ๆ) ผิดกับ
ครั้งนี้ที่มันเงียบ.. ใช้เพียงดวงตาคมกริบคู่นั้นมองตรงมา จนผมไม่สามารถหลบสายตาได้ต่อไป "มึงไม่คิดแต่กูคิดนะ... มึงก็รู้ว่า.. กู
คิดยังไงกับมึง.." เสียงทุ้มของเอิ้นเตือนผมเบา ๆ แต่ฟังดูจริงจังราวกับหินผา.... อันที่จริงถ้าไม่เตือนก็ว่าจะทําลืม ๆ ไปแล้วนะ.. แต่มาพูดถึง
อีกแบบนี้หมายความว่าไงวะ ผมสบดวงตาจริงจังคู่นั้น แล้วอดไม่ได้ที่จะเผลอถอนหายใจออกมา "คือเอิ้น... ตั้งแต่วันแรกที่กูรู้จัก
มึงจนถึงวันนี้กูก็ไม่เคยเปลี่ ยนไปเลยนะ.. กู.. ยังคิดว่ามึงเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แล้วก็จะคิดแบบนี้ตลอดไปด้วย" ผมรู้ว่าคําพูดเหล่านั้นคงไม่
สามารถทําให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นได้ แต่ความรู้สึกผมเป็นอย่างนี้จริง ๆ ผมจึงรีบเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้างพลางตบบ่ามันแรง ๆ สองสามทีอ ย่างที่
ชอบทํา "ทําไมทําหน้างั้นว๊าาา เป็นเพื่อนกันดีจะตาย! หนุกดีออก! อย่างเมื่อกี้ถ้าเป็นคนอื่นกูต่อยปากแตกไป
แล้วว แต่เห็นมึงเป็นเพื่อนนะเนี่ยถึงบอกไม่ต้องคิดมาก! ชิว ๆ ไป จะจูบกูอีกกี่ทีกูก็คิดกับมึงแบบเดิมแหละ ไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดอะไรทั้งนั้น
เข้าใจนะ!" ผมพูดกึ่งจริงกึ่งเล่นให้อีกฝ่ายหลุดขําได้นิดนึง แต่ทําไมตัวเองถึงเสียวสันหลังวูบแบบนี้วะ.... ผมขมวดคิ้วเป็นปมหลัง
พูดประโยคเมื่อกี้จบ ก่อนจะหันไปเพื่อพบกับ.. ... ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ที่มายืนนิ่งอยู่ ก่อนจะมองทั้งเอิ้นและผมด้วยสายตาเอาเรื่อง
แล้วจากไป เดี๋ยวนะ... มึงได้ฟังครบจริงรึเปล่าเนี่ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!
62nd CHAOS
แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ ครับ... ว่าไอ้ห่านี่มัน ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดตัวพ่อ! ก็ดูแม่งดิ่ ตั้งแต่เล่นเกมจบก็ทํ าหน้าบูดเป็นตูดทั้ง
ที่สีมันได้คะแนนนําเป็นอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างสีคนอื่นลิ่ว ๆ อยู่แท้ ๆ ยังมาจะทําอารมณ์เสียอีก... แล้วแทนที่มันจะอารมณ์เสียหงุดหงิด ๆ แล้ว
เมิน ๆ หน้าผมไป เสือกดันนนนนน ยิ่งวนเวียนอยู่รอบตัวผมยิ่งกว่าเก่า! แม่งงงง จริง ๆ ผมน่าจะรู้ว่าคนอย่าง ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ นี่ เป็น
ประเภทกัดแล้วไม่ยอมปล่อย โดยเฉพาะเวลาอารมณ์เสียยิ่งกัดแน่นกว่าเก่า หลักฐานก็คือพอเล่นเกมจบ ทันทีที่พี่ สตาฟร้องสั่งให้ต่างคนต่าง
แยกย้ายไปทําธุระส่วนตัวและเข้านอนได้ มันก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินลิ่ว ๆๆ มาทางผมแบบไม่สนใจใคร เรียกได้ว่าหลังจากนั้นเอิ้นไม่มีโอกาสได้
เดินข้างผม หรือชวนผมคุยอีก ตราบใดที่มีไอ้เชี่ยปุณณ์ขวางอยู่ทุกประตูแบบนี้ แต่ก็ใช่ว่ามายืนขวางแล้ วมันจะยอมพูดกับผมนะครับ!
เพราะแม้ปุณณ์จะยืนจังก้ายังกะหมาเฝ้ายาม แต่แม่งไม่ยักเปิดปากคุยกับผมอยู่ดี มีแต่หันไปคุยกับโจ๊กบ้าง นันท์บ้าง พวกเพื่อน ๆ ผม ไอ้โอม
ไอ้ปาล์ม ไอ้พ้ง หรือแม้แต่เอิ้นกับพีท ก็ยังคุยด้วยได้ เว้นแต่กับผมคนเดียวนี่แหละ ที่มันทําเงียบใส่ แล้วแบบนี้มึงจะมาป้วนเปี้ยนทําหน้าดุ
อยู่ข้างกู จนคนอื่นเขาพลอยไม่กล้าคุยกับกูด้วยทําไมวะ...
ไอ้สัดดดดดดด! ผมว่าจะหันไปด่าแม่งหลายรอบละ แต่ขี้เกียจ ประกอบกับมันไม่ยอมคุยกับผมด้วย ผมเลยไม่อยากชวนคุยก่อน (เหอะ
ๆ) ถ้าอย่ างนั้นช่ างแม่ง แล้ วกัน ผมคิด อย่ างเซ็ง ๆ แล้ วก็ทําทุ กอย่า งตามปกติ โดยมีไ อ้ปุ ณณ์คอยวนเวีย นเป็นเงาตามตัว แบบไม่ ปกติ
ตลอดเวลา.... ก็จะให้เรียกว่าปกติได้ไงครับ!!! ในเมื่อแม่งตามผมต้อย ๆๆ! ขนาดไปอาบนํ้า มันก็ตามไปอาบด้วย แถมห้องนํ้าเสือกเป็ นแบบ
open air อีก คือมีอ่างใส่นํ้าใหญ่ ๆ ตรงกลางให้ทุกคนตักอาบกันแบบโชว์สเตปเทพ (ใครไม่เทพก็โชว์ของดีไป แต่กูไม่อยากดู) แน่นอนว่ายิ่ง
ห้องนํ้าเป็นแบบนี้มันยิ่งตัวติดกับผมเข้าไปใหญ่ ทําเอาผมถึงกับเหวอตอนไอ้เลขาสภาฯหันมาสาดนํ้าโครม ๆๆ ใส่ แล้วยื่นสบู่ให้ผมถู ตามด้วย
สาดนํ้าโครม ๆๆ ล้างสบู่ผมอีก ก่อนมันจะโบกมือไล่ผมให้ออกไปแต่งตัวอย่างไว... เชี๊ยยยยยยย เร็วไปปะ!!! แน่นอนว่าถ้ายอมออกง่าย ๆ
ก็ไม่ใช่โน่แล้วว เหอะ ๆ.. ผมยังดื้อยืนสาดนํ้าเล่นกับพวกไอ้โอมไอ้ปาล์มต่อ โดยไม่สนใจสายตามาคุที่ใครไม่รู้ส่งมา โดยเฉพาะตอนพวกผมรุม
สกรัมไอ้พ้งครับ แหม.. ก็น่ารุมไหมล่ะ แม่งเสือกเป็นคนเดียวที่รู้ทันว่าห้องนํ้าจะเป็นแบบอาบรวม (เพราะแอบโทรไปถามพี่สต๊าฟก่อนมา
ค่ายแล้ว) แต่ไม่เสือกบอกพวกผม! เป็นสาเหตุให้มันไหวตัวทัน เตรียมบ๊อกเซอร์สีแดงเข้มมมมชิบหายมาอาบนํ้าอย่างสบายใจคนเดียว ต่าง
กับบ๊อกเซอร์สีเขียวอ่อน เหลืองอ่อน ฟ้าอ่อน ชมพูอ่ อน ของพวกผมโดยสิ้นเชิง (แทบไม่มีอะไรถูกปิดบังแล้ว ณ จุดนี้..) แน่นอนว่าทํา
ตัวแปลกแยกแบบนี้ มึงต้องโดน!..... ถอด!!!!!!! กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก ฮาสัด ๆ สะใจชิบหายตอนเห็นไอ้คุณหนูพ้งเอาตัวซึ่งถูสบู่
จนหอมฉุยแล้ว ลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นปูนซีเมนต์สาก ๆ ในห้องนํ้า (ยํ้าอีกที! ว่าเป็นพื้นซีเมนต์ ไม่ใช่พื้นกระเบื้องครับ...) หึหึหึ.. ดูไกล ๆ
เหมือนพวกผมรุมกระทืบมันอย่างบอกไม่ถูก แต่ ณ เวลานั้น ให้พวกผมรุมกระทืบไอ้พ้งก็อาจจะดีใจกว่าโดนรุม ถอดกางเกง แบบนี้ กร๊ากก
กกกกกก เสียใจด้วยนะ แต่ไหน ๆ พวกกูก็โป๊เปลือยกันขนาดนี้แล้ว มึงอย่าหวังจะรอด!
ผมกับเพื่อนคนอื่น ๆ รุมแกล้งไอ้พ้งกันเสียงโคตรดังในห้องนํ้า ก่อนโอมจะ mission complete ดึงบ๊อกเซอร์ลายดาวสีแดงแจ๋ของ
คุณหนูพ้งออกมาสําเร็จ! กร๊ากกกกก เสียดายจริง ๆ ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมาอาบนํ้าด้วย (ใครจะพก!) พวกผมเป่าปากล้ อไอ้พ้งกันยกใหญ่
ก่อนจะสําเหนียกได้ว่าควรเริ่มอาบนํ้าใหม่ซักที เพราะเมื่อกี้ลงทุนมากไปหน่อย ถึงกับมีการสไลด์ตัวนอนบนพื้นซีเมนต์แหยะ ๆ เลยทีเดี ยว (อี๋
...) ว่าแต่ทําไมเชี่ยโอมอาบนํ้าเสร็จเร็วจังวะ!? ผมที่เพิ่งตักนํ้าล้างสบู่ขันแรกหันไปมองโอมผู้ซึ่งเดินลิ่ว ๆๆ ไปทางราวแขวนผ้าแบบงง ๆ ก่อน
จะถึงบางอ้อ ไอ้สัดดดดดดด ใช้ผ้าขนหนูกูอีกแล้ว!!!! "เชี่ยโอมมมมมมม สันดานนนนนนนนนนนน!!" ผมตะโกนด่าไอ้เพื่อนชั่วลั่นห้อ ง
นํ้า โดยที่อีกฝ่ายแค่ส่งเสียงหัวเราะกลับมาแบบไม่สะทก (ชั่ว!) ว่าจะอ้าปากด่าต่อให้หายแค้นแต่ก็มีผ้าขนหนู ผืนหอมกลิ่นคุ้นเคยโปะลงบนหัว
ซะก่อน.. ปุณณ์ยืนทําหน้าไม่รู้ไม่ชพี้ ลางเอามือสางผมเปียก ๆ ของตัวเอง โดยใช้ลําตัวบังผมเอาไว้มิด ผมขมวดคิ้วก่อนจะก้มมองบ๊อกเซอร์
สีฟ้าอ่อนของตัวเอง ที่ถึงจะบางจ๋อยแต่ก็ไม่ได้ดูเซ็กซี่สักเท่าไหร่ (เมื่อเทียบกับบ๊อกเซอร์สีเหลือ งอ่อนของไอ้ปาล์มแล้ว ฮ่า ๆๆ) กระนั้นผมก็
ยอมรับผ้าขนหนูปุณณ์มาเช็ดตัวแต่โดยดี ผมรับผ้าขนหนูลายทางเนื้อแห้งสนิทของปุณณ์มาใช้อย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้เปียก
มาก ก่อนจะรีบคืนกลับไป ให้เจ้าของมันที่ใส่บ๊อกเซอร์สีส้มอ่อน ๆ ซํ้ายังเปื่อยนํ้าจนยุ่ยแทบเห็นไปถึงไหนต่อไหน... เหอะ ๆ.. อยากจะตะโกน
บอกจริง ๆ ว่ากูหวงมึงนะ!! แต่ก็ไม่อยากเป็นคนเริ่มพูดก่อนนี่หว่า... ผมกับปุณณ์ได้แต่ยืนแต่งตัวข้างกันอย่างเงียบ ๆ (ต่างคนต่ างคอยบัง
ให้อีกฝ่ายครับ) ก่อนจะเดินกลับตึกนอนด้วยกัน... ระหว่างทางผมลอบมองใบหน้าด้านขวาของปุณณ์ ที่ยังคงนิ่งเฉย แต่วงแขนแกร่งหอบเอา
ข้าวของผมไปถือให้ทั้งหมด.. จนอดคิดไม่ได้ว่า.. ถ้าผมฉวยเอาของเหล่านั้นมาถือไว้ แล้วปุณณ์จะยอมยื่นมือข้างที่ว่างมาประคองฝ่ามือผ ม
หรือเปล่า ...ผมรู้ดีว่าคําตอบจะเป็นแบบไหน..
แล้วเราทั้งหมดก็มาถึงห้องนอนกันครับ! ซึ่ งจริง ๆ มันคือห้องเรียนต่างหาก (ก็ที่นี่มันโรงเรียนนี่นา ไม่ใช่โรงแรม Y___Y) ห้องนอนของ
พวกเราเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ ที่ให้ชาวค่ายใช้นอนรวมกันยังกะแรงงานต่างด้าว ซึ่งแน่นอนว่าพอเข้าไปถึง เพื่อนร่วมค่ายคนอื่น ๆ ก็ห ลับ
ปุ๋ยกันหมดแล้ว เป็นซะอย่างนั้นพวกผมจึงต้อ งรีบสงบปากสงบคําแล้วหารูนอนเป็นของตัวเองทันที นับว่าโชคยังดีที่วางกระเป๋าจองรูนอน
เอาไว้ก่อน ไม่งั้นคงได้ไปนอนขี่กันแหง ผมนั่งเก็บของใส่กระเป๋าตัวเองซึ่งอยู่ติดกับโอมที่กําลังทาโลชั่นกลิ่นหอมฉุยอยู่ ถุ๊ย ย! ไอ้หล่อ! ทา
ให้ตายมึงก็ไม่ขาวขึ้นหรอก กร๊ากกกกกกกก ผมแค่คิดในใจยังไม่ทันอ้าปากด่ามันซักคํา แต่แม่งเสือกยื่นมือมาตบหัวผมดังปั้ก! "เหี้ยยยย
ตบกูทําไมไอ้สัด!" ผัวะ! นี่แน่ะ กูเอาคืนมั่ง คราวนี้เลยได้เป็นโลชั่นขวดเบ้อเร่อประเคนใส่หัวผมกลับมา อูยยย ไอ้เชี่ย ทําร้ายกู! "ดูหน้ามึงก็
รู้แล้วว่ากําลังด่ากูในใจ สัด" ทําไมมึงแม่น... เฮ้ย ไม่ใช่! ทําไมมึงชั่วงี้! ถึงกูจะด่าจริง ๆ ก็เหอะ แต่ถ้าวันไหนกูไม่ได้ด่าขึ้นมาก็โดนตบฟรีดิ่วะ!
สาดด ผมชูนิ้วกลางใส่มันก่อนจะเปลี่ยนเป็นแบมือขอทาโลชัน่ มั่งแทน อิอิ ก็ผมชอบใช้โลชั่นไอ้โอมนี่นา หอมดี เวลาไปบ้านมันผมก็ขอทาบ่ อย
ๆ เพราะทาแล้วหลับสบาย แต่ไม่เคยคิดซื้อเองเลย เพราะแม่งแพงมาก (พวกเกิดมาไม่หล่อก็ต้องลงทุนเยอะหน่อยล่ะครับ ผมเข้าใจ กร๊าก ๆ)
"นอนยัง ๆ พรุ่งนี้พี่เค้านัดเช้านะ เดี๋ยวไม่ตื่น" เสียงไอ้ปาล์มร้องถามพวกผมจากข้าง ๆ พ้ง ซึ่งอยู่ถัดไอ้โอมไป เรียกให้ผมมองนาฬิ กาบนข้อมือ
ตัวเองที่บอกเวลาตีหนึ่งกว่าแล้วก็รีบพยักหน้า รูปซิปปิดเป้โดยไว "งั้นกูปิดไฟเลยนะ" เสียงเอิ้นถามเพราะมันอยู่ใกล้สวิตช์ไฟมากที่สุด นํา
ให้พวกผมพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนไฟจะมืดลง ช่วงก่อนปิดไฟผมแอบเห็นว่าปุณณ์นอนกับโจ๊กและนันท์ ซึ่งอยู่คนละฝั่งห้องกัน จนอดคิดไม่ได้
ว่ามันเลิกตามผมแล้วรึไง แต่ช่างเหอะ ง่วงจะตายห่า ผมคิดพลางหาวปากกว้างเมื่อหัวถึงหมอน (ที่จริง ๆ แล้วเป็นเป้ แต่ติ๊ต่างว่าคือหมอน)
และคงหลับตายไปแล้ว ถ้าไม่ได้รู้สึกว่า...
มีสิ่งแปลกปลอมมานอนแทรกกลางระหว่างผมกับพีทซะก่อน!? (ขวาผมเป็นโอม ซ้ายผมเป็นพีทครับ ถัดจากพีทไปเป็นเอิ้น) ว่าแต่ใครวะ
มานอนแทรก!? ผมพลิกตัวหันไปมองด้วยสายตาที่เริ่มชินกับความมืด จึงได้เห็นว่าเป็น.. ไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ เฮ้ย!!!!!!!! ก็กะจะแหกปาก
ด่าแล้วถ้าไม่ได้มีมืออุ่น ๆ ปิดไว้ก่อน ผมขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่เคยเห็นว่าบูดสนิทตั้งแต่หัวคํ่า ผิดกับตอนนี้ที่เจ้าของมันกําลังยกมือทําท่า
จุ๊ ๆ พาให้ผมว่าง่ายพยักหน้าตาม ผมขมวดคิ้วแน่นก่อนจะอดมองซ้ายแลขวาไม่ได้ ว่ามีใครตื่นมาเห็นเราหรือเปล่า.. และนี่คงเป็นครั้ ง
แรกในรอบ 6 ชั่วโมงที่ผมเห็นมันยิ้ม (ให้ผม) เสียแต่มืดจนมองไม่ถนัดว่ามันกําลังยิ้มจริงหรือผมตาฝาด? ระหว่างที่กําลังเพ่งสายตาอยู่ พลัน
รู้สึกได้ถึงวงแขนอุ่น ๆ ที่รวบตัวผมไปกอดไว้แผ่วเบาอย่างคุ้นเคย ปุณณ์กอดผมเบา ๆ เหมือนเวลามันอยากกล่อมให้หลับฝันดี ฝ่ามืออุ่ น
ข้างนั้นลูบหัวผมเล่นไปมา ขณะริมฝีปากหยุ่นประทับจูบบนหน้าผากผมผะแผ่ว ทั้งหมดเรียกให้ผมทําสิ่งที่เหมือนกันกลับไป ก่อนจะผล็อย
หลับในอ้อมแขนอบอุ่นของปุณณ์ ผมไม่รู้ว่าตอนเช้าจะมีใครตื่นมาเห็นเราหรือเปล่า.. แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้ามีปุณณ์ ผมจะปลอดภัย
ผมเชื่ออย่างนั้น : )
"@(#$&*{)(@&^!*)(*_)_(*&^(*)" โว่ยยยยยยยย แล้วเสียงอะไรดังจ้อกแจ้กแต่เช้าวะ คนยังนอนไม่เต็มอิ่มเลยแม่งงงง.... ผมขมวดคิ้วทั้ง
ที่
หลับตาปี๋เพราะรู้สึกเหมือนแสงแดดจ้ากําลังพยายามแยงเข้ามา "เชี่ยโน่ ตื่น! ตื่นนนนน ตื่นนนนนนน" แม่งงงง แล้วไอ้ประเภทยื่นตี นมา
สะกิดกูเนี่ยมีคนเดียว! ผมพลิกตัวหนีตีนเชี่ยโอม ก่อนจะวาดแขนไปกอดคนข้าง ๆ ด้วยความเคยชินที่ทํามาตลอดคืน "เฮ้ย!!!!!!!!!" แต่มันจะ
ร้องทําไมวะ แล้วนี่ไม่ใช่เสียงปุณณ์นี่หว่า!!? ผมสะดุ้งโหยง รีบปล่อยแขนออกก่อนจะลืมตามาพบว่า คนที่ซวยโดนกอดไปเต็มเปาเมื่อกี้นี้คือ
พีท! "โน่ปล้นความบริสุทธิ์ผม!!!!!!!!" เชี่ยยยยยยยยยยยย! ผมตาสว่างก่อนจะชูนิ้วกลางใส่พีททั้งที่เราไม่ค่อยสนิทกัน (แต่ตอนนี้มึงกวนตีนกู
และ!) เอ๊ะ หรือผมจะเป็นฝ่ายผิดเองวะ เพราะเสือกไปกอดมันก่อน ฮา ๆ.... ว่าแต่เมื่อคืนที่เห็นปุณณ์นอนข้าง ๆ นี่ผมฝันหรืออะไร? ไม่ใช่ว่า
จริง ๆ กลายเป็นนอนกอดพีทตลอดคืนนะ!?.. ชักกลัวว่ะ ผมขยี้ตาไล่ความเบลอก่อนจะพยายามสังเกตว่าไอ้ปุณณ์อยู่ไหน สรุปว่ามันยัง
หลับปุ๋ยอีกฝั่งห้องครับ (แต่ทําไมไม่เสือกมีใครปลุกบ้างอะ!) ส่วนข้าง ๆ ผมที่หลงคิดว่าเป็นปุณณ์ตลอดคืน ดันแปลงร่างกลายเป็นพีท ผู้ ซึ่งเพิ่ง
โดนลูกหลง เจอผมกอดซะเต็มเปาไปแหมบ ๆ นับว่ายังโชคดีที่มันหันไปหัวเราะเฮฮากับเพื่อนคนอื่น ๆ ต่อ ดูไม่ได้คิดมากอะไร (เออ ผมก็ไม่
คิดเหมือนกัน) เป็นอย่างนั้นผมจึงได้แต่เกาหัวตัวเองเก้อ เพราะสงสัยเมื่อคืนจะ... ฝันไป... เหรอวะ? เออ ช่างแม่งเหอะ! มึน ตอนนี้ไอ้
ปุณณ์ตื่นแล้วครับเพราะเสียงโวยวายของพวกผม ตามด้วยอีหรอบเดิม คือไม่ยอมพูดด้วยเหมื๊อนนนเคย ได้แต่ถืออุปกรณ์ล้างหน้าแปรงฟันมา
ยืนจังก้า คงจะรอให้ผมออกไปพร้อมกัน แต่เห๊อะ! ใครจะไปกะเมิ๊งง ผมเลิกคิ้วมองกวนตีนปุณณ์ ก่อนจะนั่งรอไอ้ปาล์มไอ้พ้งจนเตรียมของ
เสร็จ แล้วออกไปพร้อมพวกมัน เว้นเชี่ยโอมไว้ เพราะเจ้าตัวบอกจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ตั้งแต่ตอนไหนวะ?) ขอนอนต่ออีกหน่อยแล้ว
กัน.. เออ เรื่องของเมิง แน่นอนว่าพอกลับมา......... ป้ายชื่อไอ้ปาล์มก็แหว่ง.. กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่า ค่ายนี้
เค้าเล่นปอบอยู่ แถมเชี่ยปาล์มก็เสือกโง่ วางป้ายชื่อทิ้งไว้หราคาห้องนอนอีก เลยถูกปอบฉีกทีเผลอตาม
ระเบียบ (ว่าแต่มีการฆ่ารูปแบบนี้ด้วยเหรอวะ!!!) แถวบ้านกูเรียกไหลตาย ตายไม่รู้ตัวนะมึง ฮ่า ๆๆ แล้วใครฆ่ามันวะ! ?!? ผมหันไปมอง
หน้าเชี่ยโอมโดยอัตโนมัติ เห็นมันแสยะยิ้มกลับมาประมาณว่าเผลอเมื่อไหร่มึงตาย ทําเอาผมเสียวสันหลังวาบบ ต้องรีบหยิบป้ายชื่อตัวเองมา
แขวนคอด่วน! เออ จริง ๆ แล้วการมีปุณณ์คอยตามตูดต้อย ๆ นี่ก็ดีอย่างเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยเชี่ยโอมก็ฆ่าผมไม่ได้ไง! หลังจ าก
เหตุการณ์ลอบฆ่าสยอง (จนป้ายชื่อไอ้ปาล์มแหว่งนําความฉงนสู่ประชาชี ว่าทําไมไอ้ห่านี่ตายตั้งแต่มาถึงได้แค่วันเดียว) พวกเราก็ลงไปรวมตัว
กันบริเวณสนามบอลหน้าตึกเรียนครับ พี่ ๆ เขาให้แบ่งกลุ่มยืนเรียงกันตามสีเหมือนเด็กประถมไม่มีผิด แน่นอนว่าปุณณ์โดนแยกให้ไปนั่งกั บ
พลพรรคคนป้ายเหลือง (ก่อนไปยังไม่วายส่งสายตาดุ ๆ มาอีกนะ) ส่วนผมอยู่กับฝูงชนคนป้ายแดง (การเมืองไปป่ะครับ ?) แล้วรุ่นพี่ก็เริ่มแจก
แจงว่ากิจกรรมวันนี้มีอะไรบ้าง และสีไหนต้องรับผิดชอบงานส่วนไหนกัน แน่นอนว่ากิจกรรมค่ายปลูกป่าก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการ... ปลู ก
ต้นไม้... แต่มันป่าตรงไหนวะ!? เพราะฟังไปฟังมา ตกลงค่ายนี้ พี่เขาจะให้เราปลูกหญ้าแฝกครับ เพื่อช่วยเป็นปราการด่านธรรมชาติ คอยดูด
ซึมนํ้ารอบ ๆ ฝาย อืม.... ก็ดีเหมือนกัน ฟังดูเหมือนเรื่องง่าย ๆ กะอีแค่ปักหญ้าลงดิน.. ผมเริ่มนั่งหาวระหว่างพวกพี่ ๆ สตาฟกําลั งสอนวิธี
ปลูกหญ้าอยู่ หนังตาเริ่มจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ จนเอิ้นที่นั่งข้างผมต้องหลุดขําออกมา "ง่วงเหรอโน่ เมื่อคืนนอนหลับป่าว" "อืมมมมมม
..." ผมนั่งใช้ความคิดอย่างหนักเมื่อเอิ้นพูดถึงเรื่อง 'เมื่อคืน'.... อืมม... กุว่าเมื่อคืนกุก็นอนหลับนะ แต่ทําไม... เหมือนฝันเห็นไอ้ปุณณ์เลยวะ....
อืม... ไม่ใช่มั้ง ผมหันไปทําหน้าง่วงตอบเอิ้น "หลับ... แต่อยากหลับอีก" "ฮ่า ๆ นอนดิ่ เสร็จแล้วเดี๋ยวปลุก" เยี่ยมไปเลยจอร์จ! ผมฉีกยิ้ม
รับคําพูดเอิ้นก่อนจะฟุบหน้าลงกับหัวเข่าตัวเองทันที ฝากด้วยนะมึง!
... "โน่ ๆ ไปกัน ไปกันได้แล้ว" อ๊ะ? หือ... อะไรวะ... ผมโงหัวจากเข่าตัวเอง เห็นชาวค่ายคนอื่น ๆ กําลังลุกเตรียมตัวย้ายกําลังพล
ไปฝาย จนเหลือแค่ผม ที่เสือกรู้ตัวช้ากว่าชาวบ้านเขา (มัวแต่หลับ) เลยต้องสําลักบรรดาฝุ่นผงและเศษหญ้าที่คนอื่น ๆ ปัดออกจากก้นจนฟุ้ ง
ทั่วไปหมด "แค่ก แค่ก แค่กกกก" โอ่ยย ไอ้พวกบ้า ปัดเบา ๆ หน่อยเส่ะวะ กูยังนั่งอยู่นะโว๊ย!!! ผมโวยวายในใจก่อนผ้าขนหนูผืนเล็กจะ
ถูกโยนมา "แต๊งกิ้วว่ะเอิ้น!" แน่นอนว่าผมรีบรับไว้อุดจมูกก่อนถือโอกาสลุกขึ้นยืนบ้างเพื่อประจันหน้ากับ..... ปุณณ์ ฉิบหา ยแล้ว
ชีวิต!!!!!! กูนึกว่าเอิ้น!!!!!!!! ซวยแล้วไง! ผมยืนหน้าเหวอมองปุณณ์ที่ทําเป็นหูหนวก ไม่ได้ยินว่าผมพูดขอบคุณใครเมื่อกี้นี้.... เอ่อ... ก็คงดีมั้ง
เป็นอย่างนั้นผมจึงอ้าปากกะจะขอบคุณมันหน่อย แต่ก็นึกออกว่าถ้าเริ่มพูดก่อนเท่ากับเกมนี้ผมแพ้ดิ่ (ตกลงนี่กําลังเล่นเกมเหรอ ?) คิดได้
ดังนั้นผมจึงยื่นผ้าขนหนูกลับไป (ใช้เสร็จแล้ว) ซึ่งปุณณ์ก็รับไว้โดยไม่ตอบอะไร แค่ไม่ยอมเดินไปไหน ถ้าหากผมไม่ไปด้วยเท่านั้นเอง.. ..ให้
มันได้อย่างงี้สิ!
"สีเหลืองโดนโซนไหนอะปุณณ์ ไกลปะ" เอิ้นร้องถามขณะเรา 3 คนกําลังมุ่งหน้าไปฝาย ดูจากระยะทางแล้วคงอีกยาวไกล แต่ผมไม่รู้หรอ
กว่าจริง ๆ แล้วฝายอยู่ตรงไหน เพราะตอนเขาบอกมัวแต่หลับเพลิน "ก็ต้นฝายอะ เห็นพี่เค้าว่าตรงกูมีนํ้าด้วย" ปุณณ์ตอบพร้อมรอยยิ้ มทั้ง
ที่มือแบกเสียมไว้ 2 เล่ม (ของผมเล่มนึง) นําให้เอิ้นยิ้มกลับ "ดีว่ะ ของสีกูเค้าให้ไปท้ายฝาย รู้สึกนํ้าจะแห้ง ต้องร้อนแน่เลย โน่! ไหวปะ"
เหอะ ๆ.. คุยกันสองคนแล้วยังอุตส่าห์มีนํ้าใจลากกูเข้าวงอีกนะ ผมกระพริบตาปริบ ๆ สองที พลางเงยมองพระอาทิตย์จ้าก่อนจะฉีกยิ้มแหย
ๆ "ไหวสิวะ รด.กูก็เรียนนะ" แค่โดดเกิน 4 ครั้งแล้วเท่านั้นเอง แหะ ๆๆ... "เรียนศูนย์ย่อยทําเป็นอวดว่ะ ไว้โดนศูนย์ใหญ่อย่างพวกกู
ก่อนค่อยมาคุยกัน ฮ่า ๆ จริงป่าววะปุณณ์" อ้าวไอ้นี่ กูดวงดีได้เรียนศูนย์ย่อยแล้วไงวะ ไอ้พวกซวยโดนศูนย์ใหญ่อิจฉาล่ะสิ ผมเหล่ตามองเอิ้น
เคือง ๆ แต่มันเลิกสนใจกัดผมแล้ว เพราะมัวนินทาทหารศูนย์ใหญ่ที่พวกมันสองคนเจอกันอย่างสนุกปาก เออ เอาเหอะ... เข้ากันได้เป็นปี่เป็น
ขลุ่ยจริง ๆ ผมเหลือบมองไอ้สองคนที่เดินคุยกันอย่างออกรสแล้วอดยิ้มไม่ได้ ผมชอบปุณณ์ตรงนี้ล่ะ เพราะถึงมันจะขี้หึง ขี้หวง (เรื่องนี้ไม่
มีใครรู้หรอกครับนอกจากผม) แต่มันไม่ใช่ คนพาล ปุณณ์ไม่เคยเอาความไม่พอใจไปลงกับเพื่อน ๆ ผมให้ผมขายหน้า ปุณณ์ไม่เคยทําร้าย
ร่างกายผมให้ผมเสียใจ จะมีก็แต่งอนแล้วทําอะไรเพี้ยน ๆ ตามประสาคนแบบมันเท่านั้น (อย่างที่กําลังทําอยู่ตอนนี้เป็นต้น) หรือไม่ก็แ อบกัน
ท่าผมเงียบ ๆ ไอ้เรื่องจะให้ยื้อยุดฉุดกระชากแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของออกนอกหน้าน่ะ ลืมไปได้เลย และผมก็ชอบปุณณ์ที่ให้เกียรติกัน
แบบนี้มาก ผมเหลือบมองใบหน้าคมยิ้ม ๆ เห็นเจ้าตัวทําหน้างง ๆ เหมือนอยากถามว่าผมยิ้มอะไร แต่มันไม่ถามหรอก
(เพราะเราทําสงครามเย็นกันอยู่) หึหึ.. ยิ่งเห็นมันทําหน้าสงสัยผมยิ่ งผิวปากอารมณ์ดีก่อนจะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา "โน่!!!!!! อรุณสวัสดิ์!
ลืมตาเดินอยู่รึเปล่าเนี่ย อิอิ" แต่.... นี่เสียงใครวะ? ผมหันรีหันขวางไปมองต้นเสียงที่จะว่าคุ้น... ก็คุ้น..... จะว่าไม่คุ้น..... ก็ไม่คุ้น.... จนได้เห็น
นั่นล่ะครับ ถึงรู้ว่า.. อ้าว..... เด็กผู้หญิงจากชมรมดนตรีคอนแวนต์นี่หว่า!? ชิบหายแล้ววว ผมรู้ว่าตัวเองกําลังหน้าซีดเผือก เพราะเธอ
เล่นจําผมได้ มีแต่ผมนี่แหละที่ยังนึกไม่ออก... เอ่อ.. เอาไงดีวะ ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าผมจําไม่ได้จะเสียใจไหม.. โอ่ย อยากได้ตัวช่วยจริ งจริงงงง
ขณะที่ผมกําลังคิดชื่อเด็กผู้หญิงตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น จู่ ๆ เธอก็เป็นฝ่ายชี้ทางสว่างให้ผมเอง "จิ๊ดเห็นโน่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
แหละ ว่าจะทักแต่กลัวโน่จําไม่ได้" เออ ใช่!! จิ๊ด! ใช่เลย!!!! นึกออกแล้วโว๊ยยยยยยย ทันทีที่จิ๊ดหลุดบอกชื่อตัวเองออกมาผมก็ยิ้ มกว้าง
กลับไปแบบโคตรผิดปกติ (ทําไงได้ครับ คนมันดีใจอะ) แม้จะเหลือบเห็นใบหน้าปุณณ์ดูฉุนไปแว่บนึง แต่ผมไม่ทันใส่ใจอะไรมาก "ทําไมจะ
จําไม่ได้ล่ะ.. จําได้ดิ่ครับ แหะ ๆๆ" มุสาวาทา เวรมณี สิกขา ปทัง สมาทิยามิ... สาธุ จดความเลวนี้ลงบัญชีหนังหมาของนายนภัทรเพิ่มอี กหนึ่ง
ประการเลยก็ได้ครับท่านยมบาล.. เดี๋ยวผมค่อยไปชดใช้กรรมให้อีกทีในนรกเลยแล้วกัน ก็อย่างน้อยคําโกหกของผมทําให้จิ๊ดยิ้มออกนี่ "ดี
ใจจัง ฮิ ๆ จริง ๆ แล้วจิ๊ดเจอโน่แถวโรงเรียนบ่อยมากเลย แต่ไม่กล้าทัก กลัวโน่จําไม่ได้" อืม... อย่ายํ้าได้มั้ยเรื่องจําไม่ได้เนี่ ย (เพราะจําไม่ได้
จริง ๆ -_-).... ผมฉีกยิ้มแหย ๆ ตอบ แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้คุยอะไรกัน เสียงทุ้มที่ผมรู้จักดีก็ชิงแทรกเข้ามา "จิ๊ดอยู่สีชมพูเหรอ ก็อยู่กับ
โอมสิ"
"อื้ม โอมที่ป่วน ๆ ใช่มั้ย ปุณณ์อยู่สีเหลืองก็สีเดียวกับยูริสิ" "ใช่" แล้วสองคนนั้ นก็เปิดประเด็นคุยกันยาววววววววววววววววว จนไม่
เหลือช่องให้จิ๊ดได้หันมาชวนผมคุยอีก ซึ่งก็.... ดีเหมือนกัน เอาเล้ยย ตามสบาย มึงอยากจะเดินแทรกกลางระหว่างกูกับเอิ้น แถมยังชวนจิ๊ ด
คุยตลอดทางด้วยก็ตามสบายยยย (ฮึ่ม!) แล้วแม่งก็ทําจริง ๆ ครับ -_-... ผมล่ะอเมซซิ่งที่มันสามารถชวนจิ๊ดคุยได้ตลอดทางอย่างน่าทึ่ง!
(ปกติอยู่ด้วยกันมันยังไม่เคยพูดมากขนาดนี้เลยนะ) คิดดูว่าขนาดเดินลัดบนคันนา.... คันนาจริง ๆ ครับ มีต้นข้าวด้วย เหอ ๆๆ คือทางไปฝาย
เนี่ย ต้องเลาะคันนาไปประมาณหกเจ็ดแปลงได้กว่าจะถึง แต่แม้จะมีอุปสรรคเป็นคันนามาขวางกั้น มันก็ยังไม่ลดละที่จะหันมาชวนจิ๊ดคุยแบบ
non-stop ไม่มีสะดุด เหอะ ๆ... ดีเนอะมึง เต็มที่เล้ยยยยย จริง ๆ มึงกะจะจีบเขาใช่ไหม ผมแอบเห็นนัยน์ตาจิ๊ดเคลิ้ม ๆ อยู่เหมือนกัน เล่น
เอาคันปาก อยากเตือนปุณณ์ตงิด ๆ ว่าระวังงานจะเข้าตัวเอง ในที่สุด ฝัน(ของใคร)ก็สลาย เมื่อปุณณ์ถึงเวลาต้องจากพวกเราไปประจํา
โซนสีเหลืองของมันที่ต้นฝาย ทิ้งให้จิ๊ด เอิ้น และผม เดินต่อไปยังท้ายฝายเพียง 3 คน.... ซึ่งแน่นอนว่าก่อนไป แม่งยังไม่ลืมที่จะส่งสายตาดุ ๆ
มาให้ เหอะ ๆ.... อะไรของมึง กลัวกูแย่งจีบเค้ารึไง ห่า ป่านนี้เค้าหลงรักมึงไปแล้วมั้ง สัด ผมเบะปากใส่ไอ้ปุณณ์ก่อนจะเดินจากมาพร้อม
ทั้งจิ๊ดและเอิ้นโดยแทบไม่ได้คุยอะไรกัน ไม่ใช่ว่าหงุดหงิดหรืออะไรหรอกนะครับ แต่อากาศมันร้อนมากกกกกกกก ร้อนจนต้องเอาผ้าคลุมหัว
ไม่งั้นได้เป็นลมแดดแหง นี่ขนาดไม่ทันเริ่มงานยังส่อแววอยากกลับไปนอนต่อขนาดนี้ แล้วพอเริ่มงานจะขนาดไหน ผมกับเอิ้นเดินบ่นเรื่องดิน
ฟ้าอากาศเพลิน ๆ จิ๊ดก็ขอตัวแยกไป เพราะเรามาถึงโซนกลางฝายของพวกสีชมพูแล้ว ผมเหลือบเห็นไอ้โอมกําลังช่วยเด็กผู้หญิงหน้าตา
น่ารักแบกกองหญ้าแฝกที่ต้องปลูกอยู่ไกล ๆ แต่ถึงไกลแค่ไหนมันก็ไม่ละความพยายามที่จะส่งยิ้มแถมทําหน้าชนะเลิศมาให้ หึหึ ไอ้เวร ทีงี้ล่ะ
ทําเป็นสุภาพบุรุษ แต่เวลาอยู่กับพวกกูน่ะกินแรงเอา กินแรงเอา ไอ้เชี่ย! เป็นซะอย่างนั้นผมจึงชูนิ้วกลางใส่หน้ามันก่อนจะเดินผ่านไ ปอย่าง
ละเหี่ยใจ "โซนนึงกว้างเหมือนกันนะ จะทําไหวรึเปล่าเนี่ย" เอิ้นบ่นเสียงแผ่ว เมื่อชักรู้สึกว่ากว่าจะเดินผ่านโซนที่สีต่าง ๆ รับผิดชอบนี่มัน
นานพอตัว นานจนไม่อยากจินตนาการว่าโซนตัวเองจะใหญ่แค่ไหน แถมไอ้ผมเป็น
ประเภทไม่ค่อยออกกําลังกายซะด้วย ก็ถึงจะอยู่วงโยฯ แต่หลัง ๆ มานี้แทบไม่เคยออกไปเดินแถวเลย มีแต่อู้ซ้อมในห้องตลอด ผิดกับเอิ้น ที่
ผมว่าไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล ในเมื่อตอนซ้อมเชียร์พวกพี่เชียร์โดนหนักขนาดนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่าถ้าไม่ถึกจริงเป็นประธานเชียร์ไม่ได้หรอก "ทํา
เป็นบ่นว่ะ มึงสบายอยู่แล้วว" คิดได้ดังนั้นผมจึงตบบ่ามันดังป้าบสองทีพร้อมรอยยิ้มเผล่ แต่ไอ้คนโดนตบแค่หันมายิ้มบาง ๆ ตอบ "กู
หมายถึงมึงอะ จะไหวรึเปล่า" อ้าวไอ้นี่! หวังดีหรือดูถูกกูวะ! ผมเลยต้องเลื่อนจากมือที่ตบหลังเป็นตบหัวแม่งแทน ฮ่า ๆๆ ประธานเชียร์ ผู้
ยิ่งใหญ่ก็ถูกประธานชมรมต๊อกต๋อยบ้องเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกันครับ ขอบอก "Kยยย กูฟิตขนาดนี้ ดู ๆๆๆ" ว่าแล้วก็โชว์กล้ามแขน(หรือ
ก้อนไขมัน) ให้มันดูเป็นขวัญตาซะหน่อย ฮ่า ๆๆ ไอ้เอิ้นถึงกับอึ้งไปเลย ก่อนมันจะเปิดปากพูดว่า "เชี่ยโน่.... มึงควรลดความอ้วน ได้แล้ว
นะ" สัด!!!!!!!! ไม่ได้ขอความเห็นเว้ย!!!!!!!!!

เวลาผ่านไปสามชั่วโมง.... ผมชักจะเห็นด้วยกับคําแนะนําของเอิ้นตงิด ๆ........ ก็โอ่ยยยยยยยยยยยย ทําไมอากาศถึงได้ร้อนอย่างงี้


วะ!!!!!!! ร้อนจนไขมันผมจะละลายหมดแล้วเนี่ยยยย แถมยังซวยอีกที่ไขมันเยอะ เลยพากันละลายไหลออกมามากเป็นพิเศษ หึ่ยยยยย ครั้นจะ
ให้ถอดเสื้อทิ้งตรงนี้ก็เกรงใจเด็กผู้หญิงในสี ไหนจะพวกแก๊งค์นางฟ้าต่างโรงเรียนที่อยู่ร่วมทีมเดียวกันอีก (อันนี้น่ากลัวที่สุดครับ) เป็นซะอย่าง
นั้นผมจึงต้องทนใส่เสื้อสีเขียวที่โคตรดูดซับความร้อนพอสมควรนี่ต่อไป แม่งงงง.. แถมการปลูกหญ้าก็ดูจะยากกว่าที่คิด เพราะ
จากตอนแรกนึกว่าจะง่าย ๆ สบาย ๆ ชิว ๆ แค่เอาเสียมขุดรูแล้ วปักหญ้าลงไปก็เป็นอันเสร็จพิธี แต่ความเป็นจริงมันรันทดกว่านั้นมากครับ
เพราะพื้นดินภาคอีสานนี้โคตรแห้งแล้ง (เกิดมาเพิ่งเคยเจอคําว่า 'แล้ง' ของจริง ไม่เห็นกับตาคงไม่รู้ว่าจะแล้งได้ขนาดนี้) พื้นงี้แห้งงงง
แตกระแหงจนเป็นดินแข็งโป๊กไปหมด ทําเอาพวกผมแทบขุดไม่ลง แถมเสียมก็มีไม่พอจํานวนคนอีก เลยต้องยกเสียมให้พวกผู้หญิงกับผู้ชาย(ที่
ใจเป็นหญิง)แทน ส่วนไอ้แมน ๆ อย่างผมน่ะ (แมนจริง อะไรจริงครับ
ณ จุดนี้ห้ามเถียง ฮาาา) ใช้มือโลด! แน่นอนว่าผมใช้สองมือตะกุยดินเพื่อปักหญ้าแฝกจนฝ่ามือแตกลอกเป็นแผ่น ๆ ไปหมด พอ ๆ
กับเอิ้นที่เริ่มมีเลือดไหลซึมบริเวณปลายเล็บ (ไอ้นี่โง่เอาเล็บจิกด้วยเหรอวะ) เราจึงชวนกันมานั่งอู้งานแถวใต้พุ่มไม้หลังเริ่มสํา เหนียกว่า... ไม่
ไหวจะตะกุยดิน อีกต่อไป แต่แถวนี้ก็ดันไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ ร่มเงาเลยครับ จะมีก็แต่กอหญ้ าสูง ๆ พอให้เข้าไปนั่ งหลบแดดไ ด้เท่ านั้นเอง
"เฮ้ยโน่ มือเป็นไงมั่ง เอามาดูดิ๊" แล้วแม่งยังจะทําเป็นคนดีอีกนะ ไอ้เอิ้น.. เหอ ๆ ผมแค่นหัวเราะมองมือตัวเองที่มีแต่แผลกับรอยถลอกก่อน
จะเหล่มองมือคนตรงหน้าที่อาการหนักกว่านั้นมาก จนปากผมอดที่จะเตือนสติมันไมได้ "กล้าถามกูนะ ดูมือมึ งเองเหอะ.... เดี๋ยวกูเดินไปขอ
อุปกรณ์ทําแผลให้เอามะ" "เฮ้ยไม่ต้องอะ มือกูมันไม่สําคัญ มือมึงเหอะ เดี๋ยวเล่นดนตรีไม่ได้นะ" โอ้.. . ผมเกือบลืม
เรื่องนี้ไปซะสนิทเลยนะเนี่ย.. "ไม่เป็นไร๊! กูชิว.... เล่นไม่ได้ก็ดี จะได้ถือโอกาสอู้ชมรม ก๊ากกกกก" โอ๊ย!! แล้วแม่งจะโบกหัวผมทําไมวะไอ้เชี่ย
นี่!! วิญญาณพี่ดิวเข้าสิงแม่งรึง๊ายยย! ผมกุมหัวตัวเองก่อนจะชี้หน้าไอ้เอิ้นเป็นเชิงฝากเอาไว้ก่อน อันที่จริง ที่ต อนนี้ผมกับมันมีเวลา
มานั่งอู้ก็เพราะเหลือหญ้าอีกไม่เยอะเท่าไหร่แล้วครับ สีเราผลัดเวรกันพักเป็นคู่ ๆ (เป็นขี้ไม่ดีครับ เหม็น... อ้าว ไม่ขําเหรอ เออ ไม่ปล่อยมุก
แล้วก็ได้ ชิ!) และผมกับเอิ้นก็คือสองคนที่ยังไม่ได้พัก (โชว์แมนกันแบบสุด ๆ) ดังนั้นเพื่อนร่วมสีคนอื่นจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรใ ห้พวกผม
ออกมานั่งพักสักที ส่วนหญ้าที่เหลืออีกนิดหน่อยพวกมันจะจัดการเอง อืม.. นี่ล่ะคือสาเหตุที่ทําให้ผมได้มานั่งอิงแอบแนบชิดกับเอิ้นที่ข้าง
ฝายอย่างนี้...... แต่.. แน่ะ ๆๆ แล้วไม่ต้องคิดจะเอาไปฟ้องไอ้ปุณณ์อะ เพราะมันน่ะ... เดินมานู่นแล้ว! "ยังไม่เสร็จ อีกเหรอเอิ้น"
แล้วก็ฟอร์มเดิม ไม่คุยกับผม แต่คุยกับคนรอบตัวผมตลอดดด! ผมเหล่ไอ้ตัวดีที่เดินยิ้มเผล่มาแต่ไกล ก่อนจะนั่งแทรกกลางระหว่างเอิ้นกับผม
อย่างโคตรรรรร ไร้มารยาท! ขาดความอบอุ่นรึไงวะไอ้นี่!!!
"อือ เหลืออีกนิดอะ ฝายมึงเสร็จแล้วเหรอวะ" "อืม เสร็จแล้ว มีคนโดดลงไปเล่นนํ้าตรึม!" แต่โหยย ฟังดูน่าสนุกว่ะ!!!!!!
ผมที่นั่งฟังอยู่เกือบอดใจไม่ไหว จะอ้าปากชวนมันไปเล่นนํ้าด้วยกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้นึกออกก่อนว่า...... ยังเล่นสงครามเย็นกันอยู่ นี่หว่า..
... แม่งเอ๊ย บางทีก็เบื่อทิฐิของตัวเองจริง ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงหุบปากเงียบ แล้วปล่อยให้เอิ้นกับปุณณ์นั่งคุยรื่องสัพเพเหระร้อย
แปดกันไปตามความพอใจ ขณะที่ความรู้สึกจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่เริ่มเข้าเล่นงานผมอย่างหนัก คงเป็นเพราะอากาศที่โคตรร้อนจน
อยากจะนอนสลบไปให้พ้น ๆ นี่ล่ะมั้ง แต่ระหว่างที่ผมกําลังนั่ งสัปหงกหนังตาปรือจนแทบจะปิดอยู่แล้วนั้นเอง ดันเสือกเหลือบไปเห็นมือ
ปุณณ์ที่มีแต่รอยเลือดกรังอยู่เต็มไปหมดเสียก่อน ".........." อยากถามว่ามันเจ็บไหมใจจะขาด แต่ก็เสือกทิฐิเยอะจนไม่ กล้าออก
ปากพูดก่อนซะนี่... สมเพชตัวเองไหมวะ แต่แค่นี้คงไม่เสียฟอร์มมั้ง............ ผมแอบจับมือข้างนั้นของปุณณ์มากุมไว้เบา ๆ อย่างท
นุถนอม ด้วยเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ พลางได้แต่หวังว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้คงทําให้มันรู้สึกได้ ว่าผมเป็นห่วงมัน ปุณณ์ที่
กําลังคุยอยู่กับเอิ้นหันมามองหน้าผมแว่บหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ ฝ่ามืออีกข้างของปุณณ์ยื่นมาลูบหัวผมให้เอนซบบนแผ่นหลังกว้าง
ของมัน จนผมต้องยิ้มรับการกระทํานั้น ก่อนจะแนบแก้มลงบนหลังปุณณ์ ทั้งที่มือข้างหนึ่งยังตระกองมือของปุณณ์ไว้ เมื่อ ไหร่มัน
จะยอมพูดกับผมก่อนซักที.... ผมอยากอ้อนมันใจจะขาดแล้วนะ ...
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ที่ความสงบสุขโอบล้อมรอบตัวผม ผมฝันหวานถึงกล่องข้าวปิกนิกบนยอดดอยท่ามกลางบรรยากาศเย็น
สบาย พร้อมเบียร์นุ่ม ๆ ผ่อนคลายจิตใจ และเสียงกีต้าร์โปร่งส่งสําเนียงเป็นจังหวะครื้นเครง มันเป็นฝันหวานจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมา
มาเจอความจริง (ว่าโคตรร้อน) แถมยิ่งมีสาวสวยกําลังรายล้อมพวกเราอยู่แบบนี้ด้วยล่ะก็... แต่เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!! ใคร วะผลักกูตก
เหว!!!! ไอ้สัดดดดดดดด! ผมที่หัวทิ่มลงไปเกือบถึงพื้น (ดีนะมีมือไอ้ปุณณ์คอยรองเอาไว้อยู่) ถึงกับสะดุ้ งเฮือกตื่นเต็มตา ก่อนจะรู้ว่าไม่ได้มีใคร
ผลักผมตกเหวหรอก แต่เป็นไอ้เหี้ยปุณณ์ตัวขัดลาภต่างหาก ที่อยู่ดี ๆ ก็เสือกเขยิบตัวหนี ทําเอาผมสะดุ้งตื่นจากฝันดี แถมยังเกือบได้ หัวทิ่ม
ลงไปไถพื้นอย่างเมื่อกี้อีก! ไอ้ชั่วววว! "อ..........................!!!" กําลังจะอ้าปากด่าแต่ลืมตัวไปครับว่าอยู่ในช่วงสงครามเย็น ใครพูด
ก่อนแพ้ (แบบนี้ก็มีเหรอวะ) คิดได้ดังนั้นผมจึงต้องรีบเก็บคําด่าไว้ในใจ แต่ส่งออกไปทางสายตาอย่างเต็มเปี่ยม(และเคียดแค้น)แทน 'ไอ้สัด!
มึงแกล้งกูเหรอ!' แน่นอนว่าผมส่งสายตาออกไปแบบนั้น ขณะที่ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของไอ้เชี่ยปุณณ์มันส่งกลับมาว่า 'ใช่ ก็กูแกล้งมึง จะทําไม'
หน็อยยยยยยยยแน่ะ ฝากเอาไว้ก่อน!! เสียงไอ้เอิ้นหัวเราะเอิ๊ก ๆ อะไรของมันอยู่ไม่รู้ครู่ใหญ่ ขณะที่ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นโดยมีมือของ
ปุณณ์ช่วยพยุงให้... หึ! ไม่ต้องมาทําดีกลบเกลื่อนความเลวของมึงเมื่อกี้เลยยย กูไม่ว่าแต่กูไม่ลืม! ผมคิดอย่างแค้น ๆ ระหว่างปัดเศษดินที่ติด
ตูด และเริ่มเดินกลับไปยังหัวฝายกับพวกมัน "เสร็จนานยังวะเอิ้น โทษทีกูหลับเพลิน" ผมเอ่ยปากขอโทษเอิ้น ก่อนมันจะโบกมือ
เป็นเชิงไม่ถือสา "เออ ไม่เป็นไรไม่นาน เพิ่งเสร็จเมื่อกี้เอง เมื่อกี้โอม พ้ง กับปาล์มก็เดินมา แต่เห็นมึงหลับมันเลยหายไปละ สงสัย
ไปเล่นนํ้ากัน" "เชี่ยยยยยยยย กูเล่นด้วยยยยยยยยยยยยยย" โอ๊ยย ยิ่งรู้แบบนี้ยิ่งพลาดไม่ได้ครับ!!!! เพราะตอนขามาที่ ผมเดินผ่าน
หัวฝายแล้วเห็นนํ้านองเต็มตลิ่งเนี่ย ต้องห้ามใจแทบแย่ไม่ให้ตัวเองกระโดดตู้มมม!ลงไป แล้วยิ่งได้มารู้ว่าเพื่อน ๆ แห่กันลงไปเล่นนํ้าตีโป่งรอ
กันหมดแล้วแบบนี้ ยิ่งอดใจไม่ไหว อยากจะเหาะไปให้ถึงหัว
ฝายไว ๆ จะได้เล่นนํ้าชุ่มฉํ่าสมใจซักที!! (จําไม่ได้แล้วแฮะ ว่าเมื่อกี้ใครนอนหลับหมดแรงอยู่) "เออ ไปดิ่ รีบ ๆๆ เดี๋ยวหมดเวลา"
เอิ้ น พู ด พลางมองนาฬิ ก าข้ อ มื อ ตั ว เองแล้ ว ดั น หลั ง ผมให้ เ ร่ ง ฝี เ ท้ า ซึ่ ง แน่ น อนว่ า ผมทํ า อยู่ แ ล้ ว เย้ ! !!!!!!! จะได้ โ ดดนํ้ า
แล้วว้อยยยยยยยยยยยยยย!! .... แล้วก็เป็นอย่างที่เอิ้นบอกจริง ๆ ด้วยครับ ที่ตอนนี้ชาวค่ายหลายสิบชีวิตกําลังกระโดดนํ้า
เล่นกันในฝายตูม ๆๆ อย่างเมามัน โดยเฉพาะเชี่ยโอม ที่โชว์ท่าลังกาหลังซะอลังการเพื่อหลีสาว (ถุ๊ย! หัวโขกขอบฝายกูจะขําซํ้าให้ฟันร่ วง) แต่
ดูเหมือนฝ่ายที่กรี๊ดรับมันเสียงดังระงมจะเป็นกะเทยซะเกินครึ่งมากกว่า (ก๊ากกก) เห็นดังนั้นผมจึงรีบถอดรองเท้าแล้วเดินตีนเปล่าไปสมทบ
กับเพื่อน ๆ โรงเรียนตัวเองและโรงเรียนอื่น ๆ ที่กําลังเล่นนํ้าอยู่อย่างโคตรน่าสนุกทันที "เฮ้ยเล่นด้วย ๆ โซนมึงเส ร็จนานแล้ว
เหรอเหี้ย" ผมนั่งยอง ๆ ถามไอ้โอมก่อน เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะกระโดดท่าไหนดีจะถึงเท่ห์กินใจสาว ทําเอาไอ้โอมที่กําลังสอนไอ้ปาล์มทําท่า
ปลาดาวในนํ้าอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมาตอบ "เออ สีกูเสร็จนานแล้ว เล่นจนตัวจะเปื่อยแล้วเนี่ย" "สีไอ้โอมเ สร็จโคตร
เร็วอะ แม่งโกงชัวร์" ไอ้ปาล์มได้ทีเงยหน้าจากท่าปลาดาวมาฟ้องผมบ้าง เลยถูกไอ้โอมไถบาซูก้านํ้าซัดเข้าใส่เต็มเปา เหอะ ๆ พวกมึงจะเล่น
อะไรกันก็ช่วยคํานึงถึงอายุตามบัตรประชาชนบ้าง อะไรบ้าง... แล้วไอ้โอมมึงรู้ไหมว่านี่มันนํ้าในฝาย ไม่ใช่ทะเลนะไอ้สันดาน
"กู ว่ า ที่ เ ส ร็ จ เ ร็ ว เ พ ร า ะ เ ชี่ ย โ อ ม แ ด ก เ ข้ า ไ ป ไ ง เ ห็ น ห ญ้ า เ ป็ น ไ ม่ ไ ด้ " "-
วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย" ฮ่า ๆๆๆ พวกผมระเบิดหัวเราะพลางแปะมือแท็กกันอย่างสะใจที่หลอกด่าไอ้เชี่ยโอม
ได้ ก่อนเสียงดัง ๆ คู่หนึ่งจะตะโกนมาจากด้านหลังผมเอง "ถอย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ !!!!!!!" มันคือเสียงไอ้เอิ้ นกับไอ้ปุณณ์ครับที่วิ่ง
ตะโกนขอทางมาแต่ไกล ก่อนจะแท็กทีมกันกระโดดลงฝายอย่างเด่น!!!!!! เชี่ยยยยยย หล่อแล้วยังโดดท่าเท่ห์อีก สัด! กูจะเอาท่าไหนดีเนี่ย ผม
เริ่มยืนมั่งพลางคิดว่าจะกระโดดหน้าลังกาเกลียวดี หรือควรบิดตัวครึ่งรอบ (นี่ก็เวอร์ไป) แต่เสือกมีใครไม่รู้มา ชนผมจากด้านหลังเสียก่อน
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม ท่าเด็ดของผมเลยกลายเป็นเอาพุงลงนํ้าด้วยประการฉะนี้......... แอ็ก!!!!!! เอวัง..... จุกกก
กกกกกกกกกกกกกกกกสัด! เสียงชาวค่ายในฝายฮาครืนอีกครั้งเพราะท่าผมคงเหี้ ยมาก (ไม่เจ๊งงงงงงงง) แถมยังเจ็บพุงโคตร ๆ
อีกต่างหาก โอ่ยยยย พุงกุจะแตกก.. อย่าให้จับได้นะว่าใครถลามาชน พ่อจะฉีกเนื้อกินเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผมร้องโอดโอยในนํ้าเพราะจุ ก
ขณะที่ไอ้เพื่อนเหี้ยนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังมีหน้ามาสามัคคีกันกดหัวผมซํ้าอีก แล้วเราก็เล่นนํ้าอย่างสนุกสนานโคตร ๆ กันครับ
เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเล่นนํ้าในฝายแบบนี้เป็นครั้งแรก เพราะปกติจะเล่นแต่นํ้าทะเล นํ้าสระ หรือไม่ก็นํ้าตกมาตลอด แต่นํ้าในฝายทดนํ้า อย่างนี้
ยังไม่เคยลอง แล้วก็รู้สึกว่าชักจะน่ากลัวใช่ย่อยเหมือนกัน (เพราะลึกมาก ยืน ไม่ถึงพื้นเลยครับ) แต่สนุกสัด ๆ คงเป็นเพราะเพื่อนเยอะจน
มั่น ใจได้ ว่า ต่อให้จ มนํ้ าไปก็คงมี คนช่ว ยทั นแน่ ๆ ฮ่ า ๆๆ (แล้ว จะแช่ ง ตัว เองทํ าไมวะ) "กรี๊ด ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ไม่อ๊าววววววววววววววววววว" แต่ระหว่างที่เรากําลังสนุกสนานกับการปีนขึ้นบนขอบฝายแล้ วกระโดดตูมลงมาใหม่เพื่อครีเอทท่า
ประหลาดที่สุดเท่าที่จะประหลาดได้อยู่นั้น พลันก็มีเสียงกรี๊ดดังสนั่นจากแถว ๆ รถขายไอติมซึ่งมาจอดแวะเวียนขายไอติมแก่คนในค่ายอยู่ ไม่
ไกล พวกผมหันไปมองต้นเสียงพร้อมกันเป็นตาเดียว จึงเห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาอาโนเนะผิวขาวจั๊วะแต่ตัวแห้งสนิท (สาบานนะว่า
วันนี้ตากแดดมาแล้วทั้งวันเหมือนกันน่ะ ?) กําลังถูกบรรดาเพื่อนสาวเนื้อตัวเปียกปอน พากันรุมฉุดกระชากลากถูให้ลงมาเล่นนํ้าด้วยกันอยู่
"ม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยย ไม่เอาจริงจริงนะะะะะะะ นะ นะ นะะะะะะะะะะะะ" ผมมองยูริที่มื อข้างหนึ่งถือช้อนไอติม ส่วนมืออีกข้าง
หนึ่งยกขึ้นไหว้บรรดาเพื่อนตัวดีปลก ๆ เป็นเชิงว่าไม่อยากลงนํ้าจริง ๆ แต่ไม่ยักมีใครฟังซักคน ฮ่า ๆ (ว่าแต่ยูริกลัวนํ้าเป็นด้วยเหรอ ผมเห็น
ตอนไปทะเลด้วยกันนี่แทบจะวิ่งลงคนแรก) แถมบรรดาสาวคอนแวนต์ก็ดูจะแรงเยอะมากเป็นพิเศษกับเรื่องแบบนี้ (ทีตอนปักหญ้าล่ะทําเป็น
เหนื่ อ ย ฮา..) พวกเธอฉุ ด ยู ริ ม าจนถึ ง ขอบฝายก่ อ นจะช่ ว ยกั น ผลั ก เต็ ม แรง ตู้ ม มมมมมมมมมมมมมมม!!
"ใจร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!" ยูริที่ถูกโยนลงมาไม่ไกลนักจากตัวผมหายลงไปในนํ้าพักหนึ่งก่อนจะผุดขึ้นม าแหวเพื่อนตัวเอง
เสียงดังลั่น นําให้สาว ๆ คอนแวนต์กลุ่มนั้น (ที่มีจิ๊ดรวมอยู่ด้วย) หัวเราะตบมือกันสนุกสนาน ก่อนจะกระโดดนํ้าตามลงมาเล่นด้วยกันอ ย่าง
ครื้นเครง "แฟนเก่าโน่ป่ะ น่ารักอะ.... ขอเซ้งได้มะ" พีทว่ายนํ้ามาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามข้างหูผมเป็นเชิงแซว แต่เอาเห๊อะ ถ้าจีบติด
ก็เอา ทําให้ยูริมีความสุขยิ้มกว้าง ๆ ได้แบบเดิม ก็ตามสบาย พวกผมทั้งหมดเล่นนํ้าในฝายกันอีกพักใหญ่จนพี่สต๊าฟค่ายมาตบมือ
เรียกให้ขึ้นได้ เนื่องจากมีภารกิจต้องไปอาบนํ้าแต่งตัว และเตรียมทานข้าวเย็นกันต่ออีก ดังนั้นพวกเราจึ งทยอยขึ้นนํ้ากัน แต่ขณะที่ผมกําลัง
ยืนบิดนํ้าออกจากเสื้ออยู่นั้น กลับเห็นว่าเหลือยูริเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมปีนขึ้นจากนํ้าสักที "ยูเป็นไรอะ??" เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ผม
จําได้ว่าชื่อเมย์ตะโกนถามยูริจากขอบฝาย เพราะคนอื่น ๆ พากันขึ้นมาหมดแล้ว แต่ยูริยังส่ายหน้าไม่ยอมตอบ
"ขึ้นมาสิยู เดี๋ยวห้องนํ้าคนเยอะนะ" แต่ยูริก็ยังไม่ยอมขึ้นอยู่ดี......... ผมหันไปมองยูริขณะกําลังยืนบิดนํ้าออกจากเสื้อ
สีเขียวของตัวเอง ที่ตอนนี้เปียกโชกจนกลายเป็นสีเขียวเข้ม ๆ เรียบร้อย แล้วก็เกิดนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง "เฮ้ยโน่ ไปยัง" โจ๊ก
หันมาถามผมขณะมันกําลังใส่รองเท้าแตะเพื่อเตรียมตัวเดินกลับโรงเรียนอยู่ (เน้นอีกที.. ไม่ใช่โรงแรม) แต่ผมยกมือขอเวลาแป๊บ ก่อนจะถอด
รองเท้าแตะแล้วกระโดดลงไปในนํา้ ใหม่อีกครั้ง.. ยูริดูตกใจไม่น้อยที่ผมแหวกนํ้าตรงไปหาเธอ.... แต่ผมก็ยังดึงดันที่จะทําแบบนัน้
ต่อ แม้ยูริอาจไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอย่างผมแล้วก็ตาม ผมหยุดประจันกับใบหน้าที่เคยรู้จักดี ก่อนจะถอดเสื้อยื ดของ
ตัวเองออก แล้วค่อย ๆ สวมให้อีกฝ่าย "ไม่ต้องคืนก็ไ ด้นะ...." ผิวเนื้อขาวเย็นชืดของยูริแทบจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกับเสื้อยืดสี
ขาวตัวบางเธอที่ใส่อยู่ เผยให้เห็นสายเสื้อในสีดําโผล่ออกมาชัดเจน.. เพียงเท่านี้ผมก็พอเข้าใจ ว่าทําไมยูริจึงไม่ยอมขึ้นจากนํ้า และทําไมเธอ
ถึงไม่อยากเล่นนํ้าตั้งแต่แรก ยูริก้มหน้านิ่งไม่สบตาผม ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังคําขอบคุณหรืออะไรตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสวมเสื้อ
ยืดสีเขียวเข้มให้เธอเสร็จ ผมจึงรีบว่ายนํ้ากลับมาหาเพื่อน ๆ อีกฝั่งทันที "โห่....... โชว์แมนว่ะเชี่ยโน่ พุงยื่นแล้วยังจะเดินถอดเสื้อ
กลับอีก ฮ่า ๆ หนาวปะวะ" เชี่ยโอมครับ มันโยกหัวผมไปมาเหมือนอยากล้อ แต่ฟังคําหลังดูก็พอจะรู้ว่าแอบห่วง ผมยอมรับว่ารู้สึกเย็น ๆ นิด
หน่อยแต่ทนได้สบายมาก เห็นพวกเพื่อน ๆ มองหน้ากันเองเหมือนกําลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ก่อนไอ้นันท์จะเริ่มถอด
เสื้อออกบ้างเป็นคนแรก "อะ! ไหน ๆ โน่ก็โป๊แล้ว เอาเป็นเพื่อนมันหน่อยละกัน!" ว่าแล้วทุกคนก็ร้องเฮพลางถอดเสื้อออกมาพาด
บ่าหมด! ฮ่า ๆ เสื่อมว่ะ เด็กผู้หญิงเขากลัวพวกมึงจะทําไง ผมยกมือตบไหล่พวกมันทุกคนแทนคําขอบคุณที่ช่วยมาหนาวเป็นเพื่อนกัน ก่อนจะ
พากันกอดคอเดินจากบริเวณฝายไป ความรู้สึกหัวใจกําลังพองโตแบบนี้ คงไม่ได้เป็นเพราะมันบวมนํ้าใช่มั้ย : )

63rd CHAOS
รอดชีวิตจากฝายนรกมาได้เราก็ต้องรีบจัดแจงอาบนํ้าสระผมกันด่วนครับ! ไม่สระไม่ได้แล้วเพราะเหงื่อแตกเยอะมากกกกกกก ขืนดันทุรังซก
มกต่อไปมีหวังชันนะตุได้ถามหาแหง แล้วไอ้พวกห่านี่ช่วยหยุดแกล้งกูซักสิบนาทีจะตายยยยยยยยม๊ะ!!!! ยาสระผมมันกินไม่ได้นะโว๊ยยยยยย
ไอ้ห่าา เข้าปากกูเต็มไปหมดแล้วเนี่ยยยยยย แค่ก ๆๆๆๆๆ หลังจากฝ่าสมรภูมิรบในห้องนํ้ามาได้ (ยังกะสงครามตาลีบันครับ ทําไมกูต้อ ง
โดนรุมอยู่คนเดียวด้วย เชี่ยปุณณ์ก็ไม่ช่วย!) พวกผมก็เปลี่ยนเป็นชุดลําลอง สบาย ๆ พริ้วไปทานข้าวเย็นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามื้อนี้อร่อยเต็ม
คราบ! เพราะได้แม่ครัวหัวป่าเป็นชาวบ้านละแวกนั้น แห่กันมาช่วยทําอาหารให้พวกผม แทนคําขอบคุณที่ทุกคนลงแรงปลูกหญ้าแฝกรอบ
ฝายให้ ชุ ม ชนอย่ า งขะมั ก เขม้ น (เหรอ?)จนสํ า เร็ จ =] ซึ่ ง ผมก็ ว่ า จะซาบซึ้ ง อยู่ แ ล้ ว เชี ย ว ถ้ า กั บ ข้ า วมั น ไม่ ไ ด้ . ........... เผ็ ด
บรรลัยยยยยยยยยยยย!!!!!!! อื้อหือ!!!!! เผ็ดเต็มสตรีมแบบต้นฉบับคนอีสานแท้ ๆ ไม่เห็นใจเด็กกรุงเทพฯอย่างผมเลยครับ!!! กับข้าวมื้อนี้ ทําเอา
พวกเราชาวค่ายร้องโอดโอย ปากเจ่อปากบวมกันถ้วนหน้า เว้นแต่ไอ้โอมที่ทําท่าชอบอกชอบใจอยู่คนเดียว เพราะหันไปเห็นทีไรก็เอาแต่โซ้ย
แหลกไม่แคร์สื่อ ผิดกับผมที่แทบกินข้าวเปล่ากับไข่เจียว และแกงจืด (ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีใครใส่พริกลงไป) มึงไปติดสินบนคนทํามาใช่ มั้ย
เนี่ยไอ้เชี่ยโอม!!! เกินไปแล้วนะแบบนี้!!!! แต่แม้กับข้าวจะโหดร้ายทารุณ ยังไงบรรยากาศหลังเสร็จงานก็เป็นอะไรที่ครื้นแครงมากอยู่ดี
เพราะตอนนี้
ทุกคนปลดปล่อยตัวตนแห่กันขึ้นไปร้องเพลงเต็มที่ครับ ผมอะโคตรฮาตอนไอ้ปุณณ์โดนพี่กะเทยสต๊าฟค่ายลากขึ้นไปร้อง 'แต่เราก็ห๊าาา กันน
จนเจออออ' ฮ่า ๆๆๆๆ หน้าแม่งโคตรแสดงออกเลยว่าไม่อยากจะเจอกับพี่เขา (แต่ก็แทบโดนพี่เขาแดกเข้าไปทั้งหัวอยู่แล้วว่ะ) กร๊ากกกก สี
หน้าไอ้ปุณณ์ทําเอาพวกผมขํากลิ้งยกมือเฮ ๆ ขออีกรอบยกใหญ่ (ก็มันตลกดีนี่หว่า อย่ามองกูอย่างงั้นเด่ะ) แถมเท่านั้นไม่พอ ยังมีไอ้เ ชี่ยโอม
เสนอหน้าขึ้นไปร้อง ไอนี๊ดดด ซัมบ้าดี้ เลิฟฟ พร้อมท่าเต้น ชวนขนลุกอีก เสี่ยวไม่ไหวจะทน มึงช่วยรีบลงมาเห๊อะ! แน่นอนว่านอกจาก
ความสนุกยังแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึง (อึ๋ยย)... เพราะเริ่มมีคนทยอยตายมากขึ้นเป็นระยะแล้วครับ! สืบเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายข อง
ค่ายปลูกป่า พวกปอบเลยพากันออกอาละวาดยกใหญ่ อย่างเมื่อกี้นี้ต อนที่พวกผมเดินไปเข้าห้องนํ้ากัน มี ผม เอิ้น พีท พ้ง ปุณณ์ โอม (ไอ้
ปุณณ์นี่แค่เห็นผมเดินออกมามันก็ตามมาและ... แม่ง) เราเข้าห้องนํ้ากัน 6 คน แต่ไอ้พีทเสือกเยี่ยวไว แถมยังใจร้อน เดินออกมาข้างนอกก่อน
ไม่รอพวกผม เป็นเหตุให้โดนปอบ........(คนที่คุณก็รู้ว่าใคร) แดกมุมป้ายชื่อเรียบร้อย ตายสยองหน้าห้องนํ้าชาย ฮ่า ๆๆๆ สมนํ้าหน้ามัน (แล้ว
กูจะรอดไหมคืนนี้ ได้ข่าวว่านอนข้างปอบ...) ดังนั้นตอนนี้ป้ายชื่อเลยกลายเป็นของมีค่า ถ้ายังไม่ตายก็ควรรักษาให้ยิ่งชีพครับ!! ที่สําคัญคือ
ห้ามไปไหนมาไหนกับคนไม่น่าไว้ใจเด็ดขาด (โดยเฉพาะมัน!) พวกผมกลับจากจุดเกิดเหตุฆาตกรรมไปที่หน้าเวทีอีกครั้ง ก็เห็นพวกพี่สต๊าฟค่าย
กําลังร้องเพลงลูกทุ่งเอาใจคนในชุมชนอย่างสนุกสนานอยู่ แต่พอเหลือบไปที่โต๊ะอีกทีเสือกเห็นว่าสีตัวเองยังมีกองจานใช้แล้ววางเรียงอี ก
หลายใบ..... ดูพวกมันดิ่ สงสัยมัวแต่สนุกจนลืมเก็บจาน นิสัยไม่ดีจริง ๆ แน่นอนว่าเห็นแบบนี้คนดีอย่างนายนภัทรก็ต้องออกโรงสิครับ! ผม
รีบเดินไปเก็บจานที่เหลือด้วยสปิริตจิตอาสาเต็มเปี่ยม นี่ไม่ได้เกี่ยวกับน่องไก่ย่างที่ยังเหลือในจานอีกสองสามน่องนั่นเลยนะ! ไม่เ กี่ยวจริงจริง
งงงงงงง ฮ้า...... อร่อยว่ะ "!!!!!" แต่ใครวะมาทําเสียงก็อกแก็กอยู่ข้างกู!? ผมสะดุ้งเฮือกพลางรีบยัดคําสุดท้ายเข้าปาก (กลัวโดนแย่งจัด)
ก่อนจะหันไปมองต้นเสียงก็อกแก็กข้าง ๆ อย่างหวาด ๆ (ว่าจะเป็นปอบตัวนั้น)
แต่เป็นไอ้ปุณณ์ว่ะ........ กูว่าแล้วเชียวมึงต้องมา.... ผมเหล่ตามองไอ้คนแขวนป้ายชื่อสีเหลืองคาคอ แต่เสือกมายืนเก็บจานสีแดงอยู่ ซะงั้น
ก็คิดว่าจะบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเก็บเองก็ได้อะนะ แต่ดันนึกออกก่อนว่ากําลังทําสงครามเย็นอยู่นี่หว่า... เออ งั้นอยากช่วยก็ ตามใจ ไม่ขัด
ศรัทธาก็แล้วกัน ผมยักไหล่กับตัวเองก่อนจะรวมเก็บจานทั้งหมดแล้วแบกไปด้านหลังห้องกินข้าวอันมืดสนิท ที่มีก็อกนํ้ากับอ่างใหญ่ ๆ ตั้ งอยู่
สองชุด เอิ่ม.......... แต่ไม่เห็นมีใครบอกกูเลยนี่หว่าว่าต้องล้างเอง? "หึหึ......" เสียงหัวเราะยียวนดังขึ้ นไม่ไกลนักจากตัวผม ก่อนปุณณ์
จะเป็นฝ่ายเดินนําไปเปิดก็อกนํ้าและนั่งยอง ๆ คอยถูนํ้ายาล้างจานให้ เป็นดังนั้นผมจึงต้องอ้อมไปนั่งเก้าอี้ข้างมัน เพื่อคอยล้างนํ้ าเปล่าต่ออีก
ทีอย่างเสียไม่ได้ แน่นอนว่าระหว่างเรามีแต่ความเงียบ (ถ้าไม่นับเสียงนํ้าไหล กับเพลงดาวมหาลัยที่พี่เขาแหกปากร้องกันในโถงกินข้าวล่ะ
ก็นะ...) "......" ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่แม้ไม่พูดอะไร แต่ก็เคลือบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แล้วตกลงเราแง่ง ๆ กัน เรื่อง
อะไรวะ? จะว่าไปก็ชักลืมแล้ว .... ถ้างั้นไหน ๆ ลืมแล้ว...... ลองชวนคุยดูหน่อยคงไม่เสียหายอะไร...... มั้ง?? "เอ่อ......" ผมอ้าปากว่าจะ
ชวนไอ้คนตรงหน้าคุยเรื่องดินฟ้าอากาศสักหน่อย (ยุงก็กัดเยอะชิบหาย) แต่ดันไม่ไวไปกว่าเจ้าตัวดีทชี่ ิงพูดขึ้นมาก่อน "... มึงไม่ ง้อกูเลยนะ"
อ้าววววว ก็กําลังจะง้อนี่ไงวะ! แม่งจะตัดหน้ากูทําไมเนี่ย!!
ผมเบ้ปากพลางหันไปมองปุณณ์ที่ยังคงทําเป็นล้างจานไม่สนใจอยู่ (แล้วตะกี้ผีพูดรึไง) เหอะ ตกลงกูต้องง้อใช่มะ แล้วนี่กูผิดเรื่องไรเนี่ย??
"มึงโกรธกูเรื่องไรเหอะ" ผมถามมันฉุน ๆ ขณะรับเอาจานฟองฟอดมาล้างนํ้าเปล่าต่อในกะละมัง โดยมีเสียงไอ้ปุณณ์แค่นหัวเราะเหอะตามมา
"จะให้กูยํ้าที่มึงพูดกับเอิ้นอีกครั้งมั้ย กูจําได้ทุกพยางค์เลยนะ" โห... ทีนี้เชื่อรึยังครับว่ามันเป็นพวกกัดไม่ปล่อยจริง ๆ ถึงขนาดบอกว่าจําได้ทุก
พยางค์นี่อาการหนักว่ะ! ผมชักจะโกรธมันขึ้นมานิด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่ไว้ใจกันเลย "มึงได้ยิ นแค่นั้นจะไปรู้อะไร กูไม่ได้
หมายถึงอะไรเชี่ย ๆ อย่างนั้นนะ" นํ้าเสียงผมเริ่มห้วนเพราะความหงุดหงิด ก็จะให้นั่งอารมณ์ดีได้ไงอะ ในเมื่อที่ผ่านมาผมยังแสดงออกไม่พอ
อีกรึไง ว่าคนที่ผมเลือกคือใคร ไอ้ปุณณ์เริ่มเงียบ... ไม่ยอมโต้ตอบอะไรผม คงจับพลังได้ว่าผมกําลั งอยู่ในอารมณ์ไหน ผมถอนหายใจยาว
พยายามทําใจให้เย็นลง ก่อนจะเริ่มพูดดี ๆ "... มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ" "หึหึ..." แต่มีอะไรน่าขําวะ! ผมเงยหน้าจ้องมันทันทีที่ได้ยิ นเสียงไอ้ปุณณ์
ภูมิพัฒน์หลุดขําออกมา ภาพที่เห็นคือมันกําลังกลั้นขําจนแก้มตุ่ย นัยน์ตาหยี "ขําอารายยยย" ผมลากเสียงยาวถามแม่งเคือง ๆ แต่มันแค่ยิ้ม
ยิงฟันมา ก่อนจะตอบ "ก็ ถ้ากูไม่ไว้ใจมึงกูจะมานั่งตรงนี้เหรอ" มันถามกลับ ก่อนจะส่งยิ้มไม่น่าไว้ใจตบท้ายอีก... เริ่มเตือนให้ ผมนึกถึง
อะไรบางอย่าง........ เอ๊ะ.. "ไอ้พวกไม่ไว้ใจอะนะ มันต้องหลบหน้า ชวนคุยก็ ไม่คุย อธิบายอะไรก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่หึงลูกเดียว.... เหมือน
ใครก็ไม่รู้ว่ะ หึหึหึ" ... อะ อะ อะ... ไอ้ชั่ววววววว มึงเอาเรื่องแพมมาล้อกูเหรอ!! ผมหน้าเหวอพลางรู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก็... ก็...
ตอนนั้นมันน่าเข้าใจผิดจริง ๆ นี่หว่าา
ปุณณ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะโยนจานทีเ่ ปื้อนนํ้ายาเป็นใบสุดท้ายลงในกะละมังตรงหน้าผม "พนันกันป่ะล่ะ ว่าถ้าเป็นมึงน่ะ ฆ่ากูทิ้งไปแล้ ว" หะ...
เหี้ย... กูไม่ได้ไร้มนุษยธรรมขนาดนั้นนะ ผมถลึงตาสู้มันอย่างไม่ลดละ "ตลก อย่างมากก็แค่แบบคราวที่แล้ว" "ทําแบบนั้นก็เ หมือนฆ่ากูนั่น
แหละ" มันยังต่อล้อต่อเถียงให้ผมรู้สึกหน้าร้อน ๆ ได้วูบหนึ่ง ก่อนไอ้ตัวดีจะถามสิ่งที่ผมไม่อยากให้ถามมากที่สุด "ตกลงว่าไงวะ ไอ้ เอิ้นมันจูบ
มึงรึเปล่า" ชะ... ชิบหายละ.... ทีนี้ตอบไงดีวะ! ผมอํ้า ๆ อึ้ง ๆ ขณะที่ใบหน้าของปุณณ์ ภูมิพัฒน์เริ่มเคลื่ อนเข้ามาใกล้อย่างต้องการค้นหา
ความจริง จนผมต้องถลึงตาใส่ ด้วยพยายามไม่หลบตามัน (เพราะเดี๋ยวจะดูเป็นพิรุธ) "แล้ว... แล้วเห็นว่าไงล่ะ!" "ไม่รู้ กูไม่เห็น แต่กูได้ยิน
..... มึงจะบอกหรือไม่บอก ว่าตกลงมันจูบมึงรึเปล่า" เหี้ยละ เอาไงดีวะคราวนี้ ผมค่อย ๆ เอนหลั งหลบใบหน้าคมที่รุกรานเข้ามาใกล้อย่างไม่
ลดละ พลางควานมือในกะละมังเพื่อล้างนํ้าเปล่าเป็นจานสุดท้ายก่อนจะโยนเก็บไว้สั่ว ๆ "มันจูบมึง... แบบที่กูจูบมึงรึเปล่า...." เมื่อเห็นว่า
ผมเอาแต่อํ้าอึ้งไม่ยอมตอบ ปุณณ์จึงเปลี่ยนคําถามในที่สุด... ผมแอบเห็นในแววตาคู่นั้นดูวูบไหวไปครู่หนึ่งตอนพูดคําว่า 'จูบ' .. เฮ้อ... ก็รู้ว่าไม่
มีใครอยากให้แฟนตัวเองทําอย่างนั้นกับคนอื่นหรอก.... แม้กระทั่งผม.... จริงของมัน ถ้าเป็นผมคงเสียใจมาก "........ คะ.. แค่ปากโดนเฉย ๆ
ไม่เรียกว่าจูบได้ไหมวะ" เป็นอย่างนั้นผมจึงเริ่มต่อรองมัน เห็ นนัยน์ตาคมคู่ที่จ้องมาอยู่ดูไม่พอใจคําตอบเท่าไหร่ แต่ยังสามารถเก็บอาการได้
มากกว่าที่คิด "ว่าแล้ว.... เกมพรรค์นั้น....." มันพึมพํากับตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะหันมาสนใจผมต่อ "แล้วมึงรู้สึกยังไงล่ ะ.. ชอบบ้าง
รึเปล่า" โห... แต่ถามแบบนี้ยกขาฟาดหน้าแม่งได้ ผมคงทําไปแล้ว ผมมองหน้าไอ้ปุณณ์อย่างเคือง ๆ กะจะด่าให้ยับแต่ดันเห็นนัยน์ตาไม่
มั่นใจในตัวเองของมันก่อน เลยใจอ่อนไปเกินครึ่ง.... "เออ... กูรู้สึกว่า.. ชอบไอ้เอิ้น" ผมบอกมันเบา ๆ พร้อมกับที่ใบหน้าของปุณณ์เ ปลี่ยนสีไป
ตอนนี้นัยน์ตาคมคู่นั้นไม่เหลือเค้าระรานผมแบบสองวินาทีก่อนแล้ว มีเพียงแต่ลูกแก้วสีดําที่ดูไร้เงา ราว
กับเจ้าของมันทําวิญญาณหลุดหายไป แล้วใครจะทนดูต่อได้ "แบบเพื่อน!!!! ฮ่า ๆๆ แต่กูรักมึงมากกว่านั้นเย๊อออออ กิ๊ว ๆๆ ตกใจอะดิ๊ "
กร๊ากกกกกกกกกก สะใจ!! แต่ยังไม่ทันจะได้หัวเราะเยาะมันสมอยากดี ไอ้ปุณณ์ที่วิญญาณกลับเข้าร่างเรียบร้อยแล้วเสือกแยกเขี้ยวใส่ผม
ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นอย่างรุกรานซะงั้น! "มึงสันดานมากนะที่แกล้งกูแบบนี้! กูเกือบช็อคตายแล้วรู้รึเปล่า!" มันด่าพลางโน้ มใบหน้า
มาหาผมมากขึ้นจนเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณอันตราย เพราะไม่เหลือที่ ให้ผมหนีอีกต่อไป ชิบหายแล้ววววว "หะ... เหี้ย... ถอยไป กูอึดอัด..."
แต่ไอ้ปุณณ์ไม่ฟัง ซํ้ายังไม่เลิกลุกลํ้าอาณาเขตผม! เชี่ยไรเนี่ย!!! "มึงแสบมากนะ ป่วนกูจนไม่เป็นอันทําอะไรแบบนี้ กูคงต้องลงโทษมึ งบ้างล่ะ"
เสียงทุ้มนั่นค่อยกระซิบเบาลง จนผมกลืนนํ้าลายฝื ดคอ ลมหายใจคุ้นเคยระรินใบหน้าจนต้องร้องประท้วง "จะ... จะทําไร นี่มันในค่าย
นะเว่ย!!" "ก็เพราะอยู่ในค่ายไง.... กูถึงต้อง.................................... ทําตามกฏ" 'แคว่กก!!!' ผมตะลึงงันไปหนึ่งวินาทีถ้วนเมื่อได้ยิน
เสียงประหลาดและความรู้สึกแปลก ๆ แถวลําตัว... ตอนนี้ไอ้ปุณณ์เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ (ที่ผมรู้สึกว่าชั่วมากกว่าปกติ) ถอยกลับไปนั่งที่เดิม
เรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผมได้เห็นผลงาน การฉีกป้ายของมัน!!!!!!!!! เหี้ยยยยยยยยยยย ไอ้ปุณณ์เป็นปอบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมอ้าปากค้าง อยากจะด่าอะไรซักอย่างแต่ก็ด่าไม่ออกเพราะตอนนี้สมองไม่ยอมสั่งการอย่างอื่น นอกจากบอกตัวเองซํ้า ๆ ซํ้า ๆ ซํ้า ๆ ว่า
... 'ไอ้เหี้ยปุณณ์เป็นปอบบบบบบบบ' เสียงสายยางที่เคยใช้ล้างจานเมื่อกี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นฉีดทําความสะอาดขาคุณชายปุณณ์แทน เรียก
ให้ผมตื่นจากภวังค์ปอบ (และเริ่มทําใจยอมรับความจริงว่ากูโดนฆ่าแล้ว) ผมลุกขึ้นยืนบ้างพลางมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง "มึงกล้าฆ่ากู!!!"
"แล้วไงอะ ฮ่า ๆๆ" เหี้ยยยยยยย ดูคําตอบมันดิครับ!!!!! ผมว่าจะยกขาถีบแม่งซักทีแต่มันเสือกฉีดนํ้าล้างขาให้ผมก่อน เลยต้องล้างกับมัน.... ว่า
แต่ทําไมไอ้ปุณณ์ใส่รองเท้าผ้าใบหว่า.. "จริง ๆ กูก็ไม่เคยคิดจะฆ่ามึงเลยนะ" แถมยังรีบแก้ตัว สงสัยกลัวผมด่าจัด แต่ไม่ต้องห่วงเพราะด่า
แน่!! แต่ขอฟังให้จบก่อน ผมเงยหน้ามองไอ้ปุณณ์ตาขวางจนมันต้องรีบแก้ตัวต่อ "ก็มึงอยากกวนตีนกูทําไมอะ ตอนมึงบอกว่าชอบไอ้เอิ้นกูนึ ก
ว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซํ้ารู้ปะ กูเลยต้องฆ่ามึงมั่ง จะได้ตายไปด้วยกัน หึหึหึ" ห่าาา นี่เหรอเหตุผล!!!!!!! ความชั่วของมึงครั้งนี้กูจะเอาคืนยังไง
ดี! แม้งงงงงงง ผมโบกกะโหลกมันแก้แค้นก่อนจะชักขาออกจากนํ้า เป็นเชิงว่าพอได้แล้ว ตีนกูจะเปื่อย ตกลงว่าเจ๊ากันใช่มะ ได้ฆ่ากูแ ล้ว
อารมณ์ดีใช่มะ ไอ้ส๊าดดดดดดดดดด!! "แล้วทําไมมึงใส่ผ้าใบอะ เป็นเหี้ยไร คิดว่าหล่อไง้!!" พออารมณ์เสียก็เริ่มฟาดงวงฟาดงาแล้วค รับ
เห็นแค่ไอ้ปุณณ์ใส่รองเท้าผ้าใบก็เอามาด่าได้ ทําเอาเลขาสภาฯต้องหัวเราะขําผมที่ทําตัวหงุดหงิดก่อนจะกอดคอพาเดินกลับไปในโรงอาหาร
ด้วยกันอีกครั้ง (ตอนนี้บนเวทีกลายเป็นมหรสพย่อย ๆ ไปแล้วครับ ทั้งสต๊าฟค่ายและลูกค่าย ชักแถวขึ้นไปแย่งไมค์กันยังกะเกิดมาไม่เคยร้ อง
เพลงมาก่อน) แน่นอนว่าทันทีที่ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ขวัญใจประจําค่ายกลับมาในโรงอาหาร ก็โดนลากขึ้นเวทีให้ไปร้องเพลงกับพี่คนนี้คนนั้น
ทันที (หมั่นไส้ไอ้พวกขายดีวุ๊ย ไอ้เอิ้นก็อีกคน..) ส่วนไอ้คนหน้าตาธรรมดา (แต่อย่างอื่นไม่ธรรมดา) อย่างพวกผมก็นั่งแกร่วไปไม่มีใ ครเอา ฮ่า
ๆๆ (เรื่องจริงคือพอกลับมาถึงโต๊ะแล้วทุกคนเห็นป้ายชื่อผมแหว่งก็เกิดพายุคําถามพัดมาล้านแปดทันทีครับว่าปอบตัวไหนฆ่าผม... หึ หึหึ...
บอกให้โง่ดิ่... พีท เรารู้กัน
ใช่ปะ ว่าไอ้ปอบเหี้ยตัวนี้เนี่ย... มันเนียนขนาดไหน) พวกผมนั่งตีแก้วเคาะจานกันเสียงดังล้งเล้ง (โคตรจิ๊กโก๋อะ) โดยเฉพาะตอนเ อิ้นกับ
ปุณณ์โดนโหวตให้เต้นเพลง เด็กมีปัญห๊า ห๊า ห๊าาา คู่กันเป็นโฟร์มด (เสื่อมมมมม!!) ทําเอากุเครียดเลย โฟร์มดทําไมกระเดือกใหญ่ ขนหน้า
แข้งดกอย่างงั้นวะ! เสียหมด!!! แต่ระหว่างเรากําลังเฮ ๆๆ เพราะไอ้โอมขึ้นไปแจมด้วยอีกคนเป็นเฟย์ ฟาง แก้ว อยู่นั้นเอง (เหี้ยนะมึง!!) ก็มี
มือเล็ก ๆ มาสะกิดหลังผมเบา ๆ ขัดจังหวะก่อน ผมสะดุ้งสุดตัว (ก็ตกใจอะ!) หัน ไปมองจิ๊ดที่กําลังยืนยิ้มอยู่ "ว่างรึเปล่าคะโน่" แต่ถาม
แบบนี้จะให้กูตอบไงดีล่ะ.... ผมเลิกคิ้วมองเพื่อนรอบโต๊ะ แต่ทุกคนเสือกหลบตาหมด ไม่มีใครช่วยได้ซักคน (เพราะบรรดาตัวแรง ๆ มันขึ้น ไป
แด๊นซ์กระจายบนเวทีกันหมดแล้ว) งั้นก็เอาวะ.. เป็นไงเป็นกัน! "ก็ว่างครับ มีไรให้ช่วยมั้ย" "ไปล้างจานเป็นเพื่อนจิ๊ดหน่อยสิ ไม่กล้าไป
คนเดียวล่ะ.... กลัวปอบ" เอ่อ....... ได้ยินจิ๊ดพูดแบบนี้แล้วใครจะใจร้ายปล่อยให้ไปคนเดียวได้ (ผมเข้าใจความรู้สึกตอนโดนปอบฆ่าดีค รับ
Y___Y) เป็นอย่างนั้นผมจึงตัดสินใจลุกไปเป็นเพื่อนจิ๊ด โดยมีสายตาดุ ๆ จากไอ้หน้าหล่อบนเวทีส่งมาให้อย่างไม่ลดละ แต่ทําไงได้วะ........ กู
จะรีบไปรีบมาละกัน ผมเดินเป็นเพื่อนจิ๊ดไปถึงบริเวณล้างจาน แต่......... มันไม่ใช่ที่ผมเพิ่งไปมากับไอ้ปุณณ์เมื่อกี้ว่ะ!? อ๋ออออ มิน่าล่ะ กูก็
ว่าตรงนั้นมันเงียบแถมยังมืดแปลก ๆ ที่แท้เขามาล้างจานกันตรงอีกฝั่งของโรงอาหารครับ!! ตรงนี้สว่าง มีซิงค์ให้อย่างดี และสําคัญที่สุดคือมี
ยาจุดกันยุงวางไว้ด้วย! แม่ง......... แล้วกูไปนั่งบื้ออะไรตรงนั้นตั้งนานจนโดนปอบแดก!! โง่ที่สุดเลยนภัทร! เสียงนํ้าไหลจากก็อกกระทบ
ขอบซิงค์ดังคลอเสียงจิ๊ดฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ดูมีความสุขจริงแฮะ ผม
มองเธอที่กําลังล้างแก้วนํ้าในมืออยู่แล้วก็อดแซวไม่ได้ "ไปดีกว่า... ปล่อยให้ปอบมากิน อิอิ" จิ๊ดรีบหันมายิ้มหวานให้ผมทันที "โน่ไม่ทํา
หรอก ใจดีจะตาย อิอิ" โห่... หมดอารมณ์เลย รู้ได้ไงเนี่ยว่าผมเป็นคนดี 24 ชม. (อิอิ) "แล้วชวนผมมา ไม่กลัวผมเป็นปอบเหรอ เดี๋ยวฆ่าซะ
เลยดี ม ะ" ผมแกล้ ง ขู่ซํ้ า อี กครั้ง แต่ จิ๊ ด ยั ง ยิ้ ม หวานอย่ า งรู้ทั น ผมอยู่ "โน่ จ ะเป็ น ได้ ไ ง ก็ต ายแล้ ว นี่ น า... ดู ป้ า ยชื่ อแหว่ งขนาดนั้ น ฮ่ า ๆ"
อ้าววววววว เซ็ง ลืมไปเลยว่ามีหลักฐานอยู่ทนโท่ "ปอบตัวไหนฆ่าโน่เหรอ เพื่อนจิ๊ดเป็นหมอผีนะ เดี๋ยวไปบอกให้จัดการให้ เอามะ!" อืม...
เป็นความคิดที่ดีแฮะ ผมหัวเราะร่วนขณะที่จิ๊ดเพิ่งล้างจานใบสุดท้ายเสร็จ "เสร็จแล้วนี่ ไปกัน" เห็นดังนั้นผมจึงเดินนําหมายจะกลับไปยัง
โรงอาหารทันที แต่ทว่า... ชายเสื้อกลับถูกรั้งไว้เสียก่อน "ดะ... เดี๋ยวสิ" "หืม? มีจานอีกเหรอ" "ไม่ใช่.... แต่.. คุยกันก่อนได้ไหม" แม้นํ้า
เสียงนั้นจะฟังดูกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ดวงตาของจิ๊ดกลับฉายแววมั่นใจแน่ว่าผมไม่มีทางไปไหน ซึ่งก็ถูก... ผมไม่ไปไหนจริง ๆ เราสองคนเงียบ
อยู่ครู่หนึ่งจนจิ๊ดเป็นฝ่ายทําลายความเงียบเอง "รู้มาว่า... โน่เลิกกับยูแล้ว" เธอเกริ่น แต่ผมไม่มีคําตอบให้เพราะมันไม่ใช่คําถาม... และผมรู้ว่า
เธอไม่จําเป็นต้องถาม เนื่องจากความสัมพันธ์ในค่ายระหว่างผมกับยูริมันฟ้องอยู่แล้ว "เสียใจด้วยนะ" "อ่า... ขอบคุณครับ" ผมผงกหัว
รับความหวังดีนั้นแบบไม่ค่อยเข้าใจเจตนา เพราะหนึ่ง.. มันเป็นเวลาพักหนึ่งแล้วที่ผมเลิกกับยูริ จนทุกคนเลิกพูดถึงเรื่องนี้แล้ว และสอง.. ดู
จากใบหน้าของจิ๊ด ก็ไม่ได้โศกเศร้าไป
กับโศกนาฏกรรมความรักระหว่างพวกผมเลยแม้แต่น้อย ผมสังเกตเห็นเธอกัดริมฝีปากยิ้ม ๆ ก่อนจะป้อนคําถามต่อ "แล้วตอนนี้โ น่คบใคร
อยู่รึเปล่า" ".... จิ๊ดมีธุระอะไรพูดกับผมตรง ๆ เลยก็ได้นะ" ผมตัดบท เพราะไม่สะดวกที่จะตอบคําถามนั้น และต้องการทําให้ทุกอย่ าง
กระจ่างซักที สิ้นคํานั้น จิ๊ดเบ้หน้าหน่อย ๆ ก่อนจะยอมพูดออกมาตรง ๆ "จิ๊ดก็แค่เห็นว่า เราน่าจะเข้ากันได้ เราอยู่ชมรมดนตรีเหมือนกัน
น่าจะคุยถูกคอกันมากกว่าที่โน่เคยคบผู้หญิงเอาแต่ใจอย่างยูริ" ถึงตรงนี้ความรู้สึกขัดแย้งประเดประดังเข้ามาหาผมโดยไว เพราะการพูด
ว่ายูริเป็นผู้หญิงเอาแต่ใจคือเรื่องผิดที่สุด ยูริไม่เคยเอาแต่ใจกับผม เธอมีแต่ให้ และยอมเสียสละเท่าที่จะทําได้ให้ผมมาตลอด หากเทียบกัน
แล้วคือผมต่างหากที่ควรถูกเรียกว่า ผู้ชายเอาแต่ใจ และไม่มีอะไรคู่ควรกับความรักที่ยูริหยิบยื่นให้เลยสักนิดเดียว ผมเม้มปากแน่ นเก็บ
อารมณ์ที่พลุ่งพล่านไว้ ก่อนจะพยายามพูดให้น้อยที่สุด "ยูริไม่ใช่คนอย่างที่เธอว่า ขอโทษด้วยที่เราคงคบเธอไม่ไ ด้ เราไม่ได้รักใครที่เรื่องแค่
นั้ น " ผมพู ด พลางหั น หลั ง ทํ า ท่ า จะกลั บ ไปยั ง โรงอาหาร แต่ คํา พู ด หนึ่ ง จากจิ๊ ด ตรึง ขาผมให้ ห ยุ ด อยู่ กั บ ที่ เสี ย ก่อ น "เป็ น เกย์ ใช่ มั้ ย "
"................." ผมหยุดฝีเท้ากึก ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยเดินเข้ามาใกล้.. จิ๊ดอ้อมมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้สีหน้าเธอกําชัยชนะ "ที่เขาพูด
กันว่าโน่เป็นเกย์ เรื่องจริงใช่มะ" ผมมองตอบจิ๊ดด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า มันไม่มีคําใดหลุดรอดจากริมฝีปากนอกจากความเงียบ... ...ไม่มี
คําตอบใดจากปากผม เพราะตลอดเวลาที่คบกับปุณณ์มา ผมไม่เคยนิยาม หรือแม้แต่จะคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ผมไม่เคยสนใจว่าความรักนี้ถูก
จํากัดไว้ในรูปแบบไหน ผมแค่รู้ว่าตัวเองรักใคร และบางครั้งมันก็เจ็บปวด เมื่อได้กลับสู่โลกแห่งความจริง ว่าความรักของพวกเราช่างแตกต่าง
ผมสบดวงตาท้าทายคู่นั้นก่อนจะตอบเพียงสั้น ๆ "ผมเรียกมันว่าความรัก"

64rd CHAOS
เวลาเริ่มล่วงเลยดึกขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับอากาศที่เย็นลงทุกที จนถึงตอนนี้พวกบนเวทีก็ยังแย่งไมค์กันร้องเพลงไม่ยอมหยุดเลยครับ สงสัย
เป็นเพราะนี่คือคืนสุดท้ายของค่ายแล้วเลยเอาซะสุดเหวี่ยง แต่ก็มีบางคนที่ง่วงจนทนไม่ไหว ขึ้นไปนอนก่อนแล้วเหมือนกัน เพราะเมื่อกี้ผม
เพิ่งขึ้นไปเอาของในห้องนอนมา เห็นมีคนตั้งวงไพ่อยู่ในห้องหลายวง (อยากแจมใจจะขาด) รวมถึงอีกหลาย ๆ คนที่หมกตัวอยู่ในห้องพัสดุ
ค่ายด้วย ต่างกําลังก้มหน้าก้มตาเขียนสมุดค่ายเป็นที่ระลึกให้เพื่อนร่วมค่ายกันยกใหญ่ : ) ส่วนพวกผมน่ะเหรอ....... ก็. .. ทําอะไรวะ ก็ยัง
นั่งไร้สาระอยู่ข้างล่างอะ เมื่อกี้เดินไปเข้าห้องนํ้ากับไอ้ปาล์ม (คนตายแล้วทั้งคู่) แม่งเสือกเจอตุ๊กแกตัวเท่าท่อนแขน!! ทําเอาผ มกับไอ้ปาล์ม
แหกปากลั่นจนเสียงหลง ทําเอาบรรดาไอ้โอม เอิ้น พีท โจ๊ก นันท์ พ้ง ปุณณ์ วิ่งกรูเข้ามาแทบไม่ทันเพราะนึกว่ าพวกผมเจอผี (ไม่ก็ถูกฆ่า) แต่
ที่กูกลัวมันสยองน้อยกว่าผี(และมีดโจร)ตรงไหนวะ!!! ตัวเท่าท่อนแขนเลยจริง ๆ นะมึง!! ตางี้แดงแจ๋.... อี๋......... เกิดมาไม่เคยเจอตุ๊กแกในระยะ
ประชิดขนาดนี้มาก่อนครับ จะเป็นลมมม แล้วผมกับไอ้ปาล์มก็โดนล้อเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงโดยปริยาย (เออ เอาให้พอใจ) ก่อนเราจะ
ตั้งวงเล่นไพ่ตีแตกกัน โดยเขียนสมุดค่ายให้ชาวค่ายคนอื่น ๆ ไปด้วย ระหว่างกําลังรอนันท์ตัดสินใจอยู่นั้นว่าจะถังแตกดีหรือไม่ ปุณณ์ก็
เอี้ยวตัวมาถามผมที่กําลังเขียนสมุดค่ายให้สาวสวยซึ่งเป็นเพื่อนร่วมค่ายคนหนึ่งอยู่ (อิอิ ยังกะลานสารภาพรักครับสมุดค่ายเนี่ย) "เฮ้ย เมื่อ
หัวคํ่าอะ ไปไหนมา" ผมมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยเข้าใจ "อะไร งง" "ก็......" มันขมวดคิ้วทําหน้าหงุดหงิดก่อนจะหันไปโห่นันท์ (ที่ถังแตก
จริง ๆ ฮ่า ๆๆ) แล้วกลับมาคุยกับผม
ต่อ "ก็ที่มึงไปกับผู้หญิงคอนแวนต์คนนั้นอะ" "เค้าชื่อจิ๊ด" อย่าบอกนะว่าตอนกลางวันชวนเค้าคุยเป็นวรรคเป็นเวรแต่จําชื่อไม่ได้น่ะ ไอ้
กะล่อนเอ๊ยย มันพยักหน้ารับแบบขอไปที "เออนั่นแหละ... ไปทําไร" "ไปเป็นเพื่อนเค้าล้างจาน" ผมตอบสั้น ๆ ไม่ค่อยอยากพูดอะไร
มากเพราะไม่รู้จะพูดทําไม บอกละเอียดไปไอ้ขี้คิดมากนี่ก็คงไม่สบายใจซะเปล่า ๆ ปุณณ์พยักหน้ารับ แล้วโยกตัวกลับไปนั่งหลังตรงดูไพ่ใน
มือตามเดิม "ใจดีเนอะมึงอะ" แต่ยังไม่วายแขวะกูอีก... ห่านนี่ "ก็เหมือนมึงไง ใจดีไปล้างจานเป็นเพื่อนกู" "เพราะกูรักมึงต่ างหาก"
"แต่กูมีนํ้าใจโดยสันดาน" ต่อล้อต่อเถียงแบบนี้เลยโดนมันโบกเข้าให้ครับ ฮ่า ๆ ไอ้ปุณณ์ส่ายหัวขําผมก่อนจะปิดประเด็นไป เพราะไพ่วนมาถึง
มือมันพอดี ได้เวลาถังแตกแล้วสิมึง หึหึหึ ผมนั่งมองปุณณ์ที่กําลังขบคิดอยู่ว่าจะทําไงกับไพ่ในมือดีพลางกลับไปคิดถึงเรื่องที่ จิ๊ดถามเมื่อ
ไม่กี่ชั่วโมงก่อน... ผมไม่รู้ว่าความรักของพวกเราถูกคนอื่นนิยามไว้ว่าอย่างไร... แต่ผมรู้ว่าเราสนุก ที่ได้เป็นทั้งเพื่อนและคนรักกัน ผมดี
ใจที่เป็นแบบนั้น
ผมดีใจที่มีปุณณ์ : ) *** และแล้วเวลานอนก็มาถึง... พวกผมก็เดิม ๆ อะครับ นอนกันเป็นพวกสุดท้ายตลอดดด มิน่าตอนเล่นไพ่อยู่
ข้างล่างถึงรู้สึกว่าเงียบ ๆ ร้างผู้คนแปลก ๆ ที่ไหนได้เค้าขึ้นมานอนกันหมดแล้วนี่หว่าา เหลือแต่พวกผมเนี่ย นั่งตีไพ่ แตกไม่แตก กั นอยู่ได้
(หมดตูดเลย แม่งงง) ก่อนขึ้นตึกนอน เอิ้นเดินมาหาผมกับปุณณ์ที่กําลังจะไปนอนกันอยู่แล้ว แต่เพราะเห็นสีหน้าค่ อนข้างจริงจังจากเอิ้น
พวกผมจึงยอมหยุดคุยด้วยแต่โดยดี (ส่วนบรรดาเหี้ยปากหมาทั้งหลายที่เดินไปก่อนยังไม่วายหันมาแซวว่าเดี๋ยวจะหายาแดงมาทําแผลให้ ถ้า
เกิดกรณีพิพาทแย่งตัวผมขึ้นมา... ห่า ปากนะมึง) แต่จริง ๆ พวกมันก็แค่แซวไปงั้น ๆ อะครับ เพราะเอิ้นไม่ใช่คนอย่ างนั้นซักหน่อย (รึ
เปล่าวะ..) เอิ้นแค่มาขอโทษปุณณ์เรื่องเกมนั้นที่ทําให้พวกผมทําสงครามเย็นกันเกือบ 2 วัน (จริง ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ สนุกดี) แน่นอนว่าไอ้
พ่อพระทําตัวเป็นคนดีสุด ๆ มันรีบตบไหล่เอิ้นแล้วบอกไม่เป็นไร มันเข้าใจ แต่ยังไม่วายหันมากัดผมต่อซึ่ง ๆ หน้า "จะอีกกี่ทีโน่ก็ไม่ว่าอยู่แล้ว
นี่" -วยเหอะ กูทําจริงแล้วมึงจะหนาว (หึหึหึ...) แล้วก็ด้วยความที่ไอ้เอิ้นมันเป็นคนดีอะครับ เลยไม่รู้เท่าทันพวกเจ้าเล่ห์อย่างไอ้ ปุณณ์ ผม
คิดแล้วว่ามันมีกลิ่นแปลก ๆ ทะแม่ง ๆ ตอนที่เอิ้นยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเราอีกรอบแล้วปุณณ์บ อกว่า ถ้าอยากให้หายโกรธต้องแลกด้วย
อะไรอย่างหนึ่ง... ตอนนั้นผมคิดว่ามันจะไปต่อยกันจริง ๆ อย่างที่ไอ้โอมแซวรึเปล่าวะ (แอบระแวง) แต่หลังจากรอมันสองคนที่เดินหายไป
ไหนไม่รู้พักใหญ่กว่าจะกลับมาได้ ผมก็พบว่า.... ป้ายชื่อไอ้เอิ้นแหว่งเรียบร้อย ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก เหี้ยแล้วมึง มึงกล้าฆ่าประธาน
เชียร์ ระวังเจอกองร้อยเตะสลบ ผมยืนขําไอ้เอิ้น
จนท้องแข็งตอนที่มันพูดว่า "กูไม่ถามแล้วว่าโน่ตายได้ไง.... แม่ง" ฮ่า ๆๆ กูเข้าใจอารมณ์(เซ็ง) และแน่นอนว่ากว่าพวกเราจะกลับ ขึ้น
ห้องนอน ไฟก็ปิดมืดเรียบร้อยแล้ว เอิ้น ปุณณ์ ผม ค่อย ๆ ย่องเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง เพราะทุกคนหลับกันหมด แถมยังนอนกระจัด
กระจายเกลื่อนกลาดอีก ผมบอกราตรีสวัสดิ์เอิ้น ก่อนจะเดินข้ามตัวพีทไปลงหลุมกลางระหว่างมันกับโอม แล้วก็คิดว่าได้เวลานอนฝันดีซักที
แต่ยังไม่ทันจะเริ่มฝันสักเรื่อง! ก็มีเงาประหลาดลึกลับมาแทรกกลางระหว่างผมกับพีทก่อน! เฮ้ย เหตุการณ์นี้มันคุ้น ๆ... ผมหรี่ตามองหน้าไอ้
เลขาสภาฯที่ทําเป็นไม่รู้ไม่ชแี้ ทรกตัวลงมาอย่างไม่สะทก "เมื่อคืนก็มึงใช่มะ!" ผมด่ามันลอดไรฟัน เห็นในความมืดว่าคู่สนทนากําลั งปั้นหน้า
กวนตีนชิบหาย "มั้ง.." มันตอบแค่นั้นก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วสอดแขนมาใต้หัวผม เพื่อให้ใช้หนุนแทนหมอน ผมส่ายหัวหน่าย ๆ แต่ก็ยอม
หนุนแขนมันโดยดี "เจอกันในฝันนะ ฝันดีครับ" ปุณณ์กระซิบเสียงเบาก่อนจะดึงผมมากอดและประทับจูบบนหน้าผากแผ่ว ๆ ผมหลุดขํา
นิดนึงเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นน้องมันอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็วาดวงแขนกอดกลับ จริง ๆ ไม่เห็นจําเป็นต้องอวยพรแบบนี้เลย
ผมฝันดีทุกคืนที่มีปุณณ์อยู่แล้ว =] แต่ก็ว่าตอนนอนนอนท่านั้นนะ....... ทําไมตอนเช้าตื่นมาถึงกลายเป็นว่า... ผมกําลังก่ายไอ้ โอมไปซะ
ฉิบ!? "เชี่ยโน่... ขามึงหนัก เอาออกปายย" เสียงเชี่ยโอมงึมงํา ๆ ด่าผมตอนแดดแสงเริ่มส่องมาทางหน้าต่าง แต่อากาศร้อน ๆ แบบนี้ได้ก่ายคน
ตัวเย็น ๆ อย่างไอ้โอมมันสบายดีนี่หว่า (โอมมันเป็นพวกตัวเย็นครับ ไม่รู้ทําไม ผมเลยชอบนอนก่ายมันเวลาร้อน ๆ มากเลย) ผมลืมตาขึ้นข้ าง
หนึ่งเห็นไอ้ปุณณ์ยังนอนข้างผมอยู่ไม่ได้
ลุกไปไหน เพียงแต่ตอนนี้เราดิ้นออกจากกันคนละทิศ (เพราะชักร้อน) เห็นดังนั้นผมจึงบิดขี้เกียจแล้วพาดแขนทับหน้าไอ้โอมแม่งอีกทีไม่ให้
มันพูดมาก งั่ม!! "โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!" ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย คนหรือหมา!!!! ผมตื่นเต็มตาเพราะเชี่ยโอมฝังเขี้ยวบนแขน
ผมเต็มแรง จนผมต้องศอกคางมันไปทีนึงเพราะตกใจ "โอ๊ยยย เชี่ยโน่!! กูกัดลิ้นตัวเองเลยสัด!" ก็มึงกัดแขนกูก่อนอะ เหี้ย! ผมกระเด้งขึ้นมา
ตาสว่างเพราะฤทธิ์ไอ้หมาบ้าที่ชื่อโอม ทําเอาคนอื่น ๆ ในห้องสะลึมสะลือตื่นกันไปด้วยเพราะเสียงโวยวายของผมกับมัน "แม่งงงง ก่า ยกู
แล้วยังมาทําร้ายร่างกายกุอีก ปากเจ่อเลย" มันบ่นงึมงําพลางเกาคอตัวเอง ก่อนจะเหลือบเห็นไอ้คนที่โผล่มานอนข้างผมแบบผิดปกติ "นั่น
แน่ะ!" เสียงเหี้ยไรของเมิง! ผมเหล่ตามองไอ้โอมที่เริ่มทําหน้าไม่สมควรไว้วางใจ "กกกันในค่ายเลยเหรอ เปิดเผยไปป่าวหนุ่มน้อย กิ๊ ว ๆๆ"
ห่า... กกเชี่ยไร นอนห่างกันเป็นโยชน์งี้ เพราะตอนนี้ไอ้ปุณณ์มันกลิ้งไปนอนติดกับพีทเรียบร้อยแล้วครับ สงสัยร้อนพอกัน งี้แหละนะ นอน
ใกล้หนุ่มฮอทอย่างผมมันก็ร้อนนิดนึง อิอิ ผมโบกหัวไอ้โอมไปทีโทษฐานพูดจาไม่เข้าหู ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดคอไว้ กะว่าจะ
ออกไปล้างหน้าแปรงฟันซักหน่อย (ส่วนไอ้โอมล้มลงไปนอนต่อเรียบร้อยแล้วครับ โคตรขี้เกียจ) แต่เพราะกระเป๋าผมตั้งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณหั ว
ปุณณ์ มันเลยตื่นด้วยอีกคน "จะไปไหนอะ" แถมตื่นมาก็เจ้าปัญหาเลยว่ะ... "ล้างหน้าแปรงฟัน" "ไปด้วยย ฮ้าว.." ไหวปะเนี่ยมึง ผมนั่ง
รอไอ้ปุณณ์ค่อย ๆ บิดขี้เกียจซ้ายทีขวาที ก่อนมันจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูและอุปกรณ์ล้างหน้าแปรงฟันมาเตรียมไปพร้อมกัน
เราสองคนเดินลงมาข้างล่าง หมายจะมุ่งหน้าไปยังห้องอาบนํ้า แต่ก็เจอรุ่นพี่สต๊าฟค่ายหลายคนที่ตื่นแล้วกําลังเตรียมข้าวเช้าให้พวกเรา
อยู่ ผมผงกหัวทักทายพี่ทุกคน และยิ้มรับไมตรีที่พวกเค้าชวนเรากินข้าวต้มกันอย่างครึกครื้น แต่จะให้อมขี้ฟันไปกินตอนนี้ก็ใช่ที่อะครับ
รอแปรงฟันเสร็จเมื่อไหร่เหอะ ใครตื่นไม่ทันอดกินแน่! หึหึหึ ผมกับปุณณ์เดินลากเท้าคุยกันไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องนํ้า ต่างคนต่างล้ างหน้า
แปรงฟันกันไป จนไอ้ปุณณ์บ่นปวดขี้ (แล้วมาบอกกูทําไมวะ) ผมเลยต้องไล่มันไปขี้ แล้วเดินออกมายืนรอหน้าห้องนํ้า (เพราะไม่อยากดมกลิ่ น
มัน) เสียงซู่ซ่าจากก๊อกในห้องนํ้าหญิงข้าง ๆ ทําให้ผมรู้ว่ามีคนตื่นเช้ามาล้างหน้าแปรงฟันแบบพวกเราเหมือนกัน ผมยืนมองนาฬิกาที่ บอก
เวลาเจ็ดโมงกว่า ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าเช้ามากอะไรสําหรับการมาค่าย แต่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นคงเพราะเมื่อคืนซ่าส์กันไปหน่อย (ก็ดูแ ต่ละคนแต่
ละกิจกรรมดิครับ... ได้อีกอะ) แถมกิจกรรมวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯเท่านั้นเอง "ทําไมจิ๊ดหน้างอจัง ยังไม่หาย
อารมณ์เสียอีกเหรอ" แต่เอ๊ะ... เสียงนี้คุ้น ๆ แฮะ ผมขมวดคิ้วมุ่นทันทีเพราะเสียงที่ดังมาจากในห้องนํ้าหญิงตอนนีเ้ ป็นเสียงที่ผมไม่ มีทางจําผิด
แน่ "ไม่รู้รึไงยูริ แม่นี่น่ะเค้าไปเล่นใหญ่มา" อีกเสียงหนึ่งที่ผมไม่รู้จักดังตอบ ยิ่งราวกับตรึงเท้าผมไว้ ไม่ให้เดินไปไหน "อะไรอะ เล่น
ใหญ่?" "ก็ไปขอคบแฟนเก่าเธอไง หึ... คิดอะไรอยู่" "พูดให้มันดี ๆ นะเมย์ อยากปากแตกตอนนี้เลยรึไง"
"จะทําไม กล้าก็มาเลยสิ เห็นดีแต่ปากตลอด" ท่าทางบรรยากาศข้างในเวลานี้จะตึงเครียดน่าดูครับ ผมยืนนิ่งฟังเหตุการณ์ในห้องนํ้าหญิงไม่
ขยับ ขณะรู้สึกตัวอีกทีก็มีปุณณ์มายืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว "อย่าทะเลาะกันเลย นี่มันไม่ใช่ที่โรงเรียนนะ" "โธ่ยู! ก็ยูเป็นอย่า งนี้มันถึงได้ปากดี
ตลอด หึ.. ทีนี้เป็นไงล่ะ รู้รึยังว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเทียบยูได้ซักนิด โน่เค้าไม่เอาผู้หญิงอย่างเธอทํ าแฟนหรอก" "หึ... ใครกันแน่ที่โง่แล้วยัง
อวดฉลาด" เสียงจิ๊ดเย้ยหยันเพื่อนของยูริในห้องนํ้าจนใจผมหล่นวูบไปที่ปลายเท้า ผมเดาออกว่าเธอกําลังจะพูดอะไร "ไอ้นั่นมันเป็น เกย์
ต่างหาก ผู้หญิงหน้าไหนมันก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ ใครกันแน่ที่โง่ไปคบพวกเกย์น่าขยะแขยงอยู่ตั้งนาน คลื่นไส้" 'เพียะ!' เป็นชั่วเวลาหนึ่ง
ที่ผมแทบหยุดหายใจหลังจากได้ยินเสียงประหลาดนั่น... ความเงียบปกคลุมภายในห้องนํ้ารวมถึงพวกผมที่อยู่ด้านนอก "ห้ามพูดถึงโน่
แบบนั้น...." เสียงเล็ก ๆ ที่ทําลายความเงียบฟังดูโกรธเกรี้ยวอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน "ห้ามว่าโน่เสีย ๆ หาย ๆ เด็ดขาด" "ทําไม...
หรือไม่จริง ที่ไม่ยอมบอกใครว่าเลิกกับโน่เพราะอะไรก็คงแบบนี้ใช่มะ แฟนเป็นเกย์ใช่มะ อายเค้าล่ะสิที่ไปโง่ให้โดนหลอกอยู่ตั้งนาน มิน่า..."
"เฮ้ยยูริ!! อย่า!" เสียงเด็กผู้หญิงร้องห้ามอะไรบางอย่างกันโกลาหลครู่หนึ่งก่อนยูริจะตะโกนเสียงลั่น
ออกมา "ยัยบ้า! เธอไม่มีวันรู้หรอกว่าโน่วิเศษแค่ไหน! คนอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าโน่ดียังไง และทําไมชั้นถึงบอกทุกคนว่าเค้าคื อคนที่ดี
ที่สุดในชีวิตชั้น!!! คนอย่างเธอมันไม่คู่ควรจะเข้าใจเรื่องพวกนั้นหรอก!" "ยูริ!!!" เสียงข้าวของตกและฝีเท้ายํ่านํ้าแฉะ ๆ ดังติดต่อกันก่อนที่ยู
ริจะพุ่งตัวออกมา ทุกอย่างรวดเร็วมากจนผมหลบไม่ทัน ทําให้สายตาเราปะทะกันที่หน้าห้องนํ้าครู่หนึ่ง ก่อนยูริจะวิ่งหนีไป ผมไม่เ คยคิด
มาก่อนเลย ว่าหลังจากวันนั้น ความรู้สึกของยูริจะยังคงท่วมท้นเท่านี้ ... เมื่อไหร่ผมจะเลิกทําให้เธอเจ็บปวดซักที ***
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มไม่ค่อยออก... จริงอยู่ที่มันควรจะดีใจ เมื่อได้รู้ว่ายูริไม่ได้เกลียดกันอย่างที่ผมคิด แต่ใน
ความเป็นจริงมันเจ็บปวดกว่านั้นมาก เพราะหากยูริเกลียดผมบ้าง ยังคงพอที่จะหักล้างกับการกระทําของคนขี้ขลาดอย่างผม หรือถ้าหากผม
ได้รู้มาก่อนบ้าง ว่ายูริยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลืออยู่ ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ระหว่างเรามีแต่ความหมางเมินแบบนี้เลย ผมครุ่นคิ ด
ระหว่างเราทุกคนกําลังลากกระเป๋าเดินทางลงมาเพื่อรอเวลาต่อรถสองแถวไปสถานีรถไฟอยู่ แต่สายตาที่จับจ้องเพียงใบหน้าขาวอันคุ้นเคย
นั้นของผม ไม่เคยได้รับการตอบกลับมา ผมคิดอะไรในหัววกวนไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการกับเรื่องไหนก่อนดี ผมไม่มีสม าธิ
แม้กระทั่งตอนที่รุ่นพี่เขาเฉลยกิจกรรมปอบกันว่ามีใครในค่ายเป็นปอบบ้าง (ก็ไอ้เหี้ยปุณณ์นั่นแหละครับ 1 ในพวกปอบ แถมยังมีผลงานดีเด่น
เพราะฆ่าทั้งผม ทั้งเอิ้น ทั้งไอ้ปาล์ม แถมยังฆ่าคนในสีมันอีก 2 รุ่นพี่ 2 คนสีอื่น
อีก 1 ไอ้เหี้ยนี่มันโหดจริง ส่วนไอ้โอมแท้จริงแล้วเสือกเป็นหมอผีครับ มันบอกมันอุตส่าห์เดินโต๋เต๋ไปมาอยู่คนเดียวตั้ งหลายที กะจะล่อให้ไอ้
ปุณณ์เข้ามาแดกซักหน่อย จะได้จับใส่หม้อถ่วงนํ้าซะ แต่เชี่ยปุณณ์ก็เสือกรู้ทัน ไม่ยอมเข้าไปแดกไอ้โอมซักที เชี่ยโอมเลยกลายเป็นหมอผีบ่มิ
ไก๊ จับปอบไม่ได้ โดยทําโทษไปตามวาระครับ แอบสะใจ) หรือแม้แต่ตอนที่พี่เขาเรียกคนโดนปอบฆ่าอย่างพวกผมไปทําโ ทษซํ้า (เพราะดัน
ทะเล่อทะล่าให้ปอบแดก) ผมก็ยังไม่มีสมาธิเท่าที่ควร... คนที่รู้ว่าผมกําลังคิดอะไรอยู่คือปุณณ์... วงแขนอุ่นนั้นดึงผมไปกอดคอหลวม ๆ
แล้วตบไหล่เบา ๆ ระหว่างที่เราทั้งหมดกําลังขึ้นรถสองแถวเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟอยู่ ผมยิ้มรับการกระทํานั้ นทั้งที่ความรู้สึกหน่วง ๆ
ยังไม่หายไปจากใจ หรือแม้กระทั่งบนรถไฟสายเหนือที่กําลังวิ่งกลับกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากกองสันทนาการ และเพื่อนร่วม
ค่ายคนอื่น ๆ พากันเดินแลกเบอร์โทร. แจกอีเมล รวมถึงยื่นสมุดค่ายของตัวเองให้เพื่อน ๆ ช่วยเซ็นกันจ้าละหวั่น แต่ผมกลับไม่รู้สึกมีอารมณ์
ร่วมใด ๆ เลย ครั้งหนึ่งที่โอมถามปุณณ์ว่าผมเป็นอะไร ปุณณ์ตอบเพียงว่า คงจะเหนื่อย... ผมแอบขอโทษโอมในใจที่ทําให้มันต้องเป็นห่ วง
อยู่เสมอ เรามาถึงกรุงเทพฯกันประมาณสี่โมงเย็นกว่า ๆ เพื่อนทุกคนโบกมือลากันหน้าหัวลําโพงก่อนจะเข้ามาตบหัวตบไหล่ผมคนละที
สองที ผมแค่นยิ้มให้พวกมันอย่างขอบคุณ ก่อนจะถูกทุกคนบังคับให้เกี่ยวก้อยสัญญาว่า พรุ่งนี้เป็นวันเปิดเทอมซัมเมอร์วันแรก ผมต้องไ ป
เรียน และต้องกลับไปบ้าเหมือนเก่าด้วย (หมายความว่าไงวะ บ้าเหมือนเก่า มึงด่ากูบ้าเหรอ) ผมหัวเราะก่อนจะยอมสัญญากั บพวกมันทั้งที่ไม่
ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าแค่ผ่านคืนนี้ไปได้ อะไร ๆ ก็คงดีขึ้นตามลําดับเหมือนครั้งที่แล้ว... "เอกมัยครับ" ปุณณ์ยื่นหัว ไปบอกพี่คนขับ
แท็กซี่ในรถ รอจนเขาพยักหน้ารับแล้วจึงเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งก่อน ผมยิ้มแห้ง ๆ ขอบคุณมันพลางโยนสัมภาระแล้วยัดตัวเองเข้าไปตาม
ด้วยปุณณ์อีกคน "ไปหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านมั้ย" ปุณณ์ถามผมทั้งรอยยิ้มกว้าง เรียกให้ผมยิ้มตอบก่อนจะส่ายหัวกลับ
"ไม่อะ ที่บ้านกูคงมี" "งั้นกูไปกินบ้านมึงนะ มีใครอยู่รึเปล่าวันนี้" หึหึ... ถามแบบนี้หมายความว่าไง ผมเลิกคิ้วยียวนกลับ ก่อนจะอ้าปาก
ตอบช้า ๆ ชัด ๆ "บอก ให้ โง่...." ตอบแบบนี้เลยได้รางวัลเป็นกําปั้นเสยหัวทีนึงเลยครับ โอ๊ย.. นี่มึงไม่เห็นรึไงว่ากูมีสภาพป่ วยทางจิตอยู่
ไอ้ชั่ว ผมเกาหัวเคือง ๆ ระหว่างมองออกนอกกระจกเพื่อจะเจอแต่รถรามากมาย สาเหตุของการจราจรค่อนข้างติ ดขัดบนถนนเมืองหลวง
แห่งนี้ ผมนิ่งมองภาพรถยนต์แน่นขนัดเหล่านัน้ โดยมีมอเตอร์ไซค์คอยขับผ่านช่องว่างระหว่างรถเป็นระยะ ๆ ขณะที่รู้สึกทั้งหน่วงและอึดอัดใจ
รอยยิ้มของยูริที่ทะเลหัวหินวันนั้นย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมยังจําได้ว่ารอยยิ้มนั้นน่ามองแค่ไหน นํ้าตาของ ยูริที่หน้าตู้สติ๊กเกอร์วันนั้น
กลับมาเตือนความทรงจําผมอีกครั้ง ผมยังจําได้ว่าผมเกลียดตัวเองเพียงใด เช่นเดียวกับภาพยูริที่วิ่งออกมาจากห้องนํ้าเมื่อวานนี้ ทุ กวินาที
ยังคงเฝ้าฉายหมุนซํ้าไปซํ้ามาในหัวผมราวกับกดปุ่ม reply โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และคงเป็นเช่นนั้นต่อไป ถ้าไม่ได้มีท่อนแขนอุ่น ๆ เอื้อมมา
โอบไหล่ผมไปกอดไว้หลวม ๆ พลางกดหัวผมลงกับไหล่มันเป็นการบังคับกลาย ๆ ให้นอนซบลงมา ไม่ต้องมองและคิดอะไรอีก... เหอะ ๆ
ไอ้เผด็จการ.... ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างที่เปื้อนรอยยิ้มนิด ๆ ของปุณณ์พลางคิดว่ามันเป็นเผด็จการที่น่ารักที่สุดในโลก ผมหลับตาลง
ตัดขาดจากสภาพการจราจรอันคับคั่ง และสภาพจิตใจอันวุ่นวาย เพื่อดําดิ่งในห้วงนิทราที่มีปุณณ์อยู่ใกล้ ๆ ฝ่ามืออุ่นที่กุมมือผมไ ว้แนบ
แน่น เตือนให้รู้ว่าตราบใดที่ผมมีปุณณ์ ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี
*** ".... โน่ ตื่นเร็ว! ไปนอนต่อในบ้านนะครับ" ไม่นานนักเสียงทุ้มก็ปลุกผมตื่นจากฝัน เรียกให้ลืมตาขึ้นมาเห็นรั้วบ้านสีนํ้าเงินของตัวเอง
ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงก่อนจะโยนสัมภาระให้ปุณณ์ที่ยื่นมือมาช่วยถืออยู่ พลางกระเถิบตัวเองลงจากแท็กซี่บ้าง "กุญแจบ้านอยู่ไหนวะ" ผม
บ่นขณะล้วงหาในกระเป๋าเป้แต่ไม่เจอ เลยเอื้อมมือไปหมายจะลองรูดซิปเป้อีกใบที่ปุณณ์เอาไปช่วยหิ้วให้ แต่ร่างสูงตรงหน้าผมกลับยืนนิ่งไม่
ขยับ ผมมองตามทิศของนัยน์ตาคมคู่นั้น ภาพที่เห็นในเวลาต่อมาคือ....... ร่างเล็ก ๆ ที่ผมรู้จักดีกําลังนั่งมองพวกเราอยู่บนกระถางต้นไม้ไม่
ไกลนัก "ยู..." ผมอุทานชื่อเด็กผู้หญิงตรงหน้าเบา ๆ ก่อนที่ปุณณ์จะบีบไหล่ให้กําลังใจผมแผ่ว ๆ "กูเข้าไปรอในบ้านนะ" "อือ.." ผมขาน
รับ คํ า นั้ น ทั้ ง ที่ ไ ม่ ไ ด้ ม องหน้ า คนพู ด สั กนิ ด ภายในความคิด ตอนนี้ ที่ ข าวโพลนไปหมดมี เ พี ย งสิ่ ง เดี ย วที่ เด่ น ชั ด คือ ยู ริกํา ลั ง อยู่ ต รงหน้ า
"รบกวนเวลารึเปล่า.." เสียงเล็กนั้นร้องถามผมแผ่ว ๆ เมื่อสาวเท้าเข้ามา เรียกให้ผมรีบส่ายหัวกลับ ก่อนจะเปิดประตูเล็กให้เธอเข้าไปในบ้าน
"นั่งกันตรงนั้นได้มั้ย" ยูริถามผมอีกพลางชี้ไปทางบ่อปลาของอาป๊า ผมพยักหน้ารับทันที บอกตามตรงว่าตอนนี้ถึงยูริจะสั่งให้ผมกระโดดลงไป
ในบ่อปลาผมก็คงทํา... ผมยอมเธอทุกอย่างแล้วจริง ๆ เป็นเวลาพักหนึ่งที่เราต่างนั่งกันเงียบ ๆ ปล่อยให้ปลาสีส้มขาวแหวกว่ายไปมาใน
สายนํ้าใส ผมมองบรรดาลูกรักของอาป๊า (รักมากกว่าผมอีกครับ) พายครีบวนไปมา แล้วก็ต้องลอบมองหน้าเด็กผู้หญิงข้างตัวที่ยัง ไม่พูดอะไร
กับผมสักคํา
ดวงตาโตของยูริจับจ้องบนผืนนํ้ากระเพื่อม แต่ราวกับความคิดจะลอยไปไกลกว่านั้นมาก... ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยูริกําลังเห็นภาพอะไรอยู่ ภาพ
บ่อปลาบ้านผม หรือภาพอื่นที่เธอไม่ควรจํา.. "ยู.. กินไรยัง โน่เข้าไปเอาขนมมาให้มั้ย" ผมตัดสินใจทําลา ยความเงียบ จนคู่สนทนาสะดุ้ง
เล็กน้อย ก่อนจะหันมาอมยิ้มเหนื่อย ๆ ให้ผม "ไม่... เป็นไร ในกระเป๋ายังมีอยู่ โน่กินมั้ย" เชื่อเค้าเลย... ที่ตุนไว้ยังไม่หมดอีก เหรอเนี่ย ผมหลุด
ขําออกมาพลางส่ายหัว ก่อนที่เราทั้งคู่จะสะดุ้งอีกครั้ง เพราะอยู่ดี ๆ ไฟตรงชานหลังคาบริเวณบ่อปลาก็สว่างโร่ ผมหันไปมองในบ้านเห็น
เงาสูง ๆ ป้วนเปี้ยนอยู่แถวสวิตช์ไฟ ปุณณ์คงเห็นว่าเริ่มมืดแล้วเลยเปิดไฟให้.. เรื่องแสนรู้แบบนี้รับรองไม่มีใครเกิน "ปุณณ์อยู่ในบ้านเหรอ"
ยูริถามผมเสียงแผ่วหลังจากเห็นเงายาว ๆ พาดผ่านหลังผ้าม่าน ผมพยักหน้ารับช้า ๆ ด้วยไม่แน่ใจว่าเธอกําลังถามผมด้วยความรู้สึกไหน
"เรื่องตอนนั้น..." ยูริเกริ่นเสียงเบา ก่อนจะเงียบไป... ผมเห็นริมฝีปากเล็ก ๆ เม้มเข้าหากันครู่หนึ่งก่อนจะยอมปริปากพูดต่อ "... ถ้าโน่บอกว่า
ไม่ใช่อย่างที่ยูคิด... ยูก็จะเชื่อโน่นะ" "....." ผมมองตอบนั ยน์ตาดวงกลมโตนั้นที่กําลังมองตรงมาราวกับจะร้องขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้
"โน่ก็รู้ว่ายูเชื่อทุกอย่าง... ขอแค่โน่บอก..." "นั่นเป็นเพราะเราไม่เคยโกหกกันไม่ใช่เหรอ..." ผมแทรกขึ้นพร้อมความรู้สึกว่าลําคอแห้งผากจน
เราสองคนต่างตกในความเงียบ.. เด็กสาวตรงหน้าผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นก่อนจะผลุบสายตาลงตํ่า ผมมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ดูเศร้า
สร้อยนั่น ด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน "แต่โน่ยังเป็นเพื่อนคนเดิมของยูเสมอ
นะ" สิ้นเสียงผม คือเสียงร้องไห้โฮของยูริ จนผมต้องอึ้งไปเพราะความตกใจ.. ผมมองศีรษะเล็ก ๆ ที่ฟุบลงกับหัวเข่าทั้งสองข้างนั่น โดย
ปล่อยให้ช่วงไหล่บางสะอื้นเป็นพัก ๆ อย่างไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทําอะไรได้บ้าง ฝ่ามือผมเอื้อมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ไปตบบ่าเด็กสาวข้าง ๆ
ก่อนจะลูบเส้นผมลื่นนั้นแผ่ว ๆ เมื่อเห็นเธอไม่ว่าอะไร ยูริยังคงสะอึกสะอื้นกับหัวเข่าตัวเองอีกพักใหญ่ กว่าจะยอมพูดอะไรออกมา "โน่ได้
ยินที่จิ๊ดพูดในห้องนํ้าใช่มั้ย" เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาถามผมทั้งนัยน์ตาที่แดงกลํ่า ผมบังคับตัวเองให้พยักหน้าตอบ แม้จะไม่อยากก ลับไป
คิดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่ "ยูโกรธ จนแทบจะฉีกเนื้อมันออกมากินเป็นชิ้น ๆ ที่ว่าโน่เสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้น" ถึงตรงนี้ผมอดขําไม่ได้ ก่อนจะ
โยกศีรษะผู้หญิงข้าง ๆ เล่นอย่างเอ็นดู "ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก แค่ยูเข้าใจก็ดีใจแล้ว" "แต่พอคิดไปคิดมา ยูกลับโกรธตัวเอง จนอยากจะ
ฉีกเนื้อตัวเองเป็นชิ้น ๆ แทน" แต่คําพูดบนเสียงสั่นเครือในเวลาต่อมากลับทําให้ผมนิ่ง ไปพักหนึ่ง ผมมองตอบดวงตากลมที่มีนํ้าหยดลงมา
ก่อนจะใช้หัวนิ้วโป้งเกลี่ยให้เบามือ "ทําไมล่ะครับ... ทําแบบนั้นโน่ก็เสียใจแย่สิ" ยูริเม้มปากแน่นมองผม ดวงตาแดงชํ้าเหมื อนคนกลั้น
ความเสียใจไว้ไม่อยู่ก่อนจะโถมมากอดผมทั้งตัว "ฮือ...." "ฮ... เฮ้ย... อย่าร้องดิ่ ตกใจหมด.... เป็นไรอะ บอกโน่ได้นะ" "ยู... ยู... ฮึก.. ยู
โกรธจิ๊ดว่า... ไม่รู้อะไร.... แล้วก็มาว่าโน่... ฮึก... ทั้งที่จริงแล้ว... ฮึก... ที่ยูทํามัน... ฮึก... แย่
ยิ่งกว่า... อีก... ทั้งที่ยู... บอกใคร ๆ ... ฮึก... ว่ารู้จักโน่ดี.... แต่ยู... ยูยัง... ฮึก.... ยังทําแบบนั้นกับโน่... ฮึก.... ทั้งที่ยู.. รู้ว่าโน่.... ดีขนาดไหน...
ฮึก... ยูก็ยัง.... เอาเรื่องไร้สาระมา... ฮึก... เอามาทําให้เป็น... ฮึก.. เรื่องใหญ่..." หยดนํ้าตามากมายเปียกไหล่เสื้อผมจนชื้นไปหมด ผมลูบ
ปลอบใจเส้นผมลื่นนั้นแผ่ว ๆ ให้รู้ว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยถือสาเลย ยูริกระชับกอดผมแน่นด้วยสองแขนที่ยังสั่นเทาไม่หยุด "ฮึก... ยูด่าว่าจิ๊ด
ไม่รู้อะไร... แล้วมาพูด... ฮึก.. ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า ยูนี่แหละ... ฮึก... ที่น่าจะรู้ดี.. ว่าอะไรเป็นอะไร... ฮึก... คนที่น่าจะรู้ดีว่าไม่ว่าโน่จะรักใคร...
แต่โน่ก็ยังเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดเหมือนเดิม... ฮึก.. ทั้งที่มันน่าจะเป็นยูที่รู้... แต่ยูก็ยัง.... ฮึก.." ผมลูบเส้นผมนั้นแผ่ว ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดัน
ร่างยูให้เราสบตากัน ดวงตากลมโตนั้นชื้นด้วยหยดนํ้าจนผมต้องปาดให้เบามือ ผมส่งรอยยิ้มออกไปโดยหวังว่ าจะทําให้คนตรงหน้ารู้สึกดี
ขึ้นได้ไม่มากก็น้อย "ยูฟังนะ... ที่ผ่านมาไม่เป็นไร โน่ก็ขอโทษที่ไม่บอก เชี่ยมากที่ให้ยูรู้เองด้วยวิธีนั้น" ผมพูดก่อนเราสองคนจะเงียบไป รู้ว่าใน
หัวยูริกําลังย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องวันนั้นเช่นเดียวกับผม... มันเป็นความทรงจําที่เจ็บปวดจนไม่อยากนึกถึงอีก แต่บางครั้งคนเราก็จําเป็นต้อง
หันไปมองอดีตอันเจ็บชํ้า เพื่อยํ้าตัวเองให้รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทําให้เราต่างเจ็บปวดอยู่แบบนี้ นัยน์ตาแดงกํ่าของยูมองตรงมาที่ผมราวกับ
จะอ้อนวอนให้ปฏิเสธ หรือบอกอะไรเธอสักอย่างที่ทําให้รู้สึกดีขึ้น แต่ผมรู้ว่ ามันเป็นเพียงความสุขจอมปลอม ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องยืดอก
ยอมรับบางสิ่งที่กําลังดําเนินอยู่สักที ผมบีบบ่ายูริเบา ๆ ให้ฟังคําพูดต่อจากนี้ โดยไม่คาดหวังให้เธออภัย หายโกรธ หรือเปลี่ย นความรู้สึก
ผิดหวังที่มีต่อผมได้ "เรื่องปุณณ์ ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดีเหมือนกัน... ไม่รู้ด้วยซํ้าว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน หรือเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กับ
ยูโน่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ... โน่ยังเป็นเพื่อนที่ยอมอ่อนข้อให้ยูเสมอเหมือนเดิมนะ" ผมพูดติดตลกให้เธอได้พ่นหัวเราะเบา ๆ ทั้งคราบนํ้าตา
ในตอนหลัง ก่อนฝ่ามือเล็กนั่นจะเช็ดนํ้าตาตัวเองป้อย ๆ "บ้าเหรอ ยูเคยบังคับอะไรโน่ด้วยรึไง"
"โห.... ให้กลับบ้านไปคิดหนึ่งคืนเลยดีมะ จะได้ครบ หึหึ" ผมว่าพลางโยกหัวเล็กนั้นเบา ๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของคนตรงหน้า จน
อดรู้สึกอุ่นใจไม่ได้ ยูริคลี่ยิ้มกว้างตอบผม ก่อนจะเหลือบมองในตัวบ้าน ที่ มีเสียงทีวีลอดออกมาแผ่ว ๆ "แต่ตกใจอะ... จู่ ๆ โน่ก็กลายเป็น
อย่างนั้นกับปุณณ์เฉยเลย... ยูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโน่จะเป็น.... เอ่อ.. เป็น....." "เป็นอะไร พูดให้ดี ๆ" ผมว่าพลางบีบจมูกเล็ก ๆ นั่นแทน
การทําโทษ จะหาว่าผมเป็นเกย์งั้นรึไง! "โอ๊ยยย ก็ไม่ได้เป็นรึไงล่ะ!" เธอโวยพลางปัดมือผมเป็นการใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือเล็ก ๆ มาบีบจมูก
ผมคืนบ้าง เราสองคนเล่นแกล้งกันไปมาเหมือนเด็ก ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนผมจะยกมือยอมแพ้เอง (ก็ยูริเล็บยาวมากนี่ครับ ข่วนมาทีหน้าผมหมด
หล่อพอดี ยิ่งไม่เหลือ ๆ อยู่ ฮ่า ๆ) ผมโคลงหัวไปมากับคํา ถามนั้น เพราะจะว่าไปมันก็ตอบยากพอดู "ไม่รู้ดิ่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชาย
คนอื่นนะ ถ้าไม่นับปุณณ์แล้วก็ยังชอบผู้หญิงเหมือนเดิม เจอสาว ๆ น่ารักยังอยากไปขอเบอร์เลย หึหึ" "อืมม... งั้น... ศูนย์ แปด สี่.... หก
หนึ่ง.... !!!!" "เฮ้ย อะไร!!" แต่พอจบคําอธิบาย ผมก็ต้องโวยใส่เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ที่ท่องเบอร์ตัวเองให้ฟังดังลั่น ยูริยิ้มเผล่ตอบ "ก็ไม่เอา
หรอกเหรอ เบอร์สาวน่ารักอะ อิอิ" แถมไอ้นํ้าเสียงเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มซุกซนนั่น ทําเอาผมอดไม่ได้ที่จะขอบ้องหัวคนตรงหน้าซักทีสิน่า ... เพี้ยน
จริง ๆ หึหึ ผมหัวเราะพลางส่ายหัวขํา ขณะที่ยูริยิ้มร่า... เราเงียบกันไปพักหนึ่ง ก่อนเธอจะยันแขนเพื่อเอนตัวไปด้านหลัง แล้วเงยหน้า
มองท้องฟ้าสีดําสนิท "แบบนี้ถ้าโน่เลิกกับปุณณ์เมื่อไหร่ ยูก็มีสิทธิ์น่ะสิ"
"แช่งเลยเหรอ... หื้ม" "อือ นิดนึง ฮิฮิ.." เจ้าของคําพูดนั้นหันมายิ้มอวดเขี้ยวสวยให้ผม ก่อนจะอิงหัวบนไหล่ผมเบา ๆ นํ้าเสียงนั้น
ออดอ้อนเหมือนที่เคยเป็นในวันเก่า "ไม่เกลียดยูจริง ๆ นะ..." "ไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยครับ" ฝ่ามือเล็กบีบมือผมแน่น ขณะที่เสี ยงเริ่ม
เบาลงไปอีก "ยกโทษให้ยูใช่มั้ย" แล้วแบบนี้จะมีใครจะใจร้ายโกรธได้ลงคอ "ไม่เคยโกรธอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษ รู้ป่าว" ผมตอบพลางตบหัว
เล็กนั้นเบา ๆ สองที ยูริซบไหล่ผมนิ่งอย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะกระเด้งหัวตัวเองออกแล้วฉีกยิ้มตาหยี พลางกางแขนเล็ก ๆ อ้าออกกว้ าง
"งั้นขอกอดหน่อยยยยย" ผมยิ้มให้ท่าทางน่ารักดังเก่าของคนตรงหน้าก่อนจะอ้าแขนกอดยูริมาแนบตัว เสียงเธออู้อี้กับแผ่นอกผมเบา ๆ ว่า
"กอดแฟนคนอื่นบาปไหมเนี้ย.." "บริสุทธิ์ใจรึเปล่าล่ะ" เป็นอย่างนั้นผมจึงเย้ากลับ ไม่บอกก็รู้ว่ายูริกําลังทําหน้าแบบไหนอยู่ "ถามแบบ
นี้ยูคงต้องเตรียมตัวปีนต้นงิ้วแล้ว" "เฮ้ย ศาสนาคริสต์มีต้นงิ้วด้วยเหรอ" ผมถามอย่างงง ๆ (เพราะยูริเป็นคริสเตียนครับ) แต่คําตอบที่ได้รับ
กลับมาคือเสียงหัวเราะคิกคัก "ไม่รู้ดิ่ ฮิฮิ.. โอ๊ยร้อน! ปล่อยได้แล้ว อึดอัด!" ร่างเล็ก ๆ บอกปัดพลางดันตัวผมออกห่างก่อนจะทํ าท่าพัด ๆ
เหมือนคนร้อนซะเต็มประดา เลยโดนผมบ้องหัวเล็ก ๆ นั่นเข้าให้ โทษฐานกวนประสาทเกินกว่าจําเป็น (แต่
แค่ตบเบา ๆ ไม่แรงอย่างเวลาตบไอ้โอมหรอกครับ วางใจได้ ฮา ๆ) ผมเริ่มบ่นอุบ "บอกให้กอดเองแท้ ๆ นะ" แต่ยูริกลับลอยหน้าลอยตา
ไม่สนใจ "อิอิ.... แล้วปุณณ์ทําไรอยู่ในบ้านอะ เรียกออกมาเร็ว! ปุณณ์!!! ปุณณ์!!!!!" แถมไอ้นิสัยพูดปุ๊บทําปั๊บนี่ก็ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ แฮะ
ผมส่ายหัวพลางขํากับความเพี้ยนของผู้หญิงตรงหน้า ก่อนเสียงประตูบ้านจะเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นหน้ามึน ๆ ของเลขาสภาฯ "ห่ะ...
หา เรียกไมครับ" แล้วไอ้ห่านี่มึงเป็นใครเนี่ย! เอากางเกงบอลกูมาใส่โดยพละการเชียวนะ! ยูริยิ้มร่าก่อนจะพูดต่อ "ขอบคุณมากจ้าสําหรับ
รองเท้า ตอนเดินกลับเจ็บไหมอะ" เธอว่าพลางถอดรองเท้าแตะ........ ของไอ้ปุณณ์ออก.... เฮ้ย!? นั่นมันรองเท้าแตะปุณณ์นี่หว่า เพิ่งสังเกต
นะเนี่ย! แล้วไปแลกกันใส่มาตอนไหนวะ!? ปุณณ์ยิ้มกว้างพลางชี้ให้ยูริถอดรองเท้าคู่นั้นเก็บไว้บนชั้น "นิดหน่อย แต่เดินหลบ ๆ หินเอาก็
ไหวอยู่" แถมไอ้บทสนทนาชวนงงนี่มันไม่ประเทืองปัญญาคนนอกอย่างผมเลยว่ะ ผมได้แต่มองตามทั้งคู่ที่ดูมีเลศนัยตาปริบ ๆ โดยไม่เห็นจะมี
ใครสนใจไขข้อสงสัยให้ผมเลยสักคน "เฮ้ย ไปแลกกันมาตอนไหนเนี่ย!?" เป็นอย่างนั้นก็ต้องถามเองดิ่ครับ!! ผมอ้าปากเหวออย่างงงงวย
ขณะที่ไอ้ปุณณ์ยักคิ้วกวน ๆ กลับ "คิดว่ามึงเป็นพระเอกคนเดียวรึไง? หึหึ..." "สัด จะบอกดี ๆ มะ" "โอ๊ย ไม่ต้องตีกัน" สุดท้ายเป็นยู
รินั่นเองครับที่สวมบทแม่นางห้ามทัพพวกผม ก่อนผมกับไอ้ปุณณ์จะแง่ง ๆ ใส่กันมากไปกว่านี้ มือเล็ก ๆ ของเธอหยิบรองเท้าแตะปุณณ์วางไว้
บนชั้นรองเท้า ขณะเริ่มอธิบายให้ฟังเสียงแจ้ว ๆ
"ก็ตอนถูกโยนลงนํ้า รองเท้ายูหล่นในฝายด้วยอะ ปุณณ์เลยถอดให้ใส่ ขอบคุณมากนะ" "ไม่ เป็นไรครับ" ปุณณ์รับคําขอบคุณจากยูริยิ้ม
ๆ ขณะที่ผมมึนไป เพราะไม่ได้สังเกตเลยว่าปุณณ์เดินเลาะคันนากลับมาทั้งเท้าเปล่า ๆ สงสัยตอนนั้นจะหนาวมากไปหน่อย เลยเอาแต่เดินจํ้า
ๆ ให้ถึงโรงเรียนเร็ว ๆ "แล้วก็... ขอบคุณโน่ด้วยนะ.. เรื่องเสื้อ....... แต่ยู... ไม่คื นนะ! อิอิ" อ้าว อ้าวว อ้าววววววววว แล้วไหงเป็นงั้นล่ะ
ครับพี่น้องงงงง เสื้อตัวนั้นน่ะของโอนิซึกะ แพงด้วยนะเฮ้ย!!!!!!!! "จะเอาไปนอนกอด แล้วก็ทําไสยศาสตร์อะ ฮิฮิ" น่ากลัวที่สุดผู้ หญิงคนนี้ -
_-.... ผมถอนหายใจขํา แล้วพยักหน้าเป็นเชิง จะทําอะไรก็ทําเห๊อะ ก่อ นไอ้ปุณณ์จะส่งเสียงกวน ๆ มา "ไม่ทันแล้วยู ผมทําไปก่อนหน้ายู
แล้ว ฮ่า ๆ" โหไอ้สัดด กูรู้ความจริงแล้ววันนี้ มึงร่ายยาเสน่ห์ใส่จนกูสับสนนี่เอง นิสัย!! ยูริขําเสียงดังเอิ๊ก ๆ พลางยกนาฬิ กาสีขาวบนข้อมือ
มาดู "ฝากไว้ก่อนเหอะปุณณ์ มืดแล้วอะ ยูต้องกลับแล้ว... ปุณณ์นอนนี่เหรอ" แต่จะไปยังไม่วายหันมาทิ้งระเบิดอีก... ผมรู้สึกเหงื่อตก ขณะที่
ไอ้คนถูกถามยังจะมีหน้าส่งยิ้มแบบไม่สะทก "ใช่แล้ว ให้โน่อยู่คนเดียวมีหวังโจรลูบปากหวานหมูเลย" เอ๊ะไอ้นี่ เห็นกูเป็นคนยังไง แค่วัน
ก่อนกูเข้านอนแต่ลืมล็อกบ้านเองนะ (คืนเดียวเท่ านั้น!) ทําเป็นล้อกุไม่หยุดว่ะ! ยูริส่งเสียงหัวเราะร่าก่อนจะส่ายหน้าล้อเลียนกลับ "ยูว่า
ปุณณ์น่ากลัวกว่าโจรอีก" จริงครับ! แต่เรื่องแบบนี้ฟังยูริพูดแล้วรู้สึกปะแล่มแฮะ -_-a... ผมมัวแต่ฉีกยิ้มแห้ง ๆ จนไม่ทันตั้งตัวตอนถูกยูริโน้ม
คอลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่ ริมฝีปากอิ่มกับปลายจมูกเล็กชนติดกับแก้มผมเนิ่นนานกว่าเจ้าตัวจะยอมปล่อยออก ยูริมองหน้าผมกับปุณณ์
ที่โคตรเหวอก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง "ถ้าปุณณ์ดูแลโน่ไม่ดีโดนแย่งแน่ ๆ ระวังเหอะ! ไปก่อนนะ บ๊ายบาย
ไว้เจอกันอีก" ตอนนี้เด็กสาวร่างเล็กโบกมือลาและวิ่งออกจากรั้วบ้านผมเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผู้ชายอย่างเรา ๆ ยืนโบกมือตอบอย่างมึน
ๆ โดยที่ความรู้สึกชื้นบริเวณแก้มยังติดอยู่ไม่ไปไหน "ไง... เสน่ห์แรงไม่ยอมเลิกซักทีนะ" ปุณณ์หันมายักคิ้วล้อเลียนผมเลยได้คํ าตอบเป็น
นิ้วกลางกลับไป ก่อนผมจะค่อย ๆ ถอดรองเท้าเก็บขึ้นชั้น (อันที่จริงเรียกว่ายกเท้าขึ้นไปวางบนชั้นแล้วสะบัดออกจะถูกต้องกว่าครับ) ไม่นาน
ปุณณ์ก็ดึงคอผมไปโอบให้เดินเข้าบ้านพร้อมมัน "แต่น่าเสียดายที่ยูริจะคอยเก้อ" "อะไร.. อะไรของมึง" ด้วยคําของปุณณ์ทําเอาผมคิ้ วขมวด
ยิ่งตอนถูกมันลากคอเข้าบ้านพร้อมปิดประตูลงกลอนอย่างดี ยิ่งทําเอารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ จนไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า ว่าสีหน้าไอ้ปุณณ์ดูแช่มชื่น
ผิดปกติ "ก็คงไม่ได้แย่งหรอก เพราะกูดูแลมึงดีอยู่แล้ว จริงปะ" หืม.... ไอ้คนหลงตัวเอง ผมเลิกคิ้วมองหน้ามันที่ทํามาเป็นพยักพเยิดแล้วก็
ต้องเบะปาก "เหรออออวะะ" "ช่ายยย... แล้วถึงยูริจะได้หอมแก้มมึง ฟอดดดดดดดดด เบ้อเร่อ" แถมคราวนี้ไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือมา
ถูแก้มผมอีก โอ๊ยย นี่มึงจงใจจะทําอะไรเนี่ย! "แต่กูได้ทํามากกว่านั้นอยู่แล้ว หึหึหึ" แต่เสียงทุ้มนั้นที่ยังพูดไปหัวเราะในลํ าคอไปแบบโคตร
ไม่น่าไว้ใจ ทําเอาผมเริ่มหนาวปะแล่ม ก่อนจะคิดไปถึงคําพูดของยูริที่ว่า 'ปุณณ์น่ากลัวกว่าโจร' แล้วพลันเห็นด้วยตงิด ๆ ผมยักคิ้วกลับไป
ให้ไอ้หน้าหล่อนี่ "อืม... ขึ้นห้องนอนเลยป่าวล่ะ" เรียกให้ไอ้ปุณณ์ตาโตทันที "เฮ้ย เอาจิง?" "อืม" ผมพยักหน้ารับแล้วลากแขนมันขึ้นชั้น
สองของตัวบ้านอย่างง่ายดาย คิดเหมือนกันไหมครับว่าเรื่อง
แบบนี้ไอ้ปุณณ์จะว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ หึหึหึ... เราสองคนมาหยุดยืนหน้าห้องนอน ก่อนผมจะประทับจูบบนริมฝีปากหยุ่นของมันผะ
แผ่ว "ราตรีสวัสดิ์นะ... ไอ้..... โง่!!!!!!!!!!!!!!!!!" ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก เสียงไอ้ปุณณ์ทุบ ประตูห้องนอนผมรัวหลังจากที่ผมเพิ่งปิดปัง!
ใส่หน้ามัน ฮ่า ๆๆ เชี่ยแม่งหน้าตามีแต่ความหื่น รับไม่ได้ว่ะ ต้องดัดสันดานซะบ้าง ผมผิวปากสบายใจขณะที่ไอ้หน้าห้องยังโวยวายไม่ห ยุด
"เชี่ยโน่!!!!!!! มึงเปิดประตูเดี๋ยวนี้!!!!!!!" "ไร มึงกล้าสั่งกูเหรอ!" "โน่ครับ.... เปิดประตูหน่อยนะ... นะนะ" "เสียใจ กูง่วงแล้ว ฝันดี"
"ขอกูนอนด้วยนะ กูไม่ทําไรจริง ๆ ขอแค่นอนกอดนะ" "ฮ้าว...." "ไม่กอดก็ได้.... ขอแค่นอนเตียงเดียวกันนะ" "กู้ดไนท์" "โอ๊ยยย
นอนพื้นก็ได้ ขอนอนในห้องเดียวกันนะ" หึหึหึ.... ฝันดีแน่เลยคืนนี้ ZZZzzz
FINAL CHAOS
"เฮ้ยเชี่ย!! รีบหน่อย สายแล้วเนี่ย!!!" ผมที่กําลังเร่งฝีเท้าเดินหันไปเร่งไอ้คนที่ตามมาข้างหลังยิก ๆ เห็นไอ้ตัวดีกําลังก้มผูกเชื อกรองเท้าอยู่
"รีบไมวะ ซัมเมอร์นะมึง เฟี้ยมไม่สั่งวิดพื้นมึงหรอกถ้าสายอะ... เฮ้ย ถนนว่างแล้ว ข้ามกัน!" "แป๊บ! ป้า หมูปิ้งยี่สิบ" "สัดด!" โอ๊ย!! แล้ว
ตบหัวกูทําไมเนี่ยย!!! ผมที่ลูบหัวตัวเองป้อย ๆ หันขวับไปมองไอ้ปุณณ์ที่มายืนทําหน้าอํามหิตอยู่ข้างหลัง แบบนี้มันประทุษร้ายกันชั ด ๆ !!
"ก็เร่งกูแล้วเสือกแวะซื้อหมูปิ้งเองนะ!" ฮ่า ๆๆ แล้วจะทําไมวะ มึงผิดเองที่เชื่อกู ผมยักไหล่ไม่สนใจมันก่อนจะชี้นิ้วสั่งว่าอยากได้หมูไม้ไหนบ้าง
เอาแบบที่ติดมันเยอะ ๆ ละกัน อ้วนนนนดี ชอบบ "ก็มึงบอกซัมเมอร์ไม่ต้องรีบอะ กูเลยไม่รีบ ป้าเอาอันแบบนี้" "ฝากไว้ก่อนนะมึ งอะ
ป้าอย่าหยิบหมูติดมันให้มันเยอะ อ้วนจะตายห่าอยู่แล้ว" "อ้าวไอ้เชี่ยยย" พูดแบบนี้ก็มีเฮดิ่วะครับ! ผมไม่ได้อ้วนขึ้นซักหน่อย แค่รู้สึกว่าเมื่อ
เช้าใส่กางเกงยีนยากกว่าเดิมแค่นั้นเอง.. สงสัยกางเกงจะหด ไหนแก็สโซลีนบอกซักแล้วยืดไงวะ หลอกกูป่าวเนี่ย!! ผมยื่นขาไปเตะไอ้ปุ ณณ์
หนึ่งทีก่อนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจนต้องเงยหน้ามอง บนกันสาดร้านป้าขายหมูปิ้งมีนกตัวหนึ่งเกาะพลางร้องเสียงดังล้งเล้งอยู่ ผม
ขมวดคิ้วมองนกตัวนั้นที่ส่งเสียงโต้ตอบกับอะไรบางอย่าง เลยต้องกวาดสายตาหาต้นเสียงอีกตัว พบเป็นไอ้นกหน้าตาคล้ายกัน แต่โดนขังอยู่
ในกรงข้าง ๆ เตาหมูปิ้งป้านี่เอง "เฮ้ยป้า นี่นกป้าเหรอ" "ป้าเพิ่งจับมาเมื่อกี้ พอดีวันนี้ลุงอยากกินแกงนก เลยว่าเดี๋ยวบ่าย ๆ จะทําให้ลุง
กิน" แอ่ะ... แกงนกเนี่ยนะ...
คิดแล้วผะอืดผะอมแฮะ ผมกรอกตาไปมาเพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงต่อดี แถมไอ้นกบนกันสาดตัวนั้นก็ดูจะตั้งความหวั งกับผมไว้มากโข มัน
ส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆๆ ใส่ผมไม่หยุดราวกับจะขอร้องให้ช่วยหน่อย แต่เออน่ะ... กูก็กําลังหาทางช่วยแฟนมึงอยู่นี่ไง "จับมาไม่กลัวไข้หวั ดนกเหรอ
ป้า ไม่ไปซื้อในตลาดอะ ปลอดภัยกว่า" "โอ๊ย ซื้อที่ไหนมันก็จับมาทั้งนั้นแหละไอ้หนู ป้าจับเองประหยัดกว่าเยอะ แล้วถ้ารู้วิธีทําก็ไม่ป่วย
หรอก" โห... ป้าเสือกเก่งอีก เฮ้อ... แล้วทีนี้กูจะเอาอะไรอ้างดีวะ ผมเหล่มองนกตัวเดิมที่ยังคงร้องจิ๊บ ๆๆ บนกันสาด สลับกับมอ งหน้า
ปุณณ์ที่วางสายตามาทางผม และท่าทางจะรู้ว่าผมคิดอะไร... "ป้า ผมเอาด้วย สี่สิบเลย ขอแบบปิ้งใหม่ ๆ ร้อน ๆ หน่อยนะ" แล้วผมก็รู้
ด้วยว่าปุณณ์กําลังทําอะไร... หึหึหึ ดีมาก... ถ่วงเวลานาน ๆ เลย ผมที่สบโอกาสเหมาะแอบเขยิบไปข้าง ๆ ร้านป้าบริเวณที่กรงนกตั้งอยู่
ขณะไอ้ปุณณ์กําลังชี้หมูปิ้งไม้นู้นไม้นี้อย่างโคตรเรื่องมากจนถ้าผมเป็นป้าคงมีด่า แต่เป็นแบบนี้ก็ดี เพราะป้าจะได้ไม่มาสนใจผม ที่กําลังคิดมิดี
มิร้ายกับนกป้า "ไอ้หนูนี่รักสุขภาพดีแฮะ ติดมันก็ไม่เอา ไหม้นิดหน่อยก็ไม่ได้" ป้าพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ผมกําลังหยุดคิดว่าป้าหลอก
ด่าไอ้ปุณณ์อยู่หรือไม่ ป้าก็พูดคําต่อไปออกมา "รักสุขภาพแบบนี้ป้าชอบ ลูกสาวป้าน่ารักนะ สนใจมั้ยไอ้หนู" "ไม่ได้ป้า นี่แฟนผม! ผมหวง!"
ได้ยินดังนั้นผมจึงต้องรีบหันไปสวนกลับทันควัน ทําเอาทั้งป้าทั้งปุณณ์อึ้งไป.... แล้วจะอึ้งไรวะ กูพูดผิดตรงไหน? แต่ก็ดี อึ้งแบบนี้ได้โอกาส
ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเปิดกรงนกตัวนั้นอย่างว่องไว "อ้าวไอ้หนู!!!!!" "เมื่อกี้โน่พูดไรนะ!" "อะนี่ป้า ค่าหมูปิ้งกับค่านก อย่าไปจับมันอีก
นะ สงสารแฟนมัน! ปุณณ์ ถนนว่างแล้ว ข้ามกัน!!!!!" ผมไม่สนใจคําพูดของสองคนนั่น ได้แต่รีบควักเงินวางหน้าเตา แล้วลากแขนให้ไอ้ปุณณ์
ข้ามถนนไปด้วยกัน (ที่จะว่าไปก็ไม่ได้โล่งเท่าไหร่ แต่ถ้าขืนยืนต่อมีหวังซวยแหงแก๋)
"เมื่อกี้มึง!......" "กูทําไม! มองซ้ายมองขวาด้วยดิ่วะ รถจะชนมึงอยู่แล้ว!!" ผมตะโกนตอบพลางมองซ้ายขวากว่าจะพามันไปถึงหน้าประตู
โรงเรียนได้เล่นเอาเหนื่อย เฮ้อ... รอดตาย "!!!!!!!!!!" แต่รู้สึกตัวอีกทีปุณณ์ก็คว้าผมไปกอดไว้แน่นจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของมันซะแล้ว
ผมแอบขํากับท่าทีดีใจเป็นเด็ก ๆ นั่น ก่อนเสียงนกหวีดจากยามจะเป่าไล่เราสองคนลั่นประตูโรงเรียน ก็คนรักกันมันผิดตรงไหนวะเนี่ย ฮ่ า ๆ
"โห่ยพี่โน่ ประเจิดประเจ้อไปป่าว หนีก่อนเร็ว! เดี๋ยวทางนี้ผมจัดเอง" เสียงไอ้เป้อตะโกนดังมา (แล้วมาจากไหนวะ!?) ก่อนมันจะวิ่งพรวดเดียว
ไปขโมยกระบองจากกระเป๋าหลังยามแล้ววิ่งหนีไปทางลานจอดรถ จนยามคนเมื่อครู่เบนเข็มจากเดิมจะเดินมาเล่นงานพวกผม กลายเป็นหัน
ไปตามล่าไอ้เป้อมือบอนแทน ฮ่า ๆๆ เสียงนกหวีดพี่ยามดังลั่นประตูรั้วโรงเรียน แต่ไม่ดังเท่าเสียงร้องเหมือนจะขอบคุณจากนกสองตัวนั่น
ที่บินเหนือหัวพวกเราคู่กันวนไปเวียนมาไม่ห่าง ภาพนั้นช่างสวยงามแต่ไม่มีภาพใดในโลกจะน่ามองกว่ารอยยิ้มของปุณณ์ตอนนี้อีกแล้ว
Our Love is SICK ผมเชื่อว่ารักครั้งนี้จะอยู่กับเราตลอดไป =]
นกน้อยบินอยู่คู่กันร้องดีใจ ฟ้าเปิดเวลานี้เป็นใจ ขอจับมือเธอเอาไว้ พร้อมแล้วทุกอย่างคือเธอ เหนือเกินใคร พิสูจน์เวลาแล้วทันใด ขอฝาก
ใจเธอตรงนี้ และฉันกับเธอ จนถึงวันนี้ จะขอเปิดตัวว่ามีคู่รักคู่ใหม่
แต่งเติมให้โลกชื่นใจ ว่าเรารักกัน มีทั้งคืนและวันที่ยิ่งใหญ่ จะนานเพียงใดจะรักกัน มีแค่เธอและฉันรับรู้ได้ ให้พรอันใดจากฟ้า จากฝัน
กว้างไกล ไม่มีสุขใดเท่ารักกับเธอเรื่อยไป - จบบริบูรณ์ -

Special Chaos. Shade of Fireworks

"เบสท์ จะเอาไง เขาอยู่คนเดียวแล้วนะ!" เสียงแหลม ๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังแหวขึ้น โดยมีเด็กผู้หญิงอีกคนยืนทําหน้าปั้นยาก ทั้งที่ในมือ


ถือกระทงเล็ก ๆ ไว้ด้วยกระทงหนึ่ง "แกจะบ้าเหรอเกด! เค้ายังอยู่ในโรงเรียนเค้าอยู่เลยนะ!" เด็กผู้หญิงคนนั้นแหวกลับ ไป พลาง
ตั้งท่าจะเดินหนีเข้าโรงเรียนตัวเอง แต่ถูกเพื่อนเจ้าของชื่อเกดลากให้กลับมาที่เดิมก่อน "แล้วไง! แกจะรอจนเขาออกมากับเพื่อน
เหรอ! เดี๋ยวก็ปอดแหกอีกอะ ไปเดี๋ยวนี้ ~~~!!" "ไม่เอาาา ฉันกลัวววว" "กลัวอะไร! นี่ปุณณ์เขาอุตส่าห์โสดวันลอย
กระทงครั้งแรกในรอบ 2 ปีเลยนะ!! ไม่มียัยเอมมาคอย
เดินชูคออยู่ข้าง ๆ แล้วด้วย ดังนั้นแกรีบเลย ก่อนที่ปีหน้าเขาจะไม่โสด!!! ถ้าทําให้เขาคบแกได้ภายในคืนนี้ก็ยิ่งดี!" คนมาด้วยกันได้ทีสอนแกม
สั่งเพื่อนยาวเป็นชุดจนผู้ฟังหน้าบู้ ตอนนี้กระทงในมือเด็กหญิงถูกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ช่วยปิดใบหน้าอันแดงเถือกของผู้ถือมันไว้เรียบ ร้อย
"ไม่เอาาา แก ฉันเขิน!!!" "ปุณณ์ ทําไรวะ!!!" แต่ยังไม่ทันที่สองเด็กสาวจะยื้อยุดฉุดกระชากกันสําเร็จดี เสียงของเด็กผู้ชายอีก คน
หนึ่งก็ดังขึ้นจนทั้งคู่นิ่งไป "เห็นมั้ย มีคนมาเลย มัวแต่กลัวอยู่ได้!" เด็กหญิงที่ตัวสูงกว่าได้ทีเอ็ดเพื่อนตัวเล็ กเสียงเขียว ก่อนจะพา
กันไปยืนแอบบริเวณริมรั้วโรงเรียนชายซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนหญิงของพวกเธอ มองจากตรงนี้เห็นได้ลาง ๆ ว่ามีเพื่อน คนหนึ่ง
โบกมือทักผู้ชายที่พวกเธอยกให้เป็น topic ประจําวันมาแต่ไกล ท่าทางคุ้น ๆ แบบนั้นเหมือนเคยเห็นวาดลวดลายบนเวที คอนเสิร์ตในงาน
open house ของโรงเรียนพวกเธอมาก่อน "อ้าวโอม เฝ้ากระทงมิสรัตนาอยู่! แล้วนี่ไปไหนกันหมดวะ" ปุณณ์... เด็กผู้ชาย
โรงเรียนข้าง ๆ ที่ถูกบรรดาผู้หญิงโรงเรียนต่าง ๆ ยกให้เป็น 'สุดยอดหนุ่มในฝัน' ประจําแถบนี้ กําลังตะโกนตอบเพื่อนเสียงดังจนเด็กผู้หญิง
สองคนที่แอบฟังอยู่ถึงกับกรี๊ดออกมาเบา ๆ "กรี๊ดดด แก ฉันได้ยินเสียงเค้าชัด ๆ แล้ววว" "พูดคําว่า มึ ง แต่ยังฟังดูดี
อยู่เลยเนอะะะ" ว่าแล้วก็หลับหูหลับตากรี๊ดกันแบบไม่มีเสียงอย่างลืมตาย ก่อนจะตั้งใจฟังต่อ "แ หม... ไอ้ ‘นี่’ ของมึงเนี่ย
หมายถึง ‘ไอ้โน่’ ก็พูดมาตรง ๆ เหอะ" เด็กชายคนนั้นตะโกนตอบ เรียกให้ปุณณ์หัวเราะร่วนโดยไม่เถียงอะไร ดังนั้นอีกฝ่ายจึงว่าต่อ
"พวกกูอะทํากระทงกันอยู่ข้างตึกฟ. แต่เชี่ยโน่น่ะ อยู่ชั้น 2 ตึก ก." "อ้าว แล้ว มันทําอะไร" "เล่นไพ่!!"
"โห ฮ่าฮ่าฮ่า" "เออ ดังนั้นมึงช่วยขึ้นไปหามัน โบกเกรียนแม่งซัก 3 ที พระบิดา พระบุตร พระจิต แล้วลากคอแม่งลงมาช่วยงาน
พวกกูที" "ฮะฮะ เออได้ แต่เดี๋ยวกูเฝ้ากระทงมิสก่อน" "เออ ๆ เจอกัน" บทสนทนาระหว่างเด็กชายสองคน
เป็ น ไปอย่ า งโวยวายล้ ง เล้ ง จนฝ่ า ยที่ แ อบฟั ง อยู่ นิ่ ง ไป เด็ ก ผู้ ห ญิ ง ตั ว เล็ ก ที่ ยั ง ถื อ กระทงไว้ ใ นมื อ เหลื อ บตามองเพื่ อ นสาวอย่ า งงง ๆ
"โน่นี่ใช่คนที่เคยมาเล่นคอนเสิร์ตโรงเรียนเราเหมือนกันปะ" "ใช่ เห็นว่าสองคนนี้สนิทกันนี่ ตอนวงโน่มาเล่นปีที่แล้วปุณณ์ยัง
ตามมาด้วยเลย" อีกฝ่ายเสริมจนคนถามต้องพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะส่งยิ้มเขิน "ดีเนอะ โน่ก็หล่อ ฉันชอบบ หล่อแบบน่ารัก ดี
เค้าเลิกกับยูริแล้วใช่ปะ" คราวนี้คนถูกถามส่า ยหัวอย่างจนปัญญา "ไม่รู้อะ... ได้ยินมาแบบนั้น แต่วันก่อนยังเห็นเดินควงกันที่
สยามอยู่เลย พวกเด็กม.4 จ้องยูริตาเขียวยังกะอะไร คงนึกว่าเลิกแล้วเหมือนกันมั้ง"
"อ้าวเหรอ สรุปเลิกหรือไม่เลิกเนี่ย... แล้วปุณณ์ล่ะ ตกลงเลิกรึเปล่า" เป็นเพราะคําบอกเล่ าเมื่อกี้แท้ ๆ ที่ทําเอาคนฟังเสียความ
มั่นใจไปกว่าครึ่ง ด้วยเพราะเดาใจเด็กผู้ชายโรงเรียนนี้ไม่ถูก ก่อนจะถูกเพื่อนซี้ตัวเองถอนหายใจแรง ๆ ใส่ "ปุณณ์น่ะ เลิกชัวร์! ไม่
เห็นไง ยัยเอมมีแฟนใหม่เรียบร้อยแล้ว แล้วตอนนี้ปุณณ์เขาก็ไม่ควงผู้หญิงซักคนด้วย ดังนั้นแกช่วยรีบเถอะ ยุงกัดฉันใหญ่แล้ว!!!" เด็กหญิงตัว
สู ง พู ด พลางผลั ก หลั ง เพื่ อ นสาวแรง ๆ ให้ ก ระเด็ น เข้ า ไปหน้ า ประตู โ รงเรี ย นชายล้ ว นข้ า ง ๆ จนผู้ ถู ก กระทํ า ร้ อ งเสี ย งหลง
"ว๊ า ยยยยยยย!!" "???" แถมยั งได้ ส บตากับ คนที่ แอบชอบแบบจั ง ๆ อย่ า งนี้อีก เล่ นเอาใจเต้ น ระรัวเป็ น จั ง หวะสามช่ า
เด็กสาวกับกระทงในมือยิ้มแหยให้ผู้ชายที่ยืนมองเธออย่างงง ๆ มาจากในรั้วโรงเรียน ริมฝีปากบางสีอมส้มของอีกฝ่ายตั้งท่าจะขยับถาม แต่ ...
"เชี่ยปุณณ์ มึงโดนมิสหลอกเฝ้ากระทงแล้ว!!" เสียงล้งเล้งจากเด็กผู้ชายหน้าตี๋หัวเหม่ง ๆ ร้องขัดมาทางด้านหลังแต่ไกล ปุณณ์หัน
กลับไปมองเจ้าของเสียงที่เค้ารู้จักดีแทบจะทันที "อะไรวะโน่" "มิสไปรําวงตรงท่านํ้าสบายใจแล้วมึง เมื่อกี้มาสเซอร์สุ ชายเม้ามา"
"อ้าวว ไรวะ แล้วบอกให้กูเฝ้ากระทงไว้ เดี๋ยวแกมา" "ฮ่าฮ่า เออ! มึงเอาไปที่ท่าเรือเลยเหอะ ไม่ต้องรอแกหรอก" "แล้ว
มึงอะ"
"เดี๋ยวกูตามไป" "อืม" ปุณณ์ขานรับคํานั้นก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อกี้มีเด็กผู้หญิงท่าทางแปลก ๆ มายืนอยู่หน้ารั้วโรงเรียนเขา
แต่เมื่อใบหน้าคมหันกลับไปมองอีกครั้งก็หายไปเสียแล้ว "ผีหลอกปะวะ" เด็กชายเกาหัวตัวเองงง ๆ ก่อนจะยกกระทงสองสาม
กระทงตามไปสมทบคนอื่น ๆ ที่ท่าเรือ "เป็นไงล่ะยะ บอกแล้วให้รีบไป แล้วไงล่ะ เค้าไปท่าเรือแล้วเนี้ย! ตรงนั้นคนเยอะทั้งเด็ก
โรงเรียนเรา โรงเรียนเค้าเลยนะ! แกแย่แน่" แน่นอนว่าเมื่อผู้ซุ่มรออยู่เห็นเพื่อนวิ่งกลับมาทั้งที่มือยังถือกระทงไว้ก็ถึงกับแหวเสี ยงแหลม
คนถูกเอ็ดทําหน้ามุ่ยก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของเด็กผู้ชายร่างโปร่ง ที่ประคองกระทงทั้งสามไว้ในมืออย่างทุลักทุ เล กําลังมุ่งหน้าไปยัง
ท่าเรือที่จัดงานลอยกระทงทุกปี "ก็ฉันตื่นเต้นนี่นา! แต่... คงมีจังหวะดี ๆ บ้างแหละน่า" *** ที่ ท่าเรืออันถูก
เนรมิตเป็นสถานที่จัดงานลอยกระทงประจําปี คลาคลํ่าด้วยบุคคลทั่วไป และนักเรียนจากโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงที่ต่างต้องมาทํากิจกรรมใน
วันประเพณี เด็กชายเจ้าของร่างโปร่งเดินถือกระทงที่ถูกไหว้วานให้ดูแล นําไปให้มิสที่กําลังรําวงกับเพื่อนร่วมงานคนอื่ น ๆ อย่าง
สนุกสนาน
"มิสครับ ให้เอากระทงไว้ไหนครับ" "อ้าวปุณณ์! แหม มิสรอตั้งนานกว่าจะมา! ไว้ตรงนู้นเลยจ้า" คําตอบนั้นทําเอาคนฟัง
นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินส่ายหัวเซ็ง ๆ ไปวางกระทงสภานักเรียนสมทบกับขององค์กรและชมรมอื่น ๆ "มาแล้วววว มาแล้ววว
มาแล้ววววววววววว อลังการกระทงชมรมดนตรีมาแล้วววววววว" แต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ตะโกนโหวกเหวกแหวกทางมาแต่ไกลเรียกให้เขาหันไป
มองได้ไม่ยาก เจ้าของร่างโปร่งที่มายืนอยู่ก่อนฉีกยิ้มกว้างปนขํา เมื่อกระทงชมรมดนตรีที่ว่านี่มันช่างมั่วสิ้นดี มี ทั้งใบตอง กล้วยไม้
ดอกดาวเรือง ทานตะวัน ส้ม สาลี่ ป๊อกกี้ ปาปริก้า โคอะล่ามาร์ช.... "นี่ตั้งใจขอขมาเจ้าแม่คงคา หรือแค่เอาฮาเนี่ย... นํ้าจะเน่า
เอานะ" ปุณณ์ทักกลั้วหัวเราะ หากแต่ไม่มีใครในชมรมดนตรีสนใจคําทักท้วงนั้นซักคน "ก็ขอขมาเจ้าแม่คงคา แล้วก็ให้อาหารปลา
ไปในตัวไง ได้บุญจะตายยย เฮ้ยไอ้โน่ ไปซื้อกระทงหนมปังกัน" "อะไรโอม มึงจะลอยกะกูเหรอ ไม่เอาอะ กูไม่อยากเกิดมาชาติ
หน้าต้องเจอมึงอีก" เด็กชายหน้าตี๋เจ้าของผมทรงสกินเฮดปฏิเสธแทบจะทันที แต่ก็ถูกลากไปจนได้ "คิดเหรอว่ากูอยากลอยกะมึ ง
กู จ ะ ซื้ อม า กิ น ต่ า ง หา ก อย า กรู้ ม า น า น แ ล้ ว ว่ า อร่ อย ยั ง ไ ง ทํ า ไ ม ป ล า แ ย่ ง กั น จั ง !!" ทํ า เอา ค น ฟั ง อย่ า ง ปุ ณ ณ์ หลุ ด ขํ า
"@(!)$^#*_*!#)+_&#*@%#^!(*)" เด็กชายสองคนทุ่มเถียงกันอีกพักใหญ่ ก่อนเสียงโวยวายล้งเล้งจะดังไกลออกไป... ***
"เอาไงล่ะแก เพื่อนเค้าเต็มเลยทีนี้ กล้ามั้ย" เสียงเด็กหญิงคนเดิมดังขึ้นหน่าย ๆ หลังจากแอบมองสถานการณ์อย่างเงียบเชียบมา
พักใหญ่ จนตระหนักได้ว่าต่อให้รอนานแค่ไหน ผู้ชายที่เพื่อนเธอคลั่งไคล้นักหนา ถึงขั้นหมายมาดว่าจะต้องลอยกระทงด้วยให้ได้นั้น ก็คงยัง
ถูกเพื่อนตอมหน้าตอมหลังแบบนี้อีกนาน เด็กหญิงเจ้าของกระทงสูดลมหายใจลึก "กล้า!" ทําเอาคนฟังตาโต "หาาา
ยัยบ้า! ตอนเค้าอยู่คนเดียวล่ะก็ป๊อด! พอเขามีเพื่อนเป็นฝูงล้อมหน้าล้อมหลัง ทําเป็นกล้า! จะคอยดูละกัน!" คําพูดกึ่ งบ่นกึ่งด่านั่น
ทําให้คนฟังยิ่งต้องสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะกลั้นใจเดินถือกระทงออกไป แต่... "ว๊ายยยย!" ดันไปสะดุดกับเท้าคนที่ เดิน
ผ่านมาซะได้ "เฮ้ย เป็นไรป่าวเธอ" เสียงทุ้มแตก ๆ ร้องถามพลางช่วยประคองไว้ไม่ให้อีกฝ่ายล้มหัวคะมํา เด็กหญิงถอนหายใจยาว
ที่กระทงในมือยังไม่เป็นไร ก่อนจะเงยหน้าหมายกล่าวขอบคุณคนที่ช่วยเอาไว้ "ข... ขอบ... เฮ้ยยย!" แต่สิ่งที่เห็นทําเอาเจ้าของร่าง
เล็กต้องอุทานเสียงหลง เมื่อพบว่าคนตรงหน้าคือเพื่อนสนิทของปุณณ์... ในความคิดเธอ "เป็นไรอะ เจ็บตรงไหน เปล่า" เด็กชาย
ใบหน้าตี๋ผมทรงสกินเฮดที่เมื่อกี้ยังส่งเสียงล้งเล้งอยู่ตรงท่านํ้ายังคงถามต่อไป แต่เมื่อไม่ได้คําตอบใดนอกจากดวงตาโตของเด็กหญิงคู่ กรณีที่
จ้องเขาไม่หยุด จึงต้องตบมือเรียกกันบ้าง "เฮ้ย! ไหวป่าวครับ" ครั้งนี้ในนํ้าเสียงมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ด้วย จนคนถูกถามแทบแทรก
แผ่นดินหนี ที่เผลอมองใบหน้าขาวของผู้ชายตรงหน้านานเกินไป
"หว... ไหวค่ะ" เสียงเล็กกระซิบตอบเบา ๆ ก่อนจะปัดชายกระโปรงนักเรียนสีนํ้าเงินของตัวเอง หากแต่อีกฝ่ายส่งเสียงโวยวาย
ขึ้นมาอีก "อ้าว มีแผลด้วย! ไปทําแผลก่อนดิ่ ตรงนั้นมีกล่องปฐมพยาบาลอยู่" แถมไม่ว่าเปล่ายังลากให้ไปด้วยกันอีก ทําเอาคนถูก
ลากถึงกับตกใจ แต่ด้วยความตกใจนั่นเองที่ทําให้เธอไม่มีสติที่จะปฏิเสธอะไร... สุดท้ายจึงได้แต่เลยตามเลย ที่มุมหนึ่งของท่าเรือ
เด็กชายเจ้าของใบหน้าตี๋คว้า เอาอุปกรณ์ทําแผลออกมาอย่างลวก ๆ "ต้องใช้อันไหนบ้างหว่า..." "ม... ไม่เป็นไร เราทําเองได้"
"ทําเป็นเหรอ" "ไม่เป็น.... แหะ ๆ" ว่าแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดอะไรโง่ ๆ เหลือเกิน เด็กชายที่ มาด้วยกัน
หัวเราะร่วน "เออดี งั้นอยู่เฉย ๆ ไป เดี๋ยวจัดให้ เอาเข่ามา" แต่แน่นอนว่าทันทีที่ยาแดงถูกแผล เด็กผู้หญิงตัวเล็กก็ ถึงกับร้องอูย
"โอ๊ยย" "อ้าว เจ็บเหรอ ขอโทษ ๆ ปกติทําให้น้องที่ชมรม มีแต่ถึก ๆ ทั้งนั้น ฮ่า ๆ" แต่ ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร
กลับไปดี สิ่งที่เหนือความคาดหมายสุด ๆ ก็เกิดขึ้น! "โน่ ทําไรวะ?"
ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ มายืนตรงหน้าเธอแล้ว!!! เด็กหญิงในชุดนักเรียนคอนแวนต์ซึ่งยังถือกระทงไว้ในมือข้างหนึ่งมองผู้มา
เยือนตาค้างอย่างคาดไม่ถึงมาก่อน หัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมานอกอก หากแต่เด็กผู้ชายตรงหน้ากลับยัก
ไหล่อย่างไม่ยี่หระ "ทําไร่ไถนามั้ง..." เสียงทุ้มแตกจากเด็กชายหัวเกรียนนั่นเรียกให้คนมาใหม่ต้องล้มตัวนั่งยอง ๆ ด้วยคน "กวน
ตีนตลอดนะ มือมึงหนักไปป่าวเนี่ย" "ไม่เลย มือกูเบาเป็นปุยนุ่น จริงมั้ยครับ" แถมไม่เถียงกันแค่สองคน ยังเงยหน้ามาขอ
ความเห็นจากเธออีก เด็กหญิงที่อยู่ในสภาพตกใจเต็มที่สะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบพยักหน้าตอบ "ค... ค่ะ!" "เห็นมะ ฝีมือกู"
"ถุย เขาพูดเพราะเกรงใจมึงหรอก จริงมั้ยครับ" อีกครั้งที่เธอถูกเด็กผู้ชายพวกนี้ใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกด่ากันเองอีกแล้ว แต่ถึ งจะรู้อย่าง
นั้นก็ยังไม่วายบ้าจี้ตอบกลับไปอยู่ดี "ค... ค่ะ!!" ทําเอาเด็กชายสองคนหัวเราะร่วน ก่อนเจ้าของใบหน้าคมจะผลักมือไอ้
หน้าตี๋ออก "มานี่ กูแปะผ้าก็อตเอง มึงอะแปะเบี้ยวประจํา ไปตัดแว่นได้แล้วนะ" "เหอะ ไอ้สายตาดี" คนถูกว่าส่งเสียงประชดเข้า
ให้ แต่นั่นไม่สําคัญเท่าที่ตอนนี้แผลบนหัวเข่าของเด็กสาวถูกจัดการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
"เสร็จแล้วครับ" เด็กชายร่างโปร่งที่มีศักดิ์เป็นถึงอดีตเลขาสภานักเรียนโรงเรียนชายล้วนข้าง ๆ บอกเธอทั้งรอยยิ้ม ทําเอาคนฟัง
หน้าแดงวูบ บางทีนี่อาจเป็นโอกาสดีของเธอ "ข... ขอบใจค่ะ... เอ่อ ปุณณ์.." "เฮ้ยไอ้โน่!! ปุณณ์!! มิส ขอแรงแบก
กระทง! มาทางนี้หน่อย!!" "เออ ๆ!! ไปก่อนนะ เดินระวัง ๆ ล่ะ" โน่หันไปตอบรับเพื่อนร่วมชมรมที่ตะโกนเรียกมาแต่ไกล แล้ วหัน
มาพูดกับเด็กหญิงตรงหน้า ก่อนทั้งคู่จะพากันวิ่งไปช่วยงานโรงเรียนตัวเอง *** "นี่ยัยเบสท์ ช่วงนี้แกต้องระวังนะ อย่าเผลอตก
บันได หรือเดินสะดุดอะไรอีกล่ะ ฉันว่าคราวหน้าแกถึงตายแน่" ทันทีที่เด็กสาวเดินกลับมาหาเพื่อนตัวเองพร้อมกระทงในมืออันเดิม ก็ได้ฟั ง
คําพูดประหลาด ๆ จนต้องทําหน้าเหรอหราออกมา "ทําไมอะ" "ก็เพราะแกใช้บุญในชีวิตหมดไปแล้ วน่ะสิ ดูดิ๊ ถูกโน่
กับปุณณ์รุมขนาดนั้น นี่รับรองได้ถ้าคนอื่นในโรงเรียนเห็น แกโดนหมั่นไส้ไปจนลูกบวช" "บ้า เวอร์! แต่โอ๊ยยย เสียดายเป็นบ้า อีก
นิดเดียวฉันจะได้ชวนเขาแล้วแท้ ๆ" "งั้นแกก็ไปตามติดเลย พอคนน้อยเมื่อไหร่ก็จัดการซะ!" และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่คําพูดเปล่า ๆ
เพราะนี่คืออีกครั้งที่เด็กสาวถูกเพื่อนสนิททั้งผลักทั้งดันหลังให้ไปทําภารกิจประจําคืนนี้ให้สําเร็จซักที
ที่ท่าเรืออันแสนคึกครื้น กระทงใบมโหฬารของโรงเรียนชายล้วนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่านํ้านัก กําลังเกณฑ์นักเรีย นมาช่วยกันหาม
กระทงขนาดใหญ่เพื่อนําไปลอย โดยที่หัวขบวนปรากฏใบหน้าหล่อเหลาคมคายของอดีตเลขานุการสภานักเรียน กําลังยิ้มแย้มหัวเราะ
สนุกสนานกับเพื่อนคนอื่น ๆ อยู่ เสียงเพลงบรรเลงดังแข่งกับเสียงจ้อกแจ้กเจี๊ยวจ๊าว เมื่อกระทงยักษ์ค่อย ๆ ถูกปล่อยล งแม่นํ้า
เจ้าพระยา นําให้ใบหน้าของเด็กชายที่ใคร ๆ ก็ชื่นชอบดูแช่มชื่นเบิกบานเป็นพิเศษ ก่อนจะค่อย ๆ เดินหลบไปอีกทางที่ไม่ค่อยชุกชุมด้วยผู้คน
ได้โอกาสแล้ว! เด็กสาวคิดพลางค่อย ๆ เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ เพราะถึงแม้คนที่เธอชอบจะไม่ได้อยู่ลํา พัง แต่อย่างน้อยการที่คน
ข้าง ๆ เป็นโน่ ก็ยังทําให้เธอใจชื้นขึ้นได้มากกว่าเด็กผู้ชายคนอื่น เพราะจากที่สัมผัสเมื่อกี้ โน่เป็นคนดีใช้ได้ทีเดียว เด็กหญิงร่าง
เล็กค่อย ๆ ตามมาจนถึงมุมหนึ่งที่ร้างคน จึงได้สังเกตเห็นว่าในมือปุณณ์ถือกระทงจิ๋วไว้ด้วยกระทงหนึ่ง ก่อนเด็กชายทั้งคู่จะค่อย ๆ ล้มตัวนั่ง
ยอง ๆ ที่ริมโป๊ะ "โรแมนติกมั้ย ตรงนี้กูเซอร์เวย์มาแล้ว เงียบสุด ๆ" เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มร่างโปร่งดังขึ้น ทําเอา เด็กสาวที่แอบ
ตามมาต้องรีบเบี่ยงตัวหลบหลังกําแพงของตึกเก่า ๆ บริเวณนั้นทันที แม้ว่าเธอจะยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าทําไมต้องหลบก็ตาม... "โร
แมนติกพ่อมึงสิ มืดจะตายชัก รีบ ๆ ลอยเลย ยุงแทบหามกูไปบูชายันต์อยู่แล้ว" "มึงก็มาดิ่ ลอยด้วยกัน" " อะไรวะ
ไหนมึงบอกให้กูมาเป็นเพื่อนลอยกระทง ก็ลอยไปดิ่วะ กูรออยู่เนี่ย!" เสียงล้งเล้งของเด็กชายหน้าตี๋กึ่งโวยวายกึ่งบ่นคนที่มาด้วยกัน ก่อนฝ่ายที่
ถูกบ่นจะขยับตัวเข้าไปใกล้คนขี้โวยวายมากขึ้น แล้วจับมือขาว ๆ ข้างหนึ่งมาให้ช่วยถือกระทงไว้
"ลอยด้วยกัน! จะได้... รักกันตลอดไป" "ปีที่แล้วเป๊กกับธัญญ่าก็ลอยด้วยกัน" "มึงอย่าไร้สาระ อธิษฐาน
เร็ว!" ดูคล้ายจะเป็นคําสั่งกึ่งดุ แต่เจ้าหน้าขาวก็ยอมทําตามแต่โดยดี โน่ส่ายหัวให้ความงมงายผิดวิสัยของคนข้าง ๆ แต่ก็ยอมเออออห่ อหมก
ไปตามเรื่อง เป็นเวลาพักใหญ่กว่าทั้งคู่จะอธิษฐานเสร็จ ใบหน้าคมคายของอดีตเลขาสภาฯหันมายิ้มเผล่ให้อดีต
ประธานชมรมดนตรี "อธิษฐานว่าไร" "ขอให้เอนท์ติด" "แล้วไรอีก" "อาร์เซนอลได้ทริปเปิ้ลแช มป์"
"แล้วไรอีก" "ขอให้สตีฟจ็อบออกไอโฟน 9 เร็ว ๆ กูชอบเลขสวย" "... แล้วไรอีก" ตอนนี้ดูเหมือนเลขาสภาผู้ที่อารมณ์ดี
เมื่อ 5 นาทีก่อนจะลอยหายไปกับกระทงแล้ว ทําเอาคนที่มาด้วยกันขําอุบ "แล้วก็ขอให้มึงโดนคอนเน่กัด ถ้านอกใจกู" อ้างอิงไป
ถึงลูกหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนียน สมาชิกใหม่ของบ้านภูมิพัฒน์ที่นอ้ งแป้งหิ้วกลับมาเมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากทั้งอ้อนทั้งขอร้องให้พี่ชายที่แสนดี
อย่างปุณณ์ซื้อให้มานานแรมเดือน
คําขู่นั้นทําเอาคนฟังหัวเราะร่า "กูจะกลัวดีมั้ยเนี่ย ตัวแค่นั้น สะบัดทีเดียวก็ปลิวไปถึงปากซอยแล้ว" "ไม่กลัวก็เรื่ อง
ของเมิ้งง กูไปละ เพื่อนกูรอเล่นพลุอยู่" แถมไม่พูดเปล่ายังทําท่าจะลุกหนีจริง ๆ อีก เดือดร้อนปุณณ์ต้องรีบคว้าข้อมือขาวนั้นให้กลับมานั่งข้าง
โป๊ะด้วยกันใหม่ "ไม่กลัว เพราะไม่มีทางโดนกัด... รักนะครับ รู้มั้ย" ริมฝีปากบางจูบลงเบา ๆ บนปลายจมูกรั้นของอี กฝ่าย จน
ใบหน้าตี๋ของผู้ถูกกระทําแดงเถือก ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจริง ๆ "ห่า เดี๋ยวมีคนเห็น มึงนี่นะ! ฮึ่ยย กูไปละ อยู่กะโอมนะ มีไร
โทรมา" "เออ ๆ ฮะฮะฮะ" เด็กชายในชุดนักเรียนโรงเรียนข้าง ๆ ทั้งสองคนเดินลับไปแล้ว เหลื อก็แต่เด็กสาวในชุด
คอนแวนต์ที่เคยถือกระทงไว้ในมือเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ผิดกับเวลานี้ที่กระทงใบน้อยลงไปกลิ้งโคโร่บนพื้นแฉะ ๆ ของซอกตึกริมท่านํ้าเรี ยบร้อย
ฝ่ามือขาวยกขึ้นปิดปากตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะถึงแม้เธอจะไม่ได้ยินบทสนทนาของเด็กชายสองคนนั้นชัดเจนเท่าไรนัก แต่การกระทํา
สุดท้ายนั่นมัน................. ทําให้เธอต้องหยิกตัวเองเบา ๆ "อูยยยยย" นี่มันไม่ใช่ความฝันจริง ๆ ด้วย ***
"ไอ้เบสท์ หายไปนานมากกกกกกก ทําไรของแกเนี่ย เฮ้ย! กระทงหายไปไหนแล้ว อย่าบอกนะว่า!!!!" แน่นอว่าทันทีที่เพื่อนสาว
กลับมา คนรอก็ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างตื่นเต้นยกใหญ่ เจ้าของร่างเล็กในชุดนักเรียนคอนแวนต์ยิ้มแหย ๆ ตอบ "อือ.. .
กลับกันเถอะ" "เฮ้ย !! เล่า ก่อนสิ เล่าก่อน ๆๆ แกเข้าไปชวนเขายังไง แล้วเขา ตกลงจริงเหรอ เฮ้ย!! ข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย!!"
"ฉันไม่ได้...." 'ปึก!' ยังไม่ทันที่ริมฝีปากเล็กจะได้แก้ตัวอะไรกับเพื่อนสนิท ศีรษะอันปกคลุมด้วยเส้นผมยาวของเธอก็ชนเข้ากับไหล่
คนหนึ่งเสียก่อน "อ้าว เข่าหายยัง" ที่แน่ ๆ เด็กสาวยังไม่พร้อมเลยสําหรับการเผชิญหน้าคน ๆ นี้ในเวลาแบบนี้ "น...
น.... น..... โน่!" "เอ... ตกลงรู้จักกันด้วยเหรอ เธอชื่อไรอะ" "เบสท์! เพื่อนฉันชื่อเบสท์ เมื่อกี้ไ ปลอยกระทงกับเพื่อนนา
.... อุ๊บบ อ่อยยย!" และไม่ต้องรอให้เพื่อนจอมจุ้นอย่างเกดได้พูดจนจบคําแต่อย่างใด เมื่อเด็กหญิงเจ้าของชื่อเบสท์รีบปิดปากเพื่อนตัวดีทันที
"อ๋อ เราชื่อเบสท์ ไม่มีไรหรอก รู้จักโน่เพราะเคยดูโน่เล่นคอนเสิร์ตที่โรงเรียนอะ เข่าก็หายดีแล้ว ขอบคุณมากนะ ข... ขอตัวกลับบ้านก่อนล่ะ
บ้ายบาย" "เอ่อ.. บาย..." เด็กชายเจ้าของใบหน้าตี๋และผมทรงสกินเฮดโบกมือตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
อะไรนัก แต่ท่าทางลนลานแบบนั้นทําเอาเขาขําออกมาเบา ๆ "มึงโดนคอนเน่กัดแน่ ไอ้นภัทร" แต่แล้วเสียงเย็น ๆ ที่ดังขึ้น จาก
ด้านหลังในระยะประชิดก็ทํา เอาเจ้าตัวใจกระตุกวูบ "เชี่ย! โผล่มาให้สุ้มให้เสียงหน่อยดิ่วะ กูตกใจหมด!" "ให้สุ้มให้
เสียงแล้วจะเห็นมึงม่อผู้หญิงต่อหน้าต่อตากูแบบนี้เหรอ" "ม่อเหี้ยไรครับ! กูแค่ทักเค้าเฉย ๆ ว่าเข่าหายยัง" "มึงม่อ"
"กูเปล่า!" "มึงม่อ" "กูเปล่ า!" "มึง ม่อ" "กูเปล่า!" "มึง ม่อ" "กู
@)$#&*_)@" ")#$&*_#*@()"
"...." "....." เสียงพลุดังลั่นในคืนที่ฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์เพ็ญ กลบเสียงทุ่มเถียงกันของเด็กชายสองคน
จนหมดสิ้น ประกายไฟหลากสีกระจายตัวบนน่านฟ้าดําสนิท แต่งแต้มคํ่าคืนที่เคยเงียบเหงาให้สว่างสดใส ราวกับจะช่วยเป็นพลังให้ใครต่อ
ใครก้าวเดินต่อไป "เฮ้ย เชี่ยโน่เชี่ยปุณณ์ กัดไรกันวะ! มานี่ ๆๆ พลุ ๆๆๆ เล่นพลุกัน!!" "เล่น ๆๆ เอามา ฮ่า ๆ เออนี่
เชี่ ย ปุ ณ ณ์ กู ไ ม่ ไ ด้ ม่ อ นะ กู แ ค่ ช อบดู แ ลสาวน่ า รั ก จบ! ไม่ ต้ อ งเถี ย งกู แ ล้ ว !" ... And the story goes
- FIN –

UNIVERSE of LOVE : ชุลมุนกางเกงน ้าเงิน...เต็มคราบ!! Pairing : ปุณณ์ x โน่


Special Chaos. We Are What We Said
'คุณได้รับข้อความอีเมลใหม่จาก FACEBOOK' ข้อความเล็ก ๆ ในกรอบสีเหลี่ยมสีฟ้า เด้งขึ้นมาบนมุมจอคอมพิวเตอร์ในคาบเรียนวิชาคอม
ฯ ชวนให้ผมเลิกคิ้วสูงเพราะแค่แอบเล่น msn ในห้องเรียนก็หนาว ๆ ร้อน ๆ แล้ว ยังจะเสือกมีข้อความจาก Facebook เด้งขึ้นมาเชิญชวน
ให้เปิดอ่านอีก มองซ้าย...ทางโล่ง มองขวา....ทางสะดวก เสียงมาสเซอร์ธนาดังอยู่ไกล ๆ ที่ไหนซักแห่ง งั้นขอซักหน่อยแล้วกันน่า อิอิ (เผื่อ
ว่าจะเป็นสาวน่ารักมาเขียน wall ให้) "ทําอะไรน่ะ!" เฮ้ยยยยยยยยยยย ป่าวนะค๊าบบบบ ผมแค่......... อ้าว! ไอ้เชี่ยโอม! 'ผัวะ!' "K!
ดัดเสียงทําเหี้ยไร กูตกใจหมด!" ซักทีเหอะมึง ไอ้สัด! ผมโบกกะโหลกหนา ๆ ของมันจนหัวควํ่า แต่เจ้าตัวยังคงลอยห น้าลอยตาอย่างกวน
ประสาท "จุ๊ ๆๆ นี่อะไรวะ...เอา!!! พี่แอนนี่แอดเฟซบุ้คมึงเหรอ!!!!" แล้วจะตะโกนหาพี่ชายพ่อมึงเหรอครับ!! ผมโบกกะโหลกมันซํ้าอี กทีหวัง
ให้เงียบปาก ก่อนจะกด accept friend จากพี่สต๊าฟค่ายเภสัชคนสวย ที่ไอ้โอมเล็งไว้ (ซึ่งจริง ๆ ผมว่ามันก็เล็งทุก คนที่เป็นเพศเมียและไม่มี
หางอะครับ... หรือจริง ๆ ถึงมีหางก็ไม่มายด์วะ?) หน้าจอคอมพิวเตอร์ผมตอนนี้มีหน้าต่างเฟซบุ้คเด้งเพิ่มมาอีกเมื่อกด accept friend
เข้าไป แต่ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าไม่ได้มีเปรตมานั่งซี้ดปากขอส่วนบุญอยู่ข้าง ๆ "โอ๊ยยย น่ารักสัดหมา" "นี่มึงชมหรือด่าเค้าวะ" ก็ดู
มันพูดแต่ละคํา ห่าเอ๊ยย ผู้หญิงเค้าจะอินกับมึงไหมเนี่ย "ชม เหี้ย!"
"นั่น ด่าพี่เค้าอีก" "ด่ามึงอะ!" อ้าวเหรอ ฮ่า ๆๆ ผมหัวเราะเบา ๆ ขณะกดดูโปรไฟล์พี่เขาไปด้วย โอ๊ยย น่ารักจริงอะไรจริงว่ะครับ คนนี้!
ใจนภัทรจะละลายยกลายเป็นแอ่งกระทะ "เฮ้ย ๆ คุยไรกันอะ" แต่โว้ยย ใครแม่งมาสะกิดกูอีกวะเนี้ยยยย ผมปัดแขนตัวเองออกจากปลาย
นิ้วนั้นขณะที่ไอ้โอมเป็นคนตอบคําถามแจ้ว ๆ โดยยังไม่ละสายตาจากรูปพี่แอนนี่บนหน้าจอผม "ก็พี่แอนนี่อะดิ่ แอดเฟซบุ้คเชี่ยโน่ม าไงมึง
โคตรน่ารักเลย" "เหรอ ๆ แล้วเล่นเฟซบุ้คในคาบเรียนมาสเซอร์ไม่ว่าเหรอ" "ก็อย่าให้ธนามันรู้ดิ่วะ ไอ้ควาย!" "แต่กูรู้แล้วนี่ครับ ไอ้
นักเรียนฉลาด" ห้ะ!? ผมกับไอ้โอมหันหลังไปพบใบหน้ามาสเซอร์ธนากําลังแสยะยิ้มอย่างโคตรน่าสยองในระยะประชิดตัวอยู่
"เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!" "ปั่นจิ้งหรีดหน้าห้อง 30 ครั้ง ปฏิบัติ!" ชิบหายแล้ววววววววววว *** โอ๊ยยย ทั้งหมดเป็นเพราะ
ไอ้เชี่ยโอมตัวเดียวครับ แม่งกระโตกกระตากจนธนารู้ ผมลัพธ์เลยต้องมานั่งมึน
อยู่แบบนี้ ผมนั่งเอนไปเอนมาบนโซฟาหน้าทีวีเพราะยังมึนไม่หายจากการโดนปั่นจิ้ งหรีดในคาบสุดท้ายของวัน ก็ถึงมาสเซอร์จะบอกว่า
30 รอบ แต่เอาเข้าจริง ๆ คิดว่าคงปั่นไปเป็นร้อยอะครับ เพราะพอปั่นไม่พร้อมกันก็โดนสั่งให้ปั่นใหม่ แถมไอ้เชี่ยโอมไม่รู้เป็นห่าไร นํ้ าในหู
แม่งไม่เท่ากันรึไง ปั่นแล้วเอียง ปั่นแล้วเอียง ลําบากผมนี่แหละต้องมายืนปั่ นกับมันใหม่เป็นสิบ ๆ รอบ ไอ้เชี่ยเอ้ยยย วันนี้เล่นกูทุกอย่างเลย
นะมึง! ผมนั่งคิดอย่างหงุดหงิดขณะกดทีวีเปลี่ยนช่องไปมาระหว่างได้ยินเสียงอาป๊ากําลังล้างรถที่หน้าบ้าน และม๊าก็กําลังรดนํ้าต้ นไม้อยู่
เช่นกัน เฮ้ย... เลวไปมั้ยวะ มานั่งดูทีวีสบายใจคนเดียวเนี่ย คิดได้ดังนั้นนั้นผมจึงค่อย ๆ ขยับตัวเองออกจากโซฟาอันแสนสุข บิดคอซ้ายที
ขวาทีให้หายมึนพอเป็นพิธี ก่อนจะออกไปช่วยม๊ารดนํ้าต้นไม้ซักหน่อย "อ้าวโน่ หายปวดหัวแล้วเหรอ" อิอิ น่ารักไหมล่ะครับหม่าม๊าผม ผม
ยิ้มรับคําถามนั้นพลางดึงสายยางจากมือม๊ามาถือไว้เอง "นาน ๆ ทีได้กลับบ้านเร็ว โน่ช่วยม๊ารดนํ้าต้นไม้ดีกว่า อิอิ" "พูดจาดีแบบนี้ ลื้อจะ
ขออะไรอีกล่ะ" "โห่ อาป๊าอะ!!!" ไม่เคยจะมองลูกชายในแง่ดีเล้ยยยย แต่ว่านะ... ก็ชักอยากได้แมคบุ้คแอร์ตัวใหม่เหมือนกันง่ะ.. อ้อนอีกซัก
หน่อยดีกว่า อิอิ "ม๊าาาาา" "หวัดดีครับม๊า" อ้าววเฮ้ย แล้วใครวะมาเรียกม๊ากูว่าม๊าอีกคน ไม่ใช่เสียงกูนะเว้ย! "อ้าวลูกปุณณ์ เข้ามาสิ
จ๊ะ หวัดดีจ้ะ" เหอออ! น้อย ๆ หน่อยม๊า บ้านนี้มีลูกชายสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทําไมม๊าต้องไปรับไหว้มันซะมือซ้อนมือแบบนั้นด้ว ย!
เฮ้ออ กับม๊ากูก็ไม่เว้นนะมึง! ไอ้ปุณณ์ยืนคุยหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กับอาป๊าแล้วก็ม๊าผมอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินมาหาผมที่กําลังรดนํ้าต้น
โป๊ยเซียนอยู่ "มาไม" ผมตวัดเสียงถามมันแต่มันแค่ยิ้ม ๆ ตอบ "คิดถึง" "-วย! เพิ่งแยกกันตะกี้ มึงลืมอะไรล่ะ!" "เครื่องคิดเลข ฮ่า
ๆๆ" สันดานจริง ๆ ครับคนเรา ลืมของก็บอกว่าลืมของสิวะ มาพูดจาเลี่ยน ๆ อยู่ได้ เดี๋ยวม๊ากูผ่านมาได้ยินกันพอดี! ผมโบกมือไล่มันให้ ขึ้น
ไปเอาของบนห้องนอนเองตามสะดวก เพราะเมื่อตอนเย็นผมมึน ๆ เลยหลบกลับบ้านก่อนไม่ได้เข้าชมรม ไอ้พ่อพระปุณณ์เห็นอย่างนั้นเลย
ตามมาส่งด้วย แต่จําได้ว่ามันฝากของไว้ในถุงผมหลายอย่าง ก็คิดอยู่แล้วว่าแม่งต้องมีอะไรซักอย่างหลงอยู่ ไอ้ปุณณ์เดินเข้าบ้านไปอย่างว่า
ง่าย ช่วงหลัง ๆ นี้มันมาบ่อยจนแทบหลับตาเดินได้แล้วครับ ม๊าก็รักมันยังกะอะไร (เห็นหล่อ ๆ หน่อยเป็นไม่ได้) ส่วนอาป๊าก็ได้คู่หูต กปลาคน
ใหม่ แทนลูกชายแท้ ๆ ที่ตกยังไงก็เสียเหยื่อเปล่าอย่างผมเรียบร้อย เห๊อะ หมั่นไส้! "โน่!!! จะรดต้นนั้นอีกนานมั้ย นํ้าท่วม แล้วนะ!"
ชิบหายแล้ววววววววววววววววววววว
*** และแล้วช่วงเย็นอันแสนวุ่นวายก็ผ่านไปครับ เหอ ๆๆๆ เป็นไรวะผมวันนี้ เรียนก็โดนมาสเซอร์จับได้ว่าเล่นเฟซบุ้คในคาบจนต้อง
ออกไปปั่นจิ้งหรีด ช่วยม๊ารดนํ้าต้นไม้ก็ดันทํานํ้าท่วมต้นโป๊ยเซียนจนรากแทบเน่า (อาป๊าบ่นหูชาเลยครับ ลูกรักเค้า รักยิ่งกว่าผมอี กนะนั่น)
แถมพอพยายามแก้ตัวด้วยการไปช่วยอาป๊าล้างรถก็เสือกกกกกกกกกกกปิดประตูไม่สนิทจนนํ้าเปี ยกเบาะซะงั้น!!!!!!!! ดวงซวยจริงวุ้ยวันนี้
สงสัยที่ไอ้ปุณณ์เคยแช่งเอาไว้จะเฮี้ยนจริง เพราะมันเคยบอกผมเมื่อเดือนก่อนครับ ว่าถ้าผมไปตัดสกินเฮดรองหวีเบอร์ 0 ขัดใจมันมาอีก มัน
จะแช่งให้ซวยจนกว่าขนหัวผมจะงอกใหม่ แต่ก็นะ... ตัดทั้งทีจะตัดสั้น ๆ (แบบมัน ตัดมาแล้วยังไม่เห็นจะรู้ว่าตัด) แบบนั้นจะตัดทําไมอะ! ผม
เลยเพิ่งไปไถสกินเฮดติดหนังหัวมาใหม่เมื่อวานซืนครับ เฟี้ยวไปเลย! คราวนี้โดนไอ้เลขาสภาคนเรื่องมากบ่นตั้งแต่เช้า (ที่เจอผม) ยันเ ย็น
(อุตส่าห์มาส่งผมถึงหน้าบ้านเพื่อบ่นต่อโดยเฉพาะ) กันเลยทีเดียว โว่ยยย จะอะไรกับกูนักหนาวะ แถมคราวนี้มันขู่เพิ่มว่าถ้าครั้งหน้าผมยังไถ
โล้นมาอีกล่ะก็ มันจะโกนคิ้วให้ผมด้วย แล้วส่งเข้าวัดไปจําพรรษาเลย เออ ก็เป็นความคิดที่ดีนะ กูจะได้งดข้าวเย็นไง เผื่อจะผอม ๆ กั บเขา
บ้าง... งั้นคราวหน้าผมเอารองหวีเบอร์ 0 เหมือนเดิมดีกว่า อิอิ อ้าวเฮ้ย บ่น อะไรยืดยาว (ตกลงผมกับปุณณ์ใครขี้บ่นกว่ากันครับ) สรุปว่า
วันนี้โคตรซวย แต่ถึงจะเป็นยังงั้นก็ยังลักกี้อยู่บ้าง เพราะกับข้าวที่ม๊าทํามีแต่ของโปรดทั้งนั้นเลยครับ! ผมฟาดยําปลากระป๋อง กุ้งผัดพริก
ไทดํา แพนงไก่ ไข่ทรงเครื่อง อย่างไม่ยั้งกระเพาะจนข้าวแทบหมดหม้อ ฮ้าาาา อิ่มโคตร รู้สึกยังกะกินเผื่อไปอีก 3 เดือน (ไม่จริงหรอก เดี๋ยว
ตื่นเช้ามาก็หิวใหม่) ผมเดินลูบพุงพลางไต่บันไดขึ้นห้องนอน โดยเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับ... "เฮ้ย!!! มึงยังไม่กลับเหรอวะ!!!!!!!!!!?" เชี่ย
ปุณณ์กําลังนั่งเล่นคอมอยู่อย่างสบายอารมณ์!! ไอ้ปุณณ์หันมาตามเสียงโวยวายของผม ซึ่งดังแข่งกับเสียงเพลง....ที่มันเปิดไว้ แล้วนั่น.. เปิด
คอมกูโดยพละการไม่พอ ยังมายึดเครื่องกูไปตีดอทอีก สันดานจริง ๆ
ปุณณ์หันมาคลี่ยิ้มให้ผม ก่อนจะกลับไปสนใจเกมต่ออย่างเดิมโดยไม่ตอบอะไร อ้าว... แบบนี้ได้เสีย ตกลงมึงจะกลับไม่กลับ ผมเดินไป
ท้าวแขนลงบนไหล่มันขณะมองมันเล่นเกมไปด้วย "จะกลับตอนไหน" "ตอนเช้า" มันส่งเสียงกลับมาทั้งที่มือยังกดเม้าส์ยิก ๆ ผมถอน
หายใจให้ความหน้ามึนของมัน "ตอนเช้ากูยังไม่ตื่น" ก็พรุ่งนี้มันวันเสาร์นี่ครับ ตื่นก่อนบ่ายก็ไม่ใช่โน่แล้ว ไอ้ปุณณ์ยังปล่อยพลังในเกมต่อ
"งั้นบ่าย" "บ่ายกูมีนัด" คราวนี้มันเลิกสนใจเกมทันที "กับใคร" "มึงช่วยถามว่ากูจะไปไหนก่อนได้ปะ" กวนตีนจริง ๆ จ้องจะจับผิดกู
ท่าเดียว -_- ผมยักคิ้วข้างนึงให้มัน ขณะที่มันขมวดคิ้วแน่นกลับมา "บอกมาทั้ง 2 อย่าง" เซ้าซี้ยิ่งกว่าอาป๊าอีกนะมึงเนี่ย -_- "ไปซื้อหนังสือ
เตรียมสอบกับยูริ ที่ศูนย์หนังสือจุฬา" "ไปด้วย" เมาดอทเอเหรอมึง -_- "ไปทําห่าไร ได้โควต้าแล้วไม่ใช่ไง มึงอะ" "ไปเดินเล่น นะ..
ไปด้วยนะ" อ้อนกูอีกนะ ทําตาปริบ ๆ ใส่กูอีกนะ เฮ้อ..... แบบนี้กูจะทําไงได้วะ "เออ จะไปก็ไป" ผมจํานนต่อลูกอ้อนของมัน (ที่ช่วงหลัง ๆ
มานี้มีเยอะเป็นพิเศษ สงสัยเริ่มจับจุดอ่อนผม
ได้แล้วว่าอ้อนทีไรก็ใจอ่อนทุกที เฮ้ออ) ไอ้ปุณณ์ได้รับคําอนุมัตินั้นก็ทุบโต๊ะคอมผมอย่างดีใจไปหนึ่งที (แล้วทําไมต้องทุบโต๊ะกูวะ !!!) ก่อนจะ
หันไปเล่นต่อ แต่............. เกม over แล้ว ฝ่ายตรงข้ามตีศิลาแตกไปแล้วระหว่างมันมัวแต่จู้จี้ผมอยู่ ฮ่า ๆๆ!!! "ไอ้เวร มึงไม่เตือนกูเลยนะ"
"แล้วเรื่องไรกูต้องเตือนมึง" ผมยักคิ้วกวนตีนกลับ ก่อนมันจะปิดเกมแล้วหันมาจ้องผมเขม็ง "กวนตีนกูนะ บัญชีเก่ากู ยังไม่ได้สะสางเลย"
"บัญชีไรวะ" ผมถามอย่างงง ๆ ว่าไปทําอะไรมันตอนไหน ไอ้ปุณณ์แค่นหัวเราะหึหึอย่างโคตรน่าสยอง ก่อนมันจะหันไปเปิด my computer
ของผม แล้วคุ้ยไปลึกขึ้น ลึกขึ้น,,, ลึกขึ้นเรื่อย ๆ ชิบหายสิแบบนั้น!!!!!!!!! "โฟลเดอร์หนังโป๊ขนาดสี่กิ๊กกว่ า... มึงกะจะดูให้ฟ้าเหลืองเลย
ใช่มะ" ไอ้สัด กูไม่ได้ดูวันเดียวหมด! ผมตบกะโหลกมันพลางกดปิดโฟลเดอร์ทันที ห่าเอ๊ยย กูว่ากูซ่อนไว้ลับแลยิ่งกว่าเสกเรือนมยุราแล้ วนะ ยัง
เสือกหาของกูเจออีก! แต่มึงไม่รู้หรอกว่าใน external harddisk กูก็มีเว็บไว้อีก 30 กิ๊กกว่า ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ "เชี่ย ทํายังกะมึงไม่มี" ผมบ่น
ใส่มันขณะจัดแจงปิดโฟลเดอร์ และตั้งให้ hidden เหมือนเดิมแล้ว ไอ้ปุณณ์แค่ยักไหล่ไม่ตอบผม ผมรู้ว่ามันก็มี! อย่าให้เจอบ้างนะมึง!
ตอนนี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ผมเคลียร์หมดแล้ว เรากลับมานั่งมอง desktop สุดรกของผม ที่เต็มไปด้วยโฟลเดอร์โครงงาน รายงาน สรุปชีท
งาน ตารางชมรม โปรแกรมทําเพลงต่าง ๆ ซึ่งยกโขยงกันมาวางเกะกะรูป wallpaper จากเรื่อง Inception ที่ผมเซทไว้หลายเดือนแล้ว
ไอ้ปุณณ์ยังคงเงียบอยู่ "เป็นไร" ผมถามมัน
มันส่ายหัวพลางลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปอีกทาง "อาบนํ้าดีกว่า" แต่อย่าคิดว่าไม่รู้ ผมดึงแขนมันให้ลงมานั่งบนเก้าอี้หน้าคอมเหมือนเดิม
ทันที "เป็นรายย" ก็ดูหน้ามันดิ่ครับ บอกบุญไม่รับขนาดนี้ เป็นอะไรของมัน ปุณณ์เงียบพักหนึ่ง ก่อนจะยอมมองหน้าผม ริมฝีปากบาง
สีอมส้มขยับช้า "มึงยังชอบผู้หญิงอยู่เหรอ" ทําเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก "อะไรของเมิงงงง" พูดจาประหลาด ไอ้ปุณณ์ขมวดคิ้วมองผมนิ่ง
แต่ผมไม่รู้จะตอบยั งไง เราทั้ง คู่เงีย บไปกว่า สิบนาทีก่อนไอ้ปุณ ณ์จะถอนหายใจยาวแล้ วลุกจากเก้า อี้อีกครั้ง "ช่า งเหอะ อาบนํ้าดี กว่า "
"เฮ้ยยยย" เข้าใจอะไรผิดอีกวะเนี่ย! ผมดึงแขนมัน ไว้อีกครั้ง "คุยกันให้รู้เรื่องก่อนดิ่" ผมบอกคนตรงหน้า ดวงตาคมคู่นั้นมองผมแป๊บนึง
แล้วก็หลบตา "..........." เงียบแบบนี้คงจะรู้เรื่องอยู่หรอกนะ "ปุณณ์ กูนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ..." ผมเริ่มเกริ่ น แต่มันยังเงียบ แถม
ไม่ยอมมองผม เป็นอย่างนั้นจึงต้องลงมือพล่ามต่อ "กูชอบผู้หญิง เพราะกูเป็นผู้ชาย กูก็ต้องชอบผู้หญิงเป็นธรรมดา กูบอกมึงตั้งแต่แรกแล้ว
ด้วยซํ้าว่ากูชอบผู้หญิง" "..........." "แต่มันไม่เกี่ยวกันเลยนี่หว่า กูชอบผู้หญิงกูก็แค่มอง แต่ที่กูเป็นแฟนมึงทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะมึงเป็น
ผู้ชาย
หรือผู้หญิงซักหน่อย กูคบกับมึงก็เพราะมึงเป็นมึง ไม่เห็นรึไง มึงเป็นผู้ชายลูกกระเดือกใหญ่ นมก็แบน ขนจั๊กแร้ยังกะป่าแบบนี้ กูยั งคบเลย
คิดไรมากวะ" ผมว่าพลางกระตุกแขนมันพลาง เห็นไอ้คนฟังแอบอมยิ้มที่มุมปาก หึหึ ไอ้อ่อน มึงไม่เคยโกรธกูได้นานเกิน 10 นาทีหรอก กูรู้
ปุณณ์อมยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะเดินผ่านตัวผมไปนั่งหน้าคอมเหมือนเดิม "อืม... ใช่ ถึงมึงจะชอบผู้หญิง แต่มึงเป็นแฟนกู" มันพูดยํ้า ก่อนจ ะกด
อะไรก๊อกแก๊ก ๆ ที่คีย์บอร์ด "ไรของมึง" ผมเดินตามไปสมทบ เห็นไอ้เวรกําลังเข้าหน้า facebook ของผมอยู่ โอ๊ะโอ... พี่แอนนี่มาเขียน
wall ว่าขอบคุณที่รับแอดด้วยแฮะ ทําเอาเสียวสันหลังวูบเหมือนกัน "น้องโน่จําพี่แอนนี่ได้มั้ย ที่ค่ายเภสัชไง ขอบคุณที่รับแอดนะจ๊ะ แล้ว
มาเป็นรุ่นน้องพี่นะ.... หึหึ อย่างไอ้โน่เนี่ยนะจะเข้าเภสัช วัน ๆ เอาแต่เที่ยวกับเล่นเกม" ไอ้ปุณณ์ทําเป็นอ่านข้อ ความของพี่เค้าออกเสียงเล็ก
เสียงน้อยแล้วแค่นหัวเราะหึ แต่เดี๋ยวนะ! ประโยคหลังสุดมึงหลอกด่ากูนี่หว่า!!!! ผมกําลังจะอ้าปากด่ามันกลับไป (ว่ามึงนั่นแหละชอบชวน
กูเที่ยว ส่วนเรื่องเล่นเกมนั่นกูลับสมองเว้ย!) แต่เพราะไอ้ปุณณ์กดไปหน้า edit profile ซะก่อนเลยต้องเงียบปาก ทําอะไรของแม่งวะ...
"single ใช่มั้ย... เดี๋ยวมึงจะโดนนะไอ้นภัทร มึงน่ะแฟนกูมันต้องอันนี้" ไอ้ปุณณ์บ่นงึมงํา ๆ พลางทําท่าจะเปลี่ยน status ผมจาก single เป็น
in relationship with........ เฮ้ยไอ้สัด! หยุดก่อน!!!!!!! ผมคว้าเม้าไว้ทันที "มึงจะทําไร" "ก็เปลี่ยน status มึงให้มันตรงกะความจริง
หน่อยไง" "เชี่ย หยุดเลย" ผมด่าพลางจับเม้าไว้มั่น ไม่ให้มันฉวยไปทําอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ได้
ปุณณ์จ้องผมเขม็ง "โน่....." "ไม่ต้องทําเสียงดุกู อันนี้กูไม่ยอมเด็ด ๆ Facebook กุมีญาติด้วย เดี๋ยวซวยนะมึง!" แต่ไอ้ปุณณ์ไม่ฟัง มันคว้า
เอาเม้าไปจากมือผมจนได้ "เฮ้ยยยยยยย" อย่านะมึง!! ไอ้ปุณณ์เซท status ผมเป็น in relationship อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ระบุว่ากับใคร
ไว้ หน้าหล่อ ๆ หันมายิ้มเผล่ให้ผม "แค่นี้ได้มะ" เฮ้อ......... เอาจนได้นะมึงอะ ผมเกาหัวตัวเองอย่างจนปัญญา "เออ ก็ได้ กวนตีนนะมึง"
"ฮ่าฮ่าฮ่า" มันหัวเราะร่า (อารมณ์ดีเชียวนะ) ก่อนจะลุกมาหอมแก้มผมเบา ๆ แล้วลงไปนอนแผ่บนเตียง "หิวจัง..." "อ้าว นี่มึงยังไม่ ได้แดก
เหรอ" จะสามทุ่มอยู่แล้วเนี่ยนะ! "แดกไรล่ะ ก็นึกได้ว่าลืมเครื่องคิดเลขเลยมาบ้านมึ งเนี่ย ยังไม่เข้าบ้านตัวเองเลย แถมมีคนใจร้ายกินไม่
ชวนกูด้วยว่ะ" ความผิดกูเหรอเนี่ยตกลง "ห่า... ก็นึกว่ากลับไปแล้ว กวนตีนจริง ๆ เดี๋ยวกูลงไปหาอะไรให้แล้วกัน" ผมว่าพลางส่ายหั ว
หน่ า ยก่ อ นจะหั น หลั ง หมายเดิ น ออกไปหาอะไรให้ มั น กิ น แต่ ไ ม่ ไ วกว่ า เจ้ า ของแขนยาว ๆ ที่ คว้ า ผมลงไปนอนกอดทั้ ง ตั ว เสี ย ก่ อ น
"เฮ้ยยยยยยยย!" ตกใจหมด ไอ้ห่า! ปุณณ์ดึงผมไปนอนกอดแน่น ปลายจมูกโด่งคลอเคลียบริเวณแก้มผมไม่ห่าง "ปล่อยดิ่ จะลงไปหาไรให้
กินไง" ผมว่าพลางดิ้นขลุกขลักในแขนนั้น แต่ไม่รู้เป็นไร ไอ้ปุณณ์เวลาแบบนี้มักแรงควายเสมอ
"นี่ไงของกิน" มันว่าพลางหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ แล้วเอาปลายจมูกของมันมาชนกับปลายจมูกผม ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นก่อนจะเป็น
ฝ่ายจูบมันเองเบา ๆ "กินกูไม่ได้สารอาหารหรอก มีแต่จะเสียแร่ธาตุ ปล่อยก่อน เดี๋ยวกูไปหาอะไรให้กินแล้วค่อยว่ากัน" "น่ารักจัง แฟน
ใครเนี่ย" มันว่าก่อนจะหอมแก้มผมไปอีกฟอดใหญ่(มาก) แล้วค่อยปล่อยให้เป็นอิสระ ผมแอบยิ้มในใจ เพราะคิดว่าจะใส่สลอดในข้าวแม่งให้
ท้องเสียทั้งคืนซะ จะได้หมดแรงซ่า หึหึหึ เสร็จกูแน่ไอ้ยอดชายนายปุณณ์ *** ผ่านไปหลายนาที ผมที่ง่วนกับการหาของกินให้ไอ้ปุ ณณ์
นั้นเพิ่งรู้ว่าตัวเองตะกละชิบเป๋ง.... ก็จะไม่ให้ด่าตัวเองงี้ได้ไงอะครับ ในเมื่อผมเสือกฟาดกับข้าวเรียบหมด ไม่เหลือให้มันกินเลยซักอย่าง
(ซวยแล้วไงกู) สุดท้ายจึงต้องขี่มอไซค์ออกไปซื้อข้าวขาหมูเจ้าอร่อยตรงปากซอยมาให้มันกิน เฮ้อ... เหนื่อยมั้ยเนี่ย ถ้ายังหาว่าไม่รั กอีกพ่อจะ
กระทืบให้ไส้แตก ทุกวันนี้ทําเพื่อมึงขนาดไหนรู้มั่งรึเปล่า! ผมคิดพลางเดินลากมอเตอร์ไซค์อย่างเหนื่อย ๆ มาเก็บในโรงรถ จัดแจงเข้ า
ห้องครัวไปเอาลงจานให้มันแล้วถือไปประเคนให้ถึงห้อง เพื่อจะพบกับ........... ... ไอ้ปุณณ์ที่หลับปุ๋ย อ้าววววววว หลับซะงั้ นพี่น้อง!
แล้วกูออกไปซื้อตั้งไกลทําไมเนี่ย!! ผมว่าจะด่ามันให้ตื่นขึ้นมากินซักหน่อย แต่เห็นจังหวะหายใจขึ้นลงอันแสนสบายของมันแล้วก็นึกสงสาร...
ปล่อยให้อดีตเลขาสภาฯคนดีได้พักบ้างคงดีกว่า.. ผมรู้ว่ามันน่ะเป็นพวกไฮเปอร์ อยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยจะได้
ใครขอความช่วยเหลืออะไรเป็นต้องตอบรับตลอด วันนี้ก็คงไปซนมาอีกสิท่า 'I could be brown, I could be blue, I could be
violet sky...' เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดําทั้งดังทั้งสั่นบนโต๊ะคอมพ์ผมจนน่ากลัวโต๊ะจะถลอก... นี่โทรศัพท์มึงจะสั่นเอาโล่ไปไหน ผมรีบ
หันไปคว้ามากดปิดเสียงไว้ ด้วยเพราะทั้งกลัวโต๊ะจะพัง และกลัวว่าจะรบกวนเจ้าของเครื่องจนสะดุ้งตื่น เบอร์ไม่คุ้นแฮะ... รับให้แล้วกัน
เผื่อจะมีธุระสําคัญ "หวัดดีครับ" 'เฮ้ย! แก! เค้ารับแล้ว ๆๆๆๆ' เอ่อ... อะไรวะเนี่ย? ผมขมวดคิ้วกับโทรศัพท์อย่างงง ๆ เพราะเสียง
สาว ๆ จากปลายสายดูท่าจะมีมากกว่า 5 คน แถมยังเอะอะโวยวายกันยกใหญ่ ตามด้วยเสียงตึก ๆ กึก ๆ กุก ๆ เหมือนโทรศัพท์ถูกโยนไป
โยนมาอีก อะไรวะ.... ผมถือสายรอฟังอีกพักใหญ่ กว่าจะมีเสียงผู้หญิงพูดต่อ "เอ่อ... ป... ปุณณ์ ปะคะ" "ปุณณ์หลับแล้วครั บ ให้
บอกว่าจากไหนครับ" คราวนี้ปลายสายไม่ตอบผม แต่หันไปคุยกับบรรดาเพื่อน ๆ ข้างหลังแทน "เค้าหลับแล้วแก เห็นมั้ย ฉันบอกแล้วค่อย
โทรพรุ่งนี้" ไปคุยกันที่อื่นได้มั้ยเนี่ย -_- "ฮัลโหล..." ผมกรอกเสียงลงไปเรียกร้องความสนใจอีก ให้รู้ว่ากูยังอยู่ในสายนะ เกรงใจหน่อย -_-
เด็กสาวพวกนั้นจึงได้คุยกับผมบ้าง "อ๋อค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ"
'ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด....' -_- เออ เยี่ยม... ผมยืนฟังเสียงตัดสายแบบมึน ๆ ก่อนจะกดวางหูบ้าง เหอ ๆๆ อะไรวะ โทรศัพท์แบบนี้คืออะไร
วะเนี่ย ที่แน่ ๆ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เตือนผมให้นึกออกว่าจริง ๆ แล้วไอ้ปุณณ์มันเป็นหนุ่มฮอตตัวพ่อ หลังจากที่ลืมไปเกือบสนิท เพราะ
ช่วงหลัง ๆ เห็นเอาแต่ทําตัวปัญญาอ่อนอยู่กับผม ไม่เหลือคราบเลขาสภาสุดเท่เหมือนสมัยยังไม่สนิทกันเลย "แล้วมาทําเป็นด่ากู มึง นะ ไอ้
ตัวดี เดี๋ยวโดนจัดหนัก!" ผมหันไปเคี้ยวฟันด่ามัน ก่ อนจะล้มตัวลงนั่งหน้าคอมพ์ จัดการ log out หน้า facebook ตัวเอง แล้ว log in หน้า
facebook ไอ้ปุณณ์ทันที อื้อหือ ไม่ได้แวะมาดูนาน มันฮอตจริงเว้ยเห้ย!!!! ผมกวาดตามอง wall ของมันที่มีแต่ผู้หญิงมากหน้าหลาย
ตามาเขียนข้อความทักทายไว้เต็มไปหมด แน่ล่ะว่าไอ้ปุณณ์ไม่ได้ตอบ เพราะมันไม่ค่อยเล่นเฟซบุค (นอกจากเวลามีรูปน่าเกลียด ๆ หรือคลิปทุ
เรด ๆ ของใครนั่นแหละ มันถึงจะโผล่หัวไปถากถางที... เอ่อ ส่วนมากผู้เคราะห์ร้ายก็ผมนี่แหละครับ) เห็นแ บบนี้แล้วอดคันไม้คันมือไม่ได้
ผมจัดการกด edit หน้า profile มัน ก่อนเสียงทุ้ม ๆ จะดังขึ้น "โน่...." ตื่นมาทําไมตอนนี้วะ! "มีไร" ผมขานกลับไปทั้งที่ใจยังจดใจจ่อ
กับสิ่งตรงหน้าอยู่ เสียงปุณณ์ดังขึ้นมาอีก "โน่..." "มีไรเล่า" อย่าเพิ่งกวนได้ไหมเนี่ย คนกําลังยุ่ง! "มานี่หน่อย" แถมเสียงนั้นไม่เรียก
เปล่า ยังจะฝืนสังขารยกแขนขึ้นมากวักเรียกผมอีก ผมเหลือบมองไอ้ตัว
ดีที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงแต่ยังไม่หายซ่า "เดี๋ยว" "ไม่เอา... มาเร็ว กอดหน่อย ไม่กอดมึงนอนไม่หลับ" ไอ้ตอแหล แล้วที่มึงกรนคร่อก
ๆๆ เมื่อกี้คืออะไร ผมกด save ก่อนจะรีบ log out แล้วคลานขึ้นเตียง "แดกข้าวมั้ย กูเอามาแล้ว" "พรุ่งนี้ละกัน ไม่ไหวละวันนี้" ปุณณ์
ว่าพลางรวบตัวผมไปนอนก่าย แต่ถ้าคิดว่าขาเล็ก ๆ ของมันจะเบาล่ะก็ ผิดถนัด! "เชี่ยกูหนัก" "เรื่องของมึง" มันว่าแค่นั้น ก่ อนจะผ่อนลม
หายใจลงกับต้นคอผม.... อ้าว หลับจริงวุ้ย! เฮ้ยยยย ไม่อาบนํ้ารึไง!!! เฮ้อ... ช่างแม่งละกัน ผมลูบหัวไอ้เลขาสภาเบา ๆ สองสามที ก่อนจะ
เอื้อมมือไปกดปิดไฟหัวเตียง คงเหลือแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังสว่างโร่ในความมืดอยู่... อื่มม ลืมปิดแฮะ จะเดินไปปิดก็ไ ม่ได้แล้วด้วย เล่น
โดนขาปลาหมึกล็อคไว้ซะขนาดนี้ ผมส่ายหัวมองไอ้ตัวดีที่หลับปุ๋ยอย่างหน่ายใจ ก่อนจะยอมจํานน ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ มัน จะว่าไป..
เปิดคอมทิ้งไว้แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ตอนเช้าตื่นมาจะได้มีบางคนเซอร์ไพร์สกับ status ใหม่.... Engaged คิดว่าหวงเป็นคนเดียวรึไง
วะ!

You might also like