Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 6

1

รายงาน ิชาปฏิบัติการ 2303108


ั ข้อ การ ังเคราะ ์ด้ ยแ ง

1. ชื่อ-นามสกุล ………………………
Udon!DN7 W7n%Ñbเลขประจาตัว 6 5 3 40 8 3 0 2 3 เลขที่ 76

2. ชื่อ-นามสกุล ………………………
Nohow? Minimum
,pd เลขประจาตัว 6 5 3 40 8 4 6 2 3 เลขที่ 77

3. ชื่อ-นามสกุล ………………………
Ufm aimed เลขประจาตัว 6 5 3 4 08 5 2 23 เลขที่ 78

4. ชื่อ-นามสกุล ………………………
N1WbWÑw ÑwmYMN เลขประจาตัว 6 5 3 40 8 6 9 2 3 เลขที่ 79

5. ชื่อ-นามสกุล ……………………… เลขประจาตัว เลขที่

เรียนปฏิบตั ิการวัน..............................
ÑgMd วันที่ ...........
6 เดือน ...........
ÑbU1Gb พ.ศ. ………
2565
เวลา .....................
9.00 12.00
-

น.
กลุม่ ที่ 5 ห้ องปฏิบตั ิการเลขที่ .........................
407 อาคารมหามกุฏ

อาจารย์ประจากลุม่ ชื่อ on .no?bdUI7boiwnoou8w%cf ลายเซ็น T A.


แบบบันทึกผลการทดลอง

การทดลองที่ 3.1 ทำไมใบไม้จึงมี ีเขีย ?

ตารางที่ 3.1: ค่าดูดกลืนแ งของ ารแข นลอยคลอโรพลา ตจากใบไทร

ความยาวคลื่น 400 nm 425 nm 450 nm 475 nm 500 nm 525 nm 550 nm


ค่า Absorbance 2.080 1.449 0.949 0.776 0.715 0.632 0.592

ความยาวคลื่น 575 nm 600 nm 625 nm 650 nm 675 nm 700 nm


ค่า Absorbance 0.567 0.550 0.537 0.532 0.597 0.507
2
กราฟแ ดงช่ งการดูดกลืนแ งของ ารแข นลอยคลอโรพลา ต์
ใ ้แกน Y แ ดงค่าดูดกลืนแ ง (ค่า absorbance) และแกน X แทนค่าค ามยา คลื่น (นาโนเมตร)

คำถาม
1.1 ทำไมการทดลองนี้จึงใช้ ารละลายฟอ เฟตบัฟเฟอร์แทนการใช้น้ำกลั่นในการเตรียม blank
เพราะ เราใช้สารละลายฟอตเฟตบัฟเฟอร์ในการเตรียมสารแขวนลอยคลอโรพลาสต์ แทนนกลน การเตรียม blank
จึงต้องใช้สารละลายเดียวกัน เพอไม่ให้นกลนมีผลต่อค่าการดูดกลืนแสงทวัดได้

1.2 แ งที่มีความยาวช่วงคลื่นช่วงใดที่ ารแขวนลอยคลอโรพลา ต์ของใบไทรดูดกลืนแ งได้มากที่ ุด


400 นาโนเมตร

1.3 แ งที่มีความยาวช่วงคลื่นช่วงใดที่ ารแขวนลอยคลอโรพลา ต์ของใบไทรดูดกลืนแ งได้น้อยที่ ุด


700 นาโนเมตร

1.4 า ร่ายบางชนิดมีรงควัตถุเช่น phycoerythrin อยู่เป็นจำนวนมาก จากข้อมูล relative absorption ของรงค


วัตถุชนิดนี้ (กราฟอยู่ในคู่มือปฏิบัติการ) นิ ิตคิดว่า า ร่ายน่าจะมี ีใด าก ะ มรงควัตถุนี้ในปริมาณมาก

สีฟ้า ในช่วงความยาวคลนประมาณ 480 นาโนเมตร


3

การทดลองที่ 3.2 แ ง ีตาง ๆ ง่ ตอการ ังเคราะ ด ยแ งเท่ากัน รือไม่


ตารางที่ 3.2: ผลค ามเข้มของ ี DCPIP ใน ารละลายฟอ เฟตบัฟเฟอร์ก่อน และได้รับแ ง ีต่างๆ

ลอดที่ได้รับแ ง ลอดที่ไม่ได้รับแ ง
( ลอดที่ 1) ( ลอดที่ 2)
ความเข้มของ DCPIP ใน ารละลายฟอ เฟตบัฟเฟอร์ที่ ++++
+ + + +
ได้รับแ งขาว
ความเข้มของ DCPIP ใน ารละลายฟอ เฟตบัฟเฟอร์ที่ ++++
ได้รับแ ง ีน้ำเงิน + + + +

ความเข้มของ DCPIP ใน ารละลายฟอ เฟตบัฟเฟอร์ที่ ++++


ได้รับแ ง ีเขียว + +1--1

ความเข้มของ DCPIP ใน ารละลายฟอ เฟตบัฟเฟอร์ที่ ++++


ได้รับแ ง ีแดง + +1--1

ตารางที่ 3.3: ผลค ามเข้มของ ี DCPIP ใน ารแข นลอยคลอโรพลา ต์ที่ได้รับแ ง ีต่างๆ


แ งขา แ ง ีน้ำเงิน แ ง ีเขีย แ ง ีแดง
ความเข้ ม ของ าร DCPIP ใน ลอดที่ 3 0 0 0 0
( ารละลายคลอโรพลา ต์ที่ใ ่น้ำกลั่น)
ความเข้มของ าร DCPIP ใน ลอดที่ 4 ++++ ++++ ++++ ++++
( ารละลายคลอโรพลา ต์ที่ใ ่ DCPIP ที่
เก็บในที่มืด)
ความเข้มของ าร DCPIP ใน ลอดที่ 5
+ + + + ++ +
( ารละลายคลอโรพลา ต์ที่ใ ่ DCPIP ที่ + +
+ + +

ได้รับแ ง)
4
รุปและอภิปรายผลการ ึก า การทดลองที่ 1 และ 2
จากการทดลองท 1 พบว่าความยาวคลนแสงมีผลต่อค่าการดูดกลืนแสง เนองจากในความยาวคลนทต่างกัน สามารถวัดค่า
absorbable ได้แตกต่าง โดยทค่า absorbance จะมีค่าแปรผกผันกับความยาวคลนแสง แต่ว่าในช่วงทมีความยาวคลน
แสง 675 nm (แสงสีแดง) จะมีค่าการดูดแสงเพมขึ้นเล็กน้อยและลดลงในความยาวคลนแสงถัดมา แสดงว่าในช่วง
ความยาวคลนของแสงสีนเงินและแสงสีแดงสามารถดูดกลืนแสงได้มากทสุด และแสงสีเขียวสามารถดูดกลืนแสงได้น้อย
ทสุด

จากการทดลองท 2 แสงไม่ได้มีผลต่อการเปลยนสีของ DCPIP แต่มีผลต่อการแลกเปลยนอิเล็กตรอนททำให้ DCPIP เปลยนสี


โดยแสงสีเขียวจะทำให้สารแขวนลอยคลอโรพลาสต์กับ DCPIP เปลยนสี
คําถาม

2.1. ปฏิกริยาที่ทําใ DCPIP เปลี่ยน ีคือปฏิกริยาอะไร (ระ ว่าง oxidation reaction กับ reduction reaction)
ปฏิกิริยา reduction reaction

2.2. าก ารละลาย DCPIP ใน ารละลายฟอ เฟ บัฟเฟอร์เปลี่ยน ี (เทียบระ ว่าง ลอดที่ 1 และ 2) นิ ิตจะแปร
ผลการทดลองนี้อย่างไร
หากสารละลาย DCPIP ในสารละลายฟอสเฟสบัฟเฟอร์เปลยนสี
แสดงว่าแสงมีผลทำให้สารละลายฟอสเฟสบัฟเฟอร์เปลยนสี

2.3. แ ง ีใดกระตุ้นใ ้เกิดกระบวนการ ังเคราะ ์ด้วยแ งมากที่ ุด นิ ิตจะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

แสงสีขาวกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมากทสุด และเราสามารถนำแสงสีขาวไปใช้ใน
เวลาทต้องการปลูกพืชเพอเพมอัตราการเจริญเติบโตของพืชนนๆ
5
การทดลองที่ 3.3 พืชมีรงค ัตถุชนิดใดบ้าง
ผลการทดลอง

ตารางที่ 3.4: รงควัตถุจากใบไมที่พบบนกระดา โครมาโตกราฟ


แถบ ีที่ปรากฏที่แยกด้วยตัวทำละลาย Acetone
ลำดับของแถบ ี ีของแถบ ระยะทางที่แถบ ีเคลื่อนที่ (มม.) ค่า Rf
1 ÑÑodeiow 3s 0.70

2
3
4

แถบ ีที่ปรากฏที่แยกด้วยตัวทำละลาย Petroleum Ether


ลำดับของแถบ ี ีของแถบ ระยะทางที่แถบ ีเคลื่อนที่ (มม.) ค่า Rf
1 freaky 49 0.98

2
3
4

แถบ ีที่ปรากฏที่แยกด้วยตัวทำละลาย 1:9 Acetone : Petroleum Ether


ลำดับของแถบ ี ีของแถบ ระยะทางที่แถบ ีเคลื่อนที่ (มม.) ค่า Rf
1 ÑbÑodeiow 20.5 0.41

2 ÑbÑoo 33.5 0.67

3 ÑbUÑOI 46 0.92

4
6
วาดภาพแถบ ีที่ปรากฏ และระบุชื่อรงควัตถุที่พบบนกระดา โครมาโตกราฟแตละแผน

รุปและอภิปรายผลการทดลอง การทดลองที่ 3

จากการทดลองท 3 พบว่าAcetone + petroleum ether สามารถแยกรงควัตถุของใบไทรได้มากทสุด


ซึ่งคือ chlorophyll a, chlorophyll b, carotene ตามลำดับ

คำถาม
3.1 ตัวทําละลายชนิดใด ามารถแยกรงควัตถุ 4 ชนิด ออกจากกันไดดีที่ ุด เพราะเ ตุใด

กระดาษโครมาโตกราฟฟทจุ่มสาร Acetone+Petroleum ether สามารถแยกรงควัตถุ 4 ชนิดออกจากกันได้ดีทสุด


เพราะเป็นสารผสมของสารทแต่ละชนิดสามารถแยกรงควัตถุได้ต่างชนิดกัน เมอผมกันจึงสามารถแยกรงควัตถุได้มากทสุด

3.2 เ ตุใดใบไทรจึงมี ีเขีย ทั้ง ๆ ที่ในใบไมมีรงควัตถุปะปนกันอยู ลายชนิด

เพราะ แสงสีเขียวเป็นสีทถูกดูดกลืนน้อยทสุด จึงทำให้เห็นใบไทรเป็นสีเขียว

You might also like