Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 4 การวิเคราะห์และอธิบายข้อมูล
บทที่ 4 การวิเคราะห์และอธิบายข้อมูล
การวิเคราะห์และอธิบายข้อมูล
การใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจนี้จะเป็นการกล่าวถึงการหาข้อมูลข่าวสารที่แม่นตรง การคิดอย่างมี
เหตุผล ซึ่งหมายถึงการใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติเพื่อนาไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสม
ในปัจจุบันได้มีการนาเอาสถิติไปใช้ในศาสตร์สาขาต่างๆและยังมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความ
สะดวกในกระบวนการประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องคานวณและเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป
ที่ทาให้สามารถวิเคราะห์ ข้อมูลจานวนมากๆ ที่มีตัว เลขสลับซับซ้อนในเวลาอันสั้น จึงทาให้สถิติมีลักษณะ
เหมือนเครื่องมือที่จาเป็นที่ให้เทคนิคที่มีประโยชน์ในการทาความเข้าใจควบคุมและประมวลผล รวมถึงช่วยใน
การวางแผนและการตัดสินใจ
4.1 ข่าวสารและการเก็บรวบรวมข้อมูล
4.1.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสถิติ
4.1.1.1 ความหมายของสถิติ
คาว่า "สถิติ" (Statistics) มีรากศัพท์มาจากคาว่า "Statistik" ในภาษาเยอรมัน และคาว่า
State ในภาษาลาติน โดยนักปรัชญาชาวเยอรมันชื่อ ก็อตต์ฟริด อเคนวาลล์ (Gottfried Achenwall) ในปี
ค.ศ. 1749 ซึ่งมีความหมายหมายถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารรัฐ โดยเน้นที่ข้อมูลที่
เป็นประโยชน์ต่อรัฐ จนกระทั่งต่อมาในปี ค.ศ.1893 มีนักปรัชญาและนักการทดลองชาวอังกฤษ 2 ท่าน คือ
เซอร์ ฟรานซิส กัลตัน และคาร์ล เพียรสัน (Sir Francis Galton and Karl Pearson) ได้นาเอาทฤษฎีความ
น่าจะเป็นเเละทฤษฎีความคลาดเคลื่อนมาใช้ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการทดลองของเขาในทาง
การเกษตร จึงเกิดแนวความคิดและทฤษฎีตลอดจนเทคนิคทางสถิติ เช่น ความคลาดเคลื่อน การแจกแจงของ
ตัวอย่าง การทดสอบสมมุติฐาน การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์ตัวแปรพหุคูณ
คาว่า "สถิติ" อาจจาแนกได้ 2 ความหมาย คือ
1) สถิติ หมายถึง ข้อมูลหรือตัวเลขที่แทนข้อเท็จจริง (Numerical fact) เกี่ยวกับเรื่อง
ต่างๆ ที่เราสนใจหรือที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติหรือเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
เช่น ราคาน้ามัน ระดับน้ าในแม่น้ า จ านวนผู้ ป่วยที่เข้ารับการรักษาจาแนกตามชนิดของโรคแต่ละเดือนใน
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลผลิตทางการเกษตรฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
ซึ่งจะถือว่าเป็นสถิติจะต้องเป็นข้อมูลส่วนรวม ไม่ใช่ข้อมูลเพียงตัวเดียวซึ่งไม่ก่อให้เกิดสถิติ โดยทั่วไปจะเรียก
สถิติตามความหมายนี้ว่า ข้อมูลสถิติ (Statistical data)
2) สถิติ หมายถึง ศาสตร์หรือวิชาที่ว่าด้วยหลักการและวิธีการทางสถิติซึ่งประกอบด้วย
การเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูลหรือการนาเสนอข้อมูล การวิเคราะห์และการแปลความหมาย
ข้อมูล ซึ่งจะเรียกสถิติตามความหมายนี้ว่า สถิติศาสตร์ (Statistics)
ตามความหมายสถิติในแง่ที่เป็นศาสตร์ สถิติแบ่ งออกเป็น 2 ประเภท คือ สถิติเชิง
พรรณนา (Descriptive statistics) และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics)
1) สถิติเชิงพรรณนา เป็นสถิติที่ว่าด้วยการบรรยายลักษณะของข้อมูลชุดใดชุดหนึ่งโดย
มิได้ใช้คาบรรยายหรือคาอธิบายนั้นอนุมานหรือสรุปพาดพิงไปยังประชากรหรือข้อ มูลชุดอื่น ขอบข่ายของสถิติ
เชิงพรรณนาประกอบด้วย
(1) การจัดตาแหน่งเปรียบเทียบ เช่น การแจกแจงความถี่ สัดส่วน อัตราส่วน
(2) การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางเช่น ตัวกลางเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม
(3) การวัดการกระจายของข้อมูล เช่น พิสัย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(4) การวัดรูปร่างของการแจกแจง เช่น สัมประสิทธิ์ความเบ้
(5) การวัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเช่นวิธีหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
2) สถิติเชิงอนุมาน เป็นสถิติที่ศึกษาลักษณะของข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเพื่อประมาณค่าหรือ
ทดสอบสมมุติฐ านอันจะนาไปสู่การอนุมานไปยังประชากรเป้าหมายที่ทาการศึกษา ขอบข่ายของสถิติเชิง
อนุมานประกอบด้วย
(1) สถิติเชิงบรรยาย
(2) ทฤษฎีการสุ่มตัวอย่าง
(3) ทฤษฎีการแจกแจงของตัวแปรสุ่ม
(4) ทฤษฎีการประมาณค่า
(5) ทฤษฎีการทดสอบสมมติฐาน
4.1.1.2 ความสาคัญของสถิติ
ในปัจจุบันสถิติได้เข้ามามีบทบาทในชี วิตประจาวันของคนเรามากขึ้นเรามักได้ยินได้ฟัง
ตัว เลขสถิติ เกี่ย วกั บ เรื่ องต่างๆ อยู่ เ สมอไม่ ว่าจะเป็นจากการสนทนา ปาถกฐา การอภิ ปราย ในรายงาน
ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และผลการวิจัยต่างๆ ก็ล้วนมีตัวเลขสถิติประกอบการรายงาน ในหน้าหนังสือพิมพ์
ก็มักมีตัวเลขสถิติแสดงไว้ บ่อยๆ การที่มีผู้นาเอาตัวเลขสถิติไปใช้กันอย่างกว้างขวางก็เนื่องจากว่าสถิติเป็นที่
ยอมรับมากขึ้น ในฐานะเป็นภาษาสากลของการกระจายข่าวสาร และของผลการทดลองตลอดจนการวิจัย
ต่างๆ
นักวิชาการส่วนมากจาเป็นต้องมีความรู้ทางสถิติ เพราะเอกสารทางวิชาการมักมีข้อมูล
สถิติอยู่ด้วย ถ้าปราศจากความรู้ทางสถิติอย่างเพียงพอแล้วจะไม่สามารถอ่านเอกสารนั้นให้เข้าใจได้ดี นักวิจัย
จะไม่สามารถทาการวิจัยได้ถ้าขาดความรู้ทางสถิติเพราะสถิติเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบวิธีการวิจัย
ในขณะที่สังคมมนุษย์มีความเจริญมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ก็เพิ่มความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
ควบคู่กัน ไป เช่น ปั ญหาทางเศรษฐกิจ และสังคม ปัญหาการพัฒนาประเทศ ปัญหาการศึกษา ปัญหาการ
บริหารงานในระดับต่างๆ ทั้งของรัฐและของเอกชน ตลอดจนปัญหาการดารงชีวิตในครอบครัว เนื่องจากข้อมูล
สถิติเป็นเสมือนแสงที่ช่วยส่องให้เห็นความจริง หรือสภาพความเป็นไปเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ดังนั้นในการตัดสินใจ
หรื อวางแผนเพื่อแก้ปั ญหาเหล่ านี้ จึ งจะขาดสถิติเ สี ยมิไ ด้ สถิ ติมีส่ ว นช่ว ยอย่างส าคัญในการวางแผนและ
ดาเนินงานต่างๆ ให้เป็นไปอย่างมีหลักเกณฑ์ ซึ่งเป็นผลให้การดาเนินงานนั้นๆ มีโอกาสผิดพลาดน้อยลง และ
สถิติยังเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณประโยชน์อย่างยิ่งในการประเมินผลงานโครงการต่างๆ ที่ได้ทาไปแล้วว่าได้ผล
ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ สมควรจะต้องปรับปรุงหรือแก้ไขโครงการนั้นอย่างไร
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าบทบาทของสถิติที่มีต่อกิจกรรมในชีวิตประจาวันของคนเรานั้น
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมา เอช จี เวลส์ (H.G. Wells) นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่ 19 ถึงกับเคย
กล่าวไว้ว่า ในวันหนึ่งข้างหน้า การคิดเชิงสถิติ (Statistical thinking) จะเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับการเป็น
พลเมืองที่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกับความสามารถในการอ่านและเขียนได้ทีเดียว (ส่งศักดิ์ ฑิตาราม, 2532 :
7-8)
4.1.1.3 คาศัพท์ทางสถิติที่ควรทราบ
1) ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่ม (set) ของสิ่งที่ต้องการจะศึกษาหรือ
ตรวจสอบทั้งหมดอาจเป็นกลุ่มของคน สัตว์ หรือสิ่งของก็ได้ประชากรจาแนกออกได้ 2 ลักษณะคือ
(1) ประชากรจากัด (Finite population) หมายถึง ประชากรที่มีหน่วยย่อยจากัด ซึ่ง
สามารถนับออกมาเป็นจานวนได้ครบถ้วน
(2) ประชากรอนันต์ (Infinite population) หมายถึง ประชากรที่มีหน่วยย่อยไม่
สิ้นสุดซึ่งไม่สามารถนับออกมาเป็นจานวนได้แน่นอน
2) กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายถึง บางส่วนของประชากรหรือกลุ่มของบรรดาหน่วย
ตัวอย่างที่เลือกได้จากประชากรซึ่งใช้เป็นตัวแทนเพื่อศึกษาลักษณะต่างๆ ของประชากร โดยทั่วไปการเลือก
หน่วยตัวอย่างจะใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง ซึ่งอาศัยความน่าจะเป็นที่แต่ละหน่วยในประชากรมีโอกาสถูกเลือกมาเท่าๆ
กัน
3) ข้อมูล (Data) หมายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่อ งต่าง ๆที่สนใจจะศึกษาอาจจะเป็น
ตัวเลข หรือข่าวสาร (Information) หรือข้อความที่ไม่ใช่ตัวเลขก็ได้ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณ ซึ่งวัด
ออกมาเป็นค่าตัวเลข เรียกว่า ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) เช่น น้าหนัก ส่วนสูง ความยาว พื้นที่
เป็นต้น ส่วนข้อมูลที่ไม่สามารถวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ เรียกว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data)
เช่น สภาพภูมิศาสตร์ การมีงานทา สภาพความเป็นอยู่ เชื้อชาติ เป็นต้น
4) แหล่งของข้อมูล (Source of data) หมายถึงสิ่งที่ทาให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางสถิติ แบ่ง
ออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
(1) แหล่งปฐมภูมิ (Primary source) เป็นแหล่งของข้อมูลที่เป็นต้นกาเนิดของมูลนั้นๆ
เราเรียกข้อมูลนี้ว่า ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary source) เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ข้อมูลที่ได้จากการ
ทดลอง ข้อมูลที่ได้จากการกรอกแบบสอบถาม เป็นต้น
(2) แหล่งทุติยภูมิ (Secondary source) เป็นแหล่งของข้อมูลซึ่งไม่ได้เป็นต้นกาเนิด
ของข้อมูล นั้น ๆ แต่เป็น แหล่ งของข้อมูลที่ได้รวบรวมเอาข้อมูล เอาไว้เมื่อผู้ส นใจต้องการศึกษาข้อมูลที่ได้
รวบรวมเอาไว้นั้น อาจไปรวบรวมจากแหล่งนี้ก็ได้เราเรียกข้อมูลที่ได้นี้ว่า ข้อมูลทุติยภูมิ เช่น ข้อมูลที่คัดเลื อก
มาจากทะเบียนราษฎร์ ข้อมูลที่คัดมาจากบัญชีรายชื่อผู้ป่วย ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
5) พารามิเตอร์ (Parameter) หมายถึง ตัวคงที่ซึ่งแสดงถึงคุณลักษณะของประชากร ซึ่ง
คานวณมาจากค่าการวัดหรือคะแนนทุกๆ หน่วยของประชากรนั้นๆ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนค่าพารามิเตอร์ใช้
อักษรกรีก เช่น
แทน ค่าเฉลี่ยของประชากร
แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร
6) ค่าสถิติ (Statistics) หมายถึง ค่าที่สังเกตได้ หรือคานวณได้จากกลุ่มตัวอย่าง เพื่อใช้
ประมาณค่าพารามิเตอร์ สัญลักษณ์ที่ใช้จะแทนด้วยอักษรลาติน เช่น
x แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง
S แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง
7) ค่าสังเกต (Obesrvation) หมายถึง ค่าที่วัดได้สาหรับลักษณะใดลักษณะหนึ่งของคน
สัตว์ หรือสิ่งของ เช่น น้าหนัก รายได้ของพนักงานแต่ละคน ส่วนสูงของนักเรียนแต่ละคน
8) ตัวแปร (Variables) หมายถึง ลักษณะของสิ่งที่เราจะศึกษาหรือทาการวัด ตัวแปรที่
สามารถก าหนดค่ า ระหว่ า งค่ า สองค่ า ที่ ก าหนดให้ ไ ด้ เ สมอ เราเรี ย กว่ า ตั ว แปรต่ อ เนื่ อ ง (Continuous
variables) เช่น น้าหนัก ส่วนสูง คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นต้น ส่วนตัวแปรที่มีลักษณะแยกกันโดย
เด็ดขาด หรื อไม่ ส ามารถก าหนดค่าระหว่างค่าสองค่า ที่กาหนดได้ เรีย กว่า ตัว แปรไม่ ต่อเนื่ อง (Discrete
variables) เช่น เพศมีชายและหญิง สถานภาพการสมรสมีโสด หม้าย หย่าร้าง เป็นต้น
4.1.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล
4.1.2.1 ความต้องการข้อมูล
เมื่อบุ คคลหรื อหน่ ว ยงานใดมีความจาเป็น ต้องใช้ข้อมูล บุคคลหรือหน่ว ยงานนั้นอาจ
ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองหรือนาเอาข้อมูลจากแหล่งที่มีผู้เก็บรวบรวมไว้แล้วมาใช้ข้อมูลที่บุคคล
หรือหน่วยงานทั่วไปต้องการนั้นมักเป็นข้อมูลเฉพาะเรื่อง และมีขอบเขตการปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลไม่
กว้างขวางนัก แต่ถ้าเป็นการเก็บข้อมูลที่มีการกาหนดขอบเขตการปฏิบัติการกว้างขวาง เช่น การสารวจหรือสา
มะโนทั่วประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลา ใช้กาลังคน และใช้งบประมาณเป็นจานวนมาก หน่วยงานของรัฐผู้มีหน้าที่
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เช่น สานักงานสถิติแห่งชาติจะเป็นผู้ดาเนินการเก็บรวบรวม และจัดพิมพ์เผยแพร่
ข้อมูลเหล่านั้น
4.1.2.2 ความหมายของการเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล หมายถึ ง กระบวนการที่ จ ะให้ ไ ด้ ข้ อ มู ล มาเพื่ อ ตอบสนอง
วัตถุประสงค์ของการศึกษาข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผู้ศึกษาข้อมูลต้องการ การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจแบ่งได้
เป็น 2 ลักษณะคือ
1) การเก็บข้อมูล (Data collection) หมายถึง การเก็บข้อมูลที่ผู้ศึกษาต้องการจาก
แหล่งข้อมูลโดยตรง ซึ่งผู้เก็บข้อมูลต้องค้นคว้า สารวจ หรือวิจัยข้อมูลที่ต้องการด้วยตนเอง
2) การรวบรวมข้อมูล (Data compilation) หมายถึง การนาเอาข้อมูลที่มีผู้ทาการเก็บ
ไว้แล้วหรือจัดทาเผยแพร่ขึ้นในลักษณะต่างๆ เช่น บทความ บทวิจารณ์ สารานุกรม รายงาน ผลการวิจัย เป็น
ต้น โดยนาข้อมูลเหล่านี้มาใช้อ้างอิงต่ออีกครั้งหนึ่งเพื่อการศึกษาวิเคราะห์ต่อไป
ในการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ผู้ศึกษาสามารถใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล
ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรืออาจใช้ทั้งสองลักษณะผสมกันก็ได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาข้อมูลนั้นๆ ว่ามีลักษณะ
อย่างไร
4.1.2.3 การวางแผนในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการด าเนิ น การในการเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล เพื่ อ น าไปใช้ ป ระโยชน์ ไ ม่ ว่ า จะโดย
วัตถุประสงค์ใด เช่น เพื่อการวิจัย เพื่อเผยแพร่ หรือเพื่อบริการทางข้อมูล การดาเนินการดังกล่าวประกอบด้วย
ขั้นตอนต่างๆ 4 ขั้น ดังนี้
1) การวางแผนและเตรียมการ
2) การปฏิบัติงานเก็บรวบรวมข้อมูล
3) การประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นให้อยู่ในรูปที่จะนาไปใช้ประโยชน์โดยสะดวก
4) การวิเคราะห์ความถูกต้องและความเชื่อถือได้ของข้อมูล
4.1.2.4 ระเบียบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
โดยทั่วไประเบียบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล อาจแบ่ งออกได้เป็น 4 วิธี คือ การสามะโน
(Census) การสารวจด้วยตัวอย่าง (Sample survey) การรายงาน (Reporting) และการลงทะเบียน
(Registration) (ส่งศักดิ์ ทิตาราม, 2532 : 24) แต่ละวิธีมีรายละเอียดที่จะกล่าวถึงดังนี้
1) สามะโน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการแจงนับครบถ้ วน (Complete enumeration)
หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกทุกหน่วยในประชากร ในการทาสามะโนเราเรียกสมาชิกเหล่านี้ว่า
หน่วยแจงนับ (Enumeration unit) หน่วยแจกนับคือหน่วยที่มีข้อมูลที่เราต้องการเก็บรวบรวม หน่วยแจงนับ
จะเป็นอะไร สุดแท้แต่จะกาหนดในการทาสามะโนนั้น เช่น ในการทาสามะโนประชากรและเคหะ หน่วยแจง
นั บ คื อ ครั ว เรื อ น (Household) ในการท าส ามะโนการเกษตรหน่ ว ยแจงนั บ คื อ ที่ ถื อ ครองการเกษตร
(Agricultural holding) และในการทาสามะโนครูและโรงเรียน หน่วยแจงนับคือโรงเรียน เป็นต้น
แต่เดิมมาเราคุ้นเคยกับคาว่าสามะโนครัว ซึ่งได้แก่การนับบ้านและนับจานวนคน และ
เป็นคาที่กระทรวงมหาดไทยใช้ในการทาสามะโนครัวของประเทศไทย ซึ่งได้ทามารวม 5 ครั้งคือ ใน พ.ศ.
2453, พ.ศ. 2462, พ.ศ. 2472, พ.ศ. 2480 และ พ.ศ. 2490 ส่วนครั้งต่อมาในปี พ.ศ. 2503 สานักงานสถิติ
กลางเมื่ อครั้ ง ยั ง เป็ น ส่ ว นราชการในสภาพั ฒ นาเศรษฐกิ จแห่ ง ชาติ (ปั จจุ บัน คือ ส านัก งานคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เป็นผู้รับผิดชอบและจัดทาทุก 10 ปี คือได้จัดทาในปี พ.ศ. 2513 พ.ศ.
2523 พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2553 ตามลาดับ และได้เพิ่มการสามะโนเคหะเข้าไปด้วยจึงรวม
เรียกว่า สามะโนประชากรและเคหะ หน่วยราชการที่รับผิดชอบคือสานักงานสถิติแห่งชาติ หรือสานักงานสถิติ
เดิมนั่นเอง
เนื่องจากสามะโนเป็นงานใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณดาเนินการมาก โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสามะโนประชากรและเคหะและสามะโนการเกษตร ดังนั้นสามะโนดังกล่าวนี้ประเทศไทยจึงมีกาหนด
ทาทุก 10 ปี แต่ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้จัดทาสามะโนเหล่านี้ทุก 5 ปี
การทาสามะโนในประเทศไทย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีสามะโนประมงทะเล สา
มะโนอุตสาหกรรม สามะโนธุรกิจทางการค้าและธุรกิจทางการบริการ ตามพระราชบัญญัติสถิติได้ระบุไว้ว่า
หน่วยราชการที่มีอานาจและหน้าที่ในการทาสามะโนประชากรได้แก่สานักงานสถิติแห่งชาติเท่านั้น
2) การสารวจด้วยตัวอย่าง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหน่วยแจกนับบางหน่วยในคุ้ม
รวม (คุ้มรวมตรงกับภาษาอังกฤษว่า Coverage หมายถึง ขอบข่ายของการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นๆ ว่าจะ
ครอบคลุมถึงหน่วยแจงนับใดบ้าง) หน่วยแจงนับบางหน่วยเรียกว่า ตัวอย่าง (Sample) การสารวจด้วย
ตัวอย่างจะต้องกาหนดขนาดของตัวอย่าง หน่วยตัวอย่าง ตลอดจนระเบียบวิธีการประมวลผลวิธีนี้อาจเรียกว่า
การสารวจด้วยการแจกนับเพียงบางส่วน (Partial enumeration method) เช่น การสารวจแรงงาน ใช้
ระเบียบวิธีการสารวจด้วยตัวอย่าง โดยการสัมภาษณ์ครัวเรือนตัวอย่างเพื่อประมาณจานวน และลักษณะของ
แรงงานภายในประเทศตามภาคต่างๆ ในระยะเวลาหนึ่งๆ
3) การรายงาน เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานที่กาหนดไว้เพราะหน่วยราชการ
หรือหน่วยงานเอกชนบางแห่ง อาจจะมีระบบรายงานบางอย่างเพื่อการบริหารภายในหน่วยงานนั้นๆ จาก
รายงานดังกล่าวอาจมีข้อมูลเบื้องต้นบางประเภท ซึ่งสามารถนามาประมวลผลเป็นยอดข้อมูลสถิติได้ ในกรณีนี้
ข้อมูลสถิติที่รวบรวมได้ จะเป็นผลพลอยได้จากการบริหารงาน เช่น
กรมศุ ล กากรมีร ะบบการรายงานเกี่ ย วกับ การส่ ง สิ น ค้า ออกและการน าสิ น ค้ า เข้ า
ใบส าคัญหรื อเอกสารที่ใช้ในการแจ้งการน าเข้าและส่ งออกนั้น จะเป็นแหล่ งข้อมูลเบื้องต้นซึ่งสามารถจะ
ประมวลยอดข้อมูลสถิติแสดงปริมาณการค้าระหว่างประเทศได้ ในบางกรณีเราอาจจะทาการเก็บรวบรวม
ข้อมูลจากการรายงาน โดยการขอความร่วมมือจากหน่วยอื่นๆ ให้ช่วยทารายงานพิเศษ ฉะนั้นสถิติที่ได้จากการ
รายงานพิเศษนี้ก็ไม่จาเป็นต้องเป็นผลพลอยได้จากการบริหารงาน
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการรายงานของหน่วยบริหารนับว่าเป็นการเก็บรวบรวม
ไม่ ต้ อ งสิ้ น เปลื องค่ า ใช้ จ่ า ยในการด าเนิ น การมากนั ก ค่ า ใช้จ่ า ยส่ ว นใหญ่ ที่ใ ช้ ก็ เ พื่ อ การประมวล ผล พิ ม พ์
แบบฟอร์มต่างๆ ตลอดจนการพิมพ์รายงาน วิธีนี้ใช้กันมากทั้งในส่วนราชการและเอกชน ในหน่วยงานของรัฐที่
สาคัญๆ ก็มีกรมศุลกากรที่กล่าวข้างต้น กรมสรรพากรมีแบบรายงานการยื่นเสียภาษี ที่เรียกว่า ภ.ง.ด.7 จาก
แบบยื่นแสดงรายการเสียภาษี จะสามารถรวบรวมข้อมูล สถิติเกี่ย วกับรายได้ของประชากร นอกจากนี้ก็มี
รายงานผลการปฏิ บั ติงานของโรงเรี ย นในกรมในกระทรวงศึ กษาธิก าร ก็ นามาใช้ในการประผลสถิติทาง
การศึกษาได้เช่นเดียวกัน สาหรับหน่วยงานของเอกชนนั้นมักจะเป็นสถานประกอบการต่างๆ ข้อมูลที่เกี่ยวกับ
การผลิ ต การใช้วัตถุดิบ อาจจะรวบรวมจากรายงานของฝ่ายผลิต สถิติแสดงปริมาณการขายสินค้าก็อาจ
รวบรวมได้จากพนักงานขายแต่ละคนเป็นต้น
4) การลงทะเบียน เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติที่รวบรวมจากระบบทะเบียน มี
ลักษณะคล้ายกับการรวบรวมจากรายงานตรงที่เป็นผลพลอยได้เช่นกัน จะต่างกันที่แหล่งเบื้องต้นเป็นเอกสาร
การทะเบียน ซึ่งการเก็บเป็นการต่อเนื่องมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องหรือทันสมัย ทาให้ได้สถิติที่
ต่อเนื่องกันไป ส่วนการเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงาน ส่วนมากใช้เพียงครั้งเดียว ข้อมูลที่เก็บโดยวิธีทะเบียนมี
ข้อจากัดเท่าที่มีอยู่ในทะเบียนเท่านั้นระบบทะเบียนเป็นระบบข้อมูลที่ค่อนข้างใหญ่ มีพระราชบัญญัติคุ้มครอง
หรื อ บั ง คั บ การที่ จ ะเปลี่ ย นระบบทะเบี ย นเพื่ อ ให้ ไ ด้ ข้ อ มู ล ที่ ต้ อ งการย่ อ มไม่ อ ยู่ ใ นวิ สั ย ที่ จ ะท าได้ ง่ า ยนั ก
คุณภาพของข้อมูลสถิติก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของข้อมูลเบื้องต้นที่เก็บอยู่ในทะเบียน ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจจะไม่
ถูกต้องทันสมัยตามความเป็นจริง
ตั ว อย่ า งข้ อ มู ล สถิ ติ ที่ ร วบรวมจากระบบทะเบี ย น ได้ แ ก่ สถิ ติ จ านวนประชากรที่
กรมการปกครองดาเนินการเก็บรวบรวมจากระบบทะเบียนราษฎร์ มีสถิติประชากรจาแนกตามเพศเป็นราย
จังหวัด อาเภอ ตาบล ในวันสิ้นปี โดยประมวลได้จากจานวนประชากรในทะเบียนเมื่อสิ้นปี จานวนคนเกิด
ระหว่างปี จานวนคนตายระหว่างปี จ านวนคนย้ายเข้าระหว่างปี จานวนคนย้ายออกระหว่างปี นอกจาก
ทะเบียนราษฎร์แล้ว ก็มีทะเบียนยานพาหนะของกรมการขนส่งทางบก ก็จะทาให้ได้ข้อมูลสถิติรถยนต์จาแนก
ตามชนิด หรือประเภททะเบียนโรงงานอุตสาหกรรม จะทาให้ทราบจานวนโรงงานอุตสาหกรรมจาแนกตาม
ประเภทของโรงงาน เป็นต้น
ข้อควรพิจารณาในการกาหนดวิธีดาเนินการ
การรวบรวมข้อมูลสถิติจากวิธีทั้ง 4 วิธี ดังกล่าวมาแล้วมีข้อแตกต่างกันอย่างมากทั้งใน
เรื่ องเกี่ยวกับ วิธีการทางสถิติ ในเรื่ องคุณภาพของข้อมูล และในเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณที่จะใช้ ในการ
รวบรวมข้อมูลสถิติ ในบางครั้งข้อมูลสถิติรายการเดียวอาจจะรวบรวมจากวิธีการมากกว่า 1 วิธีข้อมูลที่
รวบรวมได้จากวิธีการต่างๆ กันซึ่งดูเผิ นๆ อาจจะเป็นข้อมูลที่ซ้ารายการกัน แต่หากผู้ใช้รู้ถึงแหล่ งที่มา
วิธีการและคุณภาพของข้อมูลแล้วข้อมูลรายการเดียวกันและจากวิธีการต่างกันอาจจะนามาสนับสนุนกันได้
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลแต่ละวิธี มีข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดี ข้อเสีย
วิธีสามะโน
1) ได้ข้อมูลครบถ้วน แสดงรายละเอียดข้อมูลเป็นเขต 1) สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ไม่สามารถทาได้ทุกปี ทาให้
ภูมิศาสตร์ทเี่ ล็กที่สดุ ได้ ข้อมูลไม่ต่อเนื่องซึ่งอาจไม่เพียงพอกับการใช้
2) เป็นข้อมูลหลัก ซึ่งจะนาไปใช้ในการวางแผนเก็บข้อมูล 2) สิ้นเปลืองเวลามาก การทาสามะโนประชากรแต่ละครั้ง
อืน่ ๆ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีหลังจากวันเริ่มแจงนับ สามะโน
ใหญ่ๆ แต่ละครั้งจะมีคาบการทางานยาวนานร่วม 5 ปี
เพราะต้องใช้เวลาเตรียมงานและทดสอบเทคนิคการทางาน
ประมาณ 2 ปี
3) ปริมาณงานมาก ทาให้ยากต่อการบริหารงาน คุณภาพ
ของข้อมูลอาจจะหย่อนลงไปเพราะเหตุนี้
วิธีการสารวจด้วยตัวอย่าง
1) สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อย 1) ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลที่ประมาณขึ้น มีความฉลาดเคลื่อน
2) สามารถทาได้บ่อยได้ข้อมูลทีต่ ่อเนื่องใช้สนับสนุนการสา ในข้อมูลจากการสุ่มตัวอย่าง
มะโนในปีทไี่ ม่มีการทาสามะโนได้ 2) ไม่สามารถประมาณข้อมูลเป็นรายเขตภูมิศาสตร์ที่เล็กได้
3) ปริมาณงานน้อยควบคุมได้ใกล้ชิด หรือไม่สามารถจาแนกข้อมูลในรายละเอียดมากนักเพราะมี
4) รวบรวมข้อมูลที่สลับซับซ้อนหรือพิสดารได้ เพราะอาจใช้ ความคลาดเคลื่อนมาก
เทคนิคการวัดหรือสัมภาษณ์พิเศษได้
5) ประมวลข้อมูลสาเร็จรูปได้อย่างรวดเร็วทันต่อการใช้
วิธีการรายงาน
1) สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อย เพราะเสียค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วน 1) รายงานของข้อมูลจากัด เพราะต้องรวบรวมขึ้นตามแบบ
ประมวลข้อมูลกับการพิมพ์เผยแพร่เท่านั้น รายงานซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการบริหาร
2) สามารถทาได้บ่อยได้ข้อมูลทีต่ อ่ เนื่อง 2) ความไม่ครบถ้วนของรายงานอาจจะทาให้มีความ
3) ประมวลข้อมูลแยกตามหน่วยบริหารย่อย หรือเขต ผิดพลาดในข้อมูลหรือล่าช้าในการประมวลยอดข้อมูลสถิติ
ภูมิศาสตร์ย่อยได้ 3) การรายงานอาจจะผิดพลาดในกรณีที่ผรู้ ายงานต้อง
4) หากระบบการบริหารและการรายงานเป็นไปอย่างรัดกุม ประมวลข้อมูลเบื้องต้นเอง
ข้อมูลจะมีคุณภาพดีกว่าวิธีการสารวจหรือสามะโน
วิธีการทะเบียน
เช่นเดียวกับข้อดีของวิธีการรายงาน ข้อ 1), 2) และ 3) 1) เช่นเดียวกับการรายงาน
2) ปกติข้อมูลสถิติจะมีคณ
ุ ภาพไม่ดีนักเพราะมีความ
ผิดพลาดในข้อมูลเบื้องต้นในทะเบียน
4.1.2.5 การแจงนับ
ระเบียบวิธี (Methodology) การเก็บรวบรวมข้อมูลที่กล่าวมาแล้วนั้นจะต้องมีวิธีการ
(Procedure) ที่เหมาะสมที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเบื้องต้ นจากหน่วยแจงนับ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจาก
หน่วยแจงนับ มีชื่อเรียกว่า การแจงนับ ซึ่งเท่าที่ใช้กันมี 6 วิธีดังนี้
1) วิธีการสัมภาษณ์ (Personal interview or Face interview) เป็นวิธีการที่เจ้าหน้าที่
หรือพนักงานแจงนับออกไปสัมภาษณ์ผู้ให้คาตอบ แล้วบันทึก คาตอบลงในแบบสอบถาม เป็นวิธีใช้กันอย่าง
แพร่ห ลายที่สุดในโครงการส ามะโนและส ารวจ เป็นวิธีการที่จะทาให้ ได้ข้อมูลที่ละเอียด พนักงานแจงนับ
สามารถชี้แจงหรืออธิบายให้ผู้ตอบ เข้าใจคาถามได้ทาให้ได้คาตอบตรงตามวัตถุประสงค์ ค่าใช้จ่ายสาหรับการ
ใช้วิธีนี้ก็ไม่มากเกินไปแต่การที่จะได้คาตอบที่ดีก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น วิสัยสามารถที่ผู้ตอบจะเข้าใจคาถาม
ความตั้งใจของผู้ตอบ และความสุจริตใจที่จะให้คาตอบ ความสามารถของพนักงานแจงนับที่จะสัมภาษณ์ได้
อย่างละเอียดครบถ้วน และบันทึกคาตอบอย่างถูกต้องและสาคัญที่สุดคือความซื่อสัตว์สุจริ ตของพนักงานแจง
นับ
ในทางปฏิบัติก่อนที่จะส่งพนักงานแจงนับออกปฏิบัติการสัมภาษณ์ จะต้องทาการอบรม
ให้พนักงานแจงนับได้ทราบและเข้าใจถึงคาจากัดความหรือความหมายของคาที่ใช้ในแบบสอบถาม ตลอดจน
วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นๆ
2) การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เป็นวิธีการที่มีขีดจากัดทางด้านคุ้มรวมเพราะจะทาได้
เฉพาะผู้ ที่มีโทรศัพท์เท่านั้น ทางด้านรายการของข้อมูลที่จะถาม ก็ต้องสั้ นและเข้าใจง่าย การใช้โทรศัพท์
สั มภาษณ์จึ งใช้ใ นการเก็บ ข้อ มูล เล็ กๆ น้ อยๆ เพีย งไม่กี่ รายการ การใช้โ ทรศัพ ท์นั้ นบางครั้ง จะใช้ ในการ
ตรวจสอบว่าพนักงานแจงนับได้ไปปฏิบัติงานจริงหรือไม่หรือใช้ในการทวงถามแบบสอบถามที่ส่งไปให้กรอก
บางทีก็ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบางรายการที่ผู้ตอบได้ตอบมาแล้ว
3) วิธีการให้พนักงานไปถอดแบบ วิธีนี้พนักงานแจงนับจะนาแบบสอบถามไปแจ้งไว้
ให้กับผู้ตอบโดยให้ผู้ตอบกรอกคาตอบในแบบสอบถามเอง พนักงานแจงนับจะอธิบายวิธีกรอกข้อมูลเบื้องต้น
ตามความจาเป็น และจะกลับไปรับแบบสอบถามคืนในวันที่กาหนดให้ พนักงานจะตรวจสอบความถูกต้องและ
ความครบถ้วนของข้อมูล
4) วิธีส่งแบบสอบถามไปให้ผู้ตอบทางไปรษณีย์ โดยการส่งแบบสอบถามไปทาง
ไปรษณีย์ ให้ผู้ตอบบันทึกแล้วก็ส่งกลับทางไปรษณีย์เช่นกัน เป็นวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะเสียแต่เพียง
ค่าแสตมป์แทนค่าจ้างพนักงานแจงนับ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้จะให้คาตอบอยู่กระจัดกระจายมาก ย่อมไม่อยู่ใน
วิสัยที่จะส่งพนักงานแจงนับไปสัมภาษณ์ได้ ในกรณีที่ผู้ตอบมีการศึกษา ข้อมูลบางรายการอาจมีคุ ณภาพดีกว่า
ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ เพราะผู้ตอบมีเวลาได้คิดก่อนตอบ แต่วิธีนี้มีข้อเสียที่มักมีอัตราการไม่ตอบสูง ไม่
เหมาะที่จะใช้กับงานสามะโนหรือสารวจ วิธีแจงนับโดยทางไปรษณีย์มีข้อจากัดหลายประการ เช่น
(1) แบบสอบถามจะต้องไม่ยาวเกินไป
(2) ใช้ได้เฉพาะประเทศที่มีการไปรษณีย์ดี
(3) ผู้ตอบต้องมีการศึกษาดี อย่างน้อยต้องอ่านคาถามและคาชี้แจงเข้าใจ
(4) ต้องใช้เวลาคอยว่าจะได้รับแบบสอบถามคืนบางครั้งต้องมีการทวงถาม
5) วิธีการสังเกตการณ์ เป็นการเก็บข้อมูลเบื้องต้นโดยตรงจากปฏิกิริยาท่าทาง หรือ
เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะใดขณะหนึ่งแล้วจดบันทึกข้อมูลไว้โดยไม่มีการสัมภาษณ์ วิธีนี้ใช้กัน
อย่างแพร่หลายในการวิจัยเช่นจะศึกษาดูปฏิกิริยาของผู้ใช้รถบนท้องถนนภายใต้สภาพการจราจรต่างๆ ก็อาจ
ส่งเจ้าหน้าที่ไปยืนสัมภาษณ์
การสังเกตการณ์จานวนลูกค้าและบันทึกปริมาณการขายของสถานประกอบการหนึ่งๆ
โดยพนักงานเก็บภาษีของกรมสรรพากรซึ่งการไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการถึงปริมาณการขายของย่อมไม่ได้
ข้อมูลที่แท้จริง ข้อมูลที่เก็บมาได้ในกรณีนี้มิได้ใช้วิเคราะห์ในเชิงสถิติแต่ใช้เพื่อบริหารงานของกรมสรรพากร
โดยตรง
วิธีสังเกตการณ์วิธีหนึ่งที่อาจทาได้ คือ ให้ผู้ สังเกตการณ์เข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมที่
เกี่ยวกับเรื่องที่จะเก็บข้อมูล วิธีการนี้เรียกว่า Paticipation observation ใช้กันในงานวิจัยทางสังคมศาสตร์
เช่น การวิจัยเกี่ยวกับการเป็น ผู้นาของผู้ใหญ่บ้าน ผู้เก็บข้อมูลนี้จะต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ในฐานะ
ลูกบ้านคนหนึ่ง แม้แต่การวิจัยเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ก็เคยมีชาวต่างประเทศถึงกับลงทุนมาบวชเป็นพระ หรือมี
ส่วนร่วมในคณะสังเกตการณ์
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธี Paticipation observation นี้มีข้อจากัดบางประการ
เช่น ผู้สังเกตการณ์จะต้องเป็นนักวิจัยระดับสูง มีประสบการณ์และมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะวิจัยเป็นอย่างดี
อีกประการหนึ่งข้อมูลอาจจะมีความเอนเอียง (Bias) ได้ เพราะผู้สังเกตการณ์อาจมีบทบาทบางอย่างในสังคมที่
ตนสังเกตได้
การสังเกตการณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ การหยั่งคะแนนเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้สังเกตการณ์จะต้องไปนั่งสังเกตการณ์ในแหล่งชุมชน หรืออาจจะเป็นร้านกาแฟที่มี
การถกเถียงกันถึงผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น
6) วิธีการบันทึกข้อมูลจากการวัดหรือการนับ วิธีนี้จะมีอุปกรณ์เพื่อใช้ในการวัดหรือนับ
ตามความจาเป็นและเหมาะสม เช่นการนับจานวนรถยนต์ที่แล่นผ่ านจุดใดจุดหนึ่งก็อาจใช้เครื่องนับ โดยให้รถ
แล่นผ่านเครื่องดังกล่าว ตัวอย่างการเก็บข้อมูลด้วยการวัด เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขนาดของแปลง
พืชต่างๆ อาจจะวัดความยาวของด้านต่างๆ และวัดมุมเพื่อคานวณหาพื้นที่ตามหลักเกณฑ์การหาพื้นที่
การที่จะใช้วิธีการแจงนั บหรือวิธีการที่จะรวบรวมให้ได้ข้อมูลมาด้วยวิธีใดนั้นจะต้อง
พิจารณาถึงองค์ประกอบที่สาคัญ ดังนี้
(1) ลักษณะของข้อมูลที่จะต้องรวบรวม
(2) คุณภาพของข้อมูลที่จะได้ หรือระดับความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูลที่จะได้จาก
วิธีต่างๆ
(3) เวลาที่จะใช้ทั้งในการเก็บรวบรวมข้อมูลและการประมวลผล
(4) งบประมาณและกาลังแรงงานที่จะใช้
4.2 การนาเสนอข้อมูล
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้เป็นจานวนมาก จะต้องนามาจัดระเบียบให้อยู่ในรูปที่สามารถจะอ่านได้ง่าย
และรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ในการสามะโนประชากรของประเทศไทย ซึ่งเก็บข้อมูลประชากรทุกคนในประเทศ
ไทย ซึ่งมีกว่า 50 ล้านคน ถ้าเราอยากทราบว่าโครงสร้างอายุคนไทยเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีการนาข้อมูลมาจัด
ระเบียบ เราจะไม่สามารถทราบได้จากการดูข้อมูลที่บันทึกลงในแบบสอบถามว่า 50 ล้านฉบับที่ได้รับคืนมา
ดังนั้น จึงต้องนามาใบแบบสอบถามนั้นมาจัดระเบียบ แยกหมวดหมู่ แยกประเภท และนับจานวนในแต่ละ
ประเภท ซึ่งจะทาให้ได้ทราบถึงลักษณะต่างๆ ของประชากรในประเทศไทย การนาเสนอข้อมูลจาแนกได้เป็น 4
ประเภทคือ
1. การนาเสนอเป็นบทความ
2. การนาเสนอเป็นตาราง
3. การนาเสนอเป็นกราฟ
4. การนาเสนอเป็นรูปภาพ
ตัวอย่างตารางและส่วนประกอบ
ตาราง 4.1 ร้อยละของประชาชนจาแนกตามการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับปัญหาผู้มีอิทธิพล
การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับปัญหาผู้มี ทั่วประเทศ ภาค
อิทธิพล กรุงเทพ กลาง เหนือ ตะวันออก ใต้
มหานคร (เว้น กทม.) เฉียงเหนือ
รวม 100.0 100.0 100.0 100.0 100.0 100.0
มาก 13.1 15.9 14.6 12.9 11.5 11.4
ปานกลาง 47.8 52.5 47.9 47.5 47.2 44.8
น้อย 23.7 19.2 22.5 23.9 25.0 27.0
ไม่ได้ตดิ ตาม 15.4 12.4 15.0 15.7 16.3 16.8
แหล่งที่มา : สานักงานสถิติแห่งชาติ
วิธีการแจกแจงความถี่
การแจกแจงความถี่มี 2 วิธีคือ การแจกแจงความถี่โดยไม่จัดข้อมูลเป็นกลุ่ม (Ungrouped data)
และการแจกแจงความถี่โดยจัดข้อมูลเป็นกลุ่ม (Grouped data)
การแจกแจงความถี่โดยไม่จัดข้อมูลเป็นกลุ่ม วิธีนี้เหมาะสมสาหรับข้อมูลที่มีจานวนไม่มากนัก
ค่าสูงสุดและค่าต่าสุดของข้อมูลมีค่าไม่แตกต่างกันมากนัก ขอให้พิจารณาจากตัวอย่างต่อไปนี้
การสร้างตารางแจกแจงความถี่โดยไม่จัดข้อมูลเป็นกลุ่ม มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 เรียงคะแนนใหม่ตามลาดับจากคะแนนสูงสุดไปต่าสุด หรือจากคะแนนต่าสุดไปสูงสุดก็ได้
ขั้นที่ 2 เขียนคะแนนทั้งหมดให้ต่อเนื่องกันจากน้อยไปหามาก คือ จาก 12, 13, 14, 15, . . . , 19
ขั้นที่ 3 หารอยคะแนนโดยดูจากคะแนนดิบทีละคะแนนตามลาดับแล้วขีดรอยในช่องรอยคะแนนจนครบทุก
คะแนนเพื่อดูว่าคะแนนหนึ่งมีคนได้กี่คน ก็แสดงว่าคะแนนนั้นมีความถี่เท่านั้น
จากข้อมูลที่กาหนดสร้างตารางผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักศึกษา
คะแนน รอยคะแนน จานวนคะแนน (f)
12 ||| 3
13 |||| 5
14 |||| || 7
15 |||| |||| 9
16 |||| | 6
17 |||| 5
18 ||| 3
19 || 2
เรียกจานวนรอยขีดในแต่ละอันตรภาคชั้นว่า ความถี่ (Frequency) จากตารางจะเห็นว่า คะแนนทั้งหมดมี 40
จานวน โดยทั่วไปจะให้ N เป็นสัญลักษณ์แทนจานวนข้อมูลทั้งหมด นั่นคือ N = 3+5+7+9+6+5+3+2 = 40
การสร้างตารางแจกแจงความถี่โดยจัดข้อมูลเป็นกลุ่ม มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 หาคะแนนสูงสุดและคะแนนต่าสุด ซึ่งในข้อมูลชุดนี้คะแนนสูงสุดคือ 90 และคะแนนต่าสุด คือ 25
ขั้นที่ 2 หาผลต่างของคะแนนสูงสุดและคะแนนต่าสุด ซึ่งผลต่างนี้เรียกว่า "พิสัย"
ในข้อมูลชุดนี้พิสัยคือ 90 - 25 = 65
ขั้นที่ 3 กาหนดจานวนชั้นของคะแนน โดยปกติจานวนชั้นจะอยู่ระหว่าง 5 - 15 ชั้นจากข้อมูลชุดนี้ ถ้ากาหนด
จานวนชั้นเป็น 7 ชั้น เราก็จะหาขนาดความห่างของคะแนนแต่ละชั้นหรืออันตรภาคชั้นได้ดังนี้
พิสัย
ขนาดอันตรภาคชั้น =
90 25 จานวนชั้น
9.2 10
จากข้อมูลชุดนี้อันตรภาคชั้นเท่ากับ 7 ผลลัพธ์ที่ได้จากการหารพิสัยด้วยจานวนชั้นถ้าเป็น
เลขจานวนเต็มต้องบอกด้วย 1 แต่ถ้าเป็นทศนิยมจะต้องปัดขึ้นเป็นเต็มเสมอ ไม่ว่าตัวเลขหลังจุดทศนิยมจะ
น้อยกว่า 0.5 ก็ตาม เหตุผลที่ทาเช่นนี้ก็เพื่อให้ได้จานวนชั้นตามที่ต้องการ หากไม่บวกด้วย 1 หรือไม่ปัด
ทศนิยมขึน้ เป็นจานวนเต็มจะได้จานวนชั้นมากกว่าที่ต้องการ 1 ชั้น
ขั้นที่ 4 เขียนชั้นคะแนนจะเริ่มจากชั้นคะแนนต่าสุดไปหาชั้นของคะแนนสูงสุด หรือจากชั้นของคะแนนสูงสุด
ไปหาชั้นของคะแนนต่าสุดก็ได้ ในที่นี้จะเริ่มเขียนจากชั้นของคะแนนต่าสุดก่อนโดยจะเริ่มจากคะแนนต่าสุด
ของข้อมูลที่ 25 และอันตรภาคชั้นคือ 10 เพราะฉะนั้นจะต้องนับจาก 25 ไป 10 จานวน โดยเริ่มจาก 25, 26,
27, 28, 29, 30, 31, 32, 33, 34 ส่วนชั้นของคะแนนถัดขึ้นไปให้เพิ่มเท่ากับจานวนอันตรภาคชั้นคือ 25 + 10
และ 34 + 10 เพราะฉะนั้นชั้นของคะแนนถัดขึ้นไปคือ 35 - 14 ทาเช่นนี้เรื่อยไปจนถึงช่วงคะแนนที่คลุม
คะแนนสู งสุ ดในข้อมูล การกาหนดช่วงคะแนนชั้นต่าสุด อาจจะไม่เริ่มที่คะแนนที่มีค่าสูงสุ ดในข้อมูล การ
กาหนดช่วงคะแนนชั้นต่าสุด อาจจะไม่เริ่มที่คะแนนที่มีค่าน้อยที่สุดก็ได้ จะเริ่มที่คะแนนตัวใดนั้นมีหลักว่าใน
ชั้นแรกนี้จะต้องมีคะแนนที่มคี ่าน้อยที่สุดรวมอยู่ด้วย
ขั้นที่ 5 พิจารณาว่าคะแนนแต่ละจานวน จานวนใดอยู่ในช่วงคะแนนใด แล้วขีดลงในช่องรอยคะแนน โดยให้
หนึ่งขีดแทนคะแนน 1 จานวน ช่วงคะแนนใดที่ไม่มีรอยคะแนนในช่องนั้นจะมีความถี่เป็นศูนย์
ขั้น ที่ 6 จ านวนรอยคะแนนของแต่ล ะชั้นก็ คือความถี่ข องคะแนนในชั้นนั้ น ดัง ตารางผลการสอบวิช า
คณิตศาสตร์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1
คะแนน รอยคะแนน ความถี่
25 – 34 || 2
35 – 44 |||| ||| 8
45 – 54 |||| |||| |||| | 16
55 – 64 |||| |||| | 11
65 – 74 |||| |||| |||| 14
75 – 84 |||| 4
85 – 91 ||| 3
N = 50
คาศัพท์ที่เกีย่ วข้องกับการแจกแจงความถี่
ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่ มีคาศัพท์ที่ต้องทาความเข้าใจ ดังนี้
- อันตรภาคชั้น (Class nterval) คือช่วงคะแนนแต่ละช่วง เช่น 25 – 34, 35 – 44
- จานวนชั้นหรือจานวนอันตรภาคชั้น คือจานวนอันตรภาคชั้นทั้งหมดตั้งแต่ขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย
- ขีดจากัดชั้น (Class Limit) ในแต่ละอันตรภาคชั้นประกอบด้วยขีดจากัดล่าง (Lower limit) และ
ขีดจากัดบน (Upper limit)
เช่น อันตรภาคชั้น 25 – 34 ขีดจากัดล่างคือ 24.5 ขีดจากัดบน คือ 34.5
- ขีดจากัดที่แท้จริงหรือเขตชั้น (Real limit or Class boundary) คือตัวเลขที่เป็นค่ากึ่งกลาง
ระหว่างขีดจากัดบนและขีดจากัดล่างของชั้นติดกันเราจาเป็นต้องหาขีดจากัดที่แท้จริงเนื่องจากใน
อั น ตรภาพชั้ น ของแต่ ล ะชั้ น จะมี ช่ อ งว่ า งอยู่ ซึ่ ง โดยข้ อ เท็ จ จริ ง แล้ ว ข้ อ มู ล แต่ ล ะชั้ น จะมี ค่ า
ต่อเนื่องกัน
อันตรภาคชั้น เขตชั้น เขตชั้นล่าง เขตชั้นบน
25 – 34 24.5 – 34.5 24.5 34.5
35 – 44 34.5 – 44.5 34.5 44.5
- ขนาดอันตรภาคชั้น (size of colass interval) หรือความกว้างของอันตรภาคชั้น (I) หาได้จาก
ผลต่างของเขตชั้นบนกับเขตชั้นล่าง นั้นคือ ขนาดอันตรภาคชั้น (I) = เขตชั้นบน - เขตชั้นล่าง
- จุดกลางชั้น (Mid point) คือค่ากึ่งกลางระหว่างขีดจากัดล่างและขีดจากัดบน เช่น
94 85
89.5
จุดกลางชั้น 85 - 94 คือ 2
ข้อเสนอแนะในการสร้างตารางแจกแจงความถี่
คาปอน (Capon, 1988 : 22) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการสร้างตารางแจกแจงความถี่สรุปได้ ดังนี้
1) ตารางแจกแจงความถี่แต่ละตาราง ควรมีจานวนชั้นยู่ระหว่าง 5 ถึง 15 ชั้น เพราะถ้ามีจานวนชั้น
น้อยเกินไปจะทาให้สูญเสียลักษณะที่สาคัญของข้อมูลเดิม และถ้ามีจานวนชั้นมากเกินไปจะทาให้เสียเวลาใน
การสร้างและการคานวณเกินความจาเป็น
2) ขนาดอันตรภาคชั้นควรจัดให้มีค่าเป็น 2, 3, 5, 7, 9, 10, 15 หรือตัวคูณควบของ 5 ทั้งนี้เพื่อให้จุด
กลางชั้นเป็นเลขที่ลงตัว
3) ควรหลีกเลี่ยงอันตรภาคชั้นเปิด (Opend Class Interval) เพราะเราไม่สามารถคานวณหาจุดกลาง
ชั้นของชั้นที่มีอันตรภาคชั้นเปิดได้ ทาให้ไม่สามารถหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต หรือค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ และทา
ให้เกิดความยุ่งยากในการเขียนกราฟอีกด้วย
หมายเหตุ อันตรภาคชั้นเปิดคือ อันตรภาคชั้นซึ่งชั้นที่ 1 และ/หรือชั้นสุดท้ายขาดขีดจากัดชั้นล่าง และ/หรือ
ขีดจากัดชั้นบนตามลาดับ ดังตัวอย่าง
ขีดจากัดล่างของชั้นที่ 1 ไม่มี ขีดจากัดล่างของชั้นที่ 1 ขีดจากัดบนของชั้นสุดท้ายไม่มี
ขีดจากัดบนของชั้นสุดท้ายไม่มี
น้อยกว่า 5 น้อยกว่า 5 0–4
5–9 5–9 5–9
10 – 14 10 – 14 10 – 14
15 – 19 15 และมากกว่า 15 และมากกว่า
การแจกแจงความถี่สะสม
การแจกแจงความถี่สะสม คือการหาผลรวมของความถี่แต่ละชั้นต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นตามลาดับจาก
ชั้นที่มีค่าน้อยที่สุดไปหาชั้นที่มีค่ามากที่สุด หรือจากชั้นที่มีค่ามากที่สุดไปหาชั้นที่มีค่าน้อยที่สุด
ความถี่สะสมของชั้น ใด หมายถึงความถี่ของชั้นนั้นรวมกับความถี่ของชั้นอื่น ซึ่งมีค่าน้อยกว่าหรือ
มากกว่าค่าความถี่ของชั้นนั้น ความถี่สะสมในชั้นสุดท้ายจะเท่ากับจานวนข้อมูลเสมอ ความถี่สะสมจะบอกให้
ทราบถึงจานวนข้อมูลที่มีค่าต่ากว่าหรือสูงกว่าขีดจากัดชั้นที่แท้จริงแต่ละชั้นว่ามีจานวนเท่าใด การแจกแจง
ความถี่สะสมทาได้ 2 วิธี คือ
ความถี่สะสมแบบน้อยกว่า (Less than cumulative Frequency) เป็นการสะสมความถี่ของแต่ละ
ชั้นเข้าด้วยกัน จากชั้นที่มีค่าน้อยไปหาชั้นที่มีค่ามาก
ความถี่สะสมแบบมากกว่า (More than cumulative frequency) เป็นการสะสมความถี่เข้าด้วยกัน
โดยเรียงจากชั้นที่มีค่ามากไปหาชั้นที่มีค่าน้อย
ตัวอย่าง 4.4 ตารางแจกแจงความถี่สะสม
คะแนน ความถี่ ความถี่สะสมแบบน้อยกว่า ความถี่สะสมแบบมากกว่า
30 – 39 8 8 100
40 – 49 12 8+12 = 20 92
50 – 59 16 20+16 = 36 80
60 – 69 24 36+24 = 60 64
70 – 79 18 60+18 = 78 40
80 – 89 14 78+14 = 92 22
90 – 99 8 92+8 = 100 8
จากตารางแสดงว่า
ข้อมูลที่มีค่าต่ากว่า 29.5 มี 0 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าต่ากว่า 39.5 มี 8 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าต่ากว่า 49.5 มี 20 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าต่ากว่า 99.5 มี 100 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าสูงกว่า 99.5 มี 0 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าสูงกว่า 89.5 มี 8 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าสูงกว่า 79.5 มี 22 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าสูงกว่า 65.5 มี 40 จานวน
ข้อมูลที่มีค่าสูงกว่า 29.5 มี 100 จานวน
การแจกแจงความถี่โดยกราฟ
การแจกแจงความถี่ นอกจากจะแสดงในรูปตารางแล้ว เพื่อให้เห็นการกระจายของข้อมูลชัดเจนขึ้น
อาจแสดงโดยใช้กราฟก็ได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ
1) ฮิสโตแกรม (Histogram) คือแท่งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางเรียงติดต่อกันตามแกนนอนโดยความกว้าง
ของแต่ละแท่งกับขนาดอันตรภาคชั้นและความสูงของแต่ละแท่งเท่ากับความถี่ของแต่ละชั้น
ข้อสังเกต พื้นที่ทั้งหมดของแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะเท่ากับพื้นที่ทั้งหมดใต้รูปหลายเหลี่ยมแห่งความถี่การสร้าง
รูปหลายเหลี่ยมแห่งความถี่ อาจทาได้โดยไม่ต้องสร้างฮิสโตแกรมก่อนก็ได้ แต่สร้างโดยการลากเส้นตรงโยงจุด
ทุกจุดที่เกิดจากความถี่และจุดกึ่งกลางของแต่ละชั้น
3 7
4 2 8 9
5 3 5 7 8 9
6 0 2 2 3 4 5 6 8 9
7 0 1 2 3 4 5 5 6 7 7 8 8 9 9
8 0 0 1 3 4 4 5 6 7 8 9
9 0 0 2 3 5 8 9
d1 I
MO L
d1 d 2
ฐานนิยมพิจารณาได้จากคะแนนที่มีความถี่สูงสุด
ดังนั้น ฐานนิยมของข้อมูลชุดนี้คือ 3
สมบัติของฐานนิยม สมบัติของฐานนิยมเมื่อต้องการเลือกใช้หรือคานวณค่าฐานนิยมควรได้มีการ
พิจารณาตามสมบัติของฐานนิยม ดังนี้คือ
ข้อดีของฐานนิยม มี 2 ประการคือ
1) เป็นค่ากลางที่หาได้ง่ายที่สุด
2) ใช้เป็นค่ากลางได้กับข้อมูลที่มีระดับการวัดทุกมาตรา
ข้อเสียของฐานนิยม มี 3 ประการคือ
1) ค่าที่ได้มักไม่คงตัวคือมีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการจัดกลุ่มข้อมูล จัดอันตร
ภาคชั้น ซึ่งลักษณะของการกาหนดชั้นคะแนนจะมีผลกระทบโดยตรงต่อฐานนิยม
2) ข้อมูลบางชุดไม่สามารถหาฐานนิยมได้เนื่องจากไม่มีค่าของข้อมูลใดเลยที่ซ้ากัน หรืออาจมีค่า
ของข้อมูลที่ซ้ากันเกิน 3 ค่า (มีความถี่สูงสุดเท่ากันตั้งแต่ 3 ค่าขึ้นไป)
3) ในข้อมูลบางชุดอาจจะมีฐานนิยมมากกว่า 1 ค่า เช่นมีฐานนิยม 2 ค่าที่แตกต่างกัน
(Bimodal) คือมีความถี่สูงสุดเท่ากัน 2 ค่า
เรามักจะเลือกใช้ค่ากลางที่เป็นฐานนิยมสาหรับข้อมูลที่ต้องการค่ากลางที่แสดงถึงค่าของข้อมูล "ส่วน
ใหญ่" และฐานนิยมเป็นค่ากลางค่าเดียวที่เราเลือกใช้ได้สาหรับข้อมูลที่อยู่ในมาตรานามบัญญัติหรือข้อมูลเชิง
คุณภาพ เช่น การหาค่ากลางของการแจกแจงของสี เช่นสีพื้นผิวหรือสีของสินค้าเป็นต้น
2. มัธยฐาน (Median)
มัธยฐานคือค่าของข้อมูลที่มีตาแหน่งอยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมดเมื่อได้จัดเรียงแล้ว มัธยฐานจึงเป็น
ค่าของข้อมูลที่แบ่งข้อมูลชุดนั้นออกเป็น 2 ส่วน โดยมีจานวนข้อมูลที่มากกว่าและน้อยกว่าอยู่ประมาณร้อยละ
50 ของข้อมูลทั้งหมด นั่นคือ มัธยฐานเป็นค่ากลางที่มีพื้นฐานมาจาก "ตาแหน่งกึ่งกลาง" หรือเป็นค่าของข้อมูล
ในตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 นั่นเอง สัญลักษณ์ที่ใช้แทนมัธยฐานคือ M ed หรือ M d
การหามัธยฐานของข้อมูลที่ไม่ได้แจกแจงความถี่ นาข้อ มูลทั้งหมดมาเรียงจากน้อยไปหามากหรือจาก
มากไปหาน้อย มัธยฐานคือค่าของข้อมูลที่อยู่ตรงตาแหน่งกลางของข้อมูลทั้งหมด
ถ้าข้อมูลชุดหนึ่งมี N ค่าและจานวนข้อมูลมีจานวนเป็นคี่ มัธยฐานคือค่าของข้อมูลที่อยู่ตรงกลางและ
N 1
มีเพียงค่าเดียว ตาแหน่งของค่าของข้อมูลที่เป็นมัธยฐานคือ ตาแหน่งที่ 2
เมื่อข้อมูลมีจานวนเป็นคู่ มัธยฐานคือค่ากึ่งกลางของค่าของข้อมูลที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีสองค่า ตาแหน่ง
N N 1
ของค่าของข้อมูลที่เป็นมัธยฐานคือ ตาแหน่งที่ 2 และ 2 การหามัธยฐานก็ให้นาค่าของข้อมูลที่อยู่ตรง
ตาแหน่งกึ่งกลางทั้งสองค่านั้นบวกกันหารสอง
N
การหามัธยฐานของข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้วมัธยฐานจะอยู่ตรงตาแหน่งกึ่งกลางคือ 2 ดังนั้น
จะต้องหาชั้นที่คาดว่าจะมีมัธยฐานตกอยู่เสียก่อนโดยอาศัยตาแหน่งจากความถี่ สะสม การหาค่าของข้อมูลที่
เป็นมัธยฐานใช้สูตรดังนี้
N
2 fc
Md L I
f
x x x xN x i
x 1 2 3 i 1
N N
การหาเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลที่ไม่ได้แจกแจงความถี่
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนน = ผลรวมของคะแนนทั้งหมดทุกค่าหารด้วยจานวนคะแนน หรือ
N
x i
x i 1
N
ตัวอย่าง 4.15 จงหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลที่กาหนดให้ ต่อไปนี้
22 23 24 24 25 25 21 23 17 25 23 23 19 25 25 25
วิธีทา จากค่าเฉลี่ยเลขคณิต
N
x i
x i 1
N
จะได้ว่า
22 23 24 24 25 25 21 23 17 25 23 23 19 25 25 25
x 23.06
16
การหาเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
สาหรับข้อมูลที่มีการแจกแจงความถี่ ในการหาผลรวมของคะแนน จะต้องมีการหาผลรวมราย
คะแนนก่อน แล้วจึงหาผลรวมของคะแนนทั้งหมด และถ้าในกรณีที่เป็นการแจกแจงความถี่แบบจัดชั้นคะแนน
เราจะใช้จุดกลางชั้นคะแนนเป็นตัวแทนของคะแนนทั้งชั้น เพื่อคานวณค่าเฉลี่ย นั่นคือ เราจะได้ว่า
f x f x f x f N xN fx i i
x 1 1 2 2 3 3 i 1
f1 f 2 f3 f N n
f
i 1
i
i 1
fi 60 fx
i 1
i i 2, 215
7
fx i i
x i 1
7
วิธีทา จากสูตรการคานวณค่าเฉลี่ย f
i 1
i
7 7
จากตารางโจทย์จะเห็นได้ว่า
i 1
fi xi 2, 215
และ
f
i 1
i 60
2, 215
x 36.916
จะได้ว่า 60
ดังนั้น ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดนี้ คือ 36.916
G.M . n x1 x2 x3 xN
1 1 1
, ,
ตัวอย่าง 4.18 จงหา H .M . ของข้อมูลที่กาหนดให้ 2 4 6
3
H .M . 3
1
x
วิธีทา จากสูตรการคานวณค่าเฉลี่ยเรขาคณิต i 1 i
3
H .M . 0.25
จะได้ว่า 246
ดังนั้น ค่าเฉลี่ยฮาร์โมนิคของข้อมูล คือ 0.25
สมบัติของค่าเฉลี่ย
1) ในการเลือกใช้ค่าเฉลี่ย ให้พิจารณาตามลักษณะของข้อมูล ว่าเป็นลาดับแบบใดเพื่อช่วยให้ได้
ค่าเฉลี่ยที่สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลชุดนั้นๆ ลาดับที่กล่าวถึงแล้วนั้นมีลักษณะดังนี้
ลาดับเลขคณิต คือ ลาดับของตัวเลขที่แต่ละเทอมเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ภายใต้กฎเกณฑ์
ที่ว่า "ผลต่างระหว่างเทอมใดๆ กับเทอมที่อยู่ถัดไป จะมีค่าเท่ากันเสมอตลอดลาดับ"
ลาดับเรขาคณิต คือ ลาดับของตัวเลขที่แต่ละเทอมเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ภายใต้กฎเกณฑ์
ที่ว่า "อัตราส่วนระหว่างเทอมใดๆ กับเทอมที่อยู่ถัดไป จะมีค่าเท่ากันเสมอตลอดลาดับ"
ลาดับฮาร์ มอนิ ค เป็ นส่ว นกลับ ของลาดับเลขคณิต ส่วนใหญ่แล้วค่าของข้อมูลในชุดข้อมูล ใดๆ
มักจะไม่เป็นไปตามลักษณะของลาดับโดยสมบูรณ์ ให้ใช้เกณฑ์การตัดสินว่าเป็นลาดับแบบใดโดยอนุโลม เช่น
คะแนน 11 14 15 16 16 17 ก็อนุโลมว่าเป็นลาดับเลขคณิต เป็นต้น
2) ค่าเฉลี่ย เป็นค่ากลางที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าข้อมูลแต่ละตัวในชุดข้อมูล
มากที่สุด ทั้งนี้ เพราะค่าเฉลี่ยนั้นคานวณมาจาก "ข้อมูลทุกตัว" ในชุดข้อมูล
3) ค่าเฉลี่ยถือได้ว่าเป็นจุดสมดุลของการกระจายของข้อมูลชุดนั้น (ลักษณะเดียวกันกับจุดหมุน) นั่น
คือ เราจะพบว่า ผลรวมระยะห่างระหว่างข้อมูลใดๆ กับค่าเฉลี่ยจะมีค่าเป็นศูนย์
4) ในกรณีที่เราต้องการค่ากลางที่สามารถแสดงถึงผลรวมของข้อมูลได้ด้วย เราต้องเลือกใช้ค่าเฉลี่ย
เนื่องจาก
ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด
ค่าเฉลี่ย = จานวนข้อมูล
ดังนั้น ผลรวมของคะแนนทั้งหมด = ค่าเฉลี่ย x จานวนข้อมูล
5) ค่าเฉลี่ยเป็นค่ากลางที่สามารถใช้คานวณได้ แม้ว่าข้อมูลจะมีลักษณะเป็นลาดับเลขคณิต หรือ
พีชคณิต ในขณะที่ค่ากลางอื่นๆ ทาไม่ได้
6) ในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์ค่าสถิติในระดับสูงต่อไป ควรเลือกใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิตเพราะเป็นค่ า
กลางที่มีค่าแปรปรวนต่าสุดในกรณีที่มีการสุ่มตัวอย่างมาศึกษา
ในกรณีที่ไม่ปรกติอื่น ๆ เช่นโค้งความถี่แบบสองยอดที่มีค่ากลางสองค่าคือมัชฌิมเลขคณิตเท่ากับมัธย
ฐาน และมีฐานนิยม 2 ค่า ความสัมพันธ์ระหว่างค่ากลางทั้งสามเป็นดังภาพ
N 1
โดยที่ ตาแหน่งควอไทล์ที่ 1 คือ ตาแหน่งที่ 4
3 N 1
ตาแหน่งควอไทล์ที่ 3 คือ ตาแหน่งที่ 4
x x i
A.D. i 1
N
x i
x i 1
วิธีทา หาค่ามัชฌิมเลขคณิต ( x ) จาก N
63 7 45
x 5
จะได้ว่า 5
N
x x i
A.D. i 1
ต่อไปหาส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย ( A.D. ) จาก N
x x
N 2
i
i 1
N
แต่ถ้าข้อมูลจัดกลุ่มไว้แล้วส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คานวณได้จากสูตร
2
n
n
f x fi xi
2
i i
i 1
i 1n
n
i 1
fi fi
i 1
x i
x i 1
วิธีทา หาค่ามัชฌิมเลขคณิต ( x ) จาก N
63 7 45
x 5
จะได้ว่า 5
x x
N 2
i
i 1
ต่อไปหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) จาก N
6 5 3 5 7 5 4 5 5 5
2 2 2 2 2
1.41
จะได้ว่า 5
ดังนั้น ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.41
สมบัติของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
1. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แสดงถึงตาแหน่งของข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของชุดข้อมูล
ได้ดีที่สุด
2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยขึ้นอยู่กับการเพิ่มเข้ามาหรือการขาดหายไป
หรือค่าที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงของข้อมูลแต่ละตัวมากที่สุด
3. ในกรณีที่ข้อมูลมีจานวนน้อยๆ หรือลักษณะการแจกแจงมีความเบ้มากๆ การใช้ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานในการวัดการกระจายของข้อมูลชุดนั้นจะไม่ค่อยดี
4. โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเลือกใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มักจะเลือกใช้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อใช้อธิบาย
การกระจายของข้อมูลควบคู่กัน
5. ความแปรปรวน (Variance; V , 2 )
ความแปรปรวน เป็นกาลังสองของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลชุดเดียวกัน นั่นคือ
x x
N 2
i
2 i 1
N
ความแปรปรวนกับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะมีที่มาและสมบัติเหมือนกัน เพียงแต่ค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจะบอกความแตกต่างของข้อมูลเป็นขนาดหรือระยะห่าง ในขณะที่ความแปรปรวนจะบอกในลักษณะ
พื้น ที่ โดยทั่ว ไปเรามักใช้ส่ ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐานในการบรรยายข้อมูล และมั กใช้ความแปรปรวนในการ
วิ เ คราะห์ เ ปรี ย บเที ย บข้ อ มู ล ในการอนุ ม านทางสถิ ติ เช่ น การวิ เ คราะห์ ค วามแปรปรวนของข้ อ มู ล เพื่ อ
เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3 กลุ่มขึ้นไปเป็นต้น
กิจกรรมที่ 4.1
การออกแบบเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ชื่อ.......................................................รหัสประจาตัวนักศึกษา............................สาขาวิชา..................................
แบบสอบถามความพึงพอใจ
เรื่อง ............................................................................................................................. ......................................
..............................................................................................................................................................................
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
1. เพศ
1)
2)
2. อายุ
3.
4.
5.
ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับ............................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
คาชี้แจง............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................. .............................
5 4 3 2 1
1.
กิจกรรมที่ 4.2
การเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูล
ชื่อ.......................................................รหัสประจาตัวนักศึกษา............................สาขาวิชา..................................
ตอนที่ 2 ข้อ1 ข้อ2 ข้อ3 ข้อ4 ข้อ5 ข้อ6 ข้อ7 ข้อ8 ข้อ9 ข้อ10 ข้อ11 ข้อ12 ข้อ13 ข้อ14 ข้อ15
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
กิจกรรมที่ 4.3
การวิเคราะห์ข้อมูล
ชื่อ.......................................................รหัสประจาตัวนักศึกษา............................สาขาวิชา..................................
การหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ข้อคาถามที่ 1
x f fx fx2 ค่าเฉลี่ย = =
5
4 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = √
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 2
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 3
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 4
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 5
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 6
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 7
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 8
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 9
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 10
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 11
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 12
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 13
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 14
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
ข้อคาถามที่ 15
x f fx fx2
5
4
3
2
1
รวม
กิจกรรมที่ 4.4
การรายงานผลการประเมินความพึงพอใจ
ชื่อ.......................................................รหัสประจาตัวนักศึกษา............................สาขาวิชา..................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ตอนที่ 2 ............................................................................................................................................................ ...
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
รายการ ค่าเฉลี่ย S.D.
1.
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................