Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 6

บทที่สี่

สัจธรรมอันสู งสุ ดอยู่ที่ไหน ?


หากพระนิพพานอยู่ตรงหน้าเราเหมือนกับภาพสามมิตทิ ซ่ี ่อนเร้นอยู่แล้วละก็ สัจธรรมอันสูงสุดก็อยู่
ทีเ่ ดียวกันกับพระนิพพาน เพราะเป็ นสิง่ เดียวกัน การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายนัน้ ผูอ้ ่านจะต้องไม่ลมื
เรื่องเส้นผมบังภูเขา สิง่ แรกสุดทีต่ อ้ งทาเพือ่ ง่ายต่อการเข้าใจคือ การเปลีย่ นคาจาก สัจธรรม เป็ น
่ คาว่า truth หรือ reality และจะขอสงวนคาว่า “อันสูงสุด” เอาไว้ก่อน จะพูดเรื่อง
ความจริง ฝรังใช้
ความจริงเฉย ๆ

ในขณะนี้ขอผูอ้ ่านอย่าเพิง่ คิดไกลจนเลยเถิดไปถึงเรื่องสภาพความเป็ นจริงของสังคมอันเนื่องกับ


ปั ญหาต่าง ๆ หรือ การค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือ การพูดความจริงอะไรทานองนัน้
ขอให้ทุกคนมองให้ใกล้กว่านัน้ ใกล้ถงึ ขนาดว่า “ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ” ใครจะทาอะไรอยู่ทไ่ี หนก็
ตาม ไม่สาคัญ ขอให้ทุกคนมองไปรอบ ๆ ตัว สิง่ ทีเ่ ราเห็นทีน่ ่ใี นขณะนี้ เดีย๋ วนี้ คือความเป็ นจริงใช่
หรือไม่ มันจริงเพราะเป็ นสิง่ ทีเ่ ห็น ๆ กับตานี่แหละ มันจะมีอะไรทีจ่ ริงมากว่านี้หรือไม่ แต่คนเรา
ไม่ใช่สามารถเห็นอย่างเดียว นอกจากเห็นลักษณะของรูปและสีสรรค์ต่าง ๆ แล้ว คนเรายังสามารถ
ได้ยนิ เสียงต่าง ๆ ดมกลิน่ ต่าง ๆ ชิมรสต่าง ๆ และยังได้รสสัมผัสต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ใช่หรือไม่
ฉะนัน้ รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัส ทีเ่ รามีอยู่ในขณะนี้ เดีย๋ วนี้ คือความเป็ นจริงทีเ่ ราสามารถสัมผัส
ได้จริง ๆ ไม่ใช่เป็ นเรื่องการคิดนึกหรือเพ้อฝันใด ๆ ทัง้ สิน้ หากเรากาลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งทีเ่ ต็ม
ไปด้วยดอกทิวลิปสีแดงอร่ามสวยงามเต็มทุ่ง และมีคนมาบอกว่า นี่มใิ ช่เป็ นทิวลิป แต่เป็ นลูกหมา
พันธุป์ ั กกิง่ ขนปุกปุยนังกั
่ นเต็มทุ่ง เราก็รวู้ ่า ไม่จาเป็ นต้องมานังเถี
่ ยงกับคนบ้า เพราะเห็น ๆ กันอยู่
ว่ามันคืออะไรกันแน่ หรือ เรากาลังนังฟั ่ งเพลงโปรดของเรา มีคนมาบอกว่านี่มใิ ช่เสียงเพลงแต่ เป็ น
เสียงเครื่องบิน เราก็รอู้ กี ว่าไม่ตอ้ งเถียง หรือ เรากาลังลูบไล้ความอ่อนนุ่มของเสือ้ ไหมพรมตัวใหม่
แต่มคี นมาบอกว่าสัมผัสแล้วมันลื่นเหมือนพลาสติค เราก็รอู้ กี เช่นกันว่า ไม่ตอ้ งเถียงให้เสียเวลา

ฉะนั้น โลกที่อยูข่ า้ งหน้าเราที่สามารถสัมผัสได้ดว้ ยประสาททั้งห้านี่แหละคือ


โลกแห่งความเป็ นจริ ง ใช่หรื อไม่ สิ่ งที่เราสัมผัสไม่ได้จึงยังไม่ใช่ความจริ ง
เช่น เรากาลังอยูใ่ นห้องน้ าทาธุรกิจส่ วนตัว ความเป็ นจริ งคือ สิ่ งที่เราสัมผัส
ได้ดว้ ยประสาททั้งห้าที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราที่นี่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คือ เห็นกาแพง
สามด้านพร้อมประตูหนึ่งบาน อ่างอาบน้ า ตุ่มใส่ น้ า ฝักบัว โถส้วม กระจก

53
ฯลฯ สิ่ งที่ดมได้ในขณะนั้นคือกลิ่น เช่นกลิ่นสบู่ กลิ่นของแชมพูสระผม กลื่น
น้ าหอม กลิ่นปัสสวะหรื ออุจจาระ เป็ นต้น เสี ยงในขณะนั้นคือเสี ยงของน้ า
ฝักบัว หรื อ เสี ยงการตักน้ าจากตุ่มราดตัว ใครมีวิทยุก็รวมเสี ยงเหล่านั้น
เป็ นต้น รสในขณะนั้นก็คงเป็ นแต่รสของน้ าลาย ยาสี ฟัน น้ ายาบ้วนปาก
นอกจากว่าใครเอาของเข้าไปกินในห้องน้ าด้วย ส่วนความรู ้สึกจากกการ
สัมผัสก็เกี่ยวเนื่องกับน้ าที่รดตัวบ้าง เนื่องกับการถูสบู่บา้ ง เนื่องกับการเอา
ผ้าเช็ดตัวบ้าง และที่แน่นอนคือ ความรู ้สึกของฝ่ าเท้าที่ยนื บนพื้นของห้องน้ า
เป็ นต้น ประสบการณ์เหล่านี้ อนั เนื่องกับประสาทสัมผัสทั้งห้านั้นคือโลกแห่ง
ความเป็ นจริ ง truth หรื อ reality ของเราในขณะนั้น ๆ สิ่ งที่นอกเหนือจากนั้น
เป็ นความคิดทั้งสิ้ น

ความคิดเหล่านั้นถึงแม้จะเป็ นข้อเท็จจริ ง fact สักแค่ไหนก็ไม่นบั ว่าเป็ นความ


จริ ง truth หรื อ reality ในความหมายที่กาลังพูดถึงนี้ จุดนี้เป็ นเรื่ องเส้นผมบัง
ภูเขาที่ทุกคนต้องพยายามเข้าใจอย่างถ่องแท้หากต้องการเข้าใจเรื่ องสัจ
ธรรมอันสูงสุดหรื อพระนิพพาน ฉะนั้น ข้อเท็จจริ ง fact ที่วา่ มีหอ้ งนอนอยูต่ ิด
ห้องน้ า มีห้องนัง่ เล่นอยูข่ า้ งล่าง มีลูกกาลังดูโทรทัศน์ในห้องนัง่ เล่น ถึงแม้
จะเป็ นเหตุการณ์ในขณะนั้น เดี๋ยวนั้นก็ตาม นั้นมิใช่เป็ นความจริ ง truth หรื อ
reality ที่สัมผัสได้ดว้ ยประสาททั้งห้าเสี ยแล้ว แต่เป็ นข้อเท็จจริ ง fact ที่เกิดจาก
การคิดจากความทรงจาซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนได้ คือ อาจจะเป็ นเท็จ false
หรื อ จริ ง true ก็ได้ ในขณะที่เราอยูใ่ นห้องน้ า ลูกเราอาจจะอยูใ่ นครัวกิน
ขนมและไม่ได้ดูโทรทัศน์อย่างที่เราคิด ฉะนั้น การคิดเรื่ องที่ไกลออกไปอีก
เช่น คิดถึงลูกที่อยู่โรงเรี ยน คิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้หรื อเมื่อกี้น้ ี หรื อคิด
ว่าพรุ่ งนี้จะทาอะไร คิดว่าคนอื่นกาลังทาอะไรคิดอะไร โดยเฉพาะการนัง่ คิด
ใคร่ ครวญถึงความรู ้ต่าง ๆ ในตารับตารา เช่น คิดถึง ระบบสุริยจักรวาล พระ
อาทิตย์ พระจันท์ ดาวพระเคาระห์ต่างๆ อุกาบาต ดาวหาง ตลอดจนถึงแก
แลกซี่อื่น ๆ สิ่ งเหล่านี้ถึงแม้จะเป็ นข้อเท็จจริ งแต่มนั ไม่ใช่เป็ นความจริ ง truth
หรื อ reality ในความหมายที่กาลังพูดถึงนี้ท้ งั สิ้ น มันไม่จริ งเพราะเราไม่
สามารถสัมผัสได้ดว้ ยประสาททั้งห้าที่นี่ในขณะนี้และเดี๋ยวนี้ ผูท้ ี่อยากจะ
เข้าใจความจริ งอันสูงสุดที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว จะต้องสามารถมอง

54
ความหมายของความจริ งในระดับนี้ให้ออกก่อน จะเห็นว่ามันเป็ นเรื่ อง
หญ้าปากคอก ใกล้ตวั และง่ายที่สุดจนเรานึกไม่ถึงว่ามันแค่น้ ีเอง เป็ นเรื่ อง
เส้นผมบังภูเขาจริ ง ๆ คนที่มองออกจะรู ้และเข้าใจว่า ความจริ งใน
ความหมายนี้คือ ความจริ งที่เคลื่อนไปกับตัวเราตลอดเวลา หรื อพูดให้ชดั
เข้าไปอีก คือความจริ งที่เคลื่อนไปกับประสาทสัมผัสทั้งห้านัน่ เอง การมีตวั
เราก็คือการมีประสาทสัมผัสทั้งห้า มิเช่นนั้นแล้วจะไม่เป็ นที่นี่ขณะนีแ้ ละ
เดี๋ยวนี้ เมื่อเราออกจากห้องน้ า เข้าห้องนอนแต่งตัว เรื่ องราวในห้องน้ าเมื่อ
กี้น้ ี ถึงแม้จะจริ งอย่างไรก็ตาม ก็ไม่นบั ว่าเป็ นจริ งเสี ยแล้ว เพราะไม่ได้อยู่
ตรงหน้าเราในขณะนี้และเดี๋ยวนี้ ความจริ งตรงหน้าเราเปลี่ยนอีกแล้ว มันคือ
ห้องนอน และทุกอย่างในห้องนอนที่เราสัมผัสได้ดว้ ยประสาททั้งห้า เมื่อเรา
ออกจากห้องนอน เดินลงกระได ห้องนอนจึงเป็ นอดีตที่เพ้อฝันไปแล้ว ไม่ใช่
ความจริ งเสี ยแล้ว สิ่ งที่จริ งก็คือสิ่ งที่เราเห็นสัมผัสได้ในขณะที่ลงกระได นี่
แหละคือความจริงที่เคลื่อนไปกับตัวเราที่อยู่ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ
นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่เป็ นความจริ ง ฉะนั้น ปัจจุบนั ขณะจะเปลี่ยนหรื อ
เคลื่อนไปเรื่ อยอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนกับเข็มวินาทีของนาฬิกาแบบที่ไม่มี
การหยุดเลย

เมื่อเข้าใจความจริงในระดับพืน้ ฐานนัน้ แล้ว ก็จะสามารถโยงสูค่ าว่า รูป Rupa ของพระพุทธเจ้าได้


ขอให้เข้าใจว่า รูป ในความหมายของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายแค่กายเนื้อของเราเท่านัน้ แต่รวมถึง
ทุกอย่างอันเป็ นสิง่ ต่อเนื่องทีก่ ายเนื้อนี้สมั ผัสได้ดว้ ยประสาททัง้ ห้า ตา หู จมูก ลิน้ และ กายนัน้ เป็ น
เหมือนสะพานทีเ่ ชื่อมจักรวาลภายในคือใจกับจักรวาลภายนอก คือ รูป1 เสียง กลิน่ รส และสัมผัส
ความหมายของคาว่า รูป โลก จักรวาล มหาสมุทร ของพระพุทธเจ้านัน้ มีความหมายเหมือนกันหมด
คือ รูปหรือภาพและสีทุกอย่างทีเ่ ห็นได้ดว้ ยตา เสียงทุกเสียงทีไ่ ด้ยนิ ด้วยหู กลิน่ ทุกกลิน่ ทีด่ มได้ดว้ ย
จมูก รสทุกรสทีล่ ้มิ ได้ดว้ ยลิ้น และสัมผัสทุกอย่างทีส่ มั ผัสได้ทางผิวหนัง นี่คอื ความหมายของคาว่า
รูป ของพระพุทธเจ้าทีค่ รอบคลุมทุกอย่างในจักรวาล ไม่มอี ะไรเล็ดรอดไปได้ ฉะนัน้ มหาสมุทรที่
เป็ นห้วงน้ าอันมหึมา หรือจักรวาลทีม่ ดี วงดาวระยิบระยับจึงเป็ นเพียงรูปหนึ่ง sight ในรูปอัน
หลากหลายนับไม่ถว้ นทีเ่ ราสัมผัสได้ดว้ ยตาเท่านัน้ สิง่ ทีเ่ ราสัมผัสได้ดว้ ยประสาททัง้ ห้าเหล่านี้น่ี

1 รู ป ในที่น้ ีใช้ในความหมายย่อย คือหมายถึงเฉพาะภาพทุกภาพที่เห็นได้ดว้ ยตา


เท่านั้น ฝรั่งเรี ยกว่า sight หรื อvision ซึ่งมีความหมายต่างจาก รู ป ในความหมายใหญ่ซ่ ึง
รวม รู ป (ในความหมายย่อย) เสียง กลิ่น รส และสัมผัส

55
แหละคือทีป่ ระกอบขึน้ มาเป็ นโลกหรือจักรวาลทีอ่ ยู่หน้าเรา ฉะนัน้ คาว่ารูป โลกกับจักรวาลของ
พระพุทธเจ้า2จึงมีความหมายเหมือนกันซึง่ พระพุทธเจ้าได้ใช้แทนกันในบางโอกาส ฉะนัน้ เมื่อเอา
ความหมายของรูปหรือจักรวาลมาต่อเนื่องกับความจริงทีพ่ ดู ถึงเบือ้ งต้นแล้ว เราจะเห็นตัวร่วม คือ
ความจริง truth หรือ reality ในความหมายทีอ่ ธิบายเบือ้ งต้นนัน้ มี ความหมายเดียวกับคาว่า รูป
โลก หรือ จักรวาลของพระพุทธเจ้านันเอง ่ ฉะนัน้ บางครัง้ พระพุทธเจ้าจะตรัสแก่สาวกของท่านว่า
หากเข้าใจ รูป เท่านัน้ ก็จะเข้าใจพระนิพพาน

ฉะนัน้ วลีทว่ี ่า ความจริงของจักรวาร พระพุทธเจ้าจึงมิได้หมายถึงการนังจรวดขึ่ น้ ไปในท้องฟ้ าเพือ่


ออกไปค้นหาความจริงอย่างทีน่ กั วิทยาศาสตร์ทากันจนเกร่อ ความจริงของจักรวาลคือทุกสิ่งทีเ่ รา
กาลังเห็นและสัมผัสได้ดว้ ยประสาททัง้ ห้าของเราที่นี่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ น่แี หละ ไม่ว่าจะเป็ นห้องน้ า
่ นเล็ก ๆ หรือสวนเล็กๆ ของเรา สิง่ ทีอ่ ยู่ขา้ งหน้าเราในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คือ
กระได ห้องครัว ห้องนังเล่
ความจริงของจักรวาล

“ความจริงของจักรวาล” เมื่อเราสามารถเข้าใจความหมายทีแ่ ท้จริงของมันได้แล้ว เราก็เอาคาว่า


อันสูงสุด มาเติมเข้าไป หากความจริงของจักรวาลอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ความจริงอันสูงสุดของ
จักรวาล หรือสัจธรรมอันสูงสุดก็ตอ้ งอยู่ตรงหน้าเรานี่เองเหมือนกัน มันจะไปอยู่ทอ่ี ่นื ไม่ได้ เรื่องทีจ่ ะ
เล่าต่อไปนี้อาจจะทาให้ผทู้ ม่ี ธี ุลใี นดวงตาแต่น้อยเข้าใจเรื่องสัจธรรมอันสูงสุดได้ทนั ที

อาจารย์โกวิท เขมานันทะซึง่ เป็ นอาจารย์ผมู้ พี ระคุณอันใหญ่หลวงต่อดิฉนั ในสมัยทีท่ ่านยังเป็ น


พระภิกษุอยู่ทเ่ี กาะหาดทรายแก้ว จังหวัดสงขลานัน้ มีเด็กชายคนหนึ่งอายุราว๗-๘ ขวบ มาถาม
ท่านอาจารย์ว่า “หลวงลุง ทาไมทุกอย่างจึงมีช่อื เล่าครับ” บางท่านฟั งดูแล้วอาจจะเห็นเป็ นคาถาม
ซื่อ ๆ ของเด็ก ๆทีไ่ ร้เดียงสา จึงเป็ นคาถามทีไ่ ร้สาระ บางคนอาจจะคิดเลยเถิดไปว่า ถามอะไรโง่ ๆ
เช่นนัน้ ทุกอย่างมันก็ตอ้ งมีช่อื เรียก ทีจ่ ริงแล้วคาถามซื่อ ๆ โง่ ๆ ของเด็กชายคนนี้ กลับกลายเป็ น
คาตอบทีเ่ ป็ นแก่นแท้ของศาสนาพุทธ พูดให้ตรงจุดคือ เด็กคนนี้สามารถเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของ
จักรวาลได้ เขาเห็นทุกอย่างตามทีม่ นั เป็ นจริง เมื่อใครสามารถเห็นทุกอย่างตามความเป็ นจริงได้
แล้ว เขาจะไม่เห็น ”ชื่อ” อันเป็ นสิง่ สมมุตขิ น้ึ มาใช้เพือ่ การสือ่ สาร และนี่คอื ประสบการณ์ทเ่ี ด็กคนนี้
ได้พบ คือความทีท่ ุกอย่างไม่มชี ่อื ในตัวของมัน เขาจึงแปลกใจว่าทาไมผูใ้ หญ่จงึ ตัง้ ชื่อให้กบั ทุกอย่าง

2ขอให้ผอู ้ ่านเข้าใจว่าดิฉนั ได้อ่านความหมายของคาว่า รุ ป โลก จักรวาล มหาสมุทร


ในพระไตรปิ ฏกมาก่อน และเข้าใจถึงความหมายที่พระพุทธเจ้าต้องการจะสื่ อ เมื่อเขียน
มาถึงจุดนี้ ดิฉนั จึงพูดอย่างเอาใจความและเพื่อสื่ อความหมายที่ถูกต้องเท่านั้น จึงไม่
สามารถอ้างว่าอ่านจากพระไตรปิ ฏกเล่มไหน เพราะไม่มีเวลาที่จะค้น

56
เพราะสิง่ ทีเ่ ขาเห็นนัน้ มันไม่มชี ่อื เด็กคนนี้เห็นความจริงของธรรมชาติหรือ ธรรมสัจจะ นันคื
่ อความ
เป็ นอย่างนัน้ เอง หรือ ตถตา ความทีไ่ ม่มอี ะไรผิดจากความเป็ นอย่างนัน้ เอง อนัญถตา ความจริงใน
ระดับนี้แหละทีพ่ ระพุทธเจ้าเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด แต่มไิ ด้หมายความว่าเขารูว้ ่ามันคืออะไร


เปรียบเหมือนกับชาวป่ าทีไ่ ม่เคยเข้าเมืองและไม่รคู้ ุณค่าของทอง ถึงแม้เขาจะกินนอนอยู่บนผืนดินที่
เต็มไปด้วยทอง ทัง้ ๆ ทีเ่ ขาเห็น แต่เขาก็ไม่รวู้ ่ามันคืออะไร ฉันใดก็ฉนั นัน้ การเห็นกับการรู้ว่า
อะไรเป็ นอะไรเป็ นสองขัน้ ตอนที่แตกต่างกัน เมื่อเห็นแล้วจะต้องมีญานทีม่ าบอกให้รวู้ ่านี่คอื สัจ
ธรรมอันสูงสุด ญานนี้จะเกิดได้กต็ ่อเมื่อมีการเดินตามแห่งองค์อริยมรรคอันเริม่ ต้นด้วยความ
เห็นชอบและจบลงด้วยการทาสมาธิ ดังนัน้ ถึงแม้เด็กคนนี้เห็นสัจจธรรมอันสูงสุด แต่เป็ นการเห็นที่
ยังอยู่ในแวดวงของความไม่รหู้ รืออวิชชา เมื่อไม่รู้ เขาจึงไม่รูจ้ กั รักษาสิง่ ทีเ่ ขาเห็น เมื่อโตขึน้ เรียนรู้
ทางโลกมากขึน้ ความคิดเริม่ ซับซ้อน และสิง่ ทีเ่ ขาเคยเห็นคือสภาวะทีท่ ุกอย่างไม่มชี ่อื นัน้ ก็ค่อย ๆ
จืดจางและหายไปในทีส่ ุด อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเด็กชายผูน้ ้คี ล้ายคลึงหรือจะเรียกว่า
เหมือนก็ไม่ผดิ นักกับสิง่ ทีพ่ ระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนแก่พาหิยะเมื่อครัง้ ทีพ่ าหิยะรูส้ กึ รีบร้อนใคร่ อยากรู้
แก่นธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าเป็ นทีส่ ุดทัง้ ๆ ทีท่ ่านบอกให้พาหิยะคอยก่อนถึงสองครัง้ เพราะ
ท่านกาลังนาสาวกเดินบิณฑบาตรอยู่ แต่ในทีส่ ุด พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พาหิยะว่า

พาหิยะ ขอให้ เธอทาอย่างนี้นะ เมื่อเห็นก็สักแต่ ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็


สักแต่ ว่าได้ยิน เมื้อได้กลิ่นก็สักแต่ ว่าได้กลิ่น เมื่อลิ้มรสก็สักแต่ ว่ารู้
รส เมื่อสัมผัสก็สักแต่ ว่ารู้สัมผัส เมื่อเธอทาสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว พระ
นิพพานจะอยู่ไม่ ไกลจากเธอเลย
พาหิยะเมื่อฟั งจบก็ตรัสรูเ้ ป็ นพระอรหันต์ทนั ทีเพราะเกิดญาน ฉะนัน้ ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรม
อันสูงสุด แต่เขาก็มไิ ด้เป็ นพระอริยบุคคลแต่อย่างใดเพราะความรูย้ งั ไม่เกิด

ทีเ่ ล่าเรื่องนี้เพราะดิฉันต้องการให้ผอู้ ่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า สัจธรรมอันสูงสุดเป็ นสิง่ ทีค่ น


ธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ สามารถเห็นได้เหมือนกับทีเ่ ด็กคนนี้ได้เห็นมาแล้ว นี่แหละทีด่ ฉิ นั ได้
อธิบายในบทก่อนว่าเหมือนกับภาพสามมิตทิ ซ่ี ่อนอยู่ในภาพสองมิติ แต่คนส่วนมากก็มองไม่เห็น
เด็กคนนี้สามารถเห็นได้ เพราะความคิดความทรงจาของเด็กมีน้อยและไม่ซบั ซ้อนมากเท่ากับผูใ้ หญ่
เขาจึงสามารถเห็นความไม่มชี ่อื ของสรรพสิง่ ได้งา่ ย คือเห็นทุกอย่างตามทีม่ นั เป็ นอยู่เท่านัน้ ในขณะ
ทีผ่ ใู้ หญ่เมื่อเห็นอะไรแล้ว สมองแล่นก่อนและเร็วมากจึงเห็นทุกสิง่ ทุกอย่างติดมากับชื่อ และไม่ใช่ช่อื
อย่างเดียว สมองยังบอกอีกว่าชื่อนัน้ มันมีคุณค่าอะไรติดมาด้วย พอรูค้ ุณค่าแล้ว ก็จะคิดเลยเถิดไป
ถึงเรื่องได้เรื่องเสีย ยิง่ คนเรียนมากรูม้ ากหัวสมองยิง่ ซับซ้อนเต็มไปด้วยความคิดความจาและคุณค่า

57
ทีต่ ดิ มากับมันด้วยแล้ว จะกลายเป็ นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการเห็นอย่างซื่อ ๆ คนทีค่ ดิ แต่เรื่อง
ได้เรื่องเสียมากเท่าไร ก็จะยิง่ ไม่มวี นั เห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้เลย อย่างไรก็ตาม สัจธรรมอัน
สูงสุดหรือพระนิพพานก็คอื การสามารถเข้าถึงสภาวะทีไ่ ม่มชี ่อื ของจักรวาลหรือของสิง่ ต่าง ๆ ทีเ่ รา
กาลังเห็นอยู่สมั ผัสอยู่ในขณะนี้นนั ่ เอง

ในที่สุดก็ตอ้ งวกมาสู่เรื่ องเดียวที่จาเป็ นต้องรู ้ตอ้ งฝึ ก คือ จะทาอย่างไรจึงจะ


เห็นสัจธรรมอันสู งสุ ดนี้ได้ คาตอบคือ เราต้องมานัง่ ฝึ กเรื่ องสติปัฏฐานสี่ หรื อ
วิปัสสนาภาวนา คาว่า วิ แปลว่า แจ้ง หรื อ ทะลุ ปัสนา มาจาก ทัสนา คือ
การเห็น รวมแล้ว แปลว่าเห็นแจ้ง เห็นทะลุตามความเป็ นจริ งของมัน คือเห็น
ความเป็ นอย่างนั้นเอง (ตถตา) ซึ่งเป็ นสิ่ งเดียวกับเห็นความไม่มีชื่อของ
สรรพสิ่ ง สติปัฏฐานสี่ จึงเป็ นขั้นตอนของการพยายามลดความซับซ้อนของ
การคิดการจาให้นอ้ ยลง การลดความซับซ้อนของจิตคือการเอาขยะออก
จากจิตที่ติดมากับความคิดและความรู ้สึก เช่นขยะเกี่ยวกับเรื่ องได้เรื่ องเสี ย
ความโกรธ อิจฉาริ ษยา ขยะเหล่านี้จะเอาออกไปได้ก็ดว้ ยการฝึ กสติปัฏฐาน
สี่ เมื่อเอาขยะออกจากจิตได้พอสมควรแล้ว จิตจะมีความบริ สุทธิ์มากขึ้น
หรื อบางทีเรี ยกว่าจิตว่างก็ได้ ความบริ สุทธิ์หรื อความว่างของจิตจะทาให้
สามารถเห็นความบริ สุทธิ์หรื อความว่าง (อนัตตา) ของสรรพสิ่ ง ซึ่งเป็ นเรื่ อง
เดียวกับการเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่ งทั้งปวงด้วย ผูท้ ี่อยากเห็นสัจธรรม
อันสูงสุดควรจะเร่ งรี บหาผูร้ ู ้สอนให้ การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดก็คือการเห็น
พระนิพพานและเห็นการสิ้ นทุกข์ของตนเองด้วย.

58

You might also like