Professional Documents
Culture Documents
กฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
กฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทาความผิด หมายความว่า
(๑) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทําซึ่งเป็นความผิดมูลฐานหรือจากการสนับสนุนหรือช่วยเหลือการกระทําซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน
(๒) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งเงินหรือทรัพย์สินตาม (๑) หรือ
(๓) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินตาม (๑) หรือ (๒)
ทั้งนี้ ไม่ว่าทรัพย์สินตาม (๑) (๒) หรือ (๓) จะมีการจําหน่าย จ่าย โอน หรือเปลี่ยนสภาพไปกี่ครั้งและไม่ว่าจะอยู่ในความครอบครอง
ของบุคคลใด โอนไปเป็นของบุคคลใด หรือปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่าเป็นของบุคคลใด
สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒
ลักษณะการกระทาความผิดฐานฟอกเงิน
ผู้ที่โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดมูลฐานเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน หรือเพื่อ
ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทําความผิดมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง หรือกระทําการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออําพรางลักษณะที่
แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจําหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฟอก
เงิน (มาตรา ๕)
ผู้ที่กระทําความผิดฐานฟอกเงินแม้ทําความผิดนอกราชอาณาจักรผู้นั้นก็ต้องรับโทษในราชอาณาจักร ถ้าผู้กระทําความผิดหรือผู้ร่วมกระทํา
ความผิดคนใดคนหนึ่งเป็นคนไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หรือผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และได้กระทําโดยประสงค์ให้ความผิดเกิดขึ้นใน
ราชอาณาจักร หรือรัฐบาลไทยเป็นผู้เสียหาย หรือ ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และการกระทํานั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของรัฐที่การกระทํา
เกิดขึ้นในเขตอํานาจของรัฐนั้น หากผู้นั้นได้ปรากฏตัวอยู่ในราชอาณาจักรและมิได้มีการส่งตัวผู้นั้นออกไปตามกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้าม
แดน (มาตรา ๖)
ผู้ที่สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด หรือจัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ หรือวัตถุใด ๆ
หรือกระทําการใด ๆ เพื่อช่วยให้ผู้กระทําความผิดหลบหนีหรือเพื่อมิให้ผู้กระทําความผิดถูกลงโทษ หรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการกระทํา
ความผิด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น (มาตรา ๗)
ผู้ที่พยายามกระทําความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษตามที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดสําเร็จ (มาตรา ๘)
ผูท้ ี่ตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา ๙)
สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒
สานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้มีการตั้งสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินขึ้นในสํานักนายกรัฐมนตรี มีอํานาจ
ดําเนินการให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการและคณะกรรมการธุรกรรมและปฏิบัติงานธุรการอื่น รับรายงานการทําธุรกรรมและแจ้งตอบการรับ
รายงาน เก็บรวบรวม ติดตาม ตรวจสอบ ศึกษา และวิเคราะห์รายงานและข้อมูลต่าง ๆเกี่ยวกับการทําธุรกรรม เก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อ
ดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา ๔๐)
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินคณะหนึ่ง เพื่อทําหน้าที่
เสนอมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวง ระเบียบ และ
ประกาศ วางระเบียบเกี่ยวกับการเก็บรักษา การนําทรัพย์สินออกขายทอดตลาดการนําทรัพย์สินไปใช้ประโยชน์ และการประเมินค่าเสียหายและ
ค่าเสื่อมสภาพกรณีปรากฏภายหลังขายทอดตลาดว่ามิใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนเกี่ยวกับการให้
ข้อมูลข่าวสารเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕)
คณะกรรมการธุรกรรม ให้มีการตั้งคณะกรรมการธุรกรรมคณะหนึ่ง เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทํา
ความผิด สั่งยับยั้งการทําธุรกรรมกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือมีหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดฐานฟอกเงิน และ
มีอํานาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินชั่วคราวกรณีมีเหตุเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทํา
ความผิด (มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๔)
สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒
ขั้นตอนการดาเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทาผิด
เมื่อตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรม หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น
ทรัพย์สินใดที่เป็นทรัพย์สินทีเกี่ยวกับการกระทําความผิด ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอํานาจสั่งยึดทรัพย์สินไว้ชั่วคราวมีกําหนดไม่เกินเก้าสิบ วัน
(มาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง) กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ให้เลขาธิการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการ
พิจารณาเพื่อยืนคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็ว (มาตรา ๔๙)
เมื่อศาลรับคําร้องแล้ว ให้ศาลสั่งให้ปิดประกาศไว้ที่ศาลนั้น และประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีจําหน่าย
แพร่หลายในท้องถิ่นเพื่อให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของหรือมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินมายื่นคําร้องขอก่อนศาลมีคําสั่ง (มาตรา ๔๙ วรรคห้า)
ผู้ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินอาจยื่นคําร้องก่อนศาลมีคําสั่งตามโดยแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้น
ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด หรือตนเป็นผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาโดยสุจริตและตามสมควรในทางศีลธรรม
อันดีหรือในทางกุศลสาธารณะ แต่หากผู้อ้างว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนทรัพย์สินเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทําความผิด
มูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหรือได้ รับ
โอนมาโดยไม่สุจริต (มาตรา ๕๐และมาตรา๕๑ วรรคสอง)
เมื่อศาลทําการไต่สวนคําร้องของพนักงานอัยการแล้ว หากศาลเชื่อว่าทรัพย์สินตามคําร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด
และคําร้องของผู้ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้รับโอนทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวกับการกระทําความผิดฟังไม่ขึ้น ให้ศาลมีคําสั่งให้ ทรัพย์สินนั้นตก
เป็นของแผ่นดิน
สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๕๓๔
ขั้นตอนการดาเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทาผิด
หลักการและเหตุผล โดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ ใช้บังคับ
มานานแล้ว บทบัญญัติที่มีอยู่ไม่เหมาะสมหลายประการ สมควรปรับปรุงให้มีบทบัญญัติชัดแจ้งว่า การออกเช็คที่
จะมีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อให้มีผลผูกพันและบังคับชําระหนี้ได้ตามกฎหมาย
เท่านั้น และกําหนดให้มีระวางโทษปรับเพียงไม่เกินหกหมื่นบาทเพื่อให้คดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้อยู่ใน
อํ า นาจพิ จ ารณาพิ พ ากษาของศาลแขวง ทั้ ง ให้ ก ารปล่ อ ยชั่ ว คราวผู้ ต้ อ งหาหรื อ จํ า เลยจะกระทํ า โดยไม่ มี
หลั ก ประกั น ก็ ไ ด้ แต่ จ ะให้ มี ห ลั ก ประกั น หลั ก ประกั น นั้ น จะต้ อ งไม่เ กิ น หนึ่ง ในสามของจํ า นวนเงิ นตามเช็ ค
นอกจากนี้สมควรกําหนดให้การฟ้องคดีแพ่งตามเช็คที่มีจํานวนเงินไม่เกินอํานาจพิจารณาของผู้พิพากษาคนเดียว
สามารถฟ้องรวมไปกับคดีส่วนอาญาได้ จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติ
ในปัจจุบัน การชําระหนี้เงินโดยการออกเช็คเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง โดยการสั่งจ่ายเช็คที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องเป็นการ
ออกเช็คเพื่อชําระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย หรือจะกล่าวอีกอย่างคือเป็นการออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะชําระหนี้กันจริง และต้องมี
ลักษณะหรือมีการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(๑) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
(๒) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้
(๓) ให้ใช้เงินมีจํานวนสูงกว่าจํานวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
(๔) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจํานวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้
(๕) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต (มาตรา ๔ วรรคหนึ่ง)
ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามพระราชบัญญัตินี้จะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อ ได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย และ
ธนาคารได้ปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น โดยความผิดดังกล่าวมีโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจําทั้งปรับ
(มาตรา ๔ วรรคสอง) ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่ยอมความกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในชั้นการสอบสวนของพนักสอบสวนหรือในชั้นการพิจารณาของ
ศาล (มาตรา ๕)
สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙
ความเบื้องต้ น
เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ คือ เพื่อสร้างหลักความรับผิดของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปอย่าง
เป็นเหตุเป็นผล (rational)กล่าวคือ ภาระหน้าที่ เงินเดือน และความรับผิดของเจ้าหน้าที่นั้น รัฐต้องกําหนดให้ได้สัดส่วน
กันอันจะสร้างความเป็นธรรมให้แก่เจ้าหน้าที่และเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของรัฐ
พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายที่กําหนดหลักการใหม่เกี่ยวกับ ความรับผิดทางละเมิดแตกต่างไปจากที่บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ หากการละเมิดนั้นเจ้าหน้าที่ได้กระทําขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่
การละเมิดตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น หน่วยงานของรัฐจะรับภาระชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ได้รับความเสียหายไปก่อน
แต่หน่วยงานของรัฐจะมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่หรือไม่ และเพียงใด จําต้องพิจารณาว่าละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นจากการ
กระทาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นหรือไม่ และแม้ว่าจะมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่ก็อาจจะไล่เบี้ยได้ไม่เต็ม
จํานวน และในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคนก็จะใช้หลักกฎหมายเรื่องลูกหนี้ร่วมตามกฎหมายแพ่งมาใช้บังคับไม่ได้
สําหรับในกรณีที่การละเมิดมิได้เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ความรับผิดอันเนื่องมาจากการละเมิดยังเป็นไปตามที่บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์
การกระทาละเมิดในพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็ นไปตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิ ชย์ซ่ ึงบัญญัติวา่ "ผู้ใดจงใจหรื อประมาทเลินเล่ อทาต่ อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้ เขาเสี ยหายถึงแก่ ชีวติ ก็ดี
แก่ ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์ สินหรื อสิ ทธิอย่ างหนึ่งอย่ างใดก็ดี ท่ านว่ าผู้น้ ันทาละเมิดจาต้ องใช้ ค่าสิ นไหมทดแทนเพื่อการนั้น"
ความเสียหายจะต้องเกิดจากผลโดยตรงของผู้กระทาด้วย
โดยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่
การกระทําละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ต้องเป็นการกระทําของเจ้าหน้าที่ในการ
ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการพิจารณาว่าเป็นการกระทําในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ มีองค์ประกอบ ๒ ประการดังนี้
(๑) กระทาการในฐานะเจ้าหน้าที่ มาตรา ๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ นิยาม
"เจ้าหน้าที่" หมายความว่าข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือ
ฐานะอื่นใด ซึ่งมีความหมายโดยสรุปว่า บุคคลทุกประเภทที่ทํางานให้กับหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างประจํา ลูกจ้างชั่วคราว กรรมการ
หรือบุคคลที่กฎหมายกําหนดให้เป็นเจ้าหน้าที่ เช่น บุคคลที่ต้องช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายต่าง ๆ เป็นต้นเป็นเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัตินี้
และเจ้าหน้าที่นี้ได้กระทําการตามที่กฎหมายให้อํานาจไว้
นอกจากจะมีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว การกระทําในทางธุรการทั่วไป อาจจะไม่มีกฎหมายกําหนดให้อํานาจไว้เป็นการชัดเจน
แต่หน้าที่ดังกล่าวก็อาจเกิดจากระเบียบหรือข้อบังคับหรือคําสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วยกฎหมายก็ได้
การกระทําหรือละเว้นการกระทําในหน้าที่ดังกล่าวมาข้ างต้นหากเกิด ความเสียหายก็เป็ นการกระทําละเมิดในการปฏิบั ติหน้าที่ เช่น
นายอําเภอขับรถราชการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุทําให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย หรือเป็นเจ้าหน้าที่มีหน้าที่
ดูแลรับผิดชอบทรัพย์สินของทางราชการปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษาให้ดี เป็นเหตุให้ทรัพย์สินดังกล่าวสูญหายหรือเสียหาย หรือผู้บังคับบัญชามี
หน้าที่ดูแลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ดูแลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ
หน้าที่ตามระเบียบเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุจริตยักยอกเงินของหน่วยงาน พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการกระทําละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
ความเสียหายจะต้องเกิดจากผลโดยตรงของผู้กระทาด้วย
เจ้ าหน้ าทีน่ ้ ันเป็ นเจ้ าหน้ าทีข่ องหน่ วยงานของรัฐ นอกจากผูก้ ระทําละเมิดจะต้องอยูใ่ นฐานะเจ้าหน้าที่แล้วผูน้ ้ นั จําต้องเป็ นเจ้าหน้าที่ของ
หน่วยงานของรัฐตามที่มาตรา ๔ วรรคสาม ให้ความหมายไว้วา่ "หน่ วยงานของรัฐ" หมายความว่ า กระทรวง ทบวง กรม หรื อส่ วนราชการ
ทีเ่ รียกชื่ ออย่ างอื่นและมีฐานะเป็ นกรม ราชการส่ วนภูมภิ าค ราชการส่ วนท้ องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ต้งั ขึน้ โดยพระราชบัญญัติหรื อพระราช
กฤษฎีกา และให้ หมายรวมถึงหน่ วยงานอื่นของรัฐทีม่ พี ระราชกฤษฎีกากาหนดให้ เป็ นหน่ วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินีด้ ้ วย“
ความรับผิดเพื่อการละเมิดของเจ้ าหน้ าที่
เมื่อเกิดความเสี ยหายจากการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบตั ิหน้าที่หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่เยียวยาความเสี ยหายจากการ
กระทําละเมิดนั้นต่อบุคคลภายนอกตามหลักเกณฑ์ที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติไว้ซ่ ึงตาม
หลักเกณฑ์น้ ีผเู ้ สี ยหายมีสิทธิที่จะเรี ยกให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวชดใช้ได้ ๒ วิธี คือ
- โดยฟ้องคดีต่อศาล
- โดยขอให้ หน่ วยงานของรัฐชดใช้ ค่าสิ นไหมทดแทน
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
กรณีทเี่ จ้ าหน้ าทีก่ ระทาละเมิดต่ อหน่ วยงานของรัฐ จะเป็ นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ผนู ้ ้ นั สังกัดอยูห่ รื อหน่วยงานของรัฐแห่งอื่น หรื อไป
กระทําละเมิดต่อบุคคลภายนอกและหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนไปแล้ว เจ้าหน้าที่ผกู ้ ระทําละเมิดจะต้องรับผิด
ในมูลละเมิดหรื อไม่เพียงใด เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ดงั นี้
๑. กระทาละเมิดนอกเหนือการปฏิบตั ิหน้ าที่
กรณี ที่เจ้าหน้าที่กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐซึ่ งไม่ใช่การกระทําในการปฏิบตั ิหน้าที่ เช่น เจตนาทุจริ ตยักยอกทรัพย์ของทาง
ราชการ หรื อเอารถของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวระหว่างนั้นเกิดอุบตั ิเหตุเป็ นเหตุให้รถยนต์เสี ยหาย หรื อกระทําการใดๆให้
ทรัพย์สินของหน่วยงานของรัฐเสี ยหายอันไม่ได้เกิดจากการปฏิบตั ิหน้าที่ ความรับผิดของเจ้าหน้าที่จะต้องเป็ นไปตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์เช่นเดียวกับเอกชนกระทําละเมิด
๒. กระทาละเมิดในการปฏิบตั ิหน้ าที่
กรณี ที่เจ้าหน้าที่กระทําละเมิดในการปฏิบตั ิหน้าที่ต่อบุคคลภายนอก และหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนแก่
บุคคลภายนอกไปแล้ว หน่วยงานของรัฐจะมีสิทธิไล่เบี้ยหรื อเรี ยกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนได้เฉพาะกรณี ที่การกระทําละเมิดนั้น
"การกระทาโดยจงใจหรื อประมาทเลินเล่ ออย่ างร้ ายแรง" (มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง)
กรณี เจ้าหน้าที่กระทําละเมิดในการปฏิบตั ิหน้าที่ซ่ ึงก่อให้เกิดความเสี ยหายแก่หน่วยงานของรัฐ สิ ทธิไล่เบี้ยของหน่วยงานของรัฐ
เอากับเจ้าหน้าที่ของตนก็เป็ นเช่นเดียวกันกับกรณี เจ้าหน้าที่กระทําละเมิดต่อบุคคลภายนอกตามที่กล่าวมาข้างต้น (มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง)
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
อายุความ
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติอายุความ ในการไล่เบี้ยและใช้สิทธิ ฟ้องร้องต่อศาลไว้ใน
มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ เป็ นการเฉพาะแตกต่างจาก อายุความทัว่ ไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ ดังนี้
อายุความไล่ เบีย้
มาตรา ๙ แห่ ง พระราชบัญ ญัติ ค วามรั บ ผิ ด ทางละเมิ ด ของเจ้า หน้า ที่ พ.ศ.๒๕๓๙ บัญ ญัติ อ ายุค วามในการใช้สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี้ ย ไว้ว่ า
"ถ้ าหน่ วยงานของรั ฐหรื อเจ้ าหน้ าที่ได้ ใช้ ค่าสิ นไหมทดแทนแก่ ผ้ ูเสี ยหาย สิ ทธิ ที่จะเรี ยกให้ อีกฝ่ ายหนึ่งชดใช้ ค่าสิ นไหมทดแทนแก่ ตน ให้ มี
กาหนดอายุความหนึ่งปี นับแต่ วันทีห่ น่ วยงานของรั ฐหรื อเจ้ าหน้ าทีไ่ ด้ ใช้ ค่าสินไหมทดแทนนั้นแก่ ผ้ เู สียหาย"
อายุความเรียกร้ องของหน่ วยงานของรัฐต่ อเจ้ าหน้ าที่
มาตรา ๑๐ บัญญัติอายุความในกรณี ที่หน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล เรี ยกให้เจ้าหน้าที่ที่กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ
รับผิดชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนไม่วา่ การกระทําละเมิดดังกล่าวเจ้าหน้าที่กระทําในการปฏิบตั ิหน้าที่หรื อนอกการปฏิบตั ิหน้าที่กต็ าม โดยมี
หลักเกณฑ์ ดังนี้
ความละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน
(๑) อายุความ ๒ ปี
กรณี เกิ ดความเสี ยหายขึ้นและหน่ วยงานของรัฐได้ต้ งั กรรมการสอบข้อเท็จจริ งและหัวหน้าหน่ วยงานของรัฐได้พิจารณารายงานของ
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริ งแล้ว ได้วินิจฉัยว่า ความเสี ยหายที่เกิดขึ้นมีเจ้าหน้าที่รายหนึ่ งหรื อหลายรายจะต้องรับผิด กรณี น้ ี ก็ถือว่าในวัน
ดังกล่าว เป็ นวันที่หน่วยงานของรัฐรู ้ถึงการกระทําละเมิดและรู ้ตวั เจ้าหน้าที่ผูจ้ ะพึงต้องชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทน ซึ่ งสิ ทธิ ของหน่วยงานของรัฐ
จะเรี ยกร้องค่าสิ นไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ที่กระทําละเมิดที่มีกาํ หนดสองปี จะเริ่ มเดินสาเหตุที่กฎหมายได้กาํ หนดอายุความไว้ยาวกว่าอายุความ
ละเมิ ดทัว่ ไปก็เนื่ องจากหลังจากหน่ วยงานของรั ฐมี คาํ วินิจฉัยแล้วหน่ วยงานของรัฐจะต้องรายงานกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาและมี
ความเห็นก่อนหน่วยงานของรัฐจะดําเนิ นการเรี ยกให้เจ้าหน้าที่ผกู ้ ระทําละเมิดชดใช้ทนั ทีไม่ได้ดว้ ยเหตุผลดังกล่าวจึงต้องกําหนดอายุความให้
ยาวกว่าอายุความละเมิดทัว่ ไป
(๒) อายุความ ๑ ปี
ถ้ากรณี ที่หวั หน้าหน่วยงานของรัฐได้วนิ ิจฉัยว่าการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่วา่ เจ้าหน้าที่ไม่ตอ้ งรับผิดเนื่องจากไม่เป็ นการกระทําโดย
จงใจหรื อประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่ต่อมาได้รายงานไปยังกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังกลับเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผนู ้ ้ นั จะต้องรับ
ผิดชดใช้ ค่าสิ นไหมทดแทนในความเสี ยหายที่เกิ ดขึ้น อายุความที่หน่ วยงานของรัฐจะใช้สิทธิ ฟ้องต่อศาลเรี ยกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสิ นไหม
ทดแทนจะมีเพียงหนึ่งปี
กฎหมายเกี่ยวกับหนี้สิน
หนี้ ตาม ปพพ. มิได้มีความหมายเฉพาะการกูย้ มื เงิน แต่หมายถึง ความผูกพันที่สามารถใช้สิทธิเรี ยกร้องได้ตามกฎหมาย เช่น หนี้โดยการละเมิด
หนี้โดยกฎหมาย เช่น ภาษีอากร เป็ นต้น
องค์ ประกอบของหนี้
๑. การมีนิติสมั พันธ์ (ความผูกพันกันในกฎหมาย) หากกฎหมายไม่รองรับการนั้นก็ไม่เกิดหนี้ผกู พันด้วย
๒. การมีเจ้าหนี้และลูกหนี้ (เป็ นบุคคลสิ ทธิ)
๓. ต้องมีวตั ถุแห่งหนี้ ได้แก่
– หนี้กระทําการ เช่น ลูกจ้างต้องทํางานให้นายจ้าง
– หนี้งดเว้นกระทําการ เช่น ผูเ้ ป็ นหุน้ ส่ วนต้องงดเว้นไม่ทาํ การค้าแข่งกับห้างหุน้ ส่ วน
– หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน(หรื อโอนกรรมสิ ทธิ์) เช่น ผูใ้ ห้เช่าต้องส่ งมอบทรัพย์สินซึ่ งให้เช่า
บ่อเกิดแห่งหนี้
กาหนดการชาระหนี้
หากคู่กรณีมิได้กําหนดเวลาชําระหนี้ไว้แน่นอน กฎหมายให้ถือว่า หนี้นั้นต้องถึงกําหนดชําระโดยพลัน แต่ถ้าตกลงกันไว้แล้ว ก็ให้เป็นไป
ตามที่ตกลงไว้
การชําระดอกเบี้ย หากตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ กฎหมายให้คิดอัตราไม่เกินร้อยละ15ต่อปี
กรณีมิได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ ให้คิดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
*หากฝ่าฝืน คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด คือ เกินร้อยละ 15 ต่อปี กฎหมายให้ถือว่าดอกเบี้ยนั้น เป็นโมฆะ มิให้คิดดอกเบี้ย
เลย แต่เงินต้น(ที่เป็นหนี)้ นั้น ลูกหนี้ยังคงต้องชําระอยู่
สาระสาคัญธนาคารพาณิชย์
กํ า หนดว่ า ธนาคารพาณิ ช ย์ หมายถึ ง ธนาคารที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ าตให้ ป ระกอบการธนาคารพาณิ ช ย์ แ ละสาขาของธนาคาร
ต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่สาขาของธนาคารต่างประเทศจะต้อง
ตั้งขึ้นเป็นบริษัทมหาชนจํากัดเท่านั้นและบุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้าของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ เว้นแต่เป็นไปตามข้อยกเว้นที่ พ.ร.บ. นี้กําหนดไว้ นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์จํานวนไม่ต่ํากว่าสามใน
สี่ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลสัญชาติไทยไม่ต่ํากว่าสามในสี่ของจํานวน
กรรมการทั้งหมด เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสํานักงานใหญ่หรือสํานักงานสาขา ณ ที่ใดแล้ว จะย้ายสํานักงานนั้นไม่ได้ เว้น
แต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
สาระสาคัญธนาคารพาณิชย์
ให้ธนาคารพาณิชย์เท่านั้นประกอบการธนาคารพาณิชย์ อันได้แก่ การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงิน และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทาง
หนึ่งหรือหลายทาง เช่น การให้สินเชื่อ เป็นต้น และเมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วธนาคารพาณิชย์ก็อาจทําธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือ
เนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงทําได้ เช่น การเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การค้ําประกัน เป็นต้น โดยใน
การดําเนินการธนาคารพาณิชย์ต้องดํารงเงินกองทุน, ดํารงเงินสดสํารอง และดํารงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่กําหนดไว้ และจะต้องไม่กระทําการ
ใดๆ ที่ พ.ร.บ. นี้กําหนดห้ามไว้ด้วย (มาตรา ๑๒, มาตรา ๑๒ จัตวา และมาตรา ๑๓) นอกจากนี้ ยังกําหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอํานาจ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน การกู้ยืมเงิน หรือการซื้อ
ขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใดได้ รวมทั้งมีอํานาจกําหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยได้อีกด้วย แต่ต้อง
ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
สรุปกฎหมายตราสารหนี้