อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน บทที่ 15

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 9

บททีส ิ ห้า วิเคราะห์ความเป็นอริยะของตนเอง

่ บ

รูส
้ กึ ธรรมดา ข้อพิสจ ู น์วา ่ ญาณได้เกิดแล้ว
หลังจากเกิดญาณแล ้วในวันนัน ้ แม ้รู ้ว่านั่นเป็ นความรู ้ทีน ่ ้อยคนจะรู ้ได ้
แต่ก็ไม่ได ้รู ้สึกตืน ่ เต ้น หวือหวา เหมือนความรู ้สึกของคนทั่วไปทีเ่ มือ ่ ได ้อะไรมาสักอย่าง
ด ้วยความยากเย็นแสนเข็ญแล ้ว ย่อมกระโดดโลดเต ้นด ้วยความดีใจ ตืน่ เต ้นสุดขีด
ทานองนัน ้ ความรู ้สึกของเรากลับตรงกันข ้ามอย่างสิน ้ เชิง เราตะลึงและอัศจรรย์ใจต่อ
ความรู ้ใหม่ทเี่ กิดขึน ้ ในขณะนัน ้ ก็จริงอยู่ แต่วันรุง่ ขึน ้ ก็คอ ื วันธรรมดาอีกวันหนึง่ ของเราที่
ต ้องทาหน ้าทีข ่ องภรรยา แม่ ครู และนักเขียนต่อไปเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มันก็
เหมือนเดิมไม่ได ้เพราะทุกอย่างทีส ั ผัสนัน
่ ม ้ มีความรู ้แจ ้งว่านี่คอ ื สภาวะนิพพานติดอยู่
ด ้วยเสมอ และสภาวะนัน ้ ก็คอื สภาวะธรรมดาอย่างถึงทีส ่ ด
ุ นั่นเอง
ตรงนี้น่าจะเป็ นข ้อพิสจ ู น์วา่ ญาณได ้เกิดขึน ้ แล ้วแก่เราจริง ได ้พบความรู ้
จริง ได ้พบสัจธรรมทีส ่ งู สุดของธรรมชาติจริง มิเช่นนัน ้ แล ้ว เราจะรู ้สึกธรรมดาเช่นนี้ไม่ได ้
ใครจะไปรู ้ได ้ว่าความธรรมดาอย่างสุด ๆ ทีแ ่ สนจะธรรมดานี้คอ ื พระนิพพานทีใ่ ครต่อใครก็
อยากไปถึงกันนักหนา นี่เป็ นสภาวะทีค ่ น ๆ หนึง่ จะคิดหาคาตอบเองไม่ได ้เด็ดขาด ต ้องมี
ญาณมาบอกเท่านัน ้ จึงจะรู ้ได ้ เพราะคนทีย ่ ังไปไม่ถงึ ล ้วนต ้องพูดถึงพระนิพพานและคนที่
เข ้าถึงพระนิพพานแล ้วด ้วยความรู ้สึกทีห ่ วือหวาและตืน ่ เต ้นทัง้ สิน ้
เราก็เคยพูดถึงพระนิพพานเช่นนัน ้ เคยมองความเป็ นพระอรหันต์เหมือน
ของสูงสุดทีเ่ อือ ้ มไม่ถงึ ตืน
่ เต ้นมากหากมีใครมาบอกว่าพระองค์นัน ้ หลวงตาองค์นี้อาจ
เป็ นพระอรหันต์แล ้ว นี่คอ ื ปฏิกริ ยิ าอันเป็ นธรรมชาติมากของคนทีย ่ ังไปไม่ถงึ เหมือนชาว
คริสต์หรือคนทีน ่ ับถือพระเจ ้า พูดถึงพระเจ ้าทีไร ต ้องมองขึน ้ ฟ้ าทุกที เหมือนเป็ นของ
ประเสริฐส ์ ดุ ประมาณ แต่ใครล่ะจะรู ้ว่า พระนิพพานหรือพระเจ ้านี้คอ ื สภาวะที่แสนจะ
ธรรมดาจนหาทีต ่ ไิ ม่ได ้ ถ ้าญาณไม่เกิดนี่ ไม่มวี ันรู ้ได ้เลย ทัง้ ๆ ทีส ่ งิ่ นัน
้ ก็อยูเ่ บือ
้ งหน ้า
ของคนทุกคน นี่แหละคือความยากของการรู ้จักพระนิพพานหรือพระเจ ้า

อยากอยูบ ่ า้ นบนต้นไม้ tree house


ความรู ้จริงนี่แหละกลับกลายเป็ นสิง่ ทีค ่ ุ ้มครองผู ้รู ้นัน
้ ไปในตัวด ้วย เพราะ
ถ ้ารู ้ไม่จริง ก็จะไม่รู ้สึกว่าตนเองธรรมดา จะคิดว่าตนเองเป็ นคนวิเศษ ไม่เหมือนชาวบ ้าน
คนต ้องมากราบไหว ้บูชา เอาลาภสักการระมาให ้ ใครทีอ ่ ยากแอบอ ้างว่าตนบรรลุธรรม
แล ้ว หรืออวดอุตริมนุสธรรมทีไ่ ม่มใี นตนจริง ต ้องระวังมาก จะเป็ นบ ้าเอาได ้ง่าย ๆ เพราะ
ไม่มค ี วามรู ้จริงคุ ้มครองตนอยู่
ขอให ้สังเกตเองว่า คนรู ้จริงมักจะหนีสงั คมมากกว่า เพราะดูออกว่าโลก
สมมุตม ิ ันไม่ธรรมดาจริง คนทีเ่ ข ้าถึงความธรรมดาย่อมไม่อยากอยูก ่ บั สิง่ ทีไ่ ม่ธรรมดา
อย่างโลกสมมุต ิ จะเบือ ่ สังคมของโลกสมมุต ิ คนทีเ่ ข ้าถึงความเป็ นธรรมดาอย่างสุด ๆ
แล ้วย่อมอยากปลีกตัวอยูก ่ บ
ั ความเป็ นธรรมดาของธรรมชาติ ธรรมชาติเป็ นเรือ ่ งธรรมดา
แต่หากยังต ้องอยูก ่ บ
ั โลกสมมุตแ ิ สดงว่ายังไม่มท ี างเลือกมากนัก
ถ ้ามีคนถามว่า เราอยากอยูท ่ ไี่ หน อย่างไร เราตอบได ้เลยว่าสิง่ เดียวที่
ยังต ้องการทาให ้เกิดจริง ๆ ในส่วนของตัวเองคือ การได ้มีโอกาสอยูบ ่ ้านทีส ่ ร ้างบนต ้นไม ้
tree house เหมือนบ ้านทีท ่ าร์ซานสร ้างให ้เจนอยูใ่ นป่ า คิดเหมือนเด็ก ๆ แต่นี่คอ ื สิง่ ที่
เราได ้พร่าบ่นกับสามีเสมอว่า เมือ ่ ไหร่จะสร ้างบ ้านบนต ้นไม ้ให ้เราอยูส ่ กั ทีละ่ ขอมานาน
แล ้วนะ สามีและลูก ๆ มักส่ายหน ้า พูดเล่น ๆ ว่า เมือ ่ ไหร่ผู ้หญิงคนนี้จะโตกับเขาซักทีนะ

ธรรมดาทีต
่ า
่ งก ันสุดขวั้
ช่วงปี แรกก็ยังเหมือนกับต ้องขยับแว่นตานิดหน่อยเพือ ่ ดูสภาวะธรรมดา
หรือนิพพานให ้ชัด แต่เดีย ๋ วนี้ ไม่ต ้องขยับแว่นมันก็ชด ั จนเป็ นธรรมดาของมัน ซึง่ เป็ น
ความรู ้สึกทีไ่ ม่แตกต่างจากความรู ้สึกธรรมดาของคนทีอ ่ ยูใ่ นโลกทีม ่ ด
ื บอดเลยแม ้แต่
น ้อย ต่างกันก็แต่ ธรรมดาแบบมืดกับธรรมดาแบบสว่างเท่านัน ้ จนมักลืมไปว่า ไอ ้
ความรู ้สึกธรรมดาของเรานัน ้ ทีจ
่ ริง มันไม่ธรรมดาสาหรับคนอืน ่ โดยเฉพาะเราอยูใ่ น
ท่ามกลางคนรอบข ้างทีย ่ งั อยูใ่ นโลกแห่งความมืดบอดทัง้ สิน ้ หนังสือของเราเขาก็ไม่เคย
หยิบอ่าน พวกเขาจึงไม่รู ้ว่ามีอะไรเกิดขึน ้ กับเรา จึงใช ้ชีวติ อยูอ
่ ย่างธรรมดาเหมือนพวก
เขา แต่เป็ นธรรมดาทีอ ่ ยูก่ นั คนละขัว้ เท่านัน ้

มีสติเต็มเปี่ ยมอย่างเป็นธรรมชาติ
ความแตกต่างทีค ่ อ
่ ย ๆ เกิดขึน ้ หลังเกิดญาณแล ้วคือ สติคอ ่ ย ๆ มีความ
เต็มเปี่ ยมมากขึน ้ โดยไม่ต ้องตัง้ ใจไปทามัน ไม่วา่ จะทากิจกรรมนัน ้ ช ้าหรือเร็ว หรือใน
สายตาคนอืน ่ อาจดูเหมือนเป็ นการกระทาทีข ่ าดสติ แม ้กระนัน ้ สติก็กากับอยูเ่ สมออย่าง
เป็ นอัตโนมัต ิ ตัวอย่างทีเ่ ห็นได ้ชัดคือ การทางานเขียนซึง่ เป็ นงานใช ้สมองอย่างมากนัน ้
ใจจาเป็ นต ้องเข ้าสูก ่ ระแสความคิดอย่างลึก ซึง่ สมัยก่อนญาณเกิดนัน ้ ถึงแม ้จะเปลีย ่ น
อิรย ิ าบทแล ้วก็ตาม ใจก็มก ั คิดติดพันอยูก ่ บ
ั งานเขียนนัน ้ สักครูใ่ หญ่ทเี ดียว แต่หลังจากที่
ญาณเกิดแล ้ว ค่อย ๆ เห็นความเปลีย ่ นแปลงของสติ พอลุกขึน ้ จากเก ้าอีห
้ น ้า
คอมพิวเตอร์เพือ ่ ไปห ้องน้ า ไม่ทันถึงก ้าวทีส ่ าม ใจก็สามารถหลุดจากความคิดและมาอยู่
ทีก่ ารก ้าวเท ้าทันที หรืออาจจะเร็วกว่านัน ้
จาได ้ว่า มีบางคืน นอนหลับแล ้วรู ้สึกตัวกลางดึก จึงลืมตาขึน ้ มาใน
ท่ามกลางความมืดมิดของห ้องนอน ทันใดนัน ้ ได ้พบว่าตัวเองกาลังกาหนดสติอยูท ่ ลี่ ม
หายใจแล ้วเหมือนกับได ้กาหนดอยูก ่ อ
่ นหน ้าทีจ ่ ด ้วยซ้าไป และทุกครัง้ ทีล
่ ะรู ้สึกตัวตืน ่ กุ
ขึน
้ จากเตียงเข ้าห ้องน้ า แม ้จะเป็ นช่วงกลางดึกและงัวเงียมากเพียงใดก็ตาม สติก็ยัง
สามารถกาหนดอยูท ่ กี่ ารก ้าวเท ้าได ้เสมอ ทาได ้เองอย่างเป็ นธรรมชาติของมันจริง ๆ

แมวย ังจ ับหนูอยู่ แต่นอ ้ ยลงทุกว ัน


สภาวะแมวจับหนูซงึ่ เป็ นหน่วยงานอิสระอย่างสิน ้ เชิงก็ยังเกิดอยู่ แต่แมว
ตัวนี้ก็ได ้เปลีย่ นไปมากเมือ ่ เทียบกับแมวตัวทีเ่ ริม ่ จับหนูอย่างเป็ นอัตโนมัตท ิ บี่ ้านป้ าทวด
เป็ นครัง้ แรกในปี ๒๕๓๐ หลังจากวันทีเ่ กิดญาณแล ้ว การดูใจตลอดเวลาตัง้ แต่รู ้สึกตัว
จนกระทั่งหลับสนิทก็คอ ่ ย ๆ เกิดขึน ้ และเกิดในระดับทีแ ่ ม ้เราเองยังรู ้สึกทึง่ ใน
ความสามารถของสติหรือแมวตัวนัน ้ นั่นคือ เมือ ่ ใจตืน ่ แม ้จะยังไม่ลม ื ตา เพียงแค่รู ้สึกตัว
เท่านัน้ การดูใจอย่างเป็ นธรรมชาติก็เกิดทันที ขบวนการแมวจับหนูก็เกิดทันทีเช่นกันแม ้
ร่างกายจะยังไม่ได ้ตืน ่ เต็มทีก ่ ็ตาม คือยังอยูใ่ นสภาวะทีห ่ ลับ ๆ ตืน ่ ๆ อยู่ เราก็เห็นแมว
เริม
่ จับหนูกน ิ เสียแล ้ว บางครัง้ อุทาน “อย่าลูก” ออกมาทัง้ ๆ ทีย ่ ังหลับตานอนอยู่ และก็
เป็ นเช่นนี้อกี เมือ่ ตอนทีก ่ าลังจะผลอยหลับ ซึง่ เป็ นช่วงทีร่ า่ งกายอ่อนเพลียและง่วงนอน
มาก แม ้ได ้ล ้มตัวลงนอนหลับตาแล ้ว แต่เมือ ่ ยังหลับไม่สนิท แมวตัวนัน ้ ก็ยังจับหนูอยู่ ยัง
มีการเห็นความคิดทีโ่ ผล่เข ้ามาในหัว และการทาลายความคิดก็ยังเกิดอยูเ่ องตาม
ธรรมชาติ เป็ นสภาวะทีแ ่ ปลกมาก
ก่อนสภาวะอัตโนมัตน ิ ี้จะเกิด จาได ้ว่า ความง่วงนอนเป็ นปั ญหาทีก ่ วนใจ
เรามาก อยากทาสมาธิก็ทาไม่ได ้ พอง่วงนอน สติสะตังก็หดหายหมด อยากนอนลูก
เดียว ไม่อยากเฝ้ าดูจต ิ ดูใจอีกแล ้ว ขอนอนให ้เต็มอิม ่ ก่อน ตืน่ แล ้ว ค่อยมาว่ากันใหม่ เมือ ่
แมวสามารถจับหนูได ้เองในช่วงต ้น ๆ นัน ้ แมวก็ยังอยากนอนอยู่ เมือ ่ ร่างกายอ่อนเพลีย
แมวหรือสติก็มก ั นอนตาม คิดว่าคงต ้องเป็ นก่อนหน ้าเกิดญาณไม่นาน หรือไม่ก็ชว่ งหลัง
เกิดญาณแล ้ว ทีส ่ ติหรือแมวตัวนี้มค ี วามสามารถมากขึน ้ แม ้จะง่วงมากเท่าใดหรือจะยัง
งัวเงียอยูม ่ ากเท่าใดก็ตาม ก็ไม่รู ้สึกว่าสติสะตังได ้หดหายไปไหนเลย แมวหรือสติก็ยัง
ทางานตามปกติอยูเ่ หมือนเป็ นหน่วยงานอิสระทีไ่ ม่เกีย ่ วข ้องกับร่างกายนี้เลย แถมยังมี
ความไวทีไ่ ม่แพ ้กับช่วงตืน ่ เต็มทีด่ ้วย ยังจับหนูกนิ ได ้เก่งเหมือนเดิม จนกระทั่งหลับสนิท
เท่านัน้ แหละ จึงไม่เห็นสภาวะของแมวจับหนู พูดได ้อย่างเดียวว่าแปลกมาก เห็นได ้ชัด
ว่ารูปกับนามทางานแยกจากกัน
นอกจากนัน ้ ความเปลีย ่ นแปลงทีเ่ ห็นได ้ชัดเจนของแมวตัวนี้คอ ื แทนที่
จะไล่จับทัง้ แม่หนู (ความคิด) และลูกหนู (ความรู ้สึก) เหมือนสมัยแรก ๆ ทีแ ่ มวเริม่ จับ
หนูกน ิ เอง เดีย๋ วนี้ มันจับแต่แม่หนู (ความคิด) และแม่ของมันอีกที (เจตสิก) เป็ น
ส่วนมาก เพราะสติสามารถไล่ทันตัวเจตสิกทีก ่ าลังจะก่อตัวเป็ นความคิดนี่เอง สายโซ่
แห่งปฏิจสมุปบาทจึงไม่มโี อกาสได ้ทางานเต็มที่ ลูกหนู หรือ ความรู ้สึก จึงไม่ปรากฏให ้
เห็น การต่อสู ้ในสนามรบแบบหมัดต่อหมัด แผลต่อแผลทีเ่ จ็บปวดมากเหมือนสมัยก่อนก็
ได ้หายไปแล ้ว ไม่มก ี ารต่อสู ้อย่างเจ็บปวดเช่นนัน ้ อีกแล ้ว เป็ นอดีตไปแล ้ว คาว่า อย่าลูก
แทบจะไม่เกิดอีกแล ้ว นาน ๆ คือ หลาย ๆ วันผ่านไป บางครัง้ เป็ นอาทิตย์ผา่ นไปก็ม ี
อาจจะหลุดออกมาสักครัง้ หนึง่ อย่างเบา ๆ จนไม่มใี ครได ้ยิน ยิง่ เวลาผ่านไป เวลาทีอ ่ ยู่
กับธรรมชาติธรรมดาก็มม ี ากขึน ้ ตามลาดับ คิดว่าถ ้าได ้มีโอกาสอยูป่ ่ าและไม่ต ้องยุง่ กับ
โลกสมมุตเิ ลยแล ้ว ความคิดอาจจะไม่เข ้ามาเลย นอกจากจะโน ้มใจเข ้าไปคิดเท่านัน ้

ตงจิ ั้ ตอธิษฐาน ปลุกเร้าตนเองให้ชว ่ ยเหลือผูอ ้ นื่


หลังเกิดญาณแล ้ว สภาวะใจมีความสงบราบเรียบอยูก ่ บั สภาวะธรรมดา
เป็ นส่วนมาก จาได ้ว่ามีอยูช ่
่ วงเวลาหนึง่ ทีก ่ นิ เวลาหลายเดือนทีเดียว ความรู ้สึกธรรมดา
ได ้แผ่ซา่ นไปทั่วทุกส่วนของชีวต ิ ทัง้ ภายในและภายนอก ทุกความคิดทีผ ่ า่ นเข ้ามาในหัว
นัน ้ หลุดออกไปอย่างง่ายดายของมันเอง จึงเริม ่ เห็นความทุกข์ของคนอืน ่ เป็ นเรือ
่ ง
ธรรมดาไป เห็นปั ญหาของโลกทีย ่ งุ่ เหยิงอีนุงตุงนังกลายเป็ นเรือ ่ งธรรมดา เห็นปั ญหา
ทุกอย่างเป็ นความธรรมดาของโลก โลกมนุษย์ก็ต ้องเป็ นทุกข์เช่นนี้ จะเอาอะไรกับมัน
ไม่มค ี วามรู ้สึกว่าจะต ้องช่วยเหลืออะไรใครอีก ไม่อยากเขียนหนังสือ ไม่รู ้สึกว่ามีอะไร
ต ้องพูดต ้องเขียนอีกต่อไป
จาได ้ว่าพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็ นการคิดอย่างเห็นแก่ตัว แต่แม ้
ความคิดนัน ้ ก็หลุดลุย่ ออกจากใจ ไม่มอ ี ะไรติดข ้องใจทีจ ่ ะนามาเป็ นเชือ ้ เพลิงให ้ทาอะไร
อีก
ถึงแม ้ความรู ้สึกนัน้ เป็ นความรู ้สึกทีถ ่ ก ู ต ้องกับตัวเราเอง แต่เราก็มองออก
ว่ามันไม่น่าจะถูกต ้องกับคนอืน ่ คนทีย ่ ังอยูใ่ นโลกของความมืดบอด ถ ้าเราไม่พูด ไม่
สอนแล ้ว คนตาบอดจะหาความสว่างได ้อย่างไร คงจะเป็ นช่วงเวลานั น ้ เอง ทีเ่ ราเริม ่ ตัง้
จิตอธิษฐานทุกเช ้าหลั งจากไหว ้พระและแผ่เมตตาต่อหน ้าหิง้ บูชาพระโดยพูดว่า
“ข ้าพเจ ้าขอตัง้ จิตอธิษฐานว่าจะพยายามปฏิบัตวิ ป ิ ั สสนากรรมฐานเพือ ่ ไปให ้ถึง
ฝั่ งแห่งพระนิพพานในภพชาตินี้ ขอให ้การเกิดในภพชาตินี้เป็ นการเกิดครัง้ สุดท ้ายของ
ข ้าพเจ ้าด ้วยเถิด และในขณะทีข ่ ้าพเจ ้ากาลังพยายามว่ายเข ้าสูฝ ่ ั่ งแห่งพระนิพพานนี้
ข ้าพเจ ้าก็จะขอช่วยเหลือเพือ ่ นมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานให ้มากทีส ่ ด
ุ เท่าทีจ ่ ะมากได ้
เพือ ่ ให ้เขาเหล่านัน ้ ได ้มีดวงตาเห็นธรรม ข ้าพเจ ้าจึงขอพรจากพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ คุณของพระอริยเจ ้าทัง้ หลาย คุณของพระอรหันต์ขน ี าสวเจ ้าทัง้ หลาย คุณของ
บิดามารดา อินทร์ พรหม ท ้าวจตุโลกบาล รวมทัง้ สิง่ ศักดิส ์ ทิ ธิท
์ งั ้ หลายทั่วสากลจักรวาล
หากท่านทัง้ หลายรับทราบความปรารถนาของข ้าพเจ ้าแล ้วไซร ้ ขอได ้โปรดประทานพร
ให ้ข ้าพเจ ้าสามารถทางานนี้ให ้ได ้ดีทส ี่ ด ุ เพือ
่ ประโยชน์และความสุขของสัตว์ทงั ้ หลาย
ด ้วยเถิด”
ค่อยมาอ่านพบทีหลังว่า ทีจ ่ ริงพระพุทธเจ ้าได ้ทรงบัญญัตไิ ว ้แล ้วว่า ถ ้าพระ
อรหันต์สาวกของท่านไม่ขวนขวายทีจ ่ ะสอนแล ้ว คนทีพ ่ อจะรู ้ธรรมได ้ก็จะพลาดโอกาส
ไป จึงเป็ นหน ้าทีข
่ องผู ้รู ้ทัง้ หลายทีต
่ ้องขวนขวายประกาศสัจธรรม

พูดทาไม? ถึงแล้วไม่ใชห ่ รือ?


จาไม่ได ้แน่ชด ั ว่า เริม ่ ตัง้ จิตอธิษฐานเช่นนี้เมือ ่ ไรแน่นอน รู ้แต่วา่ เป็ นช่วง
ทีต่ ้องปลุกตัวเองไม่ให ้ท ้อถอยต่องานทีต ่ ้องทาเพือ ่ ผู ้อืน
่ และคิดว่าต ้องเป็ นช่วงหลังจาก
ทีเ่ กิดญาณแล ้ว ซึง่ ในสามปี แรก เรายังไม่กล ้าสรุปอะไรให ้ตนเองทัง้ สิน ้ ยังพูดเขียน
อะไรอย่างอ ้อม ๆ ผลุบ ่ ๆ โผล่ ๆ เสมอ
สิง่ ทีจ
่ าได ้แม่นยาคือ ได ้อธิษฐานจิตเช่นนัน ้ อยูน
่ านหลายเดือนหรือ
อาจจะร่วมปี ก็ได ้ จู่ ๆ ก็มวี ันหนึง่ เมือ ่ พูดถึงประโยคทีว่ า่
“และในขณะทีข ่ ้าพเจ ้ากาลังพยายามว่ายเข ้าสูฝ ่ ั่ งแห่งพระนิพพานนี้”
ทันใดนัน ้ ก็มค ี วามคิดเข ้ามาบอกว่า
“เอ ้า…ก็ถงึ แล ้วนี่ ทาไมยังต ้องพูดว่ากาลังพยายามอยูล ่ ะ่ ”
ด ้วยความเคยชินต่อการถ่อมตนแม ้ในใจของตัวเอง จึงสลัดความคิดว่า
“เราได ้ถึงฝั่ งแล ้ว” ทิง้ ไปเสีย เหมือนกับไม่กล ้าอาจเอือ ้ มของทีส ่ งู เกินไป เหมือนยังกลัวขี้
กลากจะขึน ้ หัวอยู่ เพราะตนเองยังไม่สมฐานะทีส ่ งู ส่งนัน้ และเพราะความรู ้สึกทีแ ่ สนจะ
ธรรมดาของเราบอกเราว่า นิพพงนิพพานอะไรกัน เพราะความทรงจาเก่า ๆ ยังอยากคิด
ว่า นิพพานต ้องสุดแสนวิเศษ เลอเลิศ และมหัศจรรย์มากกว่าเป็ นเพียงความธรรมดาที่
เรากาลังสัมผัสอยูเ่ ป็ นแน่แท ้ แต่ความคิดนัน ้ ก็กลับมาฟ้ องเราอยูเ่ สมอว่า
“พูดทาไม ประโยคนัน ้ ก็ถงึ แล ้วไม่ใช่หรือ ก็ทก ุ วันนี้หายใจเข ้าออกอยูก ่ บ
ั นิพพาน
แล ้วไม่ใช่หรือ แล ้วยังพูดทาไมอีก พูดอยูไ ่ ด ้”
จาได ้ว่าปลุกปล้าอยูก ่ บ ั สิง่ นี้อยูร่ ว่ มเดือนเห็นจะได ้ ในทีส ่ ด ุ จึงต ้องตัดประโยคนัน ้
ทิง้ ไป และพูดว่า
“ข ้าพเจ ้าขอตัง้ จิตอธิษฐานว่าจะพยายามปฏิบัตวิ ป ิ ั สสนากรรมฐานเพือ ่ ไปให ้ถึงฝั่ ง
แห่งพระนิพพานในภพชาตินี้ ขอให ้การเกิดในภพชาตินี้เป็ นการเกิดครัง้ สุดท ้ายของ
ข ้าพเจ ้าด ้วยเถิด และข ้าพเจ ้าขอตัง้ ความปรารถนาด ้วยว่าจะขอช่วยเหลือเพือ ่ นมนุษย์
และสัตว์เดรัจฉานให ้มากทีส ่ ด ุ เท่าทีจ ่ ะมากได ้เพือ ่ ให ้เขาเหล่านัน ้ ได ้มีดวงตาเห็น
ธรรม………ขอได ้โปรดประทานพรให ้ข ้าพเจ ้าสามารถทางานนี้ให ้ได ้ดีทส ี่ ด
ุ เพือ่ ประโยชน์
และความสุขของสัตว์ทงั ้ หลายด ้วยเถิด” แม ้ทุกวันนี้ เราก็ยังคงอธิษฐานจิตเช่นนี้อยู่

ขอให้รว ู้ า ่ เราไม่ใช่เป็นปุถชุ นก็พอแล้ว


ประมาณปลายปี ๒๕๔๓ น ้อยซึง่ เป็ นเพือ่ นเรียนชัน้ มัธยมจนจบ
ธรรมศาสตร์ด ้วยกันได ้อ่าน ใบไม ้กามือเดียว เมือ ่ เธออ่านจบ จึงเขียนจดหมายมาถามเรา
ตรง ๆ ว่า
“เธอเป็ นพระอรหันต์แล ้วใช่ไม๊?”
เราอ่านแล ้วก็หัวเราะก๊ากออกมา เป็ นปฏิกริ ย
ิ าทีไ่ ม่แตกต่างจากคน
ทั่วไปเมือ ่ มีคนมาถามคาถามบ๊อง ๆ กับตนเอง แต่ความรู ้สึกต่อคาถามนัน ้ แตกต่าง
แน่นอนในแง่ทวี่ ่า หัวใจเราควรต ้องสัน ่ ไหวด ้วยความตืน ่ เต ้น และภาคภูมใิ จอย่างมากว่ามี
คนให ้เกียรติสงู ถึงขนาดคิดว่าเราอาจจะเป็ นพระอรหันต์ก็ได ้ แต่เราก็ไม่ได ้รู ้สึกเช่นนัน

เลยแม ้แต่น ้อย แม ้ได ้หัวเราะก๊ากออกมา แต่ใจไม่ไหวติงเลยแม ้แต่น ้อย กลับนิง่ เฉยเป็ น
ปกติธรรมดา
คาถามของน ้อยทาให ้เราต ้องถามตัวเองอย่างจริงจังเป็ นครัง้ แรกว่าเรา
เป็ นหรือไม่ ซึง่ ถ ้าไม่มใี ครถาม ก็ไม่จาเป็ นต ้องตรวจสอบ ก็อยูอ ่ ย่างธรรมดา ๆ เหมือนทุก
วัน ในทีส ่ ด ุ บอกน ้อยได ้แต่เพียงว่า
“ขอให ้รู ้ว่า เราไม่ใช่เป็ นปุถช ุ นก็พอแล ้ว”
ความรู ้สึกว่าตนเองได ้เป็ นพระอริยบุคคลระดับใดระดับหนึง่ หรือไม่นัน ้
ไม่ได ้เข ้ามาในใจเลยแม ้แต่น ้อยแม ้หลังจากวันทีเ่ กิดญาณแล ้วก็ตาม ถ ้าน ้อยไม่ถาม
คาถามทีต ่ รง ๆ เช่นนัน ้ เราก็คงไม่คด ิ เลย เพราะสภาวะจริงของพระอริยบุคคลทัง้ สีร่ ะดับ
นี้ไม่ได ้มีเส ้นแบ่งเขตแดนเหมือนกับทีบ ่ ันทึกไว ้เป็ นตัวหนังสือ เราแน่ใจด ้วยว่าพระ
โสดาบันกับพระสกิทาคามีนัน ้ ไม่รู ้ตัวด ้วยซ้าไปว่าตนเองได ้ถึงสภาวะแล ้ว ต ้องอาศัยผู ้มี
ภูมธิ รรมสูงกว่ารับประกันให ้จึงจะรู ้ แม ้กระนัน ้ ก็ตาม ตนเองก็ยังไม่รู ้สึกว่าเป็ นพระอริยเจ ้า
ถ ้าใครรู ้สึกเช่นนัน ้ แสดงว่ายังเดินไม่ถก ู ทางจริง ๆ คนทีเ่ ดินถูกทางแล ้ว ตัวตนจะค่อย ๆ
เล็กลงและหายไปเรือ ่ ย ๆ และถ ้าสูงขึน ้ ไปถึงระดับพระอนาคามีกบ ั พระอรหันต์ด ้วยแล ้ว
ก็ยงิ่ ต ้องหาตัวเองไม่พบใหญ่ แล ้วจะไปรู ้สึกว่าเป็ นโน่นเป็ นนี่ได ้อย่างไร
ในช่วง ๒ - ๓ ปี แรกหลังเกิดญาณ เมือ ่ มีใครพูดถึงพระอรหันต์นัน ้ เรายัง
มีความทรงจาเก่า ๆ ว่า พระอรหันต์ต ้องเป็ นบุคคลทีน ่ อกจากหลุดพ ้นจากความทุกข์
อย่างสิน ้ เชิงแล ้ว ยังต ้องเป็ นผู ้วิเศษ สมบูรณ์ เพรียบพร ้อมไปด ้วยคุณงามความดี
นานับประการ และต ้องมีอภิญญาอะไรต่าง ๆ เหล่านัน ้ ยังอดไม่ได ้ทีจ ่ ะวาดรูปของ
พระสงฆ์องค์เจ ้าทีอ ่ ยูใ่ นกรอบของพระธรรมวินัยอันงดงาม เพราะนี่เป็ นอุดมคติและเป็ น
ภาพพจน์ของพระอรหันต์ทต ี่ ด ิ ตรึงใจเรามานาน แต่พอมาสารวจตัวเองแล ้ว ทัง้ สถานะ
ทางกายคือความเป็ นหญิงและสถานะทางสังคมทีเ่ ป็ นทัง้ ฆราวาสและเป็ นแม่บ ้านด ้วย
ทาให ้แม ้แต่เราก็ยังไม่อยากยอมรับว่าเราอาจจะเป็ นพระอริยบุคคลในระดับใดระดับหนึง่
ก็ได ้ ยิง่ มาสารวจความรู ้สึกของตนเองแล ้ว ก็ยงิ่ ห่างไกลจากอุดมคติของพระอรหันต์ตาม
ความทรงจาทีม ่ ใี นอดีต เพราะเห็นแต่ความเป็ นธรรมดา ไม่ได ้คิดว่าตนเองมีอะไรทีว่ เิ ศษ
ประหลาด มหัศจรรย์เลยแม ้แต่น ้อยนิด ถ ้าไม่ได ้มีประสบการณ์แห่งความเป็ นธรรมดาจริง
ๆ ก็คงไม่มวี ันรู ้ เพราะของคิดกับของจริงมันคนละเรือ ่ งกันเลย
การบรรยายถึงความเป็ นอรหันต์ในลักษณะธรรมดาเช่นนี้น่าจะช่วยให ้คน
ทั่วไปเห็นความเป็ นไปได ้ทีจ ่ ะทาให ้เกิดขึน ้ กับตนเอง ไม่ได ้เป็ นเรือ ่ งเกินเอือ้ มแต่อย่าง
ใด คนมีบารมีสามารถไปถึงได ้แน่นอน

หลวงปู่หล้าพบทางต ันในการตอบปัญหา
เหตุทท ี่ าให ้เรายังไม่กล ้าสรุปอะไรอย่างเด็ดขาด เพราะแม ้ทุกวันนี้
สภาวะทีใ่ จถูกสะกิดสะเกาบ ้างก็ยังมีอยู่ แม ้จะน ้อยลงไปมากก็ตาม ใจยังไม่ใช่เป็ น
เส ้นตรงเหมือนไม ้บรรทัด เราคิดว่านี่ก็เป็ นข ้อเท็จจริงทีห
่ ลวงปู่ หล ้าได ้พูดหลุดปาก
ออกมา แต่ทา่ นอธิบายต่อไม่ได ้
ในหนังสือตอบปั ญหาของหลวงปู่ หล ้า หน ้า ๕๙ ท่านพูดว่า “ถ ้าเราติด
อยูใ่ นสังขารก็ด ี ติดอยูใ่ นนิพพานก็ด ี ก็เท่ากับว่าไม่รู ้สังขาร ไม่รู ้พระนิพพาน นกบินใน
อากาศวันยังค่าก็ไม่มรี อยใช่หรือไม่ มีดเฉือนน้ าในทีใ่ ด ๆ วันยังค่าก็ไม่มรี อยใช่หรือไม่ มี
ปัญหาว่าท่านผูพ ้ น้ ไปแล้ว ท่านร ักษาจิตหรือไม่ ท่านเกรงความผิดหรือไม่ ขอ
ตอบว่า ถ้าพระอรห ันต์ย ังร ักษาจิตอยู่ พระอรห ันต์ก็ตอ ้ งเป็นทุกข์ใชไ ่ หม เพราะ
เกรงว่าม ันจะผิด ก็ตอ ้ งระว ังจิตอยูเ่ หมือนคนคุมน ักโทษ หลวงปู่ก็ตอ ้ งตอบบ้า ๆ
บอ ๆ ให้ฟง ั ด ังนีแ
้ หละ เพราะหมดหนทางทีจ ่ ะตอบ”
อ่านการตอบปั ญหาของหลวงปู่ หล ้าแล ้ว ดูออกว่าท่านพบทางตันในการ
ตอบปั ญหาอันเนื่องกับสภาวะอันละเอียดอ่อนของพระอรหันต์ ได ้ย้าประสบการณ์ทเี่ รา
เองก็ประสบ อยากอธิบายให ้คนเข ้าใจอย่างถูกต ้อง แต่ก็ไม่รู ้ว่าจะอธิบายอย่างไร คน
ส่วนมากคิดว่าพระอรหันต์เป็ นบุคคลทีไ่ ม่มอ ี ารมณ์ความรู ้สึกขึน้ ลงเลย เหมือนหุน ่ ยนต์ มี
สภาวะใจราบเรียบเป็ นเส ้นตรงเหมือนไม ้บรรทัด หรือว่ามันยังมีการขึน ้ ลงบ ้างตามกฎแห่ง
อนิจจังของทุกอย่าง นี่คอ ื ข ้อเท็จจริงทีค ่ นยังไม่บรรลุธรรมจะไม่รู ้ และสรุปเอาเองจาก
ตารับตาราบ ้าง ตามการคาดคะเนของตนเองบ ้าง แต่คนทีเ่ ข ้าถึงธรรมแล ้วจะไม่พูดสรุป
เช่นนัน้ เด็ดขาด คนทีเ่ ข ้าถึงธรรมในขัน ้ นี้ก็น ้อยมาก แม ้คนเข ้าถึงแล ้วก็มนี ้อยคนอีกทีจ ่ ะ
ออกมาพูดประสบการณ์อย่างละเอียดและเปิ ดเผย เพราะหลายอย่างพูดไม่ได ้ ไม่มท ี าง
จะพูดได ้เลย โดยเฉพาะสภาวะพระนิพพาน พูดไม่ได ้เด็ดขาด
มาอ่านคาพูดของหลวงปู่ หล ้าเบือ ้ งต ้นจึงรู ้ว่าท่านก็มปี ั ญหาในการ
อธิบายเหมือนกัน สิง่ ทีห
่ ลวงปู่ หล ้าได ้หลวมตัวพูดออกมาว่าพระอรหันต์ยังต ้องคุมจิต
เหมือนการคุมนักโทษ และ พระพุทธเจ ้ายังคงบอกให ้พระอรหันต์เจริญอานาปานสติเพือ ่
ความมีสติและความสุขในปั จจุบันนัน ้ แสดงว่าท่านต ้องทรงทราบว่าพระอรหันต์แม ้โดย
ทฤษฎีเรียกว่าพ ้นจากทุกข์แล ้วก็ตาม แต่ภาคปฏิบัตก ิ ็ไม่ได ้หมายความว่าจิตใจของท่าน
จะเป็ นเส ้นตรงราบเรียบตลอดเวลา มันก็ไม่ใช่เช่นนัน ้ เสียทีเดียว1
ทีจ
่ ริงแล ้ว การทีส ่ ภาวะหลุดพ ้นในครัง้ ทีเ่ กิดทีบ ่ ้านพรานนกหายไป
ภายใน ๖ เดือน มันก็น่าจะชีใ้ ห ้เห็นว่า หากไม่มก ี ารดูแลใจให ้ดีแล ้ว สภาวะนั น ้ หายไปได ้
แต่นั่นก็เป็ นกรณีการหลุดพ ้นแบบเจโตวิมต ุ ติเท่านัน้

จานเล็กทีห ่ มุนอยูบ ่ นจานใหญ่


อย่างไรก็ตาม เรือ ่ งนี้ต ้องอธิบายโดยการมองเรือ ่ ง รูป จิต เจตสิก และ
นิพพาน สามธาตุแรก รูป จิต เจตสิก ก็คอ ื ขันธ์ ๕ ทีป ่ ระกอบขึน ้ มาเป็ นมนุษย์อันมีกาย
และใจ หรือ รูป-นาม นี่เอง ถ ้าสมมุตใิ ห ้ รูป จิต เจตสิก ซึง่ เป็ นฝ่ ายสังขารธรรมคือไม่
เทีย ่ ง ให ้เป็ นจานเล็กทีห ่ มุนตลอดเวลาและหมุนอยูบ ่ นจานใหญ่อันคือนิพพานซึง่ เป็ นวิ
สังขารธรรมคือเทีย ่ ง โดยธรรมชาติแท ้ ๆ แล ้ว จานเล็กทีเ่ คลือ ่ นไหวเปลีย ่ นแปลง
ตลอดเวลานัน ้ กาลังเคลือ ่ นอยูบ ่ นจานใหญ่ทไี่ ม่เปลีย ่ นแปลงเลย ผู ้ยังไม่เกิดญาณและ
ไม่รู ้จักพระนิพพานอย่างถ่องแท ้ จะไม่สามารถเห็นการทางานของภาพใหญ่ได ้ คือจาน
เล็กทีห ่ มุนอยูต ่ ลอดเวลาและตัง้ อยูบ ่ นจานใหญ่ทไี่ ม่เคลือ ่ นที่ ผู ้รู ้ทีย
่ ังไม่ได ้ดับขันธ์ คือ
ยังมีชวี ต ิ อยู่ หมายความว่าท่านยังมีรป ู จิต และ เจตสิกอยู่ ชีวต ิ ของท่านเป็ นจานเล็กที่
ยังอยูภ ่ ายใต ้กฎแห่งอนิจจัง แต่ทา่ นมารู ้เสียแล ้วว่า จานเล็กนี้กาลังเคลือ ่ นซ ้อนอยูบ ่ น
จานใหญ่ทไี่ ม่เคลือ ่ นเลย เพราะท่านเห็นนิพพาน ตรงนี้เอง อธิบายได ้ว่า แม ้ใจของพระ
อรหันต์ก็ยังมีการเคลือ ่ นอยูบ ่ ้าง เพราะตราบใดทีย ่ ังมีรป ู จิต เจตสิก ตราบนัน ้ ก็ยังอยู่
ภายใต ้กฎแห่งอนิจจัง แต่ทา่ นแตกต่างจากผู ้ไม่รู ้คือ ท่านรู ้ว่าจานเล็กนี้กาลังเคลือ ่ นอยู่
บนจานใหญ่ทไี่ ม่เคลือ ่ น ฉะนัน้ แม ้ใจของพระอรหันต์จะแปรเปลีย ่ นไปตามกฎแห่ง
อนิจจัง แต่ก็เป็ นการรู ้ล ้วน ๆ เท่านัน ้ ไม่มก ี ารติดยึดแต่อย่างใดแล ้ว
นี่อธิบายได ้ว่าแม ้หลังการตรัสรู ้แล ้ว ความคิดของพระพุทธเจ ้าก็ยัง
เปลีย ่ นกลับไปกลับมาได ้ เช่น ตอนแรกดาริทจ ี่ ะไม่สอน แต่ก็เปลีย ่ นใจในภายหลังว่า
สอนดีกว่า เพราะเรือ ่ งความคิดเป็ นเรือ ่ งของสังขาร ความรู ้สึก หรือเวทนา ก็เช่นกัน
ฉะนัน ้ แม ้พระอรหันต์ก็ยงั มีวันทีจ ่ ต ิ รู ้สึกสดใส โปร่งเบา สบาย มีกาลังใจในการทางาน
เพือ่ เผยแผ่สจ ั ธรรม แต่ก็มบ ี างวันทีจ ่ ติ ใจห่อเหีย ่ ว ท ้อถอย หมดกาลังใจ ไม่อยาก
ประกาศสัจธรรม เพราะนี่เป็ นเรือ ่ งของจิตทีย ่ ังเปลีย ่ นแปลงได ้อยู่ ความรู ้สึกเหล่านี้ก็ยัง
เกิดขึน ้ กับเรา บางวันก็มก ี าลังใจมาก อยากจะโอบอุ ้มโลกทัง้ โลกไว ้ แต่บางวัน ก็อยาก
ใช ้ชีวต ิ เป็ นแม่บ ้านแม่เรือน อยูเ่ งียบ ๆ ไม่อยากทาอะไร และไม่อยากยุง่ กับใครทัง้ สิน ้

สิงทีแ ่ ตกต่างกันคือ แม ้จิตจะมีการเปลีย ่ นแปลง แต่จต ิ นัน ้ ไม่เกาะติดใจอีกแล ้ว เป็ นอิสระ
จากกันอย่างสิน ้ เชิง จึงมีแต่การเห็นเท่านัน ้

ผูร้ ก ่ มตะธรรมได้อย่างง่ายดาย
ู ้ ล ับสูอ
หรือจะอธิบายว่า เพราะรูป จิต เจตสิก ก็ยังเปลีย ่ นแปลงไปตามกฎแห่ง
อนิจจัง แต่สาหรับผู ้รู ้แล ้ว การเปลีย ่ นแปลงของสภาวะจิตนัน ้ เป็ นเรือ
่ งละเอียดอ่อนกว่า
คนธรรมดามากนัก เหมือนกับทะเลสาปทีม ่ น
ี ้ านิง่ สนิทแล ้ว ใบไม ้เล็ก ๆ เบา ๆ ตกลงไป
เพียงใบเดียว เกิดคลืน ่ แม ้เพียงเล็กน ้อยเพียงใดก็เห็นแล ้ว ใจของผู ้รู ้ก็เป็ นเช่นนัน ้ สิง่
ทีม ่ ากระทบใจแม ้จะละเอียดอ่อนยังไงก็เห็นหมด มันเกิดขึน ้ เป็ นไป และหมดไปอย่าง
รู ้เท่าทันว่ามันก็เป็ นเช่นนัน ้ เอง ไม่มก ี ารยึดมั่นอีกต่อไป จึงปล่อยได ้อย่างเป็ นธรรมชาติ
ทันทีทันใด ไม่มก ี ารรัง้ รอ

1
ดิฉนั กลับมาอ่านต้นฉบับนีป้ ระมาณ ๑๘ เดือนหลังจากที่เขียนหัวข้อนัน้ สภาวะที่ดิฉนั อธิบายว่า สภาวะใจยัง
ถูกสะกิดสะเกาอยู่บา้ ง นัน้ ได้หายไปอย่างสิน้ เชิงแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว
และไม่วา่ อะไรจะเกิดขึน ้ กับใจ ผู ้รู ้จะสามารถกลับไปสูส ่ ภาวะอมตะธรรม
หรือพระนิพพานได ้เสมออย่างง่ายดาย ซึง่ ผู ้ทีย ่ ังไม่เกิดญาณ ไม่รู ้จักพระนิพพานอย่าง

แน่ชดจะกลับไปหาพระนิพพานไม่ได ้ทันที เพราะยังมีความลังเลสงสัยอยู่ ไม่รู ้แน่ชด ั ว่า
พระนิพพานคืออะไร อยูท ่ ไี่ หน เหมือนยังไม่รู ้ว่าบ ้านเดิมอยูท ่ ไี่ หน จึงยังกลับบ ้านไม่ถก

พระอรหันต์กลับบ ้านได ้ทันที เพราะรู ้แล ้วว่าบ ้านอยูท ่ ไี่ หน นี่คอ ื ความแตกต่างระหว่างผู ้รู ้
กับผู ้ยังไม่รู ้

ทาไมพระอรห ันต์ย ังเจริญอานาปานสติอยู? ่


นี่คงเป็ นสาเหตุใหญ่ทพ ี่ ระพุทธเจ ้ายังคงทรงสนับสนุนให ้พระอรหันต์
เจริญอานาปานสติอยู่ โดยทีท ่ า่ นให ้เหตุผลว่าเพือ ่ ความมีสติและความสุขในปั จจุบัน การ
ทาอานาปานสติภาวนาของพระอรหันต์โดยเฉพาะท่านทีอ ่ ยูใ่ นเมืองและยังมีภาระหน ้าที่
การงานนัน ้ ทาแล ้ว พลังสมาธิจะสามารถทาให ้ไม่เพียงแต่ใจสบายขึน ้ เท่านัน ้ แม ้แต่กาย
ก็สบายขึน ้ ด ้วย เหมือนทีเ่ ราบอกว่า กินวิตามินนัน ้ ไม่ผด ิ วิตามินไม่ได ้เป็ นยาแก ้โรค แต่
เป็ นยาเสริมสุขภาพทีด ่ อี ยูแ
่ ล ้ว ให ้ดีกว่าเก่าหน่อย และป้ องกันโรคทีย ่ ังไม่เกิดไม่ให ้เกิด
ใจของพระอรหันต์หมดปั ญหาแล ้ว ในแง่ทวี่ า่ ท่านรู ้แล ้วว่าพระนิพพานคืออะไรและอยูท ่ ี่
ไหน ท่านสามารถกลับสูบ ่ ้านทีช ่ อื่ นิพพานได ้อย่างคล่องแคล่วแล ้ว แต่เพราะยังอยูก ่ บ ั
โลกของสมมุตแ ิ ละภายใต ้กฎอนิจจัง และท่านไม่ใช่เป็ นมนุษย์หน ุ่ ยนต์ ฉะนั น ้ วิตามินอัน
คืออานาปานสติภาวนาจะช่วยเสริมให ้สภาวะใจทีส ่ มบูรณ์แล ้วให ้สมบูรณ์ยงิ่ ขึน ้
สาหรับผู ้รู ้ทีห ่ ลุดพ ้นด ้วยพลังของเจโตวิมต ุ ิ มีพลังสมาธินาหน ้า ซึง่ มักจะ
มีลักษณะนิสย ั ส่วนตัวทีไ่ ม่ชอบคลุกคลีกบ ั หมูค
่ ณะ ชอบปลีกตัว และมีโอกาสได ้อยูป ่ ่า
ไม่ต ้องพูดคุยกับโลกสมมุตอ ิ ก ี แล ้ว ท่านก็อาจจะมีใจทีร่ าบเรียบเหมือนไม ้บรรทัดได ้
ตลอดเวลา นี่เป็ นไปได ้มากเพราะพลังสมาธิ แต่เราก็ไม่รู ้เหมือนกันว่าจะมีปัจจัยอืน ่ ทีท่ า
ให ้ใจท่านไม่ราบเรียบได ้หรือไม่ ต ้องให ้ท่านผู ้รู ้มาพูดเองถึงจะรู ้ สิง่ เหล่านี้เป็ นสภาวะที่
ละเอียดอ่อนและลึกซึง้ มาก จะรู ้เฉพาะก็แต่ผู ้มีสภาวะแท ้จริงเท่านัน ้ เป็ นเรือ
่ งทีค ่ นทั่วไป
ไม่ควรเอามาวิเคราะห์ให ้มากเกินไป

ความโดดเดีย ่ วของผูบ ้ รรลุธรรมขนสู ั้ ง


สิง่ เหล่านี้ยังเป็ นความลึกลับของผู ้บรรลุธรรมขัน ้ สูงทีเ่ จ ้าตัวจะต ้องเรียนรู ้
เอาเองเมือ ่ ไปถึงขัน ้ นัน
้ แล ้ว เพราะในสมัยนี้ไม่มพ ี ระพุทธเจ ้าและพระอรหันตสาวกให ้
ปรึกษาได ้ นี่เป็ นความโดดเดีย ่ วอย่างมหันต์ของผู ้บรรลุธรรมขัน ้ สูงในสมัยนี้ เพราะไม่
สามารถวิง่ ไปหาใครให ้รับประกันตนเองได ้ จาเป็ นอย่างยิง่ ทีจ ่ ะต ้องรับประกันตัวเองให ้
ได ้ ในแง่หนึง่ ท่านมีความรู ้เพียงพอทีจ ่ ะพาคนตาบอดไปให ้ถึงฝั่ งพระนิพพาน แต่ในอีก
แง่หนึง่ มันก็ยังมีความลึกลับอีกมากมายทีเ่ จ ้าตัวก็ยังไม่รู ้และยังต ้องเรียนรู ้ไปตาม
ขัน
้ ตอนของมัน เปรียบเทียบได ้ว่า เมืองนิพพานเป็ นเมืองใหญ่โตครอบจักรวาล มีถนน
ตรอก ซอก ซอยมากเหลือเกิน ผู ้เดินทางทีม ่ าถึงใหม่ ๆ ก็รู ้เห็นแต่สว่ นใจกลางเมือง
เท่านัน ้ อย่างทีบ่ อกแล ้วว่า ผู ้รู ้ทุกท่านก็ล ้วนมีความรู ้ขัน ้ พืน้ ฐานเท่านัน ้ แต่ยังมีถนน
ตรอก ซอก ซอย อีกมากมายทีย ่ ังไม่ได ้เข ้าไปสารวจหมด จึงยังไม่รู ้ว่ามีอะไรซ่อนเร ้นอยู่
อีกบ ้าง เราเองก็รู ้สึกเหมือนเดินมาถึงจุดนี้
ตอนนี้ซงึ่ เข ้าปี ท ี่ ๕ ตัง้ แต่วันเกิดญาณ ก็สามารถพูดได ้เท่าทีร่ ู ้ สิง่ ทีย ่ ัง
ไม่รู ้ ก็พูดไม่ได ้ และยังมีอะไรอยูข ่ ้างหน ้าอีก เราก็ไม่รู ้ เมือ
่ เวลาผ่านไป ได ้สารวจเมือง
ใหม่มากขึน ้ อาจจะรู ้มากขึน ้ ก็ได ้

ใจกาเริบ ๑๘ ชว่ ั โมง ใบไม้กามือเดียวจึงคลอดออกมา


ช่วงเวลาก่อนและหลังวันเกิดญาณในเดือนตุลาคม ๒๕๔๐ นั น ้ จาได ้ว่า
ช่วงนัน
้ กาลังเขียนงานภาษาอังกฤษเล่มทีค ่ วรต่อเนื่องจาก Can a Caterpillar be
Perfect? อยู่ ซึง่ ได ้ใช ้เวลาเป็ นร ้อยชัว่ โมงในการทางานชิน ้ นัน
้ และได ้ลบมันทิง้ ไป
หมดแล ้วเมือ
่ ต ้นปี ๒๕๔๔ นี้เอง ตอนนัน ้ ไม่มค ี วามคิดและความตัง้ ใจทีจ
่ ะเขียนหนังสือ
อะไรอีกนอกจากงานเขียนทีก ่ าลังทาอยู่ชนนัน ้ ิ ้
จู่ ๆ ก็มวี ันหนึง่ คงจะเป็ นต ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ไปสอนตามปกติ
จาได ้ว่าเป็ นวันพุทธ นักศึกษาก็คงจะมาอย่างตก ๆ หล่น ๆ เหมือนทีเ่ คยเป็ นมาในช่วง
๑๐ ปี เศษ ซึง่ ทีจ ่ ริงได ้ยอมรับและได ้ชินกับปรากฏการณ์เช่นนัน ้ แล ้ว เพราะมันไม่ได ้เกิด
กับชัน ้ ของเราเท่านัน ้ ชัน ้ อืน
่ ๆ ด ้วย การสูญหายของนักศึกษาในช่วงนัน ้ จึงไม่ได ้เป็ น
ปั ญหาใหญ่เลย จาไม่ได ้ว่านักศึกษาหายไปมากสักแค่ไหน รู ้แต่วา่ พอเรากลับจากงาน
สอนในตอนบ่ายของวันนัน ้ ใจกาเริบอย่างผิดปกติ ความรู ้สึกสารพัดอย่างโหมใจอย่าง
รุนแรง และแรงมากจนชนิดทีเ่ ราตัง้ ตัวแทบไม่ตด ิ ทาทุกอย่างทีเ่ คยทาเพือ ่ ระงับความ
กาเริบนัน ้ ก็เอาไม่อยู่ สภาวะแมวจับหนูหายเข ้ากลีบเมฆอันดาสนิท ใช ้แต่ความอดทน
และรอให ้มันหายไปเท่านัน ้
ช่วงทีร่ อให ้กฎแห่งอนิจจังจัดการอยูน ่ ัน
้ ความกลัวได ้เข ้ามาหลอกหลอน

ใจมาก ได ้คุยกับสามี ซึงเขาก็พยายามหาคาปลอบใจทีด ่ ที ส
ี่ ด
ุ ให ้แก่เราแล ้ว มันก็ไม่หาย
รู ้ว่า ถ ้าใจตกเช่นนี้ ต ้องคุยกับพระเพือ ่ ให ้ท่านพูดยกใจให ้ จึงโทรไปคุยกับพระรูปหนึง่ ที่
วัดสังฆทาน ท่านก็ด ี ทัง้ ๆ ทีไ่ ม่รู ้ปั ญหาทีแ ่ ท ้จริง ซึง่ แม ้ตัวเราเองก็ยังไม่รู ้จริง ๆ ว่าอะไร
คือปั ญหาทีท ่ าให ้ใจเราตกมากถึงเพียงนัน ้ ท่านก็ยังอุตสาห์หาธรรมะมาพูดให ้เราฟั งอยู่
ตัง้ เกือบชัว่ โมง คุยกับพระแล ้วก็ดข ึ้ แต่รู ้ว่ายังใจยังไม่ได ้กลับคืนสูร่ ะดับปกติเสียทีเดียว
ี น
คืนนัน ้ สามีทางานกะกลางคืน ต ้องนอนคนเดียว พยายามทาสมาธิเพือ ่ ระงับความกลัว
สารพัดหน ้าตาทีเ่ ดินเข ้ามากระหน่าใจ ปรากฏว่าทาไม่ได ้เลย แต่ละนาทีชา่ งผ่านไป
อย่างเชือ ่ งช ้าเมือ
่ ใจเป็ นทุกข์ จึงนั่งบ ้าง นอนบ ้างอย่างอดทนและดูพายุทก ี่ ระหน่าใจอยู่
พยายามจะเข ้าใจว่าเกิดอะไรขึน ้ กับเรา ทาไมใจจึงกาเริบได ้เช่นนี้ นี่เป็ นปรากฏการณ์ท ี่
ไม่ได ้เกิดกับเรามานานมากตัง้ แต่แมวจับหนูได ้เก่งขึน ้ จึงเข ้าใจไม่ได ้ว่าเกิดอะไรขึน ้ ตัว
ปั ญหาจริง ๆ อยูท ่ ไี่ หน พยายามสารวจ ก็หาตัวปั ญหาไม่พบ
คืนนัน ้ นอนไม่หลับทัง้ คืน วันรุง่ ขึน ้ เป็ นวันพฤหัสซึง่ เป็ นวันเดียวทีไ่ ม่ได ้
สอน บอกกับตัวเองว่า ถ ้าไม่สามารถทาใจให ้กลับคืนสูค ่ วามเป็ นปกติภายในวันนี้แล ้วละ
ก็ คงไปสอนไม่ได ้ในวันรุง่ ขึน ้ เพราะสิง่ ทีเ่ ราสอนคือการบอกนักศึกษาว่าจะรักษาใจเขา
ให ้เป็ นปกติได ้อย่างไร และถ ้าเราเองยังทาไม่ได ้แล ้ว จะเอาข ้อมูลอะไรไปสอน ในช่วง
นัน ้ เอง จึงตระหนักชัดว่าการทีเ่ ราสามารถไปยืนต่อหน ้านักศึกษาด ้วยใจทีเ่ ป็ นปกติ และ
โน ้มเอาความรู ้และภูมป ิ ั ญญาในปั จจุบันขณะนัน ้ ๆ ออกมาสอนพวกเขาได ้นัน ้ ไม่ใช่เป็ น
เรือ ่ งง่ายและธรรมดาเลย เป็ นสิง่ ทีเ่ ราไม่รู ้ว่ามันไม่ธรรมดา เพราะสิง่ ไหนทีท ่ าได ้แล ้ว ก็
รู ้สึกว่ามันธรรมดามาก มาเห็นชัดเอาก็เมือ ่ สามารถเปรียบเทียบกับความสัน ่ ไหวของใจใน
คืนนัน ้ จึงมองย ้อนกลับได ้ว่ามันไม่ธรรมดา
เท่าทีเ่ ราจาได ้นัน ้ ถึงแม ้จะมีวันทีม ่ ป ี ั ญหามารบกวนใจก็ตาม ไม่ปรากฏว่า
มีวันไหนทีเ่ มือ ่ ไปยืนต่อหน ้านักศึกษาแล ้ว เราคุมใจไม่อยู่ วันเช่นนัน ้ ไม่ปรากฏในช่วง
๑๒ ปี ทส ี่ อนนักศึกษา
เช ้าวันพฤหัส ใจของเราก็ยังไม่เป็ นปกติในระดับทีเ่ รายอมรับได ้ จึงโทร
ไปคุยกับพระอีกรูปหนึง่ ท่านอยูใ่ นสายสวนโมกข์ เคยร่วมทางานกับพระและฆราวาสที่
เราเคยรู ้จัก จึงบอกกับท่านว่าใจเราตกมาก ขอให ้ท่านช่วยพูดยกสภาวะใจขึน ้ มาให ้
หน่อย ท่านจึงเล่าเรือ ่ งอุปสรรคการทางานของท่านให ้เราฟั ง มีตอนหนึง่ ท่านพูดถึงท่าน
อาจารย์พุทธทาสว่า การเทศน์ในวันเสาร์ของท่านอาจารย์นัน ้ บางครัง้ ก็มค ี นฟั งนอ้ ยมาก
ลานหินโค ้งแทบจะไม่คอ ่ ยมีคนเลย แต่ทา่ นอาจารย์ก็ยังคงเทศน์เฉย ไม่มค ี วามสะทก
สะท ้านอะไรเลย
เราฟั งถึงจุดนัน ้ แล ้วก็ได ้กาลังใจขึน ้ มาเยอะ ถ ้าขนาดท่านอาจารย์พุทธ
ทาสเทศน์แล ้ว คนฟั งน ้อย แล ้วเราเป็ นใครมาจากไหน จึงพยายามสอนตัวเอง หลังจาก
ทีไ่ ด ้คุยกับพระท่านแล ้ว บวกกับการพยายามทาสมาธิ เมฆดาและพายุฝนทีไ่ ด ้เข ้ามา
กระหน่าใจนัน ้ ก็คอ ่ ย ๆ คลายตัวออก พอถึงจุดหนึง่ มันก็หายไปเหมือนปลิดทิง้ บรรลุถงึ
ระดับความเป็ นปกติทเี่ รายอมรับได ้ สิง่ ต่าง ๆ ทีเ่ ห็นเป็ นปั ญหาอย่างร ้ายแรงกลับไม่เป็ น
ปั ญหาแม ้แต่น ้อยนิด นับเวลาเบ็ดเสร็จทีอ ้ งหลังเมฆดาแล ้วก็ประมาณ ๑๘ ชัว่ โมง
่ ยูเ่ บือ
ซึง่ นับว่านานมาก นานเกินไปสาหรับเรา
เมือ่ ใจเป็ นปกติแล ้ว จึงมองกลับไปสารวจสภาวะนัน ้ และพยายามหาข ้อ
อธิบายให ้ตนเองว่าทาไมใจจึงกาเริบเช่นนัน ้ ได ้ และแล ้ว เหมือนมีสงิ่ หนึง่ มาพูดก ้องใน
หัวว่า
“มนุษย์ทย ี่ ังต ้องใช ้ชีวติ อย่างสะดุ ้งกลัวนัน ้ มีรสชาดเหมือนทีเ่ ราเพิง่ ชิมรส
มาหยก ๆ ฉะนัน ้ อย่าลืมความทุกข์ของพวกเขานะ”
้ เสียงนัน
สิน ้ เราก็ถก ู โหมกระหน่าด ้วยความรู ้สึกเมตตาต่อเพือ ่ นมนุษย์
อย่างรุนแรง เกิดกาลังใจอย่างมหาศาลทีจ ่ ะทางานเพือ ่ ความสุขของคนทีย ่ ังทุกข์อยู่ แม ้
จะสามารถช่วยได ้เพียงคนเดียวก็ยังต ้องทาอย่างเต็มทีเ่ พือ ่ คน ๆ นัน ้
อยากคิดว่า นี่คอ ื จุดประสงค์ของประสบการณ์ทอ ี่ ยูห ่ ลังเมฆดาถึง ๑๘
ชัว่ โมงของเรา คงจะเป็ นกลางดึกของคืนวันเสาร์หรือวันอาทิตย์นัน ้ เองทีจ ่ ู่ ๆ หัวของเราก็
มีโครงสร ้างทัง้ หมดของหนังสือเล่มใหม่ปรากฏขึน ้ มาอย่างชัดเจน รู ้ว่าจะต ้องบอกคน
เรือ ่ งโครงสร ้างของชีวต ิ ว่ามีเป้ าหมายอะไรและสัมพันกับศาสนาพุทธและพระนิพพาน
อย่างไร จะต ้องเดินทางไปให ้ถึงเป้ าหมายนัน ้ อย่างไร และ จะต ้องสร ้างวัฒนธรรมอะไร
อย่างไรเพือ ่ ช่วยคนหมูม ่ ากให ้เข ้าถึงเป้ าหมายอันสูงสุดของชีวต ิ นัน ้ เป็ นความคิดที่
ชัดเจนมาก ซึง่ เราไม่เคยสามารถคิดได ้กว ้างขวางเช่นนี้มาก่อน งานเขียนก่อนหน ้านัน ้
เป็ นการจับหัวข ้อหนึง่ หัวข ้อใดขึน ้ มาแล ้วก็พยายามกระจายเนื้อหาออกไปเท่านัน ้ แต่จะ
ไม่มภ ี าพของโครงสร ้างใหญ่แต่อย่างใด
ตอนนี้จงึ รู ้ชัดว่า การคิดอย่างกว ้างขวางเช่นนัน ้ ได ้ เป็ นผลโดยตรงของ
ญาณทีเ่ กิด เป็ นผลโดยตรงของการรู ้แจ ้งแทงตลอด จึงสามารถพูดเรือ ่ งโครงสร ้างของ
ชีวต ิ ได ้อย่างชัดเจน แต่ตอนนัน ้ ไม่ได ้คิดว่ามันเป็ นความคิดทีว่ เิ ศษวิโสอะไร เพราะสิง่ ที่
คิดออกได ้ อยูใ่ นหัวแล ้ว มันก็รู ้สึกว่าธรรมดามาก ยังคิดว่าคนอืน ่ ก็เขียนไว ้แล ้ว
ในทีส ่ ด
ุ จึงต ้องวางงานเขียนทีท ่ าค ้างอยูก ่ อ
่ นหน ้านัน ้ ไว ้ และเริม ่ จับงาน
ชิน ้ ใหม่ทันที พอโน ้มใจเข ้าไปเท่านั น ้ ความคิดต่าง ๆ ก็ไหลออกมาเหมือนเปิ ดน้ าก๊อก
โดยไม่ต ้องใช ้ความพยายามอะไรมากนัก ภายในสามเดือนนัน ้ เอง เราก็เขียนต ้นฉบับ
ของใบไม ้กามือเดียวเสร็จทัง้ ภาษาไทยและอังกฤษ และใช ้เวลาอีกหลายเดือนแก ้ไข
เพิม ่ เติมในส่วนรายละเอียด เราไม่ได ้คิดว่างานชินนี้มอ ้ ี ะไรเด่นเป็ นพิเศษเลย จนกระทั่ง
มาอ่านคานาทีพ ่ ระท่านเขียนให ้ แต่เมือ ่ ถึงตอนนัน ้ ความรู ้สึกของเราก็เฉยมากแล ้ว ไม่
รู ้สึกสะทกสะท ้านต่อคาติชมแต่อย่างใด อ่านแล ้วก็รู ้สึกเฉย ๆ เพียงรับรู ้เท่านัน ้

You might also like