Professional Documents
Culture Documents
อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน บทที่ 15
อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน บทที่ 15
อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน บทที่ 15
่ บ
รูส
้ กึ ธรรมดา ข้อพิสจ ู น์วา ่ ญาณได้เกิดแล้ว
หลังจากเกิดญาณแล ้วในวันนัน ้ แม ้รู ้ว่านั่นเป็ นความรู ้ทีน ่ ้อยคนจะรู ้ได ้
แต่ก็ไม่ได ้รู ้สึกตืน ่ เต ้น หวือหวา เหมือนความรู ้สึกของคนทั่วไปทีเ่ มือ ่ ได ้อะไรมาสักอย่าง
ด ้วยความยากเย็นแสนเข็ญแล ้ว ย่อมกระโดดโลดเต ้นด ้วยความดีใจ ตืน่ เต ้นสุดขีด
ทานองนัน ้ ความรู ้สึกของเรากลับตรงกันข ้ามอย่างสิน ้ เชิง เราตะลึงและอัศจรรย์ใจต่อ
ความรู ้ใหม่ทเี่ กิดขึน ้ ในขณะนัน ้ ก็จริงอยู่ แต่วันรุง่ ขึน ้ ก็คอ ื วันธรรมดาอีกวันหนึง่ ของเราที่
ต ้องทาหน ้าทีข ่ องภรรยา แม่ ครู และนักเขียนต่อไปเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มันก็
เหมือนเดิมไม่ได ้เพราะทุกอย่างทีส ั ผัสนัน
่ ม ้ มีความรู ้แจ ้งว่านี่คอ ื สภาวะนิพพานติดอยู่
ด ้วยเสมอ และสภาวะนัน ้ ก็คอื สภาวะธรรมดาอย่างถึงทีส ่ ด
ุ นั่นเอง
ตรงนี้น่าจะเป็ นข ้อพิสจ ู น์วา่ ญาณได ้เกิดขึน ้ แล ้วแก่เราจริง ได ้พบความรู ้
จริง ได ้พบสัจธรรมทีส ่ งู สุดของธรรมชาติจริง มิเช่นนัน ้ แล ้ว เราจะรู ้สึกธรรมดาเช่นนี้ไม่ได ้
ใครจะไปรู ้ได ้ว่าความธรรมดาอย่างสุด ๆ ทีแ ่ สนจะธรรมดานี้คอ ื พระนิพพานทีใ่ ครต่อใครก็
อยากไปถึงกันนักหนา นี่เป็ นสภาวะทีค ่ น ๆ หนึง่ จะคิดหาคาตอบเองไม่ได ้เด็ดขาด ต ้องมี
ญาณมาบอกเท่านัน ้ จึงจะรู ้ได ้ เพราะคนทีย ่ ังไปไม่ถงึ ล ้วนต ้องพูดถึงพระนิพพานและคนที่
เข ้าถึงพระนิพพานแล ้วด ้วยความรู ้สึกทีห ่ วือหวาและตืน ่ เต ้นทัง้ สิน ้
เราก็เคยพูดถึงพระนิพพานเช่นนัน ้ เคยมองความเป็ นพระอรหันต์เหมือน
ของสูงสุดทีเ่ อือ ้ มไม่ถงึ ตืน
่ เต ้นมากหากมีใครมาบอกว่าพระองค์นัน ้ หลวงตาองค์นี้อาจ
เป็ นพระอรหันต์แล ้ว นี่คอ ื ปฏิกริ ยิ าอันเป็ นธรรมชาติมากของคนทีย ่ ังไปไม่ถงึ เหมือนชาว
คริสต์หรือคนทีน ่ ับถือพระเจ ้า พูดถึงพระเจ ้าทีไร ต ้องมองขึน ้ ฟ้ าทุกที เหมือนเป็ นของ
ประเสริฐส ์ ดุ ประมาณ แต่ใครล่ะจะรู ้ว่า พระนิพพานหรือพระเจ ้านี้คอ ื สภาวะที่แสนจะ
ธรรมดาจนหาทีต ่ ไิ ม่ได ้ ถ ้าญาณไม่เกิดนี่ ไม่มวี ันรู ้ได ้เลย ทัง้ ๆ ทีส ่ งิ่ นัน
้ ก็อยูเ่ บือ
้ งหน ้า
ของคนทุกคน นี่แหละคือความยากของการรู ้จักพระนิพพานหรือพระเจ ้า
ธรรมดาทีต
่ า
่ งก ันสุดขวั้
ช่วงปี แรกก็ยังเหมือนกับต ้องขยับแว่นตานิดหน่อยเพือ ่ ดูสภาวะธรรมดา
หรือนิพพานให ้ชัด แต่เดีย ๋ วนี้ ไม่ต ้องขยับแว่นมันก็ชด ั จนเป็ นธรรมดาของมัน ซึง่ เป็ น
ความรู ้สึกทีไ่ ม่แตกต่างจากความรู ้สึกธรรมดาของคนทีอ ่ ยูใ่ นโลกทีม ่ ด
ื บอดเลยแม ้แต่
น ้อย ต่างกันก็แต่ ธรรมดาแบบมืดกับธรรมดาแบบสว่างเท่านัน ้ จนมักลืมไปว่า ไอ ้
ความรู ้สึกธรรมดาของเรานัน ้ ทีจ
่ ริง มันไม่ธรรมดาสาหรับคนอืน ่ โดยเฉพาะเราอยูใ่ น
ท่ามกลางคนรอบข ้างทีย ่ งั อยูใ่ นโลกแห่งความมืดบอดทัง้ สิน ้ หนังสือของเราเขาก็ไม่เคย
หยิบอ่าน พวกเขาจึงไม่รู ้ว่ามีอะไรเกิดขึน ้ กับเรา จึงใช ้ชีวติ อยูอ
่ ย่างธรรมดาเหมือนพวก
เขา แต่เป็ นธรรมดาทีอ ่ ยูก่ นั คนละขัว้ เท่านัน ้
มีสติเต็มเปี่ ยมอย่างเป็นธรรมชาติ
ความแตกต่างทีค ่ อ
่ ย ๆ เกิดขึน ้ หลังเกิดญาณแล ้วคือ สติคอ ่ ย ๆ มีความ
เต็มเปี่ ยมมากขึน ้ โดยไม่ต ้องตัง้ ใจไปทามัน ไม่วา่ จะทากิจกรรมนัน ้ ช ้าหรือเร็ว หรือใน
สายตาคนอืน ่ อาจดูเหมือนเป็ นการกระทาทีข ่ าดสติ แม ้กระนัน ้ สติก็กากับอยูเ่ สมออย่าง
เป็ นอัตโนมัต ิ ตัวอย่างทีเ่ ห็นได ้ชัดคือ การทางานเขียนซึง่ เป็ นงานใช ้สมองอย่างมากนัน ้
ใจจาเป็ นต ้องเข ้าสูก ่ ระแสความคิดอย่างลึก ซึง่ สมัยก่อนญาณเกิดนัน ้ ถึงแม ้จะเปลีย ่ น
อิรย ิ าบทแล ้วก็ตาม ใจก็มก ั คิดติดพันอยูก ่ บ
ั งานเขียนนัน ้ สักครูใ่ หญ่ทเี ดียว แต่หลังจากที่
ญาณเกิดแล ้ว ค่อย ๆ เห็นความเปลีย ่ นแปลงของสติ พอลุกขึน ้ จากเก ้าอีห
้ น ้า
คอมพิวเตอร์เพือ ่ ไปห ้องน้ า ไม่ทันถึงก ้าวทีส ่ าม ใจก็สามารถหลุดจากความคิดและมาอยู่
ทีก่ ารก ้าวเท ้าทันที หรืออาจจะเร็วกว่านัน ้
จาได ้ว่า มีบางคืน นอนหลับแล ้วรู ้สึกตัวกลางดึก จึงลืมตาขึน ้ มาใน
ท่ามกลางความมืดมิดของห ้องนอน ทันใดนัน ้ ได ้พบว่าตัวเองกาลังกาหนดสติอยูท ่ ลี่ ม
หายใจแล ้วเหมือนกับได ้กาหนดอยูก ่ อ
่ นหน ้าทีจ ่ ด ้วยซ้าไป และทุกครัง้ ทีล
่ ะรู ้สึกตัวตืน ่ กุ
ขึน
้ จากเตียงเข ้าห ้องน้ า แม ้จะเป็ นช่วงกลางดึกและงัวเงียมากเพียงใดก็ตาม สติก็ยัง
สามารถกาหนดอยูท ่ กี่ ารก ้าวเท ้าได ้เสมอ ทาได ้เองอย่างเป็ นธรรมชาติของมันจริง ๆ
หลวงปู่หล้าพบทางต ันในการตอบปัญหา
เหตุทท ี่ าให ้เรายังไม่กล ้าสรุปอะไรอย่างเด็ดขาด เพราะแม ้ทุกวันนี้
สภาวะทีใ่ จถูกสะกิดสะเกาบ ้างก็ยังมีอยู่ แม ้จะน ้อยลงไปมากก็ตาม ใจยังไม่ใช่เป็ น
เส ้นตรงเหมือนไม ้บรรทัด เราคิดว่านี่ก็เป็ นข ้อเท็จจริงทีห
่ ลวงปู่ หล ้าได ้พูดหลุดปาก
ออกมา แต่ทา่ นอธิบายต่อไม่ได ้
ในหนังสือตอบปั ญหาของหลวงปู่ หล ้า หน ้า ๕๙ ท่านพูดว่า “ถ ้าเราติด
อยูใ่ นสังขารก็ด ี ติดอยูใ่ นนิพพานก็ด ี ก็เท่ากับว่าไม่รู ้สังขาร ไม่รู ้พระนิพพาน นกบินใน
อากาศวันยังค่าก็ไม่มรี อยใช่หรือไม่ มีดเฉือนน้ าในทีใ่ ด ๆ วันยังค่าก็ไม่มรี อยใช่หรือไม่ มี
ปัญหาว่าท่านผูพ ้ น้ ไปแล้ว ท่านร ักษาจิตหรือไม่ ท่านเกรงความผิดหรือไม่ ขอ
ตอบว่า ถ้าพระอรห ันต์ย ังร ักษาจิตอยู่ พระอรห ันต์ก็ตอ ้ งเป็นทุกข์ใชไ ่ หม เพราะ
เกรงว่าม ันจะผิด ก็ตอ ้ งระว ังจิตอยูเ่ หมือนคนคุมน ักโทษ หลวงปู่ก็ตอ ้ งตอบบ้า ๆ
บอ ๆ ให้ฟง ั ด ังนีแ
้ หละ เพราะหมดหนทางทีจ ่ ะตอบ”
อ่านการตอบปั ญหาของหลวงปู่ หล ้าแล ้ว ดูออกว่าท่านพบทางตันในการ
ตอบปั ญหาอันเนื่องกับสภาวะอันละเอียดอ่อนของพระอรหันต์ ได ้ย้าประสบการณ์ทเี่ รา
เองก็ประสบ อยากอธิบายให ้คนเข ้าใจอย่างถูกต ้อง แต่ก็ไม่รู ้ว่าจะอธิบายอย่างไร คน
ส่วนมากคิดว่าพระอรหันต์เป็ นบุคคลทีไ่ ม่มอ ี ารมณ์ความรู ้สึกขึน้ ลงเลย เหมือนหุน ่ ยนต์ มี
สภาวะใจราบเรียบเป็ นเส ้นตรงเหมือนไม ้บรรทัด หรือว่ามันยังมีการขึน ้ ลงบ ้างตามกฎแห่ง
อนิจจังของทุกอย่าง นี่คอ ื ข ้อเท็จจริงทีค ่ นยังไม่บรรลุธรรมจะไม่รู ้ และสรุปเอาเองจาก
ตารับตาราบ ้าง ตามการคาดคะเนของตนเองบ ้าง แต่คนทีเ่ ข ้าถึงธรรมแล ้วจะไม่พูดสรุป
เช่นนัน้ เด็ดขาด คนทีเ่ ข ้าถึงธรรมในขัน ้ นี้ก็น ้อยมาก แม ้คนเข ้าถึงแล ้วก็มนี ้อยคนอีกทีจ ่ ะ
ออกมาพูดประสบการณ์อย่างละเอียดและเปิ ดเผย เพราะหลายอย่างพูดไม่ได ้ ไม่มท ี าง
จะพูดได ้เลย โดยเฉพาะสภาวะพระนิพพาน พูดไม่ได ้เด็ดขาด
มาอ่านคาพูดของหลวงปู่ หล ้าเบือ ้ งต ้นจึงรู ้ว่าท่านก็มปี ั ญหาในการ
อธิบายเหมือนกัน สิง่ ทีห
่ ลวงปู่ หล ้าได ้หลวมตัวพูดออกมาว่าพระอรหันต์ยังต ้องคุมจิต
เหมือนการคุมนักโทษ และ พระพุทธเจ ้ายังคงบอกให ้พระอรหันต์เจริญอานาปานสติเพือ ่
ความมีสติและความสุขในปั จจุบันนัน ้ แสดงว่าท่านต ้องทรงทราบว่าพระอรหันต์แม ้โดย
ทฤษฎีเรียกว่าพ ้นจากทุกข์แล ้วก็ตาม แต่ภาคปฏิบัตก ิ ็ไม่ได ้หมายความว่าจิตใจของท่าน
จะเป็ นเส ้นตรงราบเรียบตลอดเวลา มันก็ไม่ใช่เช่นนัน ้ เสียทีเดียว1
ทีจ
่ ริงแล ้ว การทีส ่ ภาวะหลุดพ ้นในครัง้ ทีเ่ กิดทีบ ่ ้านพรานนกหายไป
ภายใน ๖ เดือน มันก็น่าจะชีใ้ ห ้เห็นว่า หากไม่มก ี ารดูแลใจให ้ดีแล ้ว สภาวะนั น ้ หายไปได ้
แต่นั่นก็เป็ นกรณีการหลุดพ ้นแบบเจโตวิมต ุ ติเท่านัน้
ผูร้ ก ่ มตะธรรมได้อย่างง่ายดาย
ู ้ ล ับสูอ
หรือจะอธิบายว่า เพราะรูป จิต เจตสิก ก็ยังเปลีย ่ นแปลงไปตามกฎแห่ง
อนิจจัง แต่สาหรับผู ้รู ้แล ้ว การเปลีย ่ นแปลงของสภาวะจิตนัน ้ เป็ นเรือ
่ งละเอียดอ่อนกว่า
คนธรรมดามากนัก เหมือนกับทะเลสาปทีม ่ น
ี ้ านิง่ สนิทแล ้ว ใบไม ้เล็ก ๆ เบา ๆ ตกลงไป
เพียงใบเดียว เกิดคลืน ่ แม ้เพียงเล็กน ้อยเพียงใดก็เห็นแล ้ว ใจของผู ้รู ้ก็เป็ นเช่นนัน ้ สิง่
ทีม ่ ากระทบใจแม ้จะละเอียดอ่อนยังไงก็เห็นหมด มันเกิดขึน ้ เป็ นไป และหมดไปอย่าง
รู ้เท่าทันว่ามันก็เป็ นเช่นนัน ้ เอง ไม่มก ี ารยึดมั่นอีกต่อไป จึงปล่อยได ้อย่างเป็ นธรรมชาติ
ทันทีทันใด ไม่มก ี ารรัง้ รอ
1
ดิฉนั กลับมาอ่านต้นฉบับนีป้ ระมาณ ๑๘ เดือนหลังจากที่เขียนหัวข้อนัน้ สภาวะที่ดิฉนั อธิบายว่า สภาวะใจยัง
ถูกสะกิดสะเกาอยู่บา้ ง นัน้ ได้หายไปอย่างสิน้ เชิงแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว
และไม่วา่ อะไรจะเกิดขึน ้ กับใจ ผู ้รู ้จะสามารถกลับไปสูส ่ ภาวะอมตะธรรม
หรือพระนิพพานได ้เสมออย่างง่ายดาย ซึง่ ผู ้ทีย ่ ังไม่เกิดญาณ ไม่รู ้จักพระนิพพานอย่าง
ั
แน่ชดจะกลับไปหาพระนิพพานไม่ได ้ทันที เพราะยังมีความลังเลสงสัยอยู่ ไม่รู ้แน่ชด ั ว่า
พระนิพพานคืออะไร อยูท ่ ไี่ หน เหมือนยังไม่รู ้ว่าบ ้านเดิมอยูท ่ ไี่ หน จึงยังกลับบ ้านไม่ถก
ู
พระอรหันต์กลับบ ้านได ้ทันที เพราะรู ้แล ้วว่าบ ้านอยูท ่ ไี่ หน นี่คอ ื ความแตกต่างระหว่างผู ้รู ้
กับผู ้ยังไม่รู ้