Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 20

บททีส ิ หก

่ บ
่ ิ
สงทีเ่ ปลีย่ นแปลงหล ังเกิดญาณแล้ว

เหลือเพียงอายตนะนน ั้
ถึงแม ้ใจของเราไม่ได ้รู ้สึกว่าถูกผลักออกจากจิตอย่างชัดเจนในวันทีเ่ กิด
ญาณจนไม่กล ้าสรุปให ้แก่ตนเองว่านี่เป็ นสภาวะทีห ่ ลุดพ ้นก็ตาม เราก็ได ้เห็นความ
เปลีย ่ นแปลงของใจทีไ่ ม่เคยเกิดมาก่อน แต่สงิ่ เหล่านี้ก็เป็ นสภาวะทีเ่ กิดอย่างค่อยเป็ น
ค่อยไป ไม่ได ้เกิดขึน ้ ทันที
หลังจากทีเ่ กิดญาณแล ้ว ในช่วงหลายเดือนแรก เหมือนกับเป็ นการย้า
สภาวะนิพพานทีเ่ ห็นอยูเ่ บือ ้ งหน ้าว่านี่ใช่หรือไม่ และทุกครัง้ ทีส ่ ารวจก็รู ้ว่ามันต ้องใช่แน่
สิง่ ทีเ่ ราเห็นตาตานี้ต ้องเป็ นสภาวะทีพ ่ ูดไม่ออกบอกไม่ได ้ดังทีพ ่ ระพุทธเจ ้าตรัสถึง
แน่นอน
จาได ้ว่าคงจะเป็ นช่วงหน ้าร ้อนของปี ตอ ่ มา คือตัง้ แต่เดือนมิถน ุ ายน ถึง
กันยายน ๒๕๔๑ เราใช ้เวลากลางวันทีย ่ าวนานของฤดูร ้อนอยูใ่ นสวนหลังบ ้านมาก
ทีเดียว มีความรู ้สึกอยากอยูก ่ บ
ั ธรรมชาติล ้วน ๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร แม ้คุยก็ทาเท่าที่
จาเป็ นกับคนในครอบครัว ไม่อยากยกหูโทรศัพท์เพือ ่ พูดคุยกับเพือ ่ นฝูงอีกต่อไป อยาก
เฝ้ ามองท ้องฟ้ า เมฆ ต ้นไม ้ นก และทุกอย่างทีเ่ ป็ นธรรมชาติ มักจะเอาเก ้าอีย ้ าวทีเ่ อน
นอนได ้ไปวางไว ้ใต ้ต ้นไม ้ใหญ่ต ้นหนึง่ ปลายสวนทีม ่ ด
ี อกสีขาวกลิน ่ เหมือนดอกจาปี ไม่ม ี
ความรู ้สึกอยากอ่านหนังสือแต่อย่างใด สามารถทาให ้ใจว่างและปลอดจากความคิดได ้
อย่างง่ายดาย พอใจหยุดคิด ก็เห็นตัวเองหลอมเข ้าสูธ ่ รรมชาติ ไม่มอ ี ะไรเหลือ เหลือแต่
การรับรู ้ (วิญญาณ) ล ้วน ๆ จาก ๑๒ อายตนะทัง้ ภายในและภายนอก เมือ ่ หลุดจาก
ความคิดแล ้ว มันรวบลงเหลือเพียงอายตนะเดียวหรือทีพ ่ ระพุทธเจ ้าทรงเรียกว่า
“อายตนะนัน ้ ” ซึง่ ท่านใช ้เรียกแทน สภาวะพระนิพพาน
เราสามารถใช ้เวลาอยูใ่ นสวน นั่ง ๆ นอน ๆ ดูธรรมชาติอยูอ ่ ย่างนัน ้ ได ้
นานเป็ นชั่วโมง ง่วงก็นอน พอหลับตา ใจก็อยูก ่ บ
ั ความสงบหรือพระนิพพานได ้ทันที พอ
ลืมตาตืน ่ ขึน้ มาก็ไม่มค ี วามรู ้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างทีเ่ คยเป็ นเมือ ่ นอนมาก เมือ ่ รู ้สึกตัว
แม ้จะยังไม่ทันได ้ลืมตาก็ตาม ใจจะตรวจสอบสภาวะนิพพานเองและอยูก ่ บ
ั สภาวะนัน ้ ได ้
ทันที ดืม ่ ด่ากับสภาวะนัน ้ อย่างมากมายในช่วงหน ้าร ้อนของปี นัน ้ สภาวะแมวจับหนูก็ซา
ลงไปมาก นาน ๆ จึงจะเกิดสักที

เห็นความสว่างกินความมืด
แม ้ความคิดทีผ ่ า่ นเข ้ามาในหัวก็ล ้วนแต่เป็ นปั ญญาทีใ่ คร่ครวญอยูก่ บ

ธรรมเสมอ ไม่วา่ จะโน ้มใจไปคิดเรือ ่ งอะไร ก็สามารถเข ้าใจได ้อย่างชัดเจนทะลุปรุโปร่ง
แม ้เมือ
่ ฉุกคิดอะไรเกีย ่ วกับครอบครัว ลูก งาน ปั ญหาสังคม ปั ญหาของโลก หรือ
ความคิดอะไรก็ตามแต่ โดยเฉพาะเมือ ่ คิดถึงลูก พอความคิดเริม ่ ติดขัด หาทางออก
ไม่ได ้ ทันใดนัน ้ ความคิดนัน ่
้ ก็หลุดหายและใจก็เข ้าสูสภาวะทีว่ า่ งและเงียบกริบได ้ทันที
ทุกครัง้ ทีเ่ ห็นเช่นนัน ้ ก็ยงิ่ ย้าให ้ตนเองรู ้ว่า สภาวะทีเ่ กิดขึน ้ หลังจากการหลุดลุย ่ ของ
ความคิดต ้องเป็ นพระนิพพานแน่นอน จะเป็ นสิง่ อืน ่ ไม่ได ้เด็ดขาด
เห็นได ้ชัดว่า พระนิพพานเป็ นความสว่าง ความคิดเป็ นความมืด สอง
อย่างนี้จะอยูด ่ ้วยกันไม่ได ้ เพราะรู ้แล ้วว่าพระนิพพานหรือความสว่างเป็ นอย่างไรในวัน
เกิดญาณ จึงเกิดสภาวะทีค ่ วามสว่างกินความมืดเองตลอดเวลา ยิง่ กินมาก ก็ยงิ่ แน่ใจ
และแยกแยะได ้ว่า สภาวะไหนคือความสว่างและสภาวะไหนคือความมืด ทาให ้เข ้าใจ
และเห็นอย่างชัดเจนว่า การแก ้ปั ญหาด ้วยการคิดนัน ้ ไม่ช ้าก็เร็ว ย่อมมาถึงทางตันของ
มัน จะไม่มท ี างออกอย่างแท ้จริงด ้วยวิธก ี ารคิดเพือ่ หาทางออกให ้กับปั ญหาต่าง ๆ ใน
โลก ทางออกทีแ ่ ท ้จริงจะต ้องมาจากการหยุดคิด หรือ หลุดจากความคิดให ้ได ้ ซึง่ เป็ น
สิง่ ทีไ่ ม่มเี หตุผลในตัวมันเองเลย แต่ถ ้าใครทาได ้แล ้วก็จะรู ้เองว่าการหยุดคิดหรือการ
ปล่อยวางความคิดเป็ นทางออกในตัวมันเองจริง ๆ และเป็ นสภาวะทีอ ่ ธิบายให ้แก่กน

ไม่ได ้

พยายามทดสอบสภาวะพระนิพพาน
ได ้ทดสอบสภาวะนัน ้ อยูบ ่ อ่ ยมากในช่วงปี แรกหลังเกิดญาณแล ้ว เพราะ
ตอนทีก ่ าลังเขียนใบไม ้กามือเดียวอยูน ่ ัน้ รู ้ตัวว่า กาลังประกาศให ้ชาวโลกรู ้ว่า เราเห็น
พระนิพพานแล ้ว รู ้แล ้วว่าสัจธรรมสูงสุดเป็ นอย่างไร เราได ้ถึงแล ้ว จึงสามารถพูดอย่างที่
เราพูดในหนังสือนัน ้ ได ้ ซึง่ เป็ นความคิดทีน ่ ่ากลัวและโดดเดีย ่ วมากทีส่ ด
ุ โดยเฉพาะ
สาหรับคนทีอ ่ ยูใ่ นสถานะอย่างเรา คือไม่เพียงแต่เป็ นฆราวาสเท่านัน ้ แต่ยังเป็ นผู ้หญิงที่
ใช ้ชีวต ิ คูอ่ ยู่ ไม่มห ี มูก่ ลุม่ ทีจ่ ะปรึกษา พูดคุย ให ้กาลังใจ และทดสอบความรู ้ซึง่ กันและ
กัน ตัวคนเดียวจริง ๆ ถ ้ารู ้ไม่จริง จะไปรอดได ้อย่างไร ถามตัวเองเสมอว่าเราไปเอาความ
กล ้าหาญมาจากไหนทีก ่ ล ้ายืนขึน ้ มาประกาศให ้ชาวโลกรู ้เช่นนี้ และถ ้าสิง่ ทีเ่ ราเห็นไม่ใช่
พระนิพพานจริง ๆ ล่ะ เราจะทายังไง ถูกเขาโจมตีกลับมานี่ ต ้องบ ้าแน่นะ ถ ้าเราไม่รู ้จริง
ถ ้าใจไม่สามารถหลุดได ้จริง ๆ ไม่ใช่บ ้าเล่น ๆ นะ บ ้าจริง ๆ นะ คิดมาถึงจุดนี้แล ้วก็ขนลุก
เหมือนกัน พูดกับตัวเองเสมอว่า อยูเ่ ฉย ๆ อย่างนี้ เก็บความรู ้ไว ้คนเดียวไม่ดก ี ว่าหรือ ไป
เปิ ดเผยทาไมให ้มากเรือ ่ ง
ได ้พยายามโน ้มเอาความคิดเหล่านี้มาหักล ้างและชะลอความกล ้าหาญ
ชาญชัยอย่างบ ้าระห่าของตัวเอง เป็ นการห ้ามล ้อให ้ตัวเองอย่างหนักหน่วง แต่แม ้
ความคิดเหล่านัน ้ ก็หลุดลุย ่ หายเข ้าไปในความว่างหรือความสว่างแห่งพระนิพพาน ไม่ม ี
ยางเหนียวทีจ ่ ะทาให ้ความคิดเหล่านัน ้ ติดอยูใ่ นใจเลยแม ้แต่น ้อย ใจจริงแล ้ว อยากให ้มัน
ติดบ ้าง จะได ้ไม่พูดไม่เขียนอะไรทีด ่ ก ู ล ้าหาญจนเกินตัว แต่ความคิดในแง่ลบเหล่านัน ้ ก็
ไม่ยอมติด หลุดออกไปเสมอ และหลุดไปเอง เหมือนกับไม่มใี จให ้เกาะ เหลือเพียง
สภาวะเดียวเท่านัน ้ และรู ้ด ้วยว่าสภาวะนัน ้ คือพระนิพพาน
ได ้ถามตัวเองว่า ถึงแม ้เราจะไม่ได ้เป็ นฆราวาสหญิง แต่เป็ นพระทีห ่ ้อม
ล ้อมไปด ้วยผู ้คนทีพ ่ ูดคุยและปรึกษาด ้วยได ้ ถ ้าเรามีความรู ้ในระดับทีเ่ รามีอยูใ่ นขณะนี้
คิดว่า จะไปถามใครได ้หรือไม่ ทีส ่ ามารถมารับประกันให ้เราได ้ว่าเรารู ้จริง เราได ้ถึง
นิพพานจริง คาตอบคือไม่มค ี น ๆ นัน ้ อีกแล ้ว เราไม่ได ้เกิดในยุคพระพุทธเจ ้า ทีจ ่ ะวิง่ เข ้า
ไปหาท่านเพือ ่ ให ้ท่านยืนยันให ้ ทาอย่างนัน ้ ไม่ได ้แล ้ว แม ้อยากทามากสักแค่ไหนก็ทา
ไม่ได ้ การยืนยันความรู ้ในระดับนี้ ทาได ้อย่างเดียวเท่านัน ้ คือ ต ้องยืนยันให ้ตัวเองให ้ได ้
ถ ้ายืนยันให ้ตัวเองไม่ได ้ก็แสดงว่ายังไม่ได ้เจอความรู ้จริง ยังไม่ได ้ถึงพระนิพพานจริง
แม ้ทุกวันนี้ก็ยังต ้องทดสอบเช่นนี้อยู่ ต ้องพยายามโน ้มเอาความคิดใน
ฝ่ ายลบมาห ้ามล ้อตัวเองเสมอ แต่ทก ุ ครัง้ ทีท ่ าเช่นนัน ้ มันก็หลุดออกไปทุกครัง้ ยิง่ ทา มัน
ก็ยงิ่ ย้าสภาวะพระนิพพานให ้ชัดมากขึน ้ จนเดีย๋ วนี้ไม่มคี วามสงสัยอีกแล ้ว เพราะได ้
พิสจ ู น์มานับครัง้ ไม่ถ ้วนแล ้ว ตัง้ แต่วันทีเ่ กิดญาณจนถึงบัดนี้ ผลออกมาเหมือนกันทุกครัง้
ไป

เบือ้ งหล ังคูม ื ชวี ต


่ อ ิ
เราสังเกตเห็นอีกว่า การพยายามโน ้มเอาความคิดฝ่ ายลบมาห ้ามล ้อและ
หักล ้างความมั่นใจให ้ตัวเองนัน ้ กลับทาให ้มีผลในทางตรงกันข ้าม คือมันกลับไปเพิม ่
ระดับความกล ้าหาญชาญชัยอย่างบ ้าระห่าจนน่ากลัว และไม่อยากเป็ นคน ๆ นัน ้ เพราะรู ้
ว่า การมีความมั่นใจจนเกินตัวเป็ นสิง่ อันตรายมาก ถ ้าไม่รู ้จริง อยากเป็ นคนอีกคนหนึง่
คนทีเ่ ป็ นเพียงแม่บ ้านธรรมดา ๆ ทีไ่ ม่มใี ครสนใจเท่านัน้
หลังจากทีใ่ บไม ้กามือเดียวพิมพ์ออกขายทีเ่ มืองไทยและได ้คุยกับน ้อย
อย่างเปิ ดอกแล ้ว ราวต ้นปี ๒๕๔๓ ความคิดอีกระลอกหนึง่ เริม ่ โหมหนักบอกให ้เราเขียน
คูม
่ อื ขึน
้ มาเล่มหนึง่ ทีจ ่ ะช่วยบอกทางอย่างละเอียดให ้คนทีอ
่ ยูใ่ นความมืดพบความสว่าง
ของชีวต ิ ได ้ สามารถเห็นโครงสร ้างทัง้ หมดของหนังสือทัง้ เล่มในหัวได ้ เป็ นเรือ ่ งที่
ประสานต่อจากใบไม ้กามือเดียว เป็ นการช่วยเหลือคนกลุม ่ น ้อยกลุม ่ หนึง่ ทีอ ่ าจจะเข ้าใจ
และยอมรับความคิดของเราได ้ เมือ ่ ความคิดความกดดันเหล่านัน ้ โหมหนักเข ้า แม ้ยังไม่รู ้
ว่าเนื้อหาจะเป็ นอย่างไร แต่ก็รู ้ว่าจะต ้องเรียกหนังสือเล่มนี้วา่ “คูม ่ อ
ื ชีวต ิ ”
เราเริม ่ คิดว่า บ ้าอีกแล ้ว อายุยังไม่ถงึ ๕๐ จะมาเขียนคูม ่ อ
ื ชีวติ ให ้ใครอ่าน
พยายามหักล ้างและทาลายความมั่นใจของตัวเอง บอกตัวเองว่าคนเขียนหนังสืออย่างนี้
ได ้ต ้องเป็ นพระแก่ ๆ ทีบ ่ วชมานานแล ้ว ยังรู ้สึกว่าต ้องสัมพันความรู ้ทีส ่ งู ส่งเหล่านี้กบ ั พระ
เท่านัน ้ และเราไม่ใช่เป็ นพระ เราเป็ นคนธรรมดา จะมาเขียนหนังสืออย่างนี้ได ้อย่างไร
แต่ความคิดในแง่ลบเหล่านี้ก็หักล ้างและฉุดรัง้ เราไว ้ไม่อยู่ มันหลุดหายไปในความว่าง
เสมอ จึงเริม ่ จับงานเขียนคูม ่ อ
ื ชีวต ิ เป็ นภาษาอังกฤษก่อน
การเขียนหนังสือก็คอ ื การยืนต่อหน ้าคนมากมายและพูดคุยกับเขาแบบ
ตัวต่อตัว บอกให ้เขารู ้ว่า เราคิดอย่างไร พอโน ้มใจเข ้าสูเ่ นื้อหาเพียงสามสีบ ่ ทต ้นของ
หนังสือเล่มนี้เท่านัน ้ แม ้เราเองก็ยังไม่อยากเชือ ่ ว่า ความคิดทีก ่ ล ้าหาญชาญชัยเหล่านัน ้
มาอยูใ่ นหัวได ้อย่างไร ใครเอามาใส่ไว ้ ถึงจุดนัน ้ เรารู ้ว่า หนั งสือเล่มนี้จะเขียนด ้วยการใช ้
คาพูดอย่างอ่อน ๆ พูดอย่างอ ้อมค ้อมไม่ได ้ จาเป็ นต ้องใช ้คาพูดทีเ่ ด็ดขาดและ
ตรงไปตรงมากับผู ้อ่าน เพราะนั่นเป็ นวิธก ี ารเดียวทีจ ่ ะรีบช่วยคนทีม ่ บ
ี ารมีพร ้อมแล ้วได ้ จะ
เขียนโดยวิธก ี ารอืน ่ ไม่ได ้ ได ้ส่งไปให ้น ้อยอ่านดูกอ ่ น แม ้น ้อยเองก็เตือนเราว่า พูดอย่าง
อ ้อม ๆ ไม่ได ้หรือ ได ้ทบทวนคาพูดของน ้อย และคิดว่า ถ ้าเขียนเสร็จ ความคิดเปลีย ่ น
เราจะแก ้ แต่ถ ้าไม่เปลีย ่ น ก็ไม่แก ้ คงไว ้อย่างนัน ้ ปรากฏว่า ใช ้เวลา ๑๕ เดือนในการ
เขียนคูม ่ อ
ื ชีวต ิ ทัง้ อังกฤษและไทย ภาคภาษาไทยเพิง่ เขียนเสร็จเมือ ่ เดือนมิถน ุ ายน
๒๕๔๔ นี่เอง ในช่วงเวลานัน ้ เราเท่านัน ้ ทีร่ ู ้ว่าได ้พยายามทาลายความกล ้าหาญชาญชัย
ทีบ่ ้าระห่าของตัวเองอย่างนับครัง้ ไม่ถ ้วน ถามตัวเองเสมอว่า เราต ้องแน่ใจในสิง่ ทีพ ่ ูดนะ
เราต ้องแน่ใจในประสบการณ์ ในสภาวะทีพ ่ ูดไม่ออกบอกไม่ได ้นะ ถ ้าไม่แน่ใจอย่างล ้าน
เปอร์เซนต์แล ้ว จะให ้ตัวหนังสือเหล่านัน ้ ออกมาให ้คนอ่านเห็นไม่ได ้เด็ดขาดเชียวนะ
ตายแน่ ตายจริง ๆ แล ้วเราก็ถามตัวเองว่ากลัวตายไม๊ ก็ตอบได ้ว่าไม่กลัวตาย กลัวไม่
ตายจริงมากกว่า ใครจะมาเอาเราตายเพราะพูดความจริง ก็ยอมตาย ไม่ได ้คิดอย่างเป็ น
อุดมคติวา่ จะต ้องเสียสละชีวต ิ เพือ
่ ปกป้ องสัจธรรมอะไรพรรค์นัน ้ หรอก ทีไ่ ม่กลัวตาย
เพราะไม่ได ้เห็นความตายเป็ นเรือ ่ งน่ากลัวต่างหาก รู ้สึกเฉย ๆ คิดว่าถ ้าถึงเวลาตาย ก็
ตายไปสิ ดีเหมือนกัน หมดเรือ ่ งหมดราวซะที คิดอย่างนี้มากกว่า
ไม่วา่ จะหักล ้างทาลายความมั่นใจของตัวเองอย่างไร ก็เหมือนกับไม่ม ี
อะไรในใจให ้หักได ้ เหลือแต่ความว่างเปล่า กลับกลายเป็ นว่า ยิง่ เขียนไป ความกล ้า
หาญในธรรมยิง่ มีมากขึน ้ ในขณะเดียวกัน ก็ยงิ่ รู ้สึกโดดเดีย ่ วมากขึน ้ เป็ นเงาตามตัว ไม่รู ้
จะไปหาใครในโลกนี้ทส ี่ ามารถเข ้าใจเราได ้จริง ๆ ก็ได ้พยายามทาลายความมั่นใจของ
ตัวเองเป็ นขัน ้ เป็ นตอนเรือ ่ ยมาเพือ ่ ให ้แน่ใจอย่างจริง ๆ ว่า สภาวะของเราไม่ผด ิ แน่ มันก็
เป็ นเช่นนี้มาตลอดจนถึงบัดนี้
ตอนนี้ กลับคิดเสมอว่า ชีวต ิ เราเหลืออีกเพียง ๒๐ หรือ ๓๐ ปี เป็ นอย่าง
มากเท่านัน ้ ภาระหน ้าทีข ่ องตัวเองก็เหมือนกับหมดแล ้ว เมือ ่ ยังมีกาลังอยู่ จะมานั่ง เฉย ๆ
ทาไม รีบสร ้างงานเหล่านี้ทงิ้ ให ้คนข ้างหลังเร็ว ๆ และต ้องรีบทาแข่งกับเวลาด ้วย ถ ้าตาย
พรุง่ นี้แล ้ว จะเสียเรือ ่ ง คนทีค ่ วรได ้โอกาสทองก็จะพลาดโอกาสไป ทาได ้ก็ควรรีบ
ขวนขวาย ทาเสียเร็ว ๆ เป็ นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาให ้อยูต ่ อ่ ไปอีกช่วงหนึง่ และ
ถวายเป็ นพุทธบูชาด ้วย

กล ับบ้านเป็นแล้ว
เคยคิดว่าใจของผู ้ทีเ่ ข ้าถึงพระนิพพานแล ้วจะว่างตลอดเวลา ไม่ม ี
ความคิดใด ๆ ทัง้ สิน ้ ตอนนี้จงึ รู ้ว่ามันไม่ใช่เช่นนัน ้ ทีจ ่ ริงแล ้ว การคิดนึกอะไรของเราทุก

อย่างก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ สิงทีเ่ ด่นทีส ่ ด
ุ ทีเ่ พิม
่ เข ้ามาหลังเกิดญาณแล ้วคือ ใจไม่
หลงทางหรือไม่เคว ้งอีกต่อไป ไม่วา่ เราจะคิดโน่นคิดนี่หรือคิดอะไรออกไปไกลสักแค่
ไหนก็ตาม เราสามารถนาใจกลับบ ้านหรือกลับสูฐ ่ านได ้เสมอ เพราะญาณทีเ่ กิดทาให ้เรา
รู ้หน ้าตาของบ ้านตนเอง รู ้ว่าสติปัฏฐานทีส ี่ ็คอ
่ ก ื บ ้านของใจ เมือ ่ านทีส
่ เอาใจกลับคืนสูฐ ่ ี่
ได ้ ฐานนัน้ ก็คอื พระนิพพานหรือบ ้านถาวรของใจนั่นเอง ใจไม่มกี ารหลงทางอีกต่อไป
แล ้ว เพราะรู ้หน ้าตาพระนิพพาน จึงสามารถเปรียบเทียบเรือ
่ งการนั่งรถไฟเมือ
่ พูดถึงสติ

ปั ฏฐานสีในเรือ
่ งใบไม ้กามือเดียว

วิปส
ั สนาคือการพาใจกล ับบ้าน
คนทีก ่ าลังปฏิบัตวิ ปิ ั สสนาหรือสติปัฏฐานสีอ ่ ยู่ แต่ญาณยังไม่เกิดนัน ้
เท่ากับเป็ นการฝึ กหัดให ้ใจเดินทางกลับบ ้านหรือกลับสูฐ ่ านของใจนั่นเอง หรือถึงพระ
นิพพานซึง่ เป็ นเรือ ่ งเดียวกันหมด คนทีฝ ่ ึ กจนมีสติไวมาก สามารถตรึงใจให ้อยูก ่ บั ฐานที่
หนึง่ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เช่น รู ้ลมหายใจ รู ้การเคลือ ่ นไหว)ได ้นัน้ การทาเช่นนัน ้
ก็เท่ากับฝึ กให ้ใจกลับบ ้านเป็ น หรือกลับสูฐ ่ านของใจเป็ น เป็ นการฝึ กไม่ให ้ใจหลง
ทางออกไปไกล แต่ถ ้าความไวของสติยังไม่พอ ใจก็จะเสียเวลาไปหลงทาง การหลง
ทางของใจคือติดยึดอยูก ่ บ
ั ความคิด ปล่อยวางความคิดไม่ได ้ แต่เมือ ่ เขาสามารถปล่อย
ความคิดได ้ ทันใดนัน ้ ใจก็วา่ ง เขาก็จะสามารถกลับบ ้านหรือกลับสูฐ ่ านของใจทีว่ า่ งนัน ้
ได ้ จนกว่าความคิดอีกอันหนึง่ จะเข ้ามา ก็ต ้องเริม ่ ปล่อยอีก และกลับสูฐ ่ านทีว่ า่ งนัน
้ อีก
ทาอยูอ ่ ย่างนี้แล ้ว ๆ เล่า ๆ นี่คอ ื การทาวิปัสสนา

สติปฏ ั ฐานสเี่ ป็นทางสายตรงพาผูป ้ ฏิบ ัติไปถึงประตูพระนิพพาน


พระพุทธเจ ้าจึงตรัสว่าสติปัฏฐานสีเ่ ป็ นทางสายเอกและสายตรงทีจ ่ ะพาผู ้

ปฏิบัตไิ ปถึงประตูพระนิพพาน ซึงเป็ นการตรัสสอนอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ เพราะเป็ น
เช่นนัน ้ จริง ๆ คนทีย ่ ังไม่เกิดญาณจะไม่รู ้ว่า ฐานทีส ่ ห ี่ รือธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็คอ ื
พระนิพพานแล ้ว และสติปัฏฐานสีเ่ ป็ นการปฏิบัตท ิ ค ี่ รบวงจรสาหรับคนทีเ่ กิดญาณแล ้ว
ครบวงจรในทีน ่ ี้หมายความว่าฐานทีห ่ นึง่ กับฐานทีส่ ี่ เมือ ่ ครบวงจรแล ้วมันจะชนกัน เป็ น
สิง่ เดียวกัน ฉะนัน ้ สาหรับผู ้เกิดญาณแล ้ว การรู ้กาย รู ้ลมหายใจ รู ้การเคลือ ่ นไหว กับการ
รู ้ธรรมหรือรู ้นิพพานเป็ นเรือ ่ งเดียวกันหมด คนฟั งแล ้วต ้องงงแน่ เราพูดอะไรวกวน ทีจ ่ ริง
เมือ ่ เห็นสภาวะแล ้วมันไม่วน จะพูดยังไงก็กลับเข ้าเรือ ่ งนิพพานได ้เสมอ
ถ ้าคนทีย ่ ังงงอยู่ ไม่รู ้จะปฏิบัตธิ รรมอย่างไรจึงเรียกว่าถูกทาง เราอยาก
แนะนาให ้เขาทาเรือ ่ งเดียวก็พอ ฝึ กสติให ้ไว ทาอะไรอยูก ่ ็ให ้รู ้เท่านัน
้ ทาฐานทีห
่ นึง่ ฐาน
เดียวเท่านัน ้ ก็พอแล ้ว ไม่ต ้องห่วงเรือ ่ งอืน่ เลย ทาแค่นี้ก็เท่ากับหัดเดินทางกลับบ ้านหรือ
ไปถึงนิพพานแล ้ว

เหตุผลทีต ่ อ ้ งทาอะไรชา้ ๆ อย่างมีสติ


คนทีก ่ าลังฝึ กสมาธิวป ิ ั สสนามักถูกสอนให ้ทาอะไรอย่างช ้า ๆ เพือ ่ ให ้มีสติ
สาเหตุทต ี่ ้องทาอะไรช ้า ๆ อย่างมีสติเปรียบเทียบได ้กับมีคนบอกให ้ไปหาบ ้านหลังหนึง่
่ นิพพาน เพราะได ้ยินพระพุทธเจ ้าตรัสสอนไว ้ว่าบ ้านหลังทีช
ชือ ่ อื่ นิพพานมีหน ้าตาอย่างนี้
ๆ คนทีย ่ ังไม่เกิดญาณและยังไม่รู ้ว่าบ ้านทีช ่ ื
่ อนิพพานมีหน ้าตาอย่างไรจริง ๆ คือยังไม่
เห็นจริง ๆ จึงต ้องเดินช ้า ๆ ค่อย ๆ หา ค่อย ๆ มองเหมือนกับการเดินหาบ ้านสักหลัง
ตามตรอก ซอก ซอยในกรุงเทพไม่มผ ี ด ิ คนกาลังหาบ ้านทีย ่ ังไม่เคยไปนัน ้ จะไปเดินหา
แบบเร็ว ๆ ไม่ได ้ ต ้องเดินช ้า ๆ ควบคูก ่ บ
ั การอ่านแผนทีบ ่ อกทาง ต ้องค่อย ๆ มองอย่าง
พินจ ิ พิจารณา แม ้การดูบ ้านทีท ่ าด ้วยอิฐด ้วยปูน ก็ยังต ้องทาอย่างช ้า ๆ ถ ้าไปเร่งรีบ ก็
สามารถมองข ้ามบ ้านทีต ่ ้องการหาได ้
การเดินไปหาบ ้านทีช ่ อ ื่ นิพพานก็ยงิ่ เดินเร็วไม่ได ้ใหญ่ เพราะไม่มรี ป ู ร่าง
ภายนอกให ้เห็นอย่างโจ่งแจ ้งเหมือนบ ้านทีเ่ ป็ นอิฐปูน การทาสมาธิวป ิ ั สสนาในตอนแรก
นักปฏิบัตจ ิ งึ ถูกสอนให ้ทาอะไรช ้า ๆ อย่างมีสติ การทาเช่นนี้ก็เท่ากับเป็ นการค่อย ๆ มอง
เข ้าไปในใจเพือ ่ ดูวา่ บ ้านหลังไหนหนอทีม ่ ช
ี อื่ ว่านิพพานและมีหน ้าตาเหมือนดังที่
พระพุทธเจ ้าตรัสสอนเอาไว ้ จะเดินเร็วไม่ได ้เด็ดขาด หมายความว่าจะปล่อยให ้ความคิด
กระเจิดกระเจิงฟุ้ งซ่านไม่ได ้ ต ้องทาอะไรช ้า ๆ อย่างมีสติอยูก ่ บั ฐานเสมอ

ต้องตร ัสรูก
้ อ
่ น จึงจะเรียกว่ารูจ
้ ริง
ทีจ
่ ริงฐานทีส ่ ติสามารถตัง้ มั่นอยูใ่ นสติปัฏฐานทัง้ สีน ่ ัน
้ ก็คอื บ ้านทีช
่ อื่
นิพพานทีต ่ ้องการหาอยูแ ่ ล ้ว แต่ถ ้าญาณยังไม่เกิดเองกับบุคคลนัน ้ ๆ แม ้จะคลาอยูต ่ าตา
อย่างนัน ้ ทุกวีว่ ัน แม ้จะเป็ นครูสอนคนอืน ่ อยู่ เจ ้าตัวก็ไม่รู ้ และรู ้ไม่ได ้ จะรู ้ก็เพราะมีคนรู ้
แล ้ว เห็นแล ้วจริง ๆ มาบอก แต่ก็รู ้แบบรู ้ตามคนอืน ่ รู ้เพราะคนอืน่ บอก ยังไม่ใช่ตรัสรู ้เอง
ทุกคนต ้องตรัสรู ้เองจึงจะเรียกว่ารู ้จริง ถ ้ายังไม่เกิดญาณ ยังไม่ตรัสรู ้ ก็ยังไม่รู ้จริง
หากนักปฏิบัตไิ ม่ละความพยายาม คลาทางอย่างนี้ไปเรือ ่ ย ๆ คือ หมั่น
ฝึ กสติอย่างไม่ลดละ ก็จะมีวันหนึง่ ทีญ ่ าณจะเกิดแก่เขาผู ้ไม่ละความพยายาม เขาจะเจอ
บ ้านทีช
่ อ ื่ นิพพานเข ้าจนได ้ และรู ้ว่า อ๋อ…บ ้านนี้เอง บ ้านทีเ่ ห็นตาตาอยูท ่ ก
ุ วันนี่เองทีช ื่
่ อ
นิพพาน มันอยูต ่ รงนี้เอง นี่คอ ื ความยากของการอธิบายเรือ ่ งนิพพานให ้คนยังอยูใ่ นโลก
แห่งความมืดได ้รู ้ เพราะเป็ นเรือ ่ งหญ ้าปากคอกจนไม่มใี ครนึกถึง ต ้องรอให ้ญาณเกิดเอง
จึงจะถึงบางอ ้อได ้ แต่เมือ ่ รู ้แล ้ว ก็จะรู ้ทางเดินเข ้าออกบ ้านนัน
้ ได ้ รู ้ว่าเดินทางไหนจึงจะ
ถึงเร็ว ยิง่ รู ้นานวันเข ้า ก็จะยิง่ ชินกับทางเข ้าออกบ ้านนิพพาน ไม่หลงทางอีกแล ้ว

เมือ่ รูว้ า
่ บ้านอยูท
่ ไี่ หน จะตีล ังกากล ับบ้านก็ย ังได้
ฉะนัน ้ คนทีเ่ กิดญาณแล ้ว รู ้หน ้าตาของพระนิพพานแล ้ว ไม่จาเป็ นต ้อง
้า
ทาอะไรช ๆ อย่างมีสติเหมือนคนทีก ่ าลังคลาทางอยู่ เพราะรู ้ทางเข ้าออกและหน ้าตา
ของบ ้านแล ้ว จะวิง่ เข ้าวิง่ ออกสักกีเ่ ทีย ่ วก็ได ้ ไม่มป ี ั ญหา คนทีเ่ กิดญาณแล ้ว ก็ใช ้ชีวต ิ อยู่
เฉย ๆ อย่างธรรมดา ๆ นี่แหละ ประเภททีเ่ รียกว่า หิวก็กน ิ ง่วงก็นอนได ้ ปวดท ้องก็ถา่ ย
และทาหน ้าทีไ่ ปตามบทบาทของโลกสมมุต ิ อาจจะถูกคนอืน ่ ดูวา่ จะเดิน จะนั่ง จะทา
อะไรก็ไม่เห็นมีความประณีต ละเอียดละออเลย อาจจะทาอะไรรีบร ้อนก็ได ้ ซึง่ ก็เป็ นเรือ ่ ง
ธรรมดาของการใช ้ชีวต ิ ในแต่ละวัน บางเวลาก็ช ้า ละเอียด ประณีต แต่บางเวลาก็รบ ี ทา
อย่างหยาบ ไม่มค ี วามประณีต นี่เป็ นเรือ ่ งธรรมดามาก เพราะทุกอย่างเป็ นอนิจจัง
สาหรับผู ้ทีเ่ กิดญาณแล ้ว แม ้จะทาอะไรอย่างหยาบ และเร็ว ก็ไม่เป็ น
ปั ญหา เพราะรู ้จักกลับบ ้านเสียแล ้ว ฉะนัน ้ จะวิง่ กลับบ ้านหรือจะตีลังกากลับบ ้าน จะเดิน
กระโดดขาเดียวกลับบ ้านก็ยังได ้ เพราะรู ้ว่าบ ้านอยูท ่ ไี่ หนแล ้ว นี่คอ ื ความแตกต่างระหว่าง
คนทีเ่ กิดญาณแล ้วและคนทีย ่ ังไม่เกิดญาณ
เราอยากคิดว่า ความเป็ นพระอรหันต์น่าจะตัดสินทีจ ่ ด
ุ การเกิดญาณอย่าง
ถาวรหรือไม่ ฉะนัน ้ คนทีย ่ ังไม่เกิดญาณไม่ควรตัดสินคนทีม ่ ญี าณแล ้ว ตรงนี้เองกระมังที่
เขาบอกว่า ผู ้บรรลุพระอรหันต์แล ้ว หากยังเป็ นฆราวาสอยู่ ควรจะบวชเข ้าสูพ ่ ระธรรมวินัย
เพราะเพศนักบวชเป็ นวิถช ี วี ติ ทีส่ งู ส่ง สมกับฐานะของผู ้บรรลุธรรมในระดับสูงสุดนี้

ความสว่างทีม ่ ด

ส่วนคนทีไ่ ม่เคยสนใจพระพุทธศาสนา ไม่เคยฝึ กสมาธิวป ิ ั สสนาเลย ยัง
ไม่รู ้เหนือรู ้ใต ้ในเรือ ่ งของชีวต ิ ใจของเขาก็จะหลงทางตลอดเวลา แม ้ในยามทีใ่ จสงบก็
ตาม แม ้ใจดูเหมือนไม่ขน ึ้ ลง ไม่ทกุ ข์ ไม่หวั่นไหว เจ ้าตัวอาจจะคิดว่าตนเองไม่ทก ุ ข์ไม่ม ี
ปั ญหา เข ้าใจชีวต ิ ได ้ ก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังมืดและหลงทางอยูว่ ันยังค่า เป็ นความสว่างที่
มืดมิด รอเวลาทีจ ่ ะเจอเหตุการณ์หนักหน่วงในชีวต ิ ทีท
่ าให ้ใจซัดส่ายอย่างไม่เป็ นท่า เขา
จะไม่สามารถนาใจกลับบ ้านทีถ ่ าวรได ้ ไม่รู ้ว่าควรนาใจไปวางไว ้ฐานอะไร ทีไ่ หน จึงพา
ใจกลับบ ้านไม่เป็ น

คนทีไ่ ม่ได้ฝึกวิปส ั สนาเปรียบเหมือนการสร้างบ้านบนฐานทราย


ฉะนัน้ คนทีย ่ ังไม่รู ้ว่าพระพุทธเจ ้าสอนอะไร ไม่เคยฝึ กฝนเรือ ่ งสมาธิ
วิปัสสนาเลยนัน ้ เขาจะต ้องสร ้างฐานของใจขึน ้ มาเอง หรือสร ้างบ ้านของตัวเองทีจ ่ ะพาใจ
กลับมาอยูไ่ ด้ บ ้านทีค
่ นมืดบอดมักสร ้าง คือการคิดอย่างมีเหตุผลบ ้าง คิดอย่างเป็ น
วิทยาศาสตร์บ ้าง การคิดทีเ่ ชือ ่ ในเรือ ่ งพระเจ ้าบ ้าง หรือคิดอย่างมีศลี ธรรมบ ้าง คนเหล่านี้
จะคิดว่าเขารู ้ เขามีหลักเกาะทีม ่ ั่นคง เมือ ่ คิดอะไรติดขัดขึน ้ มา เขาก็จะพยายามใช ้
ความคิดของเขาคิดต่อเพือ ่ หาคาตอบในแวงวงความคิดทีเ่ ขาเชือ ่ เช่น ถ ้าคนเชือ ่ เรือ
่ ง
วิทยาศาสตร์ เมือ ่ เขาสงสัยอะไร คิดอะไรติดขัดขึน ้ มา เขาก็จะพยายามคิดหาคาตอบที่
อยูใ่ นแวดวงของการใช ้เหตุผลไปเรือ ่ ย ๆ บ ้านของใจของเขาคือการคิดอย่างมีเหตุผล
คนเชือ ่ เรือ
่ งพระเจ ้านัน้ ถ ้าเขาสงสัยอะไรทีต ่ อบไม่ได ้ เขาก็จะคิดหาคาตอบ หาความอุน ่
ใจทีอ ่ ยูใ่ นแวดวงของพระเจ ้า คนทีเ่ ชือเรือ ่ ่ งการทาความดีเป็ นใหญ่ เมือ ่ คิดอะไรติดขัด
ขึน
้ มา ก็จะกลับมาสูฐ ่ านการคิดทีท ่ าแต่ความดี คิดว่าตราบใดทีเ่ ขาทาความดีอยู่ ก็อน ุ่ ใจ
ได ้แล ้ว นี่คอ ื ฐานหรือบ ้านของใจของเขา ซึง่ ล ้วนเป็ นบ ้านทีส ้ มาโดยใช ้ตัวสังขาร
่ ร ้างขึน
หรือความคิด ต ้องใช ้วัสดุกอ ่ สร ้างทีเ่ ป็ นตัวเจตสิก ทัง้ ความคิดและเจตสิกเหล่านี้ล ้วนตก
อยูภ ่ ายใต ้กฏแห่งอนิจจังทัง้ สิน ้ ฉะนัน ้ ฐานหรือบ ้านของใจของคนทีย ่ ังมืดบอดอยูจ่ งึ เป็ น
บ ้านทีไ่ ม่คงทนถาวร เป็ นบ ้านทีส ่ ร ้างขึน ้ มาบนฐานทรายเท่านัน ้ เมือ่ ถูกลมของโลกธรรม
พัดแล ้ว จะล ้มได ้ง่าย

นิพพานเป็นเรือ ่ งเหนือดีเหนือชว่ ั เป็นบ้านสร้างบนฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก


่ เรือ
แม ้คนทีเ่ ชือ ่ งการทาความดีเป็ นใหญ่ก็ตาม ถึงจุดหนึง่ ความคิดของ
เขาก็สามารถล ้มระเนระนาดได ้ ซึง่ ผิดจากบ ้านของผู ้รู ้ ใจของผู ้รู ้จะกลับสูบ ่ ้านทีเ่ ป็ นวิ
สังขาร หรือบ ้านทีไ่ ม่มค ี วามคิด ผู ้รู ้เมือ
่ คิดอะไรติดขัดขึน ้ มาแล ้ว แทนทีจ่ ะคิดต่อเพือ ่ หา
คาตอบ ท่านจะหยุดคิดทันที และหลุดเข ้าสูภ ่ าวะทีน
่ งิ่ เงียบหรือนิพพาน ซึง่ เป็ นเรือ ่ งที่
เหนือดี เหนือชัว่ ไม่ได ้อิงอยูก ่ บ ั การคิดทีว่ า่ จะต ้องทาดีเสมอไป การทาดีอยูใ่ นกรอบของ
ศีลธรรมเป็ นเพียงเครือ ่ งมือหรือหนทางทีจ ่ ะนาคนไปสูส ่ ภาวะทีเ่ หนือดีเหนือชัว่ ได ้เท่านัน ้
การทาดีไม่ใช่เป็ นเป้ าหมายในตัวมันเอง สภาวะทีเ่ หนือดีชวั่ หรือนิพพานต่างหากทีเ่ ป็ น
เป้ าหมาย นิพพานเป็ นวิสงั ขารทีไ่ ม่มก ี ารปรุงแต่งอีกต่อไปและไม่ใช่เป็ นเรือ ่ งการคิด
บ ้านทีเ่ ป็ นวิสงั ขารจึงคงทนถาวรเพราะความคิดได ้พังทลายไป เหมือนบ ้านทีส ่ ร ้างอยูบ ่ น
ฐานทีเ่ ทคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความมั่นคงและหนักแน่น อยูย ่ งคงกระพัน

นิพพานเป็นเรือ ่ งคิดเองไม่ได้ ต้องร ับฟังผูร้ ู ้


ตรงนี้เอง ถ ้าคนมืดบอดไม่ยอมรับฟั งผู ้รู ้แล ้ว ไม่ยอมรับรู ้เรือ ่ งบ ้านอันเป็ น
การหยุดคิดหรือนิพพานจากผู ้รู ้แล ้ว ใจของเขาก็จะหลงทางอยูอ ้ นานชัว่ กัปชัว่
่ ย่างนัน
กัลป์ เพราะการแก ้ปั ญหาด ้วยการหยุดคิดเพือ ่ ให ้ถึงนิพพานไม่ใช่เป็ นเรือ ่ งทีใ่ ครจะคิด
ออกเองได ้ ต ้องเกิดจากการถ่ายทอดความรู ้เป็ นทอด ๆ นับจากพระพุทธเจ ้าลงมา ไม่ม ี
ใครสามารถหาคาตอบทีแ ่ ท ้จริงให ้กับชีวติ ได ้โดยใช ้วิธกี ารคิด การคิดทาได ้ถึงจุดหนึง่
เท่านัน้ มันจะมาพบทางตันเข ้าจนได ้ ความสว่างทีม ่ ด
ื นัน ่ งลึกซึง้ และยากทีจ
้ เป็ นเรือ ่ ะ
เข ้าใจ ใครทีร่ ู ้ตัวว่ายังมืดอยูต ่ ้องพยายามทาใจให ้อ่อนโยนและรับฟั งผู ้รู ้อย่างตัง้ ใจ จึงจะ
ออกจากความมืดได ้ ถ ้าโง่แล ้วยังดือ ้ อีก ต ้องอยูใ่ นความมืดอีกนานมาก คนอย่างนี้ชว่ ย
ยากและเป็ นคนส่วนมากของสังคม มักซ่อนอยูใ่ นกลุม ่ ปั ญญาชนทีค ่ ด
ิ ว่าตนเองฉลาด
เพราะคิดเป็ น คิดเก่ง

ดูหน ังทีต่ นื่ เต้นได้อย่างไม่สะดุง้ ตกใจ


ก่อนหน ้าทีเ่ กิดญาณ การดูโทรทัศน์ โดยเฉพาะการดูหนังทีท ่ าให ้เกิด
อาการเกร็งตัวหรือทาให ้หัวใจต ้องสัน ่ ไหวด ้วยความตืน ่ เต ้น กลัว หรือตกใจนัน ้ เราก็ได ้
พยายามคุมอยูด ่ ้วยสติแล ้ว แต่ความรู ้สึกรุนแรงบางอย่างก็ยังเล็ดลอดเข ้าถึงใจได ้บ ้าง
เสมอ แม ้จะอยูไ ่ ม่นานก็ตาม แต่พอหลังเกิดญาณแล ้ว สติทค ี่ มุ นัน
้ ค่อย ๆ มีความไวมาก
ขึน
้ สามารถคุมสภาวะทีร่ น ุ แรงเหล่านัน ้ ได ้ดีขน ึ้ ทาให ้ความรู ้สึกทีเ่ ล็ดลอดเข ้าถึงใจ
น ้อยลง ๆ ตามลาดับ บางครัง้ เหมือนกับเห็นเข ้าไปถึงคลืน ่ ระลอกแรกทีก ่ าลังจะก่อตัว
เพือ่ ทาให ้หัวใจเต ้นแรงด ้วยความตืน ่ เต ้นในทีส ่ ด ุ ซึง่ สติก็ไวพอทีจ ่ ะจับการเริม ่
เคลือ ่ นไหวของคลืน ่ ระลอกแรกสุดนัน ้ ได ้ทันที พูดภาษาพระก็คอ ื สติสามารถจับตัว
เจตสิกทีก ่ าลังจะเริม ่ เกาะตัวกันนั่นเอง ถ ้าพูดภาษาของแมวกับหนู แมว (สติ) ตัวนี้นั่ง
อย่างสบาย ไม่เคร่งเครียดเลย และหนูอาจจะยังอยูน ่ อกบ ้านด ้วยซ้าไป ยังไม่เห็นตัวหนู
เลย แต่ทันทีทห ี่ นูตัวนัน้ เริม
่ ขยับตัวทีจ ่ ะลุกขึน้ มาเยีย ่ มบ ้านทีแ ่ มวอยูเ่ ท่านัน ้ แมวตัวนัน ้ ก็
สามารถยืดเท ้าทีย ่ าวเป็ นพิเศษไปตะปบหนูทอ ี่ ยูน
่ อกบ ้านได ้โดยทีต ่ นเองไม่ต ้องเคลือ ่ น
ออกจากมุมห ้องเลย นี่คอ ื ความไวของสติในระดับนี้ ฉะนัน ้ พอสติเห็นการเริม ่ ก่อตัวของ
เจตสิกเท่านัน ้ มันก็คลายตัวทันที การปรุงแต่งของสังขารหยุดทันที และหัวใจก็ไม่ม ี
เวลาได ้กาเริบ สามารถเต ้นเป็ นปกติ สิง่ เหล่านี้เป็ นสภาวะทีล ่ ะเอียดมาก ฉะนัน ้ เดีย ๋ วนี้
เราสามารถดูหนังทีต ่ นื่ เต ้นได ้อย่างไม่สะดุ ้งตกใจเหมือนแต่กอ ่
่ น จนบัดนี้ สิงทีแ
่ ม ้ผู ้ชาย
ยังรู ้สึกสะดุ ้งสุดขีดนัน
้ เรากลับไม่เป็ น

กายสะดุง้ แต่ใจไม่ตก
สิง่ ทีแ
่ ปลกมากคือ มีบางครัง้ ทีก ่ ายของเราสะดุ ้งโหยงเหมือนตกใจ คน
อืน
่ จะเห็นว่าเราตกใจ แต่เราเท่านัน ้ ทีร่ ู ้ว่าไม่มใี จให ้ตก เพราะเมือ ่ มองเข ้าไปในใจแล ้ว
กลับไม่มอ ี ะไรไหวติงเหมือนไม่มใี จ อันนี้เหมือนการดูหนังเศร ้า หรือดูขา่ วทีส ่ ร ้างความ
สะเทือนใจ เนื่องจากเป็ นคนทีข ่ สี้ งสารคนมาตัง้ แต่เล็กแต่น ้อยแล ้ว จึงได ้ผ่านความรู ้สึก
เศร ้าโศกมาไม่น ้อย ดูหนังเศร ้าหน่อย ก็ร ้องไห ้แล ้ว เดีย ๋ วนี้ น้ าตาก็ยังไหลอยูเ่ มือ ่ ดูหนัง
เศร ้าหรือดูขา่ วทีส่ ะเทือนใจ แต่สงั เกตเห็นว่า ใจไม่ได ้เจ็บปวดหรือเคลือ ่ นไหวเหมือนแต่
ก่อน แม ้น้ าตาไหลออกมาก็ตาม เรือ ่ งน้ าตาไหลนี่ไม่ได ้เกิดเสมอไป สามารถดูเรือ ่ งเศร ้า
บางเรือ ่ งได ้โดยทีใ่ จไม่เคลือ ่ นและน้ าตาไม่ไหล จนอดคิดไม่ได ้ว่าทาไมจึงชาเย็นเช่นนัน ้
เหมือนไม่มเี มตตาเลย เรือ ่ งน้ าตาไหลนี่ ยังไม่ตด ิ ใจเรามากเท่ากับตัวสะดุ ้งโหยงโดยไม่
มีใจให ้ตก อันนี้แปลกมาก แปลกจริง ๆ ยังอธิบายอย่างเป็ นวิทยาศาสตร์ไม่ได ้ชัด ส่วนนี้
ทีเ่ ขาเรียกว่าเป็ นวาสนาหรือนิสย ั เก่า ๆ ของผู ้รู ้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ อันนีต ้ ้องขอติดไว ้
ก่อน

ผูร้ จ
ู ้ ะเห็นเป็นการแสดงสองชน ั้
คนทีย ่ ังอยูใ่ นโลกแห่งความมืดนัน ้ เขาจะไม่รู ้ว่า ชีวต ิ ประจาวันทีเ่ ขาคิด
ว่าเป็ นโลกแห่งความจริงหรือโลกทีส ่ ว่างนัน ้ ทีจ่ ริง โลกนัน ้ ก็ยังไม่จริง ไม่สว่าง เป็ นโลก
สมมุตท ิ ม ี่ ด ื สนิทอยู่ ทุกคนล ้วนต ้องแสดงไปตามบทบาททีก ่ เิ ลสตัวโลภ โกรธ หลง บง
การให ้แสดง ซึง่ คนทีย ่ ังอยูใ่ นโลกมืดยังเป็ นปุถช ุ นจะไม่รู ้ แต่พระอริยบุคคลในระดับสูง
จะรู ้ ฉะนัน ้ การดูหนังดูละคร สาหรับปุถช ุ นแล ้ว เขาจะคิดว่าเขากาลังดูการแสดงชัน ้ เดียว
แต่ผู ้รู ้ทีร่ ู ้เห็นโลกแห่งความเป็ นจริงหรือพระนิพพานแล ้วจะรู ้ว่าการดูหนังดูละครเป็ นการดู
การแสดงถึงสองชัน ้
จาได ้ว่า มีชว่ งหนึง่ ทีเ่ ราดูหนังหรือละครแล ้ว หาความสนุกสนานแบบที่
เคยเป็ นไม่ได ้เลย เพราะไม่วา่ ดูอย่างไร ไม่วา่ เขาจะแสดงได ้สมจริงสมจังอย่างไรก็ตาม
ก็เห็นแต่สภาวะ “ความเป็ นอย่างนัน ้ เอง” เป็ นผัสสะทีจ ่ บในตัวมันเองทันทีทเี่ ห็น ทัง้ ภาพ
และเสียงทีค ่ วรจะสร ้างอารมณ์ความรู ้สึกให ้คนดูคล ้อยตามนัน ้ กลับไม่ได ้ทาอะไรให ้เรา
เลย ทันทีทเี่ ห็น มันก็จบทันที ภาพทีเ่ ห็นก็สก ั แต่วา่ เห็น เสียงทีไ่ ด ้ยินก็สก ั แต่วา่ เสียง
เป็ นสภาวะนิพพานทีจ ่ บในตัวมันเองทันที จะแกล ้งไม่เห็นก็ไม่ได ้ ฉะนัน ้ จึงดูออกชัด ๆ
ว่า นั่นเป็ นการแสดงถึงสองชัน ้ ไม่ใช่ชน ั ้ เดียวอย่างทีป ่ ถ
ุ ช
ุ นเข ้าใจ ความสนุกสนานจาก
การดูหนังจึงหดหายไปทันที การเห็นเช่นนี้ก็เป็ นผลของการเกิดญาณโดยตรง

ดูหน ังเพือ
่ เรียนรูก ้ ารเดินสายความคิดของมนุษย์
เดีย๋ วนี้ การดูโทรทัศน์ของเรานัน ้ นอกจากการเรียนรู ้ศัพท์แสง
ภาษาอังกฤษให ้เก่งขึน ้ แล ้ว ยังมีเป้ าหมายเพือ ่ การเรียนรู ้ว่าคนในโลกสมมุตเิ ขาเดินสาย
ความคิดของเขาอย่างไร โดยเฉพาะหนังทีอ ่ งิ หลักวิทยาศาสตร์ทฝ ี่ รั่งสร ้างนัน
้ นอกจาก
สามารถเรียนรู ้ข ้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ต ้องไปอ่านหนังสือมากแล ้ว ยังรู ้ว่าเขา
คิดกันอย่างไร ความคิดของเขาซับซ ้อนและแตกซ่านมากแค่ไหน เป็ นการคาดการณ์
อนาคตได ้ดียงิ่ เพราะสิง่ ทีเ่ ขาจินตนาการล่วงหน ้าคือสิง่ ทีม ่ นุษย์กาลังจะทาให ้มันเกิดขึน ้
อย่างเช่น หนังเจมส์บอนด์ทม ี่ เี ครือ
่ งมืออะไรต่าง ๆ ทันสมัยทีน ่ ักเขียนได ้จินตนาการไว ้
เมือ ๓๐ ปี กอ ่ นนัน ้ เครือ ่ งมือเหล่านัน ้ ได ้กลายเป็ นของจริงทีเ่ รากาลังใช ้อยูใ่ นปั จจุบันนี้
้ สิง่ ทีฝ
ฉะนัน ่ รั่งจินตนาการอยูข ่ ณะนี้ในสิง่ ทีจ
่ ะเกิดขึน ้ อีก ๕๐ หรือ ๑๐๐ ปี ข ้างหน ้า
อย่างเช่นเรือ
่ งการสร ้างเด็กจากหลอดแก ้วและการโคลนมนุษย์ตามแบบอย่างทีต ่ ้องการ
ก็เป็ นสิง่ ทีส
่ ามารถเกิดขึน
้ ได ้ เพราะนี่คอ
ื ความสามารถของมนุษย์ทม
ี่ ม
ี ันสมองเหนือกว่า
สัตว์เดรัจฉาน

ปุถช ุ นดูหน ัง เป็นการดูมายาซอ ้ นมายา ชกยุ ั ง ่


เรือ
่ งการดูหนังดูละครของปุถช ุ นนัน ้ มีเรือ ่ งทีต
่ ้องพูดอีกมากมายทีเดียว
เป็ นเรือ ่ งทีท ่ าให ้สภาวะใจของปุถช ุ นทั่วไปในกลุม ่ ทีม ่ คี วามบ ้าระดับสามัญสับสนมากขึน ้
ปุถช ุ นจะไม่รู ้ความจริงในระดับแรกสุดหรือพระนิพพาน เขารู ้แต่ความจริงในระดับสอง
(โลกสมมุต ิ หรือ มายา) เมือ ่ ไปดูหนังดูละครหรือการแสดงต่าง ๆ ซึง่ เป็ นความจริงใน
ระดับทีส ่ ามแล ้ว เป็ นการดูมายาทีซ ่ ้อนมายาเข ้าไปอีกทีหนึง่ ฉะนัน ้ ใจของเขาก็ยงิ่ จะมืด
เข ้าไปใหญ่ เหมือนกับนั่งในห ้องมืดเป็ นพืน ้ ฐานอยูแ ่ ล ้ว กลับไปเอาแว่นตาดามาใส่ให ้มืด
เข ้าไปอีก
เป้ าหมายของการแสดงในโลกสมมุตค ิ อ
ื พยายามทาให ้มันดูจริงมาก
ทีส
่ ด ุ ฉะนัน ้ สาหรับปุถช ุ น (คนบ ้าระดับสามัญ) ทีม ่ ส ี ภาวะใจทีแ ่ ข็งแกร่งนัน ้ เมือ่ ดูหนังดู
ละครเสร็จ อย่างเก่งก็สามารถถอดแว่นตาดาและออกมานั่งอยูใ่ นห ้องมืดเฉย ๆ เท่านัน ้
คนบ ้าระดับสามัญส่วนมากก็จะทาเช่นนัน ้ ได ้ คือรู ้ว่านั่นเป็ นเพียงการแสดงเท่านัน ้ ไม่ใช่
เรือ
่ งจริง ฉะนัน ้ ดูไปสนุก ๆ ไม่ได ้เอาจริงเอาจังอะไรกับมัน แต่ถ ้าปุถช ุ นทีใ่ จไม่แข็งแล ้ว
มันเริม ่ ยุง่ เพราะเขาจะปล่อยใจให ้คล ้อยตามการแสดงบนจอเหมือนกับเป็ นเหตุการณ์
จริง ๆ จนถอนใจออกไม่ได ้ คือ ไม่ยอมถอดแว่นตาดาเพือ ่ ออกมานั่งในห ้องมืดเฉย ๆ ยิง่
เขาแสดงได ้จริงมากเท่าไร ใจของคนดูก็จะถูกโยนเข ้าไปร่วมบทบาทของคนแสดงจน
ทาให ้ใจถอนตัวไม่ขน ึ้ มากเท่านัน ้ คือ ไม่ยอมถอดแว่นตาดาเพือ ่ ออกมานั่งในห ้องมืด
อย่างคนอืน ่ ฉะนัน ้ แทนทีจ ่ ะมืดชัน ้ เดียว กลับกลายเป็ นมืดหนักเข ้าไปอีกชัน ้ หนึง่ หรือ
อยูใ่ นโลกมายาแล ้ว แต่ไปสร ้างมายาทับโลกทีเ่ ป็ นมายาแล ้วขึน ้ อีกชัน้ หนึง่ และไม่ยอม
ถอนออกมา ถึงจุดนี้แล ้ว ถอนตัวยากมาก จะให ้คนประเภทนี้มาเข ้าใจธรรมะนัน ้ ยากมาก
เพราะแทนทีจ ่ ะถอนออกจากโลกมายาเพียงชัน ้ เดียวเหมือนคนบ ้าระดับสามัญ เขาต ้อง
พยายามถอนออกมาถึงสองชัน ้ ทาให ้ยากมากขึน ้ ไปอีก

โลกปั่นป่วนเพราะสภาวะใจของคนบูดเบีย ้ วมาก
ทีจ่ ริง โลกนี้เต็มไปด ้วยคนประเภทนี้ คือ พยายามใช ้ชีวต ิ เหมือนตัว
พระเอกนางเอกในหนังในละคร อยากใช ้ชีวต ิ อย่างหรูหรา ฟู่ ฟ่ า ทะยานอยากได ้โน่นนี่
โดยไม่อยากลงแรง ใช ้ชีวต ิ ในโลกของความฝั น ถ ้าเป็ นคนทีช ่ อบเรือ ่ งการใช ้ความรุนแรง
ตามทีเ่ ขาดูในหนังบู๊ละก็ น่ากลัวมาก แม ้แต่การฆ่าคนตามวิธก ี ารทีค ่ นดูในหนังหรือใน
หนังสืออ่านเล่นนัน ้ กรณีเช่นนี้ก็ได ้เกิดขึน ้ จริง ๆ แล ้ว อย่างกรณีทผ ี่ ู ้ก่อการร ้ายชาวมุสลิม
จีเ้ ครือ
่ งบินสีล่ าและพุ่งชนตึก world trade center และตึก pentagon เมือ ่ วันที่ ๑๑
กันยายน ทีพ ่ งึ่ ผ่านมานัน ้ เป็ นการกระทาทีเ่ อาออกมาจากจินตนาการในหนังสืออ่านเล่น
โดยตรง โลกสมัยนี้จงึ ปั่ นป่ วนมาก เพราะสภาวะใจของคนถูกบิดเบือนจนบูดเบีย ้ วมาก
เกินไป จะไปดัด ไปแก ้ให ้มันตรงได ้อีกนัน ้ ยากมาก
อย่าว่าแต่การถอนมายาออกมาสองชัน ้ เลย แค่ชน ั ้ แรกก็ถอนยากมาก
แล ้ว คนอังกฤษชอบฟุตบอลมาก การเล่นบอลและดูการแข่งขันฟุตบอลนี่ไม่ใช่เป็ นมายา
ชัน ้ ทีส
่ อง แต่เป็ นมายาชัน ้ แรกเท่านัน ้ เป็ นเรือ ่ งจริงของคนในโลกสมมุตเิ ท่านัน ้ คนบ ้า
ระดับสามัญก็สามารถทาลูกบอลกลม ๆ ลูกเล็ก ๆ นี้เป็ นเรือ ่ งระดับโลกทีท ่ าเงินกันอย่าง
มากมายมหาศาล การแข่งบอลทีส ่ าคัญในระดับชาติหรือระดับโลกแต่ละนัดนัน ้ คนทัว่
โลกหลายร ้อยล ้านคนล ้วนนั่งหน ้าจอโทรทัศน์ด ้วยหัวใจทีเ่ ต ้นแรงอย่างสุดเหวีย ่ ง และ
ปล่อยใจขึน ้ ลงอยูก ่ บั เรือ
่ งได ้เรือ
่ งเสียอย่างเต็มที่ จนคนไทยถึงขนาดทารูปปั ้นของเดวิด
เบคคั่ม ขึน ้ มาบูชา นี่เรียกว่า เศร ้า
รายการโทรทัศน์มากมายเดีย ๋ วนี้ก็ยงิ่ พยายามทาให ้คนดูเข ้าไปมีสว่ นได ้
ส่วนเสียอย่างจริงจัง เช่น รายการตอบคาถามเงินล ้านทีก ่ าลังฮิตอยูท ่ ั่วโลก สิง่ เหล่านี้
ล ้วนทาให ้คนบ ้าระดับสามัญบ ้ามากขึน ้ ทัง้ นัน้ ยิง่ วงเงินสูงขึน ้ ความบ ้าของคนก็ยงิ่ มีมาก
ขึน ้ เป็ นเงาตามตัว
นอกจากนัน ้ เกมส์คอมพิวเตอร์ตา่ ง ๆ ทีเ่ ด็กและผู ้ใหญ่เล่นอยูน ่ ัน
้ ก็
พยายามทาให ้ผู ้เล่นเข ้าไปสูเ่ หตุการณ์จริง ๆ โดยมีศัพท์ใหม่วา่ virtual reality แปลว่า
่ ็เป็ นการสร ้างมายาซ ้อนมายาทีล
เกือบจริง นีก ่ ก
ึ มากเข ้าไปอีก ล ้วนเป็ นเรือ
่ งทีท
่ าให ้คนบ ้า
ระดับสามัญถลาลึกเข ้าสูโ่ ลกมืดของอวิชชาอย่างถอนตัวไม่ขน ึ้

ผูร้ ถ
ู ้ า้ ไม่ทอ้ ใจก็ตอ ้ งทางานหน ักมาก
ฉะนัน ้ ผู ้รู ้ในสมัยนี้ ถ ้าไม่นก ึ ท ้อไปเสียเลย ก็ต ้องทางานหนักมาก พูดไป
เขียนไป คนก็ไม่เข ้าใจ ไม่สนใจ เพราะใจของเขาบูดเบีย ้ วมากจนเข ้าใจอะไรไม่ได ้
นั่นเอง เรือ ่ งการเห็นธรรมชัน ้ แรก เห็นพระนิพพาน หรือเห็นตถตานัน ้ ทีจ ่ ริงเป็ นเรือ
่ ง
หญ ้าปากคอกทีอ ่ ยูแ
่ ค่ปลายจมูกของคนทุกคน แต่ก็กลับกลายเป็ นเรือ ่ งลึกซึง้ ไปโดย
ปริยายเพราะใจของคนมันพุ่งออกไปมองเรือ ่ งไกลจนเคยชินและมองเรือ ่ งใกล ้ทีอ ่ ยูป
่ ลาย
จมูกไม่เป็ นเสียแล ้ว พระนิพพานจึงกลายเป็ นเรือ ่ งยากและละเอียดอ่อนมากจนไม่รู ้จะพูด
ยังไง พระพุทธเจ ้าจึงตรัสว่า คนทีม ่ ธ
ี ล
ุ ใี นดวงตาแต่น ้อยเท่านัน ้ จึงจะเข ้าใจธรรมในระดับ
นี้ได ้ นี่พระพุทธองค์ทา่ นตรัสเองแม ้ในยุคสมัยของท่าน แล ้วจะเอาอะไรกับคนสมัยนี้
ต ้องมีบารมีมาแต่ปางก่อนจริง ๆ จึงจะพอมีโอกาสเข ้าใจธรรมได ้ คนมีบารมีแล ้ว แต่ยัง
เหยาะแหยะ ไม่เอาจริงก็ยังยาก จะทาลายบารมีของตนโดยไม่รู ้ตัว ใครทีอ ่ ยากไป
นิพพานสมัยนี้ ต ้องทางานหนักมาก ต ้องฝื นสังคมมาก ไม่งน ั ้ ไปไม่รอด

เบือ ่ โลกสมมุต ิ เพือ ่ นหายหมด


เรือ
่ งการดูโทรทัศน์กบ ั เรือ
่ งการคุยกับเพือ ่ นนัน
้ คล ้ายกันมาก จาได ้ว่า คง
ราวปี ๒๕๔๒ เป็ นต ้นไป เกิดความเบือ ่ หน่ายทีจ ่ ะพูดกับคนมาก เพราะรู ้สึกเบือ ่ โลกสมมุต ิ
จนอยากอาเจียนในบางครัง้ กลับกลายเป็ นว่า ไม่สามารถเข ้าใจได ้ว่าคนอยูใ่ นโลกทีไ่ ม่
จริง โลกทีเ่ ต็มไปด ้วยสมมุตไิ ด ้อย่างไร ดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับอยูโ่ ลกเดียวกัน แต่สาหรับ
เราแล ้ว มันเป็ นคนละโลกทีต ่ า่ งกันอย่างสุดขัว้ จึงไม่อยากคุยกับใครเพราะทุกครัง้ ทีอ ่ ้า
ปาก เหมือนต ้องหัดพูดใหม่ ต ้องพูดอิงอยูก ่ บั โลกสมมุต ิ ฉะนัน ้ หลังเกิดญาณแล ้ว ก็เริม ่
ห่างเหินเพือ ่ น ๆ ทีเ่ คยติดต่ออย่างสม่าเสมอ เพราะรู ้สึกอย่างรุนแรงว่าไม่มเี รือ ่ งจะพูดคุย
กับใคร โดยเฉพาะการพูดคุยกันธรรมดาทีฝ ่ รั่งเรียกว่า small talk เห็นคาพูดช่างเป็ น
เรือ
่ งไร ้สาระ และไม่จริง บางครัง้ ฟั งคนพูดแล ้วเหมือนกับไม่รู ้ว่าเขาพูดอะไร มันเข ้าไม่
ถึงใจ ทัง้ ภาพและเสียงทีเ่ ราสัมผัสอยูต ่ อ่ หน ้านัน ้ เป็ นตถตาไปหมด เป็ นเอง และเป็ น
ทันที จึงไม่สามารถประสานกับคาสนทนาได ้ ในหัวไม่มอ ี ะไรจะพูด
ได ้เริม่ บรรยายความรู ้สึกเหล่านี้ให ้สามี ลูกคนเล็กและเพือ ่ นสนิทคนหนึง่
ฟั งเสมอว่าไม่อยากพบหน ้าใครเลย ตัง้ แต่ต ้นปี ๒๕๔๒ เป็ นต ้นมา จึงเลิกติดต่อกับคนไป
หลายคน จดหมายไปเมืองไทยก็เลิกเขียน เพือ ่ นทีอ่ ังกฤษก็ไม่โทรไปคุยด ้วยเหมือ นแต่
ก่อน ก่อนหน ้านัน ้ มักจะถือว่าเป็ นหน ้าทีท ่ จ ี่ ะต ้องยกหูโทรศัพท์ไปคุยกับเพือ ่ นเพือ่ ถาม
สารทุกข์สก ุ ดิบบ ้าง เป็ นวิธก ี ารหนึง่ ทีจ ่ ะรักษาเพือ ่ นไว ้ แต่ความรู ้สึกเหล่านัน ้ ก็หายไป
หมด จนเดีย ๋ วนี้ เพือ ่ นหลายคนก็ไม่โทรมาคุยด ้วยแล ้วเพราะเราเริม ่ ห่างเหินเขาก่อน

การคุยก ับคนเป็นปัญหามาก
ตอนนี้ การคุยกับคนบ ้าระดับสามัญทีอ ่ ยูร่ อบข ้างเราเริม
่ เป็ นปั ญหามาก
ขึน
้ ทุกวัน การคุยกับคนในครอบครัวก็ไม่เป็ นเรือ ่ งหนักหนามาก เพราะถ ้าไม่อยากพูด ก็
ไม่ต ้องพูด แต่กบ ั เพือ
่ นบ ้าน ครอบครัวของสามี เพือ ่ นของครอบครัว แม ้เพือ ่ นสนิท นี่เริม

เป็ นปั ญหามาก เพราะโดยลักษณะภายนอกแล ้ว เราก็คอ ื แม่บ ้านธรรมดาคนหนึง่ ทีไ่ ม่ม ี
อะไรแตกต่างจากคนอืน ่ นอกจากลูกศิษย์ของเราแล ้ว คนเหล่านี้ก็ไม่รู ้เรือ ่ งงานของเรา
เลยแม ้แต่น ้อย ไม่เคยพูดกับเขา ฉะนัน ้ การหาเรือ
่ งราวมาคุยกับคนบ ้าระดับสามัญ
เหล่านี้ได ้กลายเป็ นเรือ่ งยากสาหรับเรา พ่อแม่ของสามีมักจะมาเยีย ่ มในวันอาทิตย์ เราก็
ต ้องพยายามหาเรือ ่ งคุย บางครัง้ ถ ้าคูส ่ นทนาพูดในสิง่ ทีเ่ ราไม่มค ี วามสนใจเลยนัน ้ เช่น
พูดเรือ ่ งรถ ฟุตบอล เสือ ้ ผ ้า พูดกันได ้เป็ นชัว่ โมง แทบจะต ้องกลายเป็ นคนหยาบคายไป
อย่างช่วยไม่ได ้ เพราะไม่รู ้จะเอาอะไรมาพูด ในหัวเงียบสนิท จึงพูดอะไรไม่ได ้ นั่งเฉย ๆ
อยูก่ บ
ั ตถตา ทาได ้ดีทส ี่ ดุ คือพยักหน ้าคล ้อยตามบ ้างเป็ นบางครัง้ ยิม ้ ให ้เขาบ ้าง จนแขก
รู ้สึกเขินและอึดอัดไปก็ม ี แต่เรากลับเฉยได ้อย่างไม่อด ึ อัด บางครัง้ ก็รู ้สึกเสียเวลาทีต
่ ้อง
มานั่งฟั งเรือ่ งอะไรก็ไม่รู ้ วันก่อน หลานของสามีซอื้ รถใหม่เอีย
่ ม ตืน่ เต ้นมาก ขับมาให ้ดู
ทุกคนออกไปดูรถใหม่และต ้องหาคาพูดมาชมว่ามันดียังไง สวยยังไง เรามีความรู ้สึกว่า
คาพูดทีอ ่ อกจากปากเราอันเนื่องกับรถใหม่คันนัน้ เป็ นคาโกหกทัง้ เพ แต่จะไม่ให ้พูดตาม
โลกสมมุตก ิ ็ไม่ได ้

ใครบ้าก ันแน่!!!
เดือนก่อน จาเป็ นต ้องไปหาเพือ่ นคนหนึง่ ทีร่ ู ้จักกันมาตัง้ แต่เริม
่ มาอยู่
อังกฤษ กาลังทาเรือ ่ งหย่าร ้างกับสามี เพราะปั ญหาครอบครัวทีเ่ รือ ้ รังมานาน จึงคิดมาก
ถึงกับต ้องเข ้าโรงพยาบาลประสาทครัง้ หนึง่ หลังจากทีไ่ ปหาทนายเสร็จแล ้ว เพือ ่ นก็พา
ไปทานอาหารทีร่ ้านแห่งหนึง่ นั่งคุยกัน หลังจากทีฟ ่ ั งแต่เรือ
่ งของเพือ ่ น คิดว่าควรจะหา
เรือ
่ งตัวเองมาคุยบ ้าง จึงเอาเรือ ่ งความเบือ ่ หน่ายโลกของตัวเองขึน ้ มาพูดเหมือนเป็ นเชิง
ระบาย ซึง่ คิดว่าเป็ นการพูดฆ่าเวลาเท่านั น ้ พูดไปพูดมา เพือ ่ นก็วเิ คราะห์สภาวะใจของ
เราและสรุปให ้เราเบ็ดเสร็จว่าสภาวะใจของเราเหมือนกับของเขาในตอนก่อนทีจ ่ ะเข ้า
โรงพยาบาลประสาท และให ้คาแนะนาว่า เราจะต ้องพยายามผลักดันตัวเองให ้ออกมา
เจอหน ้าเพือ ่ นฝูงมากขึน ้ เปิ ดหูเปิ ดตาบ ้าง เพราะถ ้ายิง่ เก็บตัว สภาวะใจของเราก็จะยิง่
ทรุดและเป็ นหนักใหญ่ และอาจจะต ้องเข ้าโรงพยาบาลประสาทเหมือนเขาก็ได ้ เราฟั ง
แล ้วก็คดิ ในใจว่า “เอ ้…นี่ใครบ ้ากันแน่นะ”

คนหายบ้าสนิทเท่านนจึ ั้ งจะรูว้ า ่ ใครบ้าน้อยหรือบ้ามาก


่ งความบ ้าของใจนี่เป็ นสิง่ ทีด
เรือ ่ ไู ม่ออกด ้วยตาเนื้อ เพราะกายก็ดป ู กติ
แม ้การพูดการจาก็ดเู ป็ นปกติ ฉะนัน ้ หมอโรคจิตซึง่ เป็ นคนบ ้าระดับสามัญอันเป็ นคน
ส่วนมากของสังคมจะสามารถตัดสินคนทีบ ่ ้ากว่าเขาได ้โดยเอาความบ ้าระดับสามัญเป็ น
มาตรฐาน โดยรักษาให ้คนทีบ ่ ้ากว่าหายจนถึงระดับปกติอันคือความบ ้าระดับสามัญเพือ ่
พูดคุยกับคนทั่วไปของสังคมได ้ แต่จะไม่มก ี ารรักษาให ้หายบ ้าสนิท คนทีห ่ ายบ ้าจริง ๆ
คือพระอรหันต์เท่านัน ้ จึงสามารถตัดสินได ้ว่าใครบ ้าน ้อยหรือบ ้ามาก
การคุยกับเพือ ่ นทีพ ่ ดู ถึงเมือ่ กีน ้ ี้นัน
้ ดีวา่ เขากาลังคุยกับคนทีห ่ ายบ ้าสนิท
แล ้ว จึงดูออกและรู ้ว่า ถ ้าไม่เปลีย ่ นเรือ ่ งพูด ก็จะทาให ้อีกฝ่ ายบ ้ากันไปใหญ่ แต่ถ ้าเขา
คุยกับคนบ ้าระดับสามัญ อาจจะยุง่ ก็ได ้ คนบ ้าระดับสามัญบางคนมีใจไม่แข็ง ขาดความ
มั่นใจในตนเอง การคุยกับคนทีม ่ ใี จแข็งกว่าแต่ยังมืดบอดต่อเรือ ่ งของชีวติ อยูน ่ ัน
้ เป็ นเรือ
่ ง
อันตรายมาก เพือ ่ นคนนีแ ้ ม ้จะมีปัญหาโรคจิตมาก่อนก็ตาม แต่เป็ นคนทีม ่ ค
ี วามมั่นใจใน
ตัวเองสูงมาก และถนัดให ้คาแนะนาคนโดยเอามาตรฐานของตนเองเข ้าวัด คนประเภทนี้
มีมากมายในสังคม ภายใต ้สถานการณ์เช่นนี้ คนใจอ่อนจะถูกคนใจแข็งดูดเข ้าไปอย่าง
ไม่รู ้ตัว จะทาให ้คนอืน ่ สับสนมากขึน ้ นี่เป็ นเรือ ่ งอันตรายและต ้องระวังมาก

วิปส ั สนา เครือ


่ งมือป้องก ันใจไม่ให้บา้
ฉะนัน ้ เรือ
่ งการนาใจกลับสูฐ ่ านของสติเป็ นจึงเป็ นเรือ ่ งสาคัญมากทีค่ น
ปฏิบัตธิ รรมจะต ้องเข ้าใจให ้ดี และพยายามทาให ้ได ้ในชีวต ิ ประจาวันทีต ่ ้องพบปะผู ้คน
เสมอ ถ ้าเจอคนพูดเก่งกว่า มีความมั่นใจสูงกว่า จะทาให ้ใจเสียหลักได ้ง่าย ฉะนัน ้ ต ้อง
รีบนาใจกลับสูฐ ่ านของสติทันที เช่น กลับมากาหนดทีล ่ มหายใจ (กายานุปัสนาสติปัฏ
ฐาน) หรือ จับลูกประคา ให ้มีความรู ้สึกทีล ่ ก
ู ประคา (เวทนานุปปั สสนาสติปัฏฐาน) เป็ น
ต ้น การทาเช่นนี้จะป้ องกันใจจากความเป็ นบ ้า ถ ้าไม่ทาแล ้ว ใจจะหลงทาง และจะถูกดูด
เข ้าไปในความคิดของคนทีใ่ จแข็งกว่า เป็ นบ ้าได ้ง่าย อันตรายมาก
อย่างไรก็ตาม เรือ ่ งการคุยกับคนนี่ เรารู ้ว่าเริม
่ เป็ นปั ญหามาก เพราะ
ตราบใดทีเ่ รายังต ้องใช วต ้ชี ิ อยูก
่ บ
ั ครอบครัวและสังคมเช่นนี้ การพูดคุยสนทนาเป็ นเรือ ่ ง
ของโลกสมมุตท ิ ต
ี่ ้องทา ตอนนี้ จึงพยายามหลีกเลีย ่ งการพบปะผู ้คน

เห็นความวุน
่ วายของโลกเป็นเรือ
่ งธรรมดา ไม่กระตือรือร้นแล้ว
ตอนทีเ่ ราได ้คอมพิเตอร์ใหม่มาเมือ ่ ๑๘ เดือนก่อน ต ้นปี ๒๕๔๓ และ
สามารถใช ้อินเตอร์เน็ ทได ้นัน ้ เราได ้ใช ้อีเมล์เป็ นสือ ่ ในการให ้กาลังใจลูกศิษย์ทจ ี่ ากไป
จนมีการติดต่อโต ้ตอบกับลูกศิษย์ทางอีเมล์เป็ นอย่างมากอยูช ่
่ วงหนึง่ ใครมีปัญหาก็เขียน
ถามมา และเราก็ตอบไป คิดว่านี่เป็ นวิธก ี ารช่วยให ้ลูกศิษย์เดินในร่องของธรรมและให ้
กาลังใจเขาในการทาสมาธิตอ ่ ไป เพราะแต่ละคนก็ไม่ได ้อยูใ่ นเมืองพุทธ เป็ นช่วง
เดียวกับทีเ่ รากาลังเขียนคูม ่ อ
ื ชีวต ิ ภาษาอังกฤษอยู่ จึงใช ้เวลาอยูก ่ บั การเขียนหน ้าจอ
คอมพิเตอร์มากทีเดียว แต่หลังจากทีก ่ ลับจากเมืองไทยเมือ ่ เดือน มิถน ุ ายน ๒๕๔๔ แม ้
การช่วยเหลือลูกศิษย์เช่นนัน ้ เราก็ไม่อยากทาอีกแล ้ว เลิกเขียนแล ้ว พูดเรือ ่ ง
อินเตอร์เน็ ท คนส่วนมากชอบมาบอกให ้เปิ ดเว็บไซท ้ดูโน่นดูนี่ เราถามตัวเองว่า อยากรู ้
อะไรอีกหรือ ตอบได ้ว่า ก็ได ้รู ้สิง่ ทีด ่ ท ี ส ี่ ดุ ในโลกแล ้ว ยังอยากรู ้อะไรอีกเล่า
แม ้การสอนไท ้เก็ก ก็เริม ่ มีความรู ้สึกทีไ่ ม่กระตือรือร ้นอีกต่อไปแล ้ว ยิง่
เข ้าใจชีวติ มากขึน ้ เท่าไร ความกระตือรือร ้นของเราก็ยงิ่ น ้อยลงเท่านัน ้
ตอนนี้เริม ่ เห็นชัดว่า การถอนตัวออกจากโลกสมมุตเิ ริม ่ มีมากขึน ้ ทุกวัน
ทัง้ ๆ ทีด่ อู อกว่าโลกในขณะนี้เต็มไปด ้วยความวุน ่ วายและคนทีเ่ ป็ นทุกข์ แต่เรากลับมอง
ว่ามันเป็ นเรือ่ งธรรมดาของโลก โลกสมมุตเิ ป็ นอย่างนี้เอง ไปแก ้ไขอะไรไม่ได ้หรอก
ตอนทีเ่ รากาลังเขียนอยูน ่ ี้ อเมริกากับอังกฤษเริม ่ เอาระเบิดไปทิง้ อาฟกานิสถานแล ้ว ชาว
มุสลิมกาลังจะลุกฮือขึน ้ มาทั่วโลกเพือ ่ ทาสงครามศาสนา โลกร ้อนระอุอย่างนี้จะไปแก ้
อะไรมันเล่า มันก็ต ้องเป็ นไปตามเหตุตามปั จจัยของมัน จึงอยากใช ้ชีวต ิ เงียบ ๆ อยูก ่ บั
ความปกติธรรมดาเท่านัน ้ อยูก ่ บ
ั ตถตาไปวัน ๆ ตราบทีส ั
่ งขารยังอานวยให ้ ถึงเวลาตายก็
ตายไป หมดเรือ ่ งไป ไม่รู ้สึกว่ามีอะไรทีจ ่ าเป็ นจะต ้องทาอีกแล ้ว ความรู ้สึกทีต ่ ้องการ
ผลักดันตัวเองให ้ทาสิง่ ต่าง ๆ เพือ ่ คนอืน ่ มีน ้อยลงจนแทบจะไม่เหลืออีกแล ้ว ไฟในใจ
เกือบมอดแล ้ว ยังห่วงอยูเ่ หมือนกันว่า การเขียนอย่างทีเ่ รากาลังเขียนอยูน ่ ี้ก็อาจจะ
หายไปสักวันหนึง่ ในอนาคตก็ได ้ ฉะนัน ้ เมือ ่ ยังพอมีแรงบันดาลใจทีจ ่ ะเขียนอยู่ คิดว่า
ต ้องรีบเขียนเอาไว ้ นึกสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนกับถูกลัดคิวอย่างไม่ได ้ตัง้ ใจ ยังไม่
ควรเขียน แต่ก็มอ ี ันเป็ นไปให ้เขียนจนได ้

จินตภาพของหลวงพ่อสุยกล ับมา
ความรู ้สึกทีไ่ ด ้บรรยายไปนัน ้ ทาให ้นึกถึงหลวงพ่อสุย ตุ๊เจ ้าวัยเจ็ดสิบ
เศษทีห ่ หู นวกข ้างหนึง่ และตาไม่ดข ี ้างหนึง่ ท่านอยูท ่ วี่ ัดบ ้านหนองหวี พะเยา คงจะเป็ น
ต ้นปี กอ่ นในขณะทีเ่ ขียนคูม ่ อ
ื ชีวต ิ ภาษาอังกฤษอยูน ่ ัน้ จินตภาพของหลวงพ่อสุยทีน ่ ั่งอยู่
บนเก ้าอีโ้ ยกหน ้าระเบียงกุฏข ิ องท่านกลับเข ้ามาในใจเราเสมอ เพราะการเห็นธรรมของ
เรา ทาให ้เข ้าใจได ้ว่าตุ๊เจ ้าองค์นี้ต ้องบรรลุธรรมขัน ้ สูงสุดโดยทีไ่ ม่มใี ครรู ้เลย การทีท ่ า่ น
ตอบเราได ้ว่า พระนิพพานมันอยูต ่ รงข ้างหน ้านี่เอง ไม่ได ้อยูไ
่ กล และการใช ้
ชีวติ ประจาวันของท่านทีไ่ ม่มอ ี ะไรมากไปกว่าการนั่งเก ้าอีโ้ ยกตัวนัน ้ ทาให ้เราแน่ใจมา
กว่าท่านต ้องบรรลุธรรมขัน ้ สูงแน่ และการใช วต ้ชี ิ ทีก ่ ลมกลืนกับธรรมชาติเช่นนัน ้ คือสิง่ ที่
เรากาลังเห็นเป็ นขนมหวานอยูใ่ นขณะนี้ ทีจ ่ ริงได ้พูดเล่น ๆ กับสามีมาสิบกว่าปี แล ้วว่า
ความฝั นอันสูงสุดของเราคือ การได ้อยูบ ่ ้านบนต ้นไม ้ในป่ า tree house เหมือนทาร์ซาน
กับเจนซึง่ เป็ นหนังเรือ
่ งโปรดของเรา สามารถนอนดูท ้องฟ้ าทีเ่ ต็มไปด ้วยดวงดาวได ้ใน
ตอนกลางคืน ตอนนี้ ถ ้ามีทางเลือก เราก็ยังอยากอยูใ่ นทีเ่ ช่นนัน ้ อีก อยูก่ บ
ั ธรรมชาติ ไม่
อยากยุง่ กับใคร

อ่านคาชม ไม่ตน ื่ เต้นแล้ว


นอกจากนัน ้ ยังเห็นการเปลีย ่ นแปลงของความรู ้สึกในการอ่านจดหมาย
สมัยก่อน เมือ ่ ได ้รับจดหมายทีม
่ ค
ี าชมนัน ้ หัวใจก็มักจะสัน ่ ไหวด ้วยความตืน่ เต ้น ดีใจ
ถึงแม ้จะไม่บอกใคร ความหวั่นไหวของใจจะเป็ นปฏิกริ ย ิ าทีเ่ กิดทันที ด ้วยความทีไ่ ม่
อยากให ้สามีรู ้สึกเปรียบเทียบ เมือ ่ ได ้รับจดหมายทีม ่ ค
ี าชม จึงไม่แสดงออกถึงความ
ตืน
่ เต ้นดีใจอย่างออกหน ้าออกตาให ้เขาเห็น บางครัง้ ก็ยน ื่ จดหมายให ้เขาอ่านเองโดยที่
ไม่ได ้พูดอะไรและไม่ถามว่าเขานึกคิดอย่างไรด ้วย แต่บางครัง้ ก็ไม่ให ้เขาอ่านเลย และ
ไม่ได ้บอกเขาด ้วย คิดว่าถ ้าเขาไม่รู ้ เขาก็ไม่ต ้องรู ้สึกเปรียบเทียบอะไรให ้วุน่ วายใจเปล่า
ๆ เพราะตระหนักดีวา่ แม ้สามีจะบอกว่ารักเรามากมายอย่างไร แต่มันก็ยังเป็ นความรักที่
เจือปนด ้วยกิเลสและการรักตัวเองอยูไ ่ ม่น ้อย เพราะความรักของปุถช ุ นเป็ นเช่นนัน้ เอง
สรุปได ้แล ้วว่า คนทีจ ่ ะดีใจกับข่าวดีและความสาเร็จของเราจริง ๆ ก็คอ ื
แม่เท่านัน ้ จะรวมพ่อด ้วยก็ได ้ นอกจากแม่แล ้ว จะให ้คนอืน ่ มาชืน ่ ชมยินดีกบ ั ข่าวดีของ
เราอย่างแท ้จริงนัน ้ ยากมาก ตอนแม่อยู่ มีอะไร ก็อยากบอกแม่ให ้ดีใจกับเราด ้วย จาได ้
ว่า เมือ่ หนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกของเราพิมพ์ออกมาวางขายนัน ้ ตืน ่ เต ้นและดีใจมาก
คิดว่าครอบครัวของสามีก็คงต ้องดีใจไปกับเรา สามีและลูก ๆ ก็ดใี จจริง แต่ครอบครัว
ของสามีกลับไม่มป ี ฏิกริ ยิ าต่อความสาเร็จของเรา เย็นชามาก ตัง้ แต่นัน ้ เป็ นต ้นมา เราจึง
หัดเก็บข่าวดีและความสาเร็จไว ้กับตัวเอง ไม่มก ี ารบอกเล่าให ้ครอบครัวของสามีรู ้ แม ้
ตอนนี้ทม ี่ ห
ี นังสือพิมพ์ออกมาอีกถึงสามเล่ม ครอบครัวสามีก็ไม่รู ้ เขาไม่ถาม เราก็ไม่
บอก ส่วนสามีนัน ้ หลายอย่างทีเ่ ราไม่บอกเขา เพราะรู ้ว่าใจของปุถช ุ นทางานอย่างไร จึง
เห็นว่าควรปกป้ องความรู ้สึกของเขา คนเราอยูด ่ ้วยกันทุกวัน จะให ้เขามานั่งรู ้สึกว่าต่า
ต ้อยกว่าภรรยาตัวเองนัน ้ คิดว่าไม่ถก ู ต ้อง จึงติดเป็ นนิสย ั ทีเ่ ก็บคาชมไว ้กับตัวเองโดยไม่
บอกใคร พอนาน ๆ เข ้า ความตืน ่ เต ้นดีใจและความสัน ่ ไหวของใจก็คอ ่ ย ๆ น ้อยลง
ตามลาดับ
สองปี กอ ่ น ไปรษณียน ์ ากล่องพัสดุบรรจุหนังสือภาษาอังกฤษเล่มทีส ่ อง
ของเรามาส่ง สามีตน ื่ เต ้นอยากเปิ ดกล่องดูเร็ว ๆ ว่าหน ้าปกเป็ นอย่างไร เพราะยังไม่ได ้
เห็น ส่วนเรานัน ้ กาลังวุน ่ อยูก่ บั การเตรียมตัวทีจ ่ ะออกไปสอน จึงไม่ได ้เหลียวไปดูสามีท ี่
กาลังเปิ ดกล่องพัสดุอยู่ แต่ตอนนัน ้ ก็ดใู จตัวเองอยูว่ า่ จะสัน ่ ไหวหรือเปล่า ก็ไม่เห็น
ความรู ้สึกอะไรโผล่มา จนสามีเอาหนังสือออกจากกล่องแล ้ว เปิ ดดูอยู่ จึงหันไปสบตากับ
หนังสือของเราเป็ นครัง้ แรก แม ้ตอนนัน ้ ใจก็ยังนิง่ อยู่ ไม่ไหวติง ซึง่ ผิดกับความรู ้สึกที่
ตืน
่ เต ้นดีใจเมือ ่ ครัง้ ทีเ่ ห็นหนังสือเล่มแรกของตัวเองซึง่ ออกมาเมือ ่ ราว ๆ เกือบ ๗ ปี
มาแล ้ว ทุกวันนี้ สามารถอ่านจดหมายทีม ่ ค
ี าชมโดยไม่รู ้สึกอะไรทัง้ สิน ้ เฉยไปหมด เห็น
เป็ นเรือ่ งธรรมดาไปแล ้ว ไม่มค ี วามคิดหรือความรู ้สึกทีจ ่ ะขุดขึน ้ มาพูดให ้ใครฟั ง

การเดินทางไปสถานทีใ่ หม่ยอ ่ มตืน ่ เต้นสาหร ับปุถช ุ น


แม ้ไม่ใช่ทก ุ คนจะแสดงออกถึงความตืน ่ เต ้นแบบเด็ก ๆ เมือ
่ มีการ
เดินทางไปสถานทีใ่ หม่ทย ี่ ังไม่เคยไป โดยเฉพาะการไปต่างประเทศ แต่จต ิ ใจของปุถช ุ น
ทุกคนย่อมต ้องสัน ่ ไหวด ้วยความตืน ่ เต ้นไม่มากก็น ้อยแม ้ใบหน ้าจะดูราบเรียบอย่างไรก็
ตาม นอกจากนักธุรกิจทีต ่ ้องเดินทางเป็ นประจาเพราะงานก็เป็ นอีกเรือ ่ งหนึง่ จะไม่รู ้สึก
ตืน
่ เต ้นเพราะเดินทางจนชินแล ้ว การเดินทางไกลไม่ใช่เป็ นเรือ ่ งแปลกใหม่สาหรับเรา
อายุ ๑๗ เราก็ขน ึ้ เครือ
่ งบินไปอเมริกาแล ้ว ตอนนัน ้ อกแทบจะแตกด ้วยความตืน ่ เต ้นดีใจ
แทรกความกลัวสารพัด อายุ ๒๖ ก็เดินทางมาอังกฤษคนเดียว ต ้องไปต่อเครือ ่ งทีม่ อส
โคว์ จิตใจสัน ่ ไหวด ้วยความกลัวเหมือนกัน แต่กท ็ าได ้ พอแต่งงานมีลก ู ก็เดินทางกลับ
เมืองไทยทุก ๆ สองหรือสามปี การกลับเมืองไทยแม ้ไม่ใช่ไปต่างแดน แต่หัวใจก็มักเต ้น
และสัน ่ ไหวด ้วยความดีใจและตืน ่ เต ้นทีจ่ ะได ้เห็นหน ้าพ่อแม่พน ี่ ้องทีจ่ ากกันไปนาน ยิง่
ตอนเครือ ่ งบินร่อนลง หัวใจมักจะเต ้นแรงทางานหนักทีเดียว การเดินทางกลับเมืองไทย
เพือ่ มางานเผาศพของแม่ในเดือนมีนาคม ๒๕๔๐ นัน ้ หัวใจเราเหมือนจะบุบสลายด ้วย
ความเจ็บปวดทีร่ ู ้ว่าไม่ได ้เห็นหน ้าแม่อก ี แล ้ว ความรู ้สึกเหล่านี้ เราได ้ผ่านมามากต่อมาก

แล ้ว ซึงเป็ นเรือ ่ งธรรมดามากสาหรับคนทั่วไป


สงเกตเห็ นความเปลีย ่ นแปลงเมือ ่ ครงไปญี
ั้ ป
่ ่น

มีลก ู ศิษย์หญิงชาวอังกฤษชือ ่ แอนนาลีส เธอมาเรียนไท ้เก็กกับเราตัง้ แต่
ปี หนึง่ ถึงปี ส ี่ เมือ
่ เรียนจบแล ้ว เธอได ้งานสอนภาษาอังกฤษทีป ่ ระเทศญีป่ น
ุ่ เขียน
จดหมายมาบอกเราว่า เขาต ้องการขอบคุณเราในสิง่ ทีไ่ ด ้สอนเขาและคนอืน ่ ๆ ฉะนัน้ เขา
ต ้องการเชิญเราไปเทีย ่ วญีป ่ นโดยจะออกค่
ุ่ าตั๋วเครือ่ งบินให ้
ญีป่ นเป็
ุ่ นประเทศทีเ่ รายังไม่เคยไป การไปที่ ๆ ยังไม่เคยไปนั น ้ หัวใจ

ย่อมสันไหวด ้วยความตืน ่ เต ้นเป็ นธรรมดา แม ้ไม่แสดงออก แต่ทก ุ คนก็เห็นความรู ้สึกของ
ตัวเองทัง้ สิน ้ การเดินทางไปญีป ่ นในเดื
ุ่ อนมิถน ุ ายน ๒๕๔๒ นัน ้ เราเริม ่ สังเกตเห็นความ
เปลีย ่ นแปลงของจิตใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเดินทางไปญีป ่ นครั
ุ่ ง้ นัน
้ เริม ่ จากการนั่ งแท็กซีไ่ ปสนามบินเบอร์มงิ่
แฮมคนเดียว รออยูท ่ สี่ นามบินนานพอสมควร ในช่วงทีน ่ ั่งคอยนัน ้ ก็เอาจดหมายของ
แอนนาลีสออกมาอ่านทบทวนและเรียบเรียงสิง่ ทีต ่ ้องทาเพือ ่ นาเราไปพบกับแอนนาลีสที่
ญีป ่ น ุ่ นั่นคือ ต ้องจับเครือ ่ งบินจากเบอร์มงิ่ แฮมไปต่อเครือ ่ งทีอ ่ ัมสเตอร์ดัม บิน อีกราว ๑๒
ชัว่ โมง เครือ ่ งบินก็จะลงทีส ่ นามบินคานไซ นอกกรุงโอซาก ้า จากสนามบินคานไซ เรา
ต ้องจับรถไฟไปลงทีเ่ มืองเกียวโต และจากสถานีรถไฟเกียวโต เราต ้องแบกกระเป๋ าไป
อีกชานชาลาหนึง่ เพือ ่ ต่อรถไฟอีกเทีย ่ วหนึง่ ทีจ ่ ะพาเราไปอาเภอคาตาตาซึง่ อยูน ่ อกเมือง
เกียวโต และแอนนาลีสจะมารับเราทีส ่ ถานีรถไฟคาตาตา
นี่เป็ นครัง้ แรกในชีวต ิ ทีเ่ ราต ้องไปต่างประเทศและไปให ้ถึงจุดหมาย
ปลายทางโดยไม่มใี ครมารับหรือช่วยเราทีส ่ นามบินเลย และยังรู ้ด ้วยว่าคนญีป ่ นพู ุ่ ด
ภาษาอังกฤษไม่เก่ง การใช ้ชีวต ิ แต่งงานมานานถึง ๒๐ ปี นัน ้ ได ้สร ้างนิสย ั พึง่ พาอาศัย
สามีอยูเ่ สมอเมือ ่ ต ้องเดินทาง เพราะเราก็เหมือนผู ้หญิงส่วนมากคือ จาทางไม่เก่ง หลง
ทางบ่อย ในกรุงเทพยังหลงอยูเ่ รือ ่ ย เมือ ่ ไปทีไ่ หนแปลกถิน ่ ก็เดินตามสามีต ้อย ๆ ให ้เขา
นาอยูเ่ สมอ ฉะนัน ้ การไปให ้ถึงจุดหมายปลายทางทีญ ่ ป
ี่ นคนเดี
ุ่ ยวนัน ้ ต ้องรู ้สึกเป็ นห่วง
กังวล และกลัวเป็ นธรรมดาสาหรับผู ้หญิงในสถานะอย่างเรา เป็ นความรู ้สึกทีเ่ ราเองก็รอ
ให ้มันเกิดก่อนหน ้าการเดินทางแล ้ว โดยเฉพาะในช่วงสามสีว่ ันก่อนขึน ้ เครือ ่ งบิน แต่มันก็
ไม่เกิด ทุกครัง้ ทีค ่ ด ิ ถึงเรือ ่ งการเดินทางและทบทวนสิงทีต ่ ่ ้องทาเมือ ่ ไปถึงญีป ่ นนั ุ่ น ้
สามารถคิดได ้โดยหัวใจไม่สน ั่ ไหว คิดว่าเมือ ่ วันเดินทางมาถึง ต ้องสัน ่ แน่ แต่ในขณะทีร่ อ
ขึน ้ เครือ ่ งอยูท ่ ส
ี่ นามบินเบอร์มงิ่ แฮมนัน ้ นั่งอ่านจดหมายของแอนนาลีสอยูห ่ ลายเทีย ่ ว
เพราะมีรายละเอียดเรือ ่ งการเดินไปชานชะลาไหน หัวใจก็ยังไม่สน ั่ มีบางครัง้ ทีเ่ ห็นความ
ประหม่ากลัวกาลังจะก่อตัว เหมือนกับเห็นคลืน ่ ระลอกแรกกาลังก่อตัวขึน ้ มาก่อนทีจ ่ ะ
ปะทะหัวใจ ก่อนทีจ ่ ะทาให ้หัวใจเต ้นเร็ว แต่พอเห็นเท่านัน ้ มันก็คลายตัวไปทันที คลืน ่
ของความรู ้สึกไม่สามารถก่อตัวได ้ จึงนั่งรอทีส ่ นามบินได ้อย่างสงบ แม ้ไปถึง
อัมสเตอร์ดัมแล ้ว ตลอดจนนั่งเครือ ่ งบิน ๑๒ ชัว่ โมง ความหวั่นไหวของใจก็ไม่เกิด
ช่วงทีน ่ ั่งอยูบ ่ นเครือ ่ งบินนัน ้ ก็สงั เกตเห็นแล ้วว่า ใจเราได ้เปลีย ่ นไป
แน่นอน เพราะภายใต ้สถานการณ์เช่นนี้ การเดินทางไกล ไปทีแ ่ ปลกถิน ่ คนเดียว ใจไม่
ควรนิง่ เช่นนี้ มันนิง่ จนผิดปกติ จนเราเห็นได ้ชัดว่ามันไม่ธรรมดา
เมือ่ ไปถึงสนามบินคานไซทีโ่ อซาก ้า ก็โทรศัพท์บอกแอนนาลีสว่ามาถึง
แล ้ว เธอจึงค่อยบอกเราว่า จะไปรับทีส ่ ถานีรถไฟเกียวโต เราก็รู ้สึกโล่งอกเหมือนกันว่า
อย่างน ้อยจากสถานีเกียวโตก็จะมีคนมารับแล ้ว ไม่ต ้องงมหาทางเอง

ไปหลงทางทีญ ่ ป ี่ ่ นุ แต่ห ัวใจไม่สน ่ั


ก่อนไปญีป ่ นุ่ ได ้ขอร ้องให ้แอนนาลีสหาครอบครัวญีป ่ นให
ุ่ ้พักอยูด
่ ้วย
เพือ ่ จะได ้รู ้ว่าคนญีป ่ นใชุ่ ้ชีวติ อย่างไร แอนนาลีสพาดูเมืองเกียวโตวันหนึง่ และชีบ้ อก
ทางเรือ ่ งการขึน ้ รถไฟ ต่อรถไฟ ทัง้ ใต ้ดิน บนดิน ในขณะทีแ ่ อนนาลีสบอกว่าง่ายมากนัน ้
สามวันแรก งงเหมือนไก่ตาแตก รับไม่ไหว ข ้อมูลมากเกินไป แต่ก็ไม่สน ั่ กลัว คิดว่า ถ ้า
เกิดหลงทางอย่างไรก็คอ ่ ยแก ้ไขสถานการณ์เอาตอนนัน ้ ่ ี่ แอนนาลีสไปทางาน
วันทีส
ต ้องลุยเมืองญีป ่ นเอง
ุ่ ไปดูเมืองเก่าใกล ้ ๆ แฟลตทีอ ่ ยูก ่ อ ่ น พยายามจาทาง แต่ก็ไปหลง
ทางจนได ้ แต่ในทีส ่ ด ุ ก็คลาทางกลับมาทีแ ่ ฟลตได ้
วันทีห ่ ้า ต ้องขึน ้ รถไฟไปหาอายาโก่ะซึง่ เป็ นแม่บ ้านของครอบครัวญีป ่ น ุ่
ทีจ่ ะไปพักด ้วย เขาอยูเ่ มืองเล็ก ๆ เมืองหนึง่ ในชนบทออกไป ก็ไปถูก อายาโก่ะมารับที่
สถานีรถไฟ พาเราไปถึงบ ้าน พอดีเธอเป็ นแม่บ ้านทีม ่ รี ะเบียบมาก ทาอะไรตรงตามเวลา
ฉะนัน ้ ในขณะทีเ่ ธอต ้องอาบน้ าให ้ลูกเล็กและเตรียมอาหารเย็นนัน ้ เธอก็แนะนาให ้เรา
ออกไปเดินเล่นแถวบ ้านก่อนโดยบอกว่า เมือ ่ เลีย
้ วขวาทีถ ่ นนหน ้าบ ้าน สุดถนนจะมีวัดอยู่
วัดหนึง่ ให ้เราเดินไปดูโดยให ้กุญแจบ ้านแก่เราไว ้ ก็คด ิ ว่าจะเดินไปตามถนนสายตรง ๆ
นี้ตามทีเ่ ขาบอก เมือ ่ ดูวัดแล ้วก็จะเดินกลับมาตรง ๆ จะไม่ไปไหนไกลเด็ดขาด จึงออก
จากบ ้านของอายาโก่ะโดยทีไ่ ม่ได ้เอากระเป๋ าเงินและเบอร์โทรศัพท์ออกไปเลย ถือลูก
กุญแจไปลูกเดียวเท่านัน ้ หน ้าบ ้านของอายาโก่ะก็รู ้แล ้วว่าเป็ นอย่างไร จึงคิดว่าไม่ม ี
ปั ญหา พอเดินไปแล ้ว ก็เริม ่ เห็นตรอก ซอก ซอยแคบ ๆ พยายามจะไม่เลีย ้ ว จนกระทั่ง
ไปเห็นซอยเล็ก ๆ ซอยหนึง่ ทีม ่ โี คมไฟแขวนทัง้ ซอย สวยมาก จึงคิดว่าเลีย ้ วเข ้าไปเดินดู
เนื่องจากเป็ นซอยทีล ่ กึ มากและยังมีทางแยกอีก เดินเข ้าซอยไปลึกพอสมควร คิดว่า
แหม…ถ ้าเดินออกทางเก่า ก็ดวู วิ เดิม จาสิง่ ทีส ่ ามีได ้สอนไว ้ว่า ถ ้าเลีย ้ วขวาไปเรือ ่ ย เราก็
จะออกมาทางเก่า เราก็คด ิ ว่าถ ้าเลีย ้ วขวาสองครัง้ เราควรจะออกมาทีถ ่ นนสายเก่าหน ้า
บ ้านของอายาโก่ะ สิง่ ทีล ่ ม ื ไปคือ เราไม่รู ้จักหน ้าตาของถนนหน ้าบ ้านของอายาโก่ะที่
ห่างออกไปอีก ๑๐๐ เมตร เพราะเพิง่ มาถึง และนั่ นเป็ นการเดินครัง้ แรกของเรา และชือ ่
ถนนอะไร ก็จาไม่ได ้เสียแล ้ว พอเราเลีย ้ วขวาครัง้ แรก ต ้องเดินอีกไกลกว่าจะหาทีเ่ ลีย ้ ว
ขวาได ้อีก พอเลีย ้ วขวาอีก ไม่มท ี างรู ้ว่านี่เป็ นถนนหน ้าบ ้านของอายาโก่ะหรือเปล่า ถ ้าจะ
เดินกลับทางเก่าอีก ก็จาไม่ได ้แล ้ว เพราะทางแยกเยอะเหลือเกิน จึงคิดว่าเสีย ่ งเดินไป
ตามถนนทีค ่ ด ิ ว่ากลับมาถนนเดิมดีกว่า
ในขณะทีก ่ าลังเดินขึน ้ มาตามถนนสายนัน ้ เริม
่ คิดมากแล ้วว่า ถ ้าหลงทาง
และกลับบ ้านอายาโก่ะไม่ถก ู จะทาอย่างไร เพราะนั่นเป็ นชนบท หาคนพูดภาษาอังกฤษ
ได ้ยากมาก ในมือมีแต่กญ ุ แจบ ้านเท่านัน ้ พยายามจะดูวา่ พวงกุญแจบ ้านนัน ้ มีเบอร์
โทรศัพท์อะไรหรือเปล่า เริม
่ สาปแช่งตัวเองว่าทาไมจึงไม่เอากระเป๋ าเงินและเบอร์
โทรศัพท์ออกมา และจะไปบอกคนได ้อย่างไรว่าจะไปไหน ไปถนนอะไร เพราะข ้อมูล
เกีย่ วกับอายาโก่ะนัน ้ เราไม่รู ้อะไรเลย นอกจากชือ ่ สกุลของเขาเท่านัน ้ เพราะมาถึงบ ้าน
เขาเพียงไม่ถงึ ครึง่ ชัว่ โมงเท่านัน ้
ตอนนัน ้ รู ้ว่าเราควรกลัวและตกใจมาก แต่ความรู ้สึกก็ไม่ถงึ กับเลวร ้าย
อย่างทีเ่ ราคิด เห็นหัวใจเริม ่ เต ้นแรง แต่ก็คม ุ อยู่ คิดว่าอย่างน ้อยเราก็จาชือ ่ โรงเรียนของ
แอนนาลีสได ้ ถ ้าหลงจริง ๆ เขาคงพาไปหาตารวจและจะพยายามบอกชือ ่ โรงเรียนของ
แอนนาลีส ในช่วงทีค ่ ดิ หาทางออกสารพัดอย่างอยูน ่ ัน
้ เอง ก็เดินมาถึงทางแยกทีม ่ วี ัด ๆ
หนึง่ จึงจาทีอ ่ ายาโก่ะพูดได ้ว่า วัดนัน ้ อยูส ่ ด ุ ถนนของหน ้าบ ้านเขา รู ้สึกโล่งอก ดีใจมา
กว่าน่าจะมาถูกทางแล ้ว ไม่ได ้เข ้าไปดูวัดอย่างทีต ่ งั ้ ใจไว ้ ได ้แต่ตงั ้ หน ้าตัง้ ตาเดินขึน ้ ไป
ตามถนนนัน ้ ด ้วยความหวังว่าจะต ้องเป็ นถนนสายหน ้าบ ้านของอายาโก่ะ ในทีส ่ ด
ุ ก็เดินมา
จนพบร ้านรวงต่าง ๆ ก่อนทีจ ่ ะเลีย ้ วซ ้ายเข ้าซอยทีม ่ โี คมตะเกียงแขวนอยู่ จึงกลับมาทัน
รับประทานอาหารเย็นร่วมกับอายาโก่ะและครอบครัวเขา
ทัง้ ๆ ทีม ่ ค ี วามรู ้สึกเหมือนเพิง่ ออกจากการผจญภัยทีน ่ ่าตืน ่ เต ้น โดย
ธรรมชาติของใจแล ้ว เมือ ่ คิดถึงเหตุการณ์ตน ื่ เต ้นทีเ่ พิง่ เกิดขึน ้ เช่นนัน
้ หัวใจต ้องสัน ่ ไหว
ด ้วยความตกใจ เป็ นสภาวะหลังช๊อค flash back แต่มันก็ไม่เป็ นเช่นนัน ้ ความคิดถึง
เหตุการณ์ทน ี่ ่าตกใจได ้กลับมาหลอน แต่หัวใจก็ไม่ได ้สัน ่ ไหวแต่อย่างใด

ฟ้าผ่าไม่ถก
ู ใจ
เมือ
่ คราวทีเ่ กิดเหตุการณ์พส ิ ดารทางใจทีบ ่ ้านพรานนกจนทาให ้ใจเป็ น
อิสระอยูห ่ ลายเดือนนัน ้ มีวันหนึง่ ฝนตกหนัก มีทงั ้ ฟ้ าร ้อง ฟ้ าผ่า นัวเนียไปหมด ตัง้ แต่ท ี่
จาความได ้จนกระทั่งถึงเวลานัน ้ เรารู ้ว่า ทุกครัง้ ทีเ่ กิดฟ้ าร ้องและฟ้ าผ่านัน
้ มันจะต ้องผ่า
เข ้าทีใ่ จของเราด ้วยเสมอไป ใจจะต ้องเคลือ ่ นด ้วยความสะดุ ้งและหัวใจเต ้นแรง มากน ้อย
ก็ขน ึ้ อยูก่ บ ั ฟ้ าผ่าแรงแค่ไหน ถ ้าแรงมากก็ผา่ เข ้าทีใ่ จมากเท่านัน ้ ก็สะดุ ้งมากหน่อย แต่
รับประกันได ้ว่า ใจต ้องเคลือ่ นไหวเพราะสียงฟ้ าผ่าทุกครัง้ ไป และสิง่ ทีไ่ ม่คาดคิดก็
เกิดขึน ้ จาได ้ว่า วันนัน ้ ฟ้ าผ่าลงมาแรงมาก เสียงดังสนั่นไปหมด ฟ้ าผ่าทีม ่ เี สียงดังระดับ
นัน
้ ธรรมดาเราต ้องสะดุ ้งโหยงแล ้ว แต่ครัง้ นัน ้ ใจของเรากลับนิง่ เป็ นปกติ มีความรู ้สึกว่า
ฟ้ าผ่าไม่ถงึ ใจ จาได ้ชัดมาก เพราะรู ้ว่านั่นไม่ธรรมดา ไม่เคยปรากฏกับเราเช่นนัน ้ มาก่อน
ในชีวต ิ ไม่ว่าฟ้ าจะผ่าแรงหรือผ่าค่อย มันต ้องผ่าถูกใจเสมอ แล ้วทาไมครัง้ นัน ้ ฟ้ าจึงผ่า
ไม่ถงึ ใจ เหมือนกับไม่มใี จ แต่ก็ไม่กล ้าสรุปอะไรให ้ตัวเอง เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ผู ้ชายทีม ่ ใี จแข็งแกร่งนัน ้ ฟ้ าจะผ่าเข ้าถึงใจเขาหรือเปล่า อาจจะผ่าไม่เข ้าก็ได ้ ในช่วงนัน ้
คิดว่าคงจะฟั งมาจากอาจารย์โกวิทว่า การตัดสินความเป็ นพระอรหันต์ ก็ต ้องตัดสินตรง
ฟ้ าผ่า หรือการถอนเส ้นผม ซึง่ ตอนฟั ง ก็ไม่เข ้าใจเลยว่าหมายความว่าอย่างไร ทาไมจึง
ตัดสินทีฟ่ ้ าผ่า พอมาเจอเหตุการณ์ครัง้ นัน ้ ทีฟ
่ ้ าผ่าไม่ถก
ู ใจ จึงเข ้าใจได ้ แต่ก็ไม่กล ้า
บังอาจคิดว่าตัวเองจะเป็ นพระอรหันต์แต่อย่างใด เพราะไม่ได ้รู ้สึกว่าวิเศษพิสดารเลย
ฟ้ าผ่าไม่ถก ู ใจก็ยังรู ้สึกธรรมดามาก
ครัง้ หนึง่ มีโอกาสได ้คุยกับพระ และเกือบจะถามท่านแล ้ว แต่ก็ไม่รู ้จะ
พูดอย่างไรทีจ ่ ะไม่ให ้คนเข ้าใจผิดว่ากล ้าบังอาจคิดสูงถึงปานนัน ้ จึงเก็บเหตุการณ์เรือ ่ ง
ฟ้ าผ่าไว ้เสมอโดยทีไ่ ม่เคยบอกใคร
ต่อมา สภาวะการหลุดพ ้นค่อย ๆ หายไปในทีส ่ ด
ุ ฟ้ าก็ผา่ ถึงใจอีก
ตามเดิม จึงไม่มอ ี ะไรติดใจตนเอง และฟ้ าก็ผา่ ถูกใจมาเรือ ่ ยจนกระทั่งในช่วงสองสามปี
หลังนี้ ความเปลีย ่ นแปลงเริม ่ เกิดอย่างค่อยเป็ นค่อยไป คือเห็นได ้ชัดว่าฟ้ าผ่าถูกใจ
น ้อยลงทุกที บางครัง้ อาการสะดุ ้งก็ยังเกิดอยู่ แต่ใจถูกข่วนน ้อยมาก อาจจะกระทบเพียง
นิดเดียวและก็กลับเป็ นปกติอก ี ทันที แต่ก็ไม่ได ้คิดให ้เครดิตอะไรตัวเองมากนัก เพราะคิด
ว่าเมืองอังกฤษ ฟ้ าผ่าอย่างไรก็ยังไม่รน ุ แรงเท่ากับบ ้านเราทีเ่ ป็ นเมืองมรสุม ถ ้าเจอมรสุม
แรง ๆ อย่างในเมืองไทย ฟ้ าผ่าแต่ละเปรีย ้ งดังมาก ก็คงผ่าถึงกลางใจแน่นอน

ฟ้าผ่าลงบนเขาพุดทองทีส ่ วนโมกข์
ไม่ได ้คิดว่าต ้องกลับมาเมืองไทยเพือ ่ มาทดสอบดูวา่ ฟ้ าจะผ่าถึงขัว้ หัวใจ
หรือไม่ แต่เรือ ่ งมันก็เกิดเองจนได ้ กลับมาเมืองไทยในเดือนเมษายน ๒๕๔๔ อยูส ่ าม
เดือน จึงมีโอกาสลงไปสวนโมกข์ต ้นเดือนพฤษภาคม เพือ ่ ร่วมพิธวี ส ิ าขะบูชา ไปกับ
พีส่ าวและหลานชาย เป็ นการไปครัง้ ทีส ่ องหลังจากทีท ่ า่ นอาจารย์พุทธทาสได ้จากไป
แล ้ว บ่ายสามโมงของวันวิสาขะบูชา ทุกคนขึน ้ ไปรวมกันทีโ่ บสถ์ของสวนโมกข์บนเขา
พุดทองเพือ ่ ทาพิธเี วียนเทียน
บ่ายวันนัน้ ท ้องฟ้ ามืดคลืม ้ เต็มไปด ้วยเมฆดา มีฟ้าคะนองบ ้าง พระสงฆ์ก็
ได ้นั่งเรียงสองแถวหันหน ้าเข ้าหากันตรงหน ้าพระพุทธรูป ตรงหน ้าพระก็มเี ด็ก ๆ นักเรียน
กลุม ่ หนึง่ โดยการนาของน ้องไก่ลก ู สาวของคุณหมอประยูร ซึง่ มารวมตัวกันทีล ่ านซึง่ ใช ้
เป็ นเวทีของเขาพุดทอง นอกจากนัน ้ ก็มพ
ี ุทธศาสนิกชนทีน ่ ั่งแยกย ้ายกันอยูท ่ ลี่ านหินโค ้ง
รอบโบสถ์ของเขาพุดทองอีกประมาณร ้อยกว่าคน ระบบเสียงก็ถก ู ติดตัง้ เหมือนเดิมทุก
ครัง้ ทีม
่ พ
ี ธิ เี ช่นนี้
โดยประเพณีของสวนโมกข์แล ้ว เด็ก ๆ นักเรียนจากโรงเรียนวัดธารน้ า
ไหลจะขึน ้ มาร ้องเพลงธรรมะก่อน น ้องไก่เห็นเรานั่งอยูข ่ ้างหลัง จึงกวักมือเรียกเราขึน ้ มา
นั่งใกล ้เวทีเพือ ่ จะได ้เป็ นแขกผู ้มีเกียรติแจกของขวัญแก่เด็กนักเรียนเมือ ่ เขาร ้องเพลง
เสร็จ เราจึงคลานขึน ้ ไปนั่งใกล ้เวทีพร ้อมกับพีส ่ าว นั่นก็เป็ นบรรยากาศของสวนโมกข์ท ี่
เราได ้เคยมีสว่ นร่วมมาหลายครัง้ เมือ ่ สมัยทีเ่ ป็ นนักศึกษา จึงดีใจมากทีม ่ โี อกาสมาอยูก ่ บ

บรรยากาศทีอ ่ บอุน ่ เช่นนี้อก
ี ครัง้ หนึง่ นั่งชืน ่ ชมเด็ก ๆ ทีข ่ น ึ้ มาร ้องเพลงธรรมะอย่างกล ้า
หาญ นึกชมน ้องไก่วา่ ฝึ กเด็ก ๆ ได ้ดีมาก
ในขณะทีเ่ ด็กชายหญิงสองคนกาลังร ้องเพลงโดยทีเ่ ด็กหญิงเป็ นคนถือ
ไมโครโฟนอยูน ่ ัน
้ ทันใดนัน ้ เหตุการณ์ทไี่ ม่มใี ครคาดฝั นก็เกิดขึน ้ เสียงดังสนั่นเหมือนฟ้ า
จะถล่มเขาพุดทอง และสายฟ้ าขนาดความยาวเกือบสองเมตรและความกว ้างราวหนึง่
เซนติเมตรก็ได ้ฟาดกระหน่าลงมากลางเวทีห่างจากเด็กหญิงทีถ ่ อื ไมโครโฟนอยูไ ่ ม่ถงึ
ฟุต สายฟ้ านัน ้ ได ้วิง่ ไปทางซ ้ายผ่านแจกันทองแดงทีว่ างอยู่ ทาให ้แจกันนั น ้ กระเด็นขึน ้
อย่างแรงพุ่งชนหน ้าผากของอุบาสกคนหนึง่ ทีน ่ ั่งอยูข่ ้างหน ้า เศษกิง่ ไม ้ใบไม ้ปลิวว่อนไป
หมดตรงบริเวณเวทีนัน ้ สายฟ้ านัน ้ ผ่าลงมาประมาณไม่ถงึ สามเมตรจากตรงทีเ่ รากับพีส ่ าว
นั่งอยู่ จึงสามารถสัมผัสความร ้อนผ่าวของสายฟ้ าทีม ่ าประทะกับใบหน ้า

ร้องสุดเสยี ง แต่ฟ้าก็ย ังผ่าไม่ถก ู ใจ


ทันทีทไี่ ด ้ยินเสียงดังเหมือนฟ้ าถล่มพร ้อมกับสายฟ้ าสีขาววาววับทีฟ ่ าด
ลงมาอย่างติด ๆ นัน ้ เรายังจับต ้นชนปลายไม่ได ้ว่าเกิดอะไรขึน ้ รู ้แต่วา่ ร ้องออกมา
สุดเสียงพร ้อม ๆ กับเสียงทีด ่ ังสนั่นเหมือนฟ้ าถล่มนัน้ แต่เสียงทีเ่ ราคิดว่าร ้องดังมากแล ้ว
ก็ถก
ู เสียงฟ้ าผ่ากลบไปอย่างถนัดใจ นอกจากพีส ่ าวทีน่ ั่งอยูข
่ ้าง ๆ เท่านั น ้ ทีร่ ู ้ว่าเราร ้อง
สุดเสียงเช่นนัน้ จนกระทัง่ อีกราวสองสามวินาทีตอ ่ มา จึงตระหนักชัดว่าสายฟ้ าทีเ่ ราเห็น
และรู ้สึกอุน ่ ๆ นัน ้ คือฟ้ าผ่าลงมาจริง ๆ พีส ่ าวร ้องไม่ออก ตัวแข็งทือ ่ ด ้วยความตกใจสุด
ขีด เด็กนักเรียน ๖-๗ คนนั่งกอดกันด ้วยความตกใจสุดขีดเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กหญิงที่
ถือไมโครโฟนอยู่ ทุกคนหน ้าซีดเหมือนไข่ต ้ม
ในขณะทีค ่ นอืน ่ กาลังสาละวนและตกใจกับสถานการณ์นัน ้ ๆ เราตรวจใจ
ตนเองทันที สิง่ ทีเ่ ราคาดไม่ถงึ ในสถานการณ์เช่นนัน ้ คือ เมือ ่ มองเข ้าไปในใจตัวเอง
ขณะนัน ้ แล ้ว ปรากฏว่าไม่เห็นใจ ฟ้ าแม ้จะผ่าอยู่ข ้างหน ้าทีห ่ า่ งออกไปเพียงสองเมตร
เศษ แต่มันก็ผา่ ไม่ถก ู ใจเราเลย เหมือนไม่มใี จให ้ผ่า ใจนิง่ เป็ นปกติ แม ้หัวใจก็ไม่เต ้นเร็ว
อย่างผิดปกติ นี่เป็ นสิง่ ทีเ่ รายังต ้องพยายามทาความเข ้าใจว่า ทาไมจึงร ้องลั่นอย่าง
สุดเสียงอันเป็ นปฏิกริ ย ิ าทีเ่ กิดขึน ้ ทันทีพร ้อมกับเหตุการณ์ทต ี่ น
ื่ เต ้นนัน ้ ร ้องดังและนาน
พอ ๆ กับระยะเวลาทีเ่ สียงฟ้ าถล่ม ในขณะทีก ่ าลังร ้องเสียงดังลั่นอยูน ่ ัน ้ เราก็ได ้สารวจใจ
แล ้ว เห็นว่ามันไม่สนไหว ไม่ตน ่ ั ื่ เต ้น หรือตกใจเหมือนอาการของกายแต่อย่างใด มันเป็ น
ปฏิกริ ย ิ าทีต ่ รงข ้ามกันอย่างสิน ้ เชิง ตรงนี้หรือเปล่าทีเ่ ขาเรียกว่า วาสนาของผู ้บรรลุธรรม
้ สูงแล ้ว กายกับใจแยกขาดจากกัน
ชัน
หลังจากทีค ่ วามตืน ่ ตกใจหายไป ในทีป ่ ระชุมก็กระหึม ่ ด ้วยเสียงทีค ่ นพูด
ถึงเหตุการณ์ทน ี่ ่าเสีย ่ วหน ้าขวานนัน ้ ฟั งน ้องไก่และอีกหลายคนพูด จึงรู ้ว่านี่เป็ นครัง้ แรก
ทีฟ่ ้ าผ่าลงกลางเขาพุดทองในขณะทีท ่ าพิธเี วียนเทียนเช่นนี้ ในอดีต แม ้จะมีบรรยากาศ
คลึม ้ ฟ้ าคลึม ้ ฝนเหมือนวันนัน ้ และบางครัง้ ฝนตกปรอย ๆ ด ้วยซ้าไป แต่ทา่ นอาจารย์โพธิ์
ก็ยังให ้ทาพิธต ี อ ่ ไปจนเสร็จ มีการใช ้เครือ ่ งเสียงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ฟ้าก็ไม่เคยผ่าลง
มาเช่นนัน ้ ่
สิงทีท ่ กุ คนล ้วนสาธุการและอยากยกให ้เป็ นเรือ ่ งความอัศจรรย์คอ ื นอกจาก
อุบาสกทีถ ่ กู แจกันกระเด็นเข ้าใส่แล ้ว ไม่มใี ครเสียชีวต ิ โดยเฉพาะเด็กหญิงทีถ ่ อ

ไมโครโฟนอยูซ ่ งึ่ ฟ้ าผ่าลงมาห่างตัวเธอไม่ถงึ ฟุตดี ก็ไม่เป็ นอะไร มีแต่อาการช๊อคมาก
เท่านัน ้
หลังจากทีส ่ าละวนกันอยูค ่ รูห
่ นึง่ อุบาสกทีเ่ ป็ นโฆษกจึงขึน ้ มาพูดให ้ทุก
คนพยายามมองเหตุการณ์หน ้าเสีย ่ วหน ้าขวานทีเ่ พิง่ เกิดขึน ้ หยก ๆ นัน ้ ว่ามันเป็ นไปตาม
เหตุตามปั จจัย เพราะบรรยากาศทีค ่ ลึม ้ ฟ้ าคลึม ้ ฝนอยูเ่ ช่นนัน ้ ย่อมมีสายฟ้ าวิง่ ไปมาเป็ น
ธรรมดา ไม่ต ้องไปคิดว่าเป็ นเรือ ่ งอัศจรรย์อะไร ซึง่ เป็ นการคิดและมองโลกตามประเพณี
ของสวนโมกข์ทท ี่ า่ นอาจารย์ได ้ปูทางเอาไว ้ จึงมีการแนะนาให ้ทาสายล่อฟ้ าบนเขาพุด
ทองเพือ ่ หลีกเลีย ่ งเหตุการณ์เช่นนี้อก ี

ปฏิกริ ย ิ าในความฝันก็เปลีย ่ นไป


ความเปลีย ่ นแปลงอีกอย่างหนึง่ ทีเ่ ห็นได ้ชัดคือ ความฝั น คืนไหนทีท ่ า
สมาธิกอ ่ นนอน คืนนัน ้ ก็ไม่คอ ่ ยฝั นมากหรือไม่ฝันเลย แต่ถ ้าไม่ได ้ทา ก็จะฝั นบ ้าง ความ
ฝั นนี่ยังเป็ นเรือ่ งลึกลับทีแ ่ ม ้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถเข ้าใจได ้เต็มที่ สาหรับเรา รู ้
แต่วา่ ความฝั นก็คอ ื ความจริงในระดับของความฝั น สิง่ ต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึน ้ ในความฝั นมันก็
คือความจริง ไม่วา่ จะเป็ นคนหรือเหตุการณ์ ฉะนัน ้ ความรู ้สึกต่าง ๆ ทีเ่ หตุการณ์ในฝั น
ก่อให ้เกิดมันก็เป็ นความรู ้สึกจริงในระดับของความฝั นทัง้ สิน ้ เช่น ความรู ้สึกตกใจ กลัว
เศร ้า ขบขัน เป็ นต ้น ความรู ้สึกเหล่านี้ล ้วนแต่เป็ นความรู ้สึกจริงเมือ ่ กาลังอยูใ่ นความฝั น
้ แต่เพราะเป็ นเพียงความฝั นทีห
ทัง้ สิน ่ ายไปเมือ ่ ตืน
่ ขึน
้ จึงไม่เคยไปจดจามัน และไม่เคย
เอามานั่งตีความอย่างเป็ นตุเป็ นตะ
ตัง้ แต่แม่เสีย ช่วงปี แรก ได ้ฝั นถึงแม่บอ ่ ย และส่วนมากก็ดใี จมากทีไ่ ด ้
เห็นและจับต ้องตัวแม่ในความฝั นเหมือนกับแม่ยังมีชวี ต ิ อยูจ ่ ริง ๆ ครัง้ หนึง่ เคยดีใจมากที่
ได ้เห็นแม่ กอดแม่และร ้องไห ้จนสะอึกสะอืน ้ น้ าตาไหลออกมาจริง ๆ
ในช่วงสองปี ทผ ี่ า่ นมา เริม ่ สังเกตเห็นว่า ความรู ้สึกต่าง ๆ ทีเ่ กิดในฝั น
ของเราก็เปลีย ่ นแปลงไปด ้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิง่ เมือ ่ ฝั นถึงเหตุการณ์บางอย่างที่
ควรทาให ้เราตืน ่ ตกใจอย่างสุดขีดนัน ้ เริม
่ เห็นว่า สามารถคุมความรู ้สึกเหล่านัน ้ ได ้แม ้จะ
อยูใ่ นฝั นก็ตาม และในฝั นนัน ้ เราก็รู ้อีกว่า ความรู ้สึกทีค ่ วรจะมีไม่สามารถข่วนใจเราได ้
ตอนนี้ ไม่สามารถยกตัวอย่างได ้ว่าเคยฝั นถึงอะไรบ ้าง เพราะไม่จดจาเรือ ่ งฝั นอยูแ
่ ล ้ว จา
ได ้อยูเ่ รือ
่ งเดียว เพราะเพิง่ ฝั นเมือ ่ ไม่นานมานี้ จึงตัง้ ใจจดเอาไว ้เพราะรู ้ว่าจะเอามาเขียน
ครัง้ หลังสุดนี่ ฝั นเห็นงู แต่งน ู ัน
้ เหมือนผ ้าห่มผืนกว ้างแผ่ปลิวว่อนอยู่ เราก็เดินเข ้าไปใต ้
ผ ้าห่มทีเ่ ป็ นงูนัน
้ และทันใดนัน
้ เอง ก็มหี ัวงูเห่าโผล่มาจากไหนไม่รู ้ รู ้แต่วา่ มันฉกเข ้า
มาตรงกลางหน ้าเราพอดี ในฝั นนัน ้ ดูใจทันที แต่ก็ไม่ปรากฏว่าหัวใจสัน ่ ไหวด ้วยความ
ตกใจแต่อย่างใด เหมือนไม่มใี จให ้ตก เห็นแต่ความนิง่ อย่างเดียว แล ้วเราก็ลม ื ตาตืน

ขึน
้ มา

วิปส ั สนา เครือ ่ งมือออกจากฝันร้ายทีย ่ ังตืน ่ อยู่


พูดเรือ ่ งความฝั นกับความตืน ่ นี่ ถ ้าคนเข ้าใจตามทีเ่ ราอธิบายได ้ ก็จะเข ้า
ใกล ้สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานมากขึน ้ คนเราเมือ ่ ฝั นร ้ายตกใจจนเหงือ ่ ไหลไคล
ย ้อยแล ้ว จะรู ้สึกโล่งอกมากเมือ ่ สามารถปลุกตัวเองให ้ตืน ่ ขึน ้ มาสูโ่ ลกแห่งความเป็ นจริง
ได ้ สามารถยิม ้ ออกและพูดว่า นั่นเป็ นเพียงฝั นร ้ายเท่านัน ้ ไม่ได ้เป็ นความจริง ไม่เป็ นไร
แล ้ว ในชีวต ิ จริง ๆ คนมากมายก็ผา่ นเหตุการณ์ทเี่ หมือนกับฝั นร ้ายด ้วยกันทัง้ นัน ้
เพียงแต่วา่ มันไม่ใช่ความฝั น มันเป็ นความจริงทีไ่ ม่สามารถตืน ่ ขึน ้ มาสูโ่ ลกแห่งความเป็ น
จริงได ้อีกแล ้ว
นี่เป็ นข ้อสรุปของคนทีย ่ ังมืดบอดต่อพระนิพพานอยู่ แต่คนทีเ่ ห็นพระ
นิพพานแล ้ว จะรู ้ว่าเหตุการณ์ทเี่ หมือนฝั นร ้ายของชีวต ิ จริงนัน ้ ทีจ
่ ริงมันก็ยังเป็ นเรือ ่ ง
ความฝั นอยูน ่ ั่นเอง แต่เป็ นความฝั นในความหมายทีล ่ กึ ซึง้ กว่ามาก เพราะเป็ นความฝั นทัง้
ๆ ทีเ่ จ ้าตัวยังลืมตาตืน ่ อยู่ จะออกจากความฝั นร ้ายทีย ่ ังตืน ่ อยูน ่ ี้ได ้ก็โดยการฝึ กวิปัสสนา
เท่านัน ้ ใครทีส ่ ามารถกาหนดสติให ้มาอยูฐ ่ านทีห ่ นึง่ ได ้ เช่น รู ้ลมหายใจ รู ้การเคลือ ่ นไหว
การรู ้เช่นนัน ้ เท่ากับเป็ นการฝึ กใจให ้มาอยูใ่ นโลกแห่งความเป็ นจริง หรือ พระนิพพาน ซึง่
เป็ นโลกทีจ ่ ริงทีส ่ ด
ุ โลกเดียวเท่านัน ้ การเอาใจมากาหนดอยูฐ ่ านทีห ่ นึง่ จึงเป็ นการปลุกใจ
ให ้หลุดออกจากโลกสมมุตห ิ รือโลกแห่งความฝั นทัง้ ตืน ่ มาสูโ่ ลกแห่งความเป็ นจริง
คนบ ้าระดับสามัญทีไ่ ม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนาหรือฝึ กสมาธิวป ิ ั สสนา
เลยนัน ้ ใจของเขาได ้ถูกกิเลสโดยเฉพาะตัวความหลงมอมเมาเอาหรือฉุดให ้ตรึงอยูใ่ น
โลกแห่งความฝั นชนิดทีย ่ งั ตืน่ อยูอ ่ ย่างถาวร เขาจะไม่มวี ันตืน ่ จากโลกแห่งความฝั นนั ้น
ได ้ และไม่รู ้ด ้วยซ้าไปว่าตนเองยังนอนหลับไหลอยูใ่ นโลกมืดของอวิชชา จนกระทั่งมีผู ้รู ้
มาบอกทาง เริม ่ สนใจศาสนาพุทธและฝึ กวิปัสสนา เมือ ่ นัน ้ แหละ จึงจะตืน ่ จากฝั นร ้ายได ้
ฉะนัน ้ คนทีฝ ่ ึ กสมาธิวป ิ ั สสนาจึงมีความรู ้สึกว่านาทีหนึง่ เหมือนกับยังยืน
อยูใ่ นเตาเผาของนรกทีร่ ้อนระอุเหมือนฝั นร ้าย แต่อก ี นาทีหนึง่ เมือ ่ ใจเกิดรวบตัวและมี
พลัง มันก็หลุดออกจากความมืดหรือความฝั นมาสูค ่ วามสว่างหรือความจริง ทาให ้ใจ
คลายตัวจากความรู ้สึกของฝั นร ้าย เกิดความโล่งโปร่งเบาขึน ้ มาทันที ในช่วงนัน ้ ใจได ้ตืน ่
จากฝั นร ้ายมาสูโ่ ลกแห่งความเป็ นจริงหรือพระนิพพานนั่นเอง จึงรู ้สึกเหมือนว่าปั ญหาทุก
อย่างหายไปทันทีเหมือนการตืน ่ จากฝั นร ้ายทีห ่ ลับตา แต่ถ ้าผู ้ฝึ กยังไม่ชานาญ ยังต่อกร
กับกิเลสไม่เก่ง พลังสมาธิไม่พอ ใจไม่มก ี าลังทีจ ่ ะทรงตัวให ้อยูใ่ นโลกแห่งความเป็ นจริง
หรือพระนิพพานได ้นาน กิเลสซึง่ มีแรงมากกว่าก็จะฉุดใจนัน ้ กลับไปสูโ่ ลกแห่งความฝั น
อีก ตอนแรก ๆ ก็ต ้องต่อสู นอยูอ ้กั ่ ย่างนี้ หลับ ๆ ตืน ่ ๆ ถ ้าไม่ประมาท และฝึ กสมาธิ
วิปัสสนาไปเรือ ่ ย ๆ อย่างไม่ท ้อถอย ใจก็จะมีพลังมากขึน ้ ตามลาดับ และจะสามารถหลุด
มาสูโ่ ลกแห่งความเป็ นจริงหรือพระนิพพานบ่อยขึน ้ ใช ้เวลาอยูก ่ บ ั ความตืน ่ มากกว่าความ
หลับ ความสงบก็จะมีมากขึน ้
ฉะนัน ้ การทีค ่ น ๆ หนึง่ ต ้องการจะตืน ่ จากความหลับไหลของอวิชชามาสู่
โลกแห่งความเป็ นจริงของพระนิพพานแล ้วไซร ้ เขาจะย่อหย่อนในเรือ ่ งการฝึ กวิปัสสนา
ไม่ได ้เด็ดขาด มิเช่นนัน ้ แล ้ว จะถูกกิเลสดึงกลับไปตรึงอยูใ่ นโลกแห่งความฝั นของ
อวิชชาอีก พระพุทธเจ ้าจึงทรงเตือนสาวกของท่านแม ้ก่อนปรินพ ิ พานว่า ต ้องไม่ประมาท
ต ้องเร่งทาความเพียรอยูเ่ สมอ ใครประมาท ก็ต ้องตายคามือกิเลสแน่ แล ้วเมือ ่ ไหร่จะได ้
เกิดมาเป็ นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอีกล่ะ เสียชาติเกิดเปล่า ๆ น่าเสียดาย

รูว้ า ื ธรรมะไม่ใช่ต ัวธรรม


่ หน ังสอ
สมัยทีเ่ ริม
่ สนใจศาสนาพุทธอย่างจริงจัง การได ้อ่านหนังสือธรรมะ
โดยเฉพาะของท่านอาจารย์พุทธทาสนัน ้ เหมือนกับการพบขุมทรัพย์ขม
ุ ใหญ่ทขี่ ด
ุ เท่าไรก็
ไม่รู ้จักหมด ดืม
่ ด่ากับการอ่านหนังสือของท่านอาจารย์มากจนเกิดปี ตอ
ิ ย่างท่วมท ้น
นอกจากนัน ้ ก็ยังอ่านหนังสือของท่านกฤษณะ มูรติ ทีแ ่ ปลโดยคุณพจนา จันทรสันติ
โดยเฉพาะเรือ ่ งแด่หนุ่มสาว ชอบมาก เหตุการณ์พส ิ ดารทางใจทีท ่ า่ น้ าพรานนกนัน ้ ทา
ให ้เข ้าใจเรือ ่ ง ผู ้มอง กับ ผู ้ถูกมอง ทีก ่ ฤษณะ มูรติพูดได ้ดีถงึ แก่น เพราะเห็น
ประสบการณ์ในใจของตนเอง ตอนนัน ้ อาจารย์โกวิท เขมานันทะ ยังมีหนั งสือออกมาไม่
มากนัก แต่ก็อด ั เทปของอาจารย์ไว ้มาก และฟั งเทปธรรมะของอาจารย์อยูบ ่ อ ่ ยมาก
หลังจากทีเ่ กิดประสบการณ์พส ิ ดารทางใจทีบ ่ ้านพรานนกแล ้ว ตอนนัน ้ รู ้
แล ้วว่า หนังสือธรรมะไม่ใช่ตัวธรรมทีแ ่ ท ้จริง จาเป็ นต ้องทิง้ หนังสือธรรมะให ้ได ้ จึงจะ
สามารถเข ้าถึงธรรมะตัวจริงได ้ ในช่วงทีส ่ ภาวะหลุดพ ้นยังคงอยูน ่ ัน้ ไม่ได ้อ่านหนังสือ
ธรรมะเลย เพราะมีความรู ้สึกว่า อ่านแล ้วไม่สนุก ไม่เห็นได ้เรือ ่ ง สู ้สภาวะจริงทีก ่ าลังมีอยู่
เป็ นอยูไ ่ ม่ได ้ จากจุดนัน ้ จึงรู ้เสมอว่าหนังสือธรรมะเป็ นเพียงเครือ ่ งมือเท่านัน ้ การเข ้าถึง
ธรรมไม่ใช่เป็ นเรือ ่ งอ่านหนังสืออย่างเดียว ต ้องพยายามปฏิบัตจ ิ นใจหลุดพ ้นให ้ได ้ แต่
เมือ่ สภาวะหลุดพ ้นหายไป ความอยากอ่านหนังสือธรรมะก็กลับมาอีก แต่กเ็ ริม ่ เลือกสรร
หนังสือธรรมะ หนังสือเล่มใดทีเ่ น ้นสอนให ้ทาความดี รักษาศีลนัน ้ จะไม่คอ ่ ยอ่าน แต่ถ ้า
เป็ นเรือ่ งฝึ กใจ ฝึ กสมาธิ เข ้าถึงนิพพานทีค ่ นอืน ่ คิดว่าลึกซึง้ มาก เราจะให ้ความสนใจ
และไม่ได ้รู ้สึกว่ามันลึกเท่าไร เพราะสามารถคิดตามและรู ้สึกเทียบเคียงได ้
ตอนทีไ่ ปอยูพ ่ ะเยา ได ้เอาหนังสือธรรมะของพระรูปหนึง่ หรือผู ้เขียนจะ
เป็ นฆราวาสก็จาไม่ได ้แล ้วติดไปด ้วย เป็ นหนังสือทีห ่ นาพอสมควร ทุกครัง้ ทีอ ่ า่ นข ้อธรรม
ต่าง ๆ ทีท ่ า่ นเขียนนั น ้ นอกจากเข ้าใจได ้ดีแล ้ว ยังเกิดปั ญญาของตัวเองทีส ่ ามารถมอง
ไกลออกไปอีกทุกครัง้ ชอบหนังสือเล่มนัน ้ มาก แต่การอ่านหนังสือธรรมะของเรามัก
เป็ นไปด ้วยความเชือ ่ งช ้า มักอ่านไม่คอ ่ ยจบเล่ม เพราะอ่านไปได ้หน่อย ปั ญญาจะวิง่ ไป
ข ้างหน ้าอย่างปราดเปรียวมาก ในหัวมีแต่การวิเคราะห์ข ้อธรรมของมันเอง สามารถเข ้าใจ
และมองข ้อธรรมได ้อย่างทะลุปรุโปร่ง เข ้าใจอะไรต่ออะไรของมันเอง ฉะนัน ้ หัวสมองจึง
เต็มไปด ้วยเนื้อหาธรรมะเสียเอง ดืม ่ ด่าไปด ้วยปี ตท ิ ส
ี่ ามารถเข ้าใจข ้อธรรมนัน ้ ๆ
ในช่วงทีอ ่ ยูพ
่ ะเยา จึงพยายามหาทางถ่ายทอดความรู ้เหล่านัน ้ ออกมาใน
งานเขียน ทีจ ่ ริงได ้เขียนไว ้มากทีเดียว แต่ก็ทงิ้ ไปหมดแล ้ว จาได ้ว่า ตอนทีอ ่ ยูถ
่ ้าคน
เดียวทีส ่ ระบุรเี ป็ นเวลาสามเดือนนัน ้ วันหนึง่ ได ้พบกับพระประชา และคุยกันเรือ ่ งการใช ้
ชีวต ิ อยูถ ่ ้าคนเดียวเช่นนัน ้ ได ้ยอมรับกับท่านว่า อ่านหนังสือธรรมะน ้อยมาก เพราะอ่าน
เข ้าไปหน่อยแล ้ว หัวจะแล่นวิเคราะห์ข ้อธรรมทุกที จึงพอใจทีจ ่ ะเดินจงกรม อยูก ่ บ

ธรรมชาติและอ่านข ้อธรรมทีเ่ กิดขึน ้ ในหัวมากกว่า แต่ตอนนัน ้ ไม่ได ้พูดด ้วยความคิดว่า
ตัวเองเก่ง ทีพ ่ ูดขึน้ มาเพราะเป็ นสิง่ ทีไ่ ด ้สังเกตเห็นในตัวเองเท่านัน ้ ตอนนัน ้ ก็ไม่รู ้หรอ
กว่านั่นเป็ นวิปัสนูปกิเลสอันเป็ นลักษณะเด่นของผู ้มีปัญญาจริต

เมือ่ ญาณย ังไม่เกิด การวิเคราะห์ขอ ้ ธรรมจะไม่สมบูรณ์


การได ้พบท่านอาจารย์โกวิท เขมานันทะ ซึง่ วิธก ี ารพูดธรรมะของท่าน
เป็ นเรือ
่ งทีแ ่ หวกออกจากการเทศน์ตามประเพณี เป็ นการวิเคราะห์ชวี ต ิ จึงสามารถดึงดูด
ความสนใจของเรา เพราะถูกกับจริตของเรามาก เพือ ่ นหลายคนบอกว่าฟั งอาจารย์ไม่
ค่อยรู ้เรือ
่ ง แต่เราสามารถรับได ้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรือ ่ งผู ้มองกับผู ้ถูกมอง ในจานวน
หนังสือและเทปธรรมะนัน ้ ต ้องยอมรับว่า ได ้ฟั งเทปของอาจารย์โกวิทบ่อยทีส ่ ด ุ
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในช่วงทีอ ่ ยูอ
่ ังกฤษ ทุกครัง้ ทีฟ ่ ั งเทปของอาจารย์ ปั ญญาก็จะวิง่ อย่าง
ปราดเปรียวเสมอ และสามารถนาสิงทีอ ่ ่ าจารย์พูดมาแตกแยกแขนงออกไปอีก ผลงาน
เขียนภาษาอังกฤษสองเล่มแรกของเรานัน ้ เกิดจากอิทธิพลการฟั งเทปของอาจารย์
โกวิทโดยตรง ทีจ ่ ริงควรจะเป็ นสามเล่ม แต่เล่มสุดท ้าย ลบทิง้ ไปหมดแล ้ว เพราะแม ้ใจ
จะปราดเปรียวต่อการวิเคราะห์ข ้อธรรมมากเพียงใดก็ตาม ตราบใดทีญ ่ าณปั ญญาขัน ้
สูงสุดทีม ่ าเน ้นว่านี่คอื พระนิพพานยังไม่เกิด การมองและการวิเคราะห์ข ้อธรรมต่าง ๆ นัน ้
จะสมบูรณ์ไม่ได ้ ไม่วา่ จะพูดจะเขียนอย่างไร ก็จะพูดจะเขียนได ้แต่ในรายละเอียดเท่านัน ้
จะขาดสิง่ ๆ หนึง่ เสมอ นั่ นคือ ความสามารถในการยืนยันสัจธรรมอันสูงสุดด ้วยตนเอง
เมือ่ ญาณยังไม่เกิด สิง่ ทีท
่ ก
ุ คนสามารถทาได ้คือ การอ ้างอิงครูบา
อาจารย์โดยเฉพาะครูทา่ นแรกของโลกคือพระพุทธเจ ้าว่า ท่านตรัสสอนอย่างนัน ้ อย่างนี้
ท่านตรัสว่าพระนิพพานมีจริง ฉะนัน ้ ต ้องพูดตามว่าพระนิพพานมีจริง จะไม่สามารถพูด
ได ้อย่างเต็มปากอย่างห ้าวหาญในธรรมว่า พระนิพพานมีจริงเพราะเราเห็นพระนิพพาน
แล ้ว ธรรมได ้เกิดขึน ้ กับเราแล ้ว ฉะนัน
้ เรือ
่ งใบไม ้กามือเดียว และคูม
่ อ
ื ชีวติ จึงเป็ นการ
เขียนทีไ่ ม่ได ้อ ้างอิงครูบาอาจารย์อก ี ต่อไปแล ้ว เป็ นการเขียนด ้วยใจทีอ ่ ส
ิ ระอย่างเต็มที่
สามารถอ ้างอิงประสบการณ์ทางใจของตัวเองอย่างเต็มทีเ่ พราะมั่นใจในสภาวะพระ
นิพพานทีเ่ ห็นอยูเ่ บือ ้ งหน ้า

หล ังเกิดญาณแล้ว อ่านหน ังสอ ื ธรรมะเพือ ่ เอาข้อมูล


หลังจากทีเ่ กิดญาณเมือ ่ ปี ๒๕๔๐ แล ้วนัน ้ ปฏิกริ ย ิ าต่อการอ่านหนังสือ
ธรรมะและการฟั งเทปของครูบาอาจารย์นัน ้ ค่อย ๆ เปลีย ่ นไป เป็ นการอ่านและฟั งเพือ ่
ความรืน ่ เริงในธรรมมากกว่าเพือ ่ ต ้องการเข ้าใจ หรือไม่ก็เพือ ่ ต ้องการข ้อมูลอันเนื่องกับ
เหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ กับพุทธสาวกในครัง้ พุทธกาล ถ ้าหากได ้อ่านหรือได ้ฟั งเทปธรรมะ
ของพระหรืออาจารย์ทางธรรมท่านใดแล ้ว ก็สามารถรู ้ได ้ทันทีถงึ ภูมธิ รรมของท่านผู ้นัน ้
ว่าอยูใ่ นระดับไหน ได ้เห็นธรรมทีแ ่ ท ้จริงหรือพูดสอนตามตารา อย่างไรก็ตาม การอ่าน
นัน
้ น ้อยมากชอบฟั งเทปธรรมะมากกว่า เทปธรรมะเรือ ่ งพระอานนท์พุทธอนุชา นี่ชอบ
มาก นอกจากนัน ้ ก็ยังฟั งเทปธรรมะของอาจารย์ตงั ้ หม่อเซีย ้ งบ่อยมากด ้วย มีอยูร่ าว ๖๐
ม ้วน ฟั งซ้าไปซ้ามาอยูเ่ สมอ เพราะนอกจากจะทาให ้ไม่ลม ื ภาษาจีนแต ้จิว๋ ของพ่อแม่แล ้ว
ยังได ้ข ้อมูลของพุทธศาสนาฝ่ ายมหายานบ ้าง นิทานต่าง ๆ ทีเ่ อามารวบรวมไว ้ในคูม ่ อ ื
ชีวติ ก็เอามาจากเทปของอาจารย์ตงั ้ หม่อเซีย ้ งเป็ นส่วนมาก ท่านเป็ นอาจารย์ชาวจีนที่
สามารถอธิบายข ้อธรรมได ้ชัดเจนมาก หนังสือทีเ่ ปิ ดบ่อยทีสด ุ คือ พระไตรปิ ฎกฉบับ
ประชาชนของอาจารย์สช ี ปุญญานุภาพ ส่วนหนังสือธรรมะของอาจารย์ทา่ นอืน
ุ พ ่ ๆ นัน ้ มี
ความรู ้สึกว่าถึงจุดอิม
่ ตัวมานานหลายปี แล ้ว

ความปราดเปรียวของปัญญาค่อย ๆ เลือนหายไป
ในช่วงทีเ่ ขียนหนังสือภาษาอังกฤษสามเล่มแรกนัน ้ มักตืน ่ แต่เช ้ามืดทุก
วัน อยูน ่ านหลายปี จาได ้ว่า ประมาณตีสามครึง่ หรือตีส ี่ จะรู ้สึกตัวตืน ่ และในขณะทีล ่ ม
ื ตา
ดูความมืดสนิทของห ้องนอนนั่นเอง หัวสมองจะมีแต่การวิเคราะห์ข ้อธรรม ใจจะโน ้มไปสู่
สิง่ ทีเ่ ขียนค ้างไว ้เมือ
่ คืนก่อน และใจก็จะสางต่อสิง่ ทีจ ่ ะเขียนต่อไป คาพูดแต่ละประโยค
ปรากฏอยูใ่ นหัวอย่างชัดเจนว่าจะเขียนอะไร อย่างไร เหมือนมีใครเอามาใส่ไว ้ให ้ ไม่รู ้สึก
ว่าตัวเองเป็ นคนคิด หาผู ้คิดไม่พบ บ่อยครัง้ ทีร่ ู ้สึกทึง่ ในความคิดเหล่านัน ้ ทีส่ ามารถหาข ้อ
เปรียบเทียบต่าง ๆ อย่างง่ายดายทีไ่ ม่เคยคิดได ้มาก่อน และจู่ ๆ ความคิดเหล่านัน ้ ก็เข ้า
มาเอง สงสัยเหมือนกันว่ามาจากไหนหนอ
ในช่วงสองปี หลังนี้ สังเกตเห็นว่าความปราดเปรียวของปั ญญาเช่นนัน ้
ค่อย ๆ เลือนหายไป ในหัวจะไม่มค ี วามคิดต่าง ๆ เหมือนทีเ่ คยเป็ น ใจจะอยูก ่ บั ความ
เงียบสงัดของพระนิพพานเสียมากกว่า คือ ถ ้าลืมตาขึน ้ มาในความมืดของกลางดึก ใจก็
อยูก ่ บ
ั พระนิพพาน แต่เมือ ่ ต ้องการเขียนอะไร ก็โน ้มใจเข ้าไป สิง่ ต่าง ๆ ทีต
่ ้องการเขียนก็
จะพรั่งพรูออกมาเองโดยไม่มก ี ารคิดล่วงหน ้าเหมือนสมัยก่อน

รูว้ า่ ใจเปลีย่ นแน่เมือ ่ ฟังเทปประว ัติของพระอาจารย์มน ่ั


ในช่วงหลังนี้ ถ ้าจะหยิบหนังสือธรรมะ ก็จะอ่านหนังสือของพระปฏิบัต ิ
ทางสายอีสานทีค ่ นไทยเห็นว่าได ้บรรลุธรรมแล ้ว เพือ่ ต ้องการย้าประสบการณ์ทางใจ
ของตนเองมากกว่า เพิง่ มาหยิบหนังสือธรรมะของหลวงปู่ หล ้าก็เมือ ่ กลับมาเมืองไทยครัง้
ล่าสุดนี่เอง
ได ้มีโอกาสฟั งเทปประวัตช ิ วี ต
ิ ของหลวงปู่ มั่นซ้าแล ้วซ้าเล่าในช่วงหนึง่ ปี
ทีผ ่ า่ นมา พอฟั งแล ้ว จึงสังเกตเห็นว่าใจของเราเปลีย ่ นไปแน่ ๆ เพราะเมือ ่ ฟ้ งมาถึงจุดที่
บรรยายว่า พระอาจารย์มั่นมีสติตงั ้ แต่ลมหายใจแรกทีร่ ู ้สึกตัวจนกระทั่งหลับสนิทนัน ้ เรา
ไม่รู ้สึกว่ามันเป็ นเรือ
่ งพิสดารเหมือนกับตอนทีบ ่ รรยายเรือ
่ งการอยูถ ่ ้ากับเสือ ๕ ตัวหรือคุย
กับเทวดาต่างชาติ หรือเรือ ่ งการรู ้เหตุการณ์ลว่ งหน ้า เหตุทไี่ ม่รู ้สึกว่ามันแปลก กลับรู ้สึก

เฉย ๆ เพราะนั่นเป็ นสิงทีเ่ รากาลังทาอยูเ่ ช่นกัน
ครัง้ แรกทีส ่ งั เกตเห็นปฏิกริ ย ิ าดังกล่าวนัน้ รู ้สึกไม่พอใจและตาหนิตัวเอง
ว่า ทาไมกล ้าถึงขนาดเอาตัวเองไปเทียบเคียงตีเสมอครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่ มัน ่
เช่นนัน ้ เพราะในความทรงจาของเรา ก็ยังเห็นหลวงปู่ มั่นเป็ นพระปฏิบัตท ิ ค
ี่ นไทยเราต ้อง
ยกท่านไว ้ในทีส ่ งู สุดเสมอ จะมาตีเสมอไม่ได ้เด็ดขาด แต่เมือ ่ สารวจใจอย่างดีแล ้ว ไม่ได ้
มีความรู ้สึกว่าตีเสมอแต่อย่างใด ก็ยังมีความเคารพในครูบาอาจารย์และยกย่องใน
ปฏิปทาอันงดงามของท่านอย่างเป็ นล ้นพ ้น แม ้แต่พระสงฆ์องค์เจ ้าทีเ่ ป็ นปุถช ุ น หรือทีย ่ ัง
ไม่ได ้บรรลุธรรมขัน ้ สูง เราก็ให ้ความเคารพท่านเป็ นอย่างสูงตามขนบธรรมเนียมประเพณี
ไทยทีถ ่ ก
ู อบรมเพาะบ่มมา เพราะเห็นผ ้าเหลืองเป็ นตัวแทนของพระพุทธเจ ้าทีช ่ ว่ ยสืบ
ทอดพระศาสนาให ้อยูร่ อดจนถึงทุกวันนี้ จนเรารับประโยชน์มากมายได ้เช่นนี้
ฉะนัน ้ ความรู ้สึกเฉยของเราไม่ใช่เพราะไม่ได ้ให ้ความเคารพพระ
อาจารย์ทค ี่ นไทยเรายกย่องท่านไว ้อย่างสูงสุด แต่ทรี่ ู ้สึกเฉย ๆ เพราะธรรมชาติของใจที่
เข ้าถึงความเป็ นตถตาต ้องเป็ นเช่นนัน ้ เอง จะไปรู ้สึกผิดจากทีต ่ ัวเองรู ้สึกนัน
้ ก็ไม่ได ้
เหมือนกับถ ้าเราทาเลขข ้อใดข ้อหนึง่ ไม่เป็ นมาก่อน เมือ ่ เห็นเพือ ่ นทาได ้ ก็รู ้สึกทึง่ ในตัว
เพือ่ นและเห็นว่าเพือ ่ นเก่งมาก แต่เมือ ่ สามารถจับหลักและทาเลขข ้อนัน ้ ได ้ด ้วยตนเอง ก็
จะรู ้สึกว่ามันง่าย และไม่รู ้สึกทึง่ ในตัวเพือ ่ นอีกต่อไป
เมือ่ ยังเข ้าไม่ถงึ ธรรม ย่อมรู ้สึกทึง่ และยกย่องคนทีเ่ ข ้าถึงธรรมแล ้ว แต่
เมือ
่ เข ้าถึงธรรมเสียเองแล ้ว ก็มค ี วามรู ้สึกเท่าเทียมกัน ซึง่ เป็ นเรือ
่ งธรรมดา

เป็นความคิดทีท ่ าให้บา้ สนิทได้


เมือ
่ เห็นปฏิกริ ย ิ าทีเ่ ฉย ๆ ต่อสิง่ ทีค ่ รูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่ มั่นได ้กระทา
มานัน ้ จึงเริม ่ ถามตัวเองว่า ถ ้าเป็ นเช่นนัน ้ เราอาจจะเข ้าถึงธรรมทีส ่ งู สุดด ้วยตัวเอง
เช่นนัน ้ หรือ ถ ้าเป็ นความรู ้สึกของปุถช ุ นแล ้ว หากคิดถึงโชคลาภมากมายมหาศาลที่
ได ้มาครองแล ้วหรือกาลังจะได ้ครอง ใจของปุถช ุ นย่อมหวั่นไหวด ้วยความตืน ่ เต ้น ยินดี
หัวใจจะสัน ่ ไม่มากก็น ้อยเมือ ่ คิดถึงเหตุการณ์นัน ้ ๆ นี่เป็ นความรู ้สึกทีท ่ ก
ุ คนเทียบเคียงได ้
ง่าย การบรรลุธรรมขัน ้ สูงนัน้ ย่อมเป็ นมหาลาภทีห ่ าอะไรเปรียบเทียบไม่ได ้อีกแล ้วในโลก
ยิง่ คนอืน ่ ไม่รู ้ไม่เห็นกับเรา ความสัน ่ ไหวของใจย่อมมีมากขึน ้ เหมือนกับการเก็บความลับ
ทีด ่ ท
ี ส ี่ ด ุ ไว ้ เพียงคิดว่าจะเปิ ดเผยความลับอันเป็ นข่าวดีทส ี่ ดุ นัน
้ ใจของผู ้คิดก็ต ้องสัน ่
ไหวและตืน ่ เต ้นทุกครัง้ ไป ฉะนัน ้ การคิดถึงมหาลาภทีต ่ ัวเองได ้ครองแล ้วนัน ้ หัวใจย่อม
ตืน ่ เต ้นหวั่นไหวเป็ นธรรมดา แต่เราสามารถคิดถึงสิง่ นัน ้ ด ้วยหัวใจทีเ่ ป็ นปกติ ไม่มอ ี าการ
สัน่ ไหวแต่อย่างใด ซึง่ เป็ นเรือ ่ งไม่ธรรมดา จึงมัน ่ ใจว่านี่ไม่ใช่เป็ นใจของปุถช ุ นอีกแล ้ว
เป็ นการตรวจสอบให ้แก่ตนเองได ้ว่าธรรมทีเ่ ราเข ้าถึงนัน ้ ต ้องเป็ นของจริงด ้วย มิเช่นนัน ้
การคิดอย่างนี้จะต ้องทาให ้คน ๆ หนึง่ บ ้าสนิทแน่นอน แต่ทไี่ ม่บ ้าเพราะได ้รับการคุ ้มครอง
จากธรรมตัวจริงหรือพระนิพพานจริงทีเ่ ข ้าถึงแล ้วนั่นเอง ไม่ใช่พระนิพพานชนิดทีค ่ ด ิ หรือ
จินตนาการเอาเองอย่างสุม ่ สีส่ มุ่ ห ้า นี่ก็เป็ นเรือ
่ งความโดดเดีย ่ วอย่างมากมายของผู ้บรรลุ
ธรรมขัน ้ สูงอีกทีต ่ ้องหาทางตรวจสอบตนเองเสมอ เพราะไม่สามารถวิง่ เข ้าหาใครได ้อีก
แล ้ว

You might also like