Professional Documents
Culture Documents
อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน บทที่ 16
อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน บทที่ 16
่ บ
่ ิ
สงทีเ่ ปลีย่ นแปลงหล ังเกิดญาณแล้ว
เหลือเพียงอายตนะนน ั้
ถึงแม ้ใจของเราไม่ได ้รู ้สึกว่าถูกผลักออกจากจิตอย่างชัดเจนในวันทีเ่ กิด
ญาณจนไม่กล ้าสรุปให ้แก่ตนเองว่านี่เป็ นสภาวะทีห ่ ลุดพ ้นก็ตาม เราก็ได ้เห็นความ
เปลีย ่ นแปลงของใจทีไ่ ม่เคยเกิดมาก่อน แต่สงิ่ เหล่านี้ก็เป็ นสภาวะทีเ่ กิดอย่างค่อยเป็ น
ค่อยไป ไม่ได ้เกิดขึน ้ ทันที
หลังจากทีเ่ กิดญาณแล ้ว ในช่วงหลายเดือนแรก เหมือนกับเป็ นการย้า
สภาวะนิพพานทีเ่ ห็นอยูเ่ บือ ้ งหน ้าว่านี่ใช่หรือไม่ และทุกครัง้ ทีส ่ ารวจก็รู ้ว่ามันต ้องใช่แน่
สิง่ ทีเ่ ราเห็นตาตานี้ต ้องเป็ นสภาวะทีพ ่ ูดไม่ออกบอกไม่ได ้ดังทีพ ่ ระพุทธเจ ้าตรัสถึง
แน่นอน
จาได ้ว่าคงจะเป็ นช่วงหน ้าร ้อนของปี ตอ ่ มา คือตัง้ แต่เดือนมิถน ุ ายน ถึง
กันยายน ๒๕๔๑ เราใช ้เวลากลางวันทีย ่ าวนานของฤดูร ้อนอยูใ่ นสวนหลังบ ้านมาก
ทีเดียว มีความรู ้สึกอยากอยูก ่ บ
ั ธรรมชาติล ้วน ๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร แม ้คุยก็ทาเท่าที่
จาเป็ นกับคนในครอบครัว ไม่อยากยกหูโทรศัพท์เพือ ่ พูดคุยกับเพือ ่ นฝูงอีกต่อไป อยาก
เฝ้ ามองท ้องฟ้ า เมฆ ต ้นไม ้ นก และทุกอย่างทีเ่ ป็ นธรรมชาติ มักจะเอาเก ้าอีย ้ าวทีเ่ อน
นอนได ้ไปวางไว ้ใต ้ต ้นไม ้ใหญ่ต ้นหนึง่ ปลายสวนทีม ่ ด
ี อกสีขาวกลิน ่ เหมือนดอกจาปี ไม่ม ี
ความรู ้สึกอยากอ่านหนังสือแต่อย่างใด สามารถทาให ้ใจว่างและปลอดจากความคิดได ้
อย่างง่ายดาย พอใจหยุดคิด ก็เห็นตัวเองหลอมเข ้าสูธ ่ รรมชาติ ไม่มอ ี ะไรเหลือ เหลือแต่
การรับรู ้ (วิญญาณ) ล ้วน ๆ จาก ๑๒ อายตนะทัง้ ภายในและภายนอก เมือ ่ หลุดจาก
ความคิดแล ้ว มันรวบลงเหลือเพียงอายตนะเดียวหรือทีพ ่ ระพุทธเจ ้าทรงเรียกว่า
“อายตนะนัน ้ ” ซึง่ ท่านใช ้เรียกแทน สภาวะพระนิพพาน
เราสามารถใช ้เวลาอยูใ่ นสวน นั่ง ๆ นอน ๆ ดูธรรมชาติอยูอ ่ ย่างนัน ้ ได ้
นานเป็ นชั่วโมง ง่วงก็นอน พอหลับตา ใจก็อยูก ่ บ
ั ความสงบหรือพระนิพพานได ้ทันที พอ
ลืมตาตืน ่ ขึน้ มาก็ไม่มค ี วามรู ้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างทีเ่ คยเป็ นเมือ ่ นอนมาก เมือ ่ รู ้สึกตัว
แม ้จะยังไม่ทันได ้ลืมตาก็ตาม ใจจะตรวจสอบสภาวะนิพพานเองและอยูก ่ บ
ั สภาวะนัน ้ ได ้
ทันที ดืม ่ ด่ากับสภาวะนัน ้ อย่างมากมายในช่วงหน ้าร ้อนของปี นัน ้ สภาวะแมวจับหนูก็ซา
ลงไปมาก นาน ๆ จึงจะเกิดสักที
เห็นความสว่างกินความมืด
แม ้ความคิดทีผ ่ า่ นเข ้ามาในหัวก็ล ้วนแต่เป็ นปั ญญาทีใ่ คร่ครวญอยูก่ บ
ั
ธรรมเสมอ ไม่วา่ จะโน ้มใจไปคิดเรือ ่ งอะไร ก็สามารถเข ้าใจได ้อย่างชัดเจนทะลุปรุโปร่ง
แม ้เมือ
่ ฉุกคิดอะไรเกีย ่ วกับครอบครัว ลูก งาน ปั ญหาสังคม ปั ญหาของโลก หรือ
ความคิดอะไรก็ตามแต่ โดยเฉพาะเมือ ่ คิดถึงลูก พอความคิดเริม ่ ติดขัด หาทางออก
ไม่ได ้ ทันใดนัน ้ ความคิดนัน ่
้ ก็หลุดหายและใจก็เข ้าสูสภาวะทีว่ า่ งและเงียบกริบได ้ทันที
ทุกครัง้ ทีเ่ ห็นเช่นนัน ้ ก็ยงิ่ ย้าให ้ตนเองรู ้ว่า สภาวะทีเ่ กิดขึน ้ หลังจากการหลุดลุย ่ ของ
ความคิดต ้องเป็ นพระนิพพานแน่นอน จะเป็ นสิง่ อืน ่ ไม่ได ้เด็ดขาด
เห็นได ้ชัดว่า พระนิพพานเป็ นความสว่าง ความคิดเป็ นความมืด สอง
อย่างนี้จะอยูด ่ ้วยกันไม่ได ้ เพราะรู ้แล ้วว่าพระนิพพานหรือความสว่างเป็ นอย่างไรในวัน
เกิดญาณ จึงเกิดสภาวะทีค ่ วามสว่างกินความมืดเองตลอดเวลา ยิง่ กินมาก ก็ยงิ่ แน่ใจ
และแยกแยะได ้ว่า สภาวะไหนคือความสว่างและสภาวะไหนคือความมืด ทาให ้เข ้าใจ
และเห็นอย่างชัดเจนว่า การแก ้ปั ญหาด ้วยการคิดนัน ้ ไม่ช ้าก็เร็ว ย่อมมาถึงทางตันของ
มัน จะไม่มท ี างออกอย่างแท ้จริงด ้วยวิธก ี ารคิดเพือ่ หาทางออกให ้กับปั ญหาต่าง ๆ ใน
โลก ทางออกทีแ ่ ท ้จริงจะต ้องมาจากการหยุดคิด หรือ หลุดจากความคิดให ้ได ้ ซึง่ เป็ น
สิง่ ทีไ่ ม่มเี หตุผลในตัวมันเองเลย แต่ถ ้าใครทาได ้แล ้วก็จะรู ้เองว่าการหยุดคิดหรือการ
ปล่อยวางความคิดเป็ นทางออกในตัวมันเองจริง ๆ และเป็ นสภาวะทีอ ่ ธิบายให ้แก่กน
ั
ไม่ได ้
พยายามทดสอบสภาวะพระนิพพาน
ได ้ทดสอบสภาวะนัน ้ อยูบ ่ อ่ ยมากในช่วงปี แรกหลังเกิดญาณแล ้ว เพราะ
ตอนทีก ่ าลังเขียนใบไม ้กามือเดียวอยูน ่ ัน้ รู ้ตัวว่า กาลังประกาศให ้ชาวโลกรู ้ว่า เราเห็น
พระนิพพานแล ้ว รู ้แล ้วว่าสัจธรรมสูงสุดเป็ นอย่างไร เราได ้ถึงแล ้ว จึงสามารถพูดอย่างที่
เราพูดในหนังสือนัน ้ ได ้ ซึง่ เป็ นความคิดทีน ่ ่ากลัวและโดดเดีย ่ วมากทีส่ ด
ุ โดยเฉพาะ
สาหรับคนทีอ ่ ยูใ่ นสถานะอย่างเรา คือไม่เพียงแต่เป็ นฆราวาสเท่านัน ้ แต่ยังเป็ นผู ้หญิงที่
ใช ้ชีวต ิ คูอ่ ยู่ ไม่มห ี มูก่ ลุม่ ทีจ่ ะปรึกษา พูดคุย ให ้กาลังใจ และทดสอบความรู ้ซึง่ กันและ
กัน ตัวคนเดียวจริง ๆ ถ ้ารู ้ไม่จริง จะไปรอดได ้อย่างไร ถามตัวเองเสมอว่าเราไปเอาความ
กล ้าหาญมาจากไหนทีก ่ ล ้ายืนขึน ้ มาประกาศให ้ชาวโลกรู ้เช่นนี้ และถ ้าสิง่ ทีเ่ ราเห็นไม่ใช่
พระนิพพานจริง ๆ ล่ะ เราจะทายังไง ถูกเขาโจมตีกลับมานี่ ต ้องบ ้าแน่นะ ถ ้าเราไม่รู ้จริง
ถ ้าใจไม่สามารถหลุดได ้จริง ๆ ไม่ใช่บ ้าเล่น ๆ นะ บ ้าจริง ๆ นะ คิดมาถึงจุดนี้แล ้วก็ขนลุก
เหมือนกัน พูดกับตัวเองเสมอว่า อยูเ่ ฉย ๆ อย่างนี้ เก็บความรู ้ไว ้คนเดียวไม่ดก ี ว่าหรือ ไป
เปิ ดเผยทาไมให ้มากเรือ ่ ง
ได ้พยายามโน ้มเอาความคิดเหล่านี้มาหักล ้างและชะลอความกล ้าหาญ
ชาญชัยอย่างบ ้าระห่าของตัวเอง เป็ นการห ้ามล ้อให ้ตัวเองอย่างหนักหน่วง แต่แม ้
ความคิดเหล่านัน ้ ก็หลุดลุย ่ หายเข ้าไปในความว่างหรือความสว่างแห่งพระนิพพาน ไม่ม ี
ยางเหนียวทีจ ่ ะทาให ้ความคิดเหล่านัน ้ ติดอยูใ่ นใจเลยแม ้แต่น ้อย ใจจริงแล ้ว อยากให ้มัน
ติดบ ้าง จะได ้ไม่พูดไม่เขียนอะไรทีด ่ ก ู ล ้าหาญจนเกินตัว แต่ความคิดในแง่ลบเหล่านัน ้ ก็
ไม่ยอมติด หลุดออกไปเสมอ และหลุดไปเอง เหมือนกับไม่มใี จให ้เกาะ เหลือเพียง
สภาวะเดียวเท่านัน ้ และรู ้ด ้วยว่าสภาวะนัน ้ คือพระนิพพาน
ได ้ถามตัวเองว่า ถึงแม ้เราจะไม่ได ้เป็ นฆราวาสหญิง แต่เป็ นพระทีห ่ ้อม
ล ้อมไปด ้วยผู ้คนทีพ ่ ูดคุยและปรึกษาด ้วยได ้ ถ ้าเรามีความรู ้ในระดับทีเ่ รามีอยูใ่ นขณะนี้
คิดว่า จะไปถามใครได ้หรือไม่ ทีส ่ ามารถมารับประกันให ้เราได ้ว่าเรารู ้จริง เราได ้ถึง
นิพพานจริง คาตอบคือไม่มค ี น ๆ นัน ้ อีกแล ้ว เราไม่ได ้เกิดในยุคพระพุทธเจ ้า ทีจ ่ ะวิง่ เข ้า
ไปหาท่านเพือ ่ ให ้ท่านยืนยันให ้ ทาอย่างนัน ้ ไม่ได ้แล ้ว แม ้อยากทามากสักแค่ไหนก็ทา
ไม่ได ้ การยืนยันความรู ้ในระดับนี้ ทาได ้อย่างเดียวเท่านัน ้ คือ ต ้องยืนยันให ้ตัวเองให ้ได ้
ถ ้ายืนยันให ้ตัวเองไม่ได ้ก็แสดงว่ายังไม่ได ้เจอความรู ้จริง ยังไม่ได ้ถึงพระนิพพานจริง
แม ้ทุกวันนี้ก็ยังต ้องทดสอบเช่นนี้อยู่ ต ้องพยายามโน ้มเอาความคิดใน
ฝ่ ายลบมาห ้ามล ้อตัวเองเสมอ แต่ทก ุ ครัง้ ทีท ่ าเช่นนัน ้ มันก็หลุดออกไปทุกครัง้ ยิง่ ทา มัน
ก็ยงิ่ ย้าสภาวะพระนิพพานให ้ชัดมากขึน ้ จนเดีย๋ วนี้ไม่มคี วามสงสัยอีกแล ้ว เพราะได ้
พิสจ ู น์มานับครัง้ ไม่ถ ้วนแล ้ว ตัง้ แต่วันทีเ่ กิดญาณจนถึงบัดนี้ ผลออกมาเหมือนกันทุกครัง้
ไป
กล ับบ้านเป็นแล้ว
เคยคิดว่าใจของผู ้ทีเ่ ข ้าถึงพระนิพพานแล ้วจะว่างตลอดเวลา ไม่ม ี
ความคิดใด ๆ ทัง้ สิน ้ ตอนนี้จงึ รู ้ว่ามันไม่ใช่เช่นนัน ้ ทีจ ่ ริงแล ้ว การคิดนึกอะไรของเราทุก
่
อย่างก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ สิงทีเ่ ด่นทีส ่ ด
ุ ทีเ่ พิม
่ เข ้ามาหลังเกิดญาณแล ้วคือ ใจไม่
หลงทางหรือไม่เคว ้งอีกต่อไป ไม่วา่ เราจะคิดโน่นคิดนี่หรือคิดอะไรออกไปไกลสักแค่
ไหนก็ตาม เราสามารถนาใจกลับบ ้านหรือกลับสูฐ ่ านได ้เสมอ เพราะญาณทีเ่ กิดทาให ้เรา
รู ้หน ้าตาของบ ้านตนเอง รู ้ว่าสติปัฏฐานทีส ี่ ็คอ
่ ก ื บ ้านของใจ เมือ ่ านทีส
่ เอาใจกลับคืนสูฐ ่ ี่
ได ้ ฐานนัน้ ก็คอื พระนิพพานหรือบ ้านถาวรของใจนั่นเอง ใจไม่มกี ารหลงทางอีกต่อไป
แล ้ว เพราะรู ้หน ้าตาพระนิพพาน จึงสามารถเปรียบเทียบเรือ
่ งการนั่งรถไฟเมือ
่ พูดถึงสติ
่
ปั ฏฐานสีในเรือ
่ งใบไม ้กามือเดียว
วิปส
ั สนาคือการพาใจกล ับบ้าน
คนทีก ่ าลังปฏิบัตวิ ปิ ั สสนาหรือสติปัฏฐานสีอ ่ ยู่ แต่ญาณยังไม่เกิดนัน ้
เท่ากับเป็ นการฝึ กหัดให ้ใจเดินทางกลับบ ้านหรือกลับสูฐ ่ านของใจนั่นเอง หรือถึงพระ
นิพพานซึง่ เป็ นเรือ ่ งเดียวกันหมด คนทีฝ ่ ึ กจนมีสติไวมาก สามารถตรึงใจให ้อยูก ่ บั ฐานที่
หนึง่ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เช่น รู ้ลมหายใจ รู ้การเคลือ ่ นไหว)ได ้นัน้ การทาเช่นนัน ้
ก็เท่ากับฝึ กให ้ใจกลับบ ้านเป็ น หรือกลับสูฐ ่ านของใจเป็ น เป็ นการฝึ กไม่ให ้ใจหลง
ทางออกไปไกล แต่ถ ้าความไวของสติยังไม่พอ ใจก็จะเสียเวลาไปหลงทาง การหลง
ทางของใจคือติดยึดอยูก ่ บ
ั ความคิด ปล่อยวางความคิดไม่ได ้ แต่เมือ ่ เขาสามารถปล่อย
ความคิดได ้ ทันใดนัน ้ ใจก็วา่ ง เขาก็จะสามารถกลับบ ้านหรือกลับสูฐ ่ านของใจทีว่ า่ งนัน ้
ได ้ จนกว่าความคิดอีกอันหนึง่ จะเข ้ามา ก็ต ้องเริม ่ ปล่อยอีก และกลับสูฐ ่ านทีว่ า่ งนัน
้ อีก
ทาอยูอ ่ ย่างนี้แล ้ว ๆ เล่า ๆ นี่คอ ื การทาวิปัสสนา
ต้องตร ัสรูก
้ อ
่ น จึงจะเรียกว่ารูจ
้ ริง
ทีจ
่ ริงฐานทีส ่ ติสามารถตัง้ มั่นอยูใ่ นสติปัฏฐานทัง้ สีน ่ ัน
้ ก็คอื บ ้านทีช
่ อื่
นิพพานทีต ่ ้องการหาอยูแ ่ ล ้ว แต่ถ ้าญาณยังไม่เกิดเองกับบุคคลนัน ้ ๆ แม ้จะคลาอยูต ่ าตา
อย่างนัน ้ ทุกวีว่ ัน แม ้จะเป็ นครูสอนคนอืน ่ อยู่ เจ ้าตัวก็ไม่รู ้ และรู ้ไม่ได ้ จะรู ้ก็เพราะมีคนรู ้
แล ้ว เห็นแล ้วจริง ๆ มาบอก แต่ก็รู ้แบบรู ้ตามคนอืน ่ รู ้เพราะคนอืน่ บอก ยังไม่ใช่ตรัสรู ้เอง
ทุกคนต ้องตรัสรู ้เองจึงจะเรียกว่ารู ้จริง ถ ้ายังไม่เกิดญาณ ยังไม่ตรัสรู ้ ก็ยังไม่รู ้จริง
หากนักปฏิบัตไิ ม่ละความพยายาม คลาทางอย่างนี้ไปเรือ ่ ย ๆ คือ หมั่น
ฝึ กสติอย่างไม่ลดละ ก็จะมีวันหนึง่ ทีญ ่ าณจะเกิดแก่เขาผู ้ไม่ละความพยายาม เขาจะเจอ
บ ้านทีช
่ อ ื่ นิพพานเข ้าจนได ้ และรู ้ว่า อ๋อ…บ ้านนี้เอง บ ้านทีเ่ ห็นตาตาอยูท ่ ก
ุ วันนี่เองทีช ื่
่ อ
นิพพาน มันอยูต ่ รงนี้เอง นี่คอ ื ความยากของการอธิบายเรือ ่ งนิพพานให ้คนยังอยูใ่ นโลก
แห่งความมืดได ้รู ้ เพราะเป็ นเรือ ่ งหญ ้าปากคอกจนไม่มใี ครนึกถึง ต ้องรอให ้ญาณเกิดเอง
จึงจะถึงบางอ ้อได ้ แต่เมือ ่ รู ้แล ้ว ก็จะรู ้ทางเดินเข ้าออกบ ้านนัน
้ ได ้ รู ้ว่าเดินทางไหนจึงจะ
ถึงเร็ว ยิง่ รู ้นานวันเข ้า ก็จะยิง่ ชินกับทางเข ้าออกบ ้านนิพพาน ไม่หลงทางอีกแล ้ว
เมือ่ รูว้ า
่ บ้านอยูท
่ ไี่ หน จะตีล ังกากล ับบ้านก็ย ังได้
ฉะนัน ้ คนทีเ่ กิดญาณแล ้ว รู ้หน ้าตาของพระนิพพานแล ้ว ไม่จาเป็ นต ้อง
้า
ทาอะไรช ๆ อย่างมีสติเหมือนคนทีก ่ าลังคลาทางอยู่ เพราะรู ้ทางเข ้าออกและหน ้าตา
ของบ ้านแล ้ว จะวิง่ เข ้าวิง่ ออกสักกีเ่ ทีย ่ วก็ได ้ ไม่มป ี ั ญหา คนทีเ่ กิดญาณแล ้ว ก็ใช ้ชีวต ิ อยู่
เฉย ๆ อย่างธรรมดา ๆ นี่แหละ ประเภททีเ่ รียกว่า หิวก็กน ิ ง่วงก็นอนได ้ ปวดท ้องก็ถา่ ย
และทาหน ้าทีไ่ ปตามบทบาทของโลกสมมุต ิ อาจจะถูกคนอืน ่ ดูวา่ จะเดิน จะนั่ง จะทา
อะไรก็ไม่เห็นมีความประณีต ละเอียดละออเลย อาจจะทาอะไรรีบร ้อนก็ได ้ ซึง่ ก็เป็ นเรือ ่ ง
ธรรมดาของการใช ้ชีวต ิ ในแต่ละวัน บางเวลาก็ช ้า ละเอียด ประณีต แต่บางเวลาก็รบ ี ทา
อย่างหยาบ ไม่มค ี วามประณีต นี่เป็ นเรือ ่ งธรรมดามาก เพราะทุกอย่างเป็ นอนิจจัง
สาหรับผู ้ทีเ่ กิดญาณแล ้ว แม ้จะทาอะไรอย่างหยาบ และเร็ว ก็ไม่เป็ น
ปั ญหา เพราะรู ้จักกลับบ ้านเสียแล ้ว ฉะนัน ้ จะวิง่ กลับบ ้านหรือจะตีลังกากลับบ ้าน จะเดิน
กระโดดขาเดียวกลับบ ้านก็ยังได ้ เพราะรู ้ว่าบ ้านอยูท ่ ไี่ หนแล ้ว นี่คอ ื ความแตกต่างระหว่าง
คนทีเ่ กิดญาณแล ้วและคนทีย ่ ังไม่เกิดญาณ
เราอยากคิดว่า ความเป็ นพระอรหันต์น่าจะตัดสินทีจ ่ ด
ุ การเกิดญาณอย่าง
ถาวรหรือไม่ ฉะนัน ้ คนทีย ่ ังไม่เกิดญาณไม่ควรตัดสินคนทีม ่ ญี าณแล ้ว ตรงนี้เองกระมังที่
เขาบอกว่า ผู ้บรรลุพระอรหันต์แล ้ว หากยังเป็ นฆราวาสอยู่ ควรจะบวชเข ้าสูพ ่ ระธรรมวินัย
เพราะเพศนักบวชเป็ นวิถช ี วี ติ ทีส่ งู ส่ง สมกับฐานะของผู ้บรรลุธรรมในระดับสูงสุดนี้
ความสว่างทีม ่ ด
ื
ส่วนคนทีไ่ ม่เคยสนใจพระพุทธศาสนา ไม่เคยฝึ กสมาธิวป ิ ั สสนาเลย ยัง
ไม่รู ้เหนือรู ้ใต ้ในเรือ ่ งของชีวต ิ ใจของเขาก็จะหลงทางตลอดเวลา แม ้ในยามทีใ่ จสงบก็
ตาม แม ้ใจดูเหมือนไม่ขน ึ้ ลง ไม่ทกุ ข์ ไม่หวั่นไหว เจ ้าตัวอาจจะคิดว่าตนเองไม่ทก ุ ข์ไม่ม ี
ปั ญหา เข ้าใจชีวต ิ ได ้ ก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังมืดและหลงทางอยูว่ ันยังค่า เป็ นความสว่างที่
มืดมิด รอเวลาทีจ ่ ะเจอเหตุการณ์หนักหน่วงในชีวต ิ ทีท
่ าให ้ใจซัดส่ายอย่างไม่เป็ นท่า เขา
จะไม่สามารถนาใจกลับบ ้านทีถ ่ าวรได ้ ไม่รู ้ว่าควรนาใจไปวางไว ้ฐานอะไร ทีไ่ หน จึงพา
ใจกลับบ ้านไม่เป็ น
กายสะดุง้ แต่ใจไม่ตก
สิง่ ทีแ
่ ปลกมากคือ มีบางครัง้ ทีก ่ ายของเราสะดุ ้งโหยงเหมือนตกใจ คน
อืน
่ จะเห็นว่าเราตกใจ แต่เราเท่านัน ้ ทีร่ ู ้ว่าไม่มใี จให ้ตก เพราะเมือ ่ มองเข ้าไปในใจแล ้ว
กลับไม่มอ ี ะไรไหวติงเหมือนไม่มใี จ อันนี้เหมือนการดูหนังเศร ้า หรือดูขา่ วทีส ่ ร ้างความ
สะเทือนใจ เนื่องจากเป็ นคนทีข ่ สี้ งสารคนมาตัง้ แต่เล็กแต่น ้อยแล ้ว จึงได ้ผ่านความรู ้สึก
เศร ้าโศกมาไม่น ้อย ดูหนังเศร ้าหน่อย ก็ร ้องไห ้แล ้ว เดีย ๋ วนี้ น้ าตาก็ยังไหลอยูเ่ มือ ่ ดูหนัง
เศร ้าหรือดูขา่ วทีส่ ะเทือนใจ แต่สงั เกตเห็นว่า ใจไม่ได ้เจ็บปวดหรือเคลือ ่ นไหวเหมือนแต่
ก่อน แม ้น้ าตาไหลออกมาก็ตาม เรือ ่ งน้ าตาไหลนี่ไม่ได ้เกิดเสมอไป สามารถดูเรือ ่ งเศร ้า
บางเรือ ่ งได ้โดยทีใ่ จไม่เคลือ ่ นและน้ าตาไม่ไหล จนอดคิดไม่ได ้ว่าทาไมจึงชาเย็นเช่นนัน ้
เหมือนไม่มเี มตตาเลย เรือ ่ งน้ าตาไหลนี่ ยังไม่ตด ิ ใจเรามากเท่ากับตัวสะดุ ้งโหยงโดยไม่
มีใจให ้ตก อันนี้แปลกมาก แปลกจริง ๆ ยังอธิบายอย่างเป็ นวิทยาศาสตร์ไม่ได ้ชัด ส่วนนี้
ทีเ่ ขาเรียกว่าเป็ นวาสนาหรือนิสย ั เก่า ๆ ของผู ้รู ้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ อันนีต ้ ้องขอติดไว ้
ก่อน
ผูร้ จ
ู ้ ะเห็นเป็นการแสดงสองชน ั้
คนทีย ่ ังอยูใ่ นโลกแห่งความมืดนัน ้ เขาจะไม่รู ้ว่า ชีวต ิ ประจาวันทีเ่ ขาคิด
ว่าเป็ นโลกแห่งความจริงหรือโลกทีส ่ ว่างนัน ้ ทีจ่ ริง โลกนัน ้ ก็ยังไม่จริง ไม่สว่าง เป็ นโลก
สมมุตท ิ ม ี่ ด ื สนิทอยู่ ทุกคนล ้วนต ้องแสดงไปตามบทบาททีก ่ เิ ลสตัวโลภ โกรธ หลง บง
การให ้แสดง ซึง่ คนทีย ่ ังอยูใ่ นโลกมืดยังเป็ นปุถช ุ นจะไม่รู ้ แต่พระอริยบุคคลในระดับสูง
จะรู ้ ฉะนัน ้ การดูหนังดูละคร สาหรับปุถช ุ นแล ้ว เขาจะคิดว่าเขากาลังดูการแสดงชัน ้ เดียว
แต่ผู ้รู ้ทีร่ ู ้เห็นโลกแห่งความเป็ นจริงหรือพระนิพพานแล ้วจะรู ้ว่าการดูหนังดูละครเป็ นการดู
การแสดงถึงสองชัน ้
จาได ้ว่า มีชว่ งหนึง่ ทีเ่ ราดูหนังหรือละครแล ้ว หาความสนุกสนานแบบที่
เคยเป็ นไม่ได ้เลย เพราะไม่วา่ ดูอย่างไร ไม่วา่ เขาจะแสดงได ้สมจริงสมจังอย่างไรก็ตาม
ก็เห็นแต่สภาวะ “ความเป็ นอย่างนัน ้ เอง” เป็ นผัสสะทีจ ่ บในตัวมันเองทันทีทเี่ ห็น ทัง้ ภาพ
และเสียงทีค ่ วรจะสร ้างอารมณ์ความรู ้สึกให ้คนดูคล ้อยตามนัน ้ กลับไม่ได ้ทาอะไรให ้เรา
เลย ทันทีทเี่ ห็น มันก็จบทันที ภาพทีเ่ ห็นก็สก ั แต่วา่ เห็น เสียงทีไ่ ด ้ยินก็สก ั แต่วา่ เสียง
เป็ นสภาวะนิพพานทีจ ่ บในตัวมันเองทันที จะแกล ้งไม่เห็นก็ไม่ได ้ ฉะนัน ้ จึงดูออกชัด ๆ
ว่า นั่นเป็ นการแสดงถึงสองชัน ้ ไม่ใช่ชน ั ้ เดียวอย่างทีป ่ ถ
ุ ช
ุ นเข ้าใจ ความสนุกสนานจาก
การดูหนังจึงหดหายไปทันที การเห็นเช่นนี้ก็เป็ นผลของการเกิดญาณโดยตรง
ดูหน ังเพือ
่ เรียนรูก ้ ารเดินสายความคิดของมนุษย์
เดีย๋ วนี้ การดูโทรทัศน์ของเรานัน ้ นอกจากการเรียนรู ้ศัพท์แสง
ภาษาอังกฤษให ้เก่งขึน ้ แล ้ว ยังมีเป้ าหมายเพือ ่ การเรียนรู ้ว่าคนในโลกสมมุตเิ ขาเดินสาย
ความคิดของเขาอย่างไร โดยเฉพาะหนังทีอ ่ งิ หลักวิทยาศาสตร์ทฝ ี่ รั่งสร ้างนัน
้ นอกจาก
สามารถเรียนรู ้ข ้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ต ้องไปอ่านหนังสือมากแล ้ว ยังรู ้ว่าเขา
คิดกันอย่างไร ความคิดของเขาซับซ ้อนและแตกซ่านมากแค่ไหน เป็ นการคาดการณ์
อนาคตได ้ดียงิ่ เพราะสิง่ ทีเ่ ขาจินตนาการล่วงหน ้าคือสิง่ ทีม ่ นุษย์กาลังจะทาให ้มันเกิดขึน ้
อย่างเช่น หนังเจมส์บอนด์ทม ี่ เี ครือ
่ งมืออะไรต่าง ๆ ทันสมัยทีน ่ ักเขียนได ้จินตนาการไว ้
เมือ ๓๐ ปี กอ ่ นนัน ้ เครือ ่ งมือเหล่านัน ้ ได ้กลายเป็ นของจริงทีเ่ รากาลังใช ้อยูใ่ นปั จจุบันนี้
้ สิง่ ทีฝ
ฉะนัน ่ รั่งจินตนาการอยูข ่ ณะนี้ในสิง่ ทีจ
่ ะเกิดขึน ้ อีก ๕๐ หรือ ๑๐๐ ปี ข ้างหน ้า
อย่างเช่นเรือ
่ งการสร ้างเด็กจากหลอดแก ้วและการโคลนมนุษย์ตามแบบอย่างทีต ่ ้องการ
ก็เป็ นสิง่ ทีส
่ ามารถเกิดขึน
้ ได ้ เพราะนี่คอ
ื ความสามารถของมนุษย์ทม
ี่ ม
ี ันสมองเหนือกว่า
สัตว์เดรัจฉาน
โลกปั่นป่วนเพราะสภาวะใจของคนบูดเบีย ้ วมาก
ทีจ่ ริง โลกนี้เต็มไปด ้วยคนประเภทนี้ คือ พยายามใช ้ชีวต ิ เหมือนตัว
พระเอกนางเอกในหนังในละคร อยากใช ้ชีวต ิ อย่างหรูหรา ฟู่ ฟ่ า ทะยานอยากได ้โน่นนี่
โดยไม่อยากลงแรง ใช ้ชีวต ิ ในโลกของความฝั น ถ ้าเป็ นคนทีช ่ อบเรือ ่ งการใช ้ความรุนแรง
ตามทีเ่ ขาดูในหนังบู๊ละก็ น่ากลัวมาก แม ้แต่การฆ่าคนตามวิธก ี ารทีค ่ นดูในหนังหรือใน
หนังสืออ่านเล่นนัน ้ กรณีเช่นนี้ก็ได ้เกิดขึน ้ จริง ๆ แล ้ว อย่างกรณีทผ ี่ ู ้ก่อการร ้ายชาวมุสลิม
จีเ้ ครือ
่ งบินสีล่ าและพุ่งชนตึก world trade center และตึก pentagon เมือ ่ วันที่ ๑๑
กันยายน ทีพ ่ งึ่ ผ่านมานัน ้ เป็ นการกระทาทีเ่ อาออกมาจากจินตนาการในหนังสืออ่านเล่น
โดยตรง โลกสมัยนี้จงึ ปั่ นป่ วนมาก เพราะสภาวะใจของคนถูกบิดเบือนจนบูดเบีย ้ วมาก
เกินไป จะไปดัด ไปแก ้ให ้มันตรงได ้อีกนัน ้ ยากมาก
อย่าว่าแต่การถอนมายาออกมาสองชัน ้ เลย แค่ชน ั ้ แรกก็ถอนยากมาก
แล ้ว คนอังกฤษชอบฟุตบอลมาก การเล่นบอลและดูการแข่งขันฟุตบอลนี่ไม่ใช่เป็ นมายา
ชัน ้ ทีส
่ อง แต่เป็ นมายาชัน ้ แรกเท่านัน ้ เป็ นเรือ ่ งจริงของคนในโลกสมมุตเิ ท่านัน ้ คนบ ้า
ระดับสามัญก็สามารถทาลูกบอลกลม ๆ ลูกเล็ก ๆ นี้เป็ นเรือ ่ งระดับโลกทีท ่ าเงินกันอย่าง
มากมายมหาศาล การแข่งบอลทีส ่ าคัญในระดับชาติหรือระดับโลกแต่ละนัดนัน ้ คนทัว่
โลกหลายร ้อยล ้านคนล ้วนนั่งหน ้าจอโทรทัศน์ด ้วยหัวใจทีเ่ ต ้นแรงอย่างสุดเหวีย ่ ง และ
ปล่อยใจขึน ้ ลงอยูก ่ บั เรือ
่ งได ้เรือ
่ งเสียอย่างเต็มที่ จนคนไทยถึงขนาดทารูปปั ้นของเดวิด
เบคคั่ม ขึน ้ มาบูชา นี่เรียกว่า เศร ้า
รายการโทรทัศน์มากมายเดีย ๋ วนี้ก็ยงิ่ พยายามทาให ้คนดูเข ้าไปมีสว่ นได ้
ส่วนเสียอย่างจริงจัง เช่น รายการตอบคาถามเงินล ้านทีก ่ าลังฮิตอยูท ่ ั่วโลก สิง่ เหล่านี้
ล ้วนทาให ้คนบ ้าระดับสามัญบ ้ามากขึน ้ ทัง้ นัน้ ยิง่ วงเงินสูงขึน ้ ความบ ้าของคนก็ยงิ่ มีมาก
ขึน ้ เป็ นเงาตามตัว
นอกจากนัน ้ เกมส์คอมพิวเตอร์ตา่ ง ๆ ทีเ่ ด็กและผู ้ใหญ่เล่นอยูน ่ ัน
้ ก็
พยายามทาให ้ผู ้เล่นเข ้าไปสูเ่ หตุการณ์จริง ๆ โดยมีศัพท์ใหม่วา่ virtual reality แปลว่า
่ ็เป็ นการสร ้างมายาซ ้อนมายาทีล
เกือบจริง นีก ่ ก
ึ มากเข ้าไปอีก ล ้วนเป็ นเรือ
่ งทีท
่ าให ้คนบ ้า
ระดับสามัญถลาลึกเข ้าสูโ่ ลกมืดของอวิชชาอย่างถอนตัวไม่ขน ึ้
ผูร้ ถ
ู ้ า้ ไม่ทอ้ ใจก็ตอ ้ งทางานหน ักมาก
ฉะนัน ้ ผู ้รู ้ในสมัยนี้ ถ ้าไม่นก ึ ท ้อไปเสียเลย ก็ต ้องทางานหนักมาก พูดไป
เขียนไป คนก็ไม่เข ้าใจ ไม่สนใจ เพราะใจของเขาบูดเบีย ้ วมากจนเข ้าใจอะไรไม่ได ้
นั่นเอง เรือ ่ งการเห็นธรรมชัน ้ แรก เห็นพระนิพพาน หรือเห็นตถตานัน ้ ทีจ ่ ริงเป็ นเรือ
่ ง
หญ ้าปากคอกทีอ ่ ยูแ
่ ค่ปลายจมูกของคนทุกคน แต่ก็กลับกลายเป็ นเรือ ่ งลึกซึง้ ไปโดย
ปริยายเพราะใจของคนมันพุ่งออกไปมองเรือ ่ งไกลจนเคยชินและมองเรือ ่ งใกล ้ทีอ ่ ยูป
่ ลาย
จมูกไม่เป็ นเสียแล ้ว พระนิพพานจึงกลายเป็ นเรือ ่ งยากและละเอียดอ่อนมากจนไม่รู ้จะพูด
ยังไง พระพุทธเจ ้าจึงตรัสว่า คนทีม ่ ธ
ี ล
ุ ใี นดวงตาแต่น ้อยเท่านัน ้ จึงจะเข ้าใจธรรมในระดับ
นี้ได ้ นี่พระพุทธองค์ทา่ นตรัสเองแม ้ในยุคสมัยของท่าน แล ้วจะเอาอะไรกับคนสมัยนี้
ต ้องมีบารมีมาแต่ปางก่อนจริง ๆ จึงจะพอมีโอกาสเข ้าใจธรรมได ้ คนมีบารมีแล ้ว แต่ยัง
เหยาะแหยะ ไม่เอาจริงก็ยังยาก จะทาลายบารมีของตนโดยไม่รู ้ตัว ใครทีอ ่ ยากไป
นิพพานสมัยนี้ ต ้องทางานหนักมาก ต ้องฝื นสังคมมาก ไม่งน ั ้ ไปไม่รอด
การคุยก ับคนเป็นปัญหามาก
ตอนนี้ การคุยกับคนบ ้าระดับสามัญทีอ ่ ยูร่ อบข ้างเราเริม
่ เป็ นปั ญหามาก
ขึน
้ ทุกวัน การคุยกับคนในครอบครัวก็ไม่เป็ นเรือ ่ งหนักหนามาก เพราะถ ้าไม่อยากพูด ก็
ไม่ต ้องพูด แต่กบ ั เพือ
่ นบ ้าน ครอบครัวของสามี เพือ ่ นของครอบครัว แม ้เพือ ่ นสนิท นี่เริม
่
เป็ นปั ญหามาก เพราะโดยลักษณะภายนอกแล ้ว เราก็คอ ื แม่บ ้านธรรมดาคนหนึง่ ทีไ่ ม่ม ี
อะไรแตกต่างจากคนอืน ่ นอกจากลูกศิษย์ของเราแล ้ว คนเหล่านี้ก็ไม่รู ้เรือ ่ งงานของเรา
เลยแม ้แต่น ้อย ไม่เคยพูดกับเขา ฉะนัน ้ การหาเรือ
่ งราวมาคุยกับคนบ ้าระดับสามัญ
เหล่านี้ได ้กลายเป็ นเรือ่ งยากสาหรับเรา พ่อแม่ของสามีมักจะมาเยีย ่ มในวันอาทิตย์ เราก็
ต ้องพยายามหาเรือ ่ งคุย บางครัง้ ถ ้าคูส ่ นทนาพูดในสิง่ ทีเ่ ราไม่มค ี วามสนใจเลยนัน ้ เช่น
พูดเรือ ่ งรถ ฟุตบอล เสือ ้ ผ ้า พูดกันได ้เป็ นชัว่ โมง แทบจะต ้องกลายเป็ นคนหยาบคายไป
อย่างช่วยไม่ได ้ เพราะไม่รู ้จะเอาอะไรมาพูด ในหัวเงียบสนิท จึงพูดอะไรไม่ได ้ นั่งเฉย ๆ
อยูก่ บ
ั ตถตา ทาได ้ดีทส ี่ ดุ คือพยักหน ้าคล ้อยตามบ ้างเป็ นบางครัง้ ยิม ้ ให ้เขาบ ้าง จนแขก
รู ้สึกเขินและอึดอัดไปก็ม ี แต่เรากลับเฉยได ้อย่างไม่อด ึ อัด บางครัง้ ก็รู ้สึกเสียเวลาทีต
่ ้อง
มานั่งฟั งเรือ่ งอะไรก็ไม่รู ้ วันก่อน หลานของสามีซอื้ รถใหม่เอีย
่ ม ตืน่ เต ้นมาก ขับมาให ้ดู
ทุกคนออกไปดูรถใหม่และต ้องหาคาพูดมาชมว่ามันดียังไง สวยยังไง เรามีความรู ้สึกว่า
คาพูดทีอ ่ อกจากปากเราอันเนื่องกับรถใหม่คันนัน้ เป็ นคาโกหกทัง้ เพ แต่จะไม่ให ้พูดตาม
โลกสมมุตก ิ ็ไม่ได ้
ใครบ้าก ันแน่!!!
เดือนก่อน จาเป็ นต ้องไปหาเพือ่ นคนหนึง่ ทีร่ ู ้จักกันมาตัง้ แต่เริม
่ มาอยู่
อังกฤษ กาลังทาเรือ ่ งหย่าร ้างกับสามี เพราะปั ญหาครอบครัวทีเ่ รือ ้ รังมานาน จึงคิดมาก
ถึงกับต ้องเข ้าโรงพยาบาลประสาทครัง้ หนึง่ หลังจากทีไ่ ปหาทนายเสร็จแล ้ว เพือ ่ นก็พา
ไปทานอาหารทีร่ ้านแห่งหนึง่ นั่งคุยกัน หลังจากทีฟ ่ ั งแต่เรือ
่ งของเพือ ่ น คิดว่าควรจะหา
เรือ
่ งตัวเองมาคุยบ ้าง จึงเอาเรือ ่ งความเบือ ่ หน่ายโลกของตัวเองขึน ้ มาพูดเหมือนเป็ นเชิง
ระบาย ซึง่ คิดว่าเป็ นการพูดฆ่าเวลาเท่านั น ้ พูดไปพูดมา เพือ ่ นก็วเิ คราะห์สภาวะใจของ
เราและสรุปให ้เราเบ็ดเสร็จว่าสภาวะใจของเราเหมือนกับของเขาในตอนก่อนทีจ ่ ะเข ้า
โรงพยาบาลประสาท และให ้คาแนะนาว่า เราจะต ้องพยายามผลักดันตัวเองให ้ออกมา
เจอหน ้าเพือ ่ นฝูงมากขึน ้ เปิ ดหูเปิ ดตาบ ้าง เพราะถ ้ายิง่ เก็บตัว สภาวะใจของเราก็จะยิง่
ทรุดและเป็ นหนักใหญ่ และอาจจะต ้องเข ้าโรงพยาบาลประสาทเหมือนเขาก็ได ้ เราฟั ง
แล ้วก็คดิ ในใจว่า “เอ ้…นี่ใครบ ้ากันแน่นะ”
เห็นความวุน
่ วายของโลกเป็นเรือ
่ งธรรมดา ไม่กระตือรือร้นแล้ว
ตอนทีเ่ ราได ้คอมพิเตอร์ใหม่มาเมือ ่ ๑๘ เดือนก่อน ต ้นปี ๒๕๔๓ และ
สามารถใช ้อินเตอร์เน็ ทได ้นัน ้ เราได ้ใช ้อีเมล์เป็ นสือ ่ ในการให ้กาลังใจลูกศิษย์ทจ ี่ ากไป
จนมีการติดต่อโต ้ตอบกับลูกศิษย์ทางอีเมล์เป็ นอย่างมากอยูช ่
่ วงหนึง่ ใครมีปัญหาก็เขียน
ถามมา และเราก็ตอบไป คิดว่านี่เป็ นวิธก ี ารช่วยให ้ลูกศิษย์เดินในร่องของธรรมและให ้
กาลังใจเขาในการทาสมาธิตอ ่ ไป เพราะแต่ละคนก็ไม่ได ้อยูใ่ นเมืองพุทธ เป็ นช่วง
เดียวกับทีเ่ รากาลังเขียนคูม ่ อ
ื ชีวต ิ ภาษาอังกฤษอยู่ จึงใช ้เวลาอยูก ่ บั การเขียนหน ้าจอ
คอมพิเตอร์มากทีเดียว แต่หลังจากทีก ่ ลับจากเมืองไทยเมือ ่ เดือน มิถน ุ ายน ๒๕๔๔ แม ้
การช่วยเหลือลูกศิษย์เช่นนัน ้ เราก็ไม่อยากทาอีกแล ้ว เลิกเขียนแล ้ว พูดเรือ ่ ง
อินเตอร์เน็ ท คนส่วนมากชอบมาบอกให ้เปิ ดเว็บไซท ้ดูโน่นดูนี่ เราถามตัวเองว่า อยากรู ้
อะไรอีกหรือ ตอบได ้ว่า ก็ได ้รู ้สิง่ ทีด ่ ท ี ส ี่ ดุ ในโลกแล ้ว ยังอยากรู ้อะไรอีกเล่า
แม ้การสอนไท ้เก็ก ก็เริม ่ มีความรู ้สึกทีไ่ ม่กระตือรือร ้นอีกต่อไปแล ้ว ยิง่
เข ้าใจชีวติ มากขึน ้ เท่าไร ความกระตือรือร ้นของเราก็ยงิ่ น ้อยลงเท่านัน ้
ตอนนี้เริม ่ เห็นชัดว่า การถอนตัวออกจากโลกสมมุตเิ ริม ่ มีมากขึน ้ ทุกวัน
ทัง้ ๆ ทีด่ อู อกว่าโลกในขณะนี้เต็มไปด ้วยความวุน ่ วายและคนทีเ่ ป็ นทุกข์ แต่เรากลับมอง
ว่ามันเป็ นเรือ่ งธรรมดาของโลก โลกสมมุตเิ ป็ นอย่างนี้เอง ไปแก ้ไขอะไรไม่ได ้หรอก
ตอนทีเ่ รากาลังเขียนอยูน ่ ี้ อเมริกากับอังกฤษเริม ่ เอาระเบิดไปทิง้ อาฟกานิสถานแล ้ว ชาว
มุสลิมกาลังจะลุกฮือขึน ้ มาทั่วโลกเพือ ่ ทาสงครามศาสนา โลกร ้อนระอุอย่างนี้จะไปแก ้
อะไรมันเล่า มันก็ต ้องเป็ นไปตามเหตุตามปั จจัยของมัน จึงอยากใช ้ชีวต ิ เงียบ ๆ อยูก ่ บั
ความปกติธรรมดาเท่านัน ้ อยูก ่ บ
ั ตถตาไปวัน ๆ ตราบทีส ั
่ งขารยังอานวยให ้ ถึงเวลาตายก็
ตายไป หมดเรือ ่ งไป ไม่รู ้สึกว่ามีอะไรทีจ ่ าเป็ นจะต ้องทาอีกแล ้ว ความรู ้สึกทีต ่ ้องการ
ผลักดันตัวเองให ้ทาสิง่ ต่าง ๆ เพือ ่ คนอืน ่ มีน ้อยลงจนแทบจะไม่เหลืออีกแล ้ว ไฟในใจ
เกือบมอดแล ้ว ยังห่วงอยูเ่ หมือนกันว่า การเขียนอย่างทีเ่ รากาลังเขียนอยูน ่ ี้ก็อาจจะ
หายไปสักวันหนึง่ ในอนาคตก็ได ้ ฉะนัน ้ เมือ ่ ยังพอมีแรงบันดาลใจทีจ ่ ะเขียนอยู่ คิดว่า
ต ้องรีบเขียนเอาไว ้ นึกสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนกับถูกลัดคิวอย่างไม่ได ้ตัง้ ใจ ยังไม่
ควรเขียน แต่ก็มอ ี ันเป็ นไปให ้เขียนจนได ้
จินตภาพของหลวงพ่อสุยกล ับมา
ความรู ้สึกทีไ่ ด ้บรรยายไปนัน ้ ทาให ้นึกถึงหลวงพ่อสุย ตุ๊เจ ้าวัยเจ็ดสิบ
เศษทีห ่ หู นวกข ้างหนึง่ และตาไม่ดข ี ้างหนึง่ ท่านอยูท ่ วี่ ัดบ ้านหนองหวี พะเยา คงจะเป็ น
ต ้นปี กอ่ นในขณะทีเ่ ขียนคูม ่ อ
ื ชีวต ิ ภาษาอังกฤษอยูน ่ ัน้ จินตภาพของหลวงพ่อสุยทีน ่ ั่งอยู่
บนเก ้าอีโ้ ยกหน ้าระเบียงกุฏข ิ องท่านกลับเข ้ามาในใจเราเสมอ เพราะการเห็นธรรมของ
เรา ทาให ้เข ้าใจได ้ว่าตุ๊เจ ้าองค์นี้ต ้องบรรลุธรรมขัน ้ สูงสุดโดยทีไ่ ม่มใี ครรู ้เลย การทีท ่ า่ น
ตอบเราได ้ว่า พระนิพพานมันอยูต ่ รงข ้างหน ้านี่เอง ไม่ได ้อยูไ
่ กล และการใช ้
ชีวติ ประจาวันของท่านทีไ่ ม่มอ ี ะไรมากไปกว่าการนั่งเก ้าอีโ้ ยกตัวนัน ้ ทาให ้เราแน่ใจมา
กว่าท่านต ้องบรรลุธรรมขัน ้ สูงแน่ และการใช วต ้ชี ิ ทีก ่ ลมกลืนกับธรรมชาติเช่นนัน ้ คือสิง่ ที่
เรากาลังเห็นเป็ นขนมหวานอยูใ่ นขณะนี้ ทีจ ่ ริงได ้พูดเล่น ๆ กับสามีมาสิบกว่าปี แล ้วว่า
ความฝั นอันสูงสุดของเราคือ การได ้อยูบ ่ ้านบนต ้นไม ้ในป่ า tree house เหมือนทาร์ซาน
กับเจนซึง่ เป็ นหนังเรือ
่ งโปรดของเรา สามารถนอนดูท ้องฟ้ าทีเ่ ต็มไปด ้วยดวงดาวได ้ใน
ตอนกลางคืน ตอนนี้ ถ ้ามีทางเลือก เราก็ยังอยากอยูใ่ นทีเ่ ช่นนัน ้ อีก อยูก่ บ
ั ธรรมชาติ ไม่
อยากยุง่ กับใคร
ั
สงเกตเห็ นความเปลีย ่ นแปลงเมือ ่ ครงไปญี
ั้ ป
่ ่น
ุ
มีลก ู ศิษย์หญิงชาวอังกฤษชือ ่ แอนนาลีส เธอมาเรียนไท ้เก็กกับเราตัง้ แต่
ปี หนึง่ ถึงปี ส ี่ เมือ
่ เรียนจบแล ้ว เธอได ้งานสอนภาษาอังกฤษทีป ่ ระเทศญีป่ น
ุ่ เขียน
จดหมายมาบอกเราว่า เขาต ้องการขอบคุณเราในสิง่ ทีไ่ ด ้สอนเขาและคนอืน ่ ๆ ฉะนัน้ เขา
ต ้องการเชิญเราไปเทีย ่ วญีป ่ นโดยจะออกค่
ุ่ าตั๋วเครือ่ งบินให ้
ญีป่ นเป็
ุ่ นประเทศทีเ่ รายังไม่เคยไป การไปที่ ๆ ยังไม่เคยไปนั น ้ หัวใจ
่
ย่อมสันไหวด ้วยความตืน ่ เต ้นเป็ นธรรมดา แม ้ไม่แสดงออก แต่ทก ุ คนก็เห็นความรู ้สึกของ
ตัวเองทัง้ สิน ้ การเดินทางไปญีป ่ นในเดื
ุ่ อนมิถน ุ ายน ๒๕๔๒ นัน ้ เราเริม ่ สังเกตเห็นความ
เปลีย ่ นแปลงของจิตใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเดินทางไปญีป ่ นครั
ุ่ ง้ นัน
้ เริม ่ จากการนั่ งแท็กซีไ่ ปสนามบินเบอร์มงิ่
แฮมคนเดียว รออยูท ่ สี่ นามบินนานพอสมควร ในช่วงทีน ่ ั่งคอยนัน ้ ก็เอาจดหมายของ
แอนนาลีสออกมาอ่านทบทวนและเรียบเรียงสิง่ ทีต ่ ้องทาเพือ ่ นาเราไปพบกับแอนนาลีสที่
ญีป ่ น ุ่ นั่นคือ ต ้องจับเครือ ่ งบินจากเบอร์มงิ่ แฮมไปต่อเครือ ่ งทีอ ่ ัมสเตอร์ดัม บิน อีกราว ๑๒
ชัว่ โมง เครือ ่ งบินก็จะลงทีส ่ นามบินคานไซ นอกกรุงโอซาก ้า จากสนามบินคานไซ เรา
ต ้องจับรถไฟไปลงทีเ่ มืองเกียวโต และจากสถานีรถไฟเกียวโต เราต ้องแบกกระเป๋ าไป
อีกชานชาลาหนึง่ เพือ ่ ต่อรถไฟอีกเทีย ่ วหนึง่ ทีจ ่ ะพาเราไปอาเภอคาตาตาซึง่ อยูน ่ อกเมือง
เกียวโต และแอนนาลีสจะมารับเราทีส ่ ถานีรถไฟคาตาตา
นี่เป็ นครัง้ แรกในชีวต ิ ทีเ่ ราต ้องไปต่างประเทศและไปให ้ถึงจุดหมาย
ปลายทางโดยไม่มใี ครมารับหรือช่วยเราทีส ่ นามบินเลย และยังรู ้ด ้วยว่าคนญีป ่ นพู ุ่ ด
ภาษาอังกฤษไม่เก่ง การใช ้ชีวต ิ แต่งงานมานานถึง ๒๐ ปี นัน ้ ได ้สร ้างนิสย ั พึง่ พาอาศัย
สามีอยูเ่ สมอเมือ ่ ต ้องเดินทาง เพราะเราก็เหมือนผู ้หญิงส่วนมากคือ จาทางไม่เก่ง หลง
ทางบ่อย ในกรุงเทพยังหลงอยูเ่ รือ ่ ย เมือ ่ ไปทีไ่ หนแปลกถิน ่ ก็เดินตามสามีต ้อย ๆ ให ้เขา
นาอยูเ่ สมอ ฉะนัน ้ การไปให ้ถึงจุดหมายปลายทางทีญ ่ ป
ี่ นคนเดี
ุ่ ยวนัน ้ ต ้องรู ้สึกเป็ นห่วง
กังวล และกลัวเป็ นธรรมดาสาหรับผู ้หญิงในสถานะอย่างเรา เป็ นความรู ้สึกทีเ่ ราเองก็รอ
ให ้มันเกิดก่อนหน ้าการเดินทางแล ้ว โดยเฉพาะในช่วงสามสีว่ ันก่อนขึน ้ เครือ ่ งบิน แต่มันก็
ไม่เกิด ทุกครัง้ ทีค ่ ด ิ ถึงเรือ ่ งการเดินทางและทบทวนสิงทีต ่ ่ ้องทาเมือ ่ ไปถึงญีป ่ นนั ุ่ น ้
สามารถคิดได ้โดยหัวใจไม่สน ั่ ไหว คิดว่าเมือ ่ วันเดินทางมาถึง ต ้องสัน ่ แน่ แต่ในขณะทีร่ อ
ขึน ้ เครือ ่ งอยูท ่ ส
ี่ นามบินเบอร์มงิ่ แฮมนัน ้ นั่งอ่านจดหมายของแอนนาลีสอยูห ่ ลายเทีย ่ ว
เพราะมีรายละเอียดเรือ ่ งการเดินไปชานชะลาไหน หัวใจก็ยังไม่สน ั่ มีบางครัง้ ทีเ่ ห็นความ
ประหม่ากลัวกาลังจะก่อตัว เหมือนกับเห็นคลืน ่ ระลอกแรกกาลังก่อตัวขึน ้ มาก่อนทีจ ่ ะ
ปะทะหัวใจ ก่อนทีจ ่ ะทาให ้หัวใจเต ้นเร็ว แต่พอเห็นเท่านัน ้ มันก็คลายตัวไปทันที คลืน ่
ของความรู ้สึกไม่สามารถก่อตัวได ้ จึงนั่งรอทีส ่ นามบินได ้อย่างสงบ แม ้ไปถึง
อัมสเตอร์ดัมแล ้ว ตลอดจนนั่งเครือ ่ งบิน ๑๒ ชัว่ โมง ความหวั่นไหวของใจก็ไม่เกิด
ช่วงทีน ่ ั่งอยูบ ่ นเครือ ่ งบินนัน ้ ก็สงั เกตเห็นแล ้วว่า ใจเราได ้เปลีย ่ นไป
แน่นอน เพราะภายใต ้สถานการณ์เช่นนี้ การเดินทางไกล ไปทีแ ่ ปลกถิน ่ คนเดียว ใจไม่
ควรนิง่ เช่นนี้ มันนิง่ จนผิดปกติ จนเราเห็นได ้ชัดว่ามันไม่ธรรมดา
เมือ่ ไปถึงสนามบินคานไซทีโ่ อซาก ้า ก็โทรศัพท์บอกแอนนาลีสว่ามาถึง
แล ้ว เธอจึงค่อยบอกเราว่า จะไปรับทีส ่ ถานีรถไฟเกียวโต เราก็รู ้สึกโล่งอกเหมือนกันว่า
อย่างน ้อยจากสถานีเกียวโตก็จะมีคนมารับแล ้ว ไม่ต ้องงมหาทางเอง
ฟ้าผ่าไม่ถก
ู ใจ
เมือ
่ คราวทีเ่ กิดเหตุการณ์พส ิ ดารทางใจทีบ ่ ้านพรานนกจนทาให ้ใจเป็ น
อิสระอยูห ่ ลายเดือนนัน ้ มีวันหนึง่ ฝนตกหนัก มีทงั ้ ฟ้ าร ้อง ฟ้ าผ่า นัวเนียไปหมด ตัง้ แต่ท ี่
จาความได ้จนกระทั่งถึงเวลานัน ้ เรารู ้ว่า ทุกครัง้ ทีเ่ กิดฟ้ าร ้องและฟ้ าผ่านัน
้ มันจะต ้องผ่า
เข ้าทีใ่ จของเราด ้วยเสมอไป ใจจะต ้องเคลือ ่ นด ้วยความสะดุ ้งและหัวใจเต ้นแรง มากน ้อย
ก็ขน ึ้ อยูก่ บ ั ฟ้ าผ่าแรงแค่ไหน ถ ้าแรงมากก็ผา่ เข ้าทีใ่ จมากเท่านัน ้ ก็สะดุ ้งมากหน่อย แต่
รับประกันได ้ว่า ใจต ้องเคลือ่ นไหวเพราะสียงฟ้ าผ่าทุกครัง้ ไป และสิง่ ทีไ่ ม่คาดคิดก็
เกิดขึน ้ จาได ้ว่า วันนัน ้ ฟ้ าผ่าลงมาแรงมาก เสียงดังสนั่นไปหมด ฟ้ าผ่าทีม ่ เี สียงดังระดับ
นัน
้ ธรรมดาเราต ้องสะดุ ้งโหยงแล ้ว แต่ครัง้ นัน ้ ใจของเรากลับนิง่ เป็ นปกติ มีความรู ้สึกว่า
ฟ้ าผ่าไม่ถงึ ใจ จาได ้ชัดมาก เพราะรู ้ว่านั่นไม่ธรรมดา ไม่เคยปรากฏกับเราเช่นนัน ้ มาก่อน
ในชีวต ิ ไม่ว่าฟ้ าจะผ่าแรงหรือผ่าค่อย มันต ้องผ่าถูกใจเสมอ แล ้วทาไมครัง้ นัน ้ ฟ้ าจึงผ่า
ไม่ถงึ ใจ เหมือนกับไม่มใี จ แต่ก็ไม่กล ้าสรุปอะไรให ้ตัวเอง เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ผู ้ชายทีม ่ ใี จแข็งแกร่งนัน ้ ฟ้ าจะผ่าเข ้าถึงใจเขาหรือเปล่า อาจจะผ่าไม่เข ้าก็ได ้ ในช่วงนัน ้
คิดว่าคงจะฟั งมาจากอาจารย์โกวิทว่า การตัดสินความเป็ นพระอรหันต์ ก็ต ้องตัดสินตรง
ฟ้ าผ่า หรือการถอนเส ้นผม ซึง่ ตอนฟั ง ก็ไม่เข ้าใจเลยว่าหมายความว่าอย่างไร ทาไมจึง
ตัดสินทีฟ่ ้ าผ่า พอมาเจอเหตุการณ์ครัง้ นัน ้ ทีฟ
่ ้ าผ่าไม่ถก
ู ใจ จึงเข ้าใจได ้ แต่ก็ไม่กล ้า
บังอาจคิดว่าตัวเองจะเป็ นพระอรหันต์แต่อย่างใด เพราะไม่ได ้รู ้สึกว่าวิเศษพิสดารเลย
ฟ้ าผ่าไม่ถก ู ใจก็ยังรู ้สึกธรรมดามาก
ครัง้ หนึง่ มีโอกาสได ้คุยกับพระ และเกือบจะถามท่านแล ้ว แต่ก็ไม่รู ้จะ
พูดอย่างไรทีจ ่ ะไม่ให ้คนเข ้าใจผิดว่ากล ้าบังอาจคิดสูงถึงปานนัน ้ จึงเก็บเหตุการณ์เรือ ่ ง
ฟ้ าผ่าไว ้เสมอโดยทีไ่ ม่เคยบอกใคร
ต่อมา สภาวะการหลุดพ ้นค่อย ๆ หายไปในทีส ่ ด
ุ ฟ้ าก็ผา่ ถึงใจอีก
ตามเดิม จึงไม่มอ ี ะไรติดใจตนเอง และฟ้ าก็ผา่ ถูกใจมาเรือ ่ ยจนกระทั่งในช่วงสองสามปี
หลังนี้ ความเปลีย ่ นแปลงเริม ่ เกิดอย่างค่อยเป็ นค่อยไป คือเห็นได ้ชัดว่าฟ้ าผ่าถูกใจ
น ้อยลงทุกที บางครัง้ อาการสะดุ ้งก็ยังเกิดอยู่ แต่ใจถูกข่วนน ้อยมาก อาจจะกระทบเพียง
นิดเดียวและก็กลับเป็ นปกติอก ี ทันที แต่ก็ไม่ได ้คิดให ้เครดิตอะไรตัวเองมากนัก เพราะคิด
ว่าเมืองอังกฤษ ฟ้ าผ่าอย่างไรก็ยังไม่รน ุ แรงเท่ากับบ ้านเราทีเ่ ป็ นเมืองมรสุม ถ ้าเจอมรสุม
แรง ๆ อย่างในเมืองไทย ฟ้ าผ่าแต่ละเปรีย ้ งดังมาก ก็คงผ่าถึงกลางใจแน่นอน
ฟ้าผ่าลงบนเขาพุดทองทีส ่ วนโมกข์
ไม่ได ้คิดว่าต ้องกลับมาเมืองไทยเพือ ่ มาทดสอบดูวา่ ฟ้ าจะผ่าถึงขัว้ หัวใจ
หรือไม่ แต่เรือ ่ งมันก็เกิดเองจนได ้ กลับมาเมืองไทยในเดือนเมษายน ๒๕๔๔ อยูส ่ าม
เดือน จึงมีโอกาสลงไปสวนโมกข์ต ้นเดือนพฤษภาคม เพือ ่ ร่วมพิธวี ส ิ าขะบูชา ไปกับ
พีส่ าวและหลานชาย เป็ นการไปครัง้ ทีส ่ องหลังจากทีท ่ า่ นอาจารย์พุทธทาสได ้จากไป
แล ้ว บ่ายสามโมงของวันวิสาขะบูชา ทุกคนขึน ้ ไปรวมกันทีโ่ บสถ์ของสวนโมกข์บนเขา
พุดทองเพือ ่ ทาพิธเี วียนเทียน
บ่ายวันนัน้ ท ้องฟ้ ามืดคลืม ้ เต็มไปด ้วยเมฆดา มีฟ้าคะนองบ ้าง พระสงฆ์ก็
ได ้นั่งเรียงสองแถวหันหน ้าเข ้าหากันตรงหน ้าพระพุทธรูป ตรงหน ้าพระก็มเี ด็ก ๆ นักเรียน
กลุม ่ หนึง่ โดยการนาของน ้องไก่ลก ู สาวของคุณหมอประยูร ซึง่ มารวมตัวกันทีล ่ านซึง่ ใช ้
เป็ นเวทีของเขาพุดทอง นอกจากนัน ้ ก็มพ
ี ุทธศาสนิกชนทีน ่ ั่งแยกย ้ายกันอยูท ่ ลี่ านหินโค ้ง
รอบโบสถ์ของเขาพุดทองอีกประมาณร ้อยกว่าคน ระบบเสียงก็ถก ู ติดตัง้ เหมือนเดิมทุก
ครัง้ ทีม
่ พ
ี ธิ เี ช่นนี้
โดยประเพณีของสวนโมกข์แล ้ว เด็ก ๆ นักเรียนจากโรงเรียนวัดธารน้ า
ไหลจะขึน ้ มาร ้องเพลงธรรมะก่อน น ้องไก่เห็นเรานั่งอยูข ่ ้างหลัง จึงกวักมือเรียกเราขึน ้ มา
นั่งใกล ้เวทีเพือ ่ จะได ้เป็ นแขกผู ้มีเกียรติแจกของขวัญแก่เด็กนักเรียนเมือ ่ เขาร ้องเพลง
เสร็จ เราจึงคลานขึน ้ ไปนั่งใกล ้เวทีพร ้อมกับพีส ่ าว นั่นก็เป็ นบรรยากาศของสวนโมกข์ท ี่
เราได ้เคยมีสว่ นร่วมมาหลายครัง้ เมือ ่ สมัยทีเ่ ป็ นนักศึกษา จึงดีใจมากทีม ่ โี อกาสมาอยูก ่ บ
ั
บรรยากาศทีอ ่ บอุน ่ เช่นนี้อก
ี ครัง้ หนึง่ นั่งชืน ่ ชมเด็ก ๆ ทีข ่ น ึ้ มาร ้องเพลงธรรมะอย่างกล ้า
หาญ นึกชมน ้องไก่วา่ ฝึ กเด็ก ๆ ได ้ดีมาก
ในขณะทีเ่ ด็กชายหญิงสองคนกาลังร ้องเพลงโดยทีเ่ ด็กหญิงเป็ นคนถือ
ไมโครโฟนอยูน ่ ัน
้ ทันใดนัน ้ เหตุการณ์ทไี่ ม่มใี ครคาดฝั นก็เกิดขึน ้ เสียงดังสนั่นเหมือนฟ้ า
จะถล่มเขาพุดทอง และสายฟ้ าขนาดความยาวเกือบสองเมตรและความกว ้างราวหนึง่
เซนติเมตรก็ได ้ฟาดกระหน่าลงมากลางเวทีห่างจากเด็กหญิงทีถ ่ อื ไมโครโฟนอยูไ ่ ม่ถงึ
ฟุต สายฟ้ านัน ้ ได ้วิง่ ไปทางซ ้ายผ่านแจกันทองแดงทีว่ างอยู่ ทาให ้แจกันนั น ้ กระเด็นขึน ้
อย่างแรงพุ่งชนหน ้าผากของอุบาสกคนหนึง่ ทีน ่ ั่งอยูข่ ้างหน ้า เศษกิง่ ไม ้ใบไม ้ปลิวว่อนไป
หมดตรงบริเวณเวทีนัน ้ สายฟ้ านัน ้ ผ่าลงมาประมาณไม่ถงึ สามเมตรจากตรงทีเ่ รากับพีส ่ าว
นั่งอยู่ จึงสามารถสัมผัสความร ้อนผ่าวของสายฟ้ าทีม ่ าประทะกับใบหน ้า
ความปราดเปรียวของปัญญาค่อย ๆ เลือนหายไป
ในช่วงทีเ่ ขียนหนังสือภาษาอังกฤษสามเล่มแรกนัน ้ มักตืน ่ แต่เช ้ามืดทุก
วัน อยูน ่ านหลายปี จาได ้ว่า ประมาณตีสามครึง่ หรือตีส ี่ จะรู ้สึกตัวตืน ่ และในขณะทีล ่ ม
ื ตา
ดูความมืดสนิทของห ้องนอนนั่นเอง หัวสมองจะมีแต่การวิเคราะห์ข ้อธรรม ใจจะโน ้มไปสู่
สิง่ ทีเ่ ขียนค ้างไว ้เมือ
่ คืนก่อน และใจก็จะสางต่อสิง่ ทีจ ่ ะเขียนต่อไป คาพูดแต่ละประโยค
ปรากฏอยูใ่ นหัวอย่างชัดเจนว่าจะเขียนอะไร อย่างไร เหมือนมีใครเอามาใส่ไว ้ให ้ ไม่รู ้สึก
ว่าตัวเองเป็ นคนคิด หาผู ้คิดไม่พบ บ่อยครัง้ ทีร่ ู ้สึกทึง่ ในความคิดเหล่านัน ้ ทีส่ ามารถหาข ้อ
เปรียบเทียบต่าง ๆ อย่างง่ายดายทีไ่ ม่เคยคิดได ้มาก่อน และจู่ ๆ ความคิดเหล่านัน ้ ก็เข ้า
มาเอง สงสัยเหมือนกันว่ามาจากไหนหนอ
ในช่วงสองปี หลังนี้ สังเกตเห็นว่าความปราดเปรียวของปั ญญาเช่นนัน ้
ค่อย ๆ เลือนหายไป ในหัวจะไม่มค ี วามคิดต่าง ๆ เหมือนทีเ่ คยเป็ น ใจจะอยูก ่ บั ความ
เงียบสงัดของพระนิพพานเสียมากกว่า คือ ถ ้าลืมตาขึน ้ มาในความมืดของกลางดึก ใจก็
อยูก ่ บ
ั พระนิพพาน แต่เมือ ่ ต ้องการเขียนอะไร ก็โน ้มใจเข ้าไป สิง่ ต่าง ๆ ทีต
่ ้องการเขียนก็
จะพรั่งพรูออกมาเองโดยไม่มก ี ารคิดล่วงหน ้าเหมือนสมัยก่อน