Professional Documents
Culture Documents
R 003
R 003
คำนำ
กิจการอู่ต่อเรือและซ่อมเรือเป็นอุตสาหกรรมให้การสนับสนุนกองเรือพาณิชย์ไทยที่ สาคัญ และเกิด
ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานจานวนมากและมีความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม
อื่นๆ อีกมากมายทั้งการผลิตเหล็ก การหล่อโลหะ เครื่องจักรกล อุปกรณ์เรือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและงานตกแต่ ง
ภายใน เป็นต้น แต่อุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและซ่อมเรือไทยต้องประสบกับปัญหาต้นทุนจัดหาชิ้นส่วนอุปกรณ์สูง
เนื่ อ งจากต้อ งน าเข้ าจากต่ างประเทศถึ งร้ อ ยละ ๗๐ ของมู ล ค่ าเรือ ซึ่ งกิ จการอู่ เรือ ต้ องใช้ เงิน ลงทุ น สู ง มี
ผลตอบแทนต่าและระยะเวลาคืนทุนนาน
กองเรือพาณิชย์ไทยมีความเสียเปรียบกองเรือของต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยที่เรือสินค้าของไทยมี
สัดส่วนในการขนส่งสินค้าเข้าออกทางทะเลเพียงร้อยละ ๙ ที่เหลือร้อยละ ๙๑ อยู่ในมือของเรือขนส่งต่างชาติ
ทาให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตราเป็นค่าจ้างเรือขนส่งสินค้าให้กับต่างชาติถึงร้อยละ ๙๑ ของค่าระวาง
ขนส่งที่มีมูลค่าทั้งหมดกว่า ๑.๓ ล้านล้านบาทต่อปี รวมทั้งกองเรือสินค้าไทยมีขนาดเล็กมาก เฉพาะในกลุ่ม
ประเทศอาเซียน กองเรือสินค้าไทยมีขนาดใหญ่กว่ากองเรือของประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ และบรูไน เท่านั้น
บริษัทเดินเรือไทยจานวนหนึ่งได้แก้ปัญหาความเสียเปรียบกองเรือต่างชาติด้วยการย้ายไปจดทะเบียน (ชักธง)
เป็นเรือต่างประเทศที่ให้ผลประโยชน์ทางกฎหมายดีกว่า นอกจากนี้ท่าเรือของประเทศไทยมีความหลากหลาย
ประเภทความเป็นเจ้าของ การบริหาร และผู้ประกอบการ ขาดหน่วยงานกลางที่เป็นเจ้าภาพหลักในการดูแล
รับผิดชอบอย่างเป็นระบบและบูรณาการ มีข้อ จากัดในเรื่องร่องน้าตื้นเขิน เกิดการแออัดในการขนถ่ายสินค้า
จนต้องจอดเรือรอเวลาเทียบท่า ในขณะที่บางท่าเรือสร้างเสร็จยังไม่ได้ใช้งาน ตลอดจนข้อ จากัดของกฎหมาย
ทาให้ต้องสูญเสียโอกาสของการพัฒนาเรือยอร์ช เรือสาราญ ในประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทาง
ทะเลของชาวต่างชาติที่มีกาลังซื้อสูงไปอย่างน่าเสียดาย อีกทั้งมีข้อจากัดและอุปสรรคในการผลิตบุคลากรด้าน
การพาณิชยนาวีเพื่อรองรับกองเรือพาณิชย์ไทย
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวีในคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม
จึงได้ตระหนักในความสาคัญของกิจการพาณิชยนาวีของไทย โดยจัดประชุมเชิญผู้แทนหน่วยงานและบุคคลที่
เกี่ยวข้องมาชี้แจงแสดงความเห็น และพิจารณาศึกษาจากเอกสารประกอบการชี้แจงของหน่วยงานต่าง ๆ และ
ผู้ประกอบการ รวมทั้งการสืบค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทางระบบเว็ปไซต์และอินเตอร์เน็ต คณะอนุกรรมาธิการ
มีความเชื่อมั่นว่ารายงานฉบับนี้สามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค ข้อ จากัด และการ
กาหนดมาตรการส่งเสริมสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนการพาณิชยนาวีของประเทศไทยให้เกิดประโยชน์ต่อ
เศรษฐกิจของประเทศชาติที่ปัจจุบันต้ องประสบกับสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่า และผลกระทบจากภาวการณ์
แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ทั่วโลก
๓
สำรบัญ
คานา .............................................................................................................................................................. ๒
สารบัญ ........................................................................................................................................................... ๓
๑.๑ การดาเนินงาน .................................................................................................................................... ๖
๑.๒ วัตถุประสงค์ของการศึกษา.................................................................................................................. ๗
๑.๓ ขอบเขตของการศึกษา ........................................................................................................................ ๗
๑.๔ วิธีการพิจารณาศึกษา .......................................................................................................................... ๘
๑.๕ ความสาคัญและโอกาสของการพัฒนาการพาณิชยนาวีไทย .............................................................. ๑๓
บทที่ ๒ องค์ประกอบและกรอบการทางานของคณะอนุกรรมาธิการ ............................................................ ๑๗
๒.๑ ข้อมูลจากหน่วยงานที่นาเสนอต่อคณะอนุกรรมาธิการตามกรอบการศึกษา ...................................... ๑๗
๒.๒ การเดินทางศึกษาดูงานของคณะอนุกรรมาธิการ .............................................................................. ๑๘
๒.๓ ข้อมูลทางด้านนโยบายที่เกี่ยวข้อง .................................................................................................... ๒๑
บทที่ ๔ ผลการดาเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ ..................................................................................... ๒๓
๔.๑ การรับฟังความคิดเห็นจากสานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (สกพอ.)
................................................................................................................................................................ ๒๓
๔.๒ การรับฟังความคิดเห็นจากกรมเจ้าท่า .............................................................................................. ๒๕
๔.๓ การรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย........................................................................ ๓๐
๔.๔ การรับฟังความคิดเห็นจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ........................................................................ ๓๓
๔.๕ การรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมเจ้าของเรือไทย ............................................................................ ๓๔
๔.๖ การรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย ...................................................................... ๓๕
๔.๗ การรับฟังความคิดเห็นจากกระทรวงคมนาคม .................................................................................. ๓๖
๔.๘ การรับฟังความคิดเห็นจากกรมสรรพากร ......................................................................................... ๓๘
๔.๙ การรับฟังความคิดเห็นจากกรมศุลกากร ........................................................................................... ๓๙
๔.๑๐ การรับฟังความคิดเห็นจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ................................. ๔๐
๔.๑๑ การรับฟังความคิดเห็นจากสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ...................................... ๔๒
๔.๑๒ การรับฟังความคิดเห็นจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย .................................................................. ๔๓
๔.๑๓ การรับฟังความคิดเห็นจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) ................................................ ๔๓
๔.๑๔ การรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมผู้ประกอบการขนส่งทางน้า ...................................................... ๔๕
๔
ตามที่ ที่ ป ระชุ มสภาผู้ แทนราษฎร ชุ ดที่ ๒๕ ปี ที่ ๑ ครั้ งที่ ๒๑ (สมั ยสามั ญ ประจ าปี ครั้ งที่ ห นึ่ ง)
วันพุธที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ ได้ลงมติตั้งคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้ แทนราษฎร ตามข้อบังคับ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๓๕) คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมมีหน้ าที่และอานาจ
กระทากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม
ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม และศึกษาผลกระทบอันเกิดจากอุตสาหกรรม รวมทั้งแนวทางในการแก้ไข
ปัญหา นั้น
เพื่ อ ให้ เป็ น ไปตามหน้ า ที่ แ ละอ านาจกระท ากิ จ การดั งกล่ า วข้ า งต้ น ที่ ป ระชุ ม คณะกรรมาธิ ก าร
การอุตสาหกรรม สภาผู้ แทนราษฎร ครั้งที่ ๑๘ วันพุ ธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ที่ประชุมได้พิ จารณาแล้ ว
เห็ น ว่าควรศึ กษาสภาพปั ญ หาและอุป สรรค ตลอดจนวิเคราะห์ ข้ อมูล ข้อ เท็ จจริงเพื่ อจัด ทาแนวทางและ
ข้อเสนอแนะในเรื่อง ๆ ที่เกี่ย วข้องกับ การส่ งเสริมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิ ช ยนาวี จึงอาศัยอานาจ
ตามข้ อ บั ง คั บ การประชุ ม สภาผู้ แ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้ อ ๙๖ มี ม ติ ตั้ ง คณะอนุ ก รรมาธิ ก ารศึ ก ษา
อุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี ในคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา
ปัญหาอันอยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมาธิการ โดยให้คณะอนุกรรมาธิการมีหน้าที่และอานาจพิจารณา
ศึก ษารวบรวมประเด็ น ปั ญ หา รวมถึ งเสนอแนะแนวทางการแก้ ไขปั ญ หาด้ านอุ ต สาหกรรมอู่ ต่ อ เรือ และ
พาณิชยนาวี เว้นแต่หน้าที่และอานาจในการสอบหาข้อเท็จจริง โดยมีกาหนดระยะเวลาการพิจารณาศึกษา
ภายใน ๖๐ วัน (ครบกาหนดวัน ที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๓) และให้ รายงานผลการศึกษาต่อคณะกรรมาธิการ
การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป
ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔
มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาในการพิจารณาของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและ
พาณิชยนาวี ครั้งที่ ๑ ออกไปอีก ๑๒๐ วัน (ครบกาหนดวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๓) และขยายเวลา ครั้งที่ ๒ ออกไป
อีก ๖๐ วัน (ครบกาหนดวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓) โดยอาศัยอานาจตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้ แทนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๖ วรรคสอง เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์การควบคุมเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID- ๑๙)
และเพื่อให้คณะอนุกรรมาธิการได้ดาเนินการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสาเร็จลุล่วง
ด้วยดี รวมทั้งให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบคอบและได้รับฟังข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่าง
ครบถ้วน
บัดนี้ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเสร็จ
เรี ยบร้ อยแล้ ว พร้ อมผลการพิ จารณาปรากฎตามรายงานในการนี้ จึ งได้ น าเสนอรายงานผลการพิ จารณาของ
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวีต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม
ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๖ ดังนี้
๖
๑.๑ การดาเนินงาน
๑.๑.๑ คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย
๑) นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ประธานคณะกรรมาธิการ
๒) นายพีระเพชร ศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง
๓) นายประทวน สุทธิอานวยเดช รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง
๔) นายนิยม ช่างพินิจ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม
๕) นายยงยุทธ สุวรรณบุตร รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่
๖) นายสมัคร ป้องวงษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ห้า
๗) นายชัยชนะ เดชเดโช รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หก
๘) นายพิเชษฐ สถิรชวาล ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ
๙) นายโกศล ปัทมะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ
๑๐) นายพิษณุ พลธี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ
๑๑) นายปริญญา ฤกษ์หร่าย โฆษกคณะกรรมาธิการ
๑๒) นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ โฆษกคณะกรรมาธิการ
๑๓) นายธนะสิทธิ์ โควสุรัตน์ กรรมาธิการ
๑๔) นายบุญแก้ว สมวงศ์ กรรมาธิการ
๑๕) นางสาววรรณวรี ตะล่อมสิน เลขานุการคณะกรรมาธิการ
๑.๑.๒ คณะกรรมาธิ การได้ มี มติ ตั้ งคณะอนุ กรรมาธิ การศึ กษาอุต สาหกรรมอู่ต่ อเรื อและ
พาณิชยนาวี ประกอบด้วย
๑) นายชัยชนะ เดชเดโช ประธานคณะอนุกรรมาธิการ
๒) นายเฉลิมวุฒิ แท่นสุวรรณ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง
๓) นายเศกสิษฏ์ ประทุมศรี รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง
๔) นายวิศรุต คงอุทัยกุล รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สาม
๕) นายพิเชษฐ สถิรชวาล ประธานที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ
๖) นายเรวัต อารีรอบ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ
๗) นายสาคร เกี่ยวข้อง ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ
๘) นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ
๙) นายสรรเพชญ บุญญามณี โฆษกคณะอนุกรรมาธิการ
๑๐) นายปุณณชัย ฟูตระกูล เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ
๗
๑.๑.๓ คณะอนุกรรมาธิการได้มีมติตั้งที่ปรึกษาประจาคณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรม
อู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี ประกอบด้วย
๑) นายโกศล ปัทมะ
๒) นายชาญชัย วิรุณพันธ์
๓) นายทศพร ละดาพรพิพัฒน์
๔) นายพันธสิทธิ์ พรหมฤทธิ์
๕) นายพิษณุ พลธี
๖) นายยอดชาย เตียเปิ้น
๗) นายวิศิษฎ์ คชสิทธิ์
๘) นายสมเกียรติ สืบเหตุ
๙) นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก
๑๐) นายกฤษ สีตองอ่อน
๑๑) นายธวัชชัย ทองอ่อน
๑๒) นางสาวปณิชา รัชตะกุลธารง
๑๓) นางสาวสุมณฑา สุภาวิมล
๑๔) นายวิชัย รามมะเริง
๑๕) นายสุรพล มีเสถียร
๑๖) นายพงศกร ชูพันธุ์
๑.๒ วัตถุประสงค์ของการศึกษา
๑.๒.๑ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของอุตสาหกรรมอู่เรือและพาณิชยนาวี
๑.๒.๒ เพื่อติดตามผลสัมฤทธิ์นโยบายและมาตรการของรัฐเรื่องการพัฒนาและการส่งเสริม
อุตสาหกรรมอู่เรือและพาณิชยนาวี
๑.๒.๓ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอู่เรือและพาณิชยนาวีอย่างยั่งยืน
๑.๓ ขอบเขตของการศึกษา
๑.๓.๑ ด้านนโยบายและกฎหมายการสนับสนุนจากภาครัฐ
๑.๓.๒ ด้านกิจการอู่เรือ
๑.๓.๓ ด้านกิจการกองเรือพาณิชย์ไทย
๑.๓.๔ ด้านกิจการท่าเรือ
๑.๓.๕ ด้านเรือยอร์ช
๑.๓.๖ ด้านบุคลากรทางด้านพาณิชยนาวี
๘
๑.๔ วิธีการพิจารณาศึกษา
๑.๔.๑ คณะอนุกรรมาธิการได้ดาเนินการพิจารณาศึกษามาตรการส่งเสริมการพาณิชยนาวีของ
ประเทศไทย โดยการจัดประชุมและเชิญ ภาคส่ วนที่ เกี่ยวข้องกับกิจการพาณิ ช ยนาวี ทั้งภาคราชการและ
ภาคเอกชน มาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และแสดงความเห็น ตลอดจนเสนอปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อ
การส่งเสริมพาณิชยนาวีของประเทศไทย โดยได้จัดให้มีการประชุมจานวน ๑๒ ครั้ง ดังนี้
๑) การประชุ ม ครั้ ง ที่ ๑ วั น ศุ ก ร์ ที่ ๑๔ กุ ม ภาพั น ธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สว.) ๒๐๓ ชั้น ๒ อาคารรัฐสภา
๒) การประชุ ม ครั้ ง ที่ ๒ วั น อั ง คารที่ ๓ มี น าคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สว.) ๒๐๓ ชั้น ๒ อาคารรัฐสภา
๓) การประชุ ม ครั้ ง ที่ ๓ วั น อั ง คารที่ ๑๐ มี น าคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สว.) ๒๐๓ ชั้น ๒ อาคารรัฐสภา
๔) การประชุ ม ครั้ ง ที่ ๔ วั น อั ง คารที่ ๙ มิ ถุ น ายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๕) การประชุ ม ครั้ ง ที่ ๕ วั น อั ง คารที่ ๑๖ มิ ถุ น ายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๖) การประชุ ม ครั้ งที่ ๖ วั น อั งคารที่ ๓๐ มิ ถุ น ายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๗) การประชุ ม ครั้ งที่ ๗ วั น อั งคารที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๘) การประชุ ม ครั้ งที่ ๘ วั น อั งคารที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๙ ) การประชุ ม ครั้ ง ที่ ๙ วั น อั ง คารที่ ๔ สิ ง หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ กา
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๑๐) การประชุ ม ครั้ งที่ ๑๐ วั น อั งคารที่ ๑๑ สิ งหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๑๑) การประชุ ม ครั้ งที่ ๑๑ วั น อั งคารที่ ๑๘ สิ งหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๑๒) การประชุ ม ครั้ งที่ ๑๒ วั น อั งคารที่ ๑ กั น ยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิ ก า
ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๓๐๓ ชั้น ๓ อาคารรัฐสภา
๙
๑.๔.๒ คณะอนุ ก รรมาธิ ก ารได้ ด าเนิ น การโดยเชิ ญ หน่ ว ยงานให้ ข้ อ มู ล ข้ อ เท็ จ จริ ง และ
ประกอบการพิจารณา ดังนี้
หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่
ก. กระทรวงอุตสาหกรรม
๑) กรมโรงงานอุตสาหกรรม
(๑) นายศุภชัย โปฎก ผู้อานวยการกองบริการงานอนุญาตโรงงาน ๑
(๒) นายจิรวัฒน์ บุปผาพรหม นิติกรชานาญการพิเศษ
ข. กระทรวงคมนาคม
๑) กรมเจ้าท่า
(๑) นายกริชเพชร ชัยช่วย รองอธิบดีกรมเจ้าท่า
(๒) นาวาตรี สมนึก สุขวณิช ผู้อานวยการกองส่งเสริมการพาณิชยนาวี
(๓) นายสุวิทย์ ดอกคา ผู้อานวยการกองกากับการพาณิชยนาวี
(๔) นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศธ์ ผู้อานวยการสานักความปลอดภัย
และสิ่งแวดล้อมทางน้า
(๕) นางสาวจิตติมา ฉัตรเงิน นักวิชาการขนส่งชานาญการพิเศษ
(๖) นาวาตรี ชัยศิริ ขุนดา นักวิชาการขนส่งชานาญการพิเศษ
(๗) นายชาญนที สุรางค์ นักวิชาการขนส่งชานาญการพิเศษ
(๘) นางน้าทิพ เอกนิพิฐสริ นักวิชาการขนส่งชานาญการพิเศษ
(๙) นางสาวกุลฤดี อิสริยะทิพย์ นักวิชาการขนส่งชานาญการพิเศษ
(๑๐) นางสาวพีรพร เอนจินทะ นักวิชาการขนส่งปฏิบัติการ
(๑๑) นายฉัตรชัย ดวงแก้ว นักวิชาการขนส่งปฏิบัติการ
(๑๒) นายภาณุมาศ ยอดเถื่อน เจ้าพนักงานตรวจท่า
๒) การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๑) เรือโท ภูมิ แสงคา รองผู้อานวยการท่าเรือกรุงเทพ
(๒) เรือโท ภัทธวุฒิ กนกวรรณากร นายช่างกลท่าเรือกรุงเทพ
๓) สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
(๑) นางวิไลรัตน์ ศิริโสภณศิลป์ รองผู้อานวยการสานักงานนโยบายและ
แผนการขนส่งและจราจร
(๒) นางสาวกฤติกา บูรณะดิษ หัวหน้ากลุ่มแผนมหภาคปฏิบัติหน้าที่
หัวหน้ากลุ่มโลจิสติกส์การขนส่ง
สานักแผนงาน
(๓) นางสาวจิณณ์ณัฏฐ์ อมตเวทย์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ
ค. กระทรวงการคลัง
๑) กรมศุลกากร
(๑) นางอจิรพรรณ พู่วณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอัตราศุลกากร
๑๐
ซ. สมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย
(๑) นายพลวัต ณ นคร ประธานสมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย
(๒) นายดิฐพงศ์ ฐิตะดิลก รองประธานสมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย
ฌ. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(๑) นายอรรถสิทธิ์ กองชัยพฤกษ์ ประธานกลุ่มต่อเรือ
(๒) นายกิตติคม พูลสมบัติ รองเลขาธิการกลุ่มเหล็ก
ญ. สมาคมสถาบันการศึกษาพาณิชยนาวีไทยและฝึกอบรม
(๑) นายณรงค์ศักดิ์ ผาสุข เลขานุการสมาคมสถาบันการศึกษา
พาณิชยนาวีไทยและฝึกอบรม
(๒) นาวาเอกสมชาติ ไกรลาสสุวรรณ คณะกรรมการสมาคมสถาบันการศึกษา
พาณิชยนาวีไทยและฝึกอบรม
ฎ. สมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้า
(๑) นายปรีชา ประสพผล นายสมาคมผู้ประกอบการ
ขนส่งสินค้าทางน้า
(๒) นายชาตรี จิวรวัฒนกุล ที่ปรึกษาสมาคมผู้ประกอบการ
ขนส่งสินค้าทางน้า
ฏ. สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
(๑) นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อานวยการบริหารสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ
แห่งประเทศไทย
(๒) นางสาวฐิติพร ชื่นธีระวงศ์ ผู้จัดการด้านโลจิสติกส์ ฝ่ายวิชาการ
๑.๔.๓ คณะอนุกรรมาธิการได้มีมติเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ สถานที่ต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนากิจการพาณิชยนาวี เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งหาแนวทางใน
การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนากิจการพาณิชยนาวีของประเทศไทย จานวน ๒ ครั้ง ดังนี้
๑) คณะอนุ กรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิ ชยนาวี ได้เดินทางศึกษาดูงาน
เรื่อง “การส่งเสริมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี” ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และวันศุกร์ที่
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง กล่าวคือ
(๑) ศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบริห ารงานของท่าเรือแหลมฉบัง ณ ศูนย์สวัสดิการ
พนักงานท่าเรือแหลมฉบัง ห้องประชุมสโมสร วันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓
(๒) ศึกษาดูงานเกี่ยวกับกิจการอู่ต่อเรือ ณ บริษัทยูนิไทย ชิปยาร์ด แอนด์ เอ็นจิ
เนียริ่ง จากัด วันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓
(๓) ศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบริหารหลักสูตร การจัดการศึกษา การพัฒนาบุคลากร
ด้านพาณิชยนาวี ณ สมาคมสถาบันการศึกษาพาณิชยนาวีไทยและฝึกอบรม (ThaiMET) วิทยาลัยเทคโนโลยี
ทางทะเลแห่งเอเชีย วันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓
๑๒
๑.๕ ความสาคัญและโอกาสของการพัฒนาการพาณิชยนาวีไทย
การพาณิชยนาวี หมายถึง กิจการพาณิชยนาวีที่ประกอบด้วย การขนส่งทางทะเล การประกันภัยทาง
ทะเล การเดินเรือ กิจการอู่ต่อเรือและซ่อมเรือ และกิจการท่าเรือ รวมถึงกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการพาณิชยนาวี
๑.๕.๑ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางทะเลหรือการค้าทางน้าหรือทางทะเลที่มีส่วนประกอบ
ที่สาคัญคือ สินค้า เส้นทางและจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางน้าเรือบรรทุกสินค้า กิจการสนับสนุนและกิจกรรม
ต่อเนื่องอื่น ๆ ซึ่งล้วนสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติเป็นอย่างมาก
๑.๕.๒ เป็นกิจการที่มีบทบาทสาคัญต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจน
ส่งเสริมศักยภาพและประสิทธิภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นแหล่งจ้างงานและนารายได้และเงินตราเข้าสู่
ประเทศได้อย่างมหาศาล ซึ่งการขนส่งสินค้าเพื่อการนาเข้าและส่งออกของประเทศไทยประมาณร้อยละ ๙๐
ถูกขนส่งทางทะเล
๑.๕.๓ กองเรื อ พาณิ ช ยนาวี ไ ทยมี ข นาดเล็ ก มากเมื่ อ เที ย บกั บ ปริ ม าณสิ น ค้ า ที่ ไทยค้ า ขายกั บ
ต่างประเทศ กล่าวคือ
๑) เรือสินค้าไทยมีสัดส่วนในการขนส่งสินค้าทางทะเลเข้าออกจากประเทศเพียงร้อยละ ๙
ที่เหลืออีกร้อยละ ๙๑ ต้องพึ่งเรือสินค้าต่างชาติในการขนส่งสินค้า
๒) ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตราเป็นค่าจ้างเรือสินค้าต่างชาติขนส่งสินค้ากว่าร้อยละ ๙๐
หรือไม่น้อยกว่า ๑.๓ ล้านล้านบาทต่อปี โดยที่กองเรือสินค้าไทยได้รับค่าระวางในการขนส่งสินค้ าทางเรือเพียง
ร้อยละ ๙ ต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ ๑.๓ แสนล้านบาทต่อปีเท่านั้น
๓) ประเทศไทยมีกองเรือเดินทะเลระหว่างประเทศ ๔๐๖ ลา ขนาดบรรทุก ๖,๘๖๓,๘๙๑
เดทเวทตัน เป็นลาดับที่ ๓๔ ของโลก๑ และขนาดกองเรือยังเล็กถ้าเทียบกับจานวนของสินค้านาเข้า - ส่งออก
๔) กองเรือสินค้าของไทยมีขนาดเป็นลาดับที่ ๖ ของ ๙ ชาติอาเซียนที่มีพื้นที่ติดทะเล กอง
เรือสินค้าไทยมีขนาดใหญ่กว่ากองเรือของกัมพูชา เมียนมาร์ และบรูไนเท่านั้น
๑.๕.๔ ในอดี ต ภาครั ฐ ให้ ค วามส าคั ญ กั บ การขนส่ ง ทางบกและทางรางเป็ น หลั ก โดยไม่ มี แ ผน
การจัดการขนส่งทางน้าให้สามารถบูรณาการกับการขนส่งในรูปแบบอื่นอย่างเป็นระบบ ทาให้การขนส่งทางน้า
ขาดความเชื่อมโยงและต่อเนื่อง
๑.๕.๕ ตามแผนยุ ท ธศาสตร์ ก ารพั ฒ นาโครงสร้างพื้ น ฐานด้ านคมนาคมขนส่ งของไทยปี ๒๕๕๘
ถึง ๒๕๖๕ เพื่ อ พั ฒ นาระบบขนส่ งทั่ ว ทั้ งประเทศ ด้ ว ยงบประมาณทั้ งหมด ๒ ล้ านล้ านบาท ครอบคลุ ม
การขนส่งทั้งทางถนน ทางราง ทางอากาศ และทางน้า ซึ่งปรากฎว่า ทางน้ามีงบประมาณน้อยมากคิดเป็นเพียง
ร้อยละ ๔ ของระบบการขนส่งทั้งหมด แต่คิดเป็นต้นทุนการขนส่งต่าสุดแค่ ๐.๖๕ บาท/ตัน-กิโลเมตร เทียบกับ
ต้นทุนการขนส่งทางถนน ทางราง และทางอากาศที่มีอัตรา ๒.๑๒, ๐.๙๕ และ ๑๐.๐๐ /บาท/ตัน-กิโลเมตร
ตามลาดับ๒ หากภาครัฐให้ความสาคัญกับการพัฒ นาลาน้าที่มีอยู่มากมายให้เหมาะสมกับการขนส่งทางน้า
เช่นเดียวกับการสร้างถนน จะสามารถกระตุ้นการพัฒนาพาณิชยนาวีของไทยได้เป็นอย่างมาก
๑.๕.๖ ขนาดกองเรื อ พาณิ ช ย์ ข องประเทศไทยนั้ น ส่ งผลต่ อ ระดั บ ความมั่ น คงของประเทศชาติ
เนื่ องจากรัฐสามารถเรียกเรือที่ชักธงไทยมาใช้ในการขนส่งกาลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร และ
อพยพประชาชนในยามศึกสงคราม หรือในสถานการณ์ที่ประเทศชาติไม่สงบได้
๑.๕.๗ การค้าระหว่างประเทศของไทยขยายตัวต่อเนื่องถึงแม้ปัจจุบันจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจ
ถดถอยและการพัฒ นาการขนส่ งทางน้ าเพื่ อลดต้นทุ นด้านโลจิส ติ กส์ ของประเทศ ล้ ว นเป็ นการเพิ่ม ความ
ต้องการในการต่อเรือและซ่อมเรือ
๑.๕.๘ ถึงแม้กิ จ การต่อเรือเป็ น กิจการด้านการผลิ ตที่ มีมูล ค่าน้อยเมื่ อเทียบกับกิจการอื่น ๆ ของ
พาณิ ช ยนาวี อย่ างการขนส่ งทางทะเลหรื อการท่ าเรือที่ มี ลั กษณะเป็ น การให้ บ ริก าร แต่กิ จการอู่ เรือ เป็ น
อุตสาหกรรมสนับสนุนกองเรือพาณิชย์ไทย ก่อให้เกิดการจ้างงานและเกี่ยวเนื่องจากอุตสาหกรรมอื่ น ๆ อีก
มากมาย อาทิ การผลิตเหล็ก การหล่อโลหะ เครื่องจักรกล อุปกรณ์เรือ อุปกรณ์ไฟฟ้า และงานตกแต่งภายใน
เป็ น ต้น ทั้งนี้ กิจการอู่ต่อเรือเป็ น กิจ กรรมที่มีการลงทุนสู ง ผลตอบแทนต่าและต้องอาศัยระยะเวลาคืนทุ น
ค่อนข้างนานรวมถึงมีการแข่งขันสูงมาก
๑.๕.๙ กองเรือไทยส่วนมากมีอายุการใช้งานนานหลายปี ดังจะเห็นได้ว่ากองเรือขนส่งน้ามันชายฝั่ง
(Coastal Tanker) ของไทยจานวนกว่า ๑๑๐ ลา มีอายุการใช้งานเกิน ๓๐ ปี ซึ่งต้องจัดทาทดแทนใน ๑๐ ปี
ข้างหน้า นับได้ว่าเป็นอุปสงค์ที่ค่อนข้างแน่นอนในอนาคต
๑.๕.๑๐ ตลาดการซ่อมเรือเป็นตลาดที่มีความต่อเนื่องกล่าวคือ เรือสินค้ามีกาหนดการต้องนาเรือเข้า
ซ่อมทุก ๆ ๒ - ๓ ปี ซึ่งเป็นไปตามกฎข้อบังคับการตรวจและการจัดชั้นเรือนานาชาติ
๑.๕.๑๑ อุต สาหกรรมเรื อ ยอร์ ช เป็ น เรือที่ มี ราคาแพงมาก นั กท่ อ งเที่ ย วเรือส าราญเป็ น กลุ่ มที่ มี
คุ ณ ภาพและมี ก าลั งซื้ อ สู ง ปั จ จุ บั น เรื อ Super yacht ขนาดความยาวมากกว่ า ๓๐ เมตร มี จ านวนกว่ า
๑๐,๐๐๐ ลาทั่วโลก ศูนย์กลางการท่องเที่ยวจะอยู่ในทวีปยุโรปช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมของทุกปี และจะ
๒ ที่มา : สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (๒๕๕๖), อ้างอิงใน รายงานวิชาการสานักงานงบประมาณของรัฐสภา
แนวทางการพัฒนาระบบคมนาขนส่งของประเทศ ฉบับที่ ๘/๒๕๖๒
๑๖
๒) กระทรวงคมนาคม
(๑) กรมเจ้าท่า
(๒) การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓) สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
๓) กระทรวงการคลัง
(๑) กรมศุลกากร
(๒) กรมสรรพากร
๔) กระทรวงพาณิชย์
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
๕) สานักนายกรัฐมนตรี
(๑) สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
(๒) สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
(๓) สานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
หน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่
(๑) สมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย
(๒) สมาคมเจ้าของเรือไทย
(๓) สมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย
(๔) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(๕) สมาคมสถาบันการศึกษาพาณิชยนาวีไทยและฝึกอบรม
(๖) สมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้า
(๗) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
๒.๒ การเดินทางศึกษาดูงานของคณะอนุกรรมาธิการ
๒.๒.๑ คณะอนุ กรรมาธิ การศึ ก ษาอุ ต สาหกรรมอู่ ต่ อ เรื อ และพาณิ ช ยนาวี เดิ น ทางศึ กษาดู งาน
เรื่อง “การส่งเสริมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี” ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และวันศุกร์ที่
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ซึ่งสรุปสาระสาคัญการศึกษาดูงานได้ดังนี้
๑) การบริหารงานของท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี
(๑) การท่าเรือแห่ งประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบด้วยจานวนเจ้าหน้าที่ที่เป็น
พนักงานการท่าเรือฯ ทั้งหมด ๒๖๑ คน ในพื้นที่ทั้งหมด ๘,๐๐๐ ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายท่าเรือเฟส ๓
(๒) ปัจจุบันท่าเรือเฟส ๑ และ ๒ รวมกันสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้ ๑๑ ล้าน
ทีอียูต่อปี อยู่เป็นลาดับที่ ๒๐ ของโลก และลาดับที่ ๑๕ ของเอเชีย
๑๙
๒.๓ ข้อมูลทางด้านนโยบายที่เกี่ยวข้อง
๒.๓.๑ ปัจจุบันประเทศไทยมีพระราชบัญญัติส่งเสริมพาณิชยนาวี พ.ศ.๒๕๒๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ.๒๕๔๘ มีเนื้อหาที่ไม่ทันสมัย เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ทาให้การส่งเสริมการพาณิชยนาวีของไทย
ขาดประสิ ท ธิ ภ าพเท่ า ที่ ค วร จึ ง เห็ น ควรผลั ก ดั น ให้ มี ก ารปรั บ ปรุ ง และพั ฒ นาเนื้ อ หาใหม่ จนเกิ ด เป็ น
พระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ที่มีกรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก
๒.๓.๒ พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ
ส่งเสริมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี ได้ทาการศึกษาโดยยึดตามหลักการ
แนวคิดและการดาเนินงาน ตามวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของอุตสาหกรรม
อู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี ๒) เพื่ อติดตามผลสัมฤทธิ์นโยบายและมาตรการของรัฐ และ ๓) เพื่อหาแนวทาง
การพัฒนาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวีอย่างยั่งยืน
๓.๑ เน้นความเป็นอิสระและความเป็นกลางอย่างเ
ค ร่ ง ค รั ด ยึ ด ถื อ ก ร อ บ ก า ร ท า ง า น ใ น น า ม ข อ ง
คณะอนุ กรรมาธิการโดยปลอดจากการครอบงาของพรรคการเมือง ให้ ความส าคัญ กับ กระบวนการรับฟั ง
ความคิดเห็ นจากผู้ที่มีส่ วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิ ชยนาวี นาเสนอข้อเท็จจริง
โดยปราศจากอคติ เพื่อแสวงหาทางออกให้กับอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี
๓.๒ เคารพการท างานของหน่วยงานอื่ น ที่ มีห น้ าที่รับผิ ดชอบอยู่แล้ ว เพื่ อหลี กเลี่ ยงการท างาน
ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะประเด็นการค้นหาข้อมูลการศึกษาสภาพปัจจุบัน คณะอนุกรรมาธิการจะยึดถือตามกรอบ
วัตถุประสงค์ โดยมีขอบเขตของการศึกษา อุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและซ่อมเรือเดินทะเล เรือยอร์ช อุตสาหกรรม
ท่าเรือ โดยเฉพาะท่าเรือในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และกองเรือพาณิชย์ไทย ยึดตามกรอบการทางาน
ของคณะอนุกรรมาธิการ ดาเนินการพิจารณาศึกษามาตรการส่งเสริมการพาณิชยนาวีของประเทศไทยโดยการ
จัดประชุมและเชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการพาณิชยนาวี ทั้งภาคราชการ และภาคเอกชน มาให้ข้อมูล
ข้อเท็จจริง และแสดงความเห็น ตลอดจนเสนอปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมพาณิชยนาวี
ของประเทศไทย รวมถึงการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ สถานที่ต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริม สนับสนุน
และพัฒนากิจการพาณิชยนาวี เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรวมทั้งหาแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุน และ
พัฒนากิจการพาณิชยนาวีของประเทศไทย
๓.๓ การรับฟังความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์โดยเปิดเผย เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเสนอแนะ
ประเด็นที่สาคัญที่จะนาไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี หรือประเด็นสาคัญที่อาจเป็น
อุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีก
๓.๔ ให้ความระมัดระวังต่อกรณีที่อาจก้าวล่วงต่อการทางานของหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน
หรือองค์กรอิสระอื่นๆ ที่มีอานาจหน้าที่ แต่จะเสนอข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ
และพาณิชยนาวีของประเทศไทย
บทที่ ๔ ผลการ
ดาเนินงานของคณะอนุ
กรรมาธิการ
จากการด าเนิ น งานของคณะอนุ ก รรมาธิก ารที่ เริ่มตั้ งแต่ การประชุ มครั้งแรกเมื่อ วัน อั งคารที่ ๑๘
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ จนถึงปัจจุบันได้มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ จานวน ๑๒ ครั้ง โดยเป็นการเชิญ
หน่วยงาน องค์กร จากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งบุคคลที่มีส่ วนเกี่ยวข้องกับกิจการอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและ
พาณิชยนาวีมาให้ข้อมูลและความคิดเห็นต่อคณะอนุกรรมาธิการ ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การรั บ ฟั งความคิ ด เห็ น จากส านั ก งานคณะกรรมการนโยบายเขตพั ฒ นาพิ เศษ
ภาคตะวันออก (สกพอ.) โดย นางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการสายงานพัฒนาพื้นที่และ
ชุม ชน ผู้ แทนเลขาธิ การคณะกรรมการนโยบายเขตพั ฒ นาพิ เศษภาคตะวัน ออก ได้ ชี้แ จงต่ อ ที่ ป ระชุม ว่ า
สานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตั้งมาพร้อมกับพระราชบัญญัติเขตพัฒนา
พิเศษภาคตะวัน ออก พ.ศ. ๒๕๖๑ หากกล่าวถึงอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือจัดเป็นอุ ตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้าง
พื้นฐาน ที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอยู่แล้ว สาหรับท่าเรือ
แหลมฉบังในระยะที่ ๓ ที่กาลังเป็นกรณีอยู่ในชั้นศาลอยู่นั้น ในปัจจุบันกระบวนการผู้เข้ารับการประมูลงาน
ยังคงดาเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้ประกาศเขต
ส่งเสริมเศรษฐกิจ พิเศษแล้ ว ๒๙ เขต แต่ในปัจจุบั นนักลงทุนยังชะลอการลงทุนอยู่เพราะเนื่องจากปัจจัย
โครงสร้ า งพื้ น ฐานในเขตพั ฒ นาพิ เศษยั งไม่ ส มบู รณ์ เท่ า ที่ ค วร ในเขตพั ฒ นาพิ เศษอุ ต สาหกรรมอู่ ต่ อ เรื อ
ท่าเทียบเรือ สามารถพัฒนายกระดับได้ตลอดเวลา หากมีนักลงทุนเข้ามาประกอบการจะได้สิทธิประโยชน์ตาม
มาตรการต่อไป รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยังได้กล่าวถึง รายงาน
การศึกษาเรื่องการพัฒ นาและส่งเสริมเขตอุตสาหกรรมต่อเรือและมาตรการสนับสนุน ซึ่งเป็นรายงานของ
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามาตรการส่งเสริมพาณิช ยนาวีของประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
โดยมอบข้อมูลที่สาคัญไว้ให้กับคณะอนุกรรมาธิการ เพื่อที่จะศึกษาและต่อยอดการพิจารณาต่อไปได้ สาหรับ
พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากจะส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัด
ชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดระยองแล้ว พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังให้อานาจในการประกาศเขต
เศรษฐกิ จ พิ เศษในภู มิ ภ าคอื่ น ๆ ได้ ตามมาตรา ๖ แห่ งพระราชบั ญ ญั ติ เขตพั ฒ นาพิ เศษภาคตะวัน ออก
พ.ศ. ๒๕๖๑
หลังจากผู้แทนของสานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒ นาพิเศษภาคตะวันออกได้ชี้แจงแสดง
ความคิดเห็นเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมได้ขอหารือโดยมีประเด็นดังนี้
๑. หากนักลงทุนต้องการดาเนินกิจการอู่ต่อเรือในภูมิภาคอื่น ๆ สานักงานคณะกรรมการนโยบาย
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จะสามารถดาเนินการอย่างไรได้บ้าง
๒๔
ผู้ ป ระกอบการอู่ ต่ อ เรื อ และซ่ อ มเรื อ ของประเทศไทยมี ต้ น ทุ น ที่ สู ง ขึ้ น จน ไม่ ส ามารถแข่ ง ขั น กั บ ตลาด
ต่างประเทศได้ ส่วนในเรื่องของภาษีศุลกากรกรมเจ้าท่าได้พยายามผลักดันเสนอให้ยกเว้น การเก็บภาษีอากร
วัส ดุ น าเข้า อุป กรณ์ ในการซ่ อมและต่ อเรื อ ส าหรับ การส่ งเสริม พาณิ ช ยนาวีต ามพระราชบั ญ ญั ติ ส่ งเสริม
การพาณิชยนาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่กาหนดให้เรือราชการต้องต่อและซ่อมเรือกับอู่เรือภายในประเทศไทยเท่านั้น
ในกรณีที่อู่ต่อเรือและซ่อมเรือไทย มีศักยภาพ หากเกินศักยภาพสามารถต่อและซ่อมเรือจากต่างประเทศได้ใน
ส่วนของการส่งเสริมจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ให้สิทธิประโยชน์เรือไทยได้รับ
การยกเว้นภาษีจานวน ๘ ปี ต้องเป็นการต่อและซ่อมเรือภายในประเทศเท่านั้น กรมเจ้าท่ายังได้ประสานกับ
องค์ ก รต่ า งป ระเท ศคื อ Japan External Trade Organization (JETRO) ได้ ส่ ง บุ คลากรที่ มี ค วาม รู้
ความสามารถเข้ามาดูแลให้ความรู้ในการต่อเรือน้ามันเปลือกเรือ ๒ ชั้น ด้วย ในภาพรวมของอุตสาหกรรมการ
ต่อและซ่อมเรือไทย ผู้ประกอบการยังไม่สามารถทาการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้เพราะขาดอุปกรณ์และ
เทคโนโลยีที่ทันสมัย ระยะเวลาต่อเรือขนาดใหญ่ใช้เวลามากกว่า ๑ ปี ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ทั้งนี้เกิดจาก
มาตรการตอบโต้ ก ารทุ่ ม ตลาด (AD) ท าให้ เกิ ด ก าแพงภาษี ที่ สู ง กว่ า ปกติ การน าเข้ า แผ่ น เหล็ ก เฉพาะ
อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือจึงมีต้นทุนสูงมาก ทาให้ไม่สามารถแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้ กองเรือ
พาณิชยนาวีของไทยในปัจจุบันยังคงสถานะขนาดของกองเรือไทยเท่าเดิมหากต้องการขยายศักยภาพกองเรือไทย
จาเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในเรื่องที่สาคัญที่สุดคือ มาตรการด้า นภาษีเพราะปัจจุบันเรือไทย
ไปจดทะเบียนในต่างประเทศสูงมาก เพราะมีอัตราภาษีที่น้อยกว่าในประเทศไทย กองเรือไทยส่วนมากเป็นกอง
เรือบรรทุกน้ามันมีสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของเรือทั้งหมด
หลังจากที่ผู้แทนจากกรมเจ้าท่าได้ชี้แจงแสดงความคิดเห็นแล้วที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่ าง ๆ
โดยสรุปได้ดังนี้
๑) การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ จะมีประเด็นที่ปรับปรุง
แก้ไขอย่างไรบ้าง และในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนใด
ผู้ แ ทนจากกรมเจ้ า ท่ า ได้ ชี้ แ จงว่ า การปรั บ ปรุ ง แก้ ไ ขพระราชบั ญ ญั ติ ส่ ง เสริ ม การพาณิ ช ยนาวี
พ.ศ. ๒๕๒๑ มีป ระเด็น สาคัญในเรื่องของการตั้งหน่วยงานการส่งเสริมพาณิชยนาวีให้ เป็นองค์การมหาชน
โดยแยกออกมาเป็นหน่วยงานเฉพาะ ประเด็นต่อมาเป็นการใช้เรือเฉพาะแท่นขุดเจาะน้ามัน โดยมีสาเหตุมา
จากการใช้เรือในเขตเฉพาะจะมีเรือให้บริการอยู่จานวนมาก เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ทั้ งนี้เพราะว่า
เรือจากต่างประเทศ จะได้รับการเก็บภาษีที่มีจานวนน้อยกว่า เรือสัญชาติไทย ประเด็นสิทธิและประโยชน์ต่าง
ๆ ของกองเรือไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาเพราะเกี่ยวข้องกับรายได้ของประเทศ จึงต้องพิจารณาให้เป็นไป
ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทางการเงินการคลังของรัฐด้วย ประเด็นคณะกรรมการพาณิชยนาวีจะแยกเป็น ๒
คณะกรรมการคือคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริห าร ประเด็นการพัฒ นาบุคลากรด้านการ
พาณิ ช ยนาวี มี ก ารปรั บ ปรุ ง แก้ ไ ขด้ ว ยเช่ น กั น ในปั จ จุ บั น การปรั บ ปรุ ง แก้ ไ ขพระราชบั ญ ญั ติ ส่ ง เสริ ม
การพาณิ ช ยนาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ อยู่ ระหว่างการสรุป รวบรวมประเด็ นทั้งหมด แล้ วส่ งให้ กระทรวงคมนาคม
และคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาต่อไป
๒) ประเด็นเจ้าของเรือไทยดาเนินการชักธงแห่งความสะดวก (Flag of Convenience) นอกจากได้
สิ ท ธิอัตราภาษี ที่ ต่ างจากประเทศที่ ชัก ธงแล้ ว มีป ระเด็ นอื่ น ๆ อี กหรือไม่ กรมเจ้าท่ า มี น โยบายจั ดท าธง
๒๗
ผู้แทนจากกรมเจ้าท่าได้ชี้แจงว่าการพัฒนาการขนส่งชายฝั่งได้มีแผนสนับสนุนการดาเนินการอยู่แล้ว
ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดการขนส่งทางบกและให้เพิ่มปริมาณการขนส่งทางน้าให้มาก
ขึ้น เพื่อลดปริมาณการจราจรที่หนาแน่นบนท้องถนน ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นกรณีท่าเรือแหลมฉบังได้เคย
ประกาศลดค่าบริการลงร้อยละ ๕๐ สาหรับเรือขนส่งชายฝั่งทาให้เรือขนส่งชายฝั่งสามารถเข้าจอดเทียบท่าเรือ
ได้โดยตรง ทาให้ ผู้ป ระกอบการไม่เสี ยค่าใช้จ่ายซ้าซ้อนเพิ่ มขึ้น (Double handling) แต่ต่อมาประกาศลด
ค่ าบริ ก ารลงร้ อ ยละ ๕๐ ได้ ถูก ยกเลิ ก ท าให้ เกิ ด ปั ญ หาต้ อ งเสี ย ค่ าใช้ จ่ ายเพิ่ ม ขึ้ น จึ งไม่ เป็ น การสนั บ สนุ น
ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง
๘) ประเด็นการเก็บอากรตามมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti – Dumping : AD) ของเหล็กแผ่น
สาหรับอุตสาหกรรมต่อและซ่อมเรือและประเด็นภาษีที่เกี่ยวกับการพาณิชยนาวีกรมเจ้าท่าได้เคยหารือกับ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ผู้แทนจากกรมเจ้าท่าได้ชี้แจงว่ากรมเจ้าท่าได้เคยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ
เก็บอากรตามมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดร่วมหารือโดยมีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวง
พาณิชย์เข้าร่วมประชุมจนได้ข้อสรุปกรมเจ้าท่าได้ทาหนังสือยืนยันกลับไปที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
แต่เรื่องดังกล่าวยังคงไม่ได้มีมาตรการใด ๆ ดาเนินการ
การรับฟังความคิดเห็นจากกรมเจ้าท่า โดย นายกริชเพชร ชัยช่วย รองอธิบดีกรมเจ้าท่า และคณะ
เข้าร่วมชี้แจงต่อคณะอนุ กรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิ ช ยนาวีและได้ชี้แจงในประเด็น
ดังกล่าวต่อไปนี้
ผู้ชี้แจงได้ให้ข้อมูลกับคณะอนุกรรมาธิการถึงรายละเอียดกรณีเรือ ราชา ๔ และเรือ ไฮซีซั่น
๑ จมน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
กรณี เรือราชา ๔ จมบริเวณเกาะสี่ เกาะห้ า อาเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อ
วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลาประมาณ ๒๐.๔๐ นาฬิกา เกิดเหตุเรือราชา ๔ ทะเบียนเลขที่ ๔๓๘๔๐๐๐๑๘
ขนาด ๓๒๔.๐๐ ตันกรอส ของบริษัท ท่าเรือราชาเฟอรี่ จากัด ซึ่งเป็นเรือมือสองที่ซื้อมาจากประเทศญี่ปุ่นในปี
พ.ศ. ๒๕๓๘ มีขนาดความยาว ๔๒ เมตร ขนาดความกว้าง ๙ เมตร เป็นเรือขนาดกลาง จมกลางทะเลบริเวณ
เกาะสี่ เกาะห้า อาเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ห่างจากท่าเทียบเรืออาเภอฝั่งเกาะสมุยประมาณ ๒ ไมล์
ทะเล โดยในเบื้ องต้นคาดว่าสาเหตุเกิดจากคลื่นลมแรง ซึ่งมีผู้โดยสารมากับเรือจานวน ๑๖ คน ได้รับการ
ช่วยเหลื อ ๑๑ ราย สูญ หาย ๓ รายซึ่งกาลังอยู่ในการค้นหา และ เสียชีวิต ๒ ราย โดยกรมเจ้าท่าได้มีการ
ดาเนินการแต่งตั้งคณะทางานสอบสวนอุบัติเหตุทางน้า เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และเพื่อ
กาหนดมาตรการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก และยังได้ออกคาสั่งให้ติดตั้งทุ่นเครื่องหมาย
และดาเนินการกู้เรือ ราชา ๔ ภายใน ๔๔ วัน โดยปัจจุบันกรมเจ้าท่าสาขาเกาะสมุย ได้ดาเนินการออกคาสั่ง
ห้ามใช้เรือ ราชา ๔ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดตั้งกองอานวยการร่วมค้นหาผู้สูญหาย และศูนย์บัญชาการ
เหตุการณ์จากกรณีเรือเฟอรี่เช่าเหมาลาบรรทุกสินค้าล่ม
กรณี เรื อ ไฮซี ชั่ น ๑ จมในแม่ น้ าเจ้ า พระยา กรุ งเทพมหานครฯ เมื่ อ วัน ที่ ๒ สิ งหาคม
๒๕๖๓ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ นาฬิกา เกิด เหตุเรือไฮซีซั่น ๑ ของบริษัท ไฮซีชั่น รีสอร์ท จากัดหมายเลข
ทะเบียน ๕๗๖๔-๐๕๗๗๘ มีขนาด ๙๓ ตันกรอส ขนาดความยาว ๒๖.๗๕ เมตร ขนาดความกว้าง ๕.๓๐ เมตร
ลึก ๒.๖๘ เมตร ประเภทเรือกลลาน้า ประเภทการใช้ บรรทุกคนโดยสารและบริการอาหาร เป็นเรือไม้ ผลิตที่
จังหวัดตราด จมกลางแม่น้าเจ้าพระยา โดยมีผู้โดยสาร ๖๐ คน และคนประจาเรือ ๑๐ คน โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ
๒๙
๑.๓ การส่งเสริมและพัฒนาการขนส่งในลาน้า
๑.๔ การยกเว้นการเรียกเก็บอากรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สาหรับการนาเข้าเหล็กแผ่น
สาหรับต่อเรือและซ่อมเรือ
๑.๕ จัดให้มีการจัดทามาตรฐานเรือที่ใช้ในประเทศ (Thai Class – TG)
๒. การปรับปรุงกองเรือขนส่งน้ามันชายฝั่ง (Coastal Tanker) ตามอนุสัญญาด้านการขนส่งทางทะเล
(MARPOL) บังคับให้เรือขนส่งน้ามัน (Oil Tanker) ขนาดเกิน ๕๐๐๐ ตัน จะต้องมีเปลือกเรือ ๒ ชั้น (Double
Hull) บริษัทผู้ ค้าน้ ามันรายใหญ่กาหนดให้ เรือที่มีเปลื อกเรือสองชั้นเท่านั้นที่จะเข้าเทียบท่าคลังน้ามันของ
บริษัทได้ อีกทั้งกองเรือขนส่งน้ามันชายฝั่ง (Coastal Tanker) ของไทยจานวนกว่า ๑๑๐ ลา มีอายุการใช้งาน
เกิน ๓๐ ปี ซึ่งต้องจัดหาทดแทนใน ๑๐ ปีข้างหน้า เนื่องจากมีความต้องการจานวนมากจึงควรใช้เป็นโอกาสใน
การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศอีกทั้งผู้ชี้แจงยังได้แสดงข้อมูลตารางระบุอายุการใช้งานของเรือขนส่งน้ามัน
ชายฝั่งโดยรวมทั้งหมดซึ่งเรือขนส่งน้ามันที่มีอายุการใช้งานส่วนมากนั้นมีอายุตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไป โดยส่วนใหญ่
เรือขนส่งน้ามันชายฝั่งจะมีอายุใช้งานประมาณ ๓๐ ถึง ๔๐ ปี ซึ่งเห็นได้ว่าจะมีกองเรืออีกจานวนมากที่ต้อง
ซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นมาใหม่
๓. การส่งเสริมและพัฒนาการขนส่งในลาน้า ผู้ชี้แจงได้แสดงแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
ขนส่งของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ การขนส่งทางน้ามีงบประมาณในการพัฒนาเพียงอัตราร้อยละ ๓.๙๖ เท่านั้น
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ อัตราต้น ทุน การขนส่งทั้งหมดซึ่งการขนส่งทางน้าใช้ต้นทุนเพียง ๐.๖๕ บาท /ตัน/
กิ โ ลเมตร ซึ่ ง เป็ น การขนส่ ง ที่ ใช้ ต้ น ทุ น น้ อ ยที่ สุ ด และถู ก กว่ า การขนส่ ง ทางถนนถึ ง ครึ่ ง หนึ่ ง หากได้ รั บ
การสนับสนุนจากรัฐสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจการขนส่งได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ชี้แจงได้แจ้งว่า ทางสมาคมได้ให้ความสาคัญกับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและ
ประสิทธิภาพของเรือขนส่งทางลาน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าซึ่งทาให้เกิดการลงทุน
ในอุตสาหกรรมขนส่งทางลาน้ามากขึ้น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยและเสนอขอความช่วยเหลือ
จากภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมศุลกากร ควรพิจารณาร่วมกัน ในการ
ที่ล ดภาระค่าใช้จ่ ายให้ กับ ผู้ ป ระกอบการการขนส่ งในลาน้าเพื่อเป็ นการดึงดูดให้ นักลงทุ นมาร่ว มลงทุนใน
อุตสาหกรรมขนส่งทางลาน้ามากยิ่งขึ้น
๔. ควรจัดให้มีการจัดทามาตรฐานเรือที่ใช้ในประเทศ (Thai Class – TG) ควรจัดตั้งให้มีกฎระเบียบ
หรือข้อบังคับ ที่ใช้ในการขนส่งทางน่ านน้าไทย เพื่อให้ได้รับความเชื่อมั่นจากสากล โดยจัดให้มีการควบคุม
มาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่งทางน้า และมีการรับรองมาตรฐานเรือที่ใช้ขนส่งในประเทศ โดยจัดให้มี
สถาบันการตรวจสอบสภาพเรือที่ใช้ขนส่งเพื่อให้ได้การยอมรับจากสากลเทียบเท่ามาตรฐานของ ญี่ปุ่น และ
สาธารณรัฐเกาหลี
หลังจากที่สมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทยได้ชี้แจงแสดงความเห็นต่อคณะอนุกรรมาธิการแล้วที่ประชุม
ได้มีประเด็นสอบถามเพิ่มเติมโดยมีรายละเอียดดังนี้
๑. ประเด็นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti – Dumping : AD) ของรัฐบาลมาตรการตอบโต้การ
ทุ่มตลาด (AD) สาหรับ การน าเข้าเหล็ กแผ่นเพื่อต่อเรือหรือซ่อมเรือ ในปัจจุบันอุตสาหกรรมต่อเรือมีความ
ต้องการเหล็กแผ่นเฉพาะเป็นจานวนมากและต้องใช้เหล็กชนิดพิเศษในการต่อเรือหรือซ่อมเรือ โดยประเทศ
ไทยไม่มีศักยภาพเพียงพอในการผลิตเหล็กชนิดดังกล่าวซึ่งต้องนาเข้าจากต่างประเทศซึ่งทางผู้ประกอบการมี
ความต้องการให้รัฐงดมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดในการนาเข้าเหล็กจากต่างประเทศเพื่อลดต้นทุนในการ
ผลิตเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติได้ ประเทศที่มี
๓๓
๑. ขอบเขตของกรมโรงงานอุตสาหกรรมในการกากับดูแลอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือมีการดาเนินการ
อย่างไรบ้างผู้แทนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรมจะกากับดูแลในการขอ
อนุญาตการจัดตั้งโรงงานใน ๒ ด้านคือ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านความปลอดภัย
๒..การขอใบอนุ ญ าตประกอบกิจ การโรงงาน (ร.ง.๔) ของอุตสาหกรรมต่อเรือ และซ่ อมเรือมีการ
ดาเนินการอย่างไรผู้แทนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่าการดาเนินการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ
โรงงาน (ร.ง.๔) ในส่วนที่เกี่ยวกับการต่อเรือและซ่อมเรือจะมีขั้นตอนการขอใบอนุญาตเหมือนโรงงานทั่ว ๆ ไป
ระยะเวลาการขออนุญาตไม่เกิน ๔๕ วัน จะไม่มีความยุ่งยากและซ้าซ้อนเหมือนโรงงานประเภทอื่น ๆ การขอ
อนุญาตประกอบกิจการโรงงานการต่อเรือและซ่อมเรือหากอยู่ติดกับแม่น้าหรือทะเลก็จะมีความเกี่ยวข้อง
ที่จะต้องขออนุญาตจากกรมเจ้าท่าด้วย
๓..กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีแนวทางในการดาเนิน การขอใบอนุ ญ าตประเภทต่าง ๆ ทางระบบ
ออนไลน์ บ้ างหรื อ ไม่ ผู้ แ ทนจากกรมโรงงานอุ ต สาหกรรมได้ ชี้ แ จงว่า กรมโรงงานอุ ต สาหกรรมมี แ ผนการ
ดาเนินการที่จะอานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในขั้นตอนการขอใบอนุญาตผ่านระบบออนไลน์ในอนาคต
กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะมีการออกใบอนุญาตบางประเภทผ่านระบบออนไลน์ได้
๔.๕ การรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมเจ้าของเรือไทย โดย นายสุรพล มีเสถียร รองนายก
สมาคมเจ้ าของเรื อ ไทย แทนนายกสมาคมเจ้า ของเรือ ไทย ด้ ว ยบริษั ท ไทยเดิ น เรื อ ทะเล จากั ด ในฐานะ
รัฐวิสาหกิจ ภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคม ได้รับนโยบายให้เป็นแกนกลางในการจัดตั้ง สมาคมเจ้าของ
เรือไทย ต่อมาได้มีการจัดประชุมเพื่อจัดทาข้อบังคับของสมาคมในที่สุดได้มีการก่อตั้งสมาคมเจ้าของเรือไทย
และจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสมาคมการค้าเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๑๘ ในปัจจุบันสมาคมเจ้าของเรือไทยมีสมาชิก
จานวน ๑๐๐ บริษัท มีบริษัทที่เป็นเจ้าของเรือจริง ๆ ประมาณ ๕๐ บริษัท นอกจากนั้นเป็นบริษัทที่นาธุรกิจ
เกี่ยวเนื่องกับกิจการพาณิชยนาวีประเด็นปัญหาของสมาคมเจ้าของเรือไทย จะมีสภาพปัญหาคล้ายกับสมาคม
ต่อเรือและซ่อมเรือไทย คือปัญหาในเรื่องอัตราภาษี กฎระเบียบในเรื่องของการเดินเรือมีความล้าสมัยและ
กระทรวงคมนาคมขาดการส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีอย่างแท้จริง หลังจากที่ผู้แทนจากสมาคมเจ้า ของเรือ
ไทยได้ชี้แจงแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ แล้วที่ประชุมได้ข้อหารือ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
๑. ประเด็น กฎระเบี ย บในปั จ จุ บั น ที่ เกี่ ยวกั บ กิจการพาณิ ช ยนาวีและอู่เรือ ไทยมี ความล้ าหลั งไม่
ทันสมัย แต่มีกฎหมายฉบับหนึ่งคือ พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ สามารถแก้ไข
ปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเกี่ยวกับกิจการพาณิชยนาวีให้ทางสมาคมเจ้าของเรือไทย เคยได้พิจารณากฎหมาย
ฉบับดังกล่าวหรือไม่ ผู้แทนสมาคมเจ้าของเรือไทยได้ชี้แจงว่าประเด็นปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ของสมาคมเจ้าของ
เรือไทย เช่น อัตราภาษีการนาเข้าเหล็กแท่ นต่อเรือที่สูงมาก กฎหมายการเดินเรือที่ล้าหลัง เป็นต้น สมาคม
เจ้าของเรือไทยได้หารือร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถดาเนินการแก้ไขไป
ได้ในประเด็นพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ ทางสมาคมเจ้าของเรือไทยยังไม่เคย
ได้ศึกษาอย่างละเอียด อย่างไรแล้วจะนาเข้าสู่ที่ประชุมของสมาคมเพื่อพิจารณาต่อไป
๒. ประเด็นกองทุนที่รัฐบาลจัดให้มีขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกิจการกองเรือของประเทศไทยปัจจุบันยังคงมี
อยู่หรือไม่ ผู้แทนของสมาคมเจ้าของเรือไทยได้ชี้แจงว่า กองทุนเพื่อกิจการกองเรือไทย ในอดีตรัฐ บาลเคย
สนั บ สนุ นเป็ น จานวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยผ่ านธนาคารเพื่อการส่ งออกและนาเข้าแห่งประเทศไทยใน
ปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงมีขนาดเล็กลงโดยคงสนับสนุนธนาคารเพื่อการส่งออกและนาเข้า
๓๕
หน่ ว ยงานที่ เกี่ ย วข้ อ งหลายหน่ ว ยงาน หากได้ ข้ อ สรุ ป แล้ ว ส านั ก เลขาธิก ารรั ฐ มนตรี จ ะด าเนิ น การเสนอ
คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งปัจจุบันอยู่ในชั้นพิจารณาเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยพระราชบัญญัติ
ส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ฉบั บดังกล่าวได้มีการเพิ่มเติมในส่ วนของการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบ
กิจ การพาณิ ชยนาวีโดยตรง โดยให้ มีฐานะเป็นองค์การมหาชนที่ จัดตั้งตามพระราชบั ญ ญั ติเฉพาะ และได้
กาหนดให้มีคณะกรรมการ ๒ ระดับ คือคณะกรรมการนโยบายการพาณิชยนาวีแห่งชาติ และคณะกรรมการ
บริหารการส่งเสริมการพาณิชยนาวีการกาหนดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริม พัฒนา คุ้มครองและกากับ
ดูแลกิจการพาณิชยนาวีเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การกาหนดมาตรการให้ผู้รับ
สัมปทานสารวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยและเขตเศรษฐกิจจาเพาะต้องใช้บริการจากเรือไทย โดยเรือบาง
ชนิดในประเทศไทยยังมีสภาพไม่พร้อมในการให้บริการจะได้รับการยกเว้น ซึ่งจะเป็นไปตามอนุบัญญัติ และ
กาหนดให้ หน่วยงานของรัฐต้องต่อเรือใหม่ หรือซ่อมเรือจากผู้ ประกอบกิจการอู่เรือภายในประเทศเท่านั้น
เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการภายในประเทศได้แสดงศักยภาพ เช่น ได้มีการกาหนดให้มีค่าระวางอ้างอิง
สาหรับการคานวณเพื่อการเสียค่าธรรมเนียมพิเศษ เป็นต้น
หลังจากผู้แทนกรมเจ้าท่าได้ชี้แจงแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ และที่ประชุมได้ข้อหารือ โดยมี
รายละเอียด ดังนี้
๑. การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ฉบับดังกล่าวเพื่อปรับปรุง
แก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวีฉบับเดิมซึ่งใช้มาอย่างยาวนานเพื่อให้เหมาะสมแก่สถานการณ์
ในปัจจุบัน
๒. การจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านกิจการพาณิชยนาวีโดยตรง โดยจัดตั้งเป็นองค์ การมหาชน
เพื่อให้สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถและศักยภาพด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสมในด้านพาณิชยนาวี
เพื่อมาผลักดันโดยขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีและมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานในคณะกรรมการบริหาร
๓. ประเด็น เรื่องการกาหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องต่อเรือใหม่หรือซ่อมเรือจากผู้ประกอบกิจการ
อู่เรือภายในประเทศที่ผ่านมาเป็นเพียงคาสั่งจากฝ่ายบริหาร แต่เมื่อการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการ
พาณิชยนาวี พ.ศ. .... สาเร็จก็จะระบุไว้ในร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวีอย่างเป็นรูปธรรม
๔. เหตุที่การแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวีเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากพระราชบัญญัติ
ฉบับดังกล่าวมีผลกระทบไปถึงหลาย ๆ หน่วยงาน เช่น ด้านการเก็บภาษี หรือ การออกข้อบังคับในการให้
บั ง คั บ ใช้ ใ นการต่ อ เรื อ หรื อ ซ่ อ มเรื อ ในประเทศ เป็ น ต้ น และต้ อ งได้ รั บ ความเห็ น ชอบจากส านั ก งาน
คณะกรรมการพั ฒ นาระบบราชการในการจัด ตั้ งหน่ ว ยงานใหม่ จึงต้ อ งใช้ ความระมั ด ระวังและหารือ กั บ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นความท้าทายของกรมเจ้าท่าในการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
๕. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ฉบับดังกล่าวได้บัญญัติถึงอานาจหน้าที่ในการ
ขับ เคลื่อนแนวทาง นโยบาย มาตรการส่งเสริมต่าง ๆ ของทุกภาคส่วนในกิจการของพาณิชยนาวีซึ่งรวมถึง
ท่าเรือในประเทศด้วย
๖. ประเด็นการพัฒนาบุคลากรในร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ได้ระบุไว้อย่าง
ชัดเจนโดยกาหนดให้มีสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับกิจการพาณิชยนาวีโดยเฉพาะและได้กาหนดหลักเกณฑ์และ
รายละเอียดต่าง ๆ ในการจัดตั้งสถานศึกษา
๓๘
๗. ประเด็นการกาหนดมาตรการในการจากัดสัดส่วนผู้ประกอบกิจการจากต่างประเทศซึ่งตัวแทนจาก
กรมเจ้าท่าได้ชี้แจงว่าปัจจุบันสัดส่วนผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่มาดาเนินกิจการในประเทศอยู่ในอัตราที่
เหมาะสมแก่สถานการณ์ในปัจจุบันและได้กล่าวถึงที่มาว่าในอดีตผู้ประกอบกิจการในประเทศยังไม่มีความ
ชานาญในการประกอบกิจการเดินเรือจึงต้องพึ่งผู้ประกอบกิจการจากต่างประเทศหากมีการเปลี่ยนแปลงหรือ
กาหนดสัดส่วนผู้ประกอบกิจการจากต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
๔.๘ การรับฟังความคิดเห็นจากกรมสรรพากร โดย นายศุภชัย บารุงศรี นิติกรเชี่ยวชาญ ผู้แทน
อธิบดีกรมสรรพากร กรมสรรพากรได้ดาเนินการตามหนังสือของสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง ผลการ
พิ จ ารณ ารายงานการพิ จ ารณ าศึ ก ษา เรื่ อ ง มาตรการ ส่ ง เสริ ม พาณิ ช ยนาวี ข องประเทศไทย ของ
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามาตรการส่งเสริมพาณิชยนาวีของประเทศไทย ทั้งนี้ ในส่วนที่กรมสรรพากร
มีความเกี่ยวข้องในการส่งเสริมพาณิชยนาวีในด้านต่าง ๆ ดังนี้
๑. การยกเว้น ภาษี เงิน ได้ นิ ติ บุ ค คลส าหรับ เงิน ได้ จ ากการขนส่ งสิ น ค้ าทางทะเลระหว่างประเทศ
หากบริษัทใช้เรือที่จดทะเบียนเป็นเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยในการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่าง
ประเทศ และมีคนประจาเรือที่มีสัญชาติไทยในอัตราส่วนที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยตามเงื่อนไข
ที่กาหนดไว้ ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ๓๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๐ บริษัทจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยต้องยื่นคาขอจดทะเบียนต่อเจ้า
พนักงานประเมินตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกาหนด ทั้งนี้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษี
เงินได้ (ฉบับที่ ๗๒) ลงวัน ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑สาหรับประเด็นรายได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเล
ระหว่า งประเทศที่ ได้ รั บ ยกเว้น ภาษี เงิน ได้ ต ามพระราชกฤษฎี ก าฉบั บ ดั งกล่ าวนั้ น หมายความรวมไปถึ ง
การขนส่งระหว่างประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยไม่จาต้องมีการขนส่งผ่านเข้าหรือออกจากประเทศไทยด้วย
ในขณะเดียวกันได้ส่งเสริมให้มีการลงทุนในกิจการการขนส่งสินค้าทางทะเลโดยเงินได้ในส่วนของเงิน
ปันผลหรือส่วนแบ่งกาไรจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ ๓๑๔ ด้วยเช่นกัน
๒. การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและประกอบ
กิจการขนส่งสิน ค้าระหว่างประเทศ สาหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเรือเดินทะเลที่ใช้ในการขนส่ งสินค้า
ระหว่างประเทศและนาเงินได้ดังกล่าวไปจัดหาเรือลาใหม่เพื่อทดแทนเรือลาเก่าที่ขายไปตามพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๔๓)
๓. การยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนที่เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างที่คนประจาเรือได้รับเนื่องจากการปฏิบัติงาน
บนเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพาณิชยนาวีที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการ
แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๐๔ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
โดยกฎกระทรวงฉบั บ ดั ง กล่ า วเป็ น การแก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม ความของข้ อ ๒แห่ ง กฎกระทรวงฉบั บ ที่ ๑๒๖
(พ.ศ. ๒๕๐๙) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
๔. พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกาหนดให้กิจการที่ได้รับยกเว้น
ภาษีมูลค่าเพิ่มเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ (ฉบั บที่ ๕๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้เพิ่มข้อความว่าการให้ บริการขนส่งใน
ราชอาณาจั กร ส าหรับ การให้ บ ริการขนส่ งทางทะเล โดยเรือเดินทะเล ทั้งนี้ ให้ รวมถึงการให้ บริการขนส่ ง
ระหว่างทะเลกับแม่น้าในราชอาณาจักรโดยเรือเดินทะเลด้ วย สาหรับเหตุผลที่มีการแก้ไขดังกล่าวเป็นเพราะ
การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยเรือเดินทะเลเป็นการประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
สมควรกาหนดให้การประกอบกิจการขนส่งในราชอาณาจักรสาหรับกรณีดังกล่าวที่เป็นการให้บริการขนส่งใน
๓๙
ราชอาณาจักรทางทะเลโดยเรือเดินทะเลและการให้บริการขนส่งระหว่างทะเลกับแม่น้าในราชอาณาจักรโดย
เรือเดิน ทะเลเป็ น กิจการที่ มีสิท ธิแจ้งต่ออธิบดีเพื่ อขอจดทะเบี ยนภาษีมูล ค่าเพิ่ มและเสียภาษีมูล ค่าเพิ่มได้
อันเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการให้บริการขนส่งทางทะเลภายในประเทศและการค้าชายฝั่ง ทั้งนี้กิ จการ
ยังสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ด้วย
๕. ประมวลรัษฏากร หมวด ๔ ภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรา ๘๐/๑ ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ ๐ ในการคานวณ
ภาษีมูลค่าเพิ่มสาหรับการประกอบกิจการประเภท (๓) การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยาน
หรือเรือเดินทะเลที่กระทาโดยผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคล
๖. การยกเว้น ภาษี น าเข้าตามมาตรา ๘๐ (๒) ตามพระราชบั ญ ญั ติ ให้ ใช้บ ทบั ญ ญั ติแห่ งประมวล
รัษฎากร พ.ศ. ๒๔๘๑ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของอากาศยานหรือเรือ รวมทั้งวัสดุที่นาเข้ามาเพื่อ
ใช้ซ่อม หรือสร้างอากาศยานหรือเรือหรือส่วนของอากาศยานหรือเรือดังกล่า วโดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกาหนดด้วย เช่น พระราชกาหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ภาค ๔
ประเภท ๓ และประเภท ๗ เป็นต้น บทบัญญัตินี้เป็นการเชื่อมโยงระบบจัดเก็บภาษีระหว่างกรมสรรพากรกับ
กรมศุลกากร
๗. ผู้แทนจากกรมสรรพากร ได้ให้ ข้อคิด เห็ นเพิ่มเติมในการแก้ไขร่างพระราชบัญ ญั ติส่ งเสริมการ
พาณิชยนาวี พ.ศ. .... ว่าไม่ควรกาหนดบทบัญญัติในการแก้ไขอัตราภาษีอากรไว้ในร่างฉบับดังกล่าวมาตรา ๔๒
และมาตรา ๔๓ แต่ควรแก้ไขและบัญญัติไว้ในกฎหมายประมวลรัษฎากรจะเหมาะสมที่สุดเพราะเป็นกฎหมาย
ฉบับหลักที่เกี่ยวกับระบบภาษีและอากรต่าง ๆ อีกทั้งได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ได้
เห็นชอบแนวทางในการกาหนดหลักปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการยกเว้นภาษีอากรให้เสนอ
แก้ไขในกฎหมายประมวลรัษฎากรเท่านั้น
๔.๙ การรับฟังความคิดเห็นจากกรมศุลกากร โดย นางสาวอจิรพรรณ พู่วณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน
โครงสร้างอัตราศุลกากร ผู้ชี้แจงได้กล่าวถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการพาณิชยนาวี คือ พระราชกาหนด
พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.๒๕๓๐ ภาค ๔ ประเภทที่ ๗ ได้บัญญัติถึงของที่ได้รับยกเว้นอากร คือ “ส่วนประกอบ
และอุปกรณ์ประกอบของอากาศยานหรือเรือ รวมทั้งวัสดุที่นาเข้ามาเพื่อใช้ซ่อม หรือสร้างอากาศยานหรือเรือ
หรือส่วนของอากาศยานหรือเรือดังกล่าว” โดยให้เป็นอานาจของอธิบดีกาหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโดย
ผู้ได้รับสิทธิยกเว้นอากรแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มได้แก่
กลุ่ ม ที่ ๑ ผู้ น าของเข้ า เป็ น ผู้ ที่ ไ ด้ รั บ อนุ มั ติ ให้ จั ด ตั้ ง คลั ง สิ น ค้ า ทั ณ ฑ์ บ นตามกฎหมายศุ ล กากร
(มีความสามารถในการซ่อมหรือสร้างเรือเดินทะเลเกิน ๖๐ ตันกรอสขึ้นไป)
กลุ่มที่ ๒ ผู้นาของเข้าเป็นเจ้าของเรือ (ใช้ซ่อมเรือหรือส่วนของเรือขนาดตั้งแต่ ๒๕๐ ตันกรอสขึ้นไป)
กลุ่มที่ ๓ ผู้นาของเข้าเป็นผู้ประกอบกิจการอู่เรือหรือผู้ประกอบกิจการอู่เรือสั่งให้นาเข้าโดยมี
หลักฐานเพื่อขอรับสิทธิดังนี้
๑. เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ หนังสือรับรองการเป็นสมาชิก หรือ เอกสารทะเบียน
ผู้ประกอบกิจการอู่เรือของกรมเจ้าท่า (กรณีมีความสามารถซ่อมหรือสร้างเรือเกินกว่า ๖๐ ตันกรอสขึ้นไป)
หรือ หนั งสื อรั บ รองจากกระทรวงอุตสาหกรรม หรือใบ ร.ง.๒ หรือ ร.ง.๔ (กรณี มีความสามารถซ่อมหรือ
สร้างเรือต่ากว่า ๖๐ ตันกรอส)
๒. สัญญาว่าจ้างหรือใบสั่งซ่อม
๓. แคตตาล็อคหรือภาพถ่าย
๔๐
โอกาสให้ ผู้ประกอบกิจการต่อเรือได้นาเข้าสินค้าเหล็กจากต่างประเทศโดยยกเลิกมาตรการตอบโต้การทุ่ม
ตลาด อีกทั้งผู้ชี้แจงยังประกอบธุรกิจขนส่งสินค้าครบวงจร ซึ่งรวมไปถึงธุรกิจขนส่งทางเรือ โดยมีเรือขนสินค้า
หลายลา เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการต่อเรือในประเทศกับการนาเข้าเรือจากต่างประเทศ การนาเรือจาก
ประเทศจีนมีราคาที่ต่ากว่าการต่อเรือในประเทศมากสืบเนื่องจากวัตถุดิบที่นามาต่ อเรือในประเทศมีราคาที่สูง
ทาให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งทางน้าจึงหันไปนาเข้าเรือจากต่างประเทศแทนและรวมถึงปัญหาราคาในการ
ขนส่ งมีราคาต่าลงจึ งไม่คุ้มค่าแก่การลงทุ น โดยผู้ ชี้แจงมีความเห็ นว่าการขนส่ งถือเป็นปัจจัยส าคัญ ในการ
ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศจึงอยากให้ ทางภาครัฐได้มีนโยบายส่งเสริมหากมีการลดต้นทุนในการนาเข้า
วัต ถุดิ บ ในการต่ อ เรื อ เพื่ อ ให้ ผู้ ป ระกอบธุร กิ จ ต่ อ เรือ ได้ ต่ อ เรือ ในประเทศในราคาต้น ทุ น ที่ ต่ าลงก็ จ ะท าให้
อุตสาหกรรมต่อเรืออุตสาหกรรมพาณิชยนาวีมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศได้มากขึ้น
๔.๑๕ การรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมสถาบันการศึกษาพาณิชยนาวีไทยและฝึกอบรม
(ThaiMET) โดย นายณรงศักดิ์ ผาสุข เลขานุการสมาคมสถานศึกษาและศูนย์ฝึกอบรมด้านพาณิชยนาวีไทย
เป็ น ผู้ แ ทนนายกสมาคมฯ เข้ า ร่ ว มประชุ ม ชี้ แ จงในประเด็ น ต่ า ง ๆ สามารถสรุ ป รายละเอี ย ดได้ ดั ง นี้
อุตสาหกรรมในด้านกิจการพาณิชยนาวีสิ่งสาคัญที่จะทาให้อุตสาหกรรมดังกล่าวขับเคลื่อนได้คือ การพัฒนา
และส่งเสริมทรัพยากรบุคคลด้านพาณิชยนาวี ในปัจจุบันกองเรือโลกมีเรือจานวนทั้งสิ้น ๙๕,๔๐๒ ลา ในปี
๒๐๑๕ มี ค นประจ าเรื อ ที่ เป็ น แรงงานสากล จ านวน ๑,๖๔๗,๐๐๐ คน ด้ านสภาวะความต้ อ งการของ
ตลาดแรงงานสากลพบว่าความต้องการบุคลากรประจาเรือมีเพิ่มขึ้นในทุกปีแต่การผลิตบุคลากรด้านพาณิชย
นาวีกลับไม่พอกับความต้องการ สาหรับในประเทศไทยมีกองเรือไทยทั้งหมด ๔๐๖ ลา อยู่ในลาดับที่ ๓๔ ของ
โลก ในปี ๒๐๑๙ ในส่วนสถาบันการศึกษาที่มีหน้าที่ผลิตบุคลากรด้านพาณิชยนาวี มีจานวนทั้งสิ้น ๑๑ แห่ง
ที่ได้รับการรับรองจากกรมเจ้าท่าแต่ที่ได้รับความนิยมจะมีอยู่ ๔ แห่ง คือ ๑) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยา
เขตศรีราชา ๒) มหาวิทยาลัยบูรพา ๓) ศูนย์ฝึกพาณิชยนาวี ๔) วิทยาลัยเทคโนโลยีทางทะเลแห่งเอเชีย ทั้ง ๔
สถาบันมีจานวนนักเรียนทั้งสิ้น ๒,๑๐๓ คน โดยปกติมีนักเรียนฝึกลงเรือเฉลี่ยปีละ ๔๘๒ คน เมื่อเทียบกับกอง
เรือโลก แรงงานตลาดโลกยังขาดแคลนแรงงานประเภทนี้ แต่หากเทียบกับกองเรือไทย ซึ่งมีจานวนเรือน้อยทา
ให้ตลาดแรงงานไทย เกิดภาวะลูกเรือล้นหรือเกินความต้องการ
จากการประชุมของสมาคมสถานศึกษาและศูนย์ฝึกอบรมด้านพาณิ ชยนาวีไทย (ThaiMET) ได้พบ
ประเด็นปัญหารวมทั้งข้อเสนอแนะต่าง ๆ ดังนี้
๑. ด้านครูผู้สอน วิทยากรและผู้เชี่ยวชาญพิเศษ คุณสมบัติของผู้สอนที่กรมเจ้าท่ากาหนดขาดความ
ยืดหยุ่น ควรพิจารณาคุณสมบัติ ผู้เชี่ยวชาญ วิทยากร ตามวิทยฐานะ คุณวุฒิและประสบการณ์ และกรมเจ้าท่า
ควรผ่อนปรนเรื่องกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สอนให้เกิดความยืดหยุ่นและ
เหมาะสมของแต่ละสถาบันที่ทาการสอนด้านพาณิชยนาวี
๒. แหล่งฝึกงานและเรือฝึกภาคทะเล กรมเจ้าท่าได้ออกกฎระเบียบบางส่วนเรื่องการฝึกภาคทะเลมาก
เกินกว่ามาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตรและการเข้ายามสาหรับคนประจาเรือ (STCW) จึงทา
ให้ไม่เกิดความยืดหยุ่นต่อการจัดหาเรือฝึก เช่น การเพิ่มข้อบังคับให้ฝึกภาคทะเลเพื่อเก็บระยะเวลาในการ
ปฏิบัติงานในเรือ (Sea Service) ได้ในตาแหน่ง Cadet เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้มีสถานที่ฝึก เรือฝึกภาคทะเล ให้
๔๗
เพียงพอและเกิดการจ้างงานภายหลังจบการศึกษาของนักเรียนฝ่ายเดินเรือและนักเรียนฝ่ายห้องเครื่อง กรม
เจ้าท่าจาเป็นต้องออกกฎระเบียบที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่สามารถให้นักเรียนพาณิชยนาวี สามารถสอบใบ
ประกาศนี ยบั ตรผู้ ป ฏิบั ติงานในเรือได้อย่ างเหมาะสมและถูกต้องตามหลั กสากล ซึ่งในอดีตกรมเจ้าท่าเคย
ทดลองออกกฎระเบี ย บที่ เป็ น ประโยชน์ ต่ อ นั ก เรี ย นพาณิ ช ยนาวี แต่ ในปั จ จุ บั น กฎระเบี ย บดั ง กล่ า วมี
การเปลี่ยนแปลงและกลับไปสู่ระบบเดิมทาให้เกิดปัญหาและอุปสรรคจนถึงปัจจุบันนี้
๓. การขอรับรองคุณสมบัติของครู วิทยากร และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ การขอรับรองและการขออนุมัติ
ผู้ส อนที่มีขั้น ตอนในการตรวจสอบของกรมเจ้าท่าที่ล่าช้าและใช้เอกสารแสดงคุณ สมบัติจานวนมาก กรณี
การขึ้นทะเบียนครูผู้สอนสาหรับคนประจาเรือ หากได้รับการรับรองจากกรมเจ้าท่าแล้ว ควรใช้ทาการสอนได้
ทุกสถาบันที่กรมเจ้าท่ารับรองไม่จาเป็นต้องขอรับรองใหม่ทุกครั้ง ดังนั้น กรมเจ้าท่าควรมีการปรับปรุงกฎและ
ระเบียบดังกล่าว ให้ผู้สอนเมื่อขึ้นทะเบียนแล้วสามารถทาการสอนได้ทุกสถานศึกษา เมื่อคณะอนุกรรมาธิการ
ได้รับฟังความคิดเห็นจากสมาคมสถานศึกษาและศูนย์ฝึกอบรมด้านพาณิชยนาวีไทยแล้ว ที่ประชุมได้ขอหารือ
และแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
๓.๑ ในมุมมองของสถานศึกษาเหตุใดกรมเจ้าท่าจึงกาหนดให้การฝึกการปฏิบัติงานบนเรือ
(Sea Service) ต้ อ งเป็ น ต าแหน่ ง cadet เท่ า นั้ น ผู้ แ ทนจากสมาคมสถานศึ ก ษาและศู น ย์ ฝึ ก อบรม
ด้านพาณิชยนาวีไทย ได้ชี้แจงว่ากรณีกรมเจ้าท่ากาหนดให้การฝึกปฏิบัติงานบนเรือ สามารถเป็นตาแหน่งอื่นได้
นอกจากตาแหน่งนักเรียนฝึก (Cadet) กรมเจ้าท่าเคยอนุโลมให้กับนักเรียนพาณิชยนาวีในช่วงปี ๒๕๕๔ –
๒๕๕๘ ทาให้เกิดผลดีกับทั้งนักเรีย นที่ต้องการผ่านการฝึกงานบนเรือ เจ้าของเรือสามารถจ่ายค่าแรงได้ตาม
ต าแหน่ ง ที่ นั ก เรี ย นนั้ น ๆ ฝึ ก บนเรื อ ท าให้ เจ้ าของเรื อ ไม่ รั บ ภาระอื่ น ๆ มากจนเกิ น ไป แต่ ต่ อ มาเมื่ อ มี
การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารภายในกรมเจ้าท่า หลักเกณฑ์ที่เคยอนุโลมไว้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่เกณฑ์
เดิมที่ขาดความเหมาะสมและไม่ยืดหยุ่น ทาให้เกิดปัญหากับสถานศึกษาและนักเรียนพาณิชยนาวี นักเรียน
ไม่ส ามารถฝึ กงานบนเรือในตาแหน่ งอื่น ๆ ได้จาเป็นต้องฝึ กต าแหน่ง Cadet เท่ านั้น จึงจะสามารถขอใบ
ประกาศนียบัตรจากกรมเจ้าท่าได้
๓.๒ กรณีปัญหาของนักเรียน/นักศึกษาของสถาบันต่าง ๆ ที่ทาการสอนเกี่ยวกับพาณิชยนาวี
แล้วเกิดประเด็น ปัญ หาที่กรมเจ้าท่ากาหนดคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องและไม่ส่งเสริม
กิ จ การพาณิ ช ยนาวี ทางสมาคมฯได้ เคยจั ด ท าข้ อ เสนอต่ าง ๆ ถึ งกรมเจ้ าท่ าหรื อ ไม่ ผู้ แ ทนจากสมาคม
สถานศึกษาและศูนย์ฝึกอบรมด้านพาณิชยนาวีไทยได้ชี้แจงว่าสมาคมฯ ได้เคยร่วมหารือกับกรมเจ้าท่าแต่ไม่ได้
รับ ความสนใจในการที่ จ ะร่ ว มกั น แก้ไขปั ญ หา เช่ น กรณี เรือ ฝึ ก ภาคทะเลไม่เพี ยงพอต่อ จานวนนั กเรีย น/
นักศึกษาที่ต้องการฝึ ก ทางสมาคมได้จั ดทาหนังสื อเรื่องดังกล่าวถึงกรมเจ้าท่าแต่กรมเจ้าท่าไม่มีการชี้แจง
เหตุผลใด ๆ เลย
๓.๓ ประเด็น ทักษะการใช้ภ าษาอังกฤษของนักเรียน นักศึกษา ที่เรียนด้านพาณิช ยนาวีมี
ศักยภาพเพียงพอกับความต้องการของตลาดหรือไม่ ผู้ แ ทนของสมาคมสถานศึ ก ษาและศู น ย์ ฝึ ก อบรมด้ า น
พาณิชยนาวีไทย ได้ชี้แจงว่าศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา ผู้ที่เรียนด้านกิจการพาณิ ชยนาวีมีศักยภาพด้าน
ภาษาอังกฤษเพียงพอ โดยมีนักเรียน นักศึกษา กลุ่มที่เป็นระดับหัวกะทิ สามารถทางานในตาแหน่งต้นหนเรือ
และกัปตันเรือได้อย่างดี
๓.๔ ประเด็นค่าใช้จ่ายในการส่งนักเรียน นักศึกษา ออกฝึกเรือทางทะเลนอกจากประเด็นหา
เรือฝึกทางทะเลยากแล้ว ค่าใช้จ่ายต่อครั้งมีค่าดาเนินงานสูงมาก ดังนั้นหน่วยงานภาคราชการควรให้ความ
สนใจและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
๔๘
๓.๕ ประเด็ น คุ ณ สมบั ติ ข องผู้ ท าการสอนด้ า นพาณิ ช ยนาวีน อกจากมี ห ลั ก เกณฑ์ ที่ ก รม
เจ้าท่าออกข้อกาหนดแล้วในระดับอุดมศึกษายังต้องผ่านหลักเกณฑ์ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรมด้วย โดยอาจารย์ประจาหลักสูตรต้องมีคุณวุฒิไม่น้อยกว่าปริญญาโท ดังนั้น กัปตันเรือที่มี
ประสบการณ์มายาวนาน จะไม่สามารถมาเป็นอาจารย์ประจาหลักสูตรในมหาวิทยาลัยได้ จึงเป็นปัญหาใน
ระบบโครงสร้างของทางราชการที่ไม่เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาด้านพาณิชยนาวีของไทย
๔.๑๖ การรับฟังความคิดเห็นจากสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
โดยนางวิไลรัตน์ ศิริโสภณศิลป์ รองผู้อานวยการสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
และคณะได้เข้าร่วมประชุมและชี้แจงดังนี้
ผู้ชี้แจงได้กล่าวถึงแผนการดาเนินงานการขนส่งที่เชื่อมต่อกับท่าเรือต่าง ๆ โดยรัฐบาลได้กาหนด
ยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทาแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการตามแผนการผลักดัน
ประเทศของรัฐบาล ซึ่งแผนที่เกี่ยวข้องกับสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๒
คื อ แผนด้ า นการสร้ า งขี ด ความสามารถในการแข่ ง ขั น คื อ การพั ฒ นาเมื อ ง และการขนส่ งเคลื่ อ นย้ า ย
การคมนาคมเป็นสาคัญ โดยกระทรวงคมนาคมได้วางเป้าหมายของประเทศไทย ในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ให้เป็น
การขนส่ งที่มีคุณ ภาพสามารถแข่งขัน เทีย บกับ ประเทศต่าง ๆ ได้ เป็ นการขนส่ งที่เป็ นมิตรต่อสิ่ งแวดล้ อม
ซึ่งปัญหาที่พบในการพัฒนาและต้องได้รับการแก้ไขได้แก่ ๑) ต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มมากขึ้น ๒) อุบัติเหตุจาก
การจราจร ๓) มลพิษจากการขนส่ง เนื่ องจากสภาพการขนส่ งทางสาธารณะยังไม่มีประสิทธิภ าพเพียงพอ
ต่อความหนาแน่นของประชากรในเมืองต่าง ๆ ทาให้ประชาชนจึงหันมาใช้รถส่วนตัว จึงเป็นผลกระทบและเป็น
ที่มาของปัญหาต่าง ๆ โดยสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้มีแผนในการลดต้นทุนการขนส่ง
ทางน้ า โดยการปรับ เปลี่ย นรูป แบบการขนส่งทางน้าโดยการนาข้อมูลต่าง ๆ มาเพื่ อวางแผนได้แก่ ข้อมูล
การผลิตเป้าหมายในการขนส่ง แหล่งท่ องเที่ยว การตั้งถิ่นฐานของชุมชน เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับการ
พัฒนาโครงสร้างท่าเรือพื้นฐานในการเข้าออกท่าเรือ และ เรื่องของศุลกากร โดยจะนาข้อมูลต่าง ๆ มารวบรวม
และวางเป้าหมายในการดาเนินการและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ผู้ชี้แจงได้ตอบข้อซักถามต่อคณะอนุกรรมาธิการโดยมีประเด็นดังนี้
๑. ประเด็นอานาจหน้าที่ของสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร โดย สานักงาน
นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร มีภาระหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์และจัดทาแผนแม่บท แผนการ
ลงทุน และจัดทารายงานด้านการขนส่ง การวิจัยเพื่อจัดทารายงานและแนวโน้มของการขนส่งและจราจร ทั้งใน
ด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และจัดทาระบบข้อมูล และสารสนเทศของการขนส่งและจราจร
รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ และ ในปี ๒๕๖๔ ได้รับงบประมาณจานวน ๔๐ ล้านบาท
เป็นงบที่ใช้เพื่อศึกษาในโครงการพัฒนาพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตกให้มีการเชื่อมต่อกันในด้านการขนส่ง
เช่น การพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระ ที่เป็นประตูออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ซึ่งปั จ จุ บั น มี ความหนาแน่ น และแออัดอย่ างมาก โดยมี ๔ จังหวัด ที่ มีค วามเป็ น ไปได้เนื่ องจากมี ศัก ยภาพ
เพียงพอในการสร้างจากการศึกษาได้แก่จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนครสวรรค์ และ จังหวัด
ฉะเชิงเทรา เนื่ องจากจังหวัดฉะเชิงเทรามีความพร้อมและอยู่ใกล้ พื้นที่เขตพั ฒ นาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาค
๔๙
ตะวั น ออก (EEC) และจะด าเนิ น การในกลุ่ มถั ดไป ได้แ ก่จังหวัดนครราชสี ม า และ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมี
อุตสาหกรรมและมีสินค้าเข้าออกเป็นจานวนมาก พื้นที่ต่อมาที่จะพัฒนาต่อไปคือจังหวัดนครสวรรค์
๒. ประเด็นงบประมาณของการขนส่งทางน้า โดยกระทรวงคมนาคมได้รับงบประมาณในการบูรณาการ
และพั ฒ นาระบบการขนส่ งเป็ น เงิ น ๑๐๙,๐๐๐ ล้ านบาท ซึ่ ง ระบบการขนส่ ง ทางน้ าได้ รั บ งบประมาณ
๗๘.๘๗ ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยหากเมื่อเทียบจากงบประมาณที่ได้รับแต่เมื่อหากเทียบกับปีที่ผ่านมาการขนส่ง
ทางน้าได้รับเงินมากขึ้นกว่า ๓๐๐ ล้านบาท โดยสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้มีเป้าหมาย
ในการดาเนินการโดยวางแผนพัฒนาท่าเรือโดยสาร เรือโดยสารสาธารณะ การบริหารจัดการทางน้า และยังให้
ความสาคัญในด้านบุคลากร และ เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อนามาพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางน้า และยังมี
แผนผลักดันในการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอน
การของบประมาณเพื่อดาเนินการศึกษา
๓. ประเด็นระบบรางของท่าเรือแหลมฉบัง โดยท่าเรือแหลมฉบังเฟส ๒ ใช้ระบบรางคู่ ซึ่งอยู่ระหว่าง
ท่าเทียบเรือจุด B และ จุ ด C ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๖๐๐ ไร่ มีพื้นที่กองเก็บตู้สินค้า ๒๘,๐๐๐ TEU แต่ล ะราง
มีความยาวในช่วง ๑,๒๒๔ – ๑,๔๓๔ เมตร สามารถจอดขบวนรถไฟได้รางละ ๔ ขบวน รวมเป็น ๘ ขบวน
รองรั บ และเชื่ อ มต่ อ กั บ โครงการก่ อ สร้ า งรถไฟทางคู่ ข อง การรถไฟแห่ ง ประเทศไทย จากสถานี ร ถไฟ
แหลมฉบั งเข้าสู่ พื้นที่โครงการระยะทางประมาณ ๔.๓ กิโลเมตร และในปัจจุบันกาลังมีโครงการ SRTO ๒
เพื่อจะสร้างรางเพื่อให้เชื่อมโยงจากเฟส ๒ เข้าสู่เฟส ๓ โดยจะเริ่มโครงการหลังจากท่าเรือแหลมฉบังเสร็จสิ้น
ไประดับหนึ่ง
โดยคณะอนุกรรมาธิการได้ฝากสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ถึงประโยชน์
ในโครงการพั ฒ นาคลองไทย โดยจะสร้ างประโยชน์ให้ แ ก่ประเทศไทยเป็น อย่างมาก เช่น เรื่องการขนส่ ง
สาธารณะ หรือขนส่งสินค้า เป็นต้น และคณะอนุกรรมาธิการได้ตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาท่าเรือระนองในพื้นที่
ด้านหลังซึ่งมีปัญหาในการขนถ่ายสินค้าเห็นควรให้มีการปรับปรุงให้สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ โดยฝาก
ให้ สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้นาไปศึกษาและหารือเพื่อของบประมาณมาเพื่อพัฒนา
ต่อไป
๔. สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรมีแนวคิดในการบูรณาการแผนในการก่อสร้าง
ทางถนน ทางรถไฟ (ระบบราง) และท่าเรือให้เชื่อมต่อกันหรือไม่
ผู้แทนจากสานั กงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้ชี้แจงว่าสานักงานฯ ได้พยายาม
เสนอแผนให้ กับ กระทรวงคมนาคมในการบู รณาการการก่อสร้างแต่การดาเนินการไม่สามารถบูรณาการได้
เพราะเนื่ อ งจากระบบงบประมาณของแต่ ล ะส่ ว นงานไม่ บู ร ณาการกั น ส านั ก งานฯ ไม่ ส ามารถบั งคั บ ให้
หน่ วยงานต่าง ๆ น างบมาบู รณาการได้ จึงทาให้การบูรณาการระบบการขนส่ งจึงยังไม่สมบูรณ์ ประกอบกับ
หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งทั้งทางถนน ทางน้า ทางระบบราง มีกฎหมายที่แยกกันเฉพาะ
จึงทาให้เกิดปัญหาขาดการบูรณาการในการก่อสร้างระบบขนส่งที่ไม่เชื่อมโยงกัน
๕. โครงการเส้ น ทางรถไฟชุม พร – ท่าเรือ น้ าลึ กระนอง มี การดาเนิ น การอย่ างไรบ้ าง ผู้ แ ทน
ส านั ก งานนโยบายและแผนการขนส่ งและจราจร ได้ ชี้ แจงว่า ส านั ก งานฯ ได้ จัด ท าโครงการศึ ก ษาความ
เหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมเส้นทางรถไฟชุมพร – ท่าเรือน้าลึกระนองเรียบร้อยแล้ว
และได้ส่งข้อมูลฉบับสมบูรณ์ให้กับการถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเพื่อพิจารณาจัดสรร
๕๐
คณะอนุกรรมาธิการได้ดาเนินการพิจารณาศึกษามาตรการส่งเสริมการพาณิชยนาวีของประเทศไทย
โดยการจัดประชุมและเชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการพาณิชยนาวี ทั้งภาคราชการและภาคเอกชน มาให้
ข้อมูล ข้อเท็จ จริ ง และแสดงความเห็ น ตลอดจนเสนอปัญ หาและอุปสรรคที่ส่ งผลกระทบต่อการส่งเสริม
พาณิ ช ยนาวีข องประเทศไทย การศึ ก ษาดู งาน และการศึ ก ษารวบรวมข้ อ มู ล ผลการศึ ก ษาของคณะอนุ
กรรมาธิการ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๕.๑ ด้านนโยบายและกฎหมายการสนับสนุนจากภาครัฐ
๕.๑.๑ ปัญหารูปแบบโครงสร้างการดาเนินงานและการบริหารจัดการในปัจจุบันของการควบรวม
หน่วยงานพาณิชยนาวีระดับกอง ไว้กับกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ งานของ
กรมเจ้าท่าเน้นความสาคัญเชิงมาตรฐาน การควบคุมกากับเรื่องความปลอดภัยในการเดินเรือ ส่วนงานของกอง
ส่งเสริมการพาณิชยนาวีและกองกากับการพาณิชยนาวีให้ความสาคัญกับการขับเคลื่อนส่งเสริมในเชิงเศรษฐกิจ
๕.๑.๒ กฎหมาย กฎระเบี ย บ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ งทางน้าและการพาณิ ชยนาวี
ไม่เอื้ออานวยต่อการพัฒนาและประกอบกิจการพาณิชยนาวีในปัจจุบัน
๕.๑.๓ หน่วยงานที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการทางทะเลไทย มีการดาเนินการโดยแยกแต่ละส่วนงานเป็น
อิสระเอกเทศ ขาดการบูรณาการในภาพรวม
๕.๒ ด้านกิจการอู่เรือ
๕.๒.๑ อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งที่ผ่านมา
ผู้ประกอบการอู่ต่อเรือและซ่อมเรือประสบปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการจัดหาแผ่ นเหล็กต่อเรือทั้งจาก
ภายในประเทศและการนาเข้าจากต่างประเทศ กล่าวคือ
๕.๒.๑.๑ กรณีซื้อในประเทศ เกิดความไม่สมดุลที่ความต้องการใช้แผ่นเหล็ก ใช้ปริมาณน้อย
และมีคุณสมบัติขนาดและความหนาที่หลากหลายไม่แน่นอน ในขณะที่อุปทานการผลิตไม่ทราบความต้องการ
ใช้ที่แท้จริง จึงไม่สามารถผลิตให้ได้ตามความต้องการรวมทั้งการสั่งซื้อแผ่นเหล็ก ต้องมีปริมาณมากและต้อง
วางเงินมัดจา ซึ่งส่งผลกระทบต่ออู่เรือขนาดเล็กในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน
๕.๒.๑.๒ กรณีนาเข้าจากต่างประเทศ เหล็กมีราคาสูงซึ่งเป็นผลจากมาตรการตอบโต้ การ
นาเข้าแผ่ น เหล็ กรีดร้อนและเหล็กรูป พรรณตามมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) ตาม
พระราชบัญญัติกาหนดพิกัดศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และจะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบมาตรฐานของแผ่น
เหล็กจากสานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
๕.๒.๒ การแข่งขันในอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือสูงมาก ซึ่งไทยมีต้นทุนจัดหาชิ้นส่วนอุปกรณ์สูง
เนื่องจากต้องนาเข้าจากต่างประเทศถึงร้อยละ ๗๐ ของมูลค่าเรือ ตลอดจนต้องใช้เทคโนโลยีความสามารถทาง
วิศวกรรมออกแบบทดสอบในระดับที่สูง และต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องหลากหลายซับซ้อน
๕.๒.๓ การพัฒนากิจการอู่เรือไทยที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้า จึงมีข้อจากัดของความไม่เหมาะสมใน
ด้านสถานที่ตั้งพื้นที่ ร่องน้าตื้น และไม่อยู่ใกล้เส้นทางเดินเรือ ทาให้ไทยยังขาดความพร้อมในด้านโครงสร้าง
พื้นที่ ที่จะเป็นทั้งเขตอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมสนับสนุนที่จาเป็นในการต่อเรือ
๕๖
๕.๓ ด้านกิจการกองเรือพาณิชย์ไทย
๕.๓.๑ มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเงิน ด้านการลงทุน ด้านภาษี ด้านบุคลากรและอื่น ๆ
ของกองเรือพาณิชย์ไทย ยังไม่สอดรับกับบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
๕.๓.๒ กองเรือพาณิชย์ไทยมีต้นทุนในการประกอบการที่สูงกว่าและไม่เท่าเทียมกันเมื่อเทียบกับกอง
เรือพาณิชย์ต่างชาติ ทาให้บริษัทเดินเรือไทยหลายบริษัทได้แก้ปัญหาความเสียเปรียบกองเรือต่างชาติเพื่อความ
อยู่รอดของตนเองด้วยการย้ายเรือสินค้าของบริษัทไปจดทะเบียน (ชักธง) เป็นเรือพาณิชย์ต่างประเทศที่ให้ผล
ประโยชน์ทางกฎหมายที่ดีกว่า
๕.๔ ด้านกิจการท่าเรือ
๕.๔.๑ ท่าเรือระหว่างประเทศ และท่าเรือชายฝั่ งของประเทศไทยมีท่าเทียบเรือไม่เพียงพอ และ
กิจการท่าเรือชายฝั่งทะเลไทยยังขาดการบริหารจัดการท่าเรือที่ดีพอ ทาให้มีเรือขนส่งสินค้าจอดลอยลาเพื่อรอ
เข้าเทียบท่าเรือเกิดปัญหาความแออัดและความล่าช้าในการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ ทาให้เสียเวลา ๑ ถึง ๒ วัน
๕.๔.๒ ในขณะที่ท่าเรือบางแห่งโดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในที่ดินของกรมธนารักษ์ซึ่งตามระเบียบในการ
จั ดเก็บ ค่าตอบแทนกรณี เป็ น ท่ าเรือเชิงพาณิ ช ย์จะเรียกเก็บ ค่าเช่ าท่ าเรือในอั ตราสู ง เป็ น อุป สรรคต่ อการ
เข้าบริหารท่าเรือจึงทาให้ท่าเรือสร้างเสร็จอยู่ในสภาพร้าง
๕.๔.๓ ท่าเรือบางแห่งสร้างแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เนื่องจากมิได้มีการพัฒนาถึงสิ่งอานวยความสะดวก
เช่น เครื่องมือยกขน ลานพักสินค้า คลังเก็บสินค้า และโครงข่ายการขนส่งเชื่อมโยงทั้งทางถนนและทางรถไฟ
ที่จะเข้ามารองรับอย่างเป็นระบบ
๕.๔.๔ ท่าเรือท่องเที่ยว ท่าเรือยอร์ช มีปัญหาและอุปสรรคในเรื่องของความแออัดของท่าเทียบเรือ
ร่องน้าตื้น และมาตรฐานด้านความปลอดภัย
๕๙
๕.๕ ด้านเรือยอร์ช
๕.๕.๑ เนื่ องจากนโยบายการกาหนดระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรไทยแก่เรือยอร์ชต่างชาติ
ทาให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ เช่น ประเทศอินโดนีเซียที่ปัจจุบันขยายเวลาการ
อยู่ในประเทศเป็น ๓ ปี ในขณะที่ป ระเทศไทยจอดได้เพียง ๖ เดือน เดือนพร้อมทั้งขอขยายระยะเวลาให้ ผู้
ควบคุมและคนประจาเรืออยู่ในราชอาณาจักรไทยให้ได้ ๑ ปี
๕.๕.๒ ๒ สมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย ยินดีสนับสนุน Super Yacht Charter License ให้ บรรลุผ ล
โดยให้จัดเก็บ เฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) จากรายได้เช่าเหมาลา แต่ขอให้ผ่อนปรนการเรียกเก็บภาษี Vat
ร้อยละ ๗ จากมูลค่าเรือ ซึ่งถึงแม้กรมสรรพากรจะคืนภาษีให้ภายใน ๓๐ วัน แต่ในทางปฏิบัติ ภาระภาษีที่จ่าย
ร้อยละ ๗ ของมูลค่าเรือ เป็นเงินสูงมาก ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมและค่าดาเนินการ
๕.๕.๓ อุปสรรคในการดาเนินการไปสู่การเป็นศูนย์กลางของท่าจอดเรือยอร์ชในภูมิภาค หลัก ๆ คือ
เรื่องของกฎหมายและการขาดการบูรณาการกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันยังไม่ได้รับการแก้ไข
อย่างเป็นรูปธรรม
๕.๖ ด้านบุคลากรทางด้านพาณิชยนาวี
๕.๖.๑ ปัจจุบันสถาบันการศึกษาพาณิชยนาวีของไทย มีนักเรียนรวมกันจานวนมากกว่า ๒,๐๐๐ คน
โดยลงฝึกในเรือประมาณปีละ ๕๐๐ คน ในขณะที่กองเรือไทยมีแค่ ๔๐๖ ลา คิดเป็นลาดับที่ ๓๔ ของโลกที่มี
ทั้งหมดกว่า ๙ หมื่นลา ส่วนเรือฝึกภาคทะเลประจาปีที่กรมเจ้าท่าดูแลรับผิดชอบมี เพียง ๒ ลา ทาให้ประเทศ
ไทยจาเป็นต้องจัดหาเรือฝึกจากต่างประเทศเพื่อรองรับตลาดแรงงานไทย อย่างไรก็ตามกรมเจ้าท่า กลับออก
กฎระเบียบเรื่องการฝึกภาคทะเลที่เข้มงวด ทาให้เกิดความไม่ยืดหยุ่นต่อการจัดหาเรือฝึกให้กับนักเรียน
๕.๖.๒ นอกจากนี้ คุณ สมบั ติของครูผู้ สอน วิทยากร และผู้ เชี่ยวชาญพิเศษ ที่กรมเจ้าท่ ากาหนด
ขาดความยืดหยุ่นไม่คล่องตัว และการขอคารับรองคุณสมบัติของครู วิทยากรผู้เชี่ยวชาญพิเศษ มีขั้นตอนใน
การตรวจสอบที่ล่าช้าและใช้เอกสารแสดงคุณสมบัติจานวนมาก รวมถึงเมื่อได้รับการรับรองจากกรมเจ้าท่าแล้ว
ยังต้องขอคารับรองจากกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมอีก อีกทั้งค่าตอบแทนของผู้สอน
ตามเกณฑ์ ของส านั กงาน ก.พ. ค่อนข้างต่า ไม่จูงใจผู้ส อน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่มีความรู้ความสามารถและ
ประสบการณ์สูง
๕.๖.๓ การปรับ ตัวทางานในพหุ วัฒ นธรรม (Multi-cultural environment) มากกว่าร้ อยละ ๘๐
ของกองเรือพาณิชย์โลกนั้นมีลูกเรือหลายสัญชาติทางานอยู่บนเรือ ซึ่งในหลายกรณีมีตั้งแต่ ๗ ถึง ๘ สัญชาติ
แต่สาหรับเรือบรรทุกผู้โดยสารหรือเรือครูซ อาจจะมีมากกว่า ๓๐ สัญชาติ ดังนั้นการปรับตัวในการทางาน
ในสังคมพหุวัฒนธรรมจึงมีความจาเป็น
๕.๖.๔ ไทยยังขาดแคลนบุคลากรด้านนายประจาเรือ และลูกเรือที่มีคุณภาพโดยเฉพาะความรู้ความ
เชี่ ย วชาญด้ า นการใช้ ภ าษาอั ง กฤษที่ ใช้ กั บ การขนส่ ง สิ น ค้ า นอกจากนี้ ยั ง ไม่ ส ามารถจั ด หาเรื อ ส าหรั บ
ฝึกประสบการณ์ จ ริงบนเรื อให้ เพี ยงพอกับ จานวนนักเรียนทั้งหมดได้ และมีข้อจากัดด้านค่าใช้จ่ายในการ
ฝึกเดินเรือระหว่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการฝึกเดินเรือภายในประเทศกว่าเท่าตัว
๕.๖.๕ ทักษะของบุคลากรด้านพาณิชยนาวีไทย ยังขาดการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งปัจจุบันมีการ
พัฒนาไปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทาให้บุคลากรเกิดปัญหาเนื่องจากต้องใช้ภาษาอังกฤษในการเข้าถึงข้อ มูล
ที่มีความซับซ้อน ทั้งในส่วนของการซ่อมบารุงและการติดต่อสื่อสาร
๕.๖.๖ เรื่องการยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนที่เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างคนประจาเรือ ตามกฎหมายว่าด้วย
การส่งเสริมการพาณิชยนาวี ได้ระบุว่าการยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนที่เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างคนประจาเรื อให้
สิทธิ์เฉพาะเรือไทยที่ขนส่งระหว่างประเทศเท่านั้น ในกรณีเรือปฏิบัติงานในประเทศไทยยังไม่มีประกาศได้รับ
การยกเว้น จากข้อมูลการศึกษา พบว่าปัจจุบัน มีความเหลื่อมล้า ในเรื่องของการจัดเก็บภาษีเงินได้ของคน
ประจาเรือ ที่ป ฏิบัติงานบนเรือชักธงไทยในบริเวณอ่าวไทย กล่ าวคือ ภาครัฐได้มีการจัดเก็บภาษีเงินได้กับ
คนประจาเรือไทย ที่ปฏิบัติงานบนเรือที่ชักธงไทย เพื่อสนับสนุน แท่นขุดเจาะในบริเวณอ่าวไทย แต่ได้ยกเว้น
การจัดเก็บภาษีเงินได้กับคนประจาเรือไทย ที่ปฏิบัติงานบนเรือชักธงต่างชาติ ซึ่งปฏิบัติ งานสนับสนุนแท่นขุด
เจาะในบริเวณอ่าวไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ในบริเวณเดียวกัน เป็นสาเหตุให้บุคลากรคนประจาเรือไทยเลือกที่จะไป
ทางานบนเรือชักธงต่างชาติ เนื่องจากสาเหตุดังกล่าวเบื้องต้น
๖๒
บทที่ ๖
บทสรุป ข้ อเสนอแนะ และข้ อสังเกตของคณะอนุ
กรรมาธิการ งเสริมกิจกรรมพาณิชยนาวี
ที่ผ่านมาครึ่งศตวรรษ ถึงแม้ภาครัฐได้มีการกาหนดและมาตรการในการส่
ที่มีมาตรการส่วนใหญ่เน้นไปที่การพัฒนากองเรือ ท่าเรือ อู่เรือและกาลังคนซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สาคัญที่สุดใน
กิจการพาณิชยนาวี แต่กิจการพาณิชยนาวีไทยไม่ได้มีความเจริญรุดหน้า กลับมาอยู่ในสภาพอ่อนแอ ซึ่งเกิด
จากการไม่ตระหนักถึงความสาคัญของกิจการพาณิ ชยนาวีที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ มาตรการส่งเสริม
กิจการพาณิชยนาวีขาดความต่อเนื่องและสัมฤทธิ์ผล รวมทั้งขาดการบูรณาการในภาพรวม
ในภาวการณ์ แ พร่ ร ะบาดของไวรั ส โควิด -๑๙ ที่ จาเป็ น ต้ องปรับ ตัว ตามวิถี การใช้ชี วิตใหม่ (New
Normal) การพัฒนากิจการด้านพาณิชยนาวี จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยมีการใช้ทรัพยากรทางทะเลให้
เกิดมูลค่า ซึ่งกิจการพาณิชยนาวีน่าจะเป็ นความหวังของการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของ
ประเทศไทยให้เกิดผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลสูงสุด และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่คณะอนุกรรมาธิการได้
ผลักดันเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการพาณิชยนาวีมาชี้แจงและทาความเข้าใจกับบริบทของการ
สนับสนุนจากภาครัฐ จนขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ที่ค้างมานานกระทรวง
คมนาคมได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ เสนอถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนาเรียนนายกรัฐมนตรี
เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
ถึ งเวลาแล้ ว ที่ ภ าครั ฐ ควรเร่ งรั ด ในการจั ด ตั้ งองค์ ก ารมหาชนตามพระราชบั ญ ญั ติ เฉพาะภายใต้
พระราชบัญญัติส่งเสริมพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ประเทศไทยจะได้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการพาณิชยนาวีได้
อย่ างเบ็ ดเสร็จ ครบวงจรและเป็ น รู ป ธรรม ร่างพระราชบัญ ญั ติส่ งเสริมการพาณิ ช ยนาวี พ.ศ. .... นับเป็ น
ความหวังของการปฏิ รูป การพาณิ ช ยนาวีของไทยซึ่งมี ความครอบคลุ มถึงผู้ มี ส่ ว นได้ส่ ว นเสี ยทุ กภาคส่ ว น
อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกตจากการศึกษา ดังนี้
๖.๑ ด้านนโยบายและกฎหมายการสนับสนุนจากภาครัฐ
๖.๑.๑ เนื่องจากบทบัญญัติในพระราชบัญญัติส่งเสริมพาณิชยนาวี พ.ศ.๒๕๒๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ.๒๕๔๘ มีเนื้อหาที่ไม่ทันสมัย เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ทาให้การส่งเสริมการพาณิชยนาวีของไทย
ขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงเห็นควรผลักดันให้พระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ที่มีกรมเจ้า
ท่าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ซึ่งขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ เสนอ
ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนาเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
๖.๑.๒ พระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. .... ที่ยกร่างใหม่ถือเป็นการปฏิรูปการพาณิชย
นาวีของไทยครั้งสาคัญ ซึ่งจะเกิดผลดังนี้
๖๕
(๑) ทาให้มีหน่วยงานรับผิดชอบกิจการพาณิชยนาวีไทยโดยตรงที่มีฐานะเป็นองค์การมหาชน
ตามพระราชบัญญัติเฉพาะ โดยให้หน่วยงานดังกล่าวมีอานาจหน้าที่ในการกาหนดนโยบาย การกากับดูแลและ
การปฏิบั ติการให้อยู่ภายใต้องค์กรเดียว ซึ่งการเป็นองค์การมหาชน จะทาให้ การดาเนินการของสานักงาน
เป็นไปได้อย่างคล่องตัว ไม่ต้องอยู่ภายใต้ระบบราชการ
(๒) มีคณะกรรมการ ๒ ระดับ คือ ระดับนโยบายและระดับบริหาร ที่คอยกาหนดการให้สิทธิ์
และผลประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนา คุ้มครองและกากับดูแลกิจการพาณิชยนาวีอย่างบูรณาการ และ
ครบวงจร
(๓) กาหนดให้สิทธิประโยชน์และมาตรการในการส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีใหม่เพื่อเป็นการ
สร้างความเข้มแข็งในด้านต่าง ๆ กล่าวคือ
ด้านภาษีและด้านการลงทุน กาหนดให้การขนส่งทางทะเลระหว่างไทยกับต่างประเทศต้อง
ส่งเสริมให้ใช้เรือไทย โดยเฉพาะในส่วนของราชการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี ให้แก่ผู้ประกอบกิจการเรือ
พาณิชย์ อู่เรือ ผู้ประกอบกิจการท่าเรือ และกิจการที่เกี่ยวข้องกับพาณิชยนาวี กาหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงิน
ได้จากรายได้ที่เกิดจากการให้เช่าตู้คอนเทนเนอร์ และให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากิจการพาณิชย
นาวี
ด้านการให้สัมปทาน กาหนดมาตรการให้ผู้รับสัมปทานสารวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย
และเขตเศรษฐกิจจาเพาะต้องใช้บริการจากเรือไทย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันให้กับ
ผู้รับสัมปทานและผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวข้อง กระทรวงคมนาคมโดยกรมเจ้าท่าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ต้องมีการควบคุมมาตรฐานของเรือที่จะให้บริการอย่างเข้มงวด
ด้านกิจการอู่ต่อเรือ กาหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องต่อเรือใหม่หรือซ่อมเรือจากผู้ประกอบ
กิจการอู่เรือภายในประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นการสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ
อู่เรือภายในประเทศ
คณะกรรมการนโยบายที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้กาหนดมาตรการที่เป็นประโยชน์กับ
กิจการการพาณิชยนาวีไทยไว้มากมายทั้งการกาหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนการพัฒนาการพาณิชยนาวี
นโยบายในการจัดตั้งท่าเรือประเภทต่าง ๆ มาตรการเสริมสร้างเรือไทยให้สามารถดาเนินการขนส่งทางทะเล
สูงขึ้น มาตรการส่งเสริมสถานศึกษาหรือฝึกอบรมคนประจาเรือและบุคลากร กิจการอู่เรือและกิจการท่าเรือ
ส่งเสริมและคุ้มครองผู้ประกอบการที่ถือกรรมสิทธิ์เรือไทย ตลอดจนการกาหนดสิทธิและประโยชน์เพื่อส่งเสริม
การประกอบกิจการเรือไทย กิจการอู่เรือ กิจการท่าเรือ กิจการที่เกี่ยวกับการสอนการฝึกอบรมคนประจาเรือ
อย่ างไรก็ตามในทางปฏิบั ติเพื่ อให้ นโยบาย มาตรการส่ งเสริมและสิ ทธิป ระโยชน์ดังกล่าว
สัมฤทธิ์ผ ล กฎกระทรวงที่จ ะออกมารองรับควรมีการรับฟั งข้อคิดเห็ นและข้อเสนอแนะของผู้ เกี่ยวข้องทั้ ง
ภาครัฐและเอกชนผู้ประกอบการ
๖๖
๖.๒ ด้านกิจการอู่เรือ
๖.๒.๑ ถึงแม้ได้มีการแก้ไขปัญหา ในเบื้องต้นจากการที่เหล็กนาเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูง ด้วย
การลดอัตราภาษีสาหรับ การน าเข้าเหล็ กแผ่นสาหรับต่อเรือและซ่อมเรือในปริมาณ ๑,๐๐๐ เมตริกตัน/ปี
ซึ่งจัดทาเป็นประกาศของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ.๒๕๖๐ โดยบังคับใช้ได้ถึง
ปี ๒๕๖๕ แต่เป็นการบรรเทาปัญหาแค่ส่วนน้อย ซึ่งการเรียกร้องขอยกเว้นการเรียกเก็บอากรการตอบโต้การ
ทุ่มตลาด (AD) สาหรับการนาเข้าเหล็กแผ่นของสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย ควรแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ด้วยการหาจุดสมดุลระหว่างดูแลผลประโยชน์การปกป้องอุตสาหกรรมผลิตเหล็กในประเทศ กับการพัฒนา
อุตสาหกรรมต่ อเรื อและซ่ อมเรื อไทย ระหว่างกลุ่ ม อุตสาหกรรมเหล็ กสภาอุตสาหกรรมแห่ งประเทศไทย
กับสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย โดยมีหน่วยงานกลางของรัฐอย่างกรมเจ้าท่าพิจารณาตัดสินความลงตัวที่ทั้ง
สองฝ่ายยอมรับได้
๖.๒.๒ รั ฐ ควรก าหนดมาตรการสนั บ สนุ น ที่ ส าคั ญ ทั้ งด้ า นการตลาด ด้ านการเงิน ด้ านภาษี แ ละ
กฎระเบียบ เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือไทยให้สามารถตอบสนองทั้งใน
ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
๖.๒.๓ ส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในการตรวจเรือ เพื่อช่วยลดค่ าใช้จ่ายใน
การต่อเรือ ช่วยเพิ่มและยกระดับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านภายในประเทศ
๖.๒.๔ สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกรมเจ้าท่าพิจารณาปรับสิทธิประโยชน์และ
มาตรการจูงใจในการลงทุนกิจการต่อเรือและซ่อมเรือ ซึ่งต้องลงทุนสูงมาก และมีระยะเวลาคืนทุนนานกว่า ๑๐ ปี
๖.๒.๕ ภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยและ กรมศุลกากร ควรพิจารณา
ร่วมกันในการส่งเสริมและพัฒนาการขนส่งในลาน้า ด้วยการหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ
ขนส่งทางน้าเพื่อเป็นการจูงใจให้นักลงทุนหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมขนส่งทางน้ามากขึ้น
๖.๒.๖ ภาครัฐควรเร่งรัดให้มีมาตรฐานความปลอดภัยและรับรองมาตรฐานเรือที่ใช้ในประเทศ ( Thai
Class) โดยจัดตั้งสมาคมจัดชั้นเรือที่เป็นหน่วยงานอิสระ เป็นกลางเพื่อให้เป็นที่ยอมรับระดับสากลโดยเร็ว
๖.๒.๗ ภาครัฐควรสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาทั้งในด้ านกระบวนการ การออกแบบ
เรือ และการผลิตชิ้นส่วนเรือที่ไทยยังขาดผู้รับออกแบบโดยตรง ส่วนใหญ่ต้องซื้อแบบเรือจากต่างประเทศ
๖.๒.๘ ในระยะยาวภาครั ฐ ควรมี ก ารพั ฒ นาเขตเศรษฐกิ จพิ เศษในพื้ น ที่ ที่ เหมาะสมส าหรับ นิ ค ม
อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือไทย ที่ปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่กระจั ดกระจายริมแม่น้า โดยมอบหมายให้การนิคม
อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
๖.๒.๙ ขยายระยะเวลาที่กาหนดว่าวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อและซ่อมเรือได้รับการยกเว้นอากร
นาเข้าแต่มีเงื่อนไขว่าต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน ซึ่งในความเป็นจริงการปฏิบั ติงานต่อเรือและ
ซ่อมเรือเป็นไปได้ยาก
๖๗
๖.๓ ด้านกิจการกองเรือพาณิชย์ไทย
๖.๓.๑ ภาครัฐควรมีมาตรการส่งเสริมกองเรือพาณิชย์ไทยในด้านต้นทุนโดยสนับสนุนช่วยเหลือด้าน
การเงิน อาทิจัดตั้งกองทุนถาวร จัดหาแหล่งเงินทุนหรือเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่า การลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
และการลดค่าใช้จ่ายทางภาษีเพื่อแก้ไขความเสียเปรียบของกองเรือไทยที่มีต่อกองเรือต่างชาติ
๖.๓.๒ ภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมด้านการตลาดโดยสนับสนุนให้เอกชนของไทยเปลี่ยนเงื่อนไขในการ
ซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศเพื่อให้ผู้ส่งออกและนาเข้าสามารถบริหาร จัดการค่าระวางในการขนส่งสินค้าทาง
ทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการเอื้ออานวยต่อการพัฒ นาและขยายกองเรือพาณิชย์ไทย ด้วยการ
ส่งเสริมให้ใช้เรือไทยส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้โครงการของรัฐบาลและใช้เรือไทยภายใต้ระบบสัมปทานของรัฐ
ในธุรกิจสารวจและผลิตปิโตรเลียม ลดค่าใช้จ่ายการนาเข้าหรือต้นทุนเรือเพื่อให้สามารถแข่งขันกับเรือต่างชาติ
ได้ ส่งเสริมอุตสาหกรรมการซ่อมบารุงนาเข้าและเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมส่งเสริมกองเรือไทย ตลอดจนการ
ขยายความสามารถในการขนส่งทางเรือด้วยการขุดลอกร่องน้าและท่าเทียบเรือ
๖.๓.๓ ภาครัฐควรกาหนดมาตรการส่งเสริมด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้สามารถแข่งขันกับ
ต่างชาติได้ ด้วยการมีมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการดาเนินการปรับปรุงคุณภาพเรือ เช่น กาหนดนโยบายการ
ลดอายุ เรือ ที่ให้ บ ริ การ ส่ งเสริ มให้ น าเทคโนโลยีที่ ทัน สมัย มาใช้เพื่ อเพิ่ มประสิ ท ธิภ าพและความปลอดภั ย
ตลอดจนรั ฐ ควรแก้ไขเพิ่ ม กฎหมาย เพื่ อให้ เป็น ไปตามอนุสั ญ ญาและความตกลงระหว่างประเทศที่ ไทยมี
พันธกรณี
๖.๓.๔ ในมาตราส่งเสริมหรือสนับสนุนกองเรือพาณิชย์ไทยที่กาหนดให้การส่งของทางเรือต้องบรรทุก
โดยเรือไทย และการกาหนดแผนการส่งเสริมให้ ใช้เรือไทยและผู้ประกอบการไทยในเขตสัมปทานหรือเขต
เศรษฐกิจจาเพาะเพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ยกระดับมาตรฐานและส่งเสริมการลงทุนนับเป็ น
เรื่ อ งที่ ดี แ ละเกิ ด ประโยชน์ กั บ กองเรื อ ไทย แต่ ก รณี ที่ ไม่ อ าจบรรทุ ก ของหรื อ สิ น ค้ า ไทย ด้ ว ยเรื อ ไทยได้
ผู้ประกอบการต้องยื่นเรื่องเพื่อขออนุญาตให้บรรทุกสินค้าโดยเรืออื่นนั้น มีประเด็นที่ควรตระหนักกล่าวคือ
๖๘
๑) ควรกาหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขวิธีปฏิบัติอย่างชัดเจนเป็ นรูปธรรมเพื่อมิให้กฎหมาย
ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาคการค้าการขนส่งของประเทศ
๒) ตรวจสอบและประกาศความพร้อมและศักยภาพของเรือไทยที่สามารถให้บริการขนส่ง
ของเรือได้ทั้งกรณีประจาเส้นทางและไม่ประจาเส้นทาง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ดุลยพินิจในการขอยกเว้นใช้เรือ
อื่นที่ไม่ใช่เรือไทย
๖.๔ ด้านกิจการท่าเรือ
๖.๔.๑ กฎหมายที่ส่งเสริมให้กาหนดในการจัดตั้งท่าเรือประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะการขนส่งทาง
ทะเลโดยคานึงถึงประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากร ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ความมั่นคงการรักษา
สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยในการเดินเรือนั้น จากการที่ท่าเรือในประเทศไทยมีหลากหลายประเภท ทั้งใน
ความเป็ น เจ้ าของ ผู้ บ ริ ห าร และผู้ ป ระกอบการ ภาครัฐ ควรออกเป็ น กฎกระทรวงก าหนดแผนงานจัด ตั้ ง
หน่วยงานกลาง ซึ่งประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้องทั้งจากหน่วยงานกรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมธนา
รักษ์ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ เข้ามาบริหารจัดการท่าเรือใน
ลักษณะบูรณาการให้เกิดประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ตลอดจนได้มาตรฐานสากล
๖.๔.๒ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และรับผิดชอบ ท่าเรือต่าง ๆ ควรเร่งรัด แก้ไขปัญหาท่าเรือที่สร้าง
แล้วเสร็จ แต่ยังไม่มีการใช้งาน หรือประสบปัญหาการใช้งาน
๖.๕ ด้านเรือยอร์ช
๖.๕.๑ ประเทศไทยควรพิ จ ารณาแก้ ไขขยายระยะเวลาการอนุ ญ าตให้ เรื อ ยอร์ ช ต่ า งชาติ อ ยู่ ใน
ราชอาณาจักรไทยได้ ๓ ปี จะทาให้อัตราจานวนเรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ โดยเพิ่มจากเรือจานวน ๑,๒๕๐ ลา
เป็น ๓,๘๐๐ ลา ซึ่งเป็นประโยชน์ทางธุรกิจที่ประเทศไทยจะได้รับ รวมทั้งพิจารณาขยายเวลาให้ผู้ควบคุมและ
คนประจาเรืออยู่ในราชอาณาจักรไทยให้ได้ ๑ ปี
๖.๕.๒ สนับสนุน Super Yacht Charter License ให้บรรลุผลโดยจัดเก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มจาก
การบริการและละเว้นการจัดเก็บภาษีซื้อร้อยละ ๗ จากมูลค่าเรือ
๖.๖ ด้านบุคลากรทางด้านพาณิชยนาวี
๖.๖.๑ ข้อจากัดของตลาดแรงงานในกองเรือนานาชาติ ประเทศไทยยังไม่ไปทาข้อตกลง (MOU) กับ
ประเทศที่เป็นแหล่งงานที่ดีเช่น สหภาพยุโรป (EU) และข้อจากัดของกองเรือพาณิชย์ไทยที่ต้องใช้เป็นแหล่ง
ฝึกงานของนักเรียนเดินเรือ โควต้าที่ว่างบนเรือ งบประมาณที่ต้องใช้
๖.๖.๒ กรมเจ้าท่าควรแก้ไขกฎระเบียบเรื่องการฝึกภาคทะเลเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดหาเรือ
ฝึ ก ตลอดจนการผ่ อ นปรนกฎระเบี ย บ ข้ อ บั งคั บ ส าหรั บ การพิ จ ารณาคุ ณ สมบั ติ ค รู ผู้ ส อน วิ ท ยากรและ
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ รวมทั้งผ่อนปรนเรื่องการขอรับรองคุณสมบัติและอนุ มัติผู้สอน โดยผู้ สอนที่ได้รับการขึ้น
ทะเบียนรับรองคุณสมบัติในส่วนกลางแล้ว สามารถสอนในสถาบันที่กรมเจ้าท่ารับรองได้ทุกแห่งโดยไม่ต้องขอ
๖๙
(นายปุณณชัย ฟูตระกูล)
เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ
๗๐
บรรณานุกรม
กิตติคุณ กิ่งแก้ว. (๒๕๕๕). การประเมินขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศไทย.(ปริญญา
นิพนธ์วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
กรุงเทพมหานคร.
กองมาตรฐานคนประจาเรือ. (๒๕๖๒). หนังสือเลขที่ คค ๐๓๐๔/๕๑๖๐ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒. การทา
ข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรที่ออกโดยรัฐภาคีอื่นกับประเทศเนเธอร์แลนด์. กรมเจ้าท่า.
กรุงเทพมหานคร.
วิทยา ยาม่วง. (๒๕๕๙). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย. กรุงเทพมหานคร: กรมเจ้าท่า
กระทรวงคมนาคม
สถาบันการขนส่ง. (๒๕๕๐). โครงการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือแบบครบวงจร :
รายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ (Final Report). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร.
สานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ ๕. โครงการศึกษาความต้องการเพื่อการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการ
ท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ ๖ จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน.
สานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (๒๕๕๖), อ้างอิงใน รายงานวิชาการสานักงานงบประมาณ
ของรัฐสภา แนวทางการพัฒนาระบบคมนาขนส่งของประเทศ ฉบับที่ ๘/๒๕๖๒
สมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย. (๒๕๖๓). หนังสือเลขที่ สตรท ๐๓๑/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๓.
เรื่องมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ ในมาตรการ AD การ
นาเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน. สมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย.
กรุงเทพมหานคร.
Bimco and ICS. (๒๐๑๕). MANPOWER REPORT: The global supply and demand for seafarers in
๒๐๑๕. London: International Chamber of Shipping.
United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD). (๒๐๑๙). Review of
Maritime Transport ๒๐๑๙. New York and Geneva: United Nations Publications.
๗๑
ภาคผนวก
๗๒
รายนามคณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี
ในคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร
๗๓
รายนามที่ปรึกษาประจาคณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี
ในคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร
๗๔
รายนามคณะทางานของอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและพาณิชยนาวี
ในคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร
การศึกษาดูงานครั้งที่ ๑
วันพฤหัสบดีที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และวันศุกร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง
การศึกษาดูงานครั้งที่ ๒
วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ และวันเสาร์ที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดภูเก็ต และ จังหวัดกระบี่