Professional Documents
Culture Documents
ระบบเกษตร
ระบบเกษตร
หน่ วยเศรษฐกิจ
หน่วยเศรษฐกิจ หมายถึง หน่วยงานที่มีอยูใ่ นแต่ละระบบเศรษฐกิจ ทำหน้าที่เพื่อแก้ไข
ปั ญหาที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจนั้นๆ หน่วยเศรษฐกิจ ประกอบด้วยหน่วยใหญ่ๆ 3 หน่วย คือ
1. ครัวเรือน (Household)
หมายถึง หน่วยเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยบุคคลเพียงหนึ่งคน อาศัยโดยลำพังหรื อบุคคล
มากกว่าหนึ่งคนที่อาศัยอยูใ่ ต้หลังคาเดียวกัน มีการตัดสิ นใจร่ วมกันในการใช้ทรัพยากรหรื อปั จจัย
ทางด้านการเงิน เพื่อให้เกิดประโยชน์และสวัสดิการแก่กลุ่มของตนมากที่สุด สมาชิกของครัวเรื อน
อาจเป็ นเจ้าของปัจจัยการผลิต เป็ นแรงงาน เป็ นนักธุรกิจ หรื อเป็ นผูป้ ระกอบการให้กิจการใดกิจการ
หนึ่งก็ได้ ดังนั้น หน้าที่ของหน่วยครัวเรื อนก็คือ การใช้จ่ายเงินที่ได้จากการขายปั จจัยการผลิต
การให้แรงงานและการเป็ นผูป้ ระกอบการไปในการบริ โภคสิ นค้าและบริ การต่างๆ ในขณะเดียวกัน
ก็หารายได้จากกิจการเหล่านั้น ถ้าสมาชิกของครัวเรื อนนำปัจจัยการผลิตทีเ่ ป็ นทีด่ นิ ไปให้แก่ผผู้ ลิตใช้
ก็จะได้ค่าเช่า ถ้าสมาชิกผูน้ ้ นั ไปรับจ้างทำงานก็จะได้รับค่าตอบแทนที่เรี ยกว่า ค่ าจ้ าง ถ้าสมาชิกของ
ครัวเรื อนนั้นมีเงินสะสมแล้วนำไปให้ผอู ้ ื่นกูเ้ พื่อไปประกอบกิจการ สิ่ งที่ได้รับจากการใช้เงิน
จำนวนนั้นก็คอื ดอกเบีย้ แล้วถ้าบุคคลนั้นเป็ นผูป้ ระกอบการเองเขาก็จะได้รบั ค่าตอบแทนในรูปของ กำไร
เป้ าหมายหลักของครัวเรื อนอาจกล่าวได้วา่ คือ การแสวงหาความพอใจสู งสุ ดของสมาชิก
แต่ละคนในครัวเรื อน หรื อถ้ามองในแง่ส่วนรวมแล้วสิ่ งที่สมาชิกทุกคนจะพยายามทำก็คือ
การแสวงหาสวัสดิการที่ดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนอยูด่ ว้ ยความสุ ข ความพอใจ และบรรลุเป้ าหมายของ
กลุ่มได้
การหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
หน่วยต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจดังกล่าวมาแล้วย่อมมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน มากบ้าง
น้อยบ้างตามความแตกต่างของแต่ละระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากว่าบทบาทของหน่วยเศรษฐกิจทีเ่ รี ยกว่า
องค์การรัฐบาลมักจะมีมากในระดับประเทศ ซึ่ งจะได้มีการกล่าวในภาคมหเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น
ในการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยเศรษฐกิจต่อไปนี้ จะได้กล่าวเฉพาะหน่วยเศรษฐกิจทีเ่ หลืออีก
2 หน่วย คือ ครัวเรื อนและธุรกิจ โดยอาจอนุโลมว่าองค์การรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็ นผูบ้ ริ โภค ผูผ้ ลิต
หรื อเจ้าของปัจจัยการผลิต เสมือนหนึ่งว่าเป็ นส่ วนหนึ่งของครัวเรื อนและหน่วยธุรกิจ
การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจมักจะแสดงด้วย กระแสการ
หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ (Circular Flows) ซึ่ งแสดงการหมุนเวียนหรื อการไหลของสิ่ งของ
จากหน่วยเศรษฐกิจหนึ่งไปยังอีกหน่วยเศรษฐกิจหนึ่ง เพื่อชี้ให้เห็นว่าแต่ละหน่วยเศรษฐกิจได้หรื อ
ให้อะไรแก่กนั ในการดำเนินกิจการต่างๆ ในการแสดงความสัมพันธ์น้ ี อาจแบ่งออกเป็ นสองประเภท
ใหญ่ๆ คือ
1. กระแสการหมุนเวียนทีไ่ ม่ ใช่ ตัวเงิน ในระบบเศรษฐกิจโดยการแลกเปลี่ยนที่ได้กล่าวมา
แล้ว หน่วยเศรษฐกิจที่เรี ยกว่าครัวเรื อน ซึ่ งเป็ นเจ้าของทรัพยากรต่างๆ นำเอาทรัพยากรเหล่านั้น
ไปแลกกับสิ่งของอืน่ ๆ จากหน่วยเศรษฐกิจอืน่ เช่น หน่วยธุรกิจนำเอาสินค้าหรื อบริ การทีต่ นผลิตได้
ไปแลกกับทรัพยากรหรื อวัตถุดิบจากหน่วยครัวเรื อนมาผลิตสิ นค้าอื่นๆ อีก ลักษณะความสัมพันธ์
ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยมิได้อาศัยสื่ อกลางในการแลกเปลี่ยน แต่เป็ นการแลกเปลี่ยนสิ่ งของต่อสิ่ งของ
หรื อสิ่ งของต่อบริ การ ดังรู ป
ครัวเรื อน ธุรกิจ
จากรู ป จะเห็นได้วา่ ครัวเรื อนเป็ นฝ่ ายจัดหาทรัพยากรที่เรี ยกว่าปั จจัยการผลิต ซึ่ งตนเอง
ครอบครองหรื อเป็ นเจ้าของนำไปเสนอขอแลกเปลีย่ นกับสินค้าสำเร็จรูปหรื อบริ การจากหน่วยธุรกิจ ส่ วน
หน่วยธุรกิจนั้นก็เพียงแต่น ำเอาสิ นค้าสำเร็ จรู ปหรื อบริ การที่ตนเองผลิตหรื อมีไว้ แลกเปลี่ยนกับ
ปัจจัยการผลิตจากหน่วยครัวเรื อน การแลกเปลีย่ นนั้นแล้วแต่ความพอใจและการตกลงใจของทั้งสองฝ่ ายที่
เกีย่ วข้อง ซึ่งบางครั้งอาจมีปัญหาเนื่องจากสิ่งทีจ่ ะนำมาแลกเปลีย่ นกันนั้นอาจไม่ใช่ส่ิงทีฝ่ ่ ายหนึ่งฝ่ ายใด
ต้องการ หรื อบางครั้งก็มปี ัญหาเนื่องจากสิ่งทีจ่ ะนำมาแลกเปลีย่ น ตลอดจนปัญหาอืน่ ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว
การแลกเปลี่ยนแบบนี้ จึงค่อยๆ เสื่ อมความนิยมลงและหันมาใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2. กระแสการหมุนเวียนทีเ่ ป็ นตัวเงิน (Monetary Circular Flows) การแลกเปลีย่ นในระบบนี้
เป็ นการนำเอาสิ่ งของหรื อบริ การไปแลกเป็ นตัวเงินก่อน แล้วจึงนำเงินที่ได้ไปแลกเปลี่ยนหรื อซื้ อ
สิ่ งของหรื อบริ การที่ตนต้องการ ซึ่ งย่อหมายความว่า เงินนั้นเป็ นแต่เพียงสื่ อกลางในการแลกเปลี่ยน
สิ่ งของต่อสิ่ งของเท่านั้น เพราะวัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ ายก็คือ การแลกเปลี่ยนสิ่ งของที่ตนมีอยู่
กับสิ่ งที่ตนต้องการแต่ไม่มี มิใช่เป็ นการแลกสิ่ งของมาเป็ นตัวเงินแล้วเก็บไว้เฉยๆ โดยไม่น ำไปซื้ อ
สิ่งของต่างๆ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยเศรษฐกิจในระบบทีม่ กี ารใช้เงินเป็ นสื่อกลางในการแลก
เปลี่ยน
เงินที่จ่ายในการซื้ อสิ นค้าอุปโภคบริ โภค
ครัวเรื อน ธุรกิจ
ปั จจัยการผลิต
ค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย กำไร
รู ปแสดงกระแสการหมุนเวียนในกรณีของการใช้ เงิน
จะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างครัวเรื อนและหน่วยธุรกิจก็คงเป็ นไปเช่นเดียวกับกระแส
การหมุนเวียน ในกรณี การแลกเปลี่ยนสิ่ งของต่อสิ่ งของ (Barter System) เพียงแต่วา่ มีการนำเอาสื่ อ
กลางในการแลกเปลี่ยนเข้ามาใช้ นัน่ คือ เมื่อครัวเรื อนนำเอาปั จจัยการผลิตไปขายให้แก่หน่วยธุรกิจ
ก็จะได้คา่ ตอบแทนการเป็ นเจ้าของปัจจัยการผลิตนั้นในรูปของค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไรจากหน่วย
ธุรกิจ ค่าตอบแทนที่ได้รับนี้ แตกต่างจากกรณี ของการแลกเปลี่ยนสิ่ งของต่อสิ่ งของ
เพราะใช้บริ โภคโดยตรงไม่ได้ จำเป็ นต้องนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่ งของหรื อบริ การที่สามารถบริ โภค
หรื อใช้โดยตรงจากหน่วยเศรษฐกิจอื่นซึ่ งก็คือหน่วยธุรกิจ ดังนั้น หน่วยครัวเรื อนก็จะนำเงินที่ได้
จากการขายปัจจัยการผลิตให้แก่หน่วยธุรกิจไปซื้ อสิ นค้าสำเร็ จรู ปหรื อบริ การจากหน่วยเศรษฐกิจดัง
กล่าว การแลกเปลี่ยนก็จะครบวงจร กล่าวคือ ครัวเรื อนก็จะได้สินค้าสำเร็ จรู ปหรื อบริ การและหน่วย
ธุรกิจก็จะได้ปัจจัยการผลิตเพือ่ นำมาผลิตสินค้าสำเร็จรูปและบริ การอีกดังต้องการ ทุกฝ่ ายก็จะได้สิ่งที่ตน
ประสงค์และสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาความยุง่ ยากในการเทียบสิ่ งของต่อสิ่ งของที่เกิดขึ้น
ในระบบที่แลกเปลี่ยนสิ่ งของต่อสิ่ งของโดยตรง
กระแสการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่กล่าวมาแล้วเป็ นแบบง่ายๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ
เศรษฐกิจทีไ่ ม่สลับซับซ้อนนัก ถ้าเป็ นระบบเศรษฐกิจทีอ่ าศัยตลาดเป็ นแหล่งกลางของการดำเนินธุรกิจ ก็
อาจจะแสดงกระแสการหมุนเวียนแบบที่มีท้ งั ตลาดสิ นค้า และตลาดปั จจัยการผลิต
ตลาดสิ นค้า
ครัวเรื อน ธุรกิจ
ปั จจัยการผลิต
ตลาดปั จจัยการผลิต
ครัวเรื อน ธุรกิจ
ทรัพยากรหรื อปั จจัยการผลิต
ค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไร
แสดงกระแสการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของบุคคลต่ างๆ กรณีใช้ เงินเป็ นสื่ อกลาง
ระบบเศรษฐกิจ
โดยทัว่ ไปเราแบ่งระบบเศรษฐกิจออกเป็ น 3 ลักษณะใหญ่ คือ
1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม
(Capitalism or Free Enterprise Economic System)
เป็ นระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมานาน เป็ นที่นิยมหลายประเทศ ส่ วนมากอยูใ่ นประเทศ
ทางยุโรปตะวันตกและอเมริ กา ในระบบนี้ ทุกคนสามารถมีกรรมสิ ทธิ์ ในทรัพย์สินและมีเสรี ภาพ
ในการดำเนินการหรื อเลือกประกอบอาชีพ โดยอาศัยกลไกราคาและระบบการแข่งขันเป็ นเครื่องช่วย
ในการตัดสิ นใจในการผลิต (Production) แปรรู ป (Processing) และจำหน่าย (Distribution) โดยที่
ทุกคนต่างก็มุ่งหวังที่จะได้สิ่งของต่างๆ ที่ตนต้องการโดยได้รับผลตอบแทนมากที่สุด สำหรับผูผ้ ลิต
และให้ได้รับความพึงพอใจมากที่สุดสำหรับผูบ้ ริ โภค อย่างไรก็ตาม กิจการบางอย่างต้องขออนุญาต
จากรัฐบาลในการขอกรรมสิ ทธิ์ เช่น การขอสัมปทานป่ าไม้หรื อเหมืองแร่ เป็ นต้น
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี นิยม ในทางปฏิบตั ิมกั มีปัญหาในเรื่ องประสิ ทธิ ภาพ ความ
เสมอภาค ความไม่มีเสถียรภาพ ปัญหาทางสังคมและสิ่ งแวดล้อม
2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism or Socialistic Economic System)
หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลมีกรรมสิ ทธิ์ หรื อเป็ นเจ้าของ และเข้าดำเนินการ
ในบางส่ วนหรื อทั้งหมดของทุน (ปัจจัยการผลิต) ที่มีอยูใ่ นระบบเศรษฐกิจ โดยมิได้มีการแจกแจง
ความแตกต่างระหว่างวิธีการต่างๆ ที่รัฐบาลจะใช้เพื่อให้ได้มาซึ่ งการควบคุมทรัพย์สินเหล่านั้น
หรื อมีการกล่าวถึงความรุ นแรงของอำนาจที่รัฐจะใช้กบั ผูผ้ ลิตหรื อผูบ้ ริ โภค ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจ
แบบสังคมนิยมจึงรวมไปถึงแบบที่รู้จกั กันทัว่ ไปว่า แบบคอมมิวนิสต์ (Communism)
อย่างไรก็ตาม ความหมายทีแ่ คบกว่าของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมก็คอื เป็ นระบบ
เศรษฐกิจแบบหนึ่งซึ่ งรัฐบาลเป็ นเจ้าของหรื อเข้ามาดำเนินการในบางอุตสาหกรรมหลัก หรื อ
อุตสาหกรรมบางชนิดทีม่ คี วามสำคัญต่อสังคมส่วนรวม ซึ่งย่อมหมายความว่า รัฐบาลได้เข้าดำเนินการ
หรื อได้กรรมสิทธิ์ในอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยความสมัครใจและถูกต้องตามกฎหมาย มิได้เข้าทำการยึด
โดยพลการหรื อโดยอาศัยอำนาจ แต่อาจใช้วธิ ีการซื้อจากเอกชนหรื อการก่อสร้างโรงงานด้วยเงินทุนของ
รัฐบาลเองที่ได้จากเงินภาษีอากรหรื อจากเงินกูย้ มื จากประชาชนทัว่ ไป กรรมวิธีต่างๆ อาจอาศัย
กลไกของระบบเสรี นิยม นัน่ คือการใช้ราคาและระบบการทำงานของตลาด ดังนั้น สังคมนิยมแบบนี้จึง
มีชื่อว่า สังคมนิยมแบบประชาธิปไตย (Democratic Socialism) หรือ สั งคมนิยมแบบเฟเบียน
(Fabian Socialism) ซึ่งเป็ นระบบสังคมนิยมทีแ่ พร่ หลายในประเทศอังกฤษในราวปลายคริ สตศตวรรษ
ที่ 19
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบประชาธิ ปไตยก็คือ มีจุดมุ่งหมาย
ที่จะได้มาซึ่ งกรรมสิ ทธิ์ หรื อเข้าดำเนินการในอุตสาหกรรมสำคัญและอุตสาหกรรมพื้นฐานทั้งหมด
เช่น สิ่ งสาธารณูปโภค อันได้แก่ การขนส่ ง การคมนาคม การไฟฟ้ า น้ำประปา โทรศัพท์ ตลอดจน
อุตสหกรรมขนาดใหญ่บางอย่าง โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าดำเนินการในอุตสาหกรรมทุกประเภท
หรื อควบคุมวิถีทางการผลิตของอุตสาหกรรมเหล่านั้น นัน่ คือการเกษตรกรรม การค้าปลีกและค้าส่ ง
การบริ การและการผลิตขนาดเล็ก ยังคงปล่อยให้เอกชนทำจนกว่าจะถึงเวลาที่รัฐบาลจำเป็ นต้องเข้า
ดำเนินการในธุรกิจเหล่านั้น ลักษณะทีส่ ำคัญอีกประการหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบนี้กค็ อื ผูบ้ ริ โภค
มีอิสระเสรี ในการเลือกซื้ ออะไรก็ได้ที่ตนต้องการ โดยรัฐบาลจะพยายามจัดสวัสดิการต่างๆ ให้กบั
ประชาชน เช่น การจัดให้มสี ถานพยาบาล อันได้แก่ สถานีอนามัยและโรงพยาบาล การมีประกันสังคม ซึ่ง
รายจ่ายทางด้านนี้รฐั บาลได้จากการจัดเก็บภาษีในอัตราค่อนข้างสูงเพือ่ สามารถขยายโครงการเหล่านี้ แต่
อย่างไรก็ตาม กิจการต่างๆ ทีร่ ฐั บาลเป็ นผูด้ ำเนินการมักจะพยายามให้สามารถพึ่งตัวเองได้ (Self –
supporting) โดยมีจดุ มุง่ หมายทีจ่ ะให้ความพึงพอใจสูงสุดแก่ประชาชนมากกว่าเพือ่ หวังผลกำไรสูงสุดจาก
การดำเนินงานนั้น
การดำเนินการของระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบประชาธิปไตยมักอาศัย หน่วยวางแผน
ส่ วนกลาง (Centrally Planned Unit) เช่น ในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลเข้าดำเนินการที่อาจเรี ยกว่า
รัฐวิสาหกิจ (Public Enterprises) สภาหรื อคณะกรรมการจะเป็ นผูต้ ดั สินใจว่าจะผลิตสินค้าและบริ การ
อะไรในปริ มาณแค่ไหน และขายในราคาเท่าใด ตัวอย่างเช่น การกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟหรื อ
ค่าไฟฟ้ า เนื่องจากว่าธุรกิจจำนวนมากยังเป็ นการดำเนินการโดยเอกชน และผูบ้ ริ โภคสามารถเลือกซื้อ
สินค้าอะไรก็ได้ตามกำลังเงินและความต้องการ ดังนั้นกลไกราคาและระบบตลาดก็ยงั คงมีอยู่ แต่รฐั บาล
อาจเข้าควบคุมหรื อกำหนดราคาสิ นค้าบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับประชาชนส่ วนใหญ่ของประเทศ
กำไรซึ่ งถือเป็ นแรงจูงใจที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจแบบเสรี นิยมอาจไม่ใช่เป้ าหมายหลักของ
อุตสาหกรรมหลายชนิดในระบบเศรษฐกิจแบบนี้
ยังมีรูปแบบของหน่วยเศรษฐกิจอืน่ ทีม่ ลี กั ษณะใกล้เคียงกับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือ รัฐ
สวัสดิการ
รัฐสวัสดิการ (Welfare State) เป็ นรูปแบบหนึ่งทีถ่ อื ว่ารัฐบาลมีหน้าทีใ่ นการจัดหาสวัสดิการ
ต่างๆ ให้แก่ประชาชน เพื่อให้มีความเป็ นผูไ้ ม่ดอ้ ยไปกว่าระดับต่ำสุ ดของมาตรฐานการครองชีพ
(Minimum Standard of Living) ที่ทุกคนควรได้รับ โดยทัว่ ไปสิ่ งที่รัฐสวัสดิการจัดหาให้แก่
ประชาชน มักได้แก่ โครงการช่วยเหลือในยามว่างงาน การให้การรักษาพยาบาลในยามเจ็บป่ วย และการ
ให้การดูแลเลี้ยงดูในยามชรา อย่างไรก็ตาม ยังมีโครงการอื่นๆ ที่รัฐมักจะจัดหาให้สำหรับประชาชน
ทีอ่ ยูใ่ นรัฐสวัสดิการ เช่น การประกันค่าแรงขั้นต่ำ การกำหนดอายุข้นั ต่ำสำหรับแรงงานเด็ก การพยุงราคา
สิ นค้าเกษตรและสิ นค้าอื่นๆ การรักษาเสถียรภาพของราคาสิ นค้าทัว่ ๆ ไป การให้เงินอุดหนุนแก่ผู ้
ผลิต การให้เงินช่วยเหลือแก่ผบู้ ริ โภคในบางกรณี ตลอดจนการจัดหาบ้านพักอาศัยราคาต่ำและการ
ให้บริ การทางการศึกษาในระดับต่างๆ แก่ประชาชน เป็ นต้น
ตัวอย่างโครงการต่างๆ ที่มีอยูใ่ นรัฐสวัสดิการที่เน้นทางด้านการจัดสวัสดิการต่างๆ ให้แก่
ประชาชน ชี้ให้เห็นถึงความเกีย่ วพันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เช่น การปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรม
โดยการจัดให้มโี ครงการเคหะสงเคราะห์ อาจให้ผรู้ บั เหมาก่อสร้างจากภาคเอกชนเป็ นผูป้ ระมูลงานนั้นไป
ทำ ซึ่งทำให้บางคนคิดว่าโครงการดังกล่าวของรัฐบาลมีส่วนเข้าไปแข่งขันกับธุรกิจการจัดสรรทีด่ นิ และ
การก่อสร้างที่อยูอ่ าศัยของภาคเอกชน หรื อโครงการประกันสุ ขภาพและการรักษาพยาบาล
ของรัฐบาลก็อาจเข้าไปแย่งลูกค้าของบริ ษทั ประกันต่างๆ หรื อแม้แต่การจัดการศึกษาของรัฐในรู ป
ของการเปิ ดสถานที่ศึกษาแก่ประชาชนโดยไม่เสี ยค่าใช้จ่าย หรื อเสี ยค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย ก็มีส่วน
ทำให้ผทู้ ี่จะเข้าศึกษาในสถานที่ศึกษาของเอกชนลดลง
บางคนเข้าใจว่ารัฐสวัสดิการและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมคือสิ่งเดียวกัน ซึ่งความเข้าใจ
เช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก ทั้งนี้เพราะแม้วา่ โดยทัว่ ๆ ไป จุดประสงค์อนั หนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบ
สังคมนิยมก็คือ การมีโครงการสวัสดิการทางสังคมแก่พลเมืองของประเทศ แต่กไ็ ม่ควรจะสรุ ปว่า
การจัดให้มสี วัสดิการเช่นนั้น คือสิ่งทีน่ ำไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แม้วา่ แต่ละระบบอาจจัดให้มี
สวัสดิการในรู ปแบบที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริ กาซึ่ งถือว่าเป็ นรัฐ
สวัสดิการด้วยนั้น เป็ นประเทศประชาธิปไตยทีเ่ น้นระบบเศรษฐกิจแบบเสรี นิยม มีโครงการต่างๆ
มากมายทีน่ อกเหนือจากสิ่งทีก่ ล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ยงั มีโครงการอืน่ ๆ ได้แก่ โครงการช่วยเหลือบุคคล
ที่บกพร่ องด้วยสาเหตุต่างๆ ตลอดจนโครงการการศึกษาผูใ้ หญ่และการฝึ กฝนอาชีพ เป็ นต้น
ประเทศสวีเดนซึ่งได้รบั การจัดให้อยูใ่ นประเทศรัฐสวัสดิการ เป็ นประเทศหนึ่งทีม่ โี ครงการทาง
สวัสดิการทางสังคมมากมายสำหรับพลเมืองของตน ยกตัวอย่างเช่น
1. ระบบเงินบำนาญซึ่ งจะจ่ายให้แก่พลเมืองทุกคนที่มีอายุต้ งั แต่ 67 ปี ขึ้นไป
2. โครงการประกันสุ ขภาพให้แก่ทุกคนที่อาศัยอยูใ่ นประเทศ ให้ได้รับการรักษาพยาบาล
เมื่อเจ็บป่ วยต้องเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ติดมูลค่า การให้เงินช่วยเหลือกรณี รักษาในคลีนิคเอกชน
การจ่ายเงินค่าชดเชยการเจ็บป่ วย เงินช่วยเหลือการคลอดบุตร การดูแลรักษาฟันให้แก่เด็กๆ โดยไม่คดิ ค่า
ใช้จา่ ย การให้เงินช่วยเหลือบางส่วนสำหรับค่ารักษาโรคฟันแก่ผใู้ หญ่ ตลอดจนผลประโยชน์อน่ื ๆ อีก
มากมายที่เกี่ยวข้องทางด้านสุ ขภาพของประชาชน
3. โครงการประกันการว่างงาน (ในรู ปของการช่วยเหลือในยามตกงาน) และการจัดหา
อาชีพให้แก่ประชาชน
4. โครงการสวัสดิการทางครอบครัวเพื่อลดภาระในเรื่ องบุตร (เช่น การให้เงินช่วยเหลือ
สำหรับบุตรทุกคนที่มีอายุต ่ำกว่า 16 ปี การให้บริ การซักเสื้ อผ้าโดยไม่คิดมูลค่า การจัดให้มีการดูแล
เลี้ยงดูเด็กเล็กสำหรับมารดาที่ตอ้ งออกไปทำงาน เป็ นต้น)
5. การเคหะสงเคราะห์ในรู ปของบ้านจัดสรรราคาต่ำ การช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับ
ครอบครัวที่มีรายได้นอ้ ยที่มีบุตรตั้งแต่สองคนขึ้นไป
เท่าที่กล่าวมาพอจะสรุ ปได้วา่ ประเทศที่เป็ นรัฐสวัสดิการไม่จ ำเป็ นต้องเป็ นประเทศที่มี
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเสมอไป แม้วา่ ในประเทศที่เป็ นสังคมนิยมจะจัดให้มีสวัสดิการต่างๆ
แก่พลเมืองของประเทศ แต่นนั่ เป็ นเพียงส่ วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐสวัสดิการอาจมี
ลักษณะใกล้เคียงหรื อเป็ นระบบเศรษฐกิจแบบเสรี นิยมก็ได้ ในแง่ทม่ี กี ารส่งเสริ มให้มกี ารดำเนินธุรกิจโดย
เสรี รัฐสวัสดิการอาจมีลกั ษณะคล้ายกับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่เน้นสวัสดิการ
หรื อความอยูด่ ีกินดีของคนส่ วนใหญ่ที่บางครั้งรัฐบาลอาจจำเป็ นต้องเข้าไปดำเนินการในกิจการบาง
อย่างที่ไม่สามารถปล่อยให้เอกชนทำ ดังนั้น รัฐสวัสดิการอาจมีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมแต่
ไม่ได้เป็ นประเทศสังคมนิยม ในทำนองเดียวกันประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมอาจมี
สวัสดิการต่างๆ แต่ไม่ได้เป็ นรัฐสวัสดิการ
ตารางเปรียบเทียบระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและแบบสั งคมนิยม
ระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบสั งคมนิยม
รายการ
แบบเสรีนิยม แนวประชาธิปไตย แนวคอมมิวนิสต์
1. กรรมสิ ทธิ์ เอกชนมีกรรมสิ ทธิ์ เอกชนมีสิทธิ์ ในทรัพย์สิน เอกชนไม่มีสิทธิ์
ทรัพย์สิน ในทรัพย์สินเกือบทั้งหมด บ้าง เช่น ปั จจัยการผลิต ในทรัพย์สินหรื อปั จจัย
ยกเว้นบางอย่างที่เป็ น บางชนิด การผลิต แต่อาจได้รับ
ของรัฐโดยกฎหมาย มอบหมายให้ดูแลใน
ปั จจัยการผลิตเหล่านั้น
2. เสรี ภาพ เอกชนมีเสรี ภาพอย่าง เอกชนมีเสรี ภาพบ้าง เอกชนไม่มีเสรี ภาพ
ในการเลือก เต็มที่ในการเลือกประกอบ ในการเลือกโดยเฉพาะ ในการเลือกไม่วา่ การ
กิจการหรื อเลือกซื้ อและ สำหรับสิ นค้าที่ไม่ ผลิตหรื อการบริ โภค
บริ โภคสิ นค้าอะไรก็ได้ เกี่ยวข้องกับคนส่ วนใหญ่ สิ นค้าและบริ การ
ถ้าไม่ขดั ต่อกฎหมายหรื อ ผูผ้ ลิตอาจเลือกผลิตสิ นค้า ต้องผลิตสิ นค้าเฉพาะ
ความสงบสุ ขของบุคคลอื่น บางชนิดได้และผูซ้ ้ื อ สิ นค้าที่สงั่ ให้ผลิตและ
สามารถเลือกซื้ อสิ นค้า บริ โภคเฉพาะสิ นค้า
บางชนิดได้ ที่มีให้บริ โภคเท่านั้น
ระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบสั งคมนิยม
รายการ
แบบเสรีนิยม แนวประชาธิปไตย แนวคอมมิวนิสต์
3. กลไก ใช้กลไกราคาและระบบ ในการวางแผนจาก ในการวางแผนจาก
การทำงาน การตลาดเป็ นเครื่ องมือ ส่ วนกลางเป็ นหลักในการ ส่ วนกลางเป็ นหลัก
ของระบบ สำคัญในการตัดสิ นใจต่างๆ ดำเนินการ กลไกราคา ในการดำเนินการ ไม่มี
เช่น ในเรื่ องการเลือกผลิต อาจมีอยูแ่ ต่กไ็ ม่ใช่กลไก กลไกราคา ไม่มีระบบ
หรื อเลือกบริ โภคสิ นค้า ที่สำคัญที่สุด โดยทัว่ ๆ ไป ตลาด และทุกอย่าง
ในเรื่ องการใช้กรรมวิธี แล้วการตัดสิ นใจในการ ต้องมาจากองค์การ
และในเรื่ องการแจกจ่าย ผลิตหรื อการบริ โภค ส่ วนกลางที่จะเป็ น
จัดสรรทรัพยากรและ จะขึ้นอยูก่ บั คณะกรรมการ ผูก้ ำหนดนโยบาย
ผลิตผลต่างๆ ไปยังผูท้ ี่ ส่ วนกลาง ยกเว้น ในบาง กำหนดแนวทางปฏิบตั ิ
เหมาะสมที่สุดที่จะได้รับ ธุรกิจที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้อง และกำหนดโทษ
สิ่ งของเหล่านั้น กับคนส่ วนใหญ่ ซึ่ งได้รับ สำหรับผูฝ้ ่ าฝื น
การอนุญาตให้เอกชน การแจกจ่ายแบ่งสรร
ดำเนินการได้ ดังนั้น ทรัพยากรและสิ นค้า
ในธุรกิจนั้นอาจมีการใช้ ใช้วธิ ี ปันส่ วนและการ
กลไกราคาเป็ นเครื่ องมือ กำหนดจากส่ วนกลาง
สำคัญก็ได้ โดยที่ฝ่ายรับนโยบาย
ไม่อาจจะโต้แย้งได้
4. ระบบ มีการแข่งขันโดยเสรี ไม่สนับสนุนให้มีการ ไม่ให้มีการแข่งขัน
การแข่งขัน ทั้งในด้านผูซ้ ้ื อและผูข้ าย แข่งขันกันมาก โดยเฉพาะ เพราะถือว่าไม่จ ำเป็ น
ทั้งในด้านผูบ้ ริ โภคและผู ้ สำหรับธุรกิจที่เป็ นสิ่ ง เนื่องจากกิจการ
ผลิต และในระหว่าง จำเป็ นแก่การครองชีพ ทุกอย่าง ดำเนินการ
พวกเดียวกัน คู่แข่งขัน ประจำวันของประชาชน โดยรัฐบาล ประชาชน
สามารถใช้กลยุทธต่างๆ เพราะถือว่าการแข่งขัน เพียงแต่ปฏิบตั ิตาม
เช่น การโฆษณา เข้าช่วย ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่ สิ่ งที่รัฐบาลหรื อ
ให้อยูใ่ นฐานะดีกว่าคนอื่น จำเป็ น และอาจทำให้ หน่วยงานส่ วนกลาง
ฝ่ ายหนึ่งฝ่ ายใดได้เปรี ยบ สัง่ ให้ท ำเท่านั้น
และจะเป็ นผลเสี ยแก่คน
ส่ วนใหญ่ของประเทศ
ระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบสั งคมนิยม
รายการ
แบบเสรีนิยม แนวประชาธิปไตย แนวคอมมิวนิสต์
5. บทบาท มีนอ้ ยที่สุดในด้านที่เกี่ยวกับ มีมากในด้านอุตสาหกรรม มีมากในทุกๆ ด้าน
ของรัฐบาล การดำเนินงานของธุรกิจ หรื อธุรกิจที่เกี่ยวกับ ที่เกี่ยวกับสวัสดิการ
เอกชน ทั้งนี้ถือว่าหน้าที่ สวัสดิการของประชาชน ของประชาชน เช่น
ของรัฐบาลไม่ควรเข้ามายุง่ เช่น สิ่ งสาธารณูปโภค สิ่ งสาธารณูปโภค
เกี่ยวกับธุรกิจของเอกชน ซึ่ งถ้าปล่อยให้เอกชน และสิ นค้าบริ การต่างๆ
แต่ควรจะทำหน้าที่ดา้ นอื่น ทำแล้วอาจมีปัญหา ทั้งนี้เพราะรัฐถือว่าเป็ น
เช่น การป้ องกันประเทศ หรื อไม่สามารถบริ การ เจ้าของในทรัพย์สิน
การพิทกั ษ์รักษาความ ได้ทวั่ ทุกคน หรื อไม่มีใคร ปั จจัยการผลิตและ
ปลอดภัยให้แก่ประชาชน ยอมทำ เพราะต้องลงทุน สิ่ งของต่างๆ เอกชน
จากโจรผูร้ ้าย และการเข้า มากและอาจไม่มีก ำไร เพียงแต่ได้รบั มอบหมาย
ระงับข้อพิพาท ตลอดจน แต่ธุรกิจบางอย่างที่รัฐบาล ให้กระทำอะไรตามที่
ปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เห็นว่าไม่สู้สำคัญนัก สัง่ ให้ท ำเท่านั้น
ระหว่างประชาชนด้วยกัน และเอกชนสามารถทำได้ รัฐบาลมีสิทธิ์ ในการ
แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาล รัฐบาลก็จะไม่เข้าไป เข้าดำเนินการทุกอย่าง
อาจเข้ามาดูแลในกิจการ ยุง่ เกี่ยว โดยมอบให้ ที่เห็นว่าจำเป็ นและมี
บางอย่างที่ถือว่ามีส่วน เอกชนเป็ นผูด้ ำเนินการ ส่ วนกระทบกระเทือน
สำคัญต่อความมัน่ คงของ ถึงคนส่ วนใหญ่
ประเทศและความสงบสุ ข ของประเทศ
ของประชาชน เช่น ในเรื่ อง
สาธารณูปโภค เป็ นต้น
3. ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (Communism)
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์น้ นั ปัจจัยการผลิตทุกชนิดเป็ นของ
รัฐบาล ดังนั้นอุตสาหกรรมทุกชนิดรวมทั้งการเกษตร การค้าปลีกและการค้าส่ง ตลอดจนการบริ การ
อยูใ่ นการควบคุมของรัฐบาล เอกชนไม่มีกรรมสิ ทธิ์ ในทรัพย์สินเหล่านั้น ความเห็นของผูท้ ี่เชื่อถือ
ระบบเศรษฐกิจแบบนี้กค็ ือ รัฐบาลควรหาทางครอบครองหรื อได้มาซึ่ งกรรมสิ ทธิ์ ในปั จจัยการผลิต
ด้วยวิธี เวนคืนหรือบังคับซื้อ (Expropriation) มากกว่าด้วยวิธีการตามกระบวนการทางกฎหมาย
เอกชนไม่มีกรรมสิ ทธิ์ ในทรัพย์สินและปั จจัยการผลิตซึ่ งเป็ นของรัฐ เสรี ภาพในการเลือกบริ โภค
ของประชาชนถูกจำกัดมาก เนื่องจากต้องซื้อสินค้าและบริ การจากสิ่งทีร่ ฐั เป็ นผูผ้ ลิตเท่านั้น ซึ่งสิ่งของเหล่า
นั้นอาจไม่ถูกใจหรื อไม่ใช่สิ่งที่ผบู้ ริ โภคต้องการก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่ งที่ระบบเศรษฐกิจแนวนี้
อ้างก็คือ การพยายามจัดการเพื่อสวัสดิการของประชาชนของประเทศ
ในระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมแนวคอมมิวนิสต์น้ี ผู้บริหารส่ วนกลาง (Central
Authority) เป็ นผูว้ างแผนทั้งหมดในเรื่ องการผลิต เป็ นผูต้ ดั สิ นเรื่ องชนิดของสิ นค้าที่จะผลิตและ
เป็ นผูบ้ งการว่าจะจัดสรรสิ นค้าที่ผลิตแล้วไปให้ใครบ้าง โดยอาจอาศัยระบบราคาหรื อ ระบบการ
ปันส่ วน (Ration) การจัดการเกี่ยวกับวัตถุดิบ แรงงาน และปั จจัยการผลิตชนิดอื่นๆ ก็เป็ นหน้าที่ของ
ส่ วนกลางดังกล่าว ซึ่ งรวมทั้งการวางแผนเพื่อขยายกิจการบางอย่างในอนาคตด้วย
4. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economic System)
เป็ นระบบเศรษฐกิจที่มีลกั ษณะส่ วนหนึ่งเป็ นแบบเสรี นิยมและอีกส่ วนหนึ่งเป็ นแบบ
สังคมนิยม ในส่ วนที่เป็ นแบบเสรี นิยม หมายความว่า เอกชนมีกรรมสิ ทธิ์ ในทรัพย์สินบางอย่าง เช่น
ทุนทรัพย์ที่จ ำเป็ นเพื่อใช้ในการเพาะปลูก อันได้แก่ เครื่ องมือกล ที่ดิน และปั จจัยการผลิตอื่นๆ
นอกจากนี้ธุรกิจบางอย่างที่เอกชนเป็ นผูป้ ระกอบการก็มีลกั ษณะแบบเสรี นิยม คือ มีการแข่งขันเสรี
มีการโฆษณาและดำเนินการเพื่อค้าขายสิ นค้าเหล่านั้น การผลิตสิ นค้าและบริ การตลอดจนการนำเอา
สินค้าเข้ามาขายนั้นได้มกี ารคิดคำถึงถึงรสนิยม ความชอบ และความพึงพอใจของผูบ้ ริ โภค หรื อกล่าวอีก
นัยหนึ่ง ผูบ้ ริ โภคมีเสรี ภาพในการเลือกกระทำการบางอย่าง ไม่ถึงกับต้องถูกตัดริ ดรอนสิ ทธิ และ
เสรี ภาพในทุกๆ กรณี โดยทัว่ ๆ ไปกลไกการทำงานของระบบได้อาศัยระบบตลาดหรื อราคา เช่น
ผูท้ ี่ให้หรื อเสนอราคาสูงย่อมได้สินค้านั้น ในทำนองเดียวกันระบบการว่าจ้างก็คงใช้ระบบราคา
เป็ นสิ่ งช่วยในการตัดสิ น
ในส่ วนที่เป็ นแบบสังคมนิยมนั้น หมายความว่า รัฐบาลได้เข้ามาควบคุมหรื อเข้ามา
ดำเนินการในธุรกิจบางอย่างที่มีส่วนสัมพันธ์ หรื อมีความสำคัญต่อความเป็ นอยูข่ องประชาชน
ส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น กิจการสาธารณูปโภคหรื ออุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ทีต่ อ้ งมีการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งกิจการเหล่านี้รฐั บาลจำเป็ นต้องเข้าดำเนินการเอง เพราะอาจหาเอกชน
ลงทุนเองได้ยาก เนื่องจากเป็ นกิจการที่ตอ้ งเสี่ ยงกับการขาดทุนหรื อไม่คุม้ กับการลงทุน แต่กิจการ
เหล่านี้จำเป็ นต้องมี เพราะเป็ นปัจจัยพื้นฐานทีจ่ ำเป็ นต่อการดำรงชีพ เช่น ไฟฟ้ า น้ำประปา การขนส่งและ
คมนาคม เหตุที่รัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเอกชนอาจต้องการขจัดปั ญหาในเรื่ องการผูกขาด
หรื อการเอารัดเอาเปรี ยบ ซึ่ งมักจะเกิดขึ้นถ้าปล่อยให้ธุรกิจเอกชนทำการแข่งขัน จนกระทัง่
เหลือผูท้ ี่มีทุนทรัพย์มากที่สามารถบีบคั้นให้คู่แข่งขันต้องการไปจากการดำเนินธุรกิจนั้น
สำหรับกลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจแบบผสม ก็คือการใช้ท้ งั ระบบกลไกราคา
หรื อระบบตลาดควบคู่ไปกับแบบบังคับ นัน่ คือในบางลักษณะการดำเนินงานของระบบเศรษฐกิจ
เช่น การซื้ อขายสิ นค้าและบริ การสามารถใช้ระบบราคาเป็ นเครื่ องช่วยตัดสิ นใจว่าใครสมควรได้รับ
สิ นค้าและบริ การนั้น นอกจากราคาแล้วการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ อาจใช้ระบบการแข่งขันเพื่อหา
ผูท้ เ่ี หมาะสมทีส่ ุดในการใช้ทรัพยากรนั้นให้เกิดประโยชน์มากทีส่ ุด แต่ในบางลักษณะการดำเนินงานของ
ระบบเศรษฐกิจจำเป็ นต้องใช้วธิ ีควบคุมหรื อบังคับ เพื่อให้การดำเนินการนั้นสามารถไปสู่ จุดหมาย
ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การดำเนินการในกิจการบางอย่างจำเป็ นต้องมีการรวบอำนาจไว้กบั ส่วนกลาง
หรื อใช้วธิ ีรบั คำสัง่ จากหน่วยวางแผนส่วนกลางเพือ่ ให้ฝ่ายอืน่ ๆ นำไปปฏิบตั ติ ามคำสัง่ นั้น ดังนั้นเอกชน
ไม่สามารถจะใช้ระบบราคาได้ เพราะต้องอาศัยกฎข้อระเบียบหรื อกฎหมายที่ตราจากรัฐบาลกลาง
เป็ นแนวทางในการปฏิบตั ิหรื อดำเนินธุรกิจของตน ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
จึงมีท้ งั ระบบราคา การแข่งขัน และการวางแผนจากส่ วนกลาง รวมกันเป็ นระบบเดียวกัน
ระบบเศรษฐกิจแบบผสมมีลกั ษณะที่อาจเหมาะสมกับหลายๆ ประเทศ เพราะการ
ดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนส่ วนใหญ่น้ นั ถ้าจะใช้วิธีการแบบเสรี นิยมโดยอาศัย
กลไกราคาและระบบการแข่งขันอาจประสบกับข้อขัดข้องหรื อปั ญหาต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว
ในขณะเดียวกันถ้าจะใช้วิธีการของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมโดยการรวบอำนาจมาอยูท่ ี่ฝ่าย
วางแผนส่ วนกลางหรื อการริ ดรอนสิ ทธิ เสรี ภาพของเอกชน ก็เกิดผลเสี ยหายหลายประการดังกล่าว
ในตอนทีแ่ ล้ว ดังนั้น การใช้กลไกราคาในธุรกิจทีส่ ามารถทำได้ ทีไ่ ม่กอ่ ให้เกิดความเอารัดเอาเปรี ยบกัน ที่ไม่
เอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ ายใดมาก และที่ไม่ท ำให้ประชาชนส่ วนใหญ่เดือดร้อน
และการใช้ระบบการควบคุมสำหรับกิจการหรื ออุตสาหกรรมทีม่ คี วามสำคัญต่อประเทศทีผ่ ลิตสินค้าและ
บริ การพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตของประชาชน และสำหรับธุรกิจหรื อการผลิตที่ไม่อาจจะปล่อย
ให้เอกชนดำเนินการเอง เพราะอาจให้บริ การไม่ทวั่ ถึงหรื อไม่จูงใจให้เอกชนยอมลงทุน
จะเห็นได้วา่ ในหลายๆ ประเทศรัฐบาลมักจะเข้าดำเนินการในกิจการที่เรี ยกว่ารัฐวิสาหกิจ ซึ่ งมักเป็ น
กิจการใหญ่ที่ผลิตหรื อให้บริ การในสิ่ งจำเป็ น เช่น การสาธารณูปโภค อันได้แก่ ไฟฟ้ า น้ำประปา
โทรศัพท์ รถไฟ และการคมนาคม เป็ นต้น
การใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมได้เปรี ยบการใช้ระบบเศรษฐกิจแบบอืน่ ก็คอื ความคล่องตัว
ในการดำเนินการ เพราะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของสภาพเศรษฐกิจได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใน
บางครั้งหรื อบางลักษณะอาจดำเนินนโยบายแบบปล่อยให้มีอิสระเสรี และการอาศัยกลไกราคาเพื่อ
จูงใจให้เอกชนทำการลงทุน และทำการผลิตสิ นค้าและบริ การเพื่อลดภาระของรัฐบาล แต่ถา้ การ
ดำเนินการของเอกชนไปถึงระยะหนึ่งที่รัฐบาลเห็นว่าถ้ายังคงให้ด ำเนินการต่อไปอย่างอิสระ ก็อาจ
เกิดปัญหาและความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ รัฐบาลก็จะเข้าดำเนินการควบคุมหรื อออกกฎข้อ
บังคับหรื อกฎหมาย ค่อยๆ ดึงให้กิจการเหล่านั้นอยูใ่ นการกำกับหรื อการดูแลของรัฐบาลหรื อหน่วย
งานที่รัฐบาลมอบหมายให้และเมื่อรัฐบาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็ นที่ตอ้ งเข้าไปกำกับ ก็อาจพิจารณา
ปล่อยให้เอกชนทำเช่นเดิมหรื อลดการควบคุมลง เพื่อมิให้เอกชนรู ้สึกว่าขาดเสรี ภาพหรื อถูกจำกัด
สิ ทธิมากเกินไป
ข้อที่อาจถือว่าเป็ นจุดอ่อนของการใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบผสมก็คือ กำลังใจหรื อแรง
จูงใจสำหรับเอกชนอาจมีไม่เพียงพอ เพราะเอกชนมีความรู ้สึกว่าการเข้ามาทดำเนินการนั้น
ต้องเสี่ ยงกับความไม่แน่นอนจากนโยบายของรัฐบาล ในแง่ไม่รู้วา่ เมื่อใดกิจการของตนต้องถูกยึด
เวนคืน หรื ออยูใ่ นการดูแลหรื อการกำกับของรัฐบาล ดังนั้น จึงไม่ค่อยมีความกระตือรื อร้นที่จะ
ลงทุนมาก เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้ผลคุม้ กับสิ่ งที่ลงทุนไปหรื อไม่ เอกชนอาจไม่กล้าทำการแข่งขัน
กันมากนัก เพราะกลัวว่าถ้าทำการโฆษณามากเกินไปหรื อปรับปรุ งกรรมวิธีในการผลิตของตนดีเกินไป
อาจถูกเพ่งเล็งจากทางหน่วยกลางว่าต้องการยึดตลาดหรื อเป็ นผูผ้ กู ขาดขึ้น
สรุ ป
ระบบเศรษฐกิจ ประกอบด้วย กลุ่มหรื อหน่วยเศรษฐกิจ คือ ครัวเรื อน ธุรกิจหรื อบริ ษทั และ
องค์กรรัฐบาล โดยหน่วยต่างๆ มีความสัมพันธ์กนั เราเรี ยกว่า การหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
การรวมตัวของหน่วยเศรษฐกิจ จะกลายเป็ นสถาบันเศรษฐกิจหรื อเราเรี ยกว่า ระบบ
เศรษฐกิจ ซึ่ งแบ่งออกเป็ น 4 ลักษณะ คือ
1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรื อเสรี นิยม เป็ นระบบที่มีเสรี ภาพในทางเศรษฐกิจ
โดยที่ผปู้ ระกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างอิสระในการตัดสิ นใจทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ไม่วา่ จะเป็ นการผลิต แปรรูป และจำหน่าย หรื อการให้บริ การต่างๆ ระบบนี้กลไกของราคาจะมีบทบาท
มากที่สุด และรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงน้อยที่สุด
2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เป็ นระบบที่กิจกรรมขนาดใหญ่รัฐจะเข้าไปควบคุม
ดำเนินการทั้งหมด ส่ วนกิจการขนาดเล็กยังอนุญาตให้เอกชนเข้าดำเนินการได้
3. ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ เป็ นระบบที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินกิจกรรมทั้งหมด
ตั้งแต่การตัดสิ นใจสัง่ การดำเนินงานทั้งหมด ตั้งแต่การผลิต การแปรรู ป และจำหน่าย โดยที่เอกชน
ไม่มีอ ำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้
4. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็ นการนำเอาส่ วนดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรื อ
เสรี นิยม มารวมกับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือ ทุกคนมีอสิ ระทีจ่ ะผลิต แปรรูป และจัดจำหน่าย
หรื อการให้บริ การต่างๆ ตลอดจนการกระจายรายได้ไปยังประชาชนมีมากขึ้น เป็ นผลดีท ำให้
เศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
รู ปแบบขององค์กรธุรกิจ
รู ปแบบขององค์กรธุรกิจ แบ่งออกเป็ น 5 ประเภท คือ
1. ธุรกิจแบบเอกชนเป็ นเจ้ าของคนเดียว (Single Proprietorship) เป็ นกิจการที่มีบุคคล
คนเดียวทำหน้าที่เจ้าของและผูด้ ำเนินงาน เมื่อกิจการเกิดผลกำไรหรื อขาดทุน เจ้าของต้องรับภาระ
แต่เพียงผูเ้ ดียว ตัวอย่างธุรกิจ เช่น ร้านขายอาหาร ร้านขายของชำ เป็ นต้น
ข้อดี ของการดำเนินธุรกิจแบบนี้ คือ สามารถตัดสิ นใจในการดำเนินงานได้อย่าง
รวดเร็ ว การก่อตั้งและล้มละลายกระทำได้ง่าย กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยมาก
ข้อเสี ย คือ ระยะเวลาการดำเนินงานของกิจการนั้น มีเงินทุนในการดำเนินงานจำกัด
เครดิตน้อยกว่าการดำเนินงานธุรกิจประเภทอื่น และการตัดสิ นใจในการดำเนินงานอาจผิดพลาดง่าย
ส่ วนดีของห้างหุน้ ส่ วนจำกัด
1. การบริ หารงานมีประสิ ทธิ ภาพมากกว่าเอกชนเป็ นเจ้าของคนเดียว
2. มีเงินทุนในการดำเนินงานมากกว่า มีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะมีการระดมทั้งทุน
และความคิด
3. มีความเชื่อมัน่ สู งกว่าเอกชนที่เป็ นเจ้าของคนเดียว
ส่ วนเสี ย
1. เงินทุนยังอยูใ่ นวงจำกัด
2. กิจการมีการขยายตัวยังไม่เต็มที่
วิธีการระดมเงินทุนของบริษทั
เงินทุนทีใ่ ช้ดำเนินงานของบริ ษทั มาจากแหล่งสำคัญสองแหล่ง คือ จากการลงทุนของเจ้าของ
บริ ษทั หรื อผูถ้ ือหุน้ และมาจากการกูย้ มื จากบุคคลภายนอก
1. เงินทุนที่ได้จากการลงทุนของเจ้าของบริ ษทั
ตามปกติเงินทุนของบริ ษทั จะมาจากการขายหุน้ ให้แก่บคุ คลทัว่ ไป ผูท้ ซ่ี ้อื หุน้ หรื อผูถ้ อื หุน้
ของบริ ษทั จึงมีฐานะเป็ นเจ้าของบริ ษทั หุน้ ของบริ ษทั มีอยู่ 2 ประเภท คือ
(1) หุน้ สามัญ (Common Stock) ส่ วนมากผูซ้ ้ื อหุน้ สามัญมักจะเป็ นผูท้ ี่ริเริ่ มหรื อก่อตั้ง
บริ ษทั ซึ่ งพวกนี้ มกั จะมีโอกาสเป็ นผูจ้ ดั การหรื อผูค้ วบคุมการบริ หารงานของบริ ษทั เนื่องจากพวกที่
ริ เริ่ มก่อตั้งบริ ษทั นี้ จะซื้ อหุน้ สามัญเป็ นจำนวนมาก จึงมีสิทธิ ออกเสี ยงเลือกคณะกรรมการบริ ษทั
ได้หลายเสี ยง ดังนั้นพวกนี้จึงมักจะได้รับเลือกให้เป็ นคณะกรรมการบริ ษทั เสมอ ผูถ้ ือหุน้ สามัญนี้
นับเป็ นผูท้ ี่มีความเสี่ ยงสูง หมายความว่า เสี่ ยงต่อการขาดทุน และแม้บริ ษทั จะมีผลกำไร ก็จะต้อง
จ่ายเป็ นค่าดอกเบี้ยให้แก่ผถู้ ือหุน้ กูแ้ ละจ่ายเงินปั นผลให้แก่ผถู ้ ือหุน้ ปุริมสิ ทธิ์ ก่อน เหลือจากนั้นจึง
จะตกเป็ นเงินปันผลของผูถ้ อื หุน้ สามัญ ฉะนั้นจึงเห็นได้วา่ ผลตอบแทนของผูถ้ อื หุน้ สามัญจะขึ้นอยูก่ บั ผล
กำไรของบริษทั เป็ นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าผลกำไรมากก็ยอ่ มได้รบั เงินปันผลมาก และถ้าผลกำไรน้อย
ก็จะได้รับเงินปันผลน้อย
(2) หุน้ ปุริมสิทธิ์ (Preferred Stock) หุน้ ปุริมสิทธิ์ หมายถึง หุน้ ทีม่ สี ิทธิพเิ ศษทีจ่ ะได้รบั
เงินปันผลก่อน กล่าวคือ ถ้าหากบริ ษทั มีผลกำไร ผูถ้ ือหุน้ ปุริมสิ ทธิ์ จะได้รับเงินปันผลก่อนผูถ้ ือหุน้
สามัญ แต่ได้รับในอัตราที่คงที่ และถ้าหากบริ ษทั ประสบกับการขาดทุนหรื อเลิกล้มกิจการ ผูถ้ ือหุน้
ประเภทนี้กม็ ีสิทธิ์ ที่จะได้รับทุนคืนจากการขายทรัพย์สินของบริ ษทั ก่อนผูถ้ ือหุน้ สามัญ เมื่อผูถ้ ือหุน้
ปุริมสิทธิ์มคี วามเสี่ยงต่ำ ดังนั้นผูถ้ อื หุน้ ปุริมสิทธิ์แม้จะมีฐานะเป็ นเจ้าของบริ ษทั แต่ไม่มสี ิทธิ์ออกเสียงใน
การเลือกคณะกรรมการบริ ษทั หรื อไม่มีโอกาสได้บริ หารงานของบริ ษทั
ข. เงินทุนที่ได้จากการกู้
บริ ษทั อาจหาเงินมาขยายกิจการได้โดยการกูเ้ งินจากประชาชนหรื อบุคคลทัว่ ไป การกูเ้ งิน
จากบุคคลทัว่ ไปเช่นว่านั้น กระทำได้โดยบริ ษทั ออกหุน้ กู้ (Bond) ขายให้แก่บุคคลทัว่ ไปนัน่ เอง
หุน้ กูแ้ ต่ละหุน้ จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยและระบุอายุของหุน้ เอาไว้ตายตัว การจ่ายดอกเบี้ยนั้นจะจ่าย
เป็ นงวดๆ จนกว่าจะครบอายุของหุน้ กู้ ผูท้ ถ่ี อื หุน้ กูจ้ ะมีฐานะเป็ นเจ้าหนี้ของบริ ษทั มิใช่เจ้าของบริ ษทั ดัง
นั้นผูถ้ ือหุน้ กูจ้ ึงไม่มีสิทธิในการควบคุมหรื อบริ หารงานของบริ ษทั แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม
ไม่วา่ บริ ษทั จะประสบกับการขาดทุนหรื อได้ก ำไรมากน้อยเพียงใด ผูถ้ ือหุน้ จะต้องได้รับดอกเบี้ ย
อยูเ่ สมอและมีสิทธิ์ได้รบั การชำระหนี้คนื ก่อนผูถ้ อื หุน้ ประเภทอืน่ เนื่องจากผูถ้ อื หุน้ กูเ้ ป็ นผูท้ เ่ี สี่ยงภัยน้อย
ที่สุด ดังนั้นจึงได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด เมื่อเปรี ยบเทียบกับผูถ้ ือหุน้ ปุริมสิ ทธิ์ และผูถ้ ือหุน้ สามัญ
ส่ วนดีและส่ วนไม่ ดขี องบริษัทจำกัด
บริ ษทั จำกัดมีส่วนดีและส่ วนไม่ดีหลายประการ ดังนี้
ส่ วนดี 1. สามารถรวบรวมเงินทุนได้เป็ นจำนวนมาก
2. ผูถ้ ือหุน้ รับผิดชอบเพียงมูลค่าหุน้ ของตนเท่านั้น ดังนั้นจึงสามารถ
ชักจูงคนที่มีรายได้นอ้ ย ให้เข้ามาถือหุน้ ได้โดยง่าย
3. ผูถ้ อื หุน้ ไม่จำเป็ นต้องมีความรูท้ างด้านการค้า ก็สามารถลงทุนซื้อหุน้ ได้
4. อายุการดำเนินงานของบริ ษทั ยืนยาว กล่าวคือ ไม่วา่ ผูถ้ ือหุน้ รายใด
จะตายหรื อลาออก ก็ไม่กระทบกระเทือนต่อกิจการของบริ ษทั
ส่ วนไม่ดี 1. ผูถ้ ือหุน้ รายใหญ่ สามารถมีอิทธิ พลในการบริ หารงานของบริ ษทั ได้
2. การดำเนินงานอาจล่าช้า เพราะคณะกรรมการบริ ษทั จะต้องมีการประชุม
หรื อปรึ กษาหารื อกันอยูเ่ สมอ
4. ธุรกิจแบบสหกรณ์ (Cooperative)
สหกรณ์ เป็ นองค์การธุรกิจที่มีบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปร่ วมมือกันก่อตั้งและสมัคร
เข้าเป็ นสมาชิก โดยการซื้อหุน้ ของสหกรณ์ แต่สมาชิกสหกรณ์น้ นั มีลกั ษณะพิเศษแตกต่างกับสมาชิกของ
องค์การธุรกิจแบบอื่น กล่าวคือ สมาชิกของสหกรณ์มกั จะเป็ นบุคคลที่มีอาชีพอย่างเดียวกันหรื อ
คล้ายคลึงกัน หรื อมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่สหกรณ์ก ำหนด ทั้งนี้เพราะสหกรณ์น้ นั มีนโยบายเพื่อ
รวมคนมากกว่ารวมทุน หมายความว่า การดำเนินงานของสหกรณ์มไิ ด้มงุ่ หวังผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ตอ้ งการตัดพ่อค้าคนกลางหรื อผูท้ ี่มีอิทธิ พลทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่มีความอ่อนแอ
ทางเศรษฐกิจโดยสมัครเข้ามาเป็ นสมาชิกของสหกรณ์รวมตัวกันให้มีอ ำนาจการต่อรองกับพ่อค้า
คนกลาง
หลักสหกรณ์ (Principles of Cooperative)
1. Capital with limited Interest
2. Open membership
3. One men one vote
4. Patronage Re – fund
5. Cooperate with Cooperative Society
การก่อตั้งและการบริ หารงานของสหกรณ์มีลกั ษณะคล้ายกับบริ ษทั จำกัด คือ จะมี
กลุม่ บุคคลผูก้ อ่ ตั้งแล้วประกาศให้บคุ คลทีส่ นใจเข้ามาสมัครเป็ นสมาชิก โดยการซื้อหุน้ ของสหกรณ์ หุน้
ของสหกรณ์ทกุ หุน้ จะมีมลู ค่าเท่ากัน สำหรับการบริ หารงานของสหกรณ์น้ นั สมาชิกของสหกรณ์ทุกคน
จะเลือกคณะกรรมการเข้ามาบริ หารหรื อควบคุมงานของสหกรณ์ ในการออกเสี ยงเลือกคณะ
กรรมการนั้น สมาชิกทุกคนมีสิทธิออกเสี ยงได้เท่ากันไม่วา่ ใครจะถือหุน้ มากหรื อน้อยเพียงไร
ก็ตาม คือสมาชิกหนึ่งคนมีสิทธิออกเสี ยงได้หนึ่งเสี ยง (One Man One Vote) คณะกรรมการที่ได้รับ
เลือกตั้งจะทำหน้าทีค่ วบคุมหรื อรับผิดชอบการบริ หารงานของสหกรณ์แทนสมาชิก ซึ่งคณะกรรมการนี้
อาจจะเลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่งจากคณะกรรมการหรื ออาจจ้างบุคคลภายนอกมาเป็ นผูจ้ ดั การก็ได้
การแบ่งผลตอบแทนแก่สมาชิก เพื่อให้ผลประโยชน์ตกแก่สมาชิกมากที่สุด ดังนั้น
ถ้าหากสหกรณ์มีผลกำไร สหกรณ์จะแบ่งผลกำไรตอบแทนแก่สมาชิกตามส่ วนกิจกรรมที่สมาชิก
กระทำต่อสหกรณ์เป็ นสำคัญ ยกตัวอย่างสหกรณ์ผบู ้ ริ โภคหรื อร้านสหกรณ์ หากการดำเนินงานจนมี
ผลกำไรเกิดขึ้น สหกรณ์จะจัดสรรผลกำไรเป็ นเงินปั นผลให้แก่สมาชิก ซึ่ งจะแบ่งออกเป็ นสองส่ วน
คือ ส่วนหนึ่งจะแบ่งตามจำนวนหุน้ ทีส่ มาชิกแต่ละคนถือ การแบ่งส่วนนี้จะแบ่งในอัตราทีค่ งทีใ่ นรูปของ
ดอกเบี้ยของเงินที่สมาชิกนำมาซื้ อหุน้ ของสหกรณ์ ผลกำไรที่เหลือจากการจัดสรรส่ วนที่หนึ่ง
ก็จะนำมาจัดสรรในส่ วนที่สอง คือแบ่งตามส่ วนของการซื้ อสิ นค้าจากสหกรณ์เป็ นมูลค่ามาก (ทำให้
สหกรณ์มกี ำไรมาก) ก็จะได้รบั ผลตอบแทนคืนเป็ นจำนวนมาก จะเห็นได้วา่ เงินปันผลตามส่วนทีส่ องนี้จะ
ขึ้นอยูก่ บั ผลกำไรของร้านสหกรณ์เป็ นสำคัญ
กิจการแบบสหกรณ์น้ ี เริ่ มแรกในโลก เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2387 (ค.ศ. 1844)
ที่ตรอกคางคก (Toad Lane) เมือง Rochdale ในประเทศอังกฤษ ปัจจุบนั กิจการสหกรณ์ในประเทศ
อังกฤษเจริ ญมาก สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่ มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) โดยความริ เริ่ มของ
รัฐบาล กิจการสหกรณ์ในประเทศไทยในปั จจุบนั ยังไม่เจริ ญเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่เป็ นกิจการที่มี
ประโยชน์มาก ทั้งนี้อาจเป็ นเพราะรัฐบาลเป็ นฝ่ ายเสนอให้ท ำโดยประชาชนมิได้เริ่ มเอง หรื ออาจ
เป็ นเพราะการดำเนินงานของกิจการสหกรณ์น้ นั สมาชิกจะต้องเข้ามาร่ วมมือและรับผิดชอบร่ วมกัน
อย่างจริ งจัง แต่คนไทยชอบทำงานอย่างอิสระ ไม่คุน้ เคยกับการทำงานแบบเป็ นกลุ่มหรื อร่ วมมือ
กับผูอ้ ื่น ดังนั้นจึงทำให้การดำเนินงานของสหกรณ์ไม่เจริ ญก้าวหน้าเท่าที่ควร กิจการสหกรณ์
ในปั จจุบนั มีมากมายหลายประเภท เช่น สหกรณ์ที่ดิน สหกรณ์ผบู ้ ริ โภค (ร้านสหกรณ์) สหกรณ์
การเกษตร สหกรณ์ขายส่ ง สหกรณ์ผผู ้ ลิต สหกรณ์นิคม และสหกรณ์ออมทรัพย์ เหล่านี้เป็ นต้น
5. รัฐวิสาหกิจ (State Enterprise) เป็ นองค์กรที่รัฐบาลก่อตั้งหรื อเป็ นเจ้าของหุน้
และเป็ นผูค้ วบคุมดำเนินงานโดยตรง
รัฐวิสาหกิจนั้น อาจแยกเป็ นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทแรกเป็ นองค์การ
ธุรกิจที่รัฐบาลเป็ นเจ้าของหรื อก่อตั้งขึ้น เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย ท่าเรื อแห่งประเทศไทย
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย องค์การคลังสิ นค้า การไฟฟ้ านครหลวง การประปาส่ วนภูมิภาค
องค์การขนส่ งมวลชนกรุ งเทพฯ องค์การเภสัชกรรม ธนาคารออมสิ น และธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็ นต้น ประเภทที่สองเป็ นองค์การธุรกิจในรู ปของบริ ษทั จำกัดที่รัฐบาลลงทุนร่ วมกับเอกชน
โดยรัฐบาลมีหุน้ เกินกว่าร้อยละห้าสิ บขึ้นไป เช่น ธนาคารกรุ งไทย บริ ษทั ไม้อดั ไทย จำกัด บริ ษทั
การบินไทย จำกัด และโรงแรมเอราวัณ เหล่านี้เป็ นต้น
การทีร่ ฐั บาลต้องเข้ามามีบทบาทในการดำเนินกิจการต่างๆ ทางเศรษฐกิจในรูปแบบ
ของรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ก็เพราะมีความจำเป็ นหลายประการ ได้แก่
1. กิจการบางอย่าง ถ้าให้เอกชนแข่งขันกันเองแล้ว อาจก่อให้เกิดผลเสียแก่เศรษฐกิจ
ของประเทศและประชาชนโดยส่ วนรวมได้ เช่น การผลิตบุหรี่ และสุ รา เป็ นต้น
2. เพื่อรักษาและคุม้ ครองประโยชน์ได้เสี ยของประชาชนผูบ้ ริ โภคในด้านราคา
และคุณภาพของสิ นค้าหรื อบริ การ
3. กิจการบางอย่างต้องใช้เงินลงทุนเป็ นจำนวนมหาศาลหรื อต้องเสี ยเวลาในการ
ก่อสร้างเป็ นเวลานาน และเมือ่ สร้างเสร็จแล้ว ก็อาจต้องใช้เวลารอคอยผลตอบแทนเป็ นเวลายาวนาน
กว่าจะได้ผลตอบแทนคุม้ กับทีใ่ ช้ลงทุนไป และผลตอบแทนนั้นอาจจะตกแก่สงั คมส่วนรวมมากกว่า
ผูล้ งทุนก็ได้ กิจการเหล่านี้เอกชนมักจะไม่สนใจดำเนินงาน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้ามาจัดทำหรื อ
ดำเนินการเสี ยเอง
4. กิจการบางอย่างเกี่ยวข้องกับการป้ องกันประเทศหรื อเป็ นอุตสาหกรรมหลัก
ของประเทศโดยตรง ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้ามาจัดทำหรื อดำเนินการเสี ยเอง
5. กิจการบางอย่างมีผลกระทบหรื อให้ประโยชน์แก่สงั คมโดยตรง ดังนั้นรัฐบาล
จึงต้องเข้ามาดำเนินการเอง เช่น กิจการเกีย่ วกับการศึกษา สาธารณสุข อาคารสงเคราะห์ การธนาคาร และ
การขนส่ ง เหล่านี้เป็ นต้น
6. กิจการบางอย่างมีความจำเป็ นต่อการดำรงชีพประจำวันของประชาชน รัฐบาล
จึงต้องเข้ามาทำการผลิต และจำหน่ายเสี ยเองเพื่อให้เพียงพอและเป็ นระเบียบเรี ยบร้อย เช่น กิจการ
สาธารณูปโภคต่างๆ
7. กิจการบางอย่าง รัฐบาลเข้ามาดำเนินงานเพื่อเป็ นการส่ งเสริ มหรื อเป็ นตัวอย่าง
หรื อจูงใจแก่เอกชน และเป็ นกิจการที่ท ำรายได้ให้แก่ประเทศ เช่น การส่ งเสริ มการท่องเที่ยวและ
กิจการโรงแรม เป็ นต้น
8. กิจกรรมบางอย่างรัฐบาลตั้งขึ้น เพื่อเป็ นการรักษาวัฒนธรรม ศิลปกรรม และ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ของประเทศชาติ เช่น การดุริยางค์และนาฎศิลป์ เป็ นต้น
การดำเนินกิจการรัฐวิสาหกิจตามที่กล่าวมาแล้วนี้ จะเห็นได้วา่ รัฐบาลมิได้เข้ามา
ดำเนินการเพื่อมุ่งหวังผลกำไรอย่างเดียว แต่ค ำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมส่ วนรวม
เป็ นสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐวิสาหกิจก็มีท้ งั ส่ วนดีและส่ วนไม่ดีหลายประการ คือ
ส่ วนดี
1. การแสวงหาเงินทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำได้ดีกว่าเอกชน และใน
อัตราดอกเบี้ยที่ต ่ำกว่า
2. เป็ นการส่ งเสริ มกิจการของเอกชน เช่น ไฟฟ้ า ประปา และโทรศัพท์ เป็ นต้น
3. เป็ นหลักประกันความแน่นอนทั้งในด้านคุณภาพและราคาของสินค้าและบริ การ
4. เป็ นการหารายได้ของรัฐบาลเพื่อนำไปพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านอื่นๆ
5. เป็ นแหล่งการทำงานของประชาชนและมีหลักประกันที่มนั่ คง
6. เป็ นกิจการทางสาธารณูปโภคเป็ นส่วนใหญ่ โดยมิได้แสวงหาผลกำไรเป็ นทีต่ ้งั จึง
ช่วยในการกระจายรายได้ ได้เป็ นอย่างดี
ส่ วนเสี ย
1. ประสิ ทธิภาพการทำงานของพนักงานมีนอ้ ย เพราะไม่มีความรู ้ในทางธุรกิจ
เพียงพอ
2. ดำเนินงานแบบระบบราชการ ทำให้เกิดความล่าช้าและขาดความริ เริ่ ม
3. มักมีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามายุง่ เกี่ยวอยูเ่ สมอ
4. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอาจสู งกว่าการดำเนินงานของเอกชน
ทฤษฎีการผลิต
การศึกษาถึงฟังก์ชนั การผลิต ตามทฤษฎีการผลิตแบบดั้งเดิมนั้น เป็ นการศึกษาถึงความ
สัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิต (Production Factors) กับผลผลิต (Product) เช่นการผลิตข้าว จะมี
ปั จจัยการผลิตคือ ที่ดิน แรงงาน ปุ๋ ย ใส่ เข้าไปในกระบวนการผลิตจึงจะได้ผลผลิตออกมา (ปั จจัย
การผลิตที่สำคัญคือ ที่ดิน แรงงาน ทุน และการประกอบการ) ซึ่ งในบทนี้ จะกล่าวถึงเฉพาะทฤษฎี
การผลิตแบบดั้งเดิม (Traditional Approach) เท่านั้น ซึ่ งเป็ นทฤษฎีที่นอกจากจะอธิ บาย
ถึงความสัมพันธ์ดงั ข้างต้นแล้ว ยังอธิ บายว่า ทำอย่างไรต้นทุนการผลิตจึงจะต่ำที่สุด (หรื อได้จ ำนวน
ผลผลิตมากที่สุด) โดยอาศัยกฎต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งจะได้กล่าวต่อไป
การศึกษาทฤษฎีแบบดังเดิมนี้มขี อ้ กำหนดคือ ต้องใช้เทคนิคการผลิตคงที่ และปัจจัยผันแปร
(Variable Factors) ต้องมีลกั ษณะเหมือนกันทุกประการ (Homogeneous) ซึ่ งทฤษฎีน้ ีจะเกี่ยวข้องกับ
กฎการลดน้อยถอยลง (Low of Diminishing Return) ซึ่ งกฎนี้กล่าวว่า การผลิตมีการใช้ปัจจัยคงที่
และปัจจัยผันแปร เมือ่ เพิม่ ปัจจัยผันแปรเข้าไปร่วมกับปัจจัยคงทีเ่ รื่อยๆ ทีละหน่วยแล้ว ในระยะแรกผลิต
หน่วยสุ ดท้ายจะเพิม่ ขึ้นเรื่ อยๆ จนถึงระดับที่สูงสุ ด แล้วจากนั้นถ้ายังเพิม่ ปั จจัยผันแปรเข้าไปอีก
จะทำให้ผลผลิตเฉลี่ยลดลงและดึงเอาผลผลิตหน่วยสุ ดท้ายจะลดลงตามลำดับอีกด้วย
50
40
30
20
10
AP
0
MP
-10
1 2 3 4 5 6 7 8 ปั จจัยผันแปร
70
TC
TVC
60
50
40
30
20
10
FC
0
1 2 3 4 5 6 7 8 9 ผลผลิต
ต้ นทุน
25
MC
20
15
10 TAC
AVC
5
0
AFC
1 2 3 4 5 6 7 8 ผลผลิต
สรุ ป
ทฤษฎีการผลิตแบบดั้งเดิม เป็ นการอธิ บายความสัมพันธ์ระหว่างปั จจัยการผลิต (ที่ดิน
แรงงาน ทุน และการประกอบการ) ซึ่ งทฤษฎีน้ ีจะเกี่ยวพันกับกฎการลดน้อยถอยลง (Law of
Diminishing Return) ของผลผลิต ซึ่งอธิบายในกรณีมกี ารผลิตระยะสั้น มีตน้ ทุน 2 ชนิด คือ ต้นทุนคงที่
กับต้นทุนผันแปร ส่ วนการผลิตในระยะยาวจะใช้ตน้ ทุนผันแปรอย่างเดียว
ในการผลิตนั้น ผูผ้ ลิตควรให้ความสนใจในเรื่องการประหยัด ซึ่งประกอบด้วย การประหยัด
ภายในและการประหยัดภายนอก เพราะการขยายขนาดผลิตไม่มากนัก ควรใช้ปัจจัยภายในในการ
เพิ่มขีดความสามารถของพนักงาน ตลอดจนการใช้เครื่ องจักรที่มีประสิ ทธิ ภาพ แทนที่จะเพิ ่มทุน
โดยการจัดจ้างพนักงานใหม่ หรื อซื้ อเครื่ องจักร เครื่ องมือใหม่
จากตาราง ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น (GDP) ในปี พ.ศ. 2530 มีมลู ค่า 1,234,030 ล้านบาท
เป็ นผลรวมจากมูลค่าผลิตภัณฑ์ในสาขาเศรษฐกิจต่างๆ เช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ฯลฯ
ซึ่ งดำเนินการผลิตในรอบปี พ.ศ. 2530 ภายในอาณาเขตประเทศไทยเท่านั้น ถ้าเราต้องการทราบ
มูลค่าผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น (GNP) ต้องบวกด้วยมูลค่าผลตอบแทนปั จจัยการผลิตสุ ทธิ จาก
คนไทยในต่างประเทศเสี ยก่อน
5.84
ตัวอย่างเช่น I2520 = x 100 = 100.00
5.84
5.15
I2521 = x 100 = 88.18
5.84
5.77
I2530 = x 100 = 9
5.84
2. การคำนวณเลขดัชนีโดยมีตัวถ่ วงน้ำหนัก (Weighted Price Indexes)
การคำนวณเลขดัชนีราคาโดยมีตวั ถ่วงน้ำหนัก มีสูตรการคำนวณต่างๆ ดังนี้
1. สูตรของ Laspayers
piqo
Ioi = x 100
poqo
piqo + p2qo + …… + pnqo
Ioi = x 100
poqo + poq2 + …… + poqo
2. สูตรของ Paasche
piqi
Ioi = x 100
po qi
p1q1 + p2q2 + …… + pnqn
Ioi = x 100
poq1 + poq2 + …… + poqn
1. สูตรของ Laspayers
piqo
Ioi = x 100
poqo
โดยกำหนดให้ปี 2520/21 เป็ นปี ฐานจะได้ po = 2.40 , qo = 13.92
piqo 2.40 x 13.92
po qo 2.40 x 13.92
Ioo ปี 2520/21 = x 100 = x 100 = 100.00%
2. สูตรของ Paasche
piqi
Ioi = x 100
po qi
โดยกำหนดให้ปี 2520/21 เป็ นปี ฐานจะได้ po = 2.40
การเปลีย่ นฐานเลขดัชนี
การเปลี่ยนฐานเลขดัชนีจากระยะเวลาหนึ่งไปเป็ นอีกระยะเวลาหนึ่งนั้น ใช้กรณี ที่เวลาที่ใช้
เป็ นฐานอยูเ่ ดิมนั้นเป็ นเวลาทีผ่ า่ นมานานแล้ว ไม่เหมาะสมกับการทีจ่ ะใช้เปรี ยบเทียบกับข้อมูลใหม่ๆ
ที่เกิดขึ้น หรื อบางครั้งเราต้องการที่จะเปรี ยบเทียบดัชนีของข้อมูลหลายๆ ชุดที่มีเวลาที่ใช้เป็ นฐาน
แตกต่างกัน ถ้าไม่เปลีย่ นเวลาทีใ่ ช้เป็ นฐานของข้อมูลเหล่านี้ให้เป็ นเวลาเดียวกันแล้ว การเปรี ยบเทียบ
ก็จะทำได้ไม่ชดั เจน ดังนั้น จึงจำเป็ นต้องเปลี่ยนฐานของดัชนีของข้อมูลต่างๆ ให้อยูใ่ นฐานเดียวกัน
โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
เลขดัชนีของปี ที่ i
เลขดัชนีปีที่ i เมื่อมีฐานเวลาใหม่ = x 100
เลขดัชนีของปี ที่ก ำหนดให้เป็ นฐานใหม่
ตัวอย่างการคำนวณดังตารางเดิมกำหนดให้ปี 2522 เป็ นปี ฐาน ต่อมาต้องการเปลี่ยนเวลา
ปี ฐานใหม่โดยกำหนดให้ปี 2525 เป็ นปี ฐานใหม่
100
ดังนั้นเลขดัชนีในปี 2522 เมื่อมีเวลาฐานเป็ นปี 2525 = x 100 = 50%
200
280
หรื อเลขดัชนีในปี 2530 เมื่อเวลาฐานเป็ นปี 2525 = x 100 = 140%
200
ตารางการเปลีย่ นฐานเลขดัชนี
ปี พ.ศ. เลขดัชนีเดิม 100 เลขดัชนีใหม่
กำหนดให้ ปี 2522 เป็ นปี ฐาน 1/
กำหนดให้ ปี 2525 เป็ นปี ฐาน
200
2522 100 x 100 = 50.00