Professional Documents
Culture Documents
Kpi - Journal,+9 3 5
Kpi - Journal,+9 3 5
ปัทมา สู บกาปัง *
บทคัดย่ อ
*
อาจารย์ผชู้ านาญการ สานักวิ จยั และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า
~1~
นิติปรัชญา และความหมายของกฎหมาย
“กฎหมายคื อ ค าสั่ ง ของรั ฏ ฐาธิ ปั ต ย์ ที่ บ ัญ ญัติ ข้ ึ น เพื่ อ ใช้ ค วบคุ ม พฤติ ก รรมของสมาชิ ก ในสั ง คม
หากใครฝ่ าฝื น จะถู กลงโทษ” เป็ นสิ่ ง ที่ สะท้อนหลักการของสานั กกฎหมายบ้ านเมือง (Legal Positivism
School) ได้เป็ นอย่า งดี ซึ่ ง สานัก กฎหมายบ้า นเมื องให้ค วามส าคัญกับเจตจานงหรื ออานาจของรั ฏฐาธิ ปัตย์
ในการออกกฎหมายและบังคับการให้เป็ นไปตามกฎหมาย มากยิ่งกว่าความชอบธรรม หรื อความเป็ นธรรมที่จะ
ได้รับจากกฎหมาย เช่นนี้ แล้ว การตั้งคาถามหรื อโต้แย้งในกฎหมายจึงไม่อาจเกิ ดขึ้นได้ในสังคมที่ยึดแนวทาง
ในสานักกฎหมายบ้านเมือง
~2~
การใช้กฎหมายเป็ นเครื่ องมือเพื่อทาให้สังคมสงบสุ ขนั้น คงต้องพิจารณาในมิติที่กว้างและลึกยิ่งไปกว่า
การมีก ฎหมายและบังคับใช้ก ฎหมาย และมี ก ระบวนการพิ จารณาลงโทษผูฝ้ ่ าฝื นหรื อละเมิ ดกฎหมายอย่า ง
เคร่ งครัดเท่านั้น แต่จะต้องให้น้ าหนักและเน้นที่แนวทางของสานักกฎหมายธรรมชาติให้มากขึ้น
ท่ า นกรมหลวงราชบุ รีดิ เรกฤทธิ์ พระบิ ด าแห่ งกฎหมายไทย ทรงชี้ ให้เห็ นถึ ง นิ ติวิ ธี ข องกฎหมาย
ว่ากฎหมายนั้นบางครั้งก็จะชัว่ ได้หรื อไม่ยุติธรรมได้ กฎหมายกับความดี ความชั่ว หรื อความยุติธรรมปนกัน
ไม่ ไ ด้ ความคิ ด ว่า อะไรดี อะไรชั่ว หรื ออะไรเป็ นความยุติธ รรม อะไรไม่ ยุ ติธ รรม มี บ่ อเกิ ดจากหลายแห่ ง
เช่น ศาสนา แต่กฎหมายเกิดขึ้นแต่เพียงแห่งเดียว คือจากผูป้ กครองหรื อผูท้ ี่ผปู ้ กครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น
~3~
ยุติธรรม ความเป็ นธรรม หลายครั้ งหลายหน โดยเฉพาะกับบุคลากรด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
ดังต่อไปนี้
“...กฎหมายมิ ใ ช่ ต ัว ความยุ ติ ธ รรม หากเป็ นแต่ เ พี ย งบทบัญ ญัติ หรื อ ปั จ จัย ที่ ต ราไว้เ พื่ อ รั ก ษาความ
ยุติธรรม ผูใ้ ดก็ตามแม้ไม่รู้กฎหมายแต่ถา้ ประพฤติปฏิ บตั ิดว้ ยความสุ จริ ตแล้วควรจะได้รับความคุม้ ครองจาก
กฎหมายอย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามคนที่รู้กฎหมายแต่ใช้กฎหมายไปในทางทุจริ ตควรต้องถือว่าทุจริ ต...”
“...กฎหมายนั้นไม่ใช่ ตวั ความยุติธรรม เป็ นแต่เพียงเครื่ องมื ออย่างหนึ่ ง สาหรั บใช้ในการรั กษาและ
อานวยความยุติธ รรมเท่า นั้น การใช้ก ฎหมายจึ ง ต้องมุ่ง หมายใช้เพื่ อรั กษาความยุติธ รรมไม่ ใ ช่ เพื่ อรั ก ษาตัว
~4~
บทของกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดิ น ก็มิได้มีวงแคบอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย
หากต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยาตลอดจนเหตุและผลตามความเป็ นจริ งด้วย...”
~5~
ประการที่สี่ บุค ลากรที่ ใช้อานาจในการบังคับการตามกฎหมาย ตี ความกฎหมาย ในกระบวนการ
ยุติธรรมต้องเข้าใจในนิ ติปรัชญาและเป้ าหมายของกฎหมาย โดยที่กฎหมายต่างระบบกัน อาทิ กฎหมายเอกชน
กฎหมายมหาชน ต่างก็มีนิติปรัชญาและเป้ าหมายแตกต่างกันไป จาเป็ นต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
ความสาคัญและจาเป็ นของกฎหมาย
สัง คมใดใช้กฎหมายเป็ นเครื่ องมื อเพื่อการบริ หารบ้า นเมื องดังกล่ าวข้า งต้น นับ ได้ว่า เป็ น “นิ ติรัฐ ”
(Legal State) หรื อรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) ประชาชน (เจ้าของอานาจอธิ ปไตย)ในรัฐนั้น
มีหลักประกันในสิ ทธิ เสรี ภาพ ในขณะที่การใช้อานาจรัฐโดยฝ่ ายผูป้ กครองหรื อผูใ้ ช้อานาจรัฐ (แทนประชาชน)
นั้น โดยหลักแล้วจะไปกระทบสิ ทธิ เสรี ภาพของประชาชนมิได้ เว้นแต่มีกฎหมายกาหนดให้อานาจไว้ ซึ่ งต้อง
เป็ นกฎหมายลายลักษณ์อกั ษร ที่กาหนดทั้งวัตถุประสงค์และวิธีการไว้อย่างชัดแจ้ง
~6~
บทเรียนการใช้ กฎหมายเพือ่ พัฒนาประเทศในต่ างประเทศ
~8~
กรณี ตวั อย่างสาหรับประเทศในภูมิภาคเอเชี ยที่ได้พฒั นากฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ ได้แก่
สิ งคโปร์ จัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (The Law Reform Committee (LRC)) ที่เป็ นอิสระมีอานาจหน้าที่
ให้คาแนะนาแก่ผมู ้ ีอานาจหน้าที่ในด้านการปฏิรูปกฎหมาย ศึกษาวิจยั และทบทวนกฎหมายในสาขาต่างๆ อันมี
ผลต่อการปรับปรุ งเปลี่ยนแปลงและออกกฎหมายใหม่ให้เหมาะสมกับสังคมยิง่ ขึ้น
สาธารณรั ฐเกาหลี เกาหลีใต้เป็ นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) ที่ประสบความสาเร็ จในการพัฒนา
เศรษฐกิจนับแต่กลางทศวรรษ 1980 และได้รับการยอมรับเข้าเป็ นสมาชิ กกลุ่มประเทศที่พฒั นาแล้ว (OECD)
เมื่อ ค.ศ. 1996 แม้จะประสบกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจหลายระลอก โดยเฉพาะเมื่อปี ค.ศ.1997 ต้องกูเ้ งินจาก
IMF ก็สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและใช้หนี้ ได้หมดสิ้ นในปี ค.ศ.2001 และมีมูลค่า ทางการค้าใหญ่เป็ นอันดับ
13 ของโลก
ความส าเร็ จในการพัฒ นาทางเศรษฐกิ จดัง กล่ า ว ส่ ว นหนึ่ ง เป็ นผลจากการปฏิ รู ป กฎหมาย และใช้
กฎหมายเป็ นเครื่ องมือในการผลักดันและดาเนินโนบายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายว่าด้วยแรงงาน
เนื่องจากแรงงานส่ วนใหญ่ตอ้ งนาเข้าจากต่างประเทศ ดังเช่นล่าสุ ดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ.2009 สภาแห่ งชาติ
ได้เห็นชอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการจ้างแรงงาน ซึ่ งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
กาหนดหลักเกณฑ์การจ้างแรงงานใหม่ การย้ายงาน และการจ้างงานต่อ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจ้าง
แรงงานจริ ง
ทั้ง นี้ การปฏิ รู ป กฎหมายว่า ด้ว ยแรงงานดัง กล่ า วมี ผ ลกระทบต่ อ แรงงานต่ า งชาติ ที่ เ ข้า ไปท างาน
ในเกาหลีใต้ซ่ ึ งมีมากกว่า 15 ประเทศ ซึ่ งไทยก็เป็ นหนึ่งในนั้นและมีจานวนแรงงานไทยที่ส่งไปทางานในเกาหลี
ใต้จานวนมาก
เกาหลี ใต้ได้ชื่อว่าเป็ นประเทศชั้นนาในด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสาระสนเทศ ซึ่ งมี การออก
กฎหมายจัดระเบียบในเรื่ องดังกล่าวที่เป็ นข่าวฮือฮาอย่างมาก คือเมื่อปี ค.ศ.2009 รัฐบาลเกาหลีมีนโยบายต่อต้าน
การละเมิดลิ ขสิ ทธิ์ และสภาแห่ งชาติได้ออกกฎหมายกาหนดห้ามโพสต์รูปหรื อโพสต์คลิปต่างๆ หากฝ่ าฝื นมี
โทษคือถูกแขวน 6 เดือน และต้องถูกสั่งปิ ดทันทีหากทาผิดซ้ า 3 ครั้ง
ในส่ ว นการบริ ห ารการปกครองประเทศนั้น นับ ย้อ นไปเมื่ อ ปี ค.ศ.1949 เกาหลี ใ ต้อ อกกฎหมาย
ว่ าด้ วยการบริหารราชการส่ วนท้ องถิ่น (Local Autonomy Act in 1949) ซึ่ งต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง
ล่าสุ ดเมื่อปี ค.ศ. 1995 กฎหมายฉบับดังกล่าวมีผลทาให้การบริ หารราชการส่ วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีการ
กระจายอานาจสู่ ทอ้ งถิ่นมากขึ้น มีเนื้ อหาสาระที่เป็ นประชาธิ ปไตยมากที่สุด โดยกาหนดให้ท้ งั ฝ่ ายบริ หารและ
ฝ่ ายนิ ติ บ ัญ ญัติ ข ององค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น ทุ ก ระดั บ มาจากการเลื อ กตั้ง ของประชาชนโดยตรง
~9~
กรณี ตวั อย่างจากเกาหลีใต้เป็ นสิ่ งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ากฎหมายมีส่วนสาคัญในการผลักดันและ
ดาเนินนโยบายของประเทศ ทาให้เกิดการพัฒนาประเทศได้อย่างสอดคล้องกับนโยบายหรื อทิศทางที่กาหนดไว้
โมร็ อกโกเป็ นอีกประเทศที่ใช้ก ฎหมายเพื่อพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคมมุสลิ มในด้านสิ ทธิ สตรี ให้
ทัดเที ย มกับ นานาประเทศ โดยการปฏิ รูปกฎหมายครอบครั ว (Family Law หรื อภาษาท้องถิ่ นเรี ย กว่า
Mudawanna) ตามพระราโชบายของสมเด็จพระราชาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ 6 มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครอบครัว
เดิ มที่ล้าหลังให้ทนั สมัย ทาให้สตรี มีสถานะและสิ ทธิ เท่าเที ยมบุ รุษดังเช่ นกฎหมายครอบครัวของประเทศที่
พัฒนาแล้ว ซึ่ งถือว่าโมร็ อกโกเป็ นประเทศมุสลิมประเทศแรกที่ใช้กฎหมายเป็ นเครื่ องมือพัฒนาและยกระดับใน
ด้านสิ ทธิสตรี
~ 10 ~
รัฐประศาสโนบายของพระองค์ท่านนั้นทรงดาเนิ นตามแนวทางที่ สมเด็จพระราชบิ ดาได้ทรงวางไว้
โดยตระหนักถึงภยันตรายของลัทธิจกั รวรรดินิยมของมหาอานาจตะวันตก ทาให้ตอ้ งปรับปรุ งพัฒนาประเทศใน
ทุกด้าน ทั้งทางการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมายและการศาล
แนวทางการปรั บ ปรุ ง พัฒ นาประเทศของพระองค์ท่ า นนั้น เริ่ ม จาก “การปรั บ ปรุ ง กฎหมายและ
การศาล” ให้ทนั สมัยเหมือนตะวันตก เป็ นผลให้หลุดพ้นจากการแทรกแซงและการเข้าครอบครองจากชาติ
มหาอานาจ อี กทั้ง ทรงใช้พระราชอานาจนิ ติบญั ญัติออกกฎหมายเพื่อการพัฒนาในด้านต่างๆ เป็ นผลทาให้
สามารถรวมศูนย์อานาจการปกครองและปฏิ รูปเรื่ องอื่นๆ เช่ น การภาษีอากร การคลัง การทหาร การจัดการ
ปกครองหัวเมือง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่ งมีผลเป็ นการทอนอานาจขุนนางลงให้อยูภ่ ายใต้กฎหมาย
“ฉั นจะให้ ลูกวชิ ราวุธมอบของขวัญสู่ ราชบัลลังก์ ในขณะสื บตาแหน่ งกษัตริ ย์ กล่ าวคื อ ฉั นจะให้ เขาให้
ปาลิเม้ นต์ และคอนสติติวชั่น” เป็ นพระราชดารัสของพระองค์ท่านในที่ประชุมเสนาบดีสภา และทรงมอบหมาย
ให้เสนาบดี สภาพิจารณายกร่ างรัฐธรรมนู ญ มีท้ งั หมด 20 มาตรา เนื้ อหาส่ วนใหญ่ว่าด้วยฐานะและพระราช
อานาจของพระมหากษัตริ ย ์ และรากฐานของรัฐสภา โดยกาหนดให้มีการประชุ มร่ วมกันของรัฐมนตรี สภา
องคมนตรี สภา และเสนาบดีสภา หรื อที่เรี ยกว่า “ไตรวรรคสั นนิบาต“ เพื่อพิจารณากฎหมายเลือกและแต่งตั้ง
รัฐมนตรี และองคมนตรี เป็ นอี กส่ วนที่ แสดงถึ งพระอัจฉริ ย ภาพด้า นการเมื อง การปกครองและการบริ หาร
ประเทศ โดยใช้กฎหมายเป็ นเครื่ องมือหลัก ทาให้บรรดานักกฎหมายมหาชนให้การยกย่องและเทิดพระเกียรติ
ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงเป็ น “พระบิดาแห่ งกฎหมายมหาชน”
~ 12 ~
ต่างๆ เข้าร่ วมในรู ปของคณะกรรมการพิจารณาศึกษา เพื่อเสนอแนะการปรับปรุ งแก้ไขกฎหมาย เพื่อการพัฒนา
เศรษฐกิ จและสั งคมต่ อรั ฐบาล ก าหนดให้จดั ตั้ง ระบบและองค์ก รดาเนิ นการศึ ก ษาแนวทาง การปรับปรุ ง
โครงสร้ างของอนุ บญั ญัติให้สอดคล้องกับวัตถุ ประสงค์ในการพัฒนา และดาเนิ นการศึกษาวิจยั ในเรื่ องสภาพ
บังคับของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปั จจุบนั และมีการเสนอร่ างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูป
กฎหมาย ในปี พ.ศ.2533 ซึ่ งคณะรัฐมนตรี มีมติรับหลักการแล้ว แต่มีการถอนร่ างพระราชบัญญัติดงั กล่าว
ออกไป
~ 13 ~
“คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย” ถูกกาหนดขึ้นตามรัฐธรรมนู ญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2550 ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้ นฐานแห่ ง รั ฐ ส่ วนที่ 5 แนวนโยบายด้า นกฎหมายและการยุติ ธ รรม โดย
ก าหนดให้ มี “คณะกรรมการปฏิ รู ป กฎหมาย” มี อ านาจหน้ า ที่ ศึ ก ษาและเสนอแนะการจัด ท ากฎหมาย
ที่ จาเป็ นต้องตราขึ้ นเพื่ออนุ วตั ิ ก ารตามรั ฐธรรมนู ญ และให้จดั ทากฎหมายเพื่ อจัดตั้ง “องค์ก รเพื่ อการปฏิ รูป
กฎหมาย” ที่ ดาเนิ นการอย่างเป็ นอิ ส ระ เพื่ อปรั บ ปรุ งและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรั บ ปรุ ง
กฎหมายให้เป็ นไปตามรัฐธรรมนูญ
(1) การยกร่ า งกฎหมายเพื่ อ จัด ตั้ง องค์ก รเพื่ อการปฏิ รูป กฎหมาย ซึ่ งคณะรั ฐมนตรี มี มติ เห็ น ชอบ
ในหลักการไปเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2551 และเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2553 สภาผูแ้ ทนราษฎรมีมติให้ความ
เห็นชอบร่ างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... ในวาระที่ 3
(2) การเสนอแนะการจัด ท ากฎหมายที่ จ าเป็ นต้อ งตราขึ้ น ตามที่ รั ฐ ธรรมนู ญ ก าหนด ซึ่ งมี ก ารตั้ง
อนุกรรมการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายอย่างเป็ นระบบและแบบแผน จานวน 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการการมี
ส่ วนร่ วมของประชาชน คณะอนุ กรรมการพัฒนากฎหมายว่าด้วยการค้าที่เป็ นธรรมและการคุม้ ครองผูบ้ ริ โภค
คณะอนุ กรรมการพิจารณากฎหมายด้านสิ ทธิ มนุ ษยชน คณะอนุ กรรมการพิจารณากฎหมายว่าด้วยการกาหนด
ขั้นตอนและวิธีการจัดทาหนังสื อสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมัน่ คงทางเศรษฐกิจหรื อสังคมของประเทศอย่าง
กว้างขวาง หรื อมีผลผูกพันด้านการค้าหรื อการลงทุนอย่างมีนยั สาคัญ และคณะอนุ กรรมการพิจารณากฎหมายว่า
ด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
หลักการพัฒนากฎหมายเพือ่ เป้าหมายในการพัฒนาประเทศ
~ 14 ~
2. การพัฒนาคุณภาพบุคลากรด้านกฎหมาย ที่สาคัญอย่างยิ่งคื อ นิ ติปรัชญา ซึ่ งนิ ติปรั ชญาในแต่ละ
ระบบกฎหมายนั้นมี ค วามแตกต่ า งกัน การพัฒนากฎหมายจะไม่ ส าเร็ จได้อย่า งแน่ นอนหากบุ ค ลากรด้า น
กฎหมายยัง ขาดความรู ้ ค วามเข้า ใจอย่า งถ่ องแท้ระหว่า งนิ ติป รั ช ญาทางกฎหมายเอกชน กฎหมายมหาชน
รวมไปถึงกฎหมายเฉพาะอื่นๆ เช่น กฎหมายสิ่ งแวดล้อม กฎหมายผูบ้ ริ โภค กฎหมายภาษีอากร หรื อกฎหมาย
ทรัพย์สินทางปั ญญาและการค้าระหว่างประเทศ
3. การพัฒนากฎหมายสามารถช่ วยป้ องกันปั ญหาที่ จะเกิ ดขึ้ นได้ โดยการให้กลุ่มผลประโยชน์หรื อ
กลุ่ ม คนทุ ก กลุ่ ม ในสั ง คม ไม่ ว่ า จะเป็ นภาครั ฐ ภาคธุ ร กิ จ เอกชน ภาคประชาสั ง คมได้เ ข้า มี ส่ ว นร่ ว มใน
กระบวนการออกกฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ซึ่ งการรับฟั งความคิดเห็ นหรื อปรึ กษาหารื อสาธารณะ
(Public Consultation) เป็ นกลไกที่นามาใช้ได้อย่างเหมาะสม ทาให้ได้กฎหมายที่สนองตอบต่อความต้องการ
และสามารถจัดสรรผลประโยชน์หรื อทรัพยากรได้อย่างสมดุลและเป็ นธรรม
การมี ส่วนร่ วมของภาคส่ วนต่างๆ เป็ นความจาเป็ น เนื่ องจากผูม้ ีส่วนเกี่ ยวข้องได้ขยายวงออกไป
มากกว่าฝ่ ายรัฐและฝ่ ายประชาชน ความเป็ น”พหุสังคม” ที่ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ อย่างหลากหลายและซับซ้อน
ยิง่ ขึ้น ดังนั้น การพัฒนากฎหมายต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสังคม ให้สนองตอบต่อความต้องการของทุก
กลุ่ม หรื ออย่างน้อยทุกกลุ่มยอมรับได้ สิ่ งเหล่านี้ มีผลทางบวกในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ ของกฎหมาย และ
ทาให้กฎหมายเป็ นเครื่ องมือในการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริ ง
4. สภาพความเป็ นจริ งทางสังคมวิทยาเป็ นอีกส่ วนสาคัญที่ควรพิจารณาประกอบการพัฒนากฎหมาย
ให้สอดคล้องกับบริ บทแต่ละสังคม การนาแบบอย่างหรื อระบบของประเทศอื่นมาใช้ อาจให้ผลแตกต่างกันโดย
สิ้ นเชิง เช่นในประเด็นเรื่ องสิ ทธิ และเสรี ภาพนั้น แม้หลักการจะเป็ นเช่นเดียวกัน แต่ความจาเป็ นตามสภาพอาจ
ทาให้แต่ละสังคมต้องพิจารณาหาจุดสมดุ ลให้ได้ หรื อทิ ศทางการพัฒนาประเทศอาจต้องให้ความสาคัญกับ
ต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคลและทรัพยากรธรรมชาติให้มาก
5. การพัฒนากฎหมาย เพื่อความเป็ น “นิติรัฐ” ในสังคมโลกยุคโลกาภิวตั น์เช่นทุกวันนี้ ยึดหลัก “นิติ
รัฐ” แต่เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จาเป็ นต้องพิจารณาถึง “นิติโลก” (Legal Globe) หรื อระเบียบโลก (World
Order) ด้วย เพราะสิ่ งเหล่ านี้ ได้เข้ามามีผลต่อประเทศ รวมทั้งวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ของประชาชน ทั้งในทาง
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่ งแวดล้อม ฯลฯ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
~ 15 ~
ความท้าทายในการพัฒนากฎหมายไทย
~ 16 ~
กฎหมายว่ า ด้ ว ยการเข้ า ชื่ อ เสนอกฎหมาย กฎหมายว่ า ด้ ว ยการชุ ม นุ ม สาธารณะ กฎหมายว่ า ด้ ว ย
ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชี วภาพ กฎหมายว่าด้วยการมีส่วนร่ วมในกระบวนการนโยบาย
สาธารณะ หรื อกฎหมายว่าด้วยการทาหนังสื อสัญญากับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ
ข้อพึงระวังอย่างยิ่งคือการออกกฎหมายดังกล่าว ต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ ของรั ฐธรรมนู ญ และ
เป็ นไปตามหลักการพัฒนากฎหมายข้อ 1 – 5 ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มิใช่เป็ นการออกกฎหมายเพื่อมุ่งประโยชน์
ทางการเมือง หรื อประโยชน์ของบุคคลหรื อกลุ่มบุคคลเท่านั้น หากแต่ตอ้ งยึดประโยชน์สาธารณะเป็ นสาคัญ
เพื่อมิให้กฎหมายกลายเป็ นเครื่ องทาลายสังคมมากกว่าการพัฒนาสังคม
ความท้ า ทายประการที่ ส อง คื อ การสร้ า งสมดุ ล ทางอ านาจหรื อการต่ อ รอง ระหว่ า งกลุ่ ม ต่ า งๆ
ในสังคม โดยการเสริ มสร้างศักยภาพ (Empower) ให้กบั กลุ่มที่ดอ้ ยอานาจต่อรองให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกกลุ่ม
สามารถเข้า ถึ ง และมี ส่ ว นร่ ว มในการพัฒ นากฎหมายได้ โดยมี ศ ัก ยภาพ และมี โ อกาสอย่ า งเสมอภาค
เท่าเทียมกัน
ความท้ าทายประการที่สาม คือ ความสามารถในการรู ้เท่าทันต่อการแอบอ้างความเป็ นผูแ้ ทนกลุ่ม หรื อ
การจัดตั้งกลุ่มเพื่อกดดันหรื อต่อรองกับภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในช่วงเวลาที่ฝ่ายบริ หารมีเสถียรภาพไม่มนั่ คง
ทาให้เกิ ดภาวะจายอมต้องทาตามความต้องการของกลุ่มกดดัน โดยขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบรอบด้าน
หรื อมิได้ให้กลุ่มทางสังคมกลุ่มอื่นๆ ได้เข้ามามีส่วนร่ วมด้วย
ความท้าทายประการทีส่ ี่ คือ ในช่วงเวลาแห่งการแข่งขันทางการเมืองอย่างเข้มข้นนี้ หน่วยทางการเมือง
ไม่วา่ จะเป็ นฝ่ ายรัฐบาล ฝ่ ายค้าน พรรคการเมือง หรื อนักการเมือง ต้องไม่ฉวยโอกาสในการสร้างความนิยมหรื อ
ผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเพิกเฉยหรื อไม่แยแสต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ
การออกกฎหมายเพื่อสร้ างคะแนนนิ ยมโดยทาให้การจัดสรรผลประโยชน์ของชาติต่างๆ เบี่ยงเบนไป
จากหลักแห่ งความถูกต้อง และหลักความได้สัดส่ วนนั้น ก็ไม่ต่างจากการทุจริ ตคอรัปชัน่ (เชิ งนโยบาย) ดังนั้น
การขับ เคลื่ อ นและผลัก ดัน นโยบายไม่ ว่ า จะเรี ย กว่ า ประชานิ ย ม ประชาวิ ว ฒ
ั น์ หรื อ รั ฐ สวัส ดิ ก ารก็ ต าม
พึงระมัดระวัง และสังคมทุกภาคส่ วนต้องช่วยจับตามองและแจ้งเตือนเมื่อมีแนวโน้มจะก้าวล้ าเส้นไป
กรณีตัวอย่างกฎหมายทีห่ มิ่นเหม่ ว่าเราจะล้ มเหลวในการก้าวข้ ามความท้าทาย ได้แก่ร่างกฎหมายว่าด้วย
เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงิ นประจาตาแหน่ งข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
... ร่ างพ.ร.บ.ตารวจแห่ งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ร่ างพ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจาตาแหน่ง (ฉบับที่..) ร่ าง
กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ร่ างกฎหมายว่าด้วยการคุม้ ครองผูเ้ สี ยหายจากการรับบริ การทางสาธารณะ
สุ ข ร่ างกฎหมายว่าด้วยการป้ องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และร่ างกฎหมายว่าด้วยป่ าชุมชน
~ 17 ~
ความท้ า ทายสุ ด ท้ า ย ที่ เป็ นบทสรุ ป ส าหรั บการพัฒนากฎหมายไทย คื อ ผู้ นาประเทศ (ทั้ง ผูน้ าทาง
การเมืองและผูน้ าในระบบราชการ) ต้องตระหนักในความสาคัญของการพัฒนากฎหมาย และต้องพยายาม
ทาให้ตน้ ทุ นที่ สังคมไทยมี อยู่ถูกใช้ไปอย่างมี คุณค่าสู งสุ ด เพื่อทาให้ การพัฒนากฎหมายไทยเป็ นไปเพื่อการ
พัฒนาประเทศไทยในโลกแห่ งความจริ ง มิ เช่ นนั้นแล้วกฎหมายที่ มีก็จะเป็ นเครื่ องทาลายความสงบสุ ขของ
สังคม และซ้ าเติมวิกฤตความแตกแยกในสังคมให้เพิ่มมากขึ้นจนยากที่จะเยียวยาได้อีก
~ 18 ~
บรรณานุกรม
ชั ย วั ฒ น์ ว ง ศ์ วั ฒ น ศ า น ต์ . ก า ร พั ฒ น า ก ฎ ห ม า ย . [อ อ น ไ ล น์ ]. 2 5 5 3 . แ ห ล่ ง ที่ ม า :
http://www.lawthai.org/read/legal.pdf
บวรศัก ดิ์ อุ วรรณโณ. นิ ติรัฐกับ ประชาสั ง คม. [ออนไลน์ ]. 2553. แหล่ ง ที่ ม า : http://www.pub-
law.net/article/ac211044a_1.html
ปริ ญดา รุ่ งเรื องไพศาลสุ ข. คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายของประเทศสิ งคโปร์ . [ออนไลน์]. 2553. แหล่งที่มา :
http://www.lrc.go.th/library/content/Documents/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E
0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8
%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%
E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8
%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C1.pdf
~ 19 ~
สานักงานคณะกรรมการกฤษฎี กา. 120 ปี เคาน์ ซิล ออฟสเตด จากสถาบันที่ ป รึ กษาราชการแผ่นดิ นมาเป็ น
คณะกรรมการกฤษฎี ก า 2417-2535” ในวารสารกฎหมายปกครอง ฉบับ พิ เ ศษ เล่ ม 13 ตอน 1.
กรุ งเทพมหานคร : สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2537.
อมร จันทรสมบูรณ์. นักนิ ติศาสตร์ หลงทางหรื อ ?”. [ออนไลน์]. 2544. แหล่งที่มา : http://www.pub-
law.net/article/article/ac190944.html
อมร จันทรสมบู รณ์ . นิ ติรัฐกับประชาสั งคม. [ออนไลน์]. 2553. แหล่ ง ที่ ม า : http://www.pub-
law.net/article/report_full01.html
~ 20 ~