Professional Documents
Culture Documents
พินิจ ม.ต้น
พินิจ ม.ต้น
ส�ำนักพิมพ์ ฟุกุโร
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย ว่าที่ร้อยตรี ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ, วันเพ็ญ เหลืองอรุณ Ī พ.ศ. 2562
ห้ามคัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ท�ำซ�้ำ จั ดพิมพ์เนื้อหาและภาพประกอบ หรือกระท�ำอื่นใด
โดยวิ ธีการใดๆ ในรูปแบบใด ไม่ว่าส่วนหนึง่ ส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ เพื่อเผยแพร่ในสื่อทุกประเภท
หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ นอกจากจะได้รับอนุญาต
ขอมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแหงชาติ
ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ.
พินจิ วรรณคดี จากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. -- กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2562.
320 หนา.
1. วรรณคดี -- การศึกษาและการสอน (มัธยมศึกษา). 2. วรรณคดี ไทย -- ประวัติและวิ จารณ์.
I. วันเพ็ญ เหลืองอรุณ, ผู้แต่งร่วม. II. ชื่อเรื่อง.
895.9107
ผลิตและจัดจ�ำหนายโดย
1.. นิราศภูเขาทอง........................................................................................ 7
2.. โคลงโลกนิติ........................................................................................... 21
3.. สุภาษิตพระร่วง..................................................................................... 33
4.. กาพย์พระไชยสุริยา.............................................................................. 57
5.. ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา................................................... 77
6.. กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน................................................................ 99
7.. นิทานพื้นบ้าน...................................................................................... 115
2. ประวัติผู้แต่ง
สุนทรภู่ ชื่อนี้มาจากราชทินนามของท่าน คือ “สุนทรโวหาร” กับนามเดิมว่า
“ภู่” รวมกันเป็นสุนทรภู่ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ตรงกับรัชกาล
ของพระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลก
8 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
นิราศภูเขาทองแต่งเป็นกลอนนิราศ มีความยาว 176 ค�ำกลอน ขึ้นต้นด้วยวรรครับ
และลงท้ายด้วยค�ำว่า “เอย” ตามธรรมเนียมนิยมของการแต่งนิราศ
4. ประวัติพระเจดีย์ภูเขาทอง
พระเจดี ย์ภูเขาทอง เป็นพระเจดี ย์ที่พระเจ้าหงสาวดี บุเรงนองทรงสร้างขึ้น เพื่อเป็น
อนุสรณ์ ในการที่พระองค์ทรงยกทั พมาพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้ในปี พ.ศ. 2112 พระองค์ได้
สร้างพระเจดี ย์ขึ้นที่วัดกลางทุ่ง ห่างจากกรุงศรีอยุธยาราว 2 กิโลเมตร มีรปู ทรงเป็นแบบ
เจดียม์ อญขนาดใหญ่ และได้ปรักหักพั งไปตามสภาพกาลเวลา ครัน้ รัชกาลของสมเด็จพระเจ้า
บรมโกศ จึงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดและพระเจดี ย์ขึ้นใหม่ โดยเปลี่ยนจากรูปทรงเจดี ย์
มอญมาเป็นเจดี ย์ไทย
5. เนื้อเรื ่อง
สุนทรภู่ออกเดินทางจากพระนครด้วยเรือ เมื่อเดือนสิบเอ็ดหลังเข้าพรรษาแล้ว
โดยเดินทางไปกับหนูพัด บุตรชายที่เกิดกับแม่จัน เพื่อไปนมัสการพระเจดี ย์ภูเขาทอง ที่
พระนครศรีอยุธยา สุนทรภู่ออกเดินทางจากวัดราชบูรณะ ผ่านพระบรมมหาราชวัง ณ ที่น้ี
สุนทรภู่ได้ร�ำพั นถึงความหลัง เมื่อครั้งที่ตนยังเป็นคนโปรดของพระบาทสมเด็จพระพุ ทธ
เลิศหล้านภาลัย จากนั้นจึงถึงท่าแพ (ท่าราชวรดิษฐ์) วัดประโคนปัก โรงเหล้าบางจาก
บางพลู บางพลัด บางโพ บ้านญวน วัดเขมาภิรตาราม ตลาดแก้ว ที่ตลาดแก้วนี้สุนทรภู่
ได้ครวญถึงแม่จันว่าเคยให้ผ้าห่มแพรด�ำแก่สุนทรภู่ ก่อนออกเดินทางไปเมืองแกลง ต่อมา
ผ่านตลาดขวัญ บางธรณี บ้านมอญ บางพูด บ้านใหม่ บางเดื่อ บางหลวงเชิงราก สามโคก
ทีส่ ามโคกนีส้ นุ ทรภูก่ ห็ วนร�ำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกครัง้ ด้วยทรง
พระราชทานนามเมืองสามโคกให้ ใหม่ว่าเมืองปทุมธานี และให้เป็นหัวเมืองชั้นตรี จากนั้น
สุนทรภู่ก็เดินทางผ่านบ้านงิ้ว พอตอนเย็นถึงเกาะราชครามแล้วจึงหยุดพั กค้างแรม
10 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
6. คุณค่า
6.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
6.1.1 การด�ำเนินเรื ่อง สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองโดยน�ำเอาเรื่องราวจากชีวิต
จริงของท่านมากล่าวไว้ โดยมีการร�ำพั นถึงความหลังไปพร้อมกับการพรรณนาถึงความสุข
ทุกข์ เศร้า ผิ ดหวัง ปลงกับชีวิต และชี้ ให้เห็นว่าชีวิตคนนั้นมีขึ้นมีลง เมื่อยามรุ่งเรืองก็มี
คนนับหน้าถือตา แต่เมื่อยามตกทุกข์ได้ยากแล้ว ก็ไม่มี ใครปรานีเหลียวแล นอกจากนี้ยัง
ได้แทรกเรื่องราวความรักของสุนทรภู่ โดยพรรณนาตามแบบของนิราศ ท�ำให้ผู้อ่านเกิด
อารมณ์ต่างๆ ร่วมไปกับกวี และที่ส�ำคัญสุนทรภู่ได้สอดแทรกสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของ
ผู้คนที่พบเห็น ต�ำนาน สถานที่ ธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ ตลอดจนคติธรรมที่คมคาย ฉาก
ของนิราศภูเขาทองคือเส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจนถึงพระนครศรีอยุธยา
6.1.2 การใช้ถ้อยค�ำ นิราศภูเขาทองเป็นวรรณคดี ที่มีความไพเราะทั้งเนื้อความ
และเสียงสัมผัส เพราะการพิถีพิถันในการใช้ค�ำของสุนทรภู่ จึงท�ำให้นริ าศภูเขาทอง มีเสียง
สัมผัสที่ ไพเราะรื่นหู สละสลวย และชัดเจน ซึ่งวิ ธีการที่สุนทรภู่ ใช้ ในเรื่องของการใช้ถ้อยค�ำ
นั้น มีดังนี้
บทที่ 1 นิราศภูเขาทอง 11
1 การเลือกสรรค�ำที่ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ เช่น
“ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
ถึงบางพลัดเหมือนพี ่พลัดมาขัดเคือง ทั ้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน”
“พระสุริยงลงลับพยับฝน ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา ทั ้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี ้ยว
เป็นเงาง�้ำน�้ำเจิ ่งดูเวิ้งว้าง ทั ้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรี ยว ล้วนเรื อเพรี ยวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด เรื อเราฝืดฝืนมานิจจาเอ๋ย
ต้องถ่อค�้ำร�่ำไปทั ้งไม่เคย ประเดี ๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก น�้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด”
12 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตรลบ ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์”
5 การใช้บทพรรณนาโวหาร นิราศภูเขาทองมีบทพรรณนาโวหารที่ดีเด่นด้วยการ
แสดงความรู้สึกนึกคิดของสุนทรภู่ ที่ส่งไปยังผู้อ่านด้วยถ้อยค�ำพรรณนาที่มีศิลปะ ท�ำให้ผู้
อ่านเกิดความเข้าใจและเกิดจิ นตภาพที่ชัดเจน ดังเช่น ในบทที่พรรณนาชมธรรมชาติ และ
ความงดงามต่างๆ ในตอนที่กล่าวถึงธรรมชาติยามค�่ำคืนว่า
ครั้นเมื่อกล่าวถึงธรรมชาติยามเช้า สุนทรภู่ได้พรรณนาให้เห็นภาพของท้องน�้ำและ
พรรณไม้ที่สวยสดว่า
“จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพรรณผัก ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั ้งซ้ายขวา
กระจั บจอกดอกบัวบานผกา ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย”
6.2 คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม
6.2.1 สภาพชีวิตและสังคมไทยสมัยโบราณ นิราศภูเขาทองได้บรรยายให้เห็น
ถึงสภาพชีวิตคนไทยหลายประการ เช่น
บทที่ 1 นิราศภูเขาทอง 15
“ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง”
“ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี ๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา ทั ้งผัดหน้าจั บเขม่าเหมือนชาวไทย”
“บ้างขึ้นล่องร้องล�ำเล่นส�ำราญ ทั ้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนส�ำเพ็ง เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
อ้ายล�ำหนึง่ ครึ ่งท่อนกลอนมันมาก ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนือ่ ยหู
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน”
“ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นงั่ คิดถึงครั้งก่อนมาน�้ำตาไหล
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย แล้วลงในเรือที่นงั่ บัลลังก์ทอง
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ เคยรับราชโองการอ่านฉลอง
จนกฐินสิ้นแม่น�้ำในล�ำคลอง มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา”
“โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จบรมโกศ มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน ทั ้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา”
“โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึง่ ศีรษะขาด ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั ้งโรคซ�้ำกรรมซัดวิ บัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
จึงสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั ้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงบาททุกชาติไป”
บทที่ 1 นิราศภูเขาทอง 17
“จะแวะหาท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงมิคู่ควร จะต้องม้วนหน้ากลับอัประมาณ”
“พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ พบพระธาตุสถิตในเกสร
สมถวิ ลยินดี ชลุ ีกร ประคองช้อนเชิญองค์ลงนาวา
กับหนูพัดมัสการส�ำเร็จแล้ว ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ ใจจะขาดคิดมาน�้ำตาไหล
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล เสียน�้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน”
“ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม ดังขวากแซมเสี้ยมแทรกแตกไสว
ใครท�ำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
เราเกิดมาอายุเพี ยงนี้แล้ว ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
ทุกวันนี้วิปริตผิ ดท�ำนอง เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร”
หรือ
2. ประวัติผู้แต่ง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงเป็นพระราชโอรส
พระองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิม
ว่า พระองค์เจ้าชายมั่ง พระมารดาคือเจ้าจอมมารดานิม่ ธิดาของเจ้าพระยา
พระคลัง (หน) ประสูติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2336
22 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
โคลงโลกนิติ แต่งด้วยค�ำประพั นธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ซึ่งโคลงสี่สุภาพบางบท
จะมีลักษณะเป็นโคลงกระทู้ ค�ำหน้าถ้าอ่านแนวดิ่งลงมาจะได้ความหมาย และเมื่อน�ำกระทู้
ไปเป็นต้นบาทของแต่ละบาทก็อ่านได้ความหมายด้วย (บุปผา บุญทิพย์, 2558 : 188)
ดังตัวอย่าง
4. เนื้อเรื ่อง
ในส่วนของเนื้อเรื่องที่จะกล่าวถึงนี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะโคลงที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ
เรียนรายวิชาพืน้ ฐานภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึง่ กระทรวงศึกษาธิการ
ได้คัดเลือกโคลงบทที่ 27, 57, 76, 87, 130, 185, 186, 231, 282, 312, 392, 407,
และ 417 มาให้นักเรียนได้ศึกษา
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
แม้ว่าโคลงโลกนิติจะจั ดอยู่ในประเภทของวรรณกรรมค�ำสอน แต่ก็มีความไพเราะ
ทางด้านภาษาอยู่ไม่น้อย ความไพเราะทางด้านภาษาที่ว่านั้น มีดังนี้
5.1.1 การใช้ความเปรี ยบ กล่าวคือ มีการน�ำธรรมชาติและสิ่งใกล้ตัวมาเปรียบ
เทียบกัน เช่น น�ำก้านบัวทีส่ ามารถบอกความลึกตืน้ ของน�ำ้ และความเหีย่ วแห้งของต้นหญ้า
ที่สามารถบอกความชุ่มชื้นของผืนดิน มาเปรียบเทียบกับกิริยาอาการของมนุษย์ที่สามารถ
บอกถึงการอบรมสั่งสอนได้
5.1.2 การใช้ความเปรี ยบที่ตรงกันข้าม คือ การน�ำค�ำตรงกันข้ามมาเป็นความ
เปรียบ ท�ำให้เห็นความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น
บทที่ 2 โคลงโลกนิติ 27
“รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขี ยว
เสมออยู่หอแห่งเดี ยว ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง ป่าไม้มาบัง”
“รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกล กลางสมุทร
ชมว่าน�้ำบ่อน้อย มากล�ำ้ ลึกเหลือ”
5.2 คุณค่าด้านความรู้
คุณค่าทางด้านความรู้ที่ผู้อ่านพึงหาได้จากโคลงโลกนิติน้ี คือ ความรู้ด้านค�ำสอน
ต่างๆ ที่ผู้แต่งต้องการสั่งสอนกุลบุตร กุลธิดา ให้ยึดถือไว้เป็นแนวทางในการด�ำรงชีวิต
และความรู้ด้านค�ำสอนต่างๆ ที่กล่าวถึงในโคลงโลกนิตินั้น มีดังนี้
5.2.1 สอนให้ท�ำความดี โคลงโลกนิติมีค�ำสอนที่สอนให้รู้จักท�ำความดี ละเว้น
ความชั่ว ผู้ ใดท�ำดี ย่อมได้รับผลดี ตอบแทน ส่วนผู้ที่ท�ำชั่วก็จะได้รับผลร้ายจากการกระท�ำ
นั้นๆ ซึ่งก็เหมือนกับสนิมที่กัดกร่อนเนื้อเหล็กให้ผุพังไป ดังความว่า
“สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร�้ำ
บาปเกิดแต่ตนคน เป็นบาป
บาปย่อมท�ำโทษซ�้ำ ใส่ผบู้ าปเอง”
“โคควายวายชีพได้ เขาหนัง
เป็นสิ่งเป็นอันยัง อยู่ไซร้
คนเด็ดดับสูญสัง- ขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้ แต่รา้ ยกับดี”
“นกน้อยขนน้อยแต่ พอตัว
รังแต่งจุเมียผัว อยู่ได้
มักใหญ่ย่อมคนหวัว ไพเพิด
ท�ำแต่พอตัวไซร้ อย่าให้คนหยัน”
“ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะค�ำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี ่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน”
“พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา ก�ำหนด
จิ ตมนุษย์น้ี ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง”
“มิตรพาลอย่าคบให้ สนิทนัก
พาลใช่มิตรอย่ามัก กล่าวใกล้
ครั้นคราวเคียดคุมชัก เอาโทษ ใส่นา
รู้เหตุสิ่งใดไซร้ ส่อสิ้นกลางสนาม”
30 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“เห็นท่านมีอย่าเคลิ้ม ใจตาม
เรายากหากใจงาม อย่าคร้าน
อุตส่าห์พยายาม การกิจ
เอาเยี่ยงอย่างเพื่อนบ้าน อย่าท้อท�ำกิน”
“อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย
หยาบบ่มีเกลอกราย เกลื่อนใกล้
ดุจดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดับนา
สุริยะส่องดาราไร้ เพื่อร้อนแรงแสง”
บรรณานุกรม 2
2. ประวัติผู้แต่งและสมัยที่แต่ง
ในเรื่องของผู้แต่งและสมัยที่แต่งสุภาษิตพระร่วงนั้น ยังไม่อาจเจาะจงลงไป
ได้ว่าแต่งในสมัยใดและผู้แต่งคือใคร นักวรรณคดี บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นวรรณกรรม
ที่แต่งในสมัยสุโขทั ย แต่นักวรรณคดี บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่เขี ยนขึ้นใหม่
ในระยะเวลาที่ห่างจากสมัยสุโขทั ยมาก อย่างไรก็ตามนักวรรณคดี หลายท่านได้ตั้ง
ข้อสันนิษฐานถึงผู้แต่งและสมัยที่แต่งของสุภาษิตพระร่วงไว้ ดังนี้
สิทธา พินจิ ภูวดล (2522 : 245) กล่าวว่า โดยเหตุที่สุภาษิตพระร่วงเป็น
วรรณกรรมประเภทค�ำสอน ซึง่ มักจะเกิดขึน้ จากการรวบรวม ดังนัน้ จึงเป็นการสุดวิสยั
ทีจ่ ะสืบค้นได้วา่ ใครเป็นผูส้ ร้างสุภาษิตขึน้ ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นสุภาษิตพระร่วงก็คงจะ
มิได้หมายความว่าพระเจ้าแผ่นดินสุโขทัยทรงคิดแต่งขึน้ แล้วทรงน�ำมาเรียงร้อยเป็น
บทประพั นธ์ต่อเนือ่ งกัน อนึง่ ในปลายสมัยสุโขทั ยมีพระเถระที่ทรงคุณธรรมความ
รู้ทางคดี โลกและคดี ธรรมหลายท่าน เช่น พระมหาสุมนเถระและนักปราชญ์อื่นๆ
ในราชส�ำนัก ดังปรากฏในศิลาจารึ กหลักที่ 3 (จารึ กนครชุม) ซึ่งพระเถระต่างๆ นี้
อาจเป็นผู้รวบรวมภาษิตขึ้นมาก่อนก็ได้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าได้เขี ยนหรือจารึ กไว้ที่ ใด
34 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
สุภาษิตพระร่วงแต่งเป็นร่ายสุภาพ วรรคหนึง่ มีจ�ำนวน 4-7 ค�ำ แต่ส่วนใหญ่จะมี
วรรคละ 5 ค�ำ การส่งสัมผัส คือ ค�ำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังค�ำที่ 1 หรือค�ำที่ 2
หรือค�ำที่ 3 และบางทีอาจถึงค�ำที่ 4 และค�ำที่ 5 ของวรรคถัดไปก็มี (ในกรณีที่ค�ำประพั นธ์
วรรคนั้นๆ มีค�ำเกิน 5 ค�ำ) ดังตัวอย่าง
36 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
สุภาษิตพระร่วงแต่งเป็นร่ายสุภาพไปโดยตลอด แล้วจบลงด้วยโคลงกระทู้ 1 บท
ความว่า
4. การล�ำดับเรื ่อง
สุภาษิตพระร่วงเริ่มด้วยการบอกจุดประสงค์ในการแต่งว่า
“ปางสมเด็จพระร่วงเจ้า เผ้าแผ่นภพสุโขทั ย
มลักเห็นในอนาคต จึ่งผายพจนประภาษ
เป็นอนุสาสนกถา สอนคณานรชน
ทั ่วธราดลพึงเพี ยร เรียนอ�ำรุงผดุงอาตม์
อย่าเคลื่อนคลาดคลาถ้อย...”
ต่อจากนั้นคือข้อความที่เป็นสุภาษิตสั่งสอนไปโดยตลอด แล้วจบลงด้วยการเน้นย�้ำ
ให้เห็นถึงความส�ำคัญของสุภาษิต
ความในตอนต้นและตอนท้ายของสุภาษิตพระร่วงนั้นสอดคล้องกันเป็นอย่างมาก
กล่าวคือ ความในตอนต้นบอกจุดประสงค์ ในการแต่งว่า สมเด็จพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย
ทรงพระราชนิพนธ์สุภาษิตพระร่วงขึ้นเพื่อสั่งสอนราษฎร ส่วนความในตอนท้ายเป็นการย�้ำ
เตือนว่าสุภาษิตทั ้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งมงคล ผู้ที่เป็นปราชญ์ควรสดับฟังและพิจารณาน�ำเอา
ไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลดี ต่อตนเอง
บทที่ 3 สุภาษิตพระร่วง 37
5. เนื้อหาค�ำสอนในสุภาษิตพระร่วง
เมื่อน้อยให้เรี ยนวิชา : ให้ศึกษาหาความรู้เสียแต่ยังเด็ก
ให้หาสินเมื่อใหญ่ : เมื่อเติบโตเป็นผู้ ใหญ่ก็ ให้หาทรัพย์สินเงินทอง
อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน : อย่ามุ่งหวังต้องการได้ทรัพย์สินของผู้อื่น
อย่าริ ร่านแก่ความ : อย่าคิดที่จะมีเรื่องราวฟ้องร้องเป็นคดีถึงโรงศาล
ประพฤติตามบูรพระบอบ : ให้ประพฤติตามแบบอย่างทีเ่ คยปฏิบตั กิ นั มาแต่กอ่ น
เอาแต่ชอบเสียผิด : ให้ท�ำแต่สิ่งที่ถูกต้อง เว้นการกระท�ำสิ่งที่ผิด
อย่าประกอบกิจเป็นพาล : อย่าท�ำการที่ชั่วร้าย คือ อย่ากระท�ำการทุจริต
อย่าอวดหาญแก่เพื่อน : อย่าอวดว่าตนนั้นเก่งกล้า เมื่ออยู่กับมิตรสหาย
คนรักอย่าวางใจ : แม้คนรักก็อย่าวางใจ
ที่มีภัยพึงหลีก ปลีกตนไปโดยด่วน : ถ้ารู้ว่าที่ ใดมีอันตราย ก็ควรหลีกไปให้พ้น
เสียโดยเร็ว เพราะหากไม่หลีกเลี่ยงอาจได้รับอันตราย
ได้ส่วนอย่ามักมาก : อย่าเป็นคนโลภมาก ได้เท่าไรควรพอใจเพียงเท่าที่ ได้
อย่ามีปากว่าคน : อย่าท�ำตัวเป็นคนปากจัด ปากเก่ง เที่ยวพูดจาระรานผู้อื่น รวม
ถึงอย่าเป็นคนช่างนินทาว่าร้าย พูดให้คนอื่นเสียหายเดือดร้อน
รักตนกว่ารักทรัพย์ : รักตัวเองให้มากกว่าทรัพย์สมบัติ เพราะทรัพย์สมบัติเป็น
ของนอกกาย ถึงแม้จะสูญเสียไป ก็สามารถหามาใหม่ได้ ส่วนชีวิตถ้าเสียไป หรือร่างกาย
พิการก็เป็นอันหมดสิ้นทุกอย่าง
อย่าได้รบั ของเข็ญ : อย่ารับของทีจ่ ะท�ำให้เกิดความล�ำบากเดือดร้อนต่อตนเองเอาไว้
เห็นงามตาอย่าปอง : อย่าอยากได้หรือชอบใจ เพราะเห็นว่ารูปลักษณ์ภายนอก
งดงาม เพราะของทีภ่ ายนอกดูงดงามนัน้ ภายในอาจแฝงความน่าเกลียด หรือความชัว่ ร้ายไว้
ของฝากท่านอย่ารับ : ของที่เขาฝากไปให้ผู้อื่นอย่าเก็บเอาไว้เอง
ที่ทับจงมีไฟ : ในบ้านควรมีไฟ เพราะไฟเป็นของส�ำคัญส�ำหรับมนุษย์ และใช้
ประโยชน์ได้หลายประการ
ที่ไปจงมีเพื่อน : ให้ไปในถิ่นที่มีเพื่อนของตนอาศัยอยู่ อย่าไปในที่ที่ ไม่ร้จู ักใครเลย
ทางแถวเถื่อนไคลคลา : การเดินทางไปในป่า ควรเดินตามเส้นทางที่มีคนเดิน
ผ่านอยู่เสมอ
ครูบาสอนอย่าโกรธ : เพราะครูสอนศิษย์ด้วยความหวังดี ศิษย์ควรเข้าใจ และ
ไม่ถือโกรธ
บทที่ 3 สุภาษิตพระร่วง 41
โทษตนผิดพึงรู้ : ควรรู้ความผิดของตนเอง
สู้เสียสินอย่าเสียศักดิ์ : ยอมเสียทรัพย์สินเงินทองดีกว่าเสียศักดิ์ศรี
ภักดีอย่าด่วนเคียด : อย่าด่วนโกรธคนที่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อตน
อย่าเบียดเสียดแก่มิตร : อย่าเอารัดเอาเปรียบเพื่อน แม้เป็นเพื่อนสนิทก็ต้อง
รู้จักเกรงใจ
ที่ผิดช่วยเตือนตอบ : เพื่อนท�ำสิ่งที่ผิดควรช่วยตักเตือน ห้ามปราม ไม่ควรท�ำเป็น
ไม่ร้ไู ม่ชี้ ปล่อยเลยตามเลย
ที่ชอบช่วยยกยอ : เพื่อนท�ำสิ่งที่ดี ควรยกย่องสรรเสริญ พูดชมเชยให้เกิดก�ำลังใจ
ที่จะท�ำความดี ต่อไป
อย่าขอของรักมิตร : อย่าขอของรักของเพื่อน เพราะอาจท�ำให้ขัดเคืองใจกันได้
ชอบชิดมักจางจาก : คนทีร่ ักกันมาก สนิทสนมกันมาก มักเบือ่ หน่ายคลายรักกันเร็ว
พบศัตรูปากปราศรัย : เมื่อพบศัตรูควรทักทายปราศรัยด้วยดี ถึงแม้จะไม่ชอบ
ก็ควรเก็บไว้ในใจ
ลูกเมียอย่าวางใจ : แม้ลูกเมียก็อย่าวางใจ
ภายในอย่าน�ำออก ภายนอกอย่าน�ำเข้า : เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในบ้าน
ไม่ควรน�ำไปเล่าให้คนอื่นฟัง เพราะจะท�ำให้คนอื่นรู้เรื่องราวในครอบครัวจนหมด และ
เขาอาจน�ำไปนินทาให้เกิดความเสียหาย
อาสาเจ้าจนตัวตาย : ให้ปฏิบัติราชการด้วยความเต็มใจ แม้ชีวิตก็อย่าเสียดาย
ให้ยอมถวายชีวิตเพื่อรับใช้พระมหากษัตริย์
อาสานายจงพอแรง : ท�ำงานรับใช้เจ้านายของตนตามความสามารถ อย่าเกียจคร้าน
ของแพงอย่ามักกิน : อย่ากินของแพง เพราะเป็นการฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ
อย่ายินค�ำคนโลภ : อย่าฟังถ้อยค�ำของคนโลภ เพราะคนโลภเป็นคนที่ ไม่ร้จู ักพอ
โอบอ้อมเอาใจคน : ให้ผูกใจคนไว้ด้วยความโอบอ้อมอารี
ยอมิตรเมื่อลับหลัง : ให้ชมเชยมิตรสหายเมื่ออยู่ลับหลัง
ลูกเมียยังอย่าสรรเสริ ญ เยียวเสทินจะอดสู : มีลูกมีเมียอย่ายกย่องชมเชยให้
คนอื่นฟัง เพราะถ้าเกินความจริงก็น่าละอายใจ
อย่าชังครูชังมิตร : อย่าเกลียดชังครูและมิตรสหาย เพราะบุคคลทั้งสองนี้ เป็นผู้
ที่หวังดี กับเรา
ผิดอย่าเอาเอาแต่ชอบ : อย่าท�ำในสิ่งที่ผิด ที่ชั่ว ควรท�ำแต่สิ่งที่ดีงาม
นอบตนต่อผู้เฒ่า : ให้แสดงกิริยาอ่อนน้อมต่อผู้สูงอายุ
เข้าออกอย่าวางใจ ระวังระไวหน้าหลัง เยียวผู้ชังจะคอยโทษ : เข้าออกตาม
สถานที่ ใด ต้องระมัดระวัง ดูหน้าดูหลังให้ดี เพราะอาจมีผู้ที่ ไม่ชอบเราซุ ่มท�ำร้ายอยู่
อย่านินทาผู้อื่น : อย่าติเตียนผู้อื่นลับหลัง
อย่าตื่นยกยอตน : เมื่อมีคนยกย่อง อย่าหลงลืมตัว ดีอกดี ใจหลงเชื่อไปตามค�ำยอ
คนจนอย่าดูถูก : อย่าดูถูกคนจน
ปลูกไมตรี ทั่วชน : ให้สร้างไมตรี เป็นมิตรกับคนทั่วไป
ตระกูลตนจงค�ำนับ : จงเคารพและนับถือตระกูลของตน
อย่าจับลิ้นแก่คน : อย่าคอยจับผิดค�ำพูดของคนอื่น
ท่านรักตนจงรักตอบ : ใครรักให้รักตอบ
ท่านนอบตนจงนอบแทน : ใครแสดงกิริยาอ่อนน้อม เคารพนบนอบ ก็ควรแสดง
กิริยาอ่อนน้อมต่อเขา
ความแหนให้ประหยัด : เรื่องราวที่ส�ำคัญหรือเป็นความลับต้องระมัดระวังให้ดี
อย่าพลั้งเผลอพูดให้คนอื่นรู้
เผ่ากษัตริ ย์ เพลิง งู อย่าดูถูกว่าน้อย : เผ่ากษัตริย์ คือ เชื้อสายของกษัตริย์
ได้แก่ พระราชโอรส พระราชธิดา พระบรมวงศานุวงศ์ แม้จะยังทรงพระเยาว์ แต่กท็ รงอ�ำนาจ
ล้นพ้น เพลิง แม้จะเล็กน้อยเท่าเปลวเทียนแต่กอ็ าจลุกลามกลายเป็นไฟกองใหญ่เผาผลาญ
สรรพสิ่งให้มอดไหม้ได้ งู แม้จะเป็นงูตัวเล็กๆ ก็อาจมีพิษร้ายแรง ถ้าถูกกัดอาจถึงตายได้
หิ่งห้อยอย่าแข่งไฟ : เป็นเพียงหิ่งห้อย อย่าไปแข่งแสงสว่างกับกองไฟ
48 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
อย่าปองภัยต่อท้าว : อย่าคิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน
อย่ามักห้าวพลันแตก : อย่าแข็งนัก เพราะจะเป็นอันตรายต่อตนเอง
อย่าเข้าแบกงาช้าง : อย่าขันอาสาเข้าไปช่วยหรือยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ ไม่ ใช่กิจธุระ
ของตน จะกลายเป็นหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง
อย่าออกก้างขุนนาง : อย่าขัดขวางการกระท�ำของผู้มียศศักดิ์
ปางมีชอบท่านช่วย ปางป่วยท่านชิงชัง : เวลาร�่ำรวยมีเกียรติยศชื่อเสียง ใครๆ
ก็พอใจให้ความช่วยเหลือ แต่เวลาอับจนหรือไม่เป็นประโยชน์ ใครๆ ก็พากันรังเกียจ
6. สรุปค�ำสอนในสุภาษิตพระร่วง
ค�ำสอนในสุภาษิตพระร่วงดังที่ ได้กล่าวมาทั ้งหมดนี้ หากน�ำมาจั ดแบ่งเป็นหมวดหมู่
แล้ว สามารถแบ่งออกได้ 5 หมวด คือ
1. ค�ำสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อบุคคลในระดับต่างๆ
2. ค�ำสอนเกี่ยวกับการรักษาตัวรอด การระมัดระวัง รอบคอบ ไม่ประมาท
3. ค�ำสอนเกี่ยวกับการประกอบกิจการงาน
4. ค�ำสอนเกี่ยวกับการรักษาทรัพย์และใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้
5. ค�ำสอนเกี่ยวกับความประพฤติส่วนตัว
7. คุณค่าของสุภาษิตพระร่วง
7.1 คุณค่าด้านค�ำสอน
สุภาษิตพระร่วงเป็นหลักค�ำสอนที่กว้างขวาง ครอบคลุมหลักการประพฤติปฏิบัติ
ในด้านต่างๆ เช่น การผูกไมตรี การคบคน การวางตัว การรูจ้ ั กรักษาตัวรอด หลักค�ำสอนนี้
มีความทั นสมัย สมควรที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างในการด�ำเนินชีวิต วรรณคดี เรื่องนี้แสดง
ให้เห็นถึงปรัชญาชีวิตของคนไทย ซึ่งอาจแยกหลักค�ำสอนที่ปรากฏได้ ดังนี้
7.1.1 วิชาความรู้ สุภาษิตพระร่วงแสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญของวิชาความรู้ด้วย
การกล่าวเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า “เมื่อน้อยให้เรียนวิ ชา ให้หาสินเมื่อใหญ่” วิ ชาความรู้เป็น
เครื่องช่วยยังชีพต่อไปในภายหน้าได้ ดังนั้นเด็กๆ จึงควรที่จะใฝ่หาความรู้ตั้งแต่วัยเยาว์ ใน
ตอนท้ายสุภาษิตพระร่วงได้กล่าวว่า “ผู้เป็นปราชญ์พึงสดับ ตรับตริตรองปฏิบัติ” เป็นการ
ย�ำ้ เตือนว่าผูท้ มี่ วี ิชาความรูเ้ ท่านัน้ ทีจ่ ะเป็นผูส้ นใจน�ำเอาหลักความประพฤติตา่ งๆ ไปปฏิบตั ิ
และในท�ำนองเดี ยวกันการศึกษาและการรับเอาหลักค�ำสอนในสุภาษิตพระร่วงไปพิจารณา
และปฏิบัติก็เท่ากับเป็นการสนใจใฝ่หาความรู้เช่นกัน
7.1.2 มิตรและการผูกมิตร สุภาษิตพระร่วงได้สอนให้ร้จู ักมิตรและการผูกมิตร
ไว้หลายตอน ท�ำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์ ในการคบเพื่อน และรู้จักวิ ธีการรักษาไมตรีจิต
มิตรภาพไว้ ให้ยั่งยืน ดังนี้
บทที่ 3 สุภาษิตพระร่วง 51
7.2 การใช้ถ้อยค�ำในการสอน
สุภาษิตพระร่วงสอนอย่างตรงไปตรงมา คือ ห้ามหรือแนะน�ำโดยตรง ใช้ถ้อยค�ำ
กะทั ดรัดจึงง่ายแก่การจดจ�ำ ส่วนใหญ่แต่ละวรรคจะสอนเพี ยงเรื่องหนึง่ ๆ และจบความ
ลงในวรรคเดี ยว มีลักษณะเหมือนค�ำพั งเพยหรือสุภาษิต การใช้ถ้อยค�ำในการสอนที่ปรากฏ
ในสุภาษิตพระร่วง มีดังนี้
7.2.1 ใช้ค�ำปฏิเสธ ใช้ค�ำว่า “อย่า” (แสดงการห้ามโดยตรง) มิให้ท�ำสิ่งใดสิ่งหนึง่
ที่น่าสังเกตคือใช้ค�ำว่า อย่า เกือบตลอดเรื่อง อันแสดงให้เห็นว่าค�ำสอนในสุภาษิตพระร่วง
นี้ส่วนใหญ่เป็นค�ำสอนเชิงห้าม เช่น
“อย่าอวดหาญแก่เพื่อน เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า”
“อย่าตีปลาหน้าไซ ไปเรือนท่านอย่านัง่ นาน”
“เข็นเรือทอดทางถนน (อย่าเข็นเรือทอดทางถนน)”
“ทางแถวเถื่อนไคลคลา (ทางแถวเถื่อนอย่าไคลคลา)
8. ความสัมพันธ์ของสุภาษิตพระร่วงกับสังคมไทย
ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง (2549 : 60) ได้กล่าวถึงความสัมพั นธ์ของสุภาษิตพระร่วงกับ
สังคมไทยเอาไว้ว่า
สุภาษิตพระร่วงมีความสัมพั นธ์กับสังคมไทย 2 ลักษณะ คือ สังคมมีอิทธิพลต่อ
วรรณคดี และวรรณคดี มีอิทธิพลต่อสังคม
1 สังคมมีอิทธิพลต่อวรรณคดี สุภาษิตพระร่วงเป็นวรรณคดี ที่แต่งขึ้นจากเค้า
ค�ำสอนของคนในสังคมไทยที่ยึดถือมาตั้งแต่กรุงสุโขทั ย เป็นวรรณคดี ที่น่าจะมีที่มาจาก
วรรณคดี มุขปาฐะ คือ สั่งสอนกันด้วยการบอกกล่าวต่อๆ กันมา ดังนั้นสังคมจึงน่าจะมี
อิทธิพลต่อวรรณคดีในด้านเนือ้ เรือ่ ง เพราะสังคมยึดถือค�ำสอนนีเ้ ป็นแนวทางในการด�ำเนิน
ชีวิตจนท�ำให้เกิดเป็นวรรณคดี ขึ้นมา
2 วรรณคดีมอี ทิ ธิพลต่อสังคม สุภาษิตพระร่วงเป็นวรรณกรรมค�ำสอนที่ ได้รับการ
ยอมรับ และถือเป็นคติ ในการด�ำเนินชีวิตของคนไทยตัง้ แต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบนั ดัง
ปรากฏในค�ำสอนหลายๆ ค�ำสอน เช่น “ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย” “ผิ ดอย่า
เอาเอาแต่ชอบ” “อย่าตีงใู ห้แก่กา” “คิดแล้วจึงเจรจา” “รักตนกว่ารักทรัพย์” “เมือ่ น้อยให้
เรียนวิ ชา” ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นค�ำสอนที่คนไทยยังยึดถือปฏิบัติกันอยู่ และน�ำพาให้สังคม
สงบสุข รวมทั ้งคนที่ปฏิบัติตามกันพลอยมีความสุขในการด�ำเนินชีวิตไปด้วย
บทที่ 3 สุภาษิตพระร่วง 55
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูประวัติผู้แต่งได้ ใน บทที่ 1 หน้า 7
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
สุนทรภู่แต่งกาพย์พระไชยสุริยา โดยใช้ค�ำประพั นธ์ประเภทกาพย์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3
ชนิด คือ กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และกาพย์สุรางคนางค์ 28
4. จุดประสงค์ในการแต่ง
สุนทรภูแ่ ต่งกาพย์พระไชยสุริยาขึน้ เพือ่ ใช้เป็นแบบเรียนภาษาไทย ส�ำหรับสอนเด็กให้หดั
อ่านหนังสือ และเนือ่ งจากวรรณกรรมเรือ่ งนีม้ เี นือ้ เรือ่ งเป็นนิทาน มีตวั ละคร มีฉาก ซึง่ อ่าน
แล้วจะได้รับความบันเทิง จึงแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ ในการแต่งกาพย์พระไชยสุริยาของ
สุนทรภู่อีกประการหนึง่ คือ ต้องการให้เด็กเรียนหนังสือด้วยความเพลิดเพลิน สนุกสนาน
และจดจ�ำได้ง่าย
นอกจากนีเ้ นือ้ เรือ่ งของกาพย์พระไชยสุริยา ยังมีคติสอนใจที่ ให้คณ
ุ ค่าต่อการด�ำเนิน
ชีวิต จึงน่าจะเป็นจุดประสงค์อีกประการหนึง่ ของสุนทรภู่ ในการที่จะใช้วรรณกรรมเรื่องนี้
เป็นสื่อในการสอนจริยธรรมแก่เด็กๆ และผู้อ่านคนอื่นๆ ให้ร้จู ั กบาปบุญคุณโทษ (ศรีธันว์
อยู่สุขขี , 2549 : 16-17)
บทที่ 4 กาพย์พระไชยสุริยา 59
5. เนื้อเรื ่อง
ขึน้ ต้นด้วยบทไหว้ครู (ซึง่ เป็นวรรณกรรมเรือ่ งเดียวของสุนทรภู่ ทีม่ บี ทไหว้ครู) ความว่า
“สาธุสะจะขอไหว้ พระศรีไตรสรณา
พ่อแม่แลครูบา เทวดาในราศี
ข้าเจ้าเอา ก ข เข้ามาต่อ ก กา มี
แก้ไขในเท่านี้ ดี มิดีอย่าตรีชา”
“..................................................
ธรณีมีราชา เจ้าพาราสาวะถี
ชื่อพระไชยสุริยา มีสุดามเหสี
ชื่อว่าสุมาลี อยู่บุรีไม่มีภัย
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกิริยาอัชฌาศัย
พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาศัยในพารา
ไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบุรีก็ปรีดา
ท�ำไร่ข้าวไถนา ได้เข้าปลาแลสาลี”
“อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี
ที่หน้าตาดี ดี ท�ำมโหรีที่เคหา
ค�่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา
หาได้ ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ
ไม่จ�ำค�ำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดี มีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ ใส่ขอื่ คา”
“ภิกษุสมณะ เล่าก็ละพระสธรรม
คาถาว่าล�ำน�ำ ไปเร่ร�่ำท�ำเฉโก
ไม่จ�ำค�ำผู้ ใหญ่ ศีรษะไม้ ใจโยโส
ที่ดีมีอะโข ข้าขอโมทนาไป”
และ
เมื่อพระไชยสุริยากับพระนางสุมาลีได้ฟังค�ำเทศนาของพระดาบสแล้ว ก็เกิดความ
เลือ่ มใสศรัทธาเป็นอย่างยิง่ ดังนัน้ ทัง้ สองพระองค์จงึ ออกบวชเป็นฤๅษี บ�ำเพ็ญเพี ยรปฏิบตั ิ
ธรรม ถือศีลภาวนา ท�ำพิธบี ชู าไฟ ครัน้ สิน้ ชีพก็ไปเกิดยังสรวงสวรรค์ เสวยทิพยสมบัตติ ลอด
กาลนาน ดังความจากกาพย์พระไชยสุริยาว่า
“ขึ้นเกยเลยกล่าวท้าวไท ฟังธรรมน�้ำใจ
เลื่อมใสศรัทธากล้าหาญ
เห็นภัยในขันธสันดาน ตัดห่วงบ่วงมาร
ส�ำราญส�ำเร็จเมตตา
สององค์ทรงหนังพยัคฆา จั ดจีบกลีบชฎา
รักษาถือศีลฤๅษี
64 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
เช้าค�่ำท�ำกิจพิธี กองกูณฑ์อัคคี
เป็นที่บูชาถาวร
ปถพี เป็นที่บรรจถรณ์ เอนองค์ลงนอน
เหนือขอนเขนยเกยเศียร
ค�่ำเช้าเอากราดกวาดเตียน เหนือ่ ยยากพากเพี ยร
เรียนธรรมบ�ำเพ็ญเคร่งครัน
ส�ำเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์ เสวยสุขทุกวัน
นานนับกัปกัลป์พุทธันดร”
ท้ายที่สุดสุนทรภู่ได้แสดงวัตถุประสงค์ของการแต่งกาพย์พระไชยสุริยา พร้อมกับ
สั่งสอนผู้เรียนด้วยว่า
“ภุมราการุญสุนทร ไว้หวังสั่งสอน
เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน
ก ข ก กา ว่าเวียน หนูน้อยค่อยเพี ยร
อ่านเขี ยนผสมกมเกย
ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย
กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว
หันหวดปวดแสบแปลบเสียว หยิกซ�้ำช�้ำเขี ยว
อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจ�ำ
บอกไว้ ให้ทราบบาปกรรม เรียงเรียบเทียบท�ำ
แนะน�ำให้เจ้าเอาบุญ
เดชะพระมหาการุญ ใครเห็นเป็นคุณ
แบ่งบุญให้เราเจ้าเอย”
6. แนวคิดของเรื ่อง
กาพย์พระไชยสุริยาได้แสดงแนวคิดให้ผู้อ่านเห็นว่า ธรรม เป็นสิ่งส�ำคัญต่อสังคม
บ้านเมืองใดมีผปู้ ฏิบตั ธิ รรม บ้านเมืองนัน้ ย่อมเจริญ บ้านเมืองใดไร้ผปู้ ฏิบตั ธิ รรม บ้านเมืองนัน้
บทที่ 4 กาพย์พระไชยสุริยา 65
“อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี
ที่หน้าตาดี ดี ท�ำมโหรีที่เคหา
ค�่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา
หาได้ ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ
ไม่จ�ำค�ำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดี มีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ ใส่ขอื่ คา
คดี ที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา
ใครเอาข้าวปลามา ให้สุภาก็ว่าดี
ที่แพ้แก้ชนะ ไม่ถือพระประเวณี
ขี ้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา
ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระย�ำ”
7. วิเคราะห์ตัวละคร
กาพย์พระไชยสุริยามีเนือ้ หาเป็นนิทานขนาดสัน้ ทัง้ นีอ้ าจเป็นเพราะสุนทรภูม่ งุ่ หมาย
ให้เป็นหนังสือสอนอ่านส�ำหรับเด็ก ดังนั้นจึงมีตัวละครน้อย ตัวละครส�ำคัญที่มีบทบาท
ในการด�ำเนินเรื่องมี 3 ตัว คือ พระไชยสุริยา พระนางสุมาลี และพระดาบส ซึ่งแต่ละตัว
จะมีลักษณะเด่นต่างกันไป คือ
1. พระไชยสุริยา
เป็นตัวละครเอกของเรื่อง เราไม่อาจทราบว่าพระไชยสุริยามีรปู โฉมอย่างไร และมี
ความสามารถด้านใดเป็นพิเศษ ทราบแต่เพี ยงว่าพระองค์เป็นคนดี เป็นคนซื่อ และคงจะ
เป็นคนที่ซื่อมากๆ จนเสียรู้พวกอ�ำมาตย์ชั่ว ดังความจากกาพย์พระไชยสุริยาว่า
66 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“ซื่อตรงหลงเล่ห์เสนี กลอกกลับอัปรีย์
บุรีจึงล่มจมไป”
“ข้าวปลาหาไปไม่เบา นารีที่เยาว์
ก็เอาไปในเภตรา”
นอกจากนี้สุนทรภู่ยังได้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของคน ผ่านลักษณะนิสัยของตัว
ละคร เช่น พระไชยสุริยาที่มิได้มีคุณวิ เศษประการใดเลย เป็นเพี ยงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ
ที่ยังคงมีความต้องการในเรื่องกามคุณ แม้จะต้องระหกระเหินเดินไพร แต่พระไชยสุริยาก็
“ราชาคว้ามืออรไท เอาผ้าสไบ
ต่อไว้ไม่ไกลกายา”
เมื่อตกทุกข์ได้ยากด้วยกันกลางป่า พระไชยสุริยาก็ปฏิบัติกับพระมเหสีด้วยความรัก
และความห่วงใย ดังความว่า
“ภูธรนอนเนินเขา เคียงคลึงเคล้าเยาวมาลย์
ตกยากจากศฤงคาร สงสารน้องหมองพั กตรา
ยากเย็นเห็นหน้าเจ้า สร่างโศกเศร้าเจ้าพี ่อา
อยู่วังดังจั นทรา มาหม่นหมองละอองนวล
บทที่ 4 กาพย์พระไชยสุริยา 67
เพื่อนทุกข์สุขโศกเศร้า จะรักเจ้าเฝ้าสงวน
มิ่งขวัญอย่ารัญจวน นวลพั กตร์นอ้ งจะหมองศรี”
“ราชาว้าเหว่หฤทั ย วายุพาคลาไคล
มาในทะเลเอกา
แลไปไม่ปะพสุธา เปล่าใจนัยนา
โพล้เพล้เวลาราตรี”
แล้วในที่สุดพระไชยสุริยาก็ได้พบกับสัจธรรม และได้รับความสุขที่แท้จริง
“ส�ำเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์ เสวยสุขทุกวัน
นานนับกัปกัลป์พุทธันดร”
2. พระนางสุมาลี
เป็นตัวละครเอกฝ่ายหญิง ซึง่ ไม่ปรากฏบทบาทใดๆ เลย สุนทรภูไ่ ด้กล่าวถึงพระนาง
สุมาลีว่าเป็นคนที่มีรปู ร่างงดงาม ดังความว่า
คุณสมบัติของพระนางสุมาลีอีกประการหนึง่ คือสามารถข่มใจยอมรับในชะตากรรม
ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นได้ และอดทนต่อความยากล�ำบากในชะตากรรมนั้น เพราะคิดว่าเป็น
“กรรม” ดังความว่า
“ราชานารีร�่ำไร มีกรรมจ�ำใจ
จ�ำไปพอปะพสุธา”
3. พระดาบส
บทบาทของพระดาบส (พระฤๅษี) ในวรรณคดี แทบทุกเรื่องมักจะเป็นผู้ช่วยเหลือตัว
ละครเอกให้พ้นจากเคราะห์กรรมที่ก�ำลังเผชิญอยู่ ซึ่งในเรื่องกาพย์พระไชยสุริยาก็เช่นกัน
พระดาบสได้ช่วยเหลือพระไชยสุริยาและพระนางสุมาลี โดยให้เห็นถึงสัจธรรมแห่งชี วิต
ด้วยการแสดงธรรม ดังความจากกาพย์พระไชยสุริยาว่า
“จริงนะประสกสีกา สวดมนต์ภาวนา
เบื้องหน้าจะได้ไปสวรรค์”
8. คุณค่า
กาพย์พระไชยสุริยามีเนือ้ หาเป็นนิทานขนาดสัน้ ทัง้ นีอ้ าจเป็นเพราะสุนทรภูม่ งุ่ หมาย
ให้เป็นหนังสือส�ำหรับสอนอ่าน แต่อย่างไรก็ตามกาพย์พระไชยสุริยาก็ยงั แสดงให้เห็นคุณค่า
ทางด้านต่างๆ อยู่บ้าง เช่น
8.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
8.1.1 การใช้คำ� ง่ายแต่ได้ ใจความชัดเจน กล่าวมาหลายครัง้ แล้วว่าสุนทรภูแ่ ต่ง
กาพย์พระไชยสุริยา เพือ่ เป็นหนังสือสอนอ่านส�ำหรับเด็ก ดังนัน้ จึงต้องใช้ถอ้ ยค�ำทีง่ า่ ย เด็กๆ
อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที ตัวอย่างเช่น บทพรรณนาสภาพเมืองสาวะถีที่สุนทรภู่ได้พรรณนาให้
เห็นว่า
“ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกิริยาอัชฌาศัย
พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาศัยในพารา
ไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบุรีก็ปรีดา
ท�ำไร่ข้าวไถนา ได้ข้าวปลาแลสาลี”
“เห็นกวางย่างเยื้องช�ำเลืองเดิน เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงส�ำอางข้างเคียง
เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง เริงร้องซ้องเสียง
ส�ำเนียงน่าฟังวังเวง
กลางไพรไก่ขันบรรเลง ฟังเสียงเพี ยงเพลง
ซอเจ้งจ�ำเรียงเวียงวัง
ยูงทองร้องกะโต้งโห่งดัง เพียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสดาลขานเสียง
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พญาลอคลอเคียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง เพลินฟังวังเวง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง คางแข็งแรงเริง
ยืนเบิ ่งบึ้งหน้าตาโพลง
ป่าสูงยูงยางช้างโขลง อึงคะนึงผึงโผง
โยงกันเล่นน�้ำคล�่ำไป”
“ขึ้นกงจงจ�ำส�ำคัญ ทั ้งกนปนกัน
ร�ำพั นมิ่งไม้ ในดง
ไกรกร่างยางยูงสูงระหง ตะลิงปลิงปริงประยงค์
คันทรงส่งกลิ่นฝิ่นฝาง
มะม่วงพลวงพลองช้องนาง หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง
กินพลางเดินพลางหว่างเนิน”
8.2 คุณค่าด้านเนื้อหา
8.2.1 ให้ความรูด้ า้ นการสอนภาษาไทย กาพย์พระไชยสุริยาสามารถใช้เป็นแบบ
สอนอ่านหนังสือส�ำหรับเด็ก ให้สามารถอ่านและเขี ยนหนังสือไทยได้อย่างถูกต้อง และ
สามารถน�ำมาสวดบทโอ้เอ้วิหารรายประกอบการสอนศีลธรรมด้วย
72 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี
ที่หน้าตาดี ดี ท�ำมโหรีที่เคหา
ค�่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา
หาได้ ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ
ไม่จ�ำค�ำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดี มีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ ใส่ ขื่อคา”
“ไม่จ�ำค�ำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดี มีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ ใส่ ขื่อคา”
“สาธุสะจะขอไหว้ พระศรีไตรสรณา
พ่อแม่แลครูบา เทวดาในราศี”
ผู้น�ำประเทศต้องควบคุมดูแลข้าราชการ อย่าให้รังแกประชาชน
ถ้าข้าราชการไม่สุจริต คดโกง ผู้น�ำไม่เข้มแข็ง ประชาชนหลงระเริง เอาแต่
สนุก ประเทศชาติจะประสบความหายนะต่างๆ
บ้านเมืองจะเกิดภัยพิบัติ ถ้าสังคมเกิดกาลกิณี 4 ประการ คือ ผู้คนเห็น
ผิ ดเป็นชอบ เปิดโอกาสให้คนผิ ดท�ำลายล้างคนดี ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่
กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้คนในสังคมเบี ยดเบี ยนกัน สังคมไม่มีความสุขและเกิด
ความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
คนเราทุกคนต้องตาย ไม่มี ใครอยู่ค�้ำฟ้า การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข คือ
ทุกคนต้องไม่เบี ยดเบี ยนกัน เมตตาต่อกัน หมั่นรักษาศีล สวดมนต์ภาวนา
ท�ำจิ ตใจให้สงบ
บทที่ 4 กาพย์พระไชยสุริยา 75
ความรู้เสริ ม
เรื ่อง กรมหลวงรักษ์รณเรศ
กรมหลวงรักษ์รณเรศ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าไกรสร เป็นพระราชโอรส
ในพระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุ ฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ทรงมีอ�ำนาจและบารมีมากใน
แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที ่ 3) ด้วยทรงก�ำกับราชการหลาย
กรม และเป็นกรมที่ส�ำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ กรมวังและกรมพระต�ำรวจหลวง ซึ่งในเวลานั้น
มีอ�ำนาจช�ำระคดี และตัดสินความผู้ถวายฎีกาได้ด้วย จึงนับว่ากรมหลวงรักษ์รณเรศเป็นผู้มี
อ�ำนาจวาสนามากที่สุดในสมัยนั้น
แต่พระองค์กต็ อ้ งมาจบชีวิตลงเพราะการกระท�ำของพระองค์เองที่ ไม่มศี ลี ธรรม เรือ่ ง
มีอยู่ว่า พระยามอญคนหนึง่ ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าลูกชาย
ของตน ถูกกรมหลวงรักษ์รณเรศทรงตัดสินให้ฆ่า ในข้อหาเบิ กพยานเท็จ จึงโปรดให้ช�ำระ
ไต่สวน แล้วได้ความว่ากรมหลวงรักษ์รณเรศผิดจริง ดังนัน้ กรมหลวงรักษ์รณเรศจึงถูกถอด
พระยศลงมาเป็นหม่อมไกรสร แล้วถูกตัดสินให้ส�ำเร็จโทษตามความผิ ด (วรชาติ มีชูบท,
2559 : 8-10)
สุนทรภู่คงจะได้รู้เรื่องราวการฉ้อราษฎร์บังหลวง รวมถึงการตัดสินคดี ความที่ ไม่
ยุติธรรมของกรมหลวงรักษ์รณเรศ ผู้เป็นใหญ่ ในแผ่นดินสมัยนั้น ดังนั้นท่านจึงน�ำเอา
เหตุการณ์ที่ท่านรู้เห็นมาแทรกไว้ ในกาพย์พระไชยสุริยาของท่านด้วย
บรรณานุกรม 4
2. ประวัติผู้เรี ยบเรี ยง
ในที่น้เี ราไม่สามารถค้นหาประวัติของพระยาอินทอัคคราช พระภิรมย์รัศมี และ
พระศรีภูริปรีชา ซึ่งเป็นผู้ร่วมเรียบเรียงได้ ค้นได้แต่ประวัติของเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ได้เพี ยงคนเดี ยว ดังนั้นจึงขอเสนอเฉพาะประวัติของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เอาไว้ก่อน
หากมีข้อมูลของผู้ร่วมเรียบเรียงอีกสามท่านเมื่อไหร่ก็จะได้น�ำมาเสนอในภายหลัง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้า
จุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) เป็นบุตรของเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฤๅชัย กับท่านผู้หญิงเจริญ
เคยรับราชการเป็นหลวงสรวิ ชิต นายด่านเมืองอุทัยธานี สมัยกรุงธนบุรี
ปลายสมัยกรุงธนบุรี ได้เกิดเหตุวุน่ วายขึน้ ในบ้านเมือง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์
ศึก (ยศของรัชกาลที่ 1 ก่อนขึ้นครองราชย์) ทราบเหตุ จึงรีบยกกองทั พจากเขมรมุ่งหน้าสู่
กรุงธนบุรีทันทีเพื่อมาแก้ไขสถานการณ์ เหตุการณ์ครั้งนี้ หลวงสรวิ ชิตได้ออกไปรับเสด็จ
ที่ทุ่งแสนแสบ กราบทูลข้อราชการต่างๆ ให้ทรงทราบ แล้วเชิญเสด็จเข้าพระนคร
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหา
กษัตริย์แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหลวงสรวิ ชิตเป็นพระยาพระคลัง แล้วต่อมาก็ได้เลื่อน
เป็นเจ้าพระยาพระคลัง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีบตุ รหลายคน แต่ไม่มผี ู้ ใดทีร่ ับราชการเป็นขุนนาง มีเป็น
ครูพิณพาทย์ 2 คน คือ นายเกตและนายทั ด และมีธิดา 2 คน ที่รับราชการเป็นเจ้าจอม
คือ เจ้าจอมพุ ่มและเจ้าจอมมารดานิม่ (ธิดาคนหลังนี้คือพระมารดาของสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ผู้แต่งโคลงโลกนิติ)
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกวีที่ ได้รับการยกย่องในด้านกวีโวหาร ทั ้งร้อยแก้ว
และร้อยกรอง มีผลงานการประพั นธ์มาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และผลงานที่สร้างชื่อเสียง
ให้ทา่ นมากทีส่ ดุ เห็นจะได้แก่ สามก๊ก กากีค�ำกลอน ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมารและ
กัณฑ์มัทรี
กล่าวกันว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกวีที่พระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้า
จุฬาโลก ทรงไว้วางพระราชหฤทั ยมากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยา
ลงกรณ์ ได้เล่าถึงความสามารถทางกวีของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เอาไว้ ในพระนิพนธ์
เรื่องสามกรุง ว่า (ยุพร แสงทั กษิณ, 2553 : 144-145)
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 79
3. เค้าโครงเรื ่อง
เค้าโครงของเรื่องราชาธิราช อาจแบ่งออกได้ 4 ตอน คือ (นิยะดา เหล่าสุนทร,
2539 : 275-277)
1. ความน�ำเรื่อง
2. เหตุการณ์ก่อนสมัยพระเจ้าราชาธิราช
3. เหตุการณ์สมัยพระเจ้าราชาธิราช
4. เหตุการณ์หลังสมัยพระเจ้าราชาธิราช
1. ความน�ำเรื ่อง
หลังจากบานแพนกแล้ว กล่าวถึง พระคะว�ำบดีได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนทีพ่ ระพุทธเจ้า
เสด็จมายังเมืองเมาะตะมะ และได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ
2. เหตุการณ์ก่อนสมัยพระเจ้าราชาธิราช
พระเจ้าอลังคจอสู สร้างเมืองเมาะตะมะ แล้วตั้งอลิมามางให้เป็นเจ้าเมือง ต่อมา
อลิมามางกบฏและตั้งตัวเป็นใหญ่ กล่าวถึงมะกะโทซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นคนเลี้ยงช้าง
ในราชส�ำนักของสมเด็จพระร่วงเจ้า กรุงสุโขทั ย จนได้เป็นพระราชบุตรเขยของสมเด็จ
พระร่วงเจ้า ต่อมาได้เป็นใหญ่ ในเมืองเมาะตะมะ และได้นามพระราชทานจากสมเด็จ
พระร่วงเจ้าว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว
80 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. เหตุการณ์สมัยพระเจ้าราชาธิราช
พระยาน้อยเป็นโอรสของพระเจ้าอู่ แต่พระเจ้าอู่ก็มิได้โปรดปรานพระยาน้อยเลย
ประกอบกับพระยาน้อยทรงมีศัตรู คือเหล่าพระญาติวงศ์ที่คอยขัดขวางมิ ให้พระองค์
ได้รับราชสมบัติ แต่ ในที่สุดราชสมบัติก็ตกเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์
ในพระนามว่า พระเจ้าราชาธิราช
ในสมัยของพระองค์นั้น ทรงท�ำสงครามกับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องแห่งพม่า พระเจ้า
ราชาธิราชทรงเป็นนักรบที่มีฝีมือและเป็นนักปกครองที่ชาญฉลาด ประกอบกับทรงมี
ขุนทหารฝีมือดี เช่น สมิงพ่อเพชร สมิงนครอินทร์ และสมิงพระราม จึงท�ำให้พระองค์รบ
ชนะพม่าอยู่บ่อยครั้ง
พระเจ้าราชาธิราชมีพระโอรสกับพระอัครมเหสีนามว่า พ่อลาวแก่นท้าว ต่อมาทรงสัง่
ให้ประหารชีวิต เพราะขัดเคืองที่พระโอรสไม่ยอมไหว้นางเม้ยมะนิก พระมเหสีโปรดคนใหม่
ของพระองค์ ก่อนทีพ่ อ่ ลาวแก่นท้าวจะสิน้ ใจได้ตงั้ ความปรารถนาไว้วา่ ขอให้ไปเกิดเป็นโอรส
ของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องซึ่งเป็นศัตรูของพระราชบิ ดา และการณ์ก็เป็นไปตามนั้น คือ พ่อลาว
แก่นท้าวไปเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง นามว่า มังรายกะยอฉะวา
สงครามอันยาวนานระหว่างมอญกับพม่ายุติลงอย่างสิ้นเชิง เนือ่ งด้วยการสวรรคต
ของพระเจ้าราชาธิราช ซึ่งสร้างความเสียพระทั ยให้กับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเป็นอย่างมาก
4. เหตุการณ์หลังสมัยพระเจ้าราชาธิราช
หลังจากทีพ่ ระเจ้าราชาธิราชสวรรคตไปแล้ว 2 ปี ต่อมาพระเจ้าฝรัง่ มังฆ้องก็สวรรคต
ทางฝ่ายกรุงหงสาวดี มีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อกันมาอีก 8 พระองค์ จนมาถึงสมัยของ
พระนางตะละเจ้าท้าว
พระนางตะละเจ้าท้าวถูกอุบายของฝ่ายพม่าจั บตัวไปเป็นมเหสี พระมหาปิฎกธร
ลูกบุญธรรม จึงได้วางแผนน�ำตัวพระนางกลับคืนมายังหงสาวดี
กาลต่อมาพระมหาปิฎกธรได้สึกจากเพศบรรพชิต และได้รับราชาภิเษกเป็นพระ
มหากษัตริย์ ในรัชกาลนี้ เมืองมอญมีการเจริญสัมพั นธไมตรีกับเมืองไทย
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 81
เรื่องราชาธิราชจบบริบูรณ์ในตอนที่พระนางตะละเจ้าท้าวสิ้นพระชนม์ และพระมหา
ปิฎกธรได้จัดพิธีพระศพอย่างสมพระเกียรติ
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็เห็นด้วยกับค�ำของพระมเหสี ดังนั้นจึงให้พระมเหสีช่วยไปบอก
กล่าวพระราชธิดาให้ร้วู ่า พระองค์จะยกให้เป็นคู่ครองของสมิงพระราม
ครัน้ พระราชธิดาทราบเรือ่ งก็เสียพระทัย ทรงพระกันแสง ซบพระพั กตร์ลงแล้วกราบทูล
ว่า
“ถ้าได้สามีเป็นลูกกษัตริย์ มีชาติตระกูลเสมอกันเล่าก็สมควร แต่นจี่ ะได้สามี
เป็นมอญต่างภาษาและเป็นเพี ยงนายทหาร อุปมาดังหงส์ตกในฝูงกา ราชสีห์
เข้าปนกับหมู่เสือ ลูกมีความโทมนัสนัก”
พระมเหสีจึงตอบไปว่า
“สมิงพระรามนั้นเปรียบเสมือนกาขาว มิ ใช่กาด�ำ สมเด็จพระราชบิ ดาทรงชุบ
ให้เป็นหงส์ ซึ่งเปรียบเสมือนเสือนั้น ถ้าพระราชบิ ดาชุบย้อมแล้วก็คงจะเป็น
ราชสีห์ อันบุรุษเปรียบประดุจพืชธัญญาหาร ถ้าโรยปลูกเพาะหว่านแล้วก็มี
แต่งอกงามสูงใหญ่ขนึ้ ไป ลูกนีถ้ งึ จะเป็นราชบุตรี เกิดในวงศ์กษัตริย์ ชาติตระกูล
สูงก็เปรียบเหมือนตัณฑุลา (ข้าวสาร) จะโปรยหว่านเพาะปลูกมิอาจเจริญได้
ลูกอย่าถือทิฐิมานะเลย”
ครั้นตรัสสอนพระราชธิดาแล้ว พระมเหสีก็เสด็จกลับต�ำหนัก
รุง่ ขึน้ พระเจ้าฝรัง่ มังฆ้องจึงมีรับสัง่ ให้สมิงพระรามเข้าไปกินเลีย้ งในพระมหามณเฑียร
แล้วตรัสแก่สมิงพระรามว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ รักสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต ซึ่งต�ำแหน่งพระมหา
อุปราชกับพระราชธิดานั้น พระองค์ได้ออกปากไปแล้วว่าจะให้เป็นบ�ำเหน็จแก่สมิงพระราม
ขอให้จงรับไว้เถิดอย่าให้คนทั ้งหลายครหานินทาพระองค์ได้ ตรัสแล้วก็เรียกพระราชธิดา
ให้ยกพานพระศรีมาให้สมิงพระราม
สมิงพระรามเห็นพระราชบุตรีทรงโฉมก็ตะลึงจนลืมตัว พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเห็นเช่น
นั้นก็ดีพระทั ย แล้วเสด็จเข้าข้างใน
วันต่อมาพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเสด็จออกว่าราชการ จึงตรัสแก่สมิงพระรามว่า อาสา
กู้พระนครไว้ได้ จะไม่รับบ�ำเหน็จรางวัลนั้นถือเป็นการท�ำลายพระเกียรติยศของพระองค์
สมิงพระรามก็ทลู ตอบไปว่าเพือ่ ไม่ ให้เสียราชประเพณีจะยอมรับบ�ำเหน็จ แต่ขอพระราชทาน
ข้อแม้ 2 ประการ คือ หนึง่ ห้ามให้ใครเรียกว่าเชลย และสอง หากมีสงครามระหว่างมอญ
กับพม่าจะขอวางตัวเป็นกลาง พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็ทรงอนุญาต จากนั้นจึงสั่งให้ตีฆ้องร้อง
ประกาศไปทัว่ พระนครว่า แต่นต้ี อ่ ไป ให้เรียกสมิงพระรามว่า “เจ้าสมิงพระรามกูเ้ มือง” ถ้า
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 85
5. วิเคราะห์ตัวละคร
ส�ำหรับตัวละครทีม่ บี ทบาทโดดเด่นทีส่ ดุ ในวรรณคดีเรือ่ งราชาธิราช ตอนสมิงพระราม
อาสานี้ มีอยู่ด้วยกันทั ้งสิ้น 4 คน คือ สมิงพระราม พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง พระเจ้ากรุงจีน และ
พระมเหสี ซึ่งผู้เขี ยนจะได้ วิ เคราะห์ลักษณะของตัวละครทั ้งสี่ ดังนี้
5.1 สมิงพระราม
สมิงพระรามเป็นตัวละครทีม่ บี ทบาทเด่นทีส่ ดุ ในตอนนี้ เดิมทีสมิงพระรามเป็นทหาร
ของพระเจ้าราชาธิราชแห่งเมืองหงสาวดี แต่เหตุที่มาอยู่เมืองอังวะนั้น เพราะถูกจั บเป็น
เชลยเมื่อครั้งศึกพลายประกายมาศ ครั้นพระเจ้ากรุงจีนยกกองทั พมายังเมืองอังวะ ด้วยมี
พระราชประสงค์จะดูทหารเอกของทั ้งสองเมืองต่อสู้กันตัวต่อตัว สมิงพระรามได้อาสาต่อสู้
แต่ทีแรกก็คิดว่าถ้าอาสาก็จะเหมือนกับว่า
“หาบสองบ่า อาสาสองเจ้า”
จึงนิง่ เสีย ครัน้ คิดขึน้ มาได้วา่ หากพระเจ้ากรุงจีนมีชยั ชนะเหนือเมืองอังวะแล้ว ก็คงจะ
ไม่ปล่อยเมืองหงสาวดี ไปด้วย ดังนั้นสมิงพระรามจึงรับอาสา และได้ชัยชนะ
จากลักษณะของสมิงพระรามที่กล่าวมาข้างต้น จึงพอจะสรุ ปลักษณะนิสัยของ
สมิงพระรามออกเป็นข้อๆ ได้ว่า (ศิริวรรณ ยิ้มละมัย, 2549 : 78-86)
1. เป็นผู้รักชาติบ้านเมือง
จากเนื้อเรื่องที่ศึกษามา จะเห็นถึงลักษณะนิสัยของสมิงพระรามอย่างหนึง่ ว่า สมิง
พระรามเป็นคนที่รักชาติบ้านเมืองของตนมาก ตลอดเวลาที่ต้องตกอยู่ในฐานะเชลย สมิง
พระรามจะคิดถึงบ้านเมืองของตัวเองอยูม่ ไิ ด้ขาด ครัน้ อาสาต่อสูก้ บั กามะนีจนได้ชยั ชนะแล้ว
ความปรารถนาข้อหนึง่ ทีส่ มิงพระรามทูลขอจากพระเจ้าฝรัง่ มังฆ้อง คือ ขอกลับกรุงหงสาวดี
ครัน้ สมิงพระรามเห็นว่าตนไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของพระเจ้าฝรัง่ มังฆ้องได้ ผนวก
กับความมีจิตปฏิพัทธ์ ในพระราชธิดา จึงยอมรับข้อเสนอ แต่มขี อ้ แม้วา่ หากพระเจ้าราชาธิราช
ยกทั พมาท�ำสงครามกับเมืองอังวะ ตนจะขอวางตัวเป็นกลาง ไม่ร่วมรบกับทั ้งสองฝ่าย
88 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
2. เป็นผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริ ย์
ความจงรักภักดีเป็นคุณสมบัตพิ นื้ ฐานของทหารทุกคน ทีจ่ ะต้องมีตอ่ พระมหากษัตริย์
ดังเช่น สมิงพระรามทีจ่ งรักภักดีตอ่ พระเจ้าราชาธิราชมาก ถึงกับคิดไม่อาสาออกรบในทีแรก
เพราะไม่อยากได้ ชื่อว่า
“หาบสองบ่า อาสาสองเจ้า”
แต่ด้วยความจงรักภักดี ต่อพระเจ้าราชาธิราช สมิงพระรามจึงอาสาออกรบ
3. เป็นผู้มีความช�ำนาญในการท�ำสงคราม
ขุนศึกของพระเจ้าราชาธิราชทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอ�ำมาตย์ทินมณีกรอด สมิงพ่อเพชร
สมิงนครอินทร์ สมิงอายมนทะยา สมิงอังวะมังศรี ฯลฯ ล้วนแต่มีความช�ำนาญในการท�ำ
สงครามทัง้ สิน้ ซึง่ สมิงพระรามเองก็มคี ณ
ุ สมบัตขิ อ้ นีอ้ ยูเ่ หมือนกัน แม้แต่พระเจ้าฝรัง่ มังฆ้อง
ก็ยังยอมรับในคุณสมบัติข้อนี้ ซึ่งจะเห็นได้จากความที่ว่า
“พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังก็เฉลียวพระทั ย พระด�ำริ ร�ำลึกขึ้นมาได้ว่า
สมิงพระรามนี้ ขี ่ ช้างขี ่ม้าสันทั ดดี ฝีมือเข้มแข็ง แกล้วกล้าในการท�ำสงคราม
หาผู้เสมอตัวยาก เห็นจะสู้ทหารพระเจ้ากรุงจีนได้เป็นแท้”
ความช�ำนาญในการรบของสมิงพระราม ไม่เพี ยงเป็นที่กล่าวขวัญกันเท่านั้น เมื่อถึง
สถานการณ์จริงๆ สมิงพระรามก็แสดงให้คนทั ้งปวงเห็นถึงความสามารถของตน ดังตอน
ที่ต่อสู้กับกามะนีว่า
“สมิงพระรามจึงชักดาบกระทืบม้าเข้าฟันย้อนตามกลีบเกราะขึ้นไป ต้องศีรษะ
กามะนีขาดออกตกลงมายังพืน้ ดิน ก็เอาขอเหล็กสับเอาศีรษะกามะนีได้ ใส่ตะกรวย
แล้วก็ชกั ม้าฟ้อนร�ำเป็นเพลงทวนเข้ามาตรงหน้าพลับพลาพระเจ้าฝรัง่ มังฆ้อง”
เมื่อสมิงพระรามเอาชนะกามะนี ได้ เสนาข้าทหารฝ่ายพม่าทั ้งปวง ต่างก็สรรเสริญ
สมิงพระรามว่า
“มิ ใช่มนุษย์เลยเสมอเทพยดา แต่ศรี ษะกามะนีนนั้ ก็มิ ให้ตกถึงดิน เอาขอเหล็ก
สับเอาได้ดังทูลไว้ทุกประการ”
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 89
4. เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริ บ
ในการสู้รบระหว่างสมิงพระรามกับกามะนี้นั้น จะเห็นได้ว่าสมิงพระรามใช้ความ
ชาญฉลาดของตนแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างแยบคาย ซึ่งจะเห็นได้จากตอนที่
สมิงพระราม พิจารณาหาช่องสอดทวนแทงเข้าที่ตัวของกามะนี ดังความว่า
“...เห็นกามะนีแต่งตัวหุ้มเกราะอยู่ ไม่เห็นส�ำคัญที่จะหมายแทงได้ จึงคิดว่า
กามะนีคนนีช้ ำ� นาญในเพลงทวนว่องไวนัก แล้วก็หมุ้ เกราะใส่เสือ้ บังอยู่ ยังไม่เห็น
ช่องทางที่จะสอดทวนแทงแห่งใดได้ จ�ำจะชวนให้ร�ำดูส�ำคัญก่อน”
การที่สมิงพระรามท�ำเช่นนี้ ผลที่ตามมาก็คือสามารถหาช่องทางที่จะสอดทวนแทง
กามะนีได้
5. เป็นผู้มองการณ์ไกล
สมิงพระรามคิดแล้วคิดอีกในเรื่องที่ว่า จะอาสาต่อสู้กับกามะนีดีหรือไม่ ครั้นคิด
อย่างถ้วนถี่แล้วจึงเห็นว่า หากกรุงอังวะเสียให้แก่พระเจ้ากรุงจีนเมื่อใด พระเจ้ากรุงจีนคง
ไม่ปล่อยให้เมืองหงสาวดี พ้นเงื้อมมือไปอย่างแน่นอน ดังนั้นสมิงพระรามจึงตัดสินใจอาสา
เพื่อตัดศึกเสียแต่ต้นทางมิ ให้ยกไปถึงเมืองหงสาวดี ได้ ดังความว่า
“สมิงพระรามได้ฟังดังนั้นก็คิดว่ากรุงอังวะเป็นต้นทาง อุปมาดัง หน้าด่านกรุง
หงสาวดี พระเจ้ากรุงจีนยกทั พมาครั้งนี้ก็มีความปรารถนาจะใคร่ดูทแกล้ว
ทหารอันมีฝีมือ ขี ่ม้าร�ำเพลงทวนสู้กันตัวต่อตัว ถ้าไม่มีผู้ ใดสู้รบถึงจะได้เมือง
อังวะแล้วก็ไม่สนิ้ ความปรารถนาแต่เพี ยงนี้ เห็นศึกจีนจะก�ำเริบ ยกล่วงเลยลง
ไปติดกรุงหงสาวดี ด้วยเป็นมั่นคง ตัวเราเล่าก็ต้องจองจ�ำอยู่ ถ้าเสียกรุงอังวะ
แล้วจะหมายใจว่าจะรอดคืนไปเมืองหงสาวดีก็ ใช่ที่ จ�ำเราจะรับอาสาตัดศึกเสีย
จึงจะชอบ อย่าให้ศึกจีนยกลงไปติดกรุงหงสาวดี ได้”
6. เป็นผู้มีความเมตตา ไม่หวังลาภยศ
การที่สมิงพระรามอาสาต่อสู้ ในครั้งนี้ ก็ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก
คือ ต้องการช่วยเหลือบ้านเมืองของตนให้รอดพ้นจากอันตราย และไม่เพี ยงแต่บ้านเมือง
ของตนเท่านั้น สมิงพระรามยังมีความเมตตาต่อคนทั ่วไป แม้คนเมืองพม่าที่ ได้ชื่อว่าเป็น
ศัตรู สมิงพระรามก็คิดช่วยเหลือโดยมิได้หวังลาภยศ ดังความว่า
90 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5.2 พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง หรือ พระเจ้ามณเทียรทอง เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเมืองพม่า
ตั้งราชธานีอยู่ ณ กรุงรัตนบุระอังวะ เป็นคู่สงครามกับพระเจ้าราชาธิราชตลอดพระชนม์ชีพ
แต่พระองค์จะพ่ายแพ้ ให้แก่พระเจ้าราชาธิราชอยู่บ่อยครั้ง ทั ้งนี้เพราะพระเจ้าราชาธิราช
ทรงมีขนุ ศึกฝีมอื ดีอยูห่ ลายคน แม้จะเสียขุนศึกคนใดคนหนึง่ ไป แต่กจ็ ะมีคนใหม่มาแทนอยู่
เสมอ ซึง่ ต่างกับพระเจ้าฝรัง่ มังฆ้องทีม่ ขี นุ ศึกฝีมอื ดีเพียงไม่กคี่ น นอกจากมังรายกะยอฉะวา
พระราชโอรสแล้ว ก็เห็นว่าไม่มี ใครอีก
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 91
3. เป็นผู้รักบ้านเมืองยิ่งกว่าบุตรสาวของตน
จะเห็นได้ว่าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทรงรักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าบุตรสาวของตนเสีย
อีก เพราะทรงคิดว่าหากได้สมิงพระรามมาช่วยท�ำราชการ บ้านเมืองก็จะมั่นคง ดังนั้นจึง
พระราชทานพระราชธิดาให้สมิงพระรามเพื่อหวังผูกใจสมิงพระรามมิ ให้จากไปไหน การที่
พระองค์ท�ำเช่นนี้ท�ำให้พระองค์ได้รับการสรรเสริญจากชาวเมืองว่า
“พระเจ้าอยูห่ วั ของเราทรงโปรดทแกล้วทหาร รักยิง่ กว่าพระราชธิดา อันเกิดแต่
พระอุระ หวังจะบ�ำรุงพระนครให้คนทั ้งปวงอยู่เป็นสุข และจะให้ข้าศึกย�ำเกรง
พระเดชานุภาพ จึงทรงปลูกเลี้ยงสมิงพระรามไว้ ตั้งให้เป็นมหาอุปราช แล้วชม
ฝีมือและบุญญาธิการสมิงพระรามเป็นอันมาก”
5.3 พระเจ้ากรุงจีน
พระเจ้ากรุงจีนหรือพระเจ้ากรุงต้าฉิง เป็นพระมหากษัตริยผ์ ทู้ รงอานุภาพมาก เพราะ
ทรงมีกองทัพทีย่ งิ่ ใหญ่ พรัง่ พร้อมไปด้วยขุนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ส�ำหรับคุณลักษณะ
ของพระเจ้ากรุงจีน ตามที่ปรากฏในเรื่องราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา ได้แก่
1. เป็นผู้รักการต่อสู้
จะเห็นได้วา่ พระเจ้ากรุงจีนนัน้ ทรงรักในการต่อสูเ้ ป็นอย่างยิง่ ทัง้ นีเ้ พราะทรงมีทหาร
เอกฝีมือดี ชื่อกามะนี และพระองค์ก็มั่นใจในฝีมือทหารเอกของพระองค์มาก ถึงกับใคร่จะ
ทอดพระเนตรทหารเอกของเมืองอื่นๆ ต่อสู้กันตัวต่อตัวกับทหารเอกพระองค์ ดังความว่า
“ฝ่ายพระเจ้ากรุงต้าฉิงซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงจีนนั้น มีทหารเอกคนหนึง่
ชือ่ กามะนี มี ฝมี อื ขีม่ า้ แทงทวนสันทัดดีหาผูเ้ สมอมิได้ อยูม่ าวันหนึง่ พระเจ้ากรุง
จีนเสด็จออกตรัสปรึ กษาด้วยเสนาบดี มนตรีมุขทั ้งปวงว่า ท�ำไฉนเราจะได้เห็น
ทหารขี ่ม้าสู้กันกับกามะนีได้แต่พอชมเล่นเป็นที่เจริญตาได้บ้าง”
2. เป็นผู้มีน�้ำใจนักกีฬา
ลักษณะนี้คงจะสืบเนือ่ งมาจากความเป็นผู้รักการต่อสู้ของพระเจ้ากรุงจีน ดังนั้น
พระองค์จึงทรงมีน�้ำใจเป็นนักกีฬาด้วย ความมีน�้ำใจเป็นนักกีฬาของพระองค์เห็นได้จาก
ตอนที่ทรงมีพระราชสารฉบับที่ 1 ไปถึงพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง พระองค์ได้แสดงความประสงค์
ของพระองค์สองประการ ดังความว่า
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 93
5.4 พระมเหสี
พระนางทรงเป็นพระมเหสีของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง และคงจะเป็นผู้ ได้รับการศึกษา
อบรมมาอย่างดี เพราะเป็นที่ปรึ กษาให้พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ ในยามที่พระองค์ทรงปรึ กษา
และพระมเหสียังทรงมีวาทศิลป์ในการพูดเป็นเลิศอีกด้วย ลักษณะของพระมเหสีที่ปรากฏ
จากราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา ได้แก่
94 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
1. มีสติปัญญาหลักแหลม
เมื่อสมิงพระรามมีชัยชนะเหนือกามะนีนั้น พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องคิดจะมอบบ�ำเหน็จให้
สมิงพระราม ให้สมค่าแก่ชัยชนะ แต่สมิงพระรามไม่ยอมรับ กลับขอให้ประหาร หรือไม่ก็
ปล่อยตัวกลับหงสาวดี แต่พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทรงเสียดาย เพราะอยากได้ไว้ปฏิบัติราชการ
จึงทรงน�ำเรื่องนี้ ไปปรึ กษาพระมเหสี ซึ่งพระมเหสีก็ ให้ค�ำปรึ กษาว่า
“พระองค์จะทรงพระวิ ตกไปไย ซึง่ จะเกลีย้ กล่อมผูกพั นสมิงพระรามไว้ ให้ตงั้ ใจ
สวามิภกั ดิอ์ ยูด่ ว้ ยพระองค์นนั้ ตกพนักงานข้าพเจ้าจะรับอาสาผูกจิตสมิงพระราม
ไว้ ให้อยู่จงได้”
ซึ่งแผนการของพระมเหสี ที่จะท�ำให้สมิงพระรามยอมอยู่รับราชการที่กรุงรัตนบุระ
อังวะเป็นไปตามความที่ว่า
“ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดผูกสมิงพระรามให้อยู่ก็หวังจะผูกด้วยยางรัก ซึ่งว่ามิรับ
มหาอุปราชและราชธิดา เพราะยังมิได้เห็นราชธิดาของเรา อันสมบูรณ์ดว้ ยลักษณะ
และสิริมารยาทงามยิง่ นัก เวลาพรุง่ นีข้ อพระองค์ให้หาเจ้าสมิงพระรามเข้ามากิน
เลี้ยงในพระราชมณเฑียร แล้วจึงให้พระธิดาเราออกไปให้เจ้าสมิงพระรามเห็น
ตัวถนัดแต่ข้างเดี ยว เจ้าสมิงพระรามได้เห็นรูปโฉมธิดาเราเท่านั้น ยังมิทันจะ
เข้าใกล้ได้กลิน่ ก็จะมีความปลาบปลืม้ จนสุดจิต ไหนจะคิดกลับเมืองหงสาวดีได้”
แล้วการณ์ก็เป็นไปตามที่พระมเหสีทรงคาดไว้ นัน่ คือ สมิงพระรามยอมอยู่กรุง
รัตนบุระอังวะ เมื่อได้เห็นโฉมพระราชธิดา ความว่า
“เจ้าสมิงพระรามเห็นพระราชบุตรียกพานพระศรีออกมานั้น ประกอบด้วย
เยาวรูปสิริวิลาสลักษณ์เป็นอันงาม ก็แลตะลึงลืมตัวไม่เป็นสมประดี ”
2. รู้หลักจิตวิทยา และมีวาทศิลป์
พระมเหสีทรงรูห้ ลักจิตวิทยาดีวา่ บุคคลผูย้ งั เวียนว่ายตายเกิด ย่อมมีความยินดี ในกาม
เพราะมีตณ
ั หาเป็นเครือ่ งชีน้ ำ� และธรรมดาแล้วบุรุษย่อมต้องการสตรีทงี่ ามพร้อม ดังความว่า
“เพราะธรรมดาอันชนเวียนวนอยู่ ในสงสารภพนี้แต่ล้วนมีความก�ำหนัดยินดี
ในกามสังวาสรสสิ้นทั ้งนั้น เพราะมูลตัณหาเครื่องเกี่ยวพั น หนุนเป็นปัจจั ย”
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 95
ครั้นพระมเหสีน�ำความไปบอกกับพระราชธิดาว่าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง จะยกให้เป็น
บาทบริจาริกาของสมิงพระราม พระราชธิดาเสียใจมาก ด้วยเหตุวา่ สมิงพระรามมิใช่ลกู กษัตริย์
เป็นเพียงทหารต่างชาติตา่ งภาษา และชาติตระกูลก็ตำ�่ กว่า พระมเหสีกต็ รัสปลอบประโลมว่า
“ซึง่ ลูกจะถือชาติตระกูลว่ามีอสิ สริยยศอยูน่ นั้ หาควรไม่ ด้วยสมเด็จพระราชบิดาเห็น
ชอบแล้ว จึงจะทรงปลูกฝัง อันสมิงพระรามนีเ้ ขามีความชอบในแผ่นดินเป็นอัน
มาก ช่วยกู้พระนครไว้ ให้สมณพราหมณ์ ราษฎรอยู่เป็นสุข เหมือนรักษาชาติ
ตระกูลของลูกไว้ ถ้ามิได้สมิงพระรามแล้วเมืองเราก็จะเสียแก่กรุงจีน ซึ่งลูก
เปรียบชาติเขาเหมือนกานั้นก็ชอบอยู่ แต่เขาประกอบศิลปศาสตร์วิชาการ เป็น
ทหารที่มีฝีมือหาผู้เสมอมิได้ ก็เปรียบเหมือนกาขาวมิ ใช่กาด�ำ”
6. คุณค่า
วรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา ให้คุณค่าทางด้านต่างๆ ดังนี้
6.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
6.1.1 การเล่าเรื ่องโดยใช้บรรยายโวหาร ในประเด็นนี้เราต้องชมคณะแปล
วรรณคดีเรือ่ งราชาธิราชว่า แปลออกมาได้อย่างดีเยีย่ ม และสามารถสรรค�ำมาเรียงร้อยเป็น
ส�ำนวนร้อยแก้วได้สละสลวย คมคาย และช่วยสร้างจิ นตภาพได้อย่างชัดเจน บทบรรยาย
ต่างๆ ล้วนแสดงภาพให้เกิดขึ้นในจิ นตนาการของผู้อ่าน ท�ำให้ผู้อ่านเห็นภาพและรู้สึกว่ากวี
ก�ำลังกล่าวถึงสิ่งใด ดังเช่น ตอนที่กล่าวถึงสิริโฉมของพระราชธิดาของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง
ที่ว่า
“สมบูรณ์ดว้ ยลักษณะและสิริมารยาทงามยิง่ นัก ถ้าบุรุษผู้ ใดได้เห็นและได้นงั่ ใกล้
แล้วเมือ่ ใดก็มอิ าจจะด�ำรงจิตอยูไ่ ด้ ดวงกมลก็จะหวัน่ ไหวไปด้วยความปฏิพัทธิ”์
6.1.2 การใช้ส�ำนวนเปรี ยบเทียบคมคาย ราชาธิราชตอนที่นักเรียนได้เรียนนี้
มีส�ำนวนโวหารที่เพี ยบพร้อมไปด้วยบทเปรียบเทียบที่คมคาย ซึ่งช่วยท�ำให้ผู้อ่านเห็นภาพ
เหตุการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยข้อคิดที่ดีอีกด้วย ดังตัวอย่าง
96 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
6.2 คุณค่าด้านสังคม
ส�ำหรับคุณค่าทางด้านสังคมทีเ่ ห็นได้จากวรรณคดีเรือ่ งราชาธิราช ตอน สมิงพระราม
อาสานี้ ได้แก่ (ฟองจั นทร์ สุขยิ่ง และคณะ, ม.ป.ป. : 106)
6.2.1 ความเชือ่ เรื อ่ งฤกษ์ยาม เช่น ก่อนทีพ่ ระเจ้ากรุงจีนจะยกทัพมายังกรุงอังวะ
พระองค์ทรงรอให้ถึงเวลาฤกษ์ดีเสียก่อน ครั้นได้ศุภฤกษ์แล้วพระองค์จึงสั่งให้ยกทั พ ดัง
ความว่า
“พระเจ้ากรุงจีนได้ทรงฟังก็พระทั ยยินดี นักจึงสั่งให้จัดพยุหเสนาทั ้งปวงเป็น
อันมากจะนับประมาณมิได้ ครัน้ ได้ศภุ ฤกษ์แล้ว พระองค์กเ็ สด็จทรงม้าพระทีน่ งั่
ยกทั พบกมายังกรุงรัตนบุระอังวะ”
6.2.2 ขนบธรรมเนียมของการส่งเครื ่องราชบรรณาการไปเพื่อตอบแทน
เมื่ออีกฝ่ายหนึง่ ประพฤติปฏิบัติตามที่ฝ่ายตนร้องขอ หรือส่งเครื่องราชบรรณาการไปเพื่อ
ขอให้อีกฝ่ายหนึง่ ท�ำตามที่ตนเองขอ เช่น การส่งพระราชสารจากพระเจ้ากรุงจีน เพื่อจะให้
พระเจ้าฝรัง่ มังฆ้องอยูใ่ นอ�ำนาจออกมาถวายบังคม และมีพระราชประสงค์จะดูทหารร�ำทวน
ขี ่ม้าสู้กัน
6.2.3 การรักษาสัจจะของพระมหากษัตริ ย์ เช่น พระเจ้ากรุงจีนทรงท�ำตาม
ค�ำมั่นที่พูดไว้ คือถ้าแพ้ก็จะยกทั พกลับ (เนื้อความได้กล่าวไปแล้ว)
บทที่ 5 ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา 97
ฝ่ายพระกนิษฐาทัง้ สองพระองค์ทรงทราบพระหฤทัยพระเชษฐา
ว่าทรงมีความเสน่หาในเจ้าฟ้าบุญรอดก็ทรงยินดี ด้วยเห็นว่าเหมาะ
สมและคู่ควรกัน ดังนั้นจึงน�ำสิ่งของไปถวายให้เจ้าฟ้าบุญรอด แล้ว
ท�ำทีเป็นตรัสเลียบเคียงถาม เจ้าฟ้าบุญรอดทีละน้อยๆ เพื่อดูท่าที
ในที่สุดก็ทราบว่าเจ้าฟ้าบุญรอดก็มีพระทั ยให้พระเชษฐาเหมือนกัน
2. ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ
พระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระบรมราชชนนีมีพระนามเดิมว่า นาก เป็นธิดาคหบดี
ผู้มีภูมิล�ำเนาอยู่ในเขตเมืองสมุทรสงครามต่อกับเขตราชบุรี (ต่อมาในรัชกาลที่ 2 โปรดฯ
สถาปนาสมเด็จพระราชมารดาขึ้นเป็นสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (วิ ไลเลขา บุรณศิริ
และคณะ, 2542 : 83) พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310
สมัยของพระองค์เป็นสมัยที่ศิลปวัฒนธรรมมีความเจริญ
รุง่ เรืองอย่างมาก เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรง
ส่งเสริมและท�ำนุบำ� รุงศิลปะในด้านต่างๆ เช่น วรรณกรรม
นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และงานช่างแขนงต่างๆ ในส่วนของ
พระองค์ก็ทรงเป็นกวี โดยทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดี
ขึน้ หลายเรือ่ ง เช่น บทละครในเรือ่ งรามเกียรติ์ อิเหนา
บทละครนอกเรือ่ ง มณีพชิ ยั ไกรทอง สังข์ทอง คาวี ฯลฯ
106 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงให้ความอุปถัมภ์แก่เหล่ากวีในราชส�ำนัก ซึ่งสมัยนั้น
ก็มีอยู่มากมาย เช่น พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หัว (ครั้งยังทรงด�ำรงพระยศ
เป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขุนสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) นายนรินทรธิเบศร์ (อิน) สมเด็จ
พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระยาตรังคภูมิบาล ฯลฯ
พระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม
พ.ศ. 2367 ขณะทรงมีพระชนมายุได้ 58 พรรษา ทรงด�ำรงอยู่ ในสิริราชสมบัตเิ ป็นเวลา 15 ปี
ใน พ.ศ. 2511 เนือ่ งในวาระฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ 200 ปี องค์การ
ศึกษาวิ ทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณ
ให้พระองค์ทรงเป็นบุคคลส�ำคัญของโลก และประเทศไทยได้ก�ำหนดให้วันที่ 24 กุมภาพั นธ์
ของทุกปี เป็นวันศิลปินแห่งชาติ เพื่อน้อมร�ำลึกถึงพระปรีชาสามารถที่ทรงสร้างสรรค์
ศิลปวัฒนธรรมให้แก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย (ลักษณา โตวิ วัฒน์ และกุสุมา
รักษมณี, 2553 : 173)
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานแต่งเป็นกาพย์เห่ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพและ
กาพย์ยานี 11 โดยมีโคลงสี่สุภาพหนึง่ บท เป็นบทน�ำหรือบทขึ้นต้น แล้วแต่งกาพย์ยานี 11
ต่อไปอีกจนจบ โดยเนื้อความในกาพย์ยานี 11 บทแรกมีเนื้อความที่สอดคล้องและสัมพั นธ์
กับโคลงสี่สุภาพที่เป็นบทน�ำ
4. เนื้อเรื ่อง
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีเนื้อความแบ่งออกเป็น 5 ตอน คือ
เห่ชมเครื ่องคาว ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ 1 บท กาพย์ยานี 15 บท
เห่ชมผลไม้ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ 1 บท กาพย์ยานี 14 บท
เห่ชมเครื ่องหวาน ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ 1 บท กาพย์ยานี 15 บท
เห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ 1 บท กาพย์ยานี 21 บท
เห่บทเจ้าเซ็น ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ 1 บท กาพย์ยานี 2 บท
บทที่ 6 กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน 107
บทเห่ชมเครื ่องคาว
บทเห่ชมเครื่องคาวประกอบด้วยอาหาร 15 ชนิด คือ
1. แกงมัสมั่น 6. แกงเทโพ 11. ล่าเตียง
2. ย�ำใหญ่ 7. น�้ำยาแกงขม 12. หรุ่ม
3. ตับเหล็กลวก 8. ข้าวหุง 13. รังนกนึง่
4. หมูแนม 9. แกงคั่วส้มหมูป่า 14. ไตปลา
5. ก้อยกุ้ง 10. พล่าเนื้อ 15. แสร้งว่า
และปิดท้ายด้วยผักอีก 2 ชนิด คือ ผักโฉมและผักหวาน
1. แกงมัสมั่น
“มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ ใฝ่ฝันหา”
2. ย�ำใหญ่
“ย�ำใหญ่ ใส่สารพั ด วางจานจั ดหลายเหลือตรา
รสดี ด้วยน�้ำปลา ยี่ปุ่นล�้ำย�้ำยวนใจ”
3. ตับเหล็กลวก
“ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน�้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง”
กาพย์บทนี้กวีกล่าวถึงอาหารที่นางอันเป็นที่รักปรุงให้คือตับเหล็กลวก
ที่ ไม่มีฝีมือของนางใดเทียบเทียมได้
4. หมูแนม
“หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง ห่างห่อหวนป่วนใจโหย”
กาพย์บทนี้กวีกล่าวถึงหมูแนมว่ามีรสอร่อย รับประทานพร้อมกับ
พริกสดและใบทองหลาง ที่น้องห่อมาอย่างประณีตบรรจง
5. ก้อยกุ้ง
“ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทั นขวัญ”
7. น�้ำยาแกงขม
“ความรักยักเปลี่ยนท่า ท�ำน�้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม ชมไม่วายคลับคล้ายเห็น”
กาพย์บทนี้กวีกล่าวถึงยามเมื่อได้รับประทานน�้ำยากินกับแกงขม (มะระ)
ว่ามีรสที่กลมกล่อม
8. ข้าวหุง
“ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ท�ำ”
กาพย์บทนี้กวีกล่าวถึงข้าวหุง ที่เป็นอาหารของชาวอิสลาม
ว่าไม่มี ใครอีกแล้ว ที่จะปรุงข้าวหุงได้อร่อยเหมือนนาง
9. แกงคั่วส้มหมูป่า
“เหลือรู้หมูป่าต้ม แกงคั่วส้มใส่ระก�ำ
รอยแจ้งแห่งความข�ำ ช�้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม”
กาพย์บทนี้กวีกล่าวถึงพล่าเนื้อที่มีกลิ่นหอม ท�ำให้กวีคิดถึง
ยามที่เคยกอดนาง และเนื้อของนางนั้นมีกลิ่นหอม
110 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
11. ล่าเตียง
“ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองท�ำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน”
กาพย์บทนี้กวีกล่าวถึงล่าเตียงที่ท�ำเป็นชั้นๆ ท�ำให้คิดถึงน้องที่นอนบน
เตียงทองจากเมืองบน (เมืองสวรรค์) ที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ท�ำให้กวีคิดอยากที่จะ
นอนกอดนาง
12. หรุ่ม
“เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง”
กาพย์บทนี้เป็นบทเปรียบเทียบ กวีทรงเปรียบแกงไตปลาและแสร้งว่า
ว่าเหมือนดังวาจาของน้องที่แกล้งเจรจา ครั้นแลไปเห็นใบโศกก็ท�ำให้กวีต้อง
โศกเศร้าเพราะรอเวลาที่จะได้พบหน้านาง
บทที่ 6 กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน 111
ผักโฉมและผักหวาน
“ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน ใคร่ครวญรักผักหวานนาง”
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ของกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานอยู่ที่ความไพเราะ และความ
คมคายของบทเปรียบเทียบในบทพรรณนา เมื่ออ่านแล้วจะเห็นภาพตามที่กวีได้วาดไว้ และ
สิ่งที่ช่วยท�ำให้กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีคุณค่าด้านวรรณศิลป์เพิ่มมากขึ้น ได้แก่
1 การเล่นเสียง ความไพเราะของถ้อยค�ำต่างๆ ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
เกิดจากการสรรค�ำที่มีเสียงไพเราะและการเล่นเสียง ดังตัวอย่าง
“เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง”
2 การใช้ส�ำนวนความเปรี ยบ กวีจะใช้ส�ำนวนความเปรียบในตอนที่กล่าวถึงความ
พิเศษของอาหารแต่ละชนิด โดยน�ำไปเปรียบเทียบกับลักษณะของนางอันเป็นที่รักของกวี
ดังตัวอย่าง
“ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองท�ำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน”
“ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทั นขวัญ”
5.2 คุณค่าด้านสังคม
คุณค่าด้านสังคมที่สะท้อนจากกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานนี้ คือ วัฒนธรรมด้าน
อาหารการกิน ซึง่ ถ้าอ่านกันอย่างพินจิ พิจารณาแล้วก็จะเห็นได้วา่ กาพย์เห่ชมเครือ่ งคาวหวาน
กล่าวถึงอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็คงเป็นที่นยิ มรับประทานกันในสมัยรัชกาล
ที่ 2 บางชนิดก็ยังมี ให้เห็นและรับประทานกันอยู่ ในปัจจุบัน เช่น มัสมั่น หมูแนม ก้อยกุ้ง
แกงคัว่ เป็นต้น แต่บางชนิดก็เป็นอาหารโบราณ ทีป่ จั จุบนั อาจหารับประทานได้ยาก เพราะ
ต้องผ่านกรรมวิ ธีการผลิตที่ซับซ้อน ยุ่งยากหลายขั้นตอน เช่น ล่าเตียง และ หรุ่ม
บทที่ 6 กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน 113
อาหารบางชนิดเป็นอาหารต่างชาติ ใช้เครื่องปรุงเฉพาะที่ท�ำให้มีรสชาติแตกต่างไป
เช่น ลุดตี่ และข้าวหุงเครื่องเทศ
กาพย์บางบทยังสะท้อนให้เห็นถึงส่วนประกอบของอาหารชนิดนั้นๆ เช่น มัสมั่นแกง
แก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง, ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน�้ำส้มโรยพริกไทย, แกงคั่วส้ม
ใส่ระก�ำ และบอกวิ ธีการจั ดอาหารด้วย เช่น พิศห่อเห็นรางชาง ห่างห่อหวนป่วนใจโหย,
หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบทองหลาง
นอกจากนี้เรายังได้ทราบว่า กว่าจะเป็นอาหารมาตั้งให้รับประทานกันนั้น จะต้อง
อาศัยฝีมอื ในการปรุงทีน่ อกจากจะท�ำให้บริโภคอาหารได้มากแล้ว ยังท�ำให้เพลิดเพลินเจริญใจ
กับความสวยงามของการตกแต่งอาหารให้งามวิ จิตรอีกด้วย
ในส่วนของการปรุงนั้นก็ต้องปรุงให้มีกลิ่นหอม รสดี ซึ่งจะต้องผ่านกรรมวิ ธีต่างๆ
มากมาย เช่น การเลือกเครื่องปรุงต้องเลือกแต่ของดี ๆ และผู้ปรุงก็ต้องเลือกของเป็น ครั้น
ปรุงเสร็จแล้วยังต้องรูจ้ ักจัดวางตกแต่งให้สวยงามน่ารับประทานทัง้ รูปลักษณ์และสีสนั ด้วย
สุดท้ายนี้ผู้เขี ยนขอกล่าวว่า การอ่านกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน นอกจากผู้อ่านจะ
ได้รับรู้ รับทราบ เกี่ยวกับรายชื่ออาหารที่กวีพรรณนาแล้ว ผู้อ่านยังจะได้ร้วู ่า อาหารเป็น
เครื่องหมายแทนความรักความผูกพั นของคนในครอบครัวอีกด้วย
บรรณานุกรม 6
2. ความหมายของนิทานพื้นบ้าน
นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่ากันมา เช่น นิทานชาดก นิทานอีสป
พื้นบ้าน หมายถึง เฉพาะถิ่น (นี่คือความหมายตามพจนานุกรม)
ส่วนความหมายในทางคติชนวิ ทยา นิทานจะหมายถึง เรื่อง
เล่าทั ้งที่เป็นมุขปาฐะและลายลักษณ์อักษร เล่าสืบทอดกันมาหลาย
ชั่วอายุคน เป็นเรื่องที่ ใช้ถ้อยค�ำธรรมดาๆ และเป็นภาษาร้อยแก้ว
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่งขึ้นคนแรก มีการถ่ายทอดด้วยปากมาเป็น
เวลานานก่อนที่จะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (ประพนธ์ เรืองณรงค์
และเสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2545 : 52)
3. ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน
ศาสตราจารย์ คุณหญิง กุหลาบ มัลลิกะมาส (2518 : 99-100) ได้กล่าว ถึงลักษณะ
ของนิทานพื้นบ้านเอาไว้ว่า มีลักษณะส�ำคัญ 3 ประการ คือ
1. เป็นเรื่องเล่าด้วยถ้อยค�ำธรรมดา เป็นภาษาร้อยแก้วไม่ ใช่ร้อยกรอง
2. เล่ากันด้วยปาก สืบกันมาเป็นเวลาช้านาน แต่ต่อมาในระยะหลังเมื่อการเขี ยน
เจริญขึ้น ก็อาจเขี ยนขึ้นตามเค้าเดิมที่เคยเล่าด้วยปากเปล่า
3. ไม่ปรากฏว่าผู้เล่าดั้งเดิมนั้นเป็นใคร อ้างแต่ว่าเป็นของเก่า ฟังมาจากผู้เล่าซึ่ง
เป็นบุคคลส�ำคัญยิ่งในอดี ตอีกต่อหนึง่ ผิ ดกับนิยายสมัยใหม่ที่ทราบตัวผู้แต่ง แม้นทิ านที่
ปรากฏชื่อผู้เขี ยน เช่น นิทานของกริมม์ (ผู้เขี ยนคือกริมม์) ก็อ้างว่า เล่าตามเค้านิทานที่มี
มาแต่เดิม ไม่ใช่ตนแต่งขึ้น
บทที่ 7 นิทานพื้นบ้าน 117
4. ประเภทของนิทานพื้นบ้าน
นิทานพื้นบ้านสามารถแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ 12 ประเภท คือ
1. ต�ำนานปรัมปรา 7. นิทานสัตว์
2. นิทานมหัศจรรย์ 8. นิทานคติ
3. นิทานชีวิต 9. นิทานข�ำขัน
4. นิทานวีรบุรุษ 10. นิทานศาสนา
5. นิทานประจ�ำถิ่น 11. นิทานเรื่องผี
6. นิทานอธิบายเหตุ 12. นิทานเข้าแบบ
ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดของนิทานประเภทต่างๆ โดยสรุปความจากประคอง
นิมมานเหมินทร์ (2549 : 135-143) ดังนี้
1. ต�ำนานปรัมปรา
ต�ำนานปรัมปรา คือ เรื่องเล่าที่อธิบายความเป็นมาของโลกและจั กรวาล ก�ำเนิด
มนุษย์ สัตว์และพืช บางเรื่องอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลม ฝน จั นทรุปราคา
สุริยุปราคา กลางวัน กลางคืน ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องราวต่างๆ
เหล่านี้อธิบายโดยแสดงถึงความเชื่อทางศาสนา จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้า และบุคคล
ที่มีลักษณะกึ่งเทพหรือสืบเชื้อสายจากเทพ
2. นิทานมหัศจรรย์
ลักษณะส�ำคัญของนิทานประเภทนี้ คือ เป็นนิทานที่ประกอบด้วยเรื่องมหัศจรรย์
อิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ มีการใช้อาวุธวิ เศษ เวทมนตร์ คาถาและอาจมี
ตัวละครที่ ไม่ใช่มนุษย์ปรากฏอยู่ด้วย เช่น แม่มด ยักษ์ นางฟ้า
118 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. นิทานชีวิต
นิทานประเภทนีเ้ ป็นนิทานทีม่ เี นือ้ หาอยู่ ในโลกของความเป็นจริง มีการระบุชอื่ ตัวละคร
และสถานทีอ่ ย่างชัดเจน ตัวอย่างของนิทานประเภทนีม้ อี ยูห่ ลายเรือ่ งในนิทานอาหรับราตรี
4. นิทานวีรบุรุษ
ลักษณะของนิทานประเภทนีเ้ ป็นการเล่าถึงการผจญ
ภัยและความกล้าหาญของพระเอก ซึ่งเป็นวีรบุรุษที่มีความ
สามารถเหนือมนุษย์ เช่น เฮอร์คิวลิส ผู้มีความกล้าหาญ
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก สามารถฆ่างูโดยใช้สองมือจั บงูร้าย
สองตัวทีเ่ ลือ้ ยเข้ามาในเปล ครัน้ เติบโตขึน้ ก็ปราบปรามสัตว์
ร้ายต่างๆ และท�ำงานที่มนุษย์ไม่สามารถจะท�ำได้
5. นิทานประจ�ำถิ่น
นิทานประจ�ำถิ่น คือ นิทานที่อธิบายความเป็นมาของสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น อาจเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น�้ำ เกาะ หรือเป็นสิ่งก่อสร้าง เช่น เจดี ย์ บางเรื่อง
เกี่ยวข้องกับบุคคลในประวัติศาสตร์ บางเรื่องเกี่ยวข้องกับเทวดา สัตว์ หรือผี สางนางไม้
เช่น ภูเขาลูกหนึง่ ในประเทศลาวชื่อ ภูท้าวภูนาง มีนทิ านที่เล่าถึงความเป็นมาว่า ชายคน
หนึง่ ชื่อ พุ ทธเสน เดินทางเข้าไปในป่า มีนางยักษ์ชื่อ กินนา เห็นเข้าก็หลงรัก จึงแปลงกาย
เป็นหญิงงามหลอกให้พุทธเสนอยู่ด้วย ต่อมาพุ ทธเสนทราบความจริงจึงหนีไป นางกินนา
ติดตามพุ ทธเสนไปจนขาดใจตาย พุ ทธเสนเห็นนางกินนาเสียชีวิตก็สงสารและเห็นใจนาง
เพราะนางรักตนจริง ท�ำให้พุทธเสนขาดใจตายตามนางกินนาไปด้วย แล้วทั ้งสองคนก็ไป
เกิดเป็นภูเขาชื่อภูท้าวภูนาง
บทที่ 7 นิทานพื้นบ้าน 119
6. นิทานอธิบายเหตุ
นิทานอธิบายเหตุ คือ นิทานที่อธิบายถึงก�ำเนิดหรือความเป็นมาของสิ่งที่เกิดขึ้นใน
ธรรมชาติ เช่น อธิบายสาเหตุทสี่ ตั ว์บางชนิดมีรปู ร่าง ลักษณะหรือสีสนั ต่างๆ อธิบายก�ำเนิด
ของต้นไม้หรือดอกไม้บางชนิด ความเป็นมาของดาวบางดวงหรือบางกลุ่ม หรือความเป็นมา
ของเงาด�ำที่ปรากฏบนดวงจั นทร์ แต่ละชาติจะมีเรื่องเล่าอธิบายความเป็นมาของสิ่งต่างๆ
ไม่เหมือนกัน แล้วแต่จินตนาการของคนในสังคมนั้นๆ เช่น เงาด�ำบนดวงจั นทร์เป็นสิ่งที่
มนุษย์สงสัยและพยายามหาค�ำตอบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ละชาติจึงมีนทิ านอธิบายความ
เป็นมาต่างๆ กัน เช่น ชาวพม่ามีนทิ านเรื่องชายแก่รับจ้างต�ำข้าว เทพธิดาดวงจั นทร์สงสาร
พอกลางวันก็แปลงกายเป็นหญิงแก่มาช่วยต�ำ กลางคืนก็กลับสู่ท้องฟ้า ชายแก่ขอให้พาตน
และกระต่ายไปอยูด่ ว้ ย ดังนั้นเงาด�ำบนดวงจั นทร์จึงเป็นรูปชายแก่ต�ำข้าวและมีกระต่ายนัง่
อยู่ข้างๆ คอยกินแกลบ ส่วนชาวอินเดี ย มีนทิ านอธิบายว่าเป็นรูปกระต่ายที่บ�ำเพ็ญคุณงาม
ความดี ยอมสละชีวิตของตนเป็นทาน จึงมีรปู ปรากฏเป็นอนุสรณ์บนดวงจั นทร์
7. นิทานสัตว์
นิทานสัตว์ คือ นิทานที่มีสัตว์เป็นตัวละครเอก โดยมักแสดงให้เห็นถึงความฉลาด
ของสัตว์ชนิดหนึง่ และความโง่เขลาของสัตว์อีกชนิดหนึง่ สัตว์ฉลาดและสัตว์โง่ ในนิทาน
พื้นบ้านของชาติต่างๆ อาจไม่ตรงกัน เช่น นิทานสัตว์ของยุโรปมักจะมีสุนัขจิ ้งจอก เป็นตัว
ละครที่ฉลาดแกมโกง นิทานสัตว์ของพม่ามักจะมีกระต่ายเป็นตัวละครเอก นิทานสัตว์ของ
บางประเทศมีตัวละครเอกเป็นลิง นิทานสัตว์บางเรื่องก็แสดงให้เห็นความกตัญญูร้คู ุณของ
สัตว์นั้นๆ
8. นิทานคติ
นิทานคติ คือ นิทานทีเ่ ล่าโดยเจตนาให้ขอ้ คิดด้าน
คุณธรรมหรือจริยธรรมอย่างใดอย่างหนึง่ ตัวอย่างเช่น
นิทานอีสป ซึ่งเป็นนิทานที่ ให้ข้อคิดที่ดีแก่ผู้อ่านผู้ฟัง
ตัวละครในนิทานอีสปล้วนแต่เป็นสัตว์ทั้งสิ้น
120 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
9. นิทานข�ำขัน
นิทานประเภทนีม้ กั เป็นเรือ่ งขนาดสัน้ ตัวละครอาจเป็นมนุษย์หรือสัตว์กไ็ ด้ จุดส�ำคัญ
ของเรือ่ งอยูท่ คี่ วามไม่นา่ จะเป็นไปได้ตา่ งๆ อาจเป็นเรือ่ งทีแ่ สดงถึงความโง่เขลา ความฉลาด
หรือความเกียจคร้านอย่างนึกไม่ถงึ เช่น คนโง่เอาเสือ้ คลุมให้กอ้ นหินเพราะกลัวก้อนหินหนาว
นิทานข�ำขันบางเรือ่ งมีลกั ษณะเป็นเรือ่ งล้อเลียนในสิง่ ทีเ่ ป็นไปไม่ได้ เช่นเล่าว่า คนเกียจคร้าน
คนหนึง่ อยากกินมะเดือ่ แต่ขีเ้ กียจปีนต้นมะเดือ่ จึงไปนอนอ้าปากรอให้ผลมะเดือ่ ตกใส่ปาก
นิทานข�ำขันบางเรื่องเป็นเรื่องของคนต่างชาติ หรือนักบวช ที่มีพฤติกรรมเป็นที่น่าขบขัน
10. นิทานศาสนา
นิทานศาสนาจะเป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับศาสนา ซึ่งไม่มีกล่าวไว้ ในคัมภีร์ศาสนา เช่น
ชาวคริสต์บางกลุม่ มีเรือ่ งเล่าว่าพระเจ้าปลอมตัวเป็นขอทานเพือ่ ทดสอบความมีนำ�้ ใจของคน
ส่วนผู้ที่นับถือพุ ทธศาสนาในบางท้องถิ่นของประเทศไทย ก็มีเรื่องเล่าว่าพระพุ ทธเจ้าเสด็จ
มาในที่ต่างๆ ของตน
5. นิทานพื้นบ้านไทยในท้องถิ่นต่างๆ
ในแต่ละท้องถิ่นมักมีนทิ านที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม สังคมวัฒนธรรมของ
ท้องถิ่น ดั้งนั้นนิทานของแต่ละท้องถิ่นจึงแตกต่างกัน ซึ่งพอจะกล่าวถึงลักษณะของนิทาน
พื้นบ้านตามท้องถิ่นต่างๆ ได้ดังนี้ (เก็บความจากส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พื้นฐาน, 2554 : 144-145)
5.1 นิทานภาคเหนือ
ภาคเหนือมักมีนทิ านประเภทเล่าความเป็นมาของสถานที่ หรือนิทานที่เกี่ยวข้องกับ
พระพุ ทธศาสนาจ�ำนวนมาก ส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระพุ ทธเจ้า หรือความเป็นมาของสถานที่
ที่เกี่ยวข้องกับพุ ทธประวัติ เช่น การสร้างเมืองและที่มาของชื่อเมือง การสร้างพระธาตุเจดี ย์
นิทานประเภทอธิบายสาเหตุของสิง่ ต่างๆ บางเรือ่ งก็ยงั มีเรือ่ งของ
พระพุทธเจ้าไปเกีย่ วข้อง เช่น เรือ่ งพระพุทธเจ้าตัง้ ชือ่ สุนขั เล่าว่า
เดิมสุนขั ไม่มชี อื่ จึงไปขอให้พระพุทธเจ้าตัง้ ชือ่ ให้ พระพุทธเจ้าตัง้
ชื่อให้ว่า “ค�ำผี หลี้” ซึ่งแปลว่าทองค�ำที่สวยงามน่ารัก มันภูมิใจ
มาก จึงถามพระพุ ทธเจ้าซ�้ำๆ หลายครั้งว่ามันชื่ออะไร เพื่อจะ
ได้ฟงั ชือ่ อันไพเราะของมันบ่อยๆ พระพุทธเจ้าร�ำคาญจึงบอกว่า
มันชื่อหมา ตั้งแต่นั้นมาสุนัขจึงมีชื่อเรียกว่า หมา
122 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5.2 นิทานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักมีนทิ านที่กล่าวถึงความขัดแย้ง การขอฝนและบทบาท
ของแถน ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่าเป็นเทวดาที่มีอ�ำนาจเหนือชีวิตมนุษย์ เช่น นิทานเรื่องพญา
คันคาก (คางคก) กล่าวถึงการที่ โลกมนุษย์แห้งแล้ง เพราะแถนไม่ยอมให้ฝนตก พญา
คันคากจึงได้น�ำกองทั พสัตว์ต่างๆ เช่น มด ปลวก เขี ยด อึ่งอ่าง จั กจั ่น ฯลฯ ขึ้นไปรบกับ
พญาแถนบนฟ้า พญาคันคากได้ชยั ชนะ พญาแถนจึงยอมให้ฝนแก่ โลกมนุษย์ นิทานเรือ่ งนีย้ งั
สัมพั นธ์กับประเพณีบุญบั้งไฟของชาวอีสานด้วย
5.3 นิทานภาคกลาง
นิทานประจ�ำท้องถิ่นที่อธิบายที่มา หรือต�ำนานสถานที่และสิ่งต่างๆ ในท้องถิ่น
ภาคกลาง อันเป็นทีร่ จู้ ั กกันดี คอื เรือ่ งพญากงพญาพาน หรือต�ำนานการสร้างพระปฐมเจดี ย์
ซึง่ กล่าวถึงพญาพานสร้างพระปฐมเจดียเ์ พือ่ ไถ่บาปทีฆ่ า่ พญากง โดยไม่รวู้ า่ เป็นบิดาของตน
นิทานอีกเรื่องหนึง่ ที่รู้จักกันแพร่หลายคือเรื่องไกรทอง ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านของจั งหวัด
พิจิตร กล่าวถึงไกรทองผู้เก่งกล้า สามารถปราบจระเข้ดุร้ายอย่างชาละวันได้
บทที่ 7 นิทานพื้นบ้าน 123
5.4 นิทานภาคตะวันออกและภาคตะวันตก
ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกมีหาดทรายและเกาะแก่งต่างๆ ในทะเลอ่าวไทยก็
มักจะมีนทิ านที่สัมพั นธ์กับชื่อและลักษณะภูมิประเทศชายฝั่งทะเล เช่น นิทานเรื่องตาม่อง
ล่าย ซึ่งอธิบายที่มาของภูเขา เกาะแก่ง และแหลมบริเวณจั งหวัดชลบุรี และจั งหวัดตราดใน
เขตภาคตะวันออก และจั งหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในภาคตะวันตก โดยเล่าว่า ตาม่องล่ายกับ
ยายร�ำพึงทะเลาะกัน เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าจะยกลูกสาวให้กับใคร ทั ้งสองจึงขว้างปา
สิ่งของใส่กัน ข้าวของเหล่านั้นกลายเป็นแหลมและเกาะต่างๆ เช่น งอบกระเด็นไปตกเป็น
แหลมงอบ และกระบุงกลายเป็นเกาะกระบุง ในจังหวัดตราด ตาม่องล่ายฉีกลูกสาวออกเป็น
สองซีก ซีกหนึง่ กลายเป็นเกาะนมสาว ในจังหวัดชลบุรี และอีกซีกหนึง่ กลายเป็นเกาะนมสาว
ในจั งหวัดประจวบคีรีขันธ์ สุดท้ายตาม่องล่ายและยายร�ำพึง กลายเป็นเขาตาม่องล่ายและ
เขาแม่ร�ำพึง ในจั งหวัดประจวบคีรีขันธ์
5.5 นิทานภาคใต้
นิทานภาคใต้หลายเรือ่ งกล่าวถึงทีม่ าของภูเขา เกาะ และชายหาดต่างๆ เช่น เกาะหนู
เกาะแมว ในจังหวัดสงขลา ซึง่ มีเรือ่ งเล่าว่าหนูกบั แมวจมน�ำ้ ตายแล้วกลายเป็นเกาะ นอกจาก
นี้ยังมีนทิ านที่กล่าวถึงคนจีนและคนมุสลิม นิทานที่แพร่หลายเรื่องหนึง่ คือเรื่องเจ้าแม่ลิ้ม
กอเหนีย่ ว ซึง่ เป็นหญิงชาวจีนทีม่ าตามหาพีช่ ายทีป่ ตั ตานี เมือ่ พบกันแล้วพีช่ ายของนางไม่ยอม
กลับเมืองจีน นางจึงสาปให้พี่ชายสร้างมัสยิดไม่ส�ำเร็จ แล้วนางก็ผูกคอตาย ต่อมามัสยิดที่
พี ่ชายของนางสร้างถูกฟ้าผ่า ผู้คนจึงนับถือความศักดิ์สิทธิ์และสร้างศาลให้แก่นาง
124 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
6. นิทานไทยเรื ่องสังข์ทอง
สังข์ทองเป็นนิทานอันมีทมี่ าจากปัญญาสชาดก เรือ่ งสุวณ
ั ณสังขชาดก ถือเป็นนิทานไทย
ทีร่ จู้ ักกันอย่างแพร่หลายทัว่ ภูมภิ าคและเล่ากันตามท้องถิน่ ต่างๆ ทัง้ ในรูปแบบวรรณกรรม
มุขปาฐะและวรรณกรรมลายลักษณ์ ซึง่ มีอยูด่ ว้ ยกันหลายส�ำนวน แบ่งออกตามภูมภิ าคได้ ดังนี้
ภาคเหนือ ค่าวซอสุวรรณหอยสังข์ และสุวรรณสังขชาดก
ภาคกลาง บทละครนอกเรื่องสังข์ทองสมัยอยุธยา บทละครนอก เรื่องสังข์ทองของ
พระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศหล้านภาลัย
ภาคอีสาน สุวรรณสังขกุมาร และสุวัณสังขาร์
ภาคใต้ สังข์ทองค�ำกาพย์
นิทานเรือ่ งสังข์ทองมิ ใช่เรือ่ งทีเ่ ล่าฟังกันเล่นๆ แต่เป็นเรือ่ งทีฝ่ งั รากลึกอยู่ ในจิตใจของ
ชาวบ้าน จนเกิดความเชือ่ ว่าเรือ่ งสังข์ทองเป็นเรือ่ งจริง และมีความข้องเกีย่ วกับสถานทีต่ า่ งๆ
เช่น ชาวจั งหวัดอุตรดิตถ์มีความเชื่อว่าเมืองทุ่งยั้ง เป็นเมืองของท้าวสามล เวียงเจ้าเงาะก็
เชื่อกันว่าเป็นเมืองของพระสังข์กับนางรจนา ที่มาอาศัยอยู่เพราะถูกท้าวสามลขับไล่ออกมา
จากเมืองทุ่งยั้ง
ทีอ่ ำ� เภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ก็มคี วามเชือ่ ว่าเป็นสถานทีต่ คี ลีของพระสังข์ จังหวัด
ชัยภูมิก็มีต�ำนานที่เล่าสืบกันมาว่า บริเวณพระธาตุบ้านแก้ง อ�ำเภอภูเขี ยว เป็นสถานที่ที่
พระสังข์ตีคลีกับพระอินทร์จนลูกคลีตกไปในหนองน�้ำ ต้องให้คนช่วยงมหาถึงสามหมื่นคน
ณ ที่นั้นจึงมีนามเรียกว่า หนองสามหมื่น ด้านทิศเหนือของหนองน�้ำนี้ มีลานหญ้าที่เชื่อ
ว่าเป็นสนามประลองการตีคลี ระหว่างพระสังข์กับพระอินทร์ นอกจากนี้ยังเชื่อว่ารูปสลัก
ชายกับหญิงที่หน้าผา บนผนังอุโมงค์ขนาดเล็ก ห่างจากบ้านแก้งไปทางทิศใต้ 9 กิโลเมตร
เป็นรูปเจ้าเงาะกับนางรจนา เส้นทางเดินไปยังอุโมงค์เป็นหลืบหินคดเคี้ยวเรียกชื่อว่า
ทางไปบ้านเจ้าเงาะ
บทที่ 7 นิทานพื้นบ้าน 125
พระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมีท้าวสามลและพระนางมณฑา
ปกครองเมือง ท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดา 7 องค์ พระธิดาองค์สุดท้อง
ชื่อ รจนา มีสิริโฉมเลิศล�้ำกว่าธิดาทุกองค์ วันหนึง่ ท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยง
มาลัยเลือกคู่ ให้ธิดาทั ้งเจ็ด ซึ่งธิดาทั ้งหกต่างเสี่ยงมาลัยได้คู่ครองทั ้งสิ้น เว้น
แต่นางรจนาทีม่ ไิ ด้เลือกเจ้าชายองค์ ใดเป็นคูค่ รอง ท้าวสามลจึงได้ ให้ทหารไป
น�ำตัวพระสังข์ ในร่างเจ้าเงาะ ซึง่ เป็นชายเพียงคนเดียวทีเ่ หลือในเมืองสามล
มาให้นางรจนาดูตัว ฝ่ายนางรจนาเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ ก็เสี่ยง
พวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ท�ำให้ท้าวสามลโกรธมาก เนรเทศนางรจนาไปอยู่ที่
กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ
กล่าวถึงพระอินทร์ อาสน์ทปี่ ระทับของพระองค์เกิดแข็งกระด้าง เป็นสัญญาณให้ทราบ
ว่ามีผมู้ บี ญ
ุ ก�ำลังเดือดร้อน จึงส่องทิพยเนตรลงไป พบเหตุการณ์ ในเมืองสามล จึงแปลงกาย
เป็นกษัตริยย์ กทัพไปล้อมเมืองสามล ท้าให้ทา้ วสามลออกมาแข่งตีคลี หากท้าวสามลแพ้กจ็ ะ
ยึดเมืองเสีย ท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งตีคลีกบั พระอินทร์ แต่กแ็ พ้ไม่เป็นท่า จึงจ�ำต้องเรียก
เจ้าเงาะให้มาช่วยตีคลี ซึง่ นางรจนาได้ขอร้องให้สามีชว่ ยถอดรูปเงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูก
ขอร้องจนใจอ่อนยอมถอดรูปเป็นพระสังข์ทอง ใส่เกือกแก้วเหาะขึน้ ไปตีคลีกบั พระอินทร์จน
ชนะ แล้วพระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์
หลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองสามลแล้ว พระอินทร์ได้เข้าฝันท้าวยศวิ มล และเปิดโปง
ความชั่วของนางจั นทาเทวีผู้เป็นสนมเอก พร้อมกับสั่งให้ท้าวยศวิ มลไปรับนางจั นท์เทวีกับ
พระสังข์มาอยู่ด้วยกันดังเดิม ท้าวยศวิ มลจึงยกขบวนเสด็จไปรับพระนางจั นท์เทวีกลับมา
และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเมื่อตามหาพระสังข์
ท้าวยศวิ มลและนางจั นท์เทวีปลอมตัวเป็นสามัญชนเข้าไปอยู่ในวัง โดยท้าวยศวิ มล
เข้าไปสมัครเป็นช่างสานกระบุง ตะกร้า ส่วนนางจั นท์เทวีเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว วันหนึง่
นางจั นท์เทวีปรุงแกงฟักถวายพระสังข์ โดยนางจั นท์เทวีได้แกะสลักชิ้นฟักเจ็ดชิ้น เป็น
เรื่องราวของพระสังข์ตั้งแต่เยาว์วัย ท�ำให้พระสังข์ร้วู ่าพระมารดาตามมาแล้ว จึงมาที่ห้อง
ครัวและได้พบกับพระมารดาที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้ง หลังจากนั้นท้าวยศวิ มล
นางจั นท์เทวี พระสังข์ และนางรจนาก็เดินทางกลับเมืองยศวิ มล ท้าวยศวิ มลได้สั่งประหาร
นางจั นทาเทวี และสละราชสมบัติให้พระสังข์ ได้ครองราชย์สืบต่อมา
บทที่ 7 นิทานพื้นบ้าน 127
7. คุณค่าและความส�ำคัญของนิทานพื้นบ้าน
นิทานพื้นบ้านเป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังตามท้องถิ่นต่างๆ ทั ่วทุกภาค และมีเนื้อหาที่
หลากหลาย เช่น เล่าความเป็นมาของสถานที่ กล่าวถึงสิง่ มหัศจรรย์ เล่าเรือ่ งผี เล่าเรือ่ งตลก
ซึง่ เนือ้ หาทีห่ ลากหลายนี้ ล้วนมีคณ ุ ค่าและมีความส�ำคัญกับชีวิตของคนเราในหลายด้าน เช่น
1 ให้ความเพลิดเพลิน ในโลกของความเป็นจริง เราอาจมีความทุกข์หรือปัญหา
ต่างๆ มากมาย แต่ ในโลกของนิทานนัน้ ทุกสิง่ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามจิ นตนาการของเรา
นิทานจึงท�ำให้เราเพลิดเพลินไปกับความมหัศจรรย์ต่างๆ ที่เราท�ำไม่ได้ ในชีวิตจริง เช่น
เหาะเหินเดินอากาศ เวทมนตร์ ของวิ เศษ หรือการแปลงกาย
2 ให้ก�ำลังใจในการด�ำเนินชีวิต ตัวละครเอกในนิทานหลายเรื่องมักประสบความ
ทุกข์ยากล�ำบาก แต่ก็จะได้รับความสุขสบายในที่สุด เช่น นิทานท้าวก�ำพร้าของชาวอีสาน
ที่ตัวละครเอกเป็นลูกก�ำพร้า ยากจนและอยู่อย่างอ้างว้าง ไร้ญาติขาดมิตร แต่ท้ายสุดก็จะ
มี โชคหรือได้รับความช่วยเหลือให้รำ�่ รวยหรือได้เป็นเจ้าเมือง ดังนัน้ นิทานท้าวก�ำพร้าจึงเป็น
นิทานที่ ให้ก�ำลังใจในการด�ำเนินชีวิตแก่ผู้มีความทุกข์ได้เป็นอย่างดี
3 ให้คำ� อธิบายเกีย่ วกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือทีม่ าของสถานทีแ่ ละสิง่ ต่างๆ
ในท้องถิ่น เช่น เรื่องเมขลากับรามสูร อธิบายการเกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง หรือนิทานเรื่อง
พญากงพญาพาน ที่อธิบายเรื่องการสร้างพระปฐมเจดี ย์ รวมถึงนิทานที่อธิบายถึงการเกิด
เกาะ แก่ง ภูเขา แหล่งน�้ำ นิทานเหล่านี้ท�ำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวอย่าง
สนุกสนานมากขึ้น ที่ส�ำคัญคือ ท�ำให้เกิดความเข้าใจและผูกพั นกับท้องถิ่น เห็นคุณค่าและ
ความส�ำคัญของท้องถิ่นตน ก่อให้เกิดความภาคภูมิ ใจในท้องถิ่น
128 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
8. บทสรุป
นิทานพื้นบ้านของไทยไม่ว่าจะเป็นนิทานของภาคใด ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ ให้ความ
สนุกสนานเพลิดเพลิน ทั ้งยังให้ความรู้ความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นด้วย
การเล่านิทานสู่กันฟังเป็นสิ่งที่ท�ำให้เกิดความบันเทิงใจ หลังจากที่ผู้คนได้ท�ำงานมา
แล้วทั ้งวัน สมัยโบราณยังไม่มีการแสวงหาความบันเทิงเช่นเดี ยวกับปัจจุบัน กิจกรรมการ
เล่านิทาน จึงเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันอยู่ในชุมชนหลายแห่ง และเป็นที่นยิ มกัน ในกลุ่มคนที่อยู่
ในสังคมเดี ยวกัน พูดภาษาเดี ยวกัน นับถือศาสนาเดี ยวกัน เพราะคนเหล่านี้จะมีความรู้สึก
เป็นอันหนึง่ อันเดี ยวกัน
กิจกรรมการเล่านิทานเป็นการใช้เวลาว่างทีม่ คี ณ
ุ ค่า ผูท้ มี่ สี ว่ นร่วมในกิจกรรมจะรูส้ กึ
ว่าได้เข้ารวมตัวกับกลุ่ม ท�ำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย มีความรัก ความผูกพั น และ
มีความสามัคคีกัน
บทที่ 7 นิทานพื้นบ้าน 129
1. ประวัติความเป็นมา
โคลงภาพพระราชพงศาวดาร ตอน พระสุริโยทั ยขาดคอช้างนี้ เป็นตอนหนึง่
ในหนังสือโคลงภาพพระราชพงศาวดาร เป็นโคลงบรรยายภาพที่ 10 แผ่นดินสมเด็จ
พระมหาจั กรพรรดิ กล่าวถึงวีรกรรมของพระสุริโยทั ยที่แสดงให้ปรากฏออกมาแก่
สายตาชาวไทย คือ ความกตัญญูและความเสียสละ ในการที่ ได้ทรงปกป้องสมเด็จ
พระมหาจั กรพรรดิ ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของข้าศึกด้วยการอุทิศชีวิตของพระองค์
เป็นราชพลี
2. ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที่ 5) ทรงเป็นพระราชโอรส
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เมื่อ พ.ศ. 2411 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมระยะเวลา
ที่ทรงครองราชย์ได้ 42 ปี
132 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์นั้น ประเทศไทยก�ำลังอยู่ในระหว่างสมัยเก่ากับ
สมัยใหม่ การปกครองบ้านเมืองก็ยังไม่เป็นระเบี ยบเรียบร้อยเหมาะแก่กาลสมัย จึงได้ทรง
พระราชด�ำริแก้ไขการปกครองเสียใหม่ โดยแยกงานออกเป็นกระทรวงต่างๆ 12 กระทรวง
และโดยเหตุที่พระองค์เคยเสด็จต่างประเทศหลายครั้ง ท�ำให้ทรงรู้เห็นความเจริญด้าน
ต่างๆ ของประเทศนั้นๆ จึงทรงเห็นว่าน่าจะจั ดให้มีขึ้นในประเทศไทยบ้าง เช่น การรถไฟ
การไปรษณีย์ โทรเลข การสุขาภิบาล เป็นต้น การใดที่มีอยู่แล้วและทรงเห็นว่าควรจั ดให้ดี
ยิ่งขึ้นกว่าเก่าก็ โปรดให้แก้ไข เช่น การศึกษา การทหาร เป็นต้น ส่วนพระราชกรณียกิจที่
ชาวไทยจดจ�ำได้ติดตรึ งใจก็คือ การเลิกทาส ซึ่งท�ำให้พระองค์ได้รับการถวายพระสมัญญา
ว่า “พระปิยมหาราช”
3. เนื้อเรื ่อง
พระเจ้าบุเรงนองได้ยกกองทหารจ�ำนวนสามแสนนาย เพือ่ มาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จ
พระมหาจักรพรรดิ กษัตริยก์ รุงศรีอยุธยาในขณะนัน้ ได้ทรงมีพระบัญชาให้สร้างค่ายคู ประตู
หอรบ เอาไว้ ให้มั่น เพื่อรับศึก และทรงมีพระราชด�ำริที่จะเสด็จออกไปยังสนามรบ เพื่อดู
กองก�ำลังของฝ่ายข้าศึกว่ามีมากน้อยเพี ยงใด
ฝ่ายพระสุริโยทั ย พระอัครมเหสี ทรงปลอมพระองค์เป็นชาย ทรงเครื่องยุทธพิชัย
แบบพระมหาอุปราช ประทั บช้างศึก เข้าร่วมไปกับขบวนของสมเด็จพระมหาจั กรพรรดิด้วย
ครั้นถึงสนามรบก็เกิดการปะทะกันระหว่างกองทั พกรุงศรีอยุธยาและกองทั พพม่า
ซึ่งสมเด็จพระมหาจั กรพรรดิทรงชนช้างกับพระเจ้าแปร แต่สมเด็จพระมหาจั กรพรรดิเสียที
จึงขับช้างหนีข้าศึก พระเจ้าแปรเห็นได้ โอกาสจึงรีบขับช้างตาม
ฝ่ายสมเด็จพระสุริโยทั ยเห็นพระราชสวามีเสียทีแก่ข้าศึก ด้วยความกตัญญูกตเวที
ที่ทรงมีต่อสมเด็จพระมหาจั กรพรรดิ พระนางจึงไสช้างเข้าขวาง จนถูกพระเจ้าแปรฟัน
ด้วยพระแสงของ้าวขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์ทันที ฝ่ายพระราชโอรส (พระราเมศวรกับ
พระมหินทร์) ก็รีบกันพระศพคืนสู่พระนคร
4. คุณค่าด้านวรรณศิลป์
4.1 การสรรค�ำ
ในการแต่งวรรณคดี เรื่องใดๆ ก็ตาม กวีจะไม่น�ำค�ำพื้นๆ ธรรมดาๆ มาใช ้ ในงาน
ประพั นธ์ของตน แต่กวีจะเลือกสรรค�ำที่ ไพเราะและมีความหมายที่กวีเห็นว่าเหมาะสมมา
ใช้ ดังตัวอย่าง เช่น
ค�ำเรียกพระมหากษัตริย์ : จอมรามัญ ภูวดล ขุนมอญ
ค�ำเรียกสมเด็จพระสุริโยทั ย : นงคราญองค์เอกแก้ว กระษัตรีย์
ค�ำเรียกช้าง : คชาธาร คช สาร คเชนทร
4.2 เสียงเสนาะ
4.2.1 สัมผัส มีทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสใน ดังนี้
สัมผัสนอก หมายถึง สัมผัสนอกวรรคหรือระหว่างวรรคโดยลักษณะเสียงสัมผัสเป็น
เสียงสระ ดังตัวอย่าง
“ขุนมอญร่อนง้าวฟาด ฉาดฉะ
ขาดแล่งตราบอุระ หรุบดิ้น
โอรสรีบกันพระ ศพสู่ นครแฮ
สูญชีพไป่สูญสิ้น พจน์ผสู้ รรเสริญ”
4.3 ความหมายอันลึกซึ้งกินใจ
เกิดจากกลวิ ธีการแต่ง ดังต่อไปนี้
4.3.1 การพรรณนาอย่างตรงไปตรงมา คือ การใช้ค�ำที่เข้าใจง่าย อ่านแล้ว
รับรู้เรื่องราวได้ทันที เช่น
“บุเรงนองนามราชเจ้า จอมรา-มัญเฮย
ยกพยุหแสนยา ยิ่งแกล้ว
มอญม่านประมวลมา สามสิบ หมื่นแฮ
ถึงอยุธเยศแล้ว หยุดใกล้นครา”
โคลงบทนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู่กันอย่างดุเดือดของกองทั พกรุงศรีอยุธยาและ
กองทั พพม่า ที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งเอาชัยชนะกัน
4.3.4 การเสนอความคิด ในการแต่งวรรณคดีนนั้ กวีจะไม่พรรณนาเนือ้ เรือ่ งเพียง
อย่างเดี ยว แต่มักจะสอดแทรกแนวคิดอะไรสักอย่างหนึง่ ลงไปด้วย ดังเช่นโคลงบทสุดท้าย
ที่กวีต้องการชี้ ให้เห็นว่าการท�ำความดี ย่อมมีผู้สรรเสริญ
“ขุนมอญร่อนง้าวฟาด ฉาดฉะ
ขาดแล่งตราบอุระ หรุบดิ้น
โอรสรีบกันพระ ศพสู่ นครแฮ
สูญชีพไป่สูญสิ้น พจน์ผู้สรรเสริญ”
138 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“นงคราญองค์เอกแก้ว กระษัตรีย์
มานมนัสกัตเวที ยิ่งล�้ำ
เกรงพระราชสามี มลายพระ-ชนม์เฮย
ขับคเชนทรเข่นค�้ำ สะอึกสู้ดัสกร”
2. ประวัติผู้แต่ง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า
พระองค์เจ้าวรวรรณากร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาเขี ยน ประสูติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิ กายน พ.ศ. 2404 ทรงเข้า
รับการศึกษาชั้นต้นกับคุณปานและคุณแสง ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาทรงศึกษา
ภาษาบาลีและไวยากรณ์ไทยกับพระยาปริยตั ธิ รรมธาดา (เปีย่ ม) และทรงศึกษาภาษา
อังกฤษกับนายฟรานซิส ยอร์ช แปตเตอร์สัน ในกรมทหารมหาดเล็ก พระองค์ทรง
เป็นผูร้ อบรูด้ า้ นอักษรศาสตร์ ทัง้ นีเ้ พราะทรงศึกษาค้นคว้าภาษาไทยและภาษาบาลี
ชั้นสูงสมัยผนวชเป็นภิกษุ จึงท�ำให้ทรงแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ได้เป็นอย่างดี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพั นธ์พงศ์ ทรงเป็นที่ร้จู ั กแพร่หลาย
ในด้านกวีนพิ นธ์และบทละคร (ละครร้อง ละครร�ำ) ที่ทรงจั ดแสดงขึ้นในคณะละคร
ปรีดาลัย ทั ้งนี้เพราะทรงสืบเชื้อศิลปินมาจากเจ้าจอมมารดาเขี ยน ซึ่งเคยเป็นละคร
ที่มีชื่อเสียงสมัยรัชกาลที่ 4
142 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ละครในวังหลวงนั้น กล่าวกันว่ามีการฟื้นฟูกันขึ้นอย่างสูงสุดในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และกิจการละครหลวงได้ยืนยาวมาจนถึงสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และได้มีโอกาสแสดงถวายต่อหน้า
พระพั กตร์เป็นครั้งใหญ่ โดยแสดงเรื่องอิเหนา ในคราวเสด็จกลับจากประพาสยุโรป เมื่อ
วันที่ 7 กุมภาพั นธ์ พ.ศ. 2440 ต่อมาตัวละครสมัยรัชกาลที่ 4 ก็ได้เป็นครูละครฝึกสอนตัว
ละครในราชส�ำนักอีกทอดหนึง่
ละครปรีดาลัยของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพั นธ์พงศ์ เริ่มมีชื่อเสียง
ในรัชกาลที่ 5 ประมาณ พ.ศ. 2450 ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยูห่ วั เสด็จกลับจากประพาสยุโรปแล้ว ละครเรือ่ งแรกทีม่ ี ชอื่ มากทีส่ ดุ คือเรือ่ ง พระลอ ต่อมาก็
แสดงเรื่องเจ้าพระยาจั กรีไปตีกรุงกัมพูชา และสาวเครือฟ้า ที่มีคนติดกันทั ่วบ้านทั ่วเมือง
ชี วิตในทางราชการของพระองค์เริม่ ขึน้ เมือ่ ทรงมีพระชนมายุได้ 28 พรรษา โดยทรงได้
รับการสถาปนาให้ทรงกรม เป็นกรมหมืน่ นราธิปประพั นธ์พงศ์ และเป็นรองเสนาบดีกระทรวง
พระคลังมหาสมบัติ และทรงรับราชการเรื่อยมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จึงได้รับการเลื่อนกรมให้เป็นกรมพระ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพั นธ์พงศ์ ทรงพระประชวร และสิน้ พระชนม์
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2474 สิริรวมพระชนมายุได้ 70 พรรษา
3. เนื้อเรื ่อง
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จพระราชด�ำเนินโดย
กระบวนพยุหยาตราชลมารค เพื่อทรงปลา ณ บริเวณปากน�้ำสาครบุรี โดยเรือพระที่นัง่
เอกไชย ครั้นเรือพระที่นัง่ เอกไชยล่วงเข้าคลองโคกขามซึ่งเป็นคลองที่คดเคี้ยว ท�ำให้เรือ
พระทีน่ งั่ เอกไชยชนเข้ากับกิง่ ไม้ ใหญ่จนโขนเรือหักตกน�ำ้ พั นท้ายนรสิงห์นายท้ายเรือพระทีน่ งั่
จึงกราบทูลพระเจ้าเสือ ให้ประหารชีวิตตนตามกฎมณเฑียรบาล แต่พระเจ้าเสือพระราชทาน
อภัยโทษให้ และทรงลดหย่อนโทษด้วยการให้ประหารหุ่นแทน แต่พันท้ายนรสิงห์ก็ยืนยัน
ขอรับโทษตามประเพณี เพื่อรักษาพระเกียรติยศของพระเจ้าเสือ และเพื่อรักษาไว้ซึ่งความ
ศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมือง พระเจ้าเสือทนการรบเร้าอันสมเหตุสมผลของพั นท้าย
นรสิงห์ไม่ไหว จึงรับสั่งให้ประหารชี วิ ตพั นท้ายนรสิงห์ด้วยความจ�ำพระทั ย จากนั้นจึงทรง
ให้ตั้งศาลขึ้นยังที่ประหารพั นท้ายนรสิงห์ แล้วเอาโขนเรือที่หักกับศีรษะของพั นท้ายนรสิงห์
ขึ้นตั้งไว้ที่ศาลแห่งนั้น
บทที่ 9 โคลงภาพพระราชพงศาวดาร ตอน พันท้ายนรสิงห์ถวายชีวิต 143
กรณีพันท้ายนรสิงห์ ทัศนะจากนักประวัติศาสตร์
กรณีประหารชีวิตพั นท้ายนรสิงห์ ผูเ้ ขียนขอสรุปจากงานศึกษาค้นคว้าของนายแพทย์
วิ บูล วิ จิตรวาทการ (2544 : 147-152) ซึ่งท่านได้วิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
เหตุการณ์พันท้ายนรสิงห์น้ี เกิดขึ้นในตอนที่พระเจ้าเสือ เสด็จไปตกปลาน�้ำจืดที่
ปากน�ำ้ เมืองสาครบุรี เมือ่ เรือพระทีน่ งั่ เอกไชยแล่นไปถึงต�ำบลโคกขาม ซึง่ คดเคีย้ วและแคบ
มาก ซ�้ำยังมีกิ่งไม้ ใหญ่ยื่นลงมาขวางทางอีก
พั นท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือเบี ่ยงหลบจนสุดความสามารถ แต่ไม่ส�ำเร็จ
หัวเรือพระที่นงั่ กระทบกับกิ่งไม้ และหักตกลงไปในน�้ำ ฝีพายทั ้งหลายจึงหยุดเรือทั นที
ฝ่ายพั นท้ายนรสิงห์ทราบดี ว่าโทษทีจ่ ะได้รับนัน้ ถึงขั้นประหารชี วิ ต จึงรีบกระโดดขึน้
ฝั่ง แล้วกราบทูลพระเจ้าเสือให้ประหารชีวิตตน แต่พระเจ้าเสือมิปรารถนาที่จะปฏิบัติตาม
เพราะเห็นว่าไม่เป็นความผิ ดร้ายแรง และพั นท้ายนรสิงห์ก็เป็นมหาดเล็กเก่าที่พระองค์
ทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ทรงโปรดปรานมาก และทราบว่าเป็นคนดี ทรงเห็นว่าคลอง
นั้นคับแคบ คดเคี้ยว เหลือวิ สัยที่ผู้ ใดจะบังคับเรือได้ พระองค์จึงไม่ลงโทษ แต่พันท้าย
นรสิงห์ก็กราบทูลให้ประหาร พระเจ้าเสือจึงทรงลดหย่อนโทษ โดยสั่งฝีพายทั ้งหลายให้ไป
ขุดดินเปียกในคลองนั้น แล้วน�ำมาปั้นเป็นรูปพั นท้ายนรสิงห์ และให้ประหารรูปหุ่นแทน
พั นท้ายนรสิงห์ร้สู ึกละอายใจ และเกรงว่าต่อไปอาจจะมีผู้คนติฉนิ นินทาพระเจ้าเสือ
ว่าประพฤติผิดราชประเพณี ด้วยความจงรักภักดี ที่มีต่อพระเจ้าเสือและแผ่นดิน พั นท้าย
นรสิงห์จึงกราบทูลพระเจ้าเสืออีกครั้งว่าให้ประหารชีวิตตน
พระเจ้าเสือก็ทรงตรัสอ้อนวอนอีกหลายครั้งหลายหน จนถึงกับกลั้นน�้ำพระเนตร
ไว้มอิ ยู่ และเป็นครัง้ เดียวในประวัตศิ าสตร์ทพี่ งศาวดารเขียนไว้วา่ “พระเจ้าแผ่นดินร้องไห้”
เหตุเพราะคงจะเสียดายมหาดเล็กผูน้ ้ี พระเจ้าเสือจึงจ�ำพระทัยสัง่ ประหารชี วิตพั นท้ายนรสิงห์
จากนั้นก็ ให้ท�ำศาลเพี ยงตาและเอาศีรษะของพั นท้ายนรสิงห์กับโขนเรือพระที่นัง่ ซึ่งหักลง
นั้นขึ้นพลีกรรมด้วยกันบนศาล
ส่วนศพของพั นท้ายนรสิงห์ที่ ไม่มีหัวนั้น พระเจ้า
เสือทรงเอากลับมาด้วย แล้วทรงจัดพิธฌ ี าปนกิจให้อย่าง
ดี และยังเสด็จพระราชทานเพลิงด้วยพระองค์เอง ส่วน
ภรรยาและบุตรของพั นท้ายนรสิงห์ ก็ทรงพระราชทาน
สิ่งของและเงินทองให้เป็นอันมาก
144 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5. คุณค่า
4.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
4.1.1 การสรรค�ำ ในด้านการสรรค�ำ กวีได้เลือกค�ำทีม่ คี วามไพเราะ และเหมาะกับ
ความหมายมาใช้ในงานของตน เช่น
ค�ำเรียกพระมหากษัตริย์ : สรรเพชญที่แปดเจ้าอยุธยา ภูบาล พระภูมี เป็นต้น
ค�ำเรียกพั นท้ายนรสิงห์ : พั นท้าย พั น เป็นต้น
4.1.2 เสียงเสนาะ เกิดขึ้นด้วยสัมผัสนอกและสัมผัสใน เช่นเดี ยวกับโคลงภาพ
พระราชพงศาวดาร ตอน พระสุริโยทั ยขาดคอช้าง ดังนี้
สัมผัสนอก มีอยู่ครบทุกบท ดังจะยกตัวอย่างจากโคลงบทที่ 1
“สรรเพชญที่แปดเจ้า อยุธยา
เสด็จประพาสทรงปลา ปากน�้ำ
ล่องเรือเอกไชยมา ถึงโคก-ขามพ่อ
คลองคดโขนเรือค�้ำ ขัดไม้หักสลาย”
“สรรเพชญที่แปดเจ้า อยุธยา
เสด็จประพาสทรงปลา ปากน�้ำ
ล่องเรือเอกไชยมา ถึงโคก-ขามพ่อ
คลองคดโขนเรือค�้ำ ขัดไม้หักสลาย
ภูบาลบ�ำเหน็จให้ โทษถนอม ใจนอ
พั นไม่ยอมอยู่ยอม มอดม้วย
พระโปรดเปลี่ยนโทษปลอม ฟันรูป แทนพ่อ
พั นกราบทูลทัดด้วย ท่านทิ้งประเพณี”
บทที่ 9 โคลงภาพพระราชพงศาวดาร ตอน พันท้ายนรสิงห์ถวายชีวิต 145
4.2 คุณค่าด้านความคิด
ท�ำให้เราเห็นว่าการท�ำความดี นั้น ย่อมมีผู้ยกย่องและสรรเสริญ ดังความจากโคลง
บทสุดท้ายว่า
“ภูมีปลอบกลับตั้ง ขอบรร-ลัยพ่อ
จ�ำสั่งเพชฌฆาตฟัน ฟาดเกล้า
โขนเรือกับหัวพั น เซ่นที่ ศาลแล
ศาลสืบกฤติคุณเค้า คติไว้ ในสยาม”
4.3 คุณค่าด้านสังคม
สะท้อนให้เห็นว่าบ้านเมืองมีกฎหมาย และกฎหมายนั้นย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ ดัง
พั นท้ายนรสิงห์ที่ท�ำโขนเรือหัก จึงรีบกราบทูลให้พระเจ้าเสือลงโทษตามกฎมณเฑียรบาล
ทั นที ดังความจากโคลงบทที่ 2 ว่า
จากค� ำ อธิ บ ายนี้ท� ำ ให้ เ ห็ น ว่ า พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว ทรง
พระราชนิพนธ์บทเสภาสามัคคีเสวกขึน้ ตามค�ำกราบบังคมทูลของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี
โดยครั้งแรกพระองค์ทรงคิดชื่อการแสดงว่า “ระบ�ำสามัคคีเสวก” ซึ่งเป็นการร�ำตามเพลง
หน้าพาทย์ไม่มบี ทร้อง และต่อมาทรงแต่งบทเสภาขึน้ เพือ่ ใช้ขบั เวลาพั กตอนเพือ่ ให้พณ ิ พาทย์
ได้หายเหนือ่ ยบ้าง
บทเสภาโดยทั ่วไปมักจะมีขนาดยาว เพราะแต่งเป็นเรื่องราว แต่ส�ำหรับบทเสภา
สามัคคีเสวก เป็นบทเสภาขนาดสัน้ มีอยูด่ ว้ ยกัน 4 ตอน เนือ้ หาในแต่ละตอนได้แสดงแนวคิด
เหมือนกัน คือ แนวคิดเรื่องความสามัคคี ความจงรักภักดี ของข้าราชบริพารที่พึงมีต่อพระ
มหากษัตริย์และประเทศชาติ ส�ำหรับเนื้อความของบทเสภาในแต่ละตอนนั้น สรุปได้ดังนี้
ตอนที่ 1 กิจการแห่งพระนนที บทเสภาตอนนีม้ เี นือ้ ความกล่าวสรรเสริญพระนนที
ผู้เป็นเทพเสวกของพระอิศวรว่า เวลาพระอิศวรจะเสด็จไปไหน พระนนที จะแปลงกายเป็น
โคอุสุภราชให้พระอิศวรเสด็จประทั บ ครั้นพระอิศวรเสด็จกลับพระวิ มานแล้ว พระนนทีก็
จะกลับเป็นเทพตามเดิม และคอยรับใช้พระอิศวรด้วยความขยันขันแข็ง การปฏิบัติตนของ
พระนนทีดงั กล่าว นับเป็นตัวอย่างทีด่ ีของข้าราชการผูซ้ อื่ สัตย์และจงรักภักดีตอ่ เจ้านายของตน
เมื่อขับเสภาจบก็ต่อด้วยการแสดงระบ�ำที่ด�ำเนินเรื่องว่า ขณะที่พระอิศวรและพระอุมาจะ
เสด็จออกเทวสภา ได้มียักษ์ตนหนึง่ นามว่า กาลเนมี มาก่อกวนไล่จับนางฟ้า พระนนทีผู้
เปรียบเสมือนกรมวังจึงบัญชาให้เหล่าเทพเสวกช่วยกันจั บ เมื่อจั บได้แล้วก็ ให้ช่วยกันช�ำระ
ความ โดยลงโทษด้วยการตีแล้วปล่อยตัวไป จากนั้นพระอินทร์พร้อมกับท้าวจตุโลกบาลก็
ออกมาเฝ้าพระอิศวร
ตอนที่ 2 กรี นริ มิต บทเสภาตอนนี้มีเนื้อความกล่าวสรรเสริญพระคเณศ ผู้เป็น
เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาและเป็นผูส้ ร้างช้างตระกูลต่างๆ ขึน้ ในแผ่นดิน ประดับพระเกียรติยศ
ของพระมหากษัตริย์ การแสดงระบ�ำเริ่มขึ้นด้วยการกล่าวถึง ช้าง 8 ตระกูล ซึ่งเป็นช้าง
ประจ�ำทิศทั ้ง 8 ออกมาถวายบังคมพระคเณศ ต่อมายักษ์กาลเนมีออกมาไล่จับช้าง
พระคเณศโกรธก็ออกไปต่อสูก้ บั ยักษ์และขับไล่ยกั ษ์ไปได้ จากนัน้ พระคเณศจึงมอบช้างให้กบั
ท้าวจตุโลกบาลทั ้ง 8 ทิศ และร่ายมนตร์สร้างพญาช้างเผือก ครั้นสร้างเสร็จก็บัญชาให้
หมอเฒ่าจับช้างเผือกและตั้งกระบวนแห่พญาช้างเผือก
บทที่ 10 บทเสภาสามัคคีเสวก 149
2. ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที่ 6) ทรงพระราชสมภพเมือ่ วันที่ 1
มกราคม พ.ศ. 2423 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 24 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินนี าถ พระบรม
ราชชนนีพันปีหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ แต่
สมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนีตรัสเรียกว่า “ลูกโต” เมื่อพระชนมายุ
ได้ 6 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี ด�ำรงพระเกียรติยศเป็นชั้น
ที่ 2 รองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามกุฎราชกุมาร (ทิพย์สุ
เนตร อนัมบุตร, 2559 : 6)
ขณะที่ทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาวิ ชาการในพระบรมมหาราชวังกับพระยาศรีสุนทร
โวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ครั้นพระชนมายุได้ 14 พรรษา จึงเสด็จไปทรงศึกษาวิ ทยาการ
ณ ทวีปยุโรป โดยทรงศึกษาวิ ชาการพลเรือน ณ มหาวิ ทยาลัยออกซฟอร์ด แล้วเสด็จไปทรง
ศึกษาวิ ชาทหารบกที่โรงเรียนแซนด์เฮิสต์ ทรงศึกษาวิ ชาการอยู่ 9 ปี ก็ส�ำเร็จการศึกษาขั้น
สูงของสถานศึกษานั้นๆ เมื่อส�ำเร็จการศึกษาแล้วก็เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทย
150 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ต่อมาได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระราชบิ ดา เมื่อ
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ 30 พรรษา ทรงครองราชสมบัติ
ได้ 15 ปี เสด็จสวรรคตในวันที่ 25 พฤศจิ กายน พ.ศ. 2468 พระชนมายุได้ 45 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงต้องบริหารพระราชกิจอย่างใหญ่ยิ่ง
และส�ำคัญมากแทบไม่มีเวลาว่าง แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงหาเวลาว่างพระราชนิพนธ์เรื่อง
ต่างๆ ได้เป็นจ�ำนวนมาก บทพระราชนิพนธ์ของพระองค์มีทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง และบท
ละคร พระปรีชาสามารถทางวรรณคดี เป็นที่ประจั กษ์แก่ทุกคน ดังนั้นพระองค์จึงได้รับการ
ถวายพระราชสมัญญาว่า “พระมหาธีรราชเจ้า”
บทพระราชนิพนธ์รอ้ ยแก้ว ร้อยกรอง และบทละคร ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวล้วนเป็นเยี่ยม เพราะทรงใช้ถ้อยค�ำสละสลวยและมีความดี เด่น ไม่ทรงใช้ค�ำ
ฟุม่ เฟือยโดยไม่จ�ำเป็น พระองค์เริม่ แต่งบทพระราชนิพนธ์ตงั้ แต่ครัง้ ยังเป็นสมเด็จพระบรม
โอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร และเมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็ยังทรงแต่งบท
พระราชนิพนธ์อยู่ ส�ำหรับพระนามที่ทรงใช้ ในการแต่งบทพระราชนิพนธ์ มีทั้งพระนามจริง
กับพระนามแฝง เหตุน้พี ระราชนิพนธ์ของพระองค์จึงแพร่หลายไปทั ่ว ทั ้งกลุ่มบุคคลชั้นสูง
และสามัญชนทัว่ ไป บทความต่างๆ ทีท่ รงวิ พากษ์วิจารณ์สงั คมสมัยนัน้ ทรงใช้พระนามแฝง
ว่า “อัศวพาหุ” และเป็นทีย่ อมรับกันในปัจจุบนั ว่ายังไม่มผี ู้ ใดทีจ่ ะเขียนบทความให้มสี ำ� นวน
โวหารคมคายน่าอ่านเหมือนอัศวพาหุได้เลย
บทละครพูดเรือ่ ง หัวใจนักรบ ทีท่ รงพระราชนิพนธ์นนั้ ได้รับการยกย่องจากวรรณคดี
สโมสรให้เป็นยอดของบทละครพูด ส่วนบทพระราชนิพนธ์ประเภทร้อยกรองปรากฏว่า
พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ได้ดีเยีย่ มทุกฉันทลักษณ์ นับเป็นเรือ่ งทีแ่ สดงถึงพระอัจฉริยภาพ
ของพระองค์โดยแท้ เพราะปรากฏว่าแต่โบราณมา ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่จะ
เชี่ยวชาญการแต่งร้อยกรองทุกฉันทลักษณ์ โดยมากจะทรงเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างไป สมเด็จ
พระนารายณ์มหาราชทรงถนัดแต่งโคลง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงถนัด
แต่งกลอนบทละคร
บทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ลงพิมพ์เผยแพร่
อยู่ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในสมัยนั้น เช่น สมุทรสาร ทวีปัญญา ดุสิตสมิต หนังสือพิมพ์ไทย
วิทยาจารย์ บางแห่งก็ทรงใช้พระนามจริงในการพระราชนิพนธ์ บางแห่งก็ทรงใช้พระนามแฝง
ซึ่งพระนามแฝงนี้พระองค์จะทรงใช้ ในการทรงพระราชนิพนธ์ในเรื่องที่แตกต่างกันไป เช่น
บทที่ 10 บทเสภาสามัคคีเสวก 151
การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนให้มีการเล่นละครขึ้น
เสมอๆ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการอบรมศีล
ธรรมให้แก่พลเมืองแล้ว ยังช่วยให้ประชาชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แทนทีจ่ ะใช้เวลาว่าง
พั กผ่อนมัว่ สุมหาความเพลิดเพลินจากการพนัน ทัง้ ยังเป็นการหารายได้บำ� รุงสาธารณประโยชน์
ต่างๆ เช่น การสร้างเรือรบ บ�ำรุงราชนาวีสมาคม เป็นต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
บทเสภาสามัคคีเสวก แต่งด้วยค�ำประพั นธ์ประเภทกลอนเสภา อันกลอนเสภานี้
เป็นกลอนที่ ใช้ขับเป็นท�ำนอง มีกรับเป็นเครื่องประกอบจั งหวะ ลักษณะบังคับของกลอน
เสภา มีดังนี้
1. สัมผัสระหว่างวรรคเหมือนกลอนสุภาพ กลอน 6 กลอน 7 กลอน 8
2. จ�ำนวนค�ำในหนึง่ วรรคใช้คำ� ได้ตงั้ แต่ 6-9 ค�ำ แต่สว่ นใหญ่นยิ มใช้ 7-8 ค�ำ กลอน
เสภาแต่ละวรรคมีชื่อเรียกเฉพาะ ดังนี้
วรรคที่ 1 เรียกว่า นารีเรียงหมอน
วรรคที่ 2 เรียกว่า ชะอ้อนนางร�ำ
วรรคที่ 3 เรียกว่า ระบ�ำเดินดง
วรรคที่ 4 เรียกว่า หงส์ชูคอ
4. เนื้อเรื ่องย่อ
ตอนที่ 3 วิศวกรรมา
เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่าประเทศใดที่ ไม่มีความสงบสุข มีแต่การรบกัน ประชาชน
ย่อมไม่มีเวลาสร้างสรรค์งานศิลปะ แต่ถ้าประเทศใดมีความสงบสุข ประเทศนั้นก็จะเจริญ
ไปด้วยศิลปะอันงดงามไว้ประดับประดาพระนคร ต่อมากล่าวถึงความส�ำคัญของศิลปะว่ามี
คุณค่า แสดงถึงความมีอารยธรรมของชาติ และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีความเจริญ
รุ่งเรือง เพราะมีช่างศิลป์ที่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะทุกแขนง ดังนั้นคนไทยจึงควรช่วยกัน
ท�ำให้ศิลปะเจริญอยู่คู่กับประเทศชาติต่อไป
154 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ตอนที่ 4 สามัคคีเสวก
บทเสภาตอนนีม้ งุ่ แสดงแนวคิดว่า ชาติจะด�ำรงอยูไ่ ด้ เหล่าข้าราชการจะต้องให้ความ
ร่วมมือกับพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นผู้น�ำของประเทศ โดยให้คิดถึงหน้าที่ของตนเป็นหลัก
ให้เคร่งครัดเรื่องระเบี ยบวิ นัย และมีความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ เพราะพระมหา
กษัตริย์เปรียบเสมือนพ่อบังเกิดเกล้า ควรให้ความเคารพและเกรงกลัว ที่ส�ำคัญคือต้องมี
ความปรองดองให้สมกับการที่มีพระมหากษัตริย์ร่วมกันพระองค์เดี ยว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปรียบประเทศชาติกับเรือใหญ่ที่แล่น
ไปในทะเล พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นผู้น�ำประเทศเปรียบได้กับกัปตันเรือ และเหล่าข้า
ราชบริพารทัง้ หลายเปรียบเหมือนกะลาสีเรือ การทีท่ รงเปรียบเทียบดังนี้ ท�ำให้ผอู้ า่ นเข้าใจ
ความสัมพั นธ์ของพระมหากษัตริยก์ บั ข้าราชการทีต่ า่ งต้องพึง่ พาอาศัยซึง่ กันและกัน เพือ่ ท�ำให้
ประเทศชาติเจริญอยู่อย่างปลอดภัยได้ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยังทรงแสดงให้เห็นถึงผลร้ายของการทีเ่ หล่าราชเสวกขาดความสามัคคีและขาดระเบียบวินยั
จากนั้นทรงสั่งสอนถึงข้อควรประพฤติและปฏิบัติตนของข้าราชการ
บทที่ 10 บทเสภาสามัคคีเสวก 155
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
การใช้ภาพพจน์แบบอุปมา กวีใช้ภาพพจน์แบบอุปมาเพื่อต้องการเน้นให้ผู้อ่าน
ได้ทราบถึงแนวคิดที่กวีต้องการสื่อออกมาอย่างชัดเจน ดังตัวอย่างจากตอน วิ ศวกรรมา
“ใครดูถูกผู้ช�ำนาญในการช่าง ความคิดขวางเฉไฉไม่เข้าเรื่อง
เหมือนคนป่าคนไพรไม่รุ่งเรือง จะพูดด้วยนั้นก็เปลืองซึ่งวาจา”
“แม้ลูกเรือเชื่อถือผู้เป็นนาย ต้องมุ่งหมายช่วยแรงโดยแข็งขัน
คอยตั้งใจฟังบังคับกัปปิตัน นาวานั้นจึ่งจะรอดตลอดทะเล
แม้ลูกเรืออวดดี มีทิฐิ และเริ่มริเฉโกยุ่งโยเส
เมื่อคลื่นลมแรงจั ดซัดโซเซ เรือจะเหร่มระย�ำคว�่ำไป
แม้ต่างคนต่างเถียงเกี่ยงแก่งแย่ง นายเรือจะเอาแรงมาแต่ไหน
แม้ไม่ถือเคร่งคงตรงวิ นัย เมื่อถึงคราวพายุใหญ่จะครวญคราง
นายจะสั่งสิ่งใดไม่เข้าจิ ต จะต้องคิดตันใจให้ขัดขวาง
จะยุ่งแล้วยุ่งเล่าไม่เข้าทาง เรือก็คงอับปางกลางสาคร
ถึงเสวีที่เป็นข้าฝ่าพระบาท ไม่ควรขาดความสมัครสโมสร
ในพระราชส�ำนักพระภูธร เหมือนเรือแล่นสาครสมุทรไทย”
5.2 คุณค่าด้านเนื้อหา
5.2.1 ความส�ำคัญของศิลปะ บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา มีเนื้อหาที่
แสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญของศิลปะทีม่ ปี ระโยชน์ทัง้ ต่อตนเอง และประเทศชาติ ดังตัวอย่าง
บทที่ 10 บทเสภาสามัคคีเสวก 157
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปรียบพระมหากษัตริย์ว่าเสมือนบิ ดา
ผู้ ให้ก�ำเนิด และข้าราชการเปรียบเสมือนลูกเรือที่อยู่ในมหาสมุทร ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย
ดังนั้นข้าราชการจึงควรมีความสามัคคีกัน และควรมีไมตรีที่ดีต่อกัน
อีกตัวอย่างหนึง่ ทีจ่ ะยกมาให้เห็นนี้ เป็นตัวอย่างทีพ่ ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั
ทรงเน้นให้เห็นว่า ข้าราชการมีหน้าที่ส�ำคัญที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประเทศชาติ ดังนั้นจึงควร
ประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี ดังความว่า
“เหล่าเสวกตกที่กะลาสี ควรคิดถึงหน้าที่นั้นเป็นใหญ่
รักษาตนเคร่งคงตรงวิ นัย สมานใจจงรักพระจั กรี
ไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชัง สามัคคีเป็นก�ำลังพระทรงศรี
ควรปรองดองในหมู่ราชเสวี ให้สมที่ร่วมพระเจ้าเราองค์เดี ยว”
2. ลักษณะและขนาด
ศิลาจารึ กหลักที่ 1 เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่า สูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร มีค�ำ
จารึ กครบทั ้ง 4 ด้าน ด้านที่ 1 และ ด้านที่ 2 มีความยาว 35 บรรทั ด ด้านที่ 3 และด้าน
ที่ 4 มีความยาว 27 บรรทั ด รวมทั ้งสิ้นมี 124 บรรทั ด
3. ประวัติผู้แต่ง
พ่อขุนรามค�ำแหง หรือ พญารามราช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ของพ่อขุน
ศรีอนิ ทราทิตย์กบั นางเสือง ทรงได้รับราชสมบัตสิ บื ต่อจากพ่อขุนบานเมือง พระเชษฐา เมือ่
ราว พ.ศ. 1822
พ่อขุนรามค�ำแหงทรงขยายอาณาจั กรออกไปได้อย่างกว้างขวางที่สุดพระองค์หนึง่ ใน
ประวัตศิ าสตร์ของชาติไทย กล่าวโดยสรุปคือ ทิศตะวันออกข้ามแม่นำ�้ โขง จดเมืองเวียงจันทน์
เวียงค�ำ ทิศใต้จดเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองในแหลมมลายู ทิศตะวันตกจดเมืองหงสาวดี
ส่วนทิศเหนือจดเมืองแพร่ น่าน และหลวงพระบาง
ส่วนการปกครองภายในประเทศนัน้ พ่อขุนรามค�ำแหงทรงปกครองแบบบิดาปกครอง
บุตร ทรงมุง่ หมายให้ประชาชนตัง้ อยูใ่ นศีลธรรมและพระราชทานความยุตธิ รรมแก่ประชาชน
โดยเสมอหน้า บ้านเมืองในยุคของพระองค์มคี วามก้าวหน้าด้านต่างๆ เช่น ด้านเกษตรกรรม
บทที่ 11 ศิลาจารึกหลักที่ 1 163
4. เนื้อเรื ่องย่อ
ความในศิลาจารึ กหลักที่ 1 แบ่งออกเป็น 3 ตอน แต่กระทรวงศึกษาธิการก�ำหนด
ให้นักเรียนศึกษาเฉพาะตอนที่ 1 ดังนั้นจึงขอกล่าวรายละเอียดเฉพาะตอนที่ 1 เพี ยงตอน
เดี ยว ดังนี้
ตอนที่ 1 ตั้งแต่บรรทัดที่ 1-18 เป็นประวัติของผู้แต่ง ซึ่งใช้สรรพนามบุรุษที่ 1
แทนตัวเองว่า “กู” ดังในประโยคแรกว่า “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์” และบอกชื่อผู้แต่งไว้
บรรทั ดที่ 9-10 ว่า “พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามค�ำแหง เมื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน” เนื้อความ
ในตอนที่ 1 นี้ พ่อขุนรามค�ำแหงทรงระบุพระนามพระราชบิ ดา พระราชมารดา พระเชษฐา
ต่อด้วยเกียรติประวัติในการรบกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ครั้นพระราชบิ ดาสวรรคตแล้ว
ก็ทรงประพฤติปฏิบัติดูแลพระเชษฐาเสมือนกับดูแลพระราชบิ ดา ครั้นพระเชษฐาเสด็จ
สวรรคต ราชสมบัติทั้งหมด จึงตกแก่พระองค์
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
แม้ว่าศิลาจารึ กหลักที่ 1 จะแต่งเป็นส�ำนวนร้อยแก้ว แต่หากพิจารณาให้ดี ก็จะเห็น
ว่า กวีใช้ภาษาร้อยแก้วทีม่ เี สียงสัมผัสคล้องจองกันและมีจังหวะจะโคน ผูอ้ า่ นจะรูส้ กึ ถึงเสียง
ที่เป็นจั งหวะสอดคล้องกันไป เช่น
“พี ่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก”
164 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
บางครั้งใช้ถ้อยค�ำให้ซ�้ำกันเพื่อความไพเราะ เช่น
“เมื่อชั่วพ่อกู กูบ�ำเรอแก่พ่อกู กูบ�ำเรอแก่แม่กู
กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู
กูได้หมากส้มหมากหวานอันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู
กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู
กูไปท่บา้ นท่เมือง ได้ชา้ งได้งวง ได้ปว่ั ได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พอ่ กู
พ่อกูตายยังพี ่กู กูพร�่ำบ�ำเรอแก่พ่อกู ดั่งบ�ำเรอแก่พ่อกู”
บทที่ 11 ศิลาจารึกหลักที่ 1 165
5.2 คุณค่าด้านความคิด
หากศึกษาเนื้อหาศิลาจารึ กหลักที่ 1 ตอนที่ 1 อย่างพิจารณา ก็จะเห็นได้ว่า ศิลา
จารึ กหลักนี้ ให้แง่คิดที่มีคุณค่า 2 ประการ คือ
1. สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเสียสละของพระมหากษัตริ ย์
ในศิลาจารึ กหลักที่ 1 ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเสียสละของ
พระมหากษัตริย์ กล่าวคือ ในยามศึกสงครามพระมหากษัตริยจ์ ะต้องเป็นผูน้ ำ� ในการป้องกัน
บ้านเมือง ทั ้งนี้ต้องทรงน�ำหน้าเหล่าทหารในการเข้าประจั ญบานกับข้าศึก ดังที่พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ทรงน�ำทั พออกต่อสู้กับขุนสามชน ซึ่งในครั้งนี้พ่อขุนรามค�ำแหงก็ได้สร้าง
วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ ด้วยการชนช้างกับขุนสามชนแล้วได้ชัยชนะ ดังความว่า
“เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก
พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า
ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกูหนีญญ่ายพายจแจ้น กูบ่หนี
กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน
ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี”
ความจากตัวอย่างท�ำให้เราเห็นว่าพ่อขุนรามค�ำแหงทรงมีความกล้าหาญยิ่ง แม้ว่า
ทหารของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จะแตกพ่ายหนีข้าศึก แต่พระองค์กลับขับช้างเข้าต่อสู้กับ
ขุนสามชนด้วยความกล้าจนได้ชัยชนะ นับว่าทรงกล้าหาญและทรงเสียสละเพื่อบ้านเมือง
และในครั้งนั้นทรงได้รับพระราชทานนามว่า พระรามค�ำแหง ซึ่งแปลว่า ผู้รุ่งเรืองและเก่ง
กล้า ตามวีรกรรมของพระองค์
2. สะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญู ความตอนหนึง่ จากศิลาจารึกได้แสดงให้เห็น
ถึงการเป็นลูกที่ดีของพ่อขุนรามค�ำแหง ที่ทรงมีความกตัญญูต่อบุพการีอันมีพระราชบิ ดา
พระราชมารดา และพระเชษฐา ทรงท�ำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสามพระองค์น้ที ั ้งสิ้น ดังความ
จากศิลาจารึ กว่า
“เมื่อชั่วพ่อกู กูบ�ำเรอแก่พ่อกู กูบ�ำเรอแก่แม่กู
กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู
กูได้หมากส้มหมากหวานอันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู
กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู
กูไปท่บา้ นท่เมือง ได้ชา้ งได้งวง ได้ปว่ั ได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พอ่ กู
พ่อกูตายยังพี ่กู กูพร�่ำบ�ำเรอแก่พ่อกู ดั่งบ�ำเรอแก่พ่อกู”
166 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ความรู้เสริ ม
เรื ่อง วิธีเขียนอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง
ภาพ : พยัญชนะไทยสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง
ที่มา : www.gotoknow.org/posts/337109
วิธีเขียนอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง
การเขียนตัวอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามค�ำแหงนัน้ จะเขียนพยัญชนะและสระไว้บรรทัด
เดียวกัน แต่เพือ่ ป้องกันการสับสน นักอักษรศาสตร์ในสมัยนัน้ จึงได้คดิ วิธเี ขียนหรืออักขรวิธี
ขึ้นมา เพื่อขจั ดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ในเรื่องนี้ ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ได้สรุป
กฎเกณฑ์การเขียนอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามค�ำแหงไว้ดงั นี้ (อ้างจากวิโรจน์ ผดุงสุนทรารักษ์,
2559 : 50)
1. พยัญชนะต้นและสระเขี ยนเชื่อมติดต่อกัน เช่น (กา)
2. ตัวสะกดเขี ยนแยกออกไป เช่น (การ)
3. อักษรควบและอักษรน�ำเขี ยนเชื่อมติดต่อกัน เช่น
(กราน) (กว่า)
4. ไม้หันอากาศยังไม่มี ใช้ ใช้ตัวสะกดสองตัวซ้อนกันแทน เช่น
(จั ก) (ขับ)
(ทั ้งหลาย) (สามพั น)
(ตัวเนื้อตัวปลา)
5. สระ ออ และสระ อือ ไม่ต้องมี อ เคียง เช่น
(ชื่อ) (ท่อบ้าน)
(พ่อกูชื่อ)
6. วางสระไว้หน้าพยัญชนะต้น ยกเว้นสระอา และสระประสม จึงท�ำให้สระทุกตัว
อยู่ในบรรทั ดเดี ยวกัน และสระ ใอ ไอ โอ มีรปู สูงเท่ากับพยัญชนะ เช่น
(กู) (ไปสวดญัติกฐิน)
(สุกโขทั ย)
7. สระ เอือ ประกอบด้วย สระ อือ สระ เอ พยัญชนะและตัว อ เรียงกัน 2 ตัว โดย
ตัวอักษรแต่ละตัวจะเชื่อมกับตัวที่อยู่ถัดไปข้างหลังตามล�ำดับ เช่น
(เนื้อ) (เชื้อ)
168 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ส�ำหรับที่มาของรามเกียรติ์นั้น สันนิษฐานกันว่าไทยเราได้เค้าเรื่องมาจากคัมภีร์
รามายณะ ฉบับองคนิกายของอินเดี ย เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งเชื่อกันว่าฤๅษีวาลมิกิเป็นผู้
แต่งขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูถือว่า เป็นคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนี้ยังมีเค้าความจากคัมภีร์ วิษณุปุราณะ หนุมานนาฏกะ ซึ่งเป็นบทละครสันสกฤต
และนิทานเรือ่ งพระราม ซึ่งเป็นนิทานเก่าแก่ทเี่ ล่าสืบกันมาก่อนเรือ่ งรามายณะ รามเกียรติ์
ของไทยคงจะได้เค้าเรือ่ งมาจากหนังสือเล่มต่างๆ ดังกล่าวนี้ ต่อมากวีจงึ ได้นำ� เอามารวบรวม
ผูกเป็นเค้าโครงเรื่องจนกลายเป็นรามเกียรติ์ฉบับภาษาไทยขึ้น
ความมุ่งหมายในการแต่งบทละครเรื ่องรามเกียรติ์
ฉบับรัชกาลที่ 1
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะมีต้นฉบับหรือไม่นั้น เราไม่อาจ
ทราบได้ ถ้ามีก็คงจะสูญหายไปในคราวที่เสียกรุงแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน แต่
อย่างไรก็ตามยังปรากฏบทพากย์รามเกียรติ์ ซึง่ ใช้ ในการพากย์หนังใหญ่และพากย์ โขน อัน
เป็นหลักฐานที่ชี้ ให้เห็นว่า น่าจะมีต้นฉบับบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
อย่างแน่นอน
ครั้นพอมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรง
มีพระราชประสงค์ที่จะรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์ไว้เป็นฉบับส�ำหรับพระนคร จึงมีพระบรม
ราชโองการให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตเพื่อช่วยกันแต่งบทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นใหม่
ในปี พ.ศ. 2340 เพื่อรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์อันเป็นเรื่องขนาดยาวเข้าไว้ด้วยกัน เล่ากันว่า
โปรดเกล้าฯ ให้ผู้มีความรู้ความสามารถแบ่งกันแต่งเป็นตอนๆ หรือทรงพระราชนิพนธ์เอง
บ้าง และทรงแก้ไขทั กท้วงข้อความของผู้อื่นบ้าง ดังนั้นจึงทรงได้รับการถวายพระเกียรติว่า
เป็นผูท้ รงพระราชนิพนธ์ (กุหลาบ มัลลิกะมาส, 2555 : 119) ความในตอนท้ายของบทละคร
เรื่องรามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ 1 ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการแต่งเอาไว้ว่า
2. ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระนามเดิมว่า ทองด้วง หรือ ด้วง
เป็นบุตรของพระอักษรสุนทร (ทองดี ) ข้าราชการกรมพระอาลักษณ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก
เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดี กรมพระคลังในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
มารดาชื่อว่า หยก เป็นธิดาเศรษฐีจีน ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ครั้นเจริญวัยได้ทรงเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินติ
จนมีพระชนมายุครบ 21 พรรษา จึงทรงผนวช ณ วัดมหาทลาย หลังจากผนวชได้ 1 พรรษา
ก็ลาผนวช แล้วกลับเข้ามารับราชการเป็นมหาดเล็กอีกครั้ง ครั้นพระชนมายุได้ 25 พรรษา
สมเด็จพระที่นงั่ สุริยามรินทร์ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี
ใน พ.ศ. 2311 หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงสถาปนา
กรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุ ฬาโลกได้เข้ามารับราชการ ซึ่ง
สมเด็จพระเจ้าตากสินได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็นพระราชวรินทร์ ในกรมพระต�ำรวจ
หลวง และได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินไปปราบปรามก๊กต่างๆ จนได้รับพระราชทาน
บรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ เจ้ากรมพระต�ำรวจ
ต่อจากนัน้ ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นแม่ทัพ ต่างพระเนตรพระกรรณ
ไปปราบปรามหัวเมืองต่างๆ อยู่หลายครั้ง มีความดี ความชอบมาก จึงได้รับการเลื่อน
บรรดาศักดิเ์ ป็นพระยายมราชและท�ำหน้าทีส่ มุหนายก แล้วต่อมาก็ได้รับการแต่งตัง้ ให้เป็น
เจ้าพระยาจั กรี ที่สมุหนายก และเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก รับพระราชทาน
เครื่องยศเจ้าต่างกรม ในที่สุด
174 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
บทละครรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้ แต่งเป็นกลอนบทละครซึ่งอาจ
มีลักษณะบางประการที่คล้ายกับกลอนสุภาพหรือกลอนแปด อันกลอนบทละครนี้แต่งขึ้น
เพื่อใช้ส�ำหรับการแสดงละคร กลอนบทละครมีลักษณะ ดังนี้
1. ลักษณะบังคับ
1.1 บทหนึง่ มี 4 วรรค หรื อ 2 บาท ในแต่ละวรรคนิยมใช้ค�ำ 6-7 ค�ำ ไม่เกิน 8 ค�ำ
เพราะร้องได้ลงจั งหวะเข้ากับท�ำนองได้ ดีกว่า
1.2 สัมผัสบังคับ มีดังนี้
• ค�ำสุดท้าย วรรคที่ 1 ส่งสัมผัสไปยังค�ำที่ 3 หรือ 5 วรรคที่ 2
• ค�ำสุดท้าย วรรคที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังค�ำสุดท้าย วรรคที่ 3
บทที่ 12 รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก 175
2. การใช้ค�ำขึ้นต้นบท
2.1 “มาจะกล่าวบทไป” ใช้ส�ำหรับขึ้นต้นเรื่อง หรือกล่าวถึงเรื่องที่แทรกเข้ามา
2.2 “เมือ่ นัน้ ” ใช้ขนึ้ ต้นเมือ่ กล่าวถึงผูม้ ยี ศศักดิ์ เช่น ผูเ้ ป็นใหญ่ เทวดา พระมหากษัตริย์
พระมเหสี
2.3 “บัดนัน้ ” ใช้ ขนึ้ ต้นเมือ่ กล่าวถึงผูน้ อ้ ย หรือผู้ ใต้บงั คับบัญชา เช่น อ�ำมาตย์ เสนา
ทหาร สามัญชน
2.4 อาจใช้ค�ำขึ้นต้นอื่นๆ ได้ เช่น “ฟังพาที” หรือขึ้นต้นคล้ายกลอนดอกสร้อย
กล่าวคือ วรรคสดับมี 4 ค�ำ มีค�ำว่า “เอย” หรือ “เอ๋ย” เป็นค�ำที่ 2 เช่น สุดเอย สุดสวาท
โฉมเอยโฉมเฉลา
4. เนื้อเรื ่องย่อ
แต่เดิมมา “นนทก” เป็นพรหมตนหนึง่ มีนามว่า “อนันตพรหม” แต่มี ใจไม่เป็น
อุเบกขา คิดแค้นเคืองพระอิศวรทีแ่ ต่งตัง้ พรหมรุน่ น้องขึน้ เป็น “พรหมธาดา” เจ้าแห่งพรหม
ทัง้ ปวง อนันตพรหมจึงคิดกระด้างกระเดือ่ ง โดยไม่ยอมเข้าร่วมเทวสมาคมแสดงความยินดี
กับพระนารายณ์ที่สังหารอสูรตรีบุร�ำได้ นอกจากนี้ยังไม่ยอมตามเสด็จพระอิศวรกับพระ
อุมาเทวีเมื่อคราวเสด็จประพาสป่าทางชลมารค พระอิศวรจึงมีบัญชาให้พญาอนันตนาคราช
ไปตามตัวมาเฝ้า แล้วประกาศให้เหล่าเทวดานางฟ้าทัง้ หลายทราบว่า
อนันตพรหมผูน้ เ้ี ป็นผูม้ มี จิ ฉาทิฐิ ถือดี มิได้แสดงความเคารพเจ้าแห่ง
เทพเหมือนกับเหล่าเทวดานางฟ้าทั ้งหลาย ในเมื่อจิ ตใจเต็มไปด้วย
มิจฉาทิฐิ จึงไม่ควรให้มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต่อไป พระอิศวรจึงสาปให้
อนันตพรหมกลายเป็นนนทก แล้วให้ทำ� หน้าทีเ่ ฝ้าอัฒจันทร์และคอย
ตักน�้ำล้างเท้าให้แก่เทวดา นางฟ้าที่มาเข้าเฝ้า
176 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5. ตัวละครส�ำคัญ
ตัวละครส�ำคัญที่ปรากฏบทบาทเด่นๆ ในรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้
มีพระอิศวร นนทก และพระนารายณ์ โดยจะได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของตัวละคร
ส�ำคัญทั ้งสาม ดังนี้
1. พระอิศวร
พระอิศวร คือ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ หนึง่ ในตรีมูรติ คือ พระพรหมผู้สร้าง พระอิศวร
ผู้ท�ำลาย พระนารายณ์ผู้รักษา พระอิศวรมีชายาชื่อพระอุมา มีโอรส 2 องค์ คือ พระขันธ
กุมารและพระคเนศ บางต�ำราบอกว่ามี 5 พั กตร์ 4 มือ มี 3 ตา ตาดวงที่ 3 อยู่กลางหน้า
ผาก โดยปกติจะหลับสนิท แต่ถา้ ลืมขึน้ เมือ่ ใด สิง่ ทีอ่ ยูเ่ บือ้ งหน้าก็จะไหม้เป็นจุณไป บนเศียร
ของพระอิศวรจะมีพระจันทร์เสีย้ วเป็นปิน่ อยูท่ มี่ วยผม มีพาหนะคือ โคนนทิ หรือ โคอุสภุ ราช
ในเรื่องรามเกียรติ์ พระอิศวรมักจะประทานพรให้กับยักษ์ที่บ�ำเพ็ญตบะมาเป็นเวลา
ยาวนาน แต่ต่อมายักษ์ที่ ได้พรไปนั้นกลับก�ำเริบฤทธิ์ แล้วก่อความเดือดร้อนไปทั ่วทั ้งสาม
โลก ตัวอย่างเช่น ทรงประทานคทาเพชรและพรแก่อสุรพั กตร์ว่าไม่ ให้มีผู้ ใดฆ่าตายได้ ต่อ
มาพระอิศวรจึงต้องประทานพระขรรค์เพชรและพรให้ทา้ วอัชบาลไปปราบ พระอิศวรประทาน
พรให้ตรีบุรัม แล้วตรีบุรัมก็ก�ำเริบขึ้นไปรุกรานข่มเหงนางฟ้า จนพระอิศวรต้องยกทั พไป
สังหาร จากนั้นก็มาประทานพรแก่นนทกว่าให้มีน้วิ เพชร นนทกก็ไปก่อความเดือดร้อน
ใช้น้วิ เพชรสังหารเทวดา พระอิศวรต้องให้พระนารายณ์ไปปราบ
แม้ว่าพระอิศวรจะเป็นเทพเจ้าผู้เรืองเดช แต่เมื่อเกิดเหตุบนสวรรค์ พระอิศวรก็มัก
จะให้ตามบรรดาผู้มีอิทธิฤทธิ์มาช่วยแก้ไข เช่น ครั้งที่รามสูรท�ำเขาพระสุเมรุทรุดเอียง พระ
อิศวรก็ ให้ตามพาลีและสุครีพไปท�ำเขาให้ตรง ครั้งพญายักษ์ วิ รุฬหกขว้างสังวาลใส่ตุ๊กแก
จนท�ำให้เขาไกรลาสทรุด พระอิศวรก็ ให้ตามตัวทศกัณฐ์ มาตั้งเขาให้ตรง แล้วประทาน
พระอุมาให้ตามที่ทศกัณฐ์ขอ ท�ำให้บรรดาทวยเทพตกใจเดือดร้อน พระนารายณ์ต้องออก
อุบายให้ทศกัณฐ์น�ำพระอุมามาคืน แล้วให้พระอิศวรมอบนางมณโฑให้ทศกัณฐ์แทน เมื่อ
ครัง้ ทีท่ ศกัณฐ์รบกับกุเปรันพีช่ ายเพราะอยากได้บษุ บกแก้ว กุเปรันสู้ ไม่ได้หนีมาหาพระอิศวร
พระอิศวรได้ถอดงาช้างขว้างไปปักที่อกทศกัณฐ์ แล้วสาปให้ติดแน่นถอนไม่ออก จนกว่าจะ
สิ้นชีพ ทศกัณฐ์ต้องให้พระวิ ษณุกรรม มาเลื่อยงาช้างส่วนที่ โผล่พ้นร่างกายออก ครั้นเมื่อ
ทศกัณฐ์ตงั้ พิธที รายกรดปลุกเสกหอกกบิลพั ท โดยเอารูปเทวดาโยนลงในกองไฟ พระอิศวร
178 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
2. นนทก
นนทก คือ อสุรเทพบุตร อยูท่ เี่ ชิงเขาไกรลาส ท�ำหน้าทีล่ า้ งเท้าให้กบั เหล่าเทวดาทีม่ า
เฝ้าพระอิศวร นนทกถูกเหล่าเทวดาหยอกล้อ กลั่นแกล้ง ลูบหัว ถอนผมจนโกร๋นเกลี้ยง
เป็นเวลาถึงโกฏิปี นนทกจึงเจ็บแค้นขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรกราบทูลขอนิ้วเพชรชี้ ไปที่ผู้ ใดผู้
นั้นต้องตาย ครั้นพระอิศวรประสาทพรให้แล้ว นนทกก็ ใช้น้วิ เพชรชี้เหล่าเทวดาที่เคยท�ำให้
ตัวเองเจ็บแค้นตายไปจนเกือบหมด พระอิศวรจึงให้พระนารายณ์ไปปราบ พระนารายณ์ได้
แปลงองค์เป็นนางอัปสรหลอกล่อให้นนทกร�ำตาม เมื่อร�ำถึงท่านาคาม้วนหาง นิ้วเพชร
ก็ชี้ ไปที่ขา นนทกขาหักล้มลง นางอัปสรก็คืนร่างเป็นพระนารายณ์ เหยียบอกนนทกไว้
หมายจะสังหาร แต่นนทกก็รีบตัดพ้อว่า เพราะตนมีเพี ยงสองมือ จึงแพ้ฤทธิ์พระนารายณ์
ที่มีสี่กร พระนารายณ์จึงสาปให้นนทกไปเกิดเป็นยักษ์มี 10 หน้า 20 มือ ส่วนพระองค์จะ
ตามไปเกิดเป็นมนุษย์ทมี่ เี พียง 2 มือ แล้วจะสังหารวงศ์ยกั ษ์ ให้สนิ้ ซาก ว่าแล้วพระนารายณ์
ก็ตัดหัวนนทก วิ ญญาณของนนทกก็ไปเกิดเป็นทศกัณฐ์
3. พระนารายณ์
พระนารายณ์ คือ เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ ในกลุ่มเทพ 3 องค์ ที่เรียกว่าตรีมูรติ ได้แก่
พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์
พระนารายณ์มีกร 4 กร มีอาวุธ คือ ตรี คทา จั กร สังข์ บรรทมเหนือบัลลังก์นาค
ในเกษียรสมุทร ทรงครุฑเป็นพาหนะ มีพระมเหสีชื่อ พระลักษมี พระนารายณ์เป็นเทพเจ้า
ผู้รักษาและปราบปรามความชั่วร้าย มีเรื่องราวมากมายที่เล่า
ถึงปางอวตารของพระองค์ เพื่อมาปราบยุคเข็ญกว่า 20 ปาง
ส�ำหรับปางอวตารเป็นพระรามนั้น พระนารายณ์อวตาร
มาเกิดเป็นโอรสของท้าวทศรถ มีเทพอาวุ ธและบัลลังก์นาค
อวตารตามมาเกิดพร้อมกันเป็นพระพรต พระลักษณ์ และพระ
สัตรุด เพื่อมาปราบทศกัณฐ์ โดยเป็นปางอวตารที่ส�ำคัญปาง
หนึง่ เรียกว่า รามาวตาร
บทที่ 12 รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก 179
6. แนวคิดส�ำคัญของเรื ่อง
แนวคิดส�ำคัญของบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้ จะเห็นได้
จากบทบาทของตัวละครส�ำคัญ คือ พระอิศวร นนทก และพระนารายณ์
พระอิศวรประทานพรให้แก่นนทก โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลัง จนท�ำให้
เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองสวรรค์ การกระท�ำของพระอิศวรในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างส�ำหรับ
ผู้เป็นใหญ่ว่า ควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนที่จะมอบอ�ำนาจให้แก่ผู้ ใด และผู้ที่ ได้รับ
มอบอ�ำนาจไปแล้วจะน�ำไปใช้ ในทางที่ถูกหรือไม่
ส่วนนนทกนัน้ เมือ่ ได้รับพรวิเศษคือมีนว้ิ เพชร แทนทีจ่ ะเอาไว้สำ� หรับป้องกันตัว กลับ
น�ำไปแก้แค้น เปรียบเสมือนกับคนทีห่ ลงระเริงในอ�ำนาจ แล้วใช้อำ� นาจในทางทีม่ ชิ อบ ท�ำให้
ผู้อื่นเดือดร้อน แต่แล้วก็ต้องพบกับความพินาศ เพราะอ�ำนาจของตนเอง
ส�ำหรับพระนารายณ์นนั้ เปรียบเสมือนตัวแทนของผูพ้ ทิ ักษ์รักษาความสงบเรียบร้อย
ในสังคม ยามใดที่บ้านเมืองมีปัญหา ผู้พิทักษ์ก็จะต้องมาปราบปราม เพื่อให้บ้านเมืองสงบ
สุขอีกครั้งหนึง่
นอกจากนีย้ งั สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดส�ำคัญอีกประการหนึง่ ว่า การอาฆาตพยาบาท
จองเวร ไม่คิดอโหสิกรรมให้แก่กัน ก็เป็นสาเหตุน�ำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและญาติ
พี ่น้อง เหมือนกับนนทกเจ็บแค้นพระนารายณ์ที่แปลงเป็นนางเทพอัปสรมาลวงตน ท�ำให้
ตนต้องเสียที จึงกล่าวบริภาษพระนารายณ์หาว่ากลัวนิ้วเพชรของตน พระนารายณ์จึงสาป
ให้ไปเกิดเป็นพญายักษ์มี 10 พั กตร์ 20 กร แต่แล้วก็ต้องพินาศย่อยยับลงอีกครั้ง เพราะ
ความผูกอาฆาตพยาบาทของตน
180 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
7. คุณค่า
7.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
7.1.1 รสวรรณคดี บทละครเรื ่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้
ปรากฏรสวรรณคดีครบทั้ง 4 รส ดังนี้
• เสาวรสจนี คือ บทชมโฉมหรือชมความงามของตัวละคร ธรรมชาติ หรือสถานที่
แต่ในที่น้ขี อยกตัวอย่างตอนที่นนทกได้เห็นรูปร่างอันโสภาของนางเทพอัปสร
ความว่า
“โฉมเอยโฉมเฉลา เสาวภาคย์แน่งน้อยพิสมัย
เจ้ามาแต่สวรรค์ชั้นใด นามกรชื่อไรนะเทวี
ประสงค์สิ่งอันใดจะใคร่ร้
ู ท�ำไมมาอยู่ที่นี่
ข้าเห็นเป็นน่าปรานี มารศรีจงแจ้งกิจจา”
“บัดนั้น นนทกน�้ำใจแกล้วกล้า
กริ้วโกรธร้องประกาศตวาดมา อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวัน
จนหัวไม่มีผมติด สุดที่เราจะคิดอดกลั้น
วันนี้จะได้เห็นกัน ขบฟันแล้วชี้น้วิ ไป”
7.1.2 การใช้โวหารและถ้อยค�ำ
• การหลากค�ำ คือ กลวิ ธีการประพั นธ์อย่างหนึง่ ที่กวีนยิ มน�ำมาใช้เพื่อท�ำให้บท
ประพั นธ์มีความไพเราะ ตัวอย่างเช่น
“บัดนั้น นนทกแกล้วหาญชาญสมร
เห็นพระองค์ทรงสังข์คทาธร เป็นสี่กรก็ร้ปู ระจั กษ์ใจ
ว่าพระหริวงศ์ทรงฤทธิ์ ลวงล้างชีวิตก็เป็นได้
จึ่งมีวาจาถามไป โทษข้าเป็นไฉนให้ว่ามา”
182 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ความตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความคับแค้นใจของนนทก กวีเลือกสรรค�ำมาอย่าง
เหมาะสมกับอารมณ์ของตัวละครที่ก�ำลังโกรธจั ด อ่านแล้วรู้สึกเห็นใจและคล้อยตามความ
คิดเห็นของตัวละคร และการใช้ค�ำว่า “ดูดู๋” นั้น ก็ท�ำให้เข้าใจว่า นนทกก�ำลังรู้สึกว่าถูก
หยามเกียรติ “หมิน่ ชาย” ก็เป็นค�ำทีเ่ สริมให้เห็นภาพอารมณ์และความรูส้ กึ ของนนทกอีกว่า
เหลืออดแล้วต้องเห็นดี กัน
• การใช้ค�ำสัน้ แต่กนิ ความมาก คือ การเล่าเรือ่ งด้วยการใช้ถอ้ ยค�ำไม่กปี่ ระโยค แต่
ทว่าได้ ใจความสมบูรณ์ครบถ้วน ดังตัวอย่าง
7.2 คุณค่าด้านสังคม
รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้ ได้สะท้อนให้เห็นคุณค่าด้านสังคมในเรื่อง
ต่างๆ ดังนี้
7.2.1 ค่านิยมของคนไทย
ท�ำดี ได้ดี ท�ำชั่วได้ชั่ว ดังความจากตอนที่ว่า
“เมื่อนั้น พระสยมภูวญาณเรืองศรี
ได้ฟังนนทกพาที ภูมีนงิ่ นึกตรึ กไป
ไอ้นมี่ ีชอบมาช้านาน จ�ำจะประทานพรให้
คิดแล้วก็ประสิทธ์พรชัย จงได้ส�ำเร็จมโนรถ”
184 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
7.2.2 ความเชื่อ
รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้ แสดงให้เห็นความเชื่อในเรื่องของภพหน้า
ดังจะเห็นได้จากบทประพั นธ์ว่า
7.2.3 วัฒนธรรมทางนาฏศิลป์ไทย
ได้สะท้อนให้เห็นถึงท่าร�ำที่ส�ำคัญและเป็นแบบแผนสืบเนือ่ งมาจนปัจจุ บัน ท่าร�ำ
ที่กล่าวถึงในรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนั้น มีดังนี้
บทที่ 12 รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก 185
“เทพพนมปฐมพรหมสี่หน้า สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน
ทั ้งกวางเดินดงหงส์บิน กินรินเลียบถ�้ำอ�ำไพ
อีกช้านางนอนภมรเคล้า ทั ้งแขกเต้าผาลาเพี ยงไหล่
เมขลาโยนแก้วแววไว มยุเรศฟ้อนในอัมพร
ลมพั ดยอดตองพรหมนิมิต ทั ้งพิสมัยเรียงหมอน
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร พระสีก่ รขว้างจักรฤทธิรงค์”
บรรณานุกรม 12
2. ประวัติผู้แต่ง
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร หรือ เจ้าฟ้ากุ้ง ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ ใหญ่
ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระชนนี คือ สมเด็จพระพั นวัสสาใหญ่ กรมหลวง
อภัยนุชิต พระองค์ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2258 ทรงมีพระภคินรี ่วมพระชนนีเดี ยวกัน
อีก 6 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าหญิงบรม เจ้าฟ้าหญิงธิดา เจ้าฟ้าหญิงรัศมี เจ้าฟ้าหญิง
สุริยวงศ์ เจ้าฟ้าหญิงสุริยา และเจ้าฟ้าหญิงอินทสุดาวดี
ก่อนที่พระองค์จะได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น
พระองค์ทรงก่อเหตุลอบท�ำร้าย เจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ พระราชนัดดาองค์โปรด
ในสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั บรมโกศ แต่ดว้ ยความช่วยเหลือของพระชนนี ทีท่ รงจัดการให้
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเข้าพึง่ ร่มผ้ากาสาวพั สตร์ ประกอบกับเจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์
ได้ช่วยกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ จึงท�ำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรรอดพ้นจาก
ความตายมาได้ ต่อมาเมื่อพระชนนีประชวรหนัก ใกล้สิ้นพระชนม์ จึงได้กราบทูล
ขอพระราชทานอภัยโทษ และขอชี วิ ตเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไว้หากท�ำผิ ดอีก ซึ่งสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ทรงพระราชทานให้
188 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
เมื่อพ้นโทษแล้วพระองค์จึงลาผนวช ต่อมาก็ได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวัง
บวรสถานมงคล พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจต่างพระเนตรพระกรรณมากมาย
เช่น ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ ที่ส�ำคัญ คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัด
ที่ส�ำคัญที่สุดในอาณาจั กร
อย่างไรก็ตามด้วยความที่พระองค์ทรงมีเรื่องขัดแย้งกับเจ้านายพระองค์อื่นๆ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งเจ้านายในกลุ่มเจ้าสามกรม จึงท�ำให้พระองค์ถูกฟ้องร้องด้วยข้อกล่าวหาว่า
เป็นชูก้ บั เจ้าฟ้าสังวาลย์ พระสนมองค์หนึง่ ของสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั บรมโกศ ดังนัน้ พระองค์
จึงถูกลงพระราชอาญาจนสิ้นพระชนม์
พระนิพ นธ์ ข องเจ้ า ฟ้ า ธรรมธิ เ บศรเท่ า ที่ เ หลื อ ตกทอดมาถึ ง ปั จ จุ บั น ได้ แ ก่
นันโทปนันทสูตรค�ำหลวง พระมาลัยค�ำหลวง กาพย์เห่เรือ บทเห่เรื่องกากี บทเห่สังวาส
และบทเห่ครวญ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารโศก กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง และ
เพลงยาว
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง แต่งเป็นกาพย์ห่อโคลง ซึ่งประกอบด้วยโคลง
สี่สุภาพและกาพย์ยานี 11 แต่งสลับกันไป เริ่มต้นด้วยกาพย์ยานี 1 บท แล้วตามด้วยโคลง
สี่สุภาพ 1 บท เนื้อความในกาพย์ยานีกับโคลงสี่สุภาพจะต้องคล้ายกัน หรือใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ค�ำขึ้นต้น 2 ค�ำแรกของกาพย์และโคลงจะต้องเหมือนกัน ดังตัวอย่าง
“หัวลิงหมากลางลิง ต้นลางลิงแลหูลิง
ลิงไต่กระไดลิง ลิงโลดคว้าประสาลิง
หัวลิงหมากเรียกไม้ ลางลิง
ลางลิงหูลิงลิง หลอกขู้
ลิงไต่กระไดลิง ลิงห่ม
ลิงโลดฉวยชมผู้ ฉีกคว้าประสาลิง”
บทที่ 13 กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง 189
ในตอนท้ายเรื่องเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้กาพย์ห่อโคลง 2 บท และโคลงสี่สุภาพ
5 บท บอกรายละเอียดเกี่ยวกับผู้แต่ง แสดงวัตถุประสงค์ของการแต่ง แสดงคุณค่าและ
ชื่นชมความไพเราะของวรรณคดี ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะในการอ่านดังความที่ว่า
4. เนื้อเรื ่อง
เนือ้ หาของกาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง เป็นการพรรณนาให้เห็นถึงการเสด็จ
พระราชด�ำเนินไปพระพุ ทธบาท ด้วยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค มีขบวนช้าง เครื่องสูง
พระสนม นางใน ที่ตามเสด็จ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรได้บรรยายภาพสัตว์ป่าประเภทต่างๆ ที่
ใช้ชี วิ ตอยู่ร่วมกันตามวิ ถีทางของธรรมชาติ ซึ่งสัตว์ป่าที่พระองค์ทรงบรรยายไว้นั้น มีสัตว์
สี่เท้า เช่น ช้าง กระบือ โค กวาง ทราย หมูป่า สุนัขจิ ้งจอก กระทิง หมี เสือโคร่ง เสือเหลือง
เสือดาว โคแดง ละมั่ง อ้น เลียงผา กระแต กระรอก เช่น
“เลียงผาอยู่ภูเขา หนวดพรายเพราเขาแปล้ปลาย
รูปร่างอย่างแพะหมาย ขนเหม็นสาปหยาบเหมือนกัน
เลียงผาอยู่พ่างพื้น ภูเขา
หนวดพู่ดูเพราเขา ไปล่ท้าย
รูปร่างอย่างแพะเอา มาเปรียบ
ขนเหม็นสาบหยาบร้าย กลิ่นกล้าเหมือนกัน”
“ธารใสไหลสะอาด มัจฉาชาติดาษนานา
หวั่นหว้ายกินไคลคลา ตามกันมาให้เห็นตัว
ธารไหลใสสะอาดน�้ำ รินมา
มัจฉาชาตินานา หวั่นหว้าย
จอกสร่ายกินไคลคลา เชยหมู่
ตามคู่มาคล้ายคล้าย ผุดให้เห็นตัว”
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงมีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์หลายประการ ดัง
จะกล่าวต่อไปนี้
5.1.1 การใช้ถ้อยค�ำ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้ถ้อยค�ำที่เรียบง่ายในการพรรณนา
เมื่ออ่านแล้วก็เข้าใจได้ทันทีและยังมองเห็นภาพที่ชัดเจนอีกด้วย ดังตัวอย่าง
“มีหมีพีด�ำขลับ ขึ้นไม้ผับฉับไวถึง
เรี่ยวแรงแขงขังขึง กัดโพรงไม้ได้ผึ้งกิน”
ความจากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นภาพของหมีตัวขนาดใหญ่สีด�ำขลับ ก�ำลังปีนขึ้นบน
ต้นไม้อย่างรวดเร็วด้วยก�ำลังมหาศาลและกินผึ้งเป็นอาหาร ซึ่งเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้
ถ้อยค�ำธรรมดาๆ แต่สามารถท�ำให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจน
อีกตัวอย่างหนึง่ ทีจ่ ะขอยกเอาไว้ดว้ ย คือ ตอนทีท่ รงกล่าวถึงความรืน่ รมย์ของธรรมชาติ
และธารน�้ำที่ ใสสะอาดรอบบริเวณธารทองแดง เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้ค�ำเพี ยงนิดเดี ยว
แต่ทว่าสามารถสร้างภาพให้เกิดในความคิดของผู้อ่านและมองเห็นภาพนั้นได้ชัดเจน
“ธารใสไหลสะอาด มัจฉาชาติดาษนานา
หวั่นหว้ายกินไคลคลา ตามกันมาให้เห็นตัว
ธารไหลใสสะอาดน�้ำ รินมา
มัจฉาชาตินานา หวั่นหว้าย
จอกสร่ายกินไคลคลา เชยหมู่
ตามคู่มาคล้ายคล้าย ผุดให้เห็นตัว”
“ดูหนูสู่รงู ู งูสุดสู้หนูสู้งู
หนูงูสู้ดูอยู่ รูปงูทู่หนูมูทู
ดูงูขู่ฝูดฝู้ พรูพรู
หนูสู่รงู ูงู สุดสู้
งูสู้หนูหนูสู้ งูอยู่
หนูร้งู ูงูร้
ู รูปถู้มูทู”
“ยูงทองย่องเยื้องย่าง ร�ำรางชางช่างฟ่ายหาง
ปากหงอนอ่อนส�ำอาง ช่างร�ำเล่นเต้นตามกัน
ยูงทองย่องย่างเยื้อง ร�ำฉวาง
รายร่ายฟ่ายเฟื่องหาง เฉิดหน้า
ปากหงอนอ่อนส�ำอาง ลายเลิศ
ร�ำเล่นเต้นงามหน้า ปีกป้องเป็นเพลง”
จากบทประพั นธ์ข้างต้นจะเห็นว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงเลือกสรรค�ำอย่างพิถีพิถัน
แล้วน�ำเอามาร้อยเรียงจนเกิดเสียงสัมผัสทั ้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร จึงท�ำให้ความของ
บทประพั นธ์น้ชี ัดเจนยิ่งขึ้น ผู้อ่านจะมองเห็นภาพของนกยูงที่ก�ำลังเดินเยื้องย่างอย่างสง่า
พร้อมกับร�ำแพนหางที่สวยงาม
5.1.5 การใช้ความเปรี ยบ ซึ่งมีทั้งการเปรียบเทียบแบบอุปมาและการเปรียบ
เทียบแบบอุปลักษณ์ ดังตัวอย่าง
“เสียงปี่รี่เรื่อยเพี ยง กระเวก”
“งูเหลือมแบนท้องแผ่ คือกระดาน”
“หัวลิงหมากลางลิง ต้นลางลิงแลหูลิง
ลิงไต่กระไดลิง ลิงโลดคว้าประสาลิง
หัวลิงหมากเรียกไม้ ลางลิง
ลางลิงหูลิงลิง หลอกขู้
ลิงไต่กระไดลิง ลิงห่ม
ลิงโลดฉวยชมผู้ ฉีกคว้าประสาลิง”
5.2 คุณค่าด้านความรู้
กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง นอกจากจะมีคณ ุ ค่าทางด้านวรรณศิลป์แล้ว ยัง
ให้คณ
ุ ค่าทางด้านความรูอ้ กี ด้วย ซึง่ ความรูท้ ผี่ อู้ า่ นจะได้รับจากวรรณคดี เรือ่ งนี้ มีดงั ต่อไปนี้
5.2.1 ความรู้เกี่ยวกับการจัดกระบวนพยุหยาตรา กาพย์ห่อโคลงประพาส
ธารทองแดง ได้กล่าวถึงการจั ดกระบวนพยุหยาตราสถลมารคว่า จะต้องจั ดอย่างยิ่งใหญ่
สมพระเกียรติ ซึ่งในกระบวนจะประกอบด้วย ช้าง เครื่องสูง เหล่าทหารจตุรงคเสนา
ดังความว่า
“เกลื่อนกรูหมู่จัตุรงค์ เป็นกันกงเรียบเรียงไป
ทรงช้างระวางใน เทพลีลาหลังคาทอง
เกลื่อนกรูหมู่แห่ห้อม เรียงไสว
เสด็จพุ ดตานทองไคล หว่างเขรื้อง
ทรงช้างระวางใน มีชื่อ
เทพลีลาเยื้อง ย่างแหน้หลังดี ”
196 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“ฝูงฟานผ่านเถื่อนถ้อง เดินเปิบร้องก้องพงไพร
เที่ยวกินถิ่นฐานใด มีน�้ำหญ้าอาหารเนา
ฝูงฟานผ่านเถื่อนถ้อง แถวไศล
เดินเปิบร้องก้องไพร เกลื่อนกลุ้ม
เที่ยวกินถิ่นฐานใด แดนโป่ง
มีหญ้าน�้ำพงผุ้ม บ่ายเข้านอนเนา”
ความจากตัวอย่างข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ที่ฝูงฟาน
มีหญ้า มีน�้ำ กินกันอย่างบริบูรณ์ไม่ว่าจะอยู่ยังที่แห่งไหน
5.2.4 ความรู้เกี่ยวกับพรรณไม้และปลาชนิดต่างๆ กล่าวได้ว่ากาพย์ห่อโคลง
ประพาสธารทองแดง เป็นวรรณคดี ที่รวบรวมเอาพรรณไม้และสัตว์ชนิดต่างๆ มาไว้ในที่
เดี ยวกัน ซึ่งปัจจุบันพรรณไม้บางชนิดและสัตว์ป่าบางประเภทก็สูญพั นธุ์ไปแล้ว แต่เราก็
สามารถศึกษาถึงธรรมชาติ และลักษณะของพรรณไม้ และสัตว์ป่าต่างๆ เหล่านั้นได้ ในที่
บทที่ 13 กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง 197
5.3 คุณค่าด้านสังคม
คุณค่าอีกด้านหนึง่ ของกาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดงทีค่ วรกล่าวถึง คือ คุณค่า
ด้านสังคม เพราะวรรณคดีเรือ่ งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม ค่านิยมของคนในสมัยกรุง
ศรีอยุธยาตอนปลายว่า มีความเชื่อและความเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งจะอธิบายเป็นข้อๆ ไป ดังนี้
5.3.1 ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เห็นได้จากประวัติของวรรณคดีเรื่องนี้ที่
กล่าวว่า พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการรอยพระพุ ทธบาทเป็นประจ�ำ
ทุกปี แม้ว่าการเดินทางจะยากล�ำบาก กินเวลาหลายวัน แต่ก็ทรงอุตสาหะเสด็จดั้นด้นไป
ซึ่งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็เต็มใจ และเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเองก็มิได้กล่าวถึงความยาก
ล�ำบากในการตามเสด็จเอาไว้เลย
5.3.2 สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแต่งกาย กาพย์ห่อโคลงประพาสธาร
ทองแดง ได้สะท้อนให้เห็นถึงการแต่งกายของสตรีชั้นสูงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
เอาไว้ว่า
“นักสนมกรมชแม่มี่ ขี ่ช้างกูบรูปโลมใจ
พั กตราอ่าผ่องใส นุ่งห่มโอ่โสภาจริง
นักสนมกรมชแม่มี่ ทั ้งหลาย
ขี ่ช้างกูบดาวราย แจ่มหน้า
พั กตราผ่องใสสาย สุดสวาท
นุ่งห่มโอ่โถงผ้า อร่ามริ้วทองพราย”
ความจากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีชั้นสูง ซึ่งก็คือ
พวกนางสนม นางก�ำนัล ว่าแต่งตัวกันอย่างสวยงามด้วยผ้าที่มีลวดลายงามวิ จิตร หรือนุ่ง
ห่มผ้าที่ปักด้วยดิ้นทอง ไหมทอง ครั้นยามต้องลมจึงท�ำให้เกิดริ้วที่สวยงาม
198 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
นอกจากจะเห็นวัฒนธรรมการแต่งกายแล้ว เรายังได้เห็นวัฒนธรรมการไว้ทรงผม
ของสตรีชาววังอีกด้วย ดังความว่า
“เพริศเพราเหล่านางห้าม รูปทรงงามตามเสด็จไป
ผมมวยรวยริมไร ม่านปีกนกวกวงวัง
เพริศเพราเหล่าฝ่ายห้าม งามนัก
รูปงามตามแลลักษณ์ ลูบท้อง
ผมมวยรวยไรอรรค ชาเยศ
ม่านปีกนกปกป้อง ห่อหุ้มคลุมเดิน”
จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการไว้ทรงผมของสตรีชาววังสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตอนปลายว่าไว้ผมยาวประบ่า และมักจะรวบผมปีกและผมประบ่าให้อยู่ ในทรงเดี ยวกัน
และผมปีกก็ท�ำเป็นมวยด้วย
บรรณานุกรม 13
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูบทที่ 8 หน้า 131-132
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ แต่งด้วยค�ำประพั นธ์ประเภทโคลงสีส่ ภุ าพมี โคลง
น�ำ 1 บท เนื้อเรื่อง 16 บท และสรุปอีก 1 บท
202 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
4. เนื้อเรื ่อง
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์เป็นวรรณกรรมค�ำสอนที่แนะน�ำข้อควรปฏิบัติ และข้อ
ห้ามมิให้ปฏิบัติ มีอยู่ด้วยกัน 16 หมวดๆ ละ 3 ประการ รวมเป็น 48 ประการ คือ
1. สามสิ่งควรรัก ได้แก่ ความกล้า ความสุภาพ ความรักใคร่ สามสิ่งนี้ผู้เป็นมนุษย์
ควรมีไว้ เพราะเป็นแนวทางในการด�ำเนินชีวิต กล่าวคือ กล้าที่จะพูด และค�ำพูดที่พูดออก
มานั้นจะต้องเป็นค�ำพูดที่จริงใจ ควรมีความสุภาพอ่อนน้อมและรักใคร่ปรองดองต่อเพื่อน
มนุษย์ด้วยกัน สามสิ่งนี้ควรมีให้ผู้อื่นอย่างจริงใจ
2. สามสิ่งควรชม ได้แก่ อ�ำนาจปัญญา เกียรติยศ มีอ�ำนาจดี กล่าวคือ สติปัญญาจะ
ช่วยให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เมื่อมีเกียรติยศ ก็จะมีทรัพย์สมบัติ
พร้อมบริบูรณ์ หากมีมารยาทดี ก็จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ดี ดังนั้นเราควรจะมีสามสิ่ง
นี้เพราะจะเป็นที่ชื่นชมของผู้อื่น
3. สามสิ่งควรเกลียด ได้แก่ ความดุร้าย ความหยิ่งก�ำเริ บ อกตัญญู สามสิ่งนี้ ควร
หลีกให้ห่าง เพราะเป็นหนทางสู่ความเสื่อมเสีย
4. สามสิ่งควรรังเกียจติเตียน ได้แก่ ชั่วเลวทราม มารยา ริ ษยา สามสิ่งนี้ ก็เหมือน
กับข้างต้น คือ ควรหลีกให้ห่าง เพราะเป็นหนทางสู่ความเสื่อมเสีย
5. สามสิ่งควรเคารพ ได้แก่ ศาสนา ยุติธรรม ความประพฤติประโยชน์ทั่วไปไม่
เฉพาะตัวเอง เพราะศาสนาสอนให้คนประพฤติและปฏิบัติ ในสิ่งที่ดี อันเป็นหนทางสู่ความ
เจริญ ส่วนความยุตธิ รรมเป็นคุณธรรมส�ำหรับผู้ ใหญ่ทคี่ วรมี ให้แก่ผนู้ อ้ ยทุกคนอย่างเสมอ
หน้ากัน และควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
6. สามสิง่ ควรยินดี ได้แก่ งาม ตรงตรง ไทยแก่ตน กล่าวคือ การมีรปู ร่างทีส่ วยงาม
เป็นสิ่งที่ทุกคนยินดี ความซื่อสัตย์ไม่คดโกงก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี ความมีอิสระเสรีก็เป็นสิ่งดี
เพราะจะท�ำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกบังคับ
7. สามสิ่งควรปรารถนา ได้แก่ ความสุขสบาย มิตรสหายที่ดี ใจสบายปรุโปร่ง
กล่าวคือ การมีความสุขสบายไม่มี โรค ก็เป็นสิ่งประเสริฐแล้วส�ำหรับชีวิต การมีเพื่อนมาก
(เพื่อนดี ) เมื่อถึงเวลาที่เราเดือดร้อนก็อาจไหว้วานขอความช่วยเหลือจากเพื่อนได้ และการ
มีจิตใจที่แจ่มใส ร่างกายก็จะสบายและมีความสุข
บทที่ 14 โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ 203
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
5.1.1 การใช้ค�ำ ค�ำแต่ละค�ำที่กวีเลือกสรรมานั้น เป็นค�ำที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย
ไม่ต้องตีความซ�้ำ ท�ำให้เข้าใจความหมายที่กวีต้องการสื่อ ดังตัวอย่าง
“สิ่งใดในโลกล้วน เปลี่ยนแปลง
หนึง่ ชราหย่อนแรง เร่งร้น
ความตายติดตามแสวง ท�ำชีพ ประลัยเฮย
สามส่วนควรคิดค้น คติรเู้ ตรียมคอย”
5.2 คุณค่าด้านความรู้
5.2.1 ให้แนวทางในการด�ำเนินชีวติ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์นเ้ี ป็นวรรณคดี
ที่ ให้ความรู้ ในเรื่องของสิ่งที่ควรปฏิบัติและสิ่งที่ ไม่ควรปฏิบัติ ซึ่งแนวทางที่กวีได้น�ำเสนอ
เอาไว้น้ี ถ้าผูอ้ า่ นน�ำไปปฏิบตั กิ จ็ ะท�ำให้ผอู้ า่ นมีความสุขและประสบความส�ำเร็จในการท�ำงาน
5.2.2 ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ ชีวิตร่วมกันในสังคม คือให้ข้อคิดในเรื่องการ
ด�ำเนินชีวิตว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร เช่น ในเรื่องของการคบเพื่อน เรื่องของการใช้วาจา
เป็นต้น
5.2.3 แสดงให้เห็นถึงสัจธรรม คือ เตือนให้ผู้อ่านด�ำรงสติมั่นและไม่ตั้งอยู่ใน
ความประมาท คอยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ก�ำลังจะเกิดขึ้น คือ ความไม่เที่ยงแท้
แน่นอนของโลก ความชรา และความตาย
5.3 คุณค่าด้านสังคม
5.3.1 สะท้อนให้เห็นค่านิยมในสังคมไทย เช่น ค่านิยมเรื่องการรักเกียรติยศ
การนับถือผู้มีอ�ำนาจ และการชื่นชมคนมีมารยาทดี ดังความว่า
“ปัญญาสติล�้ำ เลิศญาณ
อ�ำนาจศักดิ์ศฤงคาร มั่งขั้ง
มารยาทเรียบเสี่ยมสาน เสงี่ยมเงื่อน งามนอ
สามสิ่งควรจั กตั้ง แต่ซ้องสรรเสริญ”
“สิ่งใดในโลกล้วน เปลี่ยนแปลง
หนึง่ ชราหย่อนแรง เร่งร้น
ความตายติดตามแสวง ท�ำชีพ ประลัยเฮย
สามส่วนควรคิดค้น คติร้เู ตรียมคอย”
โคลงบทดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความเชื่อของคนไทยที่เชื่อถือกันมาช้านาน ซึ่งเรามัก
จะถูกสอนอยู่เสมอว่าอย่าประมาทในชีวิต ให้เตรียมใจเผื่อไว้รับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะ
เกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งทุกคนมิอาจหนีพ้นไปได้
บรรณานุกรม 14
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูบทที่ 8 หน้า 131-132
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ แต่งด้วยค�ำประพั นธ์ประเภทโคลงสีส่ ภุ าพ มีโคลง
น�ำ 1 บท เนื้อเรื่อง 10 บท และสรุปอีก 1 บท รวมเป็น 12 บท
210 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
4. เนื้อเรื ่อง
เริ่มด้วยการกล่าวว่าสุภาษิตนฤทุมนาการ เป็นสุภาษิตที่บัณฑิตได้พิจารณาอย่าง
ถ้วนถี่แล้วจึงน�ำมาสั่งสอน จากนั้นแถลงเหตุว่า ผู้ ใดประพฤติและปฏิบัติตามสุภาษิต
นฤทุมนาการก็จะไม่พบกับความเสียใจเลย ส�ำหรับกิจ 10 ประการ ที่ประพฤติและปฏิบัติ
ตามแล้วจะไม่พบกับความเสียใจนั้น มีดังต่อไปนี้
1. เพราะท�ำความดีทั่วไป หมายความว่า การท�ำความดี นั้นไม่ควรเลือกกระท�ำกับ
ผู้ ใดผูห้ นึง่ ควรท�ำกับคนทัว่ ๆ ไป และควรท�ำความดี ให้อยู่ ในครรลองคลองธรรม เพราะจะได้
ไม่มีศัตรูคิดร้าย จะมีก็แต่ผู้ยกย่องเชิดชู
2. เพราะไม่พูดร้ายต่อใครเลย หมายความว่า ควรกระท�ำตนให้อยู่ห่างไกลความ
โมโหและความริษยา ไม่พูดค�ำหยาบ ไม่พูดจากล่าวเท็จให้ร้ายผู้อื่น ไม่พูดอาฆาตขู่เข็ญใคร
และไม่พูดนินทากล่าวโทษผู้ใด
3. เพราะถามฟังความก่อนตัดสิน หมายความว่า หากได้ยินหรือได้ฟังเรื่องราวใดๆ
ไม่วา่ จะเล็กหรือใหญ่กไ็ ม่ควรทีจ่ ะปักใจเชือ่ ในทันที ต้องสอบสวนทวนความ และคิดใคร่ครวญ
ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อ
4. เพราะคิดเสียก่อนจึงพูด หมายความว่า ก่อนที่จะพูดสิ่งใดควรตั้งสติ คิดให้
รอบคอบเสียก่อนว่า เรื่องที่จะพูดนั้นผิ ดหรือถูก เพราะการพูดก็เปรียบเสมือนการเขี ยนที่
มีการเรียบเรียงไว้ หากพูดเพราะก็จะเป็นที่น่าฟัง และไม่เป็นภัยต่อตัวผู้พูดด้วย
5. เพราะงดพูดในเวลาโกรธ หมายความว่า ให้ร้จู ั กหักห้ามตนเอง ไม่ให้พูดในขณะ
ที่ยังโกรธอยู่ ให้หยุดคิดพิจารณาก่อนว่า พูดแล้วจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ หรือพูดไปแล้วจะ
เป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิ ด หากไม่ร้จู ั กยั้งคิดอาจเกิดความเสียหายได้
6. เพราะได้กรุณาต่อคนที่ถึงอับจน หมายความว่า การมีความเมตตากรุณาต่อ
ผูป้ ระสบภัยพิบตั ิ และช่วยเขาให้อยูร่ อดปลอดภัย ก็จะเกิดผลดีตอ่ ผูท้ ชี่ ว่ ยเหลือนัน้ ในอนาคต
เป็นแน่แท้ และผู้คนก็จะพากันยกย่องสรรเสริญ
7. เพราะขอโทษในบรรดาที่ ได้ผดิ หมายความว่า เมือ่ กระท�ำการสิง่ ใดแล้ว หากเกิด
ความผิ ดพลาด ก็ควรลดความอวดดี ลง และรู้จักการกล่าวขอโทษเพื่อลดความบาดหมาง
เพราะดี กว่าคิดหาทางแก้ไขด้วยการโกหก
บทที่ 15 โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ 211
5. คุณค่า
โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการให้คุณค่าด้านต่างๆ หลายประการ เป็นต้นว่า คุณค่าทาง
ด้านวรรณศิลป์ คุณค่าทางด้านความรู้ และคุณค่าทางด้านสังคม ดังนี้
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
แม้ว่าโคลงสุภาษิตนฤทุมนาการจะเป็นโคลงสั้นๆ แต่ก็มีความประณีตในการใช้
ถ้อยค�ำอย่างมาก และแม้ว่าค�ำที่ ใช้จะเป็นถ้อยค�ำที่เรียบง่าย แต่ก็มีความหมายที่ลึกซึ้ง
และมีเสียงที่ ไพเราะ วิ ธกี ารต่างๆ ทีก่ วี ใช้ ในการแต่งโคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ ให้มคี วาม
โดดเด่นและไพเราะนั้น มีดังนี้
5.1.1 ก�ำหนดค�ำให้มีความเหมาะสมกับฉันทลักษณ์ กล่าวคือ โคลงสุภาษิต
นฤทุมนาการ แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ ดังนั้นกวีจึงจ�ำเป็นต้องใช้ค�ำที่จ�ำกัด เพื่อให้ได้
ความหมายที่ชัดเจน และในบางวรรคกวีก็ ใช้ค�ำโบราณซึ่งเหมาะกับค�ำประพั นธ์ประเภท
โคลงสี่สุภาพ เช่น ห่อน ไป่ บ้าย บ่ โสต ปาง ป่าง ฯลฯ
212 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“เหินห่างโมหะร้อน ริษยา
สละส่อเสียดมารษา ใส่ร้าย
ค�ำหยาบจาบจ้วงอา ฆาตขู่ เข็ญเอย
ไป่หมิ่นนินทาบ้าย โทษให้ผู้ ใด”
5.2 คุณค่าด้านความรู้
5.2.1 ให้ความรูเ้ รื อ่ งการปฏิบตั ติ นเมือ่ อยูร่ ว่ มกับผูอ้ นื่ กล่าวคือ สะท้อนให้เห็น
แนวคิดในการด�ำเนินชีวิตหลายประการ ทัง้ ด้านจิตใจ ความคิด การพูดและการกระท�ำ ซึง่ เป็น
ค�ำสอนในเรือ่ งของการปฏิบตั ติ นเมือ่ อยูร่ ว่ มกับผูอ้ นื่ ทัง้ สิน้ ดังนัน้ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
จึงเป็นวรรณกรรมค�ำสอนที่สอนให้ทุกคนปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุข เช่น ไม่
ใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่พูดจาให้ร้ายจนท�ำให้เกิดความบาดหมางกัน ให้ท�ำดี กับคนทั ่วไปเพราะ
เขาจะได้ ชื่นชอบในตัวเราซึ่งเป็นการสร้างมิตรที่ดีไว้ด้วย
5.2.2 สอนให้คิดอย่างรอบคอบ กล่าวคือ ก่อนจะลงมือกระท�ำการสิ่งไรควรคิด
ให้รอบคอบเสียก่อนว่าจะเกิดประโยชน์หรือโทษ เช่น ไม่ควรฟังค�ำนินทา ไม่หลงเชือ่ ข่าวร้าย
เป็นต้น
5.3 คุณค่าด้านสังคม
5.3.1 สะท้อนให้เห็นค่านิยมเรื ่องความประพฤติ กล่าวคือ สะท้อนให้เห็นว่า
การมีความประพฤติที่ดีจะเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ดังความจากบท
ประพั นธ์ว่า
“พาทีมีสติรั้ง รอคิด
รอบคอบชอบแลผิ ด ก่อนพร้อง
ค�ำพูดพ่างลิขิต เขี ยนร่าง เรียงแฮ
ฟังเพราะเสนาะต้อง โสตทั ้งห่างภัย”
2. ประวัติผู้แต่ง
นอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเป็นผู้แปลและแต่งแล้ว ยัง
มีผู้ร่วมแปลและแต่งอีก 3 ท่าน คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิ ชิตปรีชากร พระยา
ศรีสนุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และพระยาราชสัมภารากร ซึง่ จะได้กล่าวถึงพระประวัติ
ของท่านทั ้งสามไว้ ณ ที่น้ดี ้วย ส่วนพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุ ลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวนั้น หาอ่านได้ ในบทที่ 8 หน้า 131-132
2.3 พระยาราชสัมภารากร
พระยาราชสัมภารากร มีนามเดิมว่า เลื่อน สุรนันท์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2380 เป็น
บุตรของพระยาอภัยพิพิธ (เสพ) จางวางกรมท่าขวากับคุณหญิงพุ ่ม ซึ่งเป็นพระราชนัดดา
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ในรัชกาลที่ 5 นายเลือ่ นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กเวรศักดิ์ ต่อมาได้รับพระมหากรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้เป็นมหาดเล็กรายงาน ดูการวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระคลังราชการ
แล้วเป็นนายรองสรรพวิ ไชย เมื่ออายุครบบวชได้บวชเรียนในส�ำนักสมเด็จพระวันรัตน์ (ทั บ)
วัดโสมนัสวิหาร ครัน้ สึกออกมาแล้วก็กลับเข้ารับราชการตามเดิม และได้รับการโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นหลวงอินทรโกษา ปลัดกรมพระคลังราชการ
ต่อมา พ.ศ. 2421 ได้เลื่อนต�ำแหน่งเป็นพระยาราชสัมภารากร เจ้ากรมพระคลัง
ราชการ ภายหลังได้เป็นข้าหลวงใหญ่รักษาราชการ ณ นครเชียงใหม่
พระยาราชสัมภารากรมีความสนใจศึกษาเล่าเรียนวิ ชาหนังสือขอม หนังสือไทย
โหราศาสตร์ ต�ำรับพิชัยสงคราม พระราชพงศาวดาร และการแต่งร้อยกรอง ท่านถึงแก่
อนิจกรรมเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2434 เมื่อมีอายุได้ 54 ปี (เก็บความจากบุญหลง
ศรีกนก, 2553 : 221)
3. เนื้อเรื ่องย่อ
3.1 ราชสีห์กับหนู
ราชสีห์ตัวหนึง่ ก�ำลังนอนหลับอย่างสบาย แต่มีหนู
ตัวหนึง่ วิ ่งขึ้นไปบนหน้า ท�ำให้ราชสีห์ตกใจตื่น ราชสีห์จะ
ฆ่าหนูเพราะความโกรธ แต่หนูตัวนั้นได้อ้อนวอนราชสีห์
ขอให้ไว้ ชี วิต และบอกว่าจะทดแทนบุญคุณให้ ในภายหลัง
ราชสีห์ได้ยินก็หัวเราะเยาะ แล้วปล่อยหนูไป ต่อมาราชสีห์
ติดบ่วงแร้วของนายพราน จะท�ำอย่างไรก็ไม่หลุด หนูได้ยิน
เสียงร้องของราชสีหจ์ งึ มาช่วยกัดแร้วของนายพราน จนราชสีห์
222 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3.2 บิดากับบุตรทั้งหลาย
ชายคนหนึง่ มีบุตรหลายคน บุตรนั้นมักจะทะเลาะกันอยู่เสมอ บิ ดาจะตักเตือน
สั่งสอนเท่าไรๆ บุตรนั้นก็มิฟังยังคงทะเลาะกันอยู่ จนวันหนึง่ บิ ดาได้สั่งให้บุตรทั ้งหลายไป
หาไม้เรียวมัดมาก�ำหนึง่ แล้วให้บตุ รทัง้ หลายช่วยกันหัก บุตรทัง้ หลายพยายามเท่าไรก็หกั ไม่
ได้ บิ ดาจึงแก้มดั ไม้เรียวนัน้ และส่งให้บตุ รหักคนละอัน บุตรก็สามารถหักไม้เรียวได้โดยง่าย
ครัน้ แล้วบิ ดาจึงสอนว่าถ้าสามัคคีรวมเป็นอันหนึง่ อันเดี ยวกันเหมือนไม้เรียวทัง้ ก�ำ ก็จะไม่มี
ใครท�ำอันตรายได้ แต่ถา้ แตกแยกกันก็ยอ่ มเป็นอันตรายได้งา่ ย ดังนัน้ นิทานเรือ่ งนีจ้ งึ สอน
ว่าผู้ที่เกิดมาร่วมวงศ์ตระกูลเดี ยวกัน หากไม่รักกันริษยากัน ก็จะถูกผู้อื่นเบี ยดเบี ยนได้ง่าย
แต่ถ้ามีความสามัคคีกัน ถึงจะมีศัตรูหลายหมื่นคน ศัตรูเหล่านั้นก็จะพ่ายแพ้เพราะความ
สามัคคีนนั่ เอง
3.3 สุนัขป่ากับลูกแกะ
สุนัขป่าพบลูกแกะหลงฝูงมาก็ต้องการจั บกินเป็นอาหาร จึงพยายามกล่าวโทษเพื่อ
หาเหตุในการจั บลูกแกะกิน สุนัขป่าจึงอ้างว่าเมื่อปีกลายลูกแกะได้ดูถูกตน ลูกแกะก็ตอบ
ด้วยน�้ำเสียงอันเศร้าโศกว่าเมือ่ ปีกลายนัน้ ตนยังไม่เกิด สุนขั ป่าจึงว่าลูกแกะแอบกินหญ้าใน
เขตของตน ลูกแกะก็บอกว่ายังมิเคยได้รรู้ สหญ้าเลยเพราะยังไม่เคยกิน สุนขั ป่าก็วา่ ไปอีกว่า
ลูกแกะกินน�้ำในบ่อของตน ลูกแกะก็ตอบว่ายังไม่เคยกินน�้ำเลยเพราะกินแต่น�้ำนมของแม่
สุนขั ป่ามิรจู้ ะหาเหตุอย่างไรต่อไปเพราะลูกแกะสามารถหาเหตุผลมาหักล้างข้อกล่าวโทษได้
ทัง้ หมด จึงท�ำไม่รไู้ ม่ชีแ้ ล้วจับลูกแกะกินเป็นอาหาร ดังนัน้ นิทานเรือ่ งนีจ้ งึ สอนว่า แม้จะกล่าว
ถ้อยค�ำที่ ไพเราะอ่อนหวานต่อคนพาลหยาบช้าเท่าใดก็ดี คนพาลนั้นก็จะหาโทษมาให้จนได้
บทที่ 16 โคลงสุภาษิตอีศปปกรณ�ำ 223
3.4 กระต่ายกับเต่า
กระต่ายหัวเราะเยาะเต่าว่าเท้าสั้นเดินช้า
เต่าจึงท้าให้วิ่งแข่งกัน ฝ่ายกระต่าย เห็นว่าไม่มี
ทางเป็นไปได้แน่นอนที่เต่าจะวิ ่งชนะ ตนจึงรับค�ำ
ท้า แล้วให้สุนัขจิ ้งจอกเป็นกรรมการ พอถึงเวลา
แข่งขันกระต่ายกับเต่าก็ออกวิ ่งพร้อมกัน เต่านั้น
วิง่ ไปมิได้หยุดเลยแม้แต่นดิ เดียว ส่วนกระต่ายนัน้
มัน่ ใจในฝีเท้าของตนมากก็ไม่สทู้ จี่ ะเอาใจใส่ ในการ
แข่งขัน ว่าแล้วก็แอบนอนหลับข้างทาง ครัน้ ตืน่ ขึน้
คิดได้กร็ ีบวิง่ ต่อไปโดยเร็ว แต่ปรากฏว่าเต่านัน้ ถึง
ที่หมายเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนิทานเรื่องนี้จึงสอน
ว่าอย่าประมาทและเชือ่ มัน่ ในความสามารถของตน
นัก เพราะผูท้ เี่ ราคิดว่าไม่มคี วามสามารถ แต่เขามี
ความพยายาม เขาอาจกลายเป็นผู้ชนะได้
4. คุณค่า
โคลงอีศปปกรณ�ำให้คุณค่าด้านต่างๆ หลายประการ เป็นต้นว่า คุณค่าทางด้าน
วรรณศิลป์ คุณค่าทางด้านความรู้ และคุณค่าทางด้านสังคม ดังนี้
4.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
4.1.1 การใช้ถ้อยค�ำ กวี ใช้ถ้อยค�ำที่เรียบง่าย โดยเรียบเรียงออกมาได้สละสลวย
ด�ำเนินเนื้อความอย่างกระชับ มีการบรรยายเนื้อความสลับกับบทเจรจาของตัวละคร ท�ำให้
น่าสนใจ น่าติดตามมากขึ้น ดังตัวอย่าง (ค�ำที่ ไม่พิมพ์ตัวหนา คือบทบรรยายเนื้อความ
ส่วนค�ำที่พิมพ์ตัวหนาคือบทเจรจาของตัวละคร)
“มีราชสีหต์ วั หนึง่ นอนหลับ มีหนูตวั หนึง่ วิง่ ไปบนหน้า ราชสีหน์ นั้ ตกใจตืน่ ลุกขึน้ ด้วย
ความโกรธ จั บหนูไว้ได้จะฆ่าเสีย หนูจึ่งอ้อนวอนว่า ถ้าเพียงแต่ท่านไว้ ชีวิตข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าคงจะแทนคุณท่านที่มี ใจดีเป็นแน่ ราชสีห์หัวเราะแล้วปล่อยเขาไป...”
224 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“อย่าควรประมาทผู้ ทุรพล
สบเคราะห์คราวขัดสน สุดรู้
เกลือกเขาสบร้ายดล ใดเหตุ มีแฮ
มากพวกคงมีผ ู้ ระลึกเคล้าคุณสนอง”
4.2 คุณค่าด้านเนื้อหา
4.2.1 ให้ขอ้ คิดสอนใจว่าไม่ควรดูถกู ผูท้ ตี่ ำ�่ ต้อยกว่า ดังราชสีหท์ ดี่ ถู กู หนู ในการ
เปรียบเทียบทางวรรณคดี นั้น ราชสีห์เป็นสัตว์ ใหญ่จึงหมายถึง ผู้มีพละก�ำลังมาก ส่วนหนู
เป็นสัตว์ตัวเล็กนิดเดี ยวจึงหมายถึงผู้มีก�ำลังน้อย หรือผู้ต�่ำต้อย แต่สุดท้ายแล้วหนูก็ช่วย
ราชสีห์ ให้พ้นจากอันตรายได้ ดังนั้นสัตว์ทั้งสองจึงเป็นสิ่งแทนว่าทั ้งผู้ ใหญ่และผู้น้อยต่าง
ก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
4.2.2 สอนให้รู้จักคุณของความสามัคคี ดังนิทานเรื่องบิ ดากับบุตรทั้งหลาย
ที่บิดาสร้างสถานการณ์หนึง่ ขึ้นมา แล้วอธิบายให้บุตรรู้ถึงคุณของความสามัคคี และโทษ
ของการไม่สามัคคี
4.2.3 สอนให้รู้จักลักษณะนิสัยของคนพาล ดังสุนัขป่าที่เป็นตัวแทนของคน
พาล ทีค่ อยแต่จะหาเรือ่ งผูอ้ นื่ ที่ ไม่มคี วามผิด ไม่วา่ ลูกแกะจะพูดด้วยวาจาอ่อนหวานอย่างไร
แต่สุดท้ายแล้วสุนัขป่าก็หาเหตุท�ำร้ายลูกแกะจนถึงแก่ ชีวิตได้
4.2.4 สอนไม่ ให้ประมาท ดังเช่น กระต่ายที่มั่นใจในฝีเท้าของตนเองและเห็น
เต่าขาสั้น เดินช้า คิดว่าเต่าคงจะวิ ่งไม่ทันตนเองอย่างแน่นอน ด้วยความประมาทกระต่าย
จึงไม่สนใจการแข่งขัน กลับแอบนอนหลับข้างทาง แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว เพราะเต่า
เดินเข้าเส้นชัยไปแล้ว
226 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
4.3 คุณค่าด้านสังคม
4.3.1 สะท้อนให้เห็นถึงความส�ำคัญของสถาบันครอบครัว จากเรื่องบิดากับ
บุตรทั ้งหลาย สะท้อนให้เห็นสถาบันครอบครัวที่สมัยก่อนมักจะมีลูกมาก เมื่อมีลูกมากๆ
แล้ว ผู้เป็นพ่อก็ย่อมที่จะต้องวางแนวทางในการปกครองบุตรเพื่อให้เกิดความสามัคคี
4.3.2 สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาอาศัยกันและกัน ดังได้กล่าวไปแล้วว่า ทั้ง
ผูใ้ หญ่และผูน้ อ้ ยต่างก็ตอ้ งพึง่ พาอาศัยซึง่ กันและกัน ดังนัน้ จึงขอกล่าวโดยสรุปว่าการจะอยู่
ในสังคมอย่างสงบสุข ทุกคนต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่เบี ยดเบี ยนกัน
4.3.3 สะท้อนให้เห็นความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือ นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า
แสดงให้เห็นโทษของความประมาท อันเป็นค�ำสอนเรือ่ งหนึง่ ของพระพุทธศาสนา ส่วนนิทาน
เรื่องราชสีห์กับหนูก็สะท้อนให้เห็นในเรื่องของความกตัญญูร้คู ุณ
4.3.4 สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสยั ของคนพาล คนพาลก็คอื คนเกเร เทีย่ วหา
เรื่องคนอื่นเขาไปทั ่ว จะกระท�ำการต่างๆ ก็ท�ำได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล ดังนั้นถ้าพบคนพาล
ก็ควรหลีกเลี่ยงอย่าไปสนทนาด้วย เพราะจะท�ำให้เราเดือดร้อน บางทีคนพาลก็อาจพาเรา
ไปสู่หนทางที่เสื่อมเสีย
บรรณานุกรม 16
2. ประวัติผู้แต่ง
พระยาอุปกิตศิลปสาร นามเดิมคือ นิม่ กาญจนาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม
พ.ศ. 2422 ได้รับการศึกษาชั้นต้นที่วัดบางประทุนนอก และที่วัดประยุรวงศาวาส ต่อมาได้
บวชเป็นสามเณรและพระภิกษุที่วัดสุทัศนเทพวราราม ได้ศึกษาพระธรรมวิ นัยจนแตกฉาน
และสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
พระยาอุปกิตศิลปสารเริ่มเข้ารับราชการเป็นครูฝึกสอนที่ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์
สายสวลีสัณฐาคาร ฝ่ายสอนหนังสือที่ โรงเรียนสวนกุหลาบและโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์
บ้านสมเด็จเจ้าพระยา นอกจากนีย้ งั เคยด�ำรงต�ำแหน่งข้าหลวงตรวจการ ภายหลังเข้ามารับ
ราชการทีก่ ระทรวงธรรมการ พนักงานกรมราชบัณฑิต ปลัดกรมต�ำรา หัวหน้าการพิมพ์แบบ
เรียน หัวหน้าแผนกอภิธานสยาม จนได้รับบรรดาศักดิเ์ ป็นอ�ำมาตย์เอก พระยาอุปกิตศิลปสาร
พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิม่ กาญจนาชีวะ) เป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางภาษา
ไทย ภาษาบาลี วรรณคดี โบราณ เคยเป็นอาจารย์พเิ ศษของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย และเคยเป็นอาจารย์พเิ ศษสอนภาษาไทยชุดครูมธั ยม และเป็นกรรมการช�ำระ
ปทานุกรมด้วย (ฟองจั นทร์ สุขยิ่ง และคณะ, 2544 : 141)
งานประพั นธ์ส�ำคัญทางภาษาและวรรณคดี ไทยของพระยาอุปกิตศิลปสาร เช่น
แบบเรียนสยามไวยากรณ์ ค�ำประพั นธ์บางเรื่องที่แต่งด้วย โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย
เพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น ศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์
ทั ่วไป (ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร, 2549 : 241)
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
กลอนดอกสร้อยร�ำพึงในป่าช้า แต่งเป็นกลอนดอกสร้อยจ�ำนวน 33 บท มีเพิม่ ขึน้ จาก
ภาษาอังกฤษ 1 บท กลอนดอกสร้อยจะมีรปู ฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ แต่จะต่างกัน
ตรงค�ำขึ้นต้นและลงท้าย คือ จะขึ้นต้นด้วยค�ำว่า เอ๋ย เช่น ดอกเอ๋ยดอกฟ้า และลงท้ายว่า
เอย ดังตัวอย่าง (บุปผา บุญทิพย์, 2558 : 93)
บทที่ 17 กลอนดอกสร้อยร�ำพึงในป่าช้า 231
“วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย�่ำค�่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนือ่ ยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั ่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดี ยวเอย”
4. เนื้อเรื ่องย่อ
ในเวลาเย็นใกล้ค�่ำ มีชายผู้หนึง่ ได้เข้าไปนัง่ อยู่ในวัดชนบทแห่งหนึง่ ซึ่งมีแต่ความ
สงบเงียบ เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังบอกเวลาใกล้ค�่ำ เขาจึงมองดูไปรอบๆ เห็นชาวนาจูง
ฝูงวัวควายเดินทางกลับบ้าน ครั้นสิ้นแสงตะวันแล้วเขาก็ได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรร้อง และ
เสียงเกราะในคอกสัตว์ นกแสกที่จับอยู่บนหอระฆังก็ส่งเสียงร้อง ณ บริเวณโคนต้นโพธิ์
ต้นไทร ซึ่งบริเวณนั้นมีศพฝังอยู่ ในหลุมมากมาย ความเงียบสงบและความวิ เวกช่วยท�ำให้
เขารู้ถึงสัจธรรมแห่งชีวิตข้อที่ว่า ผู้ดี มีจน นาย ไพร่ นักรบ กษัตริย์ ต่างก็มีจุดจบเหมือน
กันทั ้งหมด คือ ความตาย
5. คุณค่า
กลอนดอกสร้อยร�ำพึงในป่าช้าให้คุณค่าด้านต่างๆ หลายประการ เป็นต้นว่า คุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ คุณค่าด้านความรู้ และคุณค่าด้านสังคม ดังนี้
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
5.1.1 การใช้ถอ้ ยค�ำ กวี ใช้ถอ้ ยค�ำทีเ่ รียบง่ายและสือ่ ความหมายได้อย่างชัดเจน ดัง
จะเห็นได้จากบทพรรณนาวิถี ชีวิตของชาวนาในเวลาเย็น อ่านแล้วท�ำให้เห็นภาพ เกิดอารมณ์
และความรู้สึกคล้อยตาม ดังตัวอย่าง
232 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย�่ำค�่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนือ่ ยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั ่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดี ยวเอย”
“วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย�่ำค�่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนือ่ ยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้ มืดมัวทั ่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดี ยวเอย”
5.2 คุณค่าด้านความรู้
แนวคิดส�ำคัญของกลอนดอกสร้อยร�ำพึงในป่าช้า จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง
ของชีวิต ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง ทุกคนไม่อาจหนีความตายไปได้ ไม่ว่าผู้ ดี
มีจน ล้วนแต่มีจุดจบที่ความตายทั ้งสิ้น ดังตัวอย่าง
“ห่างเอ๋ยห่างไกล ห่างจากพวกมักใหญ่ฝักใฝ่หา
แต่สิ่งซึ่งเหลวไหลใส่อาตมา ความมักน้อยชาวนาไม่น้อมไป
เพื่อรักษาความสราญฐานวิ เวก ร่มเชื้อเฉกหุบเขาล�ำเนาไศล
สันโดษดับฟุ้งซ่านทะยานใจ ตามวิ สัยชาวนาเย็นกว่าเอย
ศพเอ๋ยศพไพร่ ไม่มี ใครขึ้นชื่อระบือขาน
ไม่เกรงใครนินทาว่าประจาน ไม่มีการจารึ กบันทึกคุณ
ถึงบางทีมีบ้างเป็นอย่างเลิศ ก็ไม่ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร์
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุญ เป็นเครือ่ งหนุนน�ำเหตุสงั เวชเอย”
234 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชี วิ ต
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย
ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัยเอย”
5.3 คุณค่าด้านสังคม
คุณค่าด้านสังคมที่ปรากฏจากกลอนดอกสร้อยร�ำพึงในป่าช้านั้น ส่วนใหญ่จะเป็น
เรื่องราวที่เกี่ยวกับวิ ถีชีวิต ความเชื่อ และค่านิยม ดังนี้
5.3.1 สะท้อนให้เห็นสภาพวิถี ชีวิตของชาวชนบท ว่าเป็นสังคมเกษตรกรรม
ดังความจากบทประพั นธ์ว่า
“วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย�่ำค�่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนือ่ ยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั ่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดี ยวเอย”
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูบทที่ 10 หน้า 149-153
3. เนื้อเรื ่อง
บทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูก เป็นละครฉากเดี ยวจบ มีตัวละครในการด�ำเนินเรื่อง
เพี ยง 4 คน คือ
1 พระยาภักดีนฤนารถ (พ่อเลี้ยงของแม่ลออ ซึ่งรักแม่ลออด้วยความจริงใจ)
240 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
นายค�ำได้แต่พยักหน้ารับอย่างเดี ยว
“ฮือ แกไม่เชื่อ” ชายผู้นั้นยิ้ม แล้วเอ่ยต่อเหมือนจะประชดตัวเอง
“ที่จริงแกก็ไม่น่าเชื่อ รูปร่างฉันมันโทรมเต็มที เครื่องแต่งตัวหรือก็ปอนเต็มทียังงี้
แต่ฉันสาบานได้เทียวว่า ฉันจะไม่แตะต้องสิ่งของอะไรของเจ้าคุณภักดี ก่อนที่ ได้รับอนุญาต
เข้าใจไหม” แล้วกล่าวต่ออีกว่าตนเป็นเกลอเก่าของพระยาภักดี นฤนารถ
คนรับใช้รับค�ำตามเดิม ผู้เป็นแขกก็ยิ่งแสดงอาการอึดอัด
ขณะนัน้ พระยาภักดีนฤนารถกลับมาพอดี ได้ยนิ เสียงดังจากห้องรับแขก จึงร้องถามขึน้ ว่า
“อะไรกันวะ”
นายค�ำเหลียวมอง แล้วเดินออกไป ก็เห็นเจ้านายเข้ามายืนอยู่ถึงหน้าห้องแล้ว จึง
บุ้ยปากเข้าไปในห้อง
“รับประทานโทษครับ”
“ใครวะ”
นายค�ำกระซิบรายงานว่า
“อ้างว่าเป็นเกลอเก่าของใต้เท้า ผมบอกว่าใต้เท้ายังไม่กลับจากออฟฟิศ ก็ไม่ยอมไป
เดินเรื่อยขึ้นมาที่นี่ ว่าจะมาคอยใต้เท้าให้ได้”
“แล้วยังไงล่ะ”
“กระผมก็ตามขึ้นมาด้วย มานัง่ คุมอยู่ที่น”ี่
“เออ ดี มาก ตอนนี้เองออกไปนัง่ คอยข้างนอกก็ได้” แล้วก�ำชับนายค�ำไม่ ให้ไปไหน
ไกล ทั ้งยังบอกด้วยว่าถ้าแม่ลออกลับมาให้บอกด้วย จากนั้นพระยาภักดี นฤนารถก็ชะโงก
เข้าไปในห้อง เห็นผู้เป็นแขกยืนอยู่ก็ส่งเสียงกระแอมให้ร้ตู ัว
ชายผู้นั้นเหลียวมา รีบยกมือไหว้ พระยาภักดี นฤนารถท�ำหน้างงๆ
“ใต้เท้าเห็นจะจ�ำผมไม่ได้”
“ดูเหมือนจะจ�ำได้คลับคล้ายคลับคลา”
“ใต้เท้ามีบุญขึ้นแล้วจะมาจดจ�ำคนเช่นผมยังไงได้เล่า”
242 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
4. บทวิเคราะห์
4.1 ศิลปะการแต่ง
4.1.1 รูปแบบของเรื ่อง เป็นบทละครพูดขนาดสั้น
4.1.2 กลวิธีการด�ำเนินเรื ่องและการผูกเรื ่อง
การตัง้ ชือ่ เรื อ่ ง เมือ่ เห็นค�ำว่า เห็นแก่ลกู ท�ำให้รสู้ กึ ว่าอยากอ่าน เพราะเป็นการดึงดูด
ใจให้อยากรู้ว่าเห็นแก่ลูกในลักษณะใด
การด�ำเนินเรื ่อง ผูกเรื่องได้รัดกุม ชวนให้ติดตาม พาเรื่องให้คลี่คลายไปถึงจุดที่จบ
ได้ แล้วจบเรื่องลงอย่างแนบเนียน
เนือ่ งจากเป็นบทประพั นธ์ส�ำหรับแสดงละคร การสื่อแนวความคิดทั ้งหลายจึงออก
มาในรูปของบทสนทนา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีบทบรรยาย ถ้ามีก็เป็นบทบรรยายเพี ยงสั้นๆ
ซึ่งใช้ส�ำหรับอธิบายผู้ก�ำกับการแสดง และตัวละครให้เข้าใจสภาพของฉากและพฤติกรรม
ของตัวละครที่จะแสดงมากกว่า
การผูกเรื อ่ ง มีลกั ษณะเหมือนเรือ่ งสัน้ ซึง่ ประกอบไปด้วยส่วนส�ำคัญต่างๆ ดังต่อไปนี้
โครงเรื่อง มี โครงเรื่องเพี ยงเรื่องเดี ยว
แนวความคิดที่ต้องการน�ำเสนอ มีเพี ยงแนวความคิดเดี ยว
การด�ำเนินเรื่อง เริ่มจากการเปิดเรื่อง ด�ำเนินเรื่อง ไปจนถึงจุดจบ
บทที่ 18 บทละครพูด เรื่องเห็นแก่ลูก 245
4.1.4 ฉากและบรรยากาศ
ฉากในเรื่อง คือ ห้องหนังสือในบ้านของพระยาภักดี ฯ ซึ่งในสมัยก่อน อาจใช้ห้อง
หนังสือเป็นสถานทีต่ อ้ นรับแขกผูม้ าเยือน แต่ ในสมัยปัจจุบนั นิยมแยกเป็นสัดส่วนระหว่าง
ห้องรับแขกกับห้องหนังสือ เพราะบางบ้านห้องหนังสืออาจเป็นห้องที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น
เพราะเก็บเรื่องราวไว้มากมาย
4.2 ศิลปะการใช้ถ้อยค�ำและส�ำนวนโวหาร
4.2.1 การใช้ถ้อยค�ำ ใช้ถ้อยค�ำที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย เพราะเป็นภาษาที่ ใช้สนทนา
กันในชีวิตประจ�ำวันอยู่แล้ว
4.2.2 การใช้โวหาร เนือ่ งจากบทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูก เป็นพระราชนิพนธ์ที่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นนานมากแล้ว ดังนั้นส�ำนวน
ภาษาที่ ใช้ จึงมีลักษณะแตกต่างไปจากส�ำนวนภาษาในปัจจุบัน เช่น
1 การใช้สรรพนาม เช่น การเรียกพระยาภักดีนฤนารถ ว่า เจ้าคุณ ซึ่งปัจจุบัน
ไม่ใช้ค�ำนี้แล้ว หรือการใช้สรรพนามบุรุษที่ 3 แทน แม่ลออ ว่า หล่อน ปัจจุบันก็ไม่นยิ มใช้
แล้วเหมือนกัน
2 การใช้ค�ำบางค�ำ ค�ำในเรื่องเห็นแก่ลูกบางค�ำ ปัจจุบันก็ไม่ได้ ใช้แล้ว เช่น เกลอ
(เพื่อน) อาญาจักร (อาญาแผ่นดิน) เหนีย่ วใจ (อดใจ) หมอความ (ทนายความ) เกินเวลา
(สายเกินไป) จ�ำคนแน่ (จ�ำคนแม่น) ส�ำแดง (แสดง) รับประทานโทษ (ขอโทษ) เป็นต้น
3 การผูกประโยค มีความสละสลวย เป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับบุคลิกลักษณะ
ของตัวละครในเรื่อง และสอดคล้องกับสถานการณ์ตามท้องเรื่อง
บทที่ 18 บทละครพูด เรื่องเห็นแก่ลูก 247
5. คุณค่า
5.1 คุณค่าทางด้านความคิด
5.1.1 ความดีย่อมชนะความชั่ว จากเรื่องเห็นแก่ลูก จะเห็นได้ว่าความดีงามของ
แม่ลออนั้น สามารถเอาชนะจิ ตใจอันเห็นแก่ตัวของนายล�้ำได้ ไม่เพี ยงแต่ท�ำให้นายล�้ำเลิก
ความตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวให้แม่ลออรู้ แต่ยังมีอานุภาพส่งผลให้นายล�้ำเลิกคิดประพฤติชั่ว
และหันมาประกอบอาชีพสุจริตอีกด้วย
5.1.2 ความเสียสละเป็นคุณธรรมอันประเสริ ฐ จากเรื่องเห็นแก่ลูก ผู้อ่านจะ
รู้สึกประทั บใจและนึกสรรเสริญที่นายล�้ำยอมเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อเห็นแก่ความสุข
ของลูก
5.1.3 มิตรแท้ คือ มิตรประเสริฐที่หาได้ยากยิ่ง เพราะเพื่อนประเภทนี้ย่อมไม่
ทอดทิง้ เพือ่ นยามตกทุกข์ได้ยาก พระยาภักดีฯ นับเป็นมิตรทีป่ ระเสริฐยิง่ มีความปรารถนา
ดี ต่อเพื่อน นอกจากจะแสดงความปรารถนาดี ให้ความช่วยเหลือเพื่อนแล้ว ยังแสดงความ
ปรารถนาดี ในอนาคตอันยาวไกลอีกด้วย นัน่ ก็คือ พยายามขัดขวางนายล�้ำทุกวิ ถีทาง ไม่
ให้นายล�้ำแสดงตัวกับแม่ลออ ก็ด้วยมองเห็นการณ์ไกล ถึงผลที่จะมากระทบโดยตรงต่อ
แม่ลออ และผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวนายล�้ำเองด้วย
5.1.4 ข้อคิดในด้านสังคม
การขาดความรับผิ ดชอบของคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ย่อมท�ำให้ครอบครัวอยู่ ใน
สภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
การดื่มสุราเป็นนิจ ท�ำให้คนขาดสติ และเมื่อขาดสติแล้วก็ย่อมท�ำให้ขาดอะไรอีก
หลายๆ อย่างตามมา
การประกอบอาชีพผิ ดกฎหมาย ฉ้อโกงเงินหลวง ย่อมท�ำให้ ชีวิตไม่มีความสุข
คนที่ ไม่ร้จู ั กพึ่งตนเอง เป็นภาระอันน่าเกลียดของสังคม
บรรณานุกรม 18
1. ประวัติความเป็นมา
สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณี ในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยแต่งเป็นตอนๆ และ
แต่งจบในสมัยรัชกาลที่ 4 (ระยะเวลาในการแต่งนี้บางท่านกล่าวว่าเริ่มแต่งในสมัย
รัชกาลที่ 3) หากดูจากประวัตขิ องสุนทรภู่ ก็พอจะสรุปความมุง่ หมาย และระยะเวลา
ในการแต่งเรื่องพระอภัยมณี ได้ดังนี้
1 ในสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีเป็นครั้งแรก เมื่อคราว
ถูกจ�ำคุก เพราะเหตุเมาสุราท�ำร้ายญาติผู้ ใหญ่ฝา่ ยมารดา จึงแต่งเรื่องพระอภัยมณี
ขายฝีปากเลี้ยงตัวเอง แต่จะแต่งถึงตอนใดไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าคงจะแต่ง
ถึงตอนที่ 21
2 สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อถวายแด่
พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ช่วงนี้เป็นช่วงที่สุนทรภู่ตกยาก ต้องพึ่งบารมีของพระองค์
เจ้าลักขณานุคุณ และพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ คงจะทรงทอดพระเนตรเห็น เรื่อง
พระอภัยมณี จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งถวาย ส่วนจะแต่งถึงตอนไหนไม่มีหลักฐาน
ปรากฏ
3 สุนทรภูแ่ ต่งเรือ่ งพระอภัยมณีตอ่ จากทีแ่ ต่งถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคณุ
ครัน้ พระองค์เจ้าลักขณานุคณุ สิน้ พระชนม์ สุนทรภูก่ ต็ กยากอีกครัง้ ต้องร่อนเร่พเนจร
ไปทั ่ว แล้วก็ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ให้ไปอยู่ที่
พระราชวังเดิมระยะหนึง่ ต่อมากรมหมืน่ อัปสรสุดาเทพทรงให้ความอุปการะสุนทรภู่
และคงจะพอพระทั ยเรื่องพระอภัยมณี จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งถวายต่อไปจนจบ
(บรรเทา กิตติศักดิ์ และกัมพุ ชนาฎ เปรมกมล, 2527 : 160-161)
250 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
4. จากเหตุการณ์บ้านเมืองและประวัติศาสตร์ สุนทรภู่คงจะน�ำเหตุการณ์
บ้านเมืองในสมัยนั้นจากที่พบเห็นด้วยตนเอง หรือจากค�ำบอกเล่าและจากเหตุการณ์ทาง
ประวัติศาสตร์ มาผูกเป็นเรื่องราวในพระอภัยมณี เช่น ศึกเก้าทั พตีเมืองผลึก คงจะน�ำมา
จากเหตุการณ์สงครามเก้าทั พทีพ่ ม่ายกทั พมาตีกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตอนจั บเจ้าละมานขังกรง คงจะน�ำเอาเรื่องราวมาจากการจั บตัว
เจ้าอนุวงศ์ขังไว้ในกรงใหญ่มาเป็นเค้าเรื่อง การให้นางละเวงขึ้นครองลังกา คงจะมาจาก
สมเด็จพระราชินี วิกตอเรียขึ้นครองกรุงอังกฤษ เป็นต้น
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูบทที่ 1 หน้า 7-9
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
พระอภัยมณีแต่งเป็นนิทานค�ำกลอน ซึ่งค�ำกลอนในเรื่องพระอภัยมณี จะมีลักษณะ
ดังนี้ คือ จ�ำนวนค�ำในแต่ละวรรคจะมี 8 ค�ำเป็นส่วนมาก และให้มีสัมผัสในวรรคละ 2 แห่ง
เกือบทุกวรรค ในวรรคแรกมักจะเป็นสัมผัสสระ 2 คู่ โดยสัมผัสค�ำที่ 3 กับค�ำที่ 4 ค�ำที่ 5
กับค�ำที่ 6 หรือ 7 ส่วนวรรคหลังจะสัมผัสค�ำที่ 3 กับค�ำที่ 4 เป็นสัมผัสอักษรคู่หนึง่ และ
ค�ำที่ 5 กับค�ำที่ 6 หรือ 7 เป็นสัมผัสสระคู่หนึง่ ดังตัวอย่าง
“ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา”
4. เนื้อเรื ่องย่อ
กล่าวถึงพระอภัยมณีอยู่กับนางผี เสื้อสมุทรจนมีลูกชาย 1 คน ซึ่งมี
ลักษณะละม้ายคล้ายกับพระอภัยมณี แต่ทว่ามีดวงตาเป็นสีแดงดั่งสีของดวง
อาทิตย์ และมีก�ำลังดุจพญาคชสาร มีเขี ้ยวคล้ายกับมารดา เมื่อเติบใหญ่อายุ
ได้ 8 ปี พระอภัยมณี ก็ ให้นามลูกชายว่า สินสมุทร และได้สอนวิชาเป่าปีพ่ ร้อม
กับสอนให้ใช้อาวุธต่างๆ จนมีความช�ำนาญ
วันหนึง่ ขณะทีน่ างผีเสือ้ สมุทรออกไปหากินนอกถ�ำ้ ส่วนพระอภัยมณีกก็ ำ� ลังหลับสนิท
สินสมุทรได้แอบไปวิ ่งเล่นบริเวณหน้าถ�้ำและได้สังเกตเห็นแผ่นหินพิงปิดปากถ�้ำอยู่ จึงลอง
ผลักออกดู แผ่นหินนัน้ ก็หลุดออก มองเห็นหาดทรายสีเงินและท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล
มองไปที่ด้านขวาก็เป็นป่าเขี ยวขจี
สินสมุทรจึงไปวิ ่งเล่นบนพื้นทรายแล้วกระโดดลงไปในน�้ำ เที่ยวไล่ขี ่ปลา ครั้นแล้วก็
เหลือบไปเห็นเงือกฝูงหนึง่ คิดว่าเป็นคนมีหางเหมือนปลา จึงร้องถาม ฝ่ายเงือกนั้นไม่ยอม
พูดด้วย สินสมุทรจึงกระโดดจั บ ได้เงือกเฒ่าตนหนึง่ และอยากจะรูว้ า่ เป็นปลาหรืออะไรกัน
แน่ จึงลากเงือกเฒ่านัน้ ไปทีถ่ ำ�้ เพือ่ จะน�ำไปให้พระอภัยมณีดู พระอภัยมณีเห็นสินสมุทรลาก
เงือกเฒ่ามาก็ถามว่าไปเอามาแต่ไหน สินสมุทรก็เล่าเรือ่ งทัง้ หมดให้ฟงั พระอภัยมณีฟงั แล้ว
ก็ตกใจบอกกับลูกว่าถ้าแม่เจ้ารูว้ า่ ลูกมีกำ� ลังมาก เขาอาจกลัวว่าลูกอาจพาพ่อหนีไป และเขา
คงโกรธจั บเจ้าเคี้ยวเล่นก็เป็นได้
สินสมุทรได้ฟงั พระอภัยมณีพดู ดังนัน้ ก็สงสัย ถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนัน้ พระอภัยมณี
จึงเล่าเรื่องแต่หนหลังให้สินสมุทรฟังทั ้งหมด ครั้นสินสมุทรทราบว่า แม่เป็นยักษ์ก็ร้องไห้
เสียใจ
ฝ่ายเงือกเฒ่านัน้ นอนฟังอยูก่ ร็ วู้ า่ พระอภัยมณีเป็นเชือ้ สายกษัตริย์ จึง
ทูลร้องขอชีวิตพร้อมกับพูดว่า การที่พระราชบุตรของพระองค์ไปฉุดลากข้า
พระพุทธเจ้า มาท�ำให้เจ็บปวดรวดร้าว และต้องพลัดพรากจากลูกเต้าเผ่าพงศ์
ซึ่งก็เหมือนกับพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดช่วยเหลือข้าพระพุ ทธเจ้าด้วย
เถิด ซึ่งการที่ปากถ�้ำถูกท�ำลายนั้น ก็ ให้พระโอรสยกหินตั้งปิดไว้ดังเดิม
และตนก็จะน�ำวงศาคณาญาติมารับใช้เป็นข้าของพระองค์ แม้นพระองค์ประสงค์
สิ่งใดก็จะน�ำมาถวายให้จงได้
บทที่ 19 พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร 253
5. ตัวละครส�ำคัญ
5.1 พระอภัยมณี
พระอภัยมณีเป็นโอรสของท้าวสุทัศน์กับนางปทุมเกสร แห่งเมือง
รัตนา เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในป่าพร้อม
กับศรีสุวรรณน้องชาย
ทั ้งสองได้ไปเรียนวิ ชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์แห่ง
บ้านจั นตคาม อาจารย์คนหนึง่ ช�ำนาญวิ ชาการรบด้วยกระบอง
อีกคนหนึง่ ช�ำนาญวิ ชาเพลงปี่ อาจารย์ทั้งสองประกาศแจ้งว่า
ผู้ที่ต้องการเรียนวิ ชากับตนจะต้องเสียค่าเรียนเป็นทอง
แสนต�ำลึง ดังนั้นสองคนพี ่น้องจึงใช้พระธ�ำมรงค์เป็น
ค่าเล่าเรียน อาจารย์ของพระอภัยมณีชอื่ พินทพราหมณ์
ได้น�ำพระอภัยมณีไปหัดเป่าปี่บนยอดเขานานถึง 7 เดือน
จึงได้ความรู้ของอาจารย์ไปหมดสิ้น ทั ้งนี้อาจารย์ยังสอนอีกว่าเพลงปี่น้ี ใช้ ในการรบได้ด้วย
แต่จะต้องรู้จักธรรมชาติน�้ำใจของมนุษย์ว่ามีกิเลส คือ ลุ่มหลงอยู่ในสัมผัสทั ้ง 5 ฉะนั้นให้
เอาเพลงปี่เล้าโลมให้ลุ่มหลงก็จะเอาชนะศัตรูได้เช่นเดี ยวกับเพลงอาวุธ จากนั้นครูพราหมณ์
จึงมอบปี่และคืนแหวนให้โดยบอกว่าที่ตีราคาวิ ชาไว้สูง เพราะเป็นของหวงแหน ไม่ต้องการ
ให้คนชั้นเลวมาได้วิชาไป แล้วอาจจะน�ำไปใช้ ในทางที่ผิด
เมื่อทั ้งสองเรียนวิ ชาจบแล้วก็เดินทางกลับบ้านเมือง แต่วิชาที่เรียนมา ไม่ต้องกับ
พระประสงค์ของท้าวสุทัศน์ พระอภัยมณีและศรีสุวรรณจึงถูกขับไล่ออกจากเมือง
260 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5.2 สินสมุทร
สินสมุทรเป็นลูกของพระอภัยมณีกับนางผี เสื้อสมุทร ดังนั้นจึงมี
ลักษณะเป็นลูกครึง่ คือ มีรา่ งกายเป็นมนุษย์แต่มเี ขีย้ วเหมือนยักษ์ และมี
ก�ำลังมหาศาลเหมือนแม่ การผจญภัยของสินสมุทรเริม่ เมือ่ อายุ 8 ปี เมือ่
พาพ่อหนีจากแม่ ความรูท้ สี่ นิ สมุทรมี คือ วิชาเป่าปีท่ พี่ ระอภัยมณีถา่ ยทอด
ให้ ซึ่งสินสมุทรก็มีฝีมือไม่แพ้พ่อเลย และได้เคยแสดงฝีมือเป่าปี่ ให้
ท้าวสิลราชฟัง ท�ำให้หลับใหลกันหมด สินสมุทรเรียนวิ ชาอีกครั้งกับโยคี
ที่เกาะแก้วพิสดาร พระโยคีสอนวิ ชาการรบและเวทมนต์ ให้ ซึ่งสินสมุทรได้ ใช้วิชานี้ ในการ
สู้รบป้องกันเมืองผลึกและศึกเมืองลังกา สินสมุทรมีมนต์ที่ท�ำให้ไม่ตาย เช่นครั้งเมื่อท�ำ
ศึกลังกา สินสมุทรถูกลูกปืนจมลงไปใต้ทะเลลึก แต่ก็กลับลอยขึ้นมาใหม่ และเมื่อถูกแสง
อาทิตย์ก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
5.3 นางผีเสื้อสมุทร
นางผีเสือ้ สมุทรเป็นทัง้ ยักษ์ทัง้ ปีศาจ อาศัยอยูใ่ นถ�้ำใต้นำ�้ และเป็นใหญ่เหนือฝูงปีศาจ
ทั ้งหลายในน่านน�้ำ ทั ้งนี้เพราะนางมีอิทธิฤทธิ์มาก รูปร่างใหญ่โต และสามารถเนรมิตร่าง
ให้ ใหญ่ โตไปกว่านั้นอีกก็ได้ อาหารที่นางผี เสื้อสมุทรโปรดปรานมาก คือสัตว์เป็นๆ นาง
ผี เสื้อสมุทรมีเวทมนต์ ในการแปลงกายเป็นสาวสวย นอกจากนี้ยังมีมนต์วิ เศษเรียกให้ฝน
ตกและลูกเห็บตกได้ อีกด้วย
เมือ่ นางผีเสือ้ สมุทรตายแล้ว ร่างกายของนางก็จะกลายเป็นหิน มีนำ�้ สีขาวราวกับน�ำ้ ตาล
โตนดไหลออกจากปาก ตอนแรกพระอภัยมณีคิดจะเผาศพนาง แต่เทวดาปรากฏกายออก
มาห้ามมิ ให้เผาศพนางเพราะจะเป็นอันตราย และได้เล่าประวัตขิ องนางให้พระอภัยมณีฟงั ว่า
ในกาลก่อนโน้นนางผี เสื้อสมุทรเป็นก้อนหินอยู่ในท้องทะเล เมื่อชาติก่อนได้ถอด
ดวงใจฝากไว้ ในก้อนหินนั้น เมื่อนางขึ้นฝั่งก็ได้ไปรบกับพระเพลิง แล้วถูกไฟกรดเผาไหม้
ร่างกายจนหมด แต่นางก็ยังมี ชีวิตอยู่เพราะถอดดวงใจไว้ นางจึงเป็นปีศาจสิงอยู่ ในก้อน
บทที่ 19 พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร 261
5.4 นางเงือก
นางเงือกอาศัยอยูใ่ นมหาสมุทร รูปร่างท่อนบนเป็นคน ท่อน
ล่างเป็นปลา นางเป็นผู้แบกพระอภัยมณีหนีนางผี เสื้อสมุทรไปถึง
เกาะแก้วพิสดารแทนพ่อของนางทีห่ มดแรง เงือกเฒ่าทัง้ สองซึง่ เป็น
พ่อและแม่ของนางถูกนางผี เสื้อสมุทรจั บกินด้วยความแค้น ต่อมา
นางเงือกได้เป็นชายาของพระอภัยมณีและให้ก�ำเนิดลูกชายคนหนึง่
ชื่อ สุดสาคร ซึ่งมีลักษณะเป็นมนุษย์อย่างพ่อ แต่มีก�ำลังว่ายน�้ำเก่ง
ราวกับปลาเหมือนกับเผ่าพั นธุ์ของแม่
เมือ่ สุดสาครเกิด นางเงือกได้มอบธ�ำมรงค์และกุณฑลทองของพระอภัยมณี ให้สดุ สาคร
ไว้ ครั้นสุดสาครอายุได้ 3 ขวบ ก็ออกไปตามหาพ่อ ส่วนนางเงือกนั้น อาศัยอยู่กับพระโยคี
ที่เกาะแก้วพิสดาร
5.5 พระโยคี
พระโยคีเป็นผู้ทรงศีล อาศัยอยู่ที่เกาะแก้วพิสดาร ซึ่งมีคนเรือ
ต่างชาติต่างภาษาทั ้งจีน ไทย แขก ชวา ฝรั่ง ที่รอดตายจากเรือแตก
มาอาศัยอยู่ด้วยเป็นจ�ำนวนมาก
พระโยคีมอี ายุได้พันปีเศษ มีไม้เท้าวิเศษเป็นอาวุธประจ�ำกาย ซึง่
ต่อมาได้มอบให้สดุ สาครเอาไว้ ใช้ปอ้ งกันตัว นอกจากนีพ้ ระโยคียงั มีเสียง
ระฆังเป็นสัญญาณประจ�ำตัว และยังสามารถล่วงรูเ้ หตุการณ์ลว่ งหน้าได้
262 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5.6 เงือกเฒ่า
เงือกเฒ่าเป็นบุคคลส�ำคัญที่คอยช่วยเหลือพระอภัยมณี และเป็นผู้วางแผนให้พระ
อภัยมณีหนี มีความปรารถนาดี ต่อพระอภัยมณี โดยตั้งใจไว้ว่าจะขอเป็นข้ารองบาทของ
พระอภัยมณีไปจนกว่าตนจะตาย ทั ้งนี้เพราะส�ำนึกบุญคุณของพระอภัยมณี เมื่อครั้งที่ตน
ถูกสินสมุทรจั บได้ แต่พระอภัยมณีสั่งให้ลูกปล่อยตัว แล้วไม่ท�ำอันตราย ดังนั้นเมื่อนาง
ผี เสื้อสมุทรตามมาทั น เงือกเฒ่าจึงยอมสละชี วิ ตของตนเพื่อช่วยพระอภัยมณี ให้รอดพ้น
จากนางผี เสื้อสมุทร
1. ความรักที่นางผีเสื้อสมุทรมีต่อพระอภัยมณี
นางผี เสื้อสมุทรนับว่าเป็นเมียคนแรกของพระอภัยมณี เพราะหลังจากที่เรียนวิ ชา
กับพินทพราหมณ์และเดินทางกลับบ้านเมือง พระอภัยมณีก็ได้แสดงวิ ชาเป่าปี่อย่างจริงจั ง
และเป็นครั้งแรกให้พราหมณ์ทั้งสามฟัง ทั ้งนี้เพื่อแสดงเกียรติคุณของวิ ชาดนตรี ส�ำหรับ
เนื้อหาของเพลงปี่ ได้พรรณนาถึงความชื่นใจที่ ได้จากผู้หญิง นางผี เสื้อสมุทรได้ยินเสียงปี่
ของพระอภัยมณีก็หลงรัก จึงจั บตัวพระอภัยมณีไปอยู่ด้วยกันในถ�้ำใต้ทะเลเป็นเวลานานถึง
8 ปี จนมีลูกชายคนหนึง่ นามว่า สินสมุทร
นางผี เสื้อสมุทรเป็นยักษ์ แต่เวลาที่อยู่กับพระอภัยมณี ในถ�้ำนางจะแปลงกายเป็น
สาวสวย เมื่อออกไปหาอาหารก็จะคืนร่างยักษ์ดังเดิม สินสมุทรจึงไม่รู้ว่าแม่ของตนเป็น
ยักษ์ แม้นางผี เสื้อสมุทรจะเป็นยักษ์แต่นางก็ดูแลปรนนิบัติ พระอภัยมณีเป็นอย่างดี คอย
หาผลไม้มาให้อยู่มิขาด
บทที่ 19 พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร 263
“เสียน�้ำใจในอารมณ์ไม่สมประดี สองมือตีอกตูมฟูมน�้ำตา
ลงกลิ้งเกลือกเสือกกายร้องไห้โร่ เสียงโฮโฮดังก้องห้องคูหา”
“........................................... นางสะอื้นอ้าปากจนรากเรอ
ด้วยแรงน้อยถอยทบสลบหลับ แล้วก็กลับพลิกฟื้นตื่นเผยอ
ร้องเรียกลูกผัวเฟือนเหมือนละเมอ ไม่เห็นเธอทอดกายดังวายปราณ”
“ระก�ำอกหมกมุ่นหุนพิโรธ ก�ำลังโกรธกลับแรงก�ำแหงหาญ”
“กระโดดโครมโถมว่ายสายสมุทร อุตลุดด�ำด้นเที่ยวค้นหา
ไม่เห็นผัวคว้าไปได้แต่ปลา ควักลูกตาสูบเลือดด้วยเดือดดาล”
จากนั้นจึงตะโกนร้องเรียกเหล่าปีศาจภูตพรายในน�้ำขึ้นมาถามว่า เห็นมนุษย์สอง
คนบ้างหรือไม่ แล้วนางจึงได้รู้ว่าพระอภัยมณีกับสินสมุทรนั้นหนีไปทางทิศใต้ ด้วยแรง
โกรธและรูปร่างใหญ่โตดังภูเขา ท�ำให้นางผี เสื้อสมุทรลุยทะเลตามพระอภัยมณีได้ทัน
แม้พระอภัยมณีจะหนีไปก่อนแล้วถึง 5 คืน
โดยปกติผู้หญิงจะรักลูกมากกว่าสามี แต่นางผี เสื้อสมุทรแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
ว่ารักสามีมากกว่าลูก โดยเฉพาะตอนที่สินสมุทรมาขวางทางถ่วงเวลาให้พระอภัยมณีหนีไป
เมื่อสินสมุทรไม่ยอมบอกที่ซ่อนของพระอภัยมณี นางก็แค้นลูก “ราวกับไฟไหม้อังสา” และ
คิดในใจว่า “จะจับไว้ ให้พาไปหาพ่อ แล้วหักคอเสียให้ตายเมือ่ ภายหลัง” จากนัน้ ก็ไล่ตอี ตุ ลุด
แต่สินสมุทรก็หลบหลีกได้อย่างว่องไว แล้วแกล้งล่อให้นางผี เสื้อสมุทรไล่ตามไปให้ห่างจาก
บิดา เมือ่ หนีจากทะเลขึน้ เกาะได้กว็ ิง่ ขึน้ เขาล่อให้นางผีเสือ้ สมุทรตาม แล้วค่อยหลบหนีลงน�ำ้
ว่ายกลับมาตามพระอภัยมณีจนทั นกัน
ฉากทีน่ างผีเสือ้ สมุทรตามมาทันพระอภัยมณี นางเงือก และสินสมุทร ซึง่ ว่ายน�ำ้ มาถึง
เกาะแก้วพิสดารพอดี เป็นฉากทีน่ า่ ตืน่ เต้น ทีฝ่ า่ ยล่าและฝ่ายหนีตามมาทันกันจนนางผีเสือ้
สมุทรก�ำลังจะจับตัวพระอภัยมณีได้ แต่ ในเสีย้ ววินาทีนนั้ พระโยคีแห่งเกาะแก้วพิสดารก็มา
ช่วยไว้ได้ทัน บทกลอนที่จะกล่าวต่อไปนี้จะแสดงเหตุการณ์ที่ต่อเนือ่ งกันอย่างฉับไว ดังนี้
“พระเสด็จไปไหนจะไปด้วย เป็นเพื่อนม้วยภัสดาจนอาสัญ
ประทานโทษโปรดเลี้ยงแต่เพี ยงนั้น อย่าบากบัน่ ความรักน้องนักเลย”
2. ความรักระหว่างสินสมุทรกับพระอภัยมณี
พระอภัยมณีมีโอรสเกิดด้วยนางผี เสื้อสมุทร มีรูปกายอย่างมนุษย์เหมือนพ่อ แต่
ผมหยิก ดวงตาสีแดงเพลิง มีเขี ้ยวเหมือนแม่ มีก�ำลังดังช้างสาร แม้จะเป็นครึ ่งมนุษย์ครึ ่ง
ยักษ์ แต่พระอภัยมณีกร็ ักสินสมุทรเป็นอย่างยิง่ พระอภัยมณีเลีย้ งดูลกู ด้วยตนเองมาตัง้ แต่
เกิด จนเมื่อลูกอายุได้ 8 ปี จึงตั้งชื่อให้ว่า สินสมุทร และมอบธ�ำมรงค์กับฉลองพระองค์ ให้
นอกจากนีย้ งั สอนวิชาเป่าปีพ่ ร้อมกับเพลงอาวุธให้ดว้ ย จึงกล่าวได้วา่ พระอภัยมณีทำ� หน้าทีพ่ อ่
ได้อย่างครบถ้วน ด้วยเหตุน้สี ินสมุทรจึงรักพ่อมากกว่าแม่ ดังที่สุนทรภู่บรรยายว่า “ความ
รักพ่อยิ่งกว่าแม่มาแต่ไร ด้วยมิได้ขู่เข็ญเช่นมารดา” พระอภัยมณีเองก็รักสินสมุทรสุดชี วิต
เช่นกัน หากนางผี เสื้อสมุทรท�ำร้ายสินสมุทรถึงตาย เพราะโกรธที่เปิดก้อนหินปิดประตูถ�้ำ
พระอภัยมณี ก็คงตายตามไปด้วย ดังที่กล่าวว่า
ยามนอนพระอภัยมณีก็จะกอดสินสมุทรเอาไว้ แล้วก็หลับไปด้วยกัน
“........................................... แม้นนางยักษ์มารับจงกลับหลัง
อันตัวพ่อขอตายวายชีวัง กันแสงสั่งลูกยาด้วยอาลัย”
7. คุณค่า
7.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
7.1.1 การเลือกใช้ค�ำ นิทานค�ำกลอนเรื่องพระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนี
นางผี เสื้อสมุทรนี้ สุนทรภู่ท่านสามารถเลือกใช้ค�ำที่สื่ออารมณ์และความรู้สึกได้อย่างดงาม
เหมาะสมกับเนื้อเรื่องและฐานะของตัวละคร ดังตัวอย่าง
“พระโฉมยงองค์อภัยมณีนาถ เพลินประพาสพิศดูหมู่มัจฉา
เหล่าฉลามล้วนฉลามตามกันมา ค่อยเคลือ่ นคลาคล้ายคล้ายในสายชล
ฉนากอยู่คู่ฉนากไม่จากคู่ ขึ้นฟ่องฟูพ่นฟองละอองฝน
ฝูงพิมพาพาฝูงเข้าแฝงวน บ้างผุดพ่นฟองน�้ำบ้างด�ำจร
กระโห้เรียงเคียงกระโห้ ขึ้นโบกหาง ลอยสล้างกลางกระแสแลสลอน
มังกรเกี่ยวเลี้ยวลอดกอดมังกร ประชุมซ่อนแฝงชลขึ้นวนเวียน
ฝูงม้าน�้ำท�ำท่าเหมือนม้าเผ่น ขึ้นลอยเล่นเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ตะเพี ยนทองท่องน�้ำด�ำตะเพี ยน ดาษเดี ยรดูเพลินจนเกินมา”
“พระโฉมยงองค์อภัยมณีนาถ เพลินประพาสพิศดูหมู่มัจฉา
เหล่าฉลามล้วนฉลามตามกันมา ค่อยเคลือ่ นคลาคล้ายคล้ายในสายชล
ฉนากอยู่คู่ฉนากไม่จากคู่ ขึ้นฟ่องฟูพ่นฟองละอองฝน
ฝูงพิมพาพาฝูงเข้าแฝงวน บ้างผุดพ่นฟองน�้ำบ้างด�ำจร
กระโห้เรียงเคียงกระโห้ขึ้นโบกหาง ลอยสล้างกลางกระแสแลสลอน
มังกรเกี่ยวเลี้ยวลอดกอดมังกร ประชุมซ่อนแฝงชลขึ้นวนเวียน
ฝูงม้าน�้ำท�ำท่าเหมือนม้าเผ่น ขึ้นลอยเล่นเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ตะเพี ยนทองท่องน�้ำด�ำตะเพี ยน ดาษเดี ยรดูเพลินจนเกินมา”
4 สัลลาปังคพิสยั คือ บทว้าเหว่ เงียบเหงา โศกเศร้า เสียใจ คร�ำ่ ครวญ เช่น ความ
เสียใจของนางผี เสื้อสมุทรเมื่อทราบว่าพระอภัยมณีหนีนางไปแล้ว
“ถึงประตูคูหาเห็นเปิดอยู่ เอ๊ะอกกูเกิดเข็ญเป็นไฉน
เข้าในห้องมองเขม้นไม่เห็นใคร ยิ่งตกใจเพี ยงจะดิ้นสิ้นชี วี
แลดูปี่ที่เป่าเล่าก็หาย นางยักษ์ร้ายรู้ว่าพากันหนี
เสียน�้ำใจในอารมณ์ ไม่สมประดี สองมือตีอกตูมฟูมน�้ำตา
ลงกลิ้งเกลือกเสือกกายร้องไห้ โร่ เสียงโฮโฮดังก้องห้องคูหา
พระรูปหล่อพ่อคุณของเมียอา ควรหรือมาทิง้ ขว้างหมองหมางเมีย”
7.2 คุณค่าด้านความรู้
7.2.1 ความรู้ด้านค�ำสอนของพุทธศาสนา นิทานค�ำกลอนเรื่องพระอภัยมณี
ตอนพระอภัยมณีหนีนางผี เสื้อสมุทรนี้ สุนทรภู่ได้แทรกความรู้ด้านพุ ทธศาสนา โดยผ่าน
ทางพฤติกรรมของตัวละคร คือ นางผี เสื้อสมุทร ที่เป็นตัวแทนของผู้ที่ถูกกิเลสตัณหาเข้า
ครอบง�ำ ท�ำให้มีจิตใจโหดร้าย มีความลุ่มหลง และมัวเมาในความรัก หึงหวงอย่างไม่มีสติ
ดังตัวอย่าง
จากตัวอย่างที่ยกมานี้จะเห็นได้ว่านางผี เสื้อสมุทรก�ำลังตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
จึงไม่สนใจในค�ำสอนของพระโยคีที่เทศนาเพื่อให้นางผี เสื้อสมุทรยอมรับความจริง
7.2.2 ให้ขอ้ คิดเรื อ่ งบุญกรรม จากเนือ้ เรือ่ งได้แสดงให้เห็นถึงเรือ่ งบุญกรรม กล่าว
คือ พระอภัยมณีกบั นางผีเสือ้ สมุทรเคยท�ำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินท้ี ัง้ สองจึงได้
มาครองรักกัน ส่วนเหตุที่ต้องพลัดพรากจากกันนั้น คงเป็นไปตามที่พระโยคีกล่าวว่า
“แม้นพระองค์ทรงฤทธิ์จะคิดหนี ถึงโยคีเข้าส�ำนักไม่ตักษัย
เผื่อส�ำเภาเขาซัดพลัดเข้าไป ก็จะได้โดยสารไปบ้านเมือง
แต่ทางไกลไม่น้อยถึงร้อยโยชน์ ล้วนเขาโขดคีรีรัตน์ขนัดเนือ่ ง
กลางคงคาสารพั ดจะขัดเคือง จงทราบเบื้องบงกชบทมาลย์
แม้นก�ำลังดังข้าจะพาหนี เจ็ดราตรีเจียวจึงจะถึงสถาน
อสุรีมีก�ำลังดังปลาวาฬ ตามประมาณสามวันจะทั นตัว
ถ้าแก้ไขให้นางไปค้างป่า ได้ล่วงหน้าไปเสียบ้างจะยังชั่ว
จะอาสาพาไปมิได้กลัว ชีวิตตัวบรรลัยไม่เสียดาย
แต่พระองค์ทรงคิดให้รอบคอบ ถ้าเห็นชอบท่วงทีจะหนีหาย
จึงโปรดใช้ ให้องค์พระลูกชาย ไปหาดทรายหาข้าจะมาฟัง”
7.3 คุณค่าด้านสังคม
7.3.1 ความเชื่อเรื ่องโชคลางและความฝัน ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผูกพั นอยู่
กับคนไทยมานานมาก ถ้าฝันดี ก็สบายใจ แต่ถ้าฝันร้ายสภาพจิ ตใจก็ย�่ำแย่ เพราะจะต้อง
กลัวว่าอาจเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นต่อตนเอง และครอบครัว ดังที่นางผี เสื้อสมุทรฝันร้ายว่า
“ฝ่ายปีศาจราชทูตภูตพรายพาล อลหม่านขึ้นมาหาในสาชล
อสุรีผีเสื้อจึงซักถาม มึงอยูต่ ามเขตแขวงทุกแห่งหน
เห็นมนุษย์นวลละอองทั ้งสองคน มาในวนวังบ้างหรืออย่างไร”
274 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“พงศ์กษัตริย์ตรัสชวนสินสมุทร สอนให้บุตรขอสมาอัชฌาสัย
พระทรงบ่าเงือกน�้ำงามวิ ไล พระหน่อไทขอสมาขึ้นบ่านาง”
บรรณานุกรม 19
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูบทที่ 8 หน้า 131-132
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั นี้ แต่งเป็นร้อยแก้ว
ใช้ท�ำนองแต่งแบบเทศนาโวหาร
4. เนื้อเรื ่องย่อ
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเนื้อความที่ ชี้ ให้
เห็นว่า พระองค์เป็นผูก้ อปรด้วยความเมตตากรุณา ทรงไว้ซงึ่ ความยุตธิ รรมและทรงต้องการ
ที่จะปลูกฝังจริยธรรมอันดี งามแก่พระเจ้าลูกยาเธอทั ้งสี่ โดยทรงเน้นให้ค�ำนึงถึงเกียรติยศ
ชื่อเสียง มีความขยันหมั่นเพี ยร ศึกษาเล่าเรียน รู้จักประหยัด ไม่ถือตัวว่าเป็นลูกพระเจ้า
แผ่นดิน ดังจะเห็นตัวอย่างจากพระบรมราโชวาทว่า
“การที่จะให้ออกไปเรียนครั้งนี้ มีความประสงค์มุ่งหมายแต่จะให้ได้ วิชาความรู้
อย่างเดี ยว”
ทรงชีแ้ จงให้เห็นคุณค่าของการศึกษาเล่าเรียน เพือ่ ประโยชน์ ในการท�ำงานภายหน้า
ทรงยกตัวอย่างประกอบการชีแ้ จงให้เห็นชัดเจน และทรงแสดงให้เห็นความในพระราชหฤทัย
ของพระองค์ที่หวังจะบ�ำรุงพระราชโอรส
“จงอุตสาหะเล่าเรียนโดยความเพียรอย่างยิง่ เพือ่ ให้ได้มี โอกาสทีจ่ ะท�ำการให้เป็นคุณ
แก่บ้านเมืองของตนและโลกที่ตัวได้มาเกิด ถ้าจะถือว่าเกิดมาเป็นเจ้านายแล้วนิง่ ๆ
อยู่ตลอดชีวิต ก็เป็นสบายดังนั้น จะไม่ผิดอันใดกับสัตว์ดิรัจฉานอย่างเลวนัก สัตว์
ดิรัจฉานมันเกิดมากินๆ นอนๆ แล้วก็ตาย แต่สตั ว์บางอย่าง ยังมีหนัง มีเขา มีกระดูก
เป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่ถ้าประพฤติอย่างสัตว์ดิรัจฉานแล้ว จะไม่มีประโยชน์อันใด
ยิ่งกว่าสัตว์ดิรัจฉานบางจ�ำพวกไปอีก เพราะฉะนั้นจงอุตสาหะที่จะเรียนวิ ชา เข้ามา
เป็นก�ำลังทีจ่ ะท�ำตัวให้ดีกว่าสัตว์ดริ ัจฉานให้จงได้ จึงจะได้นบั ว่าเป็นการได้สนองคุณ
พ่อ ซึ่งได้คิดท�ำนุบ�ำรุงเพื่อจะให้ดีตั้งแต่เกิดมา”
บทที่ 20 พระบรมราโชวาท 279
5. สาระส�ำคัญในพระบรมราโชวาท
สาระส�ำคัญในพระบรมราโชวาทมี 3 ตอน ได้แก่ การปฏิบัติพระองค์เมื่ออยู่ ใน
ต่างแดน การใช้จ่ายเงินทอง และความส�ำคัญของการศึกษาเล่าเรียน ดังนี้
280 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5.2 การใช้จ่ายเงินทอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสอนให้พระเจ้าลูกยาเธอ ใช้จ่ายเงิน
อย่างประหยัด เพราะเป็นของหายาก ถึงแม้จะเป็นเงินส่วนพระองค์ แต่ก็เป็นเงินที่ราษฎร
เขาถวายให้ ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ท�ำนุบ�ำรุงบ้านเมือง จึงควรใช้เงินเท่าที่จ�ำเป็นที่จะต้องใช้
บทที่ 20 พระบรมราโชวาท 281
5.3 ความส�ำคัญของการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสอนให้พระเจ้าลูกยาเธอเห็นความ
ส�ำคัญของการศึกษา และทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอทั ้งสี่พระองค์ ศึกษาภาษา
ต่างประเทศสามภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน รวมถึงวิ ชา
คณิตศาสตร์ เพื่อเป็นการปูพื้นฐานส�ำหรับการศึกษาวิ ชาอื่นๆ และที่ส�ำคัญทรงเน้นมิ ให้
ลืมภาษาไทย
ความตอนท้ายของพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระจุ ลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงแจ้งให้พระเจ้าลูกยาเธอทั ้งสี่พระองค์ทราบว่า กรมหมื่นเทวะวงษ์วโรปการ (เสด็จอา)
จะเป็นผูด้ แู ลจัดการทุกสิง่ ทุกอย่างทางประเทศไทย ส่วนทางต่างประเทศ จะเป็นหน้าทีข่ อง
ราชทูตทีจ่ ะอ�ำนวยความสะดวกให้ จากนัน้ ทรงก�ำชับให้พระเจ้าลูกยาเธอตัง้ ใจศึกษาเล่าเรียน
ให้ส�ำเร็จ ให้สมกับความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระเจ้าลูกยาเธอทุกคน
6. คุณค่า
ส�ำหรับคุณค่าทีผ่ อู้ า่ นพึงได้รับจากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวนี้ ก็จะมีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ คุณค่าด้านความรู้ และคุณค่าด้านสังคม ซึ่งจะ
กล่าวถึงเป็นข้อไป ดังนี้
6.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
6.1.1 ใช้ภาษาเรี ยบง่าย พระบาทสมเด็จพระจุ ลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้
ส�ำนวนภาษาง่ายๆ เหมาะสมกับช่วงสมัย ตรงไปตรงมา ตอนใดที่เป็นค�ำสั่ง และทรงมี
พระราชประสงค์จะให้พระเจ้าลูกยาเธอทั ้งสี่พระองค์ทรงปฏิบัติตาม จะใช้ค�ำว่า “จง” ดัง
ตัวอย่าง
“ขอจดหมายค�ำสั่งตามความประสงค์ ให้แก่ลูก บรรดาซึ่งจะให้ออกไปเรียนหนังสือ
ในประเทศยุโรป จง ประพฤติตามโอวาทที่จะกล่าวต่อไปนี้”
6.1.2 ใช้ภาษาทีแ่ สดงเหตุผลได้ชดั เจน กล่าวคือ เมือ่ มีรับสัง่ ให้ปฏิบตั ติ าม ก็จะ
ทรงชีแ้ จงเหตุผลทีห่ นักแน่นและชัดเจน เพือ่ ให้พระเจ้าลูกยาเธอทัง้ สีพ่ ระองค์ ได้ทรงปฏิบตั ิ
ตามรับสั่ง ความว่า
282 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
6.2 คุณค่าด้านความรู้
จากการศึกษาเรือ่ งพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
ท�ำให้เราได้รับความรู้หลายประการ เช่น
6.2.1 การศึกษาของพระเจ้าลูกยาเธอ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว โปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอทัง้ สีศ่ กึ ษาภาษาต่างประเทศ 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษา
ฝรัง่ เศส และภาษาเยอรมัน ซึง่ ในตอนนัน้ ภาษาทัง้ สามนี้ เป็นภาษาของประเทศมหาอ�ำนาจ
ทีก่ ำ� ลังมีบทบาทต่อกิจการต่างๆ ของโลก หากพระเจ้าลูกยาเธอทัง้ สีพ่ ระองค์ รูภ้ าษาทัง้ สามนี้
ก็จะเป็นหนทางในการด�ำเนินนโยบายให้ประเทศไทย รอดพ้นจากเงือ้ มมือของมหาอ�ำนาจที่
ก�ำลังล่าอาณานิคมอยู่ นอกจากนีพ้ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ยังทรงให้พระเจ้า
ลูกยาเธอ เรียนวิ ชาเลขอีกวิ ชาหนึง่ ด้วย
“วิชาทีจ่ ะให้ออกไปเรียนนัน้ ก็คงต้องเรียนภาษาและหนังสือในสามภาษา คือ อังกฤษ
ฝรั่งเศส เยอรมัน ให้ได้แม่นย�ำ ชัดเจน คล่องแคล่ว จนถึงแต่งหนังสือได้สองภาษา
เป็นอย่างน้อย เป็นวิ ชาหนังสืออย่างหนึง่ กับวิ ชาเลขให้เรียนรู้คิดใช้ได้ ในการต่างๆ
อีกอย่างหนึง่ นี้ เป็นต้น”
6.2.2 การปฏิบัติตนของพระเจ้าลูกยาเธอ จากการศึกษาเนื้อหาในพระบรม
ราโชวาท ท�ำให้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประสงค์ ให้พระเจ้า
ลูกยาเธอปฏิบัติพระองค์เป็นคนดี ว่าง่ายสอนง่าย ไม่เกะกะระรานใคร ให้เคารพผู้ ใหญ่
ไม่ประพฤติตนไปในทางเสื่อมเสีย ฯลฯ ดังตัวอย่าง
284 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
6.3 คุณค่าด้านสังคม
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้สะท้อนให้เห็นถึง
สภาพสังคมในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งสภาพสังคมที่ปรากฏนั้น มีดังนี้
บทที่ 20 พระบรมราโชวาท 285
ความรู้เสริ ม
สังเขปพระประวัติพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์
ที่ปรากฏพระนามในพระบรมราโชวาท
1. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิตยิ ากรวรลักษณ์ ทรงเป็นพระราชบุตรองค์
ที่ 12 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั แต่กต็ อ้ งนับพระองค์
ให้เป็นพระราชโอรสองค์ ใหญ่ เพราะพระราชบุตรของพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่พระองค์ที่ 1-11 นั้น เป็นพระราชธิดา
ไปแล้วถึง 9 พระองค์
ที่มา : วิ กิพีเดี ย
ส่วนพระราชบุตรอีกสององค์นั้น คือ พระราชบุตรพระองค์ที่ 3 ซึ่งเป็นพระองค์เจ้า
ชายองค์แรก ได้สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชนมายุเพี ยง 3 พรรษา ส่วนพระราชบุตรองค์ที่ 5
ซึ่งมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้าชายพระองค์แรกก็สิ้นพระชนม์ ในวันประสูติ ดังนั้นจึงมีเพี ยง
พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์เพี ยงพระองค์เดี ยวเท่านั้น ที่เป็นพระองค์เจ้าชาย และเป็น
พระองค์เจ้าชายพระองค์แรกที่ประสูติ ในพระมหาเศวตฉัตรด้วย
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ประสูติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.
2417 ตรงกับวันจั นทร์ เดือนเจ็ด ปีจอ ดังนั้นชาววังจึงล้อเลียนพระองค์ว่า “ปีจอ วันจั นทร์
เดือนเจ็ด ลูกเจ้า หลานเจ๊ก”
ทรงมีเจ้าคุณตาเป็นเจ้าสัว
พระมารดาของพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ คือ เจ้าจอมมารดาอ่วม ท่านเป็นธิดา
ของพระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ หรือเจ้าสัวยิ้ม แซ่เล่า
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เจ้าสัวยิ้มคงจะเคยท�ำ
ธุรกิจผูกขาดภาษีอย่างใดอย่างหนึง่ จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็นหลวงภาษี วิเศษ
ต่อมาได้เลือ่ นต�ำแหน่งเป็นพระภาษี วิเศษ แล้วได้ขดุ คลองภาษีเจริญขึน้ ต่อมาก็ได้เลือ่ นเป็น
พระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์
จวนของพระยาพิสณฑ์ฯ ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำเจ้าพระยา เวลานั้นพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มักจะเสด็จพระราชด�ำเนินโดยชลมารคอยู่บ่อยครั้ง และขบวน
เสด็จมักผ่านหน้าจวนของพระยาพิสณฑ์ฯ อยู่บ่อยๆ เช่นกัน
บทที่ 20 พระบรมราโชวาท 287
2. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพี พัฒนศักดิ์ ประสูติเมื่อวันที่ 21
ตุลาคม พ.ศ. 2419 พระมารดา คือ เจ้าจอมมารดาตลับ
พระองค์เจ้ารพี พัฒนศักดิ์ ทรงเป็นพระราชบุตรองค์ที่ 14
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว และเป็นพระราชโอรส
รุ่นแรกที่เสด็จไปศึกษาวิ ชาการในประเทศยุโรป
ที่มา : วิ กิพีเดี ย
ทรงศึกษาวิชากฎหมายจนแตกฉาน
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเป็นที่ โปรดปรานของพระบรมชนกนาถเป็นอย่างมาก
เพราะทรงเรียนหนังสือเก่ง สอบเข้ามหาวิ ทยาลัยออกซ์ฟอร์ดซึง่ มี ชอื่ เสียงโด่งดัง และได้รับ
ปริญญา B.A.
ด้วยความทีท่ รงแตกฉานในวิชากฎหมาย เมือ่ เสด็จกลับมาจึงได้รับราชการเป็นเสนาบดี
กระทรวงยุติธรรม ทรงปรับปรุงแก้ไขกฎหมายของบ้านเมืองด้วยพระปรีชาสามารถ จนได้
รับพระสมัญญาว่า “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย”
ชีวิตสมรส
เมื่อพระองค์เจ้ารพี พัฒนศักดิ์ ทรงส�ำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ กลับมา
ประเทศไทยแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระจุ ลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้ทรงกรมเป็น
กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ โดยให้มีพระนามกรมคล้องรับกับพระนามกรมของพระองค์เจ้า
กิติยากรวรลักษณ์ ที่ทรงกรมเป็นกรมหมื่นจั นทบุรีนฤนาถ
พระราชโอรสรุ่นแรกที่เสด็จกลับมานั้น โดยมากจะทรงเสกสมรสกับ “เจ้าหญิง” ซึ่ง
มีศกั ดิเ์ ป็นพระญาติกนั โดยทรงชอบพอกันเอง หรือไม่กม็ ผี หู้ ลักผูใ้ หญ่ชว่ ยจัดการให้ ซึง่ กรณี
ของพระองค์เจ้ารพี พัฒนศักดิ์น้อี ยู่ในกรณีหลัง คือ มีผู้หลักผู้ใหญ่จัดการให้
พระองค์เจ้ารพี พัฒนศักดิ์ ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพั ทธ
ประไพ พระธิดาองค์ ใหญ่ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระ
จั กรพรรดิพงศ์ เพราะต้องธรรมเนียมที่ว่า “เป็นเจ้า” ด้วยกัน และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจั กรพรรดิพงศ์ ก็ทรงเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เท่ากับว่าพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรพั ทธประไพ
ทรงเป็นพระนัดดาโดยตรงของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
290 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิ ตรวัฒโนดม ทรงเป็น
พระราชบุตรองค์ที่ 15 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
พระมารดา คือ เจ้าจอมมารดาแช่ม ธิดาของพระยามหาอ�ำมาตย์
(ชื่น กัลยาณมิตร) ประสูติเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2418
พระองค์เจ้าประวิ ตรวัฒโนดม ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์หนึง่ ในสีพ่ ระองค์ทเี่ สด็จไปศึกษายังต่างประเทศเป็นรุน่ แรก
ที่มา : วิ กิพีเดี ย
ครัน้ ส�ำเร็จการศึกษาเสด็จกลับมายังประเทศไทยแล้ว พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาให้ทรงกรมเป็น กรมหมื่นปราจิ ณกิติบดี
ในคราวเดี ยวกันกับการสถาปนากรมหมื่นจั นทบุรีนฤนาถ และกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์
เมือ่ ครัง้ ทีเ่ สด็จไปทรงศึกษาวิชาการยังประเทศยุโรปนัน้ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม
เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ทรงศึกษาด้านภาษา คือ ภาษาอังกฤษ
ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน มิได้ทรงศึกษาวิ ชาการทหารหรือพลเรือนแบบเจ้าพี ่องค์
บทที่ 20 พระบรมราโชวาท 291
4. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัตวิ รเดช ทรงเป็นพระราชบุตร
องค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติ
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิ กายน พ.ศ. 2419 พระมารดา คือ เจ้าจอม
มารดาทั บทิม ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)
พระองค์เจ้าจิ รประวัติวรเดช ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ
รุ่นแรกที่เสด็จไปทรงศึกษาวิ ชาการ ณ ประเทศยุโรป โดยทรง
ศึกษาที่ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรก จากนั้นเสด็จไปทรง
ที่มา : วิ กิพีเดี ย ศึกษาวิ ชาการทหารบกที่ประเทศเดนมาร์ก ครั้นทรงส�ำเร็จการ
ศึกษากลับมาประเทศไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ก็โปรดให้ทรงกรมเป็น กรมหมื่น
นครไชยศรีสุรเดช
ด้วยความทีเ่ ป็นพระราชโอรสทีพ่ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดปราน
เป็นพิเศษ จึงทรงได้รับราชการใกล้ ชิดพระบรมชนกนาถ โดยเป็นนายพลเอกราชองครักษ์
ผูบ้ ญ
ั ชาการกรมยุทธนาธิการ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้ทรง
รับราชการเป็นเสนาบดี กระทรวงกลาโหม ได้รับพระราชทานยศเป็น “จอมพลทหารบก”
ชีวิตสมรส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ทรงสู่ขอหม่อมเจ้าหญิง
ประวาศสวัสดี พระธิดาในพระเจ้าบรมเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต กรมขุนพิทยลาภ
พฤฒิธาดา ให้เป็นชายา
พระองค์เจ้าจิ รประวัติวรเดชกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี ทรงครองรักกันอย่าง
ราบรืน่ ทรงปรองดองถ้อยทีถอ้ ยอาศัยกัน สมดังพระราชหฤทัยของพระบรมชนกนาถยิง่ นัก
ทรงมีพระโอรสและพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ คือ
1. หม่อมเจ้าหญิงวิ มลปัทมราช
2. หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี
3. หม่อมเจ้าชายประสบศรีจิรประวัติ
294 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
แต่แล้วความตายก็มาพรากหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี ให้จากพระองค์เจ้าจิรประวัติ
วรเดชไป เพราะเมื่อหม่อมเจ้าหญิงฯ ประสูติพระธิดาองค์สุดท้ายก็สิ้นชีพิตักษัย เป็นเหตุให้
พระองค์เจ้าจิ รประวัติวรเดชทรงอาลัยรัก อาวรณ์หา อย่างเศร้าสร้อยอาดูร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ทรงเห็นพระทั ยและ
สงสารพระราชโอรส จึงทรงสู่ขอหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ ซึ่งเป็นน้องสาวของหม่อมเจ้า
หญิงนิวาศสวัสดี ให้เป็นชายา
พระองค์เจ้าจิ รประวัติวรเดชทรงมีพระโอรสธิดากับหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์อีก 3
พระองค์ คือ
1. หม่อมเจ้าหญิง (สิ้นพระชนม์ตั้งแต่วันประสูติ)
2. หม่อมเจ้าชายนิทัศนาธร
3. หม่อมเจ้าชายเขจรจิ รพั นธ์
ส�ำหรับหม่อมเจ้าหญิงวิ มลปัทมราช พระราชธิดาองค์ โตนั้น ว่ากันว่าพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือเสด็จปู่ ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษเนือ่ งจากมีพระรูปโฉม
คล้ายเจ้าจอมมารดาทั บทิม หรือคุณย่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเรียกหม่อมเจ้าหญิงวิ มลปัทมราชว่า
หญิงทั บทิม และโปรดสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าวิ มลปัทมราช เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย
สิ้นพระชนม์
น่าเสียดายที่พระองค์เจ้าจิ รประวัติวรเดชทรงมีพระชนมายุสั้นนัก ทรงสิ้นพระชนม์
ในขณะที่มีพระชนมายุเพี ยง 38 พรรษา ใน พ.ศ. 2456 ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นต้นราชสกุล จิ รประวัติ
บทที่ 20 พระบรมราโชวาท 295
ความรู้เสริ ม
ความหมายของค�ำ “ฮิสรอแยลไฮเนสปริ นซ์”
2. ประวัติผู้แต่ง
หม่อมเจ้าอิศรญาณ เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง
มหิศวรินทราเมศร พระนามเดิม คือ พระองค์เจ้าชายโต ทรงเป็นพระราชโอรสของ
พระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) แต่ในหนังสือ ประติทินบัตร
แลจดหมายเหตุ” กล่าวว่า หม่อมเจ้าอิศรญาณเป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
298 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
อิศรญาณภาษิตแต่งด้วยกลอนเพลงยาว เพลงยาวก็คือค�ำประพั นธ์ที่ผู้แต่งซึ่งส่วน
ใหญ่เป็นผู้ชายใช้เขี ยน เพื่อเป็นสื่อแสดงความในใจถึงหญิงคนรัก โดยมีเนื้อหาที่กล่าวถึง
การเกี้ยวพาราสีหรือตัดพ้อต่อว่า
นอกจากเพลงยาวจะใช้เป็นสื่อในการแสดงความในใจแล้ว เพลงยาวยังใช้เป็น
เครื่องมือในการบันทึกเหตุการณ์ หรือมีไว้เพื่อใช้ ในการอบรมสั่งสอนและล้อเลียนเสียดสี
บุคคลหรือสังคมอีกด้วย
เพลงยาวเป็นกลอนที่บังคับบทขึ้นต้นเพี ยง 3 วรรค จั ดเป็นกลอนขึ้นต้นประเภท
ไม่เต็มบท โดยขึ้นต้นด้วยวรรครับในบทแรก ส่วนบทต่อๆ ไปมี 4 วรรค สัมผัสเป็นแบบ
กลอนสุภาพ ไม่จ�ำกัดความยาวในการแต่ง นิยมจบด้วยบาทคู่ และต้องจบลงด้วยค�ำว่า
“เอย” จ�ำนวนค�ำในวรรคอยู่ระหว่าง 7-9 ค�ำ
บทที่ 21 อิศรญาณภาษิต 299
4. เนื้อเรื ่อง
อิศรญาณภาษิตนี้ เป็นวรรณคดี ที่มีความไพเราะเรื่องหนึง่ มีสัมผัสดี และค�ำทุกค�ำมี
ความหมาย แต่ละวรรคมีความสมบูรณ์ ในตัวเอง ส�ำนวนโวหารคมคาย และกลมกลืนกัน
โดยตลอด มีเนื้อเรื่องที่เป็นข้อคิดและคติเตือนใจต่างๆ และแนะน�ำเกี่ยวกับการประพฤติ
ปฏิบัติให้เป็นที่พอใจของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีอ�ำนาจมากกว่า สอนว่าควรจะท�ำอย่างไรจึง
จะอยู่ ในสังคมได้โดยปราศจากภัยแก่ตน ท�ำอย่างไรจึงจะประสบความส�ำเร็จสมหวัง
บางตอนเน้นเรื่องการเห็นคุณค่าและความส�ำคัญของผู้อื่นโดยไม่สบประมาทหรือ
ดูแคลนกัน ทัง้ นีก้ ารสอนในบางครัง้ อาจเป็นการสอนตรงๆ หรือบางครัง้ ก็สอนด้วยค�ำประชด
เหน็บแนม เนื้อหาส่วนใหญ่จะสั่งสอนให้คนมีปัญญา ไม่หลงใหลกับค�ำเยินยอ สอนให้ร้จู ั ก
คิดก่อนพูด รู้จักเคารพ ผู้อาวุโส ท�ำตามที่ผู้ ใหญ่แนะน�ำ และให้มีความกตัญญูต่อผู้ ใหญ่
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงชมและเหน็บแนม
วรรณคดี เรื่องนี้ว่า “แต่งดีตามอารมณ์ฟุ้งซ่าน แต่จะถือเป็นแบบฉบับนักไม่ได้” อย่างไร
ก็ตาม หากวิเคราะห์วรรณคดีเรือ่ งนีด้ ว้ ยในเป็นธรรมแล้ว ก็จะเห็นว่าวรรณคดีเรือ่ งนีม้ อี ะไร
ดี ๆ หลายอย่าง ซึ่งจะกล่าวชี้แจงให้เห็นในหัวข้อเรื่อง คุณค่า
5. คุณค่า
ในที่น้ีจะได้ศึกษาและวิ เคราะห์คุณค่าของอิศรญาณภาษิต ในด้านวรรณศิลป์
ด้านความรู้ และด้านสังคม ดังวรรณคดี เรื่องอื่นๆ ที่ ได้ศึกษามาแล้ว
5.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
5.1.1 การใช้ส�ำนวน หม่อมเจ้าอิศรญาณ ทรงใช้ส�ำนวนไทยหลายส�ำนวน ท�ำให้
บทประพั นธ์มีความโดดเด่น นอกจากนี้การใช้ภาษาก็ ใช้ได้อย่างคมคาย ส�ำนวนที่น�ำมาใช้
ก็มีความเหมาะสม ดังตัวอย่าง
300 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“วาสนาไม่คู่เคียงเถียงเขายาก
ถึงมีปากเสียเปล่าเหมือนเต่าหอย
ผี เรือนตัวไม่ดีผีอื่นพลอย
พูดพล่อยพล่อยไม่ดีปากขี ้ริ้ว”
“อย่าดูถูกบุญกรรมว่าท�ำน้อย
น�้ำตาลย้อยมากเมื่อไรได้หนักหนา
อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา
ส่องดูหน้าเสียทีหนึง่ แล้วจึงนอน”
“สูงอย่าให้สงู กว่าฐานนานไปล้ม
จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก
คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก
ที่ ไหนหลักแหลมคมจงจ�ำเอา”
“อันความเชื่อเรื่องเดี ยวกันส�ำคัญกล่าว
พูดไม่ดีแล้วก็เปล่าไม่แข็งเข้ม
ข้าวต้มร้อนอย่ากระโจมค่อยโลมเล็ม
วิ สัยเข็มเล่มน้อยร้อยช้าช้า
ถึงโปร่งปรุในอุบายเป็นชายชาติ
แม้หลงมาตุคามขาดศาสนา
อันความหลงแม้ไม่ปลงสังขารา
แต่ทว่ารู้บ้างค่อยบางเบา”
5.2 คุณค่าด้านความรู้
5.2.1 เป็นผู้หญิงต้องรู้จักระวังไม่ ให้เสื่อมเสีย เพราะผู้หญิงกับผู้ชายนั้นต่าง
กัน วัฒนธรรมไทยถือว่าผู้หญิงต้องรักษาพรหมจารีควบคู่ไปกับคุณความดี ไว้ส�ำหรับชายที่
จะเป็นคู่ครองเพี ยงคนเดี ยว ถ้าหากเกิดมีเรื่องเสื่อมเสีย ก่อนแต่งงานก็ย่อมไม่มีผู้ ใดอยาก
ได้เป็นคู่ครอง ดังภาษิตว่า “ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสารโบราณว่า”
302 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5.3 คุณค่าด้านสังคม
5.3.1 การผูกไมตรี กับบุคคลในสังคม ถือเป็นเรื่องที่จ�ำเป็นมาก เพราะมนุษย์
เราไม่สามารถอยู่ ในสังคมได้เพี ยงล�ำพั ง ยังต้องมีการติดต่อกับบุคคลในสังคม ดังนั้นการ
ผูกไมตรีจึงเป็นเรื่องส�ำคัญ ดังภาษิตว่า
“น�้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย”
“รักสั้นนั้นให้ร้อู ยู่เพี ยงสั้น
รักยาวนั้นอย่าให้เยิ่นเกินกฎหมาย”
“เห็นต�ำตาแล้วอย่าอยากท�ำปากบอน
ตรองเสียก่อนจึงค่อยท�ำกรรมทั ้งมวล”
และอย่าหลงเชื่อค�ำยุยงส่อเสียด ดังภาษิตว่า
“อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก
ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
จงฟังหูไว้หูคอยดูไป
เชื่อน�้ำใจดี กว่าอย่าเชื่อยุ”
“เห็นตอหลักปักขวางหนทางอยู่
พิเคราะห์ดูควรทึ้งแล้วจึงถอน”
“เกิดเป็นคนเชิงดูให้ร้เู ท่า
ใจของเราไม่สอนใครจะสอน”
“อยากใช้เขาเราต้องก้มประนมกร
ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ
หญิงเรียกแม่ชายเรียกพ่อยอไว้ ใช้
มันชอบใจบ้างปลอบไม่ชอบดุ”
“ใครท�ำตึงแล้วก็หย่อนผ่อนลงเอา”
304 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“เขาย่อมว่าฆ่าควายเสียดายพริก
รักหยอกหยิกยับทั ้งตัวอย่ากลัวเจ็บ”
“มิใช่เนื้อเป็นเนื้อก็เหลือปล�้ำ
แต่หนามต�ำเข้าสักนิดยังกรีดเจ็บ
อันโลภมากบาปหนาตันหาเย็บ”
“ถึงบุญมีไม่ประกอบชอบไม่ได้
ต้องอาศัยคิดดี จึงมีผล
บุญหาไม่แล้วอย่าได้ทะนงตน
ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน”
บรรณานุกรม 21
2. ประวัติผู้แต่ง
ดูประวัติผู้แต่งได้ ในบทที่ 6 หน้า 105-106
308 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
3. ลักษณะค�ำประพันธ์
บทพากย์เอราวัณ (ที่ตัดตอนมานี้) แต่งด้วยค�ำประพั นธ์ประเภทกาพย์ฉบัง 16 มี
ลักษณะดังนี้ คือ 1 บท มี 16 ค�ำ แบ่งออกเป็น 3 วรรค วรรคแรกมีจ�ำนวน 6 ค�ำ วรรค
ที่สองมี 4 ค�ำ และวรรคสุดท้ายมี 6 ค�ำ
สัมผัสบังคับ ได้แก่ ค�ำสุดท้ายของวรรคแรก สัมผัสกับค�ำสุดท้ายของวรรคที่ 2 และ
สัมผัสระหว่างบท คือ ค�ำสุดท้ายของบทแรกสัมผัสกับค�ำสุดท้ายของวรรคแรกในบทต่อไป
ดังตัวอย่าง
4. เนื้อเรื ่อง
บทพากย์เอราวัณ มีเนือ้ หามาจากเรือ่ งรามเกียรติต์ อนศึกอินทรชิต กล่าวถึงอินทรชิต
แปลงกายเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณเสด็จมายังสนามรบ พระลักษณ์พร้อมด้วยกองทัพ
ลิงต่างคิดว่าเป็นกองทั พของพระอินทร์ หลงเพลินดูไม่ทันระวังองค์ จึงถูกศรพรหมมาศของ
พระอินทร์แปลงสลบไปตามกัน ฝ่ายพระรามได้เสด็จออกจากพลับพลา มาตามหาพระลักษณ์
เห็นพระลักษณ์สลบอยู่ คิดว่าพระลักษณ์ตายด้วยพิษศรพรหมมาศ ก็รอ้ งไห้คร�่ำครวญคิดถึง
พระลักษณ์จนสลบไป
ความโดดเด่นของบทพากย์เอราวัณ อยูต่ รงทีก่ ารพรรณนาถึงช้างเอราวัณอย่างพิสดาร
ท�ำให้ผู้อ่านเห็นถึงภาพความยิ่งใหญ่ โอ่อ่า สมเกียรติยศของพระอินทร์ ดังความว่า
บทที่ 22 บทพากย์เอราวัณ 309
จากความที่กล่าวมาข้างต้น ท�ำให้มองเห็นภาพของช้างเอราวัณได้ว่า
มีเศียร 33 เศียร
มีงา 231 งา
มีสระ 1,617 สระ
มีกอบัว 11,319 กอ
มีดอกบัว 97,233 ดอก
มีกลีบบัว 554,631 กลีบ
มีนางฟ้า 3,882,417 องค์
มีบริวาร 27,176,919 คน
310 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
5. ตัวละครส�ำคัญ
5.1 อินทรชิต
อินทรชิตมีนามเดิมว่า รณพั กตร์ หรือ เมฑนาท เป็นโอรสองค์
โตของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ มีชายาชื่อนางสุวรรณกันยุมา มีโอรส 2
องค์ ชื่อ ยามลิวัน กับ กันยุเวก เคยเรียนศิลปศาสตร์กับพระฤๅษี
โคบุตร และศึกษามนตร์ชื่อ มหากาลอัคคี ส�ำหรับบูชาพระเป็นเจ้า
ทัง้ สาม ครัน้ ส�ำเร็จมนตร์มหากาลอัคคีแล้ว จึงไปนัง่ ภาวนาอยูท่ า่ เดียว
จนครบ 7 ปี พระเป็นเจ้าทั ้งสามจึงเสด็จมาพร้อมกัน รณพั กตร์ก็ทูล
ขอพรและอาวุธวิ เศษ
พระอิศวรประทานศรพรหมาศและบอกเวทแปลงกายเป็นพระอินทร์ พระพรหม
ประทานศรนาคบาศ และให้พรว่าเมือ่ ตายขอให้ตายบนอากาศ ถ้าหัวขาดจากตัวตกถึงพืน้ ดิน
ให้กลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ลา้ งโลก ต่อเมือ่ ได้พานแว่นฟ้าทิพย์จากพระองค์มารองรับจึงจะ
ไม่เกิดไฟไหม้ ส่วนพระนารายณ์ประทานศรวิ ษณุปาณัมให้แก่รณพั กตร์
เมื่อรณพั กตร์ได้พรจากพระเป็นเจ้าทั ้งสามแล้ว ทศกัณฐ์ก็เกิดความฮึกเหิม จึงให้
รณพั กตร์ขึ้นไปปราบพระอินทร์เพื่อให้ยอมอ่อนน้อม
รณพั กตร์จึงยกกองทั พขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปวงเทพทั ้งหลายเห็นต่างพากัน
ตกใจ รีบออกจากวิ มานไปเฝ้าพระอินทร์ พระอินทร์จึงมีเทวบัญชาให้พระมาตุลีเทพบุตร
จั ดกองทั พ และเตรียมมหาเวไชยันต์ราชรถ อันเทียมด้วยเทพบุตรพาชีหนึง่ พั น (อัสดร
เทพบุตรแปลงกายเป็นม้า) ซึ่งก่อนที่พระอินทร์จะออกรบนั้นก็เกิดลางร้ายอย่างหนึง่ คือ
ม้าทั ้งหนึง่ พั นตัวต่างพากันร้องว่า อัปราชัย
ครั้นกองทั พทั ้งสองรบกัน ทีแรกฝ่ายเทวดาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตีฝ่ายยักษ์แตกร่น
ไม่เป็นกระบวน รณพั กตร์เห็นเข้าก็ โกรธจึงขับช้างเข้าใส่ พระอินทร์จึงขว้างจั กรมณี กลาย
เป็นเพลิงกรดล้อมช้างของอินทรชิตไว้ รณพั กตร์ร้อนทนไม่ไหวจึงใช้ศรวิ ษณุปาณัมแผลงไป
เป็นฝนตกลงมาดับเพลิง พระอินทร์เห็นเช่นนั้นจึงขว้างกรีออกไป กลายเป็นตาข่ายเพชร
ล้อมพวกยักษ์ รณพั กตร์ก็แผลงศรนาคบาศ เป็นพญานาคเที่ยวไล่พ่นพิษใส่เหล่าเทวดา
ฝ่ายพระอินทร์ตกใจมิร้ทู ี่จะท�ำประการใด จึงให้พระมาตุลีขับรถหนี แต่ฤทธิกันอสูร
นายกองตระเวนกรุงลงกา ซึง่ เป็นนายทัพหน้าไม่ยอมให้หนี เข้ายึดท้ายรถลากไว้ พระอินทร์ยงิ่
บทที่ 22 บทพากย์เอราวัณ 311
ศรล้มลงไปด้วยกัน บรรดายักษ์ที่แปลงเป็นเทวดาต่างก็พุ่งอาวุธลงมาต้องไพร่พลลิงตาย
เรียบ เหลืออยู่แต่หนุมานเพี ยงผู้เดี ยว
หนุมานเห็นพระลักษณ์ต้องศรพรหมมาศสลบไปก็โกรธ จึงทะยานขึ้นไปหักคอช้าง
เอราวัณ แต่ก็ถูกพระอินทร์แปลงฟาดด้วยคันธนูกระเด็นไปพร้อมคอช้างตกลงไปยังพื้นดิน
ครั้งที่สี่ท�ำพิธีกุมภนิยาเพื่อชุบตัวเป็นกายสิทธิ์ ก่อนหลบไปท�ำพิธี ทศกัณฐ์ ได้
ให้สุขาจารแปลงเป็นนางสีดา จากนั้นอินทรชิตจึงพาไปยังสนามรบแล้วตัดหัวต่อหน้า
พระลักษณ์ เพื่อลวงว่านางสีดาตายแล้ว พระรามจะได้ยกทั พกลับ จากนั้นจึงไปท�ำพิธี แต่
แล้วพระลักษณ์ก็ตามไปท�ำลายพิธี พร้อมกับท�ำลายศรวิ ษณุปาณัม ศรนาคบาศ และศร
พรหมมาศ อินทรชิตสู้ไม่ได้จึงหนีเข้าเมือง
ครัง้ ทีห่ า้ อินทรชิตรูว้ า่ การรบครัง้ นีต้ นคงไม่รอด ดังนัน้ จึงขอให้ทศกัณฐ์ คืนนางสีดาให้
แก่พระรามไป แต่ทศกัณฐ์ไม่ยอม กลับประทานศรสุรกานต์ ให้อินทรชิตน�ำไปรบ ก่อนออก
รบอินทรชิตได้สั่งลาลูกเมีย จากนั้นจึงออกรบกับพระลักษณ์และถูกพระลักษณ์สังหารด้วย
ศรพรหมมาศ พิเภกให้องคตพี ่ชายร่วมมารดาเดี ยวกันกับอินทรชิต ไปขอพานแว่นฟ้าจาก
พระพรหมเพื่อมารองรับไม่ ให้ศีรษะของอินทรชิตตกลงพื้น
5.2 พระลักษณ์
พระลักษณ์เป็นโอรสของท้าวทศรถกับนางสมุทรชา มีน้องร่วมท้องเดี ยวกัน คือ
พระสัตรุด พระลักษณ์ คือ บัลลังก์นาคของพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นอนุชา คู่ใจของ
พระราม เมื่อพระรามต้องออกเดินป่าเป็นเวลา 14 ปี พระลักษณ์ก็ขอตามเสด็จไปรับใช้ด้วย
ในศึกลงกา พระลักษณ์ออกรบหลายครัง้ และสังหารแม่ทัพของฝ่ายทศกัณฐ์ลม้ ตายลงอย่าง
มากมาย พระลักษณ์ต้องอาวุธบาดเจ็บ 5 ครั้ง ครั้งแรกถูกหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกรรณ
ครั้งที่ 2 ถูกศรนาคบาศ ครั้งที่ 3 ถูกศรพรหมมาศของอินทรชิต ครั้งที่ 4 ถูกอาวุธของ
มูลพลัม และครั้งที่ 5 ถูกหอกกบิ ลพั ทของทศกัณฐ์
บทที่ 22 บทพากย์เอราวัณ 313
พระลักษณ์เป็นผู้ที่ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระรามพี ่ชายอยู่เสมอตลอดศึกลงกา
และหลายครั้งเป็นผู้น�ำทั พตามค�ำบัญชาของพระราม เช่น เมื่อครั้งท�ำศึกกับอินทรชิต หลัง
เสร็จศึกลงกาแล้วพระรามให้พระลักษณ์ไปครองเมืองโรมคัล ซึ่งเคยเป็นเมืองของพญาขร
เมื่อครั้งพระรามเข้าใจผิ ดคิดว่านางสีดาแอบมี ใจให้ทศกัณฐ์ พระรามได้สั่งให้
พระลักษณ์น�ำนางสีดาไปประหาร แต่พระลักษณ์ไม่กล้า นางสีดาก็สั่งให้พระลักษณ์ลงมือ
พระลักษณ์กส็ ลบไป เมือ่ ฟืน้ ขึน้ มาไม่เห็นนางสีดา ก็กล่าวฝากนางไปกับเทวดา แล้วน�ำหัวใจ
ของเนื้อไปถวายพระราม ครั้นพระรามออกเดินป่าอีกครั้งเพื่อสะเดาะห์เคราะห์ พระลักษณ์
ก็ออกติดตามไปรับใช้เช่นเคย
5.3 สุครี พ
สุครีพเป็นพญาวานรโอรสของพระอาทิตย์กบั นางกาลอัจนา เป็นน้องชายแม่เดียวกัน
กับพาลี มีชายาชือ่ นางดารา ซึง่ พระอิศวรประทานให้โดยฝากพาลีไป แต่นางตกเป็นของพาลี
ก่อน หลังจากพระรามสังหารพาลีแล้ว ได้ตั้งให้สุครีพ เป็นเจ้าเมืองขี ดขิน ต่อมาได้ร่วมทั พ
กับพระรามไปปราบทศกัณฐ์ โดยเป็นแม่กองในการจองถนนไปกรุงลงกา ต่อมาพระราม
ให้สุครีพไปหักฉัตรของทศกัณฐ์ ครั้นรบกับกุมภกรรณ กุมภกรรณรู้ว่าสุครีพมีพละก�ำลัง
มากจึงหลอกให้ไปถอนต้นรัง ท�ำให้ก�ำลังของสุครีพลดลง จึงถูกกุมภกรรณจั บตัวไป แต่
หนุมานตามไปช่วยเหลือไว้ได้ โดยมากแล้วสุครีพมักท�ำหน้าที่เป็นผู้จัดทั พเป็นรูปกระบวน
ต่างๆ ตามหลักพิชัยสงคราม ครั้นเสร็จศึกลงกาแล้ว สุครีพได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์
เป็นพญาไวยวงศามหาสุรเดช เจ้านครขี ดขิน
6. คุณค่า
ส�ำหรับคุณค่าของบทพากย์เอราวัณที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้แก่ คุณค่าด้านวรรณศิลป์
คุณค่าด้านความรู้ และคุณค่าด้านสังคม
6.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
6.1.1 การใช้โวหาร ความโดดเด่นทางวรรณศิลป์ของบทพากย์เอราวัณ ช่วยสร้าง
จินตนาการให้เกิดขึน้ แก่ผอู้ า่ น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงใช้ถอ้ ยค�ำทีช่ ว่ ย
สร้างภาพให้เกิดขึ้นในจิ นตนาการอย่างแจ่มชัด ดังเช่น บทพรรณนาช้างเอราวัณ ความว่า
314 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
“ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน เผือกผ่องผิวพรรณ
สีสังข์สะอาดโอฬาร์
สามสิบสามเศียรโสภา เศียรหนึง่ เจ็ดงา
ดังเพชรรัตนรูจี
งาหนึง่ เจ็ดโบกขรณี สระหนึง่ ย่อมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
กอหนึง่ เจ็ดดอกดวงมาลย์ ดอกหนึง่ แบ่งบาน
มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา
กลีบหนึง่ มีเทพธิดา เจ็ดองค์โสภา
แน่งน้อยล�ำเพานงพาล
นางหนึง่ ย่อมมีบริวาร อีกเจ็ดเยาวมาลย์
ล้วนรูปนิรมิตมายา
จั บระบ�ำร�ำร่ายส่ายหา ช�ำเลืองหางตา
ท�ำทีดังเทพอัปสร
มี วิมานแก้วงามบวร ทุกเกศกุญชร
ดังเวไชยันต์อัมรินทร์”
นอกจากจะมีบทพรรณนาให้เห็นถึงความน่าอัศจรรย์ของช้างเอราวัณ และความ
ยิ่งใหญ่อลังการของกองทั พอินทรชิตแล้ว ยังมีบทพรรณนาธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และ
ยังมองเห็นภาพบรรยากาศยามเช้าตรู่ มองเห็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก�ำลังปฏิบัติภารกิจไปตาม
วิ ถี ชีวิตของตัวเอง ดังความว่า
“อึงอินทเภรีตีระงม แตรสังข์เสียงประสม
ประสานเสนาะในไพร
เสียงพลโห่ร้องเอาชัย เลื่อนลั่นสนัน่ ใน
พิภพเพี ยงท�ำลาย
สัตภัณฑ์บรรพตทั ้งหลาย อ่อนเอียงเพี ยงปลาย
ประนอมประนมชมชัย
พสุธาอากาศหวาดไหว เนื้อนกตกใจ
ซุ กซ่อนประหวั่นขวัญหนี
ลูกครุฑพลัดตกฉิมพลี หัสดินอินทรี
คาบช้างก็วางไอยรา
วานรส�ำแดงเดชา หักถอนพฤกษา
ถือต่างอาวุธยุทธยง”
จากตัวอย่างได้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกองทั พพระรามและบุญญาบารมี
ของพระองค์ ซึง่ ความยิง่ ใหญ่และเสียงโห่รอ้ งทีด่ งั กึกก้อง ได้สร้างความหวัน่ เกรงให้กบั สัตว์
ต่างๆ เป็นอย่างมาก แม้กระทั ่งสัตว์ ใหญ่อย่างนกหัสดี ลิงค์ที่ก�ำลังคาบช้างอยู่ยังตกใจจน
เผลอปล่อยช้างตกจากปากไป พลทหารวานรก็ก�ำลังฮึกเหิมหักโค่นต้นไม้มาถือเป็นอาวุธ
6.1.2 การใช้ภาพพจน์ บทพากย์เอราวัณ ปรากฏการใช้ภาพพจน์ ในสองลักษณะ
คือ การใช้อติพจน์ และการใช้บุคลาธิษฐาน
1 การใช้อติพจน์ หรือเรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า การกล่าวเกินจริง ทั้งนี้ ไม่ ใช่เพราะกวี
ต้องการจะหลอกลวงผูอ้ า่ น แต่ตอ้ งการให้ผอู้ า่ นสัมผัสถึงความยิง่ ใหญ่และอลังการของบท
ประพั นธ์ ดังตัวอย่าง
“เสียงพลโห่ร้องเอาชัย เลื่อนลั่นสนัน่ ใน
พิภพเพี ยงท�ำลาย”
“อินทรชิตบิดเบือนกายิน เหมือนองค์อมรินทร์
ทรงคชเอราวัณ
6.2 คุณค่าด้านความรู้
6.2.1 ความรู้เรื ่องการพากย์ โขน โขนใช้การพากย์เป็นการด�ำเนินเรื่อง ค�ำพากย์
เป็นบทประพั นธ์ประเภทกาพย์ คือ กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง ไม่ว่าจะพากย์ชนิดใดๆ เมื่อ
พากย์จบกาพย์ยานีไปบทหนึง่ ๆ ผู้ตีกลองตะโพนจะต้องตีท้า ให้ผู้ตีกลองทั ดตีรับ 2 ที
แล้วพวกคนแสดงภายในโรงก็ต้องรับด้วยค�ำว่า “เพ้ย” พร้อมกันทุกบท เช่น ถ้าพากย์เป็น
กาพย์ฉบังว่า
“ลูกครุฑพลัดตกฉิมพลี หัสดินอินทรี
คาบช้างก็วางไอยรา”
318 พินิจวรรณคดีจากหนังสือแบบเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
6.3 คุณค่าด้านความคิด
6.3.1 สะท้อนให้เห็นเรื ่องการศึกษา จากเนื้อหาที่กล่าวมาท�ำให้เห็นว่าผู้น�ำต้อง
มีการศึกษาสูง ดังเช่น อินทรชิตที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญด้านการรบ สามารถแปลง
กายเป็นพระอินทร์ได้เพราะมีการศึกษา ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นการศึกษาด้วยตนเองก็ว่าได้
เพราะอินทรชิตได้ไปนัง่ บ�ำเพ็ญภาวนาอยู่ถึง 7 ปี จึงได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าทั ้งสาม
บทที่ 22 บทพากย์เอราวัณ 319