Professional Documents
Culture Documents
2564 55
2564 55
2564 55
เกี่ยวกับ
ค่าจ้าง-
ไม่เป็นค่าจ้าง
10พ.ศ.
2564 - 2555
เชิดศักดิ์ กำปั่นทอง
นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
คำนำ
ทุ ก วั น นี้ ดู เหมื อ นว่ าข้ อ พิ พ าทด้ า นแรงงานจะมี ค ดี ขึ้ น สู่ ศ าลจำนวนมาก
เนื่ อ งจาก ความ สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า งน ายจ้ า งแ ละลู ก จ้ า งย่ อ ม ก่ อ ให้ เกิ ด ข้ อ พิ พ าท
ได้ เสมอ หากทั้ ง สองฝ่ า ยไม่ ป ฏิ บั ติ ต่ อ กั น ให้ ถู ก ต้ อ งตามข้ อ สั ญ ญาและข้ อ กฎหมาย
อีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ผลของการพิจารณาคดีของศาล ย่อมมีผู้แพ้และชนะคดี
และคำพิ พ ากษาของศาลหลายคดี ได้ ว างแนวทางในการตี ค วามและเรี ย บเรีย งถ้ อ ยคำ
ให้ เกิ ด ความกระจ่ า งชั ด และสละสลวย การศึ ก ษาคำพิ พ ากษาจึ ง เป็ น วิ ธี ที่ ดี วิ ธี ห นึ่ ง
สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้สนใจกฎหมายแรงงานที่จะนำไปใช้ประโยชน์
ในการทำงานได้อย่างกว้างขวาง
หนั ง สื อ เล่ ม นี้ ผู้ เ ขี ย นได้ ร วบรวมคำพิ พ ากษ าที่ น่ า สนใจระหว่ า งปี
พ.ศ. 2555 – 2564 ในประเด็นเกี่ยวกับการตีความค่าจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
และกฎหมายประกั น สั ง คมของเงิ น ประเภทต่ า ง ๆ เช่ น ค่ า บริ ก ารหรื อ เซอร์ วิ ส ชาร์ จ
ค่าเที่ยว เงินเพิ่มพิเศษ (Offshore Superviser) เป็นต้น โดยแยกหมวดหมู่ให้สืบค้นได้ง่าย
ผู้เขียนจึงมุ่งหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้ทำงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้ที่สนใจศึกษา
สะดวก ประหยัดเวลา และเข้าใจกฎหมายมากขึ้น
เชิดศักดิ์ กำปั่นทอง
สิงหาคม 2564
ก
สารบัญ
หน้า
ค่าจ้าง……………………………....................…….…..……………..…………….…..…….…..…… ค
๑. ค่าชั่วโมงบิน..................................................................................... ๑
๒. เงินเพิ่มพิเศษ (Offshore Superviser)............................................ ๔
๓. เงินระดับงาน.............................................................................. ๙
๔. ค่าคอมมิชชั่น ค่านายหน้า.............................................................. ๑๐
๕. ค่าเที่ยว........................................................................................... ๑๙
๖. ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย........................................................... ๓๓
๗. ค่าน้ำมันรถ ค่าสึกหรอ.................................................................... ๓๘
๘. ค่าตอบแทนตามผลงาน................................................................... ๔๕
๙. เบี้ยเลี้ยง.......................................................................................... ๔๖
๑๐ .ค่าครองชีพ..................................................................................... ๕๑
๑๑. ค่าวิชาชีพ...................................................................................... ๕๓
๑๒. ค่าสวัสดิการ.................................................................................. ๕๖
๑๓. ค่าตำแหน่ง.................................................................................... ๕๗
๑๔. ค่าอายุงาน..................................................................................... ๖๒
๑๕. ค่าเช่าบ้าน..................................................................................... ๖๓
๑๖. เงินเดือน ๆ ที่ ๑๓......................................................................... ๖๗
๑๗. เงินประจำไซด์............................................................................... ๖๘
๑๘. เงินรางวัลนำเข้า............................................................................ ๖๙
๑๙. เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ............... ๗๐
๒๐. ค่ารับรอง....................................................................................... ๗๒
๒๑. ค่าโทรศัพท์..................................................................................... ๗๔
๒๒. เบี้ยขยัน......................................................................................... ๗๙
๒๓. ค่าบริการ หรือ เซอร์วิสชาร์จ........................................................ ๘๑
๒๔. ค่าพาหนะ...................................................................................... ๘๖
๒๕. เงิน MBO เงิน MIB....................................................................... ๙๒
ข
สารบัญ
หน้า
๒๖. ค่าตอบแทนคนขับรถผูบ้ ริหาร...................................................... ๙๖
๒๗. เงินความสามารถพนักงานแคชเชียร์............................................... ๙๘
๒๘. ค่ารักษาสินค้า................................................................................. ๙๙
๒๙. โบนัส.............................................................................................. ๑๐๑
๓๐. ค่าเช่ารถยนต์................................................................................. ๑๐๓
๓๑. เงินตอบแทนพิเศษ........................................................................ ๑๐๕
๓๒. ค่าผ่านทาง.................................................................................... ๑๐๘
๓๓. ค่ากะดึก........................................................................................ ๑๐๙
๓๔. ค่าอาหาร...................................................................................... ๑๑๑
๓๕. ค่าชิ้นงาน...................................................................................... ๑๑๓
๓๖. ค่าโน็ตบุ๊ก...................................................................................... ๑๑๕
๓๗. เงินปรับค่าจ้างย้อนหลัง................................................................ ๑๑๖
๓๘. เบี้ยกันดาร.................................................................................... ๑๑๗
๓๙. สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า............................................... ๑๑๙
๔๐. ค่าประกันอุบัติเหตุ........................................................................ ๑๒๐
๔๑. ค่ากระดาษทิชชู่............................................................................. ๑๒๑
๔๒. เงินรางวัลการขายรถยนต์.............................................................. ๑๒๓
๔๓. เงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัด และค่าที่พัก............................ ๑๒๕
- ๑ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๑. ค่าชั่วโมงบิน
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๕๔/๒๕๖๔
เรื่อง ค่าชั่วโมงบินเป็นค่าจ้าง , นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างตำแหน่งนักบินผู้ช่วย โดยเหตุจงใจ
หรือละเลย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิ บัติตามคำสั่งของนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชา ประมาทเลินเล่ออย่ างร้ายแรง
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนของนักบินซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตผู้โดยสารและทรัพย์สิน
การเลิกจ้างจึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งนักบิน
ผู้ ช่ว ย มีก ำหนดระยะเวลา ๖ ปี ได้ รับ เงิน เดื อนอั ตราสุ ดท้ ายเดือ นละ ๙๐,๐๐๐ บาท ค่าชั่ว โมงบิน ขณะ
ปฏิบัติการบินชั่วโมงที่ ๑-๕๐ อัตราชั่วโมงละ ๑,๓๕๐ บาท ชั่วโมงที่ ๕๑-๗๐ อัตราชั่วโมงละ ๑,๕๐๐ บาท
ชั่วโมงที่ ๗๑ - ๘๐ อัตราชั่วโมงละ ๑,๘๐๐ บาท และชั่วโมงถัดไป อัตราชั่วโมงละ ๒,๑๐๐ บาท ต่อมาวันที่
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ หั ว หน้ าฝ่ ายการบินแจ้งโจทก์ว่าไม่ต้องทำการบิ น แต่ให้ โจทก์ย้ายไปปฏิ บัติงาน
ด้านเอกสาร และเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ จำเลยมีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แจ้งเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่
๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบัง คับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ค่าชดเชย ค่าเสียหายที่ไม่สามารถทำงานได้ครบกำหนดระยะเวลา ๕,๑๓๖,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิก
จ้างที่ไม่เป็ น ธรรม ๒,๑๖๐,๐๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวั นหยุดพักผ่อนประจำปี กับให้ จำเลยแจ้งสำนักงาน
ประกันสังคมว่าโจทก์ว่างงานเนื่องจากถูกเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์และเสนอให้โจทก์ทำงานในส่วนของเอกสารการบินแทนการ
ทำการบิ น แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยเลิกจ้ างเนื่องจากโจทก์สุ ขภาพไม่แข็งแรง มีความบกพร่องทางหู ซึ่งเป็น
อุปสรรคในการทำงาน ลาป่วยจำนวนมาก ส่งใบรับรองแพทย์ที่ระบุชื่อบุคคลอื่นประกอบการลาป่วยอันเป็น
การกระทำทุจริตต่อจำเลย ไม่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่นักบินผู้ช่วย ไม่สนใจและไม่ตั้งใจในการเรียนรู้
ฝึกอบรม ประมาทเลิ นเล่ ออย่างร้ายแรงในการปฏิบัติห น้าที่ตามขั้นตอนของนักบินซึ่งอาจก่อให้ เกิดความ
เสียหายแก่ชีวิตผู้โดยสารและทรัพย์สินของจำเลย
ระหว่างพิ จ ารณาของศาลแรงงานกลาง คู่ค วามแถลงรับ ข้อ เท็ จจริงร่ว มกัน ว่า ค่าชั่ ว โมงบิ น
เป็นค่าจ้าง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ธันวาคม ๒๕๖๒ โจทก์ทำการบินเฉพาะเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ได้รับค่าชั่วโมง
บิน เฉพาะเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ๔๐,๓๑๓ และจำเลยแจ้ งสำนั กงานประกันสังคมเพื่อให้ โจทก์มีสิทธิได้รับ
ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุ ท ธรณ์ ค ดี ช ำนั ญ พิ เศษเห็ น ว่ า โจทก์ ผ่ า นการฝึ ก อบรมการบิ น และได้ รั บ ใบอนุ ญ าต
การบินแล้ว แต่ในระหว่างการทำหน้าที่นักบินกลับมีข้อบกพร่องในการบิน จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์งดบินและ
ให้เข้ารับการฝึกอบรมกับเครื่องบินจำลอง ในระหว่างฝึก โจทก์ลาป่วยบ่อยเป็นเหตุให้ไม่ผ่านการฝึกอบรม
๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๐๐/๒๕๖๔
เรื่ อ ง เพิ่ ม พิ เศษเมื่ อ ทำงานบนแท่ น ขุ ด เจาะเป็ น “ค่ า จ้ า งตามผลงาน” ต้ องนำมารวม
คำนวณค่าชดเชย โดยคำนวณตามระยะเวลา ๒๔๐ วันสุดท้ายก่อนลูกจ้างถูกเลิกจ้าง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองจ้างโจทก์ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างรายเดือนตำแหน่งสุดท้ายทำ
หน้ าที่ Svc Operator II-L&P ทำงานบนแท่นขุดเจาะ ๒๘ วัน กลั บขึ้นมาพั กบนฝั่ง ๒๐ วัน และทำงานที่
สำนักงานบนฝั่งอีก ๘ วัน ค่าจ้างเดือนละ ๒๕,๒๓๒.๕๔ บาท และเงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะ
วันละ ๑,๓๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๗ กุมภาพัน์ ๒๕๕๘ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุลดจำนวนบุคลากร
เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขณะทำงานโจทก์ทำงานบนแท่นขุดเจาะเกินกว่าชั่วโมงทำงานตามที่กฎหมาย
กำหนด ๖,๕๕๒ ชั่วโมง ขอบั งคับ ให้ จ ำเลยทั้ งสองจ่ายค่าล่ ว งเวลา ค่าชดเชย ค่าเสี ยหายจากการเลิ กจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องค่าล่ วงเวลาขาดอายุความ ๒ ปีแล้ว เงินเพิ่มพิ เศษเมื่อทำงาน
บนแท่ น ขุ ด เจาะไม่ ใ ช่ ค่ า จ้ า ง จำเลยเลิ ก จ้ า งโจทก์ เนื่ อ งจากมี ค วามจำเป็ น ต้ อ งลดจำนวนลู ก จ้ า งเพื่ อ
ประคับประคองธุรกิจ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงิน จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะ
ส่วนตัว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอสละประเด็นเรื่องค่าล่วงเวลา และขอ
ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลแรงงานภาค ๙ อนุญาต
ศาลแรงงานภาค ๙ พิ จารณาแล้ ว พิ พากษาให้ จำเลยที่ ๑ ชำระเงิ นแก่ โจทก์ ๒๗๖,๖๓๙.๖๘ บาท
พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ คดีช ำนั ญพิเศษ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ ยกคำพากษาศาลแรงงานภาค ๙ ในส่ วน
การกำหนดค่าชดเชย โดยให้ศาลแรงงานภาค ๙ ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า โจทก์ได้เงินเพิ่มพิเศษในระยะเวลา
สองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างจำนวนเท่าใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลแรงงานภาค ๙ พิ จ ารณาแล้ ว พิ พ ากษาให้ จ ำเลยที่ ๑ ชำระค่ าชดเชยแก่ โ จทก์ เป็ น เงิน
๑๒๙,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
เลิกจ้างโจทก์กับพวกเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและมีการปิดแท่นขุดเจาะหลายแห่ง
จำเป็นต้องลดอัตรากำลังคน โจทก์กับพวกได้รับเงินและตกลงทำบันทึกสละสิทธิเรียกร้องโดยสมัครใจ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็ นว่า เงินเบี้ยเลี้ยงบนแท่นขุดเจาะ เป็นค่าจ้าง โจทก์กับพวก
ทำงานวันละ ๑๒ ชั่วโมง มีเวลาพัก ๑ ชั่ วโมง ทำงานเกินเวลาปกติไปสัปดาห์ละ ๒๙ ชั่วโมง การเลิกจ้างมี
เหตุอันสมควร ข้อตกลงสละสิทธิประโยชน์เฉพาะส่วนที่อยู่นอกเหนือกฎหมายคุ้มครองแรงงานมีผลบังคับ
พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน ๑๕,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ค่าล่วงเวลา ๒๔,๙๘๗.๕๖ ดอลลาร์สหรัฐ
แก่โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ..ที่ ๑๑...พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐) คำขออื่นให้ยก
โจทก์กับพวกและจำเลยอุทธรณ์
ประเด็นอำนาจฟ้องเรียกค่ าชดเชยและค่าล่วงเวลา ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ในขณะ
ทำข้อตกลงร่วมกันในการเลิกสัญญาจ้างและบันทึ กสละสิทธิผลประโยชน์ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ - ที่ ๗ และ
ที่ ๙ - ที่ ๑๑ ทราบแล้วว่าได้ถูกเลิกจ้าง โจทก์แต่ละคนย่อมมีอิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในสภาวะที่
ต้องเกรงกลัวจำเลยแต่อย่างใด การทำข้อตกลงเช่นนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่มีลักษณะ
เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ข้อตกลงจึงมีผล
ผู ก พั น ดั ง นั้ น โจทก์ ที่ ๑...จึ ง ไม่ มี อ ำนาจฟ้ อ งเรี ย กเงิ น ทุ ก ประเภท ที่ ศ าลแรงงานกลางวิ นิ จ ฉั ย มานั้ น
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไม่เห็นพ้องด้วย
ประเด็นค่าเบี้ยเลี้ยงบนแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือเงินเพิ่มพิเศษ เป็นค่าจ้างหรือไม่ หากเป็นจัดว่า
เป็นค่าจ้างรายวันหรือตามผลงาน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การที่จำเลยมอบหมายโจทก์ที่ ๓ ไป
ทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันคราวละ ๒๘ วัน พัก ๒๘ วัน จึงเป็นการทำงานตามปกติสำหรับพนักงานวิศวกร
มิใช่ เป็ น การไปทำงานนอกสถานที่ เป็ น ครั้ งคราว เบี้ ย เลี้ ย งที่ จำเลยจ่ายให้ โจทก์ ที่ ๓ จึงเป็ น ค่าตอบแทน
การทำงานตามสัญ ญาจ้างสำหรับ ระยะเวลาการทำงานปกติเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ตามนิยามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่ตามข้อบังคับฯ โจทก์ที่ ๓ ได้รับเบี้ยเลี้ยงเฉพาะวัน
ปฏิ บั ติ งาน ๒๘ วั น ส่ ว นวั น หยุ ด ไม่ ได้ รั บ เบี้ ย เลี้ ย ง ค่ า เบี้ ย เลี้ ย งดั งกล่ า ว จึ งเป็ น เงิน ที่ จ ำเลยจ่ า ยเป็ น
ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างโดย “คำนวณตามผลงาน” ที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของ
วันทำงาน ถือเป็นการคิดคำนวณค่าจ้างเป็นหน่วยการทำงาน โดยอาศัยการจ่ายเบี้ยเลี้ยงรายวันให้เป็นหน่วย
การทำงานในแต่ละหน่วย ค่าเบี้ยเลี้ยงบนแทนขุดเจาะจึงเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” ที่ศาลแรงงานกลาง
คำนวณค่าชดเชยเพิ่มเติมโดยนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงบนแท่ นขุดเจาะน้ำมันในอัตราสุดท้ ายรายวันคูณด้วยจำนวน
วันที่โจทก์ที่ ๓ มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไม่เห็นพ้องด้วย
ประเด็ นการคำนวณค่าล่วงเวลาถูกต้องหรือไม่ โดยโจทก์ที่ ๓ อุทธรณ์ว่า ต้องใช้ ๘ ชั่วโมง
เป็นตัวหาร และการหักเวลาพักออกไม่ถูกต้องเพราะลักษณะงานเป็นงานที่รับผิดอบอย่างต่อเนื่อง ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยว่าค่าเบี้ยเลี้ ยง เป็นค่าจ้างตามผลงงาน การคำนวณค่าล่าวงเวลาจึงต้ อง
คำนวณจากค่าจ้าง ๒ ส่วน และคิดคำนวณตามมาตรา ๖๑ เมื่องานที่โจทก์ทำเป็นงานในกิจการปิโตรเลียมอยู่
ในบังคับของกฎกระทรวง ฉบั บที่ ๗ ข้อ ๑ (๑) กำหนดให้นายจ้างและลู กจ้างตกลงกันทำงานปกติวันหนึ่ง
๓. เงินค่าระดับงาน
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๐๒-๑๙๙๖๖/๒๕๕๖ (ค่าครองชีพ ค่าระดับงาน)
เรื่อง ค่า ครองชีพ ค่า ระดั บงาน เป็น เงิน ที่น ายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานของลู กจ้า ง
โดยจะจ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่เนื้อหาหรือคุณค่าของงานที่ทำ จึงเป็นค่าจ้าง
โจทก์กับ พวกรวม ๔๖๕ คน เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน AAA ฟ้องจำเลยขอให้ บั งคับจำเลย
จ่ ายสวั ส ดิ การค่ าครองชีพ และค่ าระดับ งานตามบั น ทึ ก ข้อ ตกลงเกี่ ยวกั บ สภาพการจ้างฉบั บ ลงวัน ที่ ๑๔
พฤศจิ ก ายน ๒๕๔๔ และค่ า ทำงานนอกเหนื อ เวลาทำงานปกติ ที่ ข าดหายไปจากการไม่ น ำค่ า ครองชี พ
และค่าระดับงานมาเป็นฐานคำนวณ จำเลยให้การว่าได้จ่ายค่าครองชีพและค่าระดับงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ตอบแทนการทำงาน จ่ายเป็นประจำแน่นอน รวมทั้งนำไปเป็นฐานหักเงินส่งประกันสังคม
ศาลแรงงานกลางพิ จารณาแล้ วเห็นว่า ค่าครองชีพ และค่าระดับงานเป็นค่าจ้าง เมื่อรวมเงิน
ทั้งสองประเภทเข้ากับเงินเดือนแล้วมากกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โจทก์กับพวกจึงมิอาจเรียกค่าจ้างเพิ่ม ได้อีก
พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลฎีกามีปั ญ หาต้องวินิ จฉัยว่า “ค่าครองชีพ และ ค่าระดับ งาน” เป็ นค่าจ้างหรือไม่ เห็ นว่า
จำเลยและสหภาพแรงงานยอมรับกันมาตั้งแต่หลักเกณฑ์การจ่ายค่าครองชีพเดิมก่อนมีบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับ
สภาพการจ้างแล้วว่า “ค่าครองชี พ” ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา กล่าวคือถือว่าครองชีพเป็น
ส่วนหนึ่งของค่าจ้างนั่นเอง ต่อมาจำเลยและสหภาพแรงงานทำบันทึกข้อตกลงกันก็ยังระบุในข้อตกลงว่าจำเลย
ตกลงปรับค่าครองชีพเป็น ๒,๒๐๐ บาท ตามหลักเกณฑ์เดิมของจำเลย ซึ่งหมายความว่ายังคงถือว่าค่าครองชีพ
เป็ น ส่วนหนึ่ งของค่า จ้างที่ต้องรวมเป็ น ฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาเหมือนเดิม สำหรับค่าระดับงานนั้น
บันทึกข้อตกลงกำหนดค่าระดับงานโดยพิจารณาจากปัจจัย ๔ ประการ ได้แก่
- ความรู้ในการทำงาน
- ปริมาณและรูปแบบในการทำงาน
- การตัดสินใจ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
- ซึ่งงานแต่ละงานจะมีค่างานที่แตกต่างกันแต่ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานหรืออายุงาน
ของพนักงานคนนั้นถ้าเนื้อหาหรือคุณค่าของงานไม่เปลี่ยน ระดับงานก็ไม่เปลี่ยน “ค่าระดับงาน” จึงเป็นเงินที่
จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานของลูกจ้างโดยจะจ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่เนื้อหาหรือคุณค่าของงานที่ ทำ
เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นว่าค่าครองชีพและค่าระดับงานไม่ใช่เงินที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานสำหรับ
ระยะเวลาการทำงานปกติของพนักงาน ดังนั้น ค่าครองชีพและค่าระดับงานจึงถือเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
๔. ค่าคอมมิชชั่น ค่านายหน้า
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๑๙/๒๕๖๓
เรื่ อ ง ลู ก จ้ า งอำนาจบริ ห ารจั ด การโครงการคอนโดมิ เ นี ย ม นอกจากได้ รั บ เงิ น เดื อ น
ประจำเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แล้วยังได้รับ “คอมมิสชันของห้องชุดทุกห้องที่ขาย” ตามอัตราที่กำหนด
โดยจะได้ รั บ มากน้ อ ยเพี ย งใดขึ้ น อยู่ กั บ จำนวนยอดขายห้ อ งชุ ด ของโครงการ “เงิ น ค่ า คอมมิ ส ชั น ”
จึงเป็นค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำ
การแทน เดือนมกราคม ๒๕๕๒ จำเลยทั้งสองจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยที่ ๑ ด้วยวาจา จนกระทั่งวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ จึงได้ทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือให้โจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมคอมมิชชั่น ต่อมาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จำเลยทั้งสอง
มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลทันที โดยโจทก์ไม่ ได้กระทำผิดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลย
ทั้งสองจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่ าเสียหายจากการเลิ กจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พร้อมดอกเบี้ ย จำเลยทั้งสองให้ การว่าโจทก์ทุ จริตต่อหน้าที่ กระทำความผิ ดอาญาโดยเจตนาแก่น ายจ้าง
และจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
ศาลแรงงานภาค ๒ พิจ ารณาแล้ วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจพัฒ นาอสั งหาริมทรัพย์
และจั ดจำหน่ ายเป็ นเจ้าของโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้ าที่
กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ค่าคอมมิชชั่นที่จะมีการจ่ายเมื่อโครงการสิ้นสุด มิใช่ค่าจ้าง ไม่อาจนำมา
คำนวณค่ าชดเชยและสิ น จ้ างแทนการบอกกล่ าวล่ ว งหน้ า พิ พ ากษาให้ จำเลยที่ ๑จ่ายค่ าชดเชย สิ น จ้ าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยคำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ประเด็นต้องวินิจฉัยว่า “เงินค่าคอมมิ สชัน” เป็นค่าจ้าง หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ นิยามความหมายของ “ค่าจ้าง” ไว้ว่า
หมายถึงเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา
การทำงานปกติเป็ น รายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือ น หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้ โดยคำนวณ
ตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ส่วนเงินจูงใจนั้นมิ ได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ให้คำนิยามไว้โดยเฉพาะ จึงมีความหมายธรรมดาตามวัตถุประสงค์ของการจ่ายเงินว่า เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้
เป็นกำลังใจใจการทำงานของลูกจ้าง อันเป็นรางวัลตอบแทนความดีของลูกจ้างที่ทำงานมากกว่าปกติ คดีนี้
จำเลยที่ ๑ จ้ า งโจทก์ เข้ า ทำงานตำแหน่ ง ประธานเจ้ า หน้ า ที่ บ ริ ห าร มี อ ำนาจบริ ห ารจั ด การโครงการ
คอนโดมิเนียม นอกจากได้รับเงินเดือนประจำเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว ยังได้รับคอมมิสชันของห้องชุด
ทุกห้องที่ขายตามอัตราที่กำหนด โดยจะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายห้ องชุดของโครงการ
โดยจำเลยที่ ๑ จ่ายค่าคอมมิสชันล่วงหน้าแก่โจทก์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ซึ่งจะรวมหักออกจาก
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๑ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
เงิน งวดสุ ด ท้ ายเมื่ อ สิ้ น สุ ด โครงการ ดั งนี้ เงิน คอมมิ ส ชั น ดั งกล่ าวเป็ น เงิน ส่ ว นหนึ่ งที่ จ ำเลยที่ ๑ จ่ ายเป็ น
ค่าตอบแทนการทำงานโดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ มิ ใช่เป็นรางวัลตอบแทนที่โจทก์ทำงานมากกว่า
ปกติ โ ดยกำหนดเป้ า หมายหรื อ ยอดขายขั้ น ต่ ำ ที่ โจทก์ ต้ อ งทำได้ แ ต่ อ ย่ า งใด ค่ า คอมมิ ส ชั น จึ งเป็ น ค่ าจ้ า ง
ตามมาตรา ๕ แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แม้ ต ามสั ญ ญาจ้ า งจะกำหนดว่ า
ค่าคอมมิสชันจะมีการจ่ายเมื่อสิ้นสุดโครงการ ก็ เป็นเพียงเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์การจ่ายค่าจ้างที่ตกลงกั น
ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับ สภาพการจ้างเท่านั้น หาทำให้ค่าคอมมิสชันซึ่งเป็นค่าจ้างกลายเป็นเงิน
ประเภทอื่นไปไม่ ที่ศาลแรงงานภาค ๒ กำหนดค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยมิได้นำ
ค่าคอมมิสชันซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงานทั้งหมดมารวมเป็นฐานในการคำนวณจึงไม่ถูกต้อง
พิ พ ากษาแก้ เป็ น ว่ า ให้ ย กคำพิ พ ากษาศาลแรงงานภาค ๒ เฉพาะส่ ว นที่ พิ พ ากษายกคำขอ
ของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าคอมมิส ชัน และส่วนที่ เกี่ยวกับการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการ
บอกกล่ าวล่ วงหน้ า ให้ ศาลแรงงานภาค ๒ ฟั งข้อเท็ จจริงในประเด็น ดังกล่ าวแล้ วพิพ ากษาใหม่ตามรูปคดี
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๘๒/๒๕๕๘
เรื่อง ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าจ้างตามผลงานซึ่งการคำนวณค่าชดเชยต้องคำนวณจากรายได้
ย้ อ นหลั ง ตามระยะเวลาการทำงานของลู ก จ้ า ง , แม้ น ายจ้ า งจะมี อ ำนาจในการโยกย้ า ยลู ก จ้ า ง
แต่การโยกย้ายนั้น ทำให้ลูกจ้างเดือดร้อนเกินควร เมื่อลูกจ้ างปฏิเสธ จึงไม่ใช่การฝ่าฝืน คำสั่งที่ร้ายแรง
เมื่อนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เตือนเป็นหนังสือก่อน นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง
โจทก์เป็ น ลูกจ้ างจำเลยตำแหน่ งพนักงานขาย แม้ตามใบสมัครงานระบุ ว่าสามารถไปประจำ
ต่างจังหวัดได้ และบริษัทมีสิทธิเปลี่ยนแปลงสับเปลี่ยนโยกย้ายพนักงานได้ ตามความจำเป็น การที่จำเลยมี
คำสั่งย้ายโจทก์จากจังหวัดภูเก็ตให้ไปทำงานที่สาขาหัวหินโดยไม่ก ระทบต่อเงินเดือนและค่าตอบแทนและเป็น
การกระทำตามความจำเป็นและเหมาะสม จึงมีอำนาจกระทำได้และเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่
โจทก์ปฏิเสธนั้น แม้จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งแต่ไม่ได้เป็นกรณีร้ายแรงที่นายจ้างจะเลิ กจ้างได้โดยไม่ตักเตือนเป็น
หนั งสื อก่อน ทั้งการออกคำสั่ งย้ ายก็กระทำก่อนเลิ กจ้างเพี ยง ๒ วัน ย่อมทำให้ โจทก์ไม่มีเวลาได้ตัดสิ นใจ
อย่างรอบคอบก่อน จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชย
ค่าคอมมิชชั่น จ่ายจากร้อยละของยอดขายที่โจทก์ขายได้ในแต่ละเดือน ค่าคอมมิชชั่นจึงเป็นเงิน
ที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานโดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของ
วันทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า ๙๐ วันทำงาน โดยได้รับค่าคอมมิชชั่น
แต่ละเดือนไม่เท่ากัน แต่ศาลแรงงานวินิจฉัยอัตราค่าจ้างโจทก์โดยกำหนดคำนวณโดยเฉลี่ยเพื่อความเป็นธรรม
ในอัตราเดือนละ ๔๑,๗๐๐ บาท จึงเป็นค่าชดเชย ๑๒๕,๑๐๐ บาท โดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีรายได้
ย้อนหลั งเท่ากับ ค่าจ้ างของการทำงาน ๙๐ วันสุ ดท้ายเพียงใด เมื่อพิจารณาใบแจ้งรายได้ข องโจทก์พบว่า
มีเพียงเอกสารเดือนมกราคม พฤษภาคม กันยายน ๒๕๕๑ เท่านั้น จึงไม่แน่ชัดว่าโจทก์มีค่าจ้างของการทำงาน
๙๐ วัน สุ ดท้ายเพี ย งใด จึงไม่อาจกำหนดค่าชดเชยแก่โจทก์ได้ กรณี จึงย้อนสำนวนให้ ศาลแรงงานภาค ๘
ฟังข้อเท็จจริงแล้วกำหนดจำนวนค่าชดเชย
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๒๕/๒๕๖๑ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน)
เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” จ่ายให้เพื่อจูงใจให้ขายสินค้าได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า”
จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” กำหนดขึ้นเพื่อสร้าง
แรงจูงใจแก่ลูกจ้างให้พัฒนาการบริการแก่ลูกค้าให้ดีและน่าประทับใจมากยิ่งขึ้ นไป เงินทั้งสามประเภทนี้
จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย
และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้างทั้งสาม โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้ว ยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์
ประกอบกิจ การขายเครื่องสำอาง นางสาว ส. กับพวก จำเลยร่วม เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขาย
ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า บ. ระหว่างการทำงานลูกจ้างทั้งสามนำข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติ
มาสมัครบัตรสมาชิกของโจทก์และเก็บค่าสมาชิกไว้เองว่า เมือ่ ลูกค้าซื้อสินค้าจำเลยร่วมไม่ชักชวนให้สมัครบัตร
สมาชิกแต่กลับใช้บัตรสมาชิกดังกล่าวแอบอ้างเป็ นรายการซื้อสินค้าของบิดา มารดา หรือญาติของตนเพื่อทำ
รายการสะสมคะแนนและนำไปใช้แลกสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องชำระราคา เป็นความผิดร้ายแรง และจำเลย
นำค่าคอมมิสชันค่ารักษาสินค้า ค่าตำแหน่ง ค่าพาหนะ มารวมคำนวณค่าชดเชยฯ จึ งไม่ถูกต้อง ศาลแรงงาน
ภาค ๖ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๑ ทั้งหมด
และในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๓ เฉพาะบางส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์
ประเด็นพิจารณาตามอุท ธรณ์ว่า ค่าคอมมิชชั่น ค่ารักษาสินค้า และค่าตำแหน่ ง เป็นค่าจ้าง
หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า “ค่าคอมมิชชัน่ ” เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยร่วมทั้งสาม คำนวณจ่ายเป็นร้อยละของ
ยอดขายสินค้าในแต่ละเดือนที่พนักงานขายในร้านของโจทก์ทุกคนรวมกัน โดยต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๕
ของเป้าหมายที่โจทก์กำหนดไว้ ซึ่งพนักงานขายในร้านจะได้รับเท่ากันทุกคน หากขายสินค้าไม่ได้ตามกำหนด
โจทก์ ก็ ไม่ จ่ าย แสดงว่ าเงิ นดั งกล่ าวกำหนดขึ้ นเพื่ อสร้ างแรงจู งใจแก่ จำเลยร่ วมที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ให้ ขายสิ นค้ า
ให้ ได้ จ ำนวนมากที่ สุ ด “ค่ ารั กษาสิ นค้ า” เป็ นเงิ นที่ โจทก์ จ่ ายให้ โดยคำนวณจ่ ายเป็ นร้ อยละของยอดขายสิ นค้ า
ในแต่ละเดือนที่พนักงานในร้านทุกคนขายได้รวมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าในเดือนนั้นต้องไม่มีสินค้าในร้านสูญหาย
หากมีสิน ค้าสู ญ หายจะต้องนำราคาสิน ค้าที่สู ญหายมาหั กออกก่อนที่จะนำมาเฉลี่ ยให้ พนักงานขายในร้าน
เท่ากันทุกคน กรณี สินค้าสูญหายไปมากกว่าจำนวนเงินค่ ารักษาสินค้า จำเลยร่วมที่ ๒ และที่ ๓ ก็จะไม่ได้รับ
เงินนี้อันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” โจทก์จ่ายให้
จำเลยร่วมทั้งสามเป็ น พิเศษ คำนวณจากการขายสิ นค้าบางรายการที่กำหนดไว้ หากขายได้ ตามจำนวนที่
กำหนด และยั งรวมถึ งเงิน ที่ จ ากคะแนนประเมิน การบริการจากลู ก ค้าที่ โจทก์ส่ งมาทดสอบพนั กงานขาย
ประกอบเพื่อจ่ายเงินด้วย หากขายสินค้าไม่ได้หรือไม่ได้คะแนนจากการประเมินของลูกค้า จำเลยร่วมก็จะไม่ได้
เงินส่วนนี้เช่นกัน
เงิน ทั้ งสามประเภทนี้ จึ งไม่ ใช่ ค่ า จ้ า งตามมาตรา ๕ แห่ งพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ พิ พ ากษาแก้ เป็ น ว่ า ให้ แ ก้ ไขคำสั่ งพนั ก งานตรวจแรงงานเฉพาะส่ ว นจำนวนเงิน ค่ า ชดเชย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๕ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
ความขยันและประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคน ค่าคอมมิชชั่นจึงเป็นเงินจูงใจให้พนักงานขายประกัน
ทำยอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงไม่เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ
ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ประเด็นเงินรางวัลการขายเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในปี ๒๕๕๔ โจทก์ออกประกาศ
เงิน รางวัล การขายรายสั ป ดาห์ ของพนั กงานขายรายบุคคลรวม ๔ ฉบั บ ซึ่งประกาศฯ กำหนดหลั กเกณฑ์
การจ่ ายเงิน รางวัล การขายให้ แก่ พ นั ก งานขายประกัน ไว้เหมือ นกั น ว่า ขายได้ ๐ – ๓๕,๐๐๐ บาท ไม่ ได้
เงิน รางวัล การขายรายสั ป ดาห์ ขายได้ ๓๕๕๐๑ – ๕๒,๕๐๐ บาท ได้ รับ เงิน รางวั ล การขายรายสั ป ดาห์
๒๕๐ บาท...ตามเงื่อนไขดังกล่าว พนักงานขายที่ ทำยอดขายได้ไม่เกิน ๓๕,๐๐๐ บาท ต่อสัปดาห์ จะไม่ได้รับ
เงินรางวัลการขายเลย จะได้รับก็ต่อเมื่อทำยอดขายได้ตั้งแต่ ๓๕,๐๐๑ บาท เป็นต้นไป และจะได้รับเงินรางวัล
การขายมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายทั้งหมดที่พนักงานขายประกันขายได้ แต่จะเริ่มจ่ายเงินรางวัล
ให้เมื่อพนักงานขายประกันสามารถทำยอกขายได้ตามที่โจทก์กำหนดไว้ในประกาศ การจ่ายเงินรางวัลการขาย
จึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้พนักงานขายประกันเพื่อจูงใจให้ทำงานอย่ างมีประสิทธิภาพและทำยอดขายได้ ไม่ใช่
จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ เงินรางวัลการขายจึงไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติ
ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๕
เมื่อวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่า ค่าคอมมิ ชชั่นและเงินรางวัลการขาย ไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์จึงไม่มี
หน้าที่นำเงินส่วนนี้มารวมกับค่าจ้างเพื่อเป็นฐานคำนวณเงินสมทบที่ส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนั้น โจทก์จึง
มีสิทธิเรียกเงินสมทบคืน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ กับให้
จำเลยที่ ๑ คืนเงินสมทบเพิ่มเติมจำนวน ๑๕๒,๖๔๖ บท แก่โจทก์ หากไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดตาม
คำบังคับของศาลแรงงานกลางให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก
๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๓/๒๕๖๐
เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” ค่าคอมมิ ชชั่นเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่พนักงานขายโดยคำนวณ
ให้ตามผลงานที่พนักงานทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดเป็นรายปี อันเป็นการจ่ายเพื่อจูง ใจ
ให้พนักงานขายทำยอดขายเพิ่มขึ้น “ค่าคอมมิชชั่น” จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
คดี นี้ โ จทก์ ฟ้ อ งว่ า จำเลยจ้ า งโจทก์ ท ำงานเป็ น พนั ก งานขาย ค่ า จ้ า งอั ต ราสุ ด ท้ า ยเดื อ นละ
๑๘,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด
ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าคอมมิสชัน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่ าชดเชย ค่าเสียหายจาการเลิกจ้าง
ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ประเด็นว่าค่าคอมมิสชันเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าจ้าง คือเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่
ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานสำหรับการทำงานหรือผลงานที่ทำได้ในเวลา
ทำงานปกติของวันทำงาน หากนายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างด้วยวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่เพื่ อตอบแทนการทำงาน
โดยตรง ก็มิใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าคอมมิ ชชั่นเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่พนักงาน
ขายโดยคำนวณให้ตามผลงานที่พนักงานทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดเป็นรายปี โดยจำเลย
มี ข้ อ ตกลงกั บ โจทก์ ว่ าถ้ าโจทก์ ส ามารถทำยอดโฆษณารวมต่ อ เดื อ นได้ ต ามเป้ าหมายที่ จ ำเลยกำหนดไว้
โจทก์จะได้รับเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของทีมงาน หากทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย พนัก งานขายจะไม่มีสิทธิได้รับ
ค่าคอมมิชชั่ น เห็ นได้ ว่า ค่าคอมมิสชันจำเลยตกลงจ่ายให้ เฉพาะพนักงานที่ทำยอดขายได้ตามเป้าที่จำเลย
กำหนดอัน เป็ น การจ่ ายเพื่อจู งใจให้ พนั กงานขายทำยอดขายเพิ่มขึ้น มิใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง
ค่าคอมมิสชันจึงมิใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พิพากษายืน
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๓-๑๕๑๔/๒๕๕๗
เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ค่าพาหนะ ต้องนำใบเสร็จมาแสดง
เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการปฏิบั ติงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น นายจ้างจ่ายเพื่อให้
พนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของลูกจ้างทำยอดขายเพิ่ม จึงเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ ไม่เป็นค่าจ้าง
จำเลยจ้ างโจทก์ทั้ งสองเป็ น ลู กจ้าง ในการทำงานของโจทก์ทั้ งสอง หากเดิ นทางไปทำงานที่
ต่างจังหวัด โจทก์ทั้งสองได้รั บเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ตามที่จ่ายจริง โดยโจทก์ทั้งสอง
จะต้องนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาแสดงต่อจำเลยและจำเลยจะจ่ายเงินคืนให้ตามใบเสร็จ เงิ นดังกล่าวจึงเป็นเพียง
ค่าใช้จ่ ายในการปฏิบั ติงานของโจทก์ หาใช่ค่าจ้างไม่ ส่วนค่าพาหนะจำเลยจ่ายให้ โจทก์ ทั้งสองเพื่อชดเชย
กับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน หากไม่นำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ จำเลยก็ไม่จ่ายให้
ค่า พาหนะจึ งเป็ น เงิน ที่ จ ำเลยจ่ ายเพื่ อ ชดเชยกั บ การที่ โจทก์ ทั้ งสองนำรถยนต์ ส่ ว นตั ว ไปใช้ ในการทำงาน
ค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าคอมมิชชั่น จำเลยจ่ายให้ เพื่อจูงใจให้ ผลงานการขายเพิ่มขึ้น โดยคำนวณ
จากยอดขายของพนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของโจทก์ซง่ึ แต่ละเดือนจะได้รับไม่เท่ากัน จึงไม่เป็นค่าจ้าง
๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๘๔/๒๕๕๗
เรื่อง คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน : เงินรางวัลการขาย (ค่าคอมมิชชั่น)
นายจ้างตกลงจ่ายเพื่อจูงใจเพื่อให้พนักงานขายมีรายได้เพิ่ม ไม่ใช่ค่าจ้าง
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งพนักงานขาย โจทก์ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน
จำเลยที่ ๑ เพื่ อให้ จ ำเลยที่ ๒ จ่ ายค่าจ้ างตามผลงาน (ค่ าคอมมิ ช ชั่ น ) จำเลยที่ ๑ มี ค ำสั่ งว่าเงิน ดั งกล่ าว
ไม่ใช่ค่าจ้างแต่เป็นเงินที่จำเลยที่ ๒ จ่ายเพื่อจูงใจเพื่อให้พนักงานขายมีรายได้ เพิ่ม โจทก์ไม่เห็นด้วยขอให้ศาล
เพิ ก ถอนคำสั่ งดั งกล่ า ว ศาลแรงงานกลางพิ พ ากษาให้ เพิ ก ถอนคำสั่ งของจำเลยที่ ๑ และให้ จ ำเลยที่ ๒
จ่ ายค่ าจ้ างที่ ค้ างจำนวน ๖,๕๐๐ บาท พร้อ มดอกเบี้ ย จำเลยที่ ๒ อุ ท ธรณ์ ศาลฎี ก าเห็ น ว่ า จำเลยที่ ๒
มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลการขายตามระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือน การจ่ายเงินรางวัลการขาย
มีเจตนาจ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ลูกจ้างที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานขายในการให้บริการแก่ลูกค้าและเพื่ อให้
มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าจ้าง เงินรางวัลการขายเป็นเงินที่จ่ายไม่แน่นอนในแต่ละเดือน หากเดือนใดผลงาน
ต่ำกว่าเป้ายอดขายขั้นต่ำรายแผนก พนักงานขายในแผนกนั้นก็จะไม่ได้รับเงิน รางวัลการขายประจำเดือนนั้น
แสดงให้เห็นว่าเงินรางวัลการขายประจำเดือนนี้มิได้เกิดจากการทำงานหรือผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยจาก
การขายสิน ค้าที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์โดยตรง เงินรางวั ล การขายจึงไม่ใช่
ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เมื่อโจทก์ลาออกจากการเป็นพนักงาน
โดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินรางวัลการขาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการขาย
คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงชอบแล้ว พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๗๑๗/๒๕๕๖
เรื่อง “ค่านายหน้า” แม้จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รับหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้วภายในวันที่
๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิทธิของพนักงานขายว่า
ลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่ านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิ บัติงาน จึงไม่อาจแปลความว่าค่า สินค้าต้อง
ได้รับชำระระหว่างทีย่ ังมีสภาพเป็นลูกจ้างอยู่ ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้า
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นพนักงานขาย ค่าจ้างเดือนละ ๑๔,๑๐๐ บาท ระหว่างทำงาน
จำเลยตกลงให้ค่านายหน้าจากการขายสินค้า จะชำระให้ใน ๒ เดือน ถัดไปหลังจากสรุปยอดขายในแต่ละเดือน
ในเดื อนกุ มภาพั นธ์ และมี นาคม ๒๕๕๐ โจทก์ ขายสิ นค้ าได้ มากกว่ า ๔ ล้ านบาท คิ ดเป็ นค่ านายหน้ า ๒๓,๙๖๗ บาท
พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าค่านายหน้าจะจ่ายเมื่อจำเลยได้รับชำระค่าสินค้าแล้วและโจทก์ต้องมีสภาพเป็น
พนั ก งานของจำเลย โจทก์ ล าออกมี ผ ลให้ ไม่ เป้ น พนั ก งานของจำเลยนั บ แต่ วั น ที่ ๓๑ มี น าคม ๒๕๕๐
จึงไม่เข้าหลั กเกณฑ์ ที่จ ะได้รับ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ วพิ พากษาให้ จำเลยชำระเงิน ๒๓,๙๖๗ บาท
พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงในหมายเหตุข้อ ๕ ว่า ค่านายหน้า (ค่าคอมมิ สชัน) จะได้รับหลังลูกค้า
ชำระค่าสินค้าแล้ว ภายในวันที่ ๑๕ ของเดื อนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานนั้น หมายความว่า ค่าสินค้าต้องได้รับ
ชำระในระหว่างที่โจทก์ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างจำเลยจึงจะมีสิทธิได้รับค่านายหน้า
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หมายเหตุข้อ ๕ จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รั บหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้ว
ภายในวัน ที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่ างปฏิ บัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่ มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิท ธิข อง
พนักงานขายว่าลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิบัติงานเป็นพนักงานอยู่ จึงไม่
อาจแปลความว่าค่าสินค้าต้องได้รับชำระระหว่างที่โจทก์ยังมีสภาพเป็นลูกจ้ างจำเลยอยู่ โจทก์จึงจะได้
ค่านายหน้า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
๕. ค่าเที่ยว
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๖๖๒ – ๑๖๖๔/๒๕๖๒
เรื่อง ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย เป็นค่าจ้าง
แต่ “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพื่อจูงใจ จึ งไม่ใช่ค่าจ้าง , ลูกจ้าง
ในงาน “ขับรถบรรทุกน้ำมัน” มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกิ นเวลาปกติ โดยต้องคำนวณค่าจ้ าง
ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่ขับรถเท่านั้น แต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่ลูกจ้าง
เดินทางไปที่ทำการเพื่อพักรองานและระยะเวลาที่ต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะ
ขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า
คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก
น้ำมัน ค่าจ้างเดือนละ ๙,๒๔๐ บาท ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ๙,๕๐๐ บาท ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย
เหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ
๓๑,๗๔๐ บาท โจทก์ทั้งสามทำงานเกิน เวลาทำงานทุกวัน วันละ ไม่น้ อยกว่า ๑๐ ชั่วโมง ต่อ มาวันที่ ๒๔
มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ที่ ๑ และ ๒ และวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๓
โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่ าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็ นธรรม ค่าทำงานเกิน เวลา ๑,๐๖๐,๐๒๐ บาท (ของโจทก์ที่ ๑) โจทก์ที่ ๒.........
โจทก์ที่ ๓....พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าโจทก์กับพวก
กระทำผิ ด ร้ายแรง โจทก์ไม่ได้ท ำงานเกิน เวลา ค่ าเที่ย วการขับ รถเหมาจ่ าย ค่าขับ รถด้ว ยความปลอดภั ย
เหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ไม่ใช่ค่าจ้าง
ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ค่าเที่ยวการขับรถ และค่าขับรถลักษณะประหยัด
น้ำมัน เป็นการจ่ายตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง พิพากษาให้จำเลยจ่า ยค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้ งสาม
พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสามและจำเลยอุทธรณ์
ประเด็ น “ค่ า ขับ รถด้ ว ยความปลอดภั ย ” ศาลอุ ทธรณ์ คดี ช ำนั ญ พิ เศษเห็ น ว่า เมื่อ การจ่าย
ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุเหมาจ่ายให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท มีหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นเงื่อนไข
ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อจูงใจให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันจะต้องขับรถด้วยความ
ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ จึงจะได้รับเงินดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน หากเกิดอุบัติเหตุโดยเป็นความผิด
ของโจทก์ทั้งสามก็จะไม่ได้รับเงิน ดังกล่าว เงินค่าขับรถด้วยความปลอดภัยที่จำเลยจ่ายให้ แ ก่โจทก์ทั้งสาม
จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา
การทำงานปกติ อันจะถือว่าเป็นค่าจ้า งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่จะต้อง
นำไปรวมเป็นค่าจ้างในการคำนวณจ่ายค่าชดเชย
ประเด็ น ค่า ตอบแทนการทำงานเกิ น เวลาปกติ ที่ โจทก์อุ ท ธรณ์ ว่า การขนส่ งน้ ำมั น ต้ องทำ
ต่อเนื่องไป ทั้งการรอคิวรับงานใช้เวลา ๒ – ๔ ชั่วโมง ต้ องเอารถไปตรวจสภาพก่อนแล้วรอรับใบระบุชนิด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๒๐ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
และระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่
ลูกค้า โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติเฉลี่ยจากค่าเที่ยวการขับรถและค่าขับรถ
ลักษณะประหยัดน้ำมัน รวมกับค่าจ้างพื้นฐาน ได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ย
รายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับ แต่วัน ฟ้องเป็ นต้น ไป แต่จ ำนวนเงินดังกล่าวต้องไม่เกิ น คำขอ โดยพิจารณาพยานหลั ก ฐานจากเอกสาร
เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานตามมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ด้วย ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒
วินิจ ฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ ทำงานขับรถไปส่งน้ำมัน ให้แก่ลูกค้าทุกวัน และการขับรถไปส่งน้ำมัน ยังมี
ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยจ่ ายค่าทำงานเกินเวลาปกติได้นั้น ศาล
อุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็ จจริง
และพิจารณากำหนดจำนวนค่าทำงานเกินเวลาปกติ โดยถือเกณฑ์ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น แล้วพิพากษา
คดีใหม่
พิพากษาแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในปัญหาว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่า
ทำงานเกินเวลาปกติหรือไม่ โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาในปัญหานี้
ใหม่ต่อไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๗๕๒/๒๕๖๑
เรื่ อง ลูกจ้ างตำแหน่งพนั กงานขับ รถตู้ค อนเทนเนอร์ ขับ รถไปจอดในที่ ห้า มจอดและพบ
ความผิดปกติ ของระดั บน้ำมัน เป็นความผิดตามประกาศของนายจ้าง นายจ้างได้ตักเตือนและลงโทษพักงาน ๗ วัน
โดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ลูกจ้างยังทำผิดซ้ำอีกภายใน ๑ ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งก่อน นายจ้างจึ งเลิกจ้าง
ได้ โดยไม่ต้ องจ่ ายค่ าชดเชย , ค่าเที่ยวเป็น เงิน ค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติสำหรับงานขนส่ ง
ทางบกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ เมื่อลูกจ้างได้รบั ครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีสิทธิได้รับอีก
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลู กจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถตู้คอนเทนเนอร์
๑๘ ล้ อ ได้รับ ค่าจ้ าง ๒ ส่วน คือ เงิน เดือนประจำเดือนละ ๑๐,๖๒๙ บาท และค่าจ้างตามผลงานเรีย กว่า
ค่ าเที่ ยวหรื อเบี้ ยเลี้ ยงจ่ ายตอบแทนการขั บรถส่ งสิ นค้ าขึ้ นอยู่ กั บระยะทางใกล้ หรื อไกล เฉลี่ ยเดื อนละ ๑๗,๐๐๐ บาท
รวมค่าจ้างเดือนละ ๒๗,๖๒๙ บาท โจทก์ทำงานจันทร์ - เสาร์ เฉลี่ยวันละ ๑๖ ชั่วโมง เป็ นการทำงานปกติ
๘ ชั่วโมง และนอกเวลาปกติ ๘ ชั่วโมง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติเป็นเวลา ๒ ปี ต่อมา
วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างกระทำผิดซ้ำคำเตือนซึ่งไม่เป็นความจริง ขอบังคับให้จำเลย
จ่ ายค่ าชดเชย ๒๒๑,๐๓๒ บาท ค่ าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติ ตั้ งแต่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ - ๖
กรกฎาคม ๒๕๖๐ เป็นเงิน ๒๔๓,๕๒๓.๔๔ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นเงิน ๒๗,๖๒๙ บาท
และค่ าเสี ย หายจากการเลิ กจ้ างที่ ไม่เป็ น ธรรม ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อ มดอกเบี้ ย จำเลยให้ ก ารว่า จำเลย
ตรวจสอบรายงานข้อมูลระบบจีพีเอสที่ติดตั้งไว้ในรถบรรทุกพบว่าโจทก์กระทำผิดฝ่าฝืนประกาศของจำเลย
โดยจอดรถในพื้นที่ที่ห้ามเข้าและกราฟน้ำมันลดต่ำกะทันหันผิดปกติ สอบสวนแล้ วโจทก์รับว่ากระทำผิดจริง
จำเลยจึงตักดเตือนเป็นหนังสือและพักงาน ๗ วัน ต่อมาโจทก์กระทำผิดซ้ำลักษณะเดิมอีก ภายใน ๑ ปี จำเลย
สอบสวนแล้วเห็นว่าโจทก์กระทำผิดจริง จึงเลิกจ้าง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า จำเลยมีประกาศเรื่องการกำหนดจุดจอดพัก จุดเติมน้ำมัน
และจุดห้ามเข้าประจำปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นจุดจอดรถเพิ่ม เติมโดยมีรายละเอียด ห้ามมิให้พนักงาน
ขับรถบรรทุกทุกคนนำรถเข้าไปจอดยังจุดห้ามจอด หากฝ่าฝืนจะต้องถูกพักงาน ๓ วัน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง และ
พักงาน ๗ วัน ในกรณี ตรวจพบความผิดปกติของกราฟ (ทุจริต น้ำมัน) หรือให้ออกกรณีผิดซ้ำคำเตือน (ทุจริต
น้ำมัน) วันที่ ๒๖ มกราคม – ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์ขับรถบรรทุกเข้า
ไปจอดยังจุดห้ ามจอดตามประกาศและจำเลยตรวจพบด้วยระบบจีพีเอสพบความผิดปกติของระดับน้ำมัน
จำเลยสอบสวนแล้วโจทก์ยอมรับว่าได้กระทำผิดจริง จำเลยจึงออกหนังสือเตือนและพักงานโจทก์ ๗ วัน โจทก์
ลงลายมื อ รั บ ทราบและยอมรั บ บทลงโทษที่ มี ข้ อ ความว่ า หากกระทำผิ ด ซ้ ำ คำเตื อ นอี ก ครั้ ง ภายใน
๑ ปี โจทก์ยินยอมให้จำเลยเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ต่อมาวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่ง อยู่ในระยะเวลา
๑ ปี นับแต่โจทก์กระทำผิดจนถูกเตือน โจทก์ได้ขับรถเข้าไปจอดยังจุดห้ามจอบตามประกาศ จำเลยตรวจสอบ
พบว่าระดับน้ำมันลดลงประมาณร้อยละ ๖ คิดเป็นปราณน้ำมัน ๒๔ ลิตร โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบผล
๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๖/๒๕๖๐
เรื่อง ค่าเที่ยวเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างตำแหน่งขับรถทำได้
ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน “ค่าเที่ยว” จึงเป็นค่าจ้างค่าเที่ยวเป็นค่าจ้าง เมื่อลูกจ้างทำงานครบ
๓ ปี นายจ้างต้องนำค่าเที่ยวย้อนหลัง ๑๘๐ วัน ตามที่นายจ้างจ่ายจริงมาคำนวณค่าชดเชยด้วย
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงาน
ขับรถเทรลเลอร์ ค่าจ้างเดือนละ ๕,๙๐๔ บาท และค่าเที่ยว วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ จำเลยเลิกจ้างโจทก์
โดยที่โจทก์มิได้กระทำความผิ ด ในการเลิกจ้าง จำเลยมิได้นำค่าเที่ยวมาคำนวณในการจ่ายค่าชดเชยและ
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และจำเลยมอบหมายให้โจทก์ทำงานเกินชั่วโมงทำงานปกติตามที่กฎหมาย
กำหนดไว้ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานด้วย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอก
กล่าวล่วงหน้าที่จ่ายไม่ครบ ค่าตอบแทน ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลรงงาน
ภาค ๑ พิจารณาแล้วเห็น ว่าค่าเที่ยวไม่ใช่ค่าจ้าง เหตุเลิกจ้างเนื่ องจากโจทก์ขับรถเร็วเกิน อัตราที่กฎหมาย
กำหนด ๒ ครั้ง เทน้ำมันลงพื้นโดยไม่ใช้ภาชนะรองรับ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลฎี ก าเห็ น ว่ า จำเลยจ่ า ยค่ า จ้ า งให้ โ จทก์ เดื อ นละ ,๙๐๔ บาท และค่ า เที่ ย วเป็ น ประจำ
ทุกเดือน โดยโจทก์ต้องขับรถบรรทุกส่งน้ำมันให้ครบเที่ยวตามที่จำเลยกำหนด ค่าเที่ยวจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่าย
ให้ โ ดยคำนวณตามผลงานที่ โ จทก์ ท ำได้ ใ นเวลาทำงานปกติ ข องวั น ทำงาน ค่ า เที่ ย วจึ ง เป็ น ค่ า จ้ า ง
ตามพระราชบั ญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยว่าค่าเที่ยวมิใช่
ค่าจ้างจึงไม่ชอบ แม้โจทก์จะกระทำผิดวินัยตามที่ ระบุในหนังสือเลิกจ้าง แต่มิใช่กรณีหนึ่งกรณีใดดังที่ระบุใน
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๑) ถึง (๖) และการกระทำผิดซ้ำจำเลยก็ได้ลงโทษ
ทางวินัยไปแล้ว เมื่อโจทก์ทำงานติดต่อกันครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปี การคำนวณค่าเที่ยวจึงต้องนำค่าเที่ยว
๑๘๐ วั น ตามที่ จำเลยจ่ ายให้ โจทก์ จริ งมาคำนวณ ได้ แก่ ค่ าเที่ ยวเดื อนกรกฎาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๑๓,๑๕๐ บาท
เดือนสิงหาคม ๒๕๕๗จำนวน ๑๕,๘๕๐ บาท เดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๑๗,๗๐๐ บาท เดือนตุลาคม
๒๕๕๗ จำนวน ๑๔,๑๕๐ บาท เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวน ๑๓,๗๕๐ บาท และเดือนธันวาคม จำนวน
๑๓,๕๐๐ บาท รวมเป็นค่าชดเชยจากค่าเที่ยว ๘๘,๑๐๐ บาท รวมเป็นค่าชดเชย ๑๒๓,๕๒๔ บาท เมื่อจำเลย
จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์แล้วเป็นเงิน ๖๕๕,๘๒๘บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มอีกเป็นเงิน ๖๕,๘๒๘ บาท
พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเพิ่มอีก ๕๗,๖๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา
ศาลแรงงานภาค ๑
๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๐๔/๒๕๕๘
เรื่อง “ค่าเที่ยว” เหมาจ่ายวันละ ๕๐๐ บาท นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้ างที่ทำงานตำแหน่ ง
พนักงานขับรถทอย ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามจำนวนวันที่ทำในเวลาทำงานตามปกติอันมีลักษณะชี้ชัดว่า
มุ่งหมายจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจเพื่อจูงใจ “ค่าเที่ยว” จึงเป็น “ค่าจ้าง”
คดีนี้จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถทอยประจำสาขาขอนแก่น ค่าจ้า งอัตรา
สุดท้ายเดือนละ ๙,๒๐๐ บาท ค่าเที่ยวเหมาจ่ายวันละ ๕๐๐ บาท โจทก์มีหน้าที่ขับรถบรรทุกก๊าซตามตาราง
กำหนดโดยในสัปดาห์หนึ่งกำหนดให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ ๑๒ ชั่วโมง จำนวน ๒ วัน บางครั้งเป็นกะเช้า บางครั้ง
เป็นกะดึกสลับกัน เมื่อจำเลยจ่าย “ค่าเที่ย ว” ให้โจทก์เมื่อโจทก์ทำตามหน้าที่ของตนซึ่งจำเลยกำหนดอัตราไว้
แน่นอนว่าวันหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใด สามารถคำนวณได้ตามจำนวนวันที่ทำในเวลาทำงานตามปกติของวันทำงาน
อันมีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจจ่ายไปเพื่อจูงใจ
ให้โจทก์ขยั นทำงาน ทั้ งจำเลยยังกำหนดเงินดังกล่าวไว้ในโครงสร้างค่าจ้างแรงงานตามสัญ ญาจ้างแรงงาน
ฉะนั้ น เงิน ค่าเที่ย วจึงเป็ น “ค่าจ้าง” ที่ศาลแรงงานภาค ๔ นำเงินค่าเที่ยวมารวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐาน
คำนวณค่าล่วงเวลาย่อมเป็นการถูกต้องแล้ว พิพากษายืน
๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๖๒/๒๕๕๘
เรื่อง การคำนวณค่าชดเชยพนักงานขับรถที่ได้รับค่าเที่ยวซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงาน ต้องนำ
เงินค่าเที่ยวที่ได้รับจริงย้อนหลังมาคำนวณ ไม่ใช่ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อ
ลูกจ้างไม่ได้รับค่าเที่ยวในช่วงดังกล่าว จึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณ ดังนั้น
จึงนำเฉพาะค่าจ้างรายเดือนมาคำนวณเท่านั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้อง่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานขับรถเซมิเทรลเลอร์ ได้รับค่าจ้าง
เดือนละ ๘,๔๓๒ บาท และค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๘๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ และวันที่
๓๐ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลย
ที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๒,๖๒๖ บาท ค่าชดเชย ๒๐๑,๘๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลย
ที่ ๑ อุทธรณ์ประเด็นค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ จะจ่ายค่าเที่ยวให้แก่โจทก์เมื่อ
๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๖๒๑/๒๕๕๘
เรื่ อ ง “ค่ า เที่ ย ว” กำหนดขึ้ น จากระยะทางขั บ รถจากสถานที่ จั ดส่ งสิ น ค้ า ไปยังสถานที่
ปลายทาง ไม่ได้คำนึงถึงเวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวเป็นสำคัญ โดยถือปฏิบัติติดต่อกันมาตั้งแต่เปิดกิจการ
ค่ า เที่ ย วจึ ง ถื อ เป็ น ค่ า ตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ โ ดยปริ ย าย เป็ น ค่ า จ้ า งตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗
คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องเพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๓ และคำวินิจฉัย
ของคณะกรรมการอุทธรณ์ กรณีที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยชำระเงินสมทบเพิ่มเติมเข้ากองทุนเงินทดแทนจำนวน
๕๔,๐๐๗ บาท และ ๘๐,๑๘๐ บาท เนื่องจากโจทก์เห็นว่า “ค่าเที่ยว” เป็นเงินที่จ่ายตอบแทนเกินเวลาทำงาน
ปกติแบบเหมาจ่ายไม่เป็นค่าจ้าง จำเลยทั้งสองให้การว่า “ค่าเที่ยว” เป็นค่าจ้างเพราะตอบแทนการทำงานของ
๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๖๒/๒๕๕๘
เรื่อง การคำนวณค่าชดเชยพนักงานขับรถที่ได้รับค่าเที่ยวซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงาน ต้องนำ
เงินค่าเที่ยวที่ได้รับจริงย้อนหลังมาคำนวณ ไม่ใช่ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อ
ลูกจ้างไม่ได้รับค่าเที่ยวในช่วงดังกล่าว จึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณ ดังนั้น
จึงนำเฉพาะค่าจ้างรายเดือนมาคำนวณเท่านั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานขับรถเซมิเทรลเลอร์ ได้รับค่าจ้าง
เดือนละ ๘,๔๓๒ บาท และค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๘๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ และวันที่
๓๐ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลย
ที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๒,๖๒๖ บาท ค่าชดเชย ๒๐๑,๘๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลย
ที่ ๑ อุทธรณ์ประเด็นค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ จะจ่ายค่าเที่ยวให้แก่โจทก์เมื่อ
โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์ขนส่งน้ำมันตามหน้าที่ของตน โดยเงินค่าเที่ยวที่โจทก์จะได้รับนั้นสามารถ
คำนวณได้แน่นอนขึ้นอยู่กับระยะทางของการขับรถยนต์ในแต่ละเที่ยวตามที่จำเลยที่ ๑ กำหนดหลักเกณฑ์ไว้
ลักษณะการจ่ายค่าเที่ยวของจำเลยที่ ๑ แก่โจทก์ดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่ อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง
โดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้าง
อุทธรณ์ประเด็นการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยโดยคำนวณเงินเดือน
รวมกับค่าเที่ยวโดยเฉลี่ยชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อเงินค่าเที่ยวเป็ นค่าจ้างตามผลงานแล้ว การที่โจทก์ได้รับ
ค่าเที่ย วจนถึงวัน ที่ ๒๐ มิถุน ายน ๒๕๕๐ แสดงให้ เห็ นว่าตั้งแต่วัน ดังกล่ าวจนถึงวันเลิ กจ้างโจทก์ไม่ได้รับ
ค่าเที่ยวอีก ในวันเลิกจ้างจึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณให้จำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ได้ คงคำนวณจากค่าจ้างซึ่งเป็นเงินเดือนเท่านั้น คิดถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง
คราวถัดไปในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นเงิน ๔,๒๑๖.๕๐ บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๕๘๒ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสี่
ส่วนค่าชดเชยนั้ น พระราชบั ญญั ติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ (๔) นอกจาก
กำหนดให้ น ายจ้ างจ่ ายค่าชดเชยแก่ลู กจ้างโดยคำนวณจากค่าจ้างตามระยะเวลาแล้ ว ยังได้กำหนดให้ จ่าย
ค่าชดเชยสำหรั บ ค่าจ้างตามผลงานไม่น้ อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๒๔๐ วัน สุ ดท้ าย ดังนั้ นจำเลยที่ ๑
ต้องนำเงินค่าเที่ยวที่โจทก์ได้รับจริงย้อนหลังขึ้นไป ๒๔๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ อันเป็นวันเลิกจ้าง
คือระหว่างวันที่ ๓ กุมภาพัน ธ์ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ มาคำนวณจ่ายค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงาน
ให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าโจทก์ได้รับค่าเที่ยวจำนวนน้อยที่สุดโดยเฉลี่ยเดื อนละ ๑๖,๘๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว และโจทก์ได้รับค่าเที่ยวถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน
๒๕๕๐ เท่านั้น เมื่อคำนวณแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างตามผลงาน ๗๗,๒๘๐ บาท และค่าจ้าง
ที่คำนวณตามระยะเวลาเป็นเงินเดือนๆ ละ ๘,๔๓๓ บาท จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยดังกล่าวอีก ๖๗,๔๖๔ บาท
รวมเป็นค่าชดเชย ๑๔๔,๗๔๔ บาท ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยมาจึงไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่
๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๔,๒๑๖.๕๐ บาท และค่าชดเชย ๑๔๔,๗๔๔ บาท
๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๒๒-๑๙๓๐/๒๕๕๕
เรื่อง ค่าเที่ยว ถือเป็นเงินที่ตอบแทนการทำงานทั้ง ในเวลาทำงานปกติ และช่ว งเวลาเกิน
เวลาทำงานปกติ
โจทก์ทำงานในตำแหน่ งพนั กงานขับรถบรรทุกหั วลากตู้คอนเทรนเนอร์ได้รับค่าจ้างเดือนละ
๓,๙๗๐ บาท นอกจากนั้น โจทก์ได้รับ ค่า เที่ย ว ซึ่ง โจทก์จ ะได้รับ ค่า เที่ย วก็ต่อ เมื่อ โจทก์ไ ด้ขับ รถออกไป
นอกสถานที่ตามที่จำเลยมอบหมายโดยได้รับค่าเที่ยวในอัตราที่ไม่เท่ากันแล้วแต่สถานที่ที่ไปส่งสินค้าและหากวันใด
โจทก์ไม่ได้ขับรถส่งสินค้าจำเลยจะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้อีกวันละ ๑๐๐ บาท ค่าเที่ยวจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่าย
เพื่อตอบแทนการทำงานเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
การทำงานในแต่ละวันอาจจะเกินเวลาทำงานปกติบ้างเนื่องจากสภาพการจราจรติดขัดมีข้อกำหนด
ห้ า มรถบรรทุ ก แล่ น บางเวลาและอาจต้ อ งรอรั บ สิ น ค้ า บ้ า งเป็ น ครั้ ง คราว แต่ จ ำเลยก็ ไ ด้ จ่ า ยค่ า เที่ ย ว
ทั้งในเวลาทำงานปกติ และช่ ว งเวลาเกิน เวลาทำงานปกติทุกเที่ยวให้แล้ว ค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายให้จึงเป็น
ค่าตอบแทนในการทำงานของโจทก์รวมถึงค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดแล้ว
ซึ่งโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยโดยจะรับค่าเที่ยวแทนค่าล่วงเวลาทั้งหมด ทั้งเงินค่าเที่ยวโดยเฉลี่ยที่โจทก์ได้รับก็สูงกว่า
ค่าล่วงเวลาพื้นฐานมากซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม
อันดีของประชาชนใช้บังคับได้
๖. ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๖๖๒ – ๑๖๖๔/๒๕๖๒
เรื่อง ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย เป็นค่าจ้าง
แต่ “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพื่อจูงใจ จึ งไม่ใช่ค่าจ้าง , ลูกจ้าง
ในงาน “ขับรถบรรทุกน้ำมัน” มีสิทธิ ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกิ นเวลาปกติ โดยต้องคำนวณค่าจ้ าง
ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่ขับรถเท่านั้น แต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่ลูกจ้าง
เดินทางไปที่ทำการเพื่อพักรองานและระยะเวลาที่ต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะ
ขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า
คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก
น้ำมัน ค่าจ้างเดือนละ ๙,๒๔๐ บาท ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ๙,๕๐๐ บาท ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย
เหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ
๓๑,๗๔๐ บาท โจทก์ทั้งสามทำงานเกิน เวลาทำงานทุกวัน วันละ ไม่น้อยกว่า ๑๐ ชั่วโมง ต่อมาวันที่ ๒๔
มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ที่ ๑ และ ๒ และวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๓
โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่ าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็ นธรรม ค่าทำงานเกิน เวลา ๑,๐๖๐,๐๒๐ บาท (ของโจทก์ที่ ๑) โจทก์ที่ ๒.........
โจทก์ที่ ๓....พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าโจทก์กับพวก
กระทำผิ ด ร้ายแรง โจทก์ไม่ได้ท ำงานเกิน เวลา ค่ าเที่ย วการขับ รถเหมาจ่ าย ค่าขับ รถด้ว ยความปลอดภั ย
เหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ไม่ใช่ค่าจ้าง
ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ค่าเที่ยวการขับรถ และค่าขับรถลักษณะประหยัด
น้ำมัน เป็นการจ่ายตอบแทนการทำงาน จึงเป็น ค่าจ้าง พิพากษาให้จำเลยจ่า ยค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้ งสาม
พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสามและจำเลยอุทธรณ์
ประเด็ น “ค่ า ขับ รถด้ ว ยความปลอดภั ย ” ศาลอุ ทธรณ์ คดี ช ำนั ญ พิ เศษเห็ น ว่า เมื่อ การจ่าย
ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุเหมาจ่ายให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท มีหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นเงื่อนไข
ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อจูงใจให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันจะต้องขับรถด้วยความ
ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ จึงจะได้รับเงินดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน หากเกิดอุบัติ เหตุโดยเป็นความผิด
ของโจทก์ทั้งสามก็จะไม่ได้รับเงิ น ดังกล่าว เงินค่าขับรถด้วยความปลอดภัยที่จำเลยจ่ายให้ แ ก่โจทก์ทั้งสาม
จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา
การทำงานปกติ อันจะถือว่าเป็นค่าจ้า งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่จะต้ อง
นำไปรวมเป็นค่าจ้างในการคำนวณจ่ายค่าชดเชย
ประเด็ น ค่า ตอบแทนการทำงานเกิ น เวลาปกติ ที่ โจทก์อุ ท ธรณ์ ว่า การขนส่ งน้ ำมัน ต้ องทำ
ต่อเนื่องไป ทั้งการรอคิวรับงานใช้เวลา ๒ – ๔ ชั่วโมง ต้ องเอารถไปตรวจสภาพก่อนแล้วรอรับใบระบุ ชนิ ด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๓๔ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
และระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่
ลูกค้า โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติเฉลี่ยจากค่าเที่ยวการขับรถและค่าขับรถ
ลักษณะประหยัดน้ำมัน รวมกับค่าจ้างพื้นฐาน ได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ย
รายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนั ดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับ แต่วัน ฟ้องเป็ นต้น ไป แต่จ ำนวนเงินดังกล่าวต้องไม่เกินคำขอ โดยพิจารณาพยานหลั ก ฐานจากเอกสาร
เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานตามมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ด้วย ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒
วินิจ ฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ ทำงานขับรถไปส่งน้ำมัน ให้ แก่ลูกค้าทุกวัน และการขับรถไปส่งน้ำมัน ยังมี
ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยจ่ ายค่าทำงานเกินเวลาปกติได้นั้ น ศาล
อุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริง
และพิจารณากำหนดจำนวนค่าทำงานเกิน เวลาปกติ โดยถือเกณฑ์ดังที่ได้วินิจฉัยข้ างต้น แล้วพิพากษา
คดีใหม่
พิพากษาแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในปัญหาว่าโจทก์ทั้ งสองมีสิทธิได้รับค่า
ทำงานเกินเวลาปกติหรือไม่ โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาในปัญหานี้
ใหม่ต่อไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
๗. ค่าน้ำมันรถ ค่าสึกหรอ
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๗๙๘/๒๕๖๒
เรื่อง ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่การงานไปพบพนักงานตรวจแรงงาน นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้อง
จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ กรณีละทิ้ง
หน้าที่ ๓ วัน ทำงานติด ต่ อกัน เลิกจ้างจึ งต้องจ่ายค่าชดเชย , ค่าสึกหรอและค่าน้ำมัน รถจักรยานยนต์
นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเท่ากันทุกเดือน ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานเก็บเช็คและวางบิล ค่าจ้าง
เดือนละ ๒๑,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๙ โจทก์มีอาการป่วยเส้ นเลือดในสมองตีบ ๑ เส้น ในปีนั้น โจทก์ลาป่วย
ไม่ต่อเนื่อง ๑๙ วัน เพื่อรักษาตัว ต่อมาวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ ฝ่ายบุคคลจำเลยโทรศัพท์แจ้งดจทก์ไม่ต้อง
เข้ามาทำงานแต่ให้ไปพบแพทย์เพื่อออกใบรับรองมายืนยั นว่าสามารถทำงานกับจำเลยได้ โจทก์ไปพบแพทย์
แพทย์สรุปความเห็นว่าอาการเส้นเลือดสมองตีบไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถ ต่อมาวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐
โจทก์เข้าไปทำงานตามปกติและนำใบรับรองแพทย์ยื่นต่อฝ่า ยบุคคล แต่จำเลยแจ้งว่าได้ย้ายโจทก์ไปปฏิบัติ
หน้าที่โกดังสินค้า ทั้งมี การปรับลดเงินเดือนเหลือ ๑๔,๐๐๐ บาท พร้อมให้ลงลายมือชื่อยินยอม แต่โจทก์ไม่
ยินยอม ต่อมาวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ ช่วงเช้า โจทกืทราบจากเพื่อร่วมงานว่าจำเลยเก็บบัตรลงเวลาทำงาน
ทั้งไม่มีของใช้และโต๊ะทำงานของโจทก์เหลืออยู่ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์ไปพบพนักงานตรวจแรงงาน
เพื่อขอให้ช่วยเจรจาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พนักงานตรวจแรงงานโทรศัพท์ติดต่อฝ่ายบุค คลแต่ได้รับ
แจ้งว่าโจทก์ยังไม่ต้องเข้าไปทำงาน ต่อมาวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างขาดงานวันที่ ๒๒
- ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นเวลา ๓ วันทำงาน ขอบังคับให้จ ำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว
ล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานกลางพิ จ ารณาแล้ ว พิ พ ากษาให้ จ ำเลยจ่ ายสิ น จ้ า งแทนการบอกกล่ าวล่ ว งหน้ า
ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า โจทก์มิได้ขาดงานหรือ
ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ แต่โจทก์มิได้ไปปฏิบัติงานวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐
จึงมิใช่การละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง
แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๕) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยจึงชอบแล้ว
แต่เมื่อโจทก์ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปเสีย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอก
กล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
จำเลยจ่ายค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์เท่ากันทุกเดือน โดยไม่คำนึงว่า
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจะใช้น้ำมันรถจักรยานยนต์หรือไม่ หรือใช้จ่ายไปจำนวนเท่าใด ทั้งไม่ปรากฎว่าโจทก์ต้อง
แสดงใบเสร็ จ ค่ า น้ ำ มั น รถจั ก รยานยนต์ ที่ ใ ช้ ใ นการปฏิ บั ติ ง าน ดั ง นั้ น “เงิ น ค่ า สึ ก หรอและค่ า น้ ำ มั น
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๓๙ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔
เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้
ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็น รายเดือน ไม่คำนึ งถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และ
ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕)
จำเลยจ่ ายเงิน ค่ า เบี้ ย เลี้ ย งและค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่ า สึ ก หรอรถยนต์
๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่ าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ
เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึง ถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ ไปหรือไม่เพียงใด
โจทก์ ไม่ ต้ อ งแสดงใบเสร็ จ เป็ น หลั ก ฐานในการรั บ เงิน การจ่า ยเงิน ดั งกล่ า วจึ งเป็ น การจ่ ายเพื่ อ ตอบแทน
การทำงานของโจทก์ ในลั ก ษณะเดี ย วกั น กั บ ค่ า จ้ า ง จึ ง เป็ น ค่ า จ้ า งตามพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๐๘๓/๒๕๖๑
เรื่อง การที่นายจ้างเลิกจ้างเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่เป็นการละเมิดต่อ
ลู กจ้ า ง เมื่ อ ศาลกำหนดค่ า เสี ย หายจากการเลิ ก จ้ า งที่ ไม่ เป็ น ธรรมให้ แ ล้ ว การที่ ศ าลแรงงานกำหนด
ค่าเสียหายจากการละเมิดจึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการ
ไม่ชอบ , ค่าเช่ารถยนต์จ่ายให้พนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์
จ่ า ยตามที่ ใ ช้ จ ริ งมิ ใ ช่ ก ารเหมาจ่ า ย ดั งนั้ น ค่ า เช่ า รถยนต์ ค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ และค่ า โทรศั พ ท์ จึ งเป็ น
สวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็ น ลู กจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งผู้ จัดการ
เครื่องดื่มฝ่ายการตลาด ได้รับ เงิน เดือนเดือนละ ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าเช่ารถยนต์เดือนละ ๓๗,๕๐๐ บาท
ค่ าโทรศั พ ท์ เดื อ นละ ๑,๕๐๐ บาท และค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ ๒๔๐ ลิ ต รต่ อ เดื อ น รวมเป็ น ค่ า จ้ างเดื อ นละ
๓๒๒,๙๒๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
เป็ น ต้ น ไป ขอบั งัค บให้ จ ำเลยจ่ ายค่าชดเชย ๓,๒๒๙,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับ วัน หยุด พั ก ผ่ อ นประจำปี
๑๒๐,๑๓๗ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่ วงหน้า ๓๒๒,๙๒๔ บาท เงิน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายจำเลย
๒,๕๐๔,๗๑๒ บาท เงินโบนัส เป็นเงิน ๖๙๓,๑๐๐ บาท เงินรางวัลจากการแข่งขันพิเศษปี ๒๕๕๙ เป็นเงิน
๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการละเมิด ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
๗,๗๕๒,๗๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงหลายกรณี
ศาลแรงงานกลางพิ จ ารณาแล้ ว พิ พ ากษาให้ จำเลยจ่ ายสิ น จ้ างแทนการบอกกล่ าวล่ ว งหน้ า
๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าจ้ างสำหรับ วัน หยุดพักผ่ อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท ค่าชดเชย ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท
เงินโบนัส ๕๒๘,๗๙๕ บาท เงินรางวัลการแข่งขันฯ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างทีไ่ ม่เป็นธรรม
๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท และค่าเสียหายจากการละเมิด ๕๕๔,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๕ นั้น ต้องเป็นเงินที่น ายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามที่ตกลงกัน ส่วนสิทธิประโยชน์
ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อความสะดวกในการทำงานหรือเป็นสวัสดิการ แม้นายจ้างจะจ่ายเงิน
ดังกล่าวจำนวนแน่นอนเท่า ๆ กันทุกเดือน ก็ไม่เป็นค่าจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจะจ่ายค่าเช่ารถยนต์
รายเดือนให้แก่พนักงานเมื่อพนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์ จำเลย
จะจ่ายให้แก่พนักงานตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ที่
จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดให้ โจทก์ซึ่งเป็ นพนักงานในตำแหน่ งดังกล่าว มิใช่เงินที่
นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ
เป็นรายเดือนแก่โจทก์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๓-๑๕๑๔/๒๕๕๗
เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ค่าพาหนะ ต้องนำใบเสร็จมาแสดง
เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น นายจ้างจ่ายเพื่อให้
พนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของลูกจ้างทำยอดขายเพิ่ม จึงเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ ไม่เป็นค่าจ้าง
จำเลยจ้ างโจทก์ทั้ งสองเป็ น ลู กจ้าง ในการทำงานของโจทก์ทั้ งสอง หากเดิ นทางไปทำงานที่
ต่างจังหวัด โจทก์ทั้งสองได้รับเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ตามที่จ่ายจริง โดยโจทก์ทั้งสอง
จะต้องนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาแสดงต่อจำเลยและจำเลยจะจ่ายเงินคืนให้ตามใบเสร็จ เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียง
ค่าใช้จ่ ายในการปฏิบั ติงานของโจทก์ หาใช่ค่าจ้างไม่ ส่วนค่าพาหนะจำเลยจ่ายให้ โจทก์ ทั้งสองเพื่ อชดเชย
กับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน หากไม่นำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ จำเลยก็ไม่จ่ายให้
ค่าพาหนะจึ งเป็ น เงิน ที่ จ ำเลยจ่ ายเพื่ อ ชดเชยกั บ การที่ โจทก์ ทั้ งสองนำรถยนต์ ส่ ว นตั ว ไปใช้ ในการทำงาน
ค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าคอมมิชชั่น จำเลยจ่ายให้เพื่อจูงใจให้ผลงานการขายเพิ่มขึ้น โดยคำนวณจาก
ยอดขายของพนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของโจทก์ซึ่งแต่ละเดือนจะได้รับไม่เท่ากัน จึงไม่เป็นค่าจ้าง
๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๒๒/๒๕๕๕
เรื่ อง ค่ าพาหนะเหมาจ่ ายเดื อนละ ๗๐,๐๐๐ บาท ไม่ เป็ นค่ าจ้ างตามระเบี ยบคณะกรรมการ
รัฐวิสาหกิจสั มพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔
โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายกิจการพิเศษได้รับค่าจ้างเดือนละ ๑๑๖,๖๘๗ บาท
และค่ าพาหนะเหมาจ่ ายเดื อ นละ ๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่ งเดิ ม โจทก์ ได้รับ ค่ าพาหนะเหมาจ่ายรายเดื อ นๆ ละ
๑๗,๘๓๐ บาท โดยจำเลยเป็ น ผู้ จัดหายานพาหนะและคนขับให้ แก่โจทก์ ต่อมารัฐบาลมีน โยบายที่จะลด
ค่าใช้จ่ายเกี่ย วกั บ พาหนะลง จำเลยเป็ น รัฐ วิส าหกิจจึงได้น ำนโยบายดังกล่ าวมาใช้บั งคับ และปรับ เปลี่ ยน
ค่ าพาหนะให้ แ ก่ โ จทก์ เดื อ นละ ๗๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ จ ะต้ อ งจั ด หายานพาหนะและคนขั บ ตลอดจน
รับ ผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ย วข้องเอง จำเลยจ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของโจทก์เ ป็นเพียง
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๖๗/๒๕๕๕
เรื่อง ค่าเช่าบ้าน ค่าพาหนะ ถือเป็นเงินที่เจตนามาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการ แม้จะจ่าย
ให้เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้อ งนำเอกสารมาเบิกจ่ายก็ เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงินในลัก ษณะ
เหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยตกลงจ่ายค่าเช่า
บ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท และค่าพาหนะเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ข้อเท็จจริง
ปรากฏว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยข้อ ๑ ระบุว่าตกลงจ่ายค่าจ้ างเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท และสวัสดิการ
ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าเดินทางเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท...ซึ่งสอดคล้องกับประกาศรับสมัครที่
ประกาศรับสมัครตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยระบุว่า มีสวัสดิการ เช่น ค่าเช่าบ้าน หอพัก
บริษัท รถรับส่งพนักงาน ค่าอาหาร ฯลฯ ในกรณีของโจทก์นั้นไม่ต้องการบ้านพักบริษัทก็จะช่วยเหลือเป็นค่าเช่า
เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท บ้านพักที่บริษัทจัดให้พนักงานพักอาศัยมี ๘๐ ห้อง สำหรับพนักงานทั่วไปที่ไม่มีบ้านพัก
จะได้ ค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐ บาท ผู้ บริ ห ารจะได้ เดื อนละ ๑,๐๐๐ บาท ดั งนั้ นจึ งเห็ นได้ ว่าการตกลงจ่ายเงิน
ดังกล่าวกันตามสัญ ญาจ้า งของโจทก์ กับ จำเลยมีเ จตนามาแต่แ รกที่ จ ะให้เ ป็น สวัส ดิก ารเพื่ อ ช่ว ยเหลื อ
พนัก งานนอกเหนือจากค่าจ้างที่กำหนดไว้เป็นเงินเดือน แม้ค่าเช่าบ้านและค่าพาหนะจำเลยจะจ่ายให้โจทก์
เป็ น ประจำทุก เดือ นโดยไม่มี เงื่อ นไขว่าต้องนำเอกสารหรือหลั กฐานมาเบิก จ่ายก็เป็ น เพี ยงวิธีก ารจ่ายเงิน
ในลักษณะเหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ และมิได้แสดงว่าคู่สัญญาจะเปลี่ยนเจตนาให้สวัสดิการนั้น
กลายเป็ น ค่ าจ้ างทั้ งมิ ใช่ ก รณี ที่ น ายจ้ า งมี เจตนาหลี ก เลี่ ย งการจ่ ายค่ า จ้ า งโดยฝ่ า ฝื น กฎหมายแต่ อ ย่ างใด
เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๘๙๕/๒๕๕๕
เรื่อง ค่ าพาหนะเป็ น เงิน เพิ่ ม แก่ ลูกจ้า งเป็ น ครั้ งคราวตามลักษณะการทำงาน ไม่ใช่ จ่า ย
เพื่อตอบแทนการทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
เดิมจำเลยจ่ายค่าพาหนะให้โจทก์เมื่อไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นรายครั้งตามค่าใช้จ่ายที่โจทก์
เบิกจ่าย ต่อมาจำเลยเปลี่ยนแปลงโดยให้โจทก์รับค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน ๆ ละ ๒,๐๐๐ บาท
ตามคำสั่งที่ ๑๒/๒๕๒๗ ระบุว่า การอนุมัติค่าพาหนะให้ แก่โจทก์ถือว่าเป็นการให้เฉพาะตำแหน่งที่ดำรงอยู่
ในขณะนั้นเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและลักษณะงานที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับค่าพาหนะ จำเลยมีสิทธิ
ยกเลิกเงินได้ค่าพาหนะนั้น แปลความได้ว่าจำเลยตกลงให้ค่าพาหนะแก่โจทก์ต่อเมื่อโจทก์มีตำแหน่งและลักษณะงาน
ที่ต้องเดินทางมิได้ให้ค่าพาหนะเป็นการถาวรตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรณีจึงเป็นการที่นายจ้างให้ เงินเพิ่ม
๘. ค่าตอบแทนตามผลงาน
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๓๔๐/๒๕๖๑
เรื่อง นายจ้ างประกอบกิจการนำเที่ยว ตกลงจ่ายเงินตอบแทนให้ลูกจ้างตามผลงานโดย
คำนวณตามจำนวนลูกค้าในอัต รา ๗ บาท ต่อลูกค้า ๑ คน ในแต่ละเดือน และอีกร้อยละ ๓ ของเงิน
จำนวนร้อยละ ๑ ของค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้แก่นายจ้าง แม้จะเป็นการจูงใจให้ลูกจ้างเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการทำงาน แต่ ก็ เป็ น เงิน ที่ น ายจ้ า งตกลงจ่ า ยให้ แ ก่ ลู ก จ้ า งโดยคำนวณจากฐานจำนวนลู ก ค้ า และ
ค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้ในอัตราส่วนแน่นอน มีกำหนดจ่ายทุกเดือน “ค่าตอบแทนตามผลงาน” จึงเป็น
ค่าจ้างตามมาตรา ๕ ซึ่งต้องนำมาคิดคำนวณค่าชดเชย
คดีนี้โจทก์ว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการนำเที่ยว แนะนำชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยว
ในประเทศไทย โจทก์ทำงานตำแหน่งฝ่ ายบัญชีและการเงิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๓๕,๐๐๐ บาท และค่าจ้าง
ตามผลงานโดยคิดคำนวณตามจำนวนลู กค้าในอัตรา ๗ บาท ต่อลูกค้า ๑ คน กับได้รับร้อยละ ๓ ของเงิน
จำนวนร้อยละ ๑ ของค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยชำระเป็นเงินสดทุกวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน
ต่อมาวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้กระทำความผิด ขอบังคั บให้จำเลยจ่ายสินจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยส่วนที่จ่ายไม่ครบเนื่องจากไม่นำค่าจ้างตามผลงานไปคำนวณ ค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม จำเลยให้การว่าค่าจ้างจากฐานผลงานไม่ใช่
ค่ า จ้ า ง ศาลแรงงานกลางพิ พ ากษาให้ จ ำเลยจ่ า ยค่ า ชดเชย ค่ า เสี ย หายจากการเลิ ก จ้ า งที่ ไม่ เป็ น ธรรม
พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เงินตอบแทนที่ลูกจ้างจะได้รับตามผลงานโดยคำนวณตาม
จำนวนลูกค้าในอัตรา ๗ บาท ต่ อลูกค้า ๑ คน ในแต่ละเดือน และอีกร้อยละ ๓ ของเงินจำนวนร้อยละ ๑
ของค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้แก่จำเลย ซึ่งกำหนดจ่ายทุกเดือน แม้จะเป็นการจูงใจให้ลูกจ้างเพิ่มประสิทธิ ภาพ
ในการทำงาน แต่ก็เป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง โดยคำนวณจากฐานจำนวนลูกค้าและค่านายหน้า
ที่ร้านค้าส่งให้ในอัตราส่วนแน่นอน มีกำหนดจ่ายในวันที่กำหนดไว้ ในทุกเดือน จึงเป็นเงินที่จ่ายให้ลูกจ้างเพื่อ
เป็นค่าตอบแทนจากการทำงานคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ใ นเวลาปกติของการทำงาน ถือเป็นค่าจ้าง
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ซึ่งต้องนำมาคิดคำนวณค่าชดเชย พิพากษายืน
๙. เบี้ยเลี้ยง
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๐๐๗/๒๕๖๑
เรื่อง เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท เฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ ยเลี้ยงในวันหยุด
วัน ลา วันไม่มาทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แ น่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงิน ที่จำเลยจ่ายให้แก่
ลูกจ้างที่มาทำงานในเวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าจะต้องปฏิบัติง านให้มีผลงานที่
เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน
หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน “เบี้ยเลี้ยง” จึงเป็นค่าจ้าง , ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างรักษาความปลอดภัย รับส่งทรัพย์สิน และเติมเงิน
ตู้เอทีเอ็ม จำเลยจ้างโจทก์เป็น ลูกจ้ างตำสุดท้ายเป็นหั วหน้าชุดสาขาสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่ เติมเงินตู้เอทีเอ็ม
รับส่งทรัพย์สิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท
ค่าอาหารวัน ละ ๔๐ บาท คิดเป็ น เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ค่าครองชีพ เดือนละ ๗๐๐ บาท และค่าวิช าชีพ
เดือนละ ๘๐๐ บาท รวมรายได้ต่อเดือน ๑๗,๗๙๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์
โดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่กล่าวอ้าง ขอบั งคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่ าวล่วงหน้า
ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่มี
พยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์ เอาเงินในกล่องบรรจุธนบัตรไป ฟังไม่ได้ว่าทุจริต กระทำผิดอาญาโดยเจตนา
แก่จำเลย สำหรับเบี้ยเลี้ยงนั้นถือเป็นค่าจ้างซึ่งกำหนดให้เดือนละ ๔,๓๗๕ บาท เมื่อรวมค่าจ้างที่เป็นเงินเดือน
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพแล้ว โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๕๗๐ บาท พิพากษา
ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๗,๕๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่น
ให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ประเด็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกา
เห็ น ว่า ศาลแรงงานภาค ๘ ได้ วินิ จ ฉัย ว่า ข้ อบั งคั บ เกี่ย วกั บ การทำงานของจำเลยระบุ ในลั กษณะกว้างๆ
เป็นการทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าหากต้ องนำกล่องธนบัตรกลับคืนมาในกรณีเปลี่ยนกล่องธนบัตรไม่ได้นั้นมีขั้นตอน
การปฏิ บั ติ อย่ างไร เมื่อ โจทก์ไม่ส ามารถเปลี่ ย นกล่ องธนบั ตรได้จึงโทรศัพ ท์ ส อบถามเจ้าหน้ าที่ของจำเลย
เจ้ าหน้ าที่ผู้ ป ระสานงานของจำเลยให้ ห มายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ ดูแลของธนาคาร เมื่อโจทก์
ติดต่อไปเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคารแนะนำให้นำกล่องชุดที่นำไปเปลี่ยนและกล่องชุดที่นำออกจากตู้กลับมา
พร้อมกัน แสดงว่าโจทก์ในฐานะหั วหน้าชุดต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอง จำเลยไม่สามารถยืนยัน
ได้ว่าบุ คคลใดเอาเงิน ของจำเลยไป และเงินหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ ล็อกซีล หรือไม่ กรณี ฟังไม่ได้ว่าเงินที่
สูญ หายเกิดจากความประมาทเลิน เล่ อของโจทก์ด้วย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการฝ่ าฝืนข้อบังคับ ฯ
เห็นได้ว่าศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ไ ด้ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ใช้
ความระมัดระวังเกี่ยวกับ การล็อกซีลกล่องพิลิแกน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน
ของศาลแรงงานภาค ๘ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๔๗ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
ที่จำเลยจ่ายจึงมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงาน
ปกติ อั น เป็ น ส่ ว นหนึ่ งของค่ าจ้ างที่ จ ำเลยจ่ ายให้ แ ก่ โจทก์ เป็ น รายเดื อ น หาใช่ จ่า ยเพื่ อ ช่ ว ยเหลื อ อั น เป็ น
สวัสดิการดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่
๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔
เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้
ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็น รายเดือน ไม่คำนึ งถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และ
ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕)
จำเลยจ่ ายเงิน ค่ า เบี้ ย เลี้ ย งและค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่ า สึ ก หรอรถยนต์
๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่ าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ
เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็ นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด
โจทก์ ไม่ ต้ อ งแสดงใบเสร็ จ เป็ น หลั ก ฐานในการรั บ เงิน การจ่า ยเงิน ดั งกล่ า วจึ งเป็ น การจ่ ายเพื่ อ ตอบแทน
การทำงานของโจทก์ ในลั ก ษณะเดี ย วกั น กั บ ค่ า จ้ า ง จึ ง เป็ น ค่ า จ้ า งตามพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๙๔๕/๒๕๕๔
เรื่อง เบี้ยเลี้ยงฝ่ายขายเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕
เดิมโจทก์ได้รับเงินส่วนแบ่งการขายอันเป็นเงินที่จำเลยกำหนดว่าหากมียอดขายเบียร์ในจังหวั ด
ท้องที่นั้นตั้งแต่หนึ่งแสนโหลขึ้นไปจะให้โหลละ ๒ บาท ในแต่ละเดือนได้รับเงิ นส่วนแบ่งการขายเท่าใด จะแบ่ง
ให้ ร้ อ ยละ ๒๕ เงิ น ส่ ว นแบ่ ง การขายโจทก์ จ ะได้ รั บ ไม่ แ น่ น อนในแต่ ล ะเดื อ น ต่ อ มาจำเลยได้ รั บ แต่ งตั้ ง
เป็นรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โจทก์ไม่ได้ เป็นฝ่ายขายจึงไม่ ได้รับเงินส่วนแบ่งการขายแต่จำเลย
ตกลงจ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ให้แทนโดยจ่ายพร้อมเงินเดือน จำเลยจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้แก่
พนั กงานในระดับ เดี ยวกับ โจทก์ขณะที่อยู่ ฝ่ายตลาด เบี้ยเลี้ยงจึงเป็นเงินที่ จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ในจำนวน
แน่นอนเป็นประจำทุกเดือนและจ่ายให้เมื่อโจทก์ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด ไม่มีลักษณะ
การจ่ายให้เป็นสวัสดิการแก่โจทก์ เบี้ยเลี้ยงจึงเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการ
ทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายเดือนถือเป็นค่าจ้าง
โจทก์ท ำงานในบริ ษั ท ต่าง ๆ ซึ่ งเป็ น นิติ บุ คคลจดทะเบี ยนแยกต่างหากจากกั น แม้ ข้อบั งคั บ
การทำงานจะถือว่าเป็ น ข้อตกลงเกี่ย วกับ สภาพการจ้างตามพระราชบัญ ญั ติแรงงานสั มพั นธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๑๐ วรรคสาม ก็ตาม แต่ก็มีผลใช้บังคับระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในแต่ละสถานประกอบกิจการเท่านั้น
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ ๑ จึงมีผลบังคับแก่โจทก์ในช่วงเวลาที่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑
เท่านั้น เมื่อโจทก์โอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ เป็นการโอนโดยเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ช ย์ ม าตรา ๕๗๗ แม้ จ ะนั บ อายุ งานต่อ เนื่ องจากนายจ้างคนก่อ น แต่จ ำเลยที่ ๒ กับ โจทก์ มิได้ มี
ข้อตกลงเรื่องเกษียณอายุไว้เป็นประการอื่น จึงตกอยู่ในบังคับของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ ๒
และการโอนดังกล่าวโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านและทำงานกับจำเลยที่ ๒ เป็น เวลาถึง ๒ ปี ๙ เดือน ถือว่า
โจทก์ยินยอมพร้อมใจด้วยโดยปริยาย โจทก์ต้องยอมรับและปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย
ที่ ๒ ด้ว ย โจทก์ไม่อาจเรี ยกร้องให้ จำเลยที่ ๒ ปฏิบั ติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ ๑ ได้
แม้การโอนย้ายจะเป็นเหตุให้สิทธิในการเกษียณอายุงานของโจทก์ลดลงก็ตาม
การกำหนดเกษียณอายุก็เป็นเพียงการแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่าเมื่อลูกจ้างมีอายุครบตามที่กำหนดไว้
นายจ้างจะไม่จ้างให้ทำงานอีกต่อไปด้วยเหตุชราภาพเท่านั้น หาใช่เป็นกำหนดระยะเวลาการจ้างที่ แน่นอนว่า
นายจ้างจะต้องจ้างลูกจ้างหรือลูกจ้างจะต้องทำงานให้แก่นายจ้างจนถึงกำหนดเกษียณอายุนั้ น นายจ้างหรือ
ลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนกำหนดเกษียณอายุก็ได้หรือนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกั นต่อไปหลังกำหนด
เกษียณอายุก็ได้ กำหนดเกษียณอายุจึงมิใช่สัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน
๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๘๐/๒๕๕๗
เรื ่อ ง เบี้ย เลี้ย งพนั กงานขับ รถขนส่ งสิน ค้ า เป็ น ค่า ตอบแทนการทำงานล่ว งเวลาในวั น
ทำงานปกติและวันหยุด
เงินเบี้ยเลี้ยงที่นายจ้างจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานล่วงเวลาในวัน ทำงานและ
วัน หยุ ด ซึ่งจะมีการทดรองจ่ ายล่ว งหน้ าบางส่ว นแล้ วนำส่ วนที่ ทดรองจ่ายไปก่อนมาหั กออกจากเบี้ ยเลี้ ยง
ที่พนักงานขับรถแต่ละคนมีสิ ทธิจะได้รับ ซึ่งเมื่อจำเลยจ่ายเบี้ ยเลี้ยงแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้อง
จ่ายเงินให้แก่โจทก์อีก
๑๐. ค่าครองชีพ
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๐๐๗/๒๕๖๑ (ค่าครองชีพ)
เรื่อง เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท เฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ลูกจ้างไม่ไ ด้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด
วัน ลา วันไม่มาทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แ น่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงิน ที่จำเลยจ่ายให้แก่
ลูกจ้างที่มาทำงานในเวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าจะต้องปฏิบัติง านให้มีผลงานที่
เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน
หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน “เบี้ยเลี้ยง” จึงค่าจ้าง , ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างรักษาความปลอดภัย รับส่งทรัพย์สิน และเติมเงิน
ตู้เอทีเอ็ม จำเลยจ้างโจทก์เป็น ลูกจ้างตำสุดท้ายเป็นหั วหน้าชุดสาขาสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่ เติมเงินตู้เอทีเอ็ม
รับส่งทรัพย์สิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท
ค่าอาหารวัน ละ ๔๐ บาท คิ ดเป็ น เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ค่าครองชีพ เดือนละ๗๐๐ บาท และค่ าวิช าชี พ
เดือนละ ๘๐๐ บาท รวมรายได้ต่อเดือน ๑๗,๗๙๕ บาท ต่อมาวั นที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์
โดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่กล่าวอ้าง ขอบัง คับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่ าวล่วงหน้า
ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ ย ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่มี
พยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์ เอาเงินในกล่องบรรจุธนบัตรไป ฟังไม่ได้ว่าทุจริต กระทำผิดอาญาโดยเจตนา
แก่จำเลย สำหรับเบี้ยเลี้ยงนั้นถือเป็นค่าจ้างซึ่งกำหนดให้เดือนละ ๔,๓๗๕ บาท เมื่อรวมค่าจ้างที่เป็นเงินเดือน
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพแล้ว โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๕๗๐ บาท พิพากษา
ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๗,๕๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่น
ให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ประเด็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกา
เห็ น ว่า ศาลแรงงานภาค ๘ ได้ วินิ จ ฉัย ว่า ข้ อบั งคั บ เกี่ย วกั บ การทำงานของจำเลยระบุ ในลั กษณะกว้างๆ
เป็นการทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าหากต้อ งนำกล่องธนบัตรกลับคืนมาในกรณีเปลี่ยนกล่องธนบัตรไม่ได้นั้นมีขั้นตอน
การปฏิ บั ติ อย่ างไร เมื่อ โจทก์ไม่ส ามารถเปลี่ ย นกล่ องธนบั ตรได้จึงโทรศัพ ท์ ส อบถามเจ้าหน้าที่ของจำเลย
เจ้ าหน้ าที่ผู้ ป ระสานงานของจำเลยให้ ห มายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ ดูแลของธนาคาร เมื่อโจทก์
ติดต่อไปเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคารแนะนำให้นำกล่องชุดที่นำไปเปลี่ยนและกล่องชุดที่นำออกจากตู้กลับมา
พร้อมกัน แสดงว่าโจทก์ในฐานะหัวหน้าชุดต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอง จำเลยไม่สามารถยืนยัน
ได้ว่าบุ คคลใดเอาเงิน ของจำเลยไป และเงินหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ล็ อกซีล หรือไม่ กรณี ฟังไม่ได้ว่าเงินที่
สูญ หายเกิดจากความประมาทเลิน เล่ อของโจทก์ด้วย การกระทำของโจทก์จึงไม่ เป็น การฝ่ าฝืนข้อบังคับ ฯ
เห็นได้ว่าศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ไ ด้ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ใช้
ความระมัดระวังเกี่ยวกับการล็อกซีลกล่องพิลิแกน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน
ของศาลแรงงานภาค ๘ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๕๒ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๑๑. ค่าวิชาชีพ
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๐๐๗/๒๕๖๑ (ค่าวิชาชีพ)
เรื่อง เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท เฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ ยเลี้ยงในวันหยุด
วัน ลา วันไม่มาทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แ น่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงิน ที่จำเลยจ่ายให้แก่
ลูกจ้างที่มาทำงานในเวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าจะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่
เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน
หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน “เบี้ยเลี้ยง” จึงค่าจ้าง , ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ฟอ้ งว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างรักษาความปลอดภัย รับส่งทรัพย์สิน และเติมเงิน
ตู้เอทีเอ็ม จำเลยจ้างโจทก์เป็น ลูกจ้ างตำสุดท้ายเป็นหั วหน้าชุดสาขาสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่ เติมเงินตู้เอทีเอ็ม
รับส่งทรัพย์สิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท คิ ดเป็นเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท
ค่าอาหารวัน ละ ๔๐ บาท คิ ดเป็ น เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ค่าครองชีพ เดือนละ๗๐๐ บาท และค่ าวิ ช าชี พ
เดือนละ ๘๐๐ บาท รวมรายได้ต่อเดือน ๑๗,๗๙๕ บาท ต่อมาวั นที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์
โดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่กล่าวอ้าง ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่มี
พยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์ เอาเงินในกล่องบรรจุธนบัตรไป ฟังไม่ได้ว่าทุจริต กระทำผิดอาญาโดยเจตนา
แก่จำเลย สำหรับเบี้ยเลี้ยงนั้นถือเป็นค่าจ้างซึ่งกำหนดให้เดือนละ ๔,๓๗๕ บาท เมื่อรวมค่าจ้างที่เป็นเงินเดือน
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพแล้ว โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๕๗๐ บาท พิพากษา
ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๗,๕๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่น
ให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ประเด็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกา
เห็ น ว่า ศาลแรงงานภาค ๘ ได้ วินิ จ ฉัย ว่า ข้ อบั งคั บ เกี่ย วกั บ การทำงานของจำเลยระบุ ในลั กษณะกว้างๆ
เป็นการทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าหากต้องนำกล่องธนบัตรกลับคืนมาในกรณีเปลี่ยนกล่องธนบัตรไม่ได้นั้นมีขั้นตอน
การปฏิ บั ติ อย่ างไร เมื่อ โจทก์ไม่ส ามารถเปลี่ ย นกล่ องธนบั ตรได้จึงโทรศัพ ท์ ส อบถามเจ้าหน้าที่ของจำเลย
เจ้ าหน้ าที่ผู้ ป ระสานงานของจำเลยให้ ห มายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ ดูแลของธนาคาร เมื่อโจทก์
ติดต่อไปเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคารแนะนำให้นำกล่องชุดที่นำไปเปลี่ยนและกล่องชุดที่นำออกจากตู้กลับมา
พร้อมกัน แสดงว่าโจทก์ในฐานะหัวหน้าชุดต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอง จำเลยไม่สามารถยืนยัน
ได้ว่าบุ คคลใดเอาเงิน ของจำเลยไป และเงินหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ล็อกซีล หรือไม่ กรณี ฟังไม่ได้ ว่าเงินที่
สูญ หายเกิดจากความประมาทเลิน เล่ อของโจทก์ด้วย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการฝ่ าฝืนข้ อบังคับ ฯ
เห็นได้ว่าศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ไ ด้ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ใช้
ความระมัดระวังเกี่ยวกับการล็อกซีลกล่องพิ ลิแกน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน
ของศาลแรงงานภาค ๘ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๕๔ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๑๒. ค่าสวัสดิการ
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๖๕๖/๒๕๖๑
เรื่อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ได้รับ “ค่าสวัสดิการ” ได้แก่ ค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย ค่าอาหาร
และอื่น ๆ เดือนละ ๙,๐๔๐ บาท เท่ากั น ทุกเดือน ไม่ต้องนำใบเสร็จหรือหลักฐานมาแสดง สัญญาจ้าง
ก็ไม่ได้ระบุว่าหยุดงานหรือไม่มาทำงานจะไม่ได้รับ “ค่าสวัสดิการ” จึงเป็นค่าจ้างที่ ต้องนำมาคำนวณฯ
ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คดีนี้โจทก์ว่า วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๘ จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่าย
บุคคล (สัญญามีกำหนดเวลาการจ้าง) ค่าจ้างเดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท และมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเดือนละ
๒,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันรถเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ค่าอาหารเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายอื่นเดือนละ
๒,๕๔๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๕๔,๐๔๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๕ ธัน วาคม ๒๕๕๘ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์และ
จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยคำนวณจากฐานค่าจ้างเดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์
เห็นว่าไม่ถูกต้อง จำเลยต้องใช้ฐานค่าจ้าง ๕๔,๐๔๐ บาท มาคำนวณ การเลิกจ้างของโจทก์ไม่เป็นธรรมทำให้
โจทก์ได้รับความเสียหายตามระยะเวลาของสัญญาโครงการที่เหลือ ๘ เดือน ขอบัง คับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย
๙,๐๔๐ บาท สิ น จ้ า งแทนการบอกกล่ า วล่ ว ง ๙,๐๔๐ ค่ า เสี ย หายจากการเลิ ก จ้ า งที่ ไ ม่ เ ป็ น ธรรม
๔๓๒,๓๒๐ บาท ศาลแรงงานภาค ๓ พิ จารณาแล้ วพิ พากษาให้ จำเลยชำระค่าเสี ยหายจากการเลิ กจ้างที่
ไม่เป็นธรรม ๕๔,๐๔๐ บาท ค่าชดเชย ๙,๐๔๐ บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๙,๐๔๐ บาท
รวมเงิน ๗๒,๑๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์
ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ค่าสวัสดิการเดือนละ ๙,๐๔๐ บาท ได้แก่ ค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย
ค่าอาหาร และอื่น ๆ นั้นไม่ได้จ่ายในลั กษณะเหมาจ่าย ไม่ได้จ่ายเป็น จำนวนเท่ากันทุกเดือน จำเลยจะอนุมัติ
จ่ายค่าสวัสดิการโดยพิจารณาว่าลูก จ้างมาทำงานหรือไม่ หาลาหรือไม่มาทำงานก็ไม่ได้ค่าสวัสดิการ โดยจะหัก
ค่าสวัสดิการออกตามส่วน ค่าสวัสดิการจึงไม่เป็นค่าจ้าง ศาลฎีกาเห็ นว่า จำเลยจ่ายค่าสวัสดิก ารแก่โจทก์
เท่ากันทุกเดือน โดยโจทก์ไม่ต้องนำใบเสร็จรับเงินรับเงินหรือหลักฐานมาแสดง และสัญญาจ้างไม่มีข้อความใด
ระบุว่าหากโจทก์หยุดงานหรือไม่มาทำงาน โจทก์จะไม่ได้รับค่าสวัสดิ การหรือจำเลยต้องเห็นสมควรในการจ่าย
ค่าสวัสดิการจึงเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง จึงเป็นค่าจ้ าง อุทธรณ์
ของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๓ เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย
ว่าเงินดังกล่าวไม่เป็นค่าจ้าง เป็ นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี
พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์
ของจำเลย
๑๓. ค่าตำแหน่ง
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๒/๒๕๖๑ (ค่าตำแหน่ง)
เรื่อง ค่าตำแหน่งเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่า บ้าน ๓๐๐ บาท
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเป็นสวัสดิการ จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย
, สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่เงินตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕
ต่อปี
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับ โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้ างตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ จัดการโรงงาน
ค่าจ้างเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท วั น ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยเลิ กจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิ ด
ขอบั ง คั บ ให้ จ ำเลยจ่ า ยค่ า ชดเชย สิ น จ้ า งแทนการบอกกล่ า วล่ ว งหน้ า ค่ า จ้ า งวั น หยุ ด พั ก ผ่ อนประจำปี
ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๕๘,๔๘๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๐ บาท คำขออื่นยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็ น ว่า โจทก์ได้รับ เงินเดือน ๕๔,๐๐๐ บาท ค่าตำแหน่ ง ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน
๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตำแหน่ง ค่าอายุงาน และค่าเช่าบ้าน
ดังกล่าวเป็น เงินในลักษณะสวัสดิการ ดังนั้นที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตรา
สุดท้ายเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท อันเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจึงถูกต้องแล้ว ส่วนสินจ้างแทนการบอก
กล่าวล่วงหน้า มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างทันทีโดยไม่ต้องทวงถามและมิใช่หนี้เงินที่นายจ้าง
ต้องเสียดอกเบี้ ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้
อุทธรณ์ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ตามประมวลกฎหมายวิ ธีพิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบั ญ ญั ติ จั ด ตั้ ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยกำหนดให้
จำเลยเสีย ดอกเบี้ ยในระหว่างเวลาผิ ดนั ดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ช ย์
มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๒๕/๒๕๖๑ (ค่าตำแหน่ง)
เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” จ่ายให้เพื่อจูงใจให้ขายสินค้าได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า”
จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” กำหนดขึ้นเพื่อสร้าง
แรงจูงใจแก่ลูกจ้างให้พัฒนาการบริการแก่ลูกค้าให้ดีแ ละน่าประทับใจมากยิ่งขึ้นไป เงินทั้งสามประเภทนี้
จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย
และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้างทั้งสาม โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์
ประกอบกิจการขายเครื่องสำอาง นางสาว ส. กับพวก จำเลยร่วม เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขาย
ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า บ. ระหว่างการทำงานลูกจ้างทั้งสามนำข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติ
มาสมัครบัตรสมาชิกของโจทก์และเก็บค่าสมาชิกไว้เองว่า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจำเลยร่วมไม่ชักชวนให้สมัครบัตร
สมาชิกแต่กลับใช้บัตรสมาชิกดังกล่าวแอบอ้างเป็ นรายการซื้อสินค้าของบิดา มารดา หรือญาติของตนเพื่อทำ
รายการสะสมคะแนนและนำไปใช้แลกสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องชำระราคา เป็นความผิดร้ายแรง และจำเลย
นำค่าคอมมิสชันค่ารักษาสินค้า ค่าตำแหน่ง ค่าพาหนะ มารวมคำนวณค่ าชดเชยฯ จึงไม่ถูกต้อง ศาลแรงงาน
ภาค ๖ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๑ ทั้งหมด
และในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๓ เฉพาะบางส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์
ประเด็นพิจารณาตามอุทธรณ์ว่า ค่าคอมมิสชัน ค่ารักษาสินค้า และค่าตำแหน่ง เป็นค่าจ้าง
หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า “ค่าคอมมิสชัน” เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยร่วมทั้งสาม คำนวณจ่ายเป็นร้อยละของ
ยอดขายสินค้าในแต่ละเดือนที่พนักงานขายในร้านของโจทก์ทุกคนรวมกัน โดยต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๕
ของเป้าหมายที่โจทก์กำหนดไว้ ซึ่งพนักงานขายในร้านจะได้รับเท่ากันทุกคน หากขายสินค้าไม่ได้ตามกำหนด
โจทก์ ก็ ไม่ จ่ าย แสดงว่ าเงิ นดั งกล่ าวกำหนดขึ้ นเพื่ อสร้ างแรงจู งใจแก่ จำเลยร่ วมที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ให้ ขายสิ นค้ า
ให้ ได้ จ ำนวนมากที่ สุ ด “ค่ ารั กษาสิ นค้ า” เป็ นเงิ นที่ โจทก์ จ่ ายให้ โดยคำนวณจ่ ายเป็ นร้ อยละของยอดขายสิ นค้ า
ในแต่ละเดือนที่พนักงานในร้านทุกคนขายได้รวมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าในเดือนนั้นต้องไม่มีสินค้าในร้านสูญหาย
หากมีสิน ค้าสู ญ หายจะต้องนำราคาสิน ค้าที่สู ญหายมาหั กออกก่อนที่จะนำมาเฉลี่ ยให้ พนักงานขายในร้าน
เท่ากันทุกคน กรณีสินค้าสูญหายไปมากกว่าจำนวนเงินค่ารักษาสิ นค้า จำเลยร่วมที่ ๒ และที่ ๓ ก็จะไม่ได้รับ
เงินนี้อันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” โจทก์จ่ายให้
จำเลยร่วมทั้งสามเป็ น พิเศษ คำนวณจากการขายสิ นค้าบางรายการที่กำหนดไว้ หากขายได้ตามจำนวนที่
กำหนด และยั งรวมถึ งเงิน ที่ จ ากคะแนนประเมิน การบริการจากลู ก ค้าที่ โจทก์ส่ งมาทดสอบพนั กงานขาย
ประกอบเพื่อจ่ายเงินด้วย หากขายสินค้าไม่ได้หรือไม่ได้คะแนนจากการประเมินของลูกค้า จำเลยร่วมก็จะไม่ได้
เงินส่วนนี้เช่นกัน
เงิน ทั้ งสามประเภทนี้ จึ งไม่ ใช่ ค่ า จ้ า งตามมาตรา ๕ แห่ งพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ พิ พ ากษาแก้ เป็ น ว่ า ให้ แ ก้ ไขคำสั่ งพนั ก งานตรวจแรงงานเฉพาะส่ ว นจำนวนเงิน ค่ า ชดเชย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๖๑ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๑๔. ค่าอายุงาน
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๒/๒๕๖๑ (ค่าอายุงาน)
เรื่อง ค่าตำแหน่งเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเป็นสวัสดิการ จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย
, สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่เงิน ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕
ต่อปี
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับ โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ จัดการโรงงาน
ค่าจ้างเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท วัน ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยเลิ กจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิ ด
ขอบั ง คั บ ให้ จ ำเลยจ่ า ยค่ า ชดเชย สิ น จ้ า งแทนการบอกกล่ า วล่ ว งหน้ า ค่ า จ้ า งวั น หยุ ด พั ก ผ่ อ นประจำปี
ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๕๘,๔๘๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๐ บาท คำขออื่นยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็ น ว่า โจทก์ได้รับ เงินเดือน ๕๔,๐๐๐ บาท ค่าตำแหน่ ง ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน
๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตำแหน่ง ค่าอายุงาน และค่าเช่าบ้าน
ดังกล่าวเป็น เงินในลักษณะสวัสดิการ ดังนั้นที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตรา
สุดท้ายเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท อันเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจึงถูกต้องแล้ว ส่วนสินจ้ างแทนการบอก
กล่าวล่วงหน้า มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างทันทีโดยไม่ต้องทวงถามและมิใช่หนี้เงินที่นายจ้าง
ต้องเสียดอกเบี้ ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้
อุทธรณ์ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ตามประมวลกฎหมายวิ ธีพิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบั ญ ญั ติ จั ด ตั้ ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยกำหนดให้
จำเลยเสีย ดอกเบี้ ยในระหว่างเวลาผิ ดนั ดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ช ย์
มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
๑๕. ค่าเช่าบ้าน
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๒/๒๕๖๑ (ค่าเช่าบ้าน)
เรื่อง ค่าตำแหน่งเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเป็นสวัสดิการ จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย
, สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่เงินตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕
ต่อปี
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับ โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุด ท้ายเป็นผู้ จัดการโรงงาน
ค่าจ้างเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท วัน ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยเลิ กจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิ ด
ขอบั ง คั บ ให้ จ ำเลยจ่ า ยค่ า ชดเชย สิ น จ้ า งแทนการบอกกล่ า วล่ ว งหน้ า ค่ า จ้ า งวั น หยุ ด พั ก ผ่ อนประจำปี
ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๕๘,๔๘๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๐ บาท คำขออื่นยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็ น ว่า โจทก์ได้รับ เงินเดือน ๕๔,๐๐๐ บาท ค่าตำแหน่ ง ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน
๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตำแหน่ง ค่าอายุงาน และค่าเช่าบ้าน
ดังกล่าวเป็นเงินในลักษณะสวัสดิการ ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตรา
สุดท้ายเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท อันเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจึงถูกต้องแล้ว ส่วนสินจ้ างแทนการบอก
กล่าวล่วงหน้า มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างทันทีโดยไม่ต้องทวงถามและมิใช่หนี้เงินที่นายจ้าง
ต้องเสียดอกเบี้ ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญั ติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้
อุทธรณ์ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ตามประมวลกฎหมายวิ ธีพิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบั ญ ญั ติ จั ด ตั้ ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยกำหนดให้
จำเลยเสีย ดอกเบี้ ยในระหว่างเวลาผิ ดนั ดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ช ย์
มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๒๙/๒๕๕๘ (ค่าเช่าบ้าน)
เรื่อง นายจ้างให้ลูกจ้างออกก่อนวันที่ลูกจ้างประสงค์จะลาออก โดยอ้างว่าลูกจ้างกระทำผิด
เป็นการเลิกจ้าง , ค่าเช่าบ้านไม่เป็นค่าจ้าง
การที่ โจทก์ ซึ่ งเป็ น ลู ก จ้ า งแสดงเจตนาลาออกจากงานต่ อ จำเลยที่ ๑ นายจ้ า ง เมื่ อ วั น ที่ ๗
เมษายน ๒๕๕๒ โดยให้มีผลวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ย่อมเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน
ซึ่งการเลิกสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลานั้นนายจ้างหรือ ลูกจ้างมีสิทธิแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญา
จ้างแรงงานได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอมตกลงหรืออนุมัติ แต่ในระหว่างระยะเวลาที่
สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น นายจ้างยังคงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันจนกว่าสัญญาจ้างแรงงานจะสิ้นผล
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ โจทก์ยื่นหนังสือลาออกโดยให้มีผลวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ วันที่
๒๓ เมษายน ๒๕๕๒ ก่อนวันลาออกมีผล จำเลยที่ ๑ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยที่ ๑
ได้รับความเสียหายและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายอย่างร้า ยแรง จึงเท่ากับ
ว่าจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิเลิกจ้างโจทก์แล้ว หาใช่จำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิให้โจทก์ออกจากงานก่อนครบกำหนดตาม
ความประสงค์ที่โจทก์ได้แสดงเจตนาลาออกแต่อย่างใดไม่ ซึ่งเมื่อจำเลยที่ ๑ อ้างเหตุเลิกจ้างโจทก์ไว้ในหนังสือ
เลิ กจ้างว่าโจทก์กระทำผิ ด แต่ข้อเท็จ จริงตามที่ศาลแรงงานภาค ๒ รับฟังมาได้ความว่าโจทก์ไม่ได้กระทำ
ความผิดตามกล่าวอ้าง จำเลยที่ ๑ จึงต้องจ่ายค่าชดเชย สิ นจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้ างสำหรับ
วันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์
ค่าจ้ างสำหรับ วัน หยุ ดพั ก ผ่ อนประจำปี เป็ น ค่าจ้างตามนิยามมาตรา ๕ แห่ งพระราชบั ญ ญั ติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยสำหรับค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน
ประจำปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี
สำหรับ วัน ผิดนั ดอัน เป็ น วัน เริ่ มคิดดอกเบี้ ย ผิดนัดนั้น ค่าชดเชยคิดได้นับแต่วันเลิกจ้าง ส่ว นค่าจ้างสำหรับ
วันหยุดพักผ่อนประจำปีนายจ้างต้องจ่ ายภายใน ๓ วัน นับแต่วันเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐ วรรคท้าย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายนับแต่วันทวงถาม
เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในวันใด จำเลยจึงต้องจ่าย
ดอกเบี้ยในสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันฟ้อง
สำหรับประเด็นค่าเช่าบ้าน แม้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเช่าบ้านแก่โจทก์ในอัตราเท่ากันทุกเดือน แต่
จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเช่าบ้านโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพนักงานตามข้อบังคับการบริหารงานบุคคล โดยถือ
เป็นเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามบทที่ ๕ สวัสดิการและเงินช่วยเหลือ ค่าเช่าบ้านจึงมิใช่ค่าจ้าง
๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๕๕/๒๕๕๗
เรื่อง ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท ที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างซึ่งทำหน้ าที่เป็นครูฝึก
โยคะนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัย ไม่ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงาน
ปกติ ค่าเช่าบ้านจึงไม่ใช่ค่าจ้าง
จำเลยจ้ างโจทก์เป็ น ลู ก จ้ าง ทำหน้ าที่ เป็ น ครูฝึ ก โยคะ ได้ รับ ค่าจ้างเดื อนละ ๖๖,๐๐๐ บาท
ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท ค่าเช่าบ้านนั้นจำเลยจะจ่ายเงินช่ว ยเหลือค่าที่พักอาศัยให้โจทก์เดือนละ
๒๔,๐๐๐ บาท หากจำเป็นจำเลยสามารถจัดหาที่พักอาศัยให้โจทก์ โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว และเงิน
ดังกล่าวสามารถถูกยกเลิกได้ โดยจำเลยจะบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลา ๑ เดือน ดังนั้น
ย่อมเห็นได้ว่าค่าเช่าบ้านที่ จำเลยจ่ายให้โจทก์นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลื อเรื่องที่อยู่อาศัย ไม่ใช่จ่ายเพื่อ
ตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ อันถือเป็นสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้าง จึงไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๖๗/๒๕๕๕
เรื่อง ค่าเช่าบ้าน ค่าพาหนะ ถือเป็นเงินที่เจตนามาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการ แม้จะจ่าย
ให้เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้อ งนำเอกสารมาเบิกจ่ายก็เป็นเพียงวิธีการจ่า ยเงินในลักษณะ
เหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยตกลงจ่ายค่าเช่า
บ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท และค่าพาหนะเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ข้อเท็จจริง
๑๗. เงินประจำไซด์
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๗๓/๒๕๕๗ (เงินประจำไซด์)
เรื่อง เงินประจำไซด์นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการโครงการทุกเดือน เดือนละ
๓๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
โจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการโครงการ จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท และ
เงินประจำไซด์งานเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท เงินประจำไซด์งานเป็นเงินที่จำเลยในฐานะนายจ้างจ่ายให้โจทก์
ในฐานะลู กจ้ างเพื่อตอบแทนการทำงาน เพื่อเสริมประสิทธิภ าพการทำงาน โดยจำนวนเงินที่ จ่ายให้ โจทก์
มีจำนวนแน่นอนและจ่ายให้เป็นประจำรายเดือนเช่นเดียวกับเงินเดือน เงินประจำไซด์ถือเป็นค่าจ้าง
๑๘. เงินรางวัลนำเข้า
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๖๒/๒๕๕๗ (เงินรางวัลนำเข้า /ค่าคอมมิชชั่น)
เรื่อง เงินรางวัลนำเข้า (ค่าคอมมิชชั่น) เป็นค่าจ้าง ตามประกาศคณะกรรมการแรงงาน
รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔
ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓(๑) ประกอบประกาศ
คณะกรรมการแรงงานรั ฐ วิส าหกิ จ สั ม พั น ธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้น ต่ำของสภาพการจ้างในรัฐ วิส าหกิจ ข้ อ ๔
ให้คำจำกัดความค่าจ้าง หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงาน
ในวัน และเวลาทำงานปกติ ไม่ ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรื อ คำนวณตามผลงานที่ลู ก จ้ างทำได้ และให้
หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะ
กำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดและโดยวิธีการใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร และตามระเบียบของ
จำเลยข้อ ๓ ให้คำจำกัดความคำว่า รางวัลนำเข้า หมายถึง เงินที่จำเลยจัดสรรเพื่อประโยชน์ในการขายจาก
ค่าโฆษณาหรื อค่าสมาชิกหนั งสื อข่ าวและให้ เป็น ไปตามสั ดส่ ว นอัตรา หลั ก เกณฑ์ และเงื่อนไขที่ กรรมการ
ผู้จัดการใหญ่กำหนด ศาลฎีกาเห็ นว่า เงิน รางวัล นำเข้าเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้ โจทก์เมื่อทำงานตามหน้าที่
ของตน โดยกำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขไว้แน่นอน อันมีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์
เพื่อตอบแทนการทำงานตามผลงาน มิใช่จ่ายเพื่อจูงใจให้โจทก์ขยันทำงานแต่อย่างใด เงินรางวัลนำเข้าจึงเป็น
ค่าจ้าง
ส่วนระเบียบข้อ ๖.๓ กำหนดว่าหากลูกค้าผิดสัญญาหรือผิด นัดชำระเงิน จำเลยทรงไว้ซึ่งสิทธิจะ
ระงับการจ่ายรางวัลนำเข้าได้ทั้งหมดนั้นเป็นการให้สิทธิจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเพียงฝ่ายเดียวที่จะไม่จ่ายค่าจ้าง
ซึ่งนายจ้ างมี ห น้ าที่ ต้ อ งจ่ าย อั น เป็ น การขั ด ต่ อ พระราชบั ญ ญั ติ แ รงงานรัฐ วิส าหกิ จ สั ม พั น ธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๑๓ (๑) ประกอบประกาศคณะกรรมการแรงงานรั ฐ วิส าหกิจ สั ม พั น ธ์ เรื่อ ง มาตรฐานขั้ น ต่ ำของ
สภาพการจ้ างในรั ฐ วิส าหกิ จ ข้ อ ๓๑ ซึ่งเป็ นกฎหมายเกี่ย วกั บ ความสงบเรีย บร้อยและศี ล ธรรมอั น ดีของ
ประชาชน ระเบียบนี้จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๐
๑๙. เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๔๔๖ – ๑๙๔๗๘/๒๕๕๗
เรื่อง เงิน ประจำตำแหน่งผู้บริหาร เงิน เพิ่ มค่าวิชาชีพ เงิน ค่าใบอนุญ าตพนักงานควบคุม
การจราจรทางอากาศ เป็นค่าจ้าง ส่วนเงินรางวัลพิเศษประจำปี ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดรถยนต์
ประจำตำแหน่ง ไม่เป็นค่าจ้าง ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้น
ต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ
คดีนี้โจทก์ทั้ง ๓๓ คน ฟ้องว่าโจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างจำเลย จนกระทั่งเกษียณอายุการทำงาน
จำเลยจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานไม่ครบถ้วน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่าเงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษเนื่องจากเงินเดือนเต็มขั้น
เงิน เพิ่ มค่าวิช าชีพและเงิน เพิ่ มค่าใบอนุ ญ าตพนั กงานควบคุมจราจรทางอากาศ เงิน รางวัล พิเศษประจำปี
เงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณ
เงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเมื่อเกษียณอายุ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบ
ในการทำงานที่ขาดไปให้แก่โจทก์กับพวกโจทก์ที่ ๑๖ และจำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศฯ ข้อ ๔ บัญญัติว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่าเงินทุกประเภทที่นายจ้าง
จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือ
คำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลา
ซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดและโดยวิธีการใด และไม่ว่าจะ
เรียกชื่ออย่างไร สาระสำคัญของค่าจ้างจึงต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานใน
วันและเวลาทำงานปกติ ดังนั้น เงินเพิ่มประจำตำแหน่งผู้บริหาร เงินเพิ่มค่าวิชาชีพ เงินค่าใบอนุญาตพนักงาน
ควบคุมการจราจรทางอากาศ แม้จะจ่ายแยกต่างหากจากเงินเดือนพื้ นฐานแต่เป็นการจ่ายในลักษณะเดียวกับ
เงินเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานในวั น และเวลาทำงานปกติในตำแหน่งนั้น ๆ จึงเป็นค่าจ้าง เช่นเดียวกับ
เงินเพิ่มพิเศษเนื่องจากเงินเดือนเต็มขั้นร้อยละ ๓.๕ ซึ่งแม้จะเป็นเงินที่เกิดจากการตกลงกันระหว่างจำเลยกั บ
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจวิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่เนื่องจากเงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงินที่จำเลยจ่าย
ให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติในวันทำงานของลูกจ้างจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ที่ศาลแรงงาน
กลางพิพากษามาจึงชอบแล้ว
สำหรับเงินรางวัลพิเศษประจำปีนั้น จำเลยได้กำหนดเงินรางวัลพิเศษประจำปีไว้ล่วงหน้า แม้ไม่มี
กำไรก็จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยเรียกเก็บจากผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายแก่ลูกจ้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่
ลูกจ้างเนื่องจากได้ทุ่มเทอุทิศเวลาทำงานให้แก่นายจ้างด้ วยความขยันขันแข็งตลอดเวลาที่ผ่านมา การจ่ายเงิน
รางวัลเช่นนี้จึงเป็นเรื่องของการวางแผนการเงินและการลงทุนของนายจ้างในระยะยาว จริงอยู่ในการบริหาร
กิจการเชิงธุรกิจผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนย่อมจะไม่ยินยอมจ่ายเงินรางวัลพิเศษให้แก่ลูกจ้างหาก
ไม่มีกำไรเพื่ อรักษาดุลยภาพทางการเงินของกิจการไว้ใ ห้ มั่นคงและไม่เพิ่ม ความเสี่ยงให้ แก่กิจการนั้นก็ตาม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๗๑ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
แต่การที่ผู้บริหารยินยอมจ่ายเงินรางวัลแก่ลูกจ้างทั้งที่ไม่มีกำไรอาจมีเหตุผลอื่น กรณีนี้ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเงิน
รางวัลพิเศษดังกล่าวจะกลายเป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาปกติหรื อเป็นค่าจ้าง ดังนั้น เงินรางวัลพิเศษ
ประจำปี จึงไม่เป็นค่าจ้าง สำหรับ ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง แม้จะมีวิธีการ
จ่ายเงินจำนวนคงที่แน่นอนทุกสิ้นเดือนพร้อมเงินเดือน แต่เงินดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสวัสดิการในด้าน
การคมนาคมให้แก่ลูกจ้างในระดับสูงเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติหน้ าที่และเหมาะสมกับตำแหน่ง มิได้มี
วัตถุประสงค์จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง เหตุผลที่จำเลยเปลี่ยนจากการจัดหารถยนต์พร้อมคนขับ
และการดูแลซ่อมบำรุงรถมาเป็นการเหมาจ่ายเป็นเงินจำนวนแน่นอน ก็เป็นวิธีการบริหารจัดการงบประมาณ
หรื อ ต้ น ทุ น ของจำเลยในส่ ว นนี้ เพื่ อ ให้ ส ามารถกำหนดได้ แ น่ น อนไม่ ผั น แปรในลั ก ษณะที่ ค วบคุ ม ได้ ย าก
เงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง จึงมิใช่ค่าจ้าง
พิพากษาแก้เป็น จำเลยไม่ต้องนำดังนั้น เงินรางวัลพิเศษประจำปี และค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทน
การจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง มาเป็นฐานคำนวณค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน
๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๓๔/๒๕๕๗
เรื่อง ค่ารับรอง ค่าน้ำมันพาหนะ ค่าโทรศัพท์ นายจ้างมีเจตนาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายมาแต่แรก
แม้จะจ่ายเท่ากันทุกเดือน ก็ไม่เป็น ค่าจ้าง
โจทก์ทำงานตำแหน่ งพนั กงานส่ งเสริมการขาย เดิ มจำเลยจ่ายเงินค่ารับรองลู กค้า ค่าน้ำมั น
พาหนะ และค่าโทรศัพท์ให้แก่ลูกจ้างในแผนกขาย ซึ่งรวมถึงโจทก์ด้วยตามยอดเงินใบเสร็จรับเงินที่ขอเบิก
แต่ ต่ อมาจำเลยได้ จ่ ายให้ เป็ น ประจำตามอัต ราที่ แ น่ น อนทุ ก เดื อ นโดยไม่ ต้อ งมี ใบเสร็จรับ เงิน มาแสดงอี ก
ประกอบด้วย ค่ารับรองเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันพาหนะเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ
๑,๐๐๐ บาท ดังนี้จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงิ นดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ในการทำงานมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์โดยตรง แม้จำเลยจะเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินให้แก่
โจทก์โดยไม่ต้องนำใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการจ่ายเงินให้เกิดความสะดวก
ในการบริหารจัดการเท่านั้น มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการจ่ายเงิน เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์
ดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้นเมื่อจำเลยมีคำสั่งย้าย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๗๓ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
โจทก์จากตำแหน่งผู้จัดการเขตการขายไปเป็นผู้จัดการประสานงานขายเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินค่ารับรอง
ลูกค้ า ค่าน้ำมันพาหนะ และค่าโทรศั พท์ จึ งมิใช่กรณี จำเลยลดค่าจ้างแต่ ประการใด การที่โจทก์ไม่ยอมไป
ทำงานในตำแหน่งใหม่ แต่ยังคงทำงานในตำแหน่งเดิมให้จำเลยและต่อมาจำเลยได้มีหนังสือเตือนแล้ว จึงเป็น
การฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลย และเป็นการกระทำผิดซ้ำ คำเตือน เมื่อจำเลย
เลิกจ้างจึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่ าวล่วงหน้า
และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
๒๑. ค่าโทรศัพท์
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๗๓/๒๕๕๗
เรื ่อ ง ค่า โทรศัพ ท์เป็น ค่า จ้า ง ส่ว นค่า พาหนะตอบแทนในการปฏิบ ัต ิง าน ค่า ประกัน
อุบัติเหตุ เงินโบนัส เป็นเงินจูงใจให้ทำงานให้มีประสิทธิภาพ จึงมิใช่ค่าจ้าง
ค่าโทรศัพท์อัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ในลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเท่ากันทุกเดือน โดยไม่
คำนึงว่าโจทก์จะใช้จ่ายเป็ นค่าโทรศัพท์ห รือไม่ หรือได้ใช้เป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ
ค่าโทรศัพท์จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือได้ว่า
เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงานเดือนละ ๖,๙๐๐ บาท จำเลยมีวัตถุประสงค์จ่ายเพื่อเป็น
สวัส ดิ ก ารในการปฏิ บั ติ งาน เป็ น การช่ ว ยเหลื อ โจทก์ ไม่ ให้ ต้ อ งเป็ น ภาระค่ าใช้ จ่ า ยในการเดิ น ทาง ได้ รั บ
ไม่แน่นอน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง สำหรับค่าประกันอุบัติเหตุเดือนละ ๕๐๐ บาท เงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้
ตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๑๕๘ บาท และเงินโบนัสเฉลี่ยเดือนละ ๖,๘๔๐ บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่าย
เพื่อจูงใจโจทก์ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ขยันตั้งใจทำงาน และเป็นสวัสดิการ มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน
โดยตรง ได้รับไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๐๘๗ - ๓๐๘๙/๒๕๖๓ (ไม่เป็นค่าจ้าง)
เรื่อง เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ เงินช่วยเหลือ
การใช้โทรศัพท์มือถือ เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด แม้นายจ้างจ่ายเป็นจำนนแน่นอน
เท่ากันทุกเดือน แต่มีลักษณะเป็นสวัสดิการผู้บ ริหารและตำแหน่งที่มีสิทธิได้รับ จึงไม่ใช่เงิน ที่ตอบแทน
การทำงาน ก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย
คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๓ คน ฟ้องว่า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๑ ทำงานเป็น
ลูกจ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างสุดท้ ายเดือนละ ๒๖๓,๓๗๐ บาท ประกอบด้วย
เงินเดือน ๒๒๐,๘๗๐ บาท ค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่าย ๓๐,๐๐๐ บาท ค่ าน้ำมันรถพิเศษเหมาจ่าย
๓,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์มือถือเหมาจ่าย ๒,๐๐๐ บาท และค่าปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด ๗,๕๐๐ บาท
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๒ เป็นลูก จ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ชำนาญการอาวุโส เทียบเท่ า
รองกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๔๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๕๐๘,๐๐๐ บาท
และ.....วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๓ ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตรา
สุดท้ายเดือนละ ๒๑๖,๙๑๕ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๑๘๔,๔๑๕ บาท และ....ต่อมาวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๒ โจทก์ทั้งสามมีอายุครบ ๖๐ ปี จำเลยเลิกจ้างเพราะเกษียณอายุ โจทก์กับพวกทำงานมาครบ ๒๐ ปี
ขึ้นไป จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๔๐๐ วัน แต่จำเลยจ่ ายค่าชดเชยให้ เพียงบางส่วน ขอบังคับให้จำเลยจ่าย
ค่าชดเชยที่ยังค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าน้ำมันรถ
เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าใช้โทรศัพท์ มือถือ.....เป็นเงินเพิ่มพิเศษตามข้อบังคับของจำเลย
ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชย โจทก์ทั้งสามได้รับค่าชดเชยครบถ้วนแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุ ท ธรณ์ ค ดี ช ำนั ญ พิ เ ศษตรวจสำนวนประชุ ม ปรึ ก ษาหารื อ แล้ ว ศาลแรงงาน กลาง
ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ ๑ ได้ความว่า
๑. เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน จำเลยจ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าพาหนะแก่ผู้บริหารที่มี
สิทธิใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางปฏิบัติงาน
๒. เงินช่วยเหลือค่า น้ำมันรถกรณีพิเศษ จำเลยจ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีที่ผู้บริหาร
ระดั บ รองกรรมการผู้ จั ด การ และผู้ จั ด การทั่ ว ไป หรื อ ตำแหน่ ง อื่ น ที่ เที ย บเท่ า ที่ มี ลั ก ษณะงานประจำ
ในความรับผิดชอบต้องใช้รถยนต์เดินทางเพื่อการปฏิบัติงานเกินกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตรต่อเดือนขึ้นไป
๓. เงิ น ช่ ว ยเหลื อ การใช้ โ ทรศั พ ท์ มื อ ถื อ จ่ ายเพื่ อ ช่ ว ยเหลื อ ค่ า โทรศั พ ท์ มื อ ถื อ ที่ ใช้ ในการ
ปฏิบัติงานเฉพาะผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องออกติดต่องานนอกสถานที่
๒๒. เบี้ยขยัน
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๔/๒๕๖๓ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน)
เรื่ อง เงื่อ นไขการจ่ า ยเบี้ ยขยัน คำนึ ง ถึงการขาดลามาสายหรื อชั่ วโมงเวลาการทำงาน
ตอบแทนเป็น สำคัญ หากลูกจ้ า งไม่มาปฏิบัติ งาน มีวัตถุประสงค์ในการจ่ ายเพื่ อจูงใจให้ ลูกจ้างทำงาน
ในหน้าที่ตนด้วยความขยันขันแข็งมากขึ้ นเป็นสำคัญ โดยจะเห็นได้ว่าลูกจ้างจะต้องมาปฏิบัติงานสอน
โดยไม่ขาดลาตามจำนวนวันที่กำหนด ลูกจ้ างจึงมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนในส่วนหลังนี้เต็มตามจำนวน
ที่กำหนดในอั ต ราเดื อนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เงิน เบี้ยขยัน หาใช่เป็ น เงิน ค่า ตอบแทนการทำงานโดยตรง
จึงไม่เป็นเป็นค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ (ลูกจ้าง) ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน (จำเลยที่ ๑) กรณีที่โจทก์
ยื่ น คำร้ องต่ อจำเลยว่าจำเลยที่ ๒ นายจ้ าง ค้ างจ่ายค่าสอน ค่าภาระงานที่ เกี่ยวกับ การสอน สื่ อ การสอน
และทำเอกสารต่าง ๆ ๑๕,๐๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้าง ๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากในช่วงเดื อนตุลาคม ๒๕๕๙ โจทก์ มีสิทธิได้รับค่าจ้าง นอกจากนี้
จำเลยที่ ๒ ยังค้างจ่ายค่าจ้างเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ มีนาคม และเดือนเมษายน ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท
ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และบังคับ ให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างรวม ๔๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๒๕ – ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียน
แล้วรวม ๕ วันเท่านั้น จำเลยที่ ๒ จึงมีหน้าทีจ่ ่ายค่าการสอนเป็นเงิน ๒,๕๐๐ บาท
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุท ธรณ์ ค ดี ช ำนั ญ พิ เศษ เห็ น ว่า โจทก์ เป็ น ลู ก จ้างจำเลยที่ ๒ ซึ่ งประกอบกิ จ การจั ด หา
ครูผู้สอนแก่โรงเรียนผู้ว่าจ้าง จำเลยที่ ๒ จ้างโจทก์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้แก่โรงเรียน A ข้อตกลงการจ้าง
ตามสัญญาจ้างงาน นายจ้างและลูกจ้างตกลงแบ่งค่าจ้างออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกคือเงินเดือนอัตราเดือนละ
๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ ๒ เรียกว่า เบี้ ยขยัน ซึ่งจะจ่ ายเป็นค่าปฏิบัติการสอนส่วนหนึ่ง ค่าอุปกรณ์ เอกสาร
และสื่อประกอบการสอน อีกส่วนหนึ่ง โดยจะจ่ายเฉพาะเดือนเปิดภาคการศึกษา คือ มิถุนายน กรกฎาคม
สิงหาคม กันยายน พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ ในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท สำหรับ
เดือนตุลาคม มีนาคม และเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ปิดภาคการศึกษาจะไม่มีการจ่ายเบี้ยขยัน มีเงื่อนไขการจ่าย
เบี้ยขยันว่า ลูกจ้างจะได้รับเบี้ยขยันเฉพาะวันที่ปฏิบัติการสอนเท่านั้น หากลูกจ้างไม่ปฏิบัติการสอน หรือไม่ทำ
อุปกรณ์ เอกสาร สื่อการสอน ลูกจ้างตกลงให้นายจ้างหักเบี้ยขยันได้ตามส่วน ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวนี้แสดง
ให้เห็นเจตนาและวัตถุประสงค์การจ่ายค่าตอบแทนของนายจ้างว่า ประสงค์จะจ่ายค่า ตอบแทนเป็น ๒ ส่วน
โดยข้อตกลงและเงื่อนไขการจ่ายเบี้ ยขยัน คำนึงถึงการขาดลามาสายหรือชั่วโมงเวลาการทำงานตอบแทน
เป็ น สำคัญ หากลู กจ้ างไม่มาปฏิบั ติงาน ย่ อมแสดงให้เห็ นได้อย่ างชัดเจนว่าค่าตอบแทนทั้งสองส่ วนนี้ มิใช่
ค่าตอบแทนในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะค่าตอบแทนในส่วนที่ ๒ แม้จะอาศัยการทำงานเป็นเงื่อนไขการจ่าย
แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเพื่ อจูงใจให้ลูกจ้างทำงานในหน้าที่ตนด้วยความขยันขันแข็งมากขึ้นเป็นสำคัญ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๘๐ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
โดยจะเห็นได้ว่าลูกจ้างจะต้องมาปฏิบัติงานสอนโดยไม่ขาดลาตามจำนวนวันที่กำหนด ลูกจ้างจึงจีมีสิทธิได้รับ
เงินค่าตอบแทนในส่ วนหลังนี้เต็มตามจำนวนที่กำหนดในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นเงินเบี้ย ขยัน
หาใช่เป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงในอันที่จะถือเป็นค่าจ้างไม่ใช่ พิพากษายืน
- ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมกองทุนสำรอง
เลี้ยงชีพ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และ ๒ ให้ การว่า โจทก์ฝ่าฝืน ข้อบังคับฯ หลายครั้ง นอนหลั บในขณะปฏิบัติงาน
แสดงกิริย าไม่ สุ ภ าพผ่ า นบทสนทนาทางแอปพลิ เคชั่น ไลน์ จำเลยออกหนังสื อเตือน พัก งาน ๗ วัน โจทก์
ขัดคำสั่งไม่ยอมปิดยอดและตรวจสอบบัญชีของโรงแรม บี ที่ เพิ่งเปิดให้บริการซึ่งเป็นส่วนขยายบริการโรงแรม
ของจำเลยที่ ๑ มีระยะห่างกั นประมาณ ๑๒๐ เมตร ไม่เป็นการย้ายให้โจทก์ไปทำงานที่อื่น และจำเลยได้ ออก
หนังสือเตือนแล้ว และปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๕ ให้จำเลยที่ ๑ คืนค่ าจ้าง ค่าเซอร์วิสชาร์จที่ได้หักไว้
จำนวน ๑๗,๓๙๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์
๑. ประเด็นค่าเสียหายจากการไม่ออกใบสำคัญการทำงานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๕ บัญญัติว่า เมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลงแล้วลูกจ้า งชอบที่จะ
ได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้ทำงานมานานเท่าไรและงานที่ทำนั้นเป็นอย่างไร อันเป็นการกำหนดให้
ลูกจ้างมีสิทธิได้รับหนังสือรับรองการทำงาน ส่วนที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากไม่ดำเนินการภายใน
๗ วัน ให้จำเลยที่ ๑ และ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โ จทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อศาลแรงงานกลาง
ฟั งข้ อ เท็ จ จริ งว่ า ก่ อ นที่ จ ะมี ก ารฟ้ อ งและดำเนิ น คดี นี้ โจทก์ ไม่ เคยไปดำเนิ น การยื่ น คำขอให้ จ ำเลยที่ ๑
ออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้ อีกทั้งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร โจทก์จึง
ไม่ มี สิ ท ธิ ได้ รั บ ความเสี ย หายในส่ ว นนี้ ที่ ศ าลแรงงานกลางวิ นิ จ ฉั ย มานั้ น ศาลอุ ท ธรณ์ ค ดี ช ำนั ญ พิ เศษ
เห็นพ้องด้วย
๒. ประเด็น ค่าเซอร์วิส ชาร์จหรือค่าบริการถือเป็นค่าจ้า งหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญ พิเศษ
เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการ เป็นเงินที่จ ำเลยที่ ๑ เรียกเก็บ
จากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการซึ่งได้ชำระหนี้ให้แก่ จำเลยที่ ๑ แล้วนำเงินมาจัดสรรปันส่วนให้ลูกจ้าง จำเลยที่ ๑
จึงเป็ นเพียงผู้ เรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการจากลูกค้ าหรือผู้ใช้บริการแล้วนำมาจัดแบ่งให้ลูกจ้าง
เท่านั้น ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่ าบริการดังกล่าว จึงมิใช่เงินของจำเลยที่ ๑ ที่จ่ายให้แก่โจทก์แต่อ ย่างใด และ
ไม่ใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
๓. ประเด็นมีเหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็ นว่า โรงแรม บี
เป็ น สาขาหรือส่ วนหนึ่ งของจำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ห่ างจากโรงแรม เอ ที่ทำงานเดิมที่โจทก์เคยทำงานประมาณ
๑๒๐ เมตร ประกอบกับ สัญญาจ้างยังกำหนดว่า ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ หรื องานอื่นใดที่บริษัท
มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อจำเลยที่ ๑ มีคำสั่ง
มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ และด้วยความซื่อสัตย์สุ จริต เมื่อจำเลยที่ ๑ มีคำสั่ง
มอบหมายงานให้โจทก์ไปทำงานที่โรงแรม บี แต่โจทก์กลับปฏิเสธที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้าง
เพี ย งว่ าได้ ม าสมั ค รทำงานที่ โ รงแรม เอ เพี ย งแห่ ง เดี ย วเช่ น นี้ ข้ อ กล่ าวอ้ างของโจทก์ จึ งไม่ อ าจรับ ฟั งได้
การกระทำของโจทก์เป็นการขัดคำสั่งหรื อจงใจฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา
แล้ว และเป็นความผิดสถานหนักตามข้อบังคับ จำเลยที่ ๑ ย่อมมี สิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีไม่มี
เหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้ อนี้ฟัง
ไม่ขึ้น
๔. ประเด็นโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานหรือไม่ ศาลอุทธรณ์
คดี ช ำนั ญ พิ เศษเห็ น ว่า โจทก์ ส มัค รเข้ าทำงานกับ จำเลยที่ ๑ ในตำแหน่ ง (Night Auditor) หรือพนั ก งาน
ตรวจสอบบัญชีรอบกลางคืนที่แผนกการเงินบัญชี มีหน้าที่สรุปยอดรายได้ของห้องอาหารต่าง ๆ และห้องพัก
ตรวจสอบเอกสารรายงานสรุปที่พนักงานรอบกลางวันส่งมา โดยมีวันทำงานในวันจันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ
วันอาทิตย์ทำงานตั้งแต่เวลา ๒๑.๐๐ - ๐๗.๐๐ น. การทำงานในตำแหน่งและเวลาดังกล่าวจึงเกิดจากความ
สมัครใจของโจทก์เอง ประกอบกับไม่ปรากฏข้ อเท็จจริงว่าโจทก์เคยแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าไม่ประสงค์จะ
ทำงานในเวลาดังกล่าว หรือขอโยกย้าย สับเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่ง อื่นแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้อง
รับผิดจ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จัดการจ่ายให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทำแทนลูกจ้างเพื่อความสะดวกและเพื่อให้กิจการของ
โจทก์ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เงินค่าบริการดังกล่าวจึงไม่ใช่เงินของโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง ค่าบริการจึงไม่ใช่
ค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ อันต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณเงิน
สมทบเพิ่มเติมเพื่อส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ตามมาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗ พิพากษายืน
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๒๙๒/๒๕๕๘
เรื่อง “ค่าบริการ” นายจ้ างเรียกเก็บ จากลูกค้าในอัตราร้ อยละ ๑๐ นำมาจัด สรรให้แ ก่
ลูกจ้างอัตราร้อยละ ๗๕ - ๘๐ เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างให้บริการลูกค้ า ส่วนที่เหลือจัดสรรไว้ในบัญชีกองทุน
เซอร์ วิ ส ชาร์ จ สำรองสะสม โดยมี ค ณะกรรมการสวั ส ดิ ก ารในสถานประกอบกิ จ การเป็ น ผู้ รั บ ผิ ด ชอบ
จั ด สรรเงิน ค่ า บริ ก ารในแต่ ล ะเดื อ น “ค่ า บริ การ” จึ งไม่ ใช่ ค่ า จ้ า งตามมาตรา ๕ แห่ งพระราชบั ญ ญั ติ
ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ตามพระราชบั ญ ญั ติ ป ระกั น สั งคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๕ บั ญ ญั ติ ว่า ในพระราชบั ญ ญั ติ นี้
“ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลา
ทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และให้หมายความรวมถึงเงิน
ที่น ายจ้ างจ่ายให้ในวั นหยุดและวัน ลาซึ่งลู กจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายใน
ลักษณะใด หรือวิธีการใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โจทก์ประกอบกิจการโรงแรม โจทก์ได้เรียกเก็บเงิน
ค่าบริการจากลูกค้าที่มาใช้บริการของโรงแรมโจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๐ ของราคาขายห้องพัก อาหารและราคา
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในโรงแรมแล้วนำมาจัดสรรเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกจัดสรรที่อัตราร้อยละ ๗๕ ในกรณีทั่วไปหรือ
อัตราร้อยละ ๘๐ ในกรณีที่รายได้เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในเดือนนั้น แบ่งให้ลูกจ้างประจำทุกคนยกเว้น
ผู้จัดการทั่วไปจำนวนเท่ากัน ซึ่งคำนวณจ่ายตามวันที่ทำงานจริงโดยค่าบริการที่จัดสรรจะไม่ต่ำกว่าเดือนละ
๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๒๕ หรือ ๒๐ แล้วแต่กรณี จัดสรรไว้ในบัญชีกองทุนเซอร์วิสชาร์จสำรอง
สะสมเพื่ อ สำรองเป็ น ค่ า ใช้ จ่ า ยต่ า ง ๆ แก่ ลู ก จ้ าง เช่ น งานเลี้ ย งประจำปี ส ำหรับ ลู ก จ้ า ง การจั ด สั ม มนา
นอกสถานที่ ค่าใช้จ่ายที่ลูกจ้างทำทรัพย์สินของโจทก์เสียหายโดยประมาท ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยประกัน
ชีวิต และโบนัส คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการของโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการจัดสรร
เงินค่าบริการในแต่ละเดือน โดยนำมาเฉลี่ย ให้แก่ลูกจ้างและแบ่งเก็บสะสมไว้ในบัญชีก องทุนเซอร์วิ สชาร์จ
สำรองสะสมให้แก่พนักงาน ตลอดจนการตัดสินใจในการใช้จ่ายเงินจากกองทุน กรณีเดือนใดคำนวณค่าบริการ
ที่นำมาแบ่งเฉลี่ยให้แก่ลูกจ้างได้ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ บาท จะนำเงินจากกองทุนเซอร์วิสชาร์ จสำรองสะสมมาชำระ
ให้แก่ลูกจ้างจนครบ ๒,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๐ และปี ๒๕๕๑ มี การจ่ายค่าบริการให้แก่ลูกจ้างโจทก์เกินกว่า
๒,๐๐๐ บาท ทุกเดือน ฉะนั้นในปี ๒๕๕๐ และ ปี ๒๕๕๑ โจทก์ไม่เคยนำเงินของโจทก์มาจ่ายค่าบริการให้แ ก่
ลูกจ้างแต่อย่างใด เงินค่าบริการโดยแท้จริงแล้วจึงเป็ นเงินที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้ าของโจทก์เพื่อจ่ายให้แก่
ลูกจ้างของโจทก์เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างให้บริการลูกค้าด้วยดี จึงมิใช่เงินของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างแต่โจทก์ทำหน้าที่
เรียกเก็บเงินดังกล่าวแทนลูกจ้าง ค่าบริการจึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสัง คม
พ.ศ. ๒๕๓๓ อัน จะต้องนำมาเป็ น ฐานคำนวณเงินสมทบเพิ่มเติมประจำปี ๒๕๕๐ และ ปี ๒๕๕๑ เพื่อเข้า
กองทุ น ประกั น สั งคมตามมาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗ ที่ ศาลแรงงานกลางพิ พ ากษาเพิ กถอนคำสั่ งจำเลย
เฉพาะที่สั่งให้โจทก์ต้องชำระเงิน สมทบเพิ่มเติมพร้อมเงินเพิ่มและให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยชอบแล้ว
พิพากษายืน
๒๔. ค่าพาหนะ
เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๔๗/๒๕๖๓
เรื่อง “เงินค่าพาหนะวันละ ๔๐ บาท” นายจ้างมีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินคือจะจ่ายให้ลูกจ้าง
รายวันที่มิได้พักอยู่ในบ้านพักสวัสดิการและมิได้เดินทางโดยสารพาหนะที่นายจ้างจัดรับส่ง โดยจ่ายเฉพาะ
วันที่มาทำงานในอัตรา ๔๐ บาทต่อวัน ในแต่ละเดื อนจะได้รับไม่ เท่ากันขึ้น อยู่กับว่าในเดือนนั้นลูกจ้าง
มาทำงานกี่วัน เงินดังกล่าวจึงเป็นสวัสดิการ มิใ ช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงาน
ปกติ จึ งมิใช่ค่าจ้ าง จึ งไม่ต้ องนำเงิน ดั งกล่า วไปคำนวณเพื่อนำส่งกองทุน ประกัน สังคม และไม่น ำเงิน
ดังกล่าวไปรวมคำนวณค่าชดเชย
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็ น ลูกจ้างรายวันตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัสดุ ค่าจ้างอัตราสุ ดท้ายวั นละ
๓๙๐ บาท ค่าพาหนะวัน ละ ๔๐ บาท ต่อ มาวันที่ ๓๐ มิถุน ายน ๒๕๖๒ โจทก์เกษี ยณอายุตามข้อตกลง
เกี่ยวสภาพการจ้าง แต่จำเลยทั้งสามไม่นำค่าพาหนะวันละ ๔๐ บาท มาคำนวณจ่ ายค่าชดเชย โจทก์จึงมีสิทธิ
ได้รับค่าชดเชยเพิ่มอีก และโจทก์ไม่นำค่าพาหนะไปคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกั นสังคม เป็นละเมิด
ต่อโจทก์ ขอบั งคั บ ให้ จ ำเลยจ่ ายค่ าชดเชย ๑๖,๐๐๐ บาท นำเงินคำนวณส่ งเป็ นเงิน สมทบประกั น สั งคม
ค่าเสียหายจากการทำละเมิด ๑๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าเงินช่วยเหลือค่ าพาหนะไม่ใช่
ค่าจ้ างจึงไม่ต้องนำมาคำนวณนำส่งกองทุน ประกันสังคม การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนั ญพิเศษเห็นว่า เงินช่วยเหลือค่าพาหนะ มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงิ นคือ จำเลย
ที่ ๑ จะจ่ายให้ลูกจ้างรายวันประจำฝ่ายโรงงานและฝ่ายเกษตรกรที่มิได้พักอยู่ในบ้านพักสวัสดิก ารของจำเลย
ที่ ๑ และมิได้เดินทางโดยสารพาหนะที่จำเลยที่ ๑ จัดรับส่ง โดยจ่ายเฉพาะวันที่มาทำงานในอัตรา ๔๐ บาท
ต่อวัน ในแต่ละเดือนโจทก์จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าพาหนะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าในเดือนนั้นโจทก์มาทำงาน
กี่วัน เงินดังกล่าวจึงเป็น สวัสดิการมิใช่เงินที่น ายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติ จึ งมิใช่
ค่าจ้าง จึงไม่ต้องนำเงินดังกล่าวไปคำนวณเพื่อนำส่งกองทุนประกันสังคม และไม่นำเงินดังกล่าวไปรวมคำนวณ
ค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษามานั้นจึงชอบแล้ว พิพากษายืน
๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔
เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้
ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็น รายเดือน ไม่คำนึ งถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่ าบำรุงรักษารถยนต์และ
ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕)
จำเลยจ่ ายเงิน ค่ า เบี้ ย เลี้ ย งและค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่ า สึ ก หรอรถยนต์
๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่ าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ
เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๘๗ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
โจทก์ ไม่ ต้ อ งแสดงใบเสร็ จ เป็ น หลั ก ฐานในการรั บ เงิน การจ่า ยเงิน ดั งกล่ า วจึ งเป็ น การจ่ ายเพื่ อ ตอบแทน
การทำงานของโจทก์ ในลั ก ษณะเดี ย วกั น กั บ ค่ า จ้ า ง จึ ง เป็ น ค่ า จ้ า งตามพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๐๘๗ - ๓๐๘๙/๒๕๖๓ (ไม่เป็นค่าจ้าง)
เรื่อง เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณี พิเศษ เงินช่วยเหลือ
การใช้โทรศัพท์มือถือ เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด แม้นายจ้างจ่ายเป็นจำนนแน่นอน
เท่ากันทุกเดือน แต่มีลักษณะเป็นสวัสดิการผู้บ ริหารและตำแหน่งที่มีสิทธิได้รับ จึงไม่ใช่เงิน ที่ตอบแทน
การทำงาน ก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย
คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๓ คน ฟ้องว่า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๑ ทำงานเป็น
ลูกจ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างสุดท้ ายเดือนละ ๒๖๓,๓๗๐ บาท ประกอบด้วย
เงินเดือน ๒๒๐,๘๗๐ บาท ค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่าย ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าน้ำ มันรถพิเศษเหมาจ่าย
๓,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์มือถือเหมาจ่าย ๒,๐๐๐ บาท และค่าปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด ๗,๕๐๐ บาท
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๒ เป็นลูก จ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ชำนาญการอาวุโส เทียบเท่ า
รองกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๔๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๕๐๘,๐๐๐ บาท
และ.....วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๓ ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตรา
สุดท้ายเดือนละ ๒๑๖,๙๑๕ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๑๘๔,๔๑๕ บาท และ....ต่อมาวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๒ โจทก์ทั้งสามมีอายุครบ ๖๐ ปี จำเลยเลิกจ้างเพราะเกษียณอายุ โจทก์กับพวกทำงานมาครบ ๒๐ ปี
ขึ้นไป จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๔๐๐ วัน แต่จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้เพียงบางส่วน ขอบังคับให้จำเลยจ่าย
ค่าชดเชยที่ยังค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงิน สวัสดิการช่วยเหลือค่าน้ำมันรถ
เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าใช้โทรศัพท์ มือถือ.....เป็นเงินเพิ่มพิเศษตามข้อบังคับของจำเลย
ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชย โจทก์ทั้งสามได้รับค่าชดเชยครบถ้วนแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุ ท ธรณ์ ค ดี ช ำนั ญ พิ เ ศษตรวจสำนวนประชุ ม ปรึ ก ษาหารื อ แล้ ว ศาลแรงงาน กลาง
ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ ๑ ได้ความว่า
๑. เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน จำเลยจ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าพาหนะแก่ผู้บริหารที่มี
สิทธิใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางปฏิบัติงาน
๒. เงินช่วยเหลือค่า น้ำมันรถกรณีพิเศษ จำเลยจ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีที่ผู้บริหาร
ระดั บ รองกรรมการผู้ จั ด การ และผู้ จั ด การทั่ ว ไป หรื อ ตำแหน่ ง อื่ น ที่ เที ย บเท่ า ที่ มี ลั กษณะงานประจำ
ในความรับผิดชอบต้องใช้รถยนต์เดินทางเพื่อการปฏิบัติงานเกินกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตรต่อเดือนขึ้นไป
๓. เงิ น ช่ ว ยเหลื อ การใช้ โ ทรศั พ ท์ มื อ ถื อ จ่ ายเพื่ อ ช่ ว ยเหลื อ ค่ า โทรศั พ ท์ มื อ ถื อ ที่ ใช้ ในการ
ปฏิบัติงานเฉพาะผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องออกติดต่องานนอกสถานที่
ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลานาน การเลิกจ้างมีผลให้โจทก์ทั้งสองต้องสูญเสียอาชีพและรายได้เลี้ยงตนเองและ
ครอบครัว การเลิ ก จ้างด้ว ยเหตุ ดังกล่ าวย่ อมเป็น การคำนึงถึงแต่ประโยชน์ ของจำเลยที่เป็ นนายจ้างเพีย ง
ฝ่ายเดียว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๒ คน ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป
ค่าจ้างเดือนละ ๑๕๕,๕๐๐ บาท (เงินเดือน ๆ ละ ๑๒๙,๕๐๐ บาท เงินค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่ายเดือน
ละ ๒๒,๐๐๐ บาท ) โจทก์ที่ ๒ ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ค่าจ้างเดือนละ ๑๑๑,๓๕๐ บาท (เงิน เดือน ๆ ละ
๘๕,๓๕๐ บาท เงิน ค่ารถและค่าน้ ำมัน รถเหมาจ่ายเดือนละ ๒๖,๐๐๐ บาท ) ต่อมาวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์
๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง อ้างเหตุปรับปรุงองค์กร ต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่
เป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ครบถ้วนเนื่องจากไม่นำเงินค่ารถและ
ค่าน้ำมันรถมาคำนวณ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าชดเชย สินจ้างแทน
การบอกกล่าวล่วงหน้าที่ขาดไป พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ค่ารถและค่ าน้ำมันรถเป็นสวัสดิการทดแทนค่ารถยนต์ จำเลยเลิกจ้างเนื่องจาก
มีความจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กร จำเลยจ่ายเงินตามตามกฎหมายให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ประเด็นเงินค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งและค่าน้ำมันรถเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญ
พิเศษเห็นว่า จำเลยเคยจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งให้กับลู กจ้างที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ระดับ
ผู้จัดการทั่วไปหรือเทียบเท่าเท่านั้น รถยนต์ประจำตำแหน่งจึงเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในรูปแบบที่มิใช่
ตัว เงิน ที่ จ ำเลยจั ด ให้ เฉพาะผู้ บ ริ ห ารระดับ สู งเท่ านั้ น แม้ ต่อมาจำเลยจะยกเลิ กการจัดหารรถยนต์ป ระจำ
ตำแหน่งเปลี่ยนเป็นการให้เงินทดแทนเป็นค่ารถเดือนละ ๑๙,๐๐๐ และค่าน้ำมันเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ก็ตาม
เงินดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อเป็นสวัสดิการเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็ น
ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ แม้จะจ่ายเป้นจำนวนเท่า ๆ กันทุก
เดือน จึงมิใช่ค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ประเด็นการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้าง
โจทก์ทั้งสองด้วยเหตุต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร โดยที่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริ งว่ากิจการของจำเลย
ประสบภาวะทางเศรษฐกิจอย่างยากลำบากถึงขนาดต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างเพื่อให้พยุงกิจการให้ดำเนิน
ต่อไปได้ เหตุในการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นนโยบายของจำเลยที่ประสงค์จะปรับ ปรุงประสิทธิภาพการ
ทำงานขององค์กรและลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนขององค์กรเท่านั้น โดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิด โจทก์ทั้งสอง
ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลานาน การเลิกจ้างมีผลให้โจทก์ทั้งสองต้องสูญเสียอาชีพและรายได้เลี้ยงตนเองและ
ครอบครัว การเลิ ก จ้างด้ว ยเหตุ ดังกล่ าวย่ อมเป็ น การคำนึงถึงแต่ประโยชน์ ของจำเลยที่เป็ นนายจ้างเพีย ง
ฝ่ายเดียว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยให้ศาลแรงงานกลาง
กำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไป
ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๗๘๕/๒๕๖๐
เรื่ อ ง การจ่ า ยเงิ น MIB (เงิ น สวั ส ดิ ก าร) ของนายจ้ า ง เพื่ อ กระตุ้ น ให้ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชา
มีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดเป้าหมายล่วงหน้า และเป็นตัวชี้วัดการทำงานของพนักงานเพื่อสร้าง
แรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเป็นทีมไปสู่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ โดยจ่ายค่าชดเชย
ไม่ครบถ้วน และเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และจำเลยที่ ๒ ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า
โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต เงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) เป็นเงินโบนัสรายเดือนที่จ่ายเพื่อจูงใจจึงไม่ใช่ค่าจ้างจะนำมา
คำนวณจ่ายค่าชดเชย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็น
ธรรม ๑,๕๑๒,๕๐๐ บาท และเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) ๑๖๓,๕๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก
และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๒
ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า การจ่ายเงินเอ็มบีโอและเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) ของจำเลยที่ ๑ เพื่อกระตุ้น
ให้ผู้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดเป้าหมายล่วงหน้า และเป็นตัวชี้ วัดการทำงานของพนักงาน
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเป็นทีมไปสู่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน เห็นได้ว่าการ
จ่ า ยเงิ น ดั ง กล่ า วมี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อ จู ง ใจให้ โ จทก์ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพในการทำงานในหน้ า ที่ รั บ ผิ ด ชอบ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และการจ่ายเงินในแต่ละเดือนก็ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานของโจทก์
จึงมิใช่เงินที่จำเลยจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ หรือจ่ายให้
ตามผลงานอัน จะเป็น ค่าจ้างตามพระราชบั ญญั ติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่โจทก์อุทธรณ์
ในทำนองว่า เงิน เอ็ม บี โอและเงิน เอ็ มไอบี (เงิน สวัส ดิการ) มีรายละเอียดการจ่ายอย่างไรพิ จารณาได้จาก
คำเบิกความของโจทก์และพยานจำเลย จึงเป็นการอุทธรณ์ โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ
ศาลแรงงานภาค ๒ เพื่ อนำไปสู่ การวิ นิ จ ฉั ย ข้อ กฎหมายว่า เงิน เอ็ ม บี โอและเงิน เอ็ ม ไอบี (เงิ น สวั ส ดิ ก าร)
เป็นค่าจ้างหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี
พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย สำหรับกรณี
ที่ ศ าลแรงงานภาค ๒ พิ พ ากษาให้ จ ำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ ย ร้ อ ยละ ๑๕ ต่ อ ปี สำหรั บ ต้ น เงิ น เอ็ ม ไอบี
(เงินสวัสดิการ) นั้น เห็นว่า เงินดังกล่าวไม่ใช่ค่าจ้าง จึงมิใช่เงินที่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดังที่
บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ
๗.๕ ต่ อปี ต ามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิ ช ย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ ง เท่ านั้ น ที่ ศ าลแรงงานภาค ๒
พิ พ ากษามาจึ งไม่ช อบ พิ พ ากษาแก้เป็ น ให้ จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ ยอั ตราร้อ ยละ ๗.๕ ต่ อปี ของต้ น เงิน
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๑๓/๒๕๖๐
เรื่ อ ง “เงิ น การบริ ห ารงานตามจุ ด มุ่ ง หมาย (Management By Objective (MBO))”
เป็นเงินที่จ่ายเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างทำงานให้ได้ตามเป้าหมาย หากลูกจ้างมีผลงานตามเกณฑ์ที่กำหนดจึงจะ
จ่ายให้ จึงมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงไม่เป็นค่าจ้าง
โจทก์ ฟ้ อ งว่ า โจทก์ เป็ น ลู ก จ้ า งจำเลยตั้ ง แต่ วั น ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๘ ตำแหน่ ง สุ ด ท้ า ย
เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ควบคุมดูแลงานก่อสร้างบ้านจัดสรรและงานขายบ้านจัดสรร ค่าจ้าง
เดื อ นละ ๗๖,๓๐๐ บาท เงิน ช่ ว ยเหลื อ การปฏิ บั ติ งานที่ โรงงาน ๕,๐๐๐ บาท ค่ าทำงานเสาร์เว้ น เสาร์
๕,๐๐๐ บาท และค่ าจ้ างคำนวณตามผลงานเป็ น เงิน ค่าบริห ารจัด การตามเป้ าหมาย (Management By
Objective (MBO))” สูงสุดไม่เกินเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เงินค่าจ้างเป็นเงินตอบแทนพิเศษตามเป้าหมาย
รายเดือน (Monthly Incentive Bonus (MIB) สูงสุดไม่เกินเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๗ มกราคม
๒๕๕๒ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ อ้างว่าโจทก์บริหารงานขาดประสิทธิภาพ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พร้อมดอกเบีย้
ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้ จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพั กผ่อนประจำปี ค่าชดเชย
พร้อมดอกเบี้ย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ประเด็ น ว่ า “เงิ น การบริ ห ารงานตามจุ ด มุ่ ง หมาย (Management By Objective (MBO))”
เป็ น ค่ า จ้ า งหรื อ ไม่ ศาลฎี ก าเห็ น ว่ า เมื่ อ การจ่ า ยเงิ น การบริ ห ารงานตามจุ ด มุ่ งหมาย(Management By
Objective (MBO)) จำเลยจะจ่ายให้ลูกจ้างก็ต่อเมื่อมีการประเมินผลในการทำงานของลูกจ้างในแต่ละเดือน
ก่อน และนำผลงานของลูกจ้างไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ลูกจ้างและหัวหน้างานร่วมกันกำหนดไว้ล่วงหน้า
หากผลงานของลูกจ้างได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในเป้าหมาย จำเลยก็จะจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่ลูกจ้ าง ดังนั้น
การจ่ายเงินการบริหารงานตามจุดมุ่งหมาย(Management By Objective (MBO)) จึงเป็นกรณีที่จำเลยตกลง
จ่ายเงินเพื่อจูงใจลูกจ้างให้ทำงานให้ได้ผลงานตามเป้าหมายที่ลูกจ้างกับหัวหน้างานร่วมกันกำหนดไว้ล่วงหน้า
หากลู กจ้างมี ผลงานตามเกณฑ์ที่กำหนดจำเลยจึงจะจ่ายเงิน ให้ กรณี จึงมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการ
ทำงานโดยตรง อีกทั้งการจะจ่ายเงินได้ต้องมีการประเมินผลงานในการทำงานของลูกจ้างในแต่ละเดือนก่อน ซึ่ง
มิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานเงินดังกล่าวจึง มิใช่ค่าจ้างตามความหมาย
แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๔๘๑/๒๕๖๐
เรื่ อ ง เงิน “MBO” เป็ น เงิน ที่ น ายจ้ า งจ่า ยให้ ต ามผลสำเร็ จ ของงานเที ย บกั บ เป้ า หมาย
ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และเงิน “MIB” เป็นเงินที่จ่ายเนื่องจากลูกจ้างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กร
เงินทั้งสองประเภทเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจในการทำงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง
คดี นี้ โจทก์ ฟ้ อ งว่าจำเลยจ้ างโจทก์เข้ าทำงานเป็ น ลู ก จ้าง ตำแหน่ งสุ ดท้ ายเป็ น ผู้ ช ำนาญการ
ซ่อมบำรุงสายพาน ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๗๘,๙๐๐ บาท วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ จำเลยเลิกจ้างโจทก์
ด้วยเหตุเกษียณอายุงาน แต่ จำเลยจ่ายค่า ชดเชยแก่โจทก์ขาดไปโดยไม่นำเงิน MBO จำนวน ๗,๖๐๐ บาท
และเงิน MIB จำนวน ๒๐.๓๐๐ บาทมารวมคำนวณค่าชดเชยด้วย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ขาด
๒๙๒,๑๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าเงิน MBO และเงิน MIB เป็นเงินจูงใจในการทำงาน ไม่ใช่
ค่าจ้างตามกฎหมาย ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รับเงินเดือนสุ ดท้ายเดือนละ ๔๘,๐๐๐ บาท เงินค่าต่างจังหวัดเดือนละ
๓,๐๐๐ บาท และได้รับเงิน MBO และเงิน MIB เงิน MBO เป็นเงินที่จ่ายให้ตามผลสำเร็จของงานเทียบกับ
เป้าหมายที่หัวหน้ างานและลูกจ้างร่ วมกันกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยกำหนดให้ลูกจ้างของจำเลยทุกคนทำการ
ประเมินผลทุกเดือน และเงิน MIB เป็นเงินที่จ่ายให้เนื่องจากลูกจ้างของจำเลยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่จำเลยโดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเป็นทีมไปสู่เป้าหมายขององค์กรร่วมกัน โจทก์จะได้รับเงิน MIB
และเงิน MBO ไม่เท่ ากัน ทุ ก เดือ น การจ่ ายเงิน ดังกล่ าวจำเลยต้อ งมี การประเมิ น ผลงานเสี ยก่ อนแล้ ว จ่าย
แก่ โจทก์ ต ามผลงานที่ ป ระเมิ น ซึ่งหากไม่ ได้ ต ามเป้ าหมายโจทก์ จะได้รับ เงิน ดั งกล่ าวลดลง จึ งมี ลั ก ษณะ
ไม่แน่นอนเพราะการจ่ายต้องมีการประเมินผลการทำงานเสียก่อนถึงจะนำมากำหนดเป็นจำนวนเงินและมิใช่
การเหมาจ่าย การจ่ายเงินดังกล่าวจึงมิได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์โดยตรง แต่เป็น
การจ่ ายเพื่ อจู งใจในการทำงานของโจทก์ห รือเพื่อให้ ลู ก จ้างของจำเลยทำงานได้ตามมาตรฐานหรือบรรลุ
เป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า จึ งไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ไม่อาจนำมารวมคำนวณค่าชดเชยได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มขึ้น
๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๔๑๖/๒๕๕๗
เรื่อง สัญญาระบุว่าลาออกหรือเลิกจ้างต้องบอกกล่าวหน้าไม่น้อยกว่า ๖ เดือน เมื่อนายจ้าง
เลิกจ้างไม่บอกล่วงหน้าตามสัญญาจึงต้องจ่าย , ค่ารถยนต์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ค่าจ้าง
โจทก์ ท ำงานตำแหน่ งผู้ จั ด การสาขา ค่ าจ้ างเดื อ นละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ค่ าพาหนะเดื อ นละ
๕๐,๐๐๐ บาท ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างทันทีโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้ อยกว่า ๖ เดือน ตามที่ระบุในสัญญา
จ้าง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ๑,๘๐๐๐,๐๐๐ บาท (๖ เดือน) ค่าชดเชย
๙๐๐,๐๐๐ บาท และเงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ค่ารถยนต์เดือนละ
๕๐,๐๐๐ บาท ได้กำหนดว่าเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับค่ารถยนต์และคนขับรถ โดยแยกไว้ต่างหากและให้รวมทั้ง
ภาษีจ ากการใช้รถยนต์บ นท้อ งถนน ค่ าน้ ำมั น ค่ าประกัน ภั ย ค่าซ่อมแซมและค่ าบำรุงรัก ษากับ ค่าใช้จ่าย
เกี่ ย วเนื่ อ งอย่ า งอื่ น อี ก ด้ ว ย การตกลงในลั ก ษณะเช่ น นี้ เห็ น ได้ ชั ด ว่ า เป็ น การจั ด สวั ส ดิ ก ารให้ โ จทก์ เพื่ อ
ความสะดวกเกี่ยวกับพาหนะที่จะต้องใช้ในการเดินทางไปทำงาน ค่ารถยนต์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท จึงไม่ใช่
ค่าตอบแทนในการทำงานที่จะถือเป็นค่าจ้างตามความหมายในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑
๒๗. เงินความสามารถพนักงานแคชเชียร์
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๒๕๕/๒๕๖๑ (ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์)
เรื่อง “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” นายจ้างจะจ่ายให้พนักงานแคชเชียร์ที่ผ่าน
การทดสอบเกี่ยวกับการให้บริการ และใช้เครื่องคิดเงิน ในลักษณะต่าง ๆ และจะต้องปฏิบัติงานตั้งแต่
๒ ชั่วโมงขึ้น ไปในแต่ ละวัน หากถูกพั กงานหรือไม่มาทำงานหรือไม่มีการทำงานหรือ โจทก์หยุดกิจการ
ชั่วคราว จะไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” จึงมิใช่ค่าจ้าง
คดีนี้โจทก์ประกอบกิจการห้างสรรพสินค้า ฟ้ องขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคม
และคำวินิ จฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ จำเลย กรณี ที่มีห นังสือให้ โจทก์ช ำระเงินสมทบเพิ่ มเข้ากองทุ น
ประกันสังคม ในส่วนของ “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” เป็นเงิน ๗๕๔,๔๗๖ บาท พร้อมเงินเพิ่ม
ตามกฎหมาย โดยอ้างว่าเป็ น ค่าจ้ างตามมาตรา ๕ แห่ งพระราชบัญ ญั ติป ระกันสั งคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โจทก์
ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเงินดังกล่าวเป็นสวัสดิการ และมีเงื่อนไขในการจ่ ายและลักษณะเป็นเงินจูงใจให้พนักงาน
มาทำงานครบตามจำนวนที่กำหนด จึงไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยให้การว่า ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์ที่โจทก์
จ่ายให้เป็นประจำในอัตราที่แน่นอน โดยคำนวณให้เฉพาะเงินที่พนักงานได้ปฏิบัติงานนั้น ถือได้ว่าจ่ายเพื่อ
ตอบแทนการทำงานจึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” เป็นเงินที่โจทก์
จ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อจูงใจให้ทำงานอันเป็ นประโยชน์แก่นายจ้าง จึงถือเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน
ในวันและเวลาทำงานปกติของลูกจ้าง เป็นค่าจ้าง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” โจทก์จะจ่ายให้
พนักงานแคชเชียร์ที่ผ่านการทดสอบเกี่ยวกับการให้ บริการ และใช้เครื่องคิดเงินในลักษณะต่าง ๆ และจะต้อง
ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๒ ชั่วโมงขึ้นไปในแต่ละวัน หากถูกพักงานหรือไม่มาทำงานหรือไม่มีการทำงานหรือโจทก์
หยุดกิจการชั่วคราว จะไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลา
ทำงานปกติ แต่เป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานขยันมาทำงานทุกวัน “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์”
จึงมิใช่ค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
พิพากษากลับเป็น ให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานประกันสังคมและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ
อุทธรณ์ เฉพาะส่วนเงินประกันสังคม
๒๘. ค่ารักษาสินค้า
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๒๕/๒๕๖๑ (ค่ารักษาสินค้า)
เรื่อง “ค่าคอมมิสชัน” จ่ายให้เพื่อจูงใจให้ขายสิน ค้าได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า”
จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” กำหนดขึ้นเพื่อสร้าง
แรงจูงใจแก่ลูกจ้างให้พัฒนาการบริการแก่ลูกค้าให้ดีและน่าประทับใจมากยิ่งขึ้นไป เงินทั้งสามประเภทนี้
จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย
และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กั บลูกจ้างทั้งสาม โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์
ประกอบกิจการขายเครื่องสำอาง นางสาว ส. กับพวก จำเลยร่วม เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขาย
ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า บ. ระหว่างการทำงานลูกจ้างทั้งสามนำข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติ
มาสมัครบัตรสมาชิกของโจทก์และเก็บค่าสมาชิกไว้เองว่า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจำเลยร่วมไม่ชักชวนให้สมัครบั ตร
สมาชิกแต่กลับใช้บัตรสมาชิกดังกล่าวแอบอ้างเป็ นรายการซื้อสินค้าของบิดา มารดา หรือญาติของตนเพื่อ ทำ
รายการสะสมคะแนนและนำไปใช้แลกสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องชำระราคา เป็นความผิด ร้ายแรง และจำเลย
นำค่าคอมมิสชันค่ารักษาสินค้า ค่าตำแหน่ง ค่าพาหนะ มารวมคำนวณค่าชดเชยฯ จึ งไม่ถูกต้อง ศาลแรงงาน
ภาค ๖ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๑ ทั้งหมด
และในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๓ เฉพาะบางส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์
ประเด็นพิจารณาตามอุทธรณ์ว่า ค่าคอมมิสชัน ค่ารักษาสินค้า และค่าตำแหน่ ง เป็นค่าจ้าง
หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า “ค่าคอมมิสชัน” เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยร่วมทั้งสาม คำนวณจ่ายเป็นร้อยละของ
ยอดขายสินค้าในแต่ละเดือนที่พนักงานขายในร้านของโจทก์ทุกคนรวมกัน โดยต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๕
ของเป้าหมายที่โจทก์กำหนดไว้ ซึ่งพนักงานขายในร้ านจะได้รับเท่ากันทุกคน หากขายสินค้าไม่ได้ตามกำหนด
โจทก์ ก็ ไม่ จ่ าย แสดงว่ าเงิ นดั งกล่ าวกำหนดขึ้ นเพื่ อสร้ างแรงจู งใจแก่ จำเลยร่ วมที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ให้ ขายสิ นค้ า
ให้ ได้ จ ำนวนมากที่ สุ ด “ค่ ารั กษาสิ นค้ า” เป็ นเงิ นที่ โจทก์ จ่ ายให้ โดยคำนวณจ่ ายเป็ นร้ อยละของยอดขายสิ นค้ า
ในแต่ละเดือนที่พนักงานในร้านทุกคนขายได้รวมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าในเดือนนั้นต้องไม่มีสินค้าในร้านสูญ หาย
หากมีสิน ค้าสู ญ หายจะต้องนำราคาสิน ค้าที่สู ญหายมาหั กออกก่อนที่จะนำมาเฉลี่ ยให้ พนักงานขายในร้าน
เท่ากันทุกคน กรณีสินค้าสูญหายไปมากกว่าจำนวนเงินค่ารักษาสินค้า จำเลยร่วมที่ ๒ และที่ ๓ ก็จะไม่ได้รับ
เงินนี้อันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” โจทก์จ่ายให้
จำเลยร่วมทั้งสามเป็ น พิเศษ คำนวณจากการขายสิ นค้าบางรายการที่กำหนดไว้ หากขายได้ตามจำนวนที่
กำหนด และยั งรวมถึ งเงิน ที่ จ ากคะแนนประเมิน การบริการจากลู ก ค้าที่ โจทก์ส่ งมาทดสอบพนั กงานขาย
ประกอบเพื่อจ่ายเงินด้วย หากขายสินค้าไม่ได้หรือไม่ได้คะแนนจากการประเมินของลูกค้า จำเลยร่วมก็จะไม่ได้
เงินส่วนนี้เช่นกัน
เงิน ทั้ งสามประเภทนี้ จึ งไม่ ใช่ ค่ า จ้ า งตามมาตรา ๕ แห่ งพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ พิ พ ากษาแก้ เป็ น ว่ า ให้ แ ก้ ไขคำสั่ งพนั ก งานตรวจแรงงานเฉพาะส่ ว นจำนวนเงิน ค่ า ชดเชย
และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าของจำเลยร่วมที่ ๒ และ ที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เ ป็นไปตามคำพิพากษา
ศาลแรงงานภาค ๖
๒๙. โบนัส
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๔๑ – ๓๐๔๕/๒๕๖๑ (โบนัส)
เรื่ อง การจ่ ายเงิ น รางวั ลพิ เศษ (โบนั ส) ตามระเบี ยบนายจ้ างกำหนดไว้ ชั ดเจนว่ าต้ องมี
สถานภาพเป็นพนักงาน ณ วันที่จ่ายโบนัส เมื่อลูกจ้างพ้นสภาพเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗
แต่ กำหนดการจ่ ายเงิ นรางวั ลพิ เศษ (โบนั ส) คื อสิ้ นเดื อนกุ มภาพั นธ์ และสิ้ น เดื อนมิ ถุ น ายน นายจ้ างจึ ง
ไม่ต้องการจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ให้กับลูกจ้าง , เงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ไม่ใช่ค่าจ้าง
คดี นี้ โ จทก์ ทั้ ง ห้ า ฟ้ อ งว่ า โจทก์ กั บ พวกเป็ น ลู ก จ้ า งจำเลย ค่ า จ้ า งอั ต ราสุ ด ท้ า ยเดื อ นละ
๔๓,๔๓๐ บาท – ๘๓,๗๒๐ บาท จำเลยตกลงจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) โดยวิธีการคำนวณจากรอบปีทำงาน
คือตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม – ๓๑ ธันวาคม โดยจะประเมินผลการทำงานแล้วจะจ่ายเงินโบนัสในวันสิ้นเดือนมิถุนายน
และกุ มภาพั นธ์ ของปี ถั ดไป ต่ อมาจำเลยมี โครงการให้ สิ ทธิ พนั กงานออกจากงานก่ อนอายุ ๖๐ ปี โดยได้ รั บ
ผลประโยชน์ ตามโครงการ โจทก์ ยื่ นเรื่ องออกจากงานต่ อจำเลยตามโครงการ จำเลยอนุ มั ติ ให้ โจทก์ ที่ ๑ – ๔
ออกจากงานวั น ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และให้ โจทก์ ที่ ๕ ออกจากงานวั น ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ต่ อ มา
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จำเลยกลับไม่จ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์กับพวก ขอบังคับให้จำเลย
จ่ายเงินโบนั สแต่โจทก์ทั้งห้ าและให้ จำเลยออกใบสำคัญการผ่านงาน จำเลยให้ การว่าโจทก์ทั้งห้ายื่นหนังสือขอ
เกษียณอายุการทำงานตนเองก่อนครบเกษียณปกติคือ ๖๐ ปี เมื่อจำเลยพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว จึงไม่ใช่
กรณีฐานะนายจ้างฝ่ายเดียวเลิกจ้าง แต่เป็นกรณีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายสมัครใจเลิกสัญญากัน โจทก์ทั้งห้าพ้นสภาพ
จากการเป็นพนักงานแล้ว ณ วันที่มีการจ่ายเงินดังกล่าว โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ศาล
แรงงานภาค ๓ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า เงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) มิใช่ค่าจ้าง แต่เป็นเงินตอบแทนประสิทธิผลในการทำงาน
ของลูกจ้าง นายจ้างย่อมมีดุลพินิจที่จะกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ได้ เมื่อพิจารณาระเบียบ
ทรัพยากรบุ คคลของธนาคารจำเลย ข้อ ๑๕ ระบุว่า พนักงานได้รับการพิจารณาปรับค่าจ้างประจำปี เงินรางวัล
พิเศษ (โบนัส)...ข้อ ๔.๔ ระบุ ว่า คุณสมบั ติของพนักงานที่จะได้รับเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ต้องมีสถานภาพเป็น
พนักงาน ณ วันที่จ่ายโบนัส ยกเว้นพนักงานที่เกษียณอายุ ๖๐ ปี...คุ๕สมบัติของพนักงานที่จะได้รับเงิน....ต้องมี
สถานภาพเป็นพนั กงาน ณ วันที่จ่ายโบนั ส เห็ นได้ว่า ไม่มีข้อความว่าจะจ่ายให้ แก่พนักงานที่พ้นสภาพการเป็น
พนั กงานก่อนวันดังกล่าว จึงมีความหมายว่า พนักงานที่จะมีสิ ทธิได้รับเงินในปี เงินรางวัลพิเศษ (โบนั ส) ต้องมี
สถานภาพเป็นพนักงานของจำเลยอยู่ในวันครบกำหนดจ่ายเงินโบนัสด้วย เมื่อจำเลยอนุมัติให้โจทก์ที่ ๕ เกษียณอายุ
การทำงานก่อนอายุครบ ๖๐ ปี โดยให้มีผลวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และอนุมัติให้โจทก์ที่ ๑ – ๔ เกษียณอายุการ
ทำงานก่อนอายุครบ ๖๐ ปี โดยให้มีผลวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ก่ อนถึงกำหนดจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส)ใน
เดือนกุมภาพันธ์ของปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ โจทก์ทั้งห้าจึงสิ้นสภาพการเป็นพนักงานนับแต่วันที่การลาออกมีผล
เป็นต้นไป โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ดังกล่าว พิพากษายืน
๓๐. ค่าเช่ารถยนต์
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๐๘๓/๒๕๖๑
เรื่อง การที่นายจ้างเลิกจ้างเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่เป็นการละเมิดต่อ
ลู กจ้ า ง เมื่ อ ศาลกำหนดค่ า เสี ย หายจากการเลิ ก จ้ า งที่ ไม่ เป็ น ธรรมให้ แ ล้ ว การที่ ศ าลแรงงานกำหนด
ค่าเสียหายจากการละเมิดจึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำ ซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการ
ไม่ชอบ , ค่าเช่ารถยนต์จ่ายให้พนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์
จ่ า ยตามที่ ใ ช้ จ ริ งมิ ใ ช่ ก ารเหมาจ่ า ย ดั งนั้ น ค่ า เช่ า รถยนต์ ค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ และค่ า โทรศั พ ท์ จึ งเป็ น
สวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็ น ลู กจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งผู้ จัดการ
เครื่องดื่มฝ่ายการตลาด ได้รับ เงิน เดือนเดือนละ ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าเช่ารถยนต์เดือนละ ๓๗,๕๐๐ บาท
ค่ าโทรศั พ ท์ เดื อ นละ ๑,๕๐๐ บาท และค่ า น้ ำ มั น รถยนต์ ๒๔๐ ลิ ต รต่ อ เดื อ น รวมเป็ น ค่ า จ้ างเดื อ นละ
๓๒๒,๙๒๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
เป็ น ต้ น ไป ขอบั งัค บให้ จ ำเลยจ่ ายค่าชดเชย ๓,๒๒๙,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับ วัน หยุด พั กผ่ อ นประจำปี
๑๒๐,๑๓๗ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๒๒,๙๒๔ บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายจำเลย
๒,๕๐๔,๗๑๒ บาท เงินโบนัส เป็นเงิน ๖๙๓,๑๐๐ บาท เงินรางวัลจากการแข่งขันพิเศษปี ๒๕๕๙ เป็นเงิน
๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการละเมิด ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
๗,๗๕๒,๗๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงหลายกรณี
ศาลแรงงานกลางพิ จ ารณาแล้ ว พิ พ ากษาให้ จำเลยจ่ ายสิ น จ้ างแทนการบอกกล่ าวล่ ว งหน้ า
๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าจ้ างสำหรับ วัน หยุดพักผ่ อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท ค่าชดเชย ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท
เงินโบนัส ๕๒๘,๗๙๕ บาท เงินรางวัลการแข่งขันฯ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่ เป็นธรรม
๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท และค่าเสียหายจากการละเมิด ๕๕๔,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๕ นั้น ต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานให้แก่ลูกจ้ างตามที่ตกลงกัน ส่วนสิทธิประโยชน์
ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อความสะดวกในการทำงานหรือเป็นสวัสดิการ แม้นายจ้างจะจ่ายเงิน
ดังกล่าวจำนวนแน่นอนเท่า ๆ กันทุกเดือน ก็ไม่ เป็นค่าจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจะจ่ายค่าเช่ารถยนต์
รายเดือนให้แก่พนักงานเมื่อพนั กงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์ จำเลย
จะจ่ายให้แก่พนักงานตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ที่
จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานในตำแหน่งดังกล่ าว มิใช่เงินที่
นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ
เป็นรายเดือนแก่โจทก์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๐๔ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๓๑. เงินตอบแทนพิเศษ
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๘๘๐ - ๔๙๑๓/๒๕๖๑ (รัฐวิสาหกิจ)
เรื่อง เงินตอบแทนพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นายจ้างมีเจตนาจ่ายเงินตอบแทนให้เฉพาะ
ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารที่ระบุไว้ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเท่านั้น ซึ่งสามารถยกเลิกหรือ
เปลี่ยนแปลงเกณฑ์ การจ่ายได้ตามความเหมาะสม เงินตอบแทนพิเศษ จึงไม่ใช่ “ค่ าจ้าง” ตามประกาศ
คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรี่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ ที่จะต้อง
นำมารวมคำนวณจ่ายเงินชดเชย
คดีนี้ โจทก์ทั้ ง ๓๔ สำนวน ฟ้ องว่า โจทก์ ทั้ง ๓๔ คน เป็ นพนั กงานของจำเลยและเข้ าสมัค ร
เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดระหว่างปี ๒๕๕๐ - ๒๕๕๙ จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจไม่ได้ปฏิบัติตาม
พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖ และประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ
สัมพันธ์ เรี่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้ อ ๔ กล่าวคือ จำเลยกำหนดให้ใช้เงินเดือน
เดือนกันยายนในปีที่โจทก์แต่ละคนสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นฐานในการคำนวณเพื่อจ่ายเงินตอบแทน และเงิน
ชดเชย โดยละเว้ น ไม่ น ำเอาเงิน ประจำตำแหน่ งหรื อ เรี ย กว่ า เงิ น ตอบแทนพิ เศษที่ มี ก ารประจำเดื อ นละ
๖,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างมารวมคำนวณเงินชดเชย เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์กับพวก ขอให้บั งคับ
จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เงินตอบแทนแก่ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเป็นการจ่าย
เพื่ อเป็ น แรงจู งใจในการทำงาน ไม่ใช่ตอบแทนการทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ ว
พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้ง ๓๔ คน อุทธรณ์
ศาลอุ ท ธรณ์ ค ดี ช ำนั ญ พิ เศษ เห็ น ว่า การพิ จ ารณาว่า เงิน ดั งกล่ าวเป็ น ค่ า จ้ าง ตามประกาศ
คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ หรือไม่
ต้องพิจารณาว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีเจตนาจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานหรือไม่ ซึ่งคำสั่งของเลยที่.../๒๕๔๙
ที่มใช้บังคับเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษกำหนดว่า ข้อ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการสำนัก ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษ
เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ข้อ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย สำนักสำนักงานศูนย์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย...ให้ได้รับ
เงินตอบแทนพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ข้อ ๗ เงินตอบแทนพิเศษ เป็นเงินนอกเหนือจากเงินเดือนไม่ใช้เป็น
ฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเงินเดือนและสวัสดิการ และเป็นอำนาจของจำเลยที่จะ
ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาจ่ายเงินตอบแทนให้เฉพาะผู้ดำรง
ตำแหน่ งบริห ารที่ร ะบุ ไว้ในข้อ ๑ และข้อ ๒ เพื่อเป็ นแรงจูงใจให้ ผู้ ดำรงตำแหน่ งบริห ารเท่านั้ น ซึ่งจำเลย
สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจ่ายได้ ตามความเหมาะสม เงินตอบแทนพิเศษ จึงไม่ใช่ค่าจ้างที่
จะต้องนำมารวมคำนวณจ่ายเงินชดเชย พิพากษายืน
๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๓/๒๕๖๐
เรื่อง เงิน ค่ าตอบแทนพิ เศษทางการตลาด ไม่ เป็ น ค่ าจ้า ง นายจ้ า งจึง เสี ยดอกเบี้ ย เพี ย ง
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี , นายจ้างเลิกจ้างก่อนครบกำหนดในสัญญาจ้าง สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์
ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างย่อมไม่มี เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้นายจ้างอีก นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง
ให้แ ก่ลูกจ้ าง การที่ศ าลพิ พากษาให้น ายจ้างมี หน้า ที่ต้องจ่ายค่ าจ้างให้ แก่ลูกจ้างไปจนครบระยะเวลา
ที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง จึงไม่ถูกต้อง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการนวดแผนโบราณและสปา จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์
ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการทำหน้าที่บริหารจัดการมีระยะเวลาการจ้าง ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม
๒๕๕๕ – ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ ต่อมาวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโดยที่โจทก์มิได้กระทำ
ความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ค่าผลการทำงาน ค่าจ้างที่จำเลยต้องจ่าย
หากโจทก์ปฏิบัติงานครบตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และ
เงิน อื่ น ๆ พร้ อ มดอกเบี้ ย ศาลแรงงานภาค ๕ พิ พ ากษาให้ จ ำเลยชำระค่ าชดเชย เงิน ค่ าตอบแทนพิ เศษ
ทางการตลาด ๑,๒๓๙,๔๑๕.๔๐ บาท ค่าจ้างส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างก่อนครบกำหนด
๒๐๔,๐๑๒.๖๔ บาท เงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำเลยอุทธรณ์
ประเด็นว่าจำเลยต้องชำระค่าจ้างในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากเลิกจ้างก่อนครบกำหนด
หรือไม่ ศาลฎี กา เห็ น ว่า เมื่อสั ญ ญาจ้างสิ้ นสุ ดลงเพราะจำเลยเลิ กจ้าง ความสั มพั นธ์ระหว่ างจำเลยผู้ เป็ น
นายจ้ างกับ โจทก์ซึ่งเป็ น ลู กจ้ างย่ อมไม่มี เมื่อโจทก์มิได้ท ำงานให้ แก่จำเลยอีก จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้ าง
ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์จะได้รับเมื่อทำงานให้แก่จำเลย ที่ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่าย
ค่าจ้างให้แก่โจทก์ไปจนครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ประเด็น เงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ศาลฎีกาเห็ นว่า เมื่อได้ความว่าเงินค่าตอบแทน
พิ เศษทางการตลาดและค่ าน้ ำมั น รถเป็ น เงิน ที่ จ ำเลยจ่ ายเป็ น สวั ส ดิ ก ารแก่ โจทก์ มิ ใช่ จ่ ายเพื่ อ ตอบแทน
การทำงานในวั น และเวลาทำงานปกติ เงิ น ทั้ ง สองจำนวนดั ง กล่ า วจึ ง มิ ใ ช่ ค่ า จ้ า งตามมาตรา ๕
และมิใช่เงินตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ศาลแรงงานภาค ๕ กำหนด
ดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงไม่ถูกต้อง แต่เงินทั้งสองประเภทเป็นหนี้เงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับ
ดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔
วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎี ก ามี อ ำนาจยกขึ้ น วิ นิ จ ฉั ย และแก้ ไ ขให้ ถู ก ต้ อ งได้ ตามประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ่ ง
มาตรา ๑๔๒ (๕) และ มาตรา ๒๔๖ ประกองพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลย
เลิ กจ้ างก่อนครบกำหนด ให้ จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ค่าตอบแทนพิเศษ
ทางการตลาดและค่าน้ำมันรถ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๕
๓๒. ค่าผ่านทาง
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๕๐/๒๕๖๐ (ค่าผ่านทาง)
เรื่อง นายจ้ างจ่าย “ค่าน้ำมันรถยนต์” กับ “ค่าผ่านทาง” ให้แก่ลูกจ้างตามใบเสร็จ
นำไปแสดงและเบิกตามที่จ่ายไปจริง หากไม่มีใบเสร็จรับเงินไม่ส ามารถเบิกเงินได้ และให้สิทธิลูกจ้างใช้
รถยนต์ประจำตำแหน่งเท่านั้น ไม่ให้เลือกรับเงินแทนสิทธิการใช้รถยนต์ ดังนั้น “ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่านทาง
และค่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง” จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็ นลู กจ้างจำเลย เริ่มทำงานตั้งแต่เดือนกุ มภาพันธ์ ๒๕๔๑ ตำแหน่ ง
สุ ด ท้ า ยเป็ น ผู้ จั ด การฝ่ า ยขายและการตลาด ค่ าจ้ า งเดื อ นละ ๖๑,๐๐๐ บาท ค่ า น้ ำ มั น และค่ า ผ่ า นทาง
เฉลี่ยเดือนละ ๑๘,๐๐๐ บาท ค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท รวม ๙๔,๐๐๐ บาท ต่อมา
วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ จำเลยเลิกจ้างโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า
จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์มีพฤติกรรมการทุจริต ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีร้ายแรง ทำให้จำเลย
ได้ รั บ ความเสี ย หาย ศาลแรงงานกลางพิ จ ารณาแล้ ว พิ พ ากษาให้ จ ำเลยจ่ ายค่ าชดเชย สิ น จ้ า งแทนการ
บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถยนต์กับค่าผ่านทาง
ให้แก่โจทก์ตามใบเสร็จนำไปแสดงต่อจำเลยและเบิกตามที่โจทก์จ่ายไปจริง หากไม่มีใบเสร็จรับเงินไม่สามารถ
เบิกเงินได้ และให้สิทธิโจทก์ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งเท่านั้น ไม่ให้เลือกรับเงินแทนสิทธิการใช้รถยนต์ประจำ
ตำแหน่ ง ค่าน้ำมัน รถ ค่าผ่านทาง และค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งจึงไม่ใช่ ค่าจ้าง เมื่ อศาลแรงงานกลางฟั ง
ข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิได้ทุจริตเบิกค่าอาหารและค่าน้ำมัน มิได้เข้าแทรกแซงการจัดซื้อวัตถุดิบของจำเลย หรือ
กระทำผิดโดยขายสิน ค้าให้ แก่บ ริษัทต่าง ๆ โดยไม่พิจารณาให้ รอบคอบ จำเลยจึงไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง
ไม่ไว้วางใจโจทก์ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปและเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยเลิกจ้างจึงต้อง
จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจาการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษายืน
๓๓. ค่ากะดึก
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๙๗/๒๕๖๐ (เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน)
เรื่อง ค่ากะดึก ๔๐ บาท จ่ายให้เฉพาะพนักงานกะกลางคืนเท่านั้นเพื่อเป็นการสงเคราะห์
ค่าอาหารและค่าเดินทาง เดือนละ ๕๐๐ บาท จ่ายเพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ค่าเที่ยว จ่ายให้
พนักงานขับรถที่ออกนอกพื้นที่จังหวัดชลบุรีและปราจีนเท่านั้น ดังนั้ น ค่ากะดึก ค่าอาหารและค่าเดินทาง
ค่าเที่ยว จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
คดี นี้ โ จทก์ ฟ้ อ งขอให้ เพิ ก ถอนคำวิ นิ จ ฉั ย ของคณะกรรมการกองทุ น เงิ น ทดแทน กรณี ที่
คณะกรรมการได้มีมติยกอุทธรณ์โจทก์ โดยวินิจฉัยว่า ค่ากะ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าเที่ยว เป็นค่าจ้าง
โจทก์ ไม่ เห็ น ด้ ว ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิ จ ารณาแล้ ว พิ พ ากษาให้ เพิ ก ถอนคำวิ นิ จ ฉั ย ของจำเลยส่ ว นที่
วินิจฉัยว่า ค่ากะกลางคืน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าเที่ยว ถือเป็นค่าจ้างที่ต้องชำระเงินสมทบจากการตรวจ
บัญชีค่าจ้างประจำปี ๒๕๕๓ และเงินเพิ่มตามกฎหมาย ให้จำเลยชำระเงิน ๔,๓๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
๗.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ค่ากะกลางคืน ๔๐ บาท โจทก์ประกาศให้เป็นการช่วยเหลือพนักงานที่เข้ากะ
กลางคืน เนื่องจากพนักงานที่ทำงานกะกลางคืนโจทก์ไม่ได้จัดให้มีร้านขายอาหารเวลากลางคืน และเงินค่ากะ
กลางคืนจะจ่ายตามเงื่อนไขให้พนักงานที่มาทำงานวันต่อวัน และจ่ายให้เฉพาะพนักงานที่มาทำงานกะกลางคืน
เท่านั้ น ค่ากะ ๔๐ บาท ต่อวัน ดังกล่ าวจึ งมิ ใช่ค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ แต่เป็ น
สวัสดิการที่โจทก์ให้แก่ลูกจ้าง ไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าอาหารและค่าเดิน ทาง โจทก์ได้ประกาศเพิ่ม สวัสดิการ
ค่ า อาหารเดื อ นละ ๔๒๕ บาท และค่ า เดิ น ทางเดิ น ทางเดื อ นละ ๔๒๕ บาท เป็ น เดื อ นละ ๕๐๐ บาท
เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของพนักงานเท่านั้น มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลา
ทำงานปกติ โจทก์ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ โดยชั ด แจ้ ง ว่า ต้ อ งการช่ ว ยเหลื อ แบ่ ง เบาภาระค่ า ใช้ จ่ า ยของพนั ก งาน
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับเพิ่มค่าอาหารและค่าเดินทาง
จากเดิมที่เคยประกาศให้เป็ น สวัสดิการอยู่ แล้ว แม้เงินดังกล่ าวจะมีลักษณะเป็นการจ่ายประจำทุกเดือนมี
จำนวนแน่นอนและไม่มีเงื่อนไขแต่ก็เป็นเพียงเงินช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของพนักงานเท่านั้นมิใช่จ่าย
เพื่ อ ตอบแทนการทำงานในวัน เวลาทำงานปกติ ดั งนั้ น ค่ าอาหารและค่ าเดิ น ทางจึ งเป็ น เพี ย งสวัส ดิ ก าร
ไม่ใช่ค่าจ้าง สำหรับค่าเที่ยว ๔๐ บาท ต่อเที่ยว โจทก์ประกาศให้เป็นสวัสดิการช่วยเหลือพนักงานขับรถที่ต้อ ง
เดินทางไปยั งสถานที่ต่าง ๆ ตามที่โจทก์ได้ จัดสวัสดิการรถรับส่งผู้บริหารชาวต่างชาติ โดยมีเงื่อนไขการจ่าย
ว่าพนักงานขับรถจะได้ค่าเที่ยวเพิ่มเมื่อออกไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดชลบุรีเท่านั้น
โจทก์มิได้มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการด้านขนส่ง การทำงานของพนักงานขับรถจึงเป็นการปฏิบัติงานอยู่ใน
พื้นที่ ส่วนการปฏิบัติงานนอกเหนือหน้าที่ปกตินอกพื้นที่จึงมิใช่การปฏิบัติหน้าที่แน่นอนเป็นประจำและไม่มี
พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์จ่ายค่าเที่ยวให้แก่พนักงานขับรถเพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานในวันและเวลา
๓๔. ค่าอาหาร
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๑/๒๕๕๙ (ค่าอาหาร)
เรื่อง นายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ
๑๐ บาทต่อเดือน โดยมีเจตนาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงาน
ทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครอง
แรงงานจังหวัด... ที่ ../๒๕๕๓ ลงวันที่ .. มกราคม ๒๕๕๓ และให้ถือว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็น
ค่าจ้าง และเมื่อนำมารวมกับค่าจ้างปกติที่ลูกจ้างได้รับรวมเป็นฐานคำนวณค่ าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด
ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และดอกเบี้ยตามคำร้องแล้ว โจทก์จะได้รับค่าล่วงเวลา ๑.๕ เท่า หรือ ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์
ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๘๕๗.๐๔ บาท ค่าทำงานในวันหยุด ๑ เท่า หรือ
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๓๙.๐๖ บาท และค่าล่วงเวลา
ในวันหยุด ๓ เท่า หรือ ๓๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๔๑.๑๓
บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท (ประเทศไทย)
จำกัด นายจ้างได้รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ ๓
พฤษภาคม ๒๕๓๑ เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองเป็นค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และปี ๒๕๓๕
มอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ปัจจุบันนายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท
และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ ๑๐ บาทต่อเดือน โจทก์เคยนำค่าอาหารรวมกับค่าจ้างเป็นฐานคำนวณเงิน
ประกันสังคมที่นายจ้างเก็บจากลูกจ้างนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคม
จังหวัด...มีหนังสือแนะนำนายจ้างไม่ต้องนำเงินค่าอาหารมาคำนวณเป็นค่าจ้างเพื่อส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
ประกั น สั งคม บริ ษั ท นายจ้ างมี ร ะเบี ย บข้อ บั งคั บ การทำงานใช้ บั งคั บ มาตั้ งแต่ ปี ๒๕๔๑ ถึ งปั จ จุ บั น โดย
กำหนดให้เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิ ชชูเป็นสวัสดิการไว้ในหมวด ๑๒ สวัสดิการ ข้อ ๑๒.๑ ถึง ๑๒.๑๐
แล้ววินิจฉัยว่าเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูไม่เป็นค่าจ้าง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูที่บริษัท
นายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเป็นค่าจ้างหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าสวัสดิการหมายถึงสิ่งของไม่ใช่
ตัวเงินซึ่งสอดคล้องกับกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ล้วนแต่
เป็ น สิ่งของไม่ใช่ตั วเงิน ทั้งเงิน ค่าอาหารและค่ากระดาษทิช ชูบ ริษัทนายจ้างให้ โจทก์เป็นจำนวนที่แน่นอน
ขาดลามาสายไม่หักเงิน ดังกล่าว ค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูจึงเป็นค่าจ้าง เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคั บ
การทำงานของบริษัทนายจ้างกำหนดเรื่องการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างไว้ในหมวดที่ ๑๒ ประกอบด้วยการตรวจ
สุขภาพประจำปี การบริการข้าวสวย การบริการรับ - ส่งพนักงาน เงินค่าอาหาร การเข้ารับการรักษาพยาบาล
ณ สถานพยาบาลของบริษัทนายจ้ าง การประกันภัยหมู่ เงินช่วยเหลือค่าทำศพ เครื่องแบบพนักงานและ
อุปกรณ์ในการทำงาน การเบิกค่ารักษาพยาบาลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับเงินค่าอาหารกำหนดไว้ว่า
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๑๒ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
บริษัทนายจ้างจะให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารแก่พนักงานทุกคนที่เป็นพนั กงานประจำของบริษัทตามสภาพ
การจ้าง ยกเว้นพนักงานทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัด การแผนกขึ้นไปจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอาหาร
ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และ
ต่อมาปี ๒๕๓๕ บริษัทนายจ้างมอบกระดาษทิชชู ให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ย่อมแสดงให้เห็นว่า บริษัท
นายจ้างมีเจตนาแต่แรกที่จะให้ค่าอาหารเป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงานทดลอง
งานและพนั กงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงกำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานในหมวดสวัสดิการ
และเห็น เจตนาชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่ อระยะแรกบริษัทนายจ้างจ่ายค่าอาหารเป็นคูปองและจ่ายกระดาษทิช ชูให้
ลูกจ้าง แม้ต่อมาบริษัทนายจ้างจะเปลี่ยนการจ่ายค่าอาหารเป็นคูปองและการจ่ายกระดาษทิช ชูมาเป็นตัวเงิน
โดยจ่ายให้พนักงานที่มีสิทธิได้รับทุกคนเป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าพนักงานจะขาดลามาสายหรือไม่
ก็เพื่ อความสะดวกในการปฏิ บั ติข องบริ ษั ทนายจ้างเท่ านั้ น มิ ได้ แสดงว่าเมื่ อบริษั ทนายจ้างเปลี่ ยนการให้
สวัสดิการจากรูปแบบอื่นมาเป็นตัวเงินจะทำให้สวั สดิการดังกล่าวกลายเป็นค่าจ้าง สวัสดิการจึงเป็นตัวเงินได้
ไม่ จ ำต้ อ งเป็ น แต่ สิ่ ง ของหรื อ บริ ก ารที่ น ายจ้ า งจั ด ให้ ลู ก จ้ า ง ดั ง นั้ น เงิ น ค่ า อาหารเดื อ นละ ๗๐๐ บาท
และค่ากระดาษทิชชูเดือนละ ๑๐ บาท ที่บริษัทนายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนจึงเป็นสวัสดิการ ไม่ใช่
ค่าจ้ า งตามความหมายของพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ ศ าลแรงงานกลาง
พิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
๓๕. ค่าชิ้นงาน
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๗๕๖ – ๙๗๖๕/๒๕๕๙
เรื่อง “ค่าชิ้ นงาน” นายจ้ างจ่ายให้พนักงานโดยกำหนดค่าชิ้น งานเป็น อัตราร้อยละของ
ค่าจ้างของกลุ่ม กำหนดขั้นสูงสุดต่ำสุดจะได้รับค่าชิ้นงานลดหลั่นลงตามลำดับ อีกทั้งค่าชิ้นงานคิดจาก
ร้อยละของค่าจ้างรวมของกลุ่ม ดังนั้น พนักงานแต่ละกลุ่มจะได้รับเงินจริงจากค่าชิ้นนานจึงขึ้ นอยู่กับอัตรา
ค่าจ้างที่พนักงานแต่ละคนได้รับ มิใช่ได้รับในอัตราชิ้นงานตายตัวทุกชิ้นงาน ค่าชิ้นงานจึงเป็นการจ่ายเพื่อ
ตอบแทนความขยันของพนักงานและจูงใจให้พนักงานแผนกบรรจุสินค้าจำนวนชิ้นงานเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็น
การจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
คดีโจทก์กับพวกรวม ๑๑ คน ฟ้องว่า โจทก์กับพวกทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยในแผนกบรรจุสินค้า
(PACKINGX) จำเลยมีวัตถุประสงค์จำหน่ายเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ทางการแพทย์ โจทก์กับพวก
ได้รับค่าจ้าง ค่าตำแหน่ง เบี้ยขยัน ค่าครองชีพ ค่าชิ้นงาน (INCENTIVE) วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำเลยเรียก
โจทก์กับพวกทั้งสิบเอ็ดคนประชุมแจ้งยกเลิกเงินสวัสดิการเงินเปอร์เซ็นต์ชิ้นงานและค่าตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้า
แผนก โจทก์กับพวกไม่ยินยอม วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์กับพวกไม่ให้ทำงานล่วงเวลา
วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยสั่งด้วยวาจาให้ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย้ายไปทำงานประจำแผนกคลังสินค้า ทำงาน
เกี่ยวกับการเขียนกำกับกล่องบรรจุสินค้า ลากและยกสินค้า อันเป็นการเปลี่ยนแปลงงานด้วยความไม่เป็นธรรม
ที่ยกเลิกค่าชิ้นงาน ค่าตำแหน่ง และค่าล่วงเวลา ทำให้โจทก์กับพวกขาดรายได้ เป็นการขัดหรือแย้งกับข้อตกลง
เกี่ยวกับสภาพการจ้างและไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จำเลยให้การว่าตามสัญญาจ้างและข้อบังคับฯ จำเลยมีสิทธิ
แต่งตั้งโยกย้ายไปทำงานตำแหน่งอื่นได้ จำเลยย้ายโจทก์หน้าที่การงานไม่ต่ำกว่าเดิม สวัสดิการ ค่าจ้าง ไม่ได้
ลดลง ค่าชิ้นงานไม่ใช่ค่าจ้างแต่เป็นเงินจูงใจ จำเลยไม่ได้สั่งให้โ จทก์ทำงานล่วงเวลา โจทก์กับพวกจึงไม่มีสิทธิ
ได้รับค่าล่วงเวลา เมื่อโจทก์ที่ ๑ ย้ายไปตำแหน่งประจำแผนกคลังสินค้าจะไม่มีสิทธิได้รับ ค่าตำแหน่ง ขอให้
ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้บรรจุสินค้าและทำงานล่วงเวลา จำเลยจึงไม่
มีหน้าที่จ่ายค่าชิ้นงาน ค่าล่วงเวลา ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และค่าตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าแผนก ตามสัญญาจ้าง
โจทก์กับพวกตกลงให้จำเลยมีสิทธิมอบหมายหน้าที่ การงานที่จำเลยเห็นว่าสมควรให้โจทก์ปฏิบัติได้ตามความ
เหมาะสมกับการดำเนินการของจำเลย ให้ถือว่าข้อบังคับการทำงานของจำเลยเป็นส่วนหนึ่ งของสัญ ญาจ้าง
และตามข้อบังคับฯ จำเลยมีสิทธิพิจารณาโยกย้ายพนักงานไปทำงานในหน่วยงานอื่นภายในบริษัทของจำเลย
ได้ตามความเหมาะสม ลักษณะที่จำเลยโยกย้ายโจทก์กับพวกเป็ นการบริหารงานตามความจำเป็นเห็นสมควร
เมื่อพนักงานร้อยละ ๙๗ เห็นชอบด้วยกับการจ่ายเงินจูงใจระบบใหม่ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้ทำงานในแผนก
บรรจุสินค้าทำให้ไม่มีส่วนได้เสียกับเงินจูงใจระบบใหม่ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสิบเด็ดอุทธรณ์
ประเด็นค่าชิ้นงานเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจ่ายค่าชิ้นงานให้พนักงานเป็นกลุ่ม
แต่ละกลุ่มประกอบด้วยพนักงาน ๔ คน โดยกำหนดค่า ชิ้นงานเป็นอัตราร้อยละของค่าจ้างของกลุ่ม จำเลย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๑๔ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
๓๖. ค่าโน็ตบุ๊ก
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๔๓๓ – ๑๑๔๓๔/๒๕๕๗
เรื่อง ค่าโน้ตบุ๊กเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นายจ้างจ่ายให้เพื่ อทดแทนการที่ลูกจ้างนำโน้ตบุ๊ก
ส่วนตัวมาใช้ ไม่ใช่ค่าจ้าง
จำเลยประกอบกิจการธุรกิจสายการบิน โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการสถานี
และตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายคอมพิวเตอร์ โจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้างเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท และ ๓๐,๐๐๐ บาท
พร้อมค่าโน้ตบุ๊กอีกคนละ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยจ่ายค่าโน้ตบุ๊กให้โจทก์ทั้งสองเพื่อทดแทนการที่โจทก์ทั้งสองนำ
โน้ ตบุ๊ กส่ วนตัวมาใช้ มิใช่เป็ น เงิน ที่จ ำเลยตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้ แก่โจทก์ทั้งสองตาม
สัญญาจ้าง ย่อมไม่เป็นค่าจ้าง
๓๗. เงินปรับค่าจ้างย้อนหลัง
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๐๗/๒๕๕๗
เรื่อง เงินส่วนที่ยังขาดอยูเ่ พราะเหตุยังมิได้ปรับขึ้นค่าจ้าง มิใช่ค่าจ้างค้างจ่าย สิทธิเรียกร้อง
ไม่ใช่อายุความ ๒ ปี แต่เป็นอายุความ ๑๐ ปี
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ จำเลยเป็นรัฐวิ สาหกิจ ประกอบธุรกิจ
รับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเงินปรับเงิ นเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีย้อนหลัง และ
เงินอื่น ๆ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างในอัตราร้อยละ ๓
เท่ากันทุกอัตรานั้นผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบั ติตาม ที่จำเลยอ้างขาดทุนไม่มีเงินปรับแก่ลูกจ้างนั้น มิใช่เหตุ
พ้นวิสัยที่จะอ้างได้เพื่อให้จำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี จำเลยจึงต้องปรับค่าจ้างของโจทก์ตามมติ
คณะรัฐมนตรีวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ แต่เงินส่วนที่โจทก์เรียกร้องนี้ถือเป็นค่าจ้างค้างจ่ายทั้ งสิ้น จึงมี
อายุความ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔(๘)(๙) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องในส่วน
ที่อยู่ในอายุความ ๒ ปี ส่วนช่วงก่อนวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๗ ถือว่าคดีขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลย
จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ๑๓,๑๗๑.๕๐ บาท เงินส่วนที่ปรับตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ๔๕,๓๓๗ บาท และ
เงินส่วนที่ปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี ๕๐,๓๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี และเงินส่วนที่
ปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี ๕๐,๓๔๐ บาท โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า เงินส่วนที่ยังขาดอยู่เพราะเหตุยังมิได้ปรับขึ้ นค่าจ้างให้จึงมิใช่ค่าจ้างค้างจ่ายซึ่ง
จะมีอายุความ ๒ ปี โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินส่วนที่ยังมิได้ปรับเลื่อนเงินเดือนให้ทั้งหมด ๒๑๗,๖๑๐ บาท พร้อม
ดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ส่วนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ที่เห็นชอบให้ปรับอัตราค่าจ้าง
ของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในอัตราร้อยละ ๓ และให้ได้รับค่าจ้างสูงกว่าอัตราที่ปรับเพิ่มร้อยละ ๓ ตามอัตราค่าจ้าง
ใหม่อีก ๒ ขั้นนั้น เป็นเพียงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับ
การเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ วรรคสาม ไว้ล่วงหน้าเท่านั้น
ส่วนการที่จำเลยจะพิจารณาปรับค่าจ้างให้ แก่ลูกจ้างหรือไม่ เพี ยงใดย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่จะ
พิ จ ารณาดำเนิ น การให้ เป็ น ไปตามข้ อ ตกลงเกี่ ย วกั บ สภาพการจ้ า ง เมื่ อ จำเลยมิ ได้ ป รั บ ค่ า จ้ า งตามมติ
คณะรัฐมนตรีที่ให้ความเห็นชอบไว้ล่วงหน้าโดยเห็นว่า จำเลยขาดทุน ไม่มีเงิน จึงไม่มีเงินส่วนที่ยังไม่ได้ปรับ
ค่าจ้างที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยจ่ายเงินที่ยัง
มิได้ปรับเลื่อนเงินเดือนจำนวน ๒๑๗,๖๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง สำหรับ
คำขอทีใ่ ห้จำเลยจ่ายเงินส่วนที่ยังมิได้ปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีให้ยกเสีย
๓๘. เบี้ยกันดาร
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๖๗-๒๐๖๘/๒๕๕๗ (เบี้ยกันดาร)
เรื ่อ ง เบี ้ย กัน ดารเดือ นละ ๒,๐๐๐ บาท จ่า ยเพื ่อ ตอบแทนพนัก งานที ่ต ้อ งปฏิบัติง าน
ในสถานที่ห่างไกล จึงเป็นเงินตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง เป็นค่าจ้าง ส่วนค่าเช่ารถและค่าเช่า
บ้านจ่ายเพื่อทดแทนสวัสดิการบ้านพักและชดเชยการใช้พาหนะส่วนตัว จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
ระเบี ย บข้ อบั งคั บ ในการทำงานของจำเลยซึ่ งแก้ไขเปลี่ ยนแปลงการเกษี ยณอายุจ าก ๖๐ ปี
บริบูรณ์ เป็น ๕๕ ปีบริบูรณ์ มิได้เกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘
ดังนั้ น การเปลี่ ย นแปลงระเบี ย บข้ อบั งคับ ฯ จึ งต้อ งเป็ น คุณ แก่ลู กจ้างหรือ ได้ รับ ความยิน ยอมจากลู ก จ้ าง
เมื่อลูกจ้างรวมทั้งโจทก์ทั้ง ๒ มิได้ให้ความยินยอม การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับในการทำงานในส่ วนอายุ
จาก ๖๐ ปีบริบูรณ์ เป็น ๕๕ ปีบริบูรณ์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เงินเบี้ยกันดารเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการที่พนักงานต้องปฏิบัติงานใน
สถานที่ห่างไกล จึงเป็นเงิน ที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง ถือเป็น
ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ส่วนค่าเช่าบ้านและค่าเช่ารถ เมื่อพิจารณา
วัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินแล้ว เห็นว่า ค่าเช่าบ้านจำเลยจะจ่ายแก่พนักงานซึ่งต้องโยกย้ายไปประจำโรงงาน
สาขาในต่างจังหวัดและบริษัทไม่จัดบ้านพักให้ ค่าเช่าบ้านจึงเป็นการจ่ายเงินเพื่อทดแทนสวัสดิการบ้านพักของ
พนักงาน ส่วนค่าเช่ารถ หรือค่าชดเชยการใช้พาหนะส่วนตัวนั้น จำเลยจ่ายแก่พนักงานที่ต้องใช้รถส่วนตัว
เพื่ออำนวยความสะดวกและความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติง านของพนักงาน ค่าเช่ารถจึงเป็นการจ่ายเพื่อ
ทดแทนสวัสดิการรถที่จำเลยต้องจัดให้แก่พนัก งานในการเดิน ทางเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน ดังนั้น
เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าเช่ารถจึงไม่เป็นค่าจ้าง
ทำงานตามสั ญ ญาจ้ างสำหรั บ ระยะเวลาการทำงานปกติ เงิน เบี้ ยกั น ดารและค่ าเช่ าบ้ านจึงไม่ เป็ น ค่ าจ้าง
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงไม่นำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย
๓๙. สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๖๑/๒๕๕๗
เรื่อง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า มิใช่ค่ าจ้างตามมาตรา ๕ และมาตรา ๙ จึงต้อง
เสียดอกเบี้ยเพียงร้อยละ ๗.๕ ต่อปี มิใช่ร้อยละ ๑๕ ต่อปี
สิ น จ้ า งแทนการบอกกล่ า วล่ ว งหน้ า เป็ น เงิน ที่ น ายจ้ างจ่ ายให้ ลู ก จ้ า งในการเลิ ก สั ญ ญาจ้ า ง
เพื่อปล่อยให้ลูกจ้างออกจากงานเสียทันที มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นการตอบแทนการทำงานตามสัญญา
จ้ า ง จึ ง ไม่ ใ ช่ ค่ า จ้ า ง ตามพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ และมิ ใ ช่ ค่ า จ้ า ง
ตามมาตรามาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราบัญ ญัติดังกล่าวที่ นายจ้างจะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนั ด
อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี
๔๐. ค่าประกันอุบัติเหตุ
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๗๓/๒๕๕๗ (ค่าประกันอุบัติเหตุ)
เรื ่อ ง ค่า โทรศัพ ท์เป็น ค่า จ้า ง ส่ว นค่า พาหนะตอบแทนในการปฏิบ ัต ิง าน ค่า ประกัน
อุบัติเหตุ เงินโบนัส เป็นเงินจูงใจให้ทำงานให้มีประสิทธิภาพ จึงมิใช่ค่าจ้าง
ค่าโทรศัพท์อัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ในลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเท่ากันทุกเดือน โดยไม่
คำนึงว่าโจทก์จะใช้จ่ายเป็ นค่าโทรศัพท์ห รือไม่ หรือได้ใช้เป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ
ค่าโทรศัพท์จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือได้ว่า
เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงานเดือนละ ๖,๙๐๐ บาท จำเลยมีวัตถุ ประสงค์จ่ายเพื่อเป็น
สวัส ดิ ก ารในการปฏิ บั ติ งาน เป็ น การช่ ว ยเหลื อ โจทก์ ไม่ ให้ ต้ อ งเป็ น ภาระค่ าใช้ จ่ า ยในการเดิ น ทาง ได้ รั บ
ไม่แน่นอน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง สำหรับค่าประกันอุบัติเหตุเดือนละ ๕๐๐ บาท เงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้
ตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๑๕๘ บาท และเงินโบนัสเฉลี่ยเดือนละ ๖,๘๔๐ บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่าย
เพื่อจูงใจโจทก์ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ขยันตั้งใจทำงาน และเป็นสวัสดิการ มิ ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน
โดยตรง ได้รับไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
๔๑. ค่ากระดาษทิชชู่
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๑/๒๕๕๙ (ค่ากระดาษทิชชู)
เรื่อง นายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิช ชู อีกคนละ
๑๐ บาทต่อเดือน โดยมีเจตนาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่ อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงาน
ทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนั กงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครอง
แรงงานจังหวัด...ที่ ../๒๕๕๓ ลงวันที่ ... มกราคม ๒๕๕๓ และให้ถือว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็น
ค่าจ้าง และเมื่อนำมารวมกับค่าจ้างปกติที่ลูกจ้างได้รับรวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด
ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และดอกเบี้ยตามคำร้องแล้ว โจทก์จะได้รับค่าล่วงเวลา ๑.๕ เท่า หรือ ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์
ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๘๕๗.๐๔ บาท ค่าทำงานในวันหยุด ๑ เท่า หรือ
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๓๙.๐๖ บาท และค่าล่วงเวลา
ในวั น หยุ ด ๓ เท่ า หรื อ ๓๐๐ เปอร์ เซ็ น ต์ ของงวดวั น ที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึ ง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็ น เงิ น
๔๔๑.๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท (ประเทศไทย)
จำกัด นายจ้างได้รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่ งพนักงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่ ๓
พฤษภาคม ๒๕๓๑ เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองเป็นค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และปี ๒๕๓๕
มอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ปัจจุบันนายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท
และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ ๑๐ บาทต่อเดือน โจทก์เคยนำค่าอาหารรวมกับค่าจ้างเป็นฐานคำนวณเงิน
ประกันสังคมที่นายจ้างเก็บจากลูกจ้างนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคม
จังหวัด...มีหนังสือแนะนำนายจ้างไม่ต้องนำเงินค่าอาหารมาคำนวณเป็นค่าจ้างเพื่อส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
ประกั น สั ง คม บริ ษั ท นายจ้ า งมี ร ะเบี ย บข้ อ บั ง คั บ การทำงานใช้ บั ง คั บ มาตั้ ง แต่ ปี ๒๕๔๑ ถึ ง ปั จ จุ บั น
โดยกำหนดให้เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็นสวัสดิการไว้ในหมวด ๑๒ สวัสดิการ ข้อ ๑๒.๑ ถึง ๑๒.๑๐
แล้ววินิจฉัยว่าเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูไม่เป็นค่าจ้าง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูที่บริษัท
นายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเป็นค่าจ้างหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าสวัสดิการหมายถึงสิ่งของไม่ใช่
ตัวเงินซึ่งสอดคล้องกับกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ.๒๕๔๘ ที่ล้วนแต่เป็น
สิ่งของไม่ใช่ตัวเงิน ทั้งเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูบริษัทนายจ้างให้โจทก์เป็นจำนวนที่แน่นอน ขาดลามา
สายไม่หักเงินดังกล่าว ค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูจึงเป็นค่าจ้าง เห็น ว่า ตามระเบียบข้อบังคับการทำงาน
ของบริษัทนายจ้างกำหนดเรื่องการให้สวั สดิการแก่ลูกจ้างไว้ในหมวดที่ ๑๒ ประกอบด้วยการตรวจสุขภาพ
ประจำปี การบริการข้าวสวย การบริการรับ - ส่งพนักงาน เงินค่าอาหาร การเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ
สถานพยาบาลของบริษัทนายจ้าง การประกันภัยหมู่ เงินช่วยเหลือค่าทำศพ เครื่องแบบพนักงานและอุปกรณ์
ในการทำงาน การเบิกค่ารักษาพยาบาลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับเงินค่าอาหารกำหนดไว้ว่า บริษัท
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๒๒ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
นายจ้างจะให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารแก่พนักงานทุกคนที่เป็นพนักงานประจำของบริษัทตามสภาพการจ้าง
ยกเว้นพนักงานทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอาหาร ประกอบ
กับข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมบริ ษัทนายจ้างมอบคูปองค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และต่อมาปี
๒๕๓๕ บริษัทนายจ้างมอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ย่อมแสดงให้เห็นว่า บริษัทนายจ้างมี
เจตนาแต่แรกที่จะให้ค่าอาหารเป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนั กงานประจำยกเว้นพนักงานทดลองงานและ
พนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงกำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานในหมวดสวัสดิการ และเห็น
เจตนาชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อระยะแรกบริษัทนายจ้างจ่ายค่าอาหารเป็นคูป องและจ่ายกระดาษทิชชูให้ ลูกจ้าง แม้
ต่อมาบริษัทนายจ้างจะเปลี่ยนการจ่า ยค่าอาหารเป็นคูปองและการจ่ายกระดาษทิช ชูมาเป็นตัวเงินโดยจ่ายให้
พนักงานที่มีสิทธิได้รับทุกคนเป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อ นไขว่าพนักงานจะขาดลามาสายหรือไม่ ก็เพื่อ
ความสะดวกในการปฏิบัติของบริษั ทนายจ้างเท่านั้น มิได้แสดงว่าเมื่อบริษัทนายจ้างเปลี่ยนการให้สวัสดิก าร
จากรูปแบบอื่นมาเป็นตัวเงินจะทำให้สวั สดิการดังกล่าวกลายเป็นค่าจ้าง สวัสดิการจึงเป็นตัวเงินได้ ไม่จำต้อง
เป็นแต่สิ่งของหรือบริการที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้าง ดังนั้นเงินค่าอาหารเดือนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู
เดื อ นละ ๑๐ บาท ที่ บ ริ ษั ท นายจ้ างจ่ ายให้ โ จทก์ เป็ น ประจำทุ ก เดื อ นจึ งเป็ น สวั ส ดิ ก าร ไม่ ใช่ ค่ า จ้ า งตาม
ความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น
ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
๔๒. เงินรางวัลการขายรถยนต์
ไม่เป็นค่าจ้าง
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๒๖๐ – ๘๒๖๒/๒๕๕๙
เรื่อง เงินรางวัลการขายรถยนต์ ไม่เป็นค่าจ้าง
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าคอมมิสชันจำนวน ๗๕,๕๐๙ บาท และ ๑๑๒,๘๖๕
บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม ศาล
แรงงานกลางพิ พ ากษาให้ จ ำเลยชำระเงิน แก่โจทก์ ทั้ งสามจำนวน ๑๒๔,๑๐๔ บาท ๙๒,๒๙๙ บาท และ
๙๗,๙๔๒ บาท ตามลำดั บ พร้ อ มดอกเบี้ ย อั ต ราร้ อ ยละ ๗.๕ ต่ อ ปี นั บ แต่ วั น ฟ้ อ งจนกว่ า จะชำระเสร็ จ
คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจ ฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้าง
ของจำเลย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดเช่าซื้อรถใหม่ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน โจทก์ที่ ๑
ลาออกเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ลาออกเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จำเลย
ตกลงจ่ายเงินรางวัลการขายรถยนต์ คันละ ๖๐๐ บาท เมื่อลูกค้าผ่อนค่างวดครบ ๔ งวดแรก ตรงตามกำหนด
แต่หากชำระไม่ตรงตามกำหนด โจทก์ทั้งสามจะต้องติดตามให้ลูกค้าชำระให้ครบภายในงวดที่ ๕ ถ้าไม่ครบ
จำเลยจะหักเงินรางวัลจากเงินรางวัลรวมที่ทำได้ในงวดที่ ๔ เป็นเงิน ๑,๘๐๐ บาท หากติดตามให้ลูกค้าชำระ
ครบในงวดที่ ๕ จำเลยจะคืนเงิน ๑,๘๐๐ บาท พร้อมจ่ายเงินรางวัล ๖๐๐ บาท รวม ๒,๔๐๐ บาท ให้โจทก์
ทั้งสาม ส่วนเงินรางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้มีเงื่อ นไขว่าจะจ่ายเมื่อลูกค้าชำระตรงกำหนด
สี่งวดแรกเป็นเงิน ๕๐๐ บาท ต่อการขายแต่ละครั้ง และโจทก์ ทั้งสามยังได้รับเงินรางวัลจากบริษัทประกันเพิ่ม
อีกร้อยละ ๕ ของค่าเบี้ยประกันเมื่อลูกค้าชำระค่างวดในงวดแรกแล้ว และวินิจฉัยว่าเงินตามฟ้องถือว่าเป็นเงิน
ส่วนหนึ่งที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานโดยคิดตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้สำหรับระยะเวลา
ทำงานปกติของการทำงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ประการแรกของจำเลยว่า เงินรางวัลตามฟ้องเป็นค่าจ้างตาม
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าเงินรางวัล
จากการขายรถยนต์ จำเลยตกลงจ่ายให้โจทก์ทั้ งสามต่อเมื่อลูกค้าผ่อนค่างวดครบสี่งวดแรกตรงตามกำหนด
หากชำระไม่ตรงตามกำหนด โจทก์ทั้งสามก็จะต้องติดตามให้ลูกค้าชำระให้ครบภายในงวดที่ ๕ มิฉะนั้นจำเลย
จะหักเงินรางวัลจากเงินรางวัลรวมที่ทำได้ในงวดที่ ๔ แต่หากโจทก์ทั้งสามติดตามให้ลูกค้าชำระครบในงวดที่ ๕
แล้ว จำเลยจะคืนให้พร้อมเงินรางวัลที่หักไว้ ส่วนเงิน รางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้จะจ่ายให้
เมื่อลูกค้าชำระตรงตามกำหนดสี่งวดแรกต่อการขายแต่ละครั้ง และเงินรางวัลจากบริษัทประกันเพิ่มอีกร้อยละ
๕ ของค่าเบี้ยประกันจะได้รับต่อเมื่อลูกค้าชำระค่างวดในงวดแรกแล้วเช่นนี้เห็นได้ว่าการจ่ายเงินรางวัลจากการ
ขายรถยนต์และเงินรางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้นั้น มุ่งหมายเพื่อเป็นการจูงใจให้พนักงาน
ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการหาลูกค้าและตรวจสอบความสามารถในการผ่อนชำระเงินค่างวดของลูกค้า
เพื่อป้องกันความเสียหายในด้านสินเชื่ อเพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจของจำเลยอีก ทั้งเป็นการกระตุ้นให้
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
- ๑๒๔ - นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
A B O U T
“ความรู้” ทาให้ชีวิตเปลีย่ น
P U B L I C A T I O N / ผลงานวิชาการ
Contact Information
สรุปคาพิพากษาศาลฎีกาคดีแรงงาน รายปี
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
รวมคาพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้าง
รวมเล่มคาพิพากษาเกีย่ วกับพนักงานตรวจแรงงาน ปี 2560 – 2564
ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง
รวมเล่มคาพิพากษาเกีย่ วกับพนักงานตรวจแรงงาน ปี 2555 - 2559
เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
รวมเล่มคาพิพากษาเกีย่ วกับความเป็นนายจ้างลูกจ้าง ปี 2555 - 2564
(096) 865 6547 รวมเล่มคาพิพากษาเกีย่ วกับเลิกจ้าง ลาออก ปี 2555 - 2564
cherdsak.k@labour.mail.go.th รวมเล่มคาพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกฎหมายประกันสังคมและ
กฎหมายเงินทดแทน
W O R K E X P E R I E N C E / ประสบการณ์การทางาน
วิทยากรบรรยาย
ความรูก้ ฎหมายคุ้มครองแรงงาน
วินัยในการทางาน
ข้อบังคับการทางาน สัญญาจ้าง
ค่าจ้าง ค่าตอบแทน
วันหยุด/วันลา
E D U C A T I O N / การศึกษา
กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน
ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง
เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
096 865 6547
cherdsak.k@labour.mail.go.th