Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 11

ทบทวนก่อนสอบปลายภาค วิชา คณิตศาสตร์วิศวกรรม (01417167)

หัวข้อ ปริพนั ธ์
เทคนิ คการหาปริ พนั ธ์
1. การหาปริ พนั ธ์ของฟั งก์ชนั ตรีโกณมิ ติ
เอกลักษณ์
sin 2 u  1  cos 2 u หรือ cos 2 u  1  sin 2 u
1  cos 2u 1  cos 2u 1
sin2 u  cos2 u  sin u cos u  sin 2u
2 2 2
1 1
sin A cos B  sin(A  B)  sin(A  B) cos A cos B  cos(A  B)  cos(A  B)
2 2
1
sin A sin B  cos(A  B)  cos(A  B)
2
cos x dx  d(sin x) sin x dx  d(cos x)

ตัวอย่าง จงหา 1.  sin 7 x cos 3 x dx 2.  cos 2x  sin x 2 dx


เอกลักษณ์
tan 2 x  sec 2 x  1 หรือ cot2 x  csc2 x  1
tan m  1 x
สูตรลดทอน m
 tan x dx    tan m  2 x dx,
m 1
n 1
n cot x
 cot x dx     cotn  2 x dx
n 1
n 1 n 2 n2 n 2
 sec x dx  n  1 sec x tan x  n  1  sec x dx
n 1 n 2 n2 n 2
 csc x dx   n  1 csc x cot x  n  1  csc x dx
sec2 x dx  d(tan x)  csc2 x dx  d(cot x)
sec x tan x dx  d(sec x)  csc x cot x dx  d(csc x)
ตัวอย่าง จงหา  tan 3 x sec 4 x dx

2. การหาปริ พนั ธ์โดยการแทนค่าด้วยฟังก์ชนั ตรีโกณมิ ติ

รูปแบบ แทนด้วย ผลทีได้

a
a 2  b2 u2 u sin  a 2  b2u 2  a cos 
b

a
a 2  b2 u 2 u tan  a 2  b2u 2  a sec 
b

a
b2 u 2  a 2 u sec  b2u2  a 2  a tan 
b

1
dx
ตัวอย่าง จงหา  x2  4 3 / 2

3. การหาปริ พนั ธ์ของฟั งก์ชนั ตรรกยะโดยการแยกเป็ นเศษส่วนย่อย


ถ้าดีกรีของ P(x)  ดีกรีของ Q(x) ให้ตงหารยาวแล้
ั วแยกตัวประกอบของ Q(x) โดย
P(x) A1 A2 Am
=   ... 
(ax  b)m ax  b (ax  b) 2
(ax  b)m

P(x) A1x  B1 A 2 x  B2 A m x  Bm
   ... 
(ax  bx  c)m (ax 2  bx  c) (ax 2  bx  c)2
2
(ax 2  bx  c)m

ตัวอย่าง จงหา 1.  4x  1 2 dx 2.  x
dx
x  2x (x  1)(x 2  1)

4. การหาปริ พนั ธ์ของฟั งก์ชนั ที มีนิพจน์ ซึงมีเลขชี กําลังเป็ นเศษส่วน


1
ให้ u  g(x)n หรือ u n  g(x)
เมือ n เป็ น ค.ร.น.ของตัวส่วนของเลขชีกําลังของ g(x)
1
ตัวอย่าง จงหา  (2x  1)2 / 3  dx
2x  1

แบบฝึ กหัดทบทวนเทคนิ คการหาปริ พนั ธ์


จงแสดงวิธที าํ เพือหาค่าของปริพนั ธ์ต่อไปนี
1  cos x
1.  dx ( 2 คะแนน)
csc(2x)

2.  x 1 2 x dx ( 3.5 คะแนน)
e e
1
3.  dx ( 4 คะแนน)
(4  x 2 ) 2
5

3 x 1
4.  dx ( 5 คะแนน)
x 1
x 2 x
 2 sin
2
  cos   dx
5. 2 2 ( 3 คะแนน )
1
6.  dx ( 3.5 คะแนน )
e 3x 4  e 2x
x2  x  1
7.  x 2  9 dx ( 1.5 คะแนน )
sec 4 x
8.  1  tan 3 x dx ( คะแนน )

2
x 2  2x  2
9.  dx ( 3.5 คะแนน)
x 4  2x 2
sin 2
10.  cos 4   sin 4  d ( 3 คะแนน)
1
11.  x 2  2x  3 3 / 2 dx
 
( 3.5 คะแนน)
12.  tan 3 x  cos 3x cos 2 x  sec x dx ( 4 คะแนน)
13.  1 dx 1 ( 3 คะแนน)
x 2 x 4

4  3e 2 x
14.  dx ( 5 คะแนน)
e 5x
2  4 cos x cos 2 2 x 
15.  tan 2 x 
 sec 2 x   dx
 ( 3 คะแนน)
 sin 2 x 
dx
16.  (x2  2x  5) 5
2
( 3.5 คะแนน)
1
17.  dx ( คะแนน )
x  x +1   x +1
2

x
18.  2
dx ( คะแนน )
x  2x +3
19.

หัวข้อ ประยุกต์ปริ พนั ธ์จาํ กัดเขตและปริพนั ธ์ไม่ตรงแบบ


y y
พืนทีระหว่างเส้นโค้ง y = f(x) y = f(x)
b
A  a สูง หนา
f(x*k)- g(x*k)
R
y = g(x) y = g(x)

วางแท่งตังฉากกับแกน x = ความหนา dx a b x a b x

วางแท่งตังฉากกับแกน y = ความหนา dy

ตัวอย่าง ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยกราฟ x  y, x  2y และ y 1 จงใช้ปริพนั ธ์เพือหาพืนทีของ


R

ตัวอย่าง จงใช้ปริพนั ธ์เพือหาพืนทีของ R ซึงเป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง x  y2 เส้นตรง x  y3


y  1 และ y  1 พร้อมทังวาดรูปบริเวณ R ด้วย

3
ปริมาตรซึงเกิ ดจากการหมุน y
1 วิ ธีแบบจาน y = f(x)

ต้องวางแท่งสีเหลียมผืนผ้าในแนวฉากกับแกนหมุน
ปริมาตรของรูปทรงสามมิตทิ เกิ
ี ดจากการหมุนบริเวณR รอบเส้นตรง yk หรือ x  k คือ
y = g(x)
b
V   π { [ รัศมีวงนอก ]2 - [รัศมีวงใน ]2 }  ความหนา
a
b
 a π { [ฟังก์ชนั ขอบด้านนอก ]2 - [ฟังก์ชนั ขอบด้านใน ]2 } ความหนา
a b x

ตัวอย่าง ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง y  x2 และ เส้นตรง y  4 และเขียนปริพนั ธ์สาํ หรับ
การหาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน x

ตัวอย่าง ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นตรง y = x , y = 3 – x และ x = 4 จงวาดรูปบริเวณ R และ


เขียนปริพนั ธ์สาํ หรับการหาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน y โดยใช้วิธีแบบจาน (Disk Method)
โดยไม่ต้องคํานวณค่า พร้อมวาดรูปประกอบ

. วิ ธีเปลือกทรงกระบอก
ต้องวางแท่งสีเหลียมผืนผ้าในแนวขนานกับแกนหมุน y
ปริมาตรของรูปทรงสามมิตทิ เกิ
ี ดจากการหมุนบริเวณR รอบเส้นตรง yk หรือ xk คือ y
y = f(x)
b
V   (2 π)( รัศมี )  (ความสูง)  (ความหนา)
a
b
 2π 
a
…..  (ความสูง)  (ความหนา) y = g(x)
a b x
x=k

ตัวอย่าง ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง y  x2 และ เส้นตรง y  4 และเขียนปริพนั ธ์สาํ หรับ
การหาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน x

ตัวอย่าง จงหาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน y โดย R เป็ นบริเวณทีล้อมรอบด้วยวงกลม


(x  b)2  y2  a 2 โดยที b > a > 0 ให้ใช้วธิ แี บบเปลือกทรงกระบอก (Cylindrical Shell Method) พร้อมวาดรูป
ประกอบ

4
การหาพืนที ในระบบพิกดั เชิ งขัว
1 
พืนทีซึงปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง เส้นตรง และ คือ A [ f () ]2 d
2 
r  f ()       

ในทํานองเดียวกันถ้า R เป็ นบริเวณทีปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง r  f () , r  g() เส้นตรง    และ   

ตัวอย่าง ให้ R เป็ นบริเวณทีอยูน่ อกวงกลม r  2 และอยูภ่ ายในเส้นโค้งรูปหัวใจ ( Cardioid) r  4  4 sin 


จงวาดรูป R และเขียนปริพนั ธ์สาํ หรับการหาพืนทีของบริเวณ R โดยไม่ต้องคํานวณค่า

ตัวอย่าง ให้ R เป็ นบริเวณทีอยูร่ ะหว่างเส้นโค้ง r  3  3 sin  และเส้นโค้ง r  3 sin  จงหาพืนทีของบริเวณ


R

แบบฝึ กหัดทบทวนประยุกต์ปริพนั ธ์จาํ กัดเขต


1. จงหาพืนทีบริเวณ R ทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง x  y 2 และ y  x2

2. ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง x  y เส้นตรง 2y - 3x = 2 และแกน y จงวาดรูปบริเวณ R และหา


พืนที ของบริเวณ R
3. จงเขียนปริพนั ธ์ทใช้
ี สาํ หรับหาพืนทีของ R ซึงเป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง x  9  y2 เส้นตรง x + 3 = y
และ - x - 3 = y พร้อมทังวาดรูปบริเวณ R ด้วย โดยไม่ต้องคํานวณค่า
4. ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง x  y2 และ y  x2 จงวาดรูปบริเวณ R และ
4.1 หาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน x โดยใช้วธิ โี ดยใช้วธิ แี บบจาน
4.2 หาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน y โดยใช้วธิ แี บบเปลือกทรงกระบอก
5. ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง x  y 2 , y = x + 2 และแกน y จงวาดรูปบริเวณ R และ
จงเขียนปริพนั ธ์สาํ หรับการหาปริมาตรทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน x โดยใช้วธิ แี บบจานโดยไม่ต้อง
คํานวณค่า
3
6. บริเวณ R ทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้ง y = x , y - 2x = 4 และแกน y ดังรูป
จงหาปริมาตรรูปทรงตันทีเกิดจากการหมุนบริเวณ R รอบแกน y
7. จงหาปริมาตรรูปทรงตันทีเกิดจากการหมุนบริเวณทีล้อมรอบด้วยเส้นโค้ง
y  x 2  3 และ รอบแกน y โดยวิธแี บบเปลือกทรงกระบอก
8. จงหาพืนทีบริเวณ R ทีอยู่ในหัวใจ r  1  sin  แต่อยู่นอกวงกลม r   sin 

5
9. จงเขียนปริพนั ธ์ทใช้
ี สาํ หรับหาพืนทีทีอยูภ่ ายในวงกลม r  3 sin  และอยู่ภายนอกเส้นโค้งรูปหัวใจ ( Cardioid)
r  1  sin  พร้อมทังวาดรูปประกอบด้วย โดยไม่ต้องคํานวณค่า
10. จงหาพืนทีทีอยู่นอกวงกลม r = 2 และอยู่ภายในเส้นโค้งรูปหัวใจ ( Cardioid) r  2  2 cos 

. จงหา พืนทีบริเวณทีอยูใ่ นรูปหัวใจ r  2  2 sin  และอยูน


่ อกวงกลม r=3
12. ให้ R เป็ นบริเวณทีถูกปิ ดล้อมด้วยเส้นโค้งพาราโบลา y  1  x 2 เส้นตรง y  x  3 แกน x และแกน y
จงหาพืนที ของบริเวณ R
13. จงหาพืนทีของบริเวณ R ซึงอยู่ภายในหัวใจ r  1  sin  นอกวงกลม r  sin  และอยู่เหนื อแกน x
พร้อมทังวาดรูปบริเวณ R บนแกนทีกําหนดให้

แบบฝึ กหัดทบทวนปริพนั ธ์ไม่ตรงแบบ


จงหาค่าปริพนั ธ์ไม่ตรงแบบ
1  2
1.  x 1 2x dx 2. 1
 3 2x  1 dx 3.  1 dx
e e
0 1
x ln x
1

1 
1 dx
4.
1/ 2
 x(1  x)
dx 5.   1  x
2

 2

6. 
2 x x dx


หัวข้อ อนุกรมอนันต์
นิ ยาม อนุกรมอนันต์ คือ ผลบวกของจํานวนจริงอนันต์พจน์ซงเขี
ึ ยนอยูใ่ นรูป

 an  a1  a 2  a3    an  
n 1


นิ ยาม อนุกรมเรขาคณิ ต คือ อนุกรมทีอยู่ในรูป  ar n 1  a  ar  ar 2    ar n 1   a  0
n 1


ทฤษฎีบท (การลู่เข้าของอนุกรมเรขาคณิต  ar n 1 )
n 1
ถ้า r 1 แล้วอนุ กรมลู่เข้า ถ้า r 1 แล้วอนุ กรมลู่ออก

นิ ยาม อนุกรมพี หรืออนุกรมไฮเพอร์ฮาร์มอนิ ก คือ อนุ กรมทีอยูใ่ นรูป



1 1 1 1
 n p
 1 p  p  p 
2 3 n
โดยที p0
n 1

6

1
ทฤษฎีบท (การลู่เข้าของอนุ กรมพี  p
)
n 1 n
ถ้า p 1 แล้วอนุ กรมลู่เข้า ถ้า p 1 แล้วอนุกรมลู่ออก

ทฤษฎีบท (ทดสอบการลู่ออก)

ถ้า lim an  0 แล้วอนุ กรม  an ลู่ออก
n n 1

ถ้า lim an  0 แล้วอนุ กรม  an อาจจะลู่เข้า หรือลู่ออกก็ได้
n n 1

ทฤษฎีบท
1.  an  bn 
อนุกรมลู่เข้า  อนุกรมลู่เข้า → อนุกรมลู่เข้า
อนุกรมลู่เข้า  อนุกรมลู่ออก → อนุกรมลู่ออก
อนุกรมลู่ออก  อนุกรมลู่ออก → สรุปไม่ได้
2. อนุกรม  can ลู่เข้าหรือลู่ออก ตามอนุกรม  an เมือ c เป็ นค่าคงตัวทีไม่เท่ากับศูนย์
 
3.  an และ  an  ak  ak 1   จะลู่เข้าหรือลู่ออกทังคู่
n1 nk

การทดสอบอนุกรมบวก
ทดสอบ อนุกรม  an โดย
1. การทดสอบด้วยการเปรียบเทียบ
นําอนุกรม  bn ทีทราบแล้วว่า ลู่เข้าหรือลู่ออกมาเปรียบเทียบ โดยที
1. ถ้า  bn เป็ นอนุ กรมลู่เข้า และ an  bn ทุกค่า n  1 แล้ว  an เป็ นอนุกรมลู่เข้าด้วย
2. ถ้า  bn เป็ นอนุกรมลู่ออก และ bn  an ทุกค่า n  1 แล้ว  an เป็ นอนุ กรมลู่ออกด้วย
2. การทดสอบด้วยการเปรียบเทียบลิ มิต
an
นําอนุกรม  bn ทีทราบแล้วว่า ลู่เข้าหรือลู่ออกมาหาลิมติ lim L โดยที
n   bn
1. ถ้า L   และ  bn ลู่เข้า แล้วจะได้วา่  an ลู่เข้าด้วย
2. ถ้า L  0 และ  bn ลูอ่ อก แล้วจะได้ว่า  an ลู่ออกด้วย
. การทดสอบแบบอัตราส่วน (Ratio Test)
an 1
หาลิมติ lim L โดยที
n   an
1. ถ้า L 1 แล้ว  an ลู่เข้า
2. ถ้า L 1 แล้ว  an ลู่ออก
3. ถ้า L 1 แล้ว สรุปไม่ได้ ต้องไปใช้วธิ อี นื
7
. การทดสอบโดยใช้รากที n
1
หาลิมติ lim n an  lim an  n  L โดยที
n  n
1. ถ้า L 1 แล้ว  an ลู่เข้า
2. ถ้า L 1 แล้ว  an ลู่ออก
3. ถ้า L 1 สรุปไม่ได้ ต้องไปใช้วธิ อี นื


n1 / 3
ข้อแนะนํา อนุกรมที มีพจน์ np เช่น  ควรใช้การทดสอบที หรือ
n 1 8n 2  5n  1

n!
อนุกรมที มีพจน์ n! เช่น  n
ควรใช้การทดสอบแบบอัตราส่วน
n 1 3

n 50
อนุกรมที มีพจน์ทีมีกาํ ลัง n เช่น  n
ควรใช้การทดสอบทดสอบแบบอัตราส่วน หรือโดย
n 1 e
ใช้รากที n

 
การทดสอบอนุกรมสลับ   1n b n หรือ   1n  1 b n เมือ bn  0 ทุกค่า n
n 1 n 1
ถ้า lim bn  0 และ bn  bn 1 ทุกค่า n 1 แล้วจะได้วา่ อนุกรมสลับนีลู่เข้า
n

การลู่เข้าแบบมีเงือนไขและการลู่เข้าแบบสัมบูรณ์
เป็ นการทดสอบอนุกรมใดๆ
 
นิ ยาม 1. ถ้า  an ลู่เข้า จะกล่าวว่า  an ลู่เข้าแบบสัมบูรณ์
n 1 n 1
  
2. ถ้า  an ลู่เข้า แต่  an ลู่ออก จะกล่าวว่า  an ลู่เข้าแบบมีเงือนไข
n 1 n 1 n 1

ทฤษฎีบท ถ้า  an ลู่เข้าแล้ว  an ลู่เข้าด้วย

อนุกรมกําลัง

อนุกรมกําลังใน x – a หมายถึง อนุกรมทีอยูใ่ นรูป  cn ( x  a) n โดยที a,cn  
n0
เมือ n = 0, 1, 2, . . . และเรียก cn ว่า สัมประสิ ทธิ ของอนุกรมกําลัง a ว่า ศูนย์กลางของอนุกรมกําลัง

จะเรียกเซตของค่า x ทีทําให้  cn ( x  a ) n ลู่เข้าว่า ช่วงของการลู่เข้า = x x  a  R
n 0
และ เรียก R ว่ารัศมีของการลู่เข้า
8

วิ ธีหารัศมีของการลู่เข้า R ของ  c n  x  a  n
n0

cn
1. หาค่า รัศมีของการลู่เข้า R  lim
n  cn 1
2. ถ้า R0 แล้วอนุ กรมลู่เข้า ที x = a เพียงจุดเดียว ถ้า R   แล้วอนุ กรมลู่เข้าทุก x
3. ถ้า 0  R   แล้วช่วงของการลู่เข้า คือ aR  xaR

ต้องทดสอบจุดปลาย โดยแทนค่า x aR และ x aR ลงใน  cn  x  a  n
n 0

ตัวอย่างทบทวนอนุกรมอนันต์
) จงทดสอบว่าอนุ กรมบวกต่อไปนีว่าลูเ่ ข้าหรือลู่ออก

n 
arctan n 
n 50 
n!
1.  ln(n  1)
2.  n2  1
3.  en
4.  nn
n 1 n 1 n 1 n 1
n 4/3

2 1 
n 
n 1/ 3 
(n  5)12
5.  3 n  2n
6.  2
8 n  5n  1
7.  3
8. 
(5n  1)14
n 1 n 1 n 1 5n 2  1 n 1

n! 
(2n  3)! 3 5 7
9.  10.  11. 1  2  2  2  ...
n 1 5  9  13 (4n  1) n 1  2n ! 5n 2 3 4
 3
27 n 2  10   ln(2n  1)  ln n n  (5n ) n !
12.  13.    14. 
n2 n 2 ln(n  1) n 1  en  n 1 2.5.8...(3n  2)
 n n 

1   n(2)  4(3 ) n ln n
15.  n 2
sin  
n
16.  n3n
17.  n2  2
n2 n 1 n 2
2
 n n
 n 
18.   
n  3
n 1


2n  cos(n )
2) จงพิจารณาว่าอนุ กรม  ลู่เข้าหรือลู่ออก ถ้าลู่เข้าให้หาผลบวกของอนุกรมด้วย
n 1 3n

3) จงพิจารณาว่าอนุกรมต่อไปนี ลู่เข้าหรือลู่ออก ถ้าลู่เข้าแล้ว ลู่เข้าแบบสัมบูรณ์ หรือลู่เข้าแบบมีเงือนไข


  
1 sin n ln n  1
1.  (1)n 1 2.  2
3.  (1)n 1
n 1 ln(n  1) n 2 n n 1 n  n 1

 2
n 1
n 

n2 
 n2 
4. 
n 1
(1) n 1

n( n  3)
5. 
n 1
( 1) n 1
 
 3n  1 
6. 
n 1 5n  n
7. 

( 1)n
8. 
 2 cos n10 n
n 1 n 2  2n n 1 (2 n  1)!

9

3n
) จงหารัศมีของการลู่เข้าของอนุ กรมกําลัง   x  5 n
n 0 4 (n  1)2
n

5) จงหาช่วงของการลู่เข้า รัศมีการลู่เข้า และจุดศูนย์กลางของอนุ กรมกําลัง



(1)n 
 x  2 n 
(1)n ( x  2) n
1.  2x  1n 2.  3. 
n0 n6 n n0 3 n (n  1) n 1 n 2n

5.     x  2 n
n

n  3
4.  2n 
2 x  3
n

n 0 (n  1)4
2
ln(n  1)
n 1

 n


1  2x 
6) จงหารัศมีและช่วงการลู่เข้าของอนุกรมกําลัง 1  
n 3 
n 1
อนุกรมเทย์เลอร์และอนุกรมแมคคลอริน
บทนิ ยาม ถ้า f(x) มีอนุพนั ธ์ทุกอันดับที x =a แล้ว อนุกรมเทย์เลอร์ สําหรับ f รอบ x =a คือ อนุกรมกําลังที
อยูใ่ นรูป

f (n)(a) f (a) f (a) f (n)(a)
 n!
(x  a)n  f(a) 
1!
(x  a) 
2!
(x  a)2  ... 
n!
(x  a)n  ...
n0

dn y
เมือ f (n)(a)  n x a
ทุกค่า n = 1, 2, 3, … และ f (0)(a)  f(a)
dx

ถ้า a = 0 แล้วอนุ กรมเทย์เลอร์สาํ หรับ f อยูใ่ นรูป



f (n)(0) n f (0) 2 f (n)(0) n
 n!
x  f(0)  f (0)x 
2!
x  ... 
n!
x  ...
n0

เรียกว่า อนุกรมแมคคลอริ น สําหรับ f


1) จงกระจายอนุกรมเทย์เลอร์ของ f(x)  1  x รอบจุด a  3 ในรูป a
n 1
n

2) จงหาอนุกรมแมคคลอรินเฉพาะ พจน์แรกของฟั งก์ชนั


2.1 f (x)  cos(3x) 2.2 f ( x)  ln(1  3x 2 )
1
3) จงหาอนุกรมเทย์เลอร์ของ f (x)  ณ จุด a2 โดยหาถึงพจน์ที 4
x
4) จงหาอนุกรมเทย์เลอร์ของ f (x)  ln x รอบจุด a3 โดยหาถึงพจน์ที 4

หัวข้อ อุปนัยเชิงคณิตศาสตร์

วิธกี ารพิสจู น์ว่าข้อความ P(n) เป็ นจริงสําหรับทุกๆจํานวนนับ n  1 ประกอบด้วยขันตอน 2 ขันตอนดังต่อไปนี


(1) ขันฐาน (Base case)
แสดงว่า P(1) เป็ นจริง
(2) ขันอุปนัย (Inductive Step)
สมมติวา่ ข้อความ P(k) เป็ นจริงสําหรับทุกๆ k  1 แล้วแสดงให้ได้วา่ P(k  1) เป็ นจริง
10
ตัวอย่างทบทวนอุปนัยเชิ งคณิ ตศาสตร์
1) จงใช้อุปนัยเชิงคณิตสาสตร์เพือแสดงว่า 8 (52n  1) ( 8 หาร (52n  1) ได้ลงตัว ) สําหรับ
ทุกจํานวนนับ n
( แนะ x y ก็ต่อเมือ y  mx บาง m ทีเป็ นจํานวนเต็ม )
2) จงใช้อปุ นัยเชิงคณิตสาสตร์พสิ จู น์ขอ้ ความต่อไปนี สําหรับทุก n  
2.1 2  4  6    2n  n(n  1)
2.2 1  3  5    (2n  1)  n2
2.3 สําหนับจํานวนนับ n ใดๆ จงแสดงว่า n2  n เป็ นจํานวนคู่

3) จงใช้อปุ นัยเชิงคณิตสาสตร์เพือแสดงว่า
1 1 1 1 n
   2  สําหรับทุกจํานวนนับ n
3 15 35 4n  1 2n  1
1 2 n 1
4) จงใช้อุปนัยเชิงคณิตสาสตร์เพือแสดงว่า   ...   1
2! 3! n  1! n  1!
สําหรับทุกจํานวนนับ n

11

You might also like