Professional Documents
Culture Documents
รส.31-81.8 การดำรงชีพในป่า - 2556
รส.31-81.8 การดำรงชีพในป่า - 2556
รส.31-81.8 การดำรงชีพในป่า - 2556
คูมือกองทัพบก
วาดวย
การดํารงชีพในปา
รส.๓๑-๘๑.๘.XX
พ.ศ. ๒๕๕๖
สารบัญ
เรื่อง หนา
คํานํา
บทนํา ก
บทที่ ๑ ชนิดและประโยชนของปาไม ๑
- ปาไมของประเทศไทย ๒
บทที่ ๒ การดํารงชีพในปา ๑๑
- การเตรียมตัวในการดํารงชีพในปา ๑๑
- กลองดํารงชีพ ๑๑
- อุปกรณดํารงชีพอื่นๆที่ควรมีติดตัว ๑๑
- การใชแผนที่ ๑๒
- ขอพิจารณาในการเดินปา ๑๕
- การสังเกตทิศทางจากดวงอาทิตยและดวงดาว ๑๕
- การรักษาทิศทางการเดิน ๑๗
- การเดินออมสิ่งกีดขวาง ๑๘
- การเลือกเสนทางเดินและการเดินทาง ๒๐
- การขามลําน้ํา ๒๔
- การขอความชวยเหลือจากประชาชนในทองถิ่น ๓๓
- การสงสัญญาณ ๓๖
- ที่พัก ๔๐
บทที่ ๓ การหาน้ําและการเตรียมอาหาร ๔๕
- การแสวงหาน้ํา ๔๖
- วิธีตัดเถาวัลย ๔๘
- การแสวงหาอาหาร ๕๑
- วิธีจับปลา ๕๒
- การลาสัตว ๖๐
- การวางกับดัก ๖๑
- วิธีกอไฟ ๖๘
- การประกอบอาหาร ๘๑
- การถนอมอาหาร ๙๑
บทที่ ๔ พืชสมุนไพรในการดํารงชีพ ๙๒
บทที่ ๕ ความรูทั่วไปเกี่ยวกับงู ๑๗๒
บทที่ ๖ การสุขาภิบาลและการปฐมพยาบาล ๑๘๕
-การรักษาสุขภาพอนามัย ๑๘๕
-การปฐมพยาบาล ๑๘๗
-การสุขาภิบาลทหาร ๑๙๖
บรรณานุกรม ๑๙๙
คํานํา
การดํารงชีพในปา เปนความรูที่จําเปนอยางยิ่งในสถานการณที่ทหารตองใชในขณะเล็ดลอด
หลบหนี จากการติดตามของฝายขาศึก จากการพลัดหลงจากหนวย จากการถูกปดลอม และจาก
การขาดการติดตอและขาดการสงกําลังบํารุงจากหนวยเหนือ ทหารจึงจําเปนจะตองเรียนรูเพื่อให
เกิดประสบการณ เกิดความชํานาญ ทําใหสามารถชวยตนเองและเพื่อนรวมงานใหรอดพนจากการ
รอดตาย
ความรูที่มีอยูในการดํารงชีพในปาและในถิ่นทุรกันดารที่ขาดการสงกําลังบํารุง จะทําให
ทหารไดรูจักกับพืชและสัตวที่นํามาเปนอาหารเปนยา และบางสวนที่เปนพิษ เปนอันตราย พรอม
ทั้งสามารถใชธรรมชาติเพื่อการหาน้ํา และแหลงน้ําได
การดํารงชีพในปาเปนการปฏิบัติที่ไมมีขอบเขตจํากัด ไมตายตัว หากทหารไดเรียนรูอยาง
ถูกตองสามารถนํามาเปนประโยชนกับความอยูรอดของชีวิต ขณะอยูในสถานการณ
สภาพแวดลอมที่บีบบังคับได
เอกสารฉบับนี้ไดรวบรวมเอาความรูแงตางๆ ไวเพื่อเปนแนวทางใหทหารไดนําไปใช
ประโยชน เมื่อตกอยูในสถานการณดังกลาวขางตน คณะผูรวบรวมหวังเปนอยางยิ่งวาความรู
เหลานี้จะมีประโยชนกับผูไดศึกษาพอสมควร
ดวยความปรารถนาดี
ผูบัญชาการโรงเรียนสงครามพิเศษ
คณะผูจัดทํา
- ฝายกรรมวิธีขอมูลโรงเรียนสงครามพิเศษ 18 พ.ค.2556
ก
บทนํา
ปาไมคือสังคมของพืชและสัตว ซึ่งประกอบดวยพรรณไมใหญนอยหลายชนิดเปนหลัก มี
ความสั มพั น ธ อย า งใกล ชิ ด กั บ ความผาสุก ของประชาชน ฐานะทางเกษตรกรรม อุต สาหกรรม
ตลอดจนเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศชาติ
โดยเฉพาะอยางยิ่งประเทศกําลังพัฒนา และเปนประเทศเกษตรกรรมอยางประเทศไทย
ซึ่งมีผลประโยชนรายไดสวนใหญจากผลิตผลทางเกษตร นอกจากผลิตไมและของปาเปนมูลคาปละ
ประมาณ 1,800 ลานบาทแลว (กรมปาไม 2512) ปาไมยังทําหนาที่ปกคลุมพื้นที่ตนน้ําลําธาร ทําให
มีน้ําไหลอยูตลอดปปกคลุมดินมิไดถูกน้ําฝนชะไปทับถมที่เพาะปลูกทับถมทองแมน้ําลําธาร อางเก็บ
น้ํา เขื่อนชลประทานและพลังงานไฟฟาซึ่งรัฐไดลงทุนไวเปนเงินหลายรอยลานบาท
หากพื้นที่ปาไมถูกทําลายเสียหายลง ภัยพิบัติตางๆยอมตามมาอยางไมอาจหลีกเลี่ยงได จะ
เกิดขาดแคลนน้ําในฤดูแลง และเกิดอุทกภัยในฤดูฝน ดินที่ทําการเพาะปลูกจะถูกชะไปถมทะเลจน
เหลือแตหินแข็งทั่วไป สภาพลมฟาอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวรายลง ฐานะทางเศรษฐกิจ
และความมั่นคงของประเทศชาติตองกระทบกระเทือนอยางไมมีปญหา
หากจะมองใหลึ กซึ้ งลงไป ป าไมแตล ะแห งย อมประกอบขึ้ น ดว ยโครงสร างเฉพาะอย าง
ระหวางพืช สัตว ในบริเวณนั้น ซึ่งแตกตางไปจากบริเวณอื่นๆ ยกตัวอยางเชนไมเต็ง ไมรัง ไม
รกฟา ไมเหียง ไมพลวง จะขึ้นอยูแตในปาแดง หรือปาเต็งรังเทานั้น ไมมีไมเหลานี้ขึ้นอยูในปาดง
ดิบเลย และเชนเดียวกัน ไมตะเคียน ไมยาง ไมเคี่ยม ไมห ลุมพอ จะขึ้นในปาดงดิบ ไมมีไม
เหลานี้ขึ้นอยูในปาเต็งรัง ลักษณะของสัตวตางๆ ก็เชนกัน ยอมแตกตางออกไปตามแตละสภาวะ
แวดลอม ทั้ งพื ช และสัตว ยอมเจริญเติบโตไดดี และเลือกอยูในสภาวะแวดลอมที่เหมาะสมกับ
อุปนิสัยแตละชนิดไป
เพราะเหตุวาสิ่งตางๆ ทั้งหลายไมอยูนิ่ง ผิวโลกยอมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้น
ในแตละกลุม แตละบริเวณที่สมาชิกพืชและสัตวซึ่งมีความสัมพันธกันและกัน และตางมีความ
ตองการสภาวะแวดลอมที่คลายๆกัน จึงปรกอบกันขึ้นเปนระบบนิเวศนหรือระบบของความสัมพันธ
กันระหวางพืช สัตว และถิ่นที่อยูอาศัยของกลุมนั้นๆ ซึ่งแตกตางออกไปจากกลุมอื่นไมมากก็นอย
เชน ระบบนิเวศนของปาดงดิบ แตกตางกับระบบนิเวศนของปาเต็งรังในเรื่องความชุมชื้นและความ
อุดมสมบูรณของอินทรีวัตถุในดิน เปนตน
ข
เพราะกวางที่จะใหเสือกินมีนอยลง แตพืชพันธุตางๆที่เปนอาหารกวางจะมีโอกาสฟนตัวขึ้นมา
ภายหลังเมื่อมีอาหารสมบูรณ กวางที่เหลือจากการตายคราวกอน ก็จะคอยๆ เพิ่มจํานวนขึ้น
หมุนเวียนอยูเชนนี้ เราอาศัยความรูอันนี้เขไปจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อใหสามารถอํานวย
ผลประโยชนใหแกมนุษยไดนานที่สุดและมากที่สุด
กวางบนอุทยานแหงชาติเขาใหญ
ภาพแสดงใหเห็นน้ําจากเถาวัลยบางชนิดในปา
น้ําจากเถาวัลยบางชนิดในปานั้นสวนมากใชดื่มไดดีพอสมควร แตมิใชวาเถาวัลยในปาเมื่อ
ตัดแลวจะมีน้ําไหลออกมาทุกชนิด คงมีอยูเพียงไมกี่ชนิดเทานั้น เชน เปาลม หรือสะเถาลม
(Agapetes hosseusii) เงาน้ําทิพย (Agapetes saxicola) เครือเขาน้ํา (Tetrastigma lanceolata)
นอกจากนั้นพวกหวาย ตอนโคนๆมักจะมีน้ําพอดื่มไดบาง ไมไผลําแกๆอาจพบในน้ําในลําปลอง
พวกปาลมบางชนิดก็อาจหาน้ําดื่มไดโดยตัดปลายชอดอก (งวง) เชนเดียวกับการทําน้ําตาลมะพราว
วิธีตัดเถาวัลยใหไดดื่มน้ํานั้น ตอนปลายๆเถามักไมคอยมีน้ํา การตัดตองใชมีดคมๆ ตัดใหสูง
ที่สุดที่คนยืนสามารถตัดไดครั้งหนึ่ง แลวจึงตัดที่โคนของเถาวัลยนั้นอีกครั้งหนึ่ง แลวยกขึ้นใน
แนวดิ่งใหแรงแหงความโนมถวงของโลกดึงใหน้ําในเถาวัลยไหลออกมา น้ําในเถาวัลยจะมากหรือ
นอย หรือรสชาติเปนอยางไรนั้น สุดแตชนิดของเถาวัลย และฤดูกาลดวยคือในฤดูฝนน้ําในเถาวัลย
จะมากกวา
๑
บทที่ ๑
ชนิดและประโยชนของปาไม
การเดินทางในปา กอนการศึกษาเรื่องการเดินปา เราควรทราบลักษณะตางๆของปาเสียกอน
เพราะสภาพของปาไมแตละแหงนั้น มีผลกระทบตอการดําเนินการ เพื่อการดํารงชีพอยูในปา และมี
วิธีการปฏิบัติที่หลากหลายแตกตางกันออกไป รวมทั้งยังอาจจะเกิดภัยขึ้นไดนานาประการอีกดวย
การศึกษาปาไมปาหนึ่งๆ นั้น ขั้นแรกสุดก็ไดแกบรรยายลักษณะทั่วไป เชน ลักษณะโครงสราง
วาปานั้นประกอบดวยไมสูงใหญ มากนอยแคไหน ประกอบดวยไมอะไรบาง เพื่อเปนหลักในการวัด
โดยละเอียดแตละเรื่องตอไป เพื่อใชในการศึกษา วิจัย การจัดการปาไม การสังเกตขั้นตนนี้สามารถ
ทําไดรวดเร็ว ใชเวลาเพียงไมกี่นาทีก็อาจจําแนกใหเห็นไดเลาๆวาสังคมพืชนั้นๆ ควรจะมีลักษณะทั่วไป
อยางไรบาง
ปาไมของโลกอาจแยกไดโดยอาศัยลักษณะทางภูมิศาสตร และลักษณะโครงสรางของปานั้นๆ
แยกชนิดปาโดยอาศัยลักษณะทางภูมิศาสตร ลักษณะของพืชพันธุไมยอมแตกตางกันออกไปตามสวน
ตางๆของโลก อาจแบงไดเปน ๓ บริเวณใหญๆ คือ
- เขตอบอุนเหนือ (Boreal or Holarctic) ไดแกบริเวณถัดจากเขตรอนของเสนศูนยสูตรขึ้นไป
ทางขั้วโลกเหนือ
- เขตรอน (Tropical) คือ บริเวณเขตรอน หรือเสนศูนยสูตร ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยดวย
- เขตอบอุ น ใต (Southern Oceanic) ได แ ก บ ริ เ วณที่ เ ลยเขตร อ นลงไปทางขั้ ว โลกใต
นักวิชาการปาไมบางทานแยกชนิดปาตามลักษณะทางภูมิศาสตรออกเปน ๔ บริเวณใหญๆ โดยเพิ่มเขต
รอนของทวีปอเมริกา (Neo tropical) แยกออกไปตางหากจาก Tropical Zone แตละเขตใหญๆ
เหลานี้ยังแยกยอยออกไปอีก เชนเขต Arctic หรือ Tundra zone เขต Boreal Conifer forest และ
Sub-tropical เปนตน
แยกชนิดปาโดยอาศัยลักษณะโครงสราง วิธีนี้ใชกันแพรหลาย โดยเฉพาะในการศึกษาวิจัย
และการจัดการปาไม เปนการแยกปาชนิดตางๆ ตามลักษณะโครงสรางของปานั้นๆ สามารถแยกและ
บรรยายไดละเอียด ในเขตรอนอาศัยความสัมพันธระหวางดินและน้ําที่เกี่ยวกับปริมาณน้ําฝนแตละป
และความสามารถในการระบายน้ําของดิน กอใหเกิดปาชนิดตางๆสวนในเขตอบอุนนั้นอาจอาศัยชนิดไม
ที่มีมากในปานั้นๆ (dominant species) เปนหลักในการแยกชนิดปาไม เพราะวาไมในปาหนึ่งๆ ของ
เขตนี้มีไมมากชนิดนัก
๒
ปาไมของประเทศไทย
ประเทศไทยอยูในบริเวณเขตรอนซึ่งมีฝนชุก และมีแสงแดดจาอยูเสมอตลอดป เพราะเหตุนี้จึง
ใหมีพืชพันธุตางๆ มากมายหลายชนิด โดยเฉพาะภาคใตของไทยซึ่งเปนปาดงดิบตลอดทั้งภาค อยางไร
ก็ตามบางแหงทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีปาที่มีสภาพแหงแลงอยูบางไดแก ปาเต็ง
รัง และปาทุง
ปาไมในประเทศไทยอาจแบงออกเปนชนิดใหญๆได ๒ ชนิด คือปาประเภทไมผลัดใบ และปา
ประเภทผลัดใบ แตละชนิดก็แยกยอยออกไปอีก ดังตอไปนี้
ปาประเภทไมผลัดใบ
ปาไมผลัดใบมีอยูประมาณ ๓๐% ของเนื้อทีปาไมของประเทศ แยกออกเปน ๔ ชนิด ยอยๆคือ
- ปาดงดิบ
- ปาสนเขา
- ปาพรุ หรือปาบึง
- ปาชายหาด
ปาดงดิบ
ปาชิดนี้เกิดขึ้นในภูมิประเทศคอนขางชื้น มีฝนตกชุกไดรับอิทธิพลมรสุมอยางมาก ปาชนิดนี้
กระจัดกระจายอยูทั่วไป ไมวาตามที่ราบหรือแทบภูเขา ปาดงดิบยังแยกออกไปอีก ๓ ชนิด คือ
- ปาดงดิบชื้น
- ปาดงดิบแลง
- ปาดงดิบเขา
ปาดงดิบชื้น
มีอยูในภาคใตตลอดทั้งปและมีในภาคตะวันออกเฉียงใตบริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด เพราะ
บริเวณเหลานี้มีฝนตกชุกตลอดป (มากกวา ๑,๕๐๐ มม.) นอกจากนั้นในบางทองที่ของจังหวัดหนองคาย
ก็มีปาที่มีสภาพคลายๆกันนี้
ปาชนิดนี้เปนปาที่ประกอบดวยไมหลายชนิด เปนสังคมพืชที่ยุงยาก สลับซับซอน มีพืชพันธุอีก
หลายรอยชนิดที่ยังไมรูจักชื่อ ไมในปาดงดิบชื้นในคาบสมุทรแหลมทอง ที่รูจักชื่อแลวประมาณ ๒,๕๐๐
ชนิด (สเปอร ๒๕๐๗)
ปาชนิดนี้เปนหมาทึบ มีเรือนยอดชิดกัน อาจแยกชั้นความสูงของปาออกเปน ๓ ชัน คือ ไมชั้น
บนสุดหรือไมที่สูงที่สุด สูงถึง ๔๐-๔๕ เมตร มีขนาดใหญ อยูกระจัดกระจายเปนตอนๆ สวนไมขนาด
กลางที่ สู ง ราว ๒๕-๓๐ เมตร จะมี มากกวา และติ ดกั น เป น พื ด หากมองจากเครื่ องบิ น จะเห็น เป น
เหมือนกับพื้นอีกชั้นหนึ่งในปาที่สมบูรณ ชั้นลางสุด คือ ไมเล็กและลูกไมตางๆประกอบกันหนาแนนมาก
มีพวกปาลมและเถาวัลยประกอบทําใหแนนทึบและผานเขาไปไดลําบาก แสงสวางที่สองมาจากเบื้องบน
ในบางตอนไมอาจสองทะลุถึงพื้นได แมวาจะมีความชื้นสูง แตอากาศสดชื่นดี นอกจากวามีสัตวและพืชที่
มีพิษมากมายหลายชนิดแลว ปารุนสองที่ขึ้นหลังจาก ปาเดิมถูกตัดฟนลง จะแนนทึบ และพืชที่มีหนาม
มักขึ้นอยู ยากแกการบุกเขาไปได
๓
ปาดงดิบแลง
ปาชนิดนี้มีกระจัดกระจายอยูทั่วประเทศ ตามที่ราบลุมตามหุบเขาในระดับต่ําซึ่งสูงประมาณ
๕๐๐ เมตร หรือตามแนวลําหวย และลําธาร ตามที่มีบริเวณน้ําฝนคอนขางชุก ขณะนี้มีปาชนิดนี้เปน
หยอมๆ ทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกจากตามบริเวณหุบเขาแลว ปาดงดิบแลวในปจจุบันนี้เปนรองรอยที่เหลืออยูของพื้นที่ปา
อันกวางใหญและอุดมสมบูรณไปดวยพืชพันธุไมปกคลุมที่ราบภาคกลาง หรือที่ราบลุมแมน้ําเจาพระยา
และบางสวนของพื้นที่ราบสูงบริเวณจังหวัดนครราชสีมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปจจุบันปาดงดิบ
แลงที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณดีไดแก ปาภูหลวง – วังน้ําเขียว ที่ตําบลสะแกราช
๔
รูปที่ ๒ ภาพปาดงดิบแลงของอําเภอปกธงชัย
ปาดงดิบเขา
ปาชนิดนี้พบอยูในที่สูงจากระดับน้ําทะเลประมาณ ๑,๐๐๐ เมตรขึ้นไป มีกระจัดกระจายอยูทั่ว
ประเทศ แตสวนใหญอยูที่ราบสูงภาคเหนือ ในปาชนิดนี้บรรยากาศมีความชื้นสูงมากจะเห็นไดวาตาม
ตนไม มีพืชจําพวกมอสปกคลุมอยูทั่วไป ปาตามหุบเขามีความอุดมสมบูรณมาก และประกอบดวยพืช
พันธุไมนานาชนิดสวนบนสันเขาและยอดเขา บางแหงมักจะมีพืชพันธุอยูนอยชนิดกวาตามหุบเขา
ปาชนิดนี้สวนมากไมมีการทําไมในอดีต เพราะวาภูมิประเทศประกอบดวยภูเขาสูงชัน ไมมีทาง
ชักลาก เขาไปถึงไดลําบาก พันธุไมที่สําคัญในปาชนิดนี้ ไดแกไมกอตางๆ เชน กอเดือย กอตี่ กอแปน
เปนตน นอกจากนั้นก็มีใบยาง ไมตะเคียน เชนเดียวหรือคลายกับปาดงดิบอื่น
ปาสนเขา
ป า ชนิ ด นี้ ก ระจั ด กระจายอยู เ ป น หย อ มๆ ทางภาคเหนื อ และทางแถบที่ ร าบสู ง ทางภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีความสูง ๒๐๐-๑,๓๐๐ เมตร ดินในเหลานี้เปนดินที่ไมคอยดี มักเปนดินปน
ทรายสีเทาหรือดินปนกรวดสีน้ําตาล และบางแหงก็เปนดินลูกรัง มีความอุดมสมบูรณต่ํา มีตนไมเพียง
๒-๓ ชนิด ขึ้นอยูในปาชนิดนี้ สวนมากเปนพวกสนเขา ซึ่งมักจะโปรงหรือโลงแจง บางทองที่มีไฟปาไหม
บอยๆ เพราะไมสนมีน้ํามันที่ติดไฟไดงาย ปาชนิดนี้มีลักษณะคลายปาทุง
๕
รูปที่ ๓ ภาพแสดงลักษณะปาสนเขาซึ่งมีอยูตามภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สวนใหญจะปนกับไมในปาเต็งรัง
ปาพรุหรือปาบึง
ในที่ลุมต่ําปากแมน้ําและชายทะเลที่เปนโคลนเลน จะมีพืชพันธุไมที่มีลักษณะโดยเฉพาะขึ้นอยู
ปาชนิดนี้จะมีน้ําทวมขัง และลดลงตามชวงเวลาหนึ่งๆพบอยูทั่ว ไปในบริเวณที่ลุมของประเทศ ซึ่งมี
ปริมาณน้ําฝนสูง เนื่องจากเปนดินชุมน้ํา ตนไมบางชนิดจึงตองปรับปรุงระบบรากใหเหมาะสมแกการ
หายใจ เชน ปลายรากสุดจะเปนปุมโผลขึ้นมาเหนือพื้นดิน หรือรากอาจโผลขึ้นมาแลวลงดินอีกทีหนึ่ง
หรื ออาจขึ้ นๆลงๆ เชน นี้ สองครั้งก็ได ตนไมบ างชนิดยิ่งมีร ากหยั่งซึ่งงอกออกจากโคลนตน เหนือดิน
ปรากฏอยูระเกะระกะเพื่อยึดลําตนใหมั่นคง ตนไมชนิดก็มีพูพอนตามโคนตน
ปาชนิดนี้อาจจําแนกออกไดตามลักษณะภูมิประเทศ ๒ ชนิด คือ ปาพรุหรือปาทึบ น้ําจืด และ
ปาชายเลน หรือปาโกงกาง
ปาพรุหรือปาบึงน้ําจืด
มักพบปาชนิดนี้อยูตามราบลุมตอนใน ดินมีลักษณะเปนดินทรายมูลหรือดินทรายถาเปนดิน
ทรายมูล ผิวพื้นจะเปนโคลน และมีหลมสึก ไมที่มีคาเชน ไมเสม็ด และไมสานทุง ซึ่งอาจใชเผาถาน หรือ
ใชทําเสาเข็มขนาดเล็กได
สวนใหญแลวปาจะมีลักษณะทึบ ตนไมมีขนาดเล็ก และสูงเพียง ๑๐ เมตร ไมพื้นลางเปนพวก
หญาหลายชนิด ซึ่งหญาบางชนิดสูงถึง ๑.๕๐ เมตร
๖
ปาเลนน้ําเค็มหรือปาโกงกาง
ปาชนิดนี้มักพบอยูตามบริเวณปากแมน้ํา และชายฝงทะเลที่เปนโคลน ดินเปนลักษณะเปนดิน
ทรายมูลลึก และมีความเค็มสูง น้ําจะทวมปาชนิดนี้ตามชวงเวลาน้ําขึ้น ปาชายเลนมีอยูตามภาคใตของ
ประเทศไทยฝงตะวันตกตั้งแตสตูลขึ้นไปถึงระนองและที่กนอาวไทยเปนบางตอน ที่จังหวัดสมุทรสาคร
ทางทะเลตะวันออกที่อําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ฝงทะเลตะวันออกของภาคใตที่มี่
จังหวัดสุราษฎรธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราชเปนบางตอน
ตนไมที่ขึ้นอยูในปาชนิดนี้เปนพวกไมโกงกาง ลําพูน ลําแพน เปนตน พืชเหลานี้มักจะถูกน้ําทวม
เปนครั้งคราว แมจะเปนน้ําทะเลแตก็ไมเปนผลเสียหายแตประการใด ใบมีลักษณะหนาคลายหนังสัตว
และทําหนาที่เก็บน้ําไวเลี้ยงลําตน ไมที่ขึ้นชื่อในปาชนิดนี้คือไมโกงกาง ซึ่งมีอยูสองสามชนิด สวนมากใช
ทําถาน เพราะใหความรอนดีและใชไดทน
ปาชายหาด
ตามฝงทะเลที่เปนดินทราย มีโขดหิน และฝงคอนขางชัน และมีปาอีกชนิดหนึ่งขึ้นอยู เรียกกัน
วาชายหาด ปาชนิดนี้พันธุไมขึ้นอยูเปนแนวแคบๆ หรือเปนหยอมๆมีอยูมากตามชายฝงทะเลตะวันออก
ของอาวไทย ซึ่งเปนดานที่รับลมฝนและคลื่นอยางเต็มที่
ปาชนิดนี้สวนมากมีไมขนาดเล็กขึ้นกระจัดกระจายอยูหางๆ มี วัชพืช เชน สาบเสือขึ้นอยูทั่วไป
เปนปาไมที่มีคุณคาทางเศรษฐกิจแตอยางใด
รูปที่ ๔ ไมตนหนึ่งๆนั้นกวาจะโตถึงขนาดนี้กินเวลาหลายป
แตเวลาที่โคนใชเวลาเพียงไมกี่นาทีเทานั้น
๗
ปาประเภทผลัดใบ
ในแถบที่คอนขางแหงแลงของประเทศ มีฝนตกไมชุกนัก ดอนเปนดินรวนปนทรายหรือปนกรวด
และบางแหงก็เปนดินลูกรัง พืชพันธุไมที่ขึ้นอยูในบริเวณนี้จัดเปนประเภทผลัดใบ เพราะตัดไมจะทิ้งใบใน
ฤดูแลง เกือบพรอมหรือพรอมกันทั้งปา ตนไมบางชนิดในปาชนิดนี้ เชนไมสักจะเจริญเติบโตโดยมีวงรอบ
กี่ป ปหนึ่งก็จะเพิ่มวงรอบปวงหนึ่ง ทําใหเราสามารถศึกษาหาอายุของตนไมตนหนึ่งๆได รวมทั้งสามารถ
ศึกษาสภาวะดินฟาอากาศไดจากวงรอบป วงรอบปก็จะแคบ หากปไหนน้ําทาแลงหนัก หรือเกิดไฟปา
หรือเกิดโรคระบาดในบริเวณนั้น วงรอบปก็จะแคบ หากปไหนน้ําทาอุดมสมบูรณวงรอบปก็จะกวาง
ลักษณะเชนนี้จะไมคอยพบเห็นในตนไมของปาประเภทไมพลัดใบ
ปาประเภทผลัดใบนี้ในฤดูแลงจะถูกไฟปาผิวพื้นไหมมากบางนอยมาเปนประจํา เพราะหญาซึ่ง
เปนพืชลางแหงตาย กลายเปนเชื้อไฟอยางดี ปาผลัดใบแบงออกเปน ๔ ชนิด คือ
- ปาเบญจพรรณ
- ปาแดง หรือปาเต็งรัง
- ปาทุง
- ปาละเมาะ
ปาเบญจพรรณ
ปาชนิดนี้มักประกอบขึ้นดวยตนไมผลัดใบหลายๆ ชนิดขึ้นปะปนกันอยู เราจะไมเห็นตนไมในปา
บางชนิดนี้พลัดใบพรอมๆกัน แตสวนใหญพลัดใบในฤดูแลง ประมาณเดือนมีนาคม – พฤษภาคม สภาพ
ทั่วไปของปาชนิดนี้คอนขางแหงแลงในฤดูแลง และคอนขางชุมชื้นในฤดูฝน ปาชนิดนี้มีทั่วไปตามภูเขา
และตามที่ราบต่ํา ในภาคเหนือ ไมสักมีขึ้นในปาชนิดนี้เทานั้น
ลักษณะพืชพันธุไมในปาเบญจพรรณมีตั้งแตคอนขางโลง จนคอนขางทึบ เรือนยอดปกติไมแนน
ทึบ และประกอบดวยชั้นความสูง หนึ่งหรือสองชั้น มีเถาวัลยบางชนิดขึ้นอยูในปาชนิดนี้บาง พืชพื้นลาง
ไมคอยแนนทึบ สวนใหญประกอบดวยหญาชนิดตางๆ ก็ขึ้นไดดีในปาชนิดนี้ เชนไผซาง ไผบง ไผรวก
เปนตน พันธุไมที่สําคัญไดแก ไมตะแบก ไมแดง ไมประดู และไมมะคาโมง เปนตน
นักวิชาการปาไมหลายทานไดแบงปาเบญจพรรณ แยกยอยออกไปอีกเปนปาเบญจพรรณชื้นสูง
ปาเบญจพรรณแลงสูง และปาเบญจพรรณต่ํา แตความแตกตางชนิดยอยๆนี้มีไมมากนัก เพื่อไมใหยุงยาก
ก็ไมแยกไปอีก
๘
ปาแดงหรือปาเต็งรัง
ปาชนิดนี้เกิดขึ้นบนที่ราบลูกเนิน และตามสันเขาที่เปนดินปนทรายหรือปนกรวด เนื่องจากดิน
ถูกชะลาง หนาดินพังทลายลงมาก บางแหงปรากฏมีหินนอยใหญโผลพนดินอยูทั่วไปสวนใหญเปนดิน
กรวดขี้ ห มู มี สี แ ดง ชาวบ า นจึ ง เรี ย กว า ป า แดง ป า ชนิ ด นี้ มี อ ยู ทั่ ว ไปทางภาคเหนื อ และภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะทั่วไปเปนปาคอนขางโลง ตนไมขึ้นหางๆไดระยะ สวนมากตนไมในปาบางชนิดนี้จะมี
ความสูงแยกออกไดเปนสองชั้น คือชั้นบนสูงประมาณ ๑๐- ๒๐ เมตร ชั้นลางสูงประมาณ ๗ เมตร สวน
ไมพื้นลางคือหญาตางๆ แตสวนใหญไดแกหญาเพ็ด หญาเหลานี้จะแหงตายในฤดูแลง บางทีอาจเปน
อาณาบริเวณกวางขวางติดตอกัน จะกลายเปนเชื้อไฟอยางดี เมื่อไดรับลูกไฟจากการเผาไรใกลเคียง หรือ
จากกนบุหรี่เปนตน ก็จะลุกลามอยางรวดเร็ว ไหมลามไปตามพื้นดิน แตการไหมเปนไปอยางไมลึกซึ้ง
ลูกไม เล็ กก็ ไม ตาย เพี ยงแตช ะงั กการเจริญ เติบโต เมื่อถูกไหมซ้ําซากอยูห ลายปลูกไมเล็กก็จะสะสม
อาหารไวที่รากมากขึ้น ปไหนฝนฟาดีก็จะสงลําตนพรวดพราดขึ้นมาใหพนจากการทําลายของไฟผิวพื้น
ได
ไมที่สําคัญในปาชนิดนี้ไดแก ไมเต็ง ไมรกฟา ไมเหียง ไมพลวง เปนตน
เมื่อฤดูแลง คือราวๆเดือน กุมภาพันธุ – เมษายน จะมีระยะหนึ่งราว ๑๕ วัน ที่ตนไมในปานี้
พลั ด ใบพร อมกั น ทั้ งป า ป า จะกลายจากสี เขีย วสด มาเปน สี น้ําตาลเหลือง แตเ มื่อฝนแรกของเดือ น
พฤษภาคมมาถึง ปานี้ก็จะเริ่มเขียวขจีอีก หญาเพ็ดที่ถูกไฟปาไหมก็จะงอกขึ้นมาใหมอยางรวดเร็ว ใน
ระยะแรกๆเขียวสด เหมือนกับเอาพรหมสีเขียวมาปูลาดไวทีเดียว
ปาทุง
ปาทุงเกิดขึ้นภายหลังจากการเผาทําลายปา ปาชนิดนี้มีมากที่สุดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งปรากฏวาเปนบริเวณที่ไดเคยทําไรเลื่อนลอยติดตอกันมานานในอดีต ดินมีลักษณะเปนดินปนทราย
หรือดินลูกรัง ปริมาณน้ําฝนมีนอยในภาคนี้จะมีปาทุงแปลงเล็กๆอยูกระจัดกระจาย สวนปาทุงแปลงใหญ
ที่สุดก็ไดกลายเปนทุงหญาที่ไรประโยชนไป เชนทุงกุลารองไหในจังหวัดสกลนคร
๙
รูปที่ ๗ ภาพแสดงใหเห็นแนวกันไฟ
บทที่ ๒
การวางแผนการดํารงชีพและเตรียมตัวในการดํารงชีพปา
การเตรียมตัวในการดํารงชีพในปา
สิ่งจําเปน การเตรียมตัวเพื่อความมีชีวิตอยูรอด ขอแนะนําใหนํากลองดํารงชีพเล็ก ๆ ที่บรรจุ
สิ่งของจําเปนซึ่งควรจะนําติดตัวเสมอ อะไรที่จําเปนจริง ๆ อะไรที่ไมจําเปนไมควรนําไป ในขณะที่
ของที่จําเปน เชน ไฟฉาย ที่เปดกระปอง ฯลฯ เปนตน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินและคราวจําเปนจะดีใจที่มี
ติดตัวไว
กลองดํารงชีพ กลองดํารงชีพนี้สามารถประดิษฐเองไดอยางงายๆ โดยใหสามารถใชงานไดจริง
เหมาะสมกับภูมิประเทศ มีขนาดที่สะดวกพกพางาย และกันน้ําเขา ซึ่งในกลองดํารงชีพดังกลาวควรมี
อุปกรณดังนี้
- เบ็ดตกปลาพรอมดาย
- ไมขีดไฟหรือไฟแชค
- เทียนไข
- ยาแกปวด
- ยาแกทองรวง
- เข็มและดาย
- ลวดดักสัตว
ถาหากจะทําให ไมขีดไฟกันน้ําได คือ ใหนําหัวไมขีดจุมลงในน้ําเทียนไขที่ละลาย แลวหักกาน
ออกครึ่งหนึ่งเพื่อประหยัดพื้นที่
ลวดดักสัตว ใชลวดทองเหลืองดีกวา ยาวสัก ๖๐ - ๙๐ ซม.(๒ – ๓ ฟุต) นอกจากใชในการ
ดักสัตวแลวยังใชในการดํารงชีพไดอีกหลายอยาง
ไฟฉาย เล็ก ๆ เปลืองเนื้อที่นอย ใสถานไปในไฟฉาย แตหมุนคลายไว เพื่อกันลืมเปดไฟไว
ถานจะไดไมหมด ถาจะใหดีควรเปนถานลิเธียม (lithium battery) ทนและใชไดนาน
อุปกรณดํารงชีพอื่นๆที่ควรมีติดตัว
- เปสนาม ควรเปนเปสําหรับการเดินปา มีแผนรองกันช้ําที่บา มีเครื่องพยุงหลัง
- เตนท ควรมีน้ําหนักเบา ไมเกิน ๓ กก.
- เปล ควรมีขนาดใหญไมมาก บรรจุลงในเปได
- กางเกงเดินปา แหงงาย และหนาพอสมควร
- เสื้อแขนยาว จะชวยปองกันกิ่งไมขีดขวนได
- รองเทาเดินปา ควรเปนรองเทาหุมขอ
- พลั่วสนาม ใชขุดกลบ สิ่งปฏิกูล
- ไฟแชค/ไมขีดไฟ และเทียน ควรมีติดตัวเพราะเผื่อไดใชประโยชนยามจําเปน
- มีดพก, มีดใหญ กระจกสัญญาณ
- เข็มทิศ
๑๒
เมื่ อมี เ ข็ มทิ ศ กางแผนที่ ล งบนพื้น ดิน หรือที่ร าบๆวางเข็มทิ ศลงบนแผนที่นั้น และแผนที่ไ ป
จนกระทั่งเสนเหนือ – ใต บนแผนที่ขนานกันกับเข็มชี้ทิศ และใหทิศเหนือของแผนที่ตรงกับทิศเหนือของ
เข็มทิศเสียกอน
เมื่อไมมีเข็มทิศ ใหขึ้นไปบนยอดเขาที่อยูใกลๆ หรือขึ้นบนตนไมก็ได แลวมองดูภูมิป ระเทศ
รอบๆตัว และเปรียบเทียบกับภูมิประเทศในแผนที่ เมื่อทิศทางของที่หมายตางๆในแผนที่ตรงกับภูมิ
ประเทศจริงแลว ก็แสดงวาไดตั้งแผนที่ถูกทิศทางแลว ซึ่งดานบนของแผนที่จะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ ถา
หากยังไมแนใจก็ควรจะตั้งแผนที่ในขณะที่ดวงอาทิตยขึ้นหรือตก
ในการขามลําหวย ลําธาร และแมน้ํา ควรจะทําแพไมไผ หรือไมที่มีน้ําหนักเบาชนิดอื่นๆ ตน
หมากหรือตนคอ และไมเนื้อแข็งชนิดอื่นๆ ในปามักจะจมน้ําถาจําเปนตองวายขามแมน้ําหรือลําธารแลว
ควรทุมกอนหินลงไปในน้ําเสียกอนเพื่อทดลองดูวามีจระเขอาศัยอยูในบริเวณนั้นหรือไม และกระทุมน้ํา
ในแมน้ําหรือลําหวยนั้นๆไปรอบๆตัวเพื่อไลจระเขเสียกอน ถึงแมวาในปจจุบันนี้ สัตวดังกลาวจะไมชุกชุม
นักก็ตาม
จงทําตัวใหสบายโดยพักชั่วโมงละประมาณ ๕-๑๐ นาที หรือมากกวานั้น ทั้งนี้แลวแตความยาก
งายของการเดินทาง ในขณะที่หยุดพักควรปรึกษากันถึงเสนทางเดิน
รูปที่ ๙ ถากตนไมเปนเครื่องหมายทาง
๑๔
เมื่อเดินทางเปนคณะหรือเปนหมูใหลงฝเทาลงเทากับคนที่เดินชาที่สุด และเดินเปนแถวเรียง
เดี่ยว ใหคนที่เดินอยูแถวถือมีดแผวถางทางหรือตัดกิ่งไมที่ขัดขวาง อยาแซงขึ้นหนากัน ทิ้งระยะหางกัน
ประมาณ ๘-๑๐ ฟุต แตใหมองเห็นตัวกันอยูเสมอ การแยกกันเดินหรือเดินหางกันเกินไปจรมองไมเห็น
ตัวกันนั้นจะเปนเหตุใหพลัดหลงกันงายที่สุด
จงเดินทางดวยความเร็วสม่ําเสมอ อยารีบเดินไปเปนอันขาด ถาสามารถทําไดควรจะเดินชาๆ
ระมัดระวังกันอยูเสมอ สังเกตรังตอ สิ่งที่เปนอันตรายอื่นๆขางหนาไวเสมอ
อยาเหยียบหรือนั่งบนขอนไมหรือตอไมผุ เพราะมักจะเปนที่อาศัย ของ เห็บ มด แมลงปอง
ตะขาบ หรืองูพิษบางชนิด จงหลีกเลี่ยงจากปลักของหมูปา และสัตวใหญอื่นๆ ซึ่งมักจะมีทากและเห็บ
อาศัยอยูในที่เชนนั้น
อยาเคาะ ตี ตนไมที่ยืนตนตาย หรือตนไมผุดวยความคะนองมือ เพราะกิ่งไมตายขางบนอาจจะ
หักหลนลงมาโดนศีรษะได
ในที่ราบต่ํา ตนไมที่มีรากโผลขึ้นเหนือพื้นดินแสดงวา พื้นดินตอนนั้นเปนที่ลุมหรือที่ที่น้ําทวมถึง
จงเลี่ยงจากพื้นที่ลุมดังกลาว โดยเฉพาะอยางยิ่งในปาเลนน้ําเค็ม การเดินทางเกือบจะไมสามารถกระทํา
ในที่ดังกลาวนั้น และบางทีอาจจะเดินไปติดเพียงครึ่งทางเทานั้นตองยอนกลับหลัง เนื่องจากติดโคลน
หรือทางน้ําขวางอยู
ในหุบเขาลึกหรือไหลเขาชันๆนั้น มักจะมีกอนหินใหญๆ และรากไม ซึ่งมีตะไครน้ําและหญา
มอสขึ้นปกคลุมทําใหเปนพื้นที่หลอกๆขึ้น ตองระวังอยาเดินถลําลงไป ซึ่งบางทีอาจไดรับบาดเจ็บขาหักก็
ได
อยากูตะโกนเรียกหากัน เพราะจะทําใหเหน็ดเหนื่อยโดยเปลาประโยชน ควรใชทอนไมตีหรือไม
เคาะลําตนของไมสูงแทนการกูตะโกน ก็จะทําใหเกิดเสียงดังไดยินกองไปไกลกวาเสียงตะโกนเสียอีก
โดยเฉพาะอยางยิ่งตนไมที่เปนโพรง
ในยามวิกาล สัตวปามักจะเดินตามหาทางลําลอง ทางดานสัตว ลําหวยและตามสันเขา ดงนั้นใน
เวลาค่ําคืน ควรจะสรางที่พักใหหางจากบริเวณเหลานี้ หรือบางเวลาอาจจะทํากับดักสัตวปาในบริเวณ
ดังกลาว เพื่อนํามาทําเปนอาหารไดงายกวาแหงอื่น
ถาตองการที่จะเดินทางไปยังหมูบานใหเดินทางไปตามทิศทางของลําน้ําหรือลําหวย เพราะ
หมูบานสวนมากมักจะอยูตามริมฝงน้ําหรือในที่ซึ่งแมน้ําทั้งสองสายมาบรรจบกันและมักเปนเสนทาง
ลําเลียงสินคาของทองถิ่นนั้นๆดวย
ถ า เดิ น ทางออกจากค า ยพั ก และประสงค จ ะเดิ น ทางกลั บ มาอี ก ในภายหลั ง จะต อ งทํ า
เครื่องหมายตามทางที่เดินไปใหเห็นไดชัดเจนโดยการถางตนไมใหเห็นเนื้อไมสีขาวใตเปลือก (ดูรูปที่ ๒)
หรือตัดใบไมจําพวก หมาก หรือคอ วางตามทางเดินโดยกลับเอาดานลางขึ้นเพื่อใหเห็นทองใบทีมีสีจาง
กวาไดชัดเจน หรืออาจจะใชกอนหินหรือกิ่งไมเปนเครื่องหมายชี้ทางเดินไดเชนกัน
๑๕
ขอพิจารณาในการเดินปา
การเดินทางในปาจะสะดวกขึ้นถาหากวาทานไมตื้นตระหนกหวาดกลัวเมื่ออยูคนเดียวในปาและ
จําเปนต องพึ่ งพาอาศั ยสิ่งแวดลอมตางๆนั้น ในกรณีที่ทานตกอยู ในสภาพเชน นั้น กอนอื่นตองนั่งลง
พักผอนคลายอารมณและพยายามคิดหาทางแกไขปญหาตางๆที่เกิดขึ้นเสียกอน วิธีการดังตอไปนี้จะชวย
ทานไดเปนอยางมาก
หาตําแหนงแนนอนที่สุดที่ทานกําลังอยูเทาที่จะสามารถหาได เพื่อที่จะกําหนดทิศทางการเดิน
ไปยังจุดหมายหรือกลับที่ตั้งหนวยไดโดยปลอดภัย ถาไมมีเข็มทิศที่ใชในการดูดวงอาทิตยประกอบกับ
นาฬิกา
ตรวจปริมาณน้ําและเสบียงอาหารที่มีอยูวาพอเพียงจะใชบริโภคไปนานเทาไหร หรือควรหามา
เพิ่มเติมในกรณีที่ตองเดินอีกหลายวันซึ่งไมแนวาจะกลับฐานทัพไดเสมอไป
การเดินทางควรจะเดินไปในทิศใดทิศหนึ่ง แตไมไดหมายความวาตองเดินเปน แนวตรงเลย
ทีเดียว จงหลีกเลี่ยงอุปสรรคนั้นๆถาตกอยูในดินแดนของขาศึกจงอาศัยสิ่งปกคลุมตามธรรมชาติ และที่
หลบซอนตัวเชนในปาหรือตามถ้ําใหเปนประโยชน
การเดินทางจะเร็วหรือชาก็ได แตควรเบี่ยงไหลหลบ ยายสะโพกหนีและกมตัวลงมุดลอดพุมไม
ตามโอกาส การเดินอยางซุมซามขาดความระมัดระวังอาจสะดุดรากไมหกลม หรือถูกหนามเกี่ยวจะทํา
ใหเกิดการฟกช้ําถลอก และถูกขีดขวนขึ้นไดซึ่งอาจเปนอุปสรรคในการเดินทางในภายหลัง
ฝกสายตาใหไวและคนกับสภาพปา ทํานองเดียวกับ “ตาคนปา” หรือ ”ตานายพราน” นั่นคือ
หัดสังเกตสิ่งกีดขวางใหดีเสียกอนที่จะตกเขาไปในที่คับขัน
มีความระมัดระวังอยูเสมอ
หมั่นตรวจสอบทิศทางเดินอยูเสมอ
ควรเดินทางเทา ทางลําลอง และตามแนวเขต ถาทิศทางดังกลาวไมเบนออกจากแนวที่กําหนด
ไวไมเกินกวา ๒๐ องศา
การเดินตามลําหวยจะตองเพิ่มความระมัดระวังใหมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้อาจจะมีสัตวรายลงมากินน้ํา
ในลําธาร หรือไมก็ลื่นหกลมเพราะกอนหินตามลําธารมักจะมีตระไครน้ําเกาะอยู
ควรปองกันอันตรายจากแมลงโดยสวมเสื้อผาตลอดเวลา อยาถลกแขนเสื้อขึ้น และพยายาม
ปกปดทุกสวนของรางกาย ถาหากมีแมลงชนิดที่กัดหรือตอยชุกชุมก็ปองกันไดโดยใสเสื้อชั้นในพันรอบคอ
หรือจะใชโคลนทาผิวหนังสวนที่อยูนอกเครื่องนุงหมก็ได ยัดขากางเกงไวในรองเทาใหแนนเพื่อปองกัน
แมลงเล็ดลอดเขาไป หลีกเลี่ยงการเดินผานที่ชื้นแฉะ ที่รกชัฏมีตนไมขึ้นอยางหนาแนนเทาที่จะทําได
เพราะในบริเวณดังกลาวมักจะมียุง เห็บทาก และแมลงกัดตอยอื่นๆอาศัยอยูชุกชุมมาก
การสังเกตทิศทางจากดวงอาทิตยและดวงดาว
ดวงอาทิตย เนื่องจากภาคพื้นเอเชียอาคเนยสวนใหญตั้งอยูในระหวางเขตรอนจึงทําใหเกิด
ปญหายุงยากในการสังเกตดวงอาทิตย เพราะตําแหนงของดวงอาทิตยในเวลาเที่ยงวันนั้น บางทีก็เยื้องไป
ทางทิศเหนือ และบางทีก็เยื้องไปทางทิศใตจากจุดสูงสุดใตทองฟา (ตรงศีรษะ) ในปหนึ่งจะมีอยูเพียงสอง
ระยะเทานั้นที่ดวงอาทิตยจะอยูตรงศีรษะพอดี นอกเสียจากวาจะทราบเสนรุงของตําบลที่ทานอยูโดย
๑๖
รูปที่ ๑๐ กลุมดาวกางเขนใต
การรักษาทิศทางเดิน
เมื่อไดตกลงใจและกําหนดทิศทางที่เดินไปทิศหนึ่งแลว จงมั่นใจและรักษาทิศทางนั้นๆไวเลือกที่
หมายในภูมิประเทศที่อยูไกลๆ ซึ่งสามารถมองเห็นไดงายและอยูในทิศทางที่จะเดินนั้น เมื่อเขาไปใกลที่
หมายนั้นแลวก็ใหเลือกที่หมายอื่นที่อยูไกลออกไปออกไปในทิศทางเดียวกันอีก และใหที่หมายแหงหนา
อยูในแนวเดียวกับที่หมายแหงที่ผานมาแลวเสมอ
ในปารกชัฏนั้นอาจไมสามารถมองเห็นที่หมายในระยะไกลๆได แตก็จะรักษาแนวทางเดินไดโดย
การเลือกตนไมใหญๆ ๒ ทางที่ผานมาเพื่อตรวจสอบแนวทางเดินบางเปนครั้งคราว ดวยประการนี้จะ
ชวยเดินทางไปเปนเสนตรง และสามารถที่จะกลับทางเดินนั้นไดโดยไมหลงทาง
ลําหวย สันเขา และตนไมนั้น อาจใชเปนเครื่องหมายนําทางในที่โลงแจงได และสําหรับเดินทาง
ยอนกลับมา ในวันที่มีเมฆหมอก หรือครึ้มฟาครึ้มฝนในปาที่แนนทึบ หรือในสภาพภูมิประเทศที่ไมมี
จุดเดนๆ พอที่จะสังเกตไดนั้น จงใชหินวางหรือบากลําตนไมหมายทาง สําหรับไมพุมก็ใหตัดหรือหักกิ่ง
เปนเครื่องหมาย โดยเฉพาะในที่ๆเปนปาทึบจะเห็นเครื่องหมายเหลานี้ไดชัดเจน แตทั้งนี้ควรจะนํามา
ปฏิบัติดวย ความรอบคอบ เพราะขาศึกมีโอกาสที่จะคนพบได
อยาเชื่อแผนที่ใหมากจนเกินไปในขณะเดินทาง เพราะเหตุวารายละเอียดตามธรรมชาติหรือที่
ทําขึ้นนั้น อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได เปนตนวา หมูบานที่ปรากฏอยูในแผนที่นั้น อาจเปนบานราง
กลายเปนที่รกรางวางเปลาไป หรืออาจหายไปหมดโดยไมมีรองรอยเหลืออยูเลย ลําธารเล็กๆอาจเปลี่ยน
๑๘
การเดินทางออมสิ่งกีดขวาง (Detour)
บอยครั้ งอาจมี ความจํ า เปน ที่จ ะตองเดิน ออมสิ่งกีดขวางตางๆ ในทองที่ทุร กัน ดารอยูเสมอ
วิธีการตอไปนี้จะชวยไมใหเดินหลงทางได
วิธีที่หนึ่ง อาศัยทฤษฎีของรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว ซึ่งมีดานสองดานเทากันละมุมที่ฐานเทากัน
สมมุติใหเสนทางที่เดินอยูเดิมเปนดานฐานของรูปสามเหลี่ยม และใหเสนทางเดินใหมที่ออมสิ่งกีดขวาง
เปนดานที่เหลืออีกสองดานของรูปสามเหลี่ยมนั้น หามุมของเสนทางเดินใหมซึ่งเบี่ยงออกไปจากเสนทาง
เดิม (มุม A) โดยการประมาณหรืออาจวัดดวยเข็มทิศก็ได แลวเดินนับจํานวนกาวไปตามดานที่เหลือ
ดานแรกของรูปสามเหลี่ยมนั้น ใหคํานวณจํานวนองศาของมุมที่ตองหันไปเสียกอน (มุม B) โดยเอา ๒
คูณมุมเบี่ยง A แลวนําไปลบ ๑๘๐ องศา ผลลัพธที่ไดจะเปนมุมที่ตอง
หันไปเพื่อเอาดานที่สอง ตอไปจึงเดินนับจํานวนกาวที่นับไวดานแรก เมื่อครบจํานวนกาวก็จะถึงเสนทาง
เดิมเดิม และคํานวณหามุมที่จะหันเขาสูเสนทางเดินเดิม (มุมC) นั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเอามุมเบี่ยงไปลบ
๑๘๐ องศา ผลลัพธจะเปนมุมที่ตองหันเขาสูเสนทางหรือทิศทางที่กําหนดไวแตเดิม แลวจึงเดินตอไป
วิธีที่สอง คือ เลือกที่หมายสูงเดนสองที่หมาย จะเปนตนไมสูงหรือยอดเขาสูงเดนก็ได โดยใหที่
หมายทั้งสองอยูในแนวเดียวกับเสนทางเดิน และที่หมายแระอยูหนาสิ่งกีดขวาง สวนที่หมายที่สองอยู
หลังสิ่งกีดขวาง ภายหลังเมื่อเดินออมสิ่งกีดขวางไปแลวจึงตรวจสอบใหที่หมายทั้งสองอยูในแนวเดียวกัน
อีกครั้งหนึ่ง ก็จะไดเสนทางเดินเดิมอยางถูกตอง
วิธีที่สาม ไดแสดงไวในรูปที่ ๗ โดยอาศัยทฤษฎีของรูปสี่เหลี่ยมพื้นผา ซึ่งมีดานตรงขามเทากัน
และทุกมุมเปนมุมฉาก การหันออกจากเสนทางเดินเดิมหรือการหันเขาจะตองทํามุมฉากทุกครั้ง และใช
จํานวนกาวเชนเดียวกับวิธีที่หนึ่ง
๑๙
รูปที่ ๑๑ การวัดระยะทางและมุมโดยประมาณ
รูปที่ ๑๒ การใชที่หมายสูงเดนซึ่งอยูในแนวเดียวกันกับเสนทาง
๒๐
การเลือกเสนทางเดินและการเดินทาง
การเลือกเสนทางเดินนั้นยอมขึ้นอยูกับอันตรายที่กําลังคุกคามอยู อันไดแกสภาพของลมฟา
อากาศ สภาพของภูมิประเทศละขาศึก ความปลอดภัยเปนหลักเกณฑประการแรกที่ยึดถือ ประการที่
สอง คือ ความสะดวกในการเดินทาง ประการที่สาม คือ ระยะทาง จากประสบการณที่ผานๆมาแสดงให
เห็นวาทางที่ลําบากที่สุดคือทางที่ปลอดภัยที่สุด
การเดินทางตามสันเขา
ตามปกติเสนทางเดินตามสันเขาจะเดินงายกวาตามหุบเขา ทางเดินของสัตวปามักจะผานไปบน
สันเขาบอยๆ และอาจเดินตามทางนี้ได นอกจากนี้สันเขามักจะมีตนไมและพืชพันธตางๆ ที่กีดขวางการ
เดินทางขึ้นอยูนอยและมีจุดสูงสุด ที่สามารถขึ้นไปสังเกตดูภูมิประเทศไดอีกดวย ตามสันเขามีลําหวย
หรือบึง ซึ่งจะตองลุยขามนอยแหง ชาวเขามักชอบเดินตามสันเขาและมักจะเลี่ยงที่สูงชันหรือหุบเขา
อยางไรก็ดีทางเดินเหลานี้มักจะตัดกันสับสบ เปนการยากที่จะเดินไปใหตรงกับทิศทางไดและอาจหลง
ทางไดงาย ดังนั้นควรเดินตามลําหวยมากกวา
การเดินตามลําหวย
ลําหวยเปนทางที่ไมคอยจะคดเคี้ยวมากนัก และอาจเปนทางนําไปสูแหลงชุมชนได ทั้งยังเปน
ที่ๆพอจะหาอาหารและน้ําบริโภคได และบางทีอาจเดินทางดวยเรือหรือแพไดดวย ถึงกระนั้นก็ดีควร
เตรียมตัวใหพรอมที่จะขามน้ํา เดินออมหรือตัดทางฝาไปในดงไมที่ขึ้นหนาแนนอยูตามชายฝง / ถาเปน
ลําหวย ลําธาร ตามยานที่เปนภูเขา ควรระวังดูน้ําตก หนาผา หรือสบหวยตางๆ เพื่อใชเปนจุดตรวจสอบ
กับแผนที่ ในที่ราบน้ําในลําหวย ลําธาร มักจะลดเลี้ยวไปตามที่ลุม ตามฝงมักจะมีปลัก หนอง และมีพันธ
ไมขึ้นรก โอกาสที่จะสังเกตลักษณะภูมิประเทศนั้นคอนขางจะหายาก
การเดินตามชายฝงทะเล
ตามธรรมชาติชายฝงทะเลจะยืดยาวและออมโคง แตก็เปนแนวหลักที่ดีที่สุดในการหาทิศทาง
และยังหาอาหรายังชีพไดงายอีกดวย ชายฝงทะเลที่เปน หาดทรายหรือชะงอนหินนั้นสะดวกตอการ
เดินทางพอประมาณ แตถาเปนหาดเลนที่มีปาเลนน้ําเค็มขึ้นอยูก็เปนเครื่องกีดขวางมนการเดินทางเปน
อยางมาก
การเดินทางในปาทึบ
ถาไดรับการฝกฝนมามากแลว ก็จะสามารถเดินผานดงไมที่แนนทึบไดอยางเงียบๆคอยแหวก
ตนไมไป และอาจเดินทางไปไดไกลๆ อยางปลอดภัย ถานกและสัตวตางๆจะไมสงเสียงตะโกน กระตาก
ขึ้นเสียงกอน โดยเฉพาะพวกกระรอก ซึ้งถาเห็นคนเขามักจะสงเสียงรองเสมอ
ระวังอยาใหกิ่งไมมาครูดเปนแผล หรือถลอกฟกช้ํา และระวังอยาเดินหลงทางตลอดจนการเสีย
กําลังใจ ทั้งนี้โดยอาศัยการฝกสายตาใหวองไวเสมือนกับนายพราน อยาเอาใจใสกับตนไม พุมไมที่อยู
ตรงหนามากนัก จงหยุดเดินบางเปนครั้งคราว สํารวจดูตามพื้นดิน คอยเงียบหูฟงเสียงตางๆและสังเกต
ทิศทางไว
ในที่ที่มีตนไมขึ้นหนาแนน ควรจะใชดาบปลายปนพรา หรือ มีดเดินปาตัดเปนชองพอที่คนจะ
เดินผานไปได การตัดไมดวยมีดควรฟนเฉียงขึ้นหรือเฉียบลงอยางรวดเร็วจะทําใหเกิดเสียงเบากวาการ
๒๑
การเดินบนภูเขา
การเดินทางบนภูเขาหรือขรุขระทุรกันดาร อาจกอใหเกิดอันตรายและความยุงยาก นอกเสีย
จากจะรูจักหลุมพรางและเคล็ดหลับบางประการเทานั้น
ตามเทือกเขา จะเดินตามสันเขาหรือหุบเขาก็ได ถาหากวาเสนทางเดินนั้นพาไปหุบเหวที่มีพนัง
ตั้งชัน ก็จําเปนตองหาทางลัดขาม
เมื่อเดินไปตามหุบเขา อาจพบที่รกทึบเนื่องจากไมใหญโคนลม โดยธรรมชาติแลวเมื่อตนไม
ดังกลาวลมลง ก็จะเปดเรือนยอดออกเปนโอกาสใหไมพื้นลางเจริญขึ้นอยางหนาแนน และตนไมที่โคนลม
นี้มักพาเอาเถาวัลยตามที่ขึ้นพันอยูโคนลมลงมา จึงทําใหการเดินทางลําบากยิ่งขึ้น
ตามหุบเขาที่มีปาปกคลุมนั้น ตนไมจะมีลําตนสูงมากและเรือนยอกมักจะสูงไลเลี่ยกับตนไมที่
ขึ้นอยูตามลาดเขาและสันเขา ทําใหเรือนยอดติดตอเปนผืนระดับเดียวกัน เมื่อมองจากระยะไกลๆทําให
เขาใจวาบริเวณนั้นเปนที่ราบ
๒๒
รูปที่ ๑๓ วิธีปนตนไม
๒๓
การเดินขึ้นที่ชัน
ยันเขาเสียนิดหนอยทุกกาวที่เดินขึ้นไป เพื่อใหกลามเนื้อขามีโอกาสไดพักบาง เมื่อเดินขึ้นที่ลาด
ชันสูงๆควรเดินสลับฟนปลาคดเคี้ยวไปมาดีกวาขึ้นไปตรงๆ
ในการเลี้ย วเพื่ อเปลี่ ย นทิศทางเดิน บนที่ชันนั้น ควรกาวขาพรอมกับ หันตัว เลี้ย วตามไปเพื่อ
ปองกันมิใหเทาพันกันซึ่งจะทําใหเสียการทรงตัว
การเดินลงตามเนินเขาลาดชันปานกลาง
เดิ นลงมาตรงๆ ตั้ งหลังตรง และยอเขาเล็กนอย เพื่อชว ยรับแรงสะเทือนทุกกาว ใหเทารับ
น้ําหนักตัวไดเต็มที่ โดยใหพื้นเทาสัมผัสพื้นดินไดเต็มที่แตละกาวที่เดินไป
การเดินขึ้นลงลาดเขาชันหรือหนาผา
พิจารณาเลือกเสนทางเดินอยางถี่ถวนกอนออกเดินทาง โดยแนใจวาจะมีที่ยึดหรือยันไดตลอด
ทาง
ตรวจสอบที่ยึดยันทุกแหงเสียกอนวาจะทานน้ําหนักตัวไดหรือไม
กอนหินที่โยกคลอน ถาทําไดไมควรปน เพราะอาจพลัดตกลงมาหรือกอนหินอาจกลิ้งลงมาทับ
คนขางลางได
การเดินขึ้นไปควรใชขายันและใชมือชวยในการพยุงตัว
ทางที่เลือกนั้นตองเปนทางที่อาจเดินขึ้น หรือลงโดยไมมีอันตรายทุกเวลา
ในการเดินลงมานั้น ถาใชเชือกจะทําใหเดินลงงายยิ่งขึ้น สายรมชูชีพใชแทนเชือกไดเปนอยางดี
เมื่ อ เดิ น ลงมาตามลาดเขา ใหเ ลื อกทางลาดที่ มี กอ นกรวดก อ นหิ น รว นๆอยู เพราะจะเป น
เครื่องชวยใหการเดินสะดวกขึ้น เวลาเดินใหเบี่ยงตัวไปขางๆ เล็กนอยอยาเกร็งตัวและเดินลงมาเฉียงๆ
โดยกาวหรือกระโดดยาวๆ ถาลาดเขามีกอนหินใหญๆ ก็ควรเดินชาๆ และระมัดระวังอยาใหกอนหินหลุด
กลิ้งลงไป เมื่อจะเหยียบลงบนกอนหินควรจะเหยียบสวนบนสุดของกอนหินใหเต็มเทา เพื่อปองกันมิให
พลาดหรือกอนหินพลิกตัวทําใหลมได
๒๔
การขามลําน้ํา
ก อ นที่ จ ะตั ด สิ น ใจข า มลํ า น้ํ าไปนั้ น ควรจะไปยืน ในที่ สู งๆ และตรวจหาลั กษณะของลํ า น้ํ า
เสียกอนดังนี้
ตอนที่น้ํานิ่งเรียบนั้น เปนตอนที่ทางน้ําจะแยกออกเปนหลายสาย
เครื่องกีดขวางบนฝงตรงขามที่อาจถวงการเดินทาง
ตําแหนงตรงฝงตรงขามที่จะเดินทางไดสะดวกและปลอดภัย
ชะงอนหินตามชายฝงแสดงวา ตอนนั้นเปนแกงหรือน้ําลึก
ถามีตนไมขึ้นอยูแนนทึบแสดงวาบริเวณนั้น รองน้ําลึกที่สุด
ควรพยายามทําสะพานโดยการโคนตนไมขวางพาดลําหวย หรือทําแพอยางงายๆ
ในขณะที่กําลังเลือกที่ขามลําน้ําอยูนั้นมีขอเตือนใจตางๆดังนี้
ถาทําไดควรขามลําน้ําเฉียงไปตามกระแสน้ํา ตามแนวมุมประมาณ ๔๕ องศา เพื่อทุนแรงใน
การลุยหรือวายน้ําตานกระแสน้ํา
อยาพยายามขามลําน้ําตอนเหนือหรือใกลกับน้ําตกใหญๆ หรือขามรองน้ําลึกๆ
ควรขามตรงที่กระแสน้ําจะชวยพาไปยังฝงตรงขามหรือสันทรายไดในเมื่อหยั่งเทาไมถึง
ควรเลี่ยงบริเวณที่เปนหิน เพราะถาหากหกลมไปจะทําใหไดรับบาดเจ็บสาหัส แตถาหากมีแกน
หินกลางกระแสน้ําก็จะเปนประโยชนในการขามน้ําไดเปนอยางดี
การลุยขาม
อยาถอดรองเทาและถุงเทาออก เพราะจะชวยปองกันมิใหหินคม เศษไมบาดหรือตําเทาได
จงขามลําน้ําดวยความระมัดระวัง ควรใชไมหยั่งดูความลึกของทองน้ําที่จะเดินไปขางหนาเสมอ เพื่อ
ปองกันมิใหตกลงไปในแองลึก ในการขามลําน้ํานี้ที่กระแสน้ําเชี่ยวนั้น คนที่จะขามไปเปนคนแรกควรมี
เชือกผูกรอบเอวหรือรอบรักแรเอาไว เพื่อพรรคพวกจะไดชวยฉุดขึ้นมาไดเมื่อเวลาเสียหลักลมลง เมื่อ
ขามไปไดแลวจะไดผูกเชือกที่ฝงตรงขามเพื่อชวยใหเพื่อที่เหลือขามไปได
การวายขาม
จงวายทาธรรมดา ทากรรเชียง หรือทาตะแคงขาง เพราะไมมีเสียงดัง และเหนื่อยนอยกวาการ
วายแบบอื่น และผูวายยังสามารถที่จะเอาหอผาหรือเครื่องใชอื่นๆออกวางบนทุนหรือแพรแลววายน้ํา
พยุงสิ่งของบนแพขามไป
ลงลุย น้ํา ออกไปจนกระทั่งน้ําลึกถึงแคอกเสีย กอนแลวจึงคอยวาย ถาน้ําลึกเกิน กวาที่จะลุย
ออกไปได ก็ใหกระโดดลงไปในน้ําโดยใหเทาลงกอน เวลากระโดดควรใหขาชิดกัน แตอยาเกร็งและให
แขนแนบกับลําตัว ถาน้ําลึกไหลเชี่ยวใหวายเฉียงไปตามกระแสน้ํา
ในกรณีที่วายน้ําไมเปนอาจจะใชสิ่งเหลานี้เปนเครื่องชวยในการขามลําน้ํา คือ
เสื้อผา วิธีนี้สามารถนําไปใชไดดีไมพะวงวาจะเกิดเสียงดัง โดยลงไปในน้ําใหกางเกงเปยกน้ํา
เสียกอน แลวถอดกางเกงออกผูกปลายขาแตละขาง กลัดกระดุมหนาใหตลอด จับขอบกางเกงดานหนึ่ง
แลวเหวี่ยงขามศีรษะจากขางหลังมาขางหนา ของกางเกงจะกางออกและกระทบผิวน้ําอยางแรง อากาศ
ก็จะไปอยูในกางเกงทั้งสองขาง และจะไดถุงลมคูหนึ่งเปนเครื่องพยุงตัว
๒๕
รูปที่ ๑๖ การผูกถังเขาดวยกันเพื่อใชชวยพยุงตัว
๒๘
รูปที่ ๑๗ วิธีผูกแพ
๓๐
การทําเรือ
อาจจะทําเรือเล็กๆโดยใชผาใบกันน้ําบุนอบโครงไมโคงๆที่ทําจากตนไมตนเล็กๆและใชเชือก
หรือเถาวัลยมัด
การลองเรือหรือแพ
จงเดินทางแตในเวลากลางวันเทานั้น ควรเลียบไปตามริมฝงเพราะจะขึ้นฝงไดโดยเร็วเมื่อมีเหตุ
จําเปน และคอยสังเกตดูกองไมสุม แกง และน้ําตกไวบาง
ตองสรางคายพักใหเสร็จเสียกอนที่จะมืด เนื่องจากภายหลังที่ฝนตกหนักแลว น้ําจะขึ้นอยางรวดเร็ว
ดังนั้นควรจะตองเลือกสรางคายพักในที่สูงกวาระดับน้ําขึ้นสูงสุด สังเกตไดจากรอยคราบน้ําบนตนไม
และเศษขยะตางๆที่ตกคางอยูบนกิ่งไมต่ําขางลําน้ํานั้น ผูกแพไวดวยเชือกยาวๆเพื่อปองกันมิใหพลิกคว่ํา
หรือจมน้ําไดในขณะที่น้ําขึ้น ในเวลากลางคืนควรจะเอาเครื่องมือเครื่องใชตางๆขึ้นจากแพหรือเรือเสียให
หมด
ที่ที่เปนแกงหรือน้ําเชี่ยว
การวายน้ําขามแกงตื่นๆ ใหนอนหงายวายตีกรรเชียงโดยใหเทาหันไปตามกระแสน้ํา พยุงตัวให
ลอยอยูในพื้นระดับ เหยียดแขนทั้งสองไปตามสะโพกและทํามือพุยน้ําเชนเดียวกับแมวน้ําใชครีบคูหนา
วายน้ํา
ตามแกงลึกใหวายน้ําบายหนาเขาหาฝง โดยการวายธรรมดาคว่ําหนาลงระวังกระแสน้ําที่พุง
ประสานกันทําใหเกิดวังน้ําวน เพราะอาจจะดูดใหจมลงไป
หากใชแพขามแมน้ําในตอนที่แมน้ําโคงหรือมีน้ําลึก และกระแสน้ําเชี่ยวแลวก็ใหใชหลักการ
เหวี่ยงตัว (ดูรูปที่ ๑๓) วิธีนี้มีประโยชนมากสําหรับการขามน้ําเมื่อตองการจะขามหลายๆคน เกินกวาที่
แพจะบรรทุกไดเที่ยวเดียวหมด เมื่อแพพุงไปตามกระแสน้ําถึงฝงตรงขามก็รีบกระโดดลงและผลักแพ
กลับมา คนที่อยูฟากนี้ก็ดึงแพกลับมา กระแสน้ําก็จะชวยพัดทําใหดึงแพกลับไดงายแลวจึงดึงแพขึ้นไปยัง
บริเวณตอนเหนือน้ําใหมและปฏิบัติเชนเดิม วิธีนี้จะชวยประหยัดแรงในการพายเรือหรือถอแพขามน้ํา
ในที่ที่มีลูกคลื่น
คลื่นหัวแตกจะยกตัวขึ้นสูง และยนกระชับเขามาเมื่อใกลฝง ยอดคลื่นก็จะมวนเขากระทบฝง
แลวสลายตัวลง คลื่นลูกใหญๆจะสลายตัวหางจากฝงออกไปกวาลูกเล็กๆ
ในที่ๆมีคลื่นพอสมควรนั้นใหวายตามคลื่นลูกเล็กๆไป ยอดคลื่นจะชวยพยุงตัวใหลอยไปไดและ
จงดําลงไปเมื่อลูกคลื่นใกลจะสลายตัว
เมื่อมีคลื่นจัดใหวายมุงไปหาฝง ในระหวางที่อยูระหวางชวงคลื่น (Trough) ถามีคลื่นเลื่อนเขา
มาใหหันหนาเขาหาคลื่นแลวดํามุดลง แลวโผลขึ้นมาวายตอไปเมื่อคลื่นผานไปแลว
๓๑
รูปที่ ๑๘ การใชแพขามลําน้ํา
๓๒
คลื่นที่กระแทกกลับนั้นจะเปนอันตรายมากถาหากคลื่นนั้นมีขนาดใหญ และถาหากตออยูใน
คลื่นใตน้ํา (Undertow) อยาพยายามวายทวนกระแสคลื่น จงวายตามคลื่น ถาหากจมอยูใตคลื่นให
ทะลึ่งขึ้นจากพื้น หรือวายขึ้นมาบนผิวน้ํา และพยายามวายตามคลื่นลูกใหมเขาหาฝง
ปลักเลนหรือโคลนดูด
ปลักเลนหรือโคนดูดมีโอกาสจะพบบางในประเทศไทย ที่เหลานี้มักจะเปนปลักตม ไมมีพันธุพืช
ขึ้นอยู และตามปกติจะไมอาจรับน้ําหนักกอนหินได เนื่องจากน้ําหนักของคนเบากวาจึงไมถึงกับจมตาย
ได หากไมสามารถเดินออมหรือทําสะพานก็ไมไดแลว จงนอนคว่ําลงบนปลักนั้น กางแขนออกพยุงตัวให
นอนขนานกับพื้นและคืบยันออกไปขางหนา
การขอความชวยเหลือจากประชาชนในทองถิ่น
เพื่อใชเปนแนวทางในการจะขอความชวยเหลือจากชาวบานในทองถิ่นตางๆของประเทศไทยละ
ประเทศใกล เ คี ย งว า ควรปฏิ บั ติอ ยางไร ทั้ง นี้เ นื่องจาก ภาษาวัฒ นธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนีย ม
ประเพณี ยอมแตกตางกันไปตามทองที่ เนื้อเรื่องของบทนี้จะไดกลาวแตเพียงกวางๆ เพื่อประสงคจะให
ใชทั้งทหารไทยและสัมพันธมิตร
จุดมุงหมายสวนใหญของทหารซึ่งถูกตัดขาดหรือหลงทางมาจากหนวยของตนนั้น ก็คือ การ
พยายามกลับไปใหถึงฐานทัพสัมพันธมิตรหรือหนวยของตนใหเร็วที่สุด ในกรณีนี้อาจจําเปนตองพึ่งพา
ประชาชนในทองถิ่นนั้นๆ ในการหาอาหาร น้ํา ที่พักชั่วคราว และสอบถามทิศทางเดิน ความตองการใน
อัน ที่จ ะขอความช ว ยเหลือจากประชาชนในทองถิ่นจะมีมากขึ้นหากไดรับ บาดเจ็บ จนไมส ามารถจะ
เดินทางตอไปได โดยเฉพาะอยางยิ่งในเวลาสูรบดวยแลว จําเปนตองเดินทางฝาไปในแนวขาศึก ดังนั้น
การติดตอผูกมิตรกับประชาชนในทองถิ่นอาจจะเปนวิธีที่ทําใหเอาตัวรอดได
ชาวไทย
ประเทศไทยมีพลเมือง ๗๐ ลานคน มีเนื้อที่ประมาณคราวๆเทากับประเทศฝรั่งเศส สําหรับชาติ
ใหญขนาดนี้ทั้งๆ ที่ไดมีการติดตอสัมพันธกับนานาประเทศอยางกวางขวางก็ตาม แตวัฒนธรรมของชาว
ไทยก็ เ ปน อั นหนึ่งอั นเดี ยวกั น จะมีบางทองถิ่น เทานั้น ที่ไมมีผูอาศัย อยูเลย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากภูมิ
ประเทศแห งแล ง เป น ภูมิเ ขาไม เ หมาะกับ การเพาะปลูกทํามาหากิน ตามปกติผูที่เคยเดิน ทางมาใน
ประเทศไทยจะเห็นวาเพียงไมกี่กิโลเมตรจะตองผานหมูบานอยูเสมอ พลเมืองสวนใหญเปนเชื้อชาติไทย
หรือไต และนับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท พระมหากษัตริยไทยเปนสัญลักษณแหงความสามัคคีของ
ชาติ และเปนที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วประเทศ
ชนกลุมนอย
ในประเทศไทย บรรดาชนกลุมนอยที่ไมใชเชื้อชาติไทย มีไมถึง ๑๔% ของพลเมืองทั้งหมด แต
สวนใหญตั้งรกรากอยูในเมืองใหญๆหรืออยูตามเทือกเขาในภาคเหนือของประเทศไทย ในหนังสือคูมือ
เลมนี้จะไดกลาวถึงชนกลุมนอยนี้แตเพียงเล็กนอยเทานั้น ชนชาติกลุมนอยบางพวกกําลังถูกกลืนสัญชาติ
ไทยเปนคนไทยโดยการแตงงาน หรือความเกี่ยวพันทางธุรกิจ และสังคม ชาวจีนจึงอพยพเขามาและ
ลูกหลานที่สืบเชื้อสายตอลงมานั้นมีประมาณ ๑๐% ของพลเมืองไทย หรือประมาณ ๓ ลานกวาคน ชาว
จีนสวนใหญมีอาชีพทางพาณิชยกรรม หรือการคาขายและสวนนอยประกอบอาชีพกสิกรรม ชาวจีนที่
เกิดในประเทศไทยเปนจํานวนมากนั้นจะตองเปลี่ยนมาถือสัญชาติไทย ชนกลุมนอยที่สําคัญอีกพวกหนึ่ง
ไดแกชาวอินเดีย และปากีสถานซึ่งมีจํานวนประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน ซึ่งพวกนี้ยึดอาชีพในการคาขายและ
เลี้ยงสัตวเปนสวนใหญ ดวยเหตุผลดังกลาวจะเห็นวาเปนธุรกิจตางๆตลอดจนการคาขายสวนใหญใน
ประเทศไทยตกอยูในมือคนตางดาวเปนสวนใหญ
สภาพวัฒนธรรมตามภูมิภาคตางๆ
ราชอาณาจักรไทยแบงออกเปน ๗๖ จังหวัด ซึ่งแตละจังหวัดยังแบงออกเปนอําเภออีกตั้งแต ๕
ถึง ๙ อําเภอ แตละอําเภอแบงยอยออกไปอีกเปนตําบล มี ๘ ถึง ๙ ตําบล และแตละตําบลยังแบง
ออกเปนหมูบานเฉลี่ยแลวในตําบลหนึ่งมีประมาณ ๘ หมูบาน
เพื่อความสะดวกสําหรับผูที่จะยังชีพอยูไดนั้น ควรแบงแยกประเทศไทยออกไปตามลักษณะภูมิ
ประเทศและวัฒนธรรม เปนภาคใหญ ๕ ภาค ซึ่งมิใชเปนการแบงตามสวนการปกครอง ขนาดของแตละ
๓๔
ซอนตัวกันหมด ผูรอดชีวิตมาไดไมควรลวนลามหญิงสาวชาวบานอยางเด็ดขาดโดยเฉพาะตามหมูบาน
ชาวมุสลิมดวยแลวตองยึดถือกฎขอนี้อยางเครงครัด
ชนชาวเขา
ในประเทศไทยมีชาวเขาอยูประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ถึง ๕๐๐,๐๐๐ คน รวมทั้งพวกที่พึ่งอพยพลง
มาจากประเทศใกลเคียง คือ ลาว และ พมาดวย ชนเผาใหญๆก็คือ กระเหรี่ยง อยูใกลชายแดนที่ติดตอ
กับประเทศพมาในภาคตะวันตก แมว กระจัดกระจายอยูทั่วไปทางภาคเหนือและทางภาคตะวันตก ขา
ลาฮู และผูไท ตามเทือกเขาตอนเหนือสุดของประเทศ เงาะ และชาวน้ําซึ่งมีจํานวนนอยทางปกษใต
ชนเขาเผาตางๆ เหลานี้ สวนมากมีความเปนอยูตลอดจนขนมธรรมเนียมประเพณีไมเหมือนกัน
ตามขอเท็จจริงแมแตในเผาเดียวกันเอง ลักษณะความเปนอยูของแตละหมูบานก็ยังแตกตางกันไปตาม
สภาพภูมิประเทศที่ทํามาหากิน อยางไรก็ตามที ชนชาวเขาเผาตางๆเหลานี้มีความแตกตางกันไปจาก
ชาวไทยสวนใหญในชนบทอยางชัดเจน ทั้งทางดานวัฒนธรรมและขนบประเพณี พวกนี้ไมไดเปนชนชาติ
ไทยหรือไต ซึ่งพวกนี้สวนใหญนับถือผีสาง เทวดา แทนพระพุทธศาสนา ยังคงแผวถางทําลายปาเพื่อ
เพาะปลูก และยายหมูบานเมื่อดินในบริเวณเพาะปลูกขาดความอุดมสมบูรณไป ในบางหมูบานจะหาคน
ที่พูดภาษาไทยกลาง หรือภาษาทองถิ่นนั้นๆไดยากเต็มทีแมวาจะมีถนนตัดผานเขาไป และมีกิจกรรม
สงเคราะหบางประการทีทําใหชนชาวเขากับประชาชนชาวไทยไดมีการติดตอกันแลวก็ตาม ฉะนั้นในการ
ติดตอกันชนชาวเขาจึงจําตองใชภาษาใบกันอยูเสมอ นอกจากบังเอิญมีลามที่พูดภาษาชาวเขาไดเทานั้น
แตบางหมูบานที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินคากับคนไทยตามหมูบานใกลเคียง ก็อาจจะพบกับชาวเขาที่
พูดภาษาทองถิ่นนั้นได
ขอแนะนํ าตางๆสํ าหรับการติดตอกับ ชาวไทยตามชนบทดังที่ไดกลาวมาแลวขางตนนั้น อาจ
นํามาใชกับชาวเขาได ผูรอดชีวิตมาไดจะตองแสดงกิริยาสุภาพควรพยายามติดตอทําไมตรีกับผูใหญบาน
และสอบถามสถานที่ตั้งที่ใกลที่สุดของกองทัพไทย ตํารวจภูธรชายแดนหรือสถานที่ราชการ ไมควรคู
บังคับชนชาวเขาและไมควรตบรางวัลใหมากเกินสมควร ไมควรลวงล้ําเขาไปในที่สวนตัวเชน หองนอน
หรือบริเวณที่ชาวเขาใชเปนสักการบูชาหรือลวนลามผูหญิงเปนอันขาด ไมควรทําเสียงอึกทึกหรือรองรํา
ทําเพลงเขาไปในหมูบานชาวเขา ทั้งนี้เพราะชาวเขาสวนใหญถือวาผีประจําหมูบานไมชอบ และเราจะไป
ขอความชวยเหลือใดๆไมไดเลย
ถาหากไมมั่นใจวาชนชาวเขายินดีตอนรับหรือไม จงสงคนในคณะคนหนึ่งเขาไปในหมูบานกอน
ขณะที่ ผู นั้น กํ าลั งคนเข า ไปในหมู บาน คนอื่น ที่เขาไปดว ยกัน ควรเคลื่อนยายไปที่แหงใหมเสีย กอนที่
ชาวเขาจะรูวาเคลื่อนยายแลว
ถาหากผูแปลกหนาแสดงตนวาไมหวั่นเกรงตอชนเขา และไมทําอันตรายใดๆแกเขาเขามักจะ
แสดงความเปนมิตรตอบและหากตองการอาหาร ที่พัก และความชวยเหลืออื่นๆในบางครั้งชนชาวเขา
อาจพอชวยเหลือไดบางเทาที่จะสามารถชวยได แตอยางไรก็ตามควรทําตัวใหสุภาพกับคนในหมูบานนั้น
โดยเฉพาะอยางยิ่งกับหัวหนาหมูบานและครอบครัวของเขา ขอสําคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ไมกระทํา
การใดๆอื่นๆเปนการลบหลูดูหมิ่นสถานที่หรือสิ่งบูชาของเขาเชน ศาลเจา ประตูผี หรือที่สักการอื่นๆเปน
ตน
๓๖
บางครั้งชาวเขาก็พอใจที่จะแลกเปลี่ยนอาหาร หรือผลิตผลจากหัตถกรรมบางอยางกับสิ่งของ
เล็กๆนอยที่พอจะเจียดใหได เชน ไมขีดไฟ ยาสูบ เกลือ ใบมีดโกน ภาชนะ หรือเสื้อผา เหลานี้เปนสิ่งที่
ชาวเขามักจะพอใจ ตลอดจนผาหมนอน ยาแอสไพริน และยารักษาโรคชนิดตางๆ
ตามปกติชาวเขามักจะเปนโรคติดตอตางๆเสมอควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนเหลานี้พยายาม
อยาใหชาวเขาเกิดความรูสึกไดวาพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัส ถาสามารถทําไดโดยไมกอใหเกิดความขุน
เคืองขึ้นแลวก็ควรหุงตมอาหารและเครื่องดื่มของตนเอง ถาถูกถามวาทําไมจึงตองตมน้ําควรตอบไปวา
เปนประเพณี แลวชนชาวเขาก็จะเชื่อสนิท ถาสามารถทําไดควรพักแยกออกไปตางหาก บางทีชาวเขาก็
อาจจะชวยทําดวย ในการอาบน้ําหรืออาบน้ํามาใชในการหุมตมแลว ควรอาบหรือใชน้ําในลําธารตอน
เหนือของหมูบานชาวเขา ทั้งนี้เพื่อปองกันโรคติดตอและชาวเขามักจะเอาสัตวเลี้ยงตางๆลงกินน้ําในลํา
ธาร ตลอดจนสิ่งปฏิกูลตางๆในหมูบานจะถูกชะลางลงในลําธาร ถาหากนําเอาน้ําในลําธารไปใชอาบกิน
อาจจะทําใหเกิดโรคตางๆไดงาย โดยเฉพาะโรคผิวหนังและโรคทองรวง
ถาหากอาศัยอยูกับชาวเขาชั่วระยะหนึ่ง ควรจะศึกษาและปฏิบัติตามกฎเกณฑและขอหามตางๆ
ของเขา จงพยายามเรียนภาษาของเขาใหรูบางสัก ๒-๓ คํา
ซึ่งจะทําใหพวกเขารูสึกภูมิใจและจะชวยสอนใหถาหากแสดงความสนใจ ในขณะเดียวกันควร
จะศึกษาเทาที่พอจะทําไดเกี่ยวกับการเดินปา แหลงที่มาของอาหาร และภยันอันตรายในทองถิ่นนั้น
โดยเฉพาะอยางยิ่ง ถาจําเปนที่จะตองเดินทางโดยลําพังในภายหลังทานก็จะสามารถทําไดเอง
การสงสัญญาณ
โอกาสที่จะขอความชวยเหลือนั้นมีอยูเสมอ แตเปนการยากที่จะมองเห็นบุคคลเพียงคนเดียว
หรือกลุมเดียวไดจากทางอากาศ โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อทัศนะวิสัยเลว ดังนั้นจําเปนตองแสดงตําแหนง
ทานที่อยูและความตองการของตนใหผูที่จะชวยเหลือไดทราบดวย
เมื่อใชเครื่องหมายสัญญาณตามรูปที่ ๑๕ นั้น ควรจะเลือกวัสดุที่มีสีตัดกับบริเวณที่กําลังอยู ถา
หากวาตรงบริเวณนั้นเปนหาดทราย ก็ทําเครื่องหมายสัญญาณบนผิวทรายใชกอนหินหรือสาหรายทะเลก็
ได
ควันไฟเหมาะสําหรับที่จะสงสัญญาณในตอนกลางวัน และใชกองไฟในเวลากลางคืน ในการทํา
ควันสีขาวนั้น อาจทําไดโดยสุมกองไฟกองใหญ แลวคอยๆใสพวกใบไมสดๆ ตะไครน้ําลงไปหรือจะเอาน้ํา
พรมดวยก็ได
เสื้อชั้นใน กางเกงใน หรือกางเกงขายาว อาจนํามาดัดแปลงเปนธงไดและใชโบกหรือปูทาบลง
กับพื้นที่มีสีตัดกัน ถาขึ้นตนไมสูงๆได ใหชักธงสีขาวหรือสีอื่นไวบนคันไมยาวๆ
ใช กระจกสงสั ญ ญาณ ซึ่งกระจกเงาสองหนา หรืออาจใชวัตถุส ะทอนแสงอื่น ๆ เชน พวก
กระปองอาหารก็ทําได
โดยเจาะรูกลมโตพอประมาณที่ตรงกึ่งกลางแผนสะทอนแสง ถือแผนสะทอนแสงใหหางจากใบหนา
ประมาณ ๒-๓ นิ้ว เล็งดูเครื่องบินผานรูที่เจาะไว จุดสวางของแสงอาทิตยที่สองผานรูของแผนสะทอน
จะตกถู กที่ ใ บหน า หรื อที่ เ สื้ อของผูส งสัญ ญาณ ซึ่งผูส งสัญ ญาณจะมองเห็น ภาพปรากฏอยู บ นแผ น
สะทอนแสง พยายามปรับมุมของบนแผนสะทอนแสงจนภาพของจุดสวางที่ปรากฏอยูบนแผนสะทอน
แสงนั้นไปตรงกับรูที่เจาะไว และขณะเดียวกันก็เล็งดูเครื่องบินผานรูนั้นดวย ผลก็คือแสงที่สะทอนจาก
แผนสะทอนแสงก็จะตรงไปยังเครื่องบินพอดี เมื่อนักบินรับทราบแลวก็ใหหยุดสงสัญญาณได
๓๗
ในวันที่มีหมอกนักบินสามารถมองเห็นแสงสะทอนนี้ไดเปนระยะทางไกลๆ กอนที่ผูขอความชวยเหลือ
ทางภาคพื้นดินจะสามารถมองเห็นเครื่องบินไดเสียอีก ดังนั้นจึงใหสงสัญญาณสะทอนแสงกวาดขึ้นไปใน
ทองฟาตามทิศทางที่ไดยินเสียงเครื่องบิน ถึงแมจะมองไมเห็นเครื่องบินก็ตาม
ตองการหมอ ไดรับบาดเจ็บ
ตองการยารักษาโรค
ไมสามารถปฏิบัติการได
ตองการอาหารและน้ํา
ตองการอาวุธปนและกระสุน
ตองการแผนที่และแผนที่เข็มทิศ
ตองการตะเกียงสงสัญญาณพรอมแบตเตอรี่และวิทยุ
โปรดชี้ทิศทางสําหรับปฏิบัติการ
กําลังปฏิบัติอยูที่ทิศทางนี้
จะพยายามเคลื่อนที่ออกไป
เครื่องบินไดรับความเสียหายอยางหนัก
อาจจะลงสูพื้นดินตรงนี้ไดโดยปลอดภัย
ตองการเชื้อเพลิงและน้ํามัน
ทุกอยางเรียบรอย
ไมใช
ใช
ไมเขาใจ
ตองการวิศวกรรม
รูปที่ ๒๐ เครื่องหมายตางๆที่ใชติดตอกับเครื่องบินในยามฉุกเฉิน
๓๘
รูปที่ ๒๑ ทําเครื่องหมายสัญญาณ
๓๙
รูปที่ ๒๒ การสงสัญญาณดวยกระจก
๔๐
ที่พัก
การเลือกสถานที่พัก
กอนสรางที่พักควรเลือกสถานที่ตั้งโดยรอบคอบ ดังนี้
๑. เลือกสถานที่พอจะหาอาหาร น้ํา และวัสดุทําที่พักไดใกลๆ
๒. เลือกสถานที่ราบพอที่จะทําใหนอนได มีกําลังตามธรรมชาติที่สามารถปองกันลม ฝน และ
น้ําทวมไดและไมมีแมลงรบกวน ใหสังเกตดูวามีเศษขยะติดคางอยูบนกิ่งไมและพุมไมเตี้ยๆหรือไม เพราะ
จะแสดงใหทราบวา น้ําเคยไหลบาขึ้นทวมสูงแคไหน
๓. ที่ตั้งที่พักที่ดีจะตองเปนเนินหรือที่สูงอยูในที่โลงหางไกลจากบึง พื้นดินยิ่งสูงก็ยิ่งแหง จะมี
ลมพัดดีกวา และยุงก็มีนอยกวา
๔. รักษาความสะอาดของสถานที่พักใหมากที่สุดเทาที่จะทําได เพราะเศษมูลฝอยนั้นจะเปน
เครื่องลอแมลง เศษอาหารควรจะฝงหรือทิ้งใหหางไกลจากที่พักเพราะมดชอบกินและอาจรบกวนได
๕. อยาสรางที่พักใตตนไมใหญที่มีกิ่งผุ หรือมีผลใหญ
๖. อย า สร า งที่ พั ก ในท อ งน้ํ า ถึ ง แม น้ํ า จะแห ง ผากก็ ต าม เพราะน้ํ า อาจท ว มขึ้ น มาภายใน
ระยะเวลาสองสามชั่วโมงได ถามีฝนตกไกลๆซึ่งไมอาจทราบไดเลย
๗. ถาทานตองตั้งที่พักระหวางเวลากลางวัน และตองเคลื่อนยายในเวลากลางคืนแลวรมไม
ชายฝงน้ําเปนดีที่สุด
๘. บางคราวอาจอาศัยที่พักใตชะงอนผาหรือถ้ําไดเปนอยางดี
อยาไดตั้งหนาเลือกหารที่พักใหไดลักษณะครบถวนทุกประการ ดังที่กลาวมาแลวนั้นมิฉะนั้น
แลวอาจจะตองเสียเวลาเดินทางหาทั้งคืน
ควรเลือกหาที่ตั้งคายพักใหไดในเวลาอันสมควร เพื่อจะไดจัดทําใหมั่นคงปลอดภัยและอยูอยาง
สบายไดกอนค่ํา ในเขตรอนนั้น ระยะที่มีแสงเงินแสงทองกอนดวงอาทิตยตกตามปกติมีเวลานอยกวา
๓๐ นาทีและมืดเร็ว
หลังจากเลือกที่เหมาะสมไดแลว ใหเก็บกวาดเศษไม ใบไมที่ผุเนาออกเสียใหหมด เพราะขยะมูล
ฝอยเปนเครื่องลอ เห็บ มด ทาก และแมลงอื่นๆ ถาไมตกอยูในแดนของขาศึกก็ใหกอไฟขึ้นไดเพราะควัน
ไฟจะชวยไลแมลงที่รบกวนออกไป นอกจากนั้นไฟยังเปนเครื่องชวยนําทางใหผูที่มาชวยเหลือ และใชหุง
อาหารตมน้ํา จงเก็บไมฟนที่เหลือใหเรียบรอยและหาใบไมมาปดพรางกันฝนเสีย
ชนิดของคายพัก
การเลือกชนิดของคายพักนั้นขึ้นอยูกับสิ่งตางๆ หลายกรณีเชน เวลาที่จะพอมีทําที่พักระยะเวลา
ที่จะใชพักอยู และจําเปนที่ตองใชปองกันฝน ความหนาว ความรอน แสงแดด ความชื้น หรือแมลงตางๆ
เพียงใด
คายพักงายๆทีทําจากรมชูชีพ
คายพักชนิดนี้ทําไดงายที่สุด คือ เอารมชูชีพหรือผาใบกันน้ําพาดบนเสนเชือกหรือเถาวัลยที่ขึง
ไว ระหวางตนไมสองตน หรือใชไมเสาคํายัน
๔๑
คายพักแบบมุมหลังคา
คายพักแบบมุมหลังคาปองกันฝนไดเปนอยางดี และสามารถทําไดโดยทําโครงรูปรูปตัว A แลว
มุงหลังคาดวยใบไมจําพวกหมากและหวาย หรือใบไมกวางชนิดอื่นๆเปลือกไมหรือฟอนหญาก็ใชได (ดูรูป
ที่ ๑๙) จะใชใบกลวยมุงก็ได แตใบกลวยสดมักจะฉีกเร็วเปนริ้วๆ กอนใชควรจะอังไฟใหตายนึ่งเสียกอน
โดยกอไฟขึ้นบนแผนหินใหญหรือจุดบนลานหินกอนเล็กๆ เมื่อหินรอนดีแลวก็เอาใบกลวยนาบลงบนแผน
หินรอนนั้นจนกระทั่งใบกลวยเปลี่ยนเปนสีคล่ํากระดางและเปนมัน จึงนําไปใชมุงหลังคาได หรือเอาใบ
กลวยลนไฟก็ได
เวลามุงใหมุงแบบมุงกระเบื้องเอาปลายใบลงดานลาง เริ่มตนมุงจากดานลางขึ้นไปกอนเพื่อที่
น้ําฝนจะไดไหลลงไดตลอดไมติดคาง คายพักแบบนี้กันน้ําฝนไดอยางสมบูรณ หลังจากสรางคายพักเสร็จ
แลว ควรขุดทางระบายน้ําเล็กๆภายใตชายคาของคายพัก และควรใหระบายลงไปตามเนินเขาเพื่อทําให
พื้นที่พักที่พักใตเพิงแหงอยูเสมอ
คายพักแบบเพิงหมาแหงน
บางครั้งก็อาจเปนการดีที่จะสรางคายพักแบบนี้ ถาโชคดีไปพบถ้ําหรือเงื้อมผาเขา
เตียงนอน
เพื่อใหรางกายไดรับการพักผอนที่แทจริง ควรจะนอนบนเตียงเปนนิจสิน นอกจากนั้นยังชวยให
พนจากมด แมงมุม ทาก แมงปอง และแมลงตางๆที่มารบกวนไดดวย
เตียงที่ดีพอประมาณนั้นสามารถทําไดบนพื้นดินที่เตียนๆ โดยปูลาดดวยกิ่งไมและแขนงไมเล็กๆแลวใช
ใบไมพวกหมากหรือใบไมใหญๆปูทับขางบนอีกชั้นหนึ่ง
อาจทําเตียงที่ดีกวาตามกลาวมาแลวนั้นโดยใชไมไผหรือไมชนิดอื่นผูกเปนโครงขึ้น แลวใชใบไม
จําพวกหมากชนิดที่ไมมีหนามปูทับขางบนประมาณ ๔-๕ ขั้น (ดูรูปที่ ๒๕)
ในเวลากลางคืนอากาศหนาวเย็น ดังนั้นไมควรจะทิ้งผาหมและเสื้อหนาวที่มีติดตัวไปเสียกอน
เปลนอนนั้นอาจทําขึ้นไดจากรมชูชีพ
๔๒
รูปที่ ๒๓ แสดงการสรางที่พักอยางงายๆ
๔๓
รูปที่ ๒๔ วิธีมุงหลังคาแบบตัว A
๔๔
รูปที่ ๒๕ เตียงไมไผ
๔๕
บทที่ ๓
การหาน้ําและการเตรียมอาหาร
รูปที่ ๒๖ วิธีรองน้ําฝนจากใบไมใหญ
๔๗
รูปที่ ๒๗ รองน้ําดื่มจากเถาวัลย
๕๐
รูปที่ ๒๘ รินน้ําจากปลองไผ
๕๑
การแสวงหาอาหาร
แมวาคนเราจะอยูรอดไดโดยไมมีการับประทานอาหารเลยเปนเวลา ๑ เดือนก็ตาม แตถาหาก
หลงทางในปาเขตรอนแลว ก็เปนอันวาไมตองประสบกับการอดอาหารถึงขาดนั้นเลย ทั้งนี้เพราะมีพืช
และสัตวที่จะใชเปนอาหารไดอยางอุดมสมบูรณและหางาย ถาพอมีความรูเรื่องปาอยูบาง
ในทันที่ตนสํานึกวาหลงพวกเขาแลว จงปฏิบัติดังนี้
ตรวจสอบปริมาณอาหาร และน้ํา และประมาณระยะเวลาที่จะตองผจญอยูในปาแต
ลําพัง
แลวแบงอาหารออกเปน สามสวน สองสวนสําหรับใชในระยะเวลาครึ่งแรก และอีก
สวนหนึ่งสําหรับในระยะเวลาครึ่งหลังของการอยูในปาแตลําพัง
หากมีน้ําดื่มวันละไมเกิน ๒ กระติกแลว ไมควรรับประทานอาหารแหงๆที่เปนแปง และมีรสจัด
มาก
อาหารจํ า พวกที่ มี ป ริ ม าณคาร โ บไฮเดรตสู ง ลู ก กวาด และผลไม แ ห ง นั้ น เหมาะสํ า หรั บ
สถานการณเชนนี้
ทํางานหนักแตนอยๆ เพราะการทํางานจะทําใหดื่มน้ํา และรับประทานอาหารมากกวาปกติ
หากกระทําไดควรรับประทานอาหารใหเปนเวลา อยากินจุกจิก ควรกําหนดอาหารเพียงวันละ
มื้อ และเตรียมหุงหาไว การหุงตมทําใหอาหารปลอดเชื้อโรค ยอยงาย และรสดีช วนรับประทานขึ้น
นอกจากนั้นอาหารรอนๆ ยังชวยทําใหรางกายอบอุนไดมาก ในยามที่อากาศเย็นและชื้น อีกประการหนึ่ง
การหุงตมก็ทําใหไดมีโอกาสพักผอนไปในตัวอีกดวย
จงฝกฝนชวยตัวเอง แสวงหาพืช และสัตวมาเปนอาหาร พืช และสัตว สวนมากรับประทานได
แทบทุกชนิด
ปลา
ปลาเปนอาหารที่มีธาตุโปรตีนสูง ปลาน้ําจืดทุกชนิดรับประทานได และมีชุกชุมอยูทั่วไป ปญหา
อยูที่วาจะจับไดอยางไรเทานั้น แตถาหากวาทราบเวลา สถานที่และวิธีจับแลว ก็จะจับปลาไดไมยากนัก
เวลาที่เหมาะสําหรับการจับปลา
โดยทั่วไป เวลาที่เหมาะสําหรับการจับปลา คือ ตอนเชาตรู หรือตอนเย็น แตก็ยากที่จะกลาวให
แนนอนลงไปไดวาเวลาไหนจึงจะดีที่สุด เพราะปลาแตละชนิดออกหากินไมเหมือนกัน บางทีก็การจับ
ปลาตอนกลางคืนเปนดีที่สุด เฉพาะอยางยิ่งถามีไฟสองลอ
เวลาที่เหมาะสําหรับการจับปลาอีกเวลาหนึ่ง คือวันที่มีอากาศครึ้ม และหลังจากฝนตกหนัก
กอนที่น้ําจะหลากขึ้น
สถานที่เหมาะสําหรับการจับปลา
ตามบึง และทะเลสาบนั้น ตรงที่น้ําลึกจะเปนที่จับปลาอยางดีเยี่ยม สวนในลําธารตื้นๆนั้น ดี
ที่สุดก็ตรงแองใตน้ําตก ใตแกง หรือหลังกอนหิน นอกจากนี้ปลายังชอบอาศัยตามขอนไมจมน้ํา แองเวา
ใตฝง และพุมไมที่ยื่นลงไปใตน้ํา
๕๒
วิธีจับปลา
ใชเบ็ดตกปลา
เบ็ดอาจทําขึ้นไดจากเข็มหมุด ลวด หรือเศษโลหะ หรือจะใชหยัก เหลา หวาย หรือไม
ไผก็ได
สายเบ็ดอาจทําขึ้นไดจากเถายานยายเภา เปลือกไม และกาบตนกลวยก็ได ถาจะให
แข็งแรงยิ่งขึ้นก็ทบเขาดวยกัน ขมวดปลายขางหนึ่งไว แลวบิดใหเปนเกลียวไปคนละทาง เสร็จแลวขมวด
ปลายขางที่เหลือเขาดวยกันอีก หรือถามีสายรมชูชีพก็นํามาใชเปนสายเบ็ดได
เมื่อเกี่ยวเหยื่อจนหุมเบ็ดแลว ก็หยอนลงไปทางเหนือน้ํา เพราะปกติปลาจะวายเหนือน้ําอยู
เสมอ ในที่น้ําใสๆ และตื้น ตองเคลื่อนไหวชาๆ เพื่อไมใหปลาตกใจ
หากไมไดผลอยาพึ่งเบื่อหนาย ลองเปลี่ยนวิธีใหมถายังไมไดผลอีก ก็เปลี่ยนเวลาไปตกในตอนค่ํา
เหยื่อ
โดยปกติปลาชอบกินเหยื่อที่ไดมาจากสถานที่ที่เดียวกับที่มันอยู ดังนั้นจึงตองพยายาม
หา ปู ไขปลา ปลาเล็กๆ ตามชายฝง และไสเดือน หรือแมลงบนฝงมาใชเปนเหยื่อลอ ปลาที่กินสัตวอื่น
เปนอาหาร เชน ปลาดุก ชอบกินเนื้อ ตับ ไต ไสพุง และปลาดิบ แตบางทีก็กินแมลงดวยเหมือนกันปลา
ชนิดอื่นๆ มักไมชอบเหยื่อดังกลาวมาแลวนั้น อาจใชลูกไมเล็กๆ หรือเศษอาหารมาใชเปนเหยื่อลอ
พยายามสั ง เกตดู ว า ปลาแต ล ะชนิ ด กิ น อะไรเป น อาหาร ถ า จั บ ปลาได ล องผ า นดู
กระเพาะ ก็จะทราบไดวาปลาชอบกินอะไร แลวก็พยายามหาสิ่งนั้นมาลอ
ปลาจะพวกปละตะโกก และตะเพียน ซึ่งอาศัยอยูลําธารบนเขา ชอบกินลูกไมบางชนิด
เชน ไมตะเคียนทราย และไมไทรตรอก ซึ่งเปนผลไมปา แตการลอดวยเหยื่อเทียมไมเคยปรากฏวาไดผล
เลย
เบ็ดราว
ลักษณะของเบ็ดราว เปนเชือกเสนยาวๆ มีเบ็ดแขวนเปนระยะๆ การวางเบ็ดราวอาจ
ใชเชือกขึงไวกับกิ่งไมเตี้ยๆ ซึ่งจะโคงออนเวลาปลากินเหยื่อ วางเบ็ดใหจมอยูในน้ําตลอดเวลา แลวคอย
ตรวจดูเปนครั้งคราว เพื่อปลดปลาที่มาติดเบ็ด และเปลี่ยนเหยื่อใหม
ลักษณะเบ็ดที่ดีที่สุดสําหรับการทําเบ็ดราว ไดแก เบ็ดตะกาง เวลาเกี่ยวเหยื่อควรพยายามให
เบ็ดฝงมิดอยูในเหยื่อ เวลาปลากลืนเบ็ดเขาไป ตะกางจะเขาไปขวางขัดอยูในกระเพาะ
๕๓
รูปที่ ๒๙ เบ็ดตกปลา
๕๔
ลอบ
ลอบเปนเครื่องมือจับปลาที่ใชจับปลา และสัตวน้ํา ทั้งในน้ําจืด และน้ําเค็ม อาจทําขึ้นไมไผสอง
ลํา ลําหนึ่งยาวประมาณ ๑ ฟุต อีกลําหนึ่งยาวประมาณ ๒ ฟุต ดังแสดงในรูปที่ ๓๒ ผาจักปลายขาง
หนึ่งของไมไผออกเปนซี่เล็กๆ จนกระทั่งถึงปลายอีกขางหนึ่ง แลวดึงใหถางออกเปนรูปกรวยทั้ง ๒ ลํา
มัดรวบปลายกรวยอันเล็กเขาดวยกัน และเปดใหพอเปนชองไว แลวสวมเขาไปในกรวยอันใหญ ใชเชือก
หรือหวายผูกใหติดกัน แลวเอาเหยื่อลอไวในลอบ เหยื่อนี้อาจใชเนื้อเนา หรือขาวสุกสักกํามือหนึ่งก็ได
การใสเหยื่อตองระมัดระวังใหมากขึ้น อยาใหปลามากินทางนอกลอบได เมื่อใสเหยื่อแลว เลือกวางลอบ
ไวในบริเวณที่มีน้ําลึก และไหลชา แลวหากิ่งไม โคลน เลน มากองสุมเปนทํานบขวางไว เวลาลงลอบนั้น
จะหันปากลอบไปทางไหนก็ได ถาลงลอบไวซัก ๒-๓ อัน ก็จะพอจับปลาเปนอาหารไดโดยไมเสียเวลา
และแรงงานมากนัก
การจับปลาไหล อาจทําไดงายๆ โดยใชลันที่ทําขึ้นไดจากไมไผยาวสัก ๒ ปลอง ตัดขอทางปลาย
หนึ่งออก สวนอีกปลายหนึ่งคงเหลือไว เจาะขอกลางใหทะลุเปนชอง แลวใชไมไผซีกเล็กๆผูกติดกันเปน
กรวย สอดเขาไวทางปลายขางที่เปด ใชเนื้อหอยหมักใหเนาประมาณ ๑ คืน เปนเหยื่อลอใสไว แลวเอา
ไปวางไวริมหนองบึง ในตอนค่ํา ถามีปลาไหลอาศัยอยูในหนอง หรือบึงนั้นเมื่อไปกูลันตอนเชาก็จะได
ปลาไหลหลายตัว
วิธีดักปลาในลําธารตื้นๆ และแคบอีกวิธีหนึ่งก็คือ เลือกหาบริเวณที่แคบที่สุด แลวใชไมหลักปก
เปนวงกั้นขวางลําธาร เปดทางแคบๆ สําหรับใหปลาวายเขาไป ( ดูรูปที่ ๓๒ ) แลงลงไปเดินย่ํา หรือใชไม
ตีเหนือน้ําตอนปลาลงมา ปลาจะวายหนีเขาไปในคอกที่กั้น จากนั้นอาจใชมือจับ หรือ ตีดวยไมไดโดยงาย
สวิง
สวิง อาจใชผาบางๆ เสื้อกลาม เปลญวน หรือสิ่งที่มีลักษณะคลายๆ กันนี้ มาเย็บเปนถุงกนปด
เลือกตนไมเล็กๆ ตัดเอามาขดเปนวงทําขอบแลวเย็บถุงสวิงใหติดกับขอบนี้ ใชสวิงที่ทําขึ้นนี้ชอนทวนน้ํา
ไปมารอบๆ กอนหิน หรือตามหนอง
เครื่องมืออีกแบบหนึ่งซึ่งใชชอนปลา ทําจากไมไผลํายาวๆ ผาปลายเปนซี่เล็กๆ ลงไปจนเกือบถึงโคลน ดึง
ใหหางออกจากกันแลวใชเถาวัลย หรือหวายสายใหเปนรูปชอนกลายๆ แลวทําดามสําหรับจับ
๕๕
รูปที่ ๓๐ เบ็ดตกปลาแบบไมขัด
๕๖
รูปที่ ๓๑ ลอบดักปลา
๕๗
รูปที่ ๓๒ โพงลาง
นก
นกทุกชนิดรับประทานไดทั้งนั้น มีเพียงสองสามชนิด เชน นกแรง นกเหยี่ยว เทานั้นที่มีรสไม
ชวนรับประทาน
นกเปนสัตวที่มี ประสารท หูและ ตาดีมาก แตการสัมผัสกลิ่นไมคอยดี ในฤดูวางไข แมนกหวง
รังมาก หากเราสังเกตเห็นมันบินไปทางไหน และติดตามไปก็จะพบรังไข ไขนกทุกชนิดรับประทานได
การดักนกก็ทําไดงายดังที่แสดงในรูป นกที่นิยมเปนกีฬา คือ นกงุม นกเขาไกปาไกฟา และนกยูง เปนตน
สัตวเลี้ยงลูกดวยนม สัตวปาซึ่งนิยมลาเปนกีฬา มีหลายชนิดดวยกัน เชน ชาง เสือ แรด กระทิง
วัวแดง หมี หมูปา กวาง สวนสัตวเล็กๆก็มี เมน ลิงลม ชะมด และอีเห็น ลิงคาย กระรอก กระตายปา
ฯลฯ
การลาสัตว
สถานที่ ที่ จ ะเห็ น สั ตว ป า ออกมาปรากฏตัว เสมอๆ คือ ที่ใกลห นองน้ํ า ที่โ ลงในปา ชายป า
ละเมาะ หรือตามบริเวณเดินโปง แตสัตวปาบางชนิดก็ชอบขุดรูอยูใตดิน หรืออยูตามโพรงไม
สัตวปาสวนมากลาลําบาก จะตองมีความชํานาญ และอดทนพิเศษ จงสังวรไววา เมื่ออยูในแดน
ขาศึกนั้น การใชปนนั้นตองพิถีพิถันมากๆ
การนั่งหาง เปนวิธีที่ดีที่สุดสําหรับผูที่เพิ่งหัดลาสัตว พยายามใหอยูใตลม เพราะสัตวจะไมได
กลิ่นแลวคอยจังหวะอยูอยางเงียบๆ จงกระทั่งสัตวเขามาในระยะยิง หรือเขาไปติดกับที่วางไว (วิธีดัก
สัตวจะไดกลาวถึงในตอนตอไป)
เวลาเชาตรู และเวลาเชิงพลบ เปนเวลาที่เหมาะสมที่สุดสําหรับการฆาสัตว พยายามสังเกตดู
รองรอยของสัตว เชน ทางดานสัตว รอยเหยียบย่ํา ทางเดิน แองน้ํา หรือโปงการสอดหาสัตวนั้นตอง
กระทําโดยการเคลื่อนไหวอยางชาๆ เงียบๆ ใหใชที่กําบังมากที่สุด และพยายามใหสัตวอยูทางเหนือ
ลมเสมอ เมื่อจะเปลี่ย นที่กําบังจากแหงหนึ่งไปสูอีกแหงหนึ่งนั้น ควรกระทําในขณะที่สัตวกมลง กิน
อาหาร หรือหันหนาไปทางอื่น แตถาสัตวหันมาทางที่ตนอยูแลวตองหยุดนั่งทันที
หากมีอาวุธอยู และไดโอกาสเหมาะก็ใหผิวปากดังๆ เพื่อใหสัตวหยุดชะงักเปนเปานิ่งใหยิง ถา
เปนสัตวใหญ ตําแหนงที่ควรจะเล็งยิงก็ คือ คอ ปอด หรือ หัว ถาหากสัตวนั้นเพียงไดรับบาดเจ็บและหนี
ไปได จงติดตามรอยเลือดไป ถาสัตวนั้นบาดเจ็บสาหัส ไมชาก็จะลงนอนหมดกําลัง และลุกไมขึ้น ก็ให
ตามไปชาๆ แลวซ้ําใหตาย เมื่อสัตวตายตองรีบชําแระทันที ตัดตอมกลิ่นซึ่งอยูระหวางโคนขาหลังเสีย
และระวังอยาใหกระเพาะปสสาวะแตกได
สําหรับสัตวที่อยูในรู หรือโพรงไม ใหใชไมยาวแยงลงไปดุวามีสัตวอยูหรือไม แลวปดทางออก
เสียใหหมด เวนแตเพียงครูเดียว ใชไมแยงไลใหสัตววิ่งออกมา หรือใชไฟสุมตามโคนไมใหสัตวรีบออกมา
จากโพรง คอยเอาไมตี หรือใชบวงแรว ดักตอนที่วิ่งออกมาได
๖๑
การวางกับดัก
การดักนก และสัตวใหญ ทําไดยากกวาการดักสัตวเล็กๆ เชน พวกหนู และกระตายปา ซึ่งมี
ขอบเขตการหากินจํากัดกวา
ดังนั้น กอนจะวางกับดักตองตัดสินใจเสียกอนวา จะดักสัตวชนิดไหน แลวจึงเลือกชนิดกับดัก
และเหยื่อที่ใชลอสัตวนั้น
การวางกับ ควรวางหลังจากจัดสรางที่พักเรียบรอยแลว และกอนค่ําใหวางกับไวตรงทางแคบๆ
ตรงที่มีรอยสัตวเดินใหมๆ หรือหมูสัตวสดๆหรือที่ใกลๆหนองน้ํา และโปงสัตว
เวลาวางกับดักสัตวนั้น อยาแผวถางรอบๆบริเวณ โดยไมจําเปน ไมควรใชไมสดทํากับ ตามรอย
บากก็ควรจะใชฝุนทาปดเสียดวย ระวังอยาใหเศษไมที่ถากตกเรี่ยราดอยู อยาคุยกวาดพื้นดินเปนอันขาด
พยายามใหทุกสิ่งที่อยูรอบๆอยูในสภาพธรรมชาติใหมากที่สุด เพราะสัตวมักระแวงกลิ่นที่
ผิดปกติ และรองรอยเล็กๆ นอยๆ ที่ผิดธรรมชาติ แลวแผวทางใหสัตวเดินเขาสูกับที่กับดักไดโดยสะดวก
ถาใชบวงดักสัตวก็
ตองกะใหพอดีหัวสัตวจะลอดเขาไปได แตอยาไมใหโตเกินไปจนกระทั่งสัตวเดินรอดผานไปไดทั้งตัว
กับบวง
กับชนิดนี้ ลักษณะเปนบวงหอยลงมาจากกิ่งไม หรือทอนไมที่ปกขึ้นไว ตองทําบวงประมาณให
โตกวาหัวสัตวเล็กนอย แตไมโตกวาลําตัว เพราะจะทําใหสัตวหนีรอดไมได และใหหอยอยูในระยะที่หัว
สัตวจะลอดเขาไป
กับบวงเหมาะสําหรับดักกระตาย ขาดของบวงประมาณ ๔ นิ้ว หอยใหสูงจากพื้นดินประมาณ
๑ ½ -๓ นิ้ว แลวนําไปวางตามทางสัตวเดินใกลพุมไม เมื่อกระตายผานมาถูกบวงเขา หัวของมันก็จะเขา
ไปติดอยูกับบวง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกรัดแนนเขาทุกที
แรวตอ
กับดักแบบนี้มีไกติดกับตัวบวง เมื่อสัตวผานเขามาไปถูกบวง ก็จะปลดใหไกหลุดออกจากที่หาม
ทําใหคันแรวดีดตวัดขึ้น การวางไก ควรวางในตําแหนงที่หลุดออกไดสะดวก แตอยาใหหลุดงายจนเกินไป
เพราะไกจะหลั่นหลุดไปเสียกอนที่สัตวจะเขาติดบวง ไมคันแรวตองแข็งแรง และดีดดีนอกจากนั้นเมื่อดีด
เอาสัตวขึ้นไปแขวนอยูแลวก็ตองไมอยูใกลกับพุมไม หรือกอนหินที่จะชวยใหสัตวนั้นอาศัยดิ้นรุดจากบวง
ไปได
กับเหยื่อ
กับดักแบบนี้ก็เชนเดียวกับแบบกอน คือ ใชไมคันแรวที่สามารถดีดกลับขึ้นไปได แตคันแรวจะ
ดีดก็ตอเมื่อมีสัตวมางับดึงเหยื่อ กับดักชนิดนี้สามารถจะรัดขา หรือลําตัวเทานั้น สัตวจะไมตายทันที และ
ดังนั้นจึงดิ้นรน และพยายามกัดเสนเชือก ฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดจึงควรเฝาดูอยูใกลๆ ดวย เพื่อฆาสัตวนั้น
เสียกอนที่จะหนีรอดไปได
กะตํา
กับชนิดนี้เหมาะสําหรับดักสัตวตั้งแตขนาดกลางถึงขนาดใหญ และควรเลือกวางในที่ๆมีสัตวชุก
ชุม จึงจะคุมกับเวลา และแรงงานที่จัดทําขึ้น
๖๒
รูปที่ ๓๓ กับบวง
๖๓
รูปที่ ๓๔ แรวดักสัตว
รูปที่ ๓๕ แรวดักสัตว
๖๔
รูปที่ ๓๖ แรวดักสัตว
๖๕
รูปที่ ๓๗ แรวดักสัตวอีกชนิดหนึ่ง
๖๖
รูปที่ ๓๘ แรวดักสัตวใชเหยื่อลอ
๖๗
รูปที่ ๓๙ กะตํา
รูปที่ ๔๐ ลวงนกชนิดหนึ่ง
๖๘
วิธีกอไฟ
ไฟเปนสวนหนึ่งที่ชวยใหเราอบอุนใจ ชวยปองกันมิใหสัตวปาเขามากล้ํากราย และควันไฟยัง
ชวยไลลิ้นใหหนีไปอีกดวย นอกจากนี้ไฟยังชวยใหความอบอุน ชวยทําใหเสื้อผาแหง ชวยในการหุงหา
อาหาร และตมน้ํา และยังใชในการสงสัญญาณไดอีกดวย
เมื่อมีไมขีดไฟก็ควรจะกอไฟขึ้นใหได ไมวาอากาศจะแปรปรวนอยางใด เมื่อยามปฏิบัติการอยูใน
ที่เปลี่ยวๆนั้น ควรจะใชไมขีดไฟติดตัวไปพอสมควร และหอเก็บไวมิใหเปยกได กอนที่จะประสบกับ
สภาวะจะเอาชีวิตรอดนั้น จึงเปนการสมควรที่จะตองฝกหัดขีดไมขีดไฟ และปองกําบังไฟในขณะที่มีลม
พัดจัดไวบาง เพราะวันหนึ่งจะชวยใหเอาชีวิตรอดไปได
อุปกรณที่ใชในการกอไฟ
เชื้อเพลิง เชื้อเพลิงที่ดี และหาไดงายนั้น ก็คือ ตนไมที่ยืนตนตาย กิ่งใบไมแหงหรือไมไผขอนไม
และกิ่งไมใหญๆ ที่ตกอยูตามพื้นดินนั้น เมื่อดูเผินๆ จะเห็นวาเปยกชื้นอยู แตขางในอาจจะแหงสนิท
อยาบังควรใชไมไผสดๆ เปนเชื้อเพลิงเปนอันขาด เพราะจะไหมปะทุแตกเปนสะเก็ดกระเด็นมาถูกทําให
บาดเจ็บได ไมแหงผาหรือหักออกไดโดยงาย โดยใชฟาดลงกับกอนหิน ในที่ๆไมมีตนไมขึ้นอยูเลยก็ใหใช
ฟอนหญาแหง แตก็ตองระมัดระวังใหมากในการติดไฟ และเติมเชื้อเพลิง
ในปาดิบชื้นนั้น ไม สังเครียด( Aglaia spp ) สดๆติดไฟไดดีในปาดิบแลง กิ่งสดๆขนาดเล็กของ
ไม กันเกรา
( Fagraea frarans )และเปลือกสดๆของไมสองสลึง(Lophopetaiurn duppereanam )จะติดไฟลุก
และใชเปนเชื้อเพลิงไดเปนอยางดี ในปาเบ็จพรรณ ทางภาคเหนือนั้น ไมตะแบก( Lagerstroemia spp )
เปนเชื้อเพลิงที่ดีเพราะเนื้อผางาย และติดไฟดี ไมสัก( Tectona grandis)ก็เปนเชื้อเพลิงไดอยางดีอีก
ชนิดหนึ่งในปาดิบเขา ไมกอ( Quercus spp Castanopsis spp Lithocarpus spp )ไมสนรอย(
Beckia frutes) แหงๆก็ใชไดนอกจากนี้ผลรากและเนื้อไมโคนตนของสนเขาแหงๆ ก็เปนเชื้อเพลิง ดี
เชนกัน
สรุปแลว อาจใชพันธุไมเกือบทุกชนิดทําเชื้อเพลิงได แตอยาไดใชมีพิษเปนเชื้อเพลิงเปนอันขาด
เพราะแมแตควันไฟก็เปนพิษกอใหกิดการระคายเคืองได
ยางและชันตางๆ หรือน้ํามันไมก็เปนเชื้อเพลิงอยางดี เมื่อจะกอขึ้นไฟในที่เปยกชื้น
เชื้อติดไฟ เชื้อติดไฟที่ดีที่สุด และหาไดงายดาษดื่นนั้นก็คือ เยื้อไมผุ เยื้อไมแหงๆนั้น อาจหามา
ไดแมแตในฤดูฝน โดยถากทุบขอนไมผุๆ ดวยมีดพรา ทอนไมหรือแมแตใชมือเปลาๆ แกะฉีกเอา เชื้อติด
ไฟที่หาไดตามธรรมชาติก็คือ ไมแหงซีกเล็กๆ เปลือกไมแหง สะเก็ดไม ใบไมแหงกิ่งไม ตะไครน้ําแหง
หญาแหง ผักกูดแหง รังนก เยื่อไม และขี้มอด ขี้หนอนที่มักพบอยูตามใตเปลือกตนไมตายนั้น
๖๙
รูปที่ ๔๑ กองฟน
๗๑
รูปที่ ๔๒ กองซุง
๗๒
ใชแสงแดดผานเลนส
แวนขยายที่ถอดออกจากกลองถายรูปก็ดี จากกลองสองทางไกลทั้งชนิด ๒ ตา และตาเดียวก็ดี
หรือกระจกไฟฉายก็ดี ในวันที่มีแดดจัดอาจนํามาใชเปนเครื่องรวมแสงแดดสําหรับจุดใหลุกไหมได
ใชหินเหล็กไฟ
วิธีนี้เปนวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง สําหรับใชจุดในยามที่ไมมีไมขีด ดังนั้นจึงควรหาหินเหล็กไฟ
หรือหินแข็งๆ กอนเล็กๆ ใสไวในกลองเก็บไมขีดไฟ ซึ่งกันน้ําไดติดตัวไวเสมอ เวลาจะตีใหถือหินเหล็กไฟ
ไวใกลๆชุดใหมากที่สุดเทาที่จะมากได แลวใชสันมีดหรือชิ้นเหล็กกลาเล็กๆตีลงไปแรงๆจะทําใหเกิด
ประกายไฟแลบติดชุดขึ้นได
ถ า ได ห ยดน้ํ า มั น ก าดลงไปบนชุ ดสั ก ๒-๓ หยด จะช ว ยให ไฟติ ดง ายขึ้น เพื่ อความ
ปลอดภัยควรเอียงศีรษะไปขางใดขางหนึ่งเสียกอน
เมื่อชุดติดกรุนๆใหพัด หรือเปาเบาๆ จนกระทั่งลุกโพลงแลวจึงนําไฟจุดกองเชื้อเพลิงที่
เตรียมไวใหแรงเสียดสี การกอไฟโดยวิธีนี้ใชกันมาก และไดผลดีที่สุดในการใชแรงเสียดสี เครื่องมือที่ใชมี
ดังนี้
๑. ไม คัน ธนู ทําขึ้นดว ยกิ่งไมแข็งๆยาวประมาณ ๒ ½ ฟุต มีเชือกผูกโยงหยอนๆ ที่
ปลายทั้งสอง
๒. ไมแหงกลมยางประมาณ ๑ ¼ ฟุต ปลายขางหนึ่งมน สําหรับปน
๓. แผนเชื้อไฟสองอัน อันหนึ่งเจาะรองไวที่ริมใหพอดีกับปลายขางของบนของไมปน
เขาไปได
๔. ไมเนื้อแข็งแผนเล็กๆ เจาะรูตรงกลางใหโตพอที่จะสอดปลายดานบนของไมปนเขา
ไปได
เมื่ อเตรี ย มเครื่ องมื อเสร็จ แล ว นํ า มาประกอบเข า ทีแ รกเอาสายเชือ กที่ผู ก ติด กั บ
แผนกระดาษสําหรับติดไฟ เอาชุดวางลงตรงรอยหยักระหวางกระดาษ
ชักไมคันธนูใหสีไปมาทํานองเดียวกับการสีซอ ก็จะทําใหไมปนหมุนไปดวย ครั้งแรกๆ
ใหสีชาๆแลวคอยๆเร็วขึ้นๆ เมื่อเริ่มมีควันออกมา ถาเห็นมีควันก็มักจะมีประกายไฟเกิดพรอมๆกันไป ทํา
ใหชุดติดไฟ แลวคอยๆ เติมชุดลงอีกทีละนอย แลวเปาคอยๆ จนกระทั่งไฟลุกโพลงขึ้น
๗๓
รูปที่ ๔๓ วิธีจุดไฟจากแสงอาทิตยดวยเลนซ
๗๔
รูปที่ ๔๔ วิธีจุดไฟดวยหินเหล็กไฟ
๗๕
รูปที่ ๔๕ วิธีจุดไฟดวยการเสียดสี
๗๖
โดยวิธีชักเชือก
ใชเสนหวายแหงๆ ยาวประมาณ ๒ ฟุต เสนผาศูนยกลาง ¼ นิ้ว เปนเชือกและกิ่งไม
แหงขาดยอมๆกิ่งหนึ่ง ใหปกกิ่งไมลงในดิน และใชกอนหินค้ําทางดานหนึ่งไว (ดูรูปที่ ๔๗) แลวผาปลาย
ไมขางที่อยูพนพื้นดินขึ้นมาเอาลิ่มขัดไวใหเอาออก แลวดึงชักเสนหวายไปๆมาๆความรอนจากการเสียดสี
ของหวายกับไมจะทําใหชุดติดไฟได
โดยวิธีสีไม
วิธีนี้ใหใชไม ๒ ชิ้น ชิ้นหนึ่งสําหรับใชเปนไมสี (ดูรูปที่ ๔๘) ไมสี ควรใชไมเนื้อออนหรือ
ไมไผซีก สวนอีกชิ้นหนึ่ง ใชกาบหุมชอมะพราวแหงๆ ที่โคนทางตนชก หรือตาว และเหยื่อแหงโคน
ทางมะพราวเปนชุด วิธีนี้นิยมใชกันมากเหมือนกัน
ขอแนะนําที่เปนประโยชน
อยาพยายามใชไมขีดจุดไฟที่กองไวไมเรียบรอย
อยาใชไมขีดจุดบุหรี่ แตใหใชจากกองไฟ หรือใชแวนขยาย ทั้งนี้ เพื่อสงวนไมขีดไวใชใน
เวลาตอไป
อยาจุดไฟเลนเสียเปลาๆเพราะจะทําใหเปลืองเชื้อเพลิงโดยใชเหตุ
พยายามหัดกอไฟดวยวิธีโบราณใหเปน กอนที่ไมขีดจะหมด
นําชุดไฟแหงๆ ติดตัวไวบาง โดยเก็บไวในที่ๆกันน้ําได และเมื่อมีโอกาสควรเอาออกมา
ตากแดดเปนครั้งคราว และทางที่ดีควรเอาถานปนใสลงไปในหีบที่เก็บชุดไฟดวย เพราะจะชวยทําใหแหง
ดีขึ้น เมื่อพบชุดไฟดีๆ ควรเก็บรวบรวมไวเสมอ ชุดอาจจะทําไดในปา โดยใชไมมีดขูดผิวไมไผแหงซึ่งจะ
ออกมาเปนฝอยๆและใชเปนชุดไฟไดเปนอยางดี
ควรเก็บสะสมเชื้อเพลิงไฟไว ในขณะเดินทางไปกอนที่จะตั้งคาย และควรเก็บเชื้อติดไฟ
แหงไวใตชายคา ไมฟนที่เปยกชื้นก็นําไปกองไวขางๆ กองไฟเพื่อจะใชไดตอไป แลวแบงเก็บเชื้อติดไฟ
และเชื้อเพลิงเพื่อไวใชในตอนเชาไดรวดเร็วขึ้น
เมื่อตองการจะผาไมทอนใหญๆ สุมวางไวขางบนไฟ ก็จะไหมเขาไปจนถึงแกน เมื่อไฟ
ไหมจนเปนถานลุกแดงแลวก็เอาขี้เถากลบลงบางๆ แลวใชดินแหงโรยทับอีกชั้นหนึ่งไฟจะคุกรุนๆ ไป
จนถึงเชาวันรุงขึ้น
เมื่อจะยายไฟไปที่อื่นก็ใชไมผุๆที่ติดอยู ที่ติดอยู กาบมะพราวไหมไฟ หรือถานไฟที่คุกรุนอยูนั้น
เปนเชื้อสําหรับจุดไฟกองใหม
เมื่ อ จะออกจากที่ พั ก ต อ งดั บ ไฟให เ รี ย บร อ ยเสี ย ก อ น อาจใช น้ํ า ราด เขี่ ย ขี้ เ ถ า ให
กระจายออกแลวกระทืบถานไฟใหดับมอด หรือใชดินเปยกกลบทับก็ได
๗๗
รูปที่ ๔๖ จุดไฟโดยใชไมเสียดสีกัน
๗๘
การใชไฟผิง
กองไฟเล็กๆเหมาะสําหรับใชผิงใหอบอุน เพราะไมรอนจัดจนเกินไป ถึงกับตองทําใหเปลี่ยน
อิริยาบถบอยๆ ไมเปลืองเชื้อเพลิง และสะดวกในการควบคุม
เพื่อใหรับความรอนจากกองไฟกองเล็กๆ อยางเต็มที่นั้นก็ใหเอาเสื้อชั้นนอกหรือ เครื่องใชสอย
ชิ้นใหญๆ หรือทอนไมสดๆ ไปกั้นกําบังใหความรอนสะทอนกลับมา การกอไฟกองเล็กๆ ขึ้นรอบตัวนั้น
ยอมทําใหอบอุนสบายกวาไฟกองใหญๆ แตการนี้ควรระมัดระวัง อยาใหไฟนั้นเปนกับดักตนเองเขาได
การใชไฟหุงตม
กองไฟเล็กๆเหมาะที่สุดสําหรับการหุงตม กองกายไมฟนเขาดวยกันใหดีแลวจุดเผาใหไหมโทรม
ลงเปนถานไฟก็จะไดไฟหุงตมที่มีความรอนสูง
การทําเตาวิธีงายๆโดยใชทอนไมหรือกองหินวางก็ได หรือจะขุดเตาเปนหลุมแคบๆก็ไดแลวหา
กิ่งไมยาวๆ พาดเปนคานเขากับไมงามเพื่อแขวนภาชนะที่ใชหุงตม ปงปลา หรือนกที่ตองการเหนือกอง
ไฟนั้น
ไฟที่ใชในการปงนั้น ใหกอขึ้นในหลุมและรอจนกระทั่งเชื้อเพลิงไหมโทรมลงเปนถานเสียกอน
๗๙
รูปที่ ๔๗ วิธีกองไฟอยางายๆเพื่อหุงตมอาหาร
๘๐
รูปที่ ๔๘ การทําหลุมยางปลา
๘๑
การประกอบอาหาร
การเตรียมอาหารสําหรับหุงตม
ปลา
หลังจากจับปลาไดใหรีบฆาใหตายทันที โดยแทงตัดกระดูกสันหลังและเสนเลือดใหญที่
อยูใกลๆกันนั้นใหขาด แลวขอดเกล็ด ผาทองควักไสออก และลางน้ําใหสะอาด จึงตัดหัวทิ้งเสีย นอกจาก
กวาจะตองการใชไมเสียบอยางไฟ
ปลาดุก และปลาไหลนั้นไมมีเกล็ด ใหลอกหนังทิ้ง หรือลางขูดหนังใหสะอาดเสียกอน
ปลาที่มีขนาดนอยกวา ๔ นิ้ว ไมตองเอาเครื่องในออก แตตองขอดเกล็ดหรือลอกหนัง
ปลาตัวเล็กๆ จําพวกปลาซิว ปลาสรอยนั้น ไมตองทําความสะอาดมากนักก็ได เพราะเกล็ดหลุดงาย
เพราะสามารถลางออกทันทีหลังจากจับมาได กระเพาะ และลําไสอาจจะใชนิ้วควักออกมาได
รูปที่ ๔๙ วิธีแทงปลา
๘๒
รูปที่ ๕๐ วิธีขอดเกล็ดปลา
รูปที่ ๕๑ วิธีผาทองปลา
๘๓
รูปที่ ๕๒ วิธีลอกหนังปลา
เปด ไก นก
เปด ไก นก เปนๆ นั้น ใหตัดหัวเสีย เลือดก็จะไหลออกจนตาย ถาสัตวนั้นตายมากอน
แลวใหรีบตัดหัวออกทันที แลวลวกดวยน้ําเดือดๆ เพื่อจะถอนขนไดงาย ยกเวน เปดน้ําซึ่งถอนขนออกได
งายโดยไมตองลวกน้ํา ผาเอาเครื่องในออก แลวลางดวยน้ําที่สะอาดๆใหเก็บคอ ตับ และหัวใจ ไวตมแกง
สัตวเลี้ยงลูกดวยนม
ใหรีบถลกหนังใหเร็วที่สุดหลังจากสัตวนั้นตาย เพราะทิ้งไวนานจนเกินไปจะทําใหได
ยากมาก ในการถลกหนัง สัตวขนาดเล็ก และขนาดยอมๆนั้นใหแขวนซากสัตวไวกับกิ่งไมเอาหัวหอยลง
เชือดใหตกในภาชนะรองรับแลวก็นําไปตมใหสุกดี เลือดมีคุณคาทางอาหารสูง และยังมีพวกเกลือแร
ตางๆ ที่เปนประโยชนตอรางกาย
เชือดควั่นผิวหนังรอบๆเขา และขอพลับ แลวกรีดตัดผิวหนังใหขาดออกไปตามขาหลัง
ทั้งสองขาง และกรีดตัดออกไปตามหนาทองขึ้นไปคาคอหอย แลวกรีดตัดตอไปตามขาหนาทั้งสองขาง
ตอจากนั้นใหเชือดเปนวงรอบๆ อวัยวะสืบพันธุ และตัดออกใหหมด ถลกหนังจากขาหลังลงไป ผาทอง
๘๔
รูปที่ ๕๓ วิธีถลกหนังสัตว
สัตวเลื้อยคลาน
งูตางๆยกเวนงูทะเล สัตวจําพวกตะกวด เหี้ย และแยนั้น ก็รับประทานได ใหตัดหัวและถลก
หนังเสียกอน กอนที่จะใชเปนอาหาร ถาจะใชงูพิษเปนอาหารแลว ควรตัดสวนหัวเลยเขามาในลําตัว
ประมาณ ๒ นิ้ว เพื่อจะเอาตอมและทอน้ําพิษออกเสียกอน เนื้องูนั้นอาจจะตมหรือทอดก็ได
วิธีประกอบอาหาร
๑. การตมแกง
การตมแกงนั้นถือเปนวิธีการประกอบอาหารที่ดีที่สุด เพราะจะไดนําแกงไวสําหรับซดกลั้วคอ
และเกลือแรที่ละลายอยูในน้ําแกงนั้นไมไดสูญเสียเปลาดวย
วิธีนี้เหมาะที่สุดสําหรับเนื้อเหนียวๆ หรืออาหารที่ตองใชเวลาปรุงนานๆนอกจากนี้ยังอาจตม
อาหารหลายๆอยางรวมกันเลยทีเดียว เพราะรสชาติอาหารดีๆ ก็จะแทรกซึมเขาไปในเนื้ออาหารบาง
ชนิดที่มีรสดอยกวาดวย
กระบอกไมไผอาจใชเปนภาชนะสําหรับตัก และเก็บน้ําไดอยางดีเวลาใชหุงตม จะไมไหมเกรียม
และรั่ว นอกจากจะใชมาหลายๆครั้ง กระดองเตา และเปลือกหอยทะเลก็ใชเปนภาชนะในการหุงตมได
เปนอยางดีเชนกัน
ถาตองการใชน้ําเปนจํานวนมาก ก็หาไมไผลํายาวๆ กระทุงขออก เวนขอสุดทายเอาไปพิงยาง
เอาไว
ถาตองการหุงตมอาหารจํานวนไมมากนัก ก็ใชกระบอกไมไผเพียงปลองเดียว เจาะรูทางดานบน
แลวเอาหวาย หรือเถาวัลยรอยผูกแขวนไวเหนือกองไฟ หรือวางพิงไวขางกองไฟก็ได
ถาหาไมไผไมได อาจทําภาชนะขึ้นไดจากเปลือกไม หรือใบไม โดยใชหนามหรือไมกลัดเย็บให
ติดกัน ภาชนะนี้ตอนใตระดับน้ําจะไมไหมไฟ แตควรทําใหภาชนะสวนที่อยูเหนือระดับน้ําเปยกอยูเสมอ
เพื่อไมใหไฟติดไหมลามลงมา ควรใชไฟออนๆโดยใหมีเปลวไฟแตเพียงเล็กนอยเทานั้น
๘๖
รูปที่ ๕๔ วิธีตมน้ําดวยกระบอกไมไผ
อาจตมน้ําใหเดือดไดในแองดิน เหนีย ว หรือโพรงไมบนไมซุงโดยเผากอนหินใหรอนจัด แลว
หยอนลงไปในน้ําในแองนั้นๆ ในการหุงตมอาหารนั้นก็ใหใชหินเผาใหรอนแดงๆ เติมลงไปเรื่อยๆ จนน้ํา
เดือด แลวใชใบไมโตๆ ปดทิ้งไวประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือจนกระทั่งอาหารสุก
๘๗
๒. การยาง
การยางเปนวิธีที่รวดเร็วสําหรับอาหารจําพวกผัก หรือเนื้อที่ไมเหนียว เครื่องใชที่จําเปนไดแก
ไฟ และสิ่งที่ใชเสียบ หรือรองอาหารในการยาง การยางเนื้อโดยใชเสียบเนื้อวางไวใกลๆ ถานไฟหรือใชไม
ที่เปนงามค้ําไว การยางทําใหเนื้อขางนอกสุกเกรียม เปนการชวยเก็บกักน้ําภายในไมไผไมใหไหลออกมา
วิธีนี้เหมาะที่จะใชกับปลา กอนเนื้อ หรือ สัตวเล็กๆ ทั้งตัว
๓. การอบปง
การอบปงอาจทําไวในหลุม หรือใชใบไม หรือดินเหนียวหอหุม การอบปงในหลุมนั้น ใหใสกอน
ถานไฟลงไปในหลุมกอน เอาอาหาร และน้ําใสภาชนะที่ปดฝาสนิท หยอยลงไปในหลุม และเอาถานวาง
ลงบนภาชนะอีกครั้งหนึ่ง แลวจึงเอาดินปดทับดานบน ถาทําไดควรเอาหินกรุรอบๆหลุมเสียกอน แลวจึง
ใสถานไฟเพื่อจะใหหินเหลานั้นเก็บความรอนไว การอบปงแบบนี้ยังปองกันไมใหแมลงวัน และแมลงอื่นๆ
ลงไปในอาหารได และทั้งยังจะพรางแสงไฟไดในเวลากลางคืนอีกดวย
การอบปงดวยวิธีใชดินเหนียวหุม เปนวิธีประกอบอาหารของพวกยิปซี และใชไดกับเนื้อบาง
ชนิดเทานั้น ใหใชโคลน ถาจะใหดีก็ใชดินเหนียวหอหุมอาหาร หรือเนื้อใหมิดแลววางบนกองไฟ เมื่อ
คะเนวาอาหารสุกแลวก็กะเทาะดินออก จะไดอาหารและก็พรอมที่จะรับประทานไดเลย
วิธีนี้นับวามีขอดีอยูหลายประการ แรกทีเดียว อาหารจะไมไหมเสียหาย เมื่อกะเทาะเอาดินที่หุม
ออก เกล็ดปลา ขนเมน หรือขนนก ก็จะหลุดติดออกไปกับดิน มันฝรั่ง หอยกาบ และอาหารชนิดอื่นก็
อาจประกอบเปนอาหารไดดวยวิธีนี้เชนกัน บางที่ก็จะอบอาหารไดโดยใชใบหมาก หรือใบกลวยหอให
หนาสักประมาณ ๓ – ๔ นิ้ว ทั้งนี้เปนการเผื่อไวใหชั้นนอกๆไหมไฟเมื่อนําไปอบปง
๔. การปง
อาจนึ่งอาหารโดยไมตองมีภาชนะใสอาหาร แตก็เหมาะสําหรับอาหารประเภทที่ไมตองใชเวลา
ในการหุงตมมากนัก เชน หอยและปู เปนตน ใหเอาหินที่เผารอนแลววางลงไปในหลุมประมาณครึ่งหลุม
แลวเอาไมสดๆ วางทับ เอาอาหารวางลงไปในใบไมนั้น แลวเอาใบไมคลุมทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง ใชกิ่งไม
หรือไมไผลําเล็กๆ หรือตนออปกใหทะลุใบไมลงไป จนถึงชั้นอาหารแลวเอาดินโรยทับใหแนนอีกชั้นหนึ่ง
ดึงกิ่งไมออกแลวคอยๆ เทน้ําลงไปตรงชองรูไมนั้น ถาใชไมไผ หรือตนออก็ใหเทน้ําลงไปตามรูไมไผ หรือ
ตนออนั้น
๘๘
รูปที่ ๕๕ วิธีรมควัน
๘๙
น้ําเลี้ยงของพืชบางชนิด มีรสหวานก็อาจเคี่ยวทําเปนน้ําเชื่อมไดโดยตมพอเดือดเปนเวลานานๆ
เพื่อใหน้ําระเหยออกไปเสียบาง
เห็ด
เห็ดที่กินไดชนิดตางๆ นั้น มักจะมีตัวหนอนกัดกินอยูแมวาเห็ดที่ยังออนอยูจะไมถูกตัวหนอนกัด
ทําลายก็ตามที เมื่อเก็บมาไดควรแชทิ้งไวในน้ําเกลือ สัก ๒-๓ ชั่วโมง ตัวหนอนก็จะออกจากเห็ด ลอย
ขึ้นมาอยูบนผิวน้ํา
สัตวขนาดกลางและขนาดใหญ
สัตวที่ขนาดโตกวาแมวบางเทานั้น ควรจะตมเสียกอนที่จะนําไปยาง ถาหากเนื้อสัตวนั้นเหนียว
มาก ใหตมผสมกับผักจนเปอย ยางเนื้อสัตวใหสุกโดยเร็ว เพราะถาใชไฟออน จะทําใหเนื้อเหนียวถา
ตองการยางจงใชน้ํามันทาเสียกอน
สัตวขนาดเล็ก
นกหรือสัตวเล็กนั้นๆ นําไปปรุงอาหารไดเลยทั้งตัว จะดวยวิธีตมเปอย อบ ยาง ทอด หรืออบปง
ก็ได ถาไมแนใจวาเนื้อสัตวนั้น จะเปนพิษหรือไม ก็ใหตมเสียกอนแลวจึงยางหรือตมแกงตอไปนกที่กิน
ซากสัตวเปนอาหาร เชน นกแรงนั้น ควรจะตมสัก ๒๐ นาทีกอนแลว จึงนําไปประกอบอาหาร นก หรือ
ไกนั้น ถาไปประกอบอาหารทั้งหนังก็จะชวยรักษาคุณคาทางอาหารไวไดเปนอยางดีถาหกผูใดทํากับขาว
เปน ก็อาจทําใหเนื้อของนก หรือไกนั้น มีรสชาติมากขึ้น โดยยัดใสดวยเนื้อ มะพราว ผลไม เมล็ดพืช
เผือก มัน หรือผักก็ได
ปลา
ปลานั้นจะนําไปประกอบอาหารไดทุกที แตเพื่อกําจัดตัวพยาธิ ของปลาน้ําจืดใหหมดไป จงตม
สุกกอนที่จะรับประทาน หรือกอนที่จะไปประกอบอาหารวิอื่นๆ เพื่อกําจัดกลิ่นคาวปลาใหหมดไป จงตม
น้ําใหเดือดเสียกอน แลวจึงใสปลาลงไป
จะยางปลาโดยใชกรับ หรือใชไมสดๆทําไมตับ หรือจะปงอบโดยใชน้ํา หรือดินเหนียวหอได
สัตวเลื้อยคลาน และกบ เขียด
กบ เขียด งูตัวเล็กๆและแย ก็ไมทําใหตับยางได จงถลกหนังกบ เขียด และงู กอนที่จะนําไป
ประกอบอาหาร เพราะเหตุวา หนังอาจเปนพิษได เคยปรากฏวาคางคก ถากินทั้งตัวอาจทําใหถึงตายได
เนื้อที่ดีที่สุดของแยก็คือ ตอนขาหลัง และโคนหาง เนื้อกบสวนที่ดีที่สุดก็คือ ขาหลัง งูตัวใหญๆ ปลาไหล
เตา และตะพาบน้ํานั้น นําไปตมแกงเปนดีที่สุด กอนที่จะนําเตา และตะพาบน้ํานั้นไปตมแกงนั้น ควรจะ
เผาเสียกอน เพราะจะทําใหตายโดยเร็ว และควรจะลางน้ําใหสะอาด เพราะถาทําสะเพราแลว จะทําให
เนื้อเตามีกลิ่นเหม็นไมนารับประทาน
กุง ปู
ปู กุง ตางๆ และสัตวจําพวกเดียวกัน ตองทําใหสุกเพื่อฆาพยาธิเมื่อจับหามาไดแลวตองรีบนําไป
ประกอบอาหารทันที จงใชพวกนี้ประกอบอาหารเมื่อยังเปนๆอยู โดยหยอนลงไปในน้ําเดือดๆ
แมลงตางๆ
ตั๊กแตน ดวง ปลวก มด และแมลงชนิดอื่นๆนั้น จับหาไดงาย และพอที่จะใชเปนอาหารประทัง
ชีวิตอยูได เมื่อถึงคราวคับขันจริงๆ อาจใชตมแกงได ตั๊กแตนตองทําใหสุกดี เพื่อฆาตัวเบียฬในตัวใหตาย
จนสิ้น
๙๑
ไขตางๆ
ไขสัตวทุกชนิดรับประทานไดทุกระยะ และเปนอาหารที่ปลอดภัยที่สุด อาจจะตมใหสุกแข็งเพื่อ
เก็บไวไดนานหลายๆวัน ไขเตา และตะพาบน้ํา ไขเหี้ยและแลน จะตม หรือยางใหสุกก็ได แตไขจะขาวไม
สุกแข็งเหมือนไขสัตวอื่นๆ
เครื่องปรุง
เครื่องชูรส เกลือ นับวาเปนของจําเปนที่ทําใหอาหารมีรสชาติ และจําเปนตอความเปนอยูของ
รางกาย อาจจะหาได โดยการเอาน้ําทะเลตมเคี่ยวไปจนกระทั้งในที่สุดจะเหลือแตเกลือ และเกลือแร
อื่นๆอยู ขี้เถาหรือใบจากมีเกลืออยู เมื่อนํามาละลายน้ําและปลอยทิ้งไวใหน้ําละเหยออกไปก็จะไดเกลือสี
ดําๆเหลืออยู
น้ําสมในผลสม และมะนาว ใชดองปลา และเนื้อสัตวได เพราะมีกรดน้ําสมอยู ใหผสมน้ํามะนาว
๒ สวนกับน้ําเกลือ ๑ สวน เขาดวยกัน แลวนําเนื้อสัตว หรือปลาแชไวสักครึ่งวัน หรือนานกวานั้นก็ได ถา
จะใหดีแลวควรทําปลา หรือเนื้อสัตวดองนี้ใหสุกกอนรับประทาน
การถนอมอาหาร
ถาโอกาสอํานวย ควรนําเอาอาหารสํารองติดตัวไปดวยเสมอ จงหอผลไม ผัก และเนื้อดวยใบไม
ถาอยูบนเขาสูง ก็อาจใชหญามอสและแฟกนัมแทนก็ได ปลาที่ทําความสะอาดแลวก็แขวนไวบนปลายไม
การทําผักแหง
พืชที่เปนอาหารทําแหงได โดยผึ่งลม ตากแหง หรือยางไฟที่มีควันหรือไมก็ได หรือจะใชวิธีตางๆ
นี้ดวยกันก็ได
กลวย สาเก เผือก มัน ผักยอด ละผลไมตางๆ หรือวาที่แทจริงแลวพืชเปนอาหารเกือบทุกชนิด
ทําแหงไดทั้งนั้น ใหหั่นฝานเปนชิ้นบางๆ แลวจึงนําไปตากแดด หรือยางไฟก็ได
เห็ดตางๆ ตาก หรือยางใหแหงไดงาย และสามารถเก็บไวไดนานมาก เวลาจะใชเปนอาหารก็
นําไปแชน้ําเสียกอน
การทําเนื้อสัตวแหง
เนื้ อ สั ตว อาจทํ า ให แห ง ไดด ว ยการยา งไฟออ น หรือตากแดด ใหหั่น เนื้อ ตามขวางเปน ชิ้น ๆ
พอประมาณ ¼ นิ้ว แลวนําไปยาง หรือตากก็จะเปนเนื้อหลอด ถายางไฟก็ใหวางชิ้นเนื้อไวบนตะกรับ
และยางจนแหงกรอบ (ดูรูปที่ ๕๗) อยาใชไมที่มีน้ํามันทําตะกรับหรือทําฟน เพราะจะทําใหเนื้อนั้นมีกลิ่น
เหม็น
วิธีรมควันเนื้อ ใหขุดหลุมลึกประมาณ ๓ ฟุต กวาง ๑ ฟุตครึ่ง กอไฟกองเล็กๆ ขึ้นที่กนหลุม
และเมื่อไฟติดดีแลว ก็สุมไฟสดลงไปเพื่อทําใหเกิดควันวางตะกรับไมใหสูงจากกนหลุมขึ้นมาประมาณ
สามในสี่สวนของความลึกของหลุม แลวจึงวางเนื้อบนตะกรับ เอากิ่งไมแขนงไม และใบไมวางปดหลุมให
มิด แลวทิ้งไวประมาณ ๓๐ นาที ถึง ๑ ชั่วโมง
วิธีถนอมอาหารจําพวกปลา และนก ก็ใชวิธีเดียวกันกับเนื้อ การเตรียมปลา เพื่อรมควันก็ใหตัด
หัวออกทิ้ง และชําแระเอากางกลางตัวออกเสียดวย และแบะตัวปลาใหแบนออกใชไมตับหนีบไว ตับ
หนีบปลานี้ ถาจะใหดีจงใชกิ่งแขนงของไมไคนุน หรือสนุน โดยลอกเอาเปลือกออกใหหมด นํา ปลาที่
หนีบแลวไปรมควันไฟ หรือตากบนหินรอนๆ หรือแขวนตากแดดไวตามกิ่งไม ถามีน้ําทะเลหรือน้ําเกลือก็
เอามาทาใหทั่งเสียกอน อยาเก็บอาหารทะเลที่ยังไมไดทําตากแหง และไมใหใสเกลือไวเปนอันขาด
๙๒
รูปที่ ๕๖ วิธีตากปลา
๙๒
บทที่ ๔
พืชสมุนไพรในการดํารงชีพ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร : จัดอยูในจําพวกเฟนชนิดหนึ่งชอบขึ้นตามตนลานจึงมีชื่อวาผักกูดลาน
พบในปาดิบแลงหรือขึ้นตามชะงอนหินที่ชื้น ๆ ในปาดิบแลงและปาดิบเขา โดยเฉพาะฤดูฝนไมพบวาขึ้น
ตามพื้นดินแตอยางใบออนและชอออนกินไดสด ๆ เปนผักจิ้มชนิดหนึ่ง
๙๘
ลักษณะทางพฤกษศาสตร : จัดอยูในจําพวกเฟนชนิดหนึ่งชอบขึ้นตามตนลานจึงมีชื่อวาผักกูดลาน
พบในปาดิบแลงหรือขึ้นตามชะงอนหินที่ชื้น ๆ ในปาดิบแลงและปาดิบเขา โดยเฉพาะฤดูฝนไมพบวาขึ้น
ตามพื้นดินแตอยางใบออนและชอออนกินไดสด ๆ เปนผักจิ้มชนิดหนึ่ง
๙๙
ขี้เหล็กแมง หรือ แสมสาร (Ki Lek Maeng or Samaesarn – Leguminosae – Cassia garrettiana)
(ไม) คึงคาก หรือคางคก (Kueng Kak or Kang Kok – Nyssaceae – Nyssa javanica)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร : เปนไมตางประเทศชนิดหนึ่งที่นําเขามาปลูกในเมืองไทยและนํามาปลูก
กันแพรหลายทั่วไป มีสองชนิด ชนิดดอกสีขาย และดอกแดง ดอกแคกินได จะแกง ตม หรือลวกจิ้ม
น้ําพริก แตจะตองเอาเกสรเมียซึ่งมีรสขมจัดออกเสียกอน ยอดออน ฝกออนก็กินไดเชนเดียวกัน ไมแค
ออกผลเปนฝก ลําตนสูง
๕-๑๒ ใหดอกและผลตลอดป
สานเปลา หรือ สานพลู หรือมะตาด (San Plao or Matad – Dilleniaceae – Dillenia indica)
บทที่ ๕
ความรูทั่วไปเกี่ยวกับงู
ตามธรรมชาติ งูจ ะไม เ ที่ย วไลกัดคน มัน จะกัดก็ตอเมื่อถูกรบกวนอยางหนัก งูมองเห็น เวลา
กลางคืนไดดีกวากลางวัน ดังนั้นจึงไมใครพบงูในที่สวางหรือโลงแจง งูไมมีอวัยวะรับเสียงทางอากาศ การ
ที่งูเหาสายหัวไปมาไปตามจังหวะปของหมองูนั้น เปนเพราะมันมองตามปของหมองู และงูจะรูทันทีเมื่องู
มีฝเทาเขามาใกล เพราะเหตุวามันไดรับความกระเทือนจากพื้นที่ที่มันนอนอยู ลิ้นเปนอวัยวะสําคัญ
สําหรับนํากลิ่น
งูกินสัตวเปนอาหาร งูจงอางชอบกินงูเปนๆนั้น งูน้ํากินปลา งูชนิดอื่นๆกินหนู กบ แมลง งูกิน
สัตวที่มันฆาเองใหมๆ เทานั้น เมื่อกินมื้อหนึ่งแลวงูจะอดอาหารไปหลายวันงูสวนมากออกไข แตงูจําพวก
โลหิตเปนพิษ ( viper ) บางชนิด เชน งูแมวเซา จะออกลูกเปนตัว งูจะลอกคราบเปนระยะๆบอยครั้ง
เมื่อยังออนอยู ภายหลังลอกคราบใหมๆงูจะมีสีสดใสวองไว
พิษงู
งูพิษมีเขี้ยว๒ เขี้ยวที่ขากรรไกรบนดานหนา เขี้ยวคือฟนรูปโคงที่เปนรอง หรือมีโพรงตลอด
ความยาวของเขี้ยว เขี้ยวแตละอันติดตอโดยมีทอเชื่อมกับตอมพิษหนึ่งตอมที่ตั้งอยูเบื้องหลังของตาตอม
พิษทั้งสองขางนี้เทียบไดกับตอมน้ําลาย เมื่องูกัดพิษจะถูกขับออกมาจากตอม ไหลเขาไปทางแผลรอย
เขี้ยว พิษมีประโยชนตองูสําหรับชวยฆาสัตวเปนอาหาร และชวยในการยอยอาหารดวย
พิษงูมีลักษณะเหลวใส สีเหลืองออน พิษงูที่รีดออกมาเมื่อทําใหแหงจะเปนเกล็ดสีเหลือง พิษงูที่
แหงจะมีคุณภาพอยูคงทน และละลายน้ําไดงาย พิษงูใชเปนประโยชนสําหรับฉีดมา เพื่อทําเปนเซรุมแก
พิษงู และใชในการวิจัยดวย
อาการเมื่อถูกงูพิษกัด
เมื่อถูกงูพิษกัดตรงที่กัดจะมีรอยเขี้ยว ๒ เขี้ยว และจะมีอาการภายใน ๑๐ นาที ถางูไมมีพิษจะ
พบแตรอยฟนเปนแถว
อาการของผู ถูกงูกัดนั้ น แลว แตชนิดของงู พิษงูเหาจะทําลายตอมระบบปราสาท สวนพิษงู
จําพวกชนิดพิษโลหิต(vipers ) เชน งูแมวเซา ทําอันตรายตอโลหิต และหลอดโลหิต เมื่อถูกงูเหากัด
บริเวณที่ถูกงูเหากัดจะปวดบวมเล็กนอยภายใน ๑๐ นาที อาการทั่วไปจะเกิดขึ้นภายหลังประมาณครึ่ง
ชั่วโมง ผูถูกกัดจะมีอาการออนเพลีย เดินไมไหว หนังตาตก พูดออแอ กลืนลําบาก และหายใจไมสะดวก
ในที่สุดเปนอัมพาตทั่วรางกาย และถึงแกความตาย เพราะการหายใจหยุด เมื่อถูกงูจําพวกพิษโลหิต เชน
งูแมวเซากัด อาการบริเวณที่ถูกกัดจะเห็นเดนชัด มีอาการปวด และบวมมาก บริเวณที่ถูกกัดจะมีอาการ
เลือดไหลซึมจากปากแผลที่ถูกกัด อาการทั่วไปมีโลหิตออกจากทางผิวหนัง และเหยื่อมูก เชน โลหิตออก
ตามไรฟน เลือดกําดาวออก และมีโลหิตปนออกมากับปสสาวะ อุจจาระ และอาเจียน หมดสติ แตไมมี
อาการอัมพาต และถึงแกความตายเพราะหัวใจวาย ในรายที่ถูกงูกะปะกัด บริเวณที่ถูกกัดเนื้อจะเปอย
เนาเนื้อตาย อาจถึงกับตัดสวนที่ถูกงูกัดทิ้ง ในรายที่ถูกงูสามเหลี่ยมกัด จะมีอาการทางปราสาทคลาย
๑๗๓
งูสมิงทะเลปากเหลือง (Laticaudacolubrine)
๑๗๕
๓.๒ งูบก
๓.๒.๑ งูเหา เปนงูที่มีพิษรายแรงที่สุดของงู ในแถบเอเชีย เปนงูประเภททําลาย
ประสาท มี ๒ ประเภท ๘ ชนิด คือ
๓.๒.๑.๑ ประเภทงูเหาใหญ ไดแก เหาไทย เหาแวน เหาอานมา เหาสีนวล งู
๔ ชนิดนี้ เปนงูเหามีพิษ แตไมพนพิษ โตเต็มที่จะมีขนาดยาว ประมาณ ๒ เมตร มีน้ําพิษประมาณ ๑๒๐
มิลลิกรัม ชอบอาศัยอยูตามทองนา ในรูหนู กินหนูเปนอาหาร กินงูตัวเล็กๆ เปน อาหาร หากินอาหาร
ตอนกลางวัน และพลบค่ํา ออกลูกเปนไข ครั้งละ ๒๐ -๓๕ ฟอง
๓.๒.๑.๒ประเภทงูเหาพนพิษ ไดแกเหาดํา เหาดาง เหาอีสาน เหาสีทอง เปน
๔.การปฏิบัติเมื่อถูกงูมีพษิ รายแรงกัด
ใหตรวจดูบาดแผลที่ถูกกัดวาเปนงูมีพิษหรือวาไมมีพิษกัด ถาเปนงูมีพิษรายแรง ใหทําการปฐม
พยาบาลเบื้องตน โดยใชผา หรือใชเชือกรัดเหนือบาดแผลกับหัวใจใหแนนพอประมาณ แลวนําคนปวย
สงโรงพยาบาลใหเร็วที่สุด ที่มีเซรุม อยาใชของมีคมเปดปากแผล อยาใชปากดูดแผลแบบโบราณ แลว
ผูปวยจะปลอดภัย
๑๘๐
๕.ชนิดนี้และประโยชนของงูพิษ
๕.๑ชนิดของงูพิษ พิษงูในประเทศไทยมีอยู ๓ ชนิดคือ
๕.๑.๑ พิษที่ทําลายระบบกลามเนื้อ เปนพิษของงูทะเล
๕.๑.๒ พิษที่ทําลายระบบโลหิต เชน งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม
๕.๑.๓ พิษที่ทําลายระบบปราสาท เชน งูจงอาง งูเหา
๕.๒ ประโยชนของพิษงู
๕.๒.๑ พิษชวยยอยอาหาร
๕.๒.๒ หลอเลี้ยงรางกาย
๕.๒.๓ เอาพิษงูมาทําเซรุม
๖. ลักษณะของตางู แบงออกเปน ๓ ประเภท
๖.๑งูตาแมว ชอบหากินเวลากลางคืน ชอบหากินตามพื้นดิน ไดแก งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหาง
ไหม
๗. ขอแตกตางระหวางงูพิษทางปราสาท และงูพิษทางโลหิต
๗.๑ ลักษณะของเขี้ยวพิษ
๗.๑.๑ ลักษณะของเขี้ยวงูประเภทพิษทางโลหิต ลักษณะจะนอนราบไปกับขากรรไกร
สวนบนเนื้องูตอนยังไมอาปาก และเมื่องูอาปากเขี้ยวพิษจึงจะโผลออกมา
๗.๑.๒ ลักษณะของเขี้ยวพิษทางปราสาทจะเปนเขี้ยวตายไมนอนราบไปกับขากรรไกร
สวนบนเปนเขี้ยวพิษที่ไมยาวเหมือนกับงูพิษทางโลหิต แตจะมีลักษณะสั้น และแข็งแรงมาก
๑๘๒
๘. การจับงูและเทคนิคการจับงู
๘.๑ การจับงู ใหสังเกตลักษณะของงูดวย ถางูเลื้อยในลักษณะนอนยาวไปกับพื้นดิน โอกาสที่งู
จะกัดนั้นไมมี เพราะงูไมมีจังหวะฉกกัด แตถางูขดตัวอยูไมควรจับ เพราะงูสามารถฉกกัดได ถางูทอดตัว
ยาวไปกับพื้นใหจับได ในลักษณะมือคว่ําขนานไปกับลําตัวของงู โดยจับบริเวณสะดือของงูและจับยกขึ้น
โดยใหหลังของงูนั้นอยูขางหนาคนจับ เมื่องูถูกยกขึ้นจะไมสามารถฉกกัดได เพราะงูไมมีจังหวะในการฉก
กัด และกอนการจับทุกครั้ง สายตาจะตองมอง และสังเกตที่หัวงูตลอดเวลา อยาประมาท เพราะการจับ
งูนั้น โอกาสที่งูกัดนั้นแทบไมมี ถางูไมเจ็บจริงๆจะไมกัด
วิธีการจับงูประเภทตัวแข็ง
งูเหา เปนงูที่สามารถแผแมเบี้ยได การจับงูชนิดนี้เมื่อแผแมเบี้ยจะมองตรงๆ มองขางหลังไมเห็น
การจับใหจับขางหนา หรือขางหลัง การจับขางหนา เมื่องูแผแมเบี้ย พยายามลอโดยใชเทาขยับขึ้นลง ให
งูมอง เมื่อรูวาเราไมทําอะไรจะแผแมเบี้ยนิ่ง เมื่อนิ่งใหใชปลายนิ้วแตะที่หัวงูคอยๆกดลงเรื่อยๆ อยาฝนงู
กดลงจนถึงพื้น แลวใหใชนิ้วมืออีกขางหนึ่งกดหัวงูไว แลวบิดมืออีกขางหนึ่งกดหัวงูไว แลวบิดมืออีกขาง
หนึ่งจับที่คองูยกขึ้น แลวรูดมืออีกขางหนึ่งจับที่หาง การจับงูครั้งนั้นก็จะปลอดภัย และถูกตอง
การจับงูยกขึ้นขณะที่งูแผแมเบี้ย เมื่องูนิ่งใหใชมืออีกขางหนึ่งไปจับที่บริเวณลําตัว ใหหางหัวงู
ประมาณ ๑ ฟุต โดยการแตะงูใหรับรูกอนแลวยกขึ้นแบบแผวเบา งูจะไมรูสึก เมื่อถูกงูจับยกขึ้นจะฉกกัด
ไมได เหมือนนักมวยที่ไมมีฐานการ๑ยืนที่มั่นคงที่จะชกมวย
๙. สรุป
- งูในประเทศไทยทุกชนิดสามารถนํามาใชเปนอาหารได
- งูมีประโยชนตอเกษตรกรของเมืองไทย เพราะงูสวนมากจะกินหนูเปนอาหาร
- สามารถนําพิษมาผลิตเปนเซรุมแกพิษงูได
- การเรียนรูเรื่องงูจะมีประโยชนมาก อยางนอยความสบายใจจะเกิดขึ้น ทําใหผูที่ไดเรียนรูมี
ความเขาใจ มีความคุนเคยเกี่ยวกับงูยิ่งขึ้น และชวยลดความหวาดกลัว เพราะถาเราไมเรียนรูเรื่องงูเมื่อ
ถูกงูพิษกัดอาจทําใหเสียชีวิตได หรืออาจหัวใจวายจนช็อก เพราะความหวาดกลัว หรืออาจการทําปฐม
พยาบาลไมถูกวิธี ก็อาจทําใหเสียชีวิตได