Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 18

THAI EDITION

สรุปกฎการเล่นฉบับภาษาไทย

www.legendarywargame.com
วิธอ
ี า่ น Datasheet ความสามารถของ Unit และการจัดทัพ

Battlefield Role บทบาทในสนามรบ


HQ Troops Elites Fast Attack Heavy Support

Dedicated Transport Flyer Fortification Lord of War

1|Page
ความหมายของ Datasheet ตาแหน่ง 1-9
1 Unit Name: ชื่อ Unit / Character
2 Battlefield Role: บทบาทในสนามรบ (จะกล่าวต่อไปในส่วนของการจัดทัพ)
3 Power Rating: ผลรวมของความแข็ ง แกร่ ง ของ unit นั้ น โดยผลรวมของทุ ก unit จะแสดงถึ ง ความแข็ ง แกร่ ง ของทั พ
ยิ่งสูงงเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านัน

4 Profiles: ในส่วนนี้จะประกอบด้วย Characteristic ลักษณะ ที่จะบอกว่า Model ตัวนี้ยิ่งใหญ่เพี ยงใด
● No.: จานวนโมเดลขั้นตา่ และสูงสุดที่ใส่ได้ใน unit นั้น
● Move (M): ระยะทางที่โมเดลสามารถเคลื่อนที่ไปได้ หาก M เป็น “-” หมายความว่า unit นั้นเคลื่อนที่ไม่ได้
● Weapon Skill (WS): ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิด หาก WS เป็น “-” จะถือว่าไม่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิด
● Ballistic Skill (BS): ความสามารถในการยิงด้วยอาวุธระยะไกล หาก BS เป็น “-”จะถือว่าไม่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะไกล
● Strength (S): ความสามารถในการสร้างความเสียหายในการรบระยะประชิดของโมเดล
● Toughness (T): ความสามารถในการรับอันตรายทางกายของโมเดล
● Wound (W): จานวน Damage สูงสุดที่โมเดลสามารถรับได้
● Attacks (A): จานวนครัง
้ ที่โมเดลสามารถโจมตีได้ในระยะประชิด หาก A เป็น “-” จะถือว่าไม่สามารถรบในการต่อสู้ระยะประชิดได้
● Leadership (Ld): ความสามารถในการควบคุมสติของโมเดล
● Save (Sv): ความสามารถในการป้องกันของโมเดล

หมายเหตุ
● โมเดลบางตัวจะมีความสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามจานวน Damage ที่ได้รับ โดยระบุไว้ที่ Datasheet ของโมเดลนั้น
● การ Modifier เพื่ อเปลี่ยนแปลงค่า Characteristic ของโมเดลและอาวุธเพราะกฎของเกม
▪ การหาร / คูณ / บวก / ลบ ตามลาดับก่อน แล้วจึงปัดเศษขึ้น
▪ ค่า S, T, A และ Ld ไม่สามารถ Modifier ให้น้อยกว่า 1
▪ ค่า Move แบบสุ่ม กาหนดให้สาหรับทัง
้ โมเดลใน Unit นัน
้ ในการเคลื่อนที่ ไม่ใช่ต่อโมเดล
5 Composition and Wargear: สิ่งที่บอกว่ามีโมเดลอะไรบ้างและจานวนเท่าไรที่รวมถึงอาวุธและอุปกรณ์ของแต่ละโมเดลใน Unit นี้
หมายเหตุ
• Understrength Units: คือ unit ที่มีจานวนโมเดลน้อยกว่าจานวนขัน้ ตา่ ที่ระบุใน Datasheet
6 Abilities: ความสามารถพิ เศษของโมเดล
• Aura Abilities: ความสามารถพิ เศษของโมเดลที่มีผลต่อ unit ระยะที่กาหนด
▪ Aura Abilities มีผลต่อตัวโมเดลเองนัน

▪ ผลกระทบของ Aura Abilities ที่ เหมื อ นกั น ไม่ มี ผ ลทั บ ซ้ อ นกั น เช่ น หาก Unit อยู่ ใ นระยะของ Model 2 ตั ว ที่ มี Aura
Ability เดียวกัน จะถือว่า Aura นัน
้ มีผลแค่ครัง
้ เดียว
7 Weapons: อาวุธของโมเดล
• Range: ระยะสูงสุดที่อาวุธสามารถโจมตีได้
▪ อาวุธที่มีค่า Range ว่า ‘Melee’ เป็นอาวุธที่ใช้ในการรบระยะประชิดเท่านั้น
▪ ้ ตา่ และขัน
อาวุธที่มีระยะขัน ้ สูงสุด จะไม่สามารถโจมตีโมเดลที่อยู่นอกเหนือระยะที่กาหนดได้ เช่น หากกาหนดว่า 6”- 48”
จะหมายความว่า อาวุธนี้ไม่สามารถโจมตีโมเดลที่อยู่ในระยะต่ากว่า 6” และมากกว่า 48”นี้
• Type: ประเภทของอาวุธ (อธิบายเพิ่ มเติมได้ในส่วน Shooting และ Fight Phase)
• Strength (S): ความสามารถในการสร้างความเสียหายของอาวุธโมเดล
▪ หากระบุว่า ‘User’ ให้ถือว่า อาวุธชิ้นนี้มีค่าเท่ากับค่า Strength ของผู้ถืออาวุธนี้
▪ หากระบุว่า ‘Modifier’ (เช่น +1 หรือ x2) ให้นาค่า Modifier ไปปรับกับค่า Strength ของผู้ถืออาวุธนี้ เช่น ค่า Strength
ของอาวุธคือ x2 และผู้ใช้งานมีค่า Strength ที่ 6 จะถือว่าอาวุธนั้นมีค่า Strength ที่ 12
• Armour Penetration (AP): ความสามารถในการเจาะเกราะของอาวุธโมเดล
• Damage (D): ความเสียหายที่อาวุธทาได้เมื่อสร้างความบาดเจ็บสาเร็จ
• Abilities: หากอาวุธนัน
้ มีความสามารถพิ เศษใดๆ ที่มีผลต่อการโจมตีจะระบุไว้ที่ตรงนี้
8 Wargear Options: อาวุธและอุปกรณ์ของแต่ละโมเดลที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้
9 Keywords: มีไว้เพื่ อระบุ
• Faction Keywords ระบุว่าโมเดลอะไรควรใส่ไว้ในทัพ
• Keyword อื่นๆ เช่น การระบุ Abilities ว่ามีผลกับโมเดลประเภทใด

2|Page
กฎพื้ นฐาน โปรดทาความเข้าใจกับสิ่งเหล่านีก
้ อ
่ นจะอ่านกฎต่อไป
Dice: ลูกเต๋า ที่ระบุให้ใช้ลูกเต๋า 6 หน้า (D6)
• 2D6, 3D6 หรืออื่นๆ หมายถึง D6 หลายลูก เช่น 3D6 ก็หมายถึงลูกเต๋า 6 หน้าจานวน 3 ลูก
• D3 คือให้ทอยแล้วหารครึ่ง ปัดเศษขึ้น (1-2=1, 3-4=2 และ 5-6=3)
• หากกฎระบุว่าท่านต้องทอยให้ได้ตามผลที่ระบุไว้ เช่น 3+ หมายถึงท่านต้องทอยให้ได้ 3 หรือมากกว่า
• หากมี Modifier ต้องคานวนตามลาดับ: หาร, คูณ, บวก, ลบ แล้วจึงปัดเศษขึ้นเสมอ และผลสุดท้ายจะไม่มีวันต่ากว่า 1

Re-Rolls: ความสามารถในการทอยลูกเต๋าอีกครัง
้ แต่จะเกิดได้เพี ยงครัง
้ เดียวและก่อน Modifier เสมอ

Roll-offs: การทอยแข่งกันของผู้เล่น โดยผู้ที่ได้แต้มสูงสุดเป็นผู้ชนะ จะต้องทอยซ้าอีกครัง


้ หากทอยได้แต้มเท่ากัน

Units: ประกอบไปด้วยโมเดล 1 ตัวหรือมากกว่า


• ถ้าฝั่งเราเรียกว่า Friendly Unit หรือ Friendly Model
• ถ้าฝั่งศัตรูเรียกว่า Enemy Unit หรือ Enemy Model

Unit Coherency: ระยะห่างของโมเดลใน Unit นัน ้


• Unit ที่มีโมเดลมากกว่า 1 ตัว โมเดลทัง
้ หมดจะต้องอยู่ในระยะ 2”
ในแนวราบและ 5” ในแนวดิ่ง ของโมเดลตัวอื่นใน unit เดียวกัน
• Unit ที่มี Model 6 ตัวหรือมากกว่า: Model ทัง
้ หมดจะต้องอยู่ใน Unit
Coherency กับ Model ร่วม Unit เดียวกันอีก 2 ตัวเป็นอย่างตา่

Engagement Range: ระยะปะทะระหว่างโมเดลฝั่งเรากับฝั่งศัตรูเมื่อ


เผชิญหน้า
• Engagement Range ของกันและกัน เกิดขึ้นเมื่อโมเดลฝั่งเราอยู่
ภายในระยะ 1” ในแนวราบ และ 5” ในแนวดิง
่ จากโมเดลศัตรู
• โมเดลไม่สามารถสิ้นสุดการเคลื่อนไหวหรือวางลงในระยะ
Engagement Range ของโมเดลศัตรูได้

Measuring Distances: การวัดระยะในหน่วยนิ้ว (“) ที่นับจากตาแหน่งที่


ใกล้ที่สุดของฐานโมเดล (base) ไปสู่ตาแหน่งที่ใกล้ที่สุดของฐานโมเดลอีก
ตัวหนึ่ง
● วัดจากตาแหน่งที่ใกล้ที่สุดจากส่วนใดส่วนหนึ่งของโมเดล (Hull)
หากโมเดลไม่มีฐาน
● สามารถวัดระยะหรือตาแหน่งของโมเดลได้ตลอดทัง
้ เกมส์
● หากมี unit หรือโมเดลที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 2 ในระยะที่เท่ากัน
ผู้ที่เป็นเจ้าของ Unit ที่กาลังใช้กฎนี้เป็นผู้เลือกว่า Unit ไหนใกล้ทส
ี่ ุด

Within และ Wholly Within: ภายใน และ ทัง ้ หมดอยู่ภายใน


● ‘within ระยะนิ้ว’ แปลว่าจะต้องไม่เกินระยะนิ้วนัน
้ เช่น within 1”
แปลว่าระยะที่ไม่เกิน 1”
● ถ้ากฎระบุว่า Model within 6” แปลว่าจะมีผลเมื่อส่วนหนึ่งของ base
(หรือ hull) ของ Model อยู่ในภายในระยะ 6”
● ถ้ากฎระบุว่า Model wholly within 6” แปลว่าจะมีผลเมื่อทัง
้ base
(หรือ hull) ของ model อยู่ในภายในระยะ 6”

3|Page
การจัดทัพแบบ Battle-forged
จานวน
ระดับแต้ม Points Command Points ขนาดสนามรบขัน

ขนาดของเกม ระดับ Power Level Detachment ที่
limit ที่ได้ตอนเริม
่ เกม ต่า
นาไปจัดทัพได้
Combat Patrol จนถึง 50 จนถึง 500 1 3 44”x30”
Incursion 51-100 501-1000 2 6 44”x30”
Strike Force 101-200 1001-2000 3 12 44”x60”
Onslaught 201-300 2001-3000 4 18 44”x90”

• การจัดทัพแบบ Battle-forged คือการจัดทัพแบบมาตรฐานของการเล่นแบบจัดแต้ม Warhammer 40k


• โมเดลทุก Units ต้องเป็นส่วนหนึ่งของ Detachment อันใดอันหนึ่ง ยกเว้นพวก Reinforcement Units
• โมเดลทุก Units ในทุก Detachments จะต้องมี Faction Keyword เหมือนกันหนึ่งอย่าง เช่น Imperium หรือ Chaos ยกเว้นพวก
Unaligned ที่เข้าร่วมกับใครก็ได้
• สามารถผสม Detachments หลายประเภทไว้ในทัพเดียวกันได้ แต่มีจานวนจากัด เช่น ทัพระดับ 100 Power Level จะใส่ได้ทง
ั้ หมด
3 Detachments และได้รับ 12 Command Points
• ตัวอย่าง: ถ้าคุณอยากจะจัด Patrol Detachment คุณจะต้องมีอย่างน้อย 1 HQ และ 1 TROOP

FAST HEAVY
PATROL DETACHMENT HQ TROOPS ELITES FLYERS
ATTACK SUPPORT
ราคา 2 Command Points 1-2 1-3 0-2 0-2
0-2 0-2
• ้ ต่าครบทุกตัว)
ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน และห้าม Understrength Units (ทุก Units ต้องมีจานวนขัน
• ถ้า Warlord อยู่ใน Detachment นี้ ได้ 2 Command Points คืน
• สามารถมี 1 Dedicated Transport ได้ต่อ 1 Troop
FAST HEAVY
BATTALION DETACHMENT HQ TROOPS ELITES FLYERS
ATTACK SUPPORT
ราคา 3 Command Points 2-3 3-6 0-6 0-2
0-3 0-3
• ้ ต่าครบทุกตัว)
ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน และห้าม Understrength Units (ทุก Units ต้องมีจานวนขัน
• ถ้า Warlord อยู่ใน Detachment นี้ ได้ 3 Command Points คืน
• สามารถมี 1 Dedicated Transport ได้ต่อ 1 Troop
FAST HEAVY
BRIGADE DETACHMENT HQ TROOPS ELITES FLYERS
ATTACK SUPPORT
ราคา 4 Command Points 3-5 6-12 3-8 0-2
3-5 3-5
• ้ ต่าครบทุกตัว)
ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน และห้าม Understrength Units (ทุก Units ต้องมีจานวนขัน
• ถ้า Warlord อยู่ใน Detachment นี้ ได้ 4 Command Points คืน
• สามารถมี 1 Dedicated Transport ได้ต่อ 1 Troop
FAST HEAVY
VANGUARD DETACHMENT HQ TROOPS ELITES FLYERS
ATTACK SUPPORT
ราคา 3 Command Points 1-2 0-3 3-6 0-2
0-2 0-2
• ้ ต่าครบทุกตัว)
ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน และห้าม Understrength Units (ทุก Units ต้องมีจานวนขัน
• สามารถมี 1 Dedicated Transport ได้ต่อ 1 Troop
FAST HEAVY
SPEARHEAD DETACHMENT HQ TROOPS ELITES FLYERS
ATTACK SUPPORT
ราคา 3 Command Points 1-2 0-3 0-2 0-2
0-2 3-6
• ้ ต่าครบทุกตัว)
ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน และห้าม Understrength Units (ทุก Units ต้องมีจานวนขัน
• สามารถมี 1 Dedicated Transport ได้ต่อ 1 Troop

4|Page
FAST HEAVY
OUTRIDER DETACHMENT HQ TROOPS ELITES FLYERS
ATTACK SUPPORT
ราคา 3 Command Points 1-2 0-3 0-2 0-2
3-6 0-2
• ้ ต่าครบทุกตัว)
ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน และห้าม Understrength Units (ทุก Units ต้องมีจานวนขัน
• สามารถมี 1 Dedicated Transport ได้ต่อ 1 Troop
SUPREME COMMAND DETACHMENT
1 HQ หรือ 1 LORD OF WAR
ราคา 0 Command Points
• คุณสามารถมีหนึ่ง SUPREME COMMAND DETACHMENT เท่านัน
้ ในกองทัพ
• Detachment นี้สามารถใส่ได้แต่ Primarch, Daemon Primarch หรือ Supreme Commander Unit เท่านัน

• Unit นี้จะต้องเป็น Warlord
• เลือกหนึ่งอย่าง:
o +4 Command Points ถ้ากองทัพของคุณมี Brigade Detachment
o +3 Command Points ถ้ากองทัพของคุณมี Battalion Detachment
o +2 Command Points ถ้ากองทัพของคุณมี Patrol Detachment
SUPER-HEAVY DETACHMENT
3-5 LORD OF WAR
ราคา 3 หรือ 6 Command Points
• คุณต้องเลือกว่าจะจ่าย 3 หรือ 6 Command Points ถ้าคุณจ่ายแค่ 3 คุณจะไม่สามารถใส่ Titanic Unit ได้
• ทุก Units ต้องมี 1 Faction Keyword ที่เหมือนกัน
SUPER-HEAVY AUXILIARY DETACHMENT
1 LORD OF WAR
ราคา 3 Command Points
• ไม่มีกฎข้อบังคับใด ๆ
FORTIFICATION NETWORK
1-3 FORTIFICATIONS
ราคา 1 Command Point
• คุณสามารถมีหนึ่ง FORTIFICATION NETWORK เท่านัน
้ ในกองทัพ และใส่ WARLORD ไม่ได้
• +1 Command Point ถ้าทุก Units ใน Detachment นี้มี Faction Keyword เหมือนกันหมด และเป็น Faction Keyword
เดียวกันกับ Detachment ที่มี Warlord ของคุณ
AUXILIARY SUPPORT DETACHMENT 1 x HQ, Troops, Elites, Fast Attack, Heavy Support,
ราคา 2 Command Points Dedicated Transport หรือ Flyer
• Detachment นี้มีได้แค่ 1 Unit เท่านัน

ยกตัวอย่างการจัดทัพแบบ PATROL DETACHMENT


• สาหรับ PATROL DETACHMENT คุณจะต้องมีอย่างต่า 1 HQ และ 1 TROOP
• นอกนัน
้ จะใส่อะไรก็ได้ตามกฎที่ระบุไว้ของ PATROL DETACHMENT
• ในตัวอย่างด้านล่างนี้ 4 Units รวมเป็น 31 Power Level สาหรับทัพระดับ 100 Power Level คุณยังใส่อะไรได้อีกมากมายเลย!

Primaris captain Intercessor Squad 10 โมเดล Bladeguard Veteran Squad Gladiator Lancer
Role: HQ Role: TROOP Role: ELITE Role: HEAVY SUPPORT
Power: 5 Power: 10 Power: 5 Power: 11

5|Page
Battle Round
Warhammer 40,000 จะเล่นกันเป็นหลาย Battle Rounds ในหนึ่ง Battle Round ผู้เล่นจะมีคนละหนึ่ง Turn ภารกิจที่ท่านเล่นจะบอก
ว่าผู้เล่นคนไหนได้ Turn แรก แต่ละ Turn จะเล่นเป็น Phase ตามลาดับดังนี้

1. Command Phase: ผู้เล่นทัง


้ สองระดมทรัพยากรทางยุทธศาสตร์และใช้ Tactical Ability
2. Movement Phase: กองทัพของท่านทาการเคลื่อนพลบนสนามรบ
3. Psychic Phase: Psyker ของท่านใช้พลังจิตอันแข็งแกร่ง
4. Shooting Phase: Unit ของท่านยิงใส่ Unit ศัตรู
5. Charge Phase: Unit ของท่านสามารถเคลื่อนพลเข้าไปประชิดกับ Unit ศัตรู
6. Fight Phase: Unit ของผู้เล่นทั้งสองฝ่ายทาการ Pile in และโจมตีกันด้วยอาวุธประชิด
7. Morale Phase: ผู้เล่นทัง
้ สองทาการทดสอบความกล้าหาญของ Unit ทีเ่ สียหายของตน

เมื่อ Turn ของผู้เล่นจบลง ฝ่ายตรงข้ามจะเริ่ม Turn ของตน เมื่อผู้เล่นทัง


้ สองจบ Turn แล้ว Battle Round จะเสร็จสิ้นและรอบใหม่ก็จะ
เริม
่ ขึ้น และเป็นเช่นนั้นต่อไป จนกระทัง
่ Battle ยุติลง

Command Phase ออกคาสั่ง


STEPS ขั้นตอน
1 คุณได้รับ 1 Command Point (CP) หากกองทัพของท่านเป็น Battle-forged army
2 ดาเนินการกับกฎต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน Command Phase
3 เข้าสู่ Movement Phase

Movement Phase เคลือ


่ นที่
STEPS ขั้นตอน
1 เลือกหนึง
่ Unit ของท่านเพื่ อทาการเคลือ
่ นที่
• เวลา Unit เคลื่อน จะเลือกเดินได้ 3 แบบคือ Normal Move เคลื่อนที่ปรกติ, Advance วิ่งและ Remain Stationary อยู่กับที่
• Unit ที่อยู่ภายใน Engagement Range ของ Model ศัตรู สามารถ Fall Back ถอยทัพ หรือ Remain Stationary อยู่กับที่
ได้เท่านัน

Normal Move - เคลื่อนที่ปกติ
• Model เคลื่อนที่ในระยะ M” ตาม Datasheet
• ไม่สามารถเคลื่อนที่เข้าไปภายใน Engagement Range ของ Model ศัตรูได้
Advance - วิง

• Model เคลื่อนที่ในระยะ M+D6”
• ไม่สามารถเคลื่อนที่เข้าไปภายใน Engagement Range ของ Model ศัตรูได้
• Unit ที่ทาการ Advance แล้วจะไม่สามารถ Shoot หรือ Charge ได้ใน Turn นี้
Remain Stationary - ทุก Model ใน Unit ไม่ขยับ
Fallback - ถอยทัพ เมื่อ Unit ของเราอยู่ในระยะ Engagement Range ของศัตรู
• Model เคลื่อนที่ในระยะ M”
• ต้องสิ้นสุดการเคลื่อนที่นอกระยะ Engagement Range ของ model ศัตรูทุกตัว ถ้าทาไม่ได้คือไม่สามารถ Fall Back ได้
• Unit ที่ Fall Back แล้วจะไม่สามารถประกาศ Charge ใน Turn นัน
้ ได้
• Unit ที่ Fall Back แล้วไม่สามารถทาการ Shoot หรือใช้พลัง Psychic ได้ใน Turn เดียวกัน ยกเว้นแต่ว่ามันเป็น Titanic

• หลังจากที่ท่านทาการเคลื่อน Unit นัน


้ เสร็จแล้ว ท่านจะสามารถเลือก Unit ตัวอื่นเพื่ อทาการเคลื่อนที่ และทาเช่นนั้นต่อไป
จนกระทัง
่ ท่านเคลื่อนทุก Unit ตามที่ต้องการจนเสร็จสิ้น
• เดินข้าม Model ตัวอื่น หรือออกนอกสนามรบไม่ได้
• Unit จะต้องเสร็จสิ้นการเคลื่อนไหวภายใน Unit Coherency หากเป็นไปไม่ได้ จะถือว่าการเคลื่อนที่นั้นกระทาไม่ได้
• เมื่อ Unit ทัง
้ หมดทาการเคลื่อนที่แล้ว ให้เข้าสู่ช่วง Reinforcements

6|Page
2 Reinforcements - กาลังเสริม
• บาง Unit มีกฎที่อนุญาตให้พวกมันเลือกจะเริ่มเกมนอกสนามรบได้ เช่น Drop Pod เรียกว่า Reinforcements และพวกมัน
จะมาถึงสนามรบในภายหลัง ตามที่อธิบายในกฎของพวกมัน
• หากท่านมี Unit ที่เป็น Reinforcements ในช่วงนี้ภายใน Movement Phase ท่านจะสามารถเลือกมันและจัดวางพวกมันใน
Battlefield ได้ ทีละหน่วย โดยเมื่อ Reinforcement Unit ทุกหน่วยของท่านได้จัดวางใน Turn นี้ตามต้องการแล้ว
Movement Phase จะจบลงและท่านจะเข้า Psychic Phase
• Reinforcement Unit จะไม่สามารถทาการ Normal Move, Advance, Fall Back หรืออยู่กับที่ได้ใน Turn ที่พวกมันมาถึง
ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม แต่มันจะยังคงสามารถกระทาการอย่างอื่นได้ตามปกติ (Shoot, Charge, Fight เป็นต้น) Model ใน
Unit ที่มาถึงในฐานะ Reinforcement จะถือว่าเคลื่อนที่มาแล้วในระยะหน่วยนิ้วที่เท่ากับค่า Move (M) ใน Movement Phase
• Reinforcement Units หน่วยไหนก็ตามที่ไม่ได้จัดวางบน Battlefield ตอนจบ Battle จะถือว่าโดนทาลาย

กฎอื่น ๆ ใน Movement Phase


Moving over Terrain - การเคลือ
่ นทีข
่ า้ มฉากประกอบสนามรบ
• Model สามารถเดินข้าม Terrain Feature ที่มีความสูง 1” หรือน้อยกว่าได้โดยไม่ต้องปีน
• Model ไม่สามารถเคลื่อนทะลุผ่าน Terrain Feature ที่สูงกว่าได้ แต่สามารถปีนขึ้นลงมันได้ โดยถือว่าระดับความสูง ขึ้นและลง
เป็นส่วนหนึ่งของการ Move
• Model ไม่สามารถหยุดปีนกลางทางได้ ถ้าวางโมเดลเพื่ อสิ้นสุดการเคลื่อนที่ไม่ได้ จะถือว่าการเคลื่อนที่นน
ั้ ไม่อาจกระทาได้
Flying - บิน
• ถ้า Unit มี keyword คาว่า Fly มันจะสามารถบินข้าม Model ตัวอื่นได้เวลาทา Normal Move, Advance หรือ Fall Back แต่ไม่
สามารถสิ้นสุดการเคลื่อนทีบ
่ น Model อีกตัว (หรือ Base ของมัน) หรือใน Engagement Range ของ Model ศัตรูได้
• Model ที่ Fly จะบินข้ามสิ่งกีดขวาง ไม่สนระยะแนวตัง
้ ขณะที่พวกมันทาการ Normal Move, Advance หรือ Fall Back
Transport - ยานพาหนะ
• Model บางตัวมี Keyword คาว่า Transport พวกมันคือยานพาหนะ ใช้ขน Model ได้
• Transport Capacity: จานวนสูงสุดที่ Model สามารถโดยสารภายใน Transport ได้ โดยจะระบุอยู่ใน Datasheet
• Unit สามารถเริ่มเกมโดยการ Embark โดยสารมาใน Transport ได้ คุณจะต้องประกาศก่อนจะจัดวางมันลงในสนามรบ
• Embark - การขึน
้ โดยสารบนยานพาหนะ
o ถ้า Model ใน Unit ทุกตัวสิ้นสุดการเคลื่อนที่ภายในระยะ 3” ของ Transport พวกเขาจะสามารถ Embark ขึ้นไปได้ ให้
นา Unit ออกจาก Battlefield ถือว่าขณะนี้ พวกมันกาลัง Embark อยู่
o Unit ไม่สามารถ Embark เข้าไปใน Transport ที่อยู่ภายใน Engagement Range ของ Model ศัตรูได้ และไม่สามารถ
ทาการ Embarkได้ ถ้าหากมันทาการ Disembark จาก Transport ใน Phase เดียวกัน
o Unit จะทาอะรไม่ได้เลย และไม่ได้รับผลจาก Abilities หรือ Stratagems ขณะที่พวกมันกาลัง Embark อยู่
o Unit ที่ Embark ภายใน Transport ที่ทาการ Normal Move, Advance, Fall Back หรือ Remained Stationary จะ
ถือว่าได้ทาการเคลื่อนที่แบบเดียวกันไปแล้วใน Turn นัน

• Disembark - การลงจากยานพาหนะ
o Unit เริ่ม Movement Phase โดย Embark อยู่ใน Transport แล้วจะสามารถทาการ Disembark ได้ใน Phase นี้
o Unit จะต้อง Disembark ก่อนที่ Transport เคลื่อนที่
o Unit ที่ทาการ Disembark จะต้องจัดวางทัง
้ หมดภายในระยะ 3” ของ Transport ของตน และจะต้องไม่อยู่ภายใน
Engagement Range ของ Model ศัตรู
o Unit ที่ Disembark แล้วจะสามารถกระทาการ Move, Shoot, Charge, Fight และอื่น ๆ ได้ตามปรกติ แต่ถ้ามันเลือกจะ
ไม่เดินไปไหน ก็จะถือว่ามัน Move ไปแล้วในเทิร์นนี้
• Destroyed Transports - ยานพาหนะที่ถก
ู ทาลาย
o ถ้า Transport โดนทาลาย ให้ทาการดาเนินการ Explode ability (หากมันมี)
o Unit ใดๆ ก็ตามที่ Embark อยู่จะต้อง Disembark ทันทีก่อนจะหยิบ Transport ทีโ่ ดนทาลายออก
o ทอย D6 1 ลูก ต่อ Model แต่ละตัวที่ Disembark โดยเมื่อออก 1 จะถูกว่า Model นั้นถูกทาลาย
o Unit ที่ Disembark แล้วจะไม่สามารถ Charge หรือ Heroic Intervention ได้ใน Turn นี้

7|Page
Aircraft - เครือ
่ งบิน
• สาหรับ Model ที่มี keyword Aircraft นอกเหนือจากกฎ Flying แล้ว กฎต่อไปนี้จะอธิบายเพิ่ มเติมว่า Unit เหล่านี้เคลื่อนไหวไป
มาบนสนามรบได้อย่างไร และ Unit ตัวอื่นเคลื่อนที่ภายใต้มันอย่างไร
• Minimum Move - การเคลือ ้ ต่า
่ นไหวขัน
o Aircraft มักจะมีค่า Move ที่ประกอบด้วยสองค่า:
▪ Minimum Move: ใน Movement Phase ของ Unit นี้ ทุกส่วนใน Base ของ Model จะต้องเคลื่อนที่ออกจาก
ตาแหน่ง ไปสิ้นสุดในระยะอย่างต่า
▪ Maximum Move จะไม่มีชิ้นส่วนใดใน Base ของ Model ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ไกลกว่านี้อีก
o ถ้าค่า Move Characteristic ถูก Modify ทัง
้ ค่า Minimum และ Maximum จะถูก Modify ทัง
้ คู่
o ถ้า ไม่สามารถทาการเคลื่อนไหว Minimum Move ได้ จะถือว่าถูกทาลาย (ยกเว้นแต่ท่านใช้กฎ Strategic Reserve)
• Aircraft Engagement Range
o Model สามารถเคลื่อนที่ข้าม Aircraft (และ Base ของมัน) เหมือนมันกาลังบินอยู่เหนือหัว และสามารถเคลื่อนที่ภายใน
Engagement Range ของ Aircraft ได้ แต่จะต้องไม่สิ้นสุดการเคลื่อนที่บน Model, Base หรือ ภายใน Engagement
Range ของ Aircraft
o Aircraft สามารถ Normal Move หรือ Advance ได้แม้นจะมี Unit ศัตรูอยู่ใน Engagement Range (มันไม่สามารถ
Fall Back หรืออยู่เฉยได้)
o Unit สามารถทาการ Normal Move หรือ Advance ได้ ถ้าหากพวกมันอยู่ภายใน Engagement Range ของ Aircraft
ศัตรูเท่านัน

• Heroic Interventions, Pile Ins, Consolidations และ Aircraft
o เมื่อ Model ทาการ Heroic Intervention, Pile in หรือ Consolidation ให้ไม่ต้องสนใจ Aircraft (ยกเว้นแต่ว่า Model
ที่เคลื่อนไหว สามารถ Fly ได้) แม้นมันจะอยู่ใกล้ที่สุด

Psychic Phase ใช้พลังจิต


STEPS ขั้นตอน
1 เลือก Psyker ใน Army ของท่าน ที่ไม่ได้ Fallback ในเทิร์นนี้เพื่ อสาแดงพลัง Psychic
2 เลือก Psyker อีกตัวใน Army ของท่าน เพื่ อสาแดงพลัง Psychic
3 เมื่อ Psyker ทัง
้ หมดของท่านได้สาแดงพลัง Psychic ไปแล้ว ให้ดาเนินเข้าสู่ Shooting Phase

กฎอื่น ๆ ใน Psyshic Phase


Psychic Powers - พลังจิต
• Psyker ทุกตนรู้จักพลังชื่อ Smite
• Psyker จะรู้จักพลังอื่นๆ เพิ่ มเติมตามที่ระบุไว้ใน Datasheet
การสาแดง Psychic Power
• เลือกพลัง Psychic
• ท่านไม่สามารถเลือกพลัง Psychic เดียวกันได้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อ Battle Round ยกเว้นแต่พลังนั้นจะเป็น Smite
• การพยายามสาแดงพลัง Psychic จะต้องทาการ Psychic Test
• ฝ่ายตรงข้ามสามารถทาการ Deny พลัง Psychic ได้โดยการ Deny the Witch test
• หากสาแดงได้สาเร็จ ให้ดาเนินการผลลัพธ์ของพลังดังกล่าว
• เลือกพลัง Psychic อื่นต่อไป
Psychic Test
• Psychic Test: ถ้าทอย 2D6 มีผลรวมเท่าหรือมากกว่าค่า Warp Charge ของพลัง Psychic นัน
้ จะผ่าน และสาแดงผล
• ถ้าทอยเต๋าสองลูกออก 11 หรือ 66 Psyker ตนนัน
้ จะประสบกับ Perils of the Warp
Deny the Witch test - การทอยต้านเวท
• Deny the Witch: ผ่านก็ต่อเมื่อทอย 2D6 ได้มากกว่าผลลัพธ์ของ Psychic Test ของ Psyker ฝ่ายตรงข้าม
• สามารถทาการ Deny ได้ครัง
้ เดียว ต่อพลัง Psychic แต่ละอย่าง

8|Page
Perils of the Warp - ภยันตรายแห่งมิตวิ าร์ป
• Psyker unit ที่สาแดงพลังจะได้รับ Mortal Wound จานวน D3
• ถ้าหาก Psyker unit ถูกทาลาย พลัง Psychic นัน้ จะถือว่าพลังนัน
้ ล้มเหลว ถ้ารอด ดาเนินต่อไปตามปรกติ
• ถ้าหาก Psyker unit ถูกทาลาย Unit อื่นทุกหน่วยภายในระยะ 6” จะได้รับ Mortal Wound จานวน D3
พลัง Smite
• Warp Charge 5: ต้องทอย Psychic test ให้ได้ 5+ เพื่ อจะร่าย Smite
• ้ ที่มีการร่าย Smite ซ้าใน Phase นี้ ไม่ว่าจะร่ายติดหรือไม่ก็ตาม
ค่า Warp Charge จะเพิ่ มขึ้นทีละ 1 ทุกครัง
• ถ้าร่ายสาเร็จ ศัตรูที่มองเห็นได้และอยู่ใกล้ที่สุดในระยะ 18” จะโดน D3 Mortal Wound
• ถ้าร่ายสาเร็จที่ 11+ จะกลายเป็น D6 Mortal Wound แทน

Shooting Phase ยิง


STEPS ขั้นตอน
1 เลือก Unit ที่มี Ranged Weapon และไม่ได้ Advanced หรือ Fell Back ในเทิร์นนี้
2 เมื่อ Unit ยิง ให้ Select Target เลือกเป้าหมาย จากนั้นก็ดาเนินการโจมตี ด้วยอาวุธชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือทัง
้ หมดที่ Unit ถือมา
3 เลือกอีก Unit ใน Army ของท่าน เพื่ อยิง
4 เมื่อท่านทาการยิงด้วย Unit ทัง
้ หมดแล้ว ให้ดาเนินต่อไปที่ Charge Phase

กฎอื่น ๆ ใน Shooting Phase


Select Target - การเลือกเป้าหมาย
• เลือกเป้าหมายสาหรับอาวุธทุกชนิด ก่อนดาเนินการโจมตี
• อย่างน้อยต้องมี Model 1 ตัวใน Unit เป้าหมายที่สามารถมองเห็นได้ โดย Model ที่ทาการโจมตี และอยู่ในอาวุธที่ทาการโจมตี
• ถ้าหาก Unit ทาการเล็งเป้าหมายเป็น Unit หลายหน่วย การโจมตีทง
ั้ หมดกับ Unit หนึ่งหน่วยจะต้องดาเนินการแล้วเสร็จ ก่อน
ดาเนินการโจมตีกับ Unit ถัดไป
• ถ้าหาก Unit ยิงด้วยอาวุธหลายชนิด ทุกการโจมตีที่กระทาด้วยอาวุธที่มี Profile เดียวกัน จะต้องดาเนินการแล้วเสร็จ ก่อน
ดาเนินการโจมตีถัดไป
• ยกตัวอย่าง: เจมส์เลือก Chaos Space Marine เป็นตัวยิง โดย Unit นี้มี Model 10 ตัว: 1 ตัวถือ Lascannon 1 ตัวถือ Meltagun
และ 8 ตัวถือ Boltgun เมื่อ Unit นี้ถูกเลือกให้ยิง เจมส์ทาการแบ่งการโจมตีดังนี้: Lascannon เล็งเป้าหมายที่ Unit ยานพาหนะ
ศัตรู ขณะที่ Meltagun และ Boltgun ทัง
้ หมดเล็งไปที่ Unit ทหารราบศัตรู อาวุธทัง
้ หมดอยู่ในระยะของ Unit ที่เลือก และ
เป้าหมายทัง
้ คู่ถูกมองเห็นโดย model ยิงทัง
้ หมด เจมส์ทาการดาเนินการโจมตีกับ Unit ทหารราบก่อน โดยเริ่มจากการยิงด้วย
Boltgun หลังจากที่การโจมตีด้วย Boltgun ได้ถูกดาเนินการทั้งหมดแล้ว เจมส์จึงดาเนินการโจมตี Meltagun ต่อไป หลังจากที่
ดาเนินการโจมตีใส่ทหารราบแล้ว เจมส์ก็สามารถดาเนินการโจมตี Lascannon ใส่ Unit ยานพาหนะได้
Locked in Combat - ติดพั นในการรบ
• Unit ไม่สามารถยิงขณะที่ตนอยู่ใน Engagement Range ของ Unit ศัตรูตัวใดก็ตาม
• Unit ไม่สามารถยิงใส่เป้าหมายที่อยู่ใน Engagement Range ของ Unit พั นธมิตรใดๆ ได้ เสี่ยงจะโดนพวกเดียวกัน
Number of attacks - จานวนการโจมตี
• เมื่อ Model ทาการยิงอาวุธระยะไกล มันจะทาการโจมตีตามจานวนตัวเลขที่เขียนบน Profile อาวุธตามหลัง Type - ชนิด ของมัน
ยกตัวอย่างเช่น Model ยิงอาวุธ ‘Assault 1’ จะสามารถทาการโจมตีได้ 1 ครัง
้ ด้วยอาวุธชิน
้ นัน
้ ส่วน Model ที่ยิงอาวุธ ‘Heavy 3’
จะสามารถโจมตีได้ 3 ครัง
้ เป็นต้น
• การโจมตี 1 ครัง
้ ก็คือการทอย D6 หนึ่งลูก
• การโจมตีด้วยอาวุธระยะไกลทัง้ หมดจะต้องกระทากับ Unit เป้าหมายเดียวกัน (หนึ่งปืนยิงได้หนึ่งเป้าหมาย)

David Gallagher Art

9|Page
Ranged Weapon Types - ชนิดอาวุธระยะไกล
Assault - จู่โจม:
• ต่อให้ Unit ทาการ Advanced มาแล้วในเทิร์นนี้ก็สามารถยิงได้
• -1 Hit Roll เมื่อทาการยิงด้วย Unit ที่ Advance มาแล้ว
Heavy - อาวุธหนัก
• -1 Hit Roll เมื่อทาการยิงด้วย Infantry ทีเ่ คลื่อนทีด
่ ้วยเหตุผลใดๆก็ตามในเทิร์นนี้
Rapid Fire – อาวุธยิงต่อเนือ
่ ง
• จานวนการโจมตีจะคูณสอง เมื่อเป้าหมายอยู่ในระยะครึ่งหนึ่งของระยะอาวุธ
Grenade - ระเบิดมือ
• เวลา Unit จะยิง เลือก 1 Model ใน Unit ที่ติด Grenade โมเดลนัน
้ จะยิง Grenade แทนอาวุธชนิดอื่นๆทัง
้ หมด
Pistol - ปืนพก
• Model สามารถทาการโจมตีได้ด้วย Pistol แม้ว่ามันจะกาลังอยู่ภายใน Engagement Range ของ Unit ศัตรู แต่มันจะต้องเล็ง
เป้าหมายเป็น Unit ศัตรูทอ
ี่ ยู่ภายใน Engagement Range ของ Unit ตน แม้นว่าจะมี Unit พั นธมิตรหน่วยอื่นอยู่ภายใน
Engagement Range ของ Unit ศัตรูตัวเดียวกันก็ตาม
• ไม่สามารถยิงร่วมกับอาวุธชนิดอื่นได้ ต้องเลือกว่าจะยิง Pistol หรือยิงอาวุธประเภทอื่น

กฎอื่น ๆ ใน Shooting Phase (เพิ่ มเติม)


Big Guns Never Tire - ปืนโตมิเคยล้า
• Model ที่เป็น Vehicle หรือ Monster จะสามารถทาการโจมตีด้วยอาวุธระยะไกลได้แม้กระทัง ่ ตนอยู่ภายในระยะ Engagement
Range ของ Unit ศัตรู แต่มันจะสามารถทาการโจมตีแบบนัน้ ได้กับ Unit ศัตรูที่อยู่ภายในระยะ Engagement Range เท่านัน

แม้นว่าจะมี Unit พั นธมิตรอื่นๆ ภายใน Engagement Range ของ Unit ศัตรูหน่วยเดียวกันก็ตาม
• ถ้ามีอาวุธยิงมากกว่าหนึ่งชนิด สามารถเลือกเป้าหมายนอกระยะ Engagement Range ได้ แต่หากยังมี Unit ศัตรูเหลืออยู่ในระยะ
Engagement Range จะยิงไม่ได้ ต้องใช้ปืนอื่นเคลียร์เปิดทางก่อน
• -1 Hit Roll เมื่อ Vehicle หรือ Monster ทาการยิงอาวุธ Heavy ขณะที่ยังมี Unit ศัตรูอยู่ภายใน Engagement Range ของตน
Look Out, Sir - ท่าน ระวัง
• ไม่สามารถยิงใส่ Character ศัตรูที่มี Wound 9 หรือน้อยกว่าได้ ขณะที่มันอยู่ในระยะ 3” จาก Unit พั นธมิตรประเภท Vehicle,
Monster หรือ Unit ที่มี Model 3+ ตัว ยกเว้นแต่มันจะเป็นเป้าหมายที่ใกล้ที่สุด และสามารถมองเห็นได้
Blast Weapons - อาวุธระเบิด
• ถ้าหาก Blast weapon เล็งเป้าหมายเป็น Unit ที่มี Model ระหว่าง 6-10 ตัว มันจะทาการโจมตีอย่างต่า 3 ครัง
้ เสมอ เช่น
Grenade D6 แต่ทอยได้ 2 ก็ให้โจมตี 3 ครัง

• ถ้าเป็น Unit ที่มี model 11 ตัวหรือมากกว่า ไม่ต้องทอยเต๋าเพื่ อสุ่มการโจมตี ให้โจมตีด้วยจานวนสูงสุดแทน เช่น Grenade D6 ก็
ให้โจมตี 6 ครัง

• ไม่สามารถใช้โจมตี Unit ในระยะ Engagement Range ได้ แม้นจะเป็น Pistol หรือต่อให้เป็น Vehicle หรือ Monster ก็ตาม

David Gallagher Art

10 | P a g e
Making Attacks ทอยโจมตี
หมายเหตุ: กฎต่อไปนี้เขียนขึ้นในรูปแบบที่คุณจะทอย 1D6 ต่อ 1 Attack แต่คุณก็สามารถเร่งเกมด้วยการทอยเต๋าโจมตีเหมือนๆกันไป
พร้อมกันได้ โดยการโจมตีนน
ั้ จะต้องมีค่า BS หรือ WS, S, AP, D, Abilities ที่เหมือนกัน และเล็งไปที่เป้าหมายเดียวกัน
STEPS ขั้นตอน
1 Hit Roll - ทอยว่าโดนหรือไม่
• 1 Attack คือการทอย D6 1 ลูก
• Ranged Weapon อาวุธระยะไกล: ต้องทอยให้ได้เท่ากับหรือมากกว่าค่า BS จะถือว่าสาเร็จ 1 Hit
• Melee Weapon อาวุธระยะประชิด ต้องทอยให้ได้เท่ากับหรือมากกว่าค่า WS จะถือว่าสาเร็จ 1 Hit
• การทอย Unmodified Hit Roll ที่หน้าเต๋าออกมาเป็น 1 ถือว่าล้มเหลวเสมอ
• การทอย Unmodified Hit Roll ที่หน้าเต๋าออกมาเป็น 6 ถือว่าสาเร็จเสมอ
• Hit Roll จะไม่สามารถูก Modify ได้มากกว่า -1 หรือ +1
2 Wound Roll - ทอยว่าเข้าหรือไม่
• เมื่อ Hit โจมตีโดนแล้ว ก็จะทอย Would Roll ว่าโจมตีเข้าหรือไม่
• ความยากของการทอยจะเปรียบเทียบระหว่าง S ของอาวุธกับ T ของเป้าหมาย
o เมื่อ Strength มากกว่าเป็นสองเท่า ของ Toughness = 2+
o เมื่อ Strength มากกว่า Toughness = 3+
o เมื่อ Strength เท่ากับ Toughness = 4+
o เมื่อ Strength น้อยกว่า Toughness = 5+
o เมื่อ Strength น้อยกว่าเป็นสองเท่า ของ Toughness = 6+
• การทอย unmodified wound roll ที่หน้าเต๋าออกมาเป็น 1 ถือว่าล้มเหลวเสมอ
• การทอย unmodified wound roll ที่หน้าเต๋าออกมาเป็น 6 ถือว่าสาเร็จเสมอ
• Would Roll จะไม่สามารถูก Modify ได้มากกว่า -1 หรือ +1
3 Allocate Attack - จัดแจงการโจมตี
• ถ้า Would Roll สาเร็จ ผู้เล่นที่บังคับ Unit เป้าหมายจะต้อง Allocate จัดแจงการโจมตีดังกล่าวไปยัง Model ตัวหนึ่งใน
Unit เป้าหมาย (ตัวใดก็ได้ใน Unit ไม่จาเป็นต้องอยู่ภายในระยะหรือมองเห็นโดย Model ที่โจมตี)
• หากมี Model ใน Unit เป้าหมายเสียค่า Wound มาก่อน หรือโดน Allocate การโจมตีไปแล้วใน Phase นี้ จะต้อง Allocate
การโจมตีไปยัง Model ตัวนั้นเสมอ
4 Saving Throw - ป้องกัน
• ผู้เล่นที่บังคับ Unit เป้าหมายต้องทอย Saving Throw คือ 1D6 และปรับ Modify การทอยนั้นด้วยค่า Armour
Penetration (AP) เจาะเกราะของอาวุธที่ทาการโจมตี ยกตัวอย่างเช่น หากอาวุธค่า AP -1 ก็ต้องทาการลบ 1 แต้มออกจาก
การทอย Saving Throw
• ถ้าหากผลลัพธ์เท่ากับหรือมากกว่าค่า Save (Sv) ของ Model ที่ถูก Allocate การโจมตีใส่ เช่นนัน
้ การทอย Saving Throw
ก็จะสาเร็จ และลาดับการโจมตีก็จะจบลง หากผลลัพธ์น้อยกว่าค่า Save ของ Model เช่นนั้น การทอย Saving Throw ก็จะ
ล้มเหลว และ Model จะได้รับ Damage
• การทอย Unmodified Saving Throw ที่หน้าเต๋าออกมาเป็น 1 ถือว่าล้มเหลวเสมอ
5 Inflict Damage - สร้างความเสียหาย
• ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเท่ากับค่า Damage (D) ของอาวุธที่ทาการโจมตี โดย Model จะเสีย 1 Wound ต่อค่า Damage แต่
ละค่าที่ได้รับ โดยหากค่า Wound ของ Model ลดลงจน 0 หรือน้อยกว่านัน
้ มันจะถูกทาลายและนาออกจากสนาม
• หาก Model เสีย Wound จานวนหนึ่งจากการโจมตีและถูกทาลาย ค่าความเสียหายที่เกินมาจะเสียเปล่าและไม่มีผลใดๆ

David Gallagher Art

11 | P a g e
กฎอื่น ๆ ใน Making Attacks
Invulnerable Saves
• Model บางตัวมี Invulnerable Save โดยแต่ละครัง
้ ที่มีการ Allocate การโจมตีใส่ Model ที่มี Invulnerable Save ท่าน
สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Save ปกติ (Sv) หรือ Invulnerable Save ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าหาก Model มี Invulnerable Save
มากกว่าหนึ่งชนิด สามารถเลือกได้ชนิดเดียว
• หากท่านเลือกใช้ Invulnerable Save มันจะไม่โดน Modify โดยค่า Armour Penetration ของอาวุธ
Mortal Wounds
• การโจมตีบางอย่างทาให้เกิด Mortal Wound มันร้ายแรงมากชนิดที่ไม่มีเกราะหรือสนามพลังที่จะต้านทานความเกรี้ยวกราดนี้ได้
• แต่ละ Mortal Wound จะทาให้เกิด 1 Damage ใส่ Unit เป้าหมาย และมันจะมีผลทีละหนึ่งเสมอ
• ไม่ต้องทอย Wound roll หรือ Saving Throw (รวมถึง Invulnerable Save) กับ Mortal Wound
• Damage ที่เกินมาของ Mortal Wounds จะไม่สูญเปล่า จงทาการ Allocate มันไปยัง Model อื่นภายใน Unit จนกว่าจะหมดหรือ
Unit เป้าหมายถูกทาลาย
• ถ้าหากการโจมตีทาให้เกิด Mortal Wound เพิ่ มเติมไปบน Damage ปกติ จงดาเนินการ Damage ปกติก่อน และต่อให้ Damage
ปกติถูก Save ไว้ได้ Unit เป้าหมายจะยังคงโดน Mortal Wound อยู่ดี
• ถ้าหาก Ability ทาการ Modify ค่า Damage ทาให้อาวุธสามารถสร้าง Mortal Wound เพิ่ มเติมไปบน Damage ปกติได้
Modifier จะไม่ถูกใช้งานกับ Mortal Wound ที่เกิดขึ้น (เว้นแต่ว่าจะมีกฎที่ระบุชัดเจน)
Ignoring Wounds - การเพิ กเฉยต่อ Wound
• Model บางตัวมีกฎที่มอบโอกาสให้พวกมันสามารถไม่รับ Wound ได้
• ถ้า Model มีกฎแบบนัน
้ มากกว่าหนึ่งชนิด คุณสามารถเลือกใช้ได้หนึ่งกฎเท่านัน
้ ในแต่ละครัง
้ ที่ Model เสีย Wound (รวมถึง
Wound ที่เสียจาก Mortal Wound)

Charge Phase ชาร์จ


แยกออกเป็นสองขัน
้ อย่างแรก ท่านทาการ Charge ด้วย Unit ของท่าน จากนัน
้ ฝ่ายตรงข้ามของท่านทาการ Heroic Intervention
STEPS ขั้นตอน
1 Charges
• เลือก 1 Unit ของท่านที่อยู่ในระยะ 12” ของ Unit ศัตรูและประกาศ Charge
o เลือก Unit ศัตรู หนึ่งหน่วยหรือมากกว่าในระยะ 12” เป็นเป้าหมายสาหรับ Charge โดยไม่จาเป็นต้องถูกมองเห็นโดย
Unit ที่เข้า Charge ก็ได้
o ทอย Charge Roll 2D6 ให้ Unit ท่าน นี่คือระยะนิว้ สูงสุดที่ Model แต่ละตัวใน Unit จะสามารถเคลื่อนที่ในการ
Charge ได้ โดยจะต้องมากพอที่จะเข้าไปอยู่ในระยะ Engagement Range ของทุก Units ที่เป็นเป้าหมายของการ
Charge โดยไม่ได้เดินเข้าไปใน Engagement Range ของ Unit ศัตรูตัวใดก็ตามที่ไม่ได้เป็นเป้าหมาย
o ถ้าทาได้ การ Charge นี้ก็จะสาเร็จ Models ทัง
้ หมดใน Unit ก็จะเดินเข้าไปตามที่ระบุไว้ด้านบน ถ้าทาไม่ได้ การ
Charge จะล้มเหลว และไม่มี Model ไหนขยับ
• Unit ที่ Advance หรือ Fall Back แล้วใน Battle Round นี้ หรืออยู่ใน Engagement Range ของ Unit ศัตรูเมื่อเริ่ม
Charge Phase จะไม่สามารถประกาศ Charge ได้
• Unit ถูกเลือกให้ Charge ได้เพี ยงครัง
้ เดียวในแต่ละ Charge Phase
• เลือก Unit อีกกองไปเพื่ อประกาศ Charge จนครบที่ต้องการ และให้ดาเนินเข้าสู่ช่วง Heroic Interventions ต่อไป
2 Heroic Intervention
• ฝ่ายศัตรูเลือก Character 1 Model เพื่ อทาการ Heroic Intervention
• ไม่สามารถทา Heroic Intervention ได้หากมี Unit ศัตรูในระยะ Engagement Range
• จะต้องมี Unit ศัตรูอยู่ภายในระยะ 3” แนวราบ และ 5” แนวตัง
้ เพื่ อทาการ Heroic Intervention
o เลื่อน Model ใน Unit ไปมากสุด 3” โดยจะต้องจบการเคลื่อนไหวให้เข้าใกล้กับ Enemy Model ที่ใกล้ที่สุดให้มากขึ้น
• เลือก unit Character อีกหน่วยเพื่ อทาการ Heroic Intervention
• เมื่อ unit Character ของท่านทัง
้ หมดทาการ Heroic Intervention แล้ว ให้เข้าสู่ Fight Phase ต่อไป

12 | P a g e
กฎอื่น ๆ ใน Charge Phase
Charging Over Terrain - การ Charge ข้าม Terrain
• Model สามารถเดินข้าม Terrain Feature ที่มีความสูง 1” หรือน้อยกว่าได้โดยไม่ต้องปีน
• Model ไม่สามารถเคลื่อนทะลุผ่าน Terrain Feature ที่สูงกว่าได้ แต่สามารถปีนขึ้นลงมันได้ โดยถือว่าระดับความสูง ขึ้นและลง
เป็นส่วนหนึ่งของการ Charge
• Model ไม่สามารถหยุดปีนกลางทางได้ ถ้าวางโมเดลเพื่ อสิ้นสุดการ Charge ไม่ได้ จะถือว่าการ Charge นั้นไม่อาจกระทาได้
Flying when Charging - บินขณะเข้า Charge
• ถ้า Datasheet ของ Unit มี keyword คาว่า Fly จะถือว่าเมื่อมันทาการ Charge move แล้ว Model ของมันสามารถเคลื่อนที่
ข้าม Model ตัวอื่น (และ Base) ราวกับว่าพวกมันไม่อยู่ที่นน
ั่
• แต่พวกมันจะต้องเคลื่อนที่ข้าม Terrain Feature (รวมถึง Building) เหมือนกับ Model อื่นๆ
• Model ที่สามารถ Fly จะไม่สามารถสิ้นสุดการเคลื่อนที่โดยอยู่เหนือ Model อีกตัวได้
Overwatch - ยิงสวน
• กฎบางข้ออนุญาตให้ Unit ทาการยิง Overwatch ใส่ Unit ศัตรูก่อนที่มันจะ Charge ได้
• Unit ไม่สามารถยิง Overwatch ได้ถ้ามีศัตรูภายใน Engagement Range ของตน
• Overwatch ดาเนินการเหมือนกับการยิงโจมตีทวั่ ไป (แต่นามาใช้ใน Charge Phase) โดยใช้กฎปกติทง
ั้ หมด ยกเว้นว่าจะต้องใช้
Unmodified Hit Roll หน้าเต๋าออก 6 เท่านั้นถึงจะ Hit Roll สาเร็จ โดยไม่สนว่า Model ยิงจะมีค่า Ballistic Skill เท่าไหร่ หรือมี
Hit Roll Modifier ใดๆ ก็ตาม
• กฎ Look Out, Sir ไม่มีผลเวลายิง Overwatch

Fight Phase ต่อสู้ระยะประชิด


STEPS ขั้นตอน
1 เริ่มด้วยฝ่ายตรงข้ามของท่านก่อน โดยผลัดกันเลือก Unit ใช้ต่อสู้
2 เมื่อ Unit ต่อสู้ พวกมันจะ Pile in เข้าไป จากนัน
้ ก็จะทาการโจมตีระยะประชิด แล้วทาการ Consolidate
3 หากผู้เล่นคนใดไม่เหลือ Unit ให้ต่อสู้แล้ว ฝ่ายตรงข้ามจะทาการต่อสู้ด้วย Unit ที่เหลือ ทีละหน่วย
4 เมื่อ Unit ทัง
้ หมดต่อสู้แล้ว ให้เข้าสู่ Morale Phase

David Gallagher Art

13 | P a g e
กฎอื่น ๆ ใน Fight Phase
Unit ทีเ่ ข้า Charge ได้สู้กอ
่ น
• Unit ที่ทาการ Charge Move ใน Turn จะสู้ก่อนใน Fight Phase (Fight First)
• นี่หมายความว่า Unit ที่ไม่ได้ทาการ Charge Move ใน Turn นี้จะไม่สามารถถูกเลือกให้สู้ได้ จนกว่า Unit ทัง
้ หมดที่ Charge จะ
ต่อสู้หมดแล้ว
Fight – การต่อสู้
• เมื่อท่านเลือก Unit เพื่ อต่อสู้ อย่างแรกคือให้ Pile in จากนัน
้ พวก Model ภายใน Unit จะทาการโจมตีระยะประชิด และจากนัน

Unit ก็จะทาการ Consolidate
Pile In โถมเข้าไป
• เคลื่อนทุก Model ใน Unit มากสุด 3” เข้าหา Model ศัตรูที่ใกล้ที่สุด
• Model ที่แตะกับ Model ศัตรูแล้วจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ยังถือว่าได้ Pile in แล้ว
• Unit จะต้องสิ้นสุดการเคลื่อนไหวต่างๆ ในระยะ Unit Coherency เสมอ
การทาการโจมตีระยะประชิด
• ท่านจะต้องกาหนดก่อนว่า Model ตัวไหนสามารถต่อสู้ได้ และจะโจมตีกี่ครัง
้ จากนัน
้ ท่านเลือก Unit เป้าหมายสาหรับจานวนการ
โจมตีทง
ั้ หมดที่ Model พวกนัน
้ ทาได้ และประกาศว่าอาวุธระยะประชิดใดถูกใช้โจมตี
o Model ตัวใดต่อสู้
▪ เฉพาะ Models ใน Unit ที่อยู่ในระยะ Engagement Range ของ Unit ศัตรู หรือ อยู่ภายในระยะ ½” ของ
Model อีกตัวใน Unit เดียวกัน ที่อยู่ภายในระยะ ½” จาก Unit ศัตรู สามารถทาการต่อสู้ได้
o จานวนการโจมตี
▪ โจมตีหนึ่งครัง
้ ก็คือการทอย Hit Roll หนึ่งที
▪ Model จะโจมตีเท่าจานวนค่า Attacks (A) ใน Datasheet เช่น ค่า A ที่ 2 จะโจมตี 2 ครัง

o การเลือกเป้าหมาย
▪ ก่อนทอยโจมตี ท่านจะต้องเลือก Unit เป้าหมายสาหรับการโจมตีทง
ั้ หมด
▪ Unit ที่ทา Charge Move มาใน Turn นี้ จะโจมตีได้แต่ Unit ที่ตนประกาศ Charge ใส่หรือ Unit ศัตรูที่ทาการ
Heroic Intervention เข้ามาใน Turn นี้เท่านั้น
▪ การจะเลือกเป้าหมาย Model จะต้องอยู่ภายใน Engagement Range ของ Unit ศัตรูนน
ั้ หรืออยู่ภายใน ½”
ของ Model อีกตัวภายใน Unit เดียวกัน ที่อยู่ภายในระยะ ½” จาก Unit ศัตรูนน
ั้
▪ ถ้า Model โจมตีได้มากกว่าหนึ่งครัง
้ สามารถโจมตีทง
ั้ หมดใส่เป้าหมายเดียว หรือแยกโจมตี หลาย Unit ก็ได้
▪ ถ้า Unit ของคุณเลือกโจมตีเป้าหมายหลาย Units ต้องทอยโจมตีให้เสร็จทีละ Unit ก่อนจะไปทอย Unit ถัดไป
o เลือกอาวุธ
▪ เลือก Melee Weapon ที่ Model ถือมา ซึ่งมีรายละเอียดถูกอธิบายอยู่ใน Datasheet
▪ ถ้า Model ไม่ได้ติด Melee Weapon หรือไม่สามารถโจมตีด้วย Melee Weapon ที่มันติดมาได้ ก็ให้ใช้ Close
Combat Weapon ซึ่งมีลักษณะ Profile ดังนี้:
Weapon Range Type S AP D
Close Combat Weapon Melee Melee User 0 1
▪ ถ้า Model มี Melee Weapon มากกว่าชนิดเดียว จงเลือกว่ามันจะใช้อาวุธชนิดไหนก่อนดาเนินการโจมตี โดย
มันสามารถแบ่งการโจมตีระหว่างอาวุธเหล่านี้ได้ จงประกาศว่าอาวุธชนิดใดจะโจมตีกี่ครัง
้ ก่อนทอย
▪ ถ้า Model มี Melee Weapon มากกว่าชนิดเดียว จะต้องเลือกทอยประเภทที่มี Profile เหมือนกันให้หมดก่อน
จะทอยประเภทที่มี Profile แตกต่างออกไป
▪ การโจมตีทง
ั้ หมดที่ท่านประกาศไปแล้วจะได้ทอยโจมตีจนครบ Model ทุกตัวใน Unit แม้นว่าใส่ Model ศัตรูใน
Unit เป้าหมายจะไม่ได้อยู่ในระยะแล้วก็ตาม มันอาจเกิดขึ้นได้เพราะตัวที่ถูกทาลายถูกหยิบออกไปเพราะ Model
เราที่โจมตีไปก่อนหน้านี้
Consolidate รวมพล
• เคลื่อนทุก Model ใน Unit มากสุด 3” เข้าหา Model ศัตรูที่ใกล้ที่สุด
• Model ที่แตะกับ Model ศัตรูแล้วจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ยังถือว่าได้ Consolidate แล้ว
• Unit จะต้องสิ้นสุดการเคลื่อนไหวต่างๆ ในระยะ Unit Coherency เสมอ

14 | P a g e
Morale Phase ทดสอบสภาพจิตใจ
STEPS ขั้นตอน
1 ทาการ Morale Test ให้แก่ Units ของท่าน
2 นา Model ที่อยู่นอก Unit Coherency ออก

กฎอื่น ๆ ใน Morale Phase


Morale Tests
• เริม
่ จากผู้เล่นเจ้าของ Turn โดนผู้เล่นต่างสลับกันเลือก Unit จาก Army ของตน ที่มี Model ถูกทาลายใน Turn นี้แล้วทาการ
Morale Test ให้กับมัน โดยถ้าหากไม่มี Unit ใดบน Battlefield ที่ต้องทา Morale Test ให้ดาเนินเข้าสู่ขั้น Unit Coherency
Checks ของ Morale Phase ต่อไป
o การจะทา Morale Test ให้ทาการทอย D6 1 ลูกและบวกจานวนของ Model จาก Unit ที่ถูกทาลายใน Turn นี้ ถ้าหาก
ผลลัพธ์เท่ากับหรือน้อยกว่าค่า Leadership (Ld) สูงสุดภายใน Unit นัน
้ จะถือว่า Morale Test ผ่าน และจะไม่มีอะไร
เกิดขึ้น โดย Unmodified roll ที่ออก 1 จะถือว่าผ่าน Morale Test เสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์โดยรวมจะเป็นเช่นไรก็ตาม
o ในกรณีอื่น Morale Test จะล้มเหลว ทาให้ Model 1 ตัวหนีออกจาก Unit และจากนัน
้ ท่านต้องทาการทดสอบ Combat
Attrition test สาหรับ Model ที่เหลือใน Unit ท่านสามารถตัดสินได้ว่า Model ตัวไหนใน Unit ที่หนีออกไป - โดย
Model นัน
้ จะถูกนาออกจากการเล่นและถือว่าโดนทาลาย แต่มันจะไม่ทาให้เกิดผลจากกฎใดๆ ที่ถูกใช้เมื่อ Model ถูก
ทาลาย
• Unit ต้องการแค่ Morale Test ครัง
้ เดียวต่อ Phase โดยถ้าผู้เล่นคนหนึ่งทาการ Morale Test ให้กับ Unit ที่มี Model ถูกทาลาย
ใน Turn นี้ จนเสร็จสิ้นทัง
้ หมดภายใน Army ของตนแล้ว ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะทาการ Morale Test กับ Unit ของตนที่เหลือ ที
ละหน่วย โดยเมื่อ Morale Test ทัง
้ หมดได้รับการดาเนินการ (ถ้ามี) แล้ว ให้ดาเนินเข้าสู่ขน
ั้ Unit Coherency Checks ของ
Morale Phase ต่อไป
Combat Attrition Tests
• ทอย D6 หนึ่งลูกต่อทุก Model ที่เหลือใน Unit
• ถ้าจานวน Model เหลือครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าจานวนเต็ม Unit หากทอยได้ 1 Model ตัวนัน
้ จะหนี และถูกหยิบออกจากเกม
• ถ้าจานวน Model เหลือน้อยกว่าครึ่งของจานวนเต็ม Unit หากทอยได้ 1 หรือ 2 Model ตัวนัน
้ จะหนี และถูกหยิบออกจากเกม
• ท่านตัดสินใจเองว่าจะให้ Model ตัวไหนใน Unit ท่านหนี - โดย Model พวกนัน
้ จะถูกนาออกจากการเล่น และถือว่าโดนทาลาย แต่
มันจะไม่ทาให้เกิดผลจากกฎใดๆ ที่ถูกใช้เมื่อ Model ถูกทาลาย
• ยกตัวอย่าง: ใน Morale Phase จอห์นต้องการทา Morale Test สาหรับ unit Skitarii Ranger ของเขา โดย Unit นี้เริ่ม Battle
ด้วย Model 10 ตัว และมันถูกนาโดย Ranger Alpha ที่มีค่า Leadership ที่ 7 ใน Turn นี้ Unit นี้มี Model 5 ตัวโดนทาลาย
ดังนัน
้ จอห์นจึงทอย D6 1 ลูก โดยได้ผลที่ 4 จากนัน
้ ก็บวก 5 เข้าไป ได้ผลรวมที่ 9 ซึ่งมากกว่าค่า Leadership ของ Unit นั้น
เช่นนัน
้ จะถือว่า Morale Test ล้มเหลว ทาให้ Model ของ Unit นี้หนีออกไป 1 ตัว ในตอนนี้ จอห์นต้องทาการทดสอบ Combat
Attrition test สาหรับ Model ที่เหลือ 4 ตัว โดยจอห์นทอยออก 1, 2, 5 และ 6 โดยในตอนนี้ Unit นี้ถือว่าอยู่ต่ากว่า Half-
Strength เขาจึงต้องหักลบ 1 ออกจากผลทอยเต๋าเหล่านี้ โดยผลลัพธ์ท้ายที่สุดคือ มี Model อีก 2 ตัวหนีออกจาก Unit และโดน
นาออกไป
Unit Coherency Checks
• นา Model จาก Unit ใน Army ที่ไม่อยู่ใน Unit Coherency ออกไป Model ที่ถูกนาออกจะถือว่าโดนทาลายแต่จะไม่ก่อให้เกิดผล
หลังการตายตามกฎใดๆ และจะไม่ทาให้ Unit ต้องทอย Morale Test
• เมื่อ Model ที่อยู่นอก Unit Coherency โดนนาออกไปแล้ว ถือว่า Morale Phase จบลง
• จากนัน
้ Turn ของผู้เล่นจะจบลง โดยหาก Battle ยังไม่จบ Turn ของผู้เล่นอีกคนจะเริม
่ ขึ้นต่อไป

15 | P a g e
Missions ภารกิจ
Warhammer 40,000 จะเล่นเป็น Mission โดยเรามีตัวอย่างมาให้คือ Only War ที่เรียบง่ายและเริ่มต้นการเล่นได้รวดเร็ว

MISSION: ONLY WAR


1 Muster Armies จัดทัพ
• ตกลงขนาดกองทัพที่จะเล่น (ดูรายละเอียดได้จาก “การจัดทัพแบบ Battle-forged”) เช่น 50 หรือ 100 Power Level
• เลือก Model หนึ่งตัวของท่านเพื่ อเป็น Warlord โดย Model นั้นจะได้รับ keyword Warlord
• หาก Warlord ของท่านมี keyword Character พวกมันจะสามารถติด Warlord Trait ได้ เช่น
o Inspiring Leader (Warlord Trait, Aura): +1 Leadership ของ Units เราที่อยู่ภายในระยะ 6” จาก Warlord ตัวนี้
2 Mission Briefing รายละเอียดภารกิจ
• Slay the Warlord: ผู้เล่นจะได้ 1 Victory Point เมื่อ Warlord ศัตรูถูกทาลายลงแล้ว เมื่อถึงตอนจบ Battle
• Capture and Control: เมื่อจบ Command Phase ของผู้เล่นแต่ละท่าน ผู้เล่นเจ้าของ Turn จะได้รับ 1 Victory Point
สาหรับ Objective Marker แต่ละจุดที่พวกเขากาลังควบคุม นอกจากนี้ ถ้าผู้เล่นคนหนึ่งควบคุม Objective Marker ได้
มากกว่าศัตรู เมื่อถึงตอนจบ Battle พวกเขาจะได้รับ 1 Victory Point เพิ่ มเติม
3 Create the Battlefield จัดสนามรบ
• จัดวางสนามรบ ฉากประกอบ Terrain Features ตึกรามบ้านช่อง ภูเขา ป่าไม้ ฯลฯ ตามใจชอบ ดูขนาดสนามรบแนะนาได้ใน
ตาราง “การจัดทัพแบบ Battle-forged”
• ผู้เล่นผลัดกันวางหมากภารกิจ Objective Marker ลงบน Battlefield โดยเริ่มจากผู้ที่ทอยแข่ง Roll-off ชนะจนครบ 4 จุด
โดยไม่สามารถวางในระยะ 6” จากขอบ Battlefield หรือในระยะ 9” ของ Objective Marker อื่นได้
4 Deploy Forces วางโมเดลลงสู่สนามรบ
• ผู้เล่นทอยแข่ง Roll-off อีกรอบ ผู้ชนะสามารถเลือกฝั่ง Deployment Zone ได้ (A หรือ B)
• ผู้เล่นผลัดกันวางทีละ Unit เริ่มจากผู้เล่นที่ไม่ได้เลือก Deployment Zone โดยวางภายใน Deployment Zone ของตน
• ถ้าผู้เล่นทัง
้ สองมี Units ที่มี Ability ที่อนุญาตให้จัดวางหลังจากที่ Army ทัง
้ สองจัดวางเสร็จแล้ว ผู้เล่นจะต้องทาการ
Roll-off หลังจากที่วาง Unit อื่นลงแล้ว และจากนั้นก็ผลัดกันจัดวาง Unit เหล่านี้ โดยเริม
่ จากคนชนะ
5 Determine First Turn: ผู้เล่นทอยแข่ง Roll-off อีกรอบ ผู้ชนะเลือกว่าจะเล่น Turn แรก หรือ Turn สอง
6 Resolve Pre-Battle Rules: ดาเนินการกฎ Pre-Battle Rules ให้ Army ของตน (ถ้ามี)
7 Begin the Battle: Battle Round รอบแรกเริ่มขึ้น ผู้เล่นทาการดาเนินการรบตาม Battle Round จนกระทัง
่ Battle จบลง
8 Ending the Battle: Battle จบลงเมื่อ Model ทัง
้ หมดของผู้เล่นฝ่ายหนึ่งถูกทาลาย หรือเมื่อ Battle Round รอบที่ห้าจบลง
9 Determine Victor: หากในตอนสิ้นสุดของ Battle มี Army ฝ่ายหนึ่งถูกทาลาย ผู้เล่นที่บังคับ Army ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฝ่าย
ชนะ หรือไม่ก็ผู้เล่นที่มีแต้ม Victory Point มากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ (ในกรณีที่เท่ากัน Battle จะถือว่า Draw เสมอ)
Objective Markers: หมากภารกิจทรงกลมยาว 40mm ใครมีโมเดลในระยะ 3” แนวนอนหรือ 5” แนวตัง
้ มากกว่ากันคือผู้ควบคุม
• Aircraft และ Fortification ไม่สามารถควบคุม Objective Marker ได้
Objective Secured: ถ้าโมเดลมีความสามารถนี้ ต่อให้มีจานวนน้อยกว่าศัตรูก็จะได้ควบคุม Objective Marker แต่ถาศัตรูเองก็มี
ความสามารถนี้เช่นกันจะถือว่ายกเลิกทัง
้ คู่ ให้กลับไปนับจานวนเหมือนเดิม

16 | P a g e
Welcome to Warhammer Thailand

www.facebook.com/groups/LegendariumThailand

17 | P a g e

You might also like