Professional Documents
Culture Documents
ภาพถ่ายหน้าจอ 2565-09-02 เวลา 13.54.00
ภาพถ่ายหน้าจอ 2565-09-02 เวลา 13.54.00
Respiratory System
Breathing and Cellular respiration
การหายใจ (Breathing) คือ เป็นกลไกการแลกเปลี่ยนแก๊สโดยการนาแก๊สออกซิเจน
จากอากาศเข้าไปใช้ในการหายใจระดับเซลล์ (Cellular respiration) และปล่อยแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดการจากการหายใจระดับเซลล์ออกสู่สิ่งแวดล้อม
Cellular respiration : C6H12O6 + 6O2 → Energy + 6CO2 + 6H2O
C
O O O O H O H
O2
แลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างหลอด
CO2 เลือดฝอยและเซลล์ร่างกาย
→
→
แลกเปลี่ยนแก๊ส
ระหว่างถุงลมและ ลาเลียงผ่านระบบ
→
→ หมุนเวียนเลือด
หลอดเลือดฝอย
Air composition
สัดส่วนโดย ความดันย่อย
• อากาศที่เราหายใจเข้าไปประกอบไปด้วย
แก๊ส
ปริมาตร (%) (mmHg) • แก๊สต่างๆ หลายชนิด เช่น ไนโตรเจน ,
ออกซิเจน , คาร์บอนไดออกไซด์ , แก๊ส
Nitrogen 78 592.8 เฉื่อย เช่น อาร์กอน , และ ไอนา
• มีฝุ่นละออง หรือสสารที่เป็นอนุภาค
Oxygen 20 152.0 ขนาดเล็ก
• สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ลอยฟุ้งในอากาศ เช่น
Carbondioxide 0.03 0.2 ไวรัส , แบคทีเรีย และ สปอร์ของเชือรา
Argon and
orther
0.97 7.4
โพรงจมูก
คอหอย
กล่องเสียง
ปอดซ้าย
ท่อลม
หลอดลม
หลอดลม
ฝอย
กล้ามเนื้อ
กระบังลม
การแลกเปลีย
่ นแก๊สของสิ่ งมีชว
ี ต
ิ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม (Mammals)
ถุงลม
การแลกเปลีย
่ นแก๊สของสิ่ งมีชว
ี ต
ิ
การแลกเปลี่ยนแก๊สบริเวณถุงลมและหลอดเลือดฝอย
หลอดเลือดฝอย
เยื่อถุงลม
เยื่อที่เกิดการ
แลกเปลี่ยนแก๊ส
ออกซิเจนแพร่จากถุงลมเข้า คาร์บอนไดออกไซด์แพร่ออก
สู่หลอดเลือดฝอย จากหลอดเลือดฝอยเข้าถุงลม
การแลกเปลีย
่ นแก๊สของสิ่ งมีชว
ี ต
ิ
• สารจะแพร่เข้าสู่เซลล์ได้ดีเมื่ออัตราส่วนระหว่างพืนที่ผิวต่อปริมาตรมีค่าสูงกว่า เช่น ถุงลม
A มีรัศมี 0.1 mm และถุงลม B มีรัศมี 0.3 mm จงเปรียบเทียบอัตราส่วนต่อปริมาตรของ
ถุงลม A และ ถุงลม B
2 2
ถุงลม A : พืนที่ผิว = 4𝜋𝑟 2 = 4 x 3.14 x 0.1 = 0.1256 mm
ปริมาตร = 4𝜋𝑟 3= 4 x 3.14 x 0.13 = 0.0042 mm3
3 3
ดังนัน อัตราส่วนของพืนที่ผิวต่อปริมาตรของถุงลม A = 0.1256/0.0042 = 30 : 1
2 2
ถุงลม B : พืนที่ผิว = 4𝜋𝑟 2= 4 x 3.14 x 0.3 = 1.1304 mm
ปริมาตร = 4𝜋𝑟 3 = 4 x 3.14 x 0.33 = 0.1130 mm3
3 3
ดังนัน อัตราส่วนของพืนที่ผิวต่อปริมาตรของถุงลม B = 1.1304/0.1130 = 10 : 1
A B
27
0.3
PO2 PCO2 PO2 PCO2
หลอดเลือดเวน ถุงลม
104
40 45
40
PO2 PCO2 PO2 PCO2
เนื้อเยื่อ หลอดเลือดอาร์เทอรี
104
<40 >45
40
PO2 PCO2 PO2 PCO2
การแลกเปลีย
่ นแก๊สของสิ่ งมีชว
ี ต
ิ
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
O2 ถุงลม
CO2
ถุงลม
พลาสมา
CO2 พลาสมา
O2
H2O CO2 Hb
H2CO3 HbO2
H+
HCO3-
- HbO2
HCO3 HCO3- Hb O2
H+
H2CO3
H2O
O2 พลาสมา
CO2 พลาสมา
O2 เนื้อเยือ
่
CO2 เนื้อเยือ
่
การแลกเปลีย
่ นแก๊สของสิ่ งมีชว
ี ต
ิ
การลาเลียงแก๊สออกซิเจน Heme Hemoglobin Erythrocyte
• O2 เมื่อเข้าสู่หลอดเลือดฝอยแล้ว จะไปจับกับ
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin; Hb) บริเวณหมู่ฮีม
(Heme group) ในเซลล์เม็ดเลือดแดง เกิดเป็น
Heme Group
ออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin; HbO2) ทา
ให้เลือดมีสีแดงสด
O2 + Hb HbO2
Hemoglobin Oxyhemoglobin
หลอดเลือดฝอยบริเวณเนื้อเยื่อ
CO2 HCO3-
CO2 HCO3-
หลอดเลือดฝอยบริเวณถุงลม
Test your knowledge
การลาเลียงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
A
B
C
D E
จากรูปหลอดเลือดฝอยที่ล้อมรอบถุงลมในปอดซึ่งมีทิศทางการไหลเวียนเลือดตามลูกศร
ตอบคาถามต่อไปนีโดยใช้ตัวอักษร A-E (สามารถตอบซากันได้)
1. ลาดับทิศทางการแพร่ของ O2 เป็นอย่างไร
ตอบ
2. บริเวณใดที่ CO มีผลต่อการแลกเปลี่ยนแก๊ส O2
ตอบ
3. ตาแหน่งใดที่มีออกซีฮีโมโกลบิน
ตอบ
4. ที่ตาแหน่ง A และ D บริเวณใดมีความเข้มข้นของ CO2 สูงกว่า
ตอบ
การหายใจ (Breathing)
กลไกการหายใจ
• เป็นกระบวนการนาอากาศจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส
• การหายใจเข้า (Inhalation) และการหายใจออก (Exhalation) เกิดจากการการ
เปลี่ยนแปลงความดันภายในช่องอก ซึ่งเป็นผลมาจากการทางานของกล้ามเนือยึดซึ่โครง
และกล้ามเน้ือกระบังลม
• Boyle’s Law “เมื่ออุณหภูมิคงที่ ความดัน (P) จะแปรผกผันกับปริมาตร (V)
Boyle’s Law at constant temperature
นั่นหมายความว่า ถ้าปริมาตรเพิ่มความดันจะลด
ถ้าปริมาตรลดความดันจะเพิ่ม
อากาศจะเคลื่อนที่จากที่ที่มีความดันสูงไปที่ที่มีความดันต่่า
• การหายใจเข้า ต้องขยายปริมาตรช่องอกเพื่อลดความดันในช่องอกจน
ต่ากว่าความดันอากาศ อากาศจากภายนอกจึงไหลเข้าสู่ช่องอกภายใน
ร่างกาย
• การหายใจออก ต้องลดปริมาตรช่องอกเพื่อเพิ่มความดันในช่องอกจน
สูงกว่าความดันอากาศ อากาศภายในช่องอกจึงไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม
การหายใจ (Breathing)
กลไกการหายใจ
กล้ามเนือระหว่างกระดูก หายใจ กล้ามเนือระหว่างกระดูก หายใจ
ซี่โครงแถบนอกหดตัว เข้า ซี่โครงแถบนอกคลายตัว ออก
กระดูกซี่โครงยกสูงขึน กระดูกซี่โครงลดต่าลง
กล้ามเนื้อกระบังลมหดตัว กล้ามเนื้อกระบังลมคลายตัว
กระบังลมเลื่อนต่าลง กระบังลมโค้งขึ้น
• ปริมาตรช่องอกเพิ่ม • ปริมาตรช่องอกลด
• ความดันในช่องอกลด • ความดันในช่องอกเพิ่มสูง
ต่าลงกว่าอากาศภายนอก กว่าอากาศภายนอก
• อากาศไหลเข้าปอด • อากาศไหลออกจากปอด
การหายใจ (Breathing)
การวัดปริมาตรของอากาศในปอดขณะหายใจเข้า-ออก
• การวัดปริมาตรของอากาศในปอดมนุษย์ขณะหายใจเข้าและหายใจออก สามารถวัดได้
ด้วยเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometer)
Spirometer
การหายใจ (Breathing)
ปริมาตรของอากาศในปอดขณะหายใจเข้า-ออก
6,000-
5,800- หายใจเข้าเต็มที่
5,000-
ปริมาตรของอากาศในปอด (mL)
4,000-
หายใจเข้าปกติ
3,000-
2,900-
2,400-
2,000- หายใจออกปกติ
หายใจออกเต็มที่
1,200-
1,000-
อากาศที่ตกค้างในปอดเมื่อหายใจออกเต็มที่
0- เวลา
การหายใจ (Breathing)
ปริมาตรของอากาศในปอดขณะหายใจเข้า-ออก
ตอบคำถำมโดยใช้ข้อมูลจำกกรำฟในสไลด์ก่อนหน้ำนี้
ในการหายใจปกติแต่ละครัง ปริมาตรของอากาศในการหายใจเข้าเป็นเท่าไร และปริมาตรของการ
หายใจออกเป็นเท่าไร
Volume of inhale =
Volume of Exhale =
ปริมาตรของอากาศจากการหายใจเข้าเต็มที่และการหายใจออกเต็มที่ต่างกันหรือไม่ อย่างไร
Volume of INHALE =
Volume of EXHALE =
เมื่อหายใจออกปกติจะมีปริมาตรของอากาศที่ตกค้างในปอดเป็นเท่าไร
มนุษย์สามารถหายใจเอาอากาศออกจากปอดจนหมดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
การควบคุมการหายใจ
การควบคุมการหายใจ
• การหายใจถูกควบคุมโดยระบบประสาททังการควบคุมภายใต้อานาจจิตใจและนอก
อานาจจิตใจ
• ระบบประสาทอัตโนวัติ ควบคุมการหายใจนอกอานาจจิตใจ โดยมีศูนย์ควบคุมที่สมอง
ส่วนพอนส์ (Pons) และเมดัลลาออบลองกาตา (Medulla oblongata) สมองสอง
ส่วนนีจะส่งสัญญาณไปกระตุ้นกล้ามเนือที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ทาให้เกิดการหายใจ
เข้าและหายใจออกเป็นจังหวะสม่าเสมอตลอดเวลา
• การควบคุมการหายใจที่อยูใ่ ต้อานาจจิตใจ
โดยสมองส่วนหน้า (Forebrain) บริเวณ
เซรีบรัลคอร์เท็กซ์ (Cerebral cortex)
และไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) ทา
ให้ควบคุมหรือปรับการหายใจให้เหมาะสม
กับกิจกรรมต่างๆ เช่น การพูด ร้องเพลง
การว่ายนา การหายใจยาวและลึก รวมไป
ถึงการกลันหายใจ
การรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลือด
ความเข้มข้นของ CO2
ในเลือดอยู่ในระดับปกติ
ความเข้มข้นของ CO2
ในเลือดต่า
ค่า pH ในเลือดเพิ่มขึ้น
การรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลือด
ความเข้มข้นของ CO2
ในเลือดต่า
Pons , สมองสั่งการให้ลด
ค่า pH ในเลือดเพิ่มขึ้น Medulla oblongata อัตราการหายใจ อัตราการหายใจ
ลดลง
ความผิดปกติทเี่ กีย
่ วของกั
้ บระบบหายใจ
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
• เป็นโรคที่ผนังของถุงลมถูกทาลายจนทะลุถึงกันเกิดเป็นถุงขนาดใหญ่
• ส่งผลให้มีพืนที่ผิวในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง ผู้ป่วยจึงมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจถี่
หัวใจทางานหนัก อาจมีอาการหัวใจวาย
• สาเหตุ: สูดอากาศที่เป็นพิษ เช่น ควันบุหรี่ ควันจากโรงงาน ควันจากท่อไอเสีย และฝุ่น
ละอองต่างๆ ที่เม็กเลือดขาวไม่สามารถทาลายได้
ความผิดปกติทเี่ กีย
่ วของกั
้ บระบบหายใจ
โรคปอดบวม (Pneumonia)
• เป็นโรคที่เนือเยื่อปอดเกิดการอักเสบและบวม ส่งผลให้หลอดลมและถุงลมมีของเหลว
หรือเมือกเพิ่มขึน จึงมีพืนที่ผิวในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง
• สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการติดเชือแบคทีเรียหรือไวรัส
• อาการ ผู้ป่วยจะมีอาการไอ เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว
ความผิดปกติทเี่ กีย
่ วของกั
้ บระบบหายใจ
โรควัณโรค (Tuberculosis; TB)
• เกิดจากการติดเชือ (Mycobacterium tuberculosis) ทาให้เกิดการอักเสบบริเวณปอด
ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรือรัง
• สามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านละอองเสมหะจากการไอหรือจาม
ความผิดปกติทเี่ กีย
่ วของกั
้ บระบบหายใจ
โรคมะเร็งปอด (Lung cancer)
• เกิดจากการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติเกิดเป็นมะเร็ง ส่งผลต่อการทางานของปอด
• ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรือรัง แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย
• ผู้ป่วยมะเร็งปอด 85% เป็นผู้เคยมีประวัติสูบบุหรี่ หรือสูดดมควันพิษเป็นระยะเวลานาน
ความผิดปกติทเี่ กีย
่ วของกั
้ บระบบหายใจ
โรคหอบหืด (Asthma)
• เกิดจากการอักเสบ
เรือรังของหลอดลม
เนื่องจากผู้ป่วยมีความไว
ต่อสิ่งกระตุ้น เช่น
pollen , ฝุ่น และ
สารเคมี ทาให้ทางเดิน
หายใจมีการระคายเคือง
กล้ามเนือบริเวณ
หลอดลมหดตัวทาให้
หลอดลมตีบ ผู้ป่วยจึง
หายใจไม่สะดวก มี
อาการหอบ
ความผิดปกติทเี่ กีย
่ วของกั
้ บระบบหายใจ
โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
• เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม มีเสมหะ ทาให้ผู้ป่วยมีอาการไอ หายใจไม่สะดวก
References
th
1. Reece, J. B., & Campbell, N. A. (2011). Campbell biology 9 ed.. Boston: Benjamin
Cummings. Pearson.
2. ศุ ณัฐ ไ โ หกุล. Biology. ิ ค ์ ง้ั ที่ 1. ก ุงเท หานค : บ ษ
ิ ท
ั แอคที น
้ิ ท ์ จากัด, 2559.
3. ส่งเส ิ กา สอนวิท าศาสต และเทคโนโล
์ ,ี สถาบัน. ก ะท วงศึ กษาธิกา . หนังสือเรียนรายวิชา
เพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม ๔.ค ิ
์ ง้ั ที่ 1 (ฉบับป บ
ั ป ุง ๒๕๖๐). ก งุ เท หานค : สานัก ิ ์
จุฬาลงก ณ์ หาวิท าลั ., ๒๕๖๒.