Professional Documents
Culture Documents
Chapter 2
Chapter 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
การศึกษาการใชประโยชนกากมันสําปะหลังและชานออยในการปรับปรุงดินเค็มสําหรับ
การปลูกผักบุงจีนครั้งนี้ ผูศึกษาไดคนควาเอกสารและงานวิจยั ที่เกีย่ วของเพื่อนํามาใชเปน
กรอบแนวคิดในการศึกษา ตามรายละเอียดดังนี้
1. ความหมายและองคประกอบของดินเค็ม
1.1 แหลงกําเนิดดินเค็ม
1.2 การแพรกระจายของดินเค็ม
1.3 การจําแนกดินเค็ม
1.4 ลักษณะของดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1.5 พื้นที่ดินเค็มอาจมีขอสังเกต
1.6 ระดับความเค็มของดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1.7 ผลของความเค็มตอการจํากัดการเจริญเติบโตของพืช
1.8 ระดับความเค็มที่มีผลตอการเจริญเติบโตของพืช
1.9 แนวทางการปรับปรุงดินเค็ม
1.10 ความสําคัญของการเพิ่มอินทรียวัตถุในการปรับปรุงดิน
2. กากมันสําปะหลัง
2.1 สารพิษในมันสําปะหลังและการกําจัดสารพิษ
3. ชานออย
3.1 การใชประโยชนจากชานออย
4. วัสดุปลูก
5. ธาตุอาหารพืช
6. พืชที่ใชในการทดสอบ
7. งานวิจยั ที่เกี่ยวของ
7.1 งานวิจยั ในประเทศ
7.2 งานวิจยั ตางประเทศ
Mahasarakham University
7
ความหมายและองคประกอบของดินเค็ม
Mahasarakham University
8
1.3 ดินเค็มชายทะเล
สาเหตุการเกิดดินเค็มชายทะเล เนื่องมาจากการไดรับอิทธิพลจากการขึ้นลง
ของน้ําทะเลโดยตรง องคประกอบของเกลือในดินเค็มเกิดจากการรวมตัวของธาตุที่มีประจุบวก พวก
โซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม รวมกับธาตุที่ประจุลบ เชน คลอไรด ซัลเฟต ไบคารบอเนต และ
คารบอเนต ดินเค็มที่เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยูในรูปของเกลือโซเดียมคลอไรด (NaCl)
คลายคลึงกับดินเค็มชายทะเล แตดินเค็มชายทะเล มีแมกนีเซียมอยูในรูปคลอไรดและซัลเฟตมากกวา
สวนชนิดของเกลือในดินเค็มภาคกลางมีหลายรูปมีหลายแหงที่ไมใชเกลือ NaCl แตมักจะพบอยู
ในรูปของเกลือซัลเฟต คลอไรด ไบคารบอเนต หรือ คารบอเนตของแมกนีเซียม แคลเซียม และ
โซเดียม
2. การแพรกระจายของดินเค็ม
สาเหตุการแพรกระจายดินเค็ม เกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุดงั นี้
2.1 การแพรกระจายดินเค็มสาเหตุจากธรรมชาติ
2.1.1 หินหรือแรสลายตัวหรือผุฟงและเปลีย่ นคุณสมบัติไปโดยกระบวนการ
ทางเคมีและทางกายภาพ ก็จะทําใหมีเกลือตาง ๆ เกิดขึน้ มาเกลือเหลานี้อาจสะสมอยูกับที่หรือ
สลายตัวไปกับน้ําแลวซึมลงสูชั้นลาง แลวกลับขึ้นมาสะสมอยูบนชั้นบนอีก โดยน้าํ ที่ซึมขึ้นมานั้น
ไดระเหยแหงไปโดยใชแสงแดดหรือถูกพืชนําไปใช
2.1.2 มีน้ําใตดินเค็มอยูระดับตื้นใกลผิวดิน เมื่อน้ํานี้ซึมขึ้นบนดินก็จะนํา
เกลือขึ้นมาดวย ภายหลังจากที่น้ําระเหยแหงไปแลวก็จะทําใหมีเกลือเหลือสะสมอยูบนดินได
2.1.3 บางแหงเปนที่ต่ํา เปนเหตุใหน้ําไหลลงไปรวมกัน น้ําแหลงนีส้ วนมาก
จะมีเกลือละลายอยูดว ย เมื่อน้ําระเหยไปจะมีเกลือสะสมอยู พื้นทีแ่ หงนั้นอาจเปนหนองน้ําหรือ
ทะเลสาบมากอนก็ได
2.2 การแพรกระจายดินเค็มสาเหตุจากมนุษย
2.2.1 การทํานาเกลือ ทั้งวิธีการสูบน้ําเค็มขึ้นมาตาก หรือวิธีการขุดคราบเกลือ
จากผิวดินมาตม เกลือที่อยูนา้ํ ทิ้งจะมีปริมาณมากพอทีจ่ ะทําใหพนื้ ที่บริเวณใกลเคียงกลายเปนพื้น
ที่ดินเค็มหรือแหลงน้ําเค็มได
2.2.2 การสรางอางเก็บน้ําบนดินเค็มหรือมีน้ําใตดนิ เค็ม จะทําใหอางเก็บน้ํา
นั้นและพื้นที่รอบ ๆ อางกลายเปนน้ําเค็มและดินเค็ม เนือ่ งจากการยกระดับของน้ําใตดินที่เค็มขึ้นมา
ใกลเคียงกับระดับน้ําในอางหรือใกลผิวดิน
2.2.3 การตัดไมทําลายปาหรือการปลอยพืน้ ที่บริเวณที่มศี ักยภาพในการ
แพรกระจายเกลือใหวางเปลา ทําใหเกิดดินเค็มแพรไปในบริเวณเชิงเนิน ซึ่งสวนใหญเปนนาขาว
Mahasarakham University
9
Mahasarakham University
10
ตาราง 1 ระดับความเค็มของดินกับการตอบสนองตอการเจริญเติบโตของพืช
1. พื้นที่ดินเค็มจัด
หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลือในดินประมาณ 0.5 - 1.0 เปอรเซ็นต วัดดวย
เครื่องมือวัดความเค็มได 8-16 mS/cm มีพืชบางชนิดเทานั้นที่สามารถเจริญเติบโตใหผลผลิตได พืช
ที่สามารถทนตอสภาพดินทีม่ ีความเค็ม 0.5-0.75 เปอรเซ็นต หรือ 8-12 mS/cm ไดแก ผักกาดหอม
มะเขือเทศ ขาวพันธุที่ทนเค็ม มันเทศ ขี้เหล็ก มะมวงหิมพาน พืชทีท่ นตอสภาพดินที่มีความเค็ม
0.75-1.0 เปอรเซ็นต หรือ 12-16 mS/cm ไดแก หนอไมฝรั่ง คะนา ผักบุงจีน ชะอม ฝาย ละมุด
พุทรา มะขาม สะเดา สนและพืชที่ขึ้นไดในพื้นที่ที่สภาพความเค็มมากกวา 1 เปอรเซ็นต หรือ
มากกวา 16 mS/cm ไดแก ชะคราม สะเม็ด แสม โกงกาง
2. พื้นที่ดินเค็มปานกลาง
หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลือในดินประมาณ 0.25 - 0.5 เปอรเซ็นต วัดดวย
เครื่องมือวัดความเค็มได 4-8 mS/cm โดยทั่ว ๆ ไปจะแสดงอาการบางเล็กนอย เนือ่ งจากความเค็ม
ในดิน ดังนั้นกอนมีการปลูกพืชจึงตองมีการปรับปรุงดินเสียกอน ดวยการใสปุยคอก ปุยหมักหรือ
ปุยพืชสด แตก็มีพืชบางชนิดที่สามารถทนตอสภาพดินที่มีความเค็มปานกลางนี้ได เชน ขาวโพด
ขาว หอมใหญ ผักกาดหอม แตงโม สับปะรด มะกอก แค ฯลฯ
Mahasarakham University
12
3. พื้นที่ดินเค็มนอย
หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลือในดินประมาณ 0.12 - 0.25 เปอรเซ็นต วัดดวย
เครื่องมือวัดคาความเค็มได 2 - 4 mS/cm พืชที่ไมทนเค็มเริ่มแสดงอาการ เชน การเจริญเติบโต
ลดลงใบสีเขมขึ้น ปลายใบไหม ปลายใบมวนงอ ผลผลิตลดลง แตพืชทนเค็ม บางชนิดสามารถ
ขึ้นไดตามปกติ เชน ขึ้นฉาย ผักกาด แตงราน มะมวง สม กลวย ฯลฯ
4. พื้นที่มีศักยภาพเปนดินเค็ม
พบในบริเวณที่ต่ําซึ่งไมมีคราบเกลือบนผิวดิน หรือหากมีก็จะมีอยูนอยกวา 1
เปอรเซ็นตของพื้นที่ น้ําใตดินเปนน้ํากรอยแตอยูคอนขางลึก คือ ลึกมากกวา 2 เมตรจากผิวดิน
ในชวงฤดูแลง
5. พื้นที่ดินทีม่ ีศักยภาพเปนแหลงกระจายความเค็ม
พบในบริเวณที่สูงขึ้นไมมีคราบเกลือบนผิวดินเลย แตเปนบริเวณที่พบหินที่มี
เกลือปะปนโดยที่หินเหลานีอ้ ยูลึกกวา 3 เมตร น้ําใตดินบางแหงเปนน้าํ กรอยหรือเค็มอยูลึกมากกวา
6 เมตร
7. ผลของความเค็มตอการจํากัดการเจริญเติบโตของพืช
เมื่อนําดินไปวัดคาการนําไฟฟา (Electrical Conductivity) ที่ระดับความชื้นอิ่มตัว
ดวยน้ํา ถามีคามากกวา 2 มิลลิโมหตอเซนติเมตร (mmhos/cm หรือ mS/cm หรือ dS/m) ถือวา
ดินนั้นเริ่มมีปญหาดานความเค็ม โดยมีคณ ุ สมบัติไมเหมาะสมเนื่องจากเกลือหรือความเค็มตอการ
เพาะปลูก โดยเฉพาะพืชที่ออ นแอตอความเค็มของดิน จึงจําเปนตองมีการปรับปรุงแกไขเพื่อใหใช
ประโยชนไดเต็มที่ ดินชนิดนี้มักพบอยูทั่ว ๆ ไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณพืน้ ที่
ราบลุมเปนดินที่มีเกลือโซเดียมอยูสูงซึ่งเรียกวา เกลือสินเธาว ในฤดูแลงจะพบเปนคราบเกลือเกิด
กระจัดกระจายอยูตามผิวดิน ความเค็มของดินที่มีผลกระทบตอการเจริญเติบโตของพืช ทําใหพืชที่
ปลูกไมสามารถเจริญเติบโตตอไปได เกิดการชะงักและแหงตายลงในที่สุด จึงทําใหดินบริเวณ
ดังกลาวเกิดมีปญหา ไมสามารถใชประโยชนในการปลูกพืช ผลกระทบของดินเค็มที่มีตอพืชโดยตรง
แบงไดเปน 2 ประการคือ
1. ความเค็มของดิน มีผลตอการดูดน้ําของพืช โดยการเพิ่มแรงดึงดูดจาก
ความเขมขนทีต่ างกัน (Osmotic Pressure) ของสารละลายดิน ทําใหพชื แสดงอาการขาดน้ํา
การเจริญเติบโตของพืชลดลง หรืออาจตายไป
2. เกิดมีธาตุบางชนิดในดินเค็มเปนพิษแกพืชโดยตรง หรือทําใหเกิดความไม
สมดุลของธาตุอาหาร เนื่องจากมีโซเดียม (Na) โบรอน (B) คลอไรด (CI) หรือคารบอเนต (CO32-)
มากเกินไป ผลกระทบกับพืชทางออม คือ เกลือจะทําลายโครงสรางของดิน ทําใหการซาบซึมน้ํา
ในดินชา คุณสมบัติทางกายภาพของดินเลวลง และยังทําใหคุณสมบัตทิ างเคมีเปลี่ยนแปลงไป
Mahasarakham University
13
ในขณะที่พืชหลายชนิดจะออนแอในชวงระยะออกดอก จึงมีความจําเปนในการวางแผนการปลูกพืช
เพื่อใหระยะออกดอกอยูในชวงที่มีความเค็มนอยจะทําใหไดผลผลิตสูงขึ้นดังนั้นจึงเลือกพืชปลูกที่
เหมาะสม (มงคล ตะอุน. 2547 : 18)
9. แนวทางการปรับปรุงดินเค็ม
การปองกันไมใหเกิดการแพรกระจายดินเค็มเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ตองพิจารณาจาก
สาเหตุการเกิดดําเนินการไดโดยวิธีการทางวิศวกรรม วิธีทางชีวิทยา และวิธีผสมผสานระหวาง
ทั้งสองวิธี
9.1 วิธีทางวิศวกรรม จะตองมีการออกแบบพิจารณาเพื่อลดหรือตัดกระแส
การไหลของน้าํ ใตดินใหอยูในสมดุลของธรรมชาติมากที่สุด ไมใหเพิ่มระดับน้ําใตดนิ เค็มในที่ลุม
9.2 วิธีทางชีววิทยา โดยใชวิธีการทางพืช เชน การปลูกปาเพื่อปองกัน
การแพรกระจายดินเค็ม มีการกําหนดพื้นที่รับน้ําที่จะปลูกปา ปลูกไมยืนตนหรือไมโตเร็วมีรากลึก
ใชน้ํามากบนพื้นที่รับน้ําที่กาํ หนด เพื่อทําใหเกิดสมดุลการใชน้ําและน้าํ ใตดินในพืน้ ที่ สามารถแกไข
ลดความเค็มของดินในที่ลุมที่เปนพื้นทีใ่ หน้ําได
9.3 วิธีผสมผสาน การแกไขลดระดับความเค็มดินลงใหสามารถปลูกพืชได
โดยการใชน้ําชะลางเกลือจากดินและการปรับปรุงดิน ดินที่มีเกลืออยูส ามารถกําจัดออกไปไดโดย
การชะลางโดยน้ํา การใหน้ําสําหรับลางดินมีทั้งแบบตอเนื่องและแบบขังน้ําเปนชวงเวลาแบบตอเนื่อง
ใชเวลาในการแกไขดินเค็มไดรวดเร็วกวาแตตองใชปริมาณน้ํามาก สวนแบบขังน้ําใชเวลาในการ
แกไขดินเค็มชากวา แตประหยัดน้ํา
การใชพื้นทีด่ นิ เค็มใหเกิดประโยชนตามสภาพที่เปนอยู ไมปลอยใหพนื้ ดิน
วางเปลา โดยการคลุมดินหรือมีการเพิ่มผลผลิตพืชโดยเปลี่ยนพืชเปนพืชเศรษฐกิจทีเ่ หมาะสม เชน
พืชทนเค็ม พืชชอบเกลือ (พินิติ รตะนานุกุล และคณะ. ม.ป.ป. : เว็บไซต)
นอกจากนี้พบวา ดินเค็มมักขาดความอุดมสมบูรณ มีอินทรียวัตถุที่เปนแหลง
ธาตุอาหารใหแกพืชต่ํา พืชที่ปลูกในดินเค็มนั้น นอกจากจะถูกผลกระทบโดยตรงจากเกลือแลว
ดินยังมีธาตุอาหารไมเพียงพอ ดังนั้นวิธีการหนึ่งในการปรับปรุงดินเค็ม คือ การเพิ่มอินทรียวัตถุลง
ในดินเค็ม ซึ่งการเพิ่มธาตุอาหารในดินโดยการใสปยุ อินทรีย เชน ปุย คอก ปุย หมัก หรือการใชพืช
ปุยสดที่ไถกลบลงดินเปนปุย พืชสด นอกจากเปนการเพิม่ ปริมาณไนโตรเจนแกดิน ยังเปนการเพิ่ม
ธาตุอาหารอื่น ๆ เชน ทําใหเพิ่มธาตุอาหารโดยเฉพาะฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม และ
แมกนีเซียม และจุลธาตุบางอยาง เชน เหล็ก ทองแดง โบรอน สังกะสี และแมงกานีส ใหแกดิน
ทําใหดนิ มีปริมาณธาตุอาหารตาง ๆ เพิ่มมากขึ้น และอินทรียวัตถุชว ยในการลดความแนนทึบของดิน
และดินมีชองอากาศและน้ํามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะวาอินทรียวัตถุที่ใสลงดินจะเขาไปแทรกอยูใ น
Mahasarakham University
16
Mahasarakham University
17
10.2.2 เพิ่มการอุมน้ําของดิน
น้ําหรือความชืน้ ของดินมีความสําคัญและจําเปนตอการเจริญเติบโตของพืช
การอุมน้ําของดินแตละชนิดมีความแตกตางกัน ดินทรายและดินรวนทรายมีความสามารถในการ
อุมน้ําต่ํา เมื่อเทียบกับดินรวนและดินเหนียว เพราะวาดินทรายมีเนื้อหยาบ ไมมีสารทีช่ วยดูดน้าํ ยึดเกาะ
อยูระหวางอนุภาคของดิน เมื่อฝนตกลงมาหรือมีการชลประทาน น้ําจะไหลซึมผานดินคอนขางเร็ว
และถูกดูดยึดไวในระหวางอนุภาคของดินนอยมาก ดังนัน้ ในกรณีของดินทรายหรือดินรวนทราย
พืชที่ปลูกมักแสดงอาการเหี่ยวเฉาเร็วในภาวะที่ฝนทิ้งชวง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการดูดซับความชื้นได
นอย การเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุลงดินในรูปของการไถกลบปุยพืชสด อินทรียวัตถุที่ไดจากการ
สลายตัวของเศษซากพืชและแทรกตัวอยูระหวางอนุภาคของดินชวยในการดูดซับน้ําที่ไหลซึมผานดิน
ไดมากขึ้น ทําใหความชืน้ ในดินไดรับการปรับปรุงดียิ่งขึ้น
อินทรียวัตถุชว ยในการเพิ่มความสามารถในการอุมน้ําของดิน ยังชวยในการ
เพิ่มความสามารถของดินในการใหน้ําไหลซึมผาน โดยเฉพาะน้ําฝนทีไ่ หลบา (Run Off) ผานผิวดิน
เพราะวาดินไดรับอินทรียวัตถุจากการไดรับปุยอินทรีย ปริมาณชองวางอากาศและน้ํา (Total Pore
Space) ในดินเพิ่มมากขึ้นหรือลดความหนาแนนรวม หรือลดความแข็งของดิน (Hardness) ทําให
ความคงทนของเม็ดดินสูงหรือเพิ่มคาภาวการณเกาะกันเปนเม็ดดินของอนุภาคปฐมภูมิของดิน
(State of Aggregation) คาการกระจายของเม็ดดินขนาดใหญเพิ่มขึ้น (Mean Weight Diameter)
มีปริมาณรากในเม็ดดินมากขึน้ คาสัมประสิทธิ์การซาบซึมน้ําเพิ่มมากขึ้น เมื่อฝนตก น้ําฝนที่ตก
กระทบพื้นผิวดินจะไหลรวมตัวกัน สวนหนึ่งจะไหลซึมผานชองอากาศและน้ําลงสูสวนลึกของดิน
เมื่อปริมาณอินทรียวัตถุในดินมีมาก ปริมาณชองวางอากาศและน้ําในดินยิ่งมีมากตามไปดวย อัตรา
การไหลซึมของน้ําผานผิวดินลงสูสวนลึก (Infiltration Rate และ Percolation Rate) เปนไปอยาง
รวดเร็วและสะดวก ผลดีในสวนนี้ชว ยลดอัตราการชะลางพังทลายของดิน และเพิ่มปริมาณความชื้น
ในสวนลึกของดิน ซึ่งเปนประโยชนกับพืชที่ปลูกอยางมาก (มงคล ตะอุน. 2547 : 52)
10.3 ปรับปรุงคุณสมบัติทางเคมีของดิน
10.3.1 ความเปนกรด-ดางของดิน (pH)
การใชปุยอินทรีย เชน ปุยคอก แกลบ พืชปุยสดหรือเศษเหลือพืชตระกูลถั่ว
ในระบบปลูกพืชจะมีผลตอความสามารถในการรักษาความเปนกรด – ดาง (pH) ของดินใหอยู
ในระดับใกล 7 โดยเฉพาะในพื้นดินเค็มทีม่ ีการจัดการผสมผสานกัน เมื่อไมมีการจัดการใด ๆ
(แปลงควบคุม) คา pH จะมีคาต่ํากวาการใชแกลบ ปุยคอก และปุย พืชสด ใชโสนอัฟริกัน
(Sesbania rostrata) เปนปุยพืชสดในนาขาวในดินชุดเรณู (Plinthic Paleaqults) พบวา pH ของดิน
ในแปลงที่ใชปุยพืชสดจะลดลงเนื่องจากมีการใสปุยแรธาตุนอยกวาแปลงที่ปุยแรธาตุเพียงอยางเดียว
และยังพบวาในดินที่ใสปยุ แรธาตุเพียงอยางเดียว pH ของดินจะลดลงอยางมาก คือ ลดลงจาก 6.2
Mahasarakham University
18
Mahasarakham University
19
Mahasarakham University
20
กากมันสําปะหลัง
1. ผลการวิเคราะหทางเคมีพบวา กากมันสําปะหลังเปนอาหารพลังงานที่อุดมสมบูรณดวย
คารโบไฮเดรต แตมีโปรตีนไขมัน แรธาตุ วิตามิน และกรดอะมิโนต่ํา ดังจะเห็นไดจากรายงาน
การวิจยั เกีย่ วกับคุณคาทางโภชนาการของกากมันสําปะหลัง ซึ่งแยกเปนโภชนาการที่สําคัญดังนี้
คารโบไฮเดรตของกากมันสําปะหลังสวนใหญเปนแปง และคารโบไฮเดรตที่ละลาย
ไดในน้ําประมาณ 90 – 95 เปอรเซ็นต สวนเยื่อใยจะมีอยูต่ําประมาณ 3.2 – 4.5 เปอรเซ็นต ทําให
คารโบไฮเดรตของมันสําปะหลังยอยไดงา ย ปริมาณพลังงานที่ใชประโยชนไดเทียบกับขาวโพด
และธัญพืชอื่น ๆ
สวนประกอบทางเคมีของกากมันสําปะหลังมีความผันแปรมาก ขึ้นอยูก ับปจจัย
หลายประการ ไดแก อายุ พันธุ ความอุดมสมบูรณของดิน สภาพดินฟาอากาศ และวิธีวเิ คราะห
กากมันสําปะหลังสด ประกอบดวยน้ํา 60 – 65 เปอรเซ็นต คารโบไฮเดรต 30 – 35 เปอรเซ็นต
และโปรตีน 1 – 2 เปอรเซ็นต ปริมาณของแรธาตุกับวิตามินมีอยูคอนขางต่ํา สวนกากมันสําปะหลัง
แหง ประกอบดวย ความชืน้ 10 – 12 เปอรเซ็นต โปรตีน 2.6 – 2.5 เปอรเซ็นต คารโบไฮเดรต 76
– 81 เปอรเซ็นต ไขมัน 0.47 – 1.2 เปอรเซ็นต เยื่อใย 2.7 – 5.2 เปอรเซ็นต เถา 1.6 – 5.0 เปอรเซ็นต
จากผลการวิเคราะหทางเคมี กากมันสําปะหลังเปนอาหารพลังงานอุดมดวยคารโบไฮเดรต แตมี
โปรตีน ไขมัน แรธาตุ วิตามิน อยูนอยมาก และมีกรดอะมิโนที่จําเปนหลายชนิดในระดับต่ํามาก
โดยเฉพาะอยางยิ่งเมธไทโอนีนและซีสติน
เมื่อทําการเก็บเกี่ยวผลผลิต จะไดหวั มันสําปะหลังที่มีแปง การวัดปริมาณแปงนีจ้ ะวัด
เปนเปอรเซ็นต ใชตาชั่งเปนเครื่องมือวัด การวัดทําไดโดยสุมเลือกหัวมันสําปะหลังแลวตัดเปนทอน
นําไปชั่งแลววัดเปนเปอรเซ็นต สําหรับการวัดสูงสุดที่ได คือ 30 เปอรเซ็นต แสดงวาจะไดราคา
เต็มปาย แลวราคาจะลดลงมาตามปริมาณแปง ที่มีอยูใ นหัวมันสําปะหลัง
จากหัวมันสําปะหลังที่ผานกระบวนการรีดแปง จะไดเลือกมันสําปะหลัง หรือ
กากมันสําปะหลัง ซึ่งในกากมันสําปะหลังจะมีแปง คารโบไฮเดรต เปนองคประกอบหลัก และ
สามารถนํามาใชประโยชนได โดยการผานกระบวนการยอยสลายทางชีวภาพ
2. สารพิษในมันสําปะหลังและการกําจัดสารพิษ
สารพิษในมันสําปะหลัง คือ กรดไฮโดรไซยานิก ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของ
สารประกอบไซยา - โนเจเนติก กลูโคไซด (Cyanogenetic Glucosides) ที่มีชื่อวา ลินามาริน
(Linamarin) และโลเทา – สตราลิน (Lotaustralin) สารทั้ง 2 นี้ไมมีพิษ มีอยูตามเนื้อเยื่อของ
มันสําปะหลัง โดยเฉพาะหัวและใบ แตเมือ่ เนื้อเยื่อของมันสําปะหลังถูก ทําลาย ไมวากรณีใด ๆ
Mahasarakham University
21
Mahasarakham University
22
ชานออย (Bagasse)
ตาราง 2 องคประกอบทางเคมีของชานออย
พารามิเตอร ชานออย
pH (water 1:5) 7.7 ± 0.1
EC (dS m-I) 0.80 ± 0.05
Ash (%) 52 ± 3
Organic matter (%) 48 ± 3
Total-N (%) 1.8 ± 0.02
Mahasarakham University
23
ตาราง 2 (ตอ)
พารามิเตอร ชานออย
C/N ratio (%) 14 ± 1
Total-P (%) 0.96 ± 0.3
Total-K (%) 0.39 ± 0.2
Total-Ca (%) 7.1 ± 0.1
Total-Mg (%) 0.4 ± 0.3
Cu (mg/kg-I) 1.9 ± 0.1
Zn (mg/kg-I) 51.0 ± 1.7
Mn (mg/kg-I) 257 ± 9.6
Fe (mg/kg-I) 803 ± 14
การใชประโยชนชานออย
1. การใชประโยชนชานออยในการอุตสาหกรรม
นักวิจัยไดพยายามคิดคนหาวิธีนําชานออยไปประดิษฐใชใหเปนประโยชนแก
มนุษย ผลสุดทายก็ประสบความสําเร็จ โดยการนําไปอัดเปนแผนคลายไมอัด และใชทําเยื่อกระดาษ
ตลอดจนพลาสติกและสารเฟอฟวราล (Furfural) เปนที่ทราบกันดีวา กระดาษอัดทีท่ ําจากชานออย
คุณสมบัติเก็บเสียงไดดี และใชทําฝาเพดาน ตลอดจนใชบุผนังหองในบานหรือแมแตในเรือและ
รถยนต ในบรรดาผลิตภัณฑประเภทนี้จากชานออยตางก็มีชื่อการคาจดทะเบียนสิทธิ์ตาง ๆ กัน
เชน ซีโลเท็กซ และเคเน็ก (Celotex and Canec) เปนตน แตอยางไรก็ตาม คุณลักษณะของเสนใย
หรือไฟเบอรที่ไดจากออยก็ยงั ไมเปนที่ถูกใจของผูใชมากนัก หรือแมแตโรงงานทําเยื่อกระดาษหอของ
ก็ยังตองการใหชานออยมีเสนใยยาวกวานี้
เมื่อมองในแงพลังงาน ซึ่งกําลังมีราคาแพงขึ้นในทุกวันนี้ ชานออยแมวาจะให
พลังงานนอยกวาน้ํามันหรือถานหิน แตก็เปนผลพลอยไดที่โรงงานน้ําตาลไมตองลงทุนซื้อหามา
เหมือนน้ํามันปโตรเลียม มีผูคํานวณไววาชานออยหกตันที่มีความชื้นประมาณ 50 เปอรเซ็นต
มีไฟเบอรประมาณ 46 เปอรเซ็นต มีน้ําตาลเหลืออยูประมาณ 3 เปอรเซ็นต จะมีความรอนเทียบเทา
กับน้ํามันเตาหนึ่งตัน ทั้งนี้ถา ชานออยยิ่งมีความชื้นนอยมีเปอรเซ็นตไฟเบอรสูง และมีน้ําตาลซูโครส
ที่เหลืออยูสูงก็จะใหความรอนสูงมากยิ่งขึ้น โดยวัดคาความรอนออกมาเปน L.C.V. (Lower
Calorific Value) ซึ่งจะมีคาอยูระหวาง 2,800 ถึง 3,700 B.T.U. ตอปอนด
Mahasarakham University
24
การทําเยื่อกระดาษจากชานออยมีประวัติมานาน และมีผูจดทะเบียนสิทธิ์มาตั้งแต
ป 1838 ตอมาก็มีการผลิตกระดาษชนิดตาง ๆ จากเยือ่ กระดาษที่ไดจากชานออย ในป 1856 มีรายงาน
วามีผูประดิษฐกระดาษชนิดกระดาษหนังสือพิมพไดจากชานออย จนกระทั่งปจจุบนั เทคโนโลยีใน
การผลิตเยื่อกระดาษจากชานออยไดรดุ หนาไปไกลมาก ชานออยที่จะถูกนํามาแยกสิง่ สกปรกและ
สิ่งที่ละลายปนมาตลอดจน Pith ออกกอนโดยวิธีทําใหเปยกแลวทําใหแหงทันที แลวนําไปผสมกับ
เยื่อกระดาษทีไ่ ดจากไมไผและเยื่อกระดาษจากกระดาษเกา ๆ (Cellulosic Material) อีกวิธีหนึ่งใน
การแยก Pith ออกก็โดยวิธที ี่เรียกวา ไฮดราพัลเพอร (Hydrapulper) คือการใชน้ําลางอยางแรงและ
ชะให Pith แยกออกโดยผานตะแกรงหมุนแลวทําใหแหง
สวนประกอบทางเคมีของชานออยคลายกับของไมเนื้อแข็ง (ไมเนื้อแข็ง ในแง
การทําเยื่อกระดาษ) สวนประกอบดังกลาวปรวนแปรไปตามชนิดพันธุ อายุ และสภาพที่ออยเติบโต
ขึ้นมา ชานออยมีลิกนิน (Lignin) นอยกวาไมยืนตน มีสารเพนโตแซน (Pentosan) มากกวาไมสน
ไมสปรูซ (Spruce) และไมยืนตนอืน่ ๆ บางชนิด สวนประกอบเซลลูโลสชนิด Cross และ Bevan
ของออยมีลักษณะคลายกับไมที่ใชทํากระดาษชนิดอืน่ ๆ ขี้เถาของออยมีสวนประกอบผิดแผกจากไม
ชนิดอืน่ คือ มีซิลิกา (Silica) สูงมาก และมีโพแทสกับแคลเซียมต่ํา เสนใยออยยกเวน Pith เหมาะสม
ที่จะนํามาทําเยื่อกระดาษมาก คือ จัดเปนเยื่อชนิดดี และฟอกสีไดงาย ขอเสีย คือ จําเปนจะตองแยก
Pith ออกกอนทําเยื่อและ Pith ที่แยกออกมาสามารถนําไปสังเคราะหทาํ อาหารสัตวไดโดยผสมกับ
กากน้ําตาล หรือสามารถใชทําสวนประกอบของวัตถุระเบิดได
การทําเยื่อกระดาษก็เพื่อที่จะละลายสวนที่เปนลิกนินและเฮมิเซลลูโลส
(Hemicellulose) ออกจากชานออย ลิกนินเปนสวน หนึ่งซึ่งยึดเสนใยของชานออยใหติดกัน ทําให
ไมสามารถทําใหไดกระดาษแผนบาง ๆ ได สวนเฮมิเซลลูโลสถามีอยูเกิน 20% จะทําใหกระดาษทีไ่ ด
ขาดงายเกินไปไมเหนียวและหยุนตัว
กอนทําเยื่อกระดาษ จะตองนําชานออยมาลาง และแยกสวนที่เรียกวา “พิท”
(Pith) ออกกอน เยื่อที่เหลืออยูจะถูกนําไปยอย หรือผสมกับสวนผสมหนึ่ง หรือมากกวาตามสูตร
ซึ่งมักจะปดบังไมเปดเผย เสร็จแลวนําไปผานความรอน 10 – 12 นาที สิ่งที่ไดเรียกวา เยื่อกระดาษ
ตอมาเยื่อกระดาษจะถูกนําไปทําใหขาวโดยการฟอกดวยนม หรือสารเคมีแลวแตวาจะนําเยื่อกระดาษ
นั้นไปใชทําอะไร
2. เฟอฟูราล (Furfural)
เฟอฟูราล ซึ่งเปนสารประกอบที่สกัดไดจากชานออย มีชื่ออื่นอีก คือ ฟูรอล,
เฟอฟูรอล หรือเฟอฟูราลดีไฮด (Furol, Furfurol or Furfuraldehyde) เปนสารเคมีที่ไมมีสี ไมติดไฟ
มีกลิ่นหอมและระเหยไดงาย เมื่อถูกแสงสวางหรืออากาศจะเปลี่ยนเปนสีแดงน้ําตาล เฟอฟูราลใชใน
อุตสาหกรรมกลั่นไมและน้าํ มันหลอลื่น หรือใชเปนสวนผสมของกาว หรือตัวการที่ทําใหพลาสติก
Mahasarakham University
25
Mahasarakham University
26
วัสดุปลูก
Mahasarakham University
28
1.1.1 วัสดุปลูกที่เปนอนินทรียสาร
1) วัสดุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน ทราย กอนกรวด หินภูเขาไฟ
หินซีลท ฯลฯ
2) วัสดุที่ผานขบวนการโดยใชความรอน ทําใหวัสดุเหลานี้มีคุณสมบัติ
เปลี่ยนไปจากเดิม เชน ดินเผา เม็ดดินเผา ที่ไดจากการเผาเม็ดดินเหนียวที่อณ ุ หภูมิสูง 1,100 องศา
เซลเซียส ใยหิน ที่ไดจากการหลอมหินภูเขาไฟที่ทําใหเปนเสนใยแลวผสมดวยสารเลซิน เปอรไลท
ที่ไดจากทรายที่มีตนกําเนิดจากภูเขาที่อณุ หภูมิสูง 1,200 องศาเซลเซียส เวอรมิคูไลท (Vermiculite)
ที่ไดจากการเผาแรไมกาที่อณุ หภูมิสูง 800 องศาเซลเซียส เปนตน
3) วัสดุเหลือใชจากโรงงานอุตสาหกรรม เชน เศษจากการทําอิฐมอญ
เศษดินเผาจากโรงงานเครื่องปนดินเผา
1.1.2 วัสดุปลูกที่เปนอินทรียสาร เชน วัสดุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน
ฟางขาว ขุยและเสนใยมะพราว แกลบและขี้เถา เปลือกถั่ว พีท หรือวัสดุเหลือใชจากโรงงาน
อุตสาหกรรม เชน ชานออย กากตะกอนจากโรงงานน้ําตาล วัสดุเหลือใชจากโรงงานกระดาษ
1.1.3 วัสดุสังเคราะห เชน เม็ดโฟม แผนฟองน้ํา และเสนใยพลาสติกลักษณะ
ของวัสดุปลูกที่ดี ภาพรวมในการเลือกใชวัสดุปลูกใหคํานึงถึง คือ ตองสะอาด และทําความสะอาด
งาย มีความแข็งแรง มีคุณสมบัติทางกายภาพที่ดี เชน ไมทรุดตัวงาย ถายเทน้ําและอากาศไดดี มี
คุณสมบัติที่เหมาะสมทางเคมี เชน ระดับของความเปนกรดดาง ไมมสี ารทําลายรากพืช เปนวัสดุที่
สามารถเพาะเมล็ดไดทุกขนาดและทุกประเภท ควรเปนวัสดุที่มีราคาถูกที่สามารถหาไดในทองถิ่น
และไมกอใหเกิดปญหาตอสิง่ แวดลอม
วัสดุปลูกจะตองบรรจุในภาชนะปลูกเพื่อไมใหปะปนกับสารละลาย
ภาชนะปลูกทีด่ ีจะตองทําจากวัสดุที่ไมทําปฏิกิริยาเคมีกบั สารตาง ๆ ตองมีความคงทนแข็งแรง
น้ําหนักเบา ใชไดนานและติดตั้งใชงานงาย ซึ่งปจจุบันจะใชภาชนะทีท่ ําจากพลาสติกเปนสวนมาก
เนื่องจากมีความคงทน น้ําหนักเบา สามารถทําเปนรูปรางตาง ๆ ไดมาก และราคาถูกไมควรใช
ภาชนะโลหะที่เคลือบดวยสังกะสี เพราะอาจมีการละลายของสังกะสี ทําใหสารละลายธาตุอาหารพืช
มีความเขมขนของสังกะสีสูง และอาจเปนพิษตอพืชได ภาชนะปลูกทีท่ ําจากวัสดุประเภทซีเมนต
ใยหิน หรือกรวด เมื่อนําไปใชใสสารละลายจะมีสภาพเปนดาง ทําให pH ของสารละลายสูงขึ้น
จึงควรนําไปแชน้ําใหสะอาด เพื่อเปนการปรับสภาพใหเปนกลางกอนนําไปใชขนาดและรูปรางของ
ภาชนะที่เลือกใชจะขึ้นกับชนิดของวัสดุปลูก ชนิดของพืชที่ปลูกและลักษณะของพืน้ ที่ปลูกหรือ
โรงเรือนปลูกพืช
Mahasarakham University
29
2. คุณสมบัติของวัสดุปลูกที่ดีควรมีลักษณะดังตอไปนี้
2.1 สามารถรักษาอัตราสวนของน้ําและอากาศใหเหมาะสมตลอดการปลูก
โดยอัตราสวนที่เหมาะสม คือ น้ํา : อากาศ เทากัน 50 : 50 โดยปริมาตร
2.2 จะตองไมมีการอัดหรือยุบตัวเมื่อเปยกน้ําหรือเมื่อผานการใชงานมาเปนเวลานาน
2.3 จะตองไมสลายตัวทั้งทางเคมีและทางชีวภาพ
2.4 เปนวัสดุที่รากพืชสามารถแพรกระจายไดอยางสะดวกทัว่ ทุกสวน
2.5 มีความเฉือ่ ยทางเคมี คือ ไมทําปฏิกิริยากับสารละลายธาตุอาหารและภาชนะ
ที่ใชปลูก
2.6 ไมเปนแหลงสะสมโรคและแมลง
2.7 มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุ (CEC) ต่ําหรือไมมีเลย เพื่อจะไดไมมี
ผลตอองคประกอบของสารละลายธาตุอาหารพืชในวัสดุปลูก
2.8 เปนวัสดุที่สามารถกําจัดโรคและแมลงไดงาย ทําใหสามารถนําวัสดุปลูกกลับมา
ใชใหมได
อยางไรก็ตามไมมีวัสดุปลูกใดที่มีคุณสมบัติครบทุกขอที่กลาวมา วัสดุปลูกที่นิยม
ใช เชน แกลบสด ขี้เถาแกลบ ขุยมะพราว และทราย การทดสอบวัสดุปลูกตาง ๆ เหลานี้ พบวา
ทั้งวัสดุเดีย่ ว และวัสดุผสมทําใหพืชมีอัตราการเจริญเติบโตใกลเคียงกัน เมื่อลองใชวัสดุตาง ๆ เปน
เวลา 1 ป พบวา วัสดุผสมตาง ๆ ที่ผสมกับทรายมีการหดตัวไมมาก สามารถใชเปนวัสดุปลูกตอไป
ได สวนวัสดุเดี่ยวแกลบสดมีปญหาในชวงแรก ๆ คือ ระบายน้ําดีเกินไปและการแพรกระจายของน้ํา
ดานขางนอย แตเมื่อใชไประยะหนึ่งเกิดการสลายตัวความสามารถในการอุมน้ําก็ดีขนึ้ สําหรับ
มะพราวมีการอุมน้ําดีเกินไป
จากคุณสมบัตเิ หลานี้ยังไมมวี ัสดุปลูกชนิดใดที่มีคุณสมบัติครบดังที่กลาวมานี้ บางคน
อาจใชวิธีนําวัสดุที่มีคุณสมบัติที่ดีแตละอยางมาผสมกันเพื่อใหวัสดุปลูกมีคุณสมบัตทิ ี่ดีขึ้น แตบางคน
ก็นิยมใชวัสดุเดี่ยว ๆ ที่มีความคุนเคย รูจกั และมีความชํานาญในการใชอยูแลว คือ รูถึงคุณสมบัติ
และขอจํากัดในการใชวัสดุนั้น ๆ และสามารถปรับปรุงเทคนิคตาง ๆ ใหเหมาะสมกับวัสดุปลูกนั้น ๆ
ดีอยูแลว
3. สิ่งที่ตองคํานึงถึงในการปลูกพืชในวัสดุปลูก
3.1 ปริมาณออกซิเจนบริเวณรากพืช ซึ่งจะตองคํานึงถึงสิ่งตาง ๆ ดังนี้
3.1.1 การระบายอากาศบริเวณรากพืช คือ ตองเลือกวัสดุปลูกที่มีความพรุนสูง
และมีการระบายน้ําดีหรืออาจตองมีการใหอากาศแกสารละลายดวยในกรณีที่ปลูกในสารละลาย
Mahasarakham University
30
ธาตุอาหารพืช
ธาตุอาหารพืชเปนปจจัยหนึ่งในการเจริญเติบโตไดดีของพืช ซึ่งสามารถจําแนกธาตุอาหาร
ที่จําเปนที่ไดจากดินเปน 2 พวก คือ (เกษมศรี ซับซอน. 2541 : ไมมีเลขหนา)
1. ธาตุอาหารที่พืชใชในปริมาณที่มาก (Major Elements หรือ Macronutrient)
เปนกลุมของธาตุอาหารที่พืชตองการในปริมาณมากสําหรับการเจริญเติบโตทางดาน
ลําตนการขยายและการยึดของสวนตาง ๆ และใบ (Vegetative) เปนตน และทางดานการขยายพันธุ
(Reproductive) ซึ่งในกลุมนีย้ ังแบงไดอีก 2 พวก คือ
Mahasarakham University
31
Mahasarakham University
32
อาการของพืชเมื่อขาดธาตุฟอสฟอรัส
1) พืชจะชะงักการเจริญเติบโตแคระแกร็น พืชบางชนิดอาจมีลําตน
บิดเปนเกลียว เนื้อไมแข็งแรงแตเปราะหักงาย
2) รากจะเจริญเติบโต และแพรกระจายลงในดินชากวาที่ควร
ดอกและผลทีอ่ อกมาจะไมสมบูรณ หรือบางครั้งจะหลุดรวงไป หรืออาจจะมีขนาดเล็ก
3) ใบแกจะเปลี่ยนสี หรือพืชบางชนิด ใบจะเปนสีมว งจะเกิด
ขึ้นกับใบลาง ๆ และตนขึ้นไปหายอด
1.1.3 โพแทสเซียม
ธาตุนี้จะชวยบํารุงผลเมล็ดของพืช ธาตุโพแทสเซียมจะพบวามีมากใน
ดินแตจํานวนที่มีอยูนี้ มักไมเพียงพอตอการที่พืชจะนําไปใชประโยชน แตธาตุโพแทสเซียมที่ละลาย
อยูในดินมีปริมาณต่ํามาก
ในอดีตมีการใชขี้เถาไมเปนปุยเพื่อเพิ่มธาตุโพแทสเซียมใหแกดิน
เถาถานขี้เถานี้จะถูกละลายน้าํ แลวเกลือโพแทสเซียมก็จะตกตะกอนเมื่อน้ําระเหยไป เกลือดังกลาว
จะนําไปใชเปนปุยธาตุโพแทสเซียม
หนาที่และความสําคัญของธาตุโพแทสเซียม ที่มีตอพืช
1) สงเสริมการเจริญเติบโตของรากทําใหรากดูดน้ําไดดขี ึ้น
2) มีความจําเปนตอการสรางเนื้อของผลไมใหมีคุณภาพ
3) ทําใหพืชมีความตานทานตอการเปลี่ยนแปลงของดินฟาอากาศ
มีแสงนอย อากาศหนาว หรือมีฝนตกชุกและตานทานโรคตาง ๆ ไดดี
อาการของพืชเมื่อขาดโพแทสเซียม
1) ขอบใบมีสีเหลือง และสีน้ําตาล จะแหงเหี่ยวไป จะเกิดจากใบ
ลางกอนแลวคอย ๆ ลามขึ้นไปขางบน
2) ทําใหผลผลิตตกต่ํา พวกธัญพืชจะมีแปงนอย แตมนี ้ํามาก
ขาวโพดเมล็ดจะไมเต็มฝก ฝกจะเล็กมีรูปรางผิดปกติ
1.2 ธาตุอาหารรอง (Secondary Elements)
เปนธาตุอาหารที่พืชตองการปริมาณมาก แตอยูในอันดับรองจาก ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งธาตุอาหารพืชเหลานี้ คือ แคลเซียม แมกนีเซียม และกํามะถัน
2. ธาตุอาหารที่พืชตองการในปริมาณนอย (Trace Elements หรือ Micronutrient)
เปนธาตุอาหารที่พืชตองการในปริมาณนอย แตกม็ ีความจําเปนเทียบเทาพวกแรก
เชนเดียวกัน ซึ่งธาตุเหลานี้ คือ เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง โมลิบดินัม โบรอน และ
คลอรีน
Mahasarakham University
33
พืชที่ใชในการทดสอบ
Mahasarakham University
34
Mahasarakham University
35
3. ลักษณะการเจริญเติบโต
ผักบุงจีนใชเวลาในการงอกเพียง 48 ชั่วโมง ระยะแรกของการเจริญเติบโตจะให
ลําตนตั้งตรง หลังจากงอกได 5 – 7 วัน จะมีใบเลีย้ งโผลออกมา 2 ใบ มีลักษณะปลายใบเปนแฉก
ไมเหมือนกับใบจริงเมื่อตนโตในระยะสองสัปดาหแรก จะมีการเจริญเติบโตทางลําตนอยางรวดเร็ว
จนกระทั่งอายุประมาณ 30 – 45 วัน การเจริญเติบโตจะเปลี่ยนไปในทางทอดยอดและแตกกอ
สําหรับผักบุงจีนที่หวานดวยเมล็ด การแตกกอจะมีนอยมาก การแตกกอเปนการแตกหนอออกมาจาก
ตาที่อยูบริเวณโคนตนที่ติดกับราก มีตาอยูร อบตน 3 – 5 ตา เมื่อแตกแถวออกมาแลวจะเจริญ
ทอดยอดยาวออกไปเปนลําตน มีปลองขอและทุกขอจะใหดอกและใบ
4. สภาพแวดลอมที่ตองการ
ผักบุงจีนสามารถปลูกไดทั้งบนบกและในน้ํา และสามารถปลูกไดในดินแทบ
ทุกชนิด ดินทีเ่ หมาะสมในการปลูกผักบุงจีนเพื่อการบริโภคสดเปนดินรวน หรือดินรวนปนทราย
ผักบุงจีนตองการสภาพแวดลอมที่ชื้นแฉะตองการความชื้นในดินสูงมาก อุณหภูมิทเี่ หมาะสมใน
การเจริญเติบโตอยูในชวงทีส่ ูงกวา 25 องศาเซลเซียส ตองการแสงแดดเต็มที่ ซึ่งประเทศไทย
สามารถปลูกไดดีตลอดไป
5. การปลูกผักบุงจีน
การปลูกผักบุงจีนมีขั้นตอนดังตอไปนี้
5.1 การเลือกที่ปลูก การปลูกผักบุงจีนเพือ่ การบริโภคสดเปนการปลูกผักบุงจีน
แบบหวาน หรือโรยเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรง เมือ่ ถึงอายุเก็บเกีย่ ว 20 – 25 วัน จะถอนตน
ผักบุงจีน ทั้งตนและรากออกจากแปลงปลูกไปบริโภคหรือไปจําหนายตอไป ในการปลูกนั้นควร
เลือกปลูกในทีม่ ีการคมนาคมขนสงสะดวก สภาพที่ดอน น้ําไมทวม หรือเปนแบบสวนผักแบบ
ยกรอง เชน เขตภาษีเจริญ บางแค กรุงเทพฯ บางบัวทอง นนทบุรี นครปฐม และราชบุรี เปนตน
ลักษณะดินปลูกควรเปนดินรวนหรือดินรวนปนทราย เพือ่ ถอนตนผักบุงจีนไดงาย และควรอยูใกล
แหลงน้ํา เพื่อสะดวกในการรดน้ําในชวงการปลูก และทําความสะอาดตนและรากผักบุงจีนในชวง
การเก็บเกีย่ ว
5.2 การเตรียมดิน ผักบุงจีนเปนพืชผักทีม่ ีระบบรากตืน้ ในการเตรียมดินควรไถ
ดะตากดินไวประมาณ 15 – 30 วัน แลวดําเนินการไถพรวนและขึ้นแปลงปลูกขนาดแปลงกวาง
1.5 – 2 เมตร ยาว 10 – 15 เมตร เวนทางเดินระหวางแปลง 40 – 50 เซนติเมตร เพือ่ สะดวกในการ
ปฏิบัติดูแลรักษา ใสปุยคอก (มูลสุกร เปด ไก วัว ควาย) หรือปุยหมักที่สลายตัวดีแลวคลุกเคลาลง
ไปในดินพรวนยอยผิวหนาดินใหละเอียดพอสมควรปรับหลังแปลงใหเรียบเสมอกัน อยาใหเปนหลุม
เปนบอ เมล็ดพันธุผักบุงจีนจะขึ้นไมสม่ําเสมอทั้งแปลง ถาดินปลูกเปนกรดควรใสปูนขาวเพื่อปรับ
ระดับ พีเอช ของดินใหสูงขึ้น
Mahasarakham University
36
งานวิจัยที่เกี่ยวของ
1. งานวิจยั ในประเทศ
ฐิณัฐตา วัดคํา และปวีณา ดานสกุล (2540 : บทคัดยอ) ไดศึกษาคุณสมบัติกากตะกอน
จากโรงงานบําบัดน้ําเสียชุมชน เพื่อใชในการปรับปรุงดิน โดยใชกากตะกอนโรงงานบําบัดน้ําเสีย
ชุมชน สี่พระยาและดินชนิดตาง ๆ ที่มีลักษณะตางกัน 5 ชุด ไดแก ชุดดินน้ําพอง ชุดดินเพชรบุรี
ชุดดินโพนงาม ชุดดินรังสิต และชุดดินลํานารายณ โดยผสมกากตะกอน 5 อัตราสวน คือ 1 : 1
กากตะกอน 100 กรัม ตอน้าํ หนักรวม 200 กรัม 2 : 3 กากน้ําตาล 80 กรัม ตอน้ําหนักรวม 200
กรัม 1 : 3 กากตะกอน 50 กรัม ตอน้ําหนักรวม 200 กรัม 3 : 3 กากตะกอน 40 กรัม ตอน้ําหนัก
รวม 200 กรัมและอัตราสวน 9 : 1 กากตะกอน 20 กรัม ตอน้ําหนักรวม 200 กรัม (ทําการ
วิเคราะหในสัปดาหที่ 1 และ 12) หลังการผสม พบวา กากตะกอนทําใหดนิ เปนกลางมากขึ้น และ
ชวยเพิ่มอินทรียวัตถุ ธาตุไนโตรเจน ธาตุฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และคาความจุการแลกเปลี่ยน
ไอออนในดิน และมีขอเสนอแนะวาอัตราสวนสูงสุดที่สามารถยอมรับไดจากการทดลองเติมกาก
ตะกอนลงไปในดิน สําหรับการทดลองครั้งนี้ พบวา ไมควรเกิน 40 กรัม ตอน้ําหนักรวม 200
กรัม ซึ่งถาเติมกากตะกอนมากเกินไปอาจทําใหเกิดความเปนพิษตอดินและพืชที่ปลูกได
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย (วท.) (2542 : 8-15) ไดวิจัย
และพัฒนาเกีย่ วกับการนําวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงาน อุตสาหกรรม มาผลิตเปนแทงเพาะชํา ปุยอินทรีย
และดินปลูกแทงเพาะชํา พัฒนามาจากตะกอนในโรงงานอุตสาหกรรม เยื่อและกระดาษ นํามาผสม
Mahasarakham University
38
Mahasarakham University
42
Mahasarakham University