Professional Documents
Culture Documents
Kpi - Journal,+61 1 2
Kpi - Journal,+61 1 2
โหวตเพื่อใคร :
พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย*
Vote for Whom: Voting Behavior of Thailand’s House of Representatives
อรรถสิทธิ์ พานแก้ว**
บทคัด
ย่อ
บทความนี้ เป็ น การศึ ก ษาพฤติ ก รรมการลงคะแนนเสี ย งของสมาชิ ก สภา
ในส่วนของการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎรด้วยการลงคะแนนเสียง
(โหวต) ในการพิจารณากฎหมายและเรื่องพิจารณาต่างๆ นั้น เป็นการ “โหวตเพื่อ
ใคร” โดยการศึกษาได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยในส่วนของข้อมูลการลงมติของ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรอบเวลาการวิเคราะห์ ตั้งแต่สมัยของสมาชิกสภา
แนวประเพณีการทำงานของพรรคการเมืองที่ว่า การลงมติของพรรคการเมืองที่แบ่ง
เป็นฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายพรรคที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลนั้นจะเป็นการ “โหวต
ตามฝ่าย” ที่อธิบายได้ว่าทิศทางการลงมติของทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่ไม่ได้
Abstract
This article aims to study the voting behaviors of members of Thailand’s House of
Representatives, focusing on the question, “for whom” do these people vote during the
legislative process and when considering other issues. The research employs mixed
research methods; empirical data is analyzed and then the results are integrated with
data collected through in-depth interviews. The scope of this research is limited to the
information about voting by the members of the House of Representatives under study
during the twentieth House of Representatives (1998 under the Chuan Leekpai
government) to the dissolution of the twenty-fourth (2013 under the Yingluck
Shinawatra government). From three main theorized patterns (party-line voting,
coalition–line voting, and cross party–line voting), it was found that (1) the statistical
value of the party loyalty score of individual members of the House of Representatives
in different periods is higher than 90%, showing that most of the members of the House
of Representatives vote in line with their parties’ resolutions and majority opinions;
อย่างไรก็ดี สำหรับการศึกษาเชิงวิชาการในประเด็น
ลงคะแนนเสียง (Legislative Voting) หรือแม้กระทั่ง
พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงหรือ “การโหวตของ ส.ส.”
ความเข้ ม แข็ ง และการถดถอยของความเป็ น พรรค
ในสภานั้ น ยั ง คงจำกั ด อยู่ ภ ายใต้ ก รอบการศึ ก ษา
ของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ผู้วิจัยจึงได้วางกรอบ
ฝ่ายบริหารในการทำหน้าที่ในรัฐสภา หรือการทำหน้าที่ การวิเคราะห์ที่นอกจากจะศึกษาพฤติกรรมการลงมติ
ฝ่ า ยนิ ติ บั ญ ญั ติ ที่ ไ ม่ ไ ด้ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ด้ ว ยเหตุ ผ ลของ
ของส.ส. แบบส่ ว นบุ ค คลเพื่ อ เป็ น ฐานความรู้ แ ละ
กระบวนการทำงานและปัจจัยด้านองค์กรของรัฐสภา
การวิเคราะห์ แต่จะขยายการศึกษาพฤติกรรมการลงมติ
ดังนั้น ความจำเป็นในการศึกษาที่เน้นเฉพาะพฤติกรรม ของ ส.ส. ไปยั ง การศึ ก ษาพฤติ ก รรมการลงมติ แ บบ
ของ ส.ส. เป็ น รายบุ ค คลจึ ง เป็ น เรื่ อ งที่ จ ำเป็ น เพื่ อ“อิ ง ฝ่ า ย” (Parts) นั่ น คื อ จะศึ ก ษาพฤติ ก รรมการ
ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล1”
ในบทความเล่มนี้ พรรคการเมืองที่ไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในขั้วของพรรคฝ่ายรัฐบาลจะถูกเรียกว่า “ฝ่ายพรรคที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล”
งานวิจัยนี้สามารถเป็นการตอบคำถามใหญ่ของการจัด ปราศจากการนำปัจจัยเฉพาะของไทยในเรื่องที่ว่าด้วย
โครงสร้างทางการเมือง สถาบันทางการเมือง และระบบ พรรคการเมืองทั้งส่วนที่ว่าด้วยธรรมชาติหรือแนวปฏิบัติ
พรรคการเมืองในประเทศไทยได้ในอีกทางหนึ่ง
ของพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของ ส.ส.
เช่นนี้แล้ว วรรณกรรมที่ได้ถูกนำมาทบทวนเพื่อนำมา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เป็ น กรอบการวิ เ คราะห์ ข องการศึ ก ษานี้ จึ ง ประกอบ
มากน้อยเพียงใด หากการเปลี่ยนแปลงหรือผลที่จะเกิด
แบบตามพรรคการเมือง ก็จะเป็นวรรณกรรมในกลุ่มของ
ขึ้นมีระยะห่างระหว่างผลที่จะมีอยู่ในสภาวะปัจจุบันนั้น
คุณลักษณะและภาพรวมของพรรคการเมืองไทย รวมถึง
มีระยะแคบ การโหวตก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปในแนวทาง
การเป็ น ระบบรั ฐ บาลผสมของพรรคการเมื อ งไทย
ครั้งนั้นจะเกิดจากการคำนวณระยะห่างระหว่าง “จุดยืน
ได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามานั้นส่วนหนึ่งก็คือการทำตาม
ทางนโยบาย” บนเส้นสเกล “ความคิดทางการเมือง”
ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ในการทำหน้าที่ใน
(Political Ideology) ของแต่ละคนกับ “ผลทางนโยบาย
สภาและการทำหน้าที่นิติบญญัติ ดังนั้นการกระทำหรือ
ของร่างกฎหมายหรือเรื่องที่พิจารณา” (มิติของนโยบาย
พฤติ ก รรมที่ เ กิ ด ขึ้ น ในการทำหน้ า ที่ ผู้ แ ทนราษฎรและ
(Cox and McCubbins 2005; Poole 2005) ในการลงมติ ข องพรรค เป็ น การแสดงการสนั บ สนุ น
บริหารที่มาจากพรรคของพวกตน การลงมติที่ผิดแผกไป
การแสดงออกจึ ง ไม่ ใช่ ม าจากความต้ อ งการของตน
จากมติพรรคจะทำให้การมีสถานะการเป็นพรรคแกนนำ
แต่เป็นไปเพื่อพรรค ดังนั้นการโหวตของ ส.ส. ในบางครั้ง
รัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลดำรงอยู่ต่อไปหรือจบลงหลังจาก
ก็ถูกมองว่าเกิดจากการควบคุมพฤติกรรมของ ส.ส. ของ
การลงมติ ไ ด้ สิ้ น สุ ด ลง ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งจากการพ่ า ยแพ้ ใ น
นอกเหนือไปจากการพิจารณาถึงความอยู่รอดใน
ก่อปัญหาให้เกิดขึ้นในอนาคตได้ไม่สามารถจะเข้ามาสู่
ฐานะ ส.ส. และฐานะพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ความเป็น
ส่งผลต่อพฤติกรรมมากเท่าที่ควรเพราะความจำเป็นที่จะ
ควรจะเป็นแรงจูงใจภายใน
ต้ อ งเป็ น “เด็ ก ดี ” ได้ ล ดลงไป แต่ ไ ม่ ไ ด้ ห มายความว่ า
แ ต่ ถ้ า ม อ ง ล ง ไ ป ใ ห้ ลึ ก ค ว า ม เ ป็ น อั น ห นึ่ ง
การจั ด การให้ เ กิ ด การลงมติ ห รื อ มี พ ฤติ ก รรมที่ เ ป็ น
อั น เ ดี ย ว กั น แ ล ะ ค ว า ม เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ วิ นั ย ข อ ง ระเบียบวินัยตามความต้องการของผู้นำจะลดลงไปหรือ
พรรคการเมืองนั้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการ
ไม่มีเลย
ของกลุ่มภายในพรรคความเข้มแข็งของกลุ่มสะท้อนให้
จากงานการศึ ก ษาหลายๆ ชิ้ น ว่ า พรรคการเมื อ งไทย
เห็นจากการจัดสรรที่นั่งรัฐมนตรี จำนวนสมาชิกในกลุ่มที่
มีโครงสร้างแบบรวมศูนย์อำนาจในการบริหารกิจการ
ได้ รั บ เลื อ กตั้ ง ก็ ก ลายมาเป็ น อำนาจในการต่ อ รองกั บ
ของพรรคการเมืองแทบจะในทุกๆ ด้าน การมีส่วนร่วม
หัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อให้กลุ่มได้เข้าถึงทรัพยากรและ
ของสมาชิ ก หรื อ นั ก การเมื อ งในสั ง กั ด อยู่ ใ นระดั บ ที่ ต่ ำ
นำทรั พ ยากรไปสู่ พื้ น ที่ เ พื่ อ รั ก ษาฐานเสี ย ง ในแง่ นี้
เพราะการตัดสินใจในเรื่องของพรรคทั้งหมดถูกรวมศูนย์
เราจะพบว่ า แนวนโยบายหรื อ อุ ด มการณ์ ร่ ว มของ
ไว้ ที่ ค ณะกรรมการบริ ห ารพรรค หรื อ ผู้ มี อิ ท ธิ พ ล
การเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทยนั้นจะเป็นเรื่องของ
มี โ ครงสร้ า งง่ า ยๆ ไม่ มี ค วามสลั บ ซั บ ซ้ อ นและเน้ น
ปี 2540 ส่งผลให้พรรคการเมืองไทยเริ่มให้ความสำคัญ
แตกต่างจากพรรคการเมืองของจริง (Real Party) ที่มี
กับแนวนโยบายทีเ่ ป็นรูปธรรมมากขึน้ แต่ Ockey (2003)
มวลชนเป็นฐานสนับสนุน มีโครงสร้างการบริหารพรรค
ไทยรักไทยคือ ขอบข่ายและความชัดเจนของนโยบายที่
กลุ่ ม มุ้ ง ภายในพรรคการเมื อ งต้ อ งเพิ่ ม ระดั บ การมี มี อ ำนาจเบ็ ด เสร็ จ เด็ ด ขาด ถึ ง ขนาดที่ ว่ า แยกบทบาท
ระเบียบวินัยพรรค (Party Discipline) ให้อยู่ในระดับสูง ระหว่างตัวผู้นำกับบทบาทของพรรคได้ลำบาก ในกรณี
ของพรรคชาติไทยพัฒนา นัครินทร์ เพชรสิงห์ (2553) จะเป็ น การจั บ ขั้ ว ของพรรคการเมื อ งที่ มี จุ ด ยื น ทาง
พบว่ า พรรคมี ร ะดั บ ความเป็ น สถาบั น อยู่ ใ นระดั บ
นโยบายและความคิ ด ทางการเมื อ งที่ ใ กล้ ห รื อ ติ ด กั น
ที่ ส ามารถพั ฒ นาไปเป็ น สถาบั น ทางการเมื อ งได้ เท่านั้น
(Developing Institutionalism) ส่ ว นพรรค
ประชาธิปัตย์นั้นมีความเป็นสถาบันมากที่สุดในบรรดา
การเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก (Majoritarian System)
พรรคการเมืองไทยทั้งหมด เพราะมีการเปลี่ยนตัวผู้นำ
ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นระบบเลือกตั้งแบบผสม (Mixed-
พรรคอยู่เสมอสื่อนัยของวัฒนธรรมประชาธิปไตยภายใน
Member System) หรือแม้แต่ตอนที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ
พรรค (Ufen 2008, ปัทมา สูบกำปัง 2552)
เลื อ กตั้ ง แบบผสมแล้ ว ผลของการเลื อ กตั้ ง ทำให้ เ กิ ด
ลักษณะของพรรคร่วมรัฐบาลในระบบการเมืองไทย
ระบบหลายพรรคการเมื อ ง (Multi-party System)
ดังนั้น การเกิดขึ้นจัดตั้งรัฐบาลจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
ตามทฤษฎี ก ารจั บ ขั้ ว รั ฐ บาลผสม (Coalition
การจับขั้วแบบรัฐบาลผสมมาโดยตลอด โดยลักษณะของ
Theory) การจั บ ขั้ ว ของพรรคการเมื อ งนั้ น จะมี อ ยู่
รัฐบาลนั้นจะเป็นการจับขั้วกันระหว่างพรรคการเมือง
การเป็นเสียงส่วนใหญ่ได้พอดี โดยการจับขั้วนั้นอาจจะ
ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ในขณะเดียวกัน
ออกมาในลั ก ษณะของการมี “ขั้ ว ที่ ข นาดพอเหมาะ”
พรรคการเมืองที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับ 2 ก็พร้อมที่
(Minimal Winning Coalitions) ที่การจับขั้วลักษณะนี้
พลิกกลับมาจัดตั้งรัฐบาลแข่งได้เสมอ ฉะนั้นเพื่อให้ได้
นั้ น จะมี จ ำนวนสมาชิ ก ในขั้ ว ที่ เ พี ย งพอที่ จ ะยั ง สถานะ
รัฐบาลที่มีเสถียรภาพจึงต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่เกิน
การเป็ น รั ฐ บาลแม้ จ ะมี ส มาชิ ก เพี ย งหนึ่ ง คนถอนตั ว
การบริหารการจัดการการเลือกตั้ง (โดยเฉพาะการจัด
ข้ อที่ 1 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมการลงมติของ ผู้ ส มั ค รลงสมั ค รรั บ เลื อ กตั้ ง ) ทำให้ ก ารวิ เ คราะห์
ส.ส. นั้นอาจมาจากแรงจูงใจภายในที่ปราศจากข้อจำกัด พฤติ ก รรมการลงมติ ข อง ส.ส. ด้ ว ยแนวคิ ด ความเป็ น
ปัจจัยทั้งสองข้อนี้ส่งผลเป็นอย่างมากต่อความอยู่รอด ข้อสันนิษฐานถึงพฤติกรรมของพรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็น
ของทั้ง ส.ส. ในฐานะปัจเจก และความอยู่รอดของสภา แกนในการจั ด ตั้ ง รั ฐ บาล อั น ได้ แ ก่ พ รรคขนาดกลาง
ในการลงมติ ข อง ส.ส. ไทยนั้ น มี ข้ อ จำกั ด ในขณะเดี ย วกั น หน้ า ที่ ข องฝ่ า ยพรรคที่ ไ ม่ ไ ด้ เข้ า ร่ ว ม
(Constraints) ทางด้านสถาบันในระดับปัจเจกบุคคล รัฐบาลที่ตามหลักการสากลต้องทำการถ่วงดุลการทำงาน
โดยเฉพาะจากพรรคการเมื อ งที่ ม าในรู ป แบบของ
ของฝ่ายรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการตรวจสอบและคัดค้าน
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพรรคการเมือง (Party การทำงานของฝ่ายรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำ ดังนั้น
C o h e s i o n ) แ ล ะ ค ว า ม เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ วิ นั ย ใ น พฤติกรรมการโหวตตามฝ่ายจึงน่าจะเกิดขึ้นเพราะเป็น
พรรคการเมือง (Party Discipline) มาเป็นข้อกำหนดใน เรื่องของการทำ‘หน้าที่’ ในฐานะสมาชิกของฝ่ายที่พรรค
ลำดับแรกๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะการปกครองในรูปแบบ ของตนนั้นสังกัดอยู่
รัฐสภา และการดำเนินงานของพรรคการเมืองที่มีการ
(3) โหวตข้ามพรรค
รวมศู น ย์ อ ำนาจ และข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้
สร้างดุลอำนาจที่เท่ากันระหว่าง ส.ส. กับพรรคการเมือง โหวตข้ า มพรรคเป็ น พฤติ ก รรมการโหวต
จึ ง เป็ น เหตุ ใ ห้ ส.ส. ของไทยนั้ น มีพ ฤติ กรรมการลงมติ ระหว่างพรรคการเมืองที่เกิดจากความต้องการที่จะทำให้
ต า ม ม ติ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง พ ร ร ค ม า ก ก ว่ า
เกิดโอกาสหรือการมองเห็นโอกาสของพรรคการเมือง
แผนภาพที่ 1
ขอโตเถียงทางทฤษฎี (Normative Theoretical Argument)
แผนภาพที ่1
สําหรับการวิเคราะหแบบแผนการลงมติ
ข้อโต้เถียงทางทฤษฎี (Normative Theoretical Argument) สำหรับการวิเคราะห์แบบแผนการลงมติ
ขอจํากัดเชิงสถาบันระดับบุคคล
(Party Discipline & Party Cohesion)
แบบแผนการลงมติ
ขอจํากัดเชิงสถาบันระดับพรรค
(Coalition Government Government
Survival; Coalition Survival;
Coalition Opportunity)
ขข้ออมูมูลลและวิ
และวิธีกธารวิ เคราะห
ีการวิ เคราะห์
ที่ จ ะเป็ น ฐานของการสื บ ค้ น ต่ อ ไปถึ ง เหตุ แ ละผลของ
จะถูกนำไปวิเคราะห์รว่ มกับข้อมูลเชิงคุณภาพจากเอกสาร
ผู้แทนราษฎร2 และกรอบเวลาการวิเคราะห์ตั้งแต่สมัย
ต่ า งๆ ที่ จ ะถู ก สกั ด ประเด็ น ในส่ ว นของสถานการณ์
ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 20 (ปี พ.ศ. 2541
การเมื อ งแวดล้ อ ม เพื่ อ ให้ ไ ด้ ค ำอธิ บ ายที่ ต ระหนั ก ถึ ง
สมั
2
ยรัฐบาลนายชวน
โดยการเก็ บขอมูลในสวนนีหลี กภัย) นจนถึ
้จะมาจากบั งสิ้นานัสมั
ทึกของสํ ยของสมาชิ
กเลขาธิ การสภาผูแกทนราษฎรและขอมูลที่ปรากฎในเว็บไซต http://www.parliament.go.th/
ปัจจัยการเมืองภายนอกตัว ส.ส. ที่ส่งผลต่อแบบการลง
สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 24 (ปี พ.ศ. 2555 สมัยรัฐบาล 10
มติ ซึ่ ง ผลวิ เ คราะห์ ที่ ไ ด้ จ ะทำให้ ผู้ วิ จั ย สามารถสร้ า ง
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)3
รูปแบบการลงมติของ ส.ส. ได้ในที่สุด
ในการตอบคำถามการวิ จั ย นี้ วิ ธี ก ารวิ จั ย แบบผสม
ทั้ ง นี้ ค่ า สถิ ติ ที่ ใช้ ใ นการวิ เ คราะห์ ที่ อ ยู่ บ นฐานของ
(Mixed-Method Research Methodology) จะถูกนำ
สถิติการพรรณนา จะถูกเรียกว่า ค่าสถิติการโหวตตาม
มาใช้ โดยจะนำข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้มาวิเคราะห์และ
พรรค (Party Loyalty Scores) (Godbout and
นำผลการวิ เ คราะห์ ไ ปประสานเข้ า กั บ ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ จ าก
รายบุคคล เพราะก่อนหน้านั้นวิธีการนับจำนวนการลงมติเป็นการใช้กำลังคนนับและบันทึกข้อมูลผลรวมที่ไม่ได้แสดงถึงผลการ
ลงมติรายบุคคลแต่เป็นการบันทึกเป็นยอดรวมของพรรคการเมือง
Voting Scores) ที่การคำนวณเกิดจากการนำแนวทาง เชิ ง เอกสาร เช่ น บั น ทึ ก การประชุ ม ในวั น ลงมติ วาระ
การออกเสี ย งลงมติ ข องพรรคการเมื อ งหนึ่ ง ในเรื่ อ ง การประชุ ม หรื อ ข่ า วสารในสื่ อ มวลชนก็ จ ะถู ก นำมา
พิ จ ารณาต่ า งๆ มาเปรี ย บเที ย บกั บ พรรคการเมื อ งอื่ น
วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลเชิงประจักษ์และข้อมูลจากการ
โดยการพิ จ ารณาหาแนวทางการออกเสี ย งลงมติ ข อง สัมภาษณ์ข้างต้นอีกด้วย
พรรคการเมื อ งจะยึ ด ตามเสี ย งส่ ว นใหญ่ ข องพรรคนั้ น
ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองจะมีแนวทางการออกเสียงลงมติ ข้อค้นพบและบทวิเคราะห์
ทั้งที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
1. โหวตตามพรรค
เมื่ อ ได้ แ บบแผนการลงมติ ใ นเชิ ง ประจั ก ษ์ แ ล้ ว
เมื่อตั้งคำถามว่า ส.ส. ในฐานะปัจเจกบุคลนั้นโหวต
จะดำเนินการสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้ ตามใจหรื อ โหวตตามพรรค คำตอบที่ ไ ด้ คื อ ส.ส. นั้ น
“แบบแผนการลงมติ” ที่ได้จากการวิเคราะห์ทางสถิติ โหวตตามพรรค ซึ่งที่มาของคำตอบมาจากการพิจารณา
เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสัมภาษณ์ เพื่อหาข้อยืนยันหรือ ค่ า สถิ ติ ก ารโหวตตามพรรค (Party Loyalty Score)
ข้ อ โต้ แ ย้ ง อื่ น (ที่ อ าจจะมี ) ว่ า แบบแผนการลงมติ ใ น ของ ส.ส. เป็ น รายบุ ค คลในแต่ ล ะสมั ย โดยหลั ก ฐาน
ค่อนไปทางเล็กได้ให้คำอธิบายที่คล้ายกันว่า การไม่ทำ
เหตุ ปั จ จั ย ในการลงมติ ข อง ส.ส. ในแต่ ล ะครั้ ง พบว่ า
ตามมติพรรคในบางเรื่องนั้นในครั้งแรกๆ อาจจะมีการ
ปั จ จั ย ที่ ท ำให้ ส.ส. ไทยนั้ น เลื อ กที่ จ ะ “โหวต” หรื อ
แสดงความไม่เห็นด้วยต่อเรื่องที่จะลงมติ แต่ก็ต้องเคารพ
ทั้งนี้ บทบาทของ “คณะกรรมการประสานงานพรรค
กับหลักการเสียงข้างมากของพรรคการเมืองในระบอบ ร่วม (วิป)” แต่ละฝ่ายนั้นมีความสำคัญต่อการกำหนด
ประชาธิปไตย
ทิ ศ ทางการลงมติ ข อง ส.ส. โดยการควบคุ ม ของวิ ป
จะเป็นการควบคุมในระดับบน ผ่านพรรคการเมืองลงมา
“ ... อย่างผมเป็นประธานมานี้ ผมเป็นประธาน
อีกชั้นหนึ่ง และวิปเองก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนด
มาทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านอาจจะเป็นคนไม่กี่คนอะนะ
อุดมการณ์/พฤติกรรมบางประการให้กับ ส.ส. กล่าวคือ
ที่ต้องรับบทบาทตรงนี้ แต่ในเวลาเดียวกันเนี้ยเราต้อง
หากเป็นวิปฝ่ายค้านจำเป็นจะต้องกำหนดการลงมติให้
ปรับปรุง (การทำงานของวิป) เช่น การสื่อความเข้าใจ
เป็ น ไปในทิ ศ ทางตรงข้ า มกั บ ฝ่ า ยรั ฐ บาล วิ ป จึ ง มี
ก็คือเราก็ต้องมีความกว้างขวาง มีการใช้คนที่อาจจะ
ความสำคั ญ ไม่ แ พ้ กั น โดยวิ ป จะมี ก ารควบคุ ม ให้ ส.ส.
“มันก็มี บางคนมันก็มี มันก็มีแหกโผพรรค มีเยอะ ส.ส. แบบแบ่ ง เขต และ ส.ส. แบบบั ญ ชี ร ายชื่ อ ที่ มี
มันก็เคยมีบ่อย ๆ อันนี้พวกที่แหกโผ แต่ละพรรคก็จะ พฤติ ก รรมการลงมติ ที่ แ ตกต่ า งกั น โดยกฎของพรรค
มี ร ะเบี ย บ มี ม ติ ข องพรรคว่ า จะดำเนิ น การอย่ า งไร สอดรั บ กั บ ปั จ จั ย เรื่ อ งแรงจู ง ใจทางการเมื อ ง นั่ น คื อ
“ทำความเข้าใจพรรคให้ชัดเจนแล้วถึงจะให้พรรค
คราวเดียวกัน ในส่วนของประเภทของการเป็น ส.ส. จะ
มี ม ติ พรรคการเมื อ งมี ม ติ ก็ คื อ เพื่ อ ให้ ทิ ศ ทาง
การลงมติของทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วม
เดือดร้อน เขาอยากเห็นหน้า ส.ส. ของเขา ไม่ใช่เลือกตัง้
รัฐบาล จะมีทิศทางการลงมติที่แตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่
เสร็จแล้วหาย” (อดีต ส.ส. พรรคการเมืองขนาดกลาง)
ตารางที่ 1 ได้ แ สดงหลั ก ฐานเชิ ง ประจั ก ษ์ ข องการ
และ
โหวตตามฝ่ายของ ส.ส. ในสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่
“ชาวบ้านเขาชอบนโยบาย กฎหมายเป็นเรื่องรอง 20 – 24 ซึ่งจะเห็นว่าสัดส่วนของการลงมติไปในทิศทาง
คื อ ประชาชนสนใจความเป็ น อยู่ ข องเขา ว่ า มี กิ น เดียวกันนั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะเป็นเพียงจำนวน 1 ใน 3
อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของนโยบาย เป็นเรื่องของรัฐบาล ของการลงมติทั้งหมด
ซึ่งเป็นสัญญาประชาคม” (อดีต ส.ส. พรรคการเมือง
ขนาดใหญ่)
ทิศทางการลงมติของฝ่ายรัฐบาล
สมัยสภาผู้แทนราษฎร
ลงมติไปใน
ลงมติ
(ร้อยละ)
ทิศทางเดียวกัน
ต่างทิศทางกัน
ชุดที่ 20 (พ.ศ. 2541-2543)
24.89
75.11
100
ชุดที่ 21 (พ.ศ. 2544-2547)
17.79
82.21
100
ชุดที่ 22 (พ.ศ. 2548)
2.53
97.47
100
ชุดที่ 23 (1) (พ.ศ. 2552)
28.83
71.17
100
ชุดที่ 23 (2) (พ.ศ. 2552-2554)
18.12
81.88
100
ชุดที่ 24 (พ.ศ. 2554-2556)
30.30
69.70
100
รัฐบาลก็จะกลัวจุดนี้มาก”
ฝ่ายรัฐบาล รวมถึงการทำหน้าที่คัดค้านเพื่อถ่วงดุลการ
ทำงานของฝ่ายรัฐบาล ส่วน ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลก็ควรทำ “ ..อย่ า งผมเป็ น ประธานมานี้ ผมเป็ น ประธาน
มีแรงจูงใจในความต้องการเป็นรัฐบาล จึงต้องพยายาม
จากเห็นต่างมาเห็นคล้อย มาเห็นคล้อยแล้วมาเห็น
ทำให้การลงมติของฝ่ายตนส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติ
ตาม แล้วมาสุดท้ายมาเห็นด้วย นี่คือหัวใจ เห็นต่าง
หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล (แม้ว่าจำนวนเสียงในการลงมติ
มาเห็นคล้อย เห็นคล้อยแล้วมาเห็นตาม แล้วก็มาเห็น
อาจสู้ไม่ได้ แต่ต้องรักษาการ “โหวตตามฝ่าย” ของตน
ด้ ว ย อั น นี้ ส ำหรั บ ผมนะคื อ ถ้ า ทำตรงนี้ ไ ด้ ไอ้ ค นนี้
ให้มากที่สุด) ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็มีแรงจูงใจในการรักษา
ทำงานสำเร็จผล” (อดีตประธานวิปพรรคการเมือง
เสถียรภาพของรัฐบาลเอาไว้ให้มั่นคงที่สุด เพื่อการเป็น
ขนาดใหญ่ คนที่ 2)
รัฐบาลในสมัยต่อๆ ไป การ “โหวตตามฝ่าย” ของฝ่าย
รัฐบาลจึงสำคัญต่อผลทางการเมืองไม่น้อยไปกว่าฝ่าย
เพราะฉะนั้นบทบาทของคณะกรรมการประสานงาน
ที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล
พรรคร่ ว มของทั้ ง ฝ่ า ยรั ฐ บาล และฝ่ า ยที่ ไ ม่ ไ ด้ เข้ า ร่ ว ม
รัฐบาล จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมการออก
ทั้งนี้ผลการโหวตตามฝ่ายก็มาจากบทบาทการทำงาน
เสียงลงมติของส.ส.ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันในฝ่าย
ของทั้ ง คณะกรรมการประสานงานพรรคร่ ว มรั ฐ บาล
ตนเองและต่างทิศทางกับฝ่ายตรงข้าม หรือการโหวต
(วิปรัฐบาล) และประธานคณะกรรมการประสานงาน
ตามฝ่ายของสภาผู้แทนราษฎรไทยในทุกสมัย
พรรคฝ่ า ยค้ า น (วิ ป ฝ่ า ยค้ า น) ในการทำหน้ า ที่ ชี้ แจง
อธิบาย โน้มน้าว และควบคุมเสียงโหวตของบรรดา ส.ส. การศึกษาครั้งนี้ พบว่า ในกรณีของสมัยสภาผู้แทน
ฝ่ า ยตั ว เองให้ เ ป็ น ไปในทิ ศ ทางของฝ่ า ยตนเองให้ ไ ด้
ราษฎรชุดที่ 22 (พ.ศ. 2548) มีการลงมติต่างทิศทางกัน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าพฤติกรรมการโหวต
ที่ ต้ อ งการให้ มี 2 พรรคการเมื อ ง จึ ง มี ก ารแบ่ ง ขั้ ว ทาง
ข้ามพรรคนั้นเกิดขึ้นจากส่วนผสมของ 3 ปัจจัยด้วยกัน
การเมื อ งที่ ชั ด เจน โดยแบ่ ง ขั้ ว ทางการเมื อ งระหว่ า ง
แกนนำฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล โดยมีพรรคชาติไทย
การโหวตข้ามพรรค และ (3) ขนาดของพรรคการเมือง
และพรรคมหาชนเป็นพรรคที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล) เมื่อ
อันได้แก่ การเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ขนาดกลาง
เกิดการแบ่งขั้วชัดเจน ทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งต้องสร้างจุดยืน
วิธีการจับขั้ว/แบ่งขั้วทางการเมืองที่ชัดเจนของฝ่าย
ข้ามพรรคกับพรรคฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล มีแต่พรรค
รัฐบาลและฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล ส่งผลให้ในสมัย
ในฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล โหวตข้ามพรรคกับพรรค
สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 22 มีความโดดเด่น หากการเมือง
ฝ่ า ยรั ฐ บาล เหตุ ผ ลที่ พ รรคฝ่ า ยรั ฐ บาลไม่ มี ก ารโหวต
ข้ามไปพรรคฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลเลยนั้น อาจเป็น
ลงมติ (โหวต) ก็จะชัด เพราะการลงมติข้ามฝ่ายเกิดขึ้นได้
ผลมาจากการไม่เห็นประโยชน์ใด ๆ ในการโหวตข้ามไป
ยาก ส่วนสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดอื่นๆ การจับขั้วไม่ใช่
นอกเสี ย จากในบางช่ ว งเวลาที่ อ าจมี สั ญ ญาณในการ
2 พรรคใหญ่ แต่เป็นพรรคร่วมหลายพรรค ทำให้ค่าของ
เปลี่ยนขั้วรัฐบาล พรรครัฐบาลอาจมีการโหวตข้ามไป
ทิศทางการลงมติไม่แตกต่างกันมาก
พรรคฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลได้ ในส่วนเหตุผลที่พรรค
3. โหวตข้ามพรรค
ฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล บางพรรคโหวตข้ามไปฝ่าย
รั ฐ บาล อาจเป็ น ผลมาจากต้ อ งการการสนั บ สนุ น จาก
โหวตข้ า มพรรค (Cross-Party Voting) เป็ น
พรรครั ฐ บาลในบางเรื่ อ งที่ พ รรคนั้ น ต้ อ งการ หรื อ
พฤติกรรมการลงมติที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ
อย่างมากสุดคือการได้เข้าร่วมรัฐบาล
แต่ละพรรคการเมืองที่ไม่ได้ใช้ ‘ฝ่าย’ ที่แต่ละพรรคสังกัด
เป็ น สิ่ ง ตั้ ง ต้ น ในการจั ด แบบแผนการโหวต นั่ น คื อ สอง พรรคการเมืองขนาดใหญ่จะไม่มีการโหวตข้าม
เป็นการเข้าไปดูลักษณะทิศทางการโหวตด้วยการจับคู่ พรรค เนื่องจากพรรคขนาดใหญ่เป็นแกนนำของแต่ละ
ระหว่างพรรคการเมืองทุกพรรคที่อยู่ในรัฐสภา เพื่อหา ฝ่าย จึงมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ โดยพรรคขนาดใหญ่ที่เป็น
ข้ อ สรุ ป ว่ า มี ทิ ศ ทางร่ ว มกั น มากน้ อ ยเพี ย งใดก่ อ น โดย
แกนนำฝ่ายรัฐบาลนั้น มีหน้าที่รักษาความอยู่รอดของ
ผิวเผินแล้วหลายคนอาจเข้าใจว่าค่าการโหวตข้ามพรรค
รั ฐ บาล จึ ง ไม่ อ าจปล่ อ ยให้ ส.ส.โหวตข้ า มพรรคได้
มีความคล้ายคลึงกันในฐานการคิดในการหาค่าการโหวต แต่สำหรับพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำพรรคฝ่ายที่ไม่ได้
ตามฝ่าย แต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าการโหวต เข้ า ร่ ว มรั ฐ บาลนั้ น มี ห น้ า ที่ ใ นการตรวจสอบถ่ ว งดุ ล
“พรรคการเมืองขนาดกลางที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล”
ผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และหากไม่มีโอกาส
พฤติกรรมของพรรคการเมืองขนาดกลางที่ร่วมรัฐบาล
ชุ ด ที่ 21 จึ“เราเป
ง ไม่ ไ ด้ มนี อพรรคการเมื
ายุ อ ยู่ ต ลอดทัอ้ งงทีสภา ่มี ส.ส.
สำหรั1-2 บ สภา
คน ทีเขาก็
่ไม่ได้ไเมข้สาร่นใจ
วมรัฐแต
บาลทั
ภาพที้งหมดหรื
่ออกไป อมีคเขาดูวามกระตื จากการ อรือร้น
จัเดิ
ดตัน้งรัตามพรรคแกนนํ
ฐบาลที่มีอยู่สูงมากเช่ าฝนากัยที
น ่ไมไดเขาร
วมรัฐบาลทั้งหมดหรือมีความกระตือรือรนในการทํางานมากนัก หาก
พรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาลมีโอกาส หรือเล็งเห็นโอกาสในการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง คาการโหวตขาม
20
42 มกราคม - เมษายน 2561
พรรคจะอยูในเกณฑที่สูง ดังปรากฏในแผนภาพที่ 5 พบวา สภาผูแทนราษฎรชุดที่ 23 รัฐบาลประชาธิปตย
พรรคจะอยูในเกณฑที่สูง ดังปรากฏในแผนภาพที่ 5 พบวา สภาผูแทนราษฎรชุดที่ 23 รัฐบาลประชาธิปตย
ที่มีพรรคเพื่อไทย เปนแกนนําพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาล และมีพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาลคือ
ที่มีพรรคเพื่อไทย เปนแกนนําพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาล และมีพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาลคือ
พรรคประชาราช ซึ่งพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นโอกาสในการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล เนื่องจากมีจํานวน ส.ส. ของ
พรรคประชาราช ซึ่งพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นโอกาสในการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล เนื่องจากมีจํานวน ส.ส. ของ
พรรคมากพอสําหรับสั่นคลอนเสถียรภาพและความอยูรอดของฝายรัฐบาล ฉะนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็ก
พรรคมากพอสําหรับสั่นคลอนเสถียรภาพและความอยูรอดของฝายรัฐบาล ฉะนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็ก
จึงไมไดมีลักษณะของการเปนพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาลอยางเต็มตัว แตจะมีลักษณะเปน “พรรคที่
จึงงไม
เล็ ไดมีลักษณะของการเป นพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรั ฐบาลอยาลังเต็ มตัว่ก้ำแตกึ่งจคืะมี ลักาษณะเป
เป็นฝ่ายทีน่
“พรรคที่
ไมไเห็ดนเขโอกาสในการเปลี
ารวมรัฐบาล”่ยนขั้วรัฐบาล เนื่องจากมีจำนวน “บางพรรคมี กษณะที อจะว่
ไมไดของพรรคมากพอสำหรั
ส.ส. เขารวมรัฐบาล” บสั่นคลอนเสถียรภาพและ ไม่ ไ ด้ เข้ า ร่ ว มรั ฐ บาลก็ ไ ม่ ใช่ จะเป็ น รั ฐ บาลก็ ไ ม่ เชิ ง
แผนภาพทีแผนภาพที ่5
่5
แผนภาพที่ 5
ค่าคเฉลี
าเฉลี ่ยการโหวตข
่ยการโหวตข้ ามพรรคของพรรคขนาดเล็
ามพรรคของพรรคขนาดเล็ กซึ่งเป็กนซึพรรคฝ่
่งเปนพรรคฝ
ายที่ไม่าได้ยที
เข้่ไามร่ไวดมรัเขฐาบาล
รวมรัฐบาล
คาเฉลี่ยการโหวตขามพรรคของพรรคขนาดเล็กซึ่งเปนพรรคฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาล
เทียเที
บกัยบบกั บพรรคแกนนํายที
พรรคแกนนำฝ่ าฝ่ไาม่ยที
ได้เ่ไข้มาไร่ดวเมรั
ขาฐรบาลในแต่
วมรัฐบาลในแต
ละสมัยล
ะสมัย
เทียบกับพรรคแกนนําฝายที่ไมไดเขารวมรัฐบาลในแตละสมัย
ขข้ออเสนอแนะเพื
เสนอแนะเพื่อ่อ่อการออกแบบสถาบั
การออกแบบ
นนทางการเมื อง
ขอเสนอแนะเพื การออกแบบสถาบั ทางการเมืต่อองมาที่เกิดจากการค้นพบว่าแบบแผนพฤติกรรมของ
สถาบันเพราะการค
ทางการเมือนนง
หาแบบแผนพฤติ
เพราะการค
กรรมการลงมติ
หาแบบแผนพฤติกรรมการลงมติ
ข อง ส.ส.ว ก็ไมจะต้ใชอจงทำความเข้
ส.ส. เป็นขอย่องางไรแล้
ุดประสงคเดีายแบบแผน
ส.ส. ไมใชจุดประสงคาใจว่
วของงานวิจัย นี้
เดียวของงานวิจัย นี้
จุดประสงค ตอนมาที ่เกิดจากการค นพบวาแบบแผนพฤติ กรรมของ
ของ พฤติกรรมนั ้นมีข้อด้อส.ส.
ย หรืเป
อเปิน อย างไรแล
มีกววารปรั
ก็จะต
บปรุอองงทํ าความ
เพราะการค้
จุดประสงค หาแบบแผนพฤติ
ตอมาที กรรมการลงมติ
่เกิดจากการค นพบวาแบบแผนพฤติ กรรมของ ส.ส. เป นดอย
โอกาสให้
างไรแล ก็จะต งทําความ
ส.ส. ไม่ใช่จุดประสงค์เดียวของงานวิจัยนี้ จุดประสงค์ เพื่อทำให้พฤติกรรมการลงมติของ ส.ส. นั้นเป็นการโหวต
21
21 มกราคม - เมษายน 2561
43
โหวตเพื่อใคร : พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย
เพื่อประชาชนมากกว่าการโหวตเพื่อตัวเองหรือเพื่อพรรค - การใช้ประโยชน์จากการตั้งกระทู้และการอภิปราย
หรือกล่าวในอีกด้านหนึ่งคือ งานวิจัยนี้เริ่มจากการหา ซึ่ ง การใช้ ป ระโยชน์ จ ากเครื่ อ งมื อ ทั้ ง สองนี้ ไ ม่ ใช่
- ก า ร เ พิ่ ม ค ว า ม โ ป ร่ ง ใ ส ใ น ก า ร ท ำ ง า น ข อ ง
การ “ดื้อ” ของ ส.ส. เพื่อคนในพื้นที่เฉพาะเขตเลือกตั้ง
พรรคการเมือง ซึ่งอย่างน้อยคือ การเปิดเผยวิธีการ
ในบางมุมอาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ
ที่ได้มาซึ่งมติพรรคในประเด็นที่จะลงมติก่อนที่จะ
กับผลประโยชน์ส่วนรวมที่ใหญ่กว่าได้ แต่ประเด็นก็คือ
กลายเป็ น มติ ข องการลงมติ ข องพรรคซึ่ ง จะต้ อ ง
เผยแพร่ในระยะเวลาที่เป็นปัจจุบัน
ผู้แทนประชาชนได้เช่นกัน
- การมีการเลือกตั้งขั้นต้น (Primary Voting) เป็น
ปลอดภัยในการที่จะมีโอกาสในการแสดงให้เห็น
ของการเป็ น พรรคร่ ว มรั ฐ บาล หรื อ ทำให้ ต นและ
ว่าการมีพฤติกรรมที่ไม่ทำตามมติพรรคในบางครั้ง
พรรคการเมืองของตนมีโอกาสในการเข้าไปร่วมเป็นฝ่าย
นั้ น ไม่ ไ ด้ ส่ ง ผลลบขั้ น ร้ า ยแรง การมี ก ารเลื อ กตั้ ง
รัฐบาล ที่สำคัญการเกิดขึ้นของพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นเพราะ
ขั้นต้นจึงเปรียบเสมือนตาข่ายที่รองรับหาก ส.ส.
ในระบบการเมื อ งไทยมี พ รรคการเมื อ งขนาดเล็ ก มาก
ประเด็นที่มีความสำคัญต่อประชาชนอย่างแท้จริง การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายรัฐบาลในอนาคต
ก็ ค วรกำหนดให้ ป ระชาชนผู้ มี สิ ท ธิ เ ลื อ กตั้ ง ต้ อ ง ถึงแม้ว่าแบบแผนพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกอธิบายถึง
ลงชื่อรับรองด้วยเพื่อป้องกันการนำกลไกดังกล่าว ที่มาของแบบแผนด้วยทฤษฎีและแนวคิดที่ได้อธิบายไว้
ไปใช้เพื่อประโยชน์ของพรรคแต่เพียงอย่างเดียว คล้ า ยคลึ ง กั น รวมทั้ ง การได้ ค ำอธิ บ ายของตั ว แสดง
(ชมพูนุท ตั้งถาวร 2558)
พฤติกรรมบางส่วนซึ่งภาพของพฤติกรรมและคำอธิบาย
ประเทศไทยก็จะเป็นรูปแบบของผู้แทนที่ตัดสินใจแทน
ที่บางข้อเสนออาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการออกแบบสถาบัน
ประชาชน (Trustees) มากกว่าแบบที่เป็นผู้แทนที่รับฟัง
ทางการเมืองใหม่ แต่อาจจะต้องมีการเน้นย้ำและชี้ให้
ความต้ อ งการของประชาชนแล้ ว จึ ง มาถ่ า ยทอด
เห็นวิธีที่จะทำให้กลไกที่มีอยู่เดิมนั้นว่าสามารถทำให้เกิด
ความต้องการนั้น (Delegates) ซึ่งในที่สุดประชาชนเอง
การขยับของแบบแผนพฤติกรรมต่างๆ ได้
จะต้องตัดสินใจว่าตนนั้นมีความพึงพอใจกับรูปแบบไหน
เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคการเมือง
ที่เป็นประโยชน์อะไรแก่ประชาชนเลย การเข้าไปเป็น
ไม่ได้เห็นความสำคัญของการใช้กฎ ระเบียบ หรือกลไก
ส่วนหนึ่งในแขนงพรรคฝ่ายรัฐบาลในฐานะที่เป็น ‘พรรค
ของสถาบันทางการเมืองเพื่อให้เกิดพฤติกรรมใหม่หรือ
เติมเต็ม’ ไม่ได้ทำให้ความต้องการทางด้านนโยบายหรือ
การเปลี่ ย นแปลงพฤติ ก รรมเดิ ม ความสำเร็ จ ของ
การเมืองแก่ประชาชนเลย
การออกแบบสถาบันทางการเมืองนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น
ได้เลย
ที่ สุ ด แล้ ว การไม่ ว างแรงกดดั น หรื อ แสดงความ
ต้องการให้ถูกจุดของประชาชนจะเป็นสิ่งที่ต้องให้ความ
กล่าวในอีกแง่หนึ่งว่า การจะเปลี่ยนให้ ส.ส. ไม่โหวต
สำคัญเป็นลำดับต้นๆ เพราะสำหรับผู้ที่ศึกษาในเรื่องของ
ตามพรรค โดยการให้มีการโหวตในบางเรื่องอย่างอิสระ
การออกแบบและสถาบั น ทางการเมื อ งที่ ห วั ง ผลต่ อ
การใช้กลไกของกระทู้และการอภิปราย หรือแม้กระทั่ง
การเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ
การมีการเลือกตั้งขั้นต้น หากประชาชนไม่วางแรงกดดัน
หรื อ พฤติ ก รรมของคนในระบบการเมื อ งนั้ น ๆ จะมี
ทางการเมืองผ่านเรื่องพิจารณาและร่างกฎหมายต่างๆ
เป้าหมายของการมีกลไกของสถาบันตามการออกแบบ
แล้ว การใช้กลไกทางสถาบันทางการเมืองเหล่านี้ก็ยากที่
เพียงพอที่จะนำไปสู่การปรับพฤติกรรมของคนที่จะใช้
จะเกิ ด ผล นอกจากนี้ ควรจะมี ก ารกลั บ มารั บ ฟั ง
ตนเองและพรรคการเมื อ งเพราะผลประโยชน์ แ ละ
เช็คเปล่าๆ ที่จะเขียนจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ เพราะในที่สุด
สถานภาพในการทำงานของรั ฐ สภาไม่ ไ ด้ สื่ อ ว่ า เป็ น
ประชาชนเองจะค้นพบว่าเงินในบัญชีได้หมดไปแต่ไม่ได้
ความบกพร่องของ ส.ส. และการแก้ไขข้อบกพร่องนั้น
อะไรกลับคืนมาจากการโหวตนั้นๆ
จะต้องเกิดขึน้ ในฝัง่ ของ ส.ส. เพียงฝ่ายเดียว แต่จะเสนอว่า
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
โกสินทร์ วงศ์สุรวัฒน์ และ นรนิติ เศรษฐบุตร. (2521). พรรคการเมือง. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์
ชมพูนุท ตั้งถาวร. (2558). การลงประชามติ: เครื่องมือยุติความขัดแย้งในรัฐสภา ใน ถวิลวดี บุรีกุล และคณะ
(บรรณาธิ ก าร) การประชุ ม วิ ช าการสถาบั น พระปกเกล้ า ครั้ ง ที่ 16 ประจำปี 2557 8 ทศวรรษ
ประชาธิปไตยไทย: พลวัตแห่งดุลอำนาจ. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า
นัครินทร์ เพชรสิงห์. (2553). ความเป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคชาติไทยพัฒนา. (ภาคนิพนธ์รัฐศาสตร-
McCargo, D. (1997). Thailand’s political parties: Real, authentic and actual in Political Change. In
Hewison, K. (Ed.), Thailand: Democracy and Participation. London and New York:
Routledge. 114-131.
Ockey, J. (1994). Political Parties, Factions, and Corruption in Thailand. Modern Asian Studies.
28 (2), 251-277.
Ockey, J. (2003). Change and Continuity in the Thai Political Party System. Asian Survey. 43 (4),
663-680.
Poole, K. T.& Rosenthal H. (1997). Congress: A Political-Economic History of Roll Call Voting.
Oxford: Oxford University Press.
Poole, K. T. (2005). Spatial Models of Parliamentary Voting. Cambridge: Cambridge University
Press
Scarrow, S. (2005). Implementing Intra-Party Democracy: Political Parties and Democracy in
Theoretical and Practical Perspective. Washington D.C: National Democratic Institute for
International Affairs.
Shepsle, K. A. (1979). Institutional Arrangements and Equilibrium in Multidimensional Voting
Models. American Journal of Political Science. 23, 27-59.
Shepsle, K. A. & Weingast, B.R. (1981). Structure Induced Equilibrium in Legislative Choice. Public
Choice. 37, 509-519.
Tsebelis, G. (2002). Veto Players: How Political Institutions Work. Princeton, NJ: Princeton
University
Ufen, A. (2008). Political Party and Party System Institutionalization in Southeast Asia: Lessons for
Democratic Consolidation in Indonesia, the Philippines and Thailand. The Pacific Review.
21(3), 327-350.
Zhang, X. (2007). Political Parties and Financial Development: Evidence from Malaysia and
Thailand. Journal of Public Policy. 27 (3), 341-374.