Professional Documents
Culture Documents
การศึกษาคุณสมบัติของซีเมนต์มอร์ต้าที่เห
การศึกษาคุณสมบัติของซีเมนต์มอร์ต้าที่เห
การศึกษาคุณสมบัติของซีเมนต์มอร์ต้าที่เห
บทคัดย่อ
งานวิ จั ย นี้ มี ว ัต ถุ ป ระสงค์ ส องส่ ว นหลั ก คื อ ส่ วนแรกคื อ การพั ฒ นาวัส ดุ ม อร์ ต้า ที่ มี
ความสามารถในการฉี ดขึ้นรู ปได้ โดยทาการแปรผันวัสดุซีเมนต์ มวลรวมละเอียด วัสดุปอซโซลาน
วัสดุพอลิเมอร์ เส้นใยไฟเบอร์ และสารเคมีผสมเพิ่มต่างๆ เพื่อนาไปทดสอบคุณสมบัติข้ นั พื้นฐาน
ประกอบไปด้วย การไหล ระยะเวลาการก่ อตัว และคุ ณ สมบัติเชิ งกล ควบคู่ไปกับการทดสอบ
คุณสมบัติดา้ นการพิมพ์ เช่ น กรอบระยะเวลาการพิมพ์ การคงตัว และการรับน้ าหนักในช่ วงเวลา
ต่างๆ เป็ นต้น ส่ วนที่สองเป็ นการศึกษาและพัฒนาเครื่ องพิมพ์ซีเมนต์มอร์ตา้ 3 มิติ โดยเครื่ องพิมพ์
ระบบฉี ดวัสดุ ซีเมนต์ (Cement extrusion) ที่สามารถฉี ดซี เมนต์มอร์ ตา้ เหลวที่ความเร็ วแตกต่างกัน
ตามความข้น เหลวของวัส ดุ โดยพัฒ นาการควบคุ มอัต ราความเร็ วของหัวฉี ด ให้มี ก ารเคลื่ อ นที่
สัมพันธ์กบั อัตราการป้ อนวัสดุที่ระยะเวลาต่างๆ เพื่อให้วสั ดุที่ฉีดออกมามีความต่อเนื่ อง ได้ขนาด
ตามเกณฑ์ที่กาหนด หลังจากได้ซีเมนต์มอร์ตา้ ที่ทดสอบคุณสมบัติข้ นั พื้นฐานแล้ว จึงนามาฉี ดขึ้น
รู ปโดยเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ ที่ได้พฒั นาไว้ในส่ วนที่สอง โดยฉี ดขึ้นรู ปเป็ นชั้นแล้ววัดการทรุ ดตัวของ
ชั้นพิมพ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการทดสอบกาลังดึงที่ผิวคอนกรี ตและความแข็งแรงของพันธะของวัสดุ
(วิทยานิพนธ์มีจานวนทั้งสิ้ น 115 หน้า)
อาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์หลัก
ข
Name : Mr.Kasidet Panklum
Thesis Title : Study on Cement Mortar Suitable for Printing and Development of 3D Printer
of Cement Mortar
Major Field : Civil Engineering
King Mongkut's University of Technology North Bangkok
Thesis Advisor : Professor Dr.Piti Sukontasukkul
Academic Year : 2019
Abstract
This research has two main objectives, with the first being to develop mortar material that
is capable of being injected into shapes. Trial mixes are carried out by varying cement, fine
aggregate, pozzolan type, polymer, fiber, and chemical additives. The proposed cement mortar is
subjected to a series of tests to identify the basic properties such as flow, setting time, and
mechanical properties for printing properties such as working time, shape stability and weight
gain at different times. The second objective is to study and develop a 3D cement mortar printer
using a cement extrusion system machine that can inject mortar at different speeds according to
the consistency. The velocity of the nozzle is also adjustable to match the feed rate at different
time intervals for continuous injection under the desired criteria. The selected cement mortar that
passes basic qualifications would be injected into desired shapes using the previously mentioned
3D cement mortar printer by injection-forming a layer and measuring the subsidence that occurs.
Additional tests include the tensile test and bond test.
(Total 115 pages)
Keyword: Mortar for Printing, Printable Time, Flow, Setting Time, Shape Stability
Advisor
ค
กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิ พนธ์ฉบับ นี้ สาเร็ จลุล่วงได้ดว้ ยความกรุ ณาของ ศาสตราจารย์ ดร.ปิ ติ สุ คนธสุ ขกุล
อาจารย์ที่ ป รึ ก ษา และรองศาสตราจารย์ ดร. ศุภ ชัย ตระกู ล ทรั พ ย์ท วี อาจารย์ที่ ป รึ ก ษาร่ วมของ
วิทยานิ พนธ์ฉบับนี้ ที่ให้แนวคิดสาหรับดาเนิ นงานวิจยั ดูแลเอาใจใส่ และช่วยเหลือ ในการแก้ไข
ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างดีตลอดมาจนวิทยานิ พนธ์น้ ีเสร็ จสมบูรณ์ และขอขอบคุณภาควิชาวิศวกรรมโยธา
ภาควิชาวิศวกรรมขนถ่ายวัสดุและโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนื อ
และศูนย์วิจยั และพัฒนาโครงสร้างมูลฐานอย่างยัง่ ยืน ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยขอนแก่ น
ที่สนับสนุนทุนวิจยั วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานวิจยั และ ทุนศาสตราจารย์วิจยั ดีเด่น สานักงานกองทุน
สนับสนุนการวิจยั สัญญาเลขที่ DPG 6180002
ขอขอบคุณนักศึกษาระดับปริ ญญาตรี และปริ ญญาเอก รวมทั้งคณะเจ้าหน้าที่ประจาภาควิชา
วิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนื อที่ได้
ร่ วมให้ความช่วยเหลือและคาแนะนาตลอดระยะเวลาการดาเนินงาน
สุ ดท้ายนี้ ขอขอบคุณครอบครัวที่ ได้ให้การสนับสนุ น และต้องขออภัยสาหรับผูท้ ี่ให้ความ
ช่วยเหลื อที่ไม่ได้กล่าวรายนามมา ณ ที่น้ ี ประโยชน์อนั ใดที่เกิดจากวิทยานิ พนธ์ฉบับนี้ เป็ นผลมา
จากความกรุ ณาของบุคคลดังกล่าวข้างต้น ผูว้ ิจยั จึงใคร่ ขอขอบพระคุณเป็ นอย่างสู งไว้ ณ โอกาสนี้
ง
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย ข
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค
กิตติกรรมประกาศ ง
สารบัญตาราง ช
สารบัญรู ป ซ
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจยั 2
1.3 ขอบเขตการวิจยั 2
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 5
2.1 เครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 5
2.2 คอนกรี ตผสมวัสดุปอซโซลานและคอนกรี ตไหล 14
2.3 คอนกรี ตผสมโพลีเอธิลีนไกลคอล 22
2.4 การประยุกต์ใช้วสั ดุเชื่อมประสานกับเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 25
บทที่ 3 ขั้นตอนและวิธีการทดลอง 35
3.1 วัสดุที่ใช้ในการทดสอบ 35
3.2 เครื่ องมือที่ใช้ในการทดสอบ 36
3.3 การทดสอบมอร์ตา้ แบ่งออกเป็ น 3 ส่วน 37
3.4 การพัฒนาเครื่ องพิมพ์ซีเมนต์มอร์ตา้ 3 มิติ 46
บทที่ 4 ผลการวิจยั และการวิเคราะห์ผล 47
4.1 ผลการพัฒนาสัดส่วนผสมมอร์ตา้ ที่เหมาะสมต่อการฉี ดขึ้นรู ป 47
4.2 ผลการทดสอบคุณสมบัติของมอร์ตา้ เสริ มเส้นใย 77
4.3 ผลการทดสอบคุณสมบัติของมอร์ตา้ ภายใต้การพิมพ์ 83
4.4 ผลการพัฒนาเครื่ องพิมพ์ซีเมนต์มอร์ตา้ 3 มิติ 97
บทที่ 5 สรุ ปผล 105
5.1 การพัฒนาสัดส่ วนผสมมอร์ ตา้ ที่เหมาะสมต่อการฉี ดขึ้นรู ป 105
5.2 การทดสอบคุณสมบัติของมอร์ตา้ เสริ มเส้นใย 106
จ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
5.3 การทดสอบคุณสมบัติของมอร์ตา้ ภายใต้การพิมพ์ 106
5.4 การพัฒนาเครื่ องพิมพ์ซีเมนต์มอร์ตา้ 3 มิติ 107
5.5 ข้อเสนอแนะ 107
เอกสารอ้างอิง 109
ประวัติผวู ้ ิจยั 115
ฉ
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
2-1 รหัสทางเรขาคณิต (G Code) ที่นิยมใช้งานกับเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 11
2-2 ตัวอักษรภาษาอังกฤษแบบอื่น ๆ ที่นิยมใช้งานกับเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 12
2-3 องค์ประกอบทางเคมีโดยประมาณของปูนซีเมนต์ เถ้าถ่านหิน และซิลิกาฟูม 16
3-1 องค์ประกอบหลักทางเคมีของเถ้าถ่านหิน (FA), ที่ใช้ในการทดสอบ 35
3-2 องค์ประกอบหลักทางเคมีของซิลิกาฟูม (SF) ที่ใช้ในการทดสอบ 35
3-3 คุณสมบัติของเส้นใยที่ใช้ในการศึกษา 36
3-4 คุณสมบัติของโพลีเอธิลีนไกลคอล PEG ชนิด 1450 36
3-5 อัตราส่วนผสมของตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบ 38
3-6 เกณฑ์การคัดเลือกส่วนผสม 41
4-1 การคัดเลือกส่วนผสม 75
ช
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
2-1 Vat Photopolymerisation 6
2-2 Material Jetting 6
2-3 Binder Jetting 7
2-4 Material Extrusion 7
2-5 Powder Bed Fusion 8
2-6 Sheet Lamination 8
2-7 Directed Energy Deposition 9
2-8 กระบวนการทางานของเครื่ อง Computer Numerical Control 10
2-9 รหัสทางเรขาคณิต (Geometric Code, G Code) 12
2-10 หน้าต่างในการตั้งค่าของโปรแกรมมาค 3 13
2-11 ลักษณะอนุภาคของเถ้าลอย 14
2-12 ระยะเวลาก่อตัวของคอนกรี ตผสมเถ้าลอย ที่อตั ราส่ วนและอุณหภูมิต่างๆ 15
2-13 อัตราส่วนผสมโดยประมาณของคอนกรี ตธรรมดาเปรี ยบเทียบกับคอนกรี ตไหล 17
2-14 พฤติกรรมการไหลของคอนกรี ตไหล (Self-compacting concrete) 17
2-15 โซนการไหลภายในท่อ (Flow zone) 18
2-16 ค่ากาลังอัดของคอนกรี ตผสมเถ้าลอยที่อตั ราส่วนต่างๆ 19
2-17 ขนาดที่เปลี่ยนไปเปรี ยบเทียบกับระยะเวลา 20
2-18 โครงสร้างระดับไมโครของมอร์ตา้ ผสมโพลีเอธิลีนไกลคอลที่มีน้ าหนัก
โมเลกุลสูงและโพลีเอธิลีนไกลคอลที่มีน้ าหนักโมเลกุลต่า 24
2-19 ตัวอย่างของงานพิมพ์คอนกรี ต 3 มิติ ก) contour crafting ข) มหาวิทยาลัยลาฟ
โบโร่ , อังกฤษ ค) บริ ษทั Apis cor, รัสเซีย ง) บริ ษทั วินซัน, จีน 27
2-20 (ก) ความเค้น (yield stress) และ (ข) ความหนืด (viscosity) ของจีโอพอลิเมอร์ 30
2-21 ความสัมพันธ์ระหว่างกาลังรับแรงดึงของรอยต่อกับช่องว่างเวลาในการพิมพ์
(ก) ชั้นแรกและชั้นที่สองใช้ส่วนผสมเดียวกัน
(ข) ชั้นแรกและชั้นที่สองใช้ส่วนผสมคนละรอบ 31
2-22 (ก) ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วของหัวฉี ดกับกาลังรับแรงดึงของรอยต่อ
(ข) ความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างของหัวฉีดกับกาลังรับแรงดึงของรอยต่อ 31
ซ
สารบัญภาพ ( ต่อ )
ภาพที่ หน้า
2-23 ส่วนผสมสาหรับงานพิมพ์ 3 มิติ ในงานวิจยั ของ S.C. Paul 32
3-1 ลักษณะตัวอย่างหลังจากการฉีด ก) ตัวอย่างที่ผา่ นเกณฑ์
ข) ตัวอย่างที่ไม่ผา่ นเกณฑ์ 40
3-2 (ก) ลักษณะการพิมพ์ (ข) ลักษณะการทรุ ดตัว 42
3-3 ลักษณะการทดสอบการพิมพ์ 44
3-4 การทดสอบกาลังดึงที่ผิวและความแข็งแรงของพันธะ 45
3-5 ลักษณะการวิบตั ิของตัวอย่างจากการทดสอบ 45
4-1 ผลการทดสอบการไหลแผ่ 48
4-2 ผลกระทบของสารลดน้ าปริ มาณสู งต่อร้อยละการไหลแผ่ 49
4-3 ผลกระทบของเถ้าลอยต่อร้อยละการไหลแผ่ 50
4-4 ผลกระทบของซิลิกาฟูมต่อร้อยละการไหลแผ่ 50
4-5 ผลกระทบของโพลีเอธิลีนไกลคอลต่อร้อยละการไหลแผ่ 51
4-6 ผลกระทบของสารต้านทานการชะล้างต่อร้อยละการไหลแผ่ 52
4-7 ผลกระทบของสารปรับปรุ งความหนืด 53
4-8 ระยะเวลาก่อตัวขั้นต้นของมอร์ ตา้ 54
4-9 ผลกระทบของสารลดน้ าปริ มาณสู งต่อระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น 55
4-10 ผลกระทบของเถ้าลอยต่อระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น 56
4-11 ผลกระทบของซิลิกาฟูมต่อระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น 56
4-12 ผลกระทบของโพลีเอธิลีนไกลคอลต่อระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น 57
4-13 ผลกระทบของสารต้านทานการชะล้างต่อระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น 58
4-14 ผลกระทบของสารปรับปรุ งความหนืดต่อระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น 58
4-15 ลักษณะการทดสอบของมอร์ตา้ ที่ผา่ นเกณฑ์ 59
4-16 ลักษณะการทดสอบของมอร์ตา้ ที่ไม่ผา่ นเกณฑ์ ก) ไม่สามารถคงรู ปได้
ข) เกิดการฉี กขาดที่ผิว ค) ขาดก่อนการฉี ดถึงระยะที่กาหนด ง) ขนาดที่ไม่เท่ากัน 60
4-17 ผลการทดสอบความสามารถในการพิมพ์ 61
4-18 ผลการทดสอบระยะเวลาก่อตัวขั้นต้น ความสามารถในการพิมพ์ และระยะเวลา 61
ปิ ดกั้นของส่ วนผสม จากงานวิจยั ของ A.Kazemian และคณะ
4-19 ผลกระทบของสารลดน้ าปริ มาณสู งต่อความสามารถในการพิมพ์ 62
ฌ
สารบัญภาพ ( ต่อ )
ภาพที่ หน้า
4-20 ผลกระทบของเถ้าลอยต่อความสามารถในการพิมพ์ 63
4-21 ผลกระทบของซิลิกาฟูมต่อความสามารถในการพิมพ์ 64
4-22 ผลกระทบของโพลีเอธิลีนไกลคอลต่อความสามารถในการพิมพ์ 65
4-23 ผลกระทบของสารต้านทานการชะล้างต่อความสามารถในการพิมพ์ 66
4-24 ผลกระทบของสารปรับปรุ งความหนืดต่อความสามารถในการพิมพ์ 67
4-25 กาลังอัดของมอร์ตา้ 68
4-26 ผลกระทบของสารลดน้ าปริ มาณสู งต่อกาลังอัดที่อายุ 7 วัน 69
4-27 ผลกระทบของเถ้าลอยต่อกาลังอัดที่อายุ 7 วัน 70
4-28 ผลกระทบของซิลิกาฟูมต่อกาลังอัดที่อายุ 7 วัน 71
4-29 ผลกระทบของโพลีเอธิลีนไกลคอลต่อกาลังอัดที่อายุ 7 วัน 71
4-30 ผลกระทบของสารต้านทานการชะล้างต่อกาลังอัดที่อายุ 7 วัน 72
4-31 ผลกระทบของสารปรับปรุ งความหนืดต่อกาลังอัดที่อายุ 7 วัน 73
4-32 ความหนืดพลาสติกของ S05F10R10P2.5 74
4-33 ความหนืดพลาสติกของ S10F0R10P2.5 74
4-34 ร้อยละการไหลแผ่ของมอร์ตา้ เสริ มเส้นใยเปรี ยบเทียบกับมอร์ตา้ ที่ไม่ผสมเส้นใย 77
4-35 ความสามารถในการพิมพ์ของ S05F10R10P2.5 78
4-36 ความสามารถในการพิมพ์ของ S10F0R10P2.5 78
4-37 ช่องว่างเวลาการพิมพ์ของมอร์ตา้ ผสมเส้นใยเปรี ยบเทียบกับมอร์ตา้ ธรรมดา
(MF0) และมอร์ตา้ ที่ผสมสารปรับปรุ งความหนืด (VMA) 79
4-38 (ก) การแลกเปลี่ยนความชื้นในชั้นเดียวกัน
(ข) การแลกเปลี่ยนความชื้นระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง 80
4-39 กาลังอัดที่อายุ 7 วัน 81
4-40 กาลังอัดที่อายุ 7 วัน เปรี ยบเทียบกับที่อายุ 28 วัน 82
4-41 กาลังดัดที่อายุ 28 วัน 83
4-42 ลักษณะการฉี ดขึ้นรู ปของการทดสอบการพิมพ์ 84
4-43 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ของ S5F10R10P2.5
(ไม่ใส่เส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืด) 85
4-44 ลักษณะการพิมพ์ของ S5F10R10P2.5 (ไม่ใส่เส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืด) 85
ญ
สารบัญภาพ ( ต่อ )
ภาพที่ หน้า
4-45 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ของ S5F10R10P2.5MF.050 (ใส่เส้นใย) 86
4-46 ลักษณะการพิมพ์ของ S5F10R10P2.5MF.050 (ใส่เส้นใย) 86
4-47 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ของ S5F10R10P2.5V0.1 (ใส่สารปรับปรุ งความหนืด) 87
4-48 ลักษณะการพิมพ์ของ S5F10R10P2.5V0.1 (ใส่สารปรับปรุ งความหนืด) 87
4-49 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ S5F10R10P2.5V0.1MF.050 (ใส่เส้นใยและสาร 88
ปรับปรุ งความหนืด)
4-50 ลักษณะการพิมพ์ของ S5F10R10P2.5V0.1MF.050 (ใส่เส้นใยและสารปรับปรุ ง 88
ความหนืด)
4-51 เปรี ยบเทียบคุณสมบัติของเส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืดต่อการทรุ ดตัวใน
ชั้นพิมพ์ที่ 1 ของ S5F10R10P2.5 89
4-52 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ของ S10F0R10P2.5 (ไม่ใส่ เส้นใยและสารปรับปรุ ง
ความหนืด) 90
4-53 ลักษณะการพิมพ์ของ S10F0R10P2.5 (ไม่ใส่ เส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืด) 90
4-54 การทรุ ดตัวชั้นพิมพ์ของ S10F0R10P2.5MF.050 (ใส่เส้นใย) 91
4-55 ลักษณะการพิมพ์ของ S10F0R10P2.5MF.050 (ใส่เส้นใย) 91
4-56 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ของ S10F0R10P2.5V0.5 (ใส่สารปรับปรุ งความหนืด) 92
4-57 ลักษณะการพิมพ์ของ S10F0R10P2.5V0.5 (ใส่สารปรับปรุ งความหนืด) 92
4-58 การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ S10F0R10P2.5V0.5MF.050
(ใส่เส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืด) 93
4-59 ลักษณะการพิมพ์ของ S10F0R10P2.5V0.5MF.050
(ใส่เส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืด) 93
4-60 เปรี ยบเทียบคุณสมบัติของเส้นใยและสารปรับปรุ งความหนืดต่อการทรุ ดตัวใน
ชั้นพิมพ์ที่ 1 ของ S10F0R10P2.5 94
4-61 การเตรี ยมตัวอย่างทดสอบ a) ภาพด้านบน b) ภาพด้านข้าง 95
4-62 กาลังดึงที่ผิวและความแข็งแรงของพันธะ 96
4-63 ลักษณะการวิบตั ิของตัวอย่างทดสอบ 96
ฎ
สารบัญภาพ ( ต่อ )
ภาพที่ หน้า
4-64 แบบจาลองเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 97
4-65 ส่วนประกอบของระบบฉีด 98
4-66 ประกอบแท่นของเครื่ องพิมพ์และติดตั้งเครื่ อง CNC 98
4-67 ระบบเก็บและดันมอร์ตา้ 99
4-68 ระบบดันมอร์ตา้ แบบสะพานเฟื อง 100
4-69 เครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 100
4-70 ซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 101
4-71 รหัสทางเรขาคณิต (G Code) ที่ใช้ควบคุมเครื่ องพิมพ์ 3 มิติ 102
ฏ
บทที่ 1
บทนำ
1.3 ขอบเขตกำรวิจัย
1.3.1 การพัฒนาวัสดุมอร์ตา้
1.3.1.1 ปูนซีเมนต์ที่ใช้ในงานวิจยั นี้คือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ 1
1.3.1.2 มวลรวมละเอียดที่ใช้ตอ้ งผ่านตะแกรงร่ อนเบอร์ 16 ขนาดช่องเปิ ด 1.19 มิลลิเมตร
1.3.1.3 เส้นใยที่ใช้ในงานวิจยั นี้คือเส้นใยไมโครโพลีพรอพีลีน ความยาว 6 มิลลิเมตร
1.3.1.4 สารเคมี ผ สมเพิ่ ม ประกอบด้ว ย สารลดน้ าปริ ม าณสู ง สารเพิ่ ม ความอุ ้ม น้ า
ประเภทโพลีเอธิลีนไกลคอล สารต้านทานการชะล้าง และสารปรับปรุ งความหนืด
1.3.1.5 วัส ดุ ผสมเพิ่ม ที่ ใช้ในงานวิจยั คือ เถ้าถ่านหิ น มี ขนาดอนุ ภาคประมาณ 1-100
ไมโครเมตร และซิลิกาฟูม มีขนาดอนุภาคประมาณ 0.03-0.30 ไมโครเมตร
1.3.1.6 การทดสอบคุณสมบัติของวัสดุ
1.3.1.6.1 ทดสอบหาระยะเวลาก่อตัวโดยเข็มไวแคต ตามมาตรฐาน ASTM C191
1.3.1.6.2 ทดสอบการไหลโดยโต๊ะทดสอบการไหล ตามมาตรฐาน ASTM C230
1.3.1.6.3 ทดสอบความสามารถในการพิมพ์
1.3.1.6.4 ทดสอบความหนืดของมอร์ตา้
3
ด้านระยะเวลาก่อตัวของคอนกรี ตผสมเถ้าลอยพบว่าการผสมเถ้าลอยจะช่วยหน่วงการก่อตัว
ของคอนกรี ตให้ช้าลง โดยเฉพาะที่อากาศหนาวเย็นจะส่ งผลให้คอนกรี ตก่อตัวช้าลงอย่างมาก โดย
แสดงดังภาพที่ 2-12 [11] และพบว่าเถ้าลอยที่มีปริ มาณแคลเซียมสูงจะมีความสามารถในการหน่วง
การก่อตัวได้ต่ากว่าเถ้าลอยที่มีปริ มาณแคลเซียมต่า ทั้งนี้อาจเนื่ องมาจากปริ มาณแคลเซี ยมที่เพิ่มขึ้น
จะส่งผลให้ปฎิกิริยาไฮดรอลิค (Hydraulic reactivity) ของเถ้าลอยเพิ่มขึ้น
จากภาพที่ 2-16 พบว่าการผสมเถ้าลอยที่ 20% และ 40% และใช้ปริ มาณสารลดน้ าที่ 0.7% มี
การตกลงของกาลังเพียงเล็กน้อยที่อายุ 1 และ 7 วัน แต่เมื่อพิจารณากาลังอัดที่ 28 และ 56 วันพบว่า
ค่ากาลังอัดมีค่าเพิ่มขึ้น ในขณะเดี ยวกันการผสมเถ้าลอยที่ 40% ขึ้นไปจะส่ งผลให้กาลังอัดลดลง
อย่างเห็นได้ชัด อาจเนื่ องมาจากการดูดซึ มน้ าของคอนกรี ตโดยพบว่าการผสมเถ้าลอยในปริ มาณที่
มากขึ้นจะส่ งผลให้คอนกรี ตมีการดูดซึ มน้ าที่มากขึ้นทาให้กาลังรับแรงอัดลดลงโดยการผสมเถ้า
ลอยที่ 40% ขึ้นไปจะส่งผลให้การดูดซึมน้ าเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ 56 วัน จึงทาให้กาลังลดลง
21
ตัวอย่าง 3 ตัวอย่างแรกบ่มในน้ าที่ 7 วัน 3 ตัวอย่างถัดมาบ่มในน้ าที่ 28 วัน และ 3 ตัวอย่างสุ ดท้าย
บ่มในอากาศที่ 28 วัน
จากผลการทดสอบพบว่าด้านกาลังรับแรงอัดการแทนที่ปูนซี เมนต์ดว้ ยเถ้าลอยที่ร้อยละ 30
ของน้ าหนักปูนซีเมนต์ จะมีค่ากาลังรับแรงอัดสูงสุ ดในทุกสภาวะการบ่ม การเพิ่มอัตราส่ วนเถ้าลอย
ที่มากกว่าร้อยละ 30 ของน้ าหนักปูนซีเมนต์จะส่ งผลให้ค่ากาลังอัดลดลง และการแทนที่ปูนซี เมนต์
ด้วยซิ ลิกาฟูมที่ร้อยละ 15 ของน้ าหนักปูนซี เมนต์ จะมีค่ากาลังรับแรงอัดสูงสุดในทุกสภาวะการบ่ม
การเพิ่มอัตราส่ วนเถ้าลอยที่มากกว่าร้อยละ 15 ของน้ าหนักปูนซี เมนต์จะส่ งผลให้ค่ากาลังอัดลดลง
โดยเมื่ อ เปรี ย บเที ย บค่ าก าลัง รับ แรงอัด ระหว่ างปู น ซี เมนต์ ที่ ผ สมซิ ลิ ก าฟู ม และเถ้า ลอยพบว่ า
ส่ วนผสมที่มีการผสมซิ ลิกาฟูมจะให้กาลังรับแรงอัดสู งกว่าประมาณ 10% ที่ 28 วัน เมื่อพิจารณา
ส่วนผสมที่มีการใช้เถ้าลอยและซิลิกาฟูมร่ วมกันพบว่าอัตราส่ วนที่เหมาะสมคือซิ ลิกาฟูมที่ร้อยละ
10 ของน้ าหนักปูนซี เมนต์ และเถ้าลอยที่ร้อยละ 10 ของน้ าหนักปูนซี เมนต์ เนื่ องจากเมื่อพิจารณา
ลักษณะการแตกร้าวพบว่าคอนกรี ตไม่เกิดการแยกตัว มีการกระจายตัวของมวลรวมสม่าเสมอ และ
การแตกร้ าวอาจเกิ ดขึ้ น ที่ ม วลรวมหรื อ เมทริ กซ์ แ สดงถึ งการเชื่ อ มต่อ ที่ ดี ระหว่ างมวลรวมและ
เมทริ กซ์ และเมื่อเปรี ยบเทียบที่สภาวะการบ่มต่าง ๆ พบว่า การบ่มด้วยอากาศที่ 28 วัน จะให้ค่า
กาลังรับแรงอัดต่าที่สุด
2.3 คอนกรีตผสมโพลีเอธิลีนไกลคอล
โพลีเอธิ ลีนไกลคอลเป็ นพอลิเมอร์ ชนิ ดหนึ่ งซึ่ งมีคุณสมบัติเป็ นวัสดุเปลี่ยนสถานะ (Phase
change materials, PCM) ประโยชน์ ที่ ส าคัญ ในการใช้ ว ัส ดุ เปลี่ ย นสถานะคื อ สามารถช่ ว ยให้
คอนกรี ตสามารถกักเก็บความร้อนได้ดี โดยวัสดุจะเปลี่ยนสถานะเป็ นของเหลวเมื่อได้รับความร้อน
จนถึงจุดหลอมเหลวของวัสดุพอลิเมอร์ชนิดนั้นๆ และเปลี่ยนสถานะเป็ นของแข็งเมื่ออุณหภูมิลดลง
โดยโพลี เอธิ ลี น ไกลคอลซึ่ งนอกจากจะมี ค วามสามารถในการกัก เก็ บ ความร้ อ นได้แ ล้ว ยัง มี
ความสามารถในกักเก็บน้ า (Water retention) ได้ดี ส่ งผลให้การไหล ความสามารถในการทางาน
และระยะเวลาในการก่อตัวเพิ่มขึ้น [21] โดยการนาโพลีเอธิ ลีนไกลคอลมาใช้ในคอนกรี ตจะจัดอยู่
ในประเภทพอลิเมอร์ โมดิ ฟายด์คอนกรี ต (Polymer modified concrete, PMC) ตามมาตรฐาน ACI
Committee 548, 1997 [22] ซึ่งได้จากการเติมพอลิมอร์หรื อโมโนเมอร์ เช่น โพลีเอธิ ลีนไกลคอล น้ า
ยางพารา อะครี ลิคส์ (Acrylics) เป็ นต้น ลงในคอนกรี ตสด โดยคุณสมบัติของพอลิเมอร์ โมดิฟายด์
คอนกรี ตเมื่อเปรี ยบเทียบกับคอนกรี ตทัว่ ไปแล้วจะมีคุณสมบัติทางด้านความคงทนและการยึดเกาะ
ที่ดีกว่าคอนกรี ตทัว่ ไป
23
ในปี 2014 M.I. Mousa และคณะ [23] ศึ ก ษาคุ ณ สมบั ติ ท างกายภาพของคอนกรี ต ที่ มี
ความสามารถบ่มด้วยตัวเอง (Self-curing concrete) โดยศึกษาสารบ่มสองชนิด ชนิดแรกคือมวลรวม
เบาที่ผ่านการแช่น้ าก่อน (Pre-soaked lightweight aggregate) ที่อตั ราส่วน 0-20 % ของปริ มาณทราย
ชนิ ด ที่ ส องคื อ สารเคมี โพลี เอธิ ลี น ไกลคอลที่ อ ัต ราส่ วน 1-3 % ของน้ าหนัก ปู น ซี เมนต์ โดยใน
งานวิจยั นี้ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แปรผันในปริ มาณ 300, 400 และ 500 kg/m3 ใช้อตั ราส่วนน้ าต่อ
ปู น ซี เมนต์ เท่ า กับ 0.3 0.4 และ 0.5 และผสมซิ ลิ ก าฟู ม ที่ 0 และ 15 % ของน้ าหนั ก ปู น ซี เมนต์
ประเมินผลการทดสอบจนถึงที่อายุ 28 วัน
จากผลการทดสอบพบว่าการใช้ส ารบ่ ม ตัว เองในคอนกรี ต จะช่ วยพัฒ นาคุ ณ สมบัติ ท าง
กายภาพเมื่อเปรี ยบเทียบกับคอนกรี ตทัว่ ไป การผสมโพลีเอธิลีนไกลคอลจะช่วยลดการระเหยของ
น้ าและช่วยกักเก็บน้ าในคอนกรี ตได้ดี ทาให้ปฏิกิริยาไฮเดรชัน่ เกิดได้ต่อเนื่องนาไปสู่การลดลงของ
ช่องว่างและคอนกรี ตอัดตัวกันได้ดีข้ นึ กว่าคอนกรี ตทัว่ ไป โดยพบว่าการใช้โพลีเอธิ ลีนไกลคอล ที่
อัตราส่วน 2 % ของน้ าหนักปูนซีเมนต์ คืออัตราส่วนสูงสุดที่ให้ปริ มาตรการดูดซึมน้ าต่าสุด ในขณะ
ที่มวลรวมเบาที่ผ่านการแช่น้ าก่อน อัตราส่วนสู งสุดที่เหมาะสมคือ 10% และเมื่อศึกษาที่ปริ มาณโพ
ลีเอธิลีนไกลคอล ที่อตั ราส่วน 2 % ของน้ าหนักปูนซีเมนต์ พบว่าการใช้ อัตราส่วนน้ าต่อปูนซีเมนต์
เท่ากับ 0.3 และปริ มาณซิ ลิกาฟูมที่ 15 % จะช่วยลดปริ มาตรการดูดซึ มน้ าลงประมาณ 21.2 % ที่ 28
วัน และเนื่ อ งจากการกัก เก็ บ น้ า ของโพลี เอธิ ลี น ไกลคอล ที่ สู งกว่ าคอนกรี ต ทั่ว ไปจะช่ ว ยให้
ปฎิกิริยาไฮเดรชัน่ สามารถดาเนินไปได้อย่างต่อเนื่องทาให้ช่องว่างในคอนกรี ตลดลง
ในปี 2015 M.I. Mousa และคณะ [24] ศึ ก ษาคอนกรี ต ที่ มี คุ ณ สมบัติ บ่ ม ด้วยตัว เอง (Self-
curing concrete) ประกอบไปด้วยคุณสมบัติในด้านการกักเก็บน้ าและความคงทน โดยเปรี ยบเทียบ
คอนกรี ตที่มีการผสมโพลีเอธิ ลีนไกลคอลร่ วมกับซิ ลิกาฟูมและคอนกรี ตที่ไม่มีการผสมซิ ลิกาฟูม
โดยใช้ปริ มาณซี เมนต์ 400 kg/m3 ซิ ลิกาฟูมที่อ ัตราส่ วน 15 % โดยน้ าหนักปูนซี เมนต์ โพลีเอธิ ลีน
ไกลคอลที่อตั ราส่ วน 2 % โดยน้ าหนักปูนซี เมนต์ มวลรวมเบาที่ผ่านการแช่น้ าก่อนที่อตั ราส่ วน 15
% โดยปริ มาตรของทราย และอัตราส่วนน้ าต่อวัสดุผสมเท่ากับ 0.4 โดยทดสอบที่อายุ 28 วัน
จากผลการทดสอบพบว่าการใช้โพลีเอธิลีนไกลคอลร่ วมกับซิลิกาฟูมในคอนกรี ตจะส่งผลให้
การกักเก็บน้ า (Water retention) ของคอนกรี ตเพิ่ มขึ้น เมื่อ เปรี ยบเทียบกับคอนกรี ตทั่วไป การที่
คอนกรี ตมีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ าเพิ่มขึ้นจึงส่ งผลให้ช่องว่างและรู พรุ นในคอนกรี ตลดลง การ
ยึดเหนี่ ยวระหว่างซี เมนต์เพสต์และมวลรวมดี ข้ ึนเมื่อ เปรี ยบเทียบกับคอนกรี ตทั่วไป นาไปสู่ การ
เพิ่มขึ้นของกาลังรับแรงอัด
24
ในปี 2016 M. Sri Rama Chand และคณะ [25] ได้ศึ ก ษาผลกระทบของสารบ่ ม ตัว เองใน
คอนกรี ตไหล (Self compacting mortars) ส่ วนผสมแรกใช้อตั ราส่วนปูนซี เมนต์ต่อทรายเท่ากับ 1:1
และอัตราส่วนน้ าต่อซี เมนต์เท่ากับ 0.34 ส่วนผสมที่สองใช้อตั ราส่ วนปูนซี เมนต์ต่อทรายเท่ากับ 1:3
และอัตราส่ วนน้ าต่อซี เมนต์เท่ากับ 0.50 โดยใช้สารเคมีโพลีเอธิลีนไกลคอล 2 ชนิดคือ ชนิดน้ าหนัก
โมเลกุลต่า (200) และน้ าหนักโมเลกุลสูง (4000) และผสมเถ้าลอยในส่วนผสมที่สอง
จากผลการทดสอบพบว่าการผสมโพลีเอธิลีนไกลคอล ชนิ ด 200 และ 4000 จะส่ งผลให้การ
สู ญเสี ยน้ าหนักลดลงเมื่อเปรี ยบเทียบกับตัวอย่างที่ไม่มีการใช้สารบ่ม เนื่ องจากโพลีโพรพีลีนไกล
คอลจะลดการระเหยของน้ าและสามารถกักเก็บน้ าไว้ได้จึงมีการสูญเสี ยมวลน้อยลง โดยปริ มาณโพ
ลีเอธิ ลีนไกลคอล 200 และ 4000 ที่เหมาะสมสาหรับส่ วนผสมแรกคือ 0.5% และ 1.0% ตามลาดับ
สาหรับส่ วนผสมที่สองคือ 1.0% และ 0.1% ตามลาดับ ในด้านกาลังรับแรงอัดพบว่าตัวอย่างที่ผสม
โพลีเอธิลีนไกลคอลมีค่ากาลังอัดมากกว่าตัวอย่างที่ไม่มีการบ่มด้วยน้ า
ในปี 2018 Piti Sukontasukkul และคณะ [21] ศึ กษาการปรับปรุ งคุณ สมบัติท างด้านความ
ร้อนของปูนฉาบภายนอกด้วยวัสดุเปลี่ยนสถานะที่มีอุณหภูมิในการหลอมละลายแตกต่างกันคือ
พาราฟิ น (6035) และโพลีเอธิลีนไกลคอล (1450) โดยนาวัสดุพาราฟิ นผสมกับปูนฉาบที่ 2.5 – 15 %
โดยปริ มาตร และโพลีเอธิ ลีนไกลคอลผสมกับปูนฉาบที่ 2.5 – 5 % โดยปริ มาตร แล้วนามาทดสอบ
คุณสมบัติทางด้าน การไหล การกักเก็บน้ า ระยะเวลาในการก่อตัว กาลังรับแรงอัด
จากผลการทดสอบพบว่าการผสมโพลีเอธิ ลีนไกลคอลลงไปในส่ วนผสมจาทาให้ปูนฉาบ
ยังคงความสามารถในการไหลเท่ าเดิ ม แม้ว่าจะท าการลดปริ ม าณน้ าในส่ วนผสมลง เนื่ อ งจาก
คุณสมบัติในการกักเก็บน้ าของโพลีเอธิ ลีนไกลคอลจึงส่ งผลให้การสู ญเสี ยน้ าระหว่างการทางาน
ลดลง สอดคล้องกับระยะเวลาในการก่อตัวของซี เมนต์เพสต์ผสมวัสดุเปลี่ยนสถานะ โดยพบว่าการ
ผสมวัสดุเปลี่ยนสถานะในอัตราส่ วนที่มากขึ้นจะส่ งผลให้ระยะเวลาในการก่อ ตัวขั้นต้น (Initial
setting time) เพิ่มมากขึ้น และมีระยะเวลาการก่อตัวสูงกว่าซี เมนต์เพสต์ธรรมดาที่ไม่มีการผสมวัสดุ
เปลี่ยนสถานะ ในด้านกาลังรับแรงอัดพบว่าการผสมวัสดุเปลี่ยนสถานะในปริ มาณที่เหมาะสมจะ
ส่งผลให้ค่ากาลังรับแรงอัดเพิ่มขึ้นเมื่อเปรี ยบเทียบกับมอร์ตา้ ที่ไม่มีการผสมวัสดุเปลี่ยนสถานะ โดย
พบว่าปริ มาณที่เหมาะสมสาหรับ โพลีเอธิ ลีนไกลคอลคือ 2.5 % โดยปริ มาตร โดยการผสมวัส ดุ
เปลี่ยนสถานะมากกว่า 5 % โดยปริ มาตร จะส่งผลให้ค่ากาลังรับแรงอัดลดลง
Hull [26] หลังจากนั้น จึ งเริ่ ม มี เครื่ อ งพิ ม พ์โดยใช้เทคโนโลยี แ บบอื่ น ๆเข้ามาเพิ่ ม มากขึ้ น เช่ น
เทคโนโลยี Selective Laser Sintering (SLS) และ Fused Deposition Modeling (FDM) ถู ก เข้ า สู่
ตลาดในปี พ.ศ.2532 เป็ นต้น
การพัฒ นาและวิ จัยเทคโนโลยีก ารพิ มพ์ 3 มิติ ในอุต สาหกรรมก่อ สร้ าง เริ่ ม มีก ารคิด ค้น
วิธี การขึ้ น 2 วิธี โดยวิธี ก ารแรกเป็ นของ Joseph Pegna [27] ซึ่ งมุ่ งเน้น ไปที่ ก ระบวนการขึ้ น รู ป
ซีเมนต์และทราย วีธีที่สองได้รับการวิจยั โดย Behrohk Khoshnevis [28] ซึ่ งศึกษาเกี่ยวกับการพิมพ์
ขึ้นรู ปเซรามิค และโลหะ ต่อมากลางปี พ.ศ. 2533 แคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริ กา เมื่อ Khoshnevis เสนอ
เทคนิ คที่เรี ยกว่า Contour Crafting (CC) ซึ่ งเป็ นเทคโนโลยีการพิมพ์อาคาร โดยการใช้เครนขนาด
ใหญ่ซ่ ึ งควบคุมการเคลื่อนที่ดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์ พิมพ์โดยใช้วสั ดุจาพวกปูนซี เมนต์ ซึ่ งตั้งแต่
เริ่ มต้นฉี ดปูนซี เมนต์ การเสริ มกาลัง จนไปถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบท่อ ทั้งหมดทางาน
ด้วยระบบอัตโนมัติซ่ ึงถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการทางานจะเป็ นไปได้อย่างต่อเนื่อง และ
มีความรวดเร็ วขึ้นมาก โดยพบว่าการก่อสร้างบ้านในพื้นที่ 2,500 ตารางฟุต สามารถสร้างเสร็ จใช้
เวลาประมาณ 20 ชม. [29] และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทั้งสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนทัว่ โลกได้
มีการนาเทคโนโลยีการพิมพ์คอนกรี ต 3 มิติ มาประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้าง รวมถึงศึกษาและพัฒนา
ระบบการพิมพ์ 3 มิติ อาทิเช่น มหาวิทยาลัยลาฟโบโร่ (Loughborough) ในประเทศอังกฤษ, บริ ษทั
Apis cor ประเทศรัสเซี ย และบริ ษทั วินซัน (Win sun) ประเทศจีน แสดงดังภาพที่ 2-19 [29] ในแง่
ของการพิมพ์ชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสู ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง [29] ในประเทศสิ งคโปร์
ได้ทาการศึกษา ออกแบบ และทดลองพิมพ์ชิ้นงานที่ใช้วสั ดุในการพิมพ์ที่หลากหลายในชิ้ นงาน
เดียวกัน โดยใช้หัวฉี ดที่ติดตั้งแขนกล 6 แกน ทาให้สามารถเคลื่อนที่หัวฉี ดได้อย่างอิสระ อย่างไรก็
ตามศักยภาพของเทคโนโลยีน้ นั มีอยูอ่ ย่างจากัด โดยขาดการพัฒนาและใช้งานในวงกว้าง ดังนั้นจึงมี
การคาดหวังให้มีการศึกษาในอนาคตเพื่อขยายความสามารถในการพิมพ์ 3 มิติ เช่น ความท้าทาย
ทางด้านความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง และการเสริ มแรง เป็ นต้น รวมถึงพัฒนามาตรฐานที่เหมาะสม
สาหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง
27
ในปี 2016 C.Gosselin และคณะ [30] ศึ ก ษาการใช้ค อนกรี ต สมรรถนะสู ง กับ เครื่ อ ง 3D
Printing ชนิด FDM เพื่อพิมพ์ในสเกลขนาดใหญ่ และตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในงานสถาปัตยกรรม
ต่าง ๆ งานวิจัยนี้ ได้มีการใช้ปู นซี เมนต์ปอร์ ตแลนด์ 30-40 เปอร์ เซ็นต์, ซิ ลิกาผลึก (Crystalline silica)
40-50 เปอร์ เซ็นต์, ซิ ลิกาฟูม 10 เปอร์ เซ็นต์, ผงหิ นปูนที่ทาหน้าที่เป็ น filler 10 เปอร์ เซ็นต์ และใช้
อัตราส่ วนน้ าต่อซี เมนต์กบั ซิ ลิกาฟูม (w/(c+s)) เท่ากับ 0.1 โดยใช้หัวพิมพ์ขนาด 20 มิลลิเมตร ติดตั้ง
บนแขนกลขนาดใหญ่ ต่อ แท็งก์ สองตัวไปยังหัวฉี ดเพื่ อ ฉี ดสารเร่ งการก่ อ ตัว และฉี ดส่ วนผสม
(Premix mixer) ขั้นตอนแรกทาการผสมส่ วนผสมต่าง ๆ ของมอร์ ตา้ ในแท็งก์แล้วส่ งผ่านท่อเพื่อ
ลาเลียงไปที่ หั วพิ มพ์ ในขณะเดี ยวกันแท็งก์ที่ บ รรจุสารเร่ งการก่อ ตัวจะถู กล าเลียงผ่านท่อ ไปที่
หัวพิมพ์เพื่อ ไปผสมกับส่ วนผสมมอร์ ต้าที่หัวพิมพ์แล้วฉี ดออกมา หลังจากนั้นตัดตัวอย่างที่พิม พ์
ออกมาให้ได้ขนาด 40x40x160 มิลลิเมตร บ่มที่อายุ 90 แล้วนาไปทดสอบกาลังรับแรงดัด จากผล
การทดสอบพบว่าได้ค่ากาลังดัด 14.3 MPa และค่ากาลังรับแรงอัดได้มากกว่า 120 MPa
C.Gosselin และคณะ [30] กล่าวว่าเนื่ องจากปูนซี เมนต์ที่พิมพ์ออกมามีการใช้อตั ราส่ วนน้ า
ต่อซี เมนต์กบั ซิลิกาฟูมต่าจึงส่ งผลให้ได้คุณสมบัติทางกลที่สูงซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างโครงสร้าง
ที่มีลกั ษณะเรี ยวขึ้นได้ เหมาะสมสาหรับงานสถาปัตยกรรมในสเกลขนาดใหญ่และไม่จาเป็ นต้องใช้
แบบหล่อ พร้อมทั้งเสนอการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย เช่น องค์ประกอบของกาแพงที่มีรูปร่ าง
ซับซ้อน และผนังกันเสี ยงรบกวน (Acoustic dampening wall) เป็ นต้น
28
(ก) (ข)
ภาพที่ 2-20 (ก) ความเค้น(yield stress) และ (ข) ความหนืด(viscosity) ของจีโอพอลิเมอร์ [29]
(ก) (ข)
(ก) (ข)
3.3.1.2 การทดสอบคุณสมบัติของมอร์ตา้
3.3.1.2.1 การทดสอบการไหลโดยโต๊ะทดสอบการไหล ดาเนินการทดสอบตาม
มาตรฐาน ASTM C 230 (Standard Specifications for Flow Table for Use in Tests of Hydraulic
Cement) [42] นามอร์ตา้ ใส่ แบบทดสอบโดยแบ่งเป็ น 2 ชั้น และแต่ละชั้นกระทุง้ ด้วยเหล็กกระทุง้
20 ครั้ง หลังจากนั้นดึงแบบทดสอบออกในแนวดิ่งแล้วหมุนแท่นของ Flow Table กระแทก 25 ครั้ง
ภายใน 15 วินาที วัดการไหลแผ่ที่ฐานรอง 3 ค่า นามาเฉลี่ย (D1) และคานวณเปอร์เซ็นต์การไหลแผ่
โดยกาหนดให้ D0 คือเส้นผ่าศูนย์กลางที่ฐานของแบบ จากสมการที่ (3-1)
D1 −D0
การไหลแผ่ (%) = x100 (3-1)
D0
ก) ข)
3.3.1.3 เกณฑ์การคัดเลือกส่วนผสม
เกณฑ์การคัดเลือกประกอบด้วย การไหลแผ่ ระยะเวลาการก่อตัวขั้นต้น ความสามารถในการ
พิมพ์ และกาลังรับแรงอัด ซึ่งจะกาหนดเพื่อเลือกส่ วนผสมที่เหมาะสมสาหรับนาไปใช้งานจริ ง โดย
ตารางสรุ ปเกณฑ์การคัดเลือกส่วนผสมแสดงดังตารางที่ 3-6
ด้านกาลังรับแรงอัด เมื่อพิจารณาตามลักษณะการใช้งานพบว่าตัวอย่างควรจะมีกาลังอัดสู ง
กว่าคอนกรี ตทั่วไป เนื่ องจากในการพิ ม พ์ 3 มิติ บางลักษณะงานจะไม่มีการเสริ มเหล็กร่ วมด้วย
ตัวอย่างจึงจาเป็ นต้องมี ความแข็งแรงเพียงพอ และสามารถรับน้ าหนักกระทาในเบื้ องต้นได้ โดย
เกณฑ์ที่กาหนดสาหรับงานวิจยั นี้ค่ากาลังอัดควรมีค่าไม่ต่ากว่า 28 MPa
3.3.2 ทดสอบคุณสมบัติของมอร์ตา้ เสริ มเส้นใย
ส่ วนผสมที่เหมาะสมจะถูกนาไปทดลองใส่ เส้นใยไมโครโพลีโพรพีลีนขนาด 6 มิลลิเมตร
เพื่อปรับปรุ งเสถียรภาพด้านรู ปทรงของมอร์ ตา้ แปรผันในสัดส่ วน 0.025 – 0.100 % โดยปริ มาตร
และนาไปทดสอบคุณสมบัติของวัสดุ ได้แก่ การไหล กาลังรับแรงอัด และความสามารถในการ
พิมพ์
3.3.2.1 การทดสอบช่องว่างเวลาการพิมพ์ที่ไม่เกิดการทรุ ดตัว
การทดสอบเพื่อหาช่องว่างเวลาการพิมพ์ (Printing time gap) ดาเนิ นการทดสอบโดยวิธี วดั
การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์ (The layer settlement test) ทาการทดลองฉี ดตัวอย่างละ 2 ชั้น โดยชั้นแรก
ใช้หัวฉี ดจาลองฉี ดเป็ นพื้นที่ สี่เหลี่ ยมขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร ฉี ดที่ความสู ง 1
เซนติ เมตร โดยมี ล ัก ษณะการฉี ด ดังภาพที่ 3-2 (ก) หลังจากนั้นจึ งเริ่ ม ฉี ด ชั้นต่ อไปที่ ค วามสู ง 2
เซนติเมตร ที่ระยะเวลาต่าง ๆ โดยเริ่ มจากช่องว่างเวลาการพิมพ์ที่ 0 นาที (เริ่ มฉี ดชั้นต่อไปทันทีเมื่อ
ฉี ด ชั้น แรกเสร็ จ ) และวัด การทรุ ด ตัว ที่ เกิ ด ขึ้ น โดยลัก ษณะการทรุ ด ตัว แสดงดัง ภาพที่ 3-2 (ข)
หลัง จากนั้ น จึ ง ปรั บ ช่ อ งว่า งเวลาการพิ ม พ์ใ ห้ เพิ่ ม ขึ้ น ทุ ก ๆ 2 นาที และวัด การทรุ ด ตัวที่ เกิ ด ขึ้ น
ดาเนินการทดสอบจนตัวอย่างชั้นแรกไม่เกิดการทรุ ดตัวและบันทึกระยะเวลาที่ได้เป็ นช่องว่างเวลา
การพิมพ์
(ก)
(ข)
Pp L
กาลังดัดสูงสุด (Maximum Residual Strength, MPa); fp = (3-2)
bd 2
3.3.3.2 การทดสอบกาลังดึงที่ผิวและความแข็งแรงของพันธะ
ด าเนิ นการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM C 1583 [Standard Test Method for Tensile
Strength of Concrete Surfaces and the Bond Strength or Tensile Strength of Concrete Repair and
Overlay Materials by Direct Tension (Pull-off Method)] [47] โดยท าการเจาะตัว อย่างทดสอบที่
ความลึกเทียบเท่ากับ 1 ชั้นครึ่ ง ทาการติดหัวทดสอบกับมอร์ตา้ โดยใช้อีพ็อกซี่ (Epoxy) และหมุน
เครื่ องมือทดสอบจนตัวอย่างทดสอบขาดและวิเคราะห์ผลโดยหาค่ากาลังดึงที่ผิวจากสมการที่ (3-3)
และการติดตั้งเครื่ องทดสอบ แสดงดังภาพที่ 3-4
4F
ค่ากาลังดึงที่ผิว (Bond Strength); fp = (3-3)
d 2
จากภาพที่ 3-5 แสดงให้เห็นว่า (a) การวิบตั ิที่ช้ นั ล่างหรื อชั้นพื้นผิว (Substrate) คือกาลังการ
ยึดเหนี่ยวของรอยต่อมีค่ามากกว่าความต้านทานแรงดึงของชั้นล่าง (b) การวิบตั ิที่รอยต่อ (Interface)
คือกาลังการยึดเหนี่ ยวของรอยต่อ ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง (c) การวิบ ัติที่ช้ ันบนหรื อชั้นที่ วาง
ซ้อนทับ (Overlay) คือกาลังการยึดเหนี่ยวของรอยต่อมีค่ามากกว่าความต้านทานแรงดึงของชั้นบน
(d) การวิบตั ิของอีพอ็ กซี่ (Epoxy) แสดงให้เห็นว่าการเกิดความผิดพลาดในการทากาวอีพอ็ กซี่ทาให้
ก้อนเหล็กทดสอบยึดกับตัวอย่างไม่สมบูรณ์จึงทาให้ไม่สามารถวัดความแข็งแรงของพันธะได้
100
% Flow
80 75 74
70 69
60
40
20
160 153
142 138
140 131 128 129
120
100
% Flow
80
60
40
20
0
S10F20P2.5 S05F10P2.5 S10F0P2.5
Water reducer 10% Water reducer 15%
160 153
120
100
% Flow
80
60
40
20
0
S10F0R15P2.5 S10F10R15P2.5 S10F20R15P2.5
160
138
140 132
120
100
% Flow
80
60
40
20
0
S05F10R15P2.5 S10F10R15P2.5
160
138
140 131 129
125
120 110 110
100
% Flow
80
60
40
20
0
S05F10R10 S05F10R15 S10F0R15
Without PEG With PEG
160
140
120 110
100
% Flow
80 75 74
70 69
60
40
20
0
S10F0R15P0 S10F0A7W.55 S10F0A14W.55 S10F0A7W.66 S10F0A14W.66
160
100
% Flow
80
60
40
20
0
S05F10R10P2.5 S10F0R10P2.5
VMA 0% VMA 0.1% VMA 0.5%
เวลาการปิ ดกั้น (Blockage time) หรื อระยะเวลาที่มอร์ตา้ ไม่สามารถฉี ดออกมาผ่านหัวฉี ดได้ มีค่าต่า
กว่าระยะเวลาก่อตัวขั้นต้นอย่างมาก โดยผลการทดสอบส่วนผสมทั้งหมด แสดงดังภาพที่ 4-8
S10F20R15P2.5
S05F10R15P2.5
S10F20R10P2.5
S05F10R10P2.5
S10F0R10P2.5
S10F10R15P2.5
S10F0R15P2.5
S05F20R15P2.5
S0F20R15P2.5
S05F10R15P0
S05F10R10P0
S10F0R15P0
S10F0A7W.55
S10F0A14W.55
S10F0A7W.66
S10F0A14W.66
S05F10R10P2.5V0.1
S05F10R10P2.5V0.5
S10F0R10P2.5V0.1
S10F0R10P2.5V0.5
0 200 400 600 800 1000 1200 1400
Initial Setting Time (min.)
695
S10F20P2.5
890
540
S05F10P2.5
821
515
S10F0P2.5
638
จากภาพที่ 4-9 แสดงผลกระทบของ R ต่ อ ระยะเวลาก่อ ตัว ขั้น ต้น โดยเปรี ยบเที ยบความ
แตกต่างของ R ที่ 10 และ 15 % โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อมประสาน ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่าเมื่อใช้
R ในปริ มาณที่เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็ น 15 % โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อ มประสาน ส่ งผลให้ระยะเวลาใน
การก่อตัวขั้นต้นเพิ่มขึ้น ในกลุ่มของมอร์ ตา้ ที่มีสัดส่วน S ที่ 10 % F ที่ 20 % โดยน้ าหนักปูนซี เมนต์
และ P ที่ 2.5 % โดยน้ าหนักปูนซี เมนต์ (S10F20P2.5) มีระยะเวลาการก่อตัวขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 552
นาที เป็ น 890 นาที (เพิ่มขึ้นประมาณ 38 %) ในกลุ่มของมอร์ ตา้ ที่มีสัดส่วน S ที่ 5 % F ที่ 10 % โดย
น้ าหนักปู นซี เมนต์ และ P ที่ 2.5 % โดยน้ าหนักปูน ซี เมนต์ (S05F10P2.5) มีระยะเวลาการก่อ ตัว
ขั้นต้นเพิ่ มขึ้น จาก 435 นาที เป็ น 821 นาที (เพิ่ มขึ้น ประมาณ 47 %) และในกลุ่มของมอร์ ต้าที่ มี
สัด ส่ วน S ที่ 10 % โดยน้ าหนัก ปู นซี เมนต์ และ P ที่ 2.5 % โดยน้ าหนักปู น ซี เมนต์ (S10F0P2.5)
มีระยะเวลาการก่อตัวขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 515 นาที เป็ น 638 นาที (เพิ่มขึ้นประมาณ 24 %) เนื่องจาก
อาจเป็ นผลข้างเคียงมาจากการใช้สารลดน้ าปริ มาณสูงจานวนมาก ซึ่งทาให้เกิดการก่อตัวช้ากว่าปกติ
56
S10F0R15P2.5 638
S10F10R15P2.5 790
S10F20R15P2.5 890
S0F20R15P2.5 1245
S05F20R15P2.5 980
S10F20R15P2.5 890
390
S05F10R10
540
570
S05F10R15
821
533
S10F0R15
638
S10F0R15P0 533
S10F0A7W.55 279
S10F0A14W.55 312
S10F0A7W.66 306
S10F0A14W.66 328
540
S05F10R10P2.5 554
626
515
S10F0R10P2.5 573
603
S10F20R15P2.5 115 40
S05F10R15P2.5 100 10
S10F20R10P2.5 95 15
S05F10R10P2.5 80 10
S10F0R10P2.5 120 25
S10F10R15P2.5 90 15
S10F0R15P2.5 120 25
S05F20R15P2.5 120 30
S0F20R15P2.5 210
S05F10R15P0 60 30
S05F10R10P0 60 20
S10F0R15P0 90 20
S10F0A7W.55 52 65
S10F0A14W.55 67 55
S10F0A7W.66 60 25
S10F0A14W.66 180
S05F10R10P2.5V0.1 80 15
S05F10R10P2.5V0.5 85 40
S10F0R10P2.5V0.1 130 25
S10F0R10P2.5V0.5 155 15
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
S10F20R10P2.5 95 15
S10F20R15P2.5 115 40
S05F10R10P2.5 80 10
S05F10R15P2.5 100 10
S10F0R10P2.5 120 25
S10F0R15P2.5 120 25
0 50 100 150 200 250300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
ของน้ าหนั ก ปู น ซี เมนต์ (S05F10P2.5) การเพิ่ ม R จาก 10 % เป็ น 15 % โดยน้ าหนั ก วัส ดุ เชื่ อ ม
ประสาน ส่ งผลให้ระยะเวลาเริ่ มต้นในการทางานเพิ่มขึ้นจาก 60 นาที เป็ น 210 นาที และสาหรับ
มอร์ตา้ ที่ใช้ S ที่ 10 % ของน้ าหนักปูนซี เมนต์ และ P ที่ 2.5 % ของน้ าหนักปูนซี เมนต์ (S10F0P2.5)
การเพิ่ม R จาก 10 % เป็ น 15 % โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อ มประสาน ส่ งผลให้ระยะเวลาเริ่ มต้นในการ
ทางานเพิ่มขึ้นจาก 35 นาที เป็ น 155 นาที
ด้านกรอบระยะเวลาการพิมพ์ (Printable time) พบว่าการเพิม่ ปริ มาณ R จาก 10 % เป็ น 15 %
โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อมประสาน ส่ งผลให้มอร์ตา้ มีกรอบระยะเวลาการพิมพ์เพิ่มขึ้นประมาณ 20 นาที
เนื่ องจากอาจเป็ นผลข้างเคียงมาจากการใช้สารลดน้ าปริ มาณสู งจานวนมาก ซึ่ งทาให้เกิดการหน่วง
การก่อตัวทาให้มอร์ตา้ มีกรอบระยะเวลาการพิมพ์เพิ่มขึ้นในบางส่วนผสม
S10F0R15P2.5 120 25
S10F10R15P2.5 90 15
S10F20R15P2.5 115 40
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
S05F20R15P2.5 120 30
S10F20R15P2.5 115 40
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
S05F10R10P0 60 20
S05F10R10P2.5 80 10
S05F10R15P0 60 30
S05F10R15P2.5 100 10
S10F0R15P0 90 20
S10F0R15P2.5 120 25
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
S10F0R15P0 90 20
S10F0A7W.55 52 65
S10F0A14W.55 67 55
S10F0A7W.66 60 25
S10F0A14W.66 180
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
S05F10R10P2.5 80 10
S05F10R10P2.5V0.1 80 15
S05F10R10P2.5V0.5 85 40
S10F0R10P2.5 120 25
S10F0R10P2.5V0.1 130 25
S10F0R10P2.5V0.5 155 15
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
60 56
50
43
Compressive Strength (MPa)
41
39 39
40 37 37 37
35 36
32 33
30 28
27
24
21 21
20
20
11 12
10
60
30
20
10
0
S10F20P2.5 S05F10P2.5 S10F0P2.5
Water reducer 10% Water reducer 15%
จากภาพที่ 4-26 แสดงผลกระทบของ R ต่ อ ก าลังอัด ที่ อ ายุ 7 วัน โดยเปรี ย บเที ย บความ
แตกต่างของ R ที่ 10 และ 15 % โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อมประสาน จากผลการทดสอบพบว่าการใช้ R
ในปริ มาณที่มากขึ้นส่ งผลให้มอร์ ตา้ มีกาลังอัดเพิ่มขึ้น ในกลุ่มของมอร์ ตา้ ที่ใช้ S ที่ 10 % F ที่ 20 %
โดยน้ าหนักปูนซี เมนต์ และ P ที่ 2.5 % โดยน้ าหนักปูน ซี เมนต์ (S10F20P2.5) เมื่อเพิ่มปริ มาณ R
จาก 10 % เป็ น 15 % โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อมประสาน ส่ งผลให้ค่ากาลังอัดเพิ่มขึ้นจาก 35 MPa เป็ น
37 MPa สาหรับ กลุ่มของมอร์ ต้าที่ ใช้ S ที่ 5 % F ที่ 10 % โดยน้ าหนักปู นซี เมนต์ และ P ที่ 2.5 %
โดยน้ าหนัก ปูน ซี เมนต์ (S05F10P2.5) เมื่ อ เพิ่ ม ปริ ม าณ R จาก 10 % เป็ น 15 % โดยน้ าหนัก วัส ดุ
เชื่อมประสาน ส่งผลให้ค่ากาลังอัดเพิ่มขึ้นจาก 36 MPa เป็ น 41 MPa และในกลุ่มของมอร์ ตา้ ที่ใช้ S
ที่ 10 % โดยน้ า หนั ก ปู น ซี เมนต์ และ P ที่ 2.5 % โดยน้ าหนั ก ปู น ซี เมนต์ (S10F0P2.5) เมื่ อ เพิ่ ม
ปริ มาณ R จาก 10 % เป็ น 15 % โดยน้ าหนักวัสดุเชื่อมประสาน ส่ งผลให้ค่ากาลังอัดเพิ่มขึ้นจาก 39
MPa เป็ น 43 MPa เนื่ อ งจากการใช้สารลดน้ าปริ มาณสู งในปริ มาณที่มากขึ้นอาจส่ งผลให้อ นุ ภาค
ของซีเมนต์ และมวลรวม กระจายตัวกันได้ดีมากยิ่งขึ้น ทาให้น้ าสามารถแทรกซึมเข้าไปทาปฏิกิริยา
ได้มีประสิ ทธิ ภาพมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ตวั อย่างสามารถรับกาลังอัดได้สูงขึ้น
70
60 56
50
43
Compressive Strength (MPa)
40 37
30
20
10
0
S10F0R15P2.5 S10F10R15P2.5 S10F20R15P2.5
60
40 37
30 27
21
20
10
0
S0F20R15P2.5 S05F20R15P2.5 S10F20R15P2.5
60
50
Compressive Strength (MPa)
43
41
40 36 37 37
32
30
20
10
0
S05F10R10 S05F10R15 S10F0R15
Without PEG With PEG
60
50
Compressive Strength (MPa)
40 37
30
21
20
20
11 12
10
0
S10F0R15P0 S10F0A7W.55 S10F0A14W.55 S10F0A7W.66 S10F0A14W.66
60
39 39
40 36
33
28
30
24
20
10
0
S05F10R10P2.5 S10F0R10P2.5
VMA 0% VMA 0.1% VMA 0.5%
6000
y = 41.533x + 748.67
R² = 0.9874
5000
4000
Viscosity (cps)
1000 y = 868.98e0.0138x
R² = 0.9917
0
30 40 50 60 70 80 90 100 110 120
Time (min.)
S05F10R10P2.5 S05F10R10P2.5V0.1
S05F10R10P2.5V0.5 Expon. (S05F10R10P2.5)
Linear (S05F10R10P2.5V0.1) Linear (S05F10R10P2.5V0.5)
6000
y = 15.783x + 3831.5
R² = 0.9223
5000
4000
y = 26.5x + 2335
Viscosity (cps)
R² = 0.9941
3000
y = 35.3x + 759.67
R² = 0.9966
2000
Printable time
1000
0
30 40 50 60 70 80 90 100 110 120
Time (min.)
S10F0R10P2.5 S10F0R10P2.5V0.1
S10F0R10P2.5V0.5 Linear (S10F0R10P2.5)
Linear (S10F0R10P2.5V0.1) Linear (S10F0R10P2.5V0.5)
80
% Flow
60
40
20
0
S05F10R10P2.5 S10F0R10P2.5
0% 0.025% 0.050% 0.075% 0.100%
S05F10R10P2.5 80 10
S05F10R10P2.5MF.025 65 40
S05F10R10P2.5MF.050 60 20
S05F10R10P2.5MF.075 60 10
S05F10R10P2.5MF.100 65 20
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
S10F0R10P2.5 120 25
S10F0R10P2.5MF.025 120 25
S10F0R10P2.5MF.050 125 20
S10F0R10P2.5MF.075 135 25
S10F0R10P2.5MF.100 140 30
0 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 550 600 650 700
Time (min.)
Printable time (min.) Not pass criteria (min.)
จากภาพที่ 4-36 พบว่า S10F0R10P2.5 ที่ ผสม MF มี ระยะเวลาเริ่ มต้น ในการท างานลดลง
และมีกรอบระยะเวลาการพิมพ์เพิ่มขึ้น โดยพบว่ามอร์ตา้ ที่ผสม MF ในสัดส่วน 0.025 % เป็ น 0.100
% โดยปริ มาตร ส่งผลให้กรอบระยะเวลาการพิมพ์เพิ่มขึ้นจาก 120 นาที เป็ น 140 นาที แสดงให้เห็น
79
12
12
10 10 10 10
10 9 9 9
TIME GAB (MIN.)
8 8 8
8 7
0
S05F10R10P2.5 S10F0R10P2.5
ธรรมดา (MF0) โดยมี ช่องว่างเวลาการพิ มพ์ที่ 9 นาที ส าหรับ S05F10R10P2.5V0.1 และ 7 นาที
สาหรับ S10F0R10P2.5V0.5 และให้คุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับมอร์ตา้ เสริ มเส้นใย
จากการทดสอบยังพบว่าระยะเวลาเริ่ มต้นการทางาน (Tint) ของมอร์ตา้ มีค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเปลี่ยน
การฉี ดเป็ นแนวสลับ เนื่ อ งจากเกิ ดการแลกเปลี่ยนความชื้ นในชั้นเดี ยวกัน ส่ งผลให้มอร์ ต้าที่ ฉีด
ออกมาเกิ ดการทรุ ดตัว แสดงดัง ภาพที่ 4-38 (ก) โดยจากการทดสอบพบว่าระยะเวลาเริ่ ม ต้นการ
ทางานมีค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 20 – 30 นาที และจากภาพที่ 4-38 (ข) พบว่าการทรุ ดตัวของมอร์ตา้ ภาย
หลังจากการฉี ดชั้นถัดไป เกิดขึ้น จากน้ าหนักกระทาของชั้นถัดไปและการแลกเปลี่ยนความชื้ น
ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ทาให้เกิดการทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์แรก
4.2.4 คุณสมบัติเชิงกล
ดาเนิ นการทดสอบตัวอย่างทดสอบมอร์ ตา้ ขนาด 5 x 5 x 5 เซนติเมตร ตามมาตรฐาน ASTM
C 109 บ่มโดยวิธีฉนวน ทดสอบกาลังอัดที่อ ายุ 7 และตัวอย่างทดสอบมอร์ ตา้ ขนาด 10 x 10 x 10
เซนติเมตร ตามมาตรฐาน BS EN 12390-1:2012 บ่มโดยวิธีฉนวน ทดสอบกาลังอัดที่อายุ 28 วัน
81
60
50
45
Compressive Strength (MPa)
42 42
38 39 39 39 40
40 38
36
30
20
10
0
S05F10R10P2.5 S10F0R10P2.5
0% 0.025% 0.050% 0.075% 0.100%
จากภาพที่ 4-39 พบว่ าที่ สั ด ส่ ว น MF ที่ 0-0.05 % โดยปริ ม าตร มี ค่ าก าลัง อัด ที่ อ ายุ 7 วัน
ไม่แตกต่างกันมากนัก และพบว่ามอร์ ต้ามีกาลังรับแรงอัดเพิ่มขึ้นอย่างเห็ น ได้ชัดที่สัดส่ วน MF
ในปริ ม าณสู ง ที่ 0.075-0.01 % โดยปริ ม าตร เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกับ มอร์ ต้า ที่ ไ ม่ ผ สม MF พบว่ า
S05F10R10P2.5 มี ค่ า ก าลัง อัด เพิ่ ม ขึ้ นจาก 38 MPa เป็ น 42 MPa ที่ สั ด ส่ ว น MF ที่ 0.075 % โดย
ปริ มาตร และ 45 MPa ที่สัดส่วน MF ที่ 0.010 % โดยปริ มาตร สาหรับ S10F0R10P2.5 มีค่ากาลังอัด
เพิ่ม ขึ้นจาก 39 MPa เป็ น 40 MPa ที่สัดส่ วน MF ที่ 0.075 % โดยปริ มาตร และ 42 MPa ที่สัดส่ วน
MF ที่ 0.010 % โดยปริ มาตร
82
70
62
60 56
Compressive Strength (MPa)
50
39
40 36
30
20
10
0
S05F10R10P2.5MF.050 S10F0R10P2.5MF.050
7 Day 28 Day
5.000
4.511
4.500
4.000
Flextural Strength (MPa)
3.451
3.500
3.000
2.500
2.000
1.500
1.000
0.500
0.000
S5F10R10P2.5MF0.05 S10F0R10P2.5MF0.05
Nozzle
Force Cross-section
Applied by nozzle to
compress new layer
Pre-
compression
Post-
compression
9.5
5
7.5
10
4
Layer number
6
7
3 10
5
6
2 7
7
8
8
1 8
9
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
10
5
8
10
4
Layer number
7.5
8
3 10
7.5
7.5
2 8
10
9
9
1 9.5
10
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
10
5
9
10
4
Layer number
6
7
3 10
6
7
2 7
10
9
9
1 9
10
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
9
5
7
8
4
Layer number
7
8
3 10
7
7
2 9
10
8
8
1 8
9
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
8
8
S5F10R10P2.5 8
8
10
9
9
S5F10R10P2.5MF.050 9.5
10
10
9
9
S5F10R10P2.5V0.1 9
10
10
8
8
S5F10R10P2.5V0.1MF.050 8
9
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High of Layer 1 (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
10
5
10
10
4
Layer number
9.5
10
3 10
9
9
2 10
10
9
9
1 9
10
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
ส าหรั บ กรณี ข อง S10F0R10P2.5 ที่ ไ ม่ ใ ส่ เส้ น ใย (MF) และสารปรั บ ปรุ ง ความหนื ด (V)
การทรุ ดตัวของชั้นพิมพ์แสดงดังภาพที่ 4-52 พบว่ามอร์ตา้ มีการทรุ ดตัวเพียงเล็กน้อยประมาณ 0.5-1
มิ ล ลิ เมตร แสดงให้ เห็ น ว่ า มอร์ ต้า ที่ ใ ช้ S ที่ 10 % โดยน้ าหนั ก ปู น ซี เมนต์ (S10F0R10P2.5) มี
เสถียรภาพของรู ปทรงดีกว่ามอร์ ต้าที่ใช้ S ที่ 5 % โดยน้ าหนักปูน ซี เมนต์ ร่ วมกับ F ที่ 10 % โดย
91
10
5
10
10
4
Layer number
10
10
3 10
9.5
10
2 10
10
9.5
9.5
1 10
10
10
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
12
5
10
11
4
Layer number
10
10
3 11
9
9
2 10
11
9.5
10
1 10.5
11.5
12
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
12
5
12
12
4
Layer number
10
11
3 12
9
10
2 11
12
11
11
1 12
12
12
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
High (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
9
9
S10F0R10P2.5 9
10
10
9.5
9.5
S10F0R10P2.5MF.050 10
10
10
9.5
10
S10F0R10P2.5V0.5 10.5
11.5
12
11
11
S10F0R10P2.5V0.5MF.050 12
12
12
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0
High of Layer 1 (mm)
5th Print 4th Print 3rd Print 2nd Print 1st Print
ภาพที่ 4-60 เปรี ยบเทียบคุณ สมบัติของเส้ นใยและสารปรับปรุ งความหนื ดต่อ การทรุ ดตัวในชั้น
พิมพ์ที่ 1 ของ S10F0R10P2.5
4.3.2 ผลการทดสอบกาลังดึงที่ผิวและความแข็งแรงของพันธะ
ด าเนิ นการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM C 1583 [Standard Test Method for Tensile
Strength of Concrete Surfaces and the Bond Strength or Tensile Strength of Concrete Repair and
Overlay Materials by Direct Tension (Pull-off Method)] [45]
Circular steel plate,
(a) D= 50 mm
Epoxy
(b)
1.20
1.06
1.02
1.00
Pull off strength (MPa)
0.81 0.81
0.80
0.60 0.51
0.47
0.40
0.20
0.00
S05F10R10P2.5 S10F0R10P2.5
OPC MF VM
มอเตอร์
ถังบรรจุมอร์ตา้
หัวฉีด
โครงของ กล่องควบคุม
เครื่ องพิมพ์
4.4.2.1.2 สายฉีดยางทาจากวัสดุโพลิไวนิลคลอไรด์แบบใสมีลวด
4.4.2.1.3 ระบบดันมอร์ตา้ แบบสกรู เกลียวทางานโดยมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่ง
ให้กาลังดันสูง มีความเร็วต่า และทาช่องบริ การเพื่อฉีดน้ าแรงดันสูงเข้าไปทาความสะอาด
กระบอกเก็บมอร์ตา้
กระบอกดันมอร์ตา้
ช่องสาหรับทาความสะอาด
ระบบดันมอร์ตา้ ทางออกต่อกับสายฉีด
(1) (3)
(4)
(2) (5)
(6)
1.
2.
3.
4.
5.5 ข้อเสนอแนะ
5.5.1 ควรมีการศึกษาความสัมพันธ์ ของขนาดหัวฉี ดและความเร็ วของหัวฉี ดต่อระยะเวลา
เริ่ มต้นการทางานและกรอบระยะเวลาการพิมพ์
5.5.2 ควรมีการศึกษาผลกระทบของการฉีดในลักษณะต่าง ๆ เช่น การฉีดในแนวสลับ การฉี ด
ในแนวโค้ง และหักมุม เป็ นต้น
5.5.3 ควรมีการศึกษาวัสดุเชื่อมประสานชนิดอื่น ๆ เช่น ตะกรันเตาถลุงเหล็ก และ Nano-clay
เป็ นต้น เพื่อศึกษาคุณสมบัติของวัสดุและด้านการพิมพ์
5.5.4 ควรมี การปรับปรุ งตัวล็อคของถังบรรจุมอร์ ตา้ ให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้นเนื่ องจากแรงดัน
ของมอเตอร์มีแรงดันสูง และปรับปรุ งถังบรรจุมอร์ตา้ ให้การดันมอร์ ตา้ เป็ นไปได้ง่ายมากยิง่ ขึ้น
5.5.5 ควรมีการปรับปรุ งระบบควบคุมอัตราการป้อนวัสดุให้สามารถควบคุมได้ผา่ นซอฟแวร์
คอมพิวเตอร์ และระบบความปลอดภัยของหัวดันมอร์ตา้ ซึ่งสามารถหยุดอัตโนมัติเมื่อถึงระยะที่ไม่
สามารถดันต่อได้อีก
เอกสารอ้างอิง
13. Federal Highway Administration. (2561). [ออนไลน์]. Fly Ash Facts for Highway Engineers.
[สื บค้นวันที่ 17 ตุลำคม 2561]. จำก https://www.fhwa.dot.gov
/pavement/recycling/fach01.cfm
14. ชัย จำตุรพิทกั ษ์กุล. (2010.) [วำรสำรออนไลน์]. “ซิลิกำฟูม.” วำรสำรคอนกรี ต [สื บค้นวันที่ 17
ตุลำคม 2561]. จำก http://www.thaitca.or.th/images/journal/journal1/journal1-2.pdf.
15. Abrams' law [สื บค้นวันที่ 17 ตุลำคม 2561]. จำก
https://en.wikipedia.org/wiki/Abrams%27_law
16. ดร. อนุวฒั น์ อรรถไชยวุฒิ. (2015.) [วำรสำรออนไลน์]. อัตรำส่วนผสมและวิธีกำรทดสอบ
คุณสมบัติเบื้องต้นของ SELF-COMPACTING CONCRETE. วำรสำรคอนกรี ต
[สื บค้นวันที่ 17 ตุลำคม 2561]. จำก
http://www.thaitca.or.th/images/journal/journal25/journal%2025-2.pdf
17. Prinya Chindaprasirt, Chai Jaturapitakkul, Theerawat Sinsiri. (2004). “Effect of fly ash
fineness on compressive strength and pore size of blended cement paste.” Cement and
Concrete Composites. Volume 27 : 425-428.
18. J.M. Khatib. (2007). “Performance of self-compacting concrete containing fly ash.”
Construction and Building Materials. Volume 22 : 1897-2024.
19. Rafat Siddique. (2010). “Properties of self-compacting concrete containing class F fly ash.”
Materials and Design : 1501-1507.
20. Heba A. Mohamed. (2011). “Effect of fly ash and silica fume on compressive strength of self-
compacting concrete under different curing conditions.” Ain Shams Engineering
Journal. Volume 2 : 79-86.
21. Piti Sukontasukkul, Tidarat Sutthiphasilp, Wonchalerm Chalodhorn, Prinya Chindaprasirt.
(2018). “Improving thermal properties of exterior plastering mortars with phase change
materials with different melting temperatures: paraffin and polyethylene glycol.”
Advances in Building Energy Research. Volume 13 : 220-240.
22. ACI Committee 548 : 1997. Polymers and Adhesives in Concrete Cincinnati.
23. Magda I. Mousa, Mohamed G. Mahdy, Ahmed H. Abdel-Reheem, Akram Z. Yehia. (2014).
“Physical properties of self-curing concrete (SCUC).” HBRC Journal. Volume 11 :
167-175.
111
24. Magda I. Mousa, Mohamed G. Mahdy, Ahmed H. Abdel-Reheem, Akram Z. Yehia. (2015).
“Self-curing concrete types; water retention and durability.” Alexandria Engineering
Journal. Volume 54 : 565-575.
25. Sri Rama Chand, Madduru, Swamy Naga Ratna Giri, Pallapothu, Rathish Kumar,
Pancharathi, Rajesh Kumar, Garje, Raveena, Chakilam. (2016). “Effect of self curing
chemicals in self compacting mortars.” Construction and Building Materials. Volume
107 : 356-364.
26. Peng Wu, Jun Wang, Xiangyu Wang. (2016). “A critical review of the use of 3-D printing in
the construction industry.” Automation in Construction. Volume 68 : 21-31.
27. J.B.Gardiner PhD. (2011). Exploring the Emerging Design Territory of Construction 3D
Printing. Page 80.
28. Khoshnevis. (1995). Original Contour Crafting Patent. University Of Southern California.
29. Biranchi Panda, Suvash Chandra Paul, Nisar Ahamed Noor Mohamed, Yi Wei Daniel Tay,
Ming Jen Tan. (2017). “Measurement of tensile bond strength of 3D printed
geopolymer mortar.” Measurement. Volume 113 : 108-116
30. C.Gosselin, R.Duballet, Ph.Roux, N.Gaudillière, J.Dirrenberger, Ph.Morel. (2016). “Large-
scale 3D printing of ultra-high performance concrete – a new processing route for
architects and builders.” Materials & Design. Volume 100 : 102-109.
31. Ali Kazemian, Xiao Yuan, Evan Cochran, Behrokh Khoshnevis. (2017). “Cementitious
materials for construction-scale 3D printing Laboratory testing of fresh printing
mixture.” Construction and Building Materials. Volume 145 : 639-647.
32. Babak Zareiyan, Behrokh Khoshnevis. (2016). “Effects of interlocking on interlayer adhesion
and strength of structures in 3D printing of concrete.” Automation in Construction.
Volume 83 : 212-221.
33. Noura Khalil, Georges Aouad, Khadija El Cheikh, Sébastien Rémond. (2017). “Use of
calciumsalfo-aluminate cement for setting control of 3D priting Mortar.” Construction
and Building Materials. Volume 157 : 382-391.
34. Suvash Chandra Paul, Yi Wei Daniel Tay, Biranchi Panda, Ming Jen Tan. (2017). “Fresh and
hardened properties of 3D printable cementitious materials for building and
construction.” Archives of Civil and Mechanical Engineering. Volume 18 : 311-319.
112
35. Guowei Ma, Zhijian Li, Li Wang. (2017). “Printable properties of cementitious material
containing copper tailings for extrusion based 3D printing.” Construction and Building
Materials. Volume 162 : 613-627.
36. Jay G.Sanjayan, Behzad Nematollahi, Ming Xia, Taylor Marchment. (2018). “Effect of
surface moisture on inter-layer strength of 3D printed concrete.” Construction and
Building Materials. Volume 172 : 468-475.
37. Dattatreya, J., et al. (2011). “Flexural Behaviour of Reinforced Geopolymer Concrete
Beams.” International Journal of Civil and Structural Engineering. 2(1):138-159.
38. บริ ษทั Grace (gcp applied technologies). (2016). [ออนไลน์]. Grace Micro Fiber (Product data
sheet, 2016). [สื บค้นวันที่ 25 สิ งหำคม 2562]. จำก https://gcpat-
tools.com/construction/en-vn/Documents/Grace%20MicroFiber.pdf.
39. บริ ษทั ซิกำ้ (ประเทศไทย) จำกัด (2016). [ออนไลน์]. Sikament FF-520 น้ ำยำลดน้ ำอย่ำงมำก
และหน่วงกำรก่อตัว. [สื บค้นวันที่ 20 เมษำยน 2561] จำก
https://tha.sika.com/th/group.html.
40. Kao Industrial (Thailand) Co., Ltd. (2017) MIGHTY VT-200LS-A (High-Performance
Specialty Thickener). (Product Information).
41. W.R. Grace (Thailand) Co., Ltd. (2017) V-MAR VSC500 (Viscosity modifying admixture).
(Product Data Sheet).
42. ASTM C 230. Standard Specifications for Flow Table for Use in Tests of Hydraulic Cement
43. ASTM C 191. Standard Test Method for Time of Setting of Hydraulic Cement by Vicat
Needle.
44. ASTM C 109. Standard Test Method for Compressive Strength of Hydraulic Cement Motars.
45. BS EN 12390-1:2012. Testing hardened concrete. Shape, dimensions and other requirements
for specimens and moulds.
46. ASTM C 78. Standard Test Method for Flexural Strength of Concrete [Using Beam with
Third-Point Loading]
47. ASTM C 1583. Standard Test Method for Tensile Strength of Concrete Surfaces and the Bond
Strength or Tensile Strength of Concrete Repair and Overlay Materials by Direct
Tension (Pull-off Method)
113
ประวัติผ้ จู ัดทำวิทยำนิพนธ์
ประวัติ
ส าเร็ จการศึ ก ษาระดับ ประกาศนี ย บัตรวิช าชี พ (ปวช.) โรงเรี ยนเตรี ย มวิศวกรรมศาสตร์
สาขาวิชาเตรี ยมวิศวกรรมโยธา คณะวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปี การศึกษา 2556
ส าเร็ จ การศึ ก ษาระดั บ ปริ ญญาตรี สาขาวิ ช าวิ ศ วกรรมโยธา คณะวิ ศ วกรรมศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปี การศึกษา 2560
ปั จ จุ บ ั น พัก อาศัย อยู่ บ ้ า นเลขที่ 79/312 ม.2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ ด จ.นนทบุ รี 11120
เบอร์โทรศัพท์ 083-077-7476