Professional Documents
Culture Documents
Infographic Unit1-2
Infographic Unit1-2
ประวัติความเป็นมาของการแปล
การแปลเริ่มมาจากไหน?
การแปลเริ่มตั้นตั้งแต่เมื่อใด ยังไม่มีผู้ใดทราบแน่นอน ปีเตอร์ นิวมาร์ค กล่าวว่า “การแปลมีมาตั้งแต่ 3000 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช ” และวรรณกรรมแปลเก่าแก่ที่สุดที่พบในปัจจุบันคือ “เอกสารที่ขุดพบในบริเวณเมืองเอบลา
(Ebla) ” ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศซีเรีย ในปัจจุบัน โดยคาดว่า เนื่องจากในสมัยโบราณนั้น ดินแดนแถบ
นั้นเป็นศูนย์กลางการค้าขาย จึงเป็นที่ๆ คนหลายชาติ หลายภาษา มาชุมนุมกัน เพื่อทำธุรกิจ มีการเจรจาธุรกิจ
และการค้า จึงจำเป็นต้องมีการแปล แลกเปลี่ยนเอกสาร เพื่อทำสัญญาทางการค้ากัน
การแปลเริ่มเข้ามามีบทบาทในยุโรปประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช นักแปลชาวยุโรปในตอนเริ่มแรกเชื่อกัน
ว่าเป็นชาวกรีก ซึ่งแปล “มหากาพย์โอดิสซี ของ โฮเมอร์ ” จากภาษากรีกเป็นภาษาละติน ตรงนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้น
ของการแปลในสมัยกรีกโบราณ
ประวัติการแปลในประเทศไทย
เท่าที่มีหลักฐานนั้น การแปลในประเทศไทยเริ่มมีมาตั้งแต่สมัย สุโขทัย และจุดประสงค์หลักของการ
แปลในสมัยนั้น ก็เพื่อเรื่องศาสนา โดยหลักฐานต่างๆก็ได้แก่ การแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาจาก
ภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ตัวอย่างงานแปลในสมัยสุโขทัยที่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนนั่นก็คือ “ศิลา
จารึกวัดป่ามะม่วง” ซึ่งเขียนเป็นภาษาขอมโบราณ ภาษาไทยและภาษาบาลีถือเป็นการแปลโดยตรง
เพราะเป็นเอกสารที่พูดถึงเรื่องเดียวกัน เนื้อความเดียวกัน โดยเนื้อหาของศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ก็
คือ เอกสารกึ่งศาสนาที่บอกว่า มีการสร้างวัดป่ามะม่วงขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไร
การสอนแปลภาษา
เริ่มขึ้นเมื่อสมัย รัชกาลที่ 4 โดยเริ่มมีการสอนการแปลเป็นทางราชการเพื่อ ผล
ประโยชน์ทางด้านการเมือง มีการส่งคนไปศึกษาต่อในต่างประเทศ มีการออก
หนังสือพิมพ์โดยหมอ บรัดเลย์ เป็นบรรณาธิการ มีการจัดพิมพ์ปทานุกรมแปล
ความหมายของคำภาษาไทย ออกไปเป็นภาษาละติน ฝรั่งเศส และอังกฤษ
คุณสมบัติของนักแปลที่ดี
1. ผู้แปลต้องเข้าใจนัย (sense) และความหมาย (meaning) ของผู้เขียนต้นฉบับเป็นอย่างดี
ว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์อย่างไร ต้องการจะให้อะไรกับผู้อ่าน เพื่อจะได้ถ่ายทอดจุดประสงค์นั้น ๆ ไปยัง
ผู้อ่านฉบับแปลได้ถูกต้อง
2. ผู้แปลต้องมีความรู้ทั้งภาษาต้นฉบับและภาษาฉบับแปลอย่างดีเยี่ยม เพื่อจะให้แปลได้อย่าง
ถูกต้อง
3. ผู้แปลควรพยายามเลี่ยงการแปลคำต่อคำอย่างที่สุด มิฉะนั้น จะทำให้ผู้อ่านฉบับแปลไม่
สามารถเข้าใจฉบับแปลได้
4. ผู้แปลควรใช้รูปแบบของภาษาที่เป็นมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ และใช้กันทั่วไป ไม่ใช่คิดคำ
สแลงใหม่ๆ ขึ้น หรือใช้คำที่ไม่สุภาพ ไม่เป็นที่นิยม
5. ผู้แปลต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนที่เหมาะสม ให้ถูกต้องกับความหมายตามต้นฉบับและ
รักษาบรรยากาศ (tone) ของต้นฉบับไว้