Professional Documents
Culture Documents
Untitled
Untitled
Untitled
การปรับพฤติกรรม
ความหมายของการปรับพฤติกรรม
ชัยพร วิชชาวุธ และ ธีระพร อุวรรณโณ (2525 : 30) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การปรับพฤติกรรม
เป็นการประยุกต์หลักการเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล
มิ คู ลั ส (Mikulas, 1978:2) ได้ ใ ห้ ค วามหมายของการปรั บ พฤติ ก รรมไว้ ว่ า คื อ การประยุ ก ต์
หลักการพฤติกรรมที่ได้จากการทดลองเพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรม
คาลิช (Kalish, 1981 อ้างใน สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, 2526 ข : 323) ให้ไว้ว่า การปรับพฤติกรรม
หมายถึง การนาเอาหลักพฤติกรรมมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ดังนั้น สรุปได้ว่า การปรับพฤติกรรม หมายถึง การประยุกต์หลักการพฤติกรรม หรือหลักการ
เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรม โดยเน้นที่พฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ หรือวัดได้เป็นสาคัญ
ความเชื่อพื้นฐานในการปรับพฤติกรรม
นักปรับพฤติกรรมมีความเชื่อพื้นฐาน 2 ประการ (ประเทือง ภูมิภัทราคม, 2529 : 11) คือ
2.1 พฤติกรรมปกติกับพฤติกรรมอปกติ พัฒนามาจากหลักการเดียวกัน คือจากหลักการเรียนรู้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่รวมถึงพฤติกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายและระบบประสาท เช่น โรคสมองเสื่ อม
โรคลมชัก โรคเหน็บชา นอนกัดฟัน การหยุดหายใจขณะหลับ การปวดหัวไมเกรน ฯ
(พฤติกรรมอปกติ คือ พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากปกติ โดยพิจารณาตามเกณฑ์ อาทิ การมีพฤติกรรมที่
เบี่ยงเบนจากพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับของสังคม พฤติกรรมที่ปรับตวัไม่ได้ทาให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เช่น คิด
แปลกๆ ไม่สนใจกฎเกณฑ์สังคม มีอารมณ์แปรปรวน กลัวการปฏิเสธ เป็นต้น)
2.2 พฤติกรรมสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยหลักการเรียนรู้
การปรั บ พฤติกรรม (behavior modification) หมายถึง การประยุกต์ของกระบวนการของ
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขผลกรรม (operant conditioning)
คุณสมบัติของกระบวนการปรับพฤติกรรม
มิคูลัส (Mikulas, 1978:9-12) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของการปรับพฤติกรรมไว้ 5 ประการ ดังนี้
3.1 การปรับพฤติกรรมไม่เน้นอดีต (Ahistorical) หมายความว่า การปรับพฤติกรรมไม่สนใจมาก
นักว่า บุคคลมาจากไหน และปัญหาเกิดมาอย่างไรในอดีต แต่จะให้ความสนใจพฤติกรรมของบุคคลที่นี่ และ
ขณะนี้ (here and now) เป็นสาคัญ คือ สนใจว่าปัจจัยอะไรในขณะนั้นก่อให้เกิดหรือทาให้มีพฤติกรรมที่ไม่พึง
ประสงค์ในปัจจุบันและยังคงอยู่ ทั้งนี้ข้อมูลในอดีตจะเป็นประโยชน์ที่จะทาให้ทราบปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรม
3.2 การปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการใช้การตีตรา หลีกเลี่ยงการจัดประเภทบุคคล และการใช้คา
บางคา เช่น อปกติ สันหลังยาว ตัวเชื้อโรค ไวรัสเอเซีย ฯ การตีตราบุคคลอาจจะเป็นการทาลายบุคคล (คนที่
ถูกตีตราว่าเป็นคนอย่างไร อาจจะทาให้บุคคลมีพฤติกรรมเช่นนั้นก็ได้ เช่น คนที่ถูกตีตราว่าเป็นคนเกียจคร้าน
แล้ ว พฤติกรรมของเขาอาจเปลี่ ย นแปลงไปในทางเกียจคร้านมากยิ่งขึ้นก็ได้) นอกจากนี้ยัง ทาให้ เกิดการ
มองข้ามพฤติกรรมที่เป็ นแบบฉบับหรือพฤติกรรมของตัวบุคคลนั้นจริงๆ นอกจากนี้คาตีตราที่ใช้แต่ละสังคม
อาจให้ความหมายต่างกันไปจึงควรหลีกเลี่ยง
3.3 การปรับพฤติกรรมเป็นเรื่องเข้าใจได้ (Sensible) หมายความว่า การปรับพฤติกรรมสามารถ
อธิบายให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใจได้โดยไม่จาเป็นต้องรู้รูปแบบเชิงทฤษฎีและคานิยามเฉพาะ เพื่อให้ได้รับความ
ร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องเหล่านั้นให้การปรับพฤติกรรมดาเนินไปได้ด้วยดี
3.4 ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งนั ก ปรั บ พฤติ ก รรมกั บ ผู้ รั บ การปรั บ พฤติ ก รรม ผู้ ที่ เ ป็ น นั ก ปรั บ
พฤติกรรมสามารถถ่ ายทอด ฝึ กฝนบุ คคลอื่นๆ เช่น ครู ผู้ ปกครอง ผู้ เกี่ยวข้องให้ เรี ยนรู้เ ทคนิ ค การปรั บ
พฤติกรรม จนเป็นผู้ปรับพฤติกรรมได้ ทั้งนี้ผู้รับการปรับพฤติกรรรมสามารถปรับพฤติกรรมเป็นรายบุคคลหรือ
จะทาเป็นกลุ่มหลายคนพร้อมๆ ก็ได้
3.5 ในการปรับพฤติกรรมสามารถฝึกบุคคลให้ปรับพฤติกรรมของตนเองได้ เทคนิคที่ใช้ส่วนใหญ่
ได้แก่ เทคนิคการควบคุมตนเอง (self-control) ซึ่งเป็นวิธีการปรับพฤติกรรมที่ฝึกให้บุคคลปรับพฤติกรรมของ
ตนเองด้วยตนเอง
เทคนิคการควบคุมตนเองเป็นเทคนิคที่ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมของบุคคลเป็นอย่างมาก บุคคลสามารถเรียนรู้ทักษะการควบคุมตนเองจากแหล่งต่าง ๆ ได้ เช่น จาก
จากสื่อสังคมออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือ นิตยสาร ตารา คลินิก จากการให้คาปรึกษาและการฝึก เป็นต้น
แนวคิดในการปรับพฤติกรรม ได้นาทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขการกระทา (Operant
Conditioning) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พัฒนาโดย บี.เอฟ.สกินเนอร์ (Burrhus F. Skinner) นักจิตวิทยาชาว อเมริกัน
ซึ่งเน้นการกระทาที่บุคคลต้องลงมือกระทาเอง (Emitted Behavior) สกินเนอร์เชื่อว่า พฤติกรรมเกิดร่วมกัน
ระหว่างตัวผู้แสดงพฤติกรรม (Genetic Endowment) และเงื่อนไขสิ่งแวดล้อม ในรูปผลกรรม
(Consequences) ทาให้เกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเอง (Emitted Response) ซึ่งผู้แสดง
พฤติกรรม เป็นผู้กระทาเองและพฤติกรรมดังกล่าวถูกควบคุมโดยผลกรรม แนวคิดที่ อยู่บนพื้นฐานทฤษฎีการ
เรียนรู้แบบวางเงื่อนไขการกระทามี 2 แนวคิด ดังนี้
1. แนวคิดในการให้แรงเสริม (Reinforcement) การให้แรงเสริมเป็นวิธีการปรับพฤติกรรม
โดยอาศัยหลักการเรียนรู้ของสกินเนอร์ เน้นให้เห็นถึงความสาคัญของการให้แรงเสริมที่ว่า “การกระทาใดๆ
ที่ได้รับแรงเสริม การกระทานั้น ๆ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น แต่การกระทาใดๆ ที่ไม่ได้รับแรงเสริม การกระทา
นั้นๆ มีแนวโน้มที่จะลดลงและหายไปในที่สุด ” การให้แรงเสริมแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การให้แรงเสริมบวก
และการให้แรงเสริมลบ
1.1 การให้แรงเสริมบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง การให้สิ่งเร้าที่ทาให้พฤติกรรมที่
พึงประสงค์เพิ่มขึ้น หรือการให้สิ่งที่บุคคลพอใจ เมื่อบุคคลมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ สิ่งที่ทาให้พฤติกรรม
เพิ่มขึ้น เรียกว่า “ตัวแรงเสริมบวก” (Positive reinforcer) เช่น ขนม อาหาร ของเล่น คาชมเชย กิจกรรมที่
ชื่นชอบ สิ่งเหล่านี้อาจจะเรียกว่า “รางวัล” เช่น อ้อมช่วยแม่กวาดบ้านและล้างจานเสร็จแล้ว แม่อนุญาตให้
อ้อมไปเล่นกับเพื่อนที่สนามหน้าบ้าน ผลปรากฏว่า พฤติกรรมการช่วยแม่กวาดบ้านของอ้อมเพิ่มขึ้น นั่นคือ
พฤติกรรมการช่วยแม่กวาดบ้านของอ้อมได้รับการเสริมแรงทางบวก คือ การได้รับอนุญาตให้ไ ปเล่นกับเพื่อนที่
สนามหน้าบ้าน กิจกรรมการได้ออกไปเล่นกับเพื่อนที่สนามหน้าบ้านเป็นตัวเสริมแรง (reinforcement)
1.2 การให้แรงเสริมลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การเพิ่มความถี่ของพฤติกรรม
โดยการขจัดสิ่งเร้าที่บุคคล ไม่พึงพอใจออกไปทันทีที่บุคคลแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ หรือการที่พฤติกรรม
ของบุคคลเพิ่มขึ้น เพราะพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมานั้น สามารถถอดถอนสิ่งเร้าที่ไม่น่าพึงพอใจ (Aversive
Stimulus) เช่น “โจ้” ข้ามถนนที่ทางม้าลายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตารวจปรับ พฤติกรรมการข้ามถนนที่ทาง
ม้ า ลายเป็ น พฤติ ก รรมที่ ส ามารถท าให้ พ้ น จากการถู ก ปรั บ เป็ น พฤติ ก รรมที่ ไ ด้ รั บ การเสริ ม แรงทางลบ
ความสามารถในการหลีกหนีจากการถูกตารวจปรับเป็นตัวเสริมแรงทางลบ แรงเสริมเชิงลบกับการลงโทษ
(Punishment) นั้นคล้ายกันแต่ ไม่เหมือนกัน
การลงโทษ หมายถึง การให้ บุคคลได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดหรือประสบการณ์ที่ไม่พึง
ปรารถนา เช่น การเฆี่ยนตีดุ ด่า
สาหรับการให้แรงเสริมลบจะเป็นการทีบ่ ุคคลพยายามขจัดสิ่งที่ทาให้เขา เจ็บปวดให้พ้นไป
ข้อควรพิจารณาในการใช้เทคนิคการควบคุมตนเอง
ในการใช้เทคนิคควบคุมตนเอง มีข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้
1. การควบคุมตนเอง บุคคลมีส่วนร่วมในการกาหนดพฤติกรรมเป้าหมายและวางแผนในการ
พัฒนาพฤติกรรมเป้าหมายของตนเอง ทาให้บุคคลได้พัฒนาพฤติกรรมนั้น ได้ดีกว่าการที่บุคคลอื่นเป็นผู้กาหนด
พฤติกรรมเป้าหมาย และดาเนินการวางแผนพัฒนาพฤติกรรมนั้นให้ (สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. 2526.ก.: 146)
2. การควบคุมตนเอง ทาให้บุคคลรักษามาตรฐานในการแสดงพฤติกรรมของตนเองคงทนขึ้น ซึ่ง
ทาให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงยาวนานกว่าการปรับพฤติกรรมด้วยวิธีการควบคุมภายนอก
3. การควบคุมตนเอง บุคคลสามารถติดตามและควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ตลอดเวลา
เพราะบุคคลสามารถสังเกตพฤติกรรมเป้าหมายด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมใดก็ตาม จึงทา
ให้บุคคลสามารถเสริมแรงตนเองหรือการลงโทษตนเองได้อย่างทันท่วงที (สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. 2526.ก.:
145)
4. การควบคุมตนเอง บุคคลมีโอกาสได้เลือกตัวเสริมแรงที่ตรงกับความต้องการของตนเองได้ จึง
มีผลทาให้ได้ตัวเสริมแรงที่มีประสิทธิภาพสูง
5. การปรับพฤติกรรมด้วยวิธีการควบคุมตนเองและวิธีการควบคุมจากภายนอก แม้ว่าจะให้ผลไม่
ต่างกัน แต่วิธีการควบคุมตนเองเป็นวิธีการประหยัดค่าใช้จ่ายและกาลังตนมากกว่าวิธีการควบคุมจากภายนอก
6. การควบคุมตนเอง อาจทาให้เกิดการลัดวงจรของการควบคุมตนเองได้ โดยสามารถให้การ
เสริมแรงตนเองในขณะที่ได้แสดงพฤติกรรมพึงประสงค์ได้ในทันที เพราะการเสริมแรงที่มาจากผู้อื่นหลังจาก
การแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์อาจต้องรอเวลายาวนานจึงจะเกิดขึ้น หรือการลงโทษจากผู้อื่นจากการแสดง
พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้น ต้องรอเวลายาวนานจึงจะเกิดขึ้น (สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. 2526.ก.: 154)
7. การที่จะให้ผู้รับการปรับพฤติกรรมควบคุมตนเองได้นั้น จะต้องทาให้ผู้รับการปรับ พฤติกรรม
ตระหนักก่อนว่า พฤติกรรมเดิมนั้นไม่เหมาะสม มิฉะนั้นแล้วผู้รับการปรับพฤติกรรม คงไม่เห็นความสาคัญของ
การควบคุมพฤติกรรมตนเองให้เป็นไปตามเป้าหมาย การควบคุมตนเองก็จะไม่เกิดขึ้น
8. แม้จะมีผลการวิจัยยืนยันว่าผลของการใช้วิธีควบคุมตนเองและผลของการใช้เทคนิคการ
ควบคุมจากภายนอกจะมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกันก็ตาม แต่วิธีการควบคุมตนเองเป็นวิธีการที่ประหยัด
ค่าใช้จ่ายในการดาเนินการมากกว่า
2.5 การเปลี่ยนเวลาการทาภารกิจประจาวัน
การจัดเวลาวันละ 1 ชั่วโมงออกมาจากงานยุ่งเหยิงประจาวันหรือภารกิจประจาวัน เจริญ ชัยชนะ
( 2507: 77) ได้กล่าวไว้ว่า “การกระทาดังกล่าวจะช่วยทาให้บุคคลสาคัญกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์เรืองนาม
การเปลี่ยนเวลาวันละชั่วโมง สามารถทาให้คนโง่กลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง สามารถทาให้เขาอ่านหนังสือ
ขนาดใหญ่ได้จบหลายเล่ม ฉะนั้นอาจต้องคิดให้ดีเวลาที่หนุ่มๆ สาวๆ ได้ปล่อยเวลาให้เปลืองไปเสียเปล่า แต่ละ
วัน วันละ 2 3 4 5 6 ชั่วโมง กับความบันเทิง ความสนุกสนาน ร่าเริงฯ เวลาที่เสียไปสามารถทาประโยชน์ให้แก่
เขาสักเพียงไหน ถ้าเขารู้จักนามันมาใช้”
2.6 เวลาปัจจุบันสาคัญที่สุด
ส่วนมากคนมักจะคานึงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และมัก อาลัยอาวรณ์กับอดีตที่เรียกคืนไม่ได้ ซึ่ง
เวลาทั้ง 2 ช่วงดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เจริญ ชัยชนะ ( 2507: 83) ได้กล่าวไว้ว่า “ขอให้จาไว้ว่า
เวลาในปัจจุบันนี้เป็นเวลาที่เราสามารถผันแปรให้เป็นสิ่งใดก็ได้ตามความพอใจ อย่ามัวกังวลถึงเรื่องราวในอดีต
หรือใฝ่ฝันถึงเหตุการณ์ที่จะมีมาในอนาคต แต่จงรีบฉวยทาในเวลาปัจจุบันทุกขณะให้เกิดประโยชน์ แล้วท่าน
จะได้รับผลตอบแทนอย่างประเมินมิได้”
2.7 อย่าเกียจคร้าน ในการดาเนินชีวิต
ถ้าบุคคลมุ่งมั่นในการทางานอย่างขยันขันแข็ง และทุ่มเทแล้ว ยอมทางานนั้นประสบความสาเร็จ
ผิดกับชีวิตที่อยู่โดยความเกียจคร้านย่อมทาให้เส้นประสาทชา ทาให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ ทาให้กาลังถดถอย
เปรียบเสมือนเครื่องมือที่หยุดใช้จนสนิมขึ้น
2.8 ความเป็นผู้ทันเวลา
การทางานที่ค้างไว้นั้นเราต้องลงแรงมากกว่างานที่เพิ่ง ลงมือทาใหม่ๆ งานที่เริ่มทาใหม่ๆนั้น จะ
ทาให้ผู้ทารู้สึกเบิกบาน แจ่มใส และมีความกระตือรือร้นที่จะทางานนั้น ผิดกับงานค้าง ซึ่งเรามักจะรู้สึกว่าต้อง
ฝืนใจทา เฉื่อยชา และเหนื่อยมากกว่าปกติ ดังนั้นผู้ที่ชอบทอดทิ้ งงานจึงมักจะทางานนั้นไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ช่วงเวลาใดก็ตามที่แต่ละคนรู้สึกว่าตนมีความปลอดโปร่ง มีความคิดเฉียบแหลม ควรหาโอกาสทางานที่ตั้งใจให้
สาเร็จลุล่วงไป เพราะเป็นช่วงเวลาที่ได้ผลดีที่สุด ช่วงเวลาเหล่านี้อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ซึ่งบุคคล
จะต้องเป็นผู้สังเกตและรู้จักเวลาเหล่านั้นของตนเอง
2.9 ควรเป็นผู้ตรงต่อเวลาในการนัดหมาย
การนัดหมายนับเป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่ง และเป็นเครื่องบ่งบอกประสิทธิภาพของบุคคลนั้นได้เป็น
อย่างดี ผู้ที่ผิดนัดเปรียบได้เช่นเดียวกับผู้โกหก การตรงต่อเวลาเป็นกุญแจสาคัญของการทางาน งานที่ตรงต่อ
เวลาจะทาให้บุคคลนั้นสุขุม รอบคอบ ไม่รีบร้อน ผู้ที่ไม่ตรงเวลาจึงมักต้องทางานแข่งกับเวลา ดังนั้นบุคคลจึง
จาเป็นต้องมีวินัยในตนเองโดยเฉพาะเรื่องการตรงต่อเวลาซึ่งนับเป็นสิ่งสาคัญยิ่ง
………………………………………………………………………………………