Professional Documents
Culture Documents
Untitled
Untitled
Untitled
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลและอภิปราย
การทำโครงงานเรื่อง การแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
ของพลเมืองดิจิทัล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและส่งเสริมการ
แสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์ในโลกออนไลน์ และเสนอ
แนวทางการใช้เทคโนโลยีด้วยทักษะความฉลาดทางดิจิทัล และ
เพื่อศึกษาการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สร้างสรรค์หรือเชิงลบนัน
้
เป็ นปั ญหาใหญ่ต่อสังคมและควร ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและ
รวดเร็ว โดยคณะผู้จัดทำได้ทำการสำรวจโดยการทำโปสเตอร์ มี
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลและอภิปรายผลดังนี ้
4.2 การส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ในโลก
ออนไลน์
สําหรับการส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ใน
โลกออนไลน์พลเมืองดิจิทัลเทคโนโลยีได้เปิ ดพื้นที่สาธารณะให้
เข้ามีส่วนร่วม ออนไลน์ (Online civic participation) การแสดง
ความคิดเห็นสาธารณะออนไลน์ (Public opinion) การเป็ นพื้นที่
เคลื่อนไหวทางการเมืองออนไลน์ (Online political
movement) รวมทัง้ เป็ นพื้นที่ของการช่วงชิงอํานาจทางการ
เมืองในรูปแบบใหม่ ทําให้ความหมายของพลเมืองกําลัง
เปลี่ยนแปลงไปจากการแสดงออกทางกายภาพบนพื้นที่ (on
ground) สู่พลเมืองบนคลาวด์ (on cloud) ซึ่งหมายถึงทุกพื้นที่
ในโลกออนไลน์สามารถแสดงออกซึ่งความเป็ นพลเมืองตลอด
เวลา ทุก รูปแบบ ทุกประเด็น ปราศจากขอบเขตและไร้ข้อจํากัด
และการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์สามารถสร้างผลกระ
ทบทัง้ ทางบวกและ ทางลบเป็ นวงกว้างถึงระดับต่อสังคม และ
เปลี่ยนความเป็ นพลเมืองดิจิทัล กลายเป็ นพลเมืองโลก (global
citizen) พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยทีย
่ ิ่งจําเป็ นต้องมีความ
ระมัดระวังและมีความรู้ดิจิทัล
เมื่อการรู้ดิจิทัลมีความสําคัญและจําเป็ นต่อพลเมืองงานด้าน
การส่งเสริมความเป็ นพลเมืองในโลกดิจิทัลจึงมีความสําคัญขึน
้ ใน
ต่างประเทศมีการศึกษาวิจัยการรู้ดิจิทัลของพลเมืองเพื่อนําผล
การศึกษาไปใช้พัฒนาและส่งเสริมพลเมืองจําแนกได้ 4 กลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มที่เน้นความสําคัญของ จริยธรรม กลุ่มการรู้เท่าทันสื่อ
และข้อมูล, กลุ่มการมีส่วนร่วมในดิจิทัล และ กลุ่มวิพากษ์ ซึ่งจะ
เห็นได้วา่ ความเป็ นพลเมืองในโลกดิจิทัลสามารถทําความเข้าใจได้
หลายมุมมองและมีมิติ และ ความสัมพันธ์ ที่แตกต่างจากชีวิต
พลเมืองแบบออฟไลน์ สําหรับในประเทศไทยมีงานที่เกี่ยวกับการ
รู้ดิจิทัล ซึ่งพบว่ามีการใช้ความหมายของ Digital literacy ไปใน
ความหมายของการรู้เท่าทันตาม กระแสของงานศึกษาการรู้เท่า
ทันสื่อ (Media literacy) เช่น พีระ จิรโสภณ และ คณะ (2559)
พี
ณัฏฐกาญจน์ ศุกลรัตนเมธี และ นุชประภา โมกข์ศาสตร์
(2562)อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานที่สํารวจว่าพลเมืองไทยมีการรู้
ดิจิทัลอย่างไร ซึ่งจะเป็ นข้อมูลพื้นฐานต่องานด้านส่งเสริมการรู้
ดิจิทัลและการพัฒนาพลเมืองตามแนวทางการพัฒนาพลเมือง
แห่งศตวรรษต่อไปได้
นอกจากความสําคัญของการเป็ นพลเมืองที่ต้องรู้ดิจิทัลเพื่อ
ตอบสนองต่อการพัฒนาทัง้ ทาง สังคม เศรษฐกิจและการเมือง
และการเป็ นพลเมืองแห่งศตวรรษแล้ว ความสําคัญของการ
พัฒนา และส่งเสริมความเป็ นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ยัง
ต้องการพลเมืองที่ต้องรู้ เข้าใจ และใช้ ทักษะอย่างถูกต้องด้วย
เพื่อเป็ นรากฐานของการพัฒนาการเมือง โดยเฉพาะภาวะการ
เคลื่อนไหว ทางการเมืองที่เกิดขึน
้ ในปี พ.ศ. 2563 ที่ส่ อ
ื ดิจิทัลมี
บทบาททางการเมืองในการมีสว่ นร่วมทางการเมืองรูปแบบต่าง ๆ
ทัง้ การเคลื่อนไหวทางการเมือง การรวบรวมรายชื่อเพื่อเข้าชื่อ
เสนอกฎหมาย การรณรงค์เรื่องสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน
การตรวจสอบทุจริต และ อื่น ๆ รวมทัง้ มีการใช้ส่ อ
ื ดิจิทัลใน
ลักษณะที่ไม่มีความถูกต้องทางการเมือง (Political
correctness) เช่น การโจมดีบุคคลอื่น การสร้างข่าวปลอม การ
ปลุกกระแสทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางลบบนโลก
ออนไลน์ การที่ส่ อ
ื ดิจิทัลมีบทบาทอย่างมากในทางออนไลน์ ดัง
กล่าว งานส่งเสริมและพัฒนาพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึง
ต้องให้ความสําคัญกับ การรู้ดิจิทัล เพื่อพลเมืองในระบอบ
ประชาธิปไตยของไทยจะได้ใช้อย่างรู้ เข้าใจ และมีทักษะ อันจะ
นําไปสู่สังคมการเมืองที่ดีต่อไป
4.3 แนวทางการใช้เทคโนโลยีด้วยทักษะความฉลาดทางดิจิทัล
พูดถึงประเด็นต่าง ๆ บนโลกออนไลน์มักจะมีการแสดง
ความคิดเห็นที่ตรงข้ามกันอยู่เสมอในหลายเรื่องก็เป็ นประเด็นที่
เปราะบางที่นำมาสู่ความขัดแย้งได้เช่นกันมาดูวธิ ีการรับมือภัย
ทางโลกออนไลน์ที่ช่วยให้ทุกคนฝึ กทักษะ และสร้างตนเอง โดย
เฉพาะวัยรุ่นให้เท่าทันอารมณ์ สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่าง
ปลอดภัย และช่วยรักษาสภาพจิตใจไม่ให้คิดมากกับความคิดเห็น
เชิงลบ
ประการแรก คือ รับฟั งในความคิดเห็นที่แตกต่างจาก
ตน จับประเด็นในสิง่ ที่ตอบกลับมาว่า สาเหตุนน
ั ้ มาจากเรื่องใด
หรือข้อผิดพลาดประการใดที่ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึน
้ พยายามใช้
เหตุผลในการอ่านข้อคิดเห็นของผู้อ่ น
ื อย่าโต้ตอบด้วยอารมณ์
หรือถ้อยคำที่หยาบคาย เมื่อเจอการแสดงความคิดเห็นที่ต่างจาก
ตน หากเป็ นความคิดเห็นที่ดีมีคุณประโยชน์ควรค่าแก่การอ่าน
และนำมาปรับปรุงก็ควรเรียนรู้และนำมาปรับใช้ หากเป็ นความ
คิดเห็นที่เน้นใช้ถ้อยคำที่หยาบคายและไม่สมเหตุสมผล เพื่อรักษา
สภาพจิตใจไม่ให้ตัวเรารู้สึกเป็ นลบก็ควรปล่อยความคิดเห็นนัน
้ ให้
ผ่านไปมองข้ามและเพิกเฉยต่อข้อคิดเห็นนัน
้
ประการที่สอง คือ ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์หรือ
เล่า หากพบว่า การแสดงความคิดเห็นของเราพบว่า ยังขาด
ข้อมูลที่เป็ นข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน สิ่งที่ควรทำคือ ก็คือ น้อมรับใน
สิ่งนัน
้ และขอโทษต่อการแสดงความคิดเห็นที่ส่งผลกระทบดัง
กล่าว ไม่ใช้ข้อแก้ตัวใด ๆ ที่จะทำให้สถานการณ์นน
ั ้ แย่ลงกว่าเดิม
เริ่มต้นด้วยการใช้คำขอโทษที่แสดงถึงความจริงใจและอธิบาย
เหตุผลของตนพร้อมขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นที่ทุกคนเสนอเข้า
มา
ประการที่สาม คือ ระมัดระวังในการสื่อสารที่สร้าง
ความเข้าใจผิด ข้อสังเกตที่ควรปรับปรุงเพื่อป้ องกันปั ญหานีค
้ ือ
ต้องคำนึงถึง ข่าวสารที่ได้รับมาว่าเป็ นข่าวจริงหรือไม่ หลายครัง้ ที่
เราแสดงความคิดเห็นจนเกิดความเข้าใจผิดต้นตอสาเหตุสำคัญ
นัน
้ มาจาก Fake news วิธีการสังเกตก่อนแชร์หรือแสดงความคิด
เห็นใด ๆ นัน
้ ให้เราย้อนกลับมาตรวจทานข้อมูลของสื่อที่ได้รับ
ก่อน 3 เรื่อง คือ 1) ข้อความที่พาดหัวข่าวต่าง ๆ นัน
้ มีความเป็ น
ไปได้มากน้อยแค่ไหน 2) แหล่งที่มามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ 3)
หากไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจนก็ไม่ควรไปแสดงความคิดเห็นหรือเผย
แพร่ไปใน Social Media ส่วนตัวของเรา
การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ช่วยในการพัฒนาและก่อให้
เกิดการขับเคลื่อนความคิดสิ่งต่างๆ ที่มีอยูน
่ น
ั ้ ให้ดีขน
ึ ้ ในโลก
ออนไลน์ยงิ่ เป็ นไปได้อย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือใน
การสื่อสารทุกครัง้ เราควรมีสติ ใคร่ครวญและไตร่ตรองให้ดีก่อน
เสมอ เพราะอย่าลืมว่าทุกข้อเขียนสะท้อนตัวเราเอง และหาก
สื่อสารไม่เหมาะสม ไม่มีข้อเท็จจริง อาจสร้างผลกระทบทางลบ
ต่อทัง้ ตนเองและสังคมได้อย่างมากมาย เช่นเดียวกับทักษะรับมือ
ต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง และเชิงลบ ทักษะเหล่านีเ้ ป็ นเรื่องที่
ทุกคนต้องมี และช่วยฝึ กฝนให้มีทักษะดังกล่าว เท่าทันและ
สามารถอยู่ในโลกสังคมออนไลน์ได้อย่างมีความสุข และ
สร้างสรรค์