Professional Documents
Culture Documents
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ 160765 ล่าสุด
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ 160765 ล่าสุด
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์
เรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
โดย
นางสาวชฎาวัลย์ คงเมือง
นางสาวฮาดีล๊ะ ดอเล๊าะ
นางสาว กรณ์ภัสสร รัตนวิโรจน์
2
โดย
นางสาวชฎาวัลย์ คงเมือง
นางสาวฮาดีล๊ะ ดอเล๊าะ
นางสาว กรณ์ภัสสร รัตนวิโรจน์
ครูที่ปรึกษา
ครูฮะฟีซุดดีน เจะมุ
ครูธัญชนก นวลดี
ครูรุจิรา บาเหาะ
3
ที่ปรึกษาพิเศษ
ดร.ฮามีด๊ะ มูสอ
ชื่อโครงงาน : การพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ชื่อผู้จัดทำ นางสาวชฎาวัลย์ คงเมือง
นางสาวฮาดีล๊ะ ดอเล๊าะ
นางสาว กรณ์ภัสสร รัตนวิโรจน์
ครูที่ปรึกษา : อาจารย์ฮะฟีซุดดีน เจะมุ
ปีที่จัดทำ : 2565
สถานศึกษา : วิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานี
บทคัดย่อ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารามีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการสกัด
น้ำมันเมล็ดยางพารา พบว่าน้ำมันเมล็ดยางพารา มีความปลอดภั ย ไม่พบสารจำพวกโลหะหนัก ตะกั่ว (Pb)
แคดเมียม (Cd) สารหนู (As2O3) และปรอท (Hg) เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการเตรียมโดยใช้ความเข้มข้น
ของน้ำมันเมล็ดยางพาราที่ 0, 20, 30, และ 40 กรัม จากนั้นทำการประเมินผลความพึงพอใจของผู้ ใช้ง านต่ อ
ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพาราที่เตรียมได้ โดยประเมินจากสี , กลิ่น, ค่า pH, ค่าความหนืด
(viscosity) โดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจด้วยประสาทสัมผัส (9-Point hedonic scale) ประเมินจากผู้เข้ารับ
การทดสอบจำนวน 30 คน ซึ่งพบว่า ลักษณะเนื้อสัมผัสของครีม สี ความหนืด มีค่าความพึงพอใจของทั้ง 4 สูตรที่
ไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในส่วนของกลิ่นพบว่า สูตรที่ 2 (น้ำมันยางพารา 30 กรัม) และสูตรที่ 3 (น้ำมัน
ยางพารา 40 กรัม) มีค่าความพึงพอใจน้อยกว่าสูตรที่ 1 (น้ำมันยางพารา 20 กรัม) อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมี
กลิ่นของน้ำมันเมล็ดยางพาราค่อนข้างแรง ผู้วิจัยจึงเลือกสูตรที่ 1 เพื่อทำการศึกษาความคงตัวของผลิต ภัณฑ์ ซึ่งผล
การทดสอบปรากฏว่าสูตรมีความคงตัวดี สมบัติต่างๆ ไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ ทั้งการ
4
กิตติกรรมประกาศ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ครีม บำรุงผิวมือ จากน้ำมันเมล็ด ยางพาราสำเร็ จลุ ล่ วงไปด้ วยดี เนื่อ งจากได้รั บ
คำแนะนำและให้ก ารช่ วยเหลือ จากหลายๆ ฝ่ าย คณะผู ้ จั ด ทำขอกราบขอบพระคุ ณ นายวิ ท ยา ตั ่ น ยื น ยง
ผู้อำนวยการผู้วิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานีและท่านรองผู้อำนวยการทุกท่าน กรุณาให้คำปรึกษาและคำแนะนำการ
ทดลอง การเขียนรายงาน ให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนยิ่งขึ้น และนางศศิธร อ่อนโพธิ์เตี้ย รองผู้อำนวยการฝ่าย
แผนงานและความร่วมมือที่ได้กรุณา ให้คำปรึกษาและจัดสรรงบประมาณในการจัดทำครั้งนี้ ขอขอบคุณ อาจารย์
ฮะฟีซุดดีน เจะมุ ครูที่ปรึกษา ที่กรุณาให้คำปรึกษาและคำแนะนำการทดลอง การเขียนรายงานและ การนำเสนอ
ผลงาน ให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ที่คอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือในทุกด้าน ในการศึกษาจนสำเร็จการศึกษา
ขอขอบคุ ณ เพื่อ นๆ พี่ๆ วิท ยาลัยอาชีวศึกษาปั ต ตานี ทุ ก คน ที ่ คอยช่ วยเหลือ อำนวยความสะดวกในการทำ
โครงงานวิทยาศาสตร์ จึงทำให้โครงงานวิทยาศาสตร์ครั้งนี้สมบูรณ์ รวมทั้งทุกคนที่มิได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่มี
ส่วนช่วยให้โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
5
คณะผู้ทำโครงงาน
มิถุนายน 2565
เรื่อง หน้า
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
สารบัญตาราง ง
สารบัญภาพ จ
บทที่
ค
6
สารบัญ
1 บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 1
จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 2
สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 2
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 2
ตัวแปร 3
นิยามเชิงปฏิบัติการ 4
2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ยางพารา 6
เมล็ดยางพารา 7
การสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา 8
กรดโอเลอิกและไลโนเลอิก 9
การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ
10
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
11
3 วัสดุอุปกรณ์และวิธีการศึกษาค้นคว้า 16
4 ผลการศึกษาค้นคว้า 21
5 สรุปและอภิปรายผลการศึกษาค้นคว้า 28
เอกสารอ้างอิง 31
ภาคผนวก 33
ง
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
2.1 เปรียบเทียบองค์ประกอบของกรดไขมันในน้ำมันเมล็ดยางพารา 7
7
3.1 ชนิดและปริมาณส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือ 17
3.2 ความสัมพันธ์ระหว่างอาการที่เกิดและคะแนนความระคายเคือง 18
4.1 ผลการวิเคราะห์ธาตุโลหะหนัก 21
4.2 ลักษณะทางกายภาพและเคมีของสูตรตำรับผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือที่มี 23
น้ำมันเมล็ดยางพารา
4.3 ผลการประเมินความพึงพอใจต่อสูตรครีมบำรุงผิวมือจากเมล็ดยางพารา 23
4.4 ผลการศึกษาความคงตัวของสูตรผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ด 24
ยางพาราที่สภาวะเร่ง อุณหภูมิร้อนสลับเย็น จำนวน 6 รอบ
4.5 ผลการเปลี่ยนแปลงความชุ่มชื้นของผิวเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้ครีม 25
บำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา เป็นเวลา 4 สัปดาห์
4.6 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อ 26
ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์
4.7 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจของผลิตภัณฑ์ 27
ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
4.8 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อ 28
ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
8
จ
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1.1 แสดงขอบเขตในการศึกษาค้นคว้า 2
2.1 ลักษณะทางกายภาพของน้ำมันเมล็ดยางพารา 7
2.2 กระบวนการสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา 8
2.3 โครงสร้างทางเคมีของกรดโอเลอิกและไลโนเลอิก 8
2.4 หลักการทำงานเครื่องกลั่นด้วยไอน้ำ 9
2.5 แสดงวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลาย 10
3.1 กระบวนการสกัดการสกัดน้ำมันจากเมล็ดยางพาราโดยใช้เฮกเซนเป็น 17
3.2 กระบวนการผลิตครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา 20
4.1 แสดงลักษณะทางกายภาพ(เนื้อครีม)ของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจาก 21
น้ำมันเมล็ดยางพารา
4.2 การทดสอบการระคายเคืองของผลิตภัณฑ์ 23
4.3 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความพอใจด้านคุณภาพ 25
ผลิตภัณฑ์ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
4.4 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพอใจด้านบรรจุภัณฑ์ของ 26
ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
4.5 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความพอใจด้านความน่าสนใจ 27
และราคาของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
9
บทที่ 1
บทนำ
1. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ในปัจจุบันเรามักจะพบปัญหาสภาพผิวโดยเฉพาะผิวบริเวณมือเกิดการแห้งกร้านเพราะยุคโควิด 2019
และรวมถึงการหยิบจับสิ่งของอื่นๆในทุกๆวันทำให้เราต้องล้างมือบ่อยและใช้แอลกอฮอล์เจลหลายๆครั้งในหนึ่ง วัน
อาจทำให้มือของเราเป็นขุยแห้งและขาดความชุ ่มชื้น ทำให้เราไม่มีความมั่น ใจในการจับมือกับคนรู้ จักหรือ ทำ
กิจกรรมที่เกี่ยวกับการใช้มือ “ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา” ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาคิด ค้นเพื่อ
เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยใช้ประโยชน์จากเมล็ดยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบเหลือทิ้งในท้องถิ่นโดยใช้
กรรมวิธีการสกัดที่ไม่ทำลายสารสำคัญ พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมือในรูปแบบเจลเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
มือ พร้อมทั้งคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ประกอบกับรัฐบาลได้สนับสนุนให้เกิดการแปรรูป
อุตสาหกรรมยางพาให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
ประเทศไทยปลูกต้นยางพาราเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซียคิด
เป็น 9.7 ล้านไร่ ปัจจุบันได้มีก ารขยายเนื้อที่ก ารปลูกไปทาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉีย งเหนื อ และ
ภาคเหนือยางพาราเป็นพืชที่มีเมล็ดซึ่งในปัจจุบันยังไม่ได้นำเมล็ดยางพารามาใช้ประโยชน์อย่างจริ งจั ง ในแต่ละปี
เมล็ดยางพารามีปริมาณที่มากกว่า 200,000 ต้น จากการศึกษาโดย [3] พบว่าหลังกะเทาะเปลือกแล้วจะได้น้ำ 25-
30% โดยน้ ำ หนั ก น้ ำ มั น เมล็ ดยางพาราเป็ น น้ ำ มั น ซึ ่ ง ได้ จ ากเมล็ ด ยางพาราฮี เ วี ย บราซี เ ลี ย นซี ส (hevea
brasiliensis) น้ำมัน เมล็ดยางพาราเป็นน้ำมัน พื ชที่ ไม่ เ หมาะในการใช้ บริ โภคเนื ่อ งจากมีเ อ็ น ไซม์ สองชนิดคือ
cyanogenetic glueoside และ lipolytic ทำไห้น้ำมันมีปริมาณกรดสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเก็บไว้นานคุณภาพน้ำมันไม่
คงที่ ถ้าทำน้ำมันเมล็ดยาวพาราให้บริสุทธิ์ อาจจะนำมาทำประโยชน์ในอุตสาหกรรม เช่นน้ำมันผสมสี หมึกพิมพ์
หรือใช้กับเครื่องยนต์ และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
น้ำมันเมล็ดยางพาราที่ได้มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์และสามารถนำมาใช้ในอุต สาหกรรมเครื่องสำอาง
คือ linoleic, linolenic และ oleic acid ในปริมาณที่สูง กรดไขมันทั้งสองชนิดนี้ มีคุณประโยชน์แก่ ผิวทั้ง ในด้ าน
การเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ต่อต้านการอักเสบ เมื่อทำการวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพเพื่ อ
กำหนด specification ของน้ำมันเมล็ดยางพารา พบว่าน้ำมันเมล็ดยางพารามีค่า saponification value อยู่ที่
ประมาณ 180-190 mgKOH/g ซึ่ง ใกล้เคีย งกั บค่ าของน้ ำมั น พื ชโดยทั ่ วไปซึ ่ ง มี ค่ าอยู ่ ท ี ่ ประมาณ 188 -253
mgKOH/g [1] จากค่าดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าน้ำมันเมล็ดยางพารามีคุณสมบัติเหมาะสมที่สามารถพัฒนาเพื่ อใช้
10
2. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
2.1 เพื่อศึกษาวิธีการสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.2 เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.3 เพื่อทดสอบสมบัติการคงตัวของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.4 เพื่อทดสอบสมบัติการระคายเคืองของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.5 เพื่อทดสอบสมบัติความชุมชื้นของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.6 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
3. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า
3.1 วิธีการสกัดเมล็ดยางพารามีผลต่อในการผลิตผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
3.2 อัตราส่วนที่เหมาะสมในการผลิตผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา ที่ต่างกันมีผลต่อ
ลักษณะทางกายภาพและคามพึ่งพอใจ
3.3 สมบัติการคงตัวมีผลต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
3.4 สมบัติการระคายเคืองมีผลต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
3.5 สมบัติความชุ่มชื้นมีผลต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
3.6 ความพึงพอใจของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพาราอยู่ในระดับดี
4. ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
4.1 ศึกษาวิธีการสกัดน้ำมันเมล็ดยางพาราในการผลิตผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา เพื่อ
หาวิธีการสกัดที่เร็ว มีความปลอดภัย และได้ปริมาณของน้ำมันเมล็ดยางพารามากที่สุด
11
4.2 ศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการผลิตผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพาราต่อคุณภาพทาง
สัมผัส เพื่อคัดเลือกสูตรที่มีผู้ทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์ให้การยอมรับคุณภาพทางประสาทสัมผัสที่ดีที่สุดด้าน สี กลิ่น
และความชอบโดยรวม
4.3 ศึกษาทดสอบสมบัติการคงตัวของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
4.4 ศึกษาทดสอบสมบัติการระคายเคืองของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
4.5 ศึกษาทดสอบสมบัติความชุมชื่นของผลิตภัณฑ์ค3รีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
4.6 ความพึงพอใจของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพาราโดยทำการสำรวจ 30 คน
การทดลองที่ 2 ศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ตัวแปรต้น ความเข้มข้นของน้ำมันเมล็ดยางพารา 4 ระดับ คือ 0, 20, 30, และ 40 กรัม
ตัวแปรตาม ลักษณะทางกายภาพ ,ความพึงพอใจ
ตัวแปรควบคุม อัตราส่วนน้ำมันเมล็ดยางพารา
การทดลองที่ 3 ทดสอบสมบัติการคงตัวของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ตัวแปรต้น สูตรพื้นฐาน และสูตรที่ 1 เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไว้ที่สภาวะเร่งด้วยอุณหภูมิ
ร้อนสลับเย็น (heating-cooling: 45 °C, 24 h- 4 °C, 24 h) จำนวน 6 รอบ
ตัวแปรตาม ผลการคงตัวของผลิตภัณฑ์
ตัวแปรควบคุม อุณหภูมิ,เวลา,อัตราส่วนน้ำมันเมล็ดยางพารา
12
การทดลองที่ 4 ทดสอบสมบัติการระคายเคืองของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ตัวแปรต้น เปรียบเทียบระหว่างครีมพื้นฐานกับครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดยางพารา
20 กรัม
ตัวแปรตาม ผลการระคายเคืองของผลิตภัณฑ์
ตัวแปรควบคุม อัตราส่วนน้ำมันเมล็ดยางพารา,ขนาดของแผ่นแปะ,เวลา
การทดลองที่ 5 ทดสอบสมบัติความชุ่มชื้นของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ตัวแปรต้น เปรียบเทียบระหว่างครีมพื้นฐานกับครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดยางพารา
20 กรัม ระยะเวลา 4 สัปดาห์
ตัวแปรตาม ผลความชุ่มชื้นของผลิตภัณฑ์
ตัวแปรควบคุม อัตราส่วนน้ำมันเมล็ดยางพารา,เวลา
การทดลองที่ 6 ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ตัวแปรต้น คุณลักษณะด้านต่างๆของผลิตภัณฑ์ในการประเมินความพึงพอใจ
ตัวแปรตาม คะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้งานทั่วไป
ตัวแปรควบคุม กระบวนการผลิตครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพาราบรรจุภัณฑ์ และ
จำนวนผู้ใช้งาน
4
6. นิยามเชิงปฏิบัติการ
6.1 น้ำมันเมล็ดยางพารา หมายถึง มีกรดไขมันสำคัญทั้งโอเลอิคและไลโนเลอิคที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทั้ง
ยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ทั้งนี้ กระบวนการเตรียมน้ำมัน
เมล็ดยางพารา ใช้วิธีการสกัดเย็น โดยบดเมล็ดยาง แล้วนำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส ซึ่งจะไม่ทำลาย
สารสำคัญจากนั้นนำมาหีบเย็น เมล็ดยางพารา 100 กิโลกรัมจะได้น้ำมันราว 40 กิโลกรัม
6.2 การสกัด หมายถึง การสกัดเป็นกระบวนการที่แยกองค์ประกอบที่มีในวัตถุดิบหรือสารออกมาโดยต้อง
มีตัวทำละลายที่จะพาสารที่ต้องการสกัดออกมา กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อองค์ประกอบที่ต้องการแยกต้อง
ละลายออกมากับตัวทำละลาย ขณะที่องค์ประอบอื่นๆยังคงเหลือในวัตถุดิบหรือเฟสเริ่มต้น กระบวนการนี้ อาจ
เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการแยกที่เกี่ยงข้องกับเฟส 2 เฟส
6.3 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หมายถึง การพัฒนา ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความ
ต้องการของผู้บริโภค โดยรูปแบบในการพัฒนาอาจเป็นด้านบรรจุภัณฑ์ หรือผลิตภัณฑ์ครีมก็ได้
13
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.3.น้ำมันเมล็ดยางพารา
2.4.การสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.5.กรดโอเลอิกและไลโนเลอิก
2.6.การสกัดด้วยไอน้ำ
2.7 การสกัดสารด้วยตัวทำละลาย
2.8.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
6
15
ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
2.2 ยางพารา
ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นซึ่งมีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำอเมซอน ประเทศบราซิล ถูกนาเข้ามาปลูก ในประเทศ
ไทยเป็นครั้งแรก ที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พื้ นที่การเพาะปลูกส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้และภาคตะวันออก และ
ต่อมาได้แพร่หลายออกสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตและส่งออกยางพาราเป็น
อันดับหนึ่งของโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศในแต่ละปีกว่า 250,000 ล้านบาท ส่งผลให้ยางพารากลายเป็นพืช
เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ซึ่งนอกจากยางพาราดิบแล้ว ผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพารานานาชนิด กำลังเป็นที่ต้องการ
ของตลาดจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากไม้ยางพาราเป็นไม้ที่มีคุณภาพทางกายภาพใกล้เคียงกับไม้สัก ที่ผ่าน
มาเกษตรกรผู้ทำสวนยางส่วนใหญ่ม ักมุ่งให้ ความสำคัญไปที่น้ ำยางและไม้ย างพาราเป็ นหลัก แต่สาหรับเมล็ ด
ยางพารานั้นกลับถูกมองข้ามไป ซึ่งมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยการเพาะเป็นกล้ายาง ส่วนที่
เหลือทั้งหมดกลับถูกปล่อยทิ้งให้ร่วงหล่นอยู่ในสวนยางอย่างไร้ค่า โดยเฉลี่ยต้นยางที่มีอายุ 3-5 ปีขนึ้ ไป จะให้เมล็ด
เฉลี่ยแล้วไร่ละประมาณ 10 กิโลกรัม หรือยางพารา 7 ล้านไร่ทั่วประเทศ จะได้เมล็ดยางถึง 70,000 ตัน แต่การใช้
ประโยชน์จากเมล็ดหรือน้ำมันจากเมล็ดยางยังน้อยมาก จากข้อมูลของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เมล็ด
ยางใช้ทาต้ นตอปลูก ปีละประมาณ 360 ตัน และใช้สกั ด ทำน้ำมันไบโอดีเ ซลปี ละประมาณ 1,000 ตันเท่านั้ น
นอกจากนั้นจะถูกทิ้งจมดินทับถมกันไปปีต่อปี จึง ทำให้มีงานวิจัยเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าของเมล็ดยางพารา เมล็ด
16
2.3 เมล็ดยางพารา
17
8
ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศไทย ปีละหลายหมื่นล้านบาทจาก
รายงานสำนักเศรษฐกิจการเกษตร (2548) ประเทศไทยมีรายได้จากการขายยางพารา ในปี2548 มีมูลค่าถึง
159,494 ล้านบาท นอกจากนี้ในกระบวนการผลิตยางพารายังมีผลพลอยได้ที่สำคัญ คือเมล็ดยางพารา (rubber
seed) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากต้น ยางพารา (Hevea brasiliensis) เมล็ดประกอบด้ วยเปลือ กและเนื้อ ในเมล็ ด
ประมาณ 37-40 และ 60-63 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ส่วนที่เป็นเนื้อในเมล็ดมีน้ำมันในปริมาณที่สูงประมาณ 50
เปอร์เซ็นต์ (Georgi et al., 1932) ซึ่ง Babatunde and Pond (1987b) รายงานว่า น้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ ด
ยางพารามีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัว 13.9 เปอร์เซ็นต์ และกรดไขมันไม่อิ่มตัว 80.5 เปอร์เซ็นต์ และอุดม
ไปด้ วยกรดไขมัน Oleic acid และ linolenic acid อยู ่ ในปริมาณที ่ สู ง ซึ ่ ง น้ำมั นที ่สกั ดได้ สามารถนำไปใช้เชิง
พาณิชย์เพื่อทำอาหารและอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ทำสบู่ น้ำมันเคลือ บเงา การผสมสี และเครื่องสำอาง เป็นต้น
ส่ วนกากเนื ้อ ในเมล็ดยางภายหลังการสกัด น้ ำมั นสามารถนำไปใช้ เป็ นอาหารสัต ว์ ได้ ดี เนื ่ อ งจากมี คุ ณค่าทาง
โภชนาการสูง โดยเฉพาะกากเนื้อ ในเมล็ดยางพารามี โปรตี นสูงถึง 26-27 เปอร์เซ็นต์ และมีเยื่อใยต่ ำ 10-14
เปอร์เซ็นต์
2.4 การสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา
เริ่มจากนำเมล็ดยางพารา มากะเทาะเปลือกเหลือแต่เนื้อใน ก่อนจะนำเข้าเครื่องปั่นให้ละเอียด จากนั้น
นำไปเข้าเครื่องอบแห้ง 24 ชั่วโมง ในอุณหภูมิที่ 45-50 ํC ก่อนนำมาบีบเอาน้ำมัน ผงแห้ง 1 กก.จะได้น้ำมัน 300
กรัม นำไปเก็บไว้ 2–3 สัปดาห์ เพื่อต้องการให้สารระคายเคืองระเหยออกไป ก่อนจะเติมสารแอนตี้ไบโอติก เพื่อ
ป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชัน
2.6 การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ
เป็นวิธีการสกัดสารออกจากของผสมโดยใช้ไอน้ำเป็นตัวทำละลาย วิธีนี้ใช้สำหรับแยกสารที่ละเหยง่าย ไม่
ละลายน้ำ และไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ออกจากสารที่ระเหยยากการสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำนอกจากใช้ สกัด สาร
ระเหยง่ายออกจากสารระเหยยากแล้วยังสามารถใช้แยกสารที่มีจุดเดื อดสูงและสลายตัวที่จุดเดือดของมันได้อีก
เพราะการกลั่นโดยวิธีนี้ความดันไอเป็นความดันไอของไอน้ำบวกความดันไอของของเหลวที่ต้องการแยก จึงทำให้
ความดันไอเท่ากับความดันของบรรยากาศก่อนที่อุณหภูมิจะถึงจุดเดือดของของเหลวที่ต้องการแยก ของ ผสมจึง
กลั่นออกมาที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของของเหลวที่ต้องการแยก เช่น สาร A มีจุดเดือด 150 ํC เมื่อสกัดโดยการ
กลั่นด้วยไอน้ำจะได้สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภูมิ 95 ํC ที่ความดัน 760 มิลลิเมตรของปรอท อธิบายได้
ว่า ที่ 95 ํC ถ้าความดันไอของสาร A เท่ากับ 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอน้ำเท่ากับ 640 มิลลิเมตรของปรอท
เมื่อความดันไอของสาร A รวมกับไอน้ำจะเท่ากับ 760 มิลลิเมตรของปรอท หรือเท่ากับความดันบรรยากาศ จึงทำ
ให้สาร A และน้ำกลายเป็นไอออกมาได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของสาร A ตัวอย่างการแยกสารโดยการกลั่นด้วย
ไอน้ำ ได้แก่ การแยกน้ำมันหอมระเหยออกจากส่วนต่างๆของพืช เช่น การแยกน้ำมันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคา
ลิปตัส การแยกน้ำมันมะกรูดออกจากผิวมะกรูด การแยกน้ำมันอบเชยจากเปลือกต้นอบเชย เป็นต้น ในการกลั่นไอ
น้ำจะไปทำให้น้ำมันหอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร้อมกับไอน้ำ เมื่อทำให้ไอของของผสมควบแน่น โดยผ่าน
เครื่องควบแน่น ก็จะได้น้ำและน้ำมันหอมระเหยปนกันแต่แยกชั้นกันอยู่ ทำให้สามารถแยกเอาน้ำมันหอมระเหย
ออกจากน้ำได้ง่าย
19
2.7 การสกัดสารด้วยตัวทำละลาย
การสกัดด้วยตัวทำละลาย คือการแยกสารโดยอาศัยหลักการละลายระหว่างตัวทำละลายกับสารสำคัญใน
สมุนไพร ทั้งนี้จะอาศัยหลักการของการละลายความมีขั้ว (Polarity) ของทั้งตัวทำละลายและสารสำคัญ โดยสาร
สำคัญจะสามารถละลายในตัวทำละลายได้ก็ต่อเมื่อความเป็นขั้วของตัวสารสำคัญกับตัวทำละลายมีค่าใกล้เ คียงกัน
(Like Dissolves Like) คือตัวถูกละลายที่มีขั้วจะละลายในตัวทำละลายที่มีขั้วเพราะแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุ ลมีขั้ว
เป็นแรงไดโพล-ไดโพล (Dipole-Dipole) ในทางตรงข้ามตัวถูกละลายที่ไม่มีขั้วจะละลายในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว
เพราะแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลไม่มีขั้วเป็นแรงแวนเดอวาลส์ (Van der Waals Force) เหมือนกัน
วิ ธี ก ารนี้จะนิยมใช้ สกัดสีจากธรรมชาติ ในสมุ นไพร สกั ด น้ ำมั นหอมระเหย เป็ น วิ ธี ก ารที ่ประหยั ดและ
ปลอดภัย วิธีนี้จะควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงไม่เกิน 50 ๐ C ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการกลั่นที่ต้องใช้อุณหภูมิสูงทำ
ให้องค์ประกอบทางเคมีเปลี่ยนแปลงและมีกลิ่นผิดไปจากธรรมชาติได้ วิธีการสกัดโดยใช้ตัวทำละลายจึงถูกนำมาใช้
ในทางอุตสาหกรรม แต่ต้นทุนการผลิตสูงกว่าการกลั่น
20
2.8 การสกัดเย็น
การแยกส่วนของน้ำหรือน้ำมันจากวัตถุดิบที่เราสกัดออกมา โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของวัตถุดิบ
นั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ การสกัดเย็นจะได้น้ำหรือน้ำมันจากบริเวณส่วนต่าง ๆ ของพืชผัก
และผลไม้ เช่น ผล เมล็ด หัว ใบ ดอก และเปลือก โดยอาศัยขั้นตอนบีบอัดที่อุณหภูมิห้องโดยตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอน
แล้วนำส่วนของน้ำมันบริสุทธิ์มาใช้งาน หรืออาจจะใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือแรงดันสูงเพื่อช่วยบีบหรือกดน้ำมัน
ออกมา ทั้งนี้การสกัดต้องไม่ผ่านกระบวนการความร้อนหรือสารเคมีใด ๆ ซึ่งจะช่วยคงสี รสชาติ ตามธรรมชาติ คง
คุณค่าและสรรพคุณของพืชผักและผลไม้ชนิดนั้น ๆ ไว้อยู่ด้วย
11
2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เพ็ญศรี เพ็ญประไพร (2561) น้ำมันมะพร้าวที่มีสารสกัดจากว่ านชักมดลู กมีฤทธิ ์ต้ านอนุมู ลอิ สระ สาร
ประกอบเคอร์คูมินอยด์และสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสูง สามารถนำไปพัฒนาเป็นครีมบำรุงผิวหน้ า วัตถุประสงค์
ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ วิเคราะห์หาปริมาณสารประกอบเคอร์คูมินอยด์และสารประกอบฟี
นอลิกทั้งหมด และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวที่มีสารสกัดจากว่านชักมดลูกเป็นครีมบำรุงผิวหน้า การผลิตน้ำมันมะพร้าวที่
มีสารสกัดจากว่านชักมดลูก มีการใช้อัตราส่ วนของเนื้อมะพร้าวต่อเหง้าของว่านชักมดลูก 5:0:5,5:1:0, 5:1:5, 5:2:0
21
พบว่าถ้าเพิ่มปริมาณเหง้าของว่านชักมดลูกมากขึ้นส่งผลทำให้ ท้าให้น้ำมันมะพร้าวที่มีสารสกัดจากว่านชักมดลูกมี
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดและปริมาณสารประกอบเคอร์คูมินสูงขึ้น
ในการทดลองเลือกใช้น้ำมันมะพร้าวที่สารสกัดจากว่านชักมดลูกที่อัตราส่วนของเนื้อมะพร้าวต่อเหง้าของ
ขมิ้นชัน 5:2.0 เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวหน้าในการทดลองเตรียมพัฒนาครีมจากน้ำมันมะพร้าวที่มี สารสกัด
จากว่านชักมดลูกโดยใช้ความร้อนและไม่ใช้ความร้อน พบว่าคุณสมบัติทางกายภาพของครีมที่ผลิตโดยไม่ใช้ ความร้อน
ดีกว่าครีมที่ผลิตโดยใช้ความร้อน ส่วนครีมที่ใช้เป็นสูตรเปรียบเทียบใช้ น้ำมันแร่ จากนั้นน้ำครีมที่พัฒนาจากน้ำมัน
มะพร้าวที่มีสารสกัดจากว่านชักมดลูกสำหรั บผิ วหนั งทดสอบประสิทธิ ภาพในอาสาสมั คร จ้านวน 12 คน พบว่ า
ผลิตภัณฑ์มีผลต่อสภาพผิวในด้านของการลดปริมาณเม็ดสีเมลานินดีที่สุด รองลงมาคือการเพิ่มความชุ่มชื้น เมื่อมีการ
ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 14 วัน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังมีผลในการช่วยเพิ่มความกระชับและลดการ
สูญเสียน้ำจากผิวหนัง ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการใช้ผลิตภัณฑ์จากการประเมินความพึงพอใจของอาสาสมัคร
พบว่าอาสาสมัครมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อผลิตภัณฑ์สูง อย่างไรก็ตามความพึงพอใจเกี่ยวกับกลิ่นและสียังมีค่าที่
ต่างอยู่ อาจต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อท้าให้กลิ่นดีขึ้นและสีมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้น
อาจารย์ ดร.นีรนุช ไชยรังษี (2561) วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือพัฒนาโลชันทาผิวที่มีน้ำมันงาขี้ม้อนและ
สารสกัดจากธรรมชาติเป็นองค์ประกอบ โดยขั้นตอนแรกได้ทำการเลือกสารสกัดจากพืชตัวอย่างที่สนใจคือ หอมหัวใหญ่
หอมแดง หัวไชเท้า และมะละกอ จากการหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยใช้ Folin-Ciocalteu’s reagent พบว่า
สารสกัดด้วยน้ำของ หอมหัวใหญ่ หอมแดง หัวไชเท้า เปลือก และเนื้อมะละกอ มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวม
เท่ากับ 6.03, 10.81, 14.60, 10.06 และ 3.55 mg GAE/g สารสกัด ตามลำดับ เมื่อหาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยการ
กำจัด ABTS•+ ได้ค่า VCEAC เท่ากับ 4.08, 5.39, 8.82, 3.09 และ 2.85 mg/g สารสกัด ตามลำดับ สารสกัดหัวไชเท้ามี
ประมาณ ฟี นอลิกและฤทธิ์ต้านอนุม ูลอิสระมากที่ สุด จึ งได้ เลือกสารสกัดหั วไชเท้ ามาเป็ นส่วนผสมในโลชันที่จะ
พัฒนาขึ้น จากการพัฒนาสูตรโลชันที่มีน้ำมันงาขี้ม้อน และสารสกัดหัวไชเท้าทั้งหมด 4 สูตร พบว่าโลชันสูตรที่ 4 มี
คุณภาพ มีความคงตัวไม่แยกชั้น และไม่ทำให้เกิดการแพ้ในอาสาสมัคร นอกจากนี้ยังได้สกัดน้ำมันหอมระเหยจาก
เปลือกมะกรูดและเปลือกส้มแล้วให้อาสาสมัครทดสอบความพึงพอใจต่อกลิ่นของโลชั่นที่ผสมน้ำมันหอมระเหยทั้งสอง
ชนิด พบว่าอาสาสมัครชอบกลิ่นมะกรูดมากกว่ากลิ่นส้มที่ระดับนัยสำคัญ 0.19 จากการทดสอบการใช้โลชันสูตรที่มีและ
ไม่มีสารสกัดหัวไชเท้าเป็นเวลา 9 สัปดาห์ และวัดค่าความสว่างของสีผิว (L)โดยเครื่องวัดสี MiniScan EZ 4500L พบว่า
อาสาสมัครที่ใช้โลชันทั้งสองสูตรมีสีผิวขาวขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 9 สัปดาห์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.005 และสูตรที่มีสารสกัด
หัวไชเท้าทำให้ผิวขาวขึ้นมากกว่าโลชันสูตรที่ไม่มีสารสกัด หัวไชเท้าที่ระดับนัยสำคัญ 0.001 ส่วนความพึงพอใจโดยรวม
ของโลชันทั้งสองสูตรอยู่ในระดับพอใจมากเท่ากันที่ระดับ12 นัยสำคัญ 0.05 โลชั่นทาผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันงาขี้ม้อน
สารสกัดหัวไชเท้า และน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดที่พฒ ั นาขึ้นมีคุณภาพเป็นที่น่าพอใจ และสามารถทำให้ผิวขาวขึ้นได้
อรชญา เกาพเพชร (2558) ผิวหน้าที ่ ด ีเป็ นหนึ ่ งในปั จจั ยที ่ท ําให้ ผู ้หญิ งดูสวย ดั งนั ้ นจึ งมี คนมากมายให้
ความสำคัญกับการบํารุงผิวหน้าโดยการใช้ครีม โดยในปัจจุบันตลาดอุตสาหกรรมเครื่องสําอางกลุ่มสกินแคร์ในประเทศ
22
เปลื อกสี เสี ยดเทศ 2.ศึกษาประสิทธิภาพยับยั ้ งการทำ งานของเอนไซม์ ไทโรสิ เนสของสารสกั ดหยาบ 3.ศึ กษา
องค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดหยาบที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำ งานของเอนไซม์ไทโรสิเนสมากที่สุด 4.พัฒนาครีมทาผิว
จากสารสกัดหยาบที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำ งานของเอนไซม์ไทโรซิเนสมากที่สุดโดยนำ เปลือกสีเสียดเทศสดมาสกัดด้วยเอ
ทานอล นำ สารสกัดหยาบไปหาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดเทียบกับสารมาตรฐานกรดแกลลิกและกรดแทนนิกและหา
ประสิทธิภาพยับยั้งการทำ งานของเอนไซม์ไทโรสิเนสด้วยวิธีโดพาโครม นำสารที่มีประสิทธิภาพไปแยกด้วยเทคนิคตรง
เลขผิ วบางและแบบคอลัมน์แล้วนำ ไปศึกษาองค์ ประกอบทางเคมีด ้ วยเครื ่ อง GC-MSและนำ สารสกั ดกลุ ่ มที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดไปพัฒนาครีมทาผิวหน้า ผลการวิจัยพบว่าสารสกัดกลุ่มที่ 5 จากเปลือกสีเสียดเทศมีองค์ประกอบ
ทางเคมี ป ระกอบด้ ว ยสาร 4-propyl phenol และสารประกอบเชิ ง ซ้ อ นของ Fe และ monocarbonyl-(1,3-
butadiene,4-dicarbonicacid, diethyl ester) N,N/-dipyridyl และมี ฤทธิ ์ ย ั บยั ้ งการทำ งานของเอนไซม์ ไทโรสิเน
สค่อนข้างดี มีค่า IC50 เท่ากับ 0.1850 mg/ml และครีมทาผิวหน้าที่พัฒนาขึ้นมีค่า pH เท่ากับ 8 สีขาวอมชมพูออ่ น
ไม่มีกลิ่น ลักษณะสัมผัสนุ่ม ทดสอบด้วยวิธี patch test ไม่เกิดการแพ้ เมื่อนำ ไปให้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ทดลอง
ใช้ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในคุณภาพของครีมร้15อยละ 87
บทที่ 3
วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการศึกษาค้นคว้า
1. วัสดุ
1.1 น้ำมันเมล็ดยางพารา
1.2 น้ำมันมะพร้าว
1.3 เชียร์บัตเตอร์
1.4 ปิโตเลียมเจลลี
1.5 ว่านหางจระเข้
1.6 น้ำมันหอมระเหย
1.7 น้ำ
27
1.8 เนยโกโก้
1.9 น้ำมันอัลมอย์ออย
2. อุปกรณ์
2.1 เครื่องกระเทาะเปลือก
2.2 บีกเกอร์
2.3 เครื่อง Rotary evaporator
2.4 เครื่องชั่งน้ำหนักทศนิยม 2 ตำแหน่ง
2.5 ตู้อบลมร้อน
2.6 เครื่องปิดผนึก
2.7 เครื่อง “viscometer”
3. วิธีการศึกษาค้นคว้า
3.1 การสกัดน้ำมันจากเมล็ดยางพาราโดยใช้เฮกเซนเป็นตัวทำละลาย
เมล็ดยางพาราที่ใช้ในการวิ จั ย ครั ้ ง นี ้ เป็ น พั น ธุ ์ RRIM 600 จากจั ง หวั ด ปั ต ตานี เมื ่ อ ได้ เ มล็ด
ยางพารามาแล้ว ล้างทำความสะอาด กระเทาะเปลือกออก แล้วนำเนื้อในเมล็ดยางพารามาทำการบด จากนั้นสกัด
ด้วยตัวทำละลายเฮกเซน ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อครบเวลากรองเอาเฉพาะสารสกัดมากำจัดนำ
ออกด้วย Na2SO4 สารละลายที่ได้นำไประเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง Rotary evaporator จากนั่นทำการชั่ง
น้ำหนักน้ำมันเมล็ดยางพาราที่ได้ เก็บที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสและทำการวิเคราะห์โลหะหนักเพื่อนำไปใช้ต่อไป
17
ได้น้ำมันเมล็ด ปั่นแยก
ยางพารา ส่ วน
ที่พร้อมใช้งาน
รูปที่ 3.1 กระบวนการสกัดการสกัดน้ำมันจากเมล็ดยางพาราโดยใช้เฮกเซนเป็น
ตัวทำละลาย
3.2 ศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือดังแสดงในตารางที่ 3.1 โดยเตรียมทั้งหมด
4 สูตร โดยใช้ความเข้มข้นของน้ำมันเมล็ดยางพาราที่ 0,20, 30, และ 40 กรัม จากนั้นประเมินคุณสมบัต ิของ
ผลิตภัณฑ์ทำครีมบำรุง ผิวมือของทั้ง 4 สูตร คือ ลักษณะเนื้อครีม ค่า pH สี และกลิ่น และเลือกสูตรที่ดีที่สุดเพื่อ
วางแผนทำผลิตภัณฑ์และการทดสอบดังแสดงในหัวข้อที่ 3.3 และ หัวข้อที่ 3.4 ต่อไป
18
3.3 การทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์
เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไว้ที่สภาวะเร่งด้วยอุณหภูมิร้อนสลับเย็น (heating-cooling: 45 °C, 24 h-4 °C, 24
h) จานวน 6 รอบ จากนั้นทำการประเมินสมบัติทางกายภาพของตัวอย่างผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบกั บสมบัติ เริ่มต้น
เพื่อทดสอบว่าสมบัติทางกายภาพยังคงเดิมหรือไม่ ดังนี้ สี ประเมินโดยใช้เครื่อง “chromameter” กลิ่น ประเมิน
จากการดม ค่า pH ประเมินโดยใช้ pH meter และค่าความหนืด ประเมินโดยใช้เครื่อง “viscometer”
3.4 การทดสอบความระคายเคืองของผลิตภัณฑ์
ทำการทดสอบความปลอดภัยเบื้ องต้ น (safety test) ของผลิ ต ภั ณ ฑ์ ครี ม บำรุ งผิ ว มื อจากน้ ำ มั น เมล็ด
ยางพารา โดยวิธี single patch test บนผิวของอาสาสมัครจำนวน 100 คน อายุระหว่าง 19-35 ปี ที่มีชนิดและสี
ผิ วหลากหลาย โดยใช้แผ่น แปะ Finn Chamber 8 มิ ลลิ เ มตร ปิ ด บริ เ วณท้ อ งแขนเป็ น เวลา 24 ชั ่ วโมง โดย
เปรียบเทียบระหว่างครีมพื้นฐานกับครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดยางพารา 20 กรัม จากนั้นแปลผลและบันทึก
ผลการทดลอง แปลผลการทดสอบโดยอ่านผลหลังจากลอกแผ่นทดสอบออก 30 นาที ภายใต้สภาวะเดียวกัน ถ้า
บริเวณที่ทดสอบไม่เกิดปฏิกิริยา ถือว่าสิ้นสุดการทดสอบและให้ซักถามอาสาสมัครอีกครั้งเพื่อยืนยันผล ถ้าพบว่ามี
ปฏิกิริยาเกิด ขึ้น ให้กลับมาอ่านผลอีก ครั้ ง จนกว่าผิ วหนัง จะคื น สู่ สภาพปกติ การให้คะแนนความระคายเคือ ง
ภายหลังการทดสอบผลิตภัณฑ์ ดังแสดงในตารางที่ 3.2 จากนั้นนำคะแนนที่ได้มาคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยของดัชนี
ความระคายเคือง (Mean Irritation Index: M.I.I.) และแปลผลการระคายเคืองดังตารางที่ 3.3
ดัชนีความระคายเคือง = ผลรวมของค่าความระคายเคือง
จำนวนอาสาสมัคร
ตารางที่ 3.2 ความสัมพันธ์ระหว่างอาการที่เกิดและคะแนนความระคายเคือง
คำอ้างอิง อาการที่พบ คะแนนความ
ระคายเคือง
ไม่แสดงการระคายเคือง ไม่มรี อยแดงบวม 0
สงสัย มีรอยแดงบวมเล็กน้อย (ยากแก่การมองเห็น) 0.5
เล็กน้อย มีรอยแดง ไม่มีตมุ่ ใส 1
ชัดเจน มีรอยแดงบวมชัดเจน 2
30
19
3.6 ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
31
สำหรับการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานใช้เกณฑ์ในการกำหนดช่วงความกว้างของ
ข้อมูลแต่ละระดับ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) ดังนี้
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.51 - 5.00 หมายถึง มีระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.51 - 4.50 หมายถึง มีระดับมาก
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.51 - 3.50 หมายถึง มีระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.51 - 2.50 หมายถึง มีระดับน้อย
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00 - 1.50 หมายถึง มีระดับน้อยที่สุด
21
33
บทที่ 4
ผลการศึกษาค้นคว้า
การศึกษากระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพาราครั้งนี้ สามารถแสดง
ผลการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล ได้ดังนี้
4.1 ผลการศึกษาการสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา
เตรียมน้ำมันจำกเมล็ดยำงพำรำ สกัดด้วยเฮกเซนทีอ่ ุหภูมหิ อ้ ง24 ชัวโมง
่ ระเหยเอำตัวทำ
ละลำยออกจะได้น้ำมันเมล็ดยำงพำรำ 40-50 กรัม นำน้ ำมันเมล็ดยำงพำรำ ตรวจสอบควำมปลอดภัย
ปริมำณธำตุโลหะหนักผลกำรทดสอบ ตรวจไม่พบ คือ มีค่ำน้อยกว่ำค่ำ LOD ของวิธกี ำรวิเครำะห์ ผลแสดง
ดังรูปภำพข้ำงล่ำงต่อไปนี้
ตารางที่ 4.1 ผลการวิเคราะห์ธาตุโลหะหนัก
34
4.2 ผลการศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของผลิ ตภั ณฑ์ ครีม บำรุ งผิว มือ ที่ มีน้ ำมั นเมล็ ดยางพาราที ่ ได้เป็น
ส่วนประกอบ ทำการเตรียมโดยใช้ความเข้มข้นของน้ำมันเมล็ดยางพาราที่ 0, 20, 30, และ 40 กรัม ตามสูตรดัง
แสดงในตารางที่ 3.1 จากนั้นประเมินผลความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันยางพาราที่เตรียมได้
โดยประเมินจากสี, กลิ่น, ค่า pH, ค่าความหนืด (viscosity) ซึ่งสมบัติต่างๆ ของสูตรแสดงในตารางที่ 4.1
0 20 30 40
26
5 x̄ S.D.
4.45
4.5 4.2 4.15
4
3.5
2.5
1.5
1 0.7
0.68
0.5 0.37
0
กลิ่น เนื ้อครีม ความชอบโดยรวม
3.5 3.65
2.5
1.5
1
0.67
0.49 0.53
0.5
0
การเลือกใช้ วสั ดุ ความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ รายละเอียดผลิตภัณฑ์
x̄ S.D.
2.5
1.5
1 0.67
0.49 0.53
0.5
0
มีความสะดวกในการใช้ งาน ราคาเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มีคุณค่า
x̄ S.D.
บทที่ 5
สรุปและอภิปรายผลการศึกษาค้นคว้า
5.1 สรุปผลการศึกษาค้นคว้า
5.1.1 ผลการศึกษาการสกัดน้ำมันเมล็ดยางพารา พบว่าน้ำมันเมล็ดยางพารา มีความปลอดภัย ไม่พบ
สารจำพวกโลหะหนัก ตะกั่ว (Pb) แคดเมียม (Cd) สารหนู (As2O3) และปรอท (Hg)
5.1.2 ผลการศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการผลิตครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา พบว่า สูตร
ที่ 1 ได้รับคะแนนทางประสาทสัมผัส จากผู้ทดสอบใช้จำนวน 30 คน สูงที่สุดในด้านเนื้อสัมผัส,สี,กลิ่น ,ความหนืด
และความชอบโดยรวมเท่ากับ 6.05,7.9,7.2,7.20,7.5 ตามลำดับ
42
เอกสารอ้างอิง
44
กรมวิชาการเกษตร 2563.
[26] เฉลิมพร ณ พัทลุง; จินดา เจริญพรพาณิชย์. ไบโอดีเซลจากน้ำมันเมล็ดยางพารา.
การประชุมวิชาการเครือข่ายวิศวกรรมเครื่องกลแห่งประเทศไทย
ครั้งที่ 19 ภูเก็ต 2548
ภาคผนวก
ก. แบบทดสอบคุณภาพทางประสาทสัมผัส แบบ 9-Point Hedonic Scale
ข. แบบสอบถามระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
ค. กรรมวิธีการผลิตครีมบำรุงผิวมือจากน้ำมันเมล็ดยางพารา
ง. เอกสารการได้รับอนุสิทธิบัตร
จ. เอกสารรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
ฉ ศักยภาพในการนําไปใช้ประโยชน์
ช. แผนการตลาด
ซ.การเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ผลงาน
47