Professional Documents
Culture Documents
piyanuncha,+ ($userGroup) ,+3 +6บทความ วัชรชัย+วิวัฒน์คุณากร
piyanuncha,+ ($userGroup) ,+3 +6บทความ วัชรชัย+วิวัฒน์คุณากร
piyanuncha,+ ($userGroup) ,+3 +6บทความ วัชรชัย+วิวัฒน์คุณากร
ศาสนาผีในรัฐไทย
spiritism in Thai state
วัชรชัย วิวัฒน์คุณากร1
Watchalachai WiWatkunakorn1
บทคัดย่อ
ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคู่กับรัฐในทุกรัฐของโลก แตกต่างกันออกไปตามประวัติศาสตร์
ของแต่ละท้องถิ่นหรือประเทศแต่ศาสนาที่อยู่กับรัฐไทยมาโดยตลอดนั้นคือศาสนาผีที่ดำรงอยู่
มาก่อนศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาประจำรัฐ ที่คนในรัฐไทยนับถือมากที่สุดแต่อาจจะน้อยกว่า
ศาสนาผีด้วยซ้ำ บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาสภาพแวดล้อมและการพัฒนาการของศาสนา
ผีที่มีการพัฒนาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเองควบคู่กับรัฐมาโดยตลอดตั้งแต่รัฐโบราณจนมาถึง
รัฐสมัยใหม่และรัฐในอนาคต การดำรงอยู่ของศาสนาผีจะสะท้อนให้ เห็นการครอบงำการ
ปกครองและมุมมองของประชาชนที่มีต่อรัฐ และการดำรงชีวิตประจำวันของคนในรัฐที่ยังคง
ผูกพันธ์ แนบแน่นกับความเชื่อโบราณอย่างศาสนาผีอย่างกลมกลืน ศาสนาผีมีการปรับตัวต่อ
ยุคสมัยและการปกครองของรัฐอยู่ตลอดเวลา อาจจะปรับตัวมากกว่าตัวรัฐเองเสียด้วยซ้ำ เพื่อ
การดำรงอยู่ในปัจจุบันและอนาคตอีกทั้งเป็นการหล่อเลี้ย งคนในสังคมให้ดำรงชีวิตอย่างมี
ความหวังในรัฐสมัยใหม่อย่างแยบยล
คำสำคัญ: ศาสนาผี,รัฐ
Abstract
1อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสยาม
E-mail: watchalachai.wiw@siam.edu
บทความ
ปฎิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาความเป็นรัฐของสยาม-ไทยนั้นพัฒนาควบคู่กับวิถีชีวิตของ
คนในสังคมและพัฒนาการทางศาสนา โดยรัฐไทยอาจจะเน้นไปที่ศาสนาพุทธที่คนส่วนใหญ่ใน
ประเทศไทยนับถือตามบัตรประจำตัวประชาชนที่เป็นเอกสารยืนยันตัวบุคคลในแง่ของการมี
สัญชาติไทย ว่าบุคคลที่มีสัญชาติไทยย่ (อุ๋ยเต็กเค่ง, พานิช, และ เหล่ามานะเจริญ, 2564) (อุ๋ย
เต็กเค่ง, พานิช, และ เหล่ามานะเจริญ, 2564)อมมีบัตรประจำตัวประชาชน จึงเห็นได้ชัดเจน
ว่ารากฐานของความเป็นรัฐจึงถูกพัฒนาควบคู่ไปกับความเชื่อและพิธีกรรมในรูปแบบของ
ศาสนาผี ซึ่งไม่สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าผิดถูกหรือดีไม่ดี หากแต่ว่ารัฐไม่สามารถปฏิเสธ
การดำรงอยู่ของศาสนาผีได้
ศาสนาผีก่อกำเนิดขึ้นเมื่อใด ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่สามารถค้นหาคำตอบที่แน่นอน
ได้ชัดเจน เพียงแต่ว่ามีการสันนิฐานว่าเกิดขึ้นมาพร้อมกันกับความเชื่อว่าสังคมโดยรอบตัวเรา
มีวิญญาณ(บุคคลที่สิ้นชีวิตในทางกายภาพแต่ยังคงดำรงอยู่ในรูปแบบของพลังงาน)สิงสถิตอยู่
โดยวิญญาณเหล่านั้นมีอำนาจเหนือความเป็นจริงตามธรรมชาติและยังคงคอยช่วยเหลือ
สนับสนุนหรือแม้แต่ลงโทษกลั่นแกล้งคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผีจึงเป็นสิ่งที่ให้ทั้งคุณ-โทษกับคนในรัฐ
ไทย
ในอดีตผีในรูปแบบของเทพหรือเทวดา หมายถึงคนที่กระทำความดีตอนที่ยังมีชีวิต
และเมื่อตายลงก็แปรสภาพเป็นพลังงานในรูปแบบวิญญาณที่มีพลังสำหรับใช้ในด้านบวก จึง
เป็นกลไกที่ควบคุมสังคมและขับเคลื่อนสังคมด้วยบทบาทของการบังคับความรู้สึกนึกคิดให้คน
ไม่ทำผิดต่อตนเองและสังคมอีกทั้งยังมีการแสดงออกมาให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสมาชิกใน
สังคมหรือแม้แต่ ผีบ้านผีเรือน ผีปู่ -ผีย่า ผีบรรพบุรุษที่คอยควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกใน
ครอบครัว ซึ่งเมื่อมีการทำผิดก็จะมีพิธีกรรมการขอขมาผีบรรพบุรุษ ซึ่งแตกต่างกันออกไปใน
แต่ละท้องถิ่น “เรื่องผี สังคมยังมีความเข้าใจที่แตกต่างกันไป ผีในศาสนาดั้งเดิมก่อนรับศาสนา
พุทธและพราหมณ์ กับหลังรับศาสนาแล้ว พอพูดไปจะสับสนและปนเป แต่ถ้าค่อยๆ ทำความ
เข้าใจร่วมกัน เราจะไม่ปนกัน” (สุจิตต์ วงษ์เทศ) หรือแม้แต่การดำรงชีวิตประจำวันของคนใน
รัฐก็ผูกพันข้องเกี่ยวกับศาสนาผีตลอดเวลา อย่างคาดไม่ถึง เช่นชาวนามีการบูชาพระแม่โพสพ
ซึ่งเป็นเทพ(ผี)แห่งข้าว ชาวประมงที่ออกเรือก็มีการบูชาแม่ย่านางเรือ (ผีประจำเรือ) เพื่อให้
การออกเรือหาปลามาดำรงชีวิตไม่มีอุปสรรคและเพื่อร้องขออำนาจเหนือธรรมชาติจากแม่
ย่านางเรือในการคุ้มครองตนเองในเวลาออกเรือ แต่กลับมิใช่การให้เปล่ากล่าวคือการร้องขอ
อำนาจจากเทพ-เทวดา(ผี)นั้นต้องแลกมาด้วยสิ่งที่เรียกว่าเครื่องเซ่นไหว้หรือการแก้บนนั้นยิ่ง
สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยในรัฐไทยมีความผูกพันธ์กับผี มากเสียยิ่งกว่าความผูกระหว่างคนใน
สังคมด้วยกันเอง แสดงให้เห็นว่าศาสนาผีไม่จำเป็นต้องมีลายลักอักษรอย่างเช่นข้อบังคับการ
ปฎิบัติเพื่อความสงบเรียบร้อยภายในรัฐหรือเรียกอย่างง่ายว่า กฎหมาย หรือ รัฐธรรมนูญ
ศาสนาผีนั้นพัฒนาควบคู่กับรัฐในรูปแบบที่จับต้องไม่ได้ แต่เป็นที่รับรู้และรับทราบการดำรง
อยู่ของศาสนาผีจากคนในสังคมและคนในรัฐหรือแม้แต่กระทั้งผู้ปกครองของรัฐก็รับทราบและ
รับรู้การดำรงอยู่ของศาสนาผี รวมถึงใช้ศาสนาผีเป็นเครื่องมือในการปกครองและพัฒนารัฐใน
รูปแบบต่างๆอย่างมีนยั ยะสำคัญมาโดยตลอด
ในปัจจุบันรัฐโบราณพัฒนาผ่านช่วงเวลาและเหตุการณ์ต่างๆเข้าสู่การเป็นรัฐสมัย
ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในการพัฒนารัฐ
รวมถึงคนในรัฐ ศาสนาผีจึงไม่ใช่ความเชื่อหลักของสังคมอีกต่อไป อาจกล่าวได้กล่าวกลไกทาง
สังคมที่ควบคุมโดยศาสนาผีผันแปรกลายเป็นเพียงองค์ประกอบบางส่วนของสังคม แต่มิได้
หายไปอย่างถาวร เพราะในแต่ละท้องถิ่นความเชื่อเรื่องศาสนาผียังคงดำรงอยู่แบบเงียบๆ
ภายใต้สภาวะของรัฐสมัยใหม่แต่มิใช่ดำรงอยู่ในฐานะกลไกที่ควบคุมการดำเนินชีวิตของคนใน
รัฐดังเช่นอดีตอีกต่อไป หากทว่ากลับดำรงอยู่ในฐานะมิติทางวัฒนธรรมของรัฐและพัฒนาการ
ทางสังคมภายในรัฐ เนื่องจากศาสนาผีนั้นถูกซ่อนเร้นไว้ใต้หน้าฉากของความหวัง ความเชื่อ
ความศรัทธา ความงมงายและการคาดหวัง การคาดหวังในฐานะที่ศาสนาผีมีพลังอำนาจเหนือ
ธรรมชาติ เหนือกฎเกณฑ์ของสังคม การคาดหวังในการดลบันดาลให้คนที่ศรัทธา บูชา เซ่น
ไหว้ พบเจอกับสิ่งที่ตนเองพึงประสงค์ในการดำรงชีวิต(การขอพร)ภายใต้ข้อจำกัดของรัฐ
ความเชื่อถือในศาสนาผีที่ยังดำรงอยู่อย่างเงียบๆนั้นยิ่งตอกซ้ำและสะท้อนถึงความ
สิ้นหวังในระบบรัฐ ปกติ ที่ควบคุมการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ระบบทุนนิยมที่ตอกย้ำ
ความยากจนและความสิ้นหวังในการใช้ ชีวิต ดังในรัฐที่เอื้อประโยชน์ส่วนใหญ่แก่นายทุนที่มี
อำนาจเหนือรัฐหรือแม้แต่ความผิดหวังในศาสนาที่รัฐไทยชูเป็นหลักของรัฐอย่างศาสนาพุทธ
แต่จะผิดหวังอย่างไรคงสุดแท้แต่ความคาดหวังของแต่ละบุคคล ศาสนาผีจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่
คนในรัฐยึดถือและเชื่อใจว่ายังคงมีพลังอำนาจบางอย่างที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ อยู่เหนือการ
ควบคุมและอยู่เหนือความเป็นไปในสังคม คอยอยู่เคียงข้างพวกเขาอย่างห่างๆ และพร้อมจะ
ช่วยเหลือพวกเขาผ่านการดลบันดาลในสิ่งที่พวกเขาร้องขอ หนึ่งในนั้นคือผีบรรพบุรุษของ
สามัญชน เราจะได้ยินคำกล่าวทางผีและพุทธในรัฐไทยเสมอว่า ผีปู่ผีย่าดูแลปกป้องลูกหลาน
ซึ่งอาจเป็นการสมาทานถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับกลายเป็นผีให้อยู่ช่วยดูแล คุ้มครอง ปกปัก
รักษาลูกหลานในครอบครัวและสามารถพัฒนามาเป็นผีประจำถิ่นที่คนในท้องถิ่นนั้นนับถือว่า
เป็นผู้ดูแลคนในท้องถิ่น ศาสนาผีจึงมีพัฒนาการควบคู่กับรัฐมาโดยตลอดอย่างเงียบๆ
หากจะกล่าวถึงการดำรงชีวิตในรัฐสมัยใหม่สิ่งที่คนในรัฐคาดหวั งคงหนีไม่พ้นสิ่งที่
เรียกโดยกว้างๆว่า รัฐสวัสดิการ หรือการจัดการภาครัฐในทิศทางของการกระจายความเจริญ
ให้เป็นไปอย่างเท่าเทียมกับทุกคนในรัฐ แต่หากทว่าภาพสะท้อนการมีอยู่ของศาสนาผีกลับยิ่ง
ตอกย้ำความล้มเหลวของการจัดการรัฐสวัสดิการ เช่น เราจะเห็นภาพของศาสนาผีในฐานะ
ความชนบท มิใช่เมืองใหญ่ ทุ่งนา ป่าช้า ป่าลึก มากกว่าตึกสูงระฟ้า การที่รัฐจัดการการ
กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น หรือประชาชนได้น้อยหรือล้มเหลวมากเพียงใดศาสนาผียิ่งคง
ความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ดังจะเห็นในตัวอย่างที่พบเจอได้ง่ายที่สุดเมื่อคนขาดรายได้หรือ
ค่าแรงขั้นต่ำของรัฐไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต คนย่อมไปหันไปพึ่งผีในการดลบัลดาลขอโชค
ลาภบอกกล่าวการเสี่ยงโชค หวยเป็นปรากฎการณ์ที่แสดงถึงพลังอำนาจของศาสนาผีที่ชัดเจน
ในสังคมมาโดยตลอดและสามารถแทรกซึมในสังคมได้อย่างแยบคายเช่น การขอหวยออนไลน์
จากขอเลขไลฟ์สดในอินเทอร์เน็ต เป็นการแสดงถึงการดำรงอยู่ของศาสนาผีอย่างชัดเจน
ภายใต้การพัฒนาของรัฐสมัยใหม่ เพราะรัฐไม่สามารถตอบสนองการใช้ชีวิตของคนในรัฐได้
คนจึงจำเป็นต้องหันไปพึ่งผี ให้ช่วยบอกเลขหวย เพื่อสร้างทุนในการดำรงชีวิต หรือเมื่อถึง
หน้าแล้งในชนบท พื้นที่ห่างไกลหลายๆแห่งมีน้ำไม่เพียงพอต่อการใช้ในการเกษตร เราจะเห็น
ปรากฎการณ์ที่เรียกว่าการทำพิธีขอฝนที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น เหล่าเกษตรกร
มักจะพึ่งพา วิงวอน เทพเทวดา ผีฟ้า เจ้าป่าจ้าเขา ในการวิงวอนขอน้ำ ในการทำเกษตร
มากกว่าการวิงวอนขอจากชลประทานของรัฐ หรือการไหว้แม่ย่านางรถ แม่ย่านางเรือ ซึ่งเป็น
ความเชื่อในศาสนาผีมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายจราจรจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะพวกเขาเชื่อ
ในพลังอำนาจของผีมากกว่าอำนาจของรัฐเสียด้วยซ้ำ
สรุป
การที่คนในรัฐไม่ได้รับการตอบสนองในความต้องการพื้นฐาน หรือความปลอดภัย
ในชีวิตจากรัฐและพร้อมหันไปพึงสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้วัฒนธรรมและการดำรงชีวิตอย่าง
ศาสนาผีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับเป็นเรื่องที่รัฐต้องนำไปทบทวนว่าเหตุใดปรากฎการณ์
หลายอย่างในรัฐสมัยใหม่ หรือในศตวรรษที่ 21 ศาสนาผียังคงโลดแล่นได้อย่างภาคภูมิภ ายใต้
บริบทของรัฐสมัยใหม่และโลกาภิวัฒน์อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะขยายอำนาจของศาสนาผีอย่าง
เงียบๆและแยบคายไปในวิถีชีวิตของคนในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงอยู่ที่ศาสนาผี
อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของคนในสังคมได้แต่กลับช่วยปลอบประโลมและหล่อเลี้ยง
ความหวังของคนในสั งคมได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะการดำรงอยู่และการขยายตัวของ
ศาสนาผีสะท้อนว่ารัฐนั้นผิดพลาด ล้มเหลวในการทำหน้าที่สร้างความเชื่อใจ ความมั่น่ใจและ
ความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และการดำรงชีวิตประจำวันอย่างปกติสุขภายในรัฐ (นฤปิติ,
2560)จนคนในรัฐต้องหันไปพึ่งศาสนาผี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(ส.พลายน้อย, 2555)
เอกสารอ้างอิง
คมกฤช อุ๋ยเต็กเค่ง, วิจกั ขณ์ พานิช, และ ศิรพิ จน์ เหล่ามานะเจริญ. (2564). ผี-พราหมณ์-
พุทธ ในศาสนาไทย. (ศิรพิ จน์ เหล่ามานะเจริญ, บ.ก.) กรุงเทพมหานคร:
สานักพิมพ์นาตาแฮก.
ชยางกูร ธรรมอัน. (8 สิงหาคม 2564). เข้าถึงได้จาก www.prachatai.com:
https://prachatai.com/journal/2021/08/94372#_ftn7
เดชา รัตตโยธิน. (2523). วิวฒั นาการของสังคม. กรุงเทพมหานคร: ศตวรรษ.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (15-28 พฤศจิกายน 2562). พุทธ-พราหมณ์-ผี หรือ ผี-พราหมณ์-พุทธ.
มติชนสุดสัปดาห์.
วิราวรรณ นฤปิ ติ. (2560). การเมืองเรือ่ งพระพุทธรูป. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์มติชน.
ศรัณย์ ทองปาน. (1-4 มกราคม 2538). มิสเตอร์รสั ต์แมนกับเทวรูปพระอิศวร. เมืองโบราณ
, 89-96.
ศรีศกั ร วัลลิโภดม. (2527). การถือผีในเมืองไทย. กรุงเทพ: ศิลปวัฒนธรรม.
ส.พลายน้อย. (2555). เล่าเรือ่ งบางกอก ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร: พิมพ์คา.