Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 204

1

ข้ อสอบเสมือนจริง ใบประกอบวิชาชีพครู
วิชาชีพครู

ชื่ อ…………………………………………นามสกุล.....................................................

คาชี้แจง
แบบทดสอบสอบนี้ จดั ทำขึ้นตำมผังกำรสร้ำงข้อสอบ (Test Blueprint) ที่คุรุสภำจัดทำ
ขึ้นสำหรับกำรทดสอบและประเมินสมรรถนะทำงวิชำชีพครู ดำ้ นควำมรู ้และ
ประสบกำรณ์วิชำชีพตำมมำตรฐำนวิชำชีพครู ครั้งที่ 2/2565
มี วตั ถุป ระสงค์เพื่ อ วัด ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรวิเครำะห์ กำรสังเครำะห์
กำรประเมินค่ำ วิชำกำรใช้ภำษำไทยเพื่อกำรสื่ อสำร
รายละเอียดแบบทดสอบ
แบบทดสอบฉบับนี้มีจำนวน 60 ข้อ
แบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
กระดำษคำตอบและเฉลยพร้อมคำอธิบำยอยูด่ ำ้ นหลัง

เอกสารนี้ เป็ นลิขสิ ทธิ์ของ อ.ดร.ยอดแก้ว แก้วมหิงสา


การทาซ้าหรื อดัดแปลงหรื อเผยแพร่ งานดังกล่าว จะถูกดาเนินคดีตามกฎหมาย
2

การเปลีย่ นแปลงบริบทของโลก สังคม และแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


1.กำรระบำดโควิด-19 ทัว่ โลก เป็ นสถำนกำรณ์ที่ควำมผันผวน กำรเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ไม่สำมำรถคำดเดำ
ได้ มีควำมไม่แน่นอน ยำกต่อกำรตัดสิ นใจส่งผลกระทบทำงเศรษฐกิจที่ลำกยำวและรุ นแรง พบว่ำมีผวู ้ ำ่ งงำน
จำนวนมำก ทำงด้ำนสุ ขภำพผูค้ นมีควำมวิตกกังวลเกี่ยวกับกำรแพร่ ระบำด ต้องอยู่บำ้ นตลอดเวลำ ต้อง
ทำงำนที่บำ้ น ทำงด้ำนกำรศึกษำกำรเลื่อนกำรเปิ ดภำคเรี ยน ตลอดจนกำรสั่งปิ ดสถำนศึกษำ นักเรี ยนยำกจน
ควำมเหลื่อมล้ ำ กำรเข้ำถึงอินเทอร์เน็ตสำหรับกำรเรี ยนออนไลน์ จำกข้อมูลตรงกับข้อใด
1. WHO
2. WEF
3. PISA
4. VUCA
5. New Normal
2.กำรระบำดของโรคติ ดเชื้ อไวรั ส โคโรนำ 2019 ทำให้ก ำรศึ ก ษำต้องปรั บตัว ไม่ ส ำมำรถกลับไปเรี ย น
ตำมปกติ ตำมเดิ ม ได้ จึ ง ท ำให้ ก ำรเรี ย นกำรสอนแบบออนไลน์รูปแบบใหม่ โดยเฉพำะมหำวิทยำลัย ที่ มี
ชื่อเสี ยงเป็ นผูจ้ ดั ทำรำยวิชำที่หลำกหลำยและเผยแพร่ สู่สำธำรณะได้รับควำมนิยมแพร่ หลำยอย่ำงรวดเร็ วไป
ทัว่ โลก รองรับกำรเรี ยนรู ้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ผูเ้ รี ยนสำมำรถฟื้ นฟูและทบทวนควำมรู ้ได้อย่ำงไม่จำกัด ตรง
กับรู ปแบบกำรเรี ยนกำรสอนตำมข้อใด
1. moocs
2. Zoom
3. Plickers
4. Kahoot
5. Google Meet
3

3.ผูใ้ ดมีคุณลักษณะสำคัญที่ส่งผลต่อกำรปฏิบตั ิงำนให้ประสบควำมสำเร็จ (Soft Skills)


1. ขำวเรี ยนจบทำงด้ำนคอมพิวเตอร์สำมำรถเขียนโปรแกรมได้
2. เหลืองเรี ยนต่อระดับปริ ญญำโทในสำขำที่เกี่ยวข้อกับกำรทำงำน
3. แดงสำมำรบริ หำรเวลำได้ดีแม้วำ่ จะต้องทำงำนไปด้วยเรี ยนไปด้วย
4. ฟ้ำมีใบอนุญำตประกอบวิชำชีพครู สำมำรถสอบบรรจุรับรำชกำรครู ได้
5. ดำมีควำมสำมำรถด้ำนภำษำต่ำงประเทศสำมำรถใช้ในกำรติดต่อลูกค้ำชำวจีน
4.กำรที่ผเู ้ รี ยนมีควำมรู ้แต่ไม่สำมำรถประยุกต์ใช้ควำมรู ้ในกำรทำงำน เรี ยนรู ้โดยจดจำควำมรู ้ เข้ำใจในระดับ
ผิวเผิน ไม่รู้จกั ตนเอง ไม่ รู้ศกั ยภำพและควำมถนัดของตน ไม่เห็นคุณค่ำของกำรเรี ยน และกำรเรี ยนไม่มี
ควำมหมำยต่อตนและชีวิตของตน เกิดมำจำกสำเหตุใดเป็ นหลัก
1. ควำมเหลื่อมล้ ำทำงกำรศึกษำสู ง
2. ครู ไม่มีเวลำสอนอย่ำงเต็มที่ตอ้ งทำงำนอื่น
3. นโยบำยกำรศึกษำมีกำรปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง
4. ครู บำงส่วนไม่มีใบอนุญำตประกอบวิชำชีพครู
5. มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้และตัวชี้วดั ที่อิงเนื้ อหำจำนวนมำก
5.ผูใ้ ดมีระดับควำมรู้ดำ้ นดิจิตอลสูงที่สุดตำม แนวคิด Bloom’s Digital Taxonomy
1. ไอซ์สำมำรถแปลงไฟล์ pdf เป็ น word
2. เมย์ใช้ Microsoft word ในบันทึกข้อมูลได้
3. แนนใช้แอพพลิเคชัน่ ตัดต่อวิดีโอเพื่อส่งงำน
4. พลอยเลือก Subscribe ช่องYouTube ที่ตนสนใจ
5. แบงค์ใช้โปรเเกรม Microsoft Excel ในกำรสร้ำงกรำฟนำเสนอผลงำน
4

6.ข้อใดคือทักษะในศตวรรษที่ 21
1. 2R7C
2. 2R8C
3. 3R7C
4. 3R8C
5. 4R7C
7.DLTV ตรงกับกำรเรี ยนกำรสอนในสถำนกำรณ์โควิด 19 ในข้อใด
1. On-site
2. On-line
3. On-air
4. On-hand
5. On-demand
8.ข้อใดคือทักษะที่เกี่ยวข้องกับควำมสำมำรถของมนุษย์ ที่ช่วยให้เรำสำมำรถทำควำมเข้ำใจกับตัวเองได้ดี
สำมำรถกำรบริ หำรจัด กำรอำรมณ์ และปฏิ สัมพันธ์กับผูอ้ ื่ น เพื่ อให้เกิ ดกำรทำงำนร่ ว มกันและประสบ
ควำมสำเร็จไปเป็ นทีมได้อย่ำงรำบรื่ น
1. จิตพิสัย
2. พุทธิพิสัย
3. ทักษะพิสัย
4. Soft Skill
5. Hard Skill
5

9.ข้อใดไม่ใช่หลักสำคัญของกำรศึกษำตลอดชีวิตตำม UNESCO
1. Learning to Be
2. Learning to Do
3. Learning to Know
4. Learning to Question
5. Learning to Live Together
10.ข้อใดกล่ำวถูกต้อง VUCA World
1. Volatility คือ ควำมซับซ้อน
2. Uncertainty คือ ควำมคลุมเครื อ
3. Complexity คือ ควำมผันผวนสูง
4. Ambiguity คือ ไม่มีควำมแน่นอนสูง
5. VUCA กองทัพสหรัฐใช้เรี ยกสถำนกำรณ์สงครำมอัฟกำนิสถำนและอิรัก
11.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง นโยบำย “TRUST”
1. T : ควำมโปร่ งใส
2. R : ควำมรับผิดชอบ
3. U : ควำมเป็ นอันหนึ่งอันเดียว
4. S : ควำมปลอดภัยของผูเ้ รี ยน
5. T : เทคโนโลยี
6

12.ข้อใดคือนโยบำยกระทรวงศึกษำธิกำร ประจำปี งบประมำณ พ.ศ. 2565 ด้ำนที่ 1


1. กำรยกระดับคุณภำพกำรศึกษำ
2. กำรจัดกำรศึกษำเพื่อควำมปลอดภัย
3. กำรสร้ำงควำมสำมำรถในกำรแข่งขัน
4. กำรส่งเสริ มสนับสนุนวิชำชีพครู และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ
5. กำรสร้ำงโอกำส ควำมเสมอภำค และควำมเท่ำเทียมทำงกำรศึกษำทุกช่วงวัย
13.จำกสถำนกำรณ์กำรแพร่ ระบำดของโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบจำกกำรเรี ยนทำให้เด็กต้องหลุดจำกระบบ
กำรศึกษำสถิติของกระทรวงศึกษำธิกำรรำยงำนจำนวนนักเรี ย นที่หลุดออกจำกระบบกำรศึกษำปี 2564 โดย
แบ่งตำมสังกัด ได้แก่ สังกัด สพฐ. จำนวน 78,003 คนดังนั้นจึงมีกำรจัดโครงกำรใด
1. พำน้องกลับมำบ้ำน
2. พำน้องกลับมำเรี ยน
3. พำน้องกลับมำเรี ยนที่บำ้ น
4. พำน้องกลับมำเรี ยนที่โรงเรี ยน
5. พำน้องกลับมำเรี ยนที่ออนไลน์
14.ข้อใดคือทักษะในกำรนำเครื่ องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทลั ที่มีอยู่ในปั จจุบนั อำทิ คอมพิวเตอร์
โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่ อออนไลน์ มำใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในกำรสื่ อสำร กำร
ปฏิบตั ิงำน และกำรทำงำนร่ วมกัน หรื อใช้เพื่อพัฒนำกระบวนกำรทำงำน หรื อระบบงำนในองค์กรให้มีควำม
ทันสมัยและมีประสิ ทธิภำพ
1. Digital Skill
2. Digital literacy
3. Digital Platform
4. Digital Disruption
5. Digital Technology
7

15.ข้อใดคือแนวทำงกำรพัฒนำทักษะกำลังคนของประเทศเพื่อกำรมีงำนทำและเตรี ยมควำมพร้อมรองรับ
กำรทำงำนในอนำคตหลังวิกฤตกำรระบำดของโควิด 19
1. PLC
2. Big Data
3. Blockchain
4. Educational Platforms
5. Reskill/Upskill/Newskill
16.ข้อใดคือกำรเรี ยนรู ้ เพื่ อเสริ มพลัง ผูเ้ รี ยนให้สำมำรถตัดสิ นใจอย่ำงมี ข้อมูล และมีกำรกระทำที่ มี ค วำม
รับผิดชอบต่อควำมมัน่ คงด้ำนสิ่ งแวดล้อม ควำมอยู่รอดทำงเศรษฐกิจ และควำมเป็ นธรรมทำงสังคม เพื่อ
มนุษย์ในปัจจุบนั และอนำคต พร้อมทั้งเคำรพควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรม
1. กำรศึกษำทำงเลือก
2. กำรเรี ยนรู ้ตลอดช่วงชีวิต
3. เป้ำหมำยกำรพัฒนำที่ยงั่ ยืน
4. กำรเรี ยนผ่ำนระบบออนไลน์
5.กำรศึกษำเพื่อกำรพัฒนำที่ยงั่ ยืน
17.ข้อใดเป็ นรู ป แบบกำรเรี ย นกำรสอนออนไลน์ที่ มี ก ำรปฏิ สัมพันธ์ระหว่ำงผูส้ อนและผูเ้ รี ย น ซึ่ งเป็ น
ห้องเรี ยนออนไลน์ที่มีขนำดใหญ่สำหรับนักเรี ยน นิสิต นักศึกษำ ประชำชนทัว่ ไปที่สนใจเข้ำเรี ยนในสำขำที่
ตนเองต้องกำรพัฒนำ
1. Zoom
2. Cisco
3. MOOC
4. Google Meeting
5. Microsoft Teams
8

18.สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนได้ติดตำมและประเมินผลกำรใช้หลักสู ตรกำรศึกษำของ
ชำติที่ใช้ในปัจจุบนั ผลกำรทดสอบ PISA พบว่ำ นักเรี ยนไทยมีค่ำเฉลี่ยคะแนนทุกด้ำนอยูใ่ นกลุ่มต่ำ สะท้อน
ให้เห็นว่ำนักเรี ยนโดยเฉลี่ยมีควำมรู ้และควำมสำมำรถในกำรใช้ควำมรู ้ต่ำกว่ำเกณฑ์มำตรฐำนนำนำชำติ ควร
จะมีกำรปรับหลักสูตรเป็ นตำมข้อใด
1. หลักสูตรคู่ขนำน
2. หลักสูตรบูรณำกำร
3. หลักสูตรอิงมำตรฐำน
4. หลักสูตรประสบกำรณ์
5. หลักสูตรฐำนสมรรถนะ
19.ข้อใดไม่ใช่แนวคิดกำรจัดกำรศึกษำตำมแผนกำรศึกษำแห่งชำติ ฉบับที่ 12
1. หลักกำรจัดกำรศึกษำเพื่อปวงชน
2. หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง
3. หลักกำรคนเป็ นศูนย์กลำงกำรพัฒนำ
4. หลักกำรมีส่วนร่ วมของทุกภำคส่วนของสังคม
5. หลักกำรจัดกำรศึกษำเพื่อควำมเท่ำเทียมและทัว่ ถึง
20.กระทรวงศึกษำธิกำรได้มีกำรปรับเปลี่ยนกระบวนกำรเรี ยนรู ้ให้สอดคล้องกับแผนกำรปฏิรูปประเทศด้ำน
กำรศึกษำแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ ชำติและในรำชกิจจำนุเบกษำที่กำหนดให้แก้ปัญหำด้ำนกำรศึกษำ
ด้วยวิธีปฏิรูปกระบวนกำรเรี ยนรู ้ตำมข้อใด
1. DLTV
2. On-line
3. Coding
4. Active Learning
5. Learning by doing
9

21.ข้อใดไม่ใช่สมรรถนะที่จำเป็ นตำมกรอบสมรรถนะครู เอเชียตะวันออกเฉียงใต้


1. กำรให้ชุมชนมีส่วนร่ วม
2. กำรช่วยให้นกั เรี ยนได้เรี ยนรู ้
3. ควำมรู ้และควำมเข้ำใจในสิ่ งที่จะสอน
4. มำตรฐำนควำมรู ้และประสบกำรณ์วิชำชีพ
5. กำรพัฒนำตนเองเป็ นครู ที่ดีข้ นึ ในทุก ๆ วัน
22.กำรเปลี่ยนแปลงของ Digital Revolution เป็ นระบบที่ใช้วิธีผสมผสำนของดิจิทลั กำลังแรงงำน และระบบ
ชี วภำพ ที่ มี ก ำรใช้อินเทอร์ เน็ตบู รณำกำรโลกของกำรผลิ ตเข้ำกับกำรเชื่ อมต่อทำงเครื อข่ำยในรู ป แบบ
‘Internet of Things (IoT)’ รวมถึ ง กำรท ำงำนที่ ใ ช้ร ะบบ AI ปั ญ ญำประดิ ษ ฐ์ ช่ ว ยให้ก ำรผลิ ต ที่ ร วดเร็ วมี
คุณภำพ และต้นทุนต่ำ
1. อุตสำหกรรม 1.0
2. อุตสำหกรรม 2.0
3. อุตสำหกรรม 3.0
4. อุตสำหกรรม 4.0
5. อุตสำหกรรม 5.0
23.คนที่ควำมสำมำรถทำงเทคโนโลยีสูง สำมำรถใช้เทคโนโลยีได้อย่ำงมีประสิ ทธิภำพ เรี ยนรู ้เทคโนโลยีได้
ว่องไว ปรับกำรใช้งำนได้รวดเร็ว ตรงกับข้อใด
1. Gen-X
2. Gen-Y
3. Gen-Z
4. Gen - Alpha
5. Baby Boomers
10

24.ข้อใดคือกำรจัดอันดับขีดควำมสำมำรถในกำรแข่งขันของประเทศ
1. Tier
2. PISA
3. IMD
4. WHO
5. WADA
25.ข้อใดคือโลกเสมือนที่ถูกสร้ำงขึ้นเพื่อเปิ ดให้ผคู ้ นได้เข้ำมำมีปฏิสัมพันธ์และทำกิจกรรรมร่ วมกันได้
1. Zoom
2. Avatar
3. Facebook
4. Metaverse
5. New Normal
26.ข้อ ใดหมำยถึ ง ปรั ช ญำชี้ ถึ ง แนวกำรด ำรงอยู่แ ละปฏิ บ ัติ ต นของประชำชนในทุ ก ระดับ ตั้ง แต่ ร ะดับ
ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในกำรพัฒนำและบริ หำรประเทศให้ดำเนิ นไปในทำงสำยกลำง
โดยเฉพำะกำรพัฒนำเศรษฐกิจ เพื่อให้กำ้ วทันต่อโลกยุคโลกำภิวตั น์
1. ทฤษฎีใหม่
2. โคกหนองนำ
3. ศำสตร์พระรำชำ
4. เศรษฐกิจพอเพียง
5. ยุทธศำสตร์ชำติ 20 ปี
11

27.เศรษฐกิจพอเพียง ตรงกับข้อใด
1. 2 ห่วง 2 เงื่อนไข
2. 2 ห่วง 3 เงื่อนไข
3. 2 ห่วง 4 เงื่อนไข
4. 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
5. 3 ห่วง 3 เงื่อนไข
28.ทฤษฎีใหม่ข้นั ต้นกำรจัดสรรพื้นที่อยูอ่ ำศัยและที่ทำกินให้แบ่งพื้นที่ตำมอัตรำส่ วนในข้อใด
1. 10 : 30 : 30 : 30
2. 30 : 10 : 30 : 30
3. 30 : 30 : 10 : 30
4. 30 : 30 : 30 : 10
5. 30 : 30 : 30 : 100
29.กำรจัดหลักสูตรสถำนศึกษำควรมีกำรกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตำมหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เกี่ยวข้องกับข้อใดมำกที่สุด
1. กำรบริ หำรทัว่ ไป
2. กำรบริ หำรวิชำกำร
3. กำรบริ หำรงำนบุคคล
4. กำรบริ หำรงบประมำณ
5. กำรบริ หำรสถำนศึกษำ
12

30.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
1. ดำเนินชีวิตอย่ำงพอดี
2. ตัดสิ นใจอย่ำงมีเหตุมีผล
3. เตรี ยมพร้อมรับกำรเปลี่ยนแปลง
4. เน้นกำรปฏิบตั ิตนบนทำงสำยกลำง
5. นำมำประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลำกับคนจน
31.เศรษฐกิจพอเพียงได้มีกำรบรรจุเป็ นครั้งแรกในแผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับใด
1. ฉบับที่ 9
2. ฉบับที่ 10
3. ฉบับที่ 11
4. ฉบับที่ 12
5. ฉบับที่ 13
32.ข้อใดเป็ นกำรบริ หำรจัดกำรสถำนศึกษำตำมปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงด้ำนวิชำกำร
1. มีค่ำนิยมกำรดำรงชีวิตแบบพอเพียงไม่โลภไม่ฟ้งุ เฟ้อ
2. ร่ วมมือกับหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องพร้อมพัฒนำกำรศึกษำ
3. พัฒนำบุคลำกรเครื อข่ำยโดยจัดอบรมให้ควำมรู ้วิทยำกร
4. นำหลักธรรมำภิบำลมำใช้ในกำรบริ หำรให้มีควำมเหมำะสม
5. กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตำมหลักเศรษฐกิจพอเพียง
13

33.กิ จกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยนเน้นกำรจัดกิ จกรรมให้แก่ ผูเ้ รี ยนทั้งในและนอกห้องเรี ยนเพื่ อปลูกฝั งจิ ตส ำนึ ก
พอเพียงให้เด็กและเยำวชนโดยผ่ำนกำรทำกิจกรรมยกเว้นข้อใด
1. กิจกรรมกีฬำสี
2. กิจกรรมจิตอำสำ
3. กิจกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม
4. กิจกรรมช่วยเหลือสังคม
5. กิจกรรมสื บสำนภูมิปัญญำท้องถิ่น
34.ข้อใดคือจุดเน้นประเด็นสำคัญของกำรพัฒนำหลักสูตรโดยแนวทำงกำรนำปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง
มำใช้ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
1. เพิ่มเติมวิสัยทัศน์เป้ำหมำยและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผูเ้ รี ยน
2. เน้นกระบวนกำรวิเครำะห์เน้นกำรปฏิบตั ิจริ งเพื่อนำไปสู่กำรปฏิบตั ิตน
3. จัดบรรยำกำศและสภำพแวดล้อมภำยในสถำนศึกษำให้เป็ นแหล่งเรี ยนรู ้
4. ให้ผปู ้ กครองและชุมชนเข้ำมำมีส่วนร่ วมในกำรจัดกำรศึกษำของสถำนศึกษำ
5. จัดระบบกำรบริ หำรจัดกำรภำยในสถำนศึกษำที่เอื้อต่อกำรส่ งเสริ มสนับสนุนกำรจัดกำรศึกษำ
35.ข้อใดคือกำรประยุกต์ใช้ปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงในด้ำนจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ
1. กระบวนกำรกลุ่ม
2. กระบวนกำรพึ่งพำตนเอง
3. กระบวนกำรคิดเชิงคำนวณ
4. กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์
5. กระบวนกำรคิดอย่ำงสร้ำงสรรค์
14

36.ข้อใดคือกำรประเมินสถำนศึกษำพอเพียงด้ำนกำรบริ หำรจัดกำรสถำนศึกษำ
1. จัดทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริ มสนับสนุนให้ผเู ้ รี ยนเกิดจิตอำสำ
2. มีผรู ้ ับผิดชอบที่เหมำะสมในกำรติดตำมผลกำรจัดกิจกรรมนักเรี ยน
3. มีแผนปฏิบตั ิงำนประจำปี ที่สอดคล้องกับนโยบำยข้ำงต้นของสถำนศึกษำ
4. สถำนศึกษำมีหน่วยกำรเรี ยนรู ้ปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงตำมมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้
5. จัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้หน่วยกำรเรี ยนรู ้หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงให้สัมฤทธิ์ผลยิง่ ขึ้นตำม
มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้
37.ข้อใดคือกำรประเมินสถำนศึกษำพอเพียงด้ำนหลักสูตรและกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้
1. มีกำรจัดกิจกรรมแนะแนวให้ผเู ้ รี ยนได้รู้จกั ศักยภำพของตนเอง
2. บุคลำกรและผูเ้ กี่ยวข้องของสถำนศึกษำ มีส่วนร่ วมในกำรจัดทำแผนงำน
3. มีกำรประชุมชี้แจงกำรนำนโยบำยสู่กำรปฏิบตั ิตำมแผนปฏิบตั ิงำนประจำปี
4. ผูบ้ ริ หำรมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจอย่ำงถูกต้องเกี่ยวกับหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง
5. มีแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่บูรณำกำรหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ในกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
38.ข้อใดคือกำรประเมินสถำนศึกษำพอเพียงด้ำนกำรจัดกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
1. มีกำรจัดตั้งชมรมที่สอดคล้องกับภูมิปัญญำท้องถิ่น
2. มีแผนกำรบริ หำรจัดกำรงบประมำณของสถำนศึกษำ
3. ใช้ สื่ อกำรเรี ยนรู ้เพื่อบูรณำกำรหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงในกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้
4. พัฒนำแหล่งเรี ยนรู ้ในสถำนศึกษำเพื่อสนับสนุนกำรเรี ยนรู ้เกี่ยวกับหลักปรัชญำของเศรษฐกิจ
พอเพียง
5. มีกำรเผยแพร่ หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง และ ผลกำรดำเนินชีวิตและปฏิบตั ิภำรกิจหน้ำที่
ของบุคลำกร
15

39.ข้อใดคือกำรประเมินสถำนศึกษำพอเพียงด้ำนกำรพัฒนำบุคลำกรของสถำนศึกษำ
1. ประเมินผลกำรนำหน่วยกำรเรี ยนรู ้หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ผูเ้ รี ยนมีส่วนร่ วมในกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ที่บูรณำกำรหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง
พอเพียง
3. แต่งตั้งผูร้ ับผิดชอบกำรใช้ ดูแล รักษำ ปรับปรุ งอำคำรสถำนที่และแหล่งเรี ยนรู ้ในสถำนศึกษำ
อย่ำงเหมำะสม
4. บุคลำกรและผูเ้ กี่ยวข้องของสถำนศึกษำมีส่วนร่ วมในกำรจัดทำแผนกำรบริ หำรจัดกำร
งบประมำณ
5. บุคลำกรของสถำนศึกษำเข้ำร่ วมกำรสัมมนำเพื่อส่งเสริ มกำรน้อมนำหลักปรัชญำของเศรษฐกิจ
พอเพียงมำใช้ในกำรดำเนินชีวิตและปฏิบตั ิภำรกิจหน้ำที่
40.ข้อใดคือกำรประเมินสถำนศึกษำพอเพียงด้ำนผลลัพธ์และภำพควำมสำเร็จ
1. มีผรู ้ ับผิดชอบที่ชดั เจนในกำรติดตำมผลกำรใช้งบประมำณของสถำนศึกษำ
2. มีผรู ้ ับผิดชอบที่เหมำะสมในกำรติดตำมผลกำรจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและสำธำรณประโยชน์ของ
ผูเ้ รี ยน
3. จัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้หน่วยกำรเรี ยนรู ้หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงให้สัมฤทธิ์ผลยิง่ ขึ้นตำม
มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้
4. บุคลำกรและผูเ้ กี่ยวข้องทั้งในและนอกสถำนศึกษำมีส่วนร่ วมในระบบดูแลช่วยเหลือและให้
คำปรึ กษำแก่ ผูเ้ รี ยน
5. ผูบ้ ริ หำรมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจอย่ำงถูกต้องเกี่ยวกับหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง และนำหลัก
ปรัชญำของ เศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบตั ิตน
16

41.ผูใ้ ดสำมำรถดำเนินชีวิตตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง
1. ครู บอลเล่นหวยอย่ำงหนัก
2. ครู นิวนำเงินเดือนทั้งหมดไปเก็งกำไรหุน้
3. ครู โบออกรถใหม่ป้ำยแดง แต่ยงั ยักหน้ำไม่ถึงหลัง
4. ครู น้ ำกูย้ มื เงินนอกระบบไปลงทุนสร้ำงรำยได้เสริ ม
5. ครู มำยประยุกต์ใช้สิ่งข้อใกล้ตวั มำเป็ นอุปกรณ์สอนออนไลน์
43.ผูใ้ ดสำมรถประยุกต์ใช้หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงในด้ำนกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
1. ครู มิ้นท์พำนักเรี ยนไปทำงำนอำสำสมัคร
2. ครู เฟิ ร์นสอนให้นกั เรี ยนรู ้จกั หน้ำที่พลเมือง
3. ครู อำร์มแนะแนวอำชีพที่มีงำนทำให้นกั เรี ยน ม.3
4. ครู เบียร์สำธิตวิธีกำรประดิษฐ์ของเล่นจำกวัสดุเหลือใช้
5. ครู น้ ำให้นกั เรี ยนยกตัวอย่ำงควำมเอื้ออำทรต่อครอบครัว
44.ผูใ้ ดไม่ได้นำเศรษฐกิจพอเพียงด้ำนเศรษฐกิจไปประยุกต์ใช้
1. ครู สมพรทำประกันชีวิตวัยเกษียณ
2. ครู สันติวำ่ งแผนลดรำยจ่ำยในครอบครัว
3. ครู สมรักหำงำนพิเศษช่วงปิ ดเทอมเพื่อเพิ่มรำยได้
4. ครู ณฐั วัตรคิดวำงแผนกำรใช้จ่ำยเงินช่วงโควิด-19
5. ครู จริ ยำบริ จำคเครื่ องมือแพทย์ที่จำเป็ นสำหรับรักษำผูป้ ่ วยโควิด-19
17

45.ผูใ้ ดไม่ได้นำเศรษฐกิจพอเพียงด้ำนสังคมไปประยุกต์ใช้
1. ครู ชยั วัฒน์เข้ำร่ วมโครงกำรจิตอำสำปลูกป่ ำ
2. ครู โอภำสศึกษำกำรลงทุนอย่ำงอย่ำงรอบคอบ
3. ครู อภิญญำอ่ำนหนังสื อให้คนตำบอดฟังออนไลน์
4. ครู สุชำวดีเข้ำร่ วมกิจกรรมวันผูส้ ูงอำยุของ อบต. เป็ นประจำทุกปี
5. ครู ภำนุพงศ์ทำงำนหนักแต่ทุกวันจะกลับมำกินข้ำวเย็นกับครอบครัว
46.ผูใ้ ดไม่ได้นำเศรษฐกิจพอเพียงด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่ งแวดล้อมไปประยุกต์ใช้
1. ครู วรวุฒิปลูกป่ ำออนไลน์
2. ครู สุรพลไม่เผำในที่โล่งแจ้ง
3. ครู สุดำรัตน์เป็ นประธำนโครงกำรรี ไซเคิลขยะ
4. ครู กำญจนำเลือกใช้หน้ำกำกอนำมัย N95 ป้องกันฝุ่ น PM 2.5
5. ครู เสริ มศักดิ์ติดตำมข่ำวพิธีแรกนำขวัญ ในวันพืชมงคลเป็ นประจำทุกปี
47.ผูใ้ ดไม่ได้นำเศรษฐกิจพอเพียงด้ำนวัฒนธรรมไปประยุกต์ใช้
1. ครู บุษบำใส่ ผำ้ ไทยไปสอนที่โรงเรี ยนเป็ นประจำ
2. ครู ครรชิตแชร์ข่ำวเตือนภัยสังคมโกงเงินซื้อของออนไลน์
3. ครู วีรยำเขียนหนังสื อรำชกำรใช้ภำษำไทยได้อย่ำงถูกต้องทุกคำ
4. ครู วุฒิชยั แสดงควำมเคำรพด้วยกำรไหว้ พ่อแม่ทุกครั้งก่อนออกไปทำงำน
5. ครู สมศักดิ์เล่นซ่อนหำ หมำกเก็บ มอญซ่อนผ้ำ กับลูก หลำน ในช่วงวันหยุดยำว
18

48.ตำมหลักเศรษฐกิจพอเพียง กำรดำเนินชีวิตควรยึดหลักใด
1. อริ ยสัจ 4
2. อิทธิบำท 4
3. สังคหวัตถุ 4
4. พรหมวิหำร 4
5. มัชฌิมำปฏิปทำ
49.เศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกับสำนวนไทยในข้อใด
1. น้ ำขึ้นให้รีบตัก
2. ช้ำช้ำได้พร้ำเล่มงำม
3. ตนเป็ นที่พ่ึงแห่งตน
4. อดเปรี้ ยวไว้กินหวำน
5. อย่ำเอำพิมเสนไปแลกกับเกลือ
50.ผูใ้ ดปฏิบตั ิตนตำมหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง
1. กัสจังรู ้จกั ประหยัด
2. ณิ ชำขอเงินพ่อแม่เพื่อซื้อ I phone 14
3. ของขวัญยืมเงินเพื่อนและผ่อนใช้ทีหลัง
4. จันจ้ำวอดอำหำรกลำงวันเพื่อเก็บเงินใส่ออมสิ น
5. จ้ะจ๋ ำทำงำนหลังเลิกเรี ยนเพื่อเก็บเงินไว้ซ้ื อสิ่ งของที่อยำกได้
19

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
ข้อ เฉลย
1 ตอบ 4. VUCA VUCA เป็ นค ำย่ อ ของ ควำมผัน ผวน (volatility) ควำมไม่ แ น่ น อน (uncertainty)
ควำมสลับซับซ้อน(complexity) และควำมคลุมเครื อ (ambiguity) เดิมเป็ นคำที่กองทัพสหรัฐอเมริ กำ
ใช้เรี ยสถำนกำรณ์ในสงครำมที่แอฟริ กำและอิรักที่สับสนและผันผวน แต่ตอนนี้ถูกนำมำใช้อธิบำยโลก
ปัจจุบนั ที่มีแต่ควำมสับสนและผันผวนรำวกับอยูใ่ นสงครำม และสภำวะแวดล้อมเศรษฐกิจในปัจจุบนั
ทีเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว
2 ตอบ 1. Moocs กำรเรี ยนกำรสอนแบบออนไลน์รูปแบบใหม่ที่มีชื่อเรี ยกว่ำ “รำยวิชำออนไลน์แบบเปิ ด
สู่มวลชน” (Massive Open Online Courses, MOOCs)
3 ตอบ 3. แดงสำมำรบริ หำรเวลำได้ดีแม้ว่ำจะต้องทำงำนไปด้วยเรี ยนไปด้วย Soft Skills เป็ นทักษะหรื อ
ควำมสำมำรถเฉพำะบุคคลที่ใช้เครื่ องมือวัดหรื อประเมินเป็ นระดับคะแนนได้ยำก เช่น กำรสื่ อสำร
กำรยื ด หยุ่ น กำรเป็ นผู ้น ำกำรบริ ห ำรเวลำ มนุ ษ ยสั ม พัน ธ์ เ ป็ นต้น Soft skill มี ค วำมเกี่ ย วข้อ งกับ
บุ ค ลิ ก ภำพ (Personality) และเมื่ อ น ำไปใช้จ ำเป็ นต้อ งเข้ำ ใจบริ บ ทและประยุก ต์ใ ห้เ หมำะสมกับ
สถำนกำรณ์ (Doyle, 2020)
4 ตอบ 5. มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้และตัวชี้วดั ที่อิงเนื้อหำจำนวนมำก ทำให้ครู มุ่งสอนและวัดผลตำมเนื้ อหำ
ในตัวชี้วดั อีกทั้งกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนของครู ยงั ไม่มีประสิ ทธิภำพเพียงพอ ส่งผลให้ผเู ้ รี ยนมีควำมรู ้
แต่ขำดสมรรถนะในกำรใช้ควำมรู ้ ไม่สำมำรถนำควำมรู ้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้
5 ตอบ 5. แบงค์ใช้โปรเเกรม Microsoft Excel ในกำรสร้ำงกรำฟนำเสนอผลงำน
6 ตอบ 4. 3R8C
7 ตอบ 3. On-air รู ปแบบกำรเรี ยนกำรสอนในสถำนกำรณ์โควิด 19
1.On-site เรี ยนที่โรงเรี ยน โดยมีมำตรกำรเฝ้ำระวังตำมประกำศของศบค.
2.On-air เรี ยนผ่ำนมูลนิธิกำรศึกษำทำงไกลผ่ำนดำวเทียม ในพระบรมรำชูปถัมภ์ หรื อ DLTV
3.On-demand เรี ยนผ่ำนแอปพลิเคชันต่ำงๆ
4.On-line เรี ยนผ่ำนอินเตอร์เน็ต
5.On-hand เรี ยนที่บำ้ นด้วยเอกสำร เช่น หนังสื อ แบบฝึ กหัด หรื ออำจใช้วิธีอื่นๆ เช่น วิทยุ เป็ นต้น
เพื่อให้เกิดควำมยืดหยุน่ ตำมควำมเหมำะสมของแต่ละพื้นที่
20

ข้อ เฉลย
8 ตอบ 4.Soft Skill (ทักษะกำรสื่ อสำร ควำมยืดหยุน่ ในกำรทำงำน ควำมเป็ นผูน้ ำ แรงจูงใจในกำรทำงำน
ควำมอดทนในกำรทำงำน ทักษะกำรโน้มน้ำวใจ ทักษะในกำรแก้ไขปั ญหำ กำรทำงำนเป็ นทีม กำร
บริ กำรจัดกำรเวลำ จริ ยธรรมในกำรทำงำน)
9 ตอบ 4. Learning to Question
1.กำรเรี ยนเพื่อรู ้ (Learning to Know) กำรเรี ยนที่ผสมผสำนควำมรู ้ทวั่ ไปกับควำมรู ้ใหม่ในเรื่ องต่ำง ๆ
อย่ำงละเอียดลึกซึ้ง และยังหมำยรวมถึงกำรฝึ กฝนวิธีเรี ยนรู ้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในกำรดำรงชีวิต
2. กำรเรี ยนรู ้ เ พื่ อ ปฏิ บ ัติ ไ ด้จ ริ ง (Learning to Do) กำรเรี ยนรู ้ ที่ ช่ ว ยให้ บุ ค คลสำมำรถรั บ มื อ กับ
สถำนกำรณ์ต่ำง ๆ และปฏิบตั ิงำนได้ เป็ นกำรเรี ยนรู ้โดยอำศัยประสบกำรณ์ต่ำง ๆ ทำงสังคมและใน
กำรประกอบอำชีพ
3.กำรเรี ยนรู ้เพื่อกำรอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together)กำรเรี ยนรู ้ที่ช่วยให้บุคคลเข้ำใจผูอ้ ื่นและ
ตระหนักดีวำ่ มนุษย์เรำจะต้องพึ่งพำอำศัยกัน ดำเนินโครงกำรร่ วมกันและเรี ยนรู ้วิธีแก้ปัญหำข้อขัดแย้ง
ต่ำง ๆ โดยตระหนักในควำมแตกต่ำงหลำกหลำย ควำมเข้ำใจอันดีต่อกันและสันติภำพ ว่ำเป็ นสิ่ งล้ ำค่ำ
คู่ควรแก่กำรหวงแหน
4.กำรเรี ยนรู ้เพื่อชีวิต (Learning to Be) กำรเรี ยนรู ้ที่ช่วยให้บุคคลสำมำรถปรับปรุ งบุคลิกภำพของตนได้
ดีข้ ึน ดำเนิ นงำนต่ำง ๆ โดยอิสระยิ่งขึ้น มีดุลพินิจ และควำมรับผิดชอบต่อตนเองมำกขึ้น กำรจัดกำร
ศึกษำต้องไม่ละเลยศักยภำพในด้ำนใดด้ำนหนึ่งของบุคคล เช่น ควำมจำ กำรใช้เหตุผล ควำมซำบซึ้ งใน
สุนทรี ยภำพ สมรรถนะทำงร่ ำงกำย ทักษะในกำรติดต่อสื่ อสำรกับผูอ้ ื่น
10 ตอบ 5. VUCA กองทัพสหรัฐใช้เรี ยกสถำนกำรณ์สงครำมอัฟกำนิสถำนและอิรัก
1. Volatility คือ สถำนกำรณ์ที่มีควำมผันผวนสูง มีกำรเปลี่ยนแปลงสูง และรวดเร็ว ไม่สำมำรถคำดเดำ
หรื อทำนำยได้ หรื อเป็ นสถำนกำรณ์เปลี่ยนฉับพลัน แบบตั้งตัวไม่ทนั
2. Uncertainty คือ สถำนกำรณ์ที่ไม่มีควำมแน่นอนสู ง คำดกำรณ์ได้ยำก ไม่มีควำมชัดเจน ไม่สำมำรถ
หำข้อมูลที่ชดั เจน มำยืนยันในแต่ละสถำนกำรณ์ได้ ทำให้ยำกต่อกำรตัดสิ นใจ
3. Complexity คือสถำนกำรณ์ที่มีควำมซับซ้อนสู งยำกต่อกำรตัดสิ นใจ เป็ นสถำนกำรณ์ที่มีตวั แปร
หลำยตัวแปร เข้ำมำเกี่ยวข้อง โดยที่ตวั แปรเหล่ำนั้นมีควำมเชื่อมโยงกันและส่ งผลกระทบต่อกันทำให้
ยำกต่อกำรตัดสิ นใจ ซึ่งสถำนกำรณ์ที่มีควำมซับซ้อนสู งมักจะเกิดขึ้นกับระบบที่มีโครงสร้ำงระบบ
4. Ambiguity คือ สถำนกำรณ์ที่มีควำมคลุมเครื อไม่ชดั เจน ไม่สำมำรถคำดเดำผลที่จะเกิดขึ้นได้ชดั เจน
21

ข้อ เฉลย
11 ตอบ 4. S : ควำมปลอดภัยของผูเ้ รี ยน
S ย่อมำจำก Student-Centricity (ผูเ้ รี ยนเป็ นเป้ำหมำยแห่งกำรพัฒนำ)
12 ตอบ 2. กำรจัดกำรศึกษำเพื่อควำมปลอดภัย
(ระบบมำตรฐำนควำมปลอดภัยในสถำนศึกษำ MOE Safety Center)
13 ตอบ 2. พำน้อ งกลับ มำเรี ย น (กระทรวงศึ ก ษำธิ ก ำรมี ก ำรพัฒ นำเครื่ อ งมื อ ติ ด ตำมนัก เรี ย นด้ว ย
แอพพลิเคชัน่ ที่ชื่อ “พำน้องกลับห้องเรี ยน” เบื้องต้นจะให้โรงเรี ยนต้นสังกัดติดตำมนักเรี ยน)
14 ตอบ 2. Digital literacy (4 มิ ติ ได้แ ก่ กำรใช้ (Use) เข้ำ ใจ (Understand) กำรสร้ ำ ง (create) เข้ำ ถึ ง
(Access) เทคโนโลยีดิจิทลั ได้อย่ำงมีประสิ ทธิภำพ)
15 ตอบ 5. Reskill/Upskill/Newskill
นิยำมของคำว่ำ Reskill/Upskill/Newskill
1. Reskill คือ กำรสร้ำงทักษะใหม่ที่จำเป็ นให้สอดคล้องกับควำมต้องกำรขององค์กร
2. Upskill คือ กำรพัฒนำเพื่อยกระดับทักษะเดิมให้ดีข้ นึ เพื่อรองรับกำรเติบโตในอนำคต
3. Newskill คือ กำรเรี ยนรู ้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตอ้ งนำมำประยุกต์ใช้กบั กำรทำงำน เช่น ทักษะทำงด้ำน
ดิจิทลั หรื อทำงำนร่ วมกับ AI
16 ตอบ 5. กำรศึกษำเพื่อกำรพัฒนำที่ยงั่ ยืน
กำรศึกษำเพื่อกำรพัฒนำที่ยงั่ ยืนเป็ นกำรศึกษำแแบบองค์รวม และเพื่อสร้ำงกำรเปลี่ยนแปลง ซึ่ งจะพูด
ถึงประเด็นด้ำนเนื้ อหำและผลลัพธ์กำรเรี ยนรู ้ วิธีกำรเรี ยนกำรสอน และสิ่ งแวดล้อมในกำรเรี ยนรู ้ เพื่อ
บรรลุวตั ถุประสงค์สูงสุดคือ กำรเปลี่ยนแปลงสังคม
เนื้อกำรศึกษำ : มีเนื้อหำที่สำคัญที่ผนวกเข้ำไปในหลักสู ตร เช่น กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ ควำม
หลำกหลำยทำงชีวภำพ กำรลดควำมเสี่ ยงจำกภัยพิบตั ิ และกำรบริ โภคและกำรผลิตที่ยงั่ ยืน และประเด็น
อื่นๆ ตำมเป้ำหมำย SDGs
17 ตอบ 3. MOOCกำรเรี ยนกำรสอนออนไลน์ดว้ ยรู ปแบบ Massive Open Online Courses: MOOC ได้แก่
วิดีโอกำรสอนบรรยำยเนื้ อหำและกำรยกตัวอย่ำงประกอบ เอกสำรกำรสอนแบบออนไลน์ กำรตอบโต้
แสดงควำมคิดเห็นระหว่ำงผูส้ อนและผูเ้ รี ยน กำรประเมินผลกำรเรี ยน และกำรทดสอบ
22

ข้อ เฉลย
18 ตอบ 5. หลักสูตรฐำนสมรรถนะ (Competency – Based Curriculum : CBC มีเป้ำหมำยเพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยน
ทุ ก คนให้มี ส มรรถนะหลัก ที่ ส ำคัญ จำเป็ น และส่ งเสริ มให้ผูเ้ รี ย นได้บ่ มเพำะ พัฒนำ และต่ อ ยอด
สมรรถนะหลัก และสมรรถนะอื่ น ได้ เ ต็ ม ตำมศัก ยภำพ ตำมควำมจ ำเพำะเจำะจงของบุ ค คล
(Personalization) ตำมควำมเชื่อที่ว่ำมนุษย์มีหน้ำที่ในกำรพยำยำมค้นหำตัวเอง และเลือกสร้ำงลักษณะ
ของตนเองตำมที่อยำกจะเป็ น กำรจัดกำรศึกษำตำมแนวคิดนี้จึงมุ่งให้ผเู ้ รี ยนทบทวน พิจำรณำ ไตร่ ตรอง
ใคร่ ครวญ และตรวจสอบ เพื่อให้คน้ พบและรู ้จกั ตนเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนำศักยภำพของตนเองอย่ำง
เป็ นองค์รวม)
19 ตอบ 3. หลักกำรคนเป็ นศูนย์กลำงกำรพัฒนำ (เป้ำหมำยกำรพัฒนำที่ยงั่ ยืน)
20 ตอบ 4. Active Learning
21 ตอบ 4. มำตรฐำนควำมรู ้และประสบกำรณ์วิชำชีพ
22 ตอบ 4. อุตสำหกรรม 4.0
23 ตอบ 4. Gen – Alpha (รั ก อิ ส ระ ไม่ ช อบกำรผู ก มั ด สนใจเทคโนโลยี และพร้ อ มรั บ มื อ กั บ
กำรเปลี่ ยนแปลงได้ตลอดเวลำ เป็ นคนอดทนต่ ำ สมำธิ ส้ ัน อยู่กับสิ่ งที่ตอ้ งใช้เวลำนำนๆได้ยำกขำด
ควำมรับผิดชอบในกำรทำงำนได้ง่ำย ชอบอยู่กบั ตนเอง ขำดปฎิสัมพันธ์กบั ผูอ้ ื่นและสังคม มีปัญหำ
เรื่ องกำรเข้ำสังคมและมนุษยสัมพันธ์)
24 ตอบ 3. IMD (อันดับควำมสำมำรถในกำรแข่งขันของไทยร่ วง จำกอันดับ 25 เป็ น 29 ของโลกจำก
ปัญหำควำมถดถอยทำงเศรษฐกิจ)
25 ตอบ 4. Metaverse
26 ตอบ 4. เศรษฐกิจพอเพียง
27 ตอบ 4. 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
28 ตอบ 4. 30 : 30 : 30 : 10
29 ตอบ 2. กำรบริ หำรวิชำกำร
30 ตอบ 5.นำมำประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลำกับคนจน
23

ข้อ เฉลย
31 ตอบ 1. ฉบับที่ 9 (แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545–2549)
32 ตอบ 5. กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตำมหลักเศรษฐกิจพอเพียง
33 ตอบ 1. กิจกรรมกีฬำสี
34 ตอบ 1. เพิ่มเติมวิสัยทัศน์เป้ำหมำยและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผูเ้ รี ยน
35 ตอบ 2. กระบวนกำรพึ่งพำตนเอง
36 ตอบ 3. มีแผนปฏิบตั ิงำนประจำปี ที่สอดคล้องกับนโยบำยข้ำงต้นของสถำนศึกษำ
37 ตอบ 5. มีแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่บูรณำกำรหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ในกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
38 ตอบ 1. มีกำรจัดตั้งชมรมที่สอดคล้องกับภูมิปัญญำท้องถิ่น
39 ตอบ 5. บุคลำกรของสถำนศึกษำเข้ำร่ วมกำรสัมมนำเพื่อส่งเสริ มกำรน้อมนำหลักปรัชญำของเศรษฐกิจ
พอเพียงมำใช้ในกำรดำเนินชีวิตและปฏิบตั ิภำรกิจหน้ำที่
40 ตอบ 5. ผูบ้ ริ หำรมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจอย่ำงถูกต้องเกี่ยวกับหลักปรั ชญำของเศรษฐกิจพอเพียง และนำ
หลักปรัชญำของ เศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบตั ิตน
41 ตอบ 5. ครู มำยประยุกต์ใช้สิ่งข้อใกล้ตวั มำเป็ นอุปกรณ์สอนออนไลน์
42 ตอบ 4. ครู เบียร์สำธิตวิธีกำรประดิษฐ์ของเล่นจำกวัสดุเหลือใช้ (กระบวนกำรพึ่งตนเอง)
43 ตอบ 5. ครู จริ ยำบริ จำคเครื่ องมือแพทย์ที่จำเป็ นสำหรับรักษำผูป้ ่ วยโควิด-19
(ด้ำ นเศรษฐกิ จ ลดรำยจ่ ำ ย / เพิ่ ม รำยได้ / ใช้ชี วิตอย่ำ งพอควร / คิ ดและวำงแผนอย่ำ งรอบคอบ /
มีภูมิคมุ ้ กัน / ไม่เสี่ ยงเกินไป / กำรเผื่อทำงเลือกสำรอง)
44 ตอบ 2. ครู โอภำสศึกษำกำรลงทุนอย่ำงอย่ำงรอบคอบ
(ด้ำนสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล / รู ้รักสำมัคคี / สร้ำงควำมเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน)
45 ตอบ 5. ครู เสริ มศักดิ์ติดตำมข่ำวพิธีแรกนำขวัญ ในวันพืชมงคลเป็ นประจำทุกปี
(ด้ำ นทรั พ ยำกรธรรมชำติ และสิ่ ง แวดล้อม รู ้ จัก ใช้และจัดกำรอย่ำงฉลำดและรอบคอบ / เลื อกใช้
ทรัพยำกรที่มีอยูอ่ ย่ำงรู ้ค่ำและเกิดประโยชน์สูงสุ ด / ฟื้ นฟูทรัพยำกรเพื่อให้เกิดควำมยัง่ ยืนสู งสุ ด)
24

ข้อ เฉลย
46 ตอบ 5. ครู เสริ มศักดิ์ติดตำมข่ำวพิธีแรกนำขวัญ ในวันพืชมงคลเป็ นประจำทุกปี
(ด้ำ นทรั พ ยำกรธรรมชำติ และสิ่ ง แวดล้อม รู ้ จัก ใช้และจัดกำรอย่ำ งฉลำดและรอบคอบ / เลื อกใช้
ทรัพยำกรที่มีอยูอ่ ย่ำงรู ้ค่ำและเกิดประโยชน์สูงสุ ด / ฟื้ นฟูทรัพยำกรเพื่อให้เกิดควำมยัง่ ยืนสู งสุ ด)
47 ตอบ 2. ครู ครรชิตแชร์ข่ำวเตือนภัยสังคมโกงเงินซื้อของออนไลน์
(ด้ำนวัฒนธรรม รักและเห็นคุณค่ำในควำมเป็ นไทย เอกลักษณ์ไทย / เห็นประโยชน์และคุม้ ค่ำของภูมิ
ปัญญำไทย ภูมิปัญญำท้องถิ่น / รู ้จกั แยกแยะและเลือกรับวัฒนธรรมอื่น ๆ)
48 ตอบ 5. มัชฌิมำปฏิปทำ (ทำงสำยกลำง)
49 ตอบ 3. ตนเป็ นที่พ่ึงแห่งตน
50 ตอบ 1. กัสจังรู ้จกั ประหยัด
25

จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการศึกษา และจิตวิทยาให้ คาปรึกษา


1.ข้อใดเป็ นสำขำหนึ่ งของจิตวิทยำประยุกต์ ที่เกี่ยวข้องกับควำมรู ้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับสภำพแวดล้อมกำร
จัดกำรเรี ย นกำรสอน และคุ ณลัก ษณะต่ำ งๆ ของผูเ้ รี ย น ที่ เมื่ อมำมี ควำมสัมพันธ์กันแล้ว จะส่ งผลให้มี
ควำมก้ำวหน้ำและพัฒนำกำรทำงควำมคิดให้เกิดขึ้นในตัวผูเ้ รี ยน
1. จิตวิทยำทัว่ ไป
2. จิตวิทยำสังคม
3. จิตวิทยำกำรศึกษำ
4. จิตวิทยำพัฒนำกำร
5. จิตวิทยำให้คำปรึ กษำ
2.ข้อใดไม่ใช่ควำมสำคัญของจิตวิทยำกำรศึกษำ
1. ครู ปรับตัวเข้ำกับสังคมได้ดี รู ้จกั จิตใจคนอื่น รู ้ควำมต้องกำรควำมสนใจ
2. ครู เข้ำใจทฤษฎีใหม่ๆ สำมำรถนำควำมรู ้มำจัดกิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอน
3. ครู มีควำมรู ้ควำมเข้ำใจ เตรี ยมบทเรี ยนให้สอดคล้องกับพัฒนำกำรของผูเ้ รี ยน
4. ครู สำมำรถเข้ำใจตนเอง พิจำรณำตรวจสอบตนเอง ทั้งในด้ำนดีและข้อบกพร่ อง
5. ครู เข้ำใจธรรมชำติกำรของผูเ้ รี ยนสำมำรถจัดกำรเรี ยนกำรสอนให้เหมำะสมกับควำมต้องกำร
ควำมสนใจของผูเ้ รี ยน
3.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรนำควำมรู ้เรื่ องควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคลมำใช้ให้เป็ นประโยชน์ในกำร
จัดกำรเรี ยนกำรสอน
1. ครู จดั กิจกรรมหลำยๆอย่ำงเพื่อเปิ ดโอกำสให้ผเู ้ รี ยนเลือกทำตำมควำมต้องกำรของแต่ละคน
2. ครู ลงโทษผูเ้ รี ยนที่มีควำมสำมำรถด้อยกว่ำผูอ้ ื่น เพรำะเกิดจำกควำมเกียจคร้ำนหรื อควำมเกเร
3. ครู วดั และประเมินผลกำรเรี ยนพิจำรณำถึงควำมก้ำวหน้ำทำงด้ำนกำรเรี ยนของผูเ้ รี ยนมำกกว่ำกำร
ประเมินเพื่อเปรี ยบเทียบกับผูอ้ ื่น
4. ผูเ้ รี ยนที่มีเชำวน์ปัญญำสูง มีสมรรถภำพสูง มีควำมสำมำรถเป็ นพิเศษนั้น ควรจะได้มีกำรส่ งเสริ ม
เป็ นพิเศษงำนที่กำหนดให้ทำควรจะมำกกว่ำคนอื่นๆ
5. ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนทุกคน มีโอกำสเท่ำเทียมกันในกำรศึกษำ ไม่วำ่ จะมีเชื้อชำติ ชนชั้น เพศ ศำสนำ
ใด แม้กระทัง่ คนพิกำร ปั ญญำอ่อน หูหนวก ตำบอด
26

4.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรสร้ำงเสริ มแรงจูงใจในกำรเรี ยน
1. ครู สอนเนื้ อหำเดิมซ้ ำๆจนกว่ำผูเ้ รี ยนจะทำบทเรี ยนนั้นได้อย่ำงถูกต้องและใช้วิธีกำรที่แน่นอน
2. กำหนดจุดมุ่งหมำยของบทเรี ยนให้ชดั เจนและแน่ใจว่ำสำมำรถสอนให้ผเู ้ รี ยนเกิดกำรเรี ยนรู ้ตำม
จุดมุ่งหมำยนั้นได้
3. ครู ควรให้ผลสะท้อนกลับเพื่อให้รู้วำ่ สิ่ งที่เขำทำไปนั้นผิดหรื อถูกอย่ำงไรโดยต้องแจ้งผลให้ทรำบ
ก่อนเรี ยนเนื้ อหำต่อไป
4. ครู ช้ ีให้เห็นว่ำควำมสำมำรถทำงวิชำกำรนั้นสำมำรถพัฒนำให้สูงขึ้นได้ ถ้ำหำกใช้ควำมพยำยำม
หรื อควำมมุ่งมัน่ ที่จะปรับปรุ งให้ดีข้ นึ
5. ให้ผเู ้ รี ยนเริ่ มเรี ยนในเนื้ อหำที่ใกล้ตวั และมีควำมยำกในระดับที่สำมำรถท ำได้ แล้วจึงค่อยๆ เลื่อน
ไปเรี ยนเนื้อหำที่มีควำมยำกและซับซ้อนมำกขึ้น
5.ในขณะที่ครู กำลังสอนอยู่ในชั้นเรี ยน สมชำยลุกขึ้นเดินไปหลังห้อง สมศรี คุยกับเพื่อนที่นงั่ ข้ำงๆ เสี ยงดัง
สมศักดิ์ ตั้งใจฟั งครู และตอบคำถำมที่ครู ถำม ครู แสดงควำมชื่ นชมสมศักดิ์ พร้ อมทั้งแสดงควำมไม่สนใจ
สมชำยกับวิมลสมศรี จำกเหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นเทคนิคกำรปรับพฤติกรรมในชั้นเรี ยนในข้อใด
1. กำรทำตำมแบบอย่ำง
2. กำรเสริ มแรงทำงสังคม
3. กำรเขียนรำยงำนประจำวัน
4. กำรให้แรงเสริ มแลกเปลี่ยน
5. กำรปรับพฤติกรรมที่ละขั้นตอน
6.ข้อใดเป็ นวิชำที่ศึกษำเกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงต่อเนื่ องของพฤติกรรมและควำมสำมำรถของมนุษย์
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงสิ้ นสุ ดชีวิต
1. จิตวิทยำทัว่ ไป
2. จิตวิทยำสังคม
3. จิตวิทยำกำรศึกษำ
4. จิตวิทยำพัฒนำกำร
5. จิตวิทยำให้คำปรึ กษำ
27

7.ข้อใดเป็ นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพัฒนำกำรของบุคคล
1. กำรเจริ ญเติบโต วุฒิภำวะและกำรเรี ยนรู ้
2. กำรเจริ ญเติบโต วุฒิภำวะและสิ่ งแวดล้อม
3. กำรเจริ ญเติบโต วุฒิภำวะและ พันธุกรรม
4.กำรเจริ ญเติบโต พฤติกรรมและกำรเรี ยนรู ้
5. กำรเจริ ญเติบโต พันธุกรรมและสิ่ งแวดล้อม
8.ข้อใดคือกำรเจริ ญเติบโตของโครงสร้ำงทำงร่ ำงกำยและอวัยวะต่ำงๆ อย่ำงมีระเบียบแบบแผนเป็ นไป
ตำมลำดับขั้น ตำมธรรมชำติจนถึงจุดสู งสุ ด มีผลให้เกิดควำมพร้อมที่จะประกอบกิจกรรมได้เหมำะสมกับวัย
เป็ นสภำวะที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติที่ไม่ใช่กำรเรี ยนรู ้หรื อประสบกำรณ์
1. วุฒิภำวะ
2. พันธุกรรม
3. กำรเรี ยนรู ้
4. สิ่ งแวดล้อม
5. กำรเจริ ญเติบโต
9.ข้อใดคือกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้ำงถำวร อันเป็ นผลมำจำกกำรฝึ กหัด หรื อประสบกำรณ์เดิมที่มี
อยู่ ยิง่ มีกำรฝึ กหัดมำกเท่ำไร กำรแสดงพฤติกรรมเหล่ำนั้นก็จะเกิดควำมเชี่ยวชำญช ำนำญมำกขึ้นเท่ำนั้น
1. วุฒิภำวะ
2. พันธุกรรม
3. กำรเรี ยนรู ้
4. สิ่ งแวดล้อม
5. กำรเจริ ญเติบโต
10.ครู ไพรวัลย์เปิ ดโอกำสให้ผเู ้ รี ยนระดับอนุบำลพูดคุยถึงควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศชำยกับหญิง ด้วยถ้วยคำ
ง่ำยๆ สอดคล้องกับทฤษฎีใด
1. ทฤษฎีควำมต้องกำรของมำสโลว์
2. ทฤษฎีพฒั นำกำรทำงจิตสังคมของอีริคสัน
3. ทฤษฎีพฒั นำกำรทำงจริ ยธรรมของโคลเบิร์ก
4. ทฤษฎีพฒั นำกำรทำงเชำวน์ปัญญำของเพียเจท์
5. ทฤษฎีพฒั นำกำรควำมต้องกำรทำงเพศและบุคลิกภำพของฟรอยด์
28

11.จูจ้ ้ ี พิถีพิถนั ดื้อด้ำน เจ้ำระเบียบเกินไป ไม่ยืดหยุ่น ลักษณะพัฒนำกำรที่ไม่พึงประสงค์ สอดคล้องทฤษฎี


พัฒนำกำรควำมต้องกำรทำงเพศและบุคลิกภำพของฟรอยด์ในขั้นใด
1. ขั้นที่ 1 ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะปำก
2. ขั้นที่ 2 ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะทวำรหนัก
3. ขั้นที่ 3 ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะเพศปฐมภูมิ
4. ขั้นที่ 4 ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกสิ่ งแวดล้อมรอบตัว
5. ขั้นที่ 5 ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกแรงกระตุน้ ของทุติยะภูมิทำงเพศ
12.ผูเ้ รี ยนยังไม่สำมำรถคิดในมุมมองของผูอ้ ื่นได้ สอดคล้องกับทฤษฎีพฒั นำกำรทำงเชำวน์ปัญญำของเพีย
เจต์ในขั้นใด
1. ขั้นที่ 1 ขั้นประสำทสัมผัสและกำรเคลื่อนไหว
2. ขั้นที่ 2 ขั้นก่อนกำรคิดแบบมีเหตุผล
3. ขั้นที่ 3 ขั้นกำรคิดแบบมีเหตุผลเชิงรู ปธรรม
4. ขั้นที่ 4 ขั้นกำรคิดแบบมีเหตุผลเชิงนำมธรรม
5. ไม่มีขอ้ ถูก
13.ถ้ำเด็กหยิบของคนอื่นมำโดยไม่บอกเจ้ำของแล้วถูกลงโทษ เด็กจะรู ้ทนั ทีว่ำเป็ นกำรกระทำที่ผิด และจะ
ไม่พยำยำมทำเช่นนั้นอีกเพรำะกลัวถูกลงโทษ สอดคล้องกับทฤษฎีพฒั นำกำรทำงจริ ยธรรมของโคลเบิร์ก ใน
ข้อใด
1. แรกเกิด – 7 ปี
2. 7 – 10 ปี
3. 10 – 13 ปี
4. 13 – 16 ปี
5. 16 ปี ขึ้นไป
29

14.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักกำรของกำรให้คำปรึ กษำ
1. เน้นกำรสื่ อสำรสองทำง ซึ่งเป็ นกำรสร้ำงควำมเข้ำใจให้ตรงกันระหว่ำงผูใ้ ห้คำปรึ กษำและผูร้ ับ
คำปรึ กษำ
2. มีคำตอบสำเร็จรู ปหรื อตำยตัว เนื่องจำกกำรให้คำปรึ กษำเป็ นเรื่ องรำวของกำรสื่ อสำรระหว่ำงผูใ้ ห้
คำปรึ กษำและผูร้ ับคำปรึ กษำ
3. เป็ นกระบวนกำรที่มีกำรพูดคุยกันอย่ำงมีเป้ำหมำย มีข้นั ตอน โดยกำรใช้ทกั ษะที่เหมำะสม ขึ้นอยู่
กับโอกำส จังหวะ และสถำนกำรณ์ที่ผใู ้ ห้ค ำปรึ กษำจะเลือกใช้
4. เน้นสัมพันธภำพที่ดีระหว่ำงผูใ้ ห้และผูร้ ับคำปรึ กษำตลอดกระบวนกำรให้คำปรึ กษำเพื่อให้ผรู ้ ับ
คำปรึ กษำเกิดควำมไว้วำงใจ ผ่อนคำย กล้ำเปิ ดเผยตนเอง ยอมรับ
5. เป็ นกำรให้ควำมช่วยเหลือเกี่ยวกับปัญหำด้ำนจิตใจ อำรมณ์และสังคม อันประกอบด้วยควำมเชื่อ
ค่ำนิยม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็ นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผูร้ ับคำปรึ กษำ
15.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรให้คำปรึ กษำแบบกลุ่ม
1. โดยทัว่ ไปกลุ่มจะมีสมำชิกจำนวน 6 - 10 คน
2. กระบวนกำรให้คำปรึ กษำแก่ผรู ้ ับคำปรึ กษำตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
3. เปิ ดโอกำสให้สมำชิกได้สื่อควำมหมำยซึ่งกันและกันได้อย่ำงเต็มที่
4. มีเวลำเข้ำร่ วมกลุ่มสัปดำห์ละ 2 ครั้ง ใช้เวลำครั้งละ 30 - 45 นำที อย่ำงน้อยสุดจำนวน 10 ครั้ง
5. จุดมุ่งหมำยเพื่อเปิ ดโอกำสให้สมำชิกในกลุ่มได้ระบำยควำมรู ้สึกต่ำงๆ เป็ นกำรลดควำมตึงเครี ยด
16.กระบวนกำรให้คำปรึ กษำ ขั้นตอนใดสำคัญที่สุด
1. ขั้นสำรวจปัญหำ
2. ขั้นยุติกำรปรึ กษำขั้น
3. ขั้นวำงแผนแก้ไขปัญหำ
4. ขั้นสร้ำงสัมพันธภำพและตกลงบริ กำร
5. เข้ำใจปัญหำ สำเหตุ และควำมต้องกำรของผูร้ ับคำปรึ กษำ
30

17.ข้อใดเป็ นพฤติกรรมภำยนอกที่สำมำรถสังเกตได้โดยตรงด้วยประสำทสัมผัสของมนุษย์ ไม่จำเป็ นต้องใช้


เครื่ องมื อ หรื อวิ ธี ก ำรทำงวิ ท ยำศำสตร์ เ ข้ำ มำช่ ว ยในกำรสั ง เกต เช่ น กำรพู ด กำรหั ว เรำะ กำรเดิ น
กำรเคลื่อนไหวของร่ ำงกำย
1. พฤติกรรม
2. พฤติกรรมโมลำร์
3. พฤติกรรมโมเลกุล
4. พฤติกรรมภำยใน
5. พฤติกรรมภำยนอก
18.ข้อใดเป็ นพลังงำนทำงจิตส่ วนที่ผ่ำนกระบวนกำรเรี ยนรู ้มำแล้ว เป็ นส่ วนที่ควบคุมกำรแสดงพฤติกรรม
ของบุคคลให้ดำเนินไปอย่ำงเหมำะสม จะควบคุมควำมต้องกำรของอิดให้อยูใ่ นขอบข่ำยที่สังคมยอมรับและ
มีควำมถูกต้อง
1. อิด
2. อีโก้
3. จิตสำนึก
4. จิตใต้สำนึก
5. ซุปเปอร์อีโก้
19.ข้อใดคือองค์ประกอบของกำรเรี ยนรู ้
1. สิ่ งเร้ำ พันธุกรรม และบุคลิกภำพ
2. สิ่ งเร้ำ พันธุกรรม และสิ่ งแวดล้อม
3. สิ่ งเร้ำ อินทรี ย ์ และกำรตอบสนอง
4. สิ่ งเร้ำ พันธุกรรม และกำรตอบสนอง
5. สิ่ งเร้ำ สิ่ งแวดล้อม และกำรตอบสนอง
31

20.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ กำรนำทฤษฎีกำรวำงเงื่อนไขแบบคลำสสิ คของพำฟลอฟมำประยุกต์สู่


กระบวนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ของครู
1. เน้นให้ผเู ้ รี ยนมีกำรแข่งขันหรื อกำรทำงำนเป็ นกลุ่ม มำกกว่ำกำรแข่งขัน
2. แบ่งจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ออกเป็ นจุดประสงค์ยอ่ ย แล้วลดจำนวนกำรทดสอบ เพื่อให้ผเู ้ รี ยนไม่
เกิดควำมกลัว
3. จัดห้องเรี ยนให้น่ำเรี ยน ห้องเรี ยนต้องสะอำด อำกำศถ่ำยเทได้สะดวก ไม่แออัด โต๊ะเก้ำอี้มีขนำด
ที่เหมำะสมกับขนำดร่ ำงกำยของผูเ้ รี ยน
4. ถ้ำในกำรเรี ยนนั้นจะต้องมีกำรฝึ กฝนทักษะในกำรเรี ยนรู ้ ก็ตอ้ งทำให้กำรฝึ กฝนมีควำม
สนุกสนำน เพรำะกำรฝึ กที่เคร่ งครัดหรื อน่ำเบื่อหน่ำย
5. พยำยำมให้ผเู ้ รี ยนที่ขำดควำมเชื่อมัน่ ในตัวเอง โดยให้มีส่วนรับผิดชอบในกำรอธิบำยรำยวิชำที่
เขำมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจดี ให้แก่เพื่อนที่มีปัญหำในกำรเรี ยนในรำยวิชำนั้น
21.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ กำรนำทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์ นไดค์มำประยุกต์สู่กระบวนกำร
จัดกำรเรี ยนรู ้ของครู
1. ครู ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนเรี ยนโดยกำรลองผิดลองถูก
2. ครู คำนึงถึงควำมแตกต่ำงทำงด้ำนสติปัญญำของผูเ้ รี ยน
3. ครู ตอ้ งคอยกระตุน้ หรื อเตรี ยมควำมพร้อมในกำรเรี ยนให้กบั ผูเ้ รี ยน
4. ครู ควรจัดให้ผเู ้ รี ยนได้มีโอกำสในกำรฝึ กฝนหรื อทำซ้ ำอย่ำงสม่ำเสมอ
5. ครู หำสิ่ งล่อใจหรื อรำงวัลที่ผเู ้ รี ยนต้องกำรมำช่วยกระตุน้ ให้ผเู ้ รี ยนมีแรงจูงใจในกำรเรี ยน
22.ข้อใดกล่ำ วไม่ ถูก ต้อ งเกี่ ย วกับ กำรนำทฤษฎี ก ำรเรี ย นรู ้ ทำงปั ญ ญำสัง คมของแบนดู รำมำประยุก ต์สู่
กระบวนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ของครู
1. ครู ใช้กำรสอนแบบสำธิต เป็ นกำรแสดงให้ผเู ้ รี ยนเห็นและปฏิบตั ิตำมอย่ำง
2. ครู จึงต้องแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เพื่อผูเ้ รี ยนจะปฏิบตั ิตำมแบบอย่ำงที่ดี
3. ครู ใช้สื่อต่ำงๆ เช่น กำร์ตูน ภำพยนตร์ และวีดิทศั น์ เป็ นตัวแบบในกำรจูงใจให้ผเู ้ รี ยน
4. ครู ให้แรงเสริ มอำจจะเป็ นคำชมเชย รำงวัล เกียรติบตั รแก่ผเู ้ รี ยนที่สำมำรถเลียนแบบได้ถูกต้อง
5. ครู จดั ประสบกำรณ์และกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ที่หลำกหลำย มีวสั ดุอุปกรณ์ที่ช่วยให้กำรเรี ยนรู ้
เกิดขึ้นได้ง่ำย
32

23.ข้อใดคือควำมสำมำรถในกำรปรับ ตัวเข้ำกับสถำนกำรณ์ใ หม่ๆ ได้รวดเร็ วและเรี ยบร้ อย ตลอดจนมี


ควำมสำมำรถในกำรเรี ยนรู ้จำกประสบกำรณ์
1. วุฒิภำวะ
2. พันธุกรรม
3. พฤติกรรม
4. สิ่ งแวดล้อม
5. เชำวน์ปัญญำ
24.ข้อใดคือเชำวน์ปัญญำระดับปกติ
1. 120-139
2. 110-119
3. 90-109
4. 80-89
5. 70-79
25.ผูเ้ รี ยนที่มีเชำวน์ปัญญำด้ำนมิติสัมพันธ์ตำมทฤษฎีพหุปัญญำควรประกอบอำชีพใด
1. ครู
2. นักร้อง
3. สถำปนิก
4. นักสำรวจ
5. นักวิทยำศำสตร์
26.ข้อใดหมำยถึงวิธีกำรของแต่ละบุคคลในกระบวนกำรรับรู ้ขอ้ มูลต่ำง ๆ เข้ำมำเพื่อกำรเรี ยนรู ้ควำมคิดรวบ
ยอดและหลักเกณฑ์ใหม่ ๆ
1. หลักสูตร
2. หน่วยกำรเรี ยนรู ้
3. ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้
4. แบบแผนกำรเรี ยนรู ้
5. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
33

27.แบบแผนกำรเรี ยนรู ้
ก.กบไม่ชอบให้เพื่อนยืมช็อตโน้ตวิชำชีชีววิทยำ
ข.ไก่ชอบที่ทำรำยงำนในวิชำภำษำไทยด้วยตนเอง
ค.แก้วชอบเวลำที่ครู ให้โอกำสอภิปรำยเกี่ยวกับหัวข้อประวัติศำสตร์
ง.ก้อยไม่ชอบให้ครู กำหนดว่ำจะต้องเรี ยนหัวข้อใดในวิชำสังคมศึกษำ
จำกข้อมูลนักเรี ยนทั้ง 4 คน ใครมีแบบแผนกำรเรี ยนรู ้ที่เหมือนกัน
1. กบ และ ก้อย
2. ไก่ และ ก้อย
3. ไก่ และ แก้ว
4. กบ และ แก้ว
5. กบ และ ไก่
28.ข้อใดเป็ นเป็ นกระบวนกำรที่ชกั นำโน้มน้ำวให้บุคคลเกิดควำมมำนะพยำยำมเพื่อที่จะสนองตอบควำม
ต้องกำรบำงประกำรให้บรรลุผลสำเร็จ
1. วุฒิภำวะ
2. แรงจูงใจ
3. แรงเสริ ม
4. บุคลิกภำพ
5. ประสบกำรณ์กำรเรี ยนรู ้
29.ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของเกมในกำรออกแบบกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
1. กติกำ
2. กำรเชียร์
3. เป้ำหมำย
4. กำรแข่งขัน
5. ควำมสนุกสนำน
34

30.ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของเพลงกับกำรเรี ยนกำรสอน
1. พัฒนำด้ำนสังคม
2. ส่งสริ มควำมคิดสร้ำงสรรค์
3. บรรยำกำศในห้องเรี ยนแจ่มใส
4. ช่วยฝึ กทักษะทำงภำษำนักเรี ยน
5. ประเมินผลกำรเรี ยนที่หลำกหลำย
31.ถ้ำเด็กเชื่อว่ำบนดวงจันทร์ มีกระต่ำยอยู่เพรำะในคืนที่พระจันทร์ เต็มดวงจะเห็นภำพกระต่ำยอยู่บนดวง
จันทร์ แต่ขอ้ เท็จจริ งที่พบนั้นบนดวงจันทร์ไม่มีน้ ำ ไม่มีก๊ำซออกซิเจน มีแต่พ้นื ดินที่ขรุ ขระ เป็ นหลุมเป็ นบ่อ
และแห้งแล้ง ซึ่ งเป็ นไปไม่ได้เลยที่จะมีสิ่งมีชีวิตอำศัยอยู่ได้โดยปรำศจำกสิ่ งเหล่ำนี้ ครู ชยั ให้เด็กคิดเองว่ำ
จำกเหตุผลดังกล่ำว กระต่ำยมีชีวิตอยูบ่ นดวงจันทร์ได้หรื อไม่ เป็ นกำรเสริ มแรงจูงใจในกำรเรี ยนตำมข้อใด
1. กำรให้ผเู ้ รี ยนเห็นคุณค่ำของสิ่ งที่เรี ยน
2. กำรให้ผเู ้ รี ยนเริ่ มเรี ยนในเนื้อหำที่ใกล้ตวั
3. กำรเสนอแม่แบบหรื อแบบฉบับที่ดีแก่ผเู ้ รี ยน
4. กำรเน้นกำรเปรี ยบเทียบกับตนเองมำกกว่ำกำรเปรี ยบเทียบกับผูอ้ ื่น
5. กำรสื่ อสำรให้ผเู ้ รี ยนทรำบว่ำควำมสำมำรถในกำรเรี ยนเป็ นสิ่ งที่สำมำรถพัฒนำ
32.ด.ช.แดงไม่ใส่ ใจในสิ่ งที่เรี ยน ครู จะมีวิธีกำรอย่ำงไรให้เกิดควำมใส่ใจมำกขึ้น
1. ครู มะนำวให้เด็กแสดละครทำให้บทเรี ยนสนุกสนำน
2. ครู ชมพู่ให้เวลำในกำรทำแบบฝึ กหัดที่ยำกเพิ่มมำกขึ้น
3. ครู ส้มโอสอนเนื้อหำที่แปลกใหม่และใช้วิธีกำรที่หลำกหลำย
4. ครู เชอรี่ เล่ำให้เด็กเห็นถึงพฤติกรรมของตัวครู เองว่ำกำรใส่ ใจสิ่ งที่เรี ยนมีควำมสำคัญ
5. ครู แตงโมเน้นกำรเปรี ยบเทียบกับตัวเด็กเองมำกกว่ำกำรเปรี ยบเทียบกับเพื่อนคนอื่น
33.ข้อใดเป็ นกำรลดควำมวิตกกังวลและคลำยควำมเครี ยดในกำรเรี ยนของผูเ้ รี ยน
1. ครู บูมพูดชี้แจงกำรสอบฟัง listening ป.3
2. ครู บอยให้ผเู ้ รี ยนออกมำพูดหน้ำชั้น เรื่ อง อำชีพในฝันของฉัน
3. ครู นดั สุ่มจับฉลำกเรี ยกนักเรี ยนให้ออกมำทำโจทย์ ตรี โกณมิติ ม.3
4. ครู แบงค์ใช้แบบทดสอบทั้งแบบอัตนัยและปรนัย เรื่ อง ประวัติศำสตร์ วิชำสังคม ม.4
5. ครู นิวให้นกั เรี ยนทำแผนผังควำมคิดสรุ ปเนื้อหำ รำมเกียรติ์ ตอนศึกไมยรำพ ป.6 ส่งท้ำยคำบ
35

34.ด.ช.ดำ เป็ นคนฉุนเฉียว โมโหร้ำย อำละวำด ทำลำยข้ำวของ มีพฤติกรรมในชั้นเรี ยนประเภทใด


1. เด็กก้ำวร้ำว
2. เด็กเจ้ำอำรมณ์
3. เด็กซนผิดปกติ
4. เด็กที่ขำดควำมเชื่อมัน่
5. เด็กที่ชอบก่อกวนชั้นเรี ยน
35.ด.ญ.สวย มีพฤติกรรมกำรไปโรงเรี ยนสำย ครู จะมีวิธีกำรอย่ำงไรในกำรแก้ไข
1. ครู พลอยให้เด็กสังเกตตนเองมำโรงเรี ยนสำยและจดบันทึก
2. ครู เบียร์กำหนดให้เด็กมำถึงโรงเรี ยนเวลำ 07.40 น.แล้วจะได้คะแนนเพิ่ม
3. ครู มำยด์ให้เด็กดูภำพยนตร์และชี้ชวนให้สังเกตตัวละครที่มำโรงเรี ยนสำย
4. ครู แนนตักเตือนทุกครั้งเมื่อเด็กมำสำยให้รู้วำ่ ได้ทำสิ่ งที่ผิด ผลเสี ยจำกกำรกระทำของเขำ
5. ครู ไอซ์เขียนรำยงำนประจำวันและรำยงำนพฤติกรรมตำมควำมเป็ นจริ งให้ผปู ้ กครองทรำบ
36.เด็ ก สำมำรถนั่ง ได้เ มื่ อ อำยุ 6 เดื อ นและยืน ได้เ มื่ อ อำยุ 10 เดื อ น สอดคล้อ งกับ ปั จ จัย ที่ มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ
พัฒนำกำรของบุคคลตำมข้อใด
1. วุฒิภำวะ
2. พันธุกรรม
3. กำรเรี ยนรู ้
4. สิ่ งแวดล้อม
5. กำรเจริ ญเติบโต
37.ด.ญ.ขำว จูจ้ ้ ี พิถีพิถนั ดื้อด้ำน เจ้ำระเบียบเกินไป ไม่ยืดหยุ่น ลักษณะพัฒนำกำรที่ไม่พึงประสงค์ดงั กล่ำว
มำจำกข้อใด
1. ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะปำก
2. ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะทวำรหนัก
3. ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะเพศปฐมภูมิ
4. ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกสิ่ งแวดล้อมรอบตัว
5. ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกแรงกระตุน้ ของทุติยะภูมิทำงเพศ
36

38.ผูใ้ ดมีลกั ษณะพัฒนำกำรไม่เป็ นไปตำมทฤษฎีพฒั นำกำรทำงเชำวน์ปัญญำของเพียเจท์


1. เบล อำยุ 7 ปี ไม่สำมำรถเรี ยงลำดับตัวเลขจำกน้อยไปหำมำก
2.พลอย อำยุ 8 ปี สำมำรถจดจำเส้นทำงต่ำงๆ ได้
3. ก้อย อำยุ 9 ปี สำมำรถคิดเลขในใจได้
4. วิว อำยุ 10 ปี เข้ำใจได้วำ่ ของแข็งจำนวนหนึ่งจะมีปริ มำณคงที่เสมอ
5. เนส อำยุ 11 ปี คิดได้วำ่ 8 + 7 = 15 แต่จะไม่สำมำรถคิดย้อนกลับได้วำ่ 15 – 8 = 7
39. ผูร้ ับคำปรึ กษำ : ผมคิดว่ำแม่ไม่ยตุ ิธรรมต่อผม
ผูใ้ ห้คำปรึ กษำ : ……………………………….
ผูใ้ ห้คำปรึ กษำควรใช้คำถำม ตำมข้อใดจึงจะเหมำะสมมำกที่สุด
1. ทำไมคิดอย่ำงนั้นล่ะ
2. อะไรที่ทำคิดอย่ำงนั้นล่ะ
3. ทำไมคุณแม่ถึงไม่ยตุ ิธรรม
4. สำเหตุใดคุณแม่ถึงไม่ยตุ ิธรรม
5. คุณแม่ทำอย่ำงไรบ้ำง จึงทำให้คุณคิดว่ำแม่ไม่ยตุ ิธรรม
40.ด.ช.เขียวเป็ นเด็กสมำธิส้ นั ครู จะมีวิธีกำรกำรให้ควำมช่วยเหลือได้เหมำะสมมำกที่สุด
1. ครู ตำลจัดให้เด็กที่มีสมำธิส้ นั นัง่ กับครู ประจำชั้น
2. ครู แยมพูดเตือนเป็ นระยะๆหน้ำชั้นเรี ยนขณะสอน
3. ครู ฟำงทำโทษเด็กหำกมีปัญหำเกี่ยวกับกำรสะเพร่ ำเลินเล่อ
4. ครู หมิวกำเครื่ องหมำยผิด ในสมุดทำงำนของเด็กเมื่อเด็กทำผิด
5. ครู ออ้ มเขียนคำสั่งชัดเจนสั้นๆ ไว้บนกระดำนอ่ำนให้นกั เรี ยนฟัง
41.ต้นกกไม่ต้ งั ใจเรี ยน เล่นกับเพื่อน พูดคุยเสี ยงดัง ในวิชำคณิตศำสตร์ ควรควรจะปรับพฤติกรรมด้วยวิธีใด
1. ครู มำวินไม่บงั คับให้เด็กทำแบบฝึ กหัดที่ยำก
2. ครู วำยุให้รำงวัลชมแม้วำ่ เด็กทำแบบฝึ กหัดผิด
3. ครู เจไดพูดว่ำเก่งเมื่อเด็กตอบคำถำมได้ถูกต้อง
4. ครู กปั ตันแสดงอำกำรไม่สนใจเมื่อเด็กลุกจำกที่นงั่
5. ครู ภผู ำให้ทำแบบฝึ กหัดที่มี 2 ตอนหำกทำตอนแรกถูกหมด ก็ไม่ตอ้ งทำแบบฝึ กหัดตอนที่ 2
37

42.ถุงแป้งลุกออกจำกที่นงั่ เป็ นประจำขณะที่ครู สอน ควรควรจะปรับพฤติกรรมด้วยวิธีใด


1. ครู ไททันหักคะแนนทุกครั้งเมื่อเด็กลุกออกจำกที่
2. ครู โนอำให้ทำแบบฝึ กหัดเพิ่มเมื่อเด็กลุกออกจำกที่
3. ครู มงั กรกำหนดเวลำเมื่อถึงเวลำพักให้เด็กลุกออกจำกที่ได้
4. ครู ทิวเขำให้เด็กลุกออกจำกที่ได้ไม่เกิน 3 ครั้งในคำบเรี ยน
5. ครู ไทเกอร์แสดงอำกำรไม่สนใจเมื่อเด็กลุกจำกที่นงั่ แต่เมื่อเด็กนัง่ เรี ยบร้อยครู จะชม
43.กัสจังพูดคุยและเล่นเพื่อนขณะที่ครู สอนในชัว่ โมงคอมพิวเตอร์ ควรควรจะปรับพฤติกรรมด้วยวิธีใด
1. ครู อน้ ให้หวั หน้ำห้องจดชื่อคน
2. ครู นดั ให้เด็กที่คุยกันแยกที่นงั่ เรี ยน
3. ครู เบลตัดคะแนนทุกครั้งเมื่อเด็กคุยกัน
4. ครู ววิ แสดงออกกำรไม่สนใจเมื่อเด็กคุยกัน
5. คุยครู บอยให้เด็กที่คุยกันจะถูกตัดสิ ทธิ์ไม่ให้เล่นเกมคอมพิวเตอร์
44.นักเรี ยนห้องสุ ดท้ำย มีพฤติกรรมไม่ต้ งั ใจเรี ยน พูดคุยส่ งเสี ยงดัง หยอกล้อนในชั้นเรี ยน ควรควรจะปรับ
พฤติกรรมด้วยวิธีใด
1. ครู พำยุให้นกั เรี ยนที่ไม่ต้ งั ใจเรี ยนทำแบบฝึ กหัดเพิ่ม
2. ครู ธนั วำใช้เกมส์เพื่อให้นกั เรี ยนเกิดควำมสนุกสนำน
3. ครู ไต้ฝนแสดงออกกำรไม่
ุ่ สนใจเมื่อนักเรี ยนพูดคุยส่งเสี ยงดัง
4. ครู ภำคินสังเกตพฤติกรรมไม่ต้ งั ใจเรี ยนและรำยงำนผูป้ กครองทรำบ
5. ครู ไทก้ำบอกเงื่อนไขว่ำถ้ำนักเรี ยนตั้งใจเรี ยนจะให้เล่นเกมส์แต่ถำ้ นักเรี ยนคนใดเล่นกับเพื่อนครู
จะหักเวลำออกครั้งละ 1 นำที
45.น้ ำใสไม่ต้ งั ใจฟังขณะที่ครู กำลังสอน ควรควรจะปรับพฤติกรรมด้วยวิธีใด
1. ครู ฟ้ำชมเด็กที่ต้ งั ใจฟัง
2. ครู เนยตำหนิ เด็กที่ไม่ต้ งั ใจฟัง
3. ครู พิมอธิบำยผลเสี ยของกำรไม่ต้ งั ใจฟัง
4. ครู เฟิ ร์นให้เด็กที่ไม่ต้ งั ใจฟั งมำพบหลังเลิกเรี ยน
5. ครู มุกจดบันทึกพฤติกรรมและรำยงำนให้ผปู ้ กครองทรำบ
38

46.กำรแพร่ ระบำดของไวรัสโควิด -19 ทำให้มีนโยบำยกำรเรี ยนออนไลน์ส่งผลให้นกั เรี ยนเกิดควำมเครี ยด


เนื่ องจำก งำนที่ได้รับมอบหมำยมีมำกขึ้น แรงจูงใจในกำรเรี ยนลดลง ไม่มีเพื่อนคอยช่วยเหลือ ครู ควรใช้
เครื่ องมืดใดในกำรเก็บข้อมูล
1. แบบทดสอบและแบบสังเกต
2. แบบประเมินและแบบสังเกต
3. แบบประเมินและแบบทดสอบ
4. แบบสัมภำษณ์และแบบทดสอบ
5. แบบสอบถำมและแบบสัมภำษณ์
47.บอลอำยุ 15 ปี เล่นเกมทั้งวัน ไม่สนใจกำรเรี ยน ทะเลำะกับแม่บ่อยเพรำะเรื่ องเล่นเกม พอสอบถำมประวัติ
โดยละเอียด พบว่ำบอลรู ้สึกเบื่อ ไม่อยำกทำอะไร กำรเล่นเกมบำงทีก็เบื่อ แต่ก็ดีกว่ำไม่มีอะไรทำ บอลนอน
ไม่หลับมำนำน เบื่ออำหำรบำงครั้งรู ้สึกหงุดหงิดง่ำย เคยชอบเตะบอลกับเพื่อนแต่ปัจจุบนั ก็ไม่ได้ไปเล่นแล้ว
เพรำะรู ้สึกเบื่อ เซ็งๆ ไม่ส่งงำนครู เพรำะไม่มีสมำธิในกำรทำงำน เคยมีควำมรู ้สึกอยำกจะหลับไป ไม่ตอ้ งตื่น
ขึ้นมำอีก แต่ไม่มีควำมคิดจะฆ่ำตัวตำย ครู ควรใช้เครื่ องมือใดในกำรเก็บข้อมูล
1. แบบประเมินทักษะชีวิต
2. แบบประเมินควำมเครี ยด
3. แบบประเมินภำวะซึมเศร้ำ
4. แบบประเมินเสี่ ยงฆ่ำตัวตำย
5.แบบทดสอบพฤติกรรมติดเกม
48.เบียร์ชกต่อย ทะเลำะวิวำทเป็ นประจำ พฤติกรรมดังกล่ำวไม่ควรเกิดขึ้นจำกสำเหตุใด
1. ครู ไม่ยตุ ิธรรมต่อเด็ก
2. ไม่เคำรพกฎ ระเบียบของโรงเรี ยน
3. เกิดจำกสัญชำติญำณทำงกำรทำลำย
4. เป็ นเด็กที่พ่อแม่ไม่ตอ้ งกำรและเกลียดชังถูกทอดทิ้ง
5. พ่อแม่เข้มงวดกวดขันและเจ้ำอำรมณ์ใช้อำนำจข่มขู่เด็กมำกเกินไป
39

49.แนนชอบก่อกวนชั้นเรี ยน พฤติกรรมดังกล่ำวไม่ควรเกิดขึ้นจำกสำเหตุใด
1. ไม่มีเพื่อนเล่น
2. เรี ยกร้องควำมสนใจ
3. ขำดควำมรักควำมอบอุ่น
4. เป็ นเด็กที่ถูกกลัน่ แกล้งและโดนรังแกมำก่อน
5. มีควำมคับข้องใจเพรำะพ่อแม่บงั คับมำกเกินไป
50.ฟ้ำใสมีควำมสำมำรถในกำรใช้เหตุผล ครู ควรแนะนำให้ประกอบอำชีพใดที่เหมำะ
1. ครู
2. ทหำร
3. นักแสดง
4. สถำปนิก
5. นักวิทยำศำสตร์
40

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
ข้อ เฉลย
1 ตอบ 3. จิตวิทยำกำรศึกษำ (Mayer, 1987)
2 ตอบ 1. ครู ปรับตัวเข้ำกับสังคมได้ดี รู ้จกั จิตใจคนอื่น รู ้ควำมต้องกำรควำมสนใจ
3 ตอบ 2. ครู ลงโทษผูเ้ รี ยนที่มีควำมสำมำรถด้อยกว่ำผูอ้ ื่น เพรำะเกิดจำกควำมเกียจคร้ำนหรื อควำมเกเร
4 ตอบ 1. ครู สอนเนื้ อหำเดิมซ้ ำๆจนกว่ำผูเ้ รี ยนจะทำบทเรี ยนนั้นได้อย่ำงถูกต้องและใช้วิธีกำรที่แน่นอน
5 ตอบ 2. กำรเสริ มแรงทำงสังคม(เช่น กำรยอมรับ ชมเชย กำรสัมผัสที่อบอุ่น เป็ นเทคนิคที่ครู ทำได้ง่ำย
และมีประสิ ทธิภำพสูง ซึ่งควรกระทำควบคู่กบั กำรแสดงควำมไม่สนใจพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์)
6 ตอบ 4. จิตวิทยำพัฒนำกำร (Coon & Mitterer, 2007)
7 ตอบ 1. กำรเจริ ญเติบโต วุฒิภำวะและกำรเรี ยนรู ้
8 ตอบ 1. วุฒิภำวะ (maturation) (ตัวอย่ำง ก่อนที่เด็กจะเขียนหนังสื อได้น้ นั เด็กจะเกิด วุฒิภำวะที่พร้อม
จะควบคุมมือในกำรจับดินสอลำกเส้นให้เป็ นตัวอักษรเสี ยก่อน พัฒนำกำรในกำรเขียนจึงจะเกิดขึ้นได้)
9 ตอบ 3. กำรเรี ยนรู ้ (learning) (ตัวอย่ำง กำรว่ำยน้ ำ กำรขับขี่รถยนต์ กำรพิมพ์ดีด กำรเล่นกีฬำ)
10 ตอบ 5. ทฤษฎีพฒั นำกำรควำมต้องกำรทำงเพศและบุคลิกภำพของฟรอยด์
11 ตอบ 2. ขั้นที่ 2 ขั้นแสวงหำควำมสุ ขจำกอวัยวะทวำรหนัก
12 ตอบ 2. ขั้นที่ 2 ขั้นก่ อนกำรคิดแบบมีเหตุผล(ผูเ้ รี ยนเริ่ มแสดงสัญลักษณ์ที่สร้ ำงขึ้นในสมองออกมำ
เป็ นค ำพูดและจินตนำกำร รวมทั้งเริ่ มเกิดควำมเข้ำใจสิ่ งต่ำงๆ มำกขึ้น อย่ำงไรก็ตำม กำรปฏิบตั ิ กำร
ทำงควำมคิดยังคงจำกัด)
13 ตอบ 1. แรกเกิด – 7 ปี
14 ตอบ 2. มีคำตอบสำเร็ จรู ปหรื อตำยตัว เนื่องจำกกำรให้คำปรึ กษำเป็ นเรื่ องรำวของกำรสื่ อสำรระหว่ำง
ผูใ้ ห้คำปรึ กษำและผูร้ ับคำปรึ กษำ
15 ตอบ 4. มีเวลำเข้ำร่ วมกลุ่มสัปดำห์ละ 2 ครั้ง ใช้เวลำครั้งละ 30 - 45 นำที อย่ำงน้อยสุ ดจำนวน 10 ครั้ง
(ใช้เวลำครั้งละ 60 - 90 นำที)
41

ข้อ เฉลย
16 ตอบ 5. เข้ำใจปัญหำ สำเหตุ และควำมต้องกำรของผูร้ ับคำปรึ กษำ (ผูใ้ ห้คำปรึ กษำต้องใช้ทกั ษะเพื่อให้
ผูร้ ับค ำปรึ กษำเกิดควำมกระจ่ำงชัดในสำเหตุของปัญหำ ได้สำรวจควำมคิดและควำมรู ้สึกที่ตนเองมีต่อ
ประสบกำรณ์ บุคคล หรื อปัญหำที่เกิดขึ้น สำมำรถแยกแยะปัญหำนำและปัญหำที่แท้จริ งได้)
17 ตอบ 2. พฤติกรรมโมลำร์
18 ตอบ 2. อีโก้ (ego)
19 ตอบ 3. สิ่ งเร้ำ อินทรี ย ์ และกำรตอบสนอง
20 ตอบ 2. แบ่งจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ออกเป็ นจุดประสงค์ย่อย แล้วลดจำนวนกำรทดสอบ เพื่อให้ผเู ้ รี ยน
ไม่เกิดควำมกลัว
21 ตอบ 2. ครู คำนึงถึงควำมแตกต่ำงทำงด้ำนสติปัญญำของผูเ้ รี ยน (ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้โดยกำรหยัง่ เห็นของ
โคห์เลอร์)
22 ตอบ 5. ครู จดั ประสบกำรณ์และกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ที่หลำกหลำย มีวสั ดุอุปกรณ์ที่ช่วยให้กำรเรี ย นรู ้
เกิดขึ้นได้ง่ำย
23 ตอบ 5. เชำวน์ปัญญำ (Good, 1959)
24 ตอบ 3. 90-109
25 ตอบ 3. สถำปนิก
26 ตอบ 4. แบบแผนกำรเรี ยนรู ้
27 ตอบ 2. ไก่ และ ก้อย
28 ตอบ 2. แรงจูงใจ
29 ตอบ 2. กำรเชียร์
30 ตอบ 5. ประเมินผลกำรเรี ยนที่หลำกหลำย
31 ตอบ 1. กำรให้ผูเ้ รี ยนเห็นคุณค่ำของสิ่ งที่เรี ยน (ครู ควรกระตุน้ ควำมอยำกรู ้อยำกเห็นของผูเ้ รี ยน ซึ่ ง
อำจทำได้โดยวิธีกำรสร้ำงสถำนกำรณ์กำรขัดแย้งขึ้น แล้วให้ผเู ้ รี ยนคิดหำข้อยุติระหว่ำงข้อเท็จจริ งกับ
สิ่ งที่เชื่อ)
42

ข้อ เฉลย
32 ตอบ 2. ครู ชมพู่ให้เวลำในกำรทำแบบฝึ กหัดที่ยำกเพิ่มมำกขึ้น
(สำหรับงำนยำกครู ควรให้เวลำในกำรทำงำนเพิ่มมำกขึ้นกว่ำกำรใช้วิธีลดควำมยำกของงำน เนื่องจำก
ควำมสำมำรถในตัวผูเ้ รี ยนจะได้ใช้ก็ต่อเมื่อได้คิดหำทำงแก้ปัญหำต่ำงๆ ดังนั้นครู ควรให้ผเู ้ รี ยนทำงำน
ที่มีควำมยำกค่อนข้ำงสู ง แรงจูงใจในกำรทำงำนของผูเ้ รี ยนจะลดลงแต่ถำ้ งำนนั้นท้ำทำยผูเ้ รี ยนและ
อยำกทำก็ควรให้เวลำในกำรทำงำนนั้นเพิ่มมำกขึ้น พร้อมกับครู ให้กำรช่วยเหลือสนับสนุนให้กำลังใจ
แทนที่จะลดระดับควำมยำกของงำนลง)
33 ตอบ 4.ครู แบงค์ใช้แบบทดสอบทั้งแบบอัตนัยและปรนัย เรื่ อง ประวัติศำสตร์ วิชำสังคม ม.4
(ครู ใช้แบบทดสอบหลำยๆ แบบ เช่น มีท้ งั แบบอัตนัยและปรนัย เพรำะผูเ้ รี ยนที่ประสบปั ญหำในกำร
ทำข้อสอบประเภทใดประเภทหนึ่งจะได้มีโอกำสทำข้อสอบประเภทที่เขำถนัด)
34 ตอบ 2.เด็กเจ้ำอำรมณ์(เด็กเจ้ำอำรมณ์ เป็ นเด็กที่ไม่สำมำรถควบคุมอำรมณ์ได้)
35 ตอบ 2. ครู เบียร์กำหนดให้เด็กมำถึงโรงเรี ยนเวลำ 07.40 น.แล้วจะได้คะแนนเพิม่ (กำรปรับพฤติกรรมที่
ละขั้นตอน ขั้นที่ 1 แบ่งกำรปรับพฤติกรรมกำรไปโรงเรี ยนสำยออกเป็ นพฤติกรรมย่อยๆ ขั้นที่ 2 เริ่ มฝึ ก
แต่ละพฤติกรรม พฤติกรรมใดทพได้ตำมที่กำหนดก็จะได้รับกำรเสริ มแรงที่เด็กต้องกำร)
36 ตอบ 1.วุฒิภำวะ (วุฒิภำวะ หมำยถึง กำรเจริ ญเติบโตของโครงสร้ำงทำงร่ ำงกำยและอวัยวะต่ำงๆ อย่ำงมี
ระเบี ย บแบบแผนเป็ นไปตำมล ำดับ ขั้นตำมธรรมชำติ จนถึ ง จุ ดสู ง สุ ด มี ผ ลให้เกิ ดควำมพร้ อมที่ จะ
ประกอบกิ จกรรมได้เหมำะสมกับวัย เป็ นสภำวะที่ เกิ ดขึ้นเองตำมธรรมชำติ ที่ไม่ใช่ กำรเรี ยนรู ้ ห รื อ
ประสบกำรณ์)
37 ตอบ 2. ขั้นแสวงหำควำมสุ ข จำกอวัย วะทวำรหนัก (ทฤษฎี พ ฒ ั นำกำรควำมต้องกำรทำงเพศและ
บุคลิกภำพของฟรอยด์ ช่วงนี้อำยุโดยประมำณตั้งแต่ 18 เดือนถึง 3 ปี เป็ นช่วงที่เด็กมีควำมสุ ขและควำม
พึงพอใจกับกำรขับถ่ำย ดังนั้นกำรขับถ่ำยในระยะนี้จึงควรเป็ นไปตำมควำมพึงพอใจของเด็ก กำรฝึ กหัด
เพื่อขับถ่ำยให้เป็ นเวลำควรทำอย่ำงค่อยเป็ นค่อยไปด้วยควำมอ่อนโยนอย่ำใช้วิธีบงั คับ จึงจะทำให้เด็ก
สำมำรถตอบสนองควำมสุ ขของตนได้อย่ำงเต็มที่ เมื่อโตขึ้นจะมีบุคลิกภำพที่เหมำะสม แต่ถำ้ เด็กถูก
บังคับ ข่มขู่ หรื อลงโทษเพื่อให้ขบั ถ่ำยเป็ นเวลำหรื อต้องนัง่ ขับถ่ำยในที่ที่พ่อแม่กำหนดไว้เป็ นประจำ
สภำพที่เกิดเช่นนี้ จะทำให้เด็กเกิดควำมขัดแย้งและติดข้องอยูก่ บั ขั้นทวำรหนัก (anal fixation) เมื่อเข้ำสู่
วัยรุ่ นและวัยผูใ้ หญ่จะมีบุคลิกภำพชดเชยหลำยอย่ำง)
43

ข้อ เฉลย
38 ตอบ 5. เนส อำยุ 11 ปี คิดได้วำ่ 8 + 7 = 15 แต่จะไม่สำมำรถคิดย้อนกลับได้วำ่ 15 – 8 = 7
(ขั้นที่ 3 ขั้นกำรคิดแบบมีเหตุผลเชิงรู ปธรรม เด็กวัยนี้ จะสำมำรถคิดย้อนกลับไปมำได้รวมทั้งสำมำรถ
ทำควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมสัมพันธ์ของตัวเลขได้มำกขึ้นกว่ำเดิม เช่น ถ้ำเด็กคิดได้วำ่ 8 + 7 = 15 จะคิด
ย้อนกลับได้วำ่ 15 – 8 = 7 หรื อ 15 – 7 = 8 เป็ นต้น)
39 ตอบ 5. คุณแม่ทำอย่ำงไรบ้ำง จึงทำให้คุณคิดว่ำแม่ไม่ยตุ ิธรรม
(หลีกเลี่ยงกำรถำมด้วยค ำถำม “ทำไม” เพรำะคำถำมที่เริ่ มด้วย “ทำไม” มักจะทำให้ผรู ้ ับคำปรึ กษำรู ้สึก
ว่ำตนเองผิด และคิดหำคำตอบที่เหมือนเป็ นกำรแก้ตวั และคำถำม “ทำไม” ไม่ได้ช่วยให้ผรู ้ ับคำปรึ กษำ
ได้เล่ำระบำยควำมรู ้สึกทุกข์หรื อไม่สบำยใจ ซึ่ งวัตถุประสงค์หลักของกำรให้คำปรึ กษำคือ กำรให้
โอกำสในกำรเล่ำระบำย)
40 ตอบ 5. ครู ออ้ มเขียนคำสั่งชัดเจนสั้นๆ ไว้บนกระดำนอ่ำนให้นกั เรี ยนฟัง
41 ตอบ 5. ครู ภูผำให้ทำแบบฝึ กหัดที่มี 2 ตอนหำกทำตอนแรกถูกหมด ก็ไม่ตอ้ งทำแบบฝึ กหัดตอนที่ 2
(กำรใช้แรงเสริ มเชิงลบ หมำยถึง ขบวนกำรที่ส่งเสริ มพฤติกรรมของเด็ก เพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่
พึงประสงค์ซ้ ำอีก เด็กแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เพื่อต้องกำรหลีกเลี่ยงสภำวะที่เด็กไม่พึงพอใจ)
42 ตอบ 5. ครู ไทเกอร์แสดงอำกำรไม่สนใจเมื่อเด็กลุกจำกที่นงั่ แต่เมื่อเด็กนัง่ เรี ยบร้อยครู จะชม
(กำรหยุดยั้ง เป็ นกำรงดให้รำงวัล งดให้ควำมสนใจต่อพฤติกรรมของเด็ก ซึ่ งเป็ นพฤติกรรมที่ไ ม่พึง
ประสงค์ ครู ค วรให้ แ รงเสริ ม แก่ พ ฤติ ก รรมที่ พึ ง ประสงค์ค วบคู่ ไ ปด้ว ย เช่ น เมื่ อ เด็ ก ลุ ก จำกที่ นั่ง
ครู แสดงอำกำรไม่สนใจ แต่เมื่อเด็กนั่งเรี ยบร้อยครู จะชม เป็ นต้น กำรเพิกเฉยของครู หรื อผูป้ กครอง
เหมำะสำหรับพฤติกรรมที่ไม่รุนแรงเท่ำนั้น วิธีน้ ี ไม่เมหำะสำหรับพฤติกรรมที่รุนแรง เช่น กำรชกต่อย
ซึ่งครู หรื อผูป้ กครองควรหยุดพฤติกรรมนั้นทันที)
43 ตอบ 5. คุยครู บอยให้เด็กที่คุยกันจะถูกตัดสิ ทธิ์ไม่ให้เล่นเกมคอมพิวเตอร์
(กำรงดให้รำงวัลในช่วงเวลำจำกัด เป็ นกำรงดให้รำงวัลในช่วงเวลำจำกัด เช่นนักเรี ยนที่คุยกันจะถูกตัด
สิ ทธิ์ ไม่ให้เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ในชัว่ โมงคอมพิวเตอร์ เป็ นต้น เด็กที่ร้องให้ไม่หยุดอำจถูกส่ งเข้ำไป
กักขังไว้ในห้องนอนเป็ นเวลำ 5 นำที หรื อจนกว่ำเด็กจะหยุดร้องให้ เป็ นต้น กำรงดให้รำงวัลควรทำให้
เหมำะสม ควรงดในสิ่ งที่เด็กชอบและไม่งดนำนจนเกินไป)
44

ข้อ เฉลย
44 ตอบ 5. ครู ไทก้ำบอกเงื่อนไขว่ำถ้ำนักเรี ยนตั้งใจเรี ยนจะให้เล่นเกมส์แต่ถำ้ นักเรี ยนคนใดเล่นกับเพื่อน
ครู จะหักเวลำออกครั้งละ 1 นำที
(วิธีกำรใช้กำรวำงเงื่อนไขเป็ นกลุ่ม กำรวำงเงื่อนไขกำรเสริ มแรงต่อควำมร่ วมมือกันภำยในกลุ่ม เช่น
ครู ตอ้ งกำรปรับพฤติกรรมนักเรี ยนทั้งชั้นเรี ยนโดยตั้งเงื่อนไขว่ำ “ถ้ำนักเรี ยนไม่เล่นหยอกล้อกันในชั้น
เรี ยน และตั้งใจเรี ยน นักเรี ยนจะได้สิทธิ พิเศษ เช่น เล่นเกมส์ วำดรู ป แต่ถำ้ นักเรี ยนคนใดเล่นกับเพื่อน
ครู จะหักเวลำออกครั้งละ 1 นำที” และภำยหลังที่นักเรี ยนทรำบเงื่อนไขของครู ก็จะทำให้นักเรี ยนทั้ง
ห้องพยำยำมควบคุมกันเองซึ่ งจะช่วยเพิ่มควำมถี่ของพฤติกรรมที่พึงประสงค์ และขณะเดียวกันก็ช่วย
ลดควำมถี่ของกำรเกิดพฤติกรรมที่ไม่พ่งึ ประสงค์อีกด้วย)
45 ตอบ 1. ครู ฟ้ำชมเด็กที่ต้ งั ใจฟั ง
(กำรหล่ อหลอมพฤติ ก รรมเป็ นกำรเลื อกให้ แ รงเสริ ม เฉพำะพฤติ ก รรมที่ พึ ง ประสงค์เ ท่ ำ นั้น เช่ น
ในห้องเรี ยนครู ชมเด็กที่ ต้ งั ใจฟั งครู ส่วนเด็กที่คุยกันนั้น ครู ไม่ตำหนิ แต่ครู จะแสดงอำกำรไม่ส นใจ
กำรเลือกชมเฉพำะพฤติกรรมที่พึงประสงค์ จะช่ วยให้เด็กแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ ำอีก ครู หรื อผูป้ กครอง
ควรเป็ นตัวอย่ำงที่ดี เด็กอำจยึดครู หรื อผูป้ กครองเป็ นแบบอย่ำงในลหลำยด้ำนในกำรปรับพฤติกรรม
หำกครู หรื อผูป้ กครองไม่สำมำรถเป็ นแบบอย่ำงได้ อำจใช้นกั เรี ยนเป็ นแบบอย่ำงได้ เช่น ตัวอย่ำงของ
กำรพูดไพเรำะ ควำมขยันหมัน่ เพียรกำรมีสัมมำคำรำวะต่อครู กำรรับผิดชอบในสิ่ งที่ครู มอบหมำยให้)
46 ตอบ 2. แบบประเมินและแบบสังเกต
แบบประเมินควำมเครี ยด ST5 กรมสุขภำพจิต กระทรวงสำธำรณสุข
แบบสังเกตจำกพฤติกรรม
47 ตอบ 3. แบบประเมินภำวะซึมเศร้ำ
แบบประเมินภำวะซึมเศร้ำในวัยรุ่ น (PHQ-A) (สถำบันสุขภำพจิตเด็กและวัยรุ่ นรำชนคริ นทร์)
48 ตอบ 2. ไม่เคำรพกฎ ระเบียบของโรงเรี ยน
49 ตอบ 4. เป็ นเด็กที่ถูกกลัน่ แกล้งและโดนรังแกมำก่อน
50 ตอบ 5. นักวิทยำศำสตร์ (ทฤษฎีพหุปัญญำคิดค้นขึ้นโดย Dr. Howard Gardner ขอบเขตของปัญญำ
ด้ำนนี้เกี่ยวกับตรรกะ นำมธรรม กำรใช้เหตุผลและตัวเลข อำชีพที่เหมำะคือ นักวิทยำศำสตร์ นัก
คณิตศำสตร์ วิศวกร หมอ นักเศรษฐศำสตร์ )
45

หลักสู ตร ศาสตร์ การสอนและเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้


1.มวลประสบกำรณ์ ที่ ส ถำนศึ ก ษำแต่ ล ะแห่ ง จัดให้กับ ผูเ้ รี ย นตำมสภำพและควำมต้องกำรของท้อ งถิ่ น
เพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยนให้มีควำมรู ้ ควำมสำมำรถ พัฒนำไปสู่ศกั ยภำพสู งสุ ดของตนเอง โดยจัด ทำสำระกำรเรี ยนรู ้
ทั้งรำยวิชำพื้นฐำน และรำยวิชำที่ ต้องกำรเพิ่มเติมเป็ นรำยปี หรื อรำยภำค ตรงกับข้อใด
1. หลักสูตร
2. หลักสู ตรท้องถิ่น
3. หลักสูตรสถำนศึกษำ
4. หลักสูตรและกำรพัฒนำหลักสูตร
5. หลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน
2.ในปัจจุบนั สถำนศึกษำขั้นพื้นฐำนใช้หลักสู ตรใด
1. หลักสูตรมัธยมศึกษำ
2. หลักสูตรประถมศึกษำ
3. หลักสูตรฐำนสมรรถนะ
4. หลักสู ตรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2544
5. หลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551
3.หลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน มุ่งพัฒนำผูเ้ รี ยนทุกคน ซึ่ งเป็ นกำลังของชำติให้เป็ นมนุ ษย์ที่มี
ควำมสมดุลทั้งด้ำนร่ ำงกำย ควำมรู ้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในควำมเป็ นพลเมืองไทยและเป็ นพลโลก ยึดมัน่ ใน
กำรปกครองตำมระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริ ยท์ รงเป็ นประมุข ตรงกับส่วนใด
1. หลักกำร
2. จุดหมำย
3. วิสัยทัศน์
4. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รี ยน
46

4.ตัวชี้วดั ระบุสิ่งที่นกั เรี ยนพึงรู ้และปฏิบตั ิได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผูเ้ รี ยนในแต่ละระดับชั้นซึ่งสะท้อนถึง


มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้ มีควำมเฉพำะเจำะจงและมีควำมเป็ นรู ปธรรม นำไปใช้ในกำรกำหนดข้อใด
1. เนื้อหำ
2. เนื้อหำ และหน่วยกำรเรี ยนรู ้
3. เนื้อหำ หน่วยกำรเรี ยนรู ้ และกำรเรี ยนกำรสอน
4. เนื้อหำ หน่วยกำรเรี ยนรู ้ กำรเรี ยนกำรสอน และกำรวัดประเมินผล
5. เนื้อหำ หน่วยกำรเรี ยนรู ้ กำรเรี ยนกำรสอน กำรวัดประเมินผลและควำมต้องกำรท้อถิ่น
5.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง ว 1.1 ป. 1/2
1. ห้อง 2
2. สำระที่ 1
3. มำตรฐำนข้อที่ 1
4. ตัวชี้วดั ประถมศึกษำปี ที่ 1
5. กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
อ่ำนตำรำงต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม ข้อ 6-7
ส่วนนำ วิ สั ย ทัศ น์ สมรรถนะส ำคัญ ของผู ้เ รี ยน รำยวิ ช ำ กิ จ กรรมพัฒ นำผู ้เ รี ยน และ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
โครงสร้ำงหลักสูตร รหัสวิชำ ชื่อรำยวิชำ ประเภทรำยวิชำ กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ ระดับขั้นที่สอน ข้อมูลที่
ระบุเมื่อเรี ยน รำยวิชำนั้นแล้วผูเ้ รี ยนจะมีควำมรู ้ ทักษะ คุณลักษณะหรื อเจตคติอะไร
คำอธิบำยรำยวิชำ กำรกำหนดรำยวิชำ ที่จดั สอนในแต่ละปี /ภำคเรี ยน รำยวิชำพื้นฐำน รำยวิชำเพิ่มเติม
กิจกรรมพัฒนำ ผูเ้ รี ยน พร้อมทั้งจำนวนเวลำเรี ยน หรื อหน่วยกิตของรำยวิชำเหล่ำนั้น
กิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรี ยน และ ก็กิจกรรมเพื่อสังคม และสำธำรณประโยชน์
เกณฑ์กำรจบกำรศึกษำ คุณสมบัติของผูท้ ี่จะจับกำรศึกษำในแต่ละระดับ
47

6.องค์ประกอบของหลักสูตรสถำนศึกษำใดถูกต้องมำกที่สุด
1. ส่วนนำ และโครงสร้ำงหลักสูตร
2. เกณฑ์กำรจบกำรศึกษำและส่วนนำ
3. โครงสร้ำงหลักสูตรและคำอธิบำยรำยวิชำ
4. คำอธิบำยรำยวิชำและกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
5. กิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยนและเกณฑ์กำรจบกำรศึกษำ
7.องค์ประกอบของหลักสูตรสถำนศึกษำใดช่วยให้ครู ผสู ้ อนทรำบถึงเป้ำหมำยโดยรวมของสถำนศึกษำ ใน
กำรพัฒนำผูเ้ รี ยน
1. ส่วนนำ
2. คำอธิบำยรำยวิชำ
3. โครงสร้ำงหลักสูตร
4. กิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
5. เกณฑ์กำรจบกำรศึกษำ
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ8-11
(1) กำหนดวิสัยทัศน์ สมรรถนะสำคัญ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ โครงสร้ำงหลักสู ตรสถำนศึกษำ
กิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน เวลำเรี ยน คำอธิบำยรำยวิชำ เกณฑ์กำรวัดประเมินผลและจบกำรศึกษำ
(2) ศึ ก ษำหลัก สู ต รแกนกลำง กรอบหลัก สู ต รระดั บ ท้อ งถิ่ น และบริ บทควำมต้อ งกำรของ
สถำนศึกษำ
(3) จัดทำโครงสร้ำงรำยวิชำ ออกแบบหน่วยกำรเรี ยนรู ้ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
(4) ตรวจพิจำรณำคุณภำพหลักสูตร
(5) นำเสนอคณะกรรมกำรสถำนศึกษำ
(6) วิจยั ติดตำมประเมินผลกำรใช้หลักสูตร
48

8.ข้อใดคือขั้นตอนที่ 1 ของกำรพัฒนำหลักสู ตรสถำนศึกษำ


1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (2)
3. ส่วนที่ (3)
4. ส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (5)
9.ข้อใดคือขั้นตอนที่ 3 ของกำรพัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (2)
3. ส่วนที่ (3)
4. ส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (5)
10.ข้อใดคือขั้นตอนที่ 5 ของกำรพัฒนำหลักสู ตรสถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (2)
3. ส่วนที่ (3)
4. ส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (5)
49

11.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนกำรพัฒนำหลักสู ตรสถำนศึกษำ


1. (1) (2) (4) (5) (3) (6)
2. (2) (1) (3) (4) (5) (6)
3. (2) (1) (3) (4) (6) (5)
4. (2) (1) (4) (3) (5) (6)
5. (2) (1) (4) (5) (3) (6)
12.ในกำรจัดทำหลักสูตรสถำนศึกษำควรวิเครำะห์ขอ้ มูลจำกแหล่งใดมำเป็ นอันดับแรก
1. สภำพปัญหำของผูเ้ รี ยน
2. ควำมต้องกำรของชุมชน
3. กรอบหลักสู ตรระดับท้องถิ่น
4. จุดเน้นของสถำนศึกษำแต่ละแห่ง
5. หลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551
13.ข้อใดคือกำรตรวจพิจำรณำคุณภำพหลักสูตรสถำนศึกษำที่เหมำะสมมำกที่สุด
1. กำรให้ผเู ้ ชี่ยวชำญตรวจสอบและกำรทดลองใช้เฉพำะห้องเรี ยน
2. กำรให้ผเู ้ ชี่ยวชำญตรวจสอบและกำรรับฟังควำมคิดเห็นผูเ้ กี่ยวข้อง
3. กำรทดลองใช้เฉพำะห้องเรี ยนและกำรรับฟังควำมคิดเห็นผูเ้ กี่ยวข้อง
4. กำรให้ผเู ้ ชี่ยวชำญตรวจสอบและกำรประเมินโดยสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำ
5. กำรประเมินโดยสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำและกำรรับฟังควำมคิดเห็นผูเ้ กี่ยวข้อง
50

14.ข้อใดมีบทบำทสำคัญในกำรจัดทำหลักสู ตรสถำนศึกษำและดำเนิ นกำรนำหลักสู ตรสู่ กำรปฏิบตั ิในกำร


จัดกำรเรี ยนหำรสอนในชั้น เรี ยนอย่ำงมีประสิ ทธิภำพ
1. ครู
2. ผูป้ กครอง
3. สถำนศึกษำ
4. ผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำ
5. สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำ
15.กำรจะส่งเสริ มให้กำรจัดทำและใช้หลักสูตรสถำนศึกษำเป็ นไปอย่ำงมีคุณภำพและประสิ ทธิภำพต้อง
คำนึงถึงกำรมีส่วนร่ วมระดับใดมำกที่สุด
1. ระดับชั้นเรี ยนและระดับห้องเรี ยน
2. ระดับเขตพื้นที่กำรศึกษำและสถำนศึกษำ
3. ระดับกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้และระดับชั้นเรี ยน
4. ระดับสถำนศึกษำและระดับกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
5. ระดับสำนักงำนศึกษำธิกำรจังหวัดและระดับเขตพื้นที่กำรศึกษำ
16.กำรกำหนดโครงสร้ำงหลักสูตรสถำนศึกษำประกอบด้วยข้อใด
1. รำยวิชำ และรหัสวิชำ
2. รำยวิชำ และประเภทของรำยวิชำ
3. รำยวิชำ ประเภทของรำยวิชำ และรหัสวิชำ
4. รำยวิชำ ประเภทของรำยวิชำ และกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
5. รำยวิชำ ประเภทของรำยวิชำ รหัสวิชำ และกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
51

17.ข้อใดเป็ นรำยวิชำที่เปิ ดสอนเพื่ อพัฒนำผูเ้ รี ยนตำมมำตรฐำนกำรเรี ย นรู ้ ตัวชี้ วดั และสำระกำรเรี ย นรู ้
แกนกลำงที่กำหนดไว้ในหลักสู ตรแกนกลำง ซึ่ งเป็ นสิ่ งซึ่ งผูเ้ รี ยนทุกคนในระดับ กำรศึกษำขั้นพื้นฐำนต้อง
เรี ยนรู ้
1. รำยวิชำแกน
2. รำยวิชำเลือก
3. รำยวิชำเสริ ม
4. รำยวิชำเพิ่มเติม
5. รำยวิชำพื้นฐำน
18. ท 33212 ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง
1. ม.6
2. ภำษำไทย
3. ลำดับที่ 12
4. ตัวชี้วดั ชั้นปี
5. รำยวิชำเพิ่มเติม
19.ข้อใดคือกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
1. กิจกรรมแนะแนว และกิจกรรมนักเรี ยน
2. กิจกรรมแนะแนว และกิจกรรมดูแลช่วยเหลือนักเรี ยน
3. กิจกรรมแนะแนว และกิจกรรมเพื่อสังคมและสำธำรณประโยชน์
4. กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรี ยน และกิจกรรมดูแลช่วยเหลือนักเรี ยน
5. กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรี ยน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสำธำรณประโยชน์
52

20. ข้อใดทำให้ทรำบว่ำเมื่อเรี ยนรำยวิชำนั้นแล้ว ผูเ้ รี ยนจะมีควำมรู ้ ทักษะ คุณลักษณะหรื อเจตคติอะไร ซึ่ง


อำจระบุให้ทรำบถึงกระบวนกำรเรี ยนรู ้ หรื อประสบกำรณ์สำคัญที่ผเู ้ รี ยนจะได้รับด้วยก็ได้
1. ตัวชี้วดั
2. แผนกำรสอน
3. หน่วยกำรเรี ยนรู ้
4. คำอธิบำยรำยวิชำ
5. มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้
21.กำรนิเทศ ติดตำม กำรใช้หลักสูตรหลักสูตรสถำนศึกษำควรดำเนินกำรตำมข้อใด
1. ใช้เทคนิควิธีกำรที่แน่นอนเพื่อกำรปฏิบตั ิที่ชดั เจน
2. ครู ตอ้ งดำเนินกำรให้มีกำรนิเทศติดตำมอย่ำงเป็ นระบบ
3. ครู กำหนดควำมต้องกำรในกำรรับกำรนิเทศตำมควำมต้องกำรของตนเอง
4. สร้ำงควำมเข้ำใจและทัศนคติเกี่ยวกับกำรนิเทศติดตำมกำรใช้หลักสูตรในเชิงบวกเฉพำะครู ผสู ้ อน
5. กำหนดข้อตกลงเพื่อกำรขับเคลื่อนกำรนิเทศติดตำมร่ วมกันและมีแผนกำรดำเนินกำรอย่ำงชัด จน
เป็ นรู ปธรรม
22.กำรวิจยั พัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำมุ่งเน้นกำรวิจยั เพื่อข้อใด
1. ช่วยให้เข้ำใจพฤติกรรมผูเ้ รี ยนได้ดีข้ ึน
2. ติดตำมและประเมินผลข้อมูลทำงฝ่ ำยวิชำกำร
3. แก้ปัญหำผูเ้ รี ยนได้อย่ำงมีประสิ ทธิภำพถูกต้อง
4. กำหนดนโยบำยยกระดับคุณภำพของสถำนศึกษำ
5. นำผลมำประกอบกำรพิจำรณำปรับปรุ งหลักสูตรสถำนศึกษำให้เหมำะสมสอดคล้องกับผูเ้ รี ยน
53

23.กำรร่ ำงหลักสูตรสลอดคล้องกับกำรวิจยั และพัฒนำ (Research and Development : R+D) ตำมข้อใด


1. R1
2. D1
3. R2
4. D2
5. ไม่มีขอ้ ถูก
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 24-25
(1) กำรทดลองใช้หลักสูตรกำร
(2) ประเมินผลและปรับปรุ งหลักสูตร
(3) กำรออกแบบและพัฒนำหลักสูตร (ฉบับร่ ำง)
(4) กำรศึกษำข้อมูลและกำรสังเครำะห์ขอ้ มูลพื้นฐำน
24.ข้อใดจัดอยูใ่ นระยะที่ 1 ของกำรพัฒนำหลักสูตร
1. ส่วนที่ (1) และ ส่วนที่ (2)
2. ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (1) และ ส่วนที่ (3)
เฉลย 3. ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
54

25.ข้อใดจัดอยูใ่ นระยะที่ 2 ของกำรประเมินคุณภำพของหลักสูตร


1. ส่วนที่ (1) และ ส่วนที่ (2)
2. ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (1) และ ส่วนที่ (3)
5. ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
26.ในกรณีที่จะทำวิจยั และพัฒนำหลักสูตร กำรศึกษำสภำพปัจจุบนั และปัญหำกำรไม่รู้ภำษำอังกฤษของ
ผูเ้ รี ยนในระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนปลำย ครู ท่ำนใดดำเนินกำรได้เหมำะสมมำกที่สุด
1. ครู สมศรี รวบรวมข้อมูลจำกกระบวนกำร PLC
2. ครู สมหมำยสังเกตพฤติกรรมกำรเรี ยนรู ้ในวิชำภำษำอังกฤษ
3. ครู สมศักดิ์วิเครำะห์จำกคะแนนสอบปลำยภำควิชำภำษำอังกฤษ
4. ครู สมควรสอบถำมปัญหำกำรเรี ยนวิชำภำษำอังกฤษจำกครู ท่ำนอื่น
5. ครู สมชำยศึกษำเอกสำร งำนวิจยั จำกนั้นนำข้อมูลที่ได้มำวิเครำะห์และสรุ ปเพื่อกำหนดเป็ น
แนวคิดในกำรพัฒนำหลักสูตร
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 27-28
(1) กำรปรับปรุ งเอกสำรหลักสูตรและเอกสำร
(2) จัดทำเอกสำรหลักสูตร
(3) ร่ ำงเอกสำรหลักสูตร
(4) กำรประเมินหลักสูตรโดยผูท้ รงคุณวุฒิ
55

27.จงเรี ยงลำดับกำรออกแบบและพัฒนำหลักสูตร (ฉบับร่ ำง)


1. (1) (2) (3) (4)
2. (2) (3) (1) (4)
3. (3) (2) (1) (4)
4. (2) (3) (4) (1)
5. (3) (2) (4) (1)
28.กำรกำหนดวิสัยทัศน์ของหลักสูตร ตรงกับขั้นตอนกำรออกแบบและพัฒนำหลักสูตร (ฉบับร่ ำง) ในข้อใด
1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (2)
3. ส่วนที่ (3)
4. ส่วนที่ (4)
5. ไม่มีขอ้ ถูก
29.กำรวิจยั ประเมินผลกำรใช้หลักสูตร กำรประเมินผลกำรใช้ หลักสูตรเป็ นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของ
กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรซึ่งสถำนศึกษำจะต้องมีควำม ตระหนักในกำรปรับปรุ งหรื อพัฒนำหลักสูตร
อย่ำงต่อเนื่องกระบวนกำรประเมินผลกำรใช้หลักสูตร สำมำรถดำเนินกำรได้ตำมข้อใด
1. ระหว่ำงกำรใช้หลักสูตร
2. ก่อนกำรใช้หลักสู ตรและระหว่ำงกำรใช้หลักสูตร
3. ก่อนกำรใช้หลักสู ตรและเมื่อนำหลักสูตรไปใช้เรี ยบร้อย
4. ระหว่ำงกำรใช้หลักสูตรและเมื่อนำหลักสูตรไปใช้เรี ยบร้อย
5. ก่อนกำรใช้หลักสู ตร ระหว่ำงกำรใช้หลักสูตรและเมื่อนำหลักสูตรไปใช้เรี ยบร้อย
56

30.ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมำยของกำรประเมินหลักสูตร
1. เพื่อหำแนวทำงปรับปรุ งแก้ไขระบบกำรบริ หำรหลักสูตร
2. เพื่อศึกษำเปรี ยบเทียบปัญหำและควำมต้องกำรของหลักสูตร
3. เพื่อติดตำมผลผลิตจำกหลักสูตรโดยพิจำรณำที่คุณภำพของผูเ้ รี ยน
4. เพื่อตัดสิ นคุณภำพของหลักสูตรโดยพิจำรณำว่ำมีคุณภำพดีหรื อไม่ดี
5. เพื่อหำทำงปรับปรุ งแก้ไขสิ่ งบกพร่ องที่พบในองค์ประกอบต่ำง ๆ ของหลักสูตร
31.กำรประเมินหลักสูตรเพื่อตัดสิ นคุณภำพของหลักสูตรโดยพิจำรณำว่ำบรรลุตำมเป้ำหมำยที่กำหนดไวมำก
น้อยเพียงใด ตอบสนองควำมต้องกำรของสังคมเพียงใดเหมำะสมกับกำรนำไปใช้ต่อไปหรื อไม่ กำรประเมิน
ในลักษณะนี้จะดำเนินกำรระยะใด
1. กำรร่ ำงหลักสูตร
2. ก่อนกำรใช้หลักสูตร
3. หลังจำกที่ใช้หลักสูตร
4. กำรทดลองใช้หลักสูตร
5. ระหว่ำงกำรใช้หลักสูตร
32.ข้อใดคือขอบเขตกำรประเมินหลักสูตร
1. เอกสำรหลักสูตร และกำรใช้หลักสูตร
2. เอกสำรหลักสูตร และผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยน
3. กำรใช้หลักสูตร และผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยน
4. เอกสำรหลักสูตร กำรใช้หลักสูตร และผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยน
5. เอกสำรหลักสูตร กำรใช้หลักสูตร ผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยนและโครงกำรประเมินหลักสูตร
57

33.ข้อใดเป็ นกำรตรวจสอบคุณภำพองค์ประกอบต่ำงๆของหลักสูตรว่ำมีควำมสอดคล้องเหมำะสมถูกต้อง
ได้แก่ จุดหมำยจุดประสงค์โครงสร้ำงเนื้อหำวิธีกำรวัดและประเมินผลควำมชัดเจนในกำรนำหลักสู ตรไปสู่
กำรปฏิบตั ิควำมเหมำะสมกับผูเ้ รี ยนกำรตอบสนองควำมต้องกำรของสังคมและผูเ้ รี ยน
1. กำรประเมินกำรใช้หลักสูตร
2. กำรประเมินเอกสำรหลักสูตร
3. กำรประเมินผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยน
4. กำรประเมินโครงกำรประเมินหลักสูตร
5. กำรประเมินตรวจสอบคุณภำพและปริ มำณควำมรู ้ทกั ษะเจตคติของผูเ้ รี ยน
34.กำรประเมินกำรใช้หลักสูตรซึ่งเป็ นกำรตรวจสอบว่ำหลักสูตรสำมำรถนำไปใช้ได้ดีในสถำนกำรณ์จริ ง
เพียงใดประกอบด้วยข้อใด
1. กำรประเมินครู และกำรประเมินผูเ้ รี ยน
2. กำรประเมินครู และกำรประเมินผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำ
3. กำรประเมินครู และกำรประเมินบุคลำกรทำงกำรศึกษำ
4. กำรประเมินกำรสอนและกำรประเมินระบบกำรบริ หำรหลักสูตร
5. กำรประเมินกำรสอนและกำรประเมินระบบกำรบริ หำรสถำนศึกษำ
35. Taba ประเภทของกำรประเมินหลักสูตรแบ่งตำมระดับของหลักสูตรตำมข้อใด
1. กำรประเมินเพื่อสรุ ปผลและกำรประเมินหลักสู ตรทั้งระบบ
2. กำรประเมินเพื่อกำรปรับปรุ งและกำรประเมินเพื่อสรุ ปผล
3. กำรประเมินเพื่อกำรปรับปรุ งและกำรประเมินหลักสู ตรทั้งระบบ
4. กำรประเมินเพื่อกำรปรับปรุ งและกำรประเมินองค์ประกอบของหลักสูตร
5. กำรประเมินองค์ประกอบของหลักสูตรและกำรประเมินหลักสู ตรทั้งระบบ
58

36.ข้อใดคือระยะเวลำในกำรประเมินหลักสูตร
1. กำรประเมินหลักสูตรหลังกำรใช้หลักสูตร
2. กำรประเมินหลักสูตรระหว่ำงกำรดำเนินกำรใช้
3. กำรประเมินหลักสู ตรก่อนกำรนำหลักสู ตรไปใช้
4. กำรประเมินหลักสู ตรก่อนกำรนำหลักสู ตรไปใช้และกำรประเมินหลักสูตรหลังกำรใช้หลักสูตร
5. กำรประเมินหลักสู ตรก่อนกำรนำหลักสู ตรไปใช้ กำรประเมินหลักสูตรระหว่ำงกำรดำเนินกำรใช้
หลักสูตร และกำรประเมินหลักสูตรหลังกำรใช้หลักสูตร
37.กำรประเมินหลักสูตรในระยะใดต้องอำศัยควำมคิดเห็นจำกผูเ้ ชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรพัฒนำหลักสูตร
ทำงด้ำนเนื้ อหำวิชำ ทำงด้ำนวิชำชีพครู และทำงด้ำนกำรวัดและประเมินผล
1. กำรประเมินหลักสูตรหลังกำรใช้หลักสูตร
2. กำรประเมินหลักสู ตรก่อนกำรนำหลักสู ตรไปใช้
3. กำรประเมินหลักสูตรระหว่ำงกำรทดลองใช้หลักสูตร
4. กำรประเมินหลักสูตรระหว่ำงกำรดำเนินกำรใช้หลักสูตร
5. กำรประเมินหลักสูตรระหว่ำงกำรแก้ไขปรับปรุ งหลักสูตร
38.ข้อใดเป็ นหลักสู ตรที่ปรับเพิ่มหรื อขยำยจำกหลักสู ตรแม่บทเพื่อให้เหมำะสมสอดคล้องกับสภำพควำม
ต้องกำรของท้องถิ่นนั้น ๆ
1. หลักสู ตรท้องถิ่น
2. หลักสูตรสัมพันธ์
3. หลักสูตรแกนกลำง
4. หลักสูตรบูรณำกำร
5. หลักสู ตรเนื้ อหำวิชำ
59

39.ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับหลักสูตรบูรณำกำรแบบคู่ขนำน (Parallel Disciplinary Integration)


1.ครู 1 คนขึ้นไป 2 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ข้ นึ ไปวำงแผนร่ วมกันตำมหัวเรื่ อง
2.ครู 2 คนขึ้นไป 2 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ข้ นึ ไปวำงแผนร่ วมกันตำมหัวเรื่ อง
3.ครู 2 คนขึ้นไป 3 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ข้ นึ ไปวำงแผนร่ วมกันตำมหัวเรื่ อง
4.ครู 3 คนขึ้นไป 3 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ข้ นึ ไปวำงแผนร่ วมกันตำมหัวเรื่ อง
5.ครู 3 คนขึ้นไป 3 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ข้ นึ ไปวำงแผนร่ วมกันตำมหัวเรื่ อง
40.ในภำคเรี ยนที่ 2/2564 ระดับชั้นป.1-ป.3 นำร่ องใช้หลักสูตรใดในพื้นที่นวัตกรรมกำรศึกษำ
1. หลักสูตร coding
2. หลักสูตรอิงมำตรฐำน
3. หลักสูตรฐำนสมรรถนะ
4. หลักสูตร Home School
5. หลักสูตรบูรณำกำรแบบคู่ขนำน
41.แนวคิดสำคัญกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ ของ John Dewey (1916)
1. เด็กเกิดกำเเรี ยนรู ้จำกกำรสังเกตตัวแบบ
2. เด็กรู ้จกั สำรวจสิ่ งต่ำงๆ ในธรรมชำติรอบตัว
3. เด็กใช้ประสำทสัมผัสทั้ง 5 ในกำรรับรู ้ควำมรู ้สึก
4. เด็กเริ่ มเรี ยนรู ้สิ่งที่เป็ นรู ปธรรมและพัฒนำไปสู่ นำมธรรม
5. เด็กแต่ละคนมีควำมต้องกำรควำมสนใจและควำมถนัดต่ำงกัน
60

42.ข้อใดคือลักษณะของครู รุ่นใหม่
1. มีกำรทดสอบน้อย
2. สอนแยกเนื้ อหำวิชำ
3. มุ่งเน้นกำรให้รำงวัลภำยนอก
4. ละเลยเฉยเมยต่อบทบำทผูเ้ รี ยน
5. ใช้เทคนิคกำรเรี ยนโดยท่องจำเป็ นหลัก
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 43
คนที่ 1 : ครู ดวงฤดีให้นกั เรี ยนทำกำรบ้ำนส่งทุกวัน
คนที่ 2 : ครู ดวงฤทัยให้นกั เรี ยนประเมินตนเองทุกครั้ง
คนที่ 3 : ครู ดวงใจแบ่งกลุ่มนักเรี ยนในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนในแต่ละครั้ง
คนที่ 4 : ครู ดวงดวงมณี สังเกตพฤติกรรมนักเรี ยนขณะทำกิจกรรมเพื่อเก็บคะแนนจิตพิสัย
คนที่ 5 : ครู ดวงกมลเตรี ยมตัวเองด้วยกำรอ่ำนค้นคว้ำทดลองและปฏิบตั ิจนเกิดควำมชำนำญ
43.ครู ท่ำนใดจัดกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. ครู ดวงฤดีและครู ดวงใจ
2. ครู ดวงใจและครู ดวงฤทัย
3. ครู ดวงดวงมณี และครู ดวงฤดี
4. ครู ดวงดวงมณี และครู ดวงฤทัย
5. ครู ดวงดวงมณี และครู ดวงกมล
61

44.ข้อไม่ไม่ใช่หลักกำรสำคัญของกำรจัดกิจกรรมเพิ่มเวลำรู ้
1. เชื่อมโยงตัวชี้วดั
2. บรรลุเป้ำหมำย KAP
3. คำนึงถึงกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
4. ประเมินผลตำมมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้
5. กิจกรรมที่เน้นกำรพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
45.ข้อใดคือควำมหมำยของกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เอำเนื้อหำควำมรู ้เป็ นตัวตั้ง
2. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เอำคุณภำพของสถำนศึกษำเป็ นตัวตั้ง
3. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เอำควำมคำดหวังของผูป้ กครองเป็ นตัวตั้ง
4. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่ควำมต้องกำรของครู และผูป้ กครองเป็ นตัวตั้ง
5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เอำชีวิตจริ งและเงื่อนไขกำรรับรู ้ของผูเ้ รี ยนเป็ นตัวตั้ง
46.ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนโดยเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญผูใ้ ดมีส่วนร่ วมในกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้มำกที่สุด
1. ครู
2. ผูเ้ รี ยน
3. ผูป้ กครอง
4. ผูบ้ ริ หำรกำรศึกษำ
5. ผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำ
62

47.ข้อใดไม่ใช่หลักกำรในกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ


1. กำรใช้กระบวนกำรวิจยั เป็ นส่วนหนึ่งของกำรทำวิทยฐำนะ
2. กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรี ยนรู ้ยดึ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล
3. กำรยึดชีวิตจริ งของผูเ้ รี ยนเป็ นหลักในกำรจัดประสบกำรณ์กำรเรี ยนรู ้
4. กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรี ยนรู ้ยดึ หลักกำรพัฒนำผูเ้ รี ยนให้ถึงศักยภำพสูงสุด
5. กำรปรับควำมคิดของครู ให้มองนักเรี ยนบนพื้นฐำนของควำมรักควำมเข้ำใจว่ำ นักเรี ยนมี
ศักยภำพในกำรเรี ยนรู ้
48.ข้อใดไม่ใช่ทฤษฎีกำรสร้ำงองค์ควำมรู ้ดว้ ยตนเอง (Constructionism)
1. ผูเ้ รี ยนเกิดกำรเรี ยนรู ้จำกประสบกำรณ์จริ ง
2. ผูเ้ รี ยนเกิดกำรเรี ยนรู ้จำกกำรมีปฏิสัมพันธ์ทำงสังคม
3. ผูเ้ รี ยนสำมำรถสร้ำงควำมรู ้ได้โดยอำศัยประสบกำรณ์เดิมของผูเ้ รี ยน
4. ผูเ้ รี ยนสร้ำงระบบควำมเข้ำใจด้วยตนเองมำกกว่ำกำรส่งผ่ำนหรื อกำรถ่ำยทอดจำกผูส้ อน
5. ผูเ้ รี ยนเรี ยนรู ้จำกกำรมองเห็นโครงสร้ำงทั้งหมดของเรื่ องก่อนแล้วจึงเรี ยนรู ้จำกส่วนย่อย
49.ผูเ้ รี ยนมีสมรรถภำพในด้ำนควำมรู ้ อำรมณ์ ควำมรู ้สึก และทักษะไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหมำยควำมว่ำ ครู ควร
ฝึ กให้ ผูเ้ รี ยนรู ้จกั คิด รู ้จกั ใช้เหตุผล มีควำมชื่นชมต่อสิ่ งที่เรี ยน และให้ผเู ้ รี ยนลงมือทำกิจกรรมต่ำงๆ ด้วย
ตนเอง สอดคล้องกับข้อใด
1. ทฤษฎีพุทธินิยม
2. ทฤษฎีมนุษยนิยม
3. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
4. ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ของกลุ่มเกสตัสท์
5. ทฤษฎีพฒั นำกำรทำงสติปัญญำของเพียเจต์
63

50.ผูใ้ ดไม่จดั บรรยำกำศและสภำพแวดล้อมของกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ


1. ครู ชิดชนกเปิ ดโอกำสให้ผเู ้ รี ยนได้ซกั ถำมตลอดเวลำ
2. ครู นวพรใช้หอ้ งเรี ยนในกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้เท่ำนั้น
3. ครู แบ่งกลุ่มนักเรี ยนในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนในแต่ละครั้ง
4. ครู กิตติจดั ชั้นเรี ยนให้ผเู ้ รี ยนได้มีโอกำสพูดคุยแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น
5. ครู จิรำพรจัดชั้นเรี ยนให้ผเู ้ รี ยนสำมำรถเคลื่อนไหวแสวงหำควำมรู ้เองได้จำกสื่ อต่ำงๆทั้งในและ
นอกห้องเรี ยน
51.ข้อใดไม่ใช่ลกั ณะของสื่ อกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. สื่ อมีจำนวนเพียงพอกับจำนวนผูเ้ รี ยน
2. สื่ อกำรสอนที่ใช้ในรำยวิชำมีควำมหลำกหลำย
3. สื่ อกำรเรี ยนกำรสอนที่ใช้ส่วนใหญ่เป็ นของจริ ง
4. สื่ อที่ผสู ้ อนใช้มีควำมทันสมัย กำรสอนออนไลน์
5. สื่ อที่ใช้เป็ นแหล่งควำมรู ้ท้ งั ในและนอกห้องเรี ยน
52.ข้อใดไม่ใช่บทบำทกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. ผูเ้ รี ยนมีส่วนร่ วมรประเมินผลเพื่อตัดสิ นผลกำรเรี ยน
2. ผูเ้ รี ยนสร้ำงควำมรู ้ควำมเข้ำใจด้วยตนเองมำกกว่ำกำรรับกำรถ่ำยทอดจำกผูส้ อน
3. ผูส้ อนจัดกิจกรรมหรื อสถำนกำรณ์กำรเรี ยนรู ้ที่ให้ผเู ้ รี ยนมีส่วนร่ วมในกำรเรี ยนรู ้
4. ผูส้ อนประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนตำมสภำพจริ งด้วยวิธีกำรที่หลำกหลำยและต่อเนื่อง
5. ผูส้ อนทำหน้ำที่เป็ นผูอ้ ำนวยควำมสะดวกในกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้กระบวนกำรเรี ยนรู ้
64

53.ในกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญผูส้ อนมำบรรยำยให้ผเู ้ รี ยนระดับประถมศึกษำฟังเฉลี่ยอย่ำง


มำกกี่นำที/คำบ
1. 10 นำที
2. 20 นำที
3. 30 นำที
4. 40 นำที
5. 50 นำที
54.ข้อใดไม่ใช่กำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. ผูส้ อนให้ผเู ้ รี ยนประเมินตนเองทุกครั้ง
2. ผูส้ อนควรให้ผเู ้ รี ยนทำแฟ้มสะสมผลงำน
3. เครื่ องมือที่ใช้วดั ผลกำรเรี ยนกำรสอนมีควำมหลำกหลำย
4. มีกำรแจ้งผลกำรประเมินให้ผเู ้ รี ยนทรำบเฉพำะจบภำคเรี ยน
5. กำรประเมินกระทำไปพร้อม ๆ กับกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอนและกำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยน
65

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 55-56

โรงเรี ยนทุ่งแสงทองได้จดั กำรเรี ยนรู ้ โดยร่ วมกันจัดทำโครงงำนบรรณำกำรกลุ่มสำระกำร


เรี ยนภำษำไทย และกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้กำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี เรื่ อง ฝ่ ำยทอใย สำยใจชีวิต โดย
มีเป้ ำหมำยให้ผูเ้ รี ยน ได้เรี ยนรู ้เรื่ อง ที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริ ง ครู ใช้เวลำตลอดภำคเรี ยนให้ผูเ้ รี ยน ไป
เรี ยนรู ้วิธีกำรปลูกฝ้ำ ย และทอผ้ำจำกผูป้ ระกอบกำรทอผ้ำ ในชุมชน แล้วมำร่ วมกันออกแบบกำร
จัดกำรเรี ยนรู ้ซ่ ึงมีข้นั ตอน
ตั้ง แต่ ก ำรเก็ บ ดอกฝ้ ำ ยปั้ นฝ่ ำยเป็ นเส้ นกำรลงมื อท ำ ฝึ กให้ผูเ้ รี ย นได้ใ ช้พ้ื นที่ ขำ้ งโรงเรี ยน
ส ำหรั บ ปลู ก ฝ่ ำย ท ำเครื่ องมื อทอผ้ำ อย่ำ งง่ ำ ย และให้ผูเ้ รี ย นบันทึ ก ขั้นตอนกำรท ำงำน และเขี ย น
สะท้อ นควำมรู ้ สึ ก ที่ มี ต่ อ กระบวนกำรทอผ้ำ ได้เ รี ย นรู ้ ค วำมยำยำกส ำบำก จำกเส้ น ฝ้ ำ ยสู่ ผื น ผ้ำ
โครงงำนนี้ เป็ นโครงงำนขนำดใหญ่ที่ผูเ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้ ตลอดภำคเรี ยน ในช่ วงก่ อน ปิ ดภำคเรี ยนให้
ผูเ้ รี ยนจัดนิทรรศกำร “ทอฝัน” แสดงผลงำน

55.จำกข้อมูลที่ให้มำเป็ นกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ตำมข้อใด


1. กำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ
2. กำรเรี ยนรู ้แบบบูรณำกำร
3. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบใช้คำถำม
4. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบโครงงำน
5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ใช้ปัญหำเป็ นฐำน
56.ข้อใดไม่ใช่ลกั ษณะผลที่เกิดกับผูเ้ รี ยน
1. ผูเ้ รี ยนคำนึงถึงควำมรู ้และประสบกำรณ์เดิม
2. ผูเ้ รี ยนได้รับควำมรู ้ ควำมเข้ำใจในลักษณะองค์รวม
3. เปิ ดโอกำสให้ครู ผสู ้ อนในทุกกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ ได้ทำงำนร่ วมกัน
4. เปิ ดโลกทัศน์ของทั้งครู ผสู ้ อน และผูเ้ รี ยนให้กว้ำงขึ้น ไม่จำกัดเฉพำะด้ำน
5. เปิ ดโอกำสให้ผเู ้ รี ยน ได้เรี ยนรู ้กำรแก้ปัญหำโดยใช้ควำมรู ้หลำย ๆ ด้ำน ประกอบกัน
66

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 57-58

ครู สังคมได้ออกแบบกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ให้ผูเ้ รี ยนได้แลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ มีกำรทำงำนร่ วมกัน


และมีปฏิสัมพันธ์กนั จึงออกแบบกิจกรรมให้ผเู ้ รี ยนได้รวบรวมควำมคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่ องที่เรี ยน โดย
ใช้เทคนิค Consensus 1-3-5 เพื่อใช้รวบรวมควำมคิด ควำมเข้ำใจของกลุ่มผูเ้ รี ยน โดยเริ่ มจำกคิดเดี่ยว
(1 คน) คิดเป็ นกลุ่ม 3 คน และกลุ่ม 5 คน ดังนี้
1.ผูเ้ รี ยนแต่ละคนเขียนควำมคิดหรื อควำมเข้ำใจของตนเองลงในกระดำษ
2. ผูเ้ รี ยนรวมกลุ่มกัน 3 คน แล้วนำควำมคิดเห็นมำอภิปรำยเพื่อหำข้อตกลงร่ วมกันในกลุ่ม
3. ผูเ้ รี ยนรวมกลุ่มกัน 2 กลุ่ม (5 คน) เพื่อเชื่อมควำมคิดเห็นของทั้งสองกลุ่มเข้ำด้วยกัน แล้ว
นำเสนอ
ในบทเรี ย นใช้ ก ำรพู ด คุ ย เกี่ ย วกับ เนื้ อ หำสำระ ที่ เ รี ย นแล้ว และมี ก ำรอภิ ป รำยเกี่ ย วกับ
กระบวนกำรทำงสังคม ในประเด็นต่ำง ๆ ได้แก่ รู ปแบบกำรสนทนำเพื่อขอข้อมูล จำกผูอ้ ื่น กำรรลง
มติในกรณีที่เกิดควำมขัดแย้ง วิธีกำรทำงำนร่ วมกันที่มีประสิ ทธิภำพ
เมื่อได้ควำมคิดเหล่ำนี้ แล้วครู ตอ้ งกำรให้ผูเ้ รี ยน ได้มีปฏิสัมพันธ์กบั ผูอ้ ื่ น ได้เรี ยนรู ้ แนวคิด
ควำมคิดเห็นของ ผูอ้ ื่น จึงได้จดั กิจกรรม OPV (Others People View) ให้นำเรื่ องที่เรี ยนไปสอบถำม
ควำมคิดเห็น บุคคลอื่นๆ แล้วนำมำสรุ ปข้อมูลพร้อมอภิปรำยเกี่ยวกับวิธีกำรแสวงหำควำมรู ้จำกผูอ้ ื่นที่
ทำให้เกิดประสิ ทธิภำพ

57.จำกข้อมูลที่ให้มำเป็ นกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ตำมข้อใด


1. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบนิรนัย
2. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบค้นพบ
3. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบอุปนัย
4. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบอภิปรำย
5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ดว้ ยกระบวนกำรทำงสังคม
67

58.ข้อใดคือลักษณะผลที่เกิดกับผูเ้ รี ยน
1. ผูเ้ รี ยนมองเห็นคุณค่ำของกำรทำงำนร่ วมกัน
2. ผูเ้ รี ยนพัฒนำสติปัญญำด้ำนกำรคิดหำเหตุผล
3. ผูเ้ รี ยนนสำมำรถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
4. ผูเ้ รี ยนรศึกษำค้นคว้ำและแสวงหำควำมรู ้ดว้ ยตนเอง
5. ผูเ้ รี ยนมีโอกำสแสดงควำมคิดเห็นและรับฟังควำมคิดเห็นของผูอ้ ื่น
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 59-60

ครู จิตใสได้ส่งนักเรี ยนไปฝึ กงำนเกษตรกับ คุณลุงชำญที่แปลงสวนซึ่ งมีแปลงต้นไม้หลำย


ชนิดเป็ นกิจกรรม เพื่อฝึ กกระบวนกำรทำงำนจริ ง นักเรี ยนแต่ละคนต้องบันทึกกำรทำงำนในแต่ละวัน
ว่ำได้ทำงำนอะไรบ้ำง ในขณะเดียวกัน ก็ตอ้ ง เต็มในส่ วนที่เรี ยกว่ำ “กำรเรี ยนรู ้ของตนเอง” เป็ นสิ่ งที่
ได้จำก กำรปฏิบตั ิ กำรสังเกต และเชื่อมโยง เป็ นควำมรู ้ของตนเอง
นักเรี ยนสังเกตเห็นว่ำคุณลุงชำญใช้วสั ดุคลุม คนหลำยชนิ ด ส่ วนมำกเป็ นเศษวัสดุจำกสวน
เพื่อกำรเก็บควำมชื้นไว้ในดินนักเรี ยนคิดว่ำเศษวัสดุแต่ละอย่ำง น่ำจะเก็บควำมชื้นได้แตกต่ำงกัน และ
อยำกทรำบว่ำระหว่ำงเศษใบไม้ ฟำงสับ และขุยมะพร้ำว แต่ละอย่ำงนั้น อย่ำงใดจะเก็บควำมชื้ นได้
ดีกว่ำกัน จึงคิดจะทำกำรทดลองเล็ก ๆ ขึ้นมำ นักเรี ยนที่มีปัญหำว่ำ กำรวัดค่ำ ควำมชื้นจะทำได้อย่ำงไร
นักเรี ยนได้ขอ้ มูลว่ำเจ้ำหน้ำที่เกษตรประจำอำเภอมีเครื่ องมือนี้ จึงได้ไปประสำน ขอยืมพร้อม
ทั้งเรี ยนรู ้วิธีกำรใช้นกั เรี ยนทำกำรทดลองเปรี ยบเทียบควำมชื้นในดินจำกกำรใช้วสั ดุคลุมดินที่เป็ น เศษ
ใบไม้ฟำงสับ และขุยมะพร้ำว ผลปรำกฏว่ำขุยมะพร้ำวเก็บควำมชื้ นได้ดีกว่ำ ข้อค้นพบนี้ เกิดคำถำม
ใหม่ว่ำ ระหว่ำงกำรรดน้ ำ แล้วใช้วสั ดุคลุมดิน กับกำรคลุมดินก่อนแล้วรดน้ ำ อย่ำงใดจะช่วยให้ดินมี
ควำมชื้น ได้ดีกว่ำกัน
จึงออกแบบกำรทดลองเป็ นรอบที่สอง พบว่ำ กำรที่ดินจะเก็บควำมชื้ นได้ดี ควรรดน้ ำ แล้ว
คลุม ด้วยวัสดุคลุมดิน ต่อมำก็มีคำถำมว่ำวัสดุคลุมดินแต่ละอย่ำงมีค่ำใช้จ่ำยแตกต่ำงกัน แล้วอย่ำงใด
จะประหยัดที่สุต จึงนำไปสู่ กำรศึกษำและเรี ยนรู ้ต่อเนื่องไปพร้อมกับกำรฝึ กงำนที่สวนคุณลุงชำญเมื่อ
สิ้ นสุ ด เวลำกำรฝึ กงำนนักเรี ยนแต่ละคนจัดทำรำยงำนพร้อมระบุสิ่งที่ได้เรี ยนรู ้ และกำรนำไปใช้ใน
สถำนกำรณ์ต่ำง ๆ
68

59.จำกข้อมูลที่ให้มำเป็ นกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ตำมข้อใด


1. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบหน่วย
2. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบแสดงบทบำท
3. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวิทยำศำสตร์
4. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบศึกษำด้วยตนเอง
5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้จำกประสบกำรณ์จริ ง
60.ข้อใดคือลักษณะผลที่เกิดกับผูเ้ รี ยน
1. ผูเ้ รี ยนส่งเสริ มควำมเป็ นประชำธิปไตย
2. ผูเ้ รี ยนสริ มสร้ำงนิสัยรักกำรศึกษำค้นคว้ำ
3. ผูเ้ รี ยนมีควำมร่ วมมือร่ วมใจกันในกำรทำงำน
4. ผูเ้ รี ยนรู ้จกั ที่จะควบคุมกำรทำงำนของตนเองได้
5. ผูเ้ รี ยนพัฒนำทักษะกำรคิดบนพื้นฐำนของกำรสื บค้นข้อเท็จจริ งอย่ำงมีเหตุมีผล
61.กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ ลดเวลำเรี ยน เพิ่มเวลำรู ้ สอดคล้องกับทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ใด
1. BBL
2. coding
3. STEM
4. CIPPA model
5. Constructionism
69

62.กิจกรรมเพิ่มเวลำรู ้เน้นเป้ำหมำยกำรพัฒนำตำมข้อใด
1. KPA
2. 4 H
3. 4 MAT
4. แฮร์บำร์ต
5. พหุปัญญำ
63.ข้อใดไม่ใช่หลักกำรสำคัญของกำรจัดกิจกรรมเพิ่มเวลำรู ้
1. เน้นจัด 4H
2. ผูเ้ รี ยนเป็ นสุข
3. เชื่อมโยงตัวชี้วดั
4. เอกภำพของชำติ
5. สนุกกำรคิดขั้นสู ง
64.ข้อใดคือพฤติกรรมหรื อกำรปฏิบตั ิของผูเ้ รี ยนในกำรจัดกำรเกี่ยวกับกำรเรี ยนซึ่งแตกต่ำงกันตำมสติปัญญำ
ลักษณะเฉพำะของผูเ้ รี ยน
1. สิ่ งเร้ำ
2. แรงขับ
3. วุฒิภำวะ
4. สิ่ งแวดล้อม
5. แบบแผนกำรเรี ยนรู ้
70

65.ข้อใดเป็ นเป็ นกลุ่มที่มีลกั ษณะควำมอยำกรู ้ทำงวิชำกำรมีนอ้ ย ต้องกำรเรี ยนเฉพำะที่กำหนดให้เรี ยน พึ่งครู


และเพื่อนที่เขำคิดว่ำจะเป็ นแหล่งและผูส้ นับสนุนทำงวิชำกำร ทำตำมแนวทำงของผูม้ ีอำนำจ ต้องกำรทำงำน
ตำมคำบอก
1. แบบพึ่งพำ
2. แบบอิสระ
3. แบบร่ วมมือ
4. แบบแข่งขัน
5. แบบหลีกเลี่ยง
66.ข้อใดเป็ นกลุ่มที่ลกั ษณะไม่สนใจเรี ยนรำยวิชำที่มีในห้องเรี ยน ไม่มีส่วนร่ วมกับครู และเพื่อนในชั้นเรี ยน
ไม่สนใจ หรื อมองข้ำมเหตุกำรณ์ในชั้นเรี ยน
1. แบบพึ่งพำ
2. แบบอิสระ
3. แบบร่ วมมือ
4. แบบแข่งขัน
5. แบบหลีกเลี่ยง
67.ข้อใดเป็ นลักษณะแบบแผนกำรเรี ยนรู ้แบบแข่งขัน
1. ชอบทำงำนด้วยตนเอง
2. ต้องกำรรำงวัลในชั้นเรี ยน
3. มีส่วนร่ วมในกิจกรรมให้ได้มำกที่สุด
4. เรี ยนได้ดีที่สุดด้วยกำรแลกเปลี่ยนควำมคิด
5. ชอบที่นงั่ ในชั้นเรี ยนที่ฉนั สำมำรถได้ยนิ เสี ยงผูส้ อนและเห็นข้อควำมบนกระดำนได้ชดั เจน
71

68.ข้อใดเป็ นลักษณะแบบแผนกำรเรี ยนรู ้แบบอิสระ


1. ต้องกำรเอำชนะเพื่อนด้วยกัน
2. มองข้ำมเหตุกำรณ์ในชั้นเรี ยน
3. เรี ยนรู ้เนื้ อหำที่ตนคิดว่ำสำคัญ
4. พึ่งเพื่อนที่เขำคิดว่ำจะสนับสนุนทำงวิชำกำร
5. ทำงำนที่ได้รับมอบหมำยตำมวิธีที่ผสู ้ อนแนะนำให้ทำ
69.ข้อใดไม่ใช่ควำมสำคัญของแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
1. ช่วยให้ครู ทรำบว่ำจะสอนอะไร
2. ทำให้เกิดกำรวำงแผนวิธีสอนที่ดี
3. เป็ นหลักฐำนที่แสดงถึงกำรเป็ นครู แบบมืออำชีพ
4. ทำให้ครู มีควำม มัน่ ใจในกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ได้ตำมเป้ำหมำย
5. ช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีคู่มือกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่ทำไว้ล่วงหน้ำด้วยตนเอง
70.องค์ประกอบของแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ขอ้ ใดสำคัญมำกที่สุด
1. สำระสำคัญ
2. สื่ อกำรเรี ยนรู ้
3. จุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้
4. กำรวัด และประเมินผล
5. กิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอน
72

71.ข้อใดคือรู ปแบบของแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้


1. แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบบรรยำย
2. แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบบรรยำย และแผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบตำรำง
3. แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบตำรำง และแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบพิสดำร
4. แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบบรรยำย และแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบพิสดำร
5. แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบบรรยำย แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบตำรำง และแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบ
พิสดำร
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 72
(1) ทำควำมเข้ำใจกับหลักสู ตร ทั้งหลักกำร จุดหมำย สำระและมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้ที่กำหนด ไว้ใน
หลักสูตรแกนกลำงและหลักสูตรสถำนศึกษำ
(2) สร้ำงแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้โดยหยิบยกหัวข้อเรื่ อง จำนวนคำบ สำระสำคัญและจุดประสงค์ กำร
เรี ยนรู ้มำทำแผนตำมองค์ประกอบ
(3) เขียนโครงสร้ำงของวิชำที่จะสอนทั้งวิชำโดยกำหนดส่ วนประกอบคือ 1) หัวข้อย่อย ๆ 2)
จำนวนคำบ 3)สำระสำคัญ 4)จุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ในลักษณะจุดประสงค์นำทำงประกอบหัวเรื่ อง ย่อย ๆ
แต่ละข้อ
(4) เขียนจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้สำหรับเนื้ อหำวิชำนั้นๆในลักษณะจุดประสงค์ปลำยทำงที่ควร จะ
เกิดขึ้นกับนักเรี ยนเมื่อได้เรี ยนรำยวิชำนั้นครบถ้วนแล้ว
72.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนในกำรจัดทำแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
1. (1) (2) (3) (4)
2. (1) (3) (4) (2)
3. (1) (4) (3) (2)
4. (3) (1) (4) (2)
5. (3) (1) (2) (4)
73

73.ลักษณะของแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่ดีขอ้ ใดมีควำมสำคัญมำกที่สุด


1. ยืดหยุน่ และปรับเปลี่ยนได้
2. กำหนดจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ไว้ชดั เจน
3. กำหนดวิธีกำรวัดประเมินผลอย่ำงชัดเจน
4. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้สำมำรถนำไปปฏิบตั ิได้จริ ง
5. มีควำมทันสมัย ทันต่อเหตุกำรณ์ ควำมเคลื่อนไหวต่ำงๆ
74.กำรกำหนดจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ แบบจุดประสงค์ออกเป็ นด้ำนใดตำมทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ของ Bloom
(Bloom’s Taxonomy)
1. Cognitive Domain Affective Domain
2. Psychomotor Domain Affective Domain
3. Cognitive Domain Affective Domain Process Domain
4. Cognitive Domain Affective Domain Practice Domain
5. Cognitive Domain Affective Domain Psychomotor Domain
75. จุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ (Objectives) ด้ำนพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ตำมทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ของ
Bloom (Bloom’s Taxonomy) ค.ศ.2001 สอคล้องกับทักษะในศตวรรษที่ 21 ตรงกับข้อใด
1. ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรนำควำมรู ้ไปประยุกต์ กำรวิเครำะห์ สร้ำงสรรค์ กำรประเมินค่ำ
2. ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรนำควำมรู ้ไปประยุกต์ กำรวิเครำะห์ กำรประเมินค่ำ สร้ำงสรรค์
3. ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรนำควำมรู ้ไปประยุกต์ กำรวิเครำะห์ กำรสังเครำะห์ กำรประเมินค่ำ
4. ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรนำควำมรู ้ไปประยุกต์ กำรวิเครำะห์ กำรประเมินค่ำ กำรสังเครำะห์
5. ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรนำควำมรู ้ไปประยุกต์ กำรสังเครำะห์ กำรวิเครำะห์ กำรประเมินค่ำ
74

76.ข้อใดคือคำกริ ยำที่ใช้ ด้ำนพุทธิพิสัยระดับพฤติกรรมเดียวกันทุกข้อ


1. รวบรวม ออกแบบ ระบุ ประดิษฐ์
2. ยกตัวอย่ำง ตีค่ำ ลงควำมคิดเห็น วิจำรณ์
3. แปลควำมหมำย อธิบำย แยกแยะ เรี ยบเรี ยง
4. บอกคุณสมบัติ จับคู่ เขียนลำดับ ขยำยควำม
5. จัดประเภท จำแนกให้เห็นควำมแตกต่ำง บอกเหตุผล ทดลอง
77.ข้อใดเป็ นควำมรู ้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรำกฏกำรณ์ หรื อสิ่ งเร้ำอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งซึ่งเป็ นไปในลักษณะของกำร
แปลควำมหมำยของสิ่ งเร้ำนั้นว่ำคืออะไร แล้วจะแสดงออกมำในรู ปของควำมรู ้สึกที่เกิดขึ้น
1. กำรรับรู ้ (Receive)
2. กำรเกิดค่ำนิยม (Value)
3. กำรจัดระบบ (Organize)
4. บุคลิกภำพ (Characterize)
5. กำรตอบสนอง (Respond)
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 78
(1) กำรเตรี ยมพร้อม กำรเตรี ยมตัวให้พร้อมทำงสมอง ทำงกำยและจิตใจ
(2) กำรปฏิบตั ิงำนโดยอำศัยผูแ้ นะ เลียนแบบ กำรทำตำมตัวอย่ำง กำรลองผิดลองถูก
(3) กำรรับรู ้ รับรู ้ในสิ่ งที่จะต้องปฏิบตั ิ โดยผ่ำนประสำทสัมผัส เป็ นกำรเลือกหำตัวแบบที่สนใจ
(4) กำรปฏิบตั ิงำนได้เอง คล่อง ปฏิบตั ิได้เองอย่ำงถูกต้อง เรี ยบร้อย มีประสิ ทธิภำพ พยำยำมหำ
ควำมถูกต้องในกำรปฏิบตั ิ
(5) กำรปฏิบตั ิงำนด้วยควำมชำนำญ ทำงำนใหม่ได้ ปฏิบตั ิงำนด้วยควำมคล่องแคล่วเหมือน
อัตโนมัติสำมำรถทำงำนใหม่ได้
75

78.จงเรี ยงลำดับระดับพฤติกรรมทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)


1. (1) (2) (3) (4) (5)
2. (1) (3) (2) (4) (5)
3. (1) (4) (2) (3) (5)
4. (3) (2) (1) (4) (5)
5. (3) (1) (2) (4) (5)
79.ข้อใดคือระดับของจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้
1. จุดประสงค์ทวั่ ไปและจุดประสงค์เฉพำะ
2. จุดประสงค์ทวั่ ไปและจุดประสงค์เชิงปริ มำณ
3. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมแลจุดประสงค์เฉพำะ
4. จุดประสงค์ทวั่ ไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
5. จุดประสงค์เชิงปริ มำณและจุดประสงค์เชิงคุณภำพ
80. “ผูเ้ รี ยนเปรี ยบเทียบจำนวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 โดยใช้เครื่ องหมำย =  > <ได้ถูกต้อง”
ตรงกับข้อใด
1. จุดประสงค์เฉพำะ
2. จุดประสงค์ทวั่ ไป
3. จุดประสงค์เชิงปริ มำณ
4. จุดประสงค์เชิงคุณภำพ
5. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
76

81.ข้อใดไม่ใช่ลกั ษณะของชุมชนกำรเรี ยนรู ้ทำงวิชำชีพ ( Professional Learning Community: PLC)


1. ครู มีกำรเรี ยนรู ้ร่วมกันและควำมรู ้ที่ได้ไปสู่กำรปฏิบตั ิ
2. ผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำยึดระเบียบแบบแผนของทำงรำชกำร
3. มีกำรติดตำมพฤติกรรมของครู ผสู ้ อนและชี้แนะกำรปฏิบตั ิ
4. บุคลำกรมีควำมไว้ใจ ให้เกียรติ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
5. มีกำรเปิ ดกว้ำงในกำรสร้ำงเครื อข่ำยและพันธมิตรกับหน่วยงำนภำยนอกโรงเรี ยน
82.ข้อใดคือ Search Engine
1. Google Bing Yahoo Twitter
2. Google Bing TikTok Ask.com
3. Google Bing Yahoo Ask.com
4. Google Youtube Yahoo Ask.com
5. Google Facebook Yahoo Ask.com
83.ข้อใดคือรับส่งข้อมูลด้วยอินเทอร์เน็ตควำมเร็วสูง 5G
1. ระบบอนำล็อก
2. สำมำรถส่งข้อมูลได้ที่ควำมเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps
3. 5G รับส่งเร็วกว่ำ 4G ถึง 20 เท่ำใช้เวลำในกำรตอบสนองเร็วเพียง 1 มิลลิวินำที
4. กำรแบ่งช่องเวลำออกเป็ นช่องเล็กๆแบ่งกันใช้ทำให้ช่องสัญญำณควำมถี่เพิ่มขึ้นจำกเดิม
5. เครื อข่ำยไร้สำยควำมเร็วสูงชนิดพิเศษ ะดับควำมเร็ วสู งที่เพิม่ ขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินำที
77

84.ข้อใดคือปัญญำประดิษฐ์(Artificial Intelligence)
1. ระบบที่ช่วยป้องกัน Spam
2. รหัสชนิดหนึ่ง ซึ่งสำมำรถเก็บข้อมูล
3. เครื่ องมือที่ใช้สำหรับ ค้นหำข้อมูล ผ่ำน Internet
4. เครื่ องจักรที่มีฟังก์ชนั ในกำรทำควำมเข้ำใจ เรี ยนรู ้องค์ควำมรู ้ต่ำง
5. เครื อข่ำยคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์ที่ทำงำนร่ วมกันเป็ นจำนวนมำก
85.ข้อใดสำมำรถนำมำใช้เก็บข้อมูลหลักฐำนกำรเรี ยนรู ้และคุณวุฒิของผูเ้ รี ยน กำรตรวจสอบควำมน่ำเชื่อถือ
ของข้อมูลแบบกระจำยศูนย์ หำกมีกำรปลอมแปลงวุฒิเพื่อใช้ในระบบ ข้อมูลวุฒิปลอมจะไม่ตรงกับข้อมูลที่
ทุกคนในระบบมีวุฒิน้ นั จะขำดควำมน่ำเชื่อถือ
1. QR code
2. E-Learning
3. Big Data
4. BLOCKCHAIN
5. Gamification For Education
86. Coding ภำษำแห่งอนำคต วิชำที่เป็ นศำสตร์ที่เหมำะในกำรพัฒนำในยุคดิจิทลั เป็ นภำษำที่ 3 วิชำกำรเขียน
โปรแกรมเพื่อสั่งงำนระบบจักรกลต่ำงๆ หรื อคอมพิวเตอร์ซ่ ึงเป็ นกำรเรี ยนรู ้พฒั นำทักษะผูเ้ รี ยนในเรื่ องใด
1. ควำมสำมำรถด้ำนกำรอ่ำน
2. ควำมรู ้ทำงด้ำนเทคโนโลยี
3. ควำมฉลำดรู ้ดำ้ นวิทยำศำสตร์
4. ควำมสำมำรถด้ำนคณิ ตศำสตร์
5. กระบวนกำรคิดอย่ำงเป็ นระบบ
78

87.ในปัจจุบนั ช่องทำงใหม่ๆได้ถูกพัฒนำขึ้นอย่ำงมำกมำย ไม่วำ่ จะเป็ นภำครัฐหรื อภำคเอกชน คนทัว่ ไป


สำมำรถเข้ำถึงองค์ควำมรู ้ได้ง่ำยขึ้น พัฒนำทักษะได้ตรงตำมที่ตนเองสนใจทั้งในรู ปแบบออนไลน์และ
ออฟไลน์ ตัวอย่ำงเช่น Google มีกำรให้ใบประกำศนียบัตรรับรองหรื อดีลกับบริ ษทั เอกชนต่ำงๆ เพื่อรองรับ
นักศึกษำ ตรงกับข้อใด
1. E learning
2. CIPPA Model
3. ADDIE Model
4. Education Model
5. Educational Platforms
88.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ MOOC (Massive Open Online Course)
1. มีเฉพำะเสี ยค่ำใช้จ่ำยเท่ำนั้น
2. ผูเ้ รี ยนเสำมำรถเรี ยนรู ้ได้จำนวนมำก ๆ ผ่ำนทำงหน้ำเว็บไซต์
3. ผูเ้ รี ยนสำมำรถเชื่อมต่อเข้ำไปร่ วมสนทนำกับผูเ้ รี ยนอื่น ๆ
4. ผูเ้ รี ยนสำมำรถเข้ำศึกษำผ่ำนกิจกรรม กำรดูวีดิโอ กำรอ่ำน Text ทำแบบทดสอบ
5. กำรเรี ยนรู ปแบบ MOOC มีวีดิโอให้ผเู ้ รี ยนสำมำรถเรี ยนซ้ ำได้ มีหนังสื อออนไลน์ให้ศึกษำ
ค้นคว้ำเพิ่มเติม
89.กำรศึกษำค้นคว้ำตำมเนื้อหำที่สนใจในเรื่ อง ควำมรู ้รอบตัว ทักษะเฉพำะด้ำน ไลฟ์ สไตล์ วิชำและทฤษฎี
ควำมรู ้ดำ้ นต่ำงๆ ผ่ำนทำงข้อใด
1. Facebook
2. Facebook Youtube
3. Facebook Youtube Google
4. Facebook Youtube Google Instagram
5. Facebook Youtube Google Instagram Podcast
79

90.ข้อใดเป็ นเทคโนโลยีที่ผสำนโลกแห่ งควำมจริ งเข้ำกับโลกเสมือนจริ งที่ถูกสร้ำงขึ้นโดยใช้ผำ่ นอุปกรณ์


และเทคโนโลยีต่ำงๆ กล้องมือถือ คอมพิวเตอร์หรื อแว่น โดยแสดงผลผ่ำนแอปพลิเคชัน ภำพที่ปรำกฏเป็ น
ภำพเหมือนจริ งแบบ 3 มิติและ 360 องศำ
1. ER
2. SR
3. QR
4. VR
5. AR
91.ข้อใดเป็ นทักษะที่จำเป็ นในกำรอยู่ร่วมกับเทคโนโลยียคุ ดิจิทลั
1. Hard Skill Soft Skill
2. Hard Skill Meta Skill
3. Hard Skill Communication Skill
4. Hard Skill Soft Skill Meta Skill
5. Hard Skill Soft Skill Communication Skill
92.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Google Classroom
1. สร้ำง ตรวจ และให้คะแนนงำนได้
2. เพิ่มผูส้ อนได้มำกกว่ำหนึ่งคนในรำยวิชำเดียวกัน
3. เนื้อหำที่อยูใ่ นชั้นเรี ยนจะถูกจัดเก็บอยูใ่ น Google Drive
4. เพิ่มผูเ้ รี ยนจำกเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้ผเู ้ รี ยนเข้ำชั้นเรี ยนได้
5. ตรวจสอบกำหนดกำรส่งงำน สถำนะกำรส่งงำนและคะแนน
80

93.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ WizIQ
1. อนุญำตให้สตรี ม YouTube
2. ใช้งำนกับทั้งอุปกรณ์ Android และ iOS
3. สร้ำงห้องเรี ยนเสมือนจริ งที่มีผเู ้ รี ยนไม่จำกัด
4. อนุญำตให้บนั ทึกบทเรี ยนจำกเว็บแคมและหน้ำจอ
5. มีแอนิ เมชัน่ ไวท์บอร์ด กำรส่งข้อควำมส่วนตัว และกำรประชุมทำงวิดีโอแบบ HD
94.ครู เพ็ญศรี จะทำ สื่ อกำรสอน Presentation ให้สวยงำมมำกยิง่ ขึ้นควรเลือกใช้ขอ้ ใด
1. Canva
2. Goodnotes
3. Grammarly
4. My Study Life
5. Google Calendar
95.ครู ไพบูลย์ตอ้ งกำรใช้เกมที่ตอบสนองต่อกำรเรี ยนกำรสอน ช่วยให้นกั เรี ยนสนุกกับกำรเรี ยนสร้ำงกำร
ตอบคำถำมจะเลือกข้อใด
1. Kahoot
2. Nearpod
3. Classdojo
4. Piktochart
5. Schoology
81

96.ครู ธนวัฒน์ตอ้ งกำรตัดต่อวิดีโอ บทเรี ยนวิทยำศำสตร์ ป.6 ตอนที่ 1 ร่ ำงกำยของเรำ ควรเลือกใช้ขอ้ ใด


1. Prezi
2. Voxer
3. Plicker
4. Zipgrade
5. KineMaster
97.ครู หทัยรัตน์ได้รับมอบหมำยจำก ผอ.โรงเรี ยน ให้จดั กำรประชุมผูป้ กครองออนไลน์โดยมีผเู ้ ข้ำร่ วม
ประชุม 100 คนควรเลือกใช้ขอ้ ใด
1. Zoom
2. Skype
3. FaceTime
4. True VROOM
5. Google Hangouts
98.ครู กุลธิดำจะสแกนเอกสำรให้เป็ นไฟล์ PDF ส่ งสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำ ควรใช้ขอ้ ใด
1. Notability
2. Procreate
3. NOTEBLOC
4. Quizlet : Flashcard
5. Parrot Teleprompter
82

99.ครู ชำคริ ต สอนวิชำวิทยำศำสตร์จะแนะนำให้นกั เรี ยนดำวโหลดแอปพลิเคชันใดที่ช่วยในกำรเรี ยน


1. TED
2. TCASter
3. Periodic Table
4. Scan & Translate
5. Learn English Grammar
100.ครู สมศรี สอนวิชำภำษำอังกฤษ เรื่ อง กำรอ่ำนบทควำม (Reading) ระดับมัธยมศึกษำปี ที่ 3 ให้นกั เรี ยน
ดำวโหลดแอปพลิเคชันใดที่ช่วยในกำรแปลภำษำ
1. Zoom
2. Google Meet
3. Microsoft Teams
4. Google Translate
5. Google Classroom
83

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
ข้อ เฉลย
1 ตอบ 3. หลักสูตรสถำนศึกษำ
2 ตอบ 5. หลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551
3 ตอบ 3. วิสัยทัศน์
4 ตอบ 4. เนื้อหำ หน่วยกำรเรี ยนรู ้ กำรเรี ยนกำรสอน และกำรวัดประเมินผล
5 ตอบ 1. ห้อง 2 (ข้อที่ 2)
6 ตอบ 5. กิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยนและเกณฑ์กำรจบกำรศึกษำ
1.ส่วนนำ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ มีมรรถนะสำคัญของผูเ้ รี ยน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
2.โครงสร้ำงหลักสู ตร ประกอบด้วย รำยวิชำพื้นฐำน รำยวิชำเพิ่มเติม กิจกรรมพัฒนำ ผูเ้ รี ยน พร้อมทั้ง
จำนวนเวลำเรี ยน หรื อหน่วยกิตของรำยวิชำเหล่ำนั้น
3.คำอธิบำยรำยวิชำ ประกอบด้วย รหัสวิชำ ชื่อรำยวิชำ ประเภทรำยวิชำ (พื้นฐำนเพิ่มเติม) กลุ่มสำระ
กำรเรี ยนรู ้ ระดับขั้นที่สอน พร้อมทั้งคำอธิบำยให้ทรำบว่ำเมื่อเรี ยน รำยวยำนั้นแล้วผูเ้ รี ยนจะมีควำมรู ้
ทักษะ คุณลักษณะหรื อเจตคติอะไร
7 ตอบ 1. ส่วนนำ
8 ตอบ 2. ส่ วนที่ (2) ศึกษำหลักสู ตรแกนกลำง กรอบหลักสู ตรระดับท้องถิ่น และบริ บทควำมต้องกำร
ของสถำนศึกษำ
9 ตอบ 4. ส่วนที่ (4) ตรวจพิจำรณำคุณภำพหลักสูตร
10 ตอบ 5. ส่วนที่ (5) นำเสนอคณะกรรมกำรสถำนศึกษำ
11 ตอบ 5. (2) (1) (4) (5) (3) (6)
12 ตอบ 5. หลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551
13 ตอบ 2. กำรให้ผเู ้ ชี่ยวชำญตรวจสอบและกำรรับฟังควำมคิดเห็นผูเ้ กี่ยวข้อง
14 ตอบ 3. สถำนศึกษำ
15 ตอบ 4. ระดับสถำนศึกษำและระดับกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
84

ข้อ เฉลย
16 ตอบ 5. รำยวิชำ ประเภทของรำยวิชำ รหัสวิชำ และกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รี ยน
17 ตอบ 5. รำยวิชำพื้นฐำน
18 ตอบ 4. ตัวชี้วดั ชั้นปี
19 ตอบ 5. กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรี ยน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสำธำรณประโยชน์
20 ตอบ 4. คำอธิบำยรำยวิชำ
21 ตอบ 5. กำหนดข้อตกลงเพื่อกำรขับเคลื่อนกำรนิเทศติดตำมร่ วมกันและมีแผนกำรดำเนินกำรอย่ำงชัด
จนเป็ นรู ปธรรม
22 ตอบ 5. นำผลมำประกอบกำรพิจำรณำปรับปรุ งหลักสูตรสถำนศึกษำให้เหมำะสมสอดคล้องกับผูเ้ รี ยน
23 ตอบ 2. D1
กำรวิจยั และพัฒนำหลักสูตร
R1 (วิจยั 1) = ศึกษำข้อมูลพื้นฐำน
D1 (พัฒนำ 1) = ออกแบบ ร่ ำง ตรวจสอบคุณภำพ
R2 (วิจยั 2) = ทดลองใช้
D2 (พัฒนำ 2) = ประเมิน ปรับปรุ ง
24 ตอบ 3. ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
25 ตอบ 1. ส่วนที่ (1) และ ส่วนที่ (2)
26 ตอบ 5. ครู สมชำยศึกษำเอกสำร งำนวิจยั จำกนั้นนำข้อมูลที่ได้มำวิเครำะห์และสรุ ปเพื่อกำหนดเป็ น
แนวคิดในกำรพัฒนำหลักสูตร
27 ตอบ 5. (3) (2) (4) (1)
28 ตอบ 1. ส่วนที่ (1)
29 ตอบ 4. ระหว่ำงกำรใช้หลักสูตรและเมื่อนำหลักสูตรไปใช้เรี ยบร้อย
30 ตอบ 2. เพื่อศึกษำเปรี ยบเทียบปัญหำและควำมต้องกำรของหลักสูตร
85

ข้อ เฉลย
31 ตอบ 3. หลังจำกที่ใช้หลักสูตร
32 ตอบ 5. เอกสำรหลักสูตร กำรใช้หลักสูตร ผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยนและโครงกำรประเมินหลักสูตร
33 ตอบ 2. กำรประเมินเอกสำรหลักสูตร
34 ตอบ 4. กำรประเมินกำรสอนและกำรประเมินระบบกำรบริ หำรหลักสูตร
35 ตอบ 5. กำรประเมินองค์ประกอบของหลักสู ตรและกำรประเมินหลักสู ตรทั้งระบบ
36 ตอบ 5. กำรประเมินหลักสู ตรก่อนกำรนำหลักสู ตรไปใช้ กำรประเมินหลักสูตรระหว่ำงกำรดำเนินกำร
ใช้หลักสูตร และกำรประเมินหลักสูตรหลังกำรใช้หลักสูตร
37 ตอบ 2. กำรประเมินหลักสู ตรก่อนกำรนำหลักสู ตรไปใช้ (pre-evaluation)
38 ตอบ 1. หลักสู ตรท้องถิ่น
39 ตอบ 2.ครู 2 คนขึ้นไป 2 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ข้ นึ ไปวำงแผนร่ วมกันตำมหัวเรื่ อง
40 ตอบ 3. หลักสูตรฐำนสมรรถนะ
41 ตอบ 5. เด็กแต่ละคนมีควำมต้องกำรควำมสนใจและควำมถนัดต่ำงกัน (เอกัตตะบุคคลของเด็ก)
42 ตอบ 1. มีกำรทดสอบน้อย
43 ตอบ 2. ครู ดวงใจและครู ดวงฤทัย
44 ตอบ 1. เชื่อมโยงตัวชี้วดั สอดคล้องและเชื่อมโยงกับมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้/ตัวชี้วดั ตำมหลักสู ตร
แกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551
45 ตอบ 5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่เอำชีวิตจริ งและเงื่อนไขกำรรับรู ้ของผูเ้ รี ยนเป็ นตัวตั้ง
46 ตอบ 2. ผูเ้ รี ยน
47 ตอบ 1. กำรใช้กระบวนกำรวิจยั เป็ นส่วนหนึ่งของกำรทำวิทยฐำนะ
48 ตอบ 5. ผูเ้ รี ยนเรี ยนรู ้จำกกำรมองเห็นโครงสร้ำงทั้งหมดของเรื่ องก่อนแล้วจึงเรี ยนรู ้จำกส่วนย่อย
49 ตอบ 2. ทฤษฎีมนุษยนิยม
50 ตอบ 2. ครู นวพรใช้หอ้ งเรี ยนในกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้เท่ำนั้น
86

ข้อ เฉลย
51 ตอบ 4. สื่ อที่ผสู ้ อนใช้มีควำมทันสมัย กำรสอนออนไลน์
52 ตอบ 1. ผูเ้ รี ยนมีส่วนร่ วมรประเมินผลเพื่อตัดสิ นผลกำรเรี ยน
53 ตอบ 1. 10 นำที
54 ตอบ 4. มีกำรแจ้งผลกำรประเมินให้ผเู ้ รี ยนทรำบเฉพำะจบภำคเรี ยน
55 ตอบ 2. กำรเรี ยนรู ้แบบบูรณำกำร (กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ โดยกำรนำสำระกำรเรี ย นรู ้ ที่มีควำมสัมพันธ์
เชื่อมโยงกัน นำมำจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ให้ผูเ้ รี ยนเกิดควำมรู ้ ควำมเข้ำใจในลักษณะ ที่เป็ นองค์รวม
และสำมำรถนำควำมรู ้ ควำมเข้ำใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ แบบบูรณำกำร
มีหลำยรู ปแบบ ขึ้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์ ควำมเหมำะสมกับผูเ้ รี ยนเเละสำระกำรเรี ยนรู ้)
56 ตอบ 1. ผูเ้ รี ยนคำนึงถึงควำมรู ้และประสบกำรณ์เดิม
57 ตอบ 5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้ดว้ ยกระบวนกำรทำงสังคม (กระบวนกำรที่มุ่งสร้ำงปฏิสัมพันธ์ในกำรอยู่
ร่ วมกันในสังคมกำรทำงำนร่ วมกัน ควำมเป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกันที่ก่อให้เกิดบรรยำกำศในกำรเรี ยนรู ้ที่
ดีร่วมกัน)
58 ตอบ 1. ผูเ้ รี ยนมองเห็นคุณค่ำของกำรทำงำนร่ วมกัน
59 ตอบ 5. กำรจัดกำรเรี ยนรู ้จำกประสบกำรณ์จริ ง (กำรจัดกำรเรี ยนรู ้โดยใช้ ประสบกำรณ์ตรงที่ทำให้
ผูเ้ รี ยนสำมำรถพัฒนำกำรเชื่อมโยงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงแนวดีตกับหลักกำรต่ำง ๆ เข้ำด้วยกันอย่ำง
เป็ นองค์รวม)
60 ตอบ 5. ผูเ้ รี ยนพัฒนำทักษะกำรคิดบนพื้นฐำนของกำรสื บค้นข้อเท็จจริ งอย่ำงมีเหตุมีผล
61 ตอบ 5. Constructionism
62 ตอบ 2. 4 H (กำรพัฒนำสมอง (Head) กำรพัฒนำจิตใจ (Heart) กำรพัฒนำทักษะกำรปฏิบตั ิ (Hand)
และกำรพัฒนำสุขภำพ (Health))
63 ตอบ 4. เอกภำพของชำติ
64 ตอบ 5. แบบแผนกำรเรี ยนรู ้
65 ตอบ 1. แบบพึ่งพำ
87

ข้อ เฉลย
66 ตอบ 5. แบบหลีกเลี่ยง
67 ตอบ 2. ต้องกำรรำงวัลในชั้นเรี ยน
68 ตอบ 3. เรี ยนรู ้เนื้ อหำที่ตนคิดว่ำสำคัญ
69 ตอบ 5. ช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีคู่มือกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่ทำไว้ล่วงหน้ำด้วยตนเอง
70 ตอบ 3. จุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้
71 ตอบ 5. แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบบรรยำย แผนจัดกำรเรี ยนรู ้แบบตำรำง และแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบ
พิสดำร
สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549) กล่ำวว่ำ แผนกำรสอนที่นิยมใช้กนั ทัว่ ไปมี 3 รู ปแบบใหญ่ๆ คือ
1. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบบรรยำย เขียนลำดับกิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอนจะเขียนเป็ นเชิงบรรยำย
กิจกรรมที่ครู จดั เตรี ยมไว้ โดยระบุชดั เจน ว่ำนักเรี ยนทำอะไร
2. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบตำรำง เขียนโดยใช้ประเด็นสำคัญที่เป็ นองค์ประกอบของ แผนกำรจัดกำร
เรี ยนรู ้มำกำกับ และบรรจุองค์ประกอบสำคัญเหล่ำนั้นลงไปในตำรำงเกือบทั้งหมด
3. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบพิสดำร เป็ นแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ที่มีรำยละเอียดมำกขึ้น กำรจัดลำดับ
กิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอน แยกเป็ นกิจกรรมที่ครู ปฏิบตั ิและสิ่ งที่นกั เรี ยนปฏิบตั ิซ่ ึงสอดคล้องกัน
72 ตอบ 3. (1) (4) (3) (2)
73 ตอบ 4. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้สำมำรถนำไปปฏิบตั ิได้จริ ง
74 ตอบ 5. Cognitive Domain Affective Domain Psychomotor Domain
ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ของ Bloom (Bloom’s Taxonomy)
1. พุ ท ธิ พิ สัย (Cognitive Domain) พฤติ ก รรมด้ำนสมองเป็ นพฤติ กรรมเกี่ ย วกับสติ ปั ญญำ ควำมคิด
ควำมสำมำรถในกำรคิดเรื่ องรำวต่ำงๆ
2. จิตพิสัย (Affective Domain) พฤติกรรมด้ำนจิตใจ ค่ำนิ ยม ควำมรู ้สึก ควำมซำบซึ้ ง ทัศนคติ ควำม
เชื่อ ควำมสนใจ
3. ทัก ษะพิ สั ย (Psychomotor Domain) พฤติ ก รรมที่ บ่ ง ถึ งควำมสำมำรถในกำรปฏิ บัติ งำนได้อย่ำง
คล่องแคล่วชำนิชำนำญ
88

ข้อ เฉลย
75 ตอบ 2. ควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ กำรนำควำมรู ้ไปประยุกต์ กำรวิเครำะห์ กำรประเมินค่ำ สร้ำงสรรค์
76 ตอบ 5. จัดประเภท จำแนกให้เห็นควำมแตกต่ำง บอกเหตุผล ทดลอง
(กำรวิเครำะห์ ควำมสำมำรถในกำรแยกสิ่ งต่ำง ๆ ออกเป็ นส่ วนย่อยเหล่ำนั้นได้)
77 ตอบ 1. กำรรับรู ้ (Receive)
78 ตอบ 5. (3) (1) (2) (4) (5)
79 ตอบ 4. จุดประสงค์ทวั่ ไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
80 ตอบ 5. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
81 ตอบ 2. ผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำยึดระเบียบแบบแผนของทำงรำชกำร
82 ตอบ 3. Google Bing Yahoo Ask.com
(โปรแกรมที่ช่วยในกำรสื บค้นหำข้อมูล โดยเฉพำะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต)
83 ตอบ 3. 5G รับส่งเร็วกว่ำ 4G ถึง 20 เท่ำใช้เวลำในกำรตอบสนองเร็วเพียง 1 มิลลิวินำที
84 ตอบ 4. เครื่ องจักรที่มีฟังก์ชนั ในกำรทำควำมเข้ำใจ เรี ยนรู ้องค์ควำมรู ้ต่ำง
85 ตอบ 4. BLOCKCHAIN
(ระบบเก็บข้อมูลควำมปลอดภัยสู ง ระบบฐำนข้อมูล ที่ไม่มีศูนย์กลำงในกำรเก็บข้อมูล มีกำรเข้ำรหัส
ระดับสูง น่ำเชื่อถือ และมีควำมปลอดภัยสูง สำมำรถเก็บข้อมูล แบบถำวรได้ )
86 ตอบ 5. กระบวนกำรคิดอย่ำงเป็ นระบบ
(รู ้จกั กำรวิเครำะห์แก้ไขปัญหำ และคิดสร้ำงสรรค์สำมำรถบูรณำกำรประยุกต์กบั ศำสตร์อื่นได้มำกมำย)
87 ตอบ 4. Education Model (โมเดลกำรศึกษำเรี ยนรู ้รูปแบบกำรเรี ยนรู ้และช่องทำงใหม่ๆ)
88 ตอบ 1. มีเฉพำะเสี ยค่ำใช้จ่ำยเท่ำนั้น (มีแบบฟรี ไม่เสี ยค่ำใช้จ่ำย)
89 ตอบ 5. Facebook Youtube Google Instagram Podcast
90 ตอบ 5. AR (Augmented Reality) (ตัวอย่ำงเช่น นิทำนที่ใช้เทคโนโลยีAR ดูผำ่ นแอปพลิเคชันมือถือ)
89

ข้อ เฉลย
91 ตอบ 4. Hard Skill Soft Skill Meta Skill
ทักษะที่จำเป็ นในกำรอยู่ร่วมกับเทคโนโลยียคุ ดิจิทลั
1.Hard Skill ทักษะด้ำนควำมรู ้ควำมสำมำรถเฉพำะด้ำน อำทิวิศวกรรม สถำปัตยกรรม ฯลฯต้องอัพเดต
ตัวเองอยูเ่ สมอให้ทนั สมัยและตรงตำมควำมต้องกำรของตลำด
2. Soft Skill ทักษะด้ำนสังคมที่พฒั นำมำจำกกำรใช้ชีวิตและกำรทำงำน ไม่วำ่ จะเป็ นกำรเข้ำสังคม กำร
บริ หำรเวลำ ควำมฉลำดทำงอำรมณ์กำรแก้ปัญหำ
3. Meta Skill ทักษะที่จำเป็ นและควรมีเพื่อกำรเรี ยนรู ้ตลอดชีวิต ช่วยให้เปิ ดรับควำมรู ้ใหม่ต้ งั ข้อสงสัย
ต่อยอดสิ่ งใหม่ ได้แก่ รู ้จกั และเข้ำใจตัวเอง สร้ำงสรรค์ไอเดียใหม่ๆและกำรยืดหยุน่ ทำงควำมคิด
92 ตอบ 4. เพิม่ ผูเ้ รี ยนจำกเบอร์ โทรศัพท์เพื่อให้ผเู ้ รี ยนเข้ำชั้นเรี ยนได้
93 ตอบ 4. อนุญำตให้บนั ทึกบทเรี ยนจำกเว็บแคมและหน้ำจอ
94 ตอบ 1. Canva
95 ตอบ 1. Kahoot
96 ตอบ 5. KineMaster
97 ตอบ 1. Zoom
98 ตอบ 3. NOTEBLOC (Application ที่ถูกพัฒนำโดยบริ ษทั โน้ตบุ๊คในประเทศบำร์เซโลนำ ประเภท
เอกสำรที่สำมำรถสแกนได้ ได้แก่ เอกสำรที่เป็ นกระดำษ ภำพวำด หรื อภำพถ่ำย ตรวจจับมุมของภำพ
อัตโนมัติ และสำมำรถแก้ไขมุมมองของภำพ)
99 ตอบ 3. Periodic Table (ตำรำงธำตุสำหรับวิชำเคมี มีเกมส์ ช่วยทบทวนควำมจำ ทบทวนคำศัพท์ชื่อธำตุ
ได้อย่ำงสนุกมำกยิง่ ขึ้น)
100 ตอบ 4. Google Translate
90

การวัดประเมินผลการเรียนรู้และการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน
1.ข้อใดหมำยถึ ง กระบวนกำรก ำหนดตัวเลขเพื่ อแทนคุ ณสมบัติข องสิ่ ง ของหรื อเหตุ ก ำรณ์ ใ ด ๆ อย่ำ งมี
กฎเกณฑ์ที่เชื่อถือได้
1. กำรวัด
2. กำรทดสอบ
3. กำรตรวจสอบ
4. กำรประเมินผล
5. กำรวัดและกำรประเมินผล
2.ข้อใดเป็ นกำรวัดผลทำงกำรศึกษำ
1. เขียวฉีดวัคซีนเข็ม 1
2. เหลืองได้เกรด 4 ทุกวิชำ
3. ดำได้เงินไปโรงเรี ยน 100 บำท
4. แดงอ่ำน ก-ฮ ไม่ผิดแม้แต่ตวั เดียว
5. ขำวเป็ นนักเรี ยนระดับประถมศึกษำปที่ 6
3.ข้อใดหมำยถึง กำรนำค่ำหรื อคะแนนจำกกำรวัดมำเทียบกับเกณฑ์ที่ระบุเพื่อตัดสิ นคุณค่ำหรื อตัดสิ นใจ
เกี่ยวกับคุณค่ำบำงครั้งใช้คำว่ำกำรตัดเกรด
1. กำรวัด
2. กำรตัดสิ น
3. กำรพิจำรณำ
4. กำรให้คุณค่ำ
5. กำรประเมินผล
4.ข้อใดเป็ นกำรประเมินผลทำงกำรศึกษำ
1. มะนำวชอบวำดรู ป
2. ข้ำวโพดชอบดูซีรี่ย ์ Netflix
3. เชอรี่ เต้น K-pop เก่งที่สุดในกลุ่ม
4. ส้มสอบผ่ำน TOEFL เรี ยนต่อต่ำงประเทศ
5. แตงโมเข้ำรอบชิงชนะเลิศประกวดร้องเพลงไมค์ทองคำ
91

5.ข้อใดคือวงจรควำมสัมพันธ์ระหว่ำงวัตถุประสงค์กำรเรี ยนกำรสอนกำรวัดและกำรประเมินผล
1. วัตถุประสงค์ หลักสูตรสถำนศึกษำ และสื่ อกำรเรี ยนรู ้
2. หลักสูตรสถำนศึกษำ กำรเรี ยนกำรสอนและสื่ อกำรเรี ยนรู ้
3. วัตถุประสงค์ หลักสูตรสถำนศึกษำและกำรเรี ยนกำรสอน
4. วัตถุประสงค์ กำรเรี ยนกำรสอนและกำรวัดและกำรประเมินผล
5. หลักสูตรสถำนศึกษำ กำรเรี ยนกำรสอนและกำรวัดและกำรประเมินผล
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 6
(1) กำรวัดสติปั ญญำซึ่ งเป็ นคุณลักษณะที่แฝงอยู่ในตัวบุคคล มักแสดงออกทำงด้ำนพฤติกรรมที่
ตอบสนองตอบสิ่ งเร้ำหรื อเหตุกำรณ์โดยมีลกั ณะเป็ นกำรวัดทำงอ้อม
(2) ลัก ษณะกำรวัดมัก ไม่ ส มบู รณ์ เนื่ องจำกลัก ษณะกำรวัดส่ วนใหญ่ จะเป็ นกำรใช้ข อ้ สอบเป็ น
เครื่ องมือหรื อสถำณกำรณ์สมมติซ่ ึงกำรสร้ำงข้อสอบแต่ละชุด
(3) ผลกำรวัด มัก เป็ นค่ ำ คะแนนสั ม พัท ธ์ ที่ เ ปรี ย บเที ย บกับ ผู ้ส อบอื่ น ๆในกลุ่ ม เดี ย วกัน หรื อ
เปรี ย บเที ย บระหว่ ำ งกำรสอนในแต่ ล ะครั้ ง และมี ค วำมคลำดเคลื่ อนเสมอ ถึ ง แม้จะใชเครื่ องมื อ วัด ที่ มี
มำตรฐำนก็ตำม
(4) กำรประเมินกำรเรี ยนกำรสอนเพื่อพิจำรณำว่ำเป้ำหมำยที่กำหนดไว้บรรลุผลสัมฤทธิ์หรื อไม่ ควร
พิ จำรณำจำกตัวชี้ วดั ที่ สะท้อนคุ ณภำพหรื อควำมสำเร็ จของกำรดำเนิ น งำน 2 ด้ำน คือ ด้ำนประสิ ทธิ ผล
(effectiveness) และประสิ ทธิภำพ (efficiency)
(5) กำรประเมินด้วยแฟ้มสะสมงำนเป็ นวิธีกำรประเมินที่ช่วย ส่งเสริ มให้กำรประเมินตำมสภำพจริ ง
มีควำมสมบูรณ์ สะท้อนศักยภำพที่แท้จริ งของผูเ้ รี ยนมำกขึ้น โดย กำรให้ผเู ้ รี ยนเก็บรวบรวมผลงำนจำกกำร
ปฏิบตั ิจริ งทั้งในชั้นเรี ยนหรื อในชี วิตจริ งที่ เกี่ยวข้องกับกำร เรี ยนรู ้ตำมสำระกำรเรี ยนรู ้ ต่ำง ๆ มำจัดแสดง
อย่ำงเป็ นระบบ
6.ข้อใดเป็ นลักษณสำคัญของกำรวัดและประเมินผลทำงกำรศึกษำ
1. ส่ วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (3)
2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (4)
3. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (5)
4. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
92

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 7


(1) คำตอบที่ถูกต้องจำกกำรวัดจำกเดิมมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวเปลี่ยนเป็ นกำรมีคำตอบที่
ถูกต้องได้หลำยคำตอบ
(2) เครื่ องมือกำรวัดและประเมินผลจำกกำรใช้ แบบทดสอบ แบบสอบถำม แบบสังเกตพฤติกรรม
เปลี่ยนเป็ นกำรใช้เครื่ องมือชนิดเดียว
(3) กำรตรวจให้คะแนนจำกกำรใช้เครื่ องมือเทคโนโลยี เปลี่ยนมำเป็ นกำรใช้มำมือตรวจช่วยให้เกิด
ควำมถูกต้องลดข้อผิดผลำดที่จะเกิดขึ้น
(4) ช่วงเวลำกำรวัดและประเมินผลจำกกำรวัดและประเมินผลหลังกำรเรี ยนกำรสอนเป็ นกำรวัดและ
ประเมินผลระหว่ำงกำรเรี ยนกำรสอนและหลังกำรเรี ยนกำรสอน
(5) จุดมุ่งหมำยของกำรวัดและประเมินผลเปลี่ยนจำกเน้นแข่งขันเปรี ยบเทียบบอกคนตกและคน
ผ่ำนเป็ นกำรเน้นพัฒนำปรับปรุ งเพิม่ และเสริ มกำลังใจในกำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยน
7.ข้อใดเป็ นแนวคิดของกำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ตำมแนวปฏิรูปกำรศึกษำเป็ นกำรวัดและประเมินผล
ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (3)
2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
3. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (3) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
8.ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักกำรของกำรวัดประเมินผลกำรเรี ยนรู ้
1. ควรเลือกใช้วิธีกำรและเครื่ องมือวัดผลให้สอดคล้องกับสิ่ งที่จะวัด
2. ควรใช้ขอ้ มูลจำกหลำยแหล่งและครอบคลุมสิ่ งที่ตอ้ งกำรวัดหลำยด้ำน
3. กำรวัดประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ผทู ้ ี่มีส่วนเกี่ยวข้องในควรเป็ นผูส้ อนเท่ำนั้น
4. กำรวัดประเมินผลและกระบวนกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนเป็ นสิ่ งที่สัมพันธ์กนั
5. กำรวัดประเมินผลผูเ้ รี ยนควรเป็ นกระบวนกำรที่กระทำต่อเนื่องเพื่อดูพฒั นำกำร ควำมก้ำวหน้ำใน
กำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนเป็ นหลัก
93

9.ข้อใดคือจุดมุ่งหมำยของกำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้
1. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยนและกำรวัดและประเมินผลเพื่อตัดสิ นผลกำรเรี ยน
2. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยนและกำรวัดและประเมินผลเพื่อตัดสิ นคุณภำพสถำนศึกษำ
3. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและกำรวัดและประเมินผลเพื่อตัดสิ น
ผูเ้ รี ยน
4. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนำคุณภำพสถำนศึกษำและกำรวัดและประเมินผลเพื่อตัดสิ นผล
กำรเรี ยน
5. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและกำรวัดและประเมินผลเพื่ อตัดสิ น
คุณภำพสถำนศึกษำ
10.ข้อใดเป็ นกำรวัดและประเมินผลเพื่อค้นหำว่ำกำรที่ผเู ้ รี ยนเก่งหรื ออ่อนเป็ นเพรำะเหตุใดและเก่งหรื ออ่อน
ในเรื่ องใดเพื่อหำสำเหตุในกำรพัฒนำและปรับปรุ งกำรเรี ยนกำรสอนให้เหมำะกับผูเ้ รี ยนเครื่ องมือที่ใช้ตอ้ ง
จัดขั้นตอนหรื อเรื่ องรำวให้ละเอียดเพื่อจะได้ทรำบว่ำผูเ้ รี ยนมีจุดอ่อนในเรื่ องใด
1. กำรวัดและประเมินผลเพื่อคัดเลือก
2. กำรวัดและประเมินผลเพื่อวินิจฉัย
3. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพยำกรณ์
4. กำรวัดและประเมินผลเพื่อประเมินค่ำ
5. กำรวัดและประเมินผลเพื่อจัดตำแหน่ง
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 11
(1) ระบุผลกำรเรี ยนรู ้ที่สำคัญที่ตอ้ งกำรให้เกิดขึ้น
(2) สร้ำงเครื่ องมือ ตอบคำถำมว่ำควรวัดและประเมินอย่ำงไร
(3) นำเครื่ องมือไปใช้วดั ผลเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลของผูเ้ รี ยน
(4) ตัดสิ นคุณค่ำของผลกำรเรี ยนรู ้ ตอบคำถำมว่ำควรตัดสิ นด้วยวิธีใด
(5) ผูส้ อนได้รับสำรสนเทศสำหรับนำไปใช้พฒั นำกำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยน
(6) กำรตรวจให้คะแนนกำรเรี ยนรู ้จำกเครื่ องมือวัดผลด้วยควำมยุติธรรมไม่ลำเอียงหรื อมีอคติ
(7) ตั้งจุดมุ่งหมำยของกำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้โดยพิจำรณำว่ำวัดและประเมินผลไปทำไม
94

11.จงเรี ยงลำดับลกระบวนกำรของกำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้


1. (7) (2) (1) (3) (4) (6) (5)
2. (7) (2) (1) (3) (6) (4) (5)
3. (7) (1) (2) (3) (6) (5) (4)
4. (7) (1) (2) (3) (5) (6) (4)
5. (7) (1) (2) (3) (6) (4) (5)
12.ข้อใดคือวิธีกำรวัดและเครื่ องมือวัดผลกำรเรี ยนรู ้ที่ถูกต้อง
1. กำรสอบถำม : แบบสัมภำษณ์
2. กำรสัมภำษณ์ : แบบสอบถำม
3. กำรทดสอบ : แบบประเมินผลงำน
4. กำรสังเกต : แบบมำตรประมำณค่ำ
5. กำรตรวจผลงำน : แบบสอบข้อเขียน
13.ข้อใดคือแบบมำตรประมำณค่ำ
1. Checklist
2. Written test
3. Rating scale
4. Questionnaire
5. Interview guide
14.ผูใ้ ดใช้วิธีกำรวัดและเครื่ องมือวัดผลกำรเรี ยนรู ้ได้เหมำะสมที่สุด
1. ครู ณฐั พงศ์ใช้กำรสัมภำษณ์อย่ำงเป็ นทำงกำรในกำรเยีย่ มบ้ำนนักเรี ยน
2. ครู กอ้ งภพให้นกั เรี ยน ม.4 ทำข้อสอบแบบถูก-ผิด วิชำกระบี่-กระบอง
3. ครู จอมขวัญให้นกั เรี ยน ป.6 ทำข้อสอบอัตนัย ปลำยภำค วิชำภำษำไทย
4. ครู กมลพรรณใช้แบบสอบถำมควำมพึงพอใจกิจกรรมเล่ำนิทำนกับเด็กอนุบำล 3
5. ครู คมสันต์ใช้แบบสังเกตไม่มีโครงสร้ำง สังเกตพฤติกรรมกำรคุยกันของนักเรี ยน ม.2
95

15.ข้อใดหมำยถึงควำมสำมำรถที่วดั ได้ตรงในสิ่ งที่ตอ้ งกำรวัด


1. Validity
2. Rliability
3. Difficulty
4. Objectivity
5. Discrimination
16.ข้อใดคือกำรหำคุณภำพควำมตรงเชิงเนื้ อหำ (Content validity)โดยอำจอำศัยผูเ้ ชี่ยวชำญ
1. K-R20
2. K-R21
3. Test-retest
4. Cronbach’s alpha (α)
5. Index of Item-Objective Congruence (IOC)
17.ค่ำ IOC เกินกว่ำเท่ำใด ถือว่ำมีควำมสอดคล้องระหว่ำงวัตถุประสงค์กบั เนื้อหำ
1. 0.5
2. 0.6
3. 0.7
4. 0.8
5. 0.9
18.ข้อใดหมำยถึงควำมคงเส้นคงวำของคะแนนในกำรวัดแต่ละครั้ง
1. Validity
2. Rliability
3. Fairness
4. Efficiency
5. Searching
96

19.ครู ป กรณ์ ต้องกำรหำคุ ณ ภำพของแบบทดสอบโดยกำรน ำเครื่ องมื อที่ พ ฒ


ั นำขึ้ นไปทดสอบกับ กลุ่ ม
ตัวอย่ำงเพียงกลุ่มเดียว 2 ครั้ง ในระยะเวลำที่ห่ำงกันประมำณ 2 สัปดำห์แล้วนำผลที่ได้มำหำค่ำสัมประสิ ทธิ์
สหสัมพันธ์ เป็ นกำรหำคุณภำพประเภทใด
1. Parallel
2. Test-retest
3. Split - half
4. Spearman-Brown
5. Kuder-Richardson
20.ครู จีรนันท์ใช้แบบทดสอบ 2 ฉบับ มีลกั ษณะเหมือนกันทุก ประกำร ทดสอบกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่ มเดียวกัน
ทั้ง 2 ฉบับ ในเวลำเดี ย วกัน แล้ว น ำคะแนนจำกกำรท ำแบบทดสอบทั้ง 2 ชุ ด นี้ มำหำค่ ำ สั ม ประสิ ท ธิ์
สหสัมพันธ์เป็ นกำรหำคุณภำพประเภทใด
1. Parallel
2. Test-retest
3. Split - half
4. Spearman-Brown
5. Kuder-Richardson
21.เครื่ องมือที่มีลกั ษณะเป็ นเอกพันธ์ กำรให้คะแนนแบบตอบถูก ให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน ควรใช้
สูตรใด
1. K-R20
2. K-R21
3. K-R22
4. K-R23
5. K-R24
97

22.ข้อใดคือควำมชัดเจนหรื อผูส้ อบอ่ำนแล้วเข้ำใจได้ตรงกันให้คะแนนได้ตรงกันและแปลควำมหมำยของ


คะแนนให้ตรงกัน ข้อคำถำมที่ใช้วดั ต้องมีควำมชัดเจนไม่กำกวม
1. Validity
2. Rliability
3. Difficulty
4. Objectivity
5. Discrimination
23.ควำมยำกง่ำยที่เหมำะสมควรอยู่ระดับใด
1. ง่ำยมำก
2. ง่ำย
3. ปำนกลำง
4. ยำก
5. ยำกมำก
24.ควำมยำกง่ำยของแบบทดสอบมีค่ำที่ยอมรับได้อยูร่ ะหว่ำงเท่ำใด
1. 0.1 ถึง 0.7
2. 0.2 ถึง 0.7
3. 0.1 ถึง 0.8
4. 0.2 ถึง 0.8
5. 0.1 ถึง 0.9
25.ข้อใดคือควำมสำมำรถของแบบทดสอบในกำรจำแนกกลุ่ มตัวอย่ำงซึ่ งอำจหมำยถึงผู เ้ รี ยนหรื อผูต้ อบ
แบบทดสอบ ออกเป็ นกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน
1. Validity
2. Rliability
3. Difficulty
4. Objectivity
5. Discrimination
98

26.ค่ำอำนำจจำแนก (r) มีค่ำระหว่ำงเท่ำใด


1. 0.00 ถึง +1.00
2. 0.00 ถึง -1.00
3. 1.00 ถึง +1.00
4. -1.00 ถึง -1.00
5. -1.00 ถึง +1.00
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 27
(1) ปรับปรุ งแบบทดสอบจนแบบทดสอบมีควำมเหมำะสมที่จะนำไปใช้จริ ง
(2) นำแบบทดสอบที่ได้รับกำรปรับแก้ไขตำมคคำแนะนำของผูเ้ ชี่ยวชำญแล้ว ไปใช้กบั กลุ่มทดลอง
(try out group) ซึ่งเป็ นนักเรี ยนโรงเรี ยนใกล้เคียง
(3) นำผลกำรสอบมำหำค่ำควำมเชื่อมัน่ (reliability) โดย Kuder-Richardson 20 พร้อมกับหำค่ำควำม
ยำกง่ำยและอำนำจจำแนกในแบบทดสอบแต่ละข้อ
(4). ศึกษำค้นคว้ำทฤษฎีองค์ควำมรู ้เรื่ องธำตุและสำรประกอบ จำกหนังสื อตำรำ ตลอดจนบทควำม
งำนวิจยั ทั้งภำยในและภำยนอกประเทศ นำมำสร้ำงเป็ นแบบทดสอบข้อเขียน
(5) เชิญผูท้ รงคุณวุฒิที่มีประสบกำรณ์สอนวิชำเคมีและเป็ นที่ยอมรับ จำนวน 3 ท่ำนเป็ นผูต้ รวจสอบ
ควำมสอดคล้องของเนื้อหำควำมรู ้ในเชิงโครงสร้ำงและทฤษฎี (content validity)
27.ครู ชนำธิปสร้ำงเครื่ องมือวิจยั เป็ นแบบทดสอบควำมรู ้ เรื่ องธำตุและสำรประกอบ วิชำเคมี ม.4 แบบเลือก
คำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียวจำก 4 ตัวเลือกจำนวน 40 ข้อ เพื่อใช้ประเมินควำมรู ้ก่อนและหลังเรี ยน ควร
วำงแผนตรวจสอบคุณภำพตำมข้อใด
1. (4) (5) (2) (3) (1)
2. (4) (5) (3) (2) (1)
3. (4) (5) (3) (1) (2)
4. (5) (4) ((2) (3) (1)
5. (5) (4) (3) (2) (1)
99

28.ครู สมชำยต้องกำรวัดควำมรู ้ของผูเ้ รี ยน วิชำสังคม ม.5 โดยกำหนดจุดประสงค์พฤติกรรมด้ำนพุทธิ พิสัย


ขั้นสู งควรเลือกใช้เครื่ องมืดประเภทใดที่จะครอบคลุมตำมจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้มำกที่สุด
1. แบบอัตนัยและแบบเติมคำ
2. แบบอัตนัยและแบบตอบสั้น
3. แบบหลำยตัวเลือกและแบบอัตนัย
4. แบบหลำยตัวเลือกและแบบเติมคำ
5. แบบหลำยตัวเลือกและแบบตอบสั้น
29.ครู สมศรี จะออกแบบกำรวัดและประเมินผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รักชำติ ศำสน์ กษัตริ ย ์ ระดับ
ประถมศึกษำปี ที่ 1 โดยเลือกเครื่ องมือประเภทใดที่กบั กำรประเมินมำกที่สุด
1. แบบสังเกตและแบบสัมภำษณ์
2. แบบสัมภำษณ์แบบวัดสถำนกำรณ์
3. แบบสังเกตและแบบวัดสถำนกำรณ์
4. แบบสังเกตและแบบประเมินตนเอง / เพื่อน / พ่อแม่
5. แบบสัมภำษณ์และแบบประเมินตนเอง / เพื่อน / พ่อแม่
30.ครู สมพรต้องกำรวัดและประเมินผลสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รี ยน ควำมสำมำรถในกำรสื่ อสำร มัธยมศึกษำ
ปี ที่ 6 กำลังตรวจสอบควำมถูกต้องของแบบประเมินสำหรับนักเรี ยนประเมินตนเอง พบว่ำมีขอ้ คำถำมที่ควร
จะมีกำรแก้ไขปรับปรุ งก่อนนำไปใช้ ตรงกับข้อใด
1. ข้ำพเจ้ำเขียนแสดงควำมรู ้สึกต่อผูอ้ ื่นให้ผอู ้ ื่นเข้ำใจได้
2. ข้ำพเจ้ำใช้ Google ช่วยในกำรสื บค้นข้อมูลเร่ งด่วนได้
3. ข้ำพเจ้ำหลีกเลี่ยงกำรดูละครที่มีเนื้ อหำไม่เหมำะสมกับวัย
4. ข้ำพเจ้ำชอบใช้เทคโนโลยีในกำรศึกษำหำควำมรู ้และควำมบันเทิง
5. ข้ำพเจ้ำคิดว่ำกำรรู ้จกั ใช้คำพูดที่เหมำะสมสำมำรถแก้ปัญหำต่ำง ๆ ได้
100

31.กระทรวงศึกษำธิ กำรมีกำรกำหนดแนวทำงกำรพัฒนำสมรรถนะผูเ้ รี ยนระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนมุ่งให้


ผูเ้ รี ยนต้องมีทกั ษะสำคัญที่จำเป็ นในศตวรรษที่ 21 ครู ท่ำนใดวัดและประเมินผลฐำนสมรรถนะ
1. ครู เบียร์ทดสอบย่อยทุกบทเรี ยนเพื่อติดตำมดูควำมก้ำวหน้ำ
2. ครู บอลประยุกต์ใช้ Kahoot ในกำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้
3. ครู เมย์เลือกเครื่ องมือที่มีคุณภำพเพื่อให้ได้ผลกำรประเมินที่ถูกต้อง
4. ครู พลอยประเมินสมรรถนะก่อนเพื่อวินิจฉัยจุดด้อย จุดเด่นของผูเ้ รี ยน
5. ครู แนนใช้กำรประเมินอิงกลุ่มเพื่อวัดควำมสำเร็จในกำรปฏิบตั ิของผูเ้ รี ยนเป็ นรำยบุคคล
32.ครู ท่ำนใดวัดและประเมินผลที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
1. ครู เอกเน้นให้ผเู ้ รี ยนประเมินตนเอง
2. ครู อำร์มเลือกใช้เครื่ องมือวัดที่เหมำะสม
3. ครู บอสแปลผลถูกต้องและมีควำมยุติธรรม
4. ครู โจ้วดั ผลตรงกับจุดมุ่งหมำยของกำรเรี ยนกำรสอน
5. ครู วนิ ประเมินระดับสถำนศึกษำเพื่อตัดสิ นผลกำรเรี ยนของผูเ้ รี ยนเป็ นรำยปี
33.ครู ใจดีนำแบบทดสอบวิชำภำษำไทย เรื่ อง คำรำชำศัพท์ ระดับประถมศึกษำปี ที่ 5 มีจำนวน 5 ข้อไปหำค่ำ
IOC ให้ผเู ้ ชี่ยวชำญจำนวน 3 คนตรวจสอบค่ำสอดคล้องระหว่ำงข้อคำถำมกับวัตถุประสงค์ ผลคะแนนที่ได้
ตำมตำงรำง ดังต่อไปนี้
ข้อที่ คะแนนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3
1 +1 +1 +1
2 0 0 +1
3 0 +1 +1
4 +1 0 0
5 +1 +1 0
101

จำกข้อมูลในตำรำง ข้อสอบข้อใดที่สำมำรถนำไปใช้ในกำรทดสอบได้
1. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 3
2. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 4
3. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 5
4. ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 และข้อที่ 4
5. ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 และข้อที่ 5
34.ครู กอหญ้ำนำ แบบสอบถำมควำมพึงพอใจของนักเรี ยนต่อกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอนรำยวิชำ
ภำษำอังกฤษ ระดับชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 4 จำนวน 10 ข้อ ไปหำค่ำควำมเชื่อมัน่ (Reliability) โดยวิธีครอนบำค
สูตรสัมประสิ ทธิ์แอลฟำ (Coefficient Alpha) ค่ำควำมเชื่อมัน่ ที่ได้ตำมตำงรำง ดังต่อไปนี้

ค่าความเชื่ อมั่นของแบบสอบถาม
ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 ข้อที่ 5 ข้อที่ 6 ข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 9 ข้อที่ 10
0.51 0.35 0.82 0.39 0.44 0.67 0.94 0.12 0.23 0.35

จำกข้อมูลในตำรำง ข้อคำถำมใดที่สำมำรถนำไปใช้ในกำรสอบถำมควำมพึงพอใจของนักเรี ยนได้


1. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 และข้อที่ 5
2. ข้อที่ 1 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 ข้อที่ 5 และข้อที่ 6
3. ข้อที่ 1 ข้อที่ 3 ข้อที่ 6 ข้อที่ 7 และข้อที่ 9
4. ข้อที่ 3 ข้อที่ 5 ข้อที่ 6 ข้อที่ 7 และข้อที่ 8
5. ข้อที่ 3 ข้อที่ 6 ข้อที่ 7 ข้อที่ 8 และข้อที่ 9
102

35.ครู ใบเฟิ ร์ นนำแบบทดสอบ วิชำคณิ ตศำสตร์ หน่วยกำรเรี ยนรู ้ที่ 1 จำนวนนับ กำรบวก กำรลบ กำรคูณ
และกำรหำรเศษส่ วน ระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 6 จำนวน 5 ข้อ หำค่ำควำมยำกง่ำยของข้อสอบได้ตำมตำง
รำง ดังต่อไปนี้

ค่าความยากง่ายของข้อสอบ ( p )
ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 ข้อที่ 5
0.85 0.95 0.42 0.55 0.75

จำกข้อมูลในตำรำง ข้อสอบข้อใดที่สำมำรถนำไปใช้ในกำรทดสอบของนักเรี ยนได้


1. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 3
2. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 4
3. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 5
4. ข้อที่ 1 ข้อที่ 3 และข้อที่ 4
5. ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 และข้อที่ 5
36.ครู ขำ้ วหอมนำแบบทดสอบก่อนเรี ยน หน่วยกำรเรี ยนรู ้ที่ 4 ประวัติควำมเป็ นมำและพัฒนำกำรของไทย
สมัยรัตนโกสิ นทร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 3 จำนวน 10 ข้อ หำค่ำอำนำจจำแนกได้ตำมตำงรำง ดังต่อไปนี้

ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบ ( r )
ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 ข้อที่ 5 ข้อที่ 6 ข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 9 ข้อที่ 10
0.25 0.10 0.15 0.02 0.09 0.75 0.16 0.05 -1.00 0.35

จำกข้อมูลในตำรำง ข้อสอบข้อใดที่สำมำรถนำไปใช้ในกำรทดสอบก่อนเรี ยนของนักเรี ยนได้


1. ข้อที่ 1 ข้อที่ 6 และข้อที่ 9
2. ข้อที่ 1 ข้อที่ 6 และข้อที่ 10
3. ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 และข้อที่ 8
4. ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 และข้อที่ 9
5. ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 และข้อที่ 7
103

37.ครู แสนดีนำแบบทดสอบ วิชำวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยี เรื่ อง อะตอมและสมบัติของธำตุ ระดับชั้น


มัธยมศึกษำปี ที่ 4 จำนวน 3 ข้อไปหำคุณภำพได้ตำมตำงรำง ดังต่อไปนี้

คุณภาพของแบบทดสอบ
ข้อที่ ค่า IOC ค่าความเชื่ อมั่น ค่าความยากง่าย ค่าอานาจจาแนก
1 0.75 0.20 0.60 0.10
2 0.80 1.00 0.40 0.70
3 0.45 0.80 0.85 -1.00

จำกข้อมูลในตำรำง ข้อสอบข้อใดที่สำมำรถนำไปใช้ในกำรทดสอบของนักเรี ยนได้


1. ข้อที่ 1
2. ข้อที่ 2
3. ข้อที่ 3
4. ข้อที่ 1 และข้อที่ 2
5. ข้อที่ 1 และข้อที่ 3
จงอ่ำนตำรำงผลกำรหำคุณภำพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยน วิชำ คณิ ตศำสตร์ ป.6 เรื่ อง
เศษส่วน แล้วตอบคำถำม ข้อ 38-42

คุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ข้อที่ ค่าอานาจจาแนก ค่าความเชื่ อมั่น ค่าความยากง่าย ค่าความตรงเชิงเนื้อหา
r α P IOC
1 0.74 0.90 0.85 0.67
2 -0.03 0.50 0.45 0.20
3 0.40 0.95 0.59 0.50
4 0.19 0.20 0.95 0.20
5 0.15 0.50 0.15 0.80
104

38.ค่ำควำมตรงเชิงเนื้อหำ (Content Validity) ของข้อสอบข้อใดสำมำรถนำไปใช้ได้


1. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 3
2. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 4
3. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 5
4. ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3
5. ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 4
39.ค่ำควำมเชื่อมัน่ (Reliability) ของข้อสอบข้อใดดีที่สุด
1. ข้อที่ 1
2. ข้อที่ 2
3. ข้อที่ 3
4. ข้อที่ 4
5. ข้อที่ 5
40.ค่ำควำมยำกง่ำย (difficulty) ของข้อสอบข้อใดสำมำรถนำไปใช้ได้
1. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 3
2. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 4
3. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 4
4. ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3
5. ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 5
41.ค่ำอำนำจจำแนก (discrimination) ของข้อสอบข้อใดสำมำรถนำไปใช้ได้
1. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2
2. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 3
3. ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 4
4. ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 5
5. ข้อที่ 3 และ ข้อที่ 5
105

42.จำกข้อมูลในตำรำงข้อสอบข้อใดสำมำรถนำไปใช้ได้
1. ข้อที่ 1
2. ข้อที่ 2
3. ข้อที่ 3
4. ข้อที่ 4
5. ข้อที่ 5
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 43-44
(1) นิยมใช้ในกำรสอบแข่งขัน
(2) นำผลที่ได้จำกกำรวัดมำพัฒนำผูเ้ รี ยน
(3) คะแนนจะถูกนำเสนอในรู ปของผ่ำน-ไม่ผำ่ น
(4) คะแนนจะถูกนำเสนอในรู ปของคะแนนมำตรฐำน
(5) กำรเปรี ยบเทียบคะแนนที่ได้กบั คะแนนของคนอื่น ๆ
(6) กำรเปรี ยบเทียบคะแนนที่ได้กบั เกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้1
43.ข้อใดคือกำรประเมินแบบอิงเกณฑ์
1. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (6)
2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (6)
3. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (6)
4. ส่วนที่ (3) ส่วนที่ (4) และ ส่วนที่ (6)
5. ส่วนที่ (5) ส่วนที่ (5) และ ส่วนที่ (6)
44.ข้อใดคือกำรประเมินแบบอิงกลุ่ม
1. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (5)
2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (5)
3. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (4) และ ส่วนที่ (5)
4. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (4) และ ส่วนที่ (5)
106

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 45


(1) ผูป้ ระเมิ นจะต้องใช้เกณฑ์ในกำรประเมิ นคุณภำพชิ้ นงำนของผูเ้ รี ยน เกณฑ์อำจจะอยู่ในเชิ ง
คุณภำพหรื อปริ มำณ
(2) กำรประเมิ นผลงำนแต่ละชิ้ นของผูเ้ รี ยนที่ ได้ลงมื อปฏิ บตั ิ จึงมี ควำมจำเป็ นที่ จะต้องประเมิ น
คุณภำพของงำนอย่ำงเป็ นปรนัย
(3) ประเด็นที่ จะประเมิน คื อสิ่ ง ที่ ส ะท้อนผลกำรเรี ยนรู ้ หลัก ๆ หรื อมำตรฐำนกำรเรี ย นรู ้ ที่ เป็ น
เป้ำหมำยของแต่ละหน่วย / ภำระงำน
(4) คำอธิ บำยคุณภำพของแต่ ละระดับควำมสำมำรถว่ำคุณภำพของควำมสำมำรถแต่ละระดับที่
คำดหวังนั้นเป็ นอย่ำงไรคำบรรยำยเหล่ำนี้ จะต้องมีควำมชัดเจนในกำรใช้ภำษำที่กระทัดรัดเข้ำใจง่ำยและเห็น
ควำมแตกต่ำงระหว่ำงระดับควำมชัดเจน
(5) ระดับควำมสำมำรถ ส่ วนใหญ่จะกำหนดเป็ นเลขคี่มำกกว่ำเลขคู่ท้ งั นี้ เพื่อป้ องกันกำรให้คะแนน
ที่ตกอยู่ตรงกลำงทำให้จำแนกควำมสำมำรถได้ยำกและแต่ละระดับอำจกำหนดเป็ นตัวเลขหรื อคำแสดง
คุณภำพต่ำงๆ
45.ข้อใดคือองค์ประกอบของเกณฑ์กำรให้คะแนน (Scoring Rubric)
1. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (3)
2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (4)
3. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (5)
4. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (3) ส่วนที่ (4) และ ส่วนที่ (5)
107

อ่ำนตำรำงต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม ข้อ 46
รายการประเมิน เกณฑ์ การให้ คะแนน คะแนน
ควำมสวยงำม 1. กำรออกแบบชิ้นงำน มีควำมสมบูรณ์ สวยงำม 4
2. กำรออกแบบชิ้นงำน มีควำมสมบูรณ์ไม่ค่อยสวยงำม 3
3. กำรออกแบบชิ้นงำน ขำดควำมสมบูรณ์แต่ดูสวยงำม 2
4. กำรออกแบบชิ้นงำน ขำดควำมสมบูรณ์ไม่สวยงำม 1
ควำมคิดสร้ำงสรรค์ 1. มีกำรออกแบบสร้ำงสรรค์ชิ้นงำนแตกต่ำงไปจำกตัวอย่ำง 4
2. มีกำรออกแบบสร้ำงสรรค์ชิ้นงำนแตกต่ำงไปจำกตัวอย่ำงบำงส่วน 3
3. มีกำรออกแบบสร้ำงสรรค์ชิ้นงำนคล้ำยคลึงกับตัวอย่ำง 2
4. มีกำรออกแบบสร้ำงสรรค์ชิ้นงำนเหมือนตัวอย่ำงที่ให้ 1

กำรนำไปปฏิบตั ิ 1. ชิ้นงำนจำกกำรออกแบบสำมำรถนำไปใช้ได้จริ ง 4
2. ชิ้นงำนจำกกำรออกแบบสำมำรถนำไปใช้ได้จริ งเป็ นบำงส่วน 3
3. ชิ้นงำนจำกกำรออกแบบสำมำรถนำนำไปใช้ได้จริ งน้อย 2
4. ชิ้นงำนจำกกำรออกแบบไม่สำมำรถนำไปใช้ได้จริ ง 1

46.เกณฑ์กำรประเมินผลงำนกำรออกแบบกำรจัดแจกันดอกไม้เป็ นลักษณะใด
1. Rating Rubrics
2. Holistic Rubrics
3. Analytic Rubrics
4. Checklist Rubrics
5. Annotated Holistic Rubrics
108

อ่ำนตำรำงต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม ข้อ 47
ดี พอใช้ ปรับปรุ ง
(3 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน)
แผนภูมิมีควำมถูกต้องสมบูรณ์ครบทุกรำยกำรได้แก่ แผนภูมิมี แผนภูมิมี
1. แผนภูมิมีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน ข้อผิดพลำด ข้อผิดพลำด
2. มีกำรกำหนดมำตรำส่วนได้เหมำะสมสอดคล้องกับข้อมูล รำยกำรใด มำกกว่ำ 1
3. ขนำดของแท่งแผนภูมิและระยะห่ำงของแผนภูมิเท่ำกันทั้งหมด รำยกำรหนึ่ง รำยกำร
4. แท่งแผนภูมิที่นำเสนอมีจำนวนครบถ้วนและถูกต้องทุกรำยกำร

47.เกณฑ์กำรประเมิน เรื่ อง เขียนแผนภูมิแท่งเปรี ยบเทียบและกรำฟเส้น เป็ นลักษณะใด


1. Rating Rubrics
2. Holistic Rubrics
3. Analytic Rubrics
4. Checklist Rubrics
5. Annotated Holistic Rubrics
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 48
(1) กำรตรวจสอบควำมเข้ำใจเพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้ (Checking for understanding) โดยกำรพูดตอบ
คำถำมกำรนำเสนอกำรเขียน
(2) กำรพัฒ นำหรื อ ปรั บ ปรุ ง แก้ไ ขแก่ นั ก เรี ย น (Feedback) กำรให้ ข้อ มู ล สำรสนเทศเกี่ ย วกั บ
ควำมสำเร็ จและสิ่ งที่จำเป็ นต้องได้รับ
(3) กำรให้คำแนะนำชี้ แนะแนวทำงบนพื้นฐำนของข้อมูลเชิ งประจักษ์เพื่อกระตุน้ ให้นักเรี ยนเกิ ด
พัฒนำกำรเรี ยนรู ้ที่สูงขึ้น (Feed forward)
(4) กำรกระตุน้ และสร้ำงแรงจูงใจในกำรเรี ยน (Feed up) โดยแจ้งจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้และกำร
ประเมินที่ชดั เจนเพื่อให้นกั เรี ยนเห็นคุณค่ำในกำรเรี ยนรู ้และกำรประเมินทำให้ครู มนั่ ใจได้วำ่ นักเรี ยนมีควำม
เข้ำใจจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ควำมคิดรวบยอดภำระงำนและกำรประเมินผล
109

48.จงเรี ยงลำดับกำรให้ขอ้ มูลย้อนกลับแก่ผเู ้ รี ยน


1. (1) (2) (3) (4)
2. (1) (3) (2) (4)
3. (1) (4) (2) (3)
4. (4) (1) (2) (3)
5. (4) (1) (3) (2)
49.ผูใ้ ดนำผลกำรประเมินไปใช้ในกำรแก้ปัญหำและพัฒนำผูเ้ รี ยนได้เหมำะสมมำกที่สุด
1. ครู ให้นกั เรี ยนหำควำมรู ้ในหนังสื อมำกกว่ำข้อมูลใน Social Media
2. ครู สอนเสริ มให้กบั นักเรี ยนที่อ่ำนไม่ออกเพรำะผูป้ กครองไม่มีเวลำดูแล
3. ครู ทว้ งงำนนักเรี ยนเรี ยนในช่วงตัดเกรดสร้ำงควำมกดดันทั้งนักเรี ยนและผูป้ กครอง
4. ครู สร้ำงคลิป tiktok แล้วให้นกั เรี ยนที่ไม่ส่งงำนดูเพรำะยังไม่เข้ำใจวิธีกำรทำงำนที่ครู สงั่
5. ครู สั่งงำนออนไลน์เป็ นจำนวนมำกให้นกั เรี ยนทำเพรำะต้องมีคะแนนเก็บตำมที่ ผอ.บอก
50.ผูใ้ ดนำผลกำรประเมินไปใช้ในกำรพัฒนำกำรเรี ยนกำรสอนได้เหมำะสมมำกที่สุด
1. ครู ให้นกั เรี ยนส่งงำนพร้อมกันในทุกๆรำยวิชำผ่ำนระบบออนไลน์
2. ครู ให้นกั เรี ยนเตรี ยมเข้ำค่ำยธรรมะ ตำมโครงกำรส่งเสริ มคุณธรรมจริ ยธรรม
3. ครู ให้นกั เรี ยนทำใบงำนและแบบฝึ กหัดท้ำยบท สังข์ทอง ตอนกำเนิดพระสังข์
4. ครู เชิญตำรวจมำแนะนำวิธีกำรแจ้งควำมเมื่อนักเรี ยนซื้ อของออนไลน์แล้วโดนโกง
5. ครู ให้นกั เรี ยนเข้ำร่ วมติวสอบ O-Net ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนคณิ ตศำสตร์
51.กำรวิจยั ที่ทำโดยครู ผูส้ อนในห้องเรี ย นเพื่ อแก้ไ ขปั ญหำที่ เกิ ดขึ้ นในห้องเรี ย นและนำผลมำใช้ใ นกำร
ปรับปรุ งกำรเรี ยนกำรสอนเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุ ดแก่ผเู ้ รี ยน ตรงกับข้อใด
1. กำรวิจยั เชิงปริ มำณ
2. กำรวิจยั เชิงคุณภำพ
3. กำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้
4. กำรวิจยั เพื่อพัฒนำเชิงนวัตกรรม
5. กำรวิจยั เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
110

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 52


(1) อ้ำงอิงทฤษฎีหรื อมีผลกำรวิจยั รองรับ
(2) ใช้วงจร PAOR (plan, act, observe, reflect)
(3) ไม่เน้นแผนกำรวิจยั ใช้กำรวิจยั เชิงพัฒนำคุณภำพมำกกว่ำ
(4) ส่ วนใหญ่ใช้วิธีกำรวิเครำะห์ทำงสถิติช้ นั สู งเน้นกำรสรุ ปอ้ำงถึง
(5) ดำเนินกำรโดยครู ผสู ้ อนในห้องเรี ยนมีลกั ษณะกำรวิจยั แบบร่ วมมือ
52.ข้อใดคือกำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้
1. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (3)
2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (5)
3. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (5)
4. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (3) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
53.ข้อใดไม่ใช่ควำมสำคัญของกำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้
1. กำรพัฒนำวิชำชีพของครู
2. กำรพัฒนำนวัตกรรมทำงกำรศึกษำ
3. กำรส่งเสริ มสนับสนุนควำมก้ำวหน้ำของกำรวิจยั ทำงกำรศึกษำ
4. กำรแสดงควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำชีพครู ดว้ ยกำรเผยแพร่ ควำมรู ้ที่ได้จำกกำรปฏิบตั ิ
5. กำรพัฒนำหลักสูตรและกำรปรับปรุ งวิธีกำรปฏิบตั ิงำนเพื่อพัฒนำคุณภำพกำรเรี ยนกำรสอน
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 54
(1) อภิปรำยผลกำรวิจยั
(2) สรุ ปผลอภิปรำยและเสนอแนะ
(3) ดำเนินกำรวิจยั เก็บรวบรวมข้อมูลและแปลผล
(4) กำหนดปัญหำจำกปัญหำกิจกรรมกำรเรี ยนกำรสอน
(5) จัดทำรำยงำนผลกำรวิจยั เผยแพร่ ผลกำรวิจยั เพื่อกำรนำไปใช้
(6) ศึกษำแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกำรวิจยั และนวัตกรรมเพื่อทำกำรแก้ปัญหำให้ผเู ้ รี ยน
111

54.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนกระบวนกำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้


1. (4) (6) (1) (2) (3) (5)
2. (4) (6) (1) (3) (2) (5)
3. (4) (6) (2) (1) (3) (5)
4. (4) (6) (3) (1) (2) (5)
5. (4) (6) (3) (2) (1) (5)
55.ข้อใดไม่ใช่แนวทำงกำรใช้ผลกำรวิจยั ในสถำนศึกษำ
1. กำรปรับปรุ งและพัฒนำกำรเรี ยนกำรสอน
2. พัฒนำผูบ้ ริ หำรเห็นควำมสำคัญของกำรวิจยั
3. ข้อมูลพื้นฐำนในกำรพัฒนำกำรเรี ยนกำรสอน
4. กำรพัฒนำวิชำชีพในกำรเสริ มสร้ำงควำมรู ้ทำงวิชำกำร
5. กำรส่งเสริ มกำรกระจำยอำนำจกำรจัดกำรศึกษำด้ำนหลักสูตรสถำนศึกษำ
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 56
(1) ประเมินผลกำรใช้วำ่ เป็ นไปตำมที่คำดหวังหรื อไม่
(2) กำรที่ผใู ้ ช้ได้มีกำรอ่ำนเพื่อทำควำมเข้ำใจในงำนวิจยั นั้นก่อน
(3) กำรที่ผใู ้ ช้อ่ำนและวิจำรณ์วำ่ จะยอมรับหรื อปฏิเสธงำนวิจยั นั้น
(4) กำรเปลี่ยนแปลงผลกำรวิจยั ให้อยู่ในรู ปที่มีควำมสะดวกในกำรใช้
(5) กำรนำงำนวิจยั ไปพิจำรณำมีคุณสมบัติเหมำะสมมีควำมเหมำะสมมีควำมเป็ นไปได้มีหลักฐำน
อ้ำงอิงอย่ำงหนักแน่น
(6) กำรบูรณำกำรกำรตัดสิ นใจร่ วมกับวัตถุประสงค์ของงำนวิจยั และนำผลที่ได้มำเป็ นพื้นฐำนใน
กำรพิจำรณำตัดสิ นใจที่จะใช้งำนวิจยั หรื อกำรชะลอเวลำในกำรใช้รวมไปถึงกำรปฏิเสธกำรใช้ผลกำรวิจยั
56.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนกระบวนกำรในกำรใช้ผลกำรวิจยั
1. (2) (3) (4) (6) (5) (1)
2. (2) (3) (4) (1) (5) (6)
3. (2) (3) (4) (5) (1) (6)
4. (2) (3) (5) (6) (4) (1)
5. (2) (3) (5) (4) (6) (1)
112

57.ข้อใดไม่ควรปฏิบตั ิในกำรใช้ผลกำรวิจยั
1. ผูใ้ ช้จะต้องผ่ำนประสบกำรณ์ในกำรทำวิจยั
2. ผูใ้ ช้จะต้องมีควำมคุน้ เคยกับกำรอ่ำนบทควำมต่ำงๆ
3. ผูอ้ ่ำนจำเป็ นต้องตรวจสอบคุณภำพของเครื่ องมือในงำนวิจยั
4. หลังจำกอ่ำนรำยงำนกำรวิจยั แล้วผูอ้ ่ำนได้แลกเปลี่ยนควำมรู ้กบั ผูอ้ ื่น
5. เมื่อเริ่ มต้นอ่ำนบทควำมผูอ้ ่ำนจะต้องมีควำมอดทนอ่ำนรำยงำนกำรวิจยั อย่ำงละเอียด
58.ข้อใดคือจุดมุ่งหมำยของกำรวิจยั เพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยน
1. มุ่งให้ผเู ้ รี ยนให้มีศกั ยภำพสูงสุด
2. มุ่งให้ผเู ้ รี ยนทำวิจยั เพื่อใช้กระบวนกำรวิจยั เป็ นส่วนหนึ่งของกำรเรี ยนรู ้
3. มุ่งให้ผสู ้ อนนำผลกำรวิจยั ไปใช้อย่ำงสม่ำเสมอและแลกเปลี่ยนงำนวิจยั ตนเองกับผูอ้ ื่น
4. มุ่งให้ผสู ้ อนสำมำรถทำวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้ดว้ ยกำรศึกษำวิเครำะห์ปัญหำกำรเรี ยนรู ้
5. มุ่งให้ผูบ้ ริ หำรทำกำรวิจยั และนำผลกำรวิจยั มำประกอบกำรตัดสิ นใจรวมทั้งจัดทำนโยบำยและ
วำงแผนบริ หำรจัดกำรสถำนศึกษำ
59.ข้อใดเป็ นขั้นตอนกำรปฏิ บตั ิ ในกำรแสวงหำควำมรู ้ ตำมที่ ได้วำงแผนไว้ซ่ ึ งอำจใช้วิธีกำรต่ำงๆในกำร
เรี ยนรู ้เช่นกำรสังเกตกำรสัมภำษณ์กำรบันทึกข้อควำมกำรสรุ ปควำม ตำมกำรวิจยั ในกระบวนกำรเรี ยนรู ้
1. กำรสรุ ปควำมรู ้
2. กำรวำงแผนกำรเรี ยนรู ้
3. กำรพัฒนำทักษะกำรเรี ยนรู ้
4. กำรวิเครำะห์ควำมต้องกำรกำรเรี ยนรู ้
5. กำรประเมินผลเพื่อปรับปรุ งและนำไปใช้ในกำรพัฒนำ
113

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 60


(1) ผูเ้ รี ยนสรุ ปควำมรู ้ และนำเสนอควำมรู ้ ที่ไ ด้จำกกำรค้นคว้ำในรู ปแบบต่ำงๆที่ เหมำะสมเช่ น
รู ปภำพแผนภูมิ
(2) ผูเ้ รี ยนต้องรู ้จกั กำรวำงแผนกำรเรี ยนรู ้ของตนเองว่ำมีเป้ำหมำยเรื่ องใดมีเวลำมำกน้อยเพียงใดมี
แหล่งเรี ยนรู ้ที่ไหนบ้ำงมีวิธีเรี ยนใดบ้ำง
(3) กำรปฏิบตั ิในกำรแสวงหำควำมรู ้ตำมที่ได้วำงแผนไว้ซ่ ึงอำจใช้วิธีกำรต่ำงๆในกำรเรี ยนรู ้เช่นกำร
สังเกตกำรสัมภำษณ์กำรบันทึกข้อควำมกำรสรุ ปควำม
(4) ผูเ้ รี ยนประเมินกระบวนกำรเรี ยนรู ้ของตนเองในระหว่ำงกำรเรี ยนรู ้ทุกขั้นตอนเพื่อนำไปสู่ กำร
ปรับปรุ งรวมถึงกำรนำควำมรู ้ที่ได้ไปใช้พฒั นำงำนต่อไป
(5) ผูเ้ รี ยนต้องทรำบควำมต้องกำรกำรเรี ยนรู ้ของตนเองมีกำรลำดับควำมสำคัญก่อนหลังตำมควำม
จำเป็ นและควำมสำคัญให้ได้เป็ นลำดับแรกและกำหนดเป้ำหมำยของกำรเรี ยนรู ้ได้
60.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนกำรวิจยั ในกระบวนกำรเรี ยนรู ้อย่ำงเป็ นระบบ
1. (5) (2) (1) (3) (4)
2. (5) (2) (3) (1) (4)
3. (5) (2) (1) (3) (4)
4. (5) (3) (2) (1) (4)
5. (5) (4) (2) (3) (1)
61.ปัญหำกำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้ มำจำกข้อใด
1. ประเมินผลกำรเรี ยนรู ้
2. จัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้
3. ทำรำยงำนผลกำรเรี ยนรู ้
4. วำงแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
5. วิเครำะห์ควำมต้องกำรผูเ้ รี ยน
114

62.ปัญหำกำรวิจยั เพื่อพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ มำจำกข้อใด


1. จัดทำแผนโรงเรี ยน
2. นิเทศ ติดตำม ประเมินผล
3. ดำเนินกำรตำมแผนโรงเรี ยน
4. ทำรำยงำนผลกำรดำเนินงำนของโรงเรี ยน
5. วิเครำะห์ปัญหำและควำมต้องกำรเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ของโรงเรี ยน

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 63-82

กำรวิจยั ครั้งนี้ มีวตั ถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษำผลของกำรใช้แอพพลิ เคชั่นกำรสอนสะกดคำที่ มี ต่อ


ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1 2) เพื่อศึกษำควำมพึง
พอใจในกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
กลุ่ ม ตัวอย่ำ งที่ ใ ช้ใ นกำรวิ จัย ครั้ งนี้ คื อ นัก เรี ย นระดับ ชั้นประถมศึ ก ษำปี ที่ 1 ภำคกำรศึ ก ษำต้น ปี
กำรศึกษำ 2564 จำนวน 30 คน

63.ข้อใดคือชื่องำนวิจยั
1. ผลของกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยที่มีต่อควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำ
ภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
2. กำรประเมินกำรใช้แอพพลิ เคชั่นกำรสอนสะกดคำภำษำไทยที่ มีต่อควำมสำมำรถในกำรอ่ำน
สะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
3. กำรนำเสนอกลยุทธ์กำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยที่มีต่อควำมสำมำรถในกำร
อ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
4. กำรสำรวจควำมพึงพอใจกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยที่มีต่อควำมสำมำรถใน
กำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
5. กำรพัฒนำและหำประสิ ทธิภำพของแอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยที่มีต่อควำมสำมำรถ
ในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
115

64.ข้อใดคือคำถำมกำรวิจยั
1. หลังกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยนักเรี ยนมีทกั ษะกำรอ่ำนสูง
2. หลังกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยนักเรี ยนมีทกั ษะกำรอ่ำนไม่แตกต่ำง
3. ก่อนจะนำมำทดลองนักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย แตกต่ำงกันหรื อไม่
4. กำรใช้แ อพพลิ เ คชั่น กำรสอนสะกดค ำภำษำไทยเรื่ อ งควรมี ล ัก ษณะเช่ น ใด ประกอบด้ว ย
องค์ประกอบอะไรบ้ำง
5. ผลของกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยส่ งผลให้นกั เรี ยนมีควำมสำมำรถในกำร
อ่ำนสะกดคำภำษำไทย เปลี่ยนแปลงหรื อไม่ อย่ำงไร
65.ข้อใดคือสมมติฐำนกำรวิจยั ที่เหมำะสมที่สุด
1. หลังกำรทดลองใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย นักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำรอ่ำน
สะกดคำภำษำไทย เท่ำกับก่อนทดลอง
2. หลังกำรทดลองใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย นักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำรอ่ำน
สะกดคำภำษำไทย สู งกว่ำก่อนทดลอง
3. หลังกำรทดลองใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย นักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำรอ่ำน
สะกดคำภำษำไทย น้อยกว่ำก่อนทดลอง
4. หลังกำรทดลองใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย นักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำรอ่ำน
สะกดคำภำษำไทย ไม่นอ้ ยกว่ำก่อนทดลอง
5. หลังกำรทดลองใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย นักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำรอ่ำน
สะกดคำภำษำไทย แตกต่ำงกว่ำก่อนทดลอง
66.ข้อใดคือตัวแปรต้น
1. นักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
2. แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย
3. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย
4. แบบวัดควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย
5. ถูกทั้ง 2. และ 4.
116

67.ข้อใดคือตัวแปรตำม
1. นักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
2. แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย
3. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย
4. แบบวัดควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย
5. ถูกทั้ง 2. และ 4.
68.ข้อใดคือประเภทของกำรวิจยั
1. กำรวิจยั เชิงสำรวจ
2. กำรวิจยั เชิงทดลอง
3. กำรวิจยั และพัฒนำ
4. กำรวิจยั เชิงคุณภำพ
5. กำรวิจยั เชิงกึ่งทดลอง
69.ข้อใดคือแบบแผนกำรวิจยั
1. One Group Posttest Only Design
2. One Group Pretest-Posttest Only Design
3. Non-equivalent control group posttest only design
4. Non-equivalent control group, Pretest Posttest design
5. Non-equivalent Control group, Pretest-Posttest time series design
70.ข้อใดคือกำรกำหนดกลุ่มตัวอย่ำงที่เหมำะสมที่สุด
1. กำรสุ่มตัวอย่ำงแบบง่ำย
2. กำรสุ่ มตัวอย่ำงแบบชั้นภูมิ
3. กำรสุ่มตัวอย่ำงแบบเป็ นระบบ
4. กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบบังเอิญ
5. กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจง
117

71.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ควรใช้เครื่ องมือในกำรทดลองตำมข้อใด


1. หลักสูตร
2. แบบสอบถำม
3. แบบทดสอบ
4. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
5. ถูกทั้ง 3. และ 4.
72.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ควรใช้เครื่ องมือในเก็บรวบรวมข้อมูล ตำมข้อใด
1 .แบบสังเกต
2. แบบทดสอบ
3. แบบประเมิน
4. แบบสอบถำม
5. แบบสัมภำษณ์
73.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 ควรใช้เครื่ องมือในกำรเก็บรวมรวมข้อมูลตำมข้อใด
1. แบบสังเกต
2. แบบทดสอบ
3. แบบประเมิน
4. แบบสอบถำม
5. แบบสัมภำษณ์
74.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 สถิติที่ใช้ในกำรวิจยั คือข้อใด
1. x̄
2. SD
3. E1/E2
4. t-test dependent
5. t-test independent
118

75.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ข้อใดคือกำรหำคุณภำพของเครื่ องมือที่ใช้ในทดลอง


1. ควำมตรง
2. ควำมยำกง่ำย
3. ควำมเชื่อมัน่
4. ควำมเป็ นปรนัย
5. อำนำจจำแนก
76.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ควรใช้ควำมตรง (Validity)ประเภทใดในกำรหำคุณภำพของเครื่ องมือที่ใช้ใน
ทดลอง
1. ควำมตรงตำมเนื้อหำ
2. ควำมตรงตำมสภำพ
3. ควำมตรงตำมทำนำย
4. ควำมตรงตำมโครงสร้ำง
5. ควำมตรงตำมเกณฑ์สัมพันธ์
77.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ข้อใดคือกำรหำค่ำควำมตรงตำมเนื้อหำ (Content Validity)
1. r
2. p
3. 
4. Pw
5. IOC
78.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 ข้อใดไม่ใช่กำรหำคุณภำพของเครื่ องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล
1. Validity
2. Reliability
3. Difficulty
4. Discrimination
5. Independent Variable
119

79.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 กำรหำค่ำควำมยำกง่ำย (Difficulty) อยูร่ ะหว่ำงข้อใด


1. 0.10 – 0.90
2. 0.20 – 0.80
3. 0.30 – 0.70
4. 0.40 – 0.60
5. 0.00 – 1.00
80.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 กำรหำค่ำอำนำจจำแนก (Discrimination) ตั้งแต่เท่ำใดขึ้นไป
1 .0.20
2. 0.30
3. 0.40
4. 0.50
5. 0.60
กลุ่มตัวอย่ำง N Mean SD t
ก่อนกำรทดลอง 30 25.60 12.02 10.85*

หลังกำรทดลอง 30 31.25 10.26

81.ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับผลกำรวิจยั
1. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนที่ เรี ยนโดยใช้แอพพลิ เคชัน่ กำรสอน
สะกดคำภำษำไทยหลังกำรทดลองเท่ำกับก่อนทดลองอย่ำงมีนยั สำคัญที่ระดับ .01
2. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนที่ เรี ยนโดยใช้แอพพลิ เคชั่นกำรสอน
สะกดคำภำษำไทยหลังกำรทดลองต่ำกว่ำก่อนทดลองอย่ำงมีนยั สำคัญที่ระดับ .01
3. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนที่ เรี ยนโดยใช้แอพพลิ เคชั่นกำรสอน
สะกดคำภำษำไทยหลังกำรทดลองสู งกว่ำก่อนทดลองอย่ำงมีนยั สำคัญที่ระดับ .01
4. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนที่ เรี ยนโดยใช้แอพพลิ เคชั่นกำรสอน
สะกดคำภำษำไทยหลังกำรทดลองไม่นอ้ ยกว่ำก่อนทดลองอย่ำงมีนยั สำคัญที่ระดับ .01
5. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนที่เรี ยนโดยใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอน
สะกดคำภำษำไทยหลังกำรทดลองไม่แตกต่ำงกับก่อนทดลองอย่ำงมีนยั สำคัญที่ระดับ .01
120

82.ข้อใดไม่ควรเป็ นข้อเสนอแนะ
1. ควรทำกำรศึกษำตัวแปรกอื่นๆ เช่น ควำมคงทนของกำรเรี ยนรู ้
2. ควรมีกำรศึกษำในแอพพลิเคชัน่ อื่นที่สำมำรถนำมำบูรณำกำรกับวิชำภำษำไทย
3. ควรมีกำรศึกษำในเรื่ องอื่นของวิชำภำษำไทยที่ยงั เป็ นปัญหำกับนักเรี ยน เช่น กำรเขียน
4. ควรเพิ่มระยะเวลำที่ใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยเพื่อให้ผลกำรวิจยั สู งขึ้น
5. ควรทำกำรศึกษำโดยใช้เทคนิคกำรจัดกำรเรี ยนอื่นเข้ำมำร่ วมกับกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอน
สะกดคำภำษำไทย
121

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 83-95

กำรวิจยั นี้ มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนสำระสังคมศึกษำ ศำสนำ และ


วัฒนธรรม ระหว่ำงนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5 ที่ เรี ยนโดยใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อโดยใช้
เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนกับนักเรี ยนที่เรี ยนโดยใช้กิจ กรรมกำรเรี ยนรู ้แบบปกติ
2) เปรี ยบเทียบเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้สังคมศึกษำ ศำสนำและวัฒนธรรม ระหว่ำงนักเรี ยน
ชั้นประถมศึ กษำปี ที่ 6 ที่ เรี ยนโดยใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อโดยใช้เทคนิ คกำรจัดกลุ่มแบบคละ
ผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยน กับนักเรี ยนที่เรี ยนโดยใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบปกติ
กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจยั ครั้งนี้ เป็ นนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำชั้นปี ที่ 5 ภำคเรี ยนที่ 2 จำนวน 2
ห้อง เรี ยน รวมทั้งสิ้ น 75คน แบ่งเป็ นกลุ่มทดลอง จำนวน 35 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 40 คน

83.ข้อใดคือชื่องำนวิจยั
1. ผลกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ทำงกำร
เรี ยนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้สังคมศึกษำศำสนำ
และวัฒนธรรม ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
2. กำรสำรวจกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิ คกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้สังคมศึกษำ
ศำสนำ และวัฒนธรรม ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
3. กำรนำเสนอกปั ญหำกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิ คกำรจัดกลุ่มแบบคละ
ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
สังคมศึกษำศำสนำ และวัฒนธรรม ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
4. กำรประเมิ น ผลกำรใช้กิ จ กรรมกำรเรี ย นรู ้ แ บบร่ ว มมื อ โดยใช้เ ทคนิ ค กำรจัด กลุ่ ม แบบคละ
ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
สังคมศึกษำศำสนำ และวัฒนธรรม ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
5. กำรหำประสิ ทธิ ภำพของกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิ คกำรจัดกลุ่มแบบ
คละผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำร
เรี ยนรู ้สังคมศึกษำศำสนำ และวัฒนธรรม ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
122

84.ข้อใดคือสมมติฐำนกำรวิจยั ที่เหมำะสมที่สุด
1. หลังกำรทดลองใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยน เท่ำกับกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบ
ปกติ
2. หลังกำรทดลองใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยน สู งกว่ำกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบ
ปกติ
3. หลังกำรทดลองใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เ ทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยน น้อยกว่ำกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้
แบบปกติ
4. หลังกำรทดลองใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยน ไม่นอ้ ยกว่ำกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้
แบบปกติ
5. หลังกำรทดลองใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยน แตกต่ำงกว่ำกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้
แบบปกติ
85.ข้อใดคือตัวแปรต้น
1. เจตคติในกำรเรี ยน
2. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
3. นักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
4. กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
5. ถูกทั้ง 1. และ 2.
86.ข้อใดคือตัวแปรตำม
1. เจตคติในกำรเรี ยน
2. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
3. นักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
4. กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
5. ถูกทั้ง 1. และ 2.
123

87.ข้อใดคือแบบแผนกำรวิจยั
1. One Group Posttest Only Design
2. One Group Pretest-Posttest Only Design
3. Non-equivalent control group posttest only design
4. Non-equivalent control group, Pretest Posttest design
5. Non-equivalent Control group, Pretest-Posttest time series design
88.ข้อใดคือกำรกำหนดกลุ่มตัวอย่ำงที่เหมำะสมที่สุด
1. กำรสุ่มตัวอย่ำงแบบง่ำย
2. กำรสุ่ มตัวอย่ำงแบบชั้นภูมิ
3. กำรสุ่มตัวอย่ำงแบบเป็ นระบบ
4. กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบบังเอิญ
5. กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจง
89.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ควรใช้เครื่ องมือในกำรทดลองตำมข้อใด
1. หลักสูตร
2. แบบสอบถำม
3. แบบทดสอบ
4. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
5. ถูกทั้ง 3. และ 4.
90.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ควรใช้เครื่ องมือในเก็บรวบรวมข้อมูล ตำมข้อใด
1. แบบสังเกต
2. แบบทดสอบ
3. แบบประเมิน
4. แบบสอบถำม
5. แบบสัมภำษณ์
124

91.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 ควรใช้เครื่ องมือในเก็บรวบรวมข้อมูล ตำมข้อใด


1. แบบสังเกต
2. แบบทดสอบ
3. แบบประเมิน
4. แบบสอบถำม
5. แบบสัมภำษณ์
92.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 ข้อใดคือกำรหำคุณภำพของเครื่ องมือที่ใช้ในทดลอง
1. ควำมตรง
2. ควำมยำกง่ำย
3. ควำมเชื่อมัน่
4. ควำมเป็ นปรนัย
5. อำนำจจำแนก
93.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 กำรหำค่ำ IOC ที่เหมำะสมมำกที่สุดตรงกับข้อใด
1. 0.5
2. 0.6
3. 0.7
4. 0.8
5. 0.9
94.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน ควรมีควำมยำกง่ำย (Difficulty) เท่ำใด
1. 0.10 ถึง 0.90
2. 0.20 ถึง 0.80
3. 0.30 ถึง 0.70
4. 0.40 ถึง 0.60
5. 0.50 ถึง 0.80
125

95.วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 สถิติที่ใช้ในกำรวิจยั คือข้อใด


1. x̄
2. SD
3. E1/E2
4. t-test dependent
5. t-test independent
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 96-100

กำรวิจยั ครั้ งนี้ มีวตั ถุประสงค์เพื่อหำประสิ ทธิ ภำพของคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนเครื่ องดนตรี ส ำกล
สำหรับนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 2 โดยหำประสิ ทธิ ภำพตำมเกณฑ์ 80/80 และเปรี ยบเที ยบผลสัม ฤทธิ์
ทำงกำรเรี ยนก่อนและหลังเรี ยนของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 2 ภำคเรี ยนที่ 1 จำนวน 35 คน
เครื่ องมือที่ใช้ในกำรวิจยั ได้แก่ แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ รำยวิชำศิลปะพื้นฐำน เรื่ องเครื่ องดนตรี สำกล
ระดับมัธยมศึกษำปี ที่ 2 และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน

96.ข้อใดคือชื่องำนวิจยั
1. ผลกำรใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล สำหรับนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 2
2. กำรพัฒนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล สำหรับนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 2
3. กำรเปรี ยบเทียบผลกำรใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล สำหรับนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษำปี ที่ 2
4. กำรหำประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล สำหรับนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำ
ปี ที่ 2
5. กำรนำเสนอกปัญหำกำรใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล สำหรับนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษำปี ที่ 2
126

97.ข้อใดคือสมมติฐำนกำรวิจยั ที่เหมำะสมที่สุด
1. ประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่ำเท่ำกับเกณฑ์มำตรฐำนที่ต้ งั ไว้ระดับ 80/80
2. ประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่ำน้อยกว่ำเกณฑ์มำตรฐำนที่ต้ งั ไว้ระดับ 80/80
3. ประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่ำเท่ำสู งกว่ำเกณฑ์มำตรฐำนที่ต้ งั ไว้ระดับ 80/80
4. ประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่ำแตกต่ำงกับเกณฑ์มำตรฐำนที่ต้ งั ไว้ระดับ 80/80
5. ประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่ำเท่ำน้อยกว่ำเกณฑ์มำตรฐำนที่ต้ งั ไว้ระดับ 80/80
98.ข้อใดคือตัวแปรต้น
1. เจตคติต่อกำรเรี ยน
2. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
3. นักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 2
4. คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล
5. ถูกทั้ง 1. และ 2.
99.ข้อใดคือตัวแปรตำม
1. เจตคติต่อกำรเรี ยน
2. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
3. นักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 2
4. คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล
5. ถูกทั้ง 1. และ 2.
100.กำรหำประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล ใช้สถิติใด
1. x̄
2. SD
3. E1/E2
4. t-test dependent
5. t-test independent
127

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
ข้อ เฉลย
1 ตอบ 1. กำรวัด (สมหวัง พิธิยำนุวฒั น์,2541)
2 ตอบ 4. แดงอ่ำน ก-ฮ ไม่ผิดแม้แต่ตวั เดียว
3 ตอบ 5. กำรประเมินผล (สถำบันทดสอบทำงกำรศึกษำแห่งชำติ,2551)
4 ตอบ 4. ส้มสอบผ่ำน TOEFL เรี ยนต่อต่ำงประเทศ
5 ตอบ 4. วัตถุประสงค์ กำรเรี ยนกำรสอนและกำรวัดและกำรประเมินผล
วงจรควำมสัมพันธ์ระหว่ำงวัตถุประสงค์กำรเรี ยนกำรสอนกำรวัดและกำรประเมินผล เรี ยกว่ำ OLE
1.วัตถุประสงค์ Objectives (O)
2.กำรเรี ยนกำรสอน Learning (L)
3.กำรวัดและกำรประเมินผล Measurement and Evaluation (E)
6 ตอบ 1. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (3)
7 ตอบ 2. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5) (โชติกำภำษีผล, 2556, สุวิมลว่องวำณิช, 2546 และเอมอร
จังศิริพรปกรณ์, 2546)
8 ตอบ 3. กำรวัดประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ผทู ้ ี่มีส่วนเกี่ยวข้องในควรเป็ นผูส้ อนเท่ำนั้น
9 ตอบ 1. กำรวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยนและกำรวัดและประเมินผลเพื่อตัดสิ นผลกำรเรี ยน
10 ตอบ 2. กำรวัดและประเมินผลเพื่อวินิจฉัย (diagnosis)
11 ตอบ 5. (7) (1) (2) (3) (6) (4) (5)
12 ตอบ 4. กำรสังเกต : แบบมำตรประมำณค่ำ
13 ตอบ 3. Rating scale
14 ตอบ 3. ครู จอมขวัญให้นกั เรี ยน ป.6 ทำข้อสอบอัตนัย ปลำยภำค วิชำภำษำไทย
15 ตอบ 1. Validity
128

ข้อ เฉลย
16 ตอบ 5. Index of Item-Objective Congruence (IOC)
17 ตอบ 1. 0.5
18 ตอบ 2. Rliability
19 ตอบ 2. Test-retest
มีขอ้ ตกลงเบื้องต้น 3 ประกำร คือ
1.คะแนนที่ได้จำกเครื่ องมือวัดครั้งที่สองไม่ใช่เป็ น ผลเนื่องมำจำกกำรสอบครั้งแรก
2.ควำมรู ้ที่ได้จำกกำรสอบครั้งแรกไม่มีผลทำให้ คะแนนสอบครั้งหลังเพิ่มขึ้น
3.กำรสอบซ้ ำผูส้ อบมีแรงจูงใจที่จะทำกำรสอบ อย่ำงเท่ำเทียมกัน
20 ตอบ 1. Parallel
21 ตอบ 1. K-R20
22 ตอบ 4. Objectivity
23 ตอบ 3. ปำนกลำง
24 ตอบ 4. 0.2 ถึง 0.8
25 ตอบ 5. Discrimination
26 ตอบ 5. -1.00 ถึง +1.00
เกณฑ์กำรแปลผลค่ำอำนำจจำแนก มีดงั นี้
ค่ำมำกกว่ำ 0.40 ดีมำก
ค่ำอยูร่ ะหว่ำง 0.30-0.39 ดี
ค่ำอยูร่ ะหว่ำง 0.20-0.29 ปรับปรุ งใหม่
ค่ำต่ำกว่ำ 0.20 ตัดทิ้งไป
27 ตอบ 1. (4) (5) (2) (3) (1)
28 ตอบ 3.แบบหลำยตัวเลือกและแบบอัตนัย
129

ข้อ เฉลย
29 ตอบ 1.แบบสังเกตและแบบสัมภำษณ์
30 ตอบ 4.ข้ำพเจ้ำชอบใช้เทคโนโลยีในกำรศึกษำหำควำมรู ้และควำมบันเทิง
(ควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยี)
31 ตอบ 1. ครู เบียร์ทดสอบย่อยทุกบทเรี ยนเพื่อติดตำมดูควำมก้ำวหน้ำ
(เน้นกระบวนกำรเรี ยนรู ้ (Learning Process) และมีกำรประเมินให้ควำมสำคัญกับกำรประเมินแบบย่อย
(Formative Assessment) อย่ำต่อเนื่องเพื่อติดตำมดูควำมก้ำวหน้ำ วินิจฉัยจุดด้อย จุดเด่นของผูเ้ รี ยนให้
ข้อมูลย้อนกลับและเป็ นกำรประเมิน)
32 ตอบ 1. ครู เอกเน้นให้ผเู ้ รี ยนประเมินตนเอง
(กำรวัดและประเมินผลที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ เน้นกำรประเมินที่ดำเนิ นกำรไปพร้อม ๆ กับกำรจัด
กิ จ กรรมกำรเรี ย นกำรสอน ซึ่ ง สำมำรถท ำได้ต ลอดเวลำ ทุ ก สภำพกำรณ์ เน้น กำรประเมิ น ที่ ยึ ด
พฤติกรรมกำรแสดงออกของผูเ้ รี ยนจริ ง ๆ เน้นกำรพัฒนำจุดเด่นของผูเ้ รี ยน ใช้ขอ้ มูลที่หลำกหลำย ด้วย
เครื่ องมือที่หลำกหลำยและสอดคล้องกับวิธีกำรประเมิน ตลอดจนจุดประสงค์ในกำรประเมิน เน้น
คุณภำพผลงำนของผูเ้ รี ยนที่เกิดจำกกำรบูรณำกำรควำมรู ้ ควำมสำมำรถหลำยๆ ด้ำน กำรประเมินด้ำน
ควำมคิด เน้นควำมคิดเชิงวิเครำะห์ สังเครำะห์เน้นให้ผเู ้ รี ยนประเมินตนเอง และกำรมีส่วนร่ วมในกำร
ประเมินของผูเ้ รี ยน ผูป้ กครอง และครู )
33 ตอบ 3. ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 5
เกณฑ์ค่ำ IOC
1.ข้อคำถำมที่มีค่ำ IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 มีค่ำควำมเที่ยงตรง ใช้ได้
2. ข้อคำถำมที่มีค่ำ IOC ต่ำกว่ำ 0.50 ต้องปรับปรุ ง ยังใช้ไม่ได้
130

ข้อ เฉลย
34 ตอบ 3.ข้อที่ 1 ข้อที่ 3 ข้อที่ 6 ข้อที่ 7 และข้อที่ 9
กำรแปลผล ค่ำควำมเชื่ อมัน่ ของเครื่ องมื ออยู่ระหว่ำง 0.00 – 1.00 ยิ่งใกล้ 1.00 ยิ่งมี ควำมเชื่ อมัน่ สู ง
เกณฑ์กำรแปลผลควำมเชื่อมัน่ มีดงั นี้
0.00 – 0.20 ควำมเชื่อมัน่ ต่ำมำก/ไม่มีเลย
0.21 – 0.40 ควำมเชื่อมัน่ ต่ำ
0.41- 0.70 ควำมเชื่อมัน่ ปำนกลำง
0.71 – 1.00 ควำมเชื่อมัน่ สู ง
35 ตอบ 5.ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 และข้อที่ 5
เกณฑ์กำรแปลผลควำมยำกง่ำยของข้อสอบ ( p ) มีดงั นี้
0.81 – 1.00 ง่ำยมำก ( ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิ้ง )
0.60 - 0.80 ค่อนข้ำงง่ำย ( ดี )
0.40 - 0.59 ยำกพอเหมำะ ( ดีมำก )
0.20 – 0.39 ค่อนข้ำงยำก ( ดี )
0.00- 0.19 ยำกมำก ( ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิ้ง )
36 ตอบ 2.ข้อที่ 1 ข้อที่ 6 และข้อที่ 10
เกณฑ์กำรแปลผลอำนำจจำแนกของข้อสอบ ( r ) มีดงั นี้
0.60-1.00 อำนำจจำแนกดีมำก
0.40-0.59 อำนำจจำแนกดี
0.20-0.39 อำนำจจำแนกพอใช้
0.10-0.19 อำนำจจำแนกต่ำ (ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิ้ง )
-1.00-0.09 อำนำจจำแนกต่ำมำก ( ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิ้ง )
37 ตอบ 2.ข้อที่ 2
131

ข้อ เฉลย
38 ตอบ 3. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 5 (ข้อคำถำมที่มีค่ำ IOC ตั้งแต่ 0.5–1.00 คัดเลือกไว้ใช้ได้)
39 ตอบ 3. ข้อที่ 3
40 ตอบ 1. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 3
เกณฑ์กำรแปลผลควำมยำกง่ำยของข้อสอบ ( p ) มีดงั นี้
0.81 – 1.00 ง่ำยมำก ( ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิง้ )
0.60 - 0.80 ค่อนข้ำงง่ำย ( ดี )
0.40 - 0.59 ยำกพอเหมำะ ( ดีมำก )
0.20 – 0.39 ค่อนข้ำงยำก ( ดี )
0.00- 0.19 ยำกมำก ( ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิ้ง )
41 ตอบ 3. ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 4
เกณฑ์กำรแปลผลอำนำจจำแนกของข้อสอบ ( r ) มีดงั นี้
0.60-1.00 อำนำจจำแนกดีมำก
0.40-0.59 อำนำจจำแนกดี
0.20-0.39 อำนำจจำแนกพอใช้
0.10-0.19 อำนำจจำแนกต่ำ (ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิง้ )
-1.00-0.09 อำนำจจำแนกต่ำมำก ( ควรปรับปรุ งหรื อตัดทิ้ง )
42 ตอบ 3. ข้อที่ 3
43 ตอบ 3. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (6)
44 ตอบ 3. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (4) และ ส่วนที่ (5)
45 ตอบ 5. ส่วนที่ (3) ส่วนที่ (4) และ ส่วนที่ (5)
46 ตอบ 3. Analytic Rubrics
132

ข้อ เฉลย
47 ตอบ 2. Holistic Rubrics
48 ตอบ 4. (4) (1) (2) (3)
49 ตอบ 2. ครู สอนเสริ มให้กบั นักเรี ยนที่อ่ำนไม่ออกเพรำะผูป้ กครองไม่มีเวลำดูแล
50 ตอบ 4. ครู เชิญตำรวจมำแนะนำวิธีกำรแจ้งควำมเมื่อนักเรี ยนซื้อของออนไลน์แล้วโดนโกง
51 ตอบ 3. กำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้
สุ วิมล ว่องวำณิ ช (2543) ได้ประมวลและสังเครำะห์นิยำมต่ำงๆที่เกี่ยวข้องกับกำรทำวิจยั ในชั้นเรี ยน
กล่ำวว่ำกำรวิจยั ปฏิบตั ิกำรในชั้นเรี ยนคือกำรวิจยั ที่ทำโดยครู ผสู ้ อนในห้องเรี ยนเพื่อแก้ปัญหำที่เกิดขึ้น
ในห้องเรี ยนและนำผลมำใช้ในกำรปรับปรุ งกำรเรี ยนกำรสอนเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุ ดแก่ผเู ้ รี ยนเป็ น
กำรวิจยั ที่ตอ้ งทำอย่ำงรวดเร็ วนำผลไปใช้ได้ทนั ทีและสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับกำรปฏิบตั ิงำนต่ำงๆของ
ตนเองให้ท้ งั ตนเองและกลุ่มเพื่อนร่ วมงำนในโรงเรี ยนได้มีโอกำสแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็นในแนวทำง
ที่ได้ปฏิบตั ิและผลที่เกิดขึ้นเพื่อพัฒนำกำรเรี ยนกำรสอน
52 ตอบ 3. ส่วนที่ (2) ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (5)
53 ตอบ 2. กำรพัฒนำนวัตกรรมทำงกำรศึกษำ
54 ตอบ 4. (4) (6) (3) (1) (2) (5)
55 ตอบ 5.กำรส่งเสริ มกำรกระจำยอำนำจกำรจัดกำรศึกษำด้ำนหลักสูตรสถำนศึกษำ
56 ตอบ 4. (2) (3) (5) (6) (4) (1)
57 ตอบ 3. ผูอ้ ่ำนจำเป็ นต้องตรวจสอบคุณภำพของเครื่ องมือในงำนวิจยั
58 ตอบ 4. มุ่งให้ผสู ้ อนสำมำรถทำวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้ดว้ ยกำรศึกษำวิเครำะห์ปัญหำกำรเรี ยนรู ้
59 ตอบ 3. กำรพัฒนำทักษะกำรเรี ยนรู ้
60 ตอบ 2. (5) (2) (3) (1) (4)
61 ตอบ 1. ประเมินผลกำรเรี ยนรู ้
62 ตอบ 2. นิเทศ ติดตำม ประเมินผล
133

ข้อ เฉลย
63 ตอบ 1. ผลของกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยที่มีต่อควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกด
คำภำษำไทยของนักเรี ยนระดับชั้นประถมศึกษำปี ที่ 1
64 ตอบ 5. ผลของกำรใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยส่ งผลให้นักเรี ยนมีควำมสำมำรถใน
กำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย เปลี่ยนแปลงหรื อไม่ อย่ำงไร
65 ตอบ 2. หลังกำรทดลองใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย นักเรี ยนมีควำมสำมำรถในกำร
อ่ำนสะกดคำภำษำไทย สู งกว่ำก่อนทดลอง
66 ตอบ 2. แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทย
67 ตอบ 3. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทย
68 ตอบ 5. กำรวิจยั เชิงกึ่งทดลอง
กำรวิจยั เชิงกึ่งทดลอง (quasi experimental research) เป็ นกำรวิจยั ที่ผวู ้ ิจยั สำมำรถสร้ำงสถำนกำรณ์ และ
เงื่อนไขเพื่อใช้ในกำรทดลองได้บำ้ งเป็ นบำงประเด็นและสำมำรถควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งไม่
ต้องกำรให้มีผลกับกำรวิจยั นั้นได้เพียงบำงตัวเนื่องจำกไม่สำมำรถสุ่ มตัวอย่ำงให้เท่ำกันได้
69 ตอบ 2.One Group Pretest-Posttest Only Design
70 ตอบ 5. กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจง
( Purposive sampling ) เป็ นกำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงโดยพิจำรณำจำกกำรตัดสิ นใจของผูว้ ิจยั เอง ลักษณะ
ของกลุ่มที่เลือกเป็ นไปตำมวัตถุประสงค์ของกำรวิจยั กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจงต้องอำศัยควำม
รอบรู ้ ควำมชำนำญและประสบกำรณ์ในเรื่ องนั้นๆของผูท้ ำวิจยั กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบนี้ มีชื่อเรี ยก
อีกอย่ำงว่ำ Judgement sampling
71 ตอบ 4. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
72 ตอบ 2. แบบทดสอบ
73 ตอบ 5. แบบสัมภำษณ์
74 ตอบ 4. t-test dependent
75 ตอบ 1. ควำมตรง (Validity)
76 ตอบ 1. ควำมตรงตำมเนื้อหำ (Content Validity)
134

ข้อ เฉลย
77 ตอบ 5. IOC
78 ตอบ 5. Independent Variable
79 ตอบ 2. 0.20 – 0.80
80 ตอบ 1. 0.20
81 ตอบ 3. ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนสะกดคำภำษำไทยของนักเรี ยนที่เรี ยนโดยใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอน
สะกดคำภำษำไทยหลังกำรทดลองสู งกว่ำก่อนทดลองอย่ำงมีนยั สำคัญที่ระดับ .01
82 ตอบ 4. ควรเพิ่มระยะเวลำที่ใช้แอพพลิเคชัน่ กำรสอนสะกดคำภำษำไทยเพื่อให้ผลกำรวิจยั สู งขึ้น
83 ตอบ 1. ผลกำรใช้กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ทำงกำร
เรี ยนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยนกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้สังคมศึกษำศำสนำ และ
วัฒนธรรม ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
84 ตอบ 2. หลัง กำรทดลองใช้กิ จ กรรมกำรเรี ย นรู ้ แ บบร่ ว มมื อ โดยใช้เ ทคนิ ค กำรจัด กลุ่ ม แบบคละ
ผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนและเจตคติในกำรเรี ยน สู งกว่ำกำรใช้กิจกรรมกำร
เรี ยนรู ้แบบปกติ
85 ตอบ 4. กิจกรรมกำรเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิคกำรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
86 ตอบ 5. ถูกทั้ง 1. และ 2.
87 ตอบ 4. Non-equivalent control group, Pretest Posttest design
88 ตอบ 5. กำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจง
89 ตอบ 4. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
90 ตอบ 2 .แบบทดสอบ
91 ตอบ 4. แบบสอบถำม
92 ตอบ 1. ควำมตรง (Validity)
93 ตอบ 5. 0.9
94 ตอบ 2. 0.20 ถึง 0.80
135

ข้อ เฉลย
95 ตอบ 5. t-test independent
96 ตอบ 4. กำรหำประสิ ท ธิ ภ ำพของคอมพิ ว เตอร์ ช่ ว ยสอนเครื่ อ งดนตรี ส ำกล ส ำหรั บ นัก เรี ย นชั้ น
มัธยมศึกษำปี ที่ 2
97 ตอบ 3. ประสิ ทธิภำพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่ำเท่ำสู งกว่ำเกณฑ์มำตรฐำนที่ต้ งั ไว้ระดับ 80/80
98 ตอบ 4. คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเครื่ องดนตรี สำกล
99 ตอบ 2. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
100 ตอบ 3. E1/E2
136

การออกแบบและการดาเนินการเกีย่ วกับงานประกันคุณภาพการศึกษา
1.ข้อใดคือที่มำของกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ
1. ยุทธศำสตร์ชำติ 20 ปี
2. แผนกำรศึกษำแห่งชำติ ฉบับที่ 12
3. นโยบำยของรัฐบำลที่เกี่ยวข้องกับกำรศึกษำ
4. พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542
5. รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช 2560
2.ข้อใดคือจุดมุ่งหมำยของระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ
1. เพื่อพัฒนำองค์ควำมรู ้และนวัตกรรม
2. เพื่อพัฒนำคุณภำพและมำตรฐำนกำรศึกษำทุกระดับ
3. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนของผูเ้ รี ยนระดับชำติ
4. เพื่อพัฒนำำศักยภำพคนทุกช่วงวัยและสร้ำงสังคมแห่งกำรเรี ยนรู ้
5. เพื่อพัฒนำำกำลังคน กำรวิจยั และนวัตกรรรม เพื่อสร้ำงขีดควำมสำมำรถในกำรแข่งขันของ
ประเทศ
3.ระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำประกอบด้วยตำมข้อใด
1. ระบบกำรประกันคุณภำพภำยใน และระบบกำรประกันคุณภำพภำยนอก
2. ระบบกำระประเมินคุณภำพภำยใน และระบบกำรประเมินคุณภำพภำยนอก
3. ระบบกำรประกันคุณภำพของสถำนศึกษำ และระบบกำรประกันคุณภำพภำยนอก
4. ระบบกำรประเมินคุณภำพของสถำนศึกษำ และระบบกำรประกันคุณภำพภำยนอก
5. ระบบกำรประกันคุณภำพของสถำนศึกษำ และระบบกำรประกันคุณภำพของต้นสังกัด
4.ข้อใดจัดให้มีระบบกำรประกันคุณภำพภำยในสถำนศึกษำ
1. สถำนศึกษำ
2. หน่วยงำนต้นสังกัดและสถำนศึกษำ
3. กระทรวงศึกษำธิกำร หน่วยงำนต้นสังกัดและสถำนศึกษำ
4. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำและหน่วยงำนต้นสังกัด
5. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ หน่วยงำนต้นสังกัดและสถำนศึกษำ
137

5.กำรประกันคุณภำพภำยในเป็ นส่วนหนึ่งของกระบวนกำรใด
1. กำรบริ หำรกำรศึกษำ
2. กำรขับเคลื่อนนโยบำยกำรศึกษำกำรปฏิบตั ิ
3. กำรรับฟังควำมคิดเห็นของผูท้ ี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถำนศึกษำ
4. กำรประยุกต์ผลกำรประกันคุณภำพไปใช้ในกำรวำงแผนพัฒนำ
5. กำรประยุกต์ผลกำรประกันคุณภำพไปใช้ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
6.กำรจัดทำรำยงำนประจำปี (Self Assessment Report : SAR) เสนอต่อข้อใด
1. ผอ.สถำนศึกษำ
2. หน่วยงำนต้นสังกัด
3. ผอ.สถำนศึกษำและหน่วยงำนต้นสังกัด
4. หน่วยงำนต้นสังกัดและหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง
5. ผอ.สถำนศึกษำ หน่วยงำนต้นสังกัดและหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง
7.สมศ. ตรงกับข้อใด
1. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประกันคุณภำพกำรศึกษำ
2. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ
3. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประกันคุณภำพกำรศึกษำแห่งชำติ
4. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำแห่งชำติ
5. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนกำรศึกษำและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ
8.สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ มีฐำนะเป็ นตำมข้อใด
1. องค์กรอิสระ
2. องค์กรเอกชน
3. องค์กรมหำชน
4. องค์กำรมหำชน
5. องค์กำรมหำชนในกำกับของกระทรวงศึกษำธิกำร
138

9.กำรจัดตั้งสำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน) ตรำเป็ นข้อใด


1. กฎกระทรวง
2. พระรำชบัญญัติ
3. พระรำชกำหนด
4. พระรำชกฤษฎีกำ
5. ประกำศกระทรวง
10.เพรำะเหตุใดสำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำต้องเป็ นองค์กำรมหำชน
1. พัฒนำระบบกำรประเมินคุณภำพภำยนอก
2. พัฒนำมำตรฐำนและเกณฑ์สำหรับกำรประเมินคุณภำพภำยนอก
3. กำหนดกรอบแนวทำงและวิธีกำรประเมินคุณภำพภำยนอกที่มีประสิ ทธิภำพ
4. เสนอรำยงำนกำรประเมินคุณภำพและมำตรฐำนกำรศึกษำประจำปี ต่อคณะรัฐมนตรี
5. ควำมเป็ นกลำงและเป็ นธรรมปรำศจำกแรงกดดันที่จะทำให้ผลกำรประเมินภำยนอกเบี่ยงเบนไป
จำกควำมเป็ นจริ ง
11.ระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยในของสถำนศึกษำ เป็ นกลไกสำคัญเพื่อสร้ำงควำม มัน่ ใจให้แก่
ผูร้ ับบริ กำร ทั้งผูเ้ รี ยน ผูป้ กครอง ชุมชน ตลอดจน องค์กรหรื อสถำนประกอบกำรและผูท้ ี่เกี่ยวข้องว่ำข้อใด
1. ผูเ้ รี ยนทุกคนจะได้รับกำรกำรดูแลเอำใจใส่
2. ผูเ้ รี ยนทุกคนจะได้รับอุปกรณ์ในกำรเรี ยนออนไลน์
3. ผูเ้ รี ยนทุกคนจะได้รับงบประมำณกำรศึกษำที่เพียงพอ
4. ผูเ้ รี ยนทุกคนจะได้รับกำรศึกษำที่มีคุณภำพจำกสถำนศึกษำ
5. ผูเ้ รี ยนทุกคนจะได้รับกำรศึกษำที่มีครู ที่มีควำมแม่นยำในเนื้ อหำวิชำที่สอน
12.กำรบริ หำรกำรจัดกำรระบบกำรประกันคุณภำพภำยในของสถำนศึ ก ษำที่ มี คุณภำพทั้ง องค์ก รอำศัย
หลักกำรใด
1. ประสิ ทธิผล
2. ประสิ ทธิภำพ
3. ควำมเสมอภำค
4. กำรมีส่วนร่ วม
5. กำรกระจำยอำนำจ
139

13.สถำนศึกษำขั้นพื้นฐำนจัดให้มีระบบกำรประกันคุณภำพภำยในตำมหลักเกณฑ์และแนวปฏิบตั ิเกี่ยวกับ
กำรประกันคุณภำพภำยในระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนประกอบด้วยข้อใด
1. กำรประเมินคุณภำพภำนในและกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ
2. กำรประเมินคุณภำพภำนในและกำรรำยงำนคุณภำพกำรศึกษำ
3. กำรประเมินคุณภำพภำนในและกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำ
4. กำรประเมินคุณภำพภำนใน กำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำและกำรรำยงำนคุณภำพ
กำรศึกษำ
5. กำรประเมินคุณภำพภำนใน กำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำและกำรพัฒนำคุณภำพ
กำรศึกษำ
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 14
(1) จุดมุ่งหมำยของกำรประกันคุณภำพภำยในคือกำรที่สถำนศึกษำร่ วมกันพัฒนำปรับปรุ งคุณภำพ
ให้เป็ นไปตำมมำตรฐำนกำรศึกษำไม่ใช่กำรจับผิดหรื อทำให้บุคลำกรเสี ยหน้ำ
(2) กำรประกันคุณภำพภำยในเป็ นบริ กำรสำธำรณะแก่ประชำชนที่รัฐจะต้องจัดให้อย่ำงทัว่ ถึงและมี
คุ ณภำพและสอดคล้องกับ ควำมต้องกำรของสั ง คมให้ แก่ ผู ร้ ั บ บริ ก ำร คื อผูเ้ รี ย น และผูป้ กครองซึ่ ง เป็ น
ผูร้ ับบริ กำรโดยตรง
(3) กำรดำเนิ นกำรให้บรรลุเป้ ำหมำย ต้องทำให้กำรประกันคุณภำพกำรศึกษำเป็ นส่ วนหนึ่ งของ
กระบวนกำรบริ หำรจัดกำรและกำรทำงำนของบุคลำกรทุกคนในสถำนศึกษำไม่ใช่เป็ นกระบวนกำรที่แยก
ส่วนมำจำกกำรดำเนินงำนตำมปกติของสถำนศึกษำ
(4) กำรประกันคุณภำพเป็ นหน้ำที่ของบุคลำกรทุกคนในสถำนศึกษำไม่ว่ำจะเป็ นผูบ้ ริ หำร ครู และ
บุคลำกรอื่น ๆ ในสถำนศึกษำโดยในกำรดำเนินงำนจะต้องให้ผทู ้ ี่เกี่ยวข้องเช่น ผูเ้ รี ยน ชุมชน เขตพื้นที่หรื อ
หน่วยงำนที่กำกับดูแลเข้ำมำมีส่วนร่ วมในกำรกำหนดเป้ำหมำยวำงแผน
14.ข้อใดเป็ นหลักกำรสำคัญของกำรประกันคุณภำพภำยในของสถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (1) และ ส่วนที่ (2)
2. ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (2) และ ส่วนที่ (3)
5. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
140

15.ตำมแนวคิดกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำสอดคล้องกับข้อใด
1. 4 M
2. SWOT
3. PDCA
4. TRUST
5. POSDCORB
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 16
(1) กำรจัดทำแผนพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำเพื่อใช้เป็ นแผนแม่บทสำหรับกำหนด
ทิศทำงในกำรพัฒนำสถำนศึกษำไปสู่เป้ำหมำยภำยในระยะเวลำที่กำหนด
(2) กำรวำงกรอบกำรประเมินกำรจัดหำจัดทำเครื่ องมือกำรเก็บรวบรวมข้อมูลกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล
กำรแปลควำมหมำยและกำรตรวจสอบปรับปรุ งคุณภำพกำรประเมิ นภำยในตำมพื้นฐำนแนวคิดของกำร
ประเมินที่ใช้โรงเรี ยนเป็ นฐำน
(3) บุคลำกรแต่ละฝ่ ำยมีกำรประเมินผลเสร็ จเรี ยบร้อยแล้วส่ งผลให้กบั คณะกรรมกำรที่รับผิดชอบ
ซึ่ งจะต้องรวบรวมผลกำรประเมิ นมำวิเครำะห์สังเครำะห์แปลผลในภำพรวมทั้งหมดแล้วนำเสนอผลกำร
ประเมินต่อผูเ้ กี่ยวข้อง
(4) กำรส่ งเสริ มและสนับสนุ นให้บุคลำกรทุกคนทำงำนอย่ำงมีควำมสุ ข กำรจัดสิ่ งอำนวยควำม
สะดวกสนับสนุนทรัพยำกรเพื่อให้กำรปฏิบตั ิงำนเป็ นไปอย่ำงมีประสิ ทธิภำพและกำรกำกับติดตำม ทั้งระดับ
รำยบุคคลรำยกลุ่มรำยหมวดฝ่ ำยเพื่อกระตุน้ และส่งเสริ มให้มีกำรดำเนินงำนตำมแผน
16.จงเรี ยนลำดับขั้นตอนกำรดำเนินงำนกำรประกันคุณภำพภำยในสถำนศึกษำ
1. (1) (2) (3) (4)
2. (2) (1) (4) (3)
3. (1) (2) (4) (3)
4. (1) (3) (2) (4)
5. (1) (4) (2) (3)
141

17.ข้อใดเป็ นวัตถุประสงค์หลักของกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำ
1. เพื่อสร้ำงควำมพึงพอใจแก่ผเู ้ กี่ยวข้อง
2. เพื่อให้สถำนศึกษำสำมำรถติดตำมรวบรวมข้อมูลควำมก้ำวหน้ำของกำรดำเนินงำนและกำร
ปฏิบตั ิงำนได้อย่ำงต่อเนื่อง
3. เพื่อปรับปรุ งและพัฒนำคุณภำพสถำนศึกษำให้เป็ นไปตำมมำตรฐำนกำรศึกษำและเป็ นที่ยอมรับ
4. เพื่อเตรี ยมพร้อมรับกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำจำกหน่วยงำนต้นสังกัด และ รองรับ
กำรประเมินคุณภำพภำยนอก
5. เพื่อรวบรวมและจัดระบบข้อมูลสำรสนเทศ และนำไปใช้ในกำรวำงแผนพัฒนำคุณภำพ
สถำนศึกษำให้เป็ นไปตำมเป้ำหมำยที่กำหนด
18.กระบวนกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำมีกำรดำเนินงำนลักษณะใด
1. สถำนศึกษำ
2. หน่วยงำนต้นสังกัด
3. สถำนศึกษำและหน่วยงำนต้นสังกัด
4. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ
5. สถำนศึกษำ หน่วยงำนต้นสังกัดและสำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 19
(1) กำรนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในกำรปรับปรุ งพัฒนำคุณภำพกำรจัดกำรศึกษำ
(2) กำรแต่งตั้งคณะทำงำนที่รับผิดชอบในกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำ
(3) กำรกำหนดระยะเวลำในกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ ปี ละ 1 ครั้ง
(4) กำรดำเนินงำนติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำตำมระยะเวลำที่ กำหนดไว้
(5) กำรจัดทำรำยงำนผลกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำ เพื่อสะท้ อนผลให้ สถำนศึกษำ
นำไปปรับปรุ งและพัฒนำกำรดำเนินงำนให้มีประสิ ทธิภำพ
142

19.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนกำรเตรี ยมกำรและให้ควำมร่ วมมือในกำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำจำก


หน่วยงำนต้นสังกัด
1. (2) (3) (4) (1) (5)
2. (2) (3) (4) (5) (1)
3. (3) (2) (1) (4) (5)
4. (3) (2) (4) (1) (5)
5. (3) (2) (4) (5) (1)
20.ข้อใดคือกระบวนกำรตรวจสอบคุณภำพกำรดำเนินงำนของหน่วยงำนซึ่งกระทำโดยกลุ่มบุคคลที่เป็ นนัก
ประเมินโดยอำชีพเพื่อให้ได้ขอ้ มูลเกี่ยวกับคุณค่ำของหน่วยงำนซึ่งเป็ นประโยชน์ต่อกำรปรับปรุ งพัฒนำกำร
ทำงำนและนำไปสู่กำรรับรองคุณภำพกำรดำเนินงำนของหน่วยงำนตำมมำตรฐำนที่กำหนด
1.กำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ
2. กำรประกันคุณภำพภำยใน
3. กำรประกันคุณภำพภำยนอก
4. กำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำภำยใน
5. กำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำภำพภำยนอก
21.ข้อใดเป็ นควำมสำคัญประกำรที่ 1 ของกำรประกันคุณภำพภำยนอก
1. เป็ นกำรส่งเสริ มให้สถำนศึกษำพัฒนำเข้ำสู่เกณฑ์มำตรฐำนและพัฒนำตนเองให้เต็มตำมศักยภำพ
อย่ำงต่อเนื่อง
2. เพิ่มควำมมัน่ ใจและคุม้ ครองประโยชน์ให้ผรู ้ ับบริ กำรทำงกำรศึกษำว่ำสถำนศึกษำได้จดั กำรศึกษำ
มุ่งสู่คุณภำพตำมมำตรฐำนกำรศึกษำ
3. สถำนศึกษำมีแนวทำงกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของตนเองได้อย่ำงสอดคล้องกับบริ บทใน
ชุมชน คำนึงถึงควำมต้องกำรของท้องถิ่น
4. สถำนศึกษำและหน่วยงำนที่กำกับดูแลมีขอ้ มูลที่จะช่วยตัดสิ นใจในกำรวำงแผนและดำเนินกำร
เพื่อพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำให้เป็ นไปในทิศทำงที่ตอ้ งกำรและบรรลุเป้ำหมำย
ตำมที่กำหนด
5. หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบำยมีขอ้ มูลสำคัญในภำพรวมเกี่ยวกับคุณภำพและมำตรฐำน
ของสถำนศึกษำทุกระดับทุกสังกัดเพื่อใช้เป็ นแนวทำงในกำรกำหนดแนวนโยบำยทำงกำรศึกษำ
และกำรจัดสรรงบประมำณเพื่อกำรศึกษำอย่ำงมีประสิ ทธิภำพ
143

22.กำรประเมิ นคุ ณภำพภำยนอกสถำนศึ ก ษำเป็ นเครื่ องมื อส ำคั ญ ในกำรยกระดับคุ ณภำพกำรศึ ก ษำสู่
ควำมเป็ นเลิศอย่ำงต่อเนื่ องอันจะนำไปสู่ ควำมมีมำตรฐำนทำงกำรศึกษำและเป็ นที่ยอมรับในระดับสำกล
ต่อไปซึ่ งกำรประเมินคุณภำพภำยนอกสถำนศึกษำระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนมีหลักกำรสำคัญข้อใดมำเป็ น
อันดับแรก
1. มุ่งเน้นในเรื่ องกำรส่งเสริ มและประสำนงำนในลักษณะกัลยำณมิตรมำกกว่ำกำรกำกับและ
ควบคุม
2. กำรประเมินเพื่อมุ่งให้มีกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำไม่ได้มุ่งเน้นเรื่ องกำรตัดสิ นกำรจับผิดหรื อ
กำรให้คุณให้โทษ
3. ยึดหลักควำมเที่ยงตรงเป็ นธรรมโปร่ งใสมีหลักฐำนข้อมูลตำมสภำพควำมเป็ นจริ งและมีควำม
รับผิดชอบที่ตรวจสอบได้
4. ส่งเสริ มกำรมีส่วนร่ วมในกำรประเมินคุณภำพและกำรพัฒนำจัดกำรศึกษำจำกทุกฝ่ ำยที่เกี่ยวข้อง
5. มุ่งสร้ำงควำมสมดุลระหว่ำงเสรี ภำพทำงกำรศึกษำกับจุดมุ่งหมำยและหลักกำรศึกษำชำติโดยให้มี
เอกภำพเชิงนโยบำย แต่ยงั คงมีควำมหลำกหลำยในทำงปฏิบตั ิ
23.ข้อใดคือควำมแตกต่ำงระหว่ำงกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยในและกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ
ภำยนอก
1. หลักกกำร
2. วัตถุประสงค์
3. ผูร้ ับผิดชอบ
4. กำรพัฒนำคุณภำพ
5. แนวทำงกำรดำเนินกำร
24.ข้อใดคือควำมสัมพันธ์ระหว่ำ กำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยในและกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ
ภำยนอก
1. กำรปฏิบตั ิงำนของสถำนศึกษำ
2. กำรตรวจเยีย่ มของผูป้ ระเมินภำยนอก
3. แผนพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ
4. กำรรำยงำนผลกำรประเมินคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ
5. รำยงำนกำรประเมินตนเองของสถำนศึกษำ (Self-Assessment Report :SAR)
144

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 25


(1) ดำเนินกำรตำมแผนที่กำหนดไว้3
(2) จัดให้มีกำรประเมินผลและตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำภำยในสถำนศึกษำ4
(3) ติดตำมผลกำรดำเนินกำรเพื่อพัฒนำสถำนศึกษำให้มีคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรศึกษำ5
(4) จัดทำแผนพัฒนำกำรจัดกำรศึกษำของสถำนศึกษำที่มุ่งคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรศึกษำ 2
(5) จัดส่ งรำยงำนผลกำรประเมินตนให้แก่หน่ วยงำนต้นสดหรื อหน่วยงำนที่กำกับดูแกสถำนศึกษำ
เป็ นประจำทุกปี 6
(6) กำรกำหนดมำตรฐำนกำรศึกษำของสถำนศึกษำให้เป็ นไปตำมมำตรฐำนกำรศึกษำแต่ละระดับ
และประเภท 1
25.จงเรี ยงลำดับกำรดำเนินระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยในสถำนศึกษำตำมกฎกระทรวงกำร
ประกันคุณภำพกำรศึกษำ พ.ศ. 2561
1. (4) (6) (1) (2) (3) (5)
2. (4) (6) (1) (3) (2) (5)
3. (6) (4) (1) (3) (2) (5)
4. (6) (4) (1) (2) (5) (3)
5. (6) (4) (1) (2) (3) (5)
26.มำตรฐำนกำรศึกษำระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พ.ศ.2561 มีจำนวนตำมข้อใด
1. 1 มำตรฐำน
2. 2 มำตรฐำน
3. 3 มำตรฐำน
4. 4 มำตรฐำน
5. 5 มำตรฐำน
145

27.มำตรฐำนกำรศึกษำระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พ.ศ.2561 ประกอบด้วยข้อใด


1. คุณภำพของผูเ้ รี ยน และคุณภำพของครู
2. คุณภำพของครู และผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำคุณภำพของ
3. ผูเ้ รี ยน และกระบวนกำรบริ หำรและกำรจัดกำรคุณภำพของผูเ้ รี ยน
4. คุณภำพของผูเ้ รี ยน คุณภำพของครู ผูบ้ ริ หำรสถำนศึกษำและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ
5. คุณภำพของผูเ้ รี ยน กระบวนกำรบริ หำรและกำรจัดกำร และกระบวนกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนที่
เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 28-30


(1) มีกำรบริ หำรจัดกำรชั้นเรี ยนเชิงบวก
(2) มีควำมสำมำรถในกำรสร้ำงนวัตกรรม
(3) มีเป้ำหมำยวิสัยทัศน์และพันธกิจที่สถำนศึกษำกำหนดชัดเจน
(4) มีควำมสำมำรถในกำรอ่ำน กำรเขียน กำรสื่ อสำร และกำรคิดคำนวณ
(5) จัดสภำพแวดล้อมทำงกำยภำพและสังคมที่เอื้อต่อกำรจัดกำรเรี ยนรู ้อย่ำงมีคุณภำพ
(6) จัดกำรเรี ยนรู ้ผำ่ นกระบวนกำรคิดและปฏิบตั ิจริ ง และสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้
28.ข้อใดคือมำตรฐำนกำรศึกษำด้ำนคุณภำพของผูเ้ รี ยน
1. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (2)
2. ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (4)
5. ส่วนที่ (4) และส่วนที่ (5)
29.ข้อใดคือมำตรฐำนกำรศึกษำด้ำนกระบวนกำรบริ หำรและกำรจัดกำร
1. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (2)
2. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (3)
4. ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (5) และส่วนที่ (6)
146

30.ข้อใดคือมำตรฐำนกำรศึกษำด้ำนกระบวนกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ


1. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (2)
2. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (6)
31.แนวทำง รู ปแบบ และวิธีกำรประกันคุณภำพภำยนอก ภำยใต้สถำนกำรณ์ COVID-19 แบ่งกำรดำเนินงำน
ออกเป็ นกี่ระยะ
1. 2 ระยะ
2. 3 ระยะ
3. 4 ระยะ
4. 5 ระยะ
5. 6 ระยะ
32.กำรประกันคุณภำพภำยนอก ภำยใต้สถำนกำรณ์ COVID-19 ระยะที่ 1 ประเมินผลจำกกำรวิเครำะห์ขอ้ ใด
1. PA
2. SAR
3. แผนปฏิบตั ิกำรประจำปี กำรศึกษำ
4. แผนพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ สพฐ.
5. แผนพัฒนำกำรจัดกำรศึกษำของสถำนศึกษำ
33.กำรประกันคุณภำพภำยนอก ภำยใต้สถำนกำรณ์ COVID-19 ระยะที่ 2 กำรลงพื้นที่ตรวจเยีย่ มหรื อกำร
ตรวจสอบหลักฐำนและข้อมูลของสถำนศึกษำด้วยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ (ตรวจเยีย่ มออนไลน์) ต้องให้มี
กำรตรวจเยีย่ มเมื่อใด
1. ภำยในภำคเรี ยนที่สถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR
2. ภำยในปี กำรศึกษำที่สถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR
3. ตำมควำมสมัครใจ เมื่อสถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR
4. ภำยในภำคเรี ยนถัดไปที่สถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR
5. ภำยในปี กำรศึกษำถัดไป เมื่อสถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR
147

34.เกณฑ์กำรประเมิน SAR จะแยกเป็ นรำยมำตรฐำนตำมกำรประกันคุณภำพภำยใน และสรุ ปผลกำร


ประเมินและวิเครำะห์ SAR มีระดับคุณภำพตำมข้อใด
1. ผ่ำนและไม่ผำ่ น
2. ดี และปรับปรุ ง
3. ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
4. ดีมำก ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
5. ดีเยีย่ ม ดีมำก ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
35.ข้อใดเป็ นเกณฑ์กำรประเมินผลกำรตรวจเยีย่ ม
1. ผ่ำนและไม่ผำ่ น
2. ดี และปรับปรุ ง
3. ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
4. ดีมำก ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
5. ดีเยีย่ ม ดีมำก ดี พอใช้ และปรับปรุ ง

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 36

สถำนศึกษำแห่ งหนึ่ งมีจุดเน้นเรื่ อง“ กำรเรี ยนดี” โดยมีนวัตกรรมเรื่ อง "พี่ช่วยน้องผ่ำนระบบ


เทคโนโลยีสำรสนเทศ" โดย "ครู ภำษำอังกฤษเป็ นผูค้ ิด” เพื่อให้ผลกำรเรี ยนภำษำอังกฤษของนักเรี ยน
ระดับชั้นป. 1 – ป. 6 มีระดับที่สูงขึ้นโดยได้ดำเนินกำรเริ่ มใช้มำตั้งแต่ปีกำรศึกษำ 2560 จนถึงปัจจุบนั ซึ่ง"
ผูบ้ ริ หำรได้ให้กำรสนับสนุ น” ด้ำนงบประมำณในกำรติ ดตั้งระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศและ
กำรอบรมควำมรู ้ เ กี่ ย วกับ ระบบเทคโนโลยี ส ำรสนเทศให้ กับ ครู ซ่ ึ งผลปรำกฏว่ ำ ผลกำรเรี ย นวิ ช ำ
ภำษำอังกฤษของนักเรี ยนระดับชั้นป. 1 – ป. 6 มีระดับที่สูงขึ้นอย่ำงต่อเนื่ องทุกปี โดยมีกำรแสดงหลักฐำน
ที่ชดั เจนว่ำมีผลเกิดขึ้นกับ "ผูเ้ รี ยนโดยตรง
148

36.จำกข้อมูลที่ให้มำประเมินผลกำรตรวจเยีย่ มควรอยูใ่ นระดับใด


1. ปรับปรุ ง
2. พอใช้
3. ดี
4. ดีมำก
5. ดีเยีย่ ม
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 37

สถำนศึกษำแห่ งหนึ่ งมีจุดเน้นเรื่ อง "ร่ วมพัฒนำสังคม" โดยมีนวัตกรรมเรื่ อง "กำรจัดทำบัญชี


ครัวเรื อนโดยใช้ทฤษฎีปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงผ่ำนระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศ" โดย "ผูบ้ ริ หำร
สถำนศึกษำเป็ นผูค้ ิด” เพื่อให้ผปู ้ กครองชุมชนรอบข้ำงสถำนศึกษำสำมำรถมีรำยได้เลี้ยงดูตวั เองได้อย่ำง
เหมำะสมส่ งผลให้ผูเ้ รี ยนได้รับกำรศึกษำอย่ำงต่อเนื่ องโดยได้ดำเนิ นกำรเริ่ มใช้มำตั้งแต่เริ่ มปี กำรศึ กษำ
2560 จนถึงปัจจุบนั ซึ่ง" ครู ผสู ้ อนได้มีส่วนร่ วม”
ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนให้กบั ผูเ้ รี ยนในเรื่ องเกี่ยวกับวินยั กำรใช้เงินโดยสอดแทรกในเนื้ อหำที่
สอนพร้อมทั้งได้มีกำรเข้ำไปให้ควำมรู ้กบั ชุมชนรอบข้ำงของสถำนศึกษำในกำรจัดทำบัญชีครัวเรื อนโดย
ใช้ทฤษฎีปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงผ่ำนระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศส่ งผลให้ชุมชนรอบข้ำงสถำนศึกษำ
สำมำรถเลี้ยงดูตวั เองได้อย่ำงต่อเนื่องโดยมีกำรแสดงหลักฐำนที่ชดั เจนว่ำมีผลเกิดขึ้นกับ "ผูเ้ รี ยนทำงอ้อม"

37.จำกข้อมูลที่ให้มำประเมินผลกำรตรวจเยีย่ มควรอยูใ่ นระดับใด


1. ปรับปรุ ง
2. พอใช้
3. ดี
4. ดีมำก
5. ดีเยีย่ ม
149

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 38


(1) กำรสร้ำงเจตคติที่ดีต่อกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ 1
(2) ชี้ กำรรำยงำนผลกำรประเมินต่อสถำนศึกษำ ต้นสังกัดและสำธำรณะอย่ำงตรงไปตรงมำ
(3) กำรประเมินสภำพจริ งเพื่อยืนยันผลประเมินจำกกำรประกันคุณภำพภำยในของสถำนศึกษำ
(4) กำรพัฒ นำคัด สรรผูป้ ระเมิ น ภำยนอ ที่ มี ค วำมสำมำรถและมี ควำมเป็ นกัล ยำณมิ ต รเพื่ อให้
สถำนศึกษำเกิดศรัทธำและไว้วำงใจต่อผูป้ ระเมินภำยนอก
38.กำรประเมินคุณภำพภำยนอกรู ปแบบกัลยำณมิตรมีข้นั ตอนตำมข้อใด
1. (1) (2) (3) (4)
2. (1) (3) (2) (4)
3. (1) (4) (3) (2)
4. (4) (1) (2) (3)
5. (4) (1) (3) (2)
39.ระบบสำรสนเทศเพื่อกำรประเมินคุณภำพภำยนอก
1. CO-01
2. TQM
3. SAR
4. AQA
5. PDCA
อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 40
(1) สถำนศึกษำส่งรำยงำนกำรประเมินตนเอง (SAR) ผ่ำนหน่วยงำนต้นสังกัดมำยัง สมศ.
(2) คณะผูป้ ระเมินภำยนอกดำเนินกำรประเมินตรวจเยีย่ มสถำนศึกษำ ผ่ำนรู ปแบบออนไลน์ใช้เวลำ
ไม่เกิน 1 วัน
(3) หลังจำกทรำบผลกำรประเมิน SAR อย่ำงเป็ นทำงกำรแล้ว สถำนศึกษำส่ งแบบคำขอมำยัง สมศ.
เพื่อให้ลงพื้นที่ตรวจเยีย่ มสถำนศึกษำ
(4) เตรี ย มตัว รั บ กำรประเมิ น ผ่ำ นช่ อ งทำงกำรสื่ อ สำรรู ป แบบออนไลน์ พร้ อ มจัด ส่ ง เอกสำร
หลักฐำน รู ปถ่ำย ฯลฯ ให้ผปู ้ ระเมินภำยนอก
150

40.จงเรี ยงลำดับขั้นตอนกำรประเมินภำยนอก ช่วง COVID-19


1. (1) (2) (3) (4)
2. (1) (3) (2) (4)
3. (1) (3) (4) (2)
4. (1) (4) (2) (3)
5. (1) (4) (3) (2)
41.ข้อใดคือปั ญหำหลักกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยในสถำนศึกษำขั้นพื้นฐำน
ด้ำนกำรวำงแผน
1. สถำนศึกษำไม่เตรี ยมควำมพร้อม
2. สถำนศึกษำไม่จดั ทำระบบสำรสนเทศให้เป็ นระบบ
3. สถำนศึกษำไม่จดั ทำมำตรฐำนกำรศึกษำของตนเอง
4. สถำนศึกษำเปิ ดโอกำศให้ชุมชนเข้ำมำมีส่วนร่ วมน้อยกว่ำที่ควร
5. สถำนศึกษำไม่จดั ทำแผนปฏิบตั ิรำชกำรประจำปี ให้ทนั สถำณกำรณ์
42.ข้อใดไม่ ใ ช่ ปั ญหำของกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุ ณภำพกำรศึ ก ษำภำยในสถำนศึ ก ษำขั้น
พื้นฐำนด้ำนกำรตรวจสอบประเมินและปรับปรุ งคุณภำพกำรศึกษำ
1. ขำดกำรประเมินตำมสภำพจริ ง
2. ไม่ได้รับกำรยอมรับและควำมเชื่อถือจำกบุคลำกรในสถำนศึกษำ
3. สถำนศึกษำไม่ได้รับรำยงำนผลที่เสนอแนวทำงกำรปรับปรุ งพัฒนำ
4. สถำนศึกษำไม่ได้นำผลกำรประเมินมำใช้ในกำรพัฒนำได้อย่ำงชัดเจน
5. สถำนศึกษำได้รับกำรตรวจสอบจำกหน่วยงำนต้นสังกัดที่มีทศั นคติเชิงลบ
43.ข้อใดเป็ นปัจจัยที่เป็ นอุปสรรคต่อกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ
ขั้นพื้นฐำนระดับมำกที่สุด
1. ภำวะผูน้ ำ
2. งบประมำณ
3. วัสดุอุปกรณ์
4. วัฒนธรรมองค์กร
5. สภำพทำงกำยภำพ
151

อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ข้อ 44-48


(1) ผูบ้ ริ หำรไม่สำมำรถให้เวลำกับโรงเรี ยนได้เต็มที่
(2) โรงเรี ยนมีวสั ดุบำงอย่ำงไม่เพียงพอต่อกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
(3) สภำพที่ต้ งั ของอำคำรอยู่ห่ำงกันยำกต่อกำรกำกับดูแลกำรทำงำน
(4) ชุมชนขำดควำมรู ้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ
(5) ครู มีทศั นคติที่ไม่ดีต่อกำรประกันคุณภำพโดยคิดว่ำเป็ นกำรเพิ่มภำระงำน
(6) แบบแผนกำรทำงำนไม่ยอมรับกำรเปลี่ยนแปลง ยึดติดกำรทำงำนแบบเก่ำ
(7) กำรขำดระบบกำร สื่ อสำรแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่ำงบุคคลทุกระดับอย่ำงทัว่ ถึง
(8) งบประมำณจำกรัฐไม่เพียงพอในขณะที่โรงเรี ยนมีค่ำใช้จ่ำยด้ำนสำธำรณูปโภคสู งขึ้น
44.ข้อใดเป็ นปั จจัยด้ำนวัฒนธรรมองค์กำรที่เป็ นอุปสรรคต่อกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุณภำพ
กำรศึกษำของสถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (2)
3. ส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (6)
45.ข้อใดเป็ นปัจจัยด้ำนบุคลำกรที่เป็ นอุปสรรคต่อกำรดำเนินกำรในระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำของ
สถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (3)
3. ส่วนที่ (4)
4. ส่วนที่ (5)
5. ส่วนที่ (7)
152

46.ข้อใดเป็ นปั จจัยด้ำนภำวะผูน้ ำที่เป็ นอุปสรรคต่อกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ


ของสถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (1)
2. ส่วนที่ (4)
3. ส่วนที่ (5)
4. ส่วนที่ (6)
5. ส่วนที่ (8)
47.ข้อใดเป็ นปั จจัยด้ำนสังคมที่เป็ นอุปสรรคต่อกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึ กษำของ
สถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (3)
2. ส่วนที่ (4)
3. ส่วนที่ (6)
4. ส่วนที่ (7)
5. ส่วนที่ (8)
48.ข้อใดเป็ นปั จจัยด้ำนโครงสร้ำงที่เป็ นอุปสรรคต่อกำรดำเนิ นกำรในระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ
ของสถำนศึกษำ
1. ส่วนที่ (4)
2. ส่วนที่ (5)
3. ส่วนที่ (6)
4. ส่วนที่ (7)
5. ส่วนที่ (8)
49.ข้อใดคือ ระบบ QC100
1. กำรประเมินผลกำรปฏิบตั ิงำนของผูป้ ระเมินภำยใน
2. กำรประเมินผลกำรปฏิบตั ิงำนของผูป้ ระเมินภำยนอก
3. กำรประเมินผลกำรปฏิบตั ิงำนของหน่วยงำนต้นสังกัด
4. กำรประเมินผลกำรปฏิบตั ิงำนของสถำนศึกษำขั้นพื้นฐำน
5. กำรประเมินผลกำรปฏิบตั ิงำนของสถำนศึกษำขั้นพื้นฐำนและหน่วยงำนต้นสังกัด
153

50.ข้อใดคือเว็บไซต์ สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน)


1. ksp.or.th
2. obec.go.th
3. moe.go.th
4. otepc.go.th
5. onesqa.or.th
154

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
ข้อ เฉลย
1 ตอบ 4. พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542
(หมวด 6 มำตรฐำนและกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ)
2 ตอบ 2. เพื่อพัฒนำคุณภำพและมำตรฐำนกำรศึกษำทุกระดับ
มำตรำ 47 ให้มีระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำเพื่อพัฒนำคุณภำพและมำตรฐำนกำรศึกษำทุกระดับ
ประกอบด้วย ระบบกำรประกันคุณภำพภำยใน และระบบกำรประกันคุณภำพภำยนอก
3 ตอบ 1. ระบบกำรประกันคุณภำพภำยใน และระบบกำรประกันคุณภำพภำยนอก
4 ตอบ 2. หน่วยงำนต้นสังกัดและสถำนศึกษำ
5 ตอบ 1. กำรบริ หำรกำรศึกษำ
6 ตอบ 4. หน่วยงำนต้นสังกัดและหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง
7 ตอบ 2. สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ
8 ตอบ 4. องค์กำรมหำชน
9 ตอบ 4. พระรำชกฤษฎีกำ (พระรำชกฤษฎี กำจัดตั้งสำนักงำนรั บรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพ
กำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน) พ.ศ. 2543)
10 ตอบ 5. ควำมเป็ นกลำงและเป็ นธรรมปรำศจำกแรงกดดันที่จะทำให้ผลกำรประเมินภำยนอกเบี่ยงเบน
ไปจำกควำมเป็ นจริ ง
11 ตอบ 4. ผูเ้ รี ยนทุกคนจะได้รับกำรศึกษำที่มีคุณภำพจำกสถำนศึกษำ
12 ตอบ 4. กำรมีส่วนร่ วม (บุคลำกรในสถำนศึกษำโดยเฉพำะครู และผูบ้ ริ หำรตระหนักถึง เป้ำหมำย คือ
ผลประโยชน์ที่เกิดกับผูเ้ รี ยนเป็ นอันดับแรก)
13 ตอบ 5. กำรประเมินคุณภำพภำนใน กำรติดตำมตรวจสอบคุณภำพกำรศึกษำและกำรพัฒนำคุณภำพ
กำรศึกษำ
14 ตอบ 5. ส่วนที่ (1) ส่วนที่ (3) และ ส่วนที่ (4)
15 ตอบ 3. PDCA
155

ข้อ เฉลย
16 ตอบ 5. (1) (4) (2) (3)
17 ตอบ 2. เพื่อให้สถำนศึกษำสำมำรถติดตำมรวบรวมข้อมูลควำมก้ำวหน้ำของกำรดำเนิ นงำนและกำร
ปฏิบตั ิงำนได้อย่ำงต่อเนื่อง
18 ตอบ 3. สถำนศึกษำและหน่วยงำนต้นสังกัด
19 ตอบ 5. (3) (2) (4) (5) (1)
20 ตอบ 3. กำรประกันคุณภำพภำยนอก
21 ตอบ 1. เป็ นกำรส่ ง เสริ ม ให้ส ถำนศึ ก ษำพัฒนำเข้ำสู่ เกณฑ์มำตรฐำนและพัฒนำตนเองให้เต็มตำม
ศักยภำพอย่ำงต่อเนื่อง
22 ตอบ 2. กำรประเมินเพื่อมุ่งให้มีกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำไม่ได้มุ่งเน้นเรื่ องกำรตัดสิ นกำรจับผิดหรื อ
กำรให้คุณให้โทษ
23 ตอบ 3. ผูร้ ับผิดชอบ (กำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยในโดยสถำนศึกษำแลหน่ วยกำรต้นสังกัด
กำรประกันคุณภำพกำรศึกษำภำยนอกโดยสำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ)
24 ตอบ 5. รำยงำนกำรประเมินตนเองของสถำนศึกษำ (Self-Assessment Report :SAR)
(กำรประกัน คุ ณ ภำพภำยในเป็ นกระบวนกำรประเมิ น ผลและกำรติ ด ตำมตรวจสอบคุ ณภำพและ
มำตรฐำนกำรศึ กษำของสถำนศึกษำซึ่ งข้อมูลที่ไ ด้จำกรำยงำนกำรประเมินตนเองของสถำนศึ ก ษำ
จะต้องส่งให้สำนักงำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน) เพื่อให้คณะผู ้
ประเมินภำยนอกได้ศึกษำอย่ำงละเอียดก่อนกำรตรวจเยีย่ มสถำนศึกษำกำรประกันคุณภำพภำยนอก)
25 ตอบ 5. (6) (4) (1) (2) (3) (5)
26 ตอบ 3. 3 มำตรฐำน
27 ตอบ 5. คุณภำพของผูเ้ รี ยน กระบวนกำรบริ หำรและกำรจัดกำร และกระบวนกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสำคัญ
28 ตอบ 3. ส่วนที่ (2) และส่วนที่ (4)
29 ตอบ 4. ส่วนที่ (3) และส่วนที่ (5)
30 ตอบ 5. ส่วนที่ (1) และส่วนที่ (6)
156

ข้อ เฉลย
31 ตอบ 1. 2 ระยะ
32 ตอบ 2. SAR (ก่อนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ซึ่ งรำยงำนจะส่ งผ่ำนหน่วยงำนต้นสังกัดตำมกฎกระทรวงกำร
ประกันคุณภำพกำรศึกษำ พ.ศ. 2561 เป็ นกำรประเมิ นโดยพิจำรณำจำกรำยงำน SAR และเอกสำร
ประกอบที่แนบมำกับ SAR เท่ำนั้น)
33 ตอบ 3. ตำมควำมสมัครใจ เมื่อสถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR
(เมื่อสถำนศึกษำได้รับผลกำรประเมิน SAR ในระยะที่ 1 อย่ำงเป็ นทำงกำรจำก สมศ. แล้ว และต้องกำร
ให้มีกำรตรวจเยี่ยม สถำนศึกษำสำมำรถร้องขอโดยส่ งคำร้องผ่ำนคณะผูป้ ระเมินภำยนอกมำยัง สมศ.
ซึ่งเป็ นไปตำมควำมสมัครใจ )
34 ตอบ 3. ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
35 ตอบ 5. ดีเยีย่ ม ดีมำก ดี พอใช้ และปรับปรุ ง
36 ตอบ 5. ดีเยีย่ ม
37 ตอบ 5. ดีเยีย่ ม
38 ตอบ 3. (1) (4) (3) (2)
สมศ. จึงได้กำหนดรู ปแบบกัลยำณมิตรประเมินมีข้นั ตอนหลัก 4 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 ส่ งเสริ มและพัฒนำ
ขั้นที่ 2 สร้ำงศรัทธำต่อหมอโรงเรี ยน
ขั้นที่ 3 เพียรประเมินอย่ำงกัลยำณมิตร
ขั้นที่ 4 ชี้ทิศและเสริ มแรงพัฒนำ
39 ตอบ 4. AQA (Automated QA)
40 ตอบ 3. (1) (3) (4) (2)
41 ตอบ 4. สถำนศึกษำเปิ ดโอกำศให้ชุมชนเข้ำมำมีส่วนร่ วมน้อยกว่ำที่ควร
42 ตอบ 5. สถำนศึกษำได้รับกำรตรวจสอบจำกหน่วยงำนต้นสังกัดที่มีทศั นคติเชิงลบ
43 ตอบ 2. งบประมำณ
157

ข้อ เฉลย
44 ตอบ 5. ส่วนที่ (6)
45 ตอบ 4. ส่วนที่ (5)

46 ตอบ 1. ส่วนที่ (1)


47 ตอบ 2. ส่วนที่ (4)
48 ตอบ 4. ส่วนที่ (7)
49 ตอบ 2. กำรประเมินผลกำรปฏิบตั ิงำนของผูป้ ระเมินภำยนอก
50 ตอบ 5. onesqa.or.th
158

บทที่ 2
วิชาชีพครู
(อัตนัย)
159

ข้ อสอบอัตนัย (ข้ อเขียน) วิชาชีพครู เรื่ อง การวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน


อ่ำนข้อมูลต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม ข้อ 1-12

กำรวิจยั ครั้งนี้ มีวตั ถุประสงค์ 1) เพื่อเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนวิชำวิทยำศำสตร์


เรื่ อง สำรในชีวิตประจำวัน ของนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยกำรใช้กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้
7 ขั้นกับนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยวิธีกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบปกติ 2)เพื่อเปรี ยบเทียบควำมสำมำรถในกำร
แก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ ของนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยกำรใช้กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7
ขั้น กับนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยวิธีกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบปกติ3)เพื่อเปรี ยบเทียบควำมสำมำรถในกำร
แก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ ของนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยกำรใช้กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7
ขั้น ระหว่ำงก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน กลุ่มตัวอย่ำง คือ นักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5 จำนวน 60 คน
จำนวน 2 ห้องเรี ยน แบ่งเป็ นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน

1.ชื่องำนวิจยั
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
2.สมมติฐำนกำรวิจยั
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
3.ตัวแปรที่ศึกษำ
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
160

4.กรอบแนวคิดกำรวิจยั
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
5.แบบแผนกำรวิจยั
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
6.ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
7.เครื่ องมือที่ใช้วิจยั
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
161

8.ตำรำงที่ 1 ค่ำ IOC ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนวิชำวิทยำศำสตร์

ข้อที่ คะแนนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3
1 +1 +1 +1
2 +1 +1 0
3 +1 0 +1
4 -1 +1 +1
5 +1 +1 -1
6 +1 +1 +1
7 +1 0 0
8 0 +1 +1
9 0 -1 +1
10 0 +1 +1

จำกข้อมูลในตำรำง คะแนนควำมเห็นของผูเ้ ชี่ยวชำญ ข้อสอบข้อใดสำมำถนำไปใช้ได้


.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
162

9.กำรวิเครำะห์ขอ้ มูล
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
10.ตำรำงที่ 2 เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนวิทยำศำสตร์หลังเรี ยนของนักเรี ยน

กลุ่มตัวอย่ำง N M SD t p
กลุ่มทดลอง 30 23.52 2.50 3.54* 0.00
กลุ่มควบคุม 30 18.52 4.23
*p < .01
จำกข้อมูลในตำรำงที่ 2 เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยนวิทยำศำสตร์หลังเรี ยนของ
นักเรี ยนสำมำรถอธิบำยได้วำ่ อย่ำงไร
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
163

11.ตำรำงที่ 3 เปรี ยบเทียบควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์หลังเรี ยนของนักเรี ยน

กลุ่มตัวอย่ำง N M SD t p
กลุ่มทดลอง 30 21.24 5.67 1.52 0.18
กลุ่มควบคุม 30 20.22 1.64
*p < .01
จำกข้อมูลในตำรำงที่ 3 เปรี ยบเทียบควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์หลัง
เรี ยนของนักเรี ยนสำมำรถอธิบำยได้วำ่ อย่ำงไร
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
12.ตำรำงที่ 4 เปรี ยบเทียบควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ ที่เรี ยนด้วยกำรใช้กำร
จัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้นร่ วมกับเทคนิคกำรรู ้คิดระหว่ำงก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน

กลุ่มทดลอง N M SD t p
ก่อนเรี ยน 30 17.63 2.13 4.73* 0.00
หลังเรี ยน 30 21.24 2.54
*p < .01
จำกข้อมูลในตำรำงที่ 4 เปรี ยบเทียบควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ ที่
เรี ยนด้วยกำรใช้กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้นร่ วมกับเทคนิคกำรรู ้คิดระหว่ำง
ก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน สำมำรถอธิบำยได้วำ่ อย่ำงไร
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
164

13.ข้อเสนอแนะ
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
165

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
1.ชื่ องานวิจัย
ตอบ ผลกำรใช้กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้นที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยน
วิทยำศำสตร์ เรื่ อง สำรในชีวิตประจำวัน และควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ของ
นักเรี ยนชั้นประถมศึกษำ ปี ที่ 5
2.สมมติฐานการวิจัย
ตอบ 1.ผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนวิทยำศำสตร์ ของนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยกำรใช้กำรจัดกำรเรี ยนรู ้
แบบวัฏจักกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้นสู งกว่ำนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยวิธีกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบปกติ
2.ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ ของนักเรี ยนที่ เรี ยนด้วยกำรใช้กำร
จัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้น (7Es) สู งกว่ำนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยวิธีกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
แบบปกติ
3.ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ ของนักเรี ยนที่ เรี ยนด้วยกำรใช้กำร
จัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้นหลังเรี ยนสู งกว่ำก่อนเรี ยน
3.ตัวแปรที่ศึกษา
ตอบ 1.ตัวแปรอิสระ ได้แก่ วิธีกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ 2 วิธี ดังนี้ กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำร
เรี ยนรู ้ 7 ขั้น และกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบปกติ
2.ตัวแปรตำม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนวิทยำศำสตร์ เรื่ อง สำรในชีวิตประจำวัน
และควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ของนักเรี ยน
166

4.กรอบแนวคิดการวิจัย
ตอบ
- ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน
กำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏ วิทยำศำสตร์
จักรกำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้น - ควำมสำมำรถในกำร
แก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์

5.แบบแผนการวิจัย
ตอบ แบบแผนกำรทดลองกลุ่มควบคุมที่ไม่เท่ำเทียมกัน(Non-equivalent Control Group Design)
(Cambell and Stanley,1969)

Experimental group O X O
1 2

Control group O O
3 4

สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนกำรวิจยั
X = กำรให้ตวั แปรที่มีกำรทดลอง
ไม่มี X = กำรให้ตวั แปรที่ไม่มีกำรทดลอง
O1 = กำรทดสอบก่อนทดลองของกลุ่มทดลอง
O2 = กำรทดสอบหลังทดลองของกลุ่มทดลอง
O3 = กำรทดสอบก่อนทดลองของกลุ่มควบคุม
O4 = กำรทดสอบหลังทดลองของกลุ่มควบคุม
167

6.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ตอบ 1. ประชำกร ได้แก่ นักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5
2 กลุ่ ม ตัว อย่ำ ง ใช้ก ำรเลื อ กกลุ่ ม ตัว อย่ำ งแบบเจำะจง ( Purposive sampling ) ให้ไ ด้
นักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 5 จำนวน 60 คน จำนวน 2 ห้องเรี ยน แบ่งเป็ นกลุ่มทดลอง จำนวน
30 คน และกลุม่ ควบคุม จำนวน 30 คน
7.เครื่ องมือที่ใช้ วิจัย
ตอบ 1.แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ เรื่ อง สำรในชีวิตประจำวัน ที่ใช้วิธีกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักร
กำรเรี ยนรู ้ 7 ขั้น (7Es) จำนวน 8 แผน กำรตรวจสอบคุณภำพนำไปให้ผูท้ รงคุณวุฒิจำนวน 5
ท่ำน เพื่อตรวจพิจำรณำควำมถูกต้องของเนื้อหำ ค่ำควำมตรง (IOC) ที่ยอมรับได้อยู่ 0.5 ขึ้นไป
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนวิชำวิทยำศำสตร์ เรื่ อง สำรในชีวิตประจำวัน
เป็ นแบบทดสอบแบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ 4 ตัวเลือก กำรตรวจสอบคุณภำพมีดงั นี้
1.ค่ำควำมตรง (IOC) นำไปให้ผูท้ รงคุ ณ วุฒิ จำนวน 3 ท่ำน เพื่อตรวจพิจำรณำควำม
ถูกต้องของเนื้อหำ ที่ยอมรับได้อยู่ 0.5 ขึ้นไป
2.ควำมเชื่ อ มั่น (Reliability) ด้ว ยกำรใช้วิ ธี ห ำสั ม ประสิ ท ธิ์ แอลฟำของครอนบำค
(Conbach)โดยมีเกณฑ์วำ่ ค่ำควำมเที่ยงต้องมีค่ำเกิน 0.6
3.ค่ำควำมยำกง่ำย (Difficulty) อยูร่ ะหว่ำง 0.60 - 0.95
4.อำนำจจำแนก ( r ) ค่ำ r 0.60 - 1.00 อำนำจจำแนกดีมำก ในกรณี ค่ำ r ติดลบ แสดง
ว่ำ ข้อสอบข้อนั้นจำแนกกลับ คนเก่งทำไม่ได้ แต่คนอ่อนทำได้ ถือว่ำข้อสอบที่ไม่ดีควรตัดทิ้ง
5.ประสิ ทธิภำพของตัวลวง ตัวลวงที่ดีควรมีค่ำ Pw ตั้งแต่ 0.05 ขึ้นไป
3.แบบวัดควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ เป็ นแบบทดสอบแบบปรนัย มี
ทั้งหมด 6 สถำนกำรณ์ จำนวน 30 ข้อ
168

8.การหาค่า IOC ของแบบทดสอบวัดผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์


ตำรำงที่ 1 ค่ำ IOC ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนวิชำวิทยำศำสตร์

ข้ อที่ คะแนนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 รวม ค่า IOC แปลผล
1 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
2 +1 +1 0 2 0.66 ใช้ได้
3 +1 0 +1 2 0.66 ใช้ได้
4 -1 +1 +1 1 0.33 ปรับปรุ ง
5 +1 +1 -1 1 0.33 ปรับปรุ ง
6 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
7 +1 0 0 1 0.33 ปรับปรุ ง
8 0 +1 +1 2 0.66 ใช้ได้
9 0 -1 +1 0 0.00 ปรับปรุ ง
10 0 +1 +1 2 0.66 ใช้ได้

ข้อคำถำมที่มีค่ำ IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 มีค่ำควำมตรงใช้ได้


ตอบ ข้อที่ 1 ค่ำ IOC = 1.00 แปลผล ใช้ได้
ข้อที่ 2 ค่ำ IOC = 0.66 แปลผล ใช้ได้
ข้อที่ 3 ค่ำ IOC = 0.66 แปลผล ใช้ได้
ข้อที่ 6 ค่ำ IOC = 1.00 แปลผล ใช้ได้
ข้อที่ 8 ค่ำ IOC = 0.66 แปลผล ใช้ได้
ข้อที่ 10 ค่ำ IOC = 0.66 แปลผล ใช้ได้
169

9.การวิเคราะห์ ข้อมูล
ตอบ 1.เปรี ยบเทียบควำมแตกต่ำงของคะแนนระหว่ำงกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้กำร
ทดสอบค่ำที (t-test Independent)
2.เปรี ยบเทียบควำมแตกต่ำงของคะแนนกลุ่มทดลองระหว่ำงก่อนและหลังเรี ยนโดยใช้
กำรทดสอบค่ำที (t-test Dependent)
10.ตารางที่ 2 เปรียบเทียบผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนของนักเรียน
ตอบ จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ ทำงกำรเรี ยนวิทยำศำสตร์ เรื่ องสำรใน
ชี วิตประจำวันของกลุ่มทดลองมีค่ำ เท่ำกับ 23.52 ซึ่ งมีค่ำสู งกว่ำกลุ่มควบคุมที่มีคะแนนเฉลี่ย
ของผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรี ยน เท่ำกับ 18.52 อย่ำงมีนยั สำคัญทำงสถิติที่ระดับ .01
11.ตารางที่ 3 เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนของนักเรียน
ตอบ จำกตำรำงที่ 3 พบว่ำ ค่ำเฉลี่ยของคะแนนควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์
ของนัก เรี ย นกลุ่ ม ทดลองมี ค่ ำ เท่ ำ กับ 21.24 ซึ่ ง มี ค่ ำ สู ง กว่ำ กลุ่ม ควบคุ ม ที่ มี ค่ ำ เฉลี่ ย คะแนน
ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ เท่ำกับ 20.22
12.ตารางที่ 4 เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ ปัญหาทางวิท ยาศาสตร์ ที่เรียนด้ วยการใช้ การ
จัดการเรี ยนรู้ แบบวัฏจักรการเรี ยนรู้ 7 ขั้นร่ วมกับเทคนิคการรู้ คิดระหว่ างก่ อนเรี ยนและหลัง
เรียน
ตอบ จำกตำรำงที่ 4 พบว่ำ ค่ำเฉลี่ยของคะแนนควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์
ของนักเรี ยนกลุ่มทดลองหลังเรี ยนมีค่ำ เท่ำกับ 21.24 ซึ่ งมีค่ำสู งกว่ำก่อนกำรทดลอง ที่มีค่ำเฉลี่ย
คะแนนควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำทำงวิทยำศำสตร์ เท่ำกับ 17.63 อย่ำงมีนยั สำคัญทำงสถิติที่
ระดับ .01
13.ข้ อเสนอแนะ
ตอบ 1.ควรศึกษำกำรจัดกำรเรี ยนรู ้แบบวัฏจักรกำรเรี ยนรู ้ 7 กับเรื่ องอื่นในรำยวิชำวิทยำศำสตร์
2.ควรศึกษำตัวแปรตำมอื่นที่สำคัญของรำยวิชำวิทยำศำสตร์ เช่น ทักษะในศตวรรษที่ 21
170

ข้ อสอบอัตนัย (ข้ อเขียน) วิชาชีพครู เรื่ อง แผนการจัดการเรียนรู้


จงพิจารณาแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วตอบคาถาม ข้อ 1-4

แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 1
สำระกำรเรี ยนรู ้วิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษำปี ที่ 6 ภำคเรี ยนที่ 1 ปี กำรศึกษำ 2564
รหัสวิชำ วXXXXX เรื่ อง มำรู ้จกั สำรกันเถอะ รำยวิชำพื้นฐำน เวลำ 1 ชัว่ โมง
1…………………..
ว 3.1 เข้ำใจสมบัติของสำร ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสมบัติของสำรกับโครงสร้ำงและแรงยึด
เหนี่ยวระหว่ำงอนุภำค มีกระบวนกำรสื บเสำะ หำควำมรู ้และจิตวิทยำศำสตร์ สื่ อสำรสิ่ งที่เรี ยนรู ้ นำ
ควำมรู ้ไปใช้ประโยชน์
ว 3.1 ป.6/1 ทดลองและอธิบำยสมบัติของของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
2.สำระสำคัญ
สิ่ งต่ำงๆ รอบตัวเรำ ทั้งสิ่ งมีชีวิตและไม่มีชีวิตรวมทั้งร่ ำงกำยของเรำต่ำงก็มีสำรเป็ น
องค์ประกอบ สำรต่ำงชนิ ดกันมีสมบัติแตกต่ำงกัน ดังนั้นสิ่ งต่ำงๆ ที่มีองค์ประกอบเป็ นสำรต่ำงชนิ ดกัน
จึงมีสมบัติแตกต่ำงกัน สำรอำจปรำกฏในสถำนะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สำรทั้งสำมสถำนะมี
สมบัติบำงประกำรที่เหมือนกันและบำงประกำรที่แตกต่ำงกัน
3.จุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้
1. อธิบำยสมบัติของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้
2. มุ่งมัน่ ในกำรทำงำน

1.จงบอกรหัสวิชำ
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
2.จงบอกหัวข้อที่หำยไป
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
171

3.จงบอกจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ที่ขำดหำยไป


………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
4.จงบอกวิธีกำรและเครื่ องมือที่ใช้ในกำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ตำมจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
172

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
1.จงบอกรหัสวิชา
ตอบ ว16101

การกาหนดรหัส รายวิชาพื้นฐาน / รายวิชาเพิม่ เติม

หลักที่ 1 หลักที่ 2 หลักที่ 3 หลักที่ 4 หลักที่ 5 หลักที่ 6

กลุ่มสาระ ระดับ ปี ในระดับ ประเภท


การศึกษา ของราชวิชา ลาดับของรายวิชา
การเรียนรู้ การศึกษา

ท 1 0 1 01-99
ค 1
2 2

3 2

พ 3

4

 5

6
173

หลักที่ 1 เป็ น รหัสตัวอักษรแสดงกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ ซึ่งกำหนดรหัสตัวอักษรแสดง


กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ เหมือนเดิม ดังนี้
ท หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ภำษำไทย
ค หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้คณิ ตศำสตร์
ว หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้วิทยำศำสตร์
ส หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้สังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม
พ หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้สุขศึกษำและพลศึกษำ
ศ หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ศิลปะ
ง หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้กำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี
 หมำยถึง กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ภำษำต่ำงประเทศให้ใช้รหัสของแต่ละภำษำ
หลักที่ 2 เป็ น รหัสตัวเลขแสดงระดับกำรศึกษำ มีกำรเปลี่ยนจำกกำรใช้รหัสตัวเลข 4 ตัว
เป็ น 3 ตัว ดังนี้
1 หมำยถึง รำยวิชำระดับประถมศึกษำ
2 หมำยถึง รำยวิชำระดับมัธยมศึกษำตอนต้น
3 หมำยถึง รำยวิชำระดับมัธยมศึกษำตอนปลำย
หลักที่ 3 เป็ น รหัสตัวเลขแสดงปี ที่เรี ยนของรำยวิชำ ซึ่งสะท้อนระดับควำมรู ้และทักษะ
ในรำยวิชำที่กำหนดไว้ในแต่ละปี ซึ่งมีกำรเปลี่ยนจำกรหัสตัวเลข 4 ตัว เป็ น 7 ตัว ดังนี้
0 หมำยถึง รำยวิชำที่ไม่กำหนดปี ที่เรี ยน จะเรี ยนปี ใดก็ได้ในระดับประถมศึกษำ
มัธยมศึกษำตอนต้น และมัธยมศึกษำตอนปลำย
1 หมำยถึง รำยวิชำที่เรี ยนในปี ที่ 1 ของระดับประถมศึกษำ มัธยมศึกษำตอนต้น และ
มัธยมศึกษำตอนปลำย (ป.1 ม.1 และม.4)
2 หมำยถึง รำยวิชำที่เรี ยนในปี ที่ 2 ของระดับประถมศึกษำ มัธยมศึกษำตอนต้น และ
มัธยมศึกษำตอนปลำย (ป.2 ม.2 และม.5)
3 หมำยถึง รำยวิชำที่เรี ยนในปี ที่ 3 ของระดับประถมศึกษำ มัธยมศึกษำตอนต้น และ
มัธยมศึกษำตอนปลำย (ป.3 ม.3 และ ม.6)
4 หมำยถึง รำยวิชำที่เรี ยนในปี ที่ 4 ของระดับประถมศึกษำ (ป.4)
5 หมำยถึง รำยวิชำที่เรี ยนในปี ที่ 5 ของระดับประถมศึกษำ (ป.5)
6 หมำยถึง รำยวิชำที่เรี ยนในปี ที่ 6 ของระดับประถมศึกษำ (ป.6)
174

หลักที่ 4 เป็ น รหัสตัวเลขแสดงประเภทของรำยวิชำ ซึ่งกำหนดรหัสตัวเลขไว้ 2 ตัว


เหมือนเดิม ดังนี้
1 หมำยถึง รำยวิชำพื้นฐำน
2 หมำยถึง รำยวิชำเพิ่มเติม
หลักที่ 5 และ 6 เป็ น รหัสตัวเลขแสดงลำดับของรำยวิชำแต่ละกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ในปี /
ระดับกำรศึกษำเดียวกันในระดับประถมศึกษำ มัธยมศึกษำตอนต้น หรื อมัธยมศึกษำตอนปลำย
มีจำนวนตั้งแต่ 01-99 เหมือนเดิม ดังนี้
รำยวิชำที่กำหนดปี ที่เรี ยน ให้นบั รหัสหลักที่ 5-6 ต่อเนื่องในปี เดียวกัน
2.จงบอกหัวข้ อที่หายไป
ตอบ มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้และตัวชี้วดั
มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้ คือ เป้ ำหมำยสำคัญต่อกำรพัฒนำผูเ้ รี ยน โดยระบุสิ่งที่ผูเ้ รี ยนควรรู ้
และปฏิ บ ัติ ไ ด้ มี คุ ณ ธรรม จริ ย ธรรม และค่ ำ นิ ย มที่ พึ ง ประสงค์ ทั้ง นี้ หลัก สู ต รแกนกลำง
กำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 ได้กำหนดมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้เพื่อเป็ นเป้ำหมำยสำคัญ
ในกำรพัฒนำคุณภำพผูเ้ รี ยน ไว้ท้งั 8 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้
ตัวชี้วดั คือ กำรระบุสิ่งที่ผเู ้ รี ยนควรรู ้และปฏิบตั ิได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผูเ้ รี ยนใน แต่
ละระดับชั้น ซึ่ งสะท้อนถึงคุณภำพผูเ้ รี ยนตำมมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้ สำหรับนำไปกำหนดเนื้ อหำ
จัดทำ หน่วยกำรเรี ยนรู ้ จัดกำรเรี ยนรู ้ และเป็ นเกณฑ์สำคัญสำหรับกำรวัดและประเมินผลเพื่อ
ตรวจสอบคุณภำพ ผูเ้ รี ยน ซึ่ งหลักสู ตรแกนกลำงกำรศึ กษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551ได้
กำหนดตัวชี้วดั เป็ น 2 ประเภท ดังนี้
1.ตัวชี้ วดั ชั้นปี เป็ นเป้ ำหมำยในกำรพัฒนำผูเ้ รี ยนแต่ละชั้นปี ในระดับกำรศึ กษำภำค
บังคับ (ประถมศึกษำปี ที่ 1 - มัธยมศึกษำปี ที่ 3) ตัวอย่ำงดังนี้

ว.1.1 ป1/2
ว กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
1.1 สำระที่ 1 มำตรฐำนข้อที่ 1
ป1/2 ตัวชี้วดั ประถมศึกษำปี ที่ 1 ข้อที่ 2
175

2.ตัว ชี้ ว ดั ช่ ว งชั้น เป็ นเป้ ำ หมำยในกำรพัฒนำผูเ้ รี ย นในระดับมัธยมศึ ก ษำตอนปลำย


(มัธยมศึกษำปี ที่ 4-6) ตัวอย่ำงดังนี้

ต2.2 ม.4-6/2
ต กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ภำษำต่ำงประเทศ
2.2 สำระที่ 2 มำตรฐำนข้อที่ 2
ม.4-6/2 ตัวชี้วดั มัธยมศึกษำตอนปลำย ข้อที่ 2

3.จงบอกจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ขาดหายไป
ตอบ สำรวจ วิเครำะห์สมบัติของแข็ง ของเหลว และแก๊ส (P)
พุทธพิสัย
ระดับ จุดประสงค์ ทั่วไป จุดประสงค์ เฉพาะ
ควำมรู ้ • รู ้ทฤษฎี • บอกชื่อ, ระบุชื่อ
• รู ้กฎเกณฑ์ • บอกควำมหมำย
• รู ้วิธีกำร • บอกวิธีปฏิบตั ิ
• รู ้กระบวนกำร • เขียนลำดับขั้น
ควำมเข้ำใจ • เข้ำใจเรื่ องเกี่ยวกับ • อธิบำย
• เข้ำใจทฤษฎี • ตีควำม
• เข้ำใจหลัก • ให้ควำมหมำย
• เข้ำใจกระบวนกำร • เขียนลักษณะโครงสร้ำง
กำรนำไปใช้ • แก้ปัญหำ • บอกวิธีกำรแก้
• ตรวจสอบ • หำจุดบกพร่ อง
• ใช้สูตรคำนวณ • คำนวณหำค่ำ
• พิจำรณำเลือก • ลงควำมเห็น
สูงกว่ำ • วิเครำะห์ • เปรี ยบเทียบ
• ออกแบบ • วำงแผน
• ประเมินค่ำ • พิจำรณำเลือก
• สร้ำงสรรค์ • ปรับปรุ ง เปลี่ยนแปลง
176

ทักษะพิสัย
จุดประสงค์ ทั่วไป จุดประสงค์ เฉพาะ
• ทำ • ประดิษฐ์
• สร้ำง • ออกแบบ
• ประดิษฐ์ • เลือก ตัดสิ น
• ใช้เครื่ องมือ • ตอกระปู วัดขนำด ทำควำมสะอำด
• ปฏิบตั ิงำน • ถอด ใส่ เจำะ เย็บ เขียน สเก็ตภำพ
• ตรวจสอบและแก้ไข • ติดตำ ต่อกิ่ง ฉี ดยำ

จิตพิสัย
จุดประสงค์ ทั่วไป จุดประสงค์ เฉพาะ
• เห็นควำมสำคัญ • แสดงควำมเสี ยใจ
• เห็นคุณค่ำ • เห็นด้วย
• รับผิดชอบ • ให้ควำมร่ วมมือ
• ทัศนคติ • ปฏิบตั ิตำม
• กิจนิสัย มีระเบียบ • ร่ วมกิจกรรม
• สะอำด ปรำณี ต • ปฏิบตั ิงำนตรงเวลำ
• แสดงออกของกิจนิสัย
• สอบถำมติดตำม
177

4.จงบอกวิธีการและเครื่ องมือที่ใช้ ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้


ตอบ

จุดประสงค์ การเรียนรู้ วิธีการ เครื่ องมือ เกณฑ์ การประเมิน


อธิบำยสมบัติของแข็ง กำรทดสอบ แบบทดสอบ เรื่ อง สมบัติ ผ่ำนเกณฑ์ประเมิน
ของเหลว และแก๊สได้ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ร้อยละ 60
มุ่งมัน่ ในกำรทำงำน กำรสังเกต แบบสังเกตพฤติกรรมควำม ผ่ำนเกณฑ์ประเมิน
มุ่งมัน่ ในกำรทำงำน ระดับดีข้ นึ ไป
สำรวจ วิเครำะห์สมบัติ กำรประเมิน แบบประเมินทักษะ ผ่ำนเกณฑ์ประเมิน
ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ ร้อยละ 60
178

ข้ อสอบอัตนัย (ข้ อเขียน) วิชาชีพครู เรื่ อง หลักสู ตรท้ องถิ่น


จงอธิบายหลักสู ตรท้ องถิ่น สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น มาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
179

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
จงอธิบายหลักสู ตรท้ องถิ่น สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น มาเข้าใจพร้ อมยกตัวอย่าง
ตอบ หลักสูตรท้องถิ่น หมำยถึง มวลประสบกำรณ์ที่จดั ขึ้นทั้งในห้องเรี ยนและนอกห้องเรี ยน เพื่อพัฒนำ
ผูเ้ รี ยนให้มีควำมรู ้ควำมสำมำรถ ทักษะ เจตคติ และคุณภำพกำรดำรงชีวิต โดยพยำยำมใช้ทรัพยำกรใน
ท้องถิ่น ภูมิปัญญำท้องถิ่น ให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้บนพื้นฐำนของสภำพชีวิต เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของ
ตนเอง ตลอดจนมีส่วนร่ วมในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ ของชำติบำ้ นเมือง
ประเภทของหลักสู ตรท้ องถิ่น
1.หลัก สู ตรท้องถิ่ นที่ พฒั นำโดยท้องถิ่ นเองทั้ง หมด แต่ ต้องเป็ นไปตำมนโยบำยที่ ส่วนกลำงได้
กำหนดไว้ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริ กำรัฐแต่ละรัฐสำมำรถจัดทำหลักสู ตรของตนเองตำมควำมต้องกำร
ของรัฐนั้นๆ ได้ แต่ตอ้ งไม่ขดั กับนโยบำยของรัฐบำลส่ วนกลำง (Federal Government) ที่ได้กำหนดไว้อย่ำง
กว้ำงๆ
2.หลักสู ตรท้องถิ่ นที่พฒ ั นำขึ้นจำกหลักสู ตรแม่บทที่ส่วนกลำงจัดทำ กล่ำวคือ ส่ วนกลำงของรั ฐ
จัดทำหลักสู ตรแม่บท และเว้นที่ ว่ำงให้ทอ้ งถิ่ นมี เสรี ภำพในกำรพัฒนำหลักสู ตรให้ส อดคล้องกับสภำพ
ปัญหำ และควำมต้องกำรของท้องถิ่นหลักสู ตรท้องถิ่นประเภทนี้จะพัฒนำได้ดงั นี้
2.1 หลักสู ตรท้องถิ่นที่พฒั นำโดยปรับบำงส่ วนของหลักสู ตรแม่บท กล่ำวคือ เป็ นกำรปรับ
องค์ประกอบส่ วนใดส่ วนหนึ่ งของหลักสู ตรแม่บท เช่น ปรับรำยละเอียดของเนื้ อหำเพื่อให้สอดคล้องกับ
สภำพปัญหำ และควำมต้องกำรของท้องถิ่น
2.2 หลักสู ตรท้องถิ่นที่พฒั นำขึ้นเป็ นรำยวิชำใหม่ หรื อกำรสร้ำงหลักสู ตรย่อย เพื่อเสริ ม
หลักสูตรแม่บท โดยให้สอดคล้องกับสภำพ ปัญหำและควำมต้องกำรของท้องถิ่น
3.หลักสู ตรท้องถิ่นที่พฒั นำสำหรับท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ งโดยเฉพำะ เป็ นหลักสู ตรที่หน่วยงำนใน
ท้องถิ่นพัฒนำเป็ นหลักสู ตรเฉพำะกิจและเป็ นหลักสู ตรระยะสั้นๆ เพื่อใช้กบั ชุมชนหรื อท้องถิ่นตำมควำม
ต้องกำรและควำมสมัครใจของผูเ้ รี ยน รวมทั้งควำมสอดคล้องกับสภำพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของ
ชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น หลักสู ตรวิชำชีพระยะสั้น หลักสูตรซ่อมมอเตอร์ไซด์
กระบวนการพัฒนาหลักสู ตรท้ องถิ่น
ขั้นที่ 1 กำรสำรวจสภำพปัญหำของชุมชน
ขั้นที่ 2 กำรวิเครำะห์สภำพปัญหำชุมชนและควำมต้องกำรของผูเ้ รี ยน
ขั้นที่ 3 เขียนผังหลักสูตร
ขั้นที่ 4 เขียนหลักสูตร
180

ตัวอย่าง
หลักสู ตรท้ องถิ่นโรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค พุทธศักราช 2561
ตามหลักสู ตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบับปรับปรุ ง พุทธศักราช 2560)
สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 4 มีบทบำทสำคัญในกำรพัฒนำหลักสู ตรท้องถิ่นให้
สอดคล้องกับสภำพและควำมต้องกำรของท้องถิ่ นจังหวัดสระบุรี จึ งเป็ นตัวกลำงในกำรประสำนควำม
ร่ วมมือกับโรงเรี ยน และชุมชนในกำรร่ วมมื อกันคิดและจัดทำหลักสู ตรท้องถิ่นฉบับนี้ ข้ ึน โดยได้แต่งตั้ง
คณะกรรมกำรพิจำรณำร่ ำงหลักสู ตรท้องถิ่น ตำมหลักสู ตรแกนกลำงศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช2551 ซึ่ง
ประกอบด้วยผูอ้ ำนวยกำรสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 4 รองผูอ้ ำนวยกำรสำนักงำนเขต
พื้ น ที่ ก ำรศึ ก ษำมัธ ยมศึ ก ษำ เขต 4 ผู ้บ ริ ห ำรโรงเรี ย นระดับ มัธ ยมศึ ก ษำ ครู ผู ้ส อนระดับ มัธ ยมศึ ก ษำ
ศึกษำนิ เทศก์ ผูร้ ับผิดชอบกลุ่ม สำระกำรเรี ยนรู ้ และเชิ ญผูท้ รงคุณวุฒิหลำยท่ำนจำกหน่ วยรำชกำรส่ วน
ท้องถิ่ น คณะกรรมกำรผูท้ รงคุ ณวุ ฒิดัง กล่ ำ วได้ร่วมกันพิ จำรณำร่ ำ งหลัก สู ตรท้องถิ่ น จำกเอกสำรและ
แหล่งข้อมูลต่ำง ๆ อำทิเช่น หลักสู ตรแกนกลำงศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551แหล่งเรี ยนรู ้ชุมชน ภูมิ
ปั ญญำท้องถิ่ น สภำพแนวโน้ม กำรเปลี่ ย นแปลงทำงสั งคมและเศรษฐกิ จในท้องถิ่ นสภำพปั ญหำ ควำม
ต้องกำรของท้องถิ่น จุดเด่นของชุมชน เป็ นต้นทั้งนี้ เพื่อให้สถำนศึกษำใช้เป็ นแนวทำงในกำรจัดกำรเรี ยนรู ้
แก่ผเู ้ รี ยนของตน เกี่ยวกับเรื่ องรำวของท้องถิ่น ชุมชน ในแง่ต่ำง ๆ ทั้งด้ำนเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรน้อมนำหลักปรั ชญำเศรษฐกิ จพอเพียงให้ผูเ้ รี ย นได้เรี ยนรู ้ และปฏิ บตั ิ จนสำมำรถ
ดำเนินชีวิตได้อย่ำงพอเพียงเกิดเป็ นสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ดีในตัวผูเ้ รี ยน
เป้ าหมาย/จุดเน้ น
1.ส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้เรื่ องรำวของชุมชน ท้องถิ่นซึ่งเป็ นสภำพแวดล้อมในชีวิตจริ งของ
ตนเอง
2.ส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนร่ วมกันอนุรักษ์ชุมชนและท้องถิ่นจังหวัดสระบุรี และให้สำมำรถพัฒนำชีวิต
ตนเองให้เป็ นสมำชิกที่ดีของชุมชน
3.ส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนเกิดควำมซำบซึ้ง รัก หวงแหน และผูกพันกับท้องถิ่น มีควำมภำคภูมิใจ
ในท้องถิ่นสระบุรีมำกยิง่ ขึ้น
181

กรอบหลักสู ตรท้ องถิ่น


1.คำขวัญจังหวัดสระบุรี
พระพุทธบำทสูงค่ำ เขื่อนป่ ำสักชลสิ ทธิ์
ฐำนผลิตอุตสำหกรรม เกษตรนำล้ ำแหล่งท่องเที่ยว
หนึ่งเดียวกะหรี่ ปั๊บนมดี ประเพณีตกั บำตรดอกไม้งำม
เหลืองอร่ ำมทุ่งทำนตะวัน ลือลัน่ เมืองชุมทำง
คำขวัญจังหวัดสระบุรีถือได้วำ่ เป็ นกำรรวบรวมจุดเด่นของจังหวัดสระบุรีไว้ได้ดีที่สุด ชัดเจนที่สุด
ทั้งในแง่ของสถำนที่สำคัญ กำรท่องเที่ยว อุตสำหกรรม กำรเกษตร และประเพณี หนึ่ งเดียวในโลก
ซึ่งเป็ นสภำพแวดล้อมและบริ บทของจังหวัด จัดเป็ นสำระท้องถิ่นที่ครบถ้วนอันเป็ นประโยชน์ต่อกำรเรี ยนรู ้
สำหรับผูเ้ รี ยน และประชำชนผูใ้ ฝ่ รู ้ทวั่ ไป สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 4 จึงกำหนดให้ “คำ
ขวัญจังหวัดสระบุ รี” เป็ นสำระกำรเรี ยนรู ้ ท ้องถิ่ น ที่ สอดคล้องกับหลักสู ตรแกนกลำงศึ กษำขั้นพื้ น ฐำน
พุทธศักรำช 2551 ซึ่ งครู ผูส้ อนสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้เป็ นสำระกำรเรี ยนรู ้ ท ้องถิ่ นตำมกลุ่มสำระกำร
เรี ยนรู ้ที่สอนได้ทุกกลุ่มสำระ และยังสำมำรถคิดประยุกต์ สร้ำงสรรค์ในกำรผลิตเป็ นสื่ อกำรเรี ยนกำรสอน
ประเภทและรู ปแบบต่ำง ๆ ได้อีกตำมต้องกำร เพื่อเร้ำผูเ้ รี ยนให้เกิดควำมกระตือรื อร้น และสนใจเรี ยนมำก
ขึ้น อันจะเป็ นกำรส่ งเสริ มให้ผูเ้ รี ยนเกิดควำมซำบซึ้ ง รัก หวงแหนและมีควำมภำคภูมิใจในท้องถิ่นจังหวัด
สระบุรีมำกยิง่ ขึ้นด้วย
182

กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี


มาตรฐานและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น
สำระที่ 1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ ระบบนิเวศในท้องถิ่น
มำตรฐำน ว 1.1 เข้ำใจควำมหลำกหลำยของ 1.ระบบนิเวศบนบก
ร ะ บ บ นิ เ ว ศ ค ว ำ ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ ำ ง • สวนพฤกษศำสตร์ภำคกลำง (พุแค)
สิ่ งไม่มีชีวิตกับสิ่ งมี ชีวิตและควำมสัมพันธ์ • สวนป่ ำเจ็ดคต
ระหว่ ำ งสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ต่ ำ ง ๆ ใน • สวนรุ กขชำติมวกเหล็ก
ระบบนิ เ วศ กำรถ่ ำ ยทอดพลั ง งำน กำร • อุทยำนแห่งชำติเขำใหญ่
เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง แ ท น ที่ ใ น ร ะ บ บ นิ เ ว ศ • ศูนย์เกษตรธรรมชำติคิวเซ
ควำมหมำยของประชำกร ปั ญ หำและ • อุทยำนแห่งชำติน้ ำตกสำมหลัน่
ผลกระทบที่ มี ต่อทรั พ ยำกรธรรมชำติ แ ละ 2.ระบบนิเวศในน้ ำ
สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม แ น ว ท ำ ง ใ น ก ำ ร อ นุ รั ก ษ์ • เขื่อนป่ ำสักชลสิ ทธิ์
ทรั พ ยำกรธรรมชำติ แ ละกำรแก้ไ ขปั ญ หำ
• แม่น้ ำป่ ำสัก
สิ่ ง แวดล้อ ม รวมทั้ง น ำควำมส ำเร็ จ ไปใช้
• บึงโง้งเมืองเก่ำ
ประโยชน์
• ตลำดน้ ำดำวเรื อง
• อ่ำงเก็บน้ ำห้วยหิ นขำว
• อ่ำงเก็บน้ ำชลประทำน
• คลองชลประทำน เช่น คลองระพีพฒั น์
• น้ ำตกเจ็ดสำวน้อย
• น้ ำตกเจ็ดคต
• ทะเลบ้ำนหมอ
183

กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

มาตรฐานและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น


สำระที่ 2 หนำที่พลเมือง วัฒนธรรม และกำร ประเพณีวัฒนธรรม
ดำเนินชีวิตในสังคม สระบุรีเป็ นเมืองเก่ำที่มีผคู ้ นหลำยชนเผ่ำอพยพเข้ำ
มำตรฐำน ส 2.1 เขำใจและปฏิ บ ัติต นตำม มำตั้งถิ่นฐำนตั้งแต่เดิมจึงมีประเพณี และวัฒนธรรม
หนำที่ ข องกำรเป็ นพลเมื องดี มี ค ำนิ ย มที่ ดี ที่สืบทอดกันมำอย่ำงยำวนำน เช่น
งำม และธำรงรักษำประเพณี และวัฒนธรรม • ประเพณีนมัสกำรรอยพระพุทธบำท
ไทย ดำรงชีวิตอยูรวม • ประเพณีตกั บำตรดอกไม้
• ประเพณีตกั บำตรลูกโยน
• ประเพณีสลำกพัสตร์ ของชำวไท-ยวน
• ประเพณีกำฟ้ำของขำวไทยพวน
• ประเพณีแข่งพุ่งเรื อ (อำเภอบ้ำนหมอ)
• ประเพณีแข่งเรื อยำว (อำเภอเสำไห้)
• ประเพณีแห่เจ้ำพ่อเขำตก
• ประเพณีเดือนยีจ่ ี่ขำ้ วหลำม ของชำวไท-ยวน
• ประเพณี ข้ ึนปี ใหม่ (ปี๋ ใหม่เมือง) ของชำวไทย
วน
• กำรทำบุญข้ำวจี่
• กำรทำบุญกลำงบ้ำน
• วัฒนธรรมทำงภำษำ ภำษำพู ดและเขีย นของ
ของชำวไท-ยวน ภำษำไทยมอญภำษำไทยลำว
• วัฒ นธรรมกำรแต่ ง กำยของชำวไท -ยวน
วัฒนธรรมกำรกินขันโตก
184

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ

มาตรฐานและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น


สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ ศิลปกรรมท้องถิ่น
มำตรฐำน ศ 1.1 สร้ ำ งสรรคงำนทัศ นศิ ลป์ 1.งำนสถำปัตยกรรม
ตำมจิ น ตนำกำร และควำมคิ ด สร้ ำ งสรรค์ • วัดและอุโบสถ เช่ น มณฑปวัดพระพุทธบำท
วิ เ ครำะ ห์ วิ พ ำกษ์ วิ จ ำรณ์ คุ ณ ค่ ำงำ น รำชวรมหำวิหำร วัดพระพุทธฉำย วัดเขำแก้ว
ทัศ นศิ ล ป์ ถ่ ำ ยทอดควำมรู ้ สึ ก ควำมคิ ด ต่ อ วรวิหำร
งำนศิลปะอย่ำงอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ 2.ประติมำกรรม
ในชีวิตประจำวัน • พระพุทธบำทรู ปและงำนประติมำกรรมแต่ละ
มำตรฐำน ศ 1.2 เข้ำใจควำมสัมพันธ์ระหว่ำง สมัยในวัดต่ำงๆ ในท้องถิ่น เช่น รอยพระพุทธ
ทัศนศิลป์ ประวัติศำสตร์ และวัฒนธรรม เห็น บำทวั ด พระ พุ ท ธ บำทรำชวรมหำวิ ห ำ ร
คุ ณ ค่ ำ งำนทั ศ นศิ ล ปะที่ เ ป็ นมรดกทำง พระพุ ท ธรู ป ทองค ำ วัด พะเยำว์ พระนิ โ รคัน
วัฒนธรรม ภูมิปัญญำท้องถิ่น ภูมิปัญญำไทย ตรำยชัยวัฒน์จตุรทิศ วัดศำลำแดง
และสำกล ดนตรีพื้นบ้ าน
สาระที่ 2 ดนตรี 1.เพลงพื้นบ้ำน เช่น เพลงพื้นบ้ำนตำมยุคสมัย
มำตรฐำน ศ 2.1 เข้ำ ใจและแสดงออกทำง 2.กำรแสดงดนตรี พ้นื ฐำน ได้แก่ ดนตรี ไทย
ดนตรี อ ย่ ำ งสร้ ำ งสรรค์ วิ เ ครำะห์ วิ พ ำกษ์ • ดนตรี ไทยพื้นบ้ำน เช่น พิณ แคน สะล้อ ซอซึง
วิ จ ำรณ์ คุ ณ ค่ ำ ดนตรี ถ่ ำ ยทอดควำมรู ้ สึ ก แตรวง กลองยำว
ควำมคิ ด ตอดนตรี อ ย่ ำ งอิ ส ระ ชื่ น ชม และ
ประยุกตใช้ในชีวิตประจำวัน
มำตรฐำน ศ 2.2 เข้ำใจควำมสัมพันธ์ระหว่ำง
ดนตรี ประวัติศำสตร์ และวัฒนธรรม เห็ น
คุณค่ำของดนตรี ที่ เป็ นมรดกทำงวัฒนธรรม
ภูมิปัญญำทองถิ่น ภูมิปัญญำไทยและสำกล
185

การประเมินคุณภาพการศึกษาระดับท้ องถิ่น
สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 4 จะใช้กำรประเมินคุณภำพกำรศึกษำ ระดับท้องถิ่น
เป็ นกลไกกำรควบคุมคุณภำพกำรศึกษำ จึงกำหนดกรอบกำรประเมินคุณภำพกำรศึกษำ ระดับท้องถิ่นไว้
อย่ำงกว้ำงๆ เพื่อให้สถำนศึกษำสำมำรถดำเนินกำรได้ ดังนี้
1.กำรประเมินคุณภำพกำรศึกษำ ระดับท้องถิ่น ให้ประเมินในทุกระดับชั้นปี รวมถึงช่วงชั้น
มัธยมศึกษำตอนปลำย (ม.4-6) ทั้งนี้ ให้มีกำรประเมินก่อนเรี ยน ระหว่ำงเรี ยน และหลังเรี ยน
2.ดำเนินกำรประเมินทุกกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ที่มีสำระกำรเรี ยนรู ้ทอ้ งถิ่น ซึ่งจัดกำรเรี ยนรู ้ในทุก
ระดับชั้นปี ยกเว้นกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้คณิ ตศำสตร์ ซึ่งไม่ได้กำหนดสำระกำรเรี ยนรู ้ทอ้ งถิ่นไว้
3.กำหนดกำรประเมิน ให้ดำเนินกำรไปเช่นเดียวกับกำรประเมินคุณภำพสำระกำรเรี ยนรู ้แกนกลำง
ในกรณี ที่จดั กำรเรี ยนรู ้สำระท้องถิ่นที่แทรกไว้ในรำยวิชำพื้นฐำน และประเมินรำยวิชำเพิ่มเติมในกรณี ที่
จัดเป็ นรำยวิชำเพิ่มเติม
4.เกณฑ์กำรประเมิน ให้สถำนศึกษำกำหนดเกณฑ์กำรประเมิน โดยให้สอดคล้องและครอบคลุม
มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้ ตัวชี้วดั หรื อผลกำรเรี ยนรู ้ในรำยวิชำและสำระกำรเรี ยนรู ้ทอ้ งถิ่นนั้น ๆ
5.ในกรณีที่ผเู ้ รี ยนไม่ผำ่ นเกณฑ์กำรประเมิ น ให้สถำนศึกษำดำเนินกำรสอนซ่อมเสริ มให้กบั ผูเ้ รี ยน
เช่นเดียวกับกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ตำมมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้และสำระกำรเรี ยนรู ้แกนกลำง
6. วิธีกำรประเมิน ให้อยูใ่ นดุลยพินิจของสถำนศึกษำ หรื อให้ครู ผสู ้ อนเป็ นผูก้ ำหนดตำมควำม
เหมำะสม เช่น กำรทดสอบ กำรประเมินตำมสภำพจริ งจำกกำรปฏิบตั ิกิจกรรม กำรทำภำระงำนหรื อชิ้นงำน
ซึ่งต้องกำหนดเกณฑ์คุณภำพในกำรประเมินอย่ำงชัดเจน เป็ นต้น
186

ตัวอย่ างการเขียนหลักสู ตรท้ องถิ่น


ชื่ อหลักสู ตร …………………
ควำมสำคัญ
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
จุดมุ่งหมำย
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
วัตถุประสงค์
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
เนื้อหำของหลักสูตร ประกอบด้วยเนื้อหำ ……….. เรื่ อง ดังนี้
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
เวลำเรี ยน
หลักสูตร …………………………. ใช้เวลำเรี ยนทั้งหมด ……… ชัว่ โมง
ภำคทฤษฎี …………….. ชัว่ โมง
ภำคปฏิบตั ิ …………….. ชัว่ โมง
แหล่งกำรเรี ยนรู ้และสื่ อกำรเรี ยนรู ้
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
กำรวัดผลประเมินผลกำรเรี ยนรู ้
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
187

โครงสร้ำงเนื้อหำของหลักสูตร ประกอบด้วยเนื้อหำ ………. เรื่ อง ดังนี้


เรื่ องที่ 1 …………………………………………………… จำนวน ………………. ชัว่ โมง
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
4.……………………………………………………………………………………………………
เรื่ องที่ 2 …………………………………………………… จำนวน ………………. ชัว่ โมง
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
4.……………………………………………………………………………………………………
เรื่ องที่ 3 …………………………………………………… จำนวน ………………. ชัว่ โมง
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
4.……………………………………………………………………………………………………
เรื่ องที่ 4 …………………………………………………… จำนวน ………………. ชัว่ โมง
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
4.……………………………………………………………………………………………………
เรื่ องที่ 5…………………………………………………… จำนวน ………………. ชัว่ โมง
1.……………………………………………………………………………………………………
2.……………………………………………………………………………………………………
3.……………………………………………………………………………………………………
4.……………………………………………………………………………………………………
188

ข้ อสอบอัตนัย (ข้ อเขียน) วิชาชีพครู เรื่ อง การประเมินผลในชั้นเรียน


จงอธิบายประเภทของการประเมินผลในชั้นเรียนมาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง
1.กำรประเมินก่อนเรี ยน
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
2.กำรประเมินระหว่ำงเรี ยน
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
3.กำรประเมินหลังเรี ยน
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
189

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
จงอธิบายประเภทของการประเมินผลในชั้นเรียนมาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง
ตอบ ประเภทของกำรประเมินผลในชั้นเรี ยน
กำรประเมิ นในชั้นเรี ยนเป็ นกิ จกรรมที่ไม่สำมำรถแยกออกมำจำกกำรเรี ยนกำรสอนได้ และเป็ น
กิ จ กรรมที่ ช่ ว ย ให้ ค รู มี ข ้อ มู ล เกี่ ย วกับ ลัก ษณะพื้ น ฐำนของผู เ้ รี ย น และวิ ธี ก ำรจัด กำรเรี ย นกำรสอนให้
สอดคล้องกับพื้นฐำนของนักเรี ยน เพื่อที่นกั เรี ยนจะได้เรี ยนอย่ำงมีประสิ ทธิ ภำพโดยทัว่ ไปกำรประเมินใน
ชั้นเรี ยนแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท ตำมระยะเวลำ ของกำรประเมิน คือ กำรประเมินก่อนเรี ยน กำรประเมิน
ระหว่ำงเรี ยน และกำรประเมินหลังเรี ยน
1.การประเมินก่อนเรียน
กำรประเมินก่อนเรี ยนเป็ นกำรประเมิ นที่เกิ ดขึ้นก่ อนกำรเรี ยนกำรสอน โดยมีจุดมุ่งหมำย เพื่อหำ
ข้อมูลเกี่ ยวกับ ควำมรู ้ พ้ืนฐำน ลักษณะของผูเ้ รี ยน และปั ญหำต่ำงๆ ของผูเ้ รี ยน เพื่อนำมำใช้ในกำรวำง
แผนกำรสอนให้เหมำะสม และสอดคล้องกับสภำพของนักเรี ยน กระบวนกำรหำข้อมูลเพื่อนำมำใช้ในกำร
ประเมินก่อนเรี ยนจึงประกอบด้วยกำร ใช้ขอ้ มูลหรื อผลกำรเรี ยนที่ผำ่ นมำ ทะเบียนประวัติของนักเรี ยน ควำม
คิดเห็นของครู ที่เคยสอนนักเรี ยนมำแล้ว ข้อมูล จำกฝ่ ำยแนะแนวของโรงเรี ยนควำมคิดเห็นของผูป้ กครอง
และถ้ำครู ตอ้ งกำรจะวัดควำมรู ้พ้ืนฐำนของนักเรี ยน ครู อำจ สร้ำงแบบทดสอบที่มุ่งวัดเฉพำะควำมรู ้เดิมของ
นักเรี ยนที่จำเป็ นต่อกำรเรี ยนเรื่ องที่ครู กำลังจะสอน แบบทดสอบที่ครู ใช้อำจใช้รูปแบบง่ำยๆ เช่น ข้อสอบ
ถูกผิด แบบตรวจสอบรำยกำร หรื อข้อสอบแบบเลือกตอบ เป็ นต้น โดยทัว่ ไป เรำ ใช้กำรประเมินก่อนเรี ยน
เพื่อวัตถุประสงค์ต่อไปนี้
1.เพื่อเป็ นข้อมูลให้ครู รู้จกั นักเรี ยนแต่ละคนก่อนสอน ในช่วงก่อนทำกำรเรี ยนกำรสอน ครู ควรหำ
ข้อมู ล เกี่ ย วกับ ตัวนัก เรี ย นแต่ละคนเพื่อเป็ นแนวทำงในกำรจัดกำรเรี ย นกำรสอน กำรที่ ครู มี ข้อมูล ของ
นักเรี ยนแต่ละคนใน ด้ำนกำรเรี ยน อำรมณ์ สังคม และสภำพทำงครอบครัว จะทำให้ครู รู้จกั นักเรี ยน และ
สำมำรถวำงแผนกำรเรี ยนกำรสอน ได้เหมำะสมมำกขึ้น ข้อมูลที่ ครู สำมำรถหำได้ คือ ข้อมูลเกี่ ยวกับตัว
นักเรี ยนจำกกำรพูดคุยกับนักเรี ยน และข้อมูล กำรเรี ยนของนักเรี ยนจำกระเบียนที่บนั ทึกไว้
2.เพื่อเป็ นข้อมูลให้กบั นักเรี ยนและผูป้ กครองได้ทรำบจุดอ่อน จุดแข็งของนักเรี ยน กำรที่ครู มีขอ้ มูล
เกี่ยวกับนักเรี ยนและมีโอกำสได้พบคุยกับผูป้ กครองเกี่ยวกับตัวนักเรี ยนในช่ว งต้นเทอม หรื อก่อนเปิ ดเรี ยน
จะช่วย สร้ำงควำมสัมพันธ์ที่ดีระหว่ำงครู กบั ผูป้ กครอง อันจะเป็ นกำรสร้ำงควำมร่ วมมือในกำรพัฒนำ และ
แก้ปัญหำของ นักเรี ยนได้
190

3.เพื่อกำรจัดกลุ่มนักเรี ยน กำรทดสอบควำมรู ้ ควำมสำมำรถของนักเรี ยนก่อนเรี ยนจะช่ วยให้ครู


สำมำรถ แบ่งนักเรี ยนออกเป็ นกลุ่มๆ ได้เหมำะสม เช่น กำรจัดกลุ่มตำมควำมสำมำรถ ควำมสนใจ ควำมถนัด
เพื่อประโยชน์ ในกำรเลือกใช้สื่อกำรสอน เนื้อหำ และวิธีกำรสอนให้สอดคล้องกัน
4.เพื่อเป็ นข้อมูลในกำรเลือกครู เลื อกวิธีสอน สื่ อกำรสอน และเนื้ อหำสำระที่เหมำะสมกับนักเรี ยน
แต่ละคน ได้ในระดับผูบ้ ริ หำรกำรเลือกครู ให้เหมำะสมกับนักเรี ยนมีควำมจำเป็ นและสำคัญมำก ครู ที่เก่งและ
มีประสบกำรณ์ควร สอนชั้นเล็ก เช่น ชั้น ป.1 เพื่อให้ครู สำมำรถสอนและฝึ กฝนนักเรี ยนให้มีควำมสำมำรถ
ในระยะเริ่ มแรกของกำรเรี ยนรู ้ ได้อย่ำงถูกต้อง อันจะเกิดประโยชน์เมื่อนักเรี ยนเรี ยนระดับที่สูงขึ้น
5.เพื่อเป็ นข้อมูลสำหรับแนะแนวนักเรี ยน ข้อมูลก่อนเรี ยนที่บนั ทึกอย่ำงมีระบบละเอียด ต่อเนื่ อง
และชัดเจน จะช่วยให้คำปรึ กษำนักเรี ยนเป็ นรำยบุคคลได้ถูกต้อง ทำให้ครู แนะแนวสำมำรถช่ วยเหลือหรื อ
คลี่คลำยแก้ปัญหำของนักเรี ยนแต่ละคนได้ เช่น กำรมีขอ้ มูลเกี่ยวกับทักษะทำงภำษำของนักเรี ยน ครู สำมำรถ
หำแนวทำงแก้ไ ขปั ญหำกำรอ่ ำ น ไม่ ออก เขี ย นไม่ ไ ด้ข องนัก เรี ย นได้ท ันท่ วงที ก่ อนที่ นัก เรี ย นจะเรี ย น
ระดับสู งขึ้น
6.เพื่อเป็ นข้อมูลเปรี ยบเทียบผลกำรเรี ยนระยะก่อนและหลังเรี ยน กำรที่ครู มีขอ้ มูลเกี่ยวกับผลกำร
เรี ยนทั้งก่อนและหลังเรี ยนจะทำให้ครู มีขอ้ มูลที่มีประโยชน์มำกในกำรปรับปรุ งและพัฒนำผูเ้ รี ยนที่ยงั เรี ยน
ไม่เข้ำใจ เมื่อครู มีนักเรี ยนที่ยงั เรี ยนไม่เข้ำใจ ครู ตอ้ งปรับเปลี่ยนวิธีสอนและวิธีประเมินเพื่อให้สำมำรถ
ช่วยเหลือนักเรี ยนเหล่ำนี้ได้
ข้อมูลจำกกำรประเมินก่อนเรี ยน นอกจำกจะเป็ นประโยชน์ต่อครู ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนแล้ว
ยัง เป็ น ประโยชน์ต่อผูบ้ ริ ก ำรโรงเรี ย น นัก วิชำกำร ศึ ก ษำนิ เทศก์ และนัก วิจัย เพื่ อจะได้นำไปวำงแผน
กำรศึกษำ กำรแก้ไข ปัญหำกำรเรี ยน และปรับปรุ งหลักสูตรที่เกี่ยวข้องด้วย
2.การประเมินระหว่างเรียน
กำรประเมิ น ระหว่ ำ งเรี ย นเป็ นกำรประเมิ น ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในระหว่ ำ งที่ ก ำลัง มี ก ำรเรี ย นกำรสอน
กำรประเมินระหว่ำง เรี ยนมีลกั ษณะของกำรประเมินเป็ นระยะๆ เพื่อตรวจสอบควำมก้ำวหน้ำทำงกำรเรี ยน
ของผูเ้ รี ยนว่ำบรรลุเป้ำหมำยของ กำรเรี ยนหรื อไม่ เช่น กำรประเมินจะช่วยให้ครู ทรำบว่ำนักเรี ยนคนใดยังไม่
ค่อยเข้ำใจ คนใดบำงคนเข้ำใจดีแล้ว ครู จะ นำผลกำรประเมินไปใช้แก้ไขและปรับปรุ งนักเรี ยนได้ทนั เวลำ
ดังนั้นจะเห็นว่ำ กำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนในระยะ นี้ มีจุดมุ่งหมำยเพื่อตรวจสอบจุดอ่อน จุดแข็งของ
นักเรี ยนโดยใช้วิธีกำรเก็บข้อมูลที่ต่อเนื่ องและหลำกหลำย ถ้ำพบว่ำ นักเรี ยนส่ วนใหญ่ยงั ไม่เข้ำใจ ครู ก็
สำมำรถย้อนกลับมำสอนใหม่เพื่อช่วยให้นกั เรี ยนมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจเพิ่มขึ้นและ บรรลุมำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้
ก่อนที่จะเรี ยนเรื่ องต่อไปโดยทัว่ ไป วัตถุประสงค์ของกำรประเมินระหว่ำงเรี ยน สรุ ปได้ดงั นี้
191

1.เพื่อเป็ นข้อมูลสำหรับปรับปรุ งกำรเรี ยนกำรสอนของครู เมื่อครู ได้จดั กำรเรี ยนกำรสอนไประยะ


หนึ่ ง ครู ควรตรวจสอบผลกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอนของตนเองโดยทำกำรประเมินผูเ้ รี ยนเป็ นระยะๆ เพื่อ
ตรวจสอบว่ำนักเรี ยน มีควำมรู ้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับเรื่ องที่สอนอย่ำ งไรบ้ำง ยังมีจุดใดบ้ำงที่ตอ้ งทบทวนกัน
ใหม่ เพื่อที่ครู จะได้มีเวลำเตรี ยม ตัวทบทวนจุดดังกล่ำว ถ้ำพบว่ำนักเรี ยนยังไม่เข้ำใจ ครู ควรหำวิธีกำรต่ำงๆ
เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของนักเรี ยนได้ตรงกับที่ นักเรี ยนต้องกำร และทันเวลำ
2.เพื่อติดตำมพัฒนำกำรของนักเรี ยนเป็ นระยะๆ ครู สำมำรถนำข้อมูลจำกกำรประเมินระหว่ำงกำร
เรี ยนกำร สอนไปเทียบกับข้อมูลจำกกำรประเมินก่อนเรี ยนเพื่อวิเครำะห์วำ่ นักเรี ยนมีพฒั นำกำรทำงกำรเรี ยน
หรื อไม่ กำรจัดกำร เรี ยนกำรสอนของครู ส ำมำรถลดจุ ดอ่อนของนัก เรี ยนได้หรื อไม่ ถ้ำนักเรี ยนยังไม่มี
พัฒนำกำรครู ตอ้ งแก้ไขใหม่จนกว่ำนักเรี ยนจะมีควำมรู ้ควำมเข้ำใจเนื้ อหำสำระกำรเรี ยนรู ้ตำมที่ครู กำหนดไว้
3.เพื่อเป็ นข้อมูลย้อนกลับแก่ครู นักเรี ยน ผูป้ กครอง และผูท้ ี่เกี่ยวข้องอื่นๆ กำรที่ครู ใช้กำรประเมิน
ระหว่ำง เรี ยนเพื่อวิเครำะห์จุดอ่อน จุดแข็งของนัก เรี ยน จะทำให้ครู มีขอ้ มูลเพื่อปรึ กษำกับผูป้ กครองเพื่ อ
พัฒนำผูเ้ รี ยนได้อย่ำง ถูกต้อง อันจะเป็ นผลดี ต่อนักเรี ยน นอกจำกนี้ ขอ้ มูลดังกล่ำวยังช่ วยให้ผูท้ ี่ เกี่ย วข้อง
ได้รับรู ้ และสำมำรถร่ วมมือกัน พัฒนำนักเรี ยน
4.เพื่อเป็ นข้อมูลสำหรับปรับกำรสอนเรื่ องต่อไป ข้อมูลที่ได้ จำกกำรประเมินระหว่ำงเรี ยนอย่ำง
ต่อเนื่อง จะ ทำให้ครู สำมำรถจัดกำรเรี ยนกำรสอนได้เหมำะสม และทันเวลำ
5.เพื่อเป็ นข้อมูลประกอบกำรประเมินหลังเรี ยน กำรสรุ ปผลกำรเรี ยนของนักเรี ยนอำจใช้ขอ้ มูลจำก
กำร ประเมินก่อนเรี ยน ระหว่ำงเรี ยน และกำรประเมินหลังเรี ยน เพื่อให้สำมำรถประเมินควำมรู ้ของนักเรี ยน
ได้อย่ำง ถูกต้อง และเหมำะสม
เครื่ องมือสำหรับกำรประเมินระหว่ำงเรี ยนควรมีลกั ษณะเป็ นกำรประเมินเพื่อวินิจฉัยกำรเรี ยนของ
นักเรี ยนใน ระหว่ำงกำรเรี ยนกำรสอน และควรเป็ นเครื่ องมือที่หลำกหลำย อย่ำงไรก็ตำม สิ่ งที่สำคัญที่สุด
ของกำรประเมินระหว่ำง เรี ยนที่เรำต้องพึงระวังเสมอ คือ กำรมีเครื่ องมือที่ดีและหลำกหลำยไม่ใช่หลัก
รับประกันว่ำจะเป็ นกำรประเมินระหว่ำง กำรเรี ยนกำรสอนที่ดี เพรำะกำรประเมินระหว่ำงเรี ยนเป็ นกระบวน
กำรใช้ผลกำรประเมิ นเพื่อแก้ไขและพัฒนำผูเ้ รี ยน ดังนั้น กำรประเมิ นระหว่ำงเรี ยนที่ มีคุณภำพจึ งต้องมี
ข้อมูลย้อนกลับที่ดี ข้อมูลย้อนกลับที่ดีจึงมำจำกกำรวิเครำะห์ผล กำรตอบของนักเรี ยนอย่ำงรอบด้ำน ดังนั้น
ครู จึงตรวจและวิเครำะห์ผลกำรประเมินระหว่ำงเรี ยนของนักเรี ยนเพื่อให้ มีขอ้ มูลย้อนกลับแก่นกั เรี ยน และที่
สำคัญคือ เมื่อครู ใช้กำรประเมินแล้ว ครู ตอ้ งมีขอ้ มูลเพื่อตอบคำถำมในประเด็น ต่อไปนี้
1. นักเรี ยนเรี ยนรู ้อะไรแล้วบ้ำง ยังไม่เรี ยนรู ้เรื่ องอะไร
2. นักเรี ยนต้องทำอย่ำงไรจึงจะบรรลุเป้ำหมำยของกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน
192

3.การประเมินหลังเรียน
กำรประเมินหลังเรี ยนเป็ นกำรประเมินหลังจำกที่ครู จดั กำรเรี ยนกำรสอนครบตำมที่วำงแผนไว้
กำรประเมิ น แบบนี้ สำรมำรถน ำไปใช้ป ระโยชน์ ไ ด้ห ลำยอย่ ำ ง เช่ น เพื่ อ ตรวจสอบว่ ำ นัก เรี ย นบรรลุ
จุ ดมุ่งหมำยที่ วำงไว้หรื อไม่ เพื่อ ประเมิ นว่ำนักเรี ยนมี ควำมรู ้ ควำมสำมำรถตำมมำตรฐำนและตัวชี้ ว ดั ที่
กำหนดไว้หรื อไม่ เพื่อประเมินกำรให้เกรด นักเรี ยน หรื อเพื่อประเมินกำรเลื่อนชั้นนักเรี ยน กำรประเมินหลัง
เรี ยนจึงเป็ นกำรนำข้อมูลจำกกำรวัดผลกำรเรี ยน ของนักเรี ยนมำประมวลผลเพื่อตัดสิ นใจตำมเกณฑ์ที่กำหนด
ไว้ กระบวนกำรวัดผลหลัง เรี ย นจึ ง เป็ นกระบวนกำรที่ ครอบคลุ ม เนื้ อหำทั้ง หมดที่ ค รู ไ ด้ส อนแล้ว กำร
ประเมินหลังเรี ยนต้องมีคุณสมบัติในกำรจำแนกผูเ้ รี ยนที่รู้แล้วกับ นักเรี ยนที่ยงั ไม่รู้ ไม่เข้ำใจออกจำกกันได้
เครื่ องมือประเมินในกำรประเมินหลังเรี ยนจึงจำเป็ นต้องเป็ นเครื่ องมือที่ ครอบคลุมเนื้ อหำสำระ และต้องไม่
ยำกหรื อง่ำยเกินไป
ผลกำรประเมินหลังเรี ยนสำมำรถนำไปใช้ในกำรวิเครำะห์และประเมินหลักสู ตร กำรประเมินกำร
จัดกำรเรี ยน กำรสอน เพื่อให้สำมำรถวิเครำะห์จุดอ่อน จุดแข็งของหลักสูตร และคุณภำพกำรจัดกำรเรี ยนกำร
สอนของครู เพื่อให้ สำมำรถหำแนวทำงปรับปรุ งแก้ไข และพัฒนำหลักสู ตร และกำรสอนของครู ได้อย่ำง
เหมำะสม นอกจำกนี้ ครู สำมำรถ ใช้ผลกำรประเมินหลังเรี ยนเพื่อวำงแผนกำรสอนนักเรี ยนในขั้นต่อไปได้
ด้วยวัตถุประสงค์สำคัญของกำรประเมินหลังเรี ยน สรุ ปได้ดงั นี้
1.เพื่อสรุ ปผลกำรเรี ยนของนักเรี ยนให้ผูป้ กครอง ผูบ้ ริ หำร และผูเ้ กี่ ยวข้อง โดยทัว่ ไปครู ใช้กำร
ประเมินหลัง เรี ยนเพื่อรำยงำนผลกำรเรี ยนของนักเรี ยน เช่นกำรรำยงำนเกรดของแต่ละภำคเรี ยนที่ ตดั สิ นชื้น
ตำมเกณฑ์ก ำรประเมิ น ของครู จริ ง ๆ แล้ว กำรให้เ กรดเป็ นกำรจ ำแนกผู ้เ รี ย นตำมระดับ ของควำมรู ้
ควำมสำมำรถที่มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้กำหนด ไว้ซ่ ึงอำจเป็ นกำรประเมินแบบอิงเกณฑ์ หรื ออิงกลุ่มก็ได้ในกำร
รำยงำนผลกำรเรี ยนที่มีคุณภำพ ครู ควรมีรำยละเอียด เพิ่มเติม นอกจำกเกรดที่ให้กบั นักเรี ยน ข้อมูลที่ครู ควร
มี ได้แก่ อันดับคะแนนในแต่ละวิชำ ตำแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ใน แต่ละรำยวิชำ และค่ำสถิติอื่นๆ เช่น ค่ำเฉลี่ย
มัธยฐำน ฐำนนิ ยม พิสัย ส่ วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และควำมถี่ ข้อมูลเหล่ำ นี้ จะช่วยให้นักเรี ยน ผูป้ กครอง
และผูบ้ ริ หำรเข้ำใจระดับควำมรู ้ควำมสำมำรถของนักเรี ยนได้ลึกซึ้งมำกขึ้น
2.เพื่อสรุ ปมำตรฐำนกำรศึกษำ มำตรฐำนกำรศึกษำ คือ ควำมรู ้ควำมสำมำรถหรื อคุณลัก ษณะที่
นักเรี ยน ควรมีหรื อสำมำรถทำได้เมื่อได้รับกำรศึกษำจำกครู และสถำนศึกษำ ผลกำรประเมินผลหลังเรี ยน
สำมำรถนำมำใช้เพื่ อ ประเมินว่ำสถำนศึกษำได้จดั กำรศึกษำบรรลุมำตรฐำนมำกน้อยเพียงใด โรงเรี ยนที่มี
มำตรฐำนเป็ นโรงเรี ย นที่ นัก เรี ย น มี ค วำมรู ้ ควำมสำมำรถตำมมำตรฐำนที่ ก ำหนดไว้ใ นหลัก สู ตร ส่ วน
โรงเรี ยนที่ไม่ได้มำตรฐำน คือ โรงเรี ยนที่นกั เรี ยน ส่วนใหญ่มีควำมรู ้ควำมสำมำรถ หรื อคุณลักษณะอื่นๆ ต่ำ
193

กว่ำเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ดังนั้นกำรจะตัดสิ นใจว่ำโรงเรี ยนใดมี มำตรฐำนมำกกว่ำกันจึ ง จำเป็ นต้องใช้ก ำร


ประเมินที่เหมำะสม และเกณฑ์ที่นำมำเปรี ยบเทียบควรเป็ นเกณฑ์ที่ถูกต้อง เหมำะสมด้วยเช่นกัน
3.เพื่อออกใบรับรองกำรให้ใบรับรองผลกำรเรี ยนตำมขั้นต่ำงๆ ระดับต่ำงๆ หรื อวิชำต่ำงๆ ส่ วนใหญ่
ใช้กำรประเมินประเภทหลังเรี ยน เช่น กำรออกใบรับรองผลกำรเรี ยนระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนปลำย หรื อ
ใบประกอบวิชำชีพครู และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ เป็ นต้น
4.เพื่อสะท้อนผลกำรสอนให้ครู ผูบ้ ริ หำร และผูท้ ี่เกี่ยวข้องทรำบผลกำรเรี ยนของนักเรี ยนสะท้อน
คุณภำพ กำรสอนของครู กำรที่นกั เรี ยนสอบตกมำก หรื อมีควำมรู ้ควำมสำมำรถไม่ผ่ำนมำตรฐำนกำรศึกษำ
ชี้ให้เห็นถึงปั ญหำ ของนักเรี ยนและปั ญหำกำรสอนของครู ดังนั้น กำรใช้กำรประเมินหลังเรี ยนเพื่อรำยงำน
ผลกำรเรี ยนของนักเรี ยนตำม มำตรฐำน และตัวชี้วดั จะทำให้ครู มองเห็นปั ญหำของนักเรี ยนได้อย่ำงชัดเจน
และเป็ นข้อมูลหำแนวทำงแก้ไขปั ญหำของ นักเรี ยน และกำรสอนของตนเองได้ นอกจำกนี้ กำรรำยงำนผล
กำรเปรี ยบเทียบกำรสอนของครู แต่ละคนให้ผูบ้ ริ หำร และผูเ้ กี่ยวข้องอื่นๆ ทรำบจะทำให้สำมำรถแก้ไข
ปัญหำกำรจัดกำรศึกษำของโรงเรี ยน และเป็ นแนวทำงในกำรพัฒนำ และปรับปรุ งคุณภำพของครู ดว้ ย
5.เพื่อเปรี ยบเทียบผลกำรเรี ยนในชั้นต่ำงๆ กำรเปรี ยบเทียบผลกำรเรี ยนมิใช่เฉพำะกำรเปรี ยบเทียบ
ระหว่ ำ ง นัก เรี ย นแต่ ล ะคน หรื อ แต่ ล ะกลุ่ ม เท่ ำ นั้ น แต่ ส ำมำรถเปรี ย บเที ย บวิ ธี ก ำรสอน สื่ อ กำรสอน
ประสบกำรณ์กำรสอนของ ครู ได้ดว้ ยกำรเปรี ยบเทียบเหล่ำนี้มีประโยชน์ต่อกำรปรับปรุ งกำรจัดกำรเรี ยนกำร
สอนของสถำนศึกษำ และกำรพัฒนำ หลักสูตร
6.เพื่อเป็ นข้อมูลให้กบั ฝ่ ำยแนะแนวของโรงเรี ยน ข้อมูลกำรประเมินผลกำรเรี ยนของนักเรี ยนควรมี
กำรทำ บันทึกไว้อย่ำงเป็ นระบบ อย่ำงต่อเนื่ อง เพื่อให้ครู แนะแนวสำมำรถนำไปใช้แนะแนวนักเรี ยนได้
สะดวก กำรแนะแนว จะมีประสิ ทธิภำพหำกข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มีควำมถูกต้อง และมีรำยละเอียดมำกพอ
เช่น ควรมีผลกำรเรี ยนรำยวิชำ รำยมำตรฐำนและตัวชี้วดั เพื่อให้ครู สำมำรถแนะนำควำมถนัด และแนวทำง
กำรศึกษำต่อให้กบั นักเรี ยนได้ถูกต้อง
7.เพื่ อ เป็ นข้อ มู ล ก่ อ นเรี ย นของครู แ ละนัก เรี ย นในชั้น ถัด ขึ้ น ไป กำรจัด กำรเรี ย นกำรสอนให้มี
ประสิ ทธิภำพ นั้น ครู จำเป็ นต้องใช้ขอ้ มูลเกี่ยวกับกำรเรี ยนของนักเรี ยนที่เรี ยนในภำคเรี ยนผ่ำนมำ หรื อปี ผ่ำน
มำ เพื่อประโยชน์ใน กำรวำงแผนกำรสอน กำรเลื อกเนื้ อหำ สื่ อ และวิธีกำรสอนที่เหมำะสมกับนักเรี ยน
ดังนั้น เมื่อทำกำรประเมินหลังเรี ยน แล้ว ควรมีกำรเก็บรวบรวมข้อมูลผลกำรเรี ยนของนักเรี ยนทุกๆ ภำค
เรี ยนไว้อย่ำงเป็ นระบบ เพื่อจะช่วยให้ครู นำไปเป็ น แนวทำงประกอบกำรออกแบบจัดกำรเรี ยนกำรสอนให้มี
คุณภำพ
194

ความแตกต่างของการประเมินก่อนเรียน การประเมินระหว่างเรียน และการประเมินหลังเรียน

หัวข้อ การประเมินก่อนเรียน การประเมินระหว่างเรียน การประเมินหลังเรียน


วัตถุประสงค์ 1.เพื่อวิเครำะห์และสรุ ป 1.เพื่อเป็ นข้อมูลปรับปรุ ง 1.เพื่อสรุ ปผลกำรเรี ยนกำร
พื้นฐำนควำมรู ้ของนักเรี ยน กำรเรี ยนกำรสอน สื่ อ กำร สอนของนักเรี ยนให้ครู
สอน และเนื้อหำของครู ผูป้ กครอง ผูบ้ ริ หำร และผูท้ ี่
เกี่ยวข้องอื่นๆ ทรำบ
2.เพื่อวินิจฉัยจุดอ่อน จุด 2.เพื่อติดตำมพัฒนำกำร 2.ใช้เพื่อตัดเกรด
แข็ง ของนักเรี ยน ของนักเรี ยนเป็ นระยะๆ
3.เพื่อเป็ นข้อมูลให้ครู ได้ 3.เพื่อเป็ นข้อมูลย้อนกลับ 3.เพื่อประเมินควำม
รู ้จกั นักเรี ยนก่อนเรี ยน แก่ครู ผูป้ กครอง นักเรี ยน สอดคล้อง ระหว่ำง
ในกำรเรี ยนกำรสอน จุดมุ่งหมำย กำรเรี ยน กำร
สอน กำรวัดและ กำร
ประเมินของแต่ละสำระ กำร
เรี ยนรู ้
4.เพื่อเป็ นข้อมูลในกำร จัด 4.เพื่อเป็ นข้อมูลสำหรับ 4.เพื่อใช้ประเมินมำตรฐำน
กลุ่ม เลือกวิธีสอน อุปกรณ์/ ปรับ กำรเรี ยนกำรสอน กำรศึกษำ
สื่ อ เนื้อหำให้ เหมำะสมกับ ครั้ง ต่อไป
นักเรี ยน 5.เพื่อเป็ นข้อมูล 5.เพื่อใช้สำหรับประเมินเพื่อ
5.เพื่อให้ขอ้ มูลกับนักเรี ยน ประกอบกำร ประเมิน ออกใบรับรอง
และผูป้ กครอง หลังเรี ยน
6.เพื่อเป็ นข้อมูลสำหรับกำร 6.เพื่อเป็ นข้อมูลให้กบั ฝ่ ำย
แนะแนว แนะแนวของโรงเรี ยน
7. เพื่อใช้ในกำร 7.เพื่อใช้เป็ นข้อมูล
เปรี ยบเทียบ ผลกำรเรี ยน เปรี ยบเทียบ ผลกำรเรี ยน
ก่อนและ หลังเรี ยน ภำยในโรงเรี ยน และ
ระหว่ำงโรงเรี ยน
8.เพื่อเป็ นข้อมูลก่อนเรี ยน
9.เพื่อเป็ นข้อมูลกำรวิจยั ทำง
กำรศึกษำ
195

หัวข้อ การประเมินก่อนเรียน การประเมินระหว่างเรียน การประเมินหลังเรียน


เครื่ องมือ แบบทดสอบแบบสัมภำษณ์ แบบทดสอบแบบ แบบทดสอบแบบสัมภำษณ์
วัดผล แบบสอบถำม แบบสังเกต สัมภำษณ์ แบบสอบถำม แบบสอบถำม แบบสังเกต
กำรตั้งค่ำถำม แบบวัดทำง แบบสังเกต กำรตั้งค่ำถำม กำรตั้งค่ำถำม แบบวัดทำง
จิตวิทยำ แบบวัดอื่นๆ แบบวัดทำง จิตวิทยำ จิตวิทยำ แบบวัดอื่นๆ
แบบวัดอื่นๆ
แบบทดสอบ ง่ำย และครอบคลุมเนื้ อหำ ง่ำย และครอบคลุมเนื้ อหำ ยำกปำนกลำงและ
ผล ส้มฤทธิ์ ที่เคยเรี ยน ที่เคยเรี ยน ครอบคลุมเนื้อหำที่เคยเรี ยน
ทำงกำรเรี ยน
ที่ครู สร้ำงขึ้น
กำรนำผล 1.ครู สรุ ปผลและนำไปเป็ น 1.ครู สรุ ปผลและนำข้อมูล 1.ครู สรุ ปผลกำรเรี ยนและ
ไปใช้ ข้อมูลในกำรจัดกำรเรี ยน ไปใช้ปรับปรุ งกำรจัดกำร รำยงำนผลกำรเรี ยนและกำร
กำรสอนให้เหมำะสมกับ เรี ยนกำรสอน ให้เกรด
พื้นฐำนของนักเรี ยน
2.ผูบ้ ริ หำรนำผลไปใช้เพื่อ 2.ครู สอนเสริ มให้นกั เรี ยน 2.ผูบ้ ริ หำรสรุ ปผลกำรเรี ยน
สร้ำงโปรแกรมสอนเสริ ม ในเนื้อหำที่นกั เรี ยนยังไม่ ของนักเรี ยนและแจ้งให้
ให้กบั นักเรี ยนที่ยงั ขำด เข้ำใจ ผูป้ กครองทรำบ
พื้นฐำนทำงกำรเรี ยน
3.ผูบ้ ริ หำรใช้ในกำร 3.ครู แจ้งผูป้ กครองให้ 3.นักกำรศึกษำนำผลสรุ ปมำ
ประเมินปัญหำกำรเรี ยนกำร ช่วยเหลือนักเรี ยนและ ประเมินคุณภำพและ
สอนที่ผำ่ นมำและหำ ร่ วมมือกับครู เพื่อพัฒนำ ประสิ ทธิภำพของหลักสูตร
แนวทำงพัฒนำส่งเสริ ม ผูเ้ รี ยน และกำรจัดกำรศึกษำ
4.นักกำรศึกษำวิเครำะห์ 4.นักวิจยั นำผลมำวิเครำะห์
ปัญหำของหลักสูตรกำร และสรุ ปผลคุณภำพและ
จัดกำรเรี ยนกำรสอน สื่ อ ประสิ ทธิภำพของกำรศึกษำ
กำรสอน และกำรวัดและ
ประเมินผล
196

ข้ อสอบอัตนัย (ข้ อเขียน) วิชาชีพครู เรื่ อง การออกแบบการเรียนรู้ Backward Design


จงอธิบายขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้ Backward Design มาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
197

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
จงอธิบายขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้ Backward Design มาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง
ตอบ กำรออกแบบกำรเรี ยนกำรสอนแบบย้อนกลับ (Backward Design) หมำยถึง กำรวำงแผนกำรจัดกำร
เรี ยนรู ้ มุ่งเน้นที่ผเู ้ รี ยนมีควำมรู ้ ควำมเข้ำใจฝังลึก (deep knowledge) โดยกำหนดผลกำรเรี ยนรู ้ ที่คำดหวังจำก
มำตรฐำนกำรเรี ยนรู ้ ของกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ หรื อคำอธิบำยรำยวิชำของหลักสู ตร เพื่อกำหนดพฤติกรรมที่
พึงประสงค์และเป็ นแนวทำงในกำรกำหนดจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ กำรออกแบบกำรวัดและประเมินผล
รวมทั้งกำรออกแบบกิ จกรรมกำรเรี ยนกำรสอนอย่ำงเป็ นขั้นตอน กระชับ เกิ ดประสบกำรณ์ กำรเรี ยนได้
สอดคล้องกับจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้กำรวัดและประเมินผล
ขั้นตอนการออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ (Backward Design)
ขั้นตอนที่ 1 กาหนดความรู้ ความสามารถหรื อผลลัพธ์ ของการเรียนรู้
หมำยถึง กำรกำหนดผลกำรเรี ยนรู ้ ที่คำดหวัง (Learning outcome) ที่ มุ่งหวังให้เกิ ดขึ้นกับผูเ้ รี ย น
(Identify desired results) ตำมมำตรฐำนกำรเรี ย นรู ้ ของกลุ่ ม สำระกำรเรี ย นรู ้ ห รื อ ค ำอธิ บ ำยรำยวิ ช ำใน
หลักสู ตรกำรกำหนดผลกำรเรี ยนรู ้ที่คำดหวังควรคำนึ งถึงผูเ้ รี ย นมีควำมรู ้ ควำมเข้ำใจและควำมสำมำรถ
อะไรบ้ำง ควำมรู ้และควำมสำมำรถที่มีคุณค่ำต่อกำรเรี ยนรู ้ ของผูเ้ รี ยนคืออะไร ควำมรู ้และควำมสำมำรถที่
คงทนที่ตอ้ งกำรให้ด ำรงอยูก่ บั ผูเ้ รี ยนคืออะไร
ควำมรู ้และควำมสำมำรถที่คงทนเป็ นสิ่ งสำคัญของกำรกำหนดผลกำรเรี ยนรู ้ที่คำดหวังซึ่ งจะต้อง
วิเครำะห์ให้ชดั เจนว่ำแต่ละหน่วยกำรเรี ยนรู ้มีควำมสำมำรถที่คงทนอะไรบ้ำงที่จะต้องให้เกิดขึ้นกับผูเ้ รี ยน
จำเป็ นต้องพัฒนำให้เกิดขึ้นอย่ำงเป็ นลำดับขั้นตอน ได้แก่
1.กำรกระตุน้ ควำมรู ้ เดิมที่สร้ำงให้ผเู ้ รี ยนคุน้ เคยกับควำมรู ้ใหม่
2.กำรเสริ มสร้ำงควำมรู ้และทักษะที่สำคัญที่จะไปเสริ มควำมรู ้ใหม่
3.กำรผสมผสำนเชื่อมโยงให้เป็ นควำมรู ้และควำมสำมำรถที่คงทน
ขั้นตอนที่ 2 การกาหนดพฤติกรรมหรื อหลักฐานที่สาคัทที่แสดงให้ เห็นว่ าผู้เรียนได้ บรรลุผลการเรียนรู้ ตามที่
กาหนด
หลังจำกที่ผูเ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้จำกหน่วยกำรเรี ยนรู ้ที่กำหนดไว้กำรออกแบบกำรจัดกำรเรี ยนรู ้จะต้อง
ตอบคำถำมให้ได้สำหรับขั้นตอนนี้ คือ จะทรำบได้อย่ำงไรว่ำผูเ้ รี ยนมีควำมรู ้ควำมสำมำรถตำมผลกำรเรี ยนรู ้
ที่กำหนดไว้กำรแสดงออกของผูเ้ รี ยนเป็ นอย่ำงไรจึงจะยอมรับได้ว่ำผูเ้ รี ยนมีควำมรู ้ควำมสำมำรถตำมที่
ก ำหนดไว้ กำรก ำหนดตัวบ่ งชี้ ค วำมส ำเร็ จทำงกำรเรี ยนรู ้ อย่ำงเป็ นรู ปธรรมโดยกำรวิเครำะห์คำสำคัญ
198

(keywords) ในผลกำรเรี ยนรู ้ ที่คำดหวัง แล้วเขีย นเป็ นจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้ ต้องระบุพฤติก รรมที่ ชัด เจน
สำมำรถวัดและประเมินผลได้กำรกำหนดจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้มีหลักกำรดังนี้
1.มีควำมสอดคล้องกับผลกำรเรี ยนรู ้ที่คำดหวัง
2.เป็ นพฤติกรรมที่สำมำรถวัดและประเมินผลได้
3.เป็ นควำมรู ้และควำมสำมำรถที่คงทนหรื อควำมรู ้ฝังลึก
4.แนะแนวทำงสู่ กำรออกแบบกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้รวมทั้งกำรวัดและประเมินผล
5.ผูเ้ รี ยนสำมำรถใช้เป็ นแนวทำงกำรเรี ยนรู ้สำหรับตนเองได้
ขั้ น นตอนที่ 3 การออกแบบกิ จ กรรมการเรี ย นรู้ และการวั ด และประเมิ น ผลให้ ส อดคล้ อ งกับ
จุดประสงค์ การเรียนรู้
เป็ นกำรกำหนดวิธีกำรวัดและเครื่ องมือวัดให้สอดคล้องกับจุดประสงค์กำรเรี ยนรู ้และกิจกรรมกำร
เรี ยนรู ้รวมทั้งกำรกำหนดเกณฑ์กำรประเมินที่มีควำมชัดเจน กำรวัดและประเมินผลกำรเรี ยนรู ้ ที่เป็ นควำมรู ้
ควำมเข้ำใจที่คงทน (Enduring understanding) ของผูเ้ รี ยนวิธีกำรประเมินที่เหมำะสมคือวิธีกำรประเมินตำม
สภำพจริ ง (Authentic assessment) ซึ่ งควรดำเนิ นกำรควบคู่ไปกับกำรจัดกำรเรี ย นรู ้ อย่ำงต่อเนื่ องและยึด
หลักกำรประเมินดังนี้
1.ใช้วิธีกำรที่หลำกหลำย เช่น กำรสังเกต กำรสัมภำษณ์กำรทดสอบ หรื อกำรรำยงำนตนเอง
2.ใช้ผปู ้ ระเมินที่หลำกหลำย เช่น ผูส้ อน ผูเ้ รี ยนประเมินตนเอง และเพื่อนประเมิน
3.ใช้ระยะเวลำที่หลำกหลำย เช่น ก่อนเรี ยน ระหว่ำงเรี ยน และหลังกำรเรี ยน
199

ข้ อสอบอัตนัย (ข้ อเขียน) วิชาชีพครู เรื่ อง การจัดการเรียนรู้ที่ให้ ผ้เู รียนเกิดการคิด


จงอธิบายการจัดการเรียนรู้ที่ให้ ผ้เู รียนเกิดการคิดมาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง (3 รูปแบบ)
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
200

เฉลยพร้ อมคาอธิบาย
จงอธิบายการจัดการเรียนรู้ที่ให้ ผ้เู รียนเกิดการคิดมาเข้ าใจพร้ อมยกตัวอย่าง (3 รูปแบบ)
ตอบ 1.การจัดการเรียนรู้ แบบใช้ คาถาม (Questioning Method)
กระบวนกำรเรี ยนรู ้ที่มุ่งพัฒนำกระบวนกำรทำงควำมคิดของผูเ้ รี ยน โดยผูส้ อนจะป้ อนคำถำมใน
ลักษณะต่ำง ๆ ที่เป็ นคำถำมที่ดี สำมำรถพัฒนำควำมคิดผูเ้ รี ยน ถำมเพื่อให้ผูเ้ รี ยนใช้ควำมคิดเชิ งเหตุผล
วิเครำะห์ วิจำรณ์ สังเครำะห์ หรื อ กำรประเมินค่ำเพื่อจะตอบคำถำมเหล่ำนั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1.ขั้นวำงแผนกำรใช้คำถำม ผูส้ อนควรจะมีกำรวำงแผนไว้ล่วงหน้ำว่ำจะใช้คำถำมเพื่อวัตถุประสงค์
ใดรู ปแบบประกำรใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหำสำระและวัตถุประสงค์ของบทเรี ยน
2.ขั้นเตรี ยมคำถำม ผูส้ อนควรจะเตรี ยมคำถำมที่จะใช้ในกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ โดยกำรสร้ำง
คำถำมอย่ำงมีหลักเกณฑ์
3.ขั้นกำรใช้คำถำม ผูส้ อนสำมำรถจะใช้คำถำมในทุกขั้นตอนของกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ และ
อำจจะสร้ ำ งค ำถำมใหม่ ที่นอกเหนื อจำกค ำถำมที่ เตรี ย มไว้ก็ได้ ทั้ง นี้ ต้องเหมำะสมกับเนื้ อหำสำระและ
สถำนกำรณ์น้ นั ๆ
4.ขั้นสรุ ปและประเมินผล
4.1 กำรสรุ ปบทเรี ยนผูส้ อนอำจจะใช้คำถำมเพื่อกำรสรุ ปบทเรี ยนก็ได้
4.2 กำรประเมินผล ผูส้ อนและผูเ้ รี ยนร่ วมกันประเมินผล กำรเรี ยนรู ้ โดยใช้วิธีกำรประเมินผลตำม
สภำพจริ ง
2.การจัดการเรียนรู้ แบบการใช้ ปัญหาเป็ นฐาน (Problem Based Learning)
กำรเรี ย นรู ้ แบบใช้ปั ญหำเป็ นฐำนเป็ นกำรเรี ย นที่ เ ริ่ ม ต้นด้วยปั ญ หำที่ เกี่ ย วข้อ งกับ ชี วิ ตจริ ง เป็ น
ตัวกระตุน้ ให้ผูเ้ รี ยนเกิดควำมสงสัย อยำกรู ้อยำกเห็น และต้องกำรที่จะแสวงหำควำมรู ้เพื่อขจัดควำมสงสัย
ดังกล่ำว
201

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 1 สารวจประเด็นที่เป็ นปัญหา
ขั้นตอนนี้ เป็ นกระบวนกำรที่ ผูเ้ รี ยนจะตรวจสอบพิจำรณำว่ำตนเองรู ้อะไรแล้วบ้ำงในประเด็นที่
เกี่ยวข้องกับปัญหำนั้นๆ และจะ แบ่งปันควำมรับผิดชอบและร่ วมมือกันในกลุ่มได้อย่ำงไร
ตัวอย่ำงเช่น ผูเ้ รี ยนได้รับมอบหมำยให้ศึกษำว่ำ “คอมพิวเตอร์ช่วยพัฒนำ กำรเรี ยนรู ้ได้หรื อไม่” ซึ่ง
เมื่อตรวจสอบกับเพื่อนร่ วมทีมแล้วพบว่ำแต่ละคนอำจมีประสบกำรณ์ เกี่ยวกับกำรใช้คอมพิวเตอร์ ในชั้น
เรี ยน เคยอ่ำนบทควำมที่เกี่ยวข้อง และเคยได้ฟังควำมคิดเห็น จำกผูอ้ ื่น จำกนั้นจึงเริ่ มพิจำรณำว่ำจะมีวิธีกำร
นำเอำควำมรู ้ ควำมคิดเห็นของแต่ละคนมำกำหนด แนวปฏิบตั ิร่วมกันอย่ำงไร วิธีกำรที่ดีที่สุดอำจเป็ นกำรให้
แต่ละคนเล่ำประสบกำรณ์ของตนเอง ให้ฟังว่ำเคยได้พบเห็นอะไรอย่ำงไร เคยทำอะไรอย่ำงไร และเคยได้ยนิ
ได้ฟังเรื่ องที่เกี่ยวข้องว่ำอย่ำงไร ซึ่ งจะเป็ นจุดเริ่ มต้นที่ดีและนำไปสู่ ควำมพร้อมในกำรดำเนิ นกำรขั้นต่อไป
โดยเฉพำะกำรเล่ำเรื่ องรำว ต่ำง ๆ นั้นเป็ นขั้นตอนที่สนุ กสนำน เป็ นทักษะขั้นพื้นฐำนที่จำเป็ นในโลกแห่ ง
ข้อมูลข่ำวสำร จำกนั้นจึงสรุ ปข้อมูลต่ำงๆ เป็ นองค์ควำมรู ้ร่วมกันโดยรู ปแบบที่สำมำรถจดจำและเข้ำใจได้
ง่ำย สำมำรถปรับและประยุกต์ใช้ในสถำนกำรณ์หรื อประสบกำรณ์ใหม่ได้
ขั้นตอนที่ 2 นิยามปัญหา
ผูเ้ รี ยนจะตรวจสอบพิจำรณำค้นหำให้ เห็นชัดเจนว่ำอะไรคือปั ญหำที่ตอ้ งร่ วมกันแก้ไขและสร้ำง
ข้อตกลงเป็ นข้อสรุ ปของแนวทำงแก้ปัญหำ ร่ วมกันกำรนิยำมปัญหำ จำเป็ นต้องอำศัยกำรสื บค้นและอภิปรำย
อย่ำงกว้ำงขวำง โดยมีจุดมุ่งหมำย เพื่อสร้ำงควำมเข้ำใจในปัญหำร่ วมกันและสร้ำงภำพเหตุกำรณ์สถำนกำรณ์
ในควำมรู ้สึกและกำรรับรู ้ ซึ่งรวมถึงเงื่อนไข ข้อจำำกัด และหลักเกณฑ์สำคัญของแนวทำงแก้ปัญหำ ที่เป็ นที่
ยอมรับร่ วมกัน และส่งนิยำมปัญหำที่ชดั เจนให้ครู ผสู ้ อนเมื่อผูเ้ รี ยนดำเนินกำรได้แล้ว
ตัวอย่ำงจำกประเด็นปัญหำ “คอมพิวเตอร์ช่วยพัฒนำกำรเรี ยนรู ้ได้หรื อไม่” ที่ผเู ้ รี ยนได้รับมอบหมำย
ในขั้นตอนที่ 1 ผูเ้ รี ยนจะพบได้วำ่ มีวิธีกำรมำกมำยหลำยวิธีที่จะนำปั ญหำไป กำหนดเป็ นค่ำงำน อำจโดยกำร
สรุ ปปัญหำเป็ นเชิงวิจยั ว่ำ “กำรศึกษำวิจยั เรื่ องเกี่ยวกับกำรพัฒนำ กำรเรี ยนรู ้ของนักเรี ยนโดยใช้คอมพิวเตอร์
หรื อไม่” และกำรวิจยั นั้นบอกอะไรบ้ำง ผูเ้ รี ยนอำจรู ้สึกว่ำปั ญหำนั้นเป็ นเรื่ องยุง่ ยำกซับซ้อนในกำรนำปั ญหำ
ไปแปรเป็ นสมมุติฐำนเพื่อนำไปสู่กำรสรุ ปผลที่ตรง กับควำมเป็ นจริ ง และตอบได้วำ่ เป็ นเหตุเป็ นผลที่แท้จริ ง
คุม้ ค่ำเวลำและกำรลงทุน
202

ขั้นตอนที่ 3 สื บเสำะหำทำงแก้ปัญหำ
ขั้นนี้ เป็ นกำรให้ผเู ้ รี ยน พิจำรณำว่ำ มีอะไรบ้ำงที่ตนเองต้องรู ้และต้องทำเพื่อกำรแก้ปัญหำและเป็ น
ขั้นตอนที่ ตอ้ งกำรอภิ ปรำย อย่ำงกว้ำงขวำงเช่นเดี ยวกัน โดยมี กิจกรรมสำคัญคือ กำรตรวจสอบพิจำรณำ
ปั ญหำ โดยอำศัยควำมรู ้ และประสบกำรณ์อย่ำงรอบคอบ รอบด้ำนทั้งโดยกำรสื บค้นจำกแหล่งต่ำงๆ สร้ำง
สมมุตติฐำนที่ ชัดเจนเพื่อเป็ นแนวทำงสื บค้นหำทำงแก้ปัญหำตรวจสอบและระบุให้ชดั เจนว่ำสมำชิกในกลุ่ม
รู ้ อะไรบ้ำงและจำเป็ นต้องรู ้อะไรเพิม่ เติมอีก แล้วจึงลงสรุ ปแนวทำงแก้ปัญหำร่ วมกันตัวอย่ำง กรณี ดังกล่ำว
ข้ำงต้นนี้ หำกมีปัญหำว่ำ ผูเ้ รี ยนอำจต้องกำรที่จะศึกษำทบทวนงำนวิจยั เพื่อค้นหำผลกำรศึกษำ ล่ำสุดในเรื่ อง
ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ และกำรเรี ยนรู ้ผเู ้ รี ยนจำเป็ นต้องรู ้จกั และสื บค้นว่ำมีกำรศึกษำ เรื่ องนี้ อย่ำงไรแล้ว
บ้ำง แล้วประมำณค่ำควำมเชื่อมัน่ ของกำรวิจยั (ซึ่ งอำจได้จำกค่ำกำรวิเครำะห์ ทำงสถิติ) และตัดเงินว่ำจะนำ
ผลกำรวิจยั นั้นมำอ้ำงอิงและใช้ประโยชน์ได้อย่ำงไร
ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาวิจัยหาทางแก้ปัญหา
ขั้นตอนนี้ เป็ น กำรศึกษำวิจยั เพื่อหำองค์ควำมรู ้และข้อมูลมำสนับสนุ นแนวทำงแก้ปัญหำที่ผูเ้ รี ยน
ร่ วมกันกำหนด เป็ นรำยกลุ่ม ดังนั้นผูเ้ รี ยนจึ ง ต้องร่ วมกันวำงแผนกำรปฏิ บ ัติง ำนออกแบบกิ จกรรมและ
กำหนด กำรทำงำนร่ วมกันเป็ นกลุ่ม โดยกำรปฏิบตั ิดงั นี้
1. ร่ วมกันพิจำรณำและอภิปรำยเกี่ยวกับแหล่งควำมรู ้ ข้อมูลที่จำเป็ นเช่น แหล่งควำมรู ้ในบทเรี ยน
ได้แก่ แบบเรี ยน คำบรรยำย ใบมอบหมำยงำนหรื อคำแนะนำจำกผูส้ อน(ข) แหล่งห้องสมุด เช่น หนังสื อ
ตำรำ โสตทัศนูปกรณ์ ห้องสมุดต่ำงๆ ซึ่งอำจต้องขอควำมช่วยเหลือ จำกบรรณำรักษ์และ (ค) แหล่งเว็บไซต์
ซึ่งสำมำรถเข้ำใช้ได้ไม่ยำกแต่ค่อนข้ำงเสี่ ยง เพรำะ ควำมแตกต่ำงในควำมน่ำเชื่อถือ ซึ่งผูใ้ ช้ตอ้ งแยกแยะเอำ
เองระหว่ำงเว็บไซต์ของผูเ้ ชี่ยวชำญกับ เว็บไซต์อื่นๆ ที่มีอย่ำงดำษดื่น ซึ่งจะถำมได้จำกผูส้ อน
2. จัดทำกำหนดกำรปฏิบตั ิงำนที่ได้รับมอบหมำย โดยระบุวนั สุ ดท้ำยที่ตอ้ ง ปฏิบตั ิสำหรับสมำชิก
ในทีมงำนทุกคนเพื่อให้ศึกษำข้อมูลควำมรู ้ต่ำงๆ แล้วสรุ ปผลนำเสนอข้อมูล ที่ดินค้นพบแก่กลุ่ม
3. หำกแนวทำงแก้ปัญหำของกลุ่มตอบสนองกำรแก้ปัญหำได้ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี ก็สำมำรถนำไป
กำหนดใช้อย่ำงเป็ นจริ งเป็ นจังและปฏิบตั ิ กิจกรรมขั้นตอนต่อไปได้ แต่หำกไม่ เป็ นเช่ นนั้น ก็ให้กลับไป
ปฏิบตั ิในขั้นตอนที่ 3 และ 4 ใหม่อีกจนกว่ำจะได้คำตอบที่แก้ปัญหำนั้นได้
203

ขั้นตอนที่ 5 เขียนแนวทางแก้ปัญหาเป็ นลายลักษณ์ อกั ษร


ขั้นตอนนี้ ผูเ้ รี ยนต้องใช้ทกั ษะสื่ อสำรเพื่อแสดงให้เห็นแนวทำงแก้ปัญหำของตนเองที่ชดั เจนและ
ตอบสนองต่อปั ญหำ สำเหตุ ข้อขัดแย้ง และหลักฐำน ใช้เวลำในกำรทบทวนสภำพงำนของหน่วยงำนคน
อย่ำงพอเพียงแล้วเขียนแนวทำงแก้ปั ญหำที่เป็ นไปได้พร้อมตรวจสอบแก้ไขให้อ่ำนเข้ำใจได้ง่ำย และชัดเจน
แล้วน่ำเสนอด้วยรู ปแบบวิธีกำรที่เหมำะสม
ขั้นตอนที่ 6 ทบทวนกำรปฏิบตั ิงำน
ขั้นนี้ เป็ นล ำดับ สุ ดท้ำ ยใน ขั้นตอนกระบวนกำรแก้ปั ญหำซึ่ ง ง่ ำ ยต่ อกำรที่ จะถู ก มองข้ำ มไม่ ใ ห้
ควำมสำคัญ แต่เป็ นขั้นตอน ที่จำเป็ นต่อกำรปรับปรุ งทักษะกำรแก้ปัญหำของผูเ้ รี ยนซึ่งจะมีกำรประเมินผล
กำรแก้ปั ญ หำตำม แนวทำงแก้ปั ญ หำของผูเ้ รี ย นแต่ ล ะคนและของกลุ่ม เพื่ อ ให้เ ห็ น ว่ำ ท ำอะไรได้ดี มี
ข้อผิดพลำดอย่ำงไร ซึ่งจะเป็ นโอกำสที่ช่วยสร้ำงบทเรี ยนสำหรับผูป้ ฏิบตั ิดว้ ยโดยให้กลุ่มของผูเ้ รี ยนร่ วมกัน
อภิปรำย หำแนวทำงพัฒนำในกำรแก้ปัญหำครำวต่อไป
3. การจัดการจัดการเรียนรู้ แบบเชิงรุก Active Learning
กระบวนกำรที่เปิ ดโอกำสให้ผเู ้ รี ยนมีส่วนร่ วมในกำรด ำเนินในกำรจัดกิจกรรมกำรรู ้เพื่อสร้ำงควำม
เข้ำใจลึกซึ้งด้วยกำรเชื่อมโยงผูเ้ รี ยนกับเนื้ อหำในองค์ควำมรู ้ที่เป็ นข้อเท็จจริ ง แนวคิดและทักษะ ผ่ำนกำรจัด
กิจกรรมที่ให้ผเู ้ รี ยนได้ลงมือปฏิบตั ิจริ ง
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

กรวยแห่ งการเรียนรู้ (The Cone of Learning)


กระบวนการเรียนรู้ แบบตั้งรับ (Passive Learning)
1.กำรเรี ยนรู ้โดยกำรอ่ำน ท่องจำผูเ้ รี ยนจะจำได้ในสิ่ งที่เรี ยนเพียง 20%
2.กำรเรี ยนรู ้โดยกำรฟังบรรยำยเพียงอย่ำงเดียวโดยที่ผเู ้ รี ยนไม่มีโอกำสได้มีส่วนร่ วมใน
3.กำรเรี ยนรู ้ดว้ ยกิจกรรมอื่นในขณะที่ครู สอน เมื่อเวลำผ่ำนไปผูเ้ รี ยนจะจำได้เพียง 20% หำกในกำร
เรี ยนกำรสอนผูเ้ รี ยนมีโอกำสได้เห็นภำพประกอบด้วยก็จะทำให้ผลกำรเรี ยนรู ้คงอยูไ่ ด้เพิม่ ขึ้นเป็ น 20%
4.กำรเรี ย นรู ้ ที่ ผูส้ อนจัดประสบกำรณ์ ใ ห้กับ ผูเ้ รี ย นเพิ่ มขึ้ น เช่ น กำรให้ดูวีดีท ัศ น์ กำรสำธิ ต จัด
นิ ทรรศกำรให้ผูเ้ รี ยนได้ดู รวมทั้งกำรนำผูเ้ รี ยนไปทัศนศึกษำหรื อดูงำน ก็ทำให้ผลกำรเรี ยนรู ้เพิ่มขึ้น เป็ น
20%
204

กระบวนการเรียนรู้ เชิงรุก ( Active Learning)


1.ผูเ้ รี ยนมีบทบำทในกำรแสวงหำควำมรู ้และเรี ยนรู ้อย่ำงมีปฏิสัมพันธ์จนเกิดควำมรู ้ ควำมเข้ำใจ
นำไปประยุกต์ใช้ สำมำรถวิเครำะห์ สังเครำะห์ ประเมินค่ำ หรื อ สร้ำงสรรค์สิ่งต่ำงๆ และพัฒนำตนเองเต็ม
ควำมสำมำรถ รวมถึงกำรจัดประสบกำรณ์กำรเรี ยนรู ้ให้ได้ร่วมอภิปรำย ให้ฝึกทั กษะกำรสื่ อสำร ทำให้ผล
กำรเรี ยนรู ้เพิ่มขึ้นเป็ น 70%
2.กำรนำเสนอผลงำนทำงกำรเรี ยนรู ้ในสถำนกำรณ์จำลอง ทั้งมีกำรฝึ กปฏิบตั ิในสภำพจริ ง มีกำร
เชื่อมโยงกับสถำนกำรณ์ต่ำงๆ จะทำให้ผลกำรเรี ยนรู ้เกิดขึ้นถึง 90%

You might also like