Professional Documents
Culture Documents
File Download
File Download
Critical Care
1
สารบัญ
Section on Pulmonary & Critical Care
Part 1: Presenting symptoms & signs
A 2 Chronic rhinorrhea 3
รศ.นพ.จักรพันธ์ สุศวิ ะ
A 3 Cough 9
ศ.พญ.อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์
A 4 Dyspnea 15
ศ.พญ.จามรี ธีรตกุลพิศาล
A 5 Hemoptysis 25
ผศ.พ.อ.หญิงสนิตรา ศิริธางกุล
A 9 Wheezing 36
รศ.นพ.สมชาย สุนทรโลหะนะกูล
C 3 Pneumothorax 53
นพ.ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, ศ.พญ.อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์
2
Chronic Rhinorhea
A2
จักรพันธ์ สุศิวะ
บทน�ำ
เด็กทีม่ นี ้�ำมูกไหลเรือ้ รัง มีอาการอยูน่ านไม่หาย หรือมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย เป็ นอาการทีพ่ บได้บอ่ ย
ในเวชปฏิบตั ิ เยือ่ บุจมูกท�ำหน้าทีส่ ำ� คัญในการหลังเยื
่ อ่ เมือกเพือ่ ดักจับเชือ้ โรค สิง่ แปลกปลอม ปรับความชืน้
อุณหภูมขิ องอากาศให้เหมาะสมก่อนทีจ่ ะหายใจเอาอากาศเข้าสูป่ อดหากได้รบั การกระตุน้ เยือ่ บุจมูกจะเกิดการ
บวมอักเสบ ท�ำให้น้�ำมูกไหล คัดจมูก อาจมีอาการต่อเนื่องเป็ นเวลานานท�ำให้ คัดจมูกมาก น�้ำมูกอาจเปลีย่ น
สีจากน�้ำใสๆเป็ นน�้ำมูกสีเขียว
การวินิจฉัยแยกโรค
สาเหตุของการมีน้�ำมูกไหลในเด็ก ส่วนใหญ่เกิดจากเป็ นหวัด การอักเสบติดเชือ้ ทีเ่ ยือ่ บุจมูกจากเชือ้
ไวรัสแล้วมีอาการของโรคหวัด อาการจะดีขน้ึ ได้ใน 1 สัปดาห์ ผูป้ ว่ ยมักมีอาการอื่นๆของโรคหวัดร่วมด้วย
เช่น มีไข้ต่ำ� ๆ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ จาม น�้ำตาไหล และอ่อนเพลีย
อาการน�้ำมูกไหลเป็ นเวลาต่อเนื่องนาน มักเกิดจากโรคภูมิแพ้ มีการประมาณพบว่าเด็กประมาณร้อย
ละ 40 ปว่ ยเป็นโรคภูมแิ พ้จมูก(allergic rhinitis)1 ซึง่ นับได้วา่ มีคา่ ใช้จา่ ยมูลค่าจ�ำนวนมหาศาลในการดูแลรักษา
และเด็กกลุม่ นี้ยงั พบว่ามีเป็นโอกาสสูงทีจ่ ะเป็นโรคหอบหืดต่อไป เด็กทีเ่ ป็นโรคภูมแิ พ้จมูกมักมีพอ่ แม่เป็นโรค
ภูมแิ พ้ หรือมีประวัตโิ รคภูมแิ พ้ในครอบครัว เด็กมักมีอาการรุนแรงขึน้ ซึง่ อาจเป็ นผลจากการกระตุน้ ของสิง่
แวดล้อมทีเ่ ป็ นมลพิษ จากฝุน่ ควันรถยนต์อนั เนื่องมาจากปญั หาการจราจร เป็ นต้น2 โรคภูมแิ พ้จมูกมักเป็ น
ในเด็กอายุมากกว่า 2 ปีขน้ึ ไป ส่วนใหญ่จะมีประวัตกิ ารสัมผัสสิง่ กระตุน้ ซึง่ อาจเป็ นในลักษณะตามฤดูกาล
หรือสัมผัสเรือ่ ยๆ เช่นได้รบั ฝุน่ ธูป ควันเทียน มลพิษ มลภาวะในอากาศ ท�ำให้น้�ำมูกไหลเรือ้ รังไม่หาย มักมี
น�้ำมูกไหลใสๆ คันตา จาม มีอาการโรคหอบหืดร่วมด้วย เด็กจะมีอาการคัดจมูก คันจมูก ชอบขยีจ้ มูก อาการ
เหล่านี้จะหายไปได้แต่มกั ใช้เวลานานเป็ นสัปดาห์หรือแรมเดือน โดยไม่มอี าการไข้และมักไม่ระบาดไปให้คน
อืน่ ๆ
3
จักรพันธ์ สุศวิ ะ Chronic Rhinorhea
แนวทางการวินิจฉัยแยกโรค
โรคภูมิแพ้จมูก (allergic rhinitis)
คือกลุม่ อาการของโรคทีม่ ี IgE เป็ นสารตัวกลางก่อโรค แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคนี้ให้ดไู ด้จาก
แนวทางการดูแลรักษาของราชวิทยาลัยทีจ่ ดั ท�ำขึน้ อาการเยือ่ บุจมูกอักเสบทัง้ กลุม่ อันเนื่องมาจากอาการแพ้
และไม่ได้เกิดจากกลุม่ อาการแพ้ มักท�ำให้มนี ้�ำมูกไหล จาม คัน คัดจมูก มีผลต่อคุณภาพการนอนหลับ มัก
ท�ำให้มกี ารง่วงนอนตอนกลางวัน ท�ำให้การมีสมาธิทด่ี ใี นการท�ำงานเสียไป ท�ำให้ผปู้ ว่ ยเด็กบางคนมีอาการ
หงุดหงิด กังวลใจ หุนหันพลันแล่น ดือ้ ซุกซนไม่อยูน่ ิ่ง แม้วา่ อาการเยือ่ บุจมูกอักเสบบางอย่างอาจไม่ได้เกิด
ขึน้ เนื่องจากภาวะภูมแิ พ้ แต่กส็ ามารถเป็ นผลให้เกิดเป็ นโรคหอบหืดเวลาต่อมาได้3
เยือ่ บุจมูกอักเสบทีไ่ ม่ได้เกิดจากโรคภูมิแพ้ จ�ำแนกเป็ น 7 แบบ ดังนี้4
1. Infectious rhinitis
2. Vasomotor rhinitis
3. occupational rhinitis
4. Hormonal rhinitis
5. Drug-induced rhinitis
6. Gustatory rhinitis
7. Nonallergic rhinitis with eosinophilia syndrome (NARES)
การซักประวัติ และตรวจร่างกายทีด่ ี ยังเป็ นปจั จัยส�ำคัญในการวินิจฉัยแยกโรค เช่น ผูป้ ว่ ยโรคภูมแิ พ้
จมูก นอกจากจะมีอาการน�้ำมูกไหล จาม คัน เยือ่ บุตาอักเสบแล้ว การตรวจร่างกายอาจพบลักษณะ “allergic
shiner” ตาคล�้ำรอบๆดวงตา มีรอยขยีจ้ มูกเกิดรอยยักทีจ่ มูกทีเ่ รียกว่า nasal crease ร่วมกับเยือ่ บุจมูกมี
ลักษณะเฉพาะแบบ boggy-appearing nasal mucosa ในผูป้ ว่ ยทีไ่ ม่ได้เป็ นโรคภูมแิ พ้อาจตรวจพบว่า มีคา่
immunoglobulin G subclass 1 (IgG1), immunoglobulin G subclass 4 (IgG4) และ anti-IgE autoantibod-
iesในซีรมเพิั ่ ม่ สูงขึน้ ได้ แต่คา่ ทีต่ รวจพบยังคงมีคา่ ต�่ำกว่าผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็นโรคภูมแิ พ้จมูกมาก การรักษาโรคภูมแิ พ้
จมูก เน้นทีก่ ารสร้างเสริมภูมติ า้ นทานต่อสารก่อภูมแิ พ้ ร่วมกับการใช้ยาลดน�้ำมูก ยาต้านสารฮิสตามีน และ
ยาออกฤทธิ ์ต้านสารก่อภูมแิ พ้
4
จักรพันธ์ สุศวิ ะ Chronic Rhinorhea
Infectious rhinitis
การอักเสบติดเชือ้ เป็ นเรือ่ งทีพ่ บบ่อยทีท่ ำ� ให้เด็กมีน้�ำมูกไหล เริม่ ต้นจากการติดเชือ้ rhinovirus, coro-
navirus, adenovirus, parainfluenza virus, respiratory syncytial virus หรือ enterovirus ส่วนใหญ่การติด
เชือ้ ไวรัสมักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน น�้ำมูกทีเ่ กิดจากการติดเชือ้ มักเริม่ จากมีน้�ำมูกใสๆจนมีสขี น้ ขึน้
การติดเชือ้ ซ�้ำเติมเป็ นเหตุให้มนี ้�ำมูกไหลอยูน่ าน อาจมีอาการปวดตามบริเวณใบหน้า กดเจ็บ จมูกไม่ได้กลิน่
มีน้�ำมูกไหลลงคอ พร้อมกับมีอาการไอ หรืออาจมีไข้รว่ มด้วย ถ้าน�้ำมูกข้นเหลืองติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์
บ่งถึงโรคไซนัสอักเสบ (rhinosinusitis) นอกจากนี้ในผูป้ ว่ ยเด็กต้องคิดถึงภาวะการเอาสิง่ แปลกปลอมใส่ไว้ใน
รูจมูก โดยอาจไม่สามารถซักประวัตมิ าสนับสนุนได้
Vasomotor rhinitis
ระบบประสาทอัตโนมัตมิ ผี ลต่อการท�ำงานของจมูก5 กล่าวคือ ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก จะท�ำให้
เลือดมาเลีย้ งทีจ่ มูกเพิม่ ขึน้ เยือ่ บุจมูกบวม มีสารคัดหลังออกมามาก
่ การออกก�ำลังกายทีเ่ หมาะสมจะกระตุน้
ระบบประสาทซิมพาเธติก ท�ำให้ความต้านทานในจมูกลดลงได้ถงึ ร้อยละ 50 vasomotor rhinitis เป็ นผลจาก
ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก ท�ำงานมากกว่าระบบประสาทอัตโนมัตซิ มิ พาเธติก เป็ นผลให้เส้นเลือดทีจ่ มูก
ขยายตัว และเยือ่ บุจมูกบวม ท�ำให้น้�ำมูกไหล จาม การบวมของเยือ่ บุจมูกเป็ นผลเนื่องจาก อากาศเย็น กลิน่
แรงๆ ความเครียด การสูดสารกระตุน้ เป็ นเหตุให้เกิดอาการ
Occupational rhinitis
ผูป้ ว่ ยมักมีอาการน�้ำมูกไหล เมือ่ อยูใ่ นทีท่ ำ� งาน เนื่องจากสูดสารกระตุน้ เช่น กลิน่ ขนสัตว์ กลิน่ กาว
ฝุน่ ไม้ หรือสารเคมีในทีท่ ำ� งาน
Hormonal rhinitis
ผลของฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัตขิ องร่างกาย เป็ นเหตุให้มอี าการน�้ำมูกไหล
ได้ น�้ำมูกไหลอันเนื่องจากการเปลีย่ นแปลงของฮอร์โมน พบได้ในภาวะตัง้ ครรภ์ ระยะมีประจ�ำเดือน การทีเ่ ด็ก
ก้าวเข้าสูว่ ยั รุน่ หรือมีการใช้ฮอร์โมน อาการน�้ำมูกไหลยังอาจพบได้ในผูป้ ว่ ยทีม่ ภี าวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
ภาวะนี้ทำ� ให้เยือ่ บุจมูก(nasal turbinate)บวม ผูป้ ว่ ยมักมีอาการคัดจมูก น�้ำมูกไหล
Drug-induced rhinitis
ยาหลายชนิดมีผลกระตุน้ ให้น้�ำมูกไหล เยือ่ บุจมูกอักเสบ ได้แก่ ยาในกลุม่ angiotensin-converting
enzyme inhibitors, reserpine, guanethidine, phentolamine, methyldopa, beta-blockers, chlorpromazine,
gabapentin, penicillamine, aspirin, nonsteroidal anti-inflammatory drugs, inhaled cocaine, exogenous
estrogens และยาคุมก�ำเนิด ภาวะ rhinitis medicamentosa เกิดจากสาเหตุของการมีน้�ำมูกไหลแตกต่าง
ไป เช่น การใช้ยา nasal sympathomimetics นานกว่า 5-10 วันเป็ นเหตุให้ alpha-receptors ในจมูกชินชา
ต่อการกระตุน้ จากภายในและภายนอก ทัง้ ทีย่ งั ใช้ยาอยูแ่ ต่ทำ� ให้มนี ้�ำมูกไหล คัดจมูกมากขึน้ เป็ นผลจากการ
ท�ำงานของ adrenergic tone เสียไป จมูกจะกลับมาเป็ นปกติภายหลังหยุดใช้ยานาน 7-21 วัน
Gustatory rhinitis
คือ การทีน่ ้�ำมูกไหลออกมามากเป็นผลจากการทีร่ บั ประทานอาหารรสจัด อาหารรสเผ็ด ซึง่ เป็นเนื่องจาก
เส้นเลือดทีเ่ ยือ่ บุจมูกมีการขยายตัว บางครัง้ อาจเกิดจากสารกันบูดหรือสีทผ่ี สมอาหารนัน้ ๆ
5
จักรพันธ์ สุศวิ ะ Chronic Rhinorhea
การรักษา
ผูป้ ว่ ยเด็กส่วนใหญ่ทม่ี อี าการน�้ำมูกไหลเรือ้ รังมักเป็ นผลจากโรคภูมแิ พ้จมูก หากตรวจพบว่าผูป้ ว่ ยมี
อาการน�้ำมูกไหลเรือ้ รังซึง่ เข้าได้กบั โรคภูมแิ พ้จมูก ก็ให้การรักษาแบบโรคภูมแิ พ้ ตามแนวทางการรักษาของ
ราชวิทยาลัย ถ้าอาการน�้ำมูกไหลเรือ้ รังเกิดจากสาเหตุอน่ื และสามารถหาสาเหตุได้จากการซักประวัติ ตรวจ
ร่างกาย ก็ให้การรักษาตามสาเหตุทต่ี รวจพบ ยาทีใ่ ช้ในการรักษาได้แก่ยาต้านสารฮิสตามีน ยาลดน�้ำมูกกลุม่
sympathomimetic และ nasal corticosteroids
ยาต้านสารฮิสตามีน (antihistamines)
เป็นยาหลักทีน่ �ำมารักษาอาการน�้ำมูกไหลเรือ้ รัง ยาจะลดอาการจาม คันจมูก ได้ผลดีในกลุม่ ผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็น
จากโรคภูมแิ พ้ ซึง่ มีการหลังสารฮิ
่ สตามีนในกลไกการเกิดโรค ยาในกลุม่ นี้จะไปต้านสารฮิสตามีนทีต่ ำ� แหน่ง
type 1 histamine receptors (H1) ยารุน่ ที่ 1 จะเป็ นยาทีล่ ะลายในไขมันได้ดี จึงซึมซ่านเข้าสูเ่ นื้อสมองท�ำให้
เกิดอาการข้างเคียง เช่นอาการง่วงนอนได้มาก แต่ยาต้านสารฮิสตามีนรุน่ ที่ 2 จะมีผลต่อทัง้ cholinergic และ
5-hydroxytryptaminergic receptorsลดลง และต้านการท�ำงานของฮิสตามีน ทีต่ ำ� แหน่ง type 1 histamine
receptors ส่วนปลาย ยาจึงมีผลข้างเคียงในเรือ่ งการง่วงนอนน้อยกว่า ทัง้ ยังมีสว่ นในการต้านการอักเสบ โดย
ยับยัง้ การหลังสารกระตุ
่ น้ การอักเสบจาก mast cells และ basophils
ยาลดน�้ำมูกกลุ่ม sympathomimetics
ยา pseudoephedrine และ phenylpropanolamine เป็ นยาในกลุม่ sympathomimetics ทีถ่ กู ห้ามไม่
ให้มกี ารจ�ำหน่ายตามร้านขายยาในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากยาทัง้ 2 ชนิดมีผลทางยาแบบเดียวกับยา
ephedrine คือกระตุน้ alpha-adrenergic receptors ส่งเสริมให้มกี ารหลัง่ norepinephrine เพิม่ ขึน้ ถ้าจ�ำเป็ น
ต้องใช้ควรใช้ในช่วงระยะเวลาสัน้ ๆเพือ่ แก้ไขการอุดกัน้ ทางเดินหายใจทีร่ จู มูก ในกรณีทจ่ี ะใช้ยากลุม่ นี้ทเ่ี ป็ น
ยาเฉพาะที่ ไม่ควรใช้นานกว่า 5-10 วัน เพราะอาจท�ำให้เกิดภาวะ rhinitis medicamentosa ซึง่ เป็ นผลจาก
การกระตุน้ adrenergic receptors เป็ นเวลานาน แล้วท�ำให้การตอบสนองของ receptors ต่อยาลดน้อยลง ที่
เรียกว่า down-regulated alpha- adrenergic receptors การใช้ยากลุม่ นี้นานๆ ยังเป็ นผลให้นอนไม่หลับ เบือ่
อาหาร กระสับกระส่าย อยูน่ งิ่ ไม่ได้ และต้องใช้ยากลุม่ นี้อย่างระมัดระวังในผูป้ ว่ ยทีม่ ี hypertension, glaucoma,
benign prostatic hypertrophy (ในผูใ้ หญ่) เพราะอาจจะท�ำให้อาการของโรคเหล่านี้รนุ แรงขึน้ ได้
Nasal corticosteroids
ยาพ่นสเตียรอยด์เข้าจมูกจะมีผลต้านการอักเสบเฉพาะทีใ่ นทางเดินหายใจส่วนบน โดยมีฤทธิ ์ท�ำให้
กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ลดการเกิดภาวะภูมไิ วเกินของเยือ่ บุทางเดินหายใจ และสามารถลดทัง้ จ�ำนวน และ
6
จักรพันธ์ สุศวิ ะ Chronic Rhinorhea
สรุป
ผูป้ ว่ ยเด็กทีม่ อี าการน�้ำมูกไหลเรือ้ รังส่วนใหญ่มกั เกิดจากโรคภูมแิ พ้ อย่างไรก็ตาม ภาวะ nonallergic
rhinitis with eosinophilia syndrome (NARES)ก็อาจพบในผูป้ ว่ ยเด็กได้ประมาณร้อยละ 2 ในรายทีย่ อ้ มพบ
eosinophils ในน�้ำมูก การรักษาอาการน�้ำมูกไหลมักให้ยาต้านสารฮิสตามีนรุน่ ที่ 2 เพือ่ หลีกเลีย่ งอาการข้าง
เคียงของยาต้านสารฮิสตามีนรุน่ ที่ 1 ทีท่ ำ� ให้งว่ งนอน และอาจท�ำให้เด็กมีอาการซุกซนไม่อยูน่ ิ่งได้ การพ่น
ยาสเตียรอยด์เพือ่ รักษาอากรน�้ำมูกไหลเรือ้ รังในเด็ก จะได้ผลดีในการรักษาโรคจมูกภูมแิ พ้ และ NARES ซึง่
รักษาได้ทงั ้ อาการน�้ำมูกไหล อาการจาม คันจมูก คัดจมูก การให้ยาต่อเนื่องเป็ นเวลานาน ควรระวังการกด
การเจริญเติบโต กลุม่ โรคบางอย่างในผูป้ ว่ ยเด็ก เช่นการเอาสิง่ แปลกปลอมใส่ไปในจมูก ภาวะกรดไหลย้อน
อาจท�ำให้มอี าการแบบจมูกอักเสบ โพรงจมูกอักเสบนานเรือ้ รังต่อเนื่องได้ ควรได้รบั การตรวจประเมินต่อเนื่อง
และตรวจวินิจฉัยเพิม่ เติมเมือ่ มีขอ้ บ่งชี7้
7
จักรพันธ์ สุศวิ ะ Chronic Rhinorhea
เอกสารอ้างอิ ง
1. Codispoti CD, Levin L, LeMasters GK, Ryan P, Reponen T, Villareal M, et al. Breastfeeding, aeroallergen sensitization and en-
vironmental exposures during infancy are determinants of childhood allergic rhinitis. J Allergy Clin Immunol, 2010; 125:1054-60.
2. Ryan PH, Bernstein DI, Lockey J, Reponen T, Levin L, Grinshpun S, et al. Exposure to traffic-related particles and endotoxin
during infancy is associated with wheezing at age 3 years. Am J Respir Crit Care Med. 2009;180: 1068-75.
3. Corren J, Kachru R. Relationship between nonallergic upper airway disease and asthma. Clin Allergy Immunol. 2007;19:101-14.
4. Mølgaard E, Thomsen SF, Lund T, Pedersen L, Nolte H, Backer V. Differences between allergic and nonallergic rhinitis in a
large sample of adolescents and adults. Allergy 2007; 62:1033-7.
5. Addolorato G, Ancona C, Capristo E, Graziosetto R, Di Rienzo L, Maurizi M, et al. State and trait anxiety in women affected
by allergic and vasomotor rhinitis. J Psychosom Res.1999; 46: 283-9.
6. Ellis AK, Keith PK. Nonallergic rhinitis with eosinophilia syndrome. Curr Allergy Asthma Rep. 2006; 6: 215-20.
7. Berger WE, Schonfeld JE. Nonallergic rhinitis in children. Curr Allergy Asthma Rep.2007; 7: 112-6.
8
Cough
A3
อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์
นิยาม
การไอเป็ น reflex ทีเ่ ริม่ จากมีการกระตุน้ cough receptor ซึง่ พบมากบริเวณเยือ่ บุผวิ (epithelium)
ของคอหอย (pharynx) กล่องเสียง (larynx) ท่อหลอดลม (trachea), carina และหลอดลม (bronchi) โดย
การกระตุน้ อาจเป็ นจาก mechanical stimuli เช่น เสมหะ หรือเป็ นจากการระคายเคืองจากสารเคมี (chemical
irritation) เช่น กรด กลิน่ ฉุน ควัน เป็ นต้น ทีส่ ำ� คัญก็คอื การอักเสบทีต่ ำ� แหน่งต่างๆ ของทางเดินหายใจ ก็จะ
กระตุน้ cough receptor ได้[1]
เมือ่ มีการกระตุน้ จะมีการส่งกระแสประสาทผ่านทาง afferent fiber ของเส้นประสาท vagus ซึง่ อยู่
บริเวณ airway mucosa ส่งกระแสประสาทต่อไปยังบริเวณ cough receptor ส่วนกลาง ทีอ่ ยูบ่ ริเวณก้านสมอง
(brain stem) หลังจากนัน้ จะส่งกระแสประสาทผ่านกลับมาทาง efferent fiber ของเส้นประสาท vagus และ
ไขสันหลัง (spinal cord) มากระตุน้ บริเวณกล่องเสียง กระบังลมและกล้ามเนื้อทีใ่ ช้ในการหายใจออก (expi-
ratory muscles) ท�ำให้เกิดอาการไอขึน้ [1, 2]
การไอแบ่งเป็ น 3 ช่วงดังนี้[2]
- Inspiratory phase เริม่ จากการสูดหายใจเข้าลึกๆ (ประมาณ 1.5-2 เท่าของ tidal volume) ส่งผล
ให้มกี ารขยายตัวของหลอดลมต่างๆ เพือ่ เพิม่ ปริมาตรอากาศในทางเดินหายใจ
- Compressive phase เริม่ จากการปิดของ glottis ตามมาด้วยการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าอก
ท้อง และกระบังลม
- Expiratory phase เริม่ จากการเปิดของ glottis อย่างทันที ท�ำให้ลมทีถ่ กู ขังอยูภ่ ายในทางเดินหายใจ
ถูกดันออกมาสูบ่ รรยากาศภายนอกอย่างรวดเร็ว
9
อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Cough
เพิม่ เติมโดยท�ำ high resolution computed tomography (HRCT) ทีถ่ อื เป็ น gold standard ในการวินิจฉัย
ซึง่ อาจพบว่ามี signet ring ทีแ่ สดงว่ามีการขยายตัวของหลอดลมอย่างผิดปกติ โดยเห็นว่าหลอดลมมีขนาด
ใหญ่กว่าเส้นเลือดทีว่ งิ่ มาคูก่ นั หรืออาจเห็น air-fluid level ในหลอดลมทีข่ ยายตัว[15]
13
อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Cough
เอกสารอ้างอิ ง
1. Chang AB. Cough, cough receptors, and asthma in children. Pediatr Pulmonol 1999; 28:59-70.
2. Chang AB. The physiology of cough. Paediatr Respir Rev 2006; 7:2-8.
3. Chang AB, Landau LI, Van Asperen PP, Glasgow NJ, Robertson CF, Marchant JM, et al. Cough in children: definitions and
clinical evaluation. Med J Aust 2006; 184:398-403.
4. Hay AD, Wilson A, Fahey T, Peters TJ. The duration of acute cough in pre-school children presenting to primary care: a
prospective cohort study. Fam Pract 2003; 20:696-705.
5. Zerella JT, Dimler M, McGill LC, Pippus KJ. Foreign body aspiration in children: value of radiography and complications of
bronchoscopy. J Pediatr Surg 1998; 33:1651-4.
6. Chang AB. Pediatric cough: children are not miniature adults. Lung 2010; 188 Suppl 1:S33-40.
7. Grad R, Mallory GB. Causes of chronic cough in children. In: http://www.uptodate.com; 2011.
8. Chang AB, Glomb WB. Guidelines for evaluating chronic cough in pediatrics: ACCP evidence-based clinical practice guide-
lines. Chest 2006; 129:260S-283S.
9. de Jongste JC, Shields MD. Cough . 2: Chronic cough in children. Thorax 2003; 58:998-1003.
10. Gern JE. Viral respiratory infection and the link to asthma. Pediatr Infect Dis J 2004; 23:S78-86.
11. Biscardi S, Lorrot M, Marc E, Moulin F, Boutonnat-Faucher B, Heilbronner C, et al. Mycoplasma pneumoniae and asthma in
children. Clin Infect Dis 2004; 38:1341-6.
12. Pratter MR. Chronic upper airway cough syndrome secondary to rhinosinus diseases (previously referred to as postnasal
drip syndrome): ACCP evidence-based clinical practice guidelines. Chest 2006; 129:63S-71S.
13. Chang AB, Lasserson TJ, Gaffney J, Conner FL, Garske LA. Gastro-oesophageal reflux treatment for prolonged non-specific
cough in children and adults. Cochrane Database Syst Rev 2011; 1: CD004823.
14. Chang AB, Bell SC, Byrnes CA, Grimwood K, Holmes PW, King PT, et al. Chronic suppurative lung disease and bronchiec-
tasis in children and adults in Australia and New Zealand. Med J Aust 2010; 193: 356-65.
15. Kim HY, Kwon JW, Seo J, Song YH, Kim BJ, et al. Bronchiectasis in children: 10-year experience at a single institution.
Allergy Asthma Immunol Res 2011; 3:39-45.
14
Approach to Pediatric
Dyspnea A4
จามรี ธีรตกุลพิศาล
นิยาม
ค�ำว่า dyspnea ตามศัพท์บญ ั ญัตริ าชบัณฑิตยสถาน คืออาการหายใจล�ำบาก1 แต่บางครัง้ ผูป้ ว่ ยอาจจะ
ใช้คำ� ว่า “หอบเหนื่อย” แทนค�ำว่า “หายใจล�ำบาก” ซึง่ American Thoracic Society ได้ให้คำ� จัดความค�ำว่า
dyspnea หมายถึง ความรูส้ กึ ไม่สบายในการหายใจ หรือความล�ำบากในการหายใจ2 ความรูส้ กึ ทีเ่ กิดขึน้ ดัง
กล่าวอาจมีความรุนแรงทีแ่ ตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในเด็กทีย่ งั บอกอาการได้ไม่ชดั เจน เด็กอาจ
มีอาการตัง้ แต่มอี าการน้อยมากจนกระทังมี ่ อนั ตรายถึงชีวติ อาการหอบเหนื่อยเป็ นอาการส�ำคัญทีพ่ บบ่อยที่
ผูป้ กครองน�ำเด็กมายังห้องฉุกเฉิน3 แพทย์จะต้องประเมินว่าอาการหอบเหนื่อย หรืออาการหายใจล�ำบากนัน้
เป็นเพียงความรูส้ กึ ทีเ่ กิดขึน้ หรือมีความผิดปกติของการหายใจจริง ความผิดปกติของการหายใจพบได้ตงั ้ แต่4
1. Tachypnea (การหายใจเร็ว)1 หมายถึงอัตราการหายใจทีม่ ากกว่าอัตราปกติในเด็กแต่ละวัย
2. Hyperpnea (การหายใจเร็วแรง)1 หมายถึงการหายใจเร็วแรงทีม่ ากกว่า minute ventilation เพือ่
ให้เพียงพอต่อความต้องการด้านเมตาบอลิสม
3. Hyperventilation (ภาวะระบายลมหายใจเกิน)1 หมายถึงการหายใจทีเ่ ร็วและแรงทีม่ ากกว่าความ
ต้องการด้านเมตาบอลิสม ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดเป็ นด่าง
4. Dyspnea on exertion หมายถึงอาการหายใจล�ำบากทีเ่ กิดขึน้ จากการใช้หรือออกก�ำลัง
5. Orthopnea (อาการหอบต้องนัง)่ 1 หมายถึงการหายใจล�ำบากทีเ่ กิดขึน้ ในท่านอน ท�ำให้ผปู้ ว่ ยต้อง
ลุกขึน้ อยูใ่ นท่านัง่
6. Paroxysmal nocturnal dyspnea หมายถึงการหายใจล�ำบากทีเ่ กิดขึน้ ทันทีในขณะทีเ่ อนนอนใน
ตอนกลางคืน ซึง่ มักเกิดในผูป้ ว่ ยทีม่ ภี าวะ congestive heart failure
พยาธิสรีรวิทยา2,5-7
การหายใจปกติจะถูกควบคุมโดยศูนย์ควบคุมการหายใจบริเวณ medulla oblongata โดยรับสัญญาณมา
15
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
จาก 1) chemoreceptors ทัง้ central และ peripheral; 2) proprioreceptors บริเวณ chest wall, lung stretch
receptors และ 3) mechanoreceptors ทีอ่ ยูท่ ่ี diaphragm, skeletal muscles, และ airways สัญญาณจาก
บริเวณต่างๆเหล่านี้ (afferent signals) จะเข้าไปยัง sensory cortex ไปประมวลเป็ นค�ำสังการหายใจที
่ ่ motor
cortex แล้วส่งสัญญาณไปตาม efferent signals ไปยังกล้ามเนื้อทีเ่ กีย่ วข้องกับการหายใจ ให้เกิดการหายใจ
เพือ่ ตอบสนองความต้องการของร่างกายในการใช้ออกซิเจน ขับคาร์บอนไดออกไซด์ และควบคุมเมตาบอลิ
สมให้อยูใ่ นสมดุล
ผูป้ ว่ ยทีม่ อี าการหรือมีความรูส้ กึ ว่าหายใจล�ำบาก หรือหอบเหนื่อย เกิดจากการทีไ่ ม่สามารถหายใจได้
พอกับความต้องการ ซึง่ สาเหตุของการเกิดอาการดังกล่าว เกิดขึน้ ได้จากหลายสาเหตุตงั ้ แต่จากอารมณ์ ความ
รูส้ กึ ความผิดปกติของระบบหายใจ หัวใจและเมตาบอลิสมของร่างกาย ท�ำให้มกี ารตอบสนองการหายใจทีผ่ ดิ
ไปจากปกติ เช่น หายใจเร็วขึน้ แรงขึน้ หรือใช้กล้ามเนื้อช่วยการหายใจเพิม่ ขึน้ ตัง้ แต่จมูก หายใจจมูกบาน
ออก หน้าอกบุ๋ม ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยการหายใจ เป็ นต้น โดยความรุนแรงของอาการหอบเหนื่อยขึน้ กับ
สาเหตุทเ่ี กิดดังต่อไปนี้
สาเหตุของอาการหายใจล�ำบากในเด็ก6-8
สาเหตุทท่ี ำ� ให้เด็กมีอาการหายใจล�ำบากมีมากมาย ทัง้ โรคและภาวะต่างๆ ทีเ่ กิดจากระบบหายใจ หัวใจ
และหลอดเลือด และความผิดปกติของเมตาบอลิสม ดังนี้
1.โรคระบบหายใจ แบ่งออกเป็ น
1.1 การอุดกัน้ ของทางเดินหายใจ (airway obstruction)
1.1.1 การอุดกัน้ ทางเดินหายใจส่วนบน (upper airway obstruction) ขึน้ กับวัยของเด็ก ได้แก่
- ทารกแรกเกิด (newborn) เช่น choanal atresia or stenosis, laryngomalacia, laryngotra-
cheomalacia, vocal cord paralysis, hemangioma, vascular ring
- เด็กเล็ก (infant) เช่น foreign body aspiration, acute laryngotracheobronchitis (viral
croup), laryngeal papilloma
- เด็กโต (children) เช่น foreign body aspiration, croup, acute epiglottitis, diphtheria, bac-
terial tracheitis, airway compression from lymph nodes, adeno-tonsillar hypertrophy, mediastinal tumor
1.1.2 การอุดกัน้ ทางเดินหายใจส่วนล่าง (lower airway obstruction) ได้แก่
- ทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก เช่น bronchopulmonary dysplasia, acute bronchiolitis, asthma,
cystic fibrosis
- เด็กโต เช่น asthma, emphysema, cystic fibrosis
1.2 โรคที่จำ� กัดการขยายของปอด (restrictive lung)
1.2.1 โรคของทรวงอกผิดรูป เช่น pectus excavatum, pectus carinatum
1.2.2 โรคของเยือ่ หุม้ ปอด เช่น pleuritis, pleural effusion, pneumothorax
1.2.3 โรคของเนื้อปอด เช่น pulmonary agenesis/hypoplasia, pneumonia, pulmonary
edema
16
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
การประเมินภาวะหายใจล�ำบากในเด็กที่ห้องฉุกเฉิน9-11
Initial assessment เด็กทีม่ าพบแพทย์ทห่ี อ้ งฉุกเฉิน ควรจะต้องได้รบั การประเมินเบือ้ งต้น (Initial
assessment) ประกอบด้วยการประเมิน 3 ประการ (Pediatric assessment triangle, PAT)12 ได้แก่
1. Appearance เป็นการประเมินลักษณะทัวไปของเด็
่ ก ซึง่ จะต้องระมัดระวังว่าเป็นความผิดปกติจริง
หรือเกิดจากความกลัว เนื่องจากเด็กทีถ่ กู น�ำมาทีห่ อ้ งฉุกเฉินอาจมีความกลัวกับสถานทีห่ รือบุคลากรทางการ
แพทย์ทำ� ให้รอ้ งไห้หรือมีภาวะดิน้ รนกระสับกระส่ายได้ การประเมินทัวไป ่ ได้แก่
• Tone การคลือ่ นไหวของหล้ามเนื้อ
• Interactiveness เด็กยังเล่นหรือมีปฏิสมั พันธ์กบั ผูใ้ กล้ชดิ ได้ดหี รือไม่
• Consolability สามารถปลอบโยนให้สงบได้หรือไม่
• Look/gaze การจ้องมองของเด็ก เพือ่ ประเมินภาวะการรูส้ ติของเด็ก
• Speech/cry เด็กยังพูดหรือร้องเสียงดังหรือไม่ ร่วมไปกับการประเมินว่าเสียงแหบหรือไม่
2. Breathing – work of breathing เด็กทีม่ คี วามผิดปกติของการหายใจทีส่ ง่ ผลต่อการขาดออกซิเจน
จะท�ำให้เด็กต้องหายใจเพิม่ ขึน้ ตัง้ แต่หายใจเร็วขึน้ มีการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจเพิม่ ขึน้ การประเมินการ
หายใจประกอบด้วย
2.1 ประเมินอัตราการหายใจ เนื่องจากอัตราการหายใจในเด็กวัยต่างๆ มีอตั ราทีแ่ ตกต่างกัน การ
ประเมินการหายใจ จึงต้องเทียบกับอัตราปกติของแต่ละกลุม่ อายุ13 (ตารางที่ 1) องค์การอนามัยโลกให้นิยาม
อัตราการหายใจเร็วในเด็กทีส่ งสัยเป็ นปอดบวม14 ดังนี้
• เด็กแรกเกิด อัตราการหายใจทีม่ ากกว่า 60 ครัง้ ต่อนาที
• เด็กอายุ 2 เดือนถึงหนึ่งปี อัตราการหายใจทีม่ ากกว่า 50 ครัง้ ต่อนาที
• เด็กอายุ 1-5 ปี อัตราการหายใจทีม่ ากกว่า 40 ครัง้ ต่อนาที
2.2 การใช้กล้ามเนื้ อช่วยการหายใจเพิ่มขึน้ การหายใจปกติจะใช้กล้ามเนื้อกระบังลมเป็ นหลัก หาก
มีความต้องการการหายใจทีเ่ พิม่ ขึน้ ร่างกายจะใช้กล้ามเนื้ออืน่ เพิม่ เติม เช่น intercostal muscles, abdominal
muscles, sternocleidomastoid และ scalene muscles ท�ำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้มกี ารหดตัว เกิดลักษณะการ
หายใจหน้าอกบุ๋ม (retraction) การมีลกั ษณะ head bobbing
2.3 การฟังเสียงหายใจ ความผิดปกติทอ่ี าจพบในทางเดินหายใจหรือปอด ได้แก่ stridor, crepitation,
rhonchi, wheezing หรือ decrease breath sounds
3. Circulation – การประเมินระบบไหลเวียนเลือด ได้แก่ pallor, cyanosis, pulse, blood pressure
เป็ นต้น
เมือ่ ประเมินเด็กเบือ้ งต้นโดย PAT แล้ว หากพบว่าเด็กมีภาวะหายใจผิดปกติ ควรมีการให้การรักษา
เบือ้ งต้นไปพร้อมกันด้วยการให้ออกซิเจน โดยเฉพาะหากมีเครือ่ งวัด pulse oximeter ถ้า SpO2 ≤ 94% เด็ก
18
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
• Complete blood count เพือ่ ตรวจดูความเข้มข้นของเลือด ทัง้ ภาวะเลือดจาง ทีอ่ าจเป็ นเหตุให้เกิด
การหายใจล�ำบาก หรือภาวะเลือดทีข่ น้ ขึน้ ซึง่ อาจเป็ นผลจากการทีม่ ภี าวะ hypoxemia มาเป็ นเวลานาน
• Spirometry การตรวจวัดสมรรถภาพปอด ซึง่ อาจบ่งบอกถึงพยาธิสรีรวิทยาของปอดว่าเกิดจาก
การอุดกัน้ ของทางเดินหายใจ (obstructive airway diseases) หรือเกิดจากความผิดปกติของเนื้อปอดหรือ
การขยายของปอด (restrictive lung diseases)
• การตรวจอืน่ ๆ ทีช่ ว่ ยในการวินิจฉัยหาสาเหตุ เช่น laryngoscope, bronchoscopy, computerized
tomographic scan (CT scan)
การรักษาภาวะหายใจล�ำบาก
การรักษาภาวะหายใจล�ำบาก ประกอบด้วย 2 ส่วนทีส่ ำ� คัญ คือ
1. การรักษาภาวะหายใจล�ำบาก ขึน้ กับความรุนแรงของผูป้ ว่ ยแต่ละราย หลังจากการให้การรักษา
เบือ้ งต้นแล้ว ต้องประเมินการหายใจของเด็กต่อเนื่อง
- ประเมินการหายใจว่าเพียงพอหรือไม่ (adequate ventilation) เช่น หากเกิดจากภาวะ airway
obstruction อาจจะต้องใส่ทอ่ ช่วยหายใจ หรือหายใจได้ไม่เพียงพอ มีภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คงในร่ ั ่ างกาย
อาจต้องใช้เครือ่ งช่วยการหายใจ (mechanical ventilation)
- ประเมินภาวะขาดออกซิเจน (hypoxemia) หากยังมีภาวะออกซิเจนต�่ำกว่าปกติ ให้ปรับเปลีย่ นการ
รักษาโดยการให้ออกซิเจน ทัง้ นี้ขน้ึ กับปริมาณออกซิเจนทีต่ อ้ งการ อาจให้ผา่ นทาง cannula, simple mask,
mask with reservoir bag, box หรือให้รว่ มกับการใช้เครือ่ งช่วยหายใจ
2. การรักษาทีต่ ้นเหตุของภาวะหายใจล�ำบาก เช่น
- การให้ยาขยายหลอดลมร่วมกับยาต้านการอักเสบ กรณีมปี ระวัตเิ ป็ นโรคหืด
- การส่องกล้อง bronchoscope กรณีสงสัยการส�ำลักสิง่ แปลกปลอม
- การเจาะปอดหรือใส่ทอ่ ระบาย (intercostal chest drainage) กรณีสงสัย pneumothorax
- ให้ยาต้านจุลชีพ ในกรณีทม่ี สี าเหตุจากการติดเชือ้ เช่น pneumonia, sepsis
- รักษาภาวะ congestive heart failure เช่น การให้ยาขับปสั สาวะ ยากระตุน้ หัวใจ (inotropic drug)
- รักษาภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น myasthenia gravis ภาวะขาดวิตามินบี 1
- รักษาภาวะกรดด่างของร่างกายให้อยูใ่ นสมดุล โดยเฉพาะภาวะเลือดเป็ นกรด (acidosis)
- รักษาภาวะทีท่ ำ� ให้รา่ งกายมีเมตาบอลิสมเพิม่ ขึน้ เช่น การลดไข้ การลดอาการปวด ความเครียด
- ผ่าตัดแก้ไขความพิการต่างๆ หากตรวจพบ เป็ นต้น
20
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
ข้อบ่งชี้ในการรับไว้รกั ษาในโรงพยาบาล
เด็กทีม่ ปี ญั หาภาวะหายใจล�ำบาก ควรพิจารณาการรักษาในโรงพยาบาล ในกรณีต่อไปนี้
1. ภาวะหายใจล�ำบากเกิดขึน้ ทันที (acute onset)
2. เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 3 เดือน
3. มีภาวะ respiratory failure เช่น hypoxia ขณะหายใจใน room air, มีภาวะ hypoventilation มี
อาการของคาร์บอนไดออกไซด์คงั ่ หรือค่า CO2 ในเลือดสูงกว่าปกติ
4. มีอาการซึม ดูดนมหรือรับประทานอาหารลดลง ปสั สาวะลดลง
ข้อบ่งชี้ในการส่งต่อไปยังแพทย์ผเู้ ชี่ยวชาญ
เด็กทีม่ ภี าวะหายใจล�ำบาก ภายหลังจากการรักษาเบือ้ งต้นแล้ว ไม่สามารถหาสาเหตุของอาการดัง
กล่าว หรือรักษาเบือ้ งต้นแล้วอาการไม่ดขี น้ึ ควรพิจารณาส่งต่อ ในกรณีต่อไปนี้
1. ต้องการการตรวจทางห้องปฏิบตั กิ ารเพิม่ เติม เช่น การตรวจ bronchoscopy, CT scan
2. ต้องการการรักษาเพิม่ เติม เช่น การผ่าตัดทีไ่ ม่สามารถด�ำเนินการได้เอง
3. มีภาวะ congenital หรือ acquired heart disease ทีต่ อ้ งการได้รบั การรักษาโดยผูเ้ ชีย่ วชาญเพิม่ เติม
4. มีโรคหรือความผิดปกติทางเมตาบอลิสม ทีต่ อ้ งการการตรวจพิเศษเฉพาะ
5. มีภาวะหายใจล�ำบากเรือ้ รังหรือเป็ นๆหายๆ ควรต้องหาสาเหตุเพือ่ รักษา
21
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
ตารางที่ 1 อัตราการหายใจในภาวะปกติในเด็กแต่ละอายุ13
อายุ (ปี ) APLS15/PHPLS16 PALS17 EPLS18 PHTLS19 ATLS20 WHO21
neonate 30 – 40 30 – 60 30 – 40 30 – 50* < 60
0–1 30 – 40 30 – 60 30 – 40 20 – 30* < 60 < 50
1–2 25 – 35 24 – 40 26 – 34 20 – 30 < 40 < 40
2–3 25 – 30 24 – 40 24 – 30 20 – 30 < 40 < 40
3–4 25 – 30 24 – 40 24 – 30 20 – 30 < 35 < 40
4–5 25 – 30 22 – 34 24 – 30 20 – 30 < 35 < 40
5–6 20 – 25 22 – 34 20 – 24 20 – 30 < 35
6 – 12 20 – 25 18 – 30 20 – 24 (12-20) – 30 < 30
12 – 13 15 – 20 18 – 30 12 – 20 (12-20) – 30 < 30
13 – 18 15 – 20 12 – 16 12 – 20 12 – 20 < 30
*PHTLS ให้นิยามของ neonate หมายถึงอายุแรกเกิดถึง 6 สัปดาห์ ส�ำหรับ 0 – 1 ปี หมายถึงอายุ 7 สัปดาห์
ถึง 1 ปี
22
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
23
จามรี ธีรตกุลพิศาล Approach to Pediatric Dyspnea
เอกสารอ้างอิ ง
1. ศัพท์บญ ั ญัตริ าชบัณฑิตยสถาน. โครงการจัดท�ำฐานข้อมูลงานวิชาการของราชบัณฑิตยสถาน. Available from: http://rirs3.royin.go.th/
coinages/webcoinage.php
2. American Thoracic Society. Dyspnea mechanism, assessment, and management: a consensus statement. Am J Respir Crit
Care Med 1999; 159: 321-40.
3. Richards AM. Pediatric Respiratory Emergencies. Emerg Med Clin North Am 2016 ; 34(1): 77-96.
4. Braithwaite S, Perina D. Dtspnea. In: Marx JA, Hockberger RS, Walls RM, et al, eds. Rosen’s Emergency Medicine, concept
and clinical practice. 7thed. Philadelphia, Mosby Elsevier. 2010, 124-31.
5. Schwartzstein RM, Adams L. Dyspnea. In: Mason RJ, Broaddus VC, Martin TR, et al. eds. Murray and Nadel’s Textbook of
Respiratory Medicine. 5th ed. Philadelphia, Mosby Elsevier. 2010, 613-27.
6. Mayefsky JH. Dyspnea. In: McInerny TK, Adam HM, Campbell DE, et al. AAP Textbook of Pediatric Care. 2008. Available
from: https://www.pediatriccareonline.org/pco/ub/index/AAP-Textbook-of-Pediatric-Care/Topics/A?amod=aapea&login=true&nf-
status
7. Manning HL, Schwatzstein RM. Mechanism of dyspnea. In: Mahler DA. ed. Dyspnea. New York, Marcel Dekker; 1998, 63-96.
8. Brown MA, von Mutius E, Morgan WJ. Clinical assessment and diagnostic approach to common problems. In: Taussig LM,
Landau LI, Le Souef PN, et al. Pediatric Respiratory Medicine. 2nd ed. Philadelphia, Mosby Elsevier; 2008, 107-34.
9. Fuchs S. Initial assessment and stabilization of children with respiratory or circulatory compromise. Available from: https://
www.uptodate.com/
10. American Academy of Pediatrics, American College of Emergency Physicians. APLS: The Pediatric Emergency Medicine
Resource, 5th ed, Fuchs S, Yamamoto L (Eds), Jones and Bartlett Learning, Burlington 2012.
11. American Academy of Pediatrics. Pediatric assessment. In: Prehospital Education for Prehospital Professionals, 3rd ed, Fuchs
S, Klein BL (Eds), Jones and Bartlett Learning, Burlington 2016. p.1.
12. Dieckmann RA, Brownstein D, Gausche-Hill M. The pediatric assessment triangle: a novel approach for the rapid evaluation
of children. Pediatr Emerg Care. 2010; 26(4): 312-5.
13. Fleming S, Thompson M, Stevens R, Heneghan C, PlÜddemann A, Maconochie I, et al. Normal ranges of heart rate and respi-
ratory rate in children from birth to 18 years of age: a systematic review of observational studies Lancet 2011; 377: 1011–18.
14. Technical bases for the WHO recommendations on the management of pneumonia in children at first-level health facilities.
Available from: http://www.who.int/child_adolescent_health/documents/ari_91_20/en/.
15. Advanced Life Support Group. Advanced Pediatric Life Support. The practical approach. 4th ed. Oxford, Blackwell; 2004.
16. Advanced Life Support Group. Pre-hospital paediatric life support: a practical approach to the out-of-hospital emergency care
of children. 3nd ed. Oxford, Blackwell; 2017.
17. American Heart Association. Pediatric Advanced Life Support Provider Manual. American Heart Association; 2015.
18. Biarent D. Resuscitation Council (UK). European Resuscitation Council. European pediatric life support course. 2nd ed. Re-
suscitation Council (UK); 2006.
19. National Association of Emergency Medical Technicians Pre-Hospital Trauma Life Support Committee, American College of
Surgeons Committee on Trauma. PHTLS: basic and advanced prehospital trauma life support. 5th ed. Mosby Elsevier; 2003.
20. American College of Surgeons. ATLS: Advanced Trauma Life Support for Doctors. 7th ed. American College of Surgeons; 2004.
21. Wardlaw TM, Johansson EW, Hodge M. World Health organization, UNICEF. Pneumonia: the forgotten killer of children.
World health Organization; 2006.
24
Hemoptysis
สนิตรา ศิริธางกุล
บทน�ำ
A5
การไอเป็ นเลือด (hemoptysis) เป็ นภาวะทีพ่ บไม่บอ่ ยในผูป้ ว่ ยเด็ก เนื่องจากเด็กทีอ่ ายุน้อยกว่า 6 ปี มักกลืน
เสมหะลงคอมากกว่าจะไอออกมา1 ความรุนแรงของการไอเป็ นเลือดมีได้ตงั ้ แต่มเี ลือดออกมาเพียงเล็กน้อย
เป็ นเส้นฝอยๆปนกับเสมหะ (blood-streaked sputum) จนถึงการไอออกมาเป็ นเลือดปริมาณมาก (massive
hemoptysis) ซึง่ ภาวะนี้หากไม่ได้รบั การรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีอาจท�ำให้ผปู้ ว่ ยเสียชีวติ ได้ ดังนัน้
การไอเป็ นเลือดจึงเป็ นอาการส�ำคัญอย่างหนึ่งทีก่ ุมารแพทย์ แพทย์และพยาบาลทีด่ แู ลรักษาผูป้ ว่ ยเด็ก ควร
มีความรูค้ วามเข้าใจ สามารถให้การวินิจฉัยโรคและรักษาได้อย่างถูกต้อง
นิยาม
ไอเป็ นเลือด (hemoptysis) หมายถึง การไอออกมาเป็ นเลือดหรือการไอที่มเี ลือดปนออกมากับ
เสมหะซึง่ เลือดทีอ่ อกมานัน้ มาจากปอดหรือหลอดลม2 เป็ นผลของการมีเลือดออกจากระบบหลอดเลือดแดง
pulmonary หรือระบบหลอดเลือดแดง bronchial เลือดทีอ่ อกจากระบบหลอดเลือดแดง pulmonary ซึง่ เป็ น
ระบบทีม่ ปี ริมาณเลือดมากเท่าๆกับ cardiac output แต่มคี วามดันในระบบต�่ำคือประมาณ 15-20 มม.ปรอท
เมือ่ เกิดเลือดออกมักท�ำให้มปี ริมาณเลือดทีอ่ อกไม่มาก ผูป้ ว่ ยจึงมีอาการช้าหรือค่อยเป็ นค่อยไป ในทางตรง
กันข้ามเลือดทีอ่ อกจากระบบหลอดเลือดแดง bronchial ซึง่ เป็ นระบบทีม่ ปี ริมาณเลือดประมาณร้อยละ 1 ของ
cardiac output ของคนปกติขณะพัก แต่มคี วามดันในระบบสูงเท่าๆกับความดันโลหิตของร่างกายจึงท�ำให้
เลือดออกในปริมาณมาก ผูป้ ว่ ยส่วนใหญ่จงึ มีอาการอย่างรวดเร็วหรือรุนแรง
แบ่งประเภทของการไอเป็ นเลือด ตามปริมาณของเลือดทีอ่ อกมาได้เป็ น 2 ประเภท ดังนี้
• Massive hemoptysis ในเด็กยังไม่มขี อ้ สรุปทีช่ ดั เจนถึงนิยามของภาวะนี้ แต่โดยส่วนใหญ่หมาย
ถึง การไอเป็ นเลือดทีม่ เี ลือดออกมามากกว่า 8 มล./กก./วัน1-3 หรือมากกว่า 200 มล./วัน4
• Nonmassive hemoptysis หมายถึง การไอเป็ นเลือดทีม่ ปี ริมาณเลือดออกน้อยกว่าปริมาณเลือด
ตามนิยามในข้อ 1
สาเหตุทแ่ี บ่งประเภทแบบนี้เพราะการดูแลรักษาจะแตกต่างกัน ผูป้ ว่ ยกลุม่ massive hemoptysis อาจ
เสียชีวติ ได้อย่างรวดเร็วจากภาวะขาดออกซิเจน (asphyxia) มากกว่าการเสียเลือด จึงมีความจ�ำเป็ นทีต่ อ้ งรับ
ผูป้ ว่ ยไว้ในโรงพยาบาลและให้การรักษาอย่างเร่งด่วน ส่วนผูป้ ว่ ยกลุม่ non-massive hemoptysis แพทย์จะมี
เวลาในการตรวจวินจิ ฉัยหาสาเหตุและให้การรักษา อาจให้การรักษาแบบผูป้ ว่ ยนอกได้ไม่จำ� เป็นต้องรับผูป้ ว่ ย
ไว้ในโรงพยาบาล
25
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
การวินิจฉัยแยกโรค
สิง่ ส�ำคัญทีต่ อ้ งท�ำเป็ นอันดับแรกคือ ต้องประเมินว่าผูป้ ว่ ยไอเป็ นเลือดจริง เลือดน่าจะออกมาจากทาง
เดินหายใจส่วนล่าง ไม่ใช่ภาวะ pseudohemoptysis4 ซึง่ ได้แก่ เลือดทีอ่ อกมาจากทางเดินหายใจส่วนบน เช่น
เลือดก�ำเดาไหล (epistaxis) หรือจากการอาเจียนเป็ นเลือด (hematemesis) เพราะแนวทางการวินิจฉัยและ
การรักษาแตกต่างกันอย่างสิน้ เชิง การวินิจฉัยแยกการไอเป็ นเลือดและอาเจียนเป็ นเลือด ส่วนใหญ่มกั แยกได้
จากประวัตแิ ละการดูลกั ษณะของเลือดทีอ่ อก ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 การวินิจฉัยแยกการไอเป็ นเลือดออกจากการอาเจียนเป็ นเลือด1,4
26
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
แนวทางการวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยการไอเป็ นเลือดจ�ำเป็ นต้องอาศัยการซักประวัตแิ ละตรวจร่างกายอย่างละเอียดเป็ นส�ำคัญ
ควรถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) ซึง่ เป็ นการตรวจเบือ้ งต้นทีม่ ปี ระโยชน์ชว่ ยในการสนับสนุนหรือแยก
โรคเป็ นล�ำดับต่อไป ส�ำหรับการตรวจทางห้องปฏิบตั กิ ารหรือการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น ตรวจเลือด ตรวจ
เสมหะ การส่องกล้องตรวจหลอดลม (bronchoscopy) หรือ ตรวจทางรังสีโดยท�ำ high-resolution computed
tomography ของทรวงอก (HRCT chest) หรือท�ำ chest computed tomography (CT) with contrast มีความ
จ�ำเป็ นมากน้อยเพียงใดขึน้ อยูก่ บั ข้อบ่งชีห้ รือโรคทีส่ งสัยของผูป้ ว่ ยแต่ละราย
ประวัติและการตรวจร่างกาย
การซักประวัตคิ วรถามข้อมูลทีส่ ำ� คัญทีจ่ ะช่วยในการวินิจฉัยหรือวินิจฉัยแยกโรคตามสาเหตุดงั กล่าว
ข้างต้น ได้แก่ ประวัตไิ ข้ ไอ หอบ ประวัตสิ ำ� ลักสิง่ แปลกปลอม ประวัตไิ ข้ ไอ น�้ำหนักลด มีคนในครอบครัวเป็ น
วัณโรคปอด อาการเจ็บหน้าอก พบได้ในโรคติดเชือ้ ทางเดินหายใจ หรือ pulmonary emboli ประวัตอิ ุบตั เิ หตุ
บริเวณทรวงอก โรคประจ�ำตัว เช่น โรคปอดทีม่ อี าการไอเรือ้ รังเสมหะเป็ นหนองสนับสนุน bronchiectasis
หรือ เป็ นโรคหัวใจชนิดเขียว (cyanotic heart disease) ประวัตกิ ารใช้ยา เช่น aspirin, anticoagulant, pro-
pylthiouracil ประวัตขิ องการมีอาการในระบบอืน่ ๆร่วมด้วย เช่น ปวดข้อ ผืน่ ทีห่ น้า ปสั สาวะมีเลือดปน (he-
maturia) ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรค systemic lupus erythematosus เป็ นต้น ประวัตไิ อเป็ นเลือดสัมพันธ์
กับเวลามีประจ�ำเดือนนึกถึง Catamenial hemoptysis นอกจากนี้ในผูป้ ว่ ยทีเ่ คยมีประวัตไิ อเป็ นเลือดมาก่อน
28
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
ภาพรังสีทรวงอก
การตรวจพบความผิดปกติในภาพรังสีทรวงอก ช่วยในการวินจิ ฉัยสาเหตุของการไอเป็ นเลือดได้หลาย
ประการ เช่น พบ alveolar/ interstitial infiltration หรือ consolidation สนับสนุนการวินิจฉัยโรค pneumonia
ถ้าพบ unilateral air trapping หรือ hyperinflation จะสนับสนุน foreign body aspiration การพบ hilar ade-
nopathy ร่วมกับ pulmonary infiltration จะสนับสนุนวัณโรคปอด, bronchial thickening หรือ tram track sign
สนับสนุน bronchiectasis , cavitary lesions สนับสนุนฝีในปอด (lung abscess) หรือวัณโรคปอด เป็ นต้น
อย่างไรก็ตามประมาณ 1 ใน 3 ของผูป้ ว่ ยทีม่ อี าการไอเป็ นเลือดอาจตรวจพบภาพรังสีทรวงอกทีป่ กติได้4 การ
จะพิจารณาส่งตรวจเพิม่ เติมอย่างอืน่ ต่อไปหรือไม่ขน้ึ อยูก่ บั ข้อบ่งชีห้ รือโรคทีส่ งสัยของผูป้ ว่ ยแต่ละราย
การตรวจทางห้องปฏิบตั ิ การ
• ตรวจเลือด ผูป้ ว่ ยควรได้รบั การตรวจ CBC with platelet count และ coagulogram เพือ่ ประเมิน
ภาวะซีด การติดเชือ้ และประเมินว่ามีภาวะเลือดออกผิดปกติรว่ มด้วยหรือไม่ ควรตรวจ arterial blood gases
ในกรณีทส่ี งสัยภาวะหายใจล้มเหลว (respiratory failure) ส�ำหรับการส่งตรวจอย่างอืน่ เช่น antinuclear anti-
body (ANA), milk precipitin, antiglomerular basement membrane antibody, antineutrophil cytoplasmic
antibody (ANCA) ให้พจิ ารณาตามข้อบ่งชีข้ องผูป้ ว่ ยแต่ละราย
• ตรวจเสมหะเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย วัณโรค หรือเชื้อรา ตามทีส่ งสัย โดยการย้อม gram stain,
AFB หรือ KOH และส่งเพาะเชือ้ (culture) รวมทัง้ ผลความไวต่อยาปฏิชวี นะ (sensitivity)
• ตรวจปัสสาวะ (urinalysis) และ BUN, creatinine ในรายทีส่ งสัย Goodpasture’s syndrome
• Purified protein derivative skin test (PPD skin test) ในรายทีส่ งสัยวัณโรคปอด
29
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
การตรวจทางรังสี
• High-resolution computed tomography ของทรวงอก (HRCT chest) พิจารณาท�ำในรายทีพ่ บ
ความผิดปกติในภาพรังสีทรวงอกแต่ยงั ไม่สามารถให้การวินจิ ฉัยได้ HRCT chest จะช่วยให้เห็นรายละเอียด
ของความผิดปกติของเนื้อปอดได้ชดั เจนขึน้ ถือเป็ น gold standard ของการวินิจฉัย bronchiectasis4
• Chest computed tomography (CT) with contrast ช่วยในการวินจิ ฉัยแยก vascular structure
และ mass ช่วยในการวินิจฉัยความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น pulmonary arteriovenous malformation
หรือ aneurysm และช่วยในการวินิจฉัย pulmonary emboli
การตรวจพิเศษอื่นๆ
• Echocardiogram พิจารณาท�ำกรณีสงสัย congenital heart diseases ทุกราย และกรณีผปู้ ว่ ยที่
ไม่มอี าการของโรคหัวใจอย่างชัดเจนแต่มอี าการไอเป็ นเลือดทีไ่ ม่สามารถอธิบายด้วยสาเหตุจากโรคในระบบ
หายใจ10
• Bronchoscopy ท�ำในกรณีทไ่ี ม่พบสาเหตุของการไอเป็ นเลือดจากการตรวจดังกล่าวข้างต้นหรือ
ในกรณีทผ่ี ปู้ ว่ ยมี recurrent hemoptysis พิจารณาท�ำได้ 2 วิธี คือ
- Flexible fiberoptic bronchoscopy มีขอ้ ดีคอื ส่องตรวจได้ลกึ เห็นรายละเอียดของหลอดลมส่วน
ล่างได้มากกว่า rigid bronchoscopy แต่ไม่สามารถช่วยการหายใจผูป้ ว่ ยได้ขณะท�ำ และไม่สามารถเอา blood
clot ออกจากทางเดินหายใจได้ดพี อ
- Rigid bronchoscopy มีขอ้ ดีคอื สามารถช่วยการหายใจผูป้ ว่ ยได้ขณะท�ำ และสามารถเอา blood
clot และสิง่ แปลกปลอมออกได้ดี
จากรายงานทีผ่ า่ นมาพบว่าการท�ำ bronchoscopy ช่วยในการวินจิ ฉัยสาเหตุของไอเป็ นเลือดได้รอ้ ยละ
40-1001,11
แนวทางการวินิจฉัยผูป้ ว่ ยกลุม่ nonmassive hemoptysis ได้สรุปไว้ในแผนภูมทิ ่ี 1 ส�ำหรับผูป้ ว่ ยกลุม่
massive hemoptysis เป็ นภาวะเร่งด่วนต้องท�ำการวินิจฉัยและรักษาไปพร้อมๆกัน ดังจะได้กล่าวต่อไป
30
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
31
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
การรักษา
เป้าหมายส�ำคัญของการรักษาผูป้ ่วยทีไ่ อเป็ นเลือด คือ 1) ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน
(asphyxia) โดยดูแลทางเดินหายใจให้เปิ ดโล่งและป้องกันการส�ำลักจากเลือดทีอ่ อก 2) รักษาและป้องกัน
ภาวะ hemodynamic instability และ 3) รักษาสาเหตุของการไอเป็ นเลือดและพยายามท�ำให้เลือดหยุด
ส่วนใหญ่ของผูป้ ว่ ยทีไ่ อเป็ นเลือด เลือดมักจะหยุดเองได้หลังได้รบั การรักษาทีเ่ หมาะสม
33
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
ข้อบ่งชี้ในการส่งต่อให้แพทย์ผเู้ ชี่ยวชาญ15
• Massive hemoptysis (ต้องดูแลรักษาผูป้ ว่ ยจน stable ก่อนส่งตัวไปให้แพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญ)
• Recurrent hemoptysis
• Chronic lung disease (เช่น cystic fibrosis, primary ciliary dyskinesia, immunodeficiencies)
• Foreign body aspiration
• สงสัยอย่างมากว่าเป็ น pulmonary neoplasm
• Risk of pulmonary embolism
• Pulmonary hypertension
• Known heart disease
ข้อบ่งชี้ในการรับไว้รกั ษาในโรงพยาบาล15
• Evidence of hemodynamic instability
• Inability to protect airway
• Mental status change
• High suspicion of tuberculosis
• Lung abscess
• อายุน้อยกว่า 1 ปี
34
Hemoptysis สนิ ตรา ศิ ริธางกุล
เอกสารอ้างอิ ง
1. Pianosi P, Al-sadoon H. Hemoptysis in children. Pediatric Rev 1996;19:344-8.
2. Abu-Kishk I, Klin B, Eshel G. Hemoptysis in children a single institutional experience. Pediatr Emer Care 2012;28:1206-10.
3. Batra PS, Holinger LD. Etiology and management of pediatric hemoptysis. Arch Otolaryngol Head Neck Surg 2001;127:377-82.
4. Gaude GS. Hemoptysis in children. Indian Pediatrics 2010;47:245-54.
5. Bidwell JB, Pachner RW. Hemoptysis: diagnosis and management. Am Fam Physician 2005;72:1253-60.
6. Simon DR, Aronoff SC, Del Vecchio MT. Etiologies of hemoptysis in children: a systematic review of 171 patients. Pediatr
Pulmonol 2017;52:255-9.
7. Coss-Bu JA, Sachdera RC, Bricker JJ, Harrison GM, Jeferson LS. Hemoptysis- a 10-year retrospective study. Pediatrics
1997;100:e7.
8. Hancock BJ, Dilorenzo M, Youssef S, Yazbeck S, Marcotte JE, Collin I. Childhood primary pulmonary neoplasms. J Pediatric
Surg 1993;28:1133-6.
9. Martire B, Loizzi M, Cimmino A, Perazzi S, DeMattin D, Giordano P. Catamenial hemoptysis from endobronchial endometriosis
in a child with type I von Willebrand disease. Pediatric Pulmonol 2007;42:386-8.
10. Sritippayawan S, Margetis MF, Machaughlin EF, Ashermann R, Wells WS, Davidson WSL. Cortriatriatum: A cause of he-
moptysis. Pediatric Pulmonol 2002;34:405-8.
11. Ulong KS, Wang CR, Lim TY. Hemoptysis in children. Chang Gung Med J 1998;21:57-62.
12. Turcios NL, Vega M. The child with hemoptysis. Hospital Pract 1987;22:217-8.
13. Wong T. Children with life-threatening pulmonary haemorrhage. Journal of Paediatric Respirology and Critical Care 2012;8:8-14.
14. Chun JY, Morgan R, Belli AM. Radiological management of hemoptysis: a comprehensive review of diagnostic imaging and
bronchial arterial embolization. Cardiovasc Interv Radiol 2010;33:240-50.
15. Schroeder SA. Hemoptysis. In: McInerny TK, Adam HM, Campbell DE, Kamat DM, Kelllecher KJ, eds. American Academy
of Pediatrics Textbook of Pediatric Care. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics 2009,1570-5.
35
Wheezing
A9
กนกพรรณ เรืองนภา
สมชาย สุนทรโลหะนะกูล
บทน�ำ
ปญั หาหายใจมีเสียงหวีด (wheeze) ในเด็กเป็ นปญั หาทางระบบหายใจทีพ่ บบ่อยในเวชปฏิบตั แิ ละ
พบมากขึน้ ทุกปี เสียงหวีดเกิดขึน้ ได้จากหลายสาเหตุ โรคทีแ่ พทย์สว่ นใหญ่คนุ้ เคย คือ โรคหืด แต่ความจริง
แล้วยังมีโรคอืน่ ๆอีกหลายโรคทีท่ ำ� ให้เกิดเสียงนี้ได้ในเด็ก เช่น หลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมโปง่
พอง ถุงลมโปง่ พอง หรือความผิดปกติแต่กำ� เนิดของทางเดินหายใจและปอด เป็ นต้น นอกจากนี้ลกั ษณะทาง
กายวิภาคทางเดินหายใจของเด็กจะมีขนาดเล็กเมือ่ เทียบกับผูใ้ หญ่ ดังนัน้ เมือ่ มีภาวะใดๆก็ตามทีท่ ำ� ให้หลอดลม
มีขนาดแคบลงกว่าปกติจะก่อให้เกิดความต้านทานต่ออากาศทีไ่ หลผ่านท่อทีม่ ขี นาดเล็กเพิม่ มากขึน้ ท�ำให้เด็ก
เล็กมีโอกาสเกิดภาวะหายใจล้มเหลวได้งา่ ย การดูแลรักษาเด็กทีห่ ายใจมีเสียงหวีดจึงจ�ำเป็ นต้องเข้าใจพยาธิ
สรีรวิทยา รวมทัง้ สาเหตุทส่ี ำ� คัญเพือ่ ช่วยแก้ไขปญั หาได้อย่างเหมาะสม
ลักษณะของเสียงหวีด (wheeze)
เสียงหวีด (wheeze) เป็ นเสียงทีเ่ กิดจากลมผ่านทางเดินหายใจทีแ่ คบลงโดยเฉพาะในช่วงหายใจออก
เป็ นเสียงสูงคล้ายเสียงดนตรี ในภาวะปกติขณะหายใจเข้า ความดันลบในทรวงอกจะท�ำให้ทางเดินหายใจเปิด
ออก ในทางกลับกันเวลาหายใจออกความดันบวกภายในทรวงอกหลังการหายใจเข้าจะท�ำให้ทางเดินหายใจ
แคบลง ในกรณีทม่ี ภี าวะตีบแคบของทางเดินหายใจอยู่ก่อนก็จะยิง่ ท�ำให้มกี ารตีบแคบมากขึน้ จึงเกิดเป็ น
เสียงหวีดขึน้ เสียงหวีดนี้มกั มีระดับเสียงต่างๆกัน เนื่องจากเวลาหลอดลมตีบแคบจะไม่ตบี แคบพร้อมกัน การ
ทีไ่ ด้ยนิ ระดับเสียงเดียวและทีต่ ำ� แหน่งเดียวควรนึกถึงการตีบแคบเฉพาะทีห่ ลอดลมบริเวณนัน้ ซึง่ พบในกลุม่
โรคทีท่ ำ� ให้เกิดพยาธิสภาพเป็ นหย่อม เช่น สูดส�ำลักสิง่ แปลกปลอม, หลอดลมอ่อนยวบ (bronchomalacia)
เป็ นต้น นอกจากการได้ยนิ เสียงหวีดแล้ว มักตรวจพบว่าเสียงหายใจออกยาวขึน้ ในภาวะปกติเสียงหายใจ
ออกจะยาวกว่าเสียงหายใจเข้าประมาณ 1.5 เท่า ในเวลาทีม่ เี สียงหวีดอาจได้ยนิ เสียงหายใจออกยาวขึน้ เป็ น
2-4 เท่าของเสียงหายใจเข้า ดังนัน้ ในการตรวจร่างกายเด็กทุกครัง้ จึงควรเปรียบเทียบอัตราส่วนของระยะเวลา
36
กนกพรรณ เรืองนภา, สมชาย สุนทรโลหะนะกูล Wheezing
กลไกที่ทำ� ให้เกิดเสียงหวีด1-3
สาเหตุสำ� คัญของการเกิดเสียงหวีดเกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจ ภาวะดังกล่าวอาจเกิดได้
จาก 4 กรณี ดังนี้
1. การอุดกัน้ ภายในท่อทางเดินหายใจ (intraluminal obstruction)
2. การหนาตัวขึน้ ของเนื้อเยือ่ บุทางเดินหายใจ (intramural obstruction)
3. การหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบทางเดินหายใจ (bronchospasm)
4. การกดเบียดจากอวัยวะภายนอกทางเดินหายใจ (external compression)
การวินิจฉัยแยกโรค
สาเหตุของเสียงหวีดแตกต่างกันในเด็กแต่ละกลุม่ อายุ ดังนัน้ เพือ่ ให้งา่ ยต่อการวินิจฉัยแยกโรค จึงแบ่ง
เด็กออกเป็ น 3 กลุม่ อายุ ได้แก่ กลุม่ เด็กทารก (อายุ 0-1 ปี), เด็กวัยก่อนเรียน (อายุ 1-5 ปี) และกลุม่ เด็กวัย
เรียนและเด็กโต ทุกกลุม่ จะแยกสาเหตุใหญ่ๆ เป็ นการอุดกัน้ ทีท่ างเดินหายใจขนาดเล็ก (small airway) และ
การอุดกัน้ ทีท่ างเดินหายใจขนาดใหญ่ (large airway) เพือ่ ให้เข้าใจสาเหตุต่างๆได้งา่ ยขึน้
ต้องได้รบั การผ่าตัด สาเหตุอน่ื ทีพ่ บได้คอื bronchogenic cyst, esophageal duplication cyst, neurenteric
cyst และเนื้องอกชนิด teratoma
เสียงหวีดในเด็กวัยก่อนเรียน (อายุ 1-5 ปี )6,7
1. การอุดกัน้ ทางเดินหายใจขนาดเล็ก สาเหตุทพ่ี บบ่อยได้แก่
1.1 Viral induced wheeze พบได้บอ่ ยในเด็กวัยนี้ มักเกิดอาการหอบเหนื่อยร่วมกับเสียงหวีดภายหลัง
การติดเชือ้ ทางเดินหายใจของทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเชือ้ ไวรัส เช่น respiratory syncytial virus (RSV),
humanrhinovirus (hRV), adenovirus (AdV), human metapneumovirus (hMPV), human bocavirus
(hBoV) เป็ นต้น อาการมักตอบสนองดีต่อการให้ยาขยายหลอดลม บางรายอาจมีอาการซ�้ำบ่อยครัง้ ในรอบปี
โดยสัมพันธ์กบั การติดเชือ้ ทางเดินหายใจซ�้ำๆ ปจั จุบนั ยังไม่ทราบพยาธิกำ� เนิดทีแ่ น่ชดั อาจเกีย่ วข้องกับการ
ติดเชือ้ ทีร่ นุ แรงครัง้ แรกตัง้ แต่กอ่ นอายุ 1 ปี การเลีย้ งดูทแ่ี ออัด หรือการสัมผัสควันบุหรี่ เป็นต้น อาการของเด็ก
กลุม่ นี้จะค่อยๆ ดีขน้ึ เมือ่ อายุมากขึน้ ส่วนใหญ่หายได้หลังอายุ 6 ปี และไม่พบลักษณะบ่งชีห้ รือความเสีย่ งต่อ
โรคหืดในอนาคต8
1.2 โรคหืด (asthma) ในเด็กบางรายสามารถให้การวินจิ ฉัยได้กอ่ นอายุ 5 ปี หากมีอาการหอบหรือเสียง
หวีดภายหลังสัมผัสสิง่ กระตุน้ ทีช่ ดั เจน นอกเหนือจากการติดเชือ้ ไวรัสทางเดินหายใจ ได้แก่ สารก่อภูมแิ พ้ตา่ งๆ
เช่น ไรฝุน่ (เป็ นตัวกระตุน้ ทีพ่ บบ่อย) เกสรดอกไม้ อากาศเย็น การออกก�ำลังกาย เด็กกลุม่ นี้มกั มีอาการของ
โรคภูมแิ พ้อน่ื ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะจมูกอักเสบจากภูมแิ พ้ (allergic rhinitis) ผืน่ ภูมแิ พ้ (allergic dermatitis)
หรือบิดามารดามีประวัตโิ รคหืด9 สิง่ ส�ำคัญในการรักษาโรคหืดคือการหลีกเลีย่ งสารทีก่ อ่ ให้เกิดภูมแิ พ้และการ
ให้ยาพ่นสเตียรอยด์ (inhaled corticosteroids) เพือ่ ควบคุมการอักเสบของทางเดินหายใจ ร่วมกับการให้ยา
ขยายหลอดลมเมือ่ อาการก�ำเริบ10 โดยทัวไปในเด็ ่ กเล็กแนะน�ำให้ยาในรูปแบบ metered dose inhaler (MDI)
ร่วมกับ spacer เสมอ หรืออาจใช้แบบฝอยละออง (nebulization) ในผูป้ ว่ ยเด็กเล็กบางรายทีไ่ ม่รว่ มมือ
1.3 โรคปอดเรือ้ รัง (chronic suppurative lung disease/ bronchiectasis) เด็กจะมีอาการไอเรือ้ รัง
ไอมากตอนเช้า เสมหะสีเหลืองเขียว ตรวจร่างกายอาจพบ clubbing of fingers ร่วมกับเสียงปอดแบบ crepi-
tation ร่วมด้วย สาเหตุสว่ นใหญ่ในเด็กไทยมักพบตามหลังการติดเชือ้ ในทางเดินหายใจส่วนล่างทีร่ นุ แรงหรือ
ได้รบั การรักษาทีไ่ ม่เหมาะสม เช่น โรคหัด วัณโรค หรือ adenovirus เป็ นต้น ส่วนภาวะ bronchiectasis มัก
เกิดตามหลังการติดเชือ้ หรือปอดอักเสบซ�้ำซาก ซึง่ พบในเด็กทีม่ โี รคประจ�ำตัว เช่น ภาวะภูมคิ มุ้ กันบกพร่อง
ภาวะการสูดส�ำลักเรือ้ รัง primary ciliary dyskinesia เป็ นต้น ส่วนโรค cystic fibrosis ซึง่ พบมากในประเทศ
แถบตะวันตกและออสเตรเลียนัน้ พบได้น้อยมากในประเทศไทย
1.4 หลอดลมฝอยอักเสบเฉี ยบพลัน มักพบในขวบปีแรก พบได้น้อยในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี แต่กม็ ี
บางรายเป็น necrotizing bronchiolitis/bronchopneumonia ซึง่ เกิดจากเชือ้ adenovirus โดยเฉพาะ type 7, 21
ซึง่ ท�ำลายทางเดินหายใจและเนื้อปอดมาก บางรายอาจเป็ น bronchiectasis ภายหลัง หรือเกิด bronchiolitis
obliterans
40
กนกพรรณ เรืองนภา, สมชาย สุนทรโลหะนะกูล Wheezing
การประเมินเด็กที่หายใจมีเสียงหวีด3,6,12-14
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย อย่างละเอียด จะช่วยในการประเมินทารกและเด็กทีห่ ายใจมีเสียง
หวีด รายละเอียดของประวัตติ งั ้ แต่แรกเกิด ได้แก่ อายุครรภ์ (gestational age) ภาวะหายใจล�ำบากเมือ่ แรก
เกิด การช่วยหายใจ ระยะเวลาของการช่วยหายใจและการให้ออกซิเจนเสริม นอกจากนี้การซักประวัตปิ จั จุบนั
เกีย่ วกับการหายใจมีเสียงหวีด เวลาทีเ่ ริม่ ต้นมีอาการ ปจั จัยกระตุน้ ประวัตกิ ารกินอาหารและการส�ำลัก ความ
42
กนกพรรณ เรืองนภา, สมชาย สุนทรโลหะนะกูล Wheezing
การรักษา
เด็กทีห่ ายใจมีเสียงหวีดส่วนใหญ่เกิดจากโรคหืด viral induced wheeze หรือหลอดลมฝอยอักเสบ ดัง
นัน้ ควรให้การรักษาตามลักษณะทางคลินกิ ซึง่ ประกอบด้วยการให้ออกซิเจน ให้ยาขยายหลอดลมตามอาการ
ให้สารน�้ำและความชืน้ ตามความเหมาะสม ในกรณีทม่ี อี าการรุนแรงควรพิจารณารับไว้รกั ษาในโรงพยาบาล
หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลทีส่ ามารถให้การดูแลรักษาได้ ในรายทีม่ ปี ระวัตเิ รือ้ รังและยังไม่แน่ใจในเรือ่ งการ
วินิจฉัยควรพิจารณาส่งต่อไปยังกุมารแพทย์เฉพาะทาง เพือ่ การตรวจค้นเพิม่ เติมเพือ่ วางแผนการดูแลรักษา
ต่อไป
ข้อบ่งชี้ในการรับไว้รกั ษาในโรงพยาบาล15
1. ภาวะหายใจล�ำบาก (respiratory distress) ทีไ่ ม่ตอบสนองต่อการรักษาเบือ้ งต้น
2. ภาวะขาดออกซิเจน โดยระดับออกซิเจนแรกรับต�่ำกว่าร้อยละ 92
3. มีภาวะขาดน�้ำระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือไม่สามารถกินอาหารหรือน�้ำได้
4. มีอาการและอาการแสดงภาวะหายใจล้มเหลว เช่น ภาวะซึม พูดเป็ นค�ำๆ ฟงั เสียงปอดได้เบาหรือไม่ได้ยนิ
43
กนกพรรณ เรืองนภา, สมชาย สุนทรโลหะนะกูล Wheezing
ข้อบ่งชี้ในการส่งต่อให้ผเู้ ชี่ยวชาญ10,15
ควรพิจารณาส่งผูป้ ว่ ยเพือ่ การวินิจฉัยและดูแลรักษาต่อในกรณีต่อไปนี้
1. Persistent หรือ recurrent wheeze ในเด็กทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี
2. เสียงหวีดไม่ตอบหรือตอบสนองไม่ดตี ่อยาขยายหลอดลม
3. น�้ำหนักตัวน้อยหรือน�้ำหนักขึน้ ไม่ดี และสัมพันธ์กบั chronic หรือ recurrent wheeze
4. ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลหลายครัง้ หรือได้ยาคอร์ตโิ คสเตียรอยด์หลายครัง้
5. มีอาการรุนแรงจนต้องใส่ทอ่ ช่วยหายใจ
สรุป
การหายใจมีเสียงหวีดเป็นภาวะทีพ่ บบ่อยในเด็ก การวินจิ ฉัยแยกโรคอาศัยประวัติ และการตรวจร่างกาย
อย่างละเอียด การส่งตรวจเพิม่ เติมจะช่วยในการวินจิ ฉัยและให้การดูแลรักษาต่ออย่างเหมาะสม ในกรณีทม่ี ขี อ้
บ่งชีค้ วรพิจารณารับไว้รกั ษาในโรงพยาบาลหรือส่งต่อไปผูเ้ ชีย่ วชาญเฉพาะทางเพือ่ ให้การดูแลรักษาต่อไป
44
กนกพรรณ เรืองนภา, สมชาย สุนทรโลหะนะกูล Wheezing
ตารางที่ 1 แนวทางการซักประวัติและตรวจร่างกายเด็กที่หายใจมีเสียงหวีด10
ประวัติ
ประวัติเมื่อแรกเกิ ด
• ประวัตเิ กิดก่อนก�ำหนด
• ภาวะหายใจล�ำบากในช่วง neonatal และ perinatal period
• การใช้เครือ่ งช่วยหายใจและระยะเวลาทีต่ อ้ งได้รบั ออกซิเจนในการรักษาช่วงแรกเกิด
• ความผิดปกติแต่กำ� เนิดทีพ่ บร่วมด้วย
ประวัติการหายใจมีเสียงหวีดในอดีต
• อายุทเ่ี ริม่ มีอาการ
• ลักษณะหรือประวัตชิ ว่ งทีม่ เี สียงหวีดครัง้ แรก
• ประวัตกิ ารใส่ทอ่ ช่วยหายใจและการติดเชือ้
ลักษณะการเกิ ดเสียงหวีดแต่ละครัง้
• Initial onset : sudden, associated with coughing or choking – นึกถึง inhaled foreign body
• Insidious onset of wheezing –นึกถึง aspiration, GERD, extraluminal airway obstruction (enlarged lymph
nodes/intrathoracic mass), exposure to irritants (cigarette smoke) or allergens
• Frequency—Duration of wheezing
• ลักษณะหรืออาการร่วมอืน่ ๆ รวมถึงปจั จัยกระตุน้ อาการ
อาการสัมพันธ์กบั การติดเชือ้ ระบบหายใจ เช่น acute viral bronchiolitis หรือ viral induced wheeze
อาการสัมพันธ์กบั การกินหรืออาเจียนร่วมด้วย เช่น GERD
อาการสัมพันธ์กบั สิง่ กระตุน้ จ�ำเพาะ สารก่อภูมแิ พ้ ควัน มลพิษ
โรคร่วมหรือความผิดปกติอน่ื ๆ เช่น congenital heart disease, immunodeficiency เป็ นต้น
ประวัติครอบครัวที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ asthma, atopic diseases (atopic dermatitis, allergic rhinitis), cystic fibrosis
ประวัติการตอบสนองของเสียงหวีดต่อการรักษาด้วยยา เช่น bronchodilators,steroids, antibiotics
การตรวจร่างกาย
ลักษณะทัวไป:
่ dysmorphic features, nutritional status
อัตราการหายใจ
อาการแสดงของการหายใจล�ำบาก
• Retractions: Suprasternal, Intercostal, Subcostal
• Stridor
• Use of accessory muscles of respiration
• Grunting
• Head bobbing
ลักษณะของเสียงหวีดและเสียงปอด
Generalized or unilateral wheezing
Audible with/without stethoscope
Monophonic or polyphonic wheezes
Inspiratory, expiratory, both inspiratory and expiratory
Adventitious lung sounds อืน่ ๆร่วมด้วย เช่น crackles, rales
อาการแสดงของโรคภูมิแพ้ เช่น allergic facies, allergic shiners, allergic salute, conjunctivitis, eczema
อาการแสดงของโรคหัวใจหรือปอดเรือ้ รัง เช่น cyanosis, digital clubbing, cardiac murmurs, cardiomegaly, pectus
carinatum/excavatum
ดัดแปลงจากเอกสารอ้างอิงที่ 13 (Hilman BC, Amaro-Galvez R. The Wheezing Infant: A Challenge in
Evaluation and Diagnosis. Pediatr Asthma Allergy Immunol 2003;16: 237–246)
45
กนกพรรณ เรืองนภา, สมชาย สุนทรโลหะนะกูล Wheezing
เอกสารอ้างอิ ง
1. Mellis CM. The child who wheezes. In: Robertson MJ, Roberton DM,eds. Practical Pediatrics. 3rded. Melbourne: Churchill
Livingstone.1994, 353-9.
2. Sarnaik AP, Heideman SM. Respiratory Pathophysiology and Regulation In: Kliegmen RM, Behrman RE, Jenson HB, Stanton
BF, eds. Nelson Textbook of Pediatrics. 18thed. Philadelphia: W.B. Saunders. 2007,1719-30.
3. Morton RL, Sheikh S, Corbett ML, Eid NS. Evaluation of the wheezy infant. Ann Allergy Asthma Immunol 2001; 86(3): 251-6.
4. Phelan PD, Olinsky A, Robertson CF. Respiratory illness in children. 4thed. London: Blackwell Scientific Publication, 1994.
5. Vandenplas V, Koletzko S, Isolauri E, Hill D, Oranje AP, Brueton M, et al. Guidelines for the diagnosis and management of
cow’s milk protein allergy in infants. Arch Dis Child 2007; 92: 902–8
6. Ducharme FM, Tse SM, Chauhan B. Diagnosis, management, and prognosis of preschool wheeze. Lancet. 2014; 383(9928):
1593-604
7. Martinez FD, Wright AL,Taussig LM, Holberg CJ, Halonen M, Morgan WJ. Asthma and wheezing in the first six years of life.
N Engl J Med 1995; 332:133–8.
8. Sonnenschein-van der Voort AM, Jaddoe VW, Raat H, Moll HA, Hofman A, de Jongste JC, et al. Fetal and infant growth and
asthma symptoms in preschool children: the Generation R Study. Am J Respir Crit Care Med 2012; 185(7): 731-7.
9. Castro-RodrÍGuez JA, Holberg CJ, Wright AL, Martinez FD. A Clinical Index to Define Risk of Asthma in Young Children with
Recurrent Wheezing. Am J Respir Crit Care Med 2000; 162(4): 1403-6.
10. Global Initiative for Asthma (GINA). Global strategy for asthma management and prevention updated 2017 (section 2: children
5 years and younger) : Global Initiative for Asthma; 2017 [April 13, 2018]. Available from: http://ginasthma.org/2017-gina-re-
port-global-strategy-for-asthma-management-and-prevention/
11. Ibrahim WH, Gheriani HA, Almohamed AA, Raza T. Paradoxical vocal cord motion disorder: past, present and future. Post-
grad Med J 2007; 83: 164–172.
12. Watts KD, Goodman DM. Wheezing, Bronchiolitis, and Bronchitis. In: Kliegmen RM, Behrman RE, Jenson HB, Stanton BF,
eds. Nelson Textbook of Pediatrics. 18thed. Philadelphia: W.B. Saunders. 2007,1773-8
13. Hilman BC, Amaro-Galvez, R. The wheezing infant: a challenge in evaluation and
14. diagnosis. Pediatr Asthma, Allergy & Immunol. 2003; 16: 237-46.
15. Haddad GG, Green TP. Diagnostic Approach to Respiratory Disease. In: Kliegmen RM, Behrman RE, Jenson HB, Stanton
BF, eds. Nelson Textbook of Pediatrics. 18th ed. Philadelphia: W.B. Saunders; 2007:1731-6
16. Vicencio AG, Needleman JP. Wheezing. In. McInerny TK, Adam HM, Campbell DE, Kamat DM, eds. AAP Textbook of Pedi-
atric Care. American Academy of Pediatrics. Illinois ; 2008 Available from: https://www.pediatriccareonline.org/pco/ub/index/
AAP-Textbook-of-Pediatric-Care/Topics/A?amod=aapea&login=true&nfstatus
46
Foreign Body Aspiration:
Critical Care Aspect C2
พนิดา ศรีสนั ต์
บทน�ำ
ผูป้ ว่ ยเด็กทีเ่ สียชีวติ จากภาวะส�ำลักสิง่ แปลกปลอมในทางเดินหายใจ [foreign body (FB) aspiration]
ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 มีอายุต่ำ� กว่า 5 ปี โดยเป็ นทารกถึงร้อยละ 651-3 พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง
ชนิดของสิง่ แปลกปลอมส่วนใหญ่เป็ นอาหารหรือ organic substance (ร้อยละ 65-90) ได้แก่ ถัวชนิ ่ ดต่าง ๆ
เมล็ดผักผลไม้ เศษอาหาร1-6 อัตราการเสียชีวติ พบประมาณร้อยละ 0-23,5,6 สาเหตุการเสียชีวติ เกิดจากการ
ขาดอากาศหายใจ (asphyxia) ท�ำให้สมองขาดออกซิเจน (cerebral anoxia) และ cardiopulmonary arrest
ตามมา2-5
อาการทางคลินิก
ขึน้ กับต�ำแหน่ง ขนาดและลักษณะของสิง่ แปลกปลอม ความรุนแรงของการอุดกัน้ ทางเดินหายใจ และ
ระยะเวลาทีส่ งิ่ แปลกปลอมติดอยู2-7่ อาการแสดงของการอุดกัน้ ทางเดินหายใจส่วนบนทีร่ นุ แรง (severe up-
per airway obstruction) จะพบในกรณีทส่ี งิ่ แปลกปลอมติดอยูบ่ ริเวณกล่องเสียง ได้แก่ หายใจล�ำบาก หอบ
ไอไม่ได้ ร้องไม่มเี สียงหรือเสียงแหบมาก หายใจมีเสียง biphasic stridor เขียว (cyanosis) หมดสติ หรือ
cardiopulmonary arrest2-8 ผูป้ ว่ ยส่วนหนึ่งเข้ารับการรักษาเนื่องจากเกิดภาวะแทรกซ้อนทีร่ นุ แรง ได้แก่ se-
vere respiratory distress, cyanosis, ภาวะลมในช่องเยือ่ หุม้ ปอด (pneumothorax), pneumomediastinum,
หลอดลมตีบรุนแรง (severe bronchospasm), เลือดออกมากในปอด (massive pulmonary hemorrhage),
obstructive emphysema, ฝีในปอด (lung abscess)2-4,6,7 การศึกษาในประเทศจีนพบผูป้ ว่ ยเด็กถึงร้อยละ 5
เกิดภาวะแทรกซ้อนทีร่ นุ แรงตัง้ แต่แรกเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล4
Rouillon I และคณะ2 รายงานผูป้ ว่ ยเด็ก 28 รายทีเ่ ข้ารักษาในหอผูป้ ว่ ยวิกฤต (ICU) ในประเทศฝรังเศส
่
จากภาวะส�ำลักสิง่ แปลกปลอมในทางเดินหายใจ พบผูป้ ว่ ย 21 รายทีม่ อี าการ penetration syndromes ได้แก่
cardiopulmonary arrest (21 ราย) และ severe respiratory distress (8 ราย) ซึง่ เสียชีวติ ทัง้ หมด ขณะทีผ่ ู้
47
พนิดา ศรีสนั ต์ Foreign Body Aspiration: Critical Care Aspect
การวินิจฉัยโรค
ควรนึกถึงภาวะส�ำลักสิง่ แปลกปลอมในผูป้ ว่ ยเด็กทีม่ อี าการ respiratory distress เกิดขึน้ อย่างเฉียบพลัน
โดยทีไ่ ม่มไี ข้ ไอ หรืออาการทางระบบทางเดินหายใจร่วมอยูด่ ว้ ย อาจได้ประวัตวิ า่ ผูป้ ว่ ยก�ำลังรับประทาน
อาหาร เล่นของเล่นขนาดเล็กทีส่ ามารถใส่เข้าปากได้ก่อนเกิดอาการ หรือมีผเู้ ห็นเหตุการณ์ขณะส�ำลัก1,6
ไม่ควรส่งผูป้ ว่ ยทีม่ อี าการรุนแรงไปตรวจเพิม่ เติมทางรังสี เนื่องจากมีความเสีย่ งทีจ่ ะเกิดการอุดกัน้ ทาง
เดินหายใจมากขึน้ การเคลือ่ นย้ายผูป้ ว่ ยทุกครัง้ ควรมีบคุ ลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ชว่ ยชีวติ เตรียมพร้อม
ไปด้วย5
การรักษา
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ตามค�ำแนะน�ำของ American Heart Association ปีค.ศ. 2010 เกีย่ วกับ foreign body airway ob-
struction ใน Pediatric Basic Life Support กล่าวไว้วา่ 1 (แผนภูมทิ ่ี 1)
1. ในผูป้ ่วยเด็กทีม่ อี าการแสดงของการอุดกัน้ ทางเดินหายใจอย่างรุนแรง เช่น ร้องไม่มเี สียง ไม่
สามารถไอได้ ควรรีบให้การช่วยเหลือทันที โดยการท�ำ subdiaphragmatic abdominal thrust (Heimlich
maneuver) ในเด็กอายุมากกว่า 1 ปี หรือท�ำ back blow (slap) 5 ครัง้ สลับกับ chest compression (thrust)
5 ครัง้ ในทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี โดยแนะน�ำให้ทำ� ไปเรือ่ ย ๆ จนกว่าสิง่ แปลกปลอมจะหลุดออกมาหรือจนกว่า
ผูป้ ว่ ยจะหมดสติ
2. ในกรณีผปู้ ว่ ยหมดสติ ให้เริม่ การกูช้ วี ติ (cardiopulmonary resuscitation, CPR) ทันที โดยท�ำ chest
compression 30 ครัง้ (ด้วยอัตรา 100 ครัง้ /นาที) ต่อด้วยการจัดท่าเพือ่ เปิดทางเดินหายใจ (head tilt-chin lift
maneuver) หากเห็นสิง่ แปลกปลอมในปากผูป้ ว่ ยให้หยิบออก (ไม่แนะน�ำให้ควานหาในปากและคอโดยทีม่ อง
ไม่เห็น เพราะอาจดันสิง่ แปลกปลอมให้เลือ่ นลึกลงไปและเกิดอันตรายมากขึน้ ) ท�ำการช่วยหายใจ (ventilation)
2 ครัง้ (ด้วยวิธี mouth-to-mouth-and-nose ในทารก และ mouth-to-mouth ในเด็ก) หลังจากนัน้ ให้ทำ � chest
compression สลับกับ ventilation จนกว่าสิง่ แปลกปลอมจะหลุดออกมา พร้อมกับรีบแจ้งทีมแพทย์ฉุกเฉิน
ส�ำหรับค�ำแนะน�ำของ Resuscitation Council ประเทศอังกฤษปี ค.ศ. 2010 เรือ่ ง choking ใน Paedi-
atric Basic Life Support9 มีขอ้ แตกต่างจากค�ำแนะน�ำของ American Heart Association ดังนี้
1. ในผูป้ ว่ ยทีไ่ ม่สามารถไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ineffective cough) ไม่สามารถส่งเสียงร้องได้
เขียว หายใจไม่ได้ แต่ยงั รูส้ กึ ตัว แนะน�ำให้ทำ � back blow 5 ครัง้ ทัง้ ในทารกและเด็กอายุมากกว่า 1 ปี ตาม
ด้วยการท�ำ chest thrust ในทารก หรือ abdominal thrust ในเด็ก 5 ครัง้ หากสิง่ แปลกปลอมยังไม่หลุดออก
มา โดยการท�ำแต่ละครัง้ เพือ่ แก้ไขภาวะอุดกัน้ ทางเดินหายใจ (ดันให้สงิ่ แปลกปลอมหลุดออก) มากกว่าการที่
จะท�ำให้ครบ 5 ครัง้
2. ในกรณีผปู้ ว่ ยหมดสติหรือไม่รสู้ กึ ตัว ให้จดั ท่าเปิดทางเดินหายใจ (head tilt-chin lift) อ้าปากผูป้ ว่ ย
48
พนิดา ศรีสนั ต์ Foreign Body Aspiration: Critical Care Aspect
เพือ่ ตรวจหาสิง่ แปลกปลอม หากมองเห็นให้หยิบออก หลังจากนัน้ ให้ชว่ ยหายใจ 5 ครัง้ หากผูป้ ว่ ยไม่มกี าร
ตอบสนอง (ไม่เคลือ่ นไหว ไม่ไอ ไม่หายใจเอง) ให้ทำ � chest compression และเริม่ cycles ของการ CPR
ทันที ทัง้ นี้ควรมองหาสิง่ แปลกปลอมในปากผูป้ ว่ ยก่อนท�ำการช่วยหายใจแต่ละช่วง
การท�ำ subdiaphragmatic abdominal thrust1,5,9,10
เป็ นการเพิม่ ความดันในช่องทรวงอก ท�ำให้เกิด artificial cough เพือ่ ช่วยดันสิง่ แปลกปลอมออกจาก
ทางเดินหายใจ สามารถท�ำในท่ายืนหรือนังในเด็ ่ กทีย่ งั รูส้ กึ ตัว และในท่านอนหงายในเด็กทีห่ มดสติ โดยมีขนั ้
ตอนดังนี้
1. การท�ำในท่ายืนหรือนัง่
1.1. ผชู้ ว่ ยเหลือยืนด้านหลังผูป้ ว่ ย สอดแขนใต้รกั แร้เพือ่ โอบรอบล�ำตัวผูป้ ว่ ยบริเวณเอว
1.2 ก�ำมือข้างหนึง่ ให้ดา้ นนิ้วหัวแม่มอื วางบนท้องผูป้ ว่ ยบริเวณกึง่ กลางสูงกว่าสะดือเล็กน้อย ใกล้ปลายข
องกระดูกหน้าอก (xiphoid process)
1.3 ใช้อกี มือจับมือข้างทีก่ ำ� อยู่ แล้วกระแทกขึน้ ด้านบนและเฉียงเข้าด้านในเร็ว ๆ ระวังอย่าให้กระแทก
โดน xiphoid process และขอบล่างของกระดูกซีโ่ ครงซีส่ ดุ ท้าย เพือ่ ป้องกันอันตรายต่ออวัยวะในช่องท้อง
1.4 ท�ำซ�้ำเป็ นจังหวะต่อเนื่องกัน จนกระทังสิ ่ ง่ แปลกปลอมหลุดออกหรือผูป้ ว่ ยหมดสติ
2. การท�ำในท่านอน
2.1 จับผูป้ ว่ ยนอนหงาย ผูช้ ว่ ยเหลือนังคุ่ กเข่าด้านข้างตัวผูป้ ว่ ยหรือคร่อมตัวผูป้ ว่ ย
2.2 วางส้นฝา่ มือ (heel of hand) บนหน้าท้องผูป้ ว่ ยบริเวณเดียวกับการท�ำในท่ายืน ใช้มอื อีกข้างวาง
ทับ
2.3 กระแทกมือทัง้ สองขึน้ ด้านบนและเฉียงเข้าด้านในตัวผูป้ ว่ ยเร็ว ๆ ระวังอย่าให้กระแทกโดน xiphoid
process และขอบล่างของกระดูกซีโ่ ครงซีส่ ดุ ท้าย
2.4 ท�ำซ�้ำเป็ นจังหวะต่อเนื่องกัน จนกระทังสิ ่ ง่ แปลกปลอมหลุดออกหรือผูป้ ว่ ยหมดสติ
การท�ำ back blow และ chest compression1,5,9
มีขนั ้ ตอนดังนี้
1. จับผูป้ ว่ ยนอนคว�่ำบนแขนของผูช้ ว่ ยเหลือทีน่ งหรื ั ่ อคุกเข่าอยู่ ควรวางแขนบนตักของผูช้ ว่ ยเหลือ
เพือ่ ป้องกันการพลัดตก ให้ศรี ษะอยูต่ ่ำ� กว่าล�ำตัว ใช้มอื จับบริเวณขากรรไกรของผูป้ ว่ ยเพือ่ ยึดศีรษะและคอ
ให้นิ่งไม่เคลือ่ นไหว ในกรณีทผ่ี ปู้ ว่ ยตัวโตอาจจับนอนคว�่ำบนตักของผูช้ ว่ ยเหลือ โดยให้ศรี ษะอยูต่ ่ำ� กว่าล�ำตัว
เช่นกัน
2. ใช้บริเวณส้นของฝา่ มือกระแทกแรง ๆ บริเวณกลางหลังระหว่างกระดูกสะบักทัง้ สองข้างอย่างต่อ
เนื่องเป็ นจังหวะ 5 ครัง้
3. พลิกตัวผูป้ ว่ ยกลับมานอนหงายบนแขนของผูช้ ว่ ยเหลือ โดยให้ศรี ษะอยูต่ ่ำ� กว่าล�ำตัว ใช้มอื ประคอง
บริเวณท้ายทอยผูป้ ว่ ย
4. ใช้น้วิ มือ 2 นิ้วกระแทกบริเวณกระดูก sternum ส่วนล่างต�่ำกว่าระดับแนว nipple เล็กน้อย กระแทก
ให้แรงและลึกประมาณ 4 ซม. (1.5 นิ้ว) หรือ 1 ใน 3 ของความหนาผนังทรวงอกผูป้ ว่ ย ท�ำซ�้ำเป็ นจังหวะรวม
5 ครัง้ (ในอัตราทีช่ า้ กว่าการท�ำ chest compression ขณะ CPR)
49
พนิดา ศรีสนั ต์ Foreign Body Aspiration: Critical Care Aspect
การป้ องกัน
เป็ นสิง่ ส�ำคัญทีส่ ดุ และได้ผลดีทส่ี ดุ ในการลดอุบตั กิ ารณ์ของภาวะนี้ ควรให้ความรูแ้ ก่บดิ ามารดาหรือผู้
ปกครองเกีย่ วกับวิธกี ารเลีย้ งดูเด็กทีถ่ กู ต้อง การเลือกอาหารและของเล่นทีเ่ หมาะสมกับวัยและพัฒนาการของ
เด็ก การดูแลป้องกันอุบตั ภิ ยั ต่างๆ (anticipatory guidance) ตลอดจนความรูเ้ กีย่ วกับอาการและอาการแสดง
ผิดปกติทเ่ี กิดจากการส�ำลักสิง่ แปลกปลอม รวมทัง้ การปฐมพยาบาลเบือ้ งต้นทีถ่ กู ต้อง2,3,5-8,11-13
50
พนิดา ศรีสนั ต์ Foreign Body Aspiration: Critical Care Aspect
30 chest compressions
เด็กอายุมากกว่า 1 ปี
FB ไม่หลุด FB หลุด ไม่รสู้ กึ ตัว Open airway (head tilt-chin lift)
มองเห็น FB ไม่เห็น FB
51
พนิดา ศรีสนั ต์ Foreign Body Aspiration: Critical Care Aspect
เอกสารอ้างอิ ง
1. Berg MD, Schexnayder SM, Chameides L, Terry M, Donoghue A, Hickey RW, et al. Pediatric Basic Life Support: 2010
American Heart Association Guidelines for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care. Circulation
2010; 122: S 862-75.
2. Rouillon I, Charrier JB, Devictor D, Portier F, Lebret IK, Attal P, et al. Lower respiratory tract foreign bodies: a retrospective
review of morbidity, mortality and first aid management. Int J Pediatr Otorhinolaryngol 2006; 70:1949-55.
3. Gregori D, Salerni L, Scarinzi C, Morra B, Berchialla P, Snidero S, et al. Foreign bodies in the upper airways causing com-
plications and requiring hospitalization in children aged 0-14 years: results from the ESFBI study. Eur Arch Otorhinolaryngol
2008; 265: 971-8.
4. Li Y, Wu W, Yang X, Li J. Treatment of 38 cases of foreign body aspiration in children causing life-threatening complications.
Int J Pediatr Otorhinolaryngol 2009; 73: 1624-9.
5. การดูแลรักษาภาวะส�ำลักวัตถุแปลกปลอมในทางเดินหายใจเด็ก. ใน สาวิตรี ชลออยู,่ พนิดา ศรีสนั ต์, ณรงค์ นิธปิ ญั ญา, อัญชลี อัตชู
บรรณาธิการ. แนวทางการดูแลรักษาภาวะส�ำลักวัตถุแปลกปลอมในทางเดินหายใจเด็ก. กรุงเทพมหานคร: ชัยเจริญ. 2546.
6. Passali D, Lauriello M, Bellussi L, Passali GC, Passali FM, Gregori D. Foreign body inhalation in children: an update. Acta
Otorhinolaryngol Ital 2010; 30: 27-32.
7. Saki N, Nikakhlagh S, Rahim F, Abshirini H. Foreign body aspirations in infancy: a 20-year experience. Int J Med Sci 2009;
6: 322-8.
8. Cotton RT, Rutter MJ. Foreign body aspiration. In: Chernick V, Boat TF, Wilmott RW, Bush A, eds. Kendig’s disorders of the
respiratory tract in children. 7thed. Philadelphia: Elsevier. 2006, 631- 6.
9. Resuscitation Council (UK). Paediatric Basic Life Support. http://www.resus.org.uk/pages/pbls.pdf.
10. Heimlich HJ. A life-saving maneuver to prevent food-choking. JAMA 1975; 234: 398-401.
11. Healy GB. Management of tracheobronchial foreign bodies in children: an update. Ann Otol Rhinol Laryngol 1990; 99: 889-91.
12. Fraga AMA, dos Reis MC, Zambon MP, Toro IC, Ribeiro JD, Baracat ECE. Foreign body aspiration in children: clinical as-
pects, radiological aspects and bronchoscopic treatment. J Bras Pneumol 2008; 34: 74-82.
13. Shah RK, Patel A, Lander L, Choi SS. Management of foreign bodies obstructing the airway in children. Arch Otolaryngol
Head Neck Surg 2010; 136: 373-9.
52
Pneumothorax
C3
ณัฐชัย อนันตสิทธ์ ิ
อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์
บทน�ำ
Pneumothorax หมายถึงภาวะทีม่ ลี ม หรือก๊าซออกจากถุงลมปอด (alveoli) เข้าไปขังอยูใ่ นช่องทรวงอก
นอกเนื้อปอด (pleural cavity)1 ในภาวะปกติความดันในช่องเยือ่ หุม้ ปอด (intrapleural pressure) จะเป็ นลบ
เมือ่ เทียบกับบรรยากาศ ซึง่ ท�ำให้เยือ่ หุม้ ปอดอยูต่ ดิ ชิดกับผนังทรวงอก แต่ถา้ มีพยาธิสภาพทีท่ ำ� ให้เกิดทาง
เชือ่ มต่อระหว่าง alveolar space และ pleural cavity หรือมีทางเชือ่ มระหว่างบรรยากาศและ pleural cavity
หรือมีการติดเชือ้ ทีส่ ามารถสร้างก๊าซใน pleural cavity2 ก็จะท�ำให้เกิด pneumothorax ขึน้ เราสามารถจ�ำแนก
ตามความรุนแรงของพยาธิสภาพทีเ่ กิดขึน้ เป็ น 2 ชนิด ได้แก่
1. Static pneumothorax หมายถึงการมีลมในช่องทรวงอกจ�ำนวนคงที่ ลมจะค่อยๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่
เลือดทาง pleural circulation ผูป้ ว่ ยมักมีอาการไม่รนุ แรง
2. Tension pneumothorax หมายถึงการมีลมสะสมในช่องทรวงอกปริมาณเพิม่ ขึน้ เรือ่ ยๆ จนกระทัง่
มีผลกดเนื้อปอด และอวัยวะอืน่ ในช่องทรวงอก ท�ำให้การแลกเปลีย่ นก๊าซ หรือความดันเลือดลดลง
สาเหตุ
สามารถแบ่งชนิดของ pneumothorax ตามลักษณะการเกิดโรคเป็ น 2 กลุม่ ดังนี้
1. Spontaneous pneumothorax หมายถึง การเกิด pneumothorax เองโดยไม่มสี าเหตุจากการ
บาดเจ็บทีท่ รวงอก หรือปจั จัยเกือ้ หนุนอืน่ โดยสามารถจ�ำแนกย่อย ออกเป็ น
1.1 Primary spontaneous pneumothorax (PSP) อุบตั กิ ารณ์ประมาณ 7.4-18 ใน 100,000
รายในเพศชาย และประมาณ 1.2-6 ใน 100,000 รายในเพศหญิง3 และมักเกิดในผูป้ ว่ ยทีแ่ ข็งแรง ไม่มโี รคที่
เกีย่ วข้องกับปอดหรือหลอดลม ร้อยละ 80 ของผูป้ ว่ ยมีสาเหตุจาก apical pleural blebs หรือ emphysema-like
changes ทีเ่ นื้อปอดส่วนบน2-5
1.2 Secondary spontaneous pneumothorax เกิดในผูป้ ว่ ยทีม่ ี underlying lung disease เช่น
53
ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Pneumothorax
โรคหืด, วัณโรคปอด, cystic fibrosis, histiocytosis X หรือ HIV-associated Pneumocystis carinii pneumonia
เป็ นต้น
2. Traumatic pneumothorax หมายถึง การเกิด pneumothorax ตามหลังการบาดเจ็บต่อเนื้อปอด
ซึง่ มักเกิดร่วมกับการใช้เครือ่ งช่วยหายใจ หรือมีการบาดเจ็บทีท่ รวงอก ท�ำให้มกี ารกระทบกระเทือนต่อทาง
เดินหายใจและเนื้อปอด มีการฉีกขาดและมีลมรัวออกไปใน
่ pleural space สาเหตุทพ่ี บบ่อย ซึง่ อาจแบ่งเป็ น
iatrogenic เช่น การใช้เครือ่ งช่วยหายใจความดันบวกในระดับสูง หรือมีการใส่สายเข้าบริเวณทรวงอก และ
non-iatrogenic เช่น การประสบอุบตั เิ หตุทท่ี รวงอก ถ้ามีลมปริมาณมากก็จะเป็ น tension pneumothorax ถ้า
ลมไม่มากนักจะเป็ น static pneumothorax
อาการทางคลินิก
ในผูป้ ว่ ย primary spontaneous pneumothorax มักจะมีอาการขณะพัก โดยอาจมีการเปลีย่ นแปลง
ของความดันบรรยากาศ5 หรือความดังของเสียงเป็ นตัวกระตุน้ โดยผูป้ ว่ ยกลุม่ นี้จะมีอาการเจ็บหน้าอกทันที
ลักษณะแบบ sharp pain อาการมักจะดีขน้ึ เองใน 24 ชัวโมง ่ 6 อาจมีอาการเหนื่อยเล็กน้อย แต่ในบางรายอาจมี
อาการมากขึน้ เช่น เขียว หัวใจเต้นเร็ว ตรวจร่างกายพบ หน้าอกด้านทีม่ ี pneumothorax โปง่ ขึน้ เคลือ่ นไหว
น้อยลง เคาะโปร่ง เสียงหายใจและ tactile fremitus ลดลง (เมือ่ มี pneumothorax มากกว่าร้อยละ 15-20 ของ
hemithorax)1 หรืออาจเกิดภาวะ tension pneumothorax ได้ ซึง่ พบน้อยในกลุม่ PSP
ในผูป้ ว่ ย secondary spontaneous pneumothorax เนื่องจากมีโรคปอดร่วมด้วย ผูป้ ว่ ยมักจะมีอาการ
หอบเหนื่อย ถึงแม้วา่ จะมี pneumothorax ขนาดเล็กก็ตาม ร่วมกับมีอาการเจ็บหน้าอก ซีดเขียว หรืออาจเกิด
tension pneumothorax ได้ ในกลุม่ นี้อาการจะไม่ดขี น้ึ เอง ต้องให้การรักษา
ส�ำหรับกลุม่ traumatic pneumothorax ผูป้ ว่ ยจะมีอาการมากหรือน้อยขึน้ กับความรุนแรงของการบาด
เจ็บต่อทรวงอก
ในผูป้ ว่ ยทีม่ ี tension pneumothorax จะพบว่ามีหายใจเร็ว เขียว ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต�่ำ และ
pulsus paradoxus ร่วมด้วย7-8
การวินิจฉัย
1. ถ่ายภาพรังสีทรวงอก ท่า PA upright, lateral decubitus, supine lateral cross-table ซึง่ ท่า PA
upright จะช่วยในการประเมินขนาดของ pneumothorax ได้ 9 (รูปที่ 1) ในผูป้ ว่ ยบางรายไม่สามารถถ่ายภาพ
รังสีทรวงอกในท่านังได้
่ อาจต้องถ่ายในท่านอนหงายก็อาจท�ำให้เห็น pneumothorax ยากขึน้ โดยลักษณะของ
เอ็กซเรย์ปอดในท่านอนหงายทีบ่ ง่ ว่ามี pneumothorax ได้แก่ basilar hyperlucency, sharp mediastinal หรือ
diaphragm, apical pericardial fat tag หรือ inferior edge of collapsed lung10 ข้อจ�ำกัดของภาพถ่ายรังสี
ทรวงอกคือ ไม่สามารถวินิจฉัย pneumothorax ทีม่ ขี นาดเล็ก congenital lung cyst หรือ emyphysema ได้
2. Ultrasound สามารถวินิจฉัย pneumothorax ได้ โดยดูวา่ ไม่ม ี lung sliding, lung point (จุดที่
พบว่ามี lung sliding และไม่ม ี lung sliding) หรือการดู ultrasound โดยใช้ M-mode แล้วพบเส้นขาวด�ำเป็ น
ระเบียบคล้าย barcode (stratospheric or barcode sign)11 ซึง่ มีการศึกษาแบบ systematic review พบว่า
54
ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Pneumothorax
การรักษา
ในการรักษาผูป้ ว่ ย pneumothorax ขึน้ กับชนิดและขนาดของ pneumothorax (วิธวี ดั ดังแสดงในรูปที1่ )
และความรุนแรงของผูป้ ว่ ย โดยในผูป้ ว่ ย spontaneous pneumothorax มีแนวทางการรักษาดังรูปที่ 3
1. ให้ออกซิเจนความเข้มข้น 100% หรือความเข้มข้นสูงสุดเท่าทีจ่ ะท�ำได้แก่ผปู้ ว่ ยทุกราย1 ยกเว้น
เด็กคลอดก่อนก�ำหนด หรือผูป้ ว่ ยทีม่ โี รคปอดเรือ้ รัง หลักการในการให้ออกซิเจนในผูป้ ว่ ย pneumothorax คือ
ออกซิเจนความเข้มข้น 100% จะไปแทนทีก่ ๊าซไนโตรเจนซึง่ เป็ นก๊าซเฉื่อย ทีอ่ ยูใ่ น pleural space ท�ำให้ใน
pleural space มีออกซิเจนเพิม่ ขึน้ ออกซิเจนทีอ่ ยูใ่ น pleural space จะถูกดูดซึมเข้าสูก่ ระแสเลือดทีม่ รี ะดับ
ออกซิเจนต�่ำกว่า (nitrogen washout) ท�ำให้ pneumothorax ลดลงเร็วกว่าปกติ 2-4 เท่า7,15
2. ท�ำ simple manual aspiration หรือ chest tube drain (หรือใช้ pigtail catheter)
ในผูป้ ว่ ยกลุม่ primary spontaneous pneumothorax ทีเ่ ป็ นครัง้ แรก ทีไ่ ม่มอี าการ และขนาด pneu-
mothorax น้อยกว่าร้อยละ15 ของ hemithorax อาจให้การติดตามอาการ ให้ออกซิเจน ร่วมกับถ่ายภาพรังสี
ทรวงอกเป็ นระยะ1,2 แต่มหี ลายการศึกษาแนะน�ำให้ทำ � simple manual aspiration ไปเลย ซึง่ พบว่าจะรักษา
ส�ำเร็จประมาณร้อยละ 50-809,16 ในบางการศึกษาก็แนะน�ำให้ใส่ small catheter ทีม่ ี Heimlich valve เพือ่
ลดโอกาสการกลับเป็ นซ�้ำ และช่วยให้ผปู้ ว่ ยสามารถเคลือ่ นไหวตัวเองได้ดว้ ย17 โดยการท�ำ simple aspiration
จะใช้เข็มเจาะทีบ่ ริเวณ 2nd intercostal space บริเวณ mid-clavicular line
ส�ำหรับในกลุม่ secondary spontaneous pneumothorax ควรทีจ่ ะพิจารณาท�ำ simple manual as-
piration หรือ ใส่สายระบายลม (chest tube drain) เลย17 เนื่องจากในผูป้ ว่ ยกลุม่ นี้มโี รคปอดอยูแ่ ล้ว ดังนัน้
จะมีอาการมากกว่ากลุม่ PSP และ pneumothorax จะไม่หายเองถ้าไม่ได้รบั การรักษา โดยการใส่สาย chest
drain จะใส่สายทีบ่ ริเวณ 4th, 5th,6th intercostal space บริเวณ anteriod to mid-axillary line
ส�ำหรับ traumatic pneumothorax แนะน�ำให้ใส่ chest tube drain เช่นกัน โดยเฉพาะในผูป้ ว่ ยทีใ่ ส่
เครือ่ งช่วยหายใจ
ในปจั จุบนั มีอุปกรณ์ chest tube drain ใหม่ทส่ี ามารถเคลือ่ นทีไ่ ด้งา่ ย ได้แก่ Atriam® water seal chest
drain หรือ Heimlich chest drain valve® (รูปที่ 2)
3. การต่อ suction drainage system ไม่แนะน�ำให้ใช้ในผูป้ ว่ ย pneumothorax ทุกราย2,4,18 เนื่องจาก
55
ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Pneumothorax
56
ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Pneumothorax
Volume of pneumothorax
= (ขนาด hemithorax3 – ขนาดปอดส่วนทีเ่ หลือ3)
Air ขนาด hemithorax3
= (123-9.53) /123 = 50%
9.5 cm.
12 cm.
รูปที่ 2 อุปกรณ์ Atriam water seal chest drain และ Heimlich chest drain valve
รูปที่ 2 อุปกรณ์ Atriam water seal chest drain และ Heimlich chest drain valve
57
ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Pneumothorax
Spontaneous pneumothorax
Oxygen
มีโรคปอดดัง้ เดิม
ไม่ ใช่
Primary Secondary
58
ณัฐชัย อนันตสิทธิ ์, อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ์ Pneumothorax
เอกสารอ้างอิ ง
1. LUH S. Diagnosis and treatment of primary spontaneous pneumothorax. J Zhejiang Univ-Sci B (Biomed & Biotechnol)
2010;11: 735-44.
2. Noppen M, Keukeleire TD. Pneumothorax. Respiration 2008; 76:121-7.
3. Gupta D, Hansell A, Nichols T, et al. Epidemiology of pneumothorax in England. Thorax. 2000; 55:666-71.
4. Sahn SA, Heffner JE. Spontaneous pneumothorax. N Engl J Med 2000; 342: 868-74.
5. Alifano M, Forti Parri SN, Bonfanti B, Arab WA, Passini A, Boaron M, et al. Atmospheric pressure influences the risk of
pneumothorax: beware of strom! Chest 2007; 131: 1877-82.
6. Noppen M, Schramel F. Pneumothorax. Eur Respir Mon 2002; 22: 279-96.
7. Montgomery M, Sigalet D. Air and liquid in the pleural space. In: Chernick V, Boat TF, Wilmott RW, Bush A, eds. Kendig’s
disorders of the respiratory tract in children. 7thed. Philadelphia: Saunders Elsevier. 2006, 368-87.
8. อรุณวรรณ พฤทธิพนั ธุ.์ Pneumothorax. ใน กาญจนา ตัง้ นรารัชชกิจ, ดวงฤดี วัฒนศิรชิ ยั กุล, เปรมฤดี ภูมถิ าวร, อนันต์ โฆษิตเศรษฐ,
ธีรเดช คุปตานนท์ บรรณาธิการ. คูม่ อื กุมารเวชศาสตร์ฉุกเฉิน. กรุงเทพมหานคร: บริษทั พิมพ์สวย จ�ำกัด. 2550: 438-40.
9. Currie GP, Alluri R, Christie GL, Legge JS. Pneumothorax: update. Postgrad Med J 2007; 87: 461-65.
10. Plewa MC, Ledrick D, Sferra JJ. Delayed tension pneumothorax complicating central venous catheterization and positive
pressure ventilation. Am J Emerg Med 1995;13: 532-5.
11. Piette E, Daoust R, Denault A. Basic concepts in the use of thoracic and lung ultrasound. Curr Opin Anaesthesiol. 2013;26:20-30.
12. Staub LJ, Biscaro RRM, Kaszubowski E, Maurici R. Chest ultrasonography for the emergency diagnosis of traumatic pneu-
mothorax and haemothorax: A systematic review and meta-analysis. Injury. 2018 Feb 8. [Epub ahead of print]
13. Lichtenstein DA. Ultrasound examination of the lungs in the intensive care unit. Pediatr Crit Care Med 2009;10: 693–8.
14. Ball CG, Kirkpatrick AW, Felociano DV. The occult pneumothorax: what have we learned? Can J Surg 2009; 52: W173-9.
15. Robinson PD, Cooper P, Ranganathan SC. Evidence-based management of paediatric primary spontaneous pneumothorax.
Paediatr Respir Rev. 2009;10:110-7.
16. Zehtabchi S, Rios CL. Management of emergency department patients with primary spontaneous pneumothorax: needle
aspiration or tube thoracotomy? Ann Emerg Med 2008; 51: 91-100.
17. Choi SH, Lee SW, Hong YS, Kim SJ, Moon JD, MoonSW. Can spontaneous pneumothorax patients be treated by ambulatory
care management? Eur J Cardiothorac Surg 2007; 81: 491-5.
18. MacDuff A, Arnold A, Harvey J; BTS Pleural Disease Guideline Group. Management of spontaneous pneumothorax: British
Thoracic Society Pleural Disease Guideline 2010. Thorax 2010;65 Suppl 2:ii18-31.
19. Roberts ME, Neville E, Berrisford RG, Antunes G, Ali NJ; BTS Pleural Disease Guideline Group. Management of a malignant
pleural effusion: British Thoracic Society Pleural Disease Guideline 2010. Thorax. 2010;65 Suppl 2:ii32-40.
20. Schramel FM, Postmus PE, Vanderschueren RG. Current aspects of spontaneous pneumothorax. Eur Respir J 1997;10:1372-9.
59