Professional Documents
Culture Documents
law1103มาตรา1
law1103มาตรา1
-ความหมายของนิติกรรม--> ม. 149
มาตรา 170 การแสดงเจตนาซึง่ กระทำต่อผู้เยาว์หรื อผู้ที่ศาลสัง่ ให้ เป็ นคนไร้ ความสามารถหรื อคนเสมือนไร้ ความ
สามารถ จะยกขึ ้นเป็ นข้ อต่อสู้ผ้ รู ับการแสดงเจตนาไม่ได้ เว้ นแต่ผ้ แู ทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรื อผู้พิทกั ษ์ แล้ วแต่กรณี
ของผู้รับการแสดงเจตนานันได้้ ร้ ูด้วย หรื อได้ ให้ ความยินยอมไว้ ก่อนแล้ ว
ความในวรรคหนึง่ มิให้ ใช้ บงั คับ ถ้ าการแสดงเจตนานันเกี
้ ่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ ผ้ เู ยาว์หรื อคนเสมือนไร้
ความสามารถกระทำได้ เองโดยลำพัง
มาตรา 360 บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสอง นัน้ ท่านมิให้ ใช้ บงั คับ ถ้ าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้
แสดง หรื อหากว่าก่อนจะสนองรับนัน้ คูก่ รณีอีกฝ่ ายหนึง่ ได้ ร้ ูอยู่แล้ วว่าผู้เสนอตายหรื อตกเป็ นผู้ไร้ ความสามารถ
[เลขมาตรา 169 วรรคสอง แก้ ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ 1 แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535]
ส่วนที่2
-เหตแห่งโมฆะกรรม -->ม.150,152, 154, 155, 156
มาตรา 150 การใดมีวตั ถุประสงค์เป็ นการต้ องห้ ามชัดแจ้ งโดยกฎหมายเป็ นการพ้ นวิสยั หรื อเป็ นการขัดต่อความ
สงบเรี ยบร้ อยหรื อศีลธรรมอันดีของประชาชน การนันเป็
้ นโมฆะ
มาตรา 155 การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กบั คูก่ รณีอีกฝ่ ายหนึง่ เป็ นโมฆะ แต่จะยกขึ ้นเป็ นข้ อต่อสู้บคุ คล
ภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริ ต และต้ องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนันมิ ้ ได้
ถ้ าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึง่ ทำขึ ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้ นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับ
นิติกรรมที่ถกู อำพรางมาใช้ บงั คับ
-เหตุแห่งโมฆียกรรม -- >
O ม.157, 159, 160, 161, 162 (กลฉ้ อกล)
O ม.164, 165, 166 (การแสดงเจตนาเพราะข่มขู่)
มาตรา 160 การบอกล้ างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้ อฉลตามมาตรา 159 ห้ ามมิให้ ยกเป็ นข้ อต่อสู้บคุ คล
ภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริ ต
มาตรา 161 ถ้ ากลฉ้ อฉลเป็ นแต่เพียงเหตุจงู ใจให้ คกู่ รณีฝ่ายหนึง่ ยอมรับข้ อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คกู่ รณีฝ่าย
นันจะยอมรั
้ บโดยปกติ คูก่ รณีฝ่ายนันจะบอกล้
้ างการนันหาได้
้ ไม่ แต่ชอบที่จะเรี ยกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย
อันเกิดจากกลฉ้ อฉลนันได้
้
มาตรา 162 ในนิติกรรมสองฝ่ าย การที่คกู่ รณีฝ่ายหนึง่ จงใจนิ่งเสียไม่แจ้ งข้ อความจริ งหรื อคุณสมบัติอนั คูก่ รณี
อีกฝ่ ายหนึง่ มิได้ ร้ ู การนันจะเป็
้ นกลฉ้ อฉล หากพิสจู น์ได้ วา่ ถ้ ามิได้ นิ่งเสียเช่นนัน้ นิติกรรมนันก็
้ คงจะมิได้ กระทำขึ ้น
+++++++การแสดงเจตนาเพราะข่ มขู่ +++++++
มาตรา 164 การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็ นโมฆียะ
การข่มขู่ที่จะทำให้ การใดตกเป็ นโมฆียะนัน้ จะต้ องเป็ นการข่มขู่ที่จะให้ เกิดภัยอันใกล้ จะถึง และร้ ายแรงถึงขนาด
ที่จะจูงใจให้ ผ้ ถู กู ข่มขู่มีมลู ต้ องกลัว ซึง่ ถ้ ามิได้ มีการข่มขู่เช่นนัน้ การนันก็
้ คงจะมิได้ กระทำขึ ้น
มาตรา 165 การขูว่ า่ จะใช้ สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็ นการข่มขู่
การใดที่กระทำไปเพราะนับถือยำเกรง ไม่ถือว่าการนันได้
้ กระทำเพราะถูกข่มขู่
มาตรา 166 การข่มขู่ย่อมทำให้ การแสดงเจตนาเป็ นโมฆียะแม้ บคุ คลภายนอกจะเป็ นผู้ข่มขู่
-ผลแห่งโมฆะกรรม -- > ม.172
มาตรา 172 โมฆะกรรมนันไม่ ้ อาจให้ สตั ยาบันแก่กนั ได้ และผู้มีสว่ นได้ เสียคนหนึง่ คนใดจะยกความเสียเปล่า
แห่งโมฆะกรรมขึ ้นกล่าวอ้ างก็ได้
ถ้ าจะต้ องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้ นำบทบัญญัติวา่ ด้ วยลาภมิควรได้ แห่งประมวลกฎหมายนี ้มาใช้
บังคับ
มาตรา 176 โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้ างแล้ ว ให้ ถือว่าเป็ นโมฆะมาแต่เริ่ มแรก และให้ ผ้ เู ป็ นคูก่ รณีกลับคืนสูฐ่ านะ
เดิม ถ้ าเป็ นการพ้ นวิสยั จะให้ กลับคืนเช่นนันได้
้ ก็ให้ ได้ รับค่าเสียหายชดใช้ ให้ แทน
ถ้ าบุคคลใดได้ ร้ ูหรื อควรจะได้ ร้ ูวา่ การใดเป็ นโมฆียะ เมื่อบอกล้ างแล้ ว ให้ ถือว่าบุคคลนันได้
้ ร้ ูวา่ การนันเป็
้ นโมฆะ
นับแต่วนั ที่ได้ ร้ ูหรื อควรจะได้ ร้ ูวา่ เป็ นโมฆียะ
ห้ ามมิให้ ใช้ สิทธิเรี ยกร้ องอันเกิดแต่การกลับคืนสูฐ่ านะเดิมตามวรรคหนึง่ เมื่อพ้ นหนึง่ ปี นับแต่วนั บอกล้ างโมฆียะ
กรรม
มาตรา 177 ถ้ าบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้ างโมฆียะกรรมตามมาตรา 175 ผู้หนึง่ ผู้ใด ได้ ให้ สตั ยาบันแก่โมฆียะกรรม
ให้ ถือว่าการนันเป็
้ นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่ มแรก แต่ทงนี
ั ้ ้ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอก
มาตรา 178 การบอกล้ างหรื อให้ สตั ยาบันแก่โมฆียะกรรม ย่อมกระทำได้ โดยการแสดงเจตนาแก่คกู่ รณีอีกฝ่ าย
หนึง่ ซึง่ เป็ นบุคคลที่มีตวั กำหนดได้ แน่นอน
มาตรา 179 การให้ สตั ยาบันแก่โมฆียะกรรมนัน้ จะสมบูรณ์ตอ่ เมื่อได้ กระทำภายหลังเวลาที่มลู เหตุให้ เป็ น
โมฆียะกรรมนันหมดสิ
้ ้นไปแล้ ว
บุคคลซึง่ ศาลได้ สงั่ ให้ เป็ นคนไร้ ความสามารถ คนเสมือนไร้ ความสามารถหรื อบุคคลวิกลจริ ต ผู้กระทำนิติกรรม
อันเป็ นโมฆียะตามมาตรา 30 จะให้ สตั ยาบันแก่โมฆียะกรรมได้ ต่อเมื่อได้ ร้ ูเห็นซึง่ โมฆียะกรรมนันภายหลั
้ งที่บคุ คลนันพ้
้ น
จากการเป็ นคนไร้ ความสามารถ คนเสมือนไร้ ความสามารถ หรื อในขณะที่จริ ตของบุคคลนันไม่ ้ วิกล แล้ วแต่กรณี
ทายาทของบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็ นโมฆียะ จะให้ สตั ยาบันแก่โมฆียะกรรมได้ นบั แต่เวลาที่ผ้ ทู ำนิติกรรมนัน้
ถึงแก่ความตาย เว้ นแต่สิทธิที่จะบอกล้ างโมฆียะกรรมของผู้ตายนันได้
้ สิ ้นสุดลงแล้ ว
บทบัญญัติวรรคหนึง่ และวรรคสองมิให้ ใช้ บงั คับ ถ้ าการให้ สตั ยาบันแก่โมฆียะกรรมกระทำโดยผู้แทนโดยชอบ
ธรรม ผู้อนุบาลหรื อผู้พิทกั ษ์
มาตรา 180 ภายหลังเวลาอันพึงให้ สตั ยาบันได้ ตามมาตรา 179 ถ้ ามีพฤติการณ์อย่างหนึง่ อย่างใดดังต่อไปนี ้เกิด
ขึ ้นเกี่ยวด้ วยโมฆียะกรรมโดยการกระทำของบุคคลซึง่ มีสิทธิบอกล้ างโมฆียะกรรมตามมาตรา 175 ถ้ ามิได้ สงวนสิทธิไว้ แจ้ ง
ชัดประการใดให้ ถือว่าเป็ นการให้ สตั ยาบัน
(1) ได้ ปฏิบตั ิการชำระหนี ้แล้ วทังหมดหรื
้ อแต่บางส่วน
(2) ได้ มีการเรี ยกให้ ชำระหนี ้นันแล้
้ ว
(3) ได้ มีการแปลงหนี ้ใหม่
(4) ได้ มีการให้ ประกันเพื่อหนี ้นัน้
(5) ได้ มีการโอนสิทธิหรื อความรับผิดทังหมดหรื
้ อแต่บางส่วน
(6) ได้ มีการกระทำอย่างอื่นอันแสดงได้ วา่ เป็ นการให้ สตั ยาบัน
มาตรา 193 ในกรณีดงั ต่อไปนี ้ ฝ่ ายลูกหนี ้จะถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเริ่ มต้ นหรื อเงื่อนเวลาสิ ้นสุดมิได้
(1) ลูกหนี ้ถูกศาลสัง่ พิทกั ษ์ ทรัพย์เด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้ วยล้ มละลาย
(2) ลูกหนี ้ไม่ให้ ประกันในเมื่อจำต้ องให้
(3) ลูกหนี ้ได้ ทำลาย หรื อทำให้ ลดน้ อยถอยลงซึง่ ประกันอันได้ ให้ ไว้
(4) ลูกหนี ้นำทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาให้ เป็ นประกันโดยเจ้ าของทรัพย์สินนันมิ
้ ได้ ยินยอมด้ วย
มาตรา 193/1 การนับระยะเวลาทังปวง้ ให้ บงั คับตามบทบัญญัติแห่งลักษณะนี ้ เว้ นแต่จะมีกฎหมาย คำสัง่ ศาล
ระเบียบข้ อบังคับ หรื อนิติกรรมกำหนดเป็ นอย่างอื่น
มาตรา 193/4 ในทางคดีความ ในทางราชการ หรื อทางธุรกิจการค้ าและอุตสาหกรรม วัน หมายความว่า เวลา
ทำการตามที่ได้ กำหนดขึ ้นโดยกฎหมาย คำสัง่ ศาล หรื อระเบียบข้ อบังคับ หรื อเวลาทำการตามปกติของกิจการนัน้ แล้ วแต่
กรณี
มาตรา 193/5 ถ้ ากำหนดระยะเวลาเป็ นสัปดาห์ เดือนหรื อปี ให้ คำนวณตามปี ปฏิทิน
ถ้ าระยะเวลามิได้ กำหนดนับแต่วนั ต้ นแห่งสัปดาห์ วันต้ นแห่งเดือนหรื อปี ระยะเวลาย่อมสิ ้นสุดลงในวันก่อนหน้ า
จะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือนหรื อปี สุดท้ ายอันเป็ นวันตรงกับวันเริ่ มระยะเวลานัน้ ถ้ าในระยะเวลานับเป็ นเดือนหรื อปี นันไม่
้ มี
วันตรงกันในเดือนสุดท้ าย ให้ ถือเอาวันสุดท้ ายแห่งเดือนนันเป็
้ นวันสิ ้นสุดระยะเวลา
มาตรา 193/6 ถ้ าระยะเวลากำหนดเป็ นเดือนและวัน หรื อกำหนดเป็ นเดือนและส่วนของเดือน ให้ นบั จำนวน
เดือนเต็มก่อน แล้ วจึงนับจำนวนวันหรื อส่วนของเดือนเป็ นวัน
ถ้ าระยะเวลากำหนดเป็ นส่วนของปี ให้ คำนวณส่วนของปี เป็ นเดือนก่อนหากมีสว่ นของเดือน ให้ นบั ส่วนของเดือน
เป็ นวัน
การคำนวณส่วนของเดือนตามวรรคหนึง่ และวรรคสอง ให้ ถือว่าเดือนหนึง่ มีสามสิบวัน
-อายุความ – >193/9-193/35
ส่วนที่4
- สัญญา