Professional Documents
Culture Documents
ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอเรชั่น ในความพอใจของรัฐบาล ช่วง พ.ศ. 2557-2562 ธัชนนท์ ขาวดี
ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอเรชั่น ในความพอใจของรัฐบาล ช่วง พ.ศ. 2557-2562 ธัชนนท์ ขาวดี
ศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ
โดย
นายธัชนนท์ ขาวดี
ภาคนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ศิลปศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์
คณะวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2562
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคดิ ทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอเรชั่นในการ
ศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ
โดย
นายธัชนนท์ ขาวดี
ภาคนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ศิลปศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์
คณะวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2562
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(1)
หัวข้อภาคนิพนธ์ ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอ
เรชั่นในการกาหนดความพอใจของรัฐบาลช่วง พ.ศ.
2557-2562: กรณีศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ชื่อผู้เขียน นายธัชนนท์ ขาวดี
ชื่อปริญญา ศิลปศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชา/คณะ/มหาวิทยาลัย สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์
วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ที่ปรึกษาภาคนิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
กรรมการสอบภาคนิพนธ์ อ.เพชร จารุไพบูลย์
ปีการศึกษา 2562
บทคัดย่อ
การวิ จั ย เรื่ อง ”ปั จ จั ยที่ มีผ ลต่อวิธี คิดทางการเมืองของคนแต่ ล ะเจเนอเรชั่นในการ
กาหนดความพอใจของรัฐบาลช่วง พ.ศ. 2557-2562: กรณีศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ” มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ประกอบ
อาชีพเจ้ าหน้าที่ของรัฐ ในแต่ละเจเนอเรชั่น (2) ศึกษาวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562 ผ่านปัจจัยที่มีผลต่อวิธี
คิดทางการเมืองที่ได้จากการศึกษา และ(3) ศึกษาความพอใจของคนผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ในแต่ละเจเนอเรชั่นที่มีต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562 โดยมีความหมายสาคัญเพื่อให้รับรู้ถึง
ปัจจัยต่างๆทาให้คนผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในแต่ละเจเนอเรชั่นมีมุมมองและวิธีคิดทาง
การเมืองเป็นอย่างไร และทราบถึงความพอใจของคนผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในแต่ละเจเนอ
เรชั่นที่สะท้อนออกมาจากการทางานของคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562 โดยการวิจัยในครั้งนี้
เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่ใช้รูปแบบวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth
Intervierw) ผู้ให้ข้อมูลสาคัญในการให้สัมภาษณ์เชิงลึกคือผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้ผ่าน
ประสบการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยที่มีอายุอยู่ในแต่ละช่วงยุคได้แก่ Silent
Generation, Baby Boomer, Generation X, Generation Y และGeneration Z จานวน 5 คน
โดยอาศัยหลักฐานต่างๆด้วยกระบวนวิธีการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ได้แก่
วารสาร หนังสือ วิทยานิพนธ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และบทสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสาคัญ รวมถึง
ผ่านการวิเคราะห์ภายใต้แนวคิดทฤษฎีการกล่อมเกลาทางการเมืองและทฤษฎีเกี่ยวกับเจเนอเรชั่น ใน
ประเด็นเรื่องวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
(2)
ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยร่วมกันของคนทีป่ ระกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอ
เรชั่นที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองมีทั้งหมด 4 ปัจจัยได้แก่ ปัจจัยด้านสถานการณ์ทางการเมือง ปัจจัย
ด้านสื่อ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านการศึกษา จากศึกษาพบว่าคนที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่
ของรั ฐ ในแต่ ล ะเจเนอเรชั่ น มีวิ ธี คิด ทางการเมื อ งที่ อิ งอยู่ กั บสภาพแวดล้ อ มทางและสถานการณ์
การเมืองในปัจจุบัน โดยจากการศึกษาผู้ ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใน Silent Generation,
Baby Boomer, Generation X, Generation Y พบว่าปัจจัยด้านสถานการณ์ทางการเมือง ปัจจัย
ด้านสื่อ และปัจจัยด้านเศรษฐกิจมีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วน
Generation Z พบว่ามีเพียงปัจจัยด้านสถานการณ์ทางการเมือง และปัจจัยด้านสื่อที่มีผลต่อวิธีคิด
ทางการเมืองเนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจยังไม่มาถึงเพราะคน Generation Z ที่ยังอยู่ในช่วงของวัย
เรียน นอกจากนี้ในปัจจัยด้านการศึกษาคนผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ Silent Generation,
Baby Boomer, Generation X, Generation Y และGeneration Z ต่างมองร่วมกันว่าปัจจัยด้าน
การศึกษาไม่มีผลต่อการให้เกิดวิธีคิดทางการเมือง
จากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองทาให้ได้ผลสรุปว่าคนที่ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ Silent Generation, Baby Boomer, Generation X, Generation Y และ
Generation Z ต่างมีปัจจัยหลักที่ทาให้คนสามารถพอใจรัฐบาลหรือไม่พอใจรัฐบาลไม่เหมือนกัน โดย
คน Generation Z จะมี ค วามพอใจกั บ รั ฐ บาลหากรั ฐ บาลบริ ห ารประเทศในลั ก ษณะที่ เ ป็ น
ประชาธิ ป ไตย ในทางตรงกั น ข้ า มหากรั ฐ บาลบริ ห ารประเทศในลั ก ษณะที่ เ ป็ น เผด็ จ การคน
Generation Z จะเกิดความไม่พอใจในรัฐบาล คน Generation Y จะมีความพอใจกับรัฐบาลหาก
รัฐบาลบริ หารประเทศในลักษณะที่เป็นประชาธิ ปไตยแต่ในทางตรงกันข้ามหากได้รัฐบาลบริหาร
ประเทศในลักษณะที่เป็นเผด็จ คน Generation Y จะเกิดความไม่พอใจในรัฐบาลแต่ถ้ารัฐบาลเผด็จ
การมาบริหารประเทศแล้วทาให้เศรษฐกิจดีคน Generation Y มองว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทาเพื่อไม่ให้
รู้สึกไม่พอใจไปมากกว่านี้ ส่วนคน Silent Generation, Baby Boomer และGeneration X จะมี
ความพอใจกับรัฐบาลหากรัฐบาลบริหารประเทศให้มีเศรษฐกิจที่ดี ในทางตรงกันข้ามหากรัฐบาล
บริหารประเทศให้มีเศรษฐกิจที่แย่ลงคน Silent Generation, Baby Boomer และGeneration X
จะเกิดความไม่พอใจในรัฐบาล
จากการศึกษาทาให้เห็นว่ายิ่งเจเนอเรชั่นที่มีอายุน้อยลงมาจะมีความคิดที่ไม่ชอบเผด็จ
การอานาจนิ ยมมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเจเนอเรชั่นหลั งๆที่มีอายุมากขึ้นจะให้ความส าคัญกับเรื่อง
เศรษฐกิจ โดยทุกเจเนอเรชั่นมีความรู้สึกไม่พอใจรัฐบาลในปัจจุบันหรือรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์
โอชา เนื่องจาก Generation Z มีความคิดที่ไม่ชอบเผด็จการให้ความสาคัญกับประชาธิปไตย
Generation Y มีความคิดที่ไม่ชอบเผด็จการให้ความสาคัญกับประชาธิปไตยและคานึงถึงเรื่อง
เศรษฐกิจ และSilent Generation, Baby Boomer และGeneration X ให้ความสาคัญกับเรื่อง
เศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันหรือรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่สามารถตอบโจทย์
ต่อคนทุก Generation ในประเทศได้เพราะมีลักษณะเผด็จการและทาให้เศรษฐกิจในประเทศแย่ลง
(3)
กิตติกรรมประกาศ
การท าภาคนิ พ นธ์ฉ บั บนี้ ส ามารถบรรลุ วัต ถุป ระสงค์ใ นการศึก ษาค้ น คว้ า และเสร็ จ
สมบูรณ์ขึ้นมาได้นั้น ผู้วิจัยต้องขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์
ที่ปรึกษาภาคนิพนธ์ที่เป็นผู้แนะนาแนวทางในการทาภาคนิพนธ์ตั้งแต่วันแรกที่เข้าปรึกษาถึงหัวข้อใน
การทานิพนธ์ครั้งนี้ และกรุณารับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผู้วิจัย อีกทั้งอาจารย์ยังชี้แนะแนวทางที่
เหมาะสมต่อการทาวิจัย เพื่อให้ชิ้นงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการแนะแนวทางในการ
เขียนเนื้อหาและบทวิเคราะห์ตลอดจนการกาหนดกรอบเวลาในการเสนอความคืบหน้าของงาน และ
ยังได้สละเวลาอันมีค่าตรวจสอบความคืบหน้าของงานพร้อมให้คาแนะนาที่ทาให้งานฉบับนี้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง
การให้คาแนะนาและความใส่ใจของอาจารย์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทาภาคนิพนธ์จนภาคนิพนธ์ฉบับนี้เสร็จ
สมบูรณ์ล้วนมีความสาคัญที่ทาให้ผู้วิจัยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการศึกษาได้อย่างราบรื่น
ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลสาคัญทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่าทั้งจากการเรียน การทางานและ
การพักผ่อน มาให้สัมภาษณ์และเล่าถึงประสบการณ์ทางการเมืองที่เคยผ่าน รวมทั้งการแลกเปลี่ยน
ความคิดเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่มีผลต่อการทาวิจัยในครั้งนี้ และยังให้แหล่งข้อมูลสาคัญที่เป็น
ประโยชน์กับการทาภาคนิพนธ์ หากปราศจากบุคคลเหล่านี้ไปผู้วิจัยคงไม่สามารถทาการศึกษาครั้งนี้
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสร็จสบบูรณ์
ผู้วิจัยขอขอบคุณกัลยาณมิตรของผู้วิจัยทุกท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือและเป็นกาลังใจ
ให้ผู้เขียนตลอดมา ขอขอบคุณพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ วิทยาลัยสหวิทยาการโครงการศึกษาศิลปศาสตร์
บัณฑิตสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ทุกท่านที่เป็นกาลังใจและคอยให้ความช่วยเหลือ
ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาและจัดทาวิทยานิพนธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอขอบคุณ เพื่อนผู้ซึ่งคอยให้ความ
ช่วยเหลือและให้กาลังใจแก่ผู้วิจัยด้วยความเต็มใจยิ่งเสมอมา
สุดท้ายนี้ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ คุณพ่อศรชัย ขาวดี และคุณแม่สมสุข สุทธิสินทองที่ท่าน
ช่วยสนับสนุนในด้านการศึกษาแก่ผู้วิจัยมาตั้งแต่วัย เยาว์ ตลอดจนให้ความรัก ความเข้าใจ และเป็น
กาลังใจสาคัญที่ทาให้ภาคนิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จลุล่วงลงได้ โดยหากภาคนิพนธ์ฉบับนี้มีประโยชน์และมี
คุณค่าทางการศึกษาแก่ผู้ที่ได้ศึกษาภาคนิพนธ์ฉบับนี้ ผู้เขียนขอยกความดีความชอบทั้งหมดแด่ ผู้ช่วย
ศาสตราจารย์ ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี และกรรมการสอบภาคนิพนธ์ อ.เพชร จารุไพบูลย์ หากภาค
นิพนธ์ฉบับนี้มีความบกพร่องประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
นายธัชนนท์ ขาวดี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2562
(5)
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ (1)
กิตติกรรมประกาศ (4)
สารบัญตาราง (9)
สารบัญภาพ (10)
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ที่มาและความสาคัญ 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4
1.3 ขอบเขตของการวิจัย 4
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4
2.1 แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการกล่อมเกลาทางการเมือง 5
2.1.1ความหมายของการกล่อมเกลาทางการเมือง 5
2.1.2 ตัวแทนทางสังคมที่ทาให้เกิดการกล่อมเกลาทางการเมือง 6
2.1.3 วิธีการกล่อมเกลาทางการเมือง 7
2.2 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเจเนอเรขั่น 9
2.2.1 ช่วงเวลา ค่านิยมและลักษณะเฉพาะของ Silent Generation 9
2.2.2 ช่วงเวลา ค่านิยมและลักษณะเฉพาะของ Baby Boomer 11
2.2.3 ช่วงเวลา ค่านิยมและลักษณะเฉพาะของ Generation X 12
2.2.4 ช่วงเวลา ค่านิยมและลักษณะเฉพาะของ Generation Y 13
2.2.5 ช่วงเวลา ค่านิยมและลักษณะเฉพาะของ Generation Z 14
2.2.6 ช่วงเวลาและค่านิยมในบริบททางเศรษฐกิจการเมืองไทยที่หล่อหลอม 16
ให้คนในแต่ละ Generation มีลักษณะเฉพาะทีเ่ พิ่มเติมจากคานิยาม
Generation ในสากล
(6)
2.3 ลักษณะพื้นฐานของกลุ่มข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ 18
2.3.1 ความหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 18
2.3.2 ประเภทของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 18
2.3.3 ส่วนราชการ 19
2.3.4 คุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดี 20
บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย 22
3.1 ขอบเขตการวิจัย 22
3.1.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา 22
3.1.2 วิธีการวิจัย 23
3.1.3 ขอบเขตด้านเวลา 23
3.1.4 ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ 23
3.2 วิธีดาเนินการศึกษาวิจัย 25
3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล 25
3.2.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล 25
3.2.3 การจัดกระทาข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 26
3.2.4 การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 26
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 27
4.1 บริบททางเศรษฐกิจการเมืองโดยรวมที่หล่อหลอมวิธีคิดจาก 27
เจเนอเรชั่นแรกสู่เจเนอเรชั่นล่าสุด
4.1.1 เศรษฐกิจไทยยุคศักดินาก่อนการปฏิวัติการปกครอง พ.ศ. 2475 27
(ช่วงปี พ.ศ. 1839-2475)
4.1.2 การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 28
และการพัฒนาทุนนิยมโดยรัฐ (ช่วงปี พ.ศ. 2475-2500)
4.1.3 เผด็จการทหารและการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจตามกรอบ 30
ความคิดของธนาคารโลก (ช่วงปี พ.ศ. 2501-2516)
4.1.4 นักธุรกิจและชนชั้นกลางมีบทบาทเพิ่มขึ้นและเหตุการณ์ 16 ตุลาคม 32
พ.ศ. 2519 (ช่วงปี พ.ศ. 2516-2523)
(7)
4.1.5 การเปิดเสรีครั้งใหญ่การเติบโตแบบเศรษฐกิจฟองสบู่และเหตุการณ์ 33
พฤษภาทมิฬ (ช่วงปี พ.ศ. 2524-2539)
4.1.6 วิกฤตเศรษฐกิจเศรษฐกิจฟองสบู่แตก วิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง 36
เสื้อเหลือง-แดง และการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดย
คณะคสช. (ช่วงปี พ.ศ. 2540-2562)
4.2 ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์ผล 41
4.2.1 ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ 42
ในแต่ละเจเนอเรชั่น
4.2.1.1 ปัจจัยด้านสถานการณ์ทางการเมืองที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมือง 43
ของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
4.2.1.2 ปัจจัยด้านสื่อที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมือง 45
ของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
4.2.1.3 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมือง 48
ของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
4.2.1.4 ปัจจัยด้านการศึกษาที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมือง 50
ของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
4.2.2 การกาหนดความพอใจของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละ 51
เจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562 ผ่านปัจจัยที่มีผลต่อ
วิธีคิดทางการเมือง
4.2.2.1 ปัจจัยด้านสถานการณ์ทางการเมืองที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมือง 51
ของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
ต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562
4.2.2.2 ปัจจัยด้านสื่อที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ทปี่ ระกอบ 53
อาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง
พ.ศ. 2557-2562
4.2.2.3 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบ 55
อาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง
พ.ศ. 2557-2562
4.2.2.4 ปัจจัยด้านการศึกษาที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบ 56
(8)
อาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ.
2557-2562
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย 57
5.1 สรุปผลการศึกษาและอภิปรายผล 57
5.2 การกล่อมเกลาทางการเมืองในคนผู้ทปี่ ระกอบอาชีพ 58
เจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
5.3 ความพอใจของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อรัฐบาล 59
ในช่วง พ.ศ. 2557-2562 หรือรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
5.4 กลไกและสิ่งที่เป็นตัวสะกดความพอใจของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ 60
ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
5.5 สรุปวิธีคิดของคนแต่ละเจเนอเรชั่นในการกาหนดความพอใจต่อรัฐบาล 62
รายการอ้างอิง 68
(9)
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
2.1 ตารางแสดงข้อมูลของผู้ให้ข้อมูลสาคัญที่ใช้ในการสัมภาษณ์ 24
4.1 เจเนอเรชั่นในประเทศไทยและช่วงในแต่ละเจเนอเรชั่น 27
4.2 ตารางแสดงบริบททางการเมืองและเศรษฐกิจที่คนแต่ละเจเนอเรชั่นได้ผ่าน 39
4.3 ตารางแสดงข้อมูลของผู้ให้ข้อมูลสาคัญ 41
4.4 ลาดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนในแต่ละเจเนอเรชั่น 42
4.5 ช่องทางสื่อหลักของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ 47
แต่ละเจเนอเรชั่นในช่องทางการรับข่าวสารการเมือง
5.1 สรุปแนวทางความพอใจรัฐบาลของคนผู้ที่ประกอบอาชีพ 62
เจ้าหน้าที่ของรัฐ Generation Z
5.2 สรุปแนวทางความพอใจรัฐบาลของคนผู้ที่ประกอบอาชีพ 63
เจ้าหน้าที่ของรัฐ Generation Y
5.3 สรุปแนวทางความพอใจรัฐบาลของคนผู้ที่ประกอบอาชีพ 63
เจ้าหน้าที่ของรัฐ Generation X
5.4 สรุปแนวทางความพอใจรัฐบาลของคนผู้ที่ประกอบอาชีพ 64
เจ้าหน้าที่ของรัฐ Baby Boomer
5.5 สรุปแนวทางความพอใจรัฐบาลของคนผู้ที่ประกอบอาชีพ 65
เจ้าหน้าที่ของรัฐ Silent Generation
(10)
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
5.1 กลไกในการทาให้คนพอใจกับรัฐบาล 60
1
บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญ
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.3 ขอบเขตของการวิจัย
1.3.1 ศึกษาเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่คนในแต่ละเจเนอเรชั่นได้ผ่าน
ตั้งแต่ พ.ศ. 2468-2562
1.3.2 ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคน 5 เจเนอเรชั่นในสังคมไทย ได้แก่
ได้แก่ Silent Generation, Baby Boomer, Generation X, Generation Y
และGeneration Z
1.3.3 ศึกษาความพอใจของคนในแต่ละเจเนอเรชั่นในช่วงของคณะรัฐบาลในปี พ.ศ.
2557-2562
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
บทที่ 2
เด็กคิดว่าบทบาททางการเมืองของเขาควรมีลักษณะยอมรับอานาจที่มีเหนือกว่าเขาว่าการถ่ายทอด
แบบนี้เป็นการถ่ายทอดความรู้ระหว่างบุคคล โดยมีการเรียนรู้จากบ้านและโรงเรียนเป็นสาคัญ
การฝึ ก ปฏิ บั ติ (apprenticeship) การเรี ย นรู้ ท างการเมื อ งแบบนี้ มี ลั ก ษณะ
สัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบแรกมาก โดยทั่วไปการเรียนรู้ทางการเมืองแบบนี้เกิดขึ้นใน
สถานการณ์หรือการกระทาที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็ได้ การเรียนรู้โดยเลียนแบบพฤติกรรมของบุคคลที่
เด็กสนใจ เช่น ครู พ่อ แม่ แต่เมื่อโตขึ้นอัตราการเลียนแบบจะลดลง การเรียนรู้ในขั้นนี้เป็นการเรียนรู้
ทัศนคติ ดังนั้นเด็กจะชอบพรรคการเมืองตามที่ผู้ใหญ่ของตนชอบ
การสร้ า งข้ อ สรุ ป ทั่ ว ไป (generalization) การเรี ย นรู้ ท างการเมื อ งแบบนี้ มี
ความหมายเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับสองแบบแรก ได้กล่าวไว้ว่า แบบแผน คุณค่า ความเชื่อพื้นฐาน
ของคนในสั งคมใดสั งคมหนึ่ งอาจจะไม่มีความเกี่ยวโยงกับเรื่องของการเมืองโดยตรง แต่มักจะมี
บทบาทที่สาคัญในการสร้างวัฒนธรรมการเมือง ซึ่งการสร้างข้อสรุปทั่วไปถือว่าเป็นวิธีการกล่อมเกลา
ทางการเมืองโดยอ้อมอีกวิธีหนึ่ง ซึ่ งการเรียนรู้แบบนี้เป็นการเรียนรู้โดยเกิดมโนคติหรือแนวคิดรวบ
ยอดและมีวุฒิภาวะพอที่จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมทางการเมืองได้
ดังนั้นความหมายของการกล่อมเกลาทางการเมืองที่ใช้ในงานวิจัยนี้หากพิจารณา
ในวงกว้างแล้ว จึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเยาว์ของคนคนหนึ่ง เมื่อได้รับอุดมการณ์ แนวคิด
ความเชื่อ และค่านิยมทางการเมืองจากตัวแทนต่างๆของสังคมและประสบการณ์ทางการเมืองที่ได้รับ
จึงเกิดเป็นอุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ และค่านิยมเป็นของตัวเองและแสดงออกมาเป็นทัศนคติทาง
การเมืองโดยสามารถเปลี่ย นแปลงได้ตลอดเวลาตาม อุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ และค่านิยม
ทางการเมืองจากตัวแทนต่างๆของสังคมและเหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น
2.2 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเจเนอเรชัน่
เจเนอเรชั่น คือการแบ่งคนออกเป็นกลุ่มย่อยโดยพิจารณาจากช่วงปีเกิดและเหตุก ารณ์
สาคัญที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิต (Miracle, Christina, Elyssa, 2009, p. 4) โดยประสบการณ์ในแต่ละเจ
เนอเรชั่นจะไม่เหมือนกันเนื่องจากแต่ละเจเนอเรชั่นช่วงอายุห่างกันหลายปีทาให้เกิดค่านิยม นิสัยที่
แตกต่างกันในแต่ละรุ่นดังนั้น คนที่อยู่ในเจเนอเรชั่นเดียวกันจะมีลักษณะเฉพาะที่คล้ายคลึงกัน เช่น
ความเชื่อ ค่านิยม ลักษณะนิสัย เป็นต้นซึ่งในแต่ ละเจเนอเรชั่นจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน (Jiří
Bejtkovský, 2016, p. 26) โดยเจเนอเรชั่นที่อยู่ในกรอบศึกษาของผู้วิจัยได้แก่ Silent Generation,
Baby Boomer, Generation X, Generation Y และGeneration Z
2.2.1 ช่วงเวลา ค่านิยมและลักษณะเฉพาะของ Silent Generation
Anick Tolbize (2008, p. 2) Silent Generation สามารถเรียกได้หลายชื่อไม่
ว่าจะเป็น the traditional generation, the veterans, the matures และthe greatest
generation เป็นคนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1922-1945 คนที่เกิดในรุ่นนี้จะได้รับอิทธิพลจากภาวะ
10
เศรษฐกิจตกต่าครั้งใหญ่และสงครามโลกครั้งที่สอง ลักษณะนิสัยของคนรุ่นนี้เป็นคนที่ทุ่มเทในการ
ทางานและมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการทางานเป็นทีมในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบความเสี่ยง มีความซื่อสัตย์และ
ประหยัดมัธยัสถ์และเคารพผู้มีอานาจชอบโครงสร้างองค์กรแบบลาดับขั้น
Bridget & Ron (2014, p. 1) The Silent Generation กลุ่มคนเกิดขึ้นระหว่าง
ปี ค.ศ. 1929-1945 เป็นกลุ่มคนที่ถูกหล่อหลอมโดยสงครามโลกครั้งที่สอง เศรษฐกิจตกต่า “the
Great Depression” สงครามเกาหลี และระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่ น คนรุ่นนี้มักให้ความสาคัญกับการ
ทางานหนักและความทุ่มเทเสียสละเคารพในอานาจและกฎระเบียบของสถาบันต่างๆ มีทัศนคติเชิง
อนุรักษ์นิยมและยอมรับในผู้ที่มีอิทธิพล มีการสื่อสารในลักษณะที่เป็นทางการเคารพผู้มีประสบการณ์
มีลักษณะการแต่งกายแบบอนุรักษ์นิยม
Kevin R. Clark (2017, p. 380) The Veterans มีชื่อคนเรียกอีกอย่างว่า
traditionalists และ the silent generation เป็นกลุ่มคนที่เกิดขึ้นก่อนปี ค.ศ. 1946 และเป็นรุ่นที่
เก่าแก่ที่สุดคนรุ่น เกิดในช่วงเศรษฐกิจตกต่าครั้งใหญ่และหลายคนต่อสู้หรือเด็กอยู่ในช่วงสงครามโลก
ครั้งทีส่ อง ความยากลาบากของสงครามและเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อคุณค่าและความคิดเห็นของคน
รุ่นนี้อย่างลึกซึ้ง ทาให้คนในรุ่นนี้มีลักษณะรักชาติและมีใจรักในสังคม ด้วยสภาวะเศรษฐกิจตกต่าทา
ให้ มีความมุ่งมั่น และมีแนวโน้ มที่จ ะทางานหนักและชอบความมั่นคงและความสม่าเสมอ มีความ
ซื่อสัตย์สุจริต มีอุปนิสัยและการเสียสละ เคารพอานาจและขอบเขตคุณค่าระหว่างการทางานกับชีวิต
ครอบครั ว และมุ่งมั่ น เพื่อความมั่นคงทางการเงิน ให้ ความส าคัญกับการทางานเป็นทีม ภักดีต่ อ
นายจ้าง ไม่แน่ใจและมีแนวโน้มต่อต้านสิ่งใหม่ๆ
Wade Herley (2009, p. 1-3) The Veterans เป็นรุ่นที่คนเกิดระหว่างปี
1926-1944 เป็ น กลุ่ ม ที่ ไ ด้ รั บ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิ จ ตกต่ าครั้ ง ใหญ่ แ ละส่ ว นใหญ่ มี
ประสบการณ์โ ดยตรงกับสงครามโลกครั้งที่ส อง ค่านิยมหลั กของคนรุ่นนี้คือการเสี ยสละอุทิศตน
ทางานอย่างหนัก เคร่งครัดในกฎหมายและระเบียบ เคารพในผู้ ที่มีอานาจ ยึดหน้าที่เป็นอันดับหนึ่ง
คนรุ่นนี้มีนิสัยประหยัดเงินและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางการใช้จ่ายใดๆ และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
และความขัดแย้ง เมื่อคนรุ่นนี้ไม่เห็นด้วยกับสิ่งใดมักจะเงียบ คนรุ่นนี้ต้องการชีวิตที่ปลอดภัยและ
มั่นคง
กล่าวโดยสรุปสาหรับงานวิจัยชิ้นนี้ Silent Generation หมายถึง กลุ่มคนที่เกิด
ในช่วง พ.ศ. 2468-2488 หรือ ค.ศ.1925-1945 เป็นเจเนอเรชั่นที่พบเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่าครั้ง
ใหญ่ (great depression) และสงครามโลกครั้งที่สอง (World War II) มีความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ
รักชาติ ประหยัดอดออม มีทัศนคติอนุรักษ์นิยม ยอมรับในผู้ที่มีอิทธิพล ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง และ
ความขัดแย้ง ในด้านการทางานทุ่มเทและทางานอย่างหนัก เพื่อความมั่นคงในชีวิตและครอบครัว
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่าและความยากลาบากในช่วงสงคราม
11
รั บ ผิ ด ชอบ และมุ่ ง มั่ น แต่ จ ะแตกต่ า งตรงที่ เ จเนอเรชั่ น ซี มี ค วามเป็ น ผู้ ป ระกอบการมากขึ้ น ให้
ความสาคัญกับการแสดงออกถึงตัวตนของตัวเอง เปิดรับความคิดและวัฒนธรรมและยอมรับความ
แตกต่างของบุคคล ให้ความสนใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ ทั้งในเรื่องเชื้อชาติและ
เพศ ชอบอิสรเสรี มีแนวโน้มเปลี่ยนงานบ่อย ไม่ชอบการรอคอย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
นิยมหาความรู้ผ่านเทคโนโลยีที่มีอยู่
นิพนธ์และธาตรี (2558, น. 76-77) Generation Z หรือ Digital Natives, Net
Generation เป็นกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นกลุ่มคนที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิตอล
เทคโนโลยีอย่ างอิน เทอร์เน็ตและเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์แพร่หลาย มีความเชี่ยวชาญใน
เทคโนโลยี มีความตระหนักถึงสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่กาลังเผชิญกับการก่อการร้ายและภาวะโรค
ร้อนอย่างรุนแรง โดยคนรุ่นนี้จะมีการเชื่อมต่อกับโลกโดยตลอดเวลา (Always connected) ด้วยการ
สื่อสารผ่านช่องทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ คนเจเนอเรชั่นนี้มักพึ่งพาเครื่องมือค้นหา (Search
engines) มีแนวโน้มชอบดูมากกว่าอ่าน ชอบปฏิสัมพันธ์ทางออนไลน์มากกว่าตัวบุคคล
ณัฐวดี ภาวนาวิวัฒน์ (2561, น. 26) เจเนอเรชั่นซี เป็นผู้ที่เกิดในช่วง ค.ศ. 2000
เป็นต้นไป โดยคนกลุ่มนี้เกิดในยุคดิจิตอลที่มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ลักษณะที่แตกต่างจากเจเนอ
เรชั่นอื่นๆ คือ การเข้าสังคมผ่านอินเตอร์เน็ต และการบริโภคอย่างรวดเร็ว มีความรวดเร็วในการ
ติดต่อสื่อสาร เจเนอเรชั่นซีรับรู้เทคโนโลยีว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีลักษณะนิสัยที่ชอบกิจกรรมและ
เกมที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้ตระหนักถึงแนวคิดของการดิ้นรน พวกเขาปฏิบัติได้ฉลาดกว่าและ
ชอบที่จะเป็นผู้นา มองหาความท้าทายและแรงกระตุ้นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
คมกริช นันทะโรจพงศ์ และ พิทักษ์ ศิริวงศ์ (2561, น. 8-9) เจเนอเรชั่นซี หรือ
Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 กลุ่มที่เข้าสู่เจเนอเรชั่นซีเป็น กลุ่มทีกาลังศึกษาอยู่ใน
ระดับปริญญาตรีหรือมัธยมศึกษาตอนปลายถือเป็นเยาวชนของชาติในปัจจุบัน โดยคนกลุ่มนี้เติบโตมา
ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยี และเทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการดารงอยู่ของคนกลุ่ม
นี้เนื่องจากเข้าถึงเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย การยอมรับผู้อื่นเป็นต้นแบบในการดาเนินชีวิตค่อยๆถูก
ลดบทบาทลง คนกลุ่มนี้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทาอะไรได้หลายอย่างพร้ อมกัน ชอบตั้งคาถาม
สมาธิสั้น ใจร้อน ความอดทนต่า ไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน
กล่าวโดยสรุปสาหรับงานวิจัยชิ้นนี้ Generation Z หมายถึง กลุ่มคนที่เกิดหลังปี
พ.ศ. 2540 หรื อ คนที่ เ กิ ด หลั ง ปี ค.ศ. 1997 เป็ น กลุ่ ม เจเนอเรชั่ น ที่ เ ติ บ โตมาในช่ ว งการพั ฒ นา
เทคโนโลยีมีที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิตอลเทคโนโลยีอย่างอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์เครือข่าย
สั งคมออนไลน์ แพร่ ห ลาย มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี มีความตระหนักถึงสถานการณ์โ ลกใน
ปัจจุบันที่กาลังเผชิญกับการก่อการร้ายและภาวะโรคร้อนอย่างรุนแรง เป็นกลุ่มทีกาลังศึกษาอยู่ใน
ระดับปริญญาตรีหรือมัธยมศึกษาตอนปลายถือเป็นเยาวชนของชาติในปัจจุบัน มีการเข้าสังคมผ่าน
อินเตอร์เน็ตและการบริโภคอย่างรวดเร็ว มีความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร คน Generation Z มี
ความซื่อสัตย์ ช่างคิด มีความรับผิดชอบ มุ่งมั่น มีหัวคิดในการเป็นผู้ประกอบการ มีความคิดริเริ่ม
16
2.3 ลักษณะพื้นฐานของกลุ่มข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ในทุกๆประเทศที่เป็นรัฐสมัยใหม่จาเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอานาจและหน้าที่ใน
การปฏิบัติงานในกระทรวง ทบวง กรม อันเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนของรัฐ โดยการนานโยบาย
ของรัฐบาลที่มีการวางแผนมาแล้วนาไปสู่การปฏิบัติเพื่อประชาชนทุกภาคส่วนมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา
คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและความเจริญก้าวหน้าของประเทศให้ดียิ่งขึ้น
2.3.1 ความหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เจ้าหน้ าที่ของรัฐตามความหมายของ พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ.
2562 คือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายถึง ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงาน
ของรัฐ ซึ่ง “หน่วยงานของรัฐ” หมายถึง กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมี
ฐานะเป็นกรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในฝ่ าย
บริหาร แต่ไม่หมายความรวมถึง หน่วยงานธุรการของรัฐสภา องค์กรอิสระ ศาล และองค์กรอัยการ
2.3.2 ประเภทของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
(1) ข้าราชการพลเรือน ตามความหมายของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพล
เรือน พ.ศ. 2551 หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ให้รับราชการ
โดยได้รั บ เงิน เดื อ นจากงบประมาณในกระทรวง กรมฝ่ า ยพลเรือ น โดยข้ า ราชการพลเรือ นมี 2
ประเภท ได้แก่
(1.1) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับ
บรรจุแต่งตั้งตามความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของ
ราชการ
(1.2) ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการ โดย
ได้รับบรรจุแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งในพระองค์ ตามที่พระมหากษัตริย์ตามกาหนดในพระราชกฤษฎีกา
(2) พนั ก งานราชการ ตามความหมายของระเบี ย บส านั ก นายกรั ฐ มนตรี ว่ า ด้ ว ย
พนั กงานราชการ พ.ศ. 2547 หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับ การจ้างตามสั ญญาจ้างโดยได้รั บ
ค่าตอบแทนจากงบประมาณของส่วนราชการ เพื่อเป็นพนักงานองรัฐในการปฏิบัติงานให้กับส่ว น
ราชการนั้น ซึ่ง “ส่วนราชการ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่าง
อื่นและมีฐานะเป็นกรม หรือ หน่วยงานอื่นใดของรัฐที่มีฐานะเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วย
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรมเว้นแต่ราชการ
ส่วนท่องถิ่น โดยพนักงานราชการมี 2 ประเภท ได้แก่
(2.1) พนักงานราชการทั่วไป เป็นพนักงานราชการซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่เป็น
งานประจาทั่วไปของส่วนราชการในด้านงานบริการ งานเทคนิค งานบริหารทั่ว ไป งานวิชาชีพเฉพาะ
19
หรื อ งานเชี่ ย วชาญเฉพาะ โดยพนั ก งานราชการซึ่ ง ปฏิ บั ติ ใ นลั ก ษณะเป็ น งานประจ าทั่ ว ไป
ประกอบด้วย 5 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มงานบริการ
2. กลุ่มงานเทคนิค
3. กลุ่มงานบริหารทั่วไป
4. กลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ
5. กลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ
(2.2) พนักงานราชการพิเศษ ได้แก่ พนักงานราชการซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่
ต้องใช้ความรู้หรือความเชี่ยวชาญสูงมากเป็นพิเศษเพื่อปฏิบัติงานในเรื่องที่มีความสาคัญและจาเป็น
เฉพาะเรื่องของส่วนราชการ หรือมีความจาเป็นต้องใช้บุคคลในลักษณะดังกล่าว โดยพนักงานราชการ
ซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่เป็นงานประจาทั่วไป ได้แก่ กลุ่มงานเชี่ยวชาญพิเศษ
(3) ลูกจ้างของส่วนราชการ เป็นบุคลากรภาครัฐประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการจ้างเพื่อ
เสริมสร้างการปฏิบัติงานหรือสนับสนุนการทางานของข้าราชการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลักษณะ
การจ้างเป็นงานที่ต้องใช้ แรงงาน ฝีมือ ความชานาญงานพิเศษโดยใช้ประสบการณ์เป็นหลัก ลูกจ้าง
ของส่ ว นราชการประกอบด้ ว ย ลู ก จ้า งประจ าและลู ก จ้า งชั่ ว คราว (กลุ่ ม พัฒ นาระบบลู กจ้ า ง
กรมบัญชีกลาง, 2552, น. 1) โดยลูกจ้างประจาและลูกจ้างชั่วคราวตามความหมายของ ระเบียบว่า
ด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ พ.ศ. 2526 “ลูกจ้างประจา” หมายความว่า ลูกจ้างราย
เดือน รายวัน และรายชั่วโมงที่จ้างไว้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะประจา โดยไม่มีกาหนดเวลา ตามอัตรา
และจานวนที่กาหนด และ“ลูกจ้างชั่วคราว” หมายความว่า ลูกจ้างรายเดือน รายวัน และรายชั่วโมง
ที่จ้างไว้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะชั่วคราว และหรือมีกาหนดเวลาจ้าง แต่ทั้งนี้ระยะเวลาการจ้างต้องไม่
เกินปีงบประมาณ
2.3.3 ส่วนราชการ
เจ้าหน้าที่ของรัฐจาเป็นต้องทางานในส่วนราชการที่ประกอบไปด้วย กระทรวง
ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐที่มี
ฐานะเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยการ
ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรมเว้นแต่ราชการส่วนท่องถิ่น
(1) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ปฏิบัติงานในกระทรวงและส่วนราชการไม่สังกัดสานัก
นายกรั ฐ มนตรี กระทรวง หรื อ ทบวง โดยแบ่ ง เป็ น ระดั บ กระทรวง 19 กระทวง (ส านั ก งาน
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, 2561, น. 1) ได้แก่
1. กระทรวงกลาโหม
2. กระทรวงการคลัง
3. กระทรวงการต่างประเทศ
4. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
20
5. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
6. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
7. กระทรวงคมนาคม
8. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
10. กระทรวงพลังงาน
11. กระทรวงพาณิชย์
12. กระทรวงมหาดไทย
13. กระทรวงยุติธรรม
14. กระทรวงแรงงาน
15. กระทรวงวัฒนธรรม
16. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
17. กระทรวงศึกษาธิการ
18. กระทรวงสาธารณสุข
19. กระทรวงอุตสาหกรรม
(2) พนักงานราชการ ปฏิบัติในกระทรวงและส่วนราชการ 19 กระทรวงเช่นเดียวกับ
ข้าราชการพลเรือนสามัญ และสามารถปฏิบัติในส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับ ข้าราชการฝ่ายทหาร
ข้าราชการตารวจ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการธุรการอัยการ
(3) ลูกจ้างของส่วนราชการ ทั้งลูกจ้างประจาและลูกจ้างชั่วคราว ปฏิบัติงานใน
กระทรวงและส่วนราชการเช่นเดียวกับพนักงานราชการ
2.3.4 คุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดี
การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศ
ข้าราชการจึ งจ าเป็ น ต้องมีคุณสมบัติที่ดีให้เหมาะสมกับการประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดย
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (2548, น. 19-29) ได้มีการนาค่านิยมสร้างสรรค์ 5 ประการ ที่
เจ้าหน้าที่ของรัฐควรยึดถือปฏิบัติในการทางาน ได้แก่
(1) กล้ายืนหยัดทาในสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยึดมั่นในความถูกต้องและ
จรรยาวิชาชีพ แม้จะมีผู้ใดมาให้ทาสิ่งที่ไม่ได้ถูกต้องเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องคัดค้าน
และไม่สนับสนุนในการฉ้อโกงและการกระทาผิด อันนาไปสู่ผลเสียแก่ประชาชน
(2) ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีความตั้งใจในการปฏิบัติ
หน้าที่ไม่คดโกง หรือหลอกลวงเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และมีความ
ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติหน้าที่
21
บทที่ 3
ระเบียบวิธีการวิจัย
ภาคนิ พนธ์เรื่ อง ปัจ จัยที่มีผ ลต่ อวิธีคิดทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอเรชั่น ในการ
กาหนดความพอใจของรัฐบาลช่วง พ.ศ. 2557-2562: กรณีศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยภาพรวมของการกาหนดระเบียบวิธีวิจัยหรือกระบวนวิธีวิจัย (Methodology) ที่
นามาใช้ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้กาหนดกรอบและขอบเขตของระเบียบวิธีวิจัย เป็นงานวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Research) ผู้ศึกษาได้กาหนดกรอบและขอบเขตของระเบียบวิธีวิจัยหรือ
กระบวนวิธีวิจัยดังกล่าวมาใช้ในการดาเนินการศึกษา ประกอบด้วยขึ้นตอนดังต่อไปนี้
3.1 ขอบเขตการวิจัย
3.1.1 ขอบเขตเนื้อหา
3.1.2 วิธีวิจัย
3.1.3 ขอบเขตด้านเวลา
3.1.4 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3.2 วิธีดาเนินการวิจัย
3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3.2.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.2.3 การจัดกระทาและการวิเคราะห์ข้อมูล
3.2.4 การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
3.1. ขอบเขตการวิจัย
3.1.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา
ภาคนิพนธ์เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอเรชั่นใน
การกาหนดความพอใจของรัฐบาลช่วง พ.ศ.2557-2562: กรณีศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้วิจัยได้กาหนดขอบเขตการวิจัยไว้ 3 ด้านดังนี้
(1) ศึกษากระบวนการการเรียนรู้ทางการเมืองของปัจเจกบุค คลที่จะนาไปสู่วิธีการ
คิดทางการเมืองของแต่ละปัจเจกบุคคล
23
รวมเป็นจานวนผู้ให้ข้อมูล สาคัญที่ทางานในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของ
รัฐจานวนทั้งสิ้น 5 ท่านโดยแบ่งออกเป็นเจเนอเรชั่นละ 1 ท่าน โดยมีข้อมูลผู้ให้ข้อมูลสาคัญดังนี้
ผู้ให้ข้อมูล
Generation อายุ อาชีพ
สาคัญ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ นักเรียนมัธยมปลาย (บิดาประกอบอาชีพข้าราชการ)
Generation Z 17 ปี
ท่านที่ 1
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ข้า ราชการ สถาบั นพั ฒนาข้า ราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ า ย
Generation Y 33 ปี
ท่านที่ 2 วิชาการ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ข้าราชการ กานัน ดูแลตาบลบางม่วง อาเภอบางใหญ่ จังหวัด
Generation X 44 ปี
ท่านที่ 3 นนทบุรี
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ผู้เกษียณอายุราชการ หัวหน้าฝ่ายการคลังกรุงเทพมหานคร
Baby Boomer 61 ปี
ท่านที่ 4 โรงพยาบาลตากสิน
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ Silent ผู้เกษีย ณอายุร าชการ อาจารย์ผู้ เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ร ะดับ 8
77 ปี
ท่านที่ 5 Generation สานักการสังคีต
เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ ถื อ เป็ น หั ว ใจหลั ก ส าคั ญ ในการขั บ เคลื่ อ นให้ ก ารบริ ห ารของ
ประเทศเป็นไปตามระบบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สาคัญของความเป็น
รัฐสมัยใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทางานในการบริหารประเทศของรัฐบาลเพื่ อบาบัดทุกข์
บารุงสุขของประชาชน อีกทั้งข้าราชการเป็นสายงานที่จาเป็นต้องใช้วิชาความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์
มากและยังมีการทางานที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล ทาให้ผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงเป็น
ผู้ให้ข้อมูลที่สาคัญที่จะนามาใช้เป็นกรณีศึกษางานวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคน
แต่ละเจเนอเรชั่นในการกาหนดความพอใจของรัฐบาลช่วง พ.ศ.2557-2562: กรณีศึกษาบุคคลในกลุ่ม
ผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจาเป็นต้องเจาะจงผู้ให้ข้อมูลสาคัญที่ทางานใกล้ชิดกับรัฐบาล
เนื่ องจากการเป็ น เจ้ าหน้ าที่ของรั ฐ ทาให้ บุคคลเหล่ านี้จาเป็นต้องใกล้ ชิดและติดตามสถานการณ์
ทางการเมื อ ง สั ง คมและเศรษฐกิ จ อยู่ เ สมออี ก ทั้ ง การใช้ ค วามรู้ ด้ า นสั ง คมศาสตร์ ใ นการท างาน
เนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้จาเป็นต้องใช้ผู้ให้ข้อมูลสาคัญที่มีค วามรู้ความเข้าใจและมีประสบการณ์ทาง
การเมืองและเศรษฐกิจตามแต่ละช่วงยุคที่กาหนดไว้อีกทั้งต้องใช้ความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมือง
และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จากที่กล่าวมาข้างต้นทาให้การเจาะจงผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นกลุ่มผู้ที่
ทางานข้ าราชการหรื อเจ้ าหน้ าที่ข องรัฐ เป็ นกรณีศึก ษาในงานวิจัยชิ้น นี้ จึงเป็น ส่ ว นส าคั ญที่ทาให้
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ข้อมูลทางด้านประสบการณ์ทางการเมืองของผู้ให้ข้อมูลสาคัญที่กว้างครอบคลุมในแต่
ละบริบทของการเมืองในแต่ละช่วงยุคที่ผู้ให้ข้อมูลสาคัญได้ผ่าน รวมไปถึงการวิเคราะห์และมุมมอง
25
3.2. วิธีดาเนินการศึกษาวิจัย
3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
(1) แบบสั ม ภาษณ์ (Interview) สั ม ภาษณ์ ช นิ ด ไม่ มี โ ครงสร้ า ง (Unstructured
Interview) เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อคิดเห็น และประเด็นปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละ
พื้นที่และสถานการณ์
3.2.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บ ข้อ มูล แบ่ งเป็ น 2 ขั้ นตอน คือ ขั้นแรกเป็ นการรวบรวมเอกสารและ
งานวิ จั ย ที่เ กี่ย วข้ อง เพื่อสร้ างองค์ความรู้ เกี่ยวกับเรื่ องที่ ทาการวิจัย และน าแนวคิด ทฤษฎี และ
วรรณกรรมจากเอกสารและงานวิจัยมาวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของการวิจัย ขั้นที่สองเป็นการเก็บ
ข้อมูลภาคสนาม (Field Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตามวัตถุประสงค์
ของหัวข้อที่ทาการวิจัย โดยทาตามขั้นตอนดังนี้
(1) การสารวจเอกสาร และคาถามสัมภาษณ์วิจัยที่เกี่ยวข้อง
(2) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง โดยใช้รูปแบบการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก
26
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล
3.2.3 การจัดกระทาข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
(1) ใช้ ข้อ มูล จากการศึก ษาเอกสารและงานวิจั ยที่ เกี่ ยวข้อ งเป็น แนวทางในการ
จาแนกข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสาร การสารวจเบื้องต้น การสัมภาษณ์ ออกเป็นหมวดหมู่ โดยยึด
หลักเกณฑ์ตามความมุ่งหมายของการวิจัยเป็นหลัก
(2) การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลทั้งการตีค วามและการวิเคราะห์เนื้อหา
โดยการตีความจะนาข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาสร้างเป็นข้อสรุปแบบอุปนัยผ่านแนวคิด ทฤษฎี
และวรรณกรรมที่ได้ศึกษา ส่วนวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา จะเป็นการนาแนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรม
ที่ได้จากการศึกษาเอกสารมาวิเคราะห์เพื่อนาไปสู่ผลการวิเคราะห์แบบบรรยาย
3.2.4 การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
นาเสนอผลการวิเคราะห์มูลตามวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ในรูปของการพรรณนา
วิเคราะห์ (Descriptive Analysis) จาแนกประเด็นเนื้อหาตามความมุ่งหมายและพื้นที่ของการวิจัย
27
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1. บริบททางเศรษฐกิจการเมืองโดยรวมที่หล่อหลอมวิธีคิดจากเจเนอเรชั่นแรกสู่เจเนอเรชั่น
ล่าสุด
ประเทศไทยแบ่ ง เจเนอเรชั่ น ออกมาหลั ก ๆได้ ทั้ ง หมด 5 เจเนอเรชั่ น ได้ แ ก่ Silent
Generation, Baby Boomer, Generation X, Generation Y และGeneration Z โดยแบ่งเป็นช่วง
ระยะเวลาเกิดได้ดังนี้
โดยคนในแต่ละเจเนอเรชั่นต่างเกิดอยู่ในช่วงที่ต่างกันทาให้ประสบการณ์ทางเศรษฐกิจ
และการเมืองต่างแตกต่างกั นไปด้วยตามช่วงอายุของคนแต่ละเจเนอเรชั่นซึ่งมีผลต่อลักษณะเฉพาะ
ของแต่ละเจเนอเรชั่นที่แสดงออกมาจากการกล่อมเกลาทางการเมืองผ่านเหตุการณ์ต่างๆโดยผู้วิจัยได้
อธิบายบริบททางเศรษฐกิจการเมืองที่คนแต่ละเจเนอเรชั่นได้ผ่านดังนี้
4.1.1 เศรษฐกิจไทยยุคศักดินาก่อนการปฏิวัติการปกครอง พ.ศ. 2475 (ช่วงปี
พ.ศ. 1839-2475)
ในช่วงปลายของเศรษฐกิจไทยยุคศักดินามีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1839-2475 ซึ่ง
เป็นระบบการผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองหรือระบบการผลิตแบบยังชีพ ยังไม่ใช่ระบบการผลิตแบบเพื่อขาย
เป็นการใช้แรงงานคนโดยมีเครื่องทุ่นแรงอย่าง สัตว์ จอบ เสียม คันไถและอื่นๆ ในการทาเกษตรกรรม
และหัตถกรรมในหมู่บ้านและยังใช้ระบบกรรมสิทธิ์อยู่ (ฉัตรทิพย์ นาถสุกา, 2527, น. 362) จุดเปลี่ยน
สาคัญคือ แนวคิด Pax Britanica ช่วงที่อังกฤษเป็นศูนย์กลางระบบทุนนิยมการที่สยามในช่วงของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทาสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2398 โดยเนื้อ
ในสนธิสัญญาเบาว์ริง คือการสร้างเงื่อนไขให้ประเทศไทยเข้าไปอยู่ในวงจรการแบ่งงานกันทาเพื่อการ
สะสมทุน (สุธี ประศาสน์เศรษฐ, 2556, น. 28) เป็นการเปิดประตูการค้าเสรีให้กับประเทศไทยเผชิญ
กับพ่อค้าและอานาจตะวันตกที่มาพร้อมกับเครื่องมือสมัยใหม่นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากระบบการ
28
1
ความเป็นชาตินิยมและอนุรักษ์วัฒนธรรมขนมธรรมเนียมแบบเก่า เนื่องจากคน Silent Generation เคยยึดติดกับวิธีชีวิตที่มีมา
ตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์พอเมื่อเข้าสู่การปฏิวัติการปกครอง พ.ศ. 2475 เนื่องด้วยผู้ปกครองต้องการสร้างโครงสร้างทาง
สังคมใหม่จนเกิดการกล่อมเกลาทางการเมืองให้คนเริ่มที่มาสนใจในคุณค่าความเป็นคนไทยและประเทศไทยเริ่มมีการยึดติดกับ
ขนมธรรมเนียนประเพณีและนาไปสู่การส่งต่อให้คนรุ่นหลัง
31
ส่วนใหญ่การผลิตมาจากการย้ายแหล่งผลิตของบรรษัทข้ามชาติตามแผนการแบ่งงานกันทาระหว่าง
ประเทศใต้แนวคิด Pax Americana และยังคงผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก (สุธี ประศาสน์
เศรษฐ, 2556, น. 46) ชนชั้นกระฎุมพีหรือชนชั้นกลางมีการขยายตัวมากขึ้นพร้อมกับมีงบประมาณ
ด้านการทหารสูงขึ้นจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 แต่ยังคงเน้นอุตสาหกรรมพร้อมพัฒนาความ
ทันสมัยในเขตเมือง แต่ก็ยังมีปัญหาจนนาไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในช่วง พ.ศ. 2522 ประเทศไทยมีปัญหา
เงินเฟ้อ ปัญหาเงินตึงตัว ปัญหางักงันของเศรษฐกิจ ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ปัญ หาน้ามัน และ
ความไม่แน่นอนในการกาหนดนโยบาย ทาให้ผู้ประกอบการเน้นเก็งกาไรแทนที่การขยายธุรกิจและ
อุตสาหกรรม (ธรรมนูญ โสภารัตน์, 2525, น. 246)
เป็นช่วงต่อของคนในยุค Baby Boomer โดยคนไทยเริ่มมีความไม่พอใจ
สะสมมาอย่างต่อเนื่องจากการบริหารประเทศของรัฐบาลระบอบเผด็จการอานาจนิยมโดยกองทัพ
เนื่องจากการคอรัปชั่นในรัฐบาลและความก้าวหน้าของการพัฒนาประเทศเป็นไปได้ช้าจนนาไปสู่ความ
เคลื่อนไหวของประชาชนจนเกิดการเปลี่ยนผ่านให้ประเทศไทยเข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย
แบบรัฐสภา คนไทยจึงเริ่มมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองทาให้อุดมการณ์ทางการเมือง
ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเติบโตมากยิ่งขึ้น จนมาถึง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เกิดรัฐประหารอีกครั้งทาให้
อุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้ายของคนไทยมีบทบาทลดลง ในด้านเศรษฐกิจคนไทยส่วนใหญ่ยังพบ
เจอกับปัญหาการกระจายรายได้อย่างไม่เป็นธรรม ในขณะที่อุตสาหกรรมและธุรกิจผูกขาดขยายตัว
อย่างต่อเนื่อง ปัญหาเงินตึงและเสถียรภาพของราคา ซึ่งปัญหาที่จะนาไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2522
ทาให้คนไทยได้พบเจอกับเศรษฐกิจที่ซบเซา (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2523, น. 4-5) ทาให้คนรุ่น Baby
Boomer มีลักษณะเฉพาะที่เพิ่มเติมคือมีความตื่นตัวทางการเมืองและมีความคิดอุดมการณ์ทาง
การเมืองอย่างเข้มข้น 2 โดยเฉพาะเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 แม้
ช่วงหลังจากเหตุการณ์รัฐบาลจะปราบคนที่มีความคิดเห็นต่างอย่างเข้มงวด และนาพาไปสู่ยุคสายลม
แสงแดดที่คน Baby Boomer อีกด้านหนึ่งถูกทาให้ไม่สนใจการเมือง แต่จากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 และ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ก็ยังคงทาให้นักศึกษาที่ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวในยุค Baby
Boomer มี อุ ด มการณ์ ท างการเมื อ งที่ ยึ ด หลั ก ประชาธิ ป ไตยและมี ส่ ว นร่ ว มในภายภาคหน้ า ใน
เหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆในอนาคตอย่างเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
4.1.5 การเปิด เสรี ค รั้ง ใหญ่การเติบโตแบบเศรษฐกิจ ฟองสบู่และเหตุการณ์
พฤษภาทมิฬ (ช่วงปี พ.ศ. 2524 - 2539)
รัฐ บาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ไม่ส ามารถจัดการกับปัญหา
วิกฤตเศรษฐกิจได้นาไปสู่การขอลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี นาไปสู่การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี
2
ความตื่นตัวทางการเมืองและมีความคิดอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างเข้มข้นของคน Baby Boomer มาจากการกล่อมเกลาทาง
การเมืองที่สะสมมาจากการอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการมาอย่างยาวนานจนนามาสู่การลุกฮือของ 14 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 จนนาประเทศมาสู่ประชาธิปไตยและหลังจากนั้นลักษณะของประชาธิปไตยที่เบ่งบานเต็มที่ทาให้การกล่อมเกลาทาง
การเมืองของคนมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างซ้ายกับขวาซึ่งมีความเข้มข้นขึ้นมากด้วยลักษณะของประชาธิปไตย
34
และคนชั้นกลางไม่พอใจและเป็นรัฐบาลที่ขัดแย้งกับกองทัพ นาไปสู่การรัฐประหารของคณะรักษา
ความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นาโดยพลเอกสุจินดา คราประยูรผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 (อภิญญา รัตนมงคลมาศ และ วิวัฒน์ คติธรรมนิตย์ , 2547, น.
112)
อานันท์ ปันยารชุนขึ้นดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อภายใต้มติของคณะ
รสช. ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 โดยพลเอกสุจินดา คราประยูรมักให้คามั่นสัญญาว่าคณะ รสช.
รัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นมาเพื่อแก้ไขรัฐบาลที่ทุจริตโกงบ้านกินเมืองและคณะ
รสช. จะไม่รับตาแหน่งนายกรัฐมนตรีเด็ดขาด และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ในการ
จัดการเลือกตั้งทั่วไป แต่สุดท้ายสภา รสช.ได้เสนอชื่อพลเอกสุจินดา คราประยูรเป็นยก พลเอกสุจินดา
คราประยูรได้ตัดสินใจรับตาแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวลี ”เสียสัตย์เพื่อชาติ” (อาทิตย์ อุไรรัตน์, 2553,
น. 19-21) ทาให้เกิดความไม่พอใจและเกิดการชุมนุมของกลุ่มคนที่ประกอบไปด้วยเจ้าของกิจการ
ภาคเอกชน ชนชั้นกลาง ปัญญาชน และคนงานเนื่องจากพลเอกสุจินดา คราประยูรไม่รักษาคาพูดที่
จะไม่รับตาแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยจุดมุ่งหมายของกลุ่มผู้ ชุมนุมคือการต่อต้านเผด็จการอานาจนิยม
และต้องการให้ พลเอกสุ จิน ดา คราประยูรออกจากตาแหน่งนายกรัฐ มนตรี จนเกิดเป็นเหตุการณ์
พฤษภาทมิฬวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 (พรภิรมณ์ เชียงกูล, 2540, น. 28-29) เหตุการณ์จบลง
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรม
ศักดิ์ประธานองคมนตรีและพลเอกเปรม ติณสูลานนท์องคมนตรีและรัฐบุรุ ษ นาพลเอกสุจินดา ครา
ประยูรนายกรัฐมนตรี และพลตรี จาลองศรีเมืองเข้าเฝ้าทูลละออกธุลีพระบาทในวันที่ 20 พฤษภาคม
พ.ศ. 2535 จากนั้นวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พลเอกสุจินดา คราประยูรได้ ขอลาออกจากการ
เป็น นากยกรัฐ มนตรี หลั งจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ช่วง พ.ศ. 2535-2539 ได้มีผู้ ดารงตาแหน่ง
นายกรั ฐ มนตรี ดัง นี้ น ายมี ชัย ฤชุพั นธุ์ ตาแหน่ง รองนายกรั ฐ มนตรีรั กษาการในตาแหน่ง วันที่ 24
พฤษภาคม พ.ศ. 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 นายชวน หลีกภัยวันที่
23 กันยายน พ.ศ. 2535 นายบรรหาร ศิลปะอาชาวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 และพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 โดยรวมของช่วงนี้เป็นการสถาปนาอานาจของสถาบันกษัตริย์ที่
ประสบความสาเร็จทั้งอุดมการณ์ทางสังคม การสะสมทุนทางเศรษฐกิจ และอานาจทางการเมืองรวม
ไปถึงเป็นภาพสะท้อนการขยายตัวของชนชั้นกลางที่มีมากขึ้นอย่างเป็นระบบจากการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจตามระบบทุนนิ ยมทาให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้นและเกิดการเก็งกาไรที่ดิน บ้าน
อาคารชุด เนื่องจากราคาของอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี
พ.ศ. 2540 (สานักงานวิชาการ และ สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560, น. 3)
เป็นช่วงของคนในยุค Generation X และ Y โดยคนไทยสามารถแสดง
ความคิดเห็นได้มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนในช่วงของรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียรที่ยังคงใช้อานาจในการลบ
ล้างคนเห็นต่างและมีความคิดฝ่ายซ้าย คนไทยรู้สึกปลอดภัยจากเหตุการณ์คอมมิวนิสต์และนักศึกษา
จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ได้หลบหนีเข้าป่าร่วมไปกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
36
กลับออกมาจากป่าเนื่องด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้แปรพักตร์ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสู
ลานนท์ คนไทยไม่รู้สึกเห็นชอบกับลักษณะการปกครองในลักษณะที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในช่วงนี้ ซึ่ง
แสดงออกมาให้ เ ห็ น อย่ า งเด่ น ชั ด ในเหตุ ก ารณ์ พ ฤษภาทมิ ฬ และมี ค วามรู้ สึ ก ผู ก พั น กั บ สถาบั น
พระมหากษั ต ริ ย์ ม ากยิ่ ง ขึ้ น หลั ง จากเหตุ ก ารณ์ พ ฤษภาทมิ ฬ ผลกระทบจากการด าเนิ น การทาง
เศรษฐกิจตามแบบ Pax Americana 2 ของรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทาให้คน
ไทยมีความคิดที่อิงกับ ทุน นิ ยมมากยิ่งขึ้น คนไทยที่ทาอาชีพเกี่ยวกับกสิกรรมเริ่มเติบโตได้ช้ากว่า
ภาคอุตสาหกรรม คนไทยภาคกสิกรรมลาบากเนื่องจากปัจจัยการผลิตสูงและพื ชผลทางการเกษตร
ราคาต่าและประสบปัญหาไม่มีที่ดินทากินเพราะธุรกิจที่ดินเติบโตสูง ชาวนาผู้ที่ไม่ได้ เป็นเจ้าของที่ดิน
เมื่อมีนายทุนมาซื้อที่ดินที่ชาวนาทาอาชีพอยู่อยากจะเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ในการลงทุนธุรกิจของตัวเอง
จึงทาให้ชาวนาไม่มีที่ดินทากิน ในขณะเดียวกันคนไทยเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นจากการเป็น
ลูกจ้างเศรษฐกิจพัฒนาได้ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดในยุคนี้คนชนชั้ นกลางจึงมีมากยิ่งขึ้นและคนไทยเริ่ม
หันไปบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยเนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโต คนไทยในกรุงเทพฯเริ่มผูกติดกับชีวิตเงินเดือน
ด้วยเหตุนี้ทาให้คนรุ่น Generation X มีลักษณะเฉพาะที่เพิ่มเติมคือการให้ความสาคัญกับเศรษฐกิจ
จากการทีเ่ ผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2522 และต่อมา Generation X ได้อยู่กับเศรษฐกิจที่กาลัง
เจริญเติบโตไปได้ดีจนถึงก่อนวิกฤตฟองสบู่แตก ส่วน Generation Y ต้องพบกับช่วงของลงของ
เศรษฐกิจจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตกจึงทาให้ Generation Y ให้ความสาคัญกับเศรษฐกิจ3
เช่นกัน
4.1.6 วิกฤตเศรษฐกิจเศรษฐกิจฟองสบู่ แตก วิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง
เสื้อเหลือง-แดง และการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะคสช. (ช่วงปี พ.ศ.
2540-2562)
ช่ ว งปลายของรั ฐ บาลพลเอกชวลิ ต ยงใจยุ ท ธได้ มี ก ารประกาศใช้
รั ฐ ธรรมนู ญ พ.ศ. 2540 เป็ น รั ฐ ธรรมนูญ ฉบั บ ที่ 16 เรี ยกกัน ว่า เป็น รัฐ ธรรมนู ญฉบับ ประชาชน
เนื่องจากมีความเป็นประชาธิปไตยมากและระหว่างร่างได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
(สมชาย ปรีชาศิลปะกุล, 2560) และในปีเดียวกันกับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ประเทศ
ไทยได้ เ ผชิ ญ กั บ วิ ก ฤตเศรษฐกิ จ ฟองสบู่ แ ตก พ.ศ. 2540 หรื อ วิ ก ฤตต้ มย ากุ้ ง ข้ อ มู ล จากตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวิกฤตต้มยากุ้งสาเหตุหลักมาจากการลงทุนเกินตัวของภาคเอกชนจนทาให้
สถาบันการเงินมีปัญหา การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูง และเงินทุนสารองระหว่างประเทศลดลงอย่าง
มาก ทาให้เกิดการเก็งกาไรค่าเงินบาทและมีเงินทุนต่างประเทศไหลออกอย่างต่อเนื่องค่าเงินบาทอ่อน
3
การให้ความสาคัญกับเศรษฐกิจเป็นพิเศษเนื่องจากผลกระทบจากการดาเนินการทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ทุนนิยมโดยรัฐจนมาถึงการ
พัฒนาเศรษฐกิจตามแบบ Pax Americana 2 ทาให้เกิดการกล่อมเกลาทางการเมืองของคนที่เริ่มเห็นความเหลื่อมล้าที่ชัดมากขึ้น
เรื่อยๆจากระบบทุนนิยม จนเกิดเป็นความเปราะบางของคนทางเศรษฐกิจให้คนแต่ละคนมีสถานะทางชนชั้นที่สูง กลางและล่าง
ที่มีมากยิ่งขึ้นจึงทาให้คน Generation X และGeneration Y คานึงถึงเรื่องเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ที่คนเหล่านี้เผชิญ ซึ่งทาให้เกิด
การกล่อมเกลาจนมาเป็นลักษณะเฉพาะของคนเจเนอเรชั่นดังกล่าว
37
Silent
Baby Boomer Generation X
Generation Generation Y Generation Z
สถานการณ์ พ.ศ. 2468-
พ.ศ. 2489- พ.ศ. 2508-
พ.ศ. 2523-2540 พ.ศ. 2540 ขึน้ ไป
2507 2522
2488
ยุคศักดินา
ก่อน พ.ศ. 2475
ปฏิวัติ พ.ศ.2475
พ.ศ. 2481-2488 รัฐบาล
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 2
4
ความคิดที่ไม่ชอบรูปแบบการเมืองการปกครองในลักษณะเผด็จการของ Generation Z อันเป็ นผลมาจากการกล่อมเกลา
ทางการเมืองที่ได้ รับตังแต่
้ สามารถรับในวัยที่รับรู้เรื่องทางการเมืองได้ ซึง่ เป็ นช่วงที่รัฐบาลที่มีเผด็จการปกครองประเทศทาให้
เห็นถึงการใช้ อานาจในทางที่ผิดและการพัฒนาเทศในทิศทางที่แย่ลงของรัฐบาล คน Generation Z จึงซึมซับและเกิดการ
กล่อมเกลาจนมีคนคิดว่าเผด็จการเป็ นสิ่งที่ไม่ทาให้ เกิดผลดีทงั ้ ต่ อตัวเองและประเทศจนทาให้ เกิดความคิด ความเชื่อ และ
อุดมการณ์ทางการเมืองดังกล่าว
40
พ.ศ. 2482-2488
รัฐประหาร พ.ศ. 2490
(โดย พล.ท.ผิน ชุณหะ
วัณ)
พ.ศ. 2491-2500 รัฐบาล
จอมพล ป. พิบูล สงคราม
ครั้งที่ 2
รัฐประหาร พ.ศ.2500
(โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะ
รัชต์)
พ.ศ. 2501-2506 รัฐบาล
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
พ.ศ. 2506-2516 รัฐบาล
จอมพลถนอม กิตติขจร
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
พ.ศ.2516
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม
พ.ศ.2519 รัฐประหาร
โดยพลเอกสงัด ชะลออยู่
วิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ.
2522
พ.ศ. 2523-2531 รัฐบาล
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
พ.ศ. 2531-2534 รัฐบาล
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
พ.ศ. 2534 รัฐประหาร
โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
17 พฤษภาคม พ.ศ.2535
วิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ.
2540
พ.ศ. 2544-2549 รัฐบาล
พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชิน
วัตร
พ.ศ. 2549 รัฐประหาร
โดยพลเอกสนธิ บุญย
รัตกลิน
พ.ศ. 2551-2554รัฐบาล
41
นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ
วิกฤตการณ์เมืองไทย
พ.ศ. 2548-2553
พ.ศ. 2554-2557 รัฐบาล
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
พ.ศ. 2557 รัฐประหาร
โดย
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
24 มีนาคม พ.ศ.2562
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรไทยเป็นการทั่วไปครั้งที่
28
พ.ศ. 2557-2562 รัฐบาล
พลเอกประยุทธ์ จันทร์
โอชา
4.2 ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์ผล
ผู้ทาวิจัยได้สัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสาคัญเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมือง
ในการกาหนดความพอใจของรัฐบาลในคนแต่ละเจเนอเรชั่นช่วง พ.ศ. 2557-2562: กรณีศึกษาบุคคล
ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยผู้วิจัยได้เลือกบุคคลที่ให้ข้อมูลสาคัญในการให้ สัมภาษณ์
เชิงลึกเป็นบุคคลทีม่ ีอายุอยู่ในช่วงแต่ละเจเนอเรชั่น ดังนี้
ผู้ให้ข้อมูล
Generation อายุ อาชีพ
สาคัญ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ นักเรียนมัธยมปลาย (บิดาประกอบอาชีพข้าราชการ)
Generation Z 17 ปี
ท่านที่ 1
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ข้า ราชการ สถาบั นพั ฒนาข้า ราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ า ย
Generation Y 33 ปี
ท่านที่ 2 วิชาการ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ข้าราชการ กานัน ดูแลตาบลบางม่วง อาเภอบางใหญ่ จังหวัด
Generation X 44 ปี
ท่านที่ 3 นนทบุรี
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ผู้เกษียณอายุราชการ หัวหน้าฝ่ายการคลัง กรุงเทพมหานคร
Baby Boomer 61 ปี
ท่านที่ 4 โรงพยาบาลตากสิน
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ Silent 77 ปี ผู้เกษีย ณอายุร าชการ อาจารย์ผู้ เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ร ะดับ 8
42
Silent Baby
ปัจจัยที่มีผลต่อวิธี Generation X Generation Y Generation Z
Generation Boomer
คิดทางการเมือง (40-54 ปี) (23-39 ปี) (ต่ากว่า 22 ปี)
(74-94 ปี) (55-73 ปี)
สถานการณ์ทาง
2 2 2 2 1
การเมือง
สื่อ 3 3 3 1 2
เศรษฐกิจ 1 1 1 3 3
การศึกษา 4 4 4 4 4
ความรู้สึกยินดีที่มีทหารมาหยุดความขัดแย้งแต่ผ่านมาถึงปัจจุบันก็ไม่ใช่ ซึ่งคนเสื้อแดงเคยมองว่า
รัฐบาลทักษิณที่เค้าได้ผ่านมันทาให้กินดีอยู่ดีและเข้าถึงได้ พอมาถึงรัฐบาลปัจจุบันเค้าก็อยากที่จะกินดี
อยู่ดีแบบเมื่อรัฐบาลทักษิณคนไม่ได้ศรัทธามากมายแค่กินดีอยู่ดี แต่สถานการณ์การเมืองตอนนี้มันทา
ให้ ความกินดีอยู่ดีแย่ ล ง ส่ว นฝั่งเสื้ อเหลืองพอผ่ านมาถึงจุดนี้ก็มองว่าที่ผ่ านมาไม่มีประโยชน์ผ ลที่
คาดหวังไม่ได้ต้องการให้การบริหารประเทศเป็นแบบรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเหมือนในทุก
วันนี้ สถานการณ์ทางการเมืองเป็นเหมือนภาวะจายอมที่ทุกคนอย่างน้อยต้องได้ผ่านและรับรู้นามา
เป็นการความคิดเกี่ยวกับการเมืองของตัวเอง
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 4 (Baby Boomer) มองว่า สถานการณ์ทาง
การเมืองช่วยให้รู้จักการเมืองมากขึ้น สมัย 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งได้รับรู้และได้มีส่วนร่วมแม้ตอน
นั้นจะไม่เข้าใจการเมืองแต่สถานการณ์ทาให้เริ่มที่จะเข้าใจการเมือง พอถึง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 มัน
ก็ดูเป็นการเปลี่ยนขั้วอุดมการณ์ไปเลยซึ่งเป็นคนที่คล้อยตามสื่อข่าวในสถานการณ์ตอนนั้นแต่พอมาถึง
ตอนนี้ก็เข้าใจว่าอะไรผิดหรือถูก คนเสื้อแดงเหมือนคนสมัยใหม่มีความคิดสังคมนิยม ส่วนคนเสื้ อ
เหลืองดูเป็นอนุรักษ์นิยม ซึ่งตอนมีรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พอใจกับทหารที่มา
หยุดดีกว่าคนไทยทะเลาะกันและฆ่ากันเอง แต่ทุกวันนี้ก็มองอีกอย่างหนึ่งเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น เห็นการ
กระทาของรัฐบาลพลเอก ประยุ ทธ์จันทร์โอชาก็คิดว่าไม่เหมาะสม แต่ในมุมมองคิดว่าใครมาเป็น
นายกรัฐมนตรีก็หาผลประโยชน์เข้าตัวเองส่วนคนดีๆก็จะถูกขัดแข้งขัดขา ดังนั้นสถานการณ์ทางการ
เมืองทาให้คนซึมซับความคิดเกี่ยวกับการเมืองและควรที่จะรู้จุดยืนทางอุดมการณ์ของตัวเองในเวลา
นั้นๆของเหตุการณ์ทางการเมือง
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 5 (Silent Generation) มองว่า สถานการณ์ทาง
การเมืองทาให้คนคล้อยตามไปทางอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่งได้ตามที่คนแต่ละคนจะเชื่ อทั้งตอน
14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ก็ลุกฮือตามแต่จากสถานการณ์ที่ผ่านมาๆทาให้คน
รู้ว่ายังไงประชาธิปไตยดีกว่าเผด็จการทหาร ประชาธิปไตยแค่มองก็เห็นว่าบรรยากาศทางการเมือง
ดีกว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพแสดงออกทางการเมืองได้มากกว่า อุดมการณ์เปลี่ยนไปได้ตามแต่ยุค
สมัยและสถานการณ์ทางการเมือง
สถานการณ์ทางการเมืองเป็นเหตุการณ์ที่คนแต่ละเจเนอเรชั่นจาเป็นต้อง
เผชิญไม่ว่าจะอยู่ในเจเนอเรชั่นไหนก็ตามแต่เนื่องจากคนในแต่ละเจเนอเรชั่นต่างได้รับประสบการณ์
ทางการเมืองจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่เท่ากันทาให้มุมมองความคิดและทัศนคติทางการเมือง
ของคนแต่ละเจเนอเรชั่นแตกต่างกันไปด้วย จากการสัมภาษณ์เชิงลึก Generation Z ให้สถานการณ์
ทางการเมืองเป็นอันดับที่ 1 เป็นผลมาจากที่คนรุ่น Generation Z ยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงทางานทาให้
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจยังไม่มาหาคน Generation Z ซึ่งยังไม่พบด้านประสบการณ์การทางาน ทาให้ใน
เรื่องการเมืองคนรุ่น Generation Z จึงมองด้านอุดมการณ์เป็นหลักยังมีความเชื่อและศรัทธาที่อยาก
เห็นประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และคน Generation Z ในช่วงอายุที่เข้าวัยรุ่นสนใจ
การเมื อ งเจอกั บ ประสบการณ์ ท างการเมื อ งโดยตรงในช่ ว งพลเอก ประยุ ท ธ์ จั น ทร์ ช า ที่ มี ก าร
45
รัฐประหารและยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีจากปัจจุบันโดยวิธีที่ เอื้อต่อการสืบทอดอานาจของตนเองทา
ให้คน Generation Z ได้ซึมซับและเห็นการกระทาของรัฐบาลที่ชัด เจนคิดวิเคราะห์แยกแยะทาง
การเมืองได้นาไปสู่การมีความโกรธต่อความเผด็จการสะสมอยู่ในใจเนื่องจากส่วนใหญ่ของเจเนอเรชั่น
นี้ ในปัจจุบันเกินครึ่งไม่มีสิทธิเลือกตั้งแต่เห็นการกระทาของรัฐบาลตลอดเวลาซึ่งเป็นการมองประเทศ
แย่ลงทุกวันจากรัฐบาลทหารและตัวเองไม่สามารถทาอะไรได้ทาให้คนรุ่นนี้มีความไม่พอใจความโกรธ
สะสมอยู่ต่อรัฐบาลเผด็จการ ส่งผลให้ มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่หนักแน่นสถานการณ์ทางการเมือง
สาหรับคน Generation Z จึงเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งที่ทาให้เกิดวิธีคิดทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว
ส่วน คน Generation Y, Generation X, Baby Boomer และSilent Generation ให้สถานการณ์
ทางการเมืองเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมืองอันดับที่สอง เนื่องจากคนแต่ละเจนต่างก็ผ่าน
สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่เท่ากันในแต่ละเจเนอเรชั่ นแต่ด้วยช่วงอายุที่มากขึ้นแล้วและได้ผ่านวัย
ทางานทาให้ส ถานการณ์ทางการเมืองจึงเป็นปัจจัยที่รองลงมาที่มีผลต่อวิธีคิดและอุดมการณ์ทาง
การเมือง คน Generation Y, Generation X, Baby Boomer และSilent Generation มองร่วมกัน
ว่าอุดมการณ์ทางการเมือง มุมมอง วิธีคิดทางการเมืองของคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตาม
สถานการณ์ปัจจุบันเนื่องจากผ่านสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันดังนั้นสถานการณ์ทางการเมือง
ก็ยังมีส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมืองแต่เนื่องจากผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมามากทาให้มีปัจจัยอื่น
ที่ส่งผลกระทบต่อวิธีคิดทางการเมืองมีมากกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน
4.2.1.2 ปัจจัยด้านสื่อที่มีผลต่อวิ ธีคิดทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบอาชีพ
เจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 1 (Generation Z) มองว่า ปัจจุบันรับข่าวสาร
การเมืองรวมไปถึงการหาข้อมูลทั่วไป Generation Z จะค้นหาทุกอย่างในอินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์
และโซเชี่ยลมีเดีย เป็นหลัก เลือกที่จะหาและรับข้อมูลข่าวสารด้วยตัวเองทางอินเทอร์เน็ตล้วนๆ ถ้า
เป็นทางโทรทัศน์จะสนใจบางช่วงแค่ผู้ปกครองเปิดข่าวช่องนั้นๆอยู่ คิดว่าคนรุ่น Generation Z ที่
เป็นรุ่นเดียวกันต่างใช้สื่อออนไลน์และโซเชี่ยลมีเดียเป็นหลักและในทุก วัน ในการเล่นโซเชี่ยลมีเดียได้
เห็นข่าว ประเด็น และคอนเมนต์เกี่ยวกับการเมืองให้เห็นทุกวัน และเห็นว่ามีส่วนสาคัญมากที่สื่อทา
ให้คนรุ่น Generation Z รู้เรื่องการเมืองและสนใจการเมืองมากยิ่งขึ้น ข่าวปลอมมีการระมัดระวังโดย
การอ่านคอมเมนต์และหาข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหากสนใจในข่าวการเมืองนั้นๆ คน Generation Z
เห็นข่าวการเมืองเกี่ยวกับรัฐบาลในสื่อโซเชี่ยลเป็นประจาทาให้เพิ่มความรู้สึกที่ไม่ชอบต่อรัฐบาลมาก
ยิ่งขึ้น ในหนึ่งวันใช้โซเชี่ยลมีเดียมากคิดว่ามีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองที่ทาให้รู้เรื่องการเมืองได้รวดเร็ว
มากยิ่งขึ้น
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 2 (Generation Y) มองว่า สื่อมีความสาคัญมาก
กับการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของคนรุ่น Generation Y โดยปัจจุบันรับสื่อทางออนไลน์เป็นหลัก
และจากการที่ Generation Y อยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านจากสื่อรูปแบบอนาลอกสู่สื่อใน
รูป แบบของดิจิตอลทาให้ส ามารถปรับตัว และเปลี่ ยนวิธีในการรับสารที่ทันกับยุคปัจจุบันก็คือสื่ อ
46
โซเชี่ยลและสื่อออนไลน์และการผ่านรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงสื่อดังกล่าวมันทาให้ Generation Y
มีความเร็วในการตัดสินใจเชื่อข่าวหรือสารที่ได้รับมาช้าลงจะมีการหยุดคิดชั่งใจในการกลั่นกรองข่าว
ก่อนที่จะเชื่อสารที่ได้รับมาจึงเป็นกรอบการกระบวนการคิดวิเคราะห์ข่าวทางการเมืองที่สาคัญสาหรับ
Generation Y จึงทาให้ถ้าเป็นการรับรู้เรื่องการเมืองที่มาจากสื่อออนไลน์เป็นหลังจะสนใจและเน้น
อ่านข่าวการเมืองที่มาจากเพจเฟซบุ๊คหรือเว็บไซต์ข่าวสาคัญๆ เช่น BBC หรือ Voice TVหรือสาร
การเมืองที่มาจากนักวิชาการ นอกจากนี้ปัจจุบันเนื่องจากว่าทางานกลับบ้านมาช่วงค่าทาให้มีโอกาส
รับข่าวสารจากทางโทรทัศน์ได้น้อยและยากที่จะเห็นสารเกี่ยวกับการเมืองที่มากมายจากทางโทรทัศน์
ช่องกระแสหลัก ฉะนั้นสื่อโซเชี่ยลและสื่อออนไลน์จึงช่วยได้มากในการทาให้ได้รับข้อมูลข่าวสารทาง
การเมืองเนื่องจากเป็นสื่อที่เข้าถึงได้เร็วและสามารถค้นหาต่อได้ในหลายๆประเด็นและรู้ทันเหตุการณ์
ทางการเมืองในปัจจุบันจึงทาให้สื่อถือว่ามีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองมาก
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 3 (Generation X) มองว่า คน Generation X
สมัยก่อนยังไม่มีสื่อโซเชี่ยลมีเดีย เหมือนปัจจุบันจะรับข่าวสารการเมืองผ่านหนังสือพิมพ์ตามข่าวหน้า
หนึ่งและโทรทัศน์ ซึ่งมองว่าเป็นการรับข่าวสารการเมืองที่เค้าเตรียมมาให้ทางสื่อเตรียมมาให้ พอได้
รับรู้มันเหมือนเป็นการทาให้ซึมซับอุดมการณ์ที่รัฐบาลต้องการให้เราเป็น แต่ปัจจุบันที่มีสื่อออนไลน์
โซเชี่ยลมีเดียในมุมมองที่ทาให้ได้รู้ข่าวการเมืองมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน สาหรับคนที่รุ่น Generation X
ที่รับสื่อออนไลน์และเล่นโซเชี่ยลมีเดีย ส่วนมาก จะมีแค่ส่งข่าวให้กันทางไลน์หรืออ่านข่าวทั่วไปที่มีให้
เจอในสื่อออนไลน์มากกว่าไม่ได้เข้าถึงโซเชี่ยลมีเดียที่มีประเด็นการเมืองโดยเฉพาะอย่างเฟซบุ๊ค ทวิต
เตอร์เหมือนรุ่นหลังๆ แต่การรับสื่อที่ยังเป็นโทรทัศน์ที่เป็นสื่อกระแสหลักทาให้เห็นแค่นายกปัจจุบัน
ทาดีอะไรบ้างแต่สื่อโทรทัศน์ช่องกระแสหลักไม่ได้เสนอมุมมองฝ่ายค้านมากเท่าไหร่
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 4 (Baby Boomer) มองว่า เรื่องสื่อออนไลน์
โซเชี่ยลมีเดียคนรุ่น Baby Boomer ไม่ค่อยเก่งไม่ชานาญใช้มือถือแค่ติดต่อสื่อสารหรือดูแค่สื่อให้
ความบันเทิง ถ้าเป็นการรับข่าวการเมืองหลักๆจะรับผ่านหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์แต่ก็มองว่า
การรับข่าวการเมืองผ่านหนังสือพิมพ์ วิ ทยุ และโทรทัศน์ก็เป็นการรับฟังข่าวการเมืองด้านเดียว คิด
วิเคราะห์เรื่องการเมืองตามแต่สิ่งที่สื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ให้มา
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 5 (Silent Generation) มองว่า การรับข่าวสาร
การเมืองหลักๆเลยรับจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และวิทยุ เทคโนโลยีไม่ได้ทันสมัยอย่างปัจจุบันที่มี
โทรศัพท์มือถือที่สามารถรับข่าวสารการเมืองได้มาก สื่อมีความสาคัญมากให้โน้มเอียงทางการเมือง
แต่รุ่ น Silent Generation ไม่ได้เล่ นโซเชี่ยลมีเดียเลยไม่ได้รั บข่าวสารทางการเมืองจาก
โทรศัพท์มือถือใช้แค่ติดต่อสื่อสาร สื่อสามารถเป็นตัวกระตุ้นทางการเมืองได้
47
Silent
Baby Boomer Generation X Generation Y Generation Z
สือ่ Generation
(55-73 ปี) (40-54 ปี) (23-39 ปี) (ต่ากว่า 22 ปี)
(74-94 ปี)
โทรทัศน์
วิทยุ
หนังสือพิมพ์
อินเตอร์เน็ต
โซเชี่ยลมีเดีย
คนเจเนอเรชั่นวายมีลักษณะเฉพาะตัวคือการวิเคราะห์ข่าวสารที่ตัวเองได้รับ และชอบรับข่าวสารจาก
สื่อที่มีการวิเคราะห์กลั่นกรองและเป็นทางการ ทาให้ข่าวสารการเมืองที่คน Generation Y ได้รับถูก
คิดวิเคราะห์และกลั่นกรองแล้ว และนาไปสู่การที่คิดว่า การกระทาของรัฐบาลหรือการกระทาของ
พรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คน Generation Y เนื่องจากอยู่ในช่วงทางานแต่การมี
สื่อทาให้ได้รับข่าวสารทางการเมืองได้ง่ายกว่าโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ดั ง นั้ น การดู ข่ า วสาร
ทางการเมืองจากสื่อเป็นหลักและมีการคิ ดวิเคราะห์ข่าวสารทางการเมืองที่ตนเองได้รับจึงทาให้สื่อมี
ผลเป็นอันดับหนึ่งสาหรับคน Generation Y ส่วน Generation Z ถือว่าเป็นกลุ่มที่เติบโตมาในช่วง
การพัฒนาเทคโนโลยีมีที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยุคดิจิตอลอย่างอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์เครือข่าย
สังคมออนไลน์ ดังนั้นการรับข่าวสารทางการเมืองของคน Generation Z คืออินเตอร์เน็ตและโซเชี่ยล
มีเดียเป็นหลัก Generation Z มีโทรโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนติดตัวตลอดเวลา ประกอบกับการยัง
อยู่ในช่วงของวัยเรียนไม่เข้าสู่ช่วงการทางานและปัจจุบันคนทาให้มีเวลาในการเล่นอินเตอร์ เน็ตและ
โซเชี่ยลมีเดียมากกว่าเจเนอเรชั่นอื่นๆและชอบรับสารการเมืองจากสื่อที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ ด้วย
การที่ข่าวสารสามารถรับได้อย่างรวดเร็ว ทาให้ Generation Z ได้เห็นและได้รับข่าวสารการเมืองมาก
สื่อออนไลน์เป็นตัวเร่งที่ทาให้เกิดวิธีคิดทางการเมืองของคนใน Generation Z เนื่องจากสถานการณ์
ทางการเมืองทาให้คน Generation Z มีความคิดต้องการประชาธิปไตยและอยากให้ประเทศพัฒนา
เพื่อตัวพวกเขาในอนาคต พอมาเจอสื่อที่ทาให้เห็นการกระทาของรัฐบาลในปัจจุบันยิ่งทาให้ วิธีคิดทาง
การเมืองหนักแน่นขึ้นไปในทางอุดมการณ์ที่ตัวเองยึดมั่นจึงทาให้ Generation Z มองว่าสื่อมีผลต่อวิธี
คิดทางการเมืองเป็นอันดับที่สอง ส่วน Silent Generation, Baby Boomer, Generation X เป็น
กลุ่มที่รับสื่อทางการเมืองทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เป็นหลักทาให้รับข่าวสารทางการเมือง
เพียงด้านเดียวโดยเฉพาะช่องกระแสหลักที่มีการนาเสนอข่าวการเมืองที่น้อย ส่วนมากจะนาเสนอข่าว
การเมืองที่เป็นกระแสจริงๆ ส่วนสื่อกระแสนอกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองก็มีลักษณะทั้งเป็นสื่อ
การเมืองที่มีลักษณะประชาธิปไตยและลักษณะสื่อที่เอื้อต่อรัฐบาลเผด็จการ ทาให้ข่าวสารทางการ
เมืองที่ไ ด้รั บ ในแต่ล ะวัน น้ อยและได้เห็ นข้ อเท็ จจริงทางการเมือ งไม่ค่อยกว้างจึง ทาให้ Silent
Generation, Baby Boomer, Generation X มองว่าสื่อมีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองเป็นอันดับที่ 3
4.2.1.3 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อวิ ธีคิดทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบ
อาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 1 (Generation Z) มองว่า ในอนาคตคน
Generation Z จะเป็นคนรุ่นต่อไปที่เข้าสู่การทางานทาให้มีความรู้สึกเป็นห่วงตัวเองว่าอนาคตจะเป็น
อย่างไรจากการเห็นข่าวคนตกงาน เศรษฐกิจที่ตกต่า มีธุรกิจที่เจ๊งทาให้คิดว่าพอถึงคราวที่จะไปหางาน
ทาแล้ ว รุ่ น นี้ จ ะหางานยากขนาดไหน มีผ ลบ้างที่จ ะทาให้ คิ ดถึง รัฐ บาลที่ จะต้องทาให้ บรรยากาศ
เศรษฐกิจที่ดี
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 2 (Generation Y) มองว่า เศรษฐกิจมีผลต่อวิธี
คิดทางการเมืองเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินคาว่าเศรษฐกิจไม่ดีหรือซบเซาความคิดของคนจะเชื่อมโยงกับ
49
รัฐบาลว่าบริหารประเทศอย่างไรให้เศรษฐกิจไม่ดีหรือหากสถานการณ์เศรษฐกิจดีก็จะเชื่อมโยงกับ
รัฐบาลว่ารัฐบาลนี้บริหารประเทศให้คนมีชีวิตความเป็นอยู่รายได้ที่ดีขึ้นแน่นอนว่าบรรยากาศที่เป็น
ประชาธิปไตยจะทาให้การลงทุนเป็นไปได้ดีกว่า และประชาชนทุกๆส่วนจะได้รับความเป็นธรรมในแง่
ของเศรษฐกิจด้วยเพราะสามารถที่จะมีสิทธิมีเสียงในการเรียกร้องได้หากได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็น
ธรรม ในแง่ของเผด็จการสาหรับประเทศไทยที่ผ่านมาทาให้เห็นว่าก็ไม่ได้ทาให้เศรษฐกิจเป็นไปได้ดีที่
ประชาชนสามารถเข้าถึงของคาว่าเศรษฐกิจที่ดีได้
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 3 (Generation X) มองว่า การบริหารเรื่อง
เศรษฐกิจของแต่ละรัฐบาล ซึ่งตัวเราไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายไหนแต่แค่มาบริหารแล้วทาเศรษฐกิจให้ดี
ถ้าเป็นรัฐบาลลักษณะเผด็จการแต่เศรษฐกิจกินดีอยู่ดีก็พอใจ ปัจจัยทางเศรษฐกิจถือว่ามีผลเลยในการ
ทีค่ นจะพอใจกับรัฐบาลคนไหน อย่างทักษิณเค้าทาให้คนจนเข้าถึงได้มีโครงการต่างๆ 30บาทรักษาทุก
โรคคนจนเค้าเข้าถึงได้
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 4 (Baby Boomer) มองว่า ที่ผ่านมาไม่เจอคน
ที่มาบริหารประเทศเพื่อประชาชนอย่างจริงๆจังๆส่วนใหญ่สุดท้ายก็หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่
ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลถ้าใครมาบริหารแล้วทาให้คนกินดีอยู่ดีได้คนก็จะนับถือและสนับสนุน ขอแค่
มาบริหารประเทศเพื่อประชาชนพอเศรษฐกิจไม่ดีแน่นอนว่าประชาชนก็ต้องไม่พอใจในการบริหาร
ของรัฐบาล
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 5 (Silent Generation) มองว่า เศรษฐกิจมีผล
ต่อวิธีคิดทางการเมืองหากเป็นการปกครองแบบเผด็จการเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะไม่ดีประเทศอื่นๆ
ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยลงทุนยากถ้าเป็นประชาธิปไตยการลงทุนดูจะง่ายกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างน้อย
ดีกว่าเผด็จการ ภาวะเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการบริหารประเทศของรัฐบาลเพราะมีผลต่อการทามาหากิน
และปากท้องของประชาชน
เศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของผู้คนไม่ว่าจะเป็นการทางานเพื่อ
หาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว รวมไปถึงการผลิตสินค้าและบริหารเพื่อตอบสนองต่อความต้องการ
เศรษฐกิจ มีผลต่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยคน Generation X, Baby Boomer และSilent
Generation ให้เศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมืองอันดับที่หนึ่งเพราะเนื่องจากมี
ประสบการณ์การเมืองในประเทศมาเยอะคนรุ่นเหล่านี้ผ่านชีวิตการทางานมานานรวมถึงการเมืองไทย
ที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการความหวังที่อยากให้ประเทศไทยพัฒนาของคนรุ่นเหล่านี้ไม่ได้จึงทาให้
Generation X, Baby Boomer และSilent Generation ต่างมองว่านักการเมืองมาเพื่อแสวงหา
ผลประโยชน์เหมือนกันหมดจึงทาให้ปัจ จัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองเป็นอันดับหนึ่ง
แค่ขอให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศทาให้เศรษฐกิจสามารถดีขึ้นวิธีคิดทางการเมืองก็จะมีแนวโน้ม
พอใจกับรัฐบาลโดยไม่ได้ดูที่อุดมการณ์เป็นหลัก ในขณะที่ Generation Z และGeneration Y ให้
เศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมืองอันดับที่สาม ด้วยเหตุผลที่ Generation Z ยังไม่ได้
เข้าสู่วัยทางานทาให้ยังไม่ได้รับประสบการณ์ตรงเกี่ยวข้องเรื่องเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมือง
50
บริหารประเทศอยู่ไม่ทาให้ประเทศดีขึ้น หากได้ยินคาว่ารัฐประหารก็จะรู้สึกไม่พอใจเพราะเป็นคาที่
ทหารใช้ในการยึดอานาจ จากตอนนี้ที่เห็นรัฐบาลปัจจุบันไม่ใสสะอาดมีการโกงให้เห็นตลอด และการ
ใช้พวกพ้องตัวเองขึ้นมาบริหารประเทศด้วยมองว่าคนเหล่านี้ไม่เก่ งมากพอควรที่จะเอาคนที่มีความรู้
ความสามารถเข้ามาบริ ห ารประเทศไม่ใช่พวกพ้องตัว เอง ทาให้รู้สึ กว่าการเมืองไทยตอนนี้ทาให้
ประเทศไทยแย่ลง หลังเลือกตั้งยังเป็นประยุทธ์ที่ได้เป็นนายกต่อทาให้มีความรู้สึกเบื่อและไม่ชอบ ถ้า
เป็ น คนอื่น ที่ตั้งใจทาเพื่อประเทศจริงๆประเทศไทยคงดีขึ้น พัฒ นากว่านี้ และเป็น ประชาธิปไตย
มากกว่านี้
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 2 (Generation Y) มองว่า ตั้งแต่การรัฐประหาร
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 จริงๆแล้วมองว่าไม่ชอบรัฐประหารรวมถึงการมาของทหารด้วยเพราะพอ
โตขึ้นรู้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทาให้รู้ว่ามันไม่เคยดีแต่แค่รู้สึกอยากให้สถานการณ์ความขัดแย้งในตอน
นั้นจบลงทุกอย่างจะได้ดาเนินต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องจริงตามประวัติศาสตร์เมื่อทหารได้ทารัฐประหาร
แล้วจะไม่ยอมปล่อยให้ประเทศมีการเลือกตั้งหรือดาเนินต่อไปได้ในวิถีประชาธิปไตยแม้ไม่พอใจแต่ก็
ต้องรอมีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะกุมอานาจจบ จนผ่านมาถึงการเลือกตั้ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 ถือว่า
เต็มที่แล้วที่อย่างน้อยหนึ่งเสียงที่โหวตให้กับพรรคการเมืองที่เราเชื่อมั่นเพื่อให้ประเทศมันดีขึ้นกว่าเดิม
โดยที่ไม่ใช่ฝ่ายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาแต่ผลออกมาคือการได้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็น นายกรัฐ มนตรีต่อ ไม่ว่าจะเป็น ยังไงผลออกมาแล้วยินดีให้รัฐ บาลนี้ทางานแต่พอมาถึงปัจจุบัน
รัฐบาลนี้ก็ทาให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่เราเสียไปเช่นภาษี ประชาชนทุกคนกลับไม่ได้อะไรที่จับต้องได้จริงๆ
กลับมาจากรัฐบาลนี้ และจากการกระทาของรัฐบาลที่โจมตีพรรคฝ่ายตรงข้ามในแง่ลบไม่ได้ทาให้ คน
หัน ไปชอบรั ฐ บาลขึ้นเลยเพราะมันอยู่ที่ตัว ประสิ ทธิภ าพของรัฐ บาลซึ่งตัว ของนายกรัฐมนตรีและ
รัฐ บาลเองมีข่าวที่ให้คนทั้งประเทศขบขันตลอดในแง่ของการบริหารประเทศที่ไม่มีประสิทธิภ าพ
รวมถึงวิสัยทัศน์ของนายกที่แสดงออกมาในแต่ละครั้งกับสื่อมวลชนทาให้มองว่ารัฐบาลที่ผู้นาเคยเป็น
ทหารมาก่อนไม่เหมาะ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 3 (Generation X) มองว่า ตอนแรกพอใจที่มา
ยุติความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง พอผ่านไปทาให้เริ่มเห็นว่าเสพติดอานาจควรจะปล่อย
ให้คนเล่นการเมืองกันไม่ควรแทรกแซง พอมีการสืบทอดอานาจทาให้ เห็นอะไรต่างๆ ทาให้ความคิด
ของเราต่อรัฐบาลปัจจุบันเปลี่ยนไปมองว่าทหารไม่ควรจะบริหารประเทศ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 4 (Baby Boomer) มองว่า แม้จะเชื่อว่า
นักการเมืองคนไหนมาต่างก็หาประโยชน์เข้าตัวเอง แต่เมื่อผ่านสถานการณ์ต่างๆตั้งแต่ พ.ศ. 2557-
2562 ในตอนแรกมองว่าดีเพราะไม่อย่างนั้นคนก็ฆ่ากันขัดแย้งกันระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง แต่
พอมาถึงตอนนี้ผู้นาของประเทศที่มีลักษณะประชาธิปไตยจริงๆดีกว่า
ผู้ ใ ห้ ข้ อ มู ล ส าคั ญ ท่ า นที่ 5 (Silent Generation) มองว่ า ค าว่ า
ประชาธิปไตยสาคัญ สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมามีรัฐประหาร และปัจจุบันผู้นาก็ยังเป็นคนเดิมทา
ให้มองว่าประชาธิปไตยย่อมดีกว่าและอุดมการณ์คนเปลี่ยนกันได้ ซึ่งยิ่งเห็นสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
53
ฝ่ายตรงข้ามกับเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง รวมไปถึงทาให้รู้สึกผิดหวังกับกระบวนการยุติธรรมด้วยที่
ตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมเข้าข้างผลประโยชน์ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พอเห็นข่าวจาก
สื่อแล้ววิเคราะห์พิจารณาแล้วจริงๆทาให้เห็นว่า การมีรัฐบาลปัจจุบันที่มีลักษณะเผด็จการมาก่อน
รวมถึงผู้นาที่เป็นทหารไม่สามารถที่จะบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ซึ่งการอ่านข่าวผ่านสื่อ
แล้วเจอสิ่งเหล่านี้ทุกๆวันซึ่งมันเป็นเรื่องจริง ทาให้เริ่มตระหนักและไม่พอใจรัฐบาลนี้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 3 (Generation X) มองว่า คนรุ่น Generation X
รับข่าวสารทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เป็นหลักแต่ถ้าเป็นสื่อโซเชี่ยลมีเดียก็ยังเข้ายูทูปแต่จะดูข่าว
การเมืองก็ต่อเมื่อเลื่อนไปเจอในยูทูป ซึ่งข่าวที่ดูประจาที่ไม่ใช่โซเชี่ยลมีเดียก็ไม่ค่อยมีข่าวการเมืองแต่
สื่อกระแสหลักก็มีข่าวการเมืองให้เห็นบ้างทาให้รู้ว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลนี้มันไม่ดีทาให้เวลา
เห็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาผ่านสื่อที่ไปลงพื้นที่ต่างๆ มองก็รู้และเห็นว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์ให้แก่
ประชาชนจริงๆ
ผู้ให้ข้อมูลสาคัญท่านที่ 4 (Baby Boomer) มองว่า คนรุ่น Baby
Boomer รับข่าวสารทางการเมืองการโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นสื่อที่ฟังข้างเดียวซึ่ง
เดี๋ยวนี้เชื่อถือยาก มองว่ารัฐบาลก็จะให้เสพข่าวแต่มุมมองที่บวกต่อรัฐบาล และก็มีอิทธิพลกับคนรุ่น
Baby Boomer สูงถ้าหากรัฐบาลใช้สื่อโจมตีการเมืองฝ่ายตรงข้าม แต่พอมาถึงทุกวันนี้ปัจจัยต่างๆ
ด้านเศรษฐกิจทาให้เราเห็นว่ารัฐบาลตอนนี้บริหารแย่ และพอผ่านด้านสื่อเราก็จะมองว่ารัฐบาลไม่ดี
ตาม
ผู้ ให้ ข้อมูล ส าคัญท่านที่ 5 (Silent Generation) มองว่า สื่ อเป็นตั ว
สะท้อนที่ช่วยบอกว่ารัฐบาลนี้บริหารเป็นยังไง แม้รุ่น Silent Generation จะรับข่าวสารการเมือง
หลั ก แค่ โ ทรทั ศน์ วิ ท ยุ และหนั ง สื อ พิ ม พ์ แต่ ข่ า วที่ ฟั ง ก็ ต้อ งมี บ้ า งว่ า รัฐ บาลนี้ บ ริ ห ารยั ง ไง อย่ า ง
เศรษฐกิจไม่ดีสื่อก็มีบอกทาให้รู้ว่ารัฐบาลนี้บริหารเป็นยังไงถ้าบริหารได้ไม่ดีเราก็ไม่ชอบ
การพอใจของคนในแต่ละเจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-
2562 ผ่านปัจจัยด้านสื่อ Generation Z และGeneration Y มองว่าการมีสื่อยิ่งทาให้ความพอใจของ
รัฐบาลนี้ลดลงเนื่องจากสื่อเป็นตัวกระจายข่าวสารการเมืองต่างๆในการกระทาของรัฐบาลปัจจุบันและ
สื่อออนไลน์ทาให้ได้มองในมุมมองของฝ่ายค้านมากยิ่งขึ้นด้วย และเห็นว่าการโจมตีพรรคฝ่ายตรงข้าม
ของรัฐบาลเพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาแต่ได้ผลที่กลับกัน
เพราะคนสามารถวิเคราะห์และแยกแยะได้ซึ่งไม่ได้ทาให้ภาพของรัฐบาลดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาล
ปัจจุบันที่บริหารประเทศในลักษณะเผด็จการและเล่นการเมืองแบบไม่โปร่งใสทาให้สื่อกระจายข่าวให้
ประชาชนรับรู้และคิดได้ว่ารัฐบาลนี้บริหารประเทศไม่ดี ส่วนคน Generation X, Baby Boomer
และSilent Generation แม้จะไม่ได้รับข่าวสารการเมืองจากสื่อออนไลน์เป็นหลัก แต่อะไรที่เป็น
ประเด็ น กระแสทางการเมื อ งสื่ อ อย่ า งโทรทั ศ น์ วิ ทยุ และหนั ง สื อ พิ มพ์ ก็ น ามาเสนอ แต่ สิ่ ง ที่ ค น
Generation X, Baby Boomer และSilent Generation เห็นได้ชัดเกี่ยวกับรัฐบาลในช่วง พ.ศ.
2557-2562 ผ่านสื่อก็คือวิสัยทัศน์ของนายกและการตอบคาถามสื่อมวลชนรวมถึงข่าวด้านเศรษฐกิจ
55
กระทบกับปากท้องของประชาชนจึงทาให้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ทาให้คนไม่พอใจ
การบริหารรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
4.2.2.4 ปัจจัยด้านการศึกษาที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบ
อาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่นต่อคณะรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562
ส าหรั บ ด้า นการศึก ษาคนในแต่ ล ะเจเนอเรชั่ น ทั้ ง Generation Z,
Generation Y, Generation X, Baby Boomer และSilent Generation ต่างก็มองว่าการศึกษาที่
ได้รับมาตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยมปลายหลักสูตรต่างไม่ได้เน้นสอนเนื้อหาการเมืองที่ทาให้คนในแต่ละเจ
เนอเรชั่นได้รู้เรื่องราวการเมืองต่างๆ ซึ่งการศึกษาจะสอนหน้าที่พลเมือง ประวัติศาสตร์ และประวัติ
ของพระมหากษัตริ ย์ประเทศไทยมากกว่าการเมือง ทาให้ ปัจจัยด้านการศึกษาได้ส่งผลให้ คนไม่มี
ความรู้ด้านการเมืองในการวิเคราะห์สถานการณ์ เหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันแต่ละยุคสมัย
ยกเว้นคนที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยต่อในสาขาสายสังคมถึงจะได้เรียนรู้การเมืองในแง่ของการเข้าใจ
การเมืองไทยและสามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะได้ ดังนั้นการศึกษาในระดับมัธยมส่งผลต่อวิธีคิดทาง
การเมืองของคนให้ไม่รู้จักการเมือง ไม่ให้เรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง และเหตุการณ์
ทางการเมืองต่างๆ ส่วนระดับมหาวิทยาลัยต้องเป็นคนที่เรียนสายสังคมถึงจะได้เรียนการเมืองและทา
ให้รู้จักแยกเยอะคิดวิเคราะห์เรื่องเกี่ยวกับการเมืองได้ แต่ถ้าเข้าเรียนสายอื่นที่ไม่ใช่สังคมสามารถสรุป
ได้ว่าการศึกษาของไทยไม่ได้ สอนความรู้ทางการเมืองเลยซึ่งส่งผลต่อวิธีคิดทางการเมืองก็คือ ไม่มี
ความรู้ทางการเมืองเท่าที่ควรที่ได้จากการศึกษา
57
บทที่ 5
สรุปผล
การวิจัยหัวข้อปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิดทางการเมืองของคนแต่ละเจเนอเรชั่นในการกาหนด
ความพอใจของรัฐบาลช่วง พ.ศ. 2557-2562: กรณีศึกษาบุคคลในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของ
รัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาปัจจัยที่มีผลต่อวิธีคิด ทางการเมืองของคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่
ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น และปัจจัยดังกล่าวส่งผลอย่างไรต่ อวิธีคิดทางการเมืองคนผู้ที่ประกอบ
อาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่นที่มีต่อรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2557-2562 เพื่อหาว่าคนในแต่
ละเจเนอเรชั่นมีมุมมองและความคิดอย่างไรต่อการบริหารของรัฐบาลเพื่อหาข้อสรุปว่ารัฐบาลในช่วง
พ.ศ. 2557-2562 บริห ารได้เป็ นที่น่าพอใจหรือไม่อย่างไรส าหรับคนในแต่ละเจเนอเรชั่น ในการ
สรุปผลข้อมูลที่ได้จากการศึกษาผู้วิจัยได้ทาการสรุปโดยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดได้แก่ ข้อมูลที่ได้จาก
เอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็ นที่ศึกษา ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ให้
ข้อมูลสาคัญ
จากการศึกษาครั้ งนี้ ผู้วิจัยศึกษาภายใต้กรอบแนวคิดทฤษฎีต่างๆ ได้แก่ทฤษฎีการ
กล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) แนวคิดเกี่ยวกับเจเนอเรชั่น (Theory of
generations) และลักษณะพื้นฐานของกลุ่มข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในประเด็นปัจจัยที่มีผล
ต่ อ วิ ธี คิ ด ทางการเมื อ งของคนแต่ ล ะเจเนอเรชั่ น ผู้ วิ จั ย ใช้ ก ารศึ ก ษาในรู ป แบบวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ
(Qualitative research) โดยใช้เทคนิคการศึกษาแบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) โดย
ผู้วิจัยได้ทาการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ เป็นกลุ่มผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งสิ้น 5 คน
ประกอบด้วยคนทั้ง Generation Z, Generation Y, Generation X, Baby Boomer และSilent
Generation อย่างละ 1 คน
5.1 สรุปผลการศึกษาและอภิปรายผล
5.2 การกล่อมเกลาทางการเมืองในคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่ของรัฐในแต่ละเจเนอเรชั่น
โดยการกล่อมเกลาทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการศึกษาคนผู้ที่ประกอบอาชีพเจ้าหน้าที่
ของรัฐ Generation Z, Generation Y, Generation X, Baby Boomer และSilent Generation
ทาให้ได้ผลสรุปว่า สถานการณ์ทางการเมือง สื่อ เศรษฐกิจและการศึกษาถือ เป็นตัวแทนทางสังคมที่
คนแต่ละเจเนอเรชั่นได้ผ่าน จนนาไปสู่อุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ และค่านิยมทางการเมือง โดย
กระบวนการกล่อมเกลาทางการเมืองจาเป็นต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กให้เด็กได้เรียนรู้
อุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ และค่านิยมทางการเมือง จากเด็กที่ได้รับอุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ
และค่านิยมทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นไปในทางประชาธิปไตยหรือทางเผด็จการ เมื่อจากเด็กไปสู่วัยที่
โตขึ้นจะมีการนาอุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ และค่านิยมทางการเมืองที่ เคยได้รับมาเป็นวิธีคิดทาง
การเมืองเป็นของตัวเองแต่สาหรับกรณีศึกษา Generation Z, Generation Y, Generation X,
Baby Boomer และSilent Generation ทาให้มองว่าการกล่อมเกลาทางการเมืองที่เกิดขึ้นไม่ได้เริ่ม
จากตอนเด็กแต่เป็นตอนที่คนอยู่ในช่วงอายุที่เริ่มมีวุฒิภาวะเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะการศึกษาที่เป็น
หนึ่งในตัวแทนทางสังคมที่มีส่ วนช่ว ยในการขัดเกลาทางการเมืองให้ คนมีความรู้ด้านการเมือง ใน
บริบทการศึกษาประเทศไทยไม่ได้สอนเรื่องให้คนคิดวิเคราะห์เรื่องการเมืองรวมไปถึงการให้ความรู้
ทางการเมืองในด้านประวัติศาสตร์การเมืองไทย จึง ทาให้คน Generation Z, Generation Y,
Generation X, Baby Boomer และSilent Generation เริ่มรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองผ่าน
สถานการณ์ทางการเมือง สื่อ และเศรษฐกิจเป็นหลัก นาไปสู่การกล่อมเกลาทางการเมืองและทาให้
คนกลายเป็ น คนที่มีอุดมการณ์ แนวคิด ความเชื่อ และค่านิยมทางการเมืองผ่ านสถานการณ์ทาง
การเมือง เศรษฐกิจ และสื่อ
59
จากผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าในคนแต่ละเจเนอเรชั่น ต่างมีปัจจัยหลักเฉพาะของ
แต่ละเจเนอเรชั่นที่ทาหน้าที่เป็นเงื่อนไขหลักในการเป็นตัวสะกดความพอใจให้คนมีความพอใจต่อการ
ทางานรัฐบาล ถ้าหากรัฐบาลทาหน้าที่ในการบริหารประเทศเป็นไปในลักษณะที่ขัดต่อเงื่อนไขหลัก
เฉพาะในการเป็นตัวสะกดความพอใจของรัฐบาลจะทาให้เกิดการ “ลั่นไก” (pull a trigger) ทาให้คน
เกิดความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่ทาหน้าที่ในการบริหารประเทศอยู่ ณ ขณะนั้นเนื่องจากเงื่อนไขหลัก
61
เฉพาะในการเป็นตัวสะกดความพอใจหายไปทาให้คนลั่นไกเกิดความรู้สึกไม่พอใจในรัฐบาลเข้ามา
แทนที่
สาหรับเงื่อนไขหลักเฉพาะในการเป็นตัวสะกดความพอใจให้คนมีความพอใจต่อการ
ทางานรัฐบาลในแต่ละเจเนอเรชั่นมีปัจจัยหลักอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัยหลัก ปัจจัยหลักแรกคืออุดมการณ์
ทางการเมือง ปัจจัยหลักที่สองคือเศรษฐกิจ โดย Generation Z และGeneration Y ให้ปัจจัยด้าน
อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นปัจจัยหลักในการสะกดความพอใจแต่ถ้ามองลึกเข้าไปแล้วมีความแตกต่าง
กันอยู่ระหว่างคน Generation Z และGeneration Y สาหรับ Generation X, Baby Boomer และ
Silent Generation ให้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักในการสะกดความพอใจ
Generation Z มองอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นปัจจัยหลักสาคัญในการพอใจใน
รัฐบาล หากรัฐบาลบริหารประเทศเป็นไปตามลักษณะของประชาธิปไตย ไกจะยังไม่ถูกลั่นและความ
พอใจของคน Generation Z จะยังถูกสะกดเอาไว้ให้ยังคงพอใจกับการทางานของรัฐบาลชุดนี้ แต่
เมื่อไหร่ก็ตามหากรัฐบาลมีการทางานที่เป็นไปตามลักษณะของเผด็จการจะทาให้ปัจจัยที่สะกดความ
พอใจของคน Generation Z หายไปทาให้เกิดการลั่นไกนาไปสู่การที่คนเริ่มไม่พอใจในรัฐบาลซึ่ง
อุดมการณ์ทางประชาธิปไตยปัจจัยหลักสาคัญในการพอใจรัฐบาล
Generation Y มองอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นปัจจัยหลักสาคัญในการพอใจใน
รัฐบาล หากรัฐบาลบริหารประเทศเป็นไปตามลักษณะของประชาธิปไตย ไกจะยังไม่ถูกลั่นและความ
พอใจของคน Generation Y จะยังถูกสะกดเอาไว้ให้ยังคงพอใจกับการทางานของรัฐบาลชุดนี้ หาก
เมื่อไหร่ก็ตามหากรัฐบาลมีการทางานที่เป็นไปตามลักษณะของเผด็จการจะทาให้ปัจจัยที่สะกดความ
พอใจของคน Generation Y หายไปทาให้เกิดการลั่นไกนาไปสู่การที่คนเริ่มไม่พอใจในรัฐบาลซึ่ง
อุดมการณ์ทางประชาธิปไตยปัจจัยหลักสาคัญในการพอใจรัฐบาล แต่มีสิ่งที่เพิ่มเติมและแตกต่างจาก
Generation Z คือ ก่อนการเลือกตั้ง Generation Y มีการลั่นไกและไม่พอใจกับพรรคที่มีลักษณะ
เป็นเผด็จการ แต่หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วพรรคที่มีลักษณะเป็นเผด็จการมีเสียงข้างมากจนทา
ให้ได้นายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะเผด็จมาบริหารประเทศการลั่นไกอันนาไปสู่ความไม่พอใจรัฐบาลยังมี
อยู่ แต่ถ้ารัฐบาลเผด็จบริหารประเทศให้ดีขึ้นไกของคน Generation Y จะถูกระงับเพราะมีความคิดว่า
ผลการเลือกตั้งออกมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้วอย่างน้อยก็ขอให้บริหารให้ดี แต่เป็นแค่
การระงับความไม่พอใจไว้ไม่ให้ลั่นไก หากเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งใหม่แม้รัฐบาลนี้ จะเคยบริหาร
เศรษฐกิจให้ดีมาก่อนแต่ยังมีลักษณะเป็นเผด็จการการลั่นไกก็ยังคงทางานและไม่พอใจรัฐบาลหรือ
พรรคการเมืองที่มีลักษณะเผด็จการเหมือนเดิม
Generation X, Baby Boomer และSilent Generation มองเศรษฐกิจเป็นปัจจัย
หลักสาคัญในการพอใจในรัฐบาล หากรัฐบาลบริหารประเทศทาให้เศรษฐกิจดีและความอยู่กินดีมาถึง
มือประชาชนจริงๆ ไกจะยังไม่ถูกลั่นและความพอใจของคน Generation Z และGeneration Y จะ
ยังถูกสะกดเอาไว้ให้ยังคงพอใจกับการทางานของรัฐบาลชุดนี้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามหากรัฐบาลบริหาร
ประเทศทาให้เศรษฐกิจแย่จะทาให้ปัจจัยที่สะกดความพอใจของคน Generation X, Baby Boomer
62
5.5 สรุปวิธีคิดของคนแต่ละเจเนอเรชั่นในการกาหนดความพอใจต่อรัฐบาล
จากที่ได้ศึกษาในการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญในเรื่องของความพอใจต่อรัฐบาลในช่วง
พ.ศ. 2557-2562 หรือรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชาสามารถนามาสรุปเป็นแนวทางได้ทั้งหมด 4
รูปแบบในแต่ละเจเนอเรชั่น
ลักษณะการบริหารของรัฐบาล
Generation ความพอใจ
ประชาธิปไตย เผด็จการ บริหารเศรษฐกิจดี บริหารเศรษฐกิจแย่
รัฐบาล
Generation Z พอใจ
Generation Z พอใจ
Generation Z ไม่พอใจ
Generation Z ไม่พอใจ
ตารางที่ 5.2 สรุ ป แนวทางความพอใจรั ฐ บาลของคนผู้ ที่ ป ระกอบอาชี พ เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ
Generation Y
ลักษณะการบริหารของรัฐบาล
Generation ความพอใจ
ประชาธิปไตย เผด็จการ บริหารเศรษฐกิจดี บริหารเศรษฐกิจแย่
รัฐบาล
Generation Y พอใจรัฐบาล
Generation Y พอใจแต่ไม่
โอเค
Generation Y ไม่พอใจแต่
โอเค
Generation Y ไม่พอใจ
ลักษณะการบริหารของรัฐบาล
Generation ความพอใจ
ประชาธิปไตย เผด็จการ บริหารเศรษฐกิจดี บริหารเศรษฐกิจแย่
รัฐบาล
64
Generation x พอใจ
Generation X ไม่พอใจ
Generation X พอใจ
Generation X ไม่พอใจ
ลักษณะการบริหารของรัฐบาล
Generation ความพอใจ
ประชาธิปไตย เผด็จการ บริหารเศรษฐกิจดี บริหารเศรษฐกิจแย่
รัฐบาล
Baby Boomer พอใจ
Baby Boomer ไม่พอใจ
Baby Boomer พอใจ
Baby Boomer ไม่พอใจ
ลักษณะการบริหารของรัฐบาล
Generation ความพอใจ
ประชาธิปไตย เผด็จการ บริหารเศรษฐกิจดี บริหารเศรษฐกิจแย่
รัฐบาล
Silent Generation พอใจ
Silent Generation ไม่พอใจ
Silent Generation พอใจ
Silent Generation ไม่พอใจ
จากแนวทางวิธีคิดของคนแต่ละเจเนอเรชั่นในการกาหนดความพอใจต่อรัฐบาลสิ่งที่เห็น
ได้ชัดในคน Generation Z คือ หากมีลักษณะที่เป็นเผด็จการจะไม่ชอบและไม่พอใจรัฐบาลในทุกๆ
อย่าง ส่วนคน Generation Y สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มีความไม่ชอบและไม่พอใจในลักษณะที่เป็นเผด็จการ
แต่หากได้รัฐบาลที่เป็นเผด็จการมาบริหารประเทศเนื่องจากไม่มีทางเลือกและแก้ไขอะไรไม่ได้อย่าง
น้อยขอให้รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจให้ดีเพื่อให้มีความรู้สึกโอเคถึงจะไม่ชอบรัฐบาลเผด็จการก็ตาม แต่
ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการและยังบริหารเศรษฐกิจไม่ดีก็จะมีความรู้สึกไม่ชอบและไม่พอใจ ใน
ขณะเดียวกันหาก Generation Y อยู่ในรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยและเศรษฐกิจแย่ จะพอใจกับ
รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแต่ไม่โอเคกับเศรษฐกิจที่แย่ แต่จะไม่หันหลังกลับให้รัฐบาลเผด็จการ ส่ว น
Generation X, Baby Boomer และSilent Generation มีแนวทางวิธีคิดในรูปแบบเดียวกันคือ จะ
มี ค วามพอใจโดยขึ้ น อยู่ กั บ เศรษฐกิ จ โดยไม่ ไ ด้ ยึ ด มั่ น ในอุ ด มการณ์ ห ากรั ฐ บาลที่ มี ลั ก ษณะเป็ น
66
ประชาธิปไตยหรือเผด็จการบริหารเศรษฐกิจดีก็จะพอใจ แต่ถ้ารัฐบาลที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย
หรือเผด็จการบริหารเศรษฐกิจแย่คนรุ่น Generation X, Baby Boomer และSilent Generation
ไม่พอใจ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายิ่ง Generation หลังจะมีแนวโน้มที่ไม่ชอบเผด็จการมากขึ้นเรื่อยๆ
โดย Generation Z มีความไม่ชอบเผด็จการมากที่สุดมีความยึดมั่นในอุดมการณ์ ประชาธิปไตยด้วย
การที่เติบโตมาในช่วงที่เห็นความขัดแย้งทางการเมืองและเห็นเผด็จการปกครองประเทศเป็นเวลานาน
ซึ่งไม่ทาให้ประเทศดีขึ้นและแก้ไขอะไรไม่ได้จึงมีความรู้สึกโกรธแค้นความเป็นเผด็จการและส่งผลให้มี
ความคิดที่ไม่ชอบเผด็จการ Generation Y มีความไม่ชอบเผด็จการมากและยึดมั่นในอุดมการณ์
ประชาธิ ป ไตยเช่ น กั น แต่ ด้ ว ยการที่ เ กิ ด มาในยุ ค ที่ เ กิ ด วิ ก ฤตฟองสบู่ แ ตกท าให้ มี ค วามค านึ ง ด้ า น
เศรษฐกิจอยู่พอสมควรจึงทาให้ยังพอโอเคกับรัฐบาลเผด็จการหากบริหารเศรษฐกิจได้ดีแต่ยังคงความ
ก็ไม่ชอบและไม่พอใจลักษณะที่เป็นเผด็จการอยู่ ส่วน Generation X ,Baby Boomer และSilent
Generation ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองมามากผ่านการบริหารของรัฐบาลหลายสมัยรวมถึงการ
รัฐประหารทาให้มองว่ารัฐบาลมีแต่แสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ทาให้ไม่ยึดมั่นในอุดมการณ์และ
ต้องการแค่การบริหารของรัฐบาลไม่ว่าจะลักษณะแบบประชาธิปไตยหรือเผด็จการต้องทาให้เศรษฐกิจ
ดี
สุดท้ายประเทศไทยในอนาคตจะเข้าสู่ สังคมผู้สู งอายุ ซึ่งมองว่าทุกวันนี้ประชาชนใน
ประเทศไทยส่วนมากยังไม่ตื่นตัวและตระหนักในเรื่องนี้อาจด้วยการขาดความรู้ความเข้าใจหรือขาด
การให้ความใส่ใจในเรื่องสังคมผู้สูงอายุของรัฐบาล ทาให้ภาครัฐและประชาชนในประเทศไทยยังขาด
การเตรียมตัวสาหรับปัญหาผู้สูงอายุทั้งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เมื่อดูจากอัตราการเจริญพันธุ์หรือ
จานวนเฉลี่ยของการคลอดบุตรต่อผู้หญิงหนึ่งคน โดยอัตราที่สูงที่สุดคือปี พ.ศ. 2506 คือ 6.16 จน
มาถึงทุกวันนี้เหลืออัตราการเจริญพันธุ์ แค่เพียง 1.48 ซึ่งในอนาคตอีก โดยการประมาณประชากรใน
แต่ละเจเนอเรชั่นเริ่มจาก Silent Generation พ.ศ. 2468-2488 ช่วงเจน 20 ปี มีจานวนประชากร
5,936,482 ราย Baby Boomer พ.ศ. 2489-2507 ช่วงเจน 18 ปี มีจานวนประชากร 12,884,954
ราย Generation X พ.ศ. 2508-2522 ช่วงเจน 14 ปี มีจานวนประชากร14,496,896 Generation
Y พ.ศ. 2524-2540 ช่วงเจน 16 ปี มีจานวนประชากร 14,112,202 คน (สานักงานสถิติแห่งชาติ,
2562) และGeneration Z ตัวเลขล่าสุด พ.ศ. 2540-2559 ช่วงเจน 19 ปี มีจานวนประชากร
8,433,463 คน (กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, 2559, น. 29) ซึ่ง
หากระยะเวลาผ่านไป 30 ปีคน Silent Generation กับBaby Boomer หมดอายุขัยลงส่วน
Generation Xกับ Generation Y ขยับขึ้นมาสู่วัยผู้สูงอายุ ซึ่ง Generation Z และคนรุ่นต่อไปหาก
อัตราการเกิดยังลดลงเรื่อยๆอยู่จะมีผลทาให้คนรุ่นต่อไปต้องแบกรับ การดูแลอย่างมากหากภาครัฐ ใน
ลั ก ษณะเผด็ จ การที่ ไ ม่ ต้ อ งการให้ ป ระชาชนตั้ ง ค าถามหรื อ มี ส่ ว นร่ ว มทางการเมื อ งในระบอบ
ประชาธิปไตย ซึ่งไม่ได้มีส่วนช่วยและตระหนักพอถึงการเร่งแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงอายุ หากมองเรื่องนี้
ในปั จ จุ บั น ที่ รั ฐ บาลเผด็ จ การแทบไม่ ต ระหนั ก ในปั ญ หาสั ง คมผู้ สู ง อายุ เ ลยจะท าให้ ค นในทุ ก
67
รายการอ้างอิง
หนังสือและบทความในหนังสือ
บทความวารสาร
รายงานการประชุมหรือสัมมนาทางวิชาการ
กัณฐิกา ศรีอุดม และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (2548). พระเจ้ากรุงสยาม กับ เซอร์จอห์น เบาว์ริง The
King of Siam : Sir John Bowring. เอกสารสรุปการสัมมนาวิชาการเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสวันพระบรมราชสมภพครบรอบ 200 ปี
(พ.ศ. 2347 - 2547). กรุ ง เทพฯ: มู ล นิ ธิ โ ตโยต้ า ประเทศไทยกั บ มู ล นิ ธิ โ ครงการต ารา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
วิทยานิพนธ์
สือ่ อิเล็กทรอนิกส์
ราชกิจจานุเบกษา
Marcie Pitt-Catsouphes, Christina Matz-Costa, and Elyssa Besen. (2009). AGE &
GENERATIONS :Understanding Expreriences at the Workplace. Boston.
Articles in Journals