Professional Documents
Culture Documents
Chapter 3
Chapter 3
บทที่ 3
กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์
Q W
System
สามารถเขียนเป็นสมการที่ครอบคลุมถึงพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ของระบบ ได้เป็น
d (U + KE + PE ) = ΔKE + ΔPE + δQ + δW
สําหรับระบบเปิด ซึ่งมีการถ่ายโอนเข้า-ออกของวัสดุผ่านขอบเขตของระบบหรือภายในระบบด้วย
จะต้องพิจารณาเพิ่มเติม ได้แก่
ก) พลังงานภายในของมวลสารที่เข้า-ออกจากระบบหรือผ่านขอบเขตของระบบ
ข) งานที่กระทํากับระบบ เมื่อมวลสารถูกผลักดันให้เข้าสู่ระบบ
ค) งานที่ระบบกระทําเพื่อผลักให้มวลสารออกจากระบบ
m
Wi flow
= ∫ PV i dmi = PV i mi
0
dU = ∑H
mi
i δm i − ∑ H o δm o + δ Q + δ W
mo
สามารถเขียนเป็นสมการที่ครอบคลุมถึงพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ของระบบ ได้เป็น
d ( U + KE + PE ) = ∑ ( H i + KE i + PEi )δmi − ∑ ( H o + KE o + PE o )δmo + δQ + δW
mo mi
system boundary
Pi P0
δ mi δmO
นอกจากการกําหนดชนิดของระบบ และการนําเอากฎของเทอร์โมไดนามิกส์มาใช้ในการแก้ปัญหา
ทางเทอร์โมไดนามิกส์แล้ว ยังจําเป็นที่จะต้องทราบทราบเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงชนิดจากสถานะ
เริ่มต้นไปยังอีกสถานะหนึ่ง โดยชนิดของกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นแบ่งออกได้ดังแสดงในตารางที่ 3.1
ตารางที่ 3.1 กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเทอร์โมไดนามิกส์แบบต่างๆ และลักษณะเฉพาะของกระบวนการ
ชนิดของการเปลี่ยนแปลง ลักษณะเฉพาะ
Adiabatic ไม่มีความร้อนถ่ายเทเข้า-ออกจาก system
Isochoric ไม่มีงานถ่ายเทเข้า-ออกจาก system
Isentropic Entropy (S) คงที่
Isothermal อุณหภูมิในระบบคงที่ (Constant T)
Isobaric ความดันในระบบคงที่ (Constant P)
Isochoric ไม่มีงานถ่ายเทเข้า-ออกจาก system
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 20
3.4.1 ค่าความจุความร้อนจําเพาะภายใต้กรณีปริมาตรสสารคงที่
(specific heat capacity at constant volume, Cv)
จาก 1st law สําหรับระบบปิด dU = δQ + δW
dU
CdT = = dU
m
⎛ ∂U ⎞
ดังนั้น ค่าความจุความร้อนจําเพาะภายใต้กรณีปริมาตรสสารคงที่ CV = ⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠V
3.4.2 ค่าความจุความร้อนจําเพาะภายใต้กรณีความดันคงที่
(specific heat capacity at constant pressure, Cp)
จาก 1st law สําหรับระบบปิด dU = δQ + δW
0
เนื่องจาก δW = −( PdV + VdP) ดังนั้น δQ = d (U + PV ) = dH
และ dH = mC p dT หรือ d H = C p dT
⎛ ∂H ⎞
ดังนั้น ค่าความจุความร้อนจําเพาะภายใต้กรณีปริมาตรสสารคงที่ Cp = ⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠ P
เนื่องจาก CP เป็นฟังก์ชั่นของทั้ง T และ P ดังนั้น ที่ P คงที่ที่ค่าหนึ่งๆ CP จะเป็นฟังก์ชั่นของ T โดย
เขียนให้อยู่ในรูปความสัมพันธ์อย่างง่ายได้เป็น
C P = a + bT + cT −2
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 21
⎡ ⎛ ∂V ⎞ ⎤
d H = C P dT + ⎢V ( 1 − T ⎜ ⎟ )⎥ dP
⎣ ⎝ ∂T ⎠ P ⎦
3.5.1 กรณีที่อุณหภูมิอยู่ในช่วงของเฟสเดียวกัน
⎛ ∂H ⎞
จาก C p = ⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠ P
T
ดังนั้น Δ H = ∫ C P dT
Ti
T
H − H i = ∫ C P dT
Ti
และดังนั้น Δ H = H − H i = ∫ ( a + bT + cT − 2 ) dT
Ti
b 2 T T
− cT −1
T
Δ H = aT Ti
+ T
2 Ti Ti
b 2 1 1
เขียนได้เป็น Δ H = a( T − Ti ) + ( T − Ti 2 ) − c( − ) **เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วงเฟสเดียวกัน
2 T Ti
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 22
J
= 75.44 × ( 373 − 298 ) K = 5,658 J/mol
mol - K
3.5.2 กรณีที่อุณหภูมิครอบคลุมช่วงของการเปลี่ยนเฟส
ณ อุณหภูมิ หรือช่วงอุณหภูมิที่เกิดการเปลี่ยนเฟส จะมีการดูดหรือคายความร้อนของวัสดุ ดังนั้น
หากเราวัดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเทียบกับเวลาและสร้างเป็นเส้นกราฟ ก็จะพบว่าความชันของ
เส้นกราฟจะเปลี่ยนไปจากช่วงที่ไม่เกิดการเปลี่ยนเฟส ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 3.4 การคํานวณหาการ
เปลี่ยนแปลงของเอนทาลปีภายใต้ความดันคงที่ซึ่งครอบคลุมช่วงที่มีการเปลี่ยนเฟสจึงต้องนําเอาค่าความ
ร้อนแฝง (enthalpy of transformation หรือ latent heat of transformation, L) มาคิดร่วมด้วย
เขียนในรูปสมการทั่วไปได้เป็น
TC T
H − H i = ∫ C P dT + Δ H Tc + ∫ C Pβ dT
α α/β
Ti TC
T
Δ H = ∫ C P ( l ) dT
Tm
H
ΔH = ΔH m
Tm
Δ H = ∫ C P ( s ) dT
Ti
Temperature Tm
ภาพที่ 3.4 แสดงการเปลี่ยนแปลงของเอนทาลปีตามอุณหภูมิและเอนทาลปีของการหลอมเหลว
(เรียกอีกอย่างว่า ความร้อนแฝงในการหลอมเหลว)
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 23
∫ 75.44dT + Δ H ∫ ( 30 + ( 10.71 × 10
−3
H 393 − H 298 = V + )T + ( 0.33 × 10 5 )T − 2 )dT
298 K 373 K
10.71 × 10 −3
= 75.44( 373 − 298 ) + 2.347 × 10 3 + 30( 393 − 373 ) + ( 393 2 − 373 2 )
2
1 1
−0.33 × 10 5 ( − ) J / mol
393 373
= 8,687.49 J/mol
1000 g
น้ํา 1 mol คิดเป็น (1x2) + 16 g = 18 g ดังนั้น น้ํา 1 ลิตร = 1 kg = = 55.56 mol
18 g ⋅ mol −1
ΔH = nΔH =55.56 mol x 8687.49 J/mol = 482.68 kJ
ความร้อนที่จําเป็นต่อการทําให้น้ํา 1 ลิตรทีอ่ ุณหภูมิห้องกลายเป็นไอน้ําอุณหภูมิ 120oC คือ 482.68 kJ
∫ 75.44dT + Δ H ∫ ( 30 + 10.71 × 10
−3
H 393 − H 333 = V + + 0.33 × 10 5 )dT
333 K 373 K
10.71 × 10 −3
= 75.44( 373 − 333 ) + 2.347 × 10 3 + 30( 393 − 373 ) + ( 393 2 − 373 2 )
2
1 1
−0.33 × 10 5 ( − ) J / mol
393 373
= 6,047.09 J/mol
เนื่องจากเหล็กกล้าสามารถเกิดการเปลี่ยนโครงสร้างผลึกได้ที่อุณหภูมิหนึ่งๆ ดังนั้นความสัมพันธ์
ของ Cp ตามอุณหภูมิ ของแต่ละโครงสร้างผลึกจะไม่เหมือนกัน และก็จะต้องคํานึงถึงความร้อนแฝงในการ
เปลี่ยนเฟสด้วย เพราะฉะนั้นความร้อนที่จําเป็นต้องใช้นั้นคํานวณได้จากการเปลี่ยนแปลงของเอนทาลปี
ภายใต้ความดันคงที่ โดยจาก ตาราง B ในภาคผนวก ที่แสดงค่าความร้อนแฝงและอุณหภูมิการเปลี่ยนเฟส
จะได้ว่า ในช่วง อุณหภูมิ 25 °C K เป็น 1100 °C จะมีช่วงของการเปลี่ยนเฟสสองช่วง คือที่
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 24
α/β
ΔH = 1.22/4.184 kJ/mol = 291.59 J/mol
β /γ
ΔH = 0.16/4.184 kJ/mol = 38.24 J/mol
1033 K 1187 K
24.77 × 10 −3
= 17.49( 1033 − 298 ) + ( 1033 2 − 298 2 ) + 291.59 + 37.7( 1187 − 1033 )
2
19.50 × 10 −3
+38.24 + 7.70( 1373 − 1187 ) + ( 1373 2 − 1187 2 )
2
= 37.18 kJ/mol
PV = RT
PV = nRT
PV = RT
RT ( 8.314 )( 293.15 ) J ⋅ mol −1 ⋅ K −1 ⋅ K
V= =
P 1.013 × 10 5 N ⋅ m −2
J ⋅ mol −1 N ⋅ m
= 0.02406 ( ) = 0.02406 m 3 mol −1
N ⋅ m −2 J
ปริมาตรของก๊าซในอุดมคติ 1 mol ที่ 20 oC 1 atm คือ 0.02406 m3mol-1
Ti Tf
Robert Boyle แสดงให้เห็นว่า เมื่อให้ T คงที่ ความดันของก๊าซที่มีความหนาแน่นต่ําๆ นั้น
แปรผกผันกับปริมาตร (P α 1/V)
Pi V i = Pf V f
⎛ δQ ⎞ ⎛ ∂U ⎞ ⎛ δQ ⎞ ⎛ ∂H ⎞
CV = ⎜ ⎟ =⎜ ⎟ และ C P = ⎜ ⎟ =⎜ ⎟
⎝ dT ⎠V ⎝ ∂T ⎠V ⎝ dT ⎠ P ⎝ ∂T ⎠ P
⎛ ∂ H ⎞ ⎛ ∂U ⎞
C P − CV = ⎜ ⎟ −⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂T ⎠V
⎛ ∂U ⎞ ⎛ ∂V ⎞ ⎛ ∂U ⎞
=⎜ ⎟ + P⎜ ⎟ −⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂T ⎠V
∂U ∂U
ขณะที่ dU = ⎛⎜ ⎞⎟ dV + ⎛⎜ ⎞⎟ dT และดังนั้น ⎛⎜ ∂U ⎞⎟ = ⎛⎜ ∂U ⎞⎟ ⎛⎜ ∂V ⎞⎟ + ⎛⎜ ∂U ⎞⎟
⎝ ∂V ⎠T ⎝ ∂T ⎠V ⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂V ⎠T ⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂T ⎠V
ดังนั้น
⎛ ∂U ⎞ ⎛ ∂V ⎞ ⎛ ∂U ⎞ ⎛ ∂V ⎞ ⎛ ∂U ⎞
C P − CV = ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ + P⎜ ⎟ −⎜ ⎟
⎝ ∂V ⎠T ⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂T ⎠V ⎝ ∂T ⎠ P ⎝ ∂T ⎠V
⎛ ∂V ⎞ ⎡⎛ ∂U ⎞ ⎤
=⎜ ⎟ ⎢⎜ ⎟ + P⎥
⎝ ∂T ⎠ P ⎣⎝ ∂V ⎠T ⎦
⎛ ∂U ⎞
สําหรับก๊าซในอุดมคตินั้น ⎜ ⎟ =0
⎝ ∂V ⎠T
ดังนั้น
⎛ ∂V ⎞
C P − CV = P⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠ P
R
= P×
P
สําหรับก๊าซในอุดมคติ C P − CV = R
ภาพที่ 3.6 พื้นผิว P-V-T ของก๊าซจริง ซึ่งมีลักษณะไม่ต่อเนื่อง โดยเมื่อ T < Tcrit ก๊าซจะเกิดการ
ควบแน่นเป็นของเหลวได้
ก๊ า ซจริ ง สามารถควบแน่ น เป็ น ของเหลวหรื อ ของแข็ ง ได้ ที่ ค วามดั น และอุ ณ หภู มิ ที่ เ หมาะสม
ภาพที่ 3.6 เป็นพื้นผิวที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริมาตรและอุณหภูมิของก๊าซจริง ซึ่งมีจุด
วิกฤติที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อ T < Tcrit ก๊าซจะเกิดการควบแน่นเป็นของเหลวได้ ดังนั้นพื้นผิว P-V-T จึงไม่
ต่อเนื่อง ในขณะที่เมื่ออุณหภูมิสูงมากขึ้นไปกว่า Tcrit ก็จะเข้าสู่ลักษณะพฤติกรรมของก๊าซในอุดมคติ
พฤติกรรมของก๊าซจริงนั้นอธิบายในลักษณะที่เป็นฟังก์ชั่นกับก๊าซในอุดมคติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
เบี่ยงเบนไปจากก๊าซอุดมคติอย่างไร
PV = ZRT
สําหรับการแสดงสภาวะของก๊าซจริงโดย คํานึงถึงปริมาตรของก๊าซและแรงปฎิสัมพันธ์ระหว่าง
โมเลกุลของก๊าซนั้น อธิบายไว้โดย van der Waals กล่าวคือ
RT a nRT n2
P= − 2 หรือ P= −a 2 .
V −b V V − nb V
27 R 2Tcr2 RTcr
โดย a= b= ตัวอย่างของค่าคงที่สําหรับสมการก๊าซจริงโดย van der Waals นั้น
64 Pcr 8Pcr
แสดงในตารางที่ 3.4
4.48 × 10 6 300
Pr = = 0.605 Tr = = 0.987
7.4 ×10 6 304
- กรณีก๊าซในอุดมคติ PV = RT
1 ρ 18 × 10 3 g ⋅ m −3
ดังนั้น P = RT = RT = × 8.314 × 673 −1
× N ⋅ m ⋅ mol −1 ⋅ K −1 × K
V mw 18 g ⋅ mol
P = 5.6 MPa
nRT n2
- กรณีก๊าซจริงตามความสัมพันธ์ของ van der Waals P= −a 2
V − nb V
อ่านค่าจากตาราง 3.4
n2
P=
RT a
− 2 =
RT
−a ซึ่ง 1 / ρ = 1/18 = 0.0556 m3⋅kg-1
V −b V (1 / ρ ) − b (1 / ρ )
2
P = 5.215 MPa
dmi dmo
ภาพที่ 3.8 แสดงภาพจําลองของการกําหนดระบบในปัญหาการไหลผ่านวาล์วแบบไม่สูญเสียความร้อน
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 33
δQ = 0 ; δW = 0 ; δmi = δmo
Hi = Ho
ความสัมพันธ์ของอุณหภูมิกับความดันภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เอนทาลปีคงที่นั้น เรียกว่า
สัมประสิทธิ์ของ Joule-Thompson
⎛ ∂T ⎞
η JT = ⎜ ⎟
⎝ ∂P ⎠ H
หากระบบเป็นก๊าซที่มีพฤติกรรมแบบก๊าซในอุดมคติแล้ว
⎛ ∂U ⎞
H = U + PV และ ⎜⎜ ⎟⎟ = 0
⎝ ∂V ⎠ T
⎛ ∂H ⎞ ⎛ ∂U ⎞ ⎛ ∂V ⎞
⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜⎜ ⎟⎟ + P⎜⎜ ⎟⎟ + V
⎝ ∂P ⎠T ⎝ ∂ P ⎠T ⎝ ∂ P ⎠T
0
⎛ ∂ H ⎞ ⎛ ∂U ⎞ ⎛ ∂V ⎞ ⎛ ∂V ⎞
⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜⎜ ⎟⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ + P⎜⎜ ⎟⎟ + V
⎝ ∂ P ⎠T ⎝ ∂V ⎠T ⎝ ∂ P ⎠T ⎝ ∂ P ⎠T
⎛ ∂H ⎞ ⎛ RT ⎞
⎜⎜ ⎟⎟ = P⎜ − 2 ⎟ + V = −V + V = 0
⎝ ∂ P ⎠T ⎝ P ⎠
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 34
⎛ ∂H ⎞
⎜ ⎟
⎛ ∂T ⎞ ⎝ ∂P ⎠ T
ดังนั้นสําหรับก๊าซในอุดมคติ η JT =⎜ ⎟ =− =0
⎝ ∂P ⎠ H ⎛ ∂H ⎞
⎜ ⎟
⎝ ∂T ⎠ P
⎛ ∂H ⎞
ในกรณีของก๊าซจริงนั้น นอกจากทราบ⎜ ⎟ แล้วจําเป็นที่จะต้องทราบการเปลี่ยนแปลงของ
⎝ ∂T ⎠ P
⎛ ∂H ⎞
เอนทาลปีตามการเปลี่ยนแปลงของความดัน, ⎜⎜ ⎟⎟ ซึ่งจะไม่เท่ากับศูนย์เหมือนกับกรณีของก๊าซในอุดม
⎝ ∂P ⎠T
คติ โดยในบทที่ 5 จะแสดงให้เห็นในรายละเอียดว่า H เขียนเป็นฟังก์ชั่นของ T และ P ได้ว่า
⎡ ⎛ ∂V ⎞ ⎤
d H = C P dT + ⎢V ( 1 − T ⎜ ⎟ )⎥ dP
⎣ ⎝ ∂T ⎠ P ⎦
⎡ ⎛ ∂V ⎞ ⎤
เมื่อ H คงที่ dH = 0 ดังนั้น C P dT = − ⎢V − T ⎜ ⎟ ⎥ dP
⎣ ⎝ ∂T ⎠P ⎦
⎛ ∂T ⎞ 1 ⎡ ⎛ ∂V ⎞ ⎤
สําหรับก๊าซจริง η JT = ⎜ ⎟ = ⎢T ⎜ ⎟ −V ⎥
⎝ ∂P ⎠ H C P ⎣ ⎝ ∂T ⎠ P ⎦
⎛ ∂T ⎞ 1 ⎡ ⎛ ∂V ⎞ ⎤
สําหรับก๊าซจริง η JT = ⎜ ⎟ = ⎢T ⎜ ⎟ −V ⎥
⎝ ∂P ⎠ H C P ⎣ ⎝ ∂T ⎠ P ⎦
หาค่า CP จาก
⎛ ∂H ⎞ TΔ S 7.4651 − 7.1229
Cp = ⎜ ⎟ ≈ = 623 × = 2.132 kJ ⋅ kg −1 ⋅ K −1
⎝ ∂T ⎠ P ΔT 673 − 573
1 ⎡ ⎛ 0.3066 − 0.2579 m 3 ⋅ kg −1 ⎞ ⎤
η JT = ⎢ 623 K ⎜ ⎟ − 0.2825 m 3 ⋅ kg −1 ⎥
2132 J ⋅ kg −1 ⋅ K −1 ⎢ ⎜ 673 − 573 K ⎟ ⎥⎦
⎣ ⎝ ⎠P
Tsystem
Psystem Presisting
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 36
3.9.1 การหดและขยายตัวแบบผันกลับได้ภายใต้สภาวะความดันคงที่
(Reversible compression or expansion at constant P)
V2
⎛ RT RT ⎞
ดังนั้น W = − P( V 2 − V 1 ) = P⎜ 1 − 2 ⎟
⎝ P P ⎠
W = R(T1 − T2 )
T2
ΔU = C P ( T2 − T1 ) + R( T1 − T2 )
ΔU = ( C P − R )( T2 − T1 )
ΔU = CV ( T2 − T1 )
3.9.2 การหดและขยายตัวแบบผันกลับได้ภายใต้สภาวะอุณหภูมิคงที่
(Reversible istothermally compression or expansion)
dT = 0 ดังนั้น ΔU = 0
V2
W = − ∫ PdV
V1
V2
RT
ดังนั้น W = −∫ dV = − RT ln V V2
V
V1
V 1
V1
W = RT ln
V2
V1
Q = − RT ln
V2
V2
Q = RT ln
V1
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 37
3.9.3 การหดและขยายตัวแบบผันกลับได้โดยไม่สูญเสียความร้อน
(Reversible Adiabatic Compression and Expansion)
0
dU = δQ + δW
ดังนั้น W = ΔU = nCV dT
W = nCV ( T2 − T1 ) จําเป็นต้องหา T2
จาก
PV = nRT
PdV + VdP = nRdT
− PdV = − nRdT + VdP
VdP = n( CV + R )dT
nRT
dP = n( CV + R )dT
P
dP ( CV + R ) dT C P dT
= =
P R T R T
P2 T2
dP C dT
∫P P = RP ∫
T1
T
1
P2 C P T2
ln = ln
P1 R T1
CP
P2 ⎛ T2 ⎞ R
หรือเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ว่า =⎜ ⎟
P1 ⎜⎝ T1 ⎟⎠
CP
P2 ⎛ T2 ⎞ R
จาก =⎜ ⎟ และ สําหรับ ideal gas CP-CV = R แล้ว
P1 ⎜⎝ T1 ⎟⎠
CP CP R
ให้ =γ ดังนั้น −1 = และสามารถแสดงให้เห็นได้อีกว่า
CV CV CV
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 38
TP − R / CP = cons tan t
TP ( γ −1 ) / γ = cons tan t
PV γ = cons tan t
R
เนื่องจาก = γ −1
CV
CP R
γ −1 γ
⎛ P2 ⎞ ⎛PV ⎞ R CV ⎛PV ⎞
ดังนั้น ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜⎜ 2 2 ⎟⎟ = ⎜⎜ 2 2 ⎟⎟
⎝ P1 ⎠ ⎝ P1V1 ⎠ ⎝ P1V1 ⎠
CP γ
P2 ⎛ P2V2 ⎞ R ⎛ P1 ⎞ ⎛ V2 ⎞
และ =⎜ ⎟ หรือ ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜⎜ ⎟⎟
P1 ⎜⎝ P1V1 ⎟⎠ ⎝ P2 ⎠ ⎝ V1 ⎠
– ให้ H ของ diatomic gas (เช่น N2) ณ 298 K , 1 atm เป็นศูนย์ ดังนั้น H 298 o
ของ
monoatomic nitrogen (N) จะไม่เท่ากับศูนย์
ถ้าเราให้ H ของธาตุบริสุทธิ์หรือของก๊าซในสภาพที่สมดุล ณ สถานะมาตรฐาน เป็นศูนย์ แล้ว
enthalpy ของสารประกอบ ณ standard state ย่อมมีค่าอย่างแน่นอน และจะไม่เป็นศูนย์ ยกตัวอย่าง
เช่น เอนทาลปีของการเกิดเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่สถานะมาตรฐาน ซึ่งกําหนดมาจากปฏิกิริยา
C + O2 → CO2
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 39
C CO2
O2
298 K 298 K
1 atm 1 atm
ภาพที่ 3.9 แสดงภาพจําลองของการของการเกิดปฏิกิริยาเคมี (การเผาไหม้ของ C กับ O2) กลายเป็น
สารประกอบ (CO2) พร้อมทั้งให้ความร้อนออกมา
จากกฎข้อที่หนึ่ง 0
d ( U + KE + PE ) = ∑ ( H i + KE i + PE i )δmi − ∑ ( H o + KE o + PE o )δmo + δQ + δW
mi mo
δQ = ∑(H
mo
o )δ m o − ∑ ( H i )δ m i
mi
δQ = ΔH = nCO H CO − ( nC H C + nO H O ) = −393.5 − ( 0 + 0 ) kJ
2 2 2 2
ΔH 298
o
= −393.5 kJ
ΔH T = ∑n
products
P Δ H f ,T − ∑ n ΔH
reac tan ts
r f ,T
เมื่อ ΔH T = การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีสําหรับการเกิดปฏิกิริยาที่สนใจ
Δ H f ,T = เอนทาลปีของการเกิดเป็นสารประกอบต่างๆ ที่ร่วมอยู่ในปฏิกิริยาเคมี
nr = จํานวนโมลของปฏิกิริยาเคมีที่เป็นสารตั้งต้น
np =จํานวนโมลของปฏิกิริยาเคมีที่เป็นสารผลิตภัณฑ์
ยกตัวอย่างเช่น หาการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีของปฏิกิริยาการเกิดออกซิเดชั่นของมีเทนหนึ่งโมล
CH4 + 2O2 → CO2+ 2H2O(g)
ความร้อนที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยารวม
ΔH T = ∑n
products
P ΔH f ,T − ∑ n ΔH
reac tan ts
r f ,T
ที่สถานะมาตรฐาน
ΔH 298 = Δ H 298 ( CO ) + 2Δ H 298 ( H O( g )) − Δ H 298 ( CH
o o o
2 2 4 )
= −802.25 kJ
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 41
R ΔHT P
T T
∑( nCP dT )reactants ∫ ∑ ( nC dT )
T, H
∫
298 298
P products
R ΔH298 P
เนื่องจาก H เป็นฟังก์ชั่นของสถานะ ดังนั้น จากภาพที่
T T
ΔH T + ∫ ∑ ( nC P dT )reac tan ts = ΔH 298 + ∫ ∑ ( nC P dT )products
298 298
T
⎛ ⎞
ΔH T = ΔH 298 +
298
∫ ⎜⎜⎝ ∑ ( nC P )products − ∑ ( nC P )reac tan ts ⎟⎟ dT
⎠
298 298
R ΔH298 P
CH4+2O2 CO2+2H2O(g)
T
⎛ ⎞
ΔH T = ΔH 298 +
298
∫ ⎜⎜⎝ ∑ ( nC P )products − ∑ ( nC P )reac tan ts ⎟⎟ dT
⎠
สําหรับ สารใดๆ การเปลี่ยนแปลงของเอนทาลปีของสารประกอบที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาตามอุณหภูมิที่
T
b 2 1 1
เปลี่ยนไป ∫ C P dT = H T − H i = a( T − Ti ) + ( T − Ti 2 ) − c( − )
Ti
2 T Ti
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 42
T
b 2 1 1
หากเทียบกับที่ 298 K ดังนั้น ∫C
298
P dT = a( T − 298 ) +
2
( T − 298 2 ) − c( −
T 298
)
∫ (C )
T
ดังนั้น ΔH T = −802.25 + P ,CO2 + 2 × C P ,H 2O( g ) − C P ,CH 4 − 2C P ,O2 dT
298
∫ (C )
T
ΔH T = −802.25 + P ,CO2 + 2 × C P ,H 2O( g ) − C P ,CH 4 − 2C P ,O2 dT
298
- 25.77 x 10 -3
ΔH 323 K = −802.25 + 20.58( 323 − 298 ) + ( 323 2 − 298 2 )
2
1 1
− ( −2.62 × 10 5 ) − )
323 298
= -802.25 +246.43
ΔH 323 K = -555.82 kJ
3.12 การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นโดยไม่สูญเสียความร้อน
(Adiabatic Temperature Change in Chemical Reactions)
ปฏิกิริยาการเผาไหม้คือ CO + 1 O2 → CO2
2
∑( H )ni = ∑ ( H o )no
0
i
0
∑ ( H i )ni = 0.2 H CO ,298 + 0.3H CO 2 ,298 + 0.1H O 2 ,298 + 0.88H N 2 ,298
∑( H o )no = 0.5 H CO2 ,T + 0.88 H N 2 ,T
T T
0.2 H CO ,298 + 0.3H CO2 ,298 = 0.5Δ H CO2 ,298 + 0.5 ∫ C P CO2 dT + 0.88 ∫ C P N 2 dT
298 298
T T
0.2 H CO ,298 − 0.2 H CO2 ,298 = +0.5 ∫ C P CO2 dT + 0.88 ∫ C P N 2 dT
298 298
T T
0.2( H CO ,298 − H CO2 ,298 ) = +0.5 ∫ C P CO2 dT + 0.88 ∫ C P N 2 dT
298 298
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 44
( ) ( )
T T
0.2( −110.5 − ( −393.5 )) = +0.5 ∫ 44.14 + 9.04 × 10 −3 − 8.54 × 10 5 dT + 0.88 ∫ 27.87 + 4.27 × 10 −3 dT
298 298
⎡ 9.04 × 10 −3
1 1 ⎤
56600 = 0.5 × ⎢44.14( T − 298 ) + ( T 2 − 298 2 ) − ( −8.54 × 10 5 )( − )⎥
⎣ 2 T 298 ⎦
⎡ 4.27 × 10 −3 2 ⎤
+ 0.88 × ⎢27.87( T − 298 ) + ( T − 298 2 )⎥
⎣ 2 ⎦
4.27 × 10 5
= 46.60T + 4.14 × 10 −3 T 2 + − 40914.1
T
4.27 × 10 5
46.60T + 4.14 × 10 −3 T 2 + = 40914.1
T
T = 1103 K
เชื้อเพลิงที่ 1 atm 298 K และมีส่วนผสมโดยปริมาตรเป็น 20% CO, 30%CO2 และ 50%N2 เมื่อเกิด
การเผาไหมอย่างสมบูรณ์ จะให้อุณหภูมิสูงสุด เป็น 1103 K
บทที่ 3 กฎข้อที่ 1 ของเทอร์โมไดนามิกส์ 45
แบบฝึกหัด
2. ยิงกระสุนปืนในแนวราบไปที่ผนังที่เป็นวัตถุแข็งเกร็ง กระสุนทําจากตะกั่วซึ่งมีอุณหภูมิหลอมเหลว
เป็น 327 oC และความร้อนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลวเป็น 4.8 kJ/mol ในขณะที่ค่าความจุความ
ร้อนจําเพาะเป็น 29.3 J/mol โดยก่อนจะยิง กระสุนมีอุณหภูมิ 25 oC และเมื่อยิงกระสุนเกิดการหลอม
ทันทีที่ชนผนัง กระสุนจะต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไร