CH 501 - 600

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 1136

บทที่ 501 ขุดดินสามฉื่อ

หลีกเลี่ยงจากสถานที่อันตรายอีกสองสามแห่ง จั่วม่อในที่สุดค้นพบ
จุดหมายที่มันเสาะหา
ชั่ ว พริ บ ตาที่ พ บเห็ น สถานที่ นั้ น มั น รู้ สึ ก เหมื อ นหั ว ใจจะหยุ ด เต้ น !
เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว สืบเท้าเดินเข้าหาอย่างเลื่อนลอยซึมเซา ฝีเท้า
เบากริบแทบกลายเป็นย่อง ราวกับหวั่นเกรงว่าภาพเบื้องหน้าจะหายวับไป
ดวงตาทอแววตื่นตะลึงและเหลือเชื่อ
นั่นเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง
เป็นต้นไม้ที่สูงสง่าและงามวิจิตรที่สุดเท่าที่จ่ว
ั ม่อเคยพบเห็นมา!
ต้นไม้นน
ั้ ไม่สูงมากนัก เพียงสูงพอ ๆ ความสูงของจั่วม่อเท่านัน
้ ทุกกิง่
ใบลาต้นล้วนเป็นสีแดงสดใส เปล่งปลั่งเฉิดฉันยิ่งกว่าปะการังที่งดงามที่สุด
กิ่งก้านสาขาเรียบละมุนประหนึ่งช่างสลักที่มีความสาเร็จสูงสุดบรรจงขัด
เกลาอย่างระมัดระวัง แต่ละกิ่งก้านทั้งหมดจดและพอเหมาะพอดี ไม่มีส่วน
ขาดส่วนเกินหรือรอยตาหนิใด ทุกเส้นสายที่ประกอบเป็นเค้าโครงต้นไม้
เลิศพิส ดารและสมบูรณ์พร้อม บันดาลให้ผู้คนได้แต่ทอดถอนชมเชยกั บ
ความอัศจรรย์พันลึกของธรรมชาติ
แต่แล้วสายตาของจั่วม่อพลันถูกลูกไฟบนต้นไม้ดึงดูดไปทันควัน
สวรรค์ อะไรกันนี่?
จั่วม่ออ้าปากค้าง สูญเสียความสามารถในการกล่าววาจาไปสิ้น แต่
ไหนแต่ไรมามันเคยภาคภู มิล าพองกับ ประสบการณ์อั นมากมายของตน
จนยามนี้เพิง่ ค้นพบว่าจินตนาการของมันช่างน้อยนิดจนน่าเวทนา!
นั่นไม่ใช่ลูกไฟ พวกมันเห็นได้ชัดว่าเป็นดวงอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ!
แต่ละดวงมีขนาดเท่ากามือ กลมสมบูรณ์ ทุกดวงมีชั้นเปลวไฟสีส้มอม
แดงห่อหุ้มเอาไว้ พวกมันล้วนเป็นดวงอาทิตย์เล็ก ๆ ดวงอาทิตย์เล็ก ๆ ที่
แขวนห้อยอยู่บนกิ่งไม้ ทั้งยังมีจานวนมากถึงสิบดวง
จั่วม่อตะลึงลานอยู่ครึ่งค่อนวัน เดินวนรอบต้นไม้สีแดงอย่างสติส ตัง
ไม่อยู่กับตัว
กลิ่น อายอบอุ่นลอยเข้า ปะทะร่า งมั น กลิ่นอายนี้พิเ ศษเฉพาะยิ่ ง ดู
คล้ า ยสามารถแทรกซึ ม เข้ า ไปในร่ า งกายได้ อ ย่ า งง่า ยดาย จั่ ว ม่ อ รู้ สึ ก ว่า
แม้แต่กระดูกของมันยังอุ่นสบายขึ้นมา
พฤกษาเทพสุริยัน!
ต้นไม้นี้ใช่พฤกษาเทพสุริยันหรือไม่?
จั่วม่อพลันฉุกคิดถึงสิ่งที่พี่ใหญ่ชิงหลินย้านักย้าหนาในรอยประทั บ
วิญญาณที่ทิ้งเอาไว้ให้ มองดูต้นไม้แดงเพลิงเบื้องหน้า มันรู้สึกว่านามนี้ต้งั
ได้เหมาะสมเป็นที่สุด
นี่คือพฤกษาเทพสุริยันที่พี่ใหญ่ชิงหลินกล่าวถึงไม่ผิดแน่!
จั่วม่อเชื่อมั่นอย่างปราศจากข้อกังขา
พฤกษาเทพสุริยันเป็นดั่งสัญลักษณ์ข องชนเผ่าเทพสุริยัน ทุกครั้งที่
พวกมันมาถึงดินแดนใหม่ จะปลูกพฤกษาเทพชนิดนี้เอาไว้เป็นลาดับแรก
พฤกษาเทพสุริยันสามารถออกผลที่ เ รีย กว่าผลดวงตะวัน ผลดวงตะวั น
ที่ว่านี้ โดยทั่วไปแล้วมักจะมอบให้แก่นักรบที่มีพรสวรรค์ของชนเผ่า เพื่อ
ใช้หล่อเลี้ยงบารุงพลังเทพของพวกมัน
ผลดวงตะวันใช้เวลาสิบปีจึงสุกงอมได้ที่ และหากพวกมันสุกงอมได้ที่
แล้ว แต่ไม่ถูกปลิดออกจากต้น ใช้เวลาอีกสี่สิบปีพวกมันจะกลายเป็นเมล็ด
พันธุ์ดวงตะวัน จากนั้นจะหลุดร่วงลงจากต้นตามธรรมชาติ
จั่วม่อรีบก้มลงมองตามพื้น จริงดังคาด บนพื้นเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์
แข็ง ๆ สีแดงเข้มทับถมเป็นชั้นหนาทึบ มันเก็บขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง ยกขึ้นเพ่ง
พิ นิ จ ตรงหน้ า เมล็ ด พั น ธุ์ ด วงตะวั น นี้เ ป็ นสีแ ดงเข้ม ทั้ งเมล็ด เต็ ม ไปด้ วย
ลวดลายสีทองที่เล็กละเอียดยิ่ง ถือไว้ในมือให้ความรู้สึกเหมือนหยกแกร่งที่
หนาหนัก ส่งผ่านความอบอุ่นสายหนึ่งเข้ามาในฝ่ามือของมัน
จั่ ว ม่ อ ไม่ เ สี ย เวลามากความ รี บ โกยเมล็ ด พั น ธุ์ ด วงตะวั น เข้ า ไปใน
แหวนของมันอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าท่าทีเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งราวกับเสีย
สติ
เทียบกับผลดวงตะวันแล้ว เมล็ดพันธุ์ดวงตะวันยังเลิศล้ายิ่งกว่า พลัง
เทพสุริยันที่อยู่ภายในเมล็ดหลังจากผ่านการควบรวมมานานกว่าสี่สิบปี ยิ่ง
หนาแน่นและบริสุทธิ์ คุณภาพดีเลิศกว่าผลดวงตะวันเป็นคนละระดั บชั้น
นอกเหนือจากใช้รับประทานโดยตรงเพื่อเพิ่มพูนพลังเทพ เมล็ดพันธุ์ดวง
ตะวันยังเป็นหนึ่งในยอดศาสตราที่นักรบชนเผ่าเทพสุริยันชื่นชอบ
เมื่อใช้พลังเทพสุริยันแปรสภาพมันอีกเล็กน้อย เมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน
จะกลายเป็น ‘หนามอีกา’ ซึ่งเคยสยบใต้หล้ามาแล้วในยุคสมัยหนึ่ง
ในยุ ค นั้ น ไม่ รู้ ว่ า มี วี ร บุ รุ ษ ผู้ ก ล้ า มากมายเท่ า ใด ต้ อ งทอดร่ า งเป็ น
ซากศพภายใต้หนามอีกาที่ไม่มีสิ่งใดน่าดูนี้
พี่ ใ ห ญ่ ชิ ง ห ลิ น ก า ชั บ ก า ช า ถึ ง พ ฤ ก ษ า เ ท พ สุ ริ ยั น นี้ เ ป็ น พิ เ ศ ษ
โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง เมล็ ด พั น ธุ์ ด วงตะวั น อั น เลิศ พิ ส ดาร ตั ว มั น เองแม้ ใ ช้
เวลาหลายหมื่นปีท่องไปทั่ววิหารเทพ แต่ไม่สามารถล่วงผ่านเข้าไปในหอ
นักบวชเทพได้ ทว่ามันยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพฤกษาเทพสุริยัน
คราครั้ ง นั้ น มั น เองก็ พ ลาดพลั้ ง รั บ บาดเจ็ บ ภายใต้ ห นามอี ก าของ
นั ก รบเทพสุ ริ ยั น จึ ง ถู ก คร่ า กุ ม ทั้ ง เป็ น และถู ก น าตั ว มารั บ หน้ า ที่ ท าสผู้
พิทักษ์ ในสถานที่แห่ง นี้ ดังนั้นทราบกระจ่า งกว่ าผู้ ใ ดว่ าหนามอี ก าเปี่ ยม
ด้วยอิทธิฤทธิ์เพียงใด มันในเมื่อสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพฤกษา
เทพสุริยัน ย่อมหมายความว่าพฤกษาเทพสุริยันภายในวิห ารยังคงมี ชี วิต
รอด พฤกษาเทพให้กาเนิดเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันในเวลาห้าสิบปี ทั้งคราหนึ่ง
ยังไม่ได้ออกผลแค่ผลเดียว แต่เป็นนับสิบผล เช่นนั้นหลังจากผ่านล่วงไป
หลายหมื่ นปี สมควรมี เ มล็ ด พั น ธุ์ ด วงตะวั น มากมายเท่ า ใดถื อ ก าเนิ ด
ออกมา?
จั่วม่อรู้สึกสมองลั่นอึงอล มุดศีรษะตะกุยเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันเข้า ไป
ในแหวนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดปล่อยให้หลุดรอดไปแม้แต่เม็ดเดียว
กับวัตถุที่มหัศจรรย์พันลึกถึงเพียงนี้ หากมันปล่อยให้หลุดรอดไปสัก
เม็ดคงถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เอาแล้ว!
หลังจากขุดคุ้ยไถพรวนพื้นดินบริเวณรอบ ๆ จนถี่ถ้วนทุกชุ่น แน่ใจว่า
ไม่ได้พลาดสิ่งใดไป มันในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนอย่างอิ่มเอมใจ จากนั้นมองดูผล
ดวงตะวั น ที่ ห้ อ ยอยู่บ นกิ่ งไม้ ล้ ว งกล่ อ งหยกประณี ต ออกมา เด็ ด ผลดวง
ตะวันใส่ลงไปในกล่องหยกทีละผล ๆ
เก็บผลดวงตะวันแล้วเสร็จ มันมองพฤกษาเทพสุริยันที่ เหลือ แต่ กิ่ ง
ก้านเปล่าเปลือย ในใจหวั่นไหววูบ ตกลงใจขุดล้อมต้นไม้มาทั้งพื้นดิน ใส่
ลงไปในแหวนด้วย
มันจะปล่อยให้พฤกษาเทพที่น่ารักต้องตกอยู่ในมือตัวบัดซบเหล่านั้น
ได้อย่างไร?
แม้ว่าต้องรอจนถึงสิบปีกว่าที่ผลดวงตะวันจะสุกงอม ส่วนเมล็ดพันธุ์
ดวงตะวั น ต้ อ งใช้ เ วลาถึ ง ห้ า สิ บ ปี แต่ พ ฤกษาเทพจะอย่ า งไรก็ เ ป็ น มหา
สมบั ติ ที่ ห ายากด้ ว ยตั ว มั น เองอยู่ แ ล้ ว จั่ ว ม่ อ แม้ ไ ม่ ท ราบว่ า พฤกษาเทพ
สุริยันจัดอยู่ระดับใด แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่สิ่งของชั้นต่า
อย่างน้อยนี่ก็เป็นพฤกษาเทพต้นหนึ่ง!
ขุดย้ายพฤกษาเทพสุริยัน แล้ ว เสร็จ จั่วม่อกวาดมองไปรอบ ๆ หวัง
ค้ น หาบางสิ่ ง ที่ อ าจหลงหู ห ลงตาไป ที่ นี่ คื อ สวนพฤกษาของวิ ห ารเทพ
สมควรต้องมีต้นไม้ปราณอื่น ๆ อยู่ด้วยถึงจะถูก แต่แล้วมันก็ต้องพบกั บ
ความผิดหวังอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากพฤกษาเทพสุริยันแล้ว ในสวนนี้
ไม่ มี พื ช ปราณใด ๆ เหลื อ รอดอยู่ อี ก พอขบคิ ด ดู อ ย่ า งละเอี ย ดมั น ค่ อ ย
เข้ า ใจ วิ ห ารเทพเมื่ อถู ก ตั ด ขาดจากโลกภายนอก คิ ด หล่ อ เลี้ ย งบ ารุ ง
พฤกษาเทพสุ ริ ยัน ต้น เดี ย วยั งเป็ น เรื่ องยาก ไหนเลยจะมี พลั งหลงเหลือ
พอที่จะเก็บรักษาพฤกษาเทพชนิดอื่น ๆ เอาไว้ด้วย
อย่ างไรก็ต าม อาศัยนิสัยใจคอที่กระทั่งจับไก่ยังต้องถอนขนทุกเส้น
ของเสี่ยวม่อเกอ ไหนเลยจะยินยอมพร้อมใจเพียงเท่านี้ได้ มันขบคิดวู บ
หนึ่ง พลันบังเกิดความคิดอันบรรเจิดประการหนึ่ง
หากกล่าวว่าสวนอันกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ได้เพียงปลูกพฤกษา
เทพสุ ริ ยั น ไว้ ต้ น เดี ย ว ก็ นั บ ว่ า สมเหตุ ส มผลเป็ น อย่ า งยิ่ ง แม้ ต้ น ไม้ อ่ ื น ๆ
ย่ อ มไม่ มี เ หลื อ รอดเป็ น ธรรมดา แต่ พ้ ื นดิ น ที่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยเมล็ ด พั น ธุ์ ด วง
ตะวันช่วยกระตุ้นเตือนมัน พืชปราณเหล่านั้นแม้ไม่อาจอยู่รอด หรือพวก
มันไม่รู้จักทิง้ เมล็ดพันธุ์ของตนเอาไว้ด้วย?
นับหมื่นปีล่วงผ่าน! บางสิ่งที่ธรรมดาสามัญเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว ถึง
ตอนนี้อาจเป็นสมบัติล้าค่า! หากเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นสามารถเหลือรอดมา
ได้จริง ๆ พวกมันไหนเลยจะไม่ใช่สมบัติเล่า!
ความคิดนี้ปลุกเร้ามันให้เต็มไปด้วยกาลังวังชา
ไม่ต้องเสียเวลาว่ากล่าวกระไรอีก จั่วม่อเริ่มขุดดินอย่างบ้าคลั่ง
เมื่ อ กาลก่ อ นเกอเคยเป็ น เกษตรกรปราณผู้ห นึ่ง ! กั บ อี แ ค่ ขุ ด ดิ น ทั้ ง
สวน ไหนเลยจะเป็นเรื่องยากสาหรับเกอ?
จั่วม่อประหนึ่งเครื่องไถดินรู ปมนุษย์ ขุดลึกสามฟุต รุ ดหน้าไปอย่าง
เร็วรี่ ไม่ว่าผ่านไปยังที่ใด เศษดินปลิวว่อนเป็นพายุบุแคม!
มันถึงกับขุดพบสินค้าสองสามรายการจริง ๆ
หนึ่งคือผลไม้สีดาที่คล้ายก้อนศิลาผลหนึ่ง ทั้งแข็งกระด้างและหนัก
หน่วงเป็นอย่างยิ่ง มีข นาดเพียงนิ้วหัวแม่มือ แต่กลับหนักหน่วงหลายจิน
หากมิใช่ว่ามีร่องรอยพลังชีวิตอยู่ภายใน จั่วม่อต้องเข้าใจว่ามันเป็นก้อน
หินก้อนหนึ่งเป็นแน่
นอกจากนี้ จ่ั ว ม่ อ ยั ง ขุ ด พบท่ อ นไม้ ก่ึ ง ผุ พั ง ท่ อ นหนึ่ ง มี ข นาดเท่ า ล า
แขน เลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นดิน รอจนมันปัดเศษดินออกไปหมด
สิ้ น กลิ่ น อายพิ เ ศษเฉพาะชนิ ด หนึ่ ง ก็ พ ลุ่ ง เข้ า ไปในนาสิ ก ของมั น อย่ า ง
ชัดเจน
จั่วม่อตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจระงับยับยั้ง!
สมบัติ!
จั่วม่อมั่นใจในทันที ว่าท่อนไม้ที่ดูผุพังนี้จ ะต้องเป็นสมบัติล้า ค่ า ชิ้ น
หนึ่ง!
จั่วม่อขุดคุ้ยตะลุยไถไปทั่วสวน
น่าเสียดายที่มีเวลาไม่มากพอ!
จั่วม่อคิดพลางมองสวนสมบัติอย่างเศร้าเสียดาย หากมีเวลามากพอ
มันจะต้องขุดให้ลึกสิบฉื่อแน่!
แต่ถึงตอนนี้มันก็พึงพอใจมากแล้ว ครั้งนี้เก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยจริง ๆ!
จั่ ว ม่ อ หั น กลั บ ไปตรวจดู ค นเหล่ า นั้ น หยวนอิ ง ที่ ใ ช้ เ พลิ ง ไฟได้ พิ ชิต
อาณาจักรลับโลกหลากล้นโดยราบคาบ กาลังเร่งรุดตรงมาทางมันอย่างไม่
คิ ด ชี วิ ต จั่ ว ม่ อ สะท้ า นขึ้ น ทั้ ง ร่ า ง ระหว่ า งทางแม้ ยั ง มี กั บ ดั ก น้ อ ยใหญ่
หลงเหลืออยู่บ้าง แต่สาหรับผู้ที่สามารถปราบพิชิตอาณาจักรลับโลกหลาก
ล้น อาศัยสิ่งกีดขวางเพียงเท่านี้ ไหนเลยสามารถสกัดขัดขวางพวกมันได้
ถึงเวลาต้องจากไปในบัดดล หากมันยังมัวชักช้าอ้อยอิ่ง เกรงว่าคงไม่
ดีแน่
แต่ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่มันยังไม่ได้ สมควรลองไปดูดีหรือไม่?
จั่วม่อรีรอลังเล คิดไม่ตกอยู่เป็นครู่ใหญ่

ผู้อาวุโสเซินสีหน้าขาวซีดอยู่บ้าง มองดูเนินทรายสลายหายไปเหมือน
ฝุ่นธุลี ค่อยระบายลมหายใจยาวเยือก ในใจลอบตื่นตะลึง
หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี จู่กุยหลงเหลือพลังไม่ถึงหนึ่งในสิบของที่
เคยมี ท่านเจ้าสานักทานายไม่ผิดพลาด อาศัยสุดยอดสมบัติของสานักกับ
พลังบาเพ็ญเพีย รด่ านหยวนอิงของมัน จะสามารถเอาชัยจู่ กุย ได้ แต่ถึง
กระนั้น การตอบโต้ก่อนตายของจู่กุยยังแทบฉุดลากมันร่วมกลบฝังไปด้วย
เช่นนั้นยามที่ยอดยุทธ์โบราณเหล่านี้มีพลังฝีมือเปี่ ยมล้นสมบูร ณ์ถึง
ขั้นสุดยอดจะร้ายกาจสักเพียงใด มันแทบไม่อาจจินตนาการได้!
เนินทรายใต้ฝ่าเท้าในที่สุดก็สูญสลายไปอย่างสมบูรณ์
อาณาจักรลับโลกหลากล้นพ่ายแพ้อย่างแท้จริง!
ทว่ า ในดวงตาผู้ อ าวุ โ สเซิ น หาได้ ป ลาบปลื้ มยิ น ดี ไ ม่ มั น รู้ สึ ก ว่ า
สถานการณ์ รี บ ร้ อ นเร่ ง ด่ ว นถึ ง ที่ สุ ด หากผิ ด พลาดแม้ แ ต่ น้ อ ย มั น จะไม่
หลงเหลือสิ่งใด
ที่ ส าคั ญ ไปกว่ า นั้ น ผู้ อ่ ื นเมื่ ออยู่ ใ นวิ ห ารเทพเนิ่ น นานถึ ง เพี ย งนี้
แน่นอนว่าต้องไม่พลาดสมบัติที่ดีเลิศที่สุดภายในวิหารเทพ!
“รีบไป!” มันไม่รอฟื้ นฟูพลังปราณเสียด้วยซ้า สะบัดแขนเสื้อคว้า ตัว
หลีซู่กับหลู่เจิ้นหายวับไปทันที
บางครัง้ คราพวกมันเผชิญกับดักระหว่างทาง
แต่ผู้อาวุโสเซิน ไม่ คิ ดหยุ ดยั้ งเสีย เวลากั บ อาหารม้ า กระสุน ปื น ใหญ่
เหล่านี้ โดยไม่กล่าววาจาแม้แต่ครึ่งคา เพลิงไฟในฝ่ามือสาดวาบ ไม่ว่ากับ
ดักอุปสรรคใดล้วนกลายเป็นเถ้าธุลี
เมื่อเปรียบเทียบกับการเสียเวลาในอาณาจักรลับโลกหลากล้น ระดับ
การรุดหน้าของพวกมันในตอนนี้ ไม่มีสงิ่ ใดมาหยุดยั้งได้!
หลังจากเหินบินเป็นเวลานาน ทั้งสามก็บรรลุถึงประตูทองแดง แต่พอ
มองเห็นประตูใหญ่เปิดอ้า ผู้อาสุโสเซินสีหน้าเปลี่ยนเป็นขัดตาขึ้นมาทันที
รอจนมันพบเห็นห้องเซ่นสรวงบูชายัญอันว่างเปล่าโล่งโจ้ง สีหน้ายิ่ง
ซีดขาวกว่าเดิม
มันกระแทกเท้าปัง พุ่งลิ่วไปยังสวนพฤกษาด้วยใบหน้าดาทะมึน
แม้ว่าจะได้รับการชี้นาจากการทานายของท่านเจ้าส านัก มันยังต้อง
ใช้เวลาครู่ ใหญ่ก ว่ าจะหาสวนพฤกษาพบ เมื่อโถมทะยานเข้า ไปในสวน
เบิกตามองสวนพฤกษาที่คล้ายเพิ่งถูกไถพรวนทั้งสวน เต็มไปด้วยหลุมบ่อ
นับไม่ถ้วน มันรู้สึกลาคอหวานวูบ แทบกระอักโลหิตออกมา
“อ๊าอ๊าอ๊ากกกก!”
“เราผู้เฒ่าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! อย่าคิดว่าจะหนีรอด!”
เสียงคารามอย่างคั่งแค้นดังสะท้านไปทั่ววิหารเทพ!
จั่วม่อยังคงตกลงใจไปเยือนแดนผลาญเทพดูสักครา สถานที่นั้นไม่
ห่างไกลมากนัก มันสมควรมีเวลาเพียงพอ
แดนผลาญเทพเป็นสถานที่ที่วิหารเทพให้กักขังศัต รู เหล่ายอดยุทธ์
โบราณเข้มแข็งแกร่งกร้าว ต่อให้คร่ากุมพวกมันได้ แต่ยากจะเข่นฆ่าให้สิ้น
ซาก เนื่องเพราะเหตุนี้ โดยทั่วไปแล้วจาเป็นต้องกักขังพวกมันเอาไว้ ในที่
คุมขังพิเศษ แดนผลาญเทพเป็นหนึ่งในที่คุมขังเหล่านั้นเอง
แดนผลาญเทพเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ซึ่งพี่ใหญ่ชิงหลินไม่อาจก้าวล่วง
เข้าไปได้
พื้ นดิ น สี แ ดงเข้ ม ใต้ ฝ่ า เท้ า มั น เต็ ม ไปด้ ว ยความร้ อ นสู ง อย่ า งน่ า
ตระหนก สถานที่นี้มีขนาดเพียงไม่กี่ห มู่ แต่แผ่ซ่านสภาวะกดดันอันหนัก
หน่วงเกินบรรยาย ยามนั้นเมล็ดผลึกสุริยันเหนือศีรษะจั่วม่อพลันเปล่งแสง
สีทองอ่อนจาง ห่มคลุมร่างของจั่วม่อไว้ภายใน
จั่วม่อสารวจอย่างละเอียดรอบคอบ พลังของวิหารเทพถดถอยลงทุก
ขณะ เพลิ ง นิ รั น ดร์ แ ห่ง แดนผลาญเทพมอดดั บ ไปแต่แ รก แต่ ถึ ง กระนั้น
สถานที่นี้ก็ยังไม่ใช่ที่ที่จ่ัวม่อจะต้านทานได้ หากมิใช่ว่ามีเมล็ดผลึกสุริยัน
คอยปกป้องคุ้มครอง จั่วม่อย่อมไม่อาจเข้ามาในสถานที่พิเศษแห่งนี้ได้
แดนผลาญเทพมืดมิดปราศจากแสงตะวัน สายตาของจั่วม่อบีบแคบ
จนมองเห็นแค่เพียงระยะสองสามจั้งเบื้องหน้าเท่านั้น
ที่แห่งนี้แทบจะเตียนโล่ง ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ความร้อนสูงจากใต้ฝ่าเท้า
บันดาลให้จ่ว
ั ม่อรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนกองไฟ
ยิ่งล่วงลึกเข้าไปในแดนผลาญเทพ จั่วม่อยิ่งรู้สึกอึดอัดขัดข้องอย่าง
ยากจะบ่ ง บอกบรรยาย สถานที่ นี้ ใ ห้ ค วามรู้ สึ ก กดดั น และสิ้ น หวั ง อย่ า ง
รุนแรง แต่มันยังคงฝืนยืนกรานมุ่งตรงไปข้างหน้า มันตั้งใจไว้ว่าหากมันลง
มือรวดเร็วพอ ก็คงจะไม่เสียเวลามาก หากไม่ได้เข้าไปค้นหาดูสักรอบมัน
จะต้องนึกเสียใจทีหลังแน่
จั่วม่อเข้าไปจนถึงปลายทางอย่างรวดเร็ว
ฮะ!
พอเห็นสิง่ ที่อยู่ตรงหน้า จั่วม่อม่านตาพลันหดแคบลง
บทที่ 502 สุดปรีดาสู่โศกศัลย์

จั่วม่อรุดหน้าไปอย่างระมัดระวัง
ในสถานที่ ผีส างเช่ นนี้ ยากจะรู้ สึก มั่น คงปลอดภั ย แม้ ว่ า เปลวเพลิง
ของแดนผลาญเทพมอดดับไปนานปี แต่บรรยากาศแห่งความหดหู่ กดดัน
และสิ้ น หวั ง ที่ สั่ ง สมมาเนิ่ น นานจนนั บ ปี ไ ม่ ถ้ ว น ยั ง คงกดทั บ จั่ ว ม่ อ แทบ
หายใจหายคอไม่ออก ประหนึ่งก้อนหินใหญ่กดทับอยู่ในหัวใจ
จั่วม่อเส้นประสาทตึงแน่นเขม็งเกลียว
เมื่ อครู่ มั น คล้ า ยพบเห็ น อะไรบางอย่ า งจากปลายสายตา ภายใต้
สภาพแวดล้อมที่ชวนขวัญกระเจิงเช่นนี้ อดสะดุ้งสุดตัวไม่ได้ จั่วม่อปาด
เหงื่อบนใบหน้า พยายามสงบใจลงอย่างสุดความสามารถ สถานที่ผีสางอัน
ใดกัน! มันนึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าผู้ที่ถูกคุมขังไว้ในแดนผลาญเทพแห่งนี้
ทนมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยไม่ร้องขอความตาย!
เมื่อก้าวเดินไปทางด้านนั้น จั่วม่อในที่สุดก็พบเห็นสิ่งของกองนั้น
นั่นเป็นกองกระดูกกองหนึ่ง จั่วม่อซึ่งหลงหวาดระแวงเสียเปล่าพลัน
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
นี่ ส มควรเป็ น ซากกระดู ก ที่ ห ลงเหลือ ของผู้ค นที่ เคยถูก คุ มขัง อยู่ใน
แดนผลาญเทพ พวกมันถูกเผาผลาญจนตายไปนานแล้ว จั่วม่อสั่นศีรษะ ดู
เหมือนที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งที่ดีหลงเหลืออยู่เลย
มันก้มลง คุ้ยเขี่ยดูตามความเคยชิน
แต่เมื่อมือของมันสัมผัสถูกชิ้นกระดูก พลันรู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง สี
หน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย รีบหยิบกระดูกชิ้นหนึ่งขึ้นส่องดูตรงหน้า เพ่ง
พินิจพิจารณาอย่างละเอียด
กระดูกชิ้นนี้ส มควรเป็นท่อนกระดูกแขน เทียบกับกระดูกทั่วไปแล้ว
ไม่ ไ ด้ มี ข นาดแตกต่ า งกั น แต่ เ มื่ อ ถื อ ไว้ ใ นมื อ กลั บ รู้ สึ ก ถึ ง ความแตกต่ า ง
อย่างชัดเจน กระดูกนี้หนักยิ่ง หนักกว่ากระดูกแขนทั่วไปถึงสี่ห้าเท่าตัว ทั้ง
ยังไม่ได้เป็นสีขาวหม่นเหมือนเช่นกระดูกปกติท่ัวไป แต่เป็นสีเขียวเข้มที่
หาได้ยาก มีลวดลายสีแดงเข้มปรากฏอยู่บนพื้นผิว ให้ความรู้สึกว่ากระดูก
ชิ้นนี้สลักเสลาขึ้นมาจากหยก
จั่วม่อหยิบกระดูกอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นลองเคาะกระดูกทั้งสอง
ชิ้นใส่กันเบา ๆ
ติง!
เสียงดังสดใสกังวานขึ้น
คลื่ นเสี ย งที่ ม องไม่ เ ห็ นขุ ม หนึ่ งพลั นระเบิ ด ออกมาโดยไม่ มี เ ค้ า ลาง
ล่วงหน้า กวาดซัดใส่มั นอย่ า งหัก โหม! จั่วม่อผู้ไม่ทันคาดคิด ไหนเลยจะ
ตอบสนองได้ทันเวลา รู้สึกในสายตากระจ่างจ้าด้วยแสงสีทอง เจิดจรัสจน
สายตาปวดแปลบ เป็นเมล็ดผลึกสุริยัน เหนือ ศี รษะมันถู กกระตุ้ น ลงมือ
ด้วยตัวเองเพื่อปกป้องผู้เป็นนายอย่างทันท่วงที
จั่วม่อตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ แทบขว้างกระดูกทั้งสองชิ้นในมือ
ทิ้ง!
เคราะห์ดีที่ปฏิกิริยาถัดมาของมันรวดเร็วยิง่ หยุดยัง้ เอาไว้ได้ทันเวลา!
รอจนมันสงบใจลงได้ ดวงตาก็ลุกวาวเขียวจ้า ราวกับว่าปรารถนาจะ
กลืนกินกระดูกเหล่านี้ลงไป
สมบัติ!
นี่มันสมบัติวิเศษชัด ๆ!
ในใจมันตะโกนถ้อยคาประดานี้กี่ครั้งกี่หน กระทั่งตัวมันยังไม่ทราบ!
สมแล้ว! สมแล้วจริง ๆ!
แต่มันยังอดตะโกนอย่างลิงโลดไม่ได้ บนใบหน้าเป็นประกายด้วยสิ่งที่
เรี ย กว่ า จิ ง สื อ มั น ลู บ คล าชิ้ น กระดู ก หยกเขีย วในมื อ เต็ ม ไปด้ ว ยอารมณ์
ความรู้สึก!
ยอดคนสมกับเป็นยอดคน กระทั่งซากกระดู กของยอดคนหลั ง จาก
เสียชีวิตไปแล้วยังพิเศษเหนือธรรมดา ช่างเข้มแข็งโดยแท้!
จั่วม่อรวบรวมกระดูกทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ หยิบและวาง
เรี ย งอย่ า งเบามื อ หลั ง จากหยิ บ กระดู ก หยกเขี ย วเข้ ม ไม่ กี่ ชิ้ น ที่ ด้ า นบน
ออกมา สายตาของมันพลันถูกของสิ่งหนึ่งดึงดูดเอาไว้
นั่นมันอะไรกัน?
จั่วม่อในใจโลดขึ้น รีบกวาดฝุ่นดินออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบฉวย
ของสิ่งนั้นขึ้นมา
เป็นหน้ากากสัมฤทธิ์ใบหนึ่ง!
“อัปลักษณ์แท้ ๆ!” จั่วม่อบ่นพึมพา หน้ากากประหลาดเย็นเฉียบอยู่
ในมือ สิ่งที่ชวนขวัญผวาที่สุดคือเบ้าตากลวงเปล่าสองดวงบนใบหน้า ส่วน
ปากแกะสลักเป็นรู ปปากแสยะกว้าง แฝงเร้นกลิ่นอายดุร้ายอามหิต และ
เหยียดหยันสรรพสิ่ง เผยให้เห็นฟันเขี้ยวคมกล้าดุจ สัต ว์ร้ายสองแถว ใน
กรงเขี้ยวกัดขย้าลูกธนูที่หักสะบั้นดอกหนึ่ง ลูกธนูหักคล้ายย้อมด้วยวัตถุ
ประหลาดที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เป็นสีแดงฉานราวกับหยดเลือด
ฝีมือแกะสลักหยาบกระด้างยิ่ง ไม่อาจเรียกได้ว่างดงามสมบูรณ์ แต่
แฝงเร้นกลิ่นอายป่าเถื่อนโบราณอันแปลกพิสดารชนิดหนึ่ง
นี่สมควรเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งกระมัง?
จั่วม่อไม่ค่อยมั่นใจนัก
เทียบกับกระดูกหยกสีหมึกแล้ว หน้ากากสัมฤทธิ์นี้ไม่มีอันใดโดดเด่น
สะดุดตา ดูเหมือนหน้ากากสัมฤทธิ์ท่ัวไป จั่วม่อถึงกับไม่สามารถสัมผัสถึง
คลื่นพลังงานใดจากหน้ากากใบนี้ได้
แต่ในเมื่อสามารถเหลือรอดมาได้หลายหมื่นปี สมควรมีราคาค่างวด
อยู่บ้าง
ในแดนผลาญเทพอันร้อนลวกนี้ ความเย็นซ่านที่หน้ากากแผ่กระจาย
ออกมาทาให้จ่ว
ั ม่อรู้สึกสุขสบายเป็นอย่างยิ่ง ไม่เสียเวลากล่าวคาใดอีก มัน
สวมหน้ากากทันที
คลื่นความเย็นแผ่ซ่ านไปทั่ วร่ า งในบั ด ดล จั่วม่อรู้สึกสุข สบายอย่ า ง
บอกไม่ถูก ร่างกายปลอดโปร่งเบาหวิว แรงกดดันที่ปกคลุมอยู่ในจิต ใจดู
เหมือนลดน้อยลงไปมาก
สิ่งที่ดี!
จั่วม่อรู้สึกชมชอบหน้ากากใบนี้ขึ้นมาทันที
คลื่นความเย็นนี้ไม่หนาแน่นเข้มข้น แต่คล้ายแทรกซึมลึกเข้าไปในไข
กระดูก จิตใจมันกลายเป็นกระจ่ างใสกว่าเดิม อาวุธเวทที่ส ามารถชะล้ าง
จิ ต ใจเป็ น ที่ ต้ อ งการของตลาดเป็ น อย่า งยิ่ ง นี่ ไ ม่ เ พี ย งส่ ง ผลดี ต่ อการฝึก
ฝีมือในแต่ล ะวันเท่านั้น พวกมันยังมีประโยชน์มากในการต่อสู้ สามารถ
ช่วยลดทอนพลังจากเวทวิชาลวงตาของศัตรู ทั้งยังมีส่วนช่วยในการร่าย
เวทวิชาของผู้สวมใส่อีกด้วย
หน้ า กากนี้ ถึ ง กั บ สามารถสะกดข่ ม ผลกระทบจากแดนผลาญเทพ
อาศัยเพียงเรื่องนี้ ก็เพียงพอให้จ่ว
ั ม่อกอดรัดเอาไว้อย่างรักใคร่หวงแหน ไม่
มีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้
แดนผลาญเทพเป็นสถานที่เยี่ยงไรกันเล่า?
ในดินแดนร้ายกาจที่มีไว้เพื่อเข่นฆ่าสังหารสุดยอดฝีมือโบราณเช่นนี้
หากเป็นอาวุธเวททั่วไป บางทีอาจไม่สามารถสาแดงพลังออกมาเสีย ด้วย
ซ้า!
สมบัติชั้นเลิศ นี่เป็นสมบัติชั้นเลิศโดยแท้!
จั่วม่อแย้มยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู จากนั้นเสาะหาไปทั่วแดนผลาญ
เทพอี ก ครั้ ง แต่ ไ ม่ ค้ น พบสิ่ ง ใดเพิ่ ม เติ ม พื้ น ดิ น ของแดนผลาญเทพแข็ ง
กระด้างดุจเหล็กกล้า จั่วม่อได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อแข็งถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่
จะขุดลึกสามฉื่อ กระทั่งทิ้งริ้วรอยไว้บนพื้นผิวยังลาบากยากเย็น
ทว่าจั่วม่อที่กาลังอิ่มอกอิ่มใจ ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย ว่านับตั้งแต่ชั่ว
พริบตาที่มันสวมหน้ากากลงบนใบหน้า พลังของวิหารเทพก็พลันลดต่าลง
อย่างฮวบฮาบ ด้วยระดับความเร็วอันน่าตระหนก!
แม้ ว่ า จั่ ว ม่ อ ไม่ สั ง เกตเห็ น แต่ เ หล่ า ซิ ว เจ่ อ ที่ ก าลั ง ต่ อ สู้ ดิ้ น รนกลั บ
สังเกตเห็นเรื่องนี้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้พิทักษ์ อาณาจักรหรือ กับ ดัก
อุปสรรคใด พลังของพวกมันล้วนถดถอยลงอย่างมาก!
คนเหล่านี้ล้วนเป็นขิงแก่อันเผ็ดร้อน พลันตระหนักทันทีว่าเกิดอะไร
ขึ้น
“พลั ง ของวิ หารเทพอ่อ นลงแล้ว!” หลี ซู่ เ งยหน้า มองท้ องฟ้า กล่ า ว
เสียงแผ่ว
ผู้อาวุโสเซินแค่นเสียงอย่างเย็นชา ในน้าเสียงแฝงเค้าความร้อนรน
อย่างลึกล้า ทั้งยังเปี่ ยมด้วยเจตนาฆ่าฟัน “มันพบของสิ่งนั้นแล้ว!”
ระดับความเร็วของพวกมันพุ่งทะยานขึ้นในบัดดล!

ในเวลาเดี ย วกั น นั ก ฆ่ า หน้ า กากฉวยโอกาสระเบิ ด พลั ง ขั้ น สุ ด ยอด


พิชิตอาณาจักรลับทองคาคร่าคร่าลงในชั่วพริบตา
ถึงยามนี้บุรุษกลางคนพลันโถมเข้ามา สีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย
“รีบด่วน! ลูกหลานของชนเผ่าเทพสุริยันได้รับสมบัตินั้นไปแล้ว!”
โดยไม่เสียเวลากล่าวมากความ นักฆ่าหน้ากากหอบหิ้วบุรุษกลางคน
ร่างหายวับไปทันที ทุ่มเทใช้วิชาท่าร่างประจาตัวอย่างสุดกาลัง

ในสถานที่อ่ ืน ๆ คนอีกหลายกลุ่ม ก็เป็นไปในทางเดียวกัน อย่างไรก็


ตาม พวกมันรักษาระยะห่างจากคนอื่น ๆ ช่วงหนึ่งเพื่อความปลอดภัย ใน
สายตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์ อย่างรุ นแรง ทว่าพวก
มันไม่ได้เสียเวลาต่อสู้หักหาญอย่างไร้ประโยชน์ จนกระทั่งถึงยามนี้ยังไม่มี
ผู้ใดได้รับสมบัติแม้แต่ชน
ิ้ เดียว
ทุกผู้คนมาเพื่อเสาะหาความร่ารวย ก่อนที่สมบัติจะปรากฏขึ้น ย่อม
ไม่มีใครหุนหันพลันแล่นลงมือ
แต่ละคนทุ่มเทเร่งเร้าวิชาท่าร่างประจาตัว เพิ่มความเร็วขึ้นทุกขณะ
ล้วนมุ่งตรงไปในทิศทางของหน้ากาก
ระหว่างทางพวกมันสามารถมองเห็นร่องรอยสิง่ ของที่ถูกเคลื่อนย้าย
ออกไป เห็นได้ชัดว่ามีคนเข้ามาถึงที่นี่ก่อนแล้ว นี่ทาให้พวกมันแต่ละคนมี
สีหน้าถมึงทึง
“บัดซบ! อย่าให้เหยียรู้ว่านี่เป็นฝีมือผู้ใด! เหยียจะตัดมือมันทิ้งให้จ ง
ได้!” หนึ่งในกลุ่มคนแค่นเสียงอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“มิใช่ว่าเป็นฝีมือของหยวนอิงเหล่านั้นหรอกรึ?” บางคนถามขึ้น
“หยวนอิงแล้วจะเป็นไร? เป็นหยวนอิงแล้วจะหมายความว่าพวกมัน
สามารถกอบโกยไปทั้งหมดหรือ? หรือพวกมันไม่ล่วงรู้กฏเกณฑ์? หากพวก
มันรับประทานเนื้อ ต้องหลงเหลือน้าแกงไว้ให้พวกเราบ้าง! นี่ก็คือกฏที่ทุก
คนล่วงรู้กันดี!” อีกคนแผดเสียงอย่างอย่างขัดเคืองใจ
ไม่มีผู้ใดออกปากเห็นด้วย แต่หลายคนมีสีหน้าเห็นพ้อง ผู้ที่สามารถ
บุกเข้ามาในวิหารเทพล้วนเป็นยอดฝีมือนามกระฉ่อนในทาเนียบยอดยุทธ์
แห่งอาณาจักรทะเลเมฆ หลายคนในสิบสุดยอดล้วนมากันพร้อมหน้า ที่
ไม่ได้อยู่ที่นี่มีเพียงผู้ที่เดินทางไปในที่ห่างไกล หรือปิดด่านฝึกตนจนไม่อาจ
มาทันเวลาเท่านั้น มิเช่นนั้นทุกคนล้วนต้องรุดมาให้ได้
ยอดยุทธ์เหล่านี้ปกติมีส ายตาสูงส่งอยู่เหนือศีรษะ ทระนงถือดีเป็ น
ที่สุด พวกมันผู้ใดไม่ได้มาพร้อมกับความคาดหวังอย่างสูงที่มีต่อวิหารเทพ
ทว่าพวกมันทุ่มเทถึงเพียงนี้ แบกรับความเสี่ยงถึงเพียงนี้ แต่กลับต้อง
จบลงด้วยการกลับไปมือเปล่ากระนั้นหรือ?
หลายแห่งที่ดูคล้ายสมควรมีส มบัติ แต่กลับถูกใครบางคนขุดคุ้ยจน
เกลี้ยงเกลา หากกล่าวให้เกินเลยสักหน่อย สมควรบอกว่ากระทั่งพื้นดินยัง
ถูกขุดลึกสามฉื่อแล้ว
เรื่องนี้ทาให้ผู้คนมากมายต้องเบิกตามองอย่างตื่นตะลึง นี่...นี่เป็นคน
ประเภทใดกัน? คนบัดซบอันใดจึงขุดคุ้ยสมบัติถึงขนาดนี้ ? หลักการขุดดิน
สามฉื่อที่ปรากฎหลักฐานอยู่ตรงนี้ บันดาลให้หลายคนตื่นตะลึงจนพู ด ไม่
ออกบอกไม่ถูก
แต่คนมากกว่านั้นสีหน้าเขียวคล้า ดวงตาของพวกมันลุกโชนด้วยไฟ
โทสะ ขุ่นแค้นคลั่งใจจนลาคอหวานวูบ ยังจะมีสิ่งใดน่าคั่งแค้นไปมากกว่า
นี้อีกเล่า?
พวกมันได้แต่เร่งเร้าพลังปราณในร่างอย่างบ้าคลั่ง พุ่งลิ่วไปเบื้องหน้า
โดยไม่หยุดชะงักรั้งรออีก
หากเจ้าโชคดีก็อย่าให้พวกเราเหล่าเหยียจับตัวเจ้าได้!
มิเช่นนั้น... ...
คายทุกอย่างที่เจ้าสวาปามเข้าไปออกมา!
ทุกผู้คนยามนี้มีความคิดคล้ายคลึงกันอย่างน่าอัศจรรย์ คนเหล่านี้เดิม
ทีก็มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นสุดยอดของอาณาจักรแห่งหนึ่งอยู่แล้ว และด้วยไฟ
โทสะที่ เ ดื อ ดพล่า น แรงพิ โ รธที่ ร ะเบิ ด ออกมาย่อ มเป็ นที่ ค าดคานวณได้
ผนวกกั บ ที่ ว่ า พลั ง ของวิ ห ารเทพถดถอยลง แต่ ล ะคนก็ บุ ก ตะลุย ไปตาม
เส้นทางของตนอย่างไม่มีสิ่งใดมาขวางรั้งได้!
หากมีคนมองลงมาจากฟ้ า จะเห็นซิวเจ่อทั้งหมดที่อยู่ ในวิห ารเทพ
กาลังเร่งรุดอย่างบ้าคลั่งไปในทิศทางของจั่วม่อเป็นจุดเดียว
และด้านหน้าสุดเป็นผู้อาวุโสเซินกับพวกทั้งสาม!

จั่ ว ม่ อ ออกจากแดนผลาญเทพอย่ า งอิ่ ม อกอิ่ ม ใจ มั น เดิ ม ที ม าด้ ว ย


ความคิดลองเสี่ยงดวงส ารวจดูเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะได้สิ่งของที่ดีจริง ๆ
ความปิติยินดีในใจมันเป็นที่คาดคานวณได้
อิ่มอกอิ่มใจหาใดเปรียบ!
“เดรัจฉานน้อย! ในที่สุดเราผู้เฒ่าก็พบตัวเจ้า! อย่าได้คิดหลบหนี!”
สุ้มเสียงเย็นเยียบและเกรี้ยวกราดดังขึ้นจากเบื้องหลัง จั่วม่อสีห น้า
แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!
บัดซบ!
นี่เป็นอันตรายถึงชีวิต!
จั่วม่อแม้ตระหนกแต่ปฏิกิริยาเอาตัวรอดกลับรวดเร็วถึงที่สุด พอเห็น
ผิดท่ามันก็เตรียมใช้ปีกแสงศูนยตาหลบลี้หนีหน้า แต่กลับค้นพบอย่างตื่น
ตะลึ ง ว่ า พลั ง ภายในร่ า งมั น เปลี่ย นกลับ เป็ น พลัง เทพไปตั้ง แต่เ มื่ อ ใดไม่
ทราบ!
เหตุ เ ปลี่ ย นแปลงกะทั น หั น นี้ ท า ให้ จ่ั ว ม่ อ ถึ ง กั บ ข วั ญ วิ ญ ญ า ณ
กระเจิดกระเจิง!
เปลี่ยนพลังเทพกลับเป็นพลังทั้งสาม อันที่จริงใช้เวลาเพียงชั่ววิบตา
เท่ า นั้ น แต่ ใ นห้ ว งคั บ ขั น เป็ น ตายเช่ น นี้ นี่ เ ป็ น ชั่ ว วิ บ ตาที่ อ าจต้ อ งจ่ า ย
ค่าตอบแทนด้วยชีวิต!
จริงดังคาด อาศัยชั่ววิบตานี้เอง ผู้อาวุโสเซินกับอีกสองจินตันก็เข้า
รายล้อมมันไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีช่องว่างรอยโหว่ให้ฉกฉวยอีก
ผู้ อ าวุ โ สเซิ น ลิ ง โลดยิ น ดี ยิ่ ง สายตาของมั น จั บ จ้ อ งไปยั ง เมล็ ด ผลึ ก
สุ ริ ยั น บนศี ร ษะจั่ ว ม่ อ ม่ า นตาหดแคบลงอย่ า งฉั บ พลั น ไม่ อ าจปิ ด บั ง
ประกายละโมบในดวงตาได้ กล่ า วอย่ า งเย็ น ชาว่ า “ที่ แ ท้ เ ป็ น เมล็ดผลึก
สุริยัน! ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าจะมีลูกหลานของชนเผ่าเทพสุริยันมาจากที่
ใด เจ้าเมื่อค้นพบสมบัติอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ นับว่ามีโชควาสนาไม่เลวเลยจริง
ๆ!”
หลี ซู่ กั บ หลู่ เ จิ้ น ก็ มี สี ห น้ า ลิ ง โลดยิ น ดี เ ช่ น กั น พวกมั น ระวั ง ป้ อ งกั น
อย่างเต็มที่ คอยระวังไม่ให้ผู้อ่ ืน ค้นพบช่องว่ างหลบหนีไ ปได้ หลีซู่จิต ใจ
ละเอียดอ่อนกว่า สายตาของมันตกลงบนหน้ากากสัมฤทธิ์ที่อีกฝ่ายสวมไว้
บนใบหน้า ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันกลับรู้สึกเค้าแห่งความหวาดกลัวผุด
ขึ้นในใจ
เค้ า แห่ ง ความหวาดกลั ว นี้ ผุ ด ขึ้ น อย่ า งไม่ มี ปี่ มี ข ลุ่ ย ให้ ค วามรู้ สึ ก ที่
อธิบายไม่ได้บางอย่าง มันรีบระงับจิตใจ มีผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ ผู้อ่ ืนย่อมไม่อาจ
หลบหนีไปไหนได้!
ผู้อาวุโสเซินกล่าวเบา ๆ “ยอมจานนและมอบสิ่งของออกมาเสียดี ๆ
ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
จั่วม่อหัวใจดิ่งวูบ ฝืนยิ้มอย่างขมขื่น!
จริงดังคาด นกตายเพราะอาหาร คนตายเพราะสมบัติ!
แรงกดดั น ของชนชั้ น หยวนอิ ง ประหนึ่ ง ขุ น เขากดทั บ จั่ ว ม่ อ แทบ
หายใจหายคอไม่ อ อก แรงกดดั น ดุ จ ขุ น เขาโถมทั บ ใส่ มั น โดยตรง! สิ่ ง ที่
เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือเมล็ดผลึกสุริยันถดถอยกลับ ไม่มีทีท่าว่าจะช่ ว ย
ต้านท้านแรงกดดันที่ถาโถมเข้าหามันแม้แต่น้อย!
ฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายไม่ยอมส าแดงพลัง จั่วม่อหัวใจตกลงไปก้น
บึ้ง
ในเวลานี้เอง ผู้อาวุโสเซินพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน สุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้น
“สมบัติย่อมต้องคายออกมา แต่ข้า เห็นว่าชีวิตของมันไม่จาเป็นต้อง
ละเว้ น ” บุ รุ ษ วั ย กลางคนในชุ ด นัก พรตปรากฏขึ้นในสายตาจั่ว ม่ อ อย่าง
แช่มช้า มันคล้ายปรากฏตัวออกมาจากอากาศธาตุอย่างปัจจุบันทันใด
“วาจาของพี่เก๋อตรงใจข้านัก!”
เฒ่าชราถือท่อนไม้ไผ่กล่าวพลางเดินออกมาจากมุมมืด
จั่วม่อหน้าเขียวคล้า
หยวนอิง! หยวนอิงอีกสองคน!
บทที่ 503 เบื้องหลังที่แท้จริงของพรรคซวีหลิง

ผู้อาวุโสเซินสีหน้าดาทะมึน
มันย่อมรู้จักสองคนที่อยู่ตรงหน้า ผู้ที่แต่งกายด้วยชุดไท่จี๋เรียกว่าเก๋อ
ไห่ ส่วนคนที่ถือไม้ไผ่ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามแท้จริง ดังนั้นผู้อาวุโสเซิน
เรียกหามันว่าจู๋จ้างเหล่าเหริน (ตาเฒ่าไม้ไผ่) ทั้งคู่ล้วนมีพลังฝึกปรื อ ด่าน
หยวนอิง พลังฝีมือของพวกมันแต่ล ะคนย่อมไม่อาจเทียบได้กับผู้อาวุโส
เซิน แต่หากพวกมันทั้งสองร่วมมือกัน ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไรก็ยากบอก
ได้แล้ว
หนึ่ ง ยื น อยู่ ท างขวา อี ก หนึ่ ง สกั ด อยู่ ท างซ้ า ย ต าแหน่ ง ของพวกมั น
ประกอบเป็นรูปสามเหลี่ยม จิตเจตนาลงมือร่วมกันของคนทั้งสองย่อมเห็น
ได้ชัดเจน
“พวกเจ้ า ทั้ ง สองหมายความว่ า อย่ า งไร? หรื อ คิ ด เป็ น ศั ต รู กับ เทียน
หวน9ของข้า!” ผู้อาวุโสเซินกล่าวแผ่วเบาแต่หนักแน่น ในสุ้มเสียงแฝงเค้า
ทระนงภาคภูมิที่ไม่อาจปกปิดซ่อนเร้น
“เทียนหวน!?”
สองหยวนอิงสีหน้าแปรเปลี่ ยนเล็ กน้ อย จู๋จ้างเหล่าเหรินแค่น เสี ย ง
อย่ า งเย็ น ชา “เฮอะ เที ย นหวน? พรรคซวี ห ลิ ง กลับ กลายเป็น เที ยนหวน

9
เทียนหวน – สานักวงแหวนฟ้า
ตั้งแต่เมื่อใด? พี่ท่านใช่เห็นว่าพวกเราเป็นตัวโง่งมที่สามารถหลอกลวงได้
ง่ายดายหรือไม่?”
วาจาของมันแม้แข็งกร้าว แต่สุ้มเสียงกลับอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
จั่วม่อพอฟังยังตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง มันย่อมต้องทราบกระจ่างว่า
เทียนหวนหมายถึงสิ่งใด เหตุที่ภพเซียนถูกขนานนามว่าสวรรค์สี่ดินแดน ก็
เนื่องเพราะคุนหลุน วัดเสวียนคง10 เทียนหวนและซีเซวียน 11 แบ่งแยกกัน
ปกครองสี่ดินแดนอันกว้างไพศาล นามเหล่านี้ยังหมายถึงสี่สานักที่ยิ่งใหญ่
เกรียงไกรที่สุดในแต่ละดินแดนอีกด้วย
เซียนกระบี่แห่งคุนหลุน เซียนวรยุทธ์แห่งวัดเสวียนคง เซียนยันต์แห่ง
เทียนหวน และเซียนสัญจรแห่งสานักซีเซวียน
ดั ง นั้ น เมื่ อ สองหยวนอิ ง ได้ ยิ น ผู้ อ าวุ โ สเซิ น เรี ย กตั ว เองเป็ น คนของ
เทียนหวน พลังสภาวะพลันอ่อนโทรมลงหลายส่วน ในใจบังเกิดความคิด
ล่าถอย สี่สานักใหญ่คือสี่สานักที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในภพซิวเจ่อ พวก
มันคือมหายักษ์ร้ายที่ไม่อาจแตะต้องได้ พวกมันทั้งสองอาจเป็นหยวนอิง
จัดอยู่ล าดับหนึ่งล าดับสองในทาเนี ยบยอดยุทธแห่งอาณาจักรทะเลเมฆ
แต่เบื้องหน้าเทียนหวนอันกล้าแกร่งเกรียงไกร พวกมันเป็นได้แค่มดปลวก
อย่ า งไรก็ ต าม ทั้ ง สองแม้ บั ง เกิ ด ความคิ ด เอาตัว รอด แต่ ยั ง ไม่ ไ ด้ล่า
ถอยออกไปจริง ๆ พวกมันยังต้องพิสูจน์ยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนของเทียน
หวนจริง ๆ พวกมันย่อมไม่หลงเชื่อถ้อยคาผู้คนโดยง่ายดาย

10
วัดเสวียนคง - วัดแขวนนภา
11
ซีเซวียน - ประจิมลี้ลับ
หลี ซู่ แ ค่ น เสี ย งอย่ า งเย็ น ชา ผายฝ่ า มื อ ออก เห็ น วงแหวนแสงที่
ประกอบขึ้นจากลวดลายยันต์อันเป็นเอกลักษณ์ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือของ
มัน
“พวกเจ้าสมควรรู้จักสิ่งนี้กระมัง”
แม้ ว่ า อี ก ฝ่ า ยจะเป็ น ซิ ว เจ่ อ ด่ า นหยวนอิ ง หลี ซู่ ก็ ไ ม่ เ กรงอกเกรงใจ
แม้แต่น้อย ในใจมั นกาลังพิโรธเดือดดาลเป็นที่สุด หลายสิ่งหลายอย่างที่
เหนือคาดหมายทยอยเกิดขึ้นตลอดภารกิจ ครั้งนี้ ทาให้มันแทบเดือดดาล
ทะยานฟ้าแล้ว ท่านเจ้าสานักอุตส่าห์กาชับกาชาไม่ให้มันเปิดเผยตัวตนใน
ภารกิจครั้งนี้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายพวกมันจะถูกบีบคั้นจนต้องเปิดเผยตัวตน
ออกมาจริงๆ
เมื่ อวงแหวนแห่ ง แสงเผยตั ว ออกมา สองหยวนอิ ง พลั น สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
วงแหวนแสงค่อย ๆ หมุนช้า ๆ บนฝ่ามือของหลีซู่ ลวดลายยันต์คล้าย
เชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ เกาะเกี่ยวประสานกลายเป็นวงแหวนแสงวงหนึ่ง
นี่ย่อมเป็นวงแหวนฟ้า (เทียนหวน) ที่สะท้านทั่วสวรรค์สี่ดินแดนแล้ว!
ว่ากันว่าศิษย์ฝ่ายในของเทียนหวนแต่ล ะคนจะมี วงแหวนฟ้ า ที่ เ ป็ น
ของพวกมั น โดยเฉพาะ เป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ ยื น ยั น ตั ว ตนของพวกมั น ทั้ ง ยั ง
สาแดงระดับความเข้าใจในวิชาค่ายกลยันต์ของพวกมันด้วย วงแหวนฟ้า
เป็นยอดวิชาเฉพาะของเทียนหวน บุคคลภายนอกไม่อาจหลอมสร้างลอก
เลียนได้
ขณะที่ห ลีซู่เข้าใจว่าคนทั้งสองจะยอมล่าถอยเปิดทางสะดวกให้แต่
โดยดี เก๋อไห่กลับโพล่งขึ้นอย่างกะทันหัน “คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเห็นคนจาก
เทียนหวนจริง ๆ เราผู้เฒ่านับว่ามีโชควาสนานัก แต่อาณาจักรทะเลเมฆ
แห่งนี้กันดารห่างไกล สมควรไม่ตกอยู่ภายใต้อานาจอิทธิพลของเทียนหวน
กระมัง”
จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น พอฟั ง ความคิ ด ล่ า ถอยพลั น ลดน้ อ ยลงหลายส่วน
เทียนหวนแล้วจะเป็นไร? ไม่ว่าเทียนหวนจะกล้าแกร่งเกรียงไกรสักเพียงใด
ก็ มิ ใ ช่ ว่ า จะสามารถใช้ มื อ เดี ย วบั ง ฟ้ า ได้ หากพวกมั น ฉกฉวยสมบั ติ ลั บ
จากนั้นเสาะหาสถานที่อันเร้นลับปิดด่านฝึกตนโดยไม่เผยตัวออกมา ต่อให้
เป็นเทียนหวน ไหนเลยจะหาพวกมันพบ?
ผู้อาวุโสเซินสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจมัน
คือ หรือว่าคนเหล่านี้ก็ล่วงรู้เรื่องสมบัตินน
ั้ ด้วย?
หลีซู่ก็รู้สึกว่ าสถานการณ์เลวร้ายลง มันยังคาดไม่ถึงอีกด้วย ว่านาม
แห่งเทียนหวนกลั บไม่อ าจขู่ข วั ญ คนเหล่านี้ ไ ด้ นี่เป็นครั้งแรกที่ เกิ ด เรื่ อ ง
เช่นนี้ขึ้นกับมัน แม้แต่ในยามที่คบหาสมาคมกับหนิงอี้และพวก ขอเพียง
มั น แย้ ม พรายตั ว ตนของมั น สั ก เล็ ก น้ อ ย ยั ง มี ผู้ ใ ดไม่ พิ น อบพิ เ ทาต่ อ มั น
อย่างอบอุ่น ต่อให้เป็นบุคคลทระนงถือดีเช่นหนิงอี้ก็ตาม!
มันยังไม่ทันจะคิดหาหนทางแก้ไข คนอื่น ๆ ก็ติดตามมาถึง
ผู้มาถึงคนแรกคือเขาเป่ย ยอดยุทธ์เลื่องชื่อแห่งอาณาจักรทะเลเมฆ
เขาเป่ยพอเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าพลันเข้าใจกระจ่าง มันประสานมือ
ค้อมกายไปยังเก๋อไห่กับจู๋จ้างเหล่าเหรินอย่างอ่อนน้อม “คารวะผู้อาวุ โส
เก๋อ คารวะผู้อาวุโสจู๋!”
“เสี่ยวเขาเป่ยเจ้ามาแล้ว!” เก๋อไห่กล่าวอย่างยิม
้ แย้ม
จู๋จ้างเหล่าเหรินประสานมือทักทายตอบต่อเขาเป่ย
อาณาจักรทะเลเมฆไม่ถือเป็นอาณาจักรใหญ่โตกระไรนัก ผู้ที่สามารถ
เรียกว่าสุดยอดฝีมือมีเพียงไม่กี่คน เก๋อไห่กับจู๋จ้างเหล่าเหรินยังเป็นชนชั้น
หยวนอิงที่มีอยู่น้อยนิดในอาณาจักรทะเลเมฆ ชื่อเสียงและศักดิ์ฐานะของ
พวกมันย่อมสูงล้าเทียมฟ้า
โดยไม่ต้องเสียเวลากล่าวมากความ เขาเป่ยยืนอยู่ข้างคนทั้งสองทันที
อย่างรวดเร็วยิ่ง ซิวเจ่อที่หลงเหลือล้วนทยอยติดตามมาถึง
ผู้คนที่สามารถบุกเข้ามาในวิห ารเทพล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า
ของอาณาจั ก รทะเลเมฆ ในหมู่ พ วกมั น ไม่ มี ตั ว โง่ ง ม เพี ย งกวาดตามอง
ปราดเดียว ล้วนเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดแจ้ง
ทุ ก ผู้ ค นเริ่ ม คารวะทั กทายกัน ไปมา สนทนาวิ ส าสะอย่ า งสนิทสนม
กลมเกลียว
ผู้อาวุโสเซินกับหลีซู่ยิ่งมายิ่งใบหน้าดาทะมึน ผู้คนทยอยเข้าร่วมกับ
ฝ่ายของเก๋อไห่และจู๋จ้างเหล่าเหรินอย่างไม่ข าดสาย สถานการณ์ยิ่งนาน
ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกมัน ผู้อาวุโสเซินถึงกับเริ่มสานึกเสียใจที่ไม่ได้พาผู้คน
มามากกว่านี้ หากมีอีกหนึ่งหยวนอิงร่วมทางมากับมันด้วย มันจะเปิดฉาก
เข่นฆ่าโดยไม่แยแสสนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หยวนอิงจากสานักเล็กส านักน้อยเหล่านี้ หากเป็นการเผชิญหน้ าตัว
ต่อตัว ไหนเลยจะสร้างปัญหาให้แก่มันได้
ยิ่งนานจ านวนของอีกฝ่ายยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขวัญกาลังใจของ
พวกมันก็เพิ่มพูนขึ้นพร้อมกัน
สถานการณ์ค่อย ๆ เปลี่ยนพลิกทีละน้อย

เวลานี้พวกมันทั้ งหมดแบ่ งออกเป็ นสามฝ่า ย ฝ่ายผู้อาวุโสเซิ น ฝ่ า ย


หนึ่ง ฝ่ายเก๋อไห่กับจู๋จ้างเหล่าเหรินฝ่ายหนึ่ง และบรรดาซิวเจ่อไม่ทราบ
ที่มาซึ่งกระจายตัวอยู่รอบ ๆ อีกฝ่ายหนึ่ง
นับฝ่ายของเก๋อไห่กับจู๋จ้างเหล่าเหรินเข้มแข็งที่สุด พวกมันรวบรวม
ซิวเจ่อท้องถิ่นของอาณาจักรทะเลเมฆทั้งหมด ส่วนใหญ่รู้จักมักคุ้นกันดี มี
เก๋ อ ไห่ กั บ จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น สองหยวนอิ ง ออกหน้ า พวกมั น สมั ค รสมาน
สามัคคีกันเป็นอย่างดี
สามฝ่ายเผชิญหน้า จั่วม่อถูกล้อมกักอยู่ตรงกลาง ต่อให้มีปีกบินยังไม่
อาจหลบหนีรอดพ้น
แต่ ช มดู ส ถานการณ์ ที่ เ ปลี่ ย นพลิ ก อยู่ ต รงหน้ า จั่ ว ม่ อ กลั บ รู้ สึ ก ว่ า
สนุกสนานน่าสนใจไม่น้อย ความตึงเครียดกังวลลดน้อยลงกว่าครึ่ง
ผู้อาวุโสเซินพลันกล่าวปนหัวร่อ แต่เป็นเสียงหัวร่อที่แฝงแววเย็นชา
อย่างเปี่ ยมล้น “อาณาจักรทะเลเมฆเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมโดยแท้ ทุก
ผู้ ค นช่ า งขวั ญ กล้ า เที ย มฟ้ า แต่ เ ราผู้ เ ฒ่ า ขอกล่ า ววาจาไม่ น่ า ฟั ง สั ก ครา
วันนี้ใครกล้าเป็นศัตรูกับเทียนหวนเรา จะต้องชดใช้อย่างสาสม!”
“เทียนหวน... ...”
ฝูงชนสับสนอลหม่านขึ้นมาทันที หลายคนสีห น้าทอแววหวาดหวั่น
พรั่นพรึง บรรดาผู้ที่มีพวกพ้องหรือสานักเริ่มลังเลใจ พวกมันอาจหลบหนี
และซ่อนตัวได้ แต่สานักของพวกมันย่อ มไม่ส ามารถทาเช่นนั้น หากพวก
มันกลายเป็นศัตรู ของเทียนหวน จะชักนาเภทภัยอันใหญ่หลวงไปสู่ส านัก
หรือตระกูลของพวกมันทันที
“มีหลักฐานยืนยันหรือไม่?”
เสียงหนึ่งโพล่งถามขึ้นกลางกลุ่มคน
หลีซู่ใบหน้าเย็นยะเยียบ แต่ยังคงสาแดงวงแหวนฟ้าของมันอีกครั้ง
เห็ น ดั ง นั้ น ซิ ว เจ่ อ ผู้ ห นึ่ ง เดิ น ออกจากกลุ่ ม คน หั น ไปประสานมื อ
คารวะรอบด้าน “ผู้น้องมีตระกูลอยู่ด้านหลัง ครั้งนี้คงมิอาจน้อมสนองแล้ว
ขออาลา!”
กล่าวจบคา มันก็จากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
เมื่อมีคนผู้นั้นเป็นเยี่ยงอย่าง คนอื่น ๆ เริ่มทยอยจากไป คนเหล่านี้
ล้ ว นสั ง กั ด ส านั ก หรื อ ตระกู ล พวกมั น เพี ย งแค่ ไ ล่ ล่ า ค้ น หาสมบั ติ ไม่ ไ ด้
ต้องการชักนาเภทภัยไปถึงตระกูลหรือสานักของตน
ฝ่ายเก๋อไห่ซึ่งเดิมทีเข้มแข็งที่สุด จานวนคนลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว
หลงเหลื อ เพี ย งไม่ ถึ ง หนึ่ ง ในสามเท่ า นั้ น นามอั น ยิ่ ง ใหญ่ ข องเที ย นหวน
เพียงพอจะขู่ขวัญผู้คนส่วนมาก อย่างไรก็ตาม คนที่เหลือล้วนเป็นคนเดน
ตายที่มีชีวิตหลั่งเลือดเลียคมดาบ พวกมันไม่เพียงไม่หวาดกลัว แต่ยังเผย
ให้เห็นความตื่นเต้นฮึกเหิมและความกระหายการต่อสู้
จั่ ว ม่ อ เฝ้ า มองฉากที่ เ กิ ด ขึ้ น อย่ า งสนอกสนใจ การต่ อ สู้ อั น ยิ่ ง ใหญ่
เช่นนี้ โดยทั่วไปมิใช่ว่าจะหาดูชมได้ง่าย ๆ
ฮะ!
หัวใจมันพลันสะท้านขึ้นจังหวะหนึ่ง ร่างเขม็งเกร็งตามสัญชาตญาณ
ปรากฏระลอกพลังงานที่ แ ทบไม่ อาจแยกแยะได้ กระเพื่ อ มไหวมา
จากส่วนลึกของวิหารเทพ ประหนึ่งเสียงหัวใจเต้นแผ่วเบา
มันมาจากทิศทางของแท่นเซ่นสรวงบูชายัญ
จั่วม่อลอบตื่นตัว พยายามระงับความปิติยินดี รวมรั้งสมาธิจิตใจ มัน
ประหนึ่ ง นายพรานที่ แ ฝงตั ว อยู่ ใ ต้ หิ ม ะ เฝ้ า รอคอยเหยื่ ออย่ า งอดทน
หลังจากผ่านไปอีกสิบอึดใจ คลื่นพลังงานอีกระลอกหนึ่งก็ส าดซัดผ่ านใน
ใจมัน
เป็นแท่นเซ่นสรวงบูชายัญจริง ๆ!
จั่วม่อหัวใจเต้นระทึกอย่างไม่อาจควบคุมบังคับ!
เคราะห์ดีที่มันสวมใส่หน้ากากสัมฤทธิ์ใว้บนใบหน้า ดังนั้นไม่มีผู้ใดพบ
เห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนกลับกลายของมัน จั่วม่อฝืนสงบใจลง เงยหน้าขึ้น
อย่างระมัดระวัง ลอบกวาดมองผู้คนรอบกายอย่างรวดเร็ววูบหนึ่ง ก่อนจะ
รีบรั้งสายตากลับมา
ไม่มีใครสังเกตพบระลอกคลื่นนี้!
จั่วม่อหวนนึกถึงว่ามันเป็นนายของวิหารเทพ เพราะเหตุนี้จึงมีแค่มัน
ที่ค้นพบระลอกพลังงานนี้หรือไม่?
เช่นนั้นระลอกพลังนี้มีความหมายใด? ใช่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
บนแท่นเซ่นสรวงบูชายัญหรือไม่?
จั่ ว ม่ อ ผู้ เ ฉี ย บไวต่ อ การฉกฉวยโอกาสเป็ น อย่ า งยิ่ ง พลั น ตระหนั ก
ในทันที นี่อาจจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของมัน!
ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงใด สาหรับผู้ที่อยู่ในสภาพดุจตายไปแล้วครึ่งตัว
เยี่ยงมัน ล้วนเป็นประโยชน์ท้งั สิ้น!
ความหวั ง สายหนึ่ ง ปรากฏขึ้ น ในสถานการณ์ อั น สิ้ น หวั ง ถึ ง ที่ สุ ด
บันดาลให้จ่ัวม่ อ รู้สึก ว่ าหั ว ใจแทบจุกขึ้ นมาถึ งคอหอย ในเวลานี้มั น ค่ อ ย
ส าแดงพลั ง ใจอั น แข็ ง กล้ า ออกมา ฝื น สงบใจลงอย่ า งรวดเร็ ว พยายาม
สัมผัสติดต่อระลอกคลื่นที่หายไป!
สงบใจไว้! มันต้องเยือกเย็นเข้าไว้!
สิบอึดใจให้หลัง มันรู้สึกถึงระลอกคลื่นอีกครัง้ !
ทันใดนั้นพลังเทพในร่างกายมัน พลันไหลเวียนอย่างแช่มช้า
นี่มัน... ...
จั่วม่อใจกระตุกวูบ มันไม่ได้หยุดยั้งสิ่งที่เกิดขึ้น คล้อยตามระลอกคลื่น
ที่มาจากแท่นเซ่นสรวงบูชายัญ พลังเทพของมันเริ่มโคจรช้า ๆ
พลังเทพโคจรเชื่องช้ายิ่ง จั่วม่อไม่ส นใจสิ่งอื่นใดอีก เฝ้าทุ่มเทสมาธิ
จิตใจจดจาเส้นทางโคจรของพลังเทพในยามนี้
ยามกะทันหัน มันนิ่งงันดุจหุ่นเชิด
แต่ เ วลานี้ ไ ม่ มี ผู้ ใ ดสนใจสั ง เกตความเปลี่ ย นแปลงของมั น สภาพ
เผชิญหน้าถูกลูกศรดอกหนึ่งทาลายลงอย่างฉับพลัน ลูกศรดอกนั้นจู่โจม
ออกมาอย่ า งกะทั น หั น คนผู้ ห นึ่ ง จู่ ๆ ซั ด ลู ก ศรออกมา ไม่ ต่ า งจากโยน
ประกายไฟลงไปในถังดินปืน ทั้งสามฝ่ายที่เขม็งตึงเครียดถึงที่สุด แทบจะ
เปิดฉากฆ่าฟันกันอย่างพร้อมเพรียง
เพียงชั่วเสี้ยวกะพริบตา สถานการณ์ก็กลับกลายเป็นปั่ นป่วนวุ่นวาย
ถึงที่สุด
สามหยวนอิงยังมีข้อห่วงกังวลว่าจะทาให้ซากโบราณสถานถล่มลงมา
ดังนั้นแต่ละคนยังออมรั้งพลังฝีมือเอาไว้ แต่หลีซู่ เขาเป่ยและเหล่าจินตัน
ทั้งหลายไม่ได้มีข้อห่วงพะวงเช่นนี้ จึงพากันลงมืออย่างสุดกาลัง
หลีซู่สะกดกลั้นโทสะของมันมานานแล้ว พอลงมือก็ไม่ออมรั้งอีก ใช้
ท่าสังหารอันรุนแรงสุดหยั่งออกมาทันที
วงแหวนฟ้าบนฝ่ามือหมุนคว้าง ลวดลายยันต์พลันสว่างวาบขึ้นใต้ฝ่า
เท้าของทุกผู้คน ในชั่วพริบตาที่หลีซู่สาแดงวงแหวนฟ้าแก่ผู้คน มันก็ลอบ
ก่อตั้งค่ายกลชุดนี้ไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
กระบวนท่าของมันคือกระบวนท่าเลื่องชื่ออันแสนจะหมดจดงดงาม
แห่งเทียนหวน นามว่า ‘วงแหวนฟ้าเร้นเงา’ กระทั่งเก๋อไห่และจู๋จ้างเหล่า
เหรินสองหยวนอิงยังไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย เป็นที่เห็นได้ว่ากระบวน
ท่านี้เลิศพิสดารถึงเพียงไหน
ทันใดนั้นลวดลายยันต์เปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา ซิวเจ่อของอาณาจักร
ทะเลเมฆสองคนเพียงแผดร้องได้คาเดียว ก่อนที่มันทั้งสองจะถูกล าแสง
ของค่ายกลยันต์แยกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เก๋อไห่เดือดดาลยิง่ “เด็กน้อยไฉนจิตใจโหดเหี้ยมอามหิตถึงเพียงนี้!”
มันตวัดมือวูบ สัญลักษณ์หยินหยางขาวดาซัดเข้าหาหลีซู่อย่างดุดัน
เซินอู๋ไฮ่กล่าวอย่างเย็นชา “หิ่งห้อยตัวน้อย ยังกล้าอวดแสงขันแข่ง
กับจันทรา!”
เห็นเสาเพลิงต้นหนึ่งปะทุขึ้นสกัดขัดขวางสั ญลักษณ์ห ยินหยาง ใน
ล าแสงเพลิ ง ไฟต้ น นั้ น อาจสามารถมองเห็ น ทะเลแห่ ง ลวดลายยั น ต์
ไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง กองไฟขุมนี้เติบโตขึ้นอย่างฉับพลันราวกับมี ชี วิต
อ้าปากกว้าง กลืนกินสัญลักษณ์หยินหยางลงไปในคาเดียว
เห็นดังนั้น จู๋จ้างเหล่าเหรินท่อนไม้ไผ่ในมือพลันกลับกลายจากสี เขียว
เป็นสีดาดุจ น้าหมึก ไม่ส ะท้อนแสงแม้ แต่น้อ ย ทว่าใบไผ่ที่ ปลายท่ อ นไผ่
กลับเป็นสีเทาแห่งความตาย น่าขนพองสยองเกล้ายิ่ง
เซินอู่ไฮ่สีหน้าแปรเปลี่ยน อุทานอย่างแตกตื่น “ไผ่ทะเลศพ! นี่เจ้า
กล้าหลอมสร้างไผ่ทะเลศพเชียวรึ!”
ได้ ยิ น ค า ‘ไผ่ ท ะเลศพ’ สามค า ซิ ว เจ่ อ ที่ อ ยู่ ร อบบริ เ วณล้ ว นสี ห น้ า
แปรเปลี่ยนเป็นขาวเผือด
จู๋จ้างเหล่าเหรินแย้มยิ้มเล็กน้อย ไผ่ทะเลศพโบกสะบัด ก้อนพลังงาน
สีดาขุมหนึ่งเหินทะยานเข้าหาเซินอู๋ไฮ่อย่างลี้ลับ
กลุ่มพลังงานสีดาหมุนคว้างอย่างเร่งร้อน บางครั้งอาจเห็นใบหน้าบิด
เบี้ยวและพร่าเลือนอยู่ภายในกลุ่มพลังสี ดานี้ ชวนให้ผู้ที่พบเห็นหนาววูบ
ไปถึงไขสันหลัง
เซินอู๋ไฮ่ไม่กล้าประมาท ตวัดมือซัดลูกไฟสายหนึ่งเข้าปะทะ
ลู ก ไฟกั บ กลุ่ ม พลั ง งานสี ด ากระแทกใส่ กั น อย่ า งรุ น แรง จากนั้ น ถู ก
ทาลายไปพร้อมกัน
เซินอู๋ไฮ่สีหน้ากลับกลายเป็นหนักอึ้ง มันคาดฝันไม่ถึงว่าผู้อ่ น
ื จะมีของ
วิเศษเช่นไผ่ทะเลศพ ทาให้การโจมตีของมันเพลี่ยงพล้าเล็กน้อย
จู๋จ้างเหล่าเหรินก็ไม่กล้าไม่ระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม มันไม่รู้สึกแปลก
ใจแม้แต่น้อย คนจากเทียนหวนไหนเลยจะรวบรัดธรรมดาได้?
ไม่ว่าการต่อสู้รอบข้างจะดุเดือดรุนแรงสักเท่าใด จั่วม่อที่อยู่ตรงกลาง
กลับเหมือนอยู่ในดวงตาพายุ เงียบสงบอย่างผิดปกติ
นี่ อ าจเป็ น เพราะสามหยวนอิ ง พากั น หยุ ด ยั้ ง การโจมตี ที่ จ ะมุ่ ง เป้ า
มายังจั่วม่อ พวกมันล้วนทราบกระจ่างแก่ใจ กุญแจสาคัญในการต่อสู้ครั้งนี้
ขึ้นอยู่กับการปะทะหักหาญระหว่างพวกมันทั้งสามเอง
นิ่งงันดุจ หุ่นเชิด จั่วม่อไม่มีท่าทีน่าสงสั ยที่จ ะดึง ดูด ความสนใจของ
พวกมัน
แต่ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตภายใต้หน้ากากที่ก้มต่านั้น ในเวลานี้ ดวงตา
ทั้งคู่พลันสาดประกายสุกใสผิดธรรมดาออกมา
บทที่ 504 อานุภาพแห่งเทียนหวน (ตอนต้น)

สถานการณ์ต่อสู้สับสนวุ่นวายยิ่ง
ไผ่ ท ะเลศพในมื อ จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น เป็ น สมบั ติ ชั้ น ยอดชนิ ด หนึ่ ง ขอ
เพียงโบกสะบัดจะปลดปล่อยลูกพลังสีดาออกมา ลูกพลังดาทมิฬแต่ละลูก
แฝงไว้ด้วยวิญญาณอาฆาตมากมายนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าไผ่ทะเลศพจะงอก
งามเฉพาะในสถานที่ดุร้ายอามหิต เช่นภายในทะเลแห่งซากศพ กลิ่นอาย
แห่งความตายอั น เปี่ ยมล้นสมบู รณ์ จ ะกลายเป็ นของหล่ อเลี้ย งบารุ ง การ
เติบโตงอกงามของมัน
เซินอู๋ไฮ่ไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบเห็นอาวุธเวทอันทรงพลังเช่นนี้ใน
สถานที่เล็ก ๆ เยี่ยงอาณาจักรทะเลเมฆ
เพลิงยันต์ของมันซึ่งสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตลอดมา เผชิญหน้า
กับไผ่ทะเลศพต้ นน้อ ย ๆ นี้ แทบไม่อาจแผลงฤทธิ์ อัน ใดได้ ตรงกันข้ า ม
เก๋อไห่แม้มีพลังฝึกปรือสูงล้ากว่าจู๋จ้างเหล่าเหริน แต่แทบไม่ส่งผลคุกคาม
ต่อเซินอู๋ไฮ่
หลี ซู่ พ ลั ง ฝี มื อ สู ง เยี่ ย มไม่ น้ อ ย ในฐานะศิ ษ ย์ ฝ่ า ยใน มั น แม้ มี พ ลั ง
ฝึกปรือเพียงด่านจินตัน แต่ในแขนเสื้อซ่อนเคล็ดลับนับไม่ถ้วน วงแหวน
ฟ้าวงน้อยแปรเปลี่ยนไม่มีที่สิ้นสุด
หลู่เจิ้นที่ด้านข้าง เมื่อเทียบกับหลีซู่กลับดูทุลักทุเลกว่ามาก มันแม้มี
พลั ง ปราณเหนือ ล้า กว่ า หลีซู่ แต่ ไ ม่ ว่ า จะเป็ นเวทวิ ช าหรื อ อาวุ ธ เวทที่ใช้
ออกมา ไหนเลยจะสามารถยกขึ้นเทียบกับศิษย์เอกฝ่ายในเช่นหลีซู่ได้
แต่ถึงกระนั้น พลังฝีมือของมันก็ยังเหนือล้ากว่าเหล่าจินตันอาณาจักร
ทะเลเมฆอยู่ก้าวใหญ่ มันแน่นอนว่าจัดอยู่ในหมู่จินตันที่ทรงพลังที่สุดสาม
อันดับแรก!
นี่คือความแตกต่างระหว่างสานักใหญ่กับสานักเล็ก ๆ ทั่วไป
ศิษย์ส านักใหญ่ไม่ว่าชี้ไปที่คนใด ล้วนสามารถเทียบเทียมได้กับเจ้า
สานักของสานักเล็ก ๆ ทั่วไป นี่เป็นเพราะรากฐานที่สั่งสมมานานหลายพัน
ปีของเหล่าสานักใหญ่ พวกมันมีสมบัติทรัพยากรมากล้น มีเวทวิชาอันลึก
ล้า รวมถึงเหล่าครู บาอาจารย์ที่ทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ นี่หมายความว่า
ลาพังจุดเริม
่ ต้นของพวกมันก็เหนือล้ากว่าซิวเจ่อทั่วไปมาก
พวกมันพอเริ่มเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกันจริง ๆ หลีซู่พลันสงบลง
การต่อสู้ไม่ได้ยากล าบากเท่าที่มันเคยคิดไว้ นอกเหนือจากไผ่ทะเล
ศพที่สร้างความตื่นตระหนกอยู่บ้าง พลังฝีมือของซิวเจ่ออื่น ๆ หาได้ทาให้
มันรู้สึกหนักใจไม่ พวกมันไม่ได้มีฝีมือเทียบเท่าการประลองฝีมือในส านัก
ของมันด้วยซ้า
ในใจอดบังเกิดความภาคภูมิลาพองอยู่บ้างไม่ได้
นี่ยิ่งทาให้มันจิต ใจผ่อนคลายมากขึ้น ส าแดงพลังฝีมือออกมาจนถึง
ขี ด สู ง สุ ด วงแหวนฟ้ า ในมื อ มั น แปรเปลี่ ย นไม่ ห ยุ ด ยั้ ง วิ ช าค่ า ยกลหลาก
ประเภทดุจโคมม้าวิง่ หมุนคว้างอย่างเร่งร้อน สลับเปลี่ยนผันแปรไม่สน
ิ้ สุด
เหล่าซิวเจ่อที่ถูกสะกดเอาไว้สีห น้ า แตกตื่นสุด ระงั บ ความเข้ ม แข็ ง
ของหลีซู่เหนือความคาดหมายของพวกมันมาก
อาศัยมันเพียงลาพัง ถึงกับสะกดข่มเจ็ดจินตันจนมือไม้ปั่นป่วน
ค่ายกลที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ประดุจเส้นด้ายที่ มองไม่เห็นคอย
ควบคุมชักเชิดหุ่นเชิด บีบบังคับให้ผู้อ่ น
ื ต้องคอยเหน็ดเหนื่อยกับการรับมือ
อย่างระมัดระวัง
หลีซู่ล งมืออย่างปลอดโปร่งเฉื่อยชา ไม่มีร่องรอยตึงเครียดกังวลให้
เห็ น สมาธิ จิ ต ใจทั้ ง หมดของมั น จดจ่ อ อยู่ กั บ การต่ อ สู้ เ บื้ องหน้ า ไม่
จาเป็นต้องห่วงกังวลด้านผู้ อาวุโส ไผ่ทะเลศพแม้ทรงพลังอานาจ แต่ผู้ที่
สามารถรั้ ง ต าแหน่ ง ผู้ อ าวุ โ สแห่ ง เที ย นหวนได้ ไหนเลยจะมี ฝี มื อ เพี ย ง
เท่านี้?
ที่ส าคัญไปกว่านั้น หากกล่าวถึงอาวุธ เวท จะมีสักกี่ส านักที่สามารถ
ยกขึ้นเทียบกับเทียนหวนได้?
มันมุ่งเน้นความสนใจส่วนใหญ่ไปยังบรรดาซิวเจ่อที่ไม่ทราบที่มา ใน
ความเห็นของมัน คนเหล่านี้จึงเป็นตัวแปรที่ไม่อาจคาดเดาอย่างแท้จริง
พวกมันมักจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหนือความคาดหมายได้โดยง่าย
แต่ สิ่ ง ที่ ท าให้ มั นเบาใจอยู่บ้ า ง ก็ คื อ คนเหล่ า นั้นล้ ว นต่อ สู้เ พีย งเพื่อ
ตัวเองเท่านั้น
ดู เ หมื อ นว่ า มั น จะต้ อ งลงมื อ ให้ ห นั กกว่ า นี้ เร่ ง จั ด การผู้ ค นจาก
อาณาจั ก รเมฆให้ สิ้ น ซากไปเสี ย ก่ อ นจะดี ก ว่ า หลี ซู่ ด วงตาทอประกาย
อามหิต ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด ในมือปรากฏระฆังสัมฤทธิ์ใบหนึ่ง ระฆังเล็ก
ใบนี้ดูไปเรียบง่ายธรรมดา ตัวระฆังสีเหลืองหม่นปกคลุมด้วยลวดลายยันต์
สลับซับซ้อน ตัดไขว้ไปมา คล้ายเส้นโลหิต มากมาย สร้างความหวาดสะ
พรึงให้แก่ผู้พบเห็นไม่น้อย
ระฆังลายโลหิตใบนี้ เป็นอาวุธเวทคุ้มกายที่ซือฟู่ประทานให้แก่มัน
ด้ามจับไม้หลีมู่ 12ที่ดูธรรมดาสามัญ แท้ที่จ ริงขัดเกลามาจากไม้หลีมู่
ขมพันปี ตัวระฆังหลอมสร้างขึ้นจากทองค าสัมฤทธิ์ที่ห ายากจ านวนสิ บ
สามชนิด เมื่อครั้งที่ระฆังนี้หลอมสร้างเสร็จสมบูรณ์ บังเกิดเสียงระฆังดัง
กังวานไปทั่วหุบเขาถึงสามวันสามคืนกว่าจะสิน
้ สุดลง
หลี ซู่ ป กติ แ ล้ว รั กใคร่ ห วงแหนสมบั ติชิ้ น นี้ยิ่ง นอกเหนื อ จากการนา
ออกมาประทับรอยประทั บ วิ ญ ญาณเป็นประจาทุก วันไม่เ คยขาด มันไม่
ค่อยนาออกมาใช้ในการต่อสู้ บรรดาศิษย์อ่ ืน ๆ ทราบว่ามันมีอาวุธเวทคุ้ม
กายอยู่ชน
ิ้ หนึ่ง แต่ผู้ที่เคยเห็นกับตามีอยู่น้อยคนนัก
ในเวลานี้มันหมายปิดฉากการต่อสู้โดยเร็วที่สุด จึงจาต้องสาแดงยอด
อาวุธเวทคุ้มกายชิ้นนี้ออกมา!
แต่แล้ วชั่วพริบตานี้เอง สังหรณ์อันตรายผุดขึ้นในใจอย่างกะทันหัน
ในครรลองสายตาของหลีซู่ จุดแสงประกายพลันแตกระเบิดออกมาโดยไม่
มีเค้าลางล่วงหน้า!
สังหรณ์อันตรายแรงกล้าปลุกเร้าจนหลีซู่ขนลุกเกรียว

12
ต้นหลีหรือต้นแพร์
สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุ นแรง หลีซู่ดีดกายถอยกรู ดอย่างไม่คิด ชี วิต
พร้ อ มกั น นั้ น ล าแสงสายหนึ่ ง พุ่ ง วาบออกจากวงแหวนฟ้ า ปิ ด สกั ด อยู่
ตรงหน้ามัน
ติง!
ค่ายกลยังไม่ทันจะสาแดงเดช พลันแตกสลายเหมือนเศษแก้ว
ท่ามกลางสะเก็ดแสงค่ายกลอันสับสน ล าแสงเย็นยะเยียบสายหนึ่ง
ทะลวงออกมาอย่างเงียบเชียบ แทงใส่ใบหน้าของหลีซู่อย่างเหี้ยมเกรียม
“นักฆ่าหน้ากาก!”
เป็นครั้งแรกที่ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาบนใบหน้าของหลีซู่ มัน
พลันสานึกเสียใจขึ้นมา บัดซบ! มันไฉนหลงลืมตัวอันตรายนี้ไปเสียได้?
ลาแสงเงียบสงบสายนี้ประหนึ่งหนอนไชกระดูก เกาะติดแนบแน่นไม่
ยอมห่าง พกพาเจตจานงเย็นเยือกสะท้านขวัญวิญญาณ แทงใส่ห ว่างคิ้ว
ของหลีซู่อย่างแยบคาย
เสี้ยวพริบตาแห่งความคับขันเป็นตาย หลีซู่ไหนเลยยังมีเวลาไปสนใจ
เรื่องอื่น รีบเร่งเร้าพลังปราณไปยังระฆังลายโลหิตในมืออย่างคลุ้มคลั่ง!
ติง!
ทันใดนั้นคลื่นพลังงานสีแดงเลือดขุมหนึ่ง ยึดถือระฆังลายโลหิตเป็น
จุดศูนย์กลาง กวาดวาบออกในบัดดล!
จุดแสงประกายคล้ายตรวจพบความเปลี่ยนแปลง พลันเร่งความเร็ว
ขึ้นอย่างหักโหม แต่เมื่อปะทะกับคลื่นลาแสงสีเลือด ประกายแสงสว่างวาบ
บังเกิดเสียงเสียดแหลมระคายหู!
เห็นเงาร่างเลือนรางสายหนึ่งปรากฏกายขึ้นโดยไร้เสียง
เหตุเปลี่ยนแปลงนี้อุบัติขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ซิวเจ่อรอบข้างไม่
ทันได้มีปฏิกิริยาใด คลื่นพลังสีเลือดพลันซัดเข้าถึงตัวพวกมันในชั่วพริบตา
ล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
คลื่นลวดลายยันต์สีเลือดเมื่อกวาดผ่านร่ างกายพวกมัน สีเลือดบน
ใบหน้าของพวกมันคล้ายถูกกวาดออกไปด้วย
พวกมั น ยื น แข็ ง ทื่ ออยู่ กั บ ที่ ดวงตาเบิ ก ค้ า งไม่ ต่ า งจากหุ่ น เชิ ด บน
ร่างกายไม่มีบาดแผลใด แต่ผิวหนังทุกส่วนที่เผยออกมาล้วนขาวซีดปนเทา
ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย
คนที่เหลือหน้าเผือดสี พากันดีดกายถอยห่างจากระยะต่อสู้ของหลีซู่
อย่างลนลาน! อานุภาพของระฆังลายโลหิตขู่ขวัญพวกมันจนแทบขวัญหนี
ดีฝ่อตาย
คนผู้ เ ดี ย วที่ ไ ม่ ล่ า ถอยคื อ นั ก ฆ่ า หน้ า กาก มั น ไม่ เ พี ย งไม่ ล่ า ถอย ยั ง
สะอึกเข้าหาแทน ร่างของมันดุจกลุ่มเงาพร่าเลือน ยากจะค้นพบร่องรอย
แท้จริงได้
ทุกครั้งที่จุดแสงประกายแทงเข้าปะทะกับม่านแสงสีโลหิต ราวกับว่า
เสียดสีกับอากาศอย่างรุนแรง สว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างฉับพลัน
สิ่งที่ผู้คนยากจะยอมรับได้ก็คือ จุดแสงประกายนั้นร้ายกาจสุดเปรียบ
ปาน กระทั่งชนชั้นหลีซู่ยังถูกไล่ต้อนจนแทบไม่อาจเงยหน้าขึ้น
เพียะเพียะเพียะ!
ทุกครั้งที่จุดแสงประกายจู่โจมเข้าปะทะกับม่านแสงสีเลือด มือที่ถือ
ระฆังลายโลหิตของหลีซู่คล้ายต้านทานไม่ไหว ต้องสะบัดเริดขึ้นทุกคราว
ไป
เงาร่างดุจภูตพรายของนักฆ่าหน้ากากเปลี่ยนตาแหน่งอยู่ตลอดเวลา
โผพุ่งวนเวียนอยู่รอบกายหลีซู่ดุจ วิญญาณร้ายตามพัวพัน คล้ายกาลังหา
โอกาสจู่โจมคร่าชีวิตในกระบี่เดียว
นี่ยิ่งเพิ่มแรงกดดันมหาศาลแก่หลีซู่ แรงสะเทือนที่ส่งผ่านจากระฆัง
เข้าสู่มือของมันหนักหน่วงดุดันยิง่ แทบไม่อาจถือระฆังเอาไว้ได้!
กลิ่ น อายของความตายอยู่ ใ กล้ ยิ่ ง แทบจะหายใจรดใบหน้ า มั น อยู่
รอมร่อ
สถานการณ์คับขันที่เฉียดใกล้ความตายถึงเพียงนี้ หลีซู่เพิ่งเคยเผชิญ
เป็นครัง้ แรก มันได้แต่กัดฟันแน่น ยึดด้ามจับระฆังลายโลหิตเอาไว้อย่างสุด
ชีวิต พยายามควบคุมระฆังลายโลหิตในมือ
นักฆ่าหน้ากากจิตใจกลอกกลิ้งประเปรียวเหนือธรรมดา มันอาจคาด
ค านวณปริ ม าณพลั ง ปราณของหลี ซู่ ไ ด้ แ ล้ ว คิ ด ควบคุ ม บั ง คั บ อาวุ ธ เวท
ชั้ น สู ง เช่ น ระฆั ง ลายโลหิ ต พลั ง ปราณย่ อ มต้ อ งสิ้ น เปลื อ งไปด้ ว ยระดั บ
ความเร็ ว อั น น่ า ตระหนก ดั ง นั้ น มั น โหมโจมตี ไ ม่ ห ยุ ด มื อ ช่ ว ยเร่ ง ระดั บ
ความเร็วในการสิ้นเปลืองพลังปราณของหลีซู่อีกทางหนึ่ง
ภายใต้ ก ารโจมตี เ ป็ น พายุ บุ แ คมของนั ก ฆ่ า หน้ า กาก หลี ซู่ มื อ ไม้
ปั่ นป่วนขึ้นมา
“ศิ ษ ย์ พี่ ! ” หลู่ เ จิ้ น เห็ น หลี ซู่ ต กอยู่ ใ นห้ ว งคั บ ขั น รี บ ผละจากศั ต รู
ตรงหน้า วงแหวนสีน้าเงินบนฝ่ามือยืดขยายอย่างรวดเร็ว พุ่งจู่โจมใส่นัก
ฆ่าหน้ากากอย่างเกรี้ยวกราด
เงาร่างภูต พรายของนักฆ่าหน้ากากหายวับไป จุดแสงประกายพลัน
ปรากฏขึ้นด้านหลังของหลู่เจิ้น ลาแสงสาดประกายวูบหนึ่ง แล้วหายวับไป
ดุจลูกธนูพุ่งหายไปในท้องฟ้า
ปัง!
เห็ น ชุ ด เกราะปราณบนร่ า งหลู่ เ จิ้ น แตกระเบิ ด อย่ า งฉั บ พลั น ร่ า ง
สะท้านขึ้นอย่างรุนแรง แล้วยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ สองตาเบิกค้าง
บนทรวงอกของมันปรากฏหลุมเลือดขนาดเท่าปากชามหลุมหนึ่ง
“ศิ ษ ย์ น้ อ ง!” หลี ซู่ ถ ลึงตามองอย่า งเคี ยดแค้ น ในใจโศกศั ล ย์ รันทด
อย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย
ระหว่างมันกับหลู่เจิ้นศักดิ์ฐานะแตกต่างกันอย่างมาก ความสัมพันธ์
ของพวกมันก็ปกติธรรมดา แต่ผู้อ่ น
ื ในเมื่อตายเพื่อช่วยเหลือมัน ย่อมส่งผล
กระทบต่อหลีซู่อย่างรุนแรง รุนแรงจนไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้!
ใบหน้ า หล่ อ เหลาของหลีซู่ พ ลั น ปรากฏลมเลื อดพลุ่ ง พล่ า นจนแดง
ฉาน
วงแหวนฟ้าของมัน ปลดปล่ อยล าแสงมากมายนั บไม่ถ้ วน ลวดลาย
ยั น ต์ พ วยพุ่ ง ออกจากวงแหวนฟ้ า ดุ จ สายน้ า ถาโถม ลวดลายยั น ต์ ส ว่ า ง
เรืองรองเหล่านี้ มีจานวนมากมายเสียจนบันดาลให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีจุดจบ
สิน

หลีซู่ยืนนิ่งอย่างเคร่งขรึม สั่นระฆังลายโลหิตอย่างดุดัน พลางตวาด
ก้อง “วงแหวนฟ้าระฆังโลหิต!”
ลวดลายยันต์ที่ล่องลอยกลางอากาศ จู่ ๆ ผนึกแข็งตัว จากนั้นผสาน
รวมกั น ก่ อ เกิ ด เป็ น วงแหวนแสงที่ ก ลางอากาศ วงแหวนแสงนับ ร้อยถม
ซ้อนเป็นชั้นๆ กลายเป็นค่ายกลมหึมาชุดหนึ่ง เสียงระฆังดังกังวาน สอด
ประสานกับคลื่นสีเลือด สะท้อนสะท้านกลับไปกลับมาอยู่ภายในค่ายกล!
ชั่วพริบตานี้เอง วงแหวนแสงทั้งหมดแผดเสียงระฆังดังสนั่นลั่นโลก!
ตูม!
ทุกสิ่งทุกอย่างภายในระยะของค่ายกล ล้วนถูกบดขยี้เป็นเสี่ยง ๆ!
ซิวเจ่อบางคนไม่ทันหลบหนี ยังไม่ทันได้กรีดร้องก็ถูกฉีกกระชากเป็น
ผุ ย ผง บรรดาซิ ว เจ่ อ ที่ ยื น ตั ว แข็ ง ทื่ อเหมื อ นหุ่ น ไม้ เ มื่ อครู่ พากั น สลาย
หายไปต่อหน้าต่อตา!
บังเกิดเสียงแค่นหนัก ๆ เสียงหนึ่งแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน จุดแสง
ประกายพลันเปลี่ยนเป็นทะลวงออกจากค่ายกล เห็นเงาร่างสายหนึ่งโถม
ทะยานตามลาแสงกระบี่ออกไปอย่างกระชั้นชิด!
ร่างนั้นปรากฏขึ้นวูบหนึ่งเหมือนเงาผี แล้วพลันหายวับไปต่อหน้าต่อ
ตาทุกผู้คน ไม่มีผู้ใดค้นพบร่องรอยของมันอีก
เพียะ!
ค่ายกลวงแหวนแสงประดุจหิมะถล่มทลาย แตกสลายอย่างสมบูรณ์
เลือนหายไปในอากาศ
หลีซู่โลหิต สายหนึ่งไหลปรี่จ ากมุมปาก สายตาเพ่งมองลงไปบนพื้น
เห็นแอ่งเลือดเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ตรงนั้น มุมปากแสยะยิ้มโดยไม่ต้ังใจ ในใจ
ลอบตื่นตระหนกสุดระงับ
วงแหวนฟ้ า ระฆั ง โลหิ ต เป็ น ท่ า ไม้ ต ายสุ ด ยอดของมั น แต่ ก ระทั่ ง
กระบวนท่านี้ ยังไม่สามารถเอาชีวิตนักฆ่าหน้ากากได้
คนผู้นี้ช่างลึกล้าสุดหยั่งถึงโดยแท้!
หลีซู่ปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก จัดแต่งอาภรณ์อันยับย่นให้เข้าที่เข้าทาง
ไม่แยแสสนใจซิวเจ่อที่หลงเหลืออยู่รอบข้างแม้แต่น้อย
ไม่มีผู้ใดกล้าโถมเข้ามาต่อสู้กับมันอีก
กระบวนท่าสุดยอดนี้ขู่ขวัญซิวเจ่อทั้งหมดจนขวัญหนีดีฝ่อ
ภายใต้กระบวนท่า นี้ กระทั่งนักฆ่ าหน้ า กากยั งแทบเอาชี วิต ไม่ ร อด
บุรุษหนุ่มผู้นี้พลังฝีมือเข้มแข็งอย่างแท้จริง!
สมกับที่เป็นศิษย์แห่งเทียนหวน!

กระบวนท่ า ไม้ ต ายของหลี ซู่ ขู่ ข วั ญ ทุ ก ผู้ ค นในวงต่ อ สู้ แต่ ไ ม่ มี ผู้ ใ ด
คาดคิดไปถึง ว่าสาหรับจั่วม่อผู้ก้มหน้าต่าและไม่เป็นที่สนใจของใคร กลับ
บังเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง
มันรู้สึกว่าท่าไม้ตายของหลีซู่นี้ดูคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่ค่ายกลวง
แหวนฟ้ า ส าเนี ย งจั น ทร์ ที่ ส ร้ า งชื่ อให้ แ ก่ มั น ในแบบฉบั บ ที่ แ ข็ ง แกร่ ง ขึ้ น
หรอกหรื อ ? พลั ง ของระฆั ง ลายโลหิ ต นั บ ว่ า น่ า หวาดหวั่ น อยู่ บ้ า ง แต่ ว ง
แหวนแสงอันคุ้นตาเหล่านั้น ยามผสานรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นท่าสังหาร
แทบจะคล้ายเหมือนกับค่ายกลวงแหวนฟ้าสาเนียงจันทร์ไม่มีผิดเพี้ยน!
ที่แท้ค่ายกลวงแหวนฟ้าสาเนียงจันทร์มีต้นกาเนิดจากเทียนหวน!
จั่วม่อทอดถอนด้วยอารมณ์ความรู้สึก แล้วพลันเบ้ปาก
จุ๊จุ๊ ก็แค่ของเล่นที่เหลือเดนจากเกอ... ...
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาขบคิดใคร่ครวญ มันล่วงรู้อยู่แล้วว่านักฆ่า
หน้ากากอยู่ที่นี่ด้ ว ย ดังนั้นไม่ประหลาดใจแต่อ ย่ างใด ในเวลาเช่นนี้ มัน
เพียงแค่อยากรู้ว่าระลอกคลื่นที่แทบสัมผัสไม่ได้จากแท่นเซ่นสรวงบูชายัญ
ที่แท้เป็นเรื่องราวใดกันแน่
มันย่อมปรารถนาให้การต่อสู้รุนแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีแต่เป็น
เช่นนี้ มันจึงมีโอกาสให้ฉกฉวย

เซินอู๋ไฮ่บันดาลโทสะอย่างแท้จริง
การตายของหลู่เจิ้นไม่มีผลใดต่อมัน ศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งพลีชีพไป
ไม่ควรค่าให้มันต้องเหลือบแล แต่ที่มันเดือดดาลก็คือ การปรากฏตัวเข้า
แทรกแซงของนักฆ่าหน้ากาก มันมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรับมือสองเฒ่า
น่าราคาญนี้ ทาให้หลีซู่แทบถูกคนฆ่าตาย!
ควรทราบว่าหลีซู่เป็นศิษย์ฝ่ายใน!
หากศิษย์ฝ่ายในตกตายต่อหน้าต่อตามัน มันแทบไม่อยากรู้ว่าจะต้อง
ทนฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์สักกี่ครั้ง แม้แต่ยามนี้ที่หลีซู่ได้รับบาดเจ็บบอบ
ช้าในเส้นลมปราณ รอจนพวกมันกลับไป ตาเฒ่าเหล่านั้นจะต้องพร่าบ่น
จนมันหูชาเป็นแน่
คิดถึงเรื่องนี้ เซินอู๋ไฮ่ผู้หยิง่ ทระนงไหนเลยจะไม่พิโรธโกรธกริว
้ ได้?
“กับแค่ไผ่ทะเลศพเพียงเท่านี้ ก็คิดว่าจะสามารถเป็นคู่มือของเราผู้
เฒ่ า ได้ ห รื อ ?” เซิ น อู๋ ไ ฮ่ ต วาดอย่ า งดุ ดั น พลั ง ปราณทะลั ก ทลายออกมา
“ลองลิ้มรสเพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าของตาเฒ่าผู้นี้ดู!”
เปลวไฟโปร่งใสไร้สีสันพลันปรากฏขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือของผู้อาวุโส
เซิน
ตูม!
ชั่วพริบตาที่เพลิงโปร่งใสปรากฏขึ้น ทุกผู้คนสะท้านใจอย่างพร้ อ ม
เพรียง!
ในเวลานี้ จั่วม่อผู้สัมผัส ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง พลันลืมตาขึ้นมาอีก
ครั้ง!
บทที่ 505 อานุภาพแห่งเทียนหวน (ตอนปลาย)

จั่วม่อมองไปในทิศทางของแท่นบวงสรวงบูชายัญ ความคิดหมุนเร็วรี่
ในเวลาเช่นนี้ไม่ มีใ ครสั งเกตเห็น ท่ าทีผิ ด ปกติข องจั่ วม่อ ทุกสายตา
ล้วนจ้องเขม็งไปยังเปลวไฟโปร่งใสบนฝ่ามือของเซินอู๋ไฮ่
เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่า!
ไฟโปร่งใสลุกไหม้โดยไร้เสียง ปะทุขึ้นบนฝ่ามือของเซินอู๋ไฮ่ อากาศ
คล้ า ยผนึ ก แข็ ง ตั ว อย่ า งกะทั น หั น ทุ ก ครั้ ง ที่ ด วงไฟแตกปะทุ ก็ แ ผ่ ซ่ า น
ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นออกมา ร้อนลวกจนรู้สึกได้ชัดเจน
เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่า!
หลีซู่ต่ น
ื ตระหนกสุดระงับ ผู้อาวุโสเซินกาลังจะลงมือสุดกาลัง!
ภายใต้ความตื่นตะลึง มันถลึงจ้องตาเขม็ง เกรงว่าจะพลาดสิ่งใดใน
การต่อสู้นี้ไป เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าคือยอดวิ ชาที่สร้างชื่อให้แก่ผู้อาวุ โส
เซิน เป็นที่รู้จักกันดีในเทียนหวน เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าอันเบาบางสายนี้
เป็นผลึกความเข้าใจจากการศึกษาวิชายันต์ของผู้อาวุโสเซิน แม้ว่าเรียก
ขานในชื่อของเพลิงไฟ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่ไฟในห้าธาตุ
เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าสายนี้มีขนาดเท่ านิ้วก้อย แต่อันที่จริงกลับถูก
สร้างขึ้นจากค่ายกลยันต์เล็กจิ๋วถึงสามร้อยชุด เกาะเกี่ยวกระหวัดพันเป็น
ชั้น ๆ นับเป็นสุดยอดผลงานอันวิจิตรบรรจงชิ้นหนึ่ง
ว่ากันว่าเพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าบรรลุถึงขอบเขตสูงสุดแห่งเพลิงยันต์
หลีซู่พอเห็นผู้อาวุโสเซินงัดท่าไม้ตายสุดยอดออกมา ยังอดตื่นเต้นระทึกใจ
ไม่ได้!
จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น หน้ า เปลี่ ยนสี ชั่ ว พริ บ ตาที่ เ พลิ ง ซ่ อ นเร้ น ว่ า งเปล่า
ปรากฏขึ้น มันก็สัมผัสได้ถึงพลังอานาจอันน่าแตกตื่นสะท้านใจขุมหนึ่ง
จู๋จ้างเหล่าเหรินสีหน้ าหนั กอึ้ ง พลันซัดไผ่ทะเลศพขึ้น กลางอากาศ
ร่ายคาถาอย่างเร็วรี่ ไผ่ทะเลศพสีดาดุจน้าหมึกเริ่มหลอมละลาย กลายเป็น
บ่ อ น้ า สี ด าสนิ ท บ่ อ หนึ่ ง ส่ ง กลิ่ น เหม็ น อั น แปลกประหลาดฟุ้ ง กระจาย
ออกมา แทรกลึกเข้าไปในใจของผู้คน
เซินอู๋ไฮ่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา เปลวเพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าขดตั วอยู่
บนฝ่ามือของมันดุจอสรพิษโปร่งใสตัวหนึ่ง
เพลิงซ่อนเร้นว่ า งเปล่า ทั้ง โปร่ งใสและไร้สีสัน หากไม่เพ่งพินิ จ ให้ ดี
ยากจะพบเห็นการคงอยู่ของมัน
เซิ น อู่ ไ ฮ่ แ ม้ สี ห น้ า ภาคภู มิ ถื อ ดี แต่ ไ ม่ ก ล้ า ประมาทแม้ แ ต่ น้ อ ย ของ
วิ เ ศษเช่ น ไผ่ ท ะเลศพมั ก ซ่ อ นเร้ น พลั ง ประหลาดที่ เ หนื อ คาดคิ ด มั น ไม่
ต้องการเรือล่มในน้าตื้น
บ่อน้าดาทะมึนเหนือศีรษะจู๋จ้า งเหล่าเหรินพลันหมุนคว้างอย่างแช่ม
ช้า ทันใดนั้นหน่อไม้สีดาผุดขึ้นจากบ่อน้าทมิฬ เติบโตเป็นต้นไผ่สีด าด้ วย
ระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา
ต้นไผ่สีดางอกงามรวดเร็วยิ่ง ภายในชั่วพริบตาเดียว ก็กลายเป็นป่า
ไผ่ดาขนาดพื้นที่ครึ่งหมู่ คล้ายก้อนเมฆดาทะมึนผืนใหญ่ ล่องลอยอยู่เบื้อง
บนศีรษะจู๋จ้างเหล่าเหริน
บรรยากาศกลายเป็นหนักหน่วงราวกับก้อนตะกั่ว
แรงกดดันที่เกิดจากสองหยวนอิงต่อสู้หักหาญอย่างสุดกาลัง ไม่ต้อง
สงสัยเลยว่าเป็นมหันตภัยต่อจินตันที่อยู่รอบๆ! กระทั่งหลีซู่ กับการต่อสู้
ระดับสูงเช่นนี้ ยังไม่มีช่องว่างให้มันสอดมือเข้าไปแม้แต่น้อย!
แรงกดดันสะท้านขวัญ วิญ ญาณจนผู้คนแทบหายใจหายคอไม่ อ อก
หลีซู่รู้สึกว่าการหายใจสักเฮือกยังลาบากยากเย็นยิ่ง!
หยวนอิง! นี่ก็คือระดับชั้นของหยวนอิง!
หลีซู่ดวงตาร้อนผ่าว เปล่งประกายเทิดทูนบูชา นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้
ประจักษ์ กับพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ด้วยสายตาตัวเอง ความตื่น
ตะลึงและครั่นคร้ามยาเกรงที่เกิดขึ้น เหนือความคาดหมายของมันไปมาก
มันโคจรพลังปิดจมูกปากอย่างรอบคอบระมัดระวัง กลิ่นประหลาดที่
โชยออกมาจากไผ่ทะเลศพเต็มไปด้วยพลังกัดกร่อนอันแข็งกล้า มันลองยก
เท้าขึ้น ฝุ่นศิล าฟุ้งกระจายขึ้นกลางอากาศ หลงเหลือรอยเท้าอันเด่นชัด
ประทั บ แน่ น อยู่ บ นแผ่ น ศิ ล าแข็ ง บนพื้ น ภายใต้ พ ลั ง กั ด กร่ อ นอั น น่ า
ตระหนกของไผ่ทะเลศพ แผ่นหินอันแข็งแกร่งของวิหารเทพกลายเป็นนุ่ม
เละเหมือนแป้งเปียก
เหล่ า จิ น ตั น ต้ อ งเร่ ง เร้ า พลั ง ของชุ ด เกราะปราณของพวกมั น เพื่ อ
ต้านทานพลังกร่อนสลายของไผ่ทะเลศพ
หากมีซิวเจ่อด่านหนิงม่ายอยู่ที่นี่ ลาพังพลังสภาวะของไผ่ทะเลศพก็
เพียงพอจะสังหารพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว
จู๋ จ้ า งเหล่า เหริ น ผนึก มุ ทราร่ า ยเวทวิ ช า ใบไผ่ จ ากทะเลไผ่ ด าเหนือ
ศีรษะมันเริ่มปลิดปลิวลงมา ใบไผ่สีดาแปรสภาพเป็นแมลงพิษสารพัดชนิด
รวมถึงด้วงศพ บุกตะลุยเข้าหาเซินอู๋ไฮ่อย่างไม่กลัวเกรง!
ชั่วพริบตาเดียว เสียงคารามกระหึ่มน่าขนพองสยองเกล้าเหมือนคลื่น
น้าถาโถม โหมซัดเข้ามาอย่างครอบฟ้าคลุมดิน!
ผู้คนพลันรู้สึกว่าวิหารเทพกลายเป็นมืดมิดในบัดดล ราวกับว่าไม่มีที่
ใดเลยที่จะหลบหลีกรอดพ้นจากการโจมตีสะท้านฟ้านี้ได้
เซิ น อู๋ ไ ฮ่ สี ห น้ า หนั ก อึ้ ง เคร่ ง ขรึ ม ยกมื อ ขวาขึ้ น อย่ า งแช่ ม ช้ า แล้ ว
กระแทกฝ่ามือเข้าปะทะตรง ๆ โดยไม่มีเล่ห์กลอุบายใด!
บังเกิดภาพฝ่ามือโปร่งใสขนาดมหึมาพวยพุ่งออกจากฝ่ามือของมัน
ตบฟาดใส่ฝูงแมลงดาทะมึนอย่างหักโหม
เพียะเพียะเพียะ!
ภายใต้ฝ่ามือโปร่งใส แมลงดาแตกระเบิดเป็นฝุ่นควัน สลายหายไปใน
ชั่วพริบตา
จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น แค่ น เสี ย งอย่ า งเย็ น ชา ใบไผ่ ด าปลิ ด ปลิ ว ลงมา
มากกว่ า เดิ ม จ านวนแมลงด าเพิ่ ม พู น ขึ้ น อย่ า งรวดเร็ ว ผนึ ก รวมกั น เป็น
กระแสน้าหลาก ตรงเข้าห้อมล้อมเซินอู๋ไฮ่อย่างแน่นหนา
ภายใต้การโหมจู่โจมอย่างไม่กลัวเกรงของฝูงแมลงดา รอยประทับฝ่า
มือมหึมาไม่อาจยืนหยัดได้นาน ภายในชัว
่ พริบตาเดียว ฝูงแมลงดาปกคลุม
รอยประทับฝ่ามือข้างนั้นจนมืดมิด ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง เสียงกัดเคี้ยวและ
กลืนกินของฝูงแมลง บันดาลให้ทุกผู้คนหนังศีรษะชาซ่าน รู้สึกอกสั่นขวัญ
แขวนขึ้นมา
หากนี่เป็นผู้คน เกรงว่ากระทั่งกระดูกก็ไม่หลงเหลือ!
ยังมีแมลงดาที่แตกระเบิ ดและสู ญสลายไปไม่ข าดสาย แต่แมลงด า
เหล่านี้ไม่รู้จักความกลัว ยังคงรุมทึ้งฝ่ามือมหึมาอย่างคลุ้มคลั่ง
ฝ่ามือมหึมาเริ่มหดเล็กลงเรื่อย ๆ ด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัด
ตา
พริบตาดุจ ประกายไฟ ฝ่ามือมหึมาซึ่งใหญ่โตหลายจั้ง ถูกกัดกินจน
หลงเหลือเพียงขนาดเท่ากามือมนุษย์
จู๋จ้างเหล่าเหรินดวงตาทอประกายล าพองใจวูบ ไผ่ทะเลศพนี้มัน ได้
รับมาโดยบังเอิญ นับตั้งแต่วันนัน
้ เป็นต้นมา มันก็แทบทุ่มเททุกสิง่ ทุกอย่าง
ลงไปกับการหลอมสร้างให้เป็นอาวุธเวท
เพื่อให้ไผ่ทะเลศพบรรลุถึงศักยภาพขั้นสูงสุด จู๋จ้างเหล่าเหรินใช้วิธี
หลอมสร้างซากศพ
กล่าวไปก็ประหลาดนัก หลังจากไผ่ทะเลศพหลอมสร้างเสร็จสมบูรณ์
ท่อนไผ่ก็มีสีเขียวประดุจ หยก ไม่ปรากฏร่องรอยกลิ่นอายแห่งความตาย
แม้แต่น้อย ในอาณาจักรทะเลเมฆแห่งนี้ จู๋จ้างเหล่าเหรินมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง
ไม่จาเป็นต้องลงมือต่อสู้กับผู้คนมาหลายปีแล้ว ดังนั้นพลังของไผ่ทะเลศพ
ไม่เคยเผยโฉมมาก่อน
จวบกระทั่งถึงวันนี้!
สามารถใช้ ผู้ อ าวุ โ สแห่ ง เที ย นหวนมาเซ่ น อาวุ ธ เวทของมั น นั บ ว่ า
คุ้มค่ามากพอแล้ว!
จู๋จ้างเหล่าเหรินดวงตาสาดประกายอามหิต วันนี้ห ากคนของเทียน
หวนทั้งสองไม่ตายที่นี่ เช่นนั้นวันคืนของพวกมันในภายหน้า เกรงว่าต้อง
ใช้ไปกับการหลบหนีจากการไล่ล่าแล้ว!
เพื่อขจัดสิ่งกีดขวางในอนาคต ต้องฆ่าพวกมันให้จงได้!
จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น เปี่ ยมล้นไปด้ ว ยรั งสี ฆ่า ฟั น ชี้ ด รรชนี ไ ปยั ง เซิ น อู๋ ไฮ่
อย่างไม่ลังเล แผดเสียงตวาดก้อง “ไป!”
เสียงกรีดฝ่าอากาศแหลมสูงระเบิดขึ้นพร้อมกัน แมลงทมิฬดานับไม่
ถ้วนบุกทะลวงเข้าหาเซินอู๋ไฮ่เป็นจุดเดียว
เห็นชัดตาว่าเซินอู๋ไฮ่จะถูกฝูงแมลงดากลืนกินลงไป ริมฝีปากของมัน
พลันแย้มยิม
้ วูบหนึ่ง
“กระบวนท่าที่ดี!”
ฝ่ามือมหึมาที่ถูกกัดกิ นจนหลงเหลือเพียงขนาดเท่ากาปั้ น พลันแตก
ระเบิดเป็นแสงประกายเจิดจรัสบาดตา ฝูงแมลงที่อยู่ใกล้เคียงกับมือยักษ์
ถูกไฟโปร่งใสลุกลามใส่อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง พวกมันล้วนถูกแผดเผาเป็น
เถ้าถ่าน ก่อนจะทันได้กรีดร้องเสียด้วยซ้า
ในสายตาของทุกผู้คน เห็นเปลวไฟโปร่งใสสายหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นอีก
ครั้ง
มันลุกไหม้อย่างเงียบงันอยู่กลางอากาศ
ภายใต้เปลวไฟ เห็นลวดลายยันต์แน่นขนัด เรียงรายพัวพันประดุจใย
แมงมุมยักษ์ผืนหนึ่ง แผ่กระจายเป็นวงกล้าง ห้อมล้อมทุกผู้คนเอาไว้ในใย
แมงมุมโปร่งใสผืนนี้
ค่ายกลขบวนนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีผู้ใดทราบชัด
จู๋จ้างเหล่าเหรินสีหน้าแปรเปลี่ยน มันแม้ไม่ล่วงรู้ว่านี่คือค่ายกลอันใด
แต่ย่อมทราบดีว่ายามนี้ตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การเคลื่อนไหวทั้งหมด
ของมันกลับอยู่ในการคาดคานวณของผู้อ่ ืน เป็นเพียงแผนการส่วนหนึ่ง
ของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
จริงดังที่คาด เห็นเปลวไฟโปร่งใสปะทุขึ้นโดยไร้เสียง ค่ายกลสว่า ง
วาบ วู้ ม เปลวไฟระเบิ ด ขึ้ นรอบกายเซิ นอู๋ ไฮ่ ฝู ง แมลงด าที่ เ หลื อล้วนถูก
เปลวไฟเขมือบกลืนลงไปสิ้น
กระแสของการต่อสู้พลันพลิกกลับตาลปัตรในชัว
่ พริบตาเดียว!
เซินอู๋ไฮ่กวาดตามองรอบ ๆ ด้วยสีหน้าภาคภูมิลาพอง “เพียงแค่พวก
เจ้ามีคนมาก ก็กล้าแย่งชิงกับเทียนหวนของข้าเช่นนั้นหรือ ? ช่างไม่รู้จั ก
ประมาณตน! วันนี้เราผู้เฒ่าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองรสชาติของเพลิงซ่อน
เร้นว่างเปล่าอย่างเต็มที่ จะได้จดจาติดไปในปรภพ ว่าอานุภาพแห่งเทียวน
หวนเป็นเช่นไร!”
เห็นลวดลายยันต์หมุนคว้างอย่างเร่งร้อน ทุกผู้คนพลันพบว่าสองเท้า
ถูกตรึงแน่นกับพื้น ไม่ว่าดิ้นรนสักเท่าใด พวกมันก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้!
เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าแตกปะทุโดยไร้เสียง
ตูม ปรากฏเปลวไฟสองสายพวยพุ่งขึ้นจากพื้นใต้ฝ่าเท้าของซิวเจ่อ
สองคนอย่างกะทันหัน กลืนกินพวกมันลงไปในบัดดล
เปลวไฟหายวับไปในชัว
่ พริบตา คนทั้งสองไม่หลงเหลือแม้แต่เถ้าธุลี
ทุกผู้คนสีหน้าแตกตื่นตะลึงลาน เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดิ้นรนใช้ทุก
วิถีทางเพื่อเอาตัวรอดอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไร้ผลโดยสิ้นเชิง
เพ่งมองเพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าที่ปะทุอย่างเงียบเชียบ หลีซู่ถูกดึงดูด
อย่างลึกล้า ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูน เพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่า
ของผู้อาวุโสช่างสมคาร่าลือโดยแท้! กระบวนท่านี้แม้เป็นค่ายกลมหึมาชุด
ห นึ่ ง แ ต่ สิ่ ง ที่ ร้ า ย ก า จ อ ย่ า ง แ ท้ จ ริ ง คื อ เ พ ลิ ง ซ่ อ น เ ร้ น ว่ า ง เ ป ล่ า ที่
ประกอบด้วยค่ายกลยันต์สามร้อยชุด!
ฝี มื อ ในด้ า นค่ า ยกลยั น ต์ ข องผู้ อ าวุ โ สเซิ น ท าเอาหลี ซู่ ย อมศิ โ รราบ
อย่างราบคาบ เมื่อเทียบกับวงแหวนฟ้าระฆังโลหิต ของมันที่ดูเหมือนจะ
โฉ่งฉ่างมากไปหน่อย กระบวนท่าของผู้อาวุโสเลิศพิสดารกว่าไม่รู้เท่าไร
จู๋จ้างเหล่าเหรินกับเก๋อไห่สีหน้าน่าสะพรึงกลัวยิ่ง พวกมันลอบสบตา
กันวูบ ต่างค้นพบความคิดสู้ตายถวายชีวิตในดวงตาของอีกฝ่าย
พวกมั น ทั้ ง คู่ เ ป็ น หยวนอิ ง และเป็ น เพี ย งสองคนท่ า มกลางกลุ่มคน
ทั้งหมดที่ยังสามารถขยับเคลื่อนไหวได้
เซินอู๋ไฮ่ซึ่งจับตาสังเกตจู๋จ้างเหล่าเซินอยู่ตลอดเวลา พลันรู้สึกหัวใจ
บีบกระชับกว่ าเดิม ค่ายกลเพลิงซ่อนเร้นว่ างเปล่าของมัน แม้ ทรงพลานุ
ภาพ แต่คิดฆ่าสองหยวนอิงพร้อมกันยังไม่ใช่เรื่องง่าย มันเดิมทีต้ังใจจะ
กาจัดเหล่าอาหารม้ากระสุนปื นใหญ่ให้ห มดเสียก่อน ค่อยรวบรวมกาลัง
ทั้งหมดเพื่อปะทะหักหาญกับสองหยวนอิง
เรื่องราวเมื่อมาถึงขัน
้ นี้ มันแม้สานึกเสียใจก็สายเกิน
ป่าไผ่ดาครึ่งหมู่เหนือศีรษะของจู๋จ้างเหล่าเหรินพลันเปลี่ยนกลับเป็น
ไผ่ทะเลศพต้นเดิม จู๋จ้างเหล่าเหรินสะบัดปลายเล็บ กรี ดใส่ข้อ มือตั ว เอง
โลหิตสาดพุ่งออกมา ไผ่ทะเลศพคล้ายดื่มเลือดทั้งหมดที่ราดรดลงไปยังลา
ไม้ไผ่จนเกลี้ยงฉาด
จู๋ จ้ า งเหล่ า เหริ น คล้ า ยชราลงยี่ สิ บ ปี ใ นชั่ ว พริ บ ตา ผมเผ้ า ทั้ ง หมด
กลายเป็นขาวโพลนทั้งศีรษะ
เก๋อไห่สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ล้วงไข่มุกไท่จี๋สีข าวดาออกมาอย่าง
ระมั ด ระวั ง ไข่ มุ ก นี้ มี ข นาดเท่ า ไข่ น กพิ ร าบ ไม่ มี สิ่ ง ใดโดดเด่ น สะดุ ด ตา
แม้แต่น้อย
แต่เซินอู๋ไฮ่พอเห็นไข่มุกไท่จี๋เม็ดนั้น พลันสีห น้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ น
ยาก ร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก “ไข่มุกหยินหยางไร้จากัด... ...” (หยิน
หยางอู๋จี๋จู)
หลีซู่สีหน้ากลายเป็นขาวเผือด
ไข่มุกหยินหยางไร้จากัดเป็นของวิเศษที่ลี้ลับมากชิ้นหนึ่ง ไม่ทราบว่า
ผู้ ใ ดหลอมสร้ า งขึ้ น ทั้ ง ยั ง ไม่ ท ราบว่ า หลอมสร้ า งขึ้ น มาเพื่ ออะไร มี ต้ น
กาเนิดลึกลับยิ่ง แรกเริ่มเดิมทีไข่มุกนี้ไม่มีผู้ใดรู้จัก แต่หลังจากเหตุการณ์
หนึ่ง ก็กลับกลายเป็นมีช่ อ
ื เสียงโด่งดังคับฟ้า
เหตุการณ์นั้นก็คือ ส านักที่มีส ามหยวนอิงกับอีกสิบหกจินตันถูก ล้ ม
ล้างในชั่วข้ามคืน
ผู้ลงมือมีเพียงคนเดียว
ข่าวนี้เมื่อแพร่ส ะพั ดออกไปย่ อมสะท้ านทั่ วสวรรค์สี่ดิน แดน ไข่มุก
หยินหยางไร้จากัดกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
ไข่มุกหยินหยางไร้จากัดมีข้อกาหนดที่เข้มงวดสาหรับผู้ใช้ นั่นคือผู้ใช้
ต้องอยู่ในด่านหยวนอิงขึ้นไป มันจะทาให้พลังปฐมของซิวเจ่อลุกไหม้อย่าง
รุ นแรง สร้างพลังอานาจน่าสะพรึงกลัวที่ช่วยให้ผู้ใช้ส ามารถทาลายล้าง
ศัตรู ด้วยระดับพลังที่เหนือล้ากว่าพลังปกติของตนหลายเท่า แต่เมื่อไข่มุก
สิ้นฤทธิ์ คนที่ใช้มันจะตาย
นี่เป็นหนึ่งในสมบัติหายากที่สามารถขู่ขวัญสานักใหญ่ได้!
ในเวลาเดียวกัน ไผ่ทะเลศพที่ด่ ืมเลือดจนอิ่มเอมพลันถูกปักลงไปใน
พื้นหิน ท่อนไผ่เริ่มยืดยาวออกมาช้า ๆ ภายในไม่กี่อึดใจ ก็ก่อเกิดสิ่งที่คล้าย
กับใบหน้า
ไม่กี่อึดใจให้หลัง ไผ่ทะเลศพก็แปลงรูปลักษณ์เสร็จสิ้นสมบูรณ์
เห็นตัวประหลาดหน้าเขียวเขี้ยวยาวปรากฏขึ้น แขนขายาวเหยีย ด
ยืนตัวตรงคล้ายมนุษย์ เรือนผมสีดาที่แหลมคมดุจเข็มงอกเงยจากศีรษะ
ทิ้งตัวลงไปถึงช่วงเอว
มันยืนนิ่งงันอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก ไม่มีดวงตา มีเพียงพลังงานสี
ดาสองกลุ่มลอยอ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้า
เวลาคล้ายหยุดนิง่ ลงอย่างกะทันหัน
เผชิญหน้ากับไข่มุกหยินหยางไร้จากัดและตัวประหลาดไผ่ทะเลศพ
พร้อมกัน กระทั่งเซินอู๋ไฮ่ยังขวัญหนีดีฝ่อ
“ฆ่ามัน!” จู๋จ้างเหล่าเหรินชี้ไปยังเซินอู๋ไฮ่ ตวาดอย่างดุร้าย
เซินอู๋ไฮ่เตรียมตัวต่อสู้เดิมพันชีวิต ตัวประหลาดที่ดุร้ายอามหิตนี้ ดู
ไม่ง่ายที่จะรับมือ
แต่ตัวประหลาดไผ่ทะเลศพกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว
“รีบด่วน! ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!” จู๋จ้างเหล่าเหรินอดตวาดซ้าอีกรอบไม่ได้
ตัวประหลาดไผ่ทะเลศพยังคงนิง่ งันเหมือนเดิม
ในเวลานี้เอง ผู้คนค่อยพบว่าตัวประหลาดไผ่ทะเลศพไม่ ใช่ ไ ม่ ย อม
ขยับเคลื่อนไหว เพียงแต่มันดูเหมือนกาลังจ้องมองใครบางคน... ...
มองตามสายตาของตัวประหลาดไผ่ทะเลศพ ทุกผู้คนพบว่าสายตา
ของมันจ้องเขม็งไปยังคนที่สวมหน้ากากสัมฤทธิ์
เหตุแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันนี้ ยามกะทันหันกลับทาให้ ทุกผู้คนนิ่ง
งันกันไปหมด
เป็นมัน?
เป็นมัน!
บัดนี้ทุกผู้คนค่อยตระหนักว่า พวกมันพากันละเลยคนลึกลับที่ส วม
หน้ากากสัมฤทธิ์ต้งั แต่ต้น!
ในเวลานี้เอง จั่วม่อหัวใจโลดขึ้นอย่างฉับพลัน มันจับได้แล้ว!
ระลอกคลื่นจากแท่นเซ่นสรวงบูชายันต์! มันสัมผัสได้แล้ว!
ตูม! สรรพสิง่ สารพันถาโถมเข้ามาในใจมัน!
ภายใต้ส ายตาหวาดระแวง งุนงงสงสัย ขบคิดคาดเดาและไม่เข้ า ใจ
ของทุกผู้คน จั่วม่อชูสองมือขึ้นตามจิตใต้สานึกสั่งการ
ด้วยท่วงท่าสภาวะดุจเดียวกันกับเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว!
บทที่ 506 ฝูงลูกแกะขาว

ตง!
ท่ ว งท านองทุ้ ม ลึ ก คล้ า ยกลองรบดั ง ขึ้ น อย่ า งฉั บ พลั น กั ง วานก้ อ ง
ออกมาจากส่วนลึกของวิห ารเทพ สุ้มเสียงนี้แปลกพิส ดารยิ่ง คล้ายเจาะ
ทะลวงเข้าไปในจิตใจผู้คนโดยตรง ท่วงทานองประหลาดไม่ว่าผ่านไปยังที่
ใด ล้ ว นบั น ดาลให้ เ ลื อ ดเนื้ อ ในร่ า งกายผู้ ค นไม่ อ าจควบคุ ม บั ง คั บ ได้ สั่ น
สะท้านขึ้นตามจังหวะในบัดดล
ทุกผู้คนกลายเป็นเงียบสงัดเสมือนตาย
ทุกการเคลื่อนไหว ทุกสรรพเสียง หลังจากเสียงคล้ายกลองรบนี้มาถึง
ล้วนหยุดชะงักขาดหายไป
ทุกผู้คนหยุดการกระทาทั้งหมดโดยไม่ได้ต้ังใจ หันมองไปยังส่วนลึก
ของวิห ารเทพ ไม่ว่าผู้ใดก็ถูกสุ้ม เสีย งพิส ดารที่ มาอย่ า งกะทันหั นนี้ เ ขย่ า
ขวั ญ สั่ น ประสาท กระทั่ ง สามหยวนอิง ที่ ก าลัง จะต่อสู้ แ ลกชี วิ ต ยั ง เผยสี
หน้าตื่นตะลึง
ในท่วงทานองของสุ้มเสียงที่ก้องกังวานมาจากวิหารเทพนี้ นาพาพลัง
อันยิ่งใหญ่ไพศาลอย่างเหลือเชื่อมาด้วย
ทุกผู้คนใบหน้าขาวเผือด
พลังขุมนี้ท้ังไพศาลและร้อนแรงเหมือนกระแสหินหลอมเหลวที่คลุ้ม
คลั่ง ดุจดั่งทะเลเพลิงเดือดพล่าน
เสียงใคนบางคนร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก ทาลายสภาพเงียบสงัด
ดุจป่าช้านี้ไป
ถูกเสียงร้องนี้ดึงดูดความสนใจ ทุกผู้คนหันขวับไปมองเป็นตาเดียว
จากนั้นค่อยพบเห็นภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าฉากหนึ่ง
เห็นลาแสงสีทองสายหนึ่ง ประดุจกระบี่ทองคาเล่มมหึมา แทงทะลุลง
มาจากความมืดมนเบื้องบนศีรษะของพวกมัน
เทียบกับลาแสงสีทองสายนี้ ไม่ว่ารัศมีแสงของเวทวิชาหรือค่ายกลใด
ที่ ก าลั ง ส าแดงเดช ล้ ว นดู ส ลั ว มั ว หม่ น ลงทั น ตา แสงสี ท องเจิ ด จรั ส มาก
เกินไป บาดตามากเกินไป จนผู้คนไม่อาจมองดูตรง ๆ
ท่ า มกลางรั ศ มี ล าแสงสี ท อง จั่ ว ม่ อ กางแขนราวกั บ ว่ า คิ ด โอบกอด
ลาแสงสายนี้เอาไว้ ร่างอาบไปด้วยแสงสีทอง มีชั้นพลังงานสีทองโคจรอยู่
รอบกาย ภายใต้ลาแสงเจิดจรัส หน้ากากสัมฤทธิด
์ าทะมึนผิดธรรมดา เป็น
ตัวตนอันขัดแย้งกับแสงสว่างเป็นคนละขั้ว ประหนึ่งว่าเป็นเงามืดที่ลึกล้า
ไร้ก้นบึ้งก็มิปาน
แสงสี ท องหนาแน่ น เข้ ม ข้ น ตกลงบนสองแขนที่ แ ผ่ อ อกกว้ า งของ
จั่ ว ม่ อ ไหลเวี ย นไปตามล าแขนราวกั บ ว่ า เป็ น ของเหลวสี ท องอั น หยุ่ น
เหนียว
จากนั้นลาแสงสีทองผนึกรวมตัวที่ปลายนิ้วของจั่วม่อ ค่อย ๆ สั่งสม
รวมรั้งจนใหญ่โตขึ้น เกิดเป็นหยดของเหลวสีทองหยดมหึมา แล้วสุดท้ายก็
หยดลงบนพื้ น ของเหลวสี ท องเมื่ อ หยดลงจากปลายนิ้ ว ชั้ น แสงสี ท อง
ภายนอกกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นจุดแสงประกายสีทอง ดูคล้าย
กลุ่มดาวระยิบระยับ
ของเหลวสีทองปริมาณมหาศาลหยดลงจากปลายนิ้วของจั่วม่อ ก่อ
เกิดริ้วแสงประกายทองหลายร้อยสาย คลับคล้ายขนนกทองคาที่เรียงราย
อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย งดงามตระการตาน่าดูชม
ทุกผู้คนล้วนปากอ้าตาค้าง
ตั้ ง แต่ ต้ น จนจบ นอกเหนื อ จากแวบแรกที่ จ่ั ว ม่ อ ปรากฎตั ว ต่ อ หน้ า
พวกมัน ก็ไม่มีผู้ใดเหลือบแลจั่วม่อผู้ถูกล้อมกักเอาไว้อีกเป็นหนที่สอง ไม่
ว่ามองจากมุมใด คนผู้นี้เป็นแค่ปลาในร่างแห เป็นลูกแกะน้อยที่ชาระล้าง
จนสะอาดสะอ้าน เพียงรอคอยขึ้นเขียงและลงมีดสังหารเท่านั้น แต่คนที่
ลงมีดจะเป็นผู้ใด นั่นยังต้องดูว่าหมัดของผู้ใดแข็ง แกร่ง กว่ า แต่ไม่ว่าจะ
อย่างไร ลูกแกะน้อยยังคงต้องประสบชะตากรรมเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง
จั่วม่อถูกปล่อยปละละเลย ทุกผู้คนไม่แยแสสนใจมันอย่างสิ้นเชิง
รอจนเมื่อลาแสงสีทองทะลวงลงมาจากฟากฟ้า ผู้คนพลันตระหนัก
ว่าลูกแกะน้อยตัวนี้หาได้ไร้พิษสงอย่างที่พวกมันคิดไม่
เซินอู๋ไฮ่ต อบสนองเป็นคนแรก ร้องตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “รีบฆ่า
มัน!”
ตง!
เสียงที่สองกังวานขึ้นอย่างกะทันหัน สั่นสะเทือนไปถึงไขกระดูกของ
ผู้คน ขัดจังหวะเสียงตวาดอย่างเดือดดาลของเซินอู๋ไฮ่กลางคัน ท่วงทานอง
ประหลาดนี้ไม่แยแสสนใจชั้นพลังคุ้มกายของพวกมัน หวดฟาดใส่ส่วนลึก
ที่สุดในใจพวกมันตรง ๆ
ความร้อนในวิหารเทพเพิ่มสูงพรวดพราดอย่างกะทันหัน อากาศแผด
เผาอย่างรุนแรง ร้อนลวกเสียจนดูคล้ายอากาศธาตุพลันลุกเป็นไฟขึ้นมา
ตง... ...ตง... ...ตง... ...
ท่วงทานองประหลาดก้องกังวานติดตามกันมาไม่ขาดสาย กระชั้นเร่ง
ร้อนขึ้นทุกขณะ
ยามนี้ทุกผู้คนค่อยค้นพบอย่างอกสั่นขวัญแขวน ว่าพวกมันคล้ายถูก
พลั ง แข็ ง กล้ า ที่ ม องไม่ เ ห็ น ล้ อ มกั ก เอาไว้ ไม่ ว่ า จะพยายามโคจรพลั ง
ต้านทานสักเท่าใดก็ไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว รอจนท่วงทานองเร่งเร้า
อย่างไม่หยุดยั้งขาดห้วง กระแทกกระทั้นไม่มีที่สิ้นสุด พลังงานและเลือด
เนื้อของพวกมันก็สั่นสะเทือนอย่างไม่อาจควบคุมบังคับ ยิ่งนานพลังงาน
และเลื อ ดเนื้ อ ก็ ยิ่ ง ปะทุ เ ดื อ ดพล่ า น ทุ ก ผู้ ค นใบหน้ า บั ด เดี๋ ย วแดงก่ า บั ด
เดี๋ยวดาทะมึน สลับสับเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง
ดวงตาของพวกมันเปลี่ยนจากตื่นตะลึงเป็นหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เซิ น อู๋ ไ ฮ่ ร้ อ ยไม่ คิ ด พั น ไม่ คิ ด ว่ า เรื่ อ งราวยั ง จะเกิ ด การเปลี่ ย นแปลง
เช่นนี้ได้ ต้องสานึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้ลงมือสังหารคนสวมหน้ากาก
ตั้งแต่ต้น การตัดสินใจผิดพลาดเพียงชั่ ววู บ กลับทาให้มันต้องเผชิ ญ กั บ
สถานการณ์สิ้นหวังถึงเพียงนี้
หากก่อนหน้านี้มันเพียงข้องใจอยู่บ้าง ว่าคนสวมหน้ากากสัมฤทธิ์ผู้นี้
เป็นลูกหลานของชนเผ่าเทพสุริยัน ยามนี้มันก็แน่ใจในฐานะของอีกฝ่าย
อย่างเต็มที่แล้ว
ท่วงทานองประหลาด ลาแสงสีทอง รวมถึงพลังที่ล้อมกักพวกมันทุก
คน เหล่านี้ท้งั หมดล้วนเป็นอานาจของวิหารเทพ
พลั ง อ านาจขุ ม นี้ เ ข้ ม แข็ ง ยิ่ ง เข้ ม แข็ ง เสี ย จนบั น ดาลให้ ผู้ ค นไม่
หลงเหลือความหวัง!
แต่เซินอู๋ไฮ่เมื่อเป็นผู้อาวุโสแห่งเทียนหวน ย่อมไม่ใช่คนที่จ ะละทิ้ ง
ความหวังเพียงเท่านี้ มันยังคงต่อต้านขัดขืน ในหมู่ผู้คนทั้งหมด มันล่วงรู้
เรื่องวิหารเทพมากที่สุด พลังขุมนี้แม้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เต็มไปด้วยพลา
นุภาพสยบใต้หล้า ลุกโชนเจิดจรัสอย่า งไม่ออมรั้ง แต่มิใช่ว่าไม่มีช่องว่าง
รอยโหว่
พลั ง อั น กล้ า แกร่ ง ราวกั บ ดวงอาทิ ต ย์ แ ผดเผาเจิ ด จ้ า อยู่ ก ลางเวหา
เรืองรองเสียจนผู้คนไม่อาจจ้องมองตรง ๆ
แต่เซินอู๋ไฮ่ไม่ยินดีรามือรอรับการจับกุม พลังเผาผลาญนี้แม้ยากจะ
ต้านทาน แต่ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรขุมนี้ มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย
ของการเผาผลาญโดยไม่คานึงถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไป
วิหารเทพแห่งนี้กาลังจะถึงจุดสิ้นสุด เช่นนั้นพลังเผาผลาญนี้สมควร
เป็นร่องรอยของพลังเสี้ยวสุดท้าย... …
ตราบเท่าที่... ...มันยืนหยัดต้านทานได้จนกว่าการเผาผลาญจะสิ้นสุด
ลง... ...
มันจะยังคงมีโอกาสสายหนึ่ง!
ข อ เ พี ย ง มี โ อ ก า ส แ ค่ ชั่ ว วู บ เ ซิ น อู๋ ไ ฮ่ เ ชื่ อ มั่ น ว่ า ส า ม า ร ถ พ ลิ ก
สถานการณ์ได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้สืบเชื้อสายแห่งสุริยัน แต่มันไม่เชื่อ
ว่าผู้อ่ น
ื สามารถควบคุมวิหารเทพ
เนื่องเพราะการกระทาเช่นนั้น จะต้องใช้พลังเทพ!
ผู้อ่ ืนต่อให้เป็นเชื้อสายแห่งสุริยันผู้หนึ่ง แต่ย่อมไม่มีทางฝึกปรือพลัง
เทพส าเร็จ บัดนี้ไม่มีดินแดนใดยังหลงเหลือพลังเทพ วิธีการฝึกปรือพลัง
เทพทั้งมวลล้วนหายสาบสูญไปในกองฝุ่นธุลีแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อไม่มี
พลั ง เทพ ต่ อ ให้ วิ หารเทพยอมรับ มั น แต่ แ น่ น อนว่ า ไม่อ าจควบคุ ม วิหาร
เทพได้
นี่เป็นเพียงการดิ้นรนก่อนตายของวิหารเทพเท่านั้น
เซินอู๋ไฮ่พลันสงบใจลง
แต่แล้วทันใดนั้นเอง สายตามันชะงักค้าง ร่างแข็งทื่อ หนาววูบไปถึง
ขั้วหัวใจ
เห็ น คนผู้ ส วมใส่ ห น้ า กากสั ม ฤทธิ์ ข ยั บ เคลื่ อนกายอย่ า งกะทั น หั น
ภายใต้หน้ากากที่ซ่อนอยู่ในเงามืดเปล่งเสียงห้วนกระด้างดิบเถื่อนออกมา
ร่างบิดไหวราวกับอสรพิษ กลายเป็นท่วงท่าสภาวะอันแปลกพิกล
แผงขนนกทองค าที่ ป ระกอบขึ้ น จากเศษริ้ ว พลั ง งานสี ท องสาดซั ด
ออกไปในอากาศตามปลายนิ้ ว ของจั่ ว ม่ อ กรี ด วาดเป็ น เส้ น สายอั น ลี้ลับ
คลุมเครือ ยากจะเข้าใจได้
พลังที่แปลกพิสดารสุดบรรยายพลันแผ่กระจายออกมาเป็นระลอก
เซินอู๋ไฮ่ที่เพิ่งจะสงบใจลงได้แท้ ๆ ยามนี้ถลึงตามองจั่วม่อราวกับพบ
พานผีสาง
นี่... ...นี่... ... นี่มัน... ...
พลังเทพ!
นี่คือพลังเทพ!
พลังเทพ... ...เป็นไปได้อย่างไรกัน... ....จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
เซินอู๋ไฮ่ร่างกายไม่อาจขยับเคลื่อนไหว จิต ใจยังขาวว่างเปล่าอย่าง
สิ้ น เชิ ง การค้ น พบอั น น่า ตระหนกนี้ ส าหรั บ มั น ไม่ต่า งจากฟ้า ผ่า ในวันที่
อากาศแจ่มใส!
นี่คือความคิดสุดท้ายของมัน
ล าแสงพลันสาดซัดลงมาจากฟ้า กลืนกินมันลงไปอย่างสมบูรณ์ มัน
รู้สึกสายตากระจ่างจ้า ขาวพร่างดุจหิมะ จากนัน
้ สติดับวูบไปทันที
ลาแสงหลายสิบสายสาดพุ่งลงมาจากวิหารเทพ ทุกผู้คนถูกแสงสีทอง
กักเอาไว้ ซิวเจ่อทั้งหมดล้วนถูกจับกุม ไม่ว่าจะมีพลังบาเพ็ญเพียรอยู่ใน
ระดับใด ล้วนสีหน้าแข็งค้างราวกับกลายเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง
ถึงตอนนี้จ่ัวม่อค่อยหยุดยั้งลง พลังงานสีทองบนร่างสลัวเลือนรางลง
มาก อ่อนจางจนคล้ายจะสลายไปได้ทุกเมื่อ
“ฮ่า ฮ่า... ...ฮั่ก!”
เสี ย งหั ว ร่ อ แหบพร่ า ดั ง ลอดออกมาจากหลั ง หน้ า กาก แต่ แ ล้ ว ก็
เปลี่ยนเป็นเสียงสูดลมหายใจแรง ๆ จั่วม่อเผยอยิ้มอย่างยากล าบาก มัน
อยากจะหัวร่อให้สุดเสียง แต่กล้ามเนื้อทุกส่วนล้วนเจ็บปวดบอบช้าไปหมด
กระทั่งกล้ามเนื้อบนใบหน้ายังเจ็บปวดอย่างรุ นแรง เพียงขยับตึงเล็กน้อย
ก็เจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ
แม้แต่กระดูกทุกชิน
้ ในร่างยังคล้ายจะหลุดกระจายเป็นชิน
้ ๆ เจ็บปวด
บอบช้ า ไปทั่ ว ทุ ก แห่ ง แต่ ท้ั ง หมดทั้ ง มวลยั ง ไม่ อ าจระงั บ ความภาคภู มิ
ลาพองและปิติยินดีที่มันรู้สึกได้
จากสภาพที่ต้องตายอย่างแน่นอน กลับสามารถพลิกสถานการณ์ได้
สาเร็จ ยังจะมีสิ่งใดน่ายินดีมากไปกว่านี้อีกเล่า?
มองไปยังกลุ่มคนที่ยืนนิ่งงันเหมือนรู ปปั้ นตรงหน้ ามัน จั่วม่อสีห น้า
พิกลยิ่ง คล้ายจะหัวร่อก็ไม่ใช่ จะทอดถอนใจก็ไม่เชิง
ลาแสงเหล่านี้คือพลังป้องกันของวิหารเทพ พวกมันสามารถตรึงร่าง
ของศัต รู และสะกดสติสัมปชัญญะของศัต รู เอาไว้ ทรงอานุภาพอย่างน่ า
แตกตื่นสะท้านใจ จั่วม่อเมื่อสัมผัส ถึงระลอกพลัง งานที่ มาจากแท่ น เซ่ น
สรวงบูชายัญ มันก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงสัญญาณลี้ลับที่มาจากแท่นเซ่นสรวงนี้
ในสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างแน่นอนเช่นนี้ จั่วม่อไม่มีทางเลือกอื่นใด ได้
แต่ทุ่มเทสื่อสารกับแท่นเซ่นสรวงโดยไม่คานึงถึงสิ่งใด
มันไม่ได้คาดฝันว่าจะทาสาเร็จจริง ๆ!
ทันทีที่ส่ ือสารสาเร็จ จั่วม่อพลันเข้าใจในบัดดล ว่าไฉนแท่นเซ่นสรวง
บูชายัญจึงได้ส่งสัญญาณออกมา
หลังจากถูกผนึกมานานนั บหมื่น ปี การปรากฏขึ้นอี ก ครั้ งของวิ ห าร
เทพ เป็นเหตุให้พลังงานที่หลงเหลือถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
วิหารเทพหลงเหลือพลังงานเพียงส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ เท่านัน

หากจั่วม่อไม่ได้เข้าแทรกแซง พลังงานเสี้ยวสุดท้ายนี้จ ะใช้เพื่อเผา
ผลาญวิห ารเทพให้กลับคืนสู่เถ้าธุลีในท้ายที่สุด ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมา
จากแท่นเซ่นสรวง เป็นสัญญาณเตือนก่อนการดับสูญของวิหารเทพนัน
่ เอง
แต่จ่ัวม่อผู้ต กอยู่ในห้วงอันตรายถึงชีวิต เมื่อประสบความส าเร็จ ใน
การสื่อสารกับแท่นเซ่นสรวง ก็เปลี่ยนไปใช้พลังงานเสี้ยวสุดท้ายนี้ทาการ
โจมตีอันร้ายกาจคราหนึ่ง!
พลังอานาจแห่งวิหารเทพกล้าแข็งสุดเปรียบปาน ต่อให้เป็นเพียงเศษ
เสี้ ย วสุ ด ท้ า ย ยั ง คงไม่ ใ ช่ สิ่ ง ที่ ปุ ถุ ช นเช่ น เซิ น อู๋ ไ ฮ่ กั บ พวกจะสามารถ
ต้านทานได้
ลาแสงที่ช่วยชีวิตจั่วม่อนี้มีนามว่า ‘ลาแสงสะกดใจอีกาทองคา’ เป็น
พลั ง ป้ อ งกั น ที่ ร้ า ยกาจที่ สุ ด ของวิ ห ารเทพ ผู้ ที่ ถู ก ล าแสงสะกดใจอี ก า
ทองคาจู่โจมใส่ จะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ กลับกลายเป็นร่างหุ่นแข็งทื่อตัว
หนึ่ง
ทว่าล าแสงสะกดใจอีกาทองคานี้ไม่มีพลังสังหารศัตรู โดยตรง ยิ่งไป
กว่านั้น หากร่างกายของคนเหล่านี้เกิดความเสียหาย พวกมันจะตื่นขึ้นจาก
การถู ก สะกดทั นที ขอเพี ย งพวกมัน รู้ สึก ตัว ชนชั้ น หยวนอิง เช่ นเซิ นอู๋ไฮ่
สามารถสังหารจั่ว ม่อ ได้ใ นชั่ ว พริ บตาที่มัน ฟื้ นคืนสติ โดยทั่วไปวิธี ก ารที่
วิหารเทพมักใช้จัดการกับศัตรู ที่ถูกพลังนี้สะกดเอาไว้ คือการโยนพวกมัน
เข้าไปในแดนผลาญเทพ ปล่อยให้พวกมันถูกแผดเผาจนตาย
นี่หมายความว่า ในยามนี้มันไม่มีปัญญาปลิดชีวิตคนเหล่านี้ได้... ...
จั่วม่อรู้สึกเศร้าเสียดายอยู่บ้าง แต่แล้วดวงตาพลันสว่างวาบ หัวร่อ
เสียงพิกลออกมา แน่นอน หลังจากเสียงหัวร่อก็ต้องตามมาด้วยเสียงสูดลม
หายใจอย่างเจ็บปวด
มันพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวด พาร่างอันบอบช้ามาถึงเบื้ อ ง
หน้าเซินอู๋ไฮ่
มองดูเซินอู๋ไฮ่ที่นิ่งงัน จั่วม่อดวงตาร้อนผ่าว เต็มไปด้วยความละโมบ
หิวกระหาย เริ่มตรวจค้นไปทั่วร่างเซินอู๋ไฮ่อย่างรวดเร็ว
ชุดเกราะปราณ แหวนมิติ อาวุธเวท... ...
ความลิงโลดยินดีที่มีต่อการการปล้นชิงสินสงคราม ทาให้จ่ัวม่อหลง
ลืมความเจ็บปวดไปเสียสิ้น ภายใต้ฝีมืออันถนัดจัดเจนถึงที่สุด เพียงชั่วอึด
ใจเดียว มันก็กวาดทรัพย์สมบัติท้งั หมดของเซินอู๋ไฮ่อย่างราบคาบหมดจด
เรียกได้ว่าหมดจดหมดสิน
้ แล้วจริง ๆ... ...จั่วม่อกระทั่งเสื้อผ้าชัน
้ ในยัง
ไม่หลงเหลือไว้ให้อีกฝ่าย!
เสื้อผ้าอาภรณ์เหล่านี้เป็นของดี!
ดวงตาอันแหลมคมของจั่วม่อเป็นประกายขึ้นมาทันที
หรูหราเหลือเกิน อา ช่างหรูหรายิ่งนัก!
ใช้กระแสเมฆรินไหลระดับห้าถั กทอเป็นพื้นฐาน ผสมผสานด้วยขน
นกของวิ ห คโลหิ ต ครวญคร่ า มี ค่ า ยกลทั ก ษะยุ ท ธ์ ส ามชุ ด ‘หล่ อ เลี้ ย ง’
‘สร้างเสริม’ และ ‘ทนทาน’ เสื้อผ้าชุดนี้สามารถขายได้สองร้อยชิ้นจิงสือ
ระดับห้าอย่างแน่นอน
สองร้อยชิน
้ จิงสือระดับห้า!
เจ้าไม่อาจโทษว่าเกอจริง ๆ!
จั่วม่อยิ้มกว้าง สองมือยิ่งพลิกพลิ้วรวดเร็วขึ้นอักโข
คนเหล่านี้หากไม่ใช่สุดยอดฝีมือก็เป็นผู้นาของขุมกาลังท้องถิน
่ ในหมู่
พวกมันผู้ใดไม่มั่งคั่งร่ารวย? จั่วม่อยามรีบร้อนไม่ได้ตรวจค้นอย่างละเอียด
นัก แต่ยังคงกวาดมาหมดสิ้นรวมทั้งชุดเกราะปราณและเสื้อผ้าอาภรณ์
ไผ่ทะเลศพ ไข่มุกหยินหยางไร้จากัด ระฆังลายโลหิต... ...
สองมื อ ของมั น รวดเร็ ว ถึ ง ขี ด สุ ด นี่ ไ ม่ ใ ช่ ค รั้ ง แรกที่ มั น กระท าเรื่ อ ง
เช่นนี้ ประสิทธิภาพในการรูดทรัพย์นับว่าสูงส่งเหนือคนทั่วไปมาก
กระทั่ ง นั ก ฆ่ า หน้ า กากที่ น่ า สงสารยั ง ไม่ อ าจรอดพ้ น ชะตากรรม
หลังจากรับบาดเจ็บภายใต้การจู่โจมถวายชีวิต ของหลีซู่ มือสังหารที่ร้าย
กาจผู้นี้กลับไม่ได้หลบหนีไปไหนไกล ยังคงลอบย่องเข้ามาใกล้ เร้นกายอยู่
ในเงามืด จิตเจตนาของมันย่อมเห็นได้ชัด มันกาลังเฝ้ารอโอกาสลงมือหวัง
ผลในจังหวะเวลาที่สาคัญที่สุด
แต่ ส าหรั บ วิ ห ารเทพ ทุ ก ผู้ ค นนอกจากจั่ ว ม่ อ ล้ ว นเป็ น ศั ต รู นั ก ฆ่ า
หน้ากากแม้สามารถหลบซ่อนตัวจากหูตาของผู้คน หรือยังจะสามารถตบ
ตาวิหารเทพได้? ดังนั้นถูกลาแสงสะกดใจอีกาทองคากักตัวเอาไว้เช่นกัน
สาหรับตัวประหลาดที่เกือบจะส่งมันไปโลกหน้าผู้นี้ จั่วม่อเต็มไปด้วย
ความเคียดแค้นชิงชัง ไม่จาเป็นต้องว่ากล่าวมากความ มันลงมือลอกคราบ
อีกฝ่ายจนสะอาดสะอ้าน แม้แต่หน้ากากขาวอันเป็นป้ายยี่ห้อของผู้อ่ ืนยัง
ไม่ละเว้น
เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ภายในวิหารเทพก็หลงเหลือแต่บรรดาหุ่นปั้ น
เปลือยเปล่าโล่งโจ้งกลุ่มหนึ่ง พวกมันถูกทิ้งให้อวดผิวขาวสะอาดสะอ้าน
อยู่กลางวิหาร ราวกับฝูงลูกแกะขาวที่เพิง่ ถูกถอนขนจนหมดสิน

“ฮ่า สบายตาน่าดูชมนัก!”
จั่วม่อเต็มไปด้วยความลิงโลดลาพอง รีบแล่นจากไปในบัดดล ลาแสง
สะกดใจอีกาทองคาอาจเหลือช่วงเวลาสาแดงพลังอีกไม่นานแล้ว
ท่านทั้งหลาย ขออาลาไปก่อน! ขอให้โชคดี!
บทที่ 507 สิ่งแรกที่ต้องรีบทา

เมื่อจั่วม่อมุดผ่านอาณาจักรลับแมกไม้ข จีกลับมาถึงเกาะเต่า ก็เป็น


เวลาที่วิหารเทพถล่มทลายลงเหมือนขอนไม้ผุพังพอดี เห็นเมฆฝุ่นมหึมา
ฟุ้งตลบ ทว่าเมฆฝุ่นยังไม่ทันกระจายตัว เพลิงผลาญพลันปะทุขึ้นจากส่วน
ลึกใต้พ้ น
ื โลกกลืนกินวิหารเทพทั้งหลังลงไป
ผู้คนที่เฝ้าชมดูความสนุกสนานพากันร้องอุทานอย่างแตกตื่น
เซินอู๋ไฮ่รู้สึกว่าฝ่ามือเจ็บแปลบ พลันฟื้ นคืนสติในบัดดล
ไฟ? ในครรลองสายตาของมันเต็มไปด้วยแสงสีแดงฉาน ทะเลเพลิง ?
ไฉนมันอยู่ในทะเลเพลิง?
ท่ า มกลางความงุ น งงสั บ สน มั น หนี ต ายออกจากทะเลเพลิ ง ตาม
สัญชาตญาณ ไม่มัวเสียเวลากล่าวคาใด รี บเร่งเร้าพลังปราณ ทะยานร่าง
ขึ้นสู่ท้องฟ้าในบัดดล
กลางเวหา เซินอู๋ไฮ่รู้สึกร่างกายเย็นวาบอย่างแปลกประหลาด ทาให้
สติเริ่มกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายมันรู้สึกเย็น ๆ โล่ง ๆ ... ... เป็นความรู้สึกที่แปลกพิกลยิง่ ... ...
ยังไม่ทันจะได้ข บคิดใคร่ครวญให้ดี ในเวลานี้เอง วู้ม วู้ม วู้ม เงาร่าง
หลายสายทยอยพุ่งออกมาจากวิห ารเทพ ผู้คนสิบกว่าคนปรากฏกายขึ้น
ใกล้ ๆ มัน
คนเหล่านี้ล้วนร่างส่ายโงนเงน สะบัดหน้าเร่า ๆ สีห น้าสับสนงงงวย
เล็กน้อย
เซินอู๋ไฮ่พอเห็นเงาร่างเหล่านั้นชัดตา พลันนิ่งขึงตะลึงลานอยู่กับที่ สี
หน้ า กลายเป็ น แปลกพิ ก ลยิ่ ง มั น ไม่ ว่ า มองไปยั ง ที่ ใ ด ก็ พ บเห็ น ร่ า งบุ รุ ษ
เปลือยเปล่าขาวโพลน คนเหล่านี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สวมใส่เสื้อผ้า ไม่มีผ้าผ่อน
ติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว
รอประเดี๋ยวก่อน... ... ความรู้สึกเย็นวาบ ๆ ... ...
เซินอู๋ไฮ่กม
้ ลงมองตัวเอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้า อัปลักษณ์สุดทน
ดู สิ่งที่ปรากฏขึ้นเต็มตาของมั นก็ คือผิ วหนั งเรีย บลื่นขาวโพลน ร่างกาย
ของมันเองก็เปลือยเปล่าโล่งโจ้ง อวดทุกอณูรูขุมขนอยู่กลางอากาศ
มันรู้สึกศีรษะลั่นอึงอล
เหล่ า ผู้ ช มเงี ย บกริ บ ดุ จ ป่ า ช้ า เซิ น อู๋ ไ ฮ่ ก วาดตามองพวกมั น อย่ า ง
รวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าทุกผู้คนล้วนตะลึงลานจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
สายตานับไม่ถ้วนจ้องเขม็งมายังร่างโล่งโจ้งของมันเป็นตาเดียว... ...
สายลมเหน็บหนาวยิ่ง... ...
เสียงหัวร่อพลันระเบิดออกมาอย่างคลุ้มคลั่งดุจสายน้าถาโถม
เอื้อ!
เซินอู๋ไฮ่รู้สึกลาคอหวานวูบ โลหิตฉีดพ่นออกจากปาก ร่างส่ายโงนเงน
ร่วงลิ่วลงไปยังทะเลเพลิงเบื้องล่าง
“ผู้อาวุโส!”
สุ้มเสียงอ่อนระโหยระคนตื่นตระหนกของหลีซู่ดังแว่วมาแต่ไกล เห็น
ร่างขาวโพลนสายหนึ่งสาดพุ่ง เข้ามาหามัน อย่างร้อนรน แต่ภาพเหล่านั้น
ในสติสัมปชัญญะที่ดับวูบลงอีกครัง้ ของเซินอู๋ไฮ่ดูพร่าเบลอเลือนรางยิง่

จั่วม่อกาลังตรวจสอบสินสงครามของมัน
ความมั่งคั่งของการเก็บเกี่ยวครั้งนี้เหนือความคาดหมายของมันไป
มาก มันแย้มยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู เวลานี้วิหารเทพถูกไฟกลืนกินลงไป
ช่ ว ยลบร่ อ งรอยทั้ ง หมดของมั น ไปตลอดกาล ไม่ มี ใ ครล่ ว งรู้ ว่ า ผู้ ที่ ส วม
หน้ากากสัมฤทธิ์คือมันเอง
แต่ก่อนหน้านั้น มีเรื่องมากมายที่ต้องกระทาให้เสร็จสิ้นโดยด่วน
อย่างเช่นเหล่าอาวุธเวทกองเท่า ภูเขา ที่สุมซ้อนสูงอยู่ในวงค่า ยกล
ตรงหน้ามัน
ในบรรดาอาวุธเวทเหล่านี้ มีรอยประทับวิญญาณมากมายแฝงเร้นอยู่
ภายใน จั่วม่อรีบก่อตั้งค่ายกลพิเศษเฉพาะขึ้นมาเป็นการด่วน เพื่อปิดกั้น
รอยประทั บ วิ ญ ญาณเหล่ า นี้ เ อาไว้ ก่ อ น หากมั น ไม่ ส ามารถลบล้ า งรอย
ประทั บ วิ ญ ญาณออกไปให้ ห มดสิ้น เช่ น นั้ น อาวุ ธ เวทเหล่า นี้ก็ ไ ด้ แต่ต้อง
ซ่อนเอาไว้ในค่ายกล มิเช่นนั้นก็เท่ากับรอให้ผู้อ่ ืนสืบเสาะมาคิดบัญชีกับ
มันแล้ว
จั่วม่อย่อมทราบกระจ่างดีแก่ใจ ว่าบรรดาผู้คนที่มันล่วงเกินในคราวนี้
ทรงพลังอานาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินถึงเพียงไหน
แต่จะอย่างไร การลบล้างรอยประทับวิญญาณหาใช่เรื่องยากลาบาก
สาหรับจั่วม่อไม่ มันมีเปลวไฟลายชั้นมหาทิวา มีหยดน้าลี้ลับเถาวัล ย์เขียว
และมีพลังเทพ ไม่ว่าของวิเศษชิ้นไหนในสามชิ้นนี้ ก็ส ามารถลบล้างรอย
ประทับวิญญาณได้ท้งั สิ้น
สิ่งที่มันต้องหาหนทางแก้ไขให้ได้เป็นอันดับแรก กลับเป็นอีกปัญหา
หนึ่ง ...นั่นคือหาวิธีป้องกันไม่ให้ผู้อ่ น
ื หามันพบ
เล่าลือกันว่าเทียนหวนมีซิวเจ่อที่เชี่ยวชาญวิชาพยากรณ์อยู่มากมาย
คนเหล่ า นี้ อ าจมองเห็ น มั น ผ่ า นการท านายชะตาได้ เมื่ อสู ญ เสี ย สมบั ติ
ส าคัญมากมายถึงเพียงนี้ เทียนหวนแน่นอนว่าจะไม่ยอมกล้ากลืน โทสะ
ของพวกมั น มิ เ พี ย งไม่ ย อมกล้ า กลื น เที ย นหวนมี แ ต่ จ ะแก้ แ ค้ น อย่ า ง
โหดเหี้ยมดุดันกว่าเดิม เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้คนทั้งหมด ว่าผู้ที่กล้า
เป็นศัตรูกับเทียนหวนจะต้องเผชิญกับผลสุดท้ายเช่นไร
จั่ ว ม่ อ ไม่ คิ ด เป็ น ไก่ ที่ ถู ก เชื อ ดเพื่ อข่ ม ขวั ญ วานร มั น ต้ อ งซ่ อ นเร้ น
ร่องรอยทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา
เคราะห์ดีที่มันมีผูเยา
“วิธีรบกวนการท านาย?” ผูเยาลูบคาง หรี่ต าลงเล็กน้อย ริมฝีป าก
บางเฉี ย บราวคมมี ด หยั ก โค้ ง จาง ๆ ประดุ จ คมมี ด เผยประกายแวววาว
เตรียมเชือดคอหอยผู้คน
จั่วม่อรีบพยักหน้าระรัว “ใช่แล้วใช่แล้ว”
ผูเยาจู่ ๆ หันไปถามเว่ย “เจ้ามีวิธีการใดบ้างหรือไม่?”
เว่ ย เหลื อ บมองจั่ ว ม่ อ “เสนอเครื่ อ งสั ง เวย แต่ อ ย่ า งน้ อ ยต้อ งมี ดวง
วิญญาณของชนชั้นหยวนอิง”
นี่ไม่ใช่ศาสตร์วิชาที่เว่ยมีฝีมือ
“ดวงวิ ญ ญาณของชนชั้ น หยวนอิ ง ?” จั่ ว ม่ อ ถามอย่ า งไม่ แ น่ ใ จ มั น
สงสัยว่าใช่ฟังผิดพลาดไปหรือไม่
“ใช่” เว่ยตอบอย่างจริงจัง “ข้าล่วงรู้เพียงวิธีเดียว”
จั่ ว ม่ อ หั น ขวั บ ไปมองผูเ ยาอย่า งไม่ รี ร อลัง เล ล้ อ ข้ า เล่ น หรื อ ไร ดวง
วิญญาณของชนชั้นหยวนอิง ต่อให้มีมันสิบคนยังไม่อาจฆ่าหยวนอิงผู้หนึ่ง
ได้
ผูเยาแย้มยิ้มอย่างเฉิดฉัน จั่วม่อจู่ ๆ บังเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
“ประเสริฐยิ่ง ข้าชมชอบการค้าที่มีผู้ข ายเพียงคนเดียว ข้าต้องการ
ราคาที่ดีงาม” รอยยิม
้ แหลมคมและชั่วร้ายของผูเยาทาเอาจั่วม่อถึงกับขน
ลุกเกรียว
ราคาที่ดีงาม... ...
จั่วม่อกล่าวอย่างโศกเศร้ากล้ากลืน “เอาเถอะ บอกราคาของเจ้ามา!”
“ครั้งนี้เจ้าได้ของดีมาไม่น้อยทีเดียว โอ้ กระดูกเหล่านั้นไม่เลวจริง ๆ
น่าเสียดาย... ...” ถ้อยคาของผูเยาเต็มไปด้วยความเศร้าเสียดาย
จั่วม่อสะดุ้งสุดตัว ทราบว่าผูเยากาลังกล่าวถึงโครงกระดูกที่มันพบใน
แดนผลาญเทพ เจ้ า ผู้ นี้ ถึ ง กั บ ลอบเล็ง เป้ า หมายเอาไว้ แ ล้ ว ที่ แ ท้ ก ระดู ก
เหล่านั้นเป็นของดีที่สุดในบรรดาสมบัติที่มั นได้รับในครั้งนี้! เจ้าอสูรเฒ่า
ต้องการกระดูกหยกดาจริง ๆ? จั่วม่อใจสั่นอยู่บ้าง แต่พอได้ยินผูเยากล่าว
คา ‘น่าเสียดาย’ ค่อยเบาใจลงเล็กน้อย
ทว่ า ผู เ ยาไม่ ไ ด้ ท าท่ า ‘น่ า เสี ย ดาย’ อย่ า งที่ ก ล่ า วมาแม้ แ ต่ น้ อ ย สุ้ ม
เสียงเปลี่ยนไปทันที “ผลดวงตะวันทั้งหมด และเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันอีก
หนึ่งร้อยเม็ด”
กล่าวจบก็มองดูจ่ว
ั ม่ออย่างยิ้มแย้ม
จั่วม่อที่เพิ่งจะคลายใจลงเล็กน้อย ต้องสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ
หัวใจกระตุกวูบ มีดนี้ของผูเยาเชือดได้ลึกล้าหมดจดโดยแท้! ผลดวงตะวัน
เหล่านั้นเป็นของดี แต่เมล็ดพันธ์ดวงตะวันยิ่งมีคุณค่าเหนือกว่ามาก จั่วม่อ
แม้กอบโกยเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันมาได้ไม่น้อย แต่หากต้องจ่ายค่าตอบแทน
ให้ผูเยาหนึ่งร้อยเม็ด จานวนรวมทั้งหมดก็จะลดน้อยลงมากแล้ว
แต่ จ่ั ว ม่ อ ทราบกระจ่า งแก่ ใ จ ว่ า ไม่ อ าจเปิ ด โอกาสให้ ผูเ ยาได้ กล่าว
วาจาเป็นครั้งที่สอง มิเช่นนั้น... ...
จั่วม่อขบกรามแน่น รีบพยักหน้าแรง ๆ “ตกลง!”
“ช่างรวบรัดหมดจดนัก!” ผูเยาชมเชยคาหนึ่ง แต่ใบหน้าหล่อเหลาไม่
แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ตวัดมือซัดลูกกลมแสงให้จ่ัวม่อดวงหนึ่ง “รับ
ไว้”
จั่วม่อรับลูกกลมแสงเอาไว้ทันควัน วิธีการแปลก ๆ หลายชนิดไหลบ่า
เข้ามาในใจมัน
มั น ไม่ พู ด พล่ า มท าเพลง รี บ ออกจากทะเลแห่ งจิ ต ส านึก เริ่ ม ศึ ก ษา
ค้ น คว้ า อย่ า งเร่ ง ด่ ว น ถึ ง ตอนนี้ มั น ไม่ ก ล้ า เสี ย เวลาแม้ แ ต่ ชั่ ว ครู่ ชั่ ว ยาม
เรื่ อ งราวมาถึ ง ขั้ น นี้ มั น ต้อ งแข่ง กั บ เวลา ต้ อ งเตรี ย มพร้ อ มป้ องกั น ตัวให้
เสร็ จ สิ้ น เสี ย ก่ อ น ต้ อ งหลี ก เลี่ ย งจากเภทภั ย โดยเร็ ว ที่ สุ ด หากมั น มั ว แต่
ล่าช้า ถึงตอนนัน
้ ไม่ว่าความพยายามใดล้วนสายเกินไป
ในทะเลแห่งจิตส านึก เว่ยพลันแย้มยิ้มอ่อนโยน “ฝีมือเจรจาการค้า
ของเจ้าไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าข้าต้องร่าเรียนจากเจ้าเสียบ้าง”
“ถูกของเจ้า” ผูเยาขยิบตาสีเลือดให้ทีหนึ่ง สีหน้าโอ่อ่าเที่ยงธรรมยิ่ง
ไม่มีร่องรอยเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายแม้แต่น้อย
ทั้งสองสบตากันวูบ จากนั้นต่างแยกย้ายหายวับไปคนละทาง

กระดานหมากรุกสัตว์ร้ายแดนร้าง
หนานเยว่คร่าเคร่งฝึกปรืออย่างบ้าคลั่ง ดวงตาหลับพริ้ม สีหน้าจดจ่อ
รวมรั้ง สองมือจรดอยู่เคียงกัน ราวกับว่านางกาลังถือคันธนูที่มองไม่เห็น
คันหนึ่ง ศาสตร์เกาทัณฑ์สวรรค์แดนใต้ของนางรุ ดหน้าไปอย่างรวดเร็วดุจ
ติดปีกบิน ระดับความก้าวหน้าของนางอาจเรียกได้ว่า หนึ่งวันเดินทางเป็น
พันลี้
ภาพรอบกายนางแปรเปลี่ ย นไม่ ห ยุ ด ยั้ ง สองมื อ ของนางก็ เ ปลี่ ย น
ตาแหน่งอยู่ตลอดเวลา แต่สองมือของนางคล้ายมีสายใยบางเบาเชื่อมโยง
เอาไว้ด้วยกันเสมอ
จิ ต ส านึ ก ของนางพิ เ ศษเฉพาะยิ่ ง ประดุ จ คลื่ นน้ า ที่ ม องไม่ เ ห็ น แผ่
กว้ า งออกไปไม่ รู้ จ บ เมื่ อ คลื่ นน้ า กระทบถู ก ศั ต รู จะส่ ง ผ่ า นข้ อ มู ล อย่ า ง
ละเอียดกลับมาหานางอย่างรวดเร็ว
ภาพรอบข้างยังคงแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง เต็มไปด้วยภาพจริงภาพลวง
ที่ยากจะแยกแยะออกจากกันได้
ท่ า มกลางศาสตร์ อ สู ร จริ ง ลวงเหล่ า นี้ หนานเยว่ ต้ อ งหาเป้ า หมาย
แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายในนั้นให้พบ
นางย่อมไม่ได้ฝึกปรือเช่นนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งความจริงนางถูกกักขังไว้
ในภาพมายาแทบทุกวัน
นับตั้งแต่พวกนางถูกฝากฝังไว้ภายใต้การสั่งสอนของผูเหล่าซือ ทุก
คนก็ต้องเผชิญกับการฝึกฝนอันแปลกประหลาดทุกชนิด หลายคนแอบบ่น
อย่างไม่พอใจ การฝึกฝนของผูเหล่าซือมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่สิ่ง
ที่ทาให้ผู้คนบ่นว่าตาหนิ ก็คือทุกการฝึกฝนของผูเหล่าซือนั้นยากเย็นแสน
เข็ญยิ่ง ผูเหล่าซือยังอารมณ์แปรปรวนยิ่ง หากพวกมันไม่สามารถเสร็จสิ้น
การฝึกอย่างสมบูรณ์ ผลสุดท้ายของพวกมันจะเลวร้ายสุดคาดคิด หลาย
คนจึงอดขุ่นเคืองใจไม่ได้
แต่หนานเยว่ไม่เคยมีโทสะแม้แต่น้อย
พลังฝีมือของผูเหล่าซือเหนือล้ากว่ายอดฝีมือทุกคนที่นางเคยพบเห็น
มาก่อน บรรดาเหล่าซือในตาหนักศาสตร์อสูรเมื่อเทียบกับผูเหล่าซือ เรียก
ได้ว่าห่างไกลกว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้ ภาพมายาที่ใช้สาหรับฝึกปรือทั้งหมด
ในที่นี้ ผูเหล่าซือเพียงโบกมือคราเดียวก็สร้างเสร็จสิ้น ฝีมือศาสตร์อสูรอัน
เลิศพิสดารถึงเพียงนี้ ผู้คนก็ได้แต่ตะลึงลานจนวิญญาณแทบหลุดลอยแล้ว
มี เ หล่ า ซื อ ที่ ล้ า เลิ ศ ถึ ง เพี ย งนี้ ค อยชี้ แ นะพวกมั น ยั ง จะให้ พ วกมั น
คาดหวังสิง่ ใดอีกเล่า?
หนานเยว่ มิ เ พี ย งไม่ เ กี ย จคร้ า นสั น หลั ง ยาว ยั ง ขยั น ขั น แข็ ง มาก
กว่าเดิม นางทราบกระจ่างแก่ใจว่าโอกาสที่หายากนี้เป็นเช่นไร!
นางไม่ ใ ช่ ค นเดี ย วที่ ล่ ว งรู้ หมิ ง เจวี๋ ย จื่ อ คั ง เจ๋ อ และคนอื่ น ๆ ก็ ล้ ว น
ทราบดีแก่ใจ พากันฝังศีรษะอยู่กับการฝึกปรืออย่างคร่าเคร่ง ด้วยเกรงว่า
จะพลาดโอกาสอันดีง ามนี้ ไป เหล่าผู้อาวุโสของตระกูล คังถึง กั บกวดขั น
สมาชิ ก ตระกู ล คั ง อย่ า งเข้ ม งวด ผู้ ที่ ไ ม่ ทุ่ ม เทฝึ ก ปรื อ อย่ า งหนั ก จะถู ก ลง
ทัณฑ์ตามกฏของตระกูล
การที่เลือกกระดานหมากรุ กสัตว์ร้ายแดนร้างมาทาเป็นพื้นที่ฝึกปรือ
แท้ ที่ จ ริ ง เกิ ด จากความอั บ จนปั ญ ญา โชคดี ที่ ก ระดานหมากรุ ก สั ต ว์ ร้ า ย
แดนร้ า งกว้ า งใหญ่ ไ ร้ ที่ สิ้ น สุ ด ไม่ มี ผู้ ใ ดสั ง เกตเห็ น มุ ม พื้ นที่ ที่ พ วกมั น
ครอบครอง ผู้ที่ส ามารถมองผ่านภาพมายาของผูเยามีอยู่น้ อยนิด จนน่ า
เวทนา และคนเหล่านี้ย่อมไม่มีกิจธุระอันใดให้ต้องมาเยือนกระดานหมาก
รุกสัตว์ร้ายแดนร้างเสียด้วย
เวลานี้เอง ผูเยาปรากฏตัวขึ้นในกระดานหมากรุ กสัต ว์ร้ายแดนร้ า ง
เหมือนเช่นทุกวัน
“มาตรฐานย่ า แย่ จ ริ ง ๆ!” ผู เ ยากวาดตามองบรรดาอสู ร ที่ ก าลั ง
ฝึกปรือ อดขมวดคิ้วอย่างขุ่นข้องไม่ได้
มันย่อมมีคุณสมบัติพอให้ประเมินเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็อดนึกถึง
ค่ายเว่ยไม่ได้ อารมณ์จึงยิ่งขุ่นมัวลงกว่าเดิม ในสายตามันฝีมือของค่ายเว่ย
ไม่ได้สูงเยี่ยมกระไรนั ก แต่เมื่อเทียบกับสามเณรน้อยเหล่ านี้ พวกมันยั ง
นับว่าดีกว่ามาก
เวลานี้ค่ายเว่ยตกอยู่ในมือของเว่ย เมื่อถูกหลอกลวงมาครั้งหนึ่ง ผูเยา
ย่อมไม่ยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นทุ่มเทความคิดจิตใจอยู่ที่หนานเยว่กับพวก
เว่ยไม่สามารถผ่านเข้ามาในคุกสิบนิ้วได้ จึงไม่อาจรู้เห็นสิ่งที่ผูเยากระทา
อยู่ในนี้
พอคิดเช่นนี้ ผูเยาอารมณ์ผ่องใสขึ้นเล็กน้อย
แต่ เ มื่ อ เห็ น ตัว โง่ งมเหล่า นี้ ฝึก ปรื อ สิ่ง ที่ ใ นสายตามัน เรี ยกได้ ว่ าเป็น
ศาสตร์อสูรขั้นพื้นฐานที่สุดอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ อารมณ์ผ่องใสของมันก็
ระเหยหายไปทันควัน
ผูเยาตั้งใจจะใช้คนเหล่านี้ก่อตั้งค่ายแห่งใหม่ ดังนั้นแรกเริ่มเดิมทีจึง
ให้พวกมันฝึกปรือกระบวนทัพ แต่มันก็ค้นพบอย่างรวดเร็ วว่าคนเหล่านี้ไร้
ฝีมือเป็นอย่างยิ่ง อาศัยมาตรฐานพลังฝีมืออันเลวร้ายของคนเหล่านี้ ไม่ว่า
จะฝึกปรือกระบวนทัพมากเท่าใด ก็ไม่อาจเทียบเทียมกับค่ายเว่ยได้
ดั ง นั้ น ผู เ ยาได้ แ ต่ สั่ ง สอนวิ ช าศาสตร์ อ สู ร ให้ แ ก่ พ วกมั น ด้ ว ยตั ว เอง
เท่านั้น
และแม้ว่าหนานเยว่กับพวกจะรุ ดหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่น้อยก็ตาม
แต่สาหรับผูเยาที่ไม่มีความอดทนอดกลั้น ระดับความก้าวหน้าเพียงเท่านี้
ยังไม่เพียงพอ
แต่คาดไม่ถึงว่าจั่วม่อจะสามารถเข้าไปวิห ารเทพ และฉกฉวยสมบัติ
วิ เ ศษมากมายตั ด หน้ า คนเดนตายเหล่ า นั้ น ผู เ ยาเพ่ ง เล็ ง ไปที่ ส มบั ติ
บางอย่างทันที
และที่ ประจวบเหมาะยิ่งไปกว่านั้น จั่วม่อบังเอิญมีเรื่องมาขอความ
ช่วยเหลือจากมันพอดี ทาให้ผูเยาได้รับผลดวงตะวันและเมล็ดพันธุ์ด วง
ตะวันจานวนมากสมความตั้งใจ
แวบแรกที่ พ บเห็ น ผลดวงตะวั น กั บ เมล็ ด พั น ธุ์ ด วงตะวั น ผู เ ยาต้ อ ง
หวั่ น ไหวใจขึ้ น มา มั น จดจ าสมบั ติ วิ เ ศษทั้ ง สองชนิ ด นี้ ไ ด้ พวกมั น เป็ น
เช่นเดียวกันกับดวงวิญญาณทองคาของตระกูล คัง และสามารถนาเข้าสู่
คุกสิบนิ้วเช่นกัน
“สมบัติวิเศษเช่นนี้ต้องนามาใช้กับพวกเจ้า นับว่าเสียของโดยแท้”
ผูเยาบ่น พึมพากับตัวเอง ขณะเดียวกันผลดวงตะวันและเมล็ดพันธุ์
ดวงตะวันในมือมัน พลันเปล่งแสงอันน่าลุ่มหลงตาย
บทที่ 508 จัดการกับทรัพย์สมบัติ ( ตอนต้น )

หลังจากลบร่องรอยทั้งหมด จั่วม่อค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
กล่าวได้ว่าผูเยามีฝีมืออย่างแท้จ ริง ตามวิธีลับที่มันซื้อขายมาจากผู
เยา จั่วม่อได้หลอมสร้างจี้หยกหมอกยมโลกชิ้นหนึ่ง จี้หยกหมอกยมโลกมี
ขนาดพอ ๆ กับม้วนหยกทั่วไป ดูไปไม่มีใดโดดเด่นสะดุดตา แต่วัตถุดิบที่ใช้
หลอมสร้างทั้งหมด มีราคาค่างวดสามชิน
้ จิงสือระดับหก
เป็นจิงสือระดับหก ถึงสามชิ้นเต็ม ๆ
เมื่อจั่วม่อนาวัต ถุดิบเหล่านี้ออกไป เปาอี้สีห น้าละห้อยหดหู่เหมือน
ชีวิตจบสิ้นแล้ว เหม่อมองคลังสินค้าที่ว่างเปล่าไปหลายส่วน เจ็บปวดใจจน
แทบฆ่ า ตั ว ตาย และในฐานะผู้ ดู แ ลคลั ง สิ น ค้ า อารมณ์ ข องเปาอี้ ต ลอด
หลายวันหลังจากนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัวยิ่ง ผู้คนที่มาเบิกวัต ถุดิบแทบไม่มี
ผู้ใดเข้าหน้ามันติด
แต่จี้หยกหมอกยมโลกก็นับว่าคุ้มค่าสมราคาอย่างแท้จริง หากจั่วม่อ
มีฝีมือทางการทานาย มันจะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมันถูกปกคลุมไป
ด้วยหมอกแปลก ๆ ไม่สามารถมองเห็นสิง่ ใดได้
ด้วยจี้หยกหมอกยมโลกชิ้นนี้ จั่วม่อค่อยเบาใจลง ในที่สุดค่อยมีเวลา
สบาย ๆ และอารมณ์ผ่องใสพอที่จะจัดการกับทรัพย์สมบัติที่ได้รับมาจาก
วิหารเทพสุริยัน
เมื่อลงมือจัดการกับผลการเก็บเกี่ยวของมัน จั่วม่อตื่นเต้นเร้าใจสุด
ระงับ!
เห็นผลจากการลงทุนลงแรงของมันกองสุมซ้อนเป็นภูเขาเลากา ไม่ว่า
ชิ้นใดล้วนเป็นของวิเศษที่หาได้ยาก
ผลกาไรส่วนที่ใหญ่ที่สุดคือเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน เมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน
ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายหมื่ นปี เป็นปริมาณอันน่ าตระหนกนั ก
แม้ว่าถูกผูเยาปล้นชิงไปหนึ่งร้อยเม็ด ยังคงหลงเหลืออีกเป็นจานวนมาก
แต่ในบรรดาทรั พย์ส มบัติก องโตนี้ สิ่งที่ส ะดุดตามากที่สุด มีอ ยู่ ส าม
รายการ หนึ่งคือใบไม้ทองคา สองคือพฤกษาเทพสุริยัน และสามย่อมต้อง
เป็นกระดูกหยกดา
ใบไม้ทองคานี้มันไม่ทราบว่าเป็นใบอะไร ตลอดทั้งใบเป็นสีทองอร่าม
ประกอบขึ้ น จากวั ต ถุ ดิ บ ที่ ห นั ก หน่ ว งผิ ด ธรรมดา ทุ ก เส้ น สายลวดลาย
ละเอียดซับซ้อนยิ่ง แรกเริ่มเดิมทีจ่ัวม่อเข้าใจว่าใบไม้นี้เป็นใบของพฤกษา
เทพสุริยัน แต่เมื่อลองนามาเปรียบเทียบดูในภายหลัง ค่อยพบว่าใบไม้ท้ัง
สองชนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นับหมื่นปีล่วงผ่าน แต่ใบไม้ทองคายังคง
แผ่ซ่านพลังชีวิตจาง ๆ ออกมา เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย
จั่ ว ม่ อ ถื อ ใบไม้ สี ท องอยู่ ใ นมื อ รู้ สึ ก ถึ ง พลั ง ชี วิ ต จาง ๆ ที่ ไ หลผ่ า น
ออกมาจากใบไม้ อดประหลาดใจไม่ได้
ใบไม้ทองคานี้ถูกจัด วางอยู่ ในต าแหน่ งที่ผ่ านการใคร่ ครวญมาเป็ น
อย่างดี เพียงมองปราดเดียวก็สามารถเห็นได้ว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดาสามัญ
แต่ไม่ว่าจะพลิกตรวจสอบดูสั กกี่รอบ กลับไม่อาจระบุได้ว่าสิ่งผิดปกติอยู่
ตรงที่ใด
จั่วม่อพลันฉุกใจคิด ทดลองโคจรพลังเทพสายหนึ่งเข้าไปในใบไม้
ตูม!
กระแสความคิดมากมายราวกับคลื่นน้าพิโรธ ไหลบ่าเข้ามาในใจมัน
อย่างเร่งร้อน
มั น คล้ า ยตกลงสู่ น ภาดาวอั น ไร้ ขี ด จ ากั ด เห็ น ดวงดารานั บ ไม่ ถ้ ว น
หมุนรอบกายมัน ฉุดดึงมันจากทุกทิศทาง ทะเลความคิดตั้งแต่ยุคโบราณ
อั น ไกลโพ้ น ประดุ จ นภาดาวอั น กว้ า งไพศาลและลึ ก ล้ า สุ ด หยั่ ง ในชั่ ว
พริบตานี้มันสูญเสียตัวเองอย่างสิ้นเชิง!
ดวงดาวแปรเปลี่ ยนไม่ ห ยุด ยั้ ง ในห้ ว งความว่ า งเปล่า อันลึก ล้าและ
มืดมน ลาแสงอ่อนจางที่แทบไม่สามารถมองเห็นได้ผุดขึ้นอย่างกะทันหัน
ลาแสงสว่างจ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็สุกใสเรืองรอง
ดุ จ หมู่ ด าวพร่ า งพราวจากส่ ว นลึ ก ของนภาด าทะมึ น งดงามตระการสุ ด
บรรยาย
แต่ ค วามงดงามนี้ ผ นึ ก รวมรั้ ง เพี ย งชั่ ว พริ บ ตา จากนั้ น ล าแสงอั น
ร้อนแรงทะลวงผ่านความมืดอันกว้างใหญ่ กลืนกินจั่วม่อลงไปในบัดดล!
จั่วม่อไม่มีเวลากระทั่งจะหลับตาลง แต่ความเจ็บปวดที่คาดคิดเอาไว้
กลับไม่ได้บังเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเสียงเพลงอันลี้ลับโบร่าโบราณไม่ทราบล่องลอยมาจากที่ใด
จั่วม่อกลับบังเกิดความรู้สึกสนิทชิดเชื้ออย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย มัน
แม้รับฟังไม่เข้าใจ ทว่า พอได้ยินท่วงทานองอันห่างไกล จิต ใจอันรุ่มร้อน
กระวนกระวายพลันสงบลง จ่อมจมอยู่ในห้วงเคลิบเคลิ้มมึนเมา
ฟั ง ไปฟั ง ไป จั่ ว ม่ อ ทั น ใดนั้ น ค้ น พบว่ า พลั ง เทพอั น อ่ อ นจางจนน่ า
เวทนาในร่ า งมั น เริ่ ม โคจรด้ ว ยตั ว เองไปตามทิ ศ ทางที่ ไ ม่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ
ความคิดของมัน
นี่คือ... ...
ความคิดอันอุกอาจประการหนึ่งปรากฏขึ้นในใจจั่วม่อ
แต่ พ อความสนใจของมั น หั น ไปทางนั้ น พลั ง เทพในกายมั น พลั น
ถดถอยกลับไปทันที ราวกับมุสิกขี้ขลาดตัวหนึ่ง
จั่วม่อรีบเพ่งสมาธิจิตใจกลับมายังเสียงเพลงประหลาด ในไม่ช้าพลัง
เทพในกายมันก็เริ่มโคจรด้วยตัวเองอีกครั้ง เคลื่อนผ่านไปทั่วร่างของจั่วม่
ออย่างแช่มช้า
จั่วม่อลอบจดจาเส้นทางที่พลังเทพโคจรหมุนเวียนไปทั่วร่าง
นี่แปลกประหลาดยิ่ง แปลกประหลาดอย่างที่คาดเอาไว้จริง ๆ!
เส้นทางโคจรของพลังเทพแปลกพิสดารยิ่ง ผิดแผกแตกต่างจากพลัง
ทั้ ง สามโดยสิ้ น เชิ ง ไม่ ไ ด้ ไ หลเวี ย นไปตามเส้ น ชี พ จรปราณเหมื อ นพลั ง
ปราณ ไม่ได้คงอยู่ในทะเลแห่งจิต สานึกเฉกเช่นพลังจิตส านึก ทั้งยังไม่ได้
กลั่ น เกลาจนบริ สุ ท ธิ์ และแทรกซึ ม เข้ า ไปในเลื อ ดเนื้ อกระดู ก ของมั น
เหมือนทักษะปิศาจ
แนวทางโคจรของพลังเทพทั้งครอบคลุมเส้นชีพจรปราณ ล่วงผ่าน
เข้าไปในทะเลแห่งจิตสานึก ตลอดจนเลือดเนื้อกระดูกทั้งหมด แต่แตกต่าง
กับวิถีบาเพ็ญเพียรแนวทางหลักตั้งแต่รากฐาน
ทันใดนั้น ร่องรอยความเหนื่อยล้าพลุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน เสียงเพลง
กลายเป็นไกลห่างออกไปทุกขณะ
จั่วม่อใจหายวูบ!
เมื่อมันลืมตาขึ้น เสียงเพลงก็หยุดลงทันที มันก้มลงมองใบไม้ทองคา
ในมือ เห็นใบไม้ทองคาค่อย ๆ หม่นแสงลง จั่วม่อรีบตรวจสอบใบไม้ทองคา
เห็นว่าใบไม้สีทองแม้หม่นแสงลง แต่ร่องรอยพลังชีวิตที่แฝงอยู่ภายในยัง
ไม่ได้หายไปด้วย ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
ยังดีที่ไม่ใช่สมบัติที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว!
ประเสริฐ ประเสริฐยิง่ !
ถึงตอนนี้ จั่วม่อคลับคล้ายว่าจะเข้าใจวิธีใช้ใบไม้ทองคาบางส่วน ของ
วิเศษนี้สมควรเป็นสมบัติที่ ชนเผ่าเทพสุริยัน ใช้ถ่ายทอดคัมภีร์เคล็ดวิชา ดู
จากด้านนี้ใบไม้ทองคาก็คล้ายคลึงกับม้วนหยกอยู่บ้าง แต่จ่ัวม่อยังคงรู้สึก
ว่านี่ไม่ควรเป็นแค่ ‘ม้วนหยกใบไม้ทองคา’ เท่านั้น สมควรมีประโยชน์ ใช้
สอยอย่างอื่นอีก
เมื่ อเที ย บกั บ ใบไม้ ท องค าแล้ ว ประโยชน์ ใ ช้ ส อยของพฤกษาเทพ
สุ ริ ยั น เรี ย บง่ า ยกว่ า แต่ จ่ั ว ม่ อ ยั ง มี ปั ญ หาประการหนึ่ง ติด ค้ า งอยู่ ใ นใจ...
พฤกษาเทพสุริยันนี้ที่แท้สมควรจัดอยู่ระดับใด?
ของวิเศษนี้อย่างน้อยก็เป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่แห่งชนเผ่าเทพสุริยัน ถูก
ขนานนามว่าพฤกษาเทพ แม้แต่เมล็ดพันธุ์ดวงตะวันที่ผลิตออกมายังโดด
เด่นเหนือธรรมดา อย่างน้อยสมควรไม่ต่ากว่าระดับเจ็ดกระมัง!
จั่วม่อขบคิดอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
อย่างไรก็ตาม มันแม้ไม่สามารถระบุระดับที่แน่นอนของพฤกษาเทพ
สุริยันได้ แต่เรื่องนี้ย่อมไม่อาจขัดขวางไม่ให้มันใช้ประโยชน์จากพลังของ
พฤกษาเทพ ชนเผ่าเทพสุริยันปลูกพฤกษาเทพสุริยัน เพื่อเก็บเกี่ยวผลดวง
ตะวันและเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน ทว่าจั่วม่อย่อมไม่มีความอดทนเฝ้าปกป้อง
คุ้มครองพฤกษาเทพสุริยันเป็นเวลานานถึงเพียงนั้น
ไม้ข องพฤกษาเทพสุริยันสมควรเป็นวัต ถุดิบชั้นเลิศ แต่มันไม่ล่วงรู้
วิธีใช้งานที่เฉพาะเจาะจง
อีกทั้งกับพฤกษาเทพโบราณที่มีชีวิตรอดมานานหลายหมื่นปี จั่วม่อ
คงไม่บ้าพอที่จะตัดไม้ไปหลอมสร้างเป็นอาวุธเวท นั่นสิ้นเปลืองสูญเปล่า
เกินไปแล้ว
หลังจากขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ จั่วม่อเกิดความคิดดี ๆ อย่างรวดเร็ว
มันพลิ้วกายขึ้นไปบนท้อ งฟ้ า กวาดตามองไปรอบ ๆ เกาะ จากนั้น
พลันมุ่งหน้าไปทางใต้สุดของเกาะ เพียงเหินบินไม่นานนัก มันก็ทิ้งร่างลง
บนยอดเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แล้วตรงเข้าไปในถ้า
ทันทีที่เข้าไปในถ้า พลังธาตุไฟอันเข้มข้นพลุ่งเข้าปะทะใบหน้า
บนเกาะเต่ามีถ้าธาตุไฟอยู่ห้าแห่ง นี่เป็นหนึ่งในถ้าเหล่านั้น ในอากาศ
เต็ ม ไปด้ ว ยกลิ่ น ก ามะถั น จั่ ว ม่ อ สี ห น้ า พออกพอใจยิ่ ง ถ้ า ธาตุ ไ ฟแห่ ง นี้
เชื่อมต่อกับเพลิงพิภพ นับเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสาหรับปลูกพฤกษา
เทพสุริยัน
วิหารเทพสุริยันก็มีช่องทางเชื่อมต่อถึงเพลิงพิภพ หากมิใช่ว่าถูกหล่ อ
เลี้ ย งรั ก ษาด้ ว ยเพลิ ง พิ ภ พ พฤกษาเทพสุ ริ ยั น ต้ น นี้ ย่ อ มไม่ อ าจอยู่ ร อด
ปลอดภัยมาได้นานถึงเพียงนี้!
จั่วม่อนาพฤกษาเทพสุริยันออกมาอย่างระมัดระวัง
ทั น ที ที่ ร ากของพฤกษาเทพสุริ ยัน สัม ผัส ถูก หิน เพลิง อัค นี ขนดราก
เหล่านั้นพลันบิดเป็นเกลียว ดูคล้ายงูเรียวยาว เจาะทะลวงลงไปในพื้นหิน
อย่างรวดเร็ว ต่อหน้ากลุ่มรากที่ดูอ่อนนุ่มปวกเปียกเหล่านี้ หินเพลิงอัคนีที่
กร้าวแกร่งกระด้าง กลับถูกทะลุทะลวงอย่างง่ายดายไม่ต่างจากก้อนเต้าหู้
แสงสีแดงเข้มแผ่กระจายด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา จาก
รากลุกลามไล่ขึ้นไปตามลาต้น
แสงสีแดงพอขึ้นไปถึงส่วนยอดสูงสุดของพฤกษาเทพ ล าแสงก็แตก
เปรี๊ยะ ๆ จากนั้นเปลวไฟสีทองปะทุออกมาจากพฤกษาเทพทั้งต้น
คลื่นความร้อนอันน่าตระหนกกวาดวาบออกมาอย่างรุนแรง
จั่ ว ม่ อ ไม่ อ าจทนทานรั บ ได้ ต้ อ งล่ า ถอยออกมาหลายก้ า ว หิ น เพลิง
อัคนีใต้ฝ่าเท้าเริ่มแสดงร่อ งรอยของการหลอมละลาย มันสีห น้าหนักอึ้ง
เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ควรทราบว่าในร่างมันถือครองทั้งเปลวไฟลายชั้น
มหาทิ ว าและเมล็ด ผลึกสุริ ยั น สองสมบั ติวิ เ ศษอันเป็ นสุด หยางสุด แกร่ง
กร้าว ดังนั้นมันมีความต้านทานต่อเพลิงไฟทุกชนิดสูงมาก แต่เผชิญหน้า
กั บ เปลวไฟของพฤกษาเทพสุ ริ ยั น นี้ มั น ถึ ง กั บ รู้ สึ ก ทนทานรั บ ไว้ ไ ม่ ไ ด้
เช่ น นั้ น พลั ง อั น กล้ า แข็ ง ของเปลวเพลิ ง สายนี้ ก็ บ รรลุ ถึ ง ขั้ น น่ า แตกตื่ น
สะท้านใจแล้ว
ในเวลานี้เอง จั่วม่อสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน!
ลึกลงไปใต้ฝ่าเท้ามัน จั่วม่อสัมผัสได้ถึงเพลิงพิภพที่กาลังไหลบ่าจาก
ทุกทิศทาง ดั่งคลื่นยักษ์ถาโถม มุ่งตรงเข้ามายังตาแหน่งของพฤกษาเทพ
อย่างบ้าคลั่ง!
ท่านย่ามันเถอะ!
ไม่เสียเวลาว่ากล่าวคาใด มันวิง่ หน้าเริดออกไปนอกถ้าทันที!
จั่วม่อพอพุ่งทะยานพ้นปากถ้าในสภาพทุลักทุเล ก็รีบหันกลับมามอง
ต้องสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ
เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มบนภูเขาพากันพวยพุ่งควันสีเขียวออกมาไม่ขาด
สาย จากนั้นทยอยแตกระเบิด สลายเป็นเถ้าธุลีคาตา ไม่ห ลงเหลือแม้แต่
ต้นหญ้าสักต้น ภูเขาทั้งลูกกลับกลายเป็ นแดงฉาน ก้อนหินทุกก้อนคล้าย
เพิ่งนาออกมาจากเตาเผา สามารถหลอมละลายได้ทุกเมื่อ
ภายใต้การสกัดขัดขวางของพื้นผิวโลกชั้นหนึ่ง พลังธาตุไฟอันไพศาล
แทบระเบิดทลายออกมาอยู่รอมร่อ
จั่วม่อสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง!
บัดซบ!
หากรอจนเพลิงพิภพปะทุออกมาจริง ๆ มันก็ไม่ส ามารถปกปิดซ่อน
เร้นได้อีกแล้ว
แม้ว่าวิหารเทพสุริยันจะดับสูญไปในกองเพลิง และซิวเจ่อที่มาจาก
สถานที่ต่าง ๆ ค่อย ๆ ทยอยออกจากอาณาจักรทะเลเมฆ แต่ยังคงมีหลาย
คนที่ยังไม่ยอมจากไป ยังเฝ้าค้นหาร่องรอยไม่เลิกราด้วยความแค้นเคือง
หากจู่ ๆ บนเกาะเต่าบังเกิดเพลิงพิภพพวยพุ่ งขึ้นไปถึงชั้นฟ้า รับรอง
ว่าผู้ที่มีหัวคิดอยู่บ้าง ล้วนสามารถคาดเดาได้ว่าคนสวมหน้ากากสัมฤทธิ์ใน
วิหารเทพสุริยันก็คือมันเอง!
จั่วม่อตัดสินใจเด็ดขาดในทันที ไม่ว่าจะอย่างไร มิอาจปล่อยให้เกิด
การระเบิดขึ้นได้!
แต่ต่อให้เพลิงพิภพยังไม่ปะทุขึ้น ในระยะไม่ห่างไกลเช่นนี้ มันยังรู้สึก
ได้อย่างชัดเจนถึงพลังอานาจยิ่งใหญ่หาใดเทียบ
มันสมควรทาอย่างไร?
จั่วม่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ดวงตาพลันสว่างวาบ
ค่ายกลพิทักษ์เกาะเป็นมันก่อตั้งขึ้นด้วยมือตัวเอง ประกอบด้วยสอง
ค่ายกลขบวนใหญ่ หนึ่งคือค่ายกลเมฆสายฟ้าหยินหยาง อีกหนึ่งคือค่ายกล
เวิ้งฟ้าอากาศคราม
ค่ายกลเมฆสายฟ้าหยินหยางเป็นตระกูลเยิ่นเริ่มก่อตั้งไว้ในตอนแรก
ต่อมาจั่วม่อแม้ปลูกต้นเหอเถาอัสนีคารนไว้ที่แกนกลาง ช่วยเพิ่มพูนความ
แข็งแกร่งของค่ายกลมากกว่าเดิม แต่จะอย่างไรยังห่างไกลจากค่ายกลเวิ้ง
ฟ้าอากาศครามอยู่หลายช่วงตัว
แต่ในยามนี้ ค่ายกลเมฆสายฟ้ าหยินหยางคล้ า ยจะเป็น ทางเลื อ กที่
ดีกว่าค่ายกลเวิง้ ฟ้าอากาศคราม
จั่วม่อไม่พูดพล่ามทาเพลง ลาแสงไหลเวียนออกจากฝ่ามือ จมหายลง
ไปในพื้นดินอย่างต่อเนื่อง
ผู้คนบนเกาะถูกเพลิงพิภพขู่ขวัญจนตื่นตระหนก พากันมุ่งตรงเข้ามา
อย่างร้อนใจ แต่พอเห็นการเคลื่อนไหวของจั่ วม่อ ค่อยเข้าใจในบัดดลว่า
เป็นเรื่องราวใด แต่ละคนหยุดชะงักลง เปลี่ยนเป็นเฝ้าชมดูแต่ไกล
ผ่ า นไปอี ก ชั่ ว ธู ป ไหม้ ห มดดอก ผู้ ค นแห่ ง ค่ า ยจิ น วู ล้ ว นมากั นพร้อม
หน้ า พอเห็ น สถานการณ์ เ บื้ องหน้ า พวกมั น สี ห น้ า หนั ก อึ้ ง ภายใต้ ก าร
ควบคุมของปรมาจารย์จี๋เหว่ยกับซุนเป่า ทุกคนรีบจั ดขบวนเตรียมพร้อม
สามารถลงมือช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ
รอบข้างเงียบสงัด คนทั้งเกาะแม้มารวมตัวกันที่นี่ แต่ทุกผู้คนหุบปาก
เงียบ แทบกลั้นหายใจ เฝ้ามองการกระทาของจั่วม่ออย่างใจจดใจจ่อ
เห็นจั่วม่อสองมือกรีดวาดอย่างเชื่องช้า ราวกับว่ากาลังผลักดันบาง
สิ่งบางอย่างที่หนักหน่วงเป็นพันจิน สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง
เพลิงพิภพภายในถ้ากลับกลายเป็น พลุ่งพล่านปั่ นป่ วนกว่า เดิม หิน
เพลิงอัคนีบนภูเขาเริ่มหลอมละลาย เพลิงพิภพปะทุแลบลั่นอย่างแช่มช้า
แต่อาจระเบิดออกมาจากพื้นได้ทุกเมื่อ ทุกครั้งที่เปลวไฟแตกปะทุ พลังอัน
เกรี้ยวกราดที่แฝงเร้นอยู่ภายในก็กวาดซัดออกมา บันดาลให้ผู้คนอกสั่น
ขวัญแขวนอย่างถ้วนหน้า
กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ค่อยเสียกิริยายังเผยสีหน้าหวาดวิตกที่ห าได้
ยากยิ่ง มือขวากระชับด้ามกระบี่ดาแนบแน่น
กลางเวหา เห็นจั่วม่อพลันทาท่าคว้าจับไปทางภูเขาเล็ก ๆ ที่หลอม
ละลาย
เพียะ!
เพลิงพิภพสายหนึ่งปะทุขึ้นดุจมังกรพิโรธ พวยพุ่งออกมาจากภูเขา
น้อยอย่างกราดเกรี้ยว
จั่วม่อมือขวาชักนามังกรเพลิง ซึ่งดูเหมือนถูกผลักดันอย่างรุ นแรงไป
ตามพื้นดิน ในเวลาเดียวกัน มือซ้ายก็ผนึกท่ามุทรา ท่องคาถาเร็วรี่
ในช่วงคับขันอันตราย จั่วม่อใช้วิชาควบคุมพลังเทพโดยไม่รู้ตัว!
จิตใจของมันแบ่งออกเป็นสามทาง!
เพียะ! เพลิงพิภพถูกบังคับกลับลงไปในพื้น เปลวไฟโหมกระพืออย่าง
ไม่ยินยอม ทันใดตราผนึกสีทองพุ่งดิ่งลงมาจากฟากฟ้า ประทับใส่ร่างของ
มังกรเพลิงอย่างดุดัน
มั ง กรเพลิ ง พลั น แตกกระจาย กลั บ กลายเป็ น เส้ น ลวดลายของตรา
ผนึกสีทอง!
ชาวค่ายจินวูต่ ืนตะลึงยิ่ง รู้สึกได้เปิดหูเปิดตา ถึงตอนนี้พวกมันค่อย
ทอดถอนชมเชยออกมา กระบวนท่าของต้าเหรินเมื่อครู่ล าบากยากเย็ น
เพี ย งใด เกรงว่ า มี แ ต่ พ วกมั น ที่ เ ข้ า ใจได้ ลึก ซึ้ ง ที่ สุด พวกมั น แม้ พ ย ายาม
อย่างสุดความสามารถที่จะไม่ส่งเสียงรบกวน แต่เสียงสูดลมหายใจนี้ยังดัง
กังวาน ได้ยินถนัดชัดเจน
ในเวลานี้ เพลิงพิภพพลันปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว ลุกลามขึ้นไปตามเส้น
สายตราผนึกสีทองที่ก่อเกิดจากร่างมังกรเพลิง!
บทที่ 509 จัดการกับทรัพย์สมบัติ ( ตอนปลาย )

เพลิงพิภพลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา สาดประกายลุกลามไปตามเค้า
โครงตราผนึกอย่างต่อเนื่อง ความร้อนในเกาะเต่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
คลื่นความร้อนอันแผดเผาสาดกระจายไปรอบ ๆ
เมื่อมังกรเพลิงลุกลามปกคลุมเส้นเค้าโครงของค่ายกลทั้งหมด ค่าย
กลเมฆสายฟ้าหยินหยางพลันสาแดงฤทธิ์ เห็ นสายฟ้าแลบลั่น แผดเสียง
กึ ก ก้ อ งกั ม ปนาทอยู่ ท่ า มกลางชั้ น เมฆ เปี่ ยมด้ ว ยพลั ง สภาวะข่ ม ขวั ญ
สะท้านวิญญาณ
ขณะที่ทุกผู้คนระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ท่ามกลางเสียงปะทุหนัก
ๆ เห็นก้อนเมฆสีแดงฉานก้อนหนึ่งพลันพุ่งขึ้นจากภูเขาน้อย
เพียะเพียะเพียะ!
กลุ่มเมฆแดงทยอยพวยพุ่งออกจากภูเขาน้อยไม่ขาดสาย ลอยลิ่วขึ้น
ไปยังชั้นเมฆของค่ายกลเมฆสายฟ้าหยินหยาง ผสานรวมเข้าด้วยกันอย่าง
ช้า ๆ
หากมีคนมองจากด้านนอก จะพบว่าเมฆหนาของเกาะเต่าที่ไม่เ คย
เลือนหายไป กาลังค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
จั่วม่อถอนใจโล่งอก คนอื่น ๆ ก็ถ อนหายใจอย่างพร้อมเพรียง คลื่น
ความร้อนอันแผดเผาจางหายไป จากนั้นอุณหภูมิบนเกาะค่อย ๆ กลับคืนสู่
สภาพเดิม
เมฆไฟยังคงก่อเกิดออกมาไม่หยุดยั้ง
สิ่งที่จ่ัวม่อยังไม่ล่วงรู้ก็คือ หลังจากการกระทาที่เกิดจากความอับจน
หนทางของมั น ในครั้ ง นี้ ค่ า ยกลเมฆสายฟ้ า หยิ น หยางจะแปรสภาพไป
อย่างสมบูรณ์ พลังอานาจของต้นเหอเถาอัสนีคารนไหนเลยจะเทียบชั้นได้
กับพฤกษาเทพสุริยัน เคราะห์ดีที่เพลิงไฟกับสายฟ้าไม่ขัดแย้งกัน ดังนั้น
ต้ น เหอเถาอั ส นี ค ารนไม่ ไ ด้ ถู ก พฤกษาเทพสุ ริ ยั น สะกดข่ ม เอาไว้ แต่ จ ะ
อย่ า งไรเหอเถาอั ส นี ค ารนในยามนี้ ก็ เ ป็ น เพี ย งพลั ง ส่ ว นเสี้ ย วเล็ก ๆ ใน
ขบวนค่ายกลเท่านั้น
จั่วม่อปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างหวาดหวั่นไม่คลาย ตั้งแต่ต้นมันก็
ไม่เคยดูแคลนพลังของพฤกษาเทพสุริยันแม้แต่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่ายังเกิด
เหตุผิดพลาดจนแทบเอาชีวิตไปทิ้ง มันแทบสร้างปัญหาใหญ่ที่ไม่มีหนทาง
แก้ไขไปเสียแล้ว
แต่ท้งั หมดผ่านไปด้วยดี!
เห็นสถานการณ์คลี่คลายลง ผู้คนก็รีบแยกย้ายจากไป ไม่มีใครเข้ามา
ซักถาม กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่เหวยเสิ้งยังจากไปเงียบ ๆ จั่วม่อมักจะก่อเรื่อง
อยู่เป็นประจา ยามนี้ทุกผู้คนล้วนเคยชินจนไม่รู้จะเคยชินอย่างไรแล้ว หาก
มีช่วงเวลาที่พวกมัน ได้อ ยู่อย่ างสงบสุข เกินไป ผู้คนถึงกับอดสงสัย ไม่ ไ ด้
ว่าต้าเหรินกาลังทาอะไร ไฉนสงบสุขได้นานถึงเพียงนี้
การก่อเกิดเมฆไฟค่อย ๆ ชะลอช้าลง แต่ยังคงไม่หยุดชะงักขาดตอน
จั่วม่อคานวณว่ากว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้น สมควรใช้เวลา
อี ก หลายวั น กระทั่ ง มั น เองยั ง บอกไม่ ไ ด้ ว่ า ท้ า ยที่ สุ ด แล้ ว ค่ า ยกลเมฆ
สายฟ้าหยินหยางจะมีสภาพเป็นเช่นไร
สุ ด ท้ า ยมั น ตกลงใจรอคอยอยู่ ที่ ภู เ ขาน้ อ ย เฝ้ า รอให้ ก ระบวนการ
ทั้ ง หมดส าเร็ จ ลุ ล่ ว งอย่ า งสมบู ร ณ์ ในยามเบื่ อหน่ า ย ในที่ สุ ด ไม่ อ าจ
ต้านทานแรงดึงดูดใจ เริ่มตรวจสอบสินสงครามชิ้นอื่นไปพลาง ๆ
คราวนี้ มั น ไม่ ก ล้ า ยุ่ ง วุ่ น วายกั บ กระดู ก หยกด าอี ก หากก่ อ ให้ เ กิ ด
เรื่ องราวใหญ่ โ ตขึ้ น อี ก รอบ ไม่ ว่ า มั น จะมี อี ก สั ก กี่ ชี วิ ต ก็ ค งไม่ เ พี ย งพอ
อย่างไรก็ตาม มันยังพบเรื่องแปลกประหลาดประการหนึ่ง กระดูกหยกดา
เหล่านี้ไม่สามารถประกอบรวมกันเป็นโครงกระดูกที่สมบูรณ์ร่างหนึ่งได้
มีกระดูกสูญหายไปสามชิ้น
หรือว่ามันเก็บมาไม่หมด? จั่วม่องุนงงสงสัยไม่น้อย มันแน่ใจว่าค้นหา
อย่ า งละเอี ย ดรอบคอบยิ่ ง ว่ า กั น ตามหลั ก การก็ ไ ม่ ค วรหลงหู ห ลงตาไป
แม้ แ ต่ ชิ้ น เดี ย ว จั่ ว ม่ อ อาจไม่ ท ราบว่ า กระดู ก เหล่ า นี้ เ ป็ น ของใครและมี
ประโยชน์ ใ ช้ ส อยอย่า งไร แต่ มั น มี ล างสัง หรณ์ อย่ า งแรงกล้า ว่ า กระดูกที่
สลั ก จากหยกด าน้า หมึ ก เหล่า นี้ไ ม่ใ ช่ สิ่ง ของธรรมดาสามัญ สมควรซ่อน
ความลับอันแปลกพิสดารที่คาดไม่ถึงเอาไว้
แต่ยามนี้ยังไม่ใช่เวลามาสนใจ จั่วม่อโยนปริศนาเหล่านี้ไปด้านข้าง
หันไปเริ่มตรวจสอบสมบัติชิ้นอื่น ๆ
สิ่ ง ที่ มั น เก็ บ เกี่ ยวมาได้ ม ากที่ สุด ย่ อ มต้ อ งเป็ นเมล็ด พัน ธุ์ด วงตะวัน
จากวิ ห ารเทพสุ ริ ยั น จั่ ว ม่ อ ทราบว่ า เมล็ ด เหล่ า นี้ ส ามารถช่ ว ยเหลื อ มั น
ฝึกปรือพลังเทพ ทั้งยังสามารถหลอมสร้างเป็น ‘หนามอีกา’ ซึ่งว่ากันว่า
ทรงอานุภาพเลิศภพจบพสุธา แม้แต่พี่ใหญ่ชิงหลินยังรับบาดเจ็บภายใต้
อิทธิฤทธิ์ของเจ้าสิ่งนี้ แต่ปัญหาก็คือจั่วม่อทั้งไม่รู้วิธีใช้งานเมล็ดพันธุ์ดวง
ตะวัน และไม่รู้วิธีหลอมสร้างหนามอีกา
หลั ง จากพลิ ก ดู อ ยู่ ห ลายรอบ จั่ ว ม่ อ ค้ น พบด้ ว ยความเศร้ า หดหู่ ว่ า
สมบัติโบราณเหล่านี้แม้เลอเลิศ แต่มันล้วนไม่ล่วงรู้วิธีการใช้งานทั้งสิ้น
หากเทียบกันแล้ว ในขณะที่อาวุธเวทโบราณจากวิหารเทพสุริยันล้วน
ใช้การไม่ได้ สิ่งที่เซินอู๋ไฮ่กับคนอื่น ๆ ‘มอบให้’ แก่จ่ัวม่อ ก็สามารถใช้งาน
ได้ทันที ของเหล่านี้มีแต่อาวุธ เวทระดับสูงทั้งสิ้น กระทั่งจั่วม่อผู้เคยเห็น
อาวุธเวทดี ๆ มาไม่น้อย พอเห็นพวกมัน ยังต้องดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
ต้นตะขอหยก ระฆังลายโลหิต ไผ่ทะเลศพ... ...
ไม่ ว่ า สมบั ติ ชิ้ น ใดในของเหล่ า นี้ หากขายออกไปในท้ อ งตลาด จะ
ประเมินค่ามิได้!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อหวั่นไหวใจมากที่สุด คือสิ่งที่ได้รับจาก
เซินอู๋ไฮ่ ชนชั้นหยวนอิงซึ่งรั้งตาแหน่งผู้อาวุโสแห่งเทียนหวน ทั้งสองศักดิ์
ฐานะนี้ ไม่ว่า ศักดิ์ฐานะใดล้วนหมายถึงความมั่งคั่งอันล้นเหลือ เป็นสิ่งที่
เก๋อไห่ จู๋จ้างเหล่าเหรินและเหล่าคนท้องถิ่นไม่อาจยกขึ้นเทียบได้
เซินอู่ไฮ่ไม่มีอาวุธเวทที่ต่ากว่าระดับหก แม้ว่าอาวุธ เวทเหล่านี้จะมี
หลากหลายประเภท แต่ท้ังหมดล้วนเป็นสินค้าชั้นยอด สิ่งที่ทาให้เซินอู๋ไฮ่
เจ็บปวดใจที่สุด ก็คือการสูญเสียแหวนมิติข องมันนี่เอง ภายในแหวนมิติ
เป็นขุมสมบัติย่อม ๆ รวมถึงบรรดาวัตถุดิบล้าค่าที่มันเก็บเล็กผสมน้อยมา
หลายปี สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอย่างมหาศาล บัดนี้ล้วนกลายเป็นประโยชน์ต่อ
จั่วม่อ
แน่นอนว่าจั่วม่อเองก็มีปัญหาของมัน
อาวุ ธ เวทเหล่ า นี้ แ ม้ มี ม ากมายจนละลานตา แต่ มั น ไม่ ส ามารถน า
ออกมาใช้ ง านได้ โ ดยตรง สิ่ ง เหล่ า นี้ ล้ ว นเป็ น ของร้ อ น หากมี ค นระแคะ
ระคายที่มาของพวกมันสักเล็กน้อย จะนามาซึ่งเภทภัยไม่สิ้นสุด อย่าว่าแต่
จะใช้พวกมันอย่างเปิดเผยเลย! แต่จะให้ข ายสินค้าเหล่านี้ออกไปมันก็ ไม่
กล้าพอ อาจมีดวงตานับไม่ถ้วนกาลังเฝ้ามองพวกมันอยู่ ไม่ว่าเบาะแสใดที่
เชื่อมโยงไปยังเหตุการณ์ในวิหารเทพ ล้วนเป็นชนวนเหตุเภทภัยถึงชีวิต
เทียนหวนเป็นมหาอานาจ พวกมันเพียงแค่พ่นลมหายใจคราวเดี ยว
มันก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นแล้ว!
เมื่ อไม่ ส ามารถใช้ ง านโดยตรง ทั้ ง ยั ง ไม่ อ าจขายออกไป เช่ น นั้ น ก็
หลงเหลื อ เพี ย งหนทางเดี ย ว ... หลอมสร้ า งทุ ก ชิ้ น ให้ เ ป็ น อาวุ ธ เวทใหม่
ทั้งหมด!
โอ งานใหญ่กระไรเช่นนี้!
จั่วม่อถลึงตามองสินสงครามกองเท่าภูเขาเลากา ฝืนยิ้มอย่างขมขื่น
ภายใต้ปัญหามากมายถึ งเพียงนี้ ช่างไม่ทราบจริง ๆ ว่ามันที่แท้ไ ด้ ก าไร
หรือขาดทุน?
จั่วม่อผู้กาลังปวดเศียรเวียนเกล้า กับ ปัญหาเรื่อ งความร่า รวย ไม่ได้
ล่วงรู้เลยว่า โลกกาลังจะเกิดปรากฏการณ์ร้ายแรงชนิดที่สามารถพลิกฟ้า
คว่าดิน และเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของทั้งสามภพไปตลอดกาล!
ขณะที่บรรดาซิวเจ่ออาณาจักรทะเลเมฆยัง จดจ่ออยู่กับเรื่องราวของ
วิห ารเทพสุริ ยัน ในพื้นที่ส่วนลึกของทะเลเมฆมี รอยแยกประหลาดสาย
หนึ่ง กว้างราวสิบจั้ง ภายในรอยแยกที่คล้ายรอยฉีกขาดของอากาศธาตุนี้
มืดมิดเป็นแผ่นผืน ไม่มีแสงใด ๆ
ทันใดนั้นเอง ร่างสูงก้าวออกมาจากรอยแยก
หลังจากนั้นสักครู่ เงาร่างอื่น ๆ ก้าวตามออกมาไม่ขาดสาย
เงาร่างที่ออกมาเป็นคนแรกพลันหันไปทางหนึ่ง กล่าวอย่างลิงโลดว่า
“ข้าสูดได้กลิ่นซิวเจ่อ!”

เซินอู๋ไฮ่บดขยี้นกกระเรียนกระดาษในมือเป็นผุยผง สีหน้าดาทะมึน
ข้างกายมัน หลีซู่ทาท่าลังเลวูบหนึ่ง จากนัน
้ ถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส
... ...”
หลีซู่จดจากระเรียนกระดาษเมื่อครู่ได้ นี่เป็นกระเรียนกระดาษพิเศษ
เฉพาะของส านั ก หรื อ ว่ า ทางส านั ก คาดโทษพวกมั น ? ในจดหมายใช่ มี
ถ้อยคารุนแรงหรือไม่? ไฉนผู้อาวุโสมีโทสะ?
เซินอู๋ไฮ่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นชนชั้นหยวนอิงผู้ห นึ่ง ความสามารถใน
การสงบอารมณ์นับว่าลึกล้ามาก ด้ว ยการสูดหายใจลึก ๆ คราหนึ่ง มันก็
กลับคืนสู่ความเยือกเย็นตามเดิม
“เจ้าไปเตรียมตัว เราจะกลับสานัก!”
“กลับส านัก ?” หลีซู่งงงันวูบ กล่าวอย่างเหลือเชื่อ “แต่เรายังไม่พบ
...”
“ไม่มีเวลาให้ค้นหาแล้ว!” เซินอู๋ไฮ่กล่าวอย่างหุนหัน จากนั้นน้าเสียง
อ่อนลงเล็กน้อย “ท่านเจ้าสานักเรียกพวกเรากลับไปโดยด่วน! ไม่ต้องถาม
เหตุผลแล้ว เราผู้เฒ่าก็ไม่ล่วงรู้เช่นกัน!”
เซินอู๋ไฮ่สุ้มเสียงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม คราครั้งนี้มันถูกทาร้ าย
อย่างสาหัสนัก ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย... ...
จะให้มันยอมกล้ากลืนฝืนทนได้อย่างไร?
หลายวันมานี้ มันทุ่มเทใช้อานาจอิทธิพลทั้งหมดของเทียนหวนเท่าที่
มีอยู่ในอาณาจักรทะเลเมฆ มุ่งมั่นตรวจสอบค้นหาเบาะแสอย่างบ้าคลั่ง สิ่ง
ที่ แ ทบท าให้ มั น คลั่ ง ใจตายไปจริ ง ๆ ก็ คื อ จนถึ ง ตอนนี้ พ วกมั น ยั ง ไม่ ไ ด้
ค้นพบเบาะแสใดแม้แต่น้อย ไม่มีร่องรอยให้สืบสาวอย่างสิน
้ เชิง!
ในช่วงเวลาเช่นนี้ ทางสานักกลับเรียกตัวพวกมันอย่างกะทันหัน จะ
ให้มันยินยอมพร้อมใจได้อย่างไร?
อย่ า งไรก็ ต าม เซิ น อู๋ ไ ฮ่ แ ม้ ไ ม่ ยิ น ยอมพร้ อ มใจ แต่ อี ก ใจหนึ่ ง ก็ งุ น งง
สงสัยอยู่บ้าง เบื้องบนของสานักไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับภารกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่
มันพบเห็นคาสั่งประกาศิตที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดปฏิเสธ
นี่... ...นี่มันอะไรกัน...หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในสานัก?
ความคิดนี้พอผุดขึ้นในใจ มันก็รีบกวาดทิ้ง ไปทันที ในส านักจะเกิ ด
เรื่องใดได้? ท่านเจ้าสานักครองตาแหน่งมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ทั้งตาแหน่ง
และอานาจมั่นคงดุจ หินผา แม้ว่าบางครั้งขุ มก าลัง บางส่วนอาจทะเลาะ
เบาะแว้ง ต่อสู้แย่งชิงอานาจกันบ้าง แต่หากเทียบกับสานักอื่นแล้ว ก็เรียก
ได้ว่านุ่มนวลอ่อนโยนมาก พวกมันส่วนใหญ่ยินดีฝังศีรษะอยู่ในลวดลาย
ค่ายกลยันต์มากกว่า
กระทั่ ง เซิ น อู๋ ไ ฮ่ ป กติ ก็ เ ป็ น เช่ น เดี ย วกั น หากไม่ เ ป็ น เช่ น นั้ น มั น จะ
สามารถสร้างเปลวเพลิงซ่อนเร้นว่างเปล่าขึ้นมาได้อย่างไร
มันมักรู้สึกอยู่เสมอว่าเทียนหวนเป็นสานักที่ดีที่สุดในสวรรค์สี่ดินแดน
หลี่ซู่เองก็คิดเช่นเดียวกัน
แต่หากในสานักไม่ได้เกิดเรื่อง หรือว่าจะเป็นศัตรู จากภายนอก? แต่
เซินอู๋ไฮ่ก็ไม่เคยพบเห็นคนที่กล้าเป็นศัต รู กับเทียนหวนอย่างเปิดเผยมา
ก่อน กระทั่งคุนหลุนซึ่งเรียกได้ว่ามีกาลังรบเข้มแข็งที่สุด ก็ยังต้องซื้อหา
อาวุธเวทและยันต์กระดาษปริมาณมากจากเทียนหวน สานักอื่น ๆ ย่อมไม่
ต่างกัน แล้วเทียนหวนจะไปมีศัตรูภายนอกมาจากที่ใด?
ที่แท้เป็นเรื่องอันใด ไฉนเร่งรัดให้พวกมันรีบกลับไป?
เซินอู๋ไฮ่ขบคิดเท่าไรก็คิดไม่ตกจริง ๆ
หลายคนคาดการณ์ว่าคนสวมหน้ากากจะต้องหลบหนีไปให้ไกลที่สุด
เท่าที่จ ะทาได้ แต่เซินอู๋ไฮ่บังเกิ ดลางสังหรณ์ ว่าผู้ อ่ ืนอาจจะไม่ไ ด้ ไ ปจาก
อาณาจักรทะเลเมฆ มันได้ส่งคนเข้าปิดกั้นปากแม่น้าอาณาจักรเอาไว้ แต่
แรก แม้ว่าอาจทาให้คนส่วนหนึ่งไม่พอใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าตอแยผู้อาวุโส
เทียนหวนที่กาลังเดือดดาลทะยานฟ้า
ทว่ า จนกระทั่ ง ถึ ง ตอนนี้ ก็ ยั ง ไม่ มี ข่ า วคราวว่ า มี ใ ครบุ ก ฝ่ า แม่ น้ า
อาณาจักรออกไป
เจ้าบัดซบนั่นจะต้องยังอยู่ในอาณาจักรทะเลเมฆ!
แต่ทางสานัก... ...
มันไม่ยินยอมพร้อมใจจริง ๆ!

รอจนเมฆไฟก้อนสุดท้ายล่องลอยขึ้นไป ภูเขาน้อยที่ถูกเผาจนแดงก่า
ก็ค่อย ๆ หม่นแสงลง อุณหภูมิรอบด้านลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ภูเขาน้อย
กลับสู่สภาพปกติในไม่ช้า แต่ท้ังต้นไม้ใบหญ้าและสรรพสัตว์ท้ังหมดที่อยู่
ในบริเวณล้วนถูกแผดเผาจนสะอาดเกลี้ยงเกลา หลงเหลือเพียงบรรดาโขด
หินดาเกรียมเท่านั้น
จั่วม่อกลับเข้าไปในถ้า พฤกษาเทพสุริยันคล้ายไม่เคยถูกแตะต้องมา
ก่อน ทั้งยังดูงอกงามสดใสกว่าเดิม
ย้อนกลับออกมาจากถ้า จั่วม่อพลิ้วกายขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดตามองไป
รอบด้าน สีสันของหมู่เมฆเหนือเกาะเต่าราวกับยามพลบค่า ระบายด้วยสี
ส้มแดงอร่ามเรือง สวยสดงดงามน่าตื่นตาตื่นใจ!
ค่ายกลขบวนใหม่ถือกาเนิดอย่างสมบูรณ์!
ค่ายกลเมฆสายฟ้ าหยินหยางเดิ มถู กเพลิงพิ ภพแปรสภาพไปอย่ า ง
สิ้นเชิง ก่อกาเนิดเป็นค่ายกลชุดใหม่ จั่วม่อตกลงใจขนามนามค่ายกลใหม่
ว่า ‘ค่ายกลเมฆสายฟ้ากระแสเพลิง’
ค่ายกลขบวนใหม่แข็งแกร่งกว่าของเดิมมาก
จั่วม่อเมื่อคลายใจลง ก็หันไปสนใจต้นตะขอหยกเป็นลาดับถัดไป มัน
ปลูกต้นตะขอหยกไว้ที่หัวใจของค่ายกลเวิ้งฟ้าอากาศคราม พลังธาตุไม้ที่
ต้นตะขอหยกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยหล่อเลี้ยงค่ายกลเวิ้ง
ฟ้าอากาศคราม อาจสามารถยกระดับพลังของค่ายกลใหญ่ขึ้นไปอีกหลาย
ขัน

จั่วม่อฝังเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันไว้ใต้ต้นตะขอหยกด้วย หากต้นตะขอ
หยกสามารถดูดซับพลังที่มีอยู่ภายในเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน ย่อมสามารถ
เลื่อนระดับขึ้น กลายเป็นต้นตะขอหยกเขียวสวรรค์อย่างแน่นอน
ด้วยพลังป้องกันของค่ายกลใหญ่สองขบวน เกาะเต่าในเวลานี้ เรียก
ได้ว่าแทบไม่มีผู้ใดทะลวงผ่านเข้ามาได้
จั่วม่อที่อกสั่นขวัญแขวนมาโดยตลอด ยามนี้ค่อยเบาใจลงมาก ต่อให้
เซินอู่ไฮ่มาด้วยตัวเอง คิดทาลายค่ายกลบุกเข้ามาในเกาะเต่ า ยังเป็นไป
ไม่ได้!
ฮี่ฮี่ รอก่อนเถอะ รอให้เกอย่อยสมบัติเหล่านี้ให้หมดและฝึกปรือพลัง
เทพเสียก่อน หากเกอพบพานเซินอู๋ไฮ่อีกครั้ง ถึงยามนั้นไม่รู้ว่าผู้ใดจะทุบตี
ผู้ใดกันแน่!
จั่วม่อเต็มไปด้วยแรงทะเยอทะยานและความอิ่มเอมสาราญใจ!
ในเวลานี้เอง ท้องฟ้าเหนือศีรษะมั นพลันกลับกลายเป็นมืดมิด อย่ าง
กะทันหัน
จั่วม่ออุทานอย่างประหลาดใจคาหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นตัว
แข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลง!
ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังแจ่มใสสดชื่น กลับดูคล้ายเปลี่ยนเป็นยามสนธยา
ในชั่วพริบตา ดวงอาทิต ย์ที่แผดจ้าอยู่กลางนภาถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ชั้น
หมอกดากลายเป็นอ่อนจางและสั่นพร่า ภาพเหล่านี้ไม่รู้ทาไม กลับทาให้
มันนึกถึงจุดสิ้นสุดของโลก
สายลมกระโชกผ่านอย่างรุ นแรง จั่วม่อหนาววูบไปถึงขัว
้ หัวใจ อดสัน

สะท้านไม่ได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง!
สายลมรุ น แรงหอบนี้ เ ต็ ม ไปด้ ว ยพลั ง หยิ น ที่ ก ล้ า แข็ ง ยิ่ ง เป็ น ลม
พลังงานเย็นยะเยือกที่ดุจดั่งพัดออกมาจากปรภพ กระทั่งจั่วม่อยังอดสยิว
กายอย่างหนาวเหน็บไม่ได้
วู้มวู้มวู้ม!
เว่ยเสิ้ง จงหยู เซี่ยซานและบรรดายอดฝีมือทั้งหมดทะยานร่างขึ้นสู่
ท้องฟ้า พากันปรากฏกายเรียงรายอยู่ข้างกายจั่วม่อ สีหน้าหวาดหวั่นของ
พวกมันไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นได้
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
บทที่ 510 มหาพิบัตินภาสลาย

นิมิตแห่งฟ้าดินที่มองเห็นได้จากทั่วทุกที่ ทาให้ความหวาดหวั่นพรั่น
พรึงระบาดไปในหมู่ซิวเจ่อของอาณาจักรทะเลเมฆ แต่ในไม่ช้าพวกมันก็
ได้ รั บ ข่ า วว่ า นิ มิ ต แห่ ง ฟ้ า ดิ น ที่ ค ล้ า ยคลึ ง กั น พร้ อ มใจปรากฏขึ้ นใน
อาณาจักรใกล้ ๆ หลายแห่งเช่นเดียวกัน
ข่าวคราวพอแพร่ออกไป ผู้คนยิง่ รู้สึกไม่ปลอดภัยมากกว่าเดิม
นิ มิ ต แห่ ง ฟ้ า ดิ น ที่ ดู ค ล้ า ยจะประกาศถึ ง วั น สิ้ น โลกเหล่ า นี้ ที่ แ ท้ มี
ความหมายอย่างไรกันแน่?
ซิวเจ่อที่มีฝีมือด้านการทานายประตูบ้านแทบไม่เคยได้ปิดลง ผู้คน
มากมายรุ ดมาเยือนไม่ขาดสาย อาคันตุกะทุกคนล้วนมาเพื่อสอบถามว่า
นิมิตแห่งฟ้าดินนี้หมายถึงสิ่งใด อาณาจักรทะเลเมฆแม้ไม่มีผู้พยากรณ์ที่มี
พลังอานาจมากนัก แต่แทบทั้งหมดล้วนทานายว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องอัปมงคล
อย่างร้ายแรง ข่าวนี้ยิ่งทาให้ผู้คนตื่นกลัวมากกว่าเดิม ผลกระทบโดยตรง
คือราคาสินค้าในท้องตลาดพุ่งสูงขึ้นทันที
แต่ในไม่ช้า เมื่อความจริงผุดขึ้นมา ข่าวลือต่าง ๆ ก็กระจายหายไป
สานักเล็ก ๆ ที่เรียกว่าสานักบันทึกฟ้าถูกกองทหารแปลก ๆ เข้าโจมตี
แทบทั้งสานักถูกสังหารสิ้น ทีแรกข่าวนี้ไม่เป็นที่สนใจมากนัก แต่กองกาลัง
ประหลาดนี้บุกตะลุยรุ ดหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าผ่านไปยังที่ใด โลหิตล้วน
หลั่งเนืองนองเป็นท้องธาร
ผู้คนค่อยค้นพบในทันใดด้วยความแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ ว่ากอง
กาลังนี้ ที่แท้เป็นกองทัพปิศาจขบวนหนึ่ง!
ข่ า วคราวเมื่ อแพร่ ส ะพั ด ออกไปในช่ ว งแรก ๆ หลายคนแค่ น หัวร่อ
อย่างเหยียดหยาม กองทัพปิศาจเช่นนั้นรึ ? ฮ่า! ช่างน่าหัวร่อ! อาณาจักร
ทะเลเมฆห่างไกลจากแนวหน้านับพัน ๆ ลี้ กองทัพปิศาจอันใด จึงสามารถ
ลอบเข้ามาในอาณาจักรทะเลเมฆได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้?
แต่คนเหล่านี้ในไม่ช้าเสียงหัวร่อก็ขาดหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เนื่องเพราะกองทัพปิศาจขบวนนี้แกร่งกล้าสุดเปรียบปาน ทรงพลานุ
ภาพไร้ผู้ต้าน ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งการรุกคืบของพวกมันได้ เหล่าสานัก
ใหญ่ ที่ อ ยู่ ใ นเส้ น ทางของพวกมั น ภายใต้ ฝ่ า เท้ า ของทั พ ปิ ศ าจ ล้ ว นถู ก
เหยียบย่าจนราบคาบเป็นหน้ากลอง ซิวเจ่อเพี ยงน้อยนิดที่โชคดีรอดชีวิต
มาได้ สูญเสียขวัญวิญญาณและความกล้าหาญไปหมดสิ้น เพียงทราบแค่
ว่าต้องหลบหนีสุดชีวิตเท่านั้น!
พวกมันร้ายกาจเกินไป!
นับตั้งแต่ผู้คนค้นพบการคงอยู่ของพวกมัน พวกมันใช้เวลาเพียงสาม
วั น ประดุ จ สว่ า นทรงพลั งฤทธิ์ บุ ก ทะลวงไปเบื้ อ งหน้า ถึง หกพัน ลี้ ! ไม่ ว่ า
เมืองใดสานักใดที่อยู่บนเส้นทางของพวกมัน ล้วนถูกขุดรากถอนโคน เผา
ทาลายจนสิ้นซาก
ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสามวัน ลมเมฆของอาณาจักรทะเลเมฆล้วน
เปลี่ยนสี!
ผู้คนพากันดิ้นรนหลบหนีออกจากอาณาจักรแห่งนี้ ด้วยความหวังว่า
สามารถหลีกเลี่ย งจากภัย พิ บัติ แต่ข่าวสารที่ ม าจากภายนอกกลั บ ท าให้
พวกมันสิ้นหวังกว่าเดิม เนื่องเพราะในสวรรค์สี่ดินแดน มีหลายอาณาจักร
ที่ปรากฏรอยแยกแห่งความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน กองทัพปิศาจจานวน
มากไหลบ่าออกมาจากรอยแยกแห่งความโกลาหลเหล่านี้ ก่อสงครามเอา
เลือดล้างแผ่นดินไปทุกที่
ไม่ มี ผู้ ใ ดบอกได้ ว่ า รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลเหล่ า นี้ ไ ฉนปรากฏ
ออกมา แต่ไม่ว่าซิวเจ่อคนใด ขอเพียงมีหัวคิดอยู่บ้าง ล้วนเข้าใจเรื่องราว
ประการหนึ่ง
ท้องฟ้าเปลี่ยนแล้ว!
ฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ! และอาจไม่มีวันเหมือนเดิมอีกตลอดกาล!
การศึกสงครามในมหานครนภาโลหิตดาเนินติดต่อกันมาตลอดหลาย
พันปี ไม่เคยหยุดลง แต่สาหรับซิวเจ่อในอาณาจักรที่ห่างไกลจากแนวหน้า
สงครามถือเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเพียงหัวข้อหนึ่งของการสนทนาอย่างออก
รส เยี่ยงผู้เฝ้าดูแต่ไกลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่บัดนี้เมื่อรอยแยกแห่งความ
โกลาหลปรากฏออกมาอย่ า งกะทั น หั น ในหลาย ๆ อาณาจั ก ร ก็ น าพา
สงครามและการเข่ น ฆ่ า เข้ า มาในชี วิ ต ประจ าวั น ของพวกมั น น าพา
ความสุขสงบไปจากพวกมัน และผลักทุกคนลงไปในปลักโคลนอันโหดร้าย
อามหิตอย่างไม่เปิดโอกาสให้หลีกเลี่ยง!
มหานครนภาโลหิตสูญเสียคุณค่าความหมายในบัดดล
นี่เป็นภัยพิบัติจากสวรรค์ มหาพิบัตินภาสลาย!
ไฟสงครามปะทุขึ้นทุกแห่งหน!
ไม่มีผู้ใดจะหนีพ้นไปได้!
จั่วม่อพอทราบข่าวนี้ถึงกับนิง่ ขึงตะลึงงันไปครึ่งค่อนวัน เมื่อครั้งหนึ่ง
เคยเข่นฆ่าเปิดทางออกจากมหานครนภาโลหิต มันย่อมทราบกระจ่างกว่า
ซิวเจ่อทั่วไป ว่ารอยแยกแห่งความโกลาหลเหล่านี้เป็นเรื่องราวใด
แม่นางน้อย เหวยเสิ้ง ซู่หลง จงหยู ... ...
ไม่ว่าผู้ใดพอได้ยินเรื่องนี้ ยังทาท่าไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
ห้องโถงอันเงียบสงัดกดดันซางเว่ยหมิงไม่น้อย มันเหลือบมองทุกคน
ที่มารวมตัวกันอย่างขลาดเขลา แต่ยังกัดฟันกล่าวว่า “นี่เป็นข่าวที่ข้ าสืบ
ทราบมาจากภายนอก ตอนนี้ข่าวแพร่สะพั ดไปทั่วแล้ว คนข้างนอกนั่นบ้า
คลั่งกันไปหมด พวกเราควร... ...พวกเราควร... ...”
ทุกคนหันมามองมันเป็นตาเดียว มองจนมันอดแตกตื่นลนลานไม่ไ ด้
“พวกเราควรเตรียมตัวหลบหนีไปโดยเร็วหรือไม่?”
มันปลุกปลอบความกล้า กล่าวสืบต่อว่า “พวกเราต้องรีบเก็บข้าวของ
เตรียมหลบหนีออกจากอาณาจักรทะเลเมฆทันที กองทัพปิศาจฝีมือกล้า
แข็งยิ่ง ไม่มีใครสามารถสกัดขัดขวางพวกมันได้ บริเวณนี้ยังไม่มีสานักใหญ่
แม้แต่แห่งเดียว พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปจะเป็นอันตรายอย่างมาก!”
แต่ไม่มีผู้ใดแยแสสนใจมัน ทุกคนหันไปมองจั่วม่อ ในเวลาเช่นนี้ผู้ที่
สามารถกาหนดทิศทางมักจะเป็นจั่วม่อ
จั่วม่อขบคิดใคร่ครวญเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวช้า ๆ ว่า “หากเรา
ออกจากอาณาจั ก รทะเลเมฆ แล้ ว จะไปยั ง ที่ ใ ด ? รอยแยกแห่ ง ความ
โกลาหลมี อ ยู่ ท่ั ว ทุ ก ที่ แม้ แ ต่ เ รื่ องที่ ว่ า มี ร อยแยกแห่ ง ความโกลาหลอี ก
มากมายเท่าใดที่ยังไม่ถูกค้นพบ เราก็ไม่ล่วงรู้ท้ังสิ้น หากพวกเราหนีไปยัง
สถานที่ที่ไม่คุ้นชิน นั่นไม่เท่ากับยิ่งเสีย เปรีย บกว่ าเดิ มรึ! เกาะเต่าแห่ ง นี้
พวกเราทุ่ ม เทแรงกายแรงใจลงไปไม่ น้ อ ย ปราการป้ อ งกั น เรี ย กได้ ว่ า
แข็งแกร่งยิ่ง ต่อให้เผชิญกับกองทัพปิศาจ พวกเรายังมีโอกาสชิงชัยสักครา
ในมหานครนภาโลหิตเรายังไม่เกรงกลัวพวกมั น คราวนี้อยู่ในบ้านของเรา
เองแท้ ๆ หรือยังต้องเกรงกลัวพวกมันด้วย?”
บรรยากาศเคร่งเครียดกดดันภายในห้องถูกกวาดออกไปทันที วาจา
ของจั่วม่อปลุกปลอบขวัญกาลังใจของทุกคนจนพลุ่งพล่าน มิผิด! ทุกคน
เคยร่วมเข่นฆ่าเปิดทางออกมาจากมหานครนภาโลหิตครั้งหนึ่งแล้ว กระทั่ง
ในมหานครนภาโลหิตพวกมันยังไม่เคยเกรงกลัวกองทัพปิศาจ แล้วไยใน
บ้านของตัวเองพวกมันต้องเกรงกลัวด้วย?
“เราไม่กลัว! พวกมันช่างขวัญกล้าบังอาจนัก ถึงกับกล้ามาอาละวาด
บนศีรษะเรา ข้าบอกเลย ต้องฆ่าพวกมันให้เหี้ยน!” สุ้มเสียงกึกก้องของ
เหลยเผิงสะท้านแก้ วหู ทุกผู้ คน เห็นมันถลึงตาอย่างดุ ร้ าย กระชับ กระบี่
หนักผลึกทองแนบแน่น ราวกับต้องการเปิดฉากเข่นฆ่าในบัดดล
เหนียนลู่ส อดคาด้วยเสียงนุ่มนวล “อย่าได้โหดเหี้ยมถึ งเพี ยงนั้ น ได้
หรื อ ไม่ เราจะต้ อ งสุ ภ าพกว่ า นี้ สุ ภ าพอ่ อ นโยนกว่ า นี้ ให้ พ วกมั น รู้ สึ ก ถึง
ไมตรี จิ ต ของพวกเรา และความนั บ ถื อ เลื่ อมใสของเราที่ มี ต่อ สหายอสูร
ปิศาจ”
“เจ้าพวกปัญญาอ่อน” เห็นท่าทีไม่รู้กาลเทศะของสหายร่วมหน่วยทั้ง
สอง ม้าฝานสบถด่าอย่างอดไม่ได้
จั่วม่อมองไปยังกงซุนชา เห็นแม่นางน้อยมุมปากจุดรอยยิ้มไร้เดียงสา
และประหม่ า อาย แต่ ใ นดวงตาเต็ ม ไปด้ ว ยประกายตื่ นเต้ น เร้ า ใจ คนที่
คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี พอเห็นรอยยิ้มนี้อดสะดุ้งใจไม่ได้
จั่ ว ม่ อ หั น ไปมองซู่ ห ลง หลายวั น มานี้ ท่ ว งท่ า สภาวะของซู่ ห ลงยิ่ ง
กลายเป็นหนักแน่นมั่นคงกว่าเดิม ยืนอยู่ด้านข้างเหมือนขุนเขาตระหง่าน
ง้าลูกหนึ่ง มันสังเกตเห็นจั่วม่อมองมา ดังนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ไม่ปกปิด
ซ่อนเร้นจิตวิญญาณการต่อสู้ที่สาดประกายอยู่ในดวงตา “ต้าเหริน ซู่หลง
ขออาสาออกศึก!”
จั่วม่อแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยบุคลิกหนักแน่นมั่นคงและความสามารถ
เฉพาะด้านในการทาศึกของซู่ห ลง ส่วนใหญ่จึงรับหน้าที่ป้องกันมากกว่า
บุกจู่โจม นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นซู่หลงอาสาออกทาศึกด้วยตัวเอง
“เป็นไร? เจ้าก็คันไม้คันมือขึ้นมาอีกคนรึ?” จั่วม่อกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“บริวารคิดชมดูว่ากองทัพปิศาจที่แท้จ ริงเป็นอย่างไร” ซู่ห ลงกล่าว
อย่างลุ่มลึก
จั่วม่อในที่สุดค่อยเข้าใจ ค่ายเว่ยฝึกปรือทักษะปิศาจ พิ ชัยยุทธ์ของ
ค่ายเว่ยยังใกล้เคียงกับกองทัพปิศาจเป็นอย่างยิ่ง บางทีซู่หลงอาจต้องการ
ชมดูว่าระหว่างค่ายเว่ยของมันกับกองทัพปิศาจตัวจริงเสียงจริง ที่แท้เป็น
ผู้ ใ ดร้ า ยกาจกว่ า จั่ ว ม่ อ รู้ สึ ก ปวดเศี ย รเวี ย นเกล้า อยู่ บ้ า ง ไฉนคนเรี ย บ ๆ
ร้อย ๆ อย่างซู่หลงยังมีจิตคิดประชันขันแข่งแรงกล้าถึงเพียงนี้? หรือว่าติด
เชื้อมาจากเว่ยกับผูเยา? ใช่เป็นเว่ยลอบชักใยจากเบื้องหลังหรือไม่?
ซางเว่ยหมิงที่ด้านข้างถึงกับอ้าปากค้างจนหุบไม่ลง คนเหล่านี้... คน
เหล่านี้หมายถึงอะไรกัน... เข่นฆ่าเปิดทางออกมาจากมหานครนภาโลหิต ?
พวกมันไฉนไม่เกรงกลัว? นั่นเป็นกองทัพปิศาจที่ร้ายกาจไม่ใช่หรือ... ...
มันเพิ่งค้นพบอย่างตื่นตระหนก ว่าความเข้าใจของมันที่มีต่อต้าเหริน
กับคนอื่น ๆ ช่างน้อยนิดจนน่าสมเพชจริง ๆ
ไม่มีผู้ใดสนใจมัน
หลั ง จากมี ค วามเห็ น เป็ น เอกฉั น ท์ ทุ ก คนก็ เ ริ่ ม ลงมื อ ท างานอย่ า ง
รวดเร็ ว และเป็ น ระเบี ย บเรี ย บร้ อ ย และเพื่ อ สงครามที่ ก าลั ง จะปะทุ ขึ้ น
จั่วม่อ นาวัตถุดิบมากมายที่ได้รับจากวิหารเทพสุริยันออกมา มอบให้ค่าย
จินวูนาไปหลอมสร้างเป็นอาวุธเวท
โชคดีที่คลังสินค้าบนเกาะเต็มแน่นล้นปรี่ พวกมันมั่งคั่งบริบูร ณ์ม าก
พอ ไม่ต้องกังวลเรื่องวัสดุสิ้นเปลืองแม้แต่น้อย
เกาะเต่าทั้งหมดราวกับเครื่องกลไกมหึมาเริ่มต้นเดินเครื่อง เปิดฉาก
ทางานอย่างดุเดือด!
คราครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่อาณาจักรขุนเขาน้อยอีกแล้ว!

“นี่เป็นกลุ่มที่เท่าไร?”
“กลุ่มที่หก!”
“เกาะเต่าไม่คิดจากไปจริงๆ หรือ?” เลี่ยวฉีชางงุนงงไม่น้อย ถึงตอนนี้
แต่ละสานักกาลังเก็บข้าวของแข่งกับเวลา เพื่อหลบหนีออกจากอาณาจักร
ทะเลเมฆ พฤติการณ์ของเกาะเต่าจึงนับว่าโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิง่
เห็นซิวเจ่อขี่เมฆวิเศษทยอยโผพุ่งออกจากเกาะเต่าอย่างต่อเนื่อง แต่
ละคนพอออกมาแล้ว ก็เ หิ น ลิ่วไปกั บ สายลม คล้ า ยมี เ รื่ อ งราวสนุกสนาน
น่าสนใจรอคอยพวกมันอยู่เบื้องหน้า ในช่วงครึ่งวันมานี้ซิวเจ่อที่ออกมา
จากเกาะเต่ า มี ท้ั ง สิ น หกกลุ่ ม ดู จ ากทิ ศ ทางที่ พ วกมั น มุ่ ง ไป สมควรเป็ น
ทิศทางของกองทัพปิศาจไม่ผิดแน่ สัญญาณทั้งหมดล้วนบอกชัดว่าเกาะ
เต่าไม่คิดจากไป
พวกมันคิดต่อสู้หักหาญกับกองทัพปิศาจจริง ๆ?
ความคิดนี้พอผุดขึ้นในใจ ก็ขู่ขวัญมันจนตัวสั่นเทา นี่เป็นไปไม่ได้! นั่น
เป็นถึงกองทัพปิศาจ! ทั้งยังเป็นกองทัพปิศาจอันกล้าแกร่งเกรียงไกรยิง่ !
“ไม่มีทาง หากไม่จากไป เกาะเต่าไม่เท่ากับมองหาที่ต ายหรอกรึ ?”
ซิวเจ่อที่ด้านข้างเลี่ ยวฉีชางมีสีหน้าไม่เชื่อถือ “หรือเจ้าไม่ทราบ? กระทั่ง
สานักฟงฉิงยังถูกทาลายสิ้น! เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดหยุดยั้งพวกมันได้?”
เลี่ยวฉีชางพอฟังสีหน้าก็ห ม่นหมองลง สานักฟงฉิงเป็นส านัก ใหญ่ที่
จัดอยู่ลาดับหกของอาณาจักรทะเลเมฆ กระทั่งพวกมันยังหนีไม่พ้นคมมีด
ของกองทั พปิ ศ าจ ความแข็ ง แกร่ ง ของกองทั พปิ ศ าจขบวนนี้ย่ อมเป็นที่
คาดคานวณได้!
นอกจากสานักฟงฉิงยังมีสานักลี่สุ่ย อีกหนึ่งสานักที่รั้งตาแหน่งในสิบ
สุ ด ยอด ก็ ป ระสบชะตากรรมพิ น าศย่ อ ยยั บ เช่ น เดี ย วกั น นี่ เ ป็ น อี ก หนึ่ ง
เหตุผลที่ทาให้ผู้คนไม่กล้าต่อต้านแข็งขืน ได้แต่หลบหนีไปให้ไกลแสนไกล
เห็นได้ชัดว่าไม่มีโอกาสชนะ!
กระทั่งสานักที่รั้งตาแหน่งในสิบสุดยอดเช่นสานักฟงฉิงกับสานักลี่สุ่ย
ยังไม่อาจเป็นคู่มือของพวกมันได้ สองสานักที่ทรงพลังอานาจถึ งเพียงนี้ยัง
ถึงกาลแตกดับใต้ฝ่าเท้าเหยียบย่าของกองทัพปิศาจ มีตัวอย่างที่ดีให้เห็น
อยู่ตรงหน้าพวกมัน ผู้ใดยังกล้าเอาไข่ไปกระทบหินอีกเล่า?
เลี่ยวฉีชางไม่กล่าวคาใด เพียงจ้องมองเกาะเต่าตาเขม็ง รออีกสักอึด
ใจใหญ่ เห็นซิวเจ่อกลุ่มเล็ก ๆ อีกกลุ่มหนึ่งทะยานออกมาจากเกาะ
เลี่ ย วฉี ช างตาเป็ น ประกาย มั น จดจ าหนึ่ ง ในคนเหล่ า นั้ น ได้ รี บ ร้ อ ง
เรียกสุดเสียง “นัน
่ ม้าฝานเซียนเซิงใช่หรือไม่?”
ม้าฝานได้ยินเสียงเรียก หันมามองแวบหนึ่ง พอเห็นเป็นเลี่ยวฉีชางก็
เหินร่างเข้าหา ประสานมือคารวะพลางกล่าว “เถ้าแก่เลี่ยว ท่านยังมิได้
จากไปอีกหรือ?”
“ยังจะหนีไปที่ใดได้เล่า?” เลี่ยวฉีชางทอดถอน
ม้ า ฝานฉุ ก ใจคิ ด กล่ า วว่ า “เช่ น นั้ น เถ้ า แก่ เ ลี่ ย วเข้ า พั ก บนเกาะสั ก
ระยะจะดีกว่า อยู่ในเกาะจะปลอดภัยกว่า”
“ปลอดภัย ? ฟังดูยิ่งใหญ่แท้!” ซิวเจ่อข้างกายเลี่ย วฉี ช างแค่น เสี ย ง
เย้ยหยัน
ม้าฝานเหลือบมองคนผู้นน
ั้ แวบหนึ่ง คร้านจะสนใจมัน
เลี่ยวฉีชางสีหน้าหวั่นไหวใจ “พวกท่านไม่คิดจากไปจริง ๆ?”
ม้ า ฝานหั ว ร่ อ เบา ๆ “ก็ เ หมื อ นเช่ น ที่ เ ถ้ า แก่ เ ลี่ ย วว่ า มา เรายั ง จะ
หลบหนีไปที่ใดได้? แทนที่จะวิง่ พล่านไปเช่นนัน
้ มิสู้ยืนหยัดอยู่ที่นี่”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้เอาบุญ อย่าได้พยายามกระทาตัวเป็นวีรบุรุษ
และมั่นใจเกินตัวจะดีกว่า เจ้าเข้าใจว่าศีรษะของพวกเจ้าแข็งกว่าหินหรือ”
ซิวเจ่อข้างกายเลี่ยวฉีชางกล่าวเสียงแปลกพิกล
เหลยเผิงในที่สุดอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ถลึงตาโปนโตดุจระฆัง มือ
ขวาเปล่งแสงวาบ ตบฟาดอย่างเกรี้ยวกราด!
“หุบปากให้แก่บิดา!”
อีกฝ่ายก็ไม่ใช่มือชั้นธรรมดา ตอบสนองอย่างทันท่วงที เกราะปราณ
พลันเปล่งแสงเจิดจ้า
แต่เหลยเผิงมือไม้หนักหน่วงยิ่ง ทั้งยังไม่พลิกแพลงเปลี่ยนกระบวน
ท่ า ตบลงบนเกราะปราณที่ ท อแสงสว่ า งไสวอย่ า งหั ก โหม คนผู้ นั้ น รู้ สึ ก
เรี่ยวแรงมหาศาลขุมหนึ่งโถมซัดเข้ามาอย่า งดุดัน ร่างปลิวลิ่วไปเบื้องหลัง
ไม่หยุดยั้ง
แกรก!
เหลยเผิงตบจนคนผู้นี้กระแทกกับพื้น
คนผู้นั้นกระโดดขึ้นจากพื้น ใบหน้าแดงก่าด้วยโทสะ “เจ้ากล้าลงไม้
ลงมือกับข้าเชียวรึ แส่หาที่ตาย!”
ฟ่อ
เสียงแหลมสูงเย็นเยียบดังแผ่วเบา
คนผู้นั้นรู้สึกล าคอเย็นวาบ เห็นคมกระบี่เย็นเฉียบกดแน่นติดล าคอ
เย็ น เฉี ย บเสี ย จนมั น ผมเผ้ า ลุ ก ชี้ ชั น ! ไม่ ก ล้ า ขยั บ กายแม้ แ ต่ น้ อ ย ความ
หวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ไหลบ่าเหมือนคลื่นน้า ขาสัน
่ พับ
่ ๆ อย่างช่วย
ไม่ได้
“ตัวโง่งม!”
กระบี่บินหวนกลับสู่มือของม้าฝาน ม้าฝานไม่เหลือบแลเศษสวะที่ต่ ืน
กลัวแทบตายผู้นั้นอีก หันกลับมากล่าวกับเลี่ยวฉี ช างอย่ างฉะฉาน “เถ้า
แก่เลี่ยวหากไปยัง เกาะ ต้าเหรินต้องต้อนรับ ท่ านด้ วยดี แน่ พวกเรายั ง มี
เรื่องสาคัญต้องกระทา ไม่อาจโอ้เอ้เสียเวลามากนัก ขออาลา!”
กล่าวจบคา ทั้งสามคนก็ขี่เมฆวิเศษพุ่งหายลับไปบนท้องฟ้า
บทที่ 511 ความหวัง

“เจ้าได้ยินมาหรือไม่? เกาะเต่าไม่หลบหนี!”
“พวกมันใช่เสียสติหรือไม่? นี่มิเท่ากับรอรับความตายหรือ?”
“รอรับความตายอันใด? พวกมันกล้าต่อสู้กับกองทัพปิศาจ! นี่จึงเป็น
บุรุษที่แท้จริง!”
“แต่พวกมันสามารถเอาชัยได้หรือไม่เล่า? ลองดูสานักฟงฉิงกับสานัก
ลี่สุ่ยนั่นปะไร ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว! ไม่ว่าเกาะเต่าจะแข็งแกร่งสัก
เพียงใด คงไม่แข็งแกร่งไปกว่าสานักฟงฉิงกับสานักลี่สุ่ยหรอกกระมัง?”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกมันแข็งแกร่งหรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าในขณะที่ทุกคน
กาลังหลบหนี มีเพียงพวกมันที่กล้ายืนหยัดต่อสู้ พวกมันจึงเป็นยอดบุรุษที่
แท้จริง ข้านับถือเลื่อมใสพวกมัน! ไม่ได้การ ข้าต้องเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้
ให้ได้ ต่อให้ต้องตายก็ไม่โทษว่าตาหนิ!”
“อย่าทาอะไรโง่ ๆ น่า ... ...” ผู้เป็นสหายรีบตักเตือนอย่างห่วงกังวล
ข่าวที่ว่าเกาะเต่าตระเตรียมทาศึกกับกองทัพปิศาจ ประดุจขว้างก้อน
หินเล็ก ๆ ลงไปในบ่อน้าเดือด สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือเสียงหัวร่อเยาะหยัน
ดูถูกดูแคลนและเมิน เฉยไม่ ใส่ ใจ แต่ในขณะเดีย วกัน ก็ ดึง ดู ด ความสนใจ
จากเหล่าบุรุษเลือดระอุท้ังหลาย ซิวเจ่ออาณาจักรทะเลเมฆมากมายเติบ
ใหญ่ขึ้นที่นี่ ไหนเลยจะยินดีละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อหลบหนีไปที่อ่ ืน
และยังมีผู้คนเช่นเลี่ยวฉีชาง ซึ่งมีธุรกิจการค้าขนาดใหญ่โตและทรัพย์สิน
สิ่งปลูกสร้างอยู่ในอาณาจักรทะเลเมฆ ยากที่จะละทิ้งหลบหนีจากไปได้ ใน
ตอนเริ่ ม แรก ทุ ก คนล้ ว นแตกตื่ นลนลาน จั บ ต้ น ชนปลายไม่ ถู ก สั บ สน
อลหม่านเหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย แต่ในไม่ช้าพวกมันก็สงบใจลง
เริ่มมองหาเหตุผลที่จะต่อสู้
ดังนั้นเมื่อเรื่องที่ว่าเกาะเต่าเตรียมทาศึกแพร่สะพัดออกไป พวกมัน
คล้ายเสาะพบเป้าหมายที่พวกมันเฝ้ารอคอย
ซิวเจ่อจานวนมหาศาลไหลบ่ามาจากทุกทิศ ทาง มุ่ งหน้าไปยังเกาะ
เต่าเป็นจุดเดียว ภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน ซิวเจ่อมากมายจนน่าตระหนกก็
มาชุมชุมกันอย่างคับคั่ง
จั่วม่อพอทราบเรื่องต้องกุมขมับแทบเป็นลมล้มพับไป รู้สึกปวดเศียร
เวียนเกล้าอย่างบอกไม่ถูก เกาะเต่าแม้มีไพร่พลไม่มาก แต่ล้วนผ่านการ
ฝึ ก ฝนมาเป็ น อย่ า งดี ผ่ า นศึ ก น้ อ ยใหญ่ นั บ ไม่ ถ้ ว น พวกมั น เคยชิ น กั บ
กระบวนทัพ การบัญชาการพวกมันย่อมสะดวกดายเหมือนบงการมือเท้า
ตัวเอง พวกมันยังมีความสามารถในการทาศึกสูงเยี่ยม ส่วนบรรดาซิวเจ่อ
ที่มาชุมนุมกันในยามนี้ ความสามารถแตกต่างหลากหลาย มีท้งั ผู้ที่เก่งกาจ
และผู้ที่อ่อนแอ ทั้งยังไม่เคยฝึกปรือกระบวนทัพมาก่อน หากโยนพวกมัน
ลงไปในสนามรบ เกรงว่าไม่อาจนับเป็นทหารเกณฑ์ได้ด้วยซ้า
แต่หากมันเมินเฉยต่อคนเหล่านี้ บางคนอาจผูกใจเจ็บ ลอบกระตุกขา
หลังของเกาะเต่า จะยิ่งเป็นชนวนเหตุเภทภัยต่อชาวเกาะเต่า
เลี่ ย วฉี ช างรี บ กล่า วกระตุ้น เตือน “ท่ า นประมุ ข เกาะ ทุ ก ผู้ ค นกาลัง
เลือดลมเดือดพล่าน ขวัญกาลังใจเต็มเปี่ ยม! ท่านประมุขเกาะอย่าได้ราน
น้าใจพวกมัน ข้าเห็นในหมู่พวกมันมียอดฝีมือเลื่องชื่ออยู่ไม่น้อย นี่เป็นขุม
ก าลั ง อั น ยิ่ ง ใหญ่ หากท่ า นประมุ ข เกาะสามารถรั บ ตั ว พวกมั น เอาไว้
ภายหลังเหตุการณ์ส งบลงแล้ว ในอาณาจักรทะเลเมฆเราจะไม่มี ผู้ใ ดเป็น
คู่มือของท่านประมุขเกาะได้อีก!”
จั่วม่อลอบฝืนยิ้มอย่างขมขื่น มันไม่ได้บอกข้อห่วงกั งวลของมั น ต่ อ
เลี่ยวฉีชาง สาหรับการศึกสงคราม คนผู้นี้ก็เป็นได้แค่มือใหม่ที่ไม่เข้าใจอัน
ใด
มั น ขบคิ ด อยู่ ค รู่ ใ หญ่ การมาของคนเหล่า นี้ ย่อ มไม่ใ ช่ สิ่ง เลวร้ ายแต่
อย่างใด เกาะเต่าอันที่จริงมีพ้ น
ื ที่ไม่น้อย แต่จานวนผู้คนบางตาเกินไป และ
ส่วนใหญ่ยังเป็นซิวเจ่อสายการผลิต ที่ไม่ มีฝีมือต่อสู้ นับว่าองค์ประกอบ
ของไพร่พลไม่ส มเหตุส มผลเท่ าใด หากพวกมันต้องการเอาชีวิต รอดใน
อาณาจักรทะเลเมฆ พวกมันต้องมีเซียนนัก รบจ านวนมากพอ มิเช่นนั้ น
หากผู้คนของค่ายจูเชวี่ยและค่ายเว่ยเกิดบาดเจ็บล้มตาย และไม่อาจหาคน
ทดแทนได้ เช่นนั้นพวกมันยิ่งต่อสู้มากเท่าใด ก็จะยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น
ตราบใดที่รอยแยกแห่งความโกลาหลยังคงอยู่ อาณาจักรทะเลเมฆก็
มิได้แตกต่างอันใดจากแนวหน้า สามารถเกิดศึกได้ทุกเมื่อ
จั่วม่อกัดฟัน กล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “เราจะรับตัวพวกมันไว้!”
เทียบกับเลี่ยวฉีชางที่ต่ ืนเต้นยินดีแล้ว คนอื่น ๆ ยังมีสีหน้าเคร่งขรึม
จริ ง จั ง พวกมั น ทราบว่ า หลั ง จากค าประกาศนี้ ต้ า เหริ น ยั ง ต้ อ งมี วิ ธี ก าร
ตามหลัง
จั่วม่อก็ไม่อ้อมค้อมเกรงอกเกรงใจ กล่าวอย่างตรงประเด็น “เลือกผู้มี
ฝีมือจากกลุ่มคนเหล่านี้ ตั้งค่ายอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่าค่ายเสวียนอู่ ยามนี้
พวกมันยังไม่มีฝีมือการรบ ต้องฝึกฝนกระบวนทัพให้แก่พวกมันเสีย ก่อน
ม้าฝาน เจ้าในเมื่อเป็นตัวก่อเรื่องครั้งนี้ ค่ายเสวียนอู่ก็ยกให้เจ้ารับผิดชอบ”
ม้าฝานสานึกเสียใจอย่างสุดแสน เรียกให้มันฝึกปรือสามเณรมือใหม่
ทั้งกองทัพ นี่เลวร้ายยิ่งกว่าฆ่ามันเสียอีก!
เหนี ย นลู่ กั บ เหลยเผิง ที่ด้ า นข้า งลอบหัว ร่ อ ยิน ดี ใ นคราเคราะห์ข อง
ผู้อ่ ืน พวกมันยินยอมไปสนามรบเข่นฆ่าศัต รู เสียยังดีกว่าให้ควบคุม ดู แ ล
สามเณรทั้ ง วั ด เพื่ อ ฝึ ก ปรื อ ทุ ก วั น พวกมั น ทราบกระจ่ า งกว่ า ผู้ ใ ด ค่ า ยจู
เชวี่ยเริ่มจากไม่มีอะไรจนมีสถานะเช่นทุกวันนี้ เป็นเรื่องลาบากยากเย็นถึง
เพี ย งไหน จะให้ ค อยเคี่ ย วเข็ ญ กลุ่ ม คนที่ ไ ม่ ล่ ว งรู้ สิ่ ง ใดเลย จนมี ฝี มื อ
เทียบเท่ากับค่ายจูเชวี่ย สมควรยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์แล้ว
ม้าฝานเหลือบมองสีหน้ากระหยิ่มยินดีของคู่หูมหาประลัยแวบหนึ่ง
จากนั้ น แสร้ ง ถามจั่ ว ม่ อ ด้ ว ยสี ห น้ า เรี ย บเฉยว่ า “ต้ า เหริ น ข้ า ไม่ เ ก่ ง กาจ
พอที่ จ ะท าเรื่ องนี้ เ พี ย งล าพั ง สามารถเรี ย กพี่ น้ อ งสั ก สองสามคนมา
ช่วยเหลือได้หรือไม่?”
เหลยเผิงกับเหนียนลู่หน้าเผือดสีทันที
จั่วม่อโบกมือ กล่าวอย่างรวบรัดหมดจด “ทาตามใจเจ้าเถอะ!”
แล้วเรื่องราวก็สรุปได้เช่นนี้เอง
ปู้ ซื อ ตงจ้ อ งมองเมฆเพลิ ง แดงที่ ส่ ว นบนสุ ด ของเกาะเต่ า ความคิ ด
จิตใจอดล่องลอยไปไกลไม่ได้ มันเป็นหนึ่งในซิวเจ่อกลุ่มแรกที่มาถึง เกาะ
เต่ า มั น ถื อ ก าเนิ ด และเติ บ ใหญ่ ใ นอาณาจั ก รทะเลเมฆ ย่ อ มไม่ ยิ น ดี จ าก
อาณาจักรทะเลเมฆไป ยิ่งไม่ยินดีเห็นอาณาจักรทะเลเมฆกลายเป็นสวน
หลังบ้านของอสูรปิศาจ เมื่อได้ยินว่าเกาะเต่าเตรียมทาศึกใหญ่กับกองทัพ
ปิศาจ มันก็รีบแล่นมาในบัดดลด้วยความหวังว่าจะเข้าร่วมเกาะเต่า
แต่มันคาดไม่ถึงว่าเกาะเต่ากลับไม่ยอมรับผู้คนในทันที ค่ายกลพิทักษ์
เกาะปิดสนิทอย่างแน่นหนา นอกเหนือจากชมดูบรรดาซิวเจ่อที่เข้าออก
จากค่ายกลทุกวัน ไม่มีผู้ใดกล่าววาจากับพวกมัน
มันเฝ้าประจักษ์ ด้วยสายตาตัวเองมาตั้งแต่ต้น รอบเกาะเต่าจากเวิ้ง
ว้ า งว่ า งเปล่ า ถึ ง ยามนี้ เ ต็ ม ไปด้ ว ยผู้ ค นเลื อ ดระอุ ซิ ว เจ่ อ ทุ ก คนที่ ด้ั น ด้ น
มาถึงที่นี่ ล้วนมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียว นั่นคือหวังจะเข้าร่วมกับเกาะเต่า
ทาศึกกับกองทัพปิศาจให้ระบือลือลั่นสักครา
แต่ยังคงไม่มีผู้ใดแยแสสนใจพวกมัน
หลายคนที่ใจร้อนวู่วามเริ่มบันดาลโทสะ พากันโถมเข้าโจมตีค่ายกล
จากนั้นพวกมันก็ถูกค่ายกลแผดเผาเป็น เถ้าถ่านในชั่ วพริ บตา เหล่าเมฆ
สนธยาสีแดงฉานอันตระการตานั้น เป็นอันตรายถึงชีวิต
ภาพอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ทาให้ผู้คนรอบข้างใจเย็นลงทันควัน
เห็นซิวเจ่ออีกกลุ่มหนึ่งขี่เมฆวิเศษเหินพุ่งมาแต่ไกล ท่ามกลางเสียง
อากาศคารามแหลมสูง แล้วพากันดิ่งหายลงไปในหมู่เมฆเพลิงแดง ทุกครั้ง
ที่เกิดภาพเช่นนี้ ปู้ซือตงจะเฝ้ามองด้วยดวงตาแดงฉาน เกาะเต่าช่างมั่งคั่ง
ร่ารวยยิ่ง!
มันไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ เสียงทอดถอนชมเชยจากคนรอบ
ข้างอื้ออึงอยู่ในหูของมัน พวกมันแต่ละคนไม่ใช่ชาวป่าชาวเขาที่ไม่รู้ความ
แต่ทุกครั้งที่พบเห็นภาพเช่นนี้ ยังอดทอดถอนชมเชยไม่ได้จริง ๆ
สวมใส่ชุดเกราะแสงเย็นวิญญาณฟ้าระดับสี่ชั้นกลาง บนแผ่นหลังมี
ปีกเมฆา สองเท้าสวมใส่รองเท้าประกายแสงจิตพยัคฆ์ หมวกเกราะปัญญา
หทัยสันติสวมอยู่บนศีรษะ และเมฆวิเศษลากหางยาวเหยียดตามหลังพวก
มัน!
นี่เป็นชุดยุทโธปกรณ์ระดับสี่อันเพียบพร้อมสมบูรณ์ท้งั ชุด!
มีปีกเมฆาอยู่แล้ว พวกมันไฉนต้องลากเมฆวิเศษไปด้วยตลอดทาง?
หรือคิดว่ายังสิน
้ เปลืองไม่พอ?
ผู้ ค นนั บ ไม่ ถ้ ว นแทบโถมเข้ า ไปลอกคราบพวกมั น ให้ ห มดจด ตอน
เริ่มแรก ผู้คนแม้อิจ ฉาริษยาแต่ยังพอยอมรับได้บ้าง อาศัยความเข้มแข็ง
ของเกาะเต่า คิดติดอาวุธระดับนี้ให้แก่ยอดฝีมือจานวนหนึ่ง มิใช่ว่าเป็นไป
ไม่ได้
กองกาลังใดไม่มียอดฝีมือที่ซ่ ือสัตย์ภักดีโดยไม่มีเงื่อนไขสักสามร้อย
ห้าร้อยคน?
แต่ในไม่ช้าพวกมันก็ค้นพบอย่างตื่นตะลึง ว่าชุดเหล่านี้หาใช่ชุดแต่ง
กายของยอดฝีมือจานวนหนึ่งไม่ แต่เป็นชุดยุทโธปกรณ์มาตรฐานของไพร่
พลเกาะเต่า ทุกคนที่ออกมาจากค่ายกลล้วนสวมใส่ชุดแบบเดียวกัน!
ผู้ ค นนั บ ไม่ ถ้ ว นน้ า ตาไหลพราก คนเหล่ า นี้ เ ป็ น มหาเศรษฐี ตั ว จริ ง !
หัวใจที่เดิมก็ร้อนเร่าด้วยเพลิงริษยาอยู่แล้ว พลันลุกฮือโหมจนเพลิงริษยา
แทบจะแผดเผาตัวเอง
ปู้ซือตงไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็น มันกวาดตามองไปรอบ ๆ พลาง
ขบคิดใคร่ครวญ เกาะเต่ายังคงรักษาความเงียบดุจ เดิม มันจู่ ๆ ก็รู้สึกว่า
ต้องการเข้าร่วมเกาะเต่า อันที่จริงหาใช่เรื่องง่ายดายดังใจคิดไม่ ความคิดนี้
พอผุ ด ขึ้ น ในใจ มิ เ พี ย งไม่ ท าให้ มั น ท้ อ แท้ ห ดหู่ กลั บ ยิ่ ง หนุ น เสริ ม ให้ มั น
บังเกิดความเชื่อมั่นมากกว่าเดิม พฤติการณ์ท้ังหมดของเกาะเต่าล้วนบ่ง
บอกอย่างชัดเจนว่าพวกมันแตกต่างจากขุมกาลังอื่น
บางที...พวกมันอาจสามารถเอาชัยกองทัพปิศาจได้จริง ๆ?
ความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ทาเอาปู้ซือตงตื่นตระหนกแทบ
ตาย
ในเวลานี้เอง ค่ายกลใหญ่ของเกาะเต่าพลันเปิดกว้าง เมฆเพลิงแดง
ฉานแยกออกจากกัน เห็นกองทหารที่มีไพร่พลราวสองร้อยคนปรากฏขึ้น
เบื้องหน้าสายตาของผู้คน
ทุ ก คนสวมใส่ ยุ ท โธปกรณ์ ร ะดั บ สี่ ท้ั ง ร่ า ง ทุ ก คนถื อ กระบี่ บิ น สี ท อง
เหมือนกัน เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างผิดปกติ!
เซียนกระบี่?
ผู้ ค นที่ ก าลั ง ตื่น ตระหนกในใจบั ง เกิ ด ความคิ ด เดี ย วกั น เซี ย นกระบี่
มากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าเกาะเต่าเป็นสานักกระบี่?
กองก าลั ง สองร้ อ ยคนไม่ เ ปิ ด โอกาสให้ผู้ ค นได้ ข บคิ ด ใคร่ ค รวญ ปี ก
เมฆาบนแผ่นหลังของซิวเจ่อที่เป็นผู้นาทัพพลันสะบัดวูบ จากนั้นปีกเมฆา
บนหลังของเซียนกระบี่ท้ังสองร้อยคนก็สะบัดตามอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง
ทัพหายวับไปจากสายตาผู้คนในบัดดล!
คนทั้งหมดล้วนแตกตื่นสุดระงับ!
ความเร็วอันร้ายกาจ! ความพร้อมเพรียงอันร้ายกาจ!
“พวกมันอยู่บนนั้น!” บางคนร้องบอกอย่างตื่นตระหนก
ทุ ก ผู้ ค นเงยหน้ า ขึ้ น ตามเสี ย ง พวกมั น เห็ น สองร้ อ ยเซี ย นกระบี่ ชั่ ว
พริบตานี้ประดุจกระบี่สองร้อยเล่มหลุดออกจากฝัก เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
และจิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้อั น คมกริ บ ครอบครองท้ อ งฟ้ า ทั้ ง หมด! เซี ย น
กระบี่ท้ังสองร้อยทอดตามองลงมายังผู้คนเบื้องล่าง แผ่ซ่านพลังสภาวะ
เย็นเยียบและเหี้ยมเกรียมไม่ขาดสาย!
ผู้คนพลันบังเกิดความรู้สึกหลอน ราวกับว่าพวกมันจมอยู่ในบึงโคลน
อั น หนาวเหน็ บ และมื ด มิ ด ยิ่ ง ดิ้ น รนเท่ า ไร ยิ่ ง ใกล้ ค วามตายเข้ า ไปมาก
เท่านั้น
แข็งแกร่งยิ่ง... ...
ปู้ซือตงพึมพากับตัวเองอย่างใจลอย
ทันใดนั้นเอง มันพลันม่านตาหดแคบลง ร่างสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง
บนท้องฟ้า สุ้มเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา
“ฆ่า!”
สองร้อยเซียนกระบี่ตวาดอย่างพร้อมเพรียง “ฆ่า!”
เจตจานงฆ่าฟันที่ยึดครองท้องฟ้าพลั นโหมซัดลงมาดุจพายุฝน พลัง
สภาวะเย็นเยือกปานน้าแข็งแทรกตัวอยู่ในทุกแห่งหน ราวกับใบมีดคมกริบ
ยึดครองทุกตารางนิว
้ ในอากาศ! ปู้ซือตงรู้สึกราวกับมันยืนอยู่กลางพื้นที่เวิ้ง
ว้ า งซึ่ ง เต็ ม ไปด้ ว ยเจตจ านงกระบี่ เสี ย งเจตจ านงกระบี่ ฉี ก ฝ่ า อากาศดั ง
แหลมสูง ประหนึ่งเสียงภูต ผีนับ ไม่ถ้วนกรีดร้องทวงวิญญาณ บันดาลให้
ผู้คนสูญเสียความคิดต่อต้านแข็งขืน
เจตจานงกระบี่อันไพศาล ดุจดั่งคลื่นน้าถาโถมที่ไม่อาจสกัดขัดขวาง
พกพาเจตนาฆ่าฟันโหมซัดลงมาจากท้องฟ้า!
ต่อหน้าการโจมตีสะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้ ซิวเจ่อทั้งหมดใบหน้าขาว
ซีด ร่างสั่นระริกอย่างสุดระงับยับยั้ง!
ไม่มีใครกล้าขยับตัว!
พวกมันกลัวว่าหากขยับตัวสักเล็กน้อย จะเป็นเหตุให้กระบี่ของผู้อ่ ืน
เปลี่ยนทิศทางมุ่งตรงมายังพวกมันแทน
เหล่าซิวเจ่อที่เคยชินกับการต่อสู้ข นาดเล็ก เป็นครั้งแรกที่เผชิญกับ
การโจมตี ป ระดุ จ คลื่ นยั ก ษ์ ถ ล่ม ขุ น เขาซึ่ ง มาจากกระบวนทั พ ทั น ใดนั้ น
พลันพบว่า สิ่งที่พวกมันเรียกว่าประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชน ที่แท้ช่า ง
เหลวไหลน่าหัวร่อนัก! ความเหี้ยมหาญของคนผู้หนึ่ง ต่อหน้าการโจมตีอัน
เกรี้ยวกราดดุดันของกองทัพ ก็เล็กกระจ้อยร่อยไม่ต่างจากมดปลวก
ห่าฝนปราณกระบี่เฉียดผ่านในระยะไกล แล้วสลายหายไป ส่งเสี ยง
กังวานสะท้อนสะท้านกลับมา รอบ ๆ เกาะเต่าเงียบสงัดดุจป่าช้า
ม้าฝานพออกพอใจกับผลงานของการข่มขวัญครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่
เมื่ อนึ ก ขึ้ น ได้ ว่ า กลุ่ ม คนที่ ต่ ื นกลั ว จนแม้ แ ต่ จ ะขยั บ ตั ว ยั ง ไม่ ก ล้ า เหล่ า นี้
ก าลั ง จะกลายเป็ น ไพร่ พ ลใต้ บั ง คั บ บั ญ ชาของมั น เอง พลั น อารมณ์ เ สี ย
ขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ บ นใบหน้ า ย่ อ มไม่ แ สดงความไม่ พ อใจออกมา เพี ย งกล่ า วอย่าง
เคร่ ง ขรึ ม “ข้ า รั บ ค าสั่ ง จากต้ า เหริ น ให้ ก่ อ ตั้ งค่ า ยเสวี ย นอู่ ผู้ ที่ เ ชื่ อ มั่ น ใน
ความแข็งแกร่งของตัวเองสามารถเข้ารับการทดสอบ นับตั้งแต่บัดนี้จนถึง
เวลาแห่งการเปิดศึก เกาะเต่าจะเปิดกว้างต้อนรับผู้ มีจิตปณิธ าน ทุกท่าน
เกาะเต่าเรามีกฏระเบียบอันเข้มงวด ดูแลตัวเองด้วย!”
ด้ ว ยการฉวยโอกาสตี เ หล็ ก ทั้ ง ที่ ยั ง ร้ อ นนี้ ไม่ มี ใ ครกล้ า กล่ า ววาจา
แม้แต่ครึ่งคา
ม้าฝานก็ไม่กล่าวมากความ สะบัดหน้าไปอีกทาง นาทัพของมันกลับ
เข้าไปยังเกาะเต่า
ปู้ซือตงตั้งสติจากความตื่นตระหนกอย่างรวดเร็ว เกาะเต่าเปิดเกาะ
แล้ว? ก่อตั้งค่ายเสวียนอู่? มันเริ่มคิดทบทวน แล้วพลันคึกคักขึ้นอักโข โดย
ไม่รีรอลังเล รีบเหินทะยานเข้าไปในเกาะเต่าทันที
มันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น กองพันเกาะเต่าร้ายกาจ
กว่าที่เล่าลือกันเสียอีก!
กองพันเช่นนี้ส ามารถพิชิต กองทัพปิศาจได้ห รือไม่ มันไม่อาจล่วงรู้
แต่มันทราบว่านี่เป็นกองทัพเดียวในอาณาจักรทะเลเมฆที่มีโอกาสประสบ
ความสาเร็จมากที่สุด
มันยังกระหายใคร่รู้ยิ่ง เกาะเต่าที่เล่าลือกัน ที่แท้มีลักษณะเช่นไร?
ในวั น นั้ น เอง ข่ า วที่ ว่ า เกาะเต่ า เปิ ด กว้ า งรอรั บ ผู้ มี จิ ต ปณิ ธ าน ก็
แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรทะเลเมฆ การโจมตีข องกองทัพม้าฝานถูก
โจษขานกันไปอย่างยิ่งใหญ่เกินจริงมากกว่าเดิม
คนที่หัวร่อเย้ยหยันยังคงหัวร่อเย้ยหยัน คนที่ลนลานหลบหนี ก็ยังคง
หลบหนีอย่างลนลานต่อไป
มีเพียงผู้ที่จุดประกายแห่งความหวังและจิตวิญญาณการต่อสู้ พากัน
เดินทางทั้งวันทั้งคืน เร่งรุดมายังเกาะเต่า!
บทที่ 512 เป้าหมาย

“พวกมั น ล้ ว นแห่ กั น ไปยั ง สถานที่ ที่ เ รี ย กว่ า เกาะเต่ า ฟั ง ว่ า เป็ น ขุ ม


กาลังเดียวที่คิดเปิดศึกต่อต้านพวกเรา” รองแม่ทัพรายงานอย่างไร้อารมณ์
“อ้อ” สือตง (ฤดูกาลเหมันต์) รับคาเสียงราบเรียบ สีหน้าเย็นชา กล่าว
เสี ย งเบาต่ า “ก็ ดี เ หมื อ นกั น ปล่ อ ยให้ พ วกมั น ไปรวมตั ว อยู่ ที่ เ ดี ย วกั น
ทั้งหมด จะช่วยลดความยุ่งยากให้เราไม่น้อย”
รองผู้ บั ญ ชาการไม่ ก ล่ า วค าใด สองตาครึ่ ง หลั บ ครึ่ ง ลื ม ยื น นิ่ ง สงบ
เหมือนก้อนศิล า ท่านแม่ทัพของพวกมั นห้ า วหาญชาญศึก ทั้งขวัญ กล้ า
จิตใจละเอียดอ่อน ไม่จาเป็นต้องห่วงกังวลมากความ
แม่ ทั พ สื อ ตงแม้ ถื อ ก าเนิ ด จากปิ ศ าจตั๊ ก แตนระดั บ ต่ า แต่ ถื อ ครอง
สายเลือดแห่งตั๊ก แตนฟ้ า ที่ห าได้ย าก มันมีร่างกายสู งสง่ า เพรีย วบางอั น
เป็นเอกลักษณ์ของปิศาจตั๊กแตน บนใบหน้าที่ราวกับสลักเสลาจากคมมีด
ไม่มีรอยตาหนิใด ดวงตาสีฟ้าครามพิสุทธิ์สดใสราวกับผลึกน้าแข็ง สีหน้า
เย็นชา คล้ายวางตัวห่างไกลจากผู้คน
ดาบตะขอตั๊ ก แตนของมั นมี รู ป ร่ า งแตกต่า งจากดาบตะขอตั๊ กแตน
ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เสียบอยู่ที่หว่างเอว ใบดาบแคบเรียวยาวจนแทบระพื้น
ใบดาบมีส่วนโค้งน้อยมาก ก้ากึ่งอยู่ระหว่างดาบกับกระบี่เสียมากกว่า
มองดู ใ บหน้ า หล่ อ เหลาของท่ า นแม่ ทั พ รองผู้ บั ญ ชาการลอบทอด
ถอนในใจ หากมิใช่ว่าต้าเหรินถือกาเนิดจากปิศาจตั๊กแตนชั้นต่า จะต้องได้
เลื่ อนต าแหน่ ง เสี ย นานแล้ ว แม้ ว่ า ต้ า เหริ น หาได้ แ ยแสสนใจไม่ แต่ กั บ
ความอยุติธรรมนี้ มันอดรู้สึกขุ่นแค้นแทนต้าเหรินไม่ได้
“ชะลอความเร็วลง” สือตงกล่าวอย่างเย็นชา
“ทราบแล้ว” รองผู้บัญชาการรั้งสติกลับมา เมื่อลองขบคิดเล็กน้อย
มั น ก็ เ ข้ า ใจจิ ต เจตนาของต้ า เหริ น ต้ า เหริ น ที่ สั่ ง ให้ เ ดิ น ทั พ ช้ า ลง เพื่ อ
ต้องการให้อีกฝ่ายมีเวลารวมตัวกันมากพอ เมื่อทาเช่นนี้ พวกมันก็ไม่ ต้อง
เสียเวลาไล่ล่าค้นหาคนเหล่านี้ สามารถกวาดล้างทั้งหมดได้ภายในการสู้รบ
ครั้งเดียว นับว่าสะดวกสบายไม่น้อย
ต้าเหรินมีความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้นจริง ๆ!

เกาะเต่ า ต้ อ นรั บ ซิ ว เจ่ อ เข้ า มามากมาย ท าให้ บ รรยากาศบนเกาะ


กลายเป็นเอะอะอึกทึกและฮึกเหิมขึ้นมา
ซิวเจ่อส่วนใหญ่ที่เข้ามาในเกาะเป็นเซียนนักรบ คึกคักแจ่มใสไปด้วย
จิตวิญญาณการต่อสู้ มีบ้างที่พยศดุร้าย ยากจะควบคุมพวกมัน อย่างไรก็
ตาม เมื่อเหวยเสิ้ง จงหยู เซี่ยซานและจินตันคนอื่น ๆ มาถึง ก็ให้การดูแล
คนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้เป็นพิเศษทันที
เหล่าคนที่พยศดุร้ายถูกโยนเข้าไปในค่ายกลกระบี่ รับการทรมานคน
ละรอบสองรอบ ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากค่ายกลกระบี่
เป็นครั้งคราว ทาเอาคนผ่านไปผ่านมาถึงกับร่างสั่นเทาโดยไม่ต้งั ใจ
เกาะเต่ากลายเป็นสงบเรียบร้อยในทันใด
เซียนนักรบทุกคนที่เข้ามาในเกาะเต่า จะเข้าร่วมการคัดเลือกคนเข้า
สู่ค่ายเสวียนอู่เป็นอันดับแรก แต่ในไม่ช้าพวกมันค่อยเข้าใจอย่างซาบซึ้ง
ว่าอันใดจึงเรียกว่ากองทัพเกาะเต่า! เซียนนักรบที่มาในครั้งนี้ล้วนเป็นชน
ชั้ น อั น เหี้ ย มหาญเลือดร้ อ น แต่ ล ะคนมี ป ระสบการณ์ ต่อสู้ อย่ า งโชกโชน
พลังฝีมือกล้าแข็ง หากอยู่ในกองกาลั งอื่น พวกมันสามารถเข้า เป็ น ส่ ว น
หนึ่งของกองพันชั้นยอดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความจริงหลายคนในนี้ ก็เพิ่ง
ออกจากกองพั น ชั้ น ยอดของกองก าลั ง อื่ น มุ่ ง หน้ า มาที่ นี่ เ พื่ อที่ จ ะได้ มี
โอกาสเข้าร่วมศึก
แต่ยอดฝีมือชั้นสูงเหล่านี้ หลังจากวันแรกของการคัดเลือกคน หลาย
คนกลับออกมาด้วยสีหน้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อนและสลดหดหู่
พวกมั น ในที่ สุ ด ก็ ไ ด้ ลิ้ ม รสพลั ง อั น กล้ า แกร่ ง เกรี ย งไกรของกองพั น
เกาะเต่าอย่างลึกซึ้ง!
ระเบี ย บวิ นั ย อั นเข้มงวดที่ พวกมัน ไม่เ คยได้ ยิน ได้ ฟั งมาก่ อน ระดั บ
การฝึกฝนอันเข้มข้นและหนักหน่วง ชนิดที่ทาเอาหลายคนถึงกับยืนหยัด
ได้ไม่ครบวันเสียด้วยซ้า ถึงตอนนี้พวกมันค่อยตระหนักว่ากองทหารสอง
ร้อยคนที่พวกมันเห็นในวันนั้น เป็นเพียงไพร่พลทั่วไปในเกาะเต่าเท่านั้น
เกาะเต่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่ ากองทัพ ชั้นยอด อาจบางทีเนื่องเพราะพวกมั น
ล้วนเป็นยอดเหมือน ๆ กันทั้งหมด
แต่ ที่ ส อดคล้ อ งกั บ มาตรฐานที่ ต้ั ง ไว้ สู ง ลิ บ ลิ่ ว ค่ า ยเสวี ย นอู่ ก็ ม อบ
สวัสดิการค่าตอบแทนที่สูงลิบลิ่วจนหลายคนอิจฉาตาร้อนเช่นกัน
ผู้ ค นชุ ด แรกที่ ถู ก เลือ กเข้า ค่ า ยและผ่า นการฝึก ฝนกระบวนทั พ จะ
ได้ รั บ ชุ ด ยุ ท โธปกรณ์ ร ะดั บ สี่ ท้ั ง ชุ ด หลายคนเคยอิ จ ฉาตาร้ อ นกั บ ชุ ด
ยุทโธปกรณ์ระดับสี่ที่ค่ายจูเชวี่ยสวมใส่ แต่ยามนี้ขอเพียงพวกมันเสร็จสิน

การฝึกฝนอย่างสมบูรณ์ จะได้รับชุดยุทโธปกรณ์อย่างเดียวกัน เรื่องดีงาม
ถึงปานนี้พวกมันยังจะไปหาได้จากที่ใดอีกเล่า?
ค่ายเสวียนอู่ยุ่งวุ่นวายยิ่ง
จั่วม่อเฝ้าดูอยู่ระยะหนึ่ง แล้วค่อยหันเหสายตาจากค่ายเสวียนอู่ ใน
ระยะเวลาอั น สั้ น มั น ยั ง ไม่ อ าจตั้ ง ความหวั ง อั น ใดกั บ ค่ า ยเสวี ย นอู่ การ
ฝึ ก ปรื อ กระบวนทั พ และพิ ชั ย ยุ ท ธ์ ข องกองพั นหนึ่ง ต้ อ งใช้ เ วลาไม่ น้อย
อย่าว่าแต่สัดส่วนไพร่พลของค่ายเสวียนอู่ยังหลากหลายมาก เป็นกองทัพ
ที่ผ สมปนเปไปด้วยซิวเจ่อทุกประเภทอย่างครบถ้วน การคิดหากระบวน
ทัพค่ายกลศึกที่เหมาะสมกับพวกมัน ต้องทุ่มเทกาลังความคิดจิตใจอย่ าง
มหาศาล
โชคดีที่นอกเหนือจากบรรดาเซียนนักรบที่รับเข้ามาใหม่ ยังมีแม่ทัพ
บั ญ ชาการศึ ก ระดั บ เงิ น อี ก สามคน ด้ ว ยความช่ ว ยเหลื อ จากสามแม่ ทั พ
บัญชาการศึกระดับเงิน สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของม้าฝานไม่น้อ ย แต่
ถึงกระนั้น ตามการประเมินของแม่นางน้อย หากต้องการให้ค่ายเสวียนอู่
พร้อมทาศึกอย่างแท้จริง เกรงว่ายังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
“เราสืบพบว่ากองทัพปิศาจขบวนนี้มีไพร่พลอยู่ราว ๆ สามพัน ความ
แข็งแกร่งของพวกมันนับว่าไม่เลว” กงซุนชากึ่งบอกเล่ากึ่งรายงาน ด้วยสุ้ม
เสียงไม่เห็นสาคัญ
บางทีอาจเป็นเพราะรับอิทธิพลมาจากผูเยา การที่จะให้แม่นางน้อย
กล่าวว่า ‘ไม่เลว’ ออกมาสักคา เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญไม่น้อย ดังนั้น
กล่าวอีกอย่างก็คือ กองทัพปิศาจขบวนนี้สมควรฝีมือดีมากแล้ว
“พวกมั น ชะลอความเร็ ว ในการเดิ น ทั พ รุ ด หน้ า บางที พ วกมั น อาจ
ต้องการให้เรามีเวลารวมตัวกันมาก ๆ พวกมันจะได้ถ ล่มให้ราบคาบเสีย
ทีเดียว” แม่นางน้อยแยกแยะอย่างยิ้มแย้ม
เห็นรอยยิ้มหวานเยือกของแม่นางน้อย ผู้คนรอบข้างสะดุ้งเฮือก แม่
นางน้อยมีโทสะแล้ว!
บางคนถึงกับแสยะยิ้มยินดีในคราเคราะห์ของผู้อ่ ืน อสูรปิศาจอันใด
ตัวประหลาดอันใด พวกเจ้าหากตอแยแม่นางน้อยของเรา ...ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่... ...
“พวกเราจะทาศึกอย่างไร?” ซู่หลงถามอย่างตรงไปตรงมา
สาหรับจุดอ่อนจุดแข็งของตน ซู่หลงทราบกระจ่างดี ในด้านของการ
วางแผนรบ ลอบจู่โจมและเหลี่ยมเล่ห์อุบายศึก มันมิอาจยกขึ้นเทียบกับแม่
นางน้อยได้ ดังนั้นมันตัดสินใจไม่สิ้นเปลืองกาลังสมองสูญเปล่าแล้ว
แม่นางน้อยกล่าวอย่างเฉื่อยชา “พวกเราไฉนไม่ชิงบุกเข้าโจมตีพวก
มันก่อน? ข้าจึงไม่เชื่อว่าพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าค่ายจูเชวี่ย!”
วาจาแม้เฉื่อยชา แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น แม่นาง
น้อยเห็นได้ชัดว่าถูกจิตเจตนาที่แฝงความดูแคลนของแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม
สะกิดความเดือดดาลขึ้นมา
ความคิดอันบ้าคลั่งนี้ท าให้ ชาวค่ ายจูเ ชวี่ยคึ กคัก แจ่ม ใสขึ้นมาทั น ที
การเผชิญหน้ากับกองทัพปิศาจ หากเปลี่ยนเป็นผู้อ่ ืนต้องรู้สึกกดดันอย่าง
ใหญ่หลวง แต่สาหรับค่ายจูเชวี่ย กองทัพปิศาจขบวนหนึ่งไม่ นับเป็นอะไร
ได้ ! พวกมั น เคยพบเห็ น กองทั พ ปิ ศ าจหลายทั พ ในมหานครนภาโลหิ ต
ระดับฝีมือก็เพียงนี้เท่านัน
้ ยามนี้ค่ายจูเชวี่ยยังยกระดับเครื่องสวมใส่ท้ังชุด
ความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มพูนขึ้นหลายขั้น ความเชื่อมั่นของพวกมัน
ไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด
มา เข้ า มา! ตาต่ อ ตาฟั น ต่ อ ฟั น ลองประดาบกั น สั ก ครา ดู ว่ า ผู้ ใ ด
แข็งแกร่งกว่า!
หลายคนแทบแหงนหน้ากู่คาราม เพื่อระบายความฮึกเหิมในใจ!
“ไม่ได้!” แต่จ่ว
ั ม่อกลับถลึงตาใส่แม่นางน้อย
นี่ มิ ใ ช่ ว่ า มั น ไม่ เ ชื่ อ มั่ น ในค่ า ยจู เ ชวี่ ย แต่ ห ากปะทะหั ก หาญซึ่ ง หน้ า
เช่นนี้ ต่อให้ได้ชัยก็ต้องมีการบาดเจ็บล้มตายอย่างน่าตระหนก ทุกคนใน
ค่ายจูเชวี่ยติดตามมันมานาน มันไหนเลยจะทนดูคนเหล่านี้ต่อสู้แลกชีวิต
ได้?
เสี่ยวม่อเกอไม่กระทาการค้าที่ขาดทุน!
“เราจ าเป็ น ต้ อ งคว้ า ชั ย ชนะที่ ห มดจดที่ สุ ด ด้ ว ยการสู ญ เสี ย ที่ น้ อ ย
ที่สุด” จั่วม่อน้าเสียงแฝงแววห่วงกังวล เห็นหลายคนยังคล้ายจะโต้แย้ง มัน
กล่าวต่อทันที “เป้าหมายของพวกเราคือปราบพิชิตกองทัพปิศาจขบวนนี้
หาใช่คิดเข่นฆ่าพวกมันให้สิ้นซากไม่ เราต้องขับไล่พวกมันกลับไปยังภพ
ปิศาจ จึงจะสามารถปิดผนึกรอยแยกแห่งความโกลาหลได้ อย่าได้ลืมเลือน
ไป ว่าเมื่อพวกเราได้ชัย ยังต้องมีกาลังในการยึดครองอาณาจักรทะเลเมฆ
ด้วย มิเช่นนัน
้ มิเท่ากับว่าพวกเราตัดเย็บชุดวิวาห์ให้แก่ผู้อ่ น
ื หรือ?”
เหล่าคนในห้องพอฟัง เลือดลมอันร้อนระอุพลันสงบลงทันควัน นั่นก็
ใช่แล้ว หากพวกมันชนะศึกคราวนี้ อาณาจักรทะเลเมฆเท่ากับเป็นส้ม ใน
ลั ง ของพวกมั น หากถึ ง ตอนนั้ น พวกมั น ไม่ มี ก าลั ง พอ ไยมิ ใ ช่ ตั ด เย็ บ ชุ ด
วิวาห์ให้แก่ผู้อ่ ืนจริงๆ?
“ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเรามีพลังพอจะปราบพิชิตกองทัพปิศาจ ยามนี้
ขุมกาลังหลัก ๆ ล้วนหลบลี้หนีหน้า อาณาจักรทะเลเมฆแทบจะปราศจาก
ขุมกาลังอื่นโดยสิ้นเชิง สาหรับพวกเรานี่เป็นโอกาสทอง หากสามารถฉก
ฉวยเอาไว้ได้ ต่อไปอาณาจักรทะเลเมฆจะตกอยู่ในกามือเรา!”
ชนชั้นแกนนารอบกายจั่ วม่อ รับฟั งอย่ างระมั ดระวัง สีห น้ายิ่งมายิ่ง
ลิ ง โลดยิ น ดี เที ย บกั บ การท าศึ ก กั บ กองทั พ ปิ ศ าจแล้ ว กา รยึ ด ครอง
อาณาจักรทะเลเมฆยังทาให้พวกมันตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่า
จั่วม่อกล่าวเสียงลึกด้วยอารมณ์ “อาณาจักรทะเลเมฆเป็นสถานที่ที่ดี
ห่ า งไกลออกมามาก แทบไม่ ไ ด้ รั บ ผลกระทบจากอ านาจอิ ท ธิ พ ลของ
สวรรค์สี่ดินแดน ทั้งยังไม่สะกิดความสนใจ เวลานี้มหาพิบัตินภาสลายอุบัติ
ขึ้ น ทุ ก แห่ ง หน ดั ง นั้ น ยิ่ ง ไม่ มี ผู้ ใ ดมี เ วลาสนใจสร้ า งปั ญ หาให้ แ ก่ พ วกเรา
สาหรับพวกเรา นี่เป็นช่วงเวลาที่สวรรค์ประทานให้”
ทุกผู้คนยืดเอว หลังตั้งตรง พยายามระงับความตื่นเต้นในใจอย่างสุด
ความสามารถ พวกมันติดตามจั่วม่อซัดเซพเนจรมานานปี ตลอดเวลาที่
ผ่านมาล้วนปรารถนาจะครอบครองดินแดนอันมั่นคง กระทั่งเหวยเสิ้งที่
ปกติจิตใจหนักแน่น พอฟังคาของจั่วม่อยังอดพยักหน้าเห็นพ้องไม่ได้
“ดั ง นั้ น เป้ า หมายของเราในครั้ ง นี้ ก็ ชั ด เจนยิ่ ง ประการแรก ต้ อ ง
ปราบปรามกองทัพปิศาจและปิดผนึกรอยแยกแห่งความโกลาหล ประการ
ที่ ส อง ฉวยโอกาสที่ ฟ้ า ประทานนี้ เข้ า ควบคุ ม แม่ น้ า อาณาจั ก ร และยึ ด
ครองอาณาจักรทะเลเมฆอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!”
จั่วม่อดวงตาสาดประกายดุจสายฟ้า พร้อมกับกล่าวประโยคสุดท้าย
มือขวาก็ทุบโต๊ะอย่างหนักหน่วง แผ่ซ่านสภาวะสยบใต้หล้าออกมาอย่ าง
เบาบาง
แทบไม่รู้สึกตัว ทุกผู้คนตะโกนรับอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ!”
จั่วม่อลอบสูดหายใจลึก กระทั่งตัวมันยังตื่นเต้นกับวาจาของมันเอง
พยายามสงบใจลง อดทึ่งกับความหาญกล้าบ้าบิ่นของตนไม่ได้ ทีแรกมัน
ไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ แต่เมื่อชมดูผู้คนจานวนมากหลั่งไหลมารวมตัวกันที่
เกาะเต่ า พลั น บั ง เกิ ด ความคิ ด ขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น และหลั ง จากขบคิ ด
ใคร่ครวญมาหลายวัน มันในที่สุดค่อยตัดสินใจเด็ดขาด
กวาดตามองไปรอบ ๆ มันพบว่าทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีสุดระงับ
อารมณ์ความรู้สึกของพวกมันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกผู้คนเต็มไป
ด้ ว ยเรี่ ย วแรงพลั ง และจิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ เผยชั ด ออกมาทางสี ห น้ า
ลิงโลดยินดีและคาดหวังต่ออนาคต
จั่วม่อทันใดนั้นพลันเข้าใจกระจ่าง
เป้าหมายที่ชัดเจนทาให้ผู้คนเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน พวกมันเต็มไป
ด้วยแรงขับเคลื่อนและแรงบันดาลใจ ทุกคนจะไม่มีวันกลับไปเป็นคนป่า
เถื่อนหลักลอยเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
กองทัพนี้ถือกาเนิดขึ้นใหม่แล้ว!
น่าประหลาด จั่วม่อสานึกเสียใจอยู่บ้างและลอบขออภัยทุกคนในใจ
รอจนถึงวันนี้ มันค่อยมีเป้าหมายที่ชัดเจนให้แก่ทุกคน มันไม่ใช่ผู้นาที่ดีจริง

ไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าละอายใจของจั่วม่อ ทุกคนกาลังดื่มด่าอยู่กับ
การวาดฝันถึงอนาคต
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องเปลี่ยนแผนกันเสียหน่อย” แม่นางน้อย
ปัดปอยผมที่ระหน้าผาก สองแก้มแดงระเรื่อดุจสีกุหลาบ จากนั้นแย้มยิ้ม
เอียงอายเหมือนเด็กชายข้างบ้าน “พวกเรามีข้อได้เปรียบหลายประการที่
นามาใช้ได้ รอยแยกแห่งความโกลาหลนี้สมควรปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
เกินไป ข้าเชื่อว่ากองทัพปิศาจยังไม่ได้เตรียมการอย่างพรักพร้อมเพียงพอ
เหตุที่พวกมันสามารถพิชิต ไปโดยไร้ผู้ต้าน ก็เนื่องเพราะกองทัพท้องถิ่น
ของอาณาจั ก รทะเลเมฆอ่ อ นแอเกิ น ไป และยั ง เป็ น เพราะทุ ก คนล้ ว น
หวาดกลัวกองทัพปิศาจอีกด้วย แต่เมื่อเผชิญกับเรา พวกมันย่อมไม่ มีข้อ
ได้เปรียบสองประการนี้ พวกเรายังทาศึกในดินแดนของตัวเอง ส่วนพวก
มันเดินทัพทางไกล บุกตะลุยออกห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของพวกมัน
ทาให้พวกเรายิ่งได้เปรียบมากขึ้นไปอีก”
ทุกผู้คนรับฟังอย่างระมัดระวัง พวกมันสัมผัสได้ถึงความจริงจัง ที่หา
ได้ยากในน้าเสียงของแม่นางน้อย ดูเหมือนว่าคาพูดของต้าเหรินจะสะกิด
ความตื่นเต้นสนใจของแม่นางน้อยเช่นกัน
“พวกเราเมื่ อรบในบ้ า นตั ว เอง เท่ า กั บ ครอบครองชั ย ภู มิ ดิ น นี่
หมายความว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบทางภูมิประเทศที่
พวกมันไม่ล่วงรู้ อย่างเช่นค่ายกลเคลื่อนย้าย เราสามารถระบุตาแหน่งของ
ค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ยทุ ก จุ ด หมายความว่ า เราสามารถลอบตลบหลั งศัต รู
หรือซุ่มโจมตีโดยที่พวกมันไม่ทันรู้ตัว”
แม่นางน้อยหยุดชะงักแวบหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “แต่เราต้องตัด
ขาดเส้นทางระหว่างกองทัพปิศาจกับภพปิศาจเสียก่อน มิเช่นนั้นหากพวก
มันสามารถเรียกกาลังหนุน กลยุทธ์นี้อาจส่งผลเสียสาหรับเราแทน”
ทุกผู้คนพยักหน้าหงึก ๆ จั่วม่อมองดูแม่นางน้อยที่วางยุทธการอย่าง
เยือกเย็น อดทอดถอนชมเชยไม่ได้ แม่นางน้อยในยามนี้มีท่วงท่าสภาวะ
เยี่ยงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!
แม่ น างน้ อ ยชู ส องนิ้ ว กล่ า วว่ า “แผนการรบของข้ า รวบรั ด ยิ่ ง ส่ ง
กองทัพหนึ่งไปรับหน้ากองทัพปิศาจ และส่งอีกกองทัพหนึ่งไปลอบจู่ โจม
รอยแยกแห่ ง ความโกลาหล ชิ ง ปิ ด ผนึ ก รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลเสีย
หากรอยแยกถู กผนึ ก เท่า กั บ โดดเดี่ ย วกองทัพ ปิ ศ าจ เราจะได้ ชัย ไปแล้ ว
ครึ่งหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นฝ่ายตรงข้ามจะหลงเหลือทางเลือกเพียงสองทาง
หนึ่ ง คื อ บุ ก เข่ น ฆ่ า มาข้ า งหน้ า โดยไม่ ส นใจสิ่ ง ใด และอี ก หนึ่ ง คื อ เข่ น ฆ่ า
เปิดทางกลับไปยังภพปิศาจให้จงได้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกมันจะ
เลื อ กหนทางที่ ส อง เราจะสามารถซุ่ ม ก าลั ง ไว้ ใ กล้ ร อยแยกแห่ ง ความ
โกลาหล และโจมตีขนาบหน้าหลัง เช่นนั้นพวกมันก็จบสิ้นแล้ว”
จั่วม่อนิ่งครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่เป็นนาน รู้สึกว่าแผนการนี้ไม่มีช่องโหว่
ใด จึงกล่าวอย่างไม่ลังเล “ดาเนินการตามแผนนี้!”
“ขอรับ!” ทุกผู้คนตะโกนรับคาอย่างพร้อมเพรียง!
บทที่ 513 เมื่อเราตัดสินใจแล้ว

“เฮ้ เสี่ยวปู้”
สุ้มเสียงคุ้นหูร้องเรียกจากเบื้องหลัง ปู้ซือตงชะงักเท้า เมื่อหันไปเห็น
ผู้มา สีห น้าทอแววปิติยินดี โถมเข้าไปต่อยหมัดใส่ไหล่ข องอีกฝ่ ายอย่ า ง
ลิงโลด “ฮ่าฮ่า! อาเจ๋อ เจ้าไม่ได้จ ากไปหรอกรึ! ข้ายังนึกว่าเจ้าออกจาก
อาณาจักรทะเลเมฆไปแล้ว!”
“ไป? จะไปยังที่ใดเล่า ?” อาเจ๋อหัวร่ออย่างอับจนปัญญา มันรู ปร่าง
ผอมบาง สารรูปคล้ายนักศึกษาผู้หนึ่ง บนหน้าผากมีรอยแผลรูปดาวสะดุด
ตา มันเป็นสหายที่เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับปู้ซือตง แม้ว่าพวกมันทั้งคู่แยก
ย้ายเข้าร่วมคนละสานัก แต่ยังคงติดต่อกันไม่เคยขาด
“ถูกของเจ้า!” ปู้ซือตงทอดถอนด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่แล้วค่อย
รู้สึกตัว เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มสดใส “แล้วตอนนี้เจ้าทาอะไร? หางานทาได้
แล้วหรือไม่?”
“สร้างเมือง” อาเจ๋อชี้ไปยังเมืองที่มองไม่เห็นจากตรงนี้ “ท่านประมุข
เกาะต้องการสร้างเมืองซวีหลิงขึ้นใหม่ ข้ารับผิดชอบค่ายกลป้องกันขนาด
กลาง”
“ร้ายกาจยิ่ง!” ปู้ซือตงเผยสีห น้าตะลึ งลาน “ตอนนี้เจ้าเข้มแข็ ง ถึ ง
เพี ย งนี้ เ ชี ย วรึ ? ข้ า ยั ง หลงเข้ า ใจว่ า เจ้ า เพี ย งสามารถหลอมสร้ า งยั น ต์
กระดาษระดับสองระดับสามเท่านั้นเสียอีก”
อาเจ๋อกระชากเสียงอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็พากเพียรมาตั้งหลายปีแล้ว!
ไฮ้ หากมิใช่ว่าท่านเจ้าสานักต้องการออกจากอาณาจักรทะเลเมฆ ข้าก็คง
ไม่ออกจากสานักหรอก”
“ข้ า ก็ เ ช่ น กั น ” ปู้ ซื อ ตงถอนใจเบา ๆ ทั้ ง สองคนพากั นเศร้า หดหู่ล ง
ทันที สาหรับพวกมัน สานักของพวกมันเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง แม้แยก
จากกันแล้วยังหวนหาอาวรณ์อยู่บ้าง
“เอาเถอะ อย่าได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว!” ปู้ซือตงสะบัดศีรษะแรง
ๆ ปลุกปลอบความคิดจิตใจ จากนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิลาพองว่า “เจ้าคง
ไม่รู้กระมัง ข้าได้รับเลือกเข้าค่ายเสวียนอู่แล้ว! ยอดเยี่ยมหรือไม่?”
“เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น?” รอบนี้ถึงคราวอาเจ๋อตื่นตะลึงบ้าง “ฟัง
ว่ า การคั ด เลื อ กเข้ ม งวดมาก แต่ ต อนนี้ ก ระทั่ ง สามเณรน้ อ ยเยี่ ย งเจ้ า ยั ง
สามารถได้รับเลือก ข้าชักกังวลกับอนาคตของข้าเสียแล้วสิ”
ปู้ ซื อ ตงเหลื อ กตา “ต่ อ ไปข้ า ต้ อ งปกป้ อ งคุ้ ม ครองคนอย่ า งเจ้ า ข้ า
ต่างหากที่ต้องหดหู่ใจ!”
“นั่ น เป็ น เกี ย รติ ข องเจ้ า แล้ ว เสี่ ย วปู้ ! ” อาเจ๋ อ หั ว ร่ อ พลางตบไหล่ ปู้
ซื อ ตง จากนั้ น กล่ า วอย่ า งห่ ว งใย “ฟั ง ว่ า การฝึ ก ฝนยากล าบากยิ่ ง เจ้ า มี
โอสถปราณเพียงพอหรือไม่? ข้าในที่นี้พอมีอยู่บ้าง... ...”
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงเลย!” ปู้ซือตงโบกมือระรัว รีบกล่าวกึ่งบอก
เล่ า กึ่ ง โอ้ อ วด “ซึ่ ง ความจริ ง ข้ า ไม่ เ คยคิ ด ว่ า จะมี วั น ที่ ไ ด้ ฝึ ก ฝี มื อ อย่ า ง
หรู หราถึงเพียงนี้ด้วยซ้า! พวกเราจะได้รับสองชิ้นจิงสือระดับสามกับ เม็ด
ยาเสริมสร้างปฐมปราณเป็นประจาทุกวัน เราจะต้องใช้ให้หมดชนิดวันต่อ
วัน แล้วจากนั้นทุกเจ็ดวัน ยังจะได้รับเม็ดยาชะล้างร่า งกาย เพื่อขจัดสิ่ง
สกปรกที่แฝงเร้นอยู่ในร่างและช่วยกลั่นเกลาพลังปราณอีกด้วย”
อาเจ๋ออ้าปากค้าง ตะกุกตะกักว่า “นัน
่ มัน... ...นัน
่ มันหรูหรายิง่ !”
“มารดามันเถอะ! ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าบรรดาศิษย์สานักใหญ่ฝึก
ฝีมือกันอย่างไร! อาศัยวิธีฝึกปรือเช่นนี้ พวกมันไหนเลยจะไม่ส าเร็จได้ ?
เพียงแค่ดูดซับพลังปราณจากจิงสือและพลังโอสถของเม็ดยาเสริมสร้าง
ปฐมปราณ จะกิ น เวลาร่ ว มครึ่ ง วั น แล้ ว หลั ง จากนั้ น จะเป็ น การฝึ ก ฝน
กระบวนทัพ หากมีข้อผิดพลาดสักเล็กน้อย ก็รอรับการลงทัณฑ์ได้เลย!”
นึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของการฝึกปรือในแต่ละวัน ปู้ซือตงจุปากสั่น
ศีรษะด้วยอารมณ์
“เมื่อได้รับประโยชน์ก็อย่าได้บ่นแล้ว!” อาเจ๋อเต็มไปด้วยความอิจฉา
เลื่อมใส “ข้าได้ยินมานานว่าเกาะเต่าอุด มไปด้วยน้ามัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะ
มั่งคั่งบริบูรณ์ถึงเพียงนี้! ครั้งนี้เจ้าทากาไรก้อนโตจริง ๆ!”
“ฮ่าฮ่า! ไยมิใช่!” ปู้ซือตงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่
เซียนกระบี่ เกาะเต่ามีฝีมือที่สุดในการฝึกอบรมเซียนกระบี่ เจ้าไม่ได้เห็น
เจตจานงกระบี่ของเหวยซือ เรียกได้ว่าเลิศพิสดารสุดบรรยาย!”
“อ้อ เจ้าต้องตั้งใจศึกษาให้ดี ต่อไปหากเจ้าฝึกปรือได้บ้าง ก็สามารถ
คุ้มครองข้าได้แล้ว” อาเจ๋อทาสีหน้าราวกับว่านี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลยิ่ง
ปู้ ซื อ ตงพลั น ฉุ ก คิ ด ถึ ง เรื่ องหนึ่ ง รี บ กล่ า วว่ า “อาเจ๋ อ ใช่ แ ล้ ว เจ้ า
สามารถลองไปที่ค่ายจินวู ที่นั่นเต็มไปด้วยซิวเจ่อที่มีฝีมือวิชาหลอมสร้าง
วิชายันต์และวิชาหลอมกลั่นโอสถ ฟังว่าพวกมันทุกคนได้รับไฟอีกาทองคา
ด้วย!”
“ไฟอี ก าทองค า? ใช่ ไ ฟอี ก าทองค าระดั บ สี่ห รื อไม่ ?” อาเจ๋ อ ดวงตา
เบิกกว้างราวกับพบพานผีสาง
“ใช่!” ปู้ซือตงพยักแรง ๆ “ข้ายังได้ยินว่าพวกมันสอนวิชาหลอมสร้าง
ทุ ก ประเภท โอสถปราณทั้ ง หมดที่ พ วกเราใช้ ฝึ ก ฝี มื อ ก็ ม าจากค่ า ยจิ น วู
หลอมกลั่ น ให้ ข้ า เคยติ ด ตามม้ า ฝานต้ า เหริ น ไปที่ นั่ น ครั้ ง หนึ่ ง มี สิ่ ง ดี ๆ
มากมายโยนทิ้งกลาดเกลื่อนบนพื้น มีอยู่ทุกหนทุกแห่งทีเดียว ข้าเพียงแค่
ชมดูก็เจ็บปวดใจแทบตายแล้ว!”
“ค่ายจินวูไปทางไหน?” อาเจ๋อรีบถาม สองตาแดงฉานด้วยสายเลือด
ปู้ซือตงชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “อ้อ อยู่ทางนั้น”
โดยไม่กล่าวคาใดอีก อาเจ๋อวิง่ หน้าเริดจากไปในบัดดล
“อย่างน้อยก็น่าจะกล่าวลากันเสียหน่อย... ...” ปู้ซือตงยืนอึ้งงัน บ่น
อุบอยู่คนเดียว

ผู้คนยังคงไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสาย เกาะเต่าเปรียบประดุจ แม่ เหล็ก


มหึมา ดึงดูดซิวเจ่ อจ านวนมากมายนั บ ไม่ถ้ วนให้ รุ ด มา ซิวเจ่อที่ไ ม่ ยิ น ดี
ออกจากอาณาจักรทะเลเมฆมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น อย่างรวดเร็ ว
เกาะเต่าไม่เพียงพอจะรองรับซิวเจ่อจานวนมากอีกต่อไป รวมกับเรื่องที่ว่า
บนเกาะมี ค วามลั บ ต้ อ งห้ า มมากมาย อย่ า งเช่ น พฤกษาเทพสุริ ยั น ผู้ ค น
มากมายหูตาสับสน หากมีคนไปพบความลับเหล่านี้เข้าคงไม่ดีแน่
จั่วม่อตัดสินใจสร้างเมืองซวีหลิงขึ้นอีกครั้ง
เดิมทีแม่นางน้อยตั้งใจจะใช้เกาะเต่าเป็นเหยื่อล่อกองทัพปิศาจ แต่
มองดูผู้คนยังไหลบ่าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกมันได้แต่ล้มเลิกความคิดไป
โชคดี ที่ ค่ า ยจู เ ชวี่ ย มี ปี ก เมฆากั บ เมฆวิ เ ศษ ไปมาดุ จ สายลม เหมาะ
สาหรับการทาสงครามแบบกองโจร
ความคื บ หน้ า ของการสร้ า งเมื อ งซวี ห ลิ ง รวดเร็ ว มาก พวกมั น มี
ก าลั ง คนมหาศาล ทุ ก คนล้ ว นทราบดี แ ก่ ใ จว่ า เวลากระชั้ น สั้ น ยิ่ ง ดั ง นั้ น
มุ่งมั่นทางานอย่างสุดความสามารถ
จั่วม่อในยามนี้ยังร่ารวยมหาศาล นี่เป็นผลพลอยได้จากการเป็นคน
เดียวที่กล้ายืนหยัดต่อต้านกองทัพปิศาจ
บรรดาพ่ อ ค้ า เช่ น เลี่ ย วฉี ช าง ผู้ ม าหาจั่ ว ม่ อ เพื่ อหลบภั ย ย่ อ มยิ น ดี
ลงทุนลงแรงอย่างแข็งขัน ส่วนกิจการร้านค้าที่หลบหนีออกจากอาณาจักร
ทะเลเมฆ ยังช่ วยบริจ าคสิ่งของที่พวกมันไม่ส ามารถพกพาไปด้วยให้ แ ก่
จั่วม่อ ถือเป็นสินน้าใจคราหนึ่ง ซึ่งน้าใจของพวกมันในครั้งนี้ บางทีอาจมี
โอกาสได้ใช้งานในภายหลัง
พบสถานการณ์เช่นนี้ จั่วม่อย่อมต้องยิ้มรับไว้ด้วยความยินดี เป็นไร?
ขนย้ายมาไม่สะดวกหรือ? ไม่มีปัญหา ข้าจะพาผู้คนไปขนย้ายเอง!
ผู้ที่มีสายตาแหลมคมพากันลงเดิมพันข้างจั่วม่อ แผนการฟื้นฟูเมือง
ซวีหลิงคราวนี้ มีบรรดาธุรกิจการค้าหลายแห่งให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
พ่อค้าที่สามารถอยู่รอดในสงครามการค้าอันโหดเหี้ยม ไหนเลยจะมี
สายตาอันแคบสัน
้ ได้?
ภายใต้ ส ถานการณ์ ห นุ น เสริ ม พลั ง อ านาจของจั่ ว ม่ อ เติ บ โตอย่ า ง
รวดเร็ว รอบ ๆ เกาะเต่า ปรากฏภาพความเจริญรุ่งเรืองอันไม่คุ้นเคย
หลังจากสรุ ปเป้าหมายที่ชัดแจ้ง ผู้คนใต้ร่มธงของจั่วม่อแสดงความ
คลั่งไคล้ต่อการต่อสู้ เต็มไปด้วยขวัญกาลังใจสูงล้าเทียมฟ้า
นี่อาจจะเป็น ‘การค้า’ ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่จ่ัวม่อเคยกระทามา เมื่อ
เทียบกับการค้าครั้งนี้ ทุกสิ่งที่มันเคยค้าขายมาก่อนหน้านี้ ล้วนกลายเป็น
เรื่องเด็กเล่นไป เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น จั่วม่อพลันตระหนักทันที ว่าภายใต้
ไฟสงครามที่ลุกลามอย่างกะทันหันนี้ แฝงไว้ด้วยโอกาสอันยิง่ ใหญ่ประการ
หนึ่ง
บางทีเกออาจเกิดมาเพื่อทาการค้าจริง ๆ กระมัง?
ส าหรั บ เรื่ องที่ ว่ า บรรลุ เ ป้ า หมายแล้ ว จะท าอย่ า งไรต่ อ ไป สวรรค์
เท่านั้นที่รู้ จั่วม่อคร้านจะขบคิดเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น นี่เป็นโอกาสทองก็จริง
แต่คิดคว้าเอาไว้ให้มั่น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เคราะห์ ดี ที่ จ นถึ ง ตอนนี้ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งดู เ หมื อ นยั งด าเนิ น ไปอย่าง
ราบรื่น
แต่จ่ัวม่อไม่ได้ปล่อยให้ความส าเร็จ เล็กน้อยมากระทบจิตใจมัน มัน
ยังคงประเมินสถานการณ์อย่างสงบและรอบคอบ
มันทราบกระจ่างแก่ใจ การขยายพลังอานาจของมันในยามนี้ไม่ต่าง
อันใดจากฟองอากาศกลุ่มหนึ่ง หากมันไม่สามารถเอาชัยกองทัพปิศาจได้
ฟองอากาศเหล่านี้จะแตกกระจายทันที
มองดูอากุ่ยที่นงิ่ เงียบ หัวใจอันร้อนรุ่มของจั่วม่อค่อยสงบลง
“อากุ่ ย ขออภั ย ด้ ว ย เราต้ อ งรอให้ เ สร็ จ ศึ ก ครั้ ง นี้ เ สี ย ก่ อ น จึ ง จะ
สามารถออกไปเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีได้” มันกล่าวด้วยทีท่าขออภัย
อากุ่ยยังคงเงียบกริบ ไร้การเคลื่อนไหว
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างเงียบงัน
“อากุ่ย เจ้าเป็นใครกันแน่ ?” จับจ้องมองดูอากุ่ย จั่วม่อกระซิบ ถาม
เบา ๆ อึ ด ใจหนึ่ ง ค่อ ยก้ ม หน้า ลง สี ห น้ า หม่น หมองอยู่บ้ า ง “แล้ ว ข้ า เป็น
ใคร?”
ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งยื่นออกมา คว้าจับมือของจั่วม่อแน่นกระชับ
จั่วม่องงงันวูบ เงยหน้าขึ้นทันใด
ใบหน้าของอากุ่ยยังคงแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้เช่นเคย แต่ในส่วนลึก
ของดวงตาอัน ว่ างเปล่ า เปล่งประกายเลื อนรางที่ย ากจะเข้ า ใจประการ
หนึ่ง
อากุ่ยตอบสนองแล้ว!
นับตั้งแต่รับบาดเจ็บในอาณาจักรขุนเขาน้อยครั้งนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่
อากุ่ยตอบสนอง
ไม่ทราบเพราะเหตุใด จั่วม่อพลันรู้สึกอบอุ่นใจ เพียงการเคลื่อนไหว
เรียบง่ายเช่นนี้ ก็ท าให้มันสบายอกสบายใจเป็น อย่า งยิ่ ง ความหดหู่ ป ลิ ว
หายเป็นปลิดทิ้ง
มือของอากุ่ยงดงามละเมียดละไมยิ่ง เช่นเดียวกันกับเท้าของนาง ไร้
รอยตาหนิแม้แต่น้อย
เว้นเสียแต่ว่าเย็นเฉียบอยู่บ้าง
จั่วม่อดึงมืออากุ่ยมากุมเอาไว้ด้วยสองมือ
“ขอบใจเจ้ามาก อากุ่ย”

“ข้าไม่เห็นด้วย!”
“ข้าก็ไม่เห็นด้วย!”
“ต้าเหริน ท่านไม่อาจพาตัวเข้าเสี่ยงอันตราย นี่มันสุ่มเสี่ยงเกินไป!”
จั่ ว ม่ อ มองดู เ หล่ า คนที่ พ ลุ่ ง พล่ า นร้ อ นรนอย่ า งสงบ มั น คาดเดา
ปฏิกิริยาเช่นนี้ไว้แต่แรกแล้ว เหวยเสิ้งแม้ไม่ได้กล่าว แต่สีหน้าก็เผยชัดว่า
ไม่เห็นด้วยกับความคิดของจั่วม่อ และไม่ใช่แค่เหวยเสิ้งคนเดียว แม่นาง
น้อย ซู่หลงและคนอื่น ๆ ก็พากันสั่นศีรษะไม่เห็นด้วย
ทุกผู้คนทราบดีแก่ใจว่าความปลอดภัยของจั่วม่อเท่ากับความอยู่รอด
ของกองกาลังของพวกมัน หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับจั่วม่อ กองกาลังนี้อาจล่ม
สลายลงทันที
ไม่ว่าข้อเสนอใด ๆ ที่อาจนามาซึ่งสถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้น ย่อม
ต้องเผชิญการคัดค้านอย่างแข็งขันจากทุกผู้คน
ผู้คนค่อย ๆ สงบลงจากความพลุ่งพล่านใจ สายตาของพวกมันมอง
ไปยังจั่วม่อเป็นตาเดียว จั่วม่อยังคงแย้มยิ้มตามปกติ ไม่มีสีหน้าเดือดเนื้อ
ร้อนใจ เมื่อเห็นทุกคนสงบใจลงแล้ว มันค่อยเอ่ยปากช้า ๆ
“เรื่องนี้ข้าครุ่นคิดมาเป็นอย่างดี”
ไม่มีใครโต้แย้ง ทุกคนกาลังรอให้จ่ัวม่อกล่าวต่อ เมื่อสนิทสนมคุ้นเคย
กับต้าเหรินมานานถึงเพียงนี้ พวกมันก็รู้ดีว่าต้าเหรินเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็
ยากจะเปลี่ยนความตั้งใจของมันอีก
“ในการเปิดศึกกับกองทัพปิศาจ ไม่มีใครทดแทนศิษย์น้องกงซุน กับ
ค่ า ยจู เ ชวี่ ย ได้ อี ก ทั้ ง รู ป แบบการท าศึ ก ของค่ า ยเว่ ย ยั ง ไม่ เ หมาะสมกั บ
ยุทธวิธีแบบกองโจร ซู่หลงนิสัยใจคอหนักแน่นมั่นคง มีฝีมือทางศึกป้องกัน
มากกว่าการบุกจู่โจม แต่คราครั้งนี้ภารกิจ ของค่ายเว่ยคือลอบโจมตีแนว
หลังของข้าศึก ข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าข้าอีกแล้ว”
เห็ น บางคนอ้ า ปากคล้ า ยจะกล่ า วค้ า น จั่ ว ม่ อ โบกมื อ ตั ด บท กล่ า ว
ต่อไปว่า
“ส าหรั บ เรื่ อ งการเสี่ ย งอั น ตราย ต่ อ ไปอย่ า ได้ เ อ่ ย ถึ ง แล้ ว พวกเรา
กาลังต่อสู้แบบหลังชนฝา ไม่มีที่ให้ถอยหนีอีก เว้นเสียแต่ว่าเราจะกลับไป
เป็นเหมือนสมัยก่อน” จั่วม่อกวาดตามองทุกผู้คน กล่าวเสียงลึก “พวกเจ้า
ปรารถนาเช่นนั้นหรือไม่?”
คนทั้งห้องเงียบสนิท
กับชีวิตร่อนเร่พเนจรก่อนหน้านี้ ก่อนที่พวกมันจะตั้งเป้าหมาย ไม่มี
ผู้ ใ ดตระหนั ก ว่ า เป็ น ปั ญ หา ทั้ ง ยั ง ไม่ แ ยแสสนใจ แต่ ห ลั ง จากก าหนด
เป้าหมายชัดแจ้ง ประหนึ่งทะลวงหน้าต่างกระดาษออกสู่โลกใบใหม่ ให้
พวกมันกลับคืนสู่ชีวิตไร้หลักแหล่งเหมือนเดิม ย่อมไม่มีผู้ใดยิ นยอมพร้อม
ใจ
“เมื่อพวกเราตัดสินใจแล้ว... ...”
จั่วม่อกวาดตามองไล่ไปทีละคน แต่ละคนรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
“ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะซุกหัวหดหาง หวาดกลัวผลที่จะตามมาอีก!”
จั่วม่อแม้กล่าวด้วยน้าเสียงไม่ใส่ใจ แต่คาพูดเหล่านี้เหมือนคมกระบี่ที่
เจาะทะลวงเข้าไปในหินผา สลักลึกอลงในใจผู้คน
ท่ ว งท่ า สภาวะของมั น ในยามนี้ เ ต็ ม ไปด้ ว ยรั ศ มี ค วามเชื่ อมั่ น แห่ ง
ราชัน!
บทที่ 514 ยันต์พันวิหค

“เราพบสายสื บ ของศั ต รู อี ก ครั้ ง นี่ ก็ เ ป็ น กลุ่ ม ที่ เ จ็ ด แล้ ว ” รองผู้


บั ญ ชา ก า ร ร า ย ง า น ด้ ว ย สุ้ ม เ สี ย งส งบ ร า บ เ รี ย บ “ อี ก ฝ่ า ย ค ล้ ายให้
ความสาคัญกับเราไม่น้อยทีเดียว”
“อ้อ” สือตงทาเสียงรับรู้ แต่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าท่าที ยังคงเพ่งมองไป
ยังที่ห่างไกลตามเดิม ดวงตาสีฟ้าลึกล้าเท่าห้วงสมุทร
“ดูจากระดับฝีมือของสายสืบเหล่านี้ ศัตรู สมควรไม่อ่อนด้อย” รองผู้
บั ญ ชาการกล่ า วสื บ ต่ อ “หากเซี ย นนั ก รบของพวกมั น มี ฝี มื อ ในระดั บ
เดียวกัน เช่นนั้นเราก็มีปัญหาแล้ว”
“อ้อ” สือตงไม่สะทกสะท้าน
“เราต้องระวังเส้นทางล่าถอยจะถูกตัดขาด” รอผู้บัญชาการสะกิ ด
เตื อ น “หากเส้ น ทางล่ า ถอยถู ก ตั ด เราจะตกอยู่ ใ นสถานการณ์ คั บ ขั น
อันตราย”
สือตงในที่สุดค่อยมีปฏิกิริยา “แจ้งเตือนต่อเยี่ยหลิง13แล้วหรือไม่?”
“แจ้งเตือนแล้ว” ผู้ช่วยแม่ทัพผงกศีรษะ พลางกล่าว “ทางเยี่ยหลิงต้า
เหริ น หว่ า นเมล็ ด หญ้ า ปิ ศ าจเรี ย บร้ อ ยแล้ ว เมล็ ด หญ้ า ปิ ศ าจเหล่ า นี้ จ ะ
เติบโตงอกงามภายในสิบห้าวัน”

13
เยี่ย – ทุ่งกว้าง,ท้องทุ่งที่โล่งกว้าง หลิง – ต้นกระจับ
“ไฉนไม่ ใ ช้ เ มล็ ด ทะเลปิ ศ าจ?” สื อ ตงยั ง คงกล่ า วด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งสงบ
ราบเรียบ แต่ผู้ช่วยแม่ทัพที่คุ้นเคยกับมันฟังออกว่าในน้าเสียงของต้าเหริน
แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
ผู้ช่วยแม่ทัพอธิบายอย่างเยือกเย็น “เมล็ดทะเลปิศาจราคาสูงเกินไป
เราไม่มีเวลามากพอที่จะตระเตรียมมาด้วย”
สือตงนิ่งเงียบงันไป
เมล็ดหญ้าปิศาจเติบโตงอกงามได้ช้ากว่าเมล็ดทะเลปิศาจมาก หาก
เป็นเมล็ดทะเลปิศาจ ภายในสามวันเท่านั้นจะกลายเป็นทะเลเลี้ยงปิ ศาจ
ผืนเล็ก ๆ ผืนหนึ่ง ส่วนเมล็ดหญ้าปิศาจ ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบห้ าวัน
กว่าจะงอกงามเป็นทุ่งหญ้าปิศาจที่ใช้การได้ เต็มที่ มิหนาซ้าหากเทียบกัน
แล้ว ทะเลเลี้ยงปิศาจยังเหนือล้ากว่าทุ่งหญ้าปิศาจในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่า
จะเป็นความเร็วของการแพร่พันธุ์ข ยายอาณาเขตและผลคุกคามที่มีต่อ
ศัตรู
ในมหานครนภาโลหิต กองทัพปิศาจใช้พ้ ืนที่ทะเลเลี้ยงปิศาจขนาด
กว้างใหญ่ไพศาล เพื่อเป็นแนวป้องกันหลักที่มั่นคงปลอดภัย
สือตงแม้รู้สึกว่าหากเป็นเมล็ดทะเลปิศาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
นี้ แต่ ก็ ท ราบว่ า เรื่ องนี้ มั น ไม่ อ าจต าหนิ เ ยี่ ย หลิ ง ได้ รอยแยกแห่ ง ความ
โกลาหลปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน กระทั่งตัวมันเองยังคาดไม่ถึง นับตั้งแต่
ช่ ว งเวลาที่ ร อยแยกแห่ ง ความโกลาหลปรากฏขึ้ น จน ถึ ง ยามที่ สื อ ตง
ตัดสินใจนาทัพบุกเข้ามา เป็นช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น เยี่ยหลิงสามารถ
เตรียมการได้ถึงขัน
้ นี้ นับว่าไม่ง่ายแล้ว
ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น มั น ยั ง รู้ สึ ก ว่ า อาศั ย แค่ ทุ่ ง หญ้ า ปิ ศ าจก็ เ พี ย งพอที่ จ ะ
รักษาค่ายทัพหลักของพวกมันเอาไว้
การบุกโจมตีของพวกมันราบรื่นกว่าที่สือตงคาดคิดเอาไว้มาก แต่เมื่อ
มันทราบตาแหน่งแห่งที่ของอาณาจักรทะเลเมฆบนแผนที่ของซิวเจ่อแล้ว
ก็ เ ข้ า ใจในบั ด ดลว่ า ไฉนเป็ น เช่ น นี้ เนื่ อ งเพราะที่ นี่ เ ป็ น เพี ย งอาณาจั ก ร
ห่างไกลสุดกู่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนใส่ใจ
ไม่มีสานักใหญ่ที่ทรงพลังอานาจ ไม่มีสินค้าที่โดดเด่นพิเศษเฉพาะ ทั้ง
ทุ ร กั น ดารและเปลี่ ย วร้ า งห่ า งไกล มิ ห น าซ้ า มี พ้ ื นที่ ม ากมายที่ ยั ง ไม่ ถู ก
สารวจ
การบุกเข่นฆ่ารุ ดหน้าโดยไร้ผู้ต้านไม่ได้ทาให้สือตงสาราญใจแต่อย่ าง
ใด คู่ต่อสู้ของพวกมันอ่อนแอเหลือเกิน ชัยชนะเช่นนี้มีอะไรน่าภาคภูมิใจ
ด้วย?
ถึงตอนนี้ความหวังหนึ่งเดียวของมันก็คือ หวังว่าภายใต้ทะเลเมฆที่ยัง
ไม่ถูกส ารวจจะมีสิ่งที่ทาให้มันประหลาดใจได้บ้าง มิเช่นนั้นการยึดครอง
อาณาจักรแร้นแค้นนี้ ก็หาได้มีประโยชน์ใดต่อตระกูลของมันไม่
สือตงทีแรกอ้าปากจะสั่งการให้ผู้ช่วยแม่ทัพของมันส่งข่าวไปเตือน
เยี่ยหลิง แต่พอคิดถึงความหนักแน่นรอบคอบของเยี่ยหลิง ก็นึกขึ้นได้ว่า
คนผู้นี้แทบไม่เคยกระทาผิดพลาด ดังนั้นหันเหหัวเรื่องว่า “เจ้าค้นพบแล้ว
หรือไม่? สินค้าที่พอมีราคาค่างวดของอาณาจักรทะเลเมฆมีอะไรบ้าง?”
“ดูจากตอนนี้ สมควรมีสายแร่อยู่บ้าง แต่ปริมาณไม่มากนัก ทั้งระดับ
ก็ไม่สูงเท่าใด” ผู้ช่วยแม่ทัพมองสือตง จากนั้นกล่าวเสียงหนักว่า “แต่เสี่ยว
วอบอกว่า มันสัมผัสได้ถึงกลิน
่ อายของตัวอ่อนปิศาจ!”
“ตัวอ่อนปิศาจ!” สือตงตาลุกวาบ เป็นครั้งแรกที่น้าเสียงเปลี่ยนไป
“ใช่ขอรับ เป็นตัวอ่อนปิศาจ! แม้ว่ายังไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าเป็นตัว
อ่อนปิศาจชนิดใดก็ตาม แต่ต้องมีอยู่บ้างแน่นอน ท่านก็ทราบว่าในเรื่องนี้
เสี่ยววอไม่เคยผิดพลาดมาก่อน” ผู้ช่วยแม่ทัพสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความ
เชื่อมั่น
สือตงในดวงตาทอแววปิติยินดีที่แทบมองไม่เห็น เสี่ยววอ 14เป็นหนึ่ง
ในผู้นาทัพภายใต้ร่มธงของสือตง คนผู้นี้ฝึกปรือสังขารปิศ าจที่ห าได้ ห า
ยากชนิดหนึ่ง สังขารปิศาจอันพิสดารชนิดนี้เรียกว่าสังขารปิศาจหอยทาก
น้าขึ้น แม้ไม่มีพลังสู้รบที่เข้มแข็ง แต่ทดแทนด้วยความสามารถพิเศษที่ดี
เยี่ยมประการหนึ่ง นั่นคือมีความสามารถในการสูดดมกลิ่นที่เหนือล้ากว่า
คนทั่วไปมาก
ผู้ช่วยแม่ทัพกล่าวไม่ผิด เรื่องเช่นนี้เสี่ยววอไม่เคยผิดพลาดมาก่อน!
ตัวอ่อนปิศาจ!
ของวิเศษนี้เติบโตขึ้นท่ามกลางพืชพรรณและสัตว์ป่า มีรูปร่างแปลก
ประหลาดแทบทุกรู ปแบบ บ้างแฝงเร้นอยู่ภายในร่างสัตว์ป่า บ้างแฝงกาย
อาศั ย อยู่ กั บ พื ช หญ้ า ต้ น ไม้ บ้ า งอยู่ ใ นบริ เ วณที่ ไ ร้ สิ่ ง มี ชี วิ ต มี รู ป ลั ก ษณ์

14
เสี่ยววอ แปลว่าหอยทากน้อย
คล้ายหินก้อนหนึ่ง กระทั่งปิศาจเที่ยงแท้เช่นสือตง ยังยากบอกได้ว่าที่ แท้
ตัวอ่อนปิศาจคือสิ่งใดกันแน่
แต่ อุ ป สรรคเหล่ า นี้ ย่ อ มไม่ ไ ด้ กี ด ขวางพวกมั น ไม่ ใ ห้ ต ระหนั ก ถึ ง
คุณค่าของตัวอ่อนปิศาจ
คุ ณ ค่ า ที่ แ ท้ จ ริ ง ของตั ว อ่ อ นปิ ศ าจคื อ ใช้ ฝึ ก ปรื อ สั ง ขารปิ ศ าจ ควร
ทราบว่ามิใช่ปิศาจทุกตนจะสามารถสาเร็จสังขารปิศาจได้ สังขารปิศาจมี
มากมายนับไม่ถ้วน แต่ล ะชนิดล้วนมีวิธีฝึกปรือแตกต่างหลากหลายและ
แปลกประหลาด ยกตัวอย่างเช่นสังขารปิ ศาจตั๊กแตนดาบของสือตงหรือ
สังขารปิศาจหอยทากน้าขึ้นของเสี่ยววอ เป็นสังขารปิศาจที่ฝึกปรือผ่าน
ทางสายเลือดของพวกมัน คนนอกมิอาจฝึกปรือได้ แต่ก็ยังมีสังขารปิศาจ
มากมายยิ่งกว่า ซึ่งสามารถสาเร็จได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือด
ใช้ ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจเป็ น รากฐานของการฝึ ก ปรื อ เป็ น วิ ถี ท างทั่ ว ไปซึ่ ง
ง่ายดายและเป็นที่นิยมกันมากที่สุด
นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของตัวอ่อนปิศาจ
หากสถานที่แห่งนี้มีตัวอ่อนปิศาจอยู่จริง... ...
สื อ ตงตระหนั ก ทั น ที มั น จ าเป็ น ต้ อ งประเมิ น คุ ณ ค่ า ของอาณาจั ก ร
ทะเลเมฆใหม่อีกครั้ง!
ในเวลานี้ สื อ ตงพลั น พบเห็ น สายสื บ ของมั น คน หนึ่ ง ซมซานหนี
กลั บ มาในสภาพอเนจอนาถ มี บ าดแผลที่ น่ า กลั ว มากมายบนร่ า งของ
สายสืบนั้น โลหิตไหลทะลักไม่ขาดสาย
สือตงม่านตาหดแคบลงทันควัน
“ต้าเหริน ที่นี่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ปิดซ่อนไว้เป็นอย่างดีขบวนหนึ่ง”
กู้หมิงกงชี้บอกอย่างนอบน้อม “เคยมีกลุ่มการค้าแห่งหนึ่งเชิ ญข้ามาช่ วย
สร้างให้ เก็บซ่อนไว้เป็นความลับ บริเวณนี้ยังเร้นลับยิ่ง บริวารยังวางลูกไม้
เล็ก ๆ ไว้ที่ค่ายกลอีกด้วย หากค่ายกลถูกทาลายบริวารจะรับรู้ได้ทันที”
นับตั้งแต่จ่ัวม่อจัดวางแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นเอาไว้ในร่างของมัน
กู้หมิงกงก็เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังยิ่ง หากจั่วม่อบอกให้มันไปทางตะวันออก มัน
จะไม่มีวันไปทางตะวันตก ตอนแรก ๆ มันเฝ้าหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ทุก
วี่ วั น ระมั ด ระวั ง ตั ว เป็ น อย่ า งยิ่ ง ราวกั บ เดิ น อยู่ บ นแผ่ น น้ า แข็ ง บาง ๆ
ตลอดเวลา แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ความหวาดเกรงก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง
จั่ ว ม่ อ มิ เ พี ย งไม่ เ คยจ ากั ด วั ต ถุ ดิ บ ส าหรั บ มั น ตรงกั น ข้ า มยั ง คอยป้ อ น
วัต ถุดิบหายากและล้าค่าให้แก่มันไม่เคยขาด ปล่อยให้มันหลอมสร้างได้
ตามใจปรารถนา ในไม่ ช้ า กู้ ห มิ ง กงก็ เ คลิบ เคลิ้ม มึ นเมาอยู่ กั บ การหลอม
สร้างอย่างสาราญใจ
ไม่ว่าจะทาอย่างไร กู้หมิงกงก็ไม่อาจขจัดอาคมหวงห้ามออกจากร่าง
ตัวเองได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
โชคดีที่วันคืนของมันไม่เลวนัก นอกเหนือจากการไม่มีอิส รภาพแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างดีเยี่ยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอมสร้างของมัน ไม่มี
ที่ใดอีกแล้วที่มันจะมีวัตถุดิบให้ใช้ได้ตามใจชอบและหลอมสร้างได้อย่าง
สบายใจเช่นนี้
แต่ วั น นี้ จ่ั ว ม่ อ ดึ ง มั น มาร่ ว มภารกิ จ ลอบโจมตี ค รั้ ง นี้ เ ป็ น การเฉพาะ
ประการแรกอาจเป็น เพราะกู้ห มิง กงเองก็เ ป็นยอดยุทธ์จินตัน เลื่อ งชื่ อ ผู้
หนึ่ง มีความสามารถเชิงยุทธ์ไม่ต่าทราม อีกประการหนึ่งก็คือกู้หมิงกงรู้จัก
คุ้นเคยกับอาณาจักรทะเลเมฆดุจนิ้วบนฝ่ามือตน มันไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับ
เครือข่ายค่ายกลเคลื่อนย้ายในพื้นที่ ยังสามารถก่อตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ าย
ด้วยตัวเอง
นี่มีส่วนช่วยต่อภารกิจของจั่วม่ออย่างมหาศาล
อย่าได้เห็นว่าจั่วม่อกล่าวอย่างเร่าร้อนเหี้ยมหาญ ประหนึ่งว่าจะต่อสู้
จนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่อันที่จริงมันยังคงกลัวตายเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้การนาทางของกู้ห มิ งกง พวกมันเดินลงไปในห้องใต้ดิ น ของ
คลั ง สิ น ค้ า แห่ ง หนึ่ ง อย่ า งรวดเร็ ว ตามที่ ค าดไว้ พวกมั น พบค่ า ยกล
เคลื่ อนย้ า ยขบวนหนึ่ งจริ ง ๆ กู้ ห มิ ง กงรี บ เข้ า ไปตรวจสอบยื นยั นว่ า ไม่มี
ปัญหาอันใด ก่อนจะเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายในทันที
จิ ง สื อ ระดั บ สี่ ห ลายชิ้ น ถู ก ใส่ล งไปในค่ า ยกล ค่ า ยกลทั้ ง ขบวนพลัน
เปล่งแสงเจิดจ้าในบัดดล
สาหรับการลอบจู่โจมครั้งนี้ จั่วม่อลงทุนไม่น้อยจริง ๆ ไม่ต้องกล่าวถึง
อื่นใด ลาพังการเคลื่อนย้ายผู้คนจานวนมากด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็ต้อง
จ่ายค่าตอบแทนด้วยจานวนจิงสืออันน่าตระหนกแล้ว
ไพร่ พ ลค่ า ยเว่ ย เดิ น ตามกั น เข้ า ไปในค่ า ยกลอย่ า งเป็ น ระเบี ย บ
ประกายแสงวาบแล้ว จากนั้นพวกมันหายวับไป
ปลายทางอีกด้านหนึ่งของค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ซ่อนอยู่ในคลังใต้ดิน
อันมืดมิดเช่นเดียวกัน กู้หมิงกงนาทางอย่างชานิชานาญ ผ่านห้องใต้ดิน
น าทุ ก คนออกมาด้ า นนอก ทั น ใดนั้ น พวกมั น พลั นพบว่ า สิ่ง ก่ อ สร้ า งด้าน
นอกกลายเป็นซากปรักหักพังอย่างสมบูรณ์ ค่ายกลด้านนอกยังถูกทาลาย
ยับเยิน
“ต้าเหริน ที่นี่คือสันเขาชมเมฆา” กู้หมิงกงสี หน้ามิสู้ดีนัก มันเห็นได้
ชัดว่าตื่นตะลึงกับภาพที่ดูคล้ายแดนนรกที่อยู่ตรงหน้า
การต่อสู้ระหว่างซิวเจ่อด้วยกันมักเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ต่างจาก
การรั บ ประทานข้ า ว แต่ ห ากน ามาเที ย บกั บ ภาพโศกนาฏกรรมที่ อ ยู่
ตรงหน้า นั่นก็เป็นแค่เด็กเล่นทะเลาะเบาะแว้งกันเท่านั้น
จั่ ว ม่ อ ยื น ยั น ข่ า วมาแล้ ว ว่ า สั น เขาชมเมฆาเป็ น สถานที่ แ รกที่ ถู ก
กองทัพปิศาจเข้าโจมตี
แม้ ว่ า ยามนี้ ยั ง ไม่ พ บรอยแยกแห่ ง ความโกลาหลที่ ป รากฏขึ้ น แต่
สมควรอยู่ไม่ไกลแล้ว พวกมันได้แต่ใช้วิธีการอันทื่อด้าน ค่อย ๆ ค้นหาไป
เท่านั้น มีเพียงเสาะหารอยแยกแห่งความโกลาหลพบ พวกมันจึงสามารถ
ค้ น พบค่ า ยทั พ หลั ก ของศั ต รู เนื่ อ งเพราะค่ า ยทั พ หลั ก ของฝ่ า ยตรงข้าม
สมควรอยู่ไม่ไกลจากรอยแยกแห่งความโกลาหล
กวาดตามองสภาพภูมิประเทศแวบหนึ่ง เห็นแต่ซากปรักหักพัง
เทียบกับกู้ห มิงกงที่เสียกิริยา จั่วม่อสงบเยือกเย็นกว่ามาก ฉากอาบ
เลือดที่อเนจอนาถกว่านี้ มันก็เคยพบเห็นมานักต่อนักแล้ว
มันรัง้ สายตากลับ กล่าวกับกู้หมิงกง “ลงมือเถอะ”
กู้หมิงกงไม่พูดพล่ามทาเพลง นายันต์กระดาษออกมา เป่าพลังปราณ
สายหนึ่งเข้าไปในยันต์ มือซ้ายผนึกท่ามุทรา ปากร่ายถ้อยคาถา
ฟูม!
ยันต์กระดาษเริ่มลุกไหม้ เปลี่ยนเป็นลูกไฟดวงหนึ่ง
ซู่วซู่วซู่ว!
ท่ามกลางเปลวไฟ เห็นนกสีเทาที่ไม่มีใดโดดเด่นสะดุดตาฝูงหนึ่งโผ
บินออกมา นกน้อยจานวนมหาศาลกระพือปีกอย่างพร้อมเพรียง แยกย้าย
พุ่งทะยานไปทุกทิศทุกทาง หายวับไปในบัดดล
ซู่หลงกับพลพรรคค่ายเว่ยเฝ้ามองฉากนี้อย่างสนอกสนใจ
กระทั่ ง จั่ ว ม่ อ ยั ง อดสนใจไม่ ได้ หากว่ า กั น ในเรื่ อ งความหลากหลาย
ของฝีมือ ย่อมไม่มีผู้ใดเกินเซียนยันต์ ฝีมืออันหลากหลายไร้ที่สิ้นสุดของ
พวกมันมักจับตาผู้คนอยู่เสมอ
สั ง เกตเห็ น สายตาของจั่ ว ม่ อ กู้ ห มิ ง กงรี บ บรรยายว่ า “ต้ า เหริ น นี่
เรียกว่ายันต์พันวิหค เหมาะสาหรับสืบค้นในวงกว้าง แต่หลอมสร้างไม่ง่าย
นักและราคาสูงมาก”
“เป็นสินค้าที่มีป ระโยชน์ ม าก” จั่วม่อเริ่มใคร่ ค รวญอย่ างจริง จั ง ว่ า
สมควรติดอาวุธค่ายเว่ยด้วยยันต์ประเภทนี้หรือไม่ นอกเหนือจากอาเหวิน
ซึ่งเป็นองครักษ์ปิศาจเงา มีความเร็วอันน่าตระหนกแล้ว ค่ายเว่ยคนอื่น ๆ
ระดับความเร็วธรรมดาสามัญ ไม่มีคนไหนเลยที่เหมาะจะเป็นสายสืบ
ยันต์พันวิหคสามารถชดเชยจุดอ่อนข้อนี้ของค่ายเว่ยได้เหมาะเจาะ
พอดี
แต่ จ่ั ว ม่ อ ไม่ แ น่ ใ จว่ า ซู่ ห ลงกั บ พวกจะสามารถใช้ ง านนกกระเรี ย น
กระดาษได้หรือไม่ นกกระเรียนกระดาษต้องใช้พลังปราณ แต่พวกซู่หลง
ฝึกปรือทักษะปิศาจ
มั น ยื ม ยั น ต์ ก ระดาษจากกู้ ห มิ ง กง ส่ ง ให้ ซู่ ห ลง และซู่ ห ลงไม่ ว่ า จะ
พยายามสักเท่าใด ก็ไม่อาจใช้ยันต์กระดาษได้จริง ๆ
จั่วม่อได้แต่ยอมล้มเลิกความคิดที่ดูเข้าท่านี้ไป
สวรรค์มีความยุติธรรมดีอย่างที่คิด คนผู้หนึ่งต้องการได้รับประโยชน์
ทั้งหมด นับว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใดจริง ๆ
ที่ ผ่ า นมาค่ า ยเว่ ย มัก จะออกศึ กร่ ว มกั บ ค่ า ยจูเ ชวี่ ย นี่ เ ป็ น ครั้ ง แรกที่
พวกมันต้องออกรบห่างไกลจากค่ายทัพหลัก หลายปัญหาที่พวกมันไม่เคย
พบ ถึงตอนนี้ค่อยๆ ผุดขึ้นทีละอย่าง
จั่ ว ม่ อ อยากรู้ อ ยากเห็ น ขึ้ น มาทั น ใด เช่ น นั้ น ทหารปิ ศ าจรั บ มื อ กั บ
ปัญหานี้ด้วยวิธีการใด?
มันรีบไปถามเว่ยทันที
เว่ยอธิบายว่า “ปัญหานี้เผ่าปิศาจมีหนทางแก้ไขมากมาย ยกตัวอย่าง
เช่นสังขารปิศาจบางชนิดมีความเร็วอันน่าตระหนก หรือมีพลังพิเศษที่ไม่
เหมือนใคร ปิศาจจ าพวกนี้เป็นสายสืบที่ร้ายกาจยิ่ง ทัพปิศาจบางทัพจะ
เพาะเลี้ยงแมลงพิเศษบางชนิด พวกมันรวดเร็วยิ่ง ทั้งยังรู้จักปกปิดซ่อน
เร้นตัวเอง ฝ่ายตรงข้ามยากจะค้นพบได้”
จั่วม่อเข้าใจในทันที ซิวเจ่อมีฝีมือของซิวเจ่อ อสูรปิศาจก็ย่อมมีฝีมือ
ของอสูรปิศาจเช่นกัน
หลั ง จากวิ วั ฒ นาการมานานปี วิ ถี ข องอสู ร ปิ ศ าจและเซี ย นค่ อ ย ๆ
พัฒนาจนเพียบพร้อมสมบูร ณ์ ซิวเจ่อในเมื่อมียอดคนอัจ ฉริยะ หรือเผ่า
อสู ร ปิ ศ าจจะเป็ น ตั ว โง่ ง มไปเสี ย ทั้ ง หมดด้ ว ย? จั่ ว ม่ อ ยั ง เคยได้ ยิ น ได้ ฟั ง
จากผูเยากับเว่ยมาโดยตลอด ว่าความขัดแย้งภายในของบรรดาอสูรปิศาจ
ยังโหดร้ายรุ นแรงยิ่ง กว่ าการทะเลาะเบาะแว้งของเหล่าซิ วเจ่ อมาก เผ่า
ปิศาจยิ่งเข่นฆ่าแย่งชิงอย่างดุเดือดเลือดพล่านกว่าผู้ใด
จั่วม่อจดจ าปัญหาเหล่ านี้ ไว้ ตั้งใจว่ากลับไปค่อ ยหาหนทางแก้ ไ ขที่
เหมาะสม
พวกมั น รอคอยอยู่ชั่ ว ธู ป ไหม้ ห มดดอก กู้ ห มิ ง กงที่ ยื น หลับ ตานิ่งมา
โดยตลอด พลันสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน “ตะวันออก
เฉียงใต้!”
จั่วม่อกับคนอื่น ๆ ตื่นตัวขึ้นทันที โดยไม่พูดพล่ามท าเพลง พวกมัน
ทะยานร่างไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในบัดดล
หลั ง จากเหิ น บิ น ไปราวสองชั่ ว ยาม เห็ น หุ บ เขาแห่ ง หนึ่ง ปรากฏขึ้น
เบื้องหน้าพวกมัน
ขณะที่ พ วกมั น ทะยานผ่ า นหุ บ เขา จั่ ว ม่ อ พลั น ชะงั ก กึ ก ตั ว แข็ ง ทื่ อ
ดวงตาทอแววตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว!
บทที่ 515 เยี่ยหลิงผู้น่าเวทนา

เห็ น พื้ นดิ น สี ด าที่ โ ดดเด่ น สะดุ ด ตา ดู เ หมื อ นถู ก ย้ อ มด้ ว ยน้ า หมึ ก
แบ่งแยกจากพื้นดินรอบข้างอย่างชัดเจน
“ทุ่งหญ้าปิศาจ!”
ทันทีที่พบเห็นสิ่งนี้ เว่ยก็โพล่งขึ้นอย่างกะทันหัน
“ทุ่งหญ้าปิศาจ?” จั่วม่อย้อนถามทันควัน
“พวกเราโชคดีจริง ๆ” เว่ยอธิบาย “พื้นที่แถบนี้เพิ่งทาการเพาะปลูก
เมล็ดหญ้าปิศาจได้ไม่นานนัก เมล็ดหญ้าปิศาจยังไม่ทันได้งอกเงย ดังนั้น
ข้าถึงบอกว่าพวกเราโชคดีไม่น้อย”
“ของสิง่ นี้ร้ายกาจนักหรือ?”
“พวกมั น ไม่ มี พลัง มากนัก แต่ เ มื่ อ เติ บโตเต็ม ที่ อั ต ราการแพร่พันธุ์
ของหญ้าปิศาจน่ากลัวมาก พวกมันจะแพร่กระจายออกไปเหมือนควันพิษ
แม้แต่ในดินที่แร้นแค้นกันดารที่สุดก็ยังอยู่รอดได้ ความสามารถที่ร้ายกาจ
ที่สุดของพวกมัน คือการดูดกลืนปราณธรรมชาติในสถานที่ที่มันงอกงาม”
จั่วม่อสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ
ส าหรับซิวเจ่อ หากในอากาศไม่มีพลังปราณธรรมชาติหลงเหลืออยู่
พวกมันจะเผชิญกับปัญหาใหญ่ทันที นั่นหมายความว่าซิวเจ่อได้แต่พึ่งพา
พลังปราณภายในร่างกายตัวเอง และไม่สามารถเติมเต็มพลังปราณได้ง่าย
นัก หากพวกมันไม่ได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาพิ เศษหรือมีเคล็ดลับเฉพาะเจาะจง
พวกมันก็ได้แต่พึ่งพาการเติมพลังปราณด้วยจิงสือเป็นบางครั้งเท่านั้น ข้าว
ปราณและโอสถปราณอาจพึ่งพาได้มากกว่า ส่งผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่
ย่อมสิน
้ เปลืองกว่ามาก ยากที่จะจัดหามาป้อนต่อกองทัพในระยะยาว
“แต่ค่ายเว่ยฝึกปรือทักษะปิศาจ” จั่วม่อค่อยนึกขึ้นได้
“นั่นคือเหตุผ ลที่ข้าบอกว่าพวกเราโชคดี ไม่น้อย” เว่ยสุ้มเสียงสงบ
ราบเรี ย บ “ข้ า ว่ า เจ้ า สมควรเชื่ อมั่ น ในค่ า ยเว่ ย ให้ ม ากกว่ า นี้ ค่ า ยเว่ ย
ในตอนนี้ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาอีกแล้ว”
เสี ย งแค่ น อย่ า งเย็ น ชาเสี ย งหนึ่ ง ดั ง ขึ้ น ในใจจั่ ว ม่ อ อย่ า งกะทั น หั น
เหมือนเสียงขู่ฟ่ออันอาฆาตมาดร้ายและเย็นยะเยียบชองอสรพิษร้าย
เป็นผูเยา
ผูเยาที่ชาญฉลาด ไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายในวาจาของเว่ยได้?
จั่วม่อแสร้งทาเป็นไม่ได้ยิน มีแต่ยามที่ส องวัต ถุโบราณนี้ขัดแย้งกั น
มันสามารถเป็นชางประมงได้รับข้าว! แต่หากสองคนนี้รวมหัวกัน มันนึกไม่
ออกเลยว่าวันคืนของมันจะอยู่รอดไปได้อย่างไร!
โชคดี ที่ ก องทั พ ที่ มั น น ามาเป็ นค่ า ยเว่ ย หากเป็ น ค่ า ยจู เ ชวี่ ย คงต้อง
เสียเปรียบอยู่หลายขุม ทุ่งหญ้าปิศาจไม่มีผลต่อค่ายเว่ย จั่วม่อค่อยคลาย
ใจลงเล็กน้อย
ฝ่ายตรงข้ามระมัดระวังตัวยิ่ง เพียงมองจากบริเวณโดยรอบที่เต็มไป
ด้วยทุ่งหญ้าปิศาจ ก็สามารถมองออกได้
“เจ้าค้นพบตาแหน่งของค่ายทัพหลักหรือไม่ ?” จั่วม่อหันกลับไปถาม
กู้หมิงกง
กู้หมิงกงสั่นศีรษะ “ผืนดินสีดานี้แปลกประหลาดยิ่ง ยันต์พันวิหคไม่
สามารถบินผ่านไปได้”
เป็นไปตามคาด!
ทุ่งหญ้าปิศาจแม้ยังไม่ได้ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่ผลกระทบในการ
ดูดกลืนพลังปราณเริ่มทางานบ้างแล้ว นกสีเทาสร้างขึ้นจากยันต์พัน วิห ค
เป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากพลังปราณ เมื่อบินผ่านบริเวณทุ่ง หญ้ า
ปิศาจจะถูกทาลายก็ไม่แปลกอันใด
แต่ในเมื่อพวกมันพบทุ่งหญ้าปิศาจ เช่นนั้นค่ายทัพหลักของอีกฝ่ายก็
จะต้องอยู่ที่นี่แน่แล้ว
จั่วม่อขบคิดแวบหนึ่ง จากนั้นเรียกหาอาเหวิน หลังจากกระซิบสั่งการ
เสียงเบาต่า อาเหวินพยักหน้ารับคา ขนนกบนชุดเกราะพลันชี้ชัน วู้ม ร่าง
หายวับไปทันที
พลังฝีมือของอาเหวินรุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด แต่มันแตกต่างจาก
ซู่ห ลง มุ่งเน้นฝึกปรือไปในแนวทางยอดยุทธ์อย่างสมบูรณ์ พรสวรรค์อัน
น่าตระหนกของมัน เป็นสาเหตุที่ทาให้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว กับพรสวรรค์
ของอาเหวิน แม้แต่ผูเยาและเว่ยที่ไม่เคยเห็นตรงกันยังอดยกย่องชมเชย
เป็นเสียงเดียวกันไม่ได้
อาเหวินกลับมาในไม่ช้า
มั น กลั บ มาพร้ อ มกั บ ต าแหน่ ง ทั่ ว ไปของค่ า ยทั พ ศั ต รู เป็ น ไปตามที่
จั่วม่อคิด ทุ่งหญ้าปิศาจเมื่อยังไม่ทันเติบโตเต็มที่ ก็แสดงว่าผู้อ่ ืนเพิ่งจะตั้ง
ค่ายได้ไม่นานนัก
ภายใต้การนาทางของอาเหวิน พวกมันลอบเข้าใกล้ค่ายทัพของอีก
ฝ่ายอย่างเงียบเชียบ

เยี่ยหลิงบนศีรษะเต็มไปด้วยผมสีน้าตาลแดง ดวงตาสีขาวเทาลึกล้า
สุ ด หยั่ ง ริ้ ว รอยบนใบหน้ า กดลึ ก มั น มี ช าติ ก าเนิ ด ธรรมดาสามั ญ ไม่ ไ ด้
ครอบครองสายเลื อ ดพิ เ ศษ ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น ยั ง ไม่ ค่ อ ยมี พ รสวรรค์ ใ นการ
ฝึ ก ปรื อ ทั ก ษะปิ ศ าจ แต่ ด้ ว ยความสุ ขุ ม รอบคอบและขยั น ขั น แข็ ง ยั ง
สามารถเสาะหาสถานที่ของตนอยู่ในกองทัพได้
แม้ว่ามั นเพียงรับผิดชอบงานพลาธิก าร จัดเตรียมสิ่งของส่งเสบียง
แต่สาหรับมันกับตระกูลของมัน นี่เป็นงานที่ดีไม่น้อย
เยี่ยหลิงผู้นี้ท้ังเอาการเอางานและขยันขันแข็งยิ่ง แทบไม่เคยกระทา
ผิ ด พลาดมาก่ อ น เมื่ อผ่ า นไปนาน ๆ มั น ก็ ก ลายเป็ น มี ช่ ื อเสี ย งในเรื่ อง
ความสามารถและความน่าเชื่ อถือ กระทั่งสือตงที่มีดวงตาสูงส่งอยู่เหนือ
ศีรษะยังยินดีออกรบร่วมกับมันอย่างไม่รังเกียจรังงอน
“ตอนนี้สือตงต้าเหรินอยู่ที่ใด?” มันถาม
“อยู่ที่ทวีปทะเลเมฆเทา รายงานล่าสุดแจ้งว่าสายสืบของเราปะทะ
กับสายสืบของซิ วเจ่ อ สายสืบฝ่ายเราบาดเจ็ บล้มตายเป็นจ านวนมาก”
ผู้ช่วยแม่ทัพรีบรายงาน
เยี่ยหลิงพอฟังกลับไม่ได้แตกตื่นลนลาน “นี่เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง ซิว
เจ่อไม่ได้อ่อนแอ ซึ่งความจริงพวกเรามาเหยียบประตูบ้านของพวกมัน ฆ่า
คนของพวกมัน หากพวกมันไม่ตอบโต้แม้แต่น้อย นัน
่ จึงน่าแปลกใจกว่า”
“ต้าเหรินกล่าวถูกต้อง”
“เราต้องระมัดระวังให้มาก ป้องกันไม่ใ ห้ผู้อ่ ืนลอบโจมตีเราได้” เยี่ย
หลิงสีหน้าหนักอึ้ง “สั่งให้ทุกคนตื่นตัวอยู่เสมอ! ในหมู่ซิวเจ่อย่อมมีบุคคล
อันชาญฉลาด เราไม่อาจเรือล่มในน้าตื้นได้!”
“ทราบแล้วต้าเหริน!” ผู้ช่วยแม่ทัพรับคาสั่ง
ทันใดนั้นเอง เสียงหวีดแหลมดังสนั่นลั่นไหว เยี่ยหลิงรู้สึกแทบหูดับ
หนึ่งแม่ทัพหนึ่งผู้ช่วยสีหน้าแปรเปลี่ยนทันควัน!
มีคนลอบโจมตีค่ายทัพของพวกมัน!

จั่วม่อใบหน้าสลดหดหู่ยิ่ง
พวกมันอุตส่าห์ย่องมาถึงตรงหน้าศัตรู หากไม่ฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตี
สักครา พวกมันจะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์แน่!
แต่กระนั้นมันกลับคิดไม่ถึง ว่าการระวังป้องกันของอีกฝ่ายจะเข้มงวด
กวดขันถึงเพียงนี้ มันแม้หลีกเลี่ยงจากสายสืบของฝ่ายตรงข้ าม แต่แนว
ป้องกันของศัตรูกลับเข้มงวดยิ่ง ในที่สุดก็ถูกศัตรูรู้ตัว
สิ่งที่เป็นตัวการร้ายในครั้งนี้ คือแมลงขนาดเท่านิ้วหัวแม่ มือตัวหนึ่ง
เจ้าตัวร้ายนี้หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน อย่าว่าแต่จะชิงโจมตีมันก่อน แค่หาตัวให้
พบยังยากลาบากยิ่ง
ทันใดนั้น ในดินสีดาใต้ฝ่าเท้าของพวกมัน คล้ายมีสิ่งใดเคลื่อ นไหว
อย่างเร็วรี่ พุ่งดิ่งเข้าหากลุ่มของจั่วม่อด้วยระดับความเร็วอันน่าตระหนก
จั่ ว ม่ อ เป็ น คนแรกที่ ต อบสนอง สี ห น้ า แปรเปลี่ ย นเล็ ก น้ อ ย “แนว
ป้องกันปลิงดา!”
แทบจะในทันทีทันใด ค่ายเว่ยตั้งขบวนทัพเสร็จสมบูรณ์
พลั ง อั น ไพศาลไหลบ่ า มาจากเบื้ องหลั ง ความตื่ นตระหนกและ
หวาดหวั่นในใจจั่วม่อประดุจหิมะในวันที่แสงแดดแผดกล้า หายวับไปกับ
ตา สังขารปิศาจมหาทิวาถูกเร่งเร้าอย่า งรุ นแรง สาแดงฤทธิ์ออกมาอย่ าง
รวดเร็ว
“ปิศาจน้อยสังหาร!”
หมอกด าหนาทึ บ ห่ อหุ้ มมื อ ขวาของจั่ว ม่ อ มั น เงื้ อฝ่ า มื อ ตบฟาดใส่
คลื่นปลิงดาที่มุ่งตรงเข้ามาอย่างดุดัน!
เงาดาสายหนึ่งพวบพุ่งออกจากฝ่ามืออย่างเกรี้ยวกราด
ตูม!
คลื่นปลิงดาคล้ายกระแทกใส่ก าแพงอันแข็ งกล้ า แตกกระจายเป็ น
คลื่นปลิงดาระลอกเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน
คลื่นปลิงดาเรียวบางเหล่านี้พลันบิดตัวอย่างพิสดารกลางอากาศ พา
กันยิงกลับไปยังจั่วม่อดุจห่าฝนธนูดาอันแน่นขนัด
หากเป็นซิวเจ่อทั่วไป เผชิญหน้าการเปลี่ยนแปลงฉับพลันเช่นนี้ ไม่
แตกตื่นลนลานก็แปลกไปแล้ว แต่พวกจั่วม่อผู้เคยบุกตะลุยผ่านมหานคร
นภาโลหิต เคยชมดูพลังอันร้ายกาจของแนวป้องกันปลิงดามาแล้วหนหนึ่ง
รู้ดีอยู่แล้วว่าปลิงดาเหล่านี้มิใช่จะทาลายได้โดยง่าย
อยู่ที่ด้านหน้าสุดของกระบวนทัพ จั่วม่อไม่ต่ น
ื กลัวแม้แต่น้อย แต่กลับ
ดื่มด่าอยู่ในความรู้สึกที่พิเศษเฉพาะประการหนึ่ง
ดูคล้ายมีสายใยที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากร่างมัน สายใยล่องหนแต่
ละเส้นเชื่อมโยงไปถึงองครักษ์ทุกข์ยากผู้หนึ่ง จากนั้นองครักษ์ทุกข์ยากผู้
นั้นก็แผ่เส้นใยบางออกออกไปหลายสิบเส้น เชื่อมโยงไปถึงเหล่าองครักษ์
ทุกข์ยากในลาดับถัด ๆ ไป
เส้นใยล่องหนเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึงทุกคนในกองทัพ!
พลังงานมากมายไหลผ่านเส้นใยที่มองไม่เห็นเหล่านี้ ผ่านล าดับชั้น
ของการเชื่อมต่อมาทีละชั้น ๆ รวบรวมเข้าสู่ร่างของจั่วม่อเป็นจุดเดียว
เปลวเพลิ ง แห่ ง พลั ง ปะทุ ขึ้ น ห่ อ หุ้ ม รอบกายจั่ ว ม่ อ อย่ า งแน่ น หนา
ภายใต้ พ ลั งอั นยิ่ งใหญ่ไ พศาลขุมนี้ ไม่ ว่ า การเคลื่ อนไหวใดของมั น ล้ ว น
หนักอึ้งไม่ต่างขยับขุนเขาเคลื่อนสมุทร
สังขารปิศาจมหาทิวาคึกคัก เข้มแข็งผิดธรรมดา ทุกอณูในร่างคล้ าย
กาลังไชโยโห่ร้องอย่างเริงร่า
โดยไม่ขบคิดใคร่ครวญ จั่วม่อกางมือออกทาท่าคว้าจับกลางอากาศ
ไปยังทิศทางที่ห่าฝนปลิงดาโหมกระหน่าเข้ามา!
เพียะ!
ปลิ ง ด าจ านวณมหาศาลพลั น แตกระเบิ ด กลางอากาศ กลายเป็ น
หมอกควันสีดาในบัดดล
จั่วม่อโบกมือวูบ หมอกควันสลายหายไปทันตา
แต่เมื่อมันเห็นกองทัพที่ต้งั ขบวนพร้อมสรรพอยู่ตรงหน้า จั่วม่อสีหน้า
กลายเป็นหนักอึ้งทันที
ควรทราบว่าทันทีที่พบแนวป้องกันปลิงดา มันก็ต่ ืนตัวขึ้นอย่างมาก
ที่นี่เป็นเพียงค่ายทัพชั่วคราว แต่อีกฝ่ายถึงกับก่อตั้งแนวป้องกันปลิ ง ด า
เอาไว้ ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด ลาพังความรอบคอบระมัดระวังของแม่ทัพ
ผู้นี้ ก็เพียงพอให้ผู้คนต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก!
และด้วยความตื่นตัวกว่าปกตินี้ มันชิงทาลายแนวป้องกันปลิงดาลง
แทบจะในทันทีทันใด เรียกได้ว่ากระทาส าเร็จ ลุล่วงในระยะเวลากระชั้น
สั้นยิ่ง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับตั้งกระบวนทัพเตรียมการรับมือพร้ อมสรรพ
แล้ว!
ต้องเป็นกองทัพที่ฝึกปรือมาดีถึงเพียงไหน!
เพี ย งแค่ ร ะดั บ ฝี มื อ นี้ ก็ เ พี ย งพอให้ จ่ั ว ม่ อ ใจเขม็ ง ตึ ง เครี ย ด ไม่ ก ล้ า
ประมาทศัตรูแม้แต่น้อย

เยี่ยหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าท่าทีสงบเยือกเย็นยิ่ง สายตา
ยังคงหนักแน่นตามปกติ ไม่ได้แสดงถึงความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นี่ทา
ให้เหล่าไพร่พลของมันคึกคักฮึกเหิม เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เวลานี้ในใจเยี่ยหลิงหาได้สงบเหมือนผิวหน้าไม่
ดวงตาของมันจ้องเขม็งไปยังบุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุดในกระบวน
ทัพของฝ่ายตรงข้าม ในใจสับสนยุ่งเหยิงสุดระงับ!
กระบวนการทั้งหมดที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ใช้ทาลายแนวป้องกันปลิงดา มัน
ได้เฝ้าดูต้ังแต่ต้นจนจบ คนผู้นี้คล้ายคุ้นเคยกับแนวป้องกันปลิงดายิ่ง ลง
มือทาลายอย่างเยือกเย็นและมั่นใจ เยี่ยหลิงตระหนักดีว่าแนวป้องกันปลิง
ดาที่มันก่อตั้งขึ้นนั้นผอมบางเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าศัตรู จะทาลายได้
อย่างสะดวกดายถึงปานนี้
ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น อี ก ฝ่ า ยคล้ า ยไม่ ไ ด้ รั บ ผลกระทบจากทุ่ ง หญ้ า ปิ ศ าจ
แม้แต่น้อย!
ส าหรั บ มั น เรื่ องนี้ น่ า ตกใจไม่ น้ อ ย ทุ่ ง หญ้ า ปิ ศ าจแม้ ยั ง ไม่ เ ติ บ โต
สมบูรณ์ แต่พลังในการทาลายพลังปราณเริ่มส าแดงเดชแล้ว หากซิวเจ่อ
ล่วงผ่านเข้ามาในบริเวณนี้ จะต้องได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันไป
แต่สมควรไม่มีซิวเจ่อใดไม่ได้รับผลกระทบจึงจะถูกต้อง
ทว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยจริง ๆ ไม่ใช่แค่บุรุษหนุ่มนั้น
ผู้เดียว กระทั่งบรรดาไพร่พลด้ านหลัง ก็คล้ ายจะไม่ถูก กดดันแม้ แ ต่ น้ อ ย
เช่นกัน
สิ่งที่แปลกพิสดารยิ่งไปกว่านั้น ... ... คือรูปแบบกระบวนทัพของศัตรู!
เยี่ยหลิงไม่ว่าตะแคงมองท่าไหน ก็ล้วนแล้วแค่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
นี่มิใช่ค่ายกลปิศาจสังหารภูตอีกาของเผ่าปิศาจเราหรอกหรือ?
ค่ายกลปิศาจสังหารภูตอีกาไม่ใช่สินค้าธรรมดาทั่วไป กระทั่งในภพ
ปิศาจยังมีเพียงกองทัพที่ท รงอานาจ จึงสามารถฝึกปรือค่ายกลสังหารอัน
ดุดันอามหิตและแกร่งกล้าเกรียงไกรนี้ได้
มองดูกองทัพซิวเจ่อใช้ค่ายกลปิศาจสังหารภูต อีกาทาลายล้า งแนว
ป้องกันปลิงดา เยี่ยหลิงได้แต่ยืนเซ่อซึมอยู่กับที่ เบิกตามองอย่างโง่งม
เจ้าเหนือหัวของข้า!15 นี่ ...ในที่นี้ ...ที่แท้ฝ่ายใดเป็นเผ่าปิศาจกันแน่?

จั่วม่อฉวยโอกาสพินิจพิเคราะห์เยี่ยหลิงเช่นกัน
“พวกมันตั้งกระบวนทัพอะไร?” จั่วม่อลอบถามเว่ยในใจ
“ข้าไม่รู้จัก อาจเป็นกระบวนทัพค่ายกลใหม่ ๆ ที่คิดค้นออกมาภาย
หลังจากที่พวกเราถูกกักขัง” เว่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คราครั้งนี้มันคาดหวัง
ว่าจะช่วยนาพาจั่วม่อไปสู่ชัยชนะ มีเพียงกระทาเช่นนี้จึงสามารถพิสูจน์
ยืนยันได้ว่าภายใต้การชี้นาของมัน ค่ายเว่ยแกร่งกล้าขึ้นจากเดิมเป็นคนละ
กองทัพ
กับแค่คนอย่างผูเยา คิดจะเปรียบเทียบกับเว่ยผู้นี้หรือ?
เว่ ย บนใบหน้ า กลั บ มายิ้ ม แย้ ม อบอุ่ น เหมื อ นดวงตะวั น พลางกล่ า ว
ชี้นาด้วยสุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า
“อย่าห่วงไปเลย ด้วยค่ายกลปิศาจสังหารภูตอีกาที่ข้าสอนกับสังขาร
ปิ ศ าจมหาทิ ว าของเจ้ า เราสามารถถล่ ม พวกมั น จนราบคาบเป็ น หน้ า
กลอง”
โอ้ ไม่มีทางจริง ๆ สังขารปิศาจมหาทิวาของเสี่ย วจั่วม่อ เป็นเว่ยผู้นี้ที่
สั่งสอนชี้นาจนสาเร็จ... ...

15
เป็นคำอุทาน คล้าย ๆ โอ้มายก๊อด น่าจะเป็นคำอุทานที่นิยมในภพปิศาจ
ไม่มีทางทาอะไรเลยจริง ๆ อา ไม่มีทางทาอะไรเลยจริง ๆ เจ้าไม่อาจ
เทียบข้าได้เลยจริง ๆ ... ...
เสี่ยวผูผูเอ๋ย เสี่ยวผูผู... ...
นี่เป็นยุคสมัยของเว่ยผู้นี้แล้ว ข้าจะแผดเผาเจ้าด้วยรัศมีอันเรืองรอง
ของข้าเอง!
รอยยิ้มบนใบหน้าเว่ยยิ่งอบอุ่นและดูสูงสง่ายิ่งขึ้น

ในคุกสิบนิว
้ ผูเยาเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน หางตากระตุก ในดวงตาสี
เลื อ ดคล้ า ยมี ท ะเลเลื อ ดอั น กว้ า งใหญ่ ไ พศาลร้ อ งค ารามอย่ า งคลุ้ ม คลั่ ง
หนานเยว่กับพวกตัวสั่นเทาอย่างสุดระงับ อึดใจต่อมา ผูเยาเค้นเสียงเย็น
ยะเยียบลอดไรฟันออกมา “หนึ่ง เดือน! หากพวกเจ้าไม่สามารถทาส าเร็จ
ภายในหนึ่งเดือน รับรองว่าจะมีเรื่องดี ๆ รอเจ้าอยู่!”
หนานเยว่กับพวกหนังศีรษะชาซ่าน รีบหลบหน้าออกไปอย่างขวั ญ
หนีดีฝ่อ!
บทที่ 516 ประลองกาลัง

สือตงจ้องมองบรรดาสายสืบซิวเจ่อที่ป้วนเปี้ ยนอยู่ไม่ไกลอย่างเย็นชา
นับตั้งแต่ประจันหน้ากันในวันแรก สายสืบทั้งสองฝ่ายปะทะหักหาญ
นับครั้งไม่ถ้วน ควรทราบว่าหน่วยสายสืบเป็นชนชั้นยอดของกองทัพ การ
ต่อสู้แต่ละครั้งแม้กระชั้นสั้น แต่ดุเดือดรุ นแรงยิ่ง ผลสุดท้ายหากไม่ใ ช่ล้ม
ตายก็บาดเจ็บสาหัส
สือตงไม่รู้สึกประหลาดใจอัน ใด มันอยู่ในกองทัพมานานปี ผ่านศึก
อย่างโชกโชน จิต ใจแข็งกระด้างดั่งหินผา การปะทะระหว่างสายสืบเป็น
บทโหมโรงสาหรับศึกใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันก็เชื่อมั่นในคนของมัน
สายสืบเหล่านี้ติดตามมันมานานหลายปี แต่ละคนล้วนปีนป่ายขึ้นมา
ด้วยความสามารถที่แท้จริง
แต่กระนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า กลับทาให้มันตื่นตะลึงเหนือ
คาดหมาย
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสามวัน สายสืบยอดฝีมือของฝ่ า ยมั น
ยี่สิบเจ็ดคน หากมิใช่บาดเจ็บสาหัสก็ตกตายคาที่ ต่อให้จิตใจแกร่งเหมือน
หินผา สือตงยังรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบ จานวนผู้บาดเจ็บล้มตายแม้บอกชัดถึง
ความร้ายแรงของสงคราม แต่ทุกครั้งที่ส ายสืบฝ่ายมันปะทะกับสายสื บ
ของผู้อ่ น
ื กลับเป็นฝ่ายมันที่บาดเจ็บล้มตายแทบหมดสิ้น ส่วนอีกฝ่ายแทบ
ไม่มีความเสียหายร้ายแรงอันใด ทาเอาสือตงประกายตายิ่งมายิ่งยะเยียบ
เย็นชากว่าเดิม
สือตงพลันตระหนักในบัดดล คราครั้งนี้พวกมันพบพานศัตรู ตัวฉกาจ
เข้าให้แล้ว!
อย่ า งไรตาม มั น มิ เ พี ย งไม่ แ ตกตื่ นลนลาน ถึ ง กั บ เป็ น ตรงกั น ข้ า ม
ภายใต้สีหน้ายะเยียบเย็นชา เจตนาต่อสู้ในใจประดุจคลื่นลับใต้ชั้นน้าแข็ง
หนา เดือดพล่านอย่างช้า ๆ
ผู้ช่วยแม่ทัพเหม่อมองบรรดาสายสืบซิวเจ่อที่เหินทะยานอยู่รอบ ๆ
กระทั่งถึงยามนี้มันยังแทบเชื่อไม่ลง ว่าสายสืบฝ่ายมันจะเป็นฝ่ายปราชัย
อย่างย่อยยับ
“อาณาจักรทะเลเมฆมี กองทั พที่ ร้ า ยกาจถึ งปานนี้เ ชี ย วรึ ?” มันบ่น
พึมพาด้วยสุ้มเสียงปานละเมอ เต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ แม้ตอนแรก
ที่พวกมันบุกเข้ามาในอาณาจักรทะเลเมฆ พวกมันจะยังไม่ล่วงรู้สิ่งใด แต่
ต่อมาพวกมันรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน อาณาจักรทะเล
เมฆก็สมควรกระจ่างแจ้งในสายตาพวกมันแล้ว
ไม่ มี ข่ า วสารใดระบุ ว่ า อาณาจั ก รทะเลเมฆมี ก องทั พ ที่ แ ข็ง แกร่งถึง
เพียงนี้!
ก่ อ นหน้ า นี้ พ วกมั น เคยถล่ ม กองทั พที่ จั ด อยู่ ใ นสิ บ สุ ด ยอดของ
อาณาจักรทะเลเมฆมาแล้วถึงสองขบวน แต่เมื่อเทียบกับกองกาลังลึกลับนี้
คนเหล่านั้นไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเสียด้วยซ้า
กองพันน่าซาน! นี่ใช่เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรทะเล
เมฆ กองพันน่าซานหรือไม่?
สือตงไม่กล่าวคาใด การขบคิดคาดเดาที่มาของกองทัพเหล่านี้ หาได้
มีคุณค่าความหมายใดไม่ ในความเห็นของมัน มีเพี ยงชัย ชนะเท่า นั้ น ที่ มี
คุณค่าความหมาย มันไม่กังวลสนใจกับชื่อเสียงเรียงนามหรือประวัติความ
เป็นมาของผู้อ่ น
ื แม้แต่น้อย
ถึงยามนี้ส ายสืบฝ่ายศัตรู สร้างร่างแหอันแน่นหนาปากหนึ่ง ล้อมดัก
พวกมันเอาไว้อย่างเข้มงวดทุกทิศทาง สายสืบฝ่ายพวกมันไม่สามารถเจาะ
ทะลวงออกจากร่างแหนี้ได้
นี่ ท าให้ จ านวนข้ อ มู ล ข่ า วสารที่ ส่ ง มาถึ ง สื อ ตงยิ่ ง มายิ่ ง ลดน้ อ ยลง
ความรู้สึกนี้ย่าแย่ยิ่ง มันคล้ายติดอยู่ในหล่มทรายดูด ไม่ว่าดิ้นรนอย่างไร
ล้วนไร้ประโยชน์
ฝ่ า ยตรงข้ า มคล้ า ยไม่ เ ร่ ง รี บ เผด็ จ ศึ ก นอกจากบรรดาสายสื บ ที่
เกาะติดพวกมันปานแผ่นกอเอี๊ยะหนังสุนัขแล้ว ทัพหลักของฝ่ายตรงข้าม
ไม่เคยเผยตัวแม้แต่ครั้งเดียว
ทันใดนั้นสือตงพลันฉุกใจคิด มันจู่ ๆ ก็นึกถึงเกาะเต่า นี่ใช่เป็นกองทัพ
เกาะเต่าหรือไม่?
ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกองพันเกาะเต่านั้นแทบจะเป็นศูนย์ พวกมัน
รวบรวมได้เพียงคาเล่าลือที่กระจัดกระจาย ทั้งยังเป็นการศึกเล็ก ๆ ที่ไม่มี
คุณค่าความหมายใด นึกถึงคาโจษจันที่เกี่ยวกั บเกาะเต่า ก่อนหน้ านี้ กับ
กองทั พ ลึ ก ลั บ ที่ จู่ ๆ ก็ ป รากฏออกมานี้ สื อ ตงสั ง เกตเห็ นความเชื่ อ มโยง
ระหว่างทั้งสองฝ่ายทันที
ที่แท้เป็นเช่นนี้ ... ...
จ้องมองไปยังสายสื บฝ่ ายศัต รู สือตงกุมด้ามดาบตั๊ ก แตนที่ข้ า งเอว
อย่างแนบแน่น!
ฝ่ายตรงข้ามกาลังลากถ่วงพวกมัน!
ใช่แล้ว! ศัตรูกาลังพยายามถ่วงเวลา!
แต่ อี ก ฝ่ า ยไฉนคิ ด ถ่ ว งเวลา? สื อ ตงพอคว้ า จั บ ได้ เ งื่ อนง า ความคิ ด
จิตใจก็กระจ่างชัดเจนขึ้นกว่าเดิม อีกฝ่ายเมื่อต้องการเวลา หมายความว่า
พวกมันกาลังรอคอยอะไรบางอย่าง! พวกมันใช่กาลังรอคอยให้การป้องกัน
ของเกาะเต่าเพียบพร้อมสมบูรณ์หรือไม่?
สมควรไม่รวบรัดเพียงเท่านัน
้ ... ...
เพียงการประดาบช่วงสั้น ๆ ที่แทบไม่อาจเรียกได้ว่าปะทะหักหาญ
แต่สือตงสามารถสูดได้กลิ่นอายระดับความอันตรายของแม่ทัพฝ่ายตรง
ข้ามอย่างชัดเจน
ยอดแม่ทัพบัญชาการศึก!
จุดมุ่งหมายของฝ่ายตรงข้ามสมควรไม่รวบรัดธรรมดาเป็นแน่ ยิ่งไป
กว่านั้น การทาศึกป้องกันเกาะเต่าก็ไม่ใช่แผนการที่ดีนัก... ...
แล้วจะเป็นเรื่องใด... ...
ทั น ใดนั้ น เอง สื อ ตงสะท้ า นขึ้ น ทั้ ง ร่ า ง หั น ขวั บ อย่ า งฉั บ พลั น “รี บ
สอบถามสถานการณ์ทางด้านเยี่ยหลิง! เดี๋ยวนี้!”
ผู้ช่วยแม่ทัพถึงกับถูกปฏิกิริยาผิดธรรมดาของท่านแม่ทัพขู่ขวัญจน
ตะลึงลานอยู่ชั่วครู่ จากนั้นค่อยตั้งสติ รีบขานรับ “ขอรับ”
มั น ล้ ว งแมลงสี ด าออกมาวางบนฝ่ า มื อ กรี ด ปลายนิ้ ว สะบั ด เบา ๆ
เลือดหยดหนึ่งหยดลงบนศีรษะของแมลงดา แมลงเริ่มจางหายไปบนฝ่ามือ
ด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา จนกระทั่งเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง
เวลาค่อย ๆ ล่วงผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ แมลงดาไม่เคยหวนกลับมา
อีก
ผู้ช่วยแม่ทัพสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก
จริงดังที่คาด... ...
สือตงหน้าไม่เปลี่ยนสี ในที่สุดก็ยืนยันข้อสงสัยของมันได้แล้ว ก่อน
หน้านี้มันแค่คาดเดาจิตเจตนาของฝ่ายตรงข้าม แต่บัดนี้มันแน่ใจเต็มที่
“พวกเรานาเมล็ดหญ้าปิศาจติดมาบ้างหรือไม่?” สือตงจู่ ๆ ถามถึง
เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างกะทันหัน
“นามาด้วยขอรับ!” ผู้ช่วยแม่ทัพตอบตามสัญชาตญาณ
สือตงจับด้ามดาบที่ข้างเอว เงยหน้าขึ้น สายลมปะทะร่าง เสื้อคลุมสี
น้าเงินอันเป็นสัญลักษณ์แห่งตั๊กแตนฟ้ากระพือพลิ้วไปตามลม
ดวงตาลึกล้าเท่าห้วงสมุท รพลันสาดประกายคมกล้า คนคล้ายดาบ
ตั๊กแตนที่ข้างเอวถูกชักออกจากฝัก ทั้งร่างเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวเหี้ยม
หาญที่จะบุกตะลุยไปข้างหน้า
“จุดหมายของเราคือเกาะเต่า รุดหน้าเต็มกาลัง!”
คิดหลอกลวงอีกฝ่ายไม่ง่ายเลย
กงซุนชานึกไม่ถึง ว่ ากองทัพ ปิศ าจจะเร่ งความเร็ วขึ้น อย่ างฉั บ พลั น
ทันใด ทั้งยังไม่มีเค้าลางล่วงหน้าแม้แต่น้อย ก่อตั้งกระบวนทัพสังหารเต็ม
รูปแบบ มุ่งตรงดิ่งไปยังเกาะเต่าดุจดาบคมกล้าทะลวงใส่หัวใจ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม่ทัพฝ่ายศัตรูล่วงรู้จุดมุ่งหมายของมันเสียแล้ว มิ
เพียงตอบโต้ฉับพลันอย่างคาดไม่ถึงเท่านั้น ทั้งยังดุดันรุนแรงผิดธรรมดา
เมื่ อ พบพานสถานการณ์ เ ช่ น นี้ คนส่ ว นใหญ่ จ ะหั น กลั บ ไป เพื่ อ เร่ ง
หนุนเสริมแนวหลังไม่ให้ถูกตัดขาด แต่กองทัพปิศาจขบวนนี้กระทาในสิ่งที่
ตรงกั น ข้ า มอย่ า งสิ้ น เชิ ง กลั บ เร่ ง รุ ด บุ ก ตะลุ ย ไปข้ า งหน้ า อย่ า งเร่ ง ร้ อ น
ดุเดือด!
เป็นการตัดสินใจที่หาญกล้าบ้าบิ่นนัก!
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูคู่แค้น กงซุนชายังอดทอดถอนชมเชยไม่ได้
ผู้อ่ น
ื กาลังบีบบังคับให้มันออกไปทาศึกชี้ชะตาในบัดดล
หากปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าถึงเกาะเต่า แม้ว่ามันยังจะได้ชัย แต่เกรงว่า
จ านวนผู้ บ าดเจ็ บ ล้ ม ตายคงบรรลุ ถึง ขั้น น่า สะพรึ ง กลัว ปราการป้ อ งกั น
เกาะเต่ า แม้ แ ข็ ง แกร่ ง ยิ่ ง แต่ เ กาะเต่ า เองไม่ อ าจรองรั บ ซิ ว เจ่ อ ทั้ ง หมด
เมืองซวีห ลิงก็ยัง บู ร ณะไม่ แล้ ว เสร็ จ ค่ายกลป้องกัน เมือ งยั งไม่ ได้ เ ริ่ ม ต้ น
ก่อตั้งขึ้นด้วยซ้า
หากเป็นเวลาอื่น กงซุนชาจะใช้คนเหล่านี้แลกกับชัยชนะโดยไม่ รีรอ
ลังเล
แต่กับสถานการณ์เบื้องหน้านี้ย่อมกระทาไม่ได้... ...
อาณาจักรทะเลเมฆที่พินาศย่อยยับไม่มีประโยชน์ต่อพวกมัน กระทั่ง
กงซุ น ชาที่ ไ ม่ เ คยสนใจสิ่ ง ใดนอกจากการเป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ยั ง
สามารถเข้าใจหลักการพื้นฐานเช่นนี้ได้
ซึ่ ง ความจริ ง ตอนที่ จ่ั ว ม่ อ กล่ า วถ้ อ ยค าเหล่ า นี้ อ อกมา แม่ น างน้ อ ย
ประหลาดใจยิ่ง นึกไม่ถึงว่าศิษย์พี่จ ะมีจิตปณิธ านเช่นนี้ด้วย แต่หากจะมี
คนผู้หนึ่งที่คอยสนับสนุ นมันอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและใน
อนาคตเบื้องหน้า คนผู้นั้นย่อมเป็นจั่วม่อ
มันจึงไม่สนใจว่าปณิธานของศิษย์พี่ถูกต้องหรือไม่ ไม่แยแสอุปสรรค
ขวากหนามที่พวกมันต้องเผชิญ ต่อไปจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก ล้วนไม่อยู่
ในขอบข่ายที่มันต้องคานึงถึง
มีเพียงสิ่งเดีย วที่มัน จะทุ่ม เทสมาธิ จิต ใจให้ จะเค้นกาลังสมองและ
แผนการทั้งหมดลงไป นัน
่ คือชัยชนะเท่านัน
้ !
“เจ้าต้องการตัดสินชี้ขาดหรือ?” แม่นางน้อยดวงตาสาดประกายคลุ้ม
คลั่ง เงาที่เกิดจากเรือนผมปรกหน้า แทบจะปกคลุมวงหน้าของมันทั้งหมด
ไว้ในเงามืด เห็นเพียงประกายตาอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง
“เช่นนั้นก็ไสหัวเข้ามาเถอะ!”
ริมฝีปากหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเขินอายเหมือนเช่นทุกครั้ง

“พวกเราจะชนะหรือไม่?” ปู้ซือตงหยาดเหงื่อไหลย้อยลงจากใบหน้า
เหน็ดเหนื่อยเสียจนกระทั่งสุ้มเสียงยังแหบพร่า
พวกมันเพิ่งเคยได้ลิ้มรสการฝึกอบรมที่ยากลาบากอย่างผิดธรรมดา
ถึงเพียงนี้ แทบจะรีดเค้นเรี่ยวแรงกาลังในร่างออกไปหมดสิ้น
นี่มันการฝึกนรกชัด ๆ!
การฝึกอบรมอันเสียสติถึงเพียงนี้ พวกมันไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใด
มาก่อน แต่ล ะคนแทบไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้อีก แม้ว่าจะได้รับผลตอบแทน
อย่างสมน้าสมเนื้อ พวกมันยังอดโอดครวญและบ่นว่าสาปแช่งไม่ได้ บาง
คนถึงกับคิดหลบหนีออกไป แต่หลายคนที่หลบหนีถูกจับตัวกลับมาในเวลา
ไม่นาน จากนั้นถูกโยนเข้าไปในค่ายกลกระบี่ เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดัง
ลอดออกมาเป็นครั้งคราว ทาให้บรรดาทหารใหม่ค่ายเสวียนอู่พากันหนัง
ศีรษะชาซ่าน
ม้าฝานขอความช่วยเหลือ จากค่ายจินวู ก่อตั้งค่ายกลกระบี่ท้ังสิ้นห้า
สิบชุด จัดวางไว้รอบ ๆ ค่าย
ทุกวันเมื่อพวกมันเริ่มฝึกฝน จะได้ยินเสียงกรีดร้องแทบไม่เป็นผู้เป็น
คนดังลั่นออกมาจากค่ายกลกระบี่อย่างชัดเจน
ทุกคนเงียบกริบ หนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
ปู้ซือตงไม่เคยคิดหลบหนี มันแม้ไม่มีพ รวรรค์ใด ๆ แต่สามารถทนรับ
ความล าบาก ซึ่ ง ความจริ ง ศั ก ยภาพของผู้ ค นมัก จะยิ่ง ใหญ่ ก ว่ า ที่ เ จ้าตัว
ตระหนัก คนเหล่านี้กาลังเริ่มปรับตัวให้เข้ากับระดับการฝึกฝนหฤโหดที่น่า
กลัวนี้อย่างช้า ๆ
การเคลื่อนทัพของค่ายจูเชวี่ยกับค่ายเว่ยแม้สามารถปกปิดหูตาผู้คน
แต่สาหรับชาวค่ายเสวียนอู่ที่ต้งั อยู่ติดกับค่ายจูเชวี่ย ไหนเลยจะปิดบังพวก
มันได้ ทุกคนทราบดีว่าศึกใหญ่ที่จะชี้ชะตาของอาณาจักรทะเลเมฆได้เปิด
ฉากขึ้นแล้ว
พวกมันพอมีเวลา ก็มักจะสุมหัวสนทนาถึงการรบอย่างออกรส
“สมควรเอาชนะได้” ผู้ต อบคาถามนี้เรียกว่าหลัวเวย มันเป็นเซียน
กระบี่ ดัง นั้นอยู่ในค่ายค่อนข้างได้เปรียบกว่าผู้อ่ ืน มันยังเป็นมือโจมตีตัว
หลักในหน่วยย่อยเล็ก ๆ ของพวกมัน
อย่างไรก็ตาม หลัวเวยปากแม้กล่าวเช่นนั้น แต่สุ้มเสียงกลับไม่มีความ
เชื่อมั่นมากเท่าใด
“ข้าอยากให้พวกเราสามารถร่วมศึกด้วย พวกเรามิใช่ว่ามาที่นี่เพื่อ
ต่อสู้กับกองทัพปิศาจหรอกหรือ ? ได้แต่มุดหัวฝึกฝนอยู่ที่นี่ทุกวี่วัน น่าอึด
อัดคับข้องแทบตายแล้ว!” ต้าป่านที่อยู่ด้านข้างอดไม่ไหว บ่นอุบเป็นหมี
กินผึ้ง มันมีฟันหน้ายื่นยาวออกมาสองซี่ ทั้งยังภาคภูมิใจในฟันเหยินสองซี่
นี้ เ ป็ น อย่ า งยิ่ ง ไม่ คิ ด ใช้ พ ลั ง ปราณปรั บ เปลี่ ย นให้ เ ป็ น เหมื อ นคนทั่ ว ไป
ดังนั้นทุกผู้คนเรียกว่ามัน ต้าป่าน16
หลัวเวยกล่าวโดยไม่เงยหน้า “หากกระทั่งค่ายจูเชวี่ยกับค่ายเว่ยยังไม่
อาจเอาชั ย ได้ ล าพั ง พวกเราย่อ มไม่ค รนามื อ กองทั พปิ ศ าจ กาลก่ อ นข้า
เข้าใจว่าข้าเข้มแข็งมากแล้ว ถึงตอนนี้จึงได้ ซาบซึ้งว่าความคิดโง่งมนั้นน่า
หัวร่อเพียงใด”
ทุกผู้คนพากันเงียบงันไปอีกครั้ง

16
หมายถึงฟันใหญ่
หลัวเวยกล่าวไม่ผิด ทีแรกมีคนกระด้างกระเดื่องไม่น้อย แต่หลังจาก
ฝึกอบรมเพียงไม่กี่วัน พวกมันในที่สุดค่อยเข้าใจว่าระหว่างพวกมันกับค่าย
จูเชวี่ย ระดับฝีมือห่างชัน
้ กันเพียงใด
“พวกเจ้าคิดว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า? ค่ายเว่ยหรือค่ายจูเชวี่ย?” ปู้ซือตง
เห็นทุกคนพากันนิ่งเงียบงัน รีบหันเหหัวเรื่องทันที
“นี่ยังต้องให้กล่าวอีกหรือ แน่นอนว่าต้องเป็นค่ายจูเชวี่ย!” ต้าป่าน
ตอบโดยไม่ขบคิด
หั ว ข้ อ สนทนานี้ ป ลุ ก เร้ า ความสนใจของทุ ก คน แย่ ง กั น ตอบเสี ย ง
เซ็งแซ่
“ข้าก็คิดว่าเป็นค่ายจูเชวี่ยเช่นกัน”
“ค่ายจูเชวี่ย! ม้าฝานต้าเหรินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“สัตว์ประหลาดจากค่ายจูเชวี่ยเหล่านัน
้ ใช่มนุษย์เสียที่ไหน!”
แทบทุกคนร้องบอกค่ายจูเชวี่ยเป็นเสียงเดียว เทียบกับค่ายเว่ ยที่ ไม่
เคยเห็นหน้าค่าตา พวกมันล้วนได้ลิ้มรสความร้ายกาจของค่ายจูเชวี่ยด้วย
ตัวเอง บางคนถึงกับมั่นใจว่าในโลกนี้ไม่มีกองทัพที่ร้ายกาจกว่าค่ายจูเชวี่ย
อีกแล้ว
ปู้ซือตงสังเกตเห็นหลัวเวยไม่กล่าววาจา อดถามไม่ได้ “หลัวเวย แล้ว
เจ้าเล่า เจ้าคิดอย่างไร?”
“ข้าไม่รู้” หลัวเวยชะงักไปชั่วครู่ ก่อนกล่าว “แต่ข้ารู้สึกว่าค่ายเว่ ย
เมื่อสามารถจัดอยู่ในระดับเดียวกันกับค่ายจูเชวี่ย ย่อมต้องมีความเข้มแข็ง
ของพวกมัน”
หลัวเวยพอกล่าวเช่นนี้ พลันหวนนึกถึงครั้งที่พบเห็นคนของค่ายเว่ยผู้
หนึ่งเมื่อหลายวันก่อน
คนผู้นั้นเพียงเหลือบมองมัน แวบเดีย ว แต่มันถึงกับรู้สึกว่ าเลื อ ดใน
กายแทบจะเยือกแข็งในทันที!
เหตุการณ์นี้ประทับอยู่ในใจมันไม่รู้ลืม
มั น ก าลั ง เตรี ย มจะเล่ า เรื่ องนี้ ใ ห้ ทุ ก คนฟั ง แต่ แ ล้ ว ปรากฏสุ้ ม เสี ย ง
ราบเรียบของม้าฝานต้าเหรินดังขึ้นจากพื้นเหมือนภูตผีหลอกหลอน
“พวกเจ้าคงพักมากพอแล้วกระมัง เช่นนั้นก็เตรียมตัวสาหรับการฝึก
ช่วงถัดไป”
ทุกผู้คนเผ่นผึงขึ้นจากพื้นราวกับถูกเข็มแทงที่ก้น โกยอ้าวไปยังลาน
ฝึกโดยไม่เหลียวหลัง
เงาร่างของม้าฝานผุดขึ้นจากอากาศธาตุอย่างแช่มช้า จากนั้นเหลียว
มองไปยังที่ห่างไกล
ช่างยุ่งยากโดยแท้... ...
ทั้งมันยังพลาดการศึกอันน่าดูชมเช่นนี้อีกด้วย... ...
บทที่ 517 นี่... ...ที่แท้ผู้ใดเป็นเผ่าปิศาจกันแน่... ...

เยี่ยหลิงแม้รับผิดชอบแนวหลังหน่วยพลาธิการเป็นหลัก แต่ส าหรับ


การต่ อ สู้ มั น ก็ มิ ใ ช่ ไ ม่ คุ้ น เคย ซึ่ ง ความจริ ง ในกองทั พ ปิ ศ าจ คนที่ ไ ม่ มี
ความสามารถต่อสู้ ไหนเลยจะอยู่รอดมาได้
เผ่าปิศาจเชิดชูพลังอานาจ พวกมันล้วนถูกปลูกฝังแนวคิดเรื่องการ
ต่อสู้และศักดิ์ฐานะที่สูงส่งไร้ผู้เทียบเทียมตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่ว่าจะเป็น
ศักดิ์ฐานะ ความมั่งคั่ง ทักษะปิศาจ ความหวังของตระกูล รวมถึงทุกสิ่งทุก
อย่าง มีแต่ต้องได้มาด้วยพลังฝีมืออันแข็งแกร่งเท่านั้น นี่เป็นการต่อสู้อัน
ยาวนานนั บ ตั้ ง แต่ ถื อ ก าเนิ ด จนเติ บ ใหญ่ ชี วิ ต ของเผ่ า ปิ ศ าจเต็ ม ไปด้ ว ย
โลหิ ต และการแก่ ง แย่ ง แข่ ง ขั น อั น โหดร้ า ยทารุ ณ ผู้ ที่ ส ามารถอยู่ ร อด
ปลอดภัยและมีความสาเร็จอยู่บ้าง จะกลายเป็นชนชั้นสูงของเผ่าปิศาจ
เยี่ยหลิงเป็นชนชั้นสูงประเภทนั้นเอง แม้ว่ามันเป็นเพียงผู้บัญชาการ
ทัพหลัง แม้ว่านับตั้งแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้าย จะเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
แต่สัญชาตญาณการต่อสู้ของมันไม่เคยถดถอย
แบบฉบับการต่อสู้เยี่ยงปิศาจของอีกฝ่ายอาจทาให้มันตื่นตระหนกอยู่
บ้ า ง แต่ ก็ ส ามารถสงบใจลงอย่ า งรวดเร็ ว กลั บ สู่ ค วามเยื อ กเย็ น ที่ พึ ง มี
ประสบการณ์นานปีในกองทัพช่วยให้มันสามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่าง
สงบเยือกเย็น
ต าแหน่งที่เหมาะสมในการบั ญ ชาการกองทั พของมัน แตกต่ า งจาก
จั่วม่อ เยี่ยหลิงแทนที่จะอยู่ด้านหน้าสุด กลับยืนอยู่ใจกลางกระบวนทัพ
สาหรับเผ่าปิศาจแล้ว นี่เป็นตาแหน่งการยืนของแม่ทัพที่หาได้ยาก
เผ่าปิศาจนับถือเลื่อมใสในพละกาลังและความโอ่อ่าผ่าเผย แม่ทัพ
บั ญ ชาการศึ ก ของพวกมั น มัก จะยื นอยู่ด้ า นหน้ า สุด ของกระบวนทั พ ท า
หน้าที่เป็นปลายหอกอันแหลมคม! นี่สามารถช่วยให้พวกมันรวบรวมพลัง
จากทั้งกองทัพได้มากที่สุด เพื่อปลดปล่อยการจู่โจมอันทรงพลังฤทธิ์ที่สุด!
นั่นคือตาแหน่งที่จ่ว
ั ม่อยืน
เยี่ยหลิงอดรู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้างไม่ได้ ในฐานะปิศาจสายเลือดแท้
ตาแหน่งยืนของมันไม่ค่อยเหมือนเผ่าปิศาจ แต่คลับคล้ายอสูรหรือซิวเจ่อ
มากกว่า ส่วนศัตรูผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นซิวเจ่อผู้หนึ่ง แต่แบบฉบับการทาศึก
กลับเป็นรูปแบบของแม่ทัพปิศาจมาตรฐาน
ที่แท้ผู้ใดเป็นเผ่าปิศาจกันแน่?
ความคิดเหลวไหลนี้ผุดขึ้นในใจ
เยี่ยหลิงรีบตั้งสติในบัดดล เส้นใยพลังงานตอบสนองต่อมัน ทุกสรรพ
สิ่งรอบข้างทันใดนั้นกลายเป็นกระจ่างชัดเจนเหนือธรรมดา ความรู้สึกของ
พลังที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในใจ
มัน!
ช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนสนิทสนมนัก!
มันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างน่าประหลาด จิตวิญญาณการ
ต่อสู้เคยเย็นเฉียบมาหลายปี แต่บัดนี้ความตื่นเต้นฮึกหาญแห่งวัยฉกรรจ์
คล้ายฟื้ นคืนกลับ ดวงตาของมันกลายเป็นสีดารางเลือนดุจ หมอกดาสอง
กลุ่ม
จากนัน
้ ร่างของมันกระจายหายไปในอากาศดุจม่านหมอก
แทบจะพร้ อ มเพรี ย งกั น บรรดาทหารปิ ศ าจภายใต้ ร่ ม ธงของมั น
ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ประหนึ่งว่าอาบย้อมด้วยโลหิตสดๆ ก็มิปาน
ไร้สุ้มเสียงไร้สาเนียงใด รังสีฆ่าฟันพลุ่งพล่านทะยานฟ้า!

“หัตถ์บัลลังก์หมอก!” รอยยิ้มสูงสง่าบนใบหน้าของเว่ยพลันแข็งค้าง
เผยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้าง
“มันคือสิ่งใด?”
จั่วม่อไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เนื่องเพราะเพียงชั่วพริบตาเดี ย ว
กองทัพของข้าศึกคล้ายโป่งพองขึ้นอย่างฉับพลัน รังสีฆ่าฟันอันแกร่งกร้าว
ทาให้มันรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
“เป็นทักษะปิศาจที่สนุกสนานน่าสนใจยิ่งวิชาหนึ่ง” เสียงผูเยาสอด
คาขึ้นอย่างกะทันหัน แต่แน่นอนว่าเต็มไปด้วยความยินดีในคราเคราะห์
ของผู้อ่ ืนอย่างไม่ปิดบัง “ข้ากับเสี่ยวเว่ยจื่อเคยพบเจอครั้งหนึ่งในอดีต จุ๊จุ๊
ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าโหยหาโดยแท้!”
ผู เ ยาลากเสี ย งจุ ป ากอย่ า งยี ย วน ท าราวกั บ หวนหาอาวรณ์ ต่ อ
ช่วงเวลาในอดีตนั้นจริง ๆ
เสี่ยวเว่ยจื่อ ... ... (เจ้าหนูเว่ยน้อย ๆ)
รอยยิม
้ ของเว่ยยิง่ เต็มฝืนกว่าเดิม
ฟังวาจาของผูเยา จั่วม่อบังเกิดสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที “มันร้าย
กาจมากนักหรือ?”
“ร้ายกาจ?” ผูเยาริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย พลางสั่นศีรษะเบาๆ “ไม่
ไม่ ไม่! มันไม่ได้ร้ายกาจทรงพลังนักหรอก แต่สนุกสนานน่าสนใจยิ่งนัก ฮ่า
ฮ่า... ...”
ราวกับว่านึกถึงเรื่องน่าขบขันอันใดขึ้นมาได้ ผูเยาแหกปากหัวร่อ ดัง
สนั่ น เสี ย งหั ว ร่ อ ประหนึ่ ง ดาบดาบแหลมคมและเกรี้ ย วกราด สะท้ อ น
สะท้านไปทั่วทะเลแห่งจิตสานึกของจั่วม่อ
เว่ยสีหน้าน่าสะพรึงกลัวอยู่บ้าง
สังหรณ์ร้ายของจั่วม่อยิ่งรุ นแรงกว่าเดิม ดูท่าพวกมันพบพานศัตรู ที่
เป็นตัวยุ่งยากเข้าแล้ว!

“ไม่ รู้ ว่ า เยี่ ย หลิ ง ต้ า เหริ น ยามนี้ เ ป็ น อย่ า งไรบ้ า ง ?” ผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ
ของสือตงสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดวิต ก “ผู้อ่ ืนเมื่อทุ่มเดิมพันไปทาง
เยี่ยหลิงต้าเหริน กองทัพที่ส่งไปทางด้านนั้นต้องไม่อ่อนด้อยแน่... ...”
เสี ย งพู ด จ้ อ ของผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ ในที่ สุ ด ท าให้ ค วามอดทนของสื อ ตง
มาถึงขีดสุด ต้องโพล่งขัดจังหวะอย่างอดรนทนไม่ได้ “เจ้าไม่จาเป็นต้อง
ห่วงกังวลกับเยี่ยหลิง!”
“แต่ว่า... ...”
เห็ น ผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ สี ห น้ า ยั ง ห่ ว งกั ง วล สื อ ตงขบคิ ด แวบหนึ่ ง แล้ ว
ตัดสินใจแย้มพรายข้อมูลบางอย่าง “อย่าได้ประเมินเยี่ยหลิงต่าเกินไปนัก
คนผู้นี้ฝึกปรือหัตถ์บัลลังก์หมอก”
“อา!” ผู้ช่วยแม่ทัพตะลึงลาน อ้าปากกว้างเท่าไข่ห่าน หลังจากอึ้งงัน
อยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยรั้งสติกลับคืน ตะกุกตะกักถามว่า “หัตถ์บัลลังก์หมอก?
สวรรค์! เยี่ยหลิงต้าเหรินถึงกับฝึกปรือหัตถ์บัลลังก์หมอก!”
แม่ ทั พ แนวหลั ง ที่ รั บ ผิ ด ชอบขนส่ ง เสบี ย ง แต่ ฝึ ก ปรื อ หั ต ถ์ บั ล ลั ง ก์
หมอก นี่ นี่เสียสติชัด ๆ!
สื อ ตงนิ่ ง งั น ไปอึ ด ใจหนึ่ ง แล้ ว พลั น กล่ า วอย่ า งสงวนถ้ อ ยค า “น่ า
เสียดาย ถ้ามันเพียงแต่สามารถฝึกปรือสังขารปิศาจมารหมอกด้วยละก็...”
ผู้ช่วยแม่ทัพงงงันวูบ แต่ครั้งนี้มันเข้าใจชัดแล้ว ที่แท้น่าเสียดายเช่นนี้
... ...
ทันใดนั้นสือตงพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย มือเอื้อม
ไปกุมด้ามดาบตั๊กแตนที่ข้างเอว
หากมองลงมาจากฟากฟ้า จะเห็นกองทัพปิศาจทั้งขบวนหยุดยั้งลง
อย่างกะทันหันโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า กระบวนการทั้งหมดแทบจะพร้อม
เพรี ย งกั น เป็ น ระเบี ย บเรี ย บร้ อ ยและเที่ ย งตรง ไม่ มี ร่ อ งรอยของความ
สับสนรวนเรแม้แต่น้อย
เบื้ อ งหน้ า พวกมั น เห็ น ซิ ว เจ่ อ หนึ่ งกองทัพ ลอยนิ่ ง เงี ย บงัน อยู่ กลาง
อากาศ
สือตงมือกุมด้ามดาบตั๊กแตน ดึงดาบออกจากฝักข้างเอวอย่างแช่มช้า
สีห น้ายะเยียบเย็นชา หลังเหยียดตรงดุจ คันทวน สืบเท้าก้าวไปข้างหน้ า
อย่างเชื่องช้า คล้ายเป็นจังหวะเดียวกันกับการชักดาบไม่มีผิดเพี้ยน
สืบเท้าไปก้าวหนึ่ง พลังสภาวะก็เพิ่มพูนขึ้นส่วนหนึ่ง รอจนมันก้าวรุ ด
ขึ้นไปถึงด้านหน้าสุดของกระบวนทัพ คนคล้ายดาบที่ชักออกจากฝัก เปล่ง
ประกายคมกล้าสุดเปรียบปาน ไม่มีออมรั้งยั้งมือใด ๆ
ดาบตั๊กแตนหลุดออกจากฝักอย่างสมบูรณ์!
ชี้ตรงไปข้างหน้าอย่างเหี้ยมหาญ!

กงซุนชาพอเห็นท่วงท่าสภาวะของสือตง ริมฝีปากอดยกยิ้มวูบหนึ่ง
ไม่ได้ ดวงตาที่สงบราบเรียบพลันเริ่มเดือดพล่านโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า
รอยยิ้มขวยเขินเอียงอาย ทันใดนั้นแฝงแววบ้า คลั่งวู บหนึ่ง ทั้ งยังมี
ร่องรอยยกย่องชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
อีกฝ่ายเมื่อหยั่งทราบจิตเจตนาของมัน ยังกล้าบุกตะลุยมาเบื้องหน้า
เพี ย งล าพั ง กองทั พ เดี ย ว พุ่ ง เป้ า ไปยั ง เกาะเต่ า อย่ า งเฉี ย บขาด อาศั ย
พฤติการณ์ขวัญกล้าเทียมฟ้านี้เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอให้แม่นางน้อย
นับถือเลื่อมใส
อีกฝ่ายพอตระหนักถึงความเร็วอันเป็นข้อได้เปรียบของค่ายจูเชวี่ย ก็
มุ่งหน้าเต็มกาลังด้วยท่วงท่าราวกับไม่คิดหวนกลับ การกระทาที่ดูคล้า ย
หุนหันพลันแล่นนี้ กลับจู่โจมใส่ข้อได้เปรียบเรื่องการรบในถิ่นตัวเองของ
ค่ า ยจู เ ชวี่ ย อย่ า งรุ น แรง บี บ บั ง คั บ ให้ ค่ า ยจู เ ชวี่ ย ได้ แ ต่ ต้ อ งเข้ า ป ะทะหัก
หาญซึ่ ง หน้ า โดยเร็ ว ที่ สุ ด เพื่ อ ไม่ ใ ห้ ก องทั พ ปิ ศ าจเข้ า ใกล้ เ กาะเต่ า มาก
เกินไป
ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี!
สายลมพัดปอยผมที่ระหน้าผากสะบัดปลิว ภายใต้ความตื่นเต้นยินดี
ที่ได้พบพานคู่มืออันสมน้าสมเนื้อ กงซุนชาเลือดสูบฉีดจนลาคอแดงก่า
พลังจิตสานึกแผ่กระจายดุจตาข่ายมหึมา
“มาเริ่มเข่นฆ่ากันเถอะ!”

หัตถ์บัลลังก์หมอก?
จั่วม่อไม่ทันมีเวลาได้ซักถามรายละเอียด เยี่ยหลิงก็เริ่มเปิดฉากจู่โจม
วู้ม!
กลุ่ ม หมอกแตกระเบิ ด ท่ า มกลางกองทั พ ปิ ศ าจ เติ บ โตขึ้ น อย่ า งเร่ง
ร้อน พริบตาดุจประกายไฟ สายหมอกแพร่กระจายไปทั่ว มืดมัวครอบฟ้า
คลุมดิน ทหารปิศาจนับพัน ๆ ถูกกลืนหายไปในม่านหมอกสีเทาในบั ด ดล
หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย
หมอกสี เ ทาพลุ่ ง พล่ า นปั่ นป่ ว น ม้ ว นตลบไม่ ห ยุ ด ยั้ ง ราวกั บ มี ตั ว
ประหลาดมหายักษ์ดิ้นสะบัดอยู่ภายใน
จั่วม่อเฝ้าระวังไม่คลาดสายตาตั้งแต่แรก ปฏิกิริยาของผูเยาและเว่ย
บอกชัดว่าศัตรูร้ายกาจไม่น้อย
แต่ ก ารต่ อ สู้ พ อเปิ ด ฉากขึ้ น จั่ ว ม่ อ ก็ ข ว้ า งความคิ ด ทั้ ง มวลทิ้ ง ไป
ด้านข้าง
จั่วม่อถลึงจ้องม่านหมอกสีเทาราวกับจ้องมองเหยื่อตัวโต ดวงตาสาด
ประกายดุดันอามหิต เมื่อจดจ่ออยู่กับการต่อสู้เข่นฆ่า จั่วม่อไม่หลงเหลือ
ความกลัวหรือความลังเลใจอันใดอีก
อาจเป็นเพราะการปลุกเร้าของผูเยากับเว่ยนี่เอง จั่วม่อสมาธิจิตใจจด
จ่ อ รวมรั้ ง อย่ า งผิ ด ปกติ พลั ง สั ง ขารปิ ศ าจมหาทิ ว าแล่ นพล่า นไปทั่ ว ร่าง
อย่างคึกคักกระตือรือร้น และในเวลาเดียวกัน พลังปราณกับพลังจิตสานึก
โคจรไปตามวิถีของตนตามธรรมชาติ
หลั ง จากฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพ พลั ง ทั้ ง สามก็ ยิ่ ง ผู ก พั น ใกล้ ชิ ด สนิทสนม
มากขึ้ น เรื่ อย ๆ ขั บ เคลื่ อนเพี ย งหนึ่ ง จะกระตุ้ น อี ก สองที่ เ หลื อ และ
ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
ทว่ า สมาธิ จิ ต ใจของจั่ว ม่ อ ไม่ไ ด้ จ ดจ่อ อยู่ใ นร่ า งกายของตนเอง แต่
มุ่งเน้นอยู่ที่ด้านหลังทั้งหมด!
มันคล้ายยืนอยู่ท่ามกลางห้วงมิติว่างเปล่า เบื้องหลังเป็นเปลวเทียน
สองพันดวง แต่ละดวงสว่างไสวดุจดวงดารา
องครักษ์ทุกข์ยากแต่ละคนประดุจเปลวเทียน ปะทุขึ้นตามจังหวะการ
เต้นของหัวใจมันเอง! เปลวไฟที่สว่างไสวที่สุดสองดวงสมควรเป็นซู่หลงกับ
อาเหวิน จั่วม่อเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
เปลวเที ย นสองพั น ดวงปะทุ ขึ้ น ตามจั ง หวะจะโคนเดี ย วกั น พร้ อ ม
เพรียงราวกับเป็นตัวตนเพียงหนึ่งเดียว
สายใยพลังงานสั่งสมรวมรั้งระหว่างพวกมัน
พลังและเจตจานงฆ่าฟันเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง จั่วม่อรู้สึกร่างกายเป็น
ดั่งลูกโป่งที่ข ยายตัวอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอั นมืดมนและ
พลังทาลายล้างอย่างล้นเหลือ เต้นพล่านไม่หยุดยัง้ อยู่ในใจมัน
“ฆ่า!”
จั่วม่อคารามก้อง แฝงเร้นความเจ็บปวดจาง ๆ ตบฟาดใส่กลุ่มหมอก
ดาเบื้องหน้าอย่างหักโหม!
“ฆ่า!”
เหล่าองครักษ์ทุกข์ยากตะโกนสุดเสียงอย่างพรักพร้อม จู่โจมออกใน
เวลาเดียวกัน!
พลังงานสีดาที่ผนึกรวมรั้งจากเจตจ านงฆ่าฟัน พากันรวมตัวไหลบ่า
ไปยังฝ่ามือขวาของจั่วม่อ ประดุจแม่น้าร้อยสายไหลลงสู่ทะเล
ลวดลายสุริยันบนฝ่ามือขวาของจั่วม่อพลันเปล่งแสงเจิดจรัส
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแสงสีทองบาดตาเหมือนปกติ แต่กลับเป็นสี
แดงเข้มอย่างน่าพรั่นพรึง!
ฝ่ามือประทับสุริยัน!
วู้มมม ซื่อ!
เสียงกรีดแหลมกังวานก้องจากทุกทิศทาง!

ชั่วพริบตาที่ฝ่ามือประทับสุริยันสีแดงเข้มพวยพุ่งออกจากฝ่ามือของ
จั่วม่อ พลังฝ่ามือพลันดูดรั้งอากาศและพลังปราณในรัศมีสิบลี้มารวมกัน
อย่ า งดุ เ ดื อ ด อากาศธาตุ ค ล้ า ยถู ก ย้อ มด้ ว ยชั้ น สีแ ดงเลือ ด อุ ณ หภู มิ เ พิ่ ม
สูงขึ้นอย่างฉับพลัน
“ฝ่ามือประทับสุริยัน! สังขารปิศาจมหาทิวา!”
เยี่ยหลิงแตกตื่นตะลึงลานจนแทบร้องออกมา สาหรับจั่วม่อ ในเรื่อง
สังขารปิศาจกับทักษะปิศาจมันแทบไม่ล่วงรู้อันใด แต่สาหรับปิศาจเลือด
แท้อย่างเยี่ยหลิง ย่อมต้องคุ้นเคยกับสังขารปิศาจที่ขึ้นชื่ อลือชาแทบทุ ก
ชนิด
รอจนมันเห็นพลังฝ่ามือประทับสุริยันสีแดงเข้ม เยี่ยหลิงแตกตื่นจน
แทบสิ้นสติ
ค่ายกลปิศาจสังหารภูตอีกา ยืนอยู่ในตาแหน่งที่แม่ทัพปิศาจมักจะยืน
ท่ า มกลางกระบวนทั พ ผู้ ค นที่ ไ ม่ ไ ด้ รั บ ผลกระทบจากเมล็ ด หญ้ า ปิ ศ าจ
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ล้วนทาให้มันตื่นตะลึง
แต่รอจนมันเห็นฝ่ามือประทับสุริยัน ความตื่นตะลึงก็กลับกลายเป็น
สับสนวุ่นวายใจสุดระงับ
เจ้าเหนือหัวของข้า!
ฝ่ามือประทับสุริยัน นี่ ...นี่คือฝ่ามือประทับสุริยันของจริงไม่ผิดแน่...
สังขารปิศาจมหาทิวา สังขารปิศาจลาดับสองในหมู่สังขารปิศาจด่าน
เจี้ยว!
ฝ่ามือประทับสุริยัน หนึ่งในการแปลงร่างทั้งหกของสังขารปิศาจมหา
ทิวา ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปเลย!
แต่... ...มิใช่ว่าผู้ที่สามารถฝึกปรือสังขารปิศาจมหาทิวาสาเร็จ มีเพียง
ปิศาจสายเลือดชั้นสูงสุดหรอกหรือ?
ตั้งแต่เมื่อใดที่กระทั่งซิวเจ่อก็สามารถสาเร็จสังขารปิศาจมหาทิวาได้ ?
หรือว่าตอนนี้ในหมู่ซิวเจ่อกาลังนิยมฝึกปรือสังขารปิศาจกัน?
ในที่นี้... ...ที่แท้ผู้ใดเป็นเผ่าปิศาจกันแน่... ...
รอประเดี๋ยว!
เผ่าปิศาจ... ...ใช่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าผู้อ่ น
ื ก็เป็นเผ่าปิศาจเช่นกัน!
เยี่ ย หลิ ง ตื่ นตะลึ ง กั บ ความคิ ด อั น อุ ก อาจและบ้ า คลั่ ง ที่ ผุ ด ขึ้ น อย่ า ง
กะทันหัน มันคล้ายถูกฟ้าผ่าเข้าเต็มรัก!
เผ่าปิศาจ!
ใช่แล้ว คู่ต่อสู้ของมันเป็นเผ่าปิศาจ!
มี เ พี ย งปิ ศ าจจึ ง สามารถฝึ ก ปรื อ สัง ขารปิ ศ าจ เยี่ ย หลิ ง คอยติ ดตาม
ข่ า วสารจากแนวหน้ า อยู่ เ สมอ ไม่ เ คยมี ข่ า วว่ า ค้ น พบซิ ว เจ่ อ ที่ ฝึ ก ปรื อ
สังขารปิศาจมาก่อน สิ่งเดียวที่พอจะคล้ายคลึงกับสังขารปิศาจอยู่บ้าง ก็มี
แต่วิชาสังขารของนักบวชนิกายพุทธในหมู่ซิวเจ่อ แต่ท้ังสองประการผิด
แผกแตกต่างกันตามธรรมชาติ
มันมั่นใจเต็มร้อย ไม่ใช่ มั่นใจเต็มพันว่านี่คือสังขารปิศาจมหาทิวาไม่
ผิดแน่ ทั้งสังขารปิศาจมหาทิวานี้ยังฝึกปรือสาเร็จถึงขั้นสูงล้าสุดยอด! ใน
ฐานะล าดั บ สองของสั ง ขารปิ ศ าจด่ า นเจี้ ย ว ความยากล าบากและน่ า
สะพรึงกลัวในการรุ ดหน้าของสังขารปิศาจมหาทิวาเป็นที่โจษขานไปทั่ว
อย่าว่าแต่การแปลงร่างทั้งหกยังฝึกปรือยากเย็นกว่าหลายเท่า!
นี่แน่นอนว่าไม่ใช่วิชาสังขารของนักบวชนิกายพุทธ!
ฝ่ามือประทับสุริยันสีแดงเข้มถึงกับดูดรั้งพลังทั้งมวลในบริเวณสิบลี้!
แม้แต่ควันดาที่ปะทุอยู่รอบ ๆ คล้ายมีดโกนเล็กละเอียดมากมาย ก็
ล้วนก่อตัวขึ้นจากชั้นเจตจานงฆ่าฟันของปิศาจที่บริสุทธิ์ที่สุด
มิผิดแล้ว มันดูไม่ผิดแล้ว!
เยี่ยหลิงถูกความคิดของตนขู่ขวัญจนแตกตื่นลนลาน
เผ่าปิศาจ?
ปิศาจที่หลงทางอยู่ในเขตแดนซิวเจ่อ?
หลงทางอยู่ ใ นภพซิ ว เจ่ อ ถื อ ครองสายเลื อ ดสู ง ศั ก ดิ์ จอมปิ ศ าจที่
พยายามจะสร้างกองทัพปิศาจในภพซิวเจ่อ!
โอ้ เจ้าเหนือหัวของข้า!
บทที่ 518 เจ้าเหนือหัวของข้า!

ฝ่ามือประทับสุริยันสีแดงเข้มกรีดฝ่าอากาศเสียงดังกระหึ่ม เพียงชั่ว
พริบตา ก็แทบบรรลุถึงตรงหน้าทัพปิศาจอย่างฉับพลันทันใด
เป็นฝ่ามือประทับสุริยันของแท้แน่นอน!
ในเสี้ยวพริบตาแห่งความคับขันอันตราย เยี่ยหลิงแทนที่จะหวาดหวั่น
พรั่นพรึง กลับรู้สึกตื่นเต้นลิงโลดถึงขีดสุด
ฝ่ามือประทับสุริยัน!
สังขารปิศาจมหาทิวา!
เจ้าเหนือหัวของข้า!
ในครรลองสายตาจู่ ๆ ก็พร่าเลือนวูบ ความคิดที่ท้ังขวัญกล้าบัง อาจ
และเสี ย สติ ห มุ น เร็ ว รี่ อ ยู่ ใ นใจ มั น แม้ ต่ ื นเต้ น ลิ ง โลดสุ ด ขี ด แต่ จิ ต ใจอั น
เข้ ม แข็ ง ที่ ผ่ า นการเคี่ ย วกร าจากศึ ก สงครามนั บ ไม่ ถ้ ว น ยั ง คงส าแดงจิต
วิญญาณที่มั่นคงไม่สั่นคลอนออกมา มันขบกรามแน่น เร่งเร้าพลังทักษะ
ปิศาจไปถึงขีดสุด
พลั ง ฝ่ า มื อ ประทั บ สุ ริ ยั น ของฝ่ า ยตรงข้ า มลึ ก ล้ า สุ ด หยั่ ง แต่ ใ น
ความเห็นของเยี่ยหลิง กระบวนทัพของอีกฝ่ายยังคงมีช่องว่างรอยโหว่อยู่
บ้าง
นี่เป็นโอกาสของมัน และเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่มันจะสามารถ
ฉกฉวยได้!
มิเช่นนั้นด้วยสังขารปิศาจมหาทิวาผสานกับค่ายกลปิศาจสังหารภูต
อีกา อาศัยหัต ถ์บัลลังก์หมอกกับค่ายกลแหฟ้าตาข่ายสวรรค์ของฝ่ายมัน
เกรงว่าไม่มีโอกาสได้ชัยแม้สักส่วนเสี้ยว
ในความเข้าใจของมัน การที่เชื้อสายปิศาจสูงศักดิ์ผู้ร่อนเร่พเนจรอยู่
ในภพซิวเจ่อจะขาดความชานาญในกระบวนทัพค่ายกลปิศาจ ก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลกอันใด กลับจะยิ่งสมเหตุสมผลเสียด้วยซ้า
สั ง ขารปิ ศ าจอาจสามารถส าเร็ จ ได้ ด้ ว ยพรสวรรค์ แ ละทั ก ษะปิศาจ
ชั้นสูง แต่กระบวนทัพค่ายกลปิศาจมิใช่สงิ่ ที่จะบรรลุถึงได้ง่ายดายถึงเพียง
นั้ น มี แ ต่ ต้ อ งสั่ ง สมผ่ า นศึ ก สงครามและประสบการณ์ ใ นกองทั พ จึ ง
สามารถเข้าใกล้ความสมบูรณ์พร้อมไปทีละขั้น
ทันใดนั้น โซ่ห มอกสีเทาเรีย วบางมากมายพวยพุ่ง ออกมาจากม่ า น
หมอกสีเทา ประหนึ่งเส้นหนวดของสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วน
โซ่หมอกดุจฉลามร้ายกระสากลิ่นเลือด ถาโถมอย่างคลุ้มคลั่ง ตรงเข้า
กลุ้มรุมฝ่ามือประทับสุริยันอันน่ากลัวเป็นจุดเดียว!
เพียะเพียะเพียะ!
เส้นหนวดหมอกเทากระทั่งเข้าใกล้ฝ่ามือประทับสุริยันยังทาไม่ได้ ถูก
พลังสภาวะสุดแกร่งกร้าวของฝ่า มือประทับสุริยันบดขยี้ แตกระเบิดเป็น
ละอองหมอก!
สมกับเป็นสังขารปิศาจมหาทิวาในตานาน!
เยี่ยหลิงในกลุ่มหมอกดวงตาเป็ นประกายเจิดจ้ า กว่า เดิม น่าแปลก
ใบหน้ามันยิง่ มายิง่ ปลาบปลื้มยินดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
เส้ น หนวดหมอกเทาถึ งกั บ พุ่ง เข้า จู่โ จมฝ่า มื อ ประทั บสุ ริยั นรวดเร็ว
กว่ า เดิ ม เส้ น หนวดมากมายเหลื อ คนานั บ ผนึ ก รวมตั ว เป็ น กลุ่ ม ก้ อ น
หนาแน่น คล้ายไม่มีที่สน
ิ้ สุด เสียงแตกระเบิดดังรัวเร็วไม่ขาดหู แต่ที่ระเบิด
ก็ระเบิดไป เส้นหนวดหมอกเทาคล้ายเพิ่มจานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ยังคงตั้ง
หน้าตั้งตาปะทะหักหาญกับพลังฝ่ามืออย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เพียะเพียะเพียะ!
เส้นหนวดพอถูกทาลายกลายเป็นสายหมอก ก็จ ะถูกฝ่ามือประทั บ
สุ ริ ยั น แผดเผาจนระเหยหายไปในชั่ ว พริ บ ตา มองดู แ ต่ ไ กลคล้ า ยฝ่ า มื อ
ประทับสุริยันกลืนกินเส้นหนวดหมอกเทาเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง!
เยี่ยหลิงควบคุมทุกเส้นสายใยของหมอกสีเทาอย่างชานิชานาญ ราว
กับกาลังควบคุมแขนขาของตน
แต่ในไม่ช้า มันก็เริม
่ เผยแววเหนื่อยล้า
ในใจอดตื่นตะลึงไม่ได้ เยี่ยหลิงค่อยพบว่ามันยังคงประเมินระดับพลัง
สั ง ขารปิ ศ าจมหาทิ ว าของอี ก ฝ่ า ยต่ า ทรามเกิ น ไป นี่ มิ เ พี ย งเป็ น สั ง ขาร
ปิศาจมหาทิว าขั้ นสุ ดยอด แต่ยังบรรลุถึง ชั้น ปิศ าจลึกล้ า แล้ ว นี่ต้องเป็ น
สังขารปิศาจมหาทิวาระดับชั้นปิศาจลึกล้าไม่ผิดแน่ มีเพียงเป็นเช่นนั้น จึง
จะมีพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านโลกถึงปานนี้ได้!
สังขารปิศาจมหาทิวาในชั้นปิศาจลึกล้า!
ความคิดนี้พอผุดขึ้นในใจ มันอดสะท้านขึ้นทั้งร่างไม่ได้!
จอมปิ ศ าจที่ เ ลิ ศ ล้ า ถึ ง เพี ย งนี้ หากอยู่ ใ นภพปิ ศ าจ ไม่ ว่ า อยู่ ใ น
อาณาจักรใด จะต้องเป็นยอดอัจฉริยะที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้!
คนผู้นี้ยังหนุ่มแน่นเยาว์วัยเหลือเกิน แต่เปี่ ยมด้วยพรสวรรค์อย่างล้น
เหลือ อนาคตของมันสมควรยาวไกลไร้ขีดจากัด!
เมื่ อ สามารถสร้ า งกองทั พ ปิ ศ าจในโลกซิ ว เจ่ อ คนผู้ นี้ จ ะต้ อ งดื้ อรั้น
มุ่ ง มั่ น แต่ ยื ด หยุ่ น พลิก แพลง สามารถยกขึ้ น ได้ ว างลงได้ เต็ ม ไปด้ ว ยจิต
ปณิธ านแน่วแน่และอดทนอดกลั้น เยี่ยหลิงแทบไม่กล้าจินตนาการ ว่านี่
ต้องเผชิญรับความทุกข์ยากลาบากถึงเพียงไหน!
เจ้าเหนือหัวของข้า!
สวรรค์ ท่านกาลังพยายามชดเชยให้แก่ข้ารับใช้ผู้ต่าต้อยของท่านผู้นี้
ใช่ห รือไม่ ? ทดแทนที่ข้าไม่อาจฝึกปรือสังขารปิศาจมารหมอกได้กระนั้น
หรือ? โดยการประทานโอกาสทองเช่นนี้ลงมาตรงหน้าข้า?
เยี่ยหลิงความสงบเยือกเย็นทั้งมวลปลิวหายวับไปกับตา มีแต่ความ
พลุ่งพล่านใจที่ยากจะบ่งบอกบรรยาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นมันต้องจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เสียก่อน!
เยี่ยหลิงฝืนสงบใจลง มันเมื่อไม่อาจฝึกปรือสังขารปิศาจมารหมอก ก็
ได้แต่อาศัยพลังของกระบวนทัพเข้าต้านรับการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวนี้
แทน
เสียงกรีดแหลมเสียดหูพลันดังกังวานออกมาจากภายในม่านหมอก
เทา
ทันใดนั้นปรากฏคมดาบหมอกรู ปจันทร์เสี้ยวมากมายนับไม่ถ้วน ถา
โถมออกมาจากม่านหมอกดุจคลื่นยักษ์ คมดาบจันทร์เสี้ยวแต่ละเล่มกรีด
วาดเป็นเส้นโค้งอันพิสดารกลางเวหา ตรงเข้ารับหน้าฝ่ามือประทับสุริยัน
อย่างพร้อมเพรียง!
มองลงมาจากฟากฟ้า ภาพนี้น่าดูชมยิง่
พลั ง ฤทธิ์ ข องแม่ ทั พ ปิ ศ าจผู้ ช าญศึ ก ย่ อ มไม่ ห มดสิ้ น เพี ย งเท่ า นี้ ใน
เวลาเดียวกัน เส้นหนวดหมอกสีเทาสะบัดฟาดราวกับแส้ พุ่งทะลวงตรงดิ่ง
ประหนึ่งหอกซัด เปล่งเสียงแหวกฝ่าอากาศบาดลึก สะท้านขวัญวิญญาณ
ผู้คน โหมซัดกระหน่าจากสี่ทิศแปดทาง!
ตูมตูมตูม!
ทว่าฝ่ามือประทับสุริยันยังคงแกร่งกร้าวเกรียงไกรไร้ผู้ต้านติด ไม่ว่า
จะเป็นเส้นหนวดหมอกเทาหรือใบมีดหมอกจันทร์เสี้ยว ขอเพียงเข้าใกล้
พลังฝ่ามือ ล้วนแตกระเบิดกระจุยกระจาย!
แม้กระนั้นก็ต าม การโจมตีข องกองทั พปิ ศาจยังคงโหมกระหน่ า ไม่
ขาดสาย ดั่งพายุส ายฟ้าถล่มซัด พยายามต้านปะทะฝ่ ามือประทับสุริยัน
อย่างไม่ย่อท้อ!
ห่าฝนเส้นหนวดหมอกเทาและใบมีดหมอกจันทร์เสี้ยว ยิ่งจู่โจมก็ยิ่ง
เข้าใกล้ฝ่ามือประทับสุริยันเข้าไปทุกขณะ
ภายในกลุ่มหมอกเทา ทหารปิศาจทุกตนพากันปลดปล่อยการโจมตี
ของตนด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทาได้ ทุกครั้งที่โจมตีออกไป พลังโจมตี
จะถูกห่อหุ้มด้วยชั้นหมอกสีเทา พวกมันไม่จาเป็นต้องควบคุมทิศทางโจมตี
หรือเล็งเป้า เพียงแค่ต้องปลดปล่อยทุกการโจมตีออกไปให้เร็วที่สุดและ
มากครัง้ ที่สุดเท่านัน

ตูม!
ในที่สุดดาบหมอกจันทร์เสี้ยวเล่มหนึ่งก็กระแทกใส่พลังฝ่ามืออย่าง
หนักหน่วง จากนัน
้ เส้นหนวดหมอกเทาและดาบหมอกจันทร์เสี้ยวอีกหลาย
ชุดระดมซัดอย่างพร้อมเพรียง
แรงปะทะกวาดวาบออกทุกทิศทาง ดุจพายุหมุนอันกราดเกรี้ยว!
ฝ่ามือประทับสุริยันสุดท้ายไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป แตกระเบิดดัง
สนั่นลั่นโลก!
พลังงานทั้งมวลในระยะสิบลี้ พลุ่งพล่านปั่ นป่วนไปตามการระเบิ ด
ขนาดมหึมา!
ท่ามกลางม่านหมอกสีเทา เป็นเสียงหอบหายใจหนัก ๆ บรรดาทหาร
ปิศาจล้วนมีสีหน้าแตกตื่นตะลึงลานโดยไม่มีข้อยกเว้น
นี่เพิง่ เป็นแค่การโจมตีรอบแรกของศัตรูเท่านัน
้ !

จั่วม่อขมวดคิ้วนิ่วหน้า แบบฉบับการทาศึกของฝ่ ายตรงข้ามแปลก


ประหลาดยิ่ง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหัตถ์บัลลังก์ห มอกหรือ? แต่ไฉนมันไม่รู้สึก
ว่าร้ายกาจเช่นที่ผูเยาแสดงออก? จะอย่างไรมันก็ไม่ได้โอหังถือดีจนเข้าใจ
ว่าสามารถสยบศัตรูได้ด้วยฝ่ามือเดียวอยู่แล้ว
มันรู้สึกในร่างเต็มไปด้วยพลังอย่างเปี่ ยมล้น พลังที่ใช้ได้อย่างไม่ มีที่
สิ้นสุด อัดแน่นไปด้วยความปรารถนาที่จะต่อสู้
เข้ามาเถอะ เจ้าหนู!
มันตะโกนก้องในใจ
“ที่แท้มันไม่ได้ฝึก ปรื อสังขารปิ ศ าจมารหมอก ไม่น่าแปลกใจเลยที่
อ่อนด้อยถึงเพียงนี้” ผูเยาผิดหวังเป็นที่สุด มันสู้อุตส่าห์คาดหวังว่าผู้อ่ ืนจะ
ทาให้เว่ยมือไม้ปั่นป่วนได้บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสินค้ามีตาหนิ จะไม่ให้
มันผิดหวังได้อย่างไร
สถานะของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนพลิกในชั่วพริบตาเดียว รอยยิ้มสูงสง่า
ของเว่ยหวนกลับมาอีกครั้ง “ใช่ น่าเสียดายยิ่งนัก” แน่นอนว่าสีหน้า ไม่ มี
แม้แต่เศษเสี้ยวความเสียดาย
รับฟังการโต้ตอบของทั้งคู่ จั่วม่อเบ้ปาก พลังจากค่ายกลปิศาจสังหาร
ภูต อีกาอัดแน่นอยู่ทุ กซอกมุมในกายมัน ความตื่นเต้นฮึกเหิมเร่งเร้าพลัง
สั ง ขารปิ ศ าจมหาทิ ว าไปถึ ง ขี ด สุ ด ความตื่ นเต้ น ฮึ ก เหิ ม ยั ง ท าให้ มั น
กลายเป็นคนคลั่งไคล้การต่อสู้ มันประหนึ่งราชสีห์ดุดัน สองตาแดงฉาน
ด้วยสายเลือด ปรารถนาจะกระโจนเข้าขย้าศัตรู ให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อ ยใน
บัดดล
เข้ามาเถอะเจ้าหนู!
ท่ามกลางความฮึกหาญทะยานฟ้า ดาบประหลาดปรากฏขึ้นในมื อ
ขวาของจั่วม่อ ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแรงกล้า!
พลังอันไพศาลไหลบ่าผ่านท่อนแขนฝ่ามือ เข้าสู่ดาบเที่ยงวันในมือ
ของมันไม่ขาดสาย วู้ม เปลวไฟสีทองลุกโชนสูงลิ่วอย่างฉับพลัน ในเวลา
เดียวกัน เปลวไฟลายชั้นมหาทิวาภายในร่างของจั่วม่อก็ลุกโหมท่วมร่าง
อย่างเกินจะควบคุมบังคับได้
จั่ ว ม่ อ ร่ า งปกคลุ ม ด้ ว ยกองไฟสี ท องมหึ ม า มื อ ถื อ ดาบที่ ห่ อ หุ้ ม ด้ ว ย
เปลวไฟสีทองอีกชั้นหนึ่ง!
จั่วม่อดื่มด่าอยู่ในความตื่นเต้นฮึกเหิม!
มันเงื้อดาบเที่ยงวันขึ้นสุดล้า บรรดาองครักษ์ทุกข์ยากที่ด้านหลังก็เงื้อ
ศาสตรามารของพวกมันขึ้นพร้อมกัน ศาสตรามารแต่ล ะเล่มล้วนห่อหุ้ม
ด้วยหมอกดา!
หากกระบวนท่านี้จู่โจมออกไป อาจสามารถผ่าแยกท้องฟ้าเป็นสอง
ส่วน!
จั่วม่อประหนึ่งพญาราชสีห์กระหายเลือด ถลึงจ้องกลุ่มหมอกสีเทา
อย่างดุดันอามหิต มือขวาเกร็งกาลัง เตรียมสะบัดดาบฟันลงด้วยเรี่ยวแรง
ทั้งหมดที่มี
“ใต้เท้า โปรดรอสักครู่!”
ทันใดนั้น กลับมีสุ้มเสียงร้อนรนดังออกมาจากในกลุ่มหมอก
จั่วม่องงงันวูบ
เห็นบุรุษวัยกลางคนในชุ ดยาวสีเ ทาก้ า วออกมาจากม่ านหมอกเทา
คนผู้นี้มีดวงตาสีเทาอันลึกล้าสุดหยั่งคู่หนึ่ง
มันก้าวออกมาพ้นจากกระบวนทัพ แล้วค้อมกายคารวะจั่วม่อ
“ ใ ต้ เ ท้ า ผู้ น้ อ ย เ ป็ น แ ม่ ทั พ บั ญ ช า ก า ร ก อ ง ทั พ นี้ พ ว ก เ ร า ข อ
สวามิภักดิ์!”
ว่ากระไร! ขอสวามิภักดิ์?
นี่ใช่เป็นเรื่องชวนหัวข้ามเชื้อชาติเผ่าพันธุ์หรือไม่?
จั่วม่อเข้าใจว่าสองหูของมันฟังผิด ขอสวามิภักดิ์? การต่อสู้มิใช่ว่าเพิ่ง
จะเปิดฉากขึ้นหรอกหรือ?
แต่คนตรงหน้ามันมีสีหน้าเคารพนอบน้อม ท่วงท่าสัตย์ซ่ ือถือมั่นเป็น
ที่สุด ดูเป็นธรรมชาติยิ่ง!
กองทัพปิศาจขอสวามิภักดิ์ต่อซิวเจ่อ?
ปิศาจตนนี้ใช่สมองมีปัญหาหรือไม่?
การยอมจานนอย่างกะทันหัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นท่าทางซื่อสัตย์เชื่อ
ฟั ง ของแม่ ทั พ ปิ ศ าจผู้ นี้ และความเคารพนอบน้ อ ม รวมถึ ง การขอ
สวามิ ภั ก ดิ์ อ ย่ า งจริ ง จั ง และจริ ง ใจนี้ ท าให้ จ่ั ว ม่ อ ต้ อ งฝื น กล้ า กลื น จิ ต
วิญญาณการต่อสู้ที่กาลังลุกโชติช่วงกลับคืนเข้ามาภายใน!
“ใต้เท้า โปรดยอมรับการสวามิภักดิ์ของพวกเรา เรายินดีสัตย์สาบาน
ขอจงรักภักดีต่อต้าเหริน!” สุ้มเสียงของเยี่ยหลิงลุ่มลึกและแหบพร่า เต็มไป
ด้วยความจริงจังและจริงใจ ต่อให้เป็นคนปัญญาอ่อนยังรู้สึกได้
เหล่าทหารปิศาจด้านหลังมันปั่ นป่วนขึ้นมาทันที
ข้า... ...ข้า... ...ข้า... ...
จั่วม่อที่กาลังฝืนรั้งพลังกลับคืน เหมือนมีอะไรอุดปากไม่ให้มันกล่ าว
วาจา บางทีอาจจะเป็น โลหิต ที่ ก ระแทกสะท้ อนย้ อนกลั บจนแทบทะลั ก
ออกมาจากปาก ซึ่งความจริงมันยังคงเงื้อดาบเที่ยงวันค้างอยู่ในท่าเตรียม
จะฟันลง มีเพียงสีหน้าที่แข็งค้างราวกับหุ่นขี้ผึ้ง
“ได้ ส วามิ ภั ก ดิ์ ต่ อ จอมปิ ศ าจที่ ส าเร็ จ สั ง ขารปิ ศ าจมหาทิ ว านั บ เป็ น
เกียรติของเรา! โปรดรับความจงรักภักดีของเรา ให้เราได้ติดตามต้า เหริน
พิชิตโลก เรายินดีเผาผลาญทั้งชีวิตเพื่อปฏิบัติตามคาสั่งของต้าเหริน ได้อยู่
ภายใต้ร่มธงของต้าเหริน เป็นเกียรติสูงสุดของเรา!”
เยี่ยหลิงหมอบกราบกรานจรดพื้น
“เจ้าเหนือหัวของข้า จงเจริญ!”
พอได้ยินคา ‘สังขารปิศาจมหาทิวา’ กองทัพปิศาจที่ปั่นป่วนรวนเร
พลั น เงี ย บกริ บ ลงทั น ควั น ความปลาบปลื้ มยิ น ดี อ ย่ า งสุ ด จะระงั บ ยั บยั้ง
พลันส่องประกายอยู่บนใบหน้าพวกมัน
ชั่วอึดใจต่อมา ทหารปิศาจทั้งหมดน้อมกายคารวะอย่างพร้อมเพรียง
ตวาดเป็นเสียงเดียวกัน
“เจ้าเหนือหัวของข้า จงเจริญ!”
คราวนี้ถึงรอบผู้คนเบื้องหลังจั่วม่อพากันปากอ้าตาค้าง กระทั่งซู่หลง
ที่เปี่ ยมด้วยความสงบเยือกเย็นของบุรุษที่เติบโตเต็มวัย ยังถลึงตาโปนโต
เหม่อมองกองทัพปิศาจ ไม่อาจกล่าววาจาแม้สักครึ่งคา อาเหวินผู้ปากไว
ใจเร็วยังตะลึงลานอยู่ครึ่งค่อนวัน สีหน้าราวกับพบพานผีสางกลางวันแสก

ผู้ ที่ ส ภาพย่ า แย่ ที่ สุ ด คื อ กู้ ห มิ ง กง มั น สั บ สนงงงวยอย่ า งสิ้ น เชิ ง
ตะกุกตะกักพึมพากับตัวเอง “ภาพลวงตา ... ... นี่ต้องเป็นภาพลวงตาแน่
ๆ... ...หรือเป็นเล่ห์อุบายของพวกมัน ? หรือว่าต้าเหรินลอบส่งคนไปปลอม
ตัวเป็นเผ่าปิศาจ? นี่เป็นการสมรู้ร่วมคิดตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? ... ...เรา
ผู้เฒ่า... ...มารดามันเถอะ อาณาจักรนี้เป็นอะไรไปแล้ว... ...”
ทุกคนเบื้องหลังจั่วม่อตัวแข็งเป็นก้อนหิน กระทั่งผูเยากับเว่ยยังแทบ
คลั่งใจตายกับภาพเบื้องหน้า
“พวกมันเป็นเผ่าปิศาจจริง ๆ หรือนี่? เผ่าปิศาจกลายเป็นไม่มีกระดูก
สันหลังไปตั้งแต่เมื่อใด?” ผูเยาจ้องมองเยี่ยหลิงราวกับว่าปรารถนาจะดึง
ดวงวิญญาณของเยี่ยหลิงออกมาตรวจสอบดู
“เสื่อมทราม! ช่างเสื่อมทรามนัก!” เว่ยกรีดร้องโหยหวน มันรู้สึกอึด
อัดขัดข้องราวกับกลืนกินแมลงวันลงไปทั้งตัว
เจ้าตัวประหลาดที่น่าขายหน้า
แต่ผู้ที่รู้สึกอึดอัดขัดข้องที่สุด ย่อมไม่มีผู้ใดเกินจั่วม่อ
จิ ต วิ ญ ญาณของมั น ไม่ เ คยฮึ ก เหิ ม ถึ ง เพี ย งนี้ ม าก่ อ น ไม่ เ คยมี จิ ต
วิญญาณการต่อสู้พลุ่งพล่านถึงเพียงนี้ม าก่ อน และไม่เคยมีแรงปลุ ก เร้ า
อย่างรุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน... ...
แต่ท้ังหมดทั้งมวลกลับต้องชะงักลงกลางคัน ทั้งมันยังต้องพยายาม
ระงับยับยั้งอย่างสุดความสามารถ!
ใบหน้าแข็งทื่อของจั่วม่อเริ่ม เปลี่ยนเป็นบั ดเดี๋ย วซี ดเผือ ด บัดเดี๋ ย ว
แดงก่า เลือดลมตีกลับ ใบหน้าแดงฉานราวกับว่าโลหิต จะหยดออกมาได้
ทุกเมื่อ
พี่ชาย นี่ใช่ล้อข้าเล่นหรือไม่!
ชั่วอึดใจให้หลัง จั่วม่อได้แต่ลอบคร่าครวญอย่างหวนโหย
แต่ สี ห น้ า ท่ า ที ข องอี กฝ่ า ยกลับ จริ ง จัง จริ ง ใจถึง เพี ยงนั้น ถ่ อ มตั วถึง
เพียงนัน
้ ทั้งยังสุภาพนอบน้อมถึงเพียงนัน
้ ไม่ว่าจะไม่เต็มใจสักเท่าใด มันก็
ได้แต่ระงับยับยั้งจิต วิญญาณการต่อสู้อันน่าสมเพชของตัวเอง พยายาม
ยับยั้งเสียจนใบหน้าแดงก่า จั่วม่อกระทั่งหายใจเข้าออกยังไม่มีปัญญา อย่า
ว่าแต่จะกล่าววาจาสักคาสองคา
สนามรบที่แต่เดิมดุเดือดเลือดพล่าน จู่ ๆ จมลงในความเงียบแปลก ๆ
เยี่ยหลิงกับกองทัพของมันยังคงอยู่ในท่วงท่าค้อมกายคารวะ สงบนิ่ง
อยู่เช่นนั้น พวกมันราวกับกองทัพรูปปั้ นหินขบวนหนึ่ง ไม่มีทหารปิศาจตน
ใดขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ประกายแห่งความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวอย่างน่าประหลาด ฉายชัดอยู่บน
ใบหน้าของพวกมันทุกคน
สังขารปิศาจมหาทิวา!
นี่เป็นสังขารปิศาจในตานาน!
มีเพียงปิศาจสายเลือดสูงศักดิท
์ ี่สุดและมีพรสวรรค์เลิศภพจบแดน จึง
สามารถฝึ ก ปรื อ สั ง ขารปิ ศ าจชนิ ด นี้ ส าเร็ จ ! ปิ ศ าจเช่ น นี้ มี ศั ก ยภาพที่ จ ะ
กลายเป็นราชัน!
ทหารปิศาจทุกตนคล้ายมองเห็นเส้นทางอันเรืองรองส่องประกายอยู่
เบื้องหน้าพวกมัน!
เจ้าเหนือหัวของข้า!
บทที่ 519 สหายเส้นทางเดียวกัน

เงียบกริบอย่างสิ้นเชิง!
เงียบสนิทดุจป่าช้า
ทุกผู้คนเริ่มฟื้ นคืนสติจ ากเหตุน่าตระหนกในตอนแรก โดยเฉพาะซู่
หลงกั บ ไพร่ พ ลค่ า ยเว่ ย ของมัน แม้ ว่ า เหตุ เ ปลี่ ยนแปลงจะอุ บั ติขึ้น อย่าง
กะทันหันเกินไป ทั้งยังเหลือเชื่อเกินไป แต่ก็เกิดขึ้นแล้วต่อหน้าต่อตาพวก
มัน!
ทุกคนหันไปมองจั่วม่อ หลายคนอดทอดถอนชมเชยไม่ได้
สมกับที่เป็นต้าเหรินจริง ๆ !
จั่วม่อยังไม่อาจสนใจพวกมันมากนัก จิตวิญญาณของมันถูกยับยัง้ เสีย
จนแทบเกิ ด อาการบาดเจ็ บ ภายใน มั น ต้ อ งทุ่ ม เทเรี่ ย วแรงก าลัง ทั้งหมด
พยายามปรับพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในกาย
แต่ เ มื่ อ ส า ย ตา ทุ ก คู่ หั น มา ม อ งมั น เ ป็ น ตา เ ดี ย ว มั น รู้ สึ ก ว่ า มั น
จาเป็นต้องแสดงทีท่าอะไรบางอย่างแล้ว อ้อ ใช่แล้ว แสดงท่าทีของผู้นาให้
มากกว่านี้น่าจะดีที่สุด
มันยืดเอวเชิดอก กระแอมเบา ๆ สองสามคา ท่ามกลางความเงียบงัน
เสียงกระแอมไอดังกังวานผิดปกติ จนมันแทบสะดุ้งด้วยเสียงตัวเอง
เยี่ยหลิงกับพวกกลายเป็นตื่นตัวขึ้นมาทันที สีห น้ายิ่งเคารพเทิดทูน
กว่าเดิม
“ข้าว่า เรื่องนี้... ...” จั่วม่อพอเริ่มกล่าววาจา สภาวะเยี่ยงเจ้าเหนือหัว
ก็หายวับไปทันที “พวกเจ้าต้องการสวามิภักดิ์ต่อข้าจริง ๆ?”
“ใช่ขอรับ ต้าเหริน!” เยี่ยหลิงตอบอย่างรวบรัดชัดเจน
“เพราะเหตุ ใ ด?” จั่ ว ม่ อ ถามอย่ า งสงสัยใคร่ รู้ ค าถามนี้ ดึ ง ดู ด ความ
สนใจของทุกผู้คนทันที กล่าวตามความสัตย์ ไม่มีใครเข้าใจว่าเรื่องราวไฉน
กลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“ต้าเหรินมีศักยภาพที่จะขึ้นเป็นราชัน” เยี่ยหลิงตอบอย่างไม่ลังเลใจ
ทุกคนชมชอบรับฟังคาเยินยอ จั่วม่อเองยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น พอฟังก็
ยิ้ ม กว้ า งทั น ที “เจ้ า มี ส ายตาไม่ เ ลว กระทั่ ง ข้ า ปิ ด ซ่ อ นเอาไว้ ลึ ก ๆ ยั ง
สามารถมองเห็นได้ด้วยหรือ?”
กู้หมิงกงที่เพิ่งตั้งสติได้ พอฟังคาโต้ตอบพลันทาสีหน้าประหลาดพิกล
แต่ เ มื่ อ มั น ช าเลื อ งมองรอบข้ า ง เห็ น ซู่ ห ลงกั บ พวกมี สี ห น้า จริ ง จัง ทั้ ง ยั ง
พยักหน้าคล้อยตาม มันต้องพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อกลั้นหัวร่อ
ซู่หลง อาเหวินกับพรรคพวกทั้งหมดพากันจ้องมองเยี่ยหลิงอย่างนิยม
ชมชื่น ในฐานะกองทัพหลักที่จงรักภักดีที่สุดของจั่วม่อ ค่ายเว่ยจงรักภักดี
ต่อจั่วม่ออย่างไม่มีเงื่อนไข พวกมันถือกาเนิดจากทาสฝึกตน เมื่อเทียบกับ
บรรดาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ของค่ายจูเชวี่ย พวกมันเข้าใจเรื่องราวทางโลกน้อย
กว่ า มาก ทั้ ง ยั ง ไม่ ค่ อ ยเข้ า ใจเรื่ องการคบหาสมาคมมากนั ก ไม่ เ ข้ า ใจ
ขนบธรรมเนี ย มของภพซิ ว เจ่ อ ความคิ ด ของพวกมั น ทั้ ง เรี ย บง่ า ยและ
บริสุทธิ์
ในจิ ต ใจของพวกมั น จั่ ว ม่ อ เป็ น ต้า เหริ นที่ เ ลอเลิศ ที่ สุด ทรงอ านาจ
ที่สุดและชาญฉลาดที่สุดในโลก!
ต่อให้จ่ัวม่อสัง่ ให้พวกมันกระโดดลงไปในกองไฟ พวกมันจะพร้อมใจ
กันกระโดดลงไปอย่างไม่รีรอลังเล
ในจิตใจของพวกมัน พวกมันคงอยู่เพียงเพื่อจั่วม่อ
กู้หมิงกงเข้าใจว่าเยี่ยหลิงเพียงกล่าวประจบสอพลอ แต่ซู่หลงกับพวก
กลับไม่คิดเช่นนั้น คนผู้นี้เมื่อสามารถรับรู้ถึงความเลิศล้าของต้าเหรินได้ใน
ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ มันก็มีดวงตาที่ดีมาก!
โดยไม่รู้ตัว บรรดาผู้คนค่ายเว่ยรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับเยี่ยหลิงอย่าง
บอกไม่ถูก
นี่เป็นสหายเส้นทางเดียวกันชัด ๆ!
วาจาของเยี่ยหลิงทาเอาจั่วม่อตัวเบาฟูฟ่องแทบล่องลอย แทบเข้าใจ
ว่าตัวมันเป็นเทพเซียนที่กาลังจะลอยไปถึงสวรรค์ เหตุเปลี่ยนแปลงที่แทบ
ทาให้มันบาดเจ็บภายในเมื่อครู่ถูกลืมเลือนไปทันที
มั น แย้ ม ยิ้ ม จนตาหยี หน้ า บานแฉ่ ง อย่ า งกั บ บุ ป ผาบานสะพรั่ ง “มี
ศั ก ยภาพที่ จ ะขึ้ น เป็ น ราชั น ? โอ้ โ อ้ ลองบอกมาฟั ง ดู ค่ อ ย ๆ กล่ า ว บอก
กล่าวให้ละเอียดหน่อย!”
“ขอรับต้าเหริน!” เยี่ยหลิงเข้าใจว่าจั่วม่อทดสอบความสามารถของ
มัน รีบรวบรวมความคิดอย่างจริงจังเป็นที่สุด ก่อนจะเอ่ยปากร่ายยาว “ต้า
เหรินยังเยาว์วัย แต่ฝึกปรือสังขารปิศาจมหาทิวาสาเร็จ ทั่วทั้งภพปิศาจ ต้า
เหรินสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่
เต็มไปด้วยภยันตรายเช่นนี้ ต้าเหรินยังสามารถเพาะสร้างกองทัพที่ทรง
พลัง ทั้งยังมีสถานะไม่เลวอยู่ในภพซิวเจ่อ นี่เห็นได้ชัดว่าต้าเหรินมีฝีมือใน
การเป็นผู้นาที่ชาญฉลาด สามารถอยู่รอดปลอดภัยในช่วงเวลาแห่งกลียุค
มีเพียงต้าเหรินที่แข็งแกร่ง เปี่ ยมด้วยพรสวรรค์ สามารถแปรเปลี่ยนตาม
สถานการณ์ ทั้งยังมองการณ์ไกล จึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นราชัน!”
ซู่ ห ลงกั บ พวกพยั ก หน้า หงึก ๆ หงั ก ๆ เห็ น พ้ อ งด้ ว ยทุ ก ข้ อ จากนั้ น
สบตากั น วู บ สื่ อ สารกั น ด้ ว ยสายตา สี ห น้ า แต่ ล ะคนมี แ ต่ ค วามเห็ น พ้ อ ง
ต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์
กู้หมิงกงที่ยืนหลบอยู่ในมุมถึงกับอ้าปากหวอ เหลือบมองจั่วม่อที่ยืด
อกอย่างภาคภูมิลาพอง รู้สึกเหลือเชื่อยิ่ง ผู้พูดมีสีหน้าจริงจัง ผู้ถูกยกย่องก็
เชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง นี่ไม่ใช่การยกยอ ไม่มีร่องรอยของความไม่จริงใจ
เป็นการสนทนาโต้ตอบที่ท้งั จริงจังและจริงใจอย่างน่าสะพรึงกลัว
แต่ว่า... ... แต่ว่า... ...
กู้ ห มิ ง กงผู้ ฉลาดปราดเปรื่ องอ้ า ปากอยู่ค รึ่ งค่ อ นวั น แต่ ไ ม่ มี ปั ญ ญา
กล่าวคาใดออกมา มันไม่รู้จะสรรหาคาใดมาอธิบายความแปลกพิกลสุดขั้ว
ในยามนี้แล้ว
จั่วม่อรับฟังจนเคลิบเคลิ้ม โอ้ น่าเสียดายที่ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องกง
ซุนไม่อยู่ที่นี่ ... ...อ๊า ใช่แล้ว มันหลงลืมไปได้อย่างไร หลงลืมไปได้อย่างไร
กัน มันสมควรใช้ม้วนหยกบันทึกคาพูดเมื่อครู่เอาไว้ด้วย
จั่วม่อผู้กาลังปลาบปลื้มยินดีสุดขีด พลันรู้สึกสานึกเสียใจแทบตาย มี
โอกาสหายากเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา มันต้องการให้ทุกคนได้ชมดูด้วย
ในที่สุดก็พยายามหักห้ามอารมณ์เศร้าเสียดาย จั่วม่อจุปากด้วยความ
โหยกระหายไม่คลาย จากนั้นแสร้งเป็นกระแอมไอ “ประเสริฐ ฟังดูดีมาก!
ประเสริฐยิ่ง อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าต้องจดจาไว้ ต่อไปอย่าได้ทาตัวสะดุด
ตา เราต้องงาประกายให้มิดชิด!”
ไม่ น่ า แปลกใจที่ ต้ า เหริ น สามารถเอาตั ว รอดในภพซิ ว เจ่ อ มาจนถึ ง
ตอนนี้ ทั้งยังสามารถครอบครองกองทัพเช่นนี้ ท่านเข้าใจวิธีปกปิดซ่อน
เร้นอย่างแท้จริง!
เยี่ยหลิงกล่าวอย่างเทิดทูนบูชาจริงจัง “ทราบแล้วต้าเหริน!”
หลังจากรับฟังคาเยินยอจนอิ่มอกอิ่มใจ จั่วม่อรู้สึกว่ารับมาเพียงฝ่าย
เดียวดูไม่ค่อยยุติธรรมนัก มันขบคิดชั่วครู่ จากนั้นกล่าวว่า “อ้อ พวกเจ้า
เมื่อมีความจริง ใจ เช่นนั้นนับแต่วันนี้เ ป็นต้นไป พวกเจ้าเรียกว่ าค่ า ยฮุ ย
(ค่ายละอองสีเทา) ซู่ห ลงจะเป็นผู้นาค่ายนี้เป็น การชั่ว คราว มอบให้เ จ้ า
เป็นรองผู้บัญชาการ”
เยี่ยหลิงปลาบปลื้มประโลมใจยิ่ง “ขอบคุณต้าเหรินประทานนาม!”
“แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องจดจาให้มั่น อย่าได้เปิดเผย
ตัวว่าพวกเจ้าเป็นเผ่าปิศาจ” จั่วม่อกาชับเยี่ยหลิง
“ขอรับ!” เยี่ยหลิงเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส ต้าเหรินรอบคอบ
ยิ่งนัก
มันหันกลับไปสั่งการสองสามคา กองทัพปิศาจทั้งหมดเปลี่ยนรู ปโฉม
ของพวกมันทันที บรรดาปิศาจที่ส ามารถเข้าร่วมกองทัพล้วนมีพลังฝีมือ
แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง การเปลี่ยนรู ปโฉมหาได้ยากเย็นสาหรับพวกมัน ไม่
อย่างไรก็ตาม สามัญสานึกด้านความงามของเผ่าปิศาจแตกต่างจากซิวเจ่อ
มาก พวกมันชมชอบรูปโฉมที่หยาบกร้านทรงพลังมากกว่า
จากนัน
้ เยี่ยหลิงคารวะทักทายซู่หลง
ซู่ห ลงกับพวกเคยเป็นทาสฝึกตนของซิวเจ่อ ถูกซิวเจ่อคุมขังใช้งาน
เป็นเวลายาวนาน พวกมันย่อมไม่ชมชอบซิวเจ่อ แต่ห าได้มีความรู้สึกไม่ดี
ต่อเผ่าปิศาจไม่ มิหนาซ้าวาจาของเยี่ยหลิงเมื่อครู่ยังถูกอกถูกใจพวกมัน
เป็นอย่างยิ่ง ซู่หลงกับพวกแทบรู้สึกว่าเยี่ยหลิงกล่าววาจาแทนใจพวกมัน!
ในฐานะสหายเส้นทางเดียวกัน ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมเพิม
่ พูนขึ้น
อย่างรวดเร็ว
ซู่หลงกล่าวอย่างเคร่ง ขรึม “ข้าจะดูแลค่ายฮุยอย่างเป็นธรรม ทุกคน
ตั้งใจให้ดี!”
“ทราบแล้ว!” เยี่ยหลิงเต็มไปด้วยความลิงโลดยินดี
รั บ ค่ า ยฮุ ย เข้ า ร่ ว มใต้ ร่ ม ธงอย่ า งไม่ ต้ั ง ใจ ภารกิ จ ลอบโจมตี ข องจั่ ว
ม่อสิ้นสุดลงอย่างแปลกพิกลด้วยประการฉะนี้เอง แต่จ ะอย่างไรยังถือว่า
มันบรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์เช่นกัน
ภายใต้ ก ารลงแรงอย่า งแข็งขั นของค่ า ยเว่ ยกั บ ค่ า ยฮุ ย พวกมั น เริ่ม
ก่อตั้งค่ายทัพแห่งใหม่ที่รอยแยกแห่งความโกลาหลอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อ
เทียบกับค่ายทัพอันหยาบกระด้างของเยี่ยหลิงในตอนแรกแล้ว ค่ายทัพ
ใหม่นี้ท้งั ใหญ่โตและแน่นหนาอย่างน่าตระหนก
อย่างไรก็ต าม ทุ่งหญ้าปิศาจถูกขุดรากถอนโคนจนเหี้ยนเตียน สิ่งนี้
สะดุดตาผู้คนเกินไปจริง ๆ
ในเวลานี้เอง เยี่ยหลิงพลันเข้าพบจั่วม่อด้วยทีท่ารี ๆ รอ ๆ
“ต้าเหริน” เยี่ยหลิงเริ่มเอ่ยปากอย่างลังเลอยู่บ้าง
“มีเรื่องใด?” จั่วม่อถามอย่างใคร่รู้
“ต้ า เหริ น โปรดอนุ ญ าตให้ ข้ า เกลี้ ย กล่ อ มสื อ ตงต้ า เหริ น ยอม
สวามิภักดิ์!” เยี่ยหลิงกัดฟันกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“สือตง?” จั่วม่องงงันวูบ จากนั้นค่อยนึกออก “เจ้าหมายถึงกองทัพ
ปิศาจอีกขบวนหนึ่งกระมัง?”
“ ใ ช่ ข อ รั บ ต้ า เ ห ริ น ” เ ยี่ ย ห ลิ ง รี บ ก ล่ า ว “ สื อ ต ง ต้ า เ ห ริ น เ ป็ น
ผู้บังคับบัญชาเก่าของผู้น้อย”
“อ้ อ ลองบอกรายละเอี ย ดของมั น มาฟั ง ดู ” จั่ ว ม่ อ เริ่ ม สนอกสนใจ
ขึ้นมาทันที
“สือตงต้าเหรินถือกาเนิดจากสาขาย่อยที่หาได้ยากของปิศาจตั๊กแตน
เรียกว่าปิศาจตั๊กแตนฟ้า สือตงต้าเหรินเป็นยอดแม่ทัพที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่
ผู้ น้ อ ยเคยพบเห็น มา มั น ทั้ ง เฉี ย บขาดและยืด หยุ่น รู้ จั ก พลิ ก แพลง ห้ า ว
หาญชาญศึ ก หากมิใช่ว่ าถู กจ ากั ด ด้ วยชาติ กาเนิ ด ปิ ศาจตั๊ก แตนของมั น
เกรงว่าความสาเร็จของมันคงไม่ถูกจากัดอยู่เพียงเท่านี้แน่!”
“เทียบกับเจ้า แล้ว เป็น อย่า งไร?” จั่วม่อถามอย่างอยากรู้อยากเห็ น
หัตถ์บัลลังก์หมอกของเยี่ยหลิงก่อเกิดความประทับใจให้แก่มันอย่างลึกล้า
“ผู้ น้ อ ยไม่ ใ ช่ คู่ มื อ ของมั น แม้ แ ต่ น้ อ ย” เยี่ ย หลิ ง กล่ า วอย่ า งจริ ง จั ง
“ผู้น้อยได้แต่เป็นแม่ทัพกองหลังให้แก่สือตงต้าเหรินมาโดยตลอด”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้... ...” จั่วม่อพลันรู้สึกว่ามันเก็บเกี่ยวกาไรได้ก้อนโต
รีบผงกศีรษะอนุญาต “เช่นนั้นเจ้าลองดู!”
เยี่ยหลิงปิติยินดียงิ่ “ขอบคุณต้าเหริน!”

สือตงมีกลุ่มควันลอยออกจากร่างไม่ขาดสาย เสื้อคลุมอันโอ่อ่างดงาม
มิ เ พี ย งฉี ก ขาด ทั้ ง ยั ง เลอะเทอะเปรอะเปื้ อน ทั่ ว ร่ า งถู ก ปกคลุ ม ไปด้ ว ย
บาดแผลน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน สีหน้าดูเหนื่อยล้า
เบื้องหลังมันคือกองทัพที่ยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าหลงเหลือ
เพียงครึ่งเดียว อีกทั้งพวกมันทั้งหมดล้วนรับบาดแผลเกลื่อนร่าง
สือตงร้อยไม่คิดพันไม่คิด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแกร่งกล้าเกรียงไกรถึง
เพียงนี้! นึกถึงการต่อสู้ต่อเนื่องที่เป็นดั่งฝันร้ายนี้ อดใจสั่นสะท้านไม่ได้
แม่ทัพบัญชาการศึกของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ!
นอกเหนือจากตอนเริ่มเปิดศึกที่ท้ังสองฝ่ายยังคู่คี่ก้ากึ่ง จากนั้นสือตง
ก็ถูกบีบบังคับให้เบิกตามองสมดุลของสงครามค่อย ๆ โน้มเอียงไปทางศัตรู
แต่พาลไม่มีปัญญายับยั้ง
เป็นการโน้มเอียงอย่างช้า ๆ แต่แน่วแน่มั่นคง ไม่มีเปลี่ยนพลิก!
มันทุ่มเททุกวิถีทางเท่าที่คิดได้เข้ารับมือ แต่ยังคงไม่มีปัญญาหยุดยั้ง
การโน้มเอียงของชัยชนะนี้ได้
ฝ่ายตรงข้ามสะกดข่มมันอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้โอกาสพวกมันได้ฉกฉวย
มันไม่เคยคิดว่าจะต้องต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียง
นี้!
คนผู้ นี้ ใ ช่ ‘เซวี ย ตง’ ต านานแห่ ง คุ น หลุ น หรื อ ไม่ ? หรื อ เป็ น ‘กง
เหยี่ยเสี่ยวหรง’ แห่งเทียนหวน?
ที่ นี่ มิ ใ ช่ อ าณาจั ก รทะเลเมฆหรื อ ? มิ ใ ช่ เ ป็ น เพี ย งสถานที่ เ ล็ ก ๆ อั น
ห่างไกลซึ่งสวรรค์สี่ดินแดนรังเกียจที่จะมาเยือนหรอกหรือ?
ไฉนมีแม่ทัพบัญชาการศึกไร้ผู้ต้านอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย?
แม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง!
มีเพียงแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองเท่านั้น จึงสามารถเล่นงานมัน
จนตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถถึงเพียงนี้!
สือตงอยู่ห่างจากระดับแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองเพียงก้าวเดียว
เท่านั้น หากมิใช่ติดขัดที่สายเลือดปิศาจตั๊กแตนฟ้าของมัน บางทีมันอาจ
กลายเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองแล้วด้วยซ้า นับตั้งแต่ยังเยาว์วัย
มันก็แทบไม่เคยพบพานคู่มือเปรียบติด ในการต่อสู้หักหาญซึ่งหน้า มันไม่
เคยไม่มีความมั่นใจมาก่อน
แต่ในเวลานี้...
มองดูหน่วยทัพเซียนกระบี่หน่วยเล็ก ๆ บ้างสามบ้างห้าที่พุ่งผ่านไป
มาบนท้องฟ้า สือตงกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าซีดขาว
ในเวลานี้เอง เสียงอุทานอย่างแตกตื่นดังมาจากผู้ช่วยแม่ทัพของมัน
สือตงหันขวับไปมองอย่างฉับพลัน สายตาคมกล้าดุจคมดาบ
แต่ เ มื่ อมั น เห็ น แมลงด าบนฝ่ า มื อ ของผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ สื อ ตงพลั น ตก
ตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
“คู่ต่อสู้ที่ดี” แม่นางน้อยสุ้มเสียงเต็มไปด้วยการยกย่องชมเชย
วาจานี้ ไ ม่ มี ผู้ ใ ดเห็ น ค้ า น ความแข็ ง แกร่ ง และทรหดของกองก าลั ง
เบื้องหน้าเหนือความคาดหมายของพวกมันไปมาก แม้ว่าค่ายจูเชวี่ ย จะ
ช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงไม่ส ามารถโค่นอีกฝ่ายลง
อย่างเด็ดขาด
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ ามไม่ส ามารถหยุ ดยั้ งคลื่น โจมตีข องพวกมั นได้ แต่
การล่มสลายของขวัญกาลังใจที่พวกมันคาดการณ์ไว้ กลับไม่เคยบังเกิดขึ้น
ต่ อ สู้ ห้ า หั่น มาจนถึง บั ด นี้ จวบกระทั่ ง กองทั พ ปิศ าจหลงเหลือ เพียง
ครึ่งเดียว แต่ข วัญกาลังใจของพวกมันยังคงมั่นคงอย่างน่าตระหนก หาก
เป็นกองทัพทั่วไป พวกมันสมควรล่มสลายเสียนานแล้ว
ศัตรูอันน่ายกย่องเช่นนี้ ควรค่าแก่การเคารพอย่างแท้จริง
แม่นางน้อยนับตั้งแต่คิดค้นเคล็ดวิชาหลักของตนเอง พลังจิต สานึก
ของมันก็ข ยายตัวพรวดพราดอย่ า งก้ าวกระโดด จุดอ่อนสุดท้ายของมั น
เลื อ นหายไป แม่ น างน้ อ ยที่ ส ามารถแผลงฤทธิ์ ไ ด้ เ ต็ ม ที่ ก ลายเป็ น น่ า
สะพรึงกลัวยิ่ง น่าสะพรึงกลัวอย่างเหนือธรรมดาและผิดธรรมชาติ!
การเพิ่ ม พู น พลั ง จิ ต ส านึ ก ท าให้ พ ลั ง ฝี มื อ ของมั น ก้ า วหน้ า เพี ย งใด
สามารถเห็นได้จากศึกครั้งนี้ นับตั้งแต่ชั่วพริบตาที่เริ่มเปิดศึก จังหวะของ
การต่อสู้ก็อยู่ในกามือของมันแต่แรก
ตั้ ง แต่ ต้ น จนจบ มั น ไม่ เ ปิ ด โอกาสให้ ศั ต รู แ ม้ แ ต่ วู บ เดี ย ว ด าเนิ น
ยุทธการอย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่รีบไม่ร้อน ด้วยยุทธวิธีที่แทบจะเป็นการ
บีบคอหอย ค่อย ๆ กดดันพื้นที่ของอีกฝ่ายจนไม่เหลือช่องว่างให้ตอบโต้
อย่างไรก็ตาม แม่นางน้อยยังคงชื่นชมสือตงผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
หากมิใช่ว่าจิตสานึกของมันเพิ่งรุ ดหน้าเมื่อไม่นานมานี้ ผู้อ่ ืนจะทาให้
มันยุ่งยากลาบากมาก และหากการต่อสู้อยู่ในสภาพนั้นจริง เกรงว่าค่ายจู
เชวี่ยจะหลงเหลือผู้คนไม่ถึงหนึ่งในสามเท่านั้น มิใช่มีจานวนผู้เสียชีวิตเป็น
ศูนย์เหมือนเช่นในยามนี้
เหตุผลอีกประการที่ทาให้พวกมันช่วงชิงเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างขาด
ลอย ก็เนื่องเพราะระดับทหารของกองทัพปิศาจต่าชั้นกว่าชาวค่ายจูเชวี่ย
นี่ต้องขอบคุณจั่วม่อ การลงทุนยกระดับอาวุธยุทโธปกรณ์โดยไม่คานึงถึง
ค่าใช้จ่ายของจั่วม่อ ในที่สุดแสดงพลานุภาพออกมาอย่างชัดเจนในศึกนี้
แม่นางน้อยแน่ใจว่าแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามสมควรมีฝีมือไม่ด้อยกว่า แม่
ทัพบัญชาการศึกระดับทองมากนัก
ในเกาะเต่า ทั้ งหมด มีเพียงกงซุนชากั บจั่ วม่ อ เท่ านั้ นที่ มีพลั ง พอจะ
ต่อกรกับคนผู้นี้ กระทั่งซู่หลงยังไม่อาจยกขึ้นเทียบได้
น่าเสียดายที่ครั้งนี้สือตงพบพานแม่นางน้อยกงซุน แม่นางน้อยที่น่า
ขนพองสยองเกล้า ซึ่งแม้แต่แม่ทัพบัญชาการกองพลที่มีช่ อ
ื เสียงอวี้เหิง ยัง
เคยถูกมันเหยียบย่าจนจมพสุธามาแล้ว!
คู่ต่ อสู้ที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้ น่าเสียดาย อา น่าเสียดายนัก กงซุนชา
ทอดถอนด้วยอารมณ์ จากนั้นเปลี่ยนมาสั่งการเตรียมเผด็จศึก
“เตรียมจู่โจม เราจะปิดฉากศึกครั้งนี้ก่อนตะวันตกดิน”
ทันใดนั้นเอง กงซุนชาสายตาชะงักค้าง มันเห็นแม่ทัพฝ่ายศัต รู ก้าว
ออกมาจากกระบวนทัพเพียงลาพัง เซียนกระบี่ที่ด้านหน้าสุดคล้ายสนทนา
กั บ มั น สองสามค า จากนั้ น เหิ น ทะยานกลั บ มารายงานกงซุ น ชาอย่ า ง
รวดเร็ว
“ต้าเหริน พวกมันขอสวามิภักดิ!์ ”
บทที่ 520 ราชันทะเลเมฆ

ไม่มีผู้ใดคาดฝันว่าการต่อสู้จะจบลงในสภาพเช่นนี้
แม่นางน้อยพอได้รับนกกระเรียนกระดาษจากจั่วม่อ ก็ไม่รีรอลังเลใด
ๆ รีบยกทัพตรงไปยังแม่น้าอาณาจักรของอาณาจักรทะเลเมฆในบัดดล ถึง
ตอนนี้ ยั ง ไม่ มี ค นล่ ว งรู้ ว่ า เกาะเต่ า กุ ม ชั ย ชนะเหนื อ กองทั พ ปิ ศ าจอย่ า ง
เบ็ ด เสร็ จ เด็ ด ขาดแล้ ว ซิ ว เจ่ อ มากมายยั ง คงรวมตั ว กั น อยู่ ที่ ป ากแม่ น้ า
อาณาจักร เตรียมพร้อมหลบหนีออกจากอาณาจักรทะเลเมฆได้ทุกเมื่อ
เมื่ อแม่ น างน้ อ ยจู่ ๆ ปรากฏตั ว ขึ้ น พร้ อ มกองทั พ ก็ ขู่ ข วั ญ ซิ ว เจ่ อ
เหล่านี้จนขวัญหนีดีฝ่อ กระทั่งขุมกาลังที่เป็นผู้ครอบครองจุดพักเท้าเหนือ
ปากแม่น้าอาณาจักรยังเข้าใจว่าเกาะเต่าพ่ายแพ้แล้วและกาลังจะหลบหนี
เช่นกัน ในความแตกตื่นลนลาน พวกมันละทิ้งค่ายทัพ โกยอ้าวออกจาก
อาณาจักรทะเลเมฆในทันใด
ด้ ว ยเหตุ ฉ ะนี้ เ อง แม่ น างน้ อ ยเข้ า ยึ ด ค่ า ยทั พ เหนื อ ปากแม่ น้ า
อาณาจักรอย่างสะดวกดาย โดยไม่เสียแรงแม้แต่ยกกระบี่สักครั้ง
ซิวเจ่อที่เพิ่งแตกฮือหลบหนีได้ไม่นาน พอเห็นแม่นางน้อยเข้ายึดจุด
พักเท้า พลันตระหนักถึงความจริงประการหนึ่ง... ...
เกาะเต่าเป็นฝ่ายได้ชัยเหนือกองทัพปิศาจ!
จริงดังคาด ข่าวชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพวกมันได้รับการ
ยืนยันอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนลิงโลดยินดีแทบคลุ้มคลั่ง!
ในยามนี้ อาณาจักรทะเลเมฆตกอยู่ในกามือของจั่วม่ออย่างสมบูรณ์
พวกมันกลายเป็นจู่เหรินที่แท้จริงของอาณาจักรทะเลเมฆ
จั่วม่อกลายเป็นราชันทะเลเมฆ!
บรรดาซิวเจ่อที่เดิมทีคิดหลบหนี พากันหวนคืนบ้านช่องของตนอย่าง
ปรีดา หากไม่ต้องเผชิญมหันตภัยจากกองทัพปิศาจ ผู้ใดยินดีระหกระเหิ น
จากบ้านเกิดเมืองนอน?
ความเข้มแข็งของเกาะเต่าสะท้านใจผู้คนนัก!
ถึงตอนนี้ยังจะมีขุมกาลังใดไม่ล่วงรู้ถึงความทะเยอทะยานของจั่วม่อ
อี ก ? แต่ เ หตุ ก ารณ์ ล่ ว งเลยมาถึ งขั้ นนี้ พวกมั น ยั ง จะกระท าสิ่ง ใดได้เล่า ?
ต่อสู้ แข็ งขืน เช่ นนั้น หรื อ ? ผู้อ่ ื นกระทั่ งกองทั พปิ ศาจยัง ทุบตี จ นราบคาบ
เช่นนั้นการจะเชือดพวกมันทิ้ง ไยมิใช่ลาบากเพียงยกมือเท่านั้น?
ขุมกาลังที่ไม่ยินดีอยู่ใต้ร่มธงของเกาะเต่า สุดท้ายก็พากันออกจาก
อาณาจั ก รทะเลเมฆโดยดุ ษฎี แต่ ห ลายตระกู ล มี ร ากฐานอั นลึก ล้า อยู่ใน
อาณาจักรทะเลเมฆ ดังนั้นตัดสินใจรั้งอยู่
ที่เหนือความคาดหมายของจั่วม่อกับแม่นางน้อย ก็คือคนส่วนใหญ่
ตัดสินใจรั้งอยู่
จั่วม่อค่อยเข้าใจว่าผู้คนโดยมากในอาณาจักรทะเลเมฆหาได้สนใจไม่
ว่าผู้ใดจะปกครองพวกมัน เกาะเต่าเข้มแข็งพอที่จะปกป้องคุ้มครองพวก
มัน มอบความรู้สึกปลอดภัยคลายกัง วลให้แ ก่พวกมัน เท่านั้นก็เพียงพอ
แล้ว
ภายใต้มหาพิบัตินภาสลาย ไฟสงครามลุกลามไปทั่วทุกสารทิศ ตลอด
หลายวันมานี้ ข่าวสารจากอินกุยคอยรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง ทุกพื้นที่
ล้วนกลายเป็นสนามรบ หลายสถานที่เปลี่ยนเป็นพื้นดินไหม้เกรียม หรือไม่
ก็กลายเป็นภูเขาที่สุมซ้อนด้วยกองซากศพ ดูเหมือนว่าเพียงชั่วข้ามคืน ภพ
ซิวเจ่อก็กลับกลายเป็นกลียุคไปแล้วจริง ๆ!
ในกลี ยุ ค ที่ ชี วิ ต ผู้ ค นไร้ คุ ณ ค่ า ความหมาย นายเหนื อ หั ว ที่ ส ามารถ
ปกป้องชีวิตของพวกมัน นับว่าเพียงพอจะทาให้คนส่วนใหญ่พึงพอใจมาก
แล้ว
แต่ ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ ความยุ่ ง ยากของมั น เพิ่ ง เริ่ ม ต้ น ขึ้ น เท่ า นั้ น มั น ยุ่ ง
วุ่นวายจนหัวหมุนงุนงงทุกวี่วัน
อาณาจักรทะเลเมฆอันกว้างใหญ่ไพศาล นับเป็นดินแดนใหญ่โตที่สุด
เท่ า ที่ มั น เคยปกครอง ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ คนป่ า คนดอยที่ ไ ม่ รู้ ค วามจาก
อาณาจักรเล็ก ๆ ทั้งยังมีชาติกาเนิดจากเกษตรกรปราณตัวน้อย ๆ หน้าที่
รั บ ผิ ด ชอบในฐานะราชั น แห่ ง อาณาจั ก รเป็ น เรื่ อ งแปลกใหม่ ส าหรั บ มั น
ก่อกวนจนจั่วม่อหัวหมุนงุนงงไปหมด เรื่องการบริหารอันละเอียดซับซ้อน
กองสุมเป็นภูเขาเลากาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้ แก่มัน จนแทบ
หลั่งน้าตา ไม่ทราบจะเริ่มจับต้นชนปลายจากที่ใด
ในความอับจนปัญญา มันได้แต่ขอความช่วยเหลือจากผูเยากับเว่ย
“เฮอะ ที นี้ เ จ้ า เห็ น แล้ ว หรื อ ไม่ ข้ า นึ ก อยู่ แ ล้ ว ว่ า เรื่ องเช่ น นี้ จ ะต้ อ ง
เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว” ผูเยายิ้มเหยียดหยาม หันไปกล่าวกับเว่ยราวกับจั่วม่อ
ไม่มีตัวตน ทั้งเยาะเย้ยถากถางอย่างไม่คิดจะปิดบัง “เจ้าเด็กน้อยเป็น แค่
คนป่าคนดอยจากป่าเขาบ้านนอก มันอาจสามารถจัดการกับการค้าเล็ก ๆ
ที่ ไ ม่ ต้ อ งลงทุ น ลงแรงในระยะยาว แต่ ค ราครั้ ง ถึ ง กั บ เหิ ม เกริ ม คิ ด เป็ น ผู้
ครองแคว้นเล็ก ๆ ฮ่า ไยไม่รู้จักประมาณตนบ้างว่าตนเองมีความสามารถ
อยู่สักเท่าใด!”
เว่ ย ไม่ ส นใจค าดู ถู ก เหยี ย ดหยามของผู เ ยา บนใบหน้ า ประดั บ ด้ ว ย
รอยยิ้มอบอุ่นเป็นกันเอง กล่าวกับจั่วม่อว่า “เจ้ามีปัญหาใช่หรือไม่?”
จั่วม่อเย็นสันหลังวาบ สองเฒ่าไม่ยอมตายคู่นี้ล้วนไม่ใช่ตัวดี!
ในทั้ งหมดทั้ งมวล จั่ วม่ อ แน่ ใ จในข้ อ นี้ เ ป็ น ที่ สุ ด ไม่ จ าเป็ น ต้ อ ง
กล่าวถึงผูเยา อสูรเฒ่าหนังเหนียวไม่ใช่คนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร แต่เว่ย
กลั บ ยิ่ ง เลวร้ า ยกว่ า อย่ า ได้ เ ห็ น ว่ า มั น ดู น่ า สนิ ท ชิ ด เชื้ อไม่ มี พิ ษ มี ภั ย แต่
ระดับความเป็นอันตรายหาได้ด้อยกว่าผูเยาแม้แต่น้อยไม่
จั่วม่อจงใจไม่ตอบสนองต่อสะพานที่เว่ยทอดให้ข้ามไป
มันต้องสร้างความขัดแย้งระหว่างสองของเก่าโบราณคู่นี้... ...
ทั น ใดนั้ น จั่ ว ม่ อ ตาเป็ น ประกาย หั น ไปถามอย่ า งกะทั น หั น “ผู เ ยา
กองทัพอสูรของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ผูเยาสีหน้ากลายเป็นมืดทะมึนทันที ความเดือดดาลพลุ่งพล่านอยู่ใน
ดวงตาสีโลหิต เหล่าเศษสวะที่ไร้ความสามารถพวกนั้น เหล่าตัวโง่งม เศษ
สวะชั ด ๆ! แม้ ว่ า มั น จะทุ่ ม เทใช้ ทุ ก วิ ถี ท าง แต่ พ้ ื นฐานของคนเหล่ า นี้
อ่อนแอเกินไป จนถึงตอนนี้ยังไม่อาจสนองตอบต่อความต้องการของผูเยา
ได้
“กองทั พ อสู ร ?” เว่ ย แย้ ม ยิ้ ม อย่ า งสนอกสนใจ ไม่ ต้ อ งสงสั ย เลยว่ า
ระยะหลัง ๆ มานี้ผูเยาไม่ค่อยอยู่กับที่นัก ที่แท้ลอบเพาะสร้างกองทัพอสูร
ขบวนหนึ่ง
ดูเหมือนว่าเจ้าผู้นี้ยังคงคุมแค้นที่มันฉกชิงค่ายเว่ยไปต่อหน้าต่อตา!
จั่วม่อเมินเฉยต่อสีหน้ามืดทะมึนของผูเยา แสร้งกล่าวราวพึมพ ากับ
ตัวเอง “ไม่ว่าคุกสิบนิ้วจะน่าอัศจรรย์เพียงใด ก็ยังเป็นแค่คุกสิบนิ้วเท่านั้น
ไม่มีทางทดแทนการฝึกฝนกองทัพได้ท้งั หมด”
“วาจาไร้สาระ!” ผูเยาสุ้มเสียงเย็นเยียบ สีหน้าคล้ายอยากจะฆ่ าคน
มันเองก็ล่วงรู้ว่าวาจาของจั่วม่อกล่าวไม่ผิด คุกสิบนิ้วแม้อัศจรรย์พั น ลึ ก
แต่ก็มีข้อจากัดเช่นกัน อย่างน้อยก็ไม่อาจทดแทนการต่อสู้ที่แท้จริงได้ ใน
ตอนแรกเริ่มหนานเยว่กับพวกพลังฝีมือรุ ดหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ในไม่ช้า
ผลกระทบจากการขาดแคลนการฝึ ก ต่ อ สู้ ก็ เ ริ่ ม จะเผยตั ว เองออกมา
ความเร็วในการรุดหน้าของพวกมันชะลอช้าลงมาก
แต่ อุ บ าทว์ บั ด ซบ ผู เ ยาต้ า เหริ น ผู้ ยิ่ ง ใหญ่ อ ย่ า งข้ า ใช่ ค นที่ เ ด็ ก น้ อ ย
เยี่ยงเจ้าสามารถหัวร่อเยาะได้หรือ?
ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยไม่ได้ถูกสั่งสอนนานเกินไปแล้ว ถึงกับกล้าเหิม
เกริมถึงเพียงนี้!
ผูเยาขุ่นข้องขัดเคืองยิ่ง ขณะที่กาลังจะลงมือสั่งสอนจั่วม่อให้ห ลาบ
จาเสียบ้าง จั่วม่อพลันกล่าวว่า “ข้ามีวิธีดี ๆ”
“ฮ่าฮ่า!” ผูเยาแหกปากหัวร่องอหาย คล้ายเพิ่งได้ฟังเรื่องที่น่าขบขัน
ที่สุดในโลก ไม่ปกปิดสายตาดูถูกเหยียดหยามแม้แต่น้อย “เจ้าน่ะหรือ คน
ป่าคนดอยอย่างเจ้าหรือมีวิธีดี ๆ ! ฮ่าฮ่า น่าขบขันแทบตายแล้ว!”
จั่ ว ม่ อ มี ค วามต้ า นทานต่ อ การดู ถู ก เหยี ย ดหยามของผู เ ยามานาน
กล่าวด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “ลองฟังดูก่อนเป็นไร ค่อยหัวร่อทีหลังก็
ยังไม่สาย”
เสียงหัวร่อของผูเยาขาดหายไปทันควัน มันเขม้นมองจั่วม่อตาเขม็ง
ชั่วอึดใจให้หลัง ค่อยเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “หวังว่าเจ้าจะมีวิธีที่ดี
จริง ๆ มิเช่นนั้นละก็ ฮี่ฮี่!”
จั่วม่อกล่าวอย่างจริงจัง “มหาพิบัติ นภาสลายก่อให้เกิดรอยแยกแห่ง
ความโกลาหลมากมาย รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลเหล่ า นี้ เ ชื่ อมโยง
ระหว่างภพอสูร ภพปิศาจและภพซิวเจ่อ ข้ากล่าวเช่นนี้ มีสิ่งใดผิดพลาด
หรือไม่?”
“วาจาไร้สาระอย่าได้กล่าวแล้ว!” ผูเยาแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เว่ยบนใบหน้าประดับรอยยิ้มจาง ๆ มันนั่งนิ่งเงียบงัน ไม่คิดเสนอหน้า
เข้ายุ่งเกี่ยว เพียงรับฟังอย่างระมัดระวัง
“ดินแดนของอสูรปิศาจและซิวเจ่อ เชื่อมโยงถึงกันด้วยรอยแยกแห่ง
ความโกลาหล แทนที่จะต้องเดินทางผ่านมหานครนภาโลหิตเหมือนเช่นใน
อดีต กล่าวได้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายหดแคบลง!”
ขณะที่ผูเยาใกล้จ ะหมดความอดทนอยู่ รอมร่ อ จั่วม่อพลันกล่ า วว่ า
“บางทีเราอาจสามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ชักนาหนานเยว่กับพวกมา
ที่นี่โดยตรง!”
“ค่ายกลเคลื่อนย้าย?” ผูเยางงงันวูบ จากนั้นมีสีหน้าครุ่นคิด ชั่วอึดใจ
ให้ ห ลั ง ค่ อ ยสั่ น ศี ร ษะพลางกล่ า ว “เป็ น ไปไม่ ไ ด้ ! เราไม่ ส ามารถระบุ
ตาแหน่งที่แน่ชัดของพวกมัน!”
“เจ้าทราบหรือไม่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายบางชนิดประกอบด้วยฝ่ายหยิน
และฝ่ายหยาง หากหนานเยว่กับพวกสามารถก่อตั้งค่ายกลฝ่ายหยิน ลอง
นึกดูว่าจะเป็นอย่างไร?” จั่วม่อย้อนถาม
ผูเยาพลันดวงตาสว่างวาบ มันก็เป็นบุคคลอันปราดเปรื่องยิ่งผู้หนึ่ง
พอฟังก็เข้าใจสิ่งที่จ่ว
ั ม่อกาลังคิดทันที
ค่ายกลเคลื่อนย้ายบางประเภทแบ่งออกเป็นค่ายกลหยินและค่ายกล
หยาง ทั้งสองค่ายกลจะตั้งอยู่คนละสถานที่กัน ด้วยวิธีนี้ค่ายกลหยินหยาง
จะเชื่อมต่อกัน กลายเป็นเส้น ทางที่แน่นอนและเฉพาะเจาะจง หากหนาน
เยว่กับพวกสามารถก่อตั้งค่ายกลหยินในภพอสูร ทางฝั่ งนี้ก็จ ะก่อตั้งค่าย
กลหยาง นั่นหมายความว่า... ...
ซึ่งความจริงรอยแยกแห่งความโกลาหลที่เกิดจากมหาพิบัติฟ้าสลาย
ก็เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบเดียวกันนี้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ผูเยาขบคิดถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นยังคงสั่นศีรษะ
พลางกล่าว “ค่ายกลเคลื่อนย้ายสลับซับซ้อนยิ่ง กระทั่งซิวเจ่อส่วนใหญ่ยัง
ไม่มีปัญญาเข้าใจ อย่าว่าอสูรน้อยโง่งมเหล่านัน
้ แล้ว”
“เรามีเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน” จั่วม่อกล่าวอย่างลาพองใจ “เมล็ดพันธุ์
ดวงตะวันสามารถนาเข้าสู่คุกสิบนิ้วและสามารถนาออกไป เราสามารถ
สลักค่ายกลเคลื่อนย้ายลงบนเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน แล้วใช้คุกสิบนิ้วส่งมัน
ไปให้แก่หนานเยว่ ว่าอย่างไร สมควรเป็นไปได้กระมัง?”
“อืมม์ ความคิดนี้น่าสนใจไม่น้อย!” ผูเยาอึ้งงันไปชั่วอึดใจ จากนั้นมีสี
หน้าครุ่นคิดแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เราคงต้องทดลองดู”
ความคิดของจั่วม่อเรียกได้ว่าหาญกล้าบ้าบิ่นเหนือธรรมดา
“ ข้ า จ ะ ม อ บ เ มล็ ด พั นธุ์ ด ว ง ตะ วั นใ ห้ แ ก่ เ จ้ า ส่ ว น เ รื่ อ ง ค่ ายกล
เคลื่อนย้าย เจ้าสามารถไปหากู้หมิงกง ตาเฒ่าผู้นั้นฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง”
จั่วม่อกล่าวอย่างใจกว้าง
“เฮอะ!” ผูเยาแค่นเสียง ไม่ได้ตอบรับคาจั่วม่อ แต่กล่าวไปอีกทางว่า
“บรรดาเรื่องเล็กน้อยในอาณาจักรทะเลเมฆ เจ้าจะต้องมอบหมายให้เป็น
หน้าที่ของขุมกาลังท้องถิ่นเหล่านั้น ให้พวกมันดูแลจัดการกัน อย่างเต็ม ที่
หากพวกมันกระทาได้ดีก็ต บรางวัล ให้ แต่หากทาได้ไม่ดี ก็สั่งสอนพวกมัน
ให้หลาบจา ขณะเดียวกันเจ้าต้องรวบรวมซิวเจ่อที่แข็งแกร่งของพวกมัน
ก่อตั้งเป็นกองพันใหม่ที่มีคนของเจ้าเป็นผู้นา ผนวกรวมพวกมันเข้าเป็น
กองทัพของเจ้าเองเสีย ผู้ใดยังจะกบฏต่อเจ้าอีก?”
จั่วม่อตบหน้าผากแปะ กระจ่างแจ้งทะลุปรุโปร่งในบัดดล
ผูเยาเพียงกล่าวไม่กี่ คา แต่จ าระไนศาสตร์แห่งการปกครองทั้งหมด
ออกมาอย่างง่ายดาย ชี้ตรงไปยังจุดสาคัญของเรื่องราว!
จั่วม่อไม่ใช่ตัวโง่งม มันเพียงแค่สับสนงุนงงเพราะไม่เคยต้องรับมือ
เรื่องเช่นนี้มาก่อน เมื่อได้รับการชี้แนะในวันนี้ ทุกสิ่งก็แจ่มแจ้งทันที
มันออกจากทะเลแห่งจิตสานึกอย่างลิงโลดยินดี
ตั้งแต่ต้นจนจบ เว่ยไม่กล่าววาจาแม้ แต่ค รึ่งค า ใบหน้าประดั บ ด้ ว ย
รอยยิ้มจาง ๆ ไม่ทราบว่ากาลังครุ่นคิดสิ่งใด

สือตงจ้องมองเยี่ยหลิงอย่างเย็นชา
แต่เยี่ยหลิงไม่สะทกสะท้าน “สือตงต้าเหรินมีคาถามกระมัง?”
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่?” สือตงแค่นเสียงถามอย่ าง
เย็นชา มือเลื่อนไปเกาะกุมด้ามดาบตั๊กแตนที่ข้างเอว
“จริงแท้แน่นอน!” เยี่ยหลิงกล่าวอย่างสัตย์ซ่ ือ “ทหารของข้าทุกคน
ล้วนได้ชมดูสังขารปิศาจมหาทิวาของต้าเหรินด้วยตาตัวเอง หากสือตงต้า
เหรินไม่เชื่อ ท่านสามารถถามใครก็ได้”
สือตงสีหน้ายังเย็นเยียบดุจเดิม “แต่บริวารของมันเป็นซิวเจ่อ!”
“มีซิวเจ่อ!” เยี่ยหลิงแก้คาผิดในวาจาของสือตง “ค่ายเว่ย ค่ายที่ผู้
บั ญ ชาการคนใหม่ ข องข้ า ซู่ ห ลงต้ า เหริ น เป็ น ผู้ บั ญ ชาการ พวกมั น ล้ ว น
ฝึกปรือทักษะปิศาจ สือตงต้าเหรินอาจเคยได้ยินชื่อวิชานี้ ‘เคล็ดองครักษ์
ทุกข์ยาก!’”
“เคล็ ด องครั ก ษ์ ทุ ก ข์ ย าก!” สื อ ตงม่ า นตาหดแคบอย่ า งฉั บ พลั น
แน่ น อนว่ า มั น ต้ อ งเคยได้ ยิ น นามนี้ ทั ก ษะปิ ศ าจวิ ช านี้ เ ป็ น สิ่ ง ที่ บ รรดา
องครักษ์ของขุนพลปิศาจชัน
้ ยอดนิยมฝึกปรือ มีช่ อ
ื เสียงกระเดื่องดังยิง่
“มิผิด เป็น ‘เคล็ดองครักษ์ทุกข์ยาก’ ที่องครักษ์ของขุนพลปิศาจส่วน
ใหญ่ฝึกปรือกัน” เยี่ยหลิงกล่าวด้วยสีหน้าหนัก แน่น “แต่ ‘เคล็ดองครักษ์
ทุ ก ข์ ย าก!’ ที่ พ วกซู่ ห ลงต้า เหริน ฝึก ปรื อไม่ ใ ช่ ‘เคล็ ด องครั ก ษ์ ทุก ข์ยาก’
ธรรมดา ทว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ผ่านการแก้ไขดัดแปลงจากต้าเหรินที่ร้ายกาจ
ยิ่ ง ผู้ ห นึ่ ง โดยอาศั ย สั ง ขารปิ ศาจมหาทิว าเป็ นรากฐาน กลายเป็ น ทักษะ
ปิศาจวิชาใหม่ที่เรียกว่า ‘เคล็ดองครักษ์ทุกข์ยากมหาทิวา!’“
สือตงตื่นตระหนกสุดระงับ
“ต้าเหรินที่ส ามารถใช้สังขารปิศาจมหาทิวามาดัดแปลงแก้ไขเคล็ด
องครักษ์ทุกข์ยาก ยังจะสามารถเป็นซิวเจ่อได้หรือไม่?” เยี่ยหลิงย้อนถาม
สือตงเงียบกริบ
มั น ทราบว่ า เยี่ ย หลิ ง กล่ า วไม่ ผิ ด คนที่ มี ค วามสามารถพอที่ จ ะใช้
สังขารปิศาจมหาทิวามาดัดแปลงแก้ไขเคล็ดองครักษ์ทุกข์ยาก จะต้องเป็น
ยอดคนอาวุโสที่มีความเข้าใจในทักษะปิศาจอย่างลึกซึ้ง ยอดคนเช่นนี้ไม่มี
ทางที่จะเป็นซิวเจ่อไปได้ นี่มิเพียงไม่อาจเป็นซิวเจ่อ ยังไม่อาจเป็นอสูรอีก
ด้วย มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่ งเดียว นั่นคือสมควรเป็นปิศาจที่ทรงพลัง
อานาจผู้หนึ่ง จอมปิศาจที่ทรงพลังอานาจเหนือธรรมดา!
“ฝึกปรือสังขารปิศาจมหาทิวา เพาะสร้างกองทัพปิศาจ ทั้งยังมีจอม
ปิศาจอาวุโสที่ลึกล้าสุดหยั่งถึงอยู่ข้างกาย ข้าไม่อาจคิดได้ว่าต้าเหรินยังจะ
เป็นอะไรอื่นไปได้ หากมิใช่เผ่าปิ ศาจเรา” เยี่ยหลิงกล่าวอย่างเยือ กเย็ น
และชาญฉลาด
สือตงนิง่ เงียบงันไปชัว
่ ครู่ ก่อนจะถามว่า “แล้วซิวเจ่อเหล่านัน
้ เล่า?”
“ที่ นี่ คื อ ภพซิ ว เจ่ อ ! สื อ ตงต้ า เหริ น !” เยี่ ย หลิ ง สะกิ ด เตื อ นให้ สื อ ตง
สานึกถึงความเป็นจริง “ลาพังกองทัพปิศาจไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในภพ
ซิ ว เจ่ อ ได้ ต้ า เหริ น จ าเป็ น ต้ อ งมี ซิ ว เจ่ อ ! ซึ่ ง ความจริ ง ท่ า นสมควรชื่ น ชม
ความยอดเยี่ยมของต้าเหรินจึงจะถูก ในฐานะปิศาจกลับมีกองทัพซิวเจ่อที่
ร้ายกาจยินยอมรับใช้! นี่ไม่เรียกประเสริฐเลิศล้าจะเรียกอะไร?”
สือตงฝืนยิ้มขมขื่น มันในที่สุดถูกเกลี้ยกล่อมคล้อยตาม
มันทรุดนั่งลงอย่างสลดหดหู่
เยี่ยหลิงมองดูสือตงอย่างเข้าอกเข้าใจ กล่าวปลอบประโลมว่า “ข้า
ทราบว่าสือตงต้าเหริน ท่ านรู้สึ กอย่ างไร ส าหรับท่านการยอมสวามิ ภั ก ดิ์
ยากจะยอมรับ ได้ แต่ ห ากท่ า นมองจากอีก มุ มหนึ่ง สื อ ตงต้ า เหริ น นี่ มิ ใ ช่
โอกาสทองของพวกเราหรอกรึ?”
มันเพ่งมองสือตงอย่างเคร่ งเครียด กล่าวเน้นเสียงทีละคา “สือตงต้า
เหริน กี่ปีมาแล้วที่อาณาจักรป่าเถื่อนน้อยเราไม่ได้ให้กาเนิดราชัน?”
สือตงสะท้านขึ้นทั้งร่าง เงยหน้าเขม้นมองเยี่ยหลิง ดวงตาคมกล้าดุจ
คมมีด “เจ้าคิดว่ามันสามารถเป็นราชัน?”
“อาจเป็นได้หรืออาจไม่ได้” เยี่ยหลิงสุ้มเสียงสงบราบเรียบ “แต่เท่าที่
ข้าเคยพบเห็นมาชั่วชีวิต ของข้า ต้าเหรินเป็นปิศาจที่มีคุณสมบัติยิ่งใหญ่
ที่สุดที่จะกลายเป็นราชัน!”
“เจ้ายินยอมเดิมพัน ด้ว ยทุ กสิ่งทุ ก อย่า งเทีย วหรือ ?” สือตงถาม สุ้ม
เสียงเต็มไปด้วยอาการเหยียดหยามเย้ยหยัน
เยี่ยหลิงไม่สะทกสะท้าน ยังคงแย้มยิ้มดุจเดิม “แล้วเรามีอะไรอีกบ้าง
เล่า? สือตงต้าเหริน?”
สือตงนิง่ เงียบงันไปอีกครา
บทที่ 521 ผู้ติดตาม

เมื่ อ แก้ ไ ขปั ญ หาของการมีอ านาจเหนืออาณาจัก รได้ แ ล้ว จั่ ว ม่ อ ใน


ที่สุดค่อยมีโอกาสได้หายใจหายคออย่างโล่งอก เริ่มคิดถึงการเสาะหาตัว
อ่อนเมฆวารีมารักษาอากุ่ย
อาการของอากุ่ ยก าลัง เป็น ไปในทางที่ ดี แม้ว่านางยั งคงแข็ง ทื่ อดุ จ
ท่อนไม้ แต่สามารถตอบสนองมากกว่าเดิม
“อีกไม่กี่วันเราจะได้ไปเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีกันแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น
เจ้าจะหายดีดังเดิม!” จั่วม่อเบิกบานใจยิ่ง หากพวกมันหาตัวอ่อนเมฆวารี
พบ ก็จะสามารถรักษาอากุ่ย
กับโฉมหน้าอัปลักษณ์ของอากุ่ย จั่วม่อไม่ได้รู้สึกขัดตาแม้แต่น้อย บน
ใบหน้ามันปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู
มือของมันรู้สึกเย็น วาบ เป็นมือน้อย ๆ ที่เย็นเฉียบข้างหนึ่ง คว้ า มื อ
ของมันเอาไว้
อากุ่ยดีวันดีคืน ทุกครั้งที่นางรู้สึกว่าจั่วม่ออยู่ใกล้ ๆ นางจะปรากฏขึ้น
ข้างกายจั่วม่อทันที สิง่ ที่นางชอบทามากที่สุดคือจับมือของจั่วม่อเอาไว้
จั่ ว ม่ อ ปล่ อ ยให้ น างจั บ มื อ ของมั น อี ก มื อ หนึ่ ง ก็ ลู บ ศี ร ษะนางเบาๆ
กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “รอให้เจ้าหายดี นกโง่กับเหล่าเจ้าตัวเล็กจะต้องยินดี
เป็นอย่างงยิ่ง”
ภายในมุมหนึ่ง นกโง่ที่อ้วนกลมนอนหลับตาสนิท ไม่ได้ตอบโต้แม้แต่
น้อย
มองดู รั ง นกที่ มี ส่ ว นประกอบจากเส้น ผมของอากุ่ ย จั่ ว ม่ อ อดแหงน
หน้าหัวร่อดังสนั่นไม่ได้
อากุ่ยยังคงยืนนิ่งเงียบงันอยู่ข้างกายจั่วม่อ ไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่
น้อย

“เจ้าไฉนมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว? ใช่มีอะไรในใจหรือไม่?”
เสียงหมิงเจวี๋ยจื่อดังมาจากด้านหลังหนานเยว่ มันก้าวเข้ามาถึงข้ าง
กายหนานเยว่แล้วทรุ ดนั่งลง ในระยะหลังมานี้ทุกผู้คนฝึกฝนร่วมกัน ร่วม
เผชิญการฝึกนรกสุดหฤโหดและอดทนต่อความยากลาบากด้วยกัน เพาะ
สร้างเป็นความสัมพันธ์อันสนิทสนมราวกับพี่น้องร่วมอุทร
เมื่อสักครู่ที่ฝึกปรืออยู่ในคุกสิบนิ้ว ผูเยาตาหนิหนานเยว่อย่างรุ นแรง
หนานเยว่ พ อออกจากคุ ก สิ บ นิ้ ว ก็ วิ่ ง หายออกมาเพี ย งล าพั ง ทุ ก คนรู้ สึ ก
ห่ ว งใยกั ง วล จึ ง ส่ ง หมิ ง เจวี๋ ย จื่ อที่ เ ชี่ ย วชาญการเจรจามากที่ สุ ด มา
ปลอบโยนหนานเยว่
“ข้าใช่โง่เขลาเกินไปหรือไม่?” หนานเยว่เสียงสั่นเครือเหมือนจะร่าไห้
ขอบตาแดงก่ า สี ห น้ า เศร้ า สร้ อ ย “ข้ า มั ก ไม่ ส ามารถท าตามที่ ผู ต้า เหริน
คาดหวังได้สาเร็จ”
กระทั่งหนานเยว่ผู้ทรหดอดทนยังถูกตาหนิจนมีสภาพเช่นนี้ ก็ไม่ต้อง
เอ่ยถึงผู้อ่ น
ื แล้ว หมิงเจวี๋ยจื่อยิง่ หวาดกลัวผูเยาจนหัวหด
“ในหมู่พวกเรา ไม่มีใครทาตามที่ผูต้าเหรินคาดหวังได้ห รอก” หมิง
เจวี๋ยจื่อปลอบโยน “นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ทุ่มเท ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ข ยันหมั่นเพียร
แต่เป็นเพราะความต้องการของผูต้าเหรินสูงเกินไป! อันที่จริ งข้าว่าต่อให้
เป็นบรรดาหัวกะทิในต าหนักศาสตร์อสูรระดับสูง ยังไม่มีปัญญาบรรลุถึง
สิ่งที่ผูต้าเหรินต้องการเสียด้วยซ้า! เจ้าทาได้ถึงขั้นนี้ข้าก็ว่ายอดเยี่ยมมาก
แล้ว ในบรรดาพวกเราทั้งหมดเจ้าก้าวหน้ารวดเร็วที่สุด!”
หนานเยว่เม้มปากแน่น ยังคงไม่กล่าววาจา
“ผูต้าเหรินอาจจะเข้มงวด แต่นี่ก็เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง ลอง
ดูความแข็ง แกร่งของเราในตอนนี้ เมื่อเทียบกั บกาลก่อน พวกเราคนใด
ไม่ได้มีพลังฝีมือรุดหน้าหลายเท่าตัว?”
หมิงเจวี๋ยจื่อปากกล่าวเช่นนี้ ในใจก็ล อบเปรียบเทียบพลังฝีมือของ
ตนในอดีตกับปัจจุบัน ค่อยค้นพบอย่างตื่นตะลึง ว่าตัวมันเองก็รุดหน้าก้าว
ไกลโดยไม่ทันสังเกตจริง ๆ!
“ข้าคิดถึงต้าเหริน” หนานเยว่เสียงเจือสะอื้น “ต้าเหรินไม่เคยเป็ น
เช่นนี้”
หวนนึกถึงช่วงเวลาที่จ่ัวม่อค่อย ๆ สั่งสอนนาง หนานเยว่อดโหยหา
อาวรณ์ไม่ได้
“ใช่แล้ว ข้าละสงสัยนักว่าต้าเหรินกาลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับ เรื่องอันใด?”
หมิงเจวี๋ยจื่อทอดถอนใจเป็นเพื่อนนาง สายตาเหม่อมองไปยังที่ห่างไกล
“แต่มิใช่ว่าผูต้าเหรินอยู่ กับต้า เหรินหรอกหรื อ ? ทุกคนพากันคาดเดาว่ า
ผูต้าเหรินสมควรเป็นผู้อาวุโสในตระกูลของต้าเหริน ข้าไม่รู้ว่าต้าเหรินสืบ
เชื้อสายจากตระกูล ใด แต่สาหรับตระกูลที่มีผู้ อาวุโสที่ทรงพลังอานาจถึง
เพียงนี้ อาจเป็นหนึ่งในตระกูลยิ่งใหญ่ในตานาน”
“ไม่ ว่ า ต้ า เหริ น จะเป็ น ใคร ข้ า ก็ เ ป็ น ผู้ ติ ด ตามของต้ า เหริ น ! เป็ น
ผู้ติดตามของต้าเหรินตลอดไป!” หนานเยว่สุ้มเสียงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“อา ข้าก็เช่นกัน” หมิงเจวี๋ยจื่อตอบกลับเสียงหนักแน่นสดใส สีหน้า
เคร่งขรึมจริงจัง
หนานเยว่ จู่ ๆ ก็ ผุ ด ลุ ก ขึ้ น ดวงตาคู่ ง ามยั ง คงแดงก่ า แต่ สี ห น้ า กลับ
กลายเป็นเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง
“เป็นอะไรไป?” หมิงเจวี๋ยจื่องุนงงอยู่บ้าง
“ข้าจะไปฝึกต่อ!” หนานเยว่ร้องบอกโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา
“ข้าคือผู้ติดตามของต้าเหริน!”
ร่างงามหายวับไปกับสายลม ขณะกล่าวทิ้งท้ายราวกับคาสาบานอัน
หนักแน่น

กู้หมิงกงดวงตาบวมแดงเหมือนลูกท้อสองลูก มันไม่ได้พักผ่อ นหลับ


นอนมาสิบวันสิบคืนเต็ม การหักโหมทางานอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ต่อให้เป็น
จินตันยังแทบทนทานรับไม่ไหว! ไม่ว่าผู้ใดหากพบเห็นมันในยามนี้ อาจ
จดจาไม่ได้ว่ามันคือเทพเซียนแห่งยันต์ ปรมาจารย์หลอมสร้างกู้หมิงกง
มันถลึงตามองเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันที่อยู่ตรงหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้พบเห็นเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน กู้ห มิงกงตื่นเต้น
ยินดีเสียจนร่างสัน
่ ระริกไม่หยุด สมบัติ! สมบัติล้าค่าหาใดเปรียบ! และเมื่อ
มั น ล่ ว งรู้ ว่ า นี่ คื อ เมล็ ด พั น ธุ์ ที่ ถื อ ก าเนิ ด จากพฤกษาเทพสุ ริ ยั น ความสุ ข
หรรษาที่ยากจะบ่งบอกบรรยายก็แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในร่างกาย
โอ้ สวรรค์!
พฤกษาเทพสุริยัน พฤกษาเทพสุริยันในต านาน มิใช่ว่าสูญพั น ธุ์ ไ ป
นานปีแล้วหรอกหรือ?
รอจนเมื่อมันทราบว่าจะได้รับเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันจานวนหนึ่งเพื่อ
ทาการศึกษาค้นคว้า มันลิงโลดยินดีจนแทบเป็นลมล้มพับไป สาหรับเซียน
ยันต์ที่มีฝีมือหลอมสร้างผู้หนึ่ง ไม่มีสงิ่ ใดน่าปลาบปลื้มยิง่ กว่าการได้หลอม
สร้างวัตถุดิบในตานานอีกแล้ว
จากนั้นมันค่อยล่วงรู้จิตเจตนาของผู้อ่ ืน อีกฝ่ายเพียงต้องการให้กู้หมิ
งกงสลักค่ายกลเคลื่อนย้ายขบวนหนึ่งลงไปในเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน
กู้หมิงกงแทบคลั่งใจตาย!
ค่ายกลเคลื่อนย้ าย! อีกฝ่ายกาลังกล่ า วถึง ค่ ายกลเคลื่อ นย้ าย! มหา
สมบั ติ อั น ประเมิ น ค่ า มิ ไ ด้ นี้ จะถู กน ามาใช้ เ พี ย ง เพื่ อส ร้ า งค่ า ย ก ล
เคลื่อนย้าย? มันแทบจะกวาดอีกฝ่ายออกไปให้พ้นหน้าทันที!
มันไม่อาจทนต่อการสูญเปล่าอันน่าขนพองสยองเกล้านี้ได้!
อย่างไรก็ต าม อีกฝ่ายสั่งสอนให้มันซาบซึ้งถึงผลสุดท้ายของการไม่
ยินยอมร่วมมืออย่างรวดเร็ว
เหล่าป่านผู้ยิ่งใหญ่ของมันถึงกับแล่นมาเกลี้ยกล่อมมันด้วยตัวเอง ทั้ง
ปลุกปลอบกระตุ้นเตือนอย่างมีความหมายเป็นเวลานาน ก่อนจะจากไปใน
ท้ายที่สุด กู้หมิงกงที่น่าสงสารหวาดกลั วจนหั วหด แม้ว่าเหล่าป่ านไม่ ไ ด้
กล่าวถึงแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นแม้สักครึ่งคา ทั้งยังไม่ได้บอกว่าหากมัน
ไม่ร่วมมือจะเกิดอะไรขึ้น แต่กู้หมิงกงจมดิ่งลงไปในความหวาดผวาอย่ าง
ไม่เคยรู้สึกมาก่อนทั้งชีวิต
มันไม่กล้าไม่ร่วมมือ อีก ไม่ว่าจะสูญเปล่าเท่ าใด สิ้นเปลืองถึงเพี ย ง
ไหน มันก็เป็นเพียงแค่บริวารเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่... ...
แต่ในไม่ช้ามันก็ได้ค้นพบว่าคนเสื้อดาที่ล่องลอยอยู่ รอบ ๆ ตลอดทั้ง
วันเหมือนภูตผีวิญญาณหลอน เป็นผู้บังคับบัญชาที่จู้จี้จุกจิกที่สุดและน่า
สะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
เรื่ องราวยั ง ซั บ ซ้ อ นกว่ า ที่ มั น คิ ด เอาไว้ เมล็ ด พั น ธุ์ ด วงตะวั น เป็ น
วัตถุดิบที่หายสาบสูญไปหลายหมื่นปี มันอย่าว่าแต่จะเคยพบเห็นมาก่อน
เลย กระทั่งในบันทึกวิชาหลอมสร้างยังไม่เคยกล่าวถึงคุณสมบัติของยอด
วัตถุดิบนี้
กู้หมิงกงต้องเริ่มจากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีข้อมูลอันใด
เมล็ดพันธุ์ดวงตะวันเต็มไปด้วยพลังเทพสุริยันอันกล้าแกร่งเกรียงไกร
พลั ง เทพสุ ริ ยั น ก่ อ เกิ ด ขึ้ น ในตอนที่ พ ฤกษาเทพสุ ริ ยั น เจริ ญ เติ บ โต ทรง
อานาจสยบใต้หล้า เมื่อประจุพลังปราณเข้าไป พลังปราณจะถูกพลังเทพ
สุริยันกลืนกินในทันที จึงเป็นไปไม่ได้ที่จ ะสลักค่ายกลลงไปในเมล็ดพันธุ์
ดวงตะวัน
มันรีบแล่นไปอธิบายกับผูเยาเช่นนี้ แต่กลับถูกผูเยาตบหน้าด้วยวาจา
ทั้งตาหนิติเตียนและเยาะเย้ยถากถางเสร็จสรรพ
ผูเยาที่ชั่วร้ายดั่งพญามาร ถึงกับบอกว่ามันไม่ต้องการรับฟังวาจาไร้
สาระ เพียงต้องการผลลัพธ์เท่านั้น
กู้ ห มิ ง กงผู้ น่ า สัง เวชแทบเอาศี ร ษะพุ่ ง ชนก าแพงตายเสี ยให้รู้ แ ล้วรู้
รอด! แต่น่าเสียดายที่ผู้คนเมื่อตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพญามาร กระทั่ง
คิดตายยังทาไม่ได้
กู้ ห มิ ง กงเมื่ อ ถูก ตอกกลับ อย่ า งไม่ ไ ว้ ห น้า ได้ แ ต่ ทุ่ ม เทศึ ก ษาค้ นคว้า
อย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม ทดลองทาทุกอย่างที่คิดออกมาได้
จนกระทั่งในคืนวันที่สิบนั้นเอง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าทาสาเร็จ! ข้าทา
สาเร็จ!“
เสียงหัวร่ออย่างคลุ้มคลั่งดังก้องไปทั่วห้อง วู้ม ผูเยาปรากฏขึ้นเหมือน
เงาผี โดยไม่กล่าวคาใด มันหยิบฉวยเมล็ดพันธุ์ดวงตะวัน ตรวจสอบอย่าง
ระมัดระวังสุดขีด
ส าหรับผูเยา พลังเทพสุริยันที่อยู่ภายในเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันไม่ต่าง
จากพิษร้ายที่สามารถคร่าชีวิต
ไม่ อ้ อ ยอิ่ ง รี ร อ ผู เ ยารั้ ง จิ ต ส านึ ก กลั บ ในบั ด ดล สี ห น้ า เต็ ม ไปด้ ว ย
ความปิติยินดี จากนั้นหายวับไปโดยไร้เสียง

นั บ ตั้ ง แต่ เ ริ่ ม การประชุ ม หารื อ เสี ย งทะเลาะเบาะแว้ ง ของสภาผู้


อาวุโสตระกูลคังไม่เคยหยุดลงแม้แต่ชั่ววูบ
คังเจ๋อนั่งเงียบงันอยู่ในมุม ในที่แห่งนี้มันไม่มีสิทธิ์กล่าววาจา แต่เมื่อ
ชมดูการโต้เถียงของบรรดาผู้อ าวุโสตระกูล ดวงตาก็ส าดประกายสุ ด จะ
ทานทนที่แทบมองไม่เห็น
มันรู้สึกว่าผู้อาวุโสที่เอะอะโวยวายเหล่านี้ล้วนชราแล้ว
หากไม่ มี ต้ า เหริ น จะมี ต ระกู ล คั ง ในตอนนี้ ห รื อ ไม่ ? แล้ ว ต่ อ ไปเล่ า ?
ในช่ ว งเวลาแห่ ง กลี ยุ ค เช่ น นี้ ตระกู ล เล็ ก ๆ เช่ น ตระกู ล คั ง ไหนเลยจะ
สามารถอยู่รอดได้?
หรื อ พวกมั น ยั ง คงเข้ า ใจว่ า ที่ นี่ เ ป็ น แนวหลั ง อั น ปลอดภั ย ที่ ซึ่ ง ไฟ
สงครามจะไม่ มี วั น ลุ ก ลามมาถึ ง ? ถึ ง ตอนนี้ ยั ง จะมี แ นวหลั ง ผี ส างอั น ใด
หลงเหลืออยู่อีก?
ตระกูลที่ไม่มีความสามารถในการทาศึก จะต่างอันใดจากเนื้อติดมัน
ชิน
้ โต รับรองว่าไม่มีผู้ใดลังเลที่จะกระโจนเข้าขย้ากิน
ผูต้าเหรินช่วยทุกคนฝึ กฝนกองทัพ แต่ต ระกูล คังที่เอาแต่คิดถึงการ
ป้องกันตัวเอง ช่างโง่เขลาจนเกินเยียวยาจริง ๆ!
มันเป็นผู้ติดตามของต้าเหริน!
คั ง เจ๋ อ ยื ด อก แผ่ น หลัง ตั้ง ตรงดุ จ คั น ทวน นิ่ ง รั บ ฟั ง การโต้เ ถียงของ
เหล่าผู้อาวุสด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ผู้ อ าวุ โ สสู ง สุ ด ค่ อ ยสั ง เกตเห็ น ความขุ่ น ข้ อ งของคั ง เจ๋ อ ต้ อ งหั ว ใจ
กระตุกวูบ กล่าวถามอย่างกะทันหัน “อาเจ๋อ เจ้าคิดอย่างไรกับการโยกย้าย
ตระกูล?”
ผู้ อ าวุ โ สผู้ ห นึ่ ง ขั ด จั ง หวะอย่ า งไม่ พ อใจ “ผู้ อ าวุ โ สสู ง สุ ด อาเจ๋ อ ยั ง
เยาว์วัย มันจะไปเข้าใจอะไร... ...”
ผู้อาวุโสสูงสุดดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ กระชากเสียงขัดคออย่ าง
ดุดัน “หุบปากของเจ้า! อาเจ๋อคือประมุขตระกูลในอนาคต จะกล่าวอันใด
ต้องใช้ความคิดให้มาก!”
ผู้อาวุโสหดศีรษะกลับไปอย่างอับอาย
ผู้ อ าวุ โ สสู ง สุ ด ทรงอ านาจอิ ท ธิพ ลอย่ า งล้น เหลือ คั ง เจ๋ อ ก็ เ ป็ น ผู้ สืบ
ทอดตาแหน่งประมุขแห่งตระกูลคัง ดังนั้นทุกผู้คนกวาดมองไปยังมันเป็ น
ตาเดียว
คังเจ๋อก็ไม่ครั่นคร้ามยาเกรง มันไม่ได้มองไปยังเหล่าผู้อาวุโส เพียง
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคือผู้ติดตามของต้าเหริน ไม่ว่าต้าเหรินอยู่ที่
ใด ข้าย่อมต้องติดตามไปที่นน
ั่ !”
ทุกผู้คนงงงันวูบ พวกมันในที่สุดค่อยนึกขึ้นได้ เรื่องที่ว่าอาเจ๋อเป็ น
ผู้ติดตามของเซี่ยวม่อเกอ
ในภพอสูร พวกมันให้ความสาคัญกับคาสาบานตนของผู้ติดตามเป็น
อย่างสูง การกลายเป็นผู้ติดตามของยอดคนผู้เข้มแข็ง เป็นความฝันใฝ่ของ
หลายคน มีเพียงอสูรนอกรีตไม่กี่ตนที่กล้าทวนคาสาบานของพวกมัน โดย
ไม่สนใจสิ่งใด
ผู้อาวุโสสูงสุดล่วงรู้ความขุ่นข้องในใจคังเจ๋อ จึงกระตุ้นเตือนอย่างยิ้ม
แย้ม “อาเจ๋อ ว่าต่อไปเถอะ”
คังเจ๋อจู่ ๆ ก็กวาดตามองเหล่าผู้อาวุโสไล่ไปทีละคน พลางกล่าวเสียง
เคร่งขรึม “ผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกเราปลอดภัยดีแล้วหรือไม่? โลกปลอดภัย
ดีหรือไม่? พวกเรากล้าแข็งแล้ วหรือไม่? กล้าแข็งพอที่จะปกป้องตัวเองไม่
ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตามหรือไม่?”
ทั้งห้องเงียบกริบในทันที
“พวกเราไม่มีกองทัพ ไม่มีแม่ทัพบัญชาการศึ ก ต่อให้มีศาสตร์รอย
แผลสี เ ทา เราก็ ยั ง ไม่ มี ค วามสามารถที่ จ ะปกป้ อ งคุ้ ม ครองตั ว เอง แล้ ว
จากนั้นเล่า? เราย่อมต้องถูกผู้อ่ ืนกลืนกินลงไป แล้วความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ของเรา ศาสตร์รอยแผลสีเทา ย่อมต้องตกไปอยู่ในมือของผู้อ่ ืน ศัตรู ของ
เราจะยินยอมพลาดโอกาสอันดีงามเช่นนี้หรือ!”
คั ง เจ๋ อ กล่ า วถึ ง ความจริ ง อั น โหดร้ า ยอย่ า งตรงไปตรงมา ไม่ เ หลื อ
ร่องรอยสุภาพนอบนอ้ม ทั้งยังไม่เกรงอกเกรงใจอันใด
“ต้าเหรินจะกลืนกินเราหรือไม่ ? ต้าเหรินต้องการศาสตร์รอยแผลสี
เทาของเราหรือไม่? ผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านอาจหลงลืมไปแล้วกระมัง
ว่าศาสตร์รอยแผลสีเทาของเราได้มาจากที่ใด?”
“ยั ง จะมี ที่ ใ ดปล อดภั ย ยิ่ ง ไปก ว่ า ภา ยใต้ ร่ มธงของยอ ด แ ม่ ทั พ
บัญชาการศึกไร้ผู้ต้าน ผู้ซึ่งเคยถล่มผู้บัญชาการกองพลอวี้เหิงจนราบคาบ
มาแล้ว?”
“นี่เป็นเกียรติของพวกเราต่างหาก!”
คังเจ๋อดวงตาทอประกายร้อนระอุ
เหล่าผู้อาวุโสสะท้านขึ้นทั้งร่าง
หลั ง จากเงี ย บงั น ไปชั่ ว อึ ด ใจ ผู้ อ าวุ โ สสู ง สุ ด ใบหน้ า ทอแววยกย่ อ ง
ชมเชยอย่างไม่ปิดบัง กล่าวปนทอดถอนว่า “นึกไม่ถึงว่าตาเฒ่าอย่ างพวก
เราทั้งโขยงจะไม่เห็นอย่างถ่องแท้ เท่ากับคนหนุ่มสาวผู้หนึ่ง อาเจ๋อเอ๋ยอา
เจ๋อ หรือว่าพวกเราชราแล้วจริง ๆ ...”
บรรดาผู้อาวุโสที่คัดค้านการโยกย้ายตระกูลล้วนมีสีหน้าละอายใจ
“มหาพิบัติฟ้าสลาย... ...มหาพิบัติฟ้าสลาย!” เสียงทอดถอนอย่ า ง
หนักใจของผู้อาวุโสสูงสุดสะท้อนสะท้านอยู่ภายในห้อง “ไม่ทราบว่าโลหิต
มากมายเท่าใดต้องหลั่งไหลเพราะเหตุนี้! พวกเจ้าทั้งหลาย อย่าได้มัวแต่
ฝันหวานอย่างโง่เขลา กลียุคบังเกิดขึ้นแล้ว!”
ทุกผู้คนสีหน้าหนักอึ้ง พวกมันกาลังแยกแยะความหมายในวาจาของ
ผู้อาวุโสสูงสุด
ผู้อาวุโสสูงสุดผุดลุกขึ้นอย่างกะทันหัน สีหน้าเคร่งขรึมจริงจั ง กล่าว
เสียงดังกังวาน “เมื่ออยู่ในห้วงกลียุค หากต้องการให้ตระกูลคังของเราอยู่
รอดปลอดภัย เราจาต้องมีผู้นาที่เข้มแข็ง ด้วยเหตุนี้ข้าขอเสนอให้อาเจ๋อ
ขึ้นเป็นประมุขตระกูลคนใหม่!”
คังเจ๋ออุทานอย่างตื่นตะลึง
ชั่วอึดใจต่อมา
“ข้าสนับสนุน!”
“ข้าก็สนับสนุน!”
“ข้าเห็นด้วย!”
ยุคสมัยใหม่เปิดฉากขึ้นแล้ว!
บทที่ 522 เกาะจะงอยปาก

รอจนเมื่อหนานเยว่กับพวกพบเห็นจั่วม่อครั้งแรก สีหน้าของพวกมัน
เรียกได้ว่าน่าดูชมยิ่ง แม้ว่าพวกมันจะล่วงรู้อยู่แล้วว่าต้าเหรินยังเยาว์วัย
แต่เมื่อได้พบเห็นด้วยสายตาแท้จริงของพวกมันเอง ความตระหนกตกใจที่
ได้รับยังเหนือกว่าที่เคยรู้สึกในคุกสิบนิ้วมาก
สิ่ ง ที่ ท าให้ เ หล่ า อสู ร แตกตื่ นตระหนกมากที่ สุ ด คื อ พวกมั น พบว่ า ที่
แท้ต้าเหรินอยู่ในดิน แดนของซิ ว เจ่อ! พวกมันในที่สุดก็เข้าใจว่ าเมื่ อ เดิ น
ทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมาถึง ต้าเหรินไฉนต้องให้พวกมันแปลงโฉมให้
ดูคล้ายกับพวกซิวเจ่อ
อย่ า งไรก็ ต าม แตกตื่ นตระหนกก็ ส่ ว นแตกตื่ นตระหนก แต่ ก็ เ ป็ น
เช่นเดียวกันกับเยี่ยหลิง หนานเยว่กับพวกไม่ได้กังขาเลยสักนิดว่าตัวตน
ของจั่วม่อจะไม่ใช่อสูร ผู้ที่ล่วงรู้ศาสตร์อสูรที่สาบสูญทุกวิชา ทาศึกประสบ
ชัยในศึกทลายคุกและพิชิตแม่ทัพใหญ่อวี้เหิงอย่างราบคาบ นอกเหนือจาก
เผ่าอสูรยังจะเป็นอื่นใดได้อีกเล่า?
เป็นซิวเจ่อหรือ? เรื่องชวนหัวนี้น่าขบขันแทบตายแล้ว... ...
ในจุดนี้พวกมันก็เหมือนกันกับเยี่ยหลิง พวกมันเข้าใจว่าต้าเหรินของ
พวกมั น จะต้ อ งเป็ น อั จ ฉริ ย ะผู้ สื บ ส าย เลื อ ดจ ากต ระกู ล สู ง ศั ก ดิ์ ซึ่ ง
ระหกระเหินอยู่ในดินแดนซิวเจ่อ ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีผู้ใดในภพอสูรค้นหา
ตัวจริงของต้าเหรินพบ!
พวกมันในที่สุดค่อยทราบชัด ต้าเหรินไม่ได้อยู่ในภพอสูรเสียด้วยซ้า
ในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นในนามหรือ ด้านขุ มก าลัง จั่วม่อก็เป็นราชั น ที่
แท้จริงแห่งอาณาจักรทะเลเมฆ ในอาณาจักรทะเลเมฆหลังภัยสงครามทัพ
ปิศาจมีเกาะเมฆใหญ่น้อยอยู่ มากมาย มันเลือกเกาะเมฆที่สงบร่มรื่น แห่ง
หนึ่งให้สามตระกูลอสูรตั้งรกรากใหม่
บ้านใหม่ของพวกมันทั้งอุดมสมบูรณ์และดีงามกว่าถิ่นฐานเดิมในภพ
อสูรมาก
วันแรกที่พวกหนานเยว่เดินทางมาถึง ผูเยาก็เริ่มจัดระบบการฝึกฝน
ใหม่ให้พวกมันในทันที
ผู เ ยาเต็ ม ไปด้ ว ยความทะเยอทะยาน ในฐานะหนึ่ง ในยอดแม่ทัพผู้
แข็งแกร่งที่สุดแห่งภพอสูร จอมอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยสยบใต้หล้าไว้ใต้ฝ่าเท้า
มันตกลงใจที่จะเพาะสร้างหนานเยว่กับพวกให้กลายเป็นสุดยอดแม่ ทั พ
บัญชาการศึกแห่งภพอสูรให้จงได้!
มันตัดสินใจจะสั่งสอนเว่ยให้ซาบซึ้งถึงความเป็นจริง ว่าเพราะเหตุ ใด
เสี่ ย วเว่ ย จื่ อเจ้ า จึ ง เป็ น ได้ แ ค่ ชุ ด เกราะป้ า ยศิ ล าสุ ส าน แต่ ข้ า ท่ า นผู เ ยาผู้
ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสุดยอดแม่ทัพผู้พิชิตโลก!
พวกหนานเยว่ที่น่าสงสาร เพิ่งมาถึงบ้านใหม่วันแรก กระทั่งโอกาสได้
พักหายใจหายคอยังไม่มี ก็ถูกผูเยาเตะโด่งเข้าไปในการฝึกฝนประจาวัน
อันวิกลจริต เกาะเมฆที่เงียบสงบและไร้ผู้คนแห่งนี้ก่อตั้งอาณาเขตอาคม
หวงห้ า มไว้ ร อบ ๆ กลายเป็ น สถานที่ ส าหรั บ การฝึ ก ฝนหฤโหดไปโดย
ปริยาย
หลังจากจั่วม่อจัดสรรภาระหน้าที่ให้แก่ขุมกาลังอื่น ๆ ตามคาชี้แนะ
ของผูเยา อาณาจักรทะเลเมฆก็มีเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว ผู้ คนที่มันเลือก
มาล้ ว นเป็ น ผู้ ที่ มี ช่ ื อ เสี ย งอยู่ ใ นอาณาจั ก รทะเลเมฆแต่ เ ดิ ม มี เ พี ย งสอง
หยวนอิ ง แห่ ง อาณาจั ก รทะเลเมฆซึ่ ง หลั ง จากเปลื อ ยกายล่ อ นจ้ อ นอวด
สายตาประชาชีที่หน้าวิหารเทพสุริยัน ก็คล้ายจะหายสาบสูญไปจากโลก
อย่างสิ้นเชิง เมื่อกองทัพปิศาจเข้ารุ กรานในครั้งนี้ พวกมัน ทั้งสองไม่เผย
โฉมแม้แต่น้อย
หลายคนคาดเดาว่าพวกมันสมควรออกจากอาณาจักรทะเลเมฆไป
นานแล้ว คราครั้งนี้พวกมันได้รับความอับอายอย่างใหญ่หลวง ไหนเลยจะ
ยังมีหน้ารั้งอยู่ในอาณาจักรทะเลเมฆได้?
หรือบางทีพวกมันอาจถูกเทียนหวนเชือดทิ้งไปแล้วก็เป็นได้
จั่วม่อหลังจากสะสางทุกอย่างเสร็จ สิ้น ก็ตัดสินใจเดินทางเข้าไปใน
ทะเลเมฆเพื่อเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีทันที
คราวนี้มันไม่ได้พาผู้คนร่วมทางไปด้วยมากนัก ส่วนลึกของทะเลเมฆ
ไม่เหมาะกับการต่อสู้ขนาดใหญ่
ผู้ร่วมทางครั้งนี้เลือกเฟ้นตามคาแนะนาของผู้นาทาง มีจ่ัวม่อ เหวย
เสิ้ ง จงหยู อากุ่ ย และเหล่ า เจ้ า ตั ว เล็ ก พวกมั น ดู ค ล้ า ยกลุ่ ม ท่ อ งเที่ ย วชม
ทิวทัศน์เสียมากกว่า
แม้ ว่ า กลุ่ ม ของพวกมั นมี กั นเพีย งไม่ กี่ คน แต่ พ ลั ง การต่อ สู้จัด อยู่ใน
ระดับสูงสุดของอาณาจักรทะเลเมฆ! อาศัยจั่วม่อ เหวยเสิ้งและจงหยูหาก
ผนึกกาลังกัน อาจสามารถปะทะหักหาญกับชนชั้นหยวนอิงสักครา จั่วม่อ
เดิมทีไม่คิดนาอากุ่ยร่วมทางมาด้วย แต่ผูเยาเตือนว่าตัวอ่อนเมฆวารีจะมี
ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานสด ๆ หลังจากจับมาได้ ดังนั้นจั่วม่อได้
แต่พาอากุ่ยมาด้วย
นกโง่ท่วงท่าเย่อหยิ่ งถือดีราวกับราชินีสูงศักดิ์ ตามติดอากุ่ยเป็นเงา
ตามตัว ไม่ชายตามองจั่วม่อโดยสิ้นเชิง เจดีย์น้อยกับเจ้าเพลิงน้อยถูกกอด
เอาไว้ในอ้อมแขนของอากุ่ย ส่วนเจ้าดาน้อยเกาะแน่นอยู่บนเรือนผมของ
อากุ่ย สือผิ่นกับหยางกวงทาท่าทาทางราวกับราชองครักษ์ ลอยไปลอยมา
รอบกายอากุ่ย ดูน่าเวียนหัวไม่น้อย
จั่วม่อรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ในด้านของความร้ายกาจและไร้ยางอาย เหล่าเจ้าตัวเล็กล้วนเรียนรู้
มาจากจั่วม่ออย่างหมดเปลือกจริง ๆ
มันไม่มีทางเลือกอื่นเลย ไม่ว่าจะอย่างไร นาเจ้าตัวเล็กร่วมทางมาตัว
หนึ่งหรือมาด้วยทั้งหมดก็ยุ่งยากวุ่นวายไม่ต่างกันอยู่ดี มันได้แต่ลองเปลี่ยน
วิธีคิด เหล่าเจ้าตัวเล็กเป็นนักสู้ที่มีฝีมือไม่เลวทีเดียว
ส าหรับนกโง่ไม่จาเป็นต้องเอ่ยถึง นางแข็งแกร่งที่สุดในเหล่าเจ้าตัว
เล็กทั้งหมด สมกับที่เป็นต้าเจี่ยของพวกมัน กระทั่งจั่วม่อยังไม่ทราบแน่ชัด
ถึงระดับพลังฝีมือที่แท้จริงของนาง ผู้ที่แข็งแกร่งรองจากนกโง่คือสือผิ่น
หลั ง จากไปรั ง ควานหาเรื่ องกั บ ฝู ง แมลงอยู่ ทุ ก วี่ วั น พลั ง ฝี มื อ ของมั น ก็
แปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เจดีย์น้อยเป็นยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณ
ของจั่ ว ม่ อ ทุ ก วั น เอาแต่ เ ล่ น สนุ ก ไม่ เ คยท าอะไรเป็ น ชิ้ น เป็ น อั น อาจมี
ประโยชน์ใช้สอยเมื่อมีการก่อตั้งค่ายกลเท่านัน
้ ส่วนหยางกวง จั่วม่อไม่เคย
เห็นมันลงมือต่อสู้มาก่อน เจ้าดาน้อยยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ความสามารถในการ
ต่อสู้เป็นศูนย์อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นผู้ช่วยที่ดีเยี่ยมในการค้นหาสมบัติ
ส่ ว นเจ้ า เพลิ ง น้ อ ยอาจสามารถใช้ บ รรเทาความเบื่ อ หน่ า ยระหว่ า งการ
เดินทางได้บ้าง
จั่วม่อนาคณะของมันออกเดินทางในไม่ช้า
ผู้นาทางในครั้งนี้ เ รีย กว่ า คัง เต๋อ 17 คนผู้นี้ห าเลี้ยงชีพ ด้ วยการล่ า ตั ว
อ่อนเมฆวารี สนิทสนมคุ้นเคยกับส่วนลึกของทะเลเมฆเป็นอย่างยิ่ง
ตามแผนของคังเต๋อ ก่อนอื่นพวกมันต้องเดินทางทางอากาศไปยั ง
สถานที่ที่เรียกว่าเกาะจะงอยปาก จากนั้นลงไปยังส่วนลึกของทะเลเมฆ
จากที่นั่น เกาะจะงอยปากเป็นท่าเรือทะเลเมฆที่มีช่ อ
ื เสียงมากแห่งหนึ่งใน
อาณาจั ก รทะเลเมฆ ควรทราบว่ า ส่ ว นลึ ก ของทะเลเมฆเต็ ม ไปด้ วย
ภยันตรายนานัปการ หากมีคนพยายามลงไปโดยไม่คานึงถึงสถานที่ พวก
มันมักไม่ได้กลับมาอีกเลย
ดั ง นั้ น เกาะจะงอยปากถู ก ใช้ เ ป็ น ทางลงไปยั ง ทะเลเมฆมานานปี
เส้นทางลงไปยังทะเลเมฆตรงจุดนี้ปลอดภัยยิ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจใน
บริเวณใกล้เคียง
ระยะทางระหว่างเกาะเต่าถึง เกาะจะงอยปากห่างไกลกันมาก การ
เดิ น ทางบางช่ ว งยั ง ไม่ มี ค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ย จั่ ว ม่ อ ที่ ต ระเตรี ย มมาอย่ า ง

17
คังคานี้แปลว่าแข็งแรง สุขภาพดี คนละคากับคังของตระกูลคังที่แปลว่าสีเทา ส่วนเต๋อแปลว่า คุณธรรม
พร้อมสรรพ ย่อมนาพาเรือเต่าดามาด้วย ช่วยให้พวกมันไม่ต้องรับความ
เจ็บปวดจากการเหาะเหินเดินทางไกล
ทุก ๆ วันเหวยเสิ้งกับจงหยูมักจะเข้าฌานทาสมาธิ จั่วม่อก็เล่นสนุก
กับเหล่ าเจ้าตัวเล็กทุกวันเช่นกัน และเมื่อมีเวลาว่างมันจะค่อย ๆ ศึกษา
ใบไม้ทองคาที่ได้มาจากวิหารเทพสุริยัน
มันไม่ทราบว่าใบไม้ทองคานี้สร้างขึ้นจากกรรมวิธีลับใด เคล็ดความ
ภายในทั้งละเอียดและมากมายยิ่ง แต่เนื่องเพราะเป็นวิชาความรู้จ ากยุค
บรรพกาล หลายจุ ด ยากจะท าความเข้ า ใจไม่ น้ อ ย แต่ จ่ั ว ม่ อ มี นิ สั ย ไม่
อนาทรร้ อ นใจ มั น ไม่ รี บ ไม่ ร้ อ น ค่ อ ย ๆ ศึ ก ษาค้ น คว้ า ไปที ล ะน้ อ ย
นอกเหนือจากเคล็ ด วิ ชาฝึ กปรื อพลัง เทพ มันยังสนอกสนใจในความลั บ
โบราณอยู่บ้าง
ยกตั ว อย่ า งเข่ น มั น ค้ น พบจากในใบไม้ ท องค าว่ า ในยุ ค บรรพกาล
อาณาจักรทะเลเมฆเป็นสถานที่รกร้างกันดารเป็นที่สุด ไม่มีชนเผ่าใดอาศัย
อยู่ในที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทาให้วิหารเทพแห่งนี้รอดพ้น
จากการกวาดล้างในครั้งนั้น
สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของจั่วม่อ ก็คือในใบไม้ทองคาระบุว่า วิ ห าร
เทพในยามนั้ น เฝ้ า ค้ น หาบางสิ่ ง บางอย่ า งในอาณาจั ก รทะเลเมฆอยู่
ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยหาพบ จั่วม่อในที่สุดก็เข้าใจ คาถามบางประการ
ได้รับคาตอบอย่างปรุโปร่ง
พี่ใหญ่ชิงหลินเคยบอกว่าภายในชนเผ่าเทพสุริยัน วิห ารเทพแห่ง นี้
ไม่ได้จัดอยู่ในระดับต่าเลย วิห ารเทพชั้นสูงที่มีจ านวนดวงอาทิต ย์ถึงเจ็ด
ดวง มิใช่ว่าสมควรสร้างขึ้นในดินแดนอันใหญ่โตรุ่ง เรือ งและเต็ม ไปด้ ว ย
ผู้ ค นหรอกหรื อ ? พวกมั น ไฉนมาสร้ า งไว้ ใ นที่ ห่ า งไกลและรกร้ า งกั นดาร
ดังเช่นอาณาจักรทะเลเมฆ?
น่าเสียดายที่ใบไม้ทองคาไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่พวกมันเฝ้าค้นหา แต่เป็นที่
แน่ชัดว่าพวกมันหาไม่พบ เนื่องเพราะน้าเสียงในบันทึกคล้ายสานึกเสียใจ
อยู่บ้าง
จั่วม่อไม่เคยว่างเว้นจากการฝึก ปรือพลัง เทพ แต่ระดับการรุ ด หน้ า
เชื่องช้ายิ่ง เมื่อเทียบกับพลังทั้งสามแล้ว พลังเทพก็ยากจะฝึกปรือยิ่งกว่า
เคราะห์ดีที่จ่ว
ั ม่อไม่รีบร้อน สิ่งเดียวที่ทาให้มันห่อเหี่ยวอยู่บ้าง คือหลังจาก
เปลี่ยนพลังเทพกลับเป็นพลังทั้งสามอีกครั้ง พลังปราณของมันแม้เพิ่มพูน
ขึ้น แต่ยังคงห่างจากด่านจินตันอีกเพียงเส้นสายใยเดียวเท่านั้น
หากมั น สามารถทะลวงผ่ า นไปยั ง ด่ า นจิ น ตั น พลั ง ฝี มื อ ของมั น จะ
รุดหน้าก้าวไกลในชั่วข้ามคืน!
พลังเทพของมันก็จ ะเพิ่มสูงขึ้นเช่น กัน และจะบุกฝ่าเข้าสู่ข อบเขต
ใหม่!
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อยามนี้พึงพอใจมากแล้ว พลังเทพ แสงศักดิ์สิทธิ์
วิญญาณมั่น สังขารปิศาจมหาทิวาและศาสตร์บาบวงแดนร้างกาลสมัย ไม่
ว่าวิชาใดในวิชาเหล่านี้ ไยมิใช่ยอดวิชาเลิศภพจบแดนและพิเศษเฉพาะ
ทั้งสิ้น? มันเมื่อสามารถสาเร็จทั้งสี่วิชาพร้อมกัน ไหนเลยจะไม่พึงพอใจได้?
ผู้คนไม่ควรละโมบโลภมากเกินไป จั่วม่อครุ่นคิดอย่างเกียจคร้านและ
อิม
่ เอมใจ
จวบกระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง พวกมันในที่สุดก็มาถึงเกาะจะงอยปาก
จั่วม่อมองดูซิวเจ่อจ านวนมหาศาลบนเกาะจะงอยปาก ตื่นตระหนก
อยู่บ้าง “คนมากมายถึงเพียงนี้?”
คังเต๋ออธิบายว่า “ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ ดีที่สุดในการเสาะหาตัวอ่อน
เมฆวารี ทั้ ง ยั ง เป็ น ช่ ว งเวลาที่ เ กาะจะงอยปากครึ ก ครื้น ที่ สุด อีก ด้ ว ย ผล
กาไรประจาปีจะดีงามมากเท่าไร ล้วนขึ้นอยู่กับโชควาสนาในช่วงเวลานี้
เอง”
“คนเหล่านี้ล้วนมาเพื่อเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีเช่นนั้นรึ ?” จั่วม่ออ้า
ปากค้างจนคางแทบจรดพื้น
“ส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายเช่นนั้น ในทะเลเมฆแม้มีสินค้าอื่น ๆ ด้วย แต่
ในฤดูกาลนี้ สิง่ ที่มีกาไรดีงามที่สุดยังคงเป็นการล่าตัวอ่อนเมฆวารี” คังเต๋อ
คุ้นชินกับเรื่องราวเหล่านี้อย่างเห็นได้ชัด
“หลวงจี น มี ม ากข้ า วต้ ม มี น้ อ ย นี่ จ ะยิ่ ง เพิ่ ม ยากล าบากส าหรั บ เรา
กระมัง?” จั่วม่อขมวดคิ้วเล็กน้อย
คังเต๋อสั่นศีรษะ “การจับตัวอ่อนเมฆวารีไหนเลยจะง่ายดายดังใจนึก?
ท่ า นประมุ ข เกาะอย่ า ห่ ว งไปเลย อย่ า ได้ เ ห็ น ว่ า มี ผู้ ค นมากมาย แต่ ใ น
จานวนนี้มีคนไม่มากนักที่จะเก็บเกี่ยวได้สินค้า ทั้งยังเป็นเพียงสินค้าส่วน
น้อยเท่านั้น คนเหล่านี้ไม่มีพลังมากพอที่จะเข้าไปในส่วนลึกของทะเลเมฆ
ตัวอ่อนเมฆวารีที่มีคุณภาพดีที่สุดล้วนอยู่ในส่วนลึกของทะเลเมฆทั้งสิ้น”
จั่วม่อพอฟังค่อยคลายใจลงเล็กน้อย
พวกจั่ ว ม่ อ เปลี่ ย นแปลงรู ป โฉมมาพร้ อ มสรรพ ดั ง นั้ น ไม่ มี ใ ครจด
จาพวกมันได้ แต่เจดีย์น้อยกับบรรดาเจ้าตัวเล็กยังคงโดดเด่นสะดุดต ายิ่ง
ดึงดูดสายตาร้อนผ่าวและละโมบของซิวเจ่อทั้งหลาย เป็นเหตุให้จ่ว
ั ม่อต้อง
ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“พี่ชาย สัตว์ปราณธาตุไฟนี้เจ้าขายหรือไม่? เรื่องราคาสามารถเจรจา
กันได้!” คนจมูกเหยี่ยวผู้หนึ่งเร่เข้ามาถาม ไม่ห่างออกไปนักสหายร่วมกลุ่ม
ของมันพากันมองมาทางด้านนี้
เจ้ า เพลิ ง น้ อ ยแตกตื่ นจนขวั ญ หนี ดี ฝ่ อ มุ ด เข้ า ไปในอ้ อ มแขนของ
อากุ่ยทันที
ความเฉลียวฉลาดรู้ความของเจ้าเพลิงน้อย ยิ่งกระตุ้นคนจมูกเหยี่ยว
จนดวงตาร้อนผ่าวกว่าเดิม
“ไม่ขาย” จั่วม่อใบหน้าดาทะมึน ก้าวรุดไปข้างหน้า
“ไฮ้ อย่าเพิ่งไป” ชายจมูกเหยี่ยวรีบขวางทางจั่วม่อ กล่ าวอย่างยิ้ม
แย้ม “ผู้น้องอยากได้มันจริง ๆ และแน่นอนว่าเป็น ความสัต ย์ พี่ชาย ว่า
ราคามาเถอะ พวกเราสามารถเจรจากัน!”
คังเต๋อพลันเอ่ยปากอย่างเย็นชา “พี่น้องตระกูลเหอ ต้าเหรินของข้า
บอกว่าไม่ขายก็ไม่ขาย อย่าได้ตามตอแยพวกเราแล้ว”
ชายจมูกตะขอหรี่ตาลงเล็กน้อย สาดประกายวูบหนึ่ง “ผู้ที่ส ามารถ
บ่ ง บอกที่ ม าของพวกเราได้ ทั น ที เ กรงว่ า ต้ อ งเป็ น คนคุ้ น หน้ า แล้ ว แต่ ข้ า
เหอเวยดวงตามืดบอด นึกไม่ออกว่าเจ้าเป็นใคร ท่านที่นับถือไฉนไม่บ อก
นามสูงส่งสักครา?”
คังเต๋อแย้มยิ้มเย็นเยียบ “ไม่ต้องพยายามสืบเสาะว่าข้าเป็นใคร ข้า
ขอเตือนเจ้าสักคา อย่ าได้ตอแยคนที่ไม่สมควรตอแย มิเช่นนั้น เฮอะ พวก
เจ้าพี่น้องจะไม่มีใครหนีรอดแม้แต่คนเดียว”
คราครั้งนี้ตึงมือแล้ว!
เหอเวยสะท้านใจอย่างรุ นแรง ผู้ที่สามารถระบุตัวตนของมันได้ทันที
จะต้องเป็นคนรู้จักมักคุ้นเป็นแน่! แต่อีกฝ่ายเมื่อทราบว่ามันเป็นใคร ยัง
กล่าวอย่างเขื่องโขถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องมีภูมิหลังอันทรงพลัง ชนิดที่
ไม่จาเป็นต้องไว้หน้ามันแม้แต่น้อย
เหอเวยมีประสบการณ์โชกโชน ทราบว่าเมื่อใดควรแข็งขืนเมื่อใดควร
นอบน้อม รีบปั้ นรอยยิ้มพลางกล่าว “พี่ชาย ท่านกล่าวอันใด ผู้น้องเพียง
ลองสอบถามดูเท่านั้น หาได้มีเจตนาร้ายไม่”
จากนัน
้ มันหลีกเลี่ยงไปด้านข้าง เปิดทางให้อย่างรู้ความ
มันมองตามหลังกลุ่มของจั่วม่อจนลับตา ในใจขบคิดอย่างหนัก คน
เหล่านี้เป็นใคร?
พี่น้องของมันรีบปรี่เข้ามา “เป็นไร? พวกมันไม่ขายให้รึ?”
“ไม่ขาย” เหอเวยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “และหนึ่งในพวกมันรู้จักเรา
จะต้องเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันแน่ แต่พวกมันเปลี่ยนโฉมหน้า”
“ผู้ ใ ดสนใจกั น เพี ย งแค่ แ ย่ ง ชิ ง มาก็ พ อ สั ต ว์ ป ราณธาตุ ไ ฟตนนั้ น
สมควรระดับสูงไม่น้อย! หากเราสามารถแย่งชิงมาได้ น้องรอง พลังของ
เจ้าจะเพิ่มขึ้นมาก!” หนึ่งในกลุ่มพี่น้องกล่าวด้วยเสียงกระซิบ
“คนกลุ่ ม นี้ ไ ม่ ร วบรั ด ธรรมดา หากมิ ใ ช่ ค หบดี ร่ า รวย ก็ ต้ อ งมี พ ลั ง
อานาจมาก!” เหอเวยหวนคิดทบทวนถึงการพบพานเมื่อครู่ เพิ่งรู้สึกว่าอีก
ฝ่ายสงบเยือกเย็น ยิ่ง เห็นได้ชัดว่ า ไม่ เห็ นพวกมัน อยู่ ในสายตา ต้องรู้สึ ก
หนาววูบขึ้นมา รีบสั่นศีรษะพลางกล่าว “คนเหล่านี้อาจมาจากขุมกาลังอัน
ยิ่งใหญ่ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวแล้ว”
คนอื่น ๆ พอฟังล้วนมีสีหน้าไม่แยแสสนใจ เหอเวยรู้สึกหนักใจอย่าง
บอกไม่ถูก

เกาะจะงอยปากมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์มาก ดูคล้าย
นกกาลังอ้าปากแหงนหน้าขึ้นฟ้า ทางลงไปสู่ทะเลเมฆเป็นส่วนปากที่อ้า
กว้างนั้นเอง
บริเวณทางเข้าแทบไม่มีเมฆหมอก มองลงไปอาจเห็นเส้นทางยาวไกล
ไร้ที่สิ้นสุด ค่อย ๆ เลือนหายไปในทะเลเมฆที่ไกลตา
ซึ่งความจริงเกาะจะงอยปากเป็นยอดเขาส่วนหนึ่ง ที่โผล่พ้นขึ้นมา
เหนือทะเลเมฆ
“ต้าเหริน เชิญลง”
คังเต๋อกล่าวอย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ
บทที่ 523 การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิด

จั่วม่อกับพวกไม่ได้สนใจพี่น้องตระกูล เหอแม้แต่น้อย กระทั่งคังเต๋อ


ยังไม่เก็บเอามาใส่ใจ ที่อยู่ข้าง ๆ มันคือราชันที่แท้จริงแห่งอาณาจักรทะเล
เมฆ คนเช่นพี่น้องตระกูลเหอย่อมไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
ขณะที่พวกมันมุ่งหน้าลงไปในทะเลเมฆ แสงสว่างก็ค่อย ๆ มืดหม่นลง
ชั้นทะเลเมฆที่หนาทึบปิดกั้นแสงอาทิตย์ส่วนมากเอาไว้ แต่ด้านล่างกลับ
ไม่ได้มืดมิดเหมือนที่จ่ัวม่อคิด เนื่องเพราะมีสาหร่ายเมฆมากมายล่องลอย
อยู่ในชั้นทะเลเมฆ แต่ละต้นแต่ละกอ ปลดปล่อยแสงจาง ๆ ซึ่งส่องสว่าง
ไปทั่วโลกใต้ทะเลเมฆ
คังเต๋อสังเกตเห็นจั่วม่อกับพวกเพ่งมองบรรดาสาหร่ายเมฆอย่า งสน
อกสนใจ จึ ง รี บ อธิ บ ายว่ า “สถานที่ แ ห่ ง นี้ เ ป็ น แหล่ ง ผลิ ต สาหร่ า ยเมฆที่
ใหญ่โตแห่งหนึ่ง สาหร่ายเมฆของที่นี่คุ ณภาพดี มาก บางครั้งจะมี พ่ อ ค้ า
จากภายนอกเข้ามาเก็บรวบรวม แต่สาหรับคนท้องถิ่นของเหล่านี้ไม่ค่อยมี
คุณค่านัก”
“สาหร่ายเมฆใช้ทาอะไร?” จั่วม่อถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
นี่เป็นครั้งแรกที่มันพบเห็นสาหร่ายเมฆ สาหร่ายเมฆเหล่านี้รูป ร่ า ง
คล้ า ยคลึ งกั บ สาหร่ า ยทะเล ใบเรี ย วยาวเหมื อนใบดาบ หนาเท่ า นิ้วก้อย
ขาวสะอาดสะอ้านตลอดทั้งต้น เปล่งแสงจาง ๆ อยู่ตลอดเวลา สาหร่ายแต่
ละกอมีข นาดประมาณตะกร้าไม้ไผ่ บางครั้งเห็นแผ่กว้างเป็นแผ่นผืนกิน
บริเวณหลายจั้ง
“พวกมั น สามารถใช้ ห ลอมกลั่ น โอสถปราณธาตุ น้ า แต่ ก็ แ ค่ โ อสถ
ปราณระดับหนึ่งเท่านั้น” คังเต๋อตอบ “ผู้ที่พลังฝีมือไม่เข้มแข็งจะไม่กล้า
ลงมาที่นี่ ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะลงมา ย่อมไม่สนใจไยดีกับ สาหร่ายเมฆ
เหล่านี้ อีกทั้งสาหร่ายเมฆแพร่พันธุ์ง่าย ขยายตัวรวดเร็ว สามารถพบได้ทุก
หนทุกแห่ง”
จั่วม่อค่อยเข้าใจกระจ่าง และเลิกสนใจสิง่ ของที่ไม่มีราคาค่างวด
ทุกคนเดินต่าลงไปเรื่อย ๆ เส้นทางภูเขานี้เต็มไปด้วยสายหมอก แต่
เป็นเพียงม่านหมอกเบาบางเท่านั้น
“ภายใต้ทะเลเมฆ สิ่งที่พบมากที่สุดคือบรรดาสัตว์เมฆทุกชนิด ผู้คน
จานวนมากมาที่นี่เพื่อล่าสัตว์เมฆเหล่านี้เอง สัตว์เมฆเน้นหนักไปทางธาตุ
น้ า คนมากมายชมชอบพวกมั น แต่ ห ากต้ อ งการสั ต ว์ เ มฆที่ มี ร ะดั บ สู ง
จะต้องมุ่งลึกเข้าไปในทะเลเมฆ”
จั่วม่อถามอย่างสนอกสนใจ “สัต ว์เมฆมีคุณสมบัติ โดดเด่นทางด้าน
ใด?”
“พวกมันเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตธาตุน้า ความสามารถที่ร้ายกาจที่สุ ดของ
พวกมันอยู่ที่เ วทวิ ช าลวงตา และเนื่องเพราะร่ างกายของพวกมั น ก่ อ ตั ว
จากเมฆหมอก นอกเสียจากว่าเผชิญกับเวทวิชาธาตุไฟ เวทวิชาสายอื่น ๆ
ไม่อาจสร้างความเสียหายได้มากนัก” คังเต๋อช่าชองชานาญในเรื่องราว
เหล่านี้อย่างเห็นได้ชัด กล่าววาจาไหลรี่ไม่ขาดสายโดยแทบไม่ต้องคิด
เหวยเสิ้ ง เห็ น เช่ น นั้ น อดถามคั ง เต๋ อ ไม่ ไ ด้ “เหล่ า คั ง อยู่ ที่ นี่ ม านาน
เท่าใดแล้ว?”
คั ง เต๋ อ ทอดถอนอย่ า งช่ ว ยไม่ ไ ด้ “มากกว่ า สิ บ ปี แ ล้ ว ซึ่ ง ความจริ ง
นอกเหนือจากที่นี่ยังมีทางเข้าไปในทะเลเมฆอื่น ๆ อีกมากมาย เพียงแต่
ที่นี่มีช่ อ
ื เสียงที่สุด ดังนั้นจึงมีซิวเจ่ออยู่ที่นี่มากที่สุด”
เหวยเสิ้งแย้มยิ้ม มันเองก็เคยต้องอดทนอดกลั้นกับความยากจนข้น
แค้นมาก่อน แต่ในหัวใจมันมีเพียงกระบี่ ความทุกข์ยากของชีวิ ตไม่เคยทิ้ง
ร่องรอยใด ๆ ไว้ เป็นธรรมดาที่ไม่รู้สึกรู้ส าอะไร ส่วนจั่วม่ออดไม่ได้ ต้อง
หวนคิดย้อนกลับไปยังวันเวลาบนภูเขาสุญตา เมื่อครั้งที่มันยังต้องต่อสู้ดิ้น
รนอยู่ทุกวี่วันเพียงเพื่อจิงสือไม่กี่ชิ้น ดังนั้นบังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
ขึ้นมาทันที
เห็นคังเต๋ อสีห น้าหม่นหมองอยู่บ้าง จั่วม่อรีบหันเหหัวเรื่อง “ผู้ที่ไม่
เคยลงมาต้องคิดไม่ถึงแน่ ว่าทิวทัศน์ด้านล่างนี้งดงามยิ่ง!”
เห็ น เมฆหมอกบางเบาลอยเลื่ อนเหมื อ นม่ า นไหม สาหร่ า ยเมฆที่
ล่องลอยอยู่ในทะเลเมฆโบกไกวช้า ๆ ไปตามกระแสเมฆ
“ฮ่ า ฮ่ า ต้ า เหริ น รู้ จั ก เสพสุ ข นั ก แต่ ทิ ว ทั ศ น์ ข้ า งหน้ า จะยิ่ ง งดงาม
ตระการตากว่านี้อีก!” คังเต๋อหัวร่ออย่างผ่าเผย
คังเต๋อพอกล่าวเช่นนี้ ทิวทัศน์ด้านล่างก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
ราวกับจะช่วยยืนยัน ถึงกับหมดจดงดงามยิ่งกว่าด้านบนจริง ๆ
หลังจากเดินทางไปอีกสองชั่วยามเต็ม ในสายตาของพวกมันจู่ ๆ ก็แผ่
กว้างสุดลูกหูลูกตา พวกมันทะลุผ่านชัน
้ ทะเลเมฆหนาทึบลงมาแล้ว!
ทะเลเมฆหนาค่ อ ย ๆ กระเพื่ อมอยู่ เ หนื อ ศี ร ษะของพวกมั น กลุ่ ม
สาหร่ายเมฆมากมายห้อยระย้าลงมาจากทะเลเมฆ สาหร่ายเมฆเหล่ า นี้
ใหญ่โตยิง่ แต่ละกอกินอาณาบริเวณหลายหมู่ ใบคล้ายดาบที่ห้อยลงมายืด
ยาวหลายสิบจั้ง มองจากที่ห่างไกล ทะเลเมฆเป็นเพดานโค้งอันกว้างใหญ่
ไพศาล สาหร่ายเมฆแน่นขนัด แขวนห้อยยืดยาวเหมือนสายน้าตกแห่งแสง
สว่าง ก่อเกิดเป็นภาพทิวทัศน์งดงามน่าชมและไร้ที่สิ้นสุด!
“งดงามเหลือเกิน!” จั่วม่ออัศจรรย์ใจยิ่ง
ภาพอันงดงามตระการตาที่อยู่เบื้ องหน้านี้ กระทั่งเหวยเสิ้งกับจงหยู
ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้ เจดีย์น้อยกับเหล่าเจ้าตั วเล็ กตื่นเต้นระทึ กใจขึ้ น มา
ทันที พากันบินวนรอบอากุ่ยอย่างสนุกสนาน เจ้าเพลิงน้อยตื่นเต้นเสียจน
เริ่มร้องจี้จี้จี้ไม่ขาดหู
คั ง เต๋ อ แย้ ม ยิ้ ม เล็ ก น้ อ ย มั น คุ้ น เคยกั บ ฉากเบื้ องหน้ า เป็ น อย่ า งดี
กลายเป็นชินชาไปเสียนานแล้ว
บรรดาซิวเจ่อที่ผ่านไปผ่านมาล้วนหัวร่อฮาฮา ทุกคนล้วนทราบดี ว่า
มีเพียงสามเณรน้อยมือใหม่ที่เพิ่งเคยเข้ามาในส่วนลึกของทะเลเมฆเป็น
ครั้งแรก จึงจะมีสีหน้าท่าทีน่าขบขันเช่นนี้
มวลซิวเจ่อไหลผ่านพวกมันเข้าไปตลอดเวลา ทุกคนล้วนหวังว่า จะ
ได้รับสินค้าบางอย่างโดยเร็วที่สุด ราคาของสัตว์เมฆและตัวอ่อนเมฆวารี
ชุดแรก มักจะเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบปี
ในเวลานี้เอง จงหยูผู้หลุบตาลงตลอดเวลา ทันใดนั้นอุทานเบา ๆ คา
หนึ่ง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
เป็นหลวงจีนหลายรู ปดึงดูดความสนใจของมัน ผู้เป็นหัวหน้าสวมใส่
กาสาวพัสตร์สีม่วง สมณะรูปนี้ผมเผ้าคิ้วเคราขาวโพลน ท่วงท่าสภาวะโดด
เด่นเหนือธรรมดา ด้านหลังมันเป็นหลวงจีนหนุ่มในกาสาวพัสตร์สีน้า เงิน
สามรูป ล้วนแล้วแต่เยาว์วัยยิ่ง
หลวงจีนเหล่านี้ก็สังเกตเห็นจงหยูเช่นกัน สมณะอาภรณ์ม่วงดวงตา
สาดประกายวูบ ไม่ได้กล่าวคาใด แต่ประนมมือคารวะทักทายมาทางจงหยู
จงหยูดวงตายังคงหลุบต่า ทว่าใบหน้าประดับด้ว ยรอยยิ้ม อ่อ นโยน
มันก็ประนมมือคารวะทักทายตอบเช่นกัน
เหวยเสิ้งสังเกตเห็ นการกระท าของจงหยู ดังนั้นกวาดตามองไปยั ง
สมณะกลุ่มนั้นด้วย
ผู้ อ่ ื นก็ สั ง เกตเห็ น เหวยเสิ้ ง เช่ น กั น สมณะอาภรณ์ ม่ ว งดวงตาสาด
ประกายตื่ นตะลึ ง เป็ น ค ารบสอง แต่ สี ห น้ า ไม่ แ ปรเปลี่ ย น ชิ ง คล้ อ ยตาม
สภาวะ ประนมมือคารวะทักทายเหวยเสิ้งอีกคน
เหวยเสิ้งไม่กล่าวคาใด ประสานมือคารวะตอบเล็กน้อย
ตั้ ง แต่ ต้ น จนจบ ทั้ ง สองฝ่ า ยไม่ มี ผู้ ใ ดเอ่ ย วาจาแม้ สั ก ครึ่ ง ค า แต่
บรรยากาศอันพิสดารที่เพียงรับรู้ได้ด้วยใจบังเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย
อย่างน่าฉงน
รอจนอีกฝ่ายเดินหายลับไปทางหนึ่ง จงหยูกับเหวยเสิ้งค่อยรั้งสายตา
กลับมา
“คนเหล่านี้ไม่รวบรัดธรรมดา” เหวยเสิ้งกล่าวเสียงลึก “หลวงจีนจีวร
ม่วงพลังฝึกปรือลึกล้ายิ่ง บางทีอาจเป็นชนชั้นหยวนอิง ต่อให้ไม่ใช่หยวน
อิงก็เกรงว่าอยู่ห่างจากด่านหยวนอิงอีกไม่ไกลนัก”
จงหยูผงกศีรษะเห็นพ้อง “พวกมันอาจมาจากหนึ่งในวัดยิ่งใหญ่ เรา
สามารถสอบถามอีเจิ้ง มันสมควรล่วงรู้”
จั่วม่อผู้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ฟุ้งซ่านวุ่นวาย ในที่สุดค่อยรู้สึกตัว เห็นทั้ง
สองทาท่าราวกับเผชิญศัต รู ตัวฉกาจอดซักถามเรื่องราวไม่ได้ พอทั้งสอง
บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น จั่วม่อขบคิดแวบหนึ่ง ตัดสินใจจะไปสอบถามอีเจิ้ง
ให้รู้แน่ชัดจะดีกว่า
คังเต๋อไม่คิดขัดคอ แต่ยังคงอดกล่าวเตือนไม่ได้ “ต้าเหริน ชั้นทะเล
เมฆหนาหนักยิ่ง นกกระเรียนกระดาษรวมถึงข้อความกระบี่บินทั่ว ไปไม่
สามารถใช้การได้ในที่แห่งนี้ จึงไม่อาจส่งข่าวสารออกไปด้านนอกได้”
จั่วม่อโบกมือตัดบท กล่าวว่า “อย่าห่วงเลย ข้ามีวิธีของข้า”
จงหยูร่ายเวทวิชาภาพมายาเล็ก ๆ แสดงรูปโฉมของหลวงจีนเหล่านั้น
จั่วม่อจดจาภาพนั้นไว้ จากนั้นเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสานึก ฮ่า ผู้อ่ น
ื ไม่สามารถ
ใช้นกกระเรียนกระดาษ แต่มันสามารถบอกผ่านผูเยา ส่งข้อความออกไป
ได้ทุกเมื่อ
แต่ มั น ไม่ ไ ด้ ค าดฝั นว่ า ผูเ ยาพอพบเห็ นคนเหล่า นั้น เพี ย งแค่ น เสียง
อย่างเย็นชา กล่าวว่า “ไม่จาเป็นต้องไปถามผู้อ่ ืน ข้าทราบว่าพวกมันเป็น
ใคร”
จั่วม่อกล่าวอย่างกังขา “เจ้ารู้จักพวกมัน?”
ผูเยาแค่นหัวร่อเย็นเยือก “ในอดีต เราเคยเข่นฆ่าขับเคี่ยวกันมานาน
คิดไม่รู้จักพวกมันยัง ทาไม่ได้ พวกมันคือเหล่าหัวโล้นจากวัดเสวียนคง ฮ่า
เจ้าระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า”
“วัดเสวียนคง!?” จั่วม่อแทบร้องตะโกนออกมา
ขุ ม อ านาจที่ ยิ่ ง ใหญ่ ที่ สุ ด ในภพซิ ว เจ่ อ คื อ สวรรค์ สี่ ดิ น แดน คุ น หลุน
เทียนหวน ซีเซวียนและวัดเสวียนคง!
ดินแดนเสวียนคงคือแดนศักดิ์สิทธิ์ข องเหล่านักบวชนิกายพุทธ เป็น
สถานที่รวมของวัดวาอารามที่มีช่ ือเสียงทั้งหมดในโลก วัดเสวียนคงยังเป็น
ผู้นาของวัดวาอารามทั้งมวลในใต้หล้า! วัดมหาพุทธะของอีเจิ้งแม้เป็นหนึ่ง
ในสิบวัดยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับวัดเสวียนคงแล้ว หาได้อยู่ใน
ระดับชั้นเดียวกันไม่
ขุมอานาจที่ส ามารถยกขึ้นเทียบกับวัดเสวียนคงได้ ใต้ห ล้านี้มีเพียง
คุนหลุน เทียนหวนและซีเซวียนเท่านั้น!
“เจ้าอย่าได้เผชิญหน้ากับหัวโล้นจากวัดเสวียนคงจะดีกว่า มิเช่นนั้น
ฮี่ฮี่... ...” ทะเลเลือดในดวงตาสีแดงของผูเยาคล้ายจะลุกโชนด้วยเปลวไฟ
แห่งความจงชัง
จั่วม่อถูกสีหน้าดุร้ายของผูเยาขู่ข วัญจนแทบผวา กระทั่งเผชิญหน้า
กับคุนหลุน ผูเยายั งไม่เคยมีทีท่าเช่นนี้มาก่อน “พวกมันร้ายกาจกว่าคุ น
หลุนอีกหรือ?”
“ร้ า ยกาจกว่ า คุ น หลุ น ? ไม่ ไม่ พลั ง ของพวกมั น ไม่ อ าจน ามาเทียบ
เช่นนี้ได้ ” ผูเยากล่าวเสียงเย็นยะเยียบ “คุนหลุนเลิศล้าที่สุดในด้านพลัง
ต่ อ สู้ แต่ ใ นเรื่ อ งดื้ อด้ า นพัว พั น ไม่ มี ผู้ใ ดร้ า ยกาจกว่ า บรรดาหั ว โล้น พวก
หัวโล้นบัดซบเหล่านี้เป็นกลุ่มคนบ้าคลั่งที่ไม่เกรงกลัวความตาย ในอดีตมี
การศึกอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อบรรดาหัวโล้นต้องการกาจัดอสูรปิศาจที่ ‘ชั่วร้าย’
เจ้าทราบหรือไม่ว่าพวกมันทาอย่างไร พวกมัน... หยวนอิงหกสิบคน ระเบิด
ตัวเองพร้อมกัน! หากมิใช่ว่าเล่าฮิวสังเกตเห็นบางอย่างผิดท่า ข้าคงไม่ได้
อยู่มาจนพบเจอเจ้าแล้ว แต่ถูกระเบิดเป็นผุยผงอยู่ตรงนั้นเอง”
“ระเบิด... ...หกสิบ... ...หกสิบหยวนอิง... ...” จั่วม่อตะกุกตะกัก แทบ
พูดไม่ออกเสียด้วยซ้า ข่าวสารลับชิน
้ เล็ก ๆ นี้ทาให้มันแตกตื่นตระหนก จน
สู ญ เสี ย ความสามารถในการคิ ด ไปอย่ า งสิ้ น เชิ ง หกสิ บ หยวนอิ ง หกสิ บ
หยวนอิงระเบิดตัวเองพร้อมกัน ต้องเสียสติสักเพียงไหนจึงจะกระทาเรื่อง
เช่นนี้ได้?
ลาพังหยวนอิงผู้เดียวจากเทียนหวนก็เพียงพอจะก่อกวนมรสุมทั่วทั้ง
อาณาจักรทะเลเมฆ แล้วหกสิบหยวนอิง... ...
เมื่อจั่วม่อออกมาจากทะเลแห่งจิตสานึก จงหยูกับเหวยเสิ้งพากันมอง
มาเป็นตาเดียว พวกมันสังเกตเห็นสีหน้าขาวเผือดของจั่วม่อแต่แรกแล้ว
จั่วม่อลืมตาขึ้น กล่าวเสียงแหบแห้ง “พวกมันมาจากวัดเสวียนคง”
“วัดเสวียนคง?”
เหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู สู ด ลมหายใจอย่ า งหนาวเหน็ บ คั ง เต๋ อ สี ห น้ า
เปลี่ยนเป็นเขียวคล้าทันที
วัดเสวียนคง! ผู้นาแห่งเหล่าเซียนวรยุทธ์ท้งั มวล หนึ่งในสี่มหาสานักที่
ยิง่ ใหญ่ที่สุดในโลก!
“พวกมันไฉนมาที่นี่ ?” ใจกระบี่ข องเหวยเสิ้งหนักแน่นดุจ หินผา ไม่
นานก็สงบใจลง
จิต แห่งเซนของจงหยูก็ลึกล้ายิ่ง จิต ใจมันสะท้านสั่นไหวเพียงชั่ววูบ
จากนั้นก็สงบเยือกเย็นลงเช่นกัน
จั่วม่อเองก็สงบใจลงทันควัน วัดเสวียนคงแล้วจะเป็นไร? มันมิใช่เคย
จัดการกับผู้อาวุโสเทียนหวนจนหัวปั่ นมาแล้วหรือ? มันก็เพียงแค่ถูกขู่ขวัญ
เล็กน้อยจากฉากการระเบิดตัวเองของหกสิบหยวนอิงที่ผูเยากล่าวถึง
มันขบคิดเร็วรี่ แล้วค่อยแน่ใจว่ามันเป็นเพียงตัวประกอบเล็ก ๆ ใน
อาณาจักรห่างไกล คงไม่ถึงขั้นที่ผู้อ่ ืนจะต้องดูแลมันอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียง
นั้นกระมัง
ทันใดนั้นมันฉุกคิดถึงบางสิ่ง มันต้องรีบบอกเตือนต่อค่ายเว่ย ค่ายฮุย
และพวกหนานเยว่เป็นการด่วน ในช่วงเวลานี้ไม่สมควรเผยโฉมออกมา มิ
เช่ น นั้ น หากคนเสี ย สติ ก ลุ่ ม นี้ เ กิ ด พบพานพวกมั น เข้ า เกรงว่ า คงจะเริ่ ม
กาจัดปิศาจพิฆาตอสูรโดยไม่สนใจสิ่งใดเป็นแน่
ผูเยาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งกับการกระทาที่คล้ายหลบหน้าคู่แค้น เก่า
ของมันนี้ แต่มันเองก็ทราบกระจ่างแก่ใจ ว่าหากพวกจั่วม่อต้องเผชิญหน้า
กับวัดเสวียนคงในเวลานี้ย่อมไม่มีโอกาสได้ชัยแม้แต่น้อย
อาณาจั ก รจั ก รทะเลเมฆเพิ่ ง จะเริ่ ม ตั้ ง ไข่ เ ท่ า นั้ น ยั ง ห่ า งชั้ น จากสี่
มหาอานาจราวฟ้าสวรรค์กับก้นเหว
เว่ยแย้มยิ้มน้ อย ๆ ชมดูผูเยากับ จั่ วม่ อ โต้เถี ยงกัน อย่ า งเอาเป็ น เอา
ตาย แต่ไม่ว่ามองจากมุมใดก็เห็นได้ชัดว่าวิญญูชนจอมปลอมผู้นี้กาลังลอบ
หัวร่อเยาะผูเยาอย่างสาราญใจ
หลังจากบีบบังคับให้ผูเยาส่ งคาสั่งไปถึงพวกหนานเยว่เรียบร้อยแล้ว
จั่วม่อค่อยพบเห็นสีหน้าเขียวคล้าและดวงตาหวาดผวาของคังเต๋อ ต้องรีบ
ปลอบโยนว่า “ไปกันเถอะ ไม่ต้องกังวลกับพวกมัน ทะเลเมฆกว้า งใหญ่
ไพศาล ทุกผู้คนมีจุดมุ่งหมายของตน เราคงไม่พบเจอพวกมันอีกแล้ว”
คังเต๋อพอฟังสีหน้าค่อยดีขึ้นมาก มันรู้สึกว่าวาจาเหล่านี้กล่าวไม่ผิด
มันทราบดีกว่าใครว่าทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน โอกาสที่แต่
ละคนจะพบกันหรือแย่งชิงสินค้าชิ้นเดียวกันจะมีมากมายสักเท่าใดกัน?
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องราวนี้ จ่ัวม่อสูญเสียความสนใจทั้งหมดไป
ภาพทิวทัศน์อันยิง่ ใหญ่และตระการตา หมดคุณค่าความหมายไปในทันใด
“ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด มีเส้นทางมากมาย หากเป็นคนที่ไม่
คุ้นเคยกับเส้นทางอาจหลงทางได้ง่ าย ๆ” เมฆหมอกในใจคังเต๋อค่อย ๆ
สลายคลาย แม้ ว่ า ทุ ก ผู้ ค นจะลงมาจากปากทางที่ เ กาะจะงอยปาก
เช่นเดียวกัน แต่โอกาสที่จะได้พบเจอกันในส่วนลึกของทะเลเมฆนับว่านิด
น้อยจนยิ่ง
จั่ ว ม่ อ กวาดตามองรอบข้ า ง จู่ ๆ ก็ ถ ามว่ า “ไฉนไม่ มี ผู้ ใ ดเหาะเหิ น
เดินอากาศ?”
คังเต๋อรีบอธิบายว่า “ทะเลเมฆผิดแผกแตกต่างจากสถานที่อ่ ืน ๆ ใน
สถานที่แห่งนี้ห ากไม่เ หาะเหินจะดี ที่สุ ด แรงสั่นสะเทือนของพลั ง ปราณ
อาจดึ ง ดู ด ความสนใจของสั ต ว์ เ มฆจ านวนมากได้ โ ดยง่ า ย พวกมั น ล้ วน
ซ่อนตัวอยู่ในชั้นเมฆ ยากจะตรวจพบ ในตอนแรกมีหลายคนเข้าใจว่าพวก
มันเข้มแข็งพอ พุ่งทะยานในที่แห่งนี้อย่างหุนหันพลันแล่น แต่ท้ายที่สุดคน
เหล่านั้นไม่เคยกลับออกมาอีกเลย หลังจากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นบ่อยครั้ง ก็ไม่
มีใครกล้าเหาะเหินในที่แห่งนี้อีก”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!” จั่วม่อในที่สุดค่อยเข้าใจต้นสายปลายเหตุ
เคราะห์ดีที่พวกมันมีพลังฝึกปรือลึกล้า การเดินบนพื้นติดต่อกันเป็น
เวลานานไม่ใช่ปัญหาใหญ่
หลังจากเดินลึกลงไปอีกหลายชั่วยาม ชั้นเมฆเหนือศีรษะซึ่งเต็มไป
ด้วยสาหร่ายเมฆก็ไกลห่างออกไป ตลอดเส้นทางเริ่มปรากฏม่านหมอกเบา
บางขึ้นประปราย เมฆหมอกเหล่านี้พิเศษเฉพาะยิ่ง พวกมันจับตัวเป็นกลุ่ม
ก้อนโดยไม่กระจัดกระจายไป แม้ว่ามีลมกระโชกพัดไม่ขาดสาย เมฆหมอก
เหล่านี้ก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเมฆหมอกเหล่านี้ เห็นเส้นทางใหญ่น้อยมากมายตัดไขว้ไป
มา บั ด เดี๋ ย วผลุ บ บั ด เดี๋ ย วโผล่ ราวกั บ ใยแมงมุ ม สลั บ ซั บ ซ้ อ นที่ แ ผ่ ก ว้ า ง
ออกไปในม่านหมอกเมฆ
จั่วม่อในยามนี้ยังไม่ล่วงรู้เลยว่าจะมีชะตากรรมอันใดรอคอยพวกมัน
อยู่เบื้องหน้า
บทที่ 524 ลางบอกเหตุ

มองดู บ รรดาเส้ น ทางสายน้ อ ยที่ น าเข้ า สู่ ท ะเลเมฆชั้ น ใน ไม่ ท ราบ


เพราะเหตุใด จั่วม่ออดทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวตามความสัตย์ การปรากฏ
ตัวอย่างกะทันหันของเหล่าหลวงจีนจากวัดเสวียนคงทาให้มันรู้สึก กดดัน
อย่างรุ นแรง สิ่งที่สามารถดึงดูดหลวงจีนวัดเสวียนคงมาถึงที่นี่ได้ย่อมต้อง
มิใช่สงิ่ ของธรรมดาสามัญแน่ จั่วม่อไม่สนใจสิง่ ที่คล้ายจะใหญ่โตเกินตัวนั้น
มั น เพี ย งไม่ ต้ อ งการให้ เ กิ ด เหตุ แ ทรกซ้ อ นในระหว่ า งที่ มั น พยายามจะ
เยียวยารักษาอากุ่ย
“มี เ ส้ น ทางที่ แ ตกต่ า งกั น มากมายถึ ง เพี ย งนี้ เจ้ า จดจ าได้ ท้ั ง หมด
หรื อ ?” จั่ ว ม่ อ ถามคั ง เต๋ อ อย่ า งสงสั ย ใคร่ รู้ เส้ น ทางสายน้ อ ยเหล่ า นี้ มี
มากมายหลายร้อยเส้นทาง ตัดไขว้ละลานตา ชวนสับสนงุนงงยิ่ง
“ต้าเหรินอย่าได้ห่วงไปเลย บริวารเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้มาสิบกว่าปี ต่อ
ให้ห ลับตาเดินยังไม่ผิดพลาด” คังเต๋อกล่าวอย่างภาคภูมิลาพอง จากนั้น
แนะนาว่า “อย่าได้เห็นว่าเส้นทางเหล่านี้ดูสลับซับซ้อน แต่หากเป็นคนที่
สัญจรไปมาสักสองสามครั้งจะจดจาเส้นทางส่วนใหญ่ได้เอง นับตั้งแต่ตรง
นี้เราจะเริ่มเข้าสู่เขตทะเลเมฆที่แท้จริง บริเวณนี้หมอกเมฆยังไม่หนาหนัก
นัก แต่ยิ่งเราลงไปลึกมากเท่าใด หมอกเมฆจะยิ่งหนาทึบมากเท่านั้น”
คังเต๋อนาขบวนอยู่ที่ด้านหน้าสุด คนที่เหลือติดตามไปเป็นขบวน มี
จงหยูรับหน้าที่รั้งท้าย
พวกมันเดินไปตามเส้นทางสายน้อยที่คดเคี้ยว ในไม่ช้าก็ลับหายไปใน
ทะเลเมฆ

“อาจารย์ อ า คนเหล่ า นั้ น มี สิ่ ง ใดน่ า แปลกหรื อ ?” หมิ ง จิ้ ง (พิ สุ ท ธิ์
สดใส) ลองถามหยั่ ง เชิ ง ในบรรดาศิ ษ ย์ รุ่ น เยาว์ ท้ั ง สาม มั น มี จิ ต ใจ
ประเปรียวที่สุด สังเกตเห็นอาการผิดปกติของอาจารย์อาแต่แรก
ผูเยาดูไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นหลวงจีนจากวัดเสวียนคงจริง ๆ สมณะคิ้ว
ขาวจีวรม่วงเรียกว่าติ้งเจิน (แน่วแน่แท้จ ริง) ส่วนบรรดาศิษย์ในจีวรสีน้า
เงินล้วนเป็นศิษย์รุ่นที่สามของวัดเสวียนคง ติ้งเจินรับหน้าที่นาศิษย์เหล่านี้
ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ระหว่างทางจู่ ๆ ได้รับข่าวสารจากท่านเจ้า
อาวาส จึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้ามายังอาณาจักรทะเลเมฆตามคาสั่ง
ติ้งเจินพยักหน้าพลางกล่าว “นักบวชนิกายพุทธผู้นั้นไม่ทราบว่ า มา
จากสานักใด แต่มันถึงกับถือครองพลังอธิษฐาน นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
“พลังอธิษฐาน!?”
ศิ ษ ย์ ท้ั ง สามตะลึ ง งั น สี ห น้ า ทอแววเหลื อ เชื่ อ นั ก บวชนิ ก ายพุ ท ธที่
พวกมันเพิ่งพบพานเมื่อครู่ดูไม่ได้สูงวัยกว่าพวกมันสักเท่าใด ทั้งยังไม่มีสิ่ง
ใดโดดเด่นเป็นพิเศษ
พลังอธิษฐานเป็นหนึ่งในอิทธิฤทธิ์ที่หาได้ยากที่สุดในบรรดาพลังฤทธิ์
ของนักบวชนิกายพุทธ ทั้งสามเป็นศิษย์ชั้นยอดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของ
วัดเสวียนคง เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจว่าพลังอธิษฐานหมายถึงสิ่งใด
กระทั่ ง ในวั ด เสวี ย นคง มหาวิ ห ารที่ ยิ่ ง ใหญ่ ที่ สุ ด ในโลก บรรดาผู้ ที่
บรรลุพลังอธิษฐานยังมีจานวนน้อยนิดจนแทบจะนับได้ด้วยนิ้วมือ
“เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ โลกภายนอกเต็มไปด้วยพยัคฆ์ ซ่อนมังกรเร้น
พวกเจ้าอย่าได้ประมาทผู้คนเกินไป” ติ้งเจินเหลือบมองศิษย์น้อยทั้งสาม
แวบหนึ่ ง “นอกจากนี้ เ จตจ านงกระบี่ ข องเซี ย นกระบี่ ผู้ นั้ น ก็ ไ ม่ ธ รรมดา
สามั ญ เจตจ านงกระบี่ ที่ ท้ัง บริ สุทธิ์ แ ละผนึ กรวมรั้ง ถึง เพี ยงนี้ กระทั่ ง ใน
บรรดาศิษย์คุนหลุนที่ข้าเคยพบเห็นมา ยังมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่บรรลุ
ถึงระดับนี้ หากพบพานมันอีกอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”
ศิษย์อีกคนหนึ่งมีปฏิริยารวดเร็วที่สุด รีบถามว่า “อาจารย์อา หรือว่า
พวกมันเป็นศิษย์คุนหลุน?”
“ไม่ใช่คุนหลุน” ติ้งเจินสั่นศีรษะอย่างมั่นใจ “เจตจานงกระบี่ของคุน
หลุนไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนี้”
สามศิษย์รุ่นเยาว์สีหน้ าผ่อนคลายลงทัน ที เป็นการดีที่มิ ใ ช่ศิ ษ ย์ คุ น
หลุ น คุ น หลุ น รั้ ง ต าแหน่ ง สู ง สุ ด ของสวรรค์ สี่ ดิ น แดนมานานหลายพั น ปี
กระทั่งศิษย์วัดเสวียนคงยังไม่ยินดีเผชิญหน้ากับศิษย์คุนหลุน สี่มหาสานัก
ลอบประลองกาลังทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่ตลอดเวลา แต่แทบไม่เคยก่อ
ความขัดแย้งโดยตรง พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนขนาดมหึมา หากก่อ
สงครามระหว่างกันขึ้นจริง ๆ ก็ยากจะจบสิ้นลงง่าย ๆ แล้ว
ตราบเท่าที่คนเหล่านั้นไม่ใช่ศิษย์ของอีกสามมหาสานักที่เหลือ พวก
มั น ก็ ไ ม่ ไ ด้ รู้ สึ ก ว่ า จ าเป็ น ต้ อ งห่ ว งกั ง วลอั น ใด ศั ต รู ที่ พ วกมั น ต้ อ งระวั ง
ป้องกันและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน มีเพียงบรรดาศิษย์ของสี่มหาอานาจ
เท่านั้น เนื่องเพราะคนเหล่านั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกมัน
เห็ น สี ห น้ า ไม่ แ ยแสสนใจของหลวงจี น หนุ่ ม ทั้ ง สาม ติ้ ง เจิ น ลอบสั่ น
ศีรษะ แต่เมื่อหวนนึกถึงความทระนงถือดีเช่นเดียวกันเมื่อครั้งที่มันยังหนุ่ม
แน่น ก็อดแย้มยิ้มไม่ได้ และปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยไม่คิดต าหนิติเตียน
พวกมัน
ศิษย์แห่งวัดเสวียนคง ย่อมมีสิทธิ์ที่จะทระนงถือดี!

ระหว่างการเดินทาง คังเต๋อคอยบอกเล่าตานานเรื่องราวและคาร่าลือ
มากมายของทะเลเมฆ ความสามารถในเล่านิทานของมันแม้ไม่อาจเรียก
ได้ว่าดี แต่คนผู้นี้มีประสบการณ์โชกโชน ล่วงรู้รายละเอียดมากหลาย คณะ
ของจั่วม่อพากันรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
การเดินทางครั้งนี้ยาวนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน กว่าที่หมอกเมฆจะเริ่ม
หนาตาจนกระทั่งบดบังทัศนวิสัยของพวกมัน ไม่ว่ามองไปทางใด ก็เห็น
หมอกขาวบริสุทธิ์ที่ดูคล้ายใยฝ้าย จับกลุ่มหนาแน่นอยู่ในทุกแห่งหน ใน
สายตาของพวกมั น เห็ น เส้ น ทางสายน้ อ ยบั ด เดี๋ ย วผลุ บ บั ด เดี๋ ย วโผล่ อยู่
ท่ามกลางม่านหมอกเมฆ หากพวกมันไม่ทันระวัง เผลอเดินลึ กเข้าไปใน
ม่ า นหมอกเมฆสั ก เล็ ก น้ อ ย อาจหลงทางจนหาทางกลั บ ไม่ ถู ก ในทั น ที
เช่นนั้นก็อันตรายถึงชีวิตจริง ๆ แล้ว
จั่วม่อเพ่งพินิจพิจารณาหมอกเมฆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างใคร่รู้
หมอกเมฆเหล่านี้แม้ล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่พวกมันไม่ได้ล อยไปทุ ก ที่
เส้ น ทางสายน้อ ยแม้ เ ล็กแคบยิ่ง แต่ บ นเส้ นทางไม่มี ห มอกเมฆแผ้วพาน
แม้แต่น้อย
จั่วม่ออดใจไม่ได้ ลองสอบถามคังเต๋อเรื่องนี้ดู
คังเต๋อเกาศีรษะแกรก ๆ “ต้าเหริน บริวารไม่เคยขบคิดเรื่องนี้มาก่อน
เลย ผู้ น้ อ ยเดิ น ทางผ่ า นไปมานั บ สิ บ ๆ ปี แ ล้ ว แม้ ว่ า หมอกเมฆจะ
แปรเปลี่ยนไปทุก ๆ ปี แต่เส้นทางน้อยเหล่ านี้ กลับ ไม่ค่ อยเปลี่ย นแปลง
มากนัก”
“เช่นนั้นที่นี่มีอันตรายหรือไม่?” จั่วม่อถามต่อ
“บริเวณนี้ไม่ค่อยมีอันตรายใด ซิวเจ่อมักเดินทางมาที่นี่เพื่อล่าสัตว์
เมฆอยู่ เ ป็ น ประจ า ดั ง นั้ น เส้ น ทางต่ า ง ๆ ล้ ว นถู ก กวาดล้ า งจนสะอาด
สะอ้าน” คังเต๋อตอบ
คังเจ๋อเพิ่งจะกล่าวจบคาเท่านั้น จงหยูที่เดินหลุบตาอยู่ด้านหลังของ
คณะพลันส่งเสียงอืมม์คาหนึ่ง หยุดเดินทันควัน
จั่วม่อกับเหวยเสิ้งดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ ชะงักการเคลื่อนไหว
ในบัดดล ท่วงท่าเตรียมพร้อมรับเหตุเปลี่ยนแปลง
คังเต๋อสับสนงุนงงยิ่ง
“มีบางอย่างกาลังเข้ามาใกล้” จงหยูกล่าวเสียงเบาต่า
จิตแห่งเซนของจงหยูลึกล้าสุดหยั่ง สัมผัสที่หกของมันเฉียบไวกว่าทุก
คน เว้นเสียแต่ว่าจั่วม่อ จะแผ่พลังจิต ส านึกของมัน ออกไปอย่ างเต็มที่ มิ
เช่นนั้นทางด้านนี้ยังไม่ใช่คู่มือของจงหยู อย่างไรก็ตาม จั่วม่อกับเหวยเสิ้ง
ล้วนเป็นชนชั้นยอดยุ ทธ์ แทบจะพร้อมกั บ ที่จ งหยู กล่ าววาจา พวกมั น ก็
ค้นพบที่มาของอันตราย!
เหวยเสิ้งกระชับกระบี่ดาในมือ จั่วม่อเปลี่ยนพลังเทพกลับเป็นพลัง
ทั้งสาม ผนึกรวมรั้งรอคอยจังหวะปะทุออกมา
วู้ม วู้ม วู้ม!
ทันใดนั้นปรากฏลูกธนูหมอกขาวหลายดอกยิงออกมาจากม่านหมอก
เมฆ เสียงกรีดฝ่าอากาศดังแหลมสูงบาดหู
จั่วม่อลงมือตอบโต้ทันควัน พลังจิตสานึกระเบิดวาบ ‘กระจกน้าแข็ง’
มากมายขับเคลื่อนออกมาในชั่วพริบตาเดียว นับตั้งแต่ได้ยินคังเต๋อกล่าว
ถึงคุณลักษณะเฉพาะของสัตว์เมฆ จั่วม่อก็รู้สึกว่าศาสตร์อสูรเหมาะสมจะ
ใช้งานในเขตทะเลเมฆเป็นที่สุด
‘กระจกน้าแข็ง’ เป็นศาสตร์อสูรน้อยวิช าหนึ่ง จั่วม่อเมื่อใช้ออกมา ก็
รวดเร็วเสียจนผู้คนไม่ทันรู้สึกตัว
ปัง ปัง ปัง!
กระจกน้าแข็งทยอยแตกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไอเย็นยะเยือกแผ่
กระจายไปในอากาศ
เมื่อผ่านเข้ามาในกลุ่มไอเย็นยะเยือก เงาสีขาวหลายเงาที่พุ่งออกมา
จากหมอกเมฆ พลันถูกแช่แข็งในบัดดล
ชั่วพริบตานี้เอง ทุกคนค่อยพบเห็นเจ้าของเงาสีขาวได้ชัดตา ภายใน
กลุ่มไอเย็น เป็นสัต ว์เมฆที่มีรูปร่างคล้ายกระรอกจานวนสามตัว ร่างของ
พวกมั น ถู ก ไอเย็ น แช่ แ ข็ ง จนกลายเป็ น ก้ อ นน้ า แข็ ง ยั ง คงแข็ ง ค้ า งอยู่ ใ น
ท่วงท่าที่กระโจนเข้ามาเมื่อครู่
สั ต ว์ เ มฆเคราะห์ ร้ า ยทั้ ง สาม ร่ า งโปร่ ง ใสเป็ น ประกายดุ จ รู ป สลั ก
น้าแข็ง ดวงตาสีฟ้าจาง ๆ ของพวกมันดูงดงามดั่งอัญมณี
ปัง ปัง ปัง!
พวกมั น พากั น ร่ ว งลงกระแทกพื้ น แล้ ว แตกสลายกลายเป็ น เศษ
น้าแข็งในบัดดล
เศษน้าแข็งละลายกลายเป็นน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นระเหยเป็นหมอก
เมฆ กระจายหายไป
“มุ สิ ก เมฆา!” คั ง เต๋ อ สี หน้ า ตื่นตระหนก กล่ า วราวพึ ม พ ากั บ ตัวเอง
“ไม่ถูกต้อง! ไม่ถูกต้อง! ไฉนมีมุสิกเมฆาอยู่ที่นี่ได้?”
ได้ยินเสียงพึมพาของคังเต๋อ จั่วม่อขมวดคิ้ว “เจ้าอยากจะบอกว่าตัว
พวกนี้ไม่สมควรปรากฏขึ้นที่นี่ใช่หรือไม่?”
คังเต๋อค่อยรู้สึกตัว รีบกล่าว “ใช่ขอรับต้าเหริน! มุสิกเมฆามีความรู้สึก
เฉียบไวต่อการเคลื่อนไหวของซิวเจ่อ ปกติมักอาศัยอยู่ในส่วนลึกของทะเล
เมฆที่ไม่มีผู้คน และที่สาคัญ... ...”
มันหยุดชะงัก ท่าทีสับสนและลังเลใจ
“ที่สาคัญอันใด?” จั่วม่อถามเสียงลึก
“มุสิกเมฆาแทบไม่เคยเป็นฝ่ายโจมตีซิวเจ่อก่อน” คังเต๋อสีหน้าไม่สู้ดี
“มุสิกเมฆาปกตินิสัยอ่อนโยนมาก และด้วยลักษณะท่าทีเช่นนั้นเองที่ทาให้
พวกมันเหมาะที่จะเป็นสัตว์เลี้ยง สตรีซิวเจ่อส่วนมากชมชอบพวกมันยิง่ นี่
เป็นครั้งแรกที่ผู้น้ อยได้ เห็ น ว่ ามุสิ กเมฆาลงมื อจู่โจมซิ ว เจ่อ ที่ไ ม่ไ ด้ ต อแย
พวกมันก่อน”
“เจ้าต้องการกล่าวอันใดรีบบอกออกมาตามตรง!” จั่วม่อเห็นท่าทีรีรอ
ลังเลของคังเต๋อ พลันหน้าเคร่งเครียดเย็นชาลง
คังเต๋อกัดฟัน ในที่สุดค่อยกล่าวสิ่งที่มันคาดเดา “บริวารคิดว่า อาจมี
บางอย่ า งเกิ ด ขึ้ น ในส่ ว นลึ ก ของทะเลเมฆ เป็ น เหตุ ใ ห้ มุ สิ ก เมฆาเปลี่ ย น
พฤติกรรมอย่างกะทันหัน... ....”
“ข้ า เข้ า ใจแล้ ว พวกเราจะระมั ด ระวั ง ให้ ม าก ให้ ถื อ เรื่ องความ
ปลอดภัยของพวกเรามาเป็นอันดับแรก” จั่วม่อเข้าใจดีว่าคังเต๋อหมายถึง
อะไร แต่จะให้หันหลังกลับไปเช่นนี้ มันก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ
ก่อนออกเดิ นทางมาในคราวนี้ มันได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้อง
เสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีให้จงได้
เรื่องนี้ไม่เพียงเกี่ยวพันกับอากุ่ย แต่ยังรวมถึงชาติกาเนิดและความ
เป็นมาของมันด้วย มันมีลางสังหรณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับอากุ่ย
จะต้องไม่รวบรัดเหมือนที่เคยเข้าใจ!
และเพื่อการเดินทางครั้งนี้ จั่วม่อเตรียมการมาอย่างพรักพร้อม มัน
ขอให้กู้หมิงกงหลอมสร้างยันต์เคลื่อนย้ายให้เป็นจานวนมาก ดังนั้นต่อให้
เผชิญอันตรายก็ไม่หวั่นเกรงเท่าใด
เห็นท่าทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของจั่วม่อ คังเต๋อก็ได้แต่จนปัญญา ผู้ใดใช้
ให้ต้าเหรินเป็นเหล่าป่านของมันเล่า
“อาจารย์อา คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” หมิงจิ้งสีหน้าไม่สู้ดี พวกมัน
ก็พบพานการโจมตีห ลายระลอก มันบังเกิดความรู้สึกสั่นไหวอย่างเลือน
ราง ในอดีตหมิงจิง้ เคยมายังทะเลเมฆเพื่อล่าสัตว์ปราณ มิใช่ไม่รู้จักคุ้นเคย
กับสถานที่แห่งนี้ สถานการณ์ผิดธรรมชาติที่ทยอยเกิดขึ้น ไม่ขาดสาย เห็น
ได้ชัดว่าเป็นลางบอกเหตุถึงสิ่งผิดปกติบางประการ
“อันใดไม่ถูกต้อง?” ติ้งเจินถามทันควัน
“ศิษย์เคยลงมาในทะลเมฆหลายครั้ง มุสิกเมฆาเหล่านี้หวาดกลัวผู้คน
ไม่เคยเป็นฝ่ายจู่โจมซิวเจ่อก่อน แต่ยามนี้พวกมันกลับดูคล้ายปั่ นป่วนลน
ลานอย่างแปลกประหลาด ศิษย์ สงสัยว่าอาจมีบางอย่างกาลังผิดแปลกไป
จากเดิม” หมิงจิ้งตอบอย่างระมัดระวัง
“ผิดแปลกไป?” ติ้งเจินดวงตาเฉยชาพลันสาดประกายประหลาดวูบ
หนึ่ง ขณะที่เพ่งมองเข้าไปในส่วนลึกของทะเลเมฆ มันดูคล้ายลิงโลดยินดี
อยู่บ้าง
สายตาร้อนผ่าวของติ้งเจินขู่ข วัญหมิงจิ้งจนขวัญหนีดีฝ่อ นี่เป็นครั้ง
แรกที่มันพบเห็นสายตาเช่นนี้จากอาจารย์อาติ้งเจิน ที่มักสงบเยือกเย็นอยู่
เป็นนิจ ... ...นี่มันเรื่องอะไรกัน... ...
แต่ แ ล้ ว มั น พลั น ฉุ ก ใจคิ ด หวนนึ ก ถึ ง เรื่ อ งที่ อ าจารย์ อ าติ้ง เจิ นได้ รับ
ข่าวสารจากท่านเจ้าอาวาสในระหว่างการเดินทาง จากนั้นอาจารย์อาติ้ง
เจินผลุนผลันเปลี่ยนเส้นทางตรงมายังอาณาจักรทะเลเมฆในบัดดล ทั้งยัง
รีบรุดเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน
หรือว่าในส่วนลึกของทะเลเมฆแห่งนี้ มีบางสิ่งที่ทาให้ท่านเจ้าอาวาส
กังวลสนใจซ่อนอยู่ภายใน?
ติ้งเจินเหลือบมองหมิงจิ้งแวบหนึ่ง หมิงจิ้งสะท้านขึ้นทั้งร่าง สายตา
ของอาจารย์อาแหลมคมปานกระบี่ คล้ายแทงทะลุไปถึงก้นบึ้งหัวใจของ
มันก็มิปาน
“ไปกั น ต่ อ เถอะ” ติ้ ง เจิ น สี ห น้ า กลับ คื น สู่ค วามเฉื่ อยชาอี ก ครั้ ง เริ่ ม
ออกเดินมุ่งลึกเข้าไปในทะเลเมฆอย่างแน่วแน่มั่นคง

หลีซู่อารมณ์ขุ่นมัวยิ่ง
ภารกิจวิหารเทพสุริยันล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้ว่าท่านเจ้ าส านักไม่ได้
ลงโทษมัน แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่มันสูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ใบหน้าหรือ
ศักดิศ
์ รี ก็ประหนึ่งมีเปลวไฟโหมไหม้อยู่ภายในอก
ข่าวคราวเรื่องกองทัพปิศาจบุกโจมตี จากนั้นเกาะเต่าได้ยึดครองทั่ว
ทั้งอาณาจักรทะเลเมฆในชั่วพริบตาเดียว ก็แพร่สะพัดมาถึงหูมันเช่นกัน
พลังอานาจของเกาะเต่าทาให้มันประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อสามารถได้
ชัยเหนือกองทัพปิศาจ แม้ว่าจะเป็นกองทัพปิศาจทั่วไปก็ต าม ยังบ่งบอก
ชัดว่าเกาะเต่าเข้มแข็งกว่าที่แสดงออกมาภายนอกมาก
พวกมันปกปิดซ่อนเร้นเป็นอย่างดี จนกระทั่งแม้แต่มันเองยังมองขุม
กาลังที่แท้จริงของเกาะเต่าไม่ออก!
แต่ น่ า เสี ย ดายที่ ห ลั ง จากจบเรื่ อ งวิ ห ารเทพสุ ริ ยั น ส านั ก ก็ ไ ม่ ส นใจ
อาณาจักรทะเลเมฆอีก ในอาณาจักรภายใต้ก ารปกครองของเทีย นหวน
ปรากฏรอยแยกแห่ ง ความโกลาหลขึ้ น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง หลายอาณาจั ก ร
ค้นพบกองพันอสูรปิศาจขนาดย่อมมากมาย พลังอานาจของสานักที่ต้อง
สารองเอาไว้กลายเป็นถูกจากัดในทันที
ถึ ง ตอนนี้ จ านวนกองพั น ที่ ส่ ง ไปยั ง แนวหน้ า ก็ ล ดน้ อ ยลงมาก หาก
ดินแดนด้านหลังถูกอสูรปิศาจเหยียบย่าทาลาย การเฝ้าระวังแนวหน้ ายัง
จะมีคุณค่าความหมายใดอีกเล่า
จิงสือ วัต ถุดิบ เมล็ดข้าวปราณและทรัพยากรทั้งหลาย เริ่มมีปัญหา
ด้านการจัดหาและจัดส่งบารุง นี่ล้วนเป็นปัญหาใหญ่
ผู้อาวุโสเซินถูกส่งไปยังแนวหน้า ส่วนหลีซู่ได้รับคาสั่งให้ไปยังสถานที่
ที่เรียกว่าอาณาจักรทงอวี้ (หยกโปร่งโล่ง) เพื่อให้การช่วยเหลือกองกาลัง
ประจาอาณาจักร เนื่องเพราะพวกมันค้นพบกองพันอสูรปิศาจขนาดย่ อม
ที่นน
ั่
อาณาจักรทงอวี้เป็นแหล่งผลิต หยกปราณที่มี ความส าคั ญต่อ เที ย น
หวน หยกปราณเป็ น วั ต ถุ ดิ บ ที่ ส าคั ญ ยิ่ ง ต่ อ การหลอมสร้ า งยั น ต์ ชั้ น สู ง
ดังนั้นระดับความสาคัญที่อาณาจักรทงอวี้มีต่อเทียนหวน ก็ไม่จาเป็นต้อง
เอ่ยถึงแล้ว
หากเปรี ย บเที ย บกั น อาณาจั ก รทะเลเมฆที่ ห่ า งไกลและไม่ มี สินค้า
สาคัญอันใดก็ไม่ควรค่าต่อการกล่าวถึงจริง ๆ
มหาพิบัติฟ้าสลายปะทุขึ้นโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้าใด ๆ บันดาลให้
ทุกสานักตกลงสู่ห้วงความสับสนวุ่นวาย พากันมือไม้ปั่นป่วนเป็นระวิง
ไม่ว่าเซินอู๋ไฮ่กับหลีซู่จะต้องการทวงหนี้แค้นของพวกมันมากเพียงใด
ค าสั่ ง ของส านั ก ก็ เ ป็ น ประกาศิ ต ที่ ไ ม่ อ าจขั ด ขื น พวกมั น ได้ แ ต่ ย อมรั บ
ภารกิจใหม่อย่างว่าง่าย
แต่พวกมันไม่ยินยอมพร้อมใจจริง ๆ !
บทที่ 525 แข่งกันเก็บสมบัติ?

คณะของจั่วม่อเดินทางผ่านหมอกเมฆลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ผ่านไปเจ็ด
วันเจ็ดคืนเต็ม ความหนาวเย็นภายในหมอกเมฆยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นลาดับ ทุก
ผู้คนต้องคอยโคจรพลังปราณเพื่อต้านทานไอเย็น จั่วม่อกับพวกในที่สุด
ค่อยเข้าใจว่าไฉนจึงมีเพียงชนชั้นจินตันขึ้นไป จึงจะกล้าเข้าสู่ส่วนลึกที่สุด
ของทะเลเมฆ ลาพังความหนาวเย็นนี้ก็ไม่ใช่สงิ่ ที่ซิวเจ่อต่าชั้นกว่าจินตันจะ
สามารถทนทานรับไว้ได้
จั่ ว ม่ อ มี ท้ั ง เปลวไฟลายชั้ น มหาทิ ว าและยอดสมบั ติล้า ค่ า เช่ น เมล็ด
ผลึกสุริยัน ความหนาวเย็นไม่ส่งผลต่อมันแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทาให้มันตื่น
ตะลึงคือเหล่าเจ้าตัวเล็ก พวกมันแต่ละตัวเล่นสนุกกันอย่างเต็มที่ สดใสร่า
เริ ง เป็ น ที่ สุ ด กระทั่ ง เจ้ า เพลิ ง น้ อ ยที่ มั น คิ ด ว่ า คงมิ อ าจทนทานได้ ยั ง ดู
เหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความหนาวเหน็บที่สามารถฆ่าคนนี้
บางครั้งพวกมันพบพานสัตว์เมฆบางชนิดระหว่างทาง แต่เคราะห์ดีที่
พวกมันไม่เคยเผชิญกับสัตว์เมฆที่ทรงพลังหลายตัวพร้อมกัน
คังเต๋อสีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนแทบดูไม่ได้ ความผิดปกติ
ที่ยิ่งมายิ่งหนักหนาสาหัสของทะเลเมฆ ทาให้มันรู้สึกใจสั่นหวั่นไหวอย่ าง
บอกไม่ถูก
“ต้าเหริน ข้างหน้าเป็นแม่น้าเมฆา” คังเต๋อสีหน้าผ่องใสขึ้นมาทัน ที
“พอข้ามแม่น้าเมฆาไป พวกเราก็สามารถค้นหาตัวอ่อนเมฆวารีได้แล้ว”
ประโยคนี้ทาให้ขวัญกาลังใจเพิ่มสูงขึ้น ทั้งคณะรีบเร่งฝีเท้าก้าวต่อไป
เบื้องหน้า
หลั ง จากนั้ น ไม่ น าน เห็ น แม่ น้ า ใหญ่ โ ตมโหฬารปรากฏขึ้ น ในคลอง
สายตาของพวกมัน แต่พอมองลงไปในแม่น้าเมฆา ทุกคนพากันงงงันวูบ
คังเต๋อทันใดนั้นกลายเป็นลิงโลดยินดี ร้องเสียงตื่นเต้ นว่า “กระแส
หมอกผลึกเมฆ! ไฉนเกิดกระแสหมอกผลึกเมฆในฤดูกาลนี้ได้?”
บนพื้นผิวของแม่น้าเมฆาไม่มีหมอกเมฆปกคลุม แต่สิ่งที่ไหลรินอยู่ใน
แม่ น้ า หาใช่ ส ายน้ า อย่ า งที่ ค วรเป็ น ไม่ กลั บ เป็ น กลุ่ ม ก้ อ นผลึ ก น้ า แข็ ง ที่
หนาแน่นแออัด ผลึกน้าแข็งเหล่านี้แต่ล ะก้อนมีข นาดเท่ า ไข่ไ ก่ กระจ่า ง
สุกใสเป็นเหลี่ยมมุมประดุจเพชร ภายในเม็ดผลึกเพชรแต่ละเม็ด ปรากฏ
กลุ่มหมอกเมฆเล็ก ๆ หมุนวนอย่างแช่มช้าอยู่ภายใน
บนพื้นผิวแม่น้าอันกว้างไพศาลกว่าสิบลี้ ล้วนเต็มไปด้วยผลึกน้าแข็ง
ชนิดนี้ สะท้อนแสงสดใสละลานตา มากมายนับไม่ถ้วน
จั่วม่อยกมือขึ้นทาท่าคว้าจับ ผลึกน้าแข็งชิ้นหนึ่งพุ่งวาบเข้าหาฝ่ามือ
ของมั น น่ า ประหลาดที่ ผ ลึ ก น้ า แข็ ง เมื่ อลอยพ้ น ขึ้ น จากแม่ น้ า ก็ ห ลอม
ละลายอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นเส้นใยหมอกเมฆสายหนึ่ง สลายหายไป
กลางอากาศ
เหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู ก็ ไ ม่ เ คยพบเห็ น สิ่ ง นี้ มาก่ อ น จึ ง เลี ย นเยี่ ย งจั่ วม่อ
พยายามคว้าจับผลึกน้าแข็งด้วย
เหวยเสิ้งร้องอุทานเบา ๆ อย่างประหลาดใจ “ความเย็นที่รุนแรงนัก!”
คั ง เต๋ อ กล่ า วพลางยิ้ ม น้ อ ย ๆ “หมอกเมฆจะค่ อ ย ๆ ควบแน่ น
กลายเป็นกระแสน้า ไหลลงสู่แม่น้าเมฆา ทุกสิบปีจ ะมีก ระแสความเย็ น
เกิ ด ขึ้ น เมื่ อ ความหนาวเย็ น นี้ รุ ก ล้ า เข้ า มาในแม่ น้ า เมฆา จะก่ อ เกิ ด เป็ น
กระแสหมอกผลึกเมฆ เห็นหรือไม่ กลุ่มก้อนหมอกเมฆเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใน
ผลึกน้าแข็งเหล่านี้ สิ่งนี้คือแก่นสารเมฆาที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ
สาหรับการหลอมสร้าง! ทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์กระแสหมอกผลึกเมฆ
ขึ้น จะมีกองทัพซิวเจ่อมากมายนับไม่ถ้วนบุกเข้ามาที่ นี่ เพื่อเก็บเกี่ยวแก่น
สารเมฆา คราครั้งนี้พวกเราโชคดียงิ่ นักที่มาประสบพบเจอเข้าพอดี!”
จั่วม่อพบเห็นซิวเจ่อหลายคนปรากฏตัวที่ริมฝั่ งแม่น้า แต่ละคนล้วนมี
สีห น้าลิงโลดยินดี พากันใช้อาวุธ เวททั้งหมดเท่าที่มี เร่งเก็บรวบรวมแก่น
สารเมฆาอย่างไม่คิดชีวิต
คั ง เต๋ อ หยิ บ ขวดหยกออกมา เริ่ ม เก็ บ รวบรวมแก่ น สารเมฆาอย่ า ง
ระมัดระวัง
จั่วม่อหัวร่อฮี่ฮี่ กล่าวว่า “เมื่อเข้าสู่ภูเขาสมบัติ เราย่อมไม่อาจจากไป
มือเปล่า!”
เพียงกล่าวจบคา ทั้งขวดหยกเอย กล่องหยกเอย นับเป็นหลายร้อยใบ
ปรากฏขึ้นตรงหน้ามัน
เหวยเสิ้งกับจงหยูก็ไม่รีรอ เริ่มเก็บเกี่ยวสมบัติตรงหน้าเช่นกัน
หากหลอมสร้างแก่นสารเมฆาเพิ่มเข้าไปในกระบี่บิน กระบี่บินจะยิ่ง
รวดเร็วและปราดเปรียวมากขึ้นกว่าเดิม เหวยเสิ้งซัดกระบี่ดาออกไปกลาง
อากาศ กระบี่ดาคารามเบา ๆ จากนัน
้ ปลดปล่อยแรงดึงดูดอันน่าสะท้านใจ
ขุมหนึ่ง ประหนึ่งปลาวาฬมหายักษ์ สูบกลืนผลึกน้าแข็งอย่างรุนแรง เหล่า
ผลึกน้าแข็งเมื่อลอยพ้นห่างจากแม่น้า พวกมันก็หลอมละลายอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเปลี่ยนเป็นเส้นใยแก่นสารเมฆา และก่อนที่จ ะสลายหายไป ก็ถูก
กระบี่ดากลืนกินเข้าไปหมดสิ้น
จงหยูผนึกเคล็ดร่างทองบรรลุธรรม เมื่อเงาร่างสีทองขนาดมหึมาของ
โพธิสัตว์มังกรคชสารปรากฏขึ้น กลิ่นอายจาง ๆ ของเทพเทวาแห่งเซนอัน
สูงสง่าก็แผ่ซ่านไปทั่ว ในหัต ถ์ข้างหนึ่งของเงาร่างทองที่ใหญ่โตเท่าภูเขา
เลากาพลันปรากฏขวดเลือนรางใบหนึ่ง ปากขวดชี้ต รงไปยังแม่น้าเมฆา
จากนั้นผลึกน้าแข็งนับไม่ถ้วนลอยเข้าไปในขวดประดุจมวลวิหคหวนคืนรัง
เมื่อเทียบกับทั้งสองคนนี้แล้ว จั่วม่อนับว่าอ่อนด้อยกว่ามาก แม้ว่ามัน
จะประสิทธิภาพมากพอ ไล่บรรจุขวดหยกกล่องหยกด้านหน้าจนเต็มไปที
ละใบ ๆ แต่เห็นได้ชัดว่ามันยังคงไม่พึงพอใจนัก
จั่ ว ม่ อ กลอกตาตลบหนึ่ ง ขบคิ ด อยู่ ห ลายรอบ ทั น ใดนั้ น ฉุ ก คิ ด ถึ ง ’
ตารามุกหยินประลัยกัลป์’ ขึ้นมา แก่นสารเมฆาเหล่านี้มิใช่ว่าจัดอยู่สังกัด
หยินหรอกหรือ ? มันรีบทดลองใช้เวทวิชาหลอมสร้างไข่มุกหยินในบัดดล
ทาท่าคว้าจับไปทางแม่น้าเมฆา
ปัง!
ผลึกน้าแข็งนับร้อย ๆ ก้อนในแม่น้าเมฆาพลันแตกระเบิด เส้นใยแก่น
สารเมฆาราวกับห่าพิรุณ หมุนคว้างเข้าไปผนึกรวมตัวในฝ่ามือของจั่ วม่อ
ก่อเกิดเป็นเม็ดไข่มุกขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเม็ดหนึ่ง ไข่มุกนี้ท้ังกลมเกลี้ยง
และเป็นประกาย ราวกับว่าแกะสลักขึ้นจากก้อนผลึก สิง่ ที่น่าอัศจรรย์ที่สุด
คื อ มี ล ะไอหมอกเมฆจาง ๆ ล่ อ งลอยอยู่ ร อบๆ เม็ ด ไข่ มุ ก ดู วิ จิ ต รงดงาม
อย่างบอกไม่ถูก
จั่วม่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้การได้ ต้องหัวร่ออย่างปิติยินดี ยิ่งทาให้มันคึกคัก
กระตือรือร้นมากกว่าเดิม
เจดีย์น้อยกรีดชายคา บิดร่างอ้วนกลมอย่างลิงโลด เร่งดูดกลืนแก่น
สารเมฆาอย่างชุ่มฉ่าใจ ในความเห็นของจั่วม่อ ซิวเจ่อที่หลอมสร้างเจดีย์
น้ อ ยขึ้ น มานั บ ว่ า มี หั ว คิ ด ไม่ ธ รรมดา เพี ย งแต่ วิ ธี ก ารที่ ใ ช้ อ อกจะหยาบ
กระด้ า งเกิ น ไปและยึ ด ติ ด กั บ กรอบดั้ ง เดิ ม มากเกิ น ไป เหตุ ที่ เ จดี ย์ น้ อ ย
สามารถมาถึงระดับนี้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนพึ่งพาอาวุธ เวทกองโตและ
วัตถุดิบหายากจานวนมหาศาลเท่านั้น
ทอง ไม้ น้ า ไฟและดิ น ทั้ ง ห้ า ธาตุ ก็ เ ป็ นร่ า งกายทั้ ง ห้า ชั้ น ของเจดีย์
น้อยด้วย จั่วม่อเติมไม้ตะขอหยกระดับหกเข้าไปในชั้นธาตุไม้ และใส่เปลว
ไฟลายชั้นมหาทิวาอันพิเศษเฉพาะของตน เข้าไปในชั้นธาตุไฟ ส่วนชั้น
ธาตุทองเต็มไปด้วยทรายผลึกทองจานวนมหาศาล และคราครั้งนี้ พวกมัน
ยังพบพานกระแสหมอกผลึกเมฆเข้าโดยบังเอิญ นี่แน่นอนว่ าเป็นโอกาส
ทองที่หาได้ยากยิ่ง
แก่ น สารเมฆายิ่ง ไหลบ่ า เข้า ไปในร่ า งของเจดี ย์น้อ ยมากเท่ า ใด ชั้ น
ธาตุน้าที่เดิมทีส ลัว มั วหม่น ก็ค่อย ๆ ส่องสว่างมากขึ้น เท่ านั้น พร้อมกั บ
แผ่ซ่านม่านหมอกจาง ๆ ออกมา
บรรดาซิวเจ่อที่ริมฝั่ งแม่น้า ล้วนถูกเสียงเอะอะอึกทึกจากคณะของ
จั่วม่อก่อกวนจนหันมามองเป็นตาเดียว จากนั้นล้วนมีสีหน้าเคารพยาเกรง
โดยถ้วนหน้า

“ร่างทองบรรลุธ รรม!” ติ้งเจินดวงตาเป็นประกายเจิดจ้ า เงาร่า งที่


ด้านหลังของจงหยูแม้ดูเลือนราง แต่ก็เป็นร่างทองอันสูงสง่าของโพธิสัตว์
มังกรคชสารไม่ผิดแน่ ความตื่นตะลึงครั้งนี้ทาให้มันหลงลืมความสามารถ
ในการกล่าววาจาไปสิน
้ ถึงกับนิง่ เงียบงันไปชั่วครู่ใหญ่
“อาจารย์อา ร่างทองบรรลุธ รรมคือสิ่งใด?” หมิงจิ้งกล่าวถามอย่าง
ประหลาดใจ เป็นสิ่งของเยี่ยงไรกันจึงสามารถทาให้อาจารย์อาถึงกั บเสีย
กิริยาได้?
ศิษย์อีกสองคนก็พากันหยุดมือ หันมามองเป็นตาเดียว
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นร่างทองบรรลุธรรม!” ติ้งเจินฝืนเค้นรอยยิ้มเยือก
เย็ น “นี่ เ ป็ น เคล็ ด วิ ช าแนวทางพุ ท ธอั น อั ศ จรรย์ พั น ลึ ก วิ ช าหนึ่ ง หาย
สาบสูญไปตั้งแต่มหาสงครามพันปีในครั้งนั้น เดิมทีเข้าใจว่าคงสูญหายไป
ตลอดกาล ไม่ได้คาดฝันว่าจะมีสาขาที่เหลือรอดมาได้ ไม่น่าแปลกใจที่เด็ก
น้อยผู้ นั้นสามารถบรรลุพลังอธิษฐาน ผู้สืบทอดแห่งเคล็ดร่างทองบรรลุ
ธรรม ช่างยอดเยี่ยมสมดังที่คาดหวังจริง ๆ!”
ศิษย์ท้งั สามเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่าง ที่แท้เป็นเคล็ดวิชาแนวทางพุทธ
ที่หายสาบสูญ
หมิงจู๋ผู้ส งบปากสงบคาจู่ ๆ พลันกล่าวว่า “อีกสองคนก็ดูเหมือนจะ
เข้มแข็งไม่น้อย”
ได้ยินเช่นนี้ ติ้งเจินงงงันวูบ ในบรรดาศิษย์ท้ังสาม ชหมิงจู๋เคร่งขรึม
สารวมที่สุด แต่เมื่อกล่าวออกมาทุกประการมักเป็นไปตามที่มันกล่ า วทุก
ครั้ง ติ้งเจินพอฟัง ในที่สุดก็เบนสายตาออกจากร่างทองบรรลุธรรม เมื่อหัน
ไปมองดูกระบี่ดาของเหวยเสิ้ง ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างกะทันหัน
“รังสีอามหิตอันกล้าแข็งนัก! เจตนาฆ่าฟันอันเกรี้ยวกราดนัก! ในโลก
ถึงกับมีศาสตราที่ดุร้ายกระหายเลือดถึงเพียงนี้!”
รอจนมั น มองดู เ หวยเสิ้ ง ค่ อ ยพบว่ า อี ก ฝ่ า ยดวงตากระจ่ า ง ใส
ปราศจากร่องรอยดุร้ายอามหิต ท่วงท่าสภาวะโอ่อ่าผ่ าเผย อาจเห็นได้ว่า
เจตนาฆ่าฟันของกระบี่มารเล่มนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจเจ้าของแม้แต่
น้อย ติง้ เจินอดทอดถอนชมเชยไม่ได้ “บุรุษที่มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวนัก!”
จากนั้นสายตาของมันกวาดมองต่อไปยังจั่วม่อ
ติ้งเจินถึงกับอุทานเบา ๆ คาหนึ่งด้วยความประหลาดใจ สีห น้า กลับ
กลายเป็นสับสนงุนงง “น่าแปลก น่าแปลก ช่างแปลกประหลาดโดยแท้!”
สมณะเฒ่าจากวัดอันดับหนึ่งราพึงเบา ๆ กับตัวเอง “มันเห็นได้ชัดว่า
ยังไม่ได้เข้าสู่ด่านจินตัน ไฉนสามารถมาถึงที่นี่ได้? วิชาหัตถ์ของมันก็แปลก
ประหลาดยิ่ง ข้าไม่อาจทาความเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย”
มันกล่าวไปสั่นศีรษะไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อสายตาของมันหันไปมองเจดีย์น้อย พลันดวงตาเป็นประกาย แต่
จากนัน
้ กลับกล่าวอย่างเศร้าเสียดาย “น่าเสียดาย อา น่าเสียดายจริง ๆ”
ศิษย์ท้งั สามยิ่งฟังยิ่งสับสนงุนงงขึ้นเรื่อย ๆ
ติ้งเจินก็ไม่อธิบาย เพียงเตือนว่า “สามคนนี้เกรงว่ามีความเป็นมาไม่
ธรรมดา การเดินทางครั้งนี้เราจาเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด อย่าได้
บาดหมางกับพวกมันแล้ว”
เห็นสีห น้าไม่แยแสสนใจของศิษย์ท้ังสาม ติ้งเจินหัวคิ้วขมวดมุ่น แต่
เมื่อนึกถึงว่า จะอย่างไรก็ยังมีหยวนอิงเช่นมันคอยดูแลศิษย์ท้ังสามอยู่ท้ั ง
คนก็อดหัวร่อไม่ได้ เป็นมันระมัดระวังมากเกินไปเองจริง ๆ
เมื่อคิดได้ดังนี้ ติ้งเจินก็ไม่คิดอบรมสั่งสอนศิษย์ท้ังสามสืบต่อ เพียง
กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “พวกเจ้าสมควรต้องเก็บเกี่ยวให้มากกว่านี้ ต่อไปคิด
พบพานแก่นสารเมฆาที่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้อีกก็เป็นเรื่องยากแล้ว รอจนพวก
เจ้ากลับไปยังสานัก ของสิ่งนี้จะเป็นของกานัลที่ดีเยี่ยมสาหรับบรรดาศิษย์
พี่ศิษย์น้องของพวกเจ้า”
พอฟังคาของอาจารย์อา คราวนี้กระทั่งหมิงจู๋ยังล้วงขวดหยกออกมา
เริ่มเก็บเกี่ยวแก่นสารเมฆาอย่างขมักเขม้น

ในบรรดาสามคนของพวกจั่วม่อ จงหยูเสร็จสิ้นเป็นคนแรก ขวดในมือ


โพธิสัตว์มังกรคชสารยิ่งกลายเป็นละเอียดชัดเจนกว่าเดิม ขนาดใหญ่โตขึ้น
และมีลวดลายดอกบัวสีแดงเลือดเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิวของขวด ขวด
ใบนั้นถูกปกคลุมออยู่ภายในหมอกเมฆ ขณะที่ค่อย ๆ จางหายเข้าไปในร่าง
ของโพธิสัตว์มังกรคชสาร
จงหยูลุกขึ้นยืนประนมมือ ค้อมกายคารวะต่อแม่น้าเมฆา
จั่วม่อก็หลอมสร้างไข่มุกเมฆาหลายร้อยเม็ด ใช้พลังปราณภายในร่าง
ไปจนเกลี้ยงฉาดจึงหยุดยั้งลง โยนโอสถปราณสองสามเม็ดเข้าปาก ทรุ ด
กายลงนัง่ ขัดสมาธิ เริม
่ ฟื้นฟูพลังปราณทันที
เจดีย์น้อยดูเหมือนสวาปามจนเกินพอดี บินตุปัดตุเป๋กลับไปยังอ้อม
แขนของอากุ่ยแล้วนอนแผ่หลา ท้องป่องนูนกลมดิก
แต่กระบี่ดายังคงดูดกลืนหมอกเมฆโดยไม่ชะลอช้าลง
เหวยเสิ้ ง เฝ้ า มองกระบี่ ด าอย่ า งสนอกสนใจ และค้ น พบอย่ า ง
ประหลาดใจว่ารู ปลักษณ์ข องกระบี่ ด าก าลังค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปอย่ า ง
ช้าๆ
ใบกระบี่กลายแคบลง บันดาลให้กระบี่ดูเรียวยาวกว่าเดิม เทียบกับ
รู ปลักษณ์ดุร้ายกระหายเลือดในกาลก่อนแล้ ว กระบี่ดาในตอนนี้ดูค ล้ า ย
ปราดเปรียวมากขึ้น และมีชีวิต ชีวามากขึ้น ส่วนความยาวของกระบี่ ด า
กลับสั้นลง เดิมทีกระบี่ดาเล่มนี้พอปักลงกับพื้น ก็มีความสูงท่วมหัวคน แต่
บัดนี้หดสั้นลง เพียงสูงเท่าบริเวณชายโครงของเหวยเสิ้งเท่านั้น ใบกระบี่
ตรงแน่ ว ยั ง คงเรี ย บง่ า ยไร้ ก ารประดั บ ประดา มื ด ทะมึ น ประดุ จ หมึ ก ไม่
สะท้อนแสงสว่างใด ๆ ออกมา
กระบี่ดาในยามนี้แม้ยังคงมีขนาดใหญ่โตกว่ากระบี่บินทั่วไป แต่หาก
เที ย บกั บ รู ปลั ก ษณ์ ใ นอดี ต แล้ ว ก็ นั บ ว่ า ประณี ต งดงามกว่ า เดิ ม มาก
ประหนึ่งสัตว์ร้ายบรรพกาลที่ปิดซ่อนคมเขี้ยวและกรงเล็บอันคมกล้าเอาไว้
อย่างเงียบเชียบ
ไม่มีกลิ่นอายดุร้ายกระหายเลือด ไม่มีรังสีอามหิต ไม่มีเจตนาฆ่าฟัน
หนั ก ข้ น แต่ ไ ม่ ท ราบเพราะเหตุ ใ ด ในใจเหวยเสิ้ ง เปี่ ยมล้ น ไปด้ ว ยความ
ปลาบปลื้มยินดีจาง ๆ
ใช้เวลาไปอีกหนึ่งชั่วยามเต็ม กว่าที่กระบี่ดาจะหยุดดูดกลืนแก่นสาร
เมฆา
กระบี่ดาทันใดนั้นหายวับไปจากกลางอากาศ แล้วกลับมาปรากฏอยู่
ในมือของเหวยเสิ้งอีกครั้ง
เหวยเสิง้ จับด้ามกระบี่ซึ่งมีส่วนยาวและส่วนหนาเหมาะกับมือของมัน
พอดี ใบหน้าเบิกบานด้วยรอยยิ้ม
คังเต๋อเก็บเกี่ยวเรียบร้อยก่อนจงหยูเสียอีก มันนึกไม่ถึงว่า มาคราวนี้
จะได้พบพานกระแสหมอกผลึกเมฆ ดังนั้นไม่ได้เตรียมตัวมาด้วย อย่างไรก็
ตาม มันไม่ละโมบโลภมาก กับโชควาสนาที่มาโดยไม่คาดคิด เพียงเท่านี้ก็
พึงพอใจมากแล้ว
“ต้าเหริน หลังจากข้ามแม่น้าไป จากนั้นเดินทางอีกร่วมสองวัน เราจะ
เข้าสู่พ้ น
ื ที่ที่สามารถเก็บเกี่ยวตัวอ่อนเมฆวารี... ...”
คั ง เต๋ อ ยั ง ไม่ ทั น จะกล่ า วจบความ สุ้ ม เสี ย งพลั น ชะงั ก ขาดหาย
เกือบจะพร้อมเพรียงกัน จั่วม่อกับพวกทั้งสามหันขวับไปมองแม่น้า เมฆา
เป็นตาเดียว
ทันใดนั้นลาแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งวาบออกมาจากแม่น้าเมฆา ปกคลุม
ชั้นผลึกน้าแข็ง แล้วฟาดใส่ซิวเจ่อผู้หนึ่งอย่างถนัดถนี่ ซิวเจ่อเคราะห์ร้ายผู้
นั้นพลันร่างแข็งทื่อเหมือนรู ปสลักน้าแข็ง กระทั่งเวลาจะแผดร้องยั งไม่มี
ก่อนที่จะร่วงลิ่วลงไปในแม่น้าเมฆา หายวับไปกับตา!
“สัต ว์ร้ายลมหายใจน้าแข็ง!” คังเต๋อหน้าซีดเหมือนศพ สุ้มเสียงสั่น
ระริก
บรรดาซิวเจ่อที่กาลังเก็บเกี่ยวอยู่ต ามริมฝั่ งแม่น้า พากันแตกตื่นลน
ลานขึ้นมาทันที แต่ละคนหน้าซีดขาวราวกับซากศพ รีบหันกลับ พยายาม
หลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต
แต่แล้วลาแสงสีฟ้าหลายสิบสายระดมยิงออกมาจากแม่น้า ซิวเจ่อคน
ใดที่ถูกลาแสงยิงใส่ ล้วนกลายเป็นประติมากรรมน้าแข็งในบัดดล กระทั่งสี
หน้าบนใบหน้ายังอยู่ในสภาพราวกับว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่
แต่พวกมันล้วนตายสนิทในชั่วพริบตาเดียว
ในเวลานี้ กระทั่งคณะของจั่วม่อยังหน้าเปลี่ยนสี!
ซิวเจ่อหลายสิบคนเหล่านี้ล้วนเป็นจินตัน! แต่พวกมันทั้งหมดไม่มีผู้ใด
ยืนหยัดต้านรับลาแสงสีฟ้าได้แม้แต่ชั่ววูบเดียว!
สิ่งที่ยากจะเชื่อยิ่งกว่านั้น คือผู้ที่ถูกจู่โจมล้วนเป็นซิวเจ่อที่คิดหลบหนี
ทั้งสิ้น!
จั่วม่อใจสั่นสะท้าน นี่เป็นสติปัญญาอันสูงส่งเหนือสัตว์ร้ายทั่วไป!
ทันใดนั้น เสียงใครบางคนกรีดก้องอย่างตื่นตระหนก “สวรรค์! แม่น้า
เมฆกาลังเพิ่มสูงขึ้น!”
คนผู้ นั้ น ยั ง ไม่ ทั น จะกล่ า วจบค า เห็ น ชั้ น ผลึ ก น้ า แข็ ง เพิ่ ม สู ง พรวด
พราดอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งพรวดขึ้นมาถึงระดับเดียวกัน กับ
ฝั่ งแม่น้า และยังคงเพิม
่ สูงขึ้นไม่หยุดยัง้ !
ในเวลานี้เอง ลาแสงสีฟ้าหลายสายพลันจู่โจมเข้าหาคณะของจั่ วม่อ
อย่างดุร้าย!
คังเต๋อผู้ หน้าซีดขาวราวซากศพ เวลานี้แทบวิญญาณหลุดลอยออก
จากร่างแล้ว!
บทที่ 526 ราชาสัตว์ร้ายแห่งทะเลเมฆ

ผู้ที่อยู่ใกล้กับคังเต๋อมากที่สุดคือเหวยเสิ้ง
เหวยเสิ้งเลิกคิ้วดกหนา กระบี่ตรงเรียวยาวปรากฏขึ้นในมือ กรีดเป็น
เส้นโค้งอันพิสดาร ฟันขวางออกไปอย่างหนักแน่นมั่นคง
คลื่นสีดาจาง ๆ สาดวาบเป็นวงกว้าง
ลาแสงสีฟ้าเมื่อกระทบถูกคลื่นสีดาก็สลายวับไปโดยไม่มีร่องรอย
จงหยูดวงตายังคงหลุบต่า ครึ่งหลับครึ่งลืม สีห น้าสงบราบเรียบ แต่
ชั่วพริบตาที่การโจมตีในแม่น้าเริ่มมุ่งเป้ามายังพวกมัน มือขวาของมันก็
ผนึกเป็นท่ามุทราตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
ตง!
เบื้องหลังมันพลันปรากฏเงาร่างปานขุนเขาของโพธิสัตว์มังกรคชสาร
เงาจ าแลงพระโพธิ สั ต ว์ ชู มื อ ข้ า งหนึ่ ง ขึ้ น สู ง ราวกั บ ก าลั ง ค้ า ยั น บางสิ่ ง
บางอย่างที่มองไม่เห็น ชั่วพริบตานี้เอง กลิ่นอายแห่งเซนอันสูงสง่า ยึดถือ
พระโพธิสัต ว์มังกรคชสารเป็นจุ ด ศูนย์ กลาง กวาดวาบออกไปในบั ด ดล!
จั่วม่อ อากุ่ยและคนอื่น ๆ ถูกห้อมล้อมเอาไว้ภายใน
ลาแสงสีฟ้าพอกระทบถูกระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นเหล่านี้ พลันแตก
ระเบิดกลางอากาศ สุกสว่างพร่างพราวราวดอกไม้ไฟ
ตั้งแต่ต้นจนจบ จั่วม่อไม่จาเป็นต้องขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
มันเพ่งมองแม่น้าเมฆที่พลุ่งพล่านปั่ นป่วน สีห น้าคล้ายกาลังขบคิด
เรื่องราวบางประการ
ต่างจากคณะของจั่วม่อที่ไม่ได้ส ะทกสะท้านอันใด บรรดาซิวเจ่อ อีก
มากมายพากันบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ลาแสงสีฟ้าเหล่านี้เป็นอาวุธคร่า
ชีวิตของสัตว์ร้ายลมหายใจน้าแข็ง ดุดันอามหิตยิ่ง ชุดเกราะปราณทั่วไปไม่
อาจต้านรับได้
ซิวเจ่อเคราะห์ร้ายเหล่านั้น พอล าแสงกระทบถูกร่างล้วนกลายเป็น
รูปปั้ นน้าแข็งไปในบัดดล
ส่ ว นซิ ว เจ่ อ ที่ ส ามารถต้า นรั บ การโจมตีป ลิด ชี พ เหล่า นี้ ไ ด้ หากมิ ใ ช่
พลังฝีมือสูงเยี่ยม ก็ต้องมีสมบัติศาสตราอันทรงอานุภาพ จั่วม่อเพ่งมองไป
ยังสี่สมณะแห่งวัดเสวียนคง พวกมันเป็นกลุ่มที่ดึงดูดสายตามากที่สุด
ในพวกมันทั้งสี่ไม่มีผู้ใดขยับเคลื่อนไหว
ล าแสงสี ฟ้ า ซึ่ ง พิ ชิ ต ไปโดยไร้ ผู้ ต้ า น คล้ า ยถู ก ก าแพงที่ ม องไม่ เ ห็ น
หยุดยั้งเอาไว้ที่ระยะห่างจากพวกมันราวสิบจั้ง
จั่วม่อสะท้านใจวูบ
ฝีมือที่ผู้อ่ ืนส าแดงออกมาเผยชัดว่าคนกลุ่มนี้พลังฝีมือเหนือล้า กว่า
พวกมัน ถึงตอนนี้มันมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าสมณะคิ้วขาวผู้นากลุ่ม เป็นชน
ชั้นหยวนอิงผู้หนึ่ง! หากมิใช่หยวนอิง ย่อมไม่อาจต้านทานด้วยท่าทีปลอด
โปร่งเช่นนี้ได้
ติ้งเจินสีหน้าสงบราบเรียบคล้ายไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจเริ่มบังเกิด
เมฆหมอกปกคลุ ม การเปลี่ ย นแปลงอย่า งผิ ด ธรรมชาติข องแม่ น้า เมฆา
เห็นได้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างแท้จริง
“มั น คื อ สั ต ว์ ร้ า ยลมหายใจน้า แข็ง ” หมิ ง จิ้ ง สี ห น้ า ไม่ สู้ดี นัก อธิ บ าย
อย่างเคร่งเครียด “เป็นสัต ว์เมฆระดับห้า การโจมตีที่ร้ายกาจที่สุดคือลม
หายใจน้าแข็งนี้เอง ชุดเกราะปราณที่ต่ากว่าระดับห้าไม่สามารถต้านทาน
พลังนี้ได้”
“ก่อนหน้านี้พวกมัน คงไม่ ไ ด้อยู่ ที่นี่ ก ระมั ง ?” ติ้งเจินถามคล้า ยคาด
เดาบางสิ่งบางอย่างออก
“พวกมันไม่เคยอยู่ ที่นี่” หมิงจิ้งสั่นศีรษะ พลางขยายความว่ า “ใน
บริเวณนี้ ส่วนใหญ่มักจะพบเจอสัตว์เมฆระดับสามเท่านั้น กระทั่งสัตว์เมฆ
ระดับสี่ยังยากยิง่ ที่จะพบพาน อย่าว่าแต่ระดับห้า!”
ศิ ษ ย์ อี ก สองคนพอฟั ง สี ห น้ า เริ่ ม ไม่ สู้ ดี ต ามไปด้ ว ย ส าหรั บ พวกมัน
เผชิญกับสัตว์เมฆระดับห้า ยังต้องรับมืออย่างจริงจัง และเมื่อสัตว์ร้ายมีข้อ
ได้เปรียบด้านสภาพภูมิประเทศ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์
อา พวกมันยังต้องหลบลี้หนีหน้าโดยเร็วที่สุด
โชคดีที่เวลานี้พวกมันอยู่กับอาจารย์อา ต่อหน้ายอดคนด่านหยวนอิง
สัตว์เมฆระดับห้ารับมือได้ไม่ยากนัก
“อาจารย์อา... เราสมควรช่วยเหลือพวกมันหรือไม่ ?” หมิงจิ้งมองดู
สภาพน่าอเนจอนาถบนริมฝั่ งแม่น้า ในสายตาทอแววเวทนาวูบหนึ่ง กล่าว
ถามอย่างลังเล
“เรามีเรื่องสาคัญกว่าต้องกระทา อย่าได้ไขว้เขวแล้ว” ติ้งเจินมองไป
ยังอีกฝั่ งหนึ่งของแม่น้าพลางกล่าวเตือนเสียงต่าลึก
“อาจารย์อา พวกเราจะข้ามแม่น้าเช่นนั้นหรือ?” หมิงจิ้งซักไซ้อย่าง
ไม่แน่ใจ แม้ว่ามันจะทราบดีว่าพวกมันมีภารกิจสาคัญต้องรีบกระทา แต่ไม่
ว่าจะเป็นกระแสหมอกผลึกเมฆที่ป รากฏขึ้นผิดฤดู กาล หรือจะเป็นสัต ว์
ร้ายลมหายใจน้า แข็ง ที่ไ ม่ค วรอยู่ ใ นแม่น้ าเมฆา ทุกสิ่งล้วนบ่งบอกถึ ง สิ่ ง
ผิดปกติที่กาลังบังเกิดขึ้นที่นี่
“อา พวกเจ้าตามหลังข้า ให้ดี” ติ้งเจินกล่าวเบา ๆ กวาดตามองคณะ
ของจั่วม่อแวบหนึ่ง จากนั้นรั้งสายตากลับ
ติ้งเจินพลันก้าวเดินออกไปบนแม่น้าเมฆาด้วยท่าทีปกติ ทีล ะก้าวที
ละก้าว มันก้าวรุดไปเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับเดินอยู่บนพื้นราบอัน
สะดวกสบาย ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ไม่รีบไม่ร้อน ศิษย์ท้ังสามติดตามอยู่
เบื้องหลัง สืบเท้าก้าวตามอาจารย์อาทีละก้าว ๆ
ชั่วพริบตาที่ติ้งเจินเหยีย บลงบนแม่น้ าเมฆา แม่น้าเมฆาพลัน เดื อ ด
พล่านขึ้นมา ลาแสงสีฟ้ามากมาบสุดประมาณพวยพุ่งขึ้นจากแม่น้าเมฆา
กระหน่าซัดใส่สมณะทั้งสี่ดุจลมคลุ้มพิรุณคลั่ง
ติ้งเจินหน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงสงบราบเรียบประหนึ่งว่ามองไม่เห็นการ
โจมตีอันบ้าคลั่งนี้ก็มิปาน
พายุล าแสงแสงสีฟ้าระดมซัดใส่กาแพงที่ มองไม่เห็น บังเกิดสะเก็ ด
ประกายนับไม่ถ้วนกระเด็นเวียนว่อน ติ้งเจินกับพวกทั้งสี่ไม่สะทกสะท้าน
แม้แต่น้อย มุ่งตรงไปยังฝั่ งตรงข้ามราวกับกาลังเดินท่องเที่ยวชมทิวทัศน์
บรรดาซิวเจ่อที่เห็นภาพนี้ล้วนสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ตะลึง
งันกันไปหมด
“พลังฝีมืออันร้ายกาจ!” จั่วม่อกลืนน้าลายอย่างฝืดคอ “คนผู้นี้ต้อง
ไม่ใช่หยวนอิงสามัญทั่วไปแน่!”
เหวยเสิ้ ง ใบหน้ า ทอแววนั บ ถื อ เลื่ อมใส พลั ง ฝี มื อ ที่ ติ้ ง เจิ น ส าแดง
ออกมาเหนือล้ากว่าพวกมันมาก แต่ในไม่ช้าความนับถือเลื่อมใสก็ถูก แรง
ปลุกเร้าอันยิ่งใหญ่กลบกลืนลงไปสิ้น มันกาด้ามกระบี่ดาแนบแน่นโดยไม่
รู้สึกตัว
กระบี่ดาซึ่งสูบกลืนแก่นสารเมฆาปริมาณมหาศาลเข้าไป รู ปลักษณ์
ภายนอกแปรเปลี่ ย นอย่า งสิ้น เชิ ง มั น คล้ า ยสั ม ผัส ได้ ถึง จิต วิ ญ ญาณการ
ต่ อ สู้ ข องเหวยเสิ้ง พลั น สั่ นสะเทื อนเบา ๆ อยู่ ใ นมื อ ของเหวยเสิ้ง คล้ า ย
สนองตอบและคล้ายลิงโลดเร้าใจไปด้วย
เหวยเสิ้ ง รู้ สึ ก ถึ ง แรงสั่ น สะเทื อ นจากกระบี่ ด า อดลู บ ไล้ ก ระบี่ ที่
กลายเป็นแคบยาวอย่างรักใคร่หวงแหนไม่ได้
คังเต๋อเมื่อถูกช่วยให้หลุดรอดออกมาจากกรงเขี้ยวแห่งความตาย ใน
ฐานะที่ผ่านชีวิตมาไม่น้อย ใบหน้าซีดขาวราวคนตายค่อย ๆ กลับคืนเป็น
ปกติต ามเดิม “ต้าเหรินเห็นซึ้งกระจ่างยิ่ง สัต ว์ร้ายลมหายใจน้าแข็งเป็น
สั ต ว์ ป ราณระดั บ ห้ า ลมหายใจน้ า แข็ ง ของมั น เย็น เยือ กสุด ขั้ ว ชุ ด เกราะ
ปราณทั่ ว ไปย่ อ มไม่ ค รนามื อ มั น แม้ แ ต่ น้ อ ย คนผู้ นั้ น เมื่ อ ปิ ด กั้ น เอาไว้ ไ ด้
อย่างปลอดโปร่งถึงเพียงนี้ สมควรไม่ใช่ชนชัน
้ ธรรมดาจริง ๆ”
จากนั้ น มั นกวาดตามองดู รูป ปั้ นน้า แข็ง มากมายตามริ มฝั่ งแม่ น้า สี
หน้าอดโศกเศร้าหม่นมัวลงไม่ได้
ขณะที่มันกล่าววาจา กระแสผลึกน้าแข็งอันเชี่ ยวกรากในแม่น้าเมฆา
ก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุดยั้ง
“ต้ า เหริ น พวกเราย้ อ นกลั บ กั น เถิ ด !” คั ง เต๋ อ รวบรวมความกล้ า
กระตุ้นเตือนด้วยน้าเสียงประหวั่นพรั่นพรึง “บริวารสัญจรอยู่ในทะเลเมฆ
มานานนับสิบ ๆ ปี แต่ยังไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน... ...”
แต่แล้วยังไม่ทันจะได้กล่าวจบคา ทันใดนั้นเอง ซิวเจ่อฝีมือเข้มแข็ง
ส่วนหนึ่งที่หลบหนีไปได้สาเร็จ จู่ ๆ วิ่งล้มลุกคลุกคลานกลับมาด้วยสีห น้า
แตกตื่นลนลานแทบเสียสติ
“พญางูเมฆอาไพ! ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย... ...”
คั ง เต๋ อ นิ่ ง ขึ ง ตะลึ ง งั น ชั่ ว พริ บ ตานั้ น ดวงตาของมั น กลาย เป็ น
หวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ
เห็นศีรษะอสรพิษใหญ่โตมโหฬาร จู่ ๆ ก็พุ่งพรวดออกมาจากหมอก
เมฆ เขมือบกลืนบรรดาซิวเจ่อที่ร่าร้องตะโกนเหล่านั้นลงไปในคาเดียว! นั่น
เป็นหัวงูที่มหึมาปานขุนเขา สูงไม่ต่ากว่าหนึ่งร้อยจั้ง ต่อหน้าตัวตนมหา
ยักษ์เช่นนี้ ซิวเจ่อดูไปเล็กกระจ้อยร่อยไม่ต่างจากมดปลวก พญางูท้ังร่าง
ก่อเกิดจากหมอกเมฆ ดวงตาสีขาวเทาว่างเปล่าไร้อารมณ์ ลาพังแค่ศีรษะงู
มหึมาที่โผล่ออกมานี้ ก็เพียงพอให้ผู้คนขวัญวิญญาณกระเจิดกระเจิง
ถึงยามนี้กระทั่งพวกจั่วม่อยังไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีก สี
หน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!
แค่ส่วนศีรษะยังน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าทั้งร่างของพญางู
จะใหญ่โตมโหฬารสักปานใด?
และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิง่ ไปกว่านั้น คือพลังสภาวะที่แผ่ซ่านออกมา
จากร่างมหึมา ถึงกับกดทับพวกมันจนแทบหายใจหายคอไม่ออก
จั่วม่อเพียงมองปราดเดียวก็ซาบซึ้งไปถึงแก่น ว่าพวกมันไม่ได้อยู่ใน
ระดั บ ชั้ น เดี ย วกั น มั น ไม่ รี ร อลัง เล คว้ า ร่ า งอากุ่ ย โถมทะยานไปยัง แม่น้า
เมฆาในบัดดล
“รีบไป!”
เหวยเสิ้งกับจงหยูรู้ใจจั่วม่อเป็นอย่างดี ภายใต้เสี้ยววินาทีคับขันเป็น
ตาย เหวยเสิ้งคว้าตัวคังเต๋อที่กาลังสั่นสะท้านเป็นเจ้าเข้า จงหยูร่างสาดพุ่ง
ออกไปพร้ อมกัน คนทั้งสองคล้ายลูกธนูหลุดจากแล่ง โถมลิ่วไปยังแม่น้า
เมฆาอย่างไม่คิดชีวิต นกโง่ซึ่งปกติเกียจคร้านเฉื่อยชาที่สุด กลับมีปฏิกิริยา
ตอบสนองรวดเร็วที่สุด อาศัยระดับความเร็วที่แทบจะเหนือธรรมชาติ นาง
นาลิ่วอยู่ด้านหน้าสุด ถึงกับล้าหน้าทุกคนไปช่วงใหญ่
เมื่ อเที ย บกั บ สั ต ว์ ป ระหลาดยั ก ษ์ ที่ ด้ า นหลั ง พวกมั น สั ต ว์ ร้ า ยลม
หายใจน้าแข็งในแม่น้าก็น่ารักน่าชังไม่ต่างจากลูกแมวน้อย
ลาแสงสีฟ้าสาดยิงออกมาจากแม่น้า โหมซัดใส่พวกจั่วม่อดุจห่าฝน
ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดออมรั้งยั้งมือ กระทั่งจั่วม่อยังคล้ายจะคลุ้มคลั่ง ไป
แล้ว ศาสตร์อสูรนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกจากปลายนิ้วไม่ขาดสาย
มันกล้าสาบานว่าในชีวิต ไม่เคยโหมใช้ศาสตร์อสูรอย่างดุเดือดเลื อด
พล่านถึงเพียงนี้มาก่อน!
มันอย่าว่าแต่จะออมรั้งยั้งมือ กระทั่งเวลาจะขบคิดยังไม่มี ปล่อยกาย
ปล่อยใจให้เคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณที่เข้ายึดครองร่าง
กว้าก!
ทะเลเมฆเบื้องหลังพวกมันคล้ายแยกออกเป็นสองฟาก พลังอันน่า
สะพรึงกลัวกวาดวาบออกมาราวพายุห มุนอันดุ ดัน! ต่อหน้าพลังสะท้าน
ภพเช่นนี้ ล าแสงสีฟ้าของสัต ว์ร้ายลมหายใจน้าแข็งก็ดูริ บหรี่ ไม่ต่า งจาก
เปลวเทียนกลางสายลม สามารถมอดดับได้ทุกเมื่อ!
“ศาสตร์บาบวงแดนร้างกาลสมัย!”
ในเสี้ยววินาทีเป็นตาย จั่วม่อกระทั่งมองยังไม่มอง ตวัดมือซัดพลังสุด
ยอดศาสตร์อสูรที่แกร่งกร้าวที่สุดของมันกลับไปเบื้องหลัง!
สัตว์ร้ายแดนร้างปรากฏกายขึ้นทันที!
ดวงตาใหญ่เท่าตะเกียงสีแดงฉานทอประกายน่าขนพองสยองเกล้า
สัต ว์ร้ายแดนร้า งพอยืนตระหง่ านขวางทาง ก็ทาลายคลื่ นพลังที่ส าดซั ด
ตามมาด้วยการตบฟาดเพียงครั้งเดียว!
เทียบกับพญางูเมฆอาไพแล้ว สัตว์ร้ายแดนร้างที่ร่างใหญ่มหึมายั งดู
เล็กกระจ้อยร่อยกว่ามาก แต่สัต ว์ร้ายแดนร้างจับจ้องมองดูฝ่ายตรงข้าม
อย่างจรดจดจ่อ ในดวงตาสีเลือดสว่างวาวด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อันบ้า
คลั่งที่ยากจะพบเห็น!
พญางู เ มฆอ าไพก็ ค้ น พบสัต ว์ ร้ า ยแดนร้ า งในเวลาเดี ยวกั น มั น จ้ อง
มองสัตว์ร้ายแดนร้าง ดวงตาสีเทาไร้อารมณ์สาดประกายเจิดจ้าดุจสายฟ้า
สั ต ว์ ร้ า ยแดนร้ า งไม่ รี ร อลั ง เล ย่ อ กายลงวู บ แล้ ว พุ่ ง กระโจนเข้ า หา
พญางูเมฆอาไพอย่างหักโหม!
ศาสตร์บาบวงแดนร้างกาลสมัยสูบพลังทั้งหมดของจั่วม่อออกไปจน
เกลี้ยงฉาด หากมิใช่ว่าพลังทั้งสามของมันสามารถสลับสับเปลี่ยนกันไปมา
หลังจากใช้ศาสตร์อสูรมากมายต่อสู้กับลาแสงสีฟ้าของสัตว์ร้ายลมหายใจ
น้าแข็ง จั่วม่อต้องไม่มีปัญญาใช้วิชาศาสตร์บาบวงแดนร้างกาลสมัยเป็น
แน่
จั่ ว ม่ อ ทั น ใดนั้ น ทรุ ด ฮวบลง ร่ า งร่ ว งลิ่ ว ลงไปเบื้ องล่ า ง แต่ แ ล้ ว ชั่ ว
พริบตาที่แทบจะหล่นลงไปในแม่น้า พลันรู้สึกลาคอตึงวูบ
ในช่ ว งวิ น าที วิ ก ฤติ นี้ เป็ น นกโง่ ค ว้ า จั บ คอเสื้ อของมั น เอาไว้ ไ ด้
ทันท่วงที
จั่วม่อเหลือบมองนกโง่อย่างส านึกขอบคุณ แต่กลับค้นพบอย่างตื่น
ตะลึ ง ว่ า นกโง่ ก าลั ง เหลื อ กตามองบนอย่ า งเหยี ย ดหยาม อารมณ์ ส านึ ก
ขอบคุณหายวับ กลายเป็นเดือดดาลทันที!
อีกมือหนึ่งของจั่วม่อกอดร่างของอากุ่ยเอาไว้แน่น
อากุ่ยสีหน้ายังคงแข็งทื่อราบเรียบ ราวกับว่านางไม่ล่วงรู้ว่ากาลังตก
อยู่ในสถานการณ์คับขันอันตรายถึงเพียงไหน จั่วม่ออดสะทกสะท้อนไม่ได้
บางครั้งเป็นเช่นอากุ่ยก็ไม่ เลวนัก เจ้าเพลิงน้อยกับเจดีย์น้อยในอ้อ มแขน
ของอากุ่ยส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัวไม่ขาดหู เจ้าดาน้อยมุดอยู่ในเรือน
ผมของอากุ่ยนิ่งเงียบ หรือบางทีมันอาจจะหวาดกลัวจนหมดสติไปแล้ วก็
เป็นได้ ส่วนสือผิ่นกับหยางกวงเกาะแน่นอยู่บนหลังนกโง่ พยายามไม่ให้ถูก
ความเร็วสุดยอดของนกโง่สะบัดร่วงลงไป
หอบหิว
้ คนสองคนกับเจ้าตัวเล็กอีกหนึ่งกลุ่ม นกโง่กลับยังรวดเร็วกว่า
เหวยเสิ้งกับจงหยูเสียอีก นางยังคงรักษาตาแหน่งนาหน้าสุดอย่างปลอดภัย
ฉากที่ เ กิ ด หลั ง จากนั้ น ยิ่ ง ท าให้ จ่ั ว ม่ อ ถึ ง กั บ ปากอ้ า ตาค้ า ง นกโง่ แ ม้
หอบหิ้ ว ผู้ ค นสองคนยั ง คงคล่ อ งแคล่ ว ปราดเปรี ย วถึ ง ที่ สุ ด ลากพวกมั น
หลบซ้ายป่ายขวาผ่านห่าฝนลาแสงสีฟ้าอย่างว่องไว ไม่มีลาแสงสีฟ้าสาย
ใดเฉียดกรายเข้าใกล้พวกมันได้ ทั้งยังไม่หยุดชะงักลงแม้แต่ชั่ววูบเดียว
เหวยเสิ้งกับจงหยูแม้ห ลบหลีกล าแสงสีฟ้าได้เป็นส่วนใหญ่ แต่พวก
มันยังคงต้องหยุดเท้าเพื่อต้านรับลาแสงสีฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว
ยอดนกที่แท้จริงไม่อวดโอ่ฝีมือ!
จั่วม่อครุ่นคิดอย่างเหลวไหลอยู่บ้าง ในขณะที่อัศจรรย์ใจสุดระงับ นก
โง่ดูเหมือนจะทรงพลังอานาจเหนือกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก!
แรงงานที่ดีเช่นนี้ มันหลงลืมไปได้อย่างไรกัน ... ...สูญเปล่า! ช่างสูญ
เปล่ากระไรปานนี้... ...
ราวกับว่าหยั่งทราบความคิดชั่วร้ายของจั่วม่อ นกโง่ทิ้งร่างดิ่งวูบลง
อย่างกะทันหัน
จั่ ว ม่ อ ผู้ ก าลั งคิ ด หาวิ ธีรี ด เค้ นน้ า มัน จากนกโง่ ให้ แ ห้ง ฉาด ทั น ใดนั้น
รู้สึกสายตาพร่าเลือนวูบ กลายเป็นสีฟ้าสดใสเต็ม ไปหมด ใบหน้ามัน อยู่
ห่างจากผิวน้าของแม่น้าเมฆาเพียงครึ่งจั้ง แทบสามารถมองเห็นสัต ว์ร้าย
ลมหายใจน้าแข็งที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผลึกน้าแข็งได้ชัดตา
พฤติ ก ารณ์ ข องนกโง่ นี้ เ ห็ น ได้ ชั ด ว่ า หยามหยั น สั ต ว์ ร้ า ยลมหายใจ
น้าแข็งภายในแม่น้าอย่างรุนแรง ลาแสงสีฟ้านับไม่ถ้วนพลันระเบิดออกมา
จากเบื้องหน้าของมัน มุ่งตรงเข้าหาจั่วม่อเป็นจุดเดียว!
จั่วม่อขวัญวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เบิกตามองลาแสงสีฟ้าเจิด
จ้าท่วมท้นในครรลองสายตา
จากนั้นลาคอตึงวูบอีกครา ลาแสงสีฟ้าทั้งมวลหายวับไปในบัดดล
เสี้ยวพริบตานี้จ่ว
ั ม่อรู้สึกหัวใจแทบหยุดเต้น
ในที่สุดค่อยหาเสียงตัวเองเจอ ก่นด่าอย่างเดือดดาล “เจ้านกงี่เง่า นก
อ้วน เจ้าที่แท้เป็นนกหรือเป็นหมูกันแน่ เกอจะย่างเจ้า... ...แค่กแค่ก... ....
โอ้ย!”
มองดูจ่ัวม่อที่กระเซอะกระเซิงอยู่กลางอากาศ เหวยเสิ้งกับจงหยูสี
หน้าทอแววเห็นอกเห็นใจ พวกมันลอบถอยออกห่างจากนกโง่ที่ดุร้ายและ
บ้าคลั่งอย่างระมัดระวัง
เมื่อเปรียบกับนกโง่ที่ดุร้ายและบ้าคลั่ง สัตว์ร้ายลมหายใจน้าแข็งแทบ
เรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องเชื่อไปเลย!
ในเวลานี้เอง บังเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาทดังมาจากทางเบื้องหลัง
แรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นกระทบกระเทือนต่อแม่น้าเมฆา แม่น้าเมฆา
คล้ายเดือดพล่านอย่างรุนแรง ผลึกน้าแข็งมากมายพุ่งลิ่วออกมาจากแม่น้า
บึม!
ภายใต้เสียงหนักทึบ จั่วม่อกับพวกพบว่าแม่น้าเมฆาขนาดมหึมาที่อยู่
ด้านล่างของพวกมัน คล้ายถูกพลังมหาศาลสุดเปรียบปานหลายขุมฉีกกระ
ชากพร้อมกัน แยกกระจายเป็นส่วน ๆ อย่างน่ากลัว!
พวกมันชะงักกึก อดเหลียวมองย้อนกลับไปไม่ได้
บทที่ 527 เจ้าพวกโจรหัวโล้น!

ภาพที่ เ ห็ น ไม่ ว่ า ผู้ใ ดก็ ต้องตะลึงงั น เห็ น ศี ร ษะของพญางู เ มฆอาไพ


หลงเหลื อ เพี ย งครึ่ ง เดี ย ว พลั ง ปราณเมฆาส่ ว นหนึ่ ง หมุ น คว้ า งกระจั ด
กระจายอยู่ในช่องโพรงอันว่างเปล่า ร่างมหึมาดิ้นสะบัดฟัดฟาดด้วยความ
เจ็บปวดอย่างรุนแรง มวลหมอกเมฆทั้งหมดในระยะหลายสิบลี้ถูกกวาดจน
ราบเรียบ บังเกิดเสียงหวีดหวิวแหลมคมเหมือนใบมีด
สัตว์ร้ายแดนร้างไปยังที่ใดแล้ว?
จั่วม่อเบิกตากว้าง กวาดมองหาร่องรอยของสัต ว์ร้ายแดนร้างอย่าง
เอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ว่าที่ใดก็หาไม่พบ
ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันรู้สึกคลื่นแห่งความโศกเศร้ารื้นขึ้นมาในอก
แม้มันจะทราบดีว่าสัต ว์ ร้ ายแดนร้ างเป็นสัต ว์ อสูรที่ถูก เรี ยกมาด้ ว ย
ศาสตร์บาบวงแดนร้างกาลสมัย ไม่ได้แตกดับอย่างแท้จริง แต่มันยังคงรู้สึก
เศร้าเสียใจอยู่บ้าง ในใจของมันสัตว์ร้ายแดนร้างเป็นตัวตนอันไร้เทียมทาน
หลายต่อ หลายครั้งเป็นสัตว์ร้ายแดนร้างนี้เองที่ช่วยชีวิตของมันเอาไว้ใน
ห้วงคับขัน ดังนัน
้ ในใจมันสัตว์ร้ายแดนร้างเป็นเหมือนสหายรักผู้หนึ่ง
จั่ ว ม่ อ จ้ อ งมองพญางู เ มฆอ าไพที่ ยั ง คงอาละวาดฟั ด ฟาดไปทั่ ว ใน
ชั่วขณะจิตนี้ มันเคียดแค้นชิงชังตนเองที่ไม่แข็งแกร่งพอ
นกโง่ก็ค้นพบอันตราย รีบเร่งความเร็วขึ้นในบัดดล พญางูเมฆอาไพ
เลือนหายไปจากสายตาขุ่นแค้นของจั่วม่ออย่างรวดเร็ว
ติ้งเจินในดวงตาสงบเยือกเย็นฉายแววครั่นคร้ามหวั่นไหวที่หาได้ยาก
ยิ่ง มันเหลียวมองกลับไปยังร่างใหญ่โตมหึมาของพญางูเมฆอาไพ และไม่
อาจรั้งสายตาจากไปได้อีก
สัตว์อสูรระดับแปด! ตัวตนสุดยอดที่กระทั่งมันยังต้องหวาดกลัว!
ติ้งเจินพลันสานึกเสียใจขึ้นมา มันไม่สมควรนาหมิงจิ้งกับพวกทั้งสาม
ร่วมทางมาด้วย มันร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าในทะเลเมฆจะถึงกับมีสัต ว์ เมฆ
ระดับแปดสุดอันตรายเช่นพญางูเมฆอาไพอยู่ด้วย ต่อหน้าสัตว์อสูรระดับ
แปด กระทั่งมันเองยังต้องระมัดระวัง ส่วนหมิงจิ้งกับพวกเกรงว่ากระทั่ง
โอกาสหลบหนียังไม่มี ไม่ว่าสถานที่ใดในโลก สัตว์อสูรระดับแปดก็เป็นผู้ล่า
ระดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ตัวตนอันแข็ งแกร่งสุดยอดที่กระทั่งซิว เจ่อ
ด่านหยวนอิงยังไม่กล้าตอแย!
คราครั้งนี้นับว่าโชคดีอย่างแท้จริง หากพวกมันข้ามแม่น้าช้ากว่านี้สัก
เล็กน้อย เช่นนั้นก็ย่าแย่แล้ว
อย่างไรก็ตาม... ...
สายตาของมันจับนิ่งไปยังกลุ่มคนที่กาลังข้ามแม่น้าตามมา ดวงตาทอ
ประกายอามหิตวูบ มันยังจดจาได้ชัดเจนถึงความรู้สึกสั่นไหวในใจ ในยาม
ที่สัต ว์ร้ายแปลก ๆ ตัวนั้นถูกเรียกออกมา ความแตกตื่นตกใจของมั น ใน
เวลานั้น เกรงว่าไม่มีผู้ใดหยั่งทราบแน่ชั ด มันแม้ไม่รู้จักสัต ว์ร้ายแดนร้ า ง
แต่นับตั้งแต่สัตว์ร้ายแดนร้างปรากฏกายขึ้น กลิ่นอายเก่าแก่และโดดเดี่ยว
เดียวดายอันพิเศษเฉพาะที่แผ่ซ่านออกมาก็ดึงดูดความสนใจของติ้งเจินไป
จนหมดสิ้น
การจู่โจมแลกชีวิตของสัตว์ร้ายแดนร้างถึงกับสร้างบาดแผลร้ายแรง
ให้ แ ก่ พ ญางู เ มฆอาไพ ช่ ว ยให้ ติ้ ง เจิ นสามารถประเมิน พลัง ของสัต ว์ ร้าย
แดนร้างได้ใกล้เคียงกว่าเดิม
อย่าลืมว่าพญางูเมฆอาไพเป็นสัตว์อสูรระดับแปด!
ซิ ว เจ่ อ ผู้ ค รอบครองสั ต ว์ ป ราณที่ ส ามารถท าร้ า ยพญางู ร ะดั บ แปด
ไหนเลยจะมีเบื้องหลังรวบรัดธรรมดาได้?
ติ้ ง เจิ น ไม่ ไ ด้ คิ ด ไปในทิ ศ ทางของศาสตร์ อ สู ร แม้ แ ต่ น้ อ ย ระยะทาง
ระหว่ า งทั้ ง สองฝ่ ายนับ ว่ า ห่า งไกลกั นพอดู ในแม่ น้ า ยั ง ปกคลุม ด้ว ยม่าน
หมอกเมฆ ดังนั้นสายตาของพวกมันถูกปิดกั้นไม่น้อย ที่ยิ่งไปกว่านั้น ความ
สนใจของพวกมันยังพุ่งเป้าไปที่พญางูเมฆอาไพแทบทั้งหมด
สัตว์อสูรระดับแปด กระทั่งติ้งเจินเองชั่วชีวิตนี้ก็เพียงพบเห็นไม่กี่ครั้ง
เท่านั้น
มี เ พี ย งในยามที่ สั ต ว์ ร้ า ยแดนร้ า งปรากฏตั ว ขึ้ น แล้ ว จึ ง ค่ อ ยดึ ง ดู ด
ความสนใจของติ้งเจิน ดังนั้นมันไม่ทันสังเกตเห็นตอนที่จ่ัวม่อใช้ศาสตร์
บาบวงแดนร้างกาลสมัย
ติ้ ง เจิ น ก าลั ง ขบคิ ด ใคร่ ค รวญว่ า มั น สมควรลงมือ กั บ อี ก ฝ่า ยหรือไม่
ความเห็นที่มันมีต่อคณะของจั่วม่อแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มันแม้ไม่
ล่วงรู้ว่าพวกจั่วม่อเดินทางเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลเมฆด้ว ยจุดมุ่งหมายใด
แต่รู้สึกเป็นภัยคุ ก คามโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นมั นยัง ติ ด ใจสงสัย อยู่ บ้ า งว่ า
พวกจั่ ว ม่ อ ที่ แ ท้ ม าเพื่ อของสิ่ ง นั้ น ที่ อ ยู่ ใ นทะเลเมฆเช่ น เดี ย วกั น กั บ มั น
หรือไม่?
กับภารกิจ ลับครั้งนี้ มันจะไม่ยินยอมให้มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็น
อันขาด
แต่แล้วเมื่อประสานสบสายตากับพวกจั่วม่อที่ข้ามแม่น้ามาได้สาเร็จ
ติ้งเจินรีบระงับความคิดฆ่าฟันที่เดือดพล่านอยู่ในใจ เนื่องเพราะสายตา
ของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความระแวดระวังที่แทบสังเกตไม่เห็น
ผู้อ่ น
ื เตรียมพร้อมรับมือมันอยู่ตลอดเวลา!
คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นมือเก่าที่มีประสบการณ์โชกโชน!
ติ้ ง เจิ น พลั น ตระหนั ก ถึ ง ความจริ ง ข้ อ นี้ ใ นทั น ที มั น ประเมิ น ผลได้
ผลเสียวูบหนึ่ง แล้วแย้มยิ้มเช่นเคย ผงกศีรษะทักทายพวกจั่วม่อคราหนึ่ง
จากนัน
้ นาศิษย์ท้งั หมดหายลับไปในทะลเมฆ

เมื่อข้ามแม่น้ามาได้ อย่ างปลอดภัย จั่วม่อกับพวกยังสามารถได้ ยิ น


เสี ย งแผดค ารามของพญางู เ มฆอ าไพจากฝั่ งตรงข้ า มแม่ น้ า แต่ มิ ท ราบ
เพราะเหตุใด พญางูเมฆอาไพคล้ายระแวดระวังต่อแม่น้าเมฆาเป็นพิเศษ
ไม่ได้ข้ามแม่น้าติดตามมา หลังจากเสียงอาละวาดอยู่ชั่วอึดใจใหญ่ เสียงกู่
ร้องเกรี้ยวกราดของราชาสัตว์ร้ายแห่งทะเลเมฆก็ค่อย ๆ จางหายไป
แม่น้าเมฆาที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง หอบ
เอาผลึกน้าแข็งปริมาณมหาศาลไปด้วย
นกโง่คลายกรงเล็บ ทิ้งจั่วม่อลงกับพื้น จั่วม่อหมดเรี่ยวสิ้นแรงอย่าง
สิ้ น เชิ ง กระทั่ ง เหวยเสิ้ ง ยั ง มี สี ห น้ า บอกชั ด ว่ า รู้ สึ ก หวุ ด หวิ ด หวาดเสี ย ว
เพียงใด คังเต๋อใบหน้ายังคงแข็งค้างด้วยอาการตะลึงงัน ยังไม่ได้ส ติ จาก
เหตุการณ์คับขันจวนเจียนที่เพิ่งผ่านพ้นมา
“เมื่อครู่มันตั้งใจจะฆ่าพวกเรา” จงหยูโพล่งขึ้นอย่างกะทันหัน
เหวยเสิ้งกับจั่วม่องงงันวูบ ทั้งสองเหลือบสบตากันแวบหนึ่ง สีห น้า
กลายเป็นหนักอึ้งเคร่งเครียด พวกมันทราบดีว่าญาณสัมผัสของจงหยูน่า
เหลือเชื่อถึงเพียงไหน
“ฮึ่ ม บรรดาหั ว โล้ น จากวั ด เสวี ย นคงไม่มี หัว โล้ นที่ ดี จ ริ ง ๆ!” จั่ ว ม่ อ
คารามอย่างขุ่นแค้น
เหวยเสิ้งพอฟังอดหัวร่อไม่ได้
“ยังอยู่... ...ข้ายังไม่ตาย... ...นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ห รือไม่... ...”คังเต๋อ
ราพึงราพันกับตัวเอง สุ้มเสียงสั่นสะท้าน
จั่วม่อกับนกโง่เหลือกตาอย่างพร้อมเพรียง การกระทาที่พรักพร้อม
ราวกับนัดกันไว้นี้ แสดงให้เห็นว่านิสัยใจคอและความคิดอ่านของหนึ่งคน
หนึ่งนกคล้ายจะพ้องต้องกันอย่างน่าประหลาด
เหวยเสิ้งตบหลังคังเต๋อเบา ๆ พลางปลอบโยน “นี่ไม่ใช่ความฝัน พวก
เรารอดมาได้จริง ๆ”
คั ง เต๋ อ คล้ า ยวิ ก ลจริ ต อยู่ บ้ า ง ทุ ก คนทราบดี ว่ า มั น ยั ง ไม่ ห ายตื่ น
ตระหนกจากสถานการณ์เฉียดตายเมื่อสักครู่ กับปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้
ทุ ก คนเข้ า อกเข้ า ใจเป็ นอย่า งดี ไม่ ไ ด้ ถื อ สาหาความมัน จั่ ว ม่ อ โยนโอสถ
ปราณกาหนึ่งใส่ปาก ทรุ ดกายลงนั่งขัดสมาธิ เริ่มเข้าสู่ห้วงฌานเพื่อฟื้ นฟู
พลัง เหวยเสิ้งกับจงหยูเฝ้าระวังอยู่ด้านข้าง ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่ค าด
ฝันขึ้น
โอสถปราณเมื่ อ ล่ ว งผ่ า นเข้ า ไปในล าคอ ก็ แ ปรเปลี่ ย นเป็ น กระแส
ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง
มีเพียงจั่วม่อผู้เดียวที่กล้าสวาปามโอสถปราณในลักษณะนี้ เส้นชีพ
จรปราณของมัน ใหญ่ โตกว่ า คนทั่ ว ไป อีกทั้งเส้นทางโคจรพลั งปราณใน
ร่างกายมันยังแตกต่างจากซิวเจ่อธรรมดาทั่วไปมาก ในเรื่องการปะทะกัน
ของกระแสพลังปราณอันกล้าแข็ง มันไม่จาเป็นต้องห่วงกังวลแม้แต่น้อย
มันเริ่มโคจรพลังเทพตามวิธีการที่บันทึกอยู่ในใบไม้ทองคา
การโคจรหมุนเวียนของพลังเทพซับซ้อนกว่าพลังใด ๆ ในพลังทั้งสาม
มาก แต่ ผ ลที่ ไ ด้ ก็ ย่ อ มเปี่ ยมล้ น สมบู ร ณ์ ก ว่ า เวทวิ ช า ทั ก ษะปิ ศ าจหรื อ
ศาสตร์อสูรใด ๆ เช่นกัน
เพี ย งแค่ ค รึ่ ง ชั่ ว ยามให้ ห ลั ง จั่ ว ม่ อ ก็ ลื ม ตาขึ้ น ฟื้ นคื น สภาพอย่ า ง
สมบูรณ์
เหวยเสิ้งกับจงหยูค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก หากเปลี่ยนเป็นผู้อ่ ืน
เกรงว่าจะต้องประหลาดใจกับการฟื้นฟูพลังอันรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อของ
จั่วม่อ แต่พวกมันทั้งสองหาได้เห็นว่าผิดแปลกไม่ ในความเห็นของพวกมัน
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับจั่วม่อไม่เคยมีสิ่งใดปกติธรรมดาอยู่แล้ว
คังเต๋อก็อาศัยช่วงเวลานี้ ในที่สุ ดค่อย ๆ สงบใจลง แต่สีหน้ายังคงซีด
ขาวอยู่บ้าง
“เจ้าตัวโตมโหฬารเมื่อ ครู่ เป็นตัว อะไร?” จั่วม่อพอเห็นคังเต๋อ กลั บ
เป็นผู้เป็นคนแล้ว ค่อยซักถามอย่างสนอกสนใจ
“มันคือพญางูเมฆอาไพ” คังเต๋อดวงตาทอแววประหวั่นพรั่นพรึ งไม่
คลาย แม้จะพยายามบังคับสุ้มเสียงให้สงบเยือกเย็นก็ตาม “เป็นสัตว์เมฆที่
มีพลังมากที่สุดในทะเลเมฆ เป็นราชาแห่งสัตว์ร้ายทั้งมวลในทะเลเมฆ เนิ่น
นานมาแล้ว ผู้คนพากันเล่าขานปากต่อปากมาแต่อดีตกาล แต่ไม่มีผู้ใดเคย
เห็นด้วยตาตัวเอง หรืออาจบางทีคนที่ เคยเห็น สมควรไม่เคยมีชี วิ ต รอด
กลับมาบอกเล่าต่อใคร หลายคนจึงไม่เชื่อถือเรื่องนี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังคิดว่า
ไม่ใช่เรื่องจริงมาโดยตลอด นึกไม่ถึง... ...ว่าจะเป็นความจริง”
“พญางูเมฆอาไพ?” จั่วม่อดวงตาทอแววครุ่นคิด แต่มันไม่เคยได้ยิน
นามนี้มาก่อน “เป็นสัตว์อสูรระดับใด?”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ” คังเต๋อสัน
่ ศีรษะ
“สมควรเป็นระดับแปด” เหวยเสิ้งสอดคาอย่างกะทันหัน
“ไม่ต้องสงสัยเลยที่พลังร้ายกาจถึงเพียงนั้น!” จั่วม่อตะลึงงัน จากนั้น
ร้องอย่างแปลกใจ “มิน่าเล่า จึงสามารถเอาชนะสัต ว์ร้ายแดนร้างของข้า
ได้!”
เพียงกล่าวจบคา ในใจมันพลันปรากฏเสียงแค่นอย่างเย็นชาของผู
เยา “ผายลม!”
จั่วม่อใบหน้าแข็งทื่อทันควัน
“ศาสตร์บาบวงแดนร้างกาลสมัยสืบทอดให้แก่เจ้า ช่างสูญเปล่าโดย
แท้!”
“ฮ่า สัต ว์ร้ายแดนร้างผู้สูงส่ง ถึงกับถูกงูน้อยอ้วนกลมระดับแปดตัว
หนึ่งฆ่าตาย! โอ้ เหล่าซือเอยเหล่าซือ โปรดอย่าได้ลุกออกจากโลงศพเลย!”
“อับอายขายหน้าตั้งแต่ภ พอสูร มาถึงอาณาจั กรทะเลเมฆ เหล่าซื อ
เอย ศิษย์ผิดไปแล้ว ข้าถึงกับเลือกเศษสวะเช่นนี้มาเป็นศิษย์ ข้าช่างมีตา
แต่ไร้แววนัก!”
“ความอับโชคของสานัก!”
“ความอับอายของภพอสูร!”
เสียงพร่าราพันเยาะเย้ยเสียดสีของผูเผาไหลบ่าท่วมทับจั่วม่อไม่ขาด
สาย สารพัดจะสรรหาถ้อยคามาคร่าครวญ
ทันใดนั้นเว่ยกลับสอดปากอย่างยิ้มแย้ม “อันที่จริงเรื่องนี้เจ้าไม่ อาจ
ตาหนิเสี่ยวม่อแม้แต่น้อย! มีสัจธรรมประโยคหนึ่งที่กล่าวกันไปทั่ว นั่นคือ
ไม่มีนักเรียนที่โง่งม มีเพียงเหล่าซือที่ย่าแย่!”
เงี ย บกริ บ ดุ จ ป่ า ช้ า ตามด้ ว ยรั ง สี อ ามหิ ต ม้ ว นตลบไปทั่ ว ทะเลแห่ ง
จิตสานึก!
“เสี่ ย วเว่ ย จื่ อ ดู เ หมื อ นว่ า เจ้ า ร าคาญในการมี ชี วิ ต สื บ ต่ อ ไปแล้ ว ใช่
หรือไม่!” ผูเยาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
“อ้อ ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย ข้าทราบดี ข้าทราบดี ถ้อยคาที่ เ ป็ น
ความจริ ง อาจฟั ง ระคายหู ไ ปบ้ า ง” เว่ ย สี ห น้ า เต็ ม ไปด้ ว ยความสั ต ย์ ซ่ ื อ
บริสุทธิ์และขอโทษขอโพย แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเหมือนกาลังลาพองใจ
ชัด ๆ
ปัง ปัง ปัง ปัง ... ...
สองตัวประหลาดไม่ยอมตายเริ่มต่อสู้กันเป็นพัลวัน
จั่วม่อสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สองคนนี้มันสุดยอดจริง ๆ เลย!
มันเลิกสนใจคนเสียสติท้ังสอง หันกลับมาหาคังเต๋ออีกรอบ “อีกนาน
เท่าใดกว่าจะไปถึงตัวอ่อนเมฆวารี?”
คังเต๋อขบคิดอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นกล่าวว่า “ไม่ไกลมากนัก สมควรอีก
ไม่เกินสองวันพวกเราจะไปถึง เพียงแต่ว่า... ...”
มันไม่กล่าวต่อ
“แต่ว่าอันใด?” จั่วม่อถามเสียงเข้ม
คังเต๋อกัดฟันกล่าว “ต้าเหริน ถึงตอนนี้บริวารไม่กล้ารับประกั น อี ก
แล้ ว ว่ า พอไปถึ ง ที่ นั่ น จะพบตั ว อ่ อ นเมฆวารี ในทะเลเมฆจะต้ อ งมี เ รื่ อง
ใหญ่ โ ตบางประการเกิ ด ขึ้ น เป็ น แน่ นี่ ท าให้ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งผิ ด แปลกไป
หมด”
“อา เรื่องนี้ไม่อาจต าหนิเจ้า” จั่วม่อโบกมือตัดบท จากนั้นลุกขึ้นยืน
กล่าวว่า “วิกาลยาวนานฝั นยุ่งเหยิง เราจะออกเดินทางไปเสาะหาตัวอ่อน
เมฆวารีในบัดดล หวังว่าจะโชคดี”
จั่วม่อตกลงใจว่าทันทีที่พบตัวอ่อนเมฆวารี มันจะใช้ยันต์เคลื่อนย้าย
พาทุกคนออกจากแดนอันตรายแห่งนี้โดยเร็วที่สุด
คังเต๋อสงบใจลงมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทราบดีว่าหากลอบหลบหนี
ไป โอกาสที่มันจะสามารถหลุดรอดออกจากทะเลเมฆได้ก็แทบเป็นศูนย์ มิ
สู้ติดตามต้าเหรินไปจะดีกว่า อย่างน้อยที่สุดยังสามารถรับประกันความ
ปลอดภัยได้บ้าง
ทั้งคณะเริ่มจัดขบวน ออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไปอีกคารบ
แต่แล้วหลังจากเพิ่งเดินทางได้ ราวครึ่ง ชั่วยาม คังเต๋อสีห น้าค่อย ๆ
กลายเป็นขัดตา พลันชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน
“ต้าเหริน เส้นทางไม่ถูกต้อง”
“เส้นทางไม่ถูกต้อง?” จั่วม่อกับคนที่เหลือพากันงงงันวูบ
“บริวารคุ้นเคยกับเส้นทางนี้เป็นอย่างดี ทีแรกไม่ทันรู้สึกตัว แต่ยามนี้
บริวารมั่นใจว่าเส้นทางเหล่านี้ มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง! มันคล้าย... ...คล้ายกับ
ว่ามีคนเปลี่ยนแปลงเส้นทางไปจากเดิม!” คังเต๋อสีหน้าสับสนงุนงง
จั่วม่อกับพวกทั้งสามสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก
จั่วม่อหลับตาลง กวาดพลังเทพออกไปรอบข้ าง รอจนลืมตาขึ้นอีก
ครั้ง ดวงตาพลันสาดประกายอามหิตวูบ
“เจ้าพวกหัวโล้นที่น่าตาย!”
ปากสบถด่า มือก็ยกขึ้ นผนึกมุทรา บนฝ่ามือปรากฏกลุ่มแสงระเบิด
วาบ ลาแสงหลายสายสาดพุ่งออกรอบข้าง นี่คือยอดศาสตร์อสูรที่ใ ช้ เพื่อ
ทาลายภาพมายาโดยเฉพาะ ‘ลาแสงบดกระดูกทลายว่างเปล่า!’
ทะเลเมฆรอบข้างกระเพื่อมวาบ แต่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง จั่วม่อสี
หน้ายิ่งขัดตากว่าเดิม
ลาแสงบดกระดูกทลายว่างเปล่าคารบสอง!
ก็ยังคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
รอจนลาแสงบดกระดูกทลายว่างเปล่าครั้งที่สาม ภาพรอบข้างจึงค่อย
แปรเปลี่ยน
เหวยเสิ้งกับจงหยูสีหน้าเขียวคล้า พวกมันไม่ได้ตรวจพบเวทวิชาภาพ
มายาที่ผู้อ่ น
ื ลอบวางไว้แม้แต่น้อย! จั่วม่อใบหน้าดาทะมึน มันถึงกับต้องใช้
‘ล าแสงบดกระดูกทลายว่างเปล่า’ สามครั้งติดต่อกัน จึงสามารถทาลาย
ภาพมายาที่ผู้อ่ ืนวางเอาไว้ได้ นี่เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความห่างชั้น
ด้านระดับพลังระหว่างพวกมันทั้งสองฝ่าย
ฝีมือนี้ของฝ่ายตรงข้ามนับว่าลึกซึ้งชั่วร้ายยิ่ง อาศัยเพียงแค่เวทวิชา
ลวงตาเล็กน้อยขบวนหนึ่ง หากพวกมันไม่มีคังเต๋อที่สังเกตพบ เกรงว่าต้อง
ตกหลุมพรางเข้าเต็มเปา! และหากพวกมันหลงทางอยู่ในส่วนลึกของทะเล
เมฆ คงไม่ได้กลับออกมาอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว!
เจ้าพวกโจรหัวโล้น! ตัวอุบาทว์บัดซบ!
พอภาพมายาสลายไป คังเต๋อกวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง จากนั้น
ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ข้ารู้แล้วว่าพวกเราอยู่ที่ใด!”
กล่ า วจบค า มั น รี บ ออกเดิ น น าหน้ า ตรงเข้ า ไปในหมอกเมฆทาง
ด้านขวา
จั่วม่อกับพวกรีบสาวเท้าตามติด
“เหล่าโจรหัวโล้นจากวัดเสวียนคงคิดเล่นงานพวกเราจริง ๆ รึ?” จั่ว
ม่อเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ตามเหตุผลแล้วเรากับพวกมันไม่เคยมีข้อบาดหมาง เว้นเสียแต่ว่า
พวกมันมีจุดมุ่งหมายที่ไม่อาจบอกกล่าวต่อผู้คน? หรือว่าพวกมันเกรงว่า
เราจะก่อกวนเรื่องของมัน?” เหวยเสิ้งสีหน้าทอแววใคร่ครวญ
จั่ ว ม่ อ กล่ า วพลางหัว ร่ อฮี่ ฮี่ “แน่ น อนว่ า พวกมั นต้อ งมี เ รื่ องราวที่ไม่
อาจบอกกล่าวต่อผู้คน มิเช่นนั้นไยต้องถ่อมาถึงทะเลเมฆอันห่างไกลเล่า?
สิ่งของที่สามารถดึงดูดหัวโล้นด่านหยวนอิงจากวัดเสวียนคงดูท่าจะไม่ ใช่
สมบัติธรรมดาสามัญเป็นแน่! ทีแรกข้าไม่คิดใส่ใจพวกมัน แต่ในเมื่อพวก
มันมายุ่งเกี่ยวกับเราเอง ฮี่ฮี่... ...”
จั่ ว ม่ อ แค่ น หั ว ร่ อ เสี ย งเย็ น เยี ย บ แรกเริ่ ม เดิ ม ที ท้ั ง สองฝ่ า ยเพี ย ง
เดินทางไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น เจ้าหาสมบัติข องเจ้า ข้าหาตัวอ่อน
เมฆวารีของข้า หาได้ก้าวก่ายกันไม่ แต่มันคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับบังเกิด
ความคิดชั่วร้าย ถึงกับลอบลงมือต่อพวกมันในทางลับ
เสี่ยวม่อเกอต้องทวงถามหนี้บัญชีของมันเสมอ! ไม่มีเหตุผลที่จะยอม
ขาดทุน ถูกกระทาแต่ฝ่ายเดียว
หยวนอิงแล้วจะเป็นไร? จั่วม่อแม้ไม่อาจต่อสู้แย่งชิงสมบัติกับอีกฝ่าย
ซึ่งหน้า แต่หากกล่าวถึงเรื่องวางกับดักขุดหลุมพราง จั่วม่อแม้ไม่มีถึงหนึ่ง
หมื่นวิธี แต่รับรองว่าไม่น้อยกว่าสองสามพัน!
อย่าให้เกอเจอเจ้าเชียว... ...
จั่วม่อขบกรามอย่างเคียดแค้น ก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ
บทที่ 528 ผู้ส่งสารเมฆา

คังเต๋อสมกับที่เป็นมือเก่าผู้สัญจรอยู่ในทะเลเมฆมานานนับสิบปี พา
ทั้งคณะลดเลี้ยวซ้ายขวาอย่างชานิชานาญ ไม่ช้าก็นาจั่วม่อกับพวกออกมา
พ้นจากม่านหมอก
แต่ยังไม่ทันจะได้รู้สึกยินดีที่หลุดออกมาจากหมอก พวกมันก็ค้นพบ
ร่องรอยการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงขึ้นในบริเวณนี้
คั ง เต๋ อ ทรุ ด กายนั่ งยอง ๆ ตรวจสอบร่ อ งรอยที่ ห ลงเหลื ออยู่บนพื้น
อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ไม่ช้าก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าขาวเผือดอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
ก็เรียกได้ว่าสงบเยือกเย็นมากแล้ว “ต้าเหริน นี่เป็นผู้ส่งสารเมฆา!”
“ผู้ส่งสารเมฆา?” จั่วม่อสีหน้างุนงงสงสัย
คังเต๋อแยกแยะว่า “ผู้ส่งสารเมฆาเป็นสัตว์เมฆที่พิเศษเฉพาะประเภท
หนึ่ ง ในทะเลเมฆ พวกมั น ล้ ว นเป็ น ระดั บ ห้ า คล่ อ งแคล่ ว ว่ อ งไวมาก
สั ญ ชาตญาณหวงถิ่ น ของพวกมั น รุ น แรงยิ่ ง หากมี ผู้ ใ ดบุ ก รุ ก เข้ า ไปใน
ดิ น แดนของพวกมั น พวกมั น จะตอบโต้ เ ยี่ ย งศั ต รู ที่ ไ ม่ ย อมอยู่ ร่ ว มฟ้ า
เดียวกัน”
หยุดชะงักแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ต้าเหริน ที่
ผ่านมาในบริเวณนี้ไม่เคยมีผู้ส่งสารเมฆามาก่อน!”
ในเวลานี้เอง จั่วม่อพลันบังเกิดสังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้า เห็น
ลาแสงสายหนึ่งพวยพุ่งออกจากหมอกเมฆอย่างฉับพลัน คล้ายจู่ ๆ ปรากฏ
ขึ้นตรงหน้าจั่วม่อในชัว
่ พริบตาเดียว
ถึงยามนี้จ่ว
ั ม่อเพิ่งจะเริ่มยกมือขึ้นเท่านั้น!
เป็นที่เห็นได้ว่าลาแสงสายนี้รวดเร็วสุดยอด ไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด!
เคราะห์ดีที่จ่ัวม่อพอเห็นร่องรอยการต่อสู้บนพื้น ก็ระมัดระวังตัวอยู่
ก่อน พลังเทพในร่างแปรเปลี่ยนกลับคืนเป็นพลังทั้งสามแต่แรก จั่วม่อแม้
แตกตื่นแต่ไม่ลนลาน ปฏิกิริยาตอบสนองของมันก็รวดเร็วสุดบรรยาย เมื่อ
เห็ น ว่ า ไม่ มี ท างยกมือ ขึ้ นต้า นรั บ ได้ ทั น เวลา ก็ เ ปลี่ ย นจากยกมื อ ขึ้น เป็ น
ตวัดมือตบฟาดไปตามสภาวะ!
ลวดลายตราประทับสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้น!
ฝ่ามือประทับสุริยัน!
เพียะ!
ฝ่ามือประทับสุริยันของจั่วม่อตบฟาดใส่ลาแสงสายนั้นอย่างถนัดถนี่
แต่นึกไม่ถึงว่าล าแสงกลับไม่แตกกระจาย ทว่าคล้ายลูกยางดี ดกระดอน
กลับออกไปอย่างกะทันหัน หยิบยืมแรงปะทะของฝ่ามือประทับสุริยันหลบ
รอดไปตามสภาวะ ถูกพลังฝ่ามือยันกลับไปด้วยระดับความเร็วที่รวดเร็วยิ่ง
กว่าขามา หวนกลับเข้าไปในม่านหมอกเมฆอีกครา
จั่วม่อขนหัวลุกชี้ชัน สีหน้าทอแววเหลือเชื่อ!
ฝ่ า มื อ ประทั บ สุ ริ ยัน ที่ ก วาดพิชิ ต โดยไร้ ผู้ต้ า นมาโดยตลอด กลั บ ไม่
อาจทาร้ายเจ้าสิง่ นี้ได้แม้แต่รูขุมขุน!
นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
การปะทะหักหาญแม้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว แต่จ่ว
ั ม่อ เหวยเสิ้งกับ
จงหยูเป็นชนชัน
้ ใด อาศัยสายตาคมกล้าเหนือคนพบเห็นรู ปโฉมของเจ้าสิ่ง
นั้นชัดเจน
ผู้ส่งสารเมฆารู ปร่างแปลกพิกลยิ่ง ร่างกายแบนราบ หนวดสี่เส้นงอก
ออกมาจากร่าง ปลายหนวดแต่ละเส้นมีลูกแสงทรงกลมสุกสว่าง ห่อหุ้มร่าง
ของพวกมันอยู่ภายใต้ แสงสว่ างเหล่ านี้ พวกมันเมื่อเหินร่อ นเข้ าหา ร่าง
แบน ๆ จะหมุนคว้างด้วยความเร็ วสูง หนวดทั้งสี่เส้นยืดขยายออกไปใน
แนวขวาง ท าให้ โ ล่ พ้ ื นที่ ร อบกายมั น เปลี่ ย นเป็ น แบนราบตามไปด้ ว ย
ลักษณะคล้ายดาวกระจายสี่แฉกชิ้นหนึ่ง
เหวยเสิ้งกับจงหยูสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ฝ่ามือประทับสุริยันของ
จั่วม่อร้ายกาจเพียงใด พวกมันทราบกระจ่างแก่ใจดี แต่ผู้ส่งสารเมฆากับ
ต้านรับฝ่ามือเต็มกาลัง นี้ได้โดยไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย ทั้งคู่อดแตกตื่น
ตกใจไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ส่งสารเมฆายังรวดเร็วดุจสายฟ้า!
พวกมันล้วนเป็นยอดยุทธ์ที่เคี่ยวกราตัวเองผ่านการต่อสู้อันโชกโชน
พลันตระหนักถึงจุดที่เป็นอันตรายทันที
หมอกเมฆที่หนาทึบจนแทบจับต้องได้ สาหรับพวกมันแล้วเป็นสิ่งกีด
ขวางสายตาอย่างร้ายกาจ แต่สาหรับสัตว์เมฆเหล่านี้กลับเป็นเครื่องกาบัง
ชั้นเลิศ
เหวยเสิ้งยกปลายกระบี่ขึ้นเล็กน้อย ส่วนจงหยูกงล้อภาวนากากบาท
พลันปรากฏขึ้นในมือ คนทั้งสองเตรียมพร้อมเผชิญกับศัตรูอันร้ายกาจ!
คังเต๋อขวัญวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง ผู้ส่งสารเมฆาคือสัตว์
เมฆที่บรรดาซิวเจ่อผู้ยังชีพด้วยการล่าสัต ว์เมฆดัง เช่นมันหวาดกลั ว เป็ น
ที่สุด สัต ว์ร้ายลมหายใจน้าแข็งแม้ร้ายกาจ แต่เพียงอาศัยอยู่แต่ในแม่น้า
เมฆา ตราบเท่าที่พวกมันไม่เข้าไปใกล้แม่น้า ก็ไม่มีอันตรายใด แต่ผู้ส่งสาร
เมฆากลับไม่ใช่เช่นนั้น พวกมันมี จ านวนมาก พบเห็นได้ท่ัวไปในส่วนลึก
ของทะเลเมฆ ในแต่ ล ะปี มี ซิ ว เจ่ อ มากมายนั บ ไม่ ถ้ ว นที่ ต้ อ งเอาชี วิ ต มา
สังเวยให้แก่ผู้ส่งสารเมฆา
ผู้ส่งสารเมฆาแม้ว่าเป็นเพียงสัตว์ปราณระดับห้า แต่ด้วยความเร็วอัน
น่าประหวั่นพรั่นพรึงของมันกับสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหมอกเมฆ
หนาทึบ ก็ยากที่จะระวังป้องกันพวกมันได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งสารเมฆาแทบไม่เคยออกจากอาณาเขตของพวก
มัน บริเวณนี้ไม่เคยมีผู้ส่งสารเมฆาอาศัยอยู่มาก่อน ปีนี้ที่แท้เกิดเรื่องอันใด
ขึ้นในทะเลเมฆกันแน่... ...
คังเต๋อเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง
“ระมัดระวังให้มาก โล่พ้ น
ื ที่ของเจ้าตัวนี้แปลกพิสดารยิ่ง” จั่วม่อตอบ
สนองเป็นคนแรก ตวาดเตือนเสียงเข้ม
แต่จ่ัวม่อยังไม่ทันจะกล่าวจบคา พลันปรากฏล าแสงนับไม่ถ้วนสาด
พุ่งออกมาจากม่านหมอกเมฆราวกับเขื่อนแตกทลาย!
ทั น ใดนั้ น เอง สุ้ ม เสี ย งเหมื อ นระฆั ง ใหญ่ กั ง วานก้ อ ง สุ้ ม เสี ย งนี้ ไ ม่
รุ นแรงบาดหู ไม่เร้าอารมณ์ให้ฮึกเหิม แต่คลับคล้ายเสียงฟ้าร้องสะท้อน
สะท้ า นท่ า มกลางหมู่ เ มฆ ยึ ด ถื อ จงหยู เ ป็ น ศู น ย์ ก ลาง ชั่ ว พริ บ ตาที่ เ สี ย ง
ระฆั ง กระหึ่ มเบา ๆ หมอกเมฆภายในระยะห้า ลี้พ ลันหยุ ด ชะงั กลงอย่าง
ฉับพลันทันใด ก่อเกิดเป็นสภาพประหลาดที่ทุกอย่างคล้ายหยุดชะงักลง
พลังอภิญญา วาจาสัตย์!
การโจมตี แ รกของจงหยู ก ลับ เป็ นท่ า สั ง หารที่ มั น ไม่ ค่ อ ยได้ ใ ช้ พลั ง
อภิญญาวาจาสัตย์อันลี้ลับพิสดาร!
เมื่ อเที ย บกั บ เมื่ อครั้ ง ที่ มั น เพิ่ ง ส าเร็ จ พลั ง อภิ ญ ญา ใช้ อ อกที่ เ มื อ ง
หนานเสิ้งในอาณาจักรขุนเขาน้อย ‘วาจาสัต ย์’ ในยามนี้ทรงพลังอานาจ
แตกต่างจากเดิมราวสวรรค์กับแผ่นดิน
โล่พ้ น
ื ที่ประหลาดของบรรดาผู้ส่งสารเมฆาต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ ยังไม่
อาจสกัดกั้น ‘วาจาสัต ย์’ ของจงหยูได้ ล าแสงนับไม่ถ้วนชะงั กค้ างกลาง
อากาศในบัดดล แม้ว่าพวกมันไม่ถึงกับหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ แต่เจตนาฆ่า
ฟันในตอนแรกก็สลายหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
จั่วม่อ เหวยเสิ้งและจงหยูต่างรู้มือกันเป็นอย่างดี จงหยูพอจู่โจมด้วย
พลังอภิญญา จั่วม่อกับเหวยเสิ้งก็ลงมือโดยพร้อมเพรียง
เมฆหมอกกลัวสิ่งใดมากที่สุดกันเล่า? เปลวไฟ!
เมฆหมอกก่อตัวขึ้นจากไอน้าและความชื้น เมื่อดวงอาทิตย์ฉายแสง
หมอกเมฆก็จะสลายไปอย่างรวดเร็ว!
ฝีมือควบคุมเปลวไฟของจั่วม่อบรรลุถึงระดับชั้นที่เทียบเท่ากับหยวน
อิง มันถึงกับก่อเกิดเปลวไฟลายชั้นมหาทิวาขึ้นจากสังขารปิศาจมหาทิวา
ทั้งยังผสานรวมเข้ากับเมล็ดผลึกสุริยัน เคยแม้กระทั่งอาบเปลวไฟเทพยดา
ภายในวิ ห ารเทพสุ ริ ยั น พลั ง ฝี มื อ ในการควบคุ ม เปลวไฟของมั น แทบ
สามารถเหยียบย่าจินตันทั่วหล้าไว้ใต้ฝ่าเท้า!
มือทั้งสองประสานเป็นท่ามุทรา เปลวไฟสีทองลุกโชนขึ้นในฝ่ามือทั้ง
สอง รอจนมันแผ่สองมือกางออก เปลวไฟพลันแผ่กว้างประดุจม่านเปลว
ไฟ ร่อนวาบออกไปกลางอากาศ ครอบคลุมใส่ผู้ส่งสารเมฆาทั้งหมดราว
ร่างแหปากหนึ่ง!
การลงมื อ ประสานกั บ จงหยู ข องเหวยเสิ้ ง ยั ง วิ จิ ต รพิ ส ดารยิ่ ง กว่ า
กระบี่ดาตวัดวาดเป็นวงกลมวงหนึ่ง เจตจานงกระบี่สะท้านขวัญวิญญาณ
หมุนคว้างออกไปดุจพายุหมุน! หมอกเมฆหนาทึบถูกเจตจานงกระบี่ อั น
กราดเกรี้ยวนี้เป่าหายวับไปในบัดดล เปิดเผยพื้นที่ว่างเปล่ากว้างหลายสิบ
จั้งผืนหนึ่ง!
เหล่าผู้ส่งสารเมฆาหลายสิบตัวเผยโฉมทันควัน
ผู้ส่งสารเมฆากลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบจากวาจาสัตย์ของจงหยูเช่นกัน
แต่เมื่อยังซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกจึงมองไม่เห็นพวกมัน ต้องเผชิญหน้ากับ
ศัตรูที่มีร่องรอยลี้ลับเช่นนี้ เหวยเสิ้งไหนเลยจะหลงลืมพวกมันไปได้?
เหวยเสิ้งพอตวัด กระบี่ฟ าดฟัน ห้วงมิติว่างเปล่ าสีด าที่เ ป็นตั ว แทน
ประวัติศาตร์หลายร้อยหลายพันปีของสานักกระบี่สุญตาพลันสาแดงเดช!
พลังที่ยากจะค้นพบด้ วยตาเปล่ าทั้ งผลัก และดึ งพร้อ มกัน เป็นเหตุให้ โ ล่
พื้นที่ของบรรดาผู้ส่งสารเมฆาถึงกับส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด
ในเวลาเดี ย วกั น จั่ ว ม่ อ มื อ หนึ่ ง กรี ด วาดเป็ น วงกลม ก่ อ เกิ ด เป็ น วง
แหวนวงหนึ่งที่กลางอากาศ!
ม่านเปลวไฟที่แผ่กว้ างห้อมล้อ มบรรดาผู้ส่งสารเมฆาไว้ ทุกทิ ศ ทาง
พลันบีบรัดเข้าหากัน!
ฝูงผู้ส่งสารเมฆาแผดคารามอย่างเกรี้ยวกราด พวกมันพยายามดิน
้ รน
ต่อต้านพลังของวาจาสัตย์ หากแต่ เปลวไฟลายชั้นมหาทิวาสุดกล้าแกร่ง
เกาะติดโล่พ้ น
ื ที่ของพวกมันแนบแน่น โหมไหม้แผดเผาไม่หยุดยั้ง
เปลวไฟลายชั้นมหาทิวาเป็นเปลวไฟระดับหก!
บรรดาผู้ส่งสารเมฆาเริ่มหวาดผวาขึ้นมา ต่อสู้ดิ้นรนอย่างดุเดือดคลุ้ม
คลั่งอยู่ในวงล้อมของเปลวไฟลายชั้น มหาทิ ว า พยายามหาทางหลบหนี
อย่างไม่คิดชีวิต!
ทว่ า เปลวไฟลายชั้ น มหาทิ ว าแกร่ ง กล้ า เกรี ย งไกรกว่ า ที่ พ วกมั น
คาดคิดเอาไว้มาก ในที่สุดก็ฉีกกระชากโล่พ้ น
ื ที่ของผู้ส่งสารเมฆาเป็นชิ้น ๆ
โล่พ้ ืนที่พอถูกเจาะทะลุ เปลวไฟลายชั้นมหาทิ วาก็ เริ่ มแผดเผาผู้ส่ ง สาร
เมฆาโดยตรง ไม่ว่าพวกมันจะต่อต้านขัดขืนอย่างไร บรรดาผู้ส่งสารเมฆาก็
พากันร่างสลายหายไปด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจสั้น ๆ ผู้ส่งสารเมฆาทางด้านของจั่วม่อก็ถูก
กวาดล้างหมดสิ้น!
เทียบกันแล้วเหวยเสิ้งก็หาได้อ่อนด้อยกว่าไม่ เจตจานงกระบี่ของมัน
ทะลวงผ่านจุดสูงสุดของเจตจานงกระบี่แปลงรู ปลักษณ์ไปแล้ว กาลังก้าว
เข้ า สู่ ป ระตู ข องระดั บ ชั้ น แห่ ง ‘เขตแดน’! นี่ เ ป็ น ระดั บ ชั้ น ที่ ป กติ มี เ พี ย ง
เซียนกระบี่ด่านหยวนอิงเท่านั้นที่สามารถบรรลุถึง!
เจตจานงกระบี่สีดาอันว่างเปล่าราวกับห้วงมิติว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ลึก
ล้าและไม่มีขอบเขตจากัด
โล่พ้ ืนที่ของเหล่าผู้ส่งสารเมฆาซึ่งถูกเจตจานงกระบี่ห้อมล้อมเอาไว้
เริ่มถูกกัดกร่อนและผุสลายลงเรื่อย ๆ ด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัด
ตา จวบกระทั่ ง เลื อ นหายไปในที่ สุ ด จากนั้ น ร่ า งของพวกมั น ก็ ถู ก บดขยี้
หายไปแทบจะในเวลาเดียวกัน
การโจมตีประสานของคนทั้งสาม เพียงชั่วไม่กี่อึดใจก็เข่นฆ่าผู้ส่งสาร
เมฆาไปหลายร้อยตัว คังเต๋อถึงกับเบิกตาค้างจนแทบถลน!
กริ๊งกริ๊ง แผ่นจานขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือมากมายร่วงหล่นจากกลาง
อากาศ คนทั้งสามยังไม่ขยับเคลื่อนไหว ยังคงรักษาท่วงท่าระวังป้องกันไม่
ผ่อนคลาย พลางตรวจสอบรอบด้านอย่างระมัดระวัง
มองดูการร่วมมือประสานงานอันหมดจดงดงามระหว่างคนทั้งสาม
คั ง เต๋ อ บั ง เกิ ด ความรู้ สึ ก แปลกพิ ก ล มั น รู้ สึ ก ว่ า ต้ า เหริ นกั บ พวกทั้ ง สามดู
คล้ายคุ้นชินกับภยันตรายภายในทะเลเมฆเสียเหลือเกิน คนทั้งสามพอลง
มือประสานกัน เพียงกระดิกนิ้วคราเดียว ผู้ส่งสารเมฆาหลายร้อยตัวก็กลับ
กลายเป็นฝุ่นธุลี ทาเอาคังเต๋อแตกตื่นตะลึงลานจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก!
ผู้ส่งสารเมฆาเป็ นเพีย งสัต ว์ เมฆระดั บห้ า ท่ามกลางสัต ว์ เมฆนั บ ไม่
ถ้ ว นในทะเลเมฆอาจไม่ นั บ เป็ น อย่ า งไรได้ หากแต่ อ าศั ย ความเร็ ว ดุ จ
สายฟ้าฟาดกับจานวนอันมากมายของพวกมัน เป็นเหตุให้ซิวเจ่อไม่รู้ว่า
เท่ า ใดต้ อ งเอาชี วิ ต มาทิ้ งไว้ ใ นทะเลเมฆเป็น ประจาทุ ก ปี แต่ ต้ า เหริ นกับ
พวกเพิ่งเคยพบพานดาวมฤตยูเหล่านี้เป็นครั้งแรก กลับมองจุดอ่อนของผู้
ส่งสารเมฆาทะลุปรุ โปร่งในระยะเวลาอันสั้น ทั้งยังลงมือเชือดทิ้งทั้งหมด
แทบจะในทันทีทันใด ต้าเหรินกับพวกทั้งสามใช่เพิ่งเคยเข้ามาในทะเลเมฆ
เป็นครัง้ แรกจริง ๆ หรือไม่?
แน่ น อนว่ า คั ง เต๋ อ ไม่ เ คยล่ ว งรู้ ว่ า จั่ ว ม่ อ กั บ พวกทั้ ง หล ายเ คยมี
ประสบการณ์กับสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าทะเลเมฆหลายเท่ามาแล้ว
เมื่อครั้งที่พลัดหลงเข้าไปในสนามรบปิดผนึกล้างเผ่าพันธุ์ พวกจั่วม่อย่อม
สนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับเหล่าวิญญาณภูตที่สามารถกระโจนออกมาเข่น
ฆ่ากันได้ทุกขณะจิต จานวนวิญญาณภูตที่ต กตายภายใต้เงื้อมมือพวกมัน
เรียกได้ว่ามากมายจนนับไม่ไหว
“นี่คืออะไร?” จั่วม่อหยิบแผ่นจานเล็ก ๆ ขึ้นมาดู พลางถามคังเต๋อ
แผ่นจานเพียงเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ เป็นวัตถุดิบที่ดูคล้ายกับงาช้าง สี
ขาวสะอาดสะอ้ า นและอบอุ่ น อ่ อ นโยน บนพื้ นผิ ว คล้ า ยปกคลุ ม ด้ ว ย
ลวดลายตามธรรมชาติ
“นี่ เ รี ย กว่ า แผ่ น ยั น ต์ ผู้ ส่ ง สาร ต้ า เหริ น ” คั ง เต๋ อ น้ า เสี ย งยิ่ ง เคารพ
เทิดทูนกว่าเดิม “ผู้ส่งสารเมฆาทุกตัวจะมีแผ่นยันต์ผู้ส่งสารก่อเกิดขึ้นใน
ร่าง แผ่นยันต์ผู้ส่งสารมีล วดลายค่ายกลยันต์ต ามธรรมชาติ ดังนั้นเซียน
ยันต์มากมายต้องการซื้อหาอย่างไม่อ้ัน นอกเหนือจากใช้ศึกษาลวดลาย
ค่ายกลแล้ว ยังเป็นวัต ถุดิบชั้นเลิ ศส าหรั บหลอมสร้ างอาวุธ เวทประเภท
เมฆ”
ลวดลายค่ายกลยันต์ตามธรรมชาติ?
จั่วม่ออุทานเบา ๆ อย่างประหลาดใจ มันยกแผ่นยันต์ผู้ส่งสารขึ้นมา
ส่องดู เพ่งพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
มันค้นพบบางสิง่ อย่างรวดเร็ว ลวดลายเหล่านี้แม้ดูสับสนวุ่นวาย แต่ก็
เป็นลวดลายค่ายกลยันต์ข องแท้แน่นอน น่าสนใจยิ่ง! ความสนอกสนใจ
ของจั่วม่อพลุ่งขึ้นทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันพบเห็นลวดลายค่ายกลตาม
ธรรมชาติ แต่ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้ง ก็ยังต้องประหลาดใจทุกครั้งไป
ศาสตร์วิชาค่ายกลของซิวเจ่อมาจากที่ใดกัน?
ก็จากฟ้าดินและธรรมชาติอย่างไรเล่า!
ซึ่งความจริงไม่ว่าจะเป็นซิวเจ่อหรืออสูรปิศาจ วิถีทางบาเพ็ญเพียร
ของทุกคนแม้ผิดแผกแตกต่าง แต่ท้ังหมดล้วนมาจากธรรมชาติ ลอกเลียน
และนาเยี่ยงอย่างมาจากฟ้าดิน
วัต ถุดิบที่มีค่ ายกลตามธรรมชาติอยู่ในตัว นับเป็นวัต ถุดิบชั้นเลิศใน
หมู่วัตถุดิบที่ดีสาหรับการหลอมสร้าง จั่วม่อประเมินราคาค่างวดของแผ่น
ยันต์ผู้ส่งสารได้ในทันที
“อา น่าเสียดายนัก น่าเสียดายที่คราครั้งนี้พวกเรากาลังเร่งรีบกันอยู่”
จั่ ว ม่ อ เก็ บ รวบรวมแผ่ น ยั น ต์ ผู้ ส่ ง สารที่ ก องอยู่ บ นพื้ น พลางร าพึ ง ร าพั น
“สัตว์เมฆเหล่านี้จัดการได้ง่ายดาย มิหน้าซ้าวัตถุดิบที่ได้ยังดีเยี่ยม เรายัง
จะหาสิ่งที่ทากาไรถึงเพียงนี้ได้จากที่ใดอีกเล่า?”
คังเต๋อลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ จัดการได้ง่ายดาย? ผู้ส่งสารเมฆาเป็น
สัต ว์เมฆที่จัดการได้ง่ายดาย? อนิจ จา! บรรดาผู้ ส่งสารเมฆาซึ่งผู้คนล้ว น
หวาดกลัวเป็นอันดับต้น ๆ แต่พอออกจากปากของต้าเหริน กลับกลายเป็น
เหยื่อที่มีราคาค่างวดมากที่สุด คุ้มค่าต่อการล่ามากที่สุดไปแล้ว! คังเต๋อพูด
ไม่ อ อกบอกไม่ ถู ก แต่ เ มื่ อ นึ ก ถึ ง ว่ า ต้า เหริ น กับ พวกเพิ่ง จะเชื อ ดผู้ส่งสาร
เมฆาหลายร้ อ ยตั ว ในระยะเวลาไม่ กี่ อึ ด ใจ มั น ก็ เ ลื อ กที่ จ ะหุ บ ปากไว้ จ ะ
ดีกว่า
จั่วม่อกาลังวางแผนว่าจะให้ค่ายจูเชวี่ยเข้ามาทาการล่าผู้ส่งสารเมฆา
นี่แน่นอนว่าเป็นการค้าที่กาไรงาม!
บางทีผู้ส่งสารเมฆาอาจได้รับความหวาดหวั่นจากการโจมตีของจั่วม่อ
กับพวก หรือมิเช่นนั้นมันอาจจะรับรู้ถึงแผนการร้ายในใจจั่วม่อมิทราบได้
สรุปว่าไม่มีผู้ส่งสารเมฆากล้าปรากฏออกมาอีกเลยแม้แต่ตัวเดียว
จั่ ว ม่ อ รี บ กวาดแผ่ น ยั น ต์ ผู้ ส่ ง สารทั้ ง หมดเข้ า สู่ แ หวนอย่ า งรวดเร็ ว
จากนั้ น เริ่ ม ออกเดิ นทางอี ก ครั้ ง ในยามนี้ ก ารค้ น หาตัว อ่ อ นเมฆวารี เป็น
เรื่องสาคัญที่สุด
คังเต๋อออกนาทางไปข้างหน้าอีกครั้ง
จั่ ว ม่ อ รู้ สึ ก ว่ า พวกมั น มุ่ ง หน้ า ต่ า ลงไปอย่ า งไม่ ห ยุ ด ยั้ ง เนื่ อ งเพราะ
อุณหภูมิค่อย ๆ ลดต่าลงเรื่อย ๆ หมอกเมฆยิ่งมายิ่งหนาทึ บ จั่วม่อพลั น
พบว่าม่านหมอกเมฆเหล่านั้นคล้ายก่อตัวขึ้นจากเกล็ดน้าแข็งเล็กละเอียด
คังเต๋อยิ่งเดินสีหน้ายิ่งหนักอึ้งเคร่งเครียด ฝีเท้าก็เชื่องช้าลงเรื่อย ๆ
จั่วม่อกับพวกทั้งสามพยายามตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ติดตามหลังคังเต๋
ออย่างระมัดระวัง พวกมันเตรียมพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ อย่าได้เห็น ว่า
พวกมันสามารถเข่นฆ่าผู้ส่งสารเมฆาอย่างสะดวกดาย แต่อันที่จริงพวกมัน
ลอบระวังป้องกันอยู่ต ลอดเวลา นับตั้งแต่เห็นผู้ส่งสารเมฆาซึ่งเป็นเพียง
ระดั บ ห้ า กลั บ ต้ า นรั บ ฝ่ า มื อ ประทั บ สุ ริ ยัน ของจั่ว ม่ อ ได้ โ ดยไม่ เ กิ ด ความ
เสียหาย
แต่กระทั่งระวังตัวแจถึงเพียงนี้ เหตุแปรเปลี่ยนไม่คาดฝันก็ยังคงอุบัติ
ขึ้นอยู่ดี!
บทที่ 529 ม่านหมอกน้าแข็ง

หมอกเมฆที่อยู่เบื้องหน้าพวกมันเริ่มกลายเป็นหมอกสีฟ้าจาง ๆ หาก
มองดูใกล้ ๆ จะพบว่าม่านหมอกแต่ล ะกลุ่ม ประกอบไปด้วยผลึกน้ า แข็ ง
เล็ ก ละเอี ย ดสี ฟ้ า จางจ านวนมากมายสุด ประมาณ ผลึ ก น้ า แข็ ง สี ฟ้า จาง
เหล่านี้ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่นลงมา
เห็นทะเลหมอกสีฟ้ากว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ทอดยาวประดุจมหานทีอัน
ไพศาล ให้ความรู้สึกลึกล้าสุดหยั่งแก่ผู้คน
“นี่ นี่ ... ...” คังเต๋อหน้าซีดเผือด ตะลึงงันอยู่กับที่ สีหน้าดูคล้ายพบ
พานผีสางกลางวันแสก ๆ
จั่วม่อใจหายวูบ รีบถามไถ่ “เป็นไร? มีอันใดไม่ถูกต้อง?”
“นี่มัน... ...พวกมันคือหมอกน้าแข็ง!” คังเต๋อตะกุกตะกักเสียงหลง
“หมอกน้าแข็ง?” จั่วม่อมองดูม่านหมอกสีฟ้ากว้างไพศาล ผงกศีรษะ
เห็นพ้อง นามนี้ต้งั ได้ท่ อ
ื ด้านดีแท้ แต่พอมองดูสีหน้าของคังเต๋อก็เห็นได้ชัด
ว่ า มี บ างอย่ า งไม่ ถู ก ต้ อ ง อดถามซ้ า อี ก รอบไม่ ไ ด้ “ว่ า อย่ า งไร? ที่ แ ท้ ไ ม่
ถูกต้องตรงที่ใด?”
คังเต๋อกลืนน้าลายอย่างยากเย็น สีหน้าซีดขาวราวกับพอกแป้ง “ต้า
เหรินอาจไม่ทราบ แต่หมอกน้าแข็งจะพบพานในสถานที่เดียว นั่นคือแดน
พยับหมอกน้าแข็งในส่วนลึกที่สุดของทะเลเมฆ ไม่มีทางจะมาอยู่ที่นี่ได้ นี่
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
จั่วม่อค่อยตระหนักว่าเรื่องราวดูจ ะร้ ายแรงกว่ าที่ คิด “เจ้ากาลังจะ
บอกว่า ที่นี่ไม่สมควรปรากฏหมอกน้าแข็งเหล่านี้ใช่หรือไม่?
ที่ถ ามก็เ พียงถามไปตามสัญชาตญาณ ดูจ ากสีห น้าของคังเต๋อ มันก็
ทราบคาตอบแต่แรกแล้ว มันหันไปมองทะเลหมอกสีฟ้าอันกว้างไพศาล
หัวใจสะท้านสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าต้องมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแล้ว!
มั น ทั น ใดนั้ น ฉุ ก คิ ด ถึ ง ปั ญ หาประการหนึ่ ง สี ห น้ า แปรเปลี่ ย นอย่ า ง
กะทันหัน รีบถามว่า “แล้วเส้นทางเล่า ? ในเมื่อมีหมอกน้าแข็งปรากฏขึ้น
ที่นี่ มิใช่ว่าเส้นทางของเรา... ...”
“ใช่ข อรับ ต้าเหริน เส้นทาง... ...หายไปแล้ว!” คังเต๋อสีห น้าเต็มไป
ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
จั่วม่อหัวใจดิง่ วูบ “เช่นนัน
้ แล้วตัวอ่อนเมฆวารีเล่า?”
“โปรดอภั ย ที่ บ ริ ว ารไม่ ท ราบอี ก แล้ ว ” คั ง เต๋ อ สั่ นศี รษะอย่า งอับจน
หนทาง “บริวารไม่เคยล่วงลึกเข้าไปถึงแดนพยับหมอกน้าแข็ง ไม่ค่อยมีคน
เข้ า ไปลึ ก ถึ ง เพี ย งนั้ น นั่ น เสี่ ย งอั น ตรายมากเกิ น ไป! ต้ า เหริ น ลองมองดู
หมอกน้ า แข็ ง เหล่ า นี้ เ ถอะ มั น เย็ น ยะเยื อ กถึ ง ที่ สุ ด หากผู้ ค นไม่ มี ส มบั ติ
วิ เ ศษหรื อ พลั ง อ านาจมากพอที่ จ ะปกป้ อ งร่ า งกายของตน แค่ สั ม ผั ส ถูก
หมอกน้าแข็งเบา ๆ ก็เพียงพอที่จะแช่แข็งพวกมันในชั่วอึดใจเดียว!”
เหวยเสิ้งยกกระบี่ดา ยื่นปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปในม่านหมอกน้าแข็ง
ทันใดนั้นบนกระบี่ดาปรากฏชั้นน้าแข็งบาง ๆ แผ่ล ามไปด้วยระดั บ
ความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เหวยเสิ้งสะบัดกระบี่เบา ๆ ชั้นน้าแข็งบนกระบี่ดาแตกสลายหายไป
มันเงยหน้า กวาดตามองไล่ไปทีล ะคน กล่าวด้วยสีห น้าเคร่งเครียด “เรา
ต้องระมัดระวังให้มาก!”
จั่วม่อเห็นการกระทาของเหวยเสิ้งตั้งแต่ต้นจนจบ หากกระทั่งเหวย
เสิ้งยังรู้สึกว่าพวกมันต้องระวังตัว เช่นนั้นระดับอันตรายของหมอกน้าแข็ง
ก็เป็นที่เห็นได้ชัดแล้ว
แต่ทว่า... ...
จั่ ว ม่ อ มองอากุ่ ย ที่ ยืนนิ่ ง เงี ย บอยู่ ข้า งกาย ในใจเต็ ม ไปด้ ว ยความไม่
ยินยอมพร้อมใจ ตัวอ่อนเมฆวารี! มีเพียงตัวอ่อนเมฆวารีเท่านั้นที่สามารถ
เยียวยารักษาอากุ่ย!
ชั่ ว ขณะนี้ จั่ ว ม่ อ ในใจบั ง เกิ ด ความขั ด แย้ ง อย่ า งรุ น แรง ไม่ ว่ า จะ
อย่างไรมันก็ต้องเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีมารักษาอากุ่ยให้จงได้ แต่มันก็ไม่
ต้องการให้เหวยเสิ้งกับจงหยูต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเพื่อมัน
เหวยเสิ้งเหลือบมองจั่วม่อแวบหนึ่ง พลันเข้าใจความคิดของจั่ ว ม่ อ
ทันที ต้องยิ้มพลางกล่า วว่ า “เพียงแค่ห มอกน้ าแข็ ง เท่ านั้น ศิษย์น้องไม่
ต้องวิตกไป การเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารีจึงสาคัญที่สุด ไปกันต่อเถอะ!”
กล่ า วจบก็ ห มุ น ตั ว เดิ น ตรงเข้ า ไปในหมอกน้ า แข็ ง โดยไม่ ฟั ง ค าทั ด
ทาน!
จงหยูแย้มยิ้มจาง ๆ “ต้าเหริน เวลาไม่รอท่าแล้ว!”
จากนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปในหมอกน้าแข็งเช่นกัน
จั่วม่อหัวใจอุ่นวาบ ในที่สุดหวั่นไหวใจแล้ว เห็นเช่นนี้มันก็ไม่รีรอลังเล
อีก ล้วงยันต์เคลื่อนย้ายออกมาชิ้นหนึ่งยื่นส่งให้คังเต๋อ “พลังฝึกปรือของ
เจ้ า อ่ อ นด้ อ ยเกิ น ไป จงกลั บ ไปก่ อ น ค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ยชุ ด นี้ จ ะน าเจ้ า
กลับไปยังเกาะโดยตรง”
คังเต๋อไม่เคยเดินทางเข้าไปในแดนพยับหมอกน้าแข็งมาก่อน ดังนั้น
ภาระหน้าที่ในฐานะผู้นาทางของมันก็ไม่จาเป็นอีกต่อไป และเมื่อเทียบกับ
คนที่เหลือ คังเต๋อแม้จะเป็นจินตัน แต่พลังฝีมือนับว่าอ่อนด้อยเกินไปมาก
หมอกน้ า แข็ ง อั น ตรายผิ ด ธรรมดา พวกมั น ไม่ ส ามารถปกป้ องคั ง เต๋อได้
ตลอดเวลา มิสู้ให้มันกลับไปก่อนจะดีกว่า
เมื่ อ จั ด การเรื่ อ งคั ง เต๋ อ เรี ย บร้ อ ย จั่ ว ม่ อ ก็ น าอากุ่ ย ก้ า วรุ ด เข้ า ไปใน
หมอกน้าแข็ง
ล่วงผ่านเข้ามาในหมอกน้าแข็ง มันรู้สึกความเย็นเยียบเสียดกระดูกจู่
โจมเข้ามาจากทุกทิศทาง กระทั่งจั่วม่อผู้มีสังขารอันกร้าวแกร่ง ยังอดตัว
สั่นสะท้านไม่ได้ ทันใดนั้นเอง คลื่นความอบอุ่นสายหนึ่งห่อหุ้มทั่วร่างของ
มั น เป็ น เมล็ ด ผลึก สุริ ยันปรากฏขึ้น เหนื อศี ร ษะ แผ่ ซ่ า นล าแสงอ่ อนโยน
ออกมาปกคลุมจั่วม่อ อากุ่ยกับเหล่าเจ้าตัวเล็กเอาไว้
จั่วม่ออกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ควรทราบว่าเมล็ดผลึกสุริยันสงบนิ่งอยู่
ในกายมันมาโดยตลอด หลังจากวิห ารเทพสุริยันแล้วก็ไม่เคยเคลื่อนไหว
เองมาก่อน บางครั้งมันยังแทบจะหลงลืมการคงอยู่ของเมล็ดผลึกสุริยันไป
เสียด้วยซ้า นึกไม่ถึงว่าความเย็นเยือกของหมอกน้าแข็ง จะถึงกับปลุกเร้า
เมล็ดผลึกสุริยันออกมา
เหวยเสิ้งกับจงหยูก็เริ่มป้องกันตัวเอง
เหวยเสิ้ ง ใช้ เ จตจ านงกระบี่ เ บาบางปกคลุ ม ไว้ ท่ั ว ร่ า ง ชั้ น เจตจ านง
กระบี่นี้เบาบางยิ่ง ห่อหุ้มอยู่รอบกายเหวยเสิ้งราวกับ เยื่อ บาง ๆ แต่เมื่ อ
หมอกน้าแข็งกระทบถูกชั้นเจตจานงกระบี่บาง ๆ นี้ ก็สลายหายวับราวกับ
ถูกกลืนกินลงไป
จงหยูถือกงล้อภาวนากากบาทและหมุนกงล้อช้า ๆ อักขระพระสูต ร
อั น งามวิ จิ ต รว่ า ยเวี ย นอยู่ ร อบกายราวกั บ มวลมั จ ฉา ประเดี๋ ย วผลุ บ
ประเดี๋ยวโผล่ หมอกเมฆที่เย็นเยียบอย่างน่าประหลาด กลับไม่สามารถรุก
ล้าก้าเกินม่านพลังบางเบาของอักขระพระสูตรเหล่านี้ได้
เมื่อจั่วม่อตามมาทัน พวกมันทั้งสามก็จัดรู ปขบวนโดยไร้เสียง ก่อตั้ง
ค่ายกลรู ปสามเหลี่ยมขบวนหนึ่ง มีเหวยเสิ้งอยู่ด้านหน้าสุด ทาหน้าที่เป็น
ปลายแหลม
“โลกหล้ากว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์พันลึกทุกรูปแบบ”
เหวยเสิ้ ง กล่า วด้ ว ยอารมณ์ ค วามรู้ สึก “ครั้ ง นี้ เ ดิ น ทางลงมาในทะเลเมฆ
นับว่าได้ เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างยิ่ง! ไม่น่าแปลกใจที่บรรดายอดคนอาวุโส
มากหลายชมชอบเดินทางไปทั่วโลก!”
จั่วม่อสั่นศีรษะระรัวราวกับกลองป๋องแป๋ง “หากมิใช่เพื่อตัวอ่อนเมฆ
วารี ข้าจะไม่มีวันมายังสถานที่ผีส างนี้เป็นอันขาด! อ้อ แต่ผู้ส่งสารเมฆา
เหล่านั้นไม่เลวนัก... ...”
เหวยเสิ้งมองดูท่าทีละโมบโลภมากของจั่วม่อ ต้องหัวร่อออกมาอย่าง
กลั้นไม่อยู่ ในใจบังเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น
หากว่ า กั น ในด้ า นของความแข็ง แกร่ ง ศิ ษ ย์ น้ อ งสามารถเรี ยกได้ว่า
เป็นยอดอัจ ฉริยะที่ไม่ด้อยไปกว่ามัน แต่นิสัยใจคอของศิษย์น้อง กลับผิด
แผกแตกต่างไปจากบรรดาอัจ ฉริ ย ะรุ่น เยาว์ ที่ มันเคยพบเห็ นมาทั้ ง หมด
ยอดอัจ ฉริยะที่มันเคยพบเจอเหล่านั้ น อย่างเช่นหลินเชียนผู้น่ า แตกตื่ น
สะท้ า นใจ หรื อ คนอื่ น ๆ อี ก มากมาย ทุ ก คนล้ ว นมี ภู มิ ค วามรู้ อั น ยิ่ งใหญ่
ไพศาล มี พ รสวรรค์ ลึ ก ล้ า สุ ด หยั่ ง ถึ ง หรื อ ไม่ ก็ มี จิ ต ใจแน่ ว แน่ เ ด็ ด เดี่ ย ว
กระทั่งตัวมันเองก็จดจ่ออยู่ที่กระบี่เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีก
แต่ ศิ ษ ย์ น้ อ งห่ า งไกลจากการเรี ย กว่ า เป็น ยอดสติปั ญ ญาอย่างสุดกู่
นิสัยใจคอคึกคักแจ่มใส ชมชอบทาการค้าและละโมบโลภมากในสมบัติเงิน
ทอง ทั้งยังร่าเรียนศาสตร์วิชาแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการค้า เวทวิชา
เคล็ดวิชากระบี่ วิชายันต์ วิชาค่ายกล วิชาหลอมสร้าง ศิษย์น้องแทบจะ
เรียนรู้สรรพวิชาทุกประเภท รวมถึงวิชาแปลกประหลาดพิสดารมากมายที่
เหวยเสิ้งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
หากมี ค นพบเห็ น สิ่ ง ที่ ศิ ษ ย์ น้ อ งร่ า เรี ย น แน่ น อนว่ า จะต้ อ งยกเป็ น
เยี่ยงอย่างชั้นยอดสาหรับสิ่งที่ผู้คนไม่สมควรกระทา
แต่ถึงกระนั้น พลังฝีมือของศิษย์น้องกลับบรรลุถึงระดับความเข้มแข็ง
ที่ยากจะเชื่อได้ลง
มันไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้งว่าศิษย์น้องที่แท้ฝึกปรือวิถีทางใดกันแน่
ไยจึงอัศจรรย์พันลึกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความอัศจรรย์ในทะเลเมฆ เหวยเสิ้ง
สั่นศีรษะพลางหัวร่อ โยนปัญหาเหล่านี้ออกจากใจไปเสียเลย
“ศิษย์น้องรู้จักตัวอ่อนเมฆวารีใช่ห รือไม่ ?” เหวยเสิ้งถามเพื่อความ
แน่ใจ
“แน่นอน” จั่วม่อพยักหน้ารับ มันมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี
เหวยเสิ้งคลายใจลง มันพลันตระหนักว่าศิษย์น้องแม้ยามปกติจะดูไม่
น่าเชื่อถือ แต่ไม่เคยผิดพลาดในเรื่อ งสาคัญ ขบคิดถึงตรงนี้ เหวยเสิ้งคล้าย
บังเกิดความเข้าใจอย่างปรุโปร่ง
พวกมันยิ่งเดินล่วงลึกเข้าไปเท่าใด ความหนาวเย็นของหมอกน้าแข็ง
ก็ยิ่งรุ นแรงขึ้นเท่านั้น สีฟ้าในหมอกน้าแข็งยิง่ มายิ่งสีเข้มขึ้น ผลึกน้าแข็งที่
ก่อตัวเป็นม่านหมอกก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ยังคงมีเศษสาหร่ายเมฆหลงเหลืออยู่บนพื้นประปราย สาหร่ายเมฆ
เหล่านี้ล้วนถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรู ปสลักน้าแข็งเล็ก ๆ มากมาย พวกมัน
บางครั้งยังพบเห็นซากร่างของสัตว์เมฆอีกด้วย แต่สัต ว์เมฆเหล่านี้ก็ล้วน
ถูกแช่แข็งเช่นเดียวกัน และบนผิวหน้าของน้าแข็งเป็นชั้นสีฟ้าอันแปลก
ประหลาด
ทั้งสามสีห น้ากลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง ร่องรอยทั้งหมดบอกชั ด ว่ า
หมอกน้ า แข็ ง มาถึ ง อย่ า งกะทั น หั น สั ต ว์ เ มฆเหล่ า นี้ ไ ม่ มี โ อกาสหลบหนี
แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นอากุ่ยหันหน้าไปทางหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น ดวงตา
แข็งทื่อว่างเปล่าของนางจ้องเขม็งไปยังส่วนลึกของหมอกน้าแข็ง แสงสี
ม่วงทอประกายวูบ
จั่ ว ม่ อ วิ ต กกั ง วลอยู่ บ้ า ง ว่ า หมอกน้ า แข็ ง ที่ ม าถึ ง อย่ า งฉั บ พลั น จะ
ทาลายตัวอ่อนเมฆวารีท้งั หมดไปเสียแล้ว
ทันใดนั้นเอง คลื่นเสียงดังกระหึ่มออกมาจากม่านหมอกน้าแข็ง คน
ทั้ ง ส า ม ช ะ งั ก เ ท้ า ทั น ค วั น สี ห น้ า ร ะ แ ว ด ร ะ วั ง ต ร ะ เ ต รี ย ม รั บ เ ห ตุ
เปลี่ยนแปลงในทันที!
เห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งปรากฏขึ้นภายในม่านหมอกน้าแข็ง
คนทั้งสามสังหรณ์อันตรายกรีดร้องระงมอยู่ในใจ!
โดยไม่รีรอลังเล กระบี่ดาในมือเหวยเสิง้ สะบัดฟันอย่างหักโหม!
เจตจ านงกระบี่ สี ด าอั น ว่ า งเปล่ า ผ่ า หมอกน้ า แข็ ง ตรงหน้ า พวกมั น
ออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นรู ปโฉมที่แท้จริงของอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญผู้
นั้น!
เบื้ อ งหน้ า พวกมัน กลั บเป็ นสตรี น างหนึ่ง แต่ เ ป็ น สตรี ที่ ท่ั ว ร่ า งเปล่ง
ประกายคล้ายแก้วผลึก นางมีดวงตาสีฟ้าลึกล้าสุดหยั่งคู่หนึ่ง ผมขาวราว
หิ ม ะบริ สุ ท ธิ์ ส ดใส คางแหลมแฝงเร้ น ความลี้ ลั บ พิ ส ดารประการหนึ่ ง
งดงามประณีต ราวกับรู ปสลักจากฝีมือประติมากรชั้นยอด ริมฝีปากบาง
เฉียบไม่มีสีเลือด หมอกน้าแข็งสีฟ้าสดใสชั้น แล้ว ชั้น เล่ าหมุ น วนอยู่ ร อบ
กายนาง ร่างอันลี้ลับงดงามของนางเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ท่ามกลางหมอก
น้าแข็ง
รอจนจั่วม่อกับพวกไล่มองลงไปเบื้องล่าง พวกมันต้องประหลาดใจไม่
น้อย
เห็นผลึกน้าแข็งสีฟ้านับไม่ถ้วนคล้ายเม็ดทรายไหลรี่ไปตามพื้น ที่แท้
ร่างกายท่อนล่างของนาง ทั้งหมดล้วนเป็นผลึกน้าแข็งสีฟ้าอ่อน
“มนุษย์หมอก!” ผูเยากับเว่ยแทบจะร้องอุทานอย่างพร้อมเพรียงใน
ใจของจั่วม่อ
จั่วม่อใจหายวาบ รีบถามว่า “มนุษย์หมอกเป็นตัวอะไร?”
มั น รู้ สึ ก สั งหรณ์ ร้ า ยอย่า งแรงกล้า นี่ เ ป็ น ครั้ ง แรกที่ผู เยากับ เว่ ยร้อง
อุทานอย่างตื่นตระหนกในเรื่องเดียวกัน
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?” เสียงเว่ยพึมพาแทบเป็นเสียงกระซิบ สี
หน้าเหินห่างทระนงของมันเลื อนหายไปนานแล้ ว แทนที่ด้วยความรู้ สึ ก
เหลือเชื่ออันลึกล้า ราวกับว่าพบเห็นผีสางกลางวันแสก ๆ!
ผูเยาใบหน้าก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าใด แต่แล้วท่าทีเปลี่ยนไปอย่างฉั บพลัน
รีบตวาดเตือนจั่วม่อ “รีบหนีเร็ว!”
หนี?
จั่วม่อสมองขาวว่างเปล่า ผิดท่าแล้ว!
ผูเยาปกติเหยียดหยามดูแคลนทุกสรรพสิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่บอกให้
มันรีบหนีโดยไม่รีรอลังเลแม้แต่น้อย!
ที่เป็นเช่นนี้มีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้น... ...
นั่ น คื อ ความแข็ ง แกร่ ง ของฝ่ า ยตรงข้ า ม กระทั่ ง ผู เ ยายั ง ต้ อ งหวาด
วิตก!
พริบตาดุจประกายไฟ จั่วม่อจิตใจกระจ่างแจ้งเป็นพิเศษ มันกาลังจะ
เรี ย กเหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู ใ ห้รี บ หลบหนี แต่ แ ล้ ว เหตุ แ ปรเปลี่ ย นพลันอุบัติ
อย่างกะทันหัน!
ไม่ ท ราบตั้ ง แต่ เ มื่ อใด ขาของพวกมั น ถู ก รั ด พั น เอาไว้ ด้ ว ยกระแส
หมอกน้าแข็งเรียวยาว ไม่ว่าพวกมันพยายามดิ้นรนสักเท่าใด ก็ไม่อาจขยับ
เขยื้อนเคลื่อนไหวได้!
เหวยเสิ้งกับจงหยูก็ค้นพบภาวะวิกฤติขอพวกมันแทบจะพร้อมกัน สี
หน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก แต่ไม่ว่าจะเร่งเร้าพลังปราณสักเท่าใด กระแส
หมอกน้าแข็งเรียวบางกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
ทั้งสามสีหน้าทอแววอับจนหนทาง
บรรดาเจ้ า ตั ว เล็ ก ก็ ไ ม่ มี ใ ครหลุ ด รอด ล้ ว นถู ก รั ด แน่ น กั น ถ้ ว นหน้ า
แม้แต่นกโง่ที่ชมชอบวางท่าเป็นเจ้านาย เวลานี้ยังถูกมัดเสียจนเหมือนกับ
บ๊ะจ่าง
มนุ ษ ย์ ห มอกจ้อ งมองพวกมั นอย่า งเฉยเมย ผลึ ก น้ า แข็ ง ภายใต้ร่าง
ของนางหนุนส่งร่างของนาง ให้ค่อย ๆ เลื่อนเข้าหาพวกมันช้า ๆ
จั่วม่อทราบว่าพวกมันจบสิ้นแล้ว พลังอานาจของทั้งสองฝ่ายห่างชั้น
กันมาก ห่างชั้นเสียจนพวกมันกระทั่งโอกาสจะหลบหนียังไม่มี
“ตกลงว่ามนุษย์หมอกเป็นตัวอะไร?” จั่วม่อไม่เปลี่ยนสีหน้า ลอบถาม
เข้าไปในทะเลแห่งจิตสานึกของมันอีกครั้ง
ผูเยากับเว่ยจะต้องล่วงรู้แน่นอน
“ชนเผ่ า โบราณ!” เว่ ย สุ้ ม เสี ย งยั ง ไม่ ฟ้ ื นคื น ความสงบเยื อ กเย็ น
ตามปกติ ฟังดูระคายหูเป็นพิเศษ “พวกมันไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่
ทรหดอดทนเป็นเยี่ยม อาจสามารถพบเห็นร่องรอยของพวกมันได้ ทุ กยุค
ทุกสมัย นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะยังคงเหลือรอดมาจนถึงบัดนี้!”
ผูเยาสีหน้าซับซ้อน มันศึกษาค้นคว้ามามาก รอบรู้อย่างกว้างขวาง
ดังนั้นทราบเช่นกันว่ามนุษย์หมอกเป็นตัวตนเช่นไร
ทุกผู้คนสันนิษฐานว่าชนเผ่าโบราณสูญสิ้นไปเนิ่นนานแล้ ว ผู้ใดจะ
คาดคิด ว่าพวกมันจะประสบโชควาสนาถึงขั้นพบพานผู้รอดชีวิตจากชน
เผ่าโบราณในส่วนลึกของทะเลเมฆ!
ผูเยาผู้ได้รับการศึกษาอย่างดีเลิศจากภพอสูรย่อมล่วงรู้เรื่องราวลี้ลับ
มากกว่ า อสู ร ทั่ ว ไป แต่ ส าหรั บ เรื่ อ งของชนเผ่ า โบราณ ไม่ ว่ า จะเป็ น ภพ
เซียน ภพปิศาจหรือภพอสูร ล้วนเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์
ชนเผ่าโบราณสูญสิ้นไปนานแล้ว!
ชนเผ่าโบราณ?
ถึงยามนี้กระทั่งจั่วม่อยังแตกตื่นตะลึงลาน
แม้แต่ชนเผ่าโบราณที่ทรงพลังล้นฟ้าเช่น ชนเผ่าเทพสุริยัน ยังถึงกาล
แตกดับไปนานนับหมื่น ๆ ปี แต่กลับยังมีชนเผ่าโบราณเหลือรอดมาได้จริง
ๆ?
ทั น ใดนั้ น เอง สายตาของมนุ ษ ย์ ห มอกหั น มามองจั่ ว ม่ อ ตาเขม็ ง
จากนั้นนางตรงเข้าหาจั่วม่ออย่างไม่ลังเล
บทที่ 530 จุดมุ่งหมายของโฉมสะคราญแห่งสายหมอก

ในความเงียบสงัดเสมือนตาย มีเพียงเสียงเกล็ดน้าแข็งม้ว นตลบ ใน


ยามที่สตรีหมอกเคลื่อนร่างเข้าหาจั่อม่อ
“เว่ ย เว่ ย เว่ ย มี เ รื่ อ งใดค่ อ ยพู ด ค่ อ ยจากั น มี เ รื่ อ งใดค่ อ ยพู ด ค่ อ ยจา
กัน” จั่วม่อใจสั่นเป็นตีกลอง แต่ยังคงปั้ นรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า พลังของ
อีกฝ่ายไม่อาจหยั่งวัดได้ แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่หมอกน้าแข็งเหล่านี้
จะซ่อนเร้นพลังแปลก ๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก
“ส่งมอบออกมา!” สุ้มเสียงของนางก็เป็นเช่นเดียวกันกับสีหน้า ท่ าที
นั่นคือเย็นยะเยือกผิดธรรมดา
“ส่งมอบอันใด?” จั่วม่อใบหน้าสับสนงงงวย “เจ้าต้องการสิง่ ใด?”
“ข้าสูดได้กลิ่นอายชนเผ่าของข้าจากตัวเจ้า” ดวงตาดุจแก้วผลึกของ
สตรี ส ายหมอกเพ่ ง มองจั่ ว ม่ อ ตาเขม็ ง น้ า เสี ย งเหน็ บ หนาวไร้ อ ารมณ์
ความรู้สึก
“กลิ่นอายของชนเผ่าของเจ้า?” จั่วม่อยิ่งสับสนงุนงงกว่าเดิม มีกลิ่น
อายของมนุษย์หมอกอยู่บนร่างของมันด้วยหรือ?
แต่ ห างตาของมัน เหลือ บเห็นประกายสีม่ ว งส่องวาบในดวงตาของ
อากุ่ย ระยะหลังมานี้ร่างกายของอากุ่ยเริ่มดีวันดีคืน พลังงานสีม่วงที่แทบ
จะสลายหายไปจากร่างนาง ดูเหมือนจะฟื้นฟูพลังอานาจคืนมาบางส่วน
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีหมอกคล้ายเข้าใจว่าอากุ่ยอ่อนแอกว่าผู้ใดทั้งหมด
กระแสหมอกน้าแข็งที่พันธนาการร่างนางจึงอ่อนด้อยที่สุด
นับตั้งแต่อากุ่ยเริ่มทุเลาลง นางก็ไม่เคยใช้พลังอันแปลกประหลาด
ของนางอีกเลย แต่เมื่อจั่วม่อเห็นในดวงตาอากุ่ ยสาดประกายสี ม่ว งเข้ ม
ความหวังสายหนึ่งพลันลุกโชนขึ้น!
จั่วม่อขบคิดหลายตลบอย่างรวดเร็ว รีบกล่าวว่า “อาอ๊าอ๊า หรือว่าข้า
เป็นมนุษย์หมอก? ขออภัยด้วยจริง ๆ ข้าความจาเสื่อม อา ข้าเป็นมนุษย์
หมอกจริง ๆ หรือ?”
ซึ่งความจริงมันเพียงกล่าวเปะปะวุ่นวาย ตั้งใจถ่วงเวลาและเบี่ยงเบน
ความสนใจของสตรีหมอก แต่พอกล่าวไปกล่าวมา กระทั่งมันเองยังรู้สึกว่า
มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นมนุษย์หมอกจริง ๆ ชาติกาเนิดของมันลี้ลับ
คลุมเครือมาโดยตลอด หรือว่า... ...
ความตื่นเต้นกระตือรือร้นที่หาได้ยากสายหนึ่ง พลันผุดขึ้นในใจ
“ไม่ใช่เจ้า” สตรีหมอกกลับตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใย
ร่ อ งรอยความตื่ นเต้ น กระจั ด กระจายไปทั น ที ความผิ ด หวั ง จาง ๆ
พลุ่งขึ้นมาแทนที่
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ทราบแล้ว” จั่วม่อสั่นศีรษะ
ดวงตาสีฟ้าใสดุจไพลินของสตรีหมอกทอแววสับสนงุนงง นางก้มหน้า
ขบคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง
ทั น ใดนั้ น เอง ในแหวนของจั่ ว ม่ อ บั ง เกิ ด แรงสั่ น สะเทื อ นอั น พิ เ ศษ
เฉพาะระลอกหนึ่ง จั่วม่อไม่ทันตั้งตัว อดร้องอุทานอย่างแปลกใจไม่ได้
มนุษย์ห มอกถูกเสียงอุทานของจั่วม่อดึงดูดความสนใจ เงยหน้าขึ้น
มองอย่างฉับพลัน
ในเวลานี้เอง สายโซ่หมอกน้าแข็งบนร่างอากุ่ยผู้เงียบสงบ พลันขาด
สะบั้นโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า! เพียะ กระแสหมอกน้าแข็งแตกกระจาย
กลายเป็นสายหมอกน้าแข็งเรืองแสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่ง!
อากุ่ ย ยกมื อ ขวาขึ้ น เล็ ก น้ อ ย บิ ด ร่ า งเป็ น ท่ ว งท่ า แปลกพิ ส ดาร นาง
คล้ายหุ่นเชิดที่ถูกเชิดค้างอยู่ในท่าประหลาด ดวงตาสาดประกายสีม่วงเจิด
จรัส!
ไม่มีสุ้มเสียง ไม่มีแสงประกาย สตรีหมอกตรงหน้าจั่วม่อคล้ายถูกสูบ
เรี่ยวแรงออกไปเฉย ๆ ร่างอ่อนยวบ ล้มคว่าลงกับพื้น
กระแสหมอกน้าแข็งที่พันธนาการร่างของจั่วม่อ เหวยเสิ้งและจงหยู
สลายหายไปในบัดดล
เหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู สี ห น้ า ท่ า ที ค ล้ า ยเพิ่ ง ยกภู เ ขาออกร่ า ง จ้ อ งมอง
อากุ่ยอย่างตื่นตะลึง อากุ่ยคล้ายไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของพวกมันแม้แต่น้อย
ไม่มีปฏิกิริยาใด ยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างกายจั่วม่อโดยไร้ปากเสียง
เหวยเสิ้งหันไปถามจั่วม่อ “อากุ่ยหายดีแล้วหรือ?”
“ข้าก็ไม่ทราบ” จั่วม่อแบมือ ฝืนยิ้มขื่น
ความตื่นตะลึงที่มันได้รับยังเหนือกว่าเหวยเสิ้งกับจงหยูมากโข ในใจ
มันคล้ายปรากฏระลอกคลื่นมหึมาโหมซัดสาดไม่หยุดยั้ง แทบไม่กล้าเชื่อ
สายตาตัวเองเสียด้วยซ้า! นี่ย่อมไม่ใช่ครั้งแรกที่มันชมดูการต่อสู้ของอากุ่ย
แต่ก่อนหน้านี้จ่ว
ั ม่อก็เป็นเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ คือไม่ทราบว่าพลังฝีมือ
ของอากุ่ยเดินไปในแนวทางใด
แต่บัดนี้มันกระจ่างใจแล้ว!
พลังเทพ!
สิ่งที่อากุ่ยใช้ออกมา เป็นพลังเทพนั่นเอง!
แม้ว่าพลังเทพของนางผิ ดแผกแตกต่างจากพลังเทพสุริ ยันของมั น
อย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็เป็นพลังเทพไม่ผิดแน่!
ในกาลก่อนจั่วม่อ แม้ฝึก ปรื อพลั งทั้ งสาม แต่ไม่ล่วงรู้อันใดเกี่ ย วกั บ
พลังเทพ ดังนั้นมันไม่เคยตระหนักว่าสิ่งที่อากุ่ยใช้ก็คือพลังเทพ แต่ยามนี้
มันเมื่อฝึกปรือพลังเทพ ก็สามารถมองออกในทันที ว่าพลังสีม่วงของอากุ่ย
คือพลังเทพชนิดหนึ่ง
ความตื่นตระหนกตกใจของจั่วม่อในยามนี้ไม่อาจสรรหาถ้อยคามาบ่ง
บอกบรรยายได้ อากุ่ ย ที่ แ ท้ ฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพ! ถึ ง ตอนนี้ ใ นใจมั น บั ง เกิ ด
คาถามมากมายนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
เค้ า ลางทั้ ง หมดล้ ว นบ่ ง ชี้ ไ ปยั ง ความจริ ง ที่ ว่ า มั น กั บ อากุ่ ย มี ค วาม
เกี่ยวพันที่ยังไม่ทราบชัด และมีความเป็นไปได้สูงว่านางล่วงรู้อดีตของมัน
แม้แต่ลูกแก้วห้าธาตุที่อยู่ภายในร่างมัน ก็ดูล้ายจะเกี่ยวโยงกับอากุ่ยอย่าง
แยกไม่ออก
เรื่องประหลาดมากมายหมุนผ่านในใจจั่วม่อ มันสามารถฝึกปรือพลัง
ปราณ มั น ยั ง สามารถส าเร็ จ สั ง ขารปิ ศ าจ กระทั่ ง คุ ก สิ บ นิ้ ว มั น ยั ง เข้ า ไป
เที่ยวเล่นได้ประหนึ่งเผ่าอสูรตนหนึ่ง ร่องรอยที่เคยถูกมองข้ามไปในกาล
ก่อนพลันกลายเป็นแจ่มชัดอยู่ในใจมัน!
ชาติกาเนิดของมันจะต้องเกี่ยวพันใกล้ชิดกับพลังเทพไม่ผิดแน่!
แต่... ...
จั่วม่อกัดริมฝีปากแทบแตก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก
แต่พลังเทพหายสาบสูญไปนานหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว!
ทันใดนั้นมันหวนนึกถึงเรื่องที่ส วรรค์สี่ดินแดนไล่ล่าสังหารเชื้ อ สาย
ของชนเผ่าโบราณ จั่วม่อร่างสั่นสะท้านโดยรู้ตัว!
จากนั้นยังนึกถึงเรื่องที่ว่ามีคนเปลี่ยนแปลงรู ปโฉมของมันและลบล้าง
ความทรงจาของมัน เค้าลางความคิดที่มืดมัวและอันตรายพลันครอบคลุม
ลงในใจมัน ประดุจภาพเงาร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางในม่ านหมอก
หนาทึบ
หรือว่า... ...
จั่วม่อใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าคิดต่อไปอีก
มั น ลอบจดจ าทุ ก ค าถามนี้ เ อาไว้ ใ นใจ สั ก วั น มั น จะต้ อ งสื บ ค้ น จน
กระจ่างแจ้งให้จงได้! มันเหลือบมองอากุ่ยที่ยืนเงียบงันอยู่ข้างกาย สายตา
กลายเป็นนุ่มนวลลง
ภาพที่อากุ่ยใช้ร่างตัวเองเข้าขวางกั้นการโจมตีที่เบื้องหน้ามัน ยังคง
กระจ่างชัดอยู่ในใจมัน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวานนี้เอง
ไม่ว่าจะอย่างไร มันต้องหาตัวอ่อนเมฆวารีมาให้ได้!
กลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นตามเดิม สายตาของจั่วม่อเต็มไปด้วย
ความเด็ ด เดี่ ย วแน่ ว แน่ อี ก ครั้ ง เหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู ที่ เ ฝ้ า มองจั่ ว ม่ อ อยู่
ตลอดเวลา พอเห็นเช่นนัน
้ ค่อยถอนหายใจโล่งอก สัว
่ นจั่วม่อพอเห็นสีหน้า
ท่ า ที ข องคนทั้ ง สอง ก็ ไ ม่ ต้ อ งการให้ พ วกมั น วิ ต กกั ง วล จึ ง แย้ ม ยิ้ ม อย่ า ง
สดใสตามเดิม
ในเวลานี้เอง มันพลันหวนนึกถึงแรงสั่นสะเทือนประหลาดที่มาจาก
ในแหวนมิติเมื่อสักครู่นี้
มันรีบรื้อค้นแหวนมิติของมันทันที
ในไม่ช้าก็พบต้นเหตุ เป็นสิ่งนี้เอง!
จั่วม่อม่านตาหดแคบลงอย่างฉับพลัน!
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่ อใด กองกระดูกที่มุมหนึ่งของแหวนกลายเป็นส่อง
แสงสีแดงฉาน ประหนึ่งเหล็กร้อนที่ลุกไหม้จนแดงฉาน!
เป็นกระดูกหยกดา!
แรงสั่นสะเทือนประหลาดเมื่อครู่นี้ มาจากกระดูกหยกดา!
จั่วม่อแตกตื่นตกใจ รีบนากระดูกหยกดาทั้ งหมดออกมาจากแหวน
ทันทีที่กระดูกหยกดาซึ่งกลายเป็นสีแดงเข้มออกสู่ภายนอก หมอกน้าแข็ง
โดยรอบพลันถาโถมเข้าหากระดูกหยกดาอย่างเร่งร้อน ประหนึ่งฝูงฉลาม
กระสากลิ่นเลือด
กองกระดูกหยกดาตรงหน้าจั่วม่อคล้ายว่าจะเป็นวัง วนอันทรงพลั ง
หรือไม่ก็ห ลุมลึกไร้ก้นบึ้ง ยังคงสูบกลืนหมอกน้าแข็งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะ
หยุดยัง้
ซู่วซู่วซู่ว!
หมอกน้าแข็งที่ถูกดึงเข้ามาเปลี่ยนเป็นกระแสหมอกเรียวเล็ก ส่งเสียง
หวีดหวิวชวนสะท้านใจ หมุนคว้างเข้าไปในกระดูกหยกดาไม่ขาดสาย
จั่วม่อกับพวกทั้งสามอ้าปากค้างอย่างอัศจรรย์ใจ
เหวยเสิ้งกับจงหยูยังไม่เท่าใด พวกมันแม้ประหลาดใจ แต่ไม่ได้ล่วงรู้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวิห ารเทพสุริยัน ดังนั้นเพียงคิดว่ากระดูกหยกดา
เป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่จ่ว
ั ม่อกลับขวัญหนีดีฝ่ออย่างแท้จริง ไม่
มีผู้ใดทราบที่มาของกระดูกหยกดาดีไปกว่ามันอีกแล้ว เจ้าสิ่งนี้คือสิ่งที่มัน
หยิบฉวยออกมาจากแดนผลาญเทพในวิหารเทพสุริยัน ในเวลานั้นมันเห็น
กระดูกหยกดามีสีสันชวนมองและคุณภาพล้าเลิศเหนือธรรมดา มันคิดว่า
สิ่งที่ไม่ผุผังหลังจากผ่านเวลามานับหมื่นปี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นสมบัติ
วิเศษชิน
้ หนึ่ง จึงเก็บรักษากระดูกหยกดาเอาไว้จนถึงตอนนี้
นึกถึงคา ‘กลิ่นอายของชนเผ่าของข้า’ ที่สตรีหมอกกล่าวถึงก่อนหน้า
นี้ จากนั้นชมดูภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจเบื้องหน้า จั่วม่อตระหนักในบัดดล ที่
แท้กระดูกหยกดาสมควรเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์หมอก ครั้งนั้นยอดคน
ท่านนี้คงพลาดท่าถูกวิหารเทพสุริยันคร่ากุมเอาไว้ และถูกกักขังอยู่ในแดน
ผลาญเทพมานานนับหมื่นปี
ทันใดนั้นเอง สตรีหมอกที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น พลันส่งเสียงครวญคราง
เบา ๆ ฟื้ นคืนสติขึ้นมา
คนทั้งสามสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล เพิ่งตระหนักว่าพวกมันมั ว แต่
สนใจอากุ่ยกับกระดูกหยกดา จนหลงลืมเข้าไปตรวจสอบดูว่าสตรีหมอกใช่
ตายแน่แล้วหรือไม่ไปเสียสนิท! อาจเป็นเพราะอากุ่ยยังไม่ทุเลาหายดีอย่าง
สมบูรณ์ หรือไม่ก็สตรีหมอกนางนี้เข้มแข็งเกินไป แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จ่ัวม่อ
เห็นผู้คนรับการโจมตีของอากุ่ยเข้าเต็มที่ แต่ยังรอดชีวิตมาได้!
คราวนี้อากุ่ยดวงตาหม่นมัวไร้ประกาย กลับสู่สภาพแข็งทื่อราวหุ่นไม้
ตามเดิม ไม่มีปฏิกิริยาต่อการฟื้ นคืนสติของสตรีหมอกแม้แต่น้อย!
บัดซบ!
ทั้งสามตระเตรียมลงมือในบัด ดล โดยเฉพาะจั่วม่อที่เตรี ยมใช้ พ ลั ง
เทพอย่างสุดกาลัง!
แต่แล้วฉากที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น กลับทาให้พวกมันตะลึงงันอยู่กับที่!
พวกมันเห็นน้าตาสองสายไหลรินลงมาตามใบหน้าของสตรีหมอก แต่
ละหยดแต่ล ะหยาดประดุจไข่มุกอันงดงามที่ข าดออกจากสายสร้อย ร่วง
กราวลงบนพื้น หยดน้าตาสีฟ้าอ่อนเมื่อหล่นรินลงจากดวงตานางก็ ก ลั บ
กลายเป็นเม็ดไข่มุกสีฟ้าอ่อนพิสุทธิ์ใส เมื่อตกกระทบพื้น บังเกิดเสียงกรุ๊ง
กริ๊งเสนาะหู
นี่ เ ป็ น ครั้ ง แรกที่ จ่ั ว ม่ อ กั บ พวกพบเห็ น ผู้ ค นร่ า ไห้ อ ย่ า งสุ ด จิ ต สุ ด ใจ
เช่นนี้ ทั้งยังพิส ดารล้าถึงเพียงนี้ นอกจากยืนตะลึงลานอยู่กับที่ ยังจะให้
พวกมันกระทาสิ่งใดได้อีกเล่า
“หยาดน้าตามนุษย์หมอก! ช่างไม่ทราบจริง ๆ ว่าเดรัจ ฉานน้อยเจ้า
ไฉนมีโชควาสนาถึงเพียงนี้!” ในทะเลแห่งจิต ส านึก ผูเยาสั่นศีรษะพลาง
ทอดถอนด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“โชควาสนา?” จั่วม่อไหนเลยจะเข้าใจถ้อยคาพิลึก ๆ นี้ได้ ทุกสิ่งที่
เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ คล้ายจะไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับโชควาสนาแม้แต่
น้อย
“มนุษย์หมอกนิสัยใจคอยะเยียบเย็นชา ส่วนใหญ่ชั่วชีวิตไม่เคยร่าไห้
แม้แต่ครั้งเดียว ไข่มุกที่เกิดจากหยดน้าตาของมนุษย์ห มอกเรียกว่าน้ าตา
แห่งสายหมอก เป็นสุดยอดสมบัติวิเศษธาตุน้าที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน! ที่
สาคัญยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันว่าเมื่อมนุษย์หมอกร่าไห้ต่อหน้าผู้ใด คนผู้นั้นจะ
ได้รับไมตรีจากมนุษย์หมอกไปตลอดกาล!”
ผูเยารอบรู้กว้างขวาง บรรยายเรื่องราวในตานานอย่างกับตาเห็น
“เป็นความจริง?” จั่วม่อไม่อยากจะเชื่อ หากสตรีนางนี้จู่ ๆ ก็คลุ้มคลั่ง
ขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีปัญญารับมือแล้ว
“นั่นเป็นเรื่องจริง” เว่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม สุ้มเสียงของมันแฝงไว้
ด้ ว ยอารมณ์ แ ปลกประหลาดชนิ ด หนึ่ ง เป็ น ส่ ว นผสมของอารมณ์ อั น
ซับซ้อนที่ได้เห็นลูกหลานชนเผ่าโบราณเหลือรอดมาได้จริง ๆ
จั่ วม่ อ สงบใจล งในที่ สุ ด ผู เ ยากั บ เว่ ย มั ก ทะ เล า ะเ บ าะ แ ว้ ง อ ยู่
ตลอดเวลา แต่หากทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็สมควรไม่ผิดพลาดแล้ว
มันปรายตาบอกใบ้ต่อเหวยเสิ้งกับจงหยูไม่ให้ลงมือ คนทั้งสองแม้ไม่
เข้าใจ แต่ก็หยุดมือแต่โดยดี
โฉมสะคราญแห่งสายหมอกเพียงร่าไห้อยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหยุดชะงัก
ลง
ยืนมองจากด้านข้าง จั่วม่อไม่ทราบว่ากระดูกหยกดาสูบกลืนหมอก
น้าแข็งเข้าไปมากมายเท่าใด จนกระดูกเปลี่ยนสีสันจากแดงฉานดุจเหล็ก
หลอมกลายเป็ น สี ฟ้ า อ่ อ นจาง กระดู ก ทุ ก ชิ้ น เรื อ งแสงสี ฟ้ า อ่ อ นอั น น่ า
อัศจรรย์ โปร่งใสแวววามราวกับแก้วผลึก
ทันใดนั้นเสียงเกล็ดน้าแข็งปั่ นป่วนดังอึงอลจากรอบด้าน เห็นเงาร่าง
ของมนุ ษ ย์ ห มอกมากมาย บั ด เดี๋ ย วผลุ บ บั ด เดี๋ ย วโผล่ อ ยู่ ท่ า มกลางม่ า น
หมอกน้าแข็ง
จั่วม่อกับพวกสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขัดตา!
เหล่ามนุษย์หมอกเคลื่อนกายออกมาจากทุกทิศทาง ไม่ต่างจากน้าป่า
ถาโถม ห้อมล้อมคณะของจั่วม่อไว้ตรงกลาง
จั่วม่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทบทวนสิ่งที่ผูเยาเพิ่งบอก ‘ได้รับไมตรีจ าก
มนุษย์หมอกไปชัว
่ กาล’ หวังว่าจะเป็นความจริง มิเช่นนัน
้ ละก็... ...
ฝูงชนมนุษย์หมอกอันแน่นขนัดทาเอาจั่วม่อหนังศีรษะชาซ่าน!
การกระท าต่ อ จากนั้ น ของบรรดามนุ ษ ย์ ห มอก ท าให้ จ่ั ว ม่ อ ทั้ ง ตก
ตะลึงทั้งถอนหายใจอย่างโล่งอกไปพร้อมกัน! เห็นเหล่ามนุษย์หมอกพากัน
คุ ก เข่ า อย่ า งเป็ น ระเบี ย บเรี ย บร้ อ ย ราวกั บ คลื่ นน้ า กวาดผ่ า นฝู ง ชน ทุ ก
ใบหน้าเต็มไปด้วยความลิงโลดยินดี
จั่ ว ม่ อ ทราบดี ว่ า ตั ว มั น มี น้ า หนั ก สั ก เท่ า ใด และทราบว่ า ชาวมนุ ษ ย์
หมอกไม่ได้คุกเข่าให้แก่มัน จริงดังคาด สิ่งที่พวกมันคุกเข่าโขกศีรษะให้ คือ
กองกระดูกผลึกหยก!
มันรีบดึงเหวยเสิ้งกับจงหยูหลบเลี่ยงไปด้านข้าง ในเวลาเช่นนี้ สานึก
ตัวให้มากเข้าไว้เป็นดีที่สุด
แกรก แกรก!
ขณะที่มันกาลังหลบไปด้านข้าง เสียงแปลก ๆ พลันดังขึ้นติดต่อตาม
กันอยู่ทางด้านหลัง จั่วม่อดหันไปมองไม่ได้ แล้วก็ยืนนิ่งขึงตะลึงงันราวกับ
ถูกสายฟ้าฟาดใส่กลางศีรษะอย่างจัง!
กระดูกผลึกหยกกาลังขยับเคลื่อนไหว ทุกชิ้นลุกขึ้นตั้งตรง กระดูกแต่
ละชิน
้ เริม
่ จัดเรียงตัวเองอย่างพิลึกพิสดาร ชิน
้ นั้นลอยขึ้นไปต่อกับชิน
้ นี้ ชิน

นี้ ป ระสานกั บ ชิ้ น โน้ น ร่ า งโครงกระดู ก มนุ ษ ย์ ค่ อ ย ๆ เป็ น รู ป เป็ น ร่ า งขึ้น
ตามลาดับ คล้ายกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกาลังบรรจงประกอบร่างกระดูกก็
มิปาน
จั่วม่อขนหัวลุกชี้ชัน ความหวาดหวั่นขวัญผวาอย่ างยากจะบ่ ง บอก
บรรยายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เส้นขนทั้งร่างลุกเกรียว!
บทที่ 531 ชนเผ่ามนุษย์หมอก

เหวยเสิ้งกับจงหยูก็ถูกโครงกระดูกทาเอาตื่นตะลึงเช่นกัน กระทั่งนก
โง่ที่เย่อหยิ่งถือดี ยามนี้ยังเรียบ ๆ ร้อย ๆ ผิดปกติ โครงกระดูกผู้นี้พลังไม่
ธรรมดา! ในหมู่พวกมันทั้งหมด คนผู้เดียวที่สงบเยือกเย็นก็คืออากุ่ย
อากุ่ยยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างกายจั่วม่อ เมินเฉยต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
กระดูกผลึกหยกโปร่งใสกระจ่างจ้า แต่ละชิ้นคล้ายงานฝีมือชั้นยอด
ทั่วร่างโครงกระดูกผลึกหยกละเอียดอ่อนงดงาม รอจนกระดูกชิ้นสุดท้ าย
ประกบเข้าตาแหน่งของมันในร่า งโครงกระดูก โครงกระดูกทั้งร่างก็ส ว่ าง
วาบด้วยแสงสีฟ้าบาดตา แสงสีฟ้าแผ่ซ่านกระเพื่อมไหวออกไปทุกทิศทุก
ทาง เหล่ า มนุ ษ ย์ ห มอกเมื่ อ สั ม ผั ส กั บ แสงเจิ ด จ้ า บาดตาก็ ยิ่ ง ลิ ง โลดยิ นดี
กว่าเดิม
กระดูกหยกด าที่จ่ั วม่ อหยิ บ ฉวยออกมาจากแดนผลาญเทพไม่ ค รบ
ชิ้นส่วน มีอยู่สามชิ้นที่ขาดหายไป นั่นคือกะโหลกศีรษะ กระดูกชายโครง
ชิ้นหนึ่งและกระดูกนิ้วมืออีกชิ้นหนึ่ง
แต่ในร่างโครงกระดูกที่ไม่สมบูรณ์นี้ กลับไม่ปรากฏร่องรอยของความ
ไม่สมดุลใด ราวกับว่าพวกมันครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เหวยเสิ้งกับจงหยูมีสี
หน้าน่ากลัว พวกมันทันใดนั้นบังเกิดความรู้สึกว่าทะเลหมอกน้าแข็งอันไร้
ที่สิ้นสุดนี้ จู่ ๆ ก็กลายเป็นเริงร่ามีชีวิตชีวาขึ้นมา!
จั่วม่อก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในม่านหมอกน้าแข็ง ต้อง
ประหลาดใจวูบหนึ่ง พลังเทพ!
นี่คือพลังเทพ!
พลังเทพที่กระดูกผลึกหยกปลดปล่อยออกมานุ่มนวลผิดธรรมดา เบา
บางเสี ย จนแทบไม่ อ าจสั ม ผั ส ได้ หากมิ ใ ช่ ว่ า จั่ ว ม่ อ ฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพ มี
ความรู้สึกเฉียบไวต่อพลังเทพมากกว่าผู้อ่ ืน มันต้องไม่อาจตรวจพบพลัง
เทพขุมนี้เป็นแน่!
ทว่ากับการที่โครงกระดูกปลดปล่อยพลังเทพออกมา จั่วม่อหาได้ต่ ืน
ตะลึงมากมายอันใดไม่ มันเมื่อหยิบฉวยโครงกระดูกมาจากแดนผลาญเทพ
ก็แน่นอนว่าโครงกระดูกนี้ต้องมาจากยุคสมัยโบราณกาล เป็นธรรมดาที่
โครงกระดูกจะเป็นผู้ใช้พลังเทพ แต่สิ่งที่ทาให้มันตื่นตะลึงอย่างแท้จริง คือ
มันพบว่าโครงกระดูกนี้ยังคงมีร่องรอยของชีวิตหลงเหลืออยู่ด้วย!
พลังเทพของโครงกระดูกทั้งอ่อนแอและเบาบาง แต่จ่ัวม่อสามารถ
รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายชีวิตที่แฝงเร้นอยู่ภายในได้อย่างชัดแจ้ง!
แม้ ว่ า กลิ่ น อายชี วิ ต สายนี้ อ่ อ นแอยิ่ ง แต่ ก็ เ ป็ น พลั ง แห่ ง ชี วิ ต อย่ า ง
แท้จริง!
จั่วม่อเหม่อมองโครงกระดูกด้วยหัวใจสั่นไหว ล้อเล่นหรือไม่ ? โครง
กระดูกเก่าแก่โบราณอายุหลายหมื่นปี จู่ ๆ ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง... ... นี่
เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระอันใดกัน!
เคราะห์ ดี ที่ โ ครงกระดู ก ไม่ ไ ด้ เ ปลี่ ย นแปลงไปมากกว่ า นี้ แสงสี ฟ้ า
กระจ่างจ้าค่อย ๆ สลัวเลือนรางลง
มนุ ษ ย์ ห มอกที่ ห มอบกราบกรานอยู่ กั บ พื้ น พากั น ลุ ก ขึ้ น ยื น มนุ ษ ย์
หมอกที่ดูมีอายุหลายคนก้าวมาข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นช่วยกัน
ประคองโครงกระดูก พาหายลับไปในม่านหมอกน้าแข็งในบัดดล
มนุ ษ ย์ ห มอกวั ย กลางคนผู้ ห นึ่ ง ก้ า วมาหยุ ด ยื น ตรงหน้ า จั่ ว ม่ อ ค้ อ ม
คานับคณะของจั่วม่อด้วยท่วงท่าประหลาด “อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ทั้ง
เบื้ อ งสู ง เบื้ อ งต่ า ของเผ่ า มนุษ ย์ ห มอกจะจดจ าน้า ใจที่ พ วกท่ า นมี ต่อ เผ่า
มนุ ษ ย์ ห มอก! ไม่ ว่ า ที่ ไ หนและเมื่ อใด ท่ า นคื อ สหายของพวกเราตลอด
กาล!”
แม้ ว่ า จั่ ว ม่ อ จะเจ็ บ ปวดใจอยู่ บ้ า งที่ ก ระดู ก หยกด าถู ก เหล่ า มนุ ษ ย์
หมอกพาหายไป แต่จะอย่างไรก็สามารถแก้ไขเภทภัยถึงชีวิตได้ด้วย ดังนั้น
รีบกล่าวถ่อมตัว “ท่านเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว! นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
เท่านัน
้ !”
“อาศัยเพียงวาจาย่อมไม่อาจสาแดงความสานึกขอบคุณของชนเผ่า
เราได้หมด ทุกท่าน หากไม่มีสิ่งใดขัดข้อง โปรดไปเยือนชนเผ่าเราสักหลาย
วันได้หรือไม่ ให้พวกเราได้ทาหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีสักครา!” บุรุษมนุษย์หมอก
วัยกลางคนกล่าวชักชวนอย่างจริงใจ
จั่วม่อในใจบังเกิดความขัดแย้งเล็กน้อย กล่าวปฏิเสธว่า “ขออภัยด้วย
เราจาต้องไปเสาะหาตัวอ่อนเมฆวารี... ...”
บุรุษมนุษย์หมอกวัยกลางคนมองดูอากุ่ยแวบหนึ่ง พลันเข้าใจเบื้อง
ลึกเบื้องหลัง จากนั้นแย้มยิ้มพลางกล่าว “ท่านที่นับถือไม่ต้องห่วงกังวลไป
พวกเรารู้จักสถานที่หลายแห่งที่ตัวอ่อนเมฆวารีเติบโตงอกงาม” กล่าวจบ
คา มันก็หันไปสั่งการมนุษย์ห มอกที่ด้านข้างด้ วยน้า เสียงเบาต่า ภาษาที่
พวกมันใช้กล่าวกันเองในชนเผ่าแปลกประหลาดยิ่ง คณะของจั่วม่อไม่มี
ผู้ใดรับฟังเข้าใจ
มนุ ษ ย์ ห มอกผู้ นั้ น รั บ ฟั ง อย่ า งระมั ด ระวั ง จากนั้ น พยั ก หน้ า หั น มา
คารวะคณะของจั่วม่ออย่างนอบน้อม แล้วหมุนร่างหายลับไปในม่านหมอก
น้าแข็ง
“ข้าสั่งการให้มันไปเก็บตัวอ่อนเมฆวารีให้แก่พวกท่านแล้ว ในทะเล
เมฆบริเวณนี้ตัวอ่อนเมฆวารี ไม่ ใช่ข องหายาก แต่ต้องมีการดูแลที่ ดี ด้ ว ย
วิธีการเก็บเกี่ยวลับเฉพาะที่ไม่ค่อยมีคนล่วงรู้ แม้ว่าตัวอ่อนเมฆวารีจะมี
ประสิทธิภาพที่สุดหากรับประทานสด ๆ หลังจากเก็บเกี่ยวได้ แต่ชนเผ่า
เราล่ ว งรู้ วิ ธี ลั บ พิ เ ศษที่ ส ามารถรั ก ษาความสดใหม่ ข องตั ว อ่ อ นเมฆวารี
หลังจากเก็บเกี่ยว ดังนั้นพวกท่านไม่ต้องกังวล ไปพักผ่อนที่บ้านของพวก
เราให้สบายเถอะ” บุรุษมนุษย์หมอกวัยกลางคนอธิบายต่อจั่วม่อ
จั่ ว ม่ อ สี ห น้ า เบิ ก บานใจในทั น ที รี บ ประสานมื อ คารวะขอบคุ ณ
“ขอบคุณท่านมาก! ขอบคุณท่านมาก!”
เหวยเสิ้งกับจงหยู ก็มีสีห น้า ปิติยิน ดี ไ ปด้ วย พวกมันเดินทางมายาว
ไกลถึงเพียงนี้ ลงทุนลงแรงผ่านความลาบากมาไม่น้อย แต่ยามได้มากลับ
ไม่ลาบากยากเย็นอันใด!
มนุ ษ ย์ ห มอกวั ย กลางคนโบกมื อ เป็ น พั ล วั น รี บ กล่ า วว่ า “เที ย บกั บ
พระคุณยิ่งใหญ่ที่ท่านทั้งหลายมีต่อชนเผ่าของเราแล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียง
เท่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้”
จากนั้นผายมือเชื้อเชิญจั่วม่อ “ขอเชิญอาคันตุกะทั้งหลาย!”
ทันใดนั้นจั่วม่อสีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้าง อึกอักลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะ
กล่าวกระมิดกระเมี้ยน “คือว่า... ...”
มนุ ษ ย์ ห มอกวั ย กลางคนสี ห น้ า งุ น งงสงสั ย “ท่ า นที่ นั บ ถื อ มี เ รื่ อง
ลาบากใจอันใดโปรดบอกมาเถิด!”
กระทั่ ง ใบหน้ า หนาเท่ า ก าแพงเมื อ งของจั่ ว ม่ อยั ง แดงซ่ า นเล็กน้อย
ค่อย ๆ ชี้ไปยังน้าตาแห่งสายหมอกบนพื้น “คือว่า... ..ขอข้าเก็บสิ่งเหล่านั้น
ไปด้วยได้หรือไม่?”
จั่วม่อไม่ทันสังเกตว่ามันเมื่อกล่าวออกมา โฉมสะคราญหมอกผู้ เป็น
เจ้าของหยาดน้าตาเหล่านั้นพลันใบหน้าแดงซ่านเล็กน้อย
มนุษย์หมอกวัยกลางคนแหงนหน้าหัวร่อดังกระหึ่มก้อง แล้วตวัดมือ
วูบ น้าตาแห่งสายหมอกเหล่านั้นพุ่งเข้าหาฝ่ามือของมัน จากนั้นยื่นส่งให้
จั่วม่ออย่างไม่เกี่ยงงอน
จั่วม่อยื่นมือรับอย่างระมัดระวัง พลางแย้มยิ้มกว้างขวาง น้าตาแห่ง
สายหมอกเหล่านี้เป็นสมบัติชั้นเลิศ! สิ่งที่ได้รับการตัดสินจากผูเยาว่าเป็น
‘สมบัติที่ดี’ แน่นอนว่าต้องเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดา
จากนั้นพวกมันติดตามมนุษย์หมอกวัยกลางคนไป ม่านหมอกน้าแข็ง
อันเย็นเยียบเสียดกระดูกคล้ายจะรู้จักพวกมัน กลับกลายเป็นเย็นรื่นชื่นใจ
ทาให้รู้สึกสุขสบายอย่างบอกไม่ถูก
มนุษย์ห มอกวัยกลางคนให้ความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง คอย
สนทนาแนะน าชนเผ่ า หมอกต่ อ อาคั น ตุ ก ะของพวกมั น อย่ า งต่ อ เนื่ อง
ส าหรับจั่วม่อผู้ล่วงรู้ประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์หมอกก็ยังดีอยู่บ้าง แต่
เหวยเสิ้งกับจงหยูฟังไปฟังไปก็ได้แต่อ้าปากค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไป
ตลอดทาง ... ...ลูกหลานของชนเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ ไม่ข้อง
เกี่ยวกับโลกภายนอก?
“แล้วโครงกระดูกคือ... ...” จั่วม่อถามอย่างระมัดระวังระคนกระหาย
ใคร่รู้ กังวลอยู่บ้างว่าเรื่องนี้จะเป็นหัวข้อละเอียดอ่อนที่ยากจะถามไถ่ แต่
มันระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่จริง ๆ
“นั่นเป็นสัญลักษณ์ศึกของชนเผ่าเรา เรียกว่าหลัน! (หมอก) ” มนุษย์
หมอกวั ย กลางคนดวงตาทอประกายลิ ง โลดยิ น ดี จากนั้ น ทอดถอนใจ
“หลายหมื่ น ปี ที่ แ ล้ ว นั บ ตั้ ง แต่ ช นเผ่ า เราโยกย้ า ยมาที่ อ าณาจั ก รแห่ ง นี้
สัญลักษณ์ศึกของชนเผ่าเราก็หายสาบสูญไปในทันทีทันใด เราสูญเสี ยการ
เชื่อมโยงทั้งหมดที่มีต่อหลัน ไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่น้อย นับตั้งแต่นั้น
เป็นต้นมา พลังเทพของเผ่ามนุษย์หมอกเราก็เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ดังนั้น
เราได้แต่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของทะเลเมฆ แยกตัวออกจากโลกภายนอก”
“สั ญ ลั ก ษณ์ ศึ ก !” จั่ ว ม่ อ ในที่ สุ ด ก็ เ ข้ า ใจกระจ่ า ง มั น เคยคาดเดา
เกี่ ย วกั บ โครงกระดู ก ไว้ ม ากมายหลายประการ แต่ ไ ม่ เ คยคิ ด ว่ า จะเป็ น
สัญลักษณ์ศึกของชนเผ่าหนึ่ง
ไม่ แ ปลกที่ เ หล่ า มนุ ษ ย์ ห มอกจะสู ญ เสี ย การเชื่ อมโยงกั บ หลั น
ช่ ว งเวลาที่ เ กิ ด เรื่ อ งขึ้ น ก็ เ ป็น เวลาเดี ย วกั นกั บ ที่ วิ ห ารเทพสุริ ยั นจับหลัน
กักขังไว้ในแดนผลาญเทพนั่นเอง
ชนเผ่าเทพสุริยันดับสูญหมดสิ้น วิหารเทพแห่งสุดท้ายของพวกมันก็
ดั บ สลายกลายเป็ น ฝุ่ น ธุ ลี ทว่ า หลั น ที่ พ วกมั น จั บ กุ ม คุ ม ขั ง เอาไว้ ก็ แ ทบ
จะต้องสังเวยชีวิตไปด้วย
เมื่อจั่วม่อเล่าเรื่องราวเหล่านี้ออกมา ทุกผู้คนอดทอดถอนไม่ได้
มนุษย์หมอกวัยกลางคนผงกศีรษะอย่ างโศกสลด “ที่แท้ก็เ ป็น ฝี มื อ
ของชนเผ่ า เทพสุ ริ ยั น ไม่ ต้ อ งสงสั ย เลย! พวกมั น มี พ ลั ง พอที่ จ ะท าเรื่ อ ง
เช่นนี้ได้! ใช่แล้ว พวกเราแม้แยกตัวออกจากโลกภายนอก แต่มักจะส่งคน
ในเผ่าคนสองคนออกไปสืบหาข่าวคราวในหมอกน้าแข็งอยู่เป็นประจา ฟัง
ว่ า สายเลื อ ดของชนเผ่ า โบราณในโลกภายนอกล้ ว นดั บ สู ญ สิ้ น แล้ ว ใช่
หรือไม่?”
มองดูสีห น้าโศกสลดของมนุษย์หมอกวัยกลางคน จั่วม่อไม่ทราบจะ
ปลอบใจมันอย่างไร ได้แต่พยักหน้ารับ
มนุษย์ห มอกวัยกลางคนนิ่งเงียบงันไป ข่าวสารเมื่อได้รับการยืนยัน
จากจั่วม่อ ความหวังส่วนเสี้ยวสุดท้ายของมันก็ดับสูญไปด้วย อึดใจให้หลัง
ค่อยกล่าวถามอย่างงุนงงสงสัย “พวกมันไฉนพากันตายหมดสิ้น?”
จั่วม่อสั่นศีรษะ “ข้าก็ไม่ทราบ บางทีอาจเป็นไปได้หลายสาเหตุ” ไม่
ทราบเพราะเหตุ ใ ด มั น ไม่ ต้ อ งการบอกอี ก ฝ่ า ย ว่ า หลายพั น ปี ม านี้ เป็ น
สวรรค์สี่ดินแดนที่ไล่ล่าทาลายล้างเชื้อสายของชนเผ่าโบราณจนสูญสิ้น
เห็ น สี ห น้ า สลดหดหู่ ข องมนุ ษ ย์ ห มอ กวั ย กลางคน จั่ วม่ อ ได้ แ ต่
ปลอบโยนว่า “บัดนี้หลันหวนคืนมาแล้ว ชนเผ่าหมอกก็สามารถกลับสู่พลัง
อานาจเช่นในกาลก่อน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านัน
้ ”
ได้ ยิ น เช่ น นี้ มนุ ษ ย์ ห มอกวั ย กลางคนในที่ สุ ด ค่ อ ยยิ้ ม ออก “มิ ผิ ด !
ตราบเท่าที่ยังมีหลัน ชนเผ่าของเราก็สามารถสืบต่อไปได้!”
มันเชื่อมัน
่ ในหลันอย่างเปี่ ยมล้น!
ในไม่ช้าพวกมันก็เดินทางไปถึงที่ต้งั ปัจจุบันของชนเผ่าหมอก
ระหว่างทาง พื้นที่ต่าง ๆ ก็ทยอยอวดโฉมต่อหน้าคณะของจั่วม่อ มี
บ่อน้าสีฟ้าน้อยใหญ่มากมายเรียงรายเป็นแผ่นผืน ขนาดของบ่อน้าล้วนผิด
แผกแตกต่าง เต็มไปด้วยน้าสีน้าเงินลึ กล้า กวาดตามองไปรอบ ๆ ราวกับ
แผ่นกระจกเงานับพัน ๆ กาลังทอประกาย ในบ่อน้าบางบ่อมีกลุ่มหมอกสี
ฟ้าทรงกลมลอยอยู่ส่วนบนของบ่อ หากมองดูดี ๆ สามารถมองเห็นเงาร่าง
ของมนุษย์หมอกที่อยู่ภายในม่านหมอกได้อย่างเลือนราง
“บ่อน้าพวกนี้คือบ่อน้าสายหมอกของชนเผ่าเรา” เห็นพวกจั่วม่อมีสี
หน้าสนอกสนใจ มนุษย์หมอกวัยกลางคนอธิบายอย่างใจดี “นับตั้งแต่หลัน
หายสาบสูญไป พวกเราสูญเสียสัญลักษณ์ศึก ศรัทธาความเชื่อทั้งหมดไม่มี
ที่จ ะไป สุดท้ายไม่ส ามารถก่อเกิดพลังเทพได้อีก บรรพบุรุษของพวกเรา
ต้องสิ้นเปลืองกาลังความคิดไม่รู้ว่าเท่าใด คิดค้นวิชาฝึกปรือสังขารบ่อน้า
สายหมอกขึ้นมา ช่วยให้พวกเราเอาชีวิตรอดมาได้จนกระทั่งถึงตอนนี้”
“ทรงพลังยิ่ง!” จั่วม่อชื่นชมอย่างจริงใจ ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้ที่สามารถ
คิดค้นวิชาอันทรงพลังของตนเองก็นับเป็นยอดคนอันร้ายกาจ
ระหว่างทางบรรดามนุษย์หมอกพอเห็นจั่วม่อกับพวก ล้วนพากันค้อม
คารวะอย่างปลาบปลื้ม
เดิ น ห่ า งออกไปจากบริ เ วณบ่ อ น้ า สายหมอก พื้ น ที่ สิ่ ง ปลู ก สร้ างผืน
ใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นสีฟ้าสดใส
ล้ ว น ๆ ราวกั บ ว่ า พวกมั น ถูก สร้ างด้ ว ยผลึกน้ า แข็ ง ให้ ค วามรู้ สึ ก โปร่งใส
เยือกเย็น ผนังกาแพงสะท้อนแสงแวววาม ก่อเกิดเป็นชั้นแสงที่สามารถปิด
กั้ น สายตาของคนภายนอก ป้ อ งกั น ไม่ ใ ห้พ วกมั นมองทะลุเ ข้า ไปภายใน
บ้าน
สิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังไม่ใหญ่โตนัก เพียงสามารถเรียกได้ว่าเป็นบ้าน
หลังเล็ก ๆ เท่านั้น นอกเหนือจากวัส ดุที่ใช้ส ร้า งซึ่ง ให้ค วามรู้สึ กประณี ต
ละเอี ย ดอ่ อ นแล้ ว รู ป ทรงของสิ่ ง ปลู ก สร้ า งก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ เ รี ย บง่ า ยและ
สันโดษ บางครั้งคราวพวกมันยังสามารถมองเห็นภาพวาดฝาผนัง ที่ เ ป็ น
เส้นสายสีเทาจาง ๆ
สถานที่แห่งนี้มีมนุษย์หมอกอยู่กันมากมายยิ่งกว่าที่บ่อน้าสายหมอก
แต่ จ่ั ว ม่ อ กั บ พวกค้ น พบอย่ า งประหลาดใจ ว่ า มนุ ษ ย์ ห มอกที่ อ ยู่ ที่ นี่ ดู
เหมือนพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าบรรดามนุษย์หมอกที่พวกมันพบพานในที
แรกมาก
จั่วม่อทันใดนั้นเหลือบเห็นแท่นบูชาที่ปลายหางตา โครงกระดูกสถิต
อยู่บนยอดของแท่นบูชานั้นเอง
แท่ น บู ช าเซ่ น สรวงห้ อ มล้ อ มด้ ว ยบรรดามนุ ษ ย์ ห มอก ที่ ก าลั ง สวด
ภาวนาด้วยศรัทธาอันแรงกล้า
จั่วม่อค้นพบอย่างตื่นตะลึง ว่าพลังเทพของโครงกระดูกแข็งแกร่งกว่า
ตอนแรกอยู่มากโข!
“น่าเสียดายที่พวกเราสูญเสียหลันเป็นเวลานานเกินไป เวลานี้ในชน
เผ่าเราไม่มีนักบวชหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เราได้แต่สวดภาวนาเซ่นสรวงบูชา
ทุ ก วั น หวั ง ว่ า หลั น จะสามารถฟื้ นคื น สภาพโดยเร็ ว ที่ สุ ด และสามารถ
ปกป้องคุ้มครองชนเผ่าเราได้อีกครั้ง!” มนุษย์หมอกวัยกลางคนกล่าวด้วย
อารมณ์อันซับซ้อน
“เวลานั้นจะมาถึงรวดเร็วยิ่ง” จั่วม่อคล้อยตามอย่างน่าประหลาด
มนุษย์หมอกวัยกลางคนงงงันวูบ จากนั้นแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน
จั่ ว ม่ อ พอกล่ า วจบค า จู่ ๆ ก็ รู้ สึ ก ถึ ง อะไรบางอย่ า ง มั น รู้ สึ ก ว่ า โครง
กระดูกบนแท่นบูชาคล้ายกาลังมองมายังมัน! ความรู้สึกนี้ทาให้มันสะดุ้ง
สุดตัว แต่เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดอีกที ความรู้สึกที่ว่าก็ห ายสาบสูญไป
เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จั่วม่อยิ้มปลอบใจตัวเอง ดูเหมือนว่ามันจะตึงเครียดมากเกินไป หลัน
ไม่มีหัวกะโหลก จึงไม่มีดวงตา ไหนเลยจะจ้องมองมาที่มันได้?
สะบั ด ศี ร ษะอย่ า งยิ้ ม แย้ ม สองสามที มั น ติ ด ตามมนุ ษ ย์ ห มอกวั ย
กลางคนไปยังสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตที่สุด
“นี่คือหอชุมนุมของชนเผ่าเรา” มนุษย์หมอกวัยกลางคนมีสีหน้ าขอ
อภัย “พวกเราแยกตัวจากโลกภายนอกนานเกินไป ไม่เคยมีอาคันตุกะมา
เยื อ น ดั ง นั้ น หลงลื ม สิ่ ง ปลู ก สร้ า งส าหรั บ ต้ อ นรั บ อาคั น ตุ ก ะไปเสี ย สนิ ท
รบกวนให้ทุกท่านต้องลาบากแล้ว โปรดอภัยในความบกพร่องของพวกเรา
ด้วย!”
จั่วม่อกับพวกรีบปลอบโยนว่ามันเกรงอกเกรงใจมากเกินไปแล้ว
ก้าวเข้าไปในหอชุมนุม พวกมันพบว่าภายในเห็นได้ชัดว่าได้รับการทา
ความสะอาดเป็นอย่างดี บนพื้นมีเพียงพรมหญ้าขาวพิสุทธิ์ปูลาด บนโต๊ะ
ที่วางอยู่มุมห้อง สุมซ้อนด้วยอาหารและผลไม้ห ลายชนิด แม้ว่าจะเรีย บ
ง่ายธรรมดา แต่ยิ่งทาให้ผู้คนรู้สึกสุขสงบและผ่อนคลายสบายอารมณ์เสีย
มากกว่า
ก้าวขึ้นไปยืนบนพรมสีขาว ทุกคนรู้สึกคลื่นความเย็นสายหนึ่งชาแรก
เข้าไปในร่าง ช่วยให้จิตใจของพวกมันกระจ่างชัดเจนขึ้น อารมณ์ตึงเครียด
ถูกชะล้างในทันใด ความเหน็ดเหนื่อยตรากตราค่อย ๆ เลือนหายไป รู้สึก
สุขสบายอย่างบอกไม่ถูก
สมบัติที่ดี!
จั่วม่อตาเป็นประกาย
บทที่ 532 เปี๋ ยหาน18

วัดเสวียนคง
ภายในวิห ารแห่งนั้น เปี๋ ยหานหมอบกราบกรานกับพื้น คนผู้นี้ไม่สูง
ใหญ่ รู ปร่างผอมบาง สองแก้มซูบตอบ รู ปโฉมธรรมดาสามัญจนไม่ อ าจ
ธรรมดาไปกว่านี้ได้
“เปี๋ ยหาน เจ้าอยู่ในวัดมานานเท่าใดแล้ว ?” สุ้มเสียงอ่อนโยนลุ่มลึก
ลอยออกมาจากหลังม่านหนา
“สิบเจ็ดปี” เปี๋ ยหานนิ่งเงียบงันไปนาน ก่อนจะตอบออกมา
“สิบเจ็ดปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็ วนั ก” เจ้าอาวาสที่ห ลังม่า นทอด
ถอนด้วยอารมณ์ความรู้สึก “เจ้าไม่เลวเลย ความรุ ดหน้าในช่วงหลายปีมา
นี้ข้าเฝ้าดูอยู่ตลอด รู้สึกเบาใจไม่น้อย”
เปี๋ ยหานยังคงเงียบงัน
“ในบรรดาศิษย์อายุเยาว์ ผู้ที่สามารถกลายเป็นแม่ทัพบัญชาการศึก
ระดับทองได้ นอกเหนือจากเสี่ยวเจ๋อแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เจ้าผู้เดียว” ฟังจาก
หลั ง ม่ า น สุ้ ม เสี ย งของเจ้ า อาวาสคล้ า ยแฝงไว้ ด้ ว ยมนต์ ข ลั ง อั น แปลก
ประหลาด อบอุ่นอ่อนโยนและลุ่มลึก ชาแรกเข้าไปในจิตใจผู้คนโดยไม่รู้ตัว
“เสี่ยวเจ๋ออยู่ในมหานครนภาโลหิตทาได้ดีมาก ข้ารู้ว่าเจ้าก็สามารถ
ทาได้ดีไม่แพ้มัน”

18
แปลว่าอย่าท้อแท้, อย่าหวาดกลัว หรือไม่ก็ เปลี่ยนพลิกความท้อแท้เหน็บหนาว
เปี๋ ยหานยังคงนิ่งเงียบ คล้ายไม่คิดจะกล่าววาจา
“แต่รังสีฆ่าฟันของเจ้ารุนแรงเกินไป เป็นเหตุให้ข้าต้องคอยห่วงกังวล
กับเจ้า” เจ้าอาวาสวัดเสวียนคงสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยกังวล “ที่
ให้เจ้าเอาแต่สวดภาวนาท่องพระสูตรทุกวัน ก็หวังว่าจะช่วยขัดเกลาความ
เกรี้ยวกราดดุ ดันของเจ้า ให้เ บาบางลงไปได้ บ้ าง ข้าภาวนามาโดยตลอด
ไม่ให้เจ้าต้องออกไปยังสนามรบ นึกไม่ถึงว่า... ...”
เจ้าอาวาสทอดถอนใจเบา ๆ
นิง่ เงียบไปอึดใจใหญ่ ค่อยกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“ไปเถอะ อาจารย์ อ าติ้ ง เจิ น ของเจ้ า เผชิ ญ วิ ก ฤติ ก ารณ์ อ ยู่ ใ น
อาณาจั ก รทะเลเมฆ จงน ากองพั น ของเจ้ า ไปช่ ว ยหนุ น เสริ ม ให้ แ ก่ มั น
เรื่องราวเพิ่มเติมให้สอบถามจากติ้งกวง เจ้าไปได้แล้ว”
ถึงที่สุดแล้วเปี๋ ยหานก็ยังคงไม่เอ่ยปาก หลังจากโขกศีรษะสามครา ก็
หมุนตัวจากไป
ประตูใหญ่ของวิหารปิดลงโดยไม่มีลม ภายในวิหารมืดมิดเป็นแผ่นผืน
สุ้ ม เสี ย งหนึ่ง พลัน กล่า วขึ้น “ท่ า นเจ้ า อาวาส เราจ าเป็ น ต้อ งให้เปี๋ ย
หานไปจริง ๆ รึ? มันเป็นตัวอันตราย!”
“เรื่องราวครั้งนี้สาคัญมาก ไม่อาจประมาทแม้แต่น้อย”
“อาณาจักรทะเลเมฆดูเหมือนเป็นอาณาจักรขนาดกลางเท่านั้น ข้าไม่
เคยได้ยินว่ามีขุมพลังที่ร้ายกาจใด... ...”
“เทียนหวนเพิ่งจะพลาดท่าเสียทีมาจากที่นั่น เซินอู๋ไฮ่แม้ไม่อาจจัด
อยู่ในระดับสุดยอดของเทียนหวน แต่ก็ยังเป็นชนชัน
้ หยวนอิงผู้หนึ่ง”
“แต่เปี๋ ยหาน... ...”
“มันเป็นมีดเล่มหนึ่ง มีดที่ดุร้ายอามหิต เราต้องระวังไม่ให้คมมีดหัน
กลับมาทาร้ายพวกเราเอง แต่บัดนี้กลียุคย่ างกรายมาถึงแล้ว ถึงเวลาที่เรา
ต้ อ งหั น มี ด เล่ ม นี้ อ อกไปห้ า หั่ น ศั ต รู ! ” เจ้ า อาวาสแจกแจงด้ ว ยสุ้ ม เสี ย ง
ราบเรียบเงียบสงบ

มนุษย์ห มอกวัยกลางคนสังเกตเห็นว่าจั่วม่อสนอกสนใจพรมหญ้าสี
ขาวเป็นพิเศษ จึงอธิบายอย่างเป็นกันเอง “นี่เรียกว่าพรมเมฆา ถักทอจาก
หญ้าไหมเมฆา หญ้าไหมเมฆาส่วนมากเติบโตงอกงามในส่วนลึกของทะเล
เมฆ คิดรวบรวมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ส่วนที่ยากเย็นที่สุดกลับเป็นขั้นตอนของ
การแปรสภาพ หญ้าไหมเมฆาต้องผ่านการแปรสภาพปรับแต่งทีละต้น ๆ
กว่าจะได้จานวนมากพอ ต้องใช้เวลาหลายเดือน”
สามอาคันตุกะรับฟังจนอ้าปากค้าง
ระหว่างทางมา จั่วม่อในที่สุดก็ทราบนามของมนุษย์หมอกวัยกลางคน
มั น เรี ย กว่ า ปิ ง เย่ า (รั ศ มี น้ า แข็ ง เจิ ด จ้ า ) เป็ น หั ว หน้ า เผ่ า ของชาวมนุ ษ ย์
หมอก ส่วนโฉมสะคราญหมอกที่มันพบพานในตอนแรกเป็นบุตรีของปิง
เย่าเอง เรียกว่าปิงเยวี่ย (จันทราน้าแข็ง)
ปิงเย่าพออรรถาธิบายครบถ้วนกระบวนความก็โบกมือวูบ พรมเมฆา
พลันหดตัวลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ ลอยลิ่วเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นยื่นพรม
เมฆาส่งให้จ่ว
ั ม่อ พลางกล่าวอย่างฉะฉานและผ่าเผย “ข้ากาลังกลัดกลุ้มที่
ไม่มีของกานัลมอบให้เสี่ยวจั่วอยู่พอดี เสี่ยวจั่วเจ้าในเมื่อชมชอบของสิ่งนี้
เช่นนั้นก็ถือว่าพรมเมฆาผืนนี้เป็นของขวัญเถอะ!”
จั่ ว ม่ อ สะดุ้ ง เฮื อ ก รี บ โบกมื อ ปฏิ เ สธเป็ น พั ล วั น “ไม่ ไ ด้ ไม่ ไ ด้ ไม่ ไ ด้ !
เพียงชนเผ่าของท่านช่ วยเหลื อพวกเราเสาะหาตั วอ่อ นเมฆวารี ผู้น้องก็
สานึกขอบคุณมากแล้ว... ...”
จั่วม่อเพิ่งจะล่วงรู้มูลค่าของพรมเมฆาจากคาอธิบายของปิงเย่ า เมื่อ
ครู่นี้เอง หากเส้นไหมเมฆาแต่ละเส้นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกาลังเพื่อแปร
สภาพมากมายปานนั้น จั่วม่อก็ไม่กล้ารับของกานัลที่ล้าค่าถึงเพียงนี้แล้ว
ผูเยาพลันร่าร้องเร่งรัดมาจากในทะเลแห่งจิตสานึก “นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก
จงรับไว้เดี๋ยวนี้!”
“ข้ารู้น่าว่าเป็นของดี” จั่วม่อตอบอย่างไม่เห็นสาคัญ
“รู้ผายลมอันใด!” ผูเยาอดสบถด่าไม่ได้ “ของสิง่ นี้สามารถใช้ผ่านภัย
พิบัติแห่งสวรรค์!”
ผ่านภัยพิบัติแห่งสวรรค์?
จั่วม่อหัวใจโลดขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ซักถามให้กระจ่าง ก็ได้ยินปิงเย่า
กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่จ่ัวอย่าได้ปฏิเสธแล้ว พรมเมฆานี้ส ามารถช่วยสงบ
จิตใจและขจัดอุปสรรคทางจิต พวกเรามนุษย์หมอกถือกาเนิดมาพร้อมกับ
จิ ต ใจเยื อ กเย็ น ตามธรรมชาติ ของสิ่ ง นี้ ไ ร้ ป ระโยชน์ ส าหรั บ พวกเรา ซึ่ ง
ความจริงการแปรสภาพหญ้าไหมเมฆาเป็นวิธีการที่เด็กน้อยของพวกเรา
ใช้ฝึกปรือพลังหมอกน้าแข็งเท่านั้น เราเพียงรู้สึกว่าจะโยนทิ้งก็น่าเสียดาย
เกินไป จึงนามาถักทอเป็นพรม ไม่ต้องกล่าวถึงว่า พี่จ่ว
ั ยังช่วยนาหลันกลับ
คืนสู่พวกเรา ทั้งอาเยวี่ยยังหุนหันพลันแล่นลงมือทาร้ายพวกเจ้าเมื่อสักครู่
ว่ากันตามจริงแล้ว... ...”
วาจาของปิงเย่าทาให้ปิงเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังมีท่าทีเขินอายอีกรอบ
“พรมเมฆาถือว่าเป็น น้าใจของพวกเรา ไม่ว่า จะอย่างไร พี่จ่ัวต้องรับ
เอาไว้!” ปิงเย่าสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
เห็นเช่นนี้ จั่วม่อตระหนักว่ามันไม่ส ามารถปฏิเสธน้าใจของฝ่า ยตรง
ข้าม ได้แต่ยอมรับมาโดยดี เสี่ยวม่อเกอแม้ละโมบไร้ยางอายเป็นธรรมชาติ
แต่นั่นเฉพาะกับคนนอกเท่านั้น หากผู้อ่ น
ื คิดว่ามันเป็นสหายที่แท้จริง มันก็
ไม่สามารถไร้ยางอายได้ลงคอ
มันยังไม่ใจดาอามหิตพอ... ...
จั่วม่อสะทกสะท้อนพลางเยาะหยันตัวเอง พร้อมกันนั้นก็ล้วงหน้ากาก
ทองแดงประหลาดออกมาจากแหวน ยื่นส่งให้ปิงเย่า “ข้าพบหน้ากากใบนี้
อยู่ ข้ า ง ๆ หลั น ไม่ ท ราบว่ า ใช่ เ ป็ น สิ่ ง ของจากชนเผ่ า ของพี่ ใ หญ่ ปิ ง ด้ ว ย
หรือไม่”
ปิงเย่ารับหน้ากากทองแดงมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ อึ ดใจ
ใหญ่ จากนั้นสั่นศีรษะพลางกล่าว “แบบฉบับเช่นนี้ไม่คล้ายสิ่งของของชน
เผ่าข้า หากจะให้แน่ใจต้องลองถามหลันดู หากเป็นสิ่งของของชนเผ่ าข้า
แน่นอนว่าข้าต้องหน้าด้านรับเอาไว้ แต่ต่อให้มิใช่ หลันก็ต้องล่วงรู้ที่มาของ
เจ้าหน้ากากใบนี้แน่ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะนามาคืนให้พี่จ่ว
ั ”
จั่วม่อยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม สิ่งนี้ก็ยกให้เป็นของ
ตอบแทนแก่พี่ใหญ่ปิงแล้ว”
ปิงเย่าแย้มยิ้มเล็กน้อย เก็บหน้ากากไปโดยไม่เกี่ยงงอน
หลั ง จากนั้ น ปิ ง เย่ า ก็ เ ริ่ ม สอบถามถึ ง เรื่ อ งราวภายนอก พวกมั น แม้
ล่วงรู้บ้าง แต่ก็ล่วงรู้เพียงเรื่องกว้าง ๆ ทั่วไปเท่าที่ล อบรับฟังจากซิวเจ่ อ
ผ่านทางเท่านั้น จั่วม่อจึงบอกเล่าถึงสงครามระหว่างซิวเจ่อกับอสูรปิ ศาจ
ต่อเนื่องถึงเรื่องมหาพิบัติฟ้าสลายที่เพิ่งเกิดขึ้น รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามัน
เข้ายึดครองอาณาจักรทะเลเมฆไว้เรียบร้อยแล้ว
ปิงเย่ารับฟังจนปากอ้าตาค้าง หุบปากไม่ลงอยู่ครึ่งค่อนวัน มันร้อยไม่
คิดพันไม่คิดว่าโลกภายนอกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ าดิน
ถึงเพียงนี้!
แต่พอล่วงรู้ว่าจั่วม่อแท้จริงแล้วเป็นราชันแห่งอาณาจักรทะเลเมฆ ก็
มี สี ห น้ า ปิ ติ ยิ น ดี ทั น ที เมื่ อ เป็ น เช่ น นี้ ส าหรั บ พวกมั น เหล่ า มนุ ษ ย์ ห มอก
นับเป็นเรื่องที่ดีกว่าเดิมมาก
ปิงเย่าปรบมือพลางกล่าว “ต่อไปหากพี่จ่ัวต้องการกาลังของพวกเรา
มนุษย์หมอก โปรดอย่าได้เกรงใจ!”
จั่วม่อก็ชมชอบนิสัยใจคออันกว้างขวางและโอ่อ่าผ่าเผยของหัวหน้า
เผ่ามนุษย์หมอกผู้นี้ จึงกล่าวปนหัวร่อ “ข้าได้แต่หวังว่าพี่ใหญ่ปิงจะไม่ต้อง
พบว่าข้ากาลังลาบากในอนาคต”
ปิงเย่าหัวร่อฮาฮาอย่างถูกอกถูกใจ “เช่นนั้นข้าว่าหลันคงไม่ย กโทษ
ให้แก่ข้าแน่”
ทั้งสองฝ่ายสนทนาอย่างสนิทสนมกลมเกลียวอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนที่ปิง
เย่าจะอาลาไปก่อน เปิดโอกาสให้จ่ว
ั ม่อกับพวกได้พักผ่อน
“ศิษย์น้อง เจ้ากาลังฝึกปรือพลังเทพใช่หรือไม่ ?” เหวยเสิ้งถามอย่าง
กะทันหัน
จั่ ว ม่ อ ทราบว่ า ไม่ อ าจปิ ด บั ง อี ก ต่ อ ไป จึ ง พยั ก หน้ า พลางกล่า ว “อา
พลังเทพของข้าเรียกว่าพลังเทพสุริยั น เป็นมรดกตกทอดจากชนเผ่า เทพ
สุริยันในยุคบรรพกาล”
“ที่แท้เรื่องของวิห ารเทพสุ ริยั นก็ เ ป็นฝีมื อ เจ้า !” เหวยเสิ้งกับ จงหยู
ไม่ใช่ตัวโง่งม พอฟังก็เชื่อมโยงได้ทันที พอนึกถึงสภาพกลุ่มซิวเจ่อที่เปลือย
เปล่าล่อนจ้อนในครั้งนั้น แล้วมองหน้าจั่วม่อ อดหัวร่องอหายออกมาไม่ได้
หลังจากนั้นเหวยเสิ้งกล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “มาเถอะ ให้ข้าลอง
ชมพลังเทพของเจ้าดู ข้าไม่เคยเห็นพลังเทพมาก่อนเลย”
จงหยูก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าอยากรู้อยากเห็นไม่น้อยไปกว่า
เหวยเสิง้
ทันใดนั้นจั่วม่อเคลื่อนไหวในท่วงท่าแปลกพิส ดาร สองมือสลับไขว้
บิดเข้าหากัน ร่างเอนไปทางขวาเล็กน้อย เท้าขวามีเพียงปลายเท้าที่ แตะ
พื้น ฉับพลันนั้นพลังสุดหยางสุดแกร่งกร้าวก็แผ่ทะลักออกมาในทุกทิศทาง
โดยมีร่างของจั่วม่อเป็นจุดศูนย์กลางของพลังอันเกรียงไกร
เหวยเสิ้งม่านตาหดแคบลงอย่างฉับพลัน ไอพลังงานสีดาลอยออกมา
จากกระบี่ดาในมือ กระบี่กรีดวาด แล้วฟาดฟันใส่อากาศธาตุติดต่อกันเป็น
จักรผัน เพียะเพียะเพียะ บังเกิดเสียงระเบิดดังรัวเร็วจากปลายกระบี่
จงหยูสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบหมุนกงล้อภาวนากากบาทในมือ อักขระ
พระสูตรซึ่งห่อหุ้มด้วยพลังอธิษฐานลอยออกมาขวางกั้นอยู่เบื้องหน้ามัน
ปัง ปัง ปัง!
อักขระพระสูตรสามตัวแตกระเบิดติดต่อตามกัน กว่าจะหยุดยั้งคลื่น
พลังเทพระลอกนี้ได้
เหวยเสิ้งรั้งกระบี่กลับ สีห น้าขบคิดใคร่ครวญ ชั่วอึดใจหลังจากนั้ น
ค่อยกล่าวว่า “พลังอันแปลกพิสดารนัก! ดังที่ คาดเอาไว้ ผิดแผกแตกต่าง
จากพลังอื่นใดจริง ๆ”
จงหยูก็ได้ลิ้มรสไปพร้อมกัน กล่าวคล้อยตามว่า “เวทวิชาทั่วไปยาก
จะหยุดยั้งพลังประหลาดนี้ได้”
จั่ ว ม่ อ ขบคิ ด เรี ย บเรี ย งค าพู ด จากนั้ น ให้ ข้ อ สรุ ป ว่ า “พลั ง เทพอาจ
กล่าวได้ว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการผสานรวมพลังทั้งสามเข้าด้วยกัน”
“พลังทั้งสาม?” เหวยเสิ้งสีหน้าแปรเปลี่ยน
“อา พลังปราณ พลังจิตสานึก พลังสังขาร” จั่วม่อกล่าวอย่างฉะฉาน
ชัดเจน ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเป็นยอดอัจฉริยะผู้หนึ่ง ส่วนจงหยูแม้ชมชอบถ่อม
ตน แต่เมื่อสามารถบรรลุพลังอธิษฐาน ความสามารถของมันก็ห าได้ ร วบ
รัดธรรมดาไม่ รายละเอียดประดานี้ส มควรเป็นประโยชน์ต่อพวกมั น ทั้ ง
สองอย่างใหญ่หลวง จั่วม่อทุ่มเทแรงกายแรงใจ อธิบายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่
มันล่วงรู้และความเข้าใจทั้งมวลที่ได้จากการฝึกปรือพลังเทพ รวมถึงสอน
วิธีการฝึกปรือพลังเทพขั้นพื้นฐานให้แก่พวกมันด้วย
ส่วนเรื่องที่ว่าพวกมันจะบรรลุ ความเข้าใจถึงระดับใด นั่นก็ขึ้นอยู่กับ
โชควาสนาของแต่ละคนแล้ว
เหวยเสิ้งกับจงหยูพอรับฟังจนหมดสิ้น พากันจมอยู่ในห้วงความคิด
อันลึกล้า
มันทั้งสองล้วนสัมผัสถึงชายขอบของพลังเทพแล้ว พลังเทพสาหรับ
พวกมัน เท่ากับเปิดหน้าต่างสู่โลกใบใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
มีเคล็ดความที่พวกมันต้องแยกแยะย่อยสลายมากเกินไป ทั้งคู่นั่งนิ่ง
เหมือนหุ่นไม้ พากันเข้าสู่ห้วงฌานสมาธิในบัดดล
เห็นเช่นนี้ จั่วม่อก็ไม่รบกวนพวกมัน นาอากุ่ยกับเหล่าเจ้าตัวเล็กหาที่
นั่งอีกด้านหนึ่ง
จั่วม่อกุมมืออากุ่ย รีบตรวจร่างกายให้นาง เนื่องจากยามนี้มันทราบ
แล้วว่าพลังสีม่วงคือพลังเทพ การตรวจสอบของจั่วม่อครั้ งนี้จึงละเอี ย ด
และเฉพาะเจาะจงมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าความเข้าใจในพลังเทพของมั น
ยังคงตื้นเขินยิง่ แต่มันยังคงค้นพบเรื่องราวบางประการ
สิ่งแรกที่มันแน่ใจก็คือ พลังสีม่วงในร่างอากุ่ยเป็นพลังเทพชนิ ดหนึ่ง
ไม่ผิดแน่
แต่เป็นพลังเทพที่แปลกประหลาดยิ่ง!
จั่วม่อคิดไว้แต่แรกแล้วว่าเจ้าสิ่งนี้หากเป็นพลังเทพ ก็แน่นอนว่าไม่ใช่
พลั ง เทพปกติ ธ รรมดา แต่ ถึ ง กระนั้ น พลั ง เทพในร่ า งอากุ่ ย ยั ง ท าให้ มั น
แตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ!
มืดมน เย็นเยียบ พิกลพิการและสามารถกลืนกินพลังทุกประเภท ไม่
เว้นแม้แต่พลังชีวิต!
ชั่วพริบตาที่พลังเทพสุริยันกระทบถูกพลังเทพของอากุ่ย จั่วม่อพลัน
รู้สึกว่ามันคล้ายถูกดึงดูดเข้าไปในความว่างเปล่าแห่งมรณะอันเงียบงัน ไม่
มีสุ้มเสียง ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย!
มันคือความว่างเปล่าที่ถือกาเนิดขึ้นจากความสิ้นหวังอันมืดมน!
ในชั่ ว พริ บ ตานั้ น ความคิ ด จิ ต ใจของจั่ว ม่อ ประดุ จ เปลวเทีย นกลาง
สายลม สั่นไหวอย่างรุนแรง จวนเจียนจะดับมอดอยู่รอมร่อ!
เคราะห์ดีที่พลังเทพของมันแข็งแกร่งกว่าพลังเทพของอากุ่ยในยามนี้
มาก พลังเทพสุริยันยังกอรปด้ วยคุณลักษณะสุดหยางสุดแกร่งกร้าวตาม
ธรรมชาติ ความแตกต่างนี้ช่วยรักษาชีวิตจั่วม่อเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดจวน
เจียน
จั่วม่อค่อย ๆ รั้งพลังเทพออกจากร่างอากุ่ยอย่า งระมัด ระวั ง มองดู
ใบหน้าแข็งทื่อและอัปลักษณ์ของอากุ่ย ไม่ทราบเพราะเหตุใด จั่วม่อรู้สึก
เศร้าสลดอย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย
ในดวงตาของมันเต็มไปด้วยความกังวลเร้นลึก
ขณะที่ความเข้าใจในเรื่องพลังเทพของมันยิ่งลึกล้าขึ้นทุกวัน จั่วม่อก็
ยิ่ ง รู้ สึ ก ชั ด ในผลกระทบที่ พ ลั ง เทพมี ต่ อ ผู้ ค น นี่ ไ ม่ ใ ช่ แ ค่ เ พี ย งพลั ง เทพ
เท่านั้น พลังทั้งสามแต่เดิมก็มีผลกระทบเช่นนี้ด้วย เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่า
พลังเทพ ยกตัวอย่างเช่นซิวเจ่อที่ฝึกปรือเวทวิชาธาตุไฟมักจะอารมณ์ร้อน
ดุเดือดวู่วาม ส่วนผู้ที่ฝึกปรือเวทวิชาสายน้าแข็ง ก็มักจะกระด้างเย็นชา ไร้
อารมณ์ความรู้สึก
เช่นนั้นพลังเทพที่ท้ังมืดมนและพิกลพิการเช่นนี้ ทั้งยังการปิดผนึก
ประสาทสัมผัสทั้งหกอันน่าสะพรึงกลัว อากุ่ยเจ้า... ...
นึกถึงท่วงท่าสภาวะของอากุ่ยยามที่ใช้พลังเทพก่อนที่นางจะได้รับ
บาดเจ็บ ความห่วงกังวลของจั่วม่อก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
จั่วม่อตรวจพบแต่แรกแล้วว่าร่างกายของอากุ่ยอยู่ในสภาพเลวร้าย
ยิ่ ง หากมิ ใ ช่ เ พราะพลั ง ประหลาดในร่ า งคงไม่ มี วั น รอดชี วิ ต มาได้ จ นถึ ง
ตอนนี้ แต่วันนี้ในที่สุด มันก็เข้าใจคุณสมบัติอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงของ
พลังเทพอันพิสดารนี้แล้ว!
ภาพที่อากุ่ยเอาร่างเข้าขวางกั้นอยู่เบื้องหน้ามันพลันปรากฏขึ้นในใจ
ความว่างเปล่าแห่งมรณะอันมืดมน เพียงเผชิญหน้าชั่ววูบเดียวยังทา
ให้มันถึงกับสั่นสะท้าน แต่พลังเทพอันชั่วร้ายนี้สถิตอยู่ในร่างอากุ่ยมาโดย
ตลอด... ...
จั่ ว ม่ อ ในใจเหมื อ นมี บ างอย่ า งกดทั บ อย่ า งหนั ก หน่ ว ง รู้ สึ ก อึ ด อั ด
ขัดข้องจนยากจะบ่งบอกบรรยายออกมา!
ตัวอ่อนเมฆวารี!
มีเพียงตัวอ่อนเมฆวารีเท่านั้นที่อาจจะเยียวยารักษานางได้ จากนั้น
มันจะหาหนทางรักษาบาดแผลในร่างกายอากุ่ย และขจัดพลังเทพชั่วร้าย
อันน่ากลัวนี้ออกไปจากร่างของอากุ่ยให้หมดสิ้น!
นี่เป็นครั้งแรกที่จ่ว
ั ม่อรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้ายิ่ง
แต่ละวันเหมือนผ่านไปนานเป็นปี!
บทที่ 533 กองพันบาปเคราะห์

เปี๋ ยหานเหลียวกลับไปมองมหาวิหารที่ลอยอยู่บนท้ องฟ้า ยอดเจดีย์


แหลมสูงอาจมองเห็นได้เลือนรางในชั้นเมฆ
ด้านหลังมันเป็นกองทัพอันแปลกประหลาด ยืนนิ่งเงียบงันราวกับไร้
ชีวิต
กองทั พ นี้ แ ปลกประหลาดยิ่ ง บ้ า งมี ศี ร ษะเป็ น วั ว บ้ า งมี ร่ า งกายดุ จ
อาชา บ้างมีนอแรดงอกเงยออกมาจากกลางหน้าผาก ไม่ว่าซิวเจ่อใดที่พบ
เห็ น กองพั น ประหลาดนี้ ล้ ว นมี สี ห น้ า น่ า ดู ช ม เผ่ า ปิ ศ าจ! ไพร่ พ ลของ
กองทัพนี้ล้วนเป็นเผ่าปิศาจทั้งสิ้น!
พวกมันนิง่ เงียบงันประดุจรูปปั้ น ดวงตาหม่นมัวไร้ประกาย เป็นสีขาว
เทาแห่งความตาย ลวดลายอักขระยันต์สีทองปกคลุมพัวพันอยู่ท่ัวร่างของ
พวกมันราวกับรอยสักอันวิจิตรบรรจง
กองทั พ นี้ เ ป็ น หนึ่ ง ในกองพั น ที่ มี ช่ ื อเลื่ องลื อ ที่ สุ ด ของวั ด เสวี ย นคง
ขนานนามด้วยนามอันแปลกพิกล...กองพันบาปเคราะห์!
เปี๋ ยหานรั้งสายตากลับจากบรรดาไพร่พลที่ราวกับรู ปปั้ น ออกนาไป
เบื้องหน้า ทั้งกองทัพเคลื่อนตามมาดุจสายน้าไหล
“อาณาจักรทะเลเมฆ... ...” เปี๋ ยหานกล่าวราวกระซิบกับตัวเอง รอบ
ข้างมีแต่ความเงียบสงัดดุจป่าช้า
ในกองพันบาปเคราะห์ มีเพียงเปี๋ ยหานผู้เป็นแม่ทัพ หาได้มีผู้ช่วยแม่
ทัพอื่นใดอีกไม่

จั่ ว ม่ อ พยายามสะกดข่มความร้ อ นรนกระวนกระวายในใจ รั ก ษาสี


หน้าสงบเยือกเย็นเอาไว้ ใช้เวลาว่างสนทนาเรื่ องสัพ เพเหระกั บหั ว หน้ า
เผ่าปิงเย่า เหล่ามนุษย์หมอกหนุ่มสาวภายในชนเผ่าชมชอบล้อมวงเข้ามา
รับฟังเรื่องราวจากการสนทนาของคนทั้งสอง หลังจากเก็บตัวโดดเดี่ ย ว
จากโลกภายนอกมายาวนาน พวกมันเต็มไปด้วยความกระหายใคร่ รู้ ต่ อ
โลกภายนอก
เหวยเสิ้งกับจงหยูออกจากห้วงฌานสมาธิ ท่วงท่าสภาวะของพวกมัน
เริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จั่วม่อปิติยินดียิ่ง ดูเหมือนว่า
วาจาเกี่ยวกับพลังเทพของมันมีส่วนช่วยเหลือต่อคนทั้งสองอยู่บ้าง แม้จะ
ไม่ล่วงรู้ว่าพวกมันประสบความสาเร็จมากน้อยเท่าใดก็ตาม
เหวยเสิ้งกับจงหยูเห็นจั่วม่อห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมาย ดังนั้นพวก
มันเสาะหามุมเงียบสงบ นั่งลงขบคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับพลังเทพสืบต่อ
เคราะห์ดีที่จ่ว
ั ม่อร่อนเร่พเนจรผ่านสถานที่มากหลาย มีประสบการณ์
ไม่น้อย มิเช่นนั้นมันคงหมดเรื่องจะเล่าไปเสียนานแล้ว
จั่วม่อไม่ว่ากล่าวเรื่องอันใด เหล่ามนุษย์หมอกหนุ่มสาวก็รับฟังอย่าง
สนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั น ใดนั้ น เอง ร่ า งหนึ่ ง โซซั ด โซเซเข้ า มา บนหลั ง มั น แบกร่ า งมนุษย์
หมอกที่สิ้นสติผู้หนึ่ง จั่วม่อม่านตาหดแคบลง มนุษย์หมอกที่หมดสติผู้นั้น
ก็คือคนที่วันนั้นได้รับคาสั่งเป็นการเฉพาะให้ไปเก็บเกี่ยวตัวอ่อนเมฆวารี
นั่นเอง!
ปิ ง เย่ า สี ห น้ า เคร่ ง เครี ย ดเย็ น ชาลงทั น ควั น ร่ า งหายวั บ ไปในบั ด ดล
แล้วปรากฏขึ้นตรงหน้ามนุษย์หมอกที่รับบาดเจ็บ ฝ่ามือวาบประกายสีฟ้า
ลงมือตรวจร่างกายของมนุษย์หมอกผู้นั้นอย่างระมัดระวัง
จากนั้นหันไปสอบถามมนุษย์หมอกผู้แบกร่างสหายที่ได้รับบาดเจ็บ
สุ้มเสียงเคร่งขรึมตึงเครียด มันซักถามอย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง แต่เนื่องจาก
ใช้ภาษามนุษย์หมอกที่ผิดแผกแตกต่างออกไป จั่วม่อรับฟังไม่เข้าใจแม้แต่
น้อย
หลังจากซักถามเสร็จสิ้น ปิงเย่าค่อยเงยหน้าขึ้น อธิบายต่อจั่วม่อ “มี
คนนอกลงมือต่อสู้และทาร้ายมันบาดเจ็บ คนเหล่านั้นกาลังเดินทางไปยัง
แดนต้องห้าม”
จั่วม่อพลันฉุกคิดถึงเหล่าหลวงจีนวัดเสวียนคง ต้องสะท้านใจวูบ รีบ
ถามว่ า “พี่ ใ หญ่ ปิ ง สามารถอนุ ญ าตให้ ส หายของข้ า ตรวจร่ า ง กาย
ผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ปิงเย่าพยักหน้าพลางหลบไปทางหนึ่ง จั่วม่อส่งสัญญาณให้จงหยูเข้า
มา จงหยูเดินเข้ามาทาบฝ่ามือลงบนร่างมนุษย์ห มอกที่ได้รับบาดเจ็บ ชั่ว
อึดใจให้หลัง ค่อยผงกศีรษะต่อจั่วม่อคราหนึ่ง
“พี่จ่ว
ั ใช่พบเบาะแสใดหรือไม่?” ปิงเย่าเห็นเช่นนี้ รีบถามอย่างอดรน
ทนไม่ได้
จั่วม่อเมื่อเห็นจงหยูพยักหน้ายืนยันก็แน่ใจทันที อธิบายว่า “ระหว่าง
ทางมาที่นี่ พวกเราพบพานเหล่าหลวงจีนจากวัดเสวียนคง ดูจากร่องรอย
พลั ง งานที่ ท าร้ า ยพี่ ช ายท่ า นนี้ มั น สมควรบาดเจ็ บ ภายใต้ เ งื้ อมมื อ ของ
เซียนวรยุทธ์ ข้าจึงคาดเดาว่าอาจจะเป็นฝีมือของหลวงจีนวัดเสวียนคงสี่
รูปนั่น”
“วัดเสวียนคง!” ปิงเย่าสีห น้าเย็นเยียบ หลายวันมานี้มันรับฟังเรื่อง
สภาพการณ์ข องโลกภายนอกมาจากจั่วม่อ ย่อมล่วงรู้โดยคร่าว ๆ ว่าวั ด
เสวียนคงคืออะไร
ปิงเย่าไม่รีรอลังเล กล่าวอย่างเฉียบขาด “ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้เผ่า
ของเราต้องต่อสู้จนไม่หลงเหลือแม้แต่คนเดียว ก็จะไม่มีวันยิน ยอมให้ผู้ใด
ล่วงล้าแดนต้องห้ามเป็นอันขาด!”
กล่าวจบคา มนุษย์หมอกหลายคนทะยานร่างออกจากหอชุมนุม ส่ง
เสียงกู่คารามประหลาด ดังกังวานไปทั่วทิศ
ได้ยินเสียงกู่คารามนี้ นักรบมนุษย์ห มอกมากมายไหลบ่ามาจากทุก
ทิศทางดั่งคลื่นน้าถาโถม มารวมตัวกันที่หอชุมนุมในบัดดล
ปิงเย่ าพอแจ้งเรื่องราวแก่พวกมัน มนุษย์ห มอกทั้งหมดล้วนมีสีหน้า
อามหิตปรากฏขึ้น
“พี่จ่ัว ต้องรบกวนพวกท่านรอคอยอยู่ที่นี่ก่อน... ...” ปิงเย่าลดเสียง
ลง หันมากล่าวกับจั่วม่ออย่างขอภัย
“ไฮ้ พี่ใหญ่ปิงกล่าวอันใด!” จั่วม่อโต้แย้งด้วยสีห น้าเคร่งเครียด “ผู้
น้องเฝ้ารอโอกาสนี้มานานแล้ว! พี่ใหญ่ปิงท่านยังไม่ทราบ แต่ระหว่างที่
พวกเราเดินทางผ่านทะเลเมฆ เหล่าโจรหัวโล้นพยายามลอบทาร้ายพวก
เรา ข้ า ครุ่ น คิ ด หาทางแก้ แ ค้ น มานานแล้ ว นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า โอกาสอั น ดี ง าม
กลับมาหาเองถึงที่! พี่ใหญ่ปิงท่านจะไม่นับรวมพวกข้าด้วยได้อย่างไรกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายท่านนี้ต้องรับบาดเจ็บจากการไปตามหาตัวอ่อนเมฆ
วารีให้แก่พวกข้า ท่านยังจะให้เรายืนดูอยู่ข้างหลังเท่านั้น นับเป็นเหตุผ ล
กลใดกัน!”
ปิงเย่าดวงตาทอประกายนิยมชมชื่น ตบไหล่จ่ว
ั ม่อหนัก ๆ “ประเสริฐ!
ข้าขอนับเจ้าเป็นพี่น้อง! ไป! พวกเราพี่น้องไปด้วยกัน! เฮอะ! วัด เสวียนคง
แล้วจะเป็นไร!”

“อาจารย์อา คนเมื่อครู่แปลกประหลาดยิ่ง ” หมิงจิ้งกล่าวอย่ า งตื่ น


ตะลึงไม่คลาย ร่างสีฟ้าที่ลี้ลับเหมือนเงาภูตพราย หากมิใช่ว่าอาจารย์อาจู่
โจมทาร้ายฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัส ยามนี้พวกมันคงไม่ได้ปลอดภัย ไร้
บาดแผลเช่นนี้แน่
ติ้งเจินซึ่งปกติมีสีหน้าเมตตาการุณย์ บัดนี้กลับกลายเป็นยะเยียบเย็น
ชา แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “มันคือมนุษย์หมอก!”
ศิษย์ท้ังสามถูกเค้าความดุดันอามหิตบนใบหน้าของติ้งเจินขู่ขวัญจน
หวาดผวา อึดใจใหญ่หลังจากนั้น ค่อยมีคนถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์
อา มนุษย์หมอกเป็นตัวอะไร?”
“เศษเดนความชั่วช้าจากสายเลือดโบราณ!” ติ้งเจินคาราม จากนั้น
สังเกตเห็นสีหน้าหวาดกลัวของศิษย์ท้ังสาม สุ้มเสียงค่อยอ่อนลงเล็กน้อย
“พวกเจ้าต้องจดจาให้มั่น ต่อไปในภายภาคหน้าหากเจ้าพบพานผู้คนของ
สายเลือดโบราณ ต้องรีบแจ้งสานักโดยเร็วที่สุด!”
สามหลวงจีนหนุ่มตะลึงลานกับความเคร่งเครียดในน้าเสียงของติ้ ง
เจิน พากันพยักหน้ารับอย่างเชื่องเชื่อ
ติ้ ง เจิ น พลั น ชะงั ก วาจา มั น ฟาดฝ่ า มื อ ถู ก มนุ ษ ย์ ห มอกผู้ นั้ น อย่ า ง
ถนั ด ถนี่ แต่ ห ลั ง จากนั้ น กลั บ ไม่ พ บซากศพ แน่ น อนว่ า ต้ อ งมี ส หาย
ช่วยเหลือคนผู้นั้นหลบหนีไป!
เช่นนั้นก็มิใช่ว่ามีเพียงคนเดียว แต่สมควรเป็นชนเผ่ามนุษย์หมอกใช่
หรือไม่?
ติ้งเจินคึกคักขึ้นอักโข หากเป็นไปตามนี้จริง การเดินทางของมันครั้ง
นี้ก็คู่ควรแล้ว! ต่อให้ห าวัต ถุนั้นไม่พบ ล าพังการค้นพบการคงอยู่ข องชน
เผ่ามนุษย์หมอก ก็เพียงพอให้สานักตบรางวัลให้แก่มันอย่างจุใจ
มั น หลั บ ตาผนึ ก มุ ท รา ใช้ เ วทวิ ช าออกมาทั น ที พลั ง ปราณปะทุ ขึ้ น
เล็กน้อย วงกลมแสงสีทองวาบประกายอยู่บนปลายดรรชนี แต่ไม่มีสิ่งใด
เกิดขึ้น ติ้งเจินลืมตามอง ลอบทอดถอนอย่างจนปัญญา หมอกน้าแข็งลี้ลับ
พิสดารอยู่บ้าง มันไม่สามารถส่งข่าวสารใด ๆ ออกไปภายนอกเสียด้วยซ้า
อย่าว่าแต่จะส่งไปยังสานัก!
ติ้งเจินยิ่งระแวดระวังกว่าเดิม ผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าโบราณที่สามารถ
อยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ โดยมากมักมีเคล็ดลับอยู่ท่าสองท่า
วัดเสวียนคงเต็มไปด้วยยอดฝีมือมากหน้าหลายตา แบ่งแยกหน้า ที่
รับผิดชอบเป็นอย่างดี เรื่องเฉพาะเจาะจงเช่นนี้มักเป็นหน้าที่ของยอดฝีมือ
ที่ช่าชองชานาญเป็นพิเศษ ติ้งเจินไม่เคยเข้าร่วมภารกิจ ทานองนี้ม าก่อน
กล่าวตามความสัตย์ หากมิใช่ว่าพวกมันอยู่ใกล้กับอาณาจักรทะเลเมฆมาก
ที่สุด ภารกิจคราวนี้ย่อมไม่มีวันตกถึงมือพวกมันได้
ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งสาคัญที่สุดคือทาภารกิจให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์
“ไปกันเถอะ ระมัดระวังให้มาก” ติ้งเจินกล่าวหนัก ๆ “เรื่องราวครั้งนี้
ไม่ธรรมดาสามัญ หากเห็นผิดท่า ให้รีบหลบหนีทันที ไม่ต้องห่วงผู้ใดและ
อย่าได้ลังเลเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่?”
ในส านัก ติ้งเจินหาใช่คนที่มีอานาจหรือศักดิ์ฐานะไม่ มิเช่นนั้นไหน
เลยจะถูกส่งมาทางานระดั บต่าอย่างเช่นพาลูกศิษย์ออกหาประสบการณ์
ได้ นี่มิใช่ว่าพลังฝีมือของมันไม่สูงเยี่ยมพอ เพียงแต่ผู้มีอานาจตัดสินใจใน
สานักไม่ชอบหน้ามันเท่านั้นเอง ดังนั้นมันไม่ต้องการให้บรรดาศิษย์ในการ
ดูแลของมันต้องเกิดเรื่องขึ้น ซึ่งจะนามาซึ่งปัญหายุ่งยากในภายหลัง
กฎระเบียบของส านักเข้มงวดกวดขัน การหลบหนีโดยไม่มีคาสั่งจะ
ถู ก ลงทั ณ ฑ์ อ ย่ า งหนั ก หน่ ว งยิ่ ง ติ้ ง เจิ น ต้ อ งก าชั บ ก าชาเอาไว้ ล่ ว งหน้ า
เสียก่อน
“ทราบแล้ว อาจารย์อา!” สามหลวงจีนหนุ่มรีบรับคา

เปี๋ ยหานเรียกดูรายละเอียดจากม้วนหยกอย่างระมัดระวัง เพียงแต่นี่


เป็นรอบที่สิบห้าแล้ว
ข่ า วสารรายละเอี ย ดทั้ ง หมดเป็ น ส านั ก รวบรวมมาให้ ทว่ า มองดู
รายละเอี ย ดที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ เกาะเต่ า เหล่ า นี้ เปี๋ ยหานสามารถเห็ น ได้ ว่ า
ส านั ก ไม่ ไ ด้ ใ ห้ ค วามสนใจกั บ เกาะเต่ า แต่ แ รก สมควรเพิ่ ง เริ่ ม รวบรวม
ข่าวสารเหล่านี้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง มิเช่นนั้นข้อมูลข่าวสารจะต้องไม่หยาบ
ลวกอย่างที่เห็น
เปี๋ ยหานล่วงรู้ถึงพลังอานาจของสานักในด้านเครือข่ายข่าวสารเป็น
อย่างดี หากมีเวลาให้พวกมันมากพอ พวกมันสามารถสืบหาข่าวแทบทุก
ประเภทเท่าที่ผู้คนจะคิดออกมาได้
รายงานเกี่ ย วกั บ อาณาจั ก รทะเลเมฆไม่ มี สิ่ ง ใดพิ เ ศษ นี่ เ ป็ น เพี ย ง
อาณาจักรขนาดกลางอันห่ างไกลสุดกู่ ที่ผ่านมาไม่เคยมีขุมกาลังยิ่งใหญ่
อันใด
ประเด็นสาคัญในรายงานข่าวกรอง คือขุมกาลังที่เรียกว่า ‘เกาะเต่า’
ขุมกาลังนี้เข้มแข็งยิ่ง และสามารถเอาชัยเหนือกองทัพปิศาจได้!
เมื่อเห็นคา ‘กองทัพปิศาจ’ ม่านตาของเปี๋ ยหานก็หดแคบลงอย่างไม่
อาจควบคุม แม้ว่านี่จะเป็นรอบที่สิบห้าแล้วก็ตาม
กองทั พ ปิ ศ าจขบวนนี้ มี ข นาดเท่ า ใดไม่ เ ป็ น ที่ ท ราบแน่ ชั ด แต่ ใ น
บรรดาขุ ม ก าลั ง ท้ อ งถิ่ น ไม่ มี ผู้ ใ ดหยุ ด ยั้ ง พวกมั น ได้ เป็ น เหตุ ใ ห้ ผู้ ค นทั้ ง
อาณาจักรพากันอพยพหลบหนีเภทภัย รอจนเกาะเต่าก้าวออกมายืนอยู่
เบื้องหน้าและกล่าวว่าพวกมันจะต่อสู้กับกองทั พปิศาจ สถานการณ์จึงดี
ขึ้น
อาณาจักรทะเลเมฆเป็นอาณาจักรห่างไกล ไม่มีสินค้าโดดเด่น อัน ใด
ดังนั้นที่ผ่านมาไม่เคยเป็นที่สนใจมากนัก อานาจอิทธิพลของสี่มหาอานาจ
ไม่เคยแผ้ว พานเข้ ามาถึ งสถานที่นี้ และอีกหนึ่งเหตุผ ลที่ส าคัญ ที่สุ ด คือ
อาณาจักรทะเลเมฆไม่เ คยมีร าชันที่ แ ท้จ ริ งของอาณาจัก ร จนกระทั่ง ถึ ง
ตอนนี้ กุญแจอาณาจักรของอาณาจักรทะเลเมฆยังไม่เคยถูกพบมาก่อน
จุดนี้ดึงดูดความสนใจของเปี๋ ยหานเป็นอย่างยิง่
กุ ญ แจอาณาจั ก รมี ค วามส าคั ญ อย่ า งยิ่ ง ยวดต่ อ ทุ ก อาณาจั ก ร และ
สาหรับทุกคน กุญแจอาณาจักรหมายถึงความมั่งคั่งที่สุดจะหาใดเทียบ! ผู้
ที่ครอบครองกุญแจอาณาจักรจะได้รับความสามารถในการมองดูเส้นชีพ
จรปราณปฐพี แ ละสายแร่ ข องทั้ ง อาณาจั ก ร ไม่ ต้ อ งกล่ า วถึ ง ว่ า กุ ญ แจ
อาณาจักรยังสามารถควบคุมบังคับพลังปราณธรรมชาติในอาณาจั กรนั้น
ๆ อีกด้วย
โดยทั่ ว ไปแล้ ว หลั ง จากค้ น พบอาณาจั ก รใหม่ ไ ด้ ไ ม่ น าน กุ ญ แจ
อาณาจั ก รมั ก จะถู ก ค้ น พบตามมา เนื่ องเพราะซิ ว เจ่ อ ที่ ไ หลบ่ า ไปยั ง
อาณาจักรใหม่จ ะพากันค้นหากุญแจอาณาจักรอย่างบ้าคลั่ง เพราะนี่คือ
ความมั่งคั่งขนาดที่สามารถทาให้คนดี ๆ กลายเป็นเสียสติไปได้
น่าประหลาด กุญแจอาณาจักรแห่งอาณาจักรทะเลเมฆกลับไม่เคยถูก
ค้นพบเลย ประวัติการอยู่อาศัยของซิวเจ่อบนอาณาจักรทะเลเมฆแม้ ไ ม่
เป็นที่ทราบชัด แต่แน่นอนว่าไม่น้อยกว่าหนึ่งพันปี ในช่วงระยะเวลาอัน
ยาวนานนี้ เป็นไปไม่ไ ด้ ที่จะไม่มี ใ ครออกค้น หากุ ญ แจอาณาจั กร เมื่อ ได้
ครอบครองกุญแจอาณาจักร คนผู้นั้นจึงจะกลายเป็นราชันที่แท้จ ริงของ
อาณาจักรทะเลเมฆ สามารถบงการอาณาจักรดุจเทพเจ้า
เปี๋ ยหานกาลังคาดเดาจิตเจตนาที่แท้จริงของสานัก
เจ้าอาวาสบอกว่าให้มันไปช่วยเหลือติ้งเจิน แต่เปี๋ ยหานไม่เชื่อวาจาผี
สางนี้แม้แต่ครึ่งคา มันล่วงรู้ศักดิ์ฐานะในส านักของติ้งเจินดี หากบอกว่า
เจ้าอาวาสส่งกองพันหนึ่งไปเพียงเพื่อช่วยเหลือติง้ เจิน ก็เป็นเรื่องน่าขบขัน
มากแล้ว
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าถึงกับกล้าปล่อยตัวมันออกมาด้วย!
หลังจากได้รับเหรียญหยกแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง มันก็ถูกกัก
บริเวณอยู่แต่ในที่พานัก ถูกบังคับให้ท่องพระสูตรอยู่ทุกวี่วัน แม้ไม่มีผู้ใด
เฝ้าอยู่ห น้าประตู แต่เปี๋ ยหานทราบดี ว่ามีดวงตานับไม่ถ้วนคอยเฝ้ามอง
บ้านน้อยของมันจากเงามืดอยู่ตลอดเวลา
บรรดาผู้อ าวุโสในส านัก มั กชอบกล่ าวหาว่ า มัน ดุ ร้ ายกระหายเลื อ ด
คิดถึงเรื่องนี้ เปี๋ ยหานอดแย้มยิ้มอย่างเย็นชามิได้
เจียงเจ๋อ (ปราดเปรื่องแซ่เจียง) แม้รูปโฉมสุภาพหล่อเหลา แต่ยามลง
มื อ เข่ น ฆ่ า หาได้ มื อ ไม้ อ่ อ นไปกว่ า มั น ไม่ แต่ มั น กลั บ ไม่ เ คยได้ ยิ น เหล่ า ผู้
อาวุโสตาหนิเจียงเจ๋อว่าดุร้ายกระหายเลือด
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเนื่องเพราะเหตุผลประการเดียว... ...
เปี๋ ยหานพลันเงยหน้าขึ้น มองดูกองพันบาปเคราะห์ที่ยังคงยืนนิ่งงัน
อยู่เบื้องหน้ามัน เห็นอักขระพระสูตรของอาคมหวงห้ามสีทองบนร่างพวก
มัน ทอแสงเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน... ช่างบาดตายิ่งนัก
ชั่วอึดใจต่อมา มันก็รั้งสายตากลับมา ดวงตาทอแววครุ่นคิดลึกซึ้ง สี
หน้าปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
ทางวัดได้ตระเตรียมค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะส่งพวกมันทั้งกองพันไป
ยังอาณาจักรทะเลเมฆโดยตรงเอาไว้แล้ว ดูเหมือนค่าใช้จ่ายสาหรับภารกิจ
นี้จะเป็นจานวนอันน่าตระหนกยิ่ง อาจเห็นได้ว่าทางวัดให้ความสาคัญกับ
ภารกิจนี้มากเพียงใด
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เชื่อมต่อถึงอาณาจักรทะเลเมฆโดยตรง... ...
จากข้ อ นี้ เ ห็ น ได้ ว่ า ทางวั ด ลอบส่ ง สายลั บ เข้ า ไปแฝงตั ว อยู่ ใ น
อาณาจักรทะเลเมฆเป็นเวลานานแล้ว
พวกมันคิดทาอะไร?
รอจนแสงสว่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายผ่านเข้ามาในสายตามัน เปี๋ ย
หานค่อยหลุดจากภวังค์ความคิด
เห็นหลวงจีนหลายรู ปยืนอยู่ข้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ผู้ที่เป็นหัวหน้า
กลุ่ ม ก้ า วล้ า ออกมา กล่ า วอย่ า งนอบน้ อ ม “เปี๋ ยหานต้ า เ หริ น ค่ า ยกล
เคลื่อนย้ายตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ท่านสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
เปี๋ ยหานกระทั่งหางตายังไม่เหลือบแลพวกมัน เดินตรงลิ่วไปยังค่ าย
กลเคลื่อนย้ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
กองพันบาปเคราะห์ติดตามหลังมันไปโดยไร้สุ้มเสียง ราวกับกองทัพ
คนตายขบวนหนึ่ง!
บทที่ 534 เขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะ

ทุ ก คนเดิ น ทางผ่ า นหมอกน้ า แข็ ง ด้ ว ยความเร็ ว สู ง ยิ่ ง มนุ ษ ย์ ห มอก


เหล่านี้ถือกาเนิดขึ้นมาเพื่ออาศัยอยู่ในหมอกน้าแข็งโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ใน
ม่านหมอกน้าแข็งก็เคลื่อนที่ได้ด่งั ใจปรารถนาราวกับมัจฉาในวารี
จั่วม่อจับเค้าลางบางประการได้จ ากวิธีก ารเคลื่อนไหวของพวกมั น
มนุ ษ ย์ ห มอกที่ ด้ า นข้ า งมั น จะสร้ า งแผ่ น โล่ ห มอกน้ า แข็ ง บาง ๆ ขึ้ น มา
ชั้นหนึ่ง แผ่นโล่หมอกน้าแข็งรู ปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดนี้เอง ที่ช่วยให้พวก
มันไถลผ่านไปตามม่านหมอกน้าแข็งอย่างสะดวกดาย
จั่วม่อฉุกใจคิด เริ่มลอกเลียนชาวมนุษย์ห มอกตามสัญชาตญาณ ตัว
มันเองไม่อาจควบคุมบังคับหมอกน้าแข็ง แต่ก็มีวิธีการอื่น ๆ อีกมากมาย
เริ่มแรกมันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อล้มเหลวติดต่อกันหลายครั้ง จั่วม่อ
ก็ค่อย ๆ ค้นพบเคล็ดลับ
ทีแรกมันใช้พลังปราณ แต่แทบจะในทันทีก็พบว่าพลังปราณถู ก เผา
ผลาญไปอย่างรวดเร็วยิ่ง จากนั้นมันเปลี่ยนไปลองใช้พลังจิตสานึกดูบ้าง ก็
ยังคงสิ้นเปลืองด้วยระดับความเร็วพอ ๆ กัน ท้ายที่สุดจึงพบว่าพลังเทพมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด อัตราสิ้นเปลืองพลังน้อยนิดจนแทบไม่รู้สึก หากแต่
การควบคุมพลังเทพก็ยากเย็นกว่าพลังปราณกับพลังจิตสานึกมาก จั่วม่อ
แทบไม่มีปัญญาคงสภาพเอาไว้ได้
ในไม่ ช้ า เหวยเสิ้ ง ก็ สั ง เกตเห็ น ความชุ ล มุ น ชุ ล เกของจั่ ว ม่ อ เพี ย ง
เหลื อ บมองปราดเดี ย วก็ เ ข้ า ใจกระจ่ า ง เหวยเสิ้ ง ฉลาดปราดเปรื่ อง
เจตจ านงกระบี่บรรลุถึงขั้นสูงล้า มันมิใช่เรียนรู้ห ลายอย่างแต่เพียงล่วงรู้
แบบงู ๆ ปลา ๆ ดั ง เช่ น จั่ ว ม่ อ จึ ง คว้ า จั บ เคล็ด ลับ ได้ อย่ างรวดเร็ ว มั น ใช้
เจตจ านงกระบี่ ส ร้ า งเป็ นแผ่ นโล่ รู ป สี่เ หลี่ย มข้ า วหลามตัด ล้อ มรอบกาย
ระดับความเร็วพุ่งทะยานขึ้นในบัดดล!
ฝีมือที่เหวยเสิ้งแสดงออกมาทาให้ปิงเย่ากับพวกตะลึงงันอยู่บ้าง
แต่แล้วทันใดนั้น ปิงเย่าพลันสีหน้าเคร่งเครียดลง แค่นเสียงอย่างเย็น
ชา “อยู่เบื้องหน้า ข้าพบมันแล้ว!”

ติ้งเจินจู่ ๆ บังเกิดสังหรณ์ร้ายกรีดระงมในใจ ต้องชะงักเท้าลงทันควัน


สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง หันไปตวาดใส่ศิษย์ท้งั สามอย่างร้อนรน
“รีบหนีไป!”
สามหลวงจีนน้อยงงงันวูบ แล้วหน้าเผือดสี แต่พวกมันก็ส มกับเป็ น
ศิษย์หัวกะทิของสานักใหญ่ ยามคับขันอันตรายปฏิกิริยาตอบสนองหาได้
เชื่องช้าไม่ รีบดีดกาย แยกย้ายหลบหนีไปคนละทิศทาง!
เสียงสะเก็ดน้าแข็งพลุ่งพล่านปั่ นป่วน
เห็นลาแสงสีฟ้าสามสายพุ่งออกมาจากหมอกน้าแข็ง ฟาดใส่ร่างสาม
หลวงจีนหนุ่มอย่างแม่นยา ชั้นน้าแข็งสีฟ้าแผ่ขยายออกไปด้วยความเร็วที่
เห็ น ชั ด ตา สี ห น้ า หวาดกลั ว ของพวกมั น แข็ ง ค้ า งอยู่ ใ นสภาพนั้ น คน
กลายเป็นรูปปั้ นน้าแข็งอันน่าขนพองสยองเกล้าในชัว
่ พริบตาเดียว
เพียะเพียะเพียะ!
รู ป ปั้ นน้ า แข็ ง ทั้ ง สามล้ ม ฟาดลงกั บ พื้ น แตกกระจายเป็ น สะเก็ ด
น้าแข็งนับไม่ถ้วน
ติ้งเจินถลึงมองอย่างเดือดดาลคั่งแค้น ดวงตาแดงฉานด้วยสายเลือด
แต่สะกดกลั้นไม่ตอบโต้ เพียงกัดฟันพุ่งลิ่วไปยังหมอกน้าแข็งด้านหนึ่ง!
ในใจมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก มันต้องรีบแจ้งข่าวกลับไปยัง
ส านั ก ให้ จ งได้ ! ถึ ง กั บ มี ช นเผ่ า มนุ ษ ย์ ห มอกที่ ใ หญ่ โ ตเช่ น นี้ ห ลงเหลืออยู่
ด้วย!
“คิดหนีหรือ?” ปิงเย่าสีหน้าเหี้ยมเกรียม แค่นเสียงเย็นเยียบ พลันจี้
ดรรชนีใส่หมอกน้าแข็ง
ซี่ซี่!
บังเกิดเสียงขู่ฟ่อแผ่วเบาดุจ อสรพิษสองครา กลุ่มหมอกน้าแข็งม้วน
ตลบอย่างเกรี้ยวกราด
ไอหมอกน้าแข็งบางเบาสองสายพุ่งออกมาจากม่านหมอก จู่โจมเข้า
หาติ้งเจินอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลาแสงสีฟ้าร้อนแรงสองสายพุ่งทะลวง
ร่างของติ้งเจินในชั่วพริบตาเดียว
ทว่าปิงเย่าพลันสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย
ติ้งเจินร่างค่อย ๆ สลายเลือนรางในม่านหมอกน้าแข็ง จวบกระทั่งลับ
หายไป สิ่งที่ถูกลาแสงทะลวงร่างกลับเป็นเพียงภาพมายาร่างหนึ่ง!
“ทุกคน ถอยกลับไป!” ปิงเย่าร้องบอกอย่างฉับพลัน
เหล่ามนุษย์หมอกล่าถอยเหมือนคลื่นน้าย้อนลงทะเล ทิ้งปิงเย่ายืนอยู่
ด้านหน้าแต่ผู้เดียว จั่วม่อกับพวกก็ล่าถอยไปด้านหนึ่ง แต่จ่ว
ั ม่อรอบคอบถี่
ถ้วนกว่า พวกมันทั้งกลุ่มถอยไปเฝ้าระวังทางปีกข้าง เพื่อป้องกันมิให้ผู้อ่ น

ฉวยโอกาสหลบหนี
เห็ น ติ้ ง เจิ นร่ า งค่ อย ๆ ปรากฏขึ้ น สายตาจ้ อ งมองปิง เย่า เขม็ง เน้ น
เสียงกล่าวช้า ๆ ว่า “นึกไม่ถึงว่าจะได้พบพานผู้สืบเชื้อสายชนเผ่าโบราณ
ที่นี่ ติ้งเจินช่างมีโชควาสนานัก!”
ปิ ง เย่ า ใบหน้ า เรี ย บเฉย กล่ า วอย่ า งเย็ น ชา “เจ้ า ไฉนคิ ด บุ ก รุ ก แดน
ต้องห้ามของพวกเรา?”
“แดนต้ อ งห้ า ม?” ติ้ ง เจิ น ตากระจ่ า งวู บ “ที่ แ ท้ ข องสิ่ ง นั้ น อยู่ ใ นมื อ
เจ้า!”
“ของสิง่ นัน
้ ?” ปิงเย่าเขม้นมอง
“ฮ่าฮ่า” ติ้งเจินหัวร่อเบา ๆ “อย่าได้เปลือ งวาจาแล้ ว ข้าเห็นว่ า ใน
บรรดาผู้ ค นที่ นี่ ท้ั ง หมด มี เ พี ย งเจ้ า เท่ า นั้ น ที่ มี พ ลั ง ฝี มื อ คู่ คี่ ก้ า กึ่ ง กั บ ข้ า
สามารถรั้งข้าเอาไว้ได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับพี่ท่านแต่ผู้เดียวแล้ว”
ปิงเย่าไม่กล่าวคาใด สองแขนกางออก สิบดรรชนีแผ่กว้าง ล าแสงสี
ฟ้าสิบสายพวยพุ่งออกจากปลายนิ้ว ราวกับเส้นเชือกแสงสีฟ้าสิบเส้น
อาวุธ เวทคู่ กายของติ้ง เจินพิ เ ศษเฉพาะยิ่ง นั่น เป็นปลาไม้มู่อ วี๋ ที่ ใ ช้
สวดภาวนาชิ้นหนึ่ง มู่อวี๋เป็นรู ปมัจฉาสีดาสนิททั้งตัว ปกคลุมด้วยอักขระ
พระสูตรเล็กละเอียดสีแดงชาด ไม้เคาะก็จารึกเต็มไปด้วยอักขระพระสูตร
อันละเอียดซับซ้อน เต็มไปด้วยมนต์ขลังอย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย
ชั่ ว พริ บ ตาที่ มู่ อ วี๋ ป รากฏขึ้ น ในมื อ ติ้ ง เจิ น จั่ ว ม่ อ กั บ พวกพลั น สี ห น้า
แปรเปลี่ยน!
อาวุธเวทระดับเจ็ด!
นี่ต้องเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดไม่ผิดแน่!
การที่ติ้งเจินถือครองอาวุธเวทระดับเจ็ด หาใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด
ไม่ หากบอกว่าชนชั้นหยวนอิงจากวัดเสวียนคงกระทั่งอาวุธเวทระดับเจ็ด
ชิ้นหนึ่งยังไม่มี ย่อมไม่มีผู้ใดยินยอมเชื่อแล้ว จั่วม่อกับพวกยังรู้ซึ้งถึงพลัง
อานาจของอาวุธเวทระดับเจ็ดเป็นอย่างดี เนื่องเพราะกงล้อภาวนาของ
จงหยูก็เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด
หากแต่ท้ังสองแม้เป็นอาวุธเวทระดับเดียวกัน ทว่าเมื่อหนึ่งอยู่ในมือ
จินตันและอีกหนึ่งอยู่ในมือหยวนอิง พลังอานาจที่สาแดงออกมากลั บผิด
แผกแตกต่างราวสวรรค์กับแผ่นดิน ซึ่งความจริงอาวุธ เวทระดับเจ็ดเป็น
ของวิเศษขั้นสูงสุดที่จินตันสามารถใช้ส อย แต่เนื่องเพราะถูกจ ากั ด ด้ ว ย
ระดั บ พลั ง บ าเพ็ ญ เพี ย ร ต่ อ ให้ เ ป็ น ยอดฝี มื อ จิ น ตั น ยั ง มิ อ าจใช้ พ ลั ง ของ
อาวุธ เวทระดับเจ็ดได้เกินกว่าสองส่วน โดยมากใช้ได้เพี ยงส่วนเดียวเสีย
ด้วยซ้า แต่ยอดคนด่านหยวนอิงสามารถใช้อาวุธเวทระดับเจ็ดได้เต็มพลัง
ความสามารถถึงสิบส่วน
ซิ ว เจ่ อ ผู้ ห นึ่ ง พลั ง ฝี มื อ จะสู ง เยี่ ย มเท่ า ใดขึ้ น อยู่ กั บ หลายปั จ จั ย
อย่ า งเช่ น พลั ง ปราณ ระดั บ การฝึ ก ปรื อ เวทวิ ช า ระดั บ ความเข้ า ใจใน
กฏเกณฑ์ แ ห่ ง ฟ้ า ดิ น อาวุ ธ เวทและอื่ น ๆ อี ก มากมาย แต่ ค วามห่ า งชั้ น
ระหว่ า งจิ น ตั น กั บ หยวนอิ ง เป็ น ช่ อ งว่ า งที่ ไ ม่ ว่ า อย่ า งไรก็ ไ ม่ อ าจข้ า มได้
เนื่ องเพราะไม่ ว่ า มองจากด้ า นใด ซิ ว เจ่ อ ด่ า นหยวนอิ ง ก็ ล้ ว นเหนื อ ล้ า
กว่าจินตันทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อจั่วม่อเห็นว่าปลาไม้มู่อวี๋ ในมือติ้ง เจินเป็นอาวุธ เวทระดั บ
เจ็ด พลันบังเกิดสังหรณ์ร้ายขึ้นทันที
หยวนอิ ง ผู้หนึ่ งเมื่ อถูก ไล่ต้อนจนตรอก จะสามารถปลดปล่อยพลัง
ทาลายล้างได้ถึงระดับใด... ...
มองดูติ้งเจินสีห น้า เคร่ง เครี ย ดถมึ ง ทึง มือหนึ่งถือมู่อวี๋ อีกมือถื อ ไม้
เคาะ จั่วม่อได้แต่หวังว่าปิงเย่าจะสามารถรับมือฝ่ายตรงข้ามได้
ไม่ว่าจะอย่างไร ชนชั้นหยวนอิงก็ยังทาให้ผู้คนใจสั่นหวั่นไหวอยู่บ้าง
... ...
ขณะที่จ่ัวม่อพยายามวางท่าสงบเยือกเย็น เหวยเสิ้งกับจงหยูก็พลุ่ง
พล่านไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อันร้อนแรง
ติ้ ง เจิ น ทรุ ด กายลงนั่ ง บนพื้ น ท าที ร าวกั บ ว่ า มั น ไม่ ไ ด้ ก าลั ง ถู ก ล้ อ ม
สั ง หาร วางปลาไม้ มู่ อ วี๋ ไ ว้ ต รงหน้ า ศี ร ษะก้ ม ต่ า หลุ บ ตาลงอย่ า งส ารวม
จากนั้นเริ่มเคาะมู่อวี๋พร้อมกับสวดมนต์ภาวนา
ตง ตง ตง!
สุ้ ม เสี ย งของมู่ อ วี๋ ป ระหนึ่ ง ดั ง มาจากวั ด วาเก่ า แก่ ใ นหุ บ เขาลึ ก อั น
ห่างไกล คล้ายมีคล้ายไม่มี บัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวเลือนหาย
แสงสว่างรอบข้างค่อย ๆ มืดมัวสลัวลง ในสายตาของพวกมัน เห็นสี
ฟ้าสุกใสของหมอกน้าแข็งถูกความมืดมิดกลืนกินเข้าไป เงาร่างมากมาย
คล้ า ยเดิ น ออกมาจากความมื ด กลายเป็ น ชั ด เจนขึ้ น ทุ ก ขณะ เงาร่ า ง
เหล่านั้นคือบรรดาสมณะที่ห่มจี ว รพาดเฉียง เผยไหล่ข้างหนึ่ง หลวงจีน
เหล่านี้คล้ายมองไม่เห็นพวกจั่วม่อกับบรรดามนุษย์หมอกก็มิปาน เพียงก้ม
หน้าค้อมเอว แสงเทียนจุดหนึ่งปะทุขึ้นในความว่างเปล่า
หลวงจีนเหล่านั้นทยอยก้มลง พากันจุดเปลวเทียนขึ้น
แสงเที ย นสว่ า งขึ้ น ที ล ะดวง ๆ อย่ า งไม่ ห ยุ ด ยั้ ง สะบั ด พลิ้ ว แวววั บ
ประดุจมวลหมู่ดาราบนฟากฟ้า
ท่ามกลางเปลวเทียน เสียงสังวัธยายมนตร์ดังกังวานแว่วเป็นระลอก
จั่วม่อใบหน้าทอแววอัศจรรย์ใจ เหวยเสิ้งบีบด้ามกระบี่ดาแนบแน่น
ในดวงตาสาดประกายตื่นเต้นเร้าใจอย่างดุเดือด กล่าวราวราพึงกับตัวเอง
ว่า “นี่จึงเป็น ‘เขตแดน’ ที่แท้จริงหรือไม่?”
“เขตแดน?” จั่วม่อเพิ่งได้ส ติจ ากความแตกตื่น ประหลาดใจ ฟังค า
ราพึงของเหวยเสิ้ง ต้องตะลึงพรึงเพริดอีกรอบ “ท่านจะบอกว่ามั น เป็ น
เซียนกระบี่?”
จั่วม่อเพียงล่วงรู้ว่าเขตแดนเป็นระดับชั้นเจตจ านงกระบี่ที่เหนือล้า
กว่าเจตจ านงกระบี่แปลงรู ปลักษณ์ ศิษย์พี่ใหญ่เพิ่งจะบรรลุถึงชายชอบ
ของระดับชั้นนี้
“มันไม่ใช่เซียนกระบี่” ดวงตาร้อนแรงของเหวยเสิ้งไม่ยอมหันเหจาก
ติ้งเจินอีก แต่ปากยังคงกล่าวด้วยเสียงหนักอึ้ง “ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่
เซียนยันต์ เซียนวรยุทธ์หรือเซียนสัญจร เมื่อพวกมันฝึกปรือจนบรรลุถึง
ระดับชั้นหนึ่ง วิถีทางทั้งหมดล้วนมาบรรจบที่ เดียวกัน นั่นคือบรรลุ ‘เขต
แดน’!”
ยามนี้ เ อง จงหยู ก ล่ า วเสริ ม ว่ า “เซี ย นวรยุ ท ธ์ เ รี ย กสิ่ ง นี้ ว่ า ‘มหา
อิสระ’” ในวาจาของมันแฝงเร้นด้วยแรงปรารถนาอันแรงกล้า ระดับความ
เข้าใจของมันไม่สูงล้าเท่าเหวยเสิ้ง แม้ว่าจะครอบครองพลังอธิษฐานที่หา
ได้ยาก แต่ระดับชั้นของมันยังไม่สู งพอ ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตที่เรี ย กว่ า
‘เขตแดน’ เหมือนเหวยเสิ้ง
แม้ไม่ล่วงรู้เรื่องพื้นฐานในวิถีการฝึกปรือ แต่จ่ัวม่อหน้าไม่แดงสักนิด
ยกมือลูบคางพลางกล่าว “สิ่งเหล่านี้ใช่เป็นภาพมายาหรือไม่? โจรหัวโล้น
ผู้นี้มีฝีมือในด้านเวทวิชาภาพมายา ระหว่างทางมาที่นี่พวกเรายังแทบจะ
หลงกลหนหนึ่ง!”
“นี่ไม่ใช่วิชาภาพมายา” เหวยเสิ้งสั่นศีรษะพลางฝืนยิ้ม “ข้าไม่ทราบ
จะอธิบายอย่างไร แต่มันร้ายกาจยิ่ง เราต้องระมัดระวังให้มาก”
“อา โจรหัวโล้นด่านหยวนอิง จะอย่างไรก็ยังคงเป็นหยวนอิงผู้หนึ่ง!”
จั่วม่อเห็นพ้องด้วย
“ไม่ ใ ช่ ข้ า ไม่ ไ ด้ ห มายความว่ า อย่ า งนั้ น ” เหวยเสิ้ ง ยั ง คงสั่ น ศี ร ษะ
“เขตแดนถือเป็นเส้นแบ่งประการหนึ่ง ระหว่างผู้ที่บรรลุถึงกับผู้ที่ไม่เข้าใจ
เป็ น โลกที่ ผิ ด แผกแตกต่ า งราวฟ้ า กั บ ดิ น ‘เขตแดน’ เกี่ ย วข้ อ งกั บ ระดั บ
ความเข้ า ใจ แต่ มิ ใ ช่ พ ลั ง ฝึก ปรื อ ควรทราบว่ า ไม่ ใ ช่ ห ยวนอิ ง ทุ ก คนที่จะ
สามารถบรรลุถึง ‘เขตแดน’ ได้!”
จั่วม่อพอฟังยิ่งเขม็งตึงเครียดกว่าเดิม “ศิษย์พี่ใหญ่หมายความว่าโจร
หัวโล้นผู้นี้เป็นโจรหัวโล้นชั้นสูงในบรรดาโจรหัวโล้นด่านหยวนอิงทั้งหมด
ใช่หรือไม่?”
เหวยเสิ้ ง มี สี ห น้ า หั ว ร่ อ มิ ไ ด้ ร่ า ไห้ ไ ม่ อ อก “ทั้ ง ใช่ แ ละไม่ ใ ช่ . .. ...แต่
โดยนัยแล้วข้าก็หมายความเช่นนั้นละ”
“เช่นนั้นพวกเราทั้งสามสามารถรับมือมันได้กี่กระบวนท่า ?” จั่วม่อ
ตัดสินใจถามเรื่องที่เข้ากับสถานการณ์ที่สุด
“ข้าไม่รู้” เหวยเสิ้งสั่นศีรษะอีกรอบ “บางทีกระทั่งกระบวนท่า เดี ยว
ยั ง ไม่ อ าจต้ า นรั บ ได้ ศิ ษ ย์ น้ อ ง เจ้ า ... ...” กล่ า วถึ ง ตอนนี้ เหวยเสิ้ ง พลัน
รู้ สึ ก ตั ว หยุ ด ชะงั ก ทั น ควั น จากนั้ น กล่ า วอย่ า งคลุม เครื อว่ า “เขตแดนนี้
แปลกประหลาด... ....ข้าเองก็ไม่อาจบอกชัดเช่นกัน”
จั่ ว ม่ อ พอฟั ง พลั น เข้ า ใจทั น ที แม้ ว่ า เหวยเสิ้ ง ไม่ ไ ด้ ก ล่ า วออกมาให้
ชั ด เจน แต่ ค วามหมายที่ แ ท้ จ ริ ง นั้ น ชั ด แจ้ ง ยิ่ ง นั่ น คื อ พวกมั น อาจรั บ มื อ
ไม่ ไ ด้ แ ม้ แ ต่ ก ระบวนท่ าเดี ยวจริง ๆ พลั น กล่า วเสียงละห้อยว่ า “เช่ น นั้น
พวกเราไฉนไม่หลบอยู่หลังพี่ใหญ่ปิงเย่าเล่า ? พี่ใหญ่ปิงเย่าดูเหมือนพลัง
ฝีมือสูงเยี่ยมยิ่ง”
ปิงเย่ายืนตระหง่านอยู่กลางกลุ่มหลวงจีนกับเปลวเทียน ใบหน้าไม่มี
ร่องรอยหวาดหวั่นพรั่นกลัวแม้สักส่วนเสี้ยว ลาแสงสีฟ้าเบาบางเท่าเส้นผม
สิ บ สายพลิ ก พลิ้ ว อยู่ ก ลางอากาศ ล าแสงทั้ ง สิ บ ยื ด ยาวออกไปอย่ า งไม่
หยุดยั้ง ปลายอีกด้านหนึ่งของล าแสงทั้งสิบทะลวงลึกเข้าไปในความมื ด
มองไม่เห็นสุดปลาย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการต่อสู้ในอีกระดับชั้นหนึ่ง เหนือกว่าระดับ ฝีมือ
ของจั่วม่อกับพวกไปมาก
เสี ย งทอดถอนชมเชยของติ้ งเจิ นลอยออกมาจากในทะเลแห่ งแสง
เทียน “ผู้สืบทอดแห่งชนเผ่าบรรพกาลร้ายกาจสมคาร่าลือ! ถึงกับสะกด
ข่มไม่ให้เขตแดนตะเกียงเพลิง พุทธะของข้าส าแดงพลังออกมาได้ อ ย่ า ง
เต็มที่ ยอดเยี่ยมยิ่ง!”
พื้นที่ใต้ฝ่าเท้าของปิงเย่าปกคลุมด้วยหมอกน้าแข็งสีฟ้าสดใสที่มีรั ศมี
หนึ่งจั้ง แสงสีฟ้าที่ปลดปล่อยออกมา ท่ามกลางทะเลแสงเทียนมืดทะมึนดู
โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
ปิงเย่าแม้สีหน้าเย็นยะเยือก แต่ในดวงตาทอประกายเลื่อมใสวูบหนึ่ง
“หากมิใช่ว่าอยู่ภายในหมอกน้าแข็ง ข้าก็ไม่ใช่คู่มือของเจ้าแม้แต่น้อย”
แต่แล้วทันใดนั้นมันสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ดวงตาสาดประกายสี
ฟ้าเรืองรอง “แต่คราวนี้เจ้าก็ตายได้แล้ว!”
มันสองมือกางแผ่กว้าง เส้นใยลาแสงทั้งสิบสายพลันเปล่งแสงเจิดจ้า
พุ่งลิ่วขึ้นกลางอากาศ!
ล าแสงสี ฟ้ า มากมายเหลื อ คณานั บ กวาดผ่ า นทะเลเปลวเที ย นกั บ
บรรดาหลวงจีนที่จุดเทียน
ล าแสงสีฟ้าไม่ว่าผ่านไปยังที่ใด ล้วนมีกระแสเย็นเยียบเสียดกระดูก
แผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง
เปลวเทียนที่ถูกลาแสงสีฟ้าจู่โจมใส่ไม่ได้มอดดับลง แต่พวกมันหยุด
นิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ชั้นน้าแข็งสีข าวแผ่ล ามไปตามผิวหน้าของเปลวไฟ
ชั้นน้าแข็งหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ สร้างผลึกน้าแข็งหนาหนักและโปร่งใส ปิด
ผนึกแสงเทียนไว้ภายในอย่างแน่นหนา
ผลึกน้าแข็งวาววับจับตามีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ใจกลางของ
ก้อนสี่เหลี่ยมเป็นเปลวเทียนที่ถูกแช่แข็งคาที่ แสงเทียนสะท้อนอยู่ภายใน
ก้อนสี่เหลี่ยม กลับกลายเป็นสุกสว่างน่าขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูก
บรรดาผลึกน้าแข็งที่ปิดผนึกเปลวเทียนล่องลอยอยู่กลางเวหาราวกับ
หมู่ดาว
ติ้งเจินเลิกคิ้วขาวโพลน สีห น้ายิ่งมายิ่งเคร่งขรึมส ารวม เปี่ ยมตบะ
บารมียิ่งกว่าเดิม
ลวดลายอักขระพระสูตรอันยุ่งเหยิงซับซ้อนบนมู่อวี๋กับไม้เคาะ คล้าย
กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมาในบัดดล ค่อย ๆ ขยับเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ
ทันใดนั้นเอง อักขระพระสูตรสีทองตัวหนึ่งพุ่งลิ่วออกมาจากปากของ
ปลาไม้ มู่ อ วี๋ จากนั้ น กระแสอั ก ขระสี ท องนั บ ไม่ ถ้ ว นพุ่ ง ตามกั น ออกมา
จากมู่อวี๋ ล่องลอยขึ้นกลางอากาศอย่างไม่หยุดยัง้
ภายในชั่วพริบตาเดียว บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยทะเลอักขระพระสูตร
สีทองวาววับจับตา!
อักขระพระสูตรตัวหนึ่งในบรรดานี้บังเอิญลอยผ่านไปทางจงหยูผู้ยืน
หลับตานิ่ง ทันใดนั้นจงหยูสะท้านขึ้นทั้งร่าง สีหน้าตื่นตระหนกสุดระงับ!
บทที่ 535 ปะทะหยวนอิง

อั ก ขระพระสู ต รประดุ จ มวลใบไม้ ล่ อ งลอยตามสายลม กระจั ด


กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุม
ใบไม้ สี ท องที่ น่า ดู เ หล่า นี้ น าพากลิ่ นอายสุข สงบอัน แปลกพิเ ศษมา
ให้แก่นักบวชนิกายพุทธ ทาให้ผู้คนดื่มด่ามึนเมาโดยไม่รู้ตัว จงหยูสีหน้า
แปรเปลี่ยนกลับกลาย พลันสืบเท้าไปข้างหน้า ไอพลังอธิษฐานห่อหุ้มกง
ล้อภาวนากากบาทอย่างแน่นหนา อาวุธเวทคู่กายสาดแสงเจิดจ้า!
วงแหวนอักขระพระสูตรบนกงล้อภาวนาเปล่งประกายเรืองรองอย่าง
ฉั บ พลั น ปรากฏม่ า นแสงสี ท องจาง ๆ ปกคลุ ม จั่ ว ม่ อ กั บ เหวยเสิ้ ง ที่ อ ยู่
ด้านหลัง
ตง!
ท่ามกลางเสียงเคาะมู่อวี๋ คลื่นเสียงสวดภาวนาดังกังวาน!
ทะเลพระสูตรพลันแตกระเบิด กลับกลายเป็นเส้นแสงสีทองเรียวบาง
นับไม่ถ้วน กวาดผ่านพื้นที่ทุกตารางนิ้วในชั่วพริบตา!
มวลเส้ น แสงสี ท องโหมจู่ โ จมใส่ บ รรดาผลึ ก น้ า แข็ ง ทรงลู ก บาศก์ ที่
ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ท่ามกลางเสียงปะทะดังสดใส ผลึกน้าแข็งแตก
พินาศกลายเป็นเศษน้าแข็งจานวนมหาศาล! ชั่วพริบตานี้พ้ น
ื ที่ท้งั หมดเต็ม
ไปด้วยเศษน้าแข็งเล็กละเอียดกระจั ดกระจาย เปลวเทียนที่เดิมทีถูกผลึก
น้าแข็งผนึกเอาไว้ พลันแตกปะทุ ขยายใหญ่โตอย่างฉับพลัน แต่ล ะดวง
กลายเป็นดวงไฟขนาดเท่ากามือ สะบัดพลิ้วลิ่วล่องอยู่กลางเวหา
ต่อหน้าทะเลแสงตะเกียงสีทองดวงน้อยเหล่านี้ ม่านโล่พลังปราณที่
จงหยูใช้ออกอย่างสุดกาลัง ถึงกับเปราะบางไม่ต่างจากเศษกระดาษ!
พลังฝีมือของทั้งสองฝ่ายอยู่คนละระดับชั้นกันอย่างสิ้นเชิง ช่องว่าง
อันกว้างใหญ่ไพศาล สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในเวลานี้
ม่ า นโล่ แ สงแตกกระจายในชั่ ว พริ บ ตา จงหยู แ ค่ น เสี ย งหนั ก ๆ
กระแทกเท้าถอยหลังไม่หยุดยั้ง
เหวยเสิ้งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย กระบี่ดาตวัดฟันขวาง ทันใดนั้นเบื้อง
หน้ า มั น คล้ า ยปรากฏช่ อ งโพรงขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น เส้ น แสงสี ท องที่ เ พิ่ ง
ทะลวงม่านแสงของจงหยู พลันถูกกลืนกินหายเข้าไปในช่องโพรง!
“อืมม์!”
เสียงอุทานของติ้งเจินแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
มั น เหลื อ บมองเหวยเสิ้ ง สี ห น้ า ประหลาดใจอยู่ บ้ า ง ก่ อ นหน้ า นี้ มัน
นับว่าประเมินเหวยเสิ้งไว้สูงไม่น้อยแล้ว แต่กลับยังคิดไม่ถึง ว่าบุรุษหนุ่มที่
ดูเยาว์วัยเป็นอย่างยิ่งนี้ จะบรรลุถึงชายขอบของระดับชั้น ‘เขตแดน’ เป็น
ที่เรียบร้อยแล้ว!
ยอดอัจฉริยะโดยแท้!
คนเช่นนี้มาจากส านักใดกันแน่... ... พวกมันไฉนร่วมหัวจมท้า ยกั บ
เผ่ามนุษย์หมอกได้?
หรือว่าสานักนี้มีขวัญกล้าบังอาจเทียมฟ้า ถึงขั้นกล้าฝ่าฝืนกฎที่ไม่ได้
ระบุไว้ของสี่ดินแดนอย่างซึ่งหน้า?
ติ้งเจินใบหน้าวาบประกายนิยมชมชื่นและสงสัยใจอยู่บ้าง ในสายตา
ของมัน ‘เขตแดน’ ของเหวยเสิ้งยังคงหยาบกระด้างและอ่อนด้อยอยู่มาก
เห็ น ได้ ชั ด ว่ า เพิ่ ง บรรลุ ถึ ง ชายขอบได้ ไ ม่ น านนั ก ติ้ ง เจิ น แม้ ไ ม่ มี อ านาจ
อิทธิพลในสานักอย่างแท้จริง แต่เนื่องเพราะเหตุนี้เอง มันจึงได้มุ่งเน้นอยู่
กับการฝึกฝีมือบาเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่
นับตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน มันก็ก้าวเท้าเข้าสู่ธรณีประตูแห่ง ‘เขตแดน’
ก่อกาเนิดเป็นเขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะขึ้น ยี่สิบปีมานี้ผ่านการศึกษา
ค้นคว้าและขัดเกลาอย่างพากเพียร เขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะรุ ดหน้า
ก้าวไกล เข้าสู่ขอบเขตขั้นใหม่อย่างสมบูรณ์!
เจ้ า อาวาสวั ด เสวี ย นคงเป็ น หนึ่ ง ในน้ อ ยคนที่ ล่ ว งรู้ ร ะดั บ พลั ง ฝี มื อ
แท้จ ริงของติ้งเจิน ดังนั้นแม้ได้ยินว่าเซินอู๋ไฮ่แห่งเทียนหวนเคยพลาดท่า
เสียทีจนต้องล่าถอยออกจากอาณาจักรทะเลเมฆ เจ้าอาวาสก็ยังคงเชื่อมั่น
ว่าติ้งเจินมีพลังพอที่จะทาภารกิจให้สาเร็จลุล่วงได้
กระแสอากาศสั่นสะเทือนอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับมีมือที่มองไม่เห็น
บีบรวมลาแสงสีทองเรียวบางดุจเส้นผมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นวังวนมหึมา
ปรากฏขึ้นตรงหน้าเหวยเสิ้งอย่างฉับพลันทันใด
เส้ น แสงเรี ย วบางดุ จเส้น ผมพากัน พวยพุ่ ง เข้า ไปในช่ อ งโพรงเบื้อง
หน้าเหวยเสิ้ง
ช่องโพรงสัน
่ สะเทือนอย่างรุนแรงในบัดดล!
เหวยเสิ้ ง สี ห น้า แปรเปลี่ยน แต่ ยั ง ไม่ ทั น จะได้ มีป ฏิ กิ ริย าตอบสนอง
ช่องโพรงจู่ ๆ แตกระเบิดดังสนั่นลั่นโลก! เหวยเสิ้งสะท้านขึ้นทั้งร่าง แต่ไม่
ยอมล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว โลหิตสายหนึ่งไหลปรี่ลงจากมุมปาก เหวยเสิง้
ที่รับบาดเจ็บสาหัสไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ สายตาร้อนแรงด้วยจิตวิญญาณ
การต่อสู้ยังคงจับแน่นอยู่ที่ติ้งเจิน!
พลังใจอันเด็ดเดี่ยวนัก พรสวรรค์อันยอดเยี่ยมนัก... ...
ติ้งเจินอดทอดถอนชมเชยมิได้ ทว่าน่าเสียดายนัก... ...
ดวงตาสารวมแต่คมกล้าของติง้ เจินพลันสาดประกายแหลมคม!
ปิงเย่าสีหน้าน่าเกลียดสุดทนดู ความแข็งแกร่งของศัตรู เหนือล้ ากว่า
มันอย่างเห็นได้ชัด เผ่ามนุษย์หมอกที่สูญเสี ยสัญลักษณ์ศึก ดิ้นรนเอาชีวิต
รอดอยู่ภายในส่วนลึกของทะเลเมฆมานานนับหมื่นปี ไม่ทันได้ตระหนักว่า
พลังของพวกมันเสื่อมทรุดไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว!
ความเสื่ อ มทรุ ด นี้ ยิ่ ง เห็ นกระจ่า งชั ด เจนกว่ า เดิ ม ยามเมื่ อ คู่ มื อ ของ
พวกมันเป็นสุดยอดสานักดังเช่นวัดเสวียนคง
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกมันไม่อาจปล่อยให้หลวงจีนผู้นี้หลุดรอดไปได้!
ปิงเย่าทราบกระจ่างแก่ใจ ว่าหากปล่อยให้ผู้อ่ ืนหนีรอดกลับไปได้ สิ่ง
ที่รอคอยพวกมันเหล่ามนุษย์หมอกมีเพียงการค่อย ๆ ถูกทาลายล้างจนสิ้น
เผ่าพันธุ์อย่างอนาถ ชนเผ่ามนุษย์หมอกในยามนี้เมื่อเทียบกับวัดเสวียนคง
แล้วยังคงอ่อนแอไม่ต่างจากทารกแบเบาะ
แต่บัดนี้หลันหวนคืนสู่ชนเผ่าแล้ว!
ขอเพียงมีเวลาพอ ปิงเย่าเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่าเผ่ามนุษย์ห มอกที่
มี ห ลั น เป็ น แสงไฟน าทาง จะต้ อ งกลั บ มาแข็ ง แกร่ ง ทรงพลั ง อ านาจ ดุ จ
เดียวกันกับเมื่อหลายหมื่นปีล่วงมาแล้วอีกครัง้ !
แต่เรื่องนี้ต้องการเวลาที่มากพอ... ...พวกมันแน่นอนว่าไม่อาจปล่อย
ให้หลวงจีนผู้นี้มีชีวิตรอดกลับไปได้!
ปิงเย่าไม่เคยรู้สึกเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน ดวงตาของมันยิ่ง
กลายเป็ น สี ฟ้ า ใสกระจ่ า งมากขึ้ น ราวกั บ ว่ า สิ่ ง เจื อ ปนทั้ ง หลายถู ก ขจั ด
ออกไปสิน
้ สะท้อนประกายแสงจากทะเลตะเกียงที่กาลังลุกโชน
ทันใดนั้นกระแสพลังสีฟ้าอ่อนเย็นเยียบดุจน้าแข็ง ม้วนตลบขึ้นจาก
สองเท้าของปิงเย่า
ปิงเย่าพริ้มตาหลับลง ชูสองมือขึ้นสุดล้า เส้นลาแสงสีฟ้าสิบสายเจาะ
ทะลวงเข้าไปในความมืด ประดุจรากไม้แทรกหายเข้าไปในพื้นดิน
ติ้งเจินสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะทุ่มเดิม
พันชีวิต เร็วถึงเพียงนี้! การตัดสินใจลงมือโดยไม่คานึงถึงชี วิต ของปิงเย่า
ถึงกับทาให้จิตแห่งเซนของติ้งเจินสั่นไหวกระเพื่อมเป็นครั้งแรก
รอยกระเพื่อมเล็ก ๆ นี้ก่อให้ก่อความลังเลใจ และกลายเป็นจุดอ่อน
ร้ายแรงถึงชีวิต!
ปิงเย่าพลันลืมตาขึ้น ดวงตาวาบประกายสีฟ้าสด ทันใดนั้นลาแสงสี
ฟ้าสิบสายพลันแตกระเบิด กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน!
ทุกหนแห่งที่ส ายตามองไปถึง ล้วนเต็มไปด้วยสะเก็ด แสงสีฟ้ า สดที่
แตกหัก พวกมันคล้ายกิ่งหลิวไร้รากมากมายเหลือคนาค่อย ๆ โปรยปราย
ลงมาช้า ๆ
ติ้งเจินดวงตากลายเป็นตื่นตัวสุดขีด พลังปราณไหลบ่าไปยังไม้เคาะ
ในมืออย่างบ้าคลั่ง
ตง ตง ตง!
ไม้เคาะยิ่งหวดลงบนมู่อวี๋ แสงเทียนที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศก็ ยิ่ ง
เต้นเร่า และเปลวไฟก็ยงิ่ ลุกโชนร้อนแรง ขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน
“ไฟกรรม!” จงหยูหน้าขาวซีดเหมือนคนตาย เมื่อครู่มันเพียงปะทะ
กับฝ่ายตรงข้ามหนึ่งกระบวนท่าก็รับบาดเจ็บหนักหนาสาหัส สุ้มเสียงแหบ
พร่า
จั่วม่อเดิมทีคิดหลบฉากออกไปก่อน แต่เมื่อมีจงหยูกับเหวยเสิ้ง ที่ รับ
บาดเจ็บอยู่ด้านข้าง จึงได้แต่โยนความคิดหลบหนีทิ้งไป หนี้เก่าแค้นใหม่
ผสมปนเป มันถลึงตามองติ้งเจินอย่างขุ่นแค้นชิงชัง เฝ้ามองหาโอกาสลอบ
จู่โจมศัตรูผู้ยิ่งใหญ่นี้ให้จงได้!
เมื่อเห็นทะเลไฟกรรมแตกปะทุกลางเวหา จั่วม่อพลันแย้มยิ้มอย่างลี้
ลับ
คิดเล่นไฟหรือ? ยังมีผู้ใดมีฝีมือมากกว่ามันอีกเล่า?
ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวประหลาดเฒ่าด่านหยวนอิง มันก็หาได้ครั่น
คร้ามยาเกรงไม่! วิถีทางแห่งความรุ่งโรจน์ของมันแทบจะเริ่มต้นจากการ
เล่นไฟนี้เอง
ไฟกรรมคื อ เพลิ ง ไฟที่ เ ป็ น พิ ษ อย่ า งยิ่ ง ชนิ ด หนึ่ ง ของนั ก บวชนิ ก าย
พุทธ หากผู้ใดกระทบถูก แม้แต่ดวงวิญญาณอาจถูกเผาผลาญเป็นฝุ่นธุลี
กระทั่งชนชัน
้ หยวนอิงยังประหวั่นพรัน
่ พรึง!
แต่จ่ว
ั ม่อไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย!
ไฟกรรมอาจดูร้ายกาจ แต่ก็เป็นเพลิงไฟระดับหกเท่านั้น อยู่ในระดับ
เดียวกันกับเปลวไฟลายชั้นมหาทิวา อย่าว่าแต่มันยังมีสมบัติวิเศษดังเช่น
เมล็ดผลึกสุริยันอีกด้วย!
ซึ่งความจริงระหว่างมันกับศัตรู มีช่องว่างห่างชั้นกันสุดกู่ ต่อให้จ่ัวม่อ
มี ฝี มื อ ควบคุ ม ไฟสู ง ล้ า กว่ า นี้ หากเผชิ ญ กั บ ติ้ ง เจิ น โดยตรงเกรงว่ า ไม่ มี
โอกาสได้ชัยแม้สักส่วนเสี้ยว
แต่ จ อมเจ้ า เล่ห์ที่ เ ต็ม ไปด้ ว ยความคิ ด ชั่ ว ร้ า ยเช่ นจั่ว ม่ อ ไหนเลยจะ
ยอมเปิดศึกกับติง้ เจินอย่างโอ่อ่าผ่าเผยได้?
ข้อสรุ ปของศิษย์พี่ใหญ่ ทาให้จ่ัวม่อเข้าใจความห่างชั้นในด้านพลั ง
ฝีมือของทั้งสองฝ่าย ต่อมาการบาดเจ็บของเหวยเสิ้งกับจงหยู ยังช่วยตอก
ย้าให้จ่ัวม่อเข้าใจความห่างชั้นนี้อย่างซาบซึ้งไปถึงทรวง หากจู่โจมซึ่งหน้า
มันไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย ดังนั้นมันสะกดข่มจิตวิญญาณการต่อสู้อันพลุ่ง
พล่านไว้ภายใน และเฝ้ารอคอยโอกาสอย่างเงียบเชียบ!
มั น ประดุ จ อสรพิ ษ ร้ า ย เฝ้ า กบดานอยู่ ใ นมุ ม มื ด รอคอยเวลาชั่ ว
พริบตาที่จะจู่โจมเอาชีวิต!
รอจนเห็ น แสงเที ยนขยายใหญ่ พ รวดพราด กลายเป็ น ทะเลดวงไฟ
กรรมเหลือคนานับ จั่วม่อพลันลงมือโดยไม่รีรอลังเล!
สองแขนกางแผ่ออกกว้าง ปลดปล่อยเปลวไฟลายชั้นมหาทิวาออกมา
โดยไม่ออมรั้ง ชั้นเปลวไฟของเปลวไฟลายชั้นทะลั กทลายออกมาอย่ า ง
เกรี้ยวกราด!
ในม่านความมืดของเขตแดน จั่วม่อถูกเปลวไฟลายชั้นมหาทิวากลืน
กินลงไปอย่างฉับพลัน คนคล้ายกลายเป็นกองไฟขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง เห็น
เปลวไฟสุกสว่างลุกโชนล้อมรอบกายเป็นชั้น ๆ โดดเด่นสะดุดตายิ่ง!
ไฟกรรมที่ ลุ ก โหมอยู่ บ นฟ้ า กลั บ หยุ ด ชะงั ก ล งชั่ ว วู บ อย่ า ง น่ า
ประหลาด!
ไฟกรรมจัดอยู่ฝ่ายสุดหยิน แต่เปลวไฟลายชั้นมหาทิวาเป็นเปลวไฟ
สุ ด หยาง เมื่ อ เปลวไฟลายชั้ น มหาทิ ว าทะลั ก ทลายออกมา ไฟกรรมบน
ฟากฟ้าไหนเลยจะไม่ได้รับผลกระทบได้!
นี่เป็นการสะกดข่มกันของหยินและหยางตามธรรมชาติแห่งฟ้าดิน!
เขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะของติ้งเจินแม้ผนวกไฟกรรมเข้ามาด้วย
แต่กลับไม่ใช่จุดสาคัญ ดังนั้นมันไม่ได้เสียเวลากลั่นเกลาไฟกรรมมากนัก
นักบวชนิกายพุทธปกติแล้วไม่ชมชอบความร้ายกาจของไฟกรรม จุดนี้เอง
ที่เปิดโอกาสให้จ่ว
ั ม่อได้ฉกฉวย
การหยุดชะงักของไฟกรรมนี้เป็นเพียงชั่ววูบอันกระชั้นสั้นยิ่ง แต่ชั่ว
วูบสั้น ๆ นี้เอง เศษลาแสงสีฟ้าของปิงเย่าก็ฉวยโอกาสลอดผ่านเข้ามา พุ่ง
ดิ่งลงสู่เบื้องล่าง!
ติ้งเจินสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
คนผู้นั้น... ...คนผู้นั้นไม่เคยให้มันระแคะระคายเค้าลางผิดปกติแม้แต่
น้อย!
ติ้ ง เจิ น แทบไม่ เ ชื่ อสายตาตั ว เอง ก่ อ นหน้ า นี้ มั น พบพานคณะของ
จั่วม่อสองสามครั้ง แต่ทุกครั้งสายตาของมันล้วนจับจ้องอยู่แต่กับเหวยเสิ้ง
และจงหยู ไม่ เ คยสนใจไยดี จ่ั ว ม่อ แม้ แ ต่แ วบเดี ย ว ในสายตาของติ้งเจิน
จั่วม่อธรรมดาสามัญเสียจนหากอยู่กลางฝูงชน ติ้งเจินก็ไม่อาจค้นพบมัน
ได้
แต่ เ ด็ ก หนุ่ ม ที่ ดู ธ รรมดาสามั ญ ยิ่ ง ผู้ นี้ กลั บ เป็ น ผู้ ยั ด เยี ย ดการโจมตี
ร้ายแรงถึงชีวิตให้แก่มันอย่างกะทันหัน!
บุคคลอันลึกซึ้งชั่ วร้ ายนั ก! ถึงกับสามารถปกปิ ดซ่ อนเร้น ได้น านถึ ง
เพียงนี้ ติ้งเจินในใจบังเกิดความเย็นเยียบจับใจ แต่ในยามนี้มันไม่มีเวลาจะ
มาสนใจจั่วม่อ กลุ่มเส้นไหมสีฟ้าที่ดูเปราะบางของปิงเย่า ปลุกเร้าสังหรณ์
อันตรายในใจมันจนกรีดร้องระงม!
สังหรณ์อันตรายร้ายแรงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นร่วมยี่สิบกว่าปีแล้ว!
เส้นใยสีฟ้าสดเหล่านั้นพอตกถึงพื้น ก็ทะลวงลึกลงไปใต้พ้ ืน จากนั้น
ต้นอ่อนสีฟ้าสดงอกเงยเป็นแผ่นผืน เติบโตงอกงามอย่างรวดเร็ว!
สังหรณ์อันตรายยิ่งมายิ่งแรงกล้า แรงกล้าเสียจนติ้งเจินแทบเข้าใจว่า
มันยืนอยู่ริมหน้าผาสูงเสียดฟ้า หากพลั้งเผลอแม้แต่วูบเดียว จะหล่นร่วง
ลงไปในเหวลึกไร้ก้นบึ้ง ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีก ติ้งเจินเหงื่อเย็ นไหลท่วม
แผ่นหลัง สีหน้าขาวเผือด
มันสามารถรู้สึกได้ ชัด เจน ว่าต้นอ่อนสีฟ้าเหล่านี้กาลั งเจาะทะลวง
ผ่านเขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะของมันอย่างง่ายดาย ประหนึ่งว่าพวกมัน
กาลังแทรกซอนผ่านพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ก็มิปาน!
อะไร... ...อะไรกันนี่?
เส้นใยเศษแสงสีฟ้ามากมายเหลือคนา ยังคงตกใส่พ้ ืนอย่างต่อ เนื่ อง
ชั่วพริบตาเดียวก็เติบโตงอกงามเป็นต้นอ่อนสีฟ้าจานวนมหาศาล! แทบจะ
เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น เขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะของมันก็ปรุพรุนไป
ด้วยหลุมบ่อช่องโพรง!
ท่าไม้ตายสุดยอดของมันกลับพ่ายแพ้ในลักษณะนี้เอง... ...
ชั่วพริบตานั้น ติงเจิ้นสีหน้าเหม่อลอยงุนงง นับตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน มันก็
บรรลุ ถึ ง เขตแดนของตนเอง ขนานนามว่ า เขตแดนตะเกี ย งเพลิงพุทธะ
จากนั้ น ใช้ เ วลาอี ก ยี่ สิ บ กว่ า ปี เฝ้ า พากเพี ย รขั ด เกลาจนเข้ า ใกล้ ค วาม
เพียบพร้อมสมบูรณ์
เขตแดนของมันยิ่งกล้าแข็งมากขึ้น สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น มันเชื่อว่าต่อ
ให้เป็นซิวเจ่อด่านหยวนอิงเช่นกัน ก็ไม่ส ามารถเอาชนะเขตแดนตะเกียง
เพลิงพุทธะของมันได้!
แต่ทว่าเขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะในยามนี้ เต็มไปด้วยรู รั่วปุพรุ น
สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง เปลวเทียนสั่นไหว ในใจติ้งเจินพลันปรากฏวาจา
ประโยคหนึ่ง นั่นคือเปลวเทียนวูบไหวกลางสายลม พร้อมจะมอดดับลงได้
ทุกเมื่อ!
มันพลันแก่ชราลงอย่างกะทันหัน ผิวหนังเรียบตึงกลายเป็นเหี่ยวย่น
อย่างรวดเร็ว!
ความพากเพียรยี่สิบกว่าปีไร้คุณค่าความหมาย หัวใจของมันก็คล้าย
ตกตายไปพร้อมกัน
ความมืดเริ่มสลาย เปลวเทียนทยอยมอดดับลง การเปลี่ยนแปลงฝืน
ธรรมชาติล่าถอยออกไป ไม้เคาะในมื อขวาแตกกระจายเป็ น ชิ้น ๆ ปลา
ไม้มู่อวี๋ระเบิดเป็นสะเก็ดไม้เวียนว่อนทุกทิศทาง ร่วงกราวลงบนพื้น
ทันใดนั้นติง้ เจินจ้องเขม็งไปทางจั่วม่อ
สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายคลุ้มคลั่ง เส้นเอ็นเขียวปูดโปนเต้น
เร่าอยู่บนใบหน้าประดุจไส้เดือน ขู่ขวัญผู้คนจนแทบขวัญฝ่อตาย!
เป็นมัน! เป็นมันทาลายเขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะ!
จงหยูสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ร้องเตือนอย่างตื่นตระหนก
“ผิดท่าแล้ว! มันเสียสติไปแล้ว!”
เสียงร้องเตือนยังไม่ทันจะจบประโยค ติ้งเจินก็หายวับไปจากที่!
ปิงเย่าหลังจากทุ่มโจมตีสุดกาลัง สีห น้าเต็มไปด้วยความเหนื่ อ ยล้ า
แสนสาหัส ยามกะทันหัน ใบหน้าต้องเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แต่มันในตอนนี้
กระทั่งปลายนิ้วยังกระดิกไม่ได้!
จั่วม่อตอบสนองรวดเร็วที่สุด ก่อนที่จ งหยูจ ะร้องเตือน มันก็ค้นพบ
วิกฤติการณ์อยู่แล้ว สัญชาตญาณสั่งให้มันหลบเลี่ยงอย่างสุดชีวิต แต่แล้ว
จู่ ๆ พลันนึกถึงสองคนที่อยู่ด้านหลังมันขึ้นมาได้... ...
เหวยเสิ้งกับจงหยูยามนี้ไม่อาจประมือกับผู้คน อากุ่ยหลังจากลงมือ
กับสตรีหมอกครั้งก่อน ก็จมอยู่ในความเงียบงันมาโดยตลอด ส่วนบรรดา
เจ้าตัวเล็ก... ...
จั่ ว ม่ อ เลื อ ดลมฉี ด พล่ า นขึ้น ศี ร ษะ แทนที่ จ ะล่ า ถอย กลั บ สะอึ ก เข้า
รับหน้า!
ไม่ มี เ วลาจะแปลงพลัง เทพกลับ เป็ นพลัง ทั้ ง สาม มั น ไหนเลยจะมัว
กังวลสนใจกับเรื่องเช่นนี้ รีบเร่งเร้าพลังเทพในกาย ร่างดีดพุ่งสวนเข้าหา
ติง้ เจินในท่วงท่าอันแปลกประหลาด!
บทที่ 536 เหตุเปลี่ยนแปลงสุดคาดคิด!

พลังเทพทั้งร่างผนึ กรวมรั้งอยู่ในฝ่ามือข้างขวา ชั้นแสงสีทองจาง ๆ


ก่อตัวขึ้นเป็นชั้น ๆ ห่อหุ้มฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้
ชั่ ว พริ บ ตานี้ จ่ั ว ม่ อ บั ง เกิ ด ความรู้ สึ ก ว่ า มั น สามารถท าลายได้ ทุ ก สิ่ ง
หากแต่ความรู้สึกนี้ยามมารวดเร็วยิ่ง ยามจากไปยังรวดเร็วยิ่งกว่า
พลั ง มหาศาลที่ ไ ม่ คิ ด คื น กลั บ ของติ้ ง เจิ น ถาโถมเข้ า หามั น ในชั่ ว
พริบตา โดยไม่ออมรั้งยั้งมือแม้แต่น้อย อากาศผนึกแข็งตัว ความประหวั่น
พรั่นพรึงประดุจเชือกรัดคอจั่วม่อจนหายใจไม่ออก เวลาคล้ายหยุดนิ่งลง
ในเสี้ยววินาทีนี้ บนใบหน้าบิดเบี้ยวถมึงทึงของติ้งเจิน เห็นเส้นเลือดสีดา
เต้นเร่าอย่างแน่นขนัดราวกับใยแมงมุม รอยยิ้มดุร้ายกระหายเลือดเห็นได้
ชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด จั่วม่อสมองขาวว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ฝ่ามือตบฟาด
สวนเข้าหาติ้งเจินอย่างเกรี้ยวกราด
ตูม!
จั่วม่อรู้สึกราวกับถูกแรดคลุ้มคลั่งพุ่งชนสุดแรงเกิด สายตามืดทะมื่น
สติสัมปชัญญะดับวูบลงทันที ร่างปลิวลิ่วไปด้านหลังดุจ ว่าวสายป่านขาด
หายลับไปกับตาในม่านหมอกน้าแข็งหนาทึบ
“ตาย! เจ้าต้องตาย!” ติ้งเจินคลุ้มคลั่งฟั่ นเฟือน กลางแผ่นอกของมัน
เห็นรอยฝ่ามือสีทองประทับไว้อย่างเด่นชัด แต่มันคล้ายไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่
น้ อ ย พลั ง สภาวะกราดเกรี้ ย วทะลั ก ทลายไปทั่ ว วงต่ อ สู้ ติ้ ง เจิ น ผู้ เ สี ยสติ
ปล่อยให้พลังปราณของมันเดือดพล่านปั่ นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ที่ริมขอบเหว
แห่งความตาย มันปลดปล่อยพลังมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่ อ น
พลังที่พร้อมจะกวาดล้างทุกสิง่ ให้พินาศไปพร้อมกัน!
ทุกผู้คนเบิ่งตาจนแทบฉีกขาด มองร่างของจั่ วม่อหายลับไปในม่ า น
หมอกน้าแข็ง หากแต่พวกมันกลับไม่มีปัญญาขยับร่างได้ นกโง่เล็บจิกแน่น
กับพื้น ขนนกทั่วกายตั้งชันถึงที่สุด ร่างเกร็งจนสั่นสะท้าน พยายามลุกขึ้น
ยืนต้านทานแรงกดดันสุดเกรี้ยวกราดของติ้งเจิน นางจ้องมองทิศทางที่จ่ว

ม่อหายลับไป ตาไม่กะพริบ สองตาแดงฉานด้วยสายเลือด!
กระทั่ ง นกโง่ ผู้ เ ข้ ม แข็ ง ที่ สุ ด ในบรรดาเจ้ า ตั ว เล็ ก ทั้ ง หมด ยั ง ยากจะ
ต้านทานแรงกดดันอันบ้าคลั่งนี้ได้ ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงพวกที่เหลือแล้ว
ยกเว้นก็แต่อากุ่ย!
ชั่วพริบตาที่จ่ัวม่อหายลับไป อากุ่ยในดวงตาพลันสาดประกายสีม่วง
เจิดจรัส ดีดร่างพุ่งโถมตามจั่วม่อไปติด ๆ!
“ตาย!” ติ้งเจินตอบสนองทันควัน ตวาดอย่างคลุ้มคลั่ง โถมเข้าฟาด
ฝ่ามือใส่แผ่นหลังอากุ่ยอย่างถนัดถนี่
อากุ่ยคล้ายมองไม่เห็นมัน
เปรี้ยง!
ฝ่ามือติ้งเจินฟาดใส่กลางหลังอากุ่ยอย่างดุดันอามหิต อากุ่ยสะท้าน
ขึ้นทั้งร่าง แต่นางมิเพียงไม่หยุดชะงัก ยังหยิบยืมแรงฝ่ามือเพิ่มความเร็ว
ของนางขึ้นไปอีกขั้น!
อากุ่ ย ราวกั บ ลู ก ธนู ห ลุ ด ออกจากแล่ ง พุ่ ง หายลั บ ไปในม่ า นหมอก
น้าแข็ง
ติ้งเจินไม่ไล่ตามนางอีก เอาแต่แหงนหน้าหัวร่ออย่างเสียสติ! ทันใด
นั้นล าแสงเจิดจ้านับไม่ถ้วนพุ่งทะลวงออกมาจากภายในร่างกายของติ้ ง
เจิน ประดุจกระบี่ทองคาอันคมกล้า แทงทะลุท่ว
ั ร่าง!
ติ้งเจินร่างแข็งค้าง!
ลาแสงสีทองมากมายแทงออกมาจากทั่วร่าง ไม่ต่างจากเม่นทองคา
ตัวหนึ่ง
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นโลก กลุ่มแสงสีทองมหึมาสว่างไสวไปทั่วทะเล
เมฆราวกับตะวันยามเที่ยง!
ทุ ก ผู้ ค นในสายตาท่ ว มทั บ ด้ ว ยสี ข าว มองไม่ เ ห็ น สิ่ ง ใดอี ก คลื่ น
กระแทกอั น เกรี้ ย วกราดอาละวาดไปทั่ ว สี่ ทิ ศ แปดทาง การระเบิ ด ของ
หยวนอิงผู้หนึ่งอานุภาพร้ายกาจกว่าพลังของอาวุธเวทใด
ทุกคนในยามนี้เหมือนใบไม้ร่วงโลดลิ่วท่ามกลางพายุโหม ไม่มีปัญญา
ยืนหยัดมั่น ปลิวกระเด็นไปคนละทิศละทาง
รอจนกลุ่ ม แสงจางหาย ฝุ่ น ควั น กระจายไป พวกมั น ค่ อ ยกลั บ มา
มองเห็ น อี ก ครั้ ง สิ่ ง ที่ พ วกมั น พบเห็ น คื อ หลุ ม ลึ ก มหึ ม าที่ มี เ ส้ น ผ่ า น
ศูนย์กลางมากกว่ายี่สิบลี้หลุมหนึ่ง แสดงให้เห็นชัดตาว่าแรงระเบิดครั้งนี้
น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงไหน!
หลังจากตั้งสติได้ เรื่องแรกที่เหวยเสิ้งกับคนอื่น ๆ ทาก็คือค้นหาจั่วม่อ
กับอากุ่ยอย่างบ้าคลั่ง
มนุษย์หมอกแทบทั้งหมดฟื้ นสภาพอย่างรวดเร็ว เคราะห์ดีที่ก่อนเริม

การต่ อ สู้ ปิ ง เย่ า สั่ ง ให้ พ วกมั น ล่ า ถอยออกไปให้ ห มด ดั ง นั้ น แต่ ล ะคนรั บ
บาดเจ็บไม่มากนัก เมื่อเทียบกับพวกปิงเย่า เหวยเสิ้งที่เข้าปะทะหักหาญ
โดยตรง เวลานี้อาศัยนักรบมนุษย์ห มอกเหล่านี้เองเหินทะยานไปทั่ ว ม่าน
หมอกน้าแข็ง ติดตามค้นหาจั่วม่อกับอากุ่ยอย่างเอาเป็นเอาตาย

สร้ อ ยประค าบนข้ อ มื อ ของเปี๋ ยหานพลั น สว่ า งวาบ มั น แตะสร้ อ ย


ประคาอย่างไร้อารมณ์ ปรากฏสุ้มเสียงหนึ่งดังเข้าไปในโสตประสาท
“เปลวเทียนของติ้งเจินในหอนักบวชมอดดับแล้ว”
สุ้มเสียงของผู้ส่งสารฟังห่างเหิน ปราศจากความรู้สึก หลังจากรับฟัง
ก็มีแต่ความเงียบสงัดเท่านั้น เปี๋ ยหานคล้ายเพิ่งรับฟังเรื่องราวที่ไม่ มีส่วน
เกี่ยวข้องกับมัน สีหน้าสงบราบเรียบ ไม่บังเกิดระลอกอารมณ์แม้แต่น้อย
เห็นบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกของวัด เสวียนคงจ านวนมาก นอนจมกอง
เลือดอยู่ข้างเท้ามัน
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเบื้องหน้าส่องประกายวูบวาบไม่ห ยุดยั้ง สะท้อน
ประกายน่าขนพองสยองเกล้าอยู่ในแอ่งเลือดที่เนืองนองท่วมพื้น
ชั่วไม่กี่อึดใจให้หลัง ร่างสูงใหญ่กายาร่างหนึ่งก้าวออกมาจากค่ายกล
เคลื่อนย้าย
ผู้มาพอพบเห็นเปี๋ ยหาน สีหน้าทอแววลิงโลดยินดีสุดระงับ โถมเข้าหา
ทันที “เตี้ยนเซี่ย!19”
หากจั่วม่อเห็นภาพนี้ มันจะต้องแตกตื่นตะลึงลาน และจดจ าคนผู้นี้
ได้ทันที ...ฟู่ฟง! บุคคลลึกลับที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวในอาณาจั ก รนภาจั น ทร์
เคยเข้าร่วมประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู ทั้งยังเคยพบพานกันอีก
ครั้งที่เกาะแมกไม้รกร้าง ฟู่ฟงผู้ไม่เคยมีใครทราบประวัติความเป็นมาผู้นี้
ยั ง เคยใช้ ข่ า วสารเรื่ องส านั ก กระบี่ สุ ญ ตาโยกย้ า ยไปยั ง อาณาจั ก รคลื่ น
เรืองรอง แลกกับตาแหน่งของดินแดนลับจากจั่วม่อ
“บริวารได้ยิน ว่ ามี ด าวพร่ างกลางทิ วาปรากฏขึ้ นในอาณาจัก รนภา
จันทร์ คาดเดาว่าอาจเป็นเตี้ยนเซี่ย จึงเฝ้าติดตามอยู่นาน บริวารนึกไม่ถึง
จริง ๆ ว่าเตี้ยนเซี่ยที่แท้อยู่ในวัดเสวียนคง!” ฟู่ฟงพยายามระงับอารมณ์
อย่ า งสุ ด ความสามารถ แต่ ยั ง คงสั ม ผั ส ได้ ถึ ง ความตื่ นเต้ น ยิ น ดี อ ย่ า งล้ น
เหลือ!
“ล าบากเจ้ า มากแล้ว ” เปี๋ ยหานดวงตาทอแววตื้นตั นระคนตื่นเต้น
ยินดีแวบหนึ่ง จากนั้นหายวับไป กลับคืนสู่ความยะเยียบเย็นชาเช่นเคย
“เตี้ยนเซี่ยอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยรับไว้ไม่ได้ ... ผู้น้อยรับไว้ไม่ได้
จริง ๆ ...” ฟู่ฟงผู้เป็นบุรุษร่างใหญ่โต ถึงกับไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ใด

19
ใช้เป็นคาเรียกเจ้าชายเจ้าหญิง
“อย่าเข้ามาใกล้ข้า บนร่างข้าเต็มไปด้ วยอาคมหวงห้า ม” เปี๋ ยหาน
กล่าวอย่างเฉยเมย ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตน “เราต้องรีบกลับไปโดยเร็ว
ที่สุด พวกมันจะล่วงรู้เรื่องการหลบหนีของข้าในไม่ช้า”
“เหล่ าโจรหั วโล้น ที่ส มควรตาย!” ฟู่ฟงดวงตาสาดประกายอามหิ ต
อย่างเปี่ ยมล้น จากนั้นรีบกล่าวอย่างหนัก แน่นกั บ เปี๋ ยหาน “เตี้ยนเซี่ย มิ
ต้ อ งกั ง วล ทุ ก ประการล้ ว นจั ด เตรี ย มไว้ พ ร้ อ มสรรพ! เราจะกลั บ บ้ า น
โดยเร็ว ขอเพียงกลับถึงบ้ าน อาคมหวงห้ามของวัด เสวียนคงไม่นั บ เป็ น
อะไรได้!”
ฟู่ฟงสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความทระนงถือดี
เปี๋ ยหานหันไปมองกองพันบาปเคราะห์ที่ด้านหลังมัน
“เตี้ยนเซี่ย เหล่านี้คือ... ...” ฟู่ฟงงุนงงเล็กน้อย
“กองพันบาปเคราะห์” เปี๋ ยหานตอบอย่างไร้อารมณ์
ฟู่ฟงดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองกองพันที่เงียบงันดุจไร้ชีวิตอย่างไม่เชื่อ
สายตา
“ข้าจะพาพวกเจ้ากลั บ บ้าน” เปี๋ ยหานกล่าวเบา ๆ กับกองพัน ที่ ไ ม่
เคยเอ่ยวาจานี้

“ว่ากระไร! เปี๋ ยหานนากองพันบาปเคราะห์หายตัวไป?” เสียงเข้มดัง


ออกมาจากหลังม่าน ต่อให้เป็นคนที่โง่งมที่สุด ยังฟังออกถึงโทสะอันเย็น
เยียบในสุ้มเสียงของเจ้าอาวาส
ศิษย์ผู้นาเรื่องมารายงานเขม็งตึง เครียดจนเนื้อตั วสั่นเทา แต่ยังคง
บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดตามความสัตย์
มันบ่งบอกบรรยายถึงสภาพการตายของบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกผู้เฝ้า
คุ้ ม กั น ค่ า ยกลเคลื่อนย้ า ย เล่ า ถึ ง การใช้ ทุก วิ ถีท างติด ต่อ กั บ เปี๋ ยหาน แต่
ไม่ได้รับการตอบสนอง ทั้งยังไม่สามารถค้นหาร่องรอยของเปี๋ ยหานพบ
เจ้าอาวาสที่หลังม่านนิ่งเงียบงันไปนาน
ภายใต้ความเงียบสงัดดุจป่าช้านี้ อากาศคล้ายผนึกแข็งตัว แทบจะรัด
คอศิษย์ผู้นั้นจนหายใจหายคอไม่ออก
ทันใดนั้นเจ้าอาวาสวัดเสวียนคงกล่าวว่า “แล้วอาคมหวงห้ามเล่ า ?
มิใช่ว่ามีอาคมหวงห้ามอยู่บนร่างมันหรอกหรือ?”
“อาคมหวงห้ามก็ไม่ตอบสนองขอรับ” ศิษย์ผู้นั้นหมอบราบกับพื้น
“ข้ า ทราบแล้ ว เจ้ า ไปได้ ” เจ้ า อาวาสวั ด เสวี ย นคงสุ้ ม เสี ย งสงบ
ราบเรี ย บลงอี ก ครั้ ง บรรยากาศหนั ก หน่ ว งในห้ อ งกลั บ เป็ น ปลอดโปร่ ง
ตามเดิม
ศิษย์ผู้นั้นลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โขกศีรษะคานับเสร็จก็รีบร้อน
จากไป รอจนออกมาจากวิหารใหญ่ มันค่อยพบว่าแผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วย
เหงื่อเย็น
ภายในวิหาร
“ตรวจสอบตั ว ตนของเปี๋ ยหานอย่ า งละเอี ย ดอี ก ครั้ ง ” เจ้ า อาวาส
กล่าวอย่างกะทันหัน คล้ายกล่าวลอย ๆ กับอากาศธาตุ
“ทราบแล้ว!” มีเสียงตอบรับดังออกมาจากความว่างเปล่า
เหวยเสิ้งกับพวกมีสีหน้าน่ากลัวยิ่ง
หลังจากค้นหาต่อเนื่องถึงสิบวันเต็ม พวกมันก็ยังไม่พบพานจั่วม่อกับ
อากุ่ย เผ่ามนุษย์หมอกทั้งเผ่าถูกส่งออกไปค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดิน ทุก
ตารางนิ้ว แต่ไม่มีร่องรอยใดแม้แต่น้อย จั่วม่อกับอากุ่ยคล้ายเลือนหายไป
ในอากาศธาตุเสียเฉย ๆ
ปิงเย่าสีห น้าไม่สู้ดี มันยังไม่ทุเลาหายดีจ ากการต่อสู้แลกชีวิต กับติ้ง
เจิน
เห็นหน้าปิงเย่า เหวยเสิ้งกัดฟันถาม “มีข่าวหรือไม่?” จงหยูกับเหล่า
เจ้ า ตั ว เล็ ก เงยหน้ า ขึ้ น มองเป็ น ตาเดี ย ว พวกมั น ก็ ยั ง ไม่ ทุ เ ลาจากอาการ
บาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นภายในหมอกน้าแข็ง พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหว
ได้สะดวกดายเหมือนชนเผ่ามนุษย์หมอก ปิงเย่าจึงให้พวกมันพักรักษาตัว
ไม่ยินยอมให้ออกไปติดตามหาจั่วม่อด้วย
ปิงเย่าฝืนยิ้มขื่น สั่นศีรษะเบา ๆ หลังจากนิ่งเงียบงันอยู่ชั่วครู่ พลัน
กล่าวอย่างกะทันหัน “คนในเผ่าของข้าแทบจะพลิกทะเลเมฆค้นหาในรัศมี
หนึ่งพันลี้แล้ว ยังคงไม่มีร่องรอยใด เกรงว่า... ...”
“เกรงว่าอันใด?” เหวยเสิ้งเขม้นมอง
“เกรงว่าพวกมันอาจหลุดเข้าไปในแดนต้องห้าม!” ปิงเย่ากัดฟันกล่าว
ออกมา “ว่ากันตามเหตุผล พวกมันสมควรไม่ได้ลอยไปไกลนัก ภายในรัศมี
หนึ่งพันลี้ หลงเหลือเพียงพื้นที่เดียวที่ยังไม่ได้ค้นหา นั่นคือแดนต้องห้าม!”
เหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู หั ว ใจดิ่ ง วู บ พวกมั น จดจ าได้ มั่ น ว่ า ปิ ง เย่ า ถึ ง กั บ
ยินยอมสละชีวิตทั้งชนเผ่า เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนล่วงล้าเข้าสู่แดนต้องห้าม
แล้วหากจั่วม่ออยู่ในนัน
้ จริง... ...
ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นนิ่ง เงีย บงันไปพร้อ มกัน บรรยากาศตึงเครี ย ด
ชวนอึดอัดใจทวีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ยังไม่ทันที่ท้งั สองฝ่ายจะเข้าสู่สภาพเลวร้ายไปกว่านั้น พลันบังเกิด
เสียงเอะอะดังเข้ามาจากหน้าประตู
มนุษย์หมอกผู้หนึ่งนาบุรุษแปลกหน้าอายุราวสามสิบกว่าปีเข้ามาใน
ห้ อ ง พลางกล่ า ว “ท่ า นหั ว หน้ า เผ่ า มั น อ้ า งว่ า เป็ น ผู้ ส่ งข่ า วจากจั่ ว เซียน
เซิง”
เหวยเสิ้งกับจงหยูผุดลุกขึ้นทันควัน เหวยเสิ้งดวงตาสาดประกายคม
กล้า กล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าเป็นใคร? ไฉนข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน?”
พลังสภาวะของเหวยเสิ้งแหลมคมดุจกระบี่ แม้ว่าอาการบาดเจ็ บยัง
ไม่ทุเลาหายดี แรงกดดันของมันก็ยังเห็นได้ชัดว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตที่
ผู้ อ่ ื นจะทนทานรั บ ไหว เห็ น ใบหน้ า ซี ด เผื อ ดของคนผู้ นั้ น เหวยเสิ้ ง ค่ อ ย
รู้สึกตัวว่าร้อนรนเกินไป รีบดึงรั้งพลังสภาวะกลับคืนในบัดดล
ผู้มาสีห น้าค่อยดีขึ้นเล็กน้อย แต่สุ้มเสียงยังสั่นสะท้าน “ผู้น้อย... ...
ผู้น้อยเป็นสหายรักของคังเต๋อ หลายวัน ... ...เมื่อหลายวันก่อน ข้าได้รั บ
ข่าวเร่งด่วนจากคังเต๋อ ขอร้องให้ข้ารีบมาที่นี่... ...เพื่อส่งข่าวให้แก่พวก
ท่าน!”
จากนัน
้ ใช้มือที่สน
ั่ ระริกล้วงม้วนหยกออกมา ยื่นส่งให้อย่างนอบน้อม
คังเต๋อ? มันมิใช่ว่าใช้ยันต์เคลื่อนย้ายกลับคืนไปถึงเกาะเต่าแล้วหรอก
หรือ?
เหวยเสิ้งรับ ม้ว นหยกมาอ่ านทัน ที สีห น้ากลับกลายเป็นงุ นงงสงสั ย
จากนั้นยื่นส่งม้วนหยกให้จงหยูด้วยสีหน้าแปลกพิกล จงหยูพอใช้จิตสานึก
วาดผ่านม้วนหยก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดเช่นเดียวกัน
“ให้เจ้ากระทาเถอะ วิชาภาพมายาของเจ้าดีกว่า ข้า” เหวยเสิ้งฝืนยิ้ม
พลางกล่าวกับจงหยู
จงหยูพยักหน้ารับคา พลิกฝ่ามือวูบ ข่าวสารในม้วนหยกพลันปรากฏ
ภาพขึ้นเบื้องหน้าทุกผู้คน
ผู้ที่ส่งข่าวมาคือแม่นางน้อย แม่นางน้อยบอกกล่าวอย่างชัดแจ้งว่ามัน
ได้ รั บ ข่ า วจากจั่ ว ม่ อ บอกว่ า ตั ว มั น กั บ อากุ่ ย ยั ง สบายดี แต่ พ วกมั น ไม่
สามารถกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งยังกาชับให้เหวยเสิ้งกับจงหยูไม่
ต้องกังวล ก่อนอื่นให้รีบกลับไปยังเกาะเต่าเพื่อรักษาตัว
ทุกผู้คนถอนหายใจอย่างโล่งอกแทบเป็นเสียงเดียวกัน
เห็นสีหน้าแช่มชื่นและโล่งอกของปิงเย่า เหวยเสิ้งหันไปประสานมือ
คานับอย่างขออภัย กล่าวว่ า “เมื่อครู่เป็นข้าใจร้อนเกิน ไป ล่วงเกินท่า น
หัวหน้าเผ่ามากแล้ว ท่านหัวหน้าเผ่าโปรดอย่าได้ถือสา!”
หลายวั น มานี้ พวกมั น เฝ้ า ดู ม นุษย์ ห มอกทุ ก คนพากั นออกไปค้นหา
จั่ ว ม่ อ อย่ า งไม่ รู้ จั ก เหน็ ด เหนื่ อย รู้ สึ ก ซาบซึ้ ง ตื้ นตั น จนยากจะบ่ ง บอก
บรรยาย แต่เมื่อครู่นี้พวกมันแทบจะเปิ ดฉากขัดแย้งกับปิงเย่าเพราะเรื่อง
แดนต้องห้ามเสียแล้ว
ปิ ง เย่ า กล่ า วอย่ า งรู้ สึ ก ผิ ด ว่ า “ผู้ ที่ ส มควรขออภั ย สมควรเป็ น ข้ า
มากกว่า ข้าไม่อาจดูแลจั่วเสี่ยวเกอให้ดี นับว่าละอายใจมากแล้ว!”
ในที่สุดได้รับข่าวสารจากเกาะเต่า เหวยเสิ้งกับจงหยูค่อยคลายใจลง
ข่าวสารนี้จริงแท้แน่นอน ตอนที่คังเต๋อแยกจากไปยังไม่เคยพบพานมนุษย์
หมอก หากมิใช่จ่ว
ั ม่อชี้ทางให้โดยละเอียด สหายของคังเต๋อผู้นี้ไหนเลยจะ
ค้นหาสถานที่ลึกลับนี้พบ?
แม้ว่าเนื้อความในม้วนหยกเพียงกล่าวอย่างรวบรัดตัดความและไม่
ชัดเจนนัก เหวยเสิ้งกับจงหยูก็ไม่ไปคิดมาก พวกมันเคยชินกับการที่จ่ัวม่อ
จะไม่อยู่ในสามัญสานึกทั่วไปอยู่แล้ว
จั่วม่อในเมื่อยังสามารถส่งข่าวสารกลับมาได้ ก็เพียงพอจะแสดงให้
เห็นว่าในยามนี้มันยังไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
ข่าวนี้ทาให้พวกมันเบิกบานใจเป็นที่สุด

แต่ ห ากเหวยเสิ้ ง กั บ จงหยู ท ราบสถานการณ์ ข องจั่ ว ม่ อ ในยามนี้


รับรองว่าพวกมันจะต้องวิตกกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่
ฝ่ามือนั้นของติ้งเจินฟาดจนจั่วมือกระดูกแทบหลุดเป็นชิ้น ๆ ทุกครั้ง
ที่อากุ่ยก้าวเท้าไปข้างหน้า มันก็รู้สึกกระแสความเจ็บปวดรุ นแรงจนแทบ
ขาดใจตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่มันไม่ยอมส่งเสียงแม้สักครึ่งคา สิบวันมานี้
มันได้แต่ถูกอากุ่ยแบกไว้บนแผ่นหลัง
สภาพของอากุ่ยก็เลวร้ายยิ่ง ประกายชีวิตในดวงตานางเลือนหายไป
หมดสิ้ น ไม่ ว่ า จั่ ว ม่ อ จะพยายามพู ด คุ ย กั บ นางสั ก เท่ า ใด นางก็ ไ ม่ เ คย
ตอบสนองสักครัง้
มีเพียงยามที่พวกมันเผชิญอัน ตราย แสงสีม่วงในดวงตาอากุ่ยจึงลุก
โชนขึ้นอีกครั้ง
อากุ่ยหยุดเดิน วางจั่วม่อลง จากนั้นนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบงัน
“อากุ่ย เจ้ารู้หรือไม่ ว่า นี่เ ป็น ที่ ใ ด?” จั่วม่อกล่าวราวร าพึ งร าพั น กั บ
ตัวเอง มันทราบดีว่าอากุ่ยจะไม่ตอบคา แต่ยังคงถามนางอย่างอดไม่ได้
ไม่ใช่แค่ มันคนเดียวที่ไม่รู้ ผูเยาก็ไม่รู้ เว่ยเองก็ไม่รู้เช่นกัน มันเพียง
ล่ ว งรู้ ว่ า อากุ่ ย ติด ตามมาช่ ว ยมั นเอาไว้ ตามที่ ผู เ ยาเล่า มา อากุ่ ย ยิ นยอม
รับติ้งเจินหนึ่งฝ่ามือ เพียงเพื่อติดตามมาคุ้มครองมัน
น่าประหลาด ฝ่ามือปลิดชีพของติง้ เจินแม้ทาร้ายอากุ่ยสาหัส แต่กลับ
กระตุ้ นพลังงานสีม่วงในร่างนางขึ้นมาด้วย พลังเทพมฤตยูขุมนี้ยิ่งมายิ่ง
กล้าแข็งกว่าเดิม แต่จ่ัวม่อไม่ต้องการให้พลังสีม่วงกล้าแข็งไปกว่านี้อีก นึก
ถึงความรู้สึกเย็นเยียบและสิ้นหวังจากพลังสีม่วง จั่วม่อรู้สึกไร้รสชาติยิ่ง
แต่หากเทียบกับอากุ่ย สภาพของจั่วม่อยังเลวร้ายกว่ามาก
พลังเทพของมันหายไป ส่วนพลังปราณ พลังจิตสานึกและพลังสังขาร
ผสมปนเปอย่างยุ่งเหยิง มันไม่มีปัญญาใช้พลังใดได้เลย และที่เลวร้ายยิ่ง
ไปกว่านั้น มันกระทั่งขยับนิ้วยังทาไม่ได้ สิ่งเดียวที่พอจะกระทาได้คือกล่าว
วาจา เมื่ อใดก็ ต ามที่ ก ระแสพลั ง ในร่ า งเกิ ด กระทบกระแทกกั น เอง จะ
ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ผูเยากับเว่ยก็ไม่มีห นทางใด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมัน พบเห็น สภาพ
แปลกพิสดารถึงปานนี้
“อ๊า ข้าอยากรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กับจงหยูได้รับข่าวจากข้าแล้วหรือยัง ?”
จั่วม่อบ่นพึมพา จากนั้นซักไซ้ “เฮ้ ผูเยา เจ้าส่งข่าวไปแล้วจริง ๆ หรือไม่?”
“เลิกเซ้าซี้เสียที เจ้าถามเช่นนี้มายี่สิบครั้งแล้ว!” สุ้มเสียงสุดทนของผู
เยาดังก้องออกมาจากทะเลแห่งจิตสานึกของมัน
ก่อกวนจนพอใจ จั่วม่อโยนผูเยาไปด้านข้าง หันกลับมากล่าวกับอากุ่ย
“อากุ่ย พลังของเจ้าดูเหมือนจะฟื้นคืนมาแล้ว ช่างแปลกประหลาดนัก การ
ได้รับบาดเจ็บกลับช่วยให้เจ้าฟื้นฟูพลังฝีมือ อากุ่ย หากเราค้นพบตัวอ่อน
เมฆวารี เจ้าจะจดจาอดีตได้หรือไม่?”
อากุ่ยเป็นเหมือนหุ่นไม้ ยังคงไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
จั่วม่อยังคงพล่ามไม่หยุด “เจ้าว่าพวกเราที่แท้มีความสัมพันธ์ใด? เจ้า
คอยช่วยเหลือข้ามากมาย คงไม่ใช่ความสัมพันธ์ท่ว
ั ไปกระมัง?”
จั่วม่อกล่าวเรื่อยเปื่ อยกับตนเองต่อไป ส่วนอากุ่ยยังคงนิ่งงันดุจรูปปั้ น
สองชั่วยามให้หลัง อากุ่ยแบกจั่วม่อขึ้นหลัง จากนั้นเริ่มเดินต่ออีกครั้ง
“อากุ่ย เจ้าไฉนไม่เหินบิน ? ใช่ห ลงลืมไปหรือไม่ ?” บนหลังของนาง
จั่วม่อเริ่มพร่ากล่าววาจาอีกครั้ง “พลังงานสีม่วงโง่เง่านั้น รอจนข้าฝึกปรือ
พลังเทพสุริยันถึงขั้นสูงส่งสุดยอด จะกาจัดมันให้สิ้นซาก!”
อากุ่ ย ยั ง คงตั้ ง หน้ า ตั้ ง ตาเดิ น ตรงไปข้ า งหน้ า ที ล ะก้ า ว ๆ หาได้ มี
ปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อยนิดไม่
ที่นี่เป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าแห่งความตาย มีเพียงโขดหินและหน้า
ผาแผ่กว้างไกลอย่างไร้จุดจบ ไม่มีร่องรอยของชีวิต บ่อยครั้งที่พวกมันต้อง
เผชิญกับพายุทราย เมื่อเม็ดทรายก้อนหินถูกสายลมหอบมาปะทะร่าง เป็น
ความเจ็บปวดมหาศาลจนแทบกลั้นใจตาย
แต่ไม่ว่าลมพายุจะรุ นแรงสักเท่าใด อากุ่ยก็ไม่เคยเปลี่ยนทิศทางหรือ
หยุดเดิน
ร่างเล็ก ๆ แบบบางของนางแบกจั่วม่อที่กายาล่าสันไว้บนแผ่นหลั ง
ก้าวเดินต้านพายุทรายอย่างทรหด นางดูเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่
เอ่ยวาจา มีเพียงยามที่นางเดินทางติดต่อกันถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วเท่านั้น
จึงจะหยุดพักผ่อนเป็นเวลาสองชั่วยาม
จั่ ว ม่ อ เมื่ อ ถู ก แบกขึ้ น หลั ง ใบหน้ า ก็ ซ บติ ด อยู่ กั บ ซอกคอของอากุ่ ย
ความเจ็บปวดมหาศาลจนแทบอยากตายดูคล้ายไม่เจ็บปวดมากถึง เพียง
นั้นแล้ว และไม่ว่าจะเจ็บปวดมากเท่าใด จั่วม่อก็ไม่เคยปริปากแม้สักครึ่ง
คา ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันไม่อยากให้อ ากุ่ยได้ยินเสียงโอดครวญเพราะ
ความเจ็บปวด แม้ว่าจะทราบดีว่าอากุ่ยไม่ได้ยินก็ตาม
แม้แต่คนที่โง่เง่าที่สุด ยังดูออกว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่า งมัน
กับอากุ่ยนั้นสมควรลึกซึ้งผิดธรรมดา บางทีนางอาจเป็นคนใกล้ชิดกั บมัน
จริง ๆ
ยามที่นางไม่ได้ใช้พลังงานสีม่วง ความแข็งแรงของอากุ่ยแทบไม่ต่าง
จากคนธรรมดา
แต่ล ะก้าวของนางหนักอึ้งยิ่ง ส าหรับนางไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแบกรับ
น้าหนักจากร่างสังขารปิศาจอันกายาของจั่วม่อ
“อากุ่ย ข้าจะเล่าเรื่องขาขันให้เจ้าฟัง เรื่องนี้น่าหัวร่อยิง่ ... ...”
จั่วม่อไม่เคยราคาญที่จะพูดคุยกับอากุ่ย แม้ว่านางจะไม่ได้ยิน แต่ไม่
ทราบเพราะเหตุ ใ ด จั่ ว ม่ อ ยั ง คงปรารถนาจะพู ด คุ ย กั บ นางให้ ม ากที่ สุ ด
เท่าที่จะทาได้
บทที่ 537 เมืองเศษหิน

หลายวันมานี้ปิงเย่าหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา การหายสาบสูญ
ไปของจั่วม่อเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้
มันค้อมคารวะหลันอย่างนอบน้อม หลังจากได้รับการเซ่นสรวงบู ชา
จากบรรดามนุษย์หมอกอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งเดือน พลังของหลันกาลัง
ค่อย ๆ ฟื้ นฟูขึ้นทีล ะน้อย หลันยังได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกปรือพลังเทพ
หมอกน้ า แข็ ง ที่ ส าบสู ญ ไปนานปี ใ ห้ แ ก่ เ หล่ า มนุ ษ ย์ ห มอกอี ก ด้ ว ย พลั ง
อานาจของเผ่ามนุษย์ห มอกเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ใน
หัวใจพวกมันมานานนับหมื่นปีถูกปัดเป่าออกไปสิ้น ทุกผู้คนในเผ่ามนุษย์
หมอกล้วนเทิดทูนบูชาหลันจากใจจริง
“เจ้ามีคาถามกระมัง ?” เสียงแผ่วเบาทว่าทรงอานาจของหลันดังขึ้น
ในใจปิงเย่าโดยตรง
“หลัน แดนต้องห้ ามคือสิ่งใดกันแน่?” ปิงเย่าเงยหน้าขึ้น ถามอย่าง
ตรงไปตรงมา
หลันคิดไม่ถึงว่าปิงเย่าจะถามเรื่องนี้ อดนิง่ เงียบงันไปไม่ได้
“นับตั้งแต่ที่เราโยกย้ายมายังสถานที่แห่งนี้ พวกเราก็เฝ้าพิทักษ์แดน
ต้องห้ามมานานหลายหมื่นปี ไม่เคยมีใครเข้าใจว่าแดนต้องห้ามคืออะไร
หรือไฉนพวกเราต้องเฝ้าพิทักษ์มัน” ปิงเย่ากล่าวด้วยสุ้มเสียงไม่เร็วไม่ช้า
ไม่ต่ น
ื เต้นกังวลใจ เพียงแต่เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
อึดใจใหญ่ให้หลัง หลันค่อยกล่าวช้า ๆ “ยังไม่ถึงเวลา”
“แต่วัดเสวียนคงระแคะระคายถึงสถานที่นั้นแล้ว พวกมันมีเป้าหมาย
ที่แน่ชัด หรือไม่บางทีพ วกมันก็อาจจะล่วงรู้เรื่องราวบางประการ” ปิงเย่า
กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม
“จงแข็ ง แกร่ ง ให้ เ ร็ ว ที่ สุด เท่ า ที่ จ ะเป็ นไปได้ ” เสี ย งถอนหายใจของ
หลันสะท้อนสะท้านไปในอากาศ
รอบด้านจมลงไปในความเงียบสงัด ไม่ว่าปิงเย่าจะส่งเสียงเรียกเท่าใด
หลันก็ไม่ยอมตอบคา
ปิงเย่าดวงตาทอแววผิดหวัง แต่มันก็ไม่ไปซักไซ้อีก ส าหรับมัน หรือ
อาจกล่าวได้ว่าส าหรับพวกมันเผ่ามนุษย์ห มอกส่วนใหญ่ การเฝ้าพิทัก ษ์
ไม่ ใ ห้ ผู้ ใ ดล่ ว งล้า แดนต้อ งห้ า มเป็ น ธรรมเนี ยมปฏิบั ติ ที่ พวกมั นยึ ด มั่นมา
นานนับพันนับหมื่นปี หากมิใช่ว่าจั่วม่ออาจติดอยู่ในแดนต้องห้าม ปิงเย่า
อาจไม่ฉุกคิ ดสงสัยในปัญหาเรื่องนี้ หากเป็นติ้งเจินล่วงล้าเข้าไปในแดน
ต้องห้ามจริง ๆ พวกมันจะไม่ไล่ติดตามเข้าไปเป็นอันขาด
เบาะแสทั้งหมดล้วนบ่งชี้ไปยังความจริงประการหนึ่ง นั่นคือในแดน
ต้องห้ามเก็บงาความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้
กระทั่งตัวตนอันทรงพลังเช่นวัดเสวียนคงยังปรารถนาในความลับนี้
เช่นนั้นสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ภายในแดนต้องห้าม? เมื่อสามารถขึ้นเป็นผู้นาชน
เผ่ า ปิ ง เย่ า ย่ อ มต้ อ งมี ฝี มื อ และความเฉลี ยวฉลาดอยู่ บ้ า ง หลั น แม้ ส งวน
ถ้อยคามาก แต่มันยังคงจับเงื่อนงาจานวนมากได้จากวาจาสั้น ๆ เหล่านั้น
คิดเข้าสู่แดนต้องห้าม พวกมันยังไม่แข็งแกร่งพอ... ...
ปิ ง เย่ า ขณะเดิ น ออกจากแท่ น บู ช า สายตาของมั น ค่ อ ย ๆ เปล่ ง
ประกายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

พวกมันยังคงก้าวเดินตรงไปเบื้องหน้าตลอดทั้งวันทั้งคืน
จั่วม่อกล้าสบถสาบานว่าชั่วชีวิตนี้มันอาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง
ที่จะได้เดินเป็นระยะทางยาวไกล ไม่ถูกต้อง ที่มัน จะถูกแบกเดินทางเป็น
ระยะทางยาวไกลถึ ง เพี ย งนี้ อี ก ร่ า งกายของอากุ่ ย แทบจะพั ง ทลายลง
เมื่อใดก็ได้ แต่นางดูเหมือนเปี่ ยมไปด้วยเรี่ยวแรงกาลังอย่างน่าประหลาด
ใจ หนึ่งวัน หนึ่งคืน แล้วพักสองชั่วยาม จากนั้นเดินต่ออีกหนึ่งวันหนึ่ งคืน
นางคล้ายเครื่องจักรกลไกที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
จั่วม่อยิ่งมายิ่งปากมาก พูดพล่ามไม่หยุดหย่อน หากเป็นในกาลก่อน
มันต้องไม่เคยคิดฝันว่าจะมีวันที่มันต้องกล่าววาจามากมายถึงเพียงนี้
ถูกแบกอยู่บนหลังอากุ่ย สองเท้าเปล่าคู่ที่เคยทาให้มันต้องทอดถอน
ชมเชยนับครั้งไม่ถ้วน ค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว ๆ แต่ละก้าวล้วนเต็มฝืนและ
สั่นระริก มันสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน อากุ่ยก้าวไปหนึ่งก้าว จั่วม่อก็ใจ
สั่นสะท้านเฮือกหนึ่ง ความรู้สึกที่ยากจะบ่งบอกบรรยายแผ่ซ่านขึ้นมาจาก
ก้นบึ้งหัวใจ บีบคั้นจนมันคิดใคร่หุบปากให้สนิท แต่มันทราบดีว่าตนเองไม่
สามารถหุบปากเงียบได้ มันได้แต่พร่าบอกตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไร มันต้อง
กระทาอะไรบางอย่าง
แต่ น อกจากวาจาเหลวไหลไร้ ส าระเหล่ า นี้ แ ล้ ว มั น ก็ ไ ม่ มี ปั ญ ญา
กระทาอะไรได้อีก
ไม่เคยมีเวลาใดที่จ่ัวม่อจะมุ่งหวังและสวดภาวนามากมายถึงเพี ยงนี้
เพียงขอแค่ให้มันใช้พลังเทพที่พลุ่งพล่านปั่ นป่วนอยู่ในร่าง เพื่อแลกกับ
พลั ง ปราณสัก เล็กน้ อย ขอแค่ มี พ ลั งปราณสัก เล็ก น้อย... มั น จะสามารถ
สร้างนกกระเรียนกระดาษได้
ทว่าไม่มีเลยแม้แต่น้อยนิดจริง ๆ
“อา อากุ่ย ข้าเพิ่งค้นพบว่าเจ้าที่แท้ไร้เทียมทานมิใช่หรือ เจ้ายิ่งต่อสู้
มากเท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น และยิ่งเจ้าได้รับบาดเจ็บมากเท่าใด ก็
ยิ่งได้รับพลังมากเท่านั้น” จั่วม่อกล่าวอย่างไร้หัวใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าใช่ปิด
ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้หรือไม่ ? ข้ามักประหลาดใจอยู่เสมอ เจ้าไฉนดี
ต่อข้าถึงเพียงนี้ ? มิใช่ว่าในอดีตเจ้าเป็นหนี้จิงสือข้าใช่ห รือไม่ ? เฮ้ หรือว่า
เจ้าเป็นหนี้จิงสือข้าจริง ๆ... ...”
“สถานที่ ผี ส างที่ ก ระทั่ ง นกสัก ตัว ยั ง ไม่ ย อมถ่า ยนี้ พวกเราใช่ ม าถึ ง
สนามรบโบราณอีกแห่งหรื อไม่? ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ นั่นเป็นความประมาท
ของข้าเอง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! อากุ่ย เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลยจริง ๆ
... ...”
“พวกเราเดินมาตั้งยี่สิบวันแล้ว กระทั่งหญ้าสักต้นยังไม่เคยเห็น ช่าง
น่าสลดใจนัก... ...”
ด้วยการมีเสียงพร่าของจั่วม่อเป็นเพื่อน พวกมันเดินต่อไปอีกสิบวัน
เมื่อจั่วม่อมองเห็นร่องรอยสีเขียวที่เส้นขอบฟ้า พลันลิงโลดยินดีราว
กับถูกฉีดด้วยเลือดไก่
“อากุ่ย อากุ่ย! ดูนั่น! ดูนั่นสิ! นั่น ที่นั่น! โอ้ สวรรค์ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกเรา
รอดแล้ว! พวกเรารอดแล้ว! อากุ่ย! เจ้าเห็นหรือไม่? เจ้าเห็นหรือไม่?”
จั่วม่อตื่นเต้นยินดีสุดขีด ลมหายใจของมันเป่าผมอากุ่ยปลิวไสว
อากุ่ยไม่ตอบสนอง ยังคงเดินตรงดิ่งไปเบื้องหน้า
“อากุ่ย เจ้าอัจฉริยะมาก! โอ้ โอ้ โอ้! สุดยอดอัจฉริยะ! ระยะทางอัน รก
ร้างห่างไกลถึงเพียงนี้ เจ้ายังมุ่งหน้ามาถูกทาง เจ้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จ ริง!
ฮ่ า ฮ่ า ฮ่ า ฮ่ า ตอนนี้ เ ราต้ อ งหาสอบถามใครสั ก คน แล้ ว ค่ อ ยพั ก รั ก ษาตั ว
ทันทีที่ข้าหายดี ข้าจะพาเจ้าไปค้นหาตัวอ่อนเมฆวารีอีกครั้ง ข้าจะ... ...”
“เจ้าตื่นเต้นมากเกินไปแล้ว”
สุ้มเสียงหยาบกระด้างเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นที่ด้านหลัง
จั่ ว ม่ อ เสี ย งขาดหายอย่ า งฉั บ พลัน แทบสะดุ้ ง สุ ด ตั ว ภายในร่ า งมั น
ปั่ นป่วนยุ่งเหยิงเสียจนกระทั่งมีคนเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ยังไม่รู้สึกตัว! มันไม่
สามารถหันหน้ากลับไปดู ไม่มีปัญญามองเห็นคนที่อยู่ด้านหลังมันได้
“ขออภัยยิ่ง สุข ภาพของข้าไม่ค่อยดี ไม่ส ามารถหันหน้าได้” จั่วม่อ
พยายามบังคับสุ้มเสียงให้เป็นปกติ
“อา?” อีกฝ่ายประหลาดใจเล็กน้อย ร่างหนึ่งโผล่วูบเข้ามาเบื้องหน้า
จั่วม่อ พลางกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจ “ที่แท้หนักหนาถึงเพียงนี้! แม่นางน้อย
ๆ ที่น่าเวทนานัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”
จั่วม่อในที่สุดก็มองเห็นรูปโฉมของอีกฝ่ายชัดตา
คนผู้นั้นร่างใหญ่มหึมา แทบจะสูงใหญ่เป็นสองเท่าของจั่วม่อ ผิวหนัง
เป็นสีเหลืองทราย คู่ดวงตาสีแดงจาง ๆ ทอประกายแหลมคม จั่วม่อเลื่อน
สายตามองไปยังท่อนแขนของอีกฝ่าย เห็นจากข้อมือไล่ขึ้นไปถึงข้อศอก
ห่อหุ้มด้วยชั้นเกล็ดหนาสีน้าตาล
ปิศาจ!
จั่ ว ม่ อ ตกตะลึ ง พรึ ง เพริ ด แทบหลุ ด ปากตะโกนออกมา หรื อ ว่ า มั น
กระเด็นหลุดมาถึงภพปิศาจ?
“คนผู้ นี้ เ ป็ น ปิ ศ าจกิ้ ง ก่ า ” ในทะเลแห่ ง จิ ต ส านึ ก เสี ย งเว่ ย ท าลาย
ความหวั ง ส่ ว นเสี้ย วสุด ท้ า ยของจั่ ว ม่ อ อย่ า งไรก็ ต าม เว่ ย ไม่ แ ยแสสนใจ
เรื่องนี้ สุ้มเสียงฟังดูต่ น
ื เต้นอยู่หน่อย ๆ เสียด้วยซ้า “ฮะ ดวงตาสีแดงจาง ๆ
มันอาจมีสายเลือดของกิ้งก่าเปลวไฟ”
“พี่ใหญ่ปิศาจกิ้งก่าสบาย!” จั่วม่อตัดสินใจทักทายอย่างเป็นกันเอง
คิดปั้ นรอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้า แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของมัน
ยามนี้ก็แข็งทื่อเช่นกัน
“เฮอะ เด็กน้อยที่ลิ้นลมคล่องแคล่วเช่นเจ้า ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวดี”
ความหวาดระแวงในสายตาปิ ศ าจกิ้ ง ก่ า สลายคลาย บุ รุ ษ สตรี ต กยาก
ตรงหน้าดูคล้ายไม่มีพิษมีภัยแม้แต่น้อย มันหัวคิ้วขมวดมุ่นทันที “พวกเจ้า
มาจากที่ใด?”
“มาจากทิศทางที่เราเดินมานี่ละ” จั่วม่อสุ้มเสียงเบิกบานใจ “เราเดิน
กันมาสามสิบกว่าวัน เดินจนแทบเสียสติอยู่แล้ว!”
“สามสิบวัน ?” วี่แววกังขาวาบผ่ านดวงตาของลุง ปิศ าจกิ้ง ก่ า “เจ้ า
หมายความว่าพวกเจ้าทั้งสองเดินผ่านทะเลทรายเศษหินออกมา?”
“ทะเลทรายเศษหินเช่นนั้นหรือ ? ข้าไม่ทราบ พวกเรากาลังส ารวจ
ซากโบราณสถานบางแห่ง ไม่แน่ว่าไปกระทบถูกกลไกบางอย่างเข้าโดยไม่
รู้ ตั ว ผลก็ คื อ เราถู ก ส่ ง มายั ง สถานที่ บั ด ซบนี่ ! ” จั่ ว ม่ อ พบข้ อ แก้ ตั ว ที่ ดู
สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าแช็งทื่อของมันกลายเป็นเครื่องปกปิดที่ดี
ที่สุด
ลุงปิศาจกิ้งก่าร้องอ้อคาหนึ่ง ร่องรอยสงสัยเสี้ยวสุดท้ายในดวงตาจาง
หายไป จากนั้นแค่นเสียงกล่ าวว่ า “ดูเจ้าตายไปแล้ ว ครึ่ งตั ว ส ารวจซาก
โบราณสถานหรือ เฮอะ เจ้านับว่าโชคดีมากแล้วที่ไม่ตายในทะเลทรายเศษ
หิน”
จั่วม่อคลายใจลงเล็กน้อย ลุงปิศาจกิ้งก่าแม้สุ้มเสียงเข้มงวดอยู่บ้าง
แต่มันสามารถจับเค้าน้าใจไมตรีที่แฝงอยู่ภายใน
“ตามข้ามา ถือว่าช่วยเจ้าเอาบุญสักครา” ลุงปิศาจกิ้งก่าเหลือบมอง
อากุ่ยแวบหนึ่ง อดทอดถอนชมเชยไม่ได้ “เจ้าเด็กน้อย ช่างโชคดีจริง ๆ!”
กล่าวจบคา ก็เดินนาไปเบื้องหน้า
อากุ่ยคล้ายเข้าใจท่าทางนั้น เดินตามหลังลุงปิศาจกิ้งก่าไปอย่างว่า
ง่าย
“ท่านลุง ที่นี่คือที่ใดกัน ?” จั่วม่อถามอย่างสนิ ทสนม ไม่ว่าใครหาก
ต้องพูดคุยกับตัวเองเป็นเวลากว่าสามสิบวัน รับรองว่าต้องกระตือรือร้นที่
จะสนทนากับผู้อ่ น
ื เช่นเดียวกับมันนี่เอง
“เมืองเศษหิน” ลุงปิศาจกิ้งก่าตอบโดยไม่หันกลับมา
“เมืองเศษหิน... ...อ้อ อยู่ในอาณาจักรใด?” จั่วม่อถามอย่างสงสัยใจ
“อาณาจักรเศษหิน” ลุงปิศาจกิ้งก่าตอบพลางยังคงเดินดุ่ม ๆ ไปเบื้อง
หน้า
ภายในทะเลแห่งจิตสานึก
“เว่ย ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ท่ามกลางเผ่าปิศาจ ทราบหรือไม่ว่าอาณาจักร
เศษหินอยู่ที่ใด?” จั่วม่อถามเว่ยด้วยสีหน้าคาดหวังอย่างเต็มเปี่ ยม
เว่ยกระแอมไอเบา ๆ กล่าวว่า “เจ้าก็ทราบ จู่เหรินของข้ามั กจะเป็น
ปิศาจที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง หรือ ไม่ก็ เ ชื้อสายสูง ศัก ดิ์ ส าหรับสถานที่เล็ก ๆ
เยี่ยงนี้... ...”
“ฮ่ า ฮ่ า ฮ่ า ฮ่ า ” ผู เ ยาหั ว ร่ อ งอหาย ดั ง สนั่ น หวั่ น ไหวไปทั่ ว ทะเลแห่ ง
จิตสานึก
เว่ยเห็นได้ชัดว่าผิวหน้าหนากว่าคนทั่วไป ยังคงตีห น้าราบเรียบ ยิ้ม
พลางมองสบตาจั่วม่ออย่างสงบ
จั่วม่อแม้สูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกายทุกส่วน แต่สิ่งนี้
ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการแสดงสีหน้าในทะเลแห่งจิตสานึก
ยามนี้มันแสดงสีหน้า...ดูถูกเหยียดหยาม!
มิผิด เป็นดูถูกเหยียดหยาม ดูถูกเหยียดหยามจากก้นบึ้งหัวใจ ดูถูก
เหยียดหยามอย่างลึกล้าที่สุด!
ผู เ ยายิ่ ง หั ว ร่ อ อย่ า งสุ ด กลั้ น หั ว ร่ อ จนเปลวเพลิ ง อสู ร สี แ ดงด า
กระเพื่อมตามไปด้วย
“พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งพร่าโอ้อวดกรอกหูข้าอยู่ทุกวี่วันว่าเป็นอสูร
ฟ้า ทระนงองอาจที่หนึ่งในใต้หล้า ส่วนอีกคนออกท่าออกทางราวกับผู้หยั่ง
รู้ดินฟ้า ถามข้า! ถามข้า! ข้ารู้ ข้าเห็น ข้าเจนจบครบถ้วนกระบวนความ!
ถามข้าสิ! ถามน้องสาวเจ้าเถอะ! กระทั่งอาณาจักรเศษหินอยู่ที่ใดยังไม่รู้
ด้วยซ้า! คาถามง่าย ๆ เช่นนี้ไฉนพวกเจ้าที่สูงส่งนักจึงไม่ทราบเล่า ?” หนี้
เก่าแค้นใหม่ผ สมรวม จั่วม่อชี้ห น้าทั้งคู่ ส บถด่าเร็วปรื๋อ “ข้าสมควรรู้เช่น
เห็ น ชาติ พ วกเจ้า ทั้ งสองเสีย นานแล้ ว ! คนหนึ่ ง เมื่ อครั้ งกระโน้น ใช้ ไข่มุก
โง่ เ ง่ า มาล่ อ ลวงข้ า ที่ ยั ง เป็ น เด็ ก น้ อ ยไม่ รู้ ค วาม คุ ย โวถึ ง จิ ง สื อ มากมายที่
สามารถขายได้ แต่ข้าไม่ได้รับจิงสือแม้แต่ชิ้นเดียว! ส่วนอีกคนตอนเข้ามา
กระทั่งค่าเช่าก็ไม่เอ่ยถึง เอาแต่พร่าพูดแต่คาสาบานเอย ศักดิ์ฐานะสูงส่ง
เอย ฮ่ า คนที่ ก ระทั่ ง อาณาจัก รเศษหินยั งไม่ รู้จั ก ยั ง จะมี คุ ณ สมบั ติใ ดมา
กล่าวถึงศักดิ์ฐานะ?”
เสียงหัวร่อของผูเยาชะงักขาดหายทันควัน เว่ยรอยยิ้มแข็งค้างอยู่บน
ใบหน้า แม้แต่ไฟอสูรยังนิง่ สนิท
หลังจากตาหนิติเตียนจนหนาใจ จั่วม่อพลันรู้สึกดีขึ้นมาก แค่นเสียง
เฮอะอีกคาหนึ่ง แล้วออกจากทะเลแห่งจิตสานึกไปอย่างอิ่มเอม
ลุ ง ปิ ศ าจกิ้ ง ก่ า ไม่ ไ ด้ มี พ ลั ง ฝี มื อ สู ง ส่ ง นั ก ทั้ ง ยั ง ไม่ ไ ด้ ฝึ ก ปรื อ สั ง ขาร
ปิศาจ แต่ร่างกายของมันแข็งแรงมาก เดินดุ่ม ๆ ไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นค่อยสังเกตเห็นว่าแต่ละก้าวของอากุ่ยต้องใช้ความพยายามอย่ าง
ใหญ่หลวง จึงรีบหยุดเดิน หันกลับมาร้องบอก “เวย แม่นางน้อย ๆ ให้ข้า
แบกมันเองเถอะ!”
อากุ่ยไม่มีทีท่าว่าจะฟังมัน ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
จั่ ว ม่ อ รี บ กล่ า วขออภั ย ลุ ง ปิ ศ าจกิ้ ง ก่ า “ท่ า นลุ ง ขออภั ย ด้ ว ย นางหู
ไม่ได้ยิน”
ลุงปิศาจกิง้ ก่าสายตาอ่อนยวบลงทันควัน มันไม่ทราบครุ่นคิดถึงสิ่งใด
คล้ายสะทกสะท้อนอยู่บ้าง แต่แล้วก็รีบเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนเป็นเดินเคียง
ข้างไปกับอากุ่ย แค่นเสียงว่า “เฮอะ พวกเจ้าทั้งสอง คนหนึ่งไม่สมประกอบ
อีกคนก็พิการ ยังไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ที่บ้าน วิ่งพล่านไปทั่วหาอันใด ใช่ราคาญ
ในการชีวิตแล้วหรือไม่?”
จั่วม่อได้แต่ยม
ิ้ หน้าละห้อย ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“พวกเจ้า... ลืมมันไปเถอะ ต่อให้ข้าพูดอะไร พวกเจ้าก็คงไม่ฟังอยู่ดี”
ลุงปิศาจกิ้งก่าสั่นศีรษะ จากนั้นเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “พวกเจ้าไปพักที่บ้าน
ข้าเสียก่อนก็แล้วกัน ข้าอยู่ตัวคนเดียว มีพ้ น
ื ที่ว่างมากมาย”
กล่าวจบก็ไม่รับฟังคาขอบคุณของจั่วม่อ เดินนาไปข้างหน้าอีกครัง้
รอจนพวกมันบรรลุถึ ง เมือ งเศษหิน จั่วม่อจึงได้พบเห็น ปิศ าจอื่น ๆ
ปิศาจเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเคารพนับถือลุงปิศาจกิ้งก่าไม่น้อย สายตาที่มอง
มายั ง จั่ ว ม่ อ กั บ อากุ่ ย ก็ เ ต็ ม ไปด้ ว ยความอยากรู้ อยากเห็ น อย่ า งไรก็ ต าม
ปิศาจสตรีหลายนางจ้องมองจั่วม่ออย่างเหยียดหยามและไม่เป็นมิตร
สิ่งที่ผิดแปลกจากความคิดของจั่วม่อก็คือ ปิศาจเหล่านั้นหาใช่ปิศาจ
กิ้งก่าหรือปิศาจชนิดใดชนิดหนึ่งทั้งหมดไม่ หากแต่ดูเหมือนว่าเป็นเมืองที่
ปิศาจสารพัดชนิดอาศัยอยู่ร่วมกัน
อาณาจักรเศษหิน เมืองเศษหิน ... ...อยู่ที่ใดกันหนอ... ...เกอก็กาลัง
จะแตกสลายกลายเป็นเศษหินในไม่ช้านี้แล้ว... ...
บทที่ 538 เตรียมพร้อม

เมืองเศษหินไม่ใช่เมืองใหญ่ มีประชากรไม่มากนัก สภาพอากาศแห้ง


แล้ ง อบอ้ า วยิ่ ง เนื่ องเพราะตั้ ง อยู่ ริ ม ทะเลทรายเศษหิ น นอกจากนี้ ยั ง
ยากจนข้ น แค้ น ไม่ มี สิ น ค้ า พิ เ ศษเฉพาะอั น ใด วิ ถี ชี วิ ต เรี ย บง่ า ยตามวิ ถี
ชนบท สิ่งเดียวในสถานที่นี้ซึ่งพอจะมีราคาค่างวดอยู่บ้างก็คือมดขุดเหล็ก
นี่เป็นมดชนิดหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ห ลายประการ เป็นที่ช่ ืนชอบของเหล่ า
ปิศาจที่ชมชอบเล่นกับแมลง
ทุก ๆ ปีจะมีปิศาจจานวนหนึ่งเดินทางมาเสาะหามดขุดเหล็ก มีเพียง
ช่วงฤดูกาลนั้น เมืองเศษหินจึงจะดูคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง
อย่ า งไรก็ ต าม ส าหรั บ ชาวเมื อ งที่ อ าศั ย อยู่ ใ นเมื อ งน้ อ ยแห่ ง นี้ แ ล้ ว
พวกมันไม่เคยรู้สึกว่าที่แห่งนี้รกร้างกันดารแม้แต่น้อย
อย่าได้เห็นว่าลุงปิศาจกิ้งก่ากายาล่าสันถึงเพียงนี้ แต่กลับมีนามอัน
ไพเราะเพราะพริ้งว่า อันหย่า (สงบสุขสง่างาม) กล่าวตามความสัตย์ จั่วม่อ
ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่านามอันสง่างามนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับลุง
ปิศาจกิง้ ก่า
ลุงอันหย่าเปี่ ยมน้าใจไมตรียิ่ง แม้ว่าสุ้มเสียงติดจะดุร้ายรุนแรงอยู่บ้าง
แต่กลับดูแลเอาใจใส่จ่ัวม่อกับอากุ่ยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอากุ่ย บางครั้ง
ยามมองดูอากุ่ย ร่องรอยความหม่นหมองมักฉาบทาอยู่ในดวงตาของลุงอัน
หย่ า เสมอ เป็ น เหตุ ใ ห้ จ่ั ว ม่ อ คาดเดาว่ า ลุ ง อั น หย่ า อาจจะเคยมี บุ ต รี
เหมือนกับอากุ่ยคนหนึ่ง
เห็ น ได้ ชั ด ว่ า ภายในเมื อ งเศษหิ น แห่ ง นี้ ลุ ง อั น หย่ า มี อิ ท ธิ พ ลบารมี
อย่างใหญ่ห ลวง มันรับหน้าที่สั่งสอนวิชาทักษะปิศาจให้แก่บรรดาปิศาจ
เยาว์วัย เป็นแบบอย่างของเด็กหนุ่มสาวหลายคน
“ระวังจังหวะก้าวเท้ าให้ ดี ก่อนที่เจ้าจะเรียนรู้วิธีบิน ท่าเท้าเป็น สิ่ ง
เดียวที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้!”
“รวมกาลังให้ดี! ข้าสอนอะไรเจ้าบ้าง? รวบรวมกาลังเป็นหนึ่งเดียว
จากนั้นมันจะแข็งแกร่งเอง ปวกเปียก ปวกเปียกเหลือเกิน! เจ้าอยากให้
อากุ่ยหัวร่อเยาะเจ้าหรือ?”
ปิศาจอายุเยาว์พอฟังพลันหน้าแดงฉาน
“พยายามเข้ า !” จั่ ว ม่ อ ผู้ น อนพั ง พาบอยู่ บ นหลั ง อากุ่ ย ตะโกนให้
กาลังใจ เหล่าปิศาจเด็กหนุ่มยิ่งหน้าแดงฉานกว่าเดิม
อากุ่ยยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
เด็ ก หนุ่ ม ในเมื อ งยอมรั บ จั่ ว ม่ อ กั บ อากุ่ ย อย่ า งรวดเร็ ว ก่ อ นที่ จ ะถู ก
ล่อลวงด้วยเรื่องราวทางโลก เด็กหนุ่มมักสัตย์ซ่ ือใจดีและเปี่ ยมล้นไปด้วย
ความเห็นอกเห็นใจ ในสายตาของพวกมัน จั่วม่อกับอากุ่ยเป็นคนป่วยและ
คนพิการ แต่ประสบการณ์ที่แปลกประหลาดของทั้งสองทาให้บรรดาเด็ก
หนุ่มเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้
อากุ่ยไม่ตอบสนอง แต่จ่ัวม่อเมื่อทาได้แต่กล่าววาจา ก็กลายเป็นคน
ช่างพูดไปเสียแล้ว เป็นแบบอย่างของคนที่เป็นกันเองเป็นที่สุด ทาให้พวก
มันถูกยอมรับเข้าพวกอย่างรวดเร็ว
ในทะเลททรายเศษหิน หลังจากเดินทางหนึ่งวันนึ่งคืน อากุ่ยจะวาง
จั่วม่อลงพักผ่อนสองชั่วยาม แต่น่าประหลาดที่หลังจากพวกมันเข้ามาใน
เมื อ งเศษหิ น นางก็ ไ ม่ เ คยวางจั่ ว ม่ อ ลงแม้ แ ต่ ค รั้ ง เดี ย ว ลุ ง อั น หย่ า เคย
พยายามนาตัวจั่วม่อลงมาหลายครั้ง แต่พอเห็นความระแวดระวังและดื้อ
รั้นตามสัญชาตญาณของอากุ่ย ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
จั่วม่อได้แต่นอนหลับบนหลังอากุ่ยเท่านั้น แต่สิ่งที่ทาให้มันเบิ ก บาน
ใจก็คือ ยกเว้นการไม่เต็มใจวางมันลงแล้ว อากุ่ยดูเหมือนจะสามารถได้ยิน
วาจาของมันเป็นบางครั้ง
อย่ า งเช่ น ยามนี้ ที่ มั น บอกให้ อ ากุ่ ย น ามารั บ แสงแดดและเฝ้ า ชมดู
เหล่าปิศาจเยาว์วัยฝึกวิชา
บทเรียนที่ลุงอันหย่าสั่งสอนเด็กหนุ่มเป็นเคล็ดความพื้นฐานที่สุดของ
ขั้นพื้นฐาน จั่วม่อทั้งร่างไม่อาจขยับเคลื่อนไหว แต่สายตายังไม่มีปัญหา ลุง
อั น หย่ า สมควรมี ป ระสบการณ์ ต่ อ สู้ โ ชกโชน ทุ ก อย่ า งที่ สั่ ง สอนล้ ว นมี
ประโยชน์ใช้สอยจริง กระทั่งจั่วม่อพอชมดูยังรู้สึกได้เรียนรู้มากมาย
มั น อาจเคยฝึ ก ปรื อ ทั ก ษะปิ ศ าจมาก่ อ น ทั้ ง ยั ง ส าเร็ จ สั ง ขารปิ ศ าจ
ชั้นสูง แต่แนวคิดขั้น พื้น ฐานเหล่ านี้ กลั บเป็นส่ วนที่ มั นขาดพร่อ งมาโดย
ตลอด ยามนี้เมื่อร่างกายไม่อาจกระดิกกระเดี้ย จั่วม่อได้แต่รับฟังการสั่ง
สอนของลุงอันหย่าอยู่ด้านข้าง และมักจะได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง สิ่ง
ที่ดียิ่งขึ้นก็คืออยู่มาวันหนึ่งมันพบว่าเริ่มขยับนิ้วได้แล้วนิ้วหนึ่ง
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อลุงอั นหย่ามาสอนวิชา มันก็จ ะต้องติดตาม
มารับฟัง ลุงอันหย่าก็ไม่ได้กีดกันแม้แต่น้อย เนื่องเพราะสิ่งที่สอนมิใช่เคล็ด
ความที่ลึกซึ้งอันใด ย่อมไม่มีความจาเป็นต้องเก็บเป็นความลับ
“เสี่ยวตง ไม่เลว!” ลุงอันหย่ามีสีหน้าชื่นชม “อีกไม่นานเจ้าสามารถ
ปลุกแผนผังปิศาจของเจ้าได้แล้ว”
เด็กหนุ่มเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี ตงจื่อนับว่ามีพรสวรรค์มากที่สุดใน
บรรดาเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ มันมีรากฐานที่มั่นคงยิ่ง ความเชี่ยวชาญในทักษะยัง
เหนือล้ากว่าผู้อ่ น
ื ขั้นหนึ่ง
แต่อะไรคือการปลุกแผนผังปิศาจ? จั่วม่องุนงงสงสัยอยู่บ้าง
เคราะห์ดีที่ยังมีเว่ย ‘ผู้ มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง’ และล่วงรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับ
เรื่องนี้ “ปิศาจชั้นต่ามักจะมีเพียงแผนผังปิศาจระดับต่าอยู่ในร่างกาย และ
การเจริญเติบโตของแผนผังปิศ าจก็ มักจะไม่ส มบูร ณ์ พวกมันจาต้องท า
การปลุกแผนผังปิศาจด้วยวิธีการอื่น เพื่อที่จะสามารถใช้งานแผนผังปิศาจ
ได้”
จั่วม่อตื่นตะลึงอยู่บ้าง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”
ผู เ ยาแย้ ม ยิ้ ม เย็ น ชา กล่ า วว่ า “นี่ เ ป็ น เหตุ ผ ลที่ เ ผ่ า ปิ ศ าจมั ก ให้
ความส าคั ญ กั บ สายเลื อ ด ยิ่ ง เป็ น ปิ ศ าจที่ มี ส ายเลื อ ดสู ง ศั ก ดิ์ ม ากเท่ า ใด
แผนผังปิศาจของมันก็จะยิ่งทรงพลังและสมบูรณ์แบบมากเท่านั้น แน่นอน
ว่าพวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วย เฮอะ นี่เป็นมรดกที่เน่าเสียได้ง่ายดาย
ที่สุด”
จั่วม่อพลันฉุกคิดถึงปัญหาหนึ่ง “เช่นนั้นพวกมันไม่รู้จักสลักแผนผัง
ปิศาจหรือ?”
เว่ยกับผูเยางงงันวูบ
“ก่อนหน้านี้ค่ายจูเ ชวี่ยของเราก็ มิ ใช่ ว่ าสลัก ค่ ายกลหรอกหรือ ? ใน
เมื่ อสามารถสลั ก ค่ า ยกลได้ ไฉนแผนผั ง ปิ ศ าจจะสลั ก ไม่ ไ ด้ ? ค่ า ยกล
เหล่านั้นเดิมทีก็มาจากแผนผังปิศาจอยู่แล้ว!” จั่วม่อกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เจ้าสามารถทดลองดู” ผูเยาตอบปัด ๆ มันไม่สนใจคาถามนี้ ในอดีต
คาถามนี้อาจเคยทาให้มันเต็มไปด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ เนื่องเพราะ
มันวาดหวังว่า วันหนึ่ งจะสามารถครอบครองร่ า งกายของตนอี กครั้ง แต่
บัดนี้เรื่องนี้ไม่มีคุณค่าความหมายใดอีกแล้ว เพราะมันกับเว่ยไม่ส ามารถ
แยกจากกันได้
ในเมื่ อ เป็ น เช่ น นี้ มั น จะยั ง ต้ อ งดิ้ น รนเสี ย เวลากั บ แผนผั ง ปิ ศ าจไป
ทาไมกันเล่า ? ยังจะมีที่ไหนสะดวกสบายกว่าในทะเลแห่งจิตสานึกแห่งนี้
อีกหรือ?
แต่เว่ยจมลงในการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ถ้อยคาของจั่วม่อกระทบใจมัน
ไม่น้อย เผ่าปิศาจถือกาเนิดขึ้นมาพร้อมกับแผนผังปิศาจ ในความเห็นของ
พวกมั น นี่ คื อ พลั ง ที่ ส วรรค์ ป ระทานให้ แ ก่ พ วกมั น ไม่ มี ผู้ ใ ดเคยคิ ด สลั ก
แผนผังปิศาจมาก่อน อย่างน้อยในยุคสมัยที่มันผ่านพบมาทั้งหมด ก็ไม่มี
ผู้ใดเคยกระทาเช่นนี้
จั่วม่อไม่สนใจสองวัตถุโบราณที่ไม่น่าเชื่อถือคู่นี้ มันในยามนี้มีแผนผัง
ปิศาจมากมาย รวมถึงแผนผังปิศาจต้าเผิงปีกทองคาที่ผูเยาเคยมอบให้มัน
ศึกษาเมื่อครัง้ กระโน้นด้วย
มันตกลงใจว่าก่อนอื่นต้องชมดูขั้นตอนการปลุกแผนผังปิศาจสักครั้ง
มันย่อมไม่เคยพบเห็นเรื่องนี้มาก่อน รู้สึกกระหายใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีความคิดอันหาญกล้าบ้าบิ่นประการหนึ่ง

“ต้าเหริน บอกเราได้หรือไม่ เมื่อใดเหล่าป่านจะกลับมา?” เหลยเผิง


กล่าวพลางจุปาก คล้ายกาลังขบคิดเรื่องราวบางประการ
“ข้าไม่รู้” กงซุนชาตอบโดยไม่เงยหน้า
“ข้ า สงสั ย ว่ า ต้ า เหริ น ก าลั ง ท าสิ่ ง ใด ใช่ ก าลั ง ตกอยู่ ใ นอั น ตราย
หรือไม่?” เหลยเผิงราพึงราพันกับตัวเอง หัวคิว
้ ขมวดมุ่น
“เจ้าว่างงานมากใช่หรือไม่!” แม่นางน้อยในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นถาม
“ไม่ ใ ช่ เ ช่ น นั้ น ไม่ ใ ช่ เ ช่ น นั้ น !” เหลยเผิ ง พอเห็ น สายตาของแม่ นาง
น้อยเขม้นมองมา รีบสั่นศีรษะระรัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ต้าเหริน ท่าน
มิใช่ไม่รู้ ค่ายเสวียนอู่เพิ่งจะเริ่มตั้งไข่เท่านั้น เหล่าเณรน้อยนั่นย่าแย่สุดจะ
ทนจริง ๆ... ...”
“ข้าว่าเจ้าว่างงานมากเกินไปจริง ๆ นั่นละ!” แม่นางน้อยขัดคอกลาง
ประโยค เพียงปรายตามองแวบหนึ่ง เหลยเผิงทาคอย่น แม่นางน้อยกล่าว
อย่ า งอ่ อ นโยนว่ า “กลั บ ไปบอกม้า ฝาน พรุ่ ง นี้ ข้ า จะไปตรวจผลงานการ
ฝึกอบรมของพวกเจ้า”
“เหล่าต้า ทาเช่นนั้นไม่ได้... ...” เหลยเผิงแทบน้าตาอาบหน้า หากมัน
กลับไปบอกให้ม้าฝานกับเหนียนลู่ทราบว่ามันทาให้แม่นางน้อยมาเยือน ...
...แค่คิดก็สน
ั่ ระริกไปทั้งตัวแล้ว
แม่น้อยน้อยแย้มยิ้มเขินอาย
“ข้ า ไปแล้ ว ! ข้ า ไปเดี๋ ย วนี้ เ ลย!” เหลยเผิ ง รี บ ร้ อ นลนลาน ล้ ม ลุ ก
คลุกคลานหนีหน้าไปทันที
เหลยเผิงพอจากไป แม่นางน้อยก็รั้งสายตากลับมา เงามืดสาดวาบใน
ดวงตา ศิษย์พี่เหวยเสิง้ ส่งข่าวกลับมา ผู้ที่พวกมันต่อสู้ด้วยคือชนชั้นหยวน
อิงจากวัดเสวียนคงกับศิษย์อีกสามคน ฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตทั้งหมด
แม่นางน้อยทราบดีว่าในเมื่อหนึ่งหยวนอิงกับสามศิษย์ต กตายเช่นนี้
วัดเสวียนคงจะไม่ยอมกล้ากลืนฝืนทน หากพวกมันยินยอมกล้ากลื นความ
สู ญ เสี ย นี้ ไ ด้ พวกมั น ก็ ไ ม่ ใ ช่ วั ด เสวี ย นคงแล้ ว ส านั ก นั ก บวชมั ก จะสมั ค ร
สมานสามัคคีมากกว่าส านักทั่วไป ถึงกับต่อต้านคนนอกมากยิ่งกว่า เมื่อ
พวกมันเผชิญศัตรูภายนอกจะยิ่งสามารถรวมกาลังได้อย่างน่าตระหนก
แม่นางน้อยพอได้รับข่าวสารจากจั่วม่อ มันก็เตรียมพร้อมทาศึกทันที
เท่าที่มันทราบ มีกองพันหนึ่งปรากฏขึ้นในอาณาจักรทะเลเมฆแล้วด้วยซ้า
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด กองพันนั้นพลันหายตัวไปอย่างกะทันหัน
ผู้อ่ น
ื เดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมาถึงที่นี่ ค่าใช้จ่ายในการกระทา
เช่นนี้เป็นจานวนอันน่าตระหนก ยิ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามอาณาจักร ยิ่ง
ต้องจ่ายค่าตอบแทนถึงขั้นน่าอัศจรรย์แล้ว มิหนาซ้าอีกฝ่ายเห็นได้ ชั ด ว่า
ไม่ได้ข้ามผ่านมาเพียงหนึ่งอาณาจักรเท่านัน

แม้ ว่ า พวกมั น ยั ง ไม่ ทั น ค้ น พบว่ า กองพั น นั้ น มาจากที่ ใ ด แต่ แ ม่ น าง
น้อยมั่นใจว่าเป็นกองพันจากวัดเสวียนคงไม่ผิดแน่!
แต่อีกฝ่ายจู่ ๆ ก็หายตัวไป มิหนาซ้าวัดเสวียนคงก็ไม่ได้ลงมือกับพวก
มันสืบต่อ แม่นางน้อยคาดเดาว่าต้องมีเรื่องสาคัญบางประการเกิดขึ้น ทา
ให้วัดเสวียนคงยังไม่มีเวลาปันความสนใจมาจัดการกับพวกมันในตอนนี้
แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้มาย่อมต้องมา รอจนพวกมันมีเวลาว่าง วัดเสวียน
คงจะต้องส่งกองทัพมาโจมตีอาณาจักรทะเลเมฆในทันที
และเพื่อหยุดยั้งไม่ให้พวกมันปรากฏขึ้นในอาณาจักรทะเลเมฆอย่าง
กะทั น หั น อี ก ครั้ ง อาณาจั ก รทะเลเมฆถู ก สั่ ง ห้ า มไม่ ใ ห้ ส ร้ า งค่ า ยกล
เคลื่อนย้ายส่วนตัว ส าหรับค่ายกลเคลื่อนย้ายเท่าที่มีท้ังหมดล้ วนถูกเฝ้า
ระวังอย่างแข็งขัน แต่แม่นางน้อยก็ทราบดีว่าวิธีการนี้มีช่องว่างรอยโหว่อยู่
มาก หากฝ่ายตรงข้ามไม่ส นใจเรื่องค่าใช้จ่าย การที่จ ะลอบเข้ามาก่อ ตั้ ง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายในอาณาจักรทะเลเมฆอีกครั้ง ก็หาใช่เรื่องยากเย็นไม่
วั ด เสวี ย นคงดู เ หมื อ นเป็ นขุม อ านาจที่ ต ระหนี่ ถี่เ หนีย วหรื อ ไม่เล่า ?
พวกมันยังจะกังวลสนใจกับค่าใช้จ่ายเพียงเท่านี้หรือ?
สุดท้ายสงครามต้องบังเกิด แต่แม่นางน้อยหาได้หวาดหวั่นวิตกไม่ มัน
เริ่มจากเด็กน้อยนักฆ่าสัตว์ เข่นฆ่าเปิดทางขึ้นมาจนมีสถานะเช่นทุกวันนี้
ไม่เคยเกรงกลัวการทาสงครามแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ต่อให้มันเชื่อมั่น
อย่างเปี่ ยมล้นสักเท่าใด แต่ยามเผชิญหน้ากับมหาอานาจเช่นวัดเสวียนคง
มันไหนเลยจะคลายใจได้
โชคยังดีที่เป็นการทาศึกในดินแดนของพวกมันเอง
นี่เป็นสิ่งที่แม่นางน้อยนึกยินดี ในช่วงเวลานี้มันเริ่มเตรียมพร้อมแล้ว
เกาะเต่าทุกวันนี้ไม่ใช่ขุมกาลังเล็ก ๆ ที่ทุกคนสามารถบีบเค้นได้ พวกมัน
ครอบครองทรัพยากรของทั้งอาณาจั กร และยังมีเกาะเต่า ซึ่งไม่ได้อ่ อ น
ด้อยตั้งแต่แรก เพียงไม่นานก็แปลงสภาพไปอย่างสมบูรณ์ ทั่วทั้งเกาะเต่า
เตรี ย มพร้ อ มที่ จ ะท าสงคราม พากั น ฝึ ก ปรื อ อย่ า งบ้ าคลั่ ง และเฝ้ า
ตระเตรียมอย่างเงียบ ๆ
วัดเสวียนคงแล้วจะเป็นไร?
หากพวกมั น กล้ า มา รั บ รองว่ า ข้ า จะไม่ ป ล่อ ยให้ ก ลับ ไปโดยไม่ถ ลก
หนังพวกมันออกมา!
แม่นางน้อยดวงตาทอประกายเย็นเยียบ
อย่างไรก็ตาม ยามนี้ยังมีปัญหาอื่นที่จะต้องรีบแก้ไข แม้ว่าในข่าวสาร
ที่ ส่ ง กลั บ มา ศิ ษ ย์ พี่ จ ะไม่ บ อกกล่ า วตรง ๆ แต่ แ ม่ น างน้ อ ยที่ ล ะเอี ย ด
รอบคอบย่อมจับได้ถึงความผิดปกติ... ...ศิษย์พี่จะต้องกาลังเผชิญปัญหา
แน่!
ในข่าวที่ส่งมา ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าศิษย์พี่กาลังทาอะไร หรือเมื่อใดจะ
กลับมา ในข้อความเพียงบอกว่าตอนนี้พวกมันยังสบายดี ศิษย์พี่แน่นอน
ว่าย่อมล่วงรู้ว่าวัดเสวียนคงจะต้องล้างแค้น แต่กลับไม่รีบรุ ดกลับมาทันที
เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ต้องเกิดเรื่องขึ้น อาจมีเรื่องราวเหนี่ยวรั้ง ...
หรือไม่ก็ไม่สามารถกลับมาได้!
ศิษย์พี่มียันต์เคลื่อนย้ายติดตัวไปด้วย มิหนาซ้ายังสามารถก่อตั้งค่าย
กลเคลื่อนย้ายด้วยตัวเอง ในแหวนยังสะสมวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ ต่อให้ตก
อยู่ในแดนอสูรปิศาจ ก็สมควรไม่มีเหตุผลที่จะยังไม่กลับมา
นี่ความจริงเป็นการคาดเดาของแม่นางน้อย แต่รอจนศิษย์พี่ส่งข่าว
มาอีกครั้งในวันนี้ กลับช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานนี้อย่างสมบูรณ์
ศิษย์พี่ต้องการให้มันค้นหาว่าอาณาจักรเศษหินอยู่ที่ใด
เป็นไปตามคาด... ...
“ต้าเหริน เยี่ยหลิงต้าเหรินกับสือตงต้าเหรินมาถึงแล้ว” องครักษ์โล่ที่
หน้าประตูรายงานเข้ามา
แม่นางน้อยได้สติทันที “เชิญพวกมันเข้ามา”
บนเกาะเต่า แม่นางน้อยเป็นผู้ที่ไ ด้รั บการปกป้องคุ้ม ครองเข้ ม งวด
ที่สุด แม้แต่จ่ว
ั ม่อยังไม่ถูกเฝ้าพิทักษ์มากเท่านี้ จั่วม่อพลังฝีมือสูงเยี่ยมด้วย
ตัวเอง ปกติไม่ต้องการการปกป้องคุ้มครอง เว้นเสียยามต่อสู้
“ต้าเหริน!”
เยี่ยหลิงกับสือตงคารวะทักทายพร้อมกัน
พวกมันเมื่อถูกเจาะจงเรียกหามา ยังสับสนงุนงงไม่คลาย
บทที่ 539 กาลังหนุน

“พวกเจ้ารู้จักอาณาจักรเศษหินหรือ ไม่ ?” แม่นางน้อยถามอย่างไม่


อ้อมค้อม
“อาณาจั ก รเศษหิ น ?” เยี่ ย หลิ ง และสื อ ตงสบตากั น วู บ จากนั้ น สั่ น
ศีรษะอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” “ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินเลย”
แม่นางน้อยสีหน้าทอแววผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้
“ต้ า เหริ น หรื อ ว่ า อาณาจั ก รเศษหิ น ที่ ว่ า จะ เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ในแดน
ปิศาจ?” เยี่ยหลิงถามอย่างรอบคอบ สือตงเองก็มองหน้าแม่นางน้อย เฝ้า
รอคาตอบเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว เยี่ยหลิงกับสือตงนั้นมีทัศนคติต่อจั่วม่อและแม่นางน้อย
แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เยี่ยหลิงซื่อสัตย์ภักดีต่อจั่วม่อ ยินดีติดตามอย่าง
ไม่มีเงื่อนไข ทั้งยังเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่าจั่วม่อมีโอกาสที่จะเป็นราชันที่
แท้ จ ริ ง ส่ ว นความเคารพที่ มี ต่ อ แม่ น างน้ อ ยเป็ น ความเคารพที่ มี ต่ อ
ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาเสี ย มากกว่ า แต่ ใ นทางกลั บ กั น สื อ ตงยั ง คงเคลื อ บแคลง
สงสัยต่อความคิดเชิดชูจ่ัวม่อเยี่ยงจอมราชันของเยี่ยหลิง ทว่าสาหรับ แม่
นางน้อยผู้ปราบพิชิตมันอย่างราบคาบ สือตงมีแต่ความเคารพเทิดทูนจาก
ใจจริง
“อา ลองไปสอบถามในกองทัพของพวกเจ้าดู มีผู้ใดรู้จักอาณาจัก ร
เศษหินบ้างหรือไม่?” แม่นางน้อยขบคิดวูบหนึ่ง แล้วค่อยออกคาสั่ง
สองแม่ทัพผู้ร้างไกลจากภพปิศาจพากันรับคา แล้วจากไปกระทาตาม
ทันที
ไม่นานนักพวกมันก็รีบกลับมารายงาน
“ต้ า เหริ น ผู้ น้ อ ยค้ น พบแล้ ว มี อ าณาจั ก รเล็ ก ๆ แห่ ง หนึ่ ง เรี ย กว่ า
อาณาจักรเศษหิน แต่อยู่ห่างไกลยิ่ง สถานที่นี้ไม่มีสินค้าพิเศษอันใด ว่ากัน
ว่าเป็นดินแดนในปกครองของผู้ ที่เรียกว่าเขิงอี้20” เยี่ยหลิงรายงานอย่าง
ระมัดระวัง ในใจลอบสงสัยใคร่รู้ เสี่ยวเหนียงต้าเหริน (แม่นางน้อยต้าเห
ริน) ไฉนจู่ ๆ ก็สนใจอาณาจักรเศษหินที่ไม่มีคุณค่าความหมายขึ้นมา?
หรือว่าอาณาจักรเล็ก ๆ ที่แสนกันดารและห่างไกลนั้น จะมีบางสิ่งที่
ควรค่าแก่การสนใจ?
เยี่ยหลิงกับสือตงยามที่ปรึกษาหารือกันเองเป็นการส่วนตัว พวกมัน
ทั้งคู่ล้วนเห็นพ้องต้องกัน ว่าเส้นทางอันยิ่งใหญ่ของเจ้าเหนือหัวของพวก
มันสมควรเริ่มต้นจากอาณาจักรป่าเถื่อนน้อย
อาณาจักรป่าเถื่อนน้อยเป็นอาณาจักรที่พวกมันอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้
เมื่อมีรอยแยกแห่งความโกลาหลที่พวกมันควบคุมเอาไว้ พวกมันสามารถ
บุ ก เข้ า สู่ อ าณาจั ก รป่ า เถื่ อนน้ อ ยอย่ า งรวดเร็ ว ที่ ส าคั ญ ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น
อาณาจักรป่าเถื่อนน้อยในยามนี้หาได้มีการเตรียมพร้อมแม้แต่น้อยนิดไม่

20
เขิงเป็นแซ่ แปลว่าเคย อี้แปลว่าแก้ไข เปลี่ยนแปลง
อาศั ย ความเข้ ม แข็ ง ของเกาะเต่ า การพิ ชิ ต กองทั พ ปิ ศ าจท้ อ งถิ่ น ของ
อาณาจักรป่าเถื่อนน้อยไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
พลังต่อสู้อันน่าพรั่นพรึงของค่ ายจูเ ชวี่ย พวกมันล้วนประจัก ษ์ แ จ้ ง
เต็มสองตามาแล้ว มิหนาซ้าเท่าที่พวกมันสังเกตเห็น พลังของไพร่พลค่าย
จูเชวี่ยก็ยังคงรุดหน้าก้าวไกลไม่หยุดยั้งด้วยระดับความเร็วอันน่าสะท้านใจ
นี่เป็นเรื่องที่ทาให้พวกมันอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด ปกติแล้วกองพันที่บรรลุถึง
ความกล้าแกร่งระดับค่ายจูเชวี่ย แต่กลับยังคงรุดหน้าด้วยความเร็วระดับนี้
นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
ค่ายฮุยก็ก้าวหน้าไปด้วยระดับความเร็วอันน่ากลัวดุจเดียวกัน
ทักษะปิศาจชั้นยอดที่พวกมันเคยเฝ้าฝันถึง เมื่อครอบครองอยู่ในมือ
แทบบันดาลให้พวกมัน รู้สึกราวกั บฝันไป ปิศาจทุกตนในค่ายฮุยฝึ ก ปรื อ
อย่ า งบ้ า คลั่ ง ราวกั บ หิ ว กระหายมานาน ไม่ จ าเป็ น ต้ อ งให้ ผู้ ใ ดมาคอย
เคี่ยวเข็ญบังคับพวกมัน ไพร่พลปิศาจแต่ล ะตนล้วนกระจ่างใจในคุณค่า
ของทักษะปิศาจวิชานี้ดี
สื อ ตงขมวดคิ้ ว นิ่ ว หน้ า เมื่ อ ทราบว่ า อาณาจั ก รเศษหิ น เป็ น สถานที่
เยี่ยงไร มันก็คิดว่าการโจมตีอาณาจักรเศษหินไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
“ต้าเหริน อาณาจักรเศษหินไม่มีคุณค่าสาหรับเรา” สือตงเป็นแม่ทัพ
บัญชาการศึกโดยเนื้อแท้ ทั้งยั งทระนงถือดีเป็นที่สุด สิ่งที่มันคิดในใจมัก
กล่าวออกมาตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสาคัญที่ทาให้
มันถูกกีดกัน ไม่เคยได้เลื่อนตาแหน่งกับใครเขา
เยี่ยหลิงย่อมรู้จักแม่ทัพที่เป็นคู่หูกันผู้นี้ดี ทั้งทราบว่ากิริยาเช่นนี้ไม่สู้
ดีนัก ขณะที่กาลังจะรีบกลบเกลื่อนให้แก่สือตงกลับได้ยินแม่นางน้อยกล่าว
ว่า
“คุณค่า? อ้อ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการอาณาจักรเศษหิน”
แม่นางน้อยสั่นศีรษะ “แต่ข้าต้องการให้เจ้าไปรับคน”
รับคน?
สือตงใบหน้าทอแววงุนงง แต่เยี่ยหลิงสะท้านขึ้นทั้งร่าง
เยี่ยหลิงพลันนึกถึงองค์ราชันที่ระยะนี้ไม่ได้เผยตัว!
หรือว่า... ...
สังเกตเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของเยี่ยหลิง แม่นางน้อยแย้มยิ้มเล็กน้อย
“มิผิด ราชันของเจ้ายามนี้อยู่ในอาณาจักรเศษหิน เพื่อความปลอดภัย ข้า
คิดว่าเราต้องคนส่งไปรับโดยด่วนที่สุด”
“องค์ราชันอยู่ในอาณาจักรเศษหิน!” สือตงดวงตาเบิ กกว้างอย่างตื่น
ตระหนก มันไม่สามารถจินตนาการได้ องค์ราชันจู่ ๆ ไปโผล่ที่อาณาจั กร
เศษหินได้อย่างไร
“องค์ ร าชั น ไม่ มี อ งครั ก ษ์ ข้ า งกายเลยหรื อ ?” เยี่ ย หลิ ง อกสั่ น ขวั ญ
แขวนแล้ว
“มีเพียงแม่นางอากุ่ย” แม่นางน้อยแบมือกว้าง
เยี่ ย หลิ ง ทะลึ่ ง พรวดเหมื อ นแมวถู ก เหยี ย บหาง “ไม่ มี องครั ก ษ์ !
สวรรค์! จะไม่มีองครักษ์ ได้อย่างไร! จะไม่มีองครักษ์ ได้อย่างไร ท่านเป็น
องค์ราชัน! เราจะปล่อยให้องค์ราชันไปยังสถานที่อันตรายถึงเพียงนั้นตาม
ลาพังได้อย่างไร... ...”
มองดูเยี่ยหลิงร้องตะโกนพลางกรีดวาดมือคล้ายเกือบจะคลั่งใจตาย
แม่นางน้อยให้อัศจรรย์ใจยิ่ง
จนกระทั่ ง ถึ ง ยามนี้ พวกมั น ไม่ เ คยมี แ นวคิ ด ที่ ค ล้ า ยคลึ ง กั น เลย
เว้นเสียแต่เรื่องป้องกันไม่ ให้รี บ แล่นไปยังสนามรบ ในความเห็นของแม่
นางน้อยและชาวเกาะเต่าดั้งเดิม จั่วม่อไม่ต่างจากแมลงสาบที่มีพลังชี วิต
แข็งแกร่งมหาศาล ด้วยนิสัยใจคอกลอกกลิง้ ลื่นไหลและฝีมือไม่สน
ิ้ สุดที่อยู่
ในแขนเสื้อ ต่อให้ไม่สามารถเป็นฝ่ายชนะได้ แต่เรื่องหลบหนีก็ไม่มีปัญหา
แม้แต่น้อย
ยกเว้นแต่กรณีพิเศษที่มักไม่ค่อยเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วแทบไม่มีคน
กังวลเรื่องความปลอดภัยของจั่วม่อ
“ไม่ใช่ตามลาพัง” แม่นางน้อยแย้งเสียงอ่อน “ยังมีอากุ่ยอยู่ด้วย”
“แม่นางอากุ่ย?” เยี่ยหลิงเดือดดาลจนถลึงตาโปนโต “แม่นางอากุ่ย
เป็นเพียงสตรีอ่อนแอบอบบาง... ...”
อากุ่ย...อ่อนแอบอบบาง... ...แม่นางน้อยพอฟังประโยคนี้ถึงกับเหงื่อ
ตกเล็กน้อย มองดูเยี่ยหลิงที่เดือดดาลจนแทบจะอาละวาดออกมา มันพลัน
ขัดจังหวะว่า “สงบใจไว้ก่อน สงบใจไว้ ดังนั้นข้าตกลงจะส่งเจ้าไป ข้าเชื่อ
ว่าเจ้าสามารถกระทาภารกิจนี้ให้สาเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์!”
“ข้าเยี่ยหลิง จะพิทักษ์เกียรติแห่งเจ้าเหนือหัวของข้าด้วยซีวิต!”
เยี่ยหลิงตะโกนปฏิญาณตนดังกึกก้อง!
แม่นางน้อยลอบกลืนน้าลายอย่างฝืดคอเล็กน้อย ความคลั่งไคล้ช่าง
น่าสะพรึงกลัวโดยแท้!
สือตงพลันเอ่ยปากสอดคา “เสี่ยวเหนียงต้าเหริน!” (แม่นางน้อยต้าเห
ริน)
เสี่ยวเหนียง...ต้าเหริน... ...
แม่นางน้อยหางคิ้วกระตุกกึก ๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางแย้มยิ้มเขิน
อาย ท่วงท่าดูไม่มีพิษมีภัย ซึ่งหากเป็นพวกม้าฝานยามนี้คงรีบหมอบกราบ
กรานร้องขอชีวิตแล้ว
ไม่เคยมีใครกล้าเรียก ‘สมญานาม’ นี้ต่อหน้ามันมาก่อน ... ...ไม่เคยมี!
เจ้าตัวบัดซบนี่... ...
สื อ ตงผู้ น่ า เวทนา เนื่ องเพราะม้ า ฝานกั บ พวกยามลั บ หลั ง มั ก จะ
เรียกชื่อนี้มาโดยตลอด เรียกจนมันหลงคิดว่าเสี่ยวเหนียงเป็นชื่อจริ งของ
แม่นางน้อย เป็นธรรมดาที่จะจดจามา มิหนาซ้า ยังเรียกออกมาอย่า งเป็น
ธรรมชาติยิ่ง
กระทั่งเยี่ยหลิงผู้ปราดเปรื่อง ยังไม่สังเกตเห็นสิ่งใดจากใบหน้าที่แย้ม
ยิ้มอ่อนโยนของแม่นางน้อย อย่าว่าแต่สือตงผู้ท่ อ
ื ด้านถึงปานนี้ ไหนเลยจะ
ทันรู้สึกตัวได้?
สือตงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หากเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยเสนอให้เข้ายึด
ครองอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยเป็นลาดับแรก!”
“อาณาจักรป่าเถื่อนน้อย?” แม่นางน้อยงงงันวูบ
“คืออาณาจักรที่พวกเราอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ ปลายทางอีกด้า นหนึ่ง
ของรอยแยกแห่งความโกลาหล มันเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีขุม
กาลังที่แข็งแกร่งอันใด” สือตงร่ายยาว “มีเพียงชิ งยึดครองอาณาจัก รป่า
เถื่อนน้อยเอาไว้ จึงสามารถรับประกันได้ว่าทางถอยของเราจะไม่ถูกปิด
กั้น”
“แต่ศิษย์พี่สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย” แม่นางน้อยแย้ง
“ต้าเหรินอาจยังไม่ทราบ” คราวนี้เยี่ยหลิงเป็นผู้กล่าว มันเคยเป็นแม่
ทัพกองเสบียง เชี่ยวชาญในด้านนี้ยิ่งกว่าผู้ใด “สาหรับค่ายกลเคลื่อนย้าย
ระยะไกลมากเช่นนี้ จะประกอบไปด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวดยิ่ง ในระหว่างการ
ใช้งานจะมีความเสี่ยงสูงมาก จุดอ่อนที่ใหญ่โตที่สุดก็คือระหว่างเปิดใช้งาน
จะก่ อ ให้ เ กิ ด แรงสั่นสะเทื อนที่ ทรงพลังยิ่ ง จนไปดึ ง ดู ด ผู้ เ ข้ มแข็ ง ภายใน
อาณาจักรนัน
้ ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้”
แม่นางน้อยขมวดคิ้ว “พวกหนานเยว่กับคังเจ๋อก็เดินทางผ่านค่ายกล
เคลื่อนย้ายมายังอาณาจักรทะเลเมฆเรา”
“นั่นเพียงหมายความว่าในอาณาจักรเดิมของพวกมันไม่มีผู้เข้มแข็ง
พอที่จะยื่นมือเข้าแทรกแซง” เยี่ยหลิงพอเยือกเย็นลง คล้ายเปลี่ยนเป็นคน
ละคนกับสาวกผู้คลั่งไคล้เมื่อครู่ “ต้าเหริน ควรทราบว่าเผ่าปิศาจมีสัญชาติ
ญาณหวงแหนดินแดนอย่างแรงกล้า ไม่ว่าพฤติกรรมใดที่อาจรุกล้าดินแดน
ของพวกมัน ก็เท่ากับยั่วยุให้เกิดสงคราม และระหว่างที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย
กาลังทางาน ผู้เข้มแข็งเหล่านี้เพียงแค่ย่ น
ื มือเข้าแทรกแซงเล็กน้อยเท่านั้น
ก็ เ พี ย งพอจะก่ อ กวนจุ ด หมายปลายทางของค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ยได้ แ ล้ ว
มิหนาซ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลระดับนี้ เพียงการเปลี่ยนแปลงน้อยนิด
ก็อาจนามาซึ่งความผิดพลาดถึงชีวิต ซิวเจ่อกับอสูรปิศาจทาสงครามกัน
มานานนับพันปี ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายในลักษณะนี้
มาก่อน”
“ที่แท้นี่ก็คือเหตุผล” แม่นางน้อยในที่สุดค่อยเข้าใจกระจ่าง พลันนึก
ขึ้นได้ว่าพวกหนานเยว่ท้ังสามตระกูล ดูเหมือนจะอาศัยอยู่ในอาณาจักร
ห่างไกลซึ่งไม่มีขุมกาลังอื่นอยู่จริง ๆ
พวกมันเหล่าศิษย์พี่น้องหลังจากออกจากส านักในครั้งกระโน้น ก็มี
การศึกษานอกสารบบมาโดยตลอด หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นวิชาความรู้
ทั่วไปกลับไม่เคยล่วงรู้ ก่อนที่จ ะเกิดมหาพิบัติฟ้าสลาย ทุกฝ่ายล้วนต้อง
ต่อสู้ช่วงชิงพื้นที่อยู่ในมหานครนภาโลหิต นี่จึงเป็นเหตุผลที่แท้จริงนั่นเอง
แม่นางน้อยกลายเป็นนิ่งเงียบงันไปนาน เรื่องราวเมื่อเป็นเช่นนี้ การ
ยึดครองอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยก็เปลี่ยนเป็นมีความสาคัญมากแล้ว รอย
แยกแห่งความโกลาหลสายนี้เป็นหนทางเข้าออกภพปิศาจ หากยึดเอาไว้
ในมือพวกมันจึงค่อยรู้สึกมั่นใจได้
“เราต้องการเพียงค่ายฮุยเท่านั้น รับรองว่าจะกวาดพิชิต อาณาจักร
ป่าเถื่อนน้อยอย่างราบคาบ!” สือตงกล่าวอย่างถือดี เงยหน้าสบตาแม่นาง
น้อยตรง ๆ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อันพลุ่งพล่าน!
ค่ายฮุยในวันนี้เหนือล้ากว่ากาลก่อนไม่รู้ว่ากี่เท่าตัว! สือตงแม้เคยเป็น
ยอดแม่ทัพบัญชาการศึกในอาณาจักรป่าเถื่อนน้อย แต่กองกาลังของมัน
กลับไม่ได้เป็นหนึ่งในกองกาลังชัน
้ ยอด มันมักต้องรับภารกิจที่ยากเย็นและ
อันตรายที่สุด ไพร่พลของมันทั้งหมดล้วนเป็นมือเก่าอันช่าชอง แต่เมื่อถูก
จากัดด้วยพรสวรรค์และทักษะปิศาจที่ไม่ใช่ระดับสูง พวกมันก็มาถึงจุดตีบ
ตัน ไม่สามารถก้าวหน้าอีก
การปรากฏขึ้นของเคล็ดองครักษ์ ทุกข์ยากมหาทิวาราวกั บหยาดฝน
ชโลมพื้นดินอันแห้งผาก เป็นกุญแจส าคัญที่ช่วยนาพาให้ปิศาจเดนตาย
เหล่านี้ มุ่งไปสู่โลกใบใหม่อย่างสมบูรณ์
พวกมันทั้งหมดล้วนรุดหน้าอย่างก้าวกระโดด!
เนื่องเพราะเหตุนี้เอง ทาให้สือตงกล้าเอ่ยปากปฏิญาณเช่นนี้
แ ม่ น า ง น้ อ ย นิ่ ง เ งี ย บ งั น ไ ป ชั่ ว อึ ด ใ จ ก่ อ น จ ะ ต ก ล ง ใ จ แ น่ วแ น่
“ประเสริฐ! สือตงเจ้าจะเปิดศึกยึดครองอาณาจักรป่าเถื่อนน้อย ให้ค่าย
เสวียนอู่เฝ้าพิทักษ์ รอยแยกแห่งความโกลาหลแทน เยี่ยหลิงกับซู่หลงให้
เลือกคนจานวนหนึ่งจากค่ายเว่ย มุ่งหน้าสู่อาณาจักรเศษหินเพื่ออารั กขา
ศิษย์พี่โดยเร็วที่สุด อา ให้พวกหนานเยว่ไปกับพวกเจ้าด้วย”
ค่ายฮุยล้วนเป็นเผ่าปิศาจ ต่อให้จู่ ๆ หันหัวหอกกลับไปโจมตีบ้านเกิด
เมืองนอนก็จะไม่ถือว่าเป็นคนนอก แต่หากผู้ลงมือเป็นค่ายจูเชวี่ย เกรงว่า
จะกระตุ้ น ให้ ท่ั ว ทั้ ง อาณาจั ก รป่ า เถื่ อนน้ อ ยผนึ ก ก าลั ง กั น รั บ มื อ จะยิ่ ง
ก่อกวนให้เรื่องราวยุ่งยากกว่าเดิม
เยี่ยหลิงกับสือตงรับคาสั่งล่าถอยไปอย่างลิงโลดยินดี
คาสั่งของแม่นางน้อยถ่ายทอดออกไป รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทั่วทั้งเกาะเต่าเริ่มขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประดุจ ฟันเฟืองมหึมาใน
เครื่องกลไกขนาดยักษ์
สื อ ตงแม้ ท ระนงถื อ ดี แ ต่ ไ ม่ ใ ช่ ตั ว โง่ ง ม มั น ทราบว่ า ในเมื่ อลั่ น ปาก
ออกไปต่อหน้าแม่นางน้อย มันจะต้องทาภารกิจ ให้ส าเร็จลุล่วงอย่างยอด
เยี่ยมให้จงได้
แล้วอย่างไรจึงเรียกว่ายอดเยี่ยม?
เร็วที่สุด!
ยิ่งเร็วยิ่งดี!
ขุมกาลังหลัก ๆ ของอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพญามาร
กาลังยื่นเงื้อมหัตถ์เข้าใกล้พวกมันแล้ว
ค่ายที่รับหน้าที่คุ้มกันรอยแยกแห่งความโกลาหลเปลี่ยนมืออย่างลับ
ๆ ค่ายฮุยล่วงลึกกลับเข้าไปในแดนปิศาจ ค่ายเสวียนอู่รับหน้าที่แทน ซึ่ง
ความจริงม้าฝานอยากไปแนวหน้าใจจะขาด แต่มันไหนเลยจะกล้าฝ่าฝืน
คาสัง่ ของแม่นางน้อย
หากแต่กลุ่มที่ออกเดินทางเป็นพวกแรกไม่ใช่ค่ายฮุยที่นาโดยสือตง
ทว่ า เป็ น พวกเยี่ ย หลิ ง กั บ ซู่ ห ลงและคนอื่ น ๆ พวกมั น ต้ อ งรี บ ออกจาก
อาณาจั ก รป่ า เถื่ อนน้ อ ยเสี ย ก่ อ นที่ ส ถานการณ์ จ ะกลายเป็ น โกลาหล
อลหม่านด้วยไฟสงคราม เร่งเดินทางไปยังอาณาจักรเศษหินโดยเร็วที่สุด
พวกซู่หลงมีกั นไม่มากนัก เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ภายใต้ข้อเสนอ
ของเยี่ยหลิง พวกมันปลอมตัวเป็นกองคาราวานสินค้า
แม้ ว่ า พวกมั น จะมี กั น เพี ย งหนึ่ ง ร้ อ ยกว่ า คน แต่ ล้ ว นเป็ น ยอดฝี มื อ
หนานเยว่ คังเจ๋อ หมิงเจวี๋ยจื่อก็รวมอยู่ในจานวนนี้ด้วย ยังมีเหล่ายอดฝีมือ
ทั้งหมดจากค่ายเว่ย รวมถึงอาเหวินและทาสบุปผาอีกห้าคน
เยี่ยหลิงเป็นเผ่าปิศาจ หนานเยว่กับพวกเป็นอสูร พวกซู่หลงอาเหวิน
ฝึกปรือทักษะปิศาจ ส่วนทาสบุปผาฝึกปรือศาสตร์อสูร
กองคาราวานของพวกมันจึงเร่งรุ ดเดินทางอย่างสะดวกดายยิ่ง อสูร
ปิศาจมีความสัมพันธ์อันดี เป็นพันธมิตรกันมานานปี ไม่ว่าในระดับ ชั้นใด
ล้วนคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวาง กองคาราวานค้าขายของแต่ละฝ่าย
มักเดินทางข้ามไปมาอยู่เป็นประจ า บ่อยครั้งที่พบเห็นพวกอสูรอยู่ในภพ
ปิศาจ หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่
ไม่ ว่ า ทั ก ษะปิ ศ าจของค่ า ยเว่ ย หรื อ ศาสตร์ อ สูร ของทาสบุ ป ผาล้วน
บรรลุถึงขั้นลึกล้า บนร่างพวกมัน ไม่มีร่องรอยกลิ่นอายของซิวเจ่อแม้แต่
น้อย สารรูปของพวกมันดูไม่ต่างอันใดจากอสูรปิศาจสายเลือดแท้
เยี่ยหลิงคบหากับคนทุกระดับชั้น มีความสัมพันธ์อันดีกับคนจ านวน
มาก การเดินทางผ่านอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยของพวกมันราบรื่นยิง่
กระทั่ ง ถึ ง ยามนี้ อาณาจั ก รป่ า เถื่อ นน้ อยยัง ไม่ ร ะแคะระคายแม้แต่
น้อยว่าสือตงกับเยี่ยหลิงแปรพักตร์ไปจากพวกมันแล้ว แรกเริ่มเดิมทีพวก
มันส่งคนทั้งสองไปเพื่อลองหยั่งเชิง ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หลังจาก
พ่ายศึกค่ายฮุยก็ยังคงเฝ้ารักษารอยแยกแห่งความโกลาหลอย่างแข็งขัน
ดังนั้นย่อมไม่มีผู้ใดติดใจสงสัยพวกมัน
มองดู ภ าพทิ ว ทั ศ น์ ที่ แ ตกต่ า งจากภพซิ ว เจ่อ อย่ า งสิ้นเชิ ง ซู่ ห ลงกั บ
พวกล้วนอัศจรรย์ใจไม่น้อย
ด้วยความวิต กกังวลในความปลอดภัยของจั่วม่อ พวกมันทั้งหมดถูก
แผดเผาด้วยความกลัดกลุ้มรุ่มร้อน เริ่มมุ่งตรงไปยังอาณาจักรเศษหินด้วย
ความเร็วเต็มพิกัด
แต่อาณาจักรเศษหินห่างไกลเหลือเกิน พวกมันต้องการเวลาสักระยะ
หนึ่ง
บทที่ 540 เปลี่ยนท่า!

ได้ ยิ น ผู เ ยาน าข่ า วมาจากคุ ก สิ บ นิ้ ว ว่ า พวกซู่ ห ลงกั บ เยี่ ย หลิ ง ก าลั ง
เดินทางมาช่วยเหลือมัน จั่วม่อก็ไม่รีบร้อนจากไปอีก มันตกลงใจรอคอย
พวกซู่ห ลงกับเยี่ยหลิ งอยู่ใ นเมือ งเศษหิน ด้วยสภาพของมั นกั บ อากุ่ ย ใน
ยามนี้ หากเอาแต่วิ่งพล่านวุ่นวายเท่ากับแส่หาที่ตาย มิสู้รออยู่ในเมืองเศษ
หินจะปลอดภัยกว่า
“อากุ่ย ซู่หลงกับคนอื่น ๆ จะมารับพวกเราในไม่ช้า ถึงตอนนั้นพวก
เราจะปลอดภัย” จั่วม่อรีบพูดคุยกับอากุ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี มันไม่ต้องการ
บอกสภาพปัจจุบันแก่แม่นางน้อยและคนอื่น ๆ เนื่องเพราะไม่ต้องการให้
พวกมันต้องมาพลอยกลัดกลุ้มกังวลไปด้วย และยังเป็นเพราะมันไม่คิดว่า
คนเหล่านั้นจะมีหนทางช่วยเหลือมันได้ ต่อให้บอกพวกมันก็ตาม แต่นึกไม่
ถึงว่าแม่นางน้อยจะส่งคนเดินทางไกลมารับพวกมันจริง ๆ
นี่นับเป็นการเดินทางไกลอย่างแท้จริง จากอาณาจักรทะเลเมฆมาถึ ง
อาณาจั ก รเศษหิ น พวกมั น ไม่ รู้ ว่ า ต้ อ งผ่า นอาณาจัก รน้ อยใหญ่ ม ากมาย
เท่าใด!
ซึ่งความจริงมันเองยังไม่ล่วงรู้ด้วยซ้า ว่ามันกับอากุ่ยไฉนจู่ ๆ มาโผล่
ที่นี่ได้ หลังจากมันถูกฟาดหมดสติไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง กระทั่งผูเยากับเว่ยก็
บอกไม่ได้ อย่าว่าแต่อากุ่ยแล้ว
อาณาจักรทะเลเมฆ... ... อาณาจักรเศษหิน... ...
หนึ่ ง เป็ น ดิ น แดนห่ า งไกลในภพซิ ว เจ่ อ อี ก หนึ่ ง เป็ น สถานที่ ร กร้ า ง
กันดารในภพปิศาจ ระหว่างทั้งสองสถานที่นี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
หรือไม่ ? จั่วม่อย่อมไม่เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิ ญ ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่
สามารถข้ า มผ่ า นระยะทางยาวไกลเช่ น นี้ เห็ น ได้ ชั ด ว่ า ไม่ ใ ช่ ค่ า ยกล
เคลื่อนย้ายสามัญทั่วไป
ทีแรกมันเข้าใจว่าเป็นรอยแยกแห่งความโกลาหลแห่งหนึ่ง แต่ผูเยา
กับเว่ยยืนยันอย่างมั่นคงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
ทั้ ง ผู เ ยาทั้ ง เว่ ย ล้ ว นไม่ น่ า เชื่ อถื อ แต่ เ มื่ อพวกมั น ทั้ ง สองเห็ น พ้ อ ง
ต้องกัน เช่นนั้นก็เป็นข้อสรุปที่เชื่อถือได้แล้ว
ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? จั่วม่อจมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้า
ทันใดนั้นในใจจั่วม่อเกิดประกายวาบดุจสายฟ้า เบาะแสทั้งหมดร้อย
เรียงเข้าด้วยกันอยู่ในใจมันดั่งเรียงร้อยสร้อยไข่มุก
มั น หวนนึ ก ถึ ง ถ้ อ ยค าที่ อ ยู่ บ นใบไม้ ท องค า ซึ่ ง กล่ า วว่ า ชนเผ่ า เทพ
สุริยัน สร้างวิห ารเทพสุริยันในอาณาจักรทะเลเมฆเพื่อค้นหาของสิ่งหนึ่ง
จั่วม่อเดิมทีเข้าใจว่าหลันถูกจับกุมคุมขังไว้ในแดนผลาญเทพ ก็เนื่องเพราะ
เป็ น เชลยสงครามธรรมดาทั่ ว ไป แต่ ม องจากยามนี้ เ กรงว่ า นี่ ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อง
บังเอิญเสียแล้ว
โจรหัวโล้นจากวัดเสวียนคงก็เคยกล่าวถึง ‘ของสิ่งนั้น’ ดูเหมือนว่าตา
เฒ่านั่นจะล่วงรู้เรื่องราวบางประการ มิทราบว่า ‘ของสิ่งนั้น’ ที่โจรหัวโล้น
กล่ า วถึ ง กั บ ‘ของสิ่ ง นั้ น ’ ที่ บ อกไว้ ใ นใบไม้ ท องค า จะใช่ ข องสิ่ง เดี ยวกัน
หรือไม่?
แดนต้องห้ามของมนุษย์หมอก!
ของสิ่งนั้นเป็นไปได้มากว่าอยู่ในแดนต้องห้ามของมนุษย์หมอก!
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าไฉนหลันถูกจับขังไว้ ในแดนผลาญเทพ และไฉน
โจรหัวโล้นจึงได้มุ่งเป้าไปที่นั่น ทุกอย่างล้วนอธิบายได้
แต่ไฉนมันกับอากุ่ยจึงมาโผล่ ในอาณาจั กรเศษหินนี้ ไ ด้ ? อาณาจั ก ร
เศษหินกับแดนต้องห้ามของมนุษย์หมอกที่แท้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
หรือว่า ‘ของสิ่งนั้น’ จะอยู่ในอาณาจักรเศษหิน?
จั่วม่อสั่นศีรษะ โยนความคิดไร้เหตุผลนี้ทิ้งไปด้านหลัง ในระหว่างที่
พักอาศัยอยู่ในบ้านของลุงอันหย่า มันก็มีความเข้าใจในสภาพทั่วไปของ
อาณาจักรเศษหินโดยคร่าว ๆ อาณาจักรเศษหินเป็นเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ
ทั่วไปในหมู่อาณาจักรน้อยใหญ่มากมายในภพปิศาจ ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดควร
ค่าแก่การสนใจ สิ่งที่มีมากมายและอุดมสมบูรณ์ที่สุด ก็คือเม็ดทรายและ
เศษหินในทะเลทรายเศษหิน
ตามที่ลุงอันหย่าเล่าให้ฟัง ทะเลทรายเศษหินกว้างใหญ่เกินสามในสี่
ส่วนของอาณาจักรเศษหิน ตั้งอยู่ใจกลางอาณาจักร เมืองปิศาจอื่น ๆ ส่วน
ใหญ่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับเมืองเศษหิน กระจายตัวอยู่รอบชายขอบของ
ทะเลทรายเศษหินนั่นเอง
ไม่ว่ามองจากมุมใด อาณาจักรเศษหินก็เป็นดินแดนรกร้า งห่างไกล
เหี่ยวแห้งกันดารยิ่งกว่าอาณาจักรทะเลเมฆเสียอีก ซิวเจ่ อที่อาศัยอยู่ ใ น
อาณาจักรทะเลเมฆยังมีจานวนมากกว่าบรรดาปิศาจในอาณาจักรเศษหิน
มาก
สถานที่เช่นนี้ไหนเลยจะมีสิ่งของล้าค่าถึงปานนั้นได้?
เช่นนั้นมันกับอากุ่ยไฉนถูกส่งมาที่นี่? หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ?
จั่วม่อไม่อาจเข้าใจได้
มันรีบโยนข้อสันนิษฐานเหล่านี้อ อกไปจากใจ ต่อให้มีสมบัติล้าค่าอยู่
จริง ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อ งกั บมัน มันเป็นห่วงแม่นางน้ อยกั บพวกทางนั้ น
มากกว่า ในเมื่อซู่หลงกับ อาเหวิน ก าลัง เดิน ทางมาที่นี่ ค่ายเว่ยย่อ มขาด
ผู้นาทัพ เกาะเต่าเท่ากับสูญเสียกองทัพที่มีกาลังต่อสู้ไปหนึ่งกองพันเป็น
การชั่วคราว
วัดเสวียนคงจะไม่ยอมกล้ากลืนโทสะครั้งนี้
มันไม่ทราบว่าศิษย์น้องกงซุนจะสามารถต่อต้านการรุ กรานของพวก
หัวโล้นได้ห รือไม่ เคราะห์ดีที่วัดเสวียนคงอยู่ห่างไกลมากจากอาณาจั ก ร
ทะเลเมฆ ฝ่ายตรงข้ามไม่สะดวกต่อการส่งกองทัพมาเป็นจานวนมาก อีก
ทั้งยังไม่ส ามารถทาศึกระยะยาว เนื่องเพราะศัต รู ห ลักของพวกมันไม่ ใ ช่
อาณาจักรทะเลเมฆ แต่เป็นอสูรปิศาจ
หากพวกมันสามารถหยุดยั้งการโจมตีระลอกแรกได้ ที่เหลือก็ไม่หนัก
หนาแล้ว!
แต่ มั น ไม่ จ าเป็ น ต้ อ งเอ่ ย ถึ ง ความกั ง วลของมั นในเรื่ อ งนี้ มั น เชื่ อ ว่ า
ศิษย์น้องกงซุนยังมองทะลุปรุโปร่งกว่ามันอีก
ประเสริฐ เวลานี้มั นควรจัดการตัวเองเสียก่อนเป็นลาดับแรก สารรู ป
ปวกเปียกไม่เป็นผู้เป็นคนเช่นนี้ ช่างดูขัดตาโดยแท้
อากุ่ยก็คงเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน... ...
จั่วม่อนอนพังพาบอยู่บนหลังอากุ่ย เส้นผมของนางหลุดลุ่ยปกคลุม
ใบหน้า หลังจากเผชิญลมทรายมานานหลายวัน เรือนผมของอากุ่ยยัง คง
สะอาดสะอ้าน ปราศจากฝุ่นละออง กอรปด้วยความเงางามชวนสะท้านใจ
แฝงเร้นความรู้สึกอันลี้ลับอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่มันไม่สามารถมองเห็นใบหน้าอากุ่ยได้... ...
“ไฮ้ อากุ่ย ข้าว่าเราเปลี่ยนท่า แบกกัน บ้า งดีห รือไม่ ?” จั่วม่อพึมพ า
เบาๆ
มันสัมผัสได้ชัดว่าอากุ่ยคล้ายชะงักงัน ฮะ? อากุ่ยเข้าใจด้วยหรือ?
จั่วม่อเบิกบานใจยิ่ง รีบร้องบอก “อากุ่ย อากุ่ย เปลี่ยนท่า มามามา มา
ลองเปลี่ยนท่าแบกดูบ้าง... ...”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบคา มันรู้สึกร่างตึงวูบ หมุนเหวี่ยงอย่างรุนแรง
มันในที่สุดก็เปลี่ยนท่วงท่าเสียที... ...ไม่ทราบกี่วันกี่คืนแล้วที่ต้องจม
อยู่บนหลังอากุ่ย... ... อากุ่ย เจ้ายอดเยี่ยมยิ่ง!
จั่วม่อแทบร่าไห้อย่างปลาบปลื้ม

“อากุ่ย อากุ่ย เราสามารถเปลี่ยนท่าอีกครั้งได้หรือไม่?” จั่วม่อกล่าว


เสียงละห้อย
คราวนี้อากุ่ยนิ่งเงียบงัน ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
จั่ ว ม่ อ ชั ก รู้ สึ ก หวาดวิ ต กอยู่ บ้ า ง แขนของมั น ... ... แขนของมั น
เบียดเสียดอยู่กับ บางส่ วนที่ อิ่มเต็ ม และนิ่มนวลของอากุ่ย อยู่ต ลอดเวลา
เบี ย ดแน่ น เลยที เ ดี ย ว จั่ ว ม่ อ จู่ ๆ นึ ก ถึ ง ภาพมายาอั น ร้ า ยกาจที่ แ ม่ น าง
กระเรียนกระดาษเคยส่งมาล่อลวงมันที่ภูเขาสุญตา... ...
นี่มัน... ... นี่ก็เป็นวิชามายาด้วยหรือไม่?
วิชามายาอันร้ายกาจ!
จั่วม่อกลืนน้าลายอย่างฝืดคอ กล่าวอึกอักว่า “อะแฮ่ม อากุ่ย อันที่
จริงเราเปลี่ยนท่วงท่าอีกทีจะดีกว่า... ...เจ้า เจ้าอุ้มข้า ไว้เช่นนี้ ข้ายังจะมี
หน้าไปพบผู้ใดได้!”
อากุ่ยไม่ไหวติง
“เวยเวย อาจั่ว อาจั่ว!” เสียงตงจื่อกับพวกตะโกนเรียกมาจากนอก
ประตู จั่วม่อได้รับการยอมรับจากเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้นานแล้ว โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง หลังจากที่จ่ัวม่อ ‘ชี้แนะ’ พวกมันโดยไม่ต้ังใจ พวกมันก็ยิ่งมีน้าใจ
ต่อสองหนุ่มสาวแปลกหน้าคู่นี้มากขึ้น
แย่แล้ว มีคนมา!
จั่วม่อแตกตื่นลนลาน
อนิจ จา! สวรรค์เป็นพยาน! เกอไม่เคยแตกตื่นลนลานถึง เพี ย งนี้ ม า
ก่อนเลย! ต่อให้เผชิญหน้ากับอสูรปิศาจ หยวนอิง จินตัน สมบัติวิเศษแห่ง
ฟ้าดิน เกอยังไม่ขวัญหนีดีฝ่อเท่านี้!
เพราะเหตุใด ไฉนข้าต้องแตกตื่นลนลานถึงเพียงนี้... ...
จั่วม่อต้องการหารอยแตก มุดหนีลงไปใต้พ้ น
ื ในบัดดล
ปัง ประตูเปิดออกอย่างร่าเริง
“อาจั่ว อาจั่ว!” ตงจื่อกับพวกพากันโถมเข้ามาอย่างตื่นเต้นระทึ กใจ
แต่รอจนพวกมันเห็นจั่วม่อชัดตา ล้วนยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่กับที่
เงียบกริบดุจป่าช้า
“ฮืม... ...ฮืมฮืม พวกเจ้าไฉนทาหน้าเช่นนั้น?” จั่วม่อสุ้มเสียงแสนจะ
ไม่เป็นธรรมชาติ
“วา! อากุ่ยเจี่ยเจียแข็งแรงมาก! คู่บ่าวสาว คู่บ่าวสาว!” เด็กหญิงน้อย
ผู้หนึ่งดวงตาเป็นประกาย จ้องมองอากุ่ยอย่างนับถือเลื่อมใส
คู่บ่าวสาว... ...
ทุกผู้คนสีหน้าแปลกพิกลยิ่ง
“แค่กแค่กแค่ก มีอะไรว่ามา วันนี้อากุ่ยเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว!” จั่วม่อ
พยายามบังคับสุ้มเสียงให้สงบ
“อ้อ ใช่ใช่ เราจะมาบอกเจ้าว่าอาจารย์ปลุกปิศาจมาถึงแล้ว เจ้าอยาก
ดูหรือไม่?” ตงจื่อปากแม้กล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าแปลกพิกลยิ่ง กระทั่งคน
สัตย์ซ่ ือถือมั่นเช่นตงจื่อ เห็นสตรีนางหนึ่งโอบอุ้มบุรุษผู้หนึ่งเช่นคู่บ่าวสาว
ยังรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก
อาจารย์ปลุกปิศาจ!
ในสายตาของเผ่าปิศาจ การเปิดใช้งานแผนผังปิศาจจะกระทาด้วย
การปลุกแผนผังปิศาจที่ยังหลับใหลให้ต่ ืนขึ้น ดังนั้นผู้ที่มีอาชีพลงมือปลุก
จึงเรียกว่าอาจารย์ปลุกปิศาจ แต่อาจารย์ปลุกปิศาจหาใช่อาชีพที่มีหน้ามี
ตาอันใด เนื่องเพราะมีแต่ปิศาจชั้นต่าเท่านั้นที่ต้องการความช่วยเหลือใน
การปลุกแผนผังปิศาจของพวกมัน ปิศาจชัน
้ สูงไม่จาเป็นต้องพึ่งพาวิธีการ
ต่ า ต้ อ ยเช่ น นี้ ทว่ า บรรดาอาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจยั ง ได้ รั บ ความเคารพจาก
ปิศาจชั้นต่าอย่างลึกซึ้ง เนื่องเพราะพวกมันรอบรู้อย่างกว้างขวาง
จั่วม่อกระตือรือร้นสนใจขึ้นมาทันที หลงลืมความอับอายไปเสียสิ้น
รีบถามว่า “อยู่ที่ใด อยู่ที่ใด?”
ในเมื อ งแห่ ง นี้ มี ปิ ศ าจอยู่ ไ ม่ ม ากนั ก จั่ ว ม่ อ ลองประมาณการโดย
คร่าวๆ สมควรไม่เกินห้าหมื่นเท่านั้น หากเป็นเมืองซวีหลิง พวกมันทั้งหมด
กระทั่งมุมหนึ่งของเมืองก็ยังยัดลงไปไม่เต็ม เนื่องเพราะสถานที่ห่างไกล
ผืนดินแร้นแค้นกันดาร ปิศาจส่วนใหญ่ในเมืองล้วนยากจน ผลก็คือไม่มี
ปิศาจเข้มแข็งใดมาสนใจสถานที่แห่งนี้ ทาให้ห่างไกลจากการต่อสู้ไปด้วย
เมื่อจั่วม่อออกมาบนถนนในสภาพถูกโอบอุ้มเป็นเจ้าสาว พลันเรียก
เสี ย งหั ว ร่ อ ดั ง สนั่ น หวั่ น ไหวอย่ า งสนิ ท สนม ผู้ ค นที่ นี่ ช มชอบบุ รุ ษ สตรี ที่
แปลกประหลาดคู่นี้ ในสายตาของพวกมัน จั่วม่อช่างพูดจา อบอุ่นและเปิด
กว้าง ส่วนอากุ่ยที่เงียบกริบและเด็ดเดี่ยว ก็เป็นที่ช่ น
ื ชอบอย่างท่วมท้นของ
บรรดาป้าๆ น้าๆ ผู้เต็มเปี่ ยมไปด้วยความรักของมารดา ทุก ๆ วันหลายคน
จะนาอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้แก่จ่ัวม่อและอากุ่ยที่บ้านของลุงอัน
หย่า
“เสี่ยวจั่วจั่ว อากุ่ยของเจ้าไร้เทียมทานจริง ๆ!”
“คู่บ่าวสาว คู่บ่าวสาว! จุ๊จุ๊ กาลังแขนอันกล้าแกร่งนัก เสี่ยวจั่วจั่ว แอบ
อิงอยู่ตรงนั้นคงเคลิบเคลิ้มไม่น้อยทีเดียว ฮ่าฮ่า!”
“โอ้โอ้โอ้ อากุ่ยเจี่ยเจียแข็งแรงยิ่ง! ในภายหน้าข้าก็อยากโอบอุ้มบุรุษ
ของข้าเยี่ยงนี้บ้าง แข็งแกร่ง! น่าประทับใจ!”
“ข้าชมชอบอากุ่ยเหลือเกิน นางช่างอาจหาญนัก ไฉนเมื่อก่อนข้าไม่
ทันคิดถึงกระบวนท่าเช่นนี้บ้างหนอ? กาลเวลาโหดร้ายเหมือนมีดของคน
ฆ่าสัตว์! โอ้ เสี่ยวจั่วจั่วจะต้องสุขสาราญใจให้มากเข้าไว้... ...”
จั่ ว ม่ อ อั บ อายจนแทบแทรกแผ่ น ดิ น หากมิ ใ ช่ ว่ า ใบหน้ า ของมั น
กลายเป็นแข็งทื่อ เวลานี้จะต้องแดงฉานเหมือนตับสุกรเป็นแน่ นิ้วมือหนึ่ง
นิ้วซึ่งเป็นส่วนเดียวในร่างกายที่ขยับได้ในยามนี้ กาลังสั่นระริกไม่หยุดราว
กับขดลวดดีดไปมา
ภาพลั ก ษณ์ . .. ...ภาพลั ก ษณ์ ข องเกอป่ น ปี้ หมดแล้ ว ! นี่ เ ป็ น ความ
ผิ ด พลาดของมั น เองล้ ว น ๆ เกอไฉนต้ อ งแส่ ห าเรื่ อ งด้ ว ยการคิ ด เปลี่ ย น
ท่วงท่าด้วย?
จั่วม่อน้าตาตกใน
อากุ่ยยังคงเงียบกริบ สีห น้าไม่แปรเปลี่ยน ช่วงก้าวของนางไม่กว้าง
นัก นางเมื่อโอบอุ้มจั่วม่อไว้ข้างหน้า ร่างก็โน้มเอียงไปด้านหน้าด้วย นาง
เดิมทียามไม่ใช้พลังก็ไม่ได้แข็งแรงมากมายอันใดอยู่แล้ว เมื่อต้องโอบอุ้ม
มันในท่านี้ก็ดูจะยากลาบากไม่น้อย
ตงจื่อกับพวกเดินสนทนาอยู่ด้านข้าง
เคราะห์ดีที่ไม่ มีผู้ใดคิดเข้ามาเซ้าซี้ช่วยเหลืออากุ่ย เหล่าคนในเมือง
เศษหินล้วนทราบดีว่าอากุ่ยจะไม่มีวันปล่อยจั่วม่อไว้ในมือคนอื่น
อาจารย์ ป ลุ ก ปิศ าจอยู่ที่ ใ จกลางเมื อ ง ก าลั ง ช่ ว ยปลุ ก แผนผัง ปิศาจ
ของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งให้ต่ น
ื ขึ้น รอบข้างเงียบสงัดราวร้างไร้ผู้คน ทุกคนล้วนมี
สีหน้าตึงเครียด
อาจารย์ปลุกปิศาจผู้นี้หาได้แก่ชราไม่ อายุเพียงไม่เกินสามสิบสี่สิบปี
ร่างผอมบางยิ่ง ดูคล้ายแส้เส้นหนึ่ง มันถือเข็มยาวเล่มหนึ่ง ความยาวของ
เข็มเกือบเท่าความยาวของท่อนแขน สีหน้าจรดจดจ่อ กาลังใช้เข็มยาวขีด
วาดอย่างระมัดระวัง ด้วยปลายเข็มซึ่งจุ่มของเหลวสีดาที่ไม่ทราบว่ า เป็น
อะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่จ่ัวม่อได้ชมดูกระบวนการปลุกแผนผังปิศาจ เต็มไป
ด้วยความกระหายใคร่รู้
ท่วงท่าของอาจารย์ปลุกปิศาจปราดเปรียวว่องไวและสง่างามยิง่ เต็ม
ไปด้วยจังหวะจะโคนชนิดหนึ่งที่บันดาลให้จ่ว
ั ม่อนึกถึงการเต้นระบา สีหน้า
ยิ่งจดจ่อรวมรั้ง ทุกครั้งที่จรดปลายเข็มลงไป น้ายาสีดาที่ปลายเข็มจะหยด
จุ ด สี ด าลงบนผิว หนั งของเด็ กหนุ่ม จุ ด ด าที่ เ ล็ ก จ้ อ ยเป็ นอย่ า งยิ่ งนี้ จ ะซึบ
ซาบเข้าสู่ผิวหนังและหายไปอย่างรวดเร็ว
จั่ ว ม่ อ มี ด วงตาที่ ช่ า ชองช านาญถึ ง เพี ย งไหน เพี ย งชมดู อ ยู่ ชั่ ว ครู่ ก็
เข้าใจวิธีการบางส่วน
ฮะ?
แต่การกระทาต่อไปของอาจารย์ปลุกปิศาจ ทาให้จ่ว
ั ม่อตื่นตะลึง รู้สึก
ได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย!
บทที่ 541 อาจารย์ปลุกปิศาจ

เห็นปลายนิ้วของอาจารย์ ปลุก ปิศ าจจู่ ๆ ก็ส ว่างขึ้นด้วยแสงที่ แ ทบ


มองไม่เห็น สะบัดข้อมือวูบ เข็มยาวคล้ายเปลี่ยนเป็นริ้วแสงสีเงิน แทงเข้า
ไปใต้ผิวหนังของเด็กหนุ่มอย่างฉับพลัน
เด็กหนุ่มร่างสะท้านเฮือก แค่นเสียงหนัก ๆ คาหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนั้น แผนผังปิศาจเลือนรางพลันปรากฏขึ้น แม้ว่าจะ
ยังไม่เด่นชัดนัก แต่ก็สามารถมองเห็นเค้าร่างของแผนผังปิศาจได้ชัดเจน
อาจารย์ปลุกปิศาจระบายลมหายใจยาว ตบเบา ๆ บนแผนผังปิศาจ
เข็มยาวคล้ายถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นดึงรั้งกลับออกมาจากร่างของเด็ ก
หนุ่ม อาจารย์ปลุกปิศาจยื่นมือรับเข็ม จัดวางไว้ทางหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน
กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โชคดีที่ทาสาเร็จ”
เด็กหนุ่มนั้นพอฟัง ต้องลิงโลดยินดีแทบคลุ้มคลั่ง บิดามารดาของมัน
พากั น ถอนใจยาวอย่ า งพร้ อ มเพรี ย ง สี ห น้ า ปลาบปลื้ มปิ ติ เมื่ อ แผนผั ง
ปิศาจถูกปลุกขึ้น ขอเพียงมันไม่ล้มเลิกการฝึกฝีมือ หลังจากนี้สักระยะหนึ่ง
จะได้พบกับช่วงการเติบโตรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าที่ใดในโลก ความแข็งแกร่งก็เป็นหลักประกันที่มีอานุภาพมาก
ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภพปิศาจอันโหดร้ายทารุณ
ตงจื่อจ้องมองเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาอิจฉาเลื่อมใส อีกฝ่ายไม่ได้มี
พรสวรรค์เทียบเท่ามัน แต่สุดท้ายตัวมันเองจะไปได้ไกลเท่าใดยังต้องดูว่า
การปลุกแผนผังปิศาจของมันจะพบความสาเร็จหรือไม่
จั่วม่อจ้องมองเข็มยาวในมือของอาจารย์ปลุกปิศาจอย่างครุ่นคิด
มันเมื่อเห็นเข็มยาวแทงเข้าไปในร่างของเด็กหนุ่ม ต้องตื่นตะลึงวูบ
แต่รอจนแผนผังปิศาจปรากฏขึ้น มันก็แยกแยะจุดสาคัญได้ทันที
จั่ ว ม่ อ ครั้ ง หนึ่ ง เคยศึ ก ษาค้ น คว้ า แผนผั ง ปิ ศ าจอย่ า งลึ ก ซึ้ ง มี ค วาม
เข้ า ใจของมั น เองในแผนผั ง ปิ ศ าจอั น หลากหลาย ในความเห็ น ของมั น
แผนผั ง ปิ ศ าจก็ คื อ ค่ า ยกลตามธรรมชาติ ที่ ก่ อ ตั ว ขึ้ น จากเลื อ ดเนื้ อและ
พลังงานในร่างกาย ค่ายกลตามธรรมชาตินี้ท้งั ลี้ลับและซับซ้อนยิ่งกว่าวิชา
ค่ า ยกลยั น ต์ ข องซิ ว เจ่ อ มาก นอกเหนื อ จากความซั บ ซ้ อ นของเค้ า ร่ า ง
โครงสร้างของแผนผังแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่สาคัญยิ่ง นั่นคือเลือดเนื้อ
และพลั ง งานไม่ ใ ช่ ข องตาย พวกมั น กอรปด้ ว ยความเปลี่ ย นแปลงและ
ความสามารถในการพัฒนา
เผ่ า ปิ ศ าจมี ค ากล่ า วที่ ว่ า ‘ไม่ มี แ ผนผั งปิ ศ าจที่ เ หมื อ นกั น อย่ า ง
สมบูรณ์’
เนื่ องเพราะเลื อ ดเนื้ อและพลั ง งานของปิ ศ าจแต่ ล ะตน ไม่ มี ผู้ ใ ด
เหมือนกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นแผนผังปิศาจของพวกมัน ไหนเลยจะคล้าย
เหมือนอย่างสมบูรณ์แบบได้
หลังจากชมดูกระบวนการทั้งหมด ในที่สุดมันก็มีความรู้ความเข้าใจ
อย่างกว้าง ๆ สาหรับการปลุกแผนผังปิศาจ ที่แท้อาจารย์ปลุกปิศาจจะทา
การซ่อมแซมส่วนหนึ่งของแผนผังปิศาจที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง หากกล่าว
ให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือการปรับเปลี่ยน พวกมันจะทาการปรับเปลี่ยนเลือด
เนื้อและกระแสพลังส่วนเล็ก ๆ บางส่วน แม้ว่าพวกมันไม่สามารถซ่อมแซม
แผนผั ง ปิ ศ าจอย่ า งสมบู ร ณ์ แต่ ก็ ยั ง สามารถท าให้ แ ผนผั ง ปิ ศ าจส าแดง
อานุภาพได้ในระดับหนึ่ง
ดังนั้นคาว่า ‘ปลุกแผนผังปิศาจ’ นับว่าใช้ไ ด้ถูกต้อ งเหมาะสมที่ สุ ด
แล้ว
จั่วม่อขณะครุ่นคิด ก็จ้องมองเข็มยาวในมืออาจารย์ปลุกปิศาจตาไม่
กะพริบ มันสนอกสนใจเข็มเล่มนั้นมาก
เหล่าปิศาจมุงค่อย ๆ แยกย้ายจากไป พวกมันเดิมทีก็คุ้นชินกับ เรื่อง
เหล่ า นี้ อ ยู่ แ ล้ ว ส่ ว นกลุ่ ม ปิ ศ าจวั ย เยาว์ ยั ง คงรั้ ง รออยู่ เ บื้ องหลั ง พากั น
ซักถามคาถามทุกประเภทกับ อาจารย์ปลุก ปิศ าจ อาจารย์ปลุกปิศ าจวั ย
กลางคนผู้นี้ลักษณะเป็นคนใจดีมีเมตตา เพียรตอบคาถามทั้งหมดโดยไม่
ขุ่นข้องราคาญ
จั่วม่อรับฟังอยู่ครู่ใหญ่ ต้องประเมินอาจารย์ปลุกปิศาจผู้นี้เสียใหม่
ผู้อ่ น
ื รอบรู้ไม่น้อยจริง ๆ
“ท่ า นอาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจ ข้ า สามารถชมดู เ ข็ ม ของท่ า นสั ก ครู่ ไ ด้
หรือไม่?”
จั่วม่อโพล่งขึ้นอย่างกะทันหัน สุ้มเสียงของมันฟังดูไม่ต่างอันใดจาก
บรรดาเด็กหนุ่มสาวที่ไม่ล่วงรู้เรื่องราวทางโลกคนอื่น ๆ เต็มไปด้วยความ
อยากรู้อยากเห็น
“ฮะ?” อาจารย์ ป ลุ กปิ ศ าจหัน ไปมองจั่ ว ม่อ พอเห็ น จั่ ว ม่อ กั บอากุ่ย
ใบหน้าก็ทอแววหยอกล้อ “ฮ่าฮ่า เจ้าหนูน้อย อายุยังเยาว์ถึงเพียงนี้ก็ริจะ
รับประทานข้าวต้มเสียแล้วหรือ นี่ไม่ใช่นิสัยที่มีหน้ามีตาเลย!”
รับประทานข้าวต้ม?
จั่วม่องงงันวูบ ไม่ทราบเพราะเหตุใด ความรู้สึกนุ่มหยุ่นและอิ่มเต็มที่
ทาบทับอยู่กับท่อนแขนของมันพลันกลับกลายเป็นแจ่มชัด ความรู้สึกชา
ซ่านและตึงแน่นแล่นวาบมาทันที... ...
วิชามายาแผลงฤทธิอ
์ ีกแล้ว!
นุ่มจริง ๆ ... ... หรือว่า... ...นี่คือสิ่งที่เรียกว่ารับประทานข้าวต้ม?
จั่วม่อตระหนักทันที
ที่แท้เป็นรสชาติที่... ...ไม่เลวเลยจริง ๆ... ...
จั่วม่อเผลอเคลิบเคลิ้มมึนเมาไปวูบหนึ่ง แต่แล้วก็ต้ังสติอย่างรวดเร็ว
“เซียนเซิง ขออภัยยิ่ง ข้าขยับตัวไม่ได้”
จนถึ ง ยามนี้ มั น ก็ ยั ง ดู เ หมื อ นเด็ ก หนุ่ ม ที่ ไ ม่ มี พิ ษ ภั ย ไม่ มี ร่ อ งรอ ย
ท่วงท่าสภาวะของยอดคนที่เคยเข้ายึดครองอาณาจักรแห่งหนึ่งแม้แต่น้อย
“ท่านอาจารย์ปลุกปิศาจ อาจั่วร่างกายไม่สู้ดี ไม่สามารถเคลื่อนไหว
ได้จริงๆ ส่วนอากุ่ยทั้งไม่ได้ยินและพูดไม่ได้” ตงจื่อผู้มีน้าใจรีบอธิบายต่อ
อาจารย์ปลุกปิศาจ
“อ้อ!” อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนเผยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้ าง
มันเพ่งพิศคนทั้งสองพลางกล่าวราวราพึงกับตัวเอง “เป็นอาการที่ แปลก
ประหลาดโดยแท้ มามา ลองให้ข้าตรวจดูสักครา”
ไม่รอให้จ่ัวม่อมีปฏิกิริยาใด มันเดินตรงเข้ามา คว้ามือจั่วม่อข้างหนึ่ง
ขึ้นทันที
จั่ ว ม่ อ ตื่ นตระหนกจนขวั ญ หาย พลั น ส านึ ก เสี ย ใจที่ เ ริ่ ม สนทนากั บ
ผู้ อ่ ื น ยามนี้ มั น ไม่ ค วรชั ก น าความสนใจเข้ า หาตั ว เอง หากผู้ อ่ ื นตรวจ
ร่างกายของมันแล้วเกิดพบสิ่งใดเข้า เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากและ
อันตรายมากแล้ว!
แต่ มั น ยั ง ไม่ ทั น จะได้ ป ฏิ เ สธ อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจวั ย กลางคนก็ เ ริ่ ม
เคลื่อนพลังปิศาจเข้าตรวจร่างกายของจั่วม่อผ่านทางฝ่ามือข้างนั้น
กระแสพลังอันอบอุ่นอ่อนโยนสายหนึ่งไหลผ่านปลายนิ้ว แทรกผ่าน
เข้าไปในแขนของจั่วม่อ
แต่ทันใดนั้นเอง กระแสพลังสายนี้พลันถูกพลังอันเกรี้ยวกราดที่กาลัง
อาละวาดสัประยุทธ์ในร่างกายของจั่วม่อ กระแทกทาร้ายจนขาดสะบั้นใน
บัดดล!
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนสะท้านเฮือก ใบหน้ากลายเป็นขาวซีด!
จั่วม่อลอบทอดถอนอย่างโศกสลด จบสิ้นกัน!
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนกระตุกมือกลับอย่างลนลาน หน้าเขียว
คล้ า เหมื อ นซากศพ แม้ ว่ า มั น จะพยายามวางท่ า สงบเยื อ กเย็ น อย่ า งสุ ด
ความสามารถ จั่วม่อก็ยังคงสังเกตเห็นร่องรอยแตกตื่นตะลึงลานที่ แ ทบ
มองไม่เห็นในดวงตามัน
“ท่านอาจารย์ ตรวจพบสิ่งใดบ้างหรือไม่?” จั่วม่อถามยิ้ม ๆ ฟังคล้าย
เด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่เฝ้ารอคาตอบอย่างใจจดจใจจ่อ มันในเมื่อถูกค้นพบ
เสียแล้ว ยามนี้ต้องแสดงความเข็มแข็งออกมาอย่างเต็มที่ เช่นนั้นอีกฝ่าย
คิดสืบเสาะความเป็นมาที่แท้จริงของมันยังไม่ใช่เรื่องง่าย
คาถามนี้แม้ถามอย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ แต่พอกระทบโสตของอาจารย์
ปลุกปิศาจวัยกลางคน กลับกึกก้องกัมปนาทไม่ต่างจากฟ้าร้องกรอกหู เมื่อ
แอบอิงอยู่ กับอกอิ่มของแม่นางน้อย ๆ เด็กหนุ่มดูคล้ายไม่มีพิษมีภัย แต่
ยามนี้ ก ลั บ คล้ า ยเปลี่ ย นเป็ น บุ รุ ษ หนุ่ ม อั น ตรายที่ ซ่ อ นอยู่ ใ นเงามื ด ไป
ในทันที
อากุ่ยผู้โอบอุ้มจั่วม่อด้วยสีห น้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ดูไปคลับคล้าย
องครักษ์ส่วนตัวของปิศาจชั้นสูงอยู่ไม่น้อย อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคน
ครั้งหนึ่งเคยมีวาสนาได้ พ บพานปิ ศ าจชั้ นสูงมาบ้า ง คนเหล่านั้นมัก จะมี
ตัวตนอันพิเศษเฉพาะสักคนสองคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา กระทั่งท่วงท่า
สภาวะเย็นยะเยียบยังคล้ายเหมือนยิง่
องครักษ์ส่วนตัวของปิศาจชั้นสูงโดยทั่วไปมีพลังฝีมือสูงล้า พวกมัน
ยังฆ่าคนเหมือนบี้มดปลวก ทั้งเย็นชา เหี้ยมเกรียมและไร้ปราณี... ...
หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นปิศาจชั้นสูง?
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนจู่ๆ เหงื่อเย็นไหลท่วมแผ่นหลัง
ในสายตาของมัน บุรุษหนุ่มผู้นี้กาลังเฝ้าดูมันด้วยสีห น้าคล้ายยิ้มไม่
เชิงยิ้ม กระทั่งสุ้มเสียงยังแฝงแววหยอกล้อ
“อา ฮ่าฮ่า ขออภัยด้วย ข้าฝีมือต้อยต่า ไม่เคยพบเห็นอาการเจ็บป่วย
เช่นนี้มาก่อนเลย” อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนรีบกล่าวพลางหัวร่อ ไม่
ว่ า อี ก ฝ่ า ยจะเป็ น ใคร ไฉนปิ ด บั ง ตั ว ตนอยู่ ใ นที่ แ ห่ ง นี้ หรื อ ไม่ ว่ า อาจั่ ว จะ
เจ็บป่วยจริงหรือไม่ มันล้วนตัดสินใจไม่ขอเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
รู้รักษาตัวรอดจึงเป็นยอดกลยุทธ์
หลังจากกล่าวจบ ก็หมุนตัวเตรียมจากไปทันที
“ท่ า นอาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจที่ นั บ ถื อ ท่ า นยั ง ไม่ ไ ด้ ใ ห้ ข้ า ชมดู เ ข็ ม ของ
ท่าน” สุ้มเสียงที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาตามติดมาทางเบื้องหลัง
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนชะงักกึก สีหน้าแข็งทื่อ
ผู้อ่ ืนไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย... ...ดูเหมือนว่าการคาดเดาของมั น จะ
ถูกต้องเสียแปดเก้าส่วน ... ...คนอันตรายเช่นนี้ไม่อาจตอแยได้!
อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจพอหั น กลั บ มาอี ก ครั้ ง ใบหน้ า ก็ เ กลื่ อนไปด้ ว ย
รอยยิ้มใจดี “ไฮ้ย่า ขออภัย ขออภัย ข้าลืมไป” กล่าวจบก็รีบนาเข็ ม ยาว
คู่ชีพออกมา
“ท่านอาจารย์ปลุกปิศาจ รบกวนท่านวางใส่ในมือของข้าได้หรือ ไม่ ?
ขออภัยยิ่ง ข้าไม่อาจขยับตัวได้จริง ๆ” จั่วม่อร้องบอกอย่างสุภาพเรียบร้อย
อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจค่ อ ย ๆ วางเข็ ม ยาวใส่ ใ นมื อ ของจั่ ว ม่ อ อย่ า ง
ระมัดระวัง
ตงจื่อกับพวกดวงตาเบิกกว้าง พวกมันเคยเห็นคนซุกซนที่พยายามจะ
แตะต้องเข็มยาวของอาจารย์ปลุกปิศาจและถูกท่านอาจารย์ดุว่าตาหนิอยู่
เป็นครึ่งค่อนวัน ท่านอาจารย์ปลุกปิศาจช่างเป็นปิศาจที่ใจดีมีเมตตาโดย
แท้ มันอาจรู้สึกว่าอาจั่วน่าเวทนา ดังนั้นปฏิบัติต่ออาจั่วดีเป็นพิเศษ!
นี่คือสิง่ ที่ปิศาจน้อย ๆ เหล่านี้ครุ่นคิดอยู่ในใจ
ทันทีที่เข็มยาวอยู่ในมือ จั่วม่อก็พลันค้นพบความลึกลับของเข็มยาว
เล่มนี้
“โลหะเงินขอบฟ้า ทรายดาแสงศูนย์ ไม้แรดเขาเหล็ก หยดน้าอัส ดง
... ..” จั่วม่อพึมพารัวเร็วเป็นชุด แยกแยะองค์ประกอบของเข็มเงิน เล่มนี้
อย่างรวดเร็ว
อาจารย์ปลุกปิศาจนิ่งขึงตะลึงงันไปแล้ว!
จั่วม่อกาลังจดจ่ออยู่กับการสารวจตรวจสอบ ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเข็ม
ยาวในมือของมันค่อย ๆ สว่างขึ้น
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนดวงตาเบิกกว้างแทบถลน จ้องมองเข็ม
เงินที่เรืองแสงประกายในมือจั่วม่ออย่างเหลือเชื่อ สีหน้าแตกตื่นตระหนก
ราวพบพานผีสางกลางวันแสก ๆ
นี่... ...นี่เป็นไปไม่ได้!
มีแต่มันเท่านั้นที่สามารถใช้เข็มเล่มนี้ และมีแต่มันเท่านั้นที่สามารถ
เรียกใช้พลังที่อยู่ภายในเข็มได้!
เด็กหนุ่มผู้นี้... ...
จั่วม่อยามนี้ไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องอื่นใดแม้แต่น้อย ความเจ็บปวดแสน
สาหัสภายในร่างกาลังจู่โจมจิตใจของมันไม่หยุดยั้ง มันจาต้องรวมรั้งสมาธิ
มากกว่าเดิม!
“อ้อ... ...ค่ายกลนี้ ไม่ใช่ แผนผังปิศาจชุดนี้ ข้านึกออกแล้ว นี่เป็นส่วน
หนึ่งของแผนผังปิศาจปลิงวารีดา ที่ แท้สามารถใช้งานเช่นนี้ด้วย น่าสนใจ
นั ก ... ...” จั่ ว ม่ อ ยั ง คงกล่ า วพึ ม พ ากั บ ตั ว เอง ไม่ ไ ด้ รู้ สึ ก รู้ ส ากั บ ปฏิ กิ ริ ย า
ตอบสนองของผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนสมองขาวว่างเปล่า มันจู่ ๆ ก็รู้สึกราว
กั บ ถู ก เปลื้ องผ้ า จนล่ อ นจ้ อ น ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งถู ก เปิ ด เผยออกมาหมดสิ้ น
แล้ ว ! เข็ ม เงิ น เล่ ม นี้ เ ป็ น มั น พากเพี ย รสร้ า งขึ้ น ด้ ว ยกรรมวิ ธี ลั บ แผนผั ง
ปิ ศ าจภายในเข็ ม ยั ง เป็ น ความลับ สุ ด ยอดจากเหล่ า ซื อของมั น และเหล่า
อาจารย์ รุ่ น ก่ อ น ๆ แต่ ย ามนี้ ถึ ง กั บ ... ...ถึ ง กั บ ถู ก เปิ ด เผยออกมาอย่ า ง
ง่ายดาย จากปากของเด็กหนุ่มผู้นี้!
ซึ่งความจริงสังขารปิศาจของจั่วม่อเป็นวิถีฝึกปรือพลังแห่งเลือดเนื้อ
ร่างกาย ในเวลานี้พลังสังขารของมันมิเพียงแตกซ่านกระจัดกระจาย ยัง
ผสมผสานหลอมรวมกับพลังปราณและพลังจิตสานึก อาละวาดฟาดงวง
ฟาดงาไปทั่วร่าง มันพอแตะถูกเข็มเงิน แผนผังปิศาจในเข็มเงินพลันดึงดูด
พลังเลือดเนื้อภายในร่ างของจั่ว ม่ออย่า งฉับ พลัน เป็นเหตุผ ลที่มันเพี ย ง
แตะถูก ก็สามารถระบุองค์ประกอบภายในเข็มเงินได้ในทันที
ทว่ า ร่ า งกายของมั น อยู่ ใ นสภาพอลหม่ า นยุ่ ง เหยิ ง พลั ง หนึ่ ง พอ
เคลื่อนไหว ก็ชักนาทุกสิ่งไปด้วยกัน กระแสพลังเลือดเนื้อสังขารเมื่ อ ถู ก
ดึงดูดไป ก็ประหนึ่งโยนประกายไฟลงไปในหม้อน้ ามัน ก่อเกิดสภาพดุ จ
นรกโลกันตร์ในทันที
สามพลังที่ปะทะหักหาญกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน พลันไหลบ่าไป
ยังเข็มเงินในชั่วพริบตา!
เพียะ!
เข็มเงินในมือจั่วม่อไหนเลยจะรองรั บพลังอัน แกร่ง กร้ าวสุ ดขั้ ว นี้ ไ ด้
แตกระเบิดเป็นฝุ่นควันสีเงินกลุ่มหนึ่ง
เสียงระเบิดขู่ขวัญผู้คนจนขวัญกระเจิง ไม่เว้นแม้แต่ตัวจั่วม่อเอง
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนยืนแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ใบหน้าบัด
เดี๋ยวซีดขาวบัด เดี๋ย วเขี ยวคล้า เหม่อมองมือขวาอั นว่ างเปล่าของจั่ ว ม่ อ
อย่ า งซึ ม เซา ตงจื่ อกั บ พวกก็ มี สี ห น้ า ตะลึ ง พรึ ง เพริ ด ตอนที่ จ่ั ว ม่ อ ร าพึ ง
แยกแยะเข็ ม เงิ น ออกมา พวกมั น แม้ รั บ ฟั ง ไม่ เ ข้ า ใจ แต่ ยั ง คงรู้ สึ ก นับถือ
เลื่อมใสมาก ... วาจาของอาจั่วฟังดูทรงพลังยิง่ !
แต่เมื่อเห็นเข็มเงิ นระเบิ ด พินาศคามื อของอาจั่ ว ความคิดแรกของ
ตงจื่อกับพวกก็คือ ทีนี้ย่าแย่แล้ว! อาจั่วทาลายเข็มเงินของอาจารย์ปลุก
ปิศาจเสียแล้ว!
ตงจื่ อยิ่ ง มี สี ห น้ า ย่ า แย่ ก ว่ า ผู้ ใ ด มั น ทั้ ง กั ง วลว่ า จะไม่ ส ามารถปลุ ก
แผนผังปิศาจของตนได้ ทั้งกังวลว่าอาจั่วจะไม่มีปัญญาชดใช้เข็มเงินให้แก่
อาจารย์ปลุกปิศาจ
“ขออภัย ขออภัยจริง ๆ ข้าทาลายเข็มเงินของท่านเสียแล้ว!” มองดู
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนที่ใบหน้าไร้สีเลือด จั่วม่อสานึกเสียใจอย่าง
สุ ด ซึ้ ง เข็ ม เงิ น นี้ ไ ม่ ต้ อ งบอกก็ ท ราบว่ า ผู้ อ่ ื นต้ อ งใช้ ค วามพยายามไป
มากมายถึงเพียงไหน แต่มันกลับเผลอทาลายแหลกละเอียดคามือ!
ความรู้ สึกนี้มันซาบซึ้งเป็นอย่างดี หากเมื่อครั้งกระโน้นมีคนทาลาย
นกกระเรียนกระดาษเสี่ยวหวงของมัน มันจะต้องโถมเข้าเสี่ยงชีวิตโดยไม่
คิดหน้าคิดหลังเป็นแน่!
แต่ยามนี้มันไม่สามารถควบคุมพลังปราณได้ มิเช่นนั้นจะต้องชดใช้
ให้แก่อีกฝ่ายอย่างจุใจ กับแค่เข็มเงินเพียงเท่านี้ ไม่ได้กระทบกระเทื อ น
ความมัง่ คั่งของมันแม้แต่น้อย
ทว่าในสภาพเช่นนี้ ... ...
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนยังคงยืนซึมเซา ตงจื่อกับพวกสีหน้า
ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ส่วนจั่วม่อไม่ทราบจะทาอย่างไรดี แต่ละคนเหลียว
มองกันเลิ่กลั่กไปมา ทั่วบริเวณเงียบกริบดุจป่าช้า
อากุ่ยในเวลานี้ ไม่ได้ดูสะดุดตาแม้แต่น้อย
บทที่ 542 การล่มสลายของแนวหน้าและแนวหลัง

“เจ้าเมื่อกลับไปแล้วก็พากเพียรให้ดีด้วย!” แม่ทัพใหญ่ปิงหลันกล่าว
พลางยื่นส่งคาสั่งโยกย้ายให้แก่มู่ซี นางชื่นชมมู่ซีเป็นอย่างยิ่ง
“ทราบแล้ว! ต้าเหริน!” มู่ซีคารวะตอบอย่างจริงจัง
“ไปเถอะ อย่ า ได้ เ สี ย เวลาแล้ ว ” แม่ ทั พ ใหญ่ ปิ ง หลั น สี ห น้ า สงบ
ราบเรียบ ขณะกล่าวว่า “พวกเราเองก็จะออกจากที่แห่งนี้ในไม่ช้าเช่นกัน”
“อ๊า!” มู่ซีถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด “ออกจากที่แห่งนี้ ? เราจะละทิ้ง
มหานครนภาโลหิตหรือ?”
“การเฝ้าป้องกันอยู่ในที่แห่งนี้ ยังจะมีคุณค่าความหมายใดอีกเล่า ?”
แม่ทัพใหญ่ปิงหลันกล่าวอย่างสงบ
มู่ซีนิ่งงัน
หลังจากมหาพิบัติฟ้าสลาย รอยแยกแห่งความโกลาหลปรากฏขึ้นทุก
หนแห่ง ก่อเกิดทางผ่านนับ ไม่ถ้ วนระหว่า งภพอสูร กั บภพเซียน การเฝ้ า
ป้องกันมหานครนภาโลหิตไม่หลงเหลือคุณค่าความหมายอย่างแท้จริง
เมื่อไม่กี่วันก่อนมู่ซีได้รับจดหมายจากประมุขตระกูล คาดหวังให้นาง
สามารถหวนคืนไปยังตระกูล เพื่อปกป้องตระกูล จากการรุ ก รานของซิ ว
เจ่อ
และแทบจะในทันทีทันใดหลังจากนั้น คาสั่งโยกย้ายก็มาถึง และจุด
ยุทธศาสตร์ที่นางถูกย้ายไป ถึงกับเป็ นดินแดนบ้านเกิดของนางเอง เรื่องนี้
ทาให้อสูรสาวตระกูลมู่ประหลาดใจไม่น้อย เห็นได้ว่าประมุขตระกูลจะต้อง
ด าเนิ น การบางอย่ า งเป็ น แน่ แต่ ต ระกู ล มู่ วั ง ทะเลสาบหาได้ มี อ านาจ
อิทธิพลมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อการโยกย้ายเช่นนี้ได้
มู่ซีชาญฉลาดปราดเปรื่อง เมื่อขบคิดเล็กน้อย นางก็เข้าใจกระจ่าง
ถึ ง ตอนนี้ ส งครามเปลี่ ย นไปแล้ ว เปลี่ ย นแปล งตั้ งแต่ ฐ านราก
อาณาจักรอสูรที่ปรากฏรอยแยกแห่งความโกลาหลขึ้นกลับกลายเป็นแนว
หน้าของศึกสงครามแทนที่มหานครนภาโลหิต รอยแยกแห่งความโกลาหล
ปรากฏขึ้นทั่วไปโดยไม่มีรูปแบบ เป็นเหตุให้ระหว่างซิวเจ่อกับอสูร ปิศ าจ
สูญเสียพื้นที่แนวกันชนไป ปล่อยให้พวกมันเผชิญหน้ า กัน โดยตรงทั น ที
เป็นบทโหมโรงสู่การต่อสู้ตะลุมบอนอันสับสนวุ่นวาย รอยแยกแห่งความ
โกลาหลคือประตูสู่ดินแดนอีกฟากหนึ่ง เป็นจุดยุทธศาสตร์ส าคัญที่สุดที่
ต้องช่วงชิง กุมประตูเท่ากับกุมสิทธิ์ในการเป็นผู้กาหนด ไม่ว่าจะเป็น ซิว
เจ่อหรืออสูรปิศาจ ไม่มีผู้ใดยินยอมรามือจากศึกช่วงชิงประตูเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลที่ ป รากฏขึ้ น ใน
ตาแหน่งสาคัญหลายแห่ง หากประตูเหล่านี้ถูกซิวเจ่อยึดครอง ผลสุดท้ายก็
ไม่จาเป็นต้องไปคิดแล้ว
มู่ซีส ามารถจินตนาการได้ชัดเจน ว่าการทาศึกช่วงชิง รอยแยกแห่ ง
ความโกลาหลหลังจากนี้จะดุเดือดเลือดพล่านถึงเพียงไหน
สถานการณ์ เ ปลี่ ย นพลิ ก รวดเร็ ว เกิ น ไป กระทั่ ง บรรดาผู้ อ าวุ โ สที่
ปราดเปรื่องยังไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้ กองทัพที่แนวหน้าเกือบทั้ งหมด
ถูกเรียกกลับสู่ภพอสูร และโยกย้ายไปป้องกันจุดยุทธศาสตร์สาคัญต่าง ๆ
ระหว่างทางมู่ซียังได้ทราบข่าวเพิ่มเติม ว่าตาหนักศาสตร์อสูรทั้งหมดหยุด
การเรี ย นการสอนเป็ นการชั่ ว คราว ทั้ ง เหล่ า ซื อ และบรรดาศิ ษย์ ล้วนถูก
ส่งไปค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่ารอยแยกแห่งความโกลาหล
ทุกแห่งถูกค้นพบอย่างครบถ้วนแล้ว
แนวหลังอันมั่นคงปลอดภัยตกลงสู่ความโกลาหลวุ่นวายอย่างไม่เคย
มีมาก่อน กลิ่นอายแห่งสงครามแผ่กระจายไปในอากาศ ราคาสินค้าพุ่งสูง
เทียมฟ้า ในสถานที่บางแห่งถึงกับมีกองพันออกลาดตระเวนตามท้องถนน
หนทางทั่วไป
ไม่มีแนวหลังอีกต่อไป!
ระหว่างทางกลับบ้าน มู่ซีเฝ้าขบคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง
บรรดาผู้อาวุ โสในสภาจะต้องมีความคิด เช่นนี้ด้ วยเช่น กัน จึงตกลง
ยินยอมให้แม่ทัพบัญชาการศึก บางส่วนหวนคื นสู่ภูมิล าเนาของตน รอย
แยกแห่งความโกลาหลมีมากมายเกินไป จนกาลังของกองทัพหลักไม่เพียง
พอที่จะเฝ้าระวังทุกที่ ดังนั้นแทนที่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกองก าลัง
ของพวกมัน มิสู้ปล่อยให้ขุมกาลังท้องถิ่นของแต่ละอาณาจักรรวมกาลังกัน
ต่อต้านการบุกรุกของซิวเจ่อด้วยตัวเอง
แน่ น อนว่ า พวกนาง บรรดาแม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ าตให้
กลับบ้าน ย่อมต้องออกแรงแข็งขัน ยอมสู้ตายถวายชีวิตโดยไม่จาเป็นต้อง
กระตุ้นเตือน เนื่องเพราะนี่คือบ้านของพวกมันเอง จากนั้ นสภาผู้อาวุโส
ค่อยโยกย้ายกาลังพลจานวนมาก ไปหนุนเสริมยังจุดยุทธศาสตร์ที่พวกมัน
เห็นว่าสาคัญที่สุด
ต่ อ ให้ ซิ ว เจ่ อ คิ ด โจมตี ส ถานที่ ที่ มี ค วามส าคั ญ รองลงมา กองก าลั ง
ท้ อ งถิ่ น ก็ จ ะเป็ น เครื่ อ งกี ด ขวางพวกมั น เอง คอยถ่ ว งแข้ ง ถ่ ว งขาให้ ศั ต รู
ล่ า ช้ า ลง ซึ่ ง จะกลายเป็ น แนวกั น ชนให้ แ ก่ ก องก าลั ง หลั ก ช่ ว ยให้ มี เ วลา
เตรียมการรับมืออย่างพรักพร้อม สภาผู้อาวุโสใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อบรรลุ
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์
มู่ซีเข้าใจทุกอย่าง แต่ไม่ได้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย
ในช่วงวิกฤติการณ์เช่นนี้ สภาผู้อาวุโสกลับเลือกที่จ ะละทิ้งพวกมั น
เยี่ยงตัวเบี้ย นี่เป็ นแผนการที่เกิ ดจากความอั บจนหนทาง นางมิได้เ คี ย ด
แค้นชิงชังสภาผู้อาวุโส เนื่องเพราะหากเป็นนางอยู่ในตาแหน่งนั้นนางก็จะ
ใช้กลยุทธ์นี้เฉกเช่นเดียวกัน
แต่ทว่า... ...
ในฐานะตัวเบี้ย นางไม่ยินยอมพร้อมใจ!
มู่ซีดวงตาสาดประกายเด็ดเดี่ยว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะต้องปกป้องบ้านของนางให้จงได้!

แม่นางน้อยเรียกดูข่าวสารที่ส่งมาอย่างระมัดระวัง
หลังจากอ่านอยู่หลายรอบ มันก็จมลงในห้วงการขบคิดใคร่ครวญ ชั่ว
อึ ด ใจใหญ่ ส ายตาก็ ก ลั บ กลายเป็ น กระจ่ า งแจ้ ง มุ ม ปากประดั บ ไว้ ด้ ว ย
รอยยิ้มน้อย ๆ
ดูเหมือนว่าวัดเสวียนคงจะยังไม่มีโอกาสมารังควานหาเรื่องพวกมัน
ในเร็ววันนี้ เนื่องเพราะมีรอยแยกแห่งความโกลาหลมากมายนับไม่ ถ้ ว น
ปรากฏขึ้นในดินแดนเสวียนคง ว่ากันว่าหลายแห่งเชื่อมต่อกับดินแดนหลัก
ในภพปิศาจและภพอสูร การต่อสู้ช่วงชิงรอยแยกแห่งความโกลาหลเหล่านี้
ดุเดือดรุ นแรงยิ่ง ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ วัดเสวียนคงย่อมไม่
ส่งกองทัพที่แข็งแกร่งมายังสถานที่ไร้ค่าเช่นอาณาจักรทะเลเมฆ
วั ด เสวี ย นคงไม่ ใ ช่ ดิ น แดนเดี ย วที่ ต้ อ งวิ่ ง พล่า น อี ก สามมหาอ านาจ
แห่งสวรรค์สี่ดินแดนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด รอยแยกแห่งความโกลาหล
นั บ ไม่ ถ้ ว นที่ ป รากฏขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น พาให้ ทุ ก ฝ่ า ยตกลงไปในความ
สับสนวุ่นวายซึ่ง ไม่ มีที ท่ า ว่า จะสงบลงง่ าย ๆ กลับคล้ายจะยิ่งรุ น แรงขึ้ น
เรื่อย ๆ เสียด้วยซ้า
หากจะเทียบกันแล้ว อาณาจักรทะเลเมฆก็สงบสันติยิ่ง
สิ่งเดียวที่ทาให้แม่นางน้อยเป็นกังวลอยู่บ้าง ก็คือในอาณาจักรทะเล
เมฆมีสถานที่มากมายซึ่งยังไม่ถูกสารวจ ดังนั้นไม่มีผู้ใดทราบว่าในสถานที่
เหล่ า นี้ จะยั ง คงมี ร อยแยกแห่ง ความโกลาหลอี ก มากมายเท่ า ใดที่ ไม่ถูก
ค้นพบ เดิมทีแม่นางน้อยคิดเลียนเยี่ยงสานักอื่น ๆ คือเริ่มดาเนินการค้นหา
อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ในไม่ช้าก็โยนความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลนี้
ทิ้ ง ไปในทั น ที ทะเลเมฆนั้ น ลึ ก ล้ า และเต็ ม ไปด้ ว ยอั น ตรายที่ ไ ม่ อ าจหยั่ ง
ทราบ ต่อให้พวกมันทั้งหมดพากันแห่ไปสารวจ เกรงว่ายังไม่เพียงพอจะ
สารวจได้แม้สักส่วนเสี้ยว
คิดได้เช่นนี้ แม่นางน้อยก็รู้สึกว่าค่ายกลที่จะเชื่อมทุกเกาะเข้าด้วยกัน
ซึ่ ง ยามนี้ พ วกมั น ก าลั ง เร่ ง สร้ า งขึ้ น มา เป็ น แผนการที่ มั่ น คงปลอดภั ย
มากกว่า
แผนการนี้ น าเสนอโดยสองปรมาจารย์ แ ห่ง ค่า ยจิน วู ซึ่ ง ส าหรั บ แม่
นางน้อยซึ่งเชี่ยวชาญการบุกจู่โจมมากกว่าการตั้งรับ เดิมทีไม่ได้สนใจกับ
แผนการนี้นัก แต่หลังจากขบคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันค่อยรู้สึกว่า
นี่ เ ป็ น แผนการที่ ย อดเยี่ ย มยิ่ ง เว้ น เสี ย แต่ ข้ อ เท็ จ จริ ง ที่ ว่ า ค่ า ใช้ จ่ า ยใน
แผนการนี้ เป็นจานวนเงินมหาศาลจนน่าตระหนก
แต่มันคิดไม่ถึงว่าแผนการซึ่งขนานนาม ‘มหาค่ายกลพันเกาะ’ นี้ จะ
ได้ รั บ การสนั บ สนุ น จากทุ ก ฝ่ า ยเป็ น อย่ า งดี พวกมั น ถึ ง กั บ ยิ น ดี อ อก
ค่าใช้จ่ายกันเอง บางทีนี่อาจต้องยกความดีความชอบให้ แก่สือตง เนื่อง
เพราะคนเหล่ า นี้ ล้ ว นหวาดกลั ว กองทั พ ปิ ศ าจที่ จู่ ๆ ก็ โ ผล่ อ อกมาอย่ า ง
กะทันหัน จึงไม่คานึงถึงค่าใช้จ่ายใด ๆ
ดังนั้นมหาค่ายกลพันเกาะ ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นมหาค่ายกล
หมื่นเกาะ แผนการอันใหญ่โตมโหฬารที่แทบจะรวมเอาเกาะเมฆทั้งหมด
ในอาณาจักรทะเลเมฆเข้ามาด้วย ก็เริ่มต้นขึ้นเช่นนี้เอง!
เกาะเมฆแต่ละแห่งจะกลายเป็นสถานีหนึ่ง และเกาะเมฆทั้งหมดจะ
ผสานรวมกันเป็นมหาค่ายกลที่ใหญ่โตมโหฬารและสลับซับซ้อน เชื่อมต่อ
กั น เป็ น ชั้ น ๆ พวกมั น ไม่ ต่ า งจากใยแมงมุ ม มหายั ก ษ์ ซึ่ ง ใหญ่ โ ตเท่ า
อาณาจั ก ร ศั ต รู ที่ ล่ ว งล้ า เข้ า มาในใยแมงมุ ม นี้ จ ะถู ก โจมตี แ ทบจะใน
ทันทีทันใด
ทันทีที่มหาค่ายกลชุดนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อย่าว่าแต่กองทัพเดียว ต่อ
ให้หลายกองทัพบุกรุ กเข้ามาถึงหน้าประตูพร้อมกัน แม่นางน้อยก็เชื่อมั่น
ว่าสามารถไล่ทุบตีพวกมันจนกระเจิดกระเจิงกลับไปได้
และข่าวสารที่จ่ว
ั ม่อส่งกลับมา ยังเสนอแนะความคิดที่อุกอาจยิ่งกว่า
นั่นคือขอให้เหล่ามนุษย์หมอกช่วยพวกมันเสาะหาเส้นชีพจรปราณปฐพี่ที่
ซ่อนอยู่ในทะเลเมฆ เส้นชีพจรปราณปฐพีเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนพลังงาน
ของมหาค่ายกลได้เป็นอย่างดี
ความคิดอันหาญกล้าบ้าบิ่นนัก!
หรือว่าศิษย์พี่เพียงต้องการหาหนทางประหยัดจิงสือกันแน่?
แม่นางน้อยคิดไป ก็อดสั่นศีรษะพลางหัวร่องอหายไม่ได้

“สามารถชดใช้ให้แก่ข้าได้ห รือไม่ ?” อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคน


ถามด้วยสีหน้าสลดหดหู่ ตงจื่อที่ด้านข้างมีแต่ความตึงเครียดกังวล แผนผัง
ปิ ศ าจของมั น จะสามารถปลุ ก ให้ ต่ ื นขึ้ น ได้ ห รื อ ไม่ ย่ อ มขึ้ น อยู่ กั บ เรื่ องนี้
โดยตรง มันตึงเครียดเสียจนไม่ทันสังเกต ว่าอาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคน
กาลังใช้ถ้อยวาจาที่สุภาพเรียบร้อยในการเรียกร้องหาค่าชดเชย
“แน่นอน แน่นอน ข้ารู้สึกผิดมาก! แต่จะต้องรออีกสักหลายวัน เจ้าคง
เห็ น แล้ ว ว่ า สภาพของข้ า ในตอนนี้ ไ ม่ สู้ ดี นั ก ” จั่ ว ม่ อ สุ้ ม เสี ย งเต็ ม ไปด้ ว ย
ความสานึกเสียใจ หลายวันมานี้มันพยายามจัดระเบียบเลือดเนื้อร่างกาย
ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เคล็ดวิชาที่ลอบเรียนมาจากลุงอันหย่า
ใช้การได้เป็นอย่างดี หลังจากพากเพียรอย่างต่อเนื่องมาหลายวั น มือขวา
ของมันก็ค่อยๆ ฟื้นสภาพความรู้สึกรับรู้ขึ้นอีกครั้ง
คาดว่าภายในไม่กี่วัน มันสมควรขยับข้อมือได้บ้าง
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนคล้ายไม่เชื่อวาจาของจั่วม่อสักเท่า ใด
แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ มันก็ไม่มีหนทางอื่นอีก
“ข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้ วย” จั่วม่อกล่าวหลังจาก
ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ
“ไม่ มี ปั ญ หา” ในเมื่ อเกี่ ย วข้ อ งกั บ เข็ ม เงิ น สุ ด รั ก สุ ด หวงของมั น
อาจารย์ปลุกปิศาจวัยกลางคนย่อมต้องตอบตกลงอย่างไม่เกี่ยงงอน
“ท่ า นอาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจ ข้ า ยั ง ไม่ ไ ด้ ถ ามว่ า สมควรเรี ย กหาเจ้ า ว่ า
อย่างไร”
“ข่าจั๋ว”

เรื่องที่ว่าจั่วม่อทาลายเข็มเงินของข่าจั๋วแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่าง
รวดเร็ว
ภายในบ้านของลุงอันหย่า
ลุงอันหย่าจ้องมองจั่วม่ออย่างเข้มงวด “อาจั่ว ที่แท้เป็นเรื่องราวใด?”
“อา ข้าทาลายเข็มเงินของข่าจั๋วเซียนเซิงโดยไม่ได้ต้งั ใจ” จั่วม่อกล่าว
ด้วยสีหน้าใสซื่อ
“เจ้ามิใช่ว่าเคลื่อนไหวไม่ได้หรือ?” ลุงอันหย่าขมวดคิ้ว
“ก็ใช่ แต่ข้าขอให้ข่าจั๋วเซียนเซิงวางเข็มเงินไว้ในมือข้า” จั่วม่อรู้สึก
ว่าคาอธิบายเช่นนี้ดูจะไม่สามารถทาให้ลุงอันหย่าพึงพอใจได้ ได้แต่กล่าว
เพิ่มเติมว่า “อันที่จริงข้าก็เป็นอาจารย์ปลุกปิศาจด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่
ค่อยมีฝีมือก็ตาม”
“เจ้าก็เป็นอาจารย์ปลุกปิศาจด้วย?” เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของลุง
อันหย่า สีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้าง
“ไม่เช่นนั้นข้าจะทาลายเข็มเงินของข่าจั๋วเซียนเซิงได้อย่างไรเล่ า ?”
จั่วม่อกล่าวยิ้ม ๆ ทาการโป้ปดหน้าตาย
“นั่นก็จริง” ลุงอันหย่าที่น่าสงสารไหนเลยจะเป็นคู่มือของจั่วม่อจอม
เจ้าเล่ห์ได้ กล่าวไปกล่าวมาอยู่สองสามคาก็ถูกจั่วม่อหลบเลี่ยงไปได้สาเร็จ
ลุงอันหย่าเมื่อรู้สึกโล่งใจ ก็หันกลับไปกล่าวกับข่าจั๋ว “ขออภัยด้ว ย
สองคนนี้ยังเยาว์วัยจริง ๆ มิทราบเข็มเงินของข่าจั๋วเซียนเซิงมีขายที่ใด?”
จั่วม่อพอฟังว่าลุงอันหย่าจะชดใช้แทนมัน อดหัวใจอุ่นวาบไม่ได้ รู้สึก
ตื้นตันไม่น้อย ต้องรีบกล่าวว่า “ท่านลุง ไม่ต้องล าบากแล้ว ข้าตกลงกั บ
ข่าจั๋วเซียนเซิงเป็น ที่เ รีย บร้ อย ว่าจะเป็นผู้ช่วยของมันสักหลายวัน เพื่อ
ชดใช้ค่าเข็มเงินเล่มนัน
้ ”
คราวนี้ลุงอันหย่าไม่ได้คล้อยตามโดยง่าย
จั่วม่อทราบว่านี่ผิดท่าแล้ว มันเห็นได้ชัดเจนว่า ในขณะที่สาหรับมัน
เพียงเข็มเงินชั้นต่าไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ส าหรับลุงอันหย่า นี่เกรงว่า จะ
เป็นจานวนเงินที่ไม่มีปัญญาชดใช้ แล้ว ต้องรีบกล่าวกลบเกลื่อนว่า “ซึ่ง
ความจริงข่าจั๋วเซียนเซิงบอกว่ามันรู้สึกเข็มเงินเล่มนี้ไม่เหมาะมือนัก และ
ต้องการสร้างใหม่อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเข็มเงินเล่มเดิมยังราคาถูกมาก มิ
เช่นนั้นแล้วไฉนเลยจะถูกทาลายได้ง่ายดายปานนี้ ? เดิมทีไม่ได้ทาขึ้นมา
เพื่อใช้งานหนักจึงบอบบางไปบ้าง ข่าจั๋วเซียนเซิงยังมีวัตถุดิบพร้อมสรรพ
อยู่กับตัว สามารถสร้างขึ้น ใหม่ เมื่ อ ใดก็ ได้ ท่านลุง ท่านไม่เข้าใจอั น ใดก็
อย่าได้เพิ่มความวุ่นวายแล้ว ข่าจั๋วเซียนเซิง เจ้าว่าถูกหรือไม่?”
ราคาถูกมาก? ถูกทาลายได้ง่ายดาย? สามารถสร้างขึ้นใหม่เมื่อใดก็
ได้? นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือไม่?
ข่าจั๋วทั้งเจ็บปวดใจทั้งเดือดดาล เพื่อเข็มเงินเล่มนี้ มันต้องพากเพียร
พยายามอยู่หลายปี มิหนาซ้ายังต้องใช้วัตถุดิบที่เก็บสะสมไว้ท้ังหมดไปจน
เกลี้ยงฉาด!
แต่... ...มันเหลือบมองใบหน้าเย็นเยียบของอากุ่ยจากปลายหางตา
ต้องใจสั่นสะท้านขึ้นมา เข็มเงินแม้ราคาแพงมาก แต่ชีวิตน้อย ๆ ของมัน
ย่อมสาคัญกว่า!
มันรีบปั้ นรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “ใช่ ใช่ นี่ไม่ส ลักสาคัญอะไรเลย ข้า
คิดจะสร้างใหม่สักเล่มอยู่แล้ว ความคิดบางประการของอาจั่วยังช่วยจุด
ประกายให้แก่ข้า ข้าได้กาไรไม่น้อยจริง ๆ!”
ข่าจั๋วในใจร่าไห้จนน้าตาแทบเป็นสายเลือด
คราครั้ ง นี้ ลุ ง อั น หย่ า ค่ อ ยหลงเชื่ ออย่ า งแท้ จ ริ ง บนใบหน้ า ปรากฏ
รอยยิ้มกว้างขวาง “ดีแล้ว ดีแล้ว”
จากนั้นหันกลับมามองจั่วม่อ จ้องเขม็งนิ่งนาน
จั่วม่อเป็นโจรใจหวั่นหวาด ภายใต้การจ้องมองนี้อดตะกุกตะกักถาม
ไม่ได้ “ท่านลุง ไฉนมองข้าเช่นนั้น?”
ลุงอันหย่าแย้มยิ้ม กล่าวปนหัวร่อฮิฮะ “ท่านี้ไม่เลว จงส าราญใจให้
มากเข้าไว้เถอะ! ฮ่าฮ่า!”
จั่วม่ออับอายแทบแทรกแผ่นดิน
ลุ ง อั น หย่า เดิ นออกจากห้อ งพร้ อมเสียงหัว ร่ อ ดั งกระหึ่ ม มั น ต้ อ งไป
ดูแลเหล่าปิศาจวัยเยาว์ให้ฝึกฝีมือประจาวัน
ข่าจั๋วค่อยถอนหายใจโล่งอก โชคยังดี โชคยังดี ครั้งนี้มันไม่ได้ทาให้
คนที่เป็นอันตรายนี้ไม่พอใจ... ...
วันนี้จ่ัวม่อไม่ติดตามไปชมดูการสอนวิชาของลุงอันหย่าเหมือนเช่น
ปกติ แต่คอยถามปัญหาเกี่ยวกับแผนผังปิศาจอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะอาจารย์ปลุกปิศาจ ข่าจั๋วศึกษาเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ทีแรก
มันไม่ได้ส นใจนัก เพียงเพราะตัวตนของจั่วม่ อจึงจายอมตอบคาถามแต่
โดยดี แต่เมื่อคาถามยังคงเจาะลึกลงไปเรื่อย ๆ ความไม่พอใจบนใบหน้า
มันก็ค่อย ๆ หายไป แทนที่ด้วยความตื่นตะลึงและเคร่งเครียด คาตอบของ
มันค่อย ๆ ช้าลง และจมลงไปในการครุ่นคิดใคร่ครวญ
หรือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ จะเป็นอาจารย์ปลุกปิศาจจริง ๆ?
บทที่ 543 ข่าจั๋ว

จั่วม่อกัดฟันแน่น อดทนข่มกลั้นความเจ็บปวดจากพลังที่พลุ่งพล่าน
ปั่ นป่วนภายในร่างขณะที่มันกาลังพยายามฟื้ นสภาพและจัดระเบียบเลือด
เนื้ อ ร่ า งกายตั ว เองเสี ย ใหม่ ข้ อ มื อ ของมั น ค่ อ ย ๆ บิ ด หมุ น อย่ า งเชื่ อ งช้ า
เชื่องช้าเสียจนราวกับ ว่ า ไม่ ไ ด้ข ยั บ เคลื่ อนไหว โชคดีที่ มันมี ค วามอดทน
มากพอ ขณะที่ปากกล่าวหยอกเย้าอากุ่ย มันก็คอยขยับกล้ามเนื้อจานวน
น้อยนิดจนน่าสมเพชของมันไปด้วย
กระแสพลังที่อาละวาดไปทั่วร่าง ทางหนึ่งกระทบกระทั่งกันไม่หยุด
อีกทางหนึ่งก็พากันเพิ่มพูนขึ้นด้วยระดับความเร็วอันน่าตระหนก จั่วม่อชัก
เริ่มสงสัยว่าหากมันไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ในเร็ววันนี้ ผลสุดท้ายที่
รอมันอยู่ เกรงว่าจะเป็นการที่ร่างกายแตกระเบิดเป็นผุยผงไม่ต่างจากเข็ม
เงินของข่าจั๋ว ต่อให้เป็นสังขารปิศาจที่เข้มแข็งแกร่งกร้าวที่สุด ก็ยังคงมี
ขีดจากัดพลังงานที่สามารถทานทนรับได้
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งมวลนี้ ทาเอากระทั่งผูเยากับเว่ยยัง
จนปัญญา พวกมันไม่เคยเห็นสภาพเช่นนี้มาก่อน
เคล็ดวิชาพื้นฐานที่จ่ัวม่อลอบเรียนรู้จากลุงอันหย่ามีประสิทธิภาพไม่
น้ อ ย แม้ ว่ า ในยามนี้ มั น ยั ง ขยั บ ได้ เ พี ย งข้ อ มื อ เล็ ก น้ อ ยเท่ า นั้ น แต่ ก็ จุ ด
ประกายความหวังให้แก่มันสายหนึ่ง
ข่าจั๋วนั่งมึนงงอยู่ด้านข้าง จมอยู่ในภวังค์ความคิดอันลึกล้า มันนั่งอยู่
ในท่านี้มาตลอดทั้งคืน หลังจากที่จ่ัวม่อซักถามคาถามกองโตเมื่อค่ า คืนที่
ผ่านมา มันก็พบว่ามีปัญหามากมายที่มันไม่เคยครุ่นคิดพิจ ารณามาก่อน
ดังนั้นเฝ้าขบคิดใคร่ครวญโดยไม่รู้สึกตัว
จั่วม่อไม่แยแสสนใจว่าต้นเหตุเกิดจากมันเอง มันยินดีที่จะพูดคุยกับ
อากุ่ยมากกว่า
“อากุ่ย รอจนข้าฟื้ นสภาพเต็มที่ ข้าจะมีพละกาลังดังเดิม เฮอะเฮอะ
ถึงตอนนั้นข้าจะอุ้มเจ้าเอง!”
“ศิ ษ ย์ น้ อ งกงซุ น ส่ ง ข่ า วมา มั น บอกว่ า พี่ ใ หญ่ ปิ ง เย่ า กั บ พวก พบตั ว
อ่อนเมฆวารีแล้ว รอเรากลับไปก็สามารถใช้งานได้ทันที เวลานี้เกาะเต่ากับ
ชนเผ่ามนุษย์ห มอกกาลังสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายเชื่อมถึงกัน ดังนั้นการ
เดินทางใช้เวลาไม่นานแล้ว”
“สือตงก็ร้ายกาจยิ่ง ถึงกับยึดครองอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยไปกว่าครึ่ง
อาณาจักรแล้ว เกอพอลุกฮือขึ้น รัศมีราชาก็เปล่งประกาย วู้ม ดึงดูดแม่ทัพ
ที่ร้ายกาจเช่นนี้มาอยู่ใต้ร่มธง แม้แต่ศิษย์น้องกงซุนยังบอกว่ามันไม่เลว ไม่
เลวเลยจริง ๆ!”
“เพียงไม่ทราบว่าอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยมีเหมืองจิงสือหรือไม่ ถ้ามีก็
คงจะยอดเยี่ยม... ...”
กร๊อบ!
ทันใดนั้นกระดูกข้อมือของจั่วม่อส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะ
ความรู้สึกคล่องแคล่วราบรื่นที่ไม่ได้พบเจอมานาน ในที่สุดก็กลับคืน
มา จั่ ว ม่ อ ชะงั ก งั น วู บ จากนั้ น กลายเป็ น ลิ ง โลดยิ น ดี ทดลองขยั บ ข้ อ มื อ
อย่ า งรวดเร็ ว ความคล่ อ งแคล่ ว ราบรื่ นที่ ไ ม่ ไ ด้ รู้ สึ ก มานานฟื้ นกลั บ คื น
มาแล้วจริง ๆ จั่วม่อพลุ่งพล่านจนจนแทบกู่คารามให้ถึงชั้นฟ้า!
จั่วม่อหมุนข้อมืออย่างหิ ว กระหาย หลังจากเคยสูญเสีย ไปจึง ค่ อ ยรู้
คุณค่า
ดูเหมือนความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ไม่นับเป็นกระไรได้ ถึงแม้ว่าจะฟื้น
สภาพเพียงมือข้างเดียว แต่ต อนนี้มันก็สามารถกระทาเรื่องราวหลายสิ่ง
หลายอย่างได้แล้ว
นี่ไม่ได้หมายความว่าสภาพเลวร้ายในร่างกายของมันเปลี่ยนแปลงไป
แต่มันในที่สุดก็ส ามารถเกาะกุมพลังส่วนหนึ่งของตนอีกครั้ง ความรู้สึกที่
สูญเสียแล้วได้กลับคืน นับว่ายากจะบ่งบอกบรรยายเป็นถ้อยวาจาจริงๆ
“อากุ่ย ดูสิ ดูเร็วเข้า มือข้าขยับได้แล้ว!” จั่วม่อสะบัดมือให้ดูราวกับ
อวดสมบัติวิเศษ
อากุ่ยไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
จั่วม่อก็ไม่เสียกาลังใจเพราะเรื่องนี้ หากอากุ่ยตอบสนองจริง ๆ จึงจะ
น่าแปลกใจ ในอารมณ์แช่มชื่นเบิกบานใจ มันก็เริ่มวางแผนการทันที มัน
ย่อมไม่เคยคิดว่าการเดินทางของมันกับอากุ่ยในครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยว
ชมทิวทัศน์ ที่แห่งนี้คือภพปิศาจ เป็นสถานที่ที่ท้ังไม่คุ้นเคยและอันตราย
สุดขีด แม้ว่าเมืองเศษหินจะดูคล้ายสงบสันติสาหรับมัน มันก็ห าได้ล ะทิ้ง
ความระแวงระวั ง ไม่ มั น กั บ อากุ่ ย ในยามนี้ ก ระทั่ ง พลั ง ในการปกป้ อ ง
คุ้มครองตัวเองยังไม่มี หากเผชิญสถานการณ์เข้าจริง ๆ ก็คงจะเลวร้ายยิ่ง
ซู่หลงกับพวกแม้เร่งรุ ดมาอย่างสุดกาลังความสามารถ แต่ยังคงอยู่ห่างไกล
จากอาณาจักรเศษหินมาก ยามกะทันหันยังไม่สามารถหวังพึ่งพาพวกมัน
ได้
สิ่งสาคัญที่สุดในยามนี้คือหาทางฟื้นสภาพร่างกายบางส่วน เพื่อที่จะ
ได้มีความสามารถในการปกป้องคุ้มครองตัวเองได้บ้าง จากนั้นค่อยคิดหา
หนทางแก้ปัญหาเรื่องพลังหลายขุมที่วิ่งพล่านไปทั่วร่าง
การที่มือข้างหนึ่งฟื้ นสภาพสาเร็จ หมายความว่าวิธีการของมันอย่าง
น้อยยังมีส่วนที่ถูกต้อง ตราบเท่าที่มันยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ปัญหาเรื่อง
การเคลื่ อนไหวสมควรแก้ ไ ขได้ ใ นที่ สุ ด แต่ จ านวนพลั ง เลื อ ดเนื้ อที่ มั น
สามารถควบคุมได้มี ขอบเขตจากัด นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังที่ถูกละเลย
และไม่ได้อาละวาดไปด้วย แต่ต่อให้จ่ัวม่อผนึกรวมรั้งพลังเหล่านี้ท้ังหมด
เกรงว่ายังไม่ใช่คู่มือของลุงอันหย่าด้วยซ้า
มันต้องคิดหาหนทางอื่น
จั่วม่อขบคิดใคร่ครวญเงียบ ๆ อยู่นาน ดวงตาค่อย ๆ เป็นประกายขึ้น
ทีละน้อย จากนั้นหันขวับไปทางข่าจั๋วที่กาลังจมอยู่ในภวังค์อันลึกล้า เรียก
หาเสียงดัง “ข่าจั๋วเซียนเซิง ข่าจั๋วเซียนเซิง!”
“อา!” ข่าจั๋วหันมาตามเสียงด้วยสีห น้าเลื่อนลอย ชั่วอึดใจให้ห ลัง สี
หน้ามึนงงค่อยกลับเป็นปกติอีกครั้ง
“ข่าจั๋วเซียนเซิง มาหารือเรื่องเข็มเงินกันเสียทีดีหรือไม่” จั่วม่อสุ้ม
เสียงเต็มไปด้วยแรงดึงดูดใจ
“เข็มเงิน ? อ๊า เข็มเงินของข้า!” ข่าจั๋วทีแรกงงงั นวู บ จากนั้นสีห น้ า
กลายเป็นตึงเครียดทันที “เชิญกล่าว เชิญกล่าว!”
เข็มเงินเล่มนั้นเป็นของส าคัญที่สุดของข่าจั๋ว แต่จ่ัวม่อเผลอทาลาย
เป็นผุยผงโดยไม่ได้ต้งั ใจ แม้จ่ว
ั ม่อบอกว่าจะชดใช้ให้เล่มหนึ่ง ข่าจั๋วก็ไม่ได้
เชื่อถือวาจานี้จริงๆ แต่มันไม่กล้าล่วงเกินจั่วม่อผู้อาจเป็นปิศาจสูงศักดิ์ ได้
แต่ ป ล่ อ ยเลยตามเลย เวลานี้ จ่ั ว ม่ อ ยกหัว ข้อ นี้ขึ้ นมากล่า วอี ก ครั้ ง ข่ า จั๋ ว
หัวใจฟูฟ่องแทบล่องลอยแล้ว
“เรื่องนี้มีหนทางแก้ไขอยู่สองทาง” จั่วม่อกล่าวยิม
้ ๆ
“ประการแรก ข้าจะชดใช้เข็มที่เหมือนกับเล่มก่อนหน้าให้แก่เจ้าเล่ม
หนึ่ง”
ข่าจั๋วพอฟัง สีหน้าก็เบิกบานใจในทันที
“อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีนี้เจ้าจะต้องรอไปก่อน เจ้าก็เห็นแล้วว่ายามนี้
ข้ามีปัญหาอยู่เล็กน้อย ข้าจาต้องหาหนทางแก้ปัญหาเสียก่อน ดังนั้นเจ้า
ต้องไม่ใจร้อน”
สีหน้าเบิกบานใจของข่าจั๋วพลันห่อเหี่ยว ในที่สุดก็สงบใจลง ถามว่า
“แล้วหนทางที่สองเล่า?”
“หนทางที่สองซับซ้อนกว่าเล็กน้อย” จั่วม่อในแววตาทอประกายชื่น
ชม น้าเสียงเปลี่ยนไป “ข้าแน่ใจว่าเจ้ามีวัตถุดิบสารองอยู่จานวนหนึ่ง จง
นาออกมาให้ข้าชมดู บางทีเราอาจสามารถสร้างเข็มเงินเล่มใหม่ได้ทันที”
ข่ า จั๋ ว สั่ น ศี ร ษะอย่ า งผิ ด หวั ง “การสร้ า งเข็ ม ปลุ ก ปิ ศ าจมิ ใ ช่ เ รื่ อง
ง่ายดายปานนัน
้ ”
“อ้อ ที่แท้มันเรียกว่าเข็มปลุกปิศาจ” จั่วม่อสุ้มเสียงราบเรียบ “บางที
อาจได้ หรือบางทีก็อาจจะไม่ ข้าเพียงแค่เสนอแผนการและชี้นา ที่เหลือ
ข่ า จั๋ ว เซี ย นเซิ ง จะต้ อ งลงมื อ ท าเอง ข้ า เชื่ อว่ า ข่ า จั๋ ว เซี ย นเซิ ง สามารถ
แยกแยะได้ว่าแผนการนี้สมควรเป็นไปได้หรือไม่”
ข่าจั๋วสีหน้าฉงนสงสัย หรือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้สามารถออกแบบสร้างเข็ม
ปลุกปิศาจได้จริง ๆ? มันพลันหวนนึกถึงคาถามมากมายก่ายกองที่ท้ังยาก
และลึกซึ้งของจั่วม่อ ในสายตาของมันจู่ ๆ จั่วม่อก็ยิ่งดูลี้ลับสุดหยั่งถึงมาก
กว่าเดิม
“ตกลง” ข่าจั๋วตอบรับอย่างเสียมิได้ จากนั้นนาวัตถุดิบที่เก็บสะสมไว้
ออกมาทันที
ศิลาเลือดไก่ ไม้ผุแห่งไพรสณฑ์ แมลงทานตะวัน... ...
จั่วม่อรู้จักคุ้นเคยกับวัตถุดิบส่วนใหญ่เหล่านี้ แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ไม่เคย
พบเห็นมาก่อน หลังจากกวาดตามองคร่าว ๆ รอบหนึ่ง แผนการในใจก็เริ่ม
เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
มันขอกระดาษกั บพู่ กันจากข่ าจั๋ ว ใช้มือขวาที่ คืนสภาพแล้ ว เริ่ ม ขี ด
วาดอย่างรวดเร็ว
เมื่อเส้นสายเริ่มเป็นรู ปเป็นร่างขึ้นภายใต้ปลายพู่กันของจั่วม่อ ข่าจั๋ว
ใบหน้าทอแววตื่นตะลึง แล้วกลายเป็นปิติยินดีที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ มัน
เริ่มจ้องปลายพู่กันของจั่วม่อตาเขม็ง แทบกลั้นหายใจ ราวกับเกรงว่าเสียง
หายใจของมันจะไปรบกวนจั่วม่อก็มิปาน
ห้ อ งกลั บ กลายเป็ น เงี ย บสงั ด มี เ พี ย งเสี ย งพู่ กั น ตวั ด ลากไปตาม
แผ่นกระดาษเบา ๆ
ชัว
่ อึดใจให้หลัง จั่วม่อค่อยหยุดมือ กวาดตาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่
ถ้วน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ค่อยวางพู่กันลง
“ประเสริฐ สิ่งนี้เป็นของเจ้าแล้ ว แผนผังปิศาจนี้เ ป็น แผนผัง ปิ ศ าจ
ของแมงกะพรุนปรภพ จัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับเข็มปลุกปิศาจเล่มเดิม
ของเจ้า ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากสาหรับเจ้า วัตถุดิบหลักเริ่มแรกให้ใช้ไม้ผุ
แห่งไพรสณฑ์ จากนั้นนาไปแช่ในศิลาเลือดไก่ผสมกับแมลงทานตะวัน”
สุ้ ม เสี ย งของจั่ ว ม่ อ ฟั ง ดู เ หน็ ด เหนื่ อยอยู่ บ้ า ง แผนผั ง ปิ ศ าจของ
แมงกะพรุนปรภพแม้ไม่ซับซ้อน แต่เมื่อเทียบกับเรี่ยวแรงที่น่าสมเพชของ
จั่วม่อในยามนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายแล้ว
ข่าจั๋วรับกระดาษด้วยมือไม้สั่นเทา บนใบหน้าสูบฉีดด้วยสีแดงซ่า น
ผิดธรรมดา สายตาร้อนเร่า เต็มไปด้วยความตื่นเต้นลิงโลด ราวกับกาลังถือ
สมบัติล้าค่าหาใดเปรียบอยู่ในมือ!
สาหรับข่าจั๋ว นี่เป็นสมบัติล้าค่าหาใดเปรียบโดยแท้!
ลาพังเคล็ดความในกระดาษแผ่นนี้ ก็มีค่ามากกว่าเข็มปลุกปิศาจของ
มันสิบเล่มรวมกัน
แผนผั ง ปิ ศ าจของแมงกะพรุ น ปรภพเป็ น แผนผั งปิ ศ าจด่ า นเจี้ ยวที่
แท้ จ ริ ง ! ส่ ว นแผนผั ง ปิ ศ าจปลิ ง วารี ด าในเข็ ม เล่ ม เดิ ม ของมั น เป็ น เพี ย ง
แผนผังปิศาจด่า นเว่ย 21เท่ านั้น อย่าได้เห็นว่ าทั้ งสองดู เหมือนจะต่ า งกั น
เพียงแค่หนึ่งด่าน แต่แท้ที่จริงแล้วแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
ที่สาคัญยิง่ ไปกว่านัน
้ มันยังมีสายตาที่รอบรู้ สามารถเห็นได้ว่าแผนผัง
ปิศาจแมงกะพรุ นปรภพชุดนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์จนไม่อาจสมบูรณ์ไปกว่านี้
อีก
หากก่อนหน้านี้มันเพียงกังขาในตั วตนของจั่ วม่อ เวลานี้มันก็แน่ ใ จ
เป็นอย่างยิ่งว่าเด็กหนุ่มที่ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวผู้นี้จ ะต้องมีชาติกาเนิ ด
สู ง ส่ ง แผนผั ง ปิ ศ าจด่ า นเจี้ ย วที่ ค รบถ้ ว นสมบู ร ณ์ เ ช่ น นี้ เป็ น สิ่ ง ที่ มี เ พี ย ง
ตระกูล ปิศาจชั้นสูงซึ่งถือครองสายเลือดสูงศักดิ์เท่านั้น ที่ส ามารถมีไว้ใน
ครอบครอง
หากข่ า จั๋ ว น าแผนผั งปิ ศ าจชุ ด นี้ ไ ปเร่ ข าย จะสามารถเรี ย กราคาได้
อย่างน่าตื่นตะลึงเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น อาศัยเพียงวัตถุดิบที่มันมีอยู่ในมือ ผู้อ่ ืนก็สามารถเลือก
แผนผังปิศาจและแม้แต่วิธีการสร้างเข็มที่เหมาะสมเป็นที่สุด ฝีมือทางด้าน
แผนผังปิศาจของผู้แซ่จ่ัวเกรงว่าบรรลุถึงขั้นน่าแตกตื่นสะท้านใจแล้ว... ...
“ข่าจั๋วมีต าหามี แววไม่ ล่วงเกินใต้เท้ าไปแล้ ว ขอได้โปรดประทาน
อภัย!” ข่าจั๋วจู่ ๆ หมอบกราบกรานแทบจรดพื้น กล่าวด้วยสีห น้าจริง จั ง
และจริงใจ

21
ด่านเว่ย – เทียบเท่าจู้จี ด่านเจี้ยว – เทียบเท่าหนิงม่าย
จั่วม่องงงันวูบ จากนั้นกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เป็นข้าไม่ดีเอง ข่าจั๋วเซียนเซิง
อย่าได้ทาเช่นนี้แล้ว”
ข่าจั๋วไม่หวั่นไหว ยังคงกล่าวต่อไปว่า “ความรอบรู้ของใต้เท้าเหนือล้า
กว่าข่าจั๋วมาก! ข่าจั๋วยังใช้จิตใจของคนชั่วช้าประเมินเจตนาวิญญูชนของ
ใต้เท้า ยามนี้เมื่อมากล่าวถึง ข่าจั๋วนับว่าสมควรตาย!”
จั่วม่อไม่ทราบจะหัวร่อหรือร่าไห้ดี “ตกลงว่าเจ้าอยากจะบอกอัน ใด
กันแน่?”
“ใต้เท้า โปรดรับข่าจั๋วเป็นศิษย์ด้วย!” ข่าจั๋วกล่าวเสียงดังฟังชัด
“รับเจ้าเป็นศิษย์ ?” จั่วม่อเหม่อมองข่าจั๋วที่สูง วัยกว่ ามัน มาก พลัน
รู้สึกแปลกพิกล รีบสั่นศีรษะพลางกล่าว “ไม่ได้ ไม่มีทาง!”
ก่ อ นหน้ า นี้ จ่ั ว ม่ อ แม้ รั บ พวกหนานเยว่ คั ง เจ๋ อ เป็ น ศิ ษ ย์ แต่ ก็ เ นื่ อง
เพราะพวกนางมี อ ายุ ไ ม่ ต่ า งจากมั น มากนั ก จั่ ว ม่ อ ไม่ มี ปั ญ หาที่ จ ะ
หลอกลวงพวกนางสักครา แต่ห ากรับข่าจั๋วที่อายุมากกว่ามันไม่น้อยเป็น
ศิษย์จริงๆ จึงนับว่าแปลกพิกลโดยแท้
“ต้าเหริน ได้โปรดรับข่าจั๋วเป็นศิษย์ด้วย!” ข่าจั๋วไม่ถนัดในการกล่าว
วาจาประจบประแจง ได้แต่กล่าวซ้าประโยคเดิมอย่างแน่วแน่
จั่วม่อเดิมทีรู้สึกว่าข่าจั๋วอ่อนแอและหลอกลวงได้ง่าย แต่เมื่อคนสัตย์
ซื่อถือมั่นกลายเป็นดื้อดึงขึ้นมา พวกมันก็น่ากลัวยิ่ง
หลังจากยันกันอยู่เช่นนี้เป็นเวลานาน จั่วม่อรู้สึกคล้ายกาลังจะเสียสติ
แล้ว
“เอาเถอะ เอาเถอะ ก่อนอื่นให้สร้างเข็มปลุกปิศาจนี่เสียก่อน” จั่วม่อ
กล่าวเสียงละห้อย เรี่ยวแรงของมันแทบจะหมดสิ้นอยู่รอมร่อ หากข่าจั๋ว
เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา มันก็รับมือไม่ไหวแล้ว
ข่าจั๋วผุดลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี “ขอรับ เหล่าซือ!”
ฟังประโยคนี้ จั่วม่อลอบยิ้มเจื่อนขมในใจ มันถึงกับต้องรับคนที่ แ ก่
คราวลุงมาเป็นศิษย์เชียวหรือ
เผ่าปิศาจนี่ช่างบ้าคลั่งอย่างที่เล่าลือกันจริง ๆ!
อย่างไรก็ต าม จั่วม่อเมื่อสงบใจลงและไตร่ตรองดูอีกครั้ง มันรู้สึกว่า
การรับศิษย์ผู้นี้กลับไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว
ข่าจั๋วเป็นเผ่าปิศาจที่แท้จริง ทั้งยังตระเวนไปทั่วในหลาย ๆ สถานที่
มีประสบการณ์และศักดิ์ฐานะของอาจารย์ปลุกปิศาจเป็นเครื่องป้อ งกั น
และซ่อนเร้นที่ดีสาหรับตัวมันเอง ตามที่จ่ว
ั ม่อล่วงรู้มา ในบรรดาเผ่าปิศาจ
ชั้นต่าอาจารย์ปลุกปิศาจมีศักดิ์ฐานะสูงส่งมาก แทบจะไม่มีผู้ใดปฏิเสธการ
ปลุกแผนผังปิศาจให้ต่ ืนขึ้น กระทั่งปิศาจที่มีพลังอานาจโดยทั่วไปแล้วยัง
ไม่คิดล่วงเกินอาจารย์ปลุกปิศาจ เนื่องเพราะคนเหล่านี้ รอบรู้กว้างขวาง
และมักมีฝีมือทางด้านอื่น ๆ เช่นการเยียวยารักษาและขจัดพิษ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แ ก่มันกั บอากุ่ยอี ก ทาง
หนึ่ง
มองจากด้านนี้จ่ว
ั ม่อชักรู้สึกว่าไม่เลวร้ายเท่าใด
ดู เ หมื อ นว่ า มั น จ าต้ องศึ ก ษาแผนผัง ปิ ศ าจจริ ง ๆ จั ง ๆ เสี ย แล้ ว ใน
เวลาเช่นนี้การสูญเสียเกราะป้องกันที่ดีเช่นนี้ไปอาจไม่ใช่เรื่องดี
และในเมื่ อมั น ยั ง ไม่ ส ามารถน าสิ่ ง ของออกจากแหวนมิ ติ ข องมั น
การศึกษาเจาะลึกแผนผังปิศาจอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี ซึ่งอาจช่วยให้มัน
หาหนทางฟื้นสภาพได้
ที่สาคัญที่สุด คือมันมีแผนผังปิศาจอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ของเหล่านี้เป็นผู
เยาเก็บสะสมไว้หลายพันปี เวลานี้นับว่าได้ใช้ประโยชน์บ้างแล้ว
บทที่ 544 ทางเลือกของตงจื่อ

เจียงเจ๋อถอนใจเบา ๆ สีหน้าขัดแย้งและซับซ้อนอยู่บ้าง
ในสนามรบเบื้ องล่ า ง เห็ น กองทั พ ปิ ศ าจก าลั ง ต่ อ สู้ อ ย่ า งจนตรอก
ปิศาจบางส่วนบุกตะลุยเข่นฆ่าอย่างดุเดือดคลุ้ มคลั่ง ทั้งยังไม่ยอมล่าถอย
แม้ สั ก ก้ า ว จิ ต เจตนาขอต่ อ สู้ จ นตั ว ตายเห็ น ได้ ถ นั ด ชั ด เจน แต่ ต่ อ หน้ า
กระบวนทัพค่ายกลที่ต้ังมั่นอย่างสมบูรณ์ พวกมันก็ไม่ต่างอันใดจากแมง
เม่าบินเข้ากองไฟ
เจียงเจ๋อคิดไม่ถึงว่าการต่อสู้จะดุเดือดรุ นแรงถึงเพียงนี้ แม้ว่ามันจะ
เคยชินกับภาพของความโหดร้ายทารุ ณมาไม่น้อย แต่ยังต้องตกตะลึงกับ
ภาพเบื้องหน้านี้ อดนับถือเลื่อมใสเหล่าปิศาจที่บ้าคลั่งเหล่านี้อยู่บ้างไม่ได้
นี่เป็นกองทัพที่เด่นล้าขบวนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่นับถือเลื่อมใสก็ส่วนนับถือเลื่อมใส นี่ไม่ได้ทาให้เจียงเจ๋อบังเกิ ด
เมตตาจิต ยังคงเอ่ยคาสั่งการอย่างนุ่มนวลและต่อเนื่อง “ขบวนทัพกลาง
ล่าถอยออกมา สองปีกข้างตีกระหนาบจากสองฟาก”
กองทัพปิศาจจู่ ๆ ค้นพบว่าศัต รู เบื้องหน้าล่าถอยไปอย่างกะทันหัน
พวกมันปิติยินดีในบัดดล ใช่เป็นฝ่ายตรงข้ามไม่อาจต้านทานการบุกตะลุย
อย่างรุ นแรงของพวกมันอีกต่อไปหรือไม่ ? แต่ในเวลานี้เอง กองทัพซิวเจ่อ
ทางปีกขวาพลันบุกทะลวงเข้าจู่โจมปานสายฟ้าแลบ!
กระแสบุกทะลวงอันเกรี้ยวกราดนี้ ทาให้ทัพปิศาจที่เพิ่งจะคลายใจลง
เล็กน้อยต้องแตกตื่นตะลึงลาน ประหนึ่งมีดร้อนตัดผ่านเนย กองทัพปี ก
ขวาตัดผ่ากลางกองทัพปิศาจทั้งขบวน
กระบวนทัพฝ่ายปิศาจถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วนทันที!
ขวัญกาลังใจที่เพิ่งจะลุกโชนขึ้นพลันตกวูบ ไม่มีผู้ใดทันเห็นกองทัพ
อีกขบวนหนึ่งลอบเข้าประชิดทางด้านหลังของพวกมัน
กองทัพปิศาจที่กาลังแตกตื่นลนลาน ถูกผ่ากลางในบัดดลด้วยการบุก
ทะลวงระลอกที่สอง
มองจากบนท้องฟ้า จะเห็นสองกองทัพตัดแบ่งกองทัพปิศาจออกเป็น
ส่วน ๆ อย่างงดงามสมบูรณ์แบบ
“พวกมันจบสิ้นแล้ว” สตรีข้างกายเจียงเจ๋อบิดกายอย่างเกียจคร้าน
กิริยาเช่นนี้ทาให้เรือนร่างอันเย้ายวนที่เติบโตเต็มสาวของนางอวดส่วนโค้ง
ส่วนเว้าที่ดึงดูดใจออกมา องครักษ์ส่วนตัวหลายคนที่ล้อ มรอบพวกมันพา
กันกลืนน้าลายอย่างฝืดคอ ต่อหน้าสตรีอันเย้ายวนเช่นนี้ กระทั่ง นักบวช
นิกายพุทธยังต้องหวั่นไหวใจ
เจียงเจ๋อนิ่งเงียบงัน ผมยาวที่ขาวราวหิมะสะบัดปลิวตามสายลม คิ้ว
เรียวยาวพาดตรงทาให้เค้าหน้าดูอบอุ่นอ่อนโยน ร่างสูงสง่าตั้งตรงดุจเสา
หยก เมื่อยืนอยู่กลางเวหาเหนือสนามรบก็มักดึงดูดสายตาผู้คนโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง ดวงตาสงบลึ ก ล้ า คู่ นั้ น ที่ ท้ั ง สดใสกระจ่ า งและไร้
สิ่งเจือปน ไม่ว่าผู้ใดที่ประสานสบตากับมัน อาจถูกดึงดูดโดยไม่ทันรู้สึกตัว
ในฐานะหนึ่งในตัวแทนที่มีความสาเร็จสูงสุดในบรรดาศิษย์วัดเสวียน
คงรุ่ น นี้ ไม่ ว่ า ไปยั ง ที่ ใ ดเจี ย งเจ๋ อ ก็ ดึ ง ดู ด สายตาผู้ ค น ในแดนเสวี ย นคง
ชื่อเสียงของมันถึงกับระบือลือไกลยิ่งกว่าบรรดามหาสมณะที่มีช่ ือเสียงมา
นานปีเสียอีก ในใจของเหล่านักบวชนิกายพุทธรุ่นใหม่ นามเจียงเจ๋อคล้าย
จะแฝงไว้ด้วยมนต์ขลังประการหนึ่ง
ในแดนเสวียนคง มีเพียงผู้เดียวที่สามารถยกขึ้นเปรียบเทียบกับมันได้
เป็นศิษย์พี่ของมัน หนานกงชิงเหลียน
แต่ แ ตกต่ า งจากเจี ย งเจ๋ อ ซึ่ ง เป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก หนานกงชิ ง
เหลียนเป็นเซียนวรยุทธ์เที่ยงแท้ หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ แต่ท้งั คู่ก็โดดเด่นเสมอกัน
“มีข่าวเกี่ยวกับเปี๋ ยหานหรือไม่ ?” เจียงเจ๋อจ้อ งมองไปยังที่ห่างไกล
ในใจไม่ทราบครุ่นคิดอันใด
“ไม่มีเลย เป็นไร? เจ้าคิดถึงมันหรือไร?” สตรีนางนั้นเลิกคิ้วเรียวงาม
สีห น้ากระเซ้าเย้าแหย่ โฉมสะคราญที่สั่นไหวจิตใจผู้คนนางนี้เป็นศิษย์พี่
หญิงของเจียงเจ๋อ เรียกว่าฟ่งเยวี่ย (หงส์จันทรา) ทั้งยังเป็นผู้ช่วยแม่ทัพ
ของมันด้วย
ฟ่งเยวี่ยที่มุมปากประดับด้วยไฝเล็ก ๆ เม็ดหนึ่ง แต่มิเพียงไม่ลดทอน
ความงามของนาง กลับยิ่งขับเน้นริมฝีปากสีแดงสดให้ทรงเสน่ห์ปานล่ม
เมือง
“ข้ากาลังคิดว่าหากเปี๋ ยหานเป็นผู้นาทัพฝ่ายตรงข้าม... ...” เจียงเจ๋อ
ไม่ได้รู้สึกรู้สาอันใดกับฟ่งเยวี่ยแม้แต่น้อย เพียงกล่าวตอบเบา ๆ
“แล้วจะเป็นไร? เจ้ารับมือไม่ไหวหรือ? หรือกังวลว่าเจ้าจะพ่ายแพ้?”
ฟ่งเยวี่ยกล่าวอย่างไร้ปราณี “เจ้าสองคนร่าเรียนมาด้วยกันกระมัง อืมฮืม
หรือว่ามีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ?”
ฟ่งเยวี่ยจงใจลากเสียงเน้นคา ‘เป็นพิเศษ’ อย่างยียวน
เจียงเจ๋อคุ้นชินกับนิสัยช่างเย้าแหย่ของศิษย์พี่ห ญิงฟ่งเยวี่ยมานาน
จึ ง ไม่ มี โ ทสะแม้ แ ต่ น้ อ ย เพี ย งกล่ า วด้ ว ยรอยยิ้ ม น้ อ ย ๆ “ท่ า นเมื่ อ กล่ า ว
เช่นนี้ ข้าก็ชักรู้สึกคาดหวังในการต่อสู้กับมันเสียแล้ว”
“ช่างไม่ทราบว่าไฉนท่านเจ้าอาวาสต้องพามันมาด้วย ข้าไม่ชมชอบ
มันตั้งแต่แรกพบ ดวงตาของมันดุร้ายกระหายเลือดเกินไป อย่างกับสัตว์
ร้ายก็มิปาน”
“แล้วเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรทะเลเมฆเล่า?” เจียงเจ๋อหันเหหัวเรื่อง
“ฮ่า อาจารย์อาติ้งเจินอยู่ในวัดหาได้มีศักดิ์ฐานะใดไม่ ความตายของ
มันไม่นับเป็นอะไรได้ ฮึ่ม หากผู้ที่ตกตายเป็นอาจารย์อาท่านอื่น ก็ไม่ทราบ
ว่าทางวัดจะเฉยชากับเรื่องราวเหมือนในยามนี้หรือไม่?” ฟ่งเยวี่ยขมวดคิ้ว
เรียวงาม สีหน้าโกรธขึ้ง น้าเสียงยิ่งกล่าวยิ่งไม่เกรงอกเกรงใจแล้ว
เจียงเจ๋อกระแอมเบา ๆ “เดิมทีเปี๋ ยหานถูกส่งไปช่วยเหลืออาจารย์อา
ติ้งเจิน แต่ในเมื่อเปี๋ ยหานจู่ ๆ ก็หักหลังพวกเรา สถานการณ์ทางด้านนี้ก็
ซับซ้อนสับสน ดังนั้นทางวัด... ...”
“เจ้าไม่ต้องมากล่าวแก้แทนตาเฒ่าเหล่านั้น ขอกล่าววาจาไม่น่าฟัง
เสี ย ก่ อ น หากในอนาคตเจ้า จะกลายเป็ นน่ า รั งเกี ยจเฉกเช่ น พวกมั น ขอ
อภัยที่ข้าไม่น้อมสนอง เจี่ยเจียจะไปเล่นด้วยตัวเองแล้ว” ฟ่งเยวี่ยเลิกคิ้ว
ถลึงตา สุ้มเสียงเต็มไปด้วยความปึ่ งชา
เจียงเจ๋อได้แต่ฝืนยิ้มขื่น กับศิษย์พี่หญิงฟ่งเยวี่ยนางนี้ มันจนปัญญา
จะรับมือนางจริง ๆ
“หลังจากที่เจ้าจัดตั้งแนวป้องกั นอย่างมั่นคง ข้าจะไปแก้แค้นให้แก่
อาจารย์อาติ้งเจิน! เจ้าเมื่อไม่ยอมไป ข้าจะไปเอง!” ฟ่งเยวี่ยโพล่งขึ้นอย่าง
กะทันหัน
เจี ย งเจ๋ อ ผู้ มี ท่ ว งท่ า สงบเยื อ กเย็ น มาโดยตลอด พอฟั ง พลั น หน้ า
เคร่งเครียดเย็นชาลง ตวาดเบา ๆ “เหลวไหล!”
“ในอดีต อาจารย์อาติ้งเจินเคยกรุ ณาชี้แนะข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าต้ อ ง
ทดแทนพระคุณท่านให้จงได้!” ฟ่งเยวี่ยกล่าวเสียงสงบราบเรียบ ทว่าเด็ด
เดี่ยวเฉียบขาดนัก
เจียงเจ๋อทอดถอนอย่างเหนื่อยล้า กลายเป็นไม่มีวาจาจะกล่าว

ข่าจั๋วจ้องมองเข็มปลุกปิศาจเล่มใหม่อย่างเคลิบเคลิ้มมึนเมา บรรจง
ลูบคลาไม่ยอมเลิกรา
เข็มปลุกปิศาจเล่มใหม่เป็นสีดาสนิท มีแผนผังปิศาจสีแดงดุจโลหิต
แผ่คลุมพื้นผิว ราวกับลวดลายใยแมงมุมเล็กละเอียด เปล่งประกายน่าขน
พองสยองเกล้า
“เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกมองเสียที” จั่วม่อเข้าใจความรู้สึกของข่าจั๋ว เป็น
อย่างดี แต่หลังจากข่าจั๋วเฝ้าชมดูและหัวร่ออย่างโง่งมมาตลอดทั้งเช้า มัน
ในที่สุดก็ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ เข้าใจแล้วขอรับเหล่าซือ” ข่าจั๋วคล้ายเพิ่งสะดุ้ง
ตื่น ค่อย ๆ ซุกเก็บเข็มปลุกปิศาจอย่างระมัดระวัง
ลุ ง อั น หย่ า ไม่ อ าจเชื่ อ ได้ ล งว่ า จั่ ว ม่ อ จู่ ๆ จะกลายเป็ น เหล่ า ซื อ ของ
ข่าจั๋ว แต่ห ลังจากรับฟังจั่วม่อบรรยายถึงเรื่องความเป็นอัจฉริยะของตน
ลุงอันหย่าก็หัวหมุนงุนงงไปหมด สุดท้ายยินยอมเชื่อจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของเรื่องนี้คือพวกตงจื่อไม่กล้าปฏิบัติต่อจั่ว
ม่ อ เช่ น เดิ ม อี ก ต่ อ หน้ า จั่ ว ม่ อ พวกมั น กลายเป็ น เรี ย บ ๆ ร้ อ ย ๆ และ
ระมัดระวังตัว ยิ่ง พวกมันต้องให้ความเคารพต่ออาจารย์ปลุกปิศาจ เด็ก
หนุ่มสาวทั้งหมดล้วนถูกสัง่ สอนมาเช่นนี้
ถึงตอนนี้ไม่มีผู้ใดหัวร่อที่อากุ่ยอุ้มจั่วม่อเยี่ยงเจ้าหญิงอีก ผู้คนพลัน
ตระหนักแน่แก่ใจ ไม่น่าแปลกใจที่อาจั่วมีพลังมาก มันไม่ใช่ปิศาจธรรมดา
ทั่วไปแต่แรก
เพื่ อ ที่ จ ะท าให้ ตั ว ตนในฐานะอาจารย์ ป ลุก ปิ ศ าจของมัน น่า เชื่ อถือ
ยิ่ ง ขึ้ น จั่ ว ม่ อ เริ่ ม ศึ ก ษาค้ น คว้ า เกี่ ย วกั บ อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจอย่ า งจริ ง จั ง
จั่วม่อเดิมทีก็มีฝีมือในแผนผังปิศาจ วิชาหลอมสร้างและค่ายกลยันต์ โดย
ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอันใด มันก็พอจะเข้าใจศาสตร์วิช าปลุก
แผนผังปิศาจในระดับหนึ่ง
ศาสตร์วิชาปลุกแผนผังปิศาจไม่ใช่ศาสตร์ที่ลึกซึ้งอันใด สาหรับจั่วม่อ
ตัวประหลาดผู้เคยศึกษาแผนผังปิศาจมามากมาย เมื่อมันเข้าใจศาสตร์
วิ ช าปลุ ก แผนผั ง ปิ ศ าจ ความเข้ า ใจของมั น ก็ เ หนื อ ล้ า กว่ า อาจารย์ ป ลุ ก
ปิศาจโดยทั่วไปอยู่หลายขั้น
ข่าจั๋วยิ่งมายิ่งเคารพเทิ ดทูนจั่วม่อ มันยิ่งอยู่ใกล้ชิดกับเหล่าซือ ก็ยิ่ง
พบว่าความรอบรู้ของเหล่าซือช่างกว้างไพศาลกว่ามันมากนัก
นี่เป็นเหตุให้ข่าจั๋วกระทาทุกอย่างตามการชี้นาของจั่วม่อ เต็มไปด้วย
ความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเปี่ ยมล้น
เมื่อถือครองเข็มปลุกปิศาจอีกครั้ง ข่าจั๋วก็สามารถปลุกแผนผังปิศาจ
ของตงจื่อได้แล้ว
ตงจื่อผู้เฝ้ารออย่างกระวนกระวายมานานหลายวัน ให้รีบแล่นมาหา
อย่ า งลิ ง โลดยิ น ดี การปลุ ก แผนผั ง ปิ ศ าจครานี้ ดึ ง ดู ด ความสนใจของ
ชาวเมืองเศษหินจานวนมาก ตงจื่อเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดใน
เมือง คนส่วนมากพากันวาดหวัง ว่าเมืองเศษหินของพวกมันจะสามารถให้
กาเนิดยอดยุทธ์ที่แท้จริงสักคนหนึ่ง
ข่าจั๋วไม่รีรอลังเล ลงมือตรวจสอบคุณสมบัติโดยละเอียดของตงจื่อ
ทุกคนแทบกลั้นหายใจ ด้วยเกรงว่าจะรบกวนสมาธิของข่าจั๋ว
จั่วม่อนอนอยู่ในอ้อมแขนของอากุ่ย เฝ้ามองกระบวนการทั้งหมดด้วย
ความเข้าใจอย่างลึกล้า
ข่าจั๋วเมื่อตรวจสอบจนแน่ใจ กาลังจะเริ่มลงมือปลุกแผนผังปิศาจ แต่
จั่วม่อกลับเอ่ยขัดอย่างกะทันหัน “รอก่อน”
ข่ า จั๋ ว ชะงั ก มื อ ทั น ควั น รี บ เข้ า มาเรี ย นถามจั่ ว ม่ อ อย่ า งนอบน้ อ ม
“เหล่าซือมีคาสั่งใด?”
บรรดาปิศาจที่กาลังเฝ้าดูพากันส่งเสียงอื้ออึงเล็กน้อย
แม้พวกมันจะรับรู้ว่าข่ าจั๋วกราบจั่วม่อเป็นเหล่าซือ แต่เมื่อเห็นข่าจั๋ว
เรี ย กขานออกมาเบื้ อ งหน้ า ผู้ ค นมากมายยั ง คงก่ อ ให้ เ กิ ด ปฏิ กิ ริ ย าอย่ า ง
รุ น แรง จั่ ว ม่ อ อายุ ไ ม่ ห่ า งจากตงจื่อ กั บ พวกสัก กี่ ปี ทว่ า เด็ ก หนุ่ ม ผู้ นี้ กลับ
กลายเป็นเหล่าซือของข่าจั๋วเซียนเซิงที่พวกมันเคารพนับถือไปเสียได้ ควร
ทราบว่าข่าจั๋วแม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองเศษหิน แต่ก็มีช่ ือเสียงโด่งดังไปทั่ว
เมืองเศษหินมาเป็นเวลานาน
พรสวรรค์ข องตงจื่อนับว่าไม่ เลวเลยจริง ๆ จากการพินิจ พิเคราะห์
ของเว่ย ตงจื่อสมควรมีส ายเลือดของปิศาจวานรที่ร าบสูง ปิศาจวานรที่
ราบสูงสายเลือดบริสุทธิเ์ ป็นยอดนักรบโดยกาเนิด มีท้ังพลัง ความเร็วและ
ความเหี้ยมหาญ
จั่วม่อเฝ้าดูการตรวจสอบของข่าจั๋ว จนสามารถยืนยันว่ามีเศษเสี้ยว
แผนผังปิศาจวานรที่ราบสูงอยู่บนร่างตงจื่อส่วนหนึ่งจริง ๆ ข้อสันนิษฐาน
ของเว่ยไม่ได้ผิดพลาดไปเลย
จั่วม่อเมื่อศึกษาค้นคว้าศาสต์วิชาของอาจารย์ปลุกปิศาจ ตั้งแต่หลาย
วันก่อนมันก็พบว่าการปลุกแผนผังปิศาจนั้นคล้ายคลึงกับแผนผังที่มันสลัก
ลงบนร่ า งของเหลยเผิง กับ พวกมาก แต่ เ ผ่ า ปิ ศ าจเชี่ ย วชาญพลังสังขาร
ดังนั้นพวกมันใช้แผนผังปิศาจ ส่วนซิวเจ่อเมื่อใช้พลังปราณเป็นหลัก พวก
มันจึงใช้ค่ายกลยันต์แทน
เมื่อยืนยันได้ว่าตงจื่อมีเศษเสี้ยวแผนผังปิศาจวานรที่ราบสูงอยู่ในร่าง
จั่วม่อพลันบังเกิดความคิดอันอุกอาจประการหนึ่ง... ...นั่นคือมันสามารถ
แก้ไขแผนผังปิศาจวานรที่ราบสูงในร่างตงจื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่?
อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจแม้ ส ามารถปลุก แผนผัง ปิศ าจ แต่ อั น ที่ จ ริ ง เป็น
เพียงการช่วยนาแผนผังปิศาจที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างให้ปรากฏออกมาเท่านั้น
กล่าวอีกนัยก็คือเป็น เพียงการเปลี่ยนแปลงเล็ก น้อย ไม่ใช่การซ่อ มแซม
แผนผังปิศาจทั้งชุดให้สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม สาหรับจั่วม่อผู้เคยประสบความสาเร็จ กับศาสตร์ค่ าย
กลสลักร่างมาก่อน ความคิดนี้แม้อุกอาจไปบ้าง แต่ก็สมเหตุสมผล
แต่มันไม่ได้มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ ดังนั้นตกลงใจมอบการตัดสินใจ
ขั้นสุดท้ายให้แก่ตงจื่อ
เมื่อเรียกตงจื่อกับบิดามารดาของมัน รวมถึงลุงอันหย่าเข้าไปในห้อง
จั่วม่อบอกเล่าความคิดของมันอย่างไม่อ้อมค้อม
ทุกผู้คนล้วนตะลึงพรึงเพริด พวกมันพอฟังว่าตงจื่อมีสายเลือดของ
ปิศาจวานรที่ราบสูง ใบหน้าก็ทอแววเหลือเชื่อ จั่วม่อสังเกตเห็นในสายตา
ของตงจื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและแรงปรารถนา
ข่าจั๋วรู้สึกว่าสมองของมันไม่อาจเข้าใจแนวคิดนี้ได้เต็มที่ ซ่อมแซม
แผนผังปิศาจ? ข่าจั๋วปากอ้าตาค้างอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังจากตั้งสติได้ สีหน้า
ก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นระทึกใจอย่างฉับพลัน ในฐานะอาจารย์ปลุกปิศาจผู้มี
ฝีมือ ข่าจั๋วทราบดีว่าความคิดอันอุกอาจนี้แฝงความหมายอันน่าแตกตื่น
สะท้านโลกเพียงใด
“อาจั่ว เรื่องนี้ไม่อาจล้อเล่น” ลุงอันหย่าสุ้มเสียงเคร่งเครียด “เจ้ามี
ความมั่นใจสักกี่ส่วน?”
“สามในสิบ” จั่วม่อตอบด้วยการประมาณการขั้นต่าเอาไว้ก่อน แต่
หลังจากกล่าวออกจากปาก ค่อยตระหนักถึงความเสี่ยง พลันสานึกเสียใจ
ขึ้ น มา มั น หวั ง ว่ า จะไม่ มี อั น ตรายใด ๆ เกิ ด ขึ้ น กั บ ตงจื่ อ ในช่ ว งเวลา
นับตั้งแต่มาถึงเมืองเศษหิน ตงจื่อดีต่อมันมาก
ตงจื่อกับบิดามารดาของมันหันไปกระซิบหารือกันอย่างเคร่งเครี ยด
จากนั้นพวกมันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ตงจื่อสูดหายใจลึก “อาจั่ว ข้ายินดีทดลองดู!”
“เรื่องนี้อันตรายมาก เจ้ามีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก” จั่วม่อผู้บัดนี้สานึก
เสียใจอย่างสุดซึ้ง เริ่มกระตุ้นเตือนหวังให้ตงจื่อตัดสินใจใหม่
“ข้าไม่กลัว!” ตงจื่อกล่าวอย่างห้าวหาญ “ข้าต้องการเข้มแข็งขึ้น มี
แต่หนทางนั้น พวกเราจึงไม่ถูกข่มเหงรังแก”
ในเวลานี้ เ อง บิ ด าของตงจื่ อพลั น กล่ า วอย่ า งสุ ภ าพอ่ อ นน้ อ ม “จั่ ว
เซียนเซิ ง โปรดมอบโอกาสให้แ ก่ต งจื่อเถอะ! ส าหรับตระกูล เรา ส าหรับ
เมืองเศษหินของเรา พวกเราต้องการโอกาสนี้”
ลุงอันหย่าถอนหายใจลึกยาว จู่ ๆ ก็ดูแก่ชราลงไปมาก
จั่วม่อทราบว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ทั้งเห็นว่าพวกมันเต็มไปด้วยความ
เด็ ด เดี่ ย วแน่ ว แน่ ลุ ง อั น หย่ า ก็ ไ ม่ คั ด ค้ า นอี ก มั น ขบคิ ด แวบหนึ่ ง ก่ อ นจะ
รับปาก “ประเสริฐ! เช่นนั้นข้าจะไม่ทาให้พวกเจ้าผิดหวัง แต่ข้ายังต้องการ
เวลาตระเตรียมอีกสองสามวัน”
ถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ รวมทั้งตัวจั่วม่อเองด้วยว่าทางเลือกของ
พวกมันในครั้งนี้ กาลังจะสร้างตานานสะท้านภพปิศาจขึ้นมาบทหนึ่ง!
บทที่ 545 ทลายหินฟาดฟัน

วัดเสวียนคงพิชิตอาณาจักรขุนเขายะเยือก ดินแดนในภพปิศาจ!
ข่าวนี้ประโคมผ่านการออกอากาศทางอินกุย แพร่สะพัดไปทั่วสวรรค์
สี่ดินแดนอย่างรวดเร็วดุจไฟลามทุ่ง สี่ดินแดนที่กาลังอยู่ในสภาพโกลาหล
อลหม่าน พลันบังเกิดขวัญกาลังใจพลุ่งพล่านขึ้นอักโข นี่ เป็นอาณาจั ก ร
ปิศาจแห่งแรกที่ถูกสวรรค์สี่ดินแดนเข้ายึดครอง สิง่ ที่เหนือความคาดหมาย
ของผู้ ค นก็ คื อ ไม่ มี ผู้ ใ ดคาดคิ ด ว่ า คนแรกที่ ท าส าเร็ จ จะเป็ น วั ด เสวียนคง
พวกมันเดิมทีเข้าใจว่าขุมกาลังที่จะประกาศศักดาเป็นแห่งแรก หากมิใช่
คุนหลุนก็ต้องเป็นเทียนหวน
วัดเสวียนคงซึ่งมักถ่อมเนื้อถ่อมตัว กลับสาแดงพลังอานาจสุดคาดคิด
ออกมาอย่างฉับพลัน ถึงกับเปล่งประกายเจิดจรัสดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยง
ดึงดูดความสนใจของผู้คนมายังพวกมันเป็นจุดเดียว
เจียงเจ๋อผู้นาทัพคว้าชัยอย่างหมดจดงดงามในครั้งนี้ กลับกลายเป็น
หนึ่งในแม่ทัพบัญชาการศึกที่เด่นล้าที่สุดในสวรรค์สี่ดินแดน!

ตงจื่อแช่ร่างทั้งตัวอยู่ในน้ายาสีดามะเมื่อมภายในบ่อโอสถ น้ายาสีดา
ส่ ง กลิ่ น แปลกพิส ดารสุด บรรยาย ข่ า จั๋ ว ก าลั ง ค่ อย ๆ ใส่ วั ต ถุ ดิ บ ที่ เ ตรียม
เอาไว้ลงไปในบ่อโอสถทีละชิ้น ทีละชิ้น
เมืองเศษหินกันดารห่างไกลและแร้นแค้น ในมือแทบไม่มีวัตถุดิบดี ๆ
อยู่เลย หลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถหาได้ในเมืองเศษหิน จั่วม่อค่อย ๆ
เลือกเฟ้นอย่างรอบคอบระมัดระวัง และค้นพบวัต ถุดิบทั่วไปบางชนิ ด ที่
พอจะใช้ทดแทนส่วนผสมหายากได้บ้าง ข่าจั๋วออกไปตระเวนซื้อหาสิ่งของ
เหล่านี้จนครบถ้วน
แม้กระนั้นยังกล่าวได้ว่าน้าโอสถที่จ่ว
ั ม่อรังสรรค์ขึ้นมีประสิทธิภาพยิ่ง
พลังโอสถที่เดือดพล่านและแผนผังปิศาจสีเขียวเข้มแทบจะปรากฏขึ้นบน
ร่างของตงจื่ออย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะสองแขนแทบจะปกคลุมด้ วย
แผนผังปิศาจจนไม่เหลือพื้นที่ว่าง แผนผังปิศาจที่ปรากฏขึ้นบนแขนของ
มันละเอียดซับซ้อนและเด่นชัดยิ่ง ลวดลายแผนผังปิ ศาจอันเรียวบางดุจ
เส้นผมจานวนมหาศาลถักทอประสานเป็นแผนภาพที่ท้ังสลับซับซ้อนและ
น่าตื่นตาตื่นใจ มองจากที่ไกล ๆ คลับคล้ายรอยสักอันน่าเกรงขามชุดหนึ่ง
“แผนผังปิศาจวานรที่ราบสูง นี่คือแผนผังวานรที่ราบสูงไม่ผิดแน่ ?”
ข่ า จั๋ ว จ้ อ งมองรอยสั ก บนร่ า งตงจื่ อด้ ว ยสายตาดื่ มด่ า มึ น เมา ในฐานะ
อาจารย์ปลุกปิศาจ ความลุ่มหลงงมงายในแผนผังปิศ าจของมัน แทบจะ
กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว แม้ว่าจั่วม่อจะถ่ายทอดแผนผังปิศาจวานร
ที่ราบสูงให้แก่มัน มิห นาซ้ามันยังศึกษาจนทะลุปรุ โปร่งแต่แรก แต่ข่าจั๋ว
พอเห็นของจริงปรากฏอยู่ตรงหน้ายังอดเคลิบเคลิ้มหลงใหลมิได้
จั่วม่อไม่เอ่ยปาก เพราะเกรงว่าจะรบกวนสมาธิข องข่าจั๋ว ซึ่งความ
จริ ง มั น ชื่ น ชมในทั ก ษะฝี มื อ ของข่ า จั๋ ว ไม่ น้ อ ย วิ ช าความรู้ ที่ ผ่ า นมาของ
ข่าจั๋วไม่ได้มีเคล็ดความลึกล้าอันใด แต่กระนัน
้ ยังสามารถผลักดันตัวเองจน
มีฝีมือถึงขั้นนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคลั่งไคล้ในแผนผังปิศาจของมัน
นั่นเอง
เมื่อหันไปมองตงจื่อในบ่อโอสถ จั่วม่อสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“สถานการณ์ดูไม่เลว” จั่วม่อเปรยขึ้นในทะเลแห่งจิตสานึกของมัน
“น่าเสียดายที่วัตถุดิบขาดหายไปบ้าง” เว่ยตอบเบา ๆ ผูเยาแค่นเสียง
อย่างเย็นชาจากทางด้านข้าง
จั่วม่อรู้ดีว่าเว่ยเพียงกล่าวให้ฟังรื่นหูตามประสาคนหน้าซื่อใจคด ควร
ทราบว่าวัตถุดิบไม่ได้เพียงแค่ขาดหายไป ‘บ้าง’ ดังเช่นที่ว่า วัตถุดิบที่หา
มาได้เหล่านี้แทบจะเป็นวัตถุดิบชั้นต่าที่สุดและพื้นฐานที่สุด จนหากต่าไป
กว่านี้อีกสักหน่อย ก็เลิกคิดเรื่องนี้ได้เลย แต่แม้กระนั้น ก็ยังกวาดม๋อเป้ย22
ที่ข่าจั๋วมีติดตัวเสียจนสะอาดเอี่ยมเกลี้ยงเกลา
“เรื่องนี้ไม่มีหนทางอื่นจริง ๆ” จั่วม่อแบสองมือ ทาท่าจนปัญญา
ความคิดอันอุกอาจของจั่วม่อได้รับการสนับสนุนจากเว่ยเป็นอย่า งดี
เว่ยยังช่วยชี้แนะวิธีส ร้างบ่อโอสถเหล่านี้ด้วย ว่ากันว่านี่เป็นพิธีเซ่นสรวง
ในยุคบรรพกาลประเภทหนึ่ง
ผูเยาแค่นเสียงเย็นชาจากทางหนึ่ง
“เจ้ า เด็ ก น้ อ ย มิ สู้ ล งทุ น ลงแรงกั บ ร่ า งกายของเจ้ า ให้ ม ากกว่ า นี้ จ ะ
ดีกว่า มิเช่นนั้นกระทั่งพวกเรายังต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย” ผูเยากล่าว
เสียงเย็น

22
ม๋อเป้ย – ม๋อก็คือปิศาจ เป้ยตัวนี้แปลว่าหอย ในที่นี้เป็นหน่วยเงินของภพปิศาจ
เว่ยเงียบงันไป หากเป็นเรื่องนี้ มันยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับผูเยา
“สถานการณ์ยามนี้นับว่าดีกว่าเดิมมาก ตอนนี้ข้าถึงกับสามารถขยับ
แขนได้แล้ว” จั่วม่อทาท่าภาคภูมิลาพองอยู่บ้าง
“ฮ่ า เจ้ า ควรทราบ ระเบิ ด ตั ว เองตายนับ เป็ นความตายที่ ทุ เ รศทุรัง
ที่สุด” ผูเยาสีหน้าเหยียดหยาม “ต่อให้เจ้ากลับมาเคลื่อนไหวได้ท้ังร่างก็ไม่
มีประโยชน์ ร่างของเจ้ายามนี้ไม่ต่างจากภูเขาไฟที่จวนเจียนจะระเบิดลูก
หนึ่ง ภายในภูเขาไฟยิ่งเก็บกักแรงระเบิดมากขึ้นทุกขณะ นอกเสียจากว่า
เจ้าจะทาให้มันสงบลง หรือมิเช่นนั้นก็ระบายมันออกมาเสีย”
จั่วม่อเลิกคิ้ว “เจ้ามีความคิดอันใด?”
ผูเยานิ่งเงียบงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะกล่าวว่า “หากเจ้าสามารถระบาย
พลังงานในร่างออกมาได้ท้งั หมด อย่างน้อยยังพอจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ข้า
รู้วิชาศาสตร์อสูรที่สามารถกระทาเช่นนี้ได้”
“แล้วจากนั้นเล่า? เกอมิกลายเป็นคนอ่อนแอไปอย่างสมบูรณ์หรือ ?”
จั่วม่อเบ้ปาก “เกอจึงไม่เสียสติเช่นนั้น เกอยังต้องรักษาอากุ่ย ยังต้องสืบ
หาชาติกาเนิดของเกอ เกอยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องกระทา เกอไม่
สามารถละทิ้งพลังฝีมือได้!”
“เจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” ผูเยาสุ้มเสียงไร้อารมณ์ “ดูจากสภาพ
ภายในร่างกายของเจ้าในยามนี้ เจ้ามิอาจทนทานได้นานนัก”
จั่วม่อขมวดคิ้ว “เหลือเวลาอีกนานเท่าใด?”
“ไม่เกินหนึ่งเดือน”
ทะเลแห่งจิตสานึกกลายเป็นเงียบสงัดเสมือนตาย พวกมันทั้งสามไม่
มีผู้ใดมีแก่ใจสนทนาสืบต่อ
จั่วม่อนัง่ อยู่ในอ้อมแขนของอากุ่ยด้วยสีหน้ามึนงง มันคาดคิดไม่ถึงว่า
สถานการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงนี้ ยังเลวร้ายกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก
“เหล่าซือ สามารถเริ่มต้นได้แล้วหรือไม่?” เสียงของข่าจั๋วขัดจังหวะ
ความคิดของจั่วม่อ
จั่วม่อค่อยรู้สึกตัว เหลือบมองบ่อโอสถแวบหนึ่ง เห็นน้ายาภายในบ่อ
โอสถบั ด นี้ ก ลั บ กลายเป็ น ใสกระจ่ า งจนสามารถมองลึ ก ถึ ง ก้ น บึ้ ง พลั น
ตื่นตัวขึ้นมาทันที “เริ่มลงมือเถอะ”
ข่าจั๋วนาเข็มปลุกปิศาจเล่มใหม่ที่มันเพิ่งสร้างออกมา สีหน้ากลายเป็น
เคร่งขรึมจริงจังและจรดจดจ่อ
จั่วม่อแม้มีความเข้าใจในแผนผังปิศาจเหนือล้ากว่าข่าจั๋วมาก แต่หาก
กล่าวถึงทักษะฝีมือปฏิบัติจริง นับว่าล้าหลังข่าจั๋วไม่เห็นฝุ่น ข่าจั๋วแม้เพิ่ง
เคยลงมือสลักแผนผังปิศาจวานรที่ราบสูงเป็นครั้งแรก แต่ท่วงท่าสภาวะ
ราบเรียบลื่นไหล ไม่สะดุดติดขัดแม้แต่น้อย สะบัดพลิ้วด้วยจังหวะจะโคน
อันพิเศษเฉพาะ โอ่อ่าน่าดูอย่างบอกไม่ถูก
กระบวนการนี้ใช้เวลาตลอดทั้งวัน
ตงจื่อเวลานี้ท่ว
ั ร่างปกคลุมด้วยแผนผังปิศาจละเอียดซับซ้อน ดูคล้าย
รอยสักอันน่าเกรงขามจริง ๆ
ข่ า จั๋ ว ไม่ แ ยแสสนใจความเหน็ ด เหนื่ อ ยของตน ในดวงตาฉายแวว
ตื่นเต้นตึงเครียดจาง ๆ มันหลับตาลง นิ่งงัน ไปราวชั่วยี่สิบลมหายใจเข้า
ออก พอลืมตาขึ้นอีกครัง้ ดวงตาสีน้าตาลก็สงบราบเรียบเหมือนผิวน้า
เข็ ม ปลุ ก ปิ ศ าจในมื อ ของมั น พลั นปลดปล่อ ยพลั งงานสีด าอั น เงียบ
สงบออกมา พลั ง งานสี ด าห่ อ หุ้ ม เข็ ม ปลุ ก ปิ ศ าจทั้ ง เล่ ม ก่ อ เกิ ด สภาพ
ประหนึ่งว่าข่าจั๋วกาลังถือสายฟ้าทมิฬดาเส้นหนึ่งก็มิปาน
ข่าจั๋วตวัดสายฟ้าดาจี้ปราด พลังงานสีดาพวยพุ่งหายเข้าไปในหว่าง
คิว
้ ของตงจื่อ
ตงจื่อบนใบหน้าทอแววเจ็บปวดรวดร้าว ร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เสียงคารามป่าเถื่อนลึกล้าดังก้องออกมาจากลาคอของตงจื่อ เต็มไป
ด้วยวี่แววเจ็บปวดแสนสาหัส
จั่วม่อมองดูต งจื่อดิ้นพราดอยู่บนพื้น หัวใจเต้นรัวเร็วยิ่งกว่าตีกลอง
แผนผังปิศาจสลักเสร็จสิ้น ทั้งยังกระตุ้นการทางานแล้ว แต่นี่เป็นเพียงขั้น
แรกเท่านั้น ความส าเร็จ ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของตงจื่อจะสามารถทนรับ
แผนผังปิศาจวานรที่ราบสูงฉบับสมบูรณ์ได้หรือไม่
มันต้องทนให้ได้... ...
จั่ ว ม่ อ โห่ ร้ อ งให้ ก าลั ง ตงจื่ ออยู่ ใ นใจ ร้ อ นรุ่ ม กระวนกระวายยิ่ ง กว่ า
ข่าจั๋วเสียอีก
ไอพลังงานสีดามากมายคล้ายปรากฏออกมาจากอากาศธาตุ พุ่งหาย
เข้าไปในแผนผังปิศาจของตงจื่อไม่หยุดยั้ง ตงจื่อเกลือกกลิ้งอย่างรุ นแรง
กว่าเดิม แผดเสียงโหยหวนบาดหู
แต่ไม่ว่าจะเกลือกกลิ้งรุ นแรงถึงเพียงไหน แผนผังปิศาจบนร่างมันก็
ไม่ ไ ด้ รั บ ผลกระทบแม้ แ ต่ น้อ ย ยิ่ ง นานยิ่ ง ดู ด ซั บ พลัง งานสี ด ามากขึ้นทุก
ขณะ แผนผังปิศาจก็ค่อย ๆ เจิดจ้าขึ้นทีละน้อย
ตงจื่อร่างสั่นกระตุก เป็น ระลอก ลมหายใจแผ่วเบาลงจนหลงเหลื อ
เพียงรวยริน
จั่วม่อถลึงมองแผนผังปิศาจตาไม่กะพริบ ตื่นเต้นตึงเครียดจนแทบ
กลั้นหายใจ
แผนผังปิศาจค่อยๆ มืดมัวลง จากนั้นสักครู่ ก็ค่อย ๆ สว่างเรืองรอง
ขึ้นอีกครั้ง จากนั้นกลับเป็นมืดสลัวอีกครั้ง... ...บัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง
ราวกับกาลังหายใจเข้าออก
หลั ง จากสลั บ มื ด สว่ า งเจ็ ด แปดรอบ แผนผั ง ปิ ศ าจก็ ดั บ วู บ ลง ไม่
หลงเหลือแสงสว่างอีกต่อไป ตงจื่อนอนนิง่ สนิทไม่ไหวติงอยู่บนพื้น
แผนผั ง ปิ ศ าจที่ ดั บ มื ด ค่ อ ย ๆ เลื อ นรางลง จางหายไปด้ ว ยระดั บ
ความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตงจื่อที่สลบไสลอยู่บนพื้นดูไม่ต่างจาก
ยามปกติแม้แต่น้อย
เสียงหายใจของตงจื่ อดังขึ้นทีละน้อย ลึก ยาวและสงบราบเรีย บราว
กับกาลังหลับลึกอย่างสบาย
จั่วม่อราวกับยกภูเขาออกจากอก รีบเรียกรั้งข่าจั๋วที่กาลังจะก้าวเข้า
ไปดู “ปล่อยให้มันนอนไปเถอะ อย่าเพิ่งรบกวนมันแล้ว”
ข่ า จั๋ ว งงงั น วู บ จากนั้ น ตะกุ ก ตะกั ก ถามว่ า “ใช่ . .. ใช่ ส าเร็ จ แล้ ว
หรือไม่?”
“มิผิด! สาเร็จ! ไม่ผิดพลาดไปเลย!” จั่วม่อสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความ
เบิกบานใจ

หลั ง จากหลั บ ใหลอย่ า งสงบถึ ง สองชั่ ว ยาม ตงจื่ อก็ ฟ้ ื นตื่ นขึ้ น มั น
เหลียวมองรอบด้านอย่างงุนงง จากนั้นก้มมองสองมือของตน หันมาถาม
จั่วม่ออย่างสงสัยใจ “อาจั่ว จะลงมือจัดการกับข้าเมื่อใด?”
เห็ น สี ห น้ า ท่ า ทางของตงจื่ อ จั่ ว ม่ อ อดไม่ ไ ด้ หั ว ร่ อ ออกมาดั ง สนั่ น
หวั่นไหว “ฮ่าฮ่า จัดการผีสางอันใด ล้วนเสร็จสิน
้ แต่แรกแล้ว!”
“เสร็ จ สิ้ นแล้ว ?” ตงจื่ อตะลึง งั น จากนั้ น ยกมือ ขึ้น เพ่ ง พิ ศ อยู่ ชั่วครู่
ก่อนจะสั่นศีรษะพลางกล่าว “อาจั่ว อย่าคิดหลอกข้าเสียให้ยาก นี่เห็นได้
ชัดว่ายังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด!”
จั่วม่อก็ไม่อธิบาย เพียงกล่าวอย่างยิม
้ แย้ม “มาเถอะ ออกไปข้างนอก
กัน ลุงอันหย่ากับคนอื่น ๆ แทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว”
มิใช่แค่ลุงอันหย่าคนเดียว บิดามารดาของตงจื่อก็กาลังเฝ้ารออย่าง
อดทนเช่นกัน ชาวเมืองทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ นี่ย่อม
มิใช่ว่าการปลุกแผนผังปิศาจเป็นสิ่งหายากที่ไม่ได้ชมดูมานาน เพียงแต่
ตงจื่อเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในเมือง ทั้งสัตย์ซ่ ือมีน้าใจ เป็นที่
รักใคร่ของผู้คนทั้งหมด ทุกคนพากันคาดหวังต่ออนาคตของมันอย่างเต็ม
เปี่ ยม
พอเห็ น ตงจื่ อเดิ น ออกมา เมื อ งเศษหิ น ก็ อึ ก ทึ ก ครึ ก ครื้ นแทบถล่ ม
ทลาย
ทุกคนรุมล้อมเข้ามาอย่างยินดีปรีดา
“ตงจื่อ แสดงให้พวกเราดูหน่อย!”
“ตงจื่ อ ให้ ท่ า นป้ า ผู้ นี้ ไ ด้ ช มดู เ ป็ น ขวั ญ ตา ว่ า บั ด นี้ เ จ้ า ร้ า ยกาจ
เพียงใด!”
“พี่ใหญ่ตงจื่อ... ...”
การถูกผู้คนรุมล้อมตะโกนสนทนาอย่างพลุ่งพล่านใจเช่นนี้ ตงจื่อไหน
เลยจะเคยประสบพบเจอมาก่อน ยามกะทันหันได้แต่ยืนซึมเซา ไม่ทราบ
จะตอบสนองอย่ า งไร เคราะห์ ดี ที่ ค นเหล่ า นี้ ล้ ว นเป็ น คนคุ้ น หน้ า คุ้ น ตา
ทั้งสิ้น ดังนั้นมันแม้แตกตื่นแต่ไม่กลัวเกรง ในไม่ช้าตงจื่อก็ถูกผู้คนพากัน
แห่แหนตรงไปยังลานฝึก เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ลุงอันหย่ายังคงสั่งสอนวิชา
ให้แก่เหล่าปิศาจเยาว์วัยคนอื่น ๆ
รอจนลุ ง อั น หย่ า เห็ น ตงจื่ อ มั น ที แ รกเบิ ก บานใจ แต่ ห ลั ง จากพิ ศ ดู
ตงจื่ อชั่ ว ขณะอดมี สี ห น้ า งุ น งงสงสั ย ไม่ ไ ด้ ตงจื่ อไฉนดู เ หมื อ นเดิ ม ไม่ มี
ผิ ด เพี้ ย น ส่ ว นบิ ด ามารดาของตงจื่ อเอาแต่ ต่ ื นเต้ น ยิ น ดี สุ ด ขี ด ไม่ ทั น
สังเกตเห็นเรื่องนี้
“ตงจื่อ เรียบร้อยหรือไม่ ?” ลุงอันหย่าถามไถ่ราวกับว่าตงจื่อเพิ่งไป
ตลาดกลับมาเท่านั้น เรื่องการซ่อมแซมแผนผังปิศาจน่าตื่นตะลึงเกินไป
ดังนั้นถูกเก็บงาเป็นความลับ เฉพาะลุงอันหย่ากับบิดามารดาของตงจื่ อ
เท่านั้นที่ทราบความจริงที่เกิดขึ้น ส่วนคนอื่น ๆ เพียงเข้าใจว่าตงจื่อเพิ่ง
ผ่านการปลุกแผนผังปิศาจเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ในเมืองเศษหินลุงอันหย่าเป็นที่นับหน้าถือตาที่สุด มันพอเอ่ยปาก ฝูง
ชนที่เอะอะอึกทึกก็พากันเงียบลงทันควัน
ตงจื่อเกาศีรษะแกรก ๆ “อาจั่วบอกว่าเรียบร้อยแล้ว”
ลุงอันหย่าสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ทาท่าทาทางให้ผู้คนขยับหลบ สร้าง
พื้นที่ว่างอันกว้างขวางผืนหนึ่ง “อา เช่นนั้นก็ประเสริฐ มาเถอะ มาลองดู
กัน เจ้ายังจดจากระบวนท่า ‘เศษหินฟาดฟัน’ ที่ข้าเคยสอนได้หรือไม่?”
‘เศษหินฟาดฟัน’ เป็นกระบวนท่าไม้ตายสุดยอดของลุงอันหย่า ทั้งยัง
เป็ น กระบวนท่ า ที่ มี ช่ ื อเสี ย งในละแวกนี้ วิ ช านี้ ลุ ง อั น หย่ า คิ ด ค้ น ขึ้ น โดย
อาศัยพื้นฐานจากกระบวนท่าที่เคยเรียนรู้ในกองทัพ ทรงอานุภาพไม่น้อย
“อ้อ” ตงจื่อรับคาอย่างมึนงง อันที่จริงมันยังไม่ทันทาความเข้าใจกับ
สิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ต าม วิชาความรู้ท้ังมวลของมัน ลุงอันหย่าเป็นผู้ประสิทธิ์
ประสาทให้ สิ่งที่ลุงอันหย่าบอก มันจะกระทาโดยไม่รีรอลังเล
จั่ ว ม่ อ เฝ้ า มองจากอ้ อ มแขนของอากุ่ ย สี ห น้ า เต็ ม ไปด้ ว ยความ
คาดหวัง ส่วนข่าจั๋วใบหน้าแดงก่าอย่างตื่นเต้นเร้าใจ
ตงจื่อแยกขาออก ลดแขนต่าลงเล็กน้อย ฝ่ามือขวาประกบเป็นดาบ
ในเวลานี้เอง สีหน้าเลื่อนลอยของตงจื่อหายวับไป กลายเป็นขรึมเคร่ง
เฉยชา ดวงตาสาดประกายคมกล้ า คนคล้ายดาบยาวที่ห ลุ ดจากฝั ก เล่ ม
หนึ่ง!
จั่ ว ม่ อ อดครุ่ น คิ ด ไม่ ไ ด้ ตงจื่ อนิ สั ย ใจคอซื่ อตรงไร้ เ ดี ย งสา ไม่ เ คย
วอกแวกไขว้เขว ลาพังท่วงท่าสภาวะที่เผยออกมานี้ก็สามารถเห็นได้ว่ามัน
ร่าเรียนจากลุงอันหย่าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ฟาดฟัน!”
ท่ามกลางเสียงตวาดกราดเกรี้ยว แขนที่ลดลงต่าสะบัดวูบ ฝ่ามือดาบ
ตวัดฟันตรงไปข้างหน้าอย่างสุดกาลัง!
จั่วม่อสายตาแหลมคมกว่าผู้ใด มองเห็นได้ชัดเจน
เห็ น ฝ่ า มื อ ดาบของตงจื่ อสั่ น สะเทื อ นด้ ว ยความถี่ สู ง ยิ่ ง ! ทุ ก ครั้ ง ที่
สั่นสะเทือน จะปรากฏไอพลังงานสีแดงแผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือดาบของ
ตงจื่อ ไอพลังสีแดงเหล่านี้ทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ
รอจนสั่นสะเทือนหนึ่งร้อยครั้งในชั่วพริบตา พลังงานสีแดงก็เข้มข้น
จนแทบจับต้องได้ ห่อหุ้มฝ่ามือดาบไว้ภายใน!
วู้ม!
พลังดาบสีแดงฟาดฟันออกจากฝ่ามืออย่างดุดัน!
บึม!
บังเกิดร่องลึกตรงแน่ว เริ่มจากปลายเท้าของตงจื่อ ทะลวงตรงดิ่งไป
เบื้องหน้า ยาวเกือบยี่สิบจั้งจึงสิ้นสุดลง!
รอบข้างเงียบกริบดุจป่าช้า
บทที่ 546 ความคิดอันอุกอาจยิ่งกว่า

ลุ ง อั น หย่ า เบิ ก ตามองร่ อ งลึ ก ยาวยี่ สิ บ จั้ ง เบื้ องหน้ า ตงจื่ อ สี ห น้ า


แปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง สุดท้ายทอแววเหลือเชื่อ
ด่านเว่ย! (เทียบเท่าจู้จี)
กระบวนท่าเศษหินฟาดฟันชองตงจื่อเมื่อครู่ บรรลุถึงระดับพลังของ
ด่านเว่ย!
ตั ว ลุ ง อั น หย่ า เองก็ เ ป็ น ปิ ศ าจด่ า นเว่ ย คุ้ น เคยกั บ ระดั บ พลั ง ของ
กระบวนท่านี้เป็นที่สุด มันต่อให้ทุ่มเทใช้ พลังเต็มที่ ก็เพียงแค่ ได้ผลลั พ ธ์
เช่นเดียวกันเท่านั้น
ลุงอันหย่ายังทราบระดับของตงจื่อเป็นอย่างดี เด็กผู้นี้แม้มีพรสวรรค์
มากที่สุดในบรรดาปิศาจอายุเยาว์ข องเมืองเศษหิน แต่ก็ยังห่างไกลจาก
ระดับพลังด่านเว่ยอยู่ช่วงใหญ่
แต่บัดนี้... ...มันกลับกลายเป็นปิศาจด่านเว่ย!
ลุงอันหย่าต้องหันไปมองจั่วม่อในอ้อมแขนของอากุ่ยอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าของจั่วม่อไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย สายตาสงบราบคาบดังเช่น
ปกติ ไม่มีวี่แววตื่นตกใจใด ๆ
มันไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อยจริง ๆ?
ลุ ง อั น หย่ า แทบไม่ เ ชื่ อสายตาตั ว เอง อย่ า งไรก็ ต าม มั น เคยผ่ า น
เรื่องราวทางโลก พบเห็นมามาก ดังนั้นล่วงรู้มากกว่าชาวบ้านร้านถิ่นใน
เมืองอันแร้นแค้นแห่งนี้
ต้นกาเนิดของอาจั่วไม่รวบรัดธรรมดา!
ยามนี้ ห วนนึ ก ย้ อ นกลั บ ไป ครั้ ง นั้ น อาจั่ ว กั บ อากุ่ ย เดิ น ออกมาจาก
ทะเลทรายเศษหินไม่ผิดแน่ ทีแรกมันเข้าใจว่าเด็กสองคนนี้โชคดีไม่น้อย
แต่ต อนนี้ข บคิดอย่างถี่ถ้ วน หากมิใช่ว่า มีพลัง อยู่ บ้ าง คิดรอดชีวิต อยู่ ใ น
ทะเลทรายเศษหินนานร่วมเดือนจะพึ่งพาเพียงโชคดีได้อย่างไร? เมื่อเป็น
เช่นนั้นพวกมันไหนเลยจะรวบรัดธรรมดาได้?
ลุงอันหย่าในใจฝืนยิ้มขื่น ดูเหมือนว่ามันชราแล้วจริง ๆ ถึงกับประเมิน
เด็กน้อยสองคนนี้ผิดพลาดไป
ลุงอันหย่าหันเหสายตากลับมายังตงจื่อ ตงจื่อเห็นได้ชัดว่ากาลังถูก
กระบวนท่าของตัวเองข่มขู่จนอกสั่นขวัญแขวน ใบหน้าแตกตื่นตะลึงลาน
มือไม้ปั่นป่วน ไม่ทราบจะทาอย่า งไรดี ลุงอันหย่าแหงนหน้าหัวร่อ อย่ า ง
ปลอดโปร่งโล่งใจ
ด่ า นเว่ ย บั ด นี้ ต งจื่ อเป็ น ปิ ศ าจด่ า นเว่ ย อนาคตของมั น ก็ ส ดใสแล้ ว
เมืองเศษหินเมื่อสามารถให้กาเนิดยอดฝีมือผู้ห นึ่ง ชีวิตความเป็นอยู่ข อง
ผู้ ค นก็ ค งจะดี ขึ้นมาก ลุ ง อั น หย่ า รู้ สึก ว่ าภาระอัน หนัก หนาที่ มัน เคยแบก
เอาไว้บนไหล่ พลันเบาลงเกือบครึ่งในทันที
ลุ ง อั น หย่ า เดิ น ไปถึ ง เบื้ องหน้ า อากุ่ ย กล่ า วอย่ า งตื้ นตั น “อาจั่ ว
ขอบคุณเจ้ามาก”
จั่วม่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อา อา ท่านลุงไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นสิ่งที่ข้า
สมควรทาอยู่แล้ว!”
“ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าตงจื่อจะยกระดับขึ้นสู่ด่านเว่ยโดยตรง นี่มัน
ช่าง... ...” ลุงอันหย่าในสุ้มเสียงไม่อาจปิดบังความอัศจรรย์ใจไว้ได้
“ด่านเว่ย ?” จั่วม่อพอฟังพลันชะงักกึ ก จากนั้นกล่าวราวพึม พ ากั บ
ตัวเอง “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยไฉนข้ารู้สึกว่าอ่อนแออยู่บ้าง ที่
แท้กแ
็ ค่ด่านเว่ย!”
กล่าวเสร็จสิ้น มันก็รีบแล่นเข้าไปในทะเลแห่งจิตสานึก เริ่มคาดโทษ
เว่ยทันที
“แผนผังปิศาจวานรที่ราบสูงเป็นแผนผังปิศาจด่านเจี้ยว (เทียบเท่า
หนิงม่าย) แล้วไฉนตงจื่อเพียงบรรลุถึงด่านเว่ยเท่านั้น?” จั่วม่อถาม
“การเปลี่ยนแปลงมิได้สิ้นสุดลงในทันที แผนผังปิศาจที่เพิ่มลงไปจะ
ค่อย ๆ กลั่นเกลาเลือดเนื้อของมันอย่า งต่อเนื่ อง จวบจนกระทั่งแผนผั ง
ปิศาจกับร่างกายของมันผสานรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ถึงเวลานั้นพลัง
ของมันจึงจะทะลวงฝ่าขึ้นไปถึงด่านเจี้ยว” เว่ยอธิบายอย่างใจเย็น
จั่วม่อเข้าใจในที่สุด
เมื่อมัวแต่สนทนากับเว่ย จั่วม่อจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าลุงอันหย่าสีหน้า
กลายเป็นแข็งทื่อ
อ่อนแออยู่บ้าง... ...ปิศาจด่านเว่ย... ...อ่อนแอ... ...
ผ่ า นไปชั่ ว อึ ด ใจ ลุ ง อั น หย่ า ค่ อ ยได้ ส ติ มั น ยิ่ ง รู้ สึ ก ว่ า จั่ ว ม่ อ ลี้ ลับ มาก
กว่าเดิม อาจั่วที่แท้มาจากที่ใดกันแน่?
ผู้ที่มีพลังด่านเว่ย แม้ไม่อาจเข้าร่วมกองทัพชั้นยอด แต่คิดเข้าร่ว ม
กองทัพทั่วไปย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ในสถานที่เล็ก ๆ เช่นเมืองเศษ
หิน ปิศาจด่านเว่ยนับเป็นผู้เข้มแข็งที่สุด
จริงดังคาด บุรุษสตรีคู่นี้สมควรมาจากสถานที่อันยิ่งใหญ่!
ลุงอันหย่าสะทกสะท้อนอยู่ในใจ
“ท่านลุง ท่านลุง เวลานี้ข้ารู้สึกแข็งแกร่งยิ่ง แข็งแกร่งทรงพลังยิ่ ง!”
ตงจื่อโถมเข้าหาลุงอันหย่าอย่างลิงโลด
“แข็งแกร่งยิง่ ?” จั่วม่อทวนคา จากนั้นกล่าว “ก็แค่ด่านเว่ยเท่านั้น”
แค่ด่านเว่ยเท่านั้น.. ....
ลุงอันหย่าคิดว่ายามนี้หุบปากเอาไว้น่าจะดีกว่า
“ร่างกายของเจ้ายังไม่ ถูกกลั่นเกลาอย่างสมบูรณ์ แผนผังปิศาจยังไม่
ผสานรวมกับเลือดเนื้อร่างกาย เจ้าไม่มีสังขารปิศาจ อีกทั้งทักษะปิศาจที่
เจ้าฝึกปรือนั้น ... ... โอ ขออภัยท่านลุง ข้าไม่ได้ต้ังใจ” จั่วม่อในที่สุดค่อย
จดจ าได้ ว่ า ผู้ ที่ ส อนวิ ช าให้ ต งจื อ คื อ ลุ ง อั น หย่ า ลุ ง อั น หย่ า ผู้ ยื น อยู่ ข้ า ง ๆ
นี่เอง
ลุงอันหย่าหัวร่ออย่างไม่ถือสา “อาจั่วไม่ต้องเกรงใจข้า ลุงรู้ฝีมือของ
ตัวเองดี ไม่นับเป็นอะไรได้จ ริง ๆ” จากนั้นลุงอันหย่าหันมาก าชั บ ตงจื่ อ
อย่างเคร่งเครียดจริงจัง “จงตั้งใจฟังอาจั่วให้ดี จดจาทุกคาที่อาจั่วสั่งสอน
เจ้าเอาไว้ให้มั่น!”
ลุงอันหย่าเห็นซึ้งกระจ่าง สาหรับตงจื่อแล้วนี่เป็นโอกาสทองที่ชั่วชีวิต
นี้อาจไม่มีอีกเป็นครัง้ ที่สอง!
ตงจื่อเห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ เพียงกล่าวอย่างมึนงง “ข้าย่อมต้องฟังอา
จั่ว มันร้ายกาจยิ่ง!”
เจ้าเด็กผู้นี้ ... นี่เรียกว่าคนโง่งมก็มีโชคอันโง่งมโดยแท้! ลุงอันหย่าก็
ไม่คิดอธิบายอันใด ในใจมันรู้สึกเบิกบานยิ่ง เพียงกล่าวว่า “อา เจ้ารับฟัง
อาจั่วให้ดีเถอะ ข้าจะไปดูแลพวกมันก่อน” กล่าวจบก็ดึงบิดามารดาของ
ตงจื่อไปอีกทาง
“อาจั่ ว สั่ ง สอนข้า เถอะ ข้ า รั บ รองว่ า จะจดจ าไม่ ต กหล่ นแม้ สัก ครึ่ง
คา!” ตงจื่อตบอกแรง ๆ กล่าวเสียงดังฟังชัด
จั่วม่อมองดูสีห น้าที่เต็มไปด้วยความสัต ย์ซ่ ือจริงใจของตงจื่อ ในใจ
รู้สึกผิดอยู่บ้าง
เกอช่างชั่วร้ายโดยแท้! ถึงกับล่อลวงเด็กหนุ่มที่สัต ย์ซ่ ือผู้หนึ่ง เพาะ
สร้างให้กลายเป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็ง... ...
มันแม้รู้สึกผิดไม่น้อย แต่วาจาพอหลุดออกจากปากกลั บกลายเป็ น
“อะแฮ่ม แฮ่ม ข้าในที่นี้มีตารางการฝึกปรืออันหนักหน่วงชุดหนึ่ง หากเจ้า
สามารถฝึกได้ตามนี้ เจ้าอาจบรรลุถึงด่านเจี้ยวในไม่ช้า!”
“เป็นความจริง?” ตงจื่อดวงตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยแรงปรารถนา
“ก็หากเจ้าสามารถฝึกได้ครบถ้วน”
“ข้าจะต้องฝึกให้ได้!” ตงจื่อสุ้มเสียงหนักแน่นดังสนั่น ราวกับกาลัง
กล่าวสัตย์สาบาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“เด็กหนุ่มที่ห้าวหาญนัก!” เว่ยชมเชย จากนั้นกล่าวกับจั่วม่อ “ส่วน
เจ้ายิง่ มายิง่ กลอกกลิง้ แล้ว”
จั่วม่อเมินเฉยต่อเว่ย กล่าวต่อไปว่า “แต่ตงจื่อ เจ้าต้องให้คามั่นกับข้า
เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอันใด? อาจั่วบอกมาเถอะ” ตงจื่อถามอย่างสนอกสนใจ
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าสภาพข้าตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ส่วนอากุ่ยก็อ่อนแอบอบ
บาง ครอบครัวของข้ากาลังส่งคนมารับเรา แต่พวกมันอยู่ห่างไกลมาก อาจ
ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะมาถึง ในระหว่างที่รอคอยพวกมันเจ้าจะต้อง
ปกป้องคุมครองข้ากับอากุ่ยด้วย” จั่วม่อน้าเสียงจริงจัง
“แน่นอน เจ้ากับอากุ่ยอ่อนแอยิง่ อาจั่ว เจ้ารอบรู้มากมาย แต่ร่างกาย
เจ้าอ่อนแอเกินไปจริง ๆ” ตงจื่อทาหน้าเหมือนกับว่าสมควรเป็นเช่นนี้ แต่
แล้วทันใดนั้นพลันมีสีหน้าตึงเครียด “อาจั่ว หรือว่ามีคนมุ่งเป้ามาที่เจ้า?”
“อ้อ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่เผื่อเอาไว้ล่วงหน้า”
“เช่นนัน
้ ก็ดีแล้ว เช่นนัน
้ ก็ดีแล้ว!”

ข่าวที่ว่าตงจื่อกลายเป็นปิศาจด่านเว่ยสร้างความปั่ นป่วนไปทั่วเมือง
เศษหิน ชื่อเสียงของข่าจั๋วโด่งดังคับฟ้า บิดามารดานับไม่ถ้วนรีบพาบุตร
หลานของพวกมันมาเสาะหาข่าจั๋ว ข่าจั๋วที่ต้องรับมือกับคนเหล่านี้ต ลอด
ทั้งวัน ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถไม่น้อย
ไม่ มี ผู้ ใ ดมาสร้ า งความร าคาญให้ แ ก่ จ่ั ว ม่ อ สภาพป่ ว ยไข้ ห นั ก หนา
สาหัสของมัน ทาให้ผู้คนไม่อาจหักใจรบกวนมัน
ในทะเลแห่งจิตสานึก ขณะนี้กาลังเปิดประชุมหาหนทางเอาชีวิตรอด
จากสภาพร่างระเบิดตายอนาถ
“ข้ า มี ค วามคิ ด ประการหนึ่ ง ” จั่ ว ม่ อ กล่ า วอย่ า งเคร่ ง เครี ย ดจริ ง จั ง
“หากข้าสลักแผนผังปิศาจลงบนร่างตัวเองจะเป็นอย่างไร?”
ความคิดของจั่วม่อทาเอาผูเยากับเว่ยถึงกับตื่นตะลึง
“เจ้าไม่ใช่เผ่าปิศาจ” ผูเยาคัดค้านเป็นคนแรก
“แต่ข้าสาเร็จสังขารปิศาจมหาทิวา” จั่วม่อโต้กลับอย่างไม่ลังเล
ผูเยาอึ้งงันไป มันในที่สุดค่อยนึกได้ว่าเจ้ าตัวประหลาดผู้นี้แม้ ไ ม่ ใ ช่
เผ่าปิศาจ แต่กลับฝึกปรือสังขารปิศาจมหาทิวาสาเร็จถึงขั้นลึกล้า ร้ายกาจ
เสียยิง่ กว่าปิศาจแท้จริงเสียอีก
“เจ้าคิดสลักแผนผังปิศาจประเภทใด?” เว่ยไม่คัดค้าน เพียงซักถาม
เสียงขรึม
“ร่างกายของข้าในยามนี้ไม่ต่างจากภูเขาไฟที่ กาลังจะระเบิ ด พลัง
ภายในมี แ ต่ เ พิ่ ม พู น ขึ้ น อย่ า งไม่ ห ยุ ด ยั้ ง การปะทะชนกั น เองก็ ยิ่ ง มายิ่ ง
รุ นแรง ผลสุดท้ายคงมีแต่ร่างระเบิดเป็นผุยผงเท่านั้น” จั่วม่อกล่าวเสียง
ราบเรียบ ราวกับว่ากาลังกล่า วถึง เรื่องที่ไ ม่เกี่ย วข้องกับความเป็น ความ
ตายของมัน สุ้มเสียงสงบเยือกเย็นยิ่ง “ยามกะทันหันข้านึกได้สองวิธี วิธีที่
ดีที่สุดย่อมเป็นการจัดระเบียบพลั งทุกสายในร่างให้กลับ คืนสู่ส ภาพเดิ ม
แต่วิธีนี้ยากเย็นเกินไป ข้าไม่ทราบจะเริ่มจากที่ใด ส่วนอีกวิธีหนึ่งอาจทื่อ
ด้ า นอยู่ บ้ า ง ในเมื่ อ ภู เ ขาไฟก าลั ง จะระเบิ ด เราไฉนไม่ เ สริ ม สร้ า งความ
แข็งแกร่งทนทานให้กับตัวภูเขาเสียเล่า เมื่อภูเขาแข็งแกร่งทนทานกว่าเดิม
พลังที่อยู่ภายในก็ยากจะระเบิดทาลายได้แล้ว”
“น่าสนใจ น่าสนใจยิ่ง! แม้ว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่เรา
สามารถทดลองดู ” เว่ ย กล่ า ว “แต่ ด้ ว ยสภาพของเจ้ า ในตอนนี้ เกรงว่ า
แผนผังปิศาจระดับต่าจะไม่มีพลังพอที่จ ะส่งผลกระทบ พลังสังขารของ
เจ้ายังปั่ นป่วนวุ่นวาย ดังนั้นไม่อาจเปิดใช้งานแผนผังปิศาจระดับสูงด้วย
เช่นกัน”
จั่ ว ม่ อ พยั ก หน้ า พลางกล่ า ว “มิ ผิ ด ดั ง นั้ น ข้ า ต้ อ งการสลั ก แผนผั ง
ปิศาจส่วนหนึ่งลงบนมือของข้า แผนผังปิศาจเมื่อสลักลงไป เลือดเนื้อ ที่
แขนข้างนั้นจะฟื้ นสภาพ จะมีสภาพคล้ายเหยือกเหล็กที่แข็งแกร่งทนทาน
ใบหนึ่ง จากนั้นข้าจะพยายามเคลื่อนพลังทั้งหมดไปเก็บกักไว้ในเหยือกใบ
นี้ ด้วยวิธีนี้ ส่วนอื่นในร่างกายข้าจะปราศจากพลังอันสับสนวุ่นวาย ย่อม
สามารถฟื้ นสภาพได้อย่างรวดเร็ว”
กล่าวถึงตรงนี้ พลันหันไปทางผูเยา กล่าวว่า “คราวก่อนเจ้าบอกว่ามี
ศาสตร์อสูรที่สามารถระบายพลังออกจากร่างกายข้าได้ใช่หรือไม่ ? ในเมื่อ
สามารถชักนาพลังให้ ระบายออกจากร่า ง เช่นนั้นย่อมสามารถใช้ ชั ก น า
พลังทั้งหมดไปยังมือของข้าได้”
ผูเยากับเว่ยจมลงในภวังค์ความคิด
แต่ ใ นไม่ ช้ า ทั้ ง สองคนก็ เ งยหน้ า ขึ้ น พร้ อ มกั น ดวงตาสาดประกาย
ตื่นเต้นเร้าใจ
“ศาสตร์อสูรนั้นจาเป็นต้องปรับเปลี่ยนเล็กน้อย อา แต่ก็ไม่มากนัก”
“แผนผั ง ปิ ศ าจที่ ใ ช้ ต้ อ งแข็ ง แกร่ ง ทนทาน เพี ย งแค่ ต้ อ งแข็ ง แกร่ ง
ทนทานเท่านั้น ยิ่งแข็งแกร่งทนทานก็ยิ่งดี ด้วยความต้องการอันเรียบง่าย
เช่นนี้ แผนผังปิศาจที่เหมาะสมก็หาไม่ยากนัก!”
เมื่อหลักใหญ่ใจความถูกกาหนดแน่ชัดแล้ว เรื่องที่เหลือสาหรับยอด
คนเช่นผูเยากับเว่ย ก็หาใช่เรื่องยากเย็นอันใดไม่
จั่ ว ม่ อ ตื่ นเต้ น ลิ ง โลดอยู่ บ้ า ง มั น ในที่ สุ ด ก็ มี ห วั ง จะได้ บ อกลาสภาพ
อัมพาตนี้เสียที

“นี่คือแผนผังปิศาจของหอยเปลือกเหล็กหมื่นชั้น เป็นแผนผังปิศาจ
ด่านเจี้ยว เหมาะสมที่สุดสาหรับงานนี้ แผนผังปิศาจชุดนี้ไม่ซับซ้อน ปิศาจ
ชนิดนี้อาศัยอยู่ในทะเลลึก แต่ละตัวมีขนาดเท่ากาปั้ นเท่านั้น เปลือกของ
มันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่แข็งที่สุดในโลก สามารถทนทานต่อแรงกระแทก
อันมหาศาลได้อย่างสบาย”
เว่ ย ในไม่ ช้ า ก็ ค้ น พบแผนผั งปิ ศ าจที่ เ หมาะเจาะพอดี เหล่ า แผนผัง
ปิศาจที่ผูเยาเก็บสะสมไว้ส่วนมากล้วนเป็นแผนผังปิศาจอันร้ายกาจและ
ยิ่งใหญ่ แต่ในด้านของความรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่ลี้ลับ
คลุมเครือ ย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับเว่ยได้
“ไม่ซับซ้อนจริง ๆ” จั่วม่อกล่าวหลังจากเพ่งพินิจพิจารณาอยู่นาน
ผู เ ยาก็ คิ ด ค้ น สูต รวิ ธีส ลักแผนผัง ปิศ าจที่ ต้อ งการ มั น ศึ ก ษาค้ น คว้า
แผนผังปิศาจมายาวนาน กระทั่งนานกว่าจั่วม่อเสียอีก นี่ย่ อมไม่ใช่เรื่อ ง
ยากสาหรับมัน
แต่รอจนจั่วม่อยื่นส่งสูต รแผนผังปิศาจหอยเปลือกเหล็กหมื่นชั้นให้
ข่าจั๋ว ข่าจั๋วกลับมีสีหน้าแปลกพิกล
“มีปัญหาอันใด?” จั่วม่อเห็นผิดท่าทันที
“เหล่าซือ วัตถุดิบเหล่านี้...” ข่าจั๋วอึกอัก “วัตถุดิบเหล่านี้แพงมาก...”
“แพงมาก?” จั่วม่อสมองขาวว่างเปล่า
“ใช่ข อรับ เหล่าซือ แพงมากจริ ง ๆ! อย่างเช่นอันนี้ ผงกระดู ก ปลา
พุทรา ศิษย์เพียงเคยได้ยินได้ฟัง แต่ไม่เคยพบเห็นของจริงมาก่อน ส่วนวุ้น
โลหิตอันนี้ ศิษย์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แน่นอนว่าร้านค้าทั่วไปย่อมไม่
มีขาย ... ...” ข่าจั๋วอธิบายอย่างกระอักกระอ่วน
จั่วม่อเศร้าหดหู่จนแทบเอาศีรษะชนกาแพงตาย
มันในที่สุดก็คิดค้นแผนการที่มีความหวังสายหนึ่ง แต่ แล้วกลับพบว่า
จิงสือ โอ้ ไม่ใช่ เป็นม๋อเป้ย ม๋อเป้ยไม่เพียงพอให้ซ้ อ
ื วัตถุดิบ!
ที่น่าคลั่งใจยิ่งไปกว่านั้น คือมิใช่ว่าจั่วม่อไม่มั่งคั่งร่ารวยพอ แต่มันไม่
มีปัญญานาทรัพย์สินเงินทองออกมาได้ต่างหาก!
ยังจะมีสิ่งใดน่าโศกสลดหดหู่มากไปกว่านี้อีกเล่า?
จั่วม่อในใจร่าไห้จนน้าตาแทบเป็นสายเลือด
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงแปลกหูเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ขัดจังหวะความ
เศร้าสลดของจั่วม่อ
“จั่วเซียนเซิงสบาย”
คนผู้นี้กล่าวด้วยสุ้มเสียงลุ่มลึกเป็นพิเศษ เต็มไปด้วยความกังวานที่
ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน
จั่วม่อเงยหน้าขวับ เพ่งพิศคนผู้นั้น เห็นร่างสูงสมส่วนเยี่ยงชายชาติ
ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ห่อหุ้มร่างอยู่ในชุดเกราะสีเขียวเข้ม ดวงตาสี
แดงเข้มจ้องมองจั่วม่อโดยไร้ซึ่งความอบอุ่นใด
ด่านเจี้ยว!
จากพลังสภาวะที่แผ่ซ่านออกมา จั่วม่อค้นพบระดับพลังฝีมือของอีก
ฝ่ายในบัดดล
จั่วม่อสะท้านใจวูบ อดบังเกิดสังหรณ์ร้ายมิได้
บทที่ 547 เชื้อเชิญ

ปิศาจด่านเจี้ยว
หากเป็ น ก่ อ นหน้ า ที่ จ ะได้ รับ บาดเจ็ บ จั่ ว ม่ อ มี ค วามมั่ น ใจอย่า งเต็ม
เปี่ ยมว่าสามารถจัดการกับบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันในหมัดเดียว แม้กล่าว
โดยทั่วไปแล้ ว ระดั บพลัง ของมันก็ เ ป็น ปิศ าจด่ านเจี้ ย วเช่น เดีย วกั น ทว่ า
สังขารปิศาจมหาทิวาของมันรั้งอันดับสองในบรรดาสังขารปิศาจด่านเจี้ยว
ทั้งมวล ช่วยให้มันสามารถเหยียบย่าปิศาจในด่านเดียวกันแทบทั้งหมดไว้
ใต้ฝ่าเท้า กระทั่งปิศาจด่านถงหลิ่ง23ทั่วไปยังมิใช่คู่มือของจั่วม่อ
แต่ยามนี้... จั่วม่อฝืนยิ้มขมขื่น ล าพังปิศาจด่านเจี้ยวเพียงผู้เ ดี ย วก็
สามารถเหยียบย่าเมืองเศษหินจนราบเป็นหน้ากลอง
“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบพานยอดฝีมือด่ านเจี้ย วในสถานที่ เล็ก ๆ เช่น
เมืองเศษหิน ข้าช่างมีห น้ามีต านัก” จั่วม่อกล่าวด้วยสุ้มเสียงปลอดโปร่ง
เฉื่อยชา “ขออภัยยิ่ง ผู้น้อยร่างกายไม่สมประกอบอยู่บ้าง ไม่สามารถขยับ
ตัวได้ หากมีที่ล่วงเกินท่านที่นับถือโปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
ฝ่ า ยตรงข้ า มแย้ ม ยิ้ ม เล็ก น้ อ ย “อย่ า ได้ กั ง วลใจไป ผู้ น้ อ ยเคยได้ ยิน
เรื่องราวของจั่วเซี ยนเซิงมาสักระยะหนึ่ งแล้ ว ฟังว่าจั่วเซียนเซิงมิ ใ ช่ ค น
ธรรมดาสามัญ วันนี้ได้พบเห็นกับตายังเหนือล้ากว่าที่คาดไว้เสียอีก ผู้น้อย
เฉาอวี้ เป็นข้ารับใช้ของเขิงอี้ต้าเหริน”

23
เทียบเท่าจินตัน
คนผู้นี้สุ้มเสียงลุ่มลึก แฝงเร้นความกังวานที่ไม่เหมือนผู้ใดชนิดหนึ่ง
ได้ยินมานานแล้ว ? จั่วม่อสะท้านใจวูบ หรือว่าเรื่องของตงจื่อดึงดูด
เภทภัยนี้เข้าหามัน?
เห็นจั่วม่อยังคงไม่เอ่ยปาก เฉาอวี้ก็ไม่มีโทสะ ดวงตาสีแดงเข้มจับจ้อง
มองดูจ่ัวม่อเขม็ง กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “จั่วเซียนเซิงไม่ทราบว่า เป็น
ศิ ษ ย์ เ หล่ า ซื อ ท่ า นใด? อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจผู้ ส ามารถใช้ ก ารปลุ ก แผนผั ง
ปิศาจ ช่วยให้ผู้คนยกระดับทะลวงด่านโดยตรง นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
จั่วม่อไม่ตอบคาถาม กลับย้อนถามว่า “ท่านที่นับถือไม่ทราบมาหาข้า
ด้วยกิจธุระใด?”
เฉาอวี้ก็ไม่ซักไซ้ไล่เรียง มองดูจ่ัวม่ออย่างแฝงความนัย กล่าวว่า “ดู
เหมือนว่าจั่วเซียนเซิงมีความเป็นมาไม่รวบรัดธรรมดาจริง ๆ”
ไม่ ท ราบเพราะเหตุ ใ ด จั่ ว ม่ อ รู้ สึ ก ว่ า ถ้ อ ยวาจาของคนผู้ นี้เ ย็ นเยียบ
และอ ามหิ ต อยู่ บ้ า ง ราวกั บ ว่ า มี ล มเย็ น เฉี ย บพั ด มากระทบร่ า งจากทาง
ด้านหลัง
เฉาอวี้แย้มยิ้ม ทาท่าผายมือ “ผู้น้อยคิดเชื้อเชิญจั่วเซียนเซิงไปเป็น
อาคันตุกะที่เมืองศิลาสักสองสามวัน”
เป็นอาคันตุกะ? เมืองศิลา?
จั่ ว ม่ อ ก็ เ ป็ น บุ ค คลอั นชาญฉลาดผู้ ห นึ่ ง ย่ อ มฟั ง ความหมายข่มขู่ใน
วาจาเหล่านี้ออก
ทันใดนั้นเอง ปิศาจตนหนึ่งพลิ้วกายเข้ามา มือข้างหนึ่งหอบหิ้วร่าง
ของข่าจั๋วที่ไม่ได้สติ
“เจ้ามัวแต่เยิ่นเย้อเสียเวลาอันใด?” ผู้มากล่าวอย่างไม่พอใจ เห็นได้
ชัดว่าไม่พอใจเฉาอวี้ที่ยังทางานไม่เสร็จสิ้น
จั่วม่อพอเห็นเช่นนั้นทราบว่าไม่มีหนทางหลีกเลี่ยงอีก กล่าวเสียงต่า
ว่า “ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า”
เฉาอวี้ หั ว ร่ อ อย่ า งไม่ เ ห็ น ส าคั ญ พลางกล่ า วว่ า “ไม่ แ น่ ว่ า ต่ อ ไปจั่ ว
เซียนเซิงอาจต้องขอบคุณข้า”
จั่วม่อไม่เอ่ยปาก เพียงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเย็นชา
“ท าอย่ า งไรดี ? พวกเจ้ า มี ห นทางหรื อ ไม่ ?” ในทะเลแห่ ง จิ ต ส านึ ก
จั่วม่อถามผูเยากับเว่ยอย่างร้อนใจ อากุ่ยไม่รับรู้เรื่องราวทางโลก พลังเทพ
ของนางเพียงใช้การได้เป็นบางครั้ง หากตอแยอีกฝ่ายมีโทสะอาจเลวร้าย
สุดคาดคิด แต่ยามนี้มันก็ไม่มีความสามารถที่จะต่อสู้กับผู้ใด จั่วม่อแตกตื่น
ตระหนกยิง่
“ด้วยสภาพของเจ้าในตอนนี้ ไม่ว่าวิธีการดี ๆ อันใดล้วนใช้การไม่ได้”
ผูเยากล่าวอย่างเย็นชา
“เฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสม!” เว่ยชี้แนะอย่างเยือกเย็น “อีกฝ่ายในเมื่อ
เจาะจงมาหาเจ้า ย่อมต้องมีเรื่องร้องขอ ก่อนที่จ ะล่วงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวโดยวู่วาม”
จั่วม่อครุ่นคิดตาม แล้วสงบใจลงอย่างรวดเร็ว
เว่ยกล่าวไม่ผิด ฝ่ายตรงข้ามเห็นได้ชัดว่ามีจุดมุ่งหมาย
“บางทีพวกมันอาจมาเพื่อแผนผังปิศาจ” ผูเยาหรี่ตาแคบเหมือนคม
มีด นัยน์ตาสีเลือดทอประกายอามหิต อารมณ์ขุ่นมัวอย่างเห็นได้ชัด “ช่าง
ขวัญกล้าบังอาจนัก ถึงกับกล้าล้วงคองูเห่า!”
หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับจั่วม่อ ในหมู่พวกมันไม่มีผู้ใดมีจุดจบที่ดี
หาเรื่องจั่วม่อก็เท่ากับหาเรื่องพวกมันด้วย
จั่วม่อรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เทียบกับสองตัวประหลาดเฒ่านี้แล้ว มัน
ยังคงใจอ่อนเกินไปบ้ าง แต่มันก็เป็นชนชั้นผู้นาคนหนึ่ง หลั งจากสงบใจ
ระงับความตื่นตระหนกในตอนแรก ความคิดจิตใจก็เริม
่ หมุนเร็วรี่
คนทั้งสองล้วนอยู่ในด่านเจี้ยว หลังจากคบหาสมาคมกับลุงอันหย่ามา
หลายวัน จั่วม่อก็ล่วงรู้สภาพทั่วไปไม่น้อย ในอาณาจักรเศษหินอันห่างไกล
และรกร้างกันดารนี้ ปิศาจด่านเจี้ยวถือเป็นระดับชั้นของยอดฝีมือ การที่
ปิศาจชั้นนายกองสองตนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เฉาอวี้
กับสหายของมันยังมาอย่างเปิดเผย ไม่มีความคิดจะปกปิดซ่อนเร้นแม้แต่
น้อย
จั่ ว ม่ อ ขดตั ว อยู่ ใ นอ้ อ มแขนของอากุ่ ย พยายามจั ด ระเบี ย บภายใน
ร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าอาจไม่เห็นผลในทันที แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่มัน
สามารถกระทาได้ในยามนี้
เฉาอวี้กับสหายมีพาหนะเป็นค้างคาวดาตัวใหญ่มหึมาสองตัว ช่วงปีก
กว้างหกจั้ง บนหลังมีพ้ น
ื ที่กว้างมากพอที่จะรองรับผู้คนเจ็ดแปดคน
ค้างคาวดาแม้มีสารรูปชวนพรั่นพรึง แต่พวกมันไม่ได้บินเร็วนัก เวลา
ที่พวกมันบิน จะปรากฏสายลมสีดาหมุนวนเป็นทรงกลม ห่อหุ้มพวกมันไว้
ภายใน ช่วยป้องกันแรงลมปะทะ
หลังจากเดินทางต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน ภูเขาสีดาลูกหนึ่งก็ปรากฏ
ขึ้นในครรลองสายตาของจั่วม่อ
ภู เ ขาทั้ ง ลู ก สี ด าสนิ ท ราวกั บ น้ า หมึ ก ตั้ ง ตรงและสู ง ชั น ลอยอยู่ บ น
ท้ อ งฟ้ า จั่ ว ม่ อ สั ง เกตเห็ น สายลมหมุ น วนเป็ น ชั้ น ๆ รอบภู เ ขา สายลม
เหล่านี้หอบเอาเศษหินนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาด้วย ก่อเกิดเป็นวงแหวนเศษ
หินคาดอยู่รอบภูเขาเป็นชั้น ๆ
รอจนพวกมันบินเข้าไปใกล้กับวงแหวนเศษหิน เสียงแหลมบาดหูดัง
กึกก้องจนผู้คนแทบหูดับ ประดุจเสียงภูตผีครวญคร่า ชวนให้ผู้ได้ยินถึงกับ
หนังศีรษะชาซ่าน
เฉาอวี้ต ลอดการเดินทางคอยเฝ้าสังเกตจั่วม่ออยู่ต ลอดเวลา ยามนี้
เมื่อเห็นสายตาของจั่วม่อยังคงสงบเยือกเย็น อดประหลาดใจไม่ได้ ในวง
แหวนเศษหินนี้ ลมแกร่งคมกล้าดุจใบมีด ทั้งยังพัดพาเอาเศษหินแหลมคม
มากมายสุดคนานับหมุนวนด้วยความเร็วสูง หากผู้ใดพลาดพลั้งหลุดเข้า
ไป ต่อให้สังขารแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่แคล้วถูกบดขยี้เป็นผุยผง
“จั่วเซียนเซิงเคยพบเห็นสถานที่คล้าย ๆ กันนี้มาก่อนหรือไม่ ?” เฉา
อวี้อดถามไม่ได้
“ไม่” จั่วม่อตอบอย่างเฉื่อยชา
นี่เป็นครั้งแรกที่จ่ว
ั ม่อสิ้นท่าถึงเพียงนี้ ถึงกับไม่มีปัญญากาหนดชะตา
กรรมของตั ว เองได้ กลายเป็ น มั จ ฉาบนเขีย ง ได้ แ ต่ ร อคอยให้ ผู้ค นเชือด
เฉือนเอาตามอาเภอใจ มันสูญสิ้นพลังฝีมือ พลังอานาจที่เชื่อถือ ได้ ม าก
ที่ สุ ด ของมั น หายไป บี บ บั ง คั บ ให้ มั น ตกอยู่ ใ นสถานการณ์ สิ้ น หวั ง มั น
ในตอนนี้ไม่มีเค้าเดิมพันให้สูญเสียอีก ดังนั้นไม่ว่าความสะเพร่าเลินเล่ อ
ความเลอะเลือนงมงายและความเฉื่อยชาทั้งหมด ล้วนต้องละทิ้งไปโดยไม่
เหลือร่องรอย
เนื่องเพราะมันยังมีอากุ่ยอยู่ด้วย
นอกเหนือจากชีวิตน้อย ๆ ของมัน มันยังมีอากุ่ยอยู่อีกทั้งคน
จั่วม่อช่างพูดกลับกลายเป็นเงียบขรึมอีกครั้ง ความคิดหมุนเร็วรี่อยู่
ตลอดเวลา พยายามนึกหาหนทางที่สามารถทาได้ มันใช้เวลาทุกลมหายใจ
จัดระเบียบเลือดเนื้อร่างกาย แม้ว่าการดิ้นรนนี้อาจไม่มีคุณค่าความหมาย
ใดเลยก็ตาม
ความคิดฟุ้งซ่ านสับสนเลือนหายไป จั่วม่อสมาธิจิต ใจจดจ่อรวมรั้ ง
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉาอวี้เห็นจั่วม่อไม่คิดสนทนากับมัน จึงแย้มยิ้มเล็กน้อย หุบปากนิ่ง
เงียบงันไปอีกคน
ค้ า งคาวด าสองตั ว พุ่ ง ทะยานเข้า สู่ ว งแหวนพายุเ ศษหินโดยไม่ รีรอ
ลังเล ม่านโล่แสงพลันสว่างวาบขึ้นรอบกายค้างคาวดา เสียงแหลมบาดหู
หายวับไปทันที จั่วม่อรู้สึกในสายตาพร่าเลือนวูบ ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยน
ไปทันควัน
เห็ น กลุ่ ม แผ่ น ศิ ล าสี ด าลอยอยู่ ก ลางอากาศ เรี ย ง ตั ว เป็ น เส้ น ทาง
ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกมันอย่างฉับพลัน ทอดยาวไปในระยะห่างไกลจน
ลับตา
ค้างคาวดาเหินทะยานไปตามเส้นทางศิลา หลังจากนั้นไม่นาน พวก
มันก็บินตรงเข้าหาตาหนักสีดาที่อยู่เบื้องหน้า
ที่ประตูตาหนัก เห็นสององครักษ์ปิศาจยืนอยู่สองฟากข้าง หนึ่งในนั้น
เห็นเฉาอวี้กับพวกก็แย้มยิ้มพลางกล่าว “เจ้าไฉนเพิ่งมาเอาป่านนี้? เจี้ยจู่
(เจ้าผู้ครองอาณาจักร) รอคอยจนแทบหมดความอดทนแล้ว”
เฉาอวี้ฝืนยิ้ม “ระหว่างทางเราไม่กล้าหยุดพักผ่อนแม้สักชั่วครู่ชั่วยาม
กระทั่งหยุดพักดื่มน้ายังไม่กล้า จนกระทั่งมาถึงที่นี่”
จั่วม่อดวงตาทอประกายวูบ เจี้ยจู่! อาณาจักรเศษหินย่อมมีเจี้ยจู่เพียง
หนึ่งเดียว จั่วม่อจดจาที่ลุงอันหย่าเคยกล่าวไว้ได้ เจี้ยจู่แห่งอาณาจักรเศษ
หินเรียกว่าเขิงอี้
“บ่นกับข้าไปจะได้อะไรเล่า” ปิศาจองครักษ์ผู้เฝ้าประตูกล่าวปนหัว
ร่อ จากนั้นเพ่งพิศดูจ่ว
ั ม่อพลางจุปาก “เด็กน้อยผู้นี้หรืออาจารย์ปลุกปิศาจ
ที่เจ้าพามา? เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ผิดพลาด! นี่มันคนป่วยหนักชัด ๆ! สตรีนาง
นั้นก็อัปลักษณ์เหลือทน!”
ได้ยินเช่นนี้ จั่วม่อในใจบังเกิดความคิดฆ่าฟันอย่างรุนแรง
มันจ้องมององครักษ์ผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง จดจารูปโฉมของอีกฝ่ายไว้มั่น

ภายในทะเลแห่งจิตสานึก
“พลังงานฆ่าฟันของจั่วม่อรุนแรงกว่าแต่ก่อนมาก” เว่ยเปรยขึ้นเบาๆ
ผู เ ยากล่ า วอย่ า งไม่ ใ ส่ ใ จ “นี่ เ ป็ น เรื่ อ งดี เจ้ า เด็ ก น้ อ ยปกติ ไ ม่ ค่ อ ยมี
แรงจูงใจ มันมักจะเอาแต่พึงพอใจในสิง่ ที่มีมากเกินไป”
“มันปฏิบัติต่ออากุ่ยไม่เหมือนผู้ใด” เว่ยกล่าวอย่างมีนัย
“สตรี มี อิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด !” ผู เ ยาส านึ ก เสี ย ใจอยู่ บ้ า ง “หากรู้ เ ช่ น นี้
เสียก่อน ข้าจะผลักสตรีสักสองสามนางให้แก่มันเสียนานแล้ว!”
“อากุ่ ย ไม่ เ ลวเลยจริ ง ๆ” เว่ ย ดู เ หมื อ นคิ ด ถึ ง เรื่ อ งบางประการ สุ้ ม
เสียงเต็มไปด้วยร่องรอยหวนคานึง
“ทาอย่างไรจะสามารถผลักสตรีอีกสักนางสองนางไปให้แก่เจ้าเด็ก
น้อยนี้ได้... ...” ผูเยาราพึงราพันอยู่คนเดียว

“นี่หรืออาจารย์ปลุกปิศาจที่เจ้าหาพบ?” บุรุษผู้หนึ่งลากเสียงถาม
จั่วม่อหาได้แยแสสนใจมันไม่ เพียงเพ่งมองเจี้ยจู่แห่งอาณาจัก รเศษ
หิน
เขิงอี้ท้ังไม่สูงและไม่กายาล่าสัน ร่างกายถึงกับผอมบางเป็นอย่ างยิ่ง
เป็นความผอมบางที่ชวนให้จ่ัวม่อ รู้สึกถึงความไม่ธ รรมดา สวมชุดยาวสี
ขาวสะอาดสะอ้าน สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อประหลาดใจที่สุด คือมันไม่ส ามารถ
สัมผัสพลังฆ่าฟันจากร่างของคนผู้นี้แม้แต่น้อย
เขิ ง อี้ ผู้ นี้ ค างแหลมเป็ นพิ เ ศษ ใบหน้ า หมดจดงดงาม สิ่ ง ที่ ส ะดุ ด ตา
ที่สุดคือนัยน์ตาสีเหลืองอาพันที่คล้ายคลึงกับดวงตางูเป็นที่สุด
แต่หากมีคนประเมินมันต่าเกินไปเพราะเหตุนี้ แน่นอนว่าจะไม่ได้ตาย
ดี!
ด่านเจียง!
เจี้ ย จู่ ที่ ดู ร าวกั บ จะสามารถปลิว ไปตามลมได้ ทุ ก เมื่อ ผู้ นี้ เป็ น ปิ ศ าจ
ด่านเจียงตนแรกที่จ่ว
ั ม่อเคยได้พบพาน!
สมกับที่เป็นราชันของอาณาจักรหนึ่ง!
ปิ ศ าจด่ า นเจี ย งเที ย บเท่ า ซิ ว เจ่ อ ด่ า นหยวนอิ ง ต่ อ ให้ จ่ั ว ม่ อ ฟื้ นคื น
สภาพอย่างสมบูรณ์ เกรงว่ายังไม่ใช่คู่มือของเขิงอี้ผู้นี้
“มันเป็นปิศาจงูกระมัง?” จั่วม่อถามเว่ยอย่างใคร่รู้
“อา ปิ ศ าจอสรพิ ษ เขี้ย วขาวที่ ห าได้ ย ากยิ่ ง!” เว่ ย สุ้ ม เสี ย งแฝงแวว
เคร่งเครียดที่ยากจะพบพาน
“ปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาว?”
“อา ปิ ศ าจงู เ ชื้ อ สายนี้ เ ป็ น ปิศ าจงูโ บราณประเภทหนึ่ ง พวกมั น สืบ
ทอดสังขารปิศาจอันพิเศษเฉพาะยิ่ง เรียกว่าสังขารปิศาจเขี้ยวขาว” เว่ย
แจกแจงเร็วรี่ “พวกมันขอเพียงทะลวงฝ่าไปยังด่านเจียงสาเร็จ จะฝึกปรือ
สังขารปิศาจเขี้ยวขาวส าเร็จด้วย สังขารปิศาจเขี้ยวขาวเป็นสังขารปิ ศาจ
ด่านเจียง”
จั่วม่อหัวใจตกวูบ สังขารปิศาจมหาทิวาของมันเป็นสังขารปิศาจด่าน
เจี้ ย ว ต่ า ชั้ น กว่ า สั ง ขารปิ ศ าจเขี้ ย วขาวของผู้ อ่ ื นถึ ง สองระดั บ แม้ ว่ า เว่ ย
ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน แต่จ่ัวม่อก็ทราบว่าความห่างชั้นระหว่าง
พวกมันทั้งสองมิอาจหยัง่ วัดได้
คราวนี้กระทั่งผูเยายังพูดไม่ออก สังขารปิศาจมหาทิวาจัดอยู่ล าดับ
สองในหมู่สังขารปิศาจด่านเจี้ยว หากเผชิญสังขารปิศาจด่านถงหลิ่งทั่วไป
ยั ง พอมี โ อกาสอยู่ บ้ า ง แต่ เ มื่ อ เผชิ ญ หน้ า กั บ ปิ ศ าจด่ า นเจี ย ง มั น กระทั่ ง
โอกาสหลบหนียังไม่มี
“อา เราต้องคิดหาหนทางอื่น” จั่วม่อเริ่มสงบใจลง
ผูเยากับเว่ยสบตากันวูบ ต่างเห็นเค้าตื่นตะลึงในดวงตาอีกฝ่าย พวก
มันรู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย ภายใต้ส ถานการณ์เสียเปรียบและ
พลังฝีมือห่างชั้นกันถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจั่วม่อจะยังคงเต็มไปด้วยขวัญ
กาลังใจและจิตวิญญาณการต่อสู้อย่างเปี่ ยมล้น
แต่แล้วการปรึกษาหารือระหว่างจั่วม่อ ผูเยาและเว่ยกลับถูกเสียงของ
เฉาอวี้ขัดจังหวะกลางคัน
“เจี้ยจู่! บริวารพบจั่วเซียนเซิงในเมืองเศษหินโดยบังเอิญ บริวารเห็น
มันปลุกแผนผังปิศาจให้แก่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งด้วยสายตาตัวเอง ผลก็คือเด็ก
หนุ่มผู้นั้นฝ่าทะลวงขึ้นไปยังด่านเว่ยโดยตรง”
ภายในหอใหญ่บังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอื้ออึง ปิศาจเหล่านี้ล้วน
มีสีห น้าไม่เชื่อถือ แม้ว่าการปลุกแผนผังปิศาจจะเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่
ปิศาจชั้นต่า แต่การทะลวงฝ่าด่านข้ามขั้นโดยตรง นับว่ายากจะพบพาน
เป็นอย่างยิ่ง
เขิงอี้สีหน้าทอแววประหลาดใจอยู่บ้าง “อ้อ เจ้ากาลังจะบอกว่ามัน
สามารถช่วยให้เด็กหนุ่มผู้นั้นฝ่าด่านข้ามขั้นเป็นด่านเว่ยเช่นนั้นรึ?”
“ใช่ ข อรั บ เรื่ อ งนี้ บ ริ ว ารประจั ก ษ์ ด้ ว ยสายตาตั ว เอง” เฉาอวี้ ก ล่ า ว
อย่างนอบน้อม จากนั้นชี้ไปยังข่าจั๋วที่ยังไม่ฟื้นคืนสติ กล่าวต่อไปว่า “มัน
เรียกว่าข่าจั๋ว เป็นศิษย์ของจั่วเซียนเซิง”
“เจี้ยจู่ คนผู้นี้เรียกว่าข่าจั๋วจริง บริวารเคยพบเจอมันมาก่อน มันฝีมือ
ไม่เลว แต่บริวารไม่เคยได้ยินว่ามันมีเหล่าซือ อย่าว่าแต่ยังเป็นเด็กน้อยผู้
หนึ่ง” ท่ามกลางกลุ่มคน ปิศาจร่างสูงผู้หนึ่งก้าวออกมากล่าวแย้ง “เฮอะ!
ข้าว่าเฉาอวี้อุปโลกน์ขึ้นเองเสียมากกว่า!”
เฉาอวี้ไม่เหลือบแลปิศาจตนนั้น เพียงกล่าว “เจี้ยจู่ ท่านสามารถปลุก
ข่าจั๋วขึ้นมาลองสอบถามดู”
เขิ ง อี้ แ ย้ ม ยิ้ม โบกมื อ ตั ด บท “อาอวี้ ร อบคอบระมั ด ระวั ง จะต้ อ งไม่
ผิดพลาดกับเรื่องเพียงเท่านี้”
กล่าวจบคา มันก็ลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้าหาจั่วม่ออย่างแช่มช้า
บทที่ 548 จนปัญญา

นัยน์ต าสีเหลืองอาพันเห็นได้ชัดว่าไม่มีความประสงค์ร้าย แต่จ่ัวม่อ


รู้สึกราวกับว่าถูกสายตาคู่นั้นคว้าขยุ้มที่ลาคอ แทบหายใจไม่ออก
นี่คือความแตกต่างของพลังฝีมือเช่นนั้นหรือ? จั่วม่อตื่นตระหนกสุด
ระงับ
ขณะที่จ่ัวม่อกาลังจะขาดใจตาย พลังอันคลุ้มคลั่งภายในร่างมันพลัน
แตกระเบิด!
กระแสพลังนับไม่ถ้วนอาละวาดอย่างกราดเกรี้ยว ถาโถมพลุ่งพล่าน
ไปทั่วร่าง ราวกับคลื่นน้าทะลักทลาย
แรงกดดันไร้สภาพที่กดทับมัน ไม่ต่างจากฟองอากาศ ท่ามกลางเสียง
ปะทุเบา ๆ เพียะ แตกสลายไปทันที
จั่วม่อรู้สึกร่างกายปลอดโปร่งโล่งสบาย สามารถหายใจหายคอได้อีก
ครั้ง พลังภายในร่างมันสูญเสียเป้าหมายที่ต่อต้าน ค่อย ๆ สงบลง
นั บ ตั้ ง แต่ ต้ น จนจบ จั่ ว ม่ อ สี ห น้ า ไม่ แ ปรเปลี่ ย นแม้ สั ก แวบ การ
เปลี่ยนแปลงอันรุนแรงภายในร่างมันไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้แต่น้อย
เขิงอี้ดวงตาทอแววขบคิดใคร่ครวญ จากนั้นแย้มยิ้มเล็กน้อย “ครา
ครั้งนี้เราเชื้อเชิญจั่วเซียนเซิงมา เพราะมีเรื่องบางประการอยากขอความ
ช่วยเหลือ”
ข่ า จั๋ ว ตรวจร่ า งกายดรุ ณี น้ อ ยที่ น อนสลบไสลอยู่ บ นเตี ย งอย่ า ง
ระมัดระวัง หญิงสาวอายุเยาว์นางนี้รูปโฉมคล้ายคลึงกับเขิงอี้เป็นอย่างยิ่ง
สมควรเป็นธิดาของมัน หรือไม่ก็ญาติสนิทชิดใกล้ หญิงสาวสะคราญปาน
ล่มเมือง ริมฝีปากอ่อนละมุนเผยอเล็กน้อย คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น ราวกับว่า
นางกาลังทนทุกข์ทรมาน
ชั่วอึดใจหลังจากนั้น ข่าจั๋วหลั่งเหงื่อโซมหน้า มันเมื่อฟื้นคืนสติ ต้อง
ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้า ใจสถานการณ์ท้ั งหมด แต่ห ลังจากตอนแรกที่
แตกตื่นลนลานก็พลันสงบใจลงอย่างรวดเร็ว หากมันต้องเผชิญหน้ า กั บ
เภทภัยนี้ด้วยตัว เองเพียงล าพั ง เกรงว่าคงขาสั่นจนยืนไม่อยู่ ไ ปเสี ย นาน
แล้ว แต่ในเมื่อมีเหล่าซือคอยค้ ายัน เรื่อ งราวให้ แก่มัน มันก็ไม่ต้องหวาด
วิตกมากมายอันใดแล้ว
เหล่ า ซื อ ของมั น ในถุง ย่ า มซ่ อ นกลเม็ ด เด็ ด พรายไม่ มี ที่ สิ้น สุด สร้ า ง
ความเชื่อมั่นให้แก่ข่าจั๋วอย่างเปี่ ยมล้น ข่าจั๋วถึงกับเข้าใจว่าหากเป็นเรื่อง
เกี่ยวกับแผนผังปิศาจ ไม่มีสิ่งใดที่เหล่าซือของมันจะกระทาไม่ได้
ขณะที่ข่าจั๋วกาลังตรวจสอบอย่างขะมักเขม้น แผนผังปิศาจของสตรี
อายุเยาว์นางนั้นก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นบนพื้นผิว
แผนผังปิศาจสีข าวดุจงาช้างบนผิวพรรณขาวซีดนั้น หากไม่เพ่งพิศ
อย่างระมัดระวังก็ยากจะค้นพบได้ จั่วม่อประหลาดใจอยู่บ้าง มันเพิ่งจะ
เคยพบเห็นแผนผังปิศาจสีงาช้างเป็นครั้งแรก
“นี่ไม่เรียบง่ายอย่างที่เห็น” เว่ยสีห น้าหนักอึ้งเคร่งเครียด “ส าหรับ
ปิ ศ าจอสรพิ ษเขี้ย วขาว อุ ป สรรคส าคั ญที่ สุด ในชี วิ ต ของพวกมัน คือ การ
ทะลวงฝ่าไปยังด่านเจียง หากพวกมันฝ่าด่านสาเร็จ จะก่อเกิดสังขารปิศาจ
เขี้ ย วขาวส าเร็ จด้ ว ย แต่ ห ากล้ ม เหลว พวกมั น จะจบลงอย่ างที่ เห็นนี้เอง
แผนผังปิศาจสีงาช้างคือแผนผังปิศาจที่ยังไม่เติบโต”
“แผนผั ง ปิ ศ าจที่ ยั ง ไม่เ ติบ โต?” จั่ ว ม่ อ เพิ่ ง เคยได้ ยิ น ถ้ อ ยค าเหล่านี้
เป็นครั้งแรก
เว่ยเบือนสายตาไปมองผูเยา ผูเยาแค่นเสียง จากนั้นกล่าว “แผนผัง
ปิศาจบนร่างกายมิใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง รอจนเจ้าขึ้นสู่ด่านใหม่
แผนผังปิศาจบนร่างเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน จะยิ่งเติบโตมาก
ขึ้น เพียบพร้อมสมบูรณ์มากขึ้น นี่คือความหมายของคาว่าเติบโต อย่างไร
ก็ ต าม หากมี บ างสิ่ ง เกิ ด ขึ้ น ระหว่ า งนั้ น จนขั้ น ตอนการเจริ ญ เติ บ โตถู ก
ขัดจังหวะ จะกลายเป็นเช่นสตรีนางนี้เอง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!” ความเข้าใจในแผนผังปิศาจของจั่วม่อเพิ่มพูนขึ้น
ทุกวัน ผูเยาเพียงชี้แนะมันก็เข้าใจทันที
พร้อมกันนั้นก็ค้นพบในบัดดล ว่านี่เป็นปัญหายุ่งยากประการหนึ่ง
ปัญหาเช่นนี้มิใช่จะแก้ไขได้โดยง่าย เนื่อ งเพราะมูลเหตุเกิดจากฐาน
ราก
จริงดังคาด เว่ยสรุ ปอย่างจนปัญญา “สภาพเช่นนี้ ในภพปิศาจไม่มี
หนทางรักษา!”
ผูเยาก็เงียบกริบเช่นกัน มันอาจศึกษาค้นคว้าแผนผังปิศาจ แต่สภาพ
เช่นนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตการค้นคว้าของมัน
จั่วม่อรู้สึกศีรษะพองโต
ข่าจั๋วทาการทดสอบสุดท้ายเสร็จ สิ้น ล่าถอยออกมาด้วยใบหน้าชุ่ม
เหงื่อ มันมองดูจ่ัวม่ออย่างมีความหวัง รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่พอจะคร
นามือเหล่าซือของมัน
“จั่ ว เซี ย นเซิ ง เป็ น อย่ า งไรบ้ า ง?” เขิ ง อี้ ถ ามทั น ที นั ย น์ ต างู สีเหลือง
อาพันมองดูจ่ว
ั ม่ออย่างเย็นชา
จั่วม่อรู้สึกหนังศีรษะชาซ่าน ทราบว่าหากไม่มีการแสดงออกเสียบ้าง
วันนี้มันอย่าคิดหมายเดินออกไปจากที่นี่ได้
“เจี้ยจู่เป็นปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาว!” จั่วม่อโพล่งขึ้นอย่างกะทันหัน
“จั่ ว เซี ย นเซิ ง ช่ า งรอบรู้ นั ก ” เขิ ง อี้ ด วงตาทอแววแปลกใจวู บ ควร
ทราบว่าปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาวเป็นปิ ศาจที่หาได้ยากชนิดหนึ่ง มีคนรู้จัก
ไม่มากนัก ผู้อ่ น
ื เพียงมองปราดเดียวก็ระบุได้ ลาพังสายตาและความรอบรู้
อันลึกซึ้งนี้ บันดาลให้เขิงอี้บังเกิดความหวังขึ้นสายหนึ่ง
“ว่ากันว่าปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาวเมื่อบรรลุถึงด่านเจียง จะสามารถ
สาเร็จสังขารปิศาจเขี้ยวขาวพร้อมกัน ข้าเข้าใจว่าเป็นเพียงคาร่าลือ คาด
ไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง” จั่วม่อปากกล่าววาจาอย่างปลอดโปร่ง แต่ในใจ
หมุนเร็วรี่ ครุ่นคิดหาหนทางอย่างบ้าคลั่ง
ข่าจั๋วรับฟังจนอ้าปากหวอ สาหรับมันเรื่องเหล่านี้ท้ังแปลกใหม่ และ
พิสดารนัก
เขิงอี้ห รี่ต ามองอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นหั วร่อเบา ๆ “จั่วเซียนเซิงรอบรู้
เจนจบอย่างแท้จ ริง ผู้น้อยไม่นับถือเลื่อมใสก็คงไม่ได้แล้ว เช่นนั้นอาการ
ของบุ ต รี ข้ า เป็ น อย่ า งไร คาดว่ า จั่ ว เซี ย นเซิ ง คงกระจ่ า งแจ้ ง แก่ ใ จแล้ ว
รบกวนจั่วเซียนเซิงอธิบายให้เราผู้เป็นบิดาฟังได้หรือไม่”
จั่วม่อกล่าวอย่างเฉื่อยชา “คุณหนูฝ่ าด่านล้มเหลว การเจริญเติบโต
ของสังขารปิศาจของนางถูกขัดกลางคัน เป็นเหตุให้ยามนี้ร่างกายของนาง
ตกอยู่ในสภาพโกลาหลอลหม่าน ชีวิตของนางก็ตกอยู่ในอันตรายด้วย”
เขิงอี้ดวงตาสาดประกายเจิดจ้ า จั่วม่อรู้สึกว่าเขิงอี้จู่ ๆ ก็กลายเป็ น
ใหญ่โตมหึมา แรงกดดันมหาศาลโถมทับลงมาจนมันแทบหายใจไม่ออก
คราวนี้ความปั่ นป่วนวุ่นวายในร่างมันไม่บังเกิดปฏิกิริยาตอบโต้
เขิงอี้พลันรู้สึกตัว ตระหนักว่าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ใด รีบ
ระงับยับยั้งพลังสภาวะอันกราดเกรี้ยวของตน จั่วม่อค่อยรู้สึกว่าร่า งผ่อน
คลายลง สามารถหายใจหายคอได้อีกครั้ง
ปิ ศ าจด่ า นเจี ย งที่ ค รอบครองสั ง ขารปิ ศ าจ ช่ า งมี พ ลั ง อ านาจน่ า
สะพรึงกลัวนัก!
จั่ ว ม่ อ ในใจตื่ นตระหนกสุ ด ระงั บ ได้ ยิ น เขิ ง อี้ ก ล่ า วด้ ว ยเสี ย งต่ า ลึ ก
“ผู้น้อยเชื้อเชิญอาจารย์ปลุกปิศาจมามากกว่าหนึ่งร้อยคน แต่มีเพียงจั่ว
เซียนเซิงผู้เดียวที่สามารถระบุต้นสายปลายเหตุได้อย่างถ่องแท้ ผู้น้อยนับ
ถือเลื่อมใสยิ่ง จั่วเซียนเซิงในเมื่อตรวจวิเคราะห์ถูกต้อง เช่นนั้นจั่วเซียน
เซิงจะต้องมีหนทางรักษา”
จั่ ว ม่ อ กั ด ฟั น กล่ า วว่ า “กล่ า วตามความสั ต ย์ ผู้ น้ อ ยก็ เ พิ่ ง เคยเห็ น
อาการเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าสามารถระบุต้นสายปลายเหตุ แต่หากให้
คิดหาหนทางรักษา ผู้น้อยก็ไม่มีความมัน
่ ใจแม้แต่น้อย”
เขิงอี้แย้มยิ้ม “จั่วเซียนเซิงถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
เขิ ง อี้ แ ม้ ก าลั ง แย้ ม ยิ้ ม แต่ จ่ั ว ม่ อ รู้ สึ ก ว่ า รอยยิ้ ม นั้ น เย็ น เยี ย บเสี ย
เหลือเกิน
จั่วม่อทราบดีว่าเรื่องนี้มันไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้ ความคิดหมุนเร็วรี่ไม่
หยุดยั้ง กล่าวสืบต่อว่า “ผู้น้อยไม่ได้ถ่อมตัวจริง ๆ แม้ว่าอาการเช่นนี้ผู้น้อย
เพิ่งจะเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก แต่กลับได้ยินได้ฟังมาไม่น้อย ฟังว่าเป็น
อาการที่ไม่สามารถรักษาได้”
“ไม่สามารถรักษาได้!” เขิงอี้ตะลึงงัน ดวงตาทอประกายโศกเศร้าวูบ
หนึ่ง แต่เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
จั่ ว ม่ อ สะท้ า นใจวู บ ความสามารถในการควบคุ ม อารมณ์ ข องเผ่ า
ปิศาจช่างน่าอัศจรรย์ใจโดยแท้!
“ผู้น้อยเชื่อว่าจั่วเซียนเซิงจะต้องมีหนทาง” เขิงอี้เน้นเสียงอย่างแช่ม
ช้า
จั่วม่อทราบว่าช่วงเวลาสาคัญที่สุดมาถึงแล้ว มันกล่าวอย่างเยือกเย็น
ว่า “ผู้น้อยพอมีความคิดอยู่บ้าง แต่เป็นไปได้หรือไม่ยังต้องทดลองดูก่อน
ทว่าวาจาขอกล่าวไว้ล่วงหน้า หากเจี้ยจู่ต้องการให้ผู้น้อยทดลองดู ท่าน
ต้องมีความอดทนให้มากไว้ ชีวิต ธิดาท่านเป็นสิ่งส าคัญ ไม่อาจทดลองดู
พร่าเพรื่อ ความคิดนี้ยังต้องการการทดสอบเป็นจานวนมาก”
ได้ ฟั ง ประโยคที่ ต้ อ งการ เขิ ง อี้ แ ย้ ม ยิ้ ม พลางกล่ า ว “ย่ อ มต้ อ งเป็ น
เช่ น นั้ น ข้ า จะสั่ ง การลงไป ให้ อ านวยความสะดวกแก่ จ่ั ว เซี ย นเซิ ง อย่ า ง
เต็มที่ แต่เพื่อให้จ่ัวเซียนเซิงสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องรบกวนจั่ว
เซียนเซิงพานักอยู่ในเมืองศิลาสักระยะหนึ่ง”
จั่วม่อก็คาดไว้ แล้ วว่ าต้ องเป็น เช่นนี้ จึงพยักหน้าพลางกล่ า ว “ไม่ มี
ปัญหา”
ท่าทีรู้ความของจั่วม่อทาให้เขิงอี้พึงใจยิ่ง มันเชื่อว่าขอเพียงจั่วม่อถูก
จากัดอยู่แต่ในตาหนัก ย่อมไม่กล้าเล่นลูกไม้ใด
จากนั้ น จั่ ว ม่ อ ถู ก น าตั ว ไปยั ง ที่ พ านั ก ซึ่ ง อยู่ ไ ม่ ห่ า งออกไปเท่ า ใด
มิหนาซ้ายังจัดปิศาจด่านถงหลิง่ สองตนยืนเฝ้าระวังที่หน้าประตู
ถึงตอนนี้จ่ว
ั ม่อค่อยได้ถอนหายใจโล่งอก
พลั ง อ านาจระดั บ สูง ที่ ส ามารถสะกดข่ม พลัง อ านาจระดั บ ต่ า อย่าง
สมบู ร ณ์ มั น เพิ่ ง จะเคยได้ รั บ รู้ อ ย่ า งลึ ก ซึ้ ง ก็ ค ราวนี้ เ อง หากมิ ใ ช่ ว่ า มั น มี
หัวใจอันแกร่งกร้าวเกินคน เมื่อเผชิญหน้ากับจอมปิศาจเช่นเขิงอี้ เกรงว่า
ต้องเสียการควบคุมจิตใจไปแต่แรกแล้ว
อย่า งไรก็ต าม พอหวนนึก ถึง สองปิศ าจด่ านถงหลิ่ง ที่ห น้ าประตู จั่ ว
ม่อฝืนยิ้มเจื่อนขม คราครั้งนี้แม้แต่จะหลบหนีก็ไม่มีปัญญาแล้ว
ต่อให้ฟนฟู
ื้ พลังฝีมือดังเดิม ยังคงไม่มีหวัง
เขิงอี้เป็นจอมปิศาจด่านเจียง ทั้งยังครอบครองสังขารปิศาจเขี้ยวขาว
เพียงพอจะสยบจั่วม่ออย่างราบคาบ
จั่วม่อสายตาเลื่อนไปยังใบหน้าไร้ความรู้สึกของอากุ่ย ไม่ทราบเพราะ
เหตุใด จู่ ๆ มันหวนนึกถึงเท้าเปล่าอันงดงามชวนตะลึ งลาน ที่มันมองเห็น
ผ่านเรือนผมที่สะบัดพลิว
้ ไปตามสายลมทะเลทราย
บนพื้นหินหยาบกระด้าง เท้าเปล่างดงามละเอียดอ่อนคู่นั้นทั้งไร้ ที่ติ
และน่าดู เพียงแต่เท้าเปล่าคู่เดียวกันนี้เอง ท่ามกลางสายลมและเม็ดทราย
เหลี่ ย มคม ทุ ก ย่ า งก้ า วสั่ น ระริ ก ด้ ว ยภาระที่ แ บกอยู่ บ นหลั ง แต่ ยั ง คง
พยายามก้าวต่อไปอย่างไม่รู้จักเจ็บปวดหรือเหนื่อยล้า
นางแบกมันก้าวไปทีละก้าว ทีละก้าว ไม่เคยหยุดยั้งหรือทอดทิ้งมัน
ยามนั้นสายตาส่วนใหญ่ของมันถูกบดบัง เห็นภาพเพียงส่วนเสี้ยว แต่
ส่วนเสี้ยวภาพเหล่านี้ช่วยให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น
จั่วม่อดวงตาสาดประกายเจิดจ้า อารมณ์ขุ่นมัวหดหู่ปลิวหายวับ เต็ม
ไปด้วยกาลังวังชา สถานการณ์เลวร้ายเบื้องหน้าไม่ได้ทาให้มันท้อแท้ มัน
เชื่อมั่นว่าสามารถทลายอุปสรรคเหล่านี้ได้
อากุ่ย ... ... ข้าจะต้องพาเจ้าออกไปจากที่นี่ให้จงได้!
จั่วม่อสัตย์สาบานกับตัวเอง
มันเริ่มใคร่ครวญสถานการณ์เฉพาะหน้า แม้ว่ามันจะติดอยู่ในกรงขัง
แต่ ยั ง มี ช่ อ งว่ า งให้ พั ก หายใจหายคอ ภายในระยะเวลาอั น สั้ น มั น ไม่
จาเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย
ระยะเวลาจ านวนนี้ เ พี ย งพอให้ มั น กระท าเรื่ อ งราวบางประการ...
เรื่องราวที่อาจจะช่วยให้มันพลิกสถานการณ์ได้

ปาลามองดู ร ายการสิ น ค้ า ในมื อ เจ็ บ ปวดใจจนแทบอยากตาย


นับตั้งแต่ที่อาจารย์ปลุกปิศาจแปลกประหลาดผู้นั้นมาถึง วัต ถุดิบนับไม่
ถ้วนก็อันตรธานหายไปจากคลังสินค้าของมัน ปาลาผู้นี้เป็นพ่อบ้านของ
เจี้ยจู่ ทุกครั้งที่ต้องอนุมัติรายการเหล่านี้ แม้ว่าเจี้ยจู่จะกาชับไว้ล่วงหน้าว่า
ให้ ต อบสนองความต้ อ งการของอี ก ฝ่ า ยให้ ดี ที่ สุ ด มั น ยั ง อดเจ็ บ ปวดใจ
เหมือนถูกมีดกรีดกลางใจไม่ได้
อย่างไรก็ต าม มันไม่กล้าก่อปัญหาให้กับรายการเบิกวัตถุดิบเหล่านี้
แต่ไหนแต่ไรมาทุกผู้คนล้วนทราบกระจ่างถึงความรักใคร่หวงแหนที่เจี้ยจู่
มีต่อคุณหนู หากเพราะเหตุนี้ทาให้เจี้ยจู่มีโทสะ สิ่งที่รอคอยมันอยู่ก็มีแต่
ความตายเท่านั้น
มันได้แต่กัดฟัน ตกลงส่งมอบวัตถุดิบออกไป
ปาลายั ง เข้ า ใจในตั ว จู่ เ หริ น ของมั น เป็ น อย่ า งดี เจี้ ย จู่ ห าใช่ ค นที่ ถู ก
หลอกลวงได้โดยง่าย เมื่อถึงเวลาหากอาจารย์ปลุกปิศาจบัดซบนี้ไม่อาจ
รักษาคุณหนูได้ มันจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!
ภายใต้เงื้อมมือของเจี้ยจู่ คิดใคร่ตายยังไม่ง่ายนัก!
บรรดาอาจารย์ปลุกปิศาจคนก่อน ๆ ไม่มีผู้ใดได้กลับออกไปทั้งที่ยังมี
ชีวิต
ที่ พ านั ก เล็ ก ๆ ของจั่ ว ม่ อ ยั ง มี ส องปิ ศ าจเฝ้ า ระวั ง อยู่ ต ลอดเวลา
เพี ย งแต่ พ วกมั น เพี ย งรั บ ผิ ด ชอบเฝ้ า ระวั ง ด้ า นนอก ไม่ ยุ่ ง เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่
เกิดขึ้นภายใน
“เจ้าจดจาแผนผังปิศาจที่ข้าสอนจนขึ้นใจแล้วหรือไม่ ?” จั่วม่อถาม
ข่าจั๋ว
“จดจาขึ้นใจแล้วขอรับ” ข่าจั๋วรับประกัน
“เช่นนั้นก็ล งมือเถอะ” จั่วม่อไม่เสียเวลากล่าวมากความ เวลาเป็น
ทรัพยากรสาคัญที่สุดสาหรับมันในตอนนี้
ข่าจั๋วเริ่มลงมือสลักแผนผังปิศาจหอยเปลือกเหล็กหมื่นชั้นลงบนมือ
ขวาของจั่ ว ม่ อ แผนผั ง ปิ ศ าจนี้ แ ม้ เ ป็ น แผนผั ง ปิ ศ าจด่ า นเจี้ ย ว แต่ ไ ม่
ซับซ้อนเท่าใด ข่าจั๋วใช้เวลาสองชั่วยามก็แล้วเสร็จ
จากนั้นข่าจั๋วนาหนึ่งในน้ายาที่ตระเตรียมเอาไว้ออกมา น้ายาเหล่านี้
พวกมันหลอมกลั่นจากวัตถุดิบที่รีดไถมาจากปาลาด้วยเหตุผลว่าพวกมัน
จะนาไปใช้ในการทดสอบ ข่าจั๋วจุ่มน้ายา เริ่มวาดทับลงบนแผนผังปิศาจ
ซ้าแล้วซ้าอีก
ความรู้สึกร้อนลวกแล่นผ่านมาจากฝ่ามือ จั่วม่อปิติยินดียิ่ง
ข่าจั๋วเปลี่ยนน้ายาไปเรื่อย ๆ ยังคงวาดทับซ้าแล้วซ้าเล่า
ความรู้สึกร้อนลวกแผดเผายิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นล าดับ จั่วม่อรู้สึกว่ามือ
ขวาของมั น ก าลั ง จะถู ก แผดเผาเป็ น เถ้า ถ่ า น มื อ ทั้ ง ข้ า งแดงฉานราวกั บ
เหล็กหลอมเหลว
ในที่สุดข่าจั๋วก็นาน้ายาขวดสุดท้ายออกมา เป็นน้ายาที่ส่องประกาย
เรืองรองด้วยแสงสีน้าเงินเยือกเย็น
เสี้ยวพริบตาที่ น้ายาสีน้าเงินกระทบถูกแผนผังปิศาจ ความรู้สึกเย็น
สบายก็ก่อตัวขึ้น จั่วม่อรู้สึกสุขสบายจนแทบครวญครางออกมา
น้ายาสีน้าเงินเยือกเย็นเมื่อทาทับลงบนแผนผังปิศาจ จะถูกแผนผัง
ปิศาจดูดซับเข้าไปในทันที
แผนผั ง ปิ ศ าจทั้ ง ผืน เปลี่ย นเป็ นสีน้ า เงิ นเยือ กเย็น อย่ า งรวดเร็ ว ปก
คลุมมือขวาของจั่วม่อทั้งหมด
ร อ จ น น้ า ย า ส่ ว น สุ ด ท้ า ย ซึ ม ห า ย เ ข้ า ไ ป ใ น แ ผ น ผั ง ปิ ศ า จ เ ห ตุ
เปลี่ยนแปลงก็อุบัติขึ้น!
บทที่ 549 กองกาลังภูเขามังกร

ขบวนของซู่หลงเผชิญปัญหายุ่งยาก
ปิศาจหลายกลุ่มกาลังจดจ้องพวกมันตาเป็นมัน จิต เจตนาประสงค์
ร้ายย่อมเป็นที่เห็นได้ ปิศาจที่เป็นผู้นาร้องตวาดอย่างโอหังลาพองว่า “ฟัง
เหยียให้ดี วางทรัพย์สินและม๋อเป้ยครึ่งหนึ่งไว้ที่นี่ แล้วเหยียจะไว้ชีวิตพวก
เจ้า แต่หากพวกเจ้าไม่ไว้หน้าเหยีย เหยียก็จะไม่เกรงอกเกรงใจแล้ว”
ซู่หลงมองไปยังเพื่อนร่วมคณะที่มีประสบการณ์มากกว่าผู้ใด เยี่ยหลิง
ก่อนการเดินทางครั้งนี้ ในคณะนอกจากเยี่ยหลิงแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดเคยมา
เยือนภพปิศาจมาก่อน
เยี่ยหลิงสีหน้าไม่สู้ดี ลดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ “พวกมันเป็นโจร
ในละแวกนี้สมควรไม่มีขุมกาลังที่ครองอานาจ เป็นเหตุให้พวกโจรเข้ายึด
พื้นที่โดยง่าย”
“โจร?” ซู่หลงงงงันวูบ “ในภพปิศาจก็มีโจรเหมือนกันหรือ?”
เยี่ยหลิงสีหน้ากระอักกระอ่วน “มีมากทีเดียว” จากนั้นอารมณ์พลุ่ง
พล่านขึ้นมาทันที กล่าวอย่างเร่าร้อน “ดังนั้นพวกเราจึงต้องการเจ้าเหนือ
หัวของเรา มีเพียงเหนือหัวของเราเท่านั้นจึงสามารถนาสันติสุขมาสู่ใต้หล้า
อีกครั้ง!”
ซู่หลงพอฟังให้สบใจนัก ตบบ่าเยี่ยหลิงอย่างหนักแน่น “พูดได้ดี!”
อย่างฉับพลันทันใด ซู่หลงเรียกศาสตรามารประจาตัวออกมา กล่าว
อย่างเคร่งขรึม “แสงสว่างของต้าเหรินสาดส่องมาไม่ถึงสถานที่นี้ เช่นนั้น
เราจะเบิกทางให้แก่ต้าเหรินเอง!”
ในคณะที่มาด้วยกันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนชั้นสุดยอดในบรรดายอด
ฝีมือค่ายเว่ย ที่ผ่านมาพวกมันเพียงจงรักภักดีต่อจั่วม่ออย่างสุดจิตสุดใจ
แต่ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายหรือจิตปณิธานใด ทว่านับตั้งแต่เยี่ยหลิงปรากฏตัว
ขึ้น ปิศาจที่คลั่งไคล้ขั้นสุดผู้นี้ช่วยให้ค่ายเว่ยได้ย้อนกลับมาประเมินตัวเอง
อีกครั้ง
จิต ปณิธ าน สิ่งที่มีคุณค่าพอให้อุทิศตน ส าหรับค่ายเว่ย เหล่าผู้คนที่
เคยเป็นเพียงทาสฝึกตน ผ่านพบความยากลาบากแสนสาหัส ถ้อยคาอันโอ่
อ่าเหล่านี้ไม่ต่างจากแสงสว่างสาดส่องนาทางท่ามกลางโลกอันมืดมิด
เป็นธรรมดาที่พวกมันต้องคิดว่ามีทาสฝึกตนมากมายที่ยังคงมีชีวิต
น่าอเนจอนาถ ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างแทบไม่ เป็นผู้เป็นคนเหมือนเช่นพวก
มันในครั้งนั้น
องครักษ์ ทุกข์ยากทั้งหมดเชื่อมั่นอย่างเต็ม เปี่ ยม มีเพียงแต่ต้าเหริน
เท่ า นั้ น ที่ ส ามารถช่ ว ยเหลื อ เหล่ า ทาสฝึ ก ตนให้ พ้ น จากชะตากรรมอั น
เลวร้าย พวกมันไม่ว่าไปยังที่ใด ขอเพียงเป็นดินแดนในปกครองของจั่วม่อ
จะไม่มีทาสฝึกตนอีก
อย่างเงียบเชียบ ค่ายเว่ยเริ่มตั้งจิตปณิธานอันเรียบง่ายของพวกมัน
คนผู้เดียวที่ค้นพบความเปลี่ยนแปลงคือแม่นางน้อย แต่แม่นางน้อย
รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เลว ถึงกับเป็นสิ่งที่ดีเสียด้วย กองทัพที่มีจิต
ปณิ ธ านมั ก จะถื อ ครองพลัง อ านาจอั น กล้า แกร่ ง อย่า งน่ า อั ศ จรรย์ เนื่ อ ง
เพราะพวกมันจะมุ่งมั่นและคอยเคี่ยวเข็ญตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เห็นซู่หลงกับพวกตั้งท่าคิดลงมือต่อสู้ บรรดาปิศาจที่ขวางทางพากัน
แตกตื่นประหลาดใจ
“ช่างขวัญกล้าบังอาจนัก! หรือเจ้าไม่ทราบว่าเหยียเป็นใคร? เหยียมา
จากกองกาลังภูเขามังกรอันโด่งดัง! กระทั่งเด็กร่าไห้ยังต้องหยุดร้อง! ฮึ่มฮึ่ม
กล้าขัดขืนรึ? เหยียจะสั่งสอนให้เจ้าทราบว่าอันใดเรียกว่าการสังหารหมู่...
...” ปิศาจที่เป็นหัวหน้าแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา
ซู่ห ลงแม้แต่ต ายังไม่กะพริบ ชุดเกราะหนาหนักพลันปรากฏขึ้ น บน
ร่าง
บรรดาองครักษ์ทุกข์ยากด้านหลังมันพากันเรียกชุดเกราะประจ าตัว
ออกมาอย่ า งพร้ อ มเพรี ย ง ซู่ ห ลงถื อ ง้ า วใหญ่ ใ นมื อ ปลายง้ า วที่ เ หมื อ น
จะงอยปากนกแดงฉานดุจแช่ด้วยโลหิต
ซู่ห ลงทราบแน่แก่ใจว่ าความสามารถในฐานะแม่ทั พบั ญชาการศึ ก
ของมั น สามั ญ ธรรมดายิ่ ง เที ย บไม่ ไ ด้ กั บ แม่ น างน้ อ ยผู้ เ ป็ น ยอดแม่ ทั พ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพิชัยยุทธ์หรือกระบวนทัพค่ายกลใดที่ผูเยาหรือเว่ยเรียก
ให้มันฝึกฝน มันจะต้องฝึกฝนให้สาเร็จสมบูรณ์อย่างเข้มงวดกวดขัน
เข้มงวดกวดขันจนถึงขั้นสุดยอด!
แม้ว่าจะเป็นการเดินทางปกติ พวกมันก็จะรักษารู ปขบวนทัพเอาไว้
ต่อให้พวกมันเพียงเดินจากค่ายพักไปยังสนามฝึก พวกมันก็ยังจะรักษารู ป
ขบวนทัพอย่างเคร่งครัด
ในการเดินทางไกลครั้งนี้ พวกมันก็ยังคงรักษารูปขบวนทัพตามปกติ
สิ่งที่ผูเยากับเว่ยต้องการจากค่ายเว่ย คือพวกมันจะต้องเร่งเร้าพลัง
ของกระบวนทัพค่ายกลเสร็จสิน
้ พร้อมรบภายในสองลมหายใจ ซู่หลงกลับ
รู้สึกว่ามันไม่มีความสามารถ และต้องการเวลาในการรับมือศัต รู มากขึ้น
ดังนั้นยังคงฝึกฝน จนกระทั่งลดระยะเวลาเหลือเพียงครึ่งลมหายใจ
นี่เป็นมาตรฐานอันสูงล้า จนแม้แต่ผูเยากับเว่ยยังต้องตกตะลึง
ในเวลานี้ เ อง มาตรฐานอั น สู ง ส่ ง นี้ ถึ ง คราส าแดงอานุ ภ าพให้ ช น
ชาวโลกได้ประจักษ์
อีกฝ่ายยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยคด้วยซ้า ค่ายกลปิศาจสังหารภูต
อีกาพลันระเบิดพลังฤทธิ์ ค่ายกลปิศาจสังหารภูตอีกาซึ่งต้องใช้องครักษ์
ทุกข์ยากอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน เป็นกระบวนทัพที่พวกมันเชี่ยวชาญที่สุด
ไอหมอกสี ด าพวยพุ่ ง ออกจากร่ า งของบรรดาองครั ก ษ์ ทุ ก ข์ ย าก
ประดุจลูกธนู รวมรั้งเข้าหาซู่หลงด้วยระดับความเร็วอันชวนสะท้านใจ
ครึ่งลมหายใจ!
ซู่หลงผู้ปกคลุมด้วยหมอกควันดาทมิฬไม่รีรอลังเล สะกิดเท้าพุ่งลิ่วไป
เบื้องหน้าอย่างฉับพลัน ง้าวทมิฬดาตวัดฟันกวาดอย่างหักโหม!
“ฆ่า!”
หมอกดาที่ห่อหุ้มร่างพลันทะลักทลายไปยังง้าวทมิฬ กลายเป็นพลัง
ง้าวรู ปจันทร์เสี้ยวดาทะมึน แหวกฝ่าอากาศเสียงแหลมสูง ฟันใส่กลุ่มศัตรู
อย่างกราดเกรี้ยว!
“บังอาจนัก!” ปิศาจหัวหน้ากลุ่มโจรทั้งเดือดดาลทั้งตื่นตระหนก มัน
ร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถึงกับชิงลงมือก่อนจริง ๆ กระบวนทัพของ
ค่ายเว่ยผนึกรวมรัง้ รวดเร็วเกินไป กระบวนท่าของซู่หลงก็มาเร็วเกินไป รอ
จนพลั ง ง้ า วด าสนิ ท ฟาดฟั น มาถึง ตรงหน้า พวกมั น ค่ อ ยบั ง เกิ ด ปฏิ กิ ริ ยา
ตอบสนอง
พลังง้าวทมิฬรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ!
พลังง้าวเมื่อฟาดฟันมาถึงกลุ่มโจรปิศาจเคราะห์ร้าย พลังงานสีดาที่
ตอนแรกฟันออกมาจากง้าวยังมีขนาดเพียงไม่กี่ฉ่ อ
ื ยามนี้ถึงกับขยายใหญ่
มหึมาเกินยี่สิบจั้ง!
พลังง้าวรูปจันทร์เสี้ยวมหึมาที่ไม่ต่างจากคมเคียวแห่งยมทูต!
ฟาดฟันใส่ทุกสิ่งที่ขวางอยู่เบื้องหน้า!
เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง!
ไม่ว่าโจรหน้าไหนเมื่อถูกพลังง้าวทมิฬฟันใส่ ล้วนปลิวลิ่วดุจว่าวสาย
ป่านขาด เลือดเนื้อสาดกระเซ็น เป็ น ฟูฝ อยกลางอากาศ พวกมันกระทั่ ง
เวลาจะกรีดร้องยังไม่มี ก็ถูกเสียงคารามกระหึ่มก้องของพลังง้าวกลบกลืน
ลงไป
จากนั้นเสียงกระหึ่มจางหาย พลังง้าวมฤตยูสลายไป
บนพื้นดินเต็มไปด้วยเลือดเนื้อเลอะเลือน เศษชิ้นส่วนร่างกายและ
แขนขาฉีดขาดกระจายเกลื่อน กระทั่งพื้นดินที่พลังง้ าวดากวาดใส่ยังถู ก
แผดเผาจนดาเกรียม ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลือ
ภาพอันน่าขนพองสยองเกล้านี้ทาเอาทุกผู้คนตะลึงพรึงเพริด
เห็นกองกาลังปิศาจฝั่ งตรงข้าม บริเวณใจกลางขาดหายไป กลายเป็น
ช่ อ งว่ า งขนาดใหญ่ ม หึ ม า กลุ่ ม โจรปิ ศ าจที่ เ มื่ อสั ก ครู่ ยั ง เคยยื น อยู่ ต รง
ช่องว่างนั้นล้วนหายไปหมดสิ้น หรืออาจกล่าวว่ากลายเป็นเลือดเนื้อเลอะ
เลือนไปหมดแล้วจึงจะถูกต้องกว่า บรรดาปิศาจกองโจรที่เหลือรอดสีหน้า
ทอแววประหนึ่งโลกกาลังจะล่มสลาย พลังง้าวสีดาขณะที่ฟาดฟันสหาย
ของพวกมั น ดั บ สู ญ ไปมากมาย ในสายตาของพวกมั น เห็ น แต่ ค วามมื ด
ทะมึนราวกับว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นค่าคืนอย่างกะทันหัน!
กลิน
่ คาวโลหิตตลบอบอวล ปกคลุมทั่วบริเวณ ยิง่ เพิม
่ ความหวาดผวา
สุดระงับ เหล่าโจรเย็นเฉียบไปถึง ก้นบึ้ งหัว ใจ ในประวัติศาสตร์ข องกอง
กาลังภูเขามังกร พวกมันไม่เคยพบพานคู่ต่อสู้ที่น่าขนพองสยองเกล้าถึง
เพียงนี้มาก่อน
หรือว่าคนเหล่านี้คือกองทัพชัน
้ ยอดจากที่ใดสักแห่ง?
แม้ แ ต่ ค นโง่ ง มที่ สุ ด ยั ง บอกได้ ชั ด เจน ว่ า คราครั้ ง นี้ พ วกมั น เตะถู ก
กระดานเหล็กเข้าให้แล้ว สภาพอเนจอนาถของบรรดาสหายที่แยกไม่ออก
ว่าใครเป็นใคร ช่วยให้พวกมันซาบซึ้งไปถึงทรวงว่ากองกาลังร้อยกว่าคนนี้
ดุดันอามหิตถึงเพียงไหน!
ตูม!
กลุ่มโจรที่เหลือล้วนตอบสนองเช่นเดียวกัน แตกฮือหลบหนีอย่างไม่
คิดชีวิต!
ซู่หลงซึ่งกาลังจะลงง้าวที่สอง ต้องชะงักมือทันที พฤติการณ์อ่อนแอ
ขลาดเขลาของศัตรูเป็นที่ดูแคลนของพวกมันนัก
“กองกาลังภูเขามังกร... ...ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าไฉนพวกเราไม่ เคย
ได้ยินชื่อพวกมัน... ...” บางคนพึมพาอย่างเหยียดหยาม
การลงมืออันเกรี้ยวกราดดุ ดันของค่ ายเว่ยมิ เพียงข่มขู่ศัต รู จ นขวั ญ
กระเจิง กระทั่งผู้คนของฝ่ายมันเองยังไม่เว้น ส าหรับเหล่าอสูรบุปผายัง
พอท าเนา พวกมั น เคยเห็ น ความดุ ดั น ของค่ า ยจู เ ชวี่ ย มานั บ ครั้ ง ไม่ ถ้ ว น
เพียงเท่านี้จึงไม่นับเป็นอะไรได้ คนเหล่านั้นยังบ้าคลั่งยิ่งกว่าค่ายเว่ ยเสีย
อีก
แต่ ส าหรั บ หนานเยว่ คั ง เจ๋ อ และอสู ร อื่ น ๆ รวมไปถึ ง เยี่ ย หลิ ง ล้ ว น
ตะลึงลานจนตาค้าง!
ไม่ซักถาม ไม่ทักทาย พวกมันไม่รอให้ผู้อ่ น
ื กล่าววาจาจบประโยคเสีย
ด้วยซ้า ไม่มีคาเตือน เพียงฟาดฟันรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ เหี้ยมหาญดุดัน
สุดเปรียบปาน!
นี่มันเครื่องจักรสังหารอันไร้ปราณีชัด ๆ!
เยี่ ย หลิ ง ในฐานะปิ ศ าจสายเลื อ ดแท้ ย่ อ มเคยพบเห็ น ค่ า ยกลปิ ศ าจ
สังหารภูตอีกามาบ้าง แต่ค่ายกลปิศาจสังหารภูตอีกาที่เหี้ยมหาญดุ ดันถึง
เพียงนี้ กลับเพิ่งจะเคยพบพานเป็นหนแรก!
สมกับที่เป็นกองทัพหลักของเจ้าเหนือหัว!
มันเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใสจนแทบจะเป็นคลั่งไคล้ และเมื่อ
หวนนึกถึงกองทัพของตน ให้รู้สึกละอายใจนัก มันลอบตั้งใจแน่วแน่ รอจน
กลับไปจะต้องขอคาชี้แนะจากซู่ห ลงต้าเหรินให้จงได้ แบบฉบับการต่อสู้
อันเกรี้ยวกราดดุดันเช่นนี้ เป็นอาวุธ ร้ายที่มันเองก็คิดใคร่ครอบครอง! มี
เพียงการเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถเสริมสร้างพลังอานาจส าหรับ
ครองใต้หล้าให้แก่องค์ราชันของมันได้!
กระทั่งเยี่ยหลิงยังเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงพวกหนานเยว่ คังเจ๋อกับ
คนอื่น ๆ แล้ว แต่ละคนตกตะลึงจนตัวชา ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้กันไปหมด
กับการที่ค่ายเว่ยถูกเว่ยปล้นชิงไปซึ่งหน้า ผูเยายังคงคุมแค้นมาจนถึง
ทุกวันนี้ ความขุ่นเคืองนี้ย่อมพลอยฟ้าพลอยฝนมาถึงหนานเยว่กับพวก
ด้วย ทาให้พวกมันเชื่อว่าค่ายเว่ยเป็นคู่แข่งของพวกมัน
ดังนั้นระหว่างทาง หนานเยว่กับพวกมักจะลอบสังเกตสังกากองทัพ
ค่ายเว่ยของซู่หลงอยู่เป็นประจา
ก่อนเกิดเรื่อง พวกมันไม่เคยพบสิ่งใดเป็นพิเศษเกี่ย วกั บซู่ห ลงและ
ไพร่ พ ลค่ า ยเว่ ย แต่ ชั่ ว พริ บ ตาที่ ก องทั พ ค่ า ยเว่ ย เร่ ง เร้ า พลั ง ลงมื อ จู่ โ จม
หนานเยว่กับพวกพลันรู้สึกราวกับว่าชมดูสัตว์ร้ายที่เชื่องเชื่อตัวหนึ่งจู่ ๆ ก็
สยายเขี้ยวเล็บดุร้ายแหลมคม เตรียมขย้า คอหอยผู้คน สลัดคราบปกปิด
ซ่อนเร้น เผยสัญชาติญาณกระหายเลือดออกมาอย่างแท้จริง!
ความตื่นตะลึงที่ได้รับจากกระบวนการทั้งหมดนี้ ทาให้พวกมันมือเท้า
เย็นเฉียบ หน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
ไม่ว่าจะเป็นหนานเยว่ คังเจ๋อหรือหมิงเจวี๋ยจื่อ เมื่อเทียบกับค่ายเว่ยที่
ต่อสู้เข่นฆ่ามาตลอดทางและปีนป่ายขึ้นมาจากกองซากศพ พวกมันก็เรียก
ได้ว่าเติบโตขึ้นมาอย่างสงบสุข ระดับประสบการณ์แทบไม่ต่างจากทารก
น้อย
“ร้ายกาจยิง่ ... ...” คังเจ๋อกลืนน้าลายอย่างฝืดคอ สีหน้าเขียวคล้า
หมิงเจวี๋ยจื่อฝืนยิ้มขื่น “ต้าเหรินช่างสรรหาคู่แข่งอันยอดเยี่ยมให้แ ก่
เราเสียจริง!”
หนานเยว่บนใบหน้ายังหลงเหลือร่องรอยประหวั่นพรั่นพรึง แต่นาง
ขบริมฝีปาก กล่าวอย่างดื้อดึง “เราต้องพยายามให้มากกว่านี้!”
พวกมันในที่สุดก็กระจ่างใจว่าผูเยาไฉนตั้งข้อเรียกร้องต่อพวกมันสูง
นั ก ยามนี้ ไ ม่ ว่ า ความคิ ด คั ด ค้ า นหรื อ ว่ า ไม่ พอใจที่ เ คยมี ต่ อ หน้ า พลังอัน
แกร่งกล้าปานสยบใต้หล้าของพวกซู่หลง ล้วนอันตรธานหายไปทันควัน!
พวกมั น แม้ ไ ม่ ก ล่ า วออกจากปาก แต่ ใ นใจของแต่ ล ะคนมุ่ ง มั่ น เด็ ด
เดี่ยว พวกมันจะต้องเพียรพยายามให้มากขึ้นอีก!
ซู่ ห ลงโดยธรรมชาติ แ ล้ ว ไม่ ใ ช่ บุ ค คลอั น ปราดเปรื่ อง ปฏิ กิ ริ ย า
ตอบสนองไม่ได้เฉียบไวนัก เห็ นฝ่ายตรงข้ามพากันหลบหนีอย่างลนลาน
มันก็ไม่ไปไล่ล่าให้เสียเวลา
“ไปกันเถอะ เราต้องรีบเดินทางให้เร็วกว่านี้” ซู่หลงกล่าวเสียงลึก
เยี่ยหลิงคืนสติในบัดดล พยักหน้ารับคา “ใช่ รีบไปพบองค์ราชันเป็น
สิ่งสาคัญที่สุด!”
ขบวนคาราวานเริ่มออกเดินทางอีกคารบ เหตุการณ์ที่กระทั่งไม่อาจ
เรียกว่าเป็นการต่อสู้เมื่อครู่นี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกมันเลย พวกมัน
เพียงหวังว่าจะสามารถบรรลุถึงอาณาจักรเศษหินโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม พวกมันต้องคิดไม่ถึงเป็นแน่ ว่าสถานที่ที่พวกมันกาลัง
เดินทางผ่าน เป็นอาณาจักรแห่งโจรอย่างแท้จริง!
ข่าวที่ว่าพวกมันทาลายล้างกองกาลังภูเขามังกรแพร่สะพัดไปทั่ว ดุจ
โยนก้อนหินลงไปในน้า ก่อให้เกิดระลอกตามมาไม่ขาดสาย

แสงสีน้าเงินอันเงียบสงบบนมือขวาของจั่วม่อสาดแสงเจิดจ้าบาดตา
ส่องสว่างไปทั้งห้อง
แสงสีน้าเงินนี้ก่อกาเนิดขึ้นจากการปะทะชนกันของกระแสพลังอัน
ปั่ นป่วนภายในร่างมัน แผ่ซ่านออกมาจากแผนผังปิศาจอย่างต่อเนื่อง การ
ชนกันในยามนี้เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของพลังในร่าง
มัน หาใช่การปะทะชนอย่างมีรูปแบบตามปกติเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
การปะทะชนเช่ น นี้ เ ป็ น เรื่ องที่ อ ยู่ น อกเหนื อ ความคาดหมายของ
จั่วม่อ แต่มันแทนที่จะตื่นตระหนก กลับแตกตื่นยินดีอย่างบอกไม่ถูก
หลั ง จากสลั ก แผนผั ง ปิ ศ าจลงไปแล้ ว ต้ อ งพึ่ ง พากระบวนการที่
คล้ายคลึงกับการปลุกแผนผังปิศาจ เพื่อกระตุ้นให้แผนผังปิศาจเริ่มสาแดง
ฤทธิ์ มีเพียงหลังจากปลุกแผนผังปิศาจแล้วเท่านั้น การเชื่อมโยงระหว่าง
แผนผังปิศาจกับเลือดเนื้อจึงค่อยขมวดเข้าหากัน กลายเป็นผูกพันแนบชิด
ทีละน้อย
ยามนี้ ก ระแสพลั ง ที่ โ คจรอย่ า งผิ ด ปกติ โถมทะลวงเข้ า ใส่ แ ผนผั ง
ปิศาจหอยเปลือกเหล็กหมื่นชั้นอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นช่วยให้แผนผังปิศาจ
ผสานเข้ากับเลือดเนื้อร่างกายของมันอย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ
กระบวนการทั้งหมดดาเนินไปอย่างต่อเนื่องสองชั่วยามเต็ม ก่อนที่
แสงสีน้าเงินจะค่อย ๆ มืดมัวลง จากนัน
้ เลือนหายไป
จั่วม่อสัมผัสได้ชัดเจนว่ามือขวาของมันแข็งแกร่งทนทานจนถึงขั้นที่
ไม่อาจจินตนาการได้ในอดีต ถึงกับรู้สึกว่ าหากยามนี้มันใช้มื อเปล่ า ต้ า น
ปะทะกระบี่บินตรง ๆ มันจะไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
นี่ทาให้จ่ว
ั ม่อเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างล้นเหลือ
บั ด นี้ เ หลื อ เพี ยงการชั ก น ากระแสพลัง ปั่ นป่ว นภายในร่ า ง ไปยั ง มือ
ขวาที่แกร่งดุจหินผา
นี่เป็นขั้นตอนที่สาคัญที่สุด!
จั่วม่อแม้จิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวสักปานใด ยังคงรู้สึกตึงเครียดกั ง วล
อย่างที่ยากจะพบพาน
สายตามั น หั น ไปมองใบหน้ า ของอากุ่ ย โดยไม่ รู้ ตั ว จากมุ ม นี้ มั น
มองเห็นปลายคางของอากุ่ยโดยบังเอิญ จั่วม่อพลันพบว่าผิวพรรณบริเวณ
คางของอากุ่ยเรียบลื่นนวลเนียน แตกต่างจากใบหน้าอย่างชัดเจน
การค้ น พบอย่ า งฉั บ พลั น นี้ กลั บ ช่ ว ยปั ด เป่ า ความตึ ง เครี ย ดกั ง วล
ออกไปจนหมดสิ้น
มันหัวร่อออกมา
หลังจากหัวร่อ จั่วม่อค่อยอารมณ์ผ่องใสขึ้น มันโยนอารมณ์ฟุ้งซ่าน
ออกไปจากใจ สมาธิจิตใจกลายเป็นจดจ่อถึงขีดสุด
มาเถอะ!
บทที่ 550 สาเร็จ!

กระแสพลังปั่ นป่วนยังคงพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ปะทะชนกันนับครั้งไม่


ถ้วน พลังสามขุมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกระแทกใส่กันอย่างต่อเนื่อง สิ่ง
ที่ทาให้มันตื่นตะลึงก็คือ ภายใต้การปะทะชนเช่นนี้ พลังทั้งสามขุมเติบโต
เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ความเร็วในการเติบ โตเพิ่มพูน อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้า ใจทั้ ง
มวลของจั่วม่อ
พวกมันดูเหมื อนจะแข็ง แกร่งขึ้น ทุ ก โมงยาม ไม่ว่าความเร็ ว ในการ
ฝึกปรือใดหากนามาเทียบด้วย ก็เรียกได้ว่าเชื่องช้าดุจเต่าคลาน
หากพลังฝึกปรือของมันเติบโตขึ้นด้วยระดับความเร็วเช่นนี้ในยามที่
ฝึกฝีมือ ไม่ทราบจะน่าสาราญใจถึงเพียงไหน!
ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจจั่วม่อ ก่อนที่มันจะสลัดทิ้งไปทันที ภยันตราย
ที่มาพร้อมกับการเติบ โตอันผิ ดปกตินี้ เพียงพอจะฆ่าซิวเจ่อ ทั่ว ไปให้ ต ก
ตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หากมิใช่ว่าจั่วม่อฝึกปรือพลังเทพ จนมีสภาพที่พลังทั้งสามเชื่อมโยง
สัมพันธ์กัน หากมิใช่ว่ามันมีแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นเป็นเครื่องถ่วงดุลอยู่
ภายในกาย หากมิใช่ว่ามันมีห ยดน้าลี้ลับเถาวัล ย์เขียวช่วยเยียวยารักษา
จากด้านในร่าง มันคงจะตกตายไปแล้วไม่ต่ากว่าสองสามร้อยหน
จั่วม่อค่อย ๆ ไขว่คว้ารูปแบบการเคลื่อนที่ของกระแสพลังทั้งหลายได้
ทีละน้อย การเติบโตอย่างบ้าคลั่งนี้เกิดจากการกระตุ้นซึ่งกันและกัน ของ
พลั ง ทั้ ง สาม ในเวลานี้พ ลังทั้ ง สามภายในร่ า งมัน ประหนึ่ง ขุมก าลังที่ เท่า
เที ย มกั น สามฝ่ า ย ไม่ ว่ า ฝ่ า ยใดเติ บ โตขยายตั ว จะชั ก น าอี ก สองฝ่ า ยให้
ขยายตัวตามไปด้วย
การเติบโตนี้ยังอยู่ในสภาพสมดุลที่ละเอียดอ่อนชนิดหนึ่ง
สภาพสมดุลอันละเอียดอ่อนเป็นเหตุผลที่ทาให้ร่างกายของจั่วม่อยัง
ไม่ ถู ก ท าลาย แต่ ก ระแสพลั ง ที่ อ าละวาดอย่ า งไม่ ห ยุ ด ยั้ ง นี้ ก็ ยั ง คงจู่ โ จม
ร่างกายของจั่วม่อด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่จ่ว
ั ม่อไม่อาจขยับตัวได้
แนวคิดของจั่วม่อไม่ลี้ลับซับซ้อน มันจะชักนากระแสพลังอันวุ่นวาย
เหล่านี้ไปยังมือขวาที่แข็งแกร่งทนทาน เพื่อลดภาระที่ร่างกายของมันต้อง
แบกรับ ช่วยให้ร่างกายของมันขยับได้อีกครัง้
แต่คิดบรรลุผลทุกอย่างนี้ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
ผูเยาสอนศาสตร์อสูรที่ต้องใช้ให้แก่จ่ัวม่อเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาก็
คื อ พลั ง จิ ต ส านึ ก ของจั่ ว ม่ อ แตกซ่ า นกระจั ด กระจาย ไม่ อ ยู่ ภ ายใต้ ก าร
ควบคุม เมื่อปราศจากพลังจิตสานึก มันไหนเลยจะมีปัญญาใช้ศาสตร์อสูร
ออกมาได้
ยามนี้สิ่งที่จ่ว
ั ม่อต้องทาให้ได้ก็คือ พยายามควบคุมพลังจิตสานึกเสี้ยว
เล็ก ๆ สักเสี้ยวหนึ่ง
นี่เป็นขั้นตอนที่ยากเย็นที่สุด ทั้งยังสาคัญที่สุด
โอกาสเดียวของจั่วม่อ จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันกระชั้นสิ้นยิ่ง นั่นคือ
ชั่วพริบตาที่แผนผังปิศาจหอยเปลือ กเหล็กหมื่น ชั้นจะผสานรวมเข้ า กั บ
เลือดเนื้อในมือขวาของมันอย่างสมบูรณ์ สมดุลอันละเอียดอ่อนในมือของ
มันจะถูกทาลายลงทันที! พลังสังขารส่วนนั้นจะผสานเข้ากับแผนผังปิศาจ
หลงเหลือเพียงพลังปราณกับพลังจิตสานึกที่เกาะเกี่ยวอยู่ด้วยกัน สิ่งที่จ่ัว
ม่อต้องทาก็คือแยกพลังทั้งสองออกจากกัน หาทางใช้พลังปราณที่ เ กาะ
เกี่ยวพัวพันอยู่กับพลังจิตสานึกให้หมดสิ้นไปเสียก่อน!
จากนั้นพลังจิตสานึกที่หลงเหลืออยู่ สมควรเพียงพอให้ใช้ศาสตร์อสูร
ที่ต้องการ
จั่วม่อประดุจนายพรานเฝ้ารอเหยื่อ อดทนรอคอยช่วงเวลาที่ ดี ที่สุด
อย่างใจจดใจจ่อ
ทั น ใดนั้ น เอง แผนผั ง ปิ ศ าจสาดแสงสี น้ า เงิ น เยื อ กเย็ น อ อก มา
ความสัมพันธ์ร ะหว่า งมื อขวาของมั นกั บ แผนผัง ปิศ าจหอยเปลือ กเหล็ ก
หมื่นชั้นทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ พลังสังขารที่อยู่ท่ามกลางพลังทั้งสามลดน้อย
ถอยลงอย่างรวดเร็ว
สมดุลพังทลาย!
เฝ้ารอโอกาสอยู่ทุกขณะจิต จั่วม่อลงมือในบัลดล!
ห้านิ้วมือขวากางออก ร่ายราอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว สะบัดจี้
แปรเปลี่ยนอย่างกระชั้นเร่งร้อน!
กระบวนท่าดรรชนี!
กระบวนท่าดรรชนีที่มันเคยฝึกปรือจนแทบล้มประดาตายที่หลังภูเขา
สุญตา บัดนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
“กระบวนท่าดรรชนี ?” ผูเยาประหลาดใจอยู่บ้าง เว่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็
ตกใจเช่ น กั น พวกมั น ไม่ มี ผู้ ใ ดคาดคิ ด ว่ า จั่ ว มื อ จะเลื อ กใช้ ก ระบวนท่ า
ดรรชนี
แต่สองตัวประหลาดเฒ่าปราดเปรื่องยิ่ง พลันเข้าใจในบัดดล โห่ร้อง
ชมเชยออกมาอย่างพร้อมเพรียง “วิธีการอันยอดเยี่ยม!”
ส าหรับซิวเจ่อที่เพิ่งเริ่มฝึกฝีมือ ล้วนเข้าใจความรู้ท่ัวไปข้อหนึ่ง นั่น
คือกระบวนท่าดรรชนีเป็นเครื่องชี้นาบนพื้นผิว และพลังปราณเป็นหัวใจ
สาคัญของการควบคุม กล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ กระบวนท่าดรรชนีเป็นเพียง
วิ ธี ก ารหนุ น เสริ ม และการควบคุ ม พลั ง ปราณจึ ง จะมี ป ระสิ ท ธิ ผ ลอย่ า ง
แท้จริง แต่นี่ยังหมายความว่าระหว่างกระบวนท่าดรรชนีกับพลังปราณ มี
ความเกี่ยวพันกันเป็นพิเศษ
ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ ในยามนี้ ในเมื่ อ พลั ง ปราณของมั น หลุ ด ออกจากการ
ควบคุมโดยสิ้นเชิง มันจึงใช้กระบวนท่าดรรชนีชี้นาพลังปราณแทน
สิ่งเหล่านี้ยามกล่าวง่ายดาย แต่คนที่สามารถคิดออกมาได้ เกรงว่ามี
เพียงไม่กี่คน ทุกผู้คนเข้าใจว่าหัวใจหลักควบคุมพื้นผิว แต่การใช้พ้ ืนผิ ว
ควบคุ ม หั ว ใจหลั ก ในสายตาของคนส่ ว นใหญ่ บั ง เกิ ด ประสิ ท ธิ ผ ลน้ อ ย
เกินไป กระทั่งผูเยากับเว่ยยังไม่เคยคิดถึงวิธีการนี้ ได้แต่เบิกตารอชมดูว่า
จั่ ว ม่ อ จะใช้ วิ ธี ก ารใดขจั ด พลั ง ปราณ ดั ง นั้ น เมื่ อพวกมั น เห็ น จั่ ว ม่ อ ใช้
กระบวนท่าดรรชนีออกมา จึงอดโห่ร้องชมเชยไม่ได้
ข่าจั๋วอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง มันไม่เคยเห็นดรรชนีที่คล่องแคล่ว
ประเปรียวถึงเพียงนี้มาก่อน ทั้งยังไม่เคยเห็นกระบวนท่าดรรชนีอัน เลิ ศ
พิสดารถึงปานนี้!
ประดุ จ ห้ า ดรรชนี ก าลั ง ร่ า ยร า ส าแดงกระบวนท่ า ดรรชนี อ ย่ า ง
ต่อเนื่องดุจเมฆล่องน้าริน
จั่ ว ม่ อ รู้ สึ ก ถึ ง การเปลี่ ย นแปลงในฝ่ า มื อ ในทั น ที พลั ง ปราณที่ เ กาะ
เกี่ ย วรั ด พั น อยู่ กั บ พลั ง จิ ต ส านึ ก ถู ก กระบวนท่ า ดรรชนี ป ลุ ก เร้ า ค่ อ ย ๆ
คลายตัวออกมาราวกับถูกดึงดูด ในที่สุดไหลผ่านนิ้วทั้งห้าของจั่วม่อออก
มา
ปลายนิ้วทั้งห้าของจั่วม่อค่อยๆ เปล่งแสงสว่าง ทีแรกยังคงเป็นเพียง
จุดแสงเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็น แต่ห้าดรรชนียิ่งกรีดวาดกระบวนท่า แสง
สว่างก็ยงิ่ เจิดจ้าขึ้น!
ดรรชนีท้ังห้าประหนึ่งแสงดาวสุกสว่างห้าดวง ยามที่กรีดวาดกลาง
อากาศ ก็วาดริ้วลาแสงพร่างพราวอันพิเศษเฉพาะ
เคล็ดเมฆฝนหล่นริน!
เวทวิชาที่จ่ว
ั ม่อคุ้นเคยมากที่สุด!
ท่ า มกลางแสงสว่ า งตั ด ไขว้ ป ระสาน กลุ่ ม หมอกจาง ๆ แผ่ ก ระจาย
อย่างเชื่องช้า กลุ่มหมอกค่อย ๆ กระจายตัวออกไป ห้าดรรชนียังคงสะบัด
พลิ้วไม่หยุดยั้ง เห็นริ้วแสงพราวพรายส่องลอดออกมาจากม่านหมอก เป็น
ภาพอันงดงามน่าดูชมไม่น้อย!
แต่จ่ัวม่อไม่ได้แบ่งแยกสมาธิจิตใจไปชื่นชมภาพอันงดงามที่ยากจะ
พบพานนี้ ความคิ ด ของมั นยั งคงจดจ่ อรวมรั้ งอยู่ กับ กระบวนท่ า ดรรชนี
เนื่ อ งเพราะมั น ต้ อ งใช้ ศ าสตร์ อ สู ร ชั ก น าพลั ง ทั้ ง หมดให้ แ ล้ ว เสร็ จ อย่ า ง
สมบูรณ์!
มันต้องแบ่งแยกจิตใจออกเป็นสองส่วน!
ผลพลอยได้จากพลังเทพปรากฏขึ้นในยามนี้เอง หากเป็นในกาลก่อน
มั น แน่ น อนว่ า ไม่ มี ค วามสามารถที่ จ ะร่ า ยศาสตร์ อ สู ร ออกมา ในขณะที่
ยังคงสภาพเวทวิชาเอาไว้ด้วย
ศาสตร์อสูรวิชานี้เรียกว่า ‘ศาสตร์ชีวิตอื่น’ ไม่ใช่วิชาที่ยากเย็น แต่ลี้
ลับคลุมเครือยิ่ง ผูเยายังกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าในยุคของมัน ผู้ที่ล่วงรู้วิชา
นี้ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
จั่ ว ม่ อ ไม่ เ ข้ า ใจว่ า ผู เ ยาจะภาคภู มิ ใ จไปหาอั น ใด นอกจากตกอยู่ ใ น
สภาพครึ่งผีครึ่งคนเช่ นมันแล้ว มันไม่คิดว่าจะมีใครต้องการใช้ศ าสตร์ ที่
สามารถทาลายพลังฝีมือของตัวเองเช่นนี้ แต่เพื่อรักษาสภาพความมั่นคง
ในทะเลแห่งจิตสานึก ความคิดนี้มันไม่ได้กล่าวออกจากปาก
ในเวลานี้ จั่วม่อโยนความคิดเหลวไหลเหล่านี้ทิ้งไป พลังจิตสานึกของ
มันที่เพิ่งจะคลายตัวแยกออกมาจากพลังปราณ กาลังทาท่าราวกับจะเริ่ม
ผสานรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง
จั่วม่อร่าย ‘ศาสตร์ชีวิตอื่น’ ออกมาอย่างง่ายดาย
ชั่วพริบตาที่ศาสตร์อสูรถูกร่ายออกมา จั่วม่อร่างสะท้านเฮือกอย่าง
ฉั บ พลั น พลั ง อั น พลุ่ ง พล่ า นปั่ นป่ ว นในร่ า งมั น พลั น หยุ ด ชะงั ก ลงอย่ า ง
สมบูรณ์
เกิดอะไรขึ้น?
จั่วม่อบังเกิดสังหรณ์เลวร้าย ไฉนหยุดชะงัก? นี่แตกต่างจากที่พวกมัน
คาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง!
มันยังไม่ทันจะได้ข บคิ ดมากไปกว่ านี้ กระแสพลังที่ห ยุดชะงั ก พลั น
ระเบิดทะลักทลายโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า!
ตูม!
กระแสพลั ง พลุ่ ง พล่ า นจากทุ ก ซอกทุ ก มุ ม ในร่ า งกาย ประหนึ่ ง ฝู ง
ฉลามร้ายกระสากลิ่นเลือด พากันถาโถมไปยังมือขวาของจั่วม่ออย่างคลุ้ม
คลั่ง
จั่วม่อร่างสั่นอย่างรุนแรง แค่นเสียงหนัก ๆ ออกมา
กระแสพลังปั่ นป่วนยามปะทะชนกันตามปกติก็นับว่าเจ็บปวดเจียน
ตายอยู่ แ ล้ ว แต่ ก ารปะทะชนอย่ า งบ้ า คลั่ ง ในยามนี้ ยั ง ร้ า ยแรงยิ่ ง กว่ า
ประดุจ ใบมีดนับไม่ถ้วนเชือดเฉือนไปตามร่างมัน ลากคมมีดกรีดยาวไป
ตลอดทางจนถึงมือขวา
แผนผั ง ปิ ศาจหอยเปลือ กเหล็กหมื่ น ชั้ นบนมื อขวาได้ รั บ ผลกระทบ
ทันที ปลดปล่อยแสงสีน้าเงินเจิดจ้าออกมาอย่างฉับพลัน
แสงสีน้าเงินที่สาดส่องออกมาในยามนี้สว่างไสวยิ่งกว่าครั้งใด ทั่วทั้ง
ห้องถูกย้อมด้วยแสงเจิดจรัสสีน้าเงิน มือขวาของจั่วม่อกลายเป็นดวงแสง
บาดตากลุ่มหนึ่ง
แสงสีน้าเงินทวีความกล้าแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ!
สว่างจ้าเสียจนข่าจั๋วต้องหลับตาหนี ในใจลอบตื่นตระหนกสุดระงับ
สมกับที่เป็นเหล่าซือ ช่างอัศจรรย์พันลึก! แม้ว่ามันจะไม่ล่วงรู้อย่างถ่องแท้
ว่ า จั่ ว ม่ อ ก าลั ง ท าสิ่ ง ใดกั น แน่ แต่ นี่ ย่ อ มไม่ อ าจขั ด ขวางไม่ ใ ห้ มั น รู้ สึ ก
อัศจรรย์ใจได้
มือขวาประดุจหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง กระแสพลังไหลบ่าเข้าไปมากขึ้น มาก
ขึ้ น ทุ ก ขณะ แต่ น อกเหนื อ จากแผนผั ง ปิ ศ าจสาดแสงสว่ า งขึ้ น ก็ ไ ม่ มี
เรื่องราวใดอีก
เมื่อกระแสพลังปั่ นป่วนพากันถ่ายเทไปยังมือขวา ความรู้สึกเจ็บปวด
ก็ลดน้อยลงมาก ร่างกายที่แข็งทื่อของมันค่อย ๆ ฟื้นสภาพอย่างรวดเร็ว
จั่วม่อลิงโลดยินดีแทบคลุ้มคลั่ง!
สาเร็จ!
มันทาสาเร็จแล้วจริง ๆ!
เมื่อกระแสพลังสายสุดท้ายพุ่งหายเข้าไปในมือขวา ร่างที่บอบช้าของ
จั่ ว ม่ อ ก็ ฟ้ ื นฟู อ ย่ า งเร็ ว รี่ ภายใต้ พ ลั ง หล่ อ เลี้ ย งเยี ย วยาของหยดน้ า ลี้ ลั บ
เถาวัลย์เขียวของขวัญจากพี่ใหญ่ชิงหลินของมัน
หยดน้าลี้ลับเถาวัลย์เขียวอันเลิศพิสดารนัก!
จั่วม่อระงับความยินดี ทดลองเคลื่อนไหวร่างกาย แขนซ้ายของมัน
ขยับได้แล้ว!
แต่เนื่องด้วยตาแหน่งในการอุ้ม มือซ้ายของมันบังเอิญวางทาบอยู่บน
อกเต่งตึงของอากุ่ยพอดี มันเมื่อลองขยับมือซ้าย ผลที่เกิดขึ้นย่อมเป็นที่
ทราบได้
นุ่มเหลือเกิน!
จั่ ว ม่ อ หน้ า แดงก่ า นี่ มั น ... ...นี่ มั น มั น ไม่ อ าจรั บ ประทานข้า วต้มได้
ตลอดไป!
หลังจากเตือนตัวเองอย่างเข้มงวด จั่วม่อค่อย ๆ ลุกขึ้นจากอ้อมแขน
ของอากุ่ยอย่างระมัดระวัง มันไม่ได้ขยับตัวมานานเกินไป การเคลื่อนไหว
จึงทั้งงุ่มง่ามและแข็งทื่อ โชคยังดีที่อากุ่ยคล้ายเข้าใจว่ามันฟื้นสภาพแล้ว
ไม่ได้พยายามอุ้มมันอีก
ชั่วพริบตาที่สองเท้าสัมผัสพื้น จั่วม่อแทบหลั่งน้าตา!
สาเร็จ!
ยกเว้นมือขวาแล้ว ทั่วร่างของมันก็ไร้พลังอย่างสิ้นเชิง กระทั่งสังขาร
ปิศาจยังใช้การไม่ได้ แต่แค่เพียงฟื้ นฟูความสามารถในการเดินเหินขยับตัว
มันก็ปลาบปลื้มยินดีจนแทบหลั่งน้าตาจริง ๆ แล้ว!
แต่ในไม่ช้า จั่วม่อก็ค้นพบสถานการณ์ไม่คาดฝัน...แสงสีน้าเงิน ที่มือ
ขวาของมั น ไม่ มี ที ท่ า ว่ า จะมื ด มั ว ลงแม้ แ ต่ น้ อย ตรงกั น ข้ า ม กลั บ ค่ อ ย ๆ
สว่างขึ้นทีละน้อยเสียด้วยซ้า!
เมื่อลองขบคิดใคร่ครวญ ก็พลันเข้าใจในบัดดล เมื่อถ่ายเทพลังมากมายถึง
เพียงนี้เข้าไปอยู่ในมือขวา พลังเหล่านี้ย่อมต้องกระทบกระแทกใส่แผนผัง
ปิศาจหอยเปลือกเหล็กหมื่นชัน
้ อยู่ตลอดเวลา แผนผังปิศาจเมื่อถูกกระตุ้น
ย่อมต้องเปล่งแสงออกมาตามธรรมชาติ
เมื่อล่วงรู้ต้นสายปลายเหตุ จั่วม่อก็อึดอัดใจทันที หรือจะให้มันออกไป
ข้างนอกโดยมีมือเป็นดวงแสงเจิดจ้าเช่นนี้?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน จั่วม่อค่อยหาผ้ายาวผืนหนึ่ง บรรจงพันรอบ
มือขวาอย่างระมัดระวัง รอจนพันทบสิบกว่าชั้น ในที่สุดแสงสีน้าเงินค่อย
ถูกปกปิดมิดชิด
เมื่อแสงสีน้าเงินบาดตาลับหายไป ข่าจั๋วก็ลืมตามองอีกครั้ง รอจนมัน
เห็นจั่วม่อยืนอยู่ตรงหน้า อดตะกุกตะกักถามอย่างตื่นตะลึงไม่ได้ “เหล่า
ซือท่าน... ... ท่านหายดีแล้วหรือ?”
จั่วม่อแย้มยิ้มเล็กน้อย “ทุเลาลงส่วนหนึ่ง”
จากนั้นมันหันไปมองอากุ่ย สุ้มเสียงพลันนุ่มนวลกว่าเดิม “อากุ่ย ขอ
อภัยยิ่ง ลาบากเจ้ามากแล้ว!”
อากุ่ยไม่ตอบสนองราวกับว่านางไม่ได้ยิน
จั่วม่อก็ไม่ถือสา กล่าวแผ่วเบาว่า “ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่! ข้าจะ
รักษาเจ้าจนหาย ฟื้ นฟูความทรงจาของเจ้า ข้าอยากฟังนามที่แท้จริงของ
เจ้า”
อากุ่ยยืนนิ่งงันเหมือนท่อนไม้
“ข้าจะต้องทาให้ได้!” จั่วม่อก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเอง กล่าวอย่าง
เด็ดเดี่ยวราวกับประกาศคาสาบานตน
มั น เริ่ ม ฝึ ก ซ้ อ มร่ า งกาย ไม่ น านหลั ง จากนั้ น ค่ อ ยฟื้ นฟู ส มรรถภาพ
ร่างกายส่วนใหญ่
หลั ง จากหมดธุ ร ะกั บ สภาพร่ า งกาย มั น ก็ ท รุ ด นั่ ง ลงอี ก ครั้ ง เริ่ ม
ตรวจสอบมือขวาซึ่งพันไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา
กระแสพลั ง ปั่ นป่ ว นทั้ ง มวลถู ก ดู ด กลื น เข้ า ไปเก็ บ กั ก ไว้ ใ นมื อ ขวา
กระแสพลังเหล่านี้ก่อตัวเป็นวังวนขุมหนึ่ง
ไม่ ว่ า จะเป็ น พลั ง ในรู ป แบบใด ก็ มั ก จะค้ น หาจุ ด สมดุ ล ของตั ว เอง
เสมอ!
จั่วม่อคล้ายเข้าใจหลักความจริงบางประการ
กระแสพลังทั้งร่างเมื่อถูกบีบอัดรวมรั้งไว้ในมือเล็ก ๆ ข้างหนึ่ง สภาพ
ต่ อ สู้ ห้ า หั่ น ระหว่ า งพลั ง ทั้ ง สามก็ ยิ่ ง ร้ า ยแรงกว่ า เดิ ม เมื่ อสู ญ เสี ย พื้ นที่
กว้างขวางให้อาละวาดตามอาเภอใจ พวกมันยิ่งกระชับตัวหนาแน่นมาก
ขึ้น การปะทะชนก็ยิ่งรุ นแรงมากขึ้น จั่วม่อสามารถสัมผัส ได้อย่างชัด เจน
ถึงพลังอันน่าขนพองสยองเกล้าที่เกิดจากการปะทะชนแต่ละครั้ง!
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นไปตามที่มันคาดเอาไว้
แต่สิ่งที่มันค้นพบหลังจากนั้น กลับทาให้จ่ว
ั ม่อหน้าเปลี่ยนสี!
ที่แท้เภทภัยยังไม่จบสิ้น มิหนาซ้ายังเร่งเร็วกว่าเดิมอีก!
บทที่ 551 วาสนาในคราเคราะห์

เทียบกับก่อนหน้านี้ ที่แตกซ่ านกระจัด กระจายอยู่ ท่ั วร่ าง ขุมพลังที่


เก็บกักอยู่ในมือขวาของมันยามนี้แทนที่จะเข้าสู่สภาพสมดุล กลับทวีความ
กล้าแข็งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
วังวนพลังงานดูเหมือนจะขยายตัวด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้
ชั ด ตา พลั ง ที่ เ ติ บ โตกล้ า แข็ ง ขึ้ น เรื่ อ ย ๆ บั น ดาลให้ วั ง วนในยามนี้ ยิ่ ง น่ า
ประหวั่นพรั่นพรึงกว่าเดิม การปะทะชนระหว่างกระแสพลังยิ่งมายิ่งเร่ง
ร้ อ น ยิ่ ง นานยิ่ ง ดุ เ ดื อ ดรุ น แรง คลื่ นพลั ง ระลอกแล้ ว ระลอกเล่ า กวาด
กระเพื่อมออกมา ทาให้กระแสวังวนที่ถูกบีบอัดถึงที่สุดนี้ ยิ่งกลับกลายเป็น
ปั่ นป่วนวุ่นวายกว่าเดิม
ไม่น่าแปลกใจที่จ่ัวม่อจะตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี หากกระแสพลัง
ยังคงทวีความกล้าแข็งขึ้นด้วยระดับความเร็วอันบ้าคลั่งเช่นนี้ ต่อให้หอย
เปลือกเหล็กหมื่นชั้นจะแข็งแกร่งทนทานสักเพียงใด ยังไม่อาจต้านทาน
กระแสพลังวังวนที่อยู่ภายในฝ่ามือของมันได้นานนัก!
จั่วม่อร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าการชักนากระแสพลังที่แตกซ่านวุ่นวาย
มารวมกันไว้ในมือข้างเดียว จะเป็นเหตุให้ขุมพลังเติบโตกล้าแข็งขึ้นอย่าง
มหาศาลเช่นนี้!
นี่ยังหมายความว่าเวลาหนึ่งเดือนที่ผูเยากล่าวไว้ก่อนหน้า บัดนี้หด
สั้นลงจนแทบไม่หลงเหลืออีกแล้ว!
จั่วม่อสีห น้าเคร่งขรึมลง ขยับเคลื่อนไหวตามสัญชาติญาณ แต่แล้ว
พบว่าในร่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งพลังใด อดรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างไม่ได้
ทันใดนั้นมันผุดความคิดหนึ่งขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากมันชักนาขุม
พลังที่อยู่ในฝ่ามือขวา กลั่นเกลาจัดระเบียบเสียใหม่ แล้วส่งกลับคืนเข้าไป
ในร่างเล่า... ...
ความคิดพอบังเกิด มันก็ล งมือนาไปก่อนแล้ว มันยามนี้ไม่มีเวลาให้
สูญเสียแม้แต่ชั่วแวบ จั่วม่อทดลองชักนาพลังส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ จากวั งวน
พลังงานในฝ่ามือขวาของมัน แต่สงิ่ ที่ทาให้ต้องหดหู่ใจก็คือ ไม่ว่าจะใช้เวท
วิชา ศาสตร์อสูรหรือทักษะปิศาจ มันก็ไม่มีปัญญาชักนาพลังออกจากวัง
วนพลังงานแม้สักส่วนเสี้ยว
วังวนพลังงานหมุนคว้างอย่างเร่งร้อน กระแสพลังอันปั่ นป่วนทั้งมวล
ถูกดูดรั้งอย่างแนบแน่นอยู่ภายในวังวน ไม่มีทีท่าว่าจะรับฟังจั่วม่อแม้ แต่
น้อย
จั่วม่อแม้ห ดหู่ใจอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับท้อแท้ห มดหวัง รีบระงับสติ ขบ
คิดใคร่ครวญอีกรอบ
ขณะที่กาลังครุ่นคิด มันพลันพบว่ากระแสพลังที่ปั่นป่วนภายในวังวน
พลังงานแต่ล ะสายมักจะเป็นพลังทั้งสามเกาะเกี่ยวพัวพัน กันอย่า งแนบ
แน่น ยากที่จะพบพานพลังเพียงหนึ่งเดียวโดด ๆ
พลังทั้งสาม... ... พลังทั้งสามที่เกาะเกี่ยวพัวพันกัน นี่มิใช่พลังเทพ
หรอกหรือ?
จั่วม่อดวงตาสว่างวาบในบัดดล
พลั ง วั ง วนคล้ า ยชะลอช้ า ลงอย่ า งฉั บ พลั น เหล่ า กระแสพลั ง อั น
ปั่ นป่วนคล้ายขยายใหญ่ขึ้นในสายตามัน ค่อย ๆ เผยรู ปลักษณ์ให้มันเห็น
กระจ่างชัดเจนขึ้น
พลังทั้งสามเมื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งจะกลับกลายเป็นพลังเทพ!
จั่วม่อราพึงเบา ๆ ดวงตาทอประกายขึ้นทีละน้อย
ทันใดนั้นมันเปลี่ยนเป็นท่วงท่าประหลาด นี่เป็นท่าเริ่มต้นของเคล็ด
วิชาฝึกปรือพลังเทพซึ่งบันทึกไว้ในใบไม้ทองคา และแทบจะในทันทีทัน ใด
ที่มันกระทาท่วงท่าพิลึกพิล่น
ั นี้ ไอพลังสีทองสายหนึ่งก็ลอยออกมาจากวัง
วนพลังในฝ่ามือขวา
ความคิ ด จิ ต ใจของจั่ ว ม่ อ กระจ่ า งชั ด เจน โดยไม่ ช ะงั ก รั้ ง รอ มั น
แปรเปลี่ ย นท่ ว งท่ า อย่ า งต่ อ เนื่ อ งดุ จ เมฆล่ อ งน้ า ริ น ไอพลั ง สี ท องทยอย
ล่องลอยออกมาจากวังวนพลังอย่างไม่ขาดสาย ไอพลังสีท องเหล่านี้คล้าย
ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดูดรั้งอันเกรี้ยวกราดของวังวนพลังแม้แต่น้อย
ไอพลังงานเหล่านี้บางเบาดุจ เส้นผม พากันลอยขึ้นเหนือพลังวังวน
อย่างแช่มช้า ... พวกมันเป็นพลังเทพ พลังเทพสุริยัน!
ในเวลานี้เอง ลาแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นซึ่งสถิตอยู่ภายในร่า งของ
จั่วม่อ พลันส่องสว่างขึ้น
ไอพลังเทพที่ว่ายเวียนอยู่เหนื อวั งวนพลัง ชะงั กค้ างอย่ างกะทั น หั น
จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์สาดประกายวาบ พลังเทพคล้ายเผชิญแรงดึงดูดไร้
สภาพขุมหนึ่ง ทะลวงฝ่าแรงดึงดูดของวังวน หลุดออกมาในทันใด จากนั้น
ไหลผ่านจากใจกลางฝ่ามือ เคลื่อนขึ้นไปตามท่อนแขนของจั่วม่อ!
พลังเทพเบาบางเท่าเส้นผมเหล่านั้นพอหลุดพ้นจากฝ่ามือ ก็ผ สาน
เข้ากับเลือดเนื้อร่างกายของจั่วม่อในบัดดล
ความรู้สึกของพลังงานอันล้นเหลือ เริม
่ แข็งกล้าขึ้นทุกขณะ
ประหนึ่งว่าร่างกายอันแห้งผากของมันทันใดนั้นกลับกลายเป็นชุ่มฉ่า
ไปด้วยหยาดฝน เลือ ดเนื้อทุกหยาดหยดของมันดูดซับไอพลังเทพเหล่านี้
อย่างหิวกระหาย
ท่วงท่าอันสะดุดติดขัดก่อนหน้านี้คล้ายฝังแน่นลงไปในกระดูกของ
จั่วม่อ ประดุจเมฆล่องน้าไหล แต่ละท่วงท่าต่อเนื่องตามกันไม่ขาดสาย ให้
ความรู้สึกเรียบง่ายรวบรัด ทว่าเต็มไปด้วยปลอดโปร่งไร้ข้อผูกมัด
ไอพลังเทพล่องลอยออกจากฝ่ามือขวาของจั่วม่อไม่หยุดยั้ง โคจรไป
ยังทุกส่วนในร่างกายของจั่วม่อ ไม่มีซอกมุมใดถูกละเว้น
แสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง ประหนึ่งว่าเป็น
แสงไฟจากหอสั ญ ญาณ คอยน าทางให้ แ ก่ เ รื อ น้ อ ยใหญ่ ย ามค่ า คื น หาก
จั่วม่อในยามนี้มีเวลาพอจะหันมาเพ่งพิศดูแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นเสีย
หน่ อ ย มั น จะต้ องค้ นพบอย่า งตื่นตะลึงว่ า แสงศั ก ดิ์ สิท ธิ์วิ ญญาณมั่นเจิด
จรัสกว่าเดิมมาก

“มันเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง!” เว่ยโพล่งออกมาอย่างกะทันหัน
มันมีสีหน้าซับซ้อนยิ่ง ทั้งตื่นตะลึง เหลือเชื่อ งุนงงและเคลือบแคลง
สงสัย แต่ขณะกล่าวถ้อยคาเหล่านี้ สุ้มเสียงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ไยมิ ใ ช่ ? ไม่ เ ช่ น นั้ น ข้ า จะรั บ มั น เป็ น ศิ ษ ย์ ห รื อ ?” ผู เ ยาไม่ ส ามารถ
ปิดบังเค้าความล าพองใจบนใบหน้าได้ แต่ในดวงตาสีเลือดของมันยังคง
เผยแววตื่นตะลึงไม่ต่างจากเว่ย
“กล่าวตามความสัตย์ เวลานี้แม้แต่ข้าเองก็เริ่มอยากรู้ชาติกาเนิดของ
มั น ขึ้ น มาบ้ า งแล้ ว ” เว่ ย เปรยเบา ๆ “มั น สามารถฝึ ก ปรื อ สั ง ขารปิ ศ าจ
สามารถฝึกปรือศาสตร์อสูร สามารถฝึกปรือเวทวิชาเซียน สามารถฝึกปรือ
พลังเทพ สามารถบรรลุแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่น นี่...จริง ๆ แล้ว... ...”
เว่ยรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง
เค้าลาพองใจบนใบหน้าผูเยาสลายคลาย กลับคืนสู่สีหน้ากระด้างเย็น
ชาตามปรกติ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นศิษย์ของข้า”
“อย่ า ห่ ว งไปเลย” เว่ ย หั ว ร่ อ เบา ๆ “ข้ า มิ ไ ด้ ป ระสงค์ ร้ า ยต่อมันแน่
ยอดอัจ ฉริยะเช่นนี้ไหนเลยจะขาดแคลนศัตรู ได้ ไม่จาเป็นต้องให้ข้าช่ว ย
เพิ่มจานวนศัตรู ข้าเพียงแค่คาดหวังกับมันเท่านั้น!”
นัยน์ตาสีเลือดของผูเยาสาดประกายวาบ “เช่นนั้นเจ้าคิดทาอะไร?”
“เจ้าจดจาได้หรือไม่ว่าในอดีตเราพ่ายแพ้อย่างไร?”
เว่ยยิ้มน้อย ๆ แต่รอยยิ้มนั้นปราศจากความอบอุ่นแม้แต่น้อยนิด

“ว่ากระไร? กองกาลังภูเขามังกรน่าขายหน้าถึงเพียงนี้ ?” ปิศาจสุนัข


ป่าตาเดียวคารามอย่างเดือดดาล มันผู้นี้สายตาเหี้ยมโหด ใบหน้าถมึงทึง
รอยแผลเป็นตัดไขว้บนใบหน้า ทาให้รูปโฉมของมันน่าสะพรึงกลัวอย่าง
บอกไม่ถูก
ทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาอริยะ ปิศาจสุนัข ป่าตาเดียวผู้นี้เป็นตัวแทน
ของความหวาดกลัว มันมิใช่แค่เพียงหัวหน้าค่ายโจรที่ใหญ่โตที่สุด แต่ยัง
เป็นผู้นาที่มีช่ อ
ื กระเดื่องดังที่สุดในอาณาจักรขุนเขาอริยะอีกด้วย
อาณาจักรขุนเขาอริยะเป็นดินแดนที่ถูกปกครองโดยกลุ่มโจร เป็นรัง
โจรที่เลื่องชื่อในปฐพี ประกอบด้วยกองโจรใหญ่น้อยนับเป็นพัน ๆ กลุ่ม
เหล่าพ่อค้าสัญจรไม่มีผู้ใดกล้าเดินทางผ่านภูมิภาคนี้ และเนื่องจาก
รอบบริ เ วณไม่ มี ขุ ม ก าลั ง ยิ่ ง ใหญ่ ใ ด จึ ง ไม่ เ คยมี ค นมาก าจั ด เภทภั ย ใน
รูปแบบกองโจรจานวนมหาศาลนี้ เมื่อเวลาผ่านไป อาณาจักรขุนเขาอริยะ
ก็ ก ลั บ กลายเป็ น รั งโจรอย่า งเต็ม ตัว พวกมั น อาละวาดปล้ นชิ ง ไปรอบ ๆ
เส้ น ทางสายไหมทุ ก เส้ น ทางในละแวกใกล้ เ คี ย งล้ ว นอยู่ ใ นขอบเขตการ
ปล้นชิงของพวกมันทั้งสิ้น
ส่วนกองโจรที่ข วัญกล้าบังอาจขึ้นมาอีกสักหน่อย ถึงกับขยายพื้นที่
ปล้นชิงห่างไกลออกไป
ในอาณาจักรขุนเขาอริยะ มีปิศาจเพียงประเภทเดีย วที่ส ามารถอยู่
รอด นั่นก็คือโจร
เมื่ อ มี ค นกล้ า มาอาละวาดอวดโอหัง ถึง อาณาจัก รขุนเขาอริ ยะของ
พวกมัน ปิศาจสุนัขป่าตาเดียวไหนเลยจะทนทานรับไว้ได้
“หัวหน้า คนกลุ่มนี้แข็งแกร่งยิ่ง! สมควรไม่ได้มาจากกองกาลังทั่ วไป
พวกมันมีจานวนไม่มาก เพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น” ลูกสมุนโจรกล่าว
อย่างระมัดระวัง มันไม่ได้เห็นการต่อสู้ด้ วยสายตาตัวเอง ข่าวสารทั้งหมด
ล้วนล่วงรู้มาจากผู้ที่โชคดีรอดชีวิตของกองกาลังภูเขามังกร
“กองกาลังภูเขามังกร? เหล่าเศษสวะ!” ปิศาจสุนัข ป่าตาเดียวแค่น
เสียงเหยียดหยาม “พวกมันล้วนขี้ข ลาดตาขาว! เหล่าเศษสวะที่น่ า ขาย
หน้าของอาณาจักรขุนเขาอริยะเรา”
ปิ ศ าจสุ นั ข ป่ า ตาเดี ย วกล่ า วราวกั บ ว่ า ตนเป็ น เจี้ ย จู่ แ ห่ ง อาณาจั ก ร
ขุนเขาอริยะก็มิปาน
ดวงตาข้างเดียวของมันสาดประกายเหี้ยมเกรียม ตวาดว่า “กระทั่ง
กองทั พ มี ช่ ื อ ยั ง ไม่ ก ล้ า มารั ง ควานหาเรื่ อ งที่ อ าณาจัก รของเรา! นี่ ก ระไร
เพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น ช่างเหิมเกริมนัก! พวกมันที่แท้คิดว่าพวกมัน
เป็นตัวอะไร!”
สมุนผู้นั้นหุบปากเงียบอย่างรู้ความ ไม่ได้โต้แย้งหรือกล่าวคล้อยตาม
มันทราบกระจ่างถึงอารมณ์ดุเดือดวู่วามปานเปลวเพลิงของผู้เป็นหัวหน้า
ท่านหัวหน้าชิ ง ชัง รั งเกียจเรื่ องการเสี ยหน้ า มากที่สุ ด หากมันไม่หุ บ ปาก
เงียบ อาจบางทีเผลอกล่า ววาจาผิ ดหู ไปบ้ าง เกรงว่าไม่อ าจรั กษาศี ร ษะ
เอาไว้ได้
“ไป! ส่งข่าวไปยังกองกาลังอื่น ๆ กองโจรใดสามารถบดขยี้ตัวบัดซบ
เหล่านี้จนสิ้นซาก ข้าจะยกที่ว่างให้แก่มันหนึ่งที่!” ปิศาจสุนัขป่าตาเดียวหรี่
ตาอย่างเหี้ยมเกรียม สั่งการเสียงลึก
ลู ก สมุ น ผู้นั้ นพอฟั ง ชั ก รู้ สึ ก เห็ น อกเห็ นใจกลุ่ม คนที่ บุ ก รุ ก เข้ า มาใน
อาณาจักรขุนเขาอริยะอยู่บ้าง พวกมันจบสิ้นแล้ว! หัวหน้าเมื่อโยนรางวัล
ล่อใจนี้ออกไป คนร้อยกว่าคนเหล่านี้ เกรงว่ากระทั่งเศษกระดูกก็ไม่มีเหลือ
ปิศาจสุนัข ป่าตาเดียวเป็นผู้เข้ม แข็ง ที่สุดในอาณาจักรขุน เขาอริ ย ะ
ต่อให้มิใช่เจี้ยจู่ก็ไม่ต่างอันใดจากเจี้ยจู่ มีเพียงมันที่กล้าบุกโจมตีเมืองแกร่ง
ทุ ก สารทิ ศ ทุ ก ครั้ ง ที่ มั น ยกก าลั ง เข้ า ปล้ น เมื อ ง จะกลั บ มาพร้ อ มทรั พ ย์
สมบัติก้อนโตที่หลายฝ่ายพากันอิจฉาตาร้อนเป็นที่สุด กฏเกณฑ์ของปิศาจ
สุ นั ข ป่ า ตาเดี ย วก็ คื อ กองโจรใดมี ค วามดี ค วามชอบมากที่ สุ ด จะได้ รั บ
อนุญาตให้เข้าร่วมปล้นชิงกับมัน นี่เป็นการค้าที่ได้กาไรมหาศาล!
ที่ว่างหนึ่งที่ที่ว่า ก็คือที่ว่างสาหรับเข้าร่วมการปล้นเมืองนี้เอง นับเป็น
รางวัลอันยิง่ ใหญ่ที่สุดสาหรับกองโจรในอาณาจักรขุนเขาอริยะ
ผู้บุกรุ กเหล่านั้นช่างน่าเวทนาจริง ๆ ... ... ลูกสมุนผู้นั้นคิดพลางทอด
ถอนใจ แต่ในยามนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าฝ่ายใดกันแน่ที่น่าเวทนา!

จั่วม่อฟื้ นตื่นจากสภาวะเคลิบเคลิ้มมึนเมา เมื่อมันลืมตาขึ้น ดวงตาก็


สาดประกายเจิดจ้าดุจสายฟ้า
ความรู้สึกเต็มไปด้วยพลังอย่างเปี่ ยมล้นช่างสนิทสนมคุ้นเคย จนแทบ
สรุ ปได้ว่ามันฟื้ นสภาพอย่างสมบูรณ์แล้ว พลังฝีมือกลับคืนสู่จุดสูงสุด! มัน
หมุ น คออย่ า งช้ าๆ แกรก แกรก แกรก เสี ย งกระดู ก ลั่ นดั ง รั ว เร็ ว ไล่ จ าก
ลาคอลงไปจนถึงกระดูกก้นกบ
ความรู้สึกสุขสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
จั่วม่อตาเป็นประกาย ความปลาบปลื้มยินดียากจะปิดบังซ่อนเร้นได้
พลังเทพในร่างแม้ยังไม่บรรลุถึงจุดสูงสุด แต่พลังเทพของมันในยามนี้ท้ัง
ผนึกรวมรัง้ และบริสุทธิส
์ ดใส ด้านคุณภาพเหนือล้ากว่าในอดีตมาก!
มันทดลองเปลี่ยนพลังเทพกลับเป็นพลังทั้งสาม รู้สึกแทบไม่มีสิ่งใด
ขวางกั้น สิ่งที่ทาให้มันยิ่งปลาบปลื้มประโลมใจกว่าเดิม ก็คือมันเพียงแค่
คิด และแทบจะในเวลาเดี ย วกัน พลังเทพก็แปรเปลี่ย นเป็น พลัง ทั้ ง สาม
ในทั น ที ส าเร็ จ ลุ ล่ ว งในเสี้ ย วพริ บ ตาเดี ย ว ตลอดกระบวนการแทบไม่ มี
สะดุดติดขัด ราบรื่นและรวดเร็วยิ่งกว่าที่แล้วมามาก
วาสนาในคราเคราะห์!
หลังจากเผชิญเคราะห์ร้ายมหันต์จนแทบเอาชีวิต ไม่รอด มันก็ได้รับ
สิง่ ดี ๆ กลับคืนมาบ้าง!
เมื่อแปลงมาจากพลังเทพที่บริสุทธิ์กว่าเดิม พลังทั้งสามก็ยิ่งบริสุทธิ์
มากขึ้นด้วยเช่นกัน จั่วม่อรู้สึกอย่างชัดเจนว่ามันอยู่ห่างจากการฝ่าด่านอีก
เพียงเส้นสายใยเดียวเท่านั้น
การฝ่ า ด่ า นที่ ว่ า ไม่ ใ ช่ เ พี ย งการฝ่ า ด่ า นของพลั ง ด้ า นเดี ย ว แต่ เ ป็ น
ทั้งหมด! พลังปราณ สังขารปิศาจ พลังจิต ส านึก ทุกประการล้วนแล้วแต่
บรรลุถึงชายขอบแห่งการฝ่าทะลวงด่าน
และสิ่งที่ทาให้มันปิติยินดีที่สุด ก็คือมันมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้ า
ว่าจะสามารถฝ่าด่านสาเร็จโดยไม่ลาบากกินแรง
เนื่องเพราะ... ...
จั่ ว ม่ อ ยกมื อ ขวาขึ้ นเพ่ง ตามอง วั ง วนพลั ง งานยามนี้ห ดตัว ลงเหลือ
เพี ย งหนึ่ ง ในสาม ความเร็ ว ในการหมุ น ช้ า ลงกว่ า แต่ ก่ อ น แต่ ยั ง คงหมุ น
คว้างและเติบโตไม่หยุดยั้ง เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ จะฟื้ นฟูพลังกลับไปมี
ขนาดเท่าเดิมได้ไม่ยาก
จั่วม่อพลันลิงโลดยินดีสุดระงับ วังวนพลังบนมือขวาของมั นไม่ต่าง
จากน้าพุปราณพลังเทพ สามารถมอบพลังเทพให้แก่มันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตราบเท่าที่มันยังคงยืนหยัดดูดรั้งพลังเทพออกมาจากวังวน พลังเทพของ
มันจะรุดหน้าเพิ่มพูนอย่างไม่หยุดยั้ง
เป็นระดับความก้าวหน้าที่น่าแตกตื่นสะท้านใจ!
จั่ ว ม่ อ เต็ ม ไปด้ ว ยความเชื่ อ มั่ น มองดู ใ บหน้ า แข็ ง ทื่ อของอากุ่ ย อด
ไม่ได้ต้องก้าวเข้าไปขยี้ผมนาง พลางพึมพาอย่างตื่นเต้นระทึกใจ “อากุ่ย
อากุ่ย ข้าทาสาเร็จ! ข้าทาสาเร็จแล้วจริง ๆ!”
ผมยาวด าสนิ ท อั น อบอุ่ น ละมุ น ละไมของอากุ่ ย กลายเป็ น กระเซิ ง
เหมือนรังนกอย่างน่าสังเวช ทว่านางไม่ได้ใส่ใจไยดี เพียงจ้องมองจั่ วม่อ
เท่านั้น
ดวงตาหม่นมัวไร้ประกายของนางคล้ายปกคลุมด้วยม่านหมอกเบา
บางชั้นหนึ่ง
ข่าจั๋วปากอ้าตาค้าง ชั่วพริบตานั้น แรงกดดันอันกร้าวแกร่งที่แผ่ซ่าน
ออกมาจากร่างของจั่วม่อแทบจะโถมทับมันให้หมอบจมอยู่กับพื้น
นี่มัน... ...นี่มัน...ฟ้าดินใช่เปลี่ยนพลิกเร็วเกินไปหรือไม่... ...
ไม่มีสิ่งใดที่จะให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้คนมากไปกว่าพลังอานาจของตน
อีกแล้ว หลังจากฟื้ นฟูพลังฝีมือส่วนใหญ่ จั่วม่อก็สงบเยือกเย็นลงกว่าเดิม
มาก มันยังไม่ทาการดูดรั้งพลังเทพสืบต่อ เนื่องเพราะพลังเทพที่มันกลืน
กินเข้ามาก่อนหน้านี้ยังดูดซับไม่เสร็จสิ้น เกรงว่ายังต้องใช้เวลาอีกสองสาม
วันกว่าที่กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์
มันตกลงใจไปเยี่ยมเยือนดรุ ณีน้อยผู้เป็นธิดาสุดสวาทขาดใจของเขิง
อี้สักครา
เมื่อนึกถึงเขิงอี้ ใบหน้าสงบราบเรียบของจั่วม่อพลันเป็นประกายด้วย
จิตวิญญาณการต่อสู้ มันจะมอบของขวัญสุดระทึกให้เจี้ยจู่ผู้นี้ได้ประหลาด
ใจสักรอบ!
ปิศาจด่านเจียงอย่างนั้นรึ แล้วจะเป็นไร!
เกอหากลัวไม่!
บทที่ 552 นางงามนิทรา

อาเหวินดวงตาทอประกายอามหิตวูบ มันสังเกตเห็นกลุ่มคนที่เข้ามา
ใกล้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้มุ่งเป้ามายังพวกมัน ทั้งยัง
ดูเหมือนจะเห็นพวกมันเป็นเพียงแพะอ้วนฝูงหนึ่งเท่านั้น บางครั้งได้ยิน
เสียงหัวร่อที่จงใจไม่ปกปิดซ่อนเร้นดังมาเข้าหูอย่างชัดเจน
หนึ่ง สอง สาม สี่ ... ...เจ็ดกลุ่ม!
อาเหวินนับจานวนอย่างถี่ถ้วนระมัดระวัง แต่ละกลุ่มซึ่งไม่ทราบที่มา
เหล่านี้ห้อมล้อมอยู่รอบ ๆ พวกมัน เห็นได้ชัดว่าจับจ้องพวกมันตาเป็นมัน
แล้ว
ยามนี้อาเหวินมิใช่ทาสเด็กหนุ่มไม่รู้ความซึ่งได้แต่พึ่งพาพรสวรรค์ใน
การเอาชี วิ ต รอดจากลานประลองทาสในครั้ ง นั้ น อี ก แล้ ว มั น ผ่ า นศึ ก
สงครามขนาดใหญ่ห ลายครั้ง พบพานทะเลเลือดจนชาชิน และไม่ว่าจะ
เป็นผูเยาหรือเว่ยต่างก็รักถนอมพรสวรรค์ชั้นยอดของเด็กหนุ่มผู้นี้ พากัน
ทุ่มเทสมาธิจิตใจสั่งสอนมันเป็นอย่างดี
สุ ด ท้ า ยมั น กลายเป็ น องครั ก ษ์ ทุ ก ข์ ย ากที่ เ ข้ ม แข็ ง ที่ สุ ด ในค่ า ยเว่ ย
แข็งแกร่งยิง่ กว่าซู่หลงเสียอีก!
ในฐานะองครักษ์ปิศาจเงาเพียงหนึ่งเดียว พลังความสามารถของมัน
แตกต่างจากองครักษ์ทุกข์ยากอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ด้วยความเร็วสุดยอดที่ไร้
ผู้ต้านติด มันมักรับหน้าที่เป็นสายสืบอยู่เสมอ
แม้ว่าคราครั้งนี้พวกมันมีกันเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น แต่ซู่ หลง
ยังคงจัดส่งสายสืบออกไปอย่างเป็นระบบ
อาเหวินค้นพบกลุ่มโจรเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ต่อให้พวกมันลอบหลบ
เร้นปกปิดเป็นอย่างดี ยังไม่อาจรอดพ้นจากหูตาอันแหลมคมของยอดฝีมือ
อันดับหนึ่งแห่งค่ายเว่ยผู้นี้ อย่าว่าแต่พวกมันยัง มากันอย่ างเอิ กเกริ ก ยิ่ ง
เอิกเกริกและโอหังลาพองเสียจนสะกิดเพลิงอามหิตของอาเหวินขึ้นมา แต่
มันก็ไม่ได้หุนหันลงมือ เพียงล่าถอยกลับมารายงานซู่หลงตามธรรมเนียม
ปฏิบัติ
“กองโจรเจ็ดกลุ่ม... ...” ซู่หลงทวนคาอย่างครุ่นคิด
“ใช่แล้ว แต่ละกลุ่มมีจานวนคนไม่เท่ากัน กลุ่มใหญ่ที่สุดมีอยู่ราวห้า
หกร้อยคน ส่วนกลุ่มที่มีข นาดย่อมที่สุดไม่เกินสองสามร้อยคน” อาเหวิน
แจกแจงรวดเร็ว “รวมแล้วพวกมันสมควรมีกันอยู่ราวสามพันคน”
เยี่ยหลิงพอฟังถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
พวกหนานเยว่ คังเจ๋อข้ามองดูเจ้าเจ้ามองดูข้า ยามกะทันหันไม่ทราบ
จะกล่าวอะไรออกมา ข่าวนี้ทาให้พวกมันตื่นตะลึงสุดระงั บ สามพันคน!
พวกมันเหลือบมองเหล่าสหายร้อยกว่าคนที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกความเย็นสาย
หนึ่งแผ่ซ่านขึ้นจากใจ
หนึ่ ง ร้ อ ยต่ อ สามพั น กล่ า วอี ก ทางหนึ่ ง ก็ คื อ พวกมั น แต่ ล ะคนต้ อ ง
จัดการกับศัตรูสามสิบคน
นี่เป็นอัตราส่วนที่ชวนให้หมดหวังเสียจริง!
พวกมันจู่ ๆ รู้สึกนับถือเลื่อมใสซู่ห ลงเป็น อย่า งยิ่ง มันกระทั่งได้ ยิ น
ข่าวร้ายเช่นนี้ สีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีเค้าแตกตื่นกังวลแม้แต่น้อย
สมกับที่เป็นผู้นาของค่ายเว่ย มีท่วงท่าสภาวะของยอดแม่ทัพผู้หนึ่ง
อย่างแท้จริง!
“เยี่ยหลิง เจ้ามีความเห็นใด?” ซู่หลงจู่ ๆ หันไปสอบถามเยี่ยหลิง
เยี่ ย หลิ ง สี ห น้ า ปั้ นยากอยู่ บ้ า ง แต่ ยั ง ฝื น สงบใจลง “ต้ า เหริ น สิ่ ง ที่
สมควรทาที่สุดในตอนนี้คือเพิ่มความเร็ว ชิงบุกฝ่าออกจากอาณาจักรให้ได้
ก่อนที่พวกมันจะทันตั้งวงล้อมสาเร็จ!”
ซู่หลงไม่เห็นพ้องด้วยในทันที กลับนิง่ ครุ่นคิด
ไม่นานก็สั่นศีรษะปฏิเสธข้อเสนอของเยี่ยหลิง “ความเร็วไม่ใช่จุดเด่น
ของพวกเรา พวกมั น เป็ น กองโจร มี คุ ณ สมบั ติ ไ ปมาดุ จ สายลม สมควร
รวดเร็วกว่าเรามาก กล่าวถึงความเร็วเคลื่อนที่พวกมันเป็นฝ่ายมีเปรียบ ยิ่ง
ไปกว่านั้นหนทางข้างหน้าอาจมีผู้คนรอคอยเราอยู่มากกว่านี้”
เยี่ ย หลิ ง หน้ า เผื อ ดสี การแยกแยะของซู่ ห ลงมี เ หตุ ผ ลเป็ น อย่ า งยิ่ ง
สมควรใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด “เช่นนั้นเราจะทาอย่างไร?”
“สู้ กั บ พวกมั น !” ซู่ ห ลงค ารามเสี ย งลึ ก ดวงตาสาดประกายฆ่ า ฟั น
“เราไม่เพียงแต่จะสู้กับพวกมัน ยังจะต้องเข่นฆ่าพวกมันจนกว่าจะยอม
ศิโรราบ! มีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ที่จ ะช่วยให้เรามีโอกาสบุกฝ่าออกจาก
อาณาจักรนี้ได้”
นอกจากชาวค่ายเว่ยกับอสูรบุปผาแล้ว ทุกผู้คนรวมทั้งเยี่ยหลิง กั บ
หนานเยว่ ล้ ว นตะลึ ง พรึ ง เพริ ด หนึ่ ง ร้ อ ยคนกั บ สามพั น คน ต้ า เหริ น ไฉน
เรียกให้พวกมันต่อสู้? ทั้งยังเป็นการปะทะหักหาญซึ่งหน้า!
นี่มิใช่หาที่ตายหรือ?
หนึ่งร้อยต่อสามพัน พวกมันไม่มีโอกาสได้ชัยแม้แต่น้อย!
ซู่ห ลงคล้ายคาดเดาความคิดของพวกมันออก กล่าวเสียงหนัก ๆ ว่า
“พวกเราเป็นกองทัพที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี พวกมันเป็นเพียง
กลุ่มโจรกเฬวราก ไม่ว่าจะมีคนมากมายเท่า ใด พวกมันก็เป็นได้แ ค่ พ วก
กเฬวราก มีอันใดต้องกลัว?”
เยี่ยหลิงกัดฟันถามว่า “ต้าเหรินคิดสู้อย่างไร?”
“เราจะมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่อาจทาลายพวกมันใน
คราวเดียว พวกมันคงต้องแยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป คอยรบกวน
พวกเราตลอดทาง ถึงตอนนั้นเราจะต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทาแล้ว” ซู่หลง
กล่าวอย่างเคร่งขรึม

จั่วม่อตรวจดูแผนผังปิศาจบนร่างดรุ ณีน้อยอย่างละเอียด ยามนี้มัน


ทุเลาไปกว่าครึ่ง ไม่จาเป็นต้องรบกวนข่าจั๋วช่วยมันตรวจร่างกายนางแทน
อีก
มันยิง่ เพ่งพิจารณายิง่ เชื่องช้าลง สีหน้ายิง่ มายิง่ เครียดขรึม
กระบวนการพั ฒ นาของแผนผั ง ปิ ศ าจเมื่ อถู ก ขั ด กลางคั น ถึ ง กั บ
ก่ อ ให้ เ กิ ด ความเสี ย หายที่ ไ ม่ อ าจเยี ย วยารั ก ษาได้ แผนผั ง ปิ ศ าจบนร่ า ง
คุ ณ หนู ใ หญ่ น างนี้ ลี้ ลั บ ซั บ ซ้ อ นเหนื อ ธรรมดา แผนผั ง ปิ ศ าจเขี้ ย วขาว
แผนผังปิศาจพิเศษสาหรับปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาวโดยเฉพาะ หากแผนผัง
ปิศาจเติบโตพัฒนาส าร็จ นางจะทะยานขึ้นสู่ด่านเจียง ก่อกาเนิดสังขาร
ปิศาจขึ้นเองตามธรรมชาติ
นางยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ กลับสัมผัสถูกธรณีประตูด่านเจียง ดรุณีน้อย
นางนี้นับว่ามีพรสวรรค์อันน่าแตกตื่นสะท้านโลกแล้ว
แผนผังปิศาจเขี้ยวขาวเป็นแผนผังปิศาจที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน
มันสามารถดูด ซับ พลัง อย่ างต่ อเนื่อ ง ทั้งยังสามารถผนึ ก รวมรั้ง พลั ง เข้ า
ด้วยกันจนกลายเป็นยิ่งหนาแน่นเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ หากฝึกปรือถึงขั้นสุด
ยอด สามารถบีบอัดพลังทั้งร่างจนมีขนาดเล็กกว่าปลายเข็ม พลังที่ถูกบีบ
อั ด จนเล็ ก กว่ า ปลายเข็ ม นี้ ส ามารถเจาะทะลวงทุ ก สรรพสิ่ ง จั่ วม่ อ
สันนิษฐานว่าต่อให้เป็น ‘เขตแดน’ ที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ยังสามารถเจาะ
ทะลวงได้
ผู เ ยากั บ เว่ ย ก็ พ ากั น ส ารวจตรวจสอบแผนผั งปิ ศ าจเขี้ ยวขาวอย่าง
สนใจใคร่รู้ ในหมู่พวกมันไม่มีใครเคยเห็นแผนผังปิศาจเขี้ยวขาวมาก่อน
“น่าสนใจอยู่บ้าง ไม่ต้องแปลกใจเลยที่สังขารปิศาจเขี้ยวขาวสามารถ
จัดอยู่ลาดับที่สิบหกในหมู่สังขารปิศาจด่านเจียงทั้งหมด” ผูเยากล่าวอย่าง
กระตือรือร้น มันเชี่ยวชาญด้านแผนผังปิศาจ เพียงมองปราดเดียวก็พ บ
เห็นหัวใจหลักของแผนผังปิศาจชุดนี้
เว่ยมองดูดรุ ณีน้อยที่ส ะคราญปานบุปผาอยู่ชั่ วอึด ใจ จากนั้นหันเห
สายตาไปทางอื่น มันไม่ค่อยสนใจแผนผังปิศาจเท่าใดนัก เพียงแต่ไม่เคย
เห็นมาก่อน ยามนี้เมื่อได้เห็นของจริงก็พึงพอใจมากแล้ว
“ล าดั บ ที่ สิ บ หกในหมู่ สัง ขารปิ ศาจด่ า นเจียง?” จั่ ว ม่ อ ทวนค าอย่ าง
ตะลึงลาน
“อา เป็นสังขารปิศาจที่แข็งแกร่งมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติ
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ หากแต่เป็นการที่สังขารปิศาจจะก่อ
ตัวขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อบรรลุถึงด่านเจียงต่างหาก สาหรับวิชาสังขาร
ปิ ศ าจที่ ย ากจะพบกั บ ความส าเร็ จ แล้ ว คุ ณ สมบั ติ ข้ อ นี้ เ รี ย กได้ ว่ า เป็ น ที่
ริษยาของปิศาจทั่วไปไม่น้อย!” กล่าวถึงตรงนี้ ผูเยาจู่ ๆ ก็หันมองจั่วม่อ
“เจ้ า ลองหาหนทางเก็ บ โลหิ ต ของนางดู บางที โ ลหิ ต ของนางอาจลี้ ลั บ
พิสดาร ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้า”
เว่ยผู้เฝ้ามองเงียบ ๆ พลันเอ่ยปากสอดคา “ความคิดนี้ไม่เลว ข้าล่วงรู้
เคล็ดบูชายัญ โลหิต อยู่ บ้ าง บางทีอาจจะช่ วยให้ เจ้ าสามารถครอบครอง
พลังสายเลือดนี้เช่นเดียวกันกับนาง”
จั่ ว ม่ อ ขบคิ ด อยู่ ชั่ ว อึ ด ใจ จากนั้ น สั่ น ศี ร ษะ “ไม่ ดี ก ว่ า ข้ า รู้ สึ ก ได้ ว่ า
สังขารปิศาจมหาทิวาของข้ากาลังจะฝ่าด่านรุดหน้าในไม่ช้า เป็นความรู้สึก
ที่แรงกล้ายิ่ง”
“นั่นก็ใช่แล้ว เจ้าฝึกปรือสังขารปิศาจมหาทิวา ในด้านของรากฐาน
อันมั่นคง สังขารปิศาจชนิดอื่นไม่สามารถยกขึ้นเทียบได้” ผูเยาผงกศีรษะ
เห็นพ้อง
เว่ยก็ไม่เห็นค้าน เปลี่ยนไปถามว่า “เจ้าคิดช่วยเหลือนาง?”
“ช่ ว ยเหลื อ นาง?” จั่ ว ม่ อ สั่ น ศี ร ษะ “ข้ า ไหนเลยจะมี ค วามสามารถ
ยิ่งใหญ่ปานนั้น ความเสียหายที่เกิดจากแผนผังปิศาจพัฒนาไม่สาเร็จ ก่อ
เกิดความเสียหายต่อเลือดเนื้อของนางด้วย ข้าไม่มีปัญญาช่วยนางได้”
เว่ยนิ่งเงียบงันไป
จั่วม่อก็ไม่กล่าวคาใดอีก หันกลับไปศึกษาแผนผังปิศาจบนร่างดรุ ณี
น้อยสืบต่อ
มั น ไม่ มี ค วามคิ ด จะช่ ว ยเหลื อ นางแม้ แ ต่ น้ อ ย เนื่ องเพราะมั น ไม่ มี
ปัญญากระทา แต่ต่อให้มีปัญญามันก็ไม่คิดกระทา มันตั้งใจแน่วแน่ว่ารอ
จนมันทุเลาหายดีและฝ่าด่านรุ ดหน้าสาเร็จ จะต้องก่อความยุ่งยากให้ แก่
เขิงอี้สักครา เพื่อแก้แค้นที่อสรพิษเฒ่าผู้นี้บีบบังคับมัน
มันไม่ใช่คนประเภทที่เมื่อถูกตบหน้าข้างซ้าย ก็จะยื่นหน้าข้างขวาไป
ให้ผู้อ่ น
ื ตบด้วย
แต่แผนผังปิศาจเขี้ยวขาวนี้ลึกล้าโดยแท้ กล่าวถึงแผนผังปิศาจด่าน
เจียง กระทั่งผูเยายังมีครอบครองเพียงไม่กี่ชิ้น
นี่เป็นโอกาสที่ยากจะพบพาน!
จั่วม่อไล่ปลายนิ้วไปตามแผนผังปิศาจ แผนผังปิศาจอันลี้ลับซับซ้อน
ของปิ ศ าจอสรพิ ษ เขี้ ย วขาว ท าให้ มั น จมลงไปในภวั ง ค์ ค รุ่ น คิ ด อย่ า ง
เคลิบเคลิ้มงมงาย
โดยไม่รู้สึกตัว พลังเทพสายหนึ่งถูกดึงออกจากปลายนิ้วของมันอย่าง
เงียบเชียบ
รอจนปลายนิ้วของมันกระทบถูกแผนผังปิศาจตรงหว่างคิ้วของดรุณี
น้อย เหตุแปรเปลี่ยนสุดพิสดารพลันอุบัติขึ้น!
ต าแหน่ ง หว่ า งคิ้ ว ของดรุ ณี น้ อ ยบั ง เกิ ด แรงดึ ง ดู ด อั น แข็ ง กล้ า อย่ า ง
ฉับพลัน พลังเทพในกายจั่วม่อจู่ ๆ หลุดออกจากการควบคุม ทะลักทลาย
ออกจากร่าง ไหลบ่าไปยังหว่างคิ้วของดรุณีน้อยอย่างบ้าคลั่ง
จั่วม่อตื่นตะลึง!
อะไรกันนี่?
แต่ไม่ว่ามันจะต่อต้านแข็งขืนสักเท่าใด พลังเทพของมันก็ยังคงไม่ฟัง
ค าสั่ ง มั น พากั น ถาโถมไปยั ง จุ ด กลางหว่ า งคิ้ ว ของนางงามนิ ท ราอย่ า ง
ดุเดือด
จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อในบัดดล หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มัน
มิใช่ถูกสูบจนเหือดแห้งหรือ?
จั่วม่อผู้ที่เพิ่งจะฟื้นฟูพลังฝีมือได้เพียงครึ่งเดียว ไหนเลยจะยอมรับ
ชะตากรรมถูกสูบจนแห้งเหือดอีกคารบได้
ในความหวาดหวั่นวิตก จั่วม่อกดมือขวาลงอย่างฉับพลัน หมายผลัก
ดรุณีน้อยออกไปให้พ้นห่าง
ตูม!
ทันใดนั้นแผนผังปิศาจบนร่างของนางงามนิทราสว่างวาบ แสงเจิดจ้า
บาดตาสาดส่องออกไปนอกห้อง เงาเลือนรางของพญางูขาวปรากฏขึ้นบน
ฟากฟ้า!
แม้จะเลือนราง แต่เกรงว่ากระทั่งผู้คนที่อยู่ห่างไกลยังมองเห็นได้ชัด
ตา!

“เขิงเจี้ยจู่ ท่านจะไม่ลองพิจารณาดูจริง ๆ?” บุรุษหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า


เขิงอี้ถามอย่างเย็นชา
บุรุษหนุ่มนี้ข มับสองข้า งนูนสู งเด่น มีเขายื่นออกมาเล็กน้ อย นี่เป็น
ลักษณะเฉพาะของผู้ที่มีสายเลือดมังกร และเป็นคุณลักษณะที่จะปรากฏ
ขึ้นก็ต่อเมื่อบรรลุถึงด่านเจียงเท่านั้น บุรุษหนุ่มนี้หน้าขาวนวลเนียน หล่อ
เหลาราวกับหยก ร่างสูงสง่าน่าดู แต่สีหน้าเย็นชาและทระนงถือดี
สายตาของมันเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งโอหัง
ข้างกายบุรุษหนุ่มยืนไว้ด้วยปิศาจหนึ่งอ้วนหนึ่งผอมสองตน คนอ้วน
ใบหน้าประดับรอยยิม
้ สดใสจริงใจ สีหน้าท่าทีเปี่ ยมด้วยไมตรีจิต คนผอมสี
หน้ากระด้างเย็นชา ดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืม มองผิวเผินคล้ายขัดแย้งกับคน
อ้วนอย่างถึงที่สุด แต่พานดูผสมกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด
“ไม่จาเป็นต้องพิจารณา!” เขิงอี้ตอบทันควัน สีหน้าสงบราบเรียบจน
อ่านไม่ออก จากนั้นกล่าวช้าๆ ว่า “เราผู้ต่าต้อยแม้จะเป็นเจี้ยจู่ที่ไม่มีอันใด
วิเศษวิโส แต่ก็อยู่อย่างอิสระเสรี ความเมตตาของอวี่ไสว้ 24ได้แต่ขอรั บไว้
ด้วยใจแล้ว!”

24
อวี่ไสว้ – แม่ทัพใหญ่พิรุณ ไสว้หรือแม่ทัพใหญ่เป็นด่านพลังด่านที่หกของฝ่ ายปิศาจ เทียบเท่าฝ่านซูของซิว
เจ่อ เหนือกว่าหยวนอิงหนึ่งด่าน ผูเยาที่เป็นอสูรฟ้าก็เทียบเท่ากับด่านนี้
ในเวลานี้เอง เขิงอี้พลันสีห น้าแปรเปลี่ยนอย่างรุ นแรง พร้อมกันนั้น
ปิศาจผอมที่ข้างกายบุรุษหนุ่มก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ส่วนปิศาจอ้วน
รอยยิม
้ สลายวับไปทันตา
โดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก ทั้งหมดทะยานร่างออกจากห้องแทบจะพร้อม
กัน ราวกับนัดแนะกันไว้
เห็นตาหนักที่อยู่ไกลออกไปส่องแสงเจิดจ้าขึ้นไปถึงชั้นฟ้า เงามหึมา
ของพญางูขาวบัดเดี๋ยวผลุบบัดเดี๋ยวโผล่อยู่ท่ามกลางลาแสง
“เหลียนเอ๋อร์! 25” เขิงอี้ร่าร้องอย่างตื่นตะลึง สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่าง
รุนแรง สุ้มเสียงยังไม่ทันจะขาดหาย ร่างก็หายวับไป
“เขิงอี้เป็นปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาวจริงดังคาด!” บุรุษหนุ่มแค่นเสียง
จากนั้นสีหน้าทอแววปิติยินดี “นี่เป็นโอกาสอันดีงาม! บุตรีของมันกาลังอยู่
ในช่วงคับขันอันตราย มันต้องไม่กล้ าปฏิเสธแน่ มิเช่นนั้น ฮึ่มฮึ่ม อย่าได้
ตาหนิว่าข้าโหดเหี้ยม!”
จากนั้นทั้งสามก็ร่างหายวับไปเช่นกัน

จั่วม่อไม่คาดฝันว่าแผนผังปิศาจของดรุณีน้อยนี้จะประหลาดพิสดาร
ถึ ง ปานนี้ ต้ อ งแตกตื่ นจนขวั ญ บิ น รอจนเห็ น แสงสว่ า งเจิ ด จ้ า สาดส่ อ ง
ออกมาจากแผนผังปิศาจของนางงามนิทรา มันพลันพบว่าผิดท่า
เอะอะอึกทึกถึงเพียงนี้ เขิงอี้ไม่สังเกตเห็นก็แปลกไปแล้ว!

25
เหลียน คานี้แปลว่าเวทนาสงสารหรือรักใคร่เอ็นดู ส่วนเอ๋อร์เป็นคาเรียกอย่างเอ็นดู คล้าย ๆ คาว่าหนูของไทย
ชื่อเต็มของนางคือเขิงเหลียนเอ๋อร์
อุบาทว์บัดซบ!
คิดเผชิญหน้ากับเขิงอี้ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดี แต่จ่ัวม่อกระทั่งเวลา
จะส านึ ก เสี ย ใจยั ง ไม่ มี มั น สั ม ผั ส พบพลั ง ของเขิ ง อี้ แ ล้ ว ไม่ ถู ก ต้ อ ง ยั ง มี
ปิศาจด่านเจียงอีกสามตน!
จั่วม่อนิ่งขึงตะลึงลาน สี่ปิศาจด่านเจียง ต่อให้มันพลังฝีมือรุ ดหน้าฝ่า
ด่านสาเร็จ ยังมิใช่คู่มือของคนเหล่านี้!
“เหลียนเอ๋อร์!” เขิงอี้ร้องเรียกอย่างแตกตื่นกังวล ดวงตาเต็มไปด้วย
ความหวาดวิตก ไม่หลงเหลือเค้าเหี้ยมเกรียมและยะเยียบเย็นชาที่พึงมี
“เขิงเจี้ยจู่ ข้าว่าท่านสมควรพิจารณาเรื่องที่เราเพิ่งจะหารือกันเมื่อครู่
จะดีกว่า” บุรุษหนุ่มกล่าวด้วยสุ้มเสียงแฝงนัยประหลาดจากด้านหลังของ
เขิงอี้
เขิงอี้ขุ่นแค้นจนหน้าเขียวคล้า “เจ้า... ...”
“ฮ่าฮ่า เขิงเจี้ยจู่ ลองคิดดูให้ดีเถอะ” ปิศาจอ้วนกล่าวปนหัวร่อ “ขอ
เพียงเจี้ยจู่ตัดสินใจให้ดี พวกเราทั้งสามยินดีจ่ายด้วยเคล็ดทักษะปิศาจของ
พวกเรา และช่วยเหลือให้บุตรีของท่านพัฒนาแผนผังปิศาจสาเร็จ”
เขิงอี้เริ่มหวั่นไหวใจ
จั่ ว ม่ อ ทราบว่ า สถานการณ์ ไ ม่ สู้ ดี นั ก หากเขิ ง อี้ ยิ น ยอมตกลงจริ ง ๆ
เช่นนั้นผู้ที่จะมีผลสุดท้ายน่าอนาถที่สุด คงไม่พ้นตัวมันเองเสียเป็นแน่แท้!
แต่จ่ว
ั ม่อกระทั่งเรี่ยวแรงจะอ้าปากกล่าววาจายังไม่มี พลังเทพทั่วร่าง
ของมันไหลบ่าลงไปยังหว่างคิ้วของดรุณีน้อยจนแทบหมดสิ้น
ในเวลานี้ เ อง แรงดึ ง ดู ด จากหว่ า งคิ้ ว ของนางงามนิ ท ราหายวั บ ไป
อย่ า งฉั บ พลั น จั่ ว ม่ อ ยั ง ไม่ ทั น จะได้ นึ ก ยิ น ดี ทั น ใดนั้ น พลั ง เทพแปลก
ประหลาดสายหนึ่ งปะทุ อ อกมาจากหว่ า งคิ้ ว ของดรุ ณี น้อ ย ไหลบ่ า ย้ อน
ทวนเข้ามาตามปลายนิ้วของจั่วม่อ
กระแสพลังเทพอันเปี่ ยมล้นสายนี้แปลกพิสดารยิ่ง มันเมื่อมองดูใน
ร่างตนเอง สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ าพลังเทพที่ย้อนกลับมาเป็นสีขาวเงิน
แวววับจับตา
ทันทีที่พลังเทพสีข าวเงินเข้าสู่ ร่า งของจั่ว ม่อ ก็เป็นเช่นเดียวกั น กั บ
ประกายไฟพุ่งลงหม้อน้ามัน จุดระเบิดพลังเทพที่ยังหลงเหลืออยู่ใ นร่ า ง
จั่วม่อในบัดดล!
ตูม!
จั่วม่อรู้สึกราวกับในศีรษะมีอะไรบางอย่างแตกระเบิดดังกึกก้อง
บทที่ 553 เศษชิ้นส่วน

ซู่ห ลงตรวจสอบซ้าแล้วซ้าอีก จวบกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด


ค่อยหยุดยั้งลง
พวกหนานเยว่ คังเจ๋อและอสูรอื่น ๆ รู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ศึก
ครั้งนี้นับเป็นศึกใหญ่ครั้งแรกของพวกมัน หากบอกว่ามิได้ตึงเครียดกังวลก็
หลอกลวงผู้ค นแล้ว แต่ ก ารฝึ ก อบรมอันเข้ม งวดของผูเ ยาค่ อยแสดงผล
ออกมาในยามนี้ เ อง พวกมั น แม้ ตึ ง เครี ย ดกั ง วล แต่ ยั ง คงสามารถรั ก ษา
ความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้
งานที่ซู่หลงมอบหมายให้แก่พวกมันนั้นเรียบง่ายยิ่ง ให้พวกมันคอย
ติดตามเหล่าองครักษ์ทุกข์ยากไปฆ่าคนเท่านัน

บนยอดเขา เห็นเสาทองแดงหลายเสาปักตรึงแน่นอยู่กับพื้น บนตัว
เสาปกคลุมไปด้วยรอยสลักหยาบกระด้างจนแน่นขนัด ของเหล่านี้เรียกว่า
เสาสัญลักษณ์ศึก เป็นซู่หลงหลอมสร้างขึ้นตามคาชี้นาของเว่ย
ค่ายเว่ยที่อยู่ภายใต้การสั่งสอนของเว่ย หากเทียบกับเมื่อตอนที่อ ยู่
ภายใต้ผูเยา เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงแบบฉบับการต่อสู้ไปอย่างสิน
้ เชิง
จู่เหรินทุกคนของเว่ยล้วนเป็นจอมปิศาจยอดอัจฉริยะในยุคสมัยหนึ่ง
นี่ทาให้มันพลอยมีวิชาความรอบรู้ในด้านกองทัพปิศาจอย่างกว้างขวาง ใน
มื อ ของมั น กลยุ ท ธ์ ก ารท าศึ ก ของค่ า ยเว่ ย ค่ อ ย ๆ เปลี่ ย นแปลงไปอย่ าง
เงียบเชียบ มันยังเพิ่มวิธีการรบของชนเผ่าโบราณเข้าไปอีกหลายหลาก ทา
ให้ค่ายเว่ยแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
พิ ชั ย ยุ ท ธ์ ที่ ใ ช้ เ สาสั ญ ลั ก ษณ์ ศึ ก เป็ น หนึ่ ง ในวิ ธี ก ารรบของชนเผ่ า
โบราณเหล่านั้น
หากมิ ใ ช่ ว่ า จั่ ว ม่ อ เก็ บ รวบรวมเศษชิ้ น ส่ ว นสั ญ ลั ก ษณ์ ศึ ก มาเป็ น
จานวนมาก พวกมันก็ไม่อาจหลอมสร้างเสาสัญลักษณ์ศึกสาเร็จลุล่วงได้
ค่ายเว่ยมีจุดอ่อนตามธรรมชาติที่ ห ลีก เลี่ยงไม่ ได้ อยู่ข้อหนึ่ ง นั่นคือ
ความเร็ ว ในยุ ค สมั ยที่ ค วามเร็ ว เป็ นหนึ่งในปัจ จั ยชี้ เ ป็น ชี้ ต าย ค่ า ยเว่ ยที่
เทอะทะงุ่มง่ามย่อมต้องเสียเปรียบเป็นธรรมดา เว่ยไม่แยแสสนใจที่จะหา
วิธีเพิ่มความเร็วให้แก่ค่ายเว่ย ทว่ากลับใช้วิธีการอื่ น เปลี่ยนพวกมันเป็น
กองพันเกราะหนักที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน!
เยี่ยหลิงค่อย ๆ สงบใจลง เนื่องเพราะมันพบว่ากองทัพทั้งหมดเป็น
ระเบี ย บเรี ย บร้ อ ยยิ่ ง แม้ ว่ า จะมี จ านวนเพี ย งหนึ่ ง ร้ อ ยคน แต่ สี ห น้ า
ปราศจากอาการร้ อนรนกระวนกระวายแม้สักส่ วนเสี้ย ว พวกมันไม่ ต่ า ง
จากเครื่องกลไกอันแม่นยาสุดขีด ตั้งกระบวนทัพอย่างถูกต้อง หนักแน่น
มั่นคง หมดจดและเปี่ ยมอานุภาพ
กองทัพอันร้ายกาจ!
กระทั่งเยี่ยหลิงผู้เคยพบเห็นกองทัพมานักต่อนักยังอดตระหนกตกใจ
ไม่ได้ เหล่าองครักษ์ทุกข์ยากสีหน้าสงบเยือกเย็นและเฉื่อยชา ไม่ตึงเครียด
กังวล ไม่ต่ ืนเต้นกระวนกระวาย พวกมันเคลื่อนกระบวนทัพประหนึ่ ง ว่ า
กาลังทาการฝึกปรืออยู่ในค่ายก็มิปาน!
หรื อ มิ ฉ ะนั้ น สี ห น้ า ท่ า ทางของพวกมั น ก็ ร าวกั บ ว่ า ก าลั ง จะลงมื อ
เหยียบย่ามดปลวกที่ไม่สลักสาคัญอันใด!
ซู่ ห ลงต้ า เหริ น ไม่ เ อ่ ย ว าจ าปลุ กปลอ บขวั ญก าลั ง ใจ เพี ย งแค่
บัญชาการไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน
ยอดเขาแห่งนี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบริเวณโดยรอบ ส่วนยอดแทง
ทะลุชั้นเมฆ ตัวยอดเขาเองเป็นพื้นราบเรียบที่มีขนาดพื้นที่ราวเจ็ดสิบกว่า
หมู่
เสาสัญลักษณ์ศึกหนึ่งร้อยยี่สิบเสาฝังแน่นอยู่ในพื้นศิลา โผล่ออกมา
เพียงครึ่งเสาเท่านั้น บรรดาองครักษ์ทุกข์ยากยืนอยู่ระหว่า งเสาแต่ล ะต้น
เห็นได้ชัดว่าเป็นกระบวนทัพค่ายกลชนิดหนึ่ง
กองโจรที่ติดตามพวกมันมาไม่อาจเข้าใจสภาพเบื้องหน้า ดังนั้นไม่
กล้าผลีผลามลงมือจู่โจม ข่าวชะตากรรมอันน่าอนาถของกองกาลัง ภู เขา
มังกรแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรขุนเขาอริยะตั้งแต่แรก
เมื่อค่ายกลขบวนใหญ่ก่อตั้งแล้วเสร็จ ซู่หลงดวงตาสาดประกายด้วย
จิตวิญญาณการต่อสู้ ปะทุลุกโชนอย่างไร้สุ้มเสียง
ไสหัวเข้ามาเถอะ!

จั่วม่อศีรษะลั่นอึงอล ราวกับว่ามีบางสิ่งระเบิดขึ้นในศีรษะมัน สมอง


ขาวว่างเปล่าไปหมด
ในเวลานี้เอง ดรุณีน้อยภายใต้ปลายนิ้วของมันส่งเสียงอืมม์ออกมาคา
หนึ่ง
เขิ งอี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นปลาบปลื้มปิติ ร้องเรียกโดยไม่รู้ตัว “เหลียน
เอ๋อร์!”
บุรุษหนุ่มกับพวกอีกสองคนสีหน้ามืดมน หากพวกมันพลาดโอกาสนี้
เกรงว่าคิดเกลี้ยกล่อมเขิงอี้อีกคงไม่ง่ายดายแล้ว พวกมันทั้งสามแม้อยู่ใน
ด่านเจียงเช่นเดียวกัน แต่ยังคงครั่นคร้ามต่อสังขารปิศาจเขี้ยวขาวของเขิง
อี้ไม่น้อย
ผู้ใต้บังคับบัญชาของอวี่ไสว้ท้ังสามสบตากันวูบ ดวงตาสาดประกาย
เย็นเยียบ พลันลงมือโดยพร้อมเพรียง
บุรุษหนุ่มสาดพุ่งตรงดิ่งไปทางจั่วม่อกับดรุ ณีน้อย คิดคร่ากุมนางงาม
นิทรานางนี้ไปใช้ข่มขู่เขิงอี้ ขณะที่ปิศาจอ้วนปิศาจผอมโถมเข้าหาเขิ ง อี้
จากทิศทางที่แตกต่าง
ชั่วพริบตาที่คนทั้งสามลงมือ เขิงอี้พลันตระหนักถึงจิตเจตนาชั่วร้าย
ของพวกมัน ต้องตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “หาที่ตาย!”
นั ย น์ ต างู สี อ าพั น เปลี่ ย นเป็ น สี ข าวปนเทา ทะยานเข้ า รั บ หน้ า สอง
ปิศาจอ้วนผอมอย่างไม่กลัวเกรง มือขวายกขึ้นเล็กน้อย พลันสาดประกาย
สีขาวปนเทาออกมาอย่างร้อนแรง!
เสียงหวีดแหลมคล้ายดังมาจากนรกโลกันตร์ก็มิปาน
ปิศาจอ้วนผอมสีห น้า แปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก ปิศาจอ้วนตวาดก้ อ ง
แผนผังปิศาจสีน้าตาลแดงปรากฏขึ้น คลื่นพลั งที่มองไม่เห็นแผ่กระเพื่อม
ออกมา ปิ ศ าจผอมสองมื อ ท าท่ า เป็ น กรงเล็บ เปล่ ง ประกายแวววามดุ จ
เหล็กกล้า แผนผังปิศาจสีเขียวเข้มตวัดรัดพันรอบแขน ดูคล้ายเส้นเถาไม้
เลื้อยนับไม่ถ้วน
เปรี้ยง!
มื อ ขวาที่ ย กขึ้นสูง ของเขิง อี้ก ระทบถูก คลื่นพลังไร้ ส ภาพ แล้ ว พลัน
เจาะทะลวงเข้าไปอย่างไม่สะดุดติดขัด ประหนึ่งมีดผ่าสายน้า!
ทะลวงผ่านเข้าไปชั้นแล้วชั้นเล่าโดยไม่หยุดยั้ง!
คลื่นพลังงานหลายสิบชั้นไม่อาจยับยั้งฝ่ามือสีขาวเทาของเขิงอี้แม้แต่
ชั่ววูบ!
ปิศาจอ้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุ นแรง พลังฝีมืออันเข้มแข็งของ
เขิงอี้เหนือความคาดหมายของมันไปมาก ในชั่วพริบตาที่คับขันอันตรายนี้
กรงเล็บของปิศาจผอมพุ่งแหวกอากาศปานสิบมีดคมกล้า ตรงเข้าจู่โจมฝ่า
มือของเขิงอี้จากอีกทางหนึ่ง!
ดวงตาสีขาวเทาของเขิงอี้ไร้อารมณ์ความรู้สึก คล้ายไร้ประกายชีวิต
ฝ่ามือขวายังคงตบฟาดไปข้างหน้ า ไม่คิดหลบเลี่ยงการโจมตีข องปิ ศ าจ
ผอมแม้แต่น้อย
ปิศาจผอมใบหน้าทอแววดุร้าย เร่งเร้าเคล็ดทักษะปิศาจไปถึงขีดสุด
แผนผังปิศาจสีเขียวเข้มส่องแสงเจิดจ้าอย่างฉับพลัน กรงเล็บกรีดวาดเป็น
ริ้วแสงสีเขียวบาดตากลางอากาศ!
ทั้งสองฝ่ายปะทะหักหาญโดยไม่มีลวดลายใด ๆ ประลองพลังอย่าง
หักโหม!
ตูม!
แสงสี เ ขี ย วส่ อ งสว่ า งเป็ น วงกว้ า งอย่ า งฉั บ พลั น ล าแสงแผดจ้ า
ประหนึ่งเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทงใส่ดวงตาผู้คนจนต้องเบนหลบ!
กร๊อบ!
ท่ า มกลางประกายแสงเจิ ด จ้ า บั ง เกิ ด เสี ย งเบา ๆ เหมื อ นมี บ างสิ่ ง
แตกหัก
แสงสว่างหายวับไปทันควัน เห็นปิศาจผอมใบหน้าทอแววเจ็ บ ปวด
มือขวาของมันนิ้วหักไปสามนิ้ว!
ปิศาจอ้วนสีหน้าทอแววหวาดกลัว แต่ยังคงมีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง รีบ
ตวาดเสียงดังฟังชัด “หยุดมือ!”
“เขิงเจี้ยจู่ ไม่ห่วงบุตรีสุดที่รักของท่านแล้วหรือ!” ปิศาจอ้วนเกรงว่า
ในชีวิตนี้ยังไม่เคยกล่าวเร็วปรื๋อถึงเพียงนี้มาก่อน
นัยน์ตาสีขาวเทาของเขิงอี้หดแคบลงทันควัน

บุรุษหนุ่มสายเลือดมังกรไม่เหลือบแลจั่วม่อแม้สักแวบ ในสายตามันมี
เพียงดรุ ณีน้อยสะคราญโฉมนางนั้น! เสียงปะทะหักหาญดังสนั่นหวั่น ไหว
จากทางด้านหลัง รวมทั้งเสียงแค่นหนัก ๆ ของปิศาจอ้วน บันดาลให้มันใจ
เขม็งตึงเครียดถึงที่สุด
มันทราบว่ าพฤติการณ์ข องพวกมั นครั้งนี้เ ท่ ากั บฉีกหน้ าลงมื อ ไม่มี
ทางเลิกราโดยสันติ ด้วยความดุร้ายของเขิงอี้ หากมันคร่ากุมคนไม่ส าเร็จ
เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้!
เขิงอี้ผู้นี้แม้ไม่มีช่ อ
ื เสียงกระเดื่องดัง แต่บุรุษหนุ่มไม่มีทางประเมินมัน
ต่าเกินไปเพราะเหตุนี้ หากมิใช่ว่าอวี่ไสว้มีเรื่องราวบางประการรัดตัว จน
ไม่อาจมาด้วยตัวเอง คราครั้งนี้ก็ไม่ถึงรอบให้มันเป็นผู้มาแล้ว แต่กระนั้น
ภายใต้ความรอบคอบระมัดระวัง มันยังจงใจนาสองปิศาจด่านเจียงมาด้วย
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสองยอดฝีมือด่านเจียงนี้เมื่อเผชิญกับเขิงอี้ กลับถูกทุบ
ตีจนมือไม้ปั่นป่วน เพียงประมือหนึ่งกระบวนท่า คนหนึ่งถูกบีบบังคับให้ล่า
ถอย อีกคนรับบาดเจ็บไม่เบา!
สังขารปิศาจเขี้ยวขาวร้ายกาจสมดังคาร่าลือ!
มันแม้มีสายเลือดมังกร แต่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ด่านเจียง แน่นอนว่าไม่ใช่
คู่มือของเขิงอี้
โอกาสเดียวในเวลานี้ คือต้องคร่ากุมธิดาสุดรักสุดหวงของเขิงอี้ให้จง
ได้!
นั่นเป็นนางงามนิทรานางหนึ่ง!
หากมันสามารถคร่ากุมนางไว้ได้ก่อนที่นางจะฟื้นคืนสติ ย่อมจะทาให้
เขิ ง อี้ ก ลายเป็ น พะวั ก พะวง มั น จะสามารถจั ด การจนเขิ ง อี้ ย อมก้ ม หั ว
ศิโรราบได้โดยง่าย!
บุรุษหนุ่มเลือดมังกรเร่งเร้าพลั งทั้งร่าง ร่างพุ่งวาบดุจ สายฟ้า ในชั่ว
พริบตานี้ความคิดจิตใจของมันกระจ่างแจ่มชัดเหนือธรรมดา
แต่ แ ล้ ว เมื่ อใบหน้ า ของดรุ ณี น างนั้ น ผ่ า นเข้ า มาในสายตามั น เมื่ อ
มองเห็นใบหน้างามพิลาสนั้นชัดตา เสี้ยวพริบตานั้น มันเกือบจะลืมหายใจ!
ขนตายาวงอนสั่นไหวเบา ๆ คิ้วเรียวโค้งขมวดเล็กน้อยราวกับว่านาง
กาลังสะกดกลั้นความเจ็ บ ปวด บนใบหน้าสวยซึ้ งไร้ รอยต าหนิ ดู อ่ อ นแอ
บอบบาง ชวนให้รักเวทนาโดยไม่รู้ตัว
บุรุษหนุ่มผู้เย่อหยิ่งทระนง บางส่วนในหัวใจพลันอ่อนยวบลง
เสียงแผดร้องตะโกนจากปิศาจอ้วนดังลั่นมาจากเบื้องหลัง บุรุษหนุ่ม
สะท้านขึ้นทั้งร่าง ฟื้ นตื่นจากความลุ่มหลงมึนเมา ใบหน้าสวยซึ้งไร้ต าหนิ
ตรงหน้ามันนี้ ช่างเปี่ ยมไปด้วยมนต์ขลังอันลี้ลับโดยแท้!
บุรุษหนุ่มฝืนระงับใจที่สะท้านสั่นไหว กัดฟันแน่น ผนึกกาลังทั่วร่าง
คว้าตรงไปยังร่างของดรุณีน้อย
ยามนี้นางอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น!
บุรุษหนุ่มปิติยินดีอย่างล้นเหลือ ความสาเร็จอยู่แค่เบื้องหน้า หากมัน
คร่ากุมโฉมสะคราญนางนี้ไว้ได้ จะพลิกจากพ่ายแพ้เป็นได้ชัยในบัดดล!
มือขวาของมันกระทบถูกปรางแก้มของดรุ ณีน้อย รู้สึกได้อย่างชัดเจน
ถึงความนุ่มนวลจากปลายนิ้ว
สาเร็จแล้ว!
ทันใดนั้นเอง ขนตางอนยาวของโฉมสะคราญสั่นพลิ้ว นางลืมตาขึ้น
อย่างช้า ๆ
ดวงตาของดรุ ณีน้อยประดุจ นิล อันเงางาม ประหนึ่งห้วงรัต ติกาลไร้
แสงดาว ทั้งลึกล้าและไร้ก้นบึ้ง
ชั่วพริบตาที่น างเปิ ดดวงตาซึ่งสามารถสะกดสรรพสิ่ง คู่นั้น วงหน้ า
พิลาสล้าดูคล้ายมีชีวิตชีวาขึ้นอีกอักโข! เป็นความงามปานหยาดฟ้ามาดิน
ที่ไม่สามารถบ่งบอกบรรยายได้ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่สามารถฉกฉวยลม
หายใจผู้ ค น แต่ ก็ ดู ค ล้ า ยอสรพิ ษ ร้ า ยในความมื ด เจาะทะลวงเข้ า ไปใน
ดวงใจของบุรุษหนุ่มโดยไร้เสียง
บุ รุ ษ หนุ่ ม ตะลึ ง งั น สี ห น้ า กลายเป็ น เลื่ อนลอย มื อ หยุ ด ค้ า งอยู่ บ น
ใบหน้าขาวนวลดุจหิมะของดรุณีน้อยโดยไม่รู้ตัว
“ข้าเรียกว่าเหลียนเอ๋อร์”
เสี ย งขานนามอ่ อนเบาของหญิ ง สาว ดุ จ ดั ง ล่ อ งลอยมาจากสายลม
คล้ายมีคล้ายไม่มี
“ระวัง!” ปิศาจอ้วนร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก
บุรุษหนุ่มคล้ายไม่ได้ยินเสียงเตือน ยังคงไม่ไหวติง
เพียะเพียะเพียะเพียะ!
โลหิต นับไม่ถ้วนสาดพุ่งออกมาจากร่างบุรุษหนุ่มอย่างพร้อมเพรียง
บุรุษหนุ่มร่างส่ายโงนเงน ล้มคว่าลงท่ามกลางแอ่งโลหิต
ปิ ศ าจอ้ ว นปิ ศ าจผอมสีห น้ า แข็ง ทื่ อ เหม่ อ มองภาพเบื้ อ งหน้า อย่าง
เหลื อ เชื่ อ พวกมั น พบว่ า ยากจะเข้ า ใจได้ พวกมั น ไม่ เ ห็ น บุ รุ ษ หนุ่ ม ขยั บ
เคลื่ อนไหว ไม่ รู้ สึ ก ถึ ง ระลอกพลั ง สั่ น ไหวอั น ใด พวกมั น ไม่ พ บสิ่ ง ใดเลย
แม้แต่น้อย!
ทั้งสองปิศาจอ้วนผอมย่อมล่วงรู้ระดับพลังของบุรุษหนุ่มเป็นอย่างดี
คนผู้นี้ยังเยาว์วัยก็บรรลุถึงด่านเจียง มิห นาซ้าอีกไม่นานจะสามารถปลุก
สายเลือดมังกรของตนขึ้น เต็มไปด้วยศักยภาพไร้ขีดจากัด กระทั่งในตอนนี้
บุรุษหนุ่มก็มีพลังฝีมือเหนือล้ากว่าพวกมันทั้งสอง
แต่... ...แต่... ...มันถึงกับ...ถึงกับ... ...ตายโดยไม่ทันรู้ตัว!
พวกมั น คล้ า ยพบพานผี ส างกลางวั น แสก ๆ ภาพตรงหน้ า นี้ แ ปลก
ประหลาดเกินไป อยู่นอกเหนือความเข้าใจของพวกมันอย่างสิน
้ เชิง!
“ข้าเรียกว่าเหลียนเอ๋อร์”
โฉมสะคราญหันไปกล่าวกับจั่วม่อ ใบหน้าสวยซึ้งสุดฟ้าสุดดินคล้ าย
ชวนให้รู้สึกรักเวทนา
ทว่าจั่วม่อกลับคล้ายไม่ได้ยินอันใด ยังคงนิ่งงันไม่ไหวติง
ดรุ ณี น้ อ ยหลุ บ ตาลง นั ย น์ ต างดงามค่ อ ย ๆ หลั บ พริ้ ม อี ก ครา ชั่ ว
พริบตานี้ ในจิตใจนางปรากฏฉากเหตุการณ์นับไม่ถ้วนที่ไม่ปะติดปะต่อกัน
นั่นเป็นเศษชิ้นส่วนความทรงจาของคนผู้หนึ่ง

ลูกแก้วห้าสีปริแตก
“... ...อย่าได้ลืมเลือน... ...”
เสียงกระจ่างแจ่มชัดของเด็กสาว เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและ
หวาดวิตก
“... ...จงอย่าได้ลืม... ...”
เสียงเด็กสาวดูเหมือนจะพร่าย้าเตือนซ้าแล้วซ้าเล่า
เสียงพร่ากาชับนี้ดังอยู่ตรงหน้ามันชัด ๆ แต่ไม่ว่าจั่วม่อจะดิ้นรนสัก
เท่าใด ก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเด็กสาวนางนั้นได้ชัดตา ดูราวกับว่ามี
ชั้นหมอกหนาบดบังสายตามันอยู่ตลอดเวลา ภาพเหตุการณ์ขาด ๆ หาย ๆ
วาบผ่านดวงตาในจิตใจไม่หยุดยั้ง ทุกภาพล้วนขาดหาย ไม่ปะติดปะต่อ สิ่ง
ที่ชัดเจนมีเพียงสุ้มเสียงห่วงหาอาวรณ์ของสตรีนางนั้น
ความโศกศัล ย์และความหมดหวังอันไร้ที่มา คล้ายกาลังกร่อนสลาย
จิตใจของจั่วม่อราวกับม่านหมอกแผ่กระจาย
จั่วม่อขบริมฝีปากจนแทบแตก เมื่อมีประสบการณ์ทาศึกมาอย่างโชก
โชน มันสามารถพบเห็นหลายสิ่งในภาพเหตุการณ์แหว่ง ๆ วิ่น ๆ นี้ มัน
เห็นโลหิตหลั่งเนืองนอง เห็นการเข่นฆ่าสังหาร... ...
สุ้มเสียงของเด็กสาวบัดเดี๋ยวปรากฏ บัดเดี๋ยวลับหาย คงเหลือแต่ภาพ
เหตุการณ์ขาด ๆ หาย ๆ ที่ยังปรากฏต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“... ...ไม่ต้องกลัว... ...”
“นาย... ...เร็ว หนีไป... ...”
ถ้อยคาไม่ปะติดปะต่อเพิม
่ มากขึ้น แต่มันไม่มีปัญญาเข้าใจได้
จั่วม่อในใจคล้ายถูกบางสิ่งบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ ความโศกศัลย์ที่ไม่
อาจบ่งบอกบรรยายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
ทันใดนั้นเอง ภาพที่ปรากฏคราวนี้ ทาให้จ่ัวม่อสะท้านสั่นไหวไปทั้ ง
ร่าง!
นั่ น เป็ น เด็ ก สาวนางหนึ่ ง แบกเด็ ก หนุ่ ม ผู้ ห นึ่ ง ไว้ บ นหลั ง นางวิ่ ง วิ่ ง
และวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ทะลวงผ่านราวป่า ถูกกิ่งก้านหนามคมนับไม่ถ้วน
เกาะเกี่ยวฉีกกระชากร่างกาย เสื้อผ้าอาภรณ์ฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ จั่วม่อกระทั่ง
สามารถได้ยินเสียงหายใจหอบหนักของเด็กสาวผู้นั้นได้อย่างชัดเจน เหงื่อ
เม็ดโป้งไหลรี่ลงจากใบหน้านางไม่ขาดสาย
จั่วม่อเหม่อมองด้านล่างของภาพตรงหน้า จ้องมองบางสิ่งที่เหลือเชื่อ
นั่นเป็นเท้าเปล่าอันสมบูรณ์พร้อมคู่หนึ่ง เหยียบย่าไปตามดินโคลน กิ่งก้าน
และเสี้ยนหนาม วิง่ ต่อไปโดยไม่สนใจชีวิตตนเอง
จั่วม่อตะลึงมองสองเท้าที่กาลังวิ่งไม่หยุด ไม่อาจละสายตาจากไปได้
อีก
“นายน้อย ไม่ต้องกลัว ข้าจะต้องตามไปพบท่านอย่างแน่นอน!”
ในเวลานี้ จั่ ว ม่ อ ในที่ สุ ด ก็ ไ ด้ ยิ น ประโยคเต็ ม จากสุ้ ม เสี ย งที่ ยั ง อ่ อ น
เยาว์แต่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเด็กสาวนางนั้น
ชั่ ว พริ บ ตานี้ จั่ ว ม่ อ ราวกั บ ว่ า ถู ก บางสิ่ ง บางอย่ า งหวดฟาดใส่ อ ย่ า ง
รุนแรง น้าตาไหลทะลักลงจากเบ้าอย่างเหนือการควบคุม
บทที่ 554 หนทาง

“เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ! เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ! ” เขิ ง อี้ ก ระทั่ ง หางตายั ง ไม่ เ หลื อ บแล
ปิ ศ าจอ้ ว นปิ ศ าจผอม ทั น ที ที่ ม องเห็ น บุ ต รี สี ห น้ า ก็ ป ลาบปลื้ มยิ น ดี รี บ
ทะยานเข้าหา คว้ามือของธิดาสุดรักขึ้นมากุมไว้
จั่วม่อดึงปลายนิ้วออกจากหว่างคิ้วของเหลียนเอ๋อร์ นางลืมตาดาขลับ
อย่างเงียบเชียบ จากนั้นกวาดตามองรอบข้าง เมื่อพบเห็นอากุ่ย นางชะงัก
งันวูบ และเมื่อสายตาจับจ้องไปยังเท้าเปล่าของอากุ่ย สีหน้าค่อยเผยแวว
คล้ายเข้าใจเรื่องบางประการ
ที่แท้นางเห็นภาพในใจของบุรุษผู้นี้จริง ๆ เหลียนเอ๋อร์อดตกตะลึงอยู่
บ้างมิได้
นี่มัน... ...
“ท่านพ่อ!” สุ้มเสียงนางทั้งนุ่มนวลและสงบราบเรียบ
“เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ! เจ้ า ไม่ เ ป็ น อะไรแล้ ว ! เจ้ า ไม่ เ ป็ น อะไรแล้ ว จริ ง ๆ!
ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง!” เขิงอี้ต่ น
ื เต้นยินดีสุดระงับ ในสายตามันเห็นจั่วม่อ
เป็นอากาศธาตุไปแล้ว
“มันช่วยชีวิตข้า” เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวเสียงราบเรียบ
“อ้อ อ้อ อ้อ ข้าจะตอบแทนมัน จะตอบแทนมันเป็นอย่างดี! ไม่ว่ามัน
ต้องการอะไรข้าก็จะให้มัน! เหลียนเอ๋อร์ไม่ต้องห่วง!” เขิงอี้ผงกศีรษะรัว ๆ
ไม่อาจระงับความปลาบปลื้มประโลมใจบนใบหน้าไว้ได้ แต่สายตาของมัน
ไม่ละไปจากธิดาสุดรักแม้แต่แวบเดียว
ปิศาจอ้วนปิศาจผอมแอบย่องออกไปเงีย บ ๆ ไม่ทราบสมควรยิ น ดี
หรือเศร้าเสียใจ ไม่มีใครแยแสสนใจพวกมันเลย

จั่วม่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่มันทาคือมองหาอากุ่ย
รอจนเห็นอากุ่ยยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างกาย ประโยคนั้นก็ผุดขึ้นในใจ ‘นาย
น้ อ ย ไม่ ต้ อ งกลั ว ข้ า จะต้ อ งตามไปพบท่ า นอย่ า งแน่ น อน’ อดเอื้ อมมื อ
ออกไปขยี้ผมอากุ่ยไม่ได้
“อากุ่ย ในที่สุดเจ้าตามมาพบข้าแล้ว”
มันความจริงคิดแย้มยิ้มสักครา แต่มิทราบไฉนน้าตาไหลทะลักลงมา
แทน
มันหวนนึกถึงครั้งที่พบอากุ่ยลอยมาติดริมแม่น้าในอาณาจักขุนเขา
น้อย นางทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ถึงยามนี้มันทราบแล้วว่าล้วนเกิดจาก
การตามหามันเอง! มันยังนึกถึงตอนที่ถูกแผ่นจานดินนภาเก้าแปลงกดทับ
นึกถึงตอนที่เผชิญการโจมตีแลกชีวิตของบรรพชนฟ้ากระจ่าง นึกถึงตอน
ที่พวกมันตกอยู่กลางทะเลทราย นางแบกร่างมันเดินฝ่าลมทรายอย่า งไม่
ย่อท้อ เงาร่างของนางทาบทับกับเงาร่างในความทรงจา ครั้งที่นางแบกร่าง
มันหลบหนีผ่านแนวป่า
จั่วม่อนัยน์ตาพร่าเลือน ภาพร่างของอากุ่ยที่อยู่ต รงหน้าก็พร่า เลือ น
ไปด้วย แต่เงาร่างที่พร่าเลือนนี้กับเงาร่างพร่าเลือนในเศษเสี้ยวความทรง
จา ผสานรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
เป็นเจ้าเองที่ทิ้งลูกแก้วห้าธาตุไว้ภายในร่างข้า?
ที่แท้เกิดเรื่องอันใด? อากุ่ย เป็นผู้ใดทาร้ายเจ้า?
จั่วม่อสูดลมหายใจลึก คว้ามืออากุ่ยขึ้นมากุมไว้ สีหน้ากลับเป็นปกติ
แต่ในสายตาของมัน สมควรมีบางอย่างที่ไม่ปกติ
มันปลดปล่อยผนึกของลูกแก้วห้าธาตุออกมาแล้ว ซึ่งหมายความว่า
มันทะลวงฝ่าไปยังด่านจินตันสาเร็จเสร็จสิ้น
หวนนึ ก ถึ ง พลัง สีข าวเงิ น ต้ อ งหั น ขวั บ ไปทางเขิง เหลียนเอ๋อ ร์ อย่าง
ฉับพลัน สตรีนางนั้น! มันม่านตาหดแคบลง รวมทั้งเขิงอี้ผู้น่าชัง!
“เมื่อครู่เป็นเรื่องราวใด?” จั่วม่อถามผูเยากับเว่ย
เว่ ย กล่ า วอย่ า งครุ่ น คิ ด “สมควรเป็ น การเหนี่ ย วน าพลั ง นี่ เ ป็ น
ปรากฏการณ์ที่ห าได้ยิ่งยาก หมายความว่าพลังทั้งสองฝ่ายมีระดับความ
เข้ากันได้สูงมาก ทั้งยังต้องเป็นพลังที่ตรงข้ามกันคนละสุดปลาย”
จั่วม่อล่วงรู้ว่าการเหนี่ยวนาพลังเป็นเรื่องราวใด สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นใน
ยามที่พลังซึ่งตรงข้ามกันอย่างสมบูรณ์มากระทบถูกกัน เป็นปรากฏการณ์
ที่ ย ากพบพาน พลั ง ทั้ ง สองจะบั ง เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าตอบสนองซึ่ ง กั น และกั น
ความสัมพันธ์เช่นนี้จ ะช่วยเพิ่มพูนพลังของทั้งสองฝ่ายอย่างมหาศาล ไม่
ต้องแปลกใจเลยว่ า พลัง สี เงิน ที่ผู้ อ่ ืนส่ง คืน กลั บมามิ เพี ยงไม่ส ร้ างปั ญ หา
ให้แก่มัน ยังช่วยให้มันฝ่าด่านสาเร็จอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวอีกด้วย
แต่ประเด็นที่น่าตระหนกก็คือตัวมันฝึก ปรือ พลังเทพ พลังประเภท
เดียวที่ส ามารถเกิดการเหนี่ยวน ากั บพลังเทพของมัน ย่อมต้องเป็นพลัง
เทพเช่นกัน! นี่สรุปได้แน่ชัดว่าสตรีนางนี้ก็ฝึกปรือพลังเทพ!
ทั้งยังเป็นพลังเทพที่ตรงกันข้ามกับพลังเทพของมันคนละสุดปลาย!
“ระมัดระวังให้มาก สตรีนางนี้เป็นอันตราย” ผูเยาเตือนจั่วม่อ
ไม่จาเป็นต้องให้ผูเยาสะกิดเตือน จั่วม่อก็ย่อมทราบว่าผู้อ่ ืนเป็น ตั ว
อันตราย จนกระทั่งถึงตอนนี้ จั่วม่อพบพานคนในยุคปัจจุบันที่ฝึกปรือพลัง
เทพเพียงสามคน หนึ่งคือตัวมันเอง สองย่อมต้องเป็นอากุ่ย และคนที่สาม
คือเขิงเหลียนเอ๋อร์นางนี้
สตรีนางนี้ลึกล้าสุดหยั่งถึง
แต่มันก็ไม่จาเป็นต้องหยั่งทราบนางเสียหน่อย จั่วม่อคิด
หลังจากเกิดเรื่องเช่นนี้ มันกลับทุเลาหายดีและฝ่าด่านสาเร็จ โดยไม่
ตั้งใจ ทาให้ความคิดจะก่อกวนเขิงอี้สลายหายไปชั่วคราว ผู้อ่ ืนยังช่วยให้
มันฝ่าด่านสาเร็จ
ยามกะทันหันมันถึงกับไม่มีอารมณ์แยแสสนใจความบาดหมางที่มีต่อ
เขิงอี้
สิ่งที่ยึดครองความคิดจิตใจทั้งหมดของจั่วม่อในยามนี้ ย่อมต้องเป็น
อากุ่ย เศษเสี้ยวความทรงจาที่ผนึกเอาไว้ในลูกแก้วห้าธาตุทาให้มันแตกตื่น
ตะลึงลานจนแทบพูดไม่ออก
ยามนี้มันเพียงต้องการเสาะหาสถานที่สงบใจ
โดยไม่กล่าวคาใด จั่วม่อคว้าร่างอากุ่ย โถมออกจากที่แห่งนั้นในบัดดล
มั น ยั ง ได้ ยิ น เสี ย งสนทนาของเขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ กั บ เขิ ง อี้ เรื่ องราวเมื่ อ
คลี่คลายลงเช่นนี้ มันก็ไม่จาเป็นต้องกังวลว่ าจะมีผู้ใ ดสร้ างปั ญหาให้ แ ก่
ข่าจั๋ว
“อา?” เขิ ง อี้ เ งยหน้า ขึ้นมอง รู้ สึ ก ประหลาดใจอยู่บ้ า ง พลั ง ที่ จ่ัวม่อ
สาแดงออกมาเหนือความคาดหมายของมันไม่น้อย
“ปล่อยมันไป” เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวเบา ๆ
“ทุกประการล้วนแล้วแต่เหลียนเอ๋อร์! บิดาจะฟังเหลียนเอ๋อร์” เขิงอี้
กล่าวด้วยความรักตามใจ รีบรั้งสายตากลับมายังบุตรี

“คนพวกนี้คิดทาอะไร? พวกมันยืนอยู่แบบนั้นมีความหมายใด?” โจร


ผู้หนึ่งเปรยขึ้นอย่างงุนงง
“ฮ่าฮ่า! พวกมันไม่มีปัญญาหลบหนีแล้วกระมัง! ดังนั้นได้แต่ทดลอง
ต่อสู้ขัดขืนสักครา! เพียงแค่ประกาศิตหนึ่งคาจากหัวหน้าตาเดียว พวกมัน
อย่าว่าแต่มีกันอยู่แค่หนึ่งร้อยคน ต่อให้มีหนึ่งพันคนยังต้องเอาชีวิตมาทิ้ง
ไว้ที่นี่”
“ถูกของเจ้า นี่ไยมิใช่ พวกเรานามีดฆ่าโคมาใช้ฆ่าไก่โดยแท้! ฟังคน
ของกองกาลังภูเขามังกรกล่าวขานถึงความแข็งแกร่งของพวกมัน ข้ายังนึก
ว่าพวกมันมีผู้คนมากมาย หนึ่งร้อยคน! ไม่พอให้ข้าใช้แคะฟันเสียด้วยซ้า!”
“หยุ ด พล่ า มไร้ ส าระกั น เสี ย ที พวกมั น มี กั น แค่ ห นึ่ ง ร้ อ ยคน แล้ ว จะ
แบ่งสันปันส่วนกันอย่างไร? จดจาไว้ พวกเราต้องเป็นคนแรก! รางวัล มีที่
ว่างเพียงหนึ่งที่เท่านัน
้ !”
“ถูกของเจ้า!”
กลุ่ ม โจรนั้ น บุ ก ขึ้ นบนภู เ ขาในบั ด ดล การกระท าของพวกมั น ส่งผล
กระทบต่อกองโจรอื่นเป็นลูกโซ่ เมื่อเห็นเช่นนี้ กองโจรที่เหลือก็บุกขึ้นไป
อย่างไม่รีรอลังเล
หนึ่ ง ร้ อ ยกว่ า คนในค่ า ยกลบนภู เ ขา ไหนเลยจะเปรี ย บเที ย บกั บ
กองโจรสามพันคนได้
กองโจรถาโถมประดุจคลื่นยักษ์ กอรปด้วยพลังสภาวะมืดฟ้ามัวดิน!
จิตวิญญาณการต่อสู้ที่ซู่หลงเพียรระงับยับยั้ง ในที่สุดก็หลุดเป็นอิสระ
ในดวงตาเริม
่ ลุกโชนอย่างร้อนแรง
“เปิด!”
ทันใดนั้นควันดาพ่นออกมาจากเสาสัญลักษณ์ศึกหนึ่งร้อยแปดต้น
ควันดาคล้ายขยับขยายตามสายลม ในชั่วกะพริบตาเดียว ก็ปกคลุม
ยอดเขาทั้งหมดราวกลุ่มเมฆดาก้อนมหึมา
ฝูงโจรโถมเข้าไปในเมฆดาอย่างย่ามใจ
ตูม ตูม ตูม!
ควันดาพวยพุ่งออกจากเสาสัญลักษณ์ศึก ม้วนตลบอย่างไม่ห ยุดยั้ง
พวกมันคล้ายมีชีวิต บัดเดี๋ยวลอยต่าบัดเดี๋ยวขึ้นสูง กระโดดโลดเต้นไม่มีที่
สิ้นสุด ทันใดนั้นเอง ควันดารอบ ๆ เสาสัญลักษณ์ศึกพลันควบรวมเข้ าหา
กัน ก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์
ร่างมนุษย์ที่ก่อเกิดจากควันดาปรากฏขึ้นเหนือเสาสัญลักษณ์ศึก
‘โม่ปิศาจจอมบด!’
หากแม่ทัพปิศาจระดับทองพบเห็นกระบวนทัพค่ายกลชุดนี้ เกรงว่า
ต้องร้องอุทานอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ‘โม่ปิศาจจอมบด’ เป็นหนึ่งในกระบวน
ทั พ ค่ า ยกลที่ แ ข็ ง แกร่ ง ที่ สุ ด ส าหรั บ บดขยี้ ศั ต รู มั น ประดุ จ โม่ หิ น ที่ น่ า
ประหวั่นพรั่นพรึงที่สุด กองทัพที่ถูกล้อมกักอยู่ในนั้น ไม่ต่างจากชิ้นเนื้อที่
โยนลงไปในโม่หิน มีแต่จะถูกบดขยี้เป็นเนื้อบดเท่านั้น
ในอดี ต ไม่ ท ราบว่ า มี ซิ ว เจ่ อ มากมายเท่ า ใดต้ อ งตกตายภายใต้ ‘โม่
ปิศาจจอมบด’ สุดหฤโหดนี้ แต่หลังจากมหาสงครามพันปี ‘โม่ปิศาจจอม
บด’ ก็หายสาบสูญไปจากการถ่ายทอด พิชัยยุทธ์ที่เคยสัน
่ สะเทือนทั่วหล้า
ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย
หากทว่ า ในเวลานี้ บนภู เ ขาน้ อ ยที่ ไ ม่ เ ป็ น ที่ รู้ จั ก หนึ่ ง ในสุ ด ยอด
กระบวนทัพค่ายกลที่กล้าแข็งที่สุด กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งภายใต้เงื้อมมือ
ของคนเพียงหนึ่งร้อยกว่าคน
“ฆ่า!”
ภายในม่านหมอกควันหนาทึบ เสียงตวาดของซู่หลงกึกก้องกัมปนาท
ดุจสายฟ้าคารน
กระบวนทัพคารามก้อง หมุนคว้างประหนึ่งโม่หินที่สามารถบดขยี้ทุก
สรรพสิง่ !
จั่วม่อจ้องมองอากุ่ยอย่างเงียบงัน อากุ่ยนั่งอยู่ข้างกายมันด้วยสีหน้า
แข็งทื่อดุจท่อนไม้
จั่วม่อพอเห็นใบหน้าแข็งทื่อของอากุ่ยต้องเจ็บปวดใจขึ้นมา พลังเทพ
ภายในร่างอากุ่ยแปลกประหลาดยิ่ง จั่วม่อไม่ส ามารถค้นหาร่องรอยของ
ความคิดจิต ใจและความทรงจาของอากุ่ยได้เลย จิต ใจของนางว่างเปล่า
อย่างสิ้นเชิง
จั่วม่อยังจดจาได้แม่นยา อากุ่ยดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามากที่สุดในยาม
ที่นางบาดเจ็บสาหัสจนไร้พลังเทพ
พลังเทพ! ต้นเหตุจะต้องเป็นพลังเทพอุบาทว์บัดซบนี่ไม่ผิดแน่!
ความว่างเปล่าที่เย็นเยียบจนชวนพรั่นพรึง ทาให้จ่ว
ั ม่อยิ่งเจ็บปวดใจ
“ผู เว่ย มีหนทางใดหรือไม่?” จั่วม่อถามอย่างจนปัญญา
ผูเยากับเว่ยพากันนิ่งเงียบงันไป จั่วม่อมิใช่ไม่ทราบว่านี่เป็นปัญหาที่
ยากลาบากสาหรับพวกมัน หากเป็นวิถีฝึกปรือสายอสูรปิศาจ ผูเยากับเว่ย
ย่อมล่วงรู้เรื่องราวมากมาย แต่ใ นเมื่อเป็นพลังเทพ พวกมันก็ล่วงรู้ไม่มาก
แล้ว
“หากอากุ่ยสามารถกล่าววาจาคงจะดีกว่านี้” จั่วม่อราพึงเบา ๆ หาก
อากุ่ยสามารถกล่าววาจา นางคงสามารถบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่ง
จั่วม่อทราบว่านี่เป็นเพียงความเพ้อฝัน
มันฝืนสงบใจลง ย้อนคิดไปถึงภาพเหตุการณ์ขาด ๆ หาย ๆ เหล่านั้น
พลันรู้สึกว่ามันได้ค้นพบเรื่องราวหลายประการ
อากุ่ยเรียกมันว่า ‘นายน้อย’ คาเรียกหานี้บ่งบอกเรื่องมากมายหลาย
สิ่ง ชาติกาเนิดของมันอาจจะไม่ธรรมดาสามัญ อากุ่ยแบกมันหลบหนีเอา
ชีวิตรอด ยังมีเศษเสี้ยวความทรงจาที่เต็มไปด้วยโลหิต เนืองนองและการ
เข่นฆ่าสังหารหมู่ บางทีครอบครัวของมันคงประสบชะตากรรมน่าอนาถ
เป็นฝีมือผู้ใด? เพราะเหตุใด?
พลังเทพของอากุ่ยฝึกปรือจากที่ใด? เป็นผู้ใดลบความทรงจาของมัน
และเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของมัน?
ปริศนานับไม่ถ้วนประดัง ขึ้นมาพร้อมกัน แทบกดทับจั่วม่อจนหายใจ
ไม่ออก
สงบใจเอาไว้! มันต้องสงบใจเอาไว้!
จั่วม่อขบริมฝีปากจนแทบแตก พยายามสงบระงับ ใจ แต่เส้นเลื อ ด
เขียวปูดโปนที่เต้นกระตุกไม่หยุด บ่งบอกถึงพายุที่พลุ่งพล่านอยู่ในภายใจ
มัน พลังเทพของอากุ่ยกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด พลังเทพชนิดนี้แปลก
ประหลาดพิสดารยิ่ง จั่วม่อไม่มีปัญญาขจัดมันออกไปจากร่างของอากุ่ย
ในเวลานี้เอง ผูเยาโพล่งขึ้นอย่างกะทันหัน “ยังจดจาหญ้าไหมย้อน
เงาคืนวิญญาณที่ข้าเคยกล่าวถึงได้หรือไม่?”
จั่วม่องงงันวูบ ขบคิดจนหัวคิ้วขมวดมุ่นอยู่ชั่วครู่ ก่อนพยักหน้า “จา
ได้ แ ล้ ว เจ้ า เคยบอกว่ า หญ้ า ไหมย้ อ นเงาคื น วิ ญ ญาณสามารถช่ ว ยให้ข้า
ฟื้นฟูความทรงจา โดยอาศัยเศษเสี้ยวความทรงจาที่มี”
“มิ ผิ ด ความทรงจ าของอากุ่ ย เสี ย หายสิ้ น ดวงวิ ญ ญาณของนาง
บาดเจ็บร้ายแรง เกรงว่าบาดแผลในดวงวิญญาณของนางจะเกี่ยวข้องกับ
พลังเทพที่นางฝึกปรือ แต่หากเจ้าต้องการล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ...บางที
...เจ้ า อาจไม่ จ าเป็ นต้อ งหวั ง ฟื้นฟูค วามทรงจ าของอากุ่ ยเท่ า นั้น ” ผู เ ยา
กล่าว
จั่ ว ม่ อ เข้ า ใจความหมายของผู เ ยาทั น ที ตาสว่ า งวาบ “ใช่ แ ล้ ว ! ไม่
จาเป็นต้องเริ่มที่อากุ่ยเสียหน่อย ยังมีข้าด้วย เราสามารถเริ่มที่ตัวข้าเอง!”
จั่วม่อยิ่งคิดมากเท่าไร ยิ่งตื่นเต้นยินดีมากเท่านั้น “ใช่! ใช่! ข้า เองก็
สมควรเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้มาด้วยกัน แต่ข้าไม่เหมือนอากุ่ย จะต้อง
มี เ งาความทรงจาหลงเหลือ อยู่ ใ นจิต ใจของข้า แน่ หากข้ า สามารถฟื้นฟู
ความทรงจา ข้าก็จะล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมด! ข้าจะล่วงรู้ว่าอากุ่ยฝึกปรือพลัง
เทพอันใด จากนั้นสามารถคิดหาวิธีเยียวยารักษาอากุ่ย... ...”
มั น มั ว แต่ จ มปลั ก อยู่ กั บ การสื บ เสาะเรื่ อ งราวจากทางอากุ่ ย ถึ ง กั บ
หลงลืมไปเสียสิน
้ ว่ามันเองก็สมควรจะล่วงรู้เรื่องเหล่านี้เช่นกัน!
หวนคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งที่ท่านเจ้าสานักเก็บมันกลับไปยังภูเขา
สุญตา นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงเวลาที่ระบุไว้ในเศษเสี้ยวความทรง
จาซึ่งถูกผนึกไว้ในลูกแก้วห้าธาตุ
“หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณสามารถฟื้นฟูความทรงจาของข้าได้
จริงหรือไม่?” จั่วม่อถามอย่างร้อนรน
เว่ยช่วยยืนยันว่าผูเยาไม่ได้ อวดโอ่เกินจริง “นี่เป็นพืชหญ้าที่เติบโต
ขึ้นในภพปิศาจ ขอเพียงหลงเหลือความทรงจาสักส่วนเสี้ยว มันสามารถ
สะท้ อ นเงาและติด ตามร่ องรอยความทรงจ าทั้ ง หมดของเจ้า กลับ คืนมา
ยามนี้เจ้ามีชิ้นส่วนความทรงจ ามากมายเกินพอ หากเจ้าสามารถเสาะหา
หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณ สมควรสามารถฟื้นฟูความทรงจาทั้งหมดใน
อดีตของเจ้าอย่างครบถ้วน!”
“หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณอยู่ที่ใด?”
ผูเยากับเว่ยสบตากันวูบ ล้วนรีรอลังเล
“อยู่ที่ใด?” จั่วม่อตวาดถาม
เว่ ย กล่ า วช้ า ๆ “ว่ า กั น ว่ า ในอาณาจั ก รน้ า พุ ป รโลกในดิ น แดนแห่ ง
ความมืด มีเบาะแสของหญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณ”
“หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณ... ...อาณาจักรน้าพุปรโลก!” จั่วม่อ
พึมพาซ้าไปซ้ามา ดวงตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
บทที่ 555 ความก้าวหน้าที่ผิดปกติ

“ว่ากระไร!” ปิศาจหมาป่าตาเดียวร้องลั่น เผ่นผึงขึ้นจากเก้าอี้ สีหน้า


ตะลึงพรึงเพริด
“หัวหน้า! พวกมันตายกันหมดแล้ว! ทุกคนล้ว นตายสิ้น! ไม่มีผู้ใดรอด
กลับมา!” ลูกสมุนผู้นั้นใบหน้าซีดขาวไร้สี เลือ ด มันวิ่งเข้ามาด้ว ยอาการ
สะดุดล้มลุกคลุกคลาน นี่ทาให้ผู้คนรู้สึกว่าคนผู้นี้เข่าอ่อนจนเดินไม่ไหว
“ตายกั น หมด? บอกมาให้ ชั ด เจนกว่ า นี้ ! พวกมั น ตายได้ อ ย่ า งไร?”
ปิศาจหมาป่าตาเดียวตั้งสติทันควัน สอบถามอย่างเยือกเย็น
“ผู้คนจากเจ็ดกองโจรล้วนเสียชีวิตหมดสิ้น! มากกว่าสามพันคน! ไม่มี
...ผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว!” ลูกสมุนตะกุกตะกักรายงาน คอยเหลียวซ้าย
แลขวาอย่างหวาดผวาราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกาลังไล่ล่ามัน เต็มไป
ด้วยสีห น้าหมดหวัง กล่าวเสียงสั่นสะท้าน “คนเหล่านั้น... ...พวกมัน บน
ยอดเขามังกรดา พวกมัน...พวกมันฆ่าทุกคน!”
“เป็ น ไปไม่ ไ ด้ ! ” ปิ ศ าจหมาป่ า ตาเดี ย วดวงตาทอแววเหลื อ เชื่ อ
พยายามสั่นศีรษะไม่ยอมรับ “นั่นเป็นผู้คนมากกว่าสามพัน แล้วฝ่ายพวก
มันมีกันเท่าใด? หนึ่งร้อยคน! หนึ่งร้อยเข่นฆ่าสามพันจนหมดสิ้น เจ้าคิดว่า
พวกมันเพียงฆ่าไก่หรือ?”
“หั ว หน้ า ! แต่ นี่ เ ป็ น เรื่ องจริ ง !” ลู ก สมุ น แทบร่ า ไห้ อ อกมา “ท่ า น
สามารถไปดูที่ยอดเขามังกรดาด้วยตาตัวเอง! ซากศพกลาดเกลื่อนอยู่ ท่ัว
ทุกที่ ตั้งแต่ยอดเขาทับถมลงมาถึงตีนเขา ล้วนมีแต่ซากศพ!”
ปิศาจหมาป่าตาเดียวตัวแข็งทื่อ เมื่อลูกสมุนของมันกล้ากล่าวเช่นนี้
มันไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว! ยอดเขามังกรดาที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากค่ายของพวกมัน
มากนัก ลูกสมุนของมันไม่มีทางดูผิดพลาดง่าย ๆ เช่นนี้ อีกประการหนึ่ง
แน่นอนว่าเรื่องนี้หากหลอกลวงมัน ไม่ช้าก็ต้องถูกเปิดโปง
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? นั่นเป็นกองโจรถึงสามพันคน!
หนึ่งร้อยไหนเลยจะเป็นฝ่ายเข่นฆ่าสังหารสามพันคนได้? มิหนาซ้ายัง
เข่นฆ่าอย่างหมดจด ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว!
ปิศาจหมาป่าตาเดียวรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ ล าคอแห้งผาก “เจ้าพบ
ศพของพวกมันบ้างเหรือไม่?”
“มะ ไม่ ไม่มีเลย!”
ปิศาจหมาป่าตาเดียวความเย็นสายหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นจากใจ นานเท่าใด
แล้วที่มันไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ ความรู้สึกหวาดสะพรึงที่ไม่คุ้นเคย! กระนั้นความ
หวาดสะพรึงที่ไม่คุ้นเคยนี้ไม่ต่างจากคลื่นน้ามหึมา แทบจะกลืนกินมันลง
ไปในบัดดล
พวกมันเตะถูกแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!
มิหนาซ้ายังเป็นแผ่นเหล็กกล้าที่แข็งกระด้างที่สุดในชีวิตของมัน!
คนหนึ่ ง ร้ อ ยคนที่ ส ามารถเข่ น ฆ่ า สั ง หารสามพั น คน ย่ อ มมิ ใ ช่ เ พี ย ง
กองทัพชั้นยอดทั่วไปเท่านั้น แต่จะต้องเป็นยอดกองทัพในหมู่กองทัพชั้น
ยอด! ในชีวิตปล้นฆ่าโจมตีเมืองของปิศาจหมาป่าตาเดียว กองทัพอันร้า ย
กาจเช่นนี้อย่าว่าแต่จะเคยพบพานด้วยตัวเอง กระทั่งได้ยินได้ฟังยังไม่เคย
ได้ยินได้ฟังมาก่อน
หากมิใช่ว่าเกิดขึ้นกับตัวมันเอง แน่นอนว่าจะไม่ยอมเชื่อ คราวนี้มัน
ได้แต่อกสั่นขวัญแขวน กองทัพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ มีเพียงขุม
กาลังอันยิ่งใหญ่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะครอบครองได้
นี่ใช่เป็นกองทัพองครักษ์ส่วนตัวของจอมปิศาจด่านไสว้หรือไม่?
ปิศาจหมาป่าตาเดียวพยายามสงบใจ แต่สองขายังสั่นพั่บ ๆ อย่างไม่
มีปัญญาจะควบคุม
ทั่วทั้งดินแดนร้อยเถื่อน ไม่ว่าจอมปิศาจด่านไสว้ตนใด ก็ล้วนแล้วแต่
เป็นยอดขุนศึกผู้ครองอานาจในอาณาบริเวณหนึ่ง ‘ไสว้’ (แม่ทัพใหญ่) มิใช่
เป็น เพียงแค่ด่ านพลั งที่ พ วกมันบรรลุถึง แต่ยังเป็นฉายานามที่ ห มายถึ ง
อานาจอิทธิพล จอมปิศาจด่านไสว้ไม่เคยอยู่ตามลาพังคนเดียว ยอดคนที่
ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเช่นนั้น นอกเหนือจากในต านานเล่าขานก็ไ ม่มี ที่ไ หนอี ก
แล้ว
อย่าได้เห็นว่าปิศาจสุนัขป่าตาเดียวมีอานาจเหนืออาณาจักรขุนเขา
อริ ย ะ แต่ ใ นสายตาของจอมปิ ศ าจด่ า นไสว้ เ หล่ า นั้ น มั น เป็ น เพี ย งตั ว
ประกอบเล็ก ๆ ที่ไม่ต่างจากมดปลวก สามารถบดขยี้ทิ้ง ได้ทุ กเมื่อ จอม
ปิ ศ าจด่ า นไสว้ ต นใดไม่ มี ปิ ศ าจด่ า นเจี ย งอั น ร้ า ยกาจ หรื อ เจี้ ย จู่ ข อง
อาณาจักรต่าง ๆ อยู่ภายใต้ร่มธงสักหลายคน?
และอย่าได้เห็นว่าปิศาจสุนัข ป่าตาเดียวเย่อหยิ่งดุร้าย ซึ่งความจริง
มันเฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่เคยล่วงเกินขุมอานาจใด เนื่องเพราะรู้ตัวดีว่ามันไม่
สามารถจ่ายค่าตอบแทนได้
ขุมอานาจที่เป็นตัวแทนของจอมปิศาจด่านไสว้... เป็นตัวตนที่มันไม่ มี
ปัญญาล่วงเกิน!
บัดซบ! ครั้งนี้มันไฉนกระทาเรื่องโง่เขลาเช่นนี้?
ปิศาจหมาป่าตาเดียวสานึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เรื่องเดียวที่พอจะนับได้
ว่ า เป็ น ข่ า วดี นั่ น ก็ คื อ อี ก ฝ่ า ยคล้ า ยไม่ มี ผู้ ใ ดได้ รั บ บาดเจ็ บ สาหั ส หรื อ
เสี ย ชี วิ ต มั น คุ้ น เคยกั บ ความคิ ด ของคนเหล่า นี้ ดี ส าหรั บ บุ ค คลอั นสูงส่ง
เหล่านี้ เวลามักจะเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดของพวกมัน ขอเพียงไม่มีปัญหา
ร้ายแรงเกินไป พวกมันจะไม่ยอมเสียเวลากับมดปลวกดังเช่นกองโจรของ
มัน
“พวกมันอยู่ที่ใด?” ปิศาจหมาป่าตาเดียวถามเสียงสั่นสะท้าน
“ไป… ไปแล้ว!” ลูกสมุนตอบอึกอัก “ไม่... ไม่มีใครกล้าขัดขวางพวก
มัน”
ปิ ศ าจหมาป่ า ตาเดี ย วระบายลมหายใจยาว “ไปแล้ ว ก็ ป ระเสริ ฐ !
ประเสริฐยิ่ง!”
เทพเจ้าแห่งความตายเหล่านี้ จากไปแล้วจึงประเสริฐสุด!
ซู่ ห ลงกั บ พวกเพี ย งต้ อ งการเร่ ง รุ ด เดิ น ทางต่ อ ย่ อ มไม่ แ ยแสสนใจ
กองโจรอื่น ๆ ส่วนกองโจรเหล่านั้นก็ห วาดกลัวจนแทบเสียสติอยู่รอมร่อ
ไหนเลยจะมี ผู้ ใ ดกล้ า เสนอหน้ า ขวางทางขบวนคาราวานนี้ อี ก ? ข่ า ว
กองทัพหนึ่งร้อยคนฆ่ าล้า งกองโจรสามพั นคนในคราวเดีย ว แพร่ส ะพั ด
อย่างรวดเร็วดุจไฟลามทุ่ง
ผู้คนมากมายเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ล้วนมีสีหน้าไม่เชื่อถือ
แต่รอจนภาพมายาที่บันทึกภาพขุมนรกเหนือยอดเขามังกรดาส่งผ่าน
ออกไป ผู้คนที่ไม่เชื่อข่าวลือพากันแตกฮืออื้ออึงในบัดดล
ทุกคนที่ได้เห็นพากันคาดเดาว่ากองทัพอันน่าสะพรึงกลัวนี้สังกัดขุม
กาลังใด หนึ่งร้อยฆ่าล้างสามพัน ผลลัพธ์อันน่าแตกตื่นสะท้านโลกนี้หนุน
ส่งกองทัพลึกลับให้เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว และเนื่องเพราะไม่มีผู้ใดทราบ
ชื่อของกองทัพนี้ เหล่าปิศาจจึงพากันเรียกพวกมันว่า กองพันคนฆ่าสัตว์
ซู่หลงกับพวกพยายามเร่งเดินทางอย่างสุดกาลังความสามารถ หาได้
ล่วงรู้ไม่ว่าการศึกสะท้านฟ้าเหนือยอดเขามังกรดา ได้ดึงดูดสายตาของขุม
อานาจมากมายให้เพ่งเล็งมายังพวกมันเป็นตาเดียว!
อย่างไรก็ต าม ต่อให้พวกมันทราบแล้วจะเป็นไร หรือพวกมันยังจะ
แยแสสนใจด้วย?
เนื่องเพราะพวกมันเพิ่งจะได้รับคาสั่งจากจั่วม่อ ให้รีบรุ ดสู่อาณาจักร
เศษหินโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!

จั่วม่อดูดกลืนพลังเทพจากมือขวาของมันอย่างบ้าคลั่ง
พลังเทพสายแล้วสายเล่า ผสานรวมเข้ากับเลือดเนื้อร่างกายของมัน
ไม่ขาดสาย
หลังจากฝ่าด่านรุ ดหน้าสาเร็จ จั่วม่อคล้ายทลายโซ่ตรวนที่เคยผูกมัด
มันเอาไว้จนหมดสิ้น พลังฝึกปรือเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นด้วยระดับความเร็วดุจ
ปาฏิหาริย์
จะว่าไปแล้วก็น่าประหลาด พลังปราณของจั่วม่อเพาะสร้างเม็ดพลัง
ทองคาส าเร็ จ เสร็จ สิ้น บรรลุถึงด่านจินตัน ส่วนพลังจิต ส านึกก็ให้กาเนิด
วิญญาณหยิน ทะลวงไปสู่ด่านหยินเสิน ทว่าสังขารปิศาจกลับล้าหลังกว่า
พวก จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจฝ่าทะลวงไปยังด่านถงหลิ่งเสียที เรื่องนี้มัน
ไม่ อ าจเข้ า ใจได้ ในบรรดาพลั ง สามประการ สั ง ขารปิ ศ าจเป็ นพลังที่มัน
สนิ ทสนมคุ้นเคยที่สุดและมีฝีมือมากที่สุด ตามเหตุผลแล้ว พลังที่ทะลวง
ด่านเป็นสิ่งแรกสมควรเป็นสังขารปิศาจจึงถูกต้อง
แต่จ่ว
ั ม่อก็ไม่ร้อนอกร้อนใจ
ในเวลานี้มันยังคงอยู่ในช่วงที่พลังฝึกปรือเพิม
่ พูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุก
ครั้งที่ดึงพลังเทพออกมาจากฝ่ามือ มันรู้สึกถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจน
จั่วม่อไม่มีเวลาฝึกปรือพลังใดในพลังทั้งสาม เพียงแค่ดึงพลังเทพออกมา
อย่างทื่อด้านและกลั่นเกลาพลังเทพโดยตรง ฝ่ามือขวาของมันไม่ต่างจาก
ถือลูกระเบิดติดตัวไว้ตลอดเวลา สามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ
ทว่าพลังเทพอันพรั่งพรูไพศาล ช่างน่าลุ่มหลงงมงายโดยแท้!
จั่วม่อไม่ยอมปล่อยเวลาสูญเปล่าแม้แต่ชั่ววูบ จมลงไปในการฝึกฝีมือ
อย่างบ้าคลั่ง
ระหว่างนี้มันก็เสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรน้าพุปรโลกไปด้วย
เช่นเดียวกันกับที่ภพเซียนถูกเรียกขานกันว่า ‘สวรรค์สี่ดินแดน’ ภพ
ปิ ศ าจก็ มี อี ก ชื่ อหนึ่ ง เรี ย กว่ า ‘ร้ อ ยเถื่ อนแดนทมิ ฬ ’ แบ่ ง ออกเป็ น สอง
ดินแดน ฝั่ งหนึ่งเรียกว่าดินแดนร้อยเถื่อน อีกฝั่ งหนึ่งคือดินแดนแห่งความ
มื ด อาณาจั ก รน้ า พุ ป รโลกตั้งอยู่ ใ นบริ เ วณส่ว นลึก ที่ สุด ของดิ นแดนแห่ง
ความมื ด ส่ ว นอาณาจั ก รเศษหินที่ มั นอยู่ ในตอนนี้ ตั้ ง อยู่ ที่ ช ายขอบของ
ดินแดนร้อยเถื่อน ไม่มีผู้ใดทราบเรื่องเกี่ยวกับดินแดนแห่งความมืดมากนัก
พวกมันเพียงล่ว งรู้ ว่ า ทั่ วทั้ ง ร้อยเถื่ อนแดนทมิฬ นั่นเป็นสถานที่ที่ มื ด มน
ที่สุดและสับสนวุ่นวายที่สุด
คิดไปเยือนสถานที่แห่งนั้นไม่ใ ช่เ รื่อ งง่า ย มันต้องผ่านเขตปกครอง
ของขุ ม อ านาจกล้ า แกร่ ง มหึ ม าจ านวนมาก การเดิ น ทางจะต้ อ งเผชิ ญ
ภยันตรายและเหล่าโจรนับไม่ถ้วน ในดินแดนแห่งความมืด กระทั่งปิศาจที่
เหี้ยมหาญดุดันจากบรรดาขุมอานาจใหญ่ยังต้องระมัดระวังตัวถึงที่สุด
เผ่าพันธุ์ปิศาจที่ฟากนั้นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก แต่พวกมันบ้าคลั่งโดย
ก าเนิ ด โหดเหี้ ย มกระหายเลื อ ด ไร้ อ ารมณ์ ค วามรู้ สึ ก และความเมตตา
ปราณี
จั่วม่อทราบดีว่าหากมันคิดขจัดพลังเทพของอากุ่ย หากมันต้องการ
ล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง หากมันต้องการค้นหาหญ้าไหมย้อนเงาคืนวิ ญ ญาณ
มันจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้!
ล าพั ง ตั ว มั น เองไม่ มี พ ลั ง มากพอ มั น ต้ อ งการผู้ ช่ ว ย ต้ อ งการก าลั ง
หนุ น จึ ง ตกลงใจรอคอยพวกซู่ ห ลงตามมาสมทบที่ อ าณาจั ก รเศษหิ น
ระหว่างที่รอคอย มันใช้เวลาทั้งหมดคร่าเคร่งฝึกปรือทั้งคืนทั้งวัน มันไม่
เคยเต็มไปด้วยแรงขับดันถึงเพียงนี้มาก่อน!
อากุ่ยนัง่ เงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
เหมือนเช่นทุกวัน จั่วม่อเริ่มฝึกปรือ แต่แล้วในไม่ช้า มันก็ต รวจพบ
การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในร่างกายของตน
เมล็ดผลึก สุริยันหมุนคว้า งอย่ างเร่ง ร้อน เปลวไฟแผ่กระจายก่ อ ตั ว
เป็ น ชั้ น ๆ หยดน้ า ลี้ ลั บ เถาวั ล ย์ เ ขี ย วเปล่ ง แสงจาง ๆ เป็ น กระแสแสงที่
อบอุ่นอ่อนโยน หากทว่าเย็นรื่นชื่น ใจ สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อประหลาดใจมาก
ที่ สุ ด คื อ แม้ แ ต่ แ สงศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ วิ ญ ญาณมั่ น ก็ ดู คึ ก คั ก แจ่ ม ใสขึ้ น มาด้ ว ย
ประดุจมัจฉาสีรุ้งแหวกว่ายอย่างปราดเปรียวอยู่ภายในร่างกายมันโดยไม่
สะดุดติดขัด
สัญญาณทั้งหมดทั้งมวล ล้วนบ่งบอกว่าสิ่งผิดปกติบางประการกาลัง
จะบังเกิดขึ้น
มันใช่กาลังจะฝ่าด่านรุดหน้าหรือไม่?
จั่วม่อทราบว่ายิ่งเวลากระชั้นเข้ามา มันก็ยิ่งต้องสงบเยือกเย็น และ
รักษาความคิดจิตใจอันแจ่มใสเอาไว้
มันโคจรพลังเทพอย่างแช่มช้า พลังเทพหลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อ
ร่ า งกาย เปลี่ ย นเป็ น พลั ง ทั้ ง สาม แล้ ว แปลงกลั บ เป็ น พลั ง เทพ แล้ ว
เปลี่ยนเป็นพลังทั้งสามอีก ซ้าแล้วซ้าเล่าอยู่เช่นนั้น สลับสับเปลี่ยนเป็นวัฏ
จักรอันไร้ที่สิ้นสุด
แผนผั ง ปิ ศ าจบนร่ า งมั น ค่ อ ย ๆ ส่ อ งประกาย แผนผั ง ปิ ศ าจสี ท อง
อร่ามลี้ลับซับซ้อน บัดเดี๋ยวสว่างวาบ บัดเดี๋ยวสลัวราง ประหนึ่งว่ากาลัง
หายใจเข้าออกก็มิปาน แต่ทุกครัง้ ที่ส่องประกายวาบขึ้น แสงสว่างก็ยิ่งแรง
กล้าขึ้นทุกขณะ
รอจนแผนผังปิศาจสีทองสว่างไสวถึงขีดสุด ลาแสงสีทองเจิดจ้าบาด
ตาก็พุ่งทะลวงออกมา
ในเวลานี้เอง เมล็ดผลึกสุริยันทันใดนั้นปลดปล่อยกระแสเปลวเพลิง
อันร้อนแรงสุดประมาณออกมา ประดุจหินหลอมเหลวที่ลุกไหม้ ห่อหุ้มด้วย
พลังเทพ ไหลบ่ากลืนกินภายในร่างกายมัน หยดน้าลี้ลับเถาวัลย์เขียวก็ทวี
พลังขึ้นอย่างรวดเร็ว ไอน้าอันชุ่มชื้นจมลงไปในเลือดเนื้อของจั่วม่อ เลือด
เนื้ อที่ เ พิ่ ง จะถู ก เปลวไฟของเมล็ ด ผลึ ก สุ ริ ยั น แผดเผา พลั น ฟื้ นสภาพ
ในทันที ราวกับไม่เคยมีสงิ่ ใดเกิดขึ้น
แผนผั ง ปิ ศ าจบนร่ า งจั่ ว ม่ อ บั ง เกิ ด ความเปลี่ ย นแปลงใหม่ ๆ อย่ า ง
ฉับพลัน
แผนผังปิศาจสีทองคล้ายกลับกลายเป็นมีชีวิต เคลื่อนไปตามร่างกาย
ของจั่วม่อ พร้อมทั้งเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปด้วย!
อย่ า งแช่ ม ช้ า แผนผั ง ปิ ศ าจที่ ผ นึ ก แนบแน่ น เป็ น หนึ่ ง เดี ย วกั น เริ่ ม
แบ่งแยกออกเป็นหลายส่วน แผนผังปิศาจทั่วร่างกระจายตัวออก รวมรั้ง
เข้าไปในชิ้นส่วนแผนผังปิศาจที่แบ่งแยกออกมาเหล่านี้ รอจนผนึกรวมตัว
มากขึ้นและเข้มข้นขึ้น ค่อยเห็นเป็นตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันสิบแห่ง
ทั น ใดนั้ น เอง เมล็ ด ผลึ ก สุ ริ ยั น ภายในร่ า งจั่ ว ม่ อ สาดแสงสว่ า งวาบ
ปลดปล่อยลาแสงสีทองออกมาจากทรวงอกของมัน!
ฉากประหลาดมหัศจรรย์พลันอุบัติขึ้น
ตราสัญลักษณ์ท้ังสิบซึ่งเกิดจากการหดตัวรวมกันของแผนผังปิศาจ จู่
ๆ เริ่มเคลื่อนที่ไปตามร่างกายของจั่วม่อ ราวกับว่ามีเส้นเชือกที่มองไม่เห็น
ฉุ ด กระชากพวกมั น ไป แผนผั ง ปิ ศ าจสี ท องที่ ใ หญ่ ที่ สุ ด คล้ า ยถู ก พลั ง
แม่เหล็กดึงดูด เคลื่อนไปยังกลางแผ่นอกของจั่วม่อ
ลาแสงของเมล็ดผลึกสุริยันหลอมรวมเข้ากับแผนผังปิศาจแผ่นใหญ่
ที่สุดนี้ แผนผังปิศาจดูคล้ายเปลี่ยนเป็นของเหลวสีทอง ไหลเวียนไปบนแผ่
นอกของจั่วม่อ ราวกับพู่กันกาลังขีดวาดเส้นสายอย่างแช่มช้า
พร้อมกันนั้น แผนผังปิศาจอีกเก้าชิ้นที่เหลือก็ทยอยเปล่งแสงสว่าง
วาบทีละดวง ๆ
แผนผังปิศาจอันสว่างไสวเชื่อมโยงเข้าหากัน แล้วแปรเปลี่ยนไป พวก
มันแต่ล ะชิ้นกลายเป็นรู ปวงกลม แผนผังปิศาจสิบชิ้นบนที่ต่าง ๆ ทั่วร่าง
กลับกลายเป็นวงกลมอันสมบูรณ์พร้อมสิบวง ดุจดั่งดวงอาทิตย์น้อย ๆ สิบ
ดวง!
ดวงอาทิตย์ท้งั สิบประจาอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของจั่วม่อ!
ทันใดนั้นสิบดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าออกมาพร้อมกัน ราตรีอัน
มืดมิดสว่างไสวราวกับกลางวัน หมู่ดาวบนฟากฟ้าถึงกับสูญเสียสีสันที่พึงมี
ในเวลานี้เอง แสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นที่กาลังว่ายเวียนไปมา พลัน
ทะลวงเข้าไปในแผนผังปิศาจรู ป ดวงอาทิต ย์บนแผ่นอกของจั่ วม่อ อย่ า ง
เกรี้ยวกราด จากนั้นพุ่งทะลวงดุจเข็มเย็บผ้า ร้อยผ่านไปยังดวงอาทิตย์อ่ น

ๆ อีกเก้าดวงอย่างเร่งร้อน!
เส้นตรงแน่วพุ่งผ่านดวงอาทิตย์ท้ังสิบ เชื่อมโยงพวกมันทั้งหมดเข้า
ด้วยกัน ในชั่วกะพริบตาเดียว บนร่างจั่วม่อปรากฎเส้นสายสีทองตัดไขว้ไป
มา เชื่อมต่อระหว่างดวงอาทิตย์ท้งั สิบที่กระจายอยู่ท่ว
ั ร่าง
จนกระทั่งถึงยามนี้ แสงสว่างของแผนผังปิศาจค่อยอ่อนแรงลง คล้าย
ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น
จั่วม่อลืมตาขึ้น นัยน์ตาสาดประกายสีทองจาง ๆ อาจมองเห็นเส้นสี
ทองตั ด ไขว้ อ ยู่ ภ ายในดวงตาของมั น อย่ า งชั ด เจน ตรงหว่ า งคิ้ ว กึ่ ง กลาง
หน้าผากปรากฏแผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่ง แผ่ ซ่านกลิ่น
อายอหังการสุดเปรียบปาน สะท้านขวัญวิญญาณผู้คน
“นี่มัน... ...” จั่วม่อจ้องมองแผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์บนฝ่ามือทั้ง
สองอย่างมึนงง
แผนผั ง ปิ ศ าจรู ป ดวงอาทิ ต ย์ นี้ คลั บ คล้ า ยกั บ ตราประทั บ สุ ริ ยั น ที่
ปรากฏขึ้นในตอนที่มันใช้ฝ่ามือประทับสุริยันเป็นอย่างยิ่ง เพีย งแต่ลี้ลับ
ซับซ้อนและประณีตงดงามยิ่งกว่า
ดวงอาทิตย์ท้ังสิบ ดวงที่ใหญ่ที่สุดอยู่กลางแผ่นอก ดวงที่เล็กที่สุดอยู่
กลางหว่างคิ้ว สองมือสองเท้ามีดวงอาทิตย์ข้างละหนึ่งดวง อีกหนึ่งดวงตรง
ตาแหน่งตันเถียน และสามดวงสุดท้ายเรียงรายอยู่บนแผ่นหลัง
จั่วม่อทราบว่ามันฝ่าด่านสาเร็จแล้วอย่างแน่นอน
แต่... ...ความรู้สึกแปลก ๆ นี้คือสิง่ ใดกัน... ...
จั่วม่อมีความรู้สึ กอย่า งรุ น แรง ว่าการฝ่า ด่า นรุ ดหน้ านี้ผิ ดปกติ เ ป็ น
อย่างยิ่ง!
เกิดอะไรขึ้น?
บทที่ 556 ต้าเหรินกาลังตกอยู่ในอันตราย?

ผูเยากับเว่ยจ้องมองจั่วม่อราวกับกาลังมองดูตัวประหลาด
“สายตาของพวกเจ้ามันอะไรกัน... ...” จั่วม่ออดรนทนไม่ไหว
“เจ้าฝ่าด่านสาเร็จ” ผูเยาสุ้มเสียงยังคงเฉื่อยชาและเย็นเยียบเหมือน
เช่ น ปกติ แต่ ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ ที่ ส นิ ท สนมคุ้ น เคยกั น มานาน ไหนเลยจะฟั ง
ร่องรอยผิดปกติในน้าเสียงของประโยคนี้ไม่ออก
“ข้าย่อมทราบว่ าฝ่า ด่ านส าเร็จ ” จั่วม่อบ่นพึมพา จากนั้นถามด้ ว ย
ความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ ยม “ตอนนี้สังขารปิศาจของข้ากลายเป็นอะไร
แล้ว? ร้ายกาจหรือไม่?”
ฟังคาถามนี้ สายตาของผูเยาแปลกพิกลเป็นที่สุด
“ร้ า ยกาจสุ ด ยอด” ผู้ ต อบค าถามนี้ ก ลั บ เป็ น เว่ ย เว่ ย เองก็ มี สี ห น้ า
พิลึกพิล่น
ั ไม่ต่างจากผูเยา “สังขารปิศาจของเจ้าในตอนนี้เรียกว่า อุปกรณ์
สวรรค์ สิ บ อี ก า เป็ น สั ง ขารปิ ศ าจที่ ห าได้ ย ากยิ่ ง ชนิ ด หนึ่ ง หายากยิ่ ง กว่ า
สังขารปิศาจเขี้ยวขาวเสียอีก”
“ร้ายกาจปานนี้เชียว!” จั่วม่อปลาบปลื้มปิติ แต่แล้วพลันชะงักกึก ก้ม
หน้าครุ่นคิด แล้วถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “เจ้ามั่นใจว่าไม่ผิดพลาด? รอ
ประเดี๋ ย ว ข้ า จ าได้ ว่ า สั ง ขารปิ ศ าจเขี้ ย วขาวมิ ใ ช่ สั ง ขารปิ ศ าจด่ า นเจี ย ง
หรอกหรือ?”
“เจ้าจาไม่ผิด” สายตาของผูเยายิ่งแปลกพิกลกว่าเดิม
บทที่ 556 ต้าเหรินกาลังตกอยู่ในอันตราย?

ผูเยากับเว่ยจ้องมองจั่วม่อราวกับกาลังมองดูตัวประหลาด
“สายตาของพวกเจ้ามันอะไรกัน... ...” จั่วม่ออดรนทนไม่ไหว
“เจ้าฝ่าด่านสาเร็จ” ผูเยาสุ้มเสียงยังคงเฉื่อยชาและเย็นเยียบเหมือน
เช่ น ปกติ แต่ ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ ที่ ส นิ ท สนมคุ้ น เคยกั น มานาน ไหนเลยจะฟั ง
ร่องรอยผิดปกติในน้าเสียงของประโยคนี้ไม่ออก
“ข้าย่อมทราบว่ าฝ่า ด่ านส าเร็จ ” จั่วม่อบ่นพึมพา จากนั้นถามด้ ว ย
ความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ ยม “ตอนนี้สังขารปิศาจของข้ากลายเป็นอะไร
แล้ว? ร้ายกาจหรือไม่?”
ฟังคาถามนี้ สายตาของผูเยาแปลกพิกลเป็นที่สุด
“ร้ า ยกาจสุ ด ยอด” ผู้ ต อบค าถามนี้ ก ลั บ เป็ น เว่ ย เว่ ย เองก็ มี สี ห น้ า
พิลึกพิล่น
ั ไม่ต่างจากผูเยา “สังขารปิศาจของเจ้าในตอนนี้เรียกว่า อุปกรณ์
สวรรค์ สิ บ อี ก า เป็ น สั ง ขารปิ ศ าจที่ ห าได้ ย ากยิ่ ง ชนิ ด หนึ่ ง หายากยิ่ ง กว่ า
สังขารปิศาจเขี้ยวขาวเสียอีก”
“ร้ายกาจปานนี้เชียว!” จั่วม่อปลาบปลื้มปิติ แต่แล้วพลันชะงักกึก ก้ม
หน้าครุ่นคิด แล้วถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “เจ้ามั่นใจว่าไม่ผิดพลาด? รอ
ประเดี๋ ย ว ข้ า จ าได้ ว่ า สั ง ขารปิ ศ าจเขี้ ย วขาวมิ ใ ช่ สั ง ขารปิ ศ าจด่ า นเจี ย ง
หรอกหรือ?”
“เจ้าจาไม่ผิด” สายตาของผูเยายิ่งแปลกพิกลกว่าเดิม
จั่ ว ม่ อ งงงั น วู บ นิ่ ง เงี ย บไปอึ ด ใจใหญ่ ค่ อ ยกล่ า วอย่ า งลั ง เล “ด่ า น
เจียง? พวกเจ้าหมายความว่าข้าฝ่าทะลุไปถึงด่านเจียง?”
ผูเยากับเว่ยไม่ตอบคา เพียงจ้องมองจั่วม่อด้วยสายตาประหลาด มอง
ราวกับว่าจะมองให้ทะลุปริศนาบางประการในร่างกายของจั่วม่อ
สีหน้าท่าทีของทั้งสองช่วยยืนยันให้จ่ัวม่อทราบว่ามันไม่ได้เข้า ใจผิด
ทาเอามันถึงกับตะลึงพรึงเพริด
ด่านเจียง!
มันข้ามไปถึงด่านเจียงในรวดเดียว!
นี่ช่าง... ...อัศจรรย์พันลึก!
สังขารปิศาจมหาทิวาของมันเป็นสังขารปิศาจด่านเจี้ยว ก่อนหน้านี้ที่
พลังปราณกั บพลั งจิต ส านึ กฝ่ า ด่า นพร้ อมกัน จั่วม่อยังครุ่น คิ ดว่ าสั ง ขาร
ปิศาจใช่ประสบปัญหายุ่งยากบางประการหรือไม่ จึงไม่ได้ฝ่าด่านเสียที มัน
ร้ อ ยไม่ คิ ด พั น ไม่ คิ ด ว่ า จะก้ า วข้ า มด่ า นถงหลิ่ ง ทะยานขึ้ น สู่ ด่ า นเจี ย ง
โดยตรง!
ฝ่าสองด่านในรวดเดียว!
ความห่างชั้นของด่านถงหลิ่งกับด่านเจียง ก็คือความห่างชั้นของจิน
ตันกับหยวนอิง สมควรบอกว่าแตกต่างกันตั้งแต่รากฐาน
นี่ไม่สมเหตุสมผล... ...เรื่องนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย! จั่วม่อ
ครุ่นคิดอย่างซึมเซา
“สมควรเป็นผลงานของเมล็ดผลึกสุริยัน” ผูเยากล่าว
“รวมถึงหยดน้าลี้ลับเถาวัลย์เขียวกับแสงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมั่นด้วย”
เว่ยเสริม
“อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิ บ อี ก าจัด อยู่ ล าดั บ เท่ า ใดในหมู่ สัง ขารปิ ศ าจด่าน
เจียง? ข้าจดจาไม่ค่อยได้แล้ว... ...”
“ลาดับสาม!”
ได้ยินการสนทนาระหว่างผูเยากับเว่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟังว่า
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาจัดอยู่ลาดับสาม จั่วม่อพลันสะท้านขึ้นทั้งร่าง หลุด
จากสภาพเหม่อลอยทันที กระชากเสียงถาม “ไฉนไม่ใช่ลาดับสอง?”
ผูเยากับเว่ยหันมามองเป็นตาเดียว สีหน้าท่าทีราวกับว่าพวกมันกาลัง
มองคนปัญญาอ่อน
“หรือมิใช่? สังขารปิศาจมหาทิวาจัดอยู่ลาดับสองในด่านเจี้ยว!” จั่วม่
อกล่าวอย่างมัน
่ อกมัน
่ ใจ “จากลาดับสองร่วงลงมาเป็นลาดับสาม ไฉนถอย
หลังลงคลองเล่า!”
“ปัญญาอ่อน!” ผูเยาแค่นเสียง
“คนเช่นนี้ถึงกับสามารถฝึกปรืออุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาสาเร็จ ข้าละ
ไม่ทราบจะกล่าวว่ากระไรจริง ๆ ... ...” สายตาของเว่ยก็ราวกับมองดูคน
ปัญญาอ่อนผู้หนึ่งจริง ๆ
“ข้าว่านี่จ ะต้องเป็นเพราะเมล็ดผลึกสุริยันนั่นละ อาศัยสมบัติวิเศษ
เยี่ย งนี้ กระทั่งคนปัญญาอ่อนยังสามารถถือครองอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา
ได้”
“ถูกของเจ้า... ...”
ฟังผูเยากับเว่ยนินทาซึ่งหน้าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ทาเอาจั่วม่ออด
รนทนไม่ไหวจริง ๆ “เหวยเหวยเหวย บอกกล่าวมาให้ชัดเจน!”
หลังจากฟังผูเยากับเว่ยอธิบายปนถากถางอยู่พักใหญ่ จั่วม่ อค่อยมี
ความเข้าใจโดยคร่าว ๆ
การพัฒนารุ ดหน้าของสังขารปิศาจ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่พ้นไปจาก
ความเกี่ยวพันกับสังขารปิศาจเริ่มแรก ยกตัวอย่างเช่นสังขารปิศาจมหา
ทิวา จัดอยู่ล าดับสองในหมู่สังขารปิศาจด่านเจี้ยว แต่การพัฒนารุ ดหน้า
ของมันเป็นไปได้มากกว่าหนึ่งเส้นทาง ช่องว่ างระหว่างสังขารปิศาจแต่ละ
เส้นทางนั้นแตกต่างกันอย่างใหญ่ห ลวง มีท้ังสูงทั้งต่า และส าหรับสังขาร
ปิศาจมหาทิวา การพัฒนาไปเป็นอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกานับเป็นเส้นทางที่
ดีที่สุด เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสังขารปิศาจสายนี้ก็ไม่ผิด
เพียงแต่สังขารปิศาจอันดับหนึ่งของด่านเจี้ยว เมื่อพัฒนาถึงด่านเจียง
มีความเป็นไปได้อยู่สองเส้นทาง ดังนั้นอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาจึงต้องจัดอยู่
ลาดับสามโดยปริยาย
ตามที่ผูเยากับเว่ยว่ามา พวกมันคิดว่าเหตุที่จ่ัวม่อบรรลุถึงอุ ป กรณ์
สวรรค์ สิ บ อี ก า ย่ อ มเกี่ ย วข้ อ งโดยตรงกั บ เมล็ด ผลึกสุ ริ ยันภายในร่างมัน
รวมทั้งพลังเทพสุริยัน ที่มันฝึ กปรื อ กระทั่งหยดน้าลี้ลับเถาวัล ย์เขี ย วกั บ
แสงศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ วิ ญ ญาณมั่ นก็ เ ป็ นส่ว นส าคั ญ ที่ ข าดไม่ ได้ เ ช่ น กั น มิ เ ช่ น นั้น
ด้วยความเข้มแข็งเดิมของจั่วม่อ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการฝ่าด่านรุ ดหน้า
จะต้องเป็นสังขารปิศาจรัศมีแสงที่จัดอยู่ลาดับเจ็ดในด่านถงหลิ่ง
หลังจากรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จั่วม่อค่อยเข้าใจในที่สุด
อย่างไรก็ตาม มันจึงไม่สนใจว่าเป็นผลงานของเมล็ดผลึกสุริยันหรือ
สิ่งอื่นใด เพียงสนใจการจัดอยู่ลาดับสามในด่านเจียงมากกว่า!
เมื่อเคยประจักษ์ ความแข็งแกร่งของสังขารปิศาจเขี้ยวขาวที่จัดอยู่
ล าดั บ สิ บ หกในด่ า นเจี ย ง เช่ น นั้ น อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิ บ อี ก าที่ รั้ ง ล าดั บ สาม
สมควรต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นอีก!
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา?
จั่วม่อทวนคาซ้าแล้วซ้าเล่าในใจ สายตาเหลือบมองไปทางอากุ่ยโดย
ไม่ต้งั ใจ
อากุ่ ย คราวนี้ ข้ า ได้ รั บ อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิ บ อี ก า ข้ า จะต้ อ งแข็ ง แกร่ ง
ยิ่งขึ้น!
คว้ า มื อ ของอากุ่ ย มากุ ม ไว้ ครู่ ห นึ่ง คล้ า ยจะให้ค วามอุ่ นระอุจ ากมือ
ของมันถ่ายทอดไปยังมือน้อยที่เย็นเฉียบคู่นั้น จากนั้นจั่วม่อหวนกลับไป
ฝึกฝีมือสืบต่อ
มันไม่ต้องการเสียเวลาแม้แต่ชั่วครู่ชั่วยาม
รั้งลาดับสามในหมู่สังขารปิศาจด่านเจียง อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา หาก
มั น สามารถดึ ง พลั ง ทั้ ง หมดของสั ง ขารปิ ศ าจอั น ร้ า ยกาจนี้ อ อกมาใช้ ไ ด้
สมควรช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นในการเดินทางไปยังอาณาจักรน้าพุ
ปรโลกครั้งนี้!
จั่วม่อครุ่นคิดเช่นนี้
มองดูจ่ว
ั ม่อที่โหมฝึกปรืออย่างคร่าเคร่ง ผูเยากับเว่ยนิ่งเงียบงันไป
“มันพากเพียรพยายามไม่น้อย” เว่ยจู่ ๆ ก็เปรยขึ้นเบา ๆ
ผูเยาจับจ้องมองดูจ่ว
ั ม่อ สีหน้าคล้ายครุ่นคิด นัยน์ตาสีเลือดลึกล้าสุด
หยั่ง แฝงไว้ด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ชัว
่ อึดใจให้หลัง พลันเอ่ยปาก “ข้าตกลงใจช่วยเหลือมัน”
“ด้วยวิธีใด?” เว่ยเงยหน้ามองตรงมา
“ด้วยทุกอย่างที่ข้าทาได้” ผูเยาแหงนหน้ามองขึ้นไปเบื้องบน “คราว
ก่อนเจ้ากล่าวไม่ผิด เราต้องทวงถามหนี้แค้นของเรา!”

กงซุ น ชานอนเหยี ย ดยาวอยู่ บ นเตี ย ง จั บ จ้ อ งมองเพดาน ความคิ ด


ล่องลอยไปไกล
ศิษย์พี่จ่ัวม่อส่งข่าวเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นทางด้านนั้น
กลับมายังเกาะเต่า ไม่ได้ปกปิดสิ่งใดเป็นความลับ ชนชั้นแกนนาทั้งหมด
ล้วนได้อ่านเรื่องเหล่านัน

ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าประวัติความเป็นมาของศิษย์พี่จะอัศจรรย์พันลึก
และน่าโศกสลดถึงเพียงนี้!
แม้ว่าเรื่องราวยังไม่สมบูรณ์ แต่ลาพังแค่สิ่งที่ล่วงรู้ในตอนนี้ก็มากเกิน
พอให้พวกมัน เหล่าคนที่เคยผ่านศึกสงครามมาหลายครั้งหลายหนจะสูด
ได้กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้น
อารมณ์ของศิษย์พี่ในตอนนี้ เกรงว่า... ...
ไม่ได้ มันไม่อาจปล่อยให้ศิ ษย์พี่ต่ อสู้ต ามล าพัง มันต้องทาอะไรสั ก
อย่าง!
กงซุนชาผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างฉับพลัน! ชั่วอึดใจให้หลัง ดวงตาใส
กระจ่างเหมือนเด็กชายข้างบ้านก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ในส่วนลึกของดวงตา
จิตวิญญาณการต่อสู้เบ่งบานเหมือนดอกไม้กลางสายลม
พวกมันต่อสู้เคียงข้างกันเสมอ!
ร้อยเถื่อนแดนทมิฬ... ...อาณาจักรน้าพุปรโลก... ...ช่างท้าทายเสีย
จริง!
จิตวิญญาณของมันลุกไหม้ โลหิตในกายแทบเดือดพล่าน แต่ความคิด
จิตใจของแม่นางน้อยสงบเยือกเย็นผิดธรรมดา เริ่มใคร่ครวญว่าจะท าให้
จิตเจตนาของมันเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไร
แน่นอนว่าต้องมีแผนการรบที่เหมาะสมที่สุด!
“ต้าเหริน!” องครักษ์หน้าประตูเคาะเรียกอย่างนอบน้อม
“มีเรื่องใด?” ถูกขัดจังหวะความสนุก แม่นางน้อยขมวดคิว
้ เล็กน้อย
องครักษ์ ผู้นั้นเปิดประตู เข้า มาในห้อง ยื่นส่งม้วนหยกให้แก่ แ ม่ น าง
น้อย รายงานว่า “เมื่อสักครู่นี้เหวยเสิ้งต้าเหรินมาเยือน ส่งม้วนหยกนี้ให้
สั่งว่าให้มอบให้แก่ต้าเหริน”
ศิษย์พี่ใหญ่? แม่นางน้อยงงงันวูบ
มันรับม้วนหยกมาดู ชั่วอึดใจให้หลัง ต้องเผยสีหน้าเจื่อนขม
ศิษย์พี่ใหญ่...ไปเสาะหาศิษย์พี่จ่ว
ั ม่อด้วยตัวเองเพียงลาพัง!
“ถึงศิษย์น้องกงซุน ... ... พี่น้องรักใคร่ผูกพัน ข้าลองถามใจตัวเอง ไม่
สามารถนั่งชมดูอยู่เฉย ๆ ได้ ... ...หัวใจเฉกเช่นกระบี่ สมควรบุกฝ่าโดยไม่
ย่อท้อ เพื่อขัดเกลาใจกระบี่ ... ... ครัง้ นี้ล่วงรู้ว่าพลังของข้าไม่แข็งแกร่งพอ
ดังนั้นขออาลา! ข้าจะไปยังภพปิศาจ ใช้การต่อสู้เพื่อฝึกฝีมือ เข่นฆ่าปิศาจ
เพื่อลับกระบี่ ... ...หากข้าไม่ตายเสียก่อน และสามารถบรรลุถึงอาณาจักร
น้าพุปรโลกได้จริง ... ข้าจะมอบพลังของกระบี่ที่ไม่พ่ายแพ้ ให้แก่พวกเจ้า
เล่มหนึ่ง!”
ภายในม้วนหยก สุ้มเสียงของเหวยเสิ้งราบเรียบเฉื่อยชา เต็มไปด้วย
ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
“ช่างเป็นคนเสียสติผู้หนึ่งโดยแท้!” แม่นางน้อยบ่นพึมพา
มันเงยหน้าขึ้น ปอยผมตรงหน้าผากกระพือพลิว
้ โดยปราศจากลม แม่
นางน้อยบนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเขินอายอันเฉิดฉัน
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็เสียสติไปด้วยกันทั้งหมดเถอะ!”

บรรยากาศภายในเกาะเต่ากลายเป็นตึงเครียดในบัดดล
ความเข้มงวดในการฝึกอบรมของค่ายจู เ ชวี่ย กับค่ ายเว่ย เพิ่มสู ง ขึ้ น
จนถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน บรรยากาศตึงเครียดช่วยให้พวกมันเข้าใจชัด
แจ้ง เกิดเรื่องราวบางประการขึ้นแล้ว! ข่าวคราวแพร่กระจายไปในหมู่สอง
ค่ายหลักอย่างรวดเร็ว จั่วม่อต้าเหรินกาลังประสบปัญหา!
ค่ายจูเชวี่ยและค่ ายเว่ยติ ดตามจั่ ว ม่อ ออกมาจากอาณาจัก รขุ น เขา
น้อย ความผูกพันลึกล้ายิ่งกว่าพี่น้อง ฟังว่าต้าเหรินประสบปัญหา แต่พวก
มันกลับไม่ได้รับคาสั่งให้รวมพล มีเพียงคาสั่งให้ฝึกปรือหนักขึ้น คนเหล่านี้
พลั น เข้ า ใจทั น ที ว่ า อาศั ย พลั ง ของพวกมั น ในยามนี้ ยั ง ไม่ เ พี ย งพอจะ
ช่วยเหลือต้าเหรินได้
โดยไม่จาเป็นต้องให้กระตุ้นเตือน สองค่ายหลักเริ่มโหมฝึกหนักอย่าง
ดุเดือดเลือดพล่าน
ในไม่ช้าก็มีคาสั่งส่งตรงถึงเหล่าตระกูล ใหญ่ ในอาณาจัก รทะเลเมฆ
ค่ายทัพใหม่ ค่ายชิงหลง (มังกรเขียว) กาลังจะก่อตั้งขึ้น ขอให้แต่ละตระกูล
ส่ ง ศิ ษ ย์ ที่ เ ด่ น ล้ า เข้ า ร่ ว มการคั ด เลื อ กคน ตระกู ล ที่ มี ศิ ษ ย์ ถู ก คั ด เลื อ กจะ
ได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้น
คาสั่งนี้ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในอาณาจักรทะเลเมฆ ขณะที่มหาค่าย
กลหมื่ นเกาะขยั บ ขยายออกไปวั น ต่ อ วั น ทุ ก ตระกู ล ล้ ว นทราบว่ า ใน
อาณาจักรทะเลเมฆ กฎของของเกาะเต่าไม่อาจฝ่าฝืนได้ และมีเพียงตอบ
รับคาสั่งของเกาะเต่าเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงสามารถรับประกันประโยชน์ที่
พวกมันจะได้รับในภายภาคหน้า
ยอดยุทธ์อายุเยาว์นับไม่ถ้วนหลั่งไหลไปยังเกาะเต่าตามคาเรียกหา

สือตงพอได้รับคาสั่งล่าสุด อดงุนงงอยู่บ้างไม่ได้
ความคืบหน้าของฝ่ายมันรวดเร็วเหนือความหมายของมันไปมาก แต่
มั น นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า แม่ น างน้ อ ยต้ า เหริ น ยั ง คงไม่ พ อใจ และสั่ ง ให้ มั น เพิ่ ม
ความเร็วขึ้นอีก เร่งยึดครองอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยให้เร็วกว่านี้
นอกจากนี้ สิ่งที่ทาให้มันประหลาดใจ คือแม่นางน้อยต้าเหรินอนุญาต
ให้มันขยับขยายค่ายฮุย เร่งเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มขึ้น
เรื่องร้ายแรงบางอย่างกาลังจะเกิดขึ้น!
สือตงแม้ ท่ ือด้านตรงไปตรงมา แต่ก็เป็นบุคคลอันชาญฉลาดผู้ ห นึ่ ง
ความคิดแรกของมันประหวัดนึกไปถึงจั่วม่อต้าเหริน
จั่วม่อต้าเหริน ... ...ต้าเหรินผู้ซึ่งเยี่ยหลิงเห็นว่าสามารถขึ้นเป็นจอม
ราชัน... ...
มันขบคิดครู่ห นึ่ง ก่อนจะถ่ายทอดคาสั่งให้กะเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มขึ้น
เตรียมขยับขยายกองทัพค่ายฮุย จากนั้นยังสั่งให้เพิ่มความเข้มงวดในการ
ฝึกอบรมขึ้นอีกขั้น
“ต้ า เหริ น ! ใช่ มี เ รื่ อ งอั น ใดเกิ ด ขึ้ น หรื อ ไม่ ?” ผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ ถามอย่าง
สงสัยใจ
“ดูเหมือนจั่วม่อต้าเหรินจะประสบปัญหาบางประการ” สือตงอธิบาย
ตามตรง
“อ๋า! หวังต้าเหริน 26ของพวกเราประสบปัญหา!” ผู้ช่วยแม่ทัพหน้ า
เผือดสี รีบถามอย่างร้อนใจ “ปัญหาใหญ่ห รือไม่ ? อันตรายมากหรือไม่ ?
ต้องให้พวกเราส่งกาลังไปสนับสนุนหรือไม่?”
ปฏิกิริยาอันรุ นแรงของผู้ช่วยแม่ทัพ ทาให้สือตงพิศวงงงงวยไม่น้อย
“เจ้าร้อนใจนักหรือ?”
ผู้ช่วยแม่ทัพงงงันวูบ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “ย่อมแน่นอน นั่นคือ
เจ้าเหนือหัวของเรา!”

26
หวังหรืออ๋อง หมายถึงราชา ในที่นี้พวกปิศาจใช้เรียกจั่วม่อ
“เจ้าก็คิดว่าต้าเหรินสามารถกลายเป็นจอมราชันด้วย?” สือตงถาม
คาถามที่ติดค้างอยู่ในใจมันมานาน
“ย่ อ มแน่ น อน!” ผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ ก าหมั ด แน่ น สี ห น้ า เคร่ ง ขรึ ม จริ ง จั ง
“พวกเราล้วนเชื่อเช่นนี้!”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้... ...” สือตงในที่สุดค่อยเข้าใจกระจ่าง
ผู้ ช่ ว ยแม่ ทั พ ลื ม เลื อ นกระทั่ ง ค้ อ มกายคารวะสื อ ตง รี บ เผ่ น ออกไป
ทันที มันต้องรีบกระจายข่าวนี้ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้!
เจ้าเหนือหัวจงเจริญ!

“ของเหล่านี้เป็นแผนผังปิศาจที่ต้าเหรินส่งมา รวมทั้งข้อสรุปทั้งหมด
เกี่ ย วกั บ เรื่ องนี้ ด้ ว ย” ปรมาจารย์ ซุ น เป่ า กวาดตามองผู้ ค นที่ ร วมตั ว อยู่
ด้านล่าง กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ระหว่างนี้ให้ท้ังหมดวางงานอื่น ๆ เสียก่อน
ช่วยกันค้นคว้าแผนผังปิศาจให้เร็วที่สุด!”
ทุกผู้คนพยักหน้ารับคา แต่ลอบประหลาดใจอยู่บ้าง ควรทราบว่าแม้
ภารกิจ ของค่ายจินวูจะค่อนข้างหนักหนาและยากลาบาก แต่บรรยากาศ
อิส ระเสรีมาก สองปรมาจารย์ปกติมักอนุญาตให้ทุกคนศึกษาค้น คว้ า ไป
ตามใจชอบ จะรวบรวมพลังของทุกคนมาช่วยกันก็เฉพาะเวลาที่มีภ ารกิจ
พิเศษและเร่งด่วนเท่านั้น
หรือว่ามีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้น?
ทุกคนมีสีหน้างุนงงสงสัย
ปรมาจารย์จี๋เหว่ยสีหน้าหนักอึ้งเคร่งเครีย ดเช่นกัน ยื่นม้วนหยกส่ง
ให้แก่ทุกคน
“ท่านอาจารย์ ที่แท้เกิดเรื่องอันใด?” บางคนถามอย่างอดรนทนไม่ได้
สายตาทุกคู่หันไปมองสองปรมาจารย์เป็นตาเดียว
“ต้าเหรินตกอยู่ในอันตราย” ปรมาจารย์ซุนเป่ากล่าวเสียงลึก “และ
ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา”
แวบแรกเป็นความเงีย บสงัด เสมือ นตาย แต่ชั่วแวบต่อมา ในห้องก็
ระเบิดด้วยเสียงร่าร้องดังอึงอล!
“ต้าเหรินตกอยู่ในอันตราย?”
“บั ด ซบ! คนเหล่ า นั้ น มั ว เล่ น อะไรกั น อยู่ ? พวกมั น ใช่ ล ะเลยหน้ า ที่
หรือไม่? แม่นางน้อยต้าเหรินอยู่ที่ใด?”
“สวรรค์! บอกข้าทีว่าไม่จริง... ...”
บรรดาซิวเจ่อสายการผลิตที่ยังอายุเยาว์พากันเดือดดาลทะยานฟ้า
หากแม่นางน้อยอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกมันคงมีคนโถมเข้าไปตะคอกถามเป็น
แน่
นั่นคือต้าเหริน! ต้าเหรินผู้ซึ่งค่ายจินวูท้งั ค่ายสัตย์สาบานว่าจะติดตาม
ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เป็นผู้ใดถ่ายทอดเวทวิชาและสารพันความรู้ให้แก่
พวกมัน เป็นผู้ใดมอบไฟอีกาทองคาให้แก่พวกมัน พวกมันไม่มีวันลืมเลือน
พวกมันไฉนไม่เคยต้องห่วงหน้าพะวงหลัง กระทั่งสามารถกระทาทุกอย่าง
ได้ตามใจปรารถนา ทุกคนจดจาได้มั่นว่าเป็นผู้ใดที่ประทานทั้งหมดนี้ให้แก่
พวกมัน!
บัดซบ! เรื่องนี้ยอมไม่ได้!
“หุบปากให้แก่ข้า!” ปรมาจารย์จี๋เหว่ยตวาดดังกึกก้อง ทาให้ทุกคน
เงียบสงบลงทันควัน
ปรมาจารย์ซุนเป่าใบหน้าไร้รอยยิ้ม ในดวงตาคล้ายลุกโชนด้วยเปลว
ไฟ “ทุกคน อย่ามัวแต่เสียเวลาไร้ส าระ จงรีบศึกษาม้วนหยก ภายในนั้น
บั น ทึ ก ข้ อ สรุ ป และการค้ น คว้ า ทั้ ง หมดเกี่ ย วกั บ แผนผั ง ปิ ศ าจที่ ต้ า เหริ น
เข้าใจ พวกเราต้องรีบทาความเข้าใจปัญหาทั้งหมด ภายในระยะเวลาที่สั้น
ที่สุด! มีแต่หนทางนี้จึงจะช่วยต้าเหรินได้!”
ในดวงตาทุกคนคล้ายแผ่พุ่งเปลวไฟออกมา
“แล้วจากนั้น พวกเราจะเริ่มสลักแผนผังปิศาจ!”
“นี่คือสงคราม!”
บทที่ 557 ร่วมเรียงเคียงคู่ อยู่หรือตายไม่พรากจากกัน

จั่วม่อไม่ล่วงรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนเกาะเต่า
มันจมอยู่กับการฝึกฝีมือจนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ในกาลก่อนจั่วม่อไม่
เคยเสาะแสวงหาพลัง อ านาจ ส าหรั บ มั น ที่ ไ ม่ เคยมีค วามทะเยอทะยาน
ยิ่งใหญ่อันใด ขอเพียงไม่อ่อนแอ ก็เพียงพอที่จะมีชีวิตอย่างสุขสาราญ แต่
ยามนี้ความปรารถนาในพลั งอ านาจของมั นแทบจะถึงขั้ นไร้ เหตุผ ล มัน
ทราบกระจ่างใจเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาวิธีเยียวยารักษาอากุ่ย
หรือการสืบค้นชาติกาเนิดของมัน ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับรากฐานประการ
หนึ่ง นั่นคือพลังอานาจ พลังอานาจที่แข็งแกร่งพอ!
ทุ ก วี่ วั น มั น ทางหนึ่ ง จมอยู่ กั บ การคร่ า เคร่ ง ฝึ ก ฝี มื อ ราวกั บ ไม่ รู้ จั ก
เหน็ดเหนื่อย อีกทางหนึ่งรอคอยให้พวกซู่หลงเดินทางมาถึง หากข้อมูล ที่
มันสืบเสาะมาไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากนัก อาณาจักรน้าพุ
ปรโลกก็มิใช่สถานที่ที่มันสามารถบุกฝ่าไปตามลาพังได้
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา
สั ง ขารปิ ศ าจล าดั บ สามในด่ า นเจี ย ง มี เ อกลั ก ษณ์ พิ เ ศษเฉพาะตั ว
ตามที่คาด เว่ยรอบรู้เกี่ยวกับสังขารปิศาจแทบทุกชนิด ช่วยให้การฝึกฝน
ของจั่ ว ม่ อ มุ่ งเน้ นไปยัง จุด ส าคั ญ โดยไม่ มั ว เสี ย เวลาเปลือ งเรี่ย วแรงสูญ
เปล่า ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน พลังฝีมือของจั่วม่อก็ทวีความกล้าแข็ง
รุ ดหน้าอย่างก้าวกระโดด ในที่สุดก็มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอุ ป กรณ์
สวรรค์สิบอีกา
อุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกา อีกาหมายถึงอีกาทองคาซึ่งเป็นตัวแทนแห่ง
ดวงอาทิตย์ นามนี้จึงอ้างถึงสิบดวงอาทิตย์ที่สถิตอยู่ในตาแหน่งต่าง ๆ ทั่ว
ร่างของมัน พวกมันดูคล้ายรอยสักที่ส ลักเสลาลงไปอย่างประณีตบรรจง
แทบไม่เหมือนแผนผังปิศาจแล้ว
ที่สะดุดตาคนที่สุด คือแผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์ดวงที่อยู่ก่ึงกลาง
หว่างคิ้วของมัน วงกลมอันสมบูรณ์พร้อมประกอบขึ้นจากลวดลายวิจิตร
ซับซ้อน รอบดวงอาทิตย์สีทองเข้มมืดทะมึน ล้อมไว้ด้วยลวดลายคล้ายฟัน
แหลมคมที่เป็นสัญลักษณ์ของรังสีแสงแห่งดวงอาทิตย์
จั่ ว ม่ อ รู ป โฉมมิ ไ ด้ ห ล่ อ เหลา แต่ เ มื่ อ ปรากฏตราสั ญ ลั ก ษณ์ แ ห่ ง ดวง
อาทิตย์อยู่กลางหว่างคิว
้ กลับเพิม
่ ประกายลี้ลับสูงสง่าให้แก่มันชัน
้ หนึ่ง
อุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกา ดวงอาทิต ย์แต่ล ะดวงหมายถึงแหล่งกาเนิ ด
พลั ง มั น ต้ อ งสั่ ง สมพลั ง ให้ ถึ ง ระดั บ หนึ่ ง จึ ง จะสามารถเปิ ด ใช้ ง านดวง
อาทิ ต ย์ แ ต่ ล ะดวงได้ หนึ่ ง ดวงอาทิ ต ย์ คื อ ห นึ่ ง แปลง สิ บ ดวงอาทิ ต ย์
หมายถึงการแปลงร่างทั้งสิบ
ตามคาแยกแยะของเว่ย ปิศาจที่ฝึกปรือสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์
สิบอีกาได้สาเร็จ นับว่ายากจะพบพาน แต่ที่ยากจะพบพานยิ่งกว่า คือผู้ที่
บรรลุถึงการแปลงร่างทั้งสิบอย่างสมบูรณ์พร้อม
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา การแปลงร่างแต่ละครั้งทรงพลานุภาพสยบใต้
หล้า และสิง่ ที่น่าพรัน
่ พรึงยิ่งไปกว่านัน
้ คือพลังของอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา
มิใช่เพียงเดินไปในแนวทางใช้กาลังปะทะหักหาญซึ่งหน้าเหมือนสังขาร
ปิศาจมหาทิวาเท่านั้น ยังเต็มไปด้วยความซับซ้อนสารพัน สามารถเดินไป
ในแนวทางแยบคายและพลิกแพลงอีกด้วย
ทว่าสิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุ ดของอุ ปกรณ์ส วรรค์สิบอี ก า กลับมิใช่ ก าร
แปลงร่างทั้งสิบ แต่เป็นพลังเขตแดนที่ได้รับฉายานามสุดแกร่งแห่งด่า น
เจียง ‘เขตแดนสวรรค์สิบอีกา!’
จั่วม่อพอได้ยินเรื่องนี้ ถึงกับน้าลายไหลหยดย้อย แต่น่าเสียดายที่เว่ย
ไม่รู้วิธีบรรลุ ‘เขตแดนสวรรค์สิบอีกา’ โดยตรง
‘เขตแดน’ เป็นพลังที่มีเพียงซิวเจ่อด่านหยวนอิง ปิศาจด่านเจียงและ
อสูรราหูเท่านั้นที่ส ามารถบรรลุถึง ยกตัวอย่างเช่นเขตแดนตะเกียงเพลิง
พุ ท ธะของติ้ ง เจิ น ส่ ว นเหวยเสิ้ ง ผู้ ส ามารถไขว่ ค ว้ า ถึ ง ชายขอบของพลัง
‘เขตแดน’ ตั้ ง แต่ ยั ง เป็ น จิ น ตั น ก็ เ รี ย กได้ ว่ า มี พ รสวรรค์ อั น น่ า แตกตื่ น
สะท้านใจ
เมื่อเคยรับทราบความร้ายกาจของเขตแดนตะเกียงเพลิงพุทธะของ
ติ้งเจินด้วยตัวเอง จั่วม่อย่อมมุ่งมาดปรารถนาในพลังเขตแดนอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม เว่ยยังไม่ได้กล่าวถึงการทาความเข้าใจ ‘เขตแดน’ มาก
นัก นั่นเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากจั่วม่อในตอนนี้มาก
จั่วม่อแม้ว่าจะส าเร็จ อุป กรณ์ส วรรค์สิ บอี ก า แต่ก็ด้วยอานิส งค์ จ าก
สมบัติวิเศษภายในร่างช่วยหนุนส่ง ยังคงขาดความเข้าใจอยู่มาก แต่ตอนนี้
ร่างกายของมันอยู่ในสถานะของความสมดุล สังขารปิศาจเมื่อรุ ดหน้ าฝ่า
ด่านรวดเดีย วสองด่ านพลัง พลังปราณกับพลัง จิต ส านึ ก ที่ฝ่า ด่ านส าเร็ จ
ก่อน ก็กลับกลายเป็นเครื่องถ่วงรั้งไปเสียแล้ว จั่วม่อได้แต่คอยกลั่นเกลา
พลังเทพจากมือขวาของมัน แปลงเป็นพลังปราณกับพลังจิตสานึกอย่างไม่
หยุดยัง้ ใช้วิธีนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา
จั่ ว ม่ อ เดิ ม ที ค าดว่ า กระบวนการปรั บ สร้ า งเสถี ย รภาพนี้ จ ะต้ อ งใช้
เวลานาน นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่สิบวัน พลังปราณของมันก็บุกทะลวงไปยัง
ด่านหยวนอิง และพลังจิตสานึกฝ่าด่านเยาฝู่ (ตาหนักอสูร) เป็นที่เรียบร้อย
นี่สมควรมีเหตุผลหนุนเสริมหลายประการ
ประการแรกคื อ พลั งเทพอัน เปี่ ยมล้นสมบู ร ณ์ วั ง วนพลั ง ในมื อขวา
ของจั่วม่อยังคงทวีพลังแข็งกล้าขึ้นทุกขณะ ปริมาณพลังเทพที่มันสามารถ
ดึ ง ออกมาใช้ ใ นแต่ ล ะวั น ก็ ยิ่ ง เพิ่ ม มากขึ้ น เรื่ อย ๆ นอกเหนื อ จากความ
ประหลาดใจและปลาบปลื้มยินดี จั่วม่อยังอดหวาดวิตกอยู่บ้างไม่ได้ หาก
ระดับความเร็วเช่นนี้ยังดาเนินต่อไป ในไม่ช้าพลังเทพที่กาเนิดออกมาจาก
วังวนพลัง จะมีปริมาณมากล้นเกินกว่าที่มันจะสามารถกลั่นเกลานาไปใช้
ได้ทัน
ส่ ว นอี ก ประการหนึ่ งก็ คื อ แม้ ว่ า อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิ บ อี ก าจะไม่ มั่นคง
อย่างยิ่ง แต่จะอย่างไรก็เป็นสังขารปิศาจด่านเจียง เหนือล้ากว่าด่านจินตัน
และด่านหยินเสินอยู่หนึ่งด่านเต็ม ๆ ต่อให้จ่ัวม่อฝืนฝ่าด่านสังขารปิศาจ
สาเร็จโดยการพึ่งพาสมบัติวิเศษ แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังด่านเจียง ก็
ย่อมเหนือล้ากว่าอีกสองด่านพลังอย่างสิ้นเชิง
ทุกวิถีทางชักนาไปยังปลายทางเดียวกัน แม้ว่าพลังสังขารเมื่อ เที ยบ
กับพลังปราณและพลังจิต ส านึกแล้ว นับว่ามีส่วนผิดแผกแตกต่างกันอยู่
มาก แต่ ก็ ยั ง มี ห ลายต่ อ หลายส่ ว นที่ จ่ั ว ม่ อ สามารถศึ ก ษาเป็ น แบบอย่าง
และทาการลอกเลียนมาใช้กับอีกสองพลังที่เหลือได้
ด้ ว ยประการฉะนี้ เ อง อี ก สองพลั ง ที่ ล้ า หลั ง จึ ง ฝ่ า ด่ า นไล่ ต ามพลั ง
สังขารขึ้นมาทัดเทียมกันในเวลาเพียงไม่นาน
ผูเยากับเว่ยไม่ได้แปลกใจที่จ่ัวม่อบรรลุด่านหยวนอิง ในสายตาของ
พวกมัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา นับตั้งแต่สังขารปิศาจทะลุถึงด่านเจียง ย่อม
ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่ านั้น แต่สิ่งที่ผูเยาตื่นเต้นยินดี
อยู่บ้าง ก็คือจิต ส านึกของจั่วม่อในที่สุดก็ก่อกาเนิดต าหนักอสูร บรรลุถึง
ด่านเยาฝู่เสียที
อสูรที่ก่อกาเนิดตาหนักอสูรเรียกว่าอสูรราหู ในภพอสูรสามารถนับได้
ว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมืออย่างเต็มภาคภูมิ
พรสวรรค์ทางด้านศาสตร์อสูรของจั่วม่อเลิศล้าอย่างแท้จ ริง แต่น่า
เสียดายที่เมื่อเทียบกับสังขารปิศาจอันน่าอัศจรรย์แล้ว ยังคงอ่อนด้อยกว่า
บ้าง ทาให้ผู้เยารู้สึกว่าจั่วม่อแม้เป็นศิษย์ของมัน แต่เว่ยกลับเป็นคนได้หน้า
ไป คราครั้งนี้เมื่อจั่วม่อก่อกาเนิดตาหนักอสูร ก็หมายความว่ามันสามารถ
ถ่ายทอดศาสตร์อสูรให้จ่ว
ั ม่อมากขึ้นกว่าเดิม
ที่ ส าคั ญ ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น ศาสตร์ บ าบวงแดนร้ า งกาลสมั ย เป็ น วิ ช าที่
เหมาะกับอสูรราหูมากกว่า มีเพียงบรรดุด่านเยาฝู่ขึ้นไป จึงสามารถสาแดง
อานุภาพออกมาได้ถึงขีดสุด!
อย่างไรก็ตาม ผูเยายังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ มันกาลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับ
การทาเรื่องราวบางประการ
ในซอกมุ ม เร้ น ลั บ หลายแห่ ง ในคุ ก สิ บ นิ้ ว ปรากฏประกาศข่ า วสาร
แปลกประหลาดขึ้นโดยไม่ทราบที่มา
แผ่นประกาศที่ว่านี้ใช้ถ้อยคาแปลก ๆ และรูปประโยคที่ยากจะเข้าใจ
พวกมันล้วนถูกติดประกาศไว้ในสถานที่ห่างไกลที่ไม่มีคนสนใจ แต่หากมีผู้
ที่ช่างสังเกตตั้งใจเสาะหาดู จะค้นพบอย่างตื่นตกใจว่ามีข้อความคล้าย ๆ
กันนี้ปรากฏอยู่ในคุกสิบนิ้วทุกระดับชั้น
นี่หมายความว่าผู้ที่ประกาศข่าวสารเหล่านี้ สามารถท่องทะยานไปใน
ทุกระดับชั้นของคุกสิบนิ้วได้ตามอาเภอใจ นั่นต้องเป็นยอดคนระดับใด?
“จะได้ผลหรือไม่?” เว่ยถามผูเยา
“ข้าไม่รู้” ผูเยาดวงตาสีโลหิตลึกล้าสุดหยั่ง “มันยาวนานเกินไป ข้าไม่
รู้ว่าพวกมันจะยังคงจดจาได้หรือไม่? ได้แต่ทดลองดูสักครา”
“ข้าก็ไม่ทราบว่าบรรดาผู้ส นับสนุนของจู่เหรินยังหลงเหลืออยู่ ม าก
เท่าใด” เว่ยกล่าวเสียงราบเรียบ “แต่ข้าก็ส่งสัญญาณเพรียกโลหิตออกไป
แล้วเช่นกัน”
ผู เ ยาดวงตาสาดประกายพลุ่ง พล่า นใจ มุ ม ปากประดั บ รอยยิ้มเย็น
เยียบ “ไม่ว่ากาลเวลาจะมี พลัง ท าลายล้า งสัก ปานใด จะอย่างไรยั ง ต้ อ ง
หลงเหลือเศษซากทิ้งไว้เบื้องหลัง”
“เจ้าตั้งใจให้จ่ว
ั ม่อสืบทอดทั้งหมดนี้หรือไม่?” เว่ยจับจ้องมองตาผูเยา
ผูเยาสั่นศีรษะ “มันอาจไม่เต็มใจที่จะรับมรดก”
“ข้าก็ว่าอย่างนัน
้ ” เว่ยผงกศีรษะเห็นพ้อง
“แต่มันต้องการพลังอานาจ” ชุดยาวของผูเยาสะบัดพลิ้วแม้ว่าจะไม่
มีลมก็ตาม สุ้มเสียงลุ่มลึก “มันยังไม่เข้าใจตัวเอง เราเองก็ยังไม่เข้า ใจมัน
อย่างแท้จริง ศัตรู ของมันดูเหมือนจะยิ่งใหญ่มหึมากว่าที่มันคิดเอาไว้ม าก
มันจะมีหนทางเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
เว่ยแย้มยิ้มเล็กน้อย “ช่างคล้ายคลึงกับของเรายิ่งนัก”
ผูเยาคล้ายถูกสะกิดความทรงจาที่ ซุก ซ่อนเอาไว้ ดวงตาสีเลือ ดทอ
แววซับซ้อน แต่ก็กลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว “ยิ่งไปกว่านั้น
เรียกให้พวกมันติดตามจั่วม่อมิใช่เรื่องไม่ดี ตระกูล ที่ยังคงยึดมั่นต่อสัต ย์
สาบานมาตลอดหลายพันปี โดยไม่ล้มเลิกละทิ้ง พวกมันสมควรหวนคืนสู่
ความรุ่งโรจน์!”
เว่ยทอดถอน “เพียงไม่ทราบว่าพวกมันยังหลงเหลือกันอยู่กี่คน”
ผูเยานิง่ เงียบงันไป มันเองก็ไม่ล่วงรู้เช่นกัน

จั่วม่อหยุดการฝึกปรืออย่างกะทันหัน มันพบว่ามีคนกาลังเข้ามาใกล้
พลันหันขวับ ดีดกายเข้าหาเหล่าอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญ หยุดยืนขวางกั้น
ระหว่างพวกมันกับอากุ่ย คุ้มครองอากุ่ยไว้ที่ด้านหลัง
เงาร่างสองสายปรากฏขึ้นใกล้ ๆ ราวกับเงาผี
“เป็นเจ้า!” จั่วม่อหรี่ตาจับจ้องผู้มาตาเขม็ง ในใจลอบตื่นตระหนก
ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล เขิงเหลียนเอ๋อร์ผู้งามสะคราญยิ่ง
ดูลี้ลับดุจวิญญาณนางพราย ดวงตาดาขลับราวกับนิลทอประกายที่ยากจะ
บ่งบอกบรรยายชนิดหนึ่ง ข้างกายนางยืนไว้ด้วยแม่นางอายุเยาว์นางหนึ่ง
ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ สมควรเป็นสาวใช้ประจาตัวของเขิงเหลียนเอ๋อร์
สองนางยืนห่างจากจั่วม่อห้าจั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาใกล้มากไปกว่า
นั้น
“เจ้ า จะไปอาณาจั ก รน้ า พุ ป รโลกใช่ ห รื อ ไม่ ?” สุ้ ม เสี ย งอ่ อ นเบา
ราบเรียบดังแว่วมาตามลม
จั่วม่อไม่ได้ลดการระวังป้องกันแม้แต่น้อย พอฟังพลันม่านตาหดแคบ
ลง ย้อนถามเสียงลึก “เจ้าล่วงรู้ได้อย่างไร?”
“ที่ นี่ คื อ อาณาจั ก รเศษหิ น ” เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ไ ม่ แ ยแสสนใจท่ า ที
ระแวดระวังของจั่วม่อ
จั่วม่อเข้าใจในบัดดล ย่อมต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ที่นี่คือบ้านของนาง
เขตปกครองของบิดานาง ดูเหมือนว่าการสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับหญ้าไหม
ย้ อ นเงาคื น วิ ญ ญาณของมั น จะไปสะกิ ด ความสนใจของเขิ ง อี้ เ ข้ า โฉม
สะคราญที่ ง ามล้ า อย่ า งเหนื อ จริ ง นางนี้ ก ลั บ ยิ่ ง บั น ดาลให้ มั น รู้ สึ ก ถึ ง
อันตรายอย่างแรงกล้า ถึงแม้ว่าการที่พลังฝีมือของมันรุดหน้าก้าวไกล จะมี
บางส่วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากสตรีนางนี้ มิหนาซ้าพลังเทพสีเงินของผู้อ่ ืน
ยังเป็นกุญแจสาคัญที่ช่วยให้มันฝ่าด่านสาเร็จก็ตาม
แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับพลังฝีมือหรือจิตเจตนาของสตรีอันตรายนางนี้
มันก็ไม่อาจหยั่งวัดได้เลยแม้แต่น้อย
“ข้าฝึกปรือพลังเทพจันทรา” ใบหน้าชวนลุ่มหลงตายของเขิงเหลียน
เอ๋อร์ทอแววเลื่อนลอยอยู่บ้าง นางกล่าวพลางเงยหน้าขึ้น แสงจันทร์เหนื อ
ศี ร ษะสว่ า งไสวขึ้ นอี ก ส่ว นหนึ่ ง จากนั้ น แสงจั น ทร์ ล าหนึ่ง สาดส่อ งลงมา
กระทบใบหน้ า นาง ขั บ ประกายใบหน้ า อั น เฉิ ด ฉัน วงนั้น ให้ยิ่ ง งามพิล าส
กว่าเดิม
ขนตายาวงอน ริ ม ฝี ป ากอบอุ่ น ชุ่ ม ชื้ น ใบหน้ า ไร้ ต าหนิ ภายใต้ แ สง
สว่างละมุนละไมของจันทรา ดูคล้ายสะท้านขวัญสั่นวิญญาณผู้คน
“พลั งเทพจันทรา?” จั่วม่อในที่สุดก็เข้าใจ ว่าไฉนพลังเทพของผู้อ่ ืน
เกิดการเหนี่ยวนากับพลังเทพของมันได้
“ข้าจะไปอาณาจักรน้าพุปรโลกกับเจ้าด้วย” เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าว
เสียงราบเรียบ
“เจ้ า จะไปกั บ ข้ า ? ไปที่ อ าณาจั ก รน้ า พุ ป รโลกด้ ว ย?” จั่ ว ม่ อ ท าท่ า
คล้ายฟังผิด อึ้งงันไปเป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะหัวร่องอหาย มันรู้สึกว่าประโยคนี้
น่าขบขันยิ่ง “ฮ่าฮ่า เจ้าว่าอะไร? จะตามข้าไปอาณาจักรน้าพุปรโลก? ฮ่า
ฮ่า”
“มิผิด” เขิงเหลียนเอ๋อร์จ้องมองจั่วม่อด้วยดวงตาสงบนิ่ง
จั่วม่อฟังออกว่าในสุ้มเสียงของผู้อ่ น
ื แฝงไว้ด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
ต้องชะงักเสียงหัวร่อ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องขาขันนี้ข้าไม่เห็นขันด้วย ข้า
ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเจ้า เรื่องระหว่างเราถือว่าหักกลบลบหนี้กันไปจะดีกว่า
ข้าไปของข้า เจ้าก็อยู่ของเจ้า จะติดตามข้าไปทาอะไร?”
สุ้มเสียงของเขิงเหลียนเอ๋อร์ไพเราะเสนาะหูอย่างบอกไม่ถูก “รวบรัด
ยิ่ง เนื่องเพราะเจ้าฝึกปรือพลังเทพสุริยัน ส่วนข้าฝึกปรือพลังเทพจันทรา”
“ข้าไม่เข้าใจ” จั่วม่อสัน
่ ศีรษะ
“หากร่วมฝึกปรือ พลังเทพของพวกเราจะรุ ดหน้าไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
กว่า” เขิงเหลียนเอ๋อร์อธิบาย จั่วม่อกระจ่างใจในบัดดล “เจ้าหมายถึงการ
เหนี่ยวนาพลังงานใช่หรือไม่?”
“มั น เรี ย กว่ า บ าเพ็ ญ คู่ ” เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ก ล่ า วเสี ย งอ้ อ ยอิ่ ง “เป็ น
ประโยชน์มากสาหรับเจ้า”
จั่วม่อไม่คล้อยตาม “ข้าไม่ต้องการ”
“เพราะมือขวาของเจ้ารึ ?” นัยน์ต างดงามของเขิงเหลียนเอ๋อร์ฉาย
รอยยิม
้ ขบขัน
ทว่าทางจั่วม่อกลับไม่รู้สึกขบขันด้วย มันใจหายวาบ อีกฝ่ายดูเหมือน
จะสนิทสนมคุ้นเคยกับความลับของมันมากกว่าที่มันคาดเอาไว้... กระทั่ง
วังวนพลังงานบนมือขวาของมันยังล่วงรู้
สตรีนางนี้... ...
“ข้ามิได้มีเจตนาร้าย เจ้าควรทราบ วังวนพลังงานในมือขวาของเจ้า
เติบโตรวดเร็วเกินไป แต่เจ้าเพียงดูดซับได้ไม่มากนัก รอจนกระแสพลัง ที่
อยู่ภายในนั้นกล้าแข็งถึงระดับหนึ่ง เจ้าจะควบคุมมันไม่ได้อีกต่อไป”
นางมองตาจั่วม่อตรง ๆ พลางกล่าวสืบต่อ “บาเพ็ญคู่ส ามารถช่ ว ย
แก้ปัญหานี้ได้”
จั่วม่อแบมือ “แล้วทาไมข้าต้องเชื่อเจ้า?”
“เนื่องเพราะทันทีที่พลังเทพของเจ้าปลุกข้าให้ต่ น
ื ขึ้นมาอีกครั้ง มันก็
ทิ้งรอยประทับเอาไว้ในกายข้าด้วย หากเจ้าตาย ข้าก็มิอาจมีชีวิตอยู่” เขิง
เหลียนเอ๋อร์กล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “และหากข้าตาย พลังเทพของ
เจ้าจะแตกสลาย”
“ฮ่า! แต่งเรื่องราวได้น่าฟังนัก!” จั่วม่อหัวร่อเสียงเย็น
“บาเพ็ญคู่... ...เมื่อมันเริ่มต้นขึ้น ก็ตัดสินชะตากรรมของเรา ข้าเมื่อ
โคจรพลังเทพ เจ้าจะสามารถรับรู้ได้เช่นกัน” นางขณะเอ่ยคา แสงจันทร์
รอบกายพลันสว่างไสวขึ้นทันที
จั่วม่อสีห น้าแปรเปลี่ยนอย่างรุ นแรง พลังเทพของมันสั่นไหวไปเอง
โดยที่มันไม่ได้บังคับควบคุม!
“นี่คือการเหนี่ยวนาที่เจ้าเอ่ยถึง หากเจ้าโคจรพลังเทพ พลังเทพของ
ข้าก็จะสะท้อนพลังเทพของเจ้าเช่นกัน” วาจาของเขิงเหลียนเอ๋อร์ทะลวง
เข้าไปในหูของจั่วม่ออย่างชัดเจน
บัดซบ!
“ข้าคิดว่าติดตามเจ้าไปเสียเลยจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้อง
ตายอย่างลึกลับโดยไม่รู้สาเหตุในวันใดวันหนึ่ง”
เมื่อสรุ ปเช่นนี้ เขิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่ชายตามองจั่วม่ออีก นางเดินนวย
นาดไปทางหนึ่ง สาวใช้ของนางคุกเข่าลงข้าง ๆ จากนั้นภายในชั่วพริบตา
โต๊ะไม้เล็ก ๆ ชุดหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ตามด้วยชุดถ้วยชาอันละเมียดละไม
และเตาเล็ก ๆ ใบหนึ่ง แล้วนางก็เริ่มต้มน้าชงชา
จั่วม่อถึงกับเหม่อมองสองนายบ่าวอย่างโง่งม
ภายในทะเลแห่งจิตสานึก
จั่วม่อร้องถามผูเยาอย่างร้อนใจ “ที่นางกล่าวมาเป็นความจริง?”
ผู้ที่อธิบายได้ชัดเจนกลับเป็นเว่ย “เป็นความสัตย์จริง ผู้ที่บาเพ็ญคู่ใน
ยุคโบราณมักจะร่วมเรียงเคียงคู่ อยู่หรือตายไม่พลัดพรากจากกัน!”
“ร่วมเรียงเคียงคู่ อยู่หรือตายไม่พลัดพรากจากกัน? อุบาทว์บัดซบอัน
ใด!” จั่วม่อก่นด่า สีหน้าถมึงทึง
“อั น ที่ จ ริ ง ข้ า ไม่ เ ห็ น ว่ า มี อัน ใดไม่ดี . .. ...” เว่ ย ยั ง ไม่ ทั น จะกล่าวจบ
จั่วม่อก็ออกจากทะเลแห่งจิตสานึกไปอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“พลังเทพจันทรา?” ผูเยาพึมพาอย่างครุ่นคิด
บทที่ 558 แสงสุริยัน ประกายจันทรา

จั่วม่อแม้เดือดดาลกับสถานการณ์ที่ออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เขิงเหลียน
เอ๋อร์กระทั่งดวงตายังไม่กะพริบ นางค่อย ๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่ างหรู หรา
สง่างาม ภายใต้แผงขนตายาวงอน ดวงตาดาขลับสดใสของนางคล้ายปก
คลุมด้วยม่านหมอกเลือนรางชั้นหนึ่ง
อากุ่ยนั่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอยู่ด้านหลังจั่วม่อ นางไม่ต่างจากหุ่นเชิดตัว
หนึ่ง แข็งทื่อ ไร้ชีวิตชีวา
เบื้องหน้าอากุ่ย จั่วม่อจับตามองเขิงเหลียนเอ๋อร์อย่างหวาดระแวง
หัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย มันจนปัญญากับสตรีที่ไม่รู้ว่าผุดขึ้นจากที่ใดนางนี้
จริง ๆ
รอจนตั้งสติได้ จั่วม่อเริ่มขบคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะขบ
คิดจากมุมใด เรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องดีสาหรับมัน
จั่ ว ม่ อ ไม่ ส นใจเรื่ อ งบ าเพ็ ญ คู่ แ ม้ แ ต่ น้ อ ย มั น แม้ ก าลั ง แสวงหาพลั ง
อานาจ แต่ยามนี้มันก็กาลังก้าวเข้าสู่ช่วงการเติบโตรุ ดหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วจู่ ๆ กลับปรากฏสตรีแปลกหน้าร่วมชะตากรรมเป็นตายไปพร้อม
กับมัน จะให้มันยอมรับได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้อ่ ืนประสบอันตราย ก็เท่ากับว่ามันต้องเผชิญ กับ
อันตรายด้วยเช่นกัน ในชั่วพริบตา ความเสี่ยงของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
อย่างฉับพลันทันใด
บาเพ็ญคู่อุบาทว์บัดซบ!
โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเห็นท่าทีสงบเยือกเย็นของอีกฝ่าย จั่วม่อยิ่งอึดอัด
ขัดใจอย่างบอกไม่ถูก
จั่ ว ม่ อ สั่ น ศีร ษะอย่า งจนปั ญ ญา ตั ด สิ น ใจไม่เ สีย เวลากั บ เรื่ องที่ไม่มี
ทางเปลี่ ย นแปลงนี้อี ก ต่อ ไป มั น หั น กลั บ ไปฝึก ฝีมื อ อีก ครั้ ง เพี ย งแต่ เ มื่อ
คานึงถึงความปลอดภัย มันก็คุ้มครองอากุ่ยไว้ทางด้านหลัง กระทั่งตัวมัน
เองยังไม่ทราบว่าทาเช่นนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
แสงสี ท องอร่ า มสาดส่ อ งออกมาจากร่ า งของจั่ ว ม่ อ เปล่ ง ประกาย
ท่ามกลางความมืดมน
แทบจะพร้ อ มกั น กั บ ที่ จ่ั ว ม่ อ โคจรพลั ง เทพ เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ร่ า ง
สะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง แก่นสารแสงจันทร์จาง ๆ ห่มคลุมร่างกายของนางไว้
ภายใน
จั่วม่อพลันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเขิงเหลียนเอ๋อร์ในทันที
พลั ง เทพภายในร่ า งมั น คึ ก คั ก แจ่ ม ใสผิ ด ธรรมดา พลั ง เทพที่ มั ก จะ
แทรกซึ ม เข้ า ไปในเลื อ ดเนื้ อ และยึ ด ติ ด แนบแน่ น กั บ ร่ า งกาย กลั บ ถู ก ดึ ง
ออกมาไม่ข าดสาย แล่นพล่านอย่างมีชีวิต ชี วา วังวนพลังงานในมื อ ขวา
ของจั่วม่อหมุนช้าลง พลังเทพจากวังวนไหลบ่าขึ้นมาตามแขนขวา ผสาน
รวมเข้ากับพลังเทพที่ลอยออกมาจากเลือดเนื้อร่างกาย จากนั้นโคจรไปทั่ว
ร่างของจั่วม่อ
จั่วม่อเมื่อสังเกตเห็นเส้นทางโคจรหมุนเวียนของพลังเทพ พลันหวน
คิดถึงเคล็ดความในใบไม้ทองคาโดยไม่รู้ตัว บังเกิดความรู้แจ้งประการหนึ่ง
ใบไม้ ท องค าบั น ทึ ก เคล็ ด วิ ช าฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพสุ ริ ยั น แต่ เ นื่ อ งด้ ว ย
ช่องว่างอันยาวไกลของยุคสมัย จั่วม่อยากจะทาความเข้าใจเคล็ด ความ
เหล่านั้น หลายต่อหลายส่วนพาให้มันสับสนงุนงงนับครั้งไม่ถ้วน แต่บัดนี้
เมื่อเห็นพลังเทพโคจรผ่านร่างกายด้วยเส้นทางอันแปลกใหม่ ประโยคอันลี้
ลับคลุมเครือในใบไม้ทองคา ก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ในทันที
จมอยู่กับความปลาบปลื้ มยิ นดีต่ อ ความกระจ่ างแจ้ ง จั่วม่อหลงลื ม
เวลาที่ผ่านไปโดยสิ้นเชิง
แสงสีทองที่จ่ัวม่อปลดปล่อยออกมาถูกระงับยับยั้งอยู่รอบกาย แต่ไม่
ห่างออกไปนัก แก่นสารแสงจันทร์ที่ล้อมรอบกายของเขิงเหลียนเอ๋อร์ กลับ
หนาแน่นเข้มข้นจนแทบจับต้องได้
จันทราเคลื่อนคล้อย ราตรีค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป รุ่ งอรุ ณเยือนกราย
อย่างเงียบเชียบ ท้องฟ้าเริม
่ เปลี่ยนสีสันเป็นจางลง
ชั่วพริบตาที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า จั่วม่อร่างสะท้านขึ้นครา
หนึ่ ง เปล่ ง แสงสี ท องเจิ ด จ้ า บาดตาประดุ จ ดวงอาทิ ต ย์ อั น ร้ อ นแรง
สนองตอบต่อดวงอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าดวงนั้น!
ตูม!
เมล็ ด ผลึ ก สุ ริ ยั น ในร่ า งจั่ ว ม่ อ ทั น ใดนั้ น แผ่ พุ่ ง เปลวไฟมาก มาย
มหาศาลออกมา เปลวไฟสีทองทับซ้อนเป็นชั้น ๆ ห่อหุ้มเมล็ดผลึกสุริยัน
เอาไว้ภายใน จากนั้นของเหลวสีทองไหลบ่าเข้าไปตามเส้นทางโคจรของ
พลังเทพก่อนหน้านี้
ของเหลวสี ท องไม่ ไ ด้ โ คจรรวดเร็ ว นั ก แต่ ร้ อ นลวกสุ ด ทานทน ให้
ความรู้สึกราวกับกาลังลุกไหม้แผดเผา สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อตื่นตะลึงมากที่สุด
คือของเหลวสีทองนี้แผ่ซ่านพลังสภาวะสุด อหังการตามธรรมชาติ! เป็น
ความอหังการสุดเปรียบปาน ราวกับว่าใต้ห ล้าแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้ง
มันได้!
ประหนึ่งว่ามันกาลังแผดคารามกึกก้องกัมปนาท เต็มไปด้วยความไม่
ยินยอมพร้อมใจ!
คล้ า ยว่ า มั น เฝ้า ฝั นใฝ่ วั น หนึ่ ง จะกลายเป็ นดวงอาทิ ต ย์ โ ผล่พ้นเส้น
ขอบฟ้า ฉายแสงเจิดจรัสอยู่กลางท้องนภา!
ชั่วพริบตานี้ ภาพอันแปลกพิสดารฉากหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าจั่วม่อ
เห็นท่ามกลางความว่างเปล่าอันเวิ้งว้างและมืดทะมึน เพลิงสวรรค์เส้นหนึ่ง
ถือกาเนิดขึ้น เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ก่อเกิดเป็นลูกไฟดวงหนึ่ง หลังจาก
หลายล้ า นปี ล่ ว งผ่ า น ลู ก ไฟก็ เ ติ บ โตขึ้ น เรื่ อ ย ๆ ใหญ่ โ ตจนแทบมี ข นาด
เท่ากับดวงอาทิตย์ที่แท้จริง
ทันใดนั้นเอง ปรากฏมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากความว่างเปล่า มือที่ดู
ธรรมดาสามัญยิ่งข้างหนึ่ง มือนั้นเพียงคว้าจับเบา ๆ แต่กลับเปี่ ยมไปด้วย
พลังอานาจอันน่าพรั่นพรึง อย่ างที่ไ ม่เ คยพบพานมาก่ อน มือข้างนั้น บี บ
กระชับเข้ามาจากทุกทิศทาง
ร่างมหึมาของดวงอาทิต ย์ถูกบังคับบีบอัด จวบจนกระทั่งกลายเป็น
เมล็ดผลึกสุริยัน... ...
ไม่ทราบเพราะเหตุใด จั่วม่อพลันเข้าใจในบัดดล เข้าใจอย่างซาบซึ้ง
ถึ ง ความรู้ สึ ก ไม่ ยิ น ยอมพร้ อ มใจอย่ า งแรงกล้ า นั่ น เป็ น ความไม่ ยิ น ยอม
พร้อมใจที่ไม่สามารถคงอยู่บนฟากฟ้า!
ภาพประหลาดนี้หากจะเป็นความฝัน ก็เป็นความฝันของดวงอาทิตย์
ที่กลับกลายมาเป็นเมล็ดผลึกสุริยันดวงนั้น!
ของเหลวสีทองอันร้อนเร่าทันใดนั้นไหลผ่านเข้าไปในหัวใจของจั่วม่อ
จั่ ว ม่ อ จู่ ๆ ร่ า งสั่ น สะท้ า นอย่ า งรุ น แรง ทรวงอกรู้ สึ ก ราวกั บ จะลุ ก ไหม้
แผนผั ง ปิ ศ าจรู ปดวงอาทิ ต ย์ อั น วิ จิ ต รซั บ ซ้ อ นกลางแผ่ น อกค่ อ ย ๆ
เปล่งแสงสว่างไสวขึ้น
ตูม!
ลาแสงสีทองเจิดจ้าฉายส่องออกมาจากทรวงอกของจั่วม่อ
พลั ง อั น ยิ่ ง ใหญ่ ไ พศาลอั ด แน่นอยู่ ใ นร่ า งของจั่ว ม่ อ ในชั่ ว พริ บตานี้
จั่วม่อบังเกิดความรู้สึกเหยียดหยันดูแคลนใต้หล้า กระทั่งเทือกเขาใหญ่โต
มหึมาและทะเลทรายอันไร้ที่สิ้นสุด ล้วนเป็นเพียงฝุ่นธุลีใต้ฝ่าเท้ามัน
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ แล้วหายวับไปทันควัน
แผนผั ง ปิ ศ าจรู ปดวงอาทิ ต ย์ บ นแผ่ น อกของจั่ วม่ อ คล้ า ยกลั บ
กลายเป็นมีชีวิต หมุนคว้างอย่างแช่มช้า จั่วม่อสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน
เมื่อของเหลวสีทองเข้ า ไปในหั ว ใจมัน ก็เปลี่ยนเป็นลูกไฟดวงหนึ่ง หมุน
คว้างอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ความรู้สึกของพลังอันเปี่ ยมล้นสมบูรณ์แผ่ซ่านไปทั่วร่าง!
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา ดวงอาทิตย์ดวงแรกจุติแล้ว!
แก่นสารแสงจันทร์สลายไปพร้อมกับที่ดวงอาทิตย์ดวงแรกถือจุติ เขิง
เหลี ย นเอ๋ อ ร์ หั น ขวั บ ไปมองจั่ ว ม่ อ ใบหน้ า เต็ มไปด้ ว ยความตื่ นตะลึง ไม่
หลงเหลือความเฉื่อยชาสุขสงบเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีก! สีหน้าท่าทีของ
นางราวกับว่ากาลังมองตัวประหลาดสุดพิสดารตัวหนึ่ง!
มันถึงกับรุดหน้าไปอีกขั้น!
แม้ว่านางไม่สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงในร่างจั่วม่ออย่างแน่
ชั ด แต่ ก็ ส ามารถมองเห็ น ได้ ชั ด ตา พลั ง ฝี มื อ ของจั่ ว ม่ อ บุ ก ฝ่ า ขึ้ น ไปถึ ง
ระดับชั้นใหม่แล้ว
อาศั ย การบ าเพ็ ญ คู่ พลั ง เทพจั น ทราในกายนางก็ เ ติบ โตรุ ด หน้าไม่
น้อย เพียงแต่หากเทียบกับอีกฝ่าย ก็เรียกได้ว่าเล็กน้อยมากจนไม่คู่ควรให้
เอ่ยถึง
นางสีหน้าตะลึงลาน ดวงตาดาขลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
สิ่งที่นางฝึกปรือคือ พลัง เทพจัน ทรา นี่แตกต่างจั่วม่อ นางได้รั บ สื บ
ทอดมรดกวิชาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งความจริงนางคาดเดาได้แต่แ รก
ว่าพลังเทพของจั่วม่อได้รับผ่านโชควาสนาโดยบังเอิญ เคล็ดวิชาฝึ กปรือ
พลังเทพของจั่วม่อมีหลายจุดขาดพร่อง หลายส่วนไม่ลงตัว มันกระทั่งไม่รู้
ด้วยซ้าว่าพวกมันทั้งสองตกสู่ชะตากรรมบาเพ็ญคู่ได้อย่างไร
แต่คนเช่นนี้ เพียงชั่วข้ามคืนกลับฝ่าด่านรุดหน้าไปอีกขั้น!
ซึ่งความจริง เมื่อนางมาปรากฏตัวต่อหน้าจั่วม่อและพบเห็น มั น อี ก
ครั้ง นางก็ลอบตื่นตระหนกอยู่ในใจ นับตั้งแต่ที่จ่ว
ั ม่อปลุกนางฟื้ นตื่นขึ้นมา
เพิ่ ง จะผ่ า นไปเพี ย งไม่ กี่ วั น เท่ า นั้ น แต่ พ ลั ง ฝี มื อ ของจั่ ว ม่ อ เห็ น ได้ ชั ด ว่ า
รุดหน้าก้าวไกลดุจติดปีกบิน
เพิ่งจะทะลวงเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างด่านถงหลิง่ กับด่านเจียง พลัง
ของนางยัง คงอยู่ใ นช่ ว งเติ บโตรุ ด หน้ า อย่ า งรวดเร็ว ไม่ กี่ วั น มานี้ นางยัง
คร่าเคร่งฝึกปรืออย่างหนักหน่วง พลังฝีมือของนางเรียกได้ว่าพุ่งทะยานไป
ข้ า งหน้ า อย่ า งรวดเร็ ว แม้ ก ระทั่ ง เมื่ อยามที่ ซื อ ฟู่ ยั ง มี ชี วิ ต อยู่ ซื อ ฟู่ มั ก
ชมเชยพรสวรรค์ อั น เลิ ศ ล้ า ของนางอยู่ เ ป็ น ประจ า นางคื อ ศิ ษ ย์ ที่ มี
พรสวรรค์มากที่สุดและมีความสาเร็จสูงสุดในการสืบทอดหลายพันปี เขิง
เหลียนเอ๋อร์เชื่อมั่นเช่นนั้นมาโดยตลอด
ทว่า... ...
มองดู ตั ว ประหลาดที่ อ ยู่ เ บื้ อ งหน้ า ความเชื่ อ มั่ น ของนางสั่ น คลอน
อย่างน่าอนาถ
นางเหม่อมองจั่วม่อ ราวกับกาลังชื่นชมผลงานชิ้นเอกก็มิปาน

“อี ก กี่ วั น ?” ซู่ ห ลงถามเสี ย งขรึ ม เบื้ อ งหลั ง มั น เป็ น บรรดาองครั ก ษ์


ทุกข์ยากที่ยังคงรักษากระบวนทัพอย่ างเคร่งครัด แม้กาลังเคลื่อนที่เร่งรุ ด
อย่างสุดกาลังก็ตาม
“หากทุกอย่างราบรื่น เช่นนั้นก็อีกไม่เกินสิบวัน!” เยี่ยหลิงพยายาม
รักษาความตื่นตัว แต่สุ้มเสียงของมันเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่ าง
ปิดไม่มิด
หลายวั น มานี้พ วกมัน ไม่ ไ ด้ ห ยุ ด พัก ผ่อ นแม้ แ ต่แ วบเดี ย ว พากั น เร่ ง
เดิ น ทางด้ ว ยระดั บ ความเร็ ว สู ง สุ ด แต่ ที่ น่ า ร าคาญที่ สุ ด ก็ คื อ การต่ อ สู้ ที่
เกิดขึ้นอย่างประปรายไปตลอดทาง นับตั้งแต่ส งครามระหว่างซิวเจ่อกับ
อสูรปิศาจอุบัติขึ้น ความสุข สงบในหลายพื้นที่ก็ล ดน้อยถอยลง กองโจร
สามารถพบพานได้ทุกหนแห่ง
พวกซู่หลงเมื่อพบพานกลุ่มโจร ก็ไม่เคยมือไม้อ่อนมาก่อน กองโจรใด
หากหาญกล้ามาขวางทางพวกมันล้วนถูกเข่นฆ่าสังหารสิ้น
ต่ อ มาเยี่ ย หลิ ง บั ง เกิ ด ความคิ ด อั น บรรเจิ ด ประการหนึ่ ง มั น ชู ธ งไว้
เหนือขบวนคาราวานของพวกมั น บนผืนธงเพียงเขียนตัวอัก ษรหนึ่ ง ค า
‘เว่ย’ หลังจากเข่นฆ่ากองโจรไปอีกสองสามกลุ่ม นามของค่ายองครัก ษ์คน
ฆ่าสัตว์ก็แพร่สะพัดไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนค้นพบว่าพวกของซู่
หลงก็ คื อ กลุ่ ม คนที่ อ าศั ย ร้ อ ยเข่ น ฆ่ า สามพั น ในอาณาจั ก รขุ น เขาอริ ย ะ
ข่าวสารเล็ก ๆ นี้ก่อให้เกิดความปั่ นป่วนในทันที
นี่ยังช่วยให้ทุกที่ที่ค่ายเว่ยเดินทางผ่าน เหล่าโจรพากันหายหัวไปหมด
สิ้น กระทั่งขุมกาลังท้องถิ่นยังเพิกเฉยต่อกองทัพหนึ่งร้อยคนอันน่าพรั่น
พรึงนี้ พวกมันแน่นอนว่าไม่กล้าตอแยขบวนที่มีธง ‘เว่ย’ โดดเด่นเป็นสง่า
อยู่เหนือกองคาราวาน
นี่นับว่าดีต่อทั้งสองฝ่าย พวกซู่หลงก็เดินทางได้เร็วขึ้น ไม่มัวอ้อยอิ่ง
เสียเวลา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนดูเหมือนจะสนใจเรื่องนี้ไม่
น้ อ ย พากั น ลอบคาดเดาว่ า ค่ า ยเว่ ย อาจมี ภ ารกิ จ พิ เ ศษอั น เร่ ง ด่ ว นบาง
ประการ
ด้วยเหตุนี้เอง ความเร็ว ในการเดิน ทางของค่ ายเว่ย ก็เ พิ่มขึ้น ทั น ตา
เห็น
ซู่ ห ลงชมเชยความคิ ด อั น ประเสริ ฐ เลิ ศ ล้ า ของเยี่ ย หลิ ง ไม่ ข าดปาก
ชื่อเสียงเกียรติยศอันใด มั นหาได้แยแสสนใจแม้แต่น้อยไม่ ในสมองมันอัด
แน่นไปด้วยความคิดที่ว่าทาอย่างไรจึงจะพบพานต้าเหรินได้โดยเร็วที่สุด
“สิบวัน! อีกแค่สิบวันเท่านั้น!”
ทุกคนคึกคักขึ้นอั ก โข นับตั้งแต่ก่อตั้งค่ ายเว่ย เป็ นต้นมา นี่เป็นการ
เดินทางอันยาวไกลที่สุดเท่าที่ชาวค่ายเว่ยเคยกระทามา พวกมันไม่ทราบ
ว่าข้ามผ่านอาณาจักรมามากมายเท่าใดแล้ว
เคราะห์ดีที่เยี่ยหลิงพกพาม๋อเป้ยมามากพอ นั่นหมายความว่าพวก
มันสามารถอาศัยบ่อเลือดช่วยย่นระยะการเดินทาง บ่อเลือดของเผ่าปิศาจ
และประตูอสูรของเผ่าอสูร เป็นเช่นเดียวกันกับค่ายกลเคลื่อนย้ายของซิว
เจ่อ ทั้งยังต้องจ่ายค่าผ่านทางเหมือน ๆ กัน
มิเช่นนั้นกว่าจะเหาะเหินไปถึงจุดหมายปลายทาง พวกมันอาจต้องใช้
เวลาหลายปี
หนานเยว่ คังเจ๋อและบรรดาอสูร ก็ล้วนแล้วแต่เหน็ดเหนื่อยสิ้นแรงไป
ตาม ๆ กัน แต่เมื่อเทียบกับกาลก่อน ทั้งหัวใจและเจตนารมณ์ของพวกมัน
ก็ยิ่งกล้าแกร่งดุจเหล็กกล้า พวกมันแต่ละคนล้วนฝึกปรือศาสตร์อสูร ทรง
อานุภาพตั้งแต่แรก และการต่อสู้น้อยใหญ่มากมายระหว่างการเดินทาง
ครั้งนี้ พอดีช่วยขัดเกลาพวกมันเป็น อย่างดี บัดนี้พวกมันแตกต่างจากเดิม
ราวกับเป็นคนละคน
ภายในสิบวัน พวกมันจะได้พบกับต้าเหริน พอคิดเช่นนี้ทุกคนพบว่า
พวกมันเต็มไปด้วยกาลังวังชา!

ค่ายจินวูเต็มไปด้วยแสงสว่าง แต่เงียบสงัดผิดธรรมดา
เห็นผู้คนพากันนอนแผ่กลาดเกลื่อนอยู่ในห้องมหึมา เสียงกรนดังเป็น
จั ง หวะคล้ า ยเสี ย งกลองปรมาจารย์ ซุ น เป่ า ก็ น อนอยู่ ใ นมุ ม หนึ่ ง เช่ น กั น
มิหนาซ้าระหว่างหลับสนิทยังมีน้าลายไหลย้อยออกมา ปรมาจารย์จี๋เหว่ย
ไม่เหลือเค้าเคร่งขรึมเข้มงวด สองขาเหยียดยาวอยู่บนขั้นบันได สองแขน
กางแผ่ ปากอ้ากว้าง ส่งเสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหว
พวกมั น แต่ ล ะคนล้ ว นหลั บ สนิ ท อย่ า งส าราญใจ หลายคนยั ง มี เ ค้ า
ตื่นเต้นยินดีหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
ไม่มีผู้ใดลืมตาตื่นขึ้นมาในยามนี้
พวกมันเหน็ดเหนื่อยเกินไป หลายวันมานี้พวกมันไม่ได้หยุดพักผ่อน
แม้แต่ชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อพวกมันเหน็ดเหนื่อยสิ้นแรง จะโยนโอสถปราณ
เข้ า ปาก กระตุ้ น พลั ง งานและความสดชื่ น แจ่ ม ใสขึ้น มา จากนั้ น กลั บ ไป
ทางานสืบต่อ! เพียงพึ่งพาโอสถปราณกองโต เฝ้าทุ่มเทศึกษาค้นคว้ า โดย
ไม่ ห ลั บ ไม่ น อน ท างานอยู่ กั บ แผนผั ง ปิ ศ าจและวิ ช าความรู้ ที่ ต้ า เหริ น
ส่งกลับมา อย่างเช่นวิธีสลักและปลุกแผนผังปิศาจ
ทุ ก คนท าทุ ก อย่ า งที่ พ วกมั น ท าได้ ไม่ มี ผู้ ใ ดพร่ า บ่ น ว่ า ต าหนิ ใ ห้
เสียเวลา
ค่ายจินวูท้ังเบื้องสูงเบื้องต่าราวกั บถูกวิญ ญาณร้ ายครอบง า พากัน
ทางานอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่คานึงถึงทุกสิ่ง!`
ทุกคนเข้าใจดีว่านี่คือสงคราม!
จวบกระทั่งวันนี้ พวกมันในที่สุดก็เห็นแสงสว่าง!

การปิ ด ด่ า นฝึ ก ตนของจงหยู ไ ม่ ไ ด้ ดึ ง ดู ด ความสนใจมากเกิ น ไปนั ก


เวลานี้เกาะเต่ากาลังเป็นน้าหนึ่งใจเดียว ทุกคนมุ่งเน้นแสวงหาพลังอานาจ
อย่างดุเดือด หลายคนเลือกวิธีปิดด่านฝึกตน
มั น ค่ อ ย ๆ ยกแผ่ น หิ น ปิ ด ทางเข้ า ล าแสงสุ ด ท้ า ยจากภายนอก ลั บ
หายไปต่อหน้าต่อตา
ภายในถ้ากลายเป็นมืดสนิท แต่จงหยูจิตใจสงบเยือกเย็นผิดธรรมดา
ไม่ มี ผู้ ใ ดทราบว่ า การปิ ด ด่ า นฝึก ตนของมัน ในครั้ ง นี้ คื อการปิ ดด่าน
เป็ น ตาย ปิ ด ด่ า นเป็ น ตายคื อ การปิ ด ด่ า นฝึ ก ตนที่ สุ่ม เสี่ย งอั นตรายยิ่ ง มี
เพียงรุ ดหน้าหรือตกตายเท่านั้น ไม่มีหนทางที่สามอีก ในการปิดด่านเป็น
ตาย จิตมารจะกล้าแข็งเป็นสิบเท่าของปกติ หากพลั้งเผลอแม้แต่น้อย อาจ
กลายเป็นสติฟั่นเฟือน ทั้งจิตใจและชีวิตของตนล้วนไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
แต่ จ งหยู ไ ม่ ไ ด้ ห วาดกลัว แม้ แ ต่น้ อ ย เพี ย งกระท าไปตามปกติ ทรุ ด
นั่งขัดสมาธิ สวดมนต์ภาวนาเหมือนเช่นทุกวัน
ในกาลก่อน มันเคยตั้งจิตเปล่งคาอธิษฐานมรณะสละละทิ้งมรรคผล
สัตย์สาบานจะใช้ร่างวชิระของตนเพื่อปกป้องต้าเหริน
ครั้งนี้ต้าเหรินประสบปัญหา แต่ความแข็งแกร่งของมันในยามนี้กลับ
ไม่อาจช่วยเหลืออันใดต้าเหรินได้
นี่ไยมิใช่น่าอับอายขายหน้านัก?
ในความมืดมิด จงหยูสีหน้าสงบนิ่งเหมือนบ่อน้าโบราณ ไม่ลังเลใจ ไม่
หวาดกลัว มีเพียงความสงบเท่านั้น
เนื่องเพราะนี่คือวิถีทางที่มันเลือก
นี่คือคามั่นของมัน!
บทที่ 559 พบกันอีกครั้ง

“สุ่ยเยวี่ย (จันทร์วารี) หลายวันนี้ดีหรือไม่?” สหายผู้หนึ่งร้องทักทาย


เสียงดัง
“ฮ่ า ! มั น จะดี ไ ด้ อ ย่ า งไร? มี ใ ครในพวกเจ้ า เคยเห็ น มั น ไปหาความ
สาราญหรือ?” สหายอีกผู้หนึ่งเหลือกตาพลางกล่าวอย่างขุ่นใจ
บุรุษที่เรียกว่าสุ่ยเยวี่ยแย้มยิม
้ เล็กน้อย แต่ไม่โต้ตอบอันใด
“อา ข้ารู้สึกว่าคาถามของข้าออกจะโง่เขลาไปหน่อย” สหายยักไหล่
“เอาเถอะ พวกเราไปกัน ในมือข้าพอมีเงินทองเหลืออยู่เล็กน้อย หากไม่
ออกไปความสาราญเสียบ้างก็นับว่าผิดต่อตัวเองแล้ว”
“เจ้าผู้นี้เสียทีที่ มีฝีมื อจริ ง ๆ!” ถ้อยคาของสหายอีก คนหนึ่ ง เต็ ม ไป
ด้วยความอิจฉาตาร้อน
สุ่ยเยวี่ยยิ้มกว้าง โบกมือเป็นเชิงล่าลาให้แก่บรรดาสหายที่พากั นยก
ขบวนออกไป คนผู้นี้ไม่สูงใหญ่ รูปร่างติดจะโปร่งบาง ผมสั้นหยักดูยุ่งเหยิง
เล็ ก น้ อ ย ทว่ า นุ่ ม สลวย ผิ ว พรรณขาวซี ด อยู่ บ้ า ง เป็ น เหตุ ใ ห้ มั น ดู สุ ภ าพ
เรียบร้อยและเปราะบางอมโรค บันดาลให้รอยยิม
้ ที่ประดับบนใบหน้าน่าดู
เป็นพิเศษ ระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านสตรีหลายนางคอยชม้ายชายตา
ให้แก่มันไม่ได้ขาด ปิศาจสาวที่ขวัญกล้าบังอาจอยู่สักหน่อย ถึงกับแย้มยิ้ม
ทอดสะพานให้โดยตรง
สุ่ยเยวี่ยแย้มยิ้มตอบอย่างมีไมตรีจิต แต่แล้วมันจู่ ๆ สีหน้าแปรเปลี่ยน
เล็กน้อย เพียงวูบเดียวก็กลับเป็นยิ้มละไมตามเดิม บุรุษอมโรคดูผิวเผินไม่
มี สิ่ ง ใดแตกต่ า งไปจากปกติ เว้ น เสี ย แต่ ว่ า ฝี เ ท้ า ของมั น คล้ า ยเร่ ง เร็ ว ขึ้น
กว่าเดิมอยู่บ้าง
รอจนกลับถึงบ้านน้อย สุ่ยเยวี่ยรีบปิดประตูอย่างแน่นหนา ถึงตอนนี้
ในดวงตาค่อยเผยแววตื่นเต้นลิงโลดออกมา
มันรีบกางฝ่ามือออก เห็นมังกรสีแดงเลือดสดใสปรากฏอยู่บนฝ่ ามือ
อย่างชัดเจน มังกรโลหิต เชิดศีรษะขึ้นอย่างทระนง ดวงตาทั้งคู่ทอแววดุ
ร้าย ราวกับว่าสามารถโถมทะยานออกจากฝ่ามือเพื่อขย้ากินผู้คนได้ทุ ก
ขณะจิต
“เป็นความจริง! ที่แท้มันเป็นความจริง!” มันพึมพาซ้า ๆ ลิงโลดยินดี
แทบคลุ้มคลั่ง สีหน้าคล้ายหัวร่อและคล้ายร่าไห้ไปพร้อมกัน
มันหวนนึกถึงบิดากับท่านปู่ผู้ล่วงลับ คาสั่งเสียสุดท้ายของพวกท่าน
คล้ายคลึงกันยิ่ง
รอคอยเสียงเพรียกแห่งโลหิต!
หลายครั้ ง หลายหนที่ มั น เฝ้ า สงสั ย เสี ย งเพรี ย กแห่ ง โลหิ ต มี จ ริ ง
หรือไม่? ท่านปู่เฝ้ารอคอยชั่วชีวิตแต่ไม่เคยพบพาน ท่านพ่อก็ไม่เคยได้ยิน
เสียงเพรียกอันลี้ลับนี้ มันไม่ทราบจริง ๆ ว่าเสียงเพรียกแห่งโลหิตคือสิ่งใด
ตราประทับรู ปมังกรเลือนรางบนฝ่ามือของมันเป็นเพียงของที่ระลึก แทน
ตัวบิดากับท่านปู่ข องมันเท่านั้น ต านานเสียงเพรียกแห่งโลหิต เป็นเพี ย ง
ส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ในจิตใจมัน เป็นซอกมุมเร้นลับที่มันหลงลืมไปนานปี
ตระกูลสุ่ยเยวี่ย มันแย้มยิ้มจาง ๆ เมื่อครั้งที่ท่านปู่ชราลง ท่านมักจะ
เล่ า ต านานความรุ่ ง โรจน์ ใ นอดี ต ของตระกู ล สุ่ ย เยวี่ ย แต่ นั บ ตั้ ง แต่ ยั ง
เยาว์ วั ย สุ่ ย เยวี่ ย ก็ เ พี ย งรั บ ฟั ง ราวกั บ เป็ น นิ ท านกล่ อ มเด็ ก เท่ า นั้ น เนื่ อ ง
เพราะมันไม่เคยเห็นว่าตระกูลสุ่ยเยวี่ยจะมีความรุ่งโรจน์อันใด สหายของ
มันก็ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อตระกูลสุ่ยเยวี่ย
ส าหรั บ ทั ก ษะปิ ศ าจจั น ทร์ ว ารี ก็ เ พี ย งแค่ เ หนื อ ล้ า กว่ า ทั ก ษะปิ ศ าจ
ทั่วไปอยู่เล็กน้อย สุ่ยเยวี่ยที่เติบโตเกินวัยเฝ้ามุมานะฝึกปรืออย่างไม่ย่อท้อ
มิหนาซ้าในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน พรสวรรค์ของมันก็เรียกได้ว่าจัดอยู่
ในระดับบน ท่านปู่ถึงกับทอดถอนอย่างเศร้าเสียดายนับครั้งไม่ถ้วน พร่า
ร าพั น ว่ า หากทั ก ษะปิ ศ าจจั น ทร์ ว ารี ค รบถ้ ว นสมบู ร ณ์ พลั ง ฝี มื อ ของสุ่ ย
เยวี่ยจะต้องเหนือล้ากว่าปัจจุบันไม่รู้ว่าเท่าใด
ทุกครั้งที่สุ่ยเยวี่ยได้ยินเรื่องนี้ จะรีบปลอบประโลมท่านปู่ของมันเป็น
การใหญ่ บอกว่าอาศัยทักษะปิศาจเท่าที่มี พลังฝีมือของมันก็กล้าแข็งมาก
พอแล้ว
มันไม่เคยเชื่อเรื่องทักษะปิศาจจันทร์วารีฉบับสมบูรณ์อันใด แต่มันก็
เข้าใจบิดาและท่านปู่ของมันดี
เหล่าคนชรามักจะมีชีวิตอยู่กับความทรงจาในอดีต และความรุ่งโรจน์
ที่เลยลับดับหายไปแล้ว
หลังจากท่านปู่ข องมันลาโลกไปได้ไม่นาน บิดาของมันก็จ ากไปด้ วย
สุ่ ย เยวี่ ย เริ่ ม เรี ย นรู้ ที่ จ ะหาเลี้ ย งชี พ ด้ ว ยตั ว เอง เคราะห์ ดี ที่ มั น บากบั่ น
ทางานหนักมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เข้มแข็งกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน มาก
มันเมื่อมี ท่วงท่าสงบเยือกเย็นอยู่เป็นนิต ย์ ทั้งยังตั้งใจทางานหนักโดยไม่
เคยปริปากบ่น ผู้คนก็ค่อย ๆ เลิกดูแคลนมันด้วยเหตุที่มันยังอายุเยาว์ไปที
ละน้อย
มั น แม้ ยั ง อายุ เ ยาว์ แต่ เ มื่ อหาเลี้ ย งชี พ ด้ ว ยการล่ า ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจ
ประสบการณ์การต่อสู้ของมันก็เรียกได้ว่าโชกโชนกว่าคนทั่วไปมาก
ตั้งแต่อายุยังน้อย สุ่ยเยวี่ยก็คิดว่ามันคงจะมีชีวิตแบบนี้ไปชั่วชีวิต
จวบกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อเสียงเพรียกแห่งโลหิตปรากฏขึ้น!
สุ่ยเยวี่ยฟื้ นตื่นจากอารมณ์ อัน ซั บซ้ อน ดวงตากลับสู่ค วามกระจ่ า ง
แจ่มใส มันลุกขึ้นยืน เริ่มเก็บรวบรวมข้าวของ
ไม่มีความขัดแย้งในจิ ตใจ ไม่มีอาการต่อต้านแข็งขืน มันก็ไม่ทราบว่า
เพราะเหตุใด อาจบางทีตานานเรื่องราว ความเศร้าเสียดายและความไม่
ยินยอมพร้อมใจของเหล่าบรรพบุรุษได้ซึบซาบอยู่ในกระแสเลือดของมัน
ตั้งแต่แรก แม้ว่ามันจะเฝ้าบอกตัว เองนั บ ครั้ งไม่ถ้ วนว่า เสียงเพรีย กแห่ ง
โลหิตไม่มีอยู่จริงก็ตาม
เพื่อเสียงเพรียกแห่งโลหิต ที่เหล่าบรรพบุรุษของมันต่อสู้ดิ้นรนและ
เฝ้ารอคอยตลอดมา
ใบหน้าขาวซีดของบุรุษหนุ่ม เต็มไปด้วยความมุ่งมาดปรารถนาอย่าง
เงียบเชียบ

เขิงเหลียนเอ๋อร์รู้สึกว่าน่าแปลก วันนี้จ่ัวม่อมิได้ฝึกฝีมือเหมือนที่เคย
ทา นางสูดได้กลิน
่ อายผิดปกติบางประการ นับตั้งแต่วันที่นางก้าวเข้ามา ก็
ได้ประจักษ์แจ้งว่าการโหมฝึกปรือของจั่วม่อนั้นบ้าคลั่งปานใด มันบ้าคลั่ง
ถึ ง ขั้ น รี ด เค้ น เวลาทุ ก วิ น าที โ ดยไม่ ยิ น ยอมให้ สู ญ เปล่ า นางได้ แ ต่ ล อบ
อัศจรรย์ใจอย่างสุดแสน
มั น ฝึ ก ปรื อ ซ้ า แล้ ว ซ้ า เล่ า เฝ้ า แต่ ก ระท าเหมื อ นเดิ ม ราวกั บ ไม่ รู้ จั ก
เหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย
ในสายตานาง การควบคุมบังคับใช้พลังเทพของจั่วม่อหยาบกระด้าง
ยิ่ง ยังคงเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมาย ไม่ได้เพียบพร้อมสมบูรณ์เหมือน
เช่นนาง แต่ห ากพวกมันทั้งสองต้องต่อสู้พิสูจ น์เป็นตายกัน นางแน่ใจว่า
ผู้ตาย เกรงว่าจะเป็นตัวนางเอง
มันเป็นบุคคลอันเสียสติผู้หนึ่ง!
ทุกครั้งที่นางครุ่นคิดเช่นนั้น สายตาจะมองไปยังอากุ่ยโดยไม่ได้ต้งั ใจ
เศษเสี้ยวความทรงจ าที่กระจัดกระจายแต่สั่นสะท้านจิตใจผู้คนเหล่านั้น
จะผุดขึ้นในใจของนางอย่างเงียบเชียบ เป็นเหตุให้นางใจสั่นหวั่นไหวทุก
ครา
เขิงเหลียนเอ๋อร์มั กจะเฝ้าครุ่นคิดและสังเกตสังกาอย่างเงียบ ๆ ราว
กับว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนาง
แต่วันนี้พฤติการณ์ของจั่วม่อผิดปกติ!
มันไม่ได้ฝึกฝีมือ! ในหลายวันที่นางอยู่ที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ามัน
หยุดการฝึกปรือ
แม้ ว่ า จั่ ว ม่ อ ดู เ หมื อ นจะสงบเยื อ กเย็ น ยิ่ ง แต่ เ ขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ยั ง คง
สังเกตเห็นร่องรอยตื่นเต้นรอคอยในดวงตาของมัน
มีเรื่องอันใดกาลังจะเกิดขึ้น?
ยั ง ไม่ ทั น ที่ น างจะได้ ข้ อสรุ ป ทั น ใดนั้ น เอง จั่ ว ม่ อ ผุ ด ลุ ก ขึ้น ยืน อย่าง
กะทันหัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ตรงเส้นขอบฟ้าห่างไกล พลันปรากฏจุด ดา
เล็ก ๆ ขบวนหนึ่ง
นั่นมัน... ...
เขิงเหลียนเอ๋อร์ใจกระตุกวูบ จับจ้องมองดูจุดดาเล็ก ๆ เหล่านั้นตา
เขม็ ง ขณะที่ สี ห น้ า ของนางสงบเยื อ กเย็ น แต่ ใ นใจยิ่ ง มายิ่ ง ตื่ นตระหนก
ส่วนสาวใช้ของนาง เหยียนเอ๋อร์ ใบหน้าน้อย ๆ ทอแววหวาดกลัวสุดระงับ
กองทัพ!
เขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตาเฉียบคมยิ่ง แม้ยังอยู่ห่างไกลมาก เพียงมอง
ปราดเดียวก็ส ามารถตัดสินได้ทันที นั่นแม้มีเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น
แต่ดูจ ากกระบวนทัพอันเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็เห็นได้ว่านี่เป็นกองทัพ
ขบวนหนึ่ง มิหนาซ้ายังเป็นกองทัพที่มีพลังสู้รบกล้าแข็งเป็นอย่างยิ่ง!
ด้านหน้าของกองทัพนั้นชูธงดาผืนหนึ่ง เขียนไว้ด้วยคา ‘เว่ย’ ขนาด
ใหญ่ที่สามารถเห็นได้แต่ไกล
กองทั พ ที่ ก าลั ง เคลื่ อนใกล้ เ ข้ า มาไม่ ไ ด้ ร วดเร็ ว นั ก แต่ ก ระบวนทั พ
เคร่งครัดเรียบร้อยอย่างไม่มีที่ติ ลาพังความตื่นตระหนกจากข้อนี้ก็มากพอ
ให้ ธิ ด าของเจี้ ย จู่ เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ผู้ เ คยเห็ น สงครามมานั บ ครั้ ง ไม่ ถ้ ว น
ถึงกับตะลึงพรึงเพริด!
ผู้ ม าคล้ า ยสั ง เกตเห็ น พวกมั น ทั้ ง สี่ เ ช่ น กั น กองทั พ ขบวนนั้ น พลั น
เปลี่ยนทิศทาง มุ่งตรงดิ่งเข้าหาพวกมันโดยไม่รีรอ
เฉกเช่นฉลามร้ายกระสากลิ่นเลือด ทั้งกองทัพเร่งความเร็วขึ้น อย่ าง
ฉับพลันโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า เสียงกู่อย่างดุดันดังกึกก้อง ประดุจสัต ว์
ร้ายนับร้อยกู่คารามพร้อมกัน บุกตะลุยเข้ามาอย่างสุดกาลัง!
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ มื อ ที่ อ ยู่ ใ นแขนเสื้ อ ก าแน่ น โดยไม่ รู้ ตั ว นางบั ง เกิ ด
ความรู้สึกราวกับว่ามีเชือกที่มองไม่เห็นกาลังรัดคอนาง!
“คุณหนู!” เหยียนเอ๋อร์หน้าซีดเผือด เสียงร้องแหลมเต็มไปด้วยความ
ประหวั่ น พรั่ น พรึ ง นางดึ ง แขนเสื้ อของเขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ แ รง ๆ คล้ า ย
พยายามจะฉุดกระชากให้คุณหนูของนางรีบหลบหนี
แต่ เ ขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ แ ม้ ว่ า สี ห น้ า จะขาวซี ด แต่ ก็ ไ ม่ ข ยั บ เคลื่ อนไหว
เนื่องเพราะนางสังเกตเห็นว่าจั่วม่อยังไม่ไหวติง
นี่มัน... ...
ความคิดที่แทบจะเหลวไหลไร้สาระ พลันผุดขึ้นในใจนาง
ตูม!
กองทัพเข้ามาถึงตรงหน้า ยามเมื่อหยุดยั้งลง ก่อกวนจนผงคลีพลุ่ง
ตลบฟ้า ราวกับกาแพงดินจู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แววล่วงหน้า บดบัง
ทัศนวิสัยของทุกผู้คน!
ห่ า งออกมาสองจั้ ง จั่ ว ม่ อ ร่ า งตั้ ง ตรงดุ จ คั น ทวน ยื น ตระหง่ า น
เผชิญหน้ากาแพงฝุ่นอย่างอาจหาญ
รอจนกาลังฝุ่นสลายหายไป โฉมหน้าที่แท้จริงของกองทัพประหลาด
นี้พลันเปิดเผยออกมาต่อหน้าเขิงเหลียนเอ๋อร์ คาแรกที่ผุดขึ้นในใจของเขิง
เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ก็ คื อ กองทั พ ชาญศึ ก นี่ เ ป็ น กองก าลั ง ที่ มี เ พี ย งร้ อ ยกว่ า คน
พลังฝีมือของแต่ละคนในสายตาของนางก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง แต่รอ
จนกองทั พ อั น ขะมุ ก ขะมอมนี้ ป รากฏขึ้ น ตรงหน้ า นาง นางก็ ไ ม่ อ าจละ
สายตาไปจากพวกมันได้อีก
พวกมันทั้งร้อยกว่าคล้ายเป็นตัวตนเพียงหนึ่งเดียว กระบวนทัพค่าย
กลข่มขู่คุกคามคน ประหนึ่งว่าเป็นเครื่องจักรสังหารที่พร้อมจะลงมือ เข่น
ฆ่าศัตรูได้ทุกเมื่อ
“ต้าเหริน!”
หลายคนร้องเสียงแหบแห้ งออกมาพร้อมกัน แต่ทุกผู้คนล้วนมีสีหน้า
ลิ ง โลดยิ น ดี ขวั ญ ก าลั ง ใจเปี่ ยมล้ น สมบู ร ณ์ พวกมั น จ้ อ งมองจั่ ว ม่ อ เป็ น
ตาเดียว เต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูนอย่างไม่ปิดบัง
มองดูเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนของพวกมัน เห็นความ
เหน็ดเหนื่อยที่ไม่สามารถปกปิดซ่อนเร้น จั่วม่อรู้ สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที
มันระงับความรู้สึก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเฉิดฉัน “ทุกคน ลาบากพวก
เจ้ามากแล้ว!”
“ให้ทุกคนพักผ่อนเสียก่อน” จั่วม่อหันไปบอกซู่หลงเสียงอ่อนโยน
ซู่หลงมีสีหน้าลังเล
จั่วม่อทราบว่ามันวิตกกังวลอันใด จึงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ไม่ต้อง
ห่วง ข้ากลายเป็นหยวนอิงแล้ว!”
ซู่หลงใบหน้าทอแววปลาบปลื้มยินดี คราวนี้พยักหน้ารับโดยไม่เกี่ยง
งอน ถ่ายทอดคาสั่งให้พักผ่อนออกไป ทุกคนเมื่อได้ยินคาสั่ง พลันทรุ ดนั่ง
ลงทันที ในตาแหน่งที่พวกมันยืนอยู่นน
ั่ เอง
จั่วม่อเดินตรวจตราในแถวทัพ สารวจอาการของทุกคน ดูว่าพวกมัน
มีบาดแผลซ่อนเร้นบ้างหรือไม่ พวกมันเพิ่งจะเสร็จสิ้นการเดินทางที่ยาว
ไกลอย่ า งเหลื อ เชื่ อ ระหว่ า งทางต้ อ งเผชิ ญ ศึ ก น้ อ ยใหญ่ นั บ ครั้ ง ไม่ ถ้ ว น
อาศัยลมหายใจอึดหนึ่งประคองตัวมาถึงที่นี่ ยามนี้เมื่อผ่อนคลายลง ความ
เหน็ดเหนื่อยและอาการบาดเจ็บที่ฝืนระงับเอาไว้ ก็ปะทุขึ้นดุจกระแสคลื่น
น้าถาโถม
เหยี ย นเอ๋ อ ร์ ป ากน้ อ ย ๆ อ้ า กว้ า ง ทุ ก สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น เบื้ องหน้ า ช่ า ง
เหลือเชื่อ เหนือกว่าจินตนาการของนางมาก ที่แท้กองทัพนี้... ...เป็นของ
คนผู้นี้เอง!
นางไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคุณหนูไฉนต้องติดตามคนผู้นี้ หรือเป็ น
เพราะว่ามันช่วยรักษาและปลุกคุณหนูต่ น
ื ขึ้น ? แต่นางเพิ่งจะเคยเห็นบุรุษ
ที่ถูกสตรีโอบอุ้มราวกั บเป็น เจ้าสาวเช่นนี้เ ป็นครั้ง แรก บุรุษที่อ่อนแอถึ ง
ปานนี้... ...
แต่ในเมื่อคุณหนูตกลงใจเช่นนี้ นางก็ไม่มีอะไรจะพูด ไม่ว่าจะอย่างไร
หน้าที่ของนางก็มีเพียงติดตามรับใช้คุณหนูเท่านั้น
ทว่าฉากเบื้องหน้านี้ทาให้นางตะลึงงัน สมองขาวว่างเปล่าไปหมด
ส่วนเขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตาสงบเงียบ นับตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ไ ด้
กล่าววาจาแม้สักครึ่งคา เพียงเพ่งมองจั่วม่ออย่างลึกซึ้ง
ไม่ทราบว่าครุ่นคิดอันใด

“เจี้ยจู่! เรายืนยันตัวตนของพวกมันได้แล้ว กองทัพนี้คือค่ายองครักษ์


คนฆ่าสัตว์!” เฉาอวี้รายงานเสียงแหบแห้ง
“อา?” เขิ ง อี้ สั ม ผั ส ได้ ถึ ง ร่ อ งรอยครั่ น คร้ า มย าเกรงในสุ้ ม เสี ย งของ
เฉาอวี้ อดประหลาดใจอยู่บ้างไม่ได้ มันทราบว่าคนของมันผู้นี้ปกติดุ ดั น
อามหิต และขวัญกล้าบังอาจยิ่ง สิ่ง ที่ทาให้เฉาอวี้เสียกิริยาได้ เกรงว่า คง
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ
“ค่ายองครักษ์คนฆ่าสัตว์... ... นามอันแปลกหูนัก” เขิงอี้กล่าวอย่าง
ครุ่นคิด จากนั้นถามว่า “ฉากหลังของพวกมันคืออะไร?”
“ไม่ทราบ ไม่มีผู้ใดทราบ พวกมันเป็นกองทัพ ที่จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นโดยไร้
ที่มาที่ไป ทั้งกองทัพมีกันอยู่เพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น เดิมทีไม่มีสิ่งใด
น่าสนใจ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกมันตัดผ่านอาณาจักรขุนเขาอริยะ แน่นอน
ว่าต้องเผชิญการล้อมโจมตีจากเหล่าโจรที่ดุร้ายนั้น แต่พวกมันกลับเข่นฆ่า
ฝูงโจรสามพันคนจนพินาศสิ้น โดยที่ฝ่ายตนไม่ได้บาดเจ็บล้มตายแม้แต่คน
เดียว นี่เป็นการศึกที่สร้างชื่อให้แก่พวกมันเอง” เฉาอวี้พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ อด
มิได้ต้องหวนนึกถึงฉากชโลมเลือดท่วมท้นขุนเขาที่ได้เห็นจากภาพมายา สี
หน้ากลายเป็นขัดตาอยู่บ้าง
“อาณาจั ก รขุ น เขาอริ ย ะ อาณาจั ก รแห่ ง เหล่ า โจร!” เขิ ง อี้ สี ห น้ า
กลายเป็ น หนั ก อึ้ ง เคร่ ง เครี ย ดในทั น ที “หนึ่ ง ร้ อ ย... ...สามพั น ... ...ไม่
บาดเจ็บล้มตาย... ...”
ข่ า วนี้ ท าให้ มั น แตกตื่ นสุ ด ระงั บ อาณาจั ก รขุ น เขาอริ ย ะนั บ ว่ า ไม่
ห่างไกลจากอาณาเขตของพวกมันนัก ชื่อเสียงอันเลื่องลือของอาณาจั กร
แห่งเหล่าโจรย่อมเป็นที่รู้จักกันดี แม้ว่ามันจะไม่แยแสสนใจเหล่าโจร แต่
ฝูงโจรสามพันคนไม่ใช่จานวนเล็กน้อย หากอีกฝ่ายมีเพียงหนึ่งร้อยคนจริง
ๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง
หากเป็นกองทัพของมัน... เขิงอี้สั่นศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ เว้นเสียแต่
ว่ามันเป็นคนนาทัพด้วยตัวเอง และรวบรวมปิศาจด่านถงหลิ่งและปิศาจ
ด่านเจี้ยวทั้งหมดภายใต้ร่มธงของมันไปด้วย มิเช่นนั้นคงไม่มีทางบรรลุผล
เช่นนี้ได้
ในใจมันพลันปรากฏใบหน้าของบุรุษหนุ่มนั้น บังเกิดความเย็นเยียบ
จับใจ ฉากหลังของคนผู้นี้เกรงว่าไม่รวบรัดธรรมดาอย่างแน่นอน
นึกถึงบุตตรีสุดรักสุดหวงของมัน เขิงอี้ฝืนยิ้มเจื่อนขม คิดมากไปก็ไม่
มีประโยชน์อันใด นอกจากญาติดีกับบุรุษหนุ่มนั้นแล้ว มันยังจะกระทาอัน
ใดได้อีกเล่า?
หลังจากนิ่งเงียบงันไปชั่วอึดใจ มันพลันกล่าวว่า “สั่งการให้องครักษ์
ดาวสวรรค์ติดตามคุณหนูไป ไม่ว่าคุณหนูของพวกเจ้าไปถึงที่ใด พวกมันก็
ต้ อ งติ ด ตามไปถึ ง ที่ นั่ น ต่ อ ให้ คุ ณ หนู ไ ล่ พ วกมั น กลั บ มา พวกมั น ก็ ต้ อ ง
ติดตามนางไป”
“องครักษ์ดาวสวรรค์!” เฉาอวี้ปากอ้าตาค้าง ยืนตะลึงงันอยู่กับที่
บทที่ 560 ออกเดินทาง

จั่วม่อเหลือบตามองกลุ่มองครักษ์ที่ชุมนุมอยู่รอบกายเขิงเหลียนเอ๋อร์
ต้องประหลาดใจอยู่บ้าง องครักษ์หน่วยนี้มีจานวนไม่มากนัก แต่ล้วนพลัง
ฝี มื อ ไม่ ต่ า ทราม พวกมั น เป็ น ปิ ศ าจด่ า นถงหลิ่ ง เจ็ ด ตน ที่ เ หลื อ ล้ ว นเป็ น
ปิ ศ าจด่ า นเจี้ ย ว ทว่ า แต่ ล ะคนแม้ เ ป็ น ด่ า นเจี้ ย ว แต่ ก็ เ ป็ น ด่ า นเจี้ ย วที่
ใกล้เคียงกับด่านถงหลิ่งเป็นอย่างยิง่ เห็นได้ชัดว่าเป็นหน่วยยอดฝีมือกลุ่ม
หนึ่ง
แต่พอนึกถึงว่าบิดาของผู้อ่ ืนจะอย่างไรเป็นเจี้ยจู่ของอาณาจักรหนึ่ง
จั่วม่อรู้สึกว่าขุมกาลังเช่นนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
อย่ า งไรก็ ต าม ยอดฝี มื อ กลุ่ ม นี้ เ ฝ้า ระวั ง ป้ อ งกั นเขิง เหลียนเอ๋ อร์อยู่
ตลอดเวลา คล้ายไม่คิดออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว และดูเหมือนว่าพวกมันไม่
ยอมรับคาสั่งของจั่วม่อ ซึ่งจั่วม่อก็หาได้แยแสสนใจไม่ มันยิ่งภาวนาว่าเขิง
เหลียนเอ๋อร์อยู่ห่างจากมันได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี กับโฉมสะคราญที่มันไม่อาจ
หยั่งวัดทาความเข้าใจได้นางนี้ จั่วม่อมีแต่ความหวาดระแวงอย่างแปลก
ประหลาด
อากุ่ยดีกว่านางมาก
จั่วม่อพอขบคิดถึงตรงนี้ ก็หันไปมองอากุ่ย สีหน้านุ่มนวลกว่าเดิม แต่
พอนึกถึงว่าอากุ่ยหลังจากรับประทานตัวอ่อนเมฆวารีลงไป กลับไม่ได้ผล
ดังที่หวังเอาไว้ จั่วม่อพลันอารมณ์ขุ่นมัวระคนหนักใจขึ้นมาอีก ระหว่างเผ่า
มนุษย์หมอกกับเกาะเต่าสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายขบวนหนึ่ง การเดินทางไป
มาสะดวกสบายยิ่ง เมื่อซู่หลงเตรียมเดินทางไกลมาสนับสนุนจั่วม่อ พอดี
กับที่มนุษย์ห มอกส่งตัวอ่อนเมฆวารีจ านวนหนึ่งมาถึงเกาะเต่า ดังนั้นมัน
นาติดตัวมาด้วย มนุษย์หมอกมีเคล็ดลับพิเศษในการเก็บเกี่ยวตัวอ่อนเมฆ
วารี พวกมันแม้ผ่านการเดินทางไกลข้ามไม่รู้ว่ากี่อาณาจักร แต่มิได้สูญเสีย
ประสิทธิภาพไปแม้แต่น้อย
ทว่าอากุ่ยหลังจากรับประทานตั วอ่อนเมฆวารีท้ั งหมด นอกจากใน
ดวงตามีประกายชีวิต เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่เกิดประสิทธิผ ลอื่นใดอีก
พลั ง เทพในร่ า งนางแปลกพิ ส ดารและลี้ ลั บ ชั่ ว ร้ า ย เกื อ บจะผนึ ก ดวง
วิญญาณของอากุ่ยเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ตัวอ่อนเมฆวารีที่รับประทานลงไป
ถูกพลังเทพชั่วร้ายนี้กลืนกินจนหมดสิ้น
พลังเทพของอากุ่ยถึงกับเติบโตขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
มันไม่อาจเสียเวลามากไปกว่านี้แล้ว
“พวกเจ้าฟื้ นฟูเรี่ยวแรงเต็มที่แล้วหรือไม่?” จั่วม่อหันไปถามซู่หลง
“ทั้งหมดพร้อมแล้ว!” ซู่หลงสีทอปิติยินดี “มีองครักษ์ทุกข์ยากหกคน
กับอสูรบุปผาอีกหนึ่งคนฝ่าด่านรุ ดหน้า นอกจากนี้ คุณหนูห นานเยว่ก็ฝ่า
ด่านรุดหน้าสาเร็จเช่นกัน”
เหล่าองครักษ์ทุกข์ยากที่มาในครั้งนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ
ที่ เ ลื อ กเฟ้ น มาจากค่ า ยเว่ ย การเดิ น ทางแม้ เ สี่ ย งอัน ตราย แต่ เ มื่ อ ส าเร็จ
เสร็จสิ้น การเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ก็เป็นประโยชน์ต่อพวกมันอย่างใหญ่หลวง
ส่วนหนานเยว่เป็นคนที่จ่ัวม่อสั่งสอนด้วยตัวเองยาวนานที่สุด ในกลุ่มอสูร
นั บ นางพลั ง ฝี มื อ เข้ ม แข็ ง ที่ สุ ด รวมกั บ ที่ ว่ า นางทั้ ง ดื้ อรั้ น และพากเพี ย ร
ฝึกปรือ สิ่งที่นางยังขาดไปบ้างก็คือประสบการณ์เข่นฆ่าประหัตประหารใน
สนามรบจริงเท่านั้น คราครั้งนี้เมื่อเดินทางไกล ระหว่างทางเผชิญศึกน้อย
ใหญ่นับร้อยครั้ง ช่วยหนุนส่งให้นางฝ่าด่านรุ ดหน้าอย่างรวดเร็ว บรรลุถึง
ด่านหยินเสิน ก่อกาเนิดวิญญาณหยินส าเร็จ ก้าวเข้าสู่ข อบเขตของอสู ร
แยกราตรี (เทียบเท่าจินตัน)
จั่ ว ม่ อ พอฟั ง ก็ มี สี ห น้ า ปลาบปลื้ มยิ น ดี เ ช่ น กั น พลั ง ของทุ ก คนเมื่ อ
เพิม
่ ขึ้นส่วนหนึ่ง โอกาสสาเร็จก็ยงิ่ มากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
เดิมทีในค่ายเว่ยมีเพียงซู่หลงกับอาเหวินที่บรรลุถึงด่านถงหลิ่ง บัดนี้มี
เพิ่มขึ้นมาอีกหกคน เยี่ยหลงเดิมก็เป็นปิศาจด่านถงหลิ่งอยู่แล้ว ผนวกกับ
อสูรบุปผาผู้หนึ่งและหนานเยว่ที่ฝ่าด่านรุดหน้า ก็เท่ากับว่าในขุมกาลังของ
จั่วม่อยามนี้ มีอย่างน้อยสิบเอ็ดคนที่อยู่ในด่านถงหลิง่ หรือเทียบเท่าจินตัน
สิบเอ็ดคน
สิบเอ็ดด่านถงหลิ่ง กับอีกหนึ่งด่านเจียง ในกองกาลังหนึ่งร้อยกว่าคน
ส่วนที่เหลือล้วนเป็นทหารชาญศึก กองกาลังนี้ก็เรียกได้ว่าแกร่งกล้าเกรียง
ไกรไม่น้อยหน้าผู้ใดแล้ว
โซ่ ว ผิ ง ลอบจั บ ตามองกองทั พ ที่ อยู่ ต รงหน้ า ซึ่ งเป็ น ที่ รู้ จัก กั นดี ค่ า ย
องครักษ์ คนฆ่าสัต ว์ ไม่ถูกต้อง สมควรบอกว่าไม่มีผู้ใดรู้จักพวกมัน อย่ า ง
แท้ จ ริ ง เลยจึ ง จะถู ก ต้ อ งมากกว่ า มั น ในฐานะผู้ น าหน่ ว ยองครั ก ษ์ ด าว
สวรรค์ โซ่วผิงเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับเงินผู้หนึ่ง ทั้งยังอยู่ในฐานะ
แขนซ้ายขวาของเขิง อี้ แต่ทว่าโซ่วผิง ไม่ ว่ าลอบมองกองทั พเบื้องหน้ า นี้
ครั้งใด ก็อดไม่ได้ต้องรู้สึกสั่นขวัญสะท้านวิญญาณทุกครั้งไป
ก่ อ นหน้ า นี้ มั น มี ค วามเชื่ อมั่ น อย่ า งเปี่ ยมล้ น ในกองก าลั ง ที่ มั น
บั ญ ชาการ พวกมั น ทุ่ ม เทเรี่ ย วแรงก าลั ง ไปตั้ ง มากมาย กว่ า จะเป็ น กอง
องครั ก ษ์ ด าวสวรรค์ ดั ง เช่ น ทุ ก วั น นี้ ไม่ ใ ช่ แ ค่ เ พี ย งในอาณาจั ก รเศษหิ น
เท่านั้น ต่อให้รวมอาณาจักรใกล้เคียงทั้งหมด กององครักษ์ ดาวสวรรค์ ก็
สามารถจัดเป็นกองทัพอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว กองทัพอันดับหนึ่งในสายตามันต่อหน้าเหล่าคน
เบื้องหน้านี้ ก็ไม่ต่างจากเศษสวะที่สวมใส่เสื้อผ้ าเลิศหรู เท่านั้น ก่อนหน้านี้
มันฟังข่าวลือเรื่องหนึ่งร้อยเข่นฆ่ าสามพัน ยังเฝ้ากังขาว่าเป็นความจริ ง
หรือไม่ แต่ห ลังจากพบเห็นกองทั พ ที่ว่ า ด้ วยสายตาตนเอง มันก็ห มดสิ้ น
ความกังขาในทันใด อาศัยกองทัพเช่นนี้ อย่าว่าแต่ส ามพันคน กระทั่งห้า
พันคนพวกมันก็สามารถเข่นฆ่าจนสิ้นซากโดยไม่ยากเย็น
ระเบี ย บวิ นั ย ของอี ก ฝ่ า ยเข้ ม งวดกวดขั น ยิ่ ง มี คุ ณ ภาพสู ง จนน่ า
ตระหนก เห็นได้ว่าผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดีเลิศ
กองทัพที่สามารถรักษารู ปขบวนทัพแม้ในยามพักผ่อน มันไม่เคยได้
ยินได้ฟังมาก่อน พวกมันแต่ละคนเมื่อมีเวลา จะพากันฝึกฝีมือตามใจชอบ
โดยไม่จาเป็นต้องให้กระตุ้นเตือน ตรงกันข้ามกับมันที่ต้องยืนกากับทุกวี่วัน
คอยดูแลเคี่ยวเข็ญกององครักษ์ดาวสวรรค์ให้ฝึกปรือ
คนเหล่านี้ประดุจ สัต ว์ร้ายที่ไม่รู้จักพอ ไม่เคยรู้วิธีห ยุดยั้งตัวเอง ไม่
เคยเบื่อหน่ายหรือเหน็ดเหนื่อย
โซ่ ว ผิ ง อกสั่ น ขวั ญ แขวน และไม่ ใ ช่ แ ค่ มั น คนเดี ย ว คนของหน่ ว ย
องครักษ์ ดาวสวรรค์ที่มักจะทระนงถือดี ก็ล้วนพากันอกสั่นขวัญแขวน ที
แรกเมื่ อโซ่ ว ผิ ง บอกเตื อ นพวกมั น ว่ า อย่ า ได้ ส ร้ า งปั ญ หา พวกมั น ยั ง ไม่
ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง แต่หลังจากผ่านไปสองวัน รอจนพวกมันเห็นกลุ่ม
คนเสียสติค่ายเว่ยที่บ้าคลั่งเหมือนไม่ใช่เผ่าปิศาจ ก็ล้วนพากันพูดไม่ออก
บอกไม่ถูกแล้ว
คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังฆ่าฟันชนิดหนึ่ง ที่เพียงแค่เหลือบมองก็
หวาดกลัวแทบตาย
ทว่าเขิงเหลียนเอ๋อร์สงบเยือกเย็นยิ่ง นางฝึกปรือตามกาหนดการเดิม
เวลาว่ า งจะดื่ มชาอย่ า งเฉื่ อ ยชาและรั บ ประทานขนมอบ ราวกั บ ว่ า นาง
กาลังเดินทางท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ก็มิปาน
โซ่ ว ผิ ง รู้ สึ ก นั บ ถือ เลื่อมใสคุ ณ หนูอ ย่ า งบอกไม่ถู ก สมกั บ ที่ เ ป็ น บุต รี
ของต้าเหริน ต่อไปในภายภาคหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างของต้าเหรินจะต้องอยู่
ในกามือของคุณหนูไม่ผิดแน่
จั่วม่อไม่ได้สนใจหน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์มากนัก มาตรฐานสายตา
ของมันถูกแม่นางน้อยกับพวกยกขึ้นสูงจนแทบเสียดฟ้ า ระดับฝีมือของ
หน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์แทบไม่อยู่ในสายตามันด้วยซ้า
มันหันมองไปในที่ห่างไกล นั่นเป็นทิศทางของเมืองเศษหิน มันกาลัง
ใคร่ ค รวญว่ า สมควรเรี ย กข่ า จั๋ ว กั บ ตงจื่ อมาดี ห รื อ ไม่ แต่ ห ลั ง จากขบคิ ด
อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ มันก็ล ะทิ้งความคิดนี้ไป หนึ่งเป็นเด็กหนุ่มชนบทที่
เรี ย บง่ า ย อี ก หนึ่ ง เป็ น อาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจที่ ไ ม่ มี ค วามสามารถในการ
ป้องกันตัวแม้แต่น้อย ส่วนลุงอันหย่าก็ชราแล้ว
ภารกิจคราวนี้สุ่มเสี่ยงอันตรายเกินไป ปล่อยให้พวกมันอยู่สุข สบาย
ตามประสาเถอะ เขิงเหลียนเอ๋อร์เมื่อติดตามมันไป เขิงอี้ก็สมควรช่วยดูแล
คนเหล่านั้นแทนมันไปก่อน
“ออกเดินทาง” จั่วม่อสั่งการอย่างไร้อารมณ์

“เฟ่ ย เหลย (สายฟ้ า แซ่ เ ฟ่ ย ) ท่ า นต้ อ งไปจริ ง ๆ หรื อ ?” เด็ ก หนุ่ ม


ทอดตามองอีกฝ่ายอย่างอาลัยอาวรณ์
เฟ่ยเหลยยกมือกดแผลเป็น พลางลูบศีรษะเด็กหนุ่ มคราหนึ่ง จากนั้น
กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้ามีชะตากรรมของข้า”
“ชะตากรรม?” ใบหน้าอ่อนโยนของเด็กหนุ่มทอแววงงงวย
“อา สิ่งที่ข้าต้องทา ไม่ว่าจะยินยอมพร้อมใจหรือ ไม่ นั่นก็คือชะตา
กรรม” เฟ่ ย เหลยอธิ บ ายด้ ว ยรอยยิ้ ม มั น ผู้ นี้ ร่ า งก าย าล่ า สั น คล้ า ยฝึ ก
ร่ า งกายมาเป็ น อย่ า งดี ใบหน้ า เป็ น เหลี่ ย มมุ ม ชั ด เจน หยาบกร้ า นคมชัด
เคราหนาสั้นแซมด้วยสีขาวเล็กน้อย ดวงตาสีเทาอ่อนลึกล้าผิดธรรมดา
“ท่านจะกลับมาสอนข้าอีกหรือไม่?” เด็กหนุ่มถามเสียงละห้อย
“ไม่” เฟ่ยเหลยยังคงแย้มยิ้ม แต่ดวงตาหรี่แคบลง เผยร่องรอยเคี่ยว
กราของกาลเวลา “เจ้าต้องขยันฝึกฝีมือให้ดี อย่าได้เกียจคร้าน จะสามารถ
เข้าสู่กองทัพได้ในไม่ช้า เอาละ ท่านทั้งหลาย ขออาลา”
กล่ า วจบค า เฟ่ ย เหลยหมุ น ตั ว ดี ด พุ่ ง ไปข้ า งหน้ า สองก้ า ว จากนั้ น
ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ เสื้อกันลมยาวประดุจปีกค้างคาวแผ่กว้าง เหิน
ลิว
่ ไปในท้องฟ้า
มันไม่เหลียวหน้ากลับไปมองแม้แต่แวบเดียว
ดวงตาสีเทาอ่อนลึกล้ามองตรงไปยังที่ห่างไกล เต็มด้วยความกร้าน
กราของผู้ที่ผ่านโลกมามาก เปลวไฟสีแดงสดแตกปะทุออกมา ลุกโชนโดย
ไร้เสียง
ไม่มีผู้ใดทราบ ในฝ่ามือที่กาแน่นของมัน มีตราประทับรู ปมังกรโลหิต
ที่ดูดุร้ายกระหายเลือดรูปหนึ่ง
เสียงแตรศึกที่ถูกผนึกไว้หลายพันปี ดูเหมือนกาลังก้องกังวานอยู๋ ใน
โสตประสาทของมัน
เสียงเพรียกแห่งโลหิตจะนาทางมันไปสู่สงครามอันเรืองรอง!

แผนที่ อ าณาจั ก รของจั่ ว ม่ อ ได้ รั บ มาจากเขิ ง อี้ ของสะสมของเจี้ยจู่


นั บ ว่ า ค่ อ นข้ า งดี อาศั ย แผนที่ ฉ บั บ นี้ จั่ ว ม่ อ สามารถค้ นพบต าแหน่งของ
อาณาจักรน้าพุปรโลกอย่างง่ายดาย
นี่เป็นระยะทางที่ยาวไกลยิ่งกว่าการเดินทางจากอาณาจักรป่าเถื่อน
น้อยมาถึงอาณาจักรเศษหินของซู่หลงเสียอีก
ทั้งอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยและอาณาจักรเศษหินอยู่ในดินแดนร้อย
เถื่อน แต่อาณาจักรน้าพุปรโลกอยู่ในส่วนลึกสุดของดินแดนแห่งความมืด
ระยะทางที่มันต้องผ่านไป แทบจะข้ามพื้นที่ท้งั หมดของภพปิศาจ
ระหว่างทางมีขุมกาลังมากมาย เขตปกครองของพวกมันยังทั บซ้อน
กัน แต่เขตปกครองของขุมกาลังส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดกากับไว้ ส่วนที่
มีรายละเอียดมีไม่ถึงหนึ่งในสิบเท่านัน

จั่วม่อพอขบคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทันที เขิงอี้แม้มีพลังร้ายกาจ แต่เห็น
ได้ ชั ด ว่ า ไม่ มี ค วามทะเยอทะยาน ไม่ ส นใจขยั บ ขยายอ านาจ แผนที่
อาณาจักรเพียงระบุรายละเอียดของพื้นที่รอบ ๆ อาณาจักรเศษหินเท่านั้น
จั่ ว ม่ อ ทราบดี ว่ า การเดิ น ทางครั้ ง นี้ ย ากเย็ น แสนเข็ ญ แต่ ก็ ไ ม่ คิ ด
ท้อถอย มันยังมีความตั้งใจว่าระหว่างทางจะพยายามหาซื้อหญ้าไหมย้อน
เงาคื น วิ ญ ญาณไปด้ ว ย เผื่ อ ประสบโชควาสนาสั ก ครา จะได้ ไ ม่ ต้ อ งเดิน
ทางไกลให้ลาบาก
เคราะห์ดีที่เผ่าปิศาจมีบ่อเลือด
จั่วม่อเพิ่งจะเคยพบเห็นบ่อเลือดเป็นครั้งแรก บ่อเลือดที่ว่านี้ดูคล้าย
สระน้าขนาดใหญ่ เต็มไปด้ วยของเหลวเดือดปุดที่ดูคล้ายเลือดสด ๆ แต่
จั่วม่อทราบว่าเลือดเหล่านี้ไม่ใช่เลือดจริง ๆ ทว่าเป็นน้ายาพิเศษที่เรียกว่า
น้ายาโลหิตแดงฉาน องค์ประกอบของน้ายาพิเศษนี้ลี้ลับซับซ้อนยิ่ง
เช่นเดียวกันกับซิวเจ่อที่สามารถก่อตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายในภพเซียน
ปิศาจที่สามารถสร้างบ่อเลือดก็มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง
ซู่หลงกับพวกเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้ง พากันกระโดดลงไปใน
บ่อเลือดอย่างไม่รีรอ แต่ยังคงอยู่ในรูปขบวนทัพ
จั่วม่อคว้าร่างอากุ่ย กระโดดตามลงไปในบ่อเลือดอย่างไม่ลังเล
อากุ่ยจะไม่โต้ต อบต่อการกระทาของคนผู้ห นึ่ง ไม่ว่ามันจะทาอะไร
กับนางก็ตาม นั่นคือจั่วม่อ
โซ่วผิงเมื่อเห็นเช่นนี้ ต้องลอบมองคุณหนูแวบหนึ่ง เห็นคุณหนูยังคงมี
สี ห น้ า ไม่ ส ะทกสะท้ า น ท าเอามั น อดทอดถอนอย่ า งเศร้ า เสี ย ดายไม่ ไ ด้
คุณหนูดูเหมือนจะไม่ได้ชมชอบเด็กหนุ่มผู้นี้ ช่างน่าเสียดายนัก เด็กหนุ่มผู้
นี้ แ ม้ ไ ม่ สู ง สง่ า ไม่ ห ล่ อ เหลา ไม่ ร่ า รวย แต่ มั น เหี้ ย มหาญดุ ดั น มี อ านาจ
อิทธิพลและแข็งแกร่ง!
ตามธรรมเนี ย มของเผ่ า ปิ ศ าจเรา คุ ณ ค่ า ของบุ รุ ษ อยู่ ที่ ค วามเหี้ ย ม
หาญ... คุณหนู!
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเหล่าโซ่วพบเห็นบุรุษที่เหี้ยมหาญถึงปานนี้... ...
น่าเสียดาย... ...อา... ...น่าเสียดายจริง ๆ... ...
โซ่วผิงคิดวาดฝันพลางร าพึ งร าพันอยู่ใ นใจ หากทั้งคู่เป็นทองแผ่ น
เดียวกัน ไม่ทราบจะทรงพลังอานาจยิ่งใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน
อย่ า งไรก็ ต าม ในใจมั น แม้ ค รุ่ น คิ ด เช่ น นี้ บนใบหน้ า ก็ ไ ม่ ไ ด้ แ สดง
ออกมาแม้แต่น้อย มันติดตามหลังคุณหนูกระโดดลงไปในบ่อเลือดอย่าง
สงบเยือกเย็น
จั่วม่อเมื่อกระโดดลงไปในบ่อเลือด รู้สึกในสายตาเปลี่ยนเป็นสีแดง
เลือด กลิ่นหวานเอียนแปลก ๆ แทรกเข้ามาในนาสิก ที่ประหลาดคือน้ายา
โลหิตแดงฉานไม่ได้ไหลเข้าไปในจมูกเหมือนกับน้า แต่เกาะติดแน่นอยู่บน
ผิวหนังของมันราวกับเยื่อบางๆ ที่เย็นเฉียบ
ทันใดนัน
้ ปรากฏแรงดึงดูดอันรุนแรงมาจากทางด้านล่าง
ก่อนที่พวกมันจะทันได้ด้ น
ื รนขัดขืน ก็ถูกแรงดึงดูดนี้กระชากตัวลงไป
แล้วหายวับไปจากตรงนั้น
รอจนแรงดึงดูดหายไป จั่วม่อลืมตาขึ้น เห็นซู่หลงกับคนอื่นๆ ลอยอยู่
ในน้ายาโลหิตแดงฉานใกล้ๆ กับมัน น้ายาโลหิตแดงฉานใสกระจ่างดุจผลึก
สีแดง จั่วม่อสามารถมองเห็นทุกคนได้ชัดเจน
โดยไม่ต้องให้สั่งการ องครักษ์ทุกข์ยากหลายคนลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน
ชั่วอึดใจให้ห ลัง พวกมันส่งสัญญาณว่าปลอดภัย ทุกผู้คนจึงลอยตัว
ตามขึ้นไปอย่างเป็นระเบียบ
บ่อเลือดมิใช่สถานที่ปลอดภัยเสมอไป ก่อนที่สงครามจะเปิดฉากขึ้น
ยังพอทาเนา ขุมกาลังหลัก ๆ ทั้งหมดจะไม่อนุญาตให้บ่อเลือดของตนมี
ปัญหาด้านความปลอดภัย นี่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและการสัญจรอย่าง
สะดวกสบายภายในเขตปกครองของพวกมั น พวกมั น ต้ อ งดู แ ลรั ก ษา
เส้นทางค้าขายของพวกมั นเป็นอย่างดี แต่ห ลังจากที่ส งครามเริ่มดุเดือด
ขึ้น หลายแห่งไม่อนุญาตให้บุ คคลภายนอกผ่านไปมา และบ่อเลือ ดบาง
แห่งเนื่องเพราะไม่มีผู้ปกครอง สุดท้ายกลายเป็นสถานที่ที่กองโจรชมชอบ
ดักซุ่มโจมตีผู้คน
ระหว่ า งทางซู่ ห ลงเคยเผชิ ญ กั บ สถานการณ์ ที่ ว่ า นี้ ม าแล้ ว ดั ง นั้ น
คุ้นเคยกับวิธีการรับมือเป็นอย่างดี
เมื่อออกมาจากบ่อเลือด ที่ปรากฏในสายตาของพวกมันเป็นภาพอัน
รกร้างไร้ผู้คนฉากหนึ่ง บันดาลให้จ่ว
ั ม่อเผยสีหน้าระแวดระวัง
โซ่วผิงกลายเป็นตึงเครียดกังวล รีบส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์ดาว
สวรรค์ล้อมรอบเขิงเหลียนเอ๋อร์ไว้ตรงกลาง
โซ่วผิงลดเสียงเบาต่า “คุณหนู สถานการณ์ไม่ถูกต้อง”
เขิงเหลียนเอ๋อร์เหลือบมองจั่วม่อแวบหนึ่ง ปากก็ถามว่า “ไม่ถูกต้องที่
ใด?”
“อา ไม่กี่เดือนก่อนบริวารเคยมาที่นี่ ก่อนหน้านี้บริเวณนี้ยังเป็นตลาด
แห่งหนึ่ง” โซ่วผิงกล่าวเร็วปรื๋อด้วยเสียงเบาต่า กวาดตามองรอบข้างอย่าง
ระมัดระวัง
โซ่วผิงแม้กล่าวเสียงเบาต่า แต่ไม่ได้ต้งั ใจออมรั้งสุ้มเสียง ทุกคนล้วนมี
โสตประสาทเหนือธรรมดา ย่อมได้ยินสิ่งที่มันกล่าวอย่างชัดเจน
บรรยากาศกลายเป็นเขม็งตึงเครียดทันที
บทที่ 561 เปิดฉากสงคราม

“นี่ เ ป็ น ข่ า วสารที่ พ วกเรารวบรวมมาได้ ช่ ว ยให้ เ ราสามารถระบุ


อาณาจักรที่มีรอยแยกแห่งความโกลาหล” เซี่ยซานสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอยู่
บ้าง แต่ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าผิดปกติ “มีท้งั สิ้นสามอาณาจักร!”
“อาณาจักรกระแสน้ าตะวัน อาณาจักรยุ้งฉางกลางและอาณาจั ก ร
ประตูเมฆา”
ภาพมายาขนาดมหึมาฉายภาพแผนที่อาณาจักรขนาดใหญ่
กงซุนชารับฟังอย่ างตั้งอกตั้งใจ เกรงว่าจะตกหล่นรายละเอียดใดไป
ม้าฝาน เว่ยหยานและคนอื่น ๆ ยืนรอฟังอย่างสนอกสนใจอยู่ในแถว
“ส าหรั บ รอยแยก แห่ งค ว าม โ กลาหล ใน อา ณ าจั ก ร กร ะ แส น้ า
ตะวันออก ในขณะนี้ยังไม่มีความเคลื่ อนไหวใด ส่วนรอยแยกแห่ง ความ
โกลาหลในอาณาจักรประตูเมฆานาไปสู่ภพอสูร มิหนาซ้าสานักตี้เฉียนใน
อาณาจักรประตูเมฆาก็ทรงพลังยิ่ง พวกมันมีกองทหารถึงหกทัพ ปกครอง
กว่าครึ่งอาณาจักรประตูเมฆา” ข่าวสารที่เซี่ยซานนามาละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง
มั น ร่ า ยยาวอย่ า งไม่ ส ะดุ ด ติ ด ขั ด “เป้ า หมายที่ เ หมาะสมที่ สุ ด ของเรา
สมควรเป็ น อาณาจั กรยุ้ ง ฉางกลาง นี่ ไ ม่ เ พี ย งอยู่ ใ กล้กั บ เราที่ สุด บรรดา
ส านักท้องถิ่นที่เข้มแข็งที่สุดของพวกมันก็พ่ายแพ้โ ดยราบคาบไปตั้ ง แต่
แรก ทั้ ง อาณาจั ก รก าลั ง สั บ สนอลหม่ า น สามารถยื น ยั น ได้ ว่ า ผู้ ที่ บุ ก รุ ก
อาณาจักรยุ้งฉางกลางเป็นกองทัพปิศาจขบวนหนึ่ง เป็นที่แน่นอนว่าอี ก
ด้ า นหนึ่ ง ของรอยแยกแห่ ง ความโกลาหลแห่ ง นั้ น จะต้ อ งเป็ น ภพปิ ศ าจ
เพียงแต่เรายังไม่สามารถจับปิศาจเป็นเชลยได้แม้แต่ตนเดียว ขณะนี้จึงมิ
อาจบอกได้ว่าปลายทางเป็นอาณาจักรใดในภพปิศาจ”
“ขอเพี ย งมั น สามารถน าไปสู่ ภ พปิ ศ าจ ไม่ ว่ า ปลายทางจะเป็ น
อาณาจักรใด ก็ล้วนแล้วแต่มีค่าสาหรับเรา” ถ้อยคาของกงซุนชาทาให้ทุก
คนคึกคักขึ้นอักโข
มันผุดลุกขึ้นยืน กวาดตามองกลุ่มคนอย่างแช่มช้า ทุกผู้คนพากันยืด
อก นั่งตัวตรงแน่วอย่างเคร่งขรึม
“พวกเจ้าสมควรทราบกันดีแล้ว ว่าทางด้านศิษย์พี่กาลังเกิดเรื่องอัน
ใดขึ้น” กงซุนชาสุ้มเสียงสงบราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง แต่ปอยผมที่บดบังซีก
หน้ามิอาจปิดบังประกายตาอันเจิดจ้าได้
“จุดมุ่งหมายของเรารวบรัดยิ่ง ทาทุกอย่างเพื่อหนุนเสริมศิษย์พี่! แต่
พวกเจ้าย่อมทราบ ไม่ว่าอาณาจักรปิศาจใดที่เราบุกเข้ายึดครอง จะนามา
ซึ่งการต่อต้านจากอาณาจักรปิศาจรอบข้างอย่างไม่รู้จักจบสิ้น”
“แต่ก็มีเพียงบุกเข้าไปในภพปิศาจเท่านั้น เราจึงสามารถหนุนเสริม
ศิษย์พี่ได้” กงซุนชาเห็นได้ชัดว่าใคร่ครวญเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี การวาง
แนวทางของมันมีความชัดเจนมาก “เราสามารถสร้างกองทัพปิศาจของ
เราเอง โดยใช้ค่ายเว่ยกับพวกสือตง กองทัพปิศาจที่ว่านี้สามารถส่งเข้าไป
ในภพปิ ศ าจได้ โ ดยตรง เพื่ อไปเป็ น ก าลั ง ให้ ศิ ษ ย์ พี่ เรากระทั่ ง สามารถ
เปลี่ยนอาณาจักรทะเลเมฆเราให้กลายเป็นดินแดนที่อสูร ปิศาจและซิวเจ่อ
สามารถอยู่ ร่ ว มกั น ได้ นี่ แ น่ น อนว่ า ยากเย็ น แสนเข็ ญ แต่ มิ ใ ช่ ว่ า เป็ น ไป
ไม่ได้”
ทุกผู้คนเงี่ยหูฟังด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังจากขบคิดตามอยู่ชั่วอึดใจ ก็
พากันพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาเริ่มทอแสงร้อนแรงด้วยจิตวิญญาณการ
ต่อสู้ที่ลุกโชน
แม่ น างน้ อ ยแย้ มยิ้ ม เล็ กน้ อย รอยยิ้ ม เขิ น อายของเด็ ก ชายข้ า งบ้าน
ปรากฏขึ้น ดวงตาหลังปอยผมเป็นประกายสุกสว่าง สุ้มเสียงสงบราบเรียบ
เต็มไปด้วยความวิกลจริตสุดบรรยาย “แต่ก่อนหน้านั้น เราต้องยึดรอยแยก
แห่งความโกลาหล ครอบครองดินแดนที่นาไปสู่ภพปิศาจให้จงได้! เราต้อง
มี ก าลั ง ทหารมากกว่ า นี้ ! เราต้ อ งการทรั พ ยากรเพิ่ ม ขึ้ น ! เราจ าเป็ น ต้ อ ง
แข็งแกร่งมากขึ้นอีก!”
ทุกผู้คนดวงตาทอประกายบ้าคลั่ง พวกมันรู้สึกราวกับเลือดในกาย
กาลังเดือดพล่าน
“พวกเจ้าพร้อมแล้วหรือไม่?”
กงซุนชาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มลี้ลับชั่วร้ายและจิตวิญญาณการ
ต่อสู้อันบ้าคลั่งผสานรวมเข้าด้วยกัน เช่นเดียวกันกับแสงเงาบนใบหน้า
“พร้อม!” ทุกผู้คนดีดกายลุกขึ้นยืน ร้องตวาดอย่างพร้อมเพรียง
กงซุนชาเดินไปหยุดอยู่ข้างอาณาจักรยุ้งฉางกลางในแผนที่บนภาพ
มายา หมุนตัวกลับมา รอยยิ้มเอียงอายเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันอันเย็นเยียบ
“สงครามเริ่มขึ้นแล้ว!”

ความคืบหน้าของสือตงในอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยนับว่ารวดเร็วยิ่ง ถึง
ตอนนี้มันได้ครอบครองอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย ใน
อดี ต มั น แม้ ไ ม่ ไ ด้ รั บ ความไว้ ว างใจจากผู้ มี อ านาจในอาณาจั ก ร แต่ ก็ มี
ชื่อเสียงดีงามอยู่ในอาณาจักรป่าเถื่อนน้อย ทุกผู้คนล้วนทราบว่าสือตงเป็น
แม่ทัพบัญชาการศึกที่เก่งกาจยิง่
ดังนั้นเมื่อสือตงจู่ ๆ หวนกลับมาเปิดศึก นอกเหนือจากเสียงกรีดร้อง
อย่างสิ้นหวังของนายเก่าของมันแล้ว ขุมกาลังอื่นไม่ได้กล่าวคาใด ในภพ
ปิศาจ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน สาหรับตระกูลสูงศักดิ์พวกมันอาจมี
สิ่งที่เรียกว่าเกียรติศักด์ศรี แต่สาหรับขุมกาลังเล็ก ๆ เหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่ง
ที่สุดก็คือราชัน หมัดของผู้ใดใหญ่โตที่สุดผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้นา
ศึกสุดท้าย เป็นการที่สือตงยกทัพเข้า เผชิญหน้ากับนายเก่าของตน
แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือจู่โจม บรรดาแม่ทัพใต้ร่มธงของนายเก่าของมันก็
พากันก่อกบฏ จับมัดนายเก่าผู้นั้นส่งให้สือตงจัดการตามอาเภอใจ ทุกผู้คน
ทราบดีว่าสือตงไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากหัวหน้า แต่พวกมันก็ทราบ
ด้วยว่าสือตงเก่งกล้าสามารถปานใด ในฐานะสหายเก่า เรื่องนี้พวกมันยัง
ล่วงรู้ดีกว่าผู้อ่ ืนมาก เพื่อรักษาชีวิต และวงศ์ต ระกูล เอาไว้ พวกมันเลือ ก
ขายนายเก่า ยอมศิโรราบโดยไม่มีเงื่อนไข
หลังจากชัยชนะอันหมดจดงดงาม สือตงปฏิบัติตามคาสั่งของแม่นาง
น้ อ ย สลายกองก าลั ง ท้ อ งถิ่ น ทั้ ง หมด เลื อ กเฟ้ น บรรดายอดฝี มื อ เข้ า
เสริมสร้างขุมกาลังของค่ายฮุย
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ค่ายฮุยขยับขยายเติบโตขึ้นเป็นสามเท่า นี่ยัง
เป็นสือตงเพียงแค่เลือกเฟ้นเอามาแต่ชนชั้นยอดของกองทัพปิศาจเท่านั้น
อีกด้วย
อย่างไรก็ต าม มันทราบว่ายังต้องใช้เวลาอีกช่วงใหญ่ กว่าที่ค่ายฮุ ย
โฉมใหม่จะสามารถย่อยสลายเลือดใหม่เหล่านี้จนพร้อมทาศึก
แต่ด้วยเคล็ดองครักษ์ ทุกข์ยากมหาทิวา มันเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ว่ าจะ
สามารถสร้างค่ายฮุยให้กลายเป็นกองทัพชั้นสุดยอดได้!
แต่ทว่า เห็นได้ชัดว่ามันยังประเมินขุมกาลังของเกาะเต่าต่าเกินไป
สือตงพลันได้รับคาสั่งจากแม่นางน้อย เรียกให้ค่ายฮุยสลับสับเปลี่ยน
ส่งไพร่พลไปยังเกาะเต่าเพื่อเข้ารับการฝึกพิเศษ
ฝึกพิเศษ?
มันงุนงงสงสัยอยู่บ้าง การฝึกอันใดหนอจึงเรียกว่าการ ‘ฝึกพิเศษ’?
อย่ า งไรก็ ต าม สื อ ตงแม้ ฉ งนใจ แต่ ใ นเมื่ อเป็ น ค าสั่ ง มั น ก็ ท ราบว่ า
หน้าที่ของตนคืออะไร รีบลงมือจัดสรรกาลังพลส่งไปทันที

จั่วม่อไม่ล่วงรู้ว่าการเดิน ทางของมันในครั้ งนี้ ตกอยู่ภายใต้การเฝ้ า


มองของสายตานับไม่ถ้วน
นามอันน่าพรั่นพรึงของค่ายองครักษ์คนฆ่าสัตว์ขู่ขวัญกองกาลังเล็ก
ๆ ทั้งหมด ทั้งยังดึงดูดความสนใจจากขุมกาลังใหญ่ ๆ โดยถ้วนหน้า แม้ว่า
พวกมันไม่คิดตอแยค่ายเว่ย แต่ก็ไม่ได้ห ยุดยั้งไม่ให้พวกมันลอบสื บ สวน
เกี่ยวกับขบวนคาราวานเล็ก ๆ นี้ในทางลับ
สถานที่แห่งนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งซากร้านค้า
สิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงพื้นดินที่ไหม้เกรียม บ่งบอกเหตุที่เกิดขึ้นได้อย่างชัด
แจ้ง
ทุ ก ผู้ ค นเส้ น ประสาทตึ ง แน่ น หากเผชิ ญ กั บ กองโจรพวกมั น หาได้
หวาดวิต กไม่ แต่สิ่งที่พวกมันหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง คือการเผชิญพบกั บ
กองทัพขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกองทัพซิวเจ่อ
ส าหรั บ พวกโซ่ ว ผิ ง การต่ อ สู้ กั บ ซิ ว เจ่ อ ศั ต รู ที่ พ วกมั น ไม่ คุ้ น เคย
นับเป็นเรื่องอันตรายมาก
จั่วม่อเองก็ไม่ต้องการปะหน้ากับกองทัพซิวเจ่อเช่น กัน เนื่องเพราะ
ตัวตนของมันอาจถูกเปิดเผยได้ทุกเมื่อ แม้ว่าค่ายเว่ยแทบไม่ได้ดูแตกต่าง
อันใดจากพวกปิศาจ แต่ส านักใหญ่เหล่านั้นมีฝีมือแปลก ๆ ที่สุดจะหยั่ง
คานวณอยู่มากมาย ผู้ใดจะทราบได้ว่ามันจะไม่ถูกเปิดโปง หากเป็นเช่นนัน

ก็ไม่ใช่เรื่องสนุกแล้ว
บรรดาคนที่ชมชอบกาจั ดปิศาจพิฆาตอสูรเหล่านั้น แน่นอนว่าจะไม่
ปล่อยพวกมันไปเช่นกัน
หน่ ว ยองครั ก ษ์ ด าวสวรรค์ กั บ ค่ า ยเว่ ย พากั น ระวั ง ป้ อ งกั น อย่ า ง
รอบคอบ แต่ ดู จ ากกิ ริ ย าอาการของพวกมั น สองฝ่ า ย อาจเห็ น ความ
แตกต่างได้อย่างชัดแจ้ง ทุกคนในหน่วยองครักษ์ ดาวสวรรค์ดูห วาดหวั่น
กระวนกระวายใจ ทาท่าราวกับกาลังเผชิญศัตรู ตัวฉกาจ ส่วนบรรดายอด
ฝี มื อ ค่ า ยเว่ ย สี ห น้ า สงบราบเรี ย บ มี เ พี ย งประกายตาซึ่ ง ลุ ก วาบเป็ น ครั้ง
คราว ที่เผยให้เห็นความระแวดระวังของพวกมัน
สูงต่าย่อมเป็นที่เห็นได้ในทันที!
โซ่วผิงลอบสั่นศีรษะ ในใจสะท้านสะเทือนอย่างรุ นแรง แต่ในไม่ช้า
มั น ก็ ป ลงตก โยนความคิ ด ฟุ้ ง ซ่ า นทิ้ ง ไปจากใจ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งที่ เ กิ ด ขึ้ น
ตรงหน้าล้วนผิดธรรมดาทั้งสิ้น
ทันใดนั้นเงาดาสายหนึ่งพุ่งวาบ แล้วปรากฏขึ้นในขบวนทัพของค่าย
เว่ย
ความเร็วอันเหลือเชื่อ!
โซ่วผิงตื่นตะลึง สายสืบผู้นี้ลาพังความเร็ว ก็เหนือล้ากว่าทุ กผู้ คนใน
หน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์ไม่รู้ว่าเท่าใด

“มีส องกลุ่มกาลังต่อสู้ห้าหั่นกัน ล้วนเป็นเผ่าปิศาจทั้งสองฝ่าย การ


ต่อสู้ดุเดือดยิง่ ” อาเหวินรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
จั่วม่อขมวดคิ้ว เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่พวกมันจ าเป็นต้องผ่าน ไม่
สามารถอ้อมทางไป
“เอาเถอะ เช่นนั้นก็ไปดูกัน”
ขบวนทัพเคลื่อนกาลังไปอย่างเงียบเชียบ ในไม่ช้าสนามรบอันดุเดือด
เลือดพล่านก็ปรากฏขึ้นในสายตาพวกมัน
ท้ อ งฟ้ า สั บ สนอลหม่ า น เห็ น ปิ ศ าจกลุ่ ม เล็ ก ๆ ถู ก ปิ ศ าจที่ มี จ านวน
มากกว่าล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา ฝ่ายผู้โจมตีมีปีกสีเขียวเข้มคู่หนึ่งอยู่ บน
แผ่นหลัง เหล่าปิศาจสีเขียวเข้มประหนึ่งฝูงหมาป่าดุร้าย บ้างสามบ้างห้า
บัดเดี๋ยวกระจายตัวออกไป บัดเดี๋ยวผนึกรวมกาลัง ปกคลุมท้องฟ้าจนมืด
มิด โห่ร้องขู่คารามไม่ขาดหู
“พวกมันคือยักษาเขียว!” เว่ยกระตุ้นเตือนจั่วม่อ “พวกมันรวดเร็วยิ่ง
พลังจู่โจมไม่อ่อนด้อย เลือ ดเย็นโดยกาเนิด หิวกระหายการฆ่าฟัน มีฝีมือ
มากที่สุดในการรุมล้อมบดขยี้ เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก”
“มีจุดอ่อนหรือไม่?” จั่วม่อถาม หากเป็นแม่นางน้อยอยู่ที่นี่ แน่นอน
ว่าจะไม่ถามคาถามเช่นนี้ แม่นางน้อยดูเหมือนจะรู้จักคุ้นเคยกับอสูรปิศาจ
แทบทุกสายพันธุ์
“พวกมันชมชอบการต่อสู้ บันดาลโทสะได้โดยง่าย ทั้งยังไม่ค่อยฉลาด
นั ก ไม่ ถ นั ด ในการร่ ว มมือ ประสานงาน” เว่ ย กล่ า วเร็ ว ปรื๋ อ “แต่ เ จ้ า ต้อง
ระวั ง แม้ ว่ า ไพร่ พ ลธรรมดาของพวกมั น จะคุ ณ ภาพต่ า ระเบี ย บวิ นั ย
หละหลวม แต่เผ่ายักษาเขียวมักให้กาเนิดแม่ทัพบัญชาการศึกได้โดยง่าย
ซึ่ ง ความจริ ง เผ่ า ปิ ศ าจงู ก็ มั ก ให้ ก าเนิ ด แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ได้ โ ดยง่ า ย
เช่นกัน”
จั่วม่อพอฟัง สายตาก็เลื่อนผ่านไปยังปิศาจในชุดคลุมแดงฉาน ผู้ยืน
ตระหง่านต่อกรกับเหล่ายักษาเขียวกลางสมรภูมิ คนผู้นี้เหี้ยมหาญองอาจ
ในมือปราศจากอาวุ ธ ยืนหยัดอยู่ด้านหน้า กระบวนทั พ อาศัยมือเปล่ า คู่
หนึ่งต้านปะทะทัพยักษาเขียวอย่างคู่คี่ก้ากึ่ง ทุกครั้งที่มันต่อยหมัดฟาดฝ่า
มือ ล้วนบังเกิดลูกไฟพวยพุ่งออกไป ยักษาเขียวตนใดหากบุกเข้ามาอย่าง
ย่ามใจ จะถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา
การตั้งรับเช่นนี้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจานวนมาก เหตุผลที่พวกมันยังไม่
ถึงกับพ่ายแพ้ ส่วนใหญ่เป็นคุณงามความดีของปิศาจร่างใหญ่เสื้อคลุมแดง
ตนนี้เอง
“ต้าเหริน พวกมันดูเหมือนกาลังปกป้องใครบางคน” เยี่ยหลิงเปรย
ด้ ว ยเสี ย งเบาต่ า มั น มี ป ระสบการณ์ ม ากมาย เพี ย งมองปราดเดี ย วก็
ตระหนักได้ทันที
จั่วม่อทาเสียงรับคา มันเองก็สังเกตเห็นเช่นกั น กองทัพนี้ห ลงเหลือ
ไพร่พลเพียงสามร้อยคน แต่พวกมันยังคงยืนหยัดต้านทาน คุ้มครองชาย
ชราผู้หนึ่งอย่างแข็งขัน
ฝ่ายยักษาเขียวเองก็บาดเจ็บล้มตายจานวนมหาศาลเช่นกัน แต่พวก
มันกลับยิ่งดุเดือดบ้าคลั่งกว่าเดิม ยังคงโหมโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่า จู่
โจมใส่กระบวนทัพค่ายกลของอีกฝ่ายอย่างไม่ออมรัง้ ยัง้ มือ
ในการโจมตีแต่ละระลอก ปรากฏซากศพจานวนมากร่วงหล่นลงจาก
ฟากฟ้า แต่กระบวนทัพป้องกันของอีกฝ่ายหนึ่งก็บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย
จั่วม่อสีห น้าแปรเปลี่ยน ฝ่ายหนึ่งไม่แยแสสนใจต่อการบาดเจ็ บ ล้ ม
ตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว การต่ อสู้ท้ังดุเดือดรุ นแรง
และโหดเหี้ ย มอ ามหิ ต มั น มั ก จะเคยได้ ยิ น ผู เ ยากั บ เว่ ย กล่ า วถึ ง อยู่ เ ป็ น
ประจ า ว่ า เผ่ า ปิ ศ าจมี ฝี มื อ ในการรบ และการสู้ ร บของพวกมั น ก็ ดุ ดั น
อามหิตผิดธรรมดา รอจนวันนี้ได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเอง ก็เห็นจะไม่ผิด
ไปจากที่ว่าแม้แต่น้อย หากเทียบกันแล้ว การต่อ สู้ระหว่างซิวเจ่อด้วยกั น
กลายเป็นขาดพร่องลงทันตา
โซ่วผิงเมื่อพบเห็นกองทัพยักษาเขียว พลันสีห น้าแปรเปลี่ยนอย่าง
รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างเมื่อนับจานวนยักษาเขียวที่บินอยู่บนท้องฟ้าได้ ถึ ง
เจ็ ด แปดร้ อ ยตน ยิ่ ง มี สี ห น้ า ปั้ นยาก ยั ก ษาเขี ย วไม่ ใ ช่ ก องโจรกเฬวราก
กองทัพยักษาเขียวเจ็ดแปดร้อยตนเพียงพอจะยึดครองเมืองแห่งหนึ่งโดย
ไม่ลาบากกินแรง
เมื่ อ นึ ก ถึ ง ซากร้ า นค้ า สิ่ง ปลู กสร้า งที่ เ พิ่ งผ่ า นมา โซ่ ว ผิ ง หั ว ใจดิ่ งวูบ
หรือว่าจะเป็นฝีมือของยักษาเขียวเหล่านี้?
มั น อดหั น ไปมองจั่ ว ม่ อ ไม่ ไ ด้ เห็ น อี ก ฝ่ า ยยั ง คงมี สี ห น้ า เฉื่ อยชา
ปราศจากเค้าความตื่นตระหนกลนลาน ต้องรู้สึกอับอายขายหน้าอยู่บ้าง
มั น แม้ เ ป็ น แม่ ทั พ บัญ ชาการศึ กผู้ ห นึ่ง แต่ ไ ม่ เ คยเห็ นศึ ก สงคราม ไม่ อ าจ
ยกขึ้นเทียบกับบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้
อย่าได้เห็นว่ าจั่ ว ม่อสีห น้ าสงบราบเรีย บ ซึ่งความจริ ง ในใจมั น ก็ ต่ ื น
ตระหนกอยู่บ้าง มันแม้ไม่ใช่ตัวประหลาดเช่น แม่นางน้ อย แต่ส ายตาใน
การประเมิ น สถานการณ์ ข องมั น ฝึ ก ฝนมาจากประสบการณ์ จ ริ ง นั บ ว่ า
เข้มแข็งกว่าแม่ทัพบัญชาการศึกระดับเงินทั่วไปอยู่ช่วงใหญ่
การต่อสู้เบื้องหน้านี้สมควรไม่จบสิ้นลงในระยะเวลาอันสั้น
ฝั่ งบุรุษร่างใหญ่แม้มีผู้คนน้อยกว่า แต่ต้ังรับอย่างเหนียวแน่น และดู
เหมือนมีใครบางคนคอยบัญชาการขบวนทัพของพวกมัน การป้องกันของ
พวกมันเข้มงวดมั่นคงยิ่ง นอกจากโหมจู่โจมแลกชีวิตซึ่ง ๆ หน้าแล้ว ฝ่าย
ยักษาเขียวคล้ายไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้
การต่อสู้อาจยืดยาวไปถึงคืนพรุ่งนี้ จั่วม่อคาดเดาอยู่ในใจ
แต่การถูกถ่วงเวลาจนล่าช้าเช่นนี้ ย่อมมิใช่สิ่งที่มันปรารถนา
ในขณะเดียวกัน สองฝ่ายที่กาลังต่อสู้ห้าหั่น ก็สังเกตเห็นขบวนของ
จั่วม่ออย่างรวดเร็ว
สุ้มเสียงชราภาพพลันดังออกมาจากในกระบวนทัพด้านหลังชายร่าง
ใหญ่ “ท่ า นที่ อ ยู่ ต รงนั้น มิท ราบเป็ นสหายจากเส้นทางใด? ผู้ น้ อ ยเถาซิง
(สุขสันต์รุ่งเรือง) แห่งเมืองไร้จุดจบ สหายได้โปรดยื่นมือเข้าช่วยเหลือสัก
ครา เมื่อสิน
้ สุดการรบครั้งนี้ ผู้น้อยจะต้องขอบคุณอย่างสมน้าสมเนื้อ!”
ผู้อ่ ืนแม้กาลังขอความช่วยเหลือ แต่ยังคงรักษาท่วงท่าสภาวะโอ่อ่า
อาจหาญเอาไว้ ในสุ้มเสียงหาได้ปรากฏเค้าแตกตื่นลนลานไม่
“เถาซิ ง !” โซ่ ว ผิ ง อุ ท านอย่ า งประหลาดใจ ดวงตาเบิ ก กว้ า งอย่ า ง
ฉับพลัน
บทที่ 562 กรรโชก

เถาซิง?
จั่วม่อกวักมือเรียกโซ่วผิงอย่างวางอานาจ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้า
ไปหามัน ในสายตาของมันเขิงเหลียนเอ๋อร์เมื่อติดตามมันมา ดังนั้นโซ่วผิง
และหน่วยองครัก ษ์ ด าวสวรรค์ก็ เหมือนกั บของแถมที่ไ ด้ รั บมาพร้ อ มกั บ
สินค้าหลัก การที่มันจะสั่งการอีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย
โซ่วผิงเส้นเอ็นเต้นกระตุก เด็กหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีกลับกวักมือ
เรียกให้มันเข้าไปหา หากเป็นผู้อ่ ืน มันจะต้องโถมเข้าทุบตีเจ้าคนอวดดีผู้นี้
ให้แหลกเป็นชิ้น ๆ! ต่อให้เจ้าเป็นบุรุษเหี้ยมหาญ ต่อให้ไพร่พลใต้ร่มธงของ
เจ้าจะร้ายกาจ ต่อให้เจ้ามีฉากหลังอันทรงพลังอานาจ แต่เจ้ามิใช่เจี้ยจู่ของ
ข้า! แต่เมื่อมันเหลือบมองคุณหนู เห็ นคุณหนูกาลังเพ่งตามองตรงมาที่มัน
เช่นกัน
โซ่วผิงสะดุ้งเฮือก
.... ...ข้าจะอดทน!
โซ่วผิงเดินเข้ าไปหาจั่ วม่อ อย่ างเรีย บ ๆ ร้อย ๆ “ใต้เท้าท่านมี เ รื่ อ ง
ใด?”
“เถาซิงเป็นใคร?” จั่วม่อไม่เสียเวลา ถามตรง ๆ อย่างไม่มีอ้อมค้อม
“เถาซิงผู้นี้เป็นเฉิงจู่ (เจ้าเมือง) แห่งเมืองไร้จุดจบ!” โซ่วผิงครุ่นคิด
พลั น ตระหนั ก ว่ า หากขบวนของพวกมั น เผชิ ญ อั น ตรายใด พวกมั น ก็ ไ ม่
สามารถหลบหนีเช่นกัน ดังนั้นมิสู้บอกกล่าวเรื่องที่มันรู้ให้ชัดแจ้งเสียดีกว่า
“เมืองไร้จุดจบเป็นเมืองใหญ่ในอาณาจักรหุบเหวทมิฬ มีช่ ือเสียงเลื่องลือ
ห่างไกลจากที่นี่มาก เถาซิงมีช่ ือเสียงที่สุดในเรื่องการเพาะเลี้ยงตั ว อ่ อ น
ปิศาจ ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมันเพาะเลี้ยงตัวอ่อนปิศาจทมิฬดาสาเร็จ จึง
ได้รับเมืองไร้จุดจบเป็นรางวัลจากเจี้ยจู่แห่งอาณาจักรหุบเหวทมิฬ”
“ตัวอ่อนปิศาจ?” จั่วม่อสังเกตเห็นเยี่ยหลิงดวงตาทอประกายมุ่งมาด
ปรารถนาวู บ หนึ่ ง พลั น นึ ก ขึ้ น ได้ ว่ า เยี่ ย หลิ ง ฝึ ก ปรื อ หั ต ถ์ บั ล ลั ง ก์ ห มอก
จาเป็นต้องใช้ตัวอ่อนปิศาจหมอกเพื่อฝึกปรือสังขารปิศาจ จึงจะส าแดง
พลังของหัตถ์บัลลังก์หมอกได้เต็มที่ การที่ไม่สามารถฝึกปรือสังขารปิศาจ
เป็นหนึ่งในความเสียใจชั่วชีวิตของเยี่ยหลิง
“ใช่ แ ล้ ว ! เถาซิ ง เป็ น ปรมาจารย์ ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจที่ แ ท้ จ ริ ง ชื่ อเสี ย ง
กระเดื่องดังไปทั่ว” โซ่วผิงกล่าวพลาง ดวงตาฉายความต้องการ แต่มันก็
ทราบว่านี่เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ดังนั้นสายตากลับเป็นสงบเยือก
เย็นอย่างรวดเร็ว
จั่วม่อพอเข้าใจแล้ว พลันหมุนตัว ร้องตวาดไปทางสมรภูมิเดือด “เถา
ซิง! เจ้ามีตัวอ่อนปิศาจหมอกหรือไม่?”
โซ่ ว ผิ ง ตะลึ ง พรึ ง เพริ ด หน่ ว ยองครั ก ษ์ ด าวสวรรค์ ท้ั ง หมดถึ ง กั บ ไร้
คาพูด
เขิงเหลียนเอ๋อร์ริมฝีปากอิ่ม จุดรอยยิ้มน้อย ๆ ที่แทบมองไม่เห็นวูบ
หนึ่ง
“ท่านปรมาจารย์ พวกมันจะยินยอมยื่นมือเข้าช่วยรึ ?” ถังเฟย (เล็ก
ๆ น้อย ๆ แซ่ถัง) ถามอย่างหวาดวิตก แม้ว่าเถาซิงจะเป็นเฉิงจู่ของเมืองไร้
จุ ด จบ แต่ มั น สนิ ท สนมคุ้ น เคยกั บ คนของตน ชมชอบให้ เ รี ย กหามั น ว่ า
ปรมาจารย์มากกว่า
เถาซิงผู้เลื่องชื่อสวมใส่อาภรณ์ชุดยาวหลวมกว้างสีดา ใบหน้าเต็มไป
ด้วยริ้วรอยของกาลเวลา แต่ดวงตาทอประกายปัญญา บันดาลให้ผู้คนรู้สึก
ว่ า มั น คล้ า ยบั ณ ฑิ ต นั ก ศึ ก ษาผู้ ห นึ่ ง สถานการณ์ แ ม้ คั บ ขั น อั น ตราย แต่
ใบหน้ามันสงบราบเรียบ ไม่มีร่องรอยหวาดหวั่นพรั่นพรึง
มั น แย้ ม ยิ้ ม เล็ ก น้ อ ย สุ้ ม เสี ย งเต็ ม ไปด้ ว ยความไม่ อิ นั ง ขั ง ขอบ “นี่ ก็
แล้วแต่สวรรค์”
ถั ง เฟยขบริ ม ฝี ป าก นางทั้ ง ส านึ ก เสี ย ใจและเคี ย ดแค้ น ชิ ง ชั ง อย่ า ง
เปี่ ยมล้ น หากก่ อ นการเดิ นทางนางหยุด ยั้ งท่ า นปรมาจารย์ ไว้ ก่ อน ท่ า น
ปรมาจารย์จะไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้!
เถาซิงคาดเดาออกว่าถังเฟยกาลังครุ่นคิดอันใด จึงกล่าวอย่างแย้มยิ้ม
“อย่าได้ตาหนิตัวเองไป เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้ากลับทาได้ดีมาก
ด้วยคนเพียงห้าร้อยยังสามารถต้านทานยักษาเขียวร่วมหนึ่งพันห้าร้อยตน
หากข่าวคราวแพร่สะพัดออกไป เกรงว่าเจ้าคงต้องมีช่ อ
ื เสียงแล้ว”
ถังเฟยร่างสูงสมบูรณ์แบบ สวมชุดเกราะรับรู ปที่ขับเน้นเรือนร่างอัน
หมดจดชดช้ อย ผมสีเขียวอ่อนมั ดไว้ เ ป็นหางม้ า อย่ างลวก ๆ มือขวากุ ม
ด้ามศาสตรามารที่เหน็บไว้กับเอว ยืนตระหง่านอย่างองอาจสง่างาม
ถังเฟยแม้จะได้รับคาชมเชย บนใบหน้ากลับไม่มีเค้าภาคภูมิใจ เกร็ง
มือแน่น บีบกระชับด้ามศาสตรามารจนข้อนิ้วขาวซีด
นางทางหนึ่งกล่าววาจากับเฉิงจู่ อีกทางหนึ่งมุ่งความสนใจส่วนใหญ่
ไปยั ง สมรภู มิ นางสั ง เกตเห็ น ฉาซยงเริ่ ม เชื่ องช้ า ลงกว่ า เดิ ม ต้ อ งตื่ น
ตระหนกทันที
ถั ง เฟยย่ อ มทราบดี แ ก่ ใ จ การที่ น างสามารถใช้ ก าลั ง พลห้ า ร้ อ ย
หยุดยั้งทัพยักษาเขียวหนึ่งพันห้าร้อยได้ ก็เนื่องเพราะฉาซยงเป็นนักรบที่มี
ฝีมือ มิเช่นนั้นพวกมันคงต้องพ่ายแพ้ล้มตายไปเสียนานแล้ว
หากฉาซยงต่อสู้จนหมดสิ้นเรี่ยวแรง การต่อสู้ที่คู่คี่ก้ากึ่งจะถึงจุ ดจบ
ในบัดดล
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงตวาดถามดังกึกก้องไปทั่วสมรภูมิ “เถาซิง! เจ้า
มีตัวอ่อนปิศาจหมอกหรือไม่?”
ถังเฟยดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าแข็งทื่อ รู้สึกอึดอัดขัดข้องอย่างบอกไม่
ถู ก นางติ ด ตามเถาซิ ง มานานปี เคยเห็ น ท่ า นปรมาจารย์ ร้ อ งขอความ
ช่วยเหลือจากผู้อ่ ืนมาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยเจอเรื่องน่าคลั่งใจ
เช่นนี้มาก่อน ทุกคนที่ท่านปรมาจารย์เคยขอความช่วยเหลือ มักจะลงมือ
ตามค าขอโดยไม่ ต้ อ งเอ่ ย ค าที่ ส อง หลั ง จากเรื่ องราวสิ้ น สุ ด ลง ท่ า น
ปรมาจารย์ย่อมต้องตอบแทนด้วยดี ส่วนใหญ่จ ะเป็นตัวอ่อนปิศาจ แล้ว
จากนั้นทั้งคู่ก็จะสานความสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อกัน
นางไม่เคยพบเจอคนที่เริ่มจากการระบุเงื่อนไข เมื่อเทียบกับที่แล้ว ๆ
มา นางอดเหยียดหยามดูแคลนไม่ได้
อย่างที่คาดไว้ วีรบุรุษย่อมต้องเป็นวีรบุรุษ ท่วงท่าสภาวะอันยิ่งใหญ่
เช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ชนชั้นกเฬวรากเหล่านี้จะมีได้
หากพวกมันช่วยเหลือท่านปรมาจารย์ หรือยังต้องกลัวว่าจะไม่ มีตัว
อ่อนปิศาจอีก?
การเริ่มเสนอราคาในช่วงที่ผู้อ่ น
ื ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ มิใช่ขู่กรรโชก
จะเป็นอะไร? ถังเฟยขุ่นใจยิ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้า
เถาซิงงงงันวูบ บุคคลที่ตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ มันเพิ่งจะเคยพบพาน
เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้มีจิตใจเปิดกว้าง ไม่ไปถือสามากความ
เพียงกล่าวตอบเสียงดังฟังชัด “ท่านที่นับถือ ตัวอ่อนปิศาจหมอกชนิดใดที่
ท่านต้องการ?”
คราวนี้ถึงรอบจั่วม่อชะงักงันไปบ้าง ตัวอ่อนปิศาจหมอกชนิดใด? มัน
หันกลับไปถามเยี่ยหลิง “ตัวอ่อนปิศาจหมอกชนิดใดที่เจ้าต้องการ?”
เยี่ยหลิงขอบตาแดงเรื่อ เมื่อจั่วม่อถามถึงตัวอ่อนปิศาจหมอกเมื่อครู่
หัวใจมันก็เริ่มเต้นกระหน่าอย่างดุเดือด รอจนจั่วม่อหันมาถามมันโดยตรง
ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันท่วมท้นอยู่ในใจ ตอนนี้หากต้ าเหรินสั่งให้
มันไปตาย มันจะโถมออกไปอย่างไม่รีรอลังเล
เจ้าเหนือหัวของข้า... ...
เยี่ยหลิงริมฝีปากสั่นสะท้าน ตะกุกตะกักว่า “ตัวอ่อนปิศาจหมอกผืน
เถ้า... ...”
“อ้อ เป็นตัวอ่อนปิศาจหมอกผืนเถ้า” จั่วม่อพยักหน้ารับ หันกลับไป
ตะโกนบอก “ตาเฒ่า ข้าต้องการตัวอ่อนปิศาจหมอกผืนเถ้า!”
ตาเฒ่า!
ถังเฟยแทบกระชากศาสตรามารที่ข้างเอวโถมเข้าเสี่ยงชีวิตด้วย นาง
ใบหน้ า เต็ ม ไปด้ ว ยความเดื อ ดดาล นี่ เ ป็ น ครั้ ง แรกที่ น างพบพานคนที่ไม่
เคารพต่อเฉิงจู่ถึงเพียงนี้! ไม่ใช่แค่นางคนเดียว บรรดาองครักษ์ปิศาจรอบ
กายนางล้วนมีสีหน้าโกรธแค้น
ส่วนหน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์ นับตั้งแต่โซ่วผิงลงมาพากันจ้องมอง
จั่วม่ออย่างยอมรับนับถือจนหมดใจ
สวรรค์! คนผู้นี้อาจเป็นคนแรกที่กล้าเรียกหาเถาซิงว่าตาเฒ่า!
เถาซิงหัวร่อฮาฮา มันรู้สึกว่าคนผู้นี้ ช่างสนุกสนานน่าสนใจนัก ร้อง
ถามมาว่า “เด็กน้อย เจ้าต้องการสักเท่าใด?”
มันเดิมทีคิดว่าผู้อ่ ืนจะเรียกร้องราคาที่หนักหนาสาหัส ไม่เคยนึกฝัน
ว่าอีกฝ่ายจะต้องการแค่เพียงตัวอ่อนปิศาจหมอกผืนเถ้าเท่านัน
้ สาหรับมัน
นี่ไม่นับเป็นอะไรได้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นสามเณรมือใหม่อย่างแท้จริง
มันกระทาผิดพลาดไปแล้ว!
จั่ ว ม่ อ ตระหนั ก ทั น ที ว่ า ราคาเปิ ด ของมั นต่ า เกิ น ไป ซึ่ ง ความจริ งมัน
ล่ ว งรู้ เ รื่ อ งตั ว อ่ อ นปิ ศ าจไม่ ม ากนั ก ดั ง นั้ น ยากจะหลี ก เลี่ ย งข้ อ ผิ ด พลาด
เช่ น นี้ และส าหรั บ จั่ ว ม่ อ ผู้ ที่ ค วามโลภสลั ก ลึ ก ลงไปในกระดู ก จะให้ มั น
ยอมรับความผิดพลาดเรื่องต่อราคา ยังยากกว่าเชือดเนื้อเถือหนังมันเสีย
อี ก มั น คิ ด ถามเยี่ ย หลิ ง อี ก ที แต่ พ อเห็ น สภาพฟู ม ฟายน้ า ตาแห่ ง ความ
ปลาบปลื้มของอีกฝ่าย จั่วม่อรู้สึกว่าถามไปก็เสียเวลาเปล่า มันตัดสินใจ
เรียกร้องไปตามสมควร
“หนึ่งร้อยตัว!”
โซว่ผิงแทบล้มคะมาหัวฟาดพื้น เยี่ยหลิงน้าตาแข็งค้างอยู่ในดวงตา
อ้าปากอึกอักอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังไม่ทราบจะกล่าวอะไรออกมา
กระทั่งเหล่ายักษาเขียวยังอึ้งงัน
หนึ่งร้อย!
ตัวอ่อนปิศาจหนึ่งร้อยตัว!
ตั้งแต่เมื่อใดที่ตัวอ่อนปิศาจนับกันด้วยหลักร้อย?
เช้ง ถังเฟยชักศาสตรามารออกจากข้ างเอว คราครั้งนี้ต้องโถมเข้ า
เสี่ยงชีวิตกับมันแน่แล้ว กล่าวตามความสัตย์ นางยามนี้ปรารถนาจะแล่น
เข้าไปสับร่างสามเณรมือใหม่ที่น่าชังผู้นั้นให้เป็นแปดท่อน ในสายตานาง
คนผู้นี้ยังน่าชังเสียยิ่งกว่าเหล่ายักษาเขียวที่น่ารังเกียจเสียอีก
หนึ่งร้อย!
กระทั่งเถาซิงยังนิ่งขึงตะลึงงันแล้ว มันรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่าง
แท้จริง
สวรรค์ ตัวอ่อนปิศาจหนึ่งร้อยตัว ต่อให้เป็นตัวอ่อนปิศาจหมอกผืน
เถ้าที่ไม่มีราคาค่างวดเท่าใด แต่จานวนก็เสียสติเกินไปแล้ว ตัวอ่อนปิศาจ
นี่เรากาลังกล่าวถึงตัวอ่อนปิศาจกันอยู่!
เจ้าผู้นี้ใช่เป็นเผ่าปิศาจแน่หรือ?
ความคิดเหลวไหลนี้ผุ ด ในใจเถาซิ ง สิ่งที่มันไม่ทราบก็ คือ ความคิ ด
ของมันใกล้เคียงกับความจริงเป็นอย่างยิ่ง
“ขออภัยด้วย ข้ามีตัวอ่อนปิศาจหมอกผืนเถ้าเพียงสามตัวเท่านั้น!”
ไม่ ท ราบเพราะเหตุ ใ ด เถาซิ ง พอกล่ า วเช่ น นี้ ถึ ง กั บ รู้ สึ ก อั บ อายอยู่ บ้ า ง
“ท่านที่นับถือ เจ้ าสามารถเปลี่ยนข้อร้องขอเป็นตัวอ่อนปิศาจชนิดอื่น ๆ
ได้หรือไม่?”
“มีแค่สามตัวเอง... ...” จั่วม่อลูบคาง แสร้งเป็นขบคิดใคร่คราญ แต่
ในใจรีบถามผูเ ยากั บเว่ ยเป็น การใหญ่ “รีบด่วนรี บด่ วนรี บ ด่ วน พวกเรา
สมควรเรียกร้องตัวอ่อนปิศาจชนิดใดบ้าง?”
ริมฝีปากบางเฉียบของผูเยาดู คล้ายมีด มีดที่กล่าวออกมาแต่ละครั้ง
ล้ ว นเรี ย กเลื อ ด “ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจผื น ทอง ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจทิ ว าวาร ตั ว อ่ อ น
ปิ ศ าจเงาปรโลก ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจตั๊ ก แตนดาบยะเยื อ ก ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจร้ อ ย
ราตรี”
เว่ ย แย้ ม ยิ้ ม อย่ า งอบอุ่ น และเปี่ ยมด้ ว ยไมตรี จิ ต ขณะที่ ก ล่ า วเสริ ม
“รวมทั้งตัวอ่อนปิศาจน้าลึกจันทร์กระจ่าง ตัวอ่อนปิศาจพลังแม่เหล็ก ตัว
อ่อนปิศาจดาวตก ตัวอ่อนปิศาจวิญญาณฟ้าแลบ”
จั่วม่อทวนซ้าโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คาเดียว ทั่วทั้งสมรภูมิยามนี้มีแต่
เสียงของมันดังกังวานอยู่แต่ผู้เดียว
สนามรบเงียบสงัดดุจป่าช้า รายการตัวอ่อนปิศาจอันยาวเหยียดเป็น
หางว่าวนี้ ทาเอาทุกผู้คนตะลึงพรึงเพริด
สายตาทุกคู่หันมามองจั่วม่อเป็นตาเดียว ในชั่วพริบตานี้ จั่วม่อเป็น
ศูนย์กลางความสนใจของผู้คนนับพัน กระทั่งฝูงยักษาเขียวยังอ้าปากหวอ
เหม่อมองจั่วม่อราวกับพบพานผีสาง
นายกองยักษาเขียวดวงตาแดงฉาน หากมิใช่ว่าคาสั่งประกาศิตครั้งนี้
ไม่อาจฝ่าฝืน มันก็อยากจะตะโกนแข่งออกไปบ้าง ให้ข้า ให้ข้า มอบพวก
มันให้ข้าเถอะ! ให้ข้าแล้วข้าจะรีบไปทันที จะแถมเสบียงให้ด้วย! ไม่ ไม่ ขอ
ข้าแค่ครึ่งเดียว เราต้องการเพียงครึ่งเดียวจากที่ว่ามา แล้วพวกเราจะรีบไส
หัวไปทันที! อ้อ ยังคงแถมเสบียงให้ด้วย!
มั น ถึ ง กั บ สงสั ย ว่ า หากมั น กลั บ ไปรายงานเรื่ อ งนี้ แก่ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชา
เกรงว่าต้าเหรินเหล่านั้นคงส านึกเสียใจอย่างสุด ซึ้ง ที่ไม่ได้ให้อานาจมั น
ตัดสินใจทาการค้า... ...
เถาซิงตัวแข็งทื่อดุจรูปปั้ น ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างสิ้นเชิง
โอ้ สวรรค์ เมื่อครู่ข้าไฉนบังเกิดความคิดโง่เขลาเช่นนั้นได้ คนเช่นนี้
จะไม่ใช่เผ่าปิศาจได้อย่างไร? คนที่ส ามารถร่ายชื่อสังขารปิศาจยาวเป็ น
หางว่าวเช่นนี้ในอึดใจเดียวหากไม่ใช่เผ่าปิศาจ ในที่นี้เกรงว่าคงไม่มีผู้ใด
เป็นเผ่าปิศาจแล้ว
เถาซิงที่น่าสงสาร ยังคงจมอยู่กับความรอบรู้ในตัวอ่อนปิศาจของอีก
ฝ่าย ไม่ทันฉุกคิดถึงว่าตัวอ่อนปิศาจชุดใหญ่นี้ มีราคาค่ างวดเป็นม๋อเป้ ย
จานวนมากมายเท่าใด
“นี่มันขู่กรรโชกกันชัด ๆ!” ถังเฟยกรีดร้องอย่างเหลืออด นางจะไม่
ทนอีกต่อไปแล้ว
จั่วม่องงงันวูบ จากนั้นกล่าวอย่างไม่เห็นส าคั ญ “นี่เป็นการค้ า ที่ ท้ั ง
สองฝ่ายต่างเต็มใจ แต่หากเจ้าไม่เต็มใจก็ห าเป็นไรไม่ ข้าไม่คิดว่ายัง จะมี
สิ่ ง ใดมี ร าคาค่ า งวดมากไปกว่ า ชี วิ ต การค้ า ครั้ ง นี้ ข้ า ไม่ เ ห็ น ว่ า ฝ่ า ยเจ้ า
ขาดทุนตรงที่ใด”
คนผู้นี้เมื่อหน้าด้านไร้ย างอายถึ งเพียงนี้ ปิศาจทั้งหมดจะไม่ นั บ ถื อ
เลื่อมใสก็ไม่ได้แล้ว
ถังเฟยอับจนถ้อยคา ไม่ทราบจะตอบโต้อ ย่า งไร ในดวงตาแทบลุ ก
ไหม้ด้วยเปลวไฟโทสะ คล้ายต้องการเผาผลาญจั่วม่อให้มอดไหม้เป็นเถ้า
ธุลี
เถาซิงในที่สุดฟื้ นคืนสติ ยกมือห้ามปรามถังเฟย แม้ว่าบนใบหน้ าจะ
ทอแววเจ็บปวดใจ มันก็ยังคงตะโกนตอบว่า “เสี่ยวเกอท่านนี้กล่าวไม่ผิด
ไม่ มี สิ่ ง ใดส าคั ญ ไปกว่ า ชี วิ ต อี กแล้ ว ประเสริ ฐ ข้ า ตกลง! แต่ ท ว่ า ตั ว อ่ อน
ปิศาจทั้งหมดอยู่ที่เมืองไร้จุดจบ ท่านที่นับถือจะต้องส่งคนไปรับพวกมัน”
“พวกเราจะผ่านอาณาจักรหุบเหวทมิฬหรือไม่ ?” จั่วม่อลดเสียงถาม
ซู่หลง
ซู่ห ลงตลอดเวลาของการเจรจายังคงสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง
ความจริง นอกเหนือจากเยี่ยหลิง หนานเยว่และอีกไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือ
ในขบวนของพวกมันล้วนไม่ได้รู้สึกอันใด พวกมันถึงกับคิดว่าวาจาของต้า
เหรินถูกต้องเที่ยงแท้ที่สุดแล้ว ยังจะมีสิ่งใดมีค่ามากไปกว่าชีวิตอีกเล่า
พอจั่วม่อหันมาถาม ซู่ห ลงก็ผ งกศีรษะ ให้คาตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ต้าเหริน อาณาจักรหุบเหวทมิฬอยู่ในทางผ่านของพวกเรา”
จั่วม่อสีหน้าเบิกบานใจขึ้นมาทันที ร้องตอบว่า “ประเสริฐ พวกเราตก
ลง!”
นายกองยักษาเขียวรู้สึกหัวใจโหวงเหวงว่างเปล่า ความผิดหวังไร้ที่
สิ้นสุดท่วมท้นอยู่ภายในร่าง แทบจะทาให้มันคลั่งใจตาย
ตัวอ่อนปิศาจมากมายถึงเพียงนั้น... ...
มันเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน ดวงตาแดงฉานด้วยสายเลือด กรีดร้อง
จากหัวใจ “ฆ่าพวกมันให้หมด!”
“ฆ่ามัน!” ฝูงยักษาเขียวดวงตาแดงฉาน สีหน้าดุร้ายสุดขีด
กองกาลังที่มีเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนถึงกับกล้าไม่เห็นหัวพวกมัน!
ต้องฆ่าเสียให้สมแค้น!
บทที่ 563 จั่วม่อแผลงฤทธิ์!

ยักษาเขียวมากกว่าครึ่งแผดคารามดังกึกก้อง โถมทะยานลงมาอย่าง
กราดเกรี้ยว!
สองปีกที่แผ่กว้างของพวกมันปรากฏแสงสีเขียวชั้นหนึ่ง คู่ปีกนับไม่
ถ้วนกรีดฝ่าอากาศดุจคมมีด เสียงแหลมสูงสะท้านขวัญประหนึ่งคลื่นน้า
ซัดโหม จู่ๆ ก็โถมกระหน่าอย่างฉับพลัน
พวกมันดวงตาแดงฉานดุจย้อมด้วยโลหิต สีหน้าบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราด
บนผิวสีเขียวเข้มของพวกมัน ปรากฏแผนผั งปิศ าจดาสนิ ทเรือ งแสงเป็ น
ประกาย
พลังสีเขียวผนึกรวมรั้งที่ปลายสองปีกของพวกมัน ยักษาเขียวแต่ละ
ตัวเมื่อถลาร่อนลงมา จะลากเป็นริ้วแสงเจิดจ้าบาดตาสองสาย เห็นริ้วแสง
มากมายสุดคนานับพวยพุ่งผ่านท้องนภา ประดุจพายุฝนลาแสงอันสับสน
วุ่นวาย ทั้งเจิดจรัสและสะท้านขวัญวิญญาณผู้คน!
ทันใดนั้น พวกมันจู่ ๆ ก็จัดขบวนกลายเป็นกระบวนทัพค่ายกลด้ ว ย
ระดับความเร็วอันน่าตระหนก เหล่าลาแสงมืดฟ้ามัวดินคล้ายถูกมือที่มอง
ไม่เห็นบีบรวบเข้าหากัน กลายเป็นผนึกรวมตัวอย่างหนาแน่น!
ลาแสงสีเขียวนับพัน ๆ สายดึงดูดกันและกัน ถักทอประสานอย่างไม่
หยุ ด ยั้ ง บี บ อั ด รวมรั้ ง เข้ า หาศู น ย์ ก ลาง ล าแสงเติ บ โตพรวดพราดอย่ า ง
รวดเร็ว มองแต่ไกลคล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ประหนึ่งยักษาเขียว
ร่างมหึมายาวหลายสิบจั้ง พุ่งดิ่งลงมาด้วยพลังทาลายล้างอันเกรี้ยวกราด
ดุจดาวตก!
“ราชันยักษ์!” ถังเฟยกรีดร้องเสียงหลง ใบหน้าเผือดขาวไร้สีเลือด ใน
ฐานะแม่ทัพบัญชาการศึกระดับเงินผู้หนึ่ง นางย่อมต้องรู้จักคุ้นเคยกับสุด
ยอดท่าไม้ตายของกองพันยักษาเขียวเป็นอย่างดี
ไม่ถูกต้อง! กลุ่มยักษาเขียวเหล่านี้ที่แท้ไม่ใช่กองโจรธรรมดา แต่เป็น
กองทัพยักษาเขียว!
ยักษาเขียวที่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมมา ไม่มีทางผนึกกาลังใช้กระบวน
ทัพราชันยักษ์ออกมาได้ ราชันยักษ์ถูกเรียกว่าเป็นสุดยอดท่าไม้ตายประจา
กองทั พ ยั ก ษาเขี ย ว เป็ น กลยุ ท ธ์ ที่ ย ากเย็ น แสนเข็ ญ ที่ สุด ต้ อ งการความ
ร่วมมือประสานงานอย่างดีเยี่ยมจากยักษาเขียวทุกตนในขบวนทัพ
ถังเฟยบีบด้ามศาสตรามารคู่ กายแน่น ริมฝีปากสีแดงสดจางลงจน
เป็นสีขาวซีด หากในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายใช้ราชันยักษ์ออกมาตั้งแต่
แรก เกรงว่าพวกนางก็คงจบสิ้นไปแต่แรกแล้วเช่นกัน ไม่มีหน้ามีชีวิตรอด
มาได้จนถึงยามนี้แน่ ถังเฟยแม้ทระนงตน แต่นางไม่เคยคิดว่าจะสามารถ
ต้านทานกระบวนทัพราชันยักษ์ได้ด้วยกาลังพลเพียงห้าร้อย
นี่ทาให้นางตระหนักว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของยักษาเขียว คือการ
คร่ากุมท่านปรมาจารย์ท้งั เป็น!
ชั่วพริบตานี้ถังเฟยพลันเข้าใจจิต เจตนาและแผนการที่ยักษาเขี ย ว
วางไว้ แต่ ล่ ว งรู้ ไ ปจะมี ป ระโยชน์ อั นใดเล่ า ? นางไม่ เ คยรู้ สึ ก เจ็ บ ปวดกับ
ความสิน
้ หวังอับจนถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่เคยเลยสักครัง้ !
ราชันยักษ์!
หากได้ต กตายภายใต้เงื้อมมือของกองทัพที่สามารถใช้กระบวนทัพ
ราชันยักษ์ ความตายของนางก็คงเรียกได้ว่าคุ้มค่าแล้วกระมัง
ถังเฟยท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกอับจนสิ้นหนทาง

ล าแสงเจิ ด จ้ า ของยั ก ษาเขี ย วพาดผ่ า นนภา พราวพร่ า งละลานตา


ส่องประกายสีเขียวสด ยืดยาวหลายสิบจั้ง แทบจะข่มดวงสุริยาจนหมอง
ศรี
โซ่วผิงสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย เกือบจะร้องตวาดด้วยเรี่ยวแรง
ทั้งหมดที่มี “อสรพิษขนด!”
หน่วยองครักษ์ ดาวสวรรค์แปรขบวนทัพในบัดดล ราวกับอสรพิษที่
ลากรัง้ ร่างกายเข้ามาขดเป็นวงด้วยท่วงท่าระวังภัย นี่เป็นกระบวนทัพค่าย
กลป้องกันที่องครั กษ์ ดาวสวรรค์ มีฝีมื อมากที่สุ ด แต่โซ่วผิงไม่ไ ด้ มี ค วาม
เชื่อมั่นแม้แต่น้อย
เนื่องเพราะฝ่ายตรงข้ามคือราชันยักษ์!
หนึ่งในท่าพิฆาตที่เลื่องชื่อที่สุดของกองทัพยักษาเขียว คือสิ่งที่ใช้เป็น
มาตรฐานส าหรับวัดความแข็งแกร่งของกองทัพยักษาเขียว กองทัพใดที่
สามารถบั ง คั บ ใช้ ร าชั น ยั ก ษ์ อ อกมาได้ ย่ อ มมิ ใ ช่ ก องทั พ ยั ก ษาเขี ย วชั้ น
ธรรมดาทั่วไป!
โซ่วผิงกัดกรามแน่น สองตาแดงฉานด้วยสายเลือด
หน่ ว ยองครั ก ษ์ ด าวสวรรค์ ถ นั ด จัด เจนในการบุ ก จู่ โ จม แต่ ด้ า นการ
ป้องกันเรียกได้ว่าอ่อนด้อย หากเป็นเวลาปกติ มันก็เพียงแค่บุกเข้าปะทะ
หักหาญอย่างซึ่งหน้า ใช้รุนแรงสยบรุ น แรง ยักษาเขียวมีราชันยัก ษ์ ข อง
พวกมัน แต่องครักษ์ดาวสวรรค์ก็มิใช่ว่าไม่มีสุดยอดท่าไม้ตายคร่าชีวิตของ
ตน ทว่ า คราครั้ ง นี้ พ วก มั น มี คุ ณ หนู ยื น อ ยู่ ด้ านหลั ง! ไม่ ว่ า เว ล า ใ ด
สถานการณ์ใด การปกป้องคุณหนูจึงเป็นสิ่งสาคัญที่สุด
บัดซบ!
มันหันไปมองคุณหนูด้วยสายตาร้อนใจ แต่กลับพบว่าคุณหนูกาลังจับ
จ้องมองดูจ่ว
ั ม่ออย่างเงียบสงบ ประหนึ่งว่านางมองไม่เห็นราชันยักษ์ที่โหม
ถล่มลงมาจากฟากฟ้าก็มิปาน
นางไฉน... ...
โซ่วผิงใจหายวาบ รีบหันขวับมองไปตามสายตานางทันที
มันเห็นจั่วม่อยกมือซ้ายขึ้นช้า ๆ

จั่วม่อมือซ้ายกาเป็นหมั ด ดึงรั้งกลับหลัง รวมกาลังอยู่ข้างเอว ถ่าย


น้าหนักไปยังเท้าหลัง บิดกายไปทางซ้ายเล็กน้อย
เสียงแหวกฝ่าอากาศบนฟากฟ้าคล้ายจู่ ๆ ก็หายวับไปทันที ความรู้สึก
ประหลาดพลุ่งพล่านขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
นี่มัน... ...โซ่วผิงพลันเบิกตากว้าง!
ตง!
คลื่นพลังที่มองไม่เห็นกระหึ่มก้องดุจ เสียงกลอง ยึดถือจั่วม่อเป็น จุด
ศูนย์กลาง ซัดผ่านไปยังทุกผู้คนที่ต้งั กระบวนทัพอยู่ด้านหลังมัน
ตูม ตูม!
ตง ตง!
ทุกจังหวะจะโคนแกร่งกร้าวทรงพลัง เจาะทะลวงเข้าไปในหัวใจผู้คน
เลือดเนื้อของผู้คนทั้งหมดคล้ายถูกดึ งดู ดอย่ างรุ นแรง เต้นเร่าเหนือ การ
ควบคุมของพวกมัน!
จังหวะนั้นเร่งเร้าอย่างพิสดาร ทุกครั้งที่กระหึ่มก้องออกมา ทุกคนจะ
ปรับพลังของตนไปตามจังหวะจะโคนโดยไม่ได้ต้งั ใจ
จุดแสงพลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของซู่หลงกับไพร่พลค่ายเว่ยคน
อื่น ๆ ตรงดิ่งไปยังหมัด ซ้ ายของจั่ วม่ อราวกับ แท่ง เหล็ กถูก พลัง แม่ เ หล็ ก
ดึงดูด เพียงชัว
่ กะพริบตาเดียว หมัดซ้ายของจั่วม่อก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีดา
ที่หนาแน่นจนแทบจับต้องได้
รอยประทับสุริยันที่กลางอกของจั่วม่อส่องประกายเจิดจ้า แสงสีทอง
หลายสายลอยออกมาจากหมั ด ซ้ า ย ผสานรวมกั บ พลั ง งานสี ด าจาก
ภายนอก ก่อกาเนิดประกายสีดาแกมทอง สวยสดงดงามสุดประมาณ
ตง ตง ตง!
จังหวะยิ่งมายิ่งกระชั้นเร่งร้อน ประดุจม้าศึกวิ่งห้อ เพิ่มความเร็วขึ้น
ทุ ก ฝี ก้ า ว พลั ง งานสี ด าบนหมั ด ของจั่ ว ม่ อ ยิ่ ง นานยิ่ ง กล้ า แข็ ง บรรดา
องครักษ์ทุกข์ยากในชุดเกราะหนักที่ด้านหลังจั่วม่อร่างสั่นระรัวอย่างสุดจะ
ควบคุมบังคับ
ทุ ก จั ง หวะกระหึ่ ม ก้ อ งบั น ดาลให้ พ วกมั น ยิ่ ง ตื่ นเต้ น ระทึ ก ใจ จิ ต
วิญญาณการต่อสู้ลุกโชนดุจเปลวไฟที่ถูกแรงลมหนุนเสริม แผดเผาโลหิต
ในกายให้เดือดพล่าน!
พลังในร่างของพวกมันปะทุไปตามจังหวะจะโคนของต้าเหริน โดยที่
พวกมันไม่อาจควบคุม ราวกับว่าพลังของพวกมันกาลังสนองตอบต่อเสียง
เรียกร้องจากต้าเหริน!
รอจนจิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ ข องพวกมั น พุ่ ง ทะยานขึ้ น ไปถึ ง ขี ด สุ ด
เลือดในกายเดือดพล่านเต็มที่ พลันได้ยินสุ้มเสียงลุ่มลึก คารามก้องมาจาก
ด้านหน้าสุดของกระบวนทัพ
“ฆ่า!”
แทบจะไม่ รู้ สึ ก ตั ว จิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ ท้ั ง หมด แรงสั่ น สะเทื อ น
ทั้งหมด คล้ายกับพบพานที่ระบาย ทะลักทลายออกไปอย่างฉับพลัน!
ทุกผู้คนตวาดก้องด้วยพลังทั้งหมด!
“ฆ่า!”
เหล่าองครักษ์ทุกข์ยากต่อยหมัดออกไปอย่างอย่างหักโหม!
พลังงานสีดาที่หนาแน่นจนแทบจับต้องได้ร้อยกว่าสาย พวยพุ่งออก
จากหมัดของพวกมันอย่างพร้อมเพรียง
ทั น ที ที่ พ ลั ง งานสี ด าหลุด ออกจากหมั ด ของเหล่า องครั ก ษ์ ทุ กข์ยาก
พวกมันคล้ายถูกดึงดูด พุ่งลิ่วไปรวมกันยังหมัดของจั่วม่อในบัดดล
พลังงานสีดาบนหมัดของจั่วม่อพลันขยายใหญ่พรวดพราดเป็ น สิ บ
เท่า พลังสีดาห่อหุ้มถึงข้อมือ ลุกลามมาตามท่อนแขน จนเมื่อปกคลุมถึง
ข้อศอกก็หยุดยัง้ ลง
คล้ า ยภู ต เทพดลใจ จั่ ว ม่ อ แม้ ต วาดค า ‘ฆ่ า ’ แต่ ก ลั บ ไม่ ไ ด้ ต่อยหมัด
ออก ฝืนหน่วงรั้งพลังทั้งมวลเอาไว้ชั่วครู่
จนกระทั่งชั่วพริบตานี้!
หมัดซ้ายของจั่วม่อประดุจถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนหนาหนัก ดูเหมือน
ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลในการเคลื่อนไหวแต่ละชุ่น ค่อย ๆ ต่อยหมัดขึ้น
ไปบนท้องฟ้าอย่างลาบากกินแรง!
กาลเวลาดูเหมือนว่าเชื่องช้าลงอย่างฉับ พลัน หมัดของจั่วม่อคล้าย
ต่อยออกมาอย่างเชื่องช้ายิ่ง
พื้นใต้ฝ่าเท้าเริ่มสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เศษดินเศษหินเต้นเร่า จากนั้น
คล้ายถูกดึงดูดด้วยแรงมหาศาล ดีดผึงขึ้นจากพื้น ลอยสูงขึ้นอย่างแช่มช้า
จากนั้นถูกบดขยี้เป็นผุยผงภายใต้แรงกดอัดอันกราดเกรี้ยว
เศษฝุ่นดิน ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นภาพที่น่าขนพองสยอง
เกล้าไม่น้อย
วู้ม!
เสียงคารามต่าลึกกระหึ่มก้อง ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด ค่อยๆ ดังขึ้นดัง
ขึ้ น เรื่ อยๆ เมื่ อแผ่ น ดิ น ถู ก บดขยี้ เสี ย งสั่ น สะเทื อ นก็ ก ลายเป็ น กึ ก ก้ อ ง
กัมปนาท!
ตูม!
โสตประสาทของทุกผู้คนถูกกลืนหายไป ภายใต้กระแสเสียงกัมปนาท
ที่ทะลักทลายไม่ขาดหู
กาลเวลาคล้ายกลับมาเคลื่อนตามปกติอีกครัง้ หมัดซ้ายของจั่วม่อต่อ
ยออกไปอย่างเกรี้ยวกราดดุดัน พลังงานสีดาดุจมังกรทมิฬทะยานขึ้นจาก
หุบเหวลึก พกพาเจตจานงฆ่ าฟัน อันลึ กซึ้ ง และฤทธานุ ภ าพปานสยบใต้
หล้า ตรงเข้าปะทะกับราชันยักษ์ที่ถล่มลงมาอย่างไม่กลัวเกรง!
ภาพอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แทบบันดาล
ให้ผู้คนหยุดหายใจ
เห็นลาแสงหนึ่งดาหนึ่งเขียว ไม่มีเล่ห์กลอุบายอันใด ตรงเข้าปะทะห้า
หั่นอย่างหักโหม!
ตูม!
พริบตาที่พลังอันกร้าวแกร่งสุดขั้วสองขุม ปะทะชนกัน พลันบังเกิด
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นโลก ประหนึ่งว่าเพียงเริ่มประมือ การต่อสู้ก็ไต่ขึ้นไป
ถึ ง จุ ด สู ง สุ ด ในบั ด ดล ทุ ก ผู้ ค นตกตะลึ ง จนตั ว ชา หวาดหวั่ น พรั่ น พรึ ง จน
ไม่ได้ต อบสนอง เมื่อคลื่นพลังจากการระเบิด อันน่ากลั วโหมซัดมาถึ ง ดุ จ
คลื่นยักษ์ถล่มใส่ พวกมันก็ไม่ทันได้ต่อต้านแข็งขืนแล้ว
ผู้ที่ปฏิกิริยาเชื่องช้าถูกกระแทกกวาดจนปลิวลิ่วระเนระนาด ใบหน้า
เต็มไปด้วยความหวาดผวา
ชั่วอึดใจให้ห ลัง พวกมันค่อยดิ้นรนลุกขึ้นยื น แต่ทันทีที่เงยหน้ า ขึ้ น
มองบนฟากฟ้า สีหน้าหวาดกลัวพลันแข็งค้างบนใบหน้า ร่างแข็งทื่อดุจรู ป
สลักหิน
เห็ น พลั ง งานสี ด าโปรยปรายลงมาในสมรภู มิ ดุ จ ห่ า ฝน ท่ า มกลาง
พลังงานสีดาแทรกริ้วสีทองทอประกายวาววับ ประหนึ่งแสงแดดฉายส่อง
กลางพายุที่มืดมิดที่สุด สว่างสดใสหาใดเทียบ
ส่วนกองทัพยักษาเขียวที่ข่มขู่คุกคามคนจนถึงเมื่อครู่ ดูราวกับถูกลบ
ออกไปจากอากาศโดยตรง ไม่ ห ลงเหลื อร่ อ งรอยการคงอยู่ ข องพวกมัน
แม้แต่น้อย!

ห่าพิรุณพลังงานสีดาแตะแต้มด้วยจุดแสงสีทองพร่างพรมลงมาช้า ๆ
เพิ่มกลิ่นอายประหลาดลี้ลับให้แก่ท้องนภาชั้นหนึ่ง
แม้ว่านี่ยังเป็นยามบ่ายอันร้อนแรง ถังเฟยกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น
แม้แต่น้อย นางมือเท้าเย็นเฉียบ ประหนึ่งว่ายืนอยู่ในความมืดมิดของยาม
เที่ยงคืนในราตรีอันหนาวเหน็บที่สุดก็มิปาน ใบหน้าขาวเผือดราวกระดาษ
กระทั่งสีเลือดส่วนเสี้ยวสุดท้ายยังเลือนหายไปสิ้น
ฉากเหตุ ก ารณ์ เ มื่ อครู่ ก ระชั้ น สั้นเพี ยงชั่ ว อึ ด ใจเดี ยว แต่ ไ ม่ ต่ า งจาก
เถาวัลย์พิษอันร้ายกาจ แพร่กระจายไปในร่างนางอย่างบ้าคลั่ง
นั่ น เป็ น ไพร่ พ ลยั ก ษาเขี ย วร่ ว มสี่ ร้ อ ยตน! นางมี ส ายตาแหลมคม
แม่นยา แทบไม่เคยมองผิดพลาดมาก่อน สามารถเห็นได้ว่ายักษาเขียวที่
โถมเข้าจู่โจมกลุ่มคนน่ารังเกียจซึ่งผุดออกมาอย่างกะทันหันนี้ มีจานวน
มากมายเท่าใด
สี่ร้อยยักษาเขียวที่ใช้กระบวนทัพราชันยักษ์อันร้ายกาจ ถึงกับถูกกอง
กาลังหนึ่งร้อยคนทาลายสิ้น! ไม่มีผู้ใดเหลือรอดแม้แต่คนเดียว ไม่ถูกต้อง
สมควรบอกว่าไม่เหลือแม้แต่เศษซากฝุ่นธุลีจึงถูกต้องกว่า
มิหนาซ้าพวกมันเพิ่งปะทะหักหาญกันเพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น!
หากมีคนเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง ถังเฟยต้องหัว ร่องอหายอย่างแน่นอน
แต่ยามนี้ นางหัวร่อไม่ออกแม้แต่ครึ่งคา
ไม่มีผู้ใดหัวร่อออก
โซ่วผิงมือเท้าเย็นเฉียบไม่ต่างกัน มันแหงนหน้าเหม่อมองบนท้องฟ้า
อย่างโง่งม สีหน้าแข็งค้าง บรรดาองครักษ์ดาวสวรรค์คนอื่น ๆ ถึงกับย่าแย่
ยิ่งกว่า พวกมันคล้ายคนที่ถูกพรากดวงวิญญาณ เกรงว่าแม้แต่คนธรรมดา
ยังสามารถมองเห็นความหวาดกลัวลึก ๆ ในดวงตาของพวกมันได้อย่ า ง
ชัดเจน
เขิงเหลียนเอ๋อร์แววตาแปรเปลี่ยนไม่ห ยุดยั้ง นางเองก็ต่ ืนตระหนก
สุดระงับ
ทว่าในขณะที่ผู้อ่ ืนตื่นตะลึงในความแกร่งกล้าของกองทัพหนึ่งร้อย
คน นางกลับตื่นตระหนกกับสิ่งอื่น

ยั ก ษ า เ ขี ย ว ที่ ยั ง ห ล ง เ ห ลื อ อี ก ร า ว ส า ม ร้ อ ย ข วั ญ วิ ญ ญ า ณ
กระเจิดกระเจิง พากันแตกฮือหลบหนีราวกั บเสียสติ สูญสิ้นความเหี้ย ม
หาญอย่างสิ้นเชิง กองทัพแตกพ่ายดุจภูผาทลาย ยักษาเขียวมากมายลน
ลานหลบหนีไม่คิดชีวิต โดยไม่รู้ทิศทาง บินตุปัดตุเป๋ราวกับว่าสามารถล้ม
คว่าได้ทุกเมื่อ บนใบหน้ามี แต่ความประหวั่นพรั่นพรึง เป็นความประหวั่น
พรั่นพรึงที่ลึกล้าจนสุดประมาณ ฉากการต่อสู้ครั้งนี เกรงว่าชั่วชีวิ ต ของ
พวกมันอาจไม่มีวันลืมเลือนได้
ไม่มีผู้ใดหัวร่อเยาะพวกยักษาเขียว พวกมันเชื่อว่าภายใต้สภาพการณ์
ตรงหน้า ไม่มีกองทัพใดที่ไม่ล่มสลาย
แม้แต่พวกมัน ซึ่งเพียงแต่เฝ้าดูการต่อสู้ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ยังสูญเสีย
ความกล้าหาญไปสิ้น ต่อให้หยิบยืมกาลังขวัญแก่พวกมันอีกสิบดวง ยังไม่
กล้าเผชิญหน้ากับกองกาลังร้อยคนนี้
พวกมันจ้องมองพวกจั่วม่อ ราวกับว่ากาลังมองดูมารร้ายที่คืบคลาน
ขึ้นมาจากนรกเก้าขุมใต้พ้ น
ื โลก
ครั่นคร้ามยาเกรง!
การต่อสู้อันสะท้านขวัญสั่นประสาทเมื่อครู่ สลักความครั่นคร้ามยา
เกรงลึกลงไปในกระดูกของคนเหล่านี้ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้พวกมันไม่อ าจลืม
เลือนได้เช่นกัน
บุรุษหนุ่มที่ดูคล้ายอายุไม่ถึงยี่สิบปีผู้นี้ เป็นมารร้ายที่แท้จริง!
มีเพียงปิศาจสูงศักดิ์ที่ลึกซึ้งชั่ วร้ายเท่านั้น จึงจะครอบครองพลั งอัน
น่าสะพรึงกลัวถึงปานนี้ได้
เสียงกรีดร้องเสียขวัญของบรรดายักษาเขียวค่อย ๆ เลือนหายไปใน
ระยะไกล สมรภูมิเดือดอันกว้างใหญ่กลับกลายเป็นเงียบสงัดดุจป่าช้า
ขณะที่ผู้อ่ น
ื ยังคงต่อสู้ดิ้นรนกับความหวาดกลัวในจิตใจของพวกมัน ซู่
หลงกับพวกกาลังตื่นตาตื่นใจกับการโจมตีอันยอดเยี่ยมเมื่อสักครู่ ซู่หลง
นับถือเลื่อมใสต้าเหรินจนหมดใจ ซึ่งความจริงกระบวนท่าเมื่อครู่เป็นเพียง
ท่าปิศาจน้อยสังหารของค่ ายกลปิ ศ าจสัง หารภูต อี ก าเท่ านั้น ทว่ามีพ ลั ง
มากกว่าปกติถึงสิบเท่า!
ต้าเหรินเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพปิศาจโดยแท้!
จั่ ว ม่ อ ไม่ ล่ ว งรู้ ว่ า ซู่ ห ลงก าลั ง คิ ด อะไร แต่ ก ระบวนท่ า เมื่ อครู่ ค ล้ า ย
กระตุ้นเตือน จุดประกายความคิดอันบรรเจิดให้แก่มัน
มันรู้สึกราวกับไขว่คว้าถูกเคล็ดลับบางประการ
บทที่ 564 การค้นพบใหม่

ด่านเจียง!
นี่คือพลังของด่านเจียง? จั่วม่อคิดทบทวนความรู้สึกเมื่อครู่ นั่นเป็น
การกระท าที่ ค ล้ อ ยตามธรรมชาติ เป็ น การเปลี่ ย นแปลงจากเดิ ม เพี ย ง
เล็กน้อยเท่านั้น ทว่ากลับทาให้พลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล การชักนา
พลังของกองทัพมารวมกัน แต่กลับหน่วงรั้ง เอาไว้ ไม่จู่โจมออกในทั น ที
ต้องใช้ฝีมือควบคุมระดับสูงกว่าเดิมมาก หากในอดีตมันพยายามทาเช่นนี้
หลังจากเหล่าไพร่พลค่ายเว่ยตวาดคา ‘ฆ่า’ มันจะไม่มีปัญญาหน่วงพลัง
มหาศาลถึงปานนั้น เอาไว้ ไ ด้ เจตจ านงฆ่าฟันอั นพลุ่ งพล่ านเกรี้ ยวกราด
หากมิจู่โจมออกไปในบัดดล เกรงว่าจะย้อนกลับมากระแทกทาร้ายตัวมัน
เองแทนแล้ว
ควบคุมบังคับ นี่คือพลังในการควบคุมบังคับ ระดับการควบคุมบังคับ
ที่มีแต่บรรลุด่านเจียงจึงสามารถกระทาได้
มั น ในที่ สุ ด ก็ เ ข้ า ใจชั ด ว่ า ไฉนเหล่ า แม่ ทั พ ปิ ศ าจล้ ว นเป็ น บุ ค คลอั น
แกร่ ง กล้ า เกรี ย งไกร เมื่ อต้ อ งรวมรั้ ง พลั ง ของคนนั บ หมื่ นไว้ ที่ จุ ด เดี ย ว
น อ ก เ ห นื อ จ า ก ก า ร ร่ ว ม มื อ ป ร ะ ส า น ง า น อั น น่ า ทึ่ ง แ ล้ ว ยั ง ต้ อ ง มี
ความสามารถในการควบคุมบังคับพลังงานอย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย พลัง
มหาศาลที่ไหลบ่าเข้ามาพร้อมกัน หากเป็นผู้ที่ พลังสังขารไม่เข้มแข็งพอ
ไหนเลยจะทนทานรับไหว เกรงว่าคงแตกระเบิดเป็นผุยผงตั้งแต่แรก
มิหนาซ้าในยามนี้ มันยังค้นพบวิธีการใช้พลังเทพอันน่าอัศจรรย์
ที่แท้พลังเทพสามารถเพิ่มความต้านทานในการรองรับพลังมหาศาล
ที่ว่านี้ได้!
สาหรับยอดยุทธ์เผ่าปิศาจทั่วไป นี่อาจไม่สาคัญนัก แต่สาหรับแม่ทัพ
ปิศาจ นับเป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่งยวด!
การควบคุ ม บัง คั บพลัง เทพเป็นจุ ดอ่ อนของจั่ ว ม่อ มาโดยตลอด ผิด
จากเขิงเหลียนเอ๋อร์และอากุ่ ย ที่สามารถควบคุมพลังเทพได้อย่างหมดจด
งดงาม ไร้ ร่ อ งรอยให้ สื บ สาว ภู ต เทพยากหยั่ ง คาด จนฝ่ า ยตรงข้ า มไม่มี
ปัญญาระวังป้องกันได้ ทรงอานุภาพอัศจรรย์พันลึก แต่จ่ัวม่อไม่สามารถ
บรรลุระดับเดียวกันกับพวกนางทั้งสอง วิธีการโคจรบังคับพลังเทพของมัน
หยาบกระด้ า งยิ่ ง ใบไม้ ท องค าที่ มั น ครอบครองแทบไม่ ต่ า งจากคั ม ภี ร์
สวรรค์เล่มหนึ่ง ยากที่จะอ่านออก ทั้งยังยากจะทาความเข้าใจยิ่งกว่า มัน
ได้แต่ใช้พลังเทพเพื่อฝึ กปรือพลั งทั้ งสามเท่ านั้น การฝึกปรือพลัง เทพมี
ความรุดหน้ารวดเร็วกว่าฝึกปรือพลังทั้งสามโดยตรงมาก
อากุ่ยไม่ส ามารถกล่า ววาจา ส่วนเขิงเหลี ยนเอ๋อร์แม้ส ามารถกล่ า ว
วาจา แต่จ่ว
ั ม่อย่อมไม่คิดถามไถ่นาง มันตัดสินใจลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
ดีกว่าที่จะยุ่งเกี่ยวกับสตรีอันตรายนางนั้น
จวบจนกระทั่งวันนี้!
การหน่วงรั้งพลังเพียงชั่ ววู บนั้น กลับช่วยให้มันไขว่คว้ า เคล็ ด โคจร
พลังเทพรูปแบบใหม่อย่างสมบูรณ์
จั่วม่อไม่ได้แน่วแน่พากเพียรและมุ่งมั่นเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ ช่วงเวลาที่
มั น มุ ม านะบากบั่ น ในวั น นี้ ก็ เ พี ย งเพื่ อ ที่ จ ะได้ อ ยู่ อ ย่ า งเกี ย จคร้ า นในวั น
ข้างหน้า แต่ไม่เป็นที่กังขาเลยว่ามันก็เป็นบุคคลอันปราดเปรื่องผู้หนึ่ง
รอจนมันพบว่าพลังเทพในกายโคจรร่วมกับสังขารปิศาจของมัน ใน
การโจมตีเมื่อครู่ มันก็ถามไถ่ตัวเองทันที เช่นนั้นมันสามารถเสริมพลังเทพ
เข้าไปในพลังปราณได้หรือไม่ ? แล้วสามารถผสานรวมกับพลังจิตสานึกได้
หรือไม่?
ความคิดนี้พอผุดขึ้น มันกลายเป็นตื่นเต้นลิงโลดสุดระงับ!
เมื่อได้ลิ้มรสชาติหอมหวาน มันแทบทนรอไม่ไหวที่จะเริ่มต้นทดลอง
ดูทันที อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้มันก็ได้แต่คิดเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่
ต้องจัดการเสียก่อน
มิผิด อย่างเช่นการค้าที่มีกาไรดีงาม

ทุ ก ผู้ ค นค่ อ ย ๆ ฟื้ นคื น สติ จ ากสภาพเงี ย บสงั ด ดุ จ ป่ า ช้ า ความ


หวาดกลัวบนใบหน้าจางหายไปมาก แต่เมื่อใดที่พวกมันกวาดตามองไปยัง
จั่วม่อกับพวก ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ เหล่าองครักษ์ ดาวสวรรค์ล อบถอย
ห่ า งจากพวกจั่ ว ม่ อ อย่ า งเงี ย บเชี ย บ หากมิ ใ ช่ ว่ า คุ ณ หนู อ ยู่ ที่ นี่ พวกมั น
จะต้องหมุนตัววิ่งไม่ เหลีย วหลั ง โกยอ้าวกลั บไปยั งอาณาจั ก รเศษหิ น ใน
บัดดล ยามนี้กระทั่งโซ่วผิงยังเริ่มหวนหาอาวรณ์อาณาจักรเศษหินอันสงบ
สุขขึ้นมาจับใจ
อย่างไรก็ตามมันสังเกตเห็นว่าในสายตาของคุณหนู ชัยชนะอันเฉียบ
ขาดของค่ายเว่ยหาใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใดไม่
“ชงชาสักหน่อย” เขิงเหลียนเอ๋อร์เอ่ยปากเสียงเรียบ
เหยียนเอ๋อร์คล้ายเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝัน เริ่มจุดไฟต้มน้าอย่างเก้ ๆ กัง
ๆ ทว่าบนใบหน้านางยังฉายแววหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ มือสั่นสะท้านอย่าง
ไม่อาจบังคับควบคุม
เขิงเหลียนเอ๋อร์เหลือบมองสาวใช้คู่ใจแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวเบา ๆ
“มา ให้ข้าทาเอง”
เตาถ่านสีม่วงสด หม้อดินเผาสีดาสนิท โต๊ะชงชาเล็ก ๆ ถาดชาไม้ไผ่
กาน้าชาเล็กๆ สีฟ้าท้องนภา ถ้วยชาเคลือบสีขาวมุก และเขิงเหลียนเอ๋อร์ที่
นั่งท่าเทพธิดาอยู่บนพื้นพร้อมกระโปรงสีดาจีบซ้อนเป็นชั้น ๆ ดุจบุปผา
บานสะพรั่ ง อย่ า งเงี ย บงั น ในห้ ว งรั ต ติ ก าล แต่ ล ะท่ ว งท่ า ของนางสู ง สง่ า
งดงาม สีห น้าสงบราบเรียบ ใบหน้างามสะคราญไร้คู่เปรียบดูสุข ส าราญ
บานใจราวกับนั่งทอดอารมณ์อยู่ในลานบ้านของนางเอง
นั่งจิบชาอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบอันยุ่งเหยิงวุ่นวาย นางโดดเด่นสะดุด
ตาเป็นพิเศษ
เหล่ายอดฝีมือสังกัดหน่วยองครักษ์ ดาวสวรรค์เหลียวมองกัน ไปมา
อย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง คุณหนูยังมีทีท่าสงบ
เยือกเย็นถึงเพียงนี้ แต่พวกมันกลับคิดหลบลี้หนีหน้าไปให้ไกลที่สุด นี่มิใช่
อับอายขายหน้าจะเป็นอะไร!
หน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์ที่แตกตื่นลนลาน สงบใจลงอย่างรวดเร็ว
“บริวารช่างใช้การไม่ได้!” โซ่วผิงยอมรับผิดแต่โดยดี สีหน้าละอายใจ
เขิงเหลียนเอ๋อร์ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างเนิบนาบ ขนตายาวงอนดูพร่า
เลือนท่ามกลางละไอหมอกควันจากถ้วยชา ใบหน้าอ่อนหวานทรงเสน่ห์
กลายเป็นเลือนราง คล้ายจริงคล้ายมายา นางกล่าวเสียงราบเรียบ “เป็น
การดีแล้วที่เจ้าได้เห็นพลังของแม่ทัพด่านเจียงสักครั้ง”
“ด่านเจียง!” โซ่วผิงดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ “สวรรค์ มันยัง
เยาว์วัยยิ่ง!”
“นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะต้องเชื่อฟังคาสั่งของมันโดยไม่มีเงื่อนไข”
สุ้มเสียงไพเราะของเขิง เหลียนเอ๋อ ร์ล่ องลอยผ่ านม่า นไอน้ าจากถ้ ว ยชา
ผ่านเข้าไปในหูของโซ่วผิงอย่างชัดเจน
“นี่... ...” โซ่วผิงลังเลใจ พวกมันเป็นองครักษ์ส่วนตัวของคุณหนู ทว่า
คุณหนูกลับบอกให้พวกมันเชื่อฟังคาสั่งของผู้อ่ ืน โซ่วผิงย่อมอดไม่ได้ให้
รู้สึกไม่ยินดี
เขิงเหลียนเอ๋อร์จิบชาไปตามปกติ กระทั่งสายตาก็ไม่เหลือบแลขึ้ น
มอง ราวกับว่าผู้ที่กล่าววาจาเมื่อครู่มิใช่นาง
โซ่ ว ผิ ง รวบรวมความกล้ า กล่ า วถามด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งติ ด จะฉงนงุ น งง
“คุณหนู บริวารไม่เข้าใจว่าคุณหนูคิดอันใด? คนผู้นี้ประวัติความเป็นมาไม่
ชัดเจน หนทางข้างหน้าของมันสุ่มเสี่ยงอันตรายยากจะหยั่งคานวณ... ...”
“เจ้าไม่เชื่อฟัง?” เขิงเหลียนเอ๋อร์วางถ้วยชาลงอย่างนุ่มนวล สุ้มเสียง
ราบเรียบของนางแฝงเค้าความเย็นยะเยือกชนิดหนึ่ง
“ผู้น้อยมิบังอาจ!” โซ่วผิงเหงื่อเย็นไหลท่วมตัว มันล่วงรู้อารมณ์ของ
คุณหนูเป็นอย่างดี หากมันลังเลแม้แต่น้อย เกรงว่าคุณหนูกระทั่งคาที่สอง
ก็ไม่เอ่ยปากให้เสียเวลา อาจเชือดมันทิง้ ในบัดดล
“ไปเถอะ” เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวเบา ๆ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ชั่วพริบตาที่ประโยคนี้กล่าวออกมา โซ่วผิงแผ่นหลังชุ่มโชกไปด้ ว ย
เหงื่อเย็น อดลอบทอดถอนชมเชยไม่ได้ กระทั่งเจี้ยจู่ตอนที่อายุเท่านี้ยังไม่
มีท่วงท่าสภาวะเท่ากับคุณหนู
มันไม่กล้าสอบถามมากความ รีบล่าถอยออกมาทันที
แต่รอจนมันเดินกลับไปสมทบกับพรรคพวก ค่อยฉุกใจคิดขึ้นมาอย่าง
กะทันหัน คา ‘ไปเถอะ’ ของคุณหนูหมายความว่าอย่างไร?
คงมิใช่ไล่พวกมันกลับไปกระมัง? โซ่วผิงฝืนยิ้มขมขื่น

“เราผู้เฒ่า เถาซิง ขอบคุณเสี่ยวเกอยื่นมือช่วยเหลือด้วยคุณธรรม”


เถาซิงประสานมือกล่าวต่อจั่วม่ออย่างเกรงอกเกรงใจ พลานุภาพที่จ่ัวม่อ
สาแดงออกมาเมื่อครู่ทาให้มันสะท้านใจอย่างรุ นแรง อดสงสัยใคร่รู้มิได้ว่า
จั่วม่อที่แท้เป็นยอดคนเส้นทางใด ยอดยุทธ์อายุเยาว์ที่เข้มแข็งถึงเพีย งนี้
ไหนเลยจู่ ๆ ก็ผุดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไปได้
“ไม่ต้องมากมารยาท นี่เป็นเพียงแค่การค้ารายหนึ่งเท่านั้น” จั่วม่อ
โบกมือตัดบทด้วยสีหน้าไม่ไยดี
มันไม่กล่าวยังพอทาเนา ประโยคนี้พอกล่าวออกมา แม่นางถังเฟยสี
หน้าเขียวคล้าลงทันควัน สะกิดให้นางหวนนึกถึงพฤติการณ์ที่ผ่านมาของ
อีกฝ่าย ต้องบันดาลโทสะขึ้นมาอีกรอบ ผู้อ่ น
ื ขู่กรรโชกกันชัด ๆ! ถือโอกาส
ปล้นชิงพวกมันโดยอาศัย เภทภัย คุก คาม! ในความเห็นของนาง ผู้ที่ฉวย
โอกาสกระทาเช่นนี้ในช่วงที่ผู้อ่ ืนประสบภัย นับเป็นพฤติการณ์อันเลวร้าย
ยิ่ง
แต่นางแม้ขุ่นแค้นขัดเคือง ยังคงพยายามระงับใจไว้
กระทั่งถึงยามนี้ ภาพการโจมตีอันน่าอัศจรรย์เมื่อครู่ยังกระจ่างชัดอยู่
ในใจนาง
“ข้าสมควรเรียกหาเสี่ยวเกอว่ากระไร? พวกเจ้ามาจากที่ใด?” เถาซิง
ซักถามอย่างยิ้มแย้ม เรื่องที่ทาให้ถังเฟยขุ่นเคืองมันกลับไม่ถือสา แม้ว่า
ราคาที่ต้องจ่ายจะชวนให้เจ็บปวดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อรักษาชีวิต เอาไว้ได้ก็
นับว่าคุ้มค่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคราครั้งนี้ผู้อ่ ืนจะต้องร่วมทางกับพวกมันไป
ยังเมืองไร้จุดจบ จึงไม่ต้องห่วงกังวลกับความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง
ของพวกมันอีก เรียกได้ว่าเป็นหลักประกันชั้นยอดสาหรับพวกมันทีเดียว
“เรียกข้าว่าจั่วก็พอ” จั่วม่อเป็นมือเก่าอันช่าชอง ไหนเลยไม่เข้าใจว่า
ผู้อ่ ืนกาลังตะล่อมถามอันใด มันทาท่าราวกับว่าไม่ได้ยินคาถามที่สองของ
เถาซิงก็มิปาน
เถาซิงไม่ถือสาหาความ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “อาจั่วเจ้ายังหนุ่มแน่น
ถึงเพียงนี้กลับบรรลุถึงด่านเจียง อนาคตของเจ้าเกรงว่าจะต้องยาวไกลไร้
ขีดจากัดแล้ว!”
ถังเฟยที่ด้านข้างพอฟังก็สีห น้าแปรเปลี่ยนอย่างรุ นแรง จอมปิศาจ
ด่านเจียง! เจ้าคนที่เน่าเหม็นไปถึงแก่นแกนผู้นี้ ถึงกับเป็นจอมปิศาจด่าน
เจียงผู้หนึ่ง! จากนั้นนางค่อยมีสีหน้าตะหนักรู้ มิน่าเล่าคนผู้นี้จึงมีฝีมือร้าย
กาจถึงเพียงนี้
ถังเฟยแม้พอมีความเข้มแข็งอยู่บ้าง แต่จะอย่างไรยังคงอยู่ในด่านถง
หลิ่ง ในบรรดาขุนพลเผ่าปิศาจ ปิศาจด่านถงหลิ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นแม่
ทัพบัญชาการศึกระดับเงิน ส่วนแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง โดยมากจะ
เป็นจอมปิศาจด่านเจียงหรือเหนือกว่านั้น
คนผู้นี้ใช่เป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองหรือไม่ ? ถังเฟยลอบสั่น
ศีรษะ นางรู้สึกว่าความคิดของนางเหลวไหลเกินไป แม่ทัพบัญชาการศึก
ระดับทองที่ยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ มีเพียงตระกูล สูงศักดิ์ที่ทรงอานาจราช
ศักดิ์ที่สุดจึงสามารถเพาะสร้างขึ้นได้
คนน่ารังเกียจเบื้องหน้านางผู้นี้มีเพียงความโลภโมโทสันไร้ผู้เ ปรี ยบ
ติด ไหนเลยจะมีท่วงท่าสภาวะและศักดิศ
์ รีบารมีของตระกูลสูงศักดิอ
์ ันใด?
“อีกนานเท่าใดจึงจะไปถึงอาณาจักรหุบเหวทมิฬ?” จั่วม่อถามเถาซิง
เถาซิงขบคิดแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “สมควรอยู่ระหว่างหนึ่งเดือนหรือ
มากกว่านั้นเล็กน้อย”
“อา เช่ น นั้ น ก็ รี บ ออกเดิ น ทางเถอะ” จั่ ว ม่ อ เห็ น ได้ ชั ด ว่ า ไม่ มี ค วาม
สนใจที่จะสนทนาปราศรัย จึงตัดบททันที
เถาซิงตกตะลึงอยู่บ้าง ควรทราบว่าอาศัยศักดิ์ฐานะของมัน ไม่ว่าไป
ยังที่ได้ก็รับความเคารพนบนอบและดูแลเอาใจใส่ มันเพิ่งเคยพบพานคน
เช่ น จั่ ว ม่ อ เป็ น ครั้ ง แรก คนที่ ไ ม่ ส นใจมารยาท กระทั่ ง จะสนทนากั น สั ก
เล็กน้อยยังไม่มีแก่ใจ
ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!
ถังเฟยเพิ่มคาวิพากษ์วิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสียอีกข้อหนึ่งลงไปใน
รายการของนาง

จั่ ว ม่ อ สั ง เกตเห็ น ว่ า มี ส ายตามากมายเฝ้ า มองการต่ อ สู้ จ ากเงามื ด


อย่างไรก็ต าม เนื่องจากถูกการโจมตีอันน่ าสะพรึ งกลั วของจั่ วม่อ ขู่ ข วั ญ
เหล่าสายสืบที่ห ลบซ่อนตัวพากันอกสั่นขวัญแขวน ได้แต่ล อบติดตามใน
ระยะไกล พวกมันหวั่นใจว่าหากติดตามกระชั้นชิดเกินไป ผู้อ่ น
ื ยามมีโทสะ
อาจบดขยี้พวกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียเปล่า ๆ
จั่วม่อมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการลองผิดลองถูกของมัน ไม่ได้สังเกตเห็น
ว่าในตอนนี้ ชื่อเสียงของค่ายเว่ยได้ตกลงสู่สายตาของหลาย ๆ คน
การศึกที่พวกมันเข่นฆ่าสี่ร้อยยักษาเขียวในหมัดเดียว ก่อให้เกิดความ
ปั่ นป่วนครั้งใหญ่ เผชิญหน้ากับกระบวนทัพราชันยักษ์ ทั้งยังสามารถบด
ขยี้ศัต รู ในหมัดเดียว ความร้ายกาจของกองทัพค่ายเว่ยก็ย่ อมเป็น ที่ ค าด
คานวณได้ ข่าวสารเกี่ยวกับผู้น าของค่ ายเว่ ยถูก กลุ่มเหล่ านี้ เร่ งรวบรวม
อย่างรวดเร็ว
บันทึกภาพมายาต่าง ๆ ทยอยปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย
ค่ายเว่ยประวัติความเป็นมาเร้นลับสุดหยั่ง ไม่มีร่องรอยให้สืบสาว ไม่
มีผู้ใดล่วงรู้ชาติกาเนิดของพวกมัน ทั้งยังไม่ทราบว่าพวกมันสังกัดขุมกาลัง
ใด
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากที่สุดคือจั่วม่อยังเยาว์วัยยิ่ง แต่
กลับบรรลุด่านเจียง เรื่องนี้เรียกสายตามากมายให้หันมาจับจ้องมันเป็น
ตาเดียว หลายคนพยายามคาดเดาฉากหลังของจั่วม่อ แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์อัน
ใด
ทว่าสิ่งที่จ่ัวม่อต้อ งคิ ด ไม่ถึง เป็ นแน่ นั่นก็คือการค้ าของมันหนนี้ ได้
ล่ อ ลวงขุ ม อ านาจที่ หลบซ่ อนตัว อยู่ ใ นเงามื ด จานวนมากให้ มุ่ ง เป้า มายัง
พวกมัน
นี่เป็นการค้ารายใหญ่ที่สั่นไหวจิตใจผู้คนอย่างแท้จริง!

จั่วม่อไม่ได้แยแสสนใจขบวนของเถาซิงแม้แต่น้อย มันแทบอดใจรอ
ไม่ ไ หว อยากทดสอบความคิ ด ที่ เ พิ่ ง ค้ น พบ ปรารถนาจะปิ ด ด่ า นฝึ ก ตน
ในทันที
แต่ เ ห็ น ได้ ชั ด ว่ า ความต้ อ งการนี้ ไ ม่ เ หมาะกั บ สภาพความจริ ง เมื่ อ
ก าลั ง เร่ ง เดิ น ทาง มั น ก็ ไ ด้ แ ต่ คิ ด ฝั น เท่ า นั้ น แต่ ใ นไม่ ช้ า มั น ก็ เ ริ่ ม ศึ ก ษา
ค้นคว้าเคล็ดลับบางอย่างที่พอจะทาได้ในระหว่างทาง
“มันนับเป็นยอดแม่ทัพปิศาจอันเด่นล้าโดยแท้” ระยะนี้เว่ยคอยเฝ้าดู
การทดลองของจั่วม่ออย่างสนอกสนใจ ระหว่างนั้นจั่วม่อยังขอคาปรึกษา
จากมั น หลายต่ อ หลายครั้ ง โดยเฉพาะในด้ า นศาสตร์ วิ ช าของแม่ ทั พ
บัญชาการศึก จั่วม่อไม่มีฝีมือในด้านพิชัยยุทธ์ของแม่ทัพอสูรเหมือนเช่น
กงซุนชา แต่เมื่อเป็นพิชัยยุทธ์ของแม่ทัพปิศาจ มันกลับทาความเข้าใจได้
อย่างรวดเร็วยิ่ง และมักจะสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ ที่ทาเอาเว่ยถึงกับ
ทอดถอนชมเชยอยู่บ่อยครั้ง
“ฮึ่ ม !” ผู เ ยาสี ห น้ า ขุ่ น ข้ อ งใจ ทุ ก วี่ วั น มั น จะอยู่ ใ นคุ ก สิ บ นิ้ ว คอย
ทรมาทรกรรมกองทัพอสูรในสังกัดของตน ทั้งหนานเยว่ คังเจ๋อและเหล่า
อสูรที่น่าสงสาร ระหว่างวันก็ต้องเดินทาง พอมีเวลาว่างยังต้องนาไปใช้ใน
คุกสิบนิ้วทั้งหมด วันคืนของพวกมันผ่านไปอย่างลาบากยากเข็ญยิ่ง
อย่างไรก็ตาม หนานเยว่กับพวกในยามนี้มีแต่จะกัดฟันทนผ่านไปให้
ได้ การเดินทางครั้งนี้ส อนให้พวกมันเข้า ใจลึกซึ้ง ไปกระดูกด า ว่าในช่ ว ง
เวลาแห่งกลียุคเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดสาคัญมากไปกว่าพลังอันเข้มแข็งอีกแล้ว
สิ่งที่ทาให้ผูเยาสลดหดหู่อยู่บ้าง ก็คือการเพรียกหาของมันไม่เกิดผล
อั น ใดแม้ แ ต่ น้ อ ย ในขณะที่ สั ญ ญาเพรี ย กโลหิ ต ของเว่ ย มี ปิ ศ าจสองตน
สนองตอบแล้ว
อุบาทว์บัดซบ!
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ผูเยาชะงักกึกอย่างกะทันหัน พลันผุดลุกขึ้นยืน
นัยน์ตาสีโลหิตทอประกายวาบ ร่างหายวับไปในอากาศ
มีอสูรตนหนึ่งตอบสนองต่อคาเพรียกหาแล้ว!
บทที่ 565 อสูรสนองตอบเสียงเพรียก

ผู เ ยาอยู่ ใ นอารมณ์ ที่ ซั บซ้ อ น เดิ น ทอดน่ อ งเนิ บ นาบคล้า ยจมอยู่ใน


ภวังค์ครุ่นคิด
แม้ว่ามันจะเข้าสู่คุกสิบนิ้วตามปกติ แต่คล้ายมีพลังกดดันแตกต่างไป
จากเวลาปกติ ทาให้มันร้อนรุ่มกระวนกระวายอย่างที่ยากจะพบพาน เวลา
หลายพันปีที่ผันผ่าน ประดุจ แม่น้าอันกว้า งใหญ่ที่ แบ่ งแยกอดีต ปั จ จุ บั น
ออกจากกัน บางสิ่งเป็นเพียงภาพเลือนรางอยู่ในความทรงจา แต่บางอย่าง
กลับกระจ่างชัดเจน ราวกับว่าเพิ่งพบพานพวกมันเมื่อวันวานนี้เอง
รอจนเงาร่างพยศดุร้ายปรากฏขึ้นในสายตา อารมณ์ตึงเครียดกระวน
กระวายของมันพลันสงบราบคาบลง
หลายพันปีล่วงผ่าน ความรุ่งโรจน์สูญสิ้นไปแต่แรก ทิ้งไว้เพียงเสียง
ทอดถอนคราหนึ่ง
เมื่อเตรียมใจมาบ้างแล้ว ผูเยาไม่ได้เศร้าสลดหดหู่อีก พอเห็นผลึกสี
ฟ้าอ่อนที่มันคลับคล้ายจะคุ้นตา เป็นเหตุให้ความคิดของมันพร่าเลือนวูบ
หัวใจไหวสะเทือนอยู่บ้าง
“เจ้าเป็นเด็กน้อยจากตระกูล โหยวฉิน ?” ผูเยาถามด้วยสุ้มเสียงเฉย
ชา
ผู้มากวาดตามองผูเยาจากศีรษะจรดเท้า สุ้มเสียงเต็มไปด้วยความ
กังขา “เป็นเจ้าที่ทิ้งข่าวสารไว้ใช่หรือไม่?”
คนผู้นี้ไม่สูงไม่ต่าเตี้ย กลางหว่างคิ้วเป็นผลึกสีฟ้าอ่อนตะปุ่ม ตะป่ า
ดวงตาเรียวยาว รอยยิ้มพยศดุร้ายประดับอยู่ที่มุมปาก เรือนผมสีแดงเพลิง
ประดุจกองไฟลุกไหม้ร้อนแรง บันดาลให้ผู้คนรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ยินยอมสยบ
โดยง่าย
“มิผิด เป็นข้าเอง” ผูเยากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“อย่ า ได้ แ สร้ ง ท าเป็ น ผี ส าง!” บุ รุ ษหนุ่ ม แค่ น เสี ย ง “เฮ้ ตาเฒ่ า
ประหลาด เจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่?”
ตาเฒ่าประหลาด?
ผูเยาดวงตาหดแคบลงเล็กน้อย ไม่เคยมีผู้ใดบังอาจเรียกหามันเช่นนี้
มาก่ อ น กระทั่ ง จั่ ว ม่ อ ยั ง ไม่ ก ล้ า มั น แค่ น เสี ย งอย่ า งเย็ น ชา ไม่ เ ห็ น ขยั บ
เคลื่อนไหวอันใด แต่กลับปรากฏสายโซ่นับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นจากพื้นใต้ฝ่าเท้า
บุรุษหนุ่ม แล้วรัดพันเอาไว้ท้งั ร่าง
บุรุษหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่อย่าหวังว่ามันจะยอมจานนเพียง
เท่านี้ “ตาเฒ่า รังแกผู้เยาว์นับเป็นความสาเร็จอันใดกัน!”
“ตระกูลโหยวฉินหลงเหลือแต่เจ้าเพียงผู้เดียวรึ?” ผูเยาถามอย่างเย็น
ชา
“ฮ่ า ฮ่ า หลงเหลื อ แต่ เ สี่ ย วเหยี ย ผู้ เ ดี ย วนี่ ล่ ะ !” บุ รุ ษ หนุ่ ม เงยหน้ า
ถลึงตากลมกว้าง “แล้วจะเป็นไร? อย่าได้คิดว่าเพียงใช้ศาสตร์อสูรเล็กน้อย
ไม่กี่ท่า แล้วจะแสร้งเป็นภูตผีต่อหน้าเสี่ยวเหยียได้!”
จากนั้นคล้ายราพึงราพันกับตัวเองอย่างขุ่นแค้น “หากข้าล่วงรู้ว่าจะ
เป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ฟังคาของตาเฒ่าน่าตายผู้นั้นแน่ นี่มันเรื่องโง่เง่าอันใด
ต้าเหรินผีสางอันใด ลัทธิอุบาทว์บัดซบอันใด?”
ผูเยาคล้ายไม่ได้ยินคาบ่นว่าของมัน “เจ้าเรียกว่าอะไร?”
“โหยวฉินเลี่ย! 27” บุรุษหนุ่มเหลือกตา พลังของฝ่ายตรงข้ามคล้ า ย
เหนือความคาดหมายของมันมาก
“ชื่อที่ดี” ผูเยากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นถามว่า “ตอนนี้เจ้า
อยู่ที่ใด?”
“เรือนจ า!” บุรุษหนุ่มหัวร่อฮิฮะ “เรือนจ าเป้ยเก๋อ ระดับชั้นนักโทษ
ร้ายแรงที่สุด เป็นไร? ร้ายกาจมากใช่หรือไม่!”
“เจ้าไฉนอยู่ในคุก?” ผูเยาถาม สีหน้าสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ฮ่า ข้าสังหารเจ้าลูกส่าส่อนของตระกูลสูงศักดิผ
์ ู้หนึ่ง มารดามันเถอะ
หากข้าพบพานพวกมันอีกครั้ง จะต้องฆ่าพวกมันให้สิ้นซากทั้งตระกูล!”
โหยวฉินเลี่ยกล่าวอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“เจ้ามีความแค้นกับมัน?”
“ไม่!” โหยวฉินเลี่ยสะบัดศีรษะแรงๆ ดวงตาแดงฉานและเรื อ นผม
แดงจัดคล้ายจะลุกไหม้ขึ้นพร้อมกัน “ฮ่า เจ้าเดรัจฉานนั่นข่มเหงน้องสาว
ของสหายข้า เสี่ยวเหยียผู้นี้ใช้เวลาสามเดือน กว่าจะหาโอกาสลงมือปลิด
ชีวิตสุนัขของมันได้!”

27
โหยวฉินเป็นแซ่สองตัว เลีย
่ แปลว่าดุเดือด รุนแรง
“สามเดือน? เจ้าช่างอ่อนแอโดยแท้!” ผูเยาหัวร่อเยาะอย่างเย็นชา
“เจ้าสามารถทดลองดู!” โหยวฉินเลี่ยถลึงตามองผูเยาอย่างดู แคลน
“เจ้ า เดรั จ ฉานน้ อ ยนั่ น มี อ งครั ก ษ์ อ ย่ า งน้ อ ยยี่ สิ บ คนคอยคุ้ ม ครองอยู่
ตลอดเวลา กระทั่งในยามทาเรื่องบัดซบบนเตียงยังมีส องคนคอยเฝ้าอยู่
หน้าประตู! พวกมันเป็นตระกูลสูงศักดิ์ ศาสตร์อสูรที่พวกมันฝึกปรือยังร้าย
กาจกว่ า ของเสี่ ย วเหยี ยผู้ นี้ม าก แต่ แ ล้ ว จะเป็ น ไร ฮี่ ฮี่ พวกมั น ไยมิ ใ ช่ ถูก
เสี่ยวเหยียหลอกล่อจนหัวปั่ น ข้าเกือบจะฆ่าพวกมันทั้งหมด!”
ตระกูลสูงศักดิ์? ผูเยาหัวร่อเยาะในใจ พลางถามว่า “จากในเรือนจา
แห่งนั้น เจ้าสามารถเข้าสู่คุกสิบนิ้วด้วย?”
“ฮ่า ตัวโง่งมเหล่านั้น พวกมันเข้าใจว่าอาคมหวงห้ามที่ฝังลงบนร่ าง
ของเสี่ยวเหยียจะได้ผล ไหนเลยจะล่วงรู้ฝีมือของเสี่ยวเหยียผู้นี้? การเข้าสู่
คุกสิบนิว
้ ก็แค่ของเด็กเล่นเท่านัน
้ !” โหยวฉินเลี่ยกล่าวอย่างเย่อหยิง่ ถือดี
ผูเยานัยน์ตาสีเลือดทอประกายวูบหนึ่ง กล่าวถามต่อไปว่า “บิดาเจ้า
เคยสั่งความเรื่องภารกิจของเจ้าเอาไว้หรือไม่?”
“ตาเฒ่าที่ส มควรตายนั่น!” โหยวฉิ นเลี่ยสุ้มเสียงไม่ไยดี แต่ส ายตา
พยศดุ ร้ า ยกลายเป็ น อ่ อ นลงทั น ที มั น สั่ น ศี ร ษะแรง ๆ “เฮ้ มิ ใ ช่ ว่ า เสี่ ย ว
เหยียคิดเบี้ยวหนี้เจ้า แต่เสี่ยวเหยียอยู่ในเรือนจา ไม่มีปัญญาช่วยเหลืออัน
ใดได้”
“เช่นนั้นก็จงหลบหนีออกจากคุก” ผูเยากล่าวอย่างเย็นชา
“หลบหนีออกจากคุก?” โหยวฉินเลี่ยคล้ายได้ฟังเรื่องตลกขบขันที่สุด
ในโลก ต้ อ งหั ว ร่ อ งอหาย “นี่ คื อ เรื อ นจ าเป้ ย เก๋ อ คุ ก ที่ มี ค วามปลอดภั ย
สูงสุด! ฮ่าฮ่า ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดสามารถหลบหนีออกจากคุก
บัดซบนี่ได้!”
ทันใดนัน
้ ในมือผูเยาปรากฏลูกกลมแสงขึ้นลูกหนึ่ง มันกดลูกกลมแสง
ลงไปในหว่างคิ้วของโหยวฉินเลี่ย ลูกแสงคล้ายหยดน้าที่ถูกดูดเข้าไปใน
ฟองน้า จมหายเข้าไปในศีรษะของโหยวฉินเลี่ยในบัดดล
“เฮ้ เจ้ากาลังบ้าทาอะไร?” โหยวฉินเลี่ยน้าเสียงแฝงแววตระหนกอยู่
บ้าง แต่แล้วพลันเบิกตากว้าง ร้องออกมาอย่างเหลือเชื่อ “นี่มัน... ...”
“เจ้ามีเวลาสิบวันในการหลบหนีออกจากคุก” ผูเยากล่าวอย่างเย็นชา
“หากเจ้าไม่มีปัญญาหลบหนีออกมา เช่นนั้นก็จ งตายอยู่ภายในนั้ น
เถอะ”
กล่าวจบคา ผูเยาก็หายวับไป
โหยวฉิ น เลี่ ย คล้ า ยไม่ ไ ด้ ฟั ง วาจาเหล่ า นี้ มั น อ้ า ปากกว้ า ง สี ห น้ าตื่น
ตะลึง ดวงตาเลื่อนลอยราวกับถูกสิ่งใดครอบงา...อาจบางทีเป็นเคล็ดวิ ชา
ในดวงแสงนั้นกระมัง

เอ้อเต๋อหัวใจเต้นกระหน่ารัวดุจตีกลอง
มันเดิมทีอาศัยอยู่ในอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยมาโดยตลอด หลังจาก
อาณาจั ก รป่ า เถื่ อนน้ อ ยถู ก เปลี่ ย นมื อ มั น ที่ นั บ ถื อ เลื่ อมใสในชื่ อเสี ย ง
ของสื อ ตงต้ า เหริ น มานาน ก็ เ ข้ า ร่ ว มกองทั พ ของสื อ ตงต้ า เหริ น อย่ า งไม่
ลังเล ตอนแรกเริ่มวันคืนของมันค่อนข้างดีงามไม่น้อย แม้ว่าการฝึกอบรม
เข้มงวดกวดขันยิ่ง แต่ไม่มีผู้ใดปริปากบ่น ยามฝึกฝนยิ่งยากลาบากเท่าใด
ในยามต่อสู้กลางสมรภูมิก็ยิ่งช่วยให้พวกมันมีรอดชีวิตได้ง่ายดายเท่านั้น
ไม่ ต้ อ งเอ่ ย ถึ ง ทั ก ษะปิ ศ าจที่ สื อ ต งต้ า เหริ น ถ่ า ยทอดลงมา เคล็ ด
องครักษ์ทุกข์ยากมหาทิวาเป็นทักษะปิศาจในระดับชั้นที่พวกมันเฝ้าใฝ่ฝัน
ถึงมาโดยตลอด นี่ช่วยปลุกเร้าความปรารถนาในการฝึกปรือของทุกคน ไม่
จ าเป็นต้องบังคับเคี่ยวเข็ญ ทุกผู้คนล้วนทุ่มเทฝึกปรืออย่างบ้าคลั่ง พวก
มันเคยประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองมาแล้ว ในสมรภูมิสือตงต้าเหรินพิชิต ไป
โดยไร้ผู้ต้าน กวาดผ่านทั่วทั้งอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยจนยอมศิโรราบ
ทุกผู้คนเต็มไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต
ทว่าในยามนี้ พวกมันพลันได้รับคาสั่งจากสือตงต้าเหริน จาต้องไปยัง
สถานที่ที่เรียกว่าเกาะเต่า เพื่อเข้ารับการฝึกพิเศษ
ฝึกพิเศษ?
ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินเรื่องนี้ เอ้อเต๋อเที่ยวสอบถามไปทั่ว รวมถึงผู้คนที่
ติดตามสือตงต้าเหรินมานานปี ฝึกพิเศษ? คนเก่าเหล่านั้นสั่นศีรษะ บอกว่า
เรื่องนี้พวกมันก็ไม่ล่วงรู้เช่นกัน ทุกคนอยากไปที่เกาะเต่า เนื่องเพราะคน
เก่าของกองทัพเหล่ านี้บ อกพวกมัน ว่ าสถานที่ แห่งนั้น ยิ่ง ใหญ่ เพีย งใด ที่
สาคัญที่สุดคือองค์ราชันของพวกมันอยู่ที่นั่น
มิผิด ถึงตอนนี้ทุกผู้คนล้วนล่วงรู้ ว่าสือตงต้าเหรินกับเยี่ยหลิงต้าเหริน
ต่างสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อต้าเหริน ท่านหนึ่ง ต้าเหรินผู้ถูกเรียกว่า
คนที่มีโอกาสขึ้นเป็นจอมราชันมากที่สุด
ราชัน สาหรับเหล่าปิศาจแห่งอาณาจักรป่าเถื่อนน้อย ช่างเป็นถ้อยคา
ที่ห่างไกลเสียเหลือเกิน
แต่ไม่มีผู้ใดกังขาในสายตาของสือตงต้าเหรินกับเยี่ยหลิงต้าเหริน ต้า
เหรินสองท่านนี้เมื่ อเชื่อ มั่น พวกมันส่วนใหญ่ก็ เ ชื่อ ด้ วยว่า พวกมัน ก าลั ง
ติดตามต้าเหรินที่ทรงพลังอานาจ ซึ่งวันหนึ่งจะขึ้นเป็นจอมราชัน!
ทว่า...เกาะเต่าแตกต่างจากที่เอ้อเต๋อวาดหวังเอาไว้อย่า งสิ้นเชิง ที่
แห่งนี้เต็มไปด้วยซิวเจ่อ!
กองทั พ ปิ ศ าจที่ เ พิ่ ง จะเข้ า สู่ เ กาะเต่ า เป็ น ครั้ ง แรก แทบหั น หลั ง
หลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต เคราะห์ดีที่ต่อมาพวกมันพบว่าเกาะเต่าไม่ได้มีแต่
ซิวเจ่อ ยังมีปิศาจและอสูรอีกด้วย
นึกย้อนไปถึงสีห น้าของทุ กคนในเวลานั้น เอ้อเต๋ออดหัว ร่อ ออกมา
ไม่ได้ ซึ่งความจริงสีหน้ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด ในไม่ช้ามันก็พบว่า
ไม่ว่าจะเป็นอสูรปิศาจหรือซิวเจ่อ ในที่แห่งนี้พวกมันสามารถอยู่ร่วมกันได้
อย่างสงบสุข แม้ว่าจะยังมี คนที่จ้องมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอยู่บ้าง แต่
ไม่มีผู้ใดจะโถมเข้ามาเสี่ยงชีวิตกับเจ้า เพียงเพราะว่าเจ้าเป็นเผ่าปิศาจ
มี เ พี ย งยามนี้ เ ท่ า นั้น เอ้ อ เต๋ อ เพิ่ ง จะเชื่ อมั่ น ในพลังอ านาจขององค์
ราชันอย่างหมดใจ!
ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถกระทาเรื่องเช่นนี้ได้
สมกับเป็นบุรุษซึ่งมีโอกาสขึ้นเป็นจอมราชันมากที่สุด!
ในไม่ช้าเอ้อเต๋อก็เริ่มชมชอบสถานที่แห่งนี้ม ากขึ้นเรื่อย ๆ ชมชอบ
บรรยากาศซึ่งไม่มีที่ใดเสมอเหมือน อย่างไรก็ตาม รอจนพวกมันเริ่มคุ้นชิน
กับเกาะเต่า การฝึกพิเศษที่กล่าวถึงกันมานานในที่สุดก็มาถึง
เอ้อเต๋อก้าวเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง เห็นดวงตาเจ็ดแปดคู่จับ
จ้องมาที่มันทันควัน
เอ้อเต๋อตื่นเต้นตึงเครียดขึ้นมาทันที สิ่งที่ทาให้ประสาทของมันเขม็ง
เกลียวมากที่สุด คือคนเหล่านี้ล้วนเป็นซิวเจ่อ! แม้ว่าบนเกาะเต่าไม่มี ก าร
ต่อสู้ระหว่างซิวเจ่อกับอสูรปิศาจ แต่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางสายตาจ้องเขม็ง
ของกลุ่มซิวเจ่อ มันยังอดบังเกิดความรู้สึกหวั่นใจไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว คาถามแรก สายเลือดของเจ้าคืออะไร?”
“มี ส ายเลื อ ดปิ ศ าจจระเข้เ กราะแข็ งอยู่ ส่ว นหนึ่ ง แต่ เ พี ย งเล็ ก น้อย
เท่านัน
้ ” เอ้อเต๋อรีบตอบ
“ปิศาจจระเข้เกราะแข็ง ? ไม่เลว ไม่เลว เป็นสายเลือดที่ไม่ เลวเลย
ทีเดียว ด่านเจี้ยว เราสามารถสลักแผนผังปิศาจจระเข้เกราะแข็งที่สมบูรณ์
ให้แก่เจ้า ปลุกสายเลือดปิศาจจระเข้เกราะแข็งภายในกายเจ้ าให้ต่ ื นขึ้ น
อย่างเต็มที่ ช่วยเพิ่มพลังฝีมือของเจ้าราวสองเท่าตัว แน่นอน ผลลัพธ์จะ
ไม่ ส ามารถเห็ น ได้ ใ นทั น ที ต้ อ งรอให้ เ ลื อ ดเนื้ อของเจ้ า ปรั บ ตั ว เข้ า กั บ
แผนผังปิศาจอย่างสมบูรณ์เสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะ
รับหรือไม่รับ” ผู้ที่กล่าวเป็นปรมาจารย์แห่งค่ายจินวู ซุนเป่า
“สลักแผนผังปิศาจ?” ยามกะทันหัน เอ้อเต๋อไม่อาจทาความเข้าใจได้
“เจ้าคงรู้จักอาจารย์ปลุกปิศาจกระมัง?”
“รู้จักขอรับ”
“คิดเสียว่าเป็นสิ่งที่ระดับสูงกว่านั้นอีกเล็กน้อย”
เอ้อเต๋อในที่สุดเริ่มเข้าใจอยู่บ้าง อดหัวใจเต้นระทึกไม่ได้ มันถามว่า
“แผนผังปิศาจของข้ าตื่นขึ้น มาแต่ แ รกแล้ว ? ยังคงสามารถสลัก แผนผั ง
ปิศาจได้ด้วยหรือ?”
“ถูกต้อง”
“ข้ายินดี!” เอ้ อเต๋อรีบกล่าวราวกั บ เกรงว่า อีกฝ่ ายจะถอนข้อ เสนอ
มันในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าการฝึกพิเศษเป็นเรื่องราวใด
คาตอบอันแน่วแน่เฉียบขาดและรวดเร็วทันใจของเอ้อเต๋อ ทาให้ซุน
เป่ากับพวกประหลาดใจอยู่บ้าง พวกมันเข้าใจว่าอีกฝ่ายสมควรรีรอลัง เล
เป็นอันมาก กระทั่งตระเตรียมคาเกลี้ยกล่อมและวิธีล่อลวงไว้ต้ังมากมาย
แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะชิงตอบตกลงตั้งแต่แรก
ซิวเจ่อยากจะเข้าใจความปรารถนาที่เผ่าปิศาจมีต่อความแข็งแกร่ง
แต่เอ้อเต๋อในเมื่อยินยอมพร้อมใจ กระบวนการสลักแผนผังปิศาจก็
ย่อมเริ่มต้นขึ้นเป็นธรรมดา
เมื่ อพวกมั น ล่ ว งรู้ ว่ า จั่ ว ม่ อ ตกอยู่ ใ นอั น ตรายและต้ อ งการความ
ช่วยเหลือ ซุนเป่ากับจี๋เหว่ยก็เร่งหารือว่าพวกมันจะสามารถช่วยเหลือต้า
เหริ น ด้ ว ยวิ ธี ใ ด บั ง เอิ ญ ว่ า จั่ ว ม่ อ ได้ ส่ ง ข้ อ มู ล เกี่ ย วกั บ ศาสตร์ วิ ช าปลุ ก
แผนผังปิศาจที่เรียนรู้ในภพปิศาจกลับมา สองปรมาจารย์ตาลุกวาบทันที
พบว่าแผนผังปิศาจนี้เองที่สามารถช่วยเหลือต้าเหริน
คิดเคลื่อนไหวในภพปิศาจ ยังจะมีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าปิศาจอีกเล่า
ดังนั้นพวกมันจึงรวบรวมพลังทั้งหมดของค่ายจินวู เริ่มศึกษาค้นคว้า
เคล็ดความเกี่ยวกับแผนผังปิศาจที่จ่ว
ั ม่อส่งกลับมาให้
ค่ายจินวูในยามนี้ไม่ใช่เหล่าสามเณรมือใหม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ไม่
ว่าจะเป็นพลังส่วนบุคคลหรือความแข็งแกร่งโดยรวม พวกมันเหนือล้ากว่า
กาลก่อนหลายเท่าตัว รวมกับที่ว่าพวกมันเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันอย่างที่ไม่
เคยมีขุมกาลังใดมีมาก่อน กระบวนการทั้งหมดก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วดุจ
ก้าวกระโดด
ผูเยากับเว่ยเองก็ย่ น
ื มือเข้าช่วยในกระบวนการนี้ด้วย
จั่วม่อเป็นผู้เริ่มบุกเบิกกระบวนการสลักแผนผังปิศาจลงบนร่างของ
ตงจื่อ จากนั้นถูกค่ายจินวูย่อยสลายอย่างรวดเร็ว และเมื่อเทียบกับแผนผัง
ปิศาจที่จ่ัวม่อสลักลงบนร่างตงจื่อแล้ว ค่ายจินวูยังมีฝีมือเหนือกว่า วิธีการ
ของพวกมันก็พัฒนารุดหน้ามากกว่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่เนื่องเพราะการสลักแผนผังปิศาจ จะอย่างไรไม่อาจหลีกเลี่ยงจาก
ความต้ อ งการขั้ น พื้ น ฐานในด้ า นสายเลื อ ด ดั ง นั้ น ยามกะทั น หั น ยั ง ไม่ มี
หนทางให้ ค่ า ยเว่ ย ผ่ า นกระบวนการนี้ไ ด้ สองปรมาจารย์ จึ ง หัน ไปสนใจ
กองทัพปิศาจอีกทัพหนึ่ง ค่ายฮุย
แม่นางน้อยอนุมัติแผนการสลักแผนผังปิศาจแก่ค่ายฮุยอย่างไม่รีรอ
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของสิ่งที่เรียกว่า ‘การฝึกพิเศษ’
เอ้ อ เต๋ อ ย่ อมไม่ ลัง เลใจ มั น ไม่ เ คยนึ กฝั นว่ า สิ่งที่ ดี เ ช่ นนี้จ ะตกลงบน
ศี ร ษะมั น มั น เคยได้ ยิ น ว่ า บรรดาอาจารย์ ป ลุ ก ปิ ศ าจสามารถกระตุ้ น
สายเลื อ ดในร่ า งกายผู้ ค นได้ ใ นระดั บ ที่ ม ากที่ สุ ด แต่ น่ า เสี ย ดายที่ ใ น
อาณาจักรป่าเถื่อนน้อยไม่มีอาจารย์ปลุกปิศาจที่มีฝีมือเด่นล้า ผลจากการ
ปลุกแผนผังปิศาจของเอ้อเต๋อเรียกได้ว่าย่าแย่ยิ่ง
มิเช่นนัน
้ มันเชื่อว่าความแข็งแกร่งของมันจะต้องไม่เพียงนี้เท่านัน

ในยามนี้ยังไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่ายุคสมัยใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่าง
สิ้นเชิง จะเริ่มต้นขึ้นเช่นนี้เอง
ในนามแห่งสงคราม!
บทที่ 566 ยอดแม่ทัพยักษาเขียว

“เป็นอย่างไร?” เว่ยถามผูเยาเมื่อกลับมาถึง
“เด็กผู้หนึ่งจากตระกูลโหยวฉิน” ผูเยาตอบอย่างไร้อารมณ์
“ตระกูล โหยวฉิน ?” เว่ยผงกศีรษะ สีห น้าหวนราลึก “ตระกูล ที่ทรง
พลังยิ่ง แต่หากข้าจาไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นพวกอารมณ์ร้ายอยู่บ้าง”
“อา เจ้าเด็กผู้นั้นก็เหมือนกัน” ผูเยาสุ้มเสียงนุ่มนวลลงไม่น้อย “แต่
พรสวรรค์ของมันไม่เลวจริง ๆ”
“เจ้าคิดใช้หมากตานี้อย่างไร?” เว่ยถาม
“รอดูว่ามันจะผ่านการทดสอบได้หรือไม่” ผูเยาแค่นเสียงอย่างเย็น
ชา แล้ ว พลั น ถามกลั บ ว่ า “แล้ ว พั น ธสั ญ ญาเพรี ย กโลหิ ต ของเจ้ า เป็ น
อย่างไรบ้าง?”
“ก็เห็นจะมีเสียงตอบรับแค่ส องเสียงนี้เท่านั้น” เว่ยตอบพลางทอด
ถอนใจ “เวลายาวนานเกิ น ไปจริ ง ๆ อาจบางที ต ระกู ล อื่ น ๆ สู ญ สิ้ น ไป
หมดแล้ว”
“สองคนก็นับว่าเพียงพอ” ผูเยากล่าวด้วยสีหน้าเฉื่อยชา
“มิผิด” เว่ยแย้มยิ้มเล็กน้อย “รวมกับเด็กน้อยจากตระกูล โหยวฉิ น
พวกมันทั้งสาม ถึงเวลาแล้วที่เมล็ดพันธุ์ซึ่งบ่มเพาะมาหลายพันปีจะงอก
เงยขึ้นมาอีกครั้ง”
... ...
... ...
“เศษสวะก็ยังคงเป็นได้แค่เศษสวะ! แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ยังไม่
มีปัญญากระทาสาเร็จ!”
ภายในห้ อ งโถงใหญ่ สุ้ ม เสี ย งเย็ น เยี ย บของปู้ เ กิ้ น สะท้ อ นก้ อ ง มั น
บริภาษอย่างรุนแรงโดยไม่แยแสสีหน้าขัดตาของผู้อ่ น

คนผู้นี้ไม่สูงใหญ่ไม่กายา แต่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น เต็มไปด้วยความ
ทระนงองอาจอย่างบอกไม่ถูก
“พวกมั น คื อ ค่ า ยองครั ก ษ์ ค นฆ่ า สั ต ว์ ! หนึ่ ง ร้ อ ยเข่ น ฆ่ า สามพั น ที่
โจษจันกันไปทั่ว ผู้ใดกล้ารับประกันว่าสามารถเอาชัยพวกมันได้?” ยักษา
เขียวผู้หนึ่งผุดลุกขึ้น พยายามปกป้องพวกพ้องของตน
“เศษสวะไม่จาเป็นต้องมีคาแก้ตัว” ปู้เกิ้นว่ากล่าวอย่างไม่ไว้หน้า มัน
กระทั่งหางตายังไม่เหลือบแลยักษาเขียวตนนั้น ทาทีประหนึ่งว่าผู้อ่ ืนเป็น
เพียงอากาศธาตุก็มิปาน
“เกี่ยวกับเรื่องนี้อาเกิ้นเจ้ามีความเห็นใด?” ประมุขตระกูลถามช้า ๆ
สีหน้ามืดทะมึน
“ไม่ต้องเอ่ยถึงเถาซิง การต่อสู้นี้เมื่อเริ่มต้นขึ้น เราก็พ่ายแพ้ไม่ได้อีก”
ปู้ เ กิ้ น ประสานสายตากั บ ประมุ ข ตระกู ล อย่ า งไม่ ก ลั ว เกรง เริ่ ม ท าการ
แยกแยะด้วยสุ้มเสียงเย็นชา “โลกกาลังตกอยู่ในกลียุค ตระกูลยักษาเขียว
เราหาใช่ตระกูลอันทรงพลังอานาจไม่ เราไม่มีเค้าเดิมพันให้สูญเสียได้ หาก
แม้ แ ต่ ค่ า ยองครั ก ษ์ อั น ใดที่ ไ ม่ ท ราบว่ า ผุ ด ขึ้ น จากแห่ ง หนใดก็ ส ามารถ
เอาชนะเราได้ง่าย ๆ ไม่ช้าก็เร็วตระกูลยักษาเขียวเราคงได้แต่งอมือรอให้
ผู้อ่ น
ื มารุมเชือดเฉือนตามอาเภอใจแล้ว”
เหล่ายักษาเขียวในโถงประชุมพอฟัง พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็น น่า
เกลียดสุดทนดู ปู้เกิ้นกล่าวไม่ผิด หลักเหตุผ ลที่รวบรัดถึงเพียงนี้พวกมัน
ไฉนนึกไม่ถึง ควรทราบว่าเผ่ ายักษาแตกแขนงแยกย่อยออกไปมากหลาย
ยักษาเขียวเป็นเพียงหนึ่งในนั้น เหตุที่ผู้คนหวั่นเกรงพวกมันยักษาเขี ย ว
มิใช่เพราะว่าพวกมันเป็นตระกูลสูงศักดิ์ และยิ่งมิใช่เพราะพวกมันเข้มแข็ง
ทรงพลั ง แต่ เ นื่ อ งเพราะพฤติ ก ารณ์ อั น ดุ ร้ า ยอ ามหิ ต ของพวกมั น ผู้ ค น
เพียงหวั่นเกรงว่าจะตกเป็นเป้าหมายของฝูงสุนัขป่าบ้าเลือดอย่างพวกมัน
เท่านั้น
“ถูกของอาเกิ้น” ประมุข ตระกูล กล่าวอย่างแช่มช้ า “ตระกูล ยักษา
เขี ย วเราที่ ส ามารถเติ บ โตรุ่ ง เรื อ งขึ้ น ได้ ก็ เ นื่ องเพราะมี ช่ ื อเสี ย งดุ ร้ า ย
อามหิตของเราเป็นเกราะกาบัง จนไม่มีผู้ใดกล้าตอแยเรา แต่หากกระทั่ง
ชื่อเสียงนี้พวกเรายังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ เราย่อมต้องกลายเป็นลูกแกะน้อย
ในสายตาของผู้อ่ ืน เช่นนั้นวันที่พ วกเราจะถูก ท าลายล้ างก็ คงอยู่ ไม่ ไ กล
เท่าใดแล้ว”
“ปู้ เ กิ้ น เจ้ า เป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ที่ เ ข้ มแข็ งที่ สุด ของตระกูล เรา
เรื่องครั้งนี้มอบให้เจ้าจัดการ! ข้าต้องการเพียงประการเดียว ยกเว้นแต่เถา
ซิ ง ที่ ต้ อ งจั บ เป็ น นอกเหนื อ จากนั้ น ให้ น าศี ร ษะของพวกมั น กลั บ มา!”
ประมุขตระกูลสีหน้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
“รับคาสั่ง!” ปู้เกิ้นไม่เสียเวลากล่าวมากความ ค้อมคารวะคราหนึ่ ง
แล้วล่าถอยออกจากโถงประชุมด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

“ปู้เกิ้น ? คราครั้งนี้นับว่าสนุกสนานน่าสนใจมากแล้ว!” ซีเหมินหนิง


แกว่งจอกสุราในมือ พลางกล่ าวอย่ างขบขัน มันผู้นี้ร่างหนา กายาล่าสั น
ดวงตาโปนโต คิ้วหยาบหนา บนลาคอแขวนสร้อยกระดูกอันน่าขนลุกเส้น
โต ท่อนบนเปลือยอก เต็มไปด้วยมัดกล้ามเปี่ ยมล้นสมบูรณ์ราวเสลาสลัก
ขึ้ น ท าให้ ผู้ ค นไม่ คิ ด กั ง ข าว่ า ร่ า งกายของมั น จะต้ อ งอั ด แน่ น ไปด้ ว ย
พละกาลังมหาศาล
“หัวหน้า แล้วพวกเราเล่า ? ใช่สมควรชิงลงมือก่อนหรือไม่ ? ปู้เกิ้นผู้นี้
นับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง!” หนึ่งในบรรดาลูกสมุนกล่าวอย่างร้อนใจ
“มีฝีมืออยู่บ้าง? ฮ่า น้าเสียงเจ้าฟังดูโอหังไม่เลว!” ซีเหมินหนิงหัวร่อ
อย่างถูกอกถูกใจ “ปู้เกิ้นที่เจ้ากล่าวถึงเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง
ยอดแม่ทัพผู้เ ก่ง กล้ าสามารถที่สุ ด แห่ งตระกูล ยั กษาเขี ย ว ต่อให้ทอดตา
มองทั่วทั้งดินแดนร้อยเถื่อน มันก็ส ามารถเบียดเสียดเข้าทาเนียบอั น ดั บ
ได้!”
“หัวหน้า อย่าได้ยกยอผู้อ่ ืนจนเลิศลอยเพื่ อสะกดข่มตนเองจนเกิ น
จริงไปแล้ว ปู้เกิ้นแม้เป็นแม่ทัพบัญ ชาการศึ กระดับ ทอง แล้วท่านเองไย
มิ ใ ช่ แ ม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ระดั บ ทองเช่ น กั น! ยั ก ษาเขี ย วแม้ มี ช่ ื อ เสียงน่า
หวาดสะพรึง แต่กองกาลังพรายด าเราไหนเลยเคยถือ ศีล กิน เจด้ วย? ใน
ทาเนียบอันดับ กองกาลังพรายดาเรายังอยู่เหนือกว่ากองพันเกิ้นเสียอีก”
ลูกสมุนอีกผู้หนึ่งเอ่ยปากสอดคา มันเรียกว่าอาชิ่ง ได้รับความไว้วางใจจาก
ซีเหมินหนิงอย่างลึกล้า ถือเป็นมือซ้ายขวาของมัน
ซีเหมินหนิงแย้มยิม
้ พลางกล่าว “แปลว่าเจ้ามีความสนใจเช่นกัน?“
“หัวหน้า ในหมู่พวกเราไม่มีผู้ใดครอบครองสังขารปิศาจเลย” อาชิ่ง
กล่าว
ซีเหมินหนิงยืดตัวตรง เห็นได้ชัดว่าถูกคาของอาชิ่งเกลี้ยกล่อมคล้อย
ตาม เนื่องเพราะไม่มีตัวอ่อนปิศาจ เหล่าคนสนิทของมันไม่มีผู้ใดสามารถ
ส าเร็ จ สั ง ขารปิ ศ าจ มั น กล่ า วอย่ า งเคร่ ง ขรึ ม “เช่ น นั้ น เราต้ อ งก าหนด
แผนการให้ดี อย่าได้ดูแคลนปู้เกิ้นไป คนผู้นี้รับมือไม่ง่ายนัก อย่าว่าแต่อาจ
มีคนจานวนมากมุ่งเป้าไปยังเนื้อติดมันชิ้นนี้เช่นกัน”
บรรดาลูกสมุนด้านล่างสีหน้าทอแววเบิกบานใจ

ถังเฟยระงับอารมณ์ขุ่นมัวในใจ เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าจั่วม่อ กล่าว


ด้วยสุ้มเสียงเย็นชา “ท่านที่นับถือ มีคนคอยเฝ้าดูพวกเราในเงามืด”
จั่วม่อดวงตาทอประกายแปลกใจวูบ ผงกศีรษะพลางกล่าว “ข้ารู้”
มองดู สี ห น้ า ไม่ เ ดื อ ดเนื้ อ ร้ อ นใจของอี ก ฝ่ า ย ไม่ ท ราบเพราะเหตุ ใ ด
ถังเฟยในใจปะทุขึ้นด้วยไฟโทสะอีกรอบ นางพยายามระงับยับยั้งอย่างสุด
ความสามารถ “ท่านที่นับถือ ขอบังอาจแนะนาว่าให้เราเร่งเดินทางออก
จากบริเวณนี้จะดีที่สุด ที่นี่สุ่มเสี่ยงอันตรายยิ่ง”
“เร่งเดินทาง?” จั่วม่อสั่นศีรษะ “ความเร็วในตอนนี้นับว่าดีมากแล้ว”
นี่มิใช่ว่าจั่วม่อไม่คิดเพิ่มความเร็ว เพียงแต่สาหรับค่ายเว่ย ความเร็ว
คื อ จุ ด อ่ อ นของพวกมั น หากฝื น เร่ ง ความเร็ ว ขึ้น ไพร่ พ ลค่ า ยเว่ ย จะต้อง
สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมหาศาล แล้วจากนั้นหากเผชิญอันตราย พวกมัน
จะต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทาแล้ว ส่วนพาหนะเช่นเมฆวิเศษ จั่วม่อก็ไม่กล้า
นาออกมาใช้ในอาณาจักรปิศาจเช่นนี้
ถังเฟยในที่สุดไม่อาจหยุดยั้งตัวเองไม่ให้ยิ้มเยาะเย้ย “ข้าคิดว่าท่านที่
นับถือยังไม่เข้าใจพฤติการณ์ของพวกยักษาเขียวดีพอ พวกมันจะไม่ยอม
เลิกรา จะส่งคนมารังควานพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า ยักษาเขียวจะส่งไพ่
ตายของพวกมันออกมา พวกมันจะส่งปู้เกิ้นมาจัดการกับพวกเรา!”
“ปู้ เ กิ้ น ? มั น เป็ น ใคร? ร้ า ยกาจมากหรื อ ?” จั่ ว ม่ อ ถามอย่ า งสนอก
สนใจ ผู้คนรอบกายมันล้วนแล้วแต่ไม่รู้จักมักคุ้นกับท้องถิ่นนี้ กระทั่งโซ่ว
ผิงที่หมกตัวอยู่ในอาณาจักรเศษหินมาโดยตลอด ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด
ถังเฟยขมวดคิ้ว “ท่านที่นับถือ อย่าได้ล้อเล่นแล้ว! เจ้าจะไม่รู้จักชื่อ
ของปู้เกิ้นได้อย่างไร?”
“ข้าไม่รู้จริง ๆ” จั่วม่อแบมือ ทาหน้าไร้เดียงสา
“เจ้า!” ถังเฟยเลิกคิ้วสูงชัน ไม่อดทนอันใดอีกแล้ว ตระเตรียมหาเรื่อง
มันสักครา แต่แล้วในเวลานี้เอง ปรากฏเสียงกระแอมไอเบา ๆ มาจากทาง
ด้านหลังนาง เป็นเถาซิงยื่นมือเข้าคลี่คลายสถานการณ์ “เสี่ยวถัง ค่อย ๆ
พูดจา จั่วเซียนเซิงไม่เข้าใจเรื่องราวในละแวกนี้ เจ้าต้องค่อย ๆ อธิบาย”
ถั ง เฟยแม้ มี อ คติ ต่ อ จั่ ว ม่ อ แต่ เ ถาซิ ง เมื่ อออกปากเช่ น นี้ นางก็ ไ ม่
สะดวกจะอาละวาดออกมา ได้ แ ต่ ก ล่ า วอย่ า งหงุ ด หงิ ด ร าคาญ “ปู้ เ กิ้ น
อัจ ฉริยะที่โด่งดังที่สุดแห่งตระกูล ยักษาเขียว มันไม่เพียงบรรลุด่านเจียง
เมื่อมีอายุเพียงยี่สิบปี แต่ยังเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองอีกด้วย”
“ด่านเจียง! แม่ทัพบัญชาการศึกระดั บทอง!” จั่วม่ออดหันมาสนใจ
ไม่ได้ สองคานี้ช่วยให้มันเข้าใจชชัดเจนขึ้นว่าปู้เกิ้นร้ายกาจปานใด
หรือว่ามันไม่รู้จริงๆ? ถังเฟยเห็นสีหน้างุนงงของจั่วม่อคล้ายไม่ไ ด้ เส
แสร้ ง แกล้ ง ดั ด จึ ง กล่ า วสื บ ต่ อ “กองทั พ ในสั ง กั ด ของปู้ เ กิ้ น เรี ย กว่ า กอง
พันเกิ้น จัดอยู่ลาดับเก้าสิบสามในทาเนียบกองทัพแห่งดินแดนร้อยเถื่อน
ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน!”
“กองพันที่จัดอยู่ลาดับเก้าสิบสามในดินแดนร้อยเถื่อน!” จั่วม่อสูดลม
หายใจอย่างหนาวเหน็บ สีหน้ากลับกลายเป็นหนักอึ้งเคร่งเครียด
กองพันที่จัดอยู่ลาดับเก้าสิบสามในทาเนียบกองทัพแห่งดินแดนร้อย
เถื่ อน ความหมายที่ แ ฝงเร้ น อยู่ใ นประโยคนี้น่า สะพรึ ง กลัว ยิ่ ง ยั ง ขู่ ข วัญ
จั่วม่อมากกว่าคา ‘ด่านเจียง’ กับ ’แม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง’ เสียอีก
ควรทราบว่ า ค่ า ยจู เ ชวี่ ย ของจั่ ว ม่ อ ไม่ ว่ า จะอยู่ ใ นดิ น แดนใดในสี่
ดิ น แดน ล้ ว นยั ง ไม่ อ าจจั ด อยู่ ใ นร้ อ ยสุ ด ยอดได้ กองทั พ ที่ ส ามารถ
เบียดเสียดเข้าสู่ร้อยสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นในดินแดนใด ก็เรียกได้ว่าเป็นกอง
พันที่ร้ายกาจยิ่ง
ในดินแดนหนึ่งใช่มีเพียงหนึ่งร้อยอาณาจักรหรือไม่ ? แน่นอนว่าย่อม
มิใช่ ดินแดนหนึ่งอันที่จริงประกอบด้วยหลายร้อยหรือหลายพันอาณาจักร
มิ ห น าซ้ า ในแต่ ล ะอาณาจั ก รยั ง เต็ ม ไปด้ ว ยขุ ม ก าลั ง นั บ ไม่ ถ้ ว น จ านวน
กองทัพก็เรียกได้ว่ามากมายสุดคนานับ ดังนัน
้ กองทัพที่สามารถเบียดเสียด
เข้าสู่ร้อยสุดยอดจากหลายพันหลายหมื่นกองทัพ หากมิใช่ตัวตนอันแกร่ง
กล้าเกรียงไกร ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก
แม้ว่าระยะนี้พลังฝีมือของมันจะรุ ดหน้าก้าวไกล แต่พลังอานาจของ
กองทัพหนึ่ง ก็มิใช่สิ่งที่จะอาศัยเพียงพลังฝีมือของคนผู้หนึ่งเข้าต่อกรได้
สังหรณ์อันตรายร้ายแรงเข้าล้อมรอบจั่วม่อ
“พวกเรามีหนทางใดหรือไม่?” จั่วม่อถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ทางที่ดีที่สุดคือรีบรุดไปให้ถึงเมืองมหาสันติ” ถังเฟยสุ้มเสียงเชื่อมั่น
อย่างเปี่ ยมล้น “ไม่มีกองทัพใดกล้าอาละวาดในเมืองมหาสันติ”
“เมืองมหาสันติ?” จั่วม่อสีหน้าว่างเปล่า
ถังเฟยสลดหดหู่ยิ่ง ผู้ที่เข้มแข็งถึงปานนี้ ไฉนไม่ล่วงรู้สิ่งใดเลยเล่า?
กระทั่งเมืองมหาสันติมันก็ไม่รู้จัก?
“เป็นเมืองที่อยู่ใกล้เรามากที่สุด ทั้งยังเป็นมหานครที่ใหญ่โตที่สุดใน
ละแวกเก้าอาณาจักรแถบนี้”
“เราจะไปถึงได้อย่างไร?”
“ในทิศทางที่เรากาลังมุ่งไปนี่เอง” ถังเฟยตอบ ทั้งฉวยโอกาสกระตุ้น
เตือน “แต่เราต้องเร่งความเร็วมากกว่านี้”
รอจนจั่วม่ออธิบายว่าพวกมันไฉนไม่ อาจเร่ง ความเร็ วได้ม ากกว่ า นี้
ถังเฟยสีหน้ากลายเป็นแปลกพิกลยิ่ง นางหากร่าไห้ออกมาในยามนี้ เกรง
ว่าคงไม่มีผู้ใดแปลกใจ

ในอาณาจักรยุ้งฉางกลาง
ค่ า ยจู เ ชวี่ ย ที่ เ คยพิ ชิ ต ไปโดยไร้ ผู้ ต้ า น ในที่ สุ ด ก็ พบพานคู่ มื อ ที่
ทั ด เที ย ม กองทั พ ปิ ศ าจตรงหน้ า พวกมั น นี้ เ หนีย วแน่ นพั ว พั น เป็ นพิเศษ
หลังจากประมือกันหลายร้อยกระบวนท่า กลับยังคงคู่คี่ก้ากึ่ง ไม่มีฝ่ายใด
ได้เปรียบเสียเปรียบ
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันกลางอากาศ ยามกะทันทันกลายเป็นสภาพ
ชะงักงันไป
แม่นางน้อยเพ่งตาสารวจกองทัพฝ่ายตรงข้าม หลังจากโรมรันพันตู
กันมาสองสามวัน มันก็มีความเข้าใจในกองทัพปิศาจขบวนนี้โดยคร่าวๆ
กองทัพปิศาจเบื้องหน้าแม้ด้านพิชัยยุทธ์ไม่โดดเด่นเลิศล้า แต่พลัง
ฝีมือโดยเฉลี่ยของไพร่พลกลับเข้มแข็งยิ่ง กองทัพที่มีไม่ถึงหนึ่งพันคนนี้
เฉลี่ยแล้วในปิศาจทุก ๆ ยี่สิบตน จะมีปิศาจด่านถงหลิ่งอยู่หนึ่งตน! ลาพัง
จานวนของยอดฝีมือด่านถงหลิง่ ก็เหนือล้ากว่าค่ายจูเชวี่ยมิรู้ว่าเท่าใด อย่า
ว่าแต่กลยุทธ์ทาศึกของอีกฝ่ายยังคล่องแคล่วประเปรียว ไปมาดุจสายลม
นี่เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่แม่นางน้อยเคยพบพาน!
เช่ น เดี ย วกั น กั บ แม่ น างน้ อ ย แม่ ทั พ ของฝ่ า ยตรงข้ า มก็ ก าลั ง เพ่ ง
พิจารณาค่ายจูเชวี่ยไม่วางตา
อาซาเก๋อจับจ้องมองดูกองพันซิวเจ่อเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง มัน
หลังจากนาทัพบุกผ่านออกมาจากรอยแยกแห่งความโกลาหลก็กวาดพิชิต
ไปโดยไร้ผู้ ต้านติ ด แทบไม่ล าบากกิน แรงแม้ แต่น้อ ย จนกระทั่งพบพาน
กองทัพซิวเจ่อที่เบื้องหน้านี้
หลังจากทาการสัประยุทธ์โรมรันติดต่อกันเกือบสามวันเต็ม มันยังไม่
อาจช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบแม้แต่น้อย
นี่ทาให้มันตกตะลึงสุดระงับ เห็นได้ว่าพลังฝีมือโดยเฉลี่ยของไพร่พล
ฝ่ า ยตรงข้ า มต่ า ชั้ น กว่ า พวกมั น มาก แต่ ไ ม่ ว่ า อาซาเก๋ อ จะเปลี่ ย นแปลง
ยุทธวิธีอย่างไร ยังคงไม่อาจโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายได้
อาซาเก๋ อ ทราบกระจ่ า งแก่ ใ จ หากกล่ า วอย่ า งเข้ ม งวดสั ก หน่ อ ย นี่
เท่ากับว่าพวกมันพ่ายแพ้แล้ว
ความสามารถทางพิชัยยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามเหนือล้ากว่ามันมาก มี
เพียงเหตุผลนี้เท่านั้น ที่สามารถช่วยชดเชยความอ่อนด้อยของไพร่พลใน
กองทัพ จนสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมกับกองทัพของมัน
อาซาเก๋ออดนับถือเลื่อมใสไม่ได้ มันทะยานออกไปด้านหน้าแถวทัพ
อย่างฉับพลัน ประสานมือกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “สามวันมานี้นับเป็น
การต่อสู้ที่ดี ท่านที่นับถือมีฝีมือทางพิชัยยุทธ์สูงส่งปานเทพยดา อาซาเก๋อ
เลื่อมใสนัก! มิทราบสามารถบ่งบอกนามสูงส่งให้อาซาเก๋อได้จารึกไว้ในใจ
หรือไม่!”
เพียงกล่าวจบคา เห็นบุรุษหนุ่มอ่อนแอปานมิอาจต้านแรงลม พลิ้ว
กายออกมาหน้าแถวทัพฝ่ายตรงข้าม “กงซุนชาแห่งเกาะเต่า”
อาซาเก๋อใบหน้าเต็ม ไปด้วยความตื่นตระหนก มันไหนเลยจะคาดคิด
ได้ ว่าคู่มือที่ทัดเทียมกับมันจะเป็นบุรุษหนุ่มที่ดูอ่อนแอบอบบางเช่นนี้!
“อย่างที่ปราชญ์โบราณว่าไว้ วีรบุรุษก่อเกิดจากวัยเยาว์! อาซาเก๋อ
นับถือเลื่อมใสนัก!” แม่ทัพปิศาจผู้เก่งกล้าสามารถแสดงความชื่นชมอย่าง
จริ ง ใจ จากนั้ น กล่ า วอย่ า งกะทั น หั น “อาซาเก๋ อ ยิ น ดี ล่ า ถอยออกจาก
อาณาจักรนี้ และหวังว่าสามารถเปลี่ยนเป็นสหายกับพี่กงซุน!”
วาจาของฝ่ายตรงข้ามสร้างความประหลาดใจให้แก่กงซุนชา มันไม่
ผลีผลามรับคาในทันที แต่ย้อนถามว่า “เปลี่ยนเป็นสหาย? ด้วยวิธีใดเล่า?”
บทที่ 567 เมล็ดพันธุ์งอกเงย

เอ้อเต๋อลืมตาขึ้นอีกครั้ง โลกเบื้องหน้ามันกระจ่างชัดเจนกว่าที่เคย
เป็ น มา รู้ สึ ก ถึ ง พลั ง ที่ อั ด แน่ น อยู่ ใ นร่ า งกาย พลั น พลุ่ ง พล่ า นใจสุ ด ระงับ
น้าตาสองสายไหลหลั่งลงมาโดยไร้เสียง
พลังอานาจ!
นี่คือรสชาติของพลังอานาจ!
ความกระหายอยากที่เผ่าปิศาจมีต่อพลังอานาจ แทบจะสลักลึกลงไป
ในกระดูกของพวกมัน พลังที่มันเฝ้าใฝ่ฝันมานาน กาลังโคจรอยู่ภ ายใน
กาย มันไม่เคยมีความรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน แต่ก็แทบจะ
ตระหนักได้ในทันที
ด่านถงหลิ่ง!
นี่เป็นพลังอานาจของด่านถงหลิ่ง!
แสงสว่ า งสดสวยถึ ง เพี ย งนั้ น โลกหล้ า งดงามตระการถึ ง เพี ย งนั้ น
อนาคตก็สามารถคาดหวังได้!

กงซุนชาหน้าเขียวคล้า มันอารมณ์มิสู้ดีนัก การเป็นพันธมิตรกับอาซา


เก๋อไม่ได้มีผลเสียอันใด แต่สาหรับคนเช่นแม่นางน้อยผู้ยึดมั่นกับชัย ชนะ
อย่างผิดปกติ นี่หาใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจไม่
บรรดาไพร่พลค่ายจูเชวี่ยก็ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าถมึงทึง นี่เป็นการศึกที่
พวกมันไม่พึงใจที่สุดเท่าที่เคยทาศึกมา ฝ่ายตรงข้ามพลังฝีมือเหนือล้ากว่า
พวกมัน จนพวกมันยากจะต่อกรด้วย หากมิใช่ว่าแม่นางน้อยผู้เป็นแม่ทัพ
ของพวกมันแตกฉานพิชัยยุทธ์ มีความสามารถทางยุทธวิธี เหนือกว่าแม่
ทัพศัตรู เกรงว่าพวกมันคงพ่ายแพ้แต่แรก
นี่เป็นสิ่งที่ค่ายจูเชวี่ยผู้ทระนงถือดียากจะยอมรับได้!
ทุกผู้คนดวงตาทอประกายไม่ยินยอมพร้อมใจ ร้อนแรงราวกับเปลว
เพลิงโหมไหม้
ตั้งแต่เมื่อใดที่ค่ายจูเชวี่ยมีส ภาพน่าสังเวชเช่นนี้ ? แล้วตั้งแต่เมื่อใด
กันที่ค่ายจูเชวี่ยต้องกลายมาเป็นตัวถ่วงของแม่นางน้อยต้าเหริน ? ตั้งแต่
เมื่อใดกันที่ค่ายจูเชวี่ยต้องถูกบีบบังคับให้ยอมรับพันธมิตร?
แม่นางน้อยกวาดตามองทุกคนอย่างเย็นชารอบหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอันใด
เพียงโบกมือให้พวกมันรีบออกไป
มันค่อย ๆ สงบใจลง ในที่สุดค่อยสามารถพิจ ารณาผลได้ผลเสียจาก
การเป็นพันธมิตรครั้งนี้
อาซาเก๋อหาได้มีความทะเยอทะยานในอาณาจักรยุ้งฉางกลางไม่ เห็น
ได้ว่าอาซาเก๋อ มีข้อ ห่ว งพะวงอื่นๆ อีกมากมาย กงซุนชาเข้ า ใจว่ า นี่ เ ป็ น
เหตุผลที่อาซาเก๋อต้องการเป็นพันธมิตรกับพวกมัน เป็นไปได้ว่าอาซาเก๋อ
อาจเผชิญแรงกดดันจากแนวรบด้านอื่ น ๆ ไม่ส ามารถทุ่มเทเรี่ยวแรงกับ
อาณาจักรยุ้งฉางกลางมากนัก เพียงยึดครองไว้เพื่อป้องกันรอยแยกแห่ง
ความโกลาหลเท่านั้น ผนวกกับการที่มันพบว่าแม่นางน้อยเข้มแข็งอย่าง
คาดไม่ถึง ยากจะเอาชนะได้ จึงตัดสินใจเสนอพันธมิตร เท่ากับฝ่ายอาซา
เก๋อไม่ได้เสียผลประโยชน์ใดเช่นกัน
เพียงแต่มันร้อยคิดพันคานวณ ยังคาดเดาจุดมุ่งหมายของกงซุนชา
ผิดไป
กงซุนชาแม้ยึดครองอาณาจัก รยุ้งฉางกลาง แต่จุดมุ่งหมายของมั น
ย่อมมิใช่อาณาจักรยุ้งฉางกลาง แต่เป็นรอยแยกแห่งความโกลาหลที่ น า
จากอาณาจักรยุ้งฉางกลาง ไปยังดินแดนในภพปิศาจ
แผนการนี้ ไ ม่ ต้ อ งสงสั ย เลยว่ า ล้ ม เหลวแต่ แ รก อาซาเก๋ อ แม้ ก ล่ า ว
เกรงอกเกรงใจ แต่หากกงซุนชาส่งกองกาลังเข้าไปในอาณาจักรปิศาจจริง
ๆ ผู้อ่ น
ื ไม่ฉีกหน้าลงมือก็แปลกไปแล้ว
ช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้าโดยแท้ แม่นางน้อยคลึงขมับอย่างอ่อนล้า
ศิษย์พี่กาลังทาสิง่ ใดอยู่หนอ? ไม่ทราบพบเรื่องยุ่งยากบ้างหรือไม่?
รอจนพบพานกับขุมกาลังที่ทรงพลังอานาจอย่างแท้จ ริง มันจึงได้รู้
ชัดว่าสิ่งใดที่พวกมันยังขาดไป ความราบรื่นในอดีตกัดกร่อนปณิธานผู้คน
ให้ชาด้านไปโดยไม่รู้ตัว
มั น หวนนึ ก ถึ ง ปิ ศ าจด่ า นถงหลิ่ ง จ านวนมากในขบวนทั พ ของผู้ อ่ ื น
จากนั้ น นึ ก ถึ ง จ านวนจิ น ตั น ของค่ า ยจู เ ชวี่ ย เมื่ อ เที ย บกั น แล้ ว ช่ า งเป็ น
จานวนน้อยนิดจนน่าเวทนาเสียจริง
นี่คือความห่างชั้นอันใหญ่หลวง เป็นความห่างชั้นที่ไม่สามารถถมเต็ม
ได้ในระยะเวลาอันสั้น สานักที่แข็งแกร่งมิใช่ขึ้นอยู่กับจานวนยอดฝีมือที่มี
แต่เป็นระดับฝีมือของศิษย์ท้ังหมดต่างหาก ยอดฝีมืออาจสามารถปรากฏ
ขึ้นได้ด้วยโชควาสนานาพา แต่ศิษย์ท้งั หมดซึ่งเป็นรากฐานกาลังของสานัก
มีแต่ต้องพึ่งพาการสั่งสมผ่านทรัพยากรและกาลเวลาเท่านั้น จึงสามารถ
เพาะสร้างขึ้นได้
เรื่องนี้กงซุนชาก็จนปัญญาจริงๆ
มั น ทราบดี ว่ า ค่ า ยจู เ ชวี่ ย มุ ม านะฝึ ก ปรื อ อย่ า งหั ก โหมมากอยู่ แ ล้ ว
เคล็ดวิชาของพวกมันแม้ไม่เด่นล้าที่สุด แต่ยังคงเหนือล้ากว่าส านัก ทั่ว ไป
ผนวกกับค่ายกลสลัก ร่ าง ช่วยให้พวกมันสามารถใช้พลัง ปราณจากในจิ
งสือและโอสถปราณได้มากกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าส านักทั่วไปมาก
อย่างไรก็ต าม รอจนพวกมันพบพานกับขุมกาลังที่ทรงพลังอานาจอย่า ง
แท้จริง ต่อหน้าการสั่งสมยาวนานหลายร้อยปี หรืออาจจะหลายพันปีของ
ผู้อ่ น
ื ข้อได้เปรียบเล็กน้อยของพวกมันก็ไม่มีคุณค่าความหมายอันใดอีก
ทันใดนั้น นกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งเหินร่อนลงมาในฝ่ามือของแม่
นางน้อย
แม่นางน้อยงงงันวูบ เปิดนกกระเรียนกระดาษออกดู
มันพลันม่านตาหดแคบลง สีหน้าปรากฏแววปลาบปลื้มประโลมใจที่
ยากจะพบพาน

โหยวฉินเลี่ยเร่งรุดแข่งกับเวลาในยามวิกาล นับตั้งแต่มันหลบหนีออก
จากคุก นี่ก็ล่วงเข้าวันที่สามแล้ว แน่นอนว่าทางเรือนจาจะต้องค้นพบว่า
มันลอบหลบหนีออกมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้วิตกกังวลแม้แต่น้อย
เนื่องเพราะเชื่อมั่นในศาสตร์อสูรของมันอย่างเปี่ ยมล้น แม้ว่ามันเพิ่ง
จะบรรลุศาสตร์อสูรที่ผูเยามอบให้ แต่ก็ใช้เวลาไปเพียงหนึ่งวันเท่า นั้นใน
การฝึกปรือจนบรรลุ จากนั้นใช้เวลาอีกสามวัน ลอบทาลายอาคมหวงห้าม
ในร่ า ง แล้ ว ใช้ ศ าสตร์ อ สู ร สร้ า งภาพลวงตาเสมื อ นจริ ง ทิ้ ง เอาไว้ ก่ อ นใช้
เวลาอีกหนึ่งวันค้นหาเส้นทางหลบหนี
รวมทั้ ง หมดทั้ ง มวลแล้ ว มั น ใช้ เ วลาไปเพี ย งห้ า วั น เท่ า นั้ น ก่ อ นจะ
หลบหนีออกจากคุกเป็นผลสาเร็จ
เมื่อเป็นอิสระ สิ่งแรกที่มันคิดคือไปยังคุกสิบนิว
้ เพื่อเสาะหาผูเยา มัน
แม้ พ ยศดุ ร้ า ย แต่ เ ป็ น บุ ค คลที่ มี ศั ก ดิ์ ศ รี ผู้ ห นึ่ ง ไม่ ต้ อ งกล่ า วถึ ง ค าสั่ ง เสีย
สุดท้ายก่อนตายของบิดามัน ลาพังแค่ศาสตร์อสูรที่ผูเยามอบให้แก่มัน ก็
เป็นสิ่งที่ช่วยให้มันหลบหนีออกมาได้
ในความเห็นของมัน นี่เป็นพระคุณช่วยชีวิต
ส าหรั บ เรื่ อ งที่ ว่ า ต่ อ ไปนี้ มั น จะต้ อ งถู ก ผู้ อ่ ื นใช้ ง าน มั น หาได้ แ ยแส
สนใจไม่
ผูเยาในเมื่อช่วยชีวิตมัน มันก็จะตอบแทนพระคุณของผูเยา ความคิด
ของโหยวฉินเลี่ยรวบรัดเพียงนี้เอง
โดยไม่ รี ร อลั ง เล มั น รี บ แล่ น ไปยั ง ต าหนั ก ศาสตร์ อ สู ร ตามค าชี้ แนะ
ของผูเยา
เห็นต าหนักศาสตร์อสูรเบื้องหน้ามันเรียบง่ายยิ่ง ดูเหมือนไม่มีสิ่งใด
พิเศษ เดินไปตามเส้นทางที่ผูเยาบอกไว้อย่างระมัดระวัง มันพบแท่นหินที่
ไม่โดดเด่นสะดุดตาอยู่ในมุมหนึ่งของตาหนักศาสตร์อสูร
โหยวฉินเลี่ยร่ายศาสตร์อสูรแปลกประหลาดวิชาหนึ่ง แท่นหินแยก
ออกโดยไร้เสียง เผยให้เห็นโลงหินที่อยู่ข้างใต้
เช่นเดียวกันกับที่ผูเยาบอกเอาไว้ โลงหินนัน
้ ว่างเปล่า
โหยวฉินเลี่ยลังเลอยู่บ้าง แต่แ ล้วตัดใจเด็ดเดี่ยว กัดฟันทอดกายลง
นอนเหยียดยาวในโลงหินตามคาสั่งของผูเยา
ต่อให้เลวร้ายที่สุด ก็แค่มอบชีวิตกลับคืนให้แก่อีกฝ่ายเท่านั้นเอง!
โหยวฉินเลี่ยเฝ้ามองขณะโลงหินปิดลงช้า ๆ
ความมืดมิดกลืนกินมันลงไป

สุ่ยเยวี่ยใบหน้าสกปรกเลอะเทอะไปด้วยฝุ่น มันดูเหน็ด เหนื่อยจาก


การเดินทางต่อเนื่องหลายวัน ระหว่างทางมีการต่อสู้เกิ ดขึ้นไม่ข าดสาย
บ้างเป็นการต่อสู้ระหว่างปิศาจด้วยกัน บ้างก็เป็นสงครามระหว่างปิศาจกับ
ซิ ว เจ่ อ เกิ ด กองโจรปล้ น ฆ่ า ไปทั่ ว ทุ ก ที่ ท าให้ ทุ ก แห่ ง หนล้ ว นสุ่ ม เสี่ ย ง
อันตราย
หากมิใช่ว่ามันมีประสบการณ์โชกโชนจากการล่าตัวอ่อนปิศาจ เกรง
ว่าคงทอดร่างเป็นซากศพไปเสียนานแล้ว
มันในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางแล้วหรือไม่?
ฝุ่นละอองบนใบหน้าไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นดวงตาเด็ดเดี่ยวกระจ่างใส
คู่นั้น มันกวาดตามองรอบ ๆ อย่างใคร่รู้
นี่ เ ป็ น หุ บ เขาอั น ห่ า งไกลยิ่ ง แห่ ง หนึ่ ง เป็ น เวลายาวนานมากแล้ ว
นับตั้งแต่มีคนมาเยือนที่นี่ครั้งสุดท้าย ทั่วทั้งหุบเขาเติบโตงอกงามไปด้วย
เถาไม้เลื้อยสีม่วงชนิดหนึ่ง สุ่ยเยวี่ยระมัดระวังจนตัวเกร็ง มันจดจาเถาไม้
เลื้อยสีม่วงนี้ได้ หนามเล็ก ๆ บนเถาไม้เลื้อยชนิดนี้เต็มไปด้วยพิษร้ายคร่า
ชีวิต หากสะกิดถูกสักเล็กน้อย แทบจะดับ ดิ้นสิ้นชีพในชั่วพริบตาเดียว ไม่
น่าแปลกใจที่มันไม่พบพานสัตว์ร้ายแม้แต่ตัวเดียวที่นี่
เถาไม้ เ ลื้ อยสี ม่ ว งอั น แน่ น ขนั ด ปิ ด ผนึ ก หุ บ เขาเล็ ก ๆ แห่ ง นี้ เ อาไว้
กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งความตายผืนหนึ่ง
สุ่ ย เยวี่ ย บนใบหน้ า ทอแววลิ งโลดยิ นดี แต่ พ ยายามสงบใจลงอย่าง
รวดเร็ว ประสบการณ์ล่าสัตว์อันโชกโชนของมันเตือนให้มันเร่งรักษาความ
เยื อ กเย็ น เอาไว้ นี่ เ ป็ น เพี ย งวิ ธี เ ดี ย วที่ มั น จะเอาชี วิ ต รอดไปได้ จ นถึ ง
ท้ายที่สุด
มันยื่นมือออกไป เผยให้เห็นมังกรแดงดั่งโลหิตบนฝ่ามือ
ทันใดนัน
้ มังกรโลหิตส่องประกายเจิดจ้า
เถาไม้เลื้อยสีม่วงพลันขยับเคลื่อนไหวราวกับพวกมันมีชีวิต สุ่ยเยวี่ย
มองภาพเบื้องหน้าอย่างกระหายใคร่รู้ เพียงชั่วอึดใจเดียว ทางเล็ก ๆ สาย
หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามัน
สุ่ยเยวี่ยไม่รีรอลังเล เดินไปตามทางเล็กสายนั้น ดิ่งลึกเข้าไปในหุบเขา
ด้านหลังมัน เถาไม้เลื้อยสีม่วงที่มันผ่านมาแล้วค่อยๆ เคลื่อนหุบเข้าหากัน
ทางสายน้อยเริ่มหายไปอีกครั้ง
ปลายทางของเส้นทางเล็ก ๆ เป็นถ้าลับที่ซ่อนไว้เป็นอย่างดีแห่งหนึ่ง
สุ่ยเยวี่ยสูดหายใจลึก ๆ คลานเข้าไปในถ้าแห่งนั้น
ภายในถ้ า ลั บ เห็ น บ่ อ น้ า ปรากฏขึ้ น เบื้ อ งหน้ า มั น ในบ่ อ เต็ ม ไปด้ ว ย
ของเหลวดาสนิท ส่งกลิ่นหอมพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่ง
“ท่านพ่อ ท่านปู่ โปรดอยู่กับข้า!”
สุ่ยเยวี่ยราพึงกับตัวเองเป็นประโยคสุดท้าย
จากนั้นกระโดดลงไปในบ่อ

ในส่วนลึกของทะเลทรายแห่งหนึ่ง เฟ่ยเหลยมองดูแท่นบูชาเซ่นสรวง
อันเรียบง่ายและเก่าแก่ที่อยู่เบื้ องหน้า แท่นบูชาซึ่งจมอยู่ใต้ผืนทรายเนิ่น
นานหลายพันปี ในที่สุดก็ได้เห็นแสงแห่งทิวาวารอีกครา
ลวดลายโบราณบนแท่ น บู ช าคล้ า ยแฝงไว้ ด้ ว ยพลั ง อ านาจเหนื อ
ธรรมดา พวกมันคล้ายยังมีชีวิต และกาลังสนองตอบต่อบางสิ่ง
เฟ่ยเหลยเหม่อมองแท่นบูชาอย่างมึนงงสงสัย มันค้นพบแท่นบูชานี้
ตามคาชี้นาของพันธสัญญาเพรียกโลหิต
“ชะตากรรมของข้าคือสิ่งใด? ในที่สุดข้าก็จะได้ล่วงรู้เสียที!”
เฟ่ ย เหลยร าพึ ง เบา ๆ สายตาเหม่ อ ลอยทั น ใดนั้น กลับ เป็น กระจ่าง
แจ่มใส มันก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาอย่างไม่รีรอลังเล
แท่นบูชาเซ่นสรวงพลันสว่างจ้าในบัดดล!
สุ้มเสียงลุ่มลึกกังวานแว่ว ราวกับดังมาจากที่ห่างไกลในอดีตกาล เงา
เลือนรางมากมายล่องลอยอยู่เหนือแท่นบูชา ว่ายเวียนรอบกายเฟ่ยเหลยอ
ย่างลิงโลด
เฟ่ยเหลยดวงตาเหม่อลอย สิน
้ สติสัมปชัญญะในทันที
แท่นบูชาคารามกระหึ่ม เริ่มหมุนคว้างอย่างแช่มช้า
ในทะเลแห่งจิตสานึกของจั่วม่อ เว่ยสะท้านขึ้นเบา ๆ ผูเยาก็เงยหน้า
มองไปยังที่ห่างไกล นัยน์ตาสีเลือดเปล่งประกายเจิดจ้า
“เมล็ดพันธุ์เริ่มงอกเงยขึ้นแล้ว!”
ความมุ่งมาดปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมาหลายพันปี สะท้อนสะท้านอยู่
ในทะเลแห่งจิตสานึก

จั่วม่อนั่งอยู่บนพรมแมลงพายุทราย มองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยาก


เห็ น แมลงบิ น ตั ว เล็ ก ๆ หลายหมื่ น ตั ว ถั ก ทอเป็ น ผื น พรมมี ชี วิ ต รองรั บ
จั่วม่อไว้เบื้องบน เหินลิ่วไปเบื้องหน้าด้วยระดับความเร็วอันชวนสะท้านใจ
ซู่หลงกับพลพรรคค่ายเว่ย แต่ละคนขี่หลังนกยักษ์สีฟ้าสดคนละตัว
ถังเฟยมองดูจ่ัวม่ อผู้เหลี ยวซ้ ายแลขวาราวกั บ เด็กน้ อยพบเจอของ
เล่ น ใหม่ ยิ่ ง รู้ สึ ก งุ น งงสงสั ย กว่ า เดิ ม เมื่ อนางได้ ฟั ง เหตุ ผ ลที่ ไ ม่ อ าจเร่ ง
ความเร็วได้ของจั่วม่อ กลับไม่ทราบจะหัวร่อหรือร่าไห้ดี หรือว่าคนเหล่านี้
ไม่รู้ว่ามีพาหนะปิศาจด้วย?
เมื่ อพิ จ ารณาถึ ง เหตุ ผ ลด้ า นความปลอดภั ย ถั ง เฟยยิ น ยอมควั ก
กระเป๋าจ่ายค่าพาหนะปิศาจโดยไม่ต้องเอ่ยคาที่สอง นางกว้านซื้อนกยักษ์
สี ฟ้ า ส าหรั บ ไพร่ พ ลค่ า ยเว่ ย ทุ ก คน แทบจะกว้ า นซื้ อนกสี ฟ้ า ในตลาด
ท้องถิ่นแถบนี้มาทั้งหมด
ถังเฟยยังจ่ายเงินซื้อพรมแมลงพายุทรายตามที่จ่ว
ั ม่อต้องการอีกด้วย
สาหรับความมั่งคั่งของเมืองไร้จุดจบ ม๋อเป้ยจานวนเท่านี้ไม่นับเป็น อะไร
ได้ ทว่านางได้แต่เฝ้างุนงงสงสัย คนเหล่านี้ดูเหมือนทรงพลังอานาจยิ่ง ไม่
คล้ายมีชาติกาเนิดจากตระกูล เล็ก ๆ ในท้องถิ่น แต่พวกมันไฉนไม่ ล่ ว งรู้
เรื่องราวเกี่ยวกับพาหนะปิศาจอันธรรมดาสามัญ?
แต่ความเป็นปฏิปักษ์ที่ถังเฟยมีต่อจั่วม่อ ค่อย ๆ ลดลงโดยไม่รู้ตัว
ในทางตรงกันข้าม หน่วยองครักษ์ ดาวสวรรค์มีอุปกรณ์ครบครันแต่
แรก พวกมันไม่เสียเวลากล่าวคาที่สอง ก็เรียกพาหนะปิศาจของพวกตน
ออกมา
พรมแมลงพายุ ท รายใหญ่ โ ตมาก สามารถรองรั บ ผู้ ค นสิ บ กว่ า คน
จั่วม่อ อากุ่ย เขิงเหลียนเอ๋อร์ เหยียนเอ๋อร์ เถาซิงและถังเฟย ล้วนนั่งอยู่บน
พรมแมลงพายุทรายโดยพร้อมหน้า เขิงเหลียนเอ๋อร์นาอุปกรณ์ชงชาของ
นางออกมา เริ่มดื่มชาตามปกติ เถาซิงหัวเราะร่า ไม่เกรงอกเกรงใจ ร่วมดื่ม
ชาเป็นเพื่อนนาง ส่วนถังเฟยนัง่ เงียบ ๆ อยู่ที่ด้านข้าง
จั่ ว ม่ อ ศึ ก ษาเรี ย นรู้ อ ยู่ ค รู่ ใ หญ่ พรมแมลงพายุ ท รายถู ก มั น คว้ า จั บ
เอาไว้อย่างรวดเร็ว แมลงสีดาเล็ก ๆ ที่ประเปรียวเหล่านี้ท้ังทรหดอดทน
และแสนรู้ เจ้ า ตั ว น้ อ ยพวกนี้ น่ า สนใจยิ่ ง หากศิ ษ ย์ น้ อ งฉุ น อวี๋ เ ฉิ ง อยู่ที่นี่
จะต้องเบิกบานใจมาก
จั่วม่อพอนึกถึงเรื่องนี้ ก็อดคิดถึงทุกคนไม่ได้ แต่ในไม่ช้าก็ยิ้มออกมา
มองไปยังอากุ่ย เอื้อมมือขยี้ศีรษะอากุ่ยอย่างนุ่มนวล
“เรากาลังจะถึงเมืองมหาสันติแล้ว อีกไม่นานจะเห็นมหานครแห่งนี้
ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า” วาจาของถังเฟยขัดจังหวะความสาราญของจั่วม่อ
จั่วม่อเงยหน้ามองไปตามคาบอกกล่าว อดเผยสีห น้าตื่นตะลึงไม่ได้
เห็นเมืองอันยากจะหาที่ใดเสมอเหมือน ค่อย ๆ เผยโฉมขึ้นในสายตาของ
มัน
บทที่ 568 มหาสันติไม่ดับสูญ

บนทะเลสีดากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เห็นมหานครอันใหญ่โตโอฬารและ
งามตระการลอยอยู่เหนือผิวทะเล โครงร่างของตัวเมืองแผ่กว้างออกสอง
ฟากข้ า ง วาดเป็ น เส้ น สี เ หลือ งหนาทึ บ ทอดยาวไปตามแนวเส้น ขอบฟ้า
มองไม่เห็นสุดปลาย
“ลงไปเถอะ” ถังเฟยพลิว
้ กายลงจากพรมแมลงพายุทรายเป็นคนแรก
“บริเวณนี้ไม่อนุญาตให้เหินบิน”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนทยอยกระโดดลงมา เก็บพาหนะปิศาจของพวกมัน
ไป
เห็ น ภาพอั น โอ่ อ่ า โอฬารเบื้ อ งหน้ า พวกมั น อดร้ อ งอุ ท านอย่ า งตื่ น
ตระหนกไม่ได้ ท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่ทอดขวางหน้า บันดาลให้
ทุกคนสานึกตัวว่าเล็กกระจ้อยร่อยนัก
จั่วม่อเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก้มลงมองดูอย่างใกล้ชิด ค่อยกล่าว
อย่างประหลาดใจ “ทะเลดานี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ?”
“อา มิผิด ทะเลดานี้เรียกว่าทะเลไร้ธุลี เมื่อครั้งกระโน้น ปรมาจารย์
ซือจื่อหมิงดาริจะสร้างเมือง เหล่า ผู้เยี่ยมยุทธ์ท่ัวหล้ามารวมตั วกัน ของ
กานัลมากมายส่งมาจากเจ็ดจอมปิศาจด่านไสว้ มิหนาซ้ายังมีสี่สิบหกจอม
ปิศาจด่านเจียง ทยอยเดินทางมาจากทุกสารทิศทั่วทั้งอาณาจักรร้อยเถื่อน
เพื่อมีส่วนร่วมในการก่อสร้างมหานครแห่งนี้ หลังจากใช้เวลาก่อสร้า งถึง
สามปี เ ต็ ม พวกมั น ค่ อ ยสร้ า งเมื อ งมหาสันติ ไม่ ดั บ สู ญแล้ ว เสร็ จ ” เถาซิง
ถอนหายใจคราหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อ “ในเวลานั้นยังไม่มีทะเล มีแต่เพียง
บ่อน้าแห่งเมืองมหาสันติ แต่หลังจากนั้น มีผู้คนมากมายเดินทางมาเยี่ยม
เยือนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ผู้แสวงบุญทุกคนที่เดินทางมาที่นี่ จะนาขวดบรรจุ
น้ า ไร้ ร ากมาจากบ้ า นเกิด ของพวกมั น เพื่อ เทลงในบ่ อ บ่ อ น้ า เติ บ โตขยับ
ขยายขึ้นเรื่อย ๆ สองร้อยปีให้หลังก็ก่อกาเนิดเป็นทะเล และเมื่อราวหนึ่ง
ร้ อ ยปี ที่ แ ล้ ว จอมปิ ศ าจด่ านไสว้ส องตนผนึ กก าลัง กัน น าวารี ห นั ก หน่วง
ทมิฬดามาจากเก้าโลกันตร์ใต้พิภพ หลอมสร้างด้วยเคล็ดวิชาลับ กลายเป็น
ทะเลไร้ธุลีดังเช่นทุกวันนี้”
จั่วม่อพอฟังจบถึงกับอ้าปากหวอ ปรมาจารย์ซือจื่อหมิงเป็น บุ ค คล
เยี่ ย งไรกั น จึ ง ทรงอ านาจอิ ท ธิพ ลถึ งปานนี้ ? ทุ ก ผู้ ค นด้ า นหลัง มั น รวมทั้ง
ถังเฟยล้วนมีสีหน้าอัศจรรย์ใจ
หากเป็นในกาลก่อนจั่วม่ออาจไม่ค่อยล่วงรู้ระดับความแข็งแกร่งของ
เผ่าปิศาจ แต่ บัดนี้มัน ไหนเลยจะไม่ ทราบกระจ่างชัดเจน จอมปิศาจด่าน
ไสว้ทุกตนล้วนเป็นเจ้าผู้ปกครองแว่นแคว้นอันทรงอานาจอิทธิพล ไม่ว่า
ผู้ใดในหมู่พวกมัน ก็แข็งแกร่งพอที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอานาจในภพ
ปิ ศ าจด้ ว ยกั น ทั้ ง นั้ น กระทั่ ง จอมปิ ศ าจด่ า นเจี ย ง ผู้ ใ ดมิ ใ ช่ เ จ้ า ผู้ ค รอง
อาณาจักรแห่งหนึ่ง?
สี่สิบหกจอมปิศาจด่านเจียงถึงกับยินยอมใช้เวลาสามปีเต็ม ช่วยเหลือ
คนผู้นี้สร้างเมือง หากมิใช่เถาซิงบอกเล่าด้วยตัวเอง จั่วม่อต้องไม่ยินยอม
เชื่อเรื่องนี้เป็นแน่
เถาซิ ง สี ห น้า ทอแววเทิ ด ทู นบู ช า จ้ อ งมองเมื อ งมหาสัน ติด้ ว ยความ
ภาคภูมิใจอยู่บ้าง “ปรมาจารย์บรรพบุรุษของข้าก็มีส่วนร่วมในการสร้าง
เมืองมหาสันติเช่นกัน”
จั่วม่อในที่สุดไม่อาจระงับความงุนงงสงสัย ต้องถามว่า “ปรมาจารย์
ซือจื่อหมิงที่แท้เป็นใครกันแน่ ? ไฉนได้รับความเคารพศรัทธามากมายถึง
ปานนี้?”
เถาซิ ง เผยสี ห น้ า เคารพศรั ท ธาอย่ า งเปี่ ยมล้ น “การแสวงหาพลั ง
อานาจของเผ่าปิศาจเราคล้ายเป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง เราสามารถทา
ได้ทุกอย่างเพื่อแสวงหาพลัง แต่ในประวัติศาสตร์ยังมีปราชญ์ผู้เที่ยงธรรม
บางท่าน ที่ถึงแม้ว่าไม่มีพลังฝีมืออันเข้มแข็ง แต่ครอบครองสติปัญญาไร้ผู้
เปรียบติด พวกท่านล่วงรู้ทุกสรรพสิ่ ง สามารถชี้ตรงไปยังหัวใจของเหล่า
ปิศาจ พวกท่านมีจิตใจเสียสละ เป็นที่เคารพนับถือของปิศาจนับหมื่น ชีวิต
ของปรมาจารย์ซือจื่อหมิงเรียกได้ว่าเป็นตานานบทหนึ่ง เมื่อตอนที่ยังอายุ
เยาว์ ก็ นั บ เป็ น ยอดอั จฉริ ย ะผู้ห นึ่ ง ร่ า เรี ย นได้ ดี ก ว่ า คนส่ ว นใหญ่ ม าก ตั ว
ท่ า นเองไม่ มี ค วามสามารถเชิ ง ยุ ท ธ์ แต่ ค วามเข้ า ใจในแก่ น แท้ ข องพลั ง
กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ ท่านพเนจรไปทั่วหล้า ทุกที่ที่ย่างเท้า
ไปถึง จะถ่ายทอดสิ่งที่ท่านล่ว งรู้ ให้ แก่ผู้ อ่ ืน โดยไม่เ รียกร้อ งสิ่งตอบแทน
เจ็ดจอมปิศาจด่า นไสว้ และสี่สิบหกจอมปิ ศ าจด่ านเจีย ง ล้วนเป็นผู้ค น ที่
ได้รับคาชี้แนะจากท่าน ท่านยังช่วยคลี่คลายข้อบาดหมางนับครั้งไม่ถ้ วน
แผ่น้าใจไมตรีไปทั่วทุกแห่งหน ยอดคนเช่นนี้ไหนเลยจะไม่เป็นที่เคารพนับ
ถือของผู้คนมากมายสุดคนานับได้”
จั่วม่อพอฟังต้นสายปลายเหตุ อดนับถือเลื่อมใสคนผู้นี้มิได้ สามารถ
ชี้ แ นะจอมปิ ศ าจด่ า นไสว้ แ ละจอมปิ ศ าจด่ า นเจี ย ง มิ ท ราบคนผู้ นี้ จั ด อยู่
ระดับใด?
“เดินทางไปพลางสนทนาไปพลางเถอะ” เถาซิงมองดูสีห น้า ตะลึ ง
ลานของทุกคน กล่าวกระตุ้นเตือนด้วยรอยยิ้ม มันเดินนาไปยังทะเลไร้ธุลี
เป็ น คนแรก รอจนย่ า งเท้ า ลงบนผิ ว น้ า ของทะเลไร้ ธุ ลี ทั น ใดนั้ น ปรากฏ
โลมาดาตัวหนึ่งผุดขึ้นจากน้า รองรับเท้าของเถาซิงอย่างนุ่มนวล
จั่วม่อพอเห็นเข้า ให้สนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง มันรีบเลียนแบบเถาซิง
และเป็นไปตามคาด โลมาดาอีกตัวหนึ่งผุดขึ้นรองรับมันเอาไว้
“นี่เป็นโลมาต้อนรับที่เปี่ ยมไปด้วยไมตรีจิต ท่านทั้งหลายไม่ต้องห่วง
กังวลไป” เถาซิงรีบอธิบาย
ทุกคนพอฟังก็พากันก้าวลงบนพื้นผิวทะเล ปรากฏฝูงโลมาผุดขึ้นมา
ช่วยบรรทุกพวกมันตรงไปยังเมืองมหาสันติในทันที เหล่าโลมาดาบางครั้ง
ส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงแจ่มใสดังกังวาน
ถังเฟยหันมากล่าวกับจั่วม่ออย่างเคร่งเครียด “ไม่ว่ากองพันเกิ้น จะ
ร้ายกาจสักเพียงใด พวกมันยังไม่กล้าโจมตีเมืองมหาสันติ จนกระทั่งบัดนี้
ยังไม่เคยมีกองพันใดบั งอาจอาละวาดในเมืองมหาสันติม าก่อน แต่ท่าน
ต้องระวัง เมืองมหาสันติแม้ไม่อนุญาตให้กองทัพต่อสู้ กัน แต่พวกมัน ไม่
ห้ามการต่อสู้ระหว่างบุคคล สืบเนื่องเพราะเคล็ด วิช าฝึกปรือ วิถีปิ ศ าจที่
ซื อ จื่ อหมิ ง ถ่ า ยทอดออกไปเมื่ อครั้ ง อดี ต เมื อ งมหาสั น ติ ก ลั บ กลายเป็ น
สวรรค์ของยอดยุทธ์ ในเมืองนี้หากปฏิเสธการท้าสู้ของผู้อ่ ืน รังแต่จะถูกหัว
ร่อเยาะเท่านั้น”
“ที่ แ ท้ เ ป็ น เช่ น นี้ ” จั่ ว ม่ อ ผงกศี ร ษะรั บ รู้ แม้ ว่ า หากสั ป ระยุ ท ธ์ ด้ ว ย
กองทัพมันจะยังเทียบปู้เกิ้นไม่ติด แต่หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว มันก็หาได้
เกรงกลัวอีกฝ่ายไม่
ในยามนี้มันกับเถาซิงเป็นแมลงปอบนเชือกเส้นเดียวกัน ไม่ว่ารุ่งโรจน์
หรืออัปยศล้วนถูกล่ามไว้ด้วยกัน จั่วม่อพลันถามว่า “จะมีปิศาจด่านไสว้
หรือไม่?”
“ย่อมไม่” ถังเฟยสีหน้าแปลกพิกล
เจ้าผู้นี้ใช่เข้าใจว่าจอมปิศาจด่านไสว้ว่างงานนักหรือ ? หรือคิดว่าทุก
วันพวกมันเอาแต่เกียจคร้านเฉิดฉายไปมา?
นางในใจแม้ครุ่นคิดเช่นนี้ ปากกลับตอบอย่างจริงจัง “แต่จ ะมีจอม
ปิศาจด่านเจียงอยู่มากมาย เนื่องเพราะเคล็ด วิช าฉบับสมบู รณ์ข องสิ่ ง ที่
ซือจื่อหมิงเคยถ่ายทอดออกไปในอดีต ล้วนรวบรวมเอาไว้ในเมืองแห่งนี้
ปิศาจด่านเจียงที่ติดคาอยู่ที่คอขวด ไม่อาจรุ ดหน้าต่อไปได้ จะมาที่นี่เพื่อ
เสาะแสวงหาความก้าวหน้า”
“ประเสริฐยิ่ง ประเสริฐยิ่ง” จั่วม่อรู้สึกเบาใจลงมากในทันที
ถั ง เฟยพู ด ไม่อ อกบอกไม่ ถูก ในใจอึ ด อั ด ขั ด ข้อ งยิ่ ง นางคิ ด ไม่ ถึ งว่า
จั่วม่อจะมีความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น จนไม่กังวลสนใจกับปิศาจด่านเจียง
คนอื่น ๆ
อย่ า งไรก็ ต าม นางไม่ คิ ด กระตุ้ น เตื อ นให้ จ่ั ว ม่ อ ระมั ด ระวั ง นาง
ปรารถนาให้ จ่ั ว ม่ อ ลองสะดุ ด หั ว ทิ่ ม สั ก ครา เมื อ งมหาสั น ติ เ ต็ ม ไปด้ ว ย
พยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น ชุมนุมยอดยุทธ์นับไม่ถ้วน ยอดฝีมือที่พิชิตไปโดยไร้ผู้
ต้านไม่ได้ปรากฏขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว
โลมาดารวดเร็วยิ่ง แต่กระนั้นพวกมันยังต้องว่ายน้ากว่าสองชั่ วยาม
เต็ม ก่อนที่จะพาพวกจั่วม่อมาถึงประตูเมืองมหาสันติ
เมื่อบรรลุถึงเมืองมหาสันติ กาแพงเมืองสูงตระหง่านทะยานฟ้าทอด
เงาดาดุจกลุ่มเมฆทะมึนมืด ปกคลุมพวกมันจนมืดมิด บันดาลให้ผู้คนรู้สึก
เจียมเนื้อเจียมตัวในความเล็กกระจ้อยร่อยของตนเอง จั่วม่อแหงนมองจน
คอตั้งบ่า ยังไม่อาจมองเห็นได้ว่ากาแพงสูงปานใด
เหล่าโลมาดาพาคณะของจั่วม่อไปยังบันไดหิน บันไดหินเหล่านี้ทอด
ยาวขึ้นไปถึงประตูเมืองโดยตรง
จั่ ว ม่ อ แบกอากุ่ ย ขึ้ น หลั ง พลิ้ ว ร่ า งขึ้ น ไปตามขั้ น บั น ไดหิ น โลมาด า
เปล่งเสียงร้องเริงร่าครั้งหนึ่ง ก่อนจะดาหายลงไปในทะเลไร้ธุลี คนทั้งคณะ
ติดตามจั่วม่อไปอย่างกระชั้นชิด บางครั้งบางครายังพากันทอดถอนชมเชย
รวมทั้งถังเฟยด้วย นางเองก็เพิ่งเคยมายังเมืองมหาสันติเป็นครั้งแรก
ก้าวพ้นขึ้นไปจากบันไดหิน เห็นลานกว้างแผ่โล่งอยู่เบื้องหน้า ลาน
กว้างแห่งนี้มีรัศมีหลายพันจั้ง ราบเรียบสม่าเสมอราวกับตัดออกมาจากหิน
ก้ อ นเดี ย ว บนพื้ น สลั ก ไว้ ด้ ว ยแผนผั งปิ ศ าจอัน ซั บ ซ้ อนและวิ จิต รบรรจง
ราวกั บ ผื น พรมเลิ ศ หรู แ ผ่ ก ว้ า งทอดยาวไปในระยะไกล ความยิ่ ง ใหญ่
อลังการเช่นนี้บันดาลให้ผู้คนอัศจรรย์ใจสุดระงับ แม้แต่จ่ว
ั ม่อยังพูดไม่ออก
มองดูแผนผังปิศาจอันงามวิจิตรที่ถูกสลักไว้ ทุกผู้คนแทบไม่กล้าเหยียบย่า
ลงบนพื้น
โอ่อ่าหรูหรา! โอ่อ่าหรูหรากระไรปานนี้!
รอจนเดินผ่านเข้าไปในประตูเมือง พวกมันรู้สึกราวกับเดินเข้าไปใน
อีกโลกหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คลื่นเสียงเอะอะอึกทึกของเมืองใหญ่
ซัดเข้าปะทะใบหน้าอย่างถนัดถนี่
ทุกผู้คนค่อยคลายใจลง ภายใต้ความประณีต งดงามจนแทบหายใจ
หายคอไม่ออกของประตูเ มือง จู่ ๆ พลันปรากฏภาพอันคุ้น เคยขึ้น เบื้ อ ง
หน้า ช่วยฉุดดึงพวกมันกลับมาสู่โลกดั้งเดิมของตน ดังนั้นอดคลายใจลง
ไม่ได้
ถนนหนทางกว้ า งขวางยิ่ ง กว้ า งถึ ง หลายร้ อ ยจั้ ง สามารถรองรั บ
พาหนะปิ ศ าจขนาดใหญ่ ไ ด้ อ ย่ า งสบาย บางครั้ ง สามารถเห็ น ปิ ศ าจขี่
พาหนะปิศาจรู ปลักษณ์ประหลาดแทบทุกประเภท ตัวปิศาจเองก็มีรูปโฉม
แตกต่างหลากหลาย บ้างมีเขา บ้างมีสี่ข า บ้างมีปีก ทาให้จ่ัวม่อชมดู จ น
ตาลายละลานไปหมด ทั้งยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของมันขึ้นมา
แต่ในไม่ช้าความรู้สึกอยากเห็นของจั่วม่อก็เปลี่ยนเป็นขวัญหนี ดีฝ่อ
ภายในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ มันถึงกับพบพานปิศาจด่านถงหลิ่งอย่างน้อยหก
ตน เมื อ งมหาสั น ติ ช่ า งสมค าร่ า ลื อ โดยแท้ เต็ ม ไปด้ ว ยยอดยุ ท ธ์ เ ดิ น กั น
กลาดเกลื่อนไปหมด!
ชนชั้นถงหลิ่งเป็นขุมกาลังหลักของกองทัพ ระดับพลังฝีมือของพวก
มันสัมพันธ์โดยตรงกับความแข็งแกร่งของกองทัพ ในอาณาจักรที่ห่างไกล
ออกไปสักหน่อย ปิศาจด่านถงหลิ่งกระทั่งสามารถเป็นเจ้าผู้ครองอาณา
เขตเล็ก ๆ ได้ แน่นอนว่าชนชั้นถงหลิ่งย่อมไม่ถึงกับทาให้จ่ัวม่อต้องทอด
ถอนอย่างอัศจรรย์ใจ แต่เป็นเพราะมันเพิง่ เข้าเมืองมาเพียงชัว
่ ครู่ กลับพบ
พานถงหลิ่งถึงหกเจ็ดตนบนท้องถนน และดูเหมือนว่าทุกที่ภายในเมืองจะ
สามารถพบพานชนชั้ น ถงหลิ่ ง ได้ ท่ั ว ไป ช่ า งไม่ ท ราบว่ า จ านวนถงหลิ่ ง
ภายในเมืองจะน่าจะพรึงกลัวถึงขั้นใด?
จนถึ ง ตอนนี้ มั น ก็ ยั ง ไม่ พ บพานชนชั้ น เจี ย งแม้ แ ต่ ต นเดี ย ว แต่ ก็
เพียงพอให้ต้องเพิม
่ ความระแวดระวังขึ้นอีกอักโข
เถาซิงคล้ายสังเกตเห็นความตื่นตกใจของจั่วม่อ ลดเสียงกล่าวเบา ๆ
ว่ า “อย่ า ได้ หุ นหั นพลันแล่น โครงสร้ า งขุ มอ านาจภายในเมือ งมหาสันติ
สลับซับซ้อนมาก ยอดยุทธ์ที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าคนใดก็ล้วนแล้วแต่มีฉากหลังเป็น
ขุมกาลังอันยิ่งใหญ่ หากเจ้าล่วงเกินผู้คนมากเกินไป กระทั่งทอดร่า งเป็น
ซากศพยังไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด แม้ว่าเมืองมหาสันติจะไม่อนุญาตให้
มีการลอบสังหาร แต่เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นในเงามืด ยังจะมีผู้ใดสามารถ
ห้ามได้? จดจาไว้ อย่าได้ใจร้อนวู่วามเป็นอันขาด!”
เมื่ อ ครั้ ง ยั ง เยาว์ เถาซิ ง เคยอาศั ยอยู่ ใ นเมื องมหาสันติชั่ ว ระยะหนึ่ง
สนิ ท สนมคุ้ น เคยกั บ ทุ ก สิ่ ง ในเมื อ งนี้ ดี คราครั้ ง นี้ ก ารที่ ถู ก กองทั พ ยั ก ษา
เขียวจู่โจมทาร้ายระหว่างทาง กระตุ้นเตือนให้มันค้นพบอันตรายที่ผิดปกติ
บัดนี้เมื่อเข้าถึงเมืองมหาสันติ ค่อยรู้สึก วางใจลงมาก ในเมืองมหาสันติ มี
ยอดฝีมือมากมาย มิหนาซ้าขุมกาลังส่วนใหญ่ ก็ยิน ดีไ ว้ห น้ ามันอยู่ ห ลาย
ส่วน
สิ่งเดียวที่มันหวาดวิต กก็คือจั่วม่อ เถาซิงอาศัยอยู่ในเมืองมหาสันติ
นานปี เคยพบเห็ นบุรุษหนุ่มนับไม่ถ้วนต้องเอาชีวิต มาทิ้งไว้ในเมืองมหา
สันติ อัจฉริยะอายุเยาว์เหล่านี้เต็มไปด้วยความทระนงถือดี ไม่ล่วงรู้ว่าปลัก
น้าในเมืองมหาสันตินั้น แท้ที่จริงแล้วลึกล้าน่าสะพรึงกลัวปานใด
ยามนี้ มั น ผู ก ติด อยู่ กั บ จั่ว ม่ อ หากจั่ ว ม่ อ ตอแยความยุ่ ง ยาก มั น ก็ ไ ม่
อาจหลีกเลี่ยงได้ มันยังติดค้างหนี้บุญคุณจั่วม่อ ต้องชดใช้ตัวอ่อนปิศ าจ
จานวนมาก
นึ ก ถึ ง ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจเหล่า นั้ น เถาซิ ง ปรารถนาจะโบยบิ น กลับ ไปยัง
เมืองไร้จุดจบในทันที จะได้ชดใช้หนี้สินของมันโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้
ในเวลานี้เอง เสียงเอะอะอึกทึกดังกระหึ่มขึ้น
เห็น กองทหารขนาดใหญ่เ คลื่อนขบวนผ่ านกลางถนนอย่ างทระนง
ภาคภูมิ พวกมันล้วนเป็นแรดมังกรสีน้าเงินสูงสามจั้ง ร่างกายห่อหุ้มอยู่ใน
เกล็ดหนาประดุจโล่เกราะ ฝีเท้าหนักหน่วงถึงที่สุด แต่ล ะย่างก้าวทาเอา
พื้นดินไหวสะเทือน
ทั้งกองกาลังย่าเท้าอย่างพร้อมเพรียง คล้ายเมืองทั้งเมืองสั่นสะเทือน
เลื่อนลั่นเป็นจังหวะ
เห็นบุรุษร่างใหญ่ศี รษะล้า นเลี่ ยนผู้ห นึ่ ง นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ บ นหลั ง
แรดมังกรน้าเงินตัวที่อยู่ด้านหน้าสุด คนผู้นี้กายาล่าสันยิ่ง ผิวพรรณสีฟ้า
อ่อนแปลกตา เต็มไปด้วยลวดลายสี ด า ใบหน้าดุร้ ายถมึง ทึง ดวงตาเล็ ก
เรียวทอประกายอามหิต นั่งอยู่บนหลังของแรดมังกรน้าเงิน ร่างโยกไกวไป
ตามจังหวะย่างก้าวของแรดมังกรน้าเงิน ดูประหลาดลี้ลับอย่างยากจะบ่ง
บอกบรรยาย
สั ง เกตเห็ น จั่ ว ม่ อ ก าลั ง มองคนหั ว ล้ า นผู้ นี้ เถาซิ ง กวาดตามองตาม
จดจาผู้มาได้ในทันที “นี่สมควรเป็นตระกูลหลันจากอาณาจักรลั่ว พวกมัน
เป็นหนึ่งในเชื้ อสายปิศาจมังกรแขนงหนึ่ง เป็นนักสู้โดยกาเนิด ในบรรดา
คนรุ่นหลัง ผู้ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลหลันมีอยู่สองคน เรียกว่าหลันเทียน
หลง28กับหลันหยง29 คนผู้นี้สมควรเป็นหลันเทียนหลง... ...”
จั่วม่อม่านตาหดแคบลงเล็กน้อย มันคุ้นเคยกับพลังสภาวะของหลัน
เทียนหลงเป็นอย่างดี ด่านเจียง! นี่คือจอมปิศาจด่านเจียงคนแรกที่มันพบ
พานในเมืองมหาสันติ!
สถานที่ แ ห่ ง นี้ เ ต็ ม ไปด้ ว ยยอดฝี มื อ โดยแท้ จั่ ว ม่ อ ใจสะท้ า นสั่ น ไหว
ผู้อ่ ืนหาได้ปกปิดซ่อนเร้นพลังสภาวะของตนไม่ พลังสภาวะสุดหฤโหดสุ ด
อหังการแผ่ซ่านออกมาโดยไม่ออมรั้ง
ลาพังสภาวะของผู้อ่ ืน ก็เพียงพอให้จ่ัวม่อทราบแน่แก่ใจ ว่าพลังฝีมือ
ของคนผู้นี้หาได้อ่อนด้อยกว่ามันไม่
จั่วม่อเขม้นมองอยู่ครู่ห นึ่ง ค่อยละสายตาจากหลันเทียนหลง กวาด
มองไปในขบวนด้านหลัง ทันใดนั้นเอง มันพลันม่านตาหดแคบลงถึง ที่สุด
ร่างแข็งทื่ออยู่กับที่
มันศีรษะลั่นอึงอล หูอ้ อ
ื ตาลาย ไม่ได้ยินวาจาของเถาซิงอีกต่อไป

28
มังกรฟ้าน้าเงินคราม
29
หลัน – สีน้าเงิน,คราม หยง – อนุญาต,ยอม
จั่ ว ม่ อ เบิ ก ตามองแรดมั ง กรน้ า เงิ น ที่ ช่ ว งท้ า ยขบวนอย่ า งเหลื อ เชื่ อ
ความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะบ่งบอกบรรยายประดังประเดขึ้นมาพร้อม
กัน ร่างเขม็งตึงเครียดดุจแท่งเหล็กกล้า!
บทที่ 569 การพบพานที่ไม่คาดฝัน

“ตระกูล หลันเป็นตระกูลเก่าแก่มากตระกูล หนึ่ง ประวัติศาสตร์ของ


พวกมั น สามารถสื บ ค้ น ย้ อ นกลั บ ไปนั บ พั น ปี พวกมั น ปกครองสาม
อาณาจักร พฤติการณ์โอ่อ่าผ่าเผย แต่เคร่งครัดเข้มงวด พวกมันเหี้ยมหาญ
ดุดัน มีฝีมือทางการศึก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อน ตระกูลของ
พวกมั น ไม่ ไ ด้ ใ ห้ ก าเนิ ด จอมปิ ศ าจด่ า นไสว้ แ ม้ แ ต่ ค นเดี ย ว ดั ง นั้ น อ านาจ
อิ ท ธิ พ ลของพวกมั นลดน้ อยถอยลงไม่ น้ อย แต่ นั่ น ก็ จ นกระทั่ ง ก่ อนที่จ ะ
ปรากฏหลันเทียนหลงกับหลันหยงขึ้น สองพี่น้องนี้เป็นสมาชิกตระกูล ที่มี
ความส าเร็ จ สู ง สุ ด ในตระกู ล หลั น รุ่ น ปั จ จุ บั น ได้ ช่ ื อว่ า เป็ น อั จ ฉริ ย ะที่ มี
แนวโน้ ม จะบรรลุด่ า นไสว้ ม ากที่สุด ในรอบห้า ร้ อ ยปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หลันเทียนหลง มันร้ายกาจยิ่ง สามารถหยั่งเท้าในเมืองมหาสันติได้อย่าง
มั่นคงปลอดภัย ช่วยให้ตระกูลหลันมีหน้ามีตาขึ้นไม่น้อย... ...”
เถาซิงบรรยายยืด ยาวราวกับกาลังจาระไนสมบัติในบ้านตัวเอง มัน
เมื่อเคยเติบโตขึ้นมาในเมืองมหาสันติ ย่อมคุ้นเคยกับตระกูลเก่าแก่เหล่านี้
เป็นอย่างดี
เถาซิ ง ผู้ ก าลั ง พล่ า มจนน้ า ลายแตกฟอง ไหนเลยจะทั น รู้ สึ ก ตั ว ว่ า
จั่วม่อวางร่างอากุ่ยลงแล้ว
“โดยทั่วไปตระกูลสูงศักดิ์ หมายถึงทุกตระกูลที่มีจอมปิศาจด่านไสว้
อยู่ ใ นตระกู ล ส่ ว นตระกู ล ที่ ปั จ จุบั นไม่ มี จ อมปิ ศาจด่ านไสว้ ต่ อ ให้ ย ามนี้
พวกมันจะยังคงแข็งแกร่ง ก็ไม่อาจต้านทานพลังแห่งประวัติศาสตร์ได้ ใน
สายตาของผู้ อ่ ื น พวกมั น เป็ น เพี ย งคหบดี ที่ ร่ า รวยด้ ว ยลาภลอย ไม่ มี
รากฐานอานาจที่แท้จริง ยิ่งไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่แท้จริง ใน
เมืองมหาสันติแห่งนี้ ตระกูลที่ไม่มีรากฐานมักต้องถูกดูแคลนเสมอ... ...”
เถาซิงทันใดนั้นสุ้ม เสีย งชะงักขาดหายไปทัน ควั น ดวงตาเบิ ก กว้ า ง
อย่างตื่นตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ภายใต้สายตาขวัญหนีดีฝ่อของมัน เห็นจั่วม่อสะกิดเท้าแผ่วเบา พลิ้ว
กายตรงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดยั้งยืนหยัดอยู่กลางถนน ขวาง
กั้นเส้นทางรุดหน้าของกองทัพแรดมังกรน้าเงินด้วยตัวคนเดียว
“ฮะ!” หลั น เที ย นหลงหรี่ ต าลง ทอประกายอ ามหิ ต วาบ ใช้ ส้ น เท้ า
เคาะเบา ๆ ที่สีข้างแรดมังกรน้าเงิน แรดมังกรน้าเงินคู่ใจหยุดกึกในทันที
กองทัพแรดมังกรน้าเงินทั้งขบวนพลันหยุดยั้งลงอย่างพร้อมเพรียง
เหล่ า ปิ ศ าจตระกู ล หลั น บนหลั ง แรดมั ง กรน้ า เงิ น ตั ว อื่ น ๆ พากั น ถลึ ง ตา
อย่างเกรี้ยวกราด เขม้นมองจั่วม่อผู้ยืนขวางทางพวกมันเป็นตาเดียว
เสียงเอะอะวุ่นวายบนท้องถนนเงียบหายไปทันควัน ผู้คนทั้งหมดก็พา
กันจ้องมองไปยังจั่วม่ออย่างประหลาดใจ
หลันเทียนหลงอาศัยอยู่ในเมืองมหาสันติกว่าสามปีเต็ม สามปีมานี้ไม่
ทราบผ่านการต่อสู้น้อยใหญ่มากี่ร้อยครั้ง แต่แทบไม่เคยปราชัยมาก่ อ น
ตระกูลหลันที่เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน ส่วนใหญ่เนื่องมาจากเรื่องนี้เอง
ในเมืองมหาสันติ หลันเทียนหลงนับว่ามีช่ ือเสียงกะเดื่องดัง เมื่อผู้คน
พบว่ามีคนบังอาจขวางทางกองทัพแรดมังกรของหลันเทียนหลงจะไม่ให้
พวกมันตื่นตระหนกอย่างไรไหว
ภายในชั่วอึดใจเดี ยว ท้องถนนอันกว้างขวางก็กลับ กลายเป็น เตี ย น
โล่ง นอกจากกองทัพแรดมังกรกับร่างโดดเดี่ยวที่ยืนตระหง่านขวางทาง
ผู้อ่ น
ื พากันถอยร่นไปช่วงใหญ่
ซู่หลงกับพวกยังไม่เคลื่อนไหว พวกมันแม้ไม่ทราบว่าต้าเหรินคิ ด ทา
อะไร แต่พวกมันไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เนื่องเพราะพวกมันเชื่อมั่น
ศรัทธาในตัวต้าเหรินจนถึงขั้นหน้ามืดตามัว
เถาซิงอ้าปากพะงาบ ๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ยังไม่อาจเค้นเสียงหลุดรอด
ออกมาแม้แต่ครึ่งคา สีหน้าแตกตื่นสุดระงับ การกระทาอย่างปุบปับของ
จั่วม่อ ทาให้มันรู้สึกสมองขาวว่างเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง ถังเฟย โซ่วผิงและ
คนอื่น ๆ ล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยน รู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
บนท้ อ งถนนที่ ท้ั ง เตี ย นโล่ ง และเงี ย บสงั ด มี เ พี ย งเงาร่ า งโดดเดี่ ย ว
ล าพัง อันเล็กกระจ้อยร่อย ยืนเผชิญหน้ากับกองทัพ แรดมัง กรร่ างมหึ ม า
อย่างไม่ครั่นคร้าม
“ฮ่า ข้าเพิ่งจากเมืองมหาสันติไปไม่ทันไร ดูเหมือนว่าผู้คนจะไม่รู้จัก
เหล่าหลงผู้นี้อีกแล้ว” หลันเทียนหลงเสียดสีพลางแย้มยิ้มเย็นเยียบ ภายใต้
แสงตะวันเห็นคมเขี้ยวขาววับเป็นประกายน่าขนพองสยองเกล้า มันเงย
หน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดตามองจั่วม่อ “เด็กน้อย เจ้าใช่ราคาญในการมี ชี วิต
แล้วหรือไม่?”
“ข้าคิดร้องขอคนจากเจ้า” จั่วม่อกล่าวด้วยเสียงต่าลึก แต่มีเพียงคน
ที่ คุ้ น เคยกั บ มั น เท่ า นั้ น จึ ง สามารถรั บ รู้ ถึ ง อารมณ์ ดุ เ ดื อ ดรุ น แรงที่ เ พี ย ร
สะกดไว้ ภ ายใต้ สุ้ ม เสี ย งแหบลึ ก อย่ า งยากเย็ น อารมณ์ ดุ เ ดื อ ดรุ น แรงที่
ประดุจกระแสคลื่นเดือดพล่านอยู่ใต้ชั้นน้าแข็งบาง ๆ พิโรธเดือดดาลโดย
ไร้เสียง!
“ร้องขอคน?” หลันเทียนหลงสุ้มเสียงแปลกใจอยู่บ้าง มันหยีตามอง
จั่วม่อ “ผู้ใด?”
“แรดมังกรน้าเงินตัวที่เจ็ด ในกรง คนที่สวมใส่ชุดยาวสีน้าเงิน” จั่วม่อ
กล่าวเสียงเย็นเยือก
“อ้อ?” หลันเทียนหลงเหลือบมองแรดมังกรสีน้าเงินตัวที่เจ็ดแวบหนึ่ง
มันค้นพบคนที่ว่าอย่างรวดเร็ว เห็นบุรุษหนุ่มที่อยู่ในกรงสายตาเลื่อนลอย
พอฟั ง ว่ า มี ค นถามหามั น บุ รุ ษ หนุ่ ม นั้ น ค่ อ ยเหม่ อ มองจั่ ว ม่ อ อย่ า งงุ น งง
สายตาทอแววประหลาดใจอยู่บ้าง
หากเหวยเสิ้งอยู่ที่นี่ จะต้องจดจาบุรุษหนุ่มในกรงได้อย่างแน่นอน
มันคือหลัวหลี!
ศิษย์พี่รองของจั่วม่อ หลัวหลี!
หลันเทียนหลงหัวร่องอหาย “ที่แท้เจ้าหมายตาซิว เจ่อน้ อยผู้นี้! ฮา
มันหล่อเหลาไม่เบาทีเดียว มิน่าเล่าเจ้าต้องการมัน? ฮ่าฮ่า”
กร๊ อ บกร๊ อ บกร๊ อ บ หมั ด ที่ ต กห้ อ ยอยู่ ข้ า งตั ว ของจั่ ว ม่ อ พลั น บั ง เกิ ด
เสียงกระดูกลั่นไม่ขาดสาย ซึ่งความจริงสุ้มเสียงนี้ไม่ดังนัก แต่ท่ามกลาง
ความเงียบสงัดเช่นนี้กลับฟังสะท้านใจเป็นพิเศษ
เรื่องราวแต่หนหลัง บนภู เขาสุ ญตาคล้ ายหมุนผ่ านในสายตา แม้ว่ า
ด้วยเหตุผลมากมาย มันจาต้องแยกจากสานักกระบี่สุญตา แต่ความรู้สึกที่
มันมีต่อสานักกระบี่สุญตานั้นลึกล้าสุดหยั่ง ชั่วชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดมาทดแทน
ได้ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ปกติเพียงฝังลึกอยู่ในใจ แต่ยามนี้เมื่อเห็นศิษย์พี่หลัวหลี
ที่อยู่ในกรงขัง ทุกความรู้สึกในใจมันก็พลันระเบิดออกมา ระเบิดที่ พ ร้อม
จะทาลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า!
เกิดเรื่องขึ้นกับสานักกระบี่สุญตา! ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับสานักกระบี่สุญ
ตาไม่ผิดแน่!
จั่วม่อโลหิตในกายคล้ายเดือดพล่าน เจตนาฆ่าฟันอันเกรี้ยวกราดดุจ
สัต ว์ร้ายพิโรธที่ทลายกรงขัง พุ่งเข้ากระแทกทาร้ายหัวใจมันตลอดเวลา
ทุกส่วนในร่างกายสั่นระริก สั่นระริกอย่างสุดจะระงับเอาไว้ได้อีก!
จะเป็นไปได้อย่างไร... ...
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
มันสองตาแดงฉานด้วยสายเลือด
อย่างไรก็ต าม จั่วม่อไม่ใช่เด็กหนุ่มไม่รู้ความเช่นในอดีต อีกแล้ว มัน
ผ่ า นโลกมาไม่ น้ อ ย มี ป ระสบการณ์ โ ชกโชน ยามนี้ ฝื น สู ด ลมหายใจลึ ก
พยายามระงับอารมณ์ที่ประดังประเดในใจ แล้วพลันเชิดหน้าขึ้น ดวงตา
แดงฉานด้วยโลหิตจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งนิ่ง เอ่ยปากอย่างแช่มช้า สุ้มเสียง
แหบพร่าต่าลึก เค้นเสียงออกมาทีละคา
“ตามกฎของเมืองมหาสันติ ข้า ขอ ท้าประลอง เจ้า”
ฮือฮา ผู้คนรอบข้างระเบิดเสียงอื้ออึง กฎการท้าประลองภายในเมือง
มหาสันติ หากทั้งสองฝ่ายยอมรับคาท้า ต่อให้สังหารคู่ต่อสู้ก็ไม่เป็นไร ทั้ง
ไม่ต้องชดใช้และไม่ถูกลงโทษ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการท้าประลองที่
ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน
หลันเทียนหลงทันใดนั้นกลับ กลายเป็นเหี้ ยมหาญดุ ร้า ย รังสีฆ่าฟั น
กวาดวาบออกมาโดยไม่อ อมรั้ ง เสี ย งวิ พ ากษ์ วิ จ ารณ์ ร อบข้า งชะงั กขาด
หายในบัดดล คล้ายส าลักอยู่ในล าคอ คล้ายว่าจู่ ๆ มีคนขยุ้มบีบคอของ
พวกมันอย่างรุ นแรง ผู้คนรอบข้างทั้งหวาดหวั่นยาเกรงทั้งตื่นเต้นเร้ า ใจ
รังสีฆ่าฟันที่แทบจับต้องได้ของหลันเทียนหลงโหมซัดเข้าใส่จ่ัวม่ออย่างเร่ง
ร้อน ไม่ต่างจากคลื่นลมเกรี้ยวกราดกระแทกใส่ชายฝั่ งน้า กระทั่งผู้คนที่ยืน
อยู่ห่างไกลยังได้รับผลกระทบ ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงจั่วม่อที่รองรับคลื่นพิโรธ
ระลอกนี้เข้าไปตรง ๆ แล้ว
ถังเฟยกับพวกโซ่วผิงสีห น้ าขาวซี ด ไร้สีเลื อด ต่อหน้ารังสีฆ่าฟันอั น
ดุดันอามหิตนี้ พลังฝีมือด่านถงหลิ่งของพวกมันช่างต่าต้อยด้อยค่า ดุจ มด
ปลวก พวกมันหัวใจดิ่งวูบ ไม่มีปัญญาเข้าใจได้ว่าจั่วม่อไฉนตอแยศัตรู อัน
น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงปานนี้!
มันใช่เสียสติไปแล้วหรือไม่?
เถาซิงในที่สุดก็ฟื้นจากความแตกตื่นตะลึงลาน ใบหน้าเผือดขาวราว
กระดาษ ยามนี้มันสานึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อครู่มันไฉนปากมาก บอกเจ้า
ผู้นี้ถึงกฎการท้าประลองในเมืองมหาสันติไปเสียได้ ? ข้าช่างปัญญาอ่อ น
นัก!
หลั น เที ย นหลงไม่ ค าดฝั น ว่ า เรื่ อ งราวจะลุ ก ลามจนกลั บ กลายเป็ น
เช่นนี้ มันย่อมไม่หวาดเกรงการต่อสู้ ผู้ที่กล้ามายังเมืองมหาสันติไหนเลย
จะหวาดหวั่นต่อการท้าประลองได้ ? เพียงแต่นั่นต้องดูด้วยว่าสู้เพื่อสิ่งใด
จะให้มันยอมรับการท้าประลองเดิมพันชีวิต เพียงเพื่อทาสไร้ค่าผู้หนึ่ง มัน
ก็รู้สึกว่าน่าขบขันเกินไป
แต่ที่สาคัญไปกว่านั้น สิ่งที่ทาให้มันรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง คือมันกลับ
สูดได้กลิ่นอายอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
บุรุษหนุ่มเบื้องหน้ามันนี้ดูสามัญธรรมดายิ่ง แต่มิทราบเพราะเหตุใด
กลั บ บั น ดาลให้ มั น บั ง เกิ ด สั ง หรณ์ อั น ตรายอย่ า งแรงกล้ า ราวกั บ ว่ า ถู ก
อสรพิษร้ายเพ่งมองโดยไม่ละสายตา
หลันเทียนหลงผ่านศึกน้อยใหญ่หลายร้อยครั้ง ประสบการณ์โชกโชน
ยิง่ มันเชื่อมัน
่ ในลางสังหรณ์ของตน เนื่องเพราะมันทราบดีว่าลางสังหรณ์นี้
มิใช่สิ่งเลื่อนลอย แต่เป็นสัญชาตญาณเตือนที่เกิดจากการสั่งสมเคี่ยวกรา
ผ่านการสู้รบนับครั้งไม่ถ้วน
มองบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มองท่วงท่าสภาวะเย็นเยียบเฉียบขาดที่
ประหนึ่งว่าต่อให้ต้องบุกฝ่าเข่นฆ่ากับคนทั้งเมือง ก็ต้องช่วงชิงทาสผู้นั้นไป
ให้จงได้
หลันเทียนหลงหรี่ตาแคบลง
รังสีฆ่าฟันพลุ่งพล่านขึ้นในบัดดล หมอกสีฟ้าอ่อนทะลักทลายออก
จากร่างดุจกระแสธาร ชั่วพริบตานี้รัศมีกลิ่นอายของหลันเทียนหลงสะกด
ข่มดวงอาทิตย์จนสูญเสียสีสันที่พึงมี
ทันใดนั้นเอง หลันเทียนหลงพลันแหงนหน้าหั ว ร่อ ดั งสนั่นหวั่ น ไหว
รังสีฆ่าฟันสลายวับไปโดยไร้ร่องรอย
“ช่ า งองอาจห้ า วหาญนั ก ! สมกั บ เป็ น ยอดบุ รุ ษ ! ข้ า หลั น เที ย นหลง
ชมชอบคบหาสหายที่เป็นยอดบุรุษเฉกเช่นพี่ชายท่านนี้!” กล่าวพลางโบก
มือไปด้านหลัง “นาตัวทาสผู้นั้นมา!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาไหนเลยกล้ารีรอ รีบนาหลัวหลีออกมาอย่างรวดเร็ว
“พี่ชายในเมื่อพึงใจมัน ข้าก็ขอกานัลให้แก่เจ้าแล้ว!” หลันเทียนหลง
ไม่หลงเหลือร่องรอยดุร้ายป่าเถื่อนอันใด ราวกับพลังฆ่าฟันอันดุดันทะยาน
ฟ้าเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง
ทอแววนิยมชมชื่นอย่างไม่ปิดบัง มิหนาซ้ายังไม่มีทีท่าว่าจะเสแสร้งแกล้ง
ดัดแม้แต่น้อย
จั่วม่อประหลาดใจไม่น้อย หลันเทียนหลงดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละ
คนอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนสีห น้าอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ แต่จ่ัวม่อยัง
รู้สึกนับถือเลื่อมใสคนผู้นี้อยู่บ้าง ผู้คนทั่วไปไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงสีหน้า
ท่าทีได้อย่างพลิกฟ้าคว่าดินดังเช่นหลันเทียนหลง
คาร่าลือที่ว่ามันเป็นนักฆ่าที่ดุร้ายกระหายเลือด ดูท่าจะไม่เป็นความ
จริง คนผู้นี้มีจิตใจลึกซึ้งละเอียดอ่อน หาใช่คนหยาบกร้านธรรมดาสามัญ
ไม่
“พี่หลัน ขอบคุณท่านมาก!” จั่วม่อมิใช่คนโง่เขลา เมื่อสักครู่มันเพียง
ดิ้ น รนอย่ า งจนตรอกเท่ า นั้ น หากลงมื อ ต่ อ สู้ กั น จริ ง ๆ มั น ก็ ไ ม่ มี ค วาม
เชื่อมัน
่ เอาชัยแม้แต่น้อย
หลันเทียนหลงแย้มยิ้มกว้างขวาง “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่คู่ควรให้เอ่ย
ถึง สามารถคบหาชนชั้น วี รบุ รุษ เฉกเช่น พี่ช าย ต่อให้ยกพวกมันทั้ ง หมด
ให้ แ ก่ เ จ้ า ยั ง ไม่ มี ปั ญ หา!” กล่ า วจบค า มั น ก็ ป ลดเหรี ย ญตราสั ญ ลั ก ษณ์
โลหะลงจากข้างเอว โยนให้แก่จ่ว
ั ม่อ
จั่วม่อยื่นมือรับไว้ สีหน้างุนงงอยู่บ้าง
“พี่น้องหากมีเวลาว่าง เชิญมาที่บ้านซอมซ่อของข้าเพื่อร่าดื่มกันสัก
ครา เราผู้ นี้ ไ ม่ มี สิ่ ง อื่ นใด เพี ย งมี สุ ร ามากพอให้ พี่ น้ อ งได้ เ มามาย!”
ท่ามกลางเสียงหัวร่อโอ่อ่าอาจหาญ ฝูงแรดมังกรน้าเงินเดินสั่นสะเทื อ น
จากไปด้วยจังหวะจะโคนอันสะท้านขวัญ สุ้มเสียงหัวร่อยังกังวานแว่ ว มา
แต่ไกล เต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยและไม่อินังขังขอบ
ถึงตอนนี้จ่ัวม่อไม่นิยมชมชื่นคนผู้นี้ก็ไม่ได้แล้ว ยอดยุทธ์เลื่องชื่อผู้นี้
เรียกได้ว่าขวัญกล้าใจละเอียดอ่อน นับตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่ได้ถามชื่อแซ่
จั่ ว ม่ อ แม้ สั ก ครึ่ ง ค า มี เ พี ย งพฤติ ก ารณ์ โ อ่ อ่ า ผ่ า เผยที่ ช วนให้ ผู้ ค นนั บ ถื อ
น้าใจ
“ข้าต้องไปรบกวนอย่างแน่นอน!” จั่วม่อร้องไล่ห ลังด้วยเสียงดังฟัง
ชัด
ท้ อ งถนนคล้ า ยเริ่ ม กลั บ สู่ ป กติ ส ภาพ หลายคนเผยสี ห น้ า นั บ ถื อ
เลื่ อมใส กระบวนท่ า นี้ ข องหลั น เที ย นหลงมิ เ พี ย งไม่ ท าให้ มั น เสื่ อ มเสี ย
ชื่อเสียง ยังชวนให้ผู้คนประทับใจกับบุคลิกการวางตัวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
เยี่ยงชายชาติอาชาไนยของมัน
ในขณะเดียวกัน คณะของจั่วม่อไม่ ได้ดึงดูดความสนใจของคนรอบ
ข้างมากนัก ทว่าในทางตรงกันข้าม เหล่าคนที่ลอบมองจากในเงามื ด กลับ
ยิง่ ให้ความสาคัญกับพวกมันมากกว่าเดิม
จั่วม่อประคองหลัวหลีลุกขึ้น หันไปหาพรรคพวก พลางสั่งการเสียง
ลึก “เสาะหาสถานที่เงียบสงบสักครา”
เถาซิงกับถังเฟยคล้ายเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝันกลางวัน พากันระบายลม
หายใจอย่างโล่งอก พวกมันรีบร้อนลนลานนาทุกคนออกไปหาที่พั กทัน ที
เมื่อครู่นี้พวกมันเรียกได้ว่าหวาดกลัวจนหัวหด จั่วม่อจู่ ๆ ก็กระโดดออกไป
ท้ า ประลองเดิ ม พั น ชี วิ ต กั บ ผู้ ค นโดยไม่ ก ล่ า วซ้ า สอง หากเกิ ด เหตุ ก ารณ์
เช่นนี้อีกสักหนสองหน เกรงว่าคราวนี้พวกมันคงถูกขู่ข วัญจนขาดใจตาย
แล้ว
ทันใดนั้นหลัวหลีก็เอ่ยปาก สุ้มเสียงของมันแหบแห้งระคายหู “เจ้า
เป็นใคร? ไฉนช่วยข้า?”
เมื่อครู่นี้ ผู้ที่ประหลาดใจที่สุดเกรงว่าไม่มีผู้ใดเกินหลัวหลี ผู้อ่ ืนเพียง
โผล่ออกมา ก็ชี้ต รงมาที่มันอย่างไม่รีรอลังเล เห็นได้ชัดว่าจะต้องรู้ จักมัน
แต่เมื่อมันเพ่งพิศดูรูปโฉมท่วงท่าของคนผู้นี้โดยละเอียด มันก็แน่ใจว่าไม่
เคยพบพานคนผู้นี้มาก่อน แต่สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้น คือมันกลับรู้สึก
เคยคุ้ น กั บ คนผู้ นี้ อ ยู่ บ้ า งจริ ง ๆ หากแต่ ไ ม่ ว่ า จะพยายามนึ ก ทบทวนสั ก
เท่าใด ก็จดจาไม่ได้ว่าความรู้สึกคุ้นเคยนี้เริ่มมาจากที่ใด
จั่วม่อลดเสียงเบาต่า กระซิบที่ข้างหูมัน “ศิษย์พี่รอง ข้าคือจั่วม่อ”
หลัวหลีส ะท้านขึ้นทั้งร่าง สีห น้าแข็งค้าง ชั่วอึดใจให้ห ลัง น้าตาสอง
สายพลันทะลักลงจากเบ้า
มันในที่สุดก็เข้าใจ ว่าไฉนรู้สึกว่าคนผู้นี้คุ้นหูคุ้นตานัก!
“ไม่ต้องกล่าวอันใดแล้ว เราจะหาสถานที่เงียบสงบ แล้วค่อยสนทนา
กันภายหลัง” สุ้มเสียงสงบเยือกเย็นของจั่วม่อทาให้หลัวหลีส งบใจลง ชั่ว
พริบตานี้ ความรู้สึกนับไม่ถ้วนประดังขึ้นอย่างท่วมท้น ศิษย์น้องละโมบ
น้อยเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว!
ส าหรับเถาซิงผู้เคยอาศัยอยู่ในเมืองมหาสันติมาก่อน การเสาะหาที่
พักขนาดใหญ่สักหลังไม่ใช่เรื่องยาก ในฐานะเฉิงจู่แห่งเมืองไร้จุดจบ เถาซิง
มิเพียงไม่ขัดสนเงินทอง ทั้งยังร่ารวยยิ่ง โดยที่ไม่ข มวดคิ้วนิ่วหน้าแม้ แ ต่
น้อย มันเช่าสวนอุทยานขนาดใหญ่หลังหนึ่ง สวนอุทยานแห่งนี้ใหญ่โตมาก
พอให้ทุกคนเข้าพานักได้ท้งั หมดอย่างสะดวกสบาย
ค่ายเว่ย หน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์และกองพันถังเฟย เริ่มก่อตั้งแนว
ป้องกันอันเข้มงวดในทันที
จั่วม่อรีบให้ทุกคนออกไป ยกเว้นหลัวหลีกับอากุ่ย มีข้อสงสัยมากมาย
ในใจมันต้องการคาตอบในบัดดล
ที่แท้เกิดเรื่องอันใด?

-จบเล่ม6 ราชาของเราจงเจริญ!-
ติดตามตอนต่อไปใน มหาศึกสามภพ เล่ม 7 มรสุมแดนปิศาจ
มหาศึกสามภพ
เล่ม 7 มรสุมแดนปิศาจ

บทที่ 570 เหตุและผล

หลัวหลีในยามที่หวนราลึกถึงเหตุการณ์ สุ้มเสียงทั้งแผ่วเบาและแหบ
ต่า ราวกับว่าเป็นเสียงละเมอของผู้ที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้าย
“จู่ ๆ รอยแยกแห่งความโกลาหลก็ปรากฏขึ้น กองทัพปิศาจบุกเข่น
ฆ่ า ออกมา พวกมั น มาอย่ า งกะทั น หั น เกิ น ไป พวกเรากระทั่ ง เวลาจะ
หลบหนียังไม่มี อาณาจักรคลื่นเรืองรองเริ่มรวบรวมสานักที่พอจะมี กาลัง
อยู่บ้าง ผู้ที่รับผิดชอบเป็นคนจากคุนหลุน พวกมันมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมยิ่ง
ท่ า นเจ้ า ส านั ก กั บ เหล่ า อาจารย์ อ าล้ ว นถู ก พวกมั น กะเกณฑ์ ไ ปยั ง แนว
หน้า!”
จั่วม่อต่อยหมัดกระแทกพื้นอย่างเดือดดาล สะเก็ดหินกระเด็นว่อ น
หมัดของหมัดฝังจมลึกในพื้นหินแข็ง สีหน้าบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราด แม้ว่าพวก
มันจะแยกจากกันไปคนละทาง แต่บรรดาอาจารย์ท้ังสี่ล้วนดีต่อมัน คอย
ดูแลปกป้องมันด้วยวิธีการของตนเอง จั่วม่อเมื่อมีกองทัพใต้ร่มธงของตน
ย่อมล่วงรู้ดีว่าแนวหน้าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด เป็นตาแหน่งที่การต่อสู้
ดุเดือดรุนแรงมากที่สุด ผู้ที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้มีไม่มากนัก
มีผู้คนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่จะถูกส่งไปยังแนวหน้า หนึ่งคือกอง
พันชั้นยอด อีกหนึ่งคือตัวเบี้ยใช้แล้วทิ้ง
“นับตั้งแต่ที่ศิษย์พี่ใหญ่หายตัวไปจากถ้ากระบี่ คนจากคุนหลุนก็เฝ้า
แต่วนเวียนมาหลายครั้งหลายหน เพื่อเค้นถามท่านเจ้าสานักเกี่ยวกับถ้า
กระบี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดการโต้เถียงอย่างรุ นแรง จนอาจารย์อาซินแทบจะ
ชักกระบี่แตกหักกัน หลังจากนั้นศักดิ์ฐานะในอาณาจักรคลื่นเรืองรองของ
ส านักก็ต กต่าลง ส านักอื่น ๆ เริ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเรา บรรดาศิษย์เริ่ม
ทยอยจากไป”
หลัวหลีดวงตาแห้งผาก ทั้งว่างเปล่าและเลื่อนลอย
“ท่านเจ้าสานักท้อแท้หดหู่มาก แต่อาจารย์อาท่านอื่น ๆ ยังดีอยู่ เหล่า
ศิ ษ ย์ ด้ั ง เดิ ม ไม่ มี ผู้ ใ ดจากไป จะอย่ า งไรไม่ ว่ า ไปที่ ใ ด ก็ ไ ม่ ไ ด้ แ ตกต่ า งกั น
สานักเราคล้ายกลับคืนสู่วันคืนก่อนที่จะโยกย้ายสานักไปจากภูเขาสุญตา
แต่ ท ว่ า เรื่ อ งราวไหนเลยจะง่ า ยดายปานนั้ น ต่ อ มามี ส านั ก ข้ า งเคี ย งมา
รุ กรานเรา อาจารย์อาซินไล่ทุบตีพวกมันออกไป ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้มาก
นัก สถานที่ใดไม่มีความขัดแย้งกันเล่า? เพียงแต่ในช่วงเวลานี้เอง รอยแยก
แห่งความโกลาหลพลันปรากฏขึ้นและกองทัพปิศาจมาถึง”
“คุนหลุนมาหาเรา ต้องการให้เหล่าอาจารย์อาไปยังแนวหน้า ท่าน
เจ้ า ส านั ก ไม่ ยิ น ยอม ท่ า นบอกว่ า อาจารย์ อ าหญิ ง สี่ ไ ม่ มี ฝี มื อ ในการสู้รบ
ต้องการให้นางรั้งอยู่เบื้องหลังจะดีกว่า ทว่าคุนหลุนไม่เห็นด้วย พวกมันยก
พลล้อมรอบสานักเรา อาจารย์อาหญิงสี่ในที่สุดก็จาใจยินยอม แต่ยังร้อง
ขอให้บรรดาศิษย์รงั้ อยู่ที่แนวหลัง คราวนี้คุนหลุนไม่คัดค้าน... ...”
หลัวหลีพอเล่าถึงตรงนี้ สีหน้าพลันกลายเป็นบิดเบี้ยว
“แต่ผู้ใดจะทราบได้ ทันทีที่ท่านเจ้าสานักกับเหล่าอาจารย์อาจากไป
คนของคุนหลุนก็ฝังอาคมหวงห้ามลงในร่างของพวกเรา พวกมันอ้างว่ า
เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราคิด คดทรยศต่อพวกมัน ระหว่างทางพวกเราถูก
กองทั พ ปิ ศ าจบุ ก โจมตี คนจากคุ น หลุน บี บบั ง คั บ ให้ พวกเราไปถ่ วงเวลา
กองทัพปิศาจเอาไว้สัก ระยะหนึ่ ง มิเช่นนั้นพวกมัน จะกระตุ้นอาคมหวง
ห้ามสังหารเราในทันที เราได้แต่เชื่อฟังพวกมัน ยินยอมไปแต่โดยดี จากนั้น
คนของคุนหลุนก็ฉวยโอกาสหลบหนีไปทันที ทอดทิ้งพวกเราไว้เบื้องหลัง
พวกเราบ้างถูกฆ่าตายอย่างทารุ ณ บ้างบาดเจ็บสาหัส ที่หลงเหลือล้วนถูก
คร่ากุม ในฐานะทาสข้าได้ผ่านมือปิศาจมากมาย ก่อนจะมาตกอยู่ในมือ
ปิศาจตนที่เจ้าพบเห็น”
“คุนหลุน คุนหลุน คุนหลุน!” จั่วม่อเค้นเสียงลอดไรฟันทีละคาอย่าง
ยากเย็ น ดวงตาแดงฉานด้ ว ยสายเลื อ ด ผู้ ใ ดจะคาดคิ ด ได้ ว่ า คุ น หลุ น จะ
กระทาการต่าช้าถึงเพียงนี้
“ศิษย์น้อง หลินเชียนสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าเป็นอสูรปิศาจ มันมัก
กล่าวถึงอะไรสักอย่างเกี่ยวกับดาวพร่างกลางทิวา ท่านเจ้าสานักเคยได้ยิน
ข่าวลือ จึงจงใจไม่ติดตามเจ้ากลับมาตามคาสั่งของพวกมัน หลังจากที่ศิษย์
พี่ ใ หญ่ ห ายตั ว ไปโดยไร้ ร่ อ งรอย ท่ า นเจ้ า ส านั ก เศร้ า เสี ย ใจยิ่ ง ผมเผ้ า
กลายเป็นขาวโพลนในชั่วข้ามคืน ในช่วงนี้เองท่านเจ้าสานักเริ่มบอกเล่า
เรื่ อ งราวหลายสิ่ ง ต่อ ข้า ท่ า นบอกว่ า ท่ า นเมื่ อ เก็ บ เจ้ า กลั บ มาในครั้งนั้น
หากเจ้าเป็นอสูรปิศาจจริง ๆ ... ... เช่นนั้นปล่อยให้เจ้าไป ยังจะดีเสียกว่า
ส่งตัวเจ้าให้แก่คุนหลุน... ...”
จั่วม่อพอฟังถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป น้าตาสองสาย
ไหลทะลักลงมาอย่างปวดร้าวรันทด หลั่งรินอาบสองแก้มเหมือนเด็กเล็ก ๆ
ร่องรอยไม่พอใจเล็กน้อยที่เคยมีอันตรธานหายไปหมดสิ้น ความโศกเศร้า
แสนสาหัสและความสานึกเสียใจที่ไม่อาจบรรยายออกมา ผุดพลุ่งท่วมท้น
จนแทบกลืนกินมันลงไป
หลัวหลีสะอึกสะอื้น ราวกับร่าไห้เป็นเพื่อนมัน
เนิ่นนานหลังจากนั้น จั่วม่อพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดใจ เงย
หน้าขึ้น ถามว่า “แล้วศิษย์น้องศิษย์น้องหญิงคนอื่น ๆ เล่า?”
“ข้ารู้เพียงแค่เสี่ยวกั่วกับศิษย์น้องหญิงหลี่ยังมีชีวิตอยู่ พวกนางก็ถูก
คร่ากุมมาเช่นกัน ศิษย์น้อง เจ้าต้องหาทางช่วยเหลือพวกนางด้วย!” หลัว
หลีไขว่คว้าจั่วม่อ ดวงตาสีเทาซีดเต็มไปด้วยอาการวิงวอน
จั่วม่อชมดูจ นเจ็บปวดใจยิ่ง ผงกศีรษะรับอย่างไม่ลังเล กล่าวอย่า ง
เด็ดเดีย
่ วว่า “วางใจเถอะ ข้าจะต้องช่วยพวกนางให้จงได้!”
จากนั้นถามว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ใดซื้อพวกนางไป?”
หลั ว หลี ก้ ม ศี ร ษะครุ่ น คิ ด อยู่ ชั่ ว ครู่ ก่ อ นจะกล่ า วว่ า “เป็ น สตรี เ ผ่ า
ปิศาจนางหนึ่ง นางดูเหมือนจะเรียกว่าเสียกงจู่ (องค์หญิงแสงอรุณ)”
“เสียกงจู่... ...” จั่วม่อทวนฉายานามอันเสนาะหูนั้นหลายครั้งหลาย
หน ราวกับเกรงว่ามันจะลืมเลือนไป
ดูเหมือนมันจะต้องเร่งสืบเสาะว่าเสียกงจู่เป็นผู้ใด
จั่วม่อลอบแผ่พุ่งพลังสายหนึ่งใส่ห ลัวหลี เป็นเหตุให้ห ลัวหลีรู้สึกว่า
หนังตาหนักอึ้ง หลับใหลไปในบัดดล จั่วม่อตรวจดูอาการบาดเจ็บทางกาย
ของหลัวหลี สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่าแย่ยงิ่
เส้นชีพจรปราณภายในร่างของหลัวหลีถูกทาลายสิ้น อาการบาดเจ็บ
หนักหนาสาหัสถึงปานนี้ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางฟื้นฟูจนหายดีดังเดิมอีก
“คุนหลุน!”
จั่วม่อไม่เคยเคียดแค้นชิงชังสานักใดถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่เคยเลย!

ซีเหมินหนิงร่าดื่มสุราพลางรับฟังคารายงานจากลูกสมุน
“หัวหน้า ท่านคาดคานวณแม่นยายิ่ง ค่ายเว่ยหลบเข้าไปในเมืองมหา
สันติจริง ๆ!” ลูกสมุนผู้นั้นสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส
“ฮ่าฮ่า นี่หาได้น่าประหลาดอันใดไม่ ค่ายเว่ยแม้ร้ายกาจ แต่จานวน
คนไม่เพียงพอ หากพวกมันมีคนมากกว่ านี้อาจเปิ ดศึก กับ ปู้เกิ้น อย่ า งซึ่ ง
หน้า คนเหล่านี้ไม่ได้ถือศีล กินเจ ความเป็นมาของพวกมันต้องไม่รวบรัด
ธรรมดาอย่างแน่นอน” ซีเหมินหนิงกล่าวพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย
“มั ง กรเข้ ม แข็ ง ไม่ ข่ ม เหงงู เ จ้ า ถิ่ น พวกมั น แม้ ร้ า ยกาจ ยั ง ได้ แ ต่
รับประทานขี้เถ้าเท่านั้น” เสียงอาชิ่งสอดคาขึ้นมา
“ฮ่ า ฮ่ า ถู ก ของอาชิ่ ง ความเป็ น มาของพวกมั นจะถูก เปิ ด เผยอย่าง
รวดเร็ว อาศัยตัวอ่อนปิศาจมากมายถึง เพี ยงนี้ ย่อมมิใช่มีเพียงแค่ เ ราที่
สนใจ เมื่อถึงเวลาคงน่าดูชมมากแล้ว” ซีเหมินหนิงกล่าวปนหัวร่อ
“มีแต่ต้องกวนน้าให้ขุ่น เราจึ งสามารถฉวยโอกาสจับปลาได้” อาชิ่ง
ยังคงสอดปากอย่างพอเหมาะพอดี
ซีเหมินหนิงหัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจ
“ค่ายเว่ยพอเข้าไปในเมือง พวกมันก็บาดหมางกับหลันเทียนหลง”
ลูกสมุนรีบรายงานข่าวสารที่ได้รับมาอย่างออกรส
“หลันเทียนหลง?” ซีเหมินหนิงชะงักเสียงหัวร่อ หัวคิ้วขมวดมุ่นทันที
ซีเหมินหนิงคุ้นเคยกับหลันเทียนหลงเป็นอย่างยิ่ง ย่อมล่วงรู้อารมณ์
ดุดันร้อนแรงปานเปลวเพลิงของอีกฝ่ายดี หลันเทียนหลงผู้นั้นถึงกับไม่ลง
มือฆ่าคน? นี่ดูไม่เหมือนแบบฉบับตามปกติของหลันเทียนหลงแม้แต่น้อย
ผู้ น าค่ า ยเว่ ย จะต้ อ งมี บ างสิ่ ง บางอย่ า งพิ เ ศษเฉพาะ มิ เ ช่ น นั้ น
พฤติการณ์ของหลันเทียนหลงในครั้งนี้ เกรงว่าไม่มีคาอธิบายได้
เป็นพลังฝีมือสูงเยี่ยม? หรือว่าฉากหลังอันยิง่ ใหญ่?
ซีเหมินหนิงขบคิดใคร่ครวญ หากบอกว่ าคนผู้นี้มีพลังฝีมือสูงเยี่ ย ม
จนแม้แต่หลันเทียนหลงยังต้องระวังตัว ก็เรียกได้ว่ากล่าวเกินเลยไปแล้ว
เท่าที่มันสืบค้นมาได้ ผู้นาค่ายเว่ยเป็นบุรุษหนุ่มที่คล้ายอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี
ด้วยซ้า บุรุษวัยเยาว์เช่นนี้ไหนเลยจะมีพลังฝีมือสูงล้ากว่าหลันเทียนหลง
ได้?
มันจึงไม่เชื่อเรื่องนี้!
เช่นนั้นก็หลงเหลือเพียงเหตุผลเดียว ฉากหลัง! หลันเทียนหลงจะต้อง
รู้จักฉากหลังของคนผู้นี้ ดังนั้นจงใจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด
ซี เ หมิ น หนิง รู้ สึกว่ า นี่จึ งเป็ นไปได้ ม ากที่ สุด มั น เคยประมือ กั บ หลันเทียน
หลงมาก่อน ล่วงรู้นิสัยใจคอดุดันอามหิตของคนผู้นี้ดี หลันเทียนหลงไม่ได้
เรียบง่ายรวบรัดเหมือนที่ผู้คนเข้าใจ
ข้ อ สั น นิ ษ ฐานนี้ ยั ง มี ร ายละเอี ย ดหลายประการช่ ว ยสนั บสนุ น
ยกตัวอย่างเช่น ค่ายเว่ยอันกล้าแกร่งเกรียงไกร อาจเป็นองครักษ์ส่วนตัวที่
ตระกูลของเด็กหนุ่มส่งมาคุ้มครองมัน
ฉากหลัง... ...ฉากหลังของมันคืออะไร?
ในเวลานี้เอง สมุนอีกคนหนึ่งเข้ามารายงาน
“หัวหน้า ปู้เกิน
้ เข้าเมืองแล้ว!”
ซีเหมินหนิงตื่นจากห้วงภวังค์ ปรบมือหัวร่ออย่างถูกอกถูกใจ “เมือง
มหาสันติไม่ได้ครึกครื้นถึงเพียงนี้มานานมากแล้ว!”

“มีหนทางรักษามันหรือไม่?” จั่วม่อจ้องมองผูเยากับเว่ยตาเขม็ง
ผูเยานิ่งเงียบงัน เว่ยก็ไม่เอ่ยปาก
จั่วม่อรู้สึกผิดหวังในทันที เมื่อครู่พอมันรับปากช่วยเหลือเสี่ยวกั่ว กับ
ศิษย์พี่ห ญิงหลี่อิงฟ่ง มันก็พบเห็นความปรารถนาที่จะตายในดวงตาของ
ศิษย์พี่หลัวหลี จั่วม่อไหนเลยจะไม่ทราบกระจ่าง ภายใต้สภาพเช่นนี้ไม่น่า
แปลกใจที่ห ลายคนจะสูญสิ้นความต้องการมีชีวิต เนื่องเพราะหัวใจของ
พวกมันตายไปแล้ว
จั่วม่อไม่ทราบจะเกลี้ยกล่อมหลัวหลีด้วยวิธีใด ได้แต่ใช้เวทวิชาสะกด
ให้มันหลับใหลไปชั่วคราว
ในความเงี ย บงั น ของบรรยากาศสิ้ น หวั ง อั บ จน ผู เ ยาพลั น กล่ า วว่ า
“อาจบางทีพอมีหนทางสายหนึ่ง เพียงแต่...นี่แทบไม่ต่างจากความตาย”
“หนทางใด?” จั่ ว ม่ อ รี บ ถาม ไม่ ต่ า งจากคนจมน้ า ที่ ไ ขว่ ค ว้ า ฟาง
ช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย
ยูเยากล่าวช้า ๆ ว่า “ครั้งหนึ่งบนสมรภูมิ ข้าพบเวทวิชาที่ไม่สมบูรณ์
จากซิวเจ่อผู้หนึ่ง ลองอ่านดู แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”
กล่าวจบคา ก็ซัดลูกกลมแสงลูกหนึ่งให้จ่ว
ั ม่อ
จั่วม่อรับดวงแสง เพ่งจิตเข้าไปอ่านดูชั่วครู่ ในที่สุดค่อยเข้าใจว่าผูเยา
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่ต่างจากความตาย
นี่เป็นเวทวิชาที่ขนานนามว่า ‘กุญแจเป็นตาย’ เป็นเคล็ดวิชาที่ยังไม่
เสร็จ สิ้นสมบูรณ์ ทว่าเลิศพิส ดารสุดเปรียบปาน ซึ่งความจริงเรียกว่าเวท
วิชายังถือว่าไม่ถูกต้องนัก ในความเห็นของจั่วม่อนี่เป็นเพียงหลักการที่บ้า
ระห่าจนแทบถึงขั้นเสียสติ แวทวิชาแขนงนี้ไม่ลึกลับซับซ้อน ตรงกันข้าม
กลับเรียบง่ายอย่างที่นึกไม่ถึง
นั่นคือพลิกฟื้ นจากความตาย อาศัยสภาวะของความตายเข้าสู่วิถี!
ในข้อสมมติฐานนี้ เชื่อว่าการตายของมนุษย์เป็นเพียงกระบวนการ
ประเภทหนึ่ง ดังเช่นการเจาะทะลุลงไปในขนมเปี๊ ยะที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้น
ๆ ผ่านลงไปทีล ะชั้น ๆ รอจนเจาะผ่านชั้นสุดท้าย จึงจะเป็นความตายที่
แท้จริง
ผู้ที่คิดค้นวิชานี้คาดเดาว่า ตอนที่ยังอยู่ในระดับชั้นด้านบน แม้จะเป็น
ความตายเช่นเดียวกัน แต่ยังคงเป็นเพียงความตายเทียมเท่านั้น สถานะ
ของความตายเทียมนี้เอง ที่สามารถกระตุ้นสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด
ของผู้ ค นได้ โ ดยง่ า ย หากผู้ ค นสามารถชะลอกระบวนการเจาะทะลุ ชั้ น
ความตายด้านบนและเร่งกระตุ้นศักยภาพของตนเองไปพร้อมกัน รอจน
ศักยภาพถูกกระตุ้นออกมามากกว่าความเร็วในการเจาะทะลุชั้นความตาย
อาจสามารถพลิกฟื้นจากหุบเหวของความเป็นตาย สาแดงศักยภาพขั้นสุด
ยอดของคนผู้หนึ่งออกมา
หลังจากศึกษาอย่างถี่ถ้ วน จั่วม่ออดนับถือเลื่อมใสยอดคนที่ คิ ด ค้ น
วิชานี้ไม่ได้
แนวคิ ด อั น แปลกพิ ส ดารถึ งปานนี้ แม้ จ ะดู เ หลวไหลไร้ ส าระ ทว่ า ผู้
จารึกกลับสามารถบ่งบอกบรรยายอย่างเป็นรู ปธรรม มิห นาซ้าคนผู้นี้ยัง
ทุ่มเทความพยายามมากมายมหาศาล เพื่อขบคิดหาวิธีกระตุ้นศักยภาพ
ของผู้คน ในขณะที่ชะลอรั้งความตายไปด้วย เพื่อเปลี่ยนพลิกจากความ
ตายกลับคืนสู่ชีวิต
เป็นเช่นเดียวกันกับคาของผูเยา นี่ไม่ต่างอันใดจากความตาย เคล็ด
วิชาทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดา ท้ายที่สุดกระทั่งผู้คิดค้นยังไม่เชื่อว่าเวท
วิชานี้จะใช้การได้ จึงหยุดคิดค้นไป
ดังนั้นเวทวิชานี้จึงไม่สมบูรณ์ตลอดกาล
จั่ ว ม่ อ ยั ง คงลังเลใจ ไม่ ว่ า มองจากมุ มใด ‘กุ ญ แจเป็ น ตาย’ ก็ เ ป็ น ได้
เพียงเรื่องเหลวไหล แต่เคล็ดความที่จารึกเอาไว้ก็ดูเหมือนจะเปี่ ยมไปด้วย
มนต์ ข ลั ง อั น แปลกประหลาด ลอยวนเวี ย นอยู่ ใ นใจมั น ไม่ ย อมหายไป
แนวคิดหลายประการช่วยจุดประกายความคิดให้แก่มันไม่น้อย
มั น บั ง เกิ ด ความรู้ สึ ก อย่ า งเลื อ นราง เคล็ ด ‘กุ ญ แจเป็ น ตาย’ วิ ช านี้
สมควรเป็นยอดวิชาอันน่าแตกตื่นสะท้านใจแขนงหนึ่ง
เพียงแต่โอกาสเป็นไปได้ก็เลือนรางยิ่ง ทว่าสภาพของหลัวหลีเองก็
แทบไม่ต่างจากตายไปแล้ว... ...
ในเวลานี้เอง หลัวหลีค่อย ๆ ฟื้นตื่นอย่างช้า ๆ
มันลืมตาอย่างอ่อนล้า รอจนพบเห็นจั่วม่ออยู่ข้างกาย ค่อยฝืนยิ้มให้
คราหนึ่ง ดวงตาของมันเป็นสีเทาซีด ว่างเปล่าและไม่มีประกายชีวิต
ซิวเจ่อแม้ทรงพลังอานาจ แต่หากหัวใจของพวกมันตายไปแล้ว พลัง
ชีวิต ของพวกมันจะสูญสลายรวดเร็วกว่าคนทั่วไปมาก เนื่องเพราะหัวใจ
เป็นแหล่งกาเนิดพลังทั้งหมดของพวกมัน
จั่วม่อเมื่อเห็นดวงตาของหลัวหลี พลันพบว่าผิดท่า มันไม่มีเวลาลังเล
ใจอีกแล้ว
“ศิษย์พี่ใช่ปรารถนาความตายหรือไม่?” จั่วม่อถามอย่างกะทันหัน
ห ลั ว ห ลี ป ร ะ ห ล า ด ใ จ ไ ม่ น้ อ ย แ ต่ ก็ พ ยั ก ห น้ า รั บ ก ล่ า ว อ ย่ า ง
ตรงไปตรงมาว่า “ตอนนี้ข้าไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว เส้นชีพจรปราณทั้งร่าง
เสี ย หายหมดสิ้ น ตั น เถี ย นถู ก ท าลาย ต่ อ ให้ มี เ ทพโอสถก็ ไ ม่ อ าจเยี ย วยา
รักษาข้าได้ ครั้งนี้สามารถได้พบศิษย์น้องอีกคราก็นับว่าสวรรค์เมตตาข้า
มากแล้ว ข้าไม่เหลือสิ่งใดให้ห่วงหาอาวรณ์อยู่ในโลกนี้อีก อาศัยร่างพิการ
ของข้า รังแต่จะคอยถ่วงรั้งศิษย์น้องเจ้าเท่านั้น ข้ายังรู้สึกว่าชีวิตช่างเหน็ด
เหนื่อยและปวดร้าว ความตายมิเพียงไม่ใช่เป็นความทุกข์ทรมาน แต่ยังจะ
เป็นสิง่ ที่ช่วยปลดเปลื้องข้าต่างหาก”
จั่วม่อจ้องมองดวงตาหลัวหลีอยู่ตลอดเวลา เห็นตั้งแต่ต้นจนจบ หลัว
หลีหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ทราบว่าอีกฝ่ายตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ศิษย์พี่ ท่านไม่คิดแก้แค้นคุนหลุน ? ไม่คิดช่วยเหลือเสี่ยวกั่วกับศิษย์
พี่หญิงหลี่อิงฟ่งหรือ?” จั่วม่อถามเสียงดุดัน
“ศิษย์น้อง อย่าได้... ...” หลัวหลีฝืนยิ้มขมขื่น
“ข้าในที่นี้มีเวทวิชาแขนงหนึ่ง สุ่มเสี่ยงอันตรายยิ่ง แต่อาจบางทีเป็น
ความหวังเดียวของท่าน” ในยามนี้ จ่ัวม่อได้แต่ฝ ากความหวังสุดท้ายไว้ที่
ยอดวิ ช าซึ่ ง ไม่ ส มบู ร ณ์ แ ล้ ว มั น ล้ ว งม้ ว นหยกเปล่ า ออกมาจารึ ก เคล็ ด
‘กุญแจเป็นตาย’ ยื่นส่งให้แก่หลัวหลี
หลั ว หลี เ ข้ า ใจว่ า จั่ ว ม่ อ เพี ย งพยายามเกลี้ ย กล่ อ มมั น แต่ ก็ ไ ม่ อ ยาก
ปฏิเสธกุศลเจตนาของศิษย์น้องผู้ประหนึ่งญาติสนิทผู้นี้ ดังนั้นรับมาโดยไม่
เกี่ยงงอน
แต่แล้วหลังจากกวาดตามองเร็ว ๆ รอบหนึ่ง มันก็ร่างแข็งทื่อ ตะลึง
ลานอยู่กับที่!
บทที่ 571 หลักศิลาทักษะปิศาจ

“เสียกงจู่?” เถาซิงประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าไฉนถามถึงเสียกงจู่?”


“เจ้ารู้จักมักคุ้นกับนางหรือ?” จั่วม่อคึกคักขึ้นอักโข
“ไม่ใช่เช่นนั้น” เถาซิงสั่นศีรษะ กล่าวเป็นเชิงเย้ยหยันตัวเอง “ข้าอาจ
มีฝีมือทางด้านเพาะเลี้ยงตัวอ่อนปิศาจ แต่ในสายตาของต้าเหรินผู้ยิ่งใหญ่
ที่แท้จริงเหล่านั้น ข้าก็เป็นเพียงแค่คนเพาะเลี้ยงตัวอ่อนปิศาจให้แ ก่พ วก
มันเท่านั้น ไม่มีอันใดแตกต่างจากคนเลี้ยงแมลงผู้หนึ่ง”
จั่วม่อผิดหวังสุดระงับ แต่ยังคงรีบปลอบโยนว่า “เจ้ายังคงเป็นบุคคล
ที่มีอานาจอิทธิพลไม่น้อย”
ถังเฟยที่ด้านข้างทาสีหน้าแปลกพิกล นางเพิง่ เคยได้ยินคนปลอบโยน
ผู้อ่ น
ื เช่นนี้เป็นครั้งแรก หรือมันไม่ทราบว่าเฉิงจู่เพียงกล่าวถ่อมตนเท่านั้น?
เถาซิงหัวร่อออกมา จากนั้นกระตุ้นเตือนว่า “จดจ าไว้ อย่าได้ต อแย
เสียกงจู่ วันนี้เจ้าหุนหันวู่วามเหลือเกินที่ไปตอแยหลันเทียนหลง ทว่าเสีย
กงจู่นางนี้ฉากหลังยังลึกล้ากว่าหลันเทียนหลงอีก อย่าได้เห็นว่าวันนี้หลัน
เที ย นหลงอวดโอ่ โ อหั ง อยู่ ห น้ า ประตู เ มื อ ง หากเสี ย กงจู่ อ ยู่ ที่ นี่ มั น จะ
กลายเป็นเรียบ ๆ ร้อย ๆ ยิ่ง”
“เสียกงจู่ที่แท้เป็นใครกันแน่ ?” จั่วม่อสับสนงุนงง สีห น้ามีแต่ความ
ฉงนใจ
“เสียกงจู่มาจากตระกูล เก่าแก่แห่งหนึ่ง ตระกูล อานเหวย เก่าแก่ยิ่ง
กว่าตระกูลหลันมาก ตระกูลอานเหวยเป็นหนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่ที่สุ ดใน
ดินแดนร้อยเถื่อน พวกมันสืบสายเลือดสูงศักดิ์ที่สุด เรียกว่าสายเลือดแห่ง
อานเหวย ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน พวกมันให้กาเนิดจอมปิศาจ
ด่านไสว้สิบหกตน เจ้าสมควรจินตนาการถึงความรุ่งโรจน์ของตระกูลนี้ได้”
ถังเฟยมีสีหน้ามุ่งมาดปรารถนา สิบหกจอมปิศาจด่านไสว้ ช่างเป็น
ตัวตนอันทรงพลังถึงเพียงไหน
เถาซิงอดกระตุ้นเตือนอีกครั้งไม่ได้ “เจ้าต้องระวัง อย่าได้ตอแยเสีย
กงจู่เป็นอันขาด ตระกูลอานเหวยเป็นมหายักษ์แท้จริงที่อยู่ด้านบนสุดของ
ห่วงโซ่อาหาร ประมุขตระกูลอานเหวยรุ่นปัจจุบัน อานเหวยหมิง เป็นจอม
ปิ ศ าจด่ า นไสว้ ที่ มี ช่ ื อเสี ย งผู้ ห นึ่ ง พวกมั น ปกครองเจ็ ด สิ บ สี่ อ าณาจั ก ร
ปิศาจ!”
ได้ยินเช่นนี้ จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ จอมปิศาจด่านไสว้ตนหนึ่ง
ปกครองเจ็ ด สิ บ สี่ อ าณาจั ก ร ตระกู ล ที่ ท รงพลั ง อ านาจถึ ง ปานนี้ นั บ น่ า
ประหวั่นพรั่นพรึงโดยแท้
แต่เมื่อคิดถึงเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่ง จั่วม่อได้แต่โยนความกลัวออกไป
จากใจ
“เวลานี้เสียกงจู่อยู่ที่ใด?” จั่วม่อถาม
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ” เถาซิงแบสองมือ มันยิ่งคบหายิ่งนิยมชมชื่นใน
ตั ว จั่ ว ม่ อ มากขึ้ น ทุ ก ขณะ ในความเห็ น ของมั น เด็ ก ผู้ นี้ แ ม้ ห ลายครั้ ง
พฤติการณ์ท่ อ
ื ด้านตรงไปตรงมามากเกินไป แต่ก็เป็นบุรุษหนุ่มที่ดีผู้หนึ่ง
“ตระกูลอานเหวย... ...” จั่วม่อพึมพา
ทั น ใดนั้ น ในทะเลแห่ ง จิ ต ส านึ ก ของมั น เสี ย งผู เ ยาโพล่ ง ขึ้ น อย่ า ง
กะทันหัน “ข้ามีหนทาง”
จั่ ว ม่ อ ประหลาดใจเล็ก น้อ ย มองดู ผู เ ยาอย่ า งสงสัยใจ “คราวนี้ เ จ้ า
วางแผนอันใดอีก?”
ผูเยาหัวร่อฮิฮะพลางกล่าว “ตระกูล อานเหวยเป็นศัตรู เก่าของพวก
เรา! ฮึ่มฮึ่ม ข้าคิดทวงถามหนี้ในอดีต มานานแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกมั น จะ
เสนอตัวมาถึงที่!”
นัยน์ตาสีเลือดทอประกายฆ่าฟันอย่างเปี่ ยมล้น
เว่ยก็โผล่ออกมาเช่นกัน กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “อาจั่ว ในอดีตเรากับ
ตระกูลอานเหวยมีข้อบาดหมางเล็กน้อย อ้อ เจ้าจะช่วยพวกเราทวงถาม
หนี้แค้นใช่หรือไม่?”
จั่วม่อรู้สึกศีรษะพองโต “ในเวลาเช่นนี้ พวกเจ้าไหนเลยจะก่อเรื่อง
ยุ่งยากได้?”
“เจ้าไม่ต้องการช่วยเหลือเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งหรือ?” ผูเยาแค่นเสียง
อย่างเย็นชา “เราล่วงรู้ประวัติความเป็นมาทุกอย่างของตระกูลอานเหวย
เราจะช่ ว ยให้ เ จ้ า สามารถชิ ง ตั ว เสี่ ย วกั่ ว กั บ หลี่ อิ ง ฟ่ ง กลั บ คื น มา ในทาง
กลับกัน เจ้าต้องช่วยเราทวงถามหนี้สินจากตระกูลอานเหวย”
จั่วม่อหันไปมองเว่ย
เว่ยผงกศีรษะอย่างหนักแน่น “ที่มันกล่าวมาล้วนเป็นความสัตย์จริง”
ผูเยากับเว่ยเมื่อต่างพยักหน้ายืนยัน เรื่องนี้ก็ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที
จั่วม่อผงกศีรษะรับ “ประเสริฐ! พวกเจ้าช่วยข้า ข้าช่วยพวกเจ้า!”
ปากแม้กล่าวเช่นนี้ แต่ในใจลอบตื่นตะลึง ตระกูลอานเหวยดูเหมือน
ล่วงเกินสองเฒ่าประหลาดคู่นี้ไม่น้อย กระทั่งผ่านล่วงไปเป็นพันปีพวกมัน
ยังไม่ลืมเลือนความแค้น ไม่ทราบว่าข้อบาดหมางครั้งนั้นร้ายแรงสัก ปาน
ใด?
อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่มันสามารถช่วยเหลือเสี่ยวกั่วกับหลี่อิ งฟ่ง
จั่วม่อยินดีปล่อยให้ท้งั สองคนนี้อาละวาดไปตามใจปรารถนา

“อ้อ หลันเทียนหลงไม่ลงมือจริง ๆ?” ปู้เกิ้นถามอย่างเย็นชา


“ใช่ ข อรั บ ! ผู้ น้ อ ยสื บ ทราบว่ า หลั น เที ย นหลงมิ เ พี ย งไม่ ล งมื อ แต่
ถึงกับมอบทาสผู้นั้นให้แก่ผู้นาค่า ยเว่ยตามค าร้อ งขอ ทั้งยังมอบเหรี ย ญ
ตราสัญลักษณ์ให้ด้วยและเชื้อเชิญผู้อ่ น
ื มาร่วมดื่มสุราที่เคหสถานของมัน”
ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานอย่างละเอียดยิบ
“ดู เ หมื อ นว่ า คนผู้ นี้ ไ ม่ ร วบรั ด ธรรมดาเสี ย แล้ ว ” ปู้ เ กิ้ น พึ ม พ ากั บ
ตนเอง จมลงไปในห้วงความคิด
เดิมทีมันตั้งใจว่ า เมื่ อ เข้าสู่ เ มือ งมหาสันติ จะท้าประลองจั่ ว ม่ อ และ
สั ง หารอี ก ฝ่ า ยอย่า งเปิ ด เผยเพื่ อล้ า งอั ป ยศให้แ ก่ ต ระกู ล ของมั น แต่ เ มื่ อ
ทราบข่าวนี้ มันก็ตระหนักในบัดดล สถานการณ์ยังสลับซับซ้อนกว่ า ที่มัน
คิดเอาไว้มาก
ปู้ เ กิ้ น แม้ พ ลั ง ฝี มื อ กล้ า แข็ ง แต่ มั น มี ฝี มื อ ทางแม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก
มากกว่า พลังฝีมือของมันเทียบไม่ได้กับหลันเทียนหลง
หลันเทียนหลงนิสัยใจคอดุเดือดปานเปลวเพลิง แต่เป็นคนมีความคิด
อ่านผู้หนึ่ง มันเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายยังไม่ยอมลงไม้ลงมือ เช่นนั้นก็
มีจุดที่จะต้องขบคิดใคร่ครวญให้ดี
หากสาเหตุ เ นื่ อ งเพราะคนผู้ นั้ น มี พ ลั ง ฝี มื อ สู ง เยี่ ย มจริ ง ๆ เช่ น นั้ น
หากปู้ เ กิ้ น ท้ า ทายมั น ก็ นั บ ว่ า ไม่ ฉ ลาดเป็ น อย่ า งยิ่ ง แต่ ห ากเป็ น เพราะ
เหตุผ ลอื่นที่ทาให้หลันเทียนหลงตัดสินใจเช่นนี้ ปู้เกิ้นยิ่งต้องระมัดระวั ง
กว่าเดิม
แต่หากเนื่องเพราะฉากหลังของคนผู้นั้น ทาให้กระทั่งหลันเทียนหลง
ยั ง ต้ อ งระแวดระวั ง เช่ น นั้ น ส าหรั บ ปู้ เ กิ้ น การตั ด สิ น ใจผิ ด พลาดเพี ย ง
เล็กน้อยอาจชักนาเภทภัยถึงขั้นล่มสลายไปสู่ตระกูลของมันได้
ในฐานะแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง ปู้เกิ้นสามารถมองเห็นห่วงโซ่
สาคัญได้อย่างชัดเจน
ความอับอายอัปยศแม้ส่งผลต่อขวัญกาลังใจของไพร่พลและผู้คนใน
ตระกูล แต่หากล่วงเกินตระกูลเก่าแก่โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ จะเป็นเหตุให้
ตระกูลของมันถูกทาลาย!
กระทั่งเศษซากยังไม่หลงเหลือ!
ปู้เกิ้นเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์มาเป็นอย่างดี มันล่วงรู้ว่ามีตระกูลที่ไม่
รอบคอบมากมายนับไม่ถ้วนที่พินาศดับสูญไปเช่นนี้
มันต้องใคร่ครวญให้ดี

จั่วม่อเดินไปตามถนน ซู่หลงกับพวกตามติดอย่างกระชัน
้ ชิด
“สิ่งแรกที่เจ้าควรทราบ คือตระกูลอานเหวยมีขุมอานาจที่จัดตั้งอยู่ใน
เมืองมหาสันติ” ผูเยาสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น “ครั้ง
นี้ตาเฒ่าเถาซิงกล่าวไม่ผิด ตระกูลอานเหวยเต็มไปด้วยอัจฉริยะนับไม่ถ้วน
และให้กาเนิดจอมปิศาจด่านไสว้มากมาย แต่ทว่าตระกูลอานเหวยไม่เคย
ให้กาเนิดจ้าวปิศาจด่านหวัง!1 ฮ่า สาหรับตระกูลอานเหวยที่ทะเยอทะยาน
มาโดยตลอด นี่คือหนามแทงใจชิ้นใหญ่ที่สุดของพวกมัน ส าหรับสมาชิก
ตระกูลอานเหวยแต่ละรุ่น ความปรารถนาต่อสุดยอดทักษะของปิศาจของ
พวกมันไม่ใช่สงิ่ ที่ตระกูลอื่นจะเทียบได้ พวกมันต้องการความก้าวหน้า หิว
กระหายต่อความก้าวหน้าอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม! ในเมืองมหาสันติจัด
วางหลักศิลาทักษะปิศาจซึ่งอาจสามารถหนุนส่งให้สัมผัสถึงพลังของด่าน
หวังได้ พวกมันไหนเลยจะยอมพลาด?”
จั่วม่อยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าผูเยาไม่ไ ด้คุย โวโอ้ อวดแม้แต่น้อย มันมีความ
เข้าใจต่อตระกูลอานเหวยเป็นพิเศษอย่างแท้จริง
“ซือจื่อหมิงผู้นี้เมื่อสามารถชี้แนะจอมปิศาจด่านไสว้ แน่นอนว่าเป็น
ยอดคนผู้หนึ่ง” ผูเยาผู้มักจะมีดวงตาสูงส่งอยู่เหนือศีรษะ ยังแสดงความ
นับถือเลื่อมใสที่ยากจะพบพานต่อซือจื่อหมิง แต่จากนั้นมันก็ยิ้มเยาะอย่าง
เย็นชา “แต่ทว่า คิดทาความเข้าใจว่ายอดคนเช่นนี้ครุ่นคิดอันใดกลับไม่ใช่
เรื่องง่าย หลักศิลาทักษะปิศาจของซือจื่อหมิงเป็นของจริงไม่ผิดแน่ แต่ยาก
บอกได้ว่าผู้มาเยื่อมเยือนจะสามารถอ่านและทาความเข้าใจเคล็ดความบน

1
หวัง หรือที่คนไทยคุ้นเคยในคาว่า อ๋อง หมายถึงราชา ในที่นี้ใช้เป็น ชื่อด่านพลังทีเ่ จ็ดของเผ่าปิศาจด้วย
หลักศิลาได้หรือไม่ ไม่ว่าเคล็ดวิชาหรือทักษะใด เมื่อบรรลุถึงระดับชั้นหนึ่ง
ก็ยากยิ่งที่จะบ่งบอกบรรยายออกมาด้วยถ้อยภาษาอันคับแคบจากัด”
“จากนัน
้ เล่า?” จั่วม่อถามอย่างอดไม่ได้
“คนตระกู ล อานเหวยชาญฉลาดยิ่ ง พวกมั น แม้ ไ ม่ มี ปั ญ ญาเข้ า ใจ
เคล็ดความบนหลักศิลา แต่ในที่สุดย่อมมีคนที่สามารถเข้าใจ ข้าสงสัยว่า
การสร้ า งเมื อ งมหาสั น ติ ต ามที่ เ ถาซิ ง บอกเล่ า แท้ ที่ จ ริ ง อาจได้ รั บ การ
สนับสนุนจากตระกูลอานเหวยผ่านทางเงามืด ควรทราบว่าหากสร้างเมือง
มหาสันติขึ้น หลักศิล าจารึกเคล็ดวิชาของซือจื่อหมิงจะต้องจัดวางไว้ที่นี่
อัจฉริยะจากทุกแห่งหนจะถูกดึงดูดมาที่นี่ และในที่สุดก็จะมีคนเข้าใจเคล็ด
วิชาเหล่านี้ ฮ่า สิ่งที่เหลือก็ง่ายดายยิ่ง ก็แค่ดึงตัวคนผู้นั้นเข้าร่วมตระกูล
อานเหวย ประเคนทรัพย์สิ นศฤงคารและโฉมสะคราญให้แก่มัน และหาก
คนผู้นน
ั้ ไม่เชื่อฟัง... ฮี่ฮี่” ผูเยาหัวร่อเสียงเย็นเยียบ
จั่ ว ม่ อ พอฟั ง ถึ ง กั บ ขนหั ว ลุ ก ชี้ ชั น “แล้ ว ผู้ อ่ ื นไม่ สั ง เกตเห็ น เรื่ องนี้
หรือ?”
“ก็ไม่จาเป็นต้องเห็น” เว่ยกล่าวสืบต่อ “ซือจื่อหมิงแน่นอนว่ า ต้ อ ง
ล่ ว งรู้ เ รื่ อ งนี้ แต่ มั น ยั ง เห็ น ซึ้ ง กระจ่ า งกว่ า ตระกู ล อานเหวยอี ก มั น เพี ย ง
ต้องการให้แนวคิดวิชาฝีมือของตนสืบทอดต่อไป และแน่นอนว่ามันไม่เชื่อ
ว่ า อาศั ย ตระกู ล อานเหวยจะสามารถควบคุ ม ทุ ก อย่ า งได้ อ ย่ า งสมบู ร ณ์
เนื่องเพราะตระกูลอื่น ๆ ก็หาได้โง่เขลาไม่ ขุมกาลังมากมายไฉนลงหลักปัก
ฐานอยู่ในเมืองมหาสันติเล่า ? ก็เนื่องเพราะด้วยหลักศิลาทักษะปิศาจของ
ซือจื่อหมิง ยอดฝีมือและอัจฉริยะมากมายจะถือกาเนิดขึ้นจากสถานที่แห่ง
นี้ ตระกู ล ใดไม่ อ ยากได้ ตั ว ยอดฝี มื อ ? ขุ ม อ านาจใดไม่ รั ก ใคร่ ห วงแหน
อัจฉริยะ? เมื่อตอนที่สร้างเมือง ไฉนมีจอมปิศาจด่านเจียงด่านไสว้มากมาย
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ? พวกมันเพียงต้องการทดแทนพระคุณของซือจื่อหมิง
จริง ๆ ? ย่อมมิใช่! เนื่องเพราะพวกมันมองเห็นผลประโยชน์ต่างหาก แต่
ทว่านี่จึงเป็นจุดที่ซือจื่อหมิงร้ายกาจที่สุด มันสามารถอาศัยความคิ ดของ
คนเหล่านี้ หยิบยืมกาลังกระทาทุกอย่างได้ตามที่มันปรารถนา ข้าไม่นับถือ
เลื่อมใสมันก็ไม่ได้แล้ว!”
กล่าวถึงตรงนี้ เว่ยต้องทอดถอนชมเชยออกมา
จั่วม่อในที่สุดก็เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังภายในเมืองอันสงบสุข แห่งนี้
หลังจากสองเฒ่าวายร้ายช่วยกันตีแผ่ออกมาจนหมดเปลือก มันทีแรกยัง
นึกนิยมชมชื่นในน้าใจอันอุ่นระอุของตานานเมืองมหาสันติไม่น้อย พอฟัง
เรื่องนี้ ความนิยมชมชื่นต้องสลายหายวับไปทันที แต่อีกทางหนึ่ง มนกลับ
รู้สึกสนใจใคร่รู้ในตัวปรมาจารย์ซือจื่อหมิงท่านนี้มากกว่าเดิม
“ทั้งหลายทั้งมวลนี้ เราสามารถนามาใช้เพื่อประโยชน์ที่เราต้องการ”
ผูเยาแค่นเสียงเย็นเยือก กล่าวต่อไปว่า “แผนการรวบรัดยิ่ง เจ้าไปที่หลัก
ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจ แสร้ ง ท าเป็ น เคลิ บ เคลิ้ ม มึ น เมาสั ก สองสามวั น ท าให้
เหมื อ นกั บ ว่ า เจ้ า เข้ า ใจเคล็ ด ความเหล่า นั้ น แล้ ว เจ้ า ย่ อ มจะดึ ง ดู ด ความ
สนใจของขุ ม ก าลั ง ทั้ ง หมด รวมถึ ง ตระกู ล อานเหวยด้ ว ย จากนั้ น เจ้ า
สามารถโปรยเหยื่อล่อออกไป ให้พวกมันเข้าใจว่าเจ้าไม่มีฉากหลังใด ๆ ถึง
เวลานั้นขุมกาลังเหล่านี้จะรีบมาเชื้อเชิญเจ้าเข้าร่วม เจ้าอาจท้าประลอง
กับผู้คนสองสามคน ให้พวกมันได้ชมดูความแข็งแกร่งของเจ้า ตระกูลอาน
เหวยแน่นอนว่ามิอาจนั่งนิ่งเฉยได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่เพียงเสี่ ยว
กั่วกับหลี่อิงฟ่ง ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด พวกมันก็จะหามาประเคนให้เอง!”
“ผู เจ้ากลอกกลิ้งยิ่ง!” จั่วม่อทอดถอนชมเชย จากนั้นถามว่า “แต่นี่
ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเสียกงจู่จะมาด้วยตัวเอง หากพวกมันส่งผู้อ่ น
ื มา
เล่า?”
“วางใจเถอะ พวกมันย่อมไม่ทาเช่นนั้นแน่” เว่ยช่วยอธิบาย “เสียกง
จู่แห่งตระกูลอานเหวยมิใช่นามของคนผู้หนึ่ง แต่เป็นตัวตนที่มีศักดิ์ฐานะ
พิเศษเฉพาะ ในแต่ล ะรุ่นจะมีเสียกงจู่เพียงหนึ่งนางเท่ านั้น พวกนางรั บ
หน้าที่ห ลายประการ อย่างเช่นการเสาะหาอัจ ฉริยะเข้าร่วมตระกูล การ
มาถึงของพวกนางเป็นตัวแทนของตระกูล อานเหวย หากเจ้าแสดงฝี มื อ
มากพอ ย่อมจะได้พบกับเสียกงจู่อย่างแน่นอน!”
“อย่ า ได้ ก ล่ า วให้ ดู ดี เ กิ น จริ ง แล้ ว พวกนางเป็ น เพี ย งดอกไม้ ท าง
การเมืองเท่านั้น” ผูเยาเสริมอย่างเย็นชา
จั่วม่อพอฟังถึงกับอ้าปากค้าง
“นั่นก็จ ริง” เว่ยกล่าวพลางผงกศีร ษะ “ก่อนที่เสียกงจู่แต่ล ะรุ่ น จะ
ออกสู่ทางโลก ทางตระกูลจะพยายามเสริมสร้างชื่อเสียงให้แก่นาง เพาะ
สร้ า งให้ น างโดดเด่ น เหนื อ ผู้ ใ ด ดึ ง ดู ด ความสนใจของผู้ ค น ล่ อ ลวงเหล่า
อัจฉริยะให้ตามพัวพันนาง และหลังจากก่อกวนมรสุมนับสิ บปี พวกมันจะ
เลื อ กตระกู ล ที่ เ ข้ม แข็ง ที่ สุด ให้วิ ว าห์ กั บ นาง นี่ คื อ การเชื่ อ มสั ม พันธ์ผ่าน
ทางการสมรส”
จั่วม่อรับฟังราวกับเป็นเรื่องราวของอีกโลกหนึ่ง รู้สึกพูดไม่ออกบอก
ไม่ถูกอยู่บ้าง
“ต้าเหริน พวกเรามาถึงหลักศิลาทักษะปิศาจแล้ว”
เสียงซู่หลงดังขัดจังหวะหารือของจั่วม่อ
จั่ ว ม่ อ ปลุ ก ปลอบสมาธิ จิ ต ใจกลั บ สู่ โ ลกจริ ง แล้ ว พลั น ถู ก ภาพอั น
งดงามตระการเบื้องหน้าดึงดูดใจ เห็นหลักศิล าพุ่งสูงราวกระบี่ เรียงราย
เป็ น ระเบี ย บเรี ย บร้ อ ย แต่ ล ะหลั ก ศิ ล าสลั ก ไว้ ด้ ว ยตั ว อั ก ษรคมชั ด สดใส
แม้ว่าผ่านลมผ่านฝนมาร่วมสามร้อยปี พวกมันยังคงแจ่มชัดพิสุทธิร์ าวกับ
เพิ่งสลักลงไปใหม่ ๆ หลักศิลาเรียงตัวเป็นป่าหินแน่นขนัด ไม่มีหลักศิลาใด
ที่ไม่ปรากฏเคล็ดความตัวอักษร
นี่ก็คือป่าศิลาทักษะปิศาจมหาสันติที่ลือเลื่องไปทั่วสารทิศ
ข้างหลักศิลาแต่ละต้น มีปิศาจมากมายกาลังศึกษาร่าเรียน บ้างกาลัง
คัดลอกเนื้อความ ปิศาจที่มาที่นี่ อย่างน้อยต้องเป็นปิศาจด่านเจี้ยว ปิศาจ
ด่ า นถงหลิ่ ง สามารถพบเห็ น ได้ ทุ ก ที่ ใ นป่ า หิ น จั่ ว ม่ อ กระทั่ ง พบเห็ น จอม
ปิศาจด่านเจียงอีกหลายตน
เหม่อมองป่าหินอันน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ทราบเพราะเหตุ ใด จั่วม่อรู้สึก
นับถือเลื่อมใสซือจื่อหมิงมากขึ้นทุกขณะ
คนผู้ ห นึ่ ง ที่ ไ ม่ มี ค วามสามารถเชิ ง ยุ ท ธ์ กลั บ หาญกล้ า สลั ก ความรู้
ความเข้าใจในแก่นแท้ของพลังลงบนหลักศิลา ปล่อยให้ชนชาวโลกได้ชมดู
ได้พินิจพิจารณาและตัดสินมัน
เหล่าหลักศิลาที่พุ่งตระหง่านทะยานฟ้าดุจกระบี่ ในสายตาของจั่วม่อ
จู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นสูงใหญ่โอฬารกว่าเดิมมาก
ราวกับแฝงไว้ด้วยท่ วงท่าสภาวะอันยิ่งใหญ่ของยอดคนในอดีตท่าน
นั้นก็มิปาน!
บทที่ 572 สายชนวนเริ่มไหม้ลาม

“มันต้องการทาส? ทาสที่เป็นซิวเจ่อ เช่ นนั้นรึ ?” เปี๋ ยหานถามเสี ย ง


ราบเรียบ
“ใช่ขอรับ เตี้ยนเซี่ย” ฟู่ฟงกล่าวอย่างนอบน้อม “หลันเทียนหลงไม่
รับคาท้า แต่มอบทาสผู้นั้นให้โดยไม่มีเงื่อนไข”
ในดวงตาเย็นชาของเปี๋ ยหานไม่มีร่องรอยความอบอุ่นใด ๆ ลวดลาย
อาคมหวงห้ามสีทองที่ฝังอยู่ท่ั วร่ างถูกลบล้ างออกไปอย่ างสมบู รณ์ สิ่งที่
แทนที่คือแผนผังปิศาจสีข าวดุจ หิมะบนผิวสีเข้มของมัน แผนผังปิศาจสี
ขาวอันละเอียดซั บ ซ้อนเพีย บพร้ อมไปด้ วยเสน่ห์ อันลี้ลับ จนเกือ บจะชั่ ว
ร้าย
“คนผู้ นี้ บ างที อ าจจะเป็ น ซิ ว เจ่ อ ?” เปี๋ ยหานโพล่ ง ออกมาอย่ า ง
กะทันหัน
ฟู่ ฟ งงงงั น วู บ แล้ ว รี บ สั่ น ศี ร ษะตามสั ญ ชาตญาณ “ซิ ว เจ่ อ ? ไม่ น่ า
เป็นไปได้ หากมันเป็นซิวเจ่อ หลันเทียนหลงจะต้องล่วงรู้แน่”
“เช่นนั้นข้าเล่า? หลันเทียนหลงหากพบข้าก่อนหน้านี้ จะล่วงรู้หรือไม่
ว่าข้าไม่ใช่ซิวเจ่อ?” เปี๋ ยหานถามพลางสั่นศีรษะ
“เตี้ยนเซี่ย ท่าน... ...” ฟู่ฟงรีบกล่าว
แต่เปี๋ ยหานขัดจังหวะอย่างเฉื่อยชา “ต่อไปอย่าได้เรียกข้าว่าเตี้ ย น
เซี่ยแล้ว”
ถ้อยคาของเปี๋ ยหานทาให้ฟู่ฟงหน้าเผือดสี รีบกล่าวทัดทาน “ไม่ได้!
ไม่ได้! เตี้ยนเซี่ย ศักดิ์ฐานะของท่าน... ...”
เปี๋ ยหานโบกมือตัดบท ไม่ให้ฟู่ฟงมีโอกาสได้กล่าวต่อ สีห น้าเย็นยะ
เยือก “บัลลังก์และทรัพย์สมบัติท้ังมวลของพระบิดาจะเป็นของพี่ช ายข้า
ข้าตกอยู่ที่ด้านนอกยาวนานเกินไป นับตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็ไม่ได้พบ
หน้าพระบิดาอีก ตระกูล ไม่ชมชอบข้า นั่นเป็นเรื่องธรรมดา แค่พวกมั น
ยินยอมเห็นแก่สายเลือด ช่วยขจัดอาคมหวงห้ามออกจากร่างของข้าให้ ข้า
ก็พึงใจมากแล้ว”
นึ ก ถึ ง การปฏิ บั ติ อ ย่ า งเย็ น ชาที่ เ ปี๋ ยหานได้ รั บ นั บ ตั้ ง แต่ ก ลั บ มายั ง
ตระกูล ฟู่ฟงรันทดหดหู่ยิ่ง “เตี้ยนเซี่ย ... ... ไม่ว่าท่านจะมีศักดิ์ฐานะเป็น
เตี้ยนเซี่ยหรือไม่ ในหัวใจของตาเฒ่าผู้นี้ ท่านก็ยังคงเป็นเสี่ยวเตี้ยนเซี่ยใน
อ้อมแขนของพระมารดาตลอดไป!”
เปี๋ ยหานแววตานุ่มนวลลงเล็กน้อย
นิ่งงันไปชั่วอึดใจ มันจู่ ๆ ก็ถามว่า “ฟู่ฟง เจ้าติดตามมารดาข้ามานาน
ปี เช่นนั้นเวลานี้ข้าอายุเท่าใด?”
“ปีนี้เตี้ยนเซี่ยท่านอายุยี่สิบห้าปี!” ฟู่ฟงมีสีหน้าหวนราลึก “หากนาย
หญิงที่บนสวรรค์ล่วงรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยหวนคืนสู่บ้านของเราแล้ว ท่านจะต้อง
ปลาบปลื้มประโลมใจยิ่งนัก”
“ยี่สิบห้าเช่นนั้นรึ” เปี๋ ยหานราพึงเบา ๆ สีห น้าทอแววเลื่อนลอยวูบ
หนึ่ง จากนั้นใบหน้ากลับเป็นเย็นชาและไม่แยแสตามเดิม “เอาเถอะเจ้าไป
บอกพี่ ช ายข้ า หากมั น สามารถลบล้า งอาคมหวงห้า มให้แ ก่ ก องพัน บาป
เคราะห์ ข้าจะร้องขอตระกูล เพื่อสร้างดินแดนของตัวเอง”
“เตี้ยนเซี่ย ไม่ได้!” ฟู่ฟงหน้าซีดจนเขียว การสร้างดินแดนของตัวเอง
มีเพียงความหมายเดียว นั่นหมายถึงการออกจากตระกูล นี่ไม่เพียงสูญเสีย
สิทธิ์ในการสืบทอดตระกูลเท่านั้น พวกมันยังจะไม่ได้รับความช่วยเหลืออัน
ใดจากตระกูลอีก ในภพปิศาจนี่ถือเป็นการลงโทษที่สาหัสสากรรจ์ยิ่ง
ในยามนี้บ่าวชราผู้สัต ย์ซ่ ืออดไม่ได้ให้น้าตาไหลพรากอาบหน้า เมื่อ
มันหวนนึกถึงนายหญิงผู้ล่วงลับไปนานปี ความโศกศัล ย์รันทดยิ่งประดัง
ขึ้นมา
“ไปเถอะ” เปี๋ ยหานสีห น้าเฉยชาเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งไม่เอ่ย
ปากอีกต่อไป
มองเงาร่างดื้อรัน
้ เย็นชาของเปี๋ ยหาน ชัว
่ พริบตานัน
้ คล้ายทาบทับเป็น
หนึ่งเดียวกับเงาร่างงดงามที่ล่วงลับไปแล้ว ฟู่ฟงหยุดร่าไห้ รับคาอย่างหนัก
แน่น “ทราบแล้วขอรับ!”

เคล็ดความบนหลักศิลาทักษะปิศาจจัดเรียงตามระดับความยากง่าย
ของเคล็ดความ จากขั้นพื้นฐานไปจนถึงขั้นลึกล้า บริเวณโดยรอบหลักศิลา
รอบนอก ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน และยิ่งลึกเข้าไปเท่าใด
ผู้คนก็ยิ่งบางตาลงเท่านั้น
จั่วม่อเริ่มบทบาทตามแผนการ แสร้งทาเป็นเริ่มศึกษาเคล็ดความจาก
หลักศิลาต้นแรก
ท าตั ว ราวกั บ ว่ า คลั่ ง ไคล้ มึ น เมา? อา ต้ อ งท าอย่ า งไรจึ ง จะมี ที ท่ า
ประหนึ่งว่ากาลังคลั่งไคล้มึนเมากันเล่า?
จั่วม่ออดหวาดวิตกไม่ได้ แต่แล้วเมื่อกวาดตามองหลักศิลาแวบแรก
กลับถูกเคล็ดความบนหลักศิลาทักษะปิศาจดึงดูดสายตาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
เคล็ดความบนหลักศิลานี้เรียบง่ายยิ่ง เป็นเพียงคาอธิบายโดยคร่าว ๆ
แต่สาหรับจั่วม่อผู้ซึ่งนับตั้งแต่ฝึกฝีมือวิถีปิศาจมา ไม่เคยได้รับการฝึกปรือ
อย่างเป็นระบบมาก่อน สิ่งเหล่านี้ประดุจ สายฝนตกต้องผืนดิน แห้ ง ผาก
ช่วยให้หลายแห่งที่มันเคยรู้สึกขาดพร่องไม่ชัดเจน กลับเป็นกระจ่างแจ่ม
แจ้งในทันที
สาหรับวิชาบาเพ็ญเพียรวิถีปิศาจ จั่วม่อเริ่มต้นด้วยตาแหน่งแห่งที่ที่
สูงเยี่ยมเกินไปมาก มันสาเร็จสังขารปิศาจมหาทิวาตั้งแต่แรก ลาพังเรื่องนี้
ก็เพียงพอจะยืนยันพรสวรรค์อันสูงล้าสุดยอดของมันได้ แต่ในทางตรงกัน
ข้ า ม กลั บ ท าให้ มั น ไม่ มี ค วามรู้ ค วามเข้ า ใจในด้ า นเคล็ ด วิ ช าขั้ น พื้ นฐาน
เหล่านี้แม้แต่น้อย เมื่อครั้งที่มันยังอยู่ในเมืองเศษหินยังเคยได้รับประโยชน์
อย่างใหญ่หลวงจากการสอนวิชาพื้นฐานของลุงอันหย่า เพียงแต่ฝีมือของ
ลุงอันหย่ามีจากัด สิ่งที่สามารถสั่งสอนได้นั้นหยาบกระด้างยิ่ง
แต่ซือจื่อหมิงผู้นี้ นับเป็นยอดอัจ ฉริยะที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน
อย่างแท้จริง ลาพังเคล็ดวิชาพื้นฐานที่อรรถาธิบายไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ก็มีมากกว่าหลายร้อยวิถี มิหนาซ้าทุกวิถีทางพื้นฐานเหล่านี้ยังมีคาอธิบาย
ที่สอดคล้องกลมกลืน ควรค่าแก่การครุ่นคิดตรึกตรอง
จั่วม่อศึกษาเคล็ดความบนหลักศิลาไปทีละต้น ๆ ราวกับถูกครอบงา
ซู่หลงยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างกายไม่ยอมห่าง
สิ่งที่ผูเยากับเว่ยคาดไม่ถึงก็คือ ไม่เพียงจั่วม่อที่ลุ่มหลงงมงายเข้าจริง
ๆ กระทั่งอาเหวินก็พลอยลุ่มหลงงมงายไปด้วย

“ข้าทราบแล้ว” เจียงเจ๋อสุ้มเสียงสงบราบคาบราวกับว่าล่วงรู้เรื่องนี้
ตั้งแต่แรก
กลับไม่มีทีท่าว่ าจะตื่นตะลึ งและเดือ ดดาลตามที่ค าดเอาไว้ ทาเอา
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่นาข่าวมารายงานอดแปลกใจอยู่บ้างไม่ได้ แต่ในใจลอบ
ถอนหายใจโล่งอก อย่าได้เห็นว่าเจียงเจ๋อต้าเหรินปกติสุภาพอ่อนโยน แต่
เมื่อใดบันดาลโทสะขึ้นมาก็น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดล้วนหวาดกลั วจน
หัวหด
ฟ่งเยวี่ยต้าเหรินจู่ ๆ ก็ล อบนาพาไพร่พลหนึ่งพันคนติดตามนางไป
ล้างแค้นส่วนตัว ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ ว่ ากันตามเหตุผลแล้วเจียงเจ๋อต้าเห
รินสมควรต้องไม่ยอมกล้ากลืนฝืนทน
ความคิดเหล่านี้วาบผ่านในใจซิวเจ่อผู้นาข่าวมารายงานอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะรีบสลัดทิ้งไปทันที ฟ่งเยวี่ยต้าเหรินเป็นที่รักของพวกมันทุกคน ไม่
มีผู้ใดอยากให้ฟ่งเยวี่ยต้าเหรินต้องถูกลงโทษเพราะเหตุนี้
หลังจากผู้ใดบังคับบัญชาล่าถอยออกไป เจียงเจ๋อทอดถอนใจเบา ๆ
ในดวงตาทอแวววิตกกังวลวูบ
ชั่วอึดใจให้หลัง มันพลันเงยหน้าขึ้น ร้องเรียกไปทางประตู “มีผู้ใดอยู่
บ้าง เข้ามา!”
องครักษ์ผู้หนึ่งเร่งรุดมาถึง แล้วค้อมกายคารวะ “ต้าเหริน!”
“เรียกเกาเซวียนมาพบข้า!” เจียงเจ๋อสั่งการด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ในไม่ช้าแม่ทัพร่างสูงกายาผู้หนึ่งก็เข้ามาประสานมือคารวะ
“ต้าเหริน!”
“เลือกผู้คนห้าร้อยคนจากกองพันเจียงจื้อ ติดตามไปสนับสนุนศิษย์พี่
หญิงฟ่งเยวี่ย”
เกาเซวียนพอฟัง คาสั่งของเจียงเจ๋อ อดประหลาดใจอยู่ บ้า งไม่ไ ด้ สี
หน้าแปลกใจฉายชั ดออกมาทางใบหน้ า ผู้ใดก็ทราบว่ า ฟ่ง เยวี่ยต้ า เหริ น
ลอบนากองพันไปล้างแค้นให้แก่อาจารย์อาติ้งเจินเป็นการส่วนตัว เดิมที
ทุกคนเข้าใจว่าครั้งนี้ฟ่งเยวี่ยต้าเหรินคงไม่แคล้วถูกลงโทษหนักหนาสาหัส
ตามวินัยกองทัพเป็นแน่ อย่าได้เห็นว่าต้าเหรินปกติดูสบาย ๆ แต่วินัยทัพ
เข้มงวดกวดขัน ไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนมาก่อน
ดูเหมือนว่าต้าเหรินก็ต้องการแก้แค้นให้แก่อาจารย์อาติ้งเจินเช่นกัน!
เกาเซวียนอดลิงโลดยินดีไม่ได้ มันอยู่ในวัดไม่มีที่ใดโดดเด่นสะดุดตา
พลังฝีมือก็ไม่ได้เหนือล้ากว่าศิษย์อ่ น
ื แต่อย่างใด แต่อาจารย์อาติ้งเจินก็เคย
กรุณาชี้แนะสั่งสอนมันเช่นกัน ทว่ามันไม่ได้หาญกล้าบ้าบิ่นเท่าฟ่งเยวี่ยต้า
เหริน ไม่กล้าฝ่าฝืนวินัยทัพดังเช่นนาง
“รับคาสั่ง!” เกาเซวียนตอบรับเสียงดังฟังชัด
“ด้ า นระดั บ ฝี มื อ ของฟ่ ง เยวี่ ย ข้ า ไม่ เ ป็ น ห่ ว ง” เจี ย งเจ๋ อ สี ห น้ า
เคร่งเครียด “แต่นางนิสัยใจคอรีบร้อนวู่วาม ชมชอบเสี่ยงภัย ส่วนเจ้าหนัก
แน่นมัน
่ คง สามารถชดเชยส่วนที่นางขาดไป”
เจียงเจ๋อจ้องมองเกาเซวียน พลางกล่าว “เจ้ามีเวลาไม่มากนัก จะต้อง
รีบจบศึกแล้วพานางกลับมาโดยเร็ว การต่อสู้ในอาณาจักรขุน เขายะเยือก
ยังไม่จบสิน
้ ข้าคาดเดาว่าหลังจากนี้อีกไม่นานพวกปิศาจจะต้องจู่โจมตอบ
โต้อย่างรุนแรง หากเจ้ากลับมาก่อนหน้านั้นได้จะดีที่สุด”
“มีเวลามากเท่าใด?” เกาเซวียนถามอย่างระมัดระวัง
“อย่าได้ใช้เวลาเกินกว่าสองเดือน!” เจียงเจ๋อกล่าวอย่างเฉียบขาด
“ทราบแล้ ว !” เกาเซวี ย นรั บ ค าสั่ ง เสี ย งลึ ก สี ห น้ า เต็ ม ไปด้ ว ยความ
เชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น
กองทัพใต้ร่มธงของเจียงเจ๋อได้ติดตามเจียงเจ๋อทาศึกมานานปี เจียง
เจ๋อรวมรวมพวกมันทั้งหมดมาจากแทบทุกสานักใหญ่ในสังกัดวัดเสวียนคง
ในหมู่พวกมันยี่สิบคนจะมีจินตันอยู่หนึ่งคน
กองพันเจียงจื้อเป็นหนึ่งในกองทัพหลักแห่งวัดเสวียนคง
การศึกในอาณาจักรขุนเขายะเยือกค่อย ๆ หล่อหลอมกองพันที่เจียง
เจ๋ อ สร้ า งขึ้ น อย่ า งพิ ถี พิ ถั น ให้ ก ลายเป็ น ดาบที่ ค มกล้ า ยิ่ ง กว่ า เดิ ม เนื่ อง
เพราะการศึ ก ครั้ ง นี้ เ อง ที่ ห นุ น ส่ ง กองพั น เจี ย งจื้ อให้ โ ด่ ง ดั ง ทั่ ว หล้ า
กลายเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดกองพันแห่งสวรรค์สี่ดินแดน
ลาพังกองพันเจียงจื้อห้าร้อยนายก็เพียงพอให้เกาเซวียนเชื่อมั่นอย่าง
เปี่ ยมล้น มันมีขีดสามารถยึดครองอาณาจักรหนึ่งได้โดยไม่ลาบากยากเย็น
ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพหนึ่งพันคนที่ศิษย์พี่หญิงฟ่งเยวี่ยนาไปด้วยก็หา
ใช่ของประดับไม่ พวกมันแม้ไม่ได้เลือกเฟ้นอย่างเข้มงวดเท่ากองพันเจียง
จื้อ แต่ก็ผ่านการทดสอบอันยากล าบากมาหลายครั้งหลายหน แต่ล ะคน
ล้วนเป็นศิษย์ที่มีความส าเร็จจากศิษย์ฝ่ายนอก ไม่ว่าอยู่ในอาณาจักรใด
ล้วนสามารถกลายเป็นชนชั้นยอดทั้งสิ้น เพียงแต่พวกมันถือกาเนิดจากวัด
เสวียนคง ซึ่งมีการประชันขันแข่งดุเดือดรุ นแรงเกินไป จึงไม่สามารถเข้าสู่
กองพันเจียงจื้อได้เท่านั้น
อาณาจักรทะเลเมฆซึ่งเป็นขุมกาลังที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก พวกมันจะร้ายกาจ
ได้สักเท่าใดกัน?
กระทั่ ง คนที่ ห นัก แน่ นมั่ นคงอย่ างเกาเซวี ยน ยั ง ไม่ คิ ด ว่ า อี ก ฝ่ ายจะ
ก่อกวนคลื่นลมอันใดได้ ขอเพียงพวกมันรอบคอบระมัดระวัง ไม่ก้าวเข้าสู่
กับดักหลุมพรางที่อีกฝ่ายอาจขุดล่อเอาไว้ มันจึงไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะ
ยังมีโอกาส
เจียงเจ๋อในที่สุดค่อยเบาใจลงบ้าง แย้มยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ไป
เถอะ อย่าได้เสียเวลาแล้ว”
เกาเซวียนค้อมกายคารวะเจียงเจ๋อ แล้วออกจากห้องในบัดดล
ในไม่ช้ากองทัพห้าร้อยคน ก็จากไปโดยไร้สุ้มเสียง

แม่นางน้อยยุ่งวุ่นวายยิ่ง
การศึกษาค้นคว้าเรื่องแผนผังปิศาจของค่ายจินวูได้ผ ลลัพธ์ดีเ ยี่ ย ม
โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ง กั บ บรรดาปิ ศาจที่ มีส ายเลือ ดชั้ นดี พลั ง ของพวกมัน
มักจะยกระดับขึ้นโดยตรงถึงหนึ่งด่าน อาณาจักรป่าเถื่อนน้อยแม้เป็นเพียง
อาณาจักรเล็ก ๆ ที่ห่างไกล แต่ยังคงมีปิศาจด่านเจี้ยวไม่น้อย พวกมันส่วน
ใหญ่ ล้ ว นมี ส ายเลือดพิ เ ศษบางอย่ า ง แม้ ว่ า จะมี อ ยู่ เ พี ย งน้อ ยนิ ด และไม่
บริสุทธิ์ แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาสาหรับค่ายจินวู
ชื่อเสียงของสือตงในอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยไม่เลวร้าย ผลตอบแทน
ที่มันจัดสรรให้ก็นั บ ว่า ดียิ่ ง ผนวกกับต านานเรื่อ งราวเกี่ย วกับ องค์ ร าชั น
แพร่ส ะพัดไปทั่วอาณาจักรป่าเถื่อนน้อยดุจ ไฟลามทุ่ง จึงดึงดูดปิศาจที่มี
ศักยภาพเข้ามาไม่น้อย
ปิ ศ าจที่ มี ศั ก ยภาพเหล่ า นี้ ถูก ส่ งตรงไปยัง ค่ า ยจิน วู ที่ เ กาะเต่า อย่าง
รวดเร็ว เพื่อเข้ารับการชุบตัวด้วยการสลักแผนผังปิศาจ
ภายในชั่วระยะเวลาอันสั้น มีปิศาจด่านถงหลิ่งถือกาเนิดขึ้นหกสิบ
ตน!
ความบ้าคลั่งของค่ายจินวูระบาดใส่แม่นางน้อยอย่างรวดเร็ว มันไม่
เคยคิดค้นกลยุทธ์ด้วยระดับความเร็วเท่านี้มาก่อน เริม
่ ขบคิดใคร่ครวญหา
วิ ธี ก ารที่ มั น จะส ามารถใช้ งาน ปิ ศ าจด่ านถงหลิ่ ง เหล่ า นี้ ได้ เ ต็ ม ขี ด
ความสามารถสู ง สุ ด ของพวกมั น ผลสุ ด ท้ า ยแม่ น างน้ อ ยตกลงใจผนวก
ปิศาจด่านถงหลิ่งเหล่านี้เข้าสู่ค่ายจูเชวี่ย
กองทั พ ปิ ศ าจหาใช่ สิ่ ง ที่ ย ากล าบากส าหรั บ มั น ไม่ ซึ่ ง ความจริ ง มั น
คุ้นเคยกับประเภททหารและกองพันอสูรปิศาจมากกว่าประเภททหารและ
กองพั น ของซิ ว เจ่ อ เสี ยอี ก ซึ่ ง เป็ น ผลมาจากหมากรุ ก สงครามของผูเยา
นั่นเอง
แม่ น างน้ อ ยตั ด สิ น ใจวางแผนการทางยุ ท ธวิ ธี ใ หม่ เมื่ อเพิ่ ม ปิ ศ าจ
ด่ า นถงหลิ่ง เหล่า นี้เ ข้า มา ช่ ว ยให้ ค่ า ยจู เ ชวี่ ยยิ่ งแกร่ ง กล้า กว่ า เดิ ม ทั้ ง ยั ง
พัฒนาพลิกแพลงได้หลายหลากขึ้น พวกมันมีพลังมากพอที่จะใช้กระบวน
ทัพที่ซับซ้อนมากขึ้น ไปจนถึงสาเร็จยุทธวิธีที่ลาบากยากเย็นกว่าเดิมมาก!
ผลการต่อสู้กับอาซาเก๋อเมื่อคราวที่แล้ว แม่นางน้อยไม่อาจกล้ากลืน
ฝืนทนได้!
มันเห็นซึ้งกระจ่างใจ หากต้องการบุกเข้าภพปิศาจไปช่วยหนุนเสริม
ศิษย์พี่ของมัน พวกมันต้องแข็งแกร่งกว่านี้!
ทีแรกเหล่าปิศาจด่านถงหลิ่งทั้งต่อต้านและดูแคลนค่ายจูเชวี่ยอย่าง
รุนแรง แต่หลังจากเว่ยหยานนากองร้อยครึ่งหนิงม่ายครึ่งจินตัน เข้าบดขยี้
กองทัพที่ประกอบด้วยปิศาจด่านถงหลิ่งทั้งหมดจนหมดทางสู้ เหล่าปิศาจ
ด่านถงหลิ่งก็ยอมศิโรราบแต่โดยดี
เผ่าปิศาจนับถือพลังความแข็งแกร่งเหนือสิ่งอื่นใด สิทธิ์ในการกล่าว
วาจาต้องดูว่าหมัดของผู้ใดใหญ่โตกว่ากัน หากพวกมันยอมศิโรราบ พวก
มันก็ไม่เคยมีลวดลายใด ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังไม่ได้โง่งม ดังนั้นแม้ว่าการ
ที่ต้องยอมรับการใช้ชีวิต ร่วมกับซิวเจ่อ จะทาให้พวกมันลาบากใจอยู่บ้ าง
แต่เนื่องจากพลังอานาจของเกาะเต่าค่อย ๆ เปิดเผยให้พวกมันได้ประจักษ์
มิห นาซ้าเกาะเต่ายังปฏิบัติต่อเผ่าปิศาจอย่างเท่าเทียม พวกมันก็ค่อย ๆ
ละวางอคติของตน
ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด ก็ คื อ ปิ ศ าจทั้ ง หมดล้ ว นเชื่ อว่ า ซิ ว เจ่ อ เหล่ า นี้ รวมถึ ง
อาณาจักรทะเลเมฆแห่งนี้ เป็นดินแดนที่เจ้าเหนือหัวของพวกมันพิชิตได้
ราชันของพวกเรา นั่นคือจ้าวปิศาจที่แท้จริง!
เหล่าปิศาจที่ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับเกาะเต่า แสดงให้เห็นระเบียบวินัย
ที่ดี รวมทั้งความอดกลั้นและทรหดอดทน บรรดาเซียนกระบี่ ค่ายจูเชวี่ย
นับถือเลื่อมใสพวกมันยิง่
เหล่าเซียนกระบี่แห่งค่ายจูเชวี่ยก็ไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นกัน พวกมัน
พากั น มุ่ ง มั่ น ฝึ ก ปรื อ อย่ า งหนั ก หน่ ว งที่ สุ ด เท่ า ที่ จ ะฝื น รั บ ไหว ไม่ ย อม
น้อยหน้าบรรดาปิศาจด่านถงหลิ่งแม้แต่น้อย
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้เอง ค่ายจูเชวี่ยโฉมใหม่ที่ เพียบพร้อมไปด้วย
พิชัยยุทธ์แบบใหม่ ก็ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
บทที่ 573 คลื่นลับเริ่มก่อตัว

“ต้ า เหริ น ทุ ก ประการจั ด เตรี ย มเรี ย บร้ อ ยแล้ ว ” ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชา


รายงานต่อปู้เกิ้น
ปู้เกิ้นเอ่ยถาม “อ้อ เจ้าเสาะหาผู้ใด?”
“ผั ง เฉิ น ด่ า นเจี ย ง คนผู้ นี้ ก้ า วเข้ า สู่ ด่ า นเจี ย งตั้ ง แต่ เ จ็ ด ปี ก่ อ น มี
ประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน การต่อสู้ครั้งที่ทาให้มันมีช่ ือเสียงที่สุดคือ
การประลองกับชีเตียวอวี่ มันต้านรับได้สามสิบกระบวนท่าก่อนจะพ่ายแพ้
ไป และแม้ว่ามันจะพ่ายแพ้ แต่ก็นับเป็นการประลองอันทรงเกียรติที่หนุน
ส่งมันให้มีช่ อ
ื เสียงในชั่วพริบตาเดียว”
“ชีเตียวอวี่!” ปู้เกิ้นในที่สุดสีหน้าแปรเปลี่ยน “ถึงกับรับมือชีเตียวอวี่
ได้สามสิบกระบวนท่า ผังเฉินผู้นี้นับว่าเข้มแข็งโดยแท้”
“ไยมิใช่! มิหนาซ้าผังเฉินหลังจากพ่ายแพ้แก่ชีเตียวอวี่ มันก็มายังป่า
ศิล าทักษะปิศาจมหาสันติเพื่อแสวงหาหนทางรุ ดหน้า มันจมอยู่ในเมือง
มหาสันตินานกว่าสามปี ทาการประลองน้อยใหญ่กว่ายี่สิบครั้ง ระหว่างนี้
พลังฝีมือของมันยิง่ กล้าแข็งขึ้นเรื่อย ๆ”
“ไม่เลว ไม่เลว” ปู้เกิ้นเผยสีหน้าพึงพอใจ
ชนชั้ น ปิ ศ าจด่ า นเจี ย งที่ เ ข้ ม แข็ ง ถึ ง เพี ย งนี้ อาจสามารถบรรลุ
วัตถุประสงค์ของมันในการหยั่งวัดความสามารถของบุรุษหนุ่มที่ไม่ ทราบ
ความเป็นมาผู้นน
ั้
“คนจากค่ายเว่ยผู้นั้นอยู่ที่ใด?” ปู้เกิ้นถามถึงเป้าหมาย
“มันอยู่ที่ป่าศิลาทักษะปิศาจ” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบทันควัน “ผังเฉิน
เริม
่ ลงมือแล้ว”
ปู้ เ กิ้ น เผยสี ห น้ า คาดหวั ง รอคอย “เจ้ า ส่ ง คนไปสั ง เกตการณ์ แ ล้ ว
หรือไม่?”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ”

จั่วม่อจรดจดจ่ออยู่กับการศึกษาเคล็ดความบนหลักศิลา เคล็ดความ
บนหลั ก ศิ ล าเป็ น ขั้ น พื้น ฐานที่ สุ ด ของรากฐาน ชนิ ด ที่ ว่ า ไม่ มี เ คล็ ด ความ
พื้นฐานไปมากกว่านี้อีกแล้ว ปิศาจส่วนใหญ่พากันเมินหลักศิลาช่วงนี้ไป
เนื่องเพราะเนื้อหาเหล่านี้ พวกมันล้วนเรียนรู้มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เติบใหญ่
มากั บ เคล็ ด ความเหล่ า นี้ คุ้ น เคยจนไม่ อ าจคุ้ น เคยไปมากกว่ า นี้ อี ก แต่
สาหรับจั่วม่อ มันตั้งอกตั้งใจอ่านเคล็ดความเหล่านี้ทุกบรรทัดทุกคา โดยไม่
ตกหล่นไปแม้สักครึ่งคา ไล่อ่านผ่านหลักศิลาไปทีละต้น ๆ อย่างจริงจัง
มันไม่รู้สึกว่าเคล็ดความเหล่านี้เป็นเรื่องยุ่งยากลาบาก ซือจื่อหมิงใช้
ถ้อยคาที่เรียบง่าย ง่ายต่อการทาความเข้าใจ จั่วม่อยิ่งอ่านไปมากเท่าใด
จิตใจมันยิ่งกระจ่างชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ประหนึ่งภาพวาดในใจมันซึ่งเดิม
ทีปกคลุมไปด้วยหมอกควัน บัดนี้ค่อย ๆ เผยตัวออกมาช้า ๆ ชัดเจนขึ้นทุก
ขณะ หลายแห่ ง บนภาพวาดที่ เ คยว่ า งเปล่ า ก็ ถู ก แต่ ง แต้ ม ลงไปอย่ า ง
เหมาะเจาะพอดี ภาพวาดกลับกลายเป็นสมบูรณ์ขึ้นตามลาดับ
นี่ ไ ม่ อ าจบอกว่ า เป็ น ความส าราญใจอย่ า งสุ ด แสน แต่ ยั ง คงให้
ความรู้สึกซาบซึ้งอย่างลึกล้า เป็นความปิติยินดีที่เห็นช่องว่างถูกเติมเต็ม
อย่างต่อเนื่อง เป็นความก้าวหน้าที่มันมิอาจหักห้ามใจไม่ให้ก้าวเดินต่อไป
ได้
ประหนึ่งว่ามันกาลังถูกครอบงาก็มิปาน
ในทะเลแห่ ง จิ ต ส านึ ก ผู เ ยากั บ เว่ ย ยั ง ทอดถอนอย่ า งชื่ นชมระคน
ประหลาดใจ
“ซือจื่อหมิงผู้นี้ช่างเป็นบุคคลอันน่าสะพรึงกลัวนัก!” ผูเยามีสีหน้าตื่น
ตะลึงที่ยากจะพบพาน ส่วนเว่ยผู้ที่เชี่ยวชาญวิถีปิ ศาจมากกว่าผู เยา ยัง
สะท้านสะเทือนกว่าผูเยามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาอธิบายของซือจื่อหมิง
คล้ายแฝงไว้ด้วยมนต์ขลังอันพิเศษเฉพาะ บันดาลให้ผู้คนหลงใหลคลั่งไคล้
ชวนให้ผู้คนทอดถอนด้วยความอัศจรรย์ใจ
“เจ้าเด็กน้อยกลับเคลิบเคลิ้มจริง ๆ เสียอย่างนั้น!” ผูเยาสลดหดหู่อยู่
บ้าง พรสวรรค์ในการฝึกปรือวิถีปิศาจของจั่วม่อช่างน่าหวาดหวั่น ราวกับ
ว่าเพียงยื่นประกายไฟให้แก่มัน ก็สามารถกลายเป็นทะเลเพลิงได้ทันที
เทียบกันแล้วพรสวรรค์ในการฝึกปรือวิถีอสูรของจั่วม่อแม้ไม่เลว แต่
เมื่ อ น าทั้ ง สองมาเปรี ยบเที ย บกั น...ก็ เ รี ยกได้ ว่ า อยู่ ค นละระดั บ ชั้ น อย่าง
สิ้นเชิง ไม่น่าแปลกใจที่ผูเยารันทดหดหู่อยู่บ้าง
“อื ม ม์ ?” เว่ ย จู่ ๆ ก็ หั น ไปอี ก ทางห นึ่ ง กล่ า วอย่ า งประหลาดใจ
“พรสวรรค์ของอาเหวินก็ไม่เลวเช่นกัน!”
ผู เ ยาแค่ น เสี ย งอย่ า งเย็ น ชา “ในค่ า ยเว่ ย ทั้ ง หมด ก็ มี แ ต่ มั น นี่ ล ะที่
พอจะเชิดหน้าชูตาได้บ้าง คนที่เหลือล้วนใช้การไม่ได้”
พรสวรรค์ของอาเหวินเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุดในค่ายเว่ย ความสามารถ
ในการเรียนรู้ของมันวิเศษยิ่ง แม้แต่ซู่หลงเทียบกันแล้วยังด้อยกว่ามาก แต่
ความหนั ก แน่ น รอบคอบของซู่ ห ลงก็ ช วนให้ ผู้ ค นไว้ ว างใจได้ ม ากกว่ า
กระทั่งหลักศิลาทักษะปิศาจตั้งอยู่ต่อหน้าต่อตา ทว่าซู่หลงไม่ได้อ่านแม้สัก
ครึ่งคา มันเอาแต่กวาดตาระแวดระวังรอบด้าน เดิมตามติดเบื้องหลังจั่วม่อ
ทุกฝีก้าว
“คนใช้ ก ารไม่ ไ ด้ ก็ มิ ใ ช่ ว่ า ไม่ มี สิ่ ง ที่ ดี ” เว่ ย เห็ น ได้ ชั ด ว่ า อารมณ์ ดี ยิ่ ง
ค่ า ยเว่ ย มี เ มล็ ด พั น ธุ์ อั น ดี ง ามเช่ น อาเหวิ น ซึ่ ง มี ค วามสามารถในการท า
ความเข้าใจอันมหัศจรรย์ และมีผู้นาที่เชื่อถือได้เช่นซู่หลง เว่ยไหนเลยจะ
ไม่อารมณ์ดีได้
ในเวลานี้เอง ซู่หลงดวงตาสาดประกายวาบ เห็นเงาร่างสายหนึ่งกาลัง
ตรงเข้าหาพวกมัน
ซู่หลงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จับจ้องผู้มาตาเขม็ง เปลี่ยนไปตั้งท่า
ระวังป้องกันตามสัญชาตญาณ
ท่วงท่าก้าวเดินของฝ่ายตรงข้ามคล้ายแฝงไว้ด้วยจังหวะจะโคนอัน
ลึกลับพิสดารชนิดหนึ่ง แต่ละก้าวคล้ายย่าลงด้วยท่วงทานองประหลาด ชั่ว
พริบตาแห่งความเลอะเลือนมึนงงนี้ ซู่ห ลงรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งในสายตา
มันล่าถอยไปดุจกระแสน้าลง สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในครรลองสายตามัน
มีเพียงบุรุษที่กาลังจะมาถึงผู้นน
ั้ !
ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่มันอย่างอ่อนโยน ซู่ห ลงร่าง
สะท้านขึ้นเล็กน้อย บางส่วนในสายตาที่เลือนหายไปกลับสู่สภาพเดิมอย่าง
ฉับพลัน พลังประหลาดของบุรุษที่กาลังใกล้เข้ามาอันตรธานหายไป ซู่หลง
จิตใจพลันผ่อนคลายลง
“ต้าเหริน!” ซู่หลงเต็มไปด้วยความละอายใจ
“ไม่เป็นไร” จั่วม่อตบบ่าซู่หลง จากนั้นลดเสียงกล่าวเบา ๆ “ดูแลอา
เหวิน อย่าให้ผู้ใดรบกวนมัน”
“ขอรับ” ซู่หลงขบริมฝีปาก ยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้ากว่าเดิม พวกมัน
เผชิญหน้ากับศัต รู แต่กลับต้องให้ต้าเหรินมาปกป้องพวกมันแทน ซู่หลง
เอย ซู่หลง ยังจะมีสิ่งใดน่าอัปยศอดสูมากไปกว่านี้อีกเล่า?
มันลอบสัตย์สาบานว่าจะต้องมุมานะฝึกปรือให้หนักกว่านี้อีก!
จั่วม่อเดินขึ้นไปบดบังเบื้องหน้าซู่หลง ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ
ซึ่งความจริงการถูกขัดจังหวะที่กาลังดื่มด่ากับการอ่านอย่างสุขสาราญใจ
หาได้น่ายินดีไม่ ผู้อ่ น
ื เห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่มันอย่างเป็นปฏิปักษ์
“ดูเหมือนว่าต่อให้เจ้าไม่ไปหาเรื่องผู้อ่ ืน ผู้อ่ น
ื ก็จะมาหาเรื่องเจ้าเอง”
ผูเยาทาเสียงเหมือนกาลังรอชมดูความสนุกสนาน
ผู้มาหยุดยืนที่ระยะห่างจากจั่วม่อสามจั้ง กล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ผู้น้องผังเฉิน ขอคารวะพี่ท่าน!”
ผั ง เฉิ น ผู้ นี้ อ ายุ ร าวสามสิ บ ปี รู ป ร่ า งสู ง โปร่ ง ร่ า งตั้ ง ตรงดุ จ คั น ทวน
ร่างกายได้สัดส่วนอันเลิศล้า กล้ามเนื้อที่เผยออกมาไม่ได้ใหญ่โตเกินจริง
ทว่ากระชับได้รูป แต่ละมัดคล้ายขดลวดพันอยู่รอบกาย ช่วยให้ผู้คนไม่มี
ข้อกังขาในพลังอันน่าทึ่งที่แฝงเร้นอยู่ภายใน
ผู้มาไม่มีเจตนาดี ผู้ที่มีเจตนาดีย่อมไม่มา จั่วม่อจ้องมองฝ่ายตรงข้าม
ด้วยสายตาเย็นชา พวกมันเพิ่งจะเข้าเมืองมหาสันติได้ไม่นาน นอกจากห
ลั น เที ย นหลงที่ แ ทบประมื อ กั น แล้ ว ก็ ไ ม่ ไ ด้ รู้ จั ก ผู้ ใ ดในเมื อ งอี ก บุ รุ ษ
กลางคนที่เรียกว่าผังเฉินผู้นี้จงใจมาหาพวกมันโดยเฉพาะ รบกวนการทา
ความเข้าใจกับเคล็ดวิชาของพวกมัน เห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาดี
เคราะห์ ดี ที่ จ่ั ว ม่ อ เพี ย งดื่ มด่ า อยู่ กั บ การอ่ า นเท่ า นั้ น ไม่ ถึ ง ขั้ น เข้ า สู่
สภาวะรู้แจ้งเฉกเช่นอาเหวิน สภาวะรู้แจ้งเป็นโชควาสนา หากถูกรบกวน
ทาลาย ก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อใด
ไม่ ว่ า จะเป็ น ซิ ว เจ่ อ หรื อ อสู ร ปิ ศ าจ การหยุ ด ชะงั ก กลางคั น เช่ น นี้
เกือบจะเป็นเรื่องต้องห้าม
“มีลมก็รีบผายออกมาเถอะ!” จั่วม่อกล่าวเสียงเย็นเยียบ ผู้อ่ ืนในเมื่อ
ไม่มีเจตนาดีอย่างชัดแจ้ง จั่วม่อก็ไม่คิดเสียเวลากล่าวเกรงอกเกรงใจ ยิ่งไป
กว่านั้น ตามแผนการของผูเยา มันต้องท้าประลองผู้คนจานวนหนึ่งเพื่อ
เพิ่มพูนชื่อเสียงของมันอยู่แล้ว ในเมื่อมีคนเสนอหน้ามาเองถึงที่ ก็นับเป็น
เรื่องดี
จั่วม่อเริ่มถลกแขนเสื้อทันที
ผังเฉินถึงกับตื่นตะลึงอยู่บ้าง มันเพิ่งจะเคยพบพานคนเช่นจั่วม่อเป็น
ครั้งแรก
มันจู่ ๆ ก็พบว่าสนุกสนานน่าสนใจไม่น้อย คนผู้นี้หรือไม่ล่วงรู้ ว่ าที่นี่
คือเมืองมหาสันติ? ในเมืองมหาสันติ ผู้ที่แสดงพฤติกรรมเช่นนี้ที่ผ่านมาไม่
เคยมี ชี วิ ต รอดได้ เ กิ น สองสามวั น ช่ า งเป็ น สามเณรมื อ ใหม่ ที่ เ ย่ อ หยิ่ ง
จองหองอย่างแท้จริง!
มันสมควรปิดฉากเรื่องราวได้โดยเร็ว
ผังเฉินครุ่ นคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ตกลงใจไม่เสียความกล่าวมาก
ความอีก “ผู้น้องคิดขอคาชี้แนะจากพี่ท่านสักครา”
“ขอคาชี้แนะ? หมายความเจ้าท้าข้าประลองใช่ห รือไม่ ?” จั่วม่อเลิก
คิ้ว
เหล่าปิศาจมุงที่อยู่รอบข้างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเซ็งแซ่ ผังเฉิน
อยู่ในเมืองมหาสันติมานานกว่าสามปี ไม่ว่าผู้ใดเมื่ออยู่ในเมืองมหาสันติสัก
ระยะหนึ่งย่อมต้องรู้จักมัน ผู้คนยังจดจาจั่วม่อได้แทบจะในทันที คนผู้นี้คือ
ผู้ที่ท้าประลองหลันเทียนหลงกลางถนนที่หน้าประตูเมือง
ฝู ง ชนปิ ศ าจคึ ก คั ก แจ่ ม ใสขึ้ น มาทั น ที ในเมื อ งมหาสั น ติ สิ่ ง ที่ ผู้ ค น
ชมชอบมากที่สุดก็คือการประลอง ในสถานที่พิเศษเฉพาะแห่งนี้ การจะมี
ชื่ อ เสี ย งเลื่ องลื อ ไม่ ใ ช่ เ รื่ อ งยาก พวกมั น เพี ย งต้ อ งท้ า ผู้ อ่ ื นประลองฝี มือ
เท่านั้น
แน่ น อน เกี่ ย วกั บ การท้ า ประลองยั ง มี ก ฏเกณฑ์ ที่ ไ ม่ ไ ด้ ก ล่ า วถึ ง
ยกตัวอย่างเช่น หากปิศาจไร้ช่ อ
ื เสียงเรียงนามผู้หนึ่งคิดท้าประลองปิศาจที่
มีช่ ือเสียง อีกฝ่ายหนึ่งสามารถเมินเฉยต่อคาท้าได้อย่างสมบูรณ์ มิเช่นนั้น
เหล่ายอดฝีมือเลื่องชื่อคงไม่มีเวลาให้ทาอย่างอื่นแล้ว
หากกล่าวตามภาษาของเมืองมหาสันติ ต้องบอกว่าผู้ที่เพิ่งจะมาถึง
เมืองมหาสันติล้วนถือเป็นคนใหม่ คนใหม่หากต้องการมีช่ ือเสียง จะมีลาน
ประลองที่ช่วยให้พวกมันสัง่ สมชื่อเสียงทีละน้อย ผู้ที่ชนะจากลานประลอง
จึงจะมีโอกาสได้ท้าประลองเหล่ายอดยุทธ์เลื่องชื่อ
ยกตั ว อย่ า งเช่ น หลั น เที ย นหลง ครั้ ง ก่ อ นเมื่ อ จั่ ว ม่ อ ท้ า ประลองมั น
โดยตรง ไม่มีผู้ใดหัวร่อเยาะมันที่ปฏิเสธการต่อสู้กับจั่วม่อ เหล่าผู้ชมรู้สึก
ว่าจั่วม่อเพียงเป็นคนใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว พฤติการณ์ของหลันเทียนหลงยิ่ง
ทาให้ผู้คนนิยมชมชื่นในท่วงท่าการวางตัวอันสง่างามและเยือกเย็นของมัน
เสียมากกว่า
แต่ผังเฉินคือผู้ใด?
ผั ง เฉิ น แน่ น อนว่ า เป็ น ชนชั้ น ยอดยุ ท ธ์ ใ นเมื อ งมหาสั น ติ มั น เมื่ อ
สามารถต้ า นรั บ ชี เ ตี ย วอวี่ ส ามสิ บ กระบวนท่ า ล าพั ง ความเข้ ม แข็ ง นี้ ก็
เพียงพอให้ผู้คนสะท้านใจ มิหนาซ้าหลายปีมานี้มันอยู่ในเมืองมหาสันติ ไม่
เคยพ่ายแพ้ในการประลองอีกเลย ผู้คนล้วนนับถือเลื่อมใสมันไม่น้อย
หากมิใช่ว่าผังเฉินไม่มีความคิดเข้าสังกัดขุมกาลังใด หลายตระกูลคง
ส่งเทียบเชิญพร้อมเงื่อนไขอันน่าตื่นใจให้แก่มันเสียนานแล้ว
ทว่าคราครั้งนี้ ยอดยุทธ์เลื่องชื่อซึ่งผู้คนรู้จักกันดี กลับเป็นฝ่ายเอ่ย
ปากขอท้าประลองกับคนใหม่ผู้หนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ในเมืองมหาสันติ
สายตาของจั่วม่อทาให้ผังเฉินขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง มันมีช่ ือเสียงมานาน
ไหนเลยเคยถูกคนรุ่นหลังจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้?
มันแย้มยิ้มเย็นชา ยิ้มจนเห็นฟันขาววับ “ถูกต้อง ข้าขอท้าประลอง
เจ้า!”
กลุ่มคนตื่นเต้นระทึกใจขึ้นมาทันที แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดยังสามารถ
เห็นได้ว่าการท้าประลองครั้งนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ไม่มีผู้ใดสนใจ
มากความ พวกมันมีแต่ความตื่นเต้นยินดีที่จะได้ชมดูการต่อสู้ของผังเฉินที่
โด่งดัง
นี่คือยอดยุทธ์เลื่องชื่อ!
นานเท่าใดแล้วที่ยอดยุทธ์เลื่องชื่อไม่ได้ประมือกับผู้คน!

ข่าวที่ว่าผังเฉินท้าประลองจั่วม่อแพร่ส ะพัดไปทั่วเมืองมหาสันติใน
บัดดล
เนื่องเพราะมหาพิบัติฟ้าสลาย ไฟสงครามปะทุขึ้นทุกแห่งหน ความ
สนใจของผู้คนเริ่มหันไปวิตกกังวลกับสภาพความเป็นไปของใต้หล้า เป็น
เหตุให้เมืองมหาสันติไม่ค่อยเกิดการประลอง ตั้งอยู่ในความสงบสุข และ
เงียบเหงามานาน
บรรดาตระกูลทรงอานาจสูดได้กลิ่นอายผิดปกติจากการท้าประลอง
ครั้งนี้ การสืบข่าวของพวกมันย่อมรวดเร็วและถูกต้องแม่นยากว่าคนทั่วไป
มาก ในไม่ช้าข่าวคราวเกี่ยวกับค่ายเว่ย ความขัดแย้งของพวกมันกับยักษา
เขียว รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องแทบทั้งหมดล้วนส่งตรงไปถึงมือของเหล่าผู้มี
อานาจ
นามของค่ายเว่ย นับจากช่วงเวลานี้ เริ่มตกอยู่ในสายตาของเหล่าคน
บุญหนักศักดิ์ใหญ่
เมื่อนาไปเชื่อมโยงกับปู้เกิ้นที่เพิ่งเข้าเมืองมหาสันติเมื่อไม่นานมานี้
พวกมั น ก็ ล่ ว งรู้ ทั น ที ว่ า นี่ เ ป็ น เรื่ องราวใดและเป็ น ผู้ ใ ดที่ อ ยู่ เ บื้ องหลั ง
อย่างไรก็ต าม พวกมันส่วนใหญ่เพียงแค่ยิ้มเยาะเบา ๆ พวกมันรู้สึกว่าปู้
เกิ้นหวาดระแวงมากเกินไป ถึงกับเรียกให้ผังเฉินลงมือ แน่นอนว่าต้องจ่าย
ค่าตอบแทนไม่น้อย
ให้ ผั ง เฉิ น ลงมื อ จั ด การกั บ คนใหม่ ผู้ ห นึ่ ง นี่ ไ ยมิ ใ ช่ ข่ ม เหงรั ง แกกั น
เท่านั้น?
หลายคนชักรู้สึกว่าปู้เกิ้นผู้นี้ดูท่าคงมีแต่ช่ ือเสียงเกินเลยเท่านั้น พวก
มันคร้านกระทั่งจะไปร่วมชมดูความสนุกสนานเสียด้วยซ้า
ยกเว้นเสียแต่หลันเทียนหลงเพียงผู้เดียว
หลันเทียนหลงพอฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานเรื่องนี้ ดวงตาพลันทอ
ประกายวาบ มันหวนนึกนึกลางสังหรณ์อันตรายที่แทบสัมผัสไม่ได้ในวัน
นั้น รอยยิ้มแฝงนัยอันลึกล้าพลันจุดขึ้นที่มุมปาก
ยอดยุทธ์เลื่องชื่อ... ...ผังเฉิน... ...
หลั น เที ย นหลงไม่ รี ร อลัง เล เผ่ น ผึ ง ลุ ก ขึ้นยื น ทะยานร่ า งออกไปใน
บัดดล
“ไปกันเถอะ! ไปชมดูความสนุกสนานกัน!”
มันเมื่อเหินร่อนลงบนท้องถนน เห็นผู้คนมากมายไหลบ่าไปประดุจ
คลื่นน้า
ยอดยุทธ์เลื่องชื่อกาลังจะต่อสู้หักหาญกับผู้คน บันดาลให้เมืองมหา
สันติที่เงียบเหงามานานเกินไป ในที่สุดก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
รับฟังผู้คนถกเถียงสนทนาอย่างตื่นเต้นเร้าใจ ถึงท่าไม้ตายของผังเฉิน
ถึงการต่อสู้ที่มีช่ ือเสียงของผังเฉิน ถึงคาร่าลือต่าง ๆ เกี่ยวกับผังเฉิน หลัน
เที ย นหลงพลั น หั ว ร่ อ เบา ๆ กั บ การต่ อ สู้ ที่ ก าลั ง จะบั ง เกิ ด มั น จู่ ๆ รู้ สึ ก
คาดหวังอย่างเต็มเปี่ ยม
บทที่ 574 อหังการ

เมืองมหาสันติ ลานประลอง
กระแสผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย พากันจับจองที่นั่งชมตาแหน่ง
ดี ๆ ไว้แทบทั้งหมด เดิมทียังมีบางคนต่อสู้กันบนลานประลอง แต่พวกมัน
พอฟังว่ายอดยุทธ์ลือนามผังเฉินได้ท้าประลองคู่ต่อสู้ พวกมันก็รีบยกเวที
ประลองให้อย่างไม่เกี่ยงงอน
จั่วม่อเดิมตั้งใจว่าจะทุบตีเจ้าคนน่ า รังเกียจนี้จ นกว่ าจะร้อ งขอชี วิ ต
ในทันที แต่เมืองมหาสันติไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ในบริเวณป่าศิลาทักษะ
ปิศาจ จั่วม่อเองก็ห่วงกังวลว่าการต่อสู้อาจไปรบกวนอาเหวินที่อยู่ในห้วง
แห่งการรู้แจ้ง จึงตกลงไปยังลานประลองหลัก
รอจนยืนอยู่บนเวทีประลอง จั่วม่อพลันหวนนึกถึงเมื่อครั้งที่มันอยู่บน
เขาสุ ญ ตา เคยเข้ า ร่ ว มงานประลองชุ ม นุ ม วิ จ ารณ์ ก ระบี่ แ ห่ ง ตงฝู ภาพ
ตรงหน้านี้ช่างคลับคล้ายกับครั้งนั้นนัก นั่นเป็นเวทีประลองยุทธ์เดียวที่มัน
เคยเข้าร่วม หลังจากนั้นมาการต่อสู้ท้ั งหมดล้วนต้ องเดิ มพัน ด้ วยชีวิต คู่
ต่อสู้แต่ละครัง้ มีแต่ดุดันอามหิต ผู้คนต้องทาทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด
เป็นเรื่องที่ชวนให้หวนราลึกจริง ๆ!
มันคิดถึงยามที่ใช้วิชาค่ายกลเอาชัยคู่ต่อสู้ จากนั้นถูกอาจารย์ลุงดุด่า
อย่างโมโหโทโสด้ วยเหตุ ที่ท าให้ส านั ก กระบี่ต้อ งอั บขายขายหน้ า คิดถึ ง
เสี่ยวกั่วผู้น่ารักน่าเอ็นดู คิดถึงศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง ใช่แล้ว มานึกย้อนดูใน
ยามนี้ มันพึ่งพาศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งไม่น้อยทีเดียว โดยไม่รู้สึกตัว ความคิด
จิตใจของจั่วม่อล่องลอยไปไกลแสนไกล ย้อนไปถึงวันคืนอันยากลาบากแต่
สุข สงบหรรษา ภาพที่มักโดนบรรดาอาจารย์รุมดุด่าแต่แสนจะอบอุ่นนั้น
เหมือนแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านแนวป่า มอบความอบอุ่นให้แก่พ้ ืนดินอัน
เยียบเย็น นาพาสายลมพัดพลิ้วและความอบอุ่นตื้นตันท่วมท้นอยู่ในหัวใจ
ความหวนหาอาวรณ์และความโศกศัลย์ที่ไม่อาจบ่งบอกบรรยายได้
แผ่กระจายอยู่เต็มหัวใจ
จั่วม่อก้มหน้าลง พื้นลานประลองในสายตามั นทั้ ง ไกลห่า งและราง
เลือนถึงเพียงนั้น สรรพเสียงรอบข้างคล้ายถดถอยออกไป หลงเหลือเพียง
เสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของตัวมันเองเท่านั้น โลกหล้าเงียบสงัด
นอกจากเสียงครวญคร่าของหัวใจก็ไม่มีสรรพเสียงใดอีก
ท่านเจ้าสานัก อาจารย์ อาจารย์ลุง วางใจเถอะ ข้าจะต้องช่วยเหลือ
เสี่ยวกั่วกับศิษย์พี่หญิงหลี่กลับมาแน่!
ไม่มีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่มีสีหน้าท่าทีมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ปราศจาก
อารมณ์พลุ่งพล่าน มันมีเพียงความสงบราบเรียบ ประหนึ่งว่าวาจาที่กล่าว
เป็นเพียงถ้อยคาธรรมดาสามัญประโยคหนึ่ง ไม่จาเป็นต้องปลุกปลอบจิต
วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ ไม่ จ าเป็ น ต้ อ งสั ต ย์ ส าบาน นี่ คื อ สิ่ ง ที่ จ่ั ว ม่ อ เพี ย งบอก
เตือนต่อตัวเองเท่านั้น
ในความเงียบงัน จั่วม่อยกมือขวาขึ้น เริ่มแกะผ้าพันแผลที่ห่อหุ้ มมือ
ข้างนั้นอย่างแช่มช้า มันไม่เงยหน้า ไม่เหลือบแลผังเฉินที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
แม้สักแวบ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้างดังอื้ออึงขึ้นทันที
“เจ้าผู้นี้เป็นใคร? ไฉนยโสโอหังถึงปานนี้ ? มันเป็นคนใหม่ใช่หรือไม่ ?
ต่อหน้าผังเฉินยังกล้าวางท่าถือดี ฮ่าฮ่า ช่างไม่รู้คาว่าตายสะกดอย่างไรจริง
ๆ!”
“อาฮ่าฮ่าฮ่า จะอย่างไรมันก็ต้องตายอยู่แล้ว ให้มันวางท่าอวดโอ่ถือดี
ก่อนตายเสียหน่อยจะเป็นไรไป”
“น่าประหลาด ผังเฉินไฉนท้าประลองคนใหม่ ? เจ้าผู้นี้ต้องเบื่อหน่าย
ถึงเพียงไหนจึงทาเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้ได้? ที่เหลวไหลยิง่ กว่าคือคนใหม่กลับ
รับคาท้าเสียด้วย! ข้าไม่เข้าใจ ไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ!”
“แล้วหากผังเฉินพ่ายแพ้เล่า... ...”
“เหลวไหล! ผังเฉินคือหนึ่งในยอดยุทธ์ลือนาม! หรือเจ้าคิดว่าฉายา
ของยอดยุทธ์ลือนามไม่มีคุณค่าความหมาย? เจ้าคนใหม่ผู้นี้มีต าแต่หามี
แววไม่ ยังอ่อนเยาว์นัก กลับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ”
“แต่ ผั ง เฉิ น ต่ อ ให้ ไ ด้ ชั ย ก็ ไ ม่ เ ห็ น จะมี อ ะไรดี มิ เ ท่ า กั บ มั น หยามย่ า ยี
ตัวเองเกินไปหรอกรึ... ...”
ที่ นั่ ง ชมลานประลองไม่ ถึ ง กั บ เต็ ม แม้ ว่ า พวกมั น สามารถชมดู ก าร
ประลองของยอดยุทธ์ลือนาม แต่คู่ประลองของผังเฉินในสายตาของผู้คน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอ่อนแอมากเกินไป คนเหล่านี้เพียงมาดูการแสดงฝีมือ
ของผังเฉิน เรื่องที่ผังเฉินจะได้ชัยหรือพ่ายแพ้ไม่เคยมีอยู่ในหัวของพวก
มันเลย
“ผั ง เฉิ น หากเจ้ า ไม่ ส ามารถเอาชั ย คนผู้ นี้ ใ นสิบ กระบวนท่ า ก็ อ ย่ า
ได้มาติดตามพัวพันข้าแล้ว!”
หญิงสาวนางหนึ่งจู่ ๆ ก็ป้องปากตะโกนไปทางลานประลอง นางงาม
ผู้นี้สวยสะคราญเย้ายวน ฟันขาวสะอาดดวงตาสดใส ริมฝีปากเชิดรั้นอย่าง
แง่งอนของนาง ยิ่งทาให้นางดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่าเดิม
ที่นั่งผู้ชมระเบิดขึ้นทันที
“วาวาวา! นั่นคุณหนูฮวาหนิงมิใช่รึ! คราวนี้มีเรื่องน่าดูชมแน่แล้ว!”
“ฮ่าฮ่า! ฟังว่าผังเฉินตามพัวพันคุณหนูฮวาหนิงมานาน ดูท่าข่าวลือ
คงไม่ผิดพลาดแล้ว!”
“คราวนี้ค่อยน่าดูชมหน่อย! สิบกระบวนท่า! คุณหนูฮวาหนิงช่างใจ
ร้ายนัก!”
ผังเฉินแหงนหน้าหัวร่อดังกระหึ่ม “เสี่ยวฮวาหนิงเมื่อประกาศิตเช่นนี้
ผังเฉินไหนเลยจะกล้าฝ่าฝืน ตกลง! สิบกระบวนท่าก็สิบกระบวนท่า!”
วาจานี้เต็มไปด้วยความเหี้ยมหาญองอาจ ประกาศออกมาอย่างไม่มี
รีรอลังเลแม้แต่น้อย กอรปด้วยท่วงท่าสภาวะและความเชื่อมั่นของยอด
ยุทธ์จอมอหังการ! เหล่าปิศาจสาวบนที่นั่งผู้ชมตากระจ่างวูบ เผยแววนิยม
ชมชื่นออกมาอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าคุณหนูฮวาหนิงจะนั่งอยู่ทนโท่พวกนาง
ก็ไม่สนใจ ยังคงพากันร้องตะโกนให้กาลังใจผังเฉินอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
เสียงถกเถียงสนทยายิ่งดังขึ้น ๆ ผู้คนเริ่มคึกคักกระตือรือร้นขึ้นอักโข
เทียบกับเรื่องแพ้ชนะที่ไม่ต้องกังขาแล้ว สัญญาชัยชนะในสิบกระบวนท่ า
กั บ โฉมสะคราญยั ง สนุ ก สนานน่ า สนใจยิ่ ง กว่ า ทุ ก ผู้ ค นเริ่ ม คาดเดาว่ า
ผังเฉินจะสามารถเผด็จศึกได้ในกี่กระบวนท่า หลายคนเริ่มพนันขันต่อกัน
แล้ว
การตอบสนองอย่ า งโอ่อ่ า อาจหาญของผั ง เฉินสร้า งความพึ ง พอใจ
ให้แก่ฮวาหนิงเป็นอย่างยิ่ง องครักษ์ ข้างกายนางก็พากันทอดตามองเวที
ประลองอย่างยิ้มแย้ม
ได้รับแรงกระตุ้นจากหญิงงาม ผังเฉินขวัญกาลังใจล้นปรี่
ถึงยามนี้ในใจมันเต็มไปด้วยความคิดเอาชัยอย่างหมดจดงดงาม โฉม
สะคราญฮวาหนิงเมื่อยอมเผยท่าทีเช่นนี้ออกมา หากมันไม่อาจผลักเรือ
ตามน้าด้วยชัยชนะอันหมดจดงดงาม อาจพลาดโอกาสยากพบพานที่จะ
พิชิตใจนางไปเสีย
อย่างไรก็ตาม ผังเฉินพอมองไปยังจั่วม่อ สีหน้าก็พลันเคร่งเครียดเย็น
ชาลง
เห็นฝ่ายตรงข้ามก้มหน้าก้มตาคลี่ผ้าพันแผลบนมืออย่างจดจ่อ ตั้งแต่
ต้นจนจบ คนไม่ได้เหลือบตามองมันแม้แต่แวบเดียว
ผังเฉินดวงตาทอประกายเดือ ดดาลวู บ มันอยู่ในเมืองมหาสันติเคย
ต่อสู้กับผู้คนหลายสิบครั้ง ไม่เคยมีคู่ต่อสู้คนใดกล้าเมินเฉยต่อมันเช่นนี้มา
ก่อน มันก็ไม่ฉวยโอกาสลงมือลอบจู่โจม มันมีความเชื่อมั่นในพลังฝีมือของ
ตนมากพอ
เดิมทีที่มันรับงานนี้ก็เพียงเพื่อเงินเท่านั้น แต่ท่าทีดูแคลนของจั่วม่อ
สะกิดไฟโทสะของมันให้ลุกฮือโหม
ข้าผังเฉินผู้นี้ ถึงกับถูกคนใหม่ผู้หนึ่งเมินเฉย!
ความรู้สึกเสื่อมเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูกพลุ่งพล่านขึ้นในใจ ผังเฉินสูด
ลมหายใจลึก ดวงตาวาววับด้วยรังสีฆ่าฟัน
หากมันไม่ฆ่าคนผู้นี้ ไหนเลยจะสร้างความประทับใจให้แก่ฮวาหนิง
ได้?
ผ้าพันแผลผืนยาวในที่สุดก็คลี่ออกจนหมด แผนผังปิศาจบนมือขวา
ของจั่วม่อค่อย ๆ เผยโฉมต่อสายตานับพันคู่ แสงสีน้าเงินเจิดจ้าโคจรไป
ตามเส้นแผนผังปิศาจ เปล่งประกายเรื่อเรืองดุจภาพฝัน
ผังเฉินม่านตาหดแคบลงทันควัน!
นี่มัน... ...
ในเวลานี้เอง จั่วม่อพลันเงยหน้าขึ้น ภาพความทรงจ าบนเขาสุ ญตา
และงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แห่งตงฝูถดถอยไปอย่างรวดเร็วดุจ
กระแสน้าลง ในสายตามันกลับกลายเป็นกระจ่างแจ่มชัดอีกครัง้
มันสีหน้าเย็นยะเยียบ แต่ในดวงตาทั้งคู่ ท่ามกลางร่องรอยหวนราลึก
และโศกสลด เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นผิดธรรมดา
ผู้อ่ ืนในเมื่อเสนอหน้ามาเอง เช่นนั้นมันก็จะใช้การประลองครั้งนี้เปิด
ฉากแผนการของมัน!
ทั น ใดนั้ น จั่ ว ม่ อ สายตาเปลี่ย นเป็ นแข็ ง กร้ า ว คนคล้ า ยทลายผนึกที่
มองไม่เห็นออกมาในบัดดล พลังสภาวะอันน่าตระหนกกวาดวาบอย่างไม่
ปกปิดซ่อนเร้น ประหนึ่งสัตว์ร้ายทลายกรงขัง จู่ ๆ พุ่งทะยานขึ้นไปถึงชั้น
ฟ้าอย่างเกรี้ยวกราด
ตูม!
พลังสภาวะที่ระเบิดวาบอย่างฉับพลันทันใด ประดุจคลื่นยักษ์ถาโถม
กวาดทลายทั่วสี่ทิศแปดทางในชั่วพริบตา
เดิมทียังเต็มไปด้วยเสีย งวิ พากษ์ วิจ ารณ์ และเสี ยงโห่ร้ องอย่า งสนุ ก
ปาก แต่แล้วคล้ายทุกผู้คนถูกมือที่มองไม่เห็นตะปบคว้าล าคออย่างดุดัน
เสียงเอะอะอึกทึกทั้งมวลชะงักขาดหายไปในบัดดล!
ด่านเจียง!
มันเป็นปิศาจด่านเจียง!
ผังเฉินดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าทอแววตื่นตะลึงและเหลือเชื่อ! แน่นอน
ว่ามันย่อมไม่ได้ตระหนกตกใจที่จ่ัวม่อเป็นปิศาจด่านเจียง เรื่องนี้มันล่วงรู้
แต่แรกจากข้อมูลข่าวสารของพวกยักษาเขียว แต่มันไม่เคยเห็นสาคัญกับ
เรื่องนี้มาก่อน ผู้ที่กล้ามาอาละวาดในเมืองมหาสันติล้วนแล้วแต่เป็นจอม
ปิศาจด่านเจียงทั้งสิน
้ มันเองก็เคยสยบปิศาจด่านเจียงมานักต่อนักแล้ว ใน
เมื อ งมหาสั น ติ ที่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยผู้ เ ยี่ ย มยุ ท ธ์ จอมปิ ศ าจด่ า นเจี ย งไม่ มี อั น ใด
พิเศษ
แต่รอจนยามนี้ เมื่อจั่วม่อปลดปล่อยพลังสภาวะอันยิ่ งใหญ่ไพศาล
ออกมาโดยไม่ออมรั้ง ผังเฉินค่อยตระหนักว่าเรื่องราวหาได้ง่ายดายดังที่
มันคิดเอาไว้ไม่!
บนที่นั่งผู้ชม ฮวาหนิงดวงตาเบิกกว้าง เหม่อมองลานประลองอย่างโง่
งม บรรดาองครักษ์รอบกายนางสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
พลังสภาวะอันกล้าแข็งนัก!
“มาเริม
่ กันเถอะ”
ท่ า มกลางความเงี ย บดุ จ ป่ า ช้ า สุ้ ม เสี ย งเย็ น เยือ กของจั่ว ม่ อเหมือน
เสี ย งระฆั ง ที่ ป ระกาศการมาของพญามั จ จุ ร าช เสี ย ดแทงเข้ า ไปในโสต
ประสาทผู้คนจนหนาวเยือกไปทั้งกาย
หางเสียงยังไม่ทันจะสิ้นสุด จั่วม่อสืบเท้าไปหนึ่งก้าว คล้ายหายวับไป
จากเบื้องหน้าของผังเฉิน ทิ้งไว้เพียงภาพติดตา
แผนผังปิศาจสีฟ้าเยือกเย็นกรีดวาดเป็นเส้นโค้งดุจระลอกคลื่น หมัด
อันตึงแน่นแหวกทะลวงชั้นอากาศ พกพาสภาวะอันน่าสะพรึงกลัวต่อยใส่
ใบหน้าของผังเฉินอย่างหักโหม
เร็วมาก!
สังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้ากรีดร้องระงม ผังเฉินขนหัวลุกชี้ชัน!
ภายใต้ส ถานการณ์คับขันอันตราย ผังเฉินไม่กล้าออมรั้งสิ่งใดไว้อี ก
พลันตวาดก้อง กล้ามเนื้อตึงแน่นดุจสายโซ่ถูกดึงรั้ง แผนผังปิศาจสีน้าตาล
เปล่งแสงเจิดจ้าอย่างฉับพลัน!
สังขารปิศาจพญางูขนดเกลียว!
เห็ น สองแขนของมั นราวกั บ ไร้ ก ระดู ก สั่ น ไหวอย่ า งรุ นแรง แล้ ว ฉก
ปราดอย่างดุร้าย!
ลาแสงสีน้าตาลจากมือซ้ายฉกเข้าหาหมัดของจั่วม่อ พร้อมกันนั้น เงา
ที่ยากจะสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าจู่โจมใส่ร่างท่อนล่างของจั่วม่ออย่างแยบ
คาย ราวกับอสรพิษร้ายลอบฉกกัดจากเงามืด!
เพียงเริ่มเปิดฉากการต่อสู้ ผังเฉินก็ใช้กระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุดของ
มันอย่างไม่ลังเล!
แผนผั ง ปิ ศ าจสี น้ า เงิ น เยื อ กเย็ น พกพาประกายแสงอั น คร่ า ขวั ญ
สะท้านวิญญาณ กระแทกใส่ลาแสงสีน้าตาลอย่างหักโหม!
ผังเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน ละทิ้งการโจมตีในบัดดล ดีดกายล่า
ถอยอย่างไม่คิดชีวิต!
ปัง!
เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาท ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างทะลวงผ่าน
กาแพงที่อ่อนนุ่ม เห็นลาแสงสีน้าตาลพลันแตกระเบิดเป็นละอองหมอกสี
น้าตาล สาดพ่นไปทั่วสี่ทิศแปดทาง
หมัดสีน้าเงินเย็นเยือกพุ่งทะลวงออกจากหมอกแสงสีน้าตาล ยังคง
ต่อยใส่ผังเฉินโดยไม่สะดุดชะงักแม้แต่ชั่ววูบเดียว
ผังเฉินขวัญวิญญาณแทบหลุดจากร่ าง กระบวนท่าฉกจู่โจมเมื่ อ ครู่
เรียกว่า ‘พญางูฉกไขว้’ อาศัยความอ่อนหยุ่นสุดขั้วสลายพลังของฝ่ายตรง
ข้าม ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน คราครั้งนี้ถึงกับไม่อาจหยุดยั้งหมัดของผู้อ่ ืน
แม้แต่ชั่ววูบ นี่หมายความว่าพลังหมัดของศัตรู เหนือล้าเกินกว่าที่ ‘พญางู
ฉกไขว้’ จะทานทนรับไหว!
นั่นต้องเป็นพลังอันเกรี้ยวกราดถึงระดับใด?
เช้ ง ในเวลาเดี ย วกั น หมั ด ซ้ า ยที่ ห่ อ หุ้ ม ด้ ว ยแสงสี ท องของอี ก ฝ่ า ย
กระแทกทาลายลาแสงที่ลอบจู่โจมจากด่านล่างอย่างง่ายดาย
‘ลูกศรลิ้นงู’!
แม้แต่ลูกศรลิ้นงูอันคมกล้ายังไม่ระคายผิวฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย!
นี่เป็นทักษะปิศาจอันใด?
ไฉนมีพลังน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้?
ทว่าผังเฉินไม่มีวันล่วงรู้ วิชาที่จ่ัวม่อใช้หาใช่ทักษะปิศาจอันใดไม่ แต่
เป็นวิชาซึ่งมันไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว ‘เคล็ดหมัดคลื่นสวรรค์ !’ ส าหรับ
จั่วม่อในปัจ จุบัน เคล็ดวิชาหมัดชุ ดนี้ ระดั บต่า เกิน ไป ไม่อาจส าแดงพลั ง
ของมันได้อย่างเต็มที่อีกแล้ ว เพียงแต่คราวนี้มันเพิ่งจะเรี ยนรู้ เคล็ ด วิ ช า
พื้ นฐานบางประการจากหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจ เมื่ อเคล็ ด วิ ช าพื้ นฐาน
เหล่านี้แวบขึ้นในใจจั่วม่อ ก็ช่วยให้มันปรับปรุ งแก้ไขคล็ดหมัดคลื่นสวรรค์
โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
วิถีแห่งเซียนวรยุทธ์ ว่ากันตามจริงจากแก่นแท้แล้วแทบไม่แตกต่ าง
จากทักษะปิศาจมากนัก
จั่วม่อถือครองสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา จัดอยู่ลาดับสามใน
หมู่ สั ง ขารปิ ศ าจด่ า นเจี ย ง แม้ ว่ า ไม่ ส ามารถส าแดงพลั ง ออกมาได้ อ ย่ า ง
เต็มที่ แต่ห ากเทียบกับสังขารปิศาจด่ านเจียงอื่น ๆ มีแต่จ ะเหนือล้ากว่ า
โดยที่ไม่มีทางอ่อนด้อยกว่า! โดยเฉพาะมือขวาของมันที่สลักแผนผังปิศาจ
หอยเปลือกเหล็กหมื่นชั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งสุด เปรีย บปาน จนแทบไม่
อาจเกิ ด ความเสี ย หายได้ หนุ น ส่ ง ให้ เ คล็ด วิ ช าหมั ด คลื่น สวรรค์ ส ามารถ
ปลดปล่อยอานุภาพออกมาได้ถึงขีดสุด
จั่วม่อทันทีที่ล งมือ ก็ใช้ท่าไม้ต ายสุดยอดของเคล็ดหมัดคลื่นสวรรค์
หมัดคลื่นสวรรค์กระจกฟ้า! ซึ่งเป็นกระบวนท่าเดียวจากเคล็ดหมัด คลื่ น
สวรรค์ท้งั หมดที่จ่ว
ั ม่อคิดว่าพอจะยอมรับได้
แต่ทว่าหมัดนี้แตกต่างจากกระบวนท่ าดั้ งเดิ ม ก่อนที่ปราณหมัด จะ
พวยพุ่งออกไป จั่วม่อใช้การควบคุมอันทรงพลังของมัน ควบคุมรอบโคจร
ปราณหมัดภายในแขนขวาให้ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ก่อเกิด
พลังหมัดสุดอหังการที่สามารถเหยียดหยันใต้หล้า!
กระทั่งจั่วม่อเองยังตื่นตะลึงกับพลานุภาพของหมัดนี้
หมัดนี้บดขยี้ท่าไม้ตายของผังเฉินอย่างง่ายดาย แต่จ่ัวม่อหาได้คลาย
การระวังป้องกันลงไม่ สืบเท้าขวาตามติดออกไปอีกหนึ่งก้าว เป็นย่างก้าว
ที่แฝงไว้ด้วยจังหวะจะโคนและความต่อเนื่องสุดพิสดารชนิดหนึ่ง
เคล็ ด ความบนหลักศิ ล าทั กษะปิ ศ าจผุด พรายขึ้ นในใจอย่า งไม่ข าด
สาย
เ ลื อ ดเ นื้ อ ก ร ะ ดู ก แ ล ะ เ ส้ น เ อ็ น ใ น ร่ า ง ข อง มั น ปร ะ ห นึ่ ง มี ชี วิ ต
ปรับเปลี่ยนไปตามเคล็ดวิชาโดยที่มันไม่ได้บังคับควบคุม ท่าร่างของมันยิ่ง
ต่อเนื่องลื่นไหลดุจเมฆล่องน้าริน พลังหมัดยิ่งผนึกรวมรั้งกว่าเดิม ความเร็ว
ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกขั้น!
จั่ ว ม่ อ ร่ า งสะท้ า นขึ้ น เล็ ก น้ อ ยจนแทบมองไม่ เ ห็ น จากนั้ น อากาศ
โดยรอบพลันระเบิดเปรี้ยง!
เพียะ!
เสียงแผ่วเบาดังอึงอลไปทั่วลานประลอง คลื่นพลังที่มองไม่เห็นกวาด
วาบออกไปทุกทิศทาง
จั่ ว ม่ อ รู้ สึ ก ร่ า งกายปลอดโปร่ ง เบาสบายอย่ า งถึ ง ที่ สุ ด ราวกั บ ว่ า
ข้อจ ากัดทั้งมวลที่เคยดึงรั้งร่างกายของมันเอาไว้ ถูกสะบั้นขาดสิ้นในชั่ว
พริบตา
หลันเทียนหลงที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้ชมพลันผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัว สีหน้า
ตะลึงลาน ถลึงจ้องในลานประลองราวกับพบพานผีสางกลางวันแสก ๆ
นี่คือ...ทะลวงกาแพงเสียง!
บทที่ 575 เหยื่อสังเวย

ทะลวงกาแพงเสียง นี่อ้างถึงการระเบิดพลังที่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกาย
หลุดออกจากการควบคุมของมวลอากาศอย่างสิ้นเชิง
โดยหลักการแล้วเคล็ดลับนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แม้แต่ผู้ที่อยู่ในด่านถงหลิ่ง
ยังสามารถบรรลุได้ แต่ในความเป็นจริงปิศาจที่เข้าใจเคล็ดลับนี้กลับมีน้อย
เสียยิ่งกว่าน้อย เนื่องเพราะทะลวงกาแพงเสียงจ าต้องมีรากฐานที่มั่นคง
ทั้งในด้านพื้นฐานร่างกายและเคล็ดวิชาพื้นฐาน คนต้องสามารถควบคุม
เลือดเนื้อร่างกายทุกส่วนได้อย่างดีเลิศ และมีสมดุลที่ดีเยี่ยม
อย่ า งไรก็ ต าม เคล็ ด วิ ช าพื้ นฐานเหล่ า นี้ ต้ อ งเริ่ ม ฝึ ก ปรื อ ตั้ ง แต่ ยั ง
เยาว์วัยมาก น้อยคนนักที่จะฝึกปรือวิชาพื้นฐานไปทีละวิชา ๆ จนครบถ้วน
หากต้องฝึกปรือทักษะปิศาจทุกวิชาและทาให้ท้ังหมดอยู่ในสภาพสมดุล
ในทางกลั บ กั น นี่ หมายความว่ า ไม่ มี วิ ช าใดโดดเด่ น ส าหรั บ เผ่ า ปิ ศ าจซึ่ง
อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องเข่นฆ่าช่วงชิง มีชีวิตรอดอย่างยากลาบาก
มีไม่กี่คนที่จะเลือกวิธีการนี้
ปิศาจที่ส ามารถบรรลุทะลวงกาแพงเสียง อาจบางทีไม่ได้แข็งแกร่ง
สุดยอด แต่ในด้านการควบคุ มพลัง ร่างกายเรียกได้ว่ า โดดเด่น เจนจบถึ ง
ที่สุด
ประโยชน์ที่ตามมาจากการทะลวงกาแพงเสียงสามารถเห็นได้ ชัดตา
เมื่อหลุดออกจากแรงต้านของอากาศ หมายความว่ากระบวนท่าของคนผู้
นั้นอาจรวดเร็วขึ้นและคล่องแคล่วประเปรียวกว่าเดิม พลานุภาพการจู่โจม
ย่อมร้ายกาจขึ้นเป็นเงาตามตัว ปิศาจที่สามารถบรรลุทะลวงกาแพงเสียง
จะมี ทั ก ษะควบคุ ม ร่ า งกายที่ ส มบู ร ณ์ แ บบ แต่ ล ะท่ ว งท่ า อยู่ ภ ายใต้ ก าร
ควบคุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่นเดียวกันกับจั่วม่อในยามนี้!
แผ่นหลังของมันงองุ้มเล็กน้อยดุจแมวที่กาลังจะเผ่นโผน หมัดขวารั้ง
กลับไปตั้งท่าอยู่ข้างเอว ส่องแสงสีน้าเงินเยือกเย็นเจิดจรัส พริบตานั้นต่อย
ออกมาด้วยลาแสงคร่าขวัญสะท้านวิญญาณสายหนึ่ง!
กระบวนท่านี้ท้งั รวบรัดและรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด แต่ละท่วงท่าหมด
จดชั ด เจน ต่ อ เนื่ อ งลื่ นไหลอย่า งสมบู ร ณ์ แ บบ เพี ย บพร้ อ มไปด้ ว ยเสน่ห์
ความงามที่ชวนให้ผู้คนสบายตา
แต่แน่นอนว่าผังเฉินไม่ได้รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้านี้งดงามแต่อย่างใด!
ชั้นเหงื่อบาง ๆ ผุดพรายขึ้นบนหน้าผากมันโดยไม่รู้ตัว หลังจากต้าน
รับหมัดแรกเอาไว้ได้ มันต้องล่าถอยไปหนึ่งก้าว ทั้งยังรู้สึกประหนึ่งต่อสู้มา
เป็นเวลานานมาก เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง
จิตใจอันแน่วแน่มั่นคงที่เต็มไปด้วยความถือดี ยามนี้เริ่มเผยสัญญาณ
สั่นไหวคลอนแคลนอันสุดจะระงับยับยั้งได้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เนื่องมาจากแรงกดดันอันแกร่งกร้าวสุดหยั่งถึงของ
ฝ่ายตรงข้าม!
แรงกดดันอัน ล้นเหลือซึ่งอาจสามารถพลิกขุนเขาผันสมุทร บีบเค้น
จนผู้คนหายใจหายคอไม่ออก!
นี่เพิง่ จะหมัดเดียวเท่านัน
้ ... ...
ลานประลองมีขนาดใหญ่มหึมา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันรู้สึกราว
กับกับว่าถูกขั งอยู่ ในพื้ นที่ คั บ แคบจ ากั ด ที่ ไม่ อาจหลบหนี รอจนหมัด นั้ น
ทะลวงกาแพงเสียง มันสี หน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก นี่ย่อมมิใช่ว่ามันเพิง่
จะเคยเห็นทะลวงกาแพงเสียงเป็นครั้งแรก หากทว่าครั้งนี้... ...
ผั ง เฉิ น ใช้ ส ายตาหนั ก อึ้ ง เคร่ ง เครี ย ด จั บ จ้ อ งมองดู ล าแสงสี น้ า เงิ น
เยือกเย็นวาดประกายผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว!
ชั่วพริบตานี้ มันร่างสั่นเทาอย่างไม่อาจระงั บ โลหิต ในกายคล้ายถูก
แช่แข็ง กล้ามเนื้อทุกมัดหลุดออกจากการควบคุม เจตนาฆ่าฟันของฝ่าย
ตรงข้ามคล้ายร้อยรัดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่ามันจะพยายามหลบหนี
ไปที่ใด ก็ไม่มีทางหลบรอดไปจากเงื้อมมือของอีกฝ่ายได้
ในสายตาของมันกาลเวลาคล้ายเนิ่นช้าลง ลาแสงสีน้าเงินเยือกเย็นที่
สามารถกระชากวิญญาณดูเหมือนชะลอช้าลงไปด้วย
ผั ง เฉิ น คลั บ คล้ า ยว่ า สามารถเห็ น ผลสุ ด ท้ า ยที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ได้ อ ย่ า ง
ชัดเจน มันไม่มีปัญญาหลบหมัดนี้พ้น! มันจะถูกบดขยี้ด้วยพลังหมัดอันน่า
ขนพองสยองเกล้าสายนี้!
ผังเฉินดวงตาแดงฉานด้วยโลหิต มันประหนึ่งสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกรง
ดิ้ น รนขั ด ขืน อย่ า งดุ เ ดื อด! มั น คื อ ยอดยุ ท ธ์ลือนาม ผ่ า นการต่ อสู้เ ดิมพัน
ชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อต้องดิ้นรนให้พ้นจากความหวาดกลัวจับใจ จิต
วิญญาณการต่อสู้ระเบิดขึ้นอย่างฉับพลัน!
ตาย... ...ตายเป็นตายเถอะ!
ผังเฉินสีหน้าบิดเบี้ ยวเกรี้ยวกราด ถลึงมองอย่างดุร้ายกระหายเลือด
ไม่แยแสสนใจลาแสงกระชากวิญญาณที่ตรงดิ่งเข้าหามัน แทนที่จะล่าถอย
กลับสะอึกเข้าหา พุ่งโถมไปยังจั่วม่ออย่างหักโหม!
แผนผังปิศาจสีน้าตาลประดุจเกล็ดอสรพิษ ชั้นแล้วชั้นเล่าผุดขึ้นปก
คลุมร่างของผังเฉินไม่หยุดยั้ง แต่ละเส้นแต่ละสายของแผนผังปิศาจคล้าย
กลั บ กลายเป็ น มี ชี วิ ต แล่ น พล่ า นไปทั่ ว ร่ า งของผั ง เฉิ น ร่ า งกายของมั น
กลายเป็นคล่องแคล่วยืดหยุ่นดุจพญางูใหญ่ กล้ามเนื้อแต่ละมัดขึงแน่นตึง
เปรี๊ยะ คล้ายประกอบจากสายโซ่นับไม่ถ้วนถักทอประสานอย่างแน่นหนา
ใช้เท้าซ้ายเป็นแกนหลัก ร่างของมันบิดวูบด้วยท่วงท่าอันพิสดาร!
กล้ามเนื้อทุกมัดที่ขึงตึงแน่น ทันใดนั้นหดตัวลงราวกับขดลวดเหล็ก
จากนั้ น ดี ด กลั บ ออกมาอย่ า งรุ น แรง ระเบิ ด พลั ง อานุ ภ าพอั น น่ า สะท้ า น
ขวัญออกมาในคราวเดียว!
พลังทั้งหมดไหลบ่าไปรวมกันในหมัดขวาของมันระลอกแล้วระลอก
เล่า!
แสงสีน้าตาลที่เข้มข้นจนแทบจับต้องได้ผ นึกรวมรั้งอยู่บนหมัดขวา
ของมั น ดู ค ลั บ คล้ า ยกั บ ศี ร ษะของพญางู ใ หญ่ แผดเสี ย งค ารามบาดหู
ประดุจพายุหมุนอันเดือดดาล กวาดวาบผ่านลานประลองอย่างดุดัน!
‘พญางูตวัดขย้า!’
หลันเทียนหลงบนที่นั่ งผู้ชมดวงตาสว่างวาบ มือขยุ้มเจาะเข้าไปใน
ราวกั้นหินโดยไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
‘พญางูตวัดขย้า’ ของผังเฉินแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก!
เพียงเสี้ยวพริบตาเดียว ผังเฉินผนึกรวมรั้งกาลังทั่วร่างอยู่ในหมัดขวา
เคล็ดวิชาอันพิสดารที่สามารถรวมรั้งพลังทั่วร่าง ปลดปล่อยพลังอันแกร่ง
กร้าวสุดขัว
้ ออกมาในคราวเดียว กระทั่งในเมืองมหาสันติที่เต็มไปด้วยยอด
ยุทธ์ยังถือเป็นการโจมตีที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน!
ขณะที่หลันเทียนหลงยังคงตื่นตะลึง เหตุแปรเปลี่ยนพลันอุบัติขึ้น
เห็นกลุ่มแสงสีน้าตาลที่ห่อหุ้มมือขวาของผังเฉินเริ่มกร่อนสลายจาก
ด้านบน ประหนึ่งปัดดินโคลนออกจากรู ปสลัก ชั้นโครงร่างภายนอกค่อย ๆ
เผยออกมา!
เห็นส่วนศีรษะพญางูที่คล้ายมีชีวิตปรากฏขึ้น!
นั ย น์ ต าเย็ น เยือ ก ศี ร ษะรู ป ทรงสามเหลี่ยม ลิ้ น สองแฉกฉกแลบดุจ
ประกายสายฟ้า ยังคงเป็นกลุ่มแสงสีน้าตาล แต่บันดาลให้ผู้คนรู้สึกว่ามัน
เป็นสิง่ มีชีวิต!
พญางูสีน้าตาลหรี่ต าลงเล็ กน้อย ปากใหญ่โตอ้า กว้ าง เผยคมเขี้ ย ว
แหลมคมที่พร้อมจะขย้าศัตรูให้ดับดิ้น
แกรก หลั น เที ย นหลงเกร็ ง มื อ แน่ น กระชากราวกั้ น หิ น หลุ ด ติ ด มื อ
ออกมาทั้งกระบิ
หลันเทียนหลงไม่อาจละสายตาไปที่ใดอีก เมื่อเห็นหมัดของจั่วม่อ มัน
รู้สึกโลหิตในกายเดือดพล่านจนแทบทนไม่ไหว คิดไม่ถึงว่าผังเฉินเมื่อถูก
กดดันอยู่ที่หน้าประตูแห่งความเป็นความตาย กลับพลังฝีมือรุ ดหน้าไปอีก
ขั้น เห็นเช่นนี้มันแทบอยากกระโจนลงไปร่วมวงเข่นฆ่าสัประยุทธ์ด้ว ยใน
บัดดล
ผังเฉินลิงโลดยินดีสุดระงับ มันเองก็ไม่คาดฝันว่ า ในช่ วงคั บขั น เป็ น
ตาย กลับช่วยหนุนส่งให้มันพลังฝีมือรุ ดหน้า พลังที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนท่วม
ท้นไปทั่วเลือดเนื้อร่างกาย มันรู้สึกเปี่ ยมล้นด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏ!
มันบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ ยม ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม ต่อหน้าหมัด
ของมันจะต้องกลายกลายเป็นผุยผง! ไม่เว้นแม้แต่ขุนเขาทั้งลูก!
“ไปลงนรกเสียเถอะ!”
เสียงหวีดแหลมของพญางูสีน้าตาลดุจ คลื่นลมอันกราดเกรี้ยว กลบ
กลืนทุกสรรพเสียงในลานประลองไปสิน
้ !
ทันใดนั้นเอง ผังเฉินค่อยพบเห็นดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาที่กระจ่างสุกใส
และแน่วแน่เฉียบขาดคู่หนึ่ง แน่วแน่เฉียบขาดจนแทบจะเป็นดุดันอามหิต!
มันชะงักงันวูบ
แต่แล้วคลื่นแสงสีน้าเงินเยือกเย็นจู่ ๆ ก็แผดจ้า กลบกลืนทุกสิ่งใน
ครรลองสายตาของมันลงไป
นี่... ...นี่มัน... ...
ผู้อ่ ืนไม่หลบเลี่ยง ไม่หลีกหนี ไม่รีรอลังเล ประหนึ่งว่าไม่เห็นพญางูที่
สามารถพลิกฟ้าคว่าดินของมันก็มิปาน หมัดที่ปกคลุมด้วยแผนผังปิศาจสี
น้าเงินเยือกเย็นยังคงต่อยเข้าใส่พญางูสีน้าตาลอย่างหักโหม!
ฮ่าฮ่า คนโง่!
ผังเฉินอยากหัวร่อให้ก้องฟ้า มันร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าผู้อ่ น
ื จะมีความ
เชื่อมั่นถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะเห็นมันพลังฝีมือรุ ดหน้ากลางลานประลอง กลับ
ไม่แปรเปลี่ยนกระบวนท่ า ยังคงคิดอาศัยพลังเข้าปะทะหักหาญซึ่ ง หน้ า
ตามเดิม!
ช่างโง่เขลากระไรปานนี้!
หรือเจ้าไม่ทราบว่า ‘พญางูตวัดขย้า’ เมื่อรุดหน้าขึ้นอีกขั้น ถึงกับทรง
พลังกว่าเดิมนับสิบเท่า!
สิบเท่า!
พลังอันน่าลุ่มหลงงมงายนัก!
มาเถอะ มาลองลิม
้ รสชาติพลังที่ทวีคูณขึ้นสิบเท่าดู!
รอยยิ้มของผังเฉินกลายเป็นดุร้ายกระหายเลือดอย่างฉับพลัน
แต่แล้วรอยยิ้มนั้นพลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้า ภาพตรงหน้าคล้ายค่อย
ๆ ฉายออกมาอย่างเชื่องช้า ทั้งเชื่องช้าและกระจ่างชัดเจนยิ่ง มันคล้ายเฝ้า
มองพญางูสีน้าตาลถูก บดขยี้ช้ า ๆ จากปลายคมเขี้ ยว ศีรษะ จนกระทั่ ง
สลายเป็นผุยผงหมดสิ้น!
ไฉน... ...เป็นเช่นนี้ไปได้... ...
มั น กระทั่ ง เวลาจะขบคิ ด สั ก แวบยั ง ไม่ มี ก่ อ นที่ พ ญางู จ ะกลายเป็ น
ละอองฝุ่นแสงกลุ่มหนึ่ง สลายหายไปคาตา เสียงหวีดแหลมชะงักขาดหาย
ในบัดดล!
พลัง...สิบเท่า... ...
นั่นเป็นความคิดสุดท้าย ก่อนที่แสงสีน้าเงินจะกลืนกินมันลงไป
จั่ ว ม่ อ ไม่ ไ ด้ ช ายตามองกองเลื อ ดเนื้ อ เลอะเลื อ นนั้ น แม้ สั ก แวบ มั น
หอบหายใจหนัก ๆ อย่าได้เห็นว่าหมัดเมื่อครู่เพียงต่อยออกไปอย่างรวบรัด
หมดจด แท้ที่จริงแทบใช้พลังทั้งหมดในร่างของมันไป มันสูดลมหายใจลึก
ๆ สองสามครั้ง ฟื้ นฟูเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง แล้วยกมือขวาขึ้นดู แผนผังปิศาจ
สีน้าเงินเยือกเย็นดูเหมือนสลัวมัวหม่นลงไม่น้อย
จั่วม่อกาลังดื่มด่ากับความรู้สึกจากหมัดเมื่อครู่
หากเป็ น เพี ย งพลั ง สั ง ขารเพี ย งอย่ า งเดี ย ว การโจมตี เ มื่ อครู่ ย่ อ ม
เป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้อีกฝ่ายในหมัดเดียว ชั่วพริบตาที่พลังหมัดทั้ งสอง
ฝ่ายปะทะกัน พลังเทพที่แฝงเร้นอยู่ภายในหมัดขวาก็แตกปะทุออกไป นี่
จึงเป็นเหตุให้หมัดคลื่นสวรรค์กระจกฟ้าน่าแตกตื่นสะท้านโลกถึงเพียงนี้!
พลังเทพ... ...
จั่วม่อกาลังขบคิดพิจารณาเหตุการณ์เมื่อครู่
ในไม่ช้ามันก็ได้สติ ที่นั่งผู้ชมเงียบกริบอย่างสมบูรณ์ ทุกผู้คนปากอ้า
ตาค้าง สีหน้าขาวเผือด เต็มไปด้วยความหวาดสะพรึง
ท่ า มกลางความเงี ย บสงั ด เสมื อ นตาย จั่ ว ม่ อ เดิ น ย้ อ นกลั บ ไปยั ง
ต าแหน่งในตอนต้น ร่างตรงแน่ว ก้มลงหยิบผ้ายาว เริ่มพันมืออย่างแน่น
หนาอีกครั้ง
แต่ละการเคลื่อนไหวของมันทั้งเฉื่อยชาและปลอดโปร่ง พันผ้าอย่าง
ตั้งอกตั้งใจ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ประหนึ่งว่าไม่มีผู้อ่ น
ื อยู่ที่นี่
ไม่มีความยินดีในชัยชนะ แม้ว่ามันจะบรรลุความเข้าใจหลายประการ
จากการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าจะสาเร็จไปด้วยดีตามแผนการของผูเยา ... ...แต่
...แต่ห ากทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจะดีสักเพียงใด หากมันยังคงอยู่บนเขา
สุญตา... ...จะดีงามสักเพียงใด... ...
ความคิดเหลวไหลนี้วาบขึ้นในใจ จากนั้นสลายหายไปพร้อมกั บ เศษ
เสี้ยวความทรงจาอันอบอุ่น
มันฝืนยิ้มเจื่อนขมในใจ ดวงตากลับเป็นกระจ่างชัดอีกครั้ง ความแน่ว
แน่เด็ดเดี่ยวหวนคืนมาครบถ้วนตามเดิม
“เฮ้ เจ้าเรียกว่าอะไร?” บนที่นั่งผู้ชม ฮวาหนิงจู่ ๆ ร้องถามเสียงดังฟัง
ชัด บรรดาองครักษ์ รอบกายนางกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาในบัดดล ดูจาก
ท่วงท่าสภาวะที่จ่ว
ั ม่อแสดงออกมาทั้งหมด พวกมันรู้ว่าคนผู้นี้อันตรายยิ่ง
จั่วม่อแปลกใจอยู่บ้าง เมื่อครู่นี้มันยังได้ยินสตรีนางนี้หัวร่อต่อกระซิก
กับผังเฉินอยู่เลย
ช่างเป็นสตรีที่ไร้หัวจิตหัวใจโดยแท้!
มันอดไม่ได้ ต้องเหลือ บมองซากร่ างของผัง เฉิน บนพื้น อย่า งเห็ น อก
เห็นใจ แต่มันไม่ได้หยุดเดิน ไม่ได้ตอบคา เพียงมุ่งตรงไปยังทางออก อากุ่ย
ดีกว่าสตรีเช่นนี้มาก!
ซู่หลงเผยสีหน้าโล่งอก รีบตรงเข้ารับหน้า เมื่อครู่มันวิตกกังวลอยู่ต้ัง
นานสองนาน
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ข้าถามเจ้าไม่ไ ด้ยินหรือ ไร!” ฮวาหนิงยังคงไม่ย อมรามื อ
ร้องไล่หลังอย่างแง่งอน
จั่วม่อคร้านจะสนใจเด็กหญิงใจดาอามหิตนางนี้ เดินออกจากสนาม
ประลองไปโดยไม่เหลียวมองนางแม้แต่แวบเดียว
“เจ้า เจ้า เจ้า... ...” ฮวาหนิงไม่เคยคาดฝันว่าจะมีบุรุษที่เมินเฉยต่อ
นาง ยามตะลึ ง ลานน้ า ตาสองสายไหลหลั่ ง ลงมาทั น ที ร้ อ นถึ ง บรรดา
องครักษ์ต้องรีบปลอบโยนเป็นการใหญ่
บนที่นั่งผู้ชม หลันเทียนหลงก็ไม่เรียกรั้งจั่วม่อ แต่ดวงตาสาดประกาย
เจิดจ้า ลางสังหรณ์ของมันในวันนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย!
รอจนร่ า งของจั่ ว ม่ อหายลั บ ไปจากลานประลอง ที่ นั่ ง ผู้ ช มซึ่ ง เงี ยบ
กริบดุจป่าช้า ทันใดนั้นไม่อาจระงับยับยั้งอีกต่อไป ระเบิดความอัดอั้นตัน
ใจออกมาพร้อมกัน เสียงตะโกนสนทนาแข่งกันของฝูง ชนฟัง ไม่ไ ด้ ศั พ ท์
กระทั่งคนที่อยู่ติดกันยังไม่ได้ยินว่าสหายกล่าวว่ากระไร
ทุ ก ผู้ ค นจากสี ห น้ า ขาวเผื อ ดเหมื อ นคนตาย กลั บ กลายเป็ น แดงก่ า
อย่างตื่นเต้นเร้าใจ
ว่ากันตามตรงศึกสัประยุทธ์เมื่อครู่กระชั้นสั้นยิ่ง แต่สะท้านขวัญสั่น
ประสาทและเหนือความคาดหมายเป็นที่สุด ทุกคนยังจมอยู่กับภาพการ
ปะทะหักหาญอันดุเดือดเมื่อครู่ พลังหมัดอหังการที่แกร่งกร้าวสุดเปรี ยบ
ปาน สัญญาสิบกระบวนท่าที่ผังเฉินประกาศอย่างเหี้ ยมหาญ พลังฝีมือที่
รุดหน้าระหว่างห้วงความเป็นความตาย... ...
ยอดยุ ท ธ์ ลื อ นามผั ง เฉิ น กลั บ ถู ก คนฆ่ า ตายในสองกระบวนท่ า
มิห นาซ้าคู่ต่อสู้ข องมันยังเป็นแค่คนใหม่ผู้ห นึ่ง ศึกประลองครั้งนี้ส ะท้าน
ทั่วเมืองมหาสันติอันยิ่งใหญ่!
ฟ่งเยวี่ยนาทัพเร่งรุดไปอย่างไม่หยุดยั้ง นางแม้ฝ่าฝืนวินัยทัพ ลอบนา
กาลังติดตามมาล้างแค้น แต่ในด้านฝีมือของแม่ทัพบัญชาการศึกผู้หนึ่ งก็
มิได้ข าดตกบกพร่อง นางทราบว่าสิ่งใดส าคัญที่สุด นางติดตามเจียงเจ๋อ
ออกรบทัพจับศึกมาตั้งแต่ต้น ความสามารถในการประเมินสถานการณ์
ของนางไม่ได้อ่อนด้อย นางล่วงรู้ว่าช่วงเวลานี้เป็นเพียงการโหมโรงก่อนที่
ศึ ก ใหญ่ จ ะปะทุ ขึ้ น หลั ง จากเวลาช่ ว งสั้ น ๆ นี้ ผ่ า นไป การตอบโต้ อ ย่ า ง
รุนแรงจากกองทัพปิศาจจะมาถึง
นางต้องฉวยโอกาสนี้ล้างแค้นให้แก่อาจารย์อาติ้งเจิน ก่อนที่กองทัพ
ปิศาจจะเปิดฉากเอาคืน
ดังนั้นนับตั้งแต่อ อกเดิน ทาง นางแทบไม่ไ ด้ห ยุ ดพั ก แม้ แต่ ชั่ ว ครู่ ชั่ ว
ยาม ตั้งใจจะเข้าถึงอาณาจักรทะเลเมฆให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลังจากข้ามแม่น้าอาณาจักร พวกมันก็จ ะบรรลุถึงอาณาจักรทะเล
เมฆแล้ว
“ทุกคนอดทนอีกสักครู่ เหลือระยะทางอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็จ ะ
ถึงเป้าหมาย พวกเจ้าพยายามอีกหน่อย เมื่อถึงอาณาจักรทะเลเมฆเราจะ
หยุดพักผ่อนทันที!” ฟ่งเยวี่ยตะโกนปลุกปลอบขวัญกาลังใจกองทัพ
เหล่าไพร่พลใต้ร่มธงไม่อาจปกปิดสีหน้าเหนื่อยล้า แต่พวกมันพยัก
หน้าอย่างเชื่อฟัง ในหมู่ไพร่พลเหล่านี้ฟ่งเยวี่ยมีอานาจอิทธิพลสูงสุด พวก
มันยังผ่านฝึกอบรมมาอย่างดีเยี่ยม การเดินทัพอย่างรวดเร็วโดยไม่ส นใจ
สิ่งใดเช่นนี้แม้ยากลาบากอยู่บ้าง แต่ยังคงห่างไกลจากขีดจากัดสูงสุดของ
พวกมันช่วงใหญ่
“เช่นนั้นก็เริ่มข้ามแม่น้าได้!” ฟ่งเยวี่ยเค้นเสียงลอดไรฟัน
อาจารย์อาติ้งเจิน ข้าจะต้องชาระแค้นแทนท่านให้จงได้!
บทที่ 576 ศัตรูรุกราน

การตายของผังเฉินสะท้านทั่วนครมหาสันติ
ในรอบครึ่งปีม านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ย อดยุ ทธ์ลือนามดั บ ดิ้นคาสนาม
ประลอง!
รอยแยกแห่งความโกลาหลเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทาให้การต่อสู้ห้าหั่น
ระหว่างสามเผ่าพันธุ์ทวีความดุเดือดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสนใจของผู้คน
ย่อมต้องหันไปทางสภาพสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลกเป็นธรรมดา ยอด
ยุทธ์มากมายหวนคืนสู่ตระกูล เพื่อตระเตรียมเข้าสู่สงคราม นครมหาสันติ
เงี ย บเหงาเป็ น เวลานานก็ เ นื่ องเพราะเหตุ นี้ เอง แต่ ใ นบางสถานที่
สภาพการณ์ค่อย ๆ กลายเป็นมีเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว ยอดยุทธ์หลายคน
ดังเช่นหลันเทียนหลง ก็พากันทยอยกลับมายังนครมหาสันติ นครมหาสันติ
เริ่มกลับคืนสู่บรรยากาศครึกครื้นคึกคักดุจเดิม
ผั ง เฉิ น สัง เวยชี วิ ต ! คู่ ต่ อ สู้ เ ป็น เพี ยงคนใหม่ ผู้ห นึ่ง ! ประมื อ กั น เพียง
สองหมัด!
บรรดาปิศาจที่ชมดูการต่อสู้ด้วยสายตาตัวเอง ชต้องพยายามอย่าง
สุดความสามารถที่จะบรรยายความอหังการและน่าสะพรึงกลัวของสอง
หมั ด นั้ น ให้ แ ก่ ผู้ อ่ ื น สั ญ ญาสิ บ กระบวนท่ า ที่ ผั ง เฉิ น มอบให้ แ ก่ ฮ วาหนิ ง
กลายเป็นเรื่องชวนขบขันที่สุดในการประลองนี้
ภาพมายาบั น ทึ ก การประลองขายดี เ ป็ น เทน้ า เทท่ า ความคึ ก คั ก
กระตือรือร้นของชาวนครมหาสันติปะทุออกมาอย่างฉับพลัน!
คนใหม่สังหารยอดยุทธ์ลือนามกลางลานประลอง เรื่องเช่นนี้ ไ ม่ ไ ด้
ปรากฏขึ้นตั้งกี่ปีมาแล้ว?
ด้วยกฎการประลองที่ต้ังไว้อย่างถี่ถ้วนครอบคลุม ยากที่จะได้เห็นการ
ประลองข้ามระดับชั้นเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกังวลสนใจว่าผังเฉินไฉนท้าประลอง
จั่วม่อ พวกมันเพียงทราบว่าผังเฉินตกตายภายใต้เงื้อมมื อของคนใหม่ ผู้
หนึ่งก็พอ!
คนใหม่!
พวกมันตระหนักอย่างรวดเร็ว ว่าจนถึงบัดนี้พวกมันยังไม่ล่วงรู้ ว่าคน
ใหม่ผู้นี้เรียกว่าอะไร
ดังนัน
้ ผู้คนเริม
่ สืบเสาะ
นามของค่ า ยองครั ก ษ์ ค นฆ่ า สั ต ว์ ซึ่ ง อาศั ย หนึ่ ง ร้ อ ยเข่ น ฆ่ า สามพั น
พลั น ผุ ด ขึ้ น ในสายตาผู้ค นจานวนมาก ตามด้ ว ยการช่ ว ยเหลื อ เถาซิ งใน
ระหว่างทาง ถล่มกระบวนทัพราชันยักษ์ ด้วยหมัดเดียว เป็นเหตุให้ยักษา
เขียวหลายร้อยตนแตกพ่ายหลบหนีไม่คิดชีวิต... ...
แทนที่จะกระจ่าง มันกลับยิ่งลึกลับมากกว่าเดิม!
บัดนี้ขุมกาลังมากมายเริ่มหันมาสนใจคนใหม่ที่ไม่ทราบว่าผุดขึ้นจาก
ที่ใดผู้นี้
นครมหาสันติดูเหมือนครึกครื้นขึ้นทันตา
“ว่ากระไร? ผังเฉินถูกฆ่าตาย?” ปู้เกิ้นบีบถ้วยสุราจนแหลกคามือ
“ขอรับ!” ลูกสมุนที่เตรียมการพรักพร้อ ม รีบฉายภาพมายาบั น ทึ ก
การต่อสู้ให้ดูทันที
ปู้ เ กิ้ น จั บ จ้ อ งมองดู ภ าพมายา ร่ า งแข็ ง ทื่ อราวกั บ ถู ก สาปให้ เ ป็ น
อัมพาต
ภาพมายาบันทึกการต่อสู้ท้งั หมดตั้งแต่ต้นจนจบ ปู้เกิ้นแทบไม่ต้องใช้
ความพยายามใด ๆ ก็สามารถมองเห็นทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้อย่างชัด
แจ้ง พลังหมัดอหังการสะท้านฟ้าดินขู่ข วัญปู้เกิ้นจนรู้สึกใจสั่นสะท้านไป
ด้วย
“เราประเมินมันต่าเกินไปมาก” ปู้เกิ้นพลันกล่าวเสียงหนัก ยืดตัวตรง
อีกครั้ง สีหน้าสงบราบคาบลงดังเดิม
มั น เคยชมดู ภ าพบั น ทึ ก การต่ อ สู้ ร ะหว่ า งผั ง เฉิ น กั บ ชี เ ตี ยวอวี่ ค รั้ งที่
สร้างชื่อให้แก่ผังเฉิน ชีเตียวอวี่แม้ไม่ได้ลงมืออย่างสุดกาลัง แต่ผังเฉินเมื่อ
รับมือชีเตียวอวี่ได้ส ามสิบกระบวนท่า ย่อมถือว่าเป็นยอดยุทธ์ที่น่า กลัวผู้
หนึ่ ง อย่ า ว่ า แต่ ห ลายปี ม านี้ ผั ง เฉิ น ยั ง พลั ง ฝี ห น้ า รุ ด หน้ า มาโดยตลอด
กระทั่งกลางศึกครั้งนี้ยังรุ ดหน้าไปอีกก้าวใหญ่ แต่กระนั้นกลับถูกฆ่าตาย
ด้วยหมัดเดียว?
คนผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?
ผู้อ่ ืนคล้ายจู่ ๆ ก็ผุดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กระทั่งถึงบัดนี้ยัง คงไม่ มี
ผู้ใดสืบพบตัวตนและความเป็นมาที่แท้จริงของคนผู้นี้ได้
นี่คือจุดที่ปู้เกิน
้ หวาดวิตกที่สุด
ส่ ว นในด้ า นพลัง ฝีมื ออั นสูง เยี่ย มของผู้ อ่ ืน ปู้ เ กิ้ น กลั บ ไม่ ไ ด้ กั ง วลใจ
มากนัก ในความเห็นของมัน แม้ว่าหมัดนั้นจะอหังการสุดยอด ทั้งยังคร่า
ขวัญสะท้านวิญญาณ แต่หากผู้อ่ ืนมิได้มีฉากหลังอันแข็งแกร่ง มันยังคงมี
สารพัดวิธีที่จะกาจัดคนผู้นี้ได้
นี่คือนครมหาสันติ สถานที่ซึ่งไม่เคยขาดแคลนผู้เยี่ยมยุทธ์!

“อาซาเก๋อ ฟังว่าเมื่อไม่นานมานี้เจ้าพ่ายแพ้กระนั้นรึ?” บุรุษร่างยักษ์


หัวร่อดังกระหึ่ม สุ้มเสียงระคายหูยงิ่
อาซาเก๋อกลับไม่มีโทสะ เพียงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าพบแม่ทัพ
บั ญ ชาการศึ ก ซิ ว เจ่ อ ที่ ร้ า ยกาจยิ่ ง ผู้ ห นึ่ ง มั น ไม่ เ พี ย งแต่ ฝี มื อ ร้ า ยกาจ
กองทัพของมันเห็นได้ชัดว่าอ่อนด้อยกว่าข้ามาก แต่มันกลับสามารถต่อสู้
ได้อย่างคู่คี่ก้ากึ่งกับข้าถึงสามวันสามคืน หากกองทัพของเราทั้งสองฝ่ายมี
ขุมกาลังใกล้เคียงกัน เกรงว่าข้าคงพ่ายศึกไปตั้งแต่แรก”
“ร้ายกาจถึงเพียงนั้น?” บุรุษร่างใหญ่ประหลาดใจไม่น้อย “อาซาเก๋อ
เจ้าเป็นหนึ่งในสามยอดแม่ทัพแห่งตระกูลซิงหลัวเรา กระทั่งเจ้ายังไม่ใช่
คู่มือของมันรึ?”
อาซาเก๋อหัวร่อเจื่อนขม แบสองมือ “ข้ามิใช่คู่มือของมันจริง ๆ”
บุรุษร่างยักษ์ยิ่งประหลาดใจกว่ าเดิม มันทราบว่าคนอย่างอาซาเก๋อ
ย่อมไม่ล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้ หลังจากขบคิดอยู่ชั่วอึดใจค่อยถามว่า “หาก
เป็นปี้ ซานเล่า เทียบกับคนผู้นั้นแล้วเป็นอย่างไร?”
ปี้ ซานคือผู้นาของสามยอดแม่ทัพแห่งตระกูลซิงหลัวของพวกมัน ชั่ว
ชีวิตไม่เคยปราชัยมาก่อน
“เกรงว่าไม่ดีเท่าใด” อาซาเก๋อสัน
่ ศีรษะ
ได้ยินเช่นนี้ บุรุษร่างยักษ์สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “คนผู้นี้ใช่
เป็นศิษย์จ ากสี่มหาอานาจหรือไม่ ? วัดเสวียนคงให้กาเนิดเจียงเจ๋อที่ร้าย
กาจออกมาคนหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้มันเพิ่งเข้ายึดครองอาณาจักรขุน เขา
ยะเยือกเอาไว้ ยามนี้ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนกาลังร่วมแรงร่วมใจกัน ตระเตรียม
ช่วงชิงอาณาจักรขุนเขายะเยือกกลับคืนจากมือของมัน”
“มันไม่ใช่ศิษย์ข องสี่ส านักใหญ่ ข้าเคยถามมันแล้ว พวกมันมาจาก
อาณาจักรทะเลเมฆ ข้าสังเกตจากน้าเสียงของพวกมัน เกรงว่าพวกมันก็ไม่
ชมชอบสี่มหาอานาจเท่าใดนัก” อาซาเก๋อแม้มีนิสัยใจคอเรียบง่ายสบาย ๆ
แต่ ก ลั บ เป็ น คนขวั ญ กล้า ใจละเอี ยดอ่ อนผู้ห นึ่ ง “เหตุ ที่ พ วกมั น บุ กจู่โจม
อาณาจั ก รยุ้ ง ฉางกลาง ดู ท่ า จะหมายตารอยแยกแห่ ง ความโกลาหล
ทางด้านนี้เสียมากกว่า”
“ ห รื อ ว่ า พ ว ก มั น คิ ด รุ ก ร า น ภ พ ปิ ศ า จ ?” บุ รุ ษ ร่ า ง ใ ห ญ่ สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เมื่อมีศัตรูอันร้ายกาจเช่นนี้จ่อคุกคามอยู่ด้านข้าง ผู้ใด
สามารถนอนหลับอย่างวางใจได้?
“คล้ายไม่เป็นเช่นนั้น” อาซาเก๋อขบคิดแล้วกล่าว “เท่าที่ข้าพบปะ
สนทนากับพวกมัน พวกมันแตกต่างจากสี่มหาอานาจอย่างชัดเจน ทั้งยังดู
ไม่มีอคติกับเผ่าปิศาจเหมือนซิวเจ่อทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันมีขุมกาลัง
ไม่มากนัก กว่าจะสามารถสร้างความมั่นคงในอาณาจัก รยุ้งฉางกลางได้
เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย พวกมันคล้ายต้องการรอยแยกแห่ง ความ
โกลาหลเพื่อเป้าหมายเฉพาะเจาะจงบางอย่างเสียมากกว่า”
“เจ้าคิดทาอย่างไร?” บุรุษร่างยักษ์สีหน้าคลายใจลง
“เป็นพันธมิตร!” อาซาเก๋อตอบอย่างรวบรัดชัดเจน “หากต้องมีแม่
ทัพบัญชาการศึกที่ร้ายกาจเช่นนี้เป็นศัตรู คงน่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไป
หาทางเป็ น สหายจะดี ก ว่ า มาก ต่ อ ให้ ต้ อ งจ่ า ยค่ า ตอบแทนบ้ า งก็ นั บ ว่ า
คู่ควร”
“อา หากมันร้ายกาจเท่าที่เจ้าว่ามา นี่เป็นหนทางที่ถูกต้อง” บุรุษร่าง
ยักษ์ไม่เห็นค้าน
“แล้วความคืบหน้าทางด้านของปี้ ซานเป็นอย่างไรบ้าง?” อาซาเก๋อ
ย้อนถามบ้าง
“ไม่ค่อยราบรื่นนัก” บุรุษร่างยักษ์ สั่นศีรษะ สีห น้าวิต กกังวล “พวก
มั น พบปั ญ หายุ่ ง ยาก กงเหยี่ ย เสี่ ย วหรง 2แห่ ง เที ย นหวนแม้ ไ ม่ มี ช่ ื อเสี ย ง
เที ย บเท่ า เจี ย งเจ๋ อ แต่ มั น เพี ย งขาดชั ย ชนะในศึ ก ใหญ่ ที่ จ ะช่ ว ยหนุ น ส่ ง
เท่ า นั้ น เกรงว่ า ระดั บ ฝี มื อหาได้ อ่ อนด้ อยกว่ า เจีย งเจ๋อ ไม่ ปี้ ซานประสบ
ความปราชัยสองรอบแล้ว เคราะห์ดีที่ยังไม่สูญเสียหนักหนาสาหัสนัก ปี้
ซานกาลังวางแผนจะจับมือเป็นพันธมิตรกับกองทัพอสูรในบริเวณนั้น หาก
ทว่าแม่ทัพบัญชาการกองทัพอสูรกองนั้นยังเยาว์วัยนัก มิห นาซ้ายังเป็น
สตรีนางหนึ่ง!”

2
กงเหยีย
่ เป็นแซ่สองตัว หรงคานี้แปลว่าให้อภัย
“สตรี?” อาซาเก๋องงงันวูบ
“ถูกต้อง นางเรียกว่ามู่ซี ถือกาเนิดจากตระกูลเลื่องชื่อ ตระกูลไม้วัง
ทะเลสาบ แต่นางยังอ่อนเยาว์ เกิ นไป ข้ารู้สึกเป็นห่วงอยู่ บ้ าง” บุรุษ ร่ า ง
ใหญ่สีหน้าขุ่นข้องอยู่บ้าง มันเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่พันธมิตรของพวกมัน
ส่งแม่นางน้อยผู้หนึ่งมารับหน้าที่สาคัญเช่นนี้
อาซาเก๋ อ พอฟั ง พลอยห่ ว งกั ง วลไป แต่ ยั ง คงปลอบโยนอี ก ฝ่ า ย
“ตระกู ล ไม้ วั ง ทะเลสาบเป็ น ตระกู ล ใหญ่ ที่ โ ด่ ง ดั ง หากพวกมั น กล้ า ส่ ง
เด็กหญิงนางหนึ่งมารับศึก นางก็ต้องมีบางอย่างที่ไม่รวบรัดธรรมดา”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” บุรุษร่างยักษ์ฝืนยิ้มขมขื่น แล้วพลันหัน
เหหัวเรื่อง “เจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์เบื้องหน้า?”
อาซาเก๋อแย้มยิ้ม ดวงตาทอประกายลึกล้าสุดหยั่ง “หากกล่าวอย่าง
รวบรัด ยุคใหม่กาลังจะมาถึงแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร?” บุรุษร่างยักษ์เรียนถามอย่างสนอกสนใจ
“มหาพิบัติฟ้าสลายผลักดันให้ซิวเจ่อและอสูรปิศาจที่เคยถูกแยกจาก
กั น ด้ ว ยมหานครนภาโลหิ ต ต้ อ งกลั บ มาเผชิ ญ หน้ า กั น โดยตรงอี ก ครั้ ง
แนวโน้มที่ซิวเจ่อและอสูรปิศาจจะผสมกลมกลืนเข้าด้วยกัน จากนี้ไปจะไม่
สามารถหลีกเลี่ยงได้อีก” อาซาเก๋อกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ สีหน้าเคร่งขรึม
จริงจังยิ่ง
บุรุษร่างยักษ์สั่นศีรษะไม่เห็นด้วย “พวกเรากับซิวเจ่อผูกพันหนี้แค้น
และความชิ ง ชั ง มานานปี ไหนเลยจะสามารถผสมกลมกลืน เข้า ด้ ว ยกัน
ได้?”
“นับแต่นี้ไป การติดต่อสื่ อสารระหว่างซิวเจ่อและอสูรปิศาจมี แต่จะ
เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การผสมกลมกลืนไม่มีผู้ใดสามารถขวางรั้งได้ รอยแยก
แห่งความโกลาหลปรากฏขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ผู้ใดสามารถตามปิดผนึก
พวกมันทั้งหมดได้? วังวนนี้มีแต่นับวันจะยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครหนี
พ้น แน่นอนว่ายามนี้ ต่างฝ่ายต่างต่อสู้ฆ่า ฟันกัน แต่จ ะต้องมีวันที่ทุ ก คน
ต่างเหน็ดเหนื่อยกับการทาศึกสงครามที่ไม่รู้จักจบสิ้น ถึงตอนนั้นทุกฝ่าย
ย่อมต้องหันหน้าเข้าหากันตามธรรมชาติ” อาซาเก๋อกล่าวปนหัวร่อเบา ๆ
บุรุษร่างใหญ่พบว่าวาจาของอาซาเก๋อช่างยากจะยอมรับได้ มันเพียง
สั่นศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “แนวคิดของเจ้ามัก
แตกต่างจากผู้อ่ ืนเสมอ”
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างเอง” อาซาเก๋อกล่าวพลางยั ก คิ้ว
ให้

เกาะเต่า
ม้าฝานหน้านิ่วคิ้วขมวดจนแทบขมวดเป็นปม มองดูค่ายพักที่สับสน
วุ่นวาย มันนวดขมับอย่างอ่อนใจ อันที่จริง อยากจะตะโกนดุด่าแล้วพูดว่า
‘ช่างยุ่งยากเสียจริง’ แต่วาจาพอขึ้นมาถึงปาก ก็ต้องฝืนกลืนกลับลงไป
เวลานี้ มั น เป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการค่ า ย ไม่ อ าจปล่ อ ยตั ว ตามสบาย
กระทาการตามอาเภอใจเฉกเช่นในกาลก่อนอีก
นั บ ตั้ ง แต่ แ ม่ น างน้ อ ยโยนค่ า ยเสวี ย นอู่ ล งในมื อ มั น มั น ก็ ทุ่ ม เท
ความคิดจิต ใจแทบทั้งหมดลงไปกับกองทัพหน้าใหม่นี้ ตัวมันเองเป็นเช่น
ฟองน้ า ซึ ม ซั บ วิ ช าความรู้ ใ นฐานะแม่ทั พบั ญ ชาการศึ ก อย่ างบ้ า คลั่ง ใช้
เวลาแทบทั้งหมดไปกับการฝึกฝนค่ายเสวียนอู่
ความแข็งแกร่งของค่ายเสวียนอู่เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกาะเต่า
เมื่อรั้งต าแหน่งราชันทะเลเมฆอย่างมั่นคง ปรากฏยอดยุทธ์รุ่นเยาว์และ
ผู้คนที่มีความสาเร็จอยู่บ้างทยอยเข้าสวามิภักดิ์ไม่ได้ขาด ระดับพลังฝีมือ
โดยเฉลี่ยยกระดับขึ้นไม่น้อย
นอกเหนือจากการตรวจสอบเป็นครั้งคราวแล้ว แม่นางน้อยไม่มีความ
สนใจในค่ า ยเสวี ย นอู่ แ ม้ แ ต่ น้ อ ย ค่ า ยเสวี ย นอู่ แ ทบจะสร้ า งขึ้ น ภายใต้
พื้นฐานความคิดของม้าฝานแต่เพียงผู้เดียว
กระดูกสันหลังของค่ายเสวียนอู่คือหน่วยเทียนฟงเดิม ส่วนไพร่พลที่
เหลือเป็นซิวเจ่อท้องถิ่นที่ผ่านการเลือกเฟ้นหลายครั้งหลายหน พวกมัน
แม้มีจินตันหลายคน แต่เมื่อเปรียบเทียบด้านพลังต่อสู้ พวกมันยังอ่อนด้อย
กว่าจินตันแห่งค่ายจูเ ชวี่ยมาก ที่ยิ่งยากลาบากไปกว่านั้นคือซิวเจ่อเหล่านี้
ล้วนมาจากสานักตระกูลที่ผิดแผกแตกต่าง ทั้งเวทวิชาและอาวุธเวทที่แต่
ละคนใช้ ก็ ย่ อ มแตกต่ า งกั น ออกไปเป็ น ธรรมดา แทบจะมี ค รบถ้ ว นทั้ ง
เซียนวรยุทธ์ เซียนสัญจรและเซียนกระบี่ จะขาดแคลนอยู่บ้างก็แค่ เซียน
ยันต์เท่านั้น
ม้าฝานรู้ตัวดีว่าความสามารถในฐานะแม่ทัพบัญชาการศึกของมันมี
จ า กั ด ดั ง นั้ น เ ป ลี่ ย น บุ ค ลิ ก จา ก เ กี ยจ ค ร้ า น ไ ม่ อิ นั งขั งข อบ เ ป็ น ใ ห้
ความส าคัญในด้านรายละเอียด ทั้งรอบคอบพิถีพิถันอย่างไม่เคยเป็นมา
ก่อน
บางทีอาจเป็นเพราะมันเคยเป็นแกนหลักในหน่วยทัพขนาดเล็กมา
ก่อน ม้าฝานมีฝี มือมากที่สุดในยุทธวิธีระดับย่อย ค่ายเสวียนอู่ก็สืบทอด
จุดเด่นข้อนี้ของมันมาอย่างครบถ้วน
มันตั้งอกตั้งใจสร้างหน่วยทัพเล็ก ๆ ทีล ะหน่วย ๆ ออกแบบกลยุทธ์
ระดับย่อยสาหรับพวกมันทั้งหมดทีละหน่วยทัพ
ค่ า ยเสวี ย นอู่ ป ระหนึ่ ง หม้ อ ไฟรวมมิ ต รหม้ อ ใหญ่ ซิ ว เจ่ อ ของแต่ ล ะ
หน่วยทัพ ผิดแผกแตกต่างกัน กลยุทธ์ข องแต่ละหน่วยทัพก็ไม่มีหน่วยใด
เหมื อ นกั น หลายครั้ ง หลายหนที่ ม้ า ฝานรู้ สึ ก ว่ า ค่ า ยเต่ า ด าของมั น
คลับคล้ายกับเสื้อผ้าของขอทานผู้หนึ่ง ทั้งปะทั้งชุน ปะปนกันด้วยเนื้อผ้า
หลากหลายจนลายตาไปหมด
บางครั้งมันก็โหยหาความสุขสาราญจากการที่กระบี่พันเล่มของค่าย
จูเชวี่ยเหินบินไปด้วยกัน แต่ยามนี้ก็ได้แต่อิจฉาริษยาเท่านัน

ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ความคิดเหล่านี้บังเกิดขึ้น จากนั้นก็จะเป็นเวลาที่
ค่ า ย เ ส วี ย น อู่ ต้ อ ง ทุ ก ข์ ท ร ม า น กั บ ก า ร ฝึ ก ฝ น ที่ เ ข้ ม ง ว ด จ น แ ท บ ไ ร้
มนุษยธรรมแล้ว
ความเข้ ม งวดในการฝึ ก ปรื อ ของค่ า ยเสวี ย นอู่ มีม าตรฐานในระดับ
เดียวกันกับค่ายจูเชวี่ย ปริมาณการฝึกอบรมที่แทบถึงขั้นเสียสติทาเอาซิว
เจ่อมากมายกรีดร้องสาปแช่งดังระงม แต่ม้าฝานกลอกกลิ้งถึงเพียงไหน
ภายใต้สายตามัน หากมีคนคิดเกียจคร้านเท่ากับแส่หาที่ตาย
ค่ายกลกระบี่ไม่ต่างจากคุกหฤโหดที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด ก่อตั้งราย
ล้ อ มค่ า ยฝึ ก อย่ า งเพี ย งพอ คิ ด เกี ย จคร้ า นหรื อ ? ไม่ ย าก ลองเข้ า ไปใน
ท่องเที่ยวในคุกเหล่านี้ดูก่อน!
ม้ า ฝานไม่ เ คยมี ค วามคาดหวั ง สูง ต่อ ค่ า ยเสวี ยนอู่ แต่ สิ่ ง ที่ ท าให้มัน
ต้องประหลาดใจก็คือ เมื่อแม่นางน้อยมาตรวจดูความคืบหน้ากลับชมเชย
มันเป็นการใหญ่
รอจนมันเห็นดวงตาร้อนฉ่าของเว่ยหยานกับพลพรรคค่ายจูเชวี่ย ม้า
ฝานรู้สึกร่างกายปลอดโปร่งเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อใดที่คิดย้อนไป
ถึงเรื่องนี้ ม้าฝานจะอารมณ์ดีมาก
อย่างไรก็ตาม ค่ายเสวียนอู่แม้เข้าร่วมทาศึกในอาณาจักรยุ้งฉางกลาง
ด้วย แต่ยังคงถูกค่ายจูเชวี่ยบดบังรัศมีอยู่ดี มันไหนเลยจะเบิกบานใจได้
คราครัง้ นี้ม้าฝานหวนกลับมายังเกาะเต่า ภายใต้คาสัง่ ให้ค่ายเสวียนอู่
เข้ารับการสลักค่ายกลลงบนร่าง
ว่ากันว่าแผนผังปิศาจของเกาะเต่ามีความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวง
ค่ายจินวูส ามารถสลัก ค่ ายกลที่ ท รงอานุภ าพกว่ า เดิ มมาก แม่นางน้อ ยผู้
รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของทุกค่ายยังไม่เพียงพอ ตัดสินใจให้ค่ายเสวียนอู่
กลับมารับค่ายกลสลักร่างเสียก่อน
อย่ า งไรก็ ต าม พวกมั น ต้ อ งรอคอยอี ก สองสามวั น ค่ า ยจิ น วู ยั ง คงมี
ปิศาจจานวนหนึ่งที่สลักแผนผังปิศาจไม่แล้วเสร็จ
ม้าฝานไม่รีบไม่ร้อน กลับมายังเกาะเต่า มันรู้สึกถึงความใกล้ชิดสนิท
สนมของการหวนคื น บ้ า น แต่ มั น ยั ง คงทุ่ ม เทสมาธิ จิ ต ใจเคี่ ย วเข็ ญ ค่ า ย
เสวียนอู่ไม่เคยว่างเว้น การศึกในอาณาจักรยุ้งฉางกลางช่วยเปิดเผยปัญหา
บางประการ มันเร่งปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนัน
้ เอง นกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งร่อนลงมาหาม้าฝาน
ยังไม่ต้องคลี่กระดาษออกดู ม้าฝานก็สีห น้าแปรเปลี่ยนไปก่อนแล้ว
นกกระเรียนกระดาษชนิดนี้เพียงใช้รายงานสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น!
มันคลี่กระดาษออกอ่านทันที
ศัตรูรุกราน! แม่น้าอาณาจักร!
บทที่ 577 การกลับมาของเซี่ยวม่อเกอ

ข่าวนี้ไม่ได้ส่งมาจากทางด้านแม่นางน้อยต้าเหริน แต่แจ้งมาจากทาง
เมืองที่อยู่ใกล้กับแม่น้าอาณาจักร
คนทางด้านนั้นเดิมทีวางแผนจะสร้างมหาค่ายกลเกาะใกล้ ๆ เมือง
แห่ ง นี้ เมื่ อจู่ ๆ กองทั พ ที่ มี จ านวนราวหนึ่ ง พั น คนปรากฏตั ว ขึ้ น อย่ า ง
กะทันหัน พวกมันก็ตระหนักว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในกองทัพจากอาณาจักรทะเล
เมฆ มิห นาซ้าซิวเจ่อ ที่ส่ง เข้ า ไปสอบถามก็ถู กฆ่ าตายในบัด ดล ยิ่งยืนยัน
สถานะศัตรูอย่างไม่ต้องกังขาอีกต่อไป
ม้ า ฝานพอได้ รั บ แจ้ ง ข่ า ว มั น ก็ ต ระหนั ก ถึ ง ความร้ ายแรงของ
สถานการณ์ ไ ด้ ทั น ที แม่ น างน้ อ ยยั ง คงอยู่ ใ นอาณาจั ก รยุ้ ง ฉางกลาง
มิห นาซ้าในอาณาจักรทะเลเมฆยามนี้ กองพันเดียวที่ส ามารถทาศึกก็คือ
ค่ายเสวียนอู่เท่านั้น
เคราะห์ดีที่ในแผนงานเชื่อมโยงเกาะเมฆขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน ค่าย
กลเคลื่อนย้ายภายในอาณาจักรทะเลเมฆพัฒนารุ ดหน้ าอย่างใหญ่หลวง
พื้นที่บริเวณใกล้เคียงแม่น้าอาณาจักรยังเป็นสถานที่ซึ่งมีการป้องกันเป็น
อย่างดี เครือข่ายค่ายกลเคลื่อนย้ายในละแวกนั้นสะดวกสบายยิ่ง
ม้าฝานตัดสินเด็ดขาด ทางหนึ่งรายงานไปยังแม่นางน้อยต้าเหรินโดย
ด่วน อีกทางหนึ่งก็จัดทัพเร่งรุดไปยังแม่น้าอาณาจักรอย่างไม่รีรอลังเล
หลั ง จากเดิ น ทางผ่ า นค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ยหลายต่ อ หลายแห่ ง ค่ า ย
เสวียนอู่ของม้าฝานก็บรรลุถึงบริเวณแม่น้าอาณาจักรด้วยระดับความเร็ว
ที่ไม่มีผู้ใดคาดฝันถึง!
ทันทีที่มันเข้าถึงจุดซุ่มสังเกตการณ์ ม้าฝานอดประหลาดใจอยู่บ้า ง
ไม่ ไ ด้ เนื่ อ งเพราะฝ่ า ยตรงข้ า มก าลั ง รั้ ง ทั พ พั ก ผ่ อ น แต่ เ มื่ อ ลองครุ่ น คิ ด
เล็กน้อย ม้าฝานก็เข้าใจในบัดดล ฝ่ายตรงข้ามสมควรเร่งรีบเดินทางเป็น
ระยะทางยาวไกล จาเป็นต้องพักผ่อนฟื้ นฟูพละกาลังเสียก่อน
ซิวเจ่อที่ส่งไปสอบถามเจตนาการมาของพวกมันถูกฆ่าทิง้ ในทันที จิต
เจตนาที่พวกมันมาที่นี่ก็ไม่จาเป็นต้องกังขาอีกต่อไป
“กองพันอันร้ายกาจ!” เหนียนลู่อุทานอย่างแปลกใจ
ม้าฝานสีหน้าหนักอึ้งอยู่บ้าง มันเพียงมองปราดเดียวก็สามารถเห็นถึง
ความเลิศล้าของกองทัพเบื้องหน้านี้ได้ จากอาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกมัน
และระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพวกมัน คนเหล่านี้เป็นกองทัพชั้นยอด
ไม่ผิดแน่
“เกรงกลัวอันใด? ขอเพียงพวกเราบุกถล่มเข้าไป รับรองว่าต้องทุบตี
มารดามันจนกระเจิดกระเจิง!” เหลยเผิงคารามเบา ๆ สีหน้าไม่เห็นสาคัญ
เมื่อไม่มีแม่นางน้อยควบคุมค่ายเสวียนอู่ ความเหี้ยมหาญถือดีของเหลย
เผิงก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
“สามารถบอกความเป็ น มาของพวกมั น หรื อ ไม่ ?” ม้ า ฝานไม่ ส นใจ
เหลยเผิง หันไปถามเหนียนลู่
ในพวกมันทั้งสาม เหนียนลู่แม้ไม่ขวัญกล้าบ้าบิ่นเช่นเหลยเผิง แต่มี
จิตใจละเอียดอ่อนที่สุด เป็นผู้ช่วยแม่ทัพที่ดียิ่ง
เหนียนลู่ห ยีต าเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นสีห น้าแปรเปลี่ยนเล็กน้ อ ย
“พวกมันเป็นกองทัพจากวัดเสวียนคง!” ตราสัญลักษณ์ข องพวกมันเป็น
ประกายอยู่ ภ ายใต้แ สงตะวั น แม่ น างน้ อ ยคาดค านวณไว้ นานแล้ว ว่ าวัด
เสวียนคงจะต้องมาเสาะหาพวกมันแน่ จึงให้ความสนใจกับข่าวสารด้านวัด
เสวียนคงเป็นพิเศษ
“วั ด เสวี ย นคง!” ม้ า ฝานพอฟัง อดหน้า เปลี่ย นสีไ ปด้ ว ยมิ ได้ ไม่ ต้ อง
สงสัยเลยว่ากองทัพฝ่ายตรงข้ามไฉนเลิศล้าถึงปานนี้ ที่แท้เป็นกองทัพแห่ง
วัดเสวียนคง
เมื่อยืนยันความเป็นมาของฝ่ายตรงข้าม พวกมันทั้งสามก็ทราบว่าศึก
นี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่กองทัพจากวัดเสวียนคง... ...
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ค่ายเสวียนอู่แม้ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง
แต่ไม่เคยทาศึกสงครามขนาดใหญ่มาก่อน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองพัน
ชั้ น ยอดจากวั ด เสวี ย นคง ม้ า ฝานแทบไม่ ต้ อ งขบคิ ด คาดเดาก็ ท ราบว่ า
ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
ยามนี้แม่นางน้อยต้าเหรินต้องได้รับข่าวแล้ว ค่ายจูเชวี่ยเป็นไปได้มา
กว่ากาลังมุ่งหน้ามาทางนี้!
สิ่งที่พวกมันต้องทาก็คือถ่วงเวลาฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ รอให้ค่ายจูเชวี่ย
มาถึง สาหรับเรื่องที่ว่าพวกมันจะสามารถต้านทานกองพันชั้นยอดนี้ไว้ได้
หรือไม่ ม้าฝานกระทั่งคิดยังไม่ได้คิด อาณาจักรทะเลเมฆไม่ใช่อาณาจั กร
ใหญ่โต แม้แต่บรรดาศิษย์ที่เด่นล้าของสานักท้องถิ่น เมื่อเทียบกับไพร่พล
ในกองทัพของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่ามาก
แต่ ไ ม่ ว่ า จะเกิ ด อะไรขึ้ น พวกมั น ก็ ไ ม่ อ าจปล่ อ ยให้ ก องทั พ ที่ พ กพา
ความเคียดแค้นมาเต็มปรี่นี้ล่วงลึกเข้าไปในอาณาจักรทะเลเมฆได้เป็นอัน
ขาด!
มหาค่ายกลพันเกาะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ยังมีเกาะเต่าและค่ายจินวู
หากผู้ อ่ ื นสามารถบุ ก ทะลวงไปถึ ง เกาะเต่ า อาจเป็ น เหตุ ใ ห้ ร ากฐานอั น
ยิ่งใหญ่ของต้าเหรินถูกทาลาย มันย่อมไม่อาจแบกรับผลสุดท้ายเช่นนี้ได้!
ม้าฝานหันไปมองด้านหลังของตน ค่ายเสวียนอู่ยามที่ออกเดินทางมา
เพิ่งจะเริ่มต้นการฝึกฝนประจ าวันไปได้ไม่นาน พวกมันเวลานี้เรียกได้ว่า
ผ่ า นการอุ่ น เครื่ องมาพร้ อ มสรรพ อี ก ทั้ ง พวกมั น เดิ น ทางผ่ า นค่ า ยกล
เคลื่อนย้ายมาจนถึงที่นี่ ดังนั้นระหว่างทางแทบไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงานอัน
ใด
กล่ า วอี ก นั ย หนึ่ ง ก็ คื อ ค่ า ยเสวี ย นอู่ ใ นยามนี้ ทั้ ง เรี่ ย วแรงก าลั ง และ
ความเฉียบคมอยู่ในขอบเขตขั้นสูงสุด!
ฝ่ายตรงข้ามอาจดูเหมือนอยู่ในระเบียบวินัยอันเคร่งครัด แต่ย่อมไม่
อาจปิดบังความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของการโหมเดินทางระยะไกลได้
ม้าฝานขบกรามแน่น ดวงตาทอประกายฆ่าฟัน นี่เป็นโอกาสที่ดีงาม
ที่ สุ ด เพี ย งหนึ่ ง เดี ย วของพวกมั น ! หากรอจนผู้ อ่ ื นฟื้ นคื น สภาพอย่ า ง
สมบูรณ์ พวกมันกระทั่งโอกาสหลบหนียังไม่มี!
ทันทีที่คิดตกม้าฝานสีหน้าพลันสงบลง จนแทบกลายเป็นเย็นเยียบ
อยู่ บ้ า ง มั น ดึ ง เหลยเผิง ออกมา “เหลยจื่อ เจ้า เป็ นกองหน้ า บุ ก ถล่ ม พวก
มัน!”
เหลยเผิ ง แย้ ม ยิ้ ม กว้ า งขวาง สี ห น้ า ตื่ นเต้ น ระทึ ก ใจ มั น ชมชอบ
ประโยคนี้ที่สุด!
วัดเสวียนคงแล้วอย่างไร? พวกเจ้าเป็นใครมิทราบ?

ฟ่ ง เยวี่ ย สี ห น้ า มื ด ทะมึ น กองพั น นี้ เ ห็ น ได้ ชั ด ว่ า มาจากสถานที่ อ่ ื น


ปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วจนแทบจะเหนือจินตนาการของ
นางไปแล้ว
นางเป็นบุคคลอันรอบรู้ผู้หนึ่ง พลันเข้าใจทันทีว่าอาณาจักรทะเลเมฆ
ต้องสร้างเครือข่ายค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สมบูรณ์แบบ นางอดประหลาดใจ
ไม่ ไ ด้ ทุ ก ผู้ ค นย่ อ มล่ ว งรู้ ถึ ง ประโยชน์ ม หาศาลของเครื อ ข่ า ยค่ า ยกล
เคลื่ อนย้ า ย ทว่ า ค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ยแต่ ล ะชุ ด ก็ มี ค่ า ใช้ จ่ า ยมหาศาลด้ วย
เช่นกัน ทั้งยังต้องใช้ซิวเจ่อที่มีฝีมือทางค่ายกลยันต์ชั้นสูงจึงสามารถก่อตั้ง
ค่ า ยกลเคลื่ อนย้ า ยได้ ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด คื อ เมื่ อ ก่ อ ตั้ ง เป็ น เครื อ ข่ า ย จ านวน
ค่าใช้จ่ายจิงสือที่ต้องหมดเปลืองไปก็เป็นจานวนมหาศาลยิ่ง ไม่มีผู้ใดยินดี
จ่ายค่าตอบแทนราคาสูงเช่นนั้น
แต่รอจนนางกวาดตามองกองทัพที่อยู่เบื้องหน้า ความวิตกกัง วลใน
ใจนางค่อยคลายลง
ระดับฝีมือของกองทัพฝ่ายตรงข้ามเมื่อเทียบกับกองพันของนาง ยัง
อ่อนด้อยกว่ามาก นางไม่เห็นแปลกอันใด นี่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ต่อให้
เป็นเพียงกองพันทั่วไปของวัดเสวียนคง เมื่อเทียบกับกองพันชั้นยอดของ
สถานที่เล็ก ๆ เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางที่จะอ่อนด้อยกว่า
นี่คือคุณค่าความหมายของสานักใหญ่!
ที่สาคัญยิ่งไปกว่านั้น พวกนางคือหนึ่งในสี่มหาอานาจ!
พวกนางคือมหายักษาที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร พวกนาง
สามารถทอดตามองลงไปยังสิ่งมีชีวิตด้านล่างอย่างเฉื่อยชา และเพียงดีด
นิ้วคราหนึ่ง ก็สามารถบดขยี้เหล่ามดปลวกตัวน้อยทั้งรัง
ในสายตาของฟ่งเยวี่ย อาณาจักรทะเลเมฆก็แค่มดปลวกตัวน้อย ๆ รัง
หนึ่งเท่านั้น!
มดปลวกอาจสามารถกัดช้างจนตาย แต่ย่อมไม่มีความหมายใดกั บ
พญามังกร!
ทั น ใดนั้ น เอง นางพลั น มี สี ห น้ า ตะลึ ง งั น ดวงตาทอแววเหลื อ เชื่ อ
ออกมา ... กองพันฝ่ายตรงข้าม...กาลังบุกโจมตีพวกนาง!
ฟ่ ง เยวี่ ย ติ ด ตามเจี ย งเจ๋ อ ผจญศึ ก นั บ ครั้ ง ไม่ ถ้ ว น นอกเหนื อ จาก
กองทัพปิศาจแล้ว ไม่เคยมีกองทัพ ใดกล้ าจู่ โจมพวกนางก่อนแม้ แ ต่ ค รั้ ง
เดียว
คนเหล่านี้ใช่เสียสติไปแล้วหรือไม่?
ฟ่งเยวี่ยผุดลุกขึ้นยืน ดวงตากลายเป็นยะเยียบเย็นชา นางจะสั่งสอน
ให้มดปลวกเหล่านี้ได้ซาบซึ้ง ว่าเพียงแค่ประกายจากไฟโทสะของมังกร ก็
เพียงพอจะเผาผลาญมดปลวกเช่นพวกมันไปจนถึงขั้นที่ว่ากระทั่งเถ้าถ่าน
ยังไม่หลงเหลือ!
ซิวเจ่อคนอื่น ๆ ก็พากันลุกขึ้นยืน พฤติการณ์อันน่าขบขันของฝ่ า ย
ตรงข้าม สะกิดถูกความภาคภูมิถือดีของบรรดาเซียนนักรบเหล่านี้เข้าเต็ม
เปา!

เกาเซวียนหวาดหวั่น วิต กไม่น้ อย มันนึกไม่ถึงว่าฟ่งเยวี่ยจะรี บ ร้ อ น


เดิ น ทั พ ถึ ง เพี ย งนี้ มั น น าคนเพี ย งห้ า ร้ อ ยเร่ ง รุ ด เดิ น ทางอย่ า งสุ ด ก าลั ง
ความสามารถ ยังไม่อาจไล่ตามพวกนางที่มีเป็นพันคนได้ทัน
ค าตอบที่ ฟ่ ง เยวี่ ย ส่ ง กลั บ มาให้ มั น ก็ คื อ นางจะเร่ ง เผด็ จ ศึ ก โดยเร็ ว
ที่สุด
คิดถึงเรื่องนี้ เกาเซวียนอดฝืน ยิ้ม เจื่อนขมไม่ไ ด้ มันพยายามรี บ เร่ ง
อย่ า งสุ ด ก าลั ง เพื่ อติ ด ตามนางให้ ทั น ทว่ า เด็ ก หญิ ง นางนั้ น ไม่ ไ ด้ ส านึ ก
ขอบคุณแม้แต่น้อย แต่สาหรับความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้นของฟ่งเยวี่ย มัน
ไม่ มี ข้ อ กั ง ขาแม้ แ ต่ น้ อ ยเช่ น กั น ฟ่ ง เยวี่ ยเป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ที่
แข็งแกร่งกว่ามันเสียอีก เซียนนักรบหนึ่งพันคนภายใต้ร่มธงของนางก็ล้วน
แล้วแต่ห้าวหาญชาญศึก ขัดเกลาตัวเองผ่านการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่า
ไม่อาจยกขึ้นเทียบกับกองพันเจียงจื้อของเจียงเจ๋อต้าเหริน แต่ไม่ว่าโยน
พวกมั น ลงไปยั ง อาณาจั ก รทั่ ว ไปใด ๆ ก็ ส ามารถปราบพิ ชิ ต ได้ อ ย่ า งไม่
ลาบากยากเย็น
แต่มันก็ไม่กล้าชักช้า ยังคงเร่งความเร็วติดตามไปอย่างไม่คิดชีวิต
... ...
“อะแค่กแค่กแค่ก!” จั่วม่อแสร้งทาเป็นกระแอมไอ
ทุกผู้คนรวมทั้งเถาซิง ถังเฟยและโซ่วผิง ถูกเสียงนี้ดึงดูดให้หันไปมอง
เป็นตาเดียว ทุกคนจ้อ งมองจั่วม่ออย่างงุนงงสงสัย ดูท่ามันมีเรื่องอันใดจะ
ประกาศ
“นับแต่วันนี้ไป ท่านทั้งหลายจงเรียกข้าว่าเซี่ยวม่อเกอ!” จั่วม่อกล่าว
พลางค้อมกายคารวะอย่างไว้ท่า
ทุกคนหันไปมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าจั่วม่อกาลังเล่นอันใด เถาซิงมี
ปฏิกิริยาเป็นคนแรก ตากระจ่างวูบ แล้วร้ องถามว่า “จั่วเซียนเซิงเกรงว่า
จะมีคนสืบเสาะฉากหลังของเจ้าออกเช่นนั้นรึ?”
“เป็นเซี่ยวเซียนเซิง!” จั่วม่อดุเถาซิงด้วยสีหน้าจริงจัง
ถังเฟยหน้าเปลี่ยนสีวูบหนึ่ง ในใจลอบครุ่นคิด เจ้าผู้นี้มีฉากหลังอัน
ยิ่งใหญ่จริง ๆ กระมัง? มิเช่นนั้นมันไฉนต้องใช้นามแฝงด้วย?
ปฏิกิริยาของจั่วม่อเป็นข้อยืนยันการคาดเดาของเถาซิง เถาซิงกล่าว
อย่างไม่เห็นสาคัญว่า “แม้ข้าไม่คิดว่าจะมีประโยชน์ แต่เอาเถอะ เมื่อเจ้า
ต้องการเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”
“ประเสริฐยิ่ง!” จั่วม่อปรบมือชมเชย จากนั้นหันไปเพ่งเล็งคนอื่นๆ
ถังเฟยผงกศีรษะ กล่าวอย่างรวบรัด “ตกลง!”
โซ่วผิงพยักหน้า อย่ า งเรีย บ ๆ ร้อย ๆ “ไม่มีปัญหา เซี่ยวต้าเหริ น !”
หลังจากถูกเขิงเหลียนเอ๋อร์กระตุ้นเตือนอย่างเหี้ยมเกรียมอยู่บ้าง โซ่วผิง
กลับกลายเป็นเชื่อฟังกว่าเดิมมาก
สาหรับเขิงเหลียนเอ๋อร์ จั่วม่อมองข้ามนางไปตามสัญชาติญาณ การ
เปลี่ยนคาเรียกหาของจั่วม่อไม่ได้เกิดจากแรงกระตุ้นเพียงฉาบฉวย นาม
‘จั่วม่อ’ ของมันดึงดูดความสนใจจากคุนหลุนได้โดยง่าย ผู้ใดทราบว่ าคุน
หลุนจะไม่มีสายสืบแฝงเร้นมาถึงที่นี่?
“แม้ว่าพวกเจ้าไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า ข้าก็ยังคงต้องกระตุ้น
เตือนพวกเจ้า การท้าประลองของผังเฉินครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีใครบาง
คนลอบเล่นงานเราจากเงามืด” จั่วม่อกล่าวด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ
เถาซิงพยักหน้า “เป็นปู้เกิน
้ !”
มันเคยอาศัยอยู่ในนครมหาสันติมาก่อน ล่วงรู้เส้นสนกลในเป็นอย่าง
ดี ยามนี้จึงอธิบายว่า “ปู้เกิ้นกับกองพันของมันเข้าสู่นครมหาสันติเมื่อ ไม่
นานมานี้ เรื่องครั้งนี้มันสมควรเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง”
“เจ้าผู้นี้ยังไม่ยอมเลิกราอีก!” จั่วม่อพึมพา มันหลงลืมไปเรียบร้อย
แล้วว่าเคยเข่นฆ่าผู้คนของอีกฝ่ายไปร่วมสี่ร้อยคนในคราวเดียว แต่เมื่อ
ลองครุ่นคิดอีกรอบ มันก็กลายเป็นปิติยินดีในทันที
ปู้เกิ้นย่อมไม่ยอมเลิกรา และแน่นอนว่าจะต้องส่งคนมาหยั่งเชิงมัน
อีก
นี่มิเท่ากับเสนอตัวมาให้มันถึงที่หรอกหรือ?
มั น ก็ ไ ม่ ต้ อ งเสี ย เวลาไปร่ า ร้ อ งท้ า ทายผู้ ค นเพื่ อหาคู่ ป ระลองตาม
แผนการของผูเยาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ ผู้อ่ ืนจะส่งคนมารังควานมันอีก มันจะต้องไปยัง
ป่าศิลาทักษะปิศาจอีกสักหนสองหน เคล็ดความบนหลักศิลามีประโยชน์
เป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่มันเข้าใจจากหลักศิลาทักษะปิศาจ เป็นส่วนสาคัญที่มัน
ใช้ควบคุมหมัดพิฆาตที่ใช้ปลิดชีพผังเฉิน
สิ่งนี้ยิ่งทาให้มันเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อเคล็ดความบนหลักศิล า
ทักษะปิศาจต้นอื่น ๆ
อาเหวินหลังจากที่ผ่านพ้นห้วงแห่งการรู้แจ้ง ก็ถูกซู่หลงตาหนิอย่าง
รุ นแรง การปกปักคุ้มครองต้าเหรินจึงเป็นหน้าที่รับผิดชอบอันดับแรกของ
พวกมัน นึกถึงว่าต้าเหริน กระทั่ง จั ดคนคอยเฝ้ า คุ้ม ครองมัน เพื่ อ ป้ อ งกั น
ไม่ให้ผู้อ่ น
ื มารบกวนห้วงแห่งการรู้แจ้งของมัน อาเหวินทั้งตื้นตันทั้งละอาย
ใจอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าสิ่งที่มันคาดคิดไม่ถึงก็คื อ ต้าเหรินกลับออกคาสั่งที่เหนือ ความ
คาดหมาย แทนที่จะให้มันคอยปกป้องคุ้มครอง ต้าเหรินกลับต้องการให้
มันอ่านเคล็ดความบนหลักศิลาทักษะปิศาจทุกต้นแทน
อาเหวิ น ต่ อ ให้ โ ง่ ง มกว่ า นี้ ยั ง เข้ า ใจดี ว่ า ค าสั่ ง ของต้ า เหริ น เป็ น
ประโยชน์ต่อมันนับเอนกอนันต์ มันลอบสัตย์สาบานในใจ ว่าจะติดตามต้า
เหรินไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่!
จั่วม่อกลับไม่ได้คิดมากมายถึงเพียงนั้น มันยังคงรู้สึกหิวกระหายต่อ
หลักศิลาทักษะปิศาจไม่น้อย
หากทว่ า มั น เองก็ มี สิ่ ง ที่ ค าดไม่ ถึ ง เช่ น กั น เมื่ อ มั น ก้ า วออกจากลาน
บ้าน พลันได้ยินเสียงคนตะโกนลั่น “ท่านออกมาแล้ว!”
วู้ม ผู้คนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมมันในบัดดล
จั่ ว ม่ อ ตื่ นตะลึ ง แทบลงมื อ จู่ โ จมโดยพลั น แต่ แ ล้ ว มั น ค้ น พบอย่ า ง
รวดเร็ว คนเหล่านี้มีแต่ลิงโลดยินดี หาได้มีกลิ่นอายความเป็นปฏิปักษ์ไม่
“ต้าเหริน! โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”
“ต้าเหริน! โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”
กระแสผู้คนไหลหลั่งห้อมล้อมจั่วม่อจนแน่นขนัด ปิดกั้นทางออกจน
มิดชิด จั่วม่อสีห น้าสับสนงงงวย เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น รอจน
เถาซิงออกมาจากเคหสถาน เบียดเสียดผ่านฝูงชนเข้ามากระซิบอธิบายให้
ฟัง จั่วม่อในที่สุดค่อยกระจ่างใจ
กราบอาจารย์!
คนเหล่านี้มาเพื่อกราบอาจารย์ สาเหตุเนื่องมาจากชัยชนะอันท่วม
ท้นของจั่วม่อที่มีต่อผังเฉิน
ฝูงชนแออัดเนืองแน่น เห็นศีรษะเรียงรายสลอน ดูน่าประทับ ใจไม่
น้อย
เมื่อกวาดตามองคร่าว ๆ จั่วม่อประเมินว่าอย่างน้อยต้องมีเป็นร้อย
คน คนทั้งหมดล้วนจ้องมองจั่วม่อด้วยสายตาวิงวอน
“อย่าได้รับปาก” เถาซิงกระซิบเตือนข้างหู “คนเหล่านี้ไม่มีพลังมาก
พอ ทั้งยังไม่มีศักยภาพ หากเจ้ารับปาก พวกมันจะกลายเป็นภาระ”
จั่วม่อนิ่งเงียบงันไปนาน
บทที่ 578 หยาดพิรุณแต่งแต้มสลักเงา

จั่วม่อมองกลับไปยังดวงตาที่วิงวอนร้องขอเหล่านั้น หวนนึกย้อนไป
ถึ ง อดี ต อดรู้ สึ ก ไม่ ดี กั บ การตั ด สิ น ใจครั้ ง นี้ ไ ม่ ไ ด้ แต่ มั น ก็ ท ราบว่ า เถาซิ ง
กล่าวไม่ผิด ที่นี่ไม่ใช่อาณาจักรทะเลเมฆ ในสภาวะวิกฤตินี้มั นถูกล้อมรอบ
ไปด้วยศัต รู หากเผลอพลั้งไม่ระวังแม้สักเล็กน้อย แม้แต่ชีวิต ตัวเองยังไม่
อาจรับประกัน ถึงตอนนั้นมันไม่เพียงแต่ต้องเสี่ยงต่อชีวิต หากมันเผชิญ
คราวเคราะห์ คนเหล่านี้ก็ยากที่จะมีจุดจบที่ดี
จั่วม่อกาลังจะตัดใจกล่าวปฏิเสธ
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังมาจากที่ห่างไกล ทะลวง
ผ่านเสียงเอะอึกอึกทึกบนท้องถนนอย่างพิสดารพันลึก
คล้ า ยเสี ย งปี่ แต่ ไ ม่ใ ช่ เ สี ยงปี่ คล้ า ยเสี ย งขลุ่ย แต่ไ ม่ ใ ช่ เ สีย งขลุ่ย สุ้ ม
เสียงแผ่วจางราวกับเส้นผม คล้ายมีคล้ายไม่มี ยากจะสัมผัสได้ว่าสุ้มเสียงนี้
มีจริงหรือไม่
ท้องถนนอันจอแจกลับกลายเป็นเงียบกริบในบัดดล สุ้มเสียงนี้คล้าย
เปี่ ยมล้นไปด้วยมนต์ขลัง สามารถปลอบประโลมจิตใจคน มอบความสุข
สงบชั่วนิรันดร์ให้แก่ผู้คน
เห็นเงาร่างสายหนึ่งเดินอย่างแช่มช้ามาจากทิศทางของประตูเมือง
จากเงาดาจุดเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยายใหญ่เป็นร่างสูงสง่าร่างหนึ่ง
ชุดยาวสีขาวราวหิมะ ดวงตาคล้ายแต่งแต้มด้วยหยดหมึก เรือนผมดา
สนิทยาวสยายดุจม่านน้าตก งดงามเสียจนไม่คล้ายบุรุษผู้หนึ่ง ดูราวกับว่า
เปี่ ยมไปด้ ว ยมนต์ ข ลั งที่ ท าให้ ผู้ค นไม่อ าจละสายตาจากมั นได้ รอบกาย
ห้อมล้อมด้วยกลุ่มหยดน้าโปร่งใส ดุจ หยาดฝนที่ซุกซน ว่ายเวียนกระจัด
กระจายราวกับปลาน้อยฝูงใหญ่
สุ้มเสียงประหลาดที่น่าลุ่มหลง ดังออกมาจากหยดน้าเล็ก ๆ เหล่านี้
เอง
คนผู้นั้นยิง่ เคลื่อนใกล้เข้ามา ความรู้สึกสุขสงบยิง่ แรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ
มันเดินอย่างเชื่องช้า ดวงตามองตรงไปข้างหน้าราวกับไม่เห็นผู้ใดอยู่
ในสายตา ท่วงท่าสูงส่ งสง่างาม คล้ายเทพเซียนที่ไม่แปดเปื้อนธุลีทางโลก
ผู้หนึ่ง
สุ้มเสียงที่เกิดจากหยดน้าไพเราะเสนาะหูยิ่ง จั่วม่อยิ่งรับฟังเท่าใด ก็
ยิ่งลุ่มหลงงมงายมากเท่านั้น ในจิต ใจปรากฏภาพความทรงจ าอันงดงาม
ขึ้ น เบื้ อ งหน้ าสายตา ความวิ ต กกั ง วลอั นใด ความรั น ทดหดหู่อั นใด ล้ ว น
ปลาสนาการไปสิ้น บนใบหน้าจุดรอยยิ้มอันสดใสขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเอง ตราประทับรู ปดวงอาทิต ย์ บนแผ่นอกของจั่วม่อ พลั น
สาดประกายวาบ กระแสพลังร้อนลวกเรียวบางสายหนึ่งโคจรไปทั่ ว ร่ า ง
ด้วยตัวเอง จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง ฉากเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
ภาพฝั น แตกกระจั ด กระจาย สุ้ ม เสี ย งที่ ช าแรกผ่า นเข้า มาในจิต ใจยังคง
ไพเราะเสนาะหูถึงเพียงนั้น แต่ได้สูญเสียพลังสะกดอันเปี่ ยมล้นด้วยมนตร์
เสน่ห์ไปอย่างสิน
้ เชิง
จั่วม่อตื่นตระหนกสุดระงับ ผู้คนรอบกายมันทั้งหมดยังคงมีรอยยิ้ ม
เคลิ้มฝัน มันพอชมดูถึงกับขนหัวลุกชี้ชัน
สาเนียงปิศาจอันร้ายกาจนัก!
จั่วม่อหันขวับ จ้องเขม็งไปยังเงาร่างของผู้มา คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?
ผู้อ่ น
ื คล้ายชะงักเท้าวูบหนึ่ง เหลือบมองจั่วม่อด้วยหางตา แต่แท้ที่จริง
ไม่ได้หยุดยั้งลง ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยจังหวะจะโคนอันพิสดารดุจเดิม
ท้องถนนทั่วบริเวณเงียบสงัดเสมือนตาย ทุ กคนยกเว้นจั่วม่อล้วนมี
รอยยิม
้ แปลก ๆ อยู่บนใบหน้า
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงที่ผิดแผกแตกต่างดังกึกก้องมาจากที่ห่างไกล
“ฮึ่ม!”
เป็นเสียงแค่นอย่างเย็นชาอันเหี้ย มหาญดุ ดันเพียงคาเดีย ว กึกก้อ ง
กัมปนาทดุจสายฟ้าคารนเหนือนครมหาสันติ สาเนียงปิศาจที่คล้ายมีคล้าย
ไม่มี ดูเหมือนถูกสุ้มเสียงดุดันนี้กระแทกทาลาย เลือนหายไปอย่างฉับพลัน
ผู้ ค นที่ ต กอยู่ ใ นห้ ว งภวั ง ค์ เ คลิ้ ม ฝั น สะดุ้ ง ตื่ นขึ้ นทั น ที พวกมั น ใบหน้ า ซี ด
เผือด จ้องมองบุรุษชุดขาวราวหิมะด้วยสายตาครั่นคร้ามยาเกรง
เถาซิงพลันได้สติขึ้นเช่นกัน มันพอหันไปเห็นบุรุษชุดขาวที่กลางถนน
สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุ นแรง ร้องอุทานด้วยสีหน้าหวาดสะพรึง “ชี
เตียวอวี่!3”

3
หยาดพิรุณแต่งแต้มสลักเงา
จั่ ว ม่ อ พอได้ ยิ น เสี ย งอุ ท าน ก็ มี ป ฏิ กิ ริ ย าทั น ที รี บ หั น มาถาม “ชี
เตียวอวี่?”
“มันไฉนกลับมายังนครมหาสันติ อก
ี ?” เถาซิงพึมพากับตัวเอง สีหน้า
ขาวเผือด
ร่างของชีเตียวอวี่หายลับไปตามถนน สุ้มเสียงที่ล่อลวงจิตใจผู้คนก็
หายไปด้วย ท้องถนนกลับสู่สภาพอึกทึกวุ่นวายตามเดิม แต่บนใบหน้าของ
ผู้คนยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความหวาดกลัวที่ยากจะลบเลือน
“ชีเตียวอวี่คือหนึ่งในยอดยุทธ์ที่กระเดื่องดังที่สุดในเวลานี้ มันบรรลุ
ถึงขั้นสูงสุดของด่านเจีย งตั้ง แต่อ ายุ เพี ยงยี่สิ บสามปี เพื่อแสวงหาความ
รุดหน้า มันมายังนครมหาสันติ ในช่วงหนึ่งปีที่มัน อยู่ที่นี่ได้ท้าประลองและ
โค่นวีรบุรุษลงมากมาย จากนั้นมันก็หายสาบสูญไป นึกไม่ถึงว่าจะหวนคืน
มายังนครมหาสันติอีกครั้ง!” เถาซิงเผยสีหน้าหวนราลึก “นั่นก็สามปีล่วง
มาแล้ว คราครั้งนี้นครมหาสันติจะต้องยุ่งวุ่นวายแล้ว!”
“พลังอันร้ายกาจ!” จั่วม่อทอดถอนชมเชย เมื่อครู่กระทั่งมันเองยังถูก
สะกด พลังฝีมือของอีกฝ่ายช่างลึกล้าสุดหยั่งถึงอย่างแท้จริง
“มั น ร้ า ยกาจจริ ง ๆ คนผู้ นี้ ยั ง ผุ ด ขึ้ น มาอย่ า งกะทั น หั น มี ฉ ากหลั ง
ลึกลับ จวบจนถึงบัดนี้ ยังไม่มีผู้ใดทราบว่ามันมาจากตระกูลใด ผังเฉินซึ่ง
ถู ก เจ้ า ฆ่ า ทิ้ ง ที่ ก ลายเป็ น มี ช่ ื อเสี ย งก็ เ นื่ องเพราะต้ า นรั บ ชี เ ตี ย วอวี่ ไ ด้
สามสิ บ กระบวนท่ า ก่ อ นจะพ่ า ยแพ้ ไ ป เจ้ า คงสามารถคาดค านวณได้
กระมัง ว่าชีเตียวอวี่จะร้ายกาจถึงเพียงไหน” เถาซิงสีห น้าทอแววนับถือ
เลื่อมใส
“ตอนนี้ มั น ยั ง ร้ า ยกาจกว่ า ที่ เ จ้ า ว่ า มาก!” จั่ ว ม่ อ สี ห น้ า หนั ก อึ้ ง
เคร่ ง เครี ย ด มั น ถึ ง กั บ ไม่ อ าจหยั่ ง วั ด ได้ ว่ า พลั ง ฝี มื อ ของชี เ ตี ย วอวี่ ย ามนี้
แข็ ง แกร่ ง เพี ย งใด แต่ มั น เชื่ อ ว่ า หากผั ง เฉิ น ประมื อ กั บ ชี เ ตี ย วอวี่ อี ก ครั้ ง
จะต้องดับดิ้นภายในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น!
กระทั่งโจรหัวล้านเฒ่าติ้งเจิน ยังไม่มีพลังกดดันที่รุนแรงเท่าชีเตียวอวี่
ผู้นี้
ซึ่งความจริงชีเตียวอวี่หาได้จงใจปลดปล่อยสุ้มเสียงอันน่ากลัวนี้ไม่ นี่
เป็นเพียงคลื่นพลังอ่อนจางที่รั่วไหลออกมาจากกลุ่มหยาดพิรุณเหล่านั้น
ผลกระทบที่ตามมายังร้ายแรงถึงเพียงนี้ หากอีกฝ่ายตั้งใจใช้พลังเต็มที่ ไม่
ทราบจะน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงไหน!
จั่วม่อไม่แน่ใจว่าหากมันประมือกั บมารร้ายตนนี้ จะต้านรับได้สั ก กี่
กระบวนท่า
นี่ คื อ ปิ ศ าจที่ มี พ ลั ง ฝี มื อ กล้ า แข็ ง ที่ สุ ด เท่ า ที่ จ่ั ว ม่ อ เคยพบพานมา
จนถึงยามนี้!
“มันไปที่ป่าศิลาทักษะปิศาจ?” จั่วม่อเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
“เช่นนั้นเจ้าค่อยไปที่ป่าศิล าทักษะปิศาจวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เถาซิง
รีบกล่าว
จั่วม่อพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน “บัดซบ อาเหวินยังอยู่ที่ป่าศิล าทั กษะ
ปิ ศ าจ!” จั่ ว ม่ อ ขณะที่ ก ล่า วประโยคนี้ ร่ า งก็ โ ถมทะยานขึ้ นกลางอากาศ
สาดพุ่งไปทางป่าศิลาทักษะปิศาจอย่างสุดกาลัง
มันตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญแขวน อาเหวิน อย่าได้ต อแยเจ้ า มาร
ร้ายตนนั้นเชียว!
จั่วม่อเมื่อเร่งความเร็วสุดกาลัง มันก็รวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียว
ก็บรรลุถึงป่าศิล าทักษะปิศาจ มันพอมาถึง พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก
เงาร่างของมารร้ายชีหายลับเข้าไปในส่วนลึกของป่าศิลา ดูเหมือนว่าคนผู้
นั้นจะมีเป้าหมายอยู่ที่หลักศิลาทักษะปิศาจด้านในสุด
เห็นอาเหวินนั่งอยู่ข้างหลักศิลาที่ไม่ใช่ต้นเดิม สีหน้าเหม่อลอยงุนงง
เจ้าผู้นี้...เข้าสู่สภาวะแห่งการรู้แจ้งอีกแล้วรึ?
จั่ ว ม่ อ ชะงั ก งั น ไม่ ท ราบจะหั ว ร่ อ หรื อ ร่ า ไห้ ดี จากนั้ น ต้ อ งทอดถอน
ด้วยความอัศจรรย์ ใจ พรสวรรค์ข องอาเหวิน ช่ างน่ าสะพรึง กลัว โดยแท้ !
จั่วม่อส่งองครักษ์ทุกข์ยากคนอื่นมาคัดลอกเคล็ดความบนหลักศิลาทักษะ
ปิศาจ เพื่อให้ทุกคนได้มีฉบับคัดลอกไว้ศึกษาเช่นกัน แต่จนถึงบัดนี้ มีเพียง
คนเดียวที่เข้าสู่ห้วงแห่งการรู้แจ้ง นั่นก็คืออาเหวิน
ที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า ก็คือภายในไม่กี่วันมันถึงกับรู้แจ้งเป็นครั้งที่สอง
แล้ว!
จั่ ว ม่ อ ชั ก เริ่ ม ริ ษ ยาอยู่ บ้ า ง เคล็ ด ความบนหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจแม้
ช่วยให้มันบังเกิดความเข้าใจไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่ถึงกับเข้าสู่ส ภาวะแห่ง
การรู้แจ้ง เจ้าเด็กน้อยผู้นี้กลับรู้แจ้งสองหนแล้ว!
จั่วม่อสั่นศีรษะแย้มยิ้มอย่างอ่อนอกอ่ อนใจ ปลุกปลอบสมาธิจิต ใจ
เริ่มศึกษาเคล็ดวิชาบนหลักศิลาอีกครั้ง
ความเร็วในการอ่านของมันรวดเร็วผิดธรรมดา แม้ว่าจะเผชิญปัญหา
เป็นครั้งคราว แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทะลุปรุ โปร่ง เวลานี้พลัง
ฝีมือของมันอยู่ในด่านเจียง สามารถวิเคราะห์ปัญหาจากมุมมองของระดับ
พลังที่สูงล้ายิ่งกว่า ย่อมสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
ป่ า ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจกลับ สู่ส ภาพครึ ก ครื้ นตามปกติอ ย่ า งรวดเร็ ว ชี
เตียวอวี่หายเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของป่าศิลา ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อผู้ที่
ศึกษาอยู่ในพื้นที่รอบนอก กระแสผู้คนอันแน่นขนัดหลั่งไหลกลับมาอีกครั้ง
ฝีเท้าของจั่วม่อค่อย ๆ ช้าลง มันยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด เคล็ดความบน
หลักศิลาก็ยิ่งลึกล้ายากจะเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น มันต้องใช้เวลาค่อย ๆ ขบ
คิดตรึกตรองเคล็ดวิชาเหล่านั้น
และยิ่งมันเดินลึกเข้าไปเท่าใด ผู้คนรอบข้างก็ยิ่งบางตาลงเท่านั้น
จั่วม่อยิ่งอ่านก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเคล็ดความบนหลัก
ศิลาต้นหลัง ๆ มันพบบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใด
เริ่มจากหลักศิลาทักษะปิศาจต้นที่ยี่สิบสอง เคล็ดความบนหลักศิล าก็
ไม่ได้จากัดอยู่กับทักษะปิศาจอีกต่อไป มันพบรายละเอียดหลายต่อหลาย
ส่วนที่คลับคล้ายกับเวทวิชาและศาสตร์อสูรเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนต้นมันเข้าใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่กลับยิ่งอ่านก็ยิ่งพบพาน
ส่วนที่คล้ายคลึงมากขึ้น เรื่อย ๆ มันจึงได้ต ระหนัก ด้ว ยความตื่นตะลึ ง นี่
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
เวทวิชา ศาสตร์อสูร ทักษะปิศาจ จั่วม่อเป็นตัวประหลาดที่ฝึกปรือ
วิชาครบทั้งสามแขนงมาก่อน แม้ว่าผลการฝึกปรือเวทวิชาของมัน ไม่ ไ ด้
เลิศล้าอันใด แต่มันยังเคยอ่านม้วนหยกมากมายนับไม่ถ้วน หลักวิชาและ
ความรู้พ้ ืนฐานของมันจึงลึกล้าไม่ น้อย ส่วนในด้านศาสตร์อสูร แม้ว่าฝีมือ
ของมันจะไม่เลิศล้าเช่นทักษะปิศาจ มันยังสามารถใช้วิชาศาสตร์บาบวง
แดนร้างกาลสมัยซึ่งกระทั่งผู เยายังฝึก ปรือ ไม่ส าเร็จ สามารถเรียกได้ ว่ า
เป็นยอดฝีมือในภพอสูรผู้หนึ่ง
นี่หมายความว่าต่อให้มันศึกษามาถึงเคล็ดความเหล่านี้ ก็ไม่ได้ เผชิญ
กับอุปสรรคสิ่งกีดขวางใด เพียงแต่มันอดงุนงงสงสัยไม่ได้
หรือว่าซือจื่อหมิงผู้นี้ที่แท้มีฝีมือในพลังทั้งสาม?
มันยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าใด ความงุนงงสงสัยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่ า นั้ น
หลักการของซือจื่อหมิง ไม่ว่าจะเป็นเวทวิชา ศาสตร์อสูรหรือทักษะปิศาจ
ก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ ถู ก ต้ อ งแม่ น ย าและลึ ก ซึ้ ง ซั บ ซ้ อ น กระทั่ ง ตั ว ประหลาดที่
สาเร็จวิชาทั้งสามวิถีเฉกเช่นจั่วม่อยังรู้สึกว่ามีหลายแห่งที่ยากจะเข้าใจได้
จริงๆ
หรือว่าในโลกนี้ มียอดคนที่เกิดมาเพื่อล่วงรู้เจนจบในทุกสรรพสิ่งอยู่
จริง ๆ?

ในมุมลับตาแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากหลักศิลาทักษะปิศาจมากนัก
“ยามนี้มันถึงหลักศิลาที่เท่าใดแล้ว?” คนหน้าแหลมกระซิบถามเสียง
ต่า แต่สายตามันไม่ได้ละจากจั่วม่อที่เบื้องหน้าหลักศิลาแม้แต่แวบเดียว
“ยี่สิบหก” สหายหน้าดาที่มีผมสีม่วงของมันตอบอย่างชัดเจน
“เจ้าผู้นี้ใช่แกล้งทาเป็นอ่านไปอย่างนั้นหรือไม่?” คนหน้าแหลมเอ่ย
อย่างลังเล “มิเช่นนั้นหากมันอ่านจริง ๆ ระดับความเร็วเช่นนี้ไม่เร็วเกินไป
หน่อยหรือ?”
“เร็ ว เกิ น ไปหน่ อ ย? เจ้ า กล่ า วผิ ด แล้ ว มั น เร็ ว เกิ น ไปมากต่ า งหาก!”
บุรุษผมม่วงกล่าวอย่างเย็นชา
“ใช่แล้ว ทั้งอ่านและบรรลุความเข้าใจในหลักศิลาทักษะปิศาจยี่สิบ
หกต้น ระดับความเร็ วนี้ส มควรเป็น ไปไม่ไ ด้!” คนหน้าแหลมกล่าวอย่ า ง
เฉื่อยชา “มันใช่ค้นพบว่าพวกเรากาลังเฝ้าดูมันอยู่หรือไม่?”
“ผู้ใดบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ? เจ้าหลงลืมคนผู้นั้นไปแล้วหรือไร” บุรุษ
ผมม่วงแย้งอย่างเคร่งขรึม
“ผู้ใด?” คนหน้าแหลมถามพลางขมวดคิ้ว
“คนที่ ด้ า นในนั้ น อย่ า งไรเล่ า !” บุ รุ ษ ผมม่ ว งบุ้ ย ปากไปทางส่ ว นลึ ก
ที่สุดของป่าศิลา “หรือเจ้าลืมสิ่งที่คนผู้นั้นเคยทาในครั้งก่อนไปแล้ว?”
“ซี๊ด!” คนหน้าแหลมสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ สีหน้าซีดลง “ข้า
จะลืมได้อย่างไร? ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน ชีเตียวอวี่ผู้นั้นถึงกับบรรลุความ
เข้าใจหลักศิลาทักษะปิศาจสามสิบต้น ระดับความเร็วเช่นนี้ ในอดีตไม่เคย
มีใครบรรลุถึงมาก่อน ในภายภาคหน้าก็ไม่มี!”
“จริงอยู่ว่าไม่มีผู้ใดทาได้มาก่อน แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีผู้ ใด
ก้าวล้าไปกว่ามัน” บุรุษผมม่วงจ้ องมองจั่วม่อตาเขม็ง กล่าวราวราพึง กับ
ตัวเอง “ข้ารู้สึกว่าเซี่ยวม่อเกอผู้นี้ไม่รวบรัดธรรมดา”
“เจ้าไม่คิดว่ามันเพียงแสร้งอ่านแล้วผ่านไปเฉย ๆ รึ?” คนหน้าแหลม
กล่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” บุรุษผมม่วงแจกแจง “เจ้าไม่สังเกตหรือ ว่ายิ่ง
ผ่านหลักศิลาไปเท่าใด มันก็ยิ่งใช้เวลาในการศึกษาหลักศิลาแต่ละต้นนาน
ขึ้นเรื่อย ๆ นี่ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ยิ่งเคล็ดความลึกล้ามากขึ้น มันก็ยิ่งต้อง
ใช้ เ วลานานขึ้น ส าหรั บ หลั กศิ ล าที่ อ ยู่ต รงหน้า มั นนี้ มั น ใช้ เ วลามากกว่า
หนึ่งชั่วยามแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันกาลังครุ่นคิดใคร่ครวญ หาได้เพียงแค่อ่าน
เคล็ดความผ่าน ๆ ไปไม่!”
“เช่ น นั้ น ... ...เช่ น นั้ น หรื อ ว่ า มั น ... ...” คนหน้ า แหลมตะกุ ก ตะกั ก
ออกมา
“มิผิด เช่นเดียวกันกับชีเตียวอวี่เมื่อครั้งกระโน้น!” บุรุษผมม่วงโพล่ง
ขัดวาจาของสหายกลางคัน มันรับหน้าที่ประจาการอยู่ในนครมหาสันติมา
นานกว่าสิบปี ภาระหน้าที่ประจาวันที่ตระกูลมอบหมายให้แก่มันก็น่าเบื่อ
หน่ายยิ่ง นั่นคือการเฝ้าจับตามองเหล่าปิ ศาจที่มาศึกษาหลักศิล าทั ก ษะ
ปิศาจ
รายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ หากเป็นคนทั่วไปย่อมไม่สังเกตเห็น แต่
สาหรับพวกมัน อาศัยเพียงรายละเอียดเหล่านี้ก็สามารถประเมินได้หลาย
สิ่งหลายอย่าง
ในสายตาของพวกมัน ความเร็วในการศึกษาหลักศิลาของจั่วม่อ ยัง
ส่งผลกระทบน่าแตกตื่นสะท้านใจเสียยิ่งกว่าการสังหารผังเฉินกลางลาน
ประลองเสียอีก
บุ รุ ษ ผมม่ ว งไม่ ก ล่ า วสื บ ต่ อ มั น จั บ จ้ อ งมองดู จ่ั ว ม่ อ ผู้ ก าลั ง ครุ่ น คิ ด
อย่างลึกซึ้งอยู่เบื้องหน้าหลักศิลา ดวงตาพลันทอแววประหลาด มันบังเกิด
ความรู้สึกอย่างแรงกล้าขึ้นมาในทันใด ว่ายอดยุทธ์อันร้ายกาจอีกผู้หนึ่ง
กาลังจะปรากฏขึ้นในนครมหาสันติอีกครา!
พอตั้งสติได้ มันหันไปสั่งการสหายที่ด้านข้าง “รีบด่วน รีบแจ้งเรื่องนี้
ไปยังจ่งก่วน4”
คนหน้าแหลมไม่กล้าชักช้า หายวับไปในเงามืดทันที
บุรุษผมม่วงทันใดนั้นกวาดตาไปยังเงามืดภายในป่าศิลาอีกด้านหนึ่ง
ตาแหน่งนั้นเมื่อครู่ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งวาบผ่านไป มันพลันม่านตาหด
แคบลง ไม่ต้องขบคิดก็ทราบว่ า เป็น เรื่ องราวใด นั่นก็แค่คู่แข่งเก่า ผู้ ห นึ่ ง
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ในเงามืดเช่นกัน
ทั้งหมดล้วนมาแล้ว!
ดูท่าทุกผู้คนจะคาดหวังกับคนผู้นี้เป็นอย่างสูงเช่นกัน!

4
หมายถึงคนรับผิดชอบในการควบคุมดูแล
บทที่ 579 ดอกบัวพิโรธพระโพธิสัตว์

สมรภูมิรบของพวกมันทอดยาวหลายร้อยลี้ ดวงแสงเจิดจ้าหลากสีสัน
ส่องสว่างเต็มฟ้า เสียงระเบิดและเสียงกรีดร้องแหลมดังระรัวไม่ขาดหู
ปราณกระบี่ เวทวิชา อาวุธเวท กระบวนทัพค่ายกล ลาแสงหลากสีสน

ประดุจ สายรุ้ง พาดผ่ านนภา เงาร่างนับ ไม่ถ้ ว นโถมทะยานอยู่ ท่ า มกลาง
คลื่นล าแสงคร่าชีวิตเหล่านี้ ไล่ล่า ต่อสู้ เข่นฆ่า สังหาร การเคลื่อนไหวทุก
ชนิดล้วนบังเกิดขึ้นในสมรภูมิสัประยุทธ์อันสับสนอลหม่าน
ผู้คนบางครั้งถูกบดขยี้เป็นผุยผง บ้างร่วงลิ่วลงจากท้องฟ้า จมหายไป
ในทะเลเมฆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อสู้ขั บเคี่ย วระหว่า งจินตัน ด้ว ยกัน ทั้งสอง
ฝ่ายล้วนจู่โจมอย่างสุดกาลัง ก่อเกิดกลุ่ม แสงกว้างใหญ่หลายสิบหมู่ พวก
มันเจิดจรัสดุจดวงตะวันดวงเล็ก ๆ คลื่นพลังอันเกรี้ยวกราดกวาดซัดไปทั่ว
ทุกทิศทาง
ฝ่ายหนึ่งหมายเร่งเผด็จศึกโดยเร็วที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งอาศัยรุ กแทนตั้ง
รั บ โหมจู่ โ จมกดดั น อย่ า งบ้ า คลั่ ง เพื่ อปกป้ อ งมาตุ ภู มิ ข องตน ดั ง นั้ น
นับตั้งแต่แรกปะทะ การต่อสู้ก็แทบจะดุเดือดเลือดพล่านถึงขีดสุด

ในไม่ช้า ฟ่งเยวี่ยเริ่มรู้สึกกดดันจากการบุกจู่โจมของฝ่ายศัตรู
พวกนางเดิ ม ที ค าดว่ า กองก าลั ง ของอี ก ฝ่ า ยสมควรแตกพ่ า ยอย่ า ง
รวดเร็วหลังจากการปะทะระลอกแรก แต่แล้วอีกฝ่ายกลับเกาะแน่ น ติ ด
หนึบกับพวกมันเหมือนตังเม ความแข็งแกร่ง ของฝ่ายตรงข้ามมีไม่มากนัก
พิชัยยุทธ์ของพวกมันก็หาได้เลิศล้าอันใด ในความเห็นของนางพวกมันทั้ง
กระจัดกระจายและยุ่งเหยิงสับสน หาความเป็นระเบียบไม่ได้เลย
แต่กองกาลังที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเช่นนี้ กลับต่อกรกับพวกนางอย่างคู่คี่
ก้ากึ่งถึงครึ่งชั่วยามเต็ม ไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย
ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้?
นางย่ อ มทราบว่ า เซี ย นนั ก รบของฝั่ งนางเหน็ ด เหนื่ อยจากการ
ตรากตร าเดิ น ทางไกล และทราบว่ า ฝ่ า ยตรงข้ า มมี ค นมากกว่ า แต่ ใ น
ความเห็นของนาง อาศัยปัจ จัยเหล่านี้ยังไม่เพียงพอจะหยุดยั้งการรุ กคืบ
ของพวกนางได้ กองทัพของนางมีความแข็งแกร่งโดยรวมเหนือล้ากว่าอีก
ฝ่ายหลายขั้น พวกนางยังฝึกฝนมาดีกว่า พวกนางมีประสบการณ์ท าศึ ก
มากกว่า ตามหลักแล้วในเวลานี้พวกนางสมควรกวาดถล่มสนามรบจนราบ
คาบ มิใช่อยู่ในสภาวะคู่คี่ก้ากึ่งเช่นนี้
ฟ่งเยวี่ยฝืนสงบใจลง การที่เจียงเจ๋อไม่ได้อยู่ข้างกาย ทาให้นางรู้สึก
ไม่ คุ้ น เคยอยู่ บ้ า ง แต่ ใ นไม่ ช้ า การฝึ ก อบรมและประสบการณ์ ม ากมายก็
ค่อย ๆ สาแดงฤทธิ์เดชของพวกมันออกมา
นางเพ่งพินิจพิจารณาสนามรบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เหลยเผิงดวงตาแดงฉานด้วยสายเลื อด มันเป็นปลายดาบที่คมกล้า
ที่สุดของค่ายเสวี ยนอู่ กระบี่ยักษ์ ผ ลึกทองขนาดเท่ า บานประตู ไม่ ว่ า บุ ก
ผ่านไปยังที่ใด ล้วนเป็นเหตุให้อาวุธเวททั้งหมดแตกกระจาย ในชั่วขณะนี้
มันดูเหมือนจะแกร่งกล้าเกรียงไกรไร้ผู้ต้านติด
พวกมันเป็นเหมือนสากเหล็กร้อนฉ่าที่เจาะผ่านเนย ไม่มี ผู้ใดหยุดยั้ง
ได้
ทั้งสองฝ่ายตกลงไปสู่ศึกตะลุมบอนอย่างรวดเร็ว
ม้ า ฝานดวงตาไม่ ไ ด้ เ ฉื่ อ ยชาเหมื อ นเช่ น ปกติ แต่ ค มกล้ า ดุ จ อิ น ทรี
สถานการณ์ ใ นยามนี้ นั บ ว่ า เข้ า ข้ า งพวกมั น ไม่ น้ อ ย ค่ า ยเสวี ย นอู่ ส ดชื่ น
คึกคัก มีเรี่ยวแรงกาลังเต็มเปี่ ยม มิหนาซ้าพวกมันมีเปรียบในเรื่องจานวน
คน การเลือกทาศึกตะลุมบอนจึงเหมาะสมกับพวกมันมากที่สุด ยิ่งพวกมัน
ลากถ่วงการต่อสู้ออกไปได้นานเท่าไรก็ยงิ่ ดีสาหรับพวกมันมากเท่านัน

ก่อนอื่นใดทั้งหมด ค่ายเสวียนอู่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน เมื่อช่วงชิง
เป็ น ฝ่ า ยมี เ ปรี ย บยั ง พอท าเนา แต่ ห ากพลั ง สภาวะของอี ก ฝ่ า ยกล้ า แข็ง
เกินไป ขวัญกาลังใจของพวกมันอาจล่มสลายลงได้ทุกเมื่อ
การสู้รบตะลุมบอนอันสับสนวุ่นวายเช่นนี้ จึงเหมาะเจาะพอดีกับกล
ยุทธ์ย่อยที่พวกมันถนัดจัดเจน
เป็นไปตามคาด หลังจากความตื่นกลัวในการออกศึกครั้งแรกผ่านพ้น
ไป ค่ายเสวียนอู่ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ย่อยที่ม้าฝานออกแบบมี
ส่วนพิเศษอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือกลยุทธ์ของแต่ละหน่วยทัพสร้างขึ้นตาม
จุดเด่นของสมาชิกผู้เป็นหัวใจหลักของหน่วยทัพนัน
้ ๆ
สมาชิกผู้เป็นหั ว ใจหลั กหากไม่ ใ ช่ส มาชิ กของหน่ ว ยเที ยนฟงเดิม ก็
เป็นเซียนนักรบที่มีประสบการณ์รบโชกโชน ขอเพียงสมาชิกผู้เป็นหัวใจ
หลักของแต่ละหน่วยทัพไม่แตกตื่นลนลาน ย่อมสามารถรักษาความมั่นคง
ให้กับทั้งหน่วยไปด้วย
สมาชิกผู้เป็นหัวใจหลักเหล่านี้ไม่ได้ทรยศต่อความเชื่อมั่นของม้าฝาน
พวกมันสร้างความมั่นคงให้กับหน่วยทัพของตนอย่างรวดเร็ว ไพร่พลใน
หน่วยเมื่อมีผู้นาที่ดี ก็ยิ่งแสดงฝีมือออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สนามรบยิง่ สับสนวุ่นวาย เหล่าซิวเจ่อแห่งค่ายเสวียนอู่ยงิ่ รู้สึกว่าพวก
มันรบอย่างปลอดโปร่งสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อครั้งกระโน้น บรรดาเซียนนักรบสังกัดหน่วยเทียนฟงถูกแม่นาง
น้อยเลือกเฟ้นมาด้วยตัวเอง พวกมันเกือบทั้งหมดยามนี้ล้วนกลายเป็นจิน
ตัน ตารางการฝึกฝนประจ าวันของพวกมัน ยิ่งหนั กหนาสาหัส กว่ า เซี ย น
นักรบทั่วไปมาก
เป็นเวลายาวนานยิ่ง หน่วยเทียนฟงอดีตเคยเป็นมีดที่คมกล้าที่สุดใน
มือของของแม่นางน้อย!
พวกมั น แต่ ล ะคนเป็ น ยอดยุ ท ธ์ ที่ ก ร าศึ ก มาอย่ า งโชกโชน ต่ อ ให้
เผชิญหน้ากับจินตันของอีกฝ่าย พวกมันก็หาได้อ่อนด้อยกว่าไม่

ฟ่งเยวี่ยพอสงบใจพิจารณา พลันมองแผนการของม้าฝานที่หวังลาก
พวกนางเข้าสู่ศึกตะลุมบอนออกอย่างรวดเร็ว นางขมวดคิ้วฉับ กล่าวเสียง
เย็นเยือก “อย่ามัวแต่ต่อสู้ติด พัน! รีบจัดตั้ งกระบวนทั พ บุกทะลวงด้ ว ย
พลังของค่ายกล!”
บรรดาเซียนนักรบแห่งวัดเสวียนคงพอฟัง พากันแยกตัวออกจากคู่
ต่อสู้อย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบเรียบร้อย
พวกมันรวดเร็วยิ่ง เซียนนักรบของค่ายเสวียนอู่ไม่มีทางไล่ต ามพวก
มันทัน ชุดอาวุธเวทของเซียนนักรบเกาะเต่าแม้เป็นสินค้าชั้นดี แต่ก็เพียง
แค่เทียบกับกองกาลังทั่วไปเท่านั้น เมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่
เฉกเช่นวัดเสวียนคง อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกมันก็เรียกได้ว่าน่าสังเวช
แล้ว
ฟ่งเยวี่ยกวาดตามองกองทัพศัตรู อย่างรวดเร็ว ในช่วงการปะทะหัก
หาญอันกระชั้นสั้น นางสูญเสียไพร่พลราวหนึ่งร้อยคน แม้ว่าฝ่ายตรงข้าม
แน่นอนว่าต้องแบกรับความเสียหายมากกว่า แต่นางยังคงเดือดดาลสุ ด
ระงับ
นางถึงกับถูกกองทัพเช่นนี้หยุดยั้งเอาไว้ ...ยกโทษให้ไม่ได้!
ฟ่งเยวี่ยดวงตาเย็นชาปานน้าแข็ง
ไพร่พลเซียนนักรบมารวมตัวกันรอบกายนาง ทุกคนหันมามองนาง
เป็นตาเดียว รอฟังคาสั่งจากนาง
แม่ทัพโฉมงามจากวัดเสวียนคงสูดลมหายใจลึก ยกมือขวาขึ้น
“กระบวนทัพค่ายกลดอกบัวพิโรธพระโพธิสัตว์!”
เซียนนักรบเก้าร้อยกว่าคนตากระจ่างวูบ แต่ละคนเคลื่อนเข้าใกล้กัน
และกัน ขวัญกาลังใจที่ลดต่าลุกโชนขึ้นในบัดดล
กระบวนทัพค่ายกลดอกบัวพิโรธพระโพธิสัตว์!
หนึ่งในกระบวนทัพค่ายกลอันเป็นตานานแห่งวัดเสวียนคง ถือครอง
พลังบุกทะลวงอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ!
ในการศึกยึดครองอาณาจักรขุนเขายะเยือก กระบวนทัพที่เจียงเจ๋อ
ใช้ ม ากที่ สุ ด เป็ น กระบวนทั พ ค่ า ยกลดอกบั ว พิ โ รธพระโพธิ สั ต ว์ นี้ เ อง
ภายใต้ พ ลั ง บุ ก ทะลวงอั น กล้ า แกร่ ง เกรี ย งไกรของกระบวนทั พ ค่ า ยกล
ดอกบัวพิโรธพระโพธิสัตว์ กระทั่งปิศาจจอมอหังการยังถูกบดขยี้เป็นเถ้า
ธุลี!
บัวเพลิงพิโรธอันกร้าวแกร่งสุดเปรียบปาน!
ในบรรดาสี่มหาสานัก แต่ละแห่งล้วนมีพิชัยยุทธ์พิเศษเฉพาะของตน
ซึ่งก่อเกิดขึ้นจากระบบวิชาเฉพาะของพวกมันเอง แต่ห ากเอ่ยถึงในด้าน
ของพลังบุกทะลวงอันแกร่งกร้าวเกรียงไกร ไม่ว่าจะเป็นกระบวนทัพค่าย
กลกระบี่เหินสะบั้นขวางของคุนหลุน กระบวนทัพค่ายกลกงล้อแดนสรวง
ของเทียนหวน หรือกระบวนทั พ ค่า ยกลกระแสทองค าหลั่ งไหลของซี เ ซ
วียน ก็ไม่มีกระบวนทัพใดเทียบได้กับกระบวนทัพค่ายกลดอกบัวพิโรธพระ
โพธิสัตว์แห่งวัดเสวียนคง กล่าวได้ว่ากระบวนทัพค่ายกลดอกบัวพิโรธพระ
โพธิสัตว์เป็นกระบวนทัพค่ายกลที่มีพลังบุกทะลวงกล้าแข็งที่สุดในสวรรค์
สี่ดินแดน!
เซียนนักรบวัดเสวียนคงทุกคน บนแขนพลันปรากฏอสรพิษแดงแห่ง
เพลิงไฟรัดพันอยู่บนท่อนแขนอย่างพร้อมเพรียง
เห็นฝ่ายตรงข้ามพากันล่าถอยอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวนี้ ท าให้
บรรดาเซียนนักรบแห่งวัดเสวียนคงยิ่งตื่นเต้นระทึกใจ

ม้าฝานพอเห็นเซียนนักรบฝ่ายตรงข้ามเร่งถอนตัวจากศึกตะลุมบอน
มันก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายค้นพบเจตนาของมันแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้
เป็นไปตามความคาดหมาย มันใช้การบุกทะลวงของเหลยเผิงผลักดั นอีก
ฝ่าย บีบบังคับพวกมันทาศึกตะลุมบอนเพื่อบั่นทอนกาลัง แม่ทัพฝ่ายตรง
ข้ามขอเพียงไม่ โง่ งม มันก็เชื่อว่าอี กฝ่ ายจะต้อ งหาทางตอบโต้กลยุ ท ธ์ นี้
ของมัน
แม่ ทั พ จากวั ด เสวี ยนคงผู้ห นึ่ งจะเป็ นตัว โง่ งมได้ ห รื อ ? มั น จึ ง ไม่ เชื่อ
เช่นนั้น
แต่การตอบโต้อย่างฉับไวเกินคาดของฝ่ายตรงข้าม ยังทาให้มันตื่น
ตะลึงอยู่บ้าง มันทราบว่าการต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น บรรดา
สามเณรของค่ า ยเสวี ย นอู่ เ ริ่ ม จะปรั บ ตั ว เข้ า กั บ จั ง หวะของสนามรบได้
หลั ง จากนี้ พ วกมั น จะสามารถอดทนต่ อ ความกดดั น มากกว่ า เดิ ม ขวั ญ
กาลังใจของพวกมันย่อมจะไม่ล่มสลายอย่างง่ายดายอีก
“พวกมันกาลังจะบุกทะลวง สมควรเป็นกระบวนทัพค่ายกลดอกบัว
พิโรธพระโพธิสัตว์!” เหนียนลู่ม่านตาหดแคบลง หอบหายใจเล็กน้อย เมื่อ
ครู่นี้มันเพิ่งต่อสู้กับจินตันของฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ม้าฝานพยักหน้า มันก็จ ดจ ากระบวนทัพนี้ได้เช่นกัน นับตั้งแต่พวก
มั น ทราบว่ า วั น หนึ่ ง จะต้ อ งต่ อ สู้ ห้ า หั่ น กั บ วั ด เสวี ย นคง พวกมั น ก็ เ ริ่ ม
รวบรวมข้อมูล ข่ าวสารทุ ก รู ป แบบของวั ด เสวียนคง รวมทั้งกระบวนทั พ
ค่ายกลที่อีกฝ่ายถนัดจัดเจน ม้าฝานย่อมต้องเคยชมดูผ่านตามาทั้งหมด
มันเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ
“ทุกคนเตรียมตัวให้พ ร้อ ม นึกไม่ถึงว่าของกานัล ชิ้น โตนี้จ ะต้ อ งยก
ให้แก่พวกมัน คนเหล่านี้ช่างมีวาสนานัก!”
เหนียนลู่หัวร่อฮี่ฮี่ ล่าถอยกลับมาเตรียมการ
ค่ายเสวียนอู่ก่อตั้งกระบวนทัพค่ายกลรู ปวงกลมอย่างรวดเร็ว ดูผิว
เผินแทบไม่ต่างจากค่ายกลป้องกันอันดาษดื่นขบวนหนึ่ง
“ตั้งใจให้ดี! พวกเจ้าทั้งหลาย ตั้งใจให้ดี!”
“จงฟัง! ไม่ต้องแตกตื่นลนลาน! เพียงทาไปตามที่เคยฝึกมาก็พอ!”
“ไม่ต้องไปมองพวกมัน พวกมันแค่พยายามขู่ขวัญพวกเจ้าเท่านั้น ไม่
มี อั น ใดใหญ่ โ ต เมื่ อ ครู่ พ วกเรามิ ใ ช่ เ พิ่ ง จะเข่น ฆ่า พวกมัน ไปร้ อ ยกว่ าคน
หรือ?”
เหล่าเซียนนักรบที่มี ป ระสบการณ์ ช่ว ยกั นปลอบขวั ญบรรดาสหาย
ร่วมค่าย กระบวนทัพค่ายกลที่กาลังจะใช้ออกนี้ พวกมันเพียงเคยฝึกฝนใน
สนามฝึกเท่านั้น ไม่เคยใช้ในการทาสงครามจริงมาก่อน
กระบวนทั พ ค่ า ยกลชุ ด นี้ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ม้ า ฝานทุ่ ม เทเรี่ ย วแรง ก าลั ง
มหาศาลเพื่อคิ ดค้นขึ้ นมา เดิมทีจุดประสงค์ เริ่ ม แรกของพวกมัน คื อ การ
หยุ ด ยั้ ง สามคลื่ นพิ ฆ าตของค่ า ยจู เ ชวี่ ย แม้ ว่ า ตามหลั ก การแล้ ว สมควร
ประสบผลสาเร็จ แต่นอกจากได้แต่ฝึกฝนในสนามฝึกก็ยังไม่เคยนาออกมา
ใช้ที่ใดเลย อย่าว่าแต่จะมีโอกาสได้ใช้ต้านรับสามคลื่นพิฆาตอันเกรียงไกร
ของค่ายจูเชวี่ย ดังนั้นม้าฝานไม่มีความมั่นใจมากเท่าใด
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายก าลังจะทุ่ มเทใช้ก ระบวนทั พรุ กจู่ โจมอย่ างสุ ด ขั้ ว
เช่นนั้นกระบวนทัพ ค่ ายกลชุดนี้ ก็ เหมาะที่จ ะน ามาใช้ใ นยามนี้ มากที่ สุ ด
แล้ว
ทั้งหมดนี้ล้วนให้แก่เจ้า!
ม้าฝานถลึงจ้องฝ่ายตรงข้ามตาเขม็ง สีห น้าของมันยามเลียริมฝีปาก
คล้ายสุนัขป่าที่กาลังจะไล่ล่าสังหารเหยื่อ! มันย่อมหวาดวิตกอยู่บ้าง แต่สี
หน้ามันกลับเผยอาการตื่นเต้นเร้าใจมากกว่า!
ชั่วขณะนี้เอง ฝ่ายตรงข้ามพลันลงมือ!

กลางเวหา เห็นเปลวไฟนับพันสายลากเป็นทางยาว ประดุจพายุเพลิง


โหมกระหน่าอย่างฉับพลัน!
เสียงกู่คารามกึกก้องกัมปนาท ทะเลเมฆสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น!
เห็ น อสรพิ ษ เพลิ ง ที่ รั ด พั น รอบแขนของเซี ย นนั ก รบวั ด เสวี ย นคง
ทั้ ง หมด ทั น ใดนั้ น ขยายใหญ่ ขึ้ น หลายเท่ า ตั ว สิ่ ง ที่ น่ า ตื่ นตะลึ ง ที่ สุ ด คื อ
บรรดาจิ น ตั น แขนขวาทั้ ง แขนของพวกมั น แทบจะถู ก ห่ อ หุ้ ม อยู่ ภ ายใน
เปลวเพลิงร้อนแรงอย่างสมบูรณ์ เปลวไฟของพวกมันยังสีเข้มกว่าเซียน
นักรบทั่วไป สุ้มเสียงจากเปลวเพลิงของพวกมันไม่ดังนัก แต่ลุ่มลึกสุดหยั่ง
บันดาลให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริด
พวกมันเร่งความเร็ว เร่งความเร็วขึ้นอีก เร่งความเร็วอย่างไม่หยุดยัง้ !
เสี ย งกึ ก ก้ อ งยิ่ ง มายิ่ ง กระหึ่ ม กั ง วาน คลื่ นอากาศอั น น่ า พรั่ น พรึ ง
ประดุจขวานยักษ์ ผ่าแยกทะเลเมฆด้านล่างพวกมันจนกระจัดกระจายเป็น
หลายส่วน ก่อเกิดเป็นภาพอันชวนสะท้านใจ ดาบเปลวไฟขนาดยักษ์ตัด
ผ่านทะเลเมฆ!
ซิวเจ่อด่านจินตันที่ด้านหน้าสุดใบหน้ าแดงก่า เปลวไฟบนแขนของ
มันลากเป็นทางยาวเหยียดอันสวยสดงดงาม!
ทันใดนั้นมันม่านตาหดแคบลง ร้องตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “พิโรธ!”
หมั ด ขวาเงื้ อไปด้ า นหลั ง จนสุ ด ล้ า จากนั้ น ต่ อ ยออกมาด้ ว ยพลั ง
ทั้งหมดที่มี!
“พิโรธ!”
เหล่าเซียนนักรบเบื้องหลังมันตวาดก้อง ต่อยหมัดตามติดอย่างพร้อม
เพรียง!
ปราณหมัดแดงเพลิงอันร้อนแรงเกือบพันสายพวยพุ่งออกจากหมัด
ของพวกมัน ประหนึ่งมังกรเปลวไฟพุ่งทะลวงออกจากกรงขัง กู่ร้องคาราม
โถมทะยานไปเบื้องหน้าอย่างดุดัน!
ปราณหมัดที่ยิ่งอยู่ด้านหลัง ยิ่งรวดเร็วกว่าปราณหมัดที่อยู่ด้านหน้า
เริ่มจากปราณหมัดเพลิงเกรี้ยวกราดแถวหลังสุด พากันพุ่งเข้าปะทะปราณ
หมั ด เพลิ ง ที่ อ ยู่ ด้ า นหน้ า พวกมั น จากนั้ น หลอมรวมเข้ า ด้ ว ยกั น แล้ ว พุ่ ง
ทะยานเข้าหาแถวถัดไป
ชั้นแล้วชั้นเล่า ปราณหมัดแถวหลังไล่ปะทะเข้ามาไม่หยุดยั้ง ก่อเกิด
ปราณหมัดเพลิงเกรี้ยวกราดที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ปราณหมัดแต่ละหมัดไม่
ต่ า งจากตั ว ประหลาดเพลิ ง ที่ ไ ล่ เ ขมื อ บกลื น สหายร่ ว มเผ่ า พั น ธุ์ อ ย่ า ง
ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเติบโตขึ้น!
พริบตาดุจประกายไฟ ปราณหมัดเพลิงเกรี้ยวกราดก่อกาเนิดเป็นดวง
ไฟมหึมาลูกหนึ่ง!
ผิวหน้าของลูกไฟยักษ์ แตกปะทุอยู่ต ลอดเวลา อาจมองเห็นเงาร่า ง
ใหญ่ยักษ์อันเลือนราง ติดตามมาด้วยหางเพลิงที่ลากจนเหยียดยาว
ภายในลูกไฟยัก ษ์ เงาร่างมหึม ายิ่งนานยิ่ง เติ บ โตชั ด เจนขึ้ นเรื่อ ย ๆ
รู ป ร่ า งคมชั ด ขึ้ น เปลวไฟบนผิ ว หน้ า หลอมละลายดั่ ง น้ า แข็ ง ละลาย
ท่ามกลางเปลวไฟ ใบหน้าพิโรธปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายหน้าของทุกผู้คน!
ราวกั บ ว่ า มี มื อ ที่ ม องไม่ เ ห็ น ก าลั ง แกะสลั ก ดวงไฟอั น ร้ อ นแรงให้
กลายเป็นใบหน้าถมึงทึง!
พิง้ !
ประดุจแก้วที่แตกกระจาย เปลวไฟชั้นนอกของลูกไฟยักษ์ แตกปะทุ
เป็นประกายแลบพุ่ง พัดกระจายไปตามสายลม
ท่ า มกลางสะเก็ ด ไฟพร่ า งฟ้ า พระโพธิ สั ต ว์ ป างพิ โ รธโกรธกริ้ ว สู ง
สามสิบจั้งทะยานออกมากลางเวหา หัตถ์ขวาถือดอกบัวเพลิงสีแดงฉานที่
ใหญ่โตกว่าร่างกายของตนหลายเท่า พระโพธิสัตว์ควงดอกบัวเหนือศีรษะ
แล้วเหวี่ยงฟาดตรงดิ่งไปยังค่ายเสวียนอู่ที่ห ดกระบวนทัพเป็นรู ปวงกลม
ดุจดาวตกดวงมหามหึมาพาดผ่านนภา!
ชั่วพริบตานี้ ท้องฟ้าคล้ายเปลี่ยนเป็นสี แ ดงฉานดั่ งถูกเพลิงไฟโหม
ไหม้
ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของพวกมัน ถล่มทลายอย่างรุ นแรง หลอมละลาย
ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา
ดวงตาโกรธขึ้งของพระโพธิสัตว์ดอกบัวเพลิงจ้องมองอย่างไม่แยแส
ราวกับกาลังทอดตามองมดปลวกฝูงหนึ่ง
ม้าฝานแทบไม่กล้าหายใจ มันถลึงจ้องดอกบัวเพลิงพระโพธิสัตว์ที่พุ่ง
ดิ่งเข้ามา ดวงตาพลันทอแววบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นเอง มันเบิ่งตากว้าง กระบี่บินที่ชูขึ้นเป็นเวลานาน สะบัดฟัน
ลงอย่างสุดแรงเกิด
“ฆ่า!”
บทที่ 580 กระบวนทัพค่ายกลสะพานสายรุ้ง

ในมือของไพร่พลค่ายเสวียนอู่แต่ละคน ปรากฏดวงแสงขึ้นคนละดวง
ดวงแสงเหล่านั้นสีสันแตกต่างหลากหลาย มองแต่ไกลคล้ายว่าพวกมันถือ
ตะเกียงหลากสีสันละลานตา
แต่หากพิศดูให้ถี่ถ้วน จะพบด้วยความประหลาดใจว่าตะเกียงหลากสี
เหล่านี้ จัดขบวนซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ทีละดวง ทีละชั้น เรียงรายทับซ้อนเป็น
วงแหวนใหญ่น้อยมากกว่าสามสิบหกชั้น
ทันทีที่เสียงตวาด ‘ฆ่า!’ ของม้าฝานดังกึกก้องขึ้น
ซิวเจ่อที่วงนอกสุดของกระบวนทัพก็ไม่รีรอลังเล ซัดดวงแสงในมือ
ของพวกมันออกไปอย่างพร้อมเพรียง!
วู้ม!
วงแสงโค้ ง ดุ จ สะพานสายรุ้ ง พุ่ งทะยานออกไปจากกระบวนทั พรู ป
วงกลมอย่างฉับพลัน ตรงดิ่งเข้าหาบัวเพลิงพระโพธิสัตว์อย่างไม่ครั่นคร้าม
วู้มวู้มวู้ม!
เสี ย งหวี ด แหลมดั ง กระหึ่ม ไม่ ข าดหู สะพานสายรุ้ง เส้นแล้ว เส้นเล่า
เหินทะยานเข้าไปเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ จนแน่นขนัด ภายในชั่วหนึ่งในสิบ
ของอึดใจ สะพานสายรุ้งทั้งสามสิบหกชั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมา!
สะพานสายรุ้งแต่ละวงมีสีสันผิดแผกแตกต่าง สายรุ้งสามสิบหกสีที่
แตกต่ า งกั น ผนึ ก รวมเข้ า ด้ ว ยกั น ก่ อ ตั ว เป็ น สะพานสายรุ้ ง หลากสี อั น
เพียบพร้อมสมบูรณ์ชุดหนึ่ง!
กระบวนทัพค่ายกลสะพานสายรุ้ง!
นี่คือกระบวนทัพค่ายกลป้องกันที่ม้าฝานคิดค้นขึ้นมาเพื่อค่ายเสวียน
อู่ โ ดยเฉพาะ เพราะเพื่ อ ค่ า ยกลชุ ด นี้ มั น ต้ อ งใช้ เ วลาไปมากมาย ทุ่ ม เท
สมาธิจิตใจลงไปเป็นจานวนมหาศาล ถึงกับต้องแล่นไปเยือนค่ายจินวูนับ
ครั้งไม่ถ้วน!
ชั่ ว พริ บ ตาที่ ส ะพานสายรุ้ ง เจิ ด จ้ า บาดตาก่ อ ตั ว ขึ้ น เป็ น รู ป เป็ น ร่ า ง
ความตื่ นเต้ น ลิ ง โลดที่ ไ ม่ มี สิ่ ง ใดเสมอเหมื อ น ก็ แ ผ่ ซ่ า นไปทั่ ว ทุ ก ส่ ว นใน
ร่างกายของม้าฝาน มันร่างสั่นระริกอย่างสุดจะระงับยับยั้ง
ทุกผู้คนก็ไม่อาจหยุดพักวางใจได้ พวกมันแทบหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว
กว่าที่จะฝึกฝนค่ายกลชุดนี้จ นสมบูรณ์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันต้องทน
ทุกข์ทรมานมากมายเท่าใด ต้องผ่านการลงโทษอย่างไร้มนุษยธรรมมากี่
ครั้งกี่หน! ทุกผู้คน นับตั้งแต่ม้าฝานลงมาจนถึงเซียนนักรบมือใหม่ที่สุดใน
ค่าย ล้วนต้องมุ่งมั่นฝึกปรือซ้าแล้วซ้าเล่าไม่ต่างกัน!
สะพานสายรุ้งอันงดงามละลานตา ก็เป็นเช่นเดียวกันกับความงดงาม
จนแทบจะเหนือโลกของมัน นั่นคือยากจะสร้างสาเร็จไม่ต่างกัน
สะพานสายรุ้งสามสิบหกวงแหวน หากหนึ่งในนั้นเกิดข้อผิดพลาดแม้
เพียงเล็กน้อย จะไปรบกวนสะพานรุ้งสายอื่น จนแตกระเบิดเป็นดอกไม้ไฟ
ที่ไร้พิษสงใด ๆ เท่ากับว่าทุกอย่างสูญเปล่าทั้งหมด
เงาร่างพระโพธิสัตว์คล้ายสัมผัสได้ถึงอันตราย พลันแผดเสียงคาราม
ดังสะเทือนฟ้า ดอกบัวในมือยิ่งฟาดลงมาอย่างเร่งร้อนกว่าเดิม!
สะพานรุ้งประหนึ่งสายลมพาดผ่านนภา ปรากฏขึ้นตรงหน้าร่างพระ
โพธิสัตว์โดยไร้เสียง
เปลวไฟแดงฉาน!
สายรุ้งงดงามละลานตา!
สองยอดพลังค่ายกลปะทะชนกันอย่างหักโหม
แสงระเบิดสว่างวาบบาดตา ครอบฟ้าคลุมดิน อาบท่วมทั้งโลกจนตก
อยู่ ภ ายใต้ แ สงเจิ ด จรั ส แต่ บ รรดาซิ ว เจ่ อ จิ น ตันไม่ มี ผู้ใ ดกะพริ บ ตา พวก
มันถลึงจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง เกรงว่าจะพลาดรายละเอียดใดไป!
สะพานรุ้งชั้นแรกแตกทลาย!
สะพานรุ้งชัน
้ ที่สองแตกทลาย!
สะพานรุ้งชั้นที่สิบแตกทลาย!
สะพานรุ้งชั้นที่สิบเอ็ดแตกทลาย!
สะพานรุ้งชั้นที่สิบแปดหยุดยั้งดอกบัวเพลิงเอาไว้ได้!
พระโพธิสัตว์ดอกบัวพิโรธกู่ก้องด้วยโทสะ ร่างดีดพุ่งเข้าไปในดอกบัว
เพลิงด้วยตัวเอง ดอกบัวเพลิงพลันลุกโชนท่วมฟ้า ระเบิดทะลวงรุ ดหน้า
ด้วยกาลังแรง!
ทะลุทะลวงสะพานสายรุ้ง!
สะพานรุ้งชั้นที่ยี่สิบสามแตกทลาย!
ดอกบัวเพลิงคล้ายงอกเงยออกมาจากสะพานสายรุ้งเอง เป็นดอกบัว
ที่เติบโตเพื่อประดับตกแต่งสะพานรุ้ง ไม่ว่ามันจะปั่ นป่วนก่อกวนเท่าใด
สะพานรุ้งก็ไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ตูม!
ทันใดนั้นดอกบัวเพลิงแตกระเบิดดังสนั่นลั่นโลก ลาแสงสีแดงบาดตา
พลันลุกโชติช่วงด้วยแสงเพลิงสีข าวแผดกล้า คราครั้งนี้กระทั่งจินตันยัง
ต้องหลับตาหลบเลี่ยง!
ชั้นที่ยี่สิบสี่แตกทลาย! ชั้นที่ยี่สิบห้าแตกทลาย!
ชั้นที่ยี่สิบเจ็ดยังคงต้านทานอย่างแข็งขัน ไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย คลื่น
อากาศแผดเผาโหมอาละวาดฟาดทลายไปตามส่วนโค้งของพื้นผิวสายรุ้ง
ไหลบ่าออกไปยังสองฟากข้าง
เหล่ า จิ น ตั น ใต้ ร่ ม ธงของฟ่ ง เยวี่ ย ใบหน้ า ขาวเผื อ ด การโจมตี เ มื่ อ
ล้มเหลว พลังสะท้อนอันรุ นแรงก็กระแทกทาร้ายพวกมันรับบาดเจ็บทันที
บางคนที่พลังฝึกปรือไม่กล้าแข็งพอถึงกับกระอักเลือดเป็นฟูฝอย แทบจะ
ร่วงลงจากฟากฟ้า ร้อนถึงสหายที่อยู่ด้านข้างต้องรีบคว้าร่างของพวกมัน
เอาไว้ แต่ใบหน้าของซิวเจ่อเหล่านี้แดงฉานอย่างน่าตระหนก เห็นได้ชัดว่า
พวกมันไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้
แต่ ย ามนี้ ผู้ ใ ดจะมั ว มาใส่ ใ จเรื่ องเหล่ า นี้ ทุ ก ผู้ ค นถลึ ง จ้ อ งสะพาน
สายรุ้งที่เหลือเพียงบางเฉียบ สีหน้ามึนงงซึมเซา!
หยุดแล้ว... ...มันหยุดแล้วจริง ๆ... ...
เป็นไปได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไรกัน... ...
ดอกบัวพิโรธพระโพธิสัตว์จะถูกหยุดยั้งได้อย่างไร?
ฟ่งเยวี่ยเหม่อมองสะพานรุ้งงดงามที่พาดกลางเวหาด้วยสีหน้า โง่งม
บนใบหน้าทอแววเหลือเชื่อ ดอกบัวพิโรธพระโพธิสัต ว์แกร่งกร้าวเกรียง
ไกรเพียงใด ในที่นี้ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่านาง นางเชื่อมั่นว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็น
สามมหาส านั ก ที่ เ หลื อ ก็ ไ ม่ มี ท างหยุ ด ยั้ ง ดอกบั ว พิ โ รธพระโพธิ สั ต ว์ ไ ด้
โดยง่าย!
แต่มันกลับถูกหยุดเอาไว้จริง ๆ... ...
หลังจากเหม่อมองอย่างงุนงงอยู่สองสามอึดใจ ฟ่งเยวี่ยพลันรู้สึกตัว
ใบหน้าขาวเผือดไร้สีเลือด ดอกบัวพิโรธพระโพธิสัตว์แม้ทรงพลังอานาจ
สุดเปรียบปาน แต่มิใช่ว่าไม่มีจุดอ่อน เนื่องเพราะมันดุเดือดรุ นแรงเกินไป
ยามเมื่อถูกหยุดเอาไว้ได้ ผลกระแทกสะท้อนอันรุ นแรงจะย้อนกลับมาทา
ร้ายพวกมันเองอย่างง่ายดาย
แต่เนื่องเพราะมันแทบไม่เคยถูกหยุดยั้ง จุดอ่อนข้อนี้จึงมักไม่ค่อยมี
ใครใส่ใจจะจดจา
จนกระทั่งบัดนี้!
จุ ด อ่ อ นข้ อ นี้ ถู ก บี บ บั ง คั บ ให้ เ ผยออกมาอย่ า งหมดเปลื อ ก ฟ่ ง เยวี่ ย
กวาดตามองรอบข้าง หัวใจดิ่งวูบ เซียนนักรบในกองทัพของนางกว่ าครึ่ง
รับบาดเจ็บไม่เบา บ้างถึงขั้นหนักหนาสาหัสจนน่าจะไม่มีชีวิตรอด เป็นครั้ง
แรกที่นางจ้องมองฝ่ายตรงข้ามราวกับไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน นางกัด
ริมฝีปากงามจนแทบห้อเลือด
กองทัพไร้ช่ อ
ื เสียงเรียงนาม จากอาณาจักรที่ไม่มีผู้ใดสนใจ
กระทั่ ง ถึ ง ยามนี้ นางยั ง ไม่ ล่ว งรู้ ด้ ว ยซ้ า ว่ า กองพั นของผู้ อ่ ืน เรีย กว่า
อะไร ...แต่ ก องทั พ เยี่ ย งนี้ กลั บ หยุ ด ยั้ ง ดอกบั ว พิ โ รธพระโพธิ สั ต ว์ อ ย่าง
เบ็ ด เสร็ จ เด็ ด ขาด เรื่ องนี้ ห ากแพร่ ส ะพั ด ออกไป เกรงว่ า จะสะท้ า นทั่ ว
สวรรค์สี่ดินแดนแล้ว!
โฉมงามแห่งวัดเสวียนคงจับจ้องมองดูฝ่ายตรงข้ามตาเขม็ง ราวกับว่า
นางปรารถนาจะประทับภาพของพวกมันเอาไว้ในใจนาง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ข้ารู้อยู่แล้ว! ข้ารู้อยู่แล้ว! มีอันใดต้องกลัวด้วย!” เสียง


หัวร่อดังกระหึ่มของเหลยเผิ งสามารถได้ยินจากที่ห่ างไกล สีห น้ามัน แม้
แฝงแววเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรง แต่ยังคงตื่นเต้นลิงโลดสุดระงับ
บนใบหน้าของเหนียนลู่ก็มีรอยยิ้มเบิกบานปานบุปผาสะพรั่ง ในยาม
นี้ ใบหน้าหล่อเหลาของมันดูคล้ายเด็กน้อยที่เพิง่ ได้เล่นของเล่นที่ถูกใจ
ม้าฝานบนใบหน้าก็มีแต่ความตื่นเต้นเร้าใจ แต่ไม่อาจกล่าววาจาได้
แม้สักครึ่งคา มันตื่นเต้นยินดีเกินไป ตื่นเต้นยินดีมากเกิ นไปจริง ๆ ตื่นเต้น
ยินดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
กระบวนทัพค่ายกลสะพานสายรุ้งเป็นผลงานชิ้นเอกของมัน!
มันรู้ดีว่าตัวมันเองไม่ใช่แม่ทัพบัญชาการศึกที่เด่นล้าอันใด แต่แม่นาง
น้ อ ยต้ า เหริ น เมื่ อ วางใจมอบค่ า ยเสวี ย นอู่ ไ ว้ ใ นมื อ มั น มั น ก็ ไ ม่ อ าจสร้ า ง
ความผิดหวังให้ แ ก่ต้า เหรินได้ กับบรรดาซิ ว เจ่อ ที่ผิ ด แผกแตกต่ า งอย่ า ง
สิ้นเชิง กับเวทวิชาอันหลากหลายมากมาย มันต้องใช้ความอดทนอดกลั้น
อย่างน่าตระหนก เพื่อค่อย ๆ ผสานรวมพวกมันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่ มี ก ลยุ ท ธ์ ที่ ลึ ก ล้ า ซั บ ซ้ อ น แต่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยกลยุ ท ธ์ ย่ อ ยจ านวน
มากมายจนชวนให้ต่ น
ื ตะลึง
มันอาจเป็นผู้ริเริม
่ กระบวนทัพค่ายกลสะพานสายรุ้ง แต่ผู้ที่ทาให้ค่าย
กลชุดนี้เพียบพร้อมสมบูรณ์อย่างแท้จริงกลับเป็นค่ายจินวู
มันล่วงรู้ขีดจากัดของตัวเองดี
มันทราบว่าส าหรับค่ายเสวียนอู่ ดูจ ากโครงสร้างองค์ป ระกอบของ
พวกมัน ไม่มีทางที่จะถนัดจัดเจนในการบุกจู่โจม พิชิตไปโดยไร้ผู้ต้านเฉก
เช่นค่ายจูเชวี่ยได้ สิ่งที่มันต้องฝึกฝนค่ายเสวียนอู่ก็มีเพียงวิถีทางการทา
ศึกตะลุมบอน และกลายเป็นกองพันที่เชี่ยวชาญการป้องกันเท่านั้น
มันกัดฟันตั้งมั่น ค่อย ๆ ขัดเกลาจนกลายเป็นค่ายเสวียนอู่ในทุกวันนี้
ค่ า ยเสวี ย นอู่ เ มื่ อส าแดงพลั ง ออกมาอย่ า ง เหนื อ ความคาดหมาย
ส าหรับมันซึ่งเป็นผู้ส ร้างค่ายนี้ขึ้นมากับมือ ยังจะมีสิ่งใดที่น่าปลาบปลื้ม
ประโลมใจมากไปกว่านี้อีกเล่า
แต่ในสถานการณ์ต รงหน้า มันได้แต่ระงับความตื่นเต้นยินดีไว้ในใจ
การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดลง แต่มันสังเกตเห็นไพร่พลที่บ าดเจ็ บของฝ่า ยตรง
ข้าม รวมถึงขวัญกาลังใจที่ตกต่าของพวกมัน ม้าฝานลอบถอนหายใจอย่าง
โล่งอกในทันที
กระบวนทั พ ค่ า ยกลสะพานสายรุ้ ง เพิ่ ง จะเผยโฉมเป็ น ครั้ ง แรก ทุ ก
ผู้คนรวมทั้งตัวมันเอง ไม่กล้าออมรั้งสิ่งใดไว้เบื้องหลัง ดังนั้นยามนี้พวกมัน
ทั้งกองทัพ เรียกได้ว่าแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่รอมร่อ
โชคยังดีที่อีกฝ่ายก็รับบาดเจ็บบอบช้าไม่น้อย ทั้งสองฝ่ายล้วนใกล้จะ
หมดแรงต่อสู้ไม่ต่างกัน!

กองทัพทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาพชะงักงันอย่างน่าประหลาด
ทั้งสองฝ่ายในใจล้วนมีแผนการเดียวกัน นั่นคือรอคอยกาลังหนุนจาก
สหายของพวกมัน
ในใจม้ า ฝาน ค่ า ยจู เ ชวี่ ย คื อ ตั ว ตนอั น ไร้ เ ที ย มทาน หากค่ า ยจู เ ชวี่ ย
มาถึง ไม่ว่ากองทัพฝ่ายตรงข้ามจะมีจานวนมากมายสักเท่าใด พวกมันก็
สามารถถล่มทาลายจนพินาศสิ้น ส่วนในใจของฟ่งเยวี่ย เกาเซวียนนาทัพ
จากกองพันเจียงจื้อจานวนห้าร้อยนาย พวกมันล้วนเป็นกองทัพหลักของ
วัดเสวียนคง! ต่อให้กองทัพศัตรู มีจานวนมากกว่านี้อีกหลายเท่า กองพัน
เจียงจื้อห้าร้อยคนก็สามารถเข่นฆ่าพวกมันจนราบคาบ!
ทั น ใดนั้ น เอง ม้ า ฝานกั บ ฟ่ ง เยวี่ ย สี ห น้ า ทอแววปิ ติยิ นดี อ ย่ า งพร้อม
เพรียง
แทบจะในเวลาเดียวกัน กองทัพสองขบวนทยอยปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
เหล่าสหายของตน
ค่ายจูเชวี่ย!
กองพันเจียงจื้อ!

แม่นางน้อยกวาดตามองสนามรบแวบหนึ่ง พลันเข้าใจสถานการณ์
โดยรวมอย่างแจ่มแจ้ง อดไม่ได้ต้องหันไปมองม้าฝานด้วยสายตาชมเชย
แต่ ร อจนมั น ทอดตามองไปยั ง กองทั พ ฝ่ า ยตรงข้ า ม ดวงตาพลั น
เปลี่ยนเป็นเย็นชาปานน้าแข็ง รอยยิ้มยิ่งมายิ่งกว้างขวางกว่าเดิม
จากนัน
้ มันพบว่ากาลังเสริมของฝ่ายตรงข้ามมีเพียงห้าร้อยคนเท่านั้น
ความทระนงถือดีของแม่นางน้อยพลันสาแดงฤทธิ์ทันที “เว่ยหยาน!”
“ผู้น้อยอยู่!” เว่ยหยานรีบขานรับ
“เลือกคนห้าร้อย ออกไปเล่นกับพวกมันสักครา!” แม่นางน้อยแย้มยิ้ม
เบิกบานปานบุปผา สุ้มเสียงเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยความถือดี
“รับคาสั่ง!” เว่ยหยานรับคา สีหน้าสงบราบเรียบราวกับกาลังจะออก
ลาดตระเวน ไม่ใช่จะไปสัประยุทธ์กับกองพันชั้นยอดจากสี่มหาอานาจ
กองทัพที่มีห้าร้อยคนแยกตัวออกจากค่ายจูเชวี่ยอย่างรวดเร็ว

เกาเซวียนพอเห็นฟ่งเยวี่ยที่ยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ดี พลันถอนหายใจ
อย่างโล่งอก แต่รอจนมันเพ่งมองให้ถนัดชัดตากลับตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว
ฟ่งเยวี่ยดูเหมือนประสบความสูญเสียไม่น้อย!
พวกมันขวัญกาลังใจตกต่า เซียนนักรบเกือบครึ่งทัพรับบาดเจ็บบอบ
ช้าอย่างหนัก
เกาเซวียนหยีตาลง ประกายเย็นเยียบสาดวาบในดวงตา วัดเสวียนคง
เคยพ่ายแพ้อย่างยับเยินถึงเพียงนี้ต้งั แต่เมื่อใด?
มันไม่กล่าวคาใด กองทัพใต้บัญชาการของมันไหลรี่ดุจปรอท เคลื่อน
เข้าประจาต าแหน่ง ด้ านหน้ า กองพัน ฟ่ง เยวี่ย ในบั ดดล เกาเซวียนสี ห น้ า
ราบเรียบมั่นคง จ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเย็นชา หน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่
น้อย
แต่รอจนมันเห็นกองทัพที่มีขนาดใกล้เคียงกับกองทัพของมัน แยกตัว
ออกมาจั ด กระบวนทั พ เตรี ย มบุ ก จู่ โ จม ประกายตามั น พลั น เปลี่ ย นเป็น
แหลมคมดุจปลายมีด!
กระทั่งคนหนักแน่นมั่นคงเช่นมัน ยังอดบันดาลโทสะอยู่บ้างไม่ได้
กองพันเจียงจื้อไหนเลยเคยถูกผู้คนหยามหยันถึงเพียงนี้?
กองพันเจียงจื้อที่มักอาศัยคนน้อยจัดการพวกมาก พวกมันสามารถ
โลดแล่นในกระบวนทัพของศัตรู ดุจ สวนหลังบ้านของตน ปลิดศีรษะศัตรู
ปานหยิบวัต ถุในถุงย่าม เข่นฆ่าเข้าออกหลายครั้งหลายหน ประหนึ่งบุก
ผ่านดินแดนร้างไร้ผู้คน!
เคยมี ศั ต รู ที่ ใ ช้ ก องทั พ จ านวนเท่ า กั น เข้ า ปะทะหั ก หาญกั บ กองพัน
เจียงจื้อตั้งแต่เมื่อใด?
แน่นอนว่าคนโง่ไม่รู้จักกลัว!
เกาเซวียนจิต ใจเย็นเยือกปานน้าแข็ง รังสีฆ่าฟันทะลักล้นออกจาก
ร่าง

เว่ยหยานทอดตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างเยือกเย็น
มันเป็นหนึ่งในหัวหน้ากองที่ติดตามแม่นางน้อยมาเป็นเวลานานที่สุด
แต่มันแตกต่างจากม้าฝาน มันในตอนเริ่ มแรกไม่ไ ด้มี ค วามสามารถโดด
เด่นอันใด แต่ด้วยการติดตามแม่นางน้อยออกทาศึกและเฝ้าศึกษาเรียนรู้
อย่างไม่เคยหยุดหย่อน ความสามารถในฐานะแม่ทัพบัญชาการศึกของมัน
ก็ประดุจหยกที่ถูกเจียระไน ค่อย ๆ เผยประกายออกมาทีละน้อย
หากว่ า กั น ตามค าประเมินของแม่ นางน้อ ย ต้ อ งบอกว่ า เว่ ยหยานมี
ท่วงท่าลักษณะของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง
แน่นอนว่าด้วยนิสัยใจคอกึ่งคลุ้มคลั่งของแม่นางน้อย มันอดรู้สึกอยู่
บ้างไม่ได้ว่าเว่ยหยานสุภาพเรียบร้อยเกินไป แต่นี่ไม่ส่งผลกระทบต่อศักดิ์
ฐานะของเว่ยหยานในค่ายจูเชวี่ย
สาหรับการปรับปรุงรากฐานพิชัยยุทธ์ใหม่ของค่ายจูเชวี่ย เว่ยหยานมี
ส่วนร่วมด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ
แม้ว่ามันไม่อาจเทียบได้กับแม่นางน้อยผู้มีความเข้าใจทั้งซิวเจ่อ อสูร
และปิ ศ าจอย่ า งลึ ก ล้ า แต่ น อกเหนื อ จากแม่ น างน้ อ ยต้ า เหริ น ก็ ไ ม่ มี ผู้ ใด
เข้าใจในพิชัยยุทธ์ใหม่ได้ดีไปกว่ามัน
ที่สาคัญไปกว่านั้น... ...
เว่ยหยานเลื่อนสายตามองไปยังม้าฝาน อดอิจฉาเลื่อมใสสหายรักผู้นี้
ไม่ได้จริง ๆ
ส าหรั บ แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ผู้ ห นึ่ ง สามารถสร้ า งกองทั พ ตามแบบ
ฉบับของตัวเองสาเร็จอย่างงดงาม นับเป็นสิ่งล่อใจที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
จะไม่ให้มันริษยาม้าฝานจนตาร้อนฉ่าได้อย่างไร
จากนั้นเว่ยหยานรั้งสายตากลับมา
มั น เพ่ ง มองตรงไปยั ง คู่ ต่ อ สู้ ข องมั น เว่ ย หยานสามารถเห็ น ได้ ว่ า
กองทัพฝ่ายตรงข้ามนับเป็นสุดยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ แต่โดยไม่รู้ตัว จิต
วิญญาณการต่อสู้ในใจมันประดุจเปลวไฟลุกโชติช่วง แผดเผาโลหิตในกาย
จนเดือดพล่าน
ในดวงตาอันสงบเยือกเย็น สาดประกายร้อนแรงด้วยความกระหาย
การต่อสู้ที่ไม่ปกปิดซ่อนเร้นอีกต่อไป!
การศึกครั้งนี้มันต้อง...
ชนะ!
บทที่ 581 หมู่ดาวประทานพร

จั่วม่อดื่มด่าอยู่กับการอ่านเคล็ดความบนหลักศิลา ซือจื่อหมิงผู้นี้เป็น
อั จ ฉริ ย ะสุ ด พิ ส ดารโดยแท้ ตั ว มั น เองแม้ ไ ม่ ไ ด้ ฝึ ก ปรื อ แต่ วิ ช าความรู้
เกี่ยวกับพลังทั้งหลายกลับถูกต้องแม่นยาเหนือธรรมดา อาศัยคาแยกแยะ
ของมัน พื้นฐานแก่นแท้ของพลังทั้งสามวิถีถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจนแจ่ม
แจ้ง จั่วม่อได้รับประโยชน์นับอเนกอนันต์
นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบพลังทั้งสามวิถีกลายเป็นกระจ่างแจ้งชัดเจนใน
ใจจั่วม่อ ในอดีตมันทุ่มเทความพยายามในการฝึกปรือพลังทั้งสามไม่น้อย
แต่ ไ ม่ เ คยพบเจอจุ ด บรรจบของพวกมั น มาก่ อ น พลั ง ทั้ ง สามให้ ก าเนิ ด
ระบบฝึกปรือเฉพาะของตนเอง แต่ล ะวิถีเพียบพร้อมไปด้วยเคล็ดความ
มากมายเหลือคนานับ เวทวิชา ศาสตร์อสูร ทักษะปิศาจ วิถีบาเพ็ญเพียร
ใดไม่ได้ประกอบด้วยเคล็ดวิชานับล้านวิชา?
ไม่ต้องเอ่ยถึงทั้งสามพลัง เพียงยกตัวอย่างวิถีพลังระบบเดียว คิดทา
ความเข้าใจไปถึงแก่นแท้ของมัน ก็นับว่ายากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์แล้ว
แต่ละระบบพลังมีความหลากหลาย แยกย่อยออกไปมากมาย ไม่ต่างจาก
เส้ น แยกย่ อ ยบนใบไม้ มี ท้ั ง เส้ น สาขาหลั ก และเส้ น สาขาแยกย่ อ ยอยู่ ใ น
ระบบเดียวกัน ผู้ที่สามารถทาความเข้าใจแก่นแท้ของเส้นสาขาหลัก ล้วน
เป็นยอดยุทธ์ระดับแถวหน้า
และการทาความเข้าใจแก่นแท้ของระบบพลังทั้งสามอย่างครบถ้วน
ในโลกนี้ยังมีผู้ใดสามารถทาได้?
นึกไม่ถึงว่าจะมีคนเช่นนี้จริง ๆ คือซือจื่อหมิงผู้ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์ผู้
นี้เอง
ทอดตามองหลักศิล าตั้งตรงทะยานฟ้า จั่วม่ออดไม่ได้ให้รู้สึกราวกับ
ว่ากาลังจ้องมองขุนเขาตระหง่านง้าค้าฟ้า หากสิ่งเหล่านี้ถูกจารึกไว้โดย
ยอดยุทธ์ผู้มีฝีมือเลิศภพจบแดนในใต้หล้า จั่วม่อจะไม่ต่ น
ื ตะลึงเท่านี้
แต่ ปิ ศ าจอ่ อ นแอผู้ ฝึก ทัก ษะปิ ศาจเพี ยงไม่กี่ วิ ช า กลั บ สามารถมอง
ทะลุความลี้ลับลึกซึ้งทั้งมวลจนปรุ โปร่ง อัจฉริยภาพอันน่าแตกตื่นสะท้าน
โลกนี้ กระทั่งสามร้อยปีให้หลังยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องยอมศิโรราบ
ค าอรรถาธิ บ ายเรื่ องพลั ง ทั้ ง ส ามของซื อ จื่ อหมิ ง ก่ อ เกิ ด ความ
ประทับใจแก่จ่ว
ั ม่ออย่างลึกล้า
เนื่องเพราะมันฝึกปรือพลังเทพ พลังทั้งสามในร่างมันผสานรวมเป็น
หนึ่ง เชื่อมประสานเข้าด้วยกัน แต่ในด้านความสัมพันธ์ข องพลังทั้งสาม
มันมีความเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความเข้าใจของมันเดิมทีเลื่อนลอยเลือนรางเป็นอย่างยิ่ง แต่รอจน
พบเห็นคาบรรยายของซื อจื่อหมิง ในด้ านความสัมพั นธ์ข องพลัง ทั้ ง สาม
เหมือนระฆังใหญ่ดังวังวาน ปลุกผู้คนในโลกิยะให้สาเหนียกถึงวิถีแห่งธรรม
มันพลันบรรลุความเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในบัดดล
มันปลาบปลื้มยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
จั่วม่อจ้องมองหลักศิลาตาเขม็ง จิตใจกระจ่างชัดผิดธรรมดา พลังทั้ง
สามในร่างของมันโคจรหมุนเวียนไปตามความเข้าใจใหม่ที่เพิ่งค้นพบ
ยามนี้ วิ ก าลคล้ อ ยดึ ก ล่ ว งเข้ า ยามเที่ ย งคื น พอดี ท้ อ งฟ้ า เบื้ องบน
ดารดาษไปด้วยทะเลดาว
ภายในมุ ม มื ด ด้ า นหนึ่ ง บุ รุ ษ ผมม่ ว งสี ห น้ า เต็ ม ไปด้ ว ยความรู้ สึ ก
เหลือเชื่อ กระซิบพึมพาปานละเมอ “หลักศิลาที่สามสิบสอง! หลักศิลาที่
สามสิบสาม... ...”
มั น หั น ไปมองส่ ว นลึ ก ที่ สุ ด ของป่ า ศิ ล า ทั น ใดนั้ น บั ง เกิ ด ความคิ ด
ประหลาดประการหนึ่ง คนสองคนที่รุดหน้าผ่านหลักศิลาทักษะปิศาจมหา
สันติด้วยระดับความเร็วเหนือคนทั่ว ไปกลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน นี่ใช่
เป็นโชคชะตาหรือไม่?
ในปีนั้น มันก็เฝ้ามองชีเตียวอวี่เดินผ่านหลักศิลาทักษะปิศาจเหล่านี้
ด้ ว ยลั ก ษณะอาการแทบไม่ ต่ า งกั น มาบั ด นี้ ปรากฏบุ รุ ษ หนุ่ ม อี ก ผู้ ห นึ่ ง
รุ ดหน้าไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าชีเตียวอวี่เสียอีก ความทรงจามากมาย
ผุดขึ้นในห้วงคะนึง อดทอดถอนใจไม่ได้
แต่มันทราบกระจ่าง นี่เป็นคืนที่จะไม่มีขุมกาลังใดในนครมหาสันติได้
หลับตาลง!
ไม่มีขุมกาลังใดจะนั่งนิ่งเฉยได้ พวกมันจะต้องพยายามทาบทามยอด
อัจฉริยะหน้าใหม่ผู้นี้เข้าสังกัดให้จงได้!
ในเวลานี้ เ อง ล าแสงจากดวงดาวสายหนึ่ ง พลั น สาดวาบลงมาจาก
ทะเลดาวเบื้องบน ส่องทาบลงบนร่างของเซี่ยวม่อเกอผู้ยืนเคลิบเคลิ้มอยู่
ด้านหน้าหลักศิลา!
ล าแสงสายนี้ ห นาแน่ น เข้ ม ข้ น เต็ ม ไปด้ ว ยละอองแสงทรายดาว
ระยิบระยับไหลรินลงมา
ทันใดนั้นเซี่ยวม่อเกอร่างส่องประกายแสงสีทองเจิดจ้า สะบัดไหวดุจ
เปลวไฟอันพิสดาร กระทั่งยืนหลบอยู่ห่างไกล บุรุษผมม่วงยังสามารถรู้สึก
ถึงพลังความร้อนแผดเผาที่แผ่ซ่านออกมาได้
แสงประกายของทรายดาวไม่ได้ พร่า งพรายสะดุดตา แต่ท่ามกลาง
แสงดาวเจิดจ้า พวกมันดูละเอียดงดงามอย่างบอกไม่ถูก
แสงสีทองจากร่างของเซี่ ยวม่อ เกอประดุจ วัง วนอันทรงพลัง ดึงดู ด
ทรายดาวเข้าไปไม่ขาดสาย
นิมิตแห่งฟ้าดิน!
บุรุษผมม่วงเบิกตามองท้องฟ้า อย่ างตื่นตะลึง เห็นหมู่ดาวมากมาย
เหลื อ คนานั บ หมุ น คว้ า งอย่ า งแช่ ม ช้ า แสงดาวบาง ๆ ผนึ ก รวมรั้ ง เป็ น
ล าแสงเจิ ด จ้า สายนั้น ภาพเหตุ ก ารณ์ อั นน่ า ตื่นตาตื่น ใจนี้ บั น ดาลให้มัน
แทบไม่อาจสงบใจเอาไว้ได้
ถ้อยคาอันแปลกประหลาดและห่างไกลพลันผุดขึ้นในจิตใจมัน ...หมู่
ดาวประทานพร!
ในส่วนลึกของป่าศิลา ชีเตียวอวี่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าหลักศิลาราว
กับหลวงจีนชรากาลังเข้าฌาน มันนั่งอยู่ในท่วงท่าเช่นนี้มานานกว่าหกชั่ว
ยามเต็ม ความเฉื่อยชาบนใบหน้าเลือนหายไปตั้งแต่แรก แทนที่ด้วยสีหน้า
จรดจดจ่อ ไม่เหลือเค้าทระนงถือดีของอัจฉริยบุรุษที่ไม่อาจแตะต้องได้ ชี
เตียวอวี่ในยามนี้ไ ม่ต่า งจากบุรุษหนุ่ม เผ่า ปิศ าจทั่ว ไป ความไม่แยแสลด
น้อยลง เพิ่มความสุภาพอ่อนโยนประการหนึ่ง
ทันใดนั้นมันเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซึ่งแทบไม่เคยบ่งบอกอารมณ์ถึงกับ
เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เห็นลาแสงสายหนึ่งสาดส่องจากทะเลดาวอันไพศาล ตกลงไปยังที่ใด
ที่หนึ่งในป่าศิลาใกล้ ๆ
“หมู่ดาวประทานพร... ...”
มันดวงตาทอประกายวาบ ดีดกายเบา ๆ เหินขึ้นสู่ยอดหลักศิลา กวาด
ตามองไปยังทิศทางที่แสงดาวตกลงไป
เป็นมันนัน
่ เอง!
ชีเตียวอวี่ในดวงตาทอแววประหลาดใจวูบ มันมีความประทับใจกับ
จั่วม่ออยู่เล็กน้อย นั่นเป็นคนแรกที่ฟื้นตื่นจากส าเนียงสะกดวิญญาณใน
ยามที่มันผ่านเข้ามาในเมือง เป็นบุรุษหนุ่มผู้นี้เอง!
เพ่งมองอยู่เนิ่นนาน มันนิ่งเงียบงัน ไม่ปริปากแม้สักครึ่งคา
หมู่ดาวประทานพร... ...

เมื่อจั่วม่อบรรลุถึงหลักศิลาต้นที่ยี่สิบหก บรรดาขุมกาลังใหญ่ในนคร
มหาสันติก็เริ่มให้ความสนใจในทางลับ และเมื่อเวลาผ่านไป จั่วม่อกลับยิ่ง
รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ขุมกาลังทุกฝ่ายเส้นประสาทเขม็งเกลียวทันที
รอจนจั่ ว ม่ อ ท าลายสถิ ติ ข องชี เ ตี ย วอวี่ ใ นปี นั้ น นครมหาสั น ติ ก ลาง
วิกาลแม้เงียบสงัด ดุจ ป่า ช้ า แต่ส ายตาของขุมกาลัง ใหญ่ ท้ัง หมดล้ ว นจั บ
จ้องมายังป่าศิลาเป็นตาเดียว
ยอดอัจฉริยะไร้คู่เปรียบอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
แต่รอจนนิมิตแห่งฟ้าดินสาแดงพลัง นครมหาสันติที่กาลังบังเกิดคลื่น
ลับใต้น้าหนุนเนื่อง กลับกลายเป็นแตกตื่นอลหม่านในบัดดล!
ผู้คนมากมายเหินทะยานขึ้นฟ้า เบิกตาตื่นตะลึงมองลาแสงที่ประดุจ
เสาต้นใหญ่ ฉายส่องลงมาจากฟากฟ้า ลงสู่ป่าศิลาทักษะปิศาจ!
นิมิตแห่งฟ้าดิน!
บรรดาปิศาจที่พอจะรู้จักปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่บ้าง อดร้องตะโกนคา
‘หมู่ดาวประทานพร’ อันแปลกหูไม่ได้ ตื่นเต้นระทึกใจ แตกตื่นตะลึงลาน
อั ศ จรรย์ ใ จ สั บ สนงุ น งง อารมณ์ ม ากมายผสมปนเปอยู่ บ นใบหน้ า เหล่ า
ปิศาจภายในมหานครแห่งนี้
นอกเหนือจากแสงดาวลานั้น ท้องนภาเหนือนครมหาสันติแทบจะมืด
มิดสนิทใจ เนื่องด้วยประชากรปิศาจเกือบทั้งหมดในเมือง ล้วนเหินทะยาน
ขึ้นจนบดบังท้องฟ้า

หลันเทียนหลงเพ่งมองล าแสงจากดวงดาวด้วยสีห น้าซับซ้อน มันมี


เครือข่ายข่าวสารดีเลิศกว่าชาวปิศาจทั่วไป ดังนั้นทราบว่าผู้ที่ทาให้ เ กิ ด
นิมิตแห่งฟ้าดินเป็นผู้ใด
มันจู่ ๆ รู้สึกโล่งใจที่วันนั้นตรงหน้าประตูเมือง มันยอมถอยให้อีกฝ่าย
หนึ่งก้าว ก่อนหน้านี้เล็กน้อยมันยังมีความคิดจะทาบทามผู้อ่ ืนเข้าร่วมกับ
มัน แต่รอจนได้รับข่าวที่ว่าเซี่ยวม่อเกอทาลายสถิติเดิมของชีเตียวอวี่ มันก็
ได้แต่ลอบทอดถอนใจ อัจฉริยะระดับนี้ไม่ใช่ผู้ที่ตระกูลหลันจะรองรับไว้ได้
แต่เมื่อประจักษ์แก่สายตาตัวเองว่าเซี่ยวม่อเกอบันดาลให้เกิดหมู่ดาว
ประทานพร ทางหนึ่งมันตะลึงพรึงเพริด แต่อีกทางหนึ่งอดหัวร่อฮี่ฮี่ออกมา
ไม่ได้
เนื่องเพราะมันทราบ วันพรุ่งนี้นครมหาสันติจะยุ่งวุ่นวายมาก!
บรรดาขุมกาลังที่คิดทาบทามเซี่ยวม่อเกอ คืนนี้... ...
ช่างสนุกสนานน่าสนใจจริง ๆ!

เยี่ยหลิงจ้องมองหมู่ดาว สีหน้าปลาบปลื้มประโลมใจ
เจ้าเหนือหัวของข้า!
แม้ว่ามันจะเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าต้าเหรินเป็นบุคคลอันเข้มแข็งที่วันหนึ่ง
จะกลายเป็นจอมราชัน แต่พอมันเห็นต้าเหรินก่อเกิดนิมิตแห่งฟ้าดิน ด้วย
สายตาตัวเอง ยังตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม!
มันแหงนหน้ามองทะเลดาวอันไพศาลที่หมุนคว้างอย่างช้าๆ ใบหน้ามี
แต่ความเลื่อมใสศรัทธา
ในที่พานักของพวกมัน ทุกผู้คนล้วนอ้าปากค้าง บรรดาลูกสมุนของ
จั่วม่อสีห น้าปลาบปลื้มประโลมใจไม่ต่ างจากเยี่ ยหลิง แทบไม่อาจระงั บ
ความตื่นเต้นลิงโลดของพวกมันเอาไว้ได้
เถาซิง ถังเฟยและคนอื่น ๆ ยืนเบิกตามองอย่างโง่งม อ้าปากกว้างจน
แทบหุบไม่ลง
แต่หากให้บอกว่าผู้ใดตื่นตกใจมากที่สุด คนผู้นน
ั้ คือเขิงเหลียนเอ๋อร์
ในร่างกายของจั่วม่อฝึกปรือพลังอันใด ไม่มีผู้ใดทราบกระจ่างไปกว่า
นาง แต่ทว่า... ...
นางเบิ ก ตามองล าแสงจากดวงดาวที่ ส าดส่ อ งลงมาจากฟากฟ้ า
ดวงตาคู่งามทอแววแตกตื่นสุดระงับ
มันฝึกปรือพลังเทพสุริยันชัด ๆ แล้วไฉนดึงดูดพลังดวงดาวลงมาได้?
นี่เป็นไปไม่ได้!
นางเดิมทีเข้าใจว่ามองจั่วม่อออกจนทะลุปรุ โปร่งแล้ว นางกระทั่งเคย
เห็ น เศษเสี้ ย วความทรงจ าทั้ ง หมดของมั น นางยั ง ล่ ว งรู้ ถึ ง กระแสพลั ง
ปั่ นป่วนภายในมือขวาของมัน
พลังเทพสุริยัน สุดแกร่งกร้าวอหังการไร้ผู้ต้านติด!
แต่นั่นก็ห มายความว่า พลังเทพสุริยันย่อมต้องปฏิเสธพลังชนิดอื่ น
อย่างรุนแรงเช่นกัน
แล้วมันไฉนก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดินที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวได้?

ชั่วพริบตาที่จ่ัวม่อเรียกหาหมู่ดาวประทานพรลงมา ผูเยาเผ่นผึงขึ้น
สุดตัวราวกับก้นถู กไฟไหม้ เว่ยผู้วางท่าสงบเยือกเย็นอยู่เป็นนิตย์ยังทะลึ่ง
ตัวลุกขึ้นยืนอย่างลืมวางมาด
“หมู่ดาวประทานพร!”
คนทั้งสองร้องลั่นอย่างพร้อมเพรียง
ดวงตาสีโลหิตของผูเยาเบิกกว้างราวกับเห็นผีสาง สีหน้าเฉื่อยชาของ
เว่ยก็อันตรธานไปสิน
้ มีแต่ความตะลึงลาน
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
“มันทาได้อย่างไร?”
ทั้งสองร้องอุทานออกมาอีกครั้ง จากนั้นสบตากันวูบ ต่างฝ่ายต่างพบ
เห็นความรู้สึกเหลือเชื่อในสายตาอีกฝ่าย
ทั้งสองแหงนหน้าขึ้นมอง ภายในทะเลแห่งจิต ส านึก เห็นทรายดาว
พร่างพรมลงมาดุจหิมะ รอจนเม็ดทรายดาวตกกระทบร่างของพวกมันทั้ง
สอง เงาร่างของพวกมันก็เริ่มกระจ่างชัดเจนขึ้นทีละน้อย
หลั ง จากนิ่ ง งั น ไปชั่ ว อึ ด ใจใหญ่ สี ห น้ า ตื่ นตะลึ ง ของพวกมั น ค่ อ ย ๆ
เลือนหายไป
ผู เ ยาจู่ ๆ หวนคิ ด ถึ ง ดาวพร่ า งกลางทิ ว าที่ เ คยปรากฏขึ้ น เมื่ อครั้ ง
กระโน้ น นั่ น เป็ น นิ มิ ต แห่ง ฟ้า ดิ นครั้ ง แรกซึ่ ง เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของ
จั่วม่อไปตลอดกาล หากมิใช่เพราะดาวพร่า งกลางทิ วาในครั้งนั้น จั่วม่อ
อาจไม่เคยออกจากสานักกระบี่สุญตาเลย
เว่ยดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ดุจดวงดาวบนฟากฟ้ายามค่าคืน “มัน
เป็นอัจฉริยะที่แท้จริงผู้หนึ่ง!”
เห็นสีหน้าของเว่ย ผูเยากลายเป็นระแวงระวังในทันที มันกล่าวเตือน
อย่างเย็นชา “อย่าแม้แต่จะคิด! เฮอะ วิถีของเจ้า ท้ายที่สุดก็มีแต่จะส่งให้
มันไปตาย!”
เว่ยพลันสีห น้าแปรเปลี่ยน อุทานเสียงหลง “แย่แล้ว! เมล็ดพันธุ์ท้ัง
สาม!”
ผูเยางงงันวูบ จากนัน
้ พลอยหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงไปด้วย!
เจ้านายของคนทั้งสามคือจั่วม่อ!

ตาหนักศาสตร์อสูรอันร้างไร้ผู้คน ท่ามกลางความมืดมิดอันลึกล้าของ
ห้วงรัตติกาล
ภายในมุมหนึ่งของตาหนักศาสตร์อสูรร้าง ละอองแสงทรายดาวนับ
ไม่ถ้วนล่องลอยลงมา ดั่งฝูงหิ่งห้อยโบยบินอยู่รอบ ๆ แท่นหิน
ทั น ใดนั้ น แท่ น หิ น บั ง เกิ ด แรงดึ ง ดู ด อั น กล้ า แข็ ง กลุ่ ม ทรายดาวลอย
หายเข้าไปในแท่นหิน
แท่นหินที่ชารุดเสียหายค่อย ๆ ส่องสว่างขึ้น
กลิ่นอายสภาวะอันอ่อนจางดุจ ระลอกน้าบางเบาแผ่ซ่ านในอากาศ
คล้ายมีคล้ายไม่มี

ในถ้าลึกภายในหุบเขาเถาวัลย์พิษ
ทันใดนั้นทรายดาวไหลผ่านชั้นหินเบื้องบน ปกคลุมอยู่เหนือบ่อน้าดา
บ่อน้าอันสงบเงียบคล้ายถูกปลุ กให้ต่ ืนจากนิทราอันยาวนาน ค่อย ๆ
พลุ่งพล่านขึ้นทีละน้อย หยดน้าสีดาลอยออกมาจากบ่อน้าอย่างต่อเนื่อง
ลอยสูงขึ้น แล้วกลืนกินสะเก็ดทรายดาวลงไปอย่างแม่นยา ประดุจแมลงสี
ดาตัวน้อยจับเหยื่อกิน
หยดน้าสีดาพอกลืนกินทรายดาวลงไป ก็หยดกลับลงไปในบ่อน้าสีดา
เมื่อเวลาผ่านไป บนพื้นผิวของบ่อน้าสีดาบังเกิดชั้นแสงดาวอันเงียบ
สงบชัน
้ หนึ่ง
ภายในบ่อน้าสีดา ร่างหนึ่งลอยขึ้นอย่างแช่มช้า
แสงดาวอันเงียบสงบราวกับเยื่อบาง ๆ ชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มรอบกายร่างนั้น
อย่างแน่นหนา
กลิ่นอายคล้ายกระแสน้าคล้ายจันทรา ท่วมท้นไปทั้งโถงถ้า

แท่นเซ่นสรวงบูชาในส่วนลึกของทะเลทรายรกร้าง
กลุ่มทรายดาวคล้ายถูกกระแสลมเกรี้ยวกราดที่หมุนวนรอบแท่นบูชา
อย่างไม่หยุดยั้งดึงดูดเอาไว้ ละอองแสงของทรายดาวจมหายเข้าไปในแท่น
บูชาไม่ขาดสาย ลวดลายบนแท่นบูชาเริม
่ หมุนคว้างอย่างเชื่องช้า
แท่นบูชาส่องประกายสว่างไสว ภายในทะเลทรายรกร้างห่างไกลและ
มืดมิดแห่งนี้ แท่นบูชาสว่างสดใสประหนึ่งดวงดาวใหญ่โตดวงหนึ่ง
ที่ใจกลางแท่นบูชา เงาร่างสีดาหมุนคว้างอยู่ภายใน แสงดาวเลือนราง
บั ด เดี๋ ย วปรากฏบั ด เดี๋ ย วจางหาย แสงดาวเหล่ า นี้ ค ล้ า ยหลอมละลาย
เหมือนสะเก็ดน้าแข็ง จมหายลงไปในเงาร่างสายนั้น เงาดาถูกย้อมด้วยแสง
ดาวบางเบาชั้นหนึ่ง
เสียงกู่คารามต่าลึกดังกังวานออกมาจากเงาดา เต็มไปด้วยความพึง
พอใจ!
บทที่ 582 ลับดาบ

ที่ เ รี ย กว่ า หมู่ ด าวประทานพร เป็ น ปรากฏการณ์ ที่ ด วงดาวจะผลิ ต


พลั ง งานดวงดาวบริ สุ ท ธิ์ จ านวนมหาศาลออกมา พลั ง งานเหล่ า นี้ จ ะ
เปลี่ ย นเป็ น ทรายดาว ซึ ม ซั บ เข้ า สู่ ร่ างกายของผู้ ค น เม็ ด ทรายดาว
คลับคล้ายกับกระดาษทรายที่ผู้คนใช้ลับดาบ ทรายดาวสามารถช่วยขั ด
เกลาสังขารร่างกายของผู้คนจากภายในสู่ภายนอก ทาให้ส มบูรณ์พร้อม
มากขึ้น
นี่ก็คือหมู่ดาวประทานพร หนึ่งในนิมิต แห่งฟ้าดิ นซึ่ งเป็น ที่เล่ ื อ งลื อ
ที่สุด ลาแสงจากดวงดาวไม่ได้แกร่งกร้า วร้อนแรงเช่นลาแสงสุริยัน ท้ังยัง
ไม่ นุ่ ม นวล อ่ อ นโ ยน เฉ กเ ช่ นล า แส งจั น ท ร า แส งดาวป ระ ดุ จ เ ม็ ด ท ร า ย
ละเอียด เป็นพลังงานที่ดีที่สุดสาหรับการขัดเกลาสังขารร่างกาย
อย่างไรก็ตาม นิมิตแห่งฟ้าดินเป็นเร่ ืองของโชควาสนา ซึ่งความจริง
จนกระท่ังถึงบัดนี้ ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดเข้าใจว่าจะทาให้บังเกิดนิมิตแห่งฟ้าดิน
ได้อย่างไร แต่ทุกผู้คนล้วนทราบดี หากมีคนที่ก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดินใน
ระหว่างฝึกฝีมือ คนผู้นน
้ั จะเป็นบุคคลเหนือธรรมดาผู้หนึ่ง
จั่ ว ม่ อ ย่ อ มไม่ ท ราบ ว่ า ตั ว มั น เองจะเป็ นต้นเหตุใ ห้น ครมหาสันติท้ัง
เมืองแทบถล่มทลายด้วยความตื่นเต้นเร้าใจอยู่ในตอนนี้!
มันจ่อมจมอยู่ในโลกอันมหัศจรรย์พันลึกใบหนึ่ง
ดูเหมือนจะมีดวงดาวมากมายสุดคนานับโคจรรอบกายมัน พลังงานที่
คล้ายคุ้นเคยคล้ายไม่คุ้นเคยซึมซาบเข้ามาในร่างกายของมันไม่หยุดยั้ง
จั่วม่อจดจาได้ในบัดดล นี่คือทรายดาว!
เม็ดทรายดาวแต่ล ะเม็ดแข็งกระด้างเป็นที่สุด พวกมันค่อยๆ แทรก
ซึมเข้าสู่ร่าง แล้วโคจรไปทั่วด้วยเหลี่ยมมุมอัน แหลมคมและสากระคาย
จั่วม่อรู้สึกราวกับว่ามีกระดาษทรายค่อยๆ บรรจงขัดถูเลือดเนื้อร่างกายที่
ยังขัดเกลาไม่เรียบร้อยของมัน
นี่ ไ ม่ ไ ด้ เ จ็ บ ปวด แต่ เ ป็ น ความรู้ สึ ก สุ ข สบายอย่ า งที่ ย ากจะบ่ ง บอก
บรรยายได้ชนิดหนึ่ง
ช่างชวนลุ่มหลงมึนเมาเสียจริง

กงซุนชาบนใบหน้าประดับด้วยรอยยิม
้ น้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใด
ทราบว่ามันขบคิดอันใด
แต่ทุกผู้คนที่อยู่รอบกายมันล้วนมีสีห น้า เคร่งขรึ มจริ งจังอย่ า งที่ สุ ด
พวกมันจับจ้องมองดูสมรภูมิรบตาไม่กะพริบ ไม่กล้าละสายตาแม้แต่แวบ
เดียว
เนื่องเพราะเว่ยหยานตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเต็มประตู
พิชัยยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามทรงพลานุภาพเหนือความคาดหมายของ
พวกมันมาก หลังจากปิศาจด่านถงหลิ่งหลายสิบตนผนวกรวมเข้ากับค่ายจู
เชวี่ย พวกมันก็เริ่มใช้พิชัยยุทธ์ใหม่ที่แม่นางน้อยต้าเหรินปรับปรุ งแก้ไข
ขึ้ น มา ทุ ก คนในค่ า ยจู เ ชวี่ ย เต็ ม ไปด้ ว ยความเชื่ อมั่ น อย่ า งเปี่ ยมล้ น ใน
ระหว่างการซ้อมมือทางกลยุทธ์ภายในค่าย พลังอานาจของพิชัยยุทธ์ใหม่
ของพวกมัน ถึงกับแข็งแกร่งทรงพลังกว่าสามคลื่นพิฆาตเดิมของพวกมัน
หลายเท่าตัว!
หลายคนพากันถูมืออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แทบคิดเสาะหาอาซา
เก๋อมาลองทาศึกแก้มือกันอีกสักรอบ
เมื่อแม่นางน้อยต้าเหรินตกลงใจให้เว่ยหยานเข้าประจัญบานกับศัตรู
ด้วยจานวนที่เท่าเทียมกัน ย่อมไม่มีผู้ใดเห็นค้าน พวกมันทราบว่าแม่น าง
น้ อ ยต้ อ งการทดสอบพิ ชั ย ยุ ท ธ์ แ บบฉบั บ ใหม่ ข องพวกมั น ทุ ก ผู้ ค นทั้ ง
เชื่อมั่นอย่างล้นเหลือ ทั้งคาดหวังรอคอย พวกมันเชื่อว่าเว่ยหยานจะต้อง
ได้ชัยอย่างแน่นอน
ทว่าความจริงกลับโหดร้ายนัก
กองทัพเล็ก ๆ ที่มีคนเพียงห้าร้อยนี้ร้ายกาจเหนือธรรมดา
ในตอนต้นทั้งสองฝ่ายประมือกันอย่างคู่คี่ก้ากึ่ง แต่ยิ่งนาน ฝ่ายตรง
ข้ามก็ยิ่งช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยหยานเริ่มเสียเปรี ยบ
อย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่ทาให้สีหน้าของพวกมันยิ่งดูขัดตามากขึ้นทุกขณะ ก็คือเว่ยหยาน
ไม่ได้กระท าผิด พลาดแม้ แต่น้ อย เว่ยหยานเป็นแม่ ทั พประเภทนี้ เอง ไม่
มุ่งหวังความดีความชอบ เพียงหวังว่าไม่เกิดข้อผิดพลาด แม่นางน้อยจึงใช้
ให้ มั น เป็ น คนทดลองออกศึ ก ครั้ งนี้ แต่ ก ระนั้ น มั น ยิ่ ง นานยิ่ งตกเป็ นรอง
อย่างไม่อาจแก้ไขกลับกลาย สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ช้าเป็น
อย่างยิ่ง แต่พวกมันทุกคนมีประสบการณ์ผ่านศึกนับร้อย ไหนเลยจะมอง
ไม่เห็นชัดตา
บนใบหน้าของแม่นางน้อยยังคงประดับด้วยรอยยิม
้ น้อย ๆ อย่างเอียง
อายราวกับเด็กชายข้างบ้าน และยังคงไม่มีผู้ใดทราบว่ามันคิดอ่านประการ
ใด

ฟ่งเยวี่ยเหม่อมองสมรภูมิรบอย่างมึนงง นางเองก็สามารถเห็น ได้ ว่า


เกาเซวียนกาลังช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบทีล ะน้อย แต่นางยังคงตกตะลึง
พรึงเพริด
เป็นไปไม่ได้ นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว!
เมื่อพระโพธิสัตว์ดอกบัวพิโรธของนางถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้อย่างหมด
จด นางต้องแตกตื่นตะลึงลานสุดระงับ! แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าในเวลานี้
ไม่ใช่เพียงแค่เพียงความตื่นตกใจอีกแล้ว แต่เป็นความหวาดผวา!
นี่คือกองพันเจียงจื้อ!
กองพันที่เคยเข่นฆ่าสังหารเผ่าปิศาจนับไม่ถ้ วน และเพิ่งจะบุกเข้ายึด
อาณาจักรขุนเขายะเยือกอันเป็นรากฐานใหญ่ของเผ่าปิศาจอย่างหมดจด
งดงาม!
สมาชิกกองพันเจียงจื้อแต่ละคนถูกเลือกเฟ้นมาอย่างพิถีพิถัน พวก
มันมีความสามารถโดดเด่นเหนือคนทั่วไป หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่าง
ยากล าบากจนเลือดตาแทบกระเด็น พวกมันค่อยก่อเกิ ดเป็นกองทั พ อั น
แกร่งกร้าวทัพหนึ่ง กองพันไร้พ่ายนี้ถือกาเนิดขึ้นได้อย่างไร นางเฝ้าดูด้วย
สายตาตัวเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ในใจนาง นี่คือกองพันที่เข้มแข็งที่สุดในโลก
ซึ่งความจริงก็เป็นไปตามที่นางคาดคิดเอาไว้
กองทัพที่เจียงเจ๋อทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลสร้างขึ้นนี้ ไม่ต่างจาก
ดาบคมกล้าสุดเปรียบปานเล่มหนึ่ง ข่มขู่คุกคามไปทั้งโลกโดยไร้ผู้ต้านติด!
ต่ อ มาการศึ ก ในอาณาจั ก รขุ น เขายะเยื อ กยั ง ช่ ว ยหนุ น ส่ ง กองพั น
เหล็ ก กล้ า นี้ ขึ้ น สู่ ข อบเขตขั้ น ใหม่ กระทั่ ง อาจารย์ อ าที่ ท างส านั ก ส่ ง มา
ช่วยเหลือพวกมันยังยกย่องชมเชยไม่ขาดปาก ศักดิฐ
์ านะในสานักของกอง
พันเจียงจื้อทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดอย่างไม่หยุดยั้ง
ทุกคนล้วนเชื่อมั่นว่า ต่อให้พวกมันเผชิญหน้ากับกองทัพหลักของอีก
สามมหาส านัก หรือกองพันชั้นแนวหน้ าของอสู รปิ ศาจ กองพันเจียงจื้ อ
ของพวกมั น ก็ จ ะยั ง เหยี ย บย่ า กองทั พ อื่ น ๆ อย่ า งที่ ไ ม่ มี ใ ครหน้ า ไหน
ต้านทานได้อยู่ดี!
ทว่ า ภาพที่ เ กิ ด ขึ้ น เบื้ อ งหน้ า พวกมั น ในยามนี้ กลั บ ท าให้ ป ระโยคนี้
กลายเป็นเรื่องน่าขบขัน
อาณาจักรทะเลเมฆ นี่เป็นอาณาจักรบ้านนอกอันใด? มันไม่ใช่หนึ่งใน
สี่มหาอานาจ ไม่ ใช่หนึ่งในสิบส านั กใหญ่ ไม่ติดหนึ่งในร้อยขุม กาลั ง ทรง
อานาจ ในโลกซิวเจ่อของพวกมัน อาณาจักรทะเลเมฆไม่เคยถูกจัดอันดับ
เสียด้วยซ้า พวกมันไม่ใช่ตัวอะไรเลย
แต่ในมุมเล็ก ๆ อันห่างไกลนี้ กลับปรากฏกองทัพที่สามารถปะทะหัก
หาญกับกองพันเจียงจื้อได้อย่างสมน้าสมเนื้อ! นี่เป็ นเรื่องน่าประหวั่นพรั่น
พรึงถึงเพียงไหน
แม่ ทั พ โฉมสะคราญแห่ ง ดิ น แดนเสวี ย นคงจู่ ๆ พลั น ตระหนั ก ด้ ว ย
ความอกสั่ น ขวั ญ แขวน ที่ แ ท้ ค วามเข้ า ใจในวิ ถีท างโลกของพวกมั นช่าง
น้อยนิดไม่ต่างจากกบน้อยที่อยู่ก้นบ่อตัวหนึ่ง!
นางเงยหน้ามองไปยังฝ่ายตรงข้าม มองดูกองทัพส่วนใหญ่ของศั ตรูที่
ยังคงรั้งทัพอยู่ตรงนั้น ในใจท่วมท้นไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
หาก...หากพวกมันที่เหลือร่วมลงมือด้วยเล่า... ...
วงหน้างามเผือดขาวเหมือนซากศพ

เกาเซวี ย นสี ห น้ า ยิ่ ง มายิ่ ง หนั ก อึ้ ง เคร่ ง เครี ย ด มั น คาดอยู่ แ ล้ ว ว่ า


กองทัพนี้จะต้องเป็นศัตรู อันเข้มแข็ง แต่ร้อ ยไม่คิดพันไม่คิดว่าจะเข้มแข็ง
จนถึงขั้นสู้เสมอกับมัน!
พิชัยยุทธ์ข องฝ่ายตรงข้ ามแปลกประหลาดยิ่ง อีกทั้งองค์ประกอบ
ของกองทัพก็แปลกประหลาดไม่น้อยไปกว่ากัน!
มันถึงกับค้นพบเผ่าปิศาจปะปนอยู่ท่ ามกลางกระบวนทัพของฝ่ า ย
ตรงข้ า ม แวบแรกที่ ม องเห็ น เกาเซวี ย นแทบเข้ า ใจว่ า มั น ตาฝาดไป แต่
ทั ก ษะปิ ศ าจที่ อี ก ฝ่ า ยใช้ และพลั ง บุ ก ทะลวงอั น แกร่ ง กร้ า วเหนื อสามัญ
สานึกทั่วไปล้วนทาให้มันต้องสะท้านใจ
ในการศึ ก ยึ ด ครองอาณาจั ก รขุ น เขายะเยื อ ก มั น พบเห็ น ปิ ศ าจมา
มากมายจนคุ้นเคยกับพวกมันมากไปแล้ว!
นี่เป็นเผ่าปิศาจอย่างชัดแจ้ง มิหนาซ้ายังเป็นปิศาจด่านถงหลิ่ง!
ทั้ ง ยั ง ไม่ ใ ช่ แ ค่ ต นสองตน แต่ เ ป็ น สิ บ ตน! พวกมั น ทั้ ง หมดล้ ว นเป็ น
ปิศาจด่านถงหลิ่ง
มันรู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลยิ่ง ปิศาจกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมกองทัพซิวเจ่อ?
มิหนาซ้ายังเป็นปิศาจด่านถงหลิ่งทั้งหมด? นี่มันเรื่องตลกอันใดกัน
สิง่ ที่ทาให้มันยิง่ รู้สึกว่าไม่อาจเข้าใจได้ ก็คือการที่มันไม่สามารถตรวจ
พบอาคมหวงห้ามภายในร่างของปิศาจเหล่านั้น
หรือว่าซิวเจ่อเหล่านี้จับมือเป็นพันธมิตรกับอสูรปิศาจ?
ความคิดนี้พอผุดขึ้น เกาเซวียนบังเกิดความเย็นเยียบจับใจ
กล่ า วได้ ว่ า เกาเซวี ย นผู้ นี้ มี ฝี มื อ สู ง เยี่ ย มยิ่ ง เจี ย งเจ๋ อ จึ ง วางใจมอบ
ภาระนี้ไว้บนบ่าของมัน หลังจากประมือกันรอบแรก เกาเซวียนก็ค่อย ๆ
ปรับตัวให้เข้ากับพิชัยยุทธ์อันแปลกประหลาดของฝ่ายตรงข้ามในทันที ทา
ให้เริ่มช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ
ความได้เปรียบของมันเพิ่มขึ้นทุกขณะ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ทนทายาด
อย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันแม้ตกเป็นรอง กลับไม่แตกตื่นลนลานแม้แต่น้อย
ทั น ใดนั้ น เอง เกาเซวี ย นบั ง เกิ ด ความรู้ สึ ก ว่ า ความกดดั น ที่ ฝ่ า ยมั น
ได้รับ กาลังค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ มันค้นพบอย่างเร็ว ว่าการร่วมมือ
ประสานงานในกลยุทธ์ของผู้อ่ ืนกลายเป็นราบเรียบลื่นไหลกว่าเดิม ยิ่งมา
ยิ่งเคลื่อนไหวอย่างคุ้นเคย ยิ่งนานยิ่งเป็นธรรมชาติ ข้อผิดพลาดลดน้อยลง
เรื่อย ๆ พลานุภาพกลับพุ่งทะยานขึ้น!
เกาเซวียนนิง่ อึ้งงงงัน แต่เมื่อหวนนึกย้อนกลับไปถึงความสะดุดติดขัด
ในกลยุทธ์ของอีกฝ่ายตอนช่วงเริ่มต้น ทันใดนั้นมันหัวใจดิ่งวูบ มือเท้าเย็น
เฉียบ มันในที่สุดก็เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้อ่ น

ที่แท้ฝ่ายตรงข้ามเพียงใช้มันเป็นหินลับดาบ!

“พวกเจ้าเข้าใจแล้วกระมัง ?” สุ้มเสียงอ่อนโยนของแม่นางน้อยผ่าน
เข้าไปในโสตประสาทของเหล่าแม่ทัพนายกองรอบข้าง
“ขอรับ!” ทุกผู้คนใจสั่นสะท้าน แต่สิ่งที่อยู่ในดวงตาของพวกมัน คื อ
ความตื่นเต้นลิงโลด
จริงดังคาด ไม่มีสิ่งใดจะลับดาบของพวกมันได้ดีไปกว่าการต่อสู้จ ริง
อีกแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยิ่งเข้มแข็งเท่าใด ก็ยิ่งช่วยให้พวกมันสามารถทดสอบ
พิชัยยุทธ์ของพวกมันได้ง่ายดายเท่านั้น
กองทัพอันแกร่งกล้าเกรียงไกรจาดวัดเสวียนคงนี้ ประดุจ หินลับมีด
ก้ อ นหนึ่ ง ค่ อ ย ๆ ขั ด ฝนพวกมั น ให้ ค มกล้ า กว่ า เดิ ม ที ล ะน้ อ ย รอจนเว่ ย
หยานค่อย ๆ ปีนป่ายกลับมาจากสภาพตกเป็นรองอย่างเต็มประตู ทุกผู้คน
รู้สึกว่าโลหิตในกายเริ่มจะเดือดพล่านขึ้นช้า ๆ
นี่คือสุดยอดกองทัพจากวัดเสวียนคง!
สามารถไล่ต้อนกองทัพจากสี่มหาสานักจนมีสภาพทุลักทุเลถึงปานนี้
ก็เพียงพอให้ค่ายจูเชวี่ยภาคภูมิใจแล้ว!
แม่นางน้อยแย้มยิ้มบางเบา สีห น้าเหมือนเด็กชายข้างบ้านที่เต็มไป
ด้วยความประหม่าอาย มันกล่าวเบา ๆ ว่า “ไปได้แล้ว อย่าปล่อยให้พวก
มันหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
ทุกผู้คนน้อมรับคาสั่งอย่ า งพร้ อมเพรียง รังสีฆ่าฟันม้วนทะลั ก ออก
รอบข้าง!
ไพร่ พ ลค่ า ยจู เ ชวี่ ย ไหลบ่ า ดุ จ กระแสน้ า ทลายเขื่ อ น หลุ ด ออกจาก
พันธนาการทั้งมวล ลงมืออาละวาดได้ตามใจปรารถนา!

เจียงเจ๋อรู้สึกใจสั่นหวั่นไหวอย่างน่าประหลาด
มันเดินออกจากห้อง ลมราตรีเฉื่อยฉิวปะทะใบหน้า มันได้ส ติขึ้นมา
ทันที อดหัวร่อเย้ยหยันจิตใจที่ไม่มั่นคงของตัวเองไม่ได้ เกาเซวียนนาไพร่
พลกองพันเจียงจื้อห้าร้อยนายไปด้วย แม้ว่าไม่อาจล้างแค้นให้แก่อาจารย์
อาติ้ ง เจิ น ด้ ว ยตั ว เอง แต่ ใ นการรั บ ประกั น ความปลอดภั ย ของฟ่ ง เยวี่ ย
ระหว่างที่นางทาการล้างแค้น สมควรไม่มีปัญหาอันใด
มันคลายใจลง หันไปให้ความส าคัญกั บการตอบโต้ข องเผ่ าปิ ศ าจที่
กาลังใกล้เข้ามา
ตามข่ า วสารที่ ส่ ง มาจากสายสื บ ซึ่ ง แฝงตั ว อยู่ ภ ายในภพปิ ศ าจ ขุ ม
กาลังเผ่าปิศาจหลายกลุ่มจับมือเป็นพันธมิต ร จัดตั้งกองทัพขนาดมหึมา
ตระเตรียมช่วงชิงอาณาจักรขุนเขายะเยือกกลับคืน
คิดถึงเรื่องนี้ เจียงเจ๋อดวงตาเปลี่ ยนเป็นเย็นยะเยือ ก มันจัดเตรีย ม
ของกานัลไว้รับหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างพร้อมสรรพ
ในใจมันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
ทันใดนั้นเอง ซิวเจ่อใต้บังคับบัญชาของมันผู้หนึ่งเหินร่างซวนเซเข้า
มา
“ต้า... ...ต้าเหริน! หอนักบวช... ที่หอนักบวช ... ...”
เจียงเจ๋อใจหายวาบ สีหน้าพลันกลายเป็นเย็นเยียบ กล่าวถามเสียงต่า
ลึก “หอนักบวชมีเรื่องอันใด?”
ถูกท่วงท่าสภาวะของเจีย งเจ๋ อกระตุ้น เตือน ซิวเจ่อผู้นั้นค่อยระงั บ
จิต ใจได้ ถ้อยคาที่พูดไม่ออกเมื่อครู่เริ่มไหลหลั่งออกมา แต่สุ้มเสียงยังคง
สั่นสะท้านสุดระงับ “ที่หอนักบวช... เทียนชีวิตของฟ่งเยวี่ยต้าเหรินกับเกา
เซวียนต้าเหรินที่หอนักบวช...ดับมอดลงแล้ว!”
เจียงเจ๋อโลหิตในกายผนึกแข็งตัว มือเท้าเย็นเฉียบ

จั่วม่อรู้สึกสุขสบายอย่างบอกไม่ถูก ทรายดาวขัดเกลาสังขารร่างกาย
ของมันอย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้อทุกมัด กระดูกทุกชิ้น เส้นเอ็นทุกเส้น ล้วน
แล้วแต่ผ่านการขัดฝนอย่างเฉพาะเจาะจง ระหว่างกระบวนการขัดเกลานี้
ทรายดาวบางส่วนยังผสานรวมเข้ากับเลือดเนื้อร่างกายของมัน ช่วยให้ทุก
สิ่งทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมยิ่งกว่า
นอกเหนื อ จากสมบู ร ณ์ พ ร้ อ ม จั่ ว ม่ อ ไม่ ท ราบจะหาถ้ อ ยค าใดมา
อธิบายได้ดีกว่านี้
พลังทั้งสามโคจรหมุนเวียนภายในร่างกายมันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พลัง
ทั้ ง สามมี ร ะบบระเบี ย บเฉพาะตน แต่ พ วกมั น ก็ ดึ ง ดู ด ซึ่ ง กั น และกั น ด้วย
เคล็ดความบนหลักศิลาไหลผ่านจิตใจมันดุจสายน้าต่อเนื่องไม่ขาดตอน
การโคจรของพลั ง ทั้ ง สามปรั บ เปลี่ ย นอย่ า งไม่ ห ยุ ด ยั้ ง พวกมั น
กลายเป็นสนิทสนมกลมเกลียวมากขึ้น หลอมกลืนใกล้ชิดกว่าเดิม
จั่ ว ม่ อ จิ ต ใจกระจ่ า งแจ้ ง ผิ ด ธรรมดา ความคิ ด โปร่ ง โล่ ง ไร้ ขี ด จ ากั ด
เช่ น เดี ย วกั น กั บ เลื อ ดเนื้ อทุ ก ส่ ว นในร่ า งกายที่ บั ง คั บ ควบคุ ม ได้ ด่ั ง ใจ
ปรารถนา
ความเชื่อมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนอัดแน่นอยู่ในทุกซอกทุกมุมภายในกาย
ในไม่ช้าจั่วม่อก็พบว่าทรายดาวที่ซึมซาบเข้ามาภายในร่างมัน คล้าย
ถู ก ดึ ง ดู ด ไปยั ง แผนผั ง ปิ ศ าจรู ป ดวงอาทิ ต ย์ ที่ ก ลางอก ผนึ ก รวมรั้ ง เข้ า
ด้วยกันอย่างไม่หยุดยัง้
ในขณะที่เลือดเนื้อกระดูกเส้นเอ็นของจั่วม่อถูกขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง
ทรายดาวที่ตกลงมาก็ยิ่งเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดกลายเป็นน้าตก
แสงดาวสายหนึ่ง
น้าตกแสงดาวเหล่านี้ ไหลบ่าเข้าไปยังแผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์ที่
กลางอกของจั่วม่ออย่างไม่หยุดยั้ง
ตูม!
จั่วม่อรู้สึกราวกับแผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิต ย์ที่กลางอกแตกระเบิด
อย่างฉับพลัน บางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นในใจมัน
สิง่ นี้คือ... ...
จั่วม่อค่อย ๆ ดื่มด่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า ไม่มีทรายดาว
ซึมซาบเข้ามาในร่างกายของมันอีกแล้ว
เป็นเวลานาน
แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์บนหน้าผากสาดประกายสีทองวาบ แล้ว
หายวับไป มันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ
เมื่อจั่วม่อฟื้ นฟูสติสัมปชัญญะอย่างเต็มที่ ภาพที่เห็นตรงหน้าทาให้
มันนิ่งขึงตะลึงงันอยู่กับที่
ภายใต้นภาดาวอันไพศาล บนท้องฟ้าเหนือนครมหาสันติ เต็มพรืดไป
ด้วยเหล่าปิศาจมากมาย ราวกับทะเลเมฆดาทะมึนไร้ที่สิ้นสุด
แต่... ...
พวกมันไฉนพากันจ้องมองข้าเป็นตาเดียว?
บทที่ 583 คลื่นลมเริ่มโหมซัด

เงียบสงัด
เงียบสงัดดุจป่าช้า... ...
ดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้องมองดูจ่ว
ั ม่อที่เพิ่งลืมตาตื่นเป็นตาเดียว นคร
มหาสันติอันใหญ่โตเงียบสงัดจนหากมีเข็มสักเล่มตกพื้นยังได้ยินชัดเจน
ท้องฟ้าลึกล้าดามืด ลมราตรีเย็นฉ่าโชยพัดเป็นระยะ
ถูกดวงตามากมายถึงเพียงนี้จับจ้อง จั่วม่อรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจอยู่บ้าง
ฉากตรงหน้าเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด จั่วม่อผู้ซึ่งไม่ล่วงรู้เลยสักนิ ด ว่า
เกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้น ไม่กล้าบุ่มบ่ามกล่าววาจาไม่ยั้งคิด
อย่างไรก็ต าม จั่วม่อถูกจ้องจนอึดอัดใจแทบทานทนไม่ไหว ไม่อาจ
ยั บ ยั้ ง ตั ว เองได้ จ ริ ง ๆ ต้ อ งกระแอมไอขึ้ น “นี่ ... เวลาไม่ เ ช้ า แล้ ว ท่ า น
ทั้งหลาย รีบเข้านอนกันเสียแต่เนิ่น ๆ เถอะ”
กล่ า วจบค า มั น ก็ โ บกมื อ ไปรอบทิ ศ สองเท้ า ลื่ นไหลเหลื อ นชโลม
น้ามัน รีบดึงซู่หลงกับพวก ตระเตรียมแหวกฝ่าฝูงชนหลบลี้หนีหน้า
สีหน้าของคนเหล่านี้ไฉน... ...แปลกพิกลถึงเพียงนี้... ...
เหลือบมองสีหน้าซู่หลงกับพวก จั่วม่อยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด แต่ใน
เวลาเช่นนี้ ไม่ใช่เวลาจะมัวมาซั กถามมากความ มันรีบทะยานร่างเผ่นหนี
ทันที
บรรดาปิศาจมุงตามรายทางพากันหลบเลี่ยง เปิดทางให้แก่มันตาม
สัญชาติญาณ
สีหน้าของคนเหล่านี้ก็... ...แปลกพิกลยิง่ ... ...
จั่วม่อรู้สึกขนลุกเกรียว ลอบกลืนน้าลายอย่างฝืดคอ ไม่กล้าหยุดยั้งรั้ง
รอแม้แต่ชั่ววูบ
“เซี่ยวม่อเกอเซียนเซิง วันพรุ่งนี้หากมีเวลาว่าง ผู้น้อยขอเป็นตัวแทน
ตระกูลเต้อหลุน ขอเชิญเซียนเซิงให้เกียรติร่วมงานเลี้ยงในค่าคืนพรุ่งนี้...
...”
ในม่านวิกาลอันเงียบสงัด สุ้มเสียงนี้ฟังสดใสชัดเจนเป็นพิเศษ ไม่ต่าง
จากโยนประกายไฟลงในหม้อน้ามันเดือด นครมหาสันติที่เงียบสงัดเสมือน
ตายพลันแตกระเบิดแทบถล่ม ทลาย ตัวแทนจากตระกูล อื่น ๆ ดูเหมือ น
ค่อยรู้สึกตัวขึ้นในยามนี้ เริม
่ หาทางสานสัมพันธ์อย่างเอาเป็นเอาตาย
“เซี่ยวม่อเกอเซียนเซิง! ผู้น้อยเป็นตัวแทนตระกูลเอ่อลี่ข่า ไม่ทราบว่า
ผู้น้อยมีวาสนาพอจะเชื้อเชิญเซี่ยวม่อเกอเซียนเซิงไปเยือนตระกูลของเรา
สักคราได้หรือไม่... ...”
“ผู้น้อยในนามของตระกูลอ้ายเหมิง... ...”
“เซี่ยวม่อเกอเซียนเซิง… … ตระกูลเอ๋าเอ่อ … …”
สุ้มเสียงเชื้อเชิญ ไหลบ่า มาจากรอบทิ ศ ทาเอาจั่วม่อที่ เดิ มที ก็ งุ น งง
สงสั ย อยู่ แ ล้ ว ถึ ง กั บ สมองขาวว่ า งเปล่ า ไปเลย สี ห น้ า มั น ยิ่ ง เลื่ อนลอย
กว่าเดิม
เซี่ยวม่อเกอที่น่าสมเพช แทบไม่ห ลงเหลือเค้าอหังการเหยีย ดหยั น
โลกหล้าเหมือนเช่นปกติ มันในยามนี้เหมือนลูกแกะน้อยที่หวาดกลัวจนหัว
หดตัวหนึ่ง วิง่ แจ้นหายไปเร็วกว่าเดิมเสียอีก
จนกระทั่งถึงบัดนี้ มันยังไม่มีปัญญาเข้าใจ ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับ
คนเหล่านี้?
เกิดอะไรขึ้นกันหนอ?

หลันเทียนหลงผู้ซึ่งเปลี่ยนเป็นเฝ้าดูความสนุกสนาน พอเห็นสภาพ
กระอักกระอ่วนของจั่วม่อ พริบตานั้นต้องหัวร่องอหาย มันรู้สึกว่าภาพที่
เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้น่าขบขันเกินจะทนจริง ๆ
เซี่ยวม่อเกอช่างเป็นบุคคลอันสนุกสนานน่าสนใจนัก!
เช่นเดียวกันกับหลันเทียนหลง หลายคนอดหัวร่อไม่ได้ แต่ผู้คนมาก
ยิ่งกว่าจมอยู่ในความคิดอย่างลึกซึ้ง ใต้ม่านรัตติกาล ประกายตาของพวก
มันสว่างเจิดจ้าราวกับหมู่ดาว
ชีเตียวอวี่ยืนตระหง่านบนยอดหลักศิลาดุจกระบี่เล่มหนึ่ ง ดวงตาเย็น
ชาจ้องมองตามเงาร่างของจั่วม่อที่ลับหายไปอย่างครุ่นคิด
จั่วม่อพอหลบลี้หนีหาย ฝูงชนก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันไป แต่การสนทนา
ถกเถียงอย่างร้อนแรงดังขึ้นทุกหัวระแหงในนครมหาสันติ การได้ชมดูนิมิต
แห่งฟ้าดินด้วยสายตาตนเอง สาหรับคนส่วนใหญ่แล้วถือเป็นประสบการณ์
แปลกใหม่ พวกมันวิพากษ์ วิจ ารณ์อย่างออกรสเกี่ยวกับหมู่ดาวประทาน
พร พลังดวงดาวอันยิ่งใหญ่ไพศาล และพากันขบคิดคาดเดาว่ าเซี่ ย วม่ อ
เกอที่แท้ถือครองสังขารปิศาจชนิดใด... ...
เป็นค่าคืนที่ยุ่งวุ่นวายมากจริง ๆ
หากบอกว่าการสังหารผังเฉินกลางลานประลอง เป็นเหตุให้จ่ว
ั ม่อผุด
ขึ้นในสายตาของผู้คน เช่นนั้นนิมิตแห่งฟ้าดินหมู่ดาวประทานพร ก็ทาให้
ผู้คนจดจานามเซี่ยวม่อเกออย่างลึกล้า
ยอดอัจฉริยะอีกผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้ว!

เจียงเจ๋อยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นบูชาในหอนักบวช เหม่อมองตะเกียง
น้ามันสองดวงซึ่งมอดดับสนิทภายในหอด้วยสายตาเลื่อนลอย
ดวงตาอ่อนโยนของมันเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ ราวกับว่ามีคนใช้
มีดกรีดหัวใจมันซ้าแล้วซ้าเล่า เงาร่างงดงามที่มักคิดว่าตัวเองเป็นพี่ส าว
ใหญ่ ไม่เคยเกรงอกเกรงใจต่อมันแม้สักน้อยนิด... ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้เห็น
อีกแล้ว... ...
นับตั้งแต่ที่มันตกลงใจสร้างกองทัพของตนเอง ฟ่งเยวี่ยก็ติดตามมัน
มา ช่วยมันดูแลเรื่องจุกจิกน่าราคาญแต่มีความจ าเป็นเหล่านั้น หลังจาก
ผ่านไปหลายปี มันคุ้นชินกับการมีนางอยู่ข้างกาย
แต่มันจะไม่ได้เห็นเงาร่างงดงามนั้นอีกแล้ว...
“ต้าเหริน กองทัพพันธมิตรปิศาจเริ่มรวมกาลังแล้ว” นายกองผู้หนึ่ง
รายงานจากนอกประตู
เจียงเจ๋อกาหมัดแน่น เกร็งแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีข าวซีด ดวงตา
อ่อนโยนตามปกติกลายเป็นโหดเหี้ยมดุ ดันราวกั บ ดวงตาของสัต ว์ ร้ า ยที่
ได้รับบาดเจ็บ
มันจ้องมองตะเกียงที่มอดดับทั้งสองดวงตาไม่กะพริบ
ชั่วอึดใจให้หลัง สองมือค่อยคลายออก ประกายตาเหี้ยมเกรียมเลือน
หายไป ดวงตากลับเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง
“บอกให้ทุกคนเริ่มเตรียมการ เราจะดาเนินการตามแผนเดิม”
สุ้มเสียงสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นยามปกติ
นายกองที่หน้าประตูลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าตื่นตัวราวกับ
ว่าได้รับแรงหนุนอีกครั้ง รีบรับคา “รับคาสั่ง!”
ฟังเสียงผู้ใต้บังคับบัญชาเดินห่างออกไป เจียงเจ๋อเงยหน้าขึ้น ราพึง
เบา ๆ อย่างนุ่มนวล ทว่าเย็นเยียบจับใจ
“รอชมดูข้าถล่มอาณาจักรทะเลเมฆจนราบเป็นหน้ากลองเถอะ อีก
ไม่นาน...”

ในอาณาจักรทะเลเมฆแทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องการศึกริมแม่น้า ซึ่งเข่น
ฆ่ า กองพั น ของวั ด เสวี ย นคงทั้ ง สองกองพั น จนพิ น าศสิ้ น สายสื บ เพี ย ง
รายงานว่ า มี ก องทั พ ภายนอกปรากฏขึ้ น ใกล้ กั บ แม่ น้ า อาณาจั ก รอย่ า ง
กะทันหัน แต่ถูกทาลายล้างอย่างรวดเร็ว
เรื่ องนี้ แ ทบไม่ ก่ อ ให้ เ กิ ด คลื่ นลมอั น ใด ทุ ก ผู้ ค นรู้ สึ ก ว่ า นี่ เ ป็ น เรื่ อง
ธรรมดาสามัญยิง่
กระทั่งกองทัพปิศาจยังจมธรณีใต้ฝ่าเท้าของแม่นางน้อยต้าเหริน ยัง
จะมี ก องทั พ ใดเป็ น คู่ มื อ ของค่ า ยจู เ ชวี่ ย ได้ อี ก เล่ า ? ถึ ง ตอนนี้ ก ารครอง
อานาจของเกาะเต่ามั่นคงดุจ หินผา แม้ว่ากองกาลังของเกาะเต่าที่ ทิ้ ง ไว้
เบื้องหลังไม่ได้กล้าแข็งนักก็ตาม แต่กองกาลังขนาดเล็กเหล่านี้ก็ไม่มีความ
ทะเยอทะยานมากนัก หรือจะบอกว่าไม่คิดแส่หาที่ตายก็ไม่ผิด
แม่นางน้อยยังไม่ละทิ้งความคิดมุ่งหน้าไปสนับสุนจั่วม่อในภพปิศาจ
แม้ว่าแผนการของมันจะสะดุดชะงักเมื่อเผชิญกับสิ่งกีดขวางเช่นอา
ซาเก๋อ แต่บุคคลอันดื้อรั้นเหนือธรรมดา ผู้คานึงถึงแต่ชัยชนะเฉกเช่น แม่
นางน้อย ไหนเลยจะยอมรามือได้โดยง่าย
สถานการณ์ภายในอาณาจักรยุ้งฉางกลางเริ่มมีเสถียรภาพอันมั่นคง
ค่ายจินวูเมื่อมีความสาเร็จในการศึกษาแผนผังปิศาจและวิชาค่ายกล
มากกว่าเดิม ก็ช่วยให้พวกมันทั้งหมดกล้าแข็งขึ้นเป็นลาดับ ด้วยการต่อสู้ที่
เพิ่งจบสิ้นลงไปนี้ ความเคียดแค้นชิงชังระหว่างพวกมันกับวัดเสวียนคงมี
แต่จะเพิ่มมากขึ้น ไม่มีหนทางแก้ปัญหาอย่างสันติได้อีก อย่างไรก็ตาม กง
ซุนชาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีต้งั แต่แรกแล้ว
พวกเจ้าเคยเห็นช้างยอมประนีประนอมกับมดหรือ? นั่นเป็นเรื่องตลก
ที่ชวนหัวร่อตายเท่านั้น
โลหิตในกายของกงซุนชาเดือดพล่านอย่างบ้าคลั่ง มันหาได้เกรงกลัว
ไม่ การต่อสู้กับตัวตนมหายักษ์เช่นวัดเสวียนคง มีแต่จะทาให้มันตื่นเต้นเร้า
ใจเท่านั้น
เทียบกับทางด้านวัดเสวียนคง มันห่วงกังวลทางด้านของศิษย์พี่จ่ัวม่อ
มากกว่า
เวลานี้มันกาลังใคร่ครวญว่าสมควรทาศึกกับอาซาเก๋ออีกครั้งดี หรือ
จะไปเสาะหาอาณาจักรอื่นที่มีรอยแยกแห่งความโกลาหลแห่งใหม่ดี
ในไม่ช้ามันก็โยนความคิดเสาะหาอาณาจักรแห่งอื่นทิ้งไปจากใจ เรื่อง
นี้คาดหวังไม่ได้มากนัก พวกมันพบอาณาจักรยุ้งฉางกลางแห่งหนึ่งก็ เรียก
ได้ว่ามีโชควาสนาไม่เลวแล้ว
เสาะหาอาซาเก๋ อ มาท าศึ ก ตัด สิน กั นอี ก ครั้ ง ดู จ ะสมเหตุส มผลกว่า
มาก
แม่นางน้อยตกลงใจไปเยื อนอาซาเก๋อ เพื่ อหารื อกั นสัก ครา หากไม่
เป็นผล ค่อยต่อสู้กันก็ยังไม่สาย
กงซุนชาผู้ซึ่งในใจมีแต่ความคิดที่ว่าทาอย่างไรจึงสามารถเข้าถึ งตัว
ศิษย์พี่โดยเร็วที่สุด หลงลืมไปเรียบร้อยแล้ว ว่ามันเพิ่งจะบรรลุข้อตกลง
พันธมิตรกับอาซาเก๋อเมื่อไม่นานมานี้เอง
อนิจจา อาซาเก๋อผู้น่าสงสาร

เรื่องที่เกิดขึ้นในอาณาจักรทะเลเมฆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดคลื่นลมใดใน
สวรรค์สี่ดินแดน
สายตาของผู้คนถูกดึงดูดด้วยเหตุการณ์น่าแตกตื่นสะท้านใจหลาย
ครั้งหลายหน ที่เกิดขึ้นตามกันโดยไม่ขาดช่วง
เซวียตงแห่งคุนหลุนพิชิตอาณาจักรแมกไม้มงคลสาเร็จ!
นี่เป็นอาณาจักรแห่งที่สองในภพปิศาจซึ่งถูกซิวเจ่อยึดครอง แม้ว่าจะ
ไม่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการเท่ากับครั้งของเจียงเจ๋อ แต่นี่ก็เท่ากับว่าคุน
หลุนประกาศศักดาอันเกรียงไกรของพวกมันให้ประจักษ์แก่สายตาของชน
ชาวโลกเช่นกัน
อีกไม่กี่วันให้หลัง ข่าวอันน่าแตกตื่นสะท้านใจอีกสองเรื่องก็ร ะเบิ ด
ออกมา
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงแห่งเทียนหวนยึดครองอาณาจักรศิลาดาสาเร็จ!
กู่เหลียงเตา5แห่งซีเซวียนปราบพิชิตอาณาจักรตาข่ายแดนเหนือ!
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อจากเทียนหวน นับว่าไม่แปลกอัน
ใด แต่กู่เหลียงเตาผู้นี้กลับไม่คุ้นหูผู้คน คล้ายกับว่าจู่ ๆ ก็ผุดออกมาจากที่
ใดไม่ทราบ
อย่ า งไรก็ ต าม ข้ อ ปลี ก ย่ อ ยเหล่ า นี้ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น อุ ป สรรคต่ อ การเฉลิ ม
ฉลองของผู้ ค นในสวรรค์ สี่ ดิ น แดน ทุ ก ผู้ ค นเต็ ม ไปด้ ว ยความคาดหวั ง
เกี่ยวกับสงคราม ยามนี้มหาสานักทั้งสี่ล้วนบุกตะลุยรุ ดหน้า ผู้คนพากันฝัน
เฟื่องว่าสี่มหาส านักจะสามารถประสบชัย อย่ างต่อเนื่อง จวบจนกระทั่ ง
ปราบพิชิตอสูรปิศาจอย่างราบคาบ เช่นเดียวกันกับมหาสงครามเมื่อหลาย
พันปีก่อน
สถานการณ์ดูคล้ายจะพัฒนาไปตามที่ผู้คนคาดหวัง

5
กู่เหลียงเตา – ดาบยักษ์แซ่กู่
จั่วม่อปากอ้าตาค้าง รับฟังคาบอกเล่าของซู่ห ลงกั บคนอื่น ๆ อย่าง
อัศจรรย์ใจ
นึกถึงว่าตัวเป็นเองเป็นสาเหตุของฉากเหตุการณ์อันน่าหวาดสะพรึง
เมื่อครู่ จั่วม่อรู้สึกสลดหดหู่ยิ่ง
อย่ า งไรก็ ต าม ปฏิ กิ ริ ย าแรกของจั่ ว ม่ อ คื อ แล่ น เข้ า ไปในทะเลแห่ ง
จิตสานึก รีบสอบถามผู้เยากับเว่ยอย่างหวาดวิต ก “เรื่องในวันนี้จ ะส่ง ผล
กระทบต่อแผนการหรือไม่?”
ผู เ ยากั บ เว่ ย ไม่ ก ล่ า ววาจา เอาแต่ จ้ อ งมองจั่ ว ม่ อ ราวกั บ มองดู ตั ว
ประหลาด
จั่วม่อเริ่มอดรนทนไม่ได้ “บอกมาเร็ว!”
ตามแผนเดิมของพวกมัน จั่วม่อจะต้องดึงดูดความสนใจของตระกูล
ใหญ่ แต่กระทั่งจั่วม่อยังรู้สึกว่าการแสดงของมันในวันนี้เกินเลยไปมาก สิ่ง
ที่มันกังวลก็คือเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อแผนการ หากเรื่องนี้ทาให้มันไม่
สามารถดึงดูดให้เสียกงจู่มาเยือนได้ นั่นก็ย่าแย่แล้ว
“ไม่ ต้ อ งห่ ว ง” คนที่ เ ปิ ด ปากก่ อ นคื อ ผู เ ยา แม้ ว่ า สี ห น้ า ของมั น จะ
แปลกพิกล มันก็ยังคงเอ่ยปากอย่างเสียไม่ได้ “การแสดงของเจ้าในวันนี้
จะต้องดึงดูดเสียกงจู่ให้เร่งรุดมาโดยเร็วอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ประเสริฐ!” จั่วม่อคล้ายยกภูเขาออกจากอก
“อาจั่ว เจ้าช่างอัจ ฉริยะนัก!” เว่ยกล่าวอย่างยิ้ม แย้ม ประโยคนี้ ท า
ให้ผูเยามีสีหน้าระแวงระวังขึ้นมาทันที
“แน่นอน เจ้าเพิ่งจะสังเกตเห็นเอาตอนนี้หรือ?” จั่วม่อกาลังอารมณ์ดี
ย้อนคาอย่างเฉื่อยชา จากนั้นมันพลันจ้องมองเว่ยด้วยสายตาร้อนแรง ยก
นิ้วหัวแม่มือทาท่าถูกับนิว
้ ชี้เป็นสัญญาณ พลางกล่าวด้วยสายตาอ้อนวอน
“แล้วของกานัล เล่า ? มียอดอัจ ฉริยะเช่นนี้อยู่เ บื้อ งหน้า เจ้า เจ้าไม่คิด จะ
แสดงน้าใจอันใดสักหน่อยรึ?”
แต่พอเห็นสีหน้าตะลึงลานของเว่ย จั่วม่อผิดหวังขึ้นมาทันที ถลึงตา
มองเว่ยอย่างเหยียดหยาม ราพึงราพันว่า “ที่แท้แค่ชมเชยปากเปล่า รึ? ฮ่า
ยุ ค สมั ย นี้ ก ลายเป็ น โลกที่ ผู้ ค นเพี ย งชมเชยปากเปล่ า ไปเสี ย แล้ ว หรื อ ?
อนิจ จา ท่านชุดเกราะป้ ายศิล าสุ ส านที่ เ คารพนั บถือ ... ... ไฉนตกต่า ถึ ง
เพียงนี้แล้ว... ...”
กล่าวจบคา มันก็ส ะบัดหน้าจากไป โดยไม่เหลือบมองเว่ยอีกแม้ แ ต่
แวบเดียว
มองดูเว่ยยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ผูเยากุมท้องหัวร่องอหายอย่างไม่ ไว้
หน้า

เมื่อออกมาจากทะเลแห่งจิตสานึก จั่วม่อก็ประสานสบเข้ากับสายตา
อันสงบเยือกเย็นของเขิงเหลียนเอ๋อร์
“เจ้าไฉนก่อเกิดปรากฏการณ์หมู่ดาวประทานพรได้ ?” สุ้มเสียงของ
เขิงเหลียนเอ๋อร์ใต้ม่านรัตติกาลอันเงียบงันเช่นนี้ ดูคล้ายเลื่อนลอยเลือน
ราง คล้ายมีคล้ายไม่มี
“เนื่องเพราะ... ...” จั่วม่อผู้ไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย มองดูใบหน้า
ชวนลุ่มหลงตายของนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง พลางเน้นเสียงทีละคา
“...เพราะ ข้าเป็นอัจฉริยะ!”
กล่ า วจบค า มั น ก็ เ มิ น ดวงตาอั นเบิ ก กว้ า งของเขิง เหลียนเอ๋ อร์ เดิ น
กลับเข้าห้องตัวเองทันที
ซึ่งความจริงกระทั่งตัวมันเองยังไม่ทราบ ว่าไฉนมันเรียกหาหมู่ดาว
ประทานพรได้
หลังจากตื่นตัวตลอดคืน มันกลับไม่รู้สึก เหนื่อ ยล้ า แม้ แต่น้ อย กลับ
บังเกิดความรู้สึกราวกับว่าภายในร่างอัดแน่นไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด พอ
กลับเข้ามาในห้อง มันก็รีบเข้าสู่ห้วงฌานสมาธิ
สาหรับพลังฝีมือที่รุดหน้าในวันนี้ มันต้องศึกษาให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังจดจาได้ว่า ในช่วงที่แสงดาวเหล่านั้นพุ่งเข้า ไปใน
แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์ที่กลางอก คล้ายมี บางสิ่งผุดขึ้นในใจมัน บาง
สิ่งที่สาคัญยิ่ง
ในห้ ว งฌาน จั่ ว ม่ อ ใบหน้ า ไม่สุข สันต์ไ ม่ ทุ ก ข์โ ศก เลื อ ดเนื้ อ กระดู ก
เส้นเอ็น ทุกส่วนภายในร่างกายผุดขึ้นต่อหน้าสายตาของมันอย่างสมบูรณ์
ชัดเจน ระบบพลังทั้งสามที่ปรับปรุ งใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ช่างน่าลุ่มหลง
โดยแท้
ภาพนับไม่ถ้วนวาบผ่านในจิตใจมัน
มันพลันลืมตาขึ้น สีหน้าคล้ายตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง!
มันในที่สุดก็ล่วงรู้ ในยามที่แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์ที่กลางอกถูก
พลังดวงดาวเข้าท่วมท้นจนล้นปรี่ สิ่งที่ระเบิดขึ้นในใจมันคืออะไร...
...การแปลงร่างครัง้ ที่หนึ่งของอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา!
บทที่ 584 ดูแคลน

ปู้เกิ้นสีหน้ามืดมนยิ่ง
เมื่อเห็นจั่วม่อก่อให้เ กิด ปรากฏการณ์ห มู่ ด าวประทานพร มันได้ รั บ
ความกระทบกระเทือนอย่างลึกล้า หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้องไปกว่านั้น
ต้องบอกมันรู้สึกสังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้า!
การตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับอัจฉริยะผู้สามารถก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดิน
หาใช่ เ รื่ อ งที่ ช าญฉลาดไม่ ทว่ า ความบาดหมางระหว่ า งพวกมั น ยากจะ
แปรเปลี่ยนกลับกลาย สายเกินไปที่จะยุติข้อบาดหมางด้วยสันติวิธี
ปู้เกิ้นสงบใจลงทันที ในฐานะแม่ทัพบัญ ชาการศึก ระดับ ทองผู้ ห นึ่ ง
จิตใจของมันย่อมแกร่งกร้าวมัน
่ คงดุจหินผา สีหน้าเผยแววเหี้ยมเกรียม
วิธีจัดการกับอัจฉริยะอายุเยาว์ที่ได้ผลที่สุด คือฆ่ามันเสียตั้งแต่ยังอยู่
ในเปลก่อนที่มันจะเติบใหญ่ขึ้นมา อัจฉริยะอายุเยาว์ที่ยังไม่ทันจะเติ บ โต
กล้าแข็ง หาได้มีจานวนชีวิตมากไปกว่าผู้อ่ น
ื ไม่
มันตัดสินใจติดต่อกับใครบางคนด้วยตัวเอง

จั่วม่อพลิกดูกองภูเขาเทียบเชิญรอบหนึ่ง จากนั้นสีหน้าสลดลง “ไม่มี


เทียบเชิญที่มาจากตระกูลอานเหวย!”
ไม่ใช่แค่เพียงตระกูลอานเหวยเท่านั้น แต่เทียบเชิญเหล่านี้ ไม่มีใบใด
ที่ ส่ ง มาจากตระกู ล ระดั บ สู ง เที ย บเชิ ญ ทั้ ง หมดล้ ว นมาจากตระกู ล เล็ ก
ตระกูลน้อยทั่วไป จั่วม่อผู้เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความภาคภูมิใจ
อย่างเต็มปรี่ รู้สึกเหมือนถูกหวดฟาดกลางแสกหน้า สลดหดหู่ใจยิ่ง
“หรื อ ว่ า การแสดงของของข้า ไม่ ส ะดุ ด ตามากพอ?” จั่ ว ม่ อ ครุ่ น คิ ด
ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สะดุดตา” ผูเยาผู้ผ่านพบเรื่องราวใหญ่โตมามากมาย
สามารถอธิบายได้อย่างง่ายดาย “เจ้าได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างยอด
เยี่ยมแล้ว แต่ประการแรก ชาติกาเนิดของเจ้าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และประการที่
สอง เจ้ายังไม่ผ่านการทดสอบในการต่อสู้จ ริง ผังเฉินแม้เป็นยอดยุ ท ธ์ลือ
นาม แต่ทว่าในนครมหาสันติ มันไม่ได้จัดอยู่ในทาเนีย บสุดยอดฝีมือ ยิ่ง
เป็นตระกูลใหญ่เท่าใด ข้อทดสอบของพวกมันก็ยิ่งระมัดระวังและเข้มงวด
มากขึ้นเท่านั้น”
จั่ ว ม่ อ พลั นกระจ่ างแจ้ง เลิ ก คิ้ ว สู งชั น “ที่ แ ท้ พ วกมั น ต าหนิว่ า ข้าไม่
แข็งแกร่งพอ?”
“เจ้าสามารถเข้าใจเช่นนั้นก็ได้” ผูเยาบนใบหน้าฉายรอยยิ้มสบายอก
สบายใจ “เจ้าแม้ส าแดงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ แต่จ ะอย่างไรศักยภาพก็ยัง
ไม่ ใ ช่ ค วามแข็ ง แกร่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง หากศั ก ยภาพไม่ อ าจกลายเป็ น ความ
แข็งแกร่ง มันก็เป็นได้แค่ศักยภาพไปตลอดกาล การแก่งแย่งชิงดีในตระกูล
ใหญ่เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยเยี่ยงเจ้าจะจินตนาการได้ พวกมันมียอด
ยุทธ์อายุเยาว์ที่ เต็ม ไปด้ วยศักยภาพนั บ ไม่ถ้ วน สิ่งที่พวกมันต้องการคื อ
ยอดฝีมือแท้จริง ไม่ใช่เด็กน้อยที่มีศักยภาพ!”
“เข้าใจล่ะ!” จั่วม่อผุดลุกขึ้นยืน “ดูท่าว่าข้าจาต้องทุบตีคนเก่ง ๆ สัก
สองสามคนเสียก่อน จึงสามารถดึงให้พวกมันหันมาสนใจข้าได้”
โดยไม่กล่าวอันใดอีก มันไปหาเสาะหาเถาซิง
มุ ม มองที่ เ ถาซิ ง มี ต่ อ จั่ ว ม่ อ ยามนี้ แ ปรเปลี่ ย นปานพลิ ก ฟ้ า คว่ า ดิ น
นิมิตแห่งฟ้าดินที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทาให้มันอัศจรรย์ใจไม่น้อย ในฐานะที่มัน
เป็นเฉิงจู่ของเมืองหนึ่ง เดิมทีมันยังภาคภูมิถือดีอยู่บ้าง ไม่ว่ามันไปยังที่ใด
ผู้คนล้วนแสดงความเคารพนับถือต่อมัน แต่บัดนี้ความทระนงตนของมัน
ถูกทาลายสิน
้ หมู่ดาวประทานพร นิมิตแห่งฟ้าดินที่มีอยู่แต่เพียงในตานาน
กลับปรากฏขึ้นจริงต่อหน้าต่อตามัน
เที ย บกั บ ยอดอั จ ฉริ ย ะอายุ เ ยาว์ ผู้ นี้ แ ล้ ว เถาซิ ง ส านึ ก ตั ว ว่ า มั น ไม่ มี
คุณค่าความหมายอันใดเลยจริง ๆ
สี ห น้ า ท่ า ที ข องเถาซิ ง เต็ ม ไปด้ ว ยความสุ ภ าพอ่ อ นน้ อ ม “ต้ า เหริ น
เสาะหาข้ามีเรื่องอันใด?”
ท่าทีของเถาซิงทาเอาจั่วม่อแปลกใจอยู่บ้าง แต่มันยังไม่ว่างมาขุดคุ้ย
เรื่องนี้ เพียงเอ่ยปากอย่างไม่อ้อมค้อม “ช่วยบอกเล่าเรื่องบรรดายอดฝีมือ
ในนครมหาสันติให้ข้าฟังสักหน่อย”
“เหล่ายอดฝีมือในนครมหาสันติ ?” เถาซิงงงงันวูบ ในใจลอบครุ่นคิด
เด็กหนุ่มผู้นี้หรือคิดท้าประลองกับผู้คนอีกแล้ว ? ในจิตใจมัน จั่วม่อเป็นคน
หุนหันพลันแล่น อยู่นิ่งเฉยไม่เป็นผู้หนึ่ง
แต่จ่ัวม่อเมื่อมาสอบถามมัน เถาซิงก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ มันตกลงใจ
อธิบายให้ละเอียดลออที่สุด เพื่อให้จ่ัวม่อเข้าใจอย่างชัดเจน ว่าผู้ใดตอแย
ได้และผู้ใดไม่อาจตอแย
“ในนครมหาสั น ติ เ ต็ ม ไปด้ ว ยชนชั้ น ยอดฝี มื อ มากมาย พวกมั น ถู ก
เรี ย กว่ า ยอดยุ ท ธ์ ลื อ นาม แต่ ใ นหมู่ ย อดยุ ท ธ์ ลื อ นามเหล่ า นี้ ยั ง มี ก ารจั ด
อั น ดั บ ท าเนี ย บสุด ยอดฝีมื อด้ ว ย ผั ง เฉิ น ซึ่ ง ถูกท่ า นสัง หารเพีย งเป็นยอด
ยุทธ์ลือนามทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้จัดอยู่ในทาเนียบสุดยอดฝีมือ ยอดยุทธ์ลือ
นามเหล่านี้ล้วนเป็นจอมปิศาจด่านเจียง ทั้งยังถือครองสังขารปิศาจ ส่วน
บรรดาสุดยอดฝีมือที่ได้รับการจัดอันดับ เรีย กว่าทาเนียบปิศาจมหาสันติ
จัดอันดับสุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดในนครมหาสันติยี่สิบอันดับ สามคนที่
มีพลังฝีมือสูงเยี่ยมที่สุด ชางเยวียนฮ่าว อวี๋ซวง และหนานเหมินเสวี่ย พวก
มันอยู่ห่างจากด่านไสว้อีกเพียงก้าวเดียว ชีเตียวอวี่เองก็อยู่ที่ระดับชั้นนี้
เพียงแต่มันจากนครมหาสันติไปหลายปี ดังนั้นชื่อของมันไม่ได้ถูกจัดอยู่ใน
อันดับสุดยอดฝีมือทาเนียบปิศาจมหาสันติ”
จั่วม่อตั้งใจรับฟังอย่างระมัดระวัง
“ระดับชั้นถัดมา เป็นอันดับที่สี่ถึงสิบสอง เหล่าสุดยอดฝีมือในจานวน
นี้ เป็นพวกที่บรรลุด่านเจียงมานานปี ล้วนแล้วแต่เป็นยอดยุทธ์ที่ บรรลุถึง
พลัง ‘เขตแดน’ ส่วนระดับชั้นสุดท้ายคือตั้งแต่อันดับที่สิบสามถึงอันดั บที่
ยี่สิบ ยอดยุทธ์ที่ระดับชั้นนี้แม้ยังไม่บรรลุพลัง ‘เขตแดน’ แต่พวกมันหาก
มิใช่ว่าฝึกปรือสังขารปิศาจที่พิเศษเฉพาะ ก็เป็นพวกที่ใช้วิชาทักษะปิศาจ
อันร้ายกาจทรงพลัง เบียดเสียดเข้าสู่ทาเนียบสุดยอดฝีมือปิศาจมหาสันติ
หลันเทียนหลงก็เป็นหนึ่งในพวกมันเอง มันจัดอยู่ลาดับที่สิบแปด”
“ภายใต้ พ วกมั น ยี่ สิ บ สุ ด ยอดฝี มือ จึ ง เป็ น ท าเนี ย บของบรรดายอด
ยุทธ์ลือนามทั่วไป คนในทาเนียบปิศาจมหาสันติไม่ใช่ผู้ที่เราจะท้าประลอง
ได้ พวกมันส่วนใหญ่มาเพื่อหลักศิลาทักษะปิศาจมหาสันติ แทบไม่ถามไถ่
เรื่ องราวภายนอก เที ย บกั บ พวกมั น แล้ ว ท าเนี ย บยอดยุ ท ธ์ ลื อ นามยั ง
ดุเดือดเลือดพล่านกว่า มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โอกาสชนะก็มีมากกว่า
หากท่านสนใจการประลอง สามารถทดลองท้าประลองคนในทาเนียบยอด
ยุทธ์ลือนาม”
เถาซิ ง กล่ า วหยั่ง เชิง จั่ว ม่ อ หากคนผู้ นี้คิ ด ท้ า ประลองกั บผู้คนจริงๆ
เช่นนั้นให้มันไปท้าประลองทาเนียบยอดยุทธ์ลือนามจะดีที่สุด ด้วยฝีมือ
ของมันที่สังหารผังเฉินในสองกระบวนท่า คิดท้าทายทาเนียบยอดยุทธ์ลือ
นามคงไม่มีปัญหาใด เนื่องเพราะอันดับของผังเฉินในทาเนียบยอดยุทธ์ลือ
นามนับว่าไม่ต่าทราม
จั่วม่อกลับชายตามองเถาซิงอย่ า งเท่า ทัน ถามอีกว่า “ผู้ที่รั้งอัน ดั บ
ยี่สิบในทาเนียบปิศาจมหาสันติเรียกว่าอะไร?”
เถาซิงหน้าเขียวคล้าทันที ใจเต้นระทึก พยายามทักท้วงอย่างขลาด
เขลาว่า “ต้ าเหริน ท่านสามารถเริ่มจากทาเนียบยอดยุทธ์ลือนาม ในหมู่
พวกมันก็มียอดฝีมือที่ร้ายกาจไม่น้อย... ...”
ทาเนียบยอดยุทธ์ลือนาม?
จั่วม่อสั่นศีรษะระรัวเป็น กลองป๋องแป๋ ง แค่ฟังดูก็ทราบว่ าท าเนี ย บ
ยอดยุทธ์ลือนามไม่มีน้าหนักมากพอ หากคิดสั่นคลอนตระกูล เก่าแก่ซึ่ งมี
สายตาสู งส่งอยู่เหนือศีรษะ ดังเช่นตระกูล อานเหวย หากมันไม่ส ามารถ
เบียดเสียดเข้าสู่ทาเนียบสุดยอดฝีมือปิศาจมหาสันติ ฝ่ายตรงข้ามจะไม่
แม้แต่ชายตามองด้วยซ้า
นึกถึงเทียบเชิญโง่เง่ากองโตที่อยู่ในห้อง จั่วม่อหนังตากระตุก
มันถูกดูแคลน!
“อั น ดั บ ที่ ยี่ สิ บ ในท าเนี ย บปิ ศ าจมหาสั น ติ ! บอกมา มั น เป็ น ใคร?”
จั่วม่อสีหน้าท่าทีเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด
เถาซิงถูกสายตากดดันของจั่วม่อขู่ข วัญจนหัวหด รีบร้องบอกอย่าง
หวาดกลัวจับใจ “เหมียวจุน!”
“เหมียวจุน!” จั่วม่อทวนซ้า ดวงตาทอประกายฆ่าฟัน
เถาซิงเหม่อมองสีห น้าเหี้ยมเกรีย มของจั่ว ม่อ รู้สึกแข้งขาอ่อนยวบ
ทรุดนั่งแปะลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว

อาซาเก๋อประหลาดใจอยู่บ้าง กงซุนชาจู่ ๆ มาหามันอีกครั้ง มันไม่มี


ทางคาดเดาได้ ว่ า เป็ น เรื่ องราวใด พวกมั น ทั้ ง สองฝ่ า ยเพิ่ ง จะเข้ า เป็ น
พันธมิตรกันเมื่อไม่นานมานี้เอง หรือว่ากงซุนชามีความคิดใหม่อันใด?
“พี่กงซุน วันนี้มาเยี่ยมเยือนผู้น้อง ไม่ทราบมีเรื่องใด?” อาซาเก๋อไม่
หวาดหวั่นกลัวเกรง กล่าวถามอย่างไม่อ้อมค้อม
ท่าทีตรงไปตรงมาของอาซาเก๋อพอดีตรงกับความต้องการของกงซุน
ชา มันกล่าวอย่างจริงจังว่า “ผู้น้องต้องการให้พี่อาซาเก๋อวางมือจากรอย
แยกแห่งความโกลาหล”
อาซาเก๋อสีหน้าแปรเปลี่ยนทั นควัน ประกายตาเคร่งเครียดเย็นชาลง
“พี่กงซุนหมายความว่าอย่างไร?”
กงซุนชารู้ดีว่าสิ่งที่มันร้องขอเป็นเรื่องอุกอาจและเกินเลยไปมาก แต่
กับเรื่องนี้ย่อมไม่อาจคานึงถึงเหตุผลได้ มันนิ่งเงียบงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะ
กล่าวว่า “ผู้น้องถูกเรื่องราวบีบบังคับ มิอาจไม่ทาเช่ นนี้ ผู้น้องยินดีชดเชย
ให้แก่พี่อาซาเก๋อในด้านอื่นแทน”
อาซาเก๋อแย้มยิ้มเย็นชา “เราผู้ต่าต้อยอยากลองฟังดูว่าเป็นเรื่องราว
ใด!”
กงซุ น ชาตั ด สิ น ใจบอกเล่ า สถานการณ์ อ ย่ า งไม่ ปิ ด บั ง อ า พร าง
นอกเหนือจากไม่เอ่ยชื่อจั่วม่อแล้ว ที่หลงเหลือล้วนบอกกล่าวอย่างชัดแจ้ง
อาซาเก๋อพอฟังเรื่องราวทั้งหมด โทสะพลันสลายคลาย มันเป็นบุคคล
ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ย่อมฟังออกว่าวาจาของกงซุนชาล้วนเป็นความสัตย์
จริง
แต่ มั น ยั ง คงต้อ งสั่นศี ร ษะปฏิเ สธ “พี่ ก งซุ น เป็ น สหายที่ น่า นั บ ถือ ผู้
น้องมิอาจบอกว่าไม่หวั่นไหวใจ แต่ทว่าอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ที่ฟากโน้น
เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สาคัญของตระกูลข้า แน่นอนว่าไม่อาจวางมือได้ หาก
พี่กงซุนเพียงต้องการผ่านทางไป ผู้น้องรับรองว่าไม่มีปัญหา”
แม่ น างน้ อ ยสั่ น ศี ร ษะบ้ า ง “เราจะต้ อ งส่ ง กองทั พ หนุ น เสริ ม เข้ า ไป
อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องการยอดยุทธ์เผ่าปิศาจมากขึ้น เพื่อเสริม
เข้าไปในกองทัพหนุนของเรา เกรงว่าลาพังการผ่านทางคงไม่เพียงพอ”
อาซาเก๋อพลันหัวร่อสนั่นหวั่นไหว “พี่กงซุนช่างจินตนาการบรรเจิด
นัก อสูรปิศาจเคียดแค้นชิงชังซิวเจ่ออย่างลึกล้า ไหนเลยจะยินยอมรับใช้
พวกเจ้า?”
กงซุนชาชายตามองอาซาเก๋อ กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “เช่นนั้นพี่อาซา
เก๋อ โปรดรอสักครู่”
ไม่กี่อึดใจให้หลัง ปิศาจฝูงใหญ่ก็พากันเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้าแม่
นางน้อย ค้อมกายคารวะอย่างพร้อมเพรียง
อาซาเก๋อนิ่งขึงตะลึงงัน ถลึงจ้องเหล่าปิศาจที่เบื้องหน้า แทบไม่เชื่อ
สายตาตัวเอง!
ปิศาจ! เผ่าปิศาจของแท้แน่นอน! สิ่งที่ชวนตื่นตะลึงยิ่งไปกว่านั้น คือ
พวกมันล้วนเป็นปิศาจด่านถงหลิ่ง! คนเหล่านี้แม้จะอยู่ในกองทัพของมันก็
ยังถือเป็นชนชั้นยอด
ตรงหน้ามันถึงกับมีปิศาจเช่นนี้ถึงหลายสิบตน
“เชื่อว่าพี่อาซาเก๋อคงสามารถเห็นได้ว่าพวกมันเป็นปิศาจสายเลือด
แท้ มิหนาซ้าในร่างกายของพวกมันก็ไม่ได้มีอาคมหวงห้ามคอยสะกดอยู่”
วาจาของกงซุนชาปลุกอาซาเก๋อให้ได้สติ
อาซาเก๋อจ้องมองปิศาจเหล่านี้ตาเขม็ง แล้วพลันเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียง
ต่าลึก “พวกเจ้าไฉนรับใช้ซิวเจ่อ?”
เอ้อเต๋อขมวดคิ้ว แย้งว่า “ผู้ใดรับใช้ซิวเจ่อ ? พวกเราเพียงรับใช้เจ้า
เหนือหัวของพวกเรา!”
“เจ้าเหนือหัว!” อาซาเก๋อแทบตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ มันชักเริ่มแน่ใจว่า
วันนี้ส มองของมันเห็นทีจ ะไม่พอใช้แล้ว มันพบเห็นปิศาจด่านถงหลิ่งฝูง
ใหญ่อยู่ในกองทัพซิวเจ่อ จากนั้ นปิศาจเหล่านี้ก็บอกว่าพวกมันรับใช้เจ้า
เหนือหัว ...
เช่นนั้นซิวเจ่อเหล่านี้เล่า?
เช่ น เดี ย วกั น กั บ ที่ มั น ไม่ เ ชื่ อ ว่ า ปิ ศ าจจะท างานรั บ ใช้ ซิ ว เจ่ อ ในทาง
กลั บ กั น มั น ก็ ไ ม่ เ ชื่ อ ว่ า ซิ ว เจ่ อ จะรั บ ใช้ ปิ ศ าจ แม้ ว่ า จะเป็ น ราชั น ปิ ศ าจก็
ตาม!
สายตาของอีกฝ่ายทาให้เอ้อเต๋อขุ่นเคือ งใจยิ่ง แต่มันยังคงบอกเล่า
เรื่องราวอย่างไม่เกี่ยงงอน อย่างเช่นราชันของพวกมันระเหเร่ร่อนอยู่ใน
ภพซิวเจ่ออย่างไร ท่านฝึกปรือสังขารปิศาจมหาทิ วาด้วยตัว เองอย่ า งไร
ท่านสร้างกองทัพซิวเจ่อขึ้นมารับใช้ตัวเองอย่างไร จนถึงเรื่องที่องค์ราชัน
ต่อสู้กับเยี่ยหลิงต้าเหริน และรับการสวามิภักดิ์จากเหล่าปิศาจอย่างไร
ต านานเรื่องราวอันเหลวไหลนี้กลับกล่าวออกจากปากปิศาจด่านถง
หลิ่งผู้หนึ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง มิหนาซ้ายามมันบอกเล่าอย่างออกรส ยังมี
ปิศาจด่านถงหลิ่งอีกหลายสิบตนยืนอยู่ด้านข้าง คอยพยักหน้าสนับสนุน
จากเรื่องราวอันเหลือเชื่อก็กลายเป็นน่าเชื่อถือมากแล้ว
แต่ อ าซาเก๋ อ รู้ สึก ไม่อ าจเข้า ใจได้ จ ริ ง ๆ เหม่ อ มองหน่ว ยทัพ ของเอ้
อเต๋อ มันนิง่ งันไปเป็นเวลานาน
ตลอดเวลานี้กงซุนชาเอาแต่เ มินมองไปทางอื่น แต่ยังลอบสังเกตสี
หน้าอาซาเก๋อ ในใจร้องว่า ...มีหนทาง!
มันรีบตีเหล็กทั้งยังร้อน นาอาซาเก๋อไปชมดูการสาธิตพิชัยยุทธ์ ใหม่
ของค่ายจูเชวี่ยทันที
จิตใจอันสับสนงุนงงของอาซาเก๋อกลับคืนสู่ความแจ่มใสในบัดดล มัน
ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองกองทัพที่เหินทะยานอยู่บนฟ้าตาไม่กะพริบ!
มันสามารถมองเห็นได้ว่า โครงสร้างหลักของกองทัพนี้ยังเป็นกองทัพ
เดิมที่มันเคยประมือด้วย แต่เพิม
่ เหล่าปิศาจด่านถงหลิง่ เข้ามา
มั น เพิ่ ง จะเคยเห็ น กองพั น ที่ ป ระกอบด้ ว ยซิ ว เจ่ อ กั บ ปิ ศ าจผสาน
รวมกันเป็นครั้งแรก กองพันที่ผิดแผกแตกต่างกันไปคนละทางนี้ ใช้พิชัย
ยุทธ์แปลกประหลาดที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่ง แม้ว่ามันเพียงเห็นแค่ส่วนยอด
ของภูเขาน้าแข็ง ยังอดสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัว!
ในช่วงระยะเวลาอันสั้น กองพันนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ความแกร่งกร้าวเกรียงไกรของพวกมันในยามนี้ ทาเอาอาซาเก๋อหัวใจเต้น
ระส่า
มันเหลือบมองบุรุษหนุ่มที่ดูประหม่าอาย ผู้มีใบหน้าไร้เดียงสาเหมือน
เด็กชายข้างบ้าน ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันรู้สึกความเย็นสายหนึ่งแผ่ซ่าน
ขึ้นจากใจ กัดกร่อนความกล้าหาญของมัน อย่ างไม่ห ยุ ดยั้ง ทั้งยังไม่ อ าจ
ระงับไว้ได้ มือเท้าเย็นเฉียบไปหมด
ในฐานะหนึ่งในสามยอดแม่ทัพแห่งตระกูลซิงหลัว อาซาเก๋อไหนเลย
จะเคยขาดพร่องด้านความกล้าหาญ
แต่ยามนี้ มันสีห น้าซีดเผือด ประหนึ่งว่าเพิ่งพ่ายศึกอย่างยับเยินก็ มิ
ปาน
มันทราบกระจ่างแก่ใจ หากทั้งสองฝ่ายทาสงครามห้าหั่นกันอีกครั้ง
มันจะไม่มีโอกาสได้ชัยแม้สักส่วนเสี้ยว
ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ของกงซุนชาดูลี้ลับสุดหยั่ง คะเน
อาซาเก๋อไม่อาจล่วงรู้ได้ หลายวั นมานี้ที่แท้เกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องราวใดที่
ทาให้กองทัพที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์
ถึงกับยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!
เด็กหนุ่มผู้นี้... ...
อาซาเก๋อมองเห็นความวิกลจริตและความดื้อรัน
้ อยู่ในส่วนลึกของกง
ซุนชา ทันใดนั้นพลันเข้าใจกระจ่าง...
...นี่เป็นคนเสียสติผู้หนึ่ง!
บทที่ 585 พนัน

“มิผิด มันก่อให้เกิดปรากฏการณ์หมู่ดาวประทานพร ทั่วทั้งนครมหา


สันติล้วนเป็นประจักษ์ พยาน อีกทั้งมันยังทาลายสถิติข องชีเตียวอวี่ เ มื่ อ
ครั้งกระโน้น หลายตระกูลเริ่มให้ความสนใจกับมันแล้ว”
“คอยติดตามสถานการณ์ต่อไป”
“เราสมควรทาบทามมันก่อนหรือไม่? หลายคนเพ่งเล็งไปที่มัน... ...”
“อย่าได้กังวลมากไป อาศัยชื่อเสียงของมันในตอนนี้ ไม่มีตระกูลใหญ่
ใดจะเสนอราคาที่ดีให้แก่มัน ส่วนบรรดาตระกูลเล็กตระกูลน้อย แม้ว่าพวก
มันอาจสามารถดึงคนผู้นี้เข้าร่วมได้จริง ถึงตอนนั้นเราค่อยไปแย่งตัวมาที
หลังก็ได้ สมควรไม่ใช่เรื่องยาก”
“แต่ว่า... ...”
“ไม่มีผู้ใดโง่งม หมู่ดาวประทานพรแม้ทรงอานุภาพ แสดงให้เห็นถึง
ศักยภาพของมัน แต่ผู้ที่มีค่าพอให้พวกเราแสดงท่าที มีเพียงอัจฉริยะที่เอา
ชีวิตรอดมาได้ จนเติบใหญ่จนกลายเป็นสุดยอดฝีมือเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว แต่ว่าปู้เกิ้นตระเตรีย มเล่นงานมัน จากเงามื ด... ... เรา
สมควรกระตุ้นเตือนมันหรือไม่?”
“ไยต้องกระตุ้นเตือน? หรือเจ้ายังไม่เข้าใจ อัจฉริยะที่เอาตัวไม่รอดก็
ไม่มีค่าสาหรับเรา”
“ขอรับ... ...”
“ไปหาปู้เกิ้น ช่วยเหลือมัน แต่อย่าได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ จะอย่างไรนี่ก็
เป็นหมู่ดาวประทานพร เจ้าต้องปฏิบัติต่อมันเป็นพิเศษ! ข้ารู้สึกคาดหวัง
รอคอยอยู่บ้าง!”
“ขอรับ บริวารเข้าใจแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไปได้”

นิมิตแห่งฟ้าดินหมู่ดาวประทานพร เป็นหัวข้อสนทนาของประชาชน
ชาวปิ ศ าจแห่ ง นครมหาสั น ติ อ ยู่ เ พี ย งไม่ กี่ วั น ก่ อ นที่ จ ะถู ก แทนที่ อ ย่ า ง
รวดเร็ ว ด้ ว ยข่ า วใหญ่ ส ะท้ า นโลก นั่ น คื อ ข่ า วชั ย ชนะในทุ ก สมรภู มิ ข อง
สวรรค์สี่ดินแดน
พลั ง อ านาจอั น กร้ า วแกร่ ง ของสี่ ม หาส านั ก บั น ดาลให้ ท้ั ง อสู ร และ
ปิศาจกลับกลายเป็นเขม็งตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิง่ ฝ่ายปิศาจ
ในสงครามกลางมหานครนภาโลหิ ต ช่ ว งสุ ด ท้ า ย ฝ่ า ยอสู ร ประสบ
ความเสียหายอย่างหนักหนาสาหัส แต่ฝ่ายปิศาจส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย
ใด ไม่เคยเผชิญกับความสูญเสียที่แท้จริง แต่คราครั้งนี้ ในสี่อาณาจักรที่ถูก
ซิวเจ่อยึดครอง มีอยู่สามอาณาจักรที่เป็นของฝ่ายปิศาจ
สังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้าคล้ายแผ่เข้ากดทับพวกมันในทันที
โชคยังดีที่ท้ังสามอาณาจักรซึ่งถูกยึดครอง ล้วนห่างไกลจากนครมหา
สันติมาก แต่จ ะอย่างไรความหวาดหวั่นขวัญผวาก็ยังคงลุกลามไปดุจไฟ
ลามทุ่ง อยู่เหนือการควบคุมทั้งมวล
สถานการณ์ เ ช่ น นี้ ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ องที่ ย อดฝี มื อ เพี ย งคนเดี ย วจะสามารถ
เปลี่ยนพลิกได้ นอกเสียจากว่าจ้าวปิศาจด่านหวังจะลงมือด้วยตัวเอง แต่
ในขณะที่ ฝ่ า ยปิ ศ าจมี จ้ า วปิ ศ าจด่ า นหวั ง ซิ ว เจ่ อ เองก็ มี ช นชั้ น ต้ า เฉิ ง 6
เช่นกัน
แต่ ก ารต่ อ สู้ ร ะหว่ า งสุ ด ยอดฝี มื อ ด่ า นสุ ด ท้ า ยนี้ ถื อ เป็ น ไพ่ ต ายใบ
สุดท้ายของพวกมัน หากไม่มีความจาเป็นสุดยอดจริง ๆ ทั้งสองฝ่ายจะไม่
ใช้ไพ่ตายที่มีความเสี่ยงสูงมากเช่นนี้
ขอเพียงมีผู้คนและทรัพยากรมากพอ กองทัพชั้นยอดก็สามารถสร้าง
ขึ้นใหม่ได้ภายในเวลาไม่กี่ปี สามารถอาศัยศึกน้อยใหญ่ขัดเกลาให้เติบ โต
กล้าแข็งขึ้นตามธรรมชาติ แต่ส าหรับสุดยอดฝีมือในระดั บ ชั้นเหนื อ โลก
หากพลาดพลั้งเสียชีวิต จะไม่อาจหาผู้ใดมาทดแทนได้อี ก ไม่ใช่เพียงแค่
จ้าวปิศาจด่านหวังเท่านั้น แม้แต่จ อมปิศาจด่านไสว้ผู้ห นึ่ง ก็ยากยิ่งที่จ ะ
เพาะสร้างขึ้นมาได้ เรื่องนี้สามารถเห็นได้จากจอมปิศาจด่านเจียงมากมาย
ที่ติดค้างอยู่ชายขอบประตูสู่ด่านไสว้ เฉพาะในนครมหาสันติก็มีคนเช่นนี้
อยู่หลายคน
ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องและกะทันหันเกินไป บันดาลให้นครมหา
สันติกลายเป็นเคร่งเครียดอึมครึม
ทุกผู้คนล้วนหวาดวิตก คล้ายไม่มีอารมณ์จะสนทนากัน

6
ด่านหวัง (อ๋อง) และด่านต้าเฉิง เป็นด่านพลังที่เจ็ดอันเป็นด่านสุดท้าย เหนือกว่าด่านไสว้หรือฝ่านซู
“พี่เหมียว ท่านเห็นว่าอย่างไร?” ปิศาจที่ห ล่อเหลาสง่างามที่ สุ ด ใน
กลุ่มถามขึ้น พลางจ้องมองเหมียวจุนด้วยสายตาแฝงเค้าความวิตกกังวล
เหมียวจุน สุดยอดฝีมืออันดับที่ยี่สิบในทาเนียบปิศาจมหาสันติ คนผู้นี้
ไม่สูงใหญ่ ใบหน้าสี่เหลี่ยมคมชัดดุจสลักเสลาด้วยกระบี่ คล้ ายเผยให้เห็น
ร่องรอยของความกร้านโลกอยู่เล็กน้อย ดวงตาสีเขียวสดใส คนคล้ายนั่ง
อย่างปกติธรรมดา แต่กลับกอรปด้วยสภาวะตั้งมั่นดุจขุนเขาตระหง่านง้า
เหมียวจุนขบคิดอยู่ชั่ วอึ ด ใจ จากนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึ ม ว่า “อันที่
จริง นี่ไม่ใช่ความคืบหน้าที่น่าประหลาดใจ”
“ไม่น่าประหลาดใจ?” บรรดาสหายพอฟังต้องสนอกสนใจขึ้นมาทันที
รีบซักถาม “ไฉนไม่น่าประหลาดใจ?”
เหมี ย วจุ น แยกแยะสถานการณ์ ด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งเบาต่ า “ไม่ ว่ า ผู้ ค นจะ
ยอมรับหรือไม่ก็ต าม แต่ซิวเจ่อก็แข็งแกร่งกว่าพวกเราอสูรปิศ าจ นี่เป็น
ความจริ ง ที่ ไ ม่ มี ผู้ ใ ดสามารถปฏิ เ สธได้ สิ่ ง นี้ เ ป็ น ผลสืบ เนื่ อ งมาจากมหา
สงครามพันปีในครั้ง กระโน้น ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ ยนแปลงเรื่อ งนี้ไ ด้ ที่
ผ่านมา เรามีมหานครนภาโลหิต เป็นฉากกั้น แต่บัดนี้ด้วยผลกระทบจาก
มหาพิบัติฟ้าสลาย ทั้งสามภพกลายเป็นปราศจากพรมแดน เราสูญเสี ย
ฉากกั้นระหว่างสามเผ่าพันธุ์ สามารถเผชิญหน้าและต่อสู้กันได้ทุกเมื่อ ใน
เวลาเช่นนี้สิ่งสาคัญที่สุด ย่อมต้องเป็นพลังอานาจอันกล้าแข็ง ดังนั้นเรื่อง
ที่พวกเราพ่ายแพ้ก็หาได้น่าประหลาดใจไม่ เนื่องเพราะกล่าวถึงที่สุดแล้ว
อสูรปิศาจเราไม่ได้กล้าแข็งเท่าซิวเจ่อ”
“หากยึดถือตามที่พี่เหมียวกล่าวมา มิได้แปลว่าสุดท้ายแล้ วพวกเราก็
ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนหรือ?” สหายอีกคนถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย
“การพ่ายแพ้ ในตอนเริ่มต้น เป็ นเรื่ องที่จ ริ ง แท้ แน่น อนอยู่ แล้ว ไม่มี
ผู้ ใ ดแก้ ไ ขกลั บ กลายได้ แต่ ห ลั ง จากนั้ น จะเกิ ด อะไรขึ้ น ก็ ย ากบอกได้ ”
เหมียวจุนอธิบายด้วยสุ้มเสียงเฉื่อยชา ช่วยให้ผู้คนเห็นว่า มันมีความคิ ด
เป็นมั่นเป็นเหมาะ “ซิวเจ่อเมื่อเริ่มต้นด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้น พวกมัน
ย่ อ มต้ อ งรุ ก คื บ ต่ อ ไปเรื่ อยๆ พวกเราก็ ต้ อ งถอยร่ น อย่ า งต่ อ เนื่ อง แต่
ภายใต้ วั ฏ จั ก รของการรุ ด หน้ า และล่า ถอยนี้เ อง หลายสิ่ ง หลายอย่ างจะ
ค่ อ ยๆ เปลี่ ย นแปลงไป ผู้ อ่ ื นเดิ น ทั พ ท าศึ ก แดนไกลในต่ า งถิ่ น ยิ่ ง รุ ก คื บ
ขยายพื้นที่มากเท่า ใดพวกมันก็ยิ่ งต้องเหน็ ดเหนื่ อยในการรั กษาแนวรบ
เอาไว้มากเท่านั้น เผ่าปิศาจเราแม้อาจดูเหมือนถอยร่นอย่างไร้ทางสู้ แต่
เรามีข้อได้เปรียบที่ทาศึกในดินแดนบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ยิ่งไป
กว่านั้น เมื่อเห็นภัยพิบัติผู้คนล้มตายตระกูลล่มสลายรอคอยอยู่เบื้องหน้า
เราจะไม่มีทางให้ถ อยอีก ได้แต่ต้องต่อสู้ต อบโต้อย่างหลังชนฝา ถึงเวลา
นั้นสภาวะสู้ตายถวายชีวิตย่อมเป็นที่คาดหวังได้!”
วาจาเหล่านี้ท้งั กระจ่างชัดเจน ทั้งมีเหตุมีผล สหายทั้งหมดล้วนพากัน
ทอดถอนชมเชยอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ในเวลานี้เอง เหมียวจุ นจู่ ๆ ดวงสาสาดประกายวาบ ตวาดด้ว ยสุ้ ม
เสียงลุ่มลึก “เป็นสหายท่านใดให้เกียรติมาเยือน ไยไม่ออกมาสนทนากัน
สักคา?”
แปะแปะแปะ!
จั่วม่อเดินเข้ามาพลางปรบมือชื่นชมอย่างเปิดเผย มันไม่ได้เสแสร้ง
แกล้งดัด แต่บังเกิดความรู้สึกว่าผู้อ่ น
ื กล่าวได้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง สภาพ
สงครามสามเผ่าพันธุ์อันซับซ้อน กลับถูกวาจาไม่กี่คาบรรยายออกมาอย่าง
เรียบง่ายชัดเจน แจกแจงทีละประเด็นอย่างกระจ่างแจ้งและรัดกุม ลาพัง
สายตาคิดอ่านมองการณ์ไกลถึงระดับนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่รวบรัดธรรมดามาก
แล้ว
เสี่ยวม่อเกอมักนิยมชมชื่นบุคคลผู้มีความคิดอ่านเหนือธรรมดา!
“เซี่ยวม่อเกอ!” เหมียวจุนเผยสีห น้าแปลกใจอยู่บ้ าง ไม่ใช่แค่มั น ผู้
เดียว เหล่าสหายรอบกายมันพอเห็น ว่ าผู้ม าเป็น ใคร ล้วนมีสีห น้าแปลก
พิกลขึ้นมาทันที
ทุกผู้คนย่อมต้องรู้จักบุรุษหนุ่มนามกระฉ่อนที่อยู่เบื้องหน้าพวกมัน
นี่มิใช่เซี่ยวม่อเกอที่เพิ่งจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์หมู่ดาวประทานพร
หรอกหรือ?
จั่ ว ม่ อ เพ่ ง มองส ารวจตรวจตราเหมี ย วจุ น เหมี ย วจุ น เองก็ พิ นิ จ
พิจารณาเซี่ยวม่อเกอเช่นกัน
หมู่ ด าวประทานพรในค่ า คื นนั้ นบั น ดาลให้เ หมี ย วจุนอั ศ จรรย์ ใจไม่
น้ อ ย แต่ ค วามรู้ สึ ก ที่ ม ากกว่ า นั้ น คื อ ความอิ จ ฉาเลื่ อมใส ในด้ า นของ
พรสวรรค์ ทั้งมันและบรรดายอดยุทธ์ในทาเนียบปิศาจมหาสันติไม่ มีผู้ ใด
ขาดตกบกพร่อง มิเช่นนั้นพวกมันไหนเลยจะถูกจัดอันดับเป็นยี่สิบสุดยอด
ฝีมือปิศาจมหาสันติได้ แต่เมื่อเทียบกับตัว ประหลาดผู้ก่ อให้ เกิ ดหมู่ ด าว
ประทานพรแล้ว รัศมีประกายของพวกมันก็กลายเป็นสลัวมัวหม่นลงทันที
เหมี ย วจุ น บางคราถึ ง กั บ ปรารถนาให้ ตั ว มั น เองก่ อ เกิ ด หมู่ ด าว
ประทานพรสักครั้ง แม้ว่าไม่อาจช่วยให้มันบรรลุถึงด่านไสว้ แต่คิดบรรลุ
พลัง ‘เขตแดน’ สมควรไม่มีปัญหาอันใด
แต่ไม่ว่ามันจะอิจฉาเลื่อมใสสักเพียงใด หลังจากตื่นตะลึงอยู่วันสอง
วั น จิ ต ใจของยอดยุ ท ธ์ ร ะดั บ สู ง เช่ น มั น ย่ อ มต้ อ งสงบราบคาบลง ดั ง นั้ น
เหมียวจุนพอเห็นจั่วม่อในวันนี้ อดประหลาดใจอยู่บ้างไม่ได้
“เดิมทีข้ามาเพื่อท้าประลองพี่เหมียว”
จั่วม่อพอกล่าวประโยคนี้ออกมา ทั้งห้องก็กลับกลายเป็นเงีย บกริ บ
ในทันที ถ้อยคาของมันทาเอาผู้คนตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน
“แต่ พ อฟั ง พี่ เ หมี ย วแยกแยะสถานการณ์ เ มื่ อครู่ ผู้ น้ อ งเลื่ อมใส
ความคิดอ่านมองการณ์ไกลของพี่เหมียวเป็นอย่างยิ่ง จึงเปลี่ยนความตั้งใจ
อย่างกะทันหัน” จั่วม่อกล่าวอย่างราบรื่นไม่ กระดากปาก ประหนึ่งว่ามัน
เป็นยอดยุทธ์ไร้เทียมทานผู้หนึ่งก็มิปาน ไม่ได้มีทีท่าว่าจะประหม่าขลาด
เขลาแม้แต่น้อย
เหมี ย วจุ น จู่ ๆ ก็ รู้ สึ ก ว่ า น่ า ขบขั น แทบต ายแล้ ว อดถามอย่ า ง
กระตือรือร้นสนใจมิได้ “อ้อ แล้วเจ้าเปลี่ยนความตั้งใจเป็นอย่างไร?”
มั น แน่ ใ จว่ า ตอนที่ ตั ว มั น ยั ง อายุ เ ยาว์ ไม่ ไ ด้ อุ ก อาจบ้ า บิ่ น ถึ ง เพี ย งนี้
กระมัง?
เหล่าสหายคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจระงับสีหน้าขบขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อพวกมันเห็นสีหน้าสุดแสนจะจริงจังของจั่วม่อ บางคนอดหัวร่อออกมา
ไม่ได้ ในความเห็นของพวกมัน จั่วม่อเป็นเณรน้อยมือใหม่ต้งั แต่ศีรษะจรด
เท้า ในขณะที่เหมียวจุนเป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อลือนามมานานปี
ตอนนี้ เ ณรน้ อ ยมื อ ใหม่ ก าลั ง อวดโอ่ ว างท่ า ต่ อ หน้ า ยอดยุ ท ธ์ ผู้ มี
ชื่อเสียง นี่ไยมิใช่น่าขบขันแทบตายแล้ว?
จั่ ว ม่ อ ดู เ หมื อ นไม่ ไ ด้ ต ระหนั ก ว่ า ผู้ อ่ ื นก าลั ง หัว ร่ อ เยาะมั น มั น ยั ง คง
กล่าวสืบต่อด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าเชื่อว่าพี่เหมี ยวเป็นแม่ทัพบัญชาการ
ศึกอันเด่นล้าผู้หนึ่ง”
เหมี ย วจุ น ตื่ นตะลึ ง อยู่ บ้ า ง มั น บางครั้ ง บางคราก็ เ คยแยก แยะ
สถานการณ์ท่ว
ั ไปดังเช่นวันนี้ แต่ไม่เคยมีใครนึกเชื่อมโยงมันเข้ากับแม่ทัพ
บัญชาการศึกมาก่อน
ดูเหมือนบุรุษหนุ่มผู้นี้มีสัมผัสรับรู้ที่เฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง!
เหมียวจุนสะท้านใจเล็กน้อย
“ดังนั้นข้าหวังว่าหากพี่เหมียวสามารถมาช่วยเหลือข้า จะเป็นการดี
มาก!” จั่วม่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังจริงใจเป็นที่สุด
ทุกผู้คนคล้ายรอยยิ้มชะงักค้างอยู่บนใบหน้า ดวงตาของพวกมันเบิก
กว้าง เหม่อมองจั่วม่อด้วยสีหน้าแปลกพิกล
ชั่วอึดใจให้หลัง
“ฮ่าฮ่า!”
คนผู้หนึ่งสุดจะสะกดกลั้นอีกต่อไป ทิ้งตัวลงตบพื้นพลางหัวร่องอหาย
ราวกับว่าเพิ่งได้ฟังเรื่องชวนหัวที่สุดในโลก เสียงหัวร่อคล้ายระบาดใส่ผู้คน
ได้ แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนในห้องพากันหัวร่อดังสนัน
่ หวั่นไหว
“ฮ่าฮ่า! มันคิดทาบทามพี่เหมียว! มันถึงกับคิดทาบทามพี่เหมียว...”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! หูข้าเฝื่ อนไปหรือไม่? นี่มันวันอะไรกัน?”
“ฮ่าฮ่า โอย ข้าหัวร่อจนแทบขาดใจตายแล้ว!”
เด็กน้อยผู้หนึ่งถึงกับแล่นมาหาถึงที่ กล่าวอย่างจริงจังว่าคิดทาบทาม
เหมี ย วจุ น เข้ า สั ง กั ด เกรงว่ า นี่ ต้ อ งเป็ น เรื่ องชวนหั ว ที่ น่ า ขบขั น ที่ สุ ด ใน
ประวัติศาสตร์ของนครมหาสันติแล้ว
กระทั่งเหมียวจุนยังอดหัวร่อไม่ได้ “ขออภัยยิ่ง ชีวิตข้าในยามนี้ดีมาก
แล้ว ข้าพึงพอใจพอสมควร”
จั่วม่อพลันเอ่ยว่า “กระทั่ง ‘แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์’ เจ้าก็ไม่
สนใจแล้ว?”
รอยยิ้ ม ของเหมี ย วจุ น แข็ ง ค้ า งในบั ด ดล ผุ ด ลุ ก ขึ้ น ทั น ควั น “เจ้ า มี
‘แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์’ หรือ?”
จั่วม่อไม่หลบหลีก ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า ปลดปล่อยพลังสภาวะ
แกร่งกร้าวดุดันออกมาอย่างฉับพลัน!

หลัวหลีขังตัวเองอยู่ภายในห้อง
ผิ ว พรรณซี ด เซี ย วเหมื อ นคนตายของมั น ก่ อ นหน้ า นี้ เริ่ ม ฟื้ นคื น สู่
สภาพเดิ ม เคล็ ด ความของ ‘กุ ญ แจเป็ น ตาย’ ไหลผ่ า นในจิ ต ใจมั น อย่าง
ต่อเนื่อง หลายวันมานี้มันคร่าเคร่งศึกษาเคล็ดวิชาที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง
นี้จนแทบไม่ได้พักผ่อน
สาหรับมัน ความตายไม่ใช่เรื่องยากเย็น ทั้งยังไม่ไกลห่างเท่าใด
บางครั้งการมีชีวิต ก็ต้องการความกล้าหาญมากกว่าความตาย
ความกล้าหาญนี้อาจเป็นเหตุผลประการหนึ่ง หรืออาจเป็นเศษเสี้ยว
แห่งความหวังสายหนึ่ง
หลัวหลีไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเล เนื่องเพราะมันไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่เลย
หัวใจมันกลับคืนสู่ชีวิต ไขว่คว้าเศษเสี้ยวความหวังเล็ก ๆ ที่แทบไม่มี
ตัวตนสายหนึ่ง
เมื่อเข้าสู่สถานะตายเทียม จะสามารถกระตุ้นศักยภาพของคนผู้หนึ่ง
ออกมาได้ ถึ ง ขี ด สุ ด เช่ น นั้ น มั น สามารถสร้ า งหว่ อ หลี ขึ้ น มาอี ก ครั้ ง ใช่
หรือไม่?
แม้ว่านี่อาจจะเป็นการที่ทาให้มันได้พบเห็นนางเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม
หลัวหลีหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้ความมืดเข้าครอบงาโลกของมัน แต่
มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิม
้ อ่อนจางสายหนึ่ง

จั่ ว ม่ อ พอระเบิ ด พลั ง สภาวะออกมาอย่ า งสุ ด ก าลั ง คลื่ นพลั ง ไร้ รู ป


ประดุจคลื่นยักษ์มหึมา ถาโถมโหมซัดไปทุกทิศทางอย่างไม่มีออมรั้ง
เหมียวจุนดวงตาพลัน ทอประกายวาบ เจิดจรัส ดุจ ดวงอาทิต ย์ ย าม
เที่ยง จนผู้คนไม่อาจจ้องมองตรง ๆ
ผู้ ค นรอบข้ า งสี ห น้ า แปรเปลี่ ย นอย่ า งรุ น แรง เสี ย งหั ว ร่ อ ชะงั ก ขาด
หายไปทันที แต่ละคนล่าถอยออกไปอย่างแตกตื่นลนลาน พลังสภาวะอัน
เกรี้ยวกราดนี้กดทับพวกมันจนแทบหายใจไม่ออก
พลั ง สภาวะที่ เ ซี่ ย วม่ อ เกอปลดปล่ อ ยออกมา หาได้ อ่ อ นด้ อ ยกว่ า
เหมียวจุนแม้สักน้อยนิดไม่!
“เจ้าจะมาหรือไม่?” จั่วม่อถามเสียงลุ่มลึก
เหมียวจุนแย้มยิ้มเย็นชา “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีฝีมือพอหรือไม่?”
“ต้ อ งการให้ ข้ า ลองเอาชนะเจ้ า ดู ห รื อ ไม่ ?” จั่ ว ม่ อ ถามต่ อ พลาง
ประสานสบสายตาเจิดจ้าของเหมียวจุนโดยไม่หลบเลี่ยง
“เจ้ามี ‘แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์’ จริง ๆ?” เหมียวจุนย้อนถาม
“ถูกต้อง!” จั่วม่อตอบอย่างรวบรัดชัดเจน
เหมีย วจุนสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ในใจบังเกิดความคิดขัดแย้ง
อย่างเห็นได้ชัด
เว่ย...เจ้าชั่วร้ายยิ่ง... ...
ในใจจั่วม่อลอบครุ่นคิดเช่นนี้ แต่สีหน้าสัตย์ซ่ ือจริงใจ “เราไยไม่เดิม
พันกันสักครา?”
“เดิมพัน?” เหมียวจุนหรี่ตาแคบเหมือนคมมีด
“ถูกต้อง มาสู้กัน หากเจ้าแพ้เจ้าต้องติดตามข้า หากเจ้าชนะ ‘แก่นแท้
มรกตเขียวแดนสวรรค์’ ก็เป็นของเจ้า” จั่วม่อโยนเหยื่อล่อ
“ข้าจะล่วงรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามี ‘แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์’ อยู่
จริง?” เหมียวจุนไม่ใช่ตัวโง่งม
“เจ้าสามารถลองเล่นพนันดูว่าข้ามีห รือไม่มี” จั่วม่อโต้ตอบอย่างไม่
สะทกสะท้าน
เหมี ย วจุ น ดวงตายิ่ ง หรี่ แ คบลงกว่ า เดิ ม ประกายเจิ ด จ้ า ยิ่ ง สว่ า ง
เรืองรอง มันกล่าวเสียงเย็นเยียบ “หากเจ้าแพ้ ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ตายอย่าง
สะดวกดาย”
“หากข้าแพ้ย่อมไม่มีสิ่งใดจะกล่าว เจ้ามีเวลามากพอที่จะทาตามใจ
เจ้า” จั่วม่อตอบโต้อย่างเย็นชา แต่ในใจมองดูเหมียวจุนอย่างเห็นอกเห็น
ใจ
เว่ย...เจ้ากลอกกลิ้งยิ่ง... ...
จริ ง ดั ง คาด คนยิ่ ง วางท่ า น่ า เลื่ อมใสศรั ท ธามากเท่ า ใด ยิ่ ง เลวร้ า ย
เท่านั้น... ...
บทที่ 586 ข้าหากลัวไม่!

หลังจากพบปะสนทนากับกงซุนชา อาซาเก๋อก็พกพาความกัง วลรีบ


รุ ด กลั บ ไปยั ง ตระกู ล มั น กระทั่ ง ไม่ มี เ วลาจะรายงานเรื่ อ งนี้ ไปยั งตระกูล
เนื่องเพราะมันพลันเผชิญเข้ากับข่าวร้ายอันน่าสะพรึงกลัว ถึงกับยืนตะลึง
พรึงเพริด...
...กงเหยี่ยเสี่ยวหรงโจมตีทัพพันธมิตรอสูรปิศาจแตกพ่ายยับเยิน เข้า
ยึดอาณาจักรศิลาดาสาเร็จ ปี้ ซานกับเต๋อเล่อพลีชีพกลางสมรภูมิ!
อาซาเก๋อแทบเข้าใจว่าเป็นมันหูเฝื่อนไปเอง! แต่หลังจากซักถามซ้า ๆ
ถึงสามครั้งสามหน และยังคงได้รับคาตอบเดิม มันก็ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
ภายในชั่ ว พริ บ ตา สามยอดแม่ ทั พ แห่ ง ตระกู ล ซิ ง หลั ว ก็ ห ลงเหลื อ
เพียงมันผู้เดียว
บรรยากาศเศร้าสลดหม่นหมองปกคลุมไปทั่วอาณาจักรเรือนกล้วยไม้
ปี้ ซานกับเต๋อเล่อมิเพียงเป็นสองยอดแม่ทัพ แต่ใต้ร่มธงของพวกมันยังเป็น
กองทัพชั้นยอดแห่งตระกูลซิงหลัว บัดนี้พวกมันทั้งหมดล้วนถูกฆ่าตายสิ้น
ตระกูลซิงหลัวย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
อาซาเก๋อยืนนิ่งขึงอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน บังเกิดความเย็นเยียบจับใจ สี
หน้าเผือดขาว
หากอาณาจักรอีกาหินที่อยู่ถัดจากอาณาจักรศิลาดาถูกยึดครองด้วย
ฝ่ า ยตรงข้ า มจะสามารถจ่ อ ประชิ ด อาณาจั ก รเรื อ นกล้ ว ยไม้ ไ ด้ ทุ ก เมื่ อ
อาณาจั ก รอี ก าหิน และอาณาจัก รเรื อ นกล้ว ยไม้ มีแ ม่ น้า อาณาจัก รหลาย
สายเชื่อมต่อกัน คิดบุกโจมตีง่ายดายยิ่ง แต่ยากจะระวังป้องกัน ฝ่ายตรง
ข้ า มสามารถอาศั ย แม่ น้ า อาณาจั ก รสายใดก็ ไ ด้ บุ ก เข้ า สู่ อ าณาจั ก รเรื อน
กล้ ว ยไม้ ส่ ว นพวกมั น ไหนเลยจะมี ปั ญ ญาจั ด ทั พ เฝ้ า ระวั ง ทุ ก ทิ ศ ทาง นี่
หมายความว่าศัตรูสามารถปรากฏตัวขึ้นเมื่อใดก็ได้
อาซาเก๋อแม้ โ ศกเศร้ าหม่นหมอง แต่มันทราบว่ า ไม่ มีเ วลาจะมั ว มา
คร่าครวญ หากกองทัพของเทียนหวนข้ามแม่น้าอาณาจักรมาถึงอาณาจักร
เรือนกล้วยไม้ พวกมันกระทั่งเวลาจะหลบหนีก็ไม่มีแล้ว!
เมื่อหลงเหลือเพียงกองทัพของอาซาเก๋อกองพันเดียว ตระกูลซิงหลัว
ย่อมไม่ใช่คู่มือของยอดแม่ทัพหนุ่มจากเทียนหวน
“ละทิ้งสัมภาระหนัก! รีบล่าถอยออกจากอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ด้วย
ความเร็วสูงสุด! ไปทางอาณาจักรศิลาขาว... ...” สุ้มเสียงร้อนรนของอาซา
เก๋อดังกังวานไปทั่ว
มันยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยคเสียด้วยซ้า กลับถูกสุ้มเสียงแตกตื่น
ลนลานของสายสืบผู้หนึ่งขัดจังหวะ
“ต้าเหริน! สายสืบของศัตรูปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ กับแม่น้าอาณาจักร!”
อาซาเก๋อหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้าทันที เร็วเกินไปแล้ว! มองไปยัง
ขบวนเด็ ก สตรี คนชรา คนป่ ว ยและคนพิ ก าร อาซาเก๋ อ หั ว ใจเย็ น เฉียบ
หรือว่าวันนี้ตระกูลซิงหลัวจะต้องถึงกาลแตกดับจริ งๆ?
ไม่มีเวลาอีกแล้ว!
ขบวนคนอ่ อ นแอของตระกู ล ไม่ มี ท างที่ จ ะรวดเร็ ว ไปกว่ า กองทั พ
ข้าศึกได้ สิ่งที่ชวนให้สิ้นหวังยิ่งไปกว่านั้น คืออาณาจักรเรือนกล้วยไม้เป็น
พื้นที่ราบทั้งผืน ไม่มีปราการป้องกันตามธรรมชาติแม้แต่น้อย ข้าศึกยังมี
จานวนมากกว่าฝ่ายมัน ต่อให้มันนากองทัพเข้ารับหน้า เกรงว่าไม่อ าจถ่วง
เวลาฝ่ายตรงข้ามได้สักเท่าใด!
หรื อ มั น จะได้ แ ต่ เ บิ ก ตามองดู ค นในตระกู ล ถู ก ฆ่ า ล้ า งสั ง หารไปทั้ ง
อย่างนี้? สายตาสิ้นหวังและหวาดกลัวของเหล่าคนในตระกูลทะลวงลึกเข้า
ไปในใจมัน อาซาเก๋อเจ็บปวดใจสุดทานทน
ขณะที่ความหวังเสี้ยวสุดท้ายกาลังจะเลือนหายไป มันจู่ ๆ ฉุกคิดถึ ง
คนผู้หนึ่ง!
ความคิดอันอุกอาจและบ้าบิ่นพลันผุดขึ้นในใจ
เวลาอั น กระชั้ น สั้ นไม่ อนุ ญ าตให้มั น ขบคิ ด ใคร่ ค รวญอีก มั น ไม่ ต่ าง
จากคนที่กาลังจะจมน้า ตะเกียกตะกายคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายอย่าง
เอาเป็นเอาตาย!
มั น ไม่ ลั ง เลใจอี ก หมุ น ตั ว พุ่ ง ทะยานเข้ า ไปในรอยแยกแห่ ง ความ
โกลาหลอย่างไม่คิดชีวิต!

กงซุ น ชาเห็ น อาซาเก๋ อ เพิ่ ง จากไปไม่ น านก็ ห วนกลั บ มาอี ก รู้ สึ ก


ประหลาดใจอยู่บ้าง มันแม้เพิ่งเคยพบปะสนทนากับอาซาเก๋อไม่กี่ครั้ง แต่
ยังมีความเข้าใจกับนิสัยใจคอของอีกฝ่ายไม่น้อย คนผู้นี้แน่วแน่เด็ด เดี่ ยว
คนเช่นนี้ยากจะโยกคลอนได้
อาซาเก๋อเมื่ อพบเห็นแม่น างน้อย ใบหน้าพลันทอแววขัดแย้ง อย่ า ง
รุนแรง แต่ท้ายที่สุดมันยังคงกัดฟัน คุกเข่าลงเสียงดังสนั่น “ตระกูลซิงหลัว
ของข้า ยินดีสวามิภักดิภ
์ ายใต้องค์ราชัน!”
ถ้อยคาของอาซาเก๋อเรียกได้ว่าแยบยลยิ่ง ผู้ที่มันสวามิภักดิ์มิใช่กงซุน
ชา แต่ยอมตนเป็นข้ารับใช้ขององค์ราชัน ด้วยวิธีนี้ย่อมไม่มี ผู้ใดสามารถ
กล่าวอันใดได้
กงซุนชางงงันวูบ อาซาเก๋อมาอย่างกะทันหันเกินไป มันจึงไม่เชื่อว่า
พลั ง อั น กล้า แกร่ งที่ ส าแดงให้ช มดู เ มื่ อครู่ จะสามารถโยกคลอนผู้อ่ ืนจน
ยอมสวามิภักดิ์ อีกทั้งมันย่อมสังเกตเห็นความหมายของประโยค ‘ยินดี
สวามิภักดิ์ภายใต้องค์ราชัน’ แต่มันไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย สิ่งที่มันต้องการคือ
อาณาจักรเรือนกล้วยไม้กับรอยแยกแห่งความโกลาหลเท่านั้น
“อาซาเก๋อยินดีมอบอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ให้เป็นของบรรณาการ
และจะไม่ร้องขอสิ่งอื่นใด นอกเสียจากว่า ขอให้ต้าเหรินช่วยปกป้องเชื้อ
สายตระกูลซิงหลัวของข้าด้วย!” อาซาเก๋อกล่าวอย่างโศกเศร้า
กงซุนชาไม่รับคาในทันที เพียงสอบถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ที่แท้เป็น
เรื่องราวใด?”
อาซาเก๋อแม้ถูกเงื่อนเวลากดดันจนแทบหายใจหายคอไม่ออก แต่ก็
ทราบดี ว่ า หากไม่ อ ธิ บ ายให้ ก ระจ่ า ง ผู้ อ่ ื นต้ อ งไม่ ยิ น ยอมเชื่ อ มั น แน่ มั น
พยายามสงบระงับจิตใจอันร้อนรุ่ม รีบบรรยายสถานการณ์อย่างรวบรัด
แม่ น างน้ อ ยเป็ น บุ ค คลอั น ปราดเปรื่ อง เมื่ อรั บ ฟั ง ค าบอกเล่ า จน
ครบถ้วน มันก็มองทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหน
อาณาจักรเรือนกล้วยไม้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดเท่ าที่พวกมันค้ น พบ
จนถึงตอนนี้ ส าหรับโอกาสที่สวรรค์ประทานให้นี้ แม่นางน้อยยินดีรับคา
ขอของอาซาเก๋อ อย่ า งไม่ลัง เล กงเหยี่ยเสี่ยวหรงแห่ งเที ยนหวนแม้ มี ช่ ื อ
เลื่องลือไปทั้งสามภพ แต่แม่นางน้อยหาได้เกรงกลัวไม่ ในเวลานี้มันแสดง
ให้เห็นถึงความเฉียบขาดอันน่าตระหนก
มันเพียงโบกมืออย่างไม่ลังเล “ออกเดินทาง!”
เท่านั้นเอง ค่ายจูเชวี่ยเร่งรุ ดข้ามผ่านรอยแยกแห่งความโกลาหลด้วย
ความเร็วเต็มพิกัด มุ่งหน้าสู่อาณาจักรเรือนกล้วยไม้
เหาะเหินด้วยความเร็วถึงขีดสุด สายลมกระพือพัดปอยผมที่ปิดหน้า
ของแม่ น างน้ อ ยจนโบกสะบั ด ใบหน้ า ที่ ดู ไ ม่ มี พิ ษ มี ภั ย ในเวลานี้ ร าวกั บ
กระบี่หลุดออกจากฝัก เต็มไปด้วยความแหลมคมและรังสีฆ่าฟัน!
วัดเสวียนคงมันยังไม่เกรงกลัว หรือยังต้องกลัวเทียนหวนด้วย!
คิดแย่งชิงอาหารจากปากข้าหรือ?
ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้หวัง!
รอจนค่ายจูเชวี่ยเหินบินมาถึงเมืองหลักของตระกูลซิงหลัว เป็นเหตุ
ให้ผู้คนพากันแตกตื่นตกใจ กงซุนชาไม่รีรอลังเล หันไปสั่งการอาซาเก๋ อ
“ให้พวกมันล่าถอยไปทางรอยแยกแห่งความโกลาหล!”
อาซาเก๋อสีหน้าตื้นตันใจ มันทราบว่าวาจาประโยคเดียวของกงซุนชา
นี้จ ะรักษาชีวิต ผู้คนในตระกูล ของมันเอาไว้ได้ มันรีบสั่งการให้นายทัพผู้
หนึ่งไปควบคุมการอพยพ ส่วนตัวมันนากองทัพของตนติดตามค่ายจูเชวี่ย
ตระเตรียมทาศึก
กงซุนชาส่งข่าวแจ้งกลับไปยังกองพันที่เฝ้าระวังในอาณาจักรยุ้งฉาง
กลาง เพื่อให้พวกมันจัดการดูแลผู้คนของตระกูลซิงหลัวเหล่านี้
ในเวลานี้เอง สายสืบของอาซาเก๋อส่งข่าวกลับมา
“กองพันเทียนหวนข้ามแม่น้าอาณาจักรมาแล้ว!”
อาซาเก๋อมองไปยังแม่นางน้อย มันเมื่อยอมสวามิภักดิ์ ทุกประการ
ย่อมต้องทาตามคาสั่งของแม่นางน้อย เห็นผู้คนในตระกูลล่าถอยเข้าไปใน
รอยแยกแห่งความโกลาหลอย่างปลอดภัย อาซาเก๋อก็พึงพอใจมากแล้ว
ต่อให้วันนี้มันจะต้องพลีชีพกลางสมรภูมิ มันก็ไม่คิดเสียใจ!
กงซุ น ชาในเมื่ อปฏิ บั ติ ต่ อ เหล่ า ปิ ศ าจในค่ า ยจู เ ชวี่ ย ด้ ว ยดี ก็ ย่ อ ม
สามารถปฏิบัติต่อตระกูลซิงหลัวด้วยดีเช่นกัน! ต่อให้แม่นางน้อยสั่งการให้
มั น เข้ า โจมตี แ ลกชี วิ ต กั บ กองพั น เที ย นหวน มั น ก็ จ ะไม่ ข มวดคิ้ ว นิ่ ว หน้า
แม้แต่น้อย
อาซาเก๋อจ้องมองแม่นางน้อย รอรับคาสั่งด้วยสีหน้าเชื่อฟัง
กงซุนชาดวงตาทอประกายบ้าคลั่งวูบ แต่สีหน้ายังคงราบเรียบเฉื่อย
ชา กล่าวว่า “ไปต้อนรับพวกมันกันเถอะ!”
ค่ายจูเชวี่ยและกองพันอาซาเก๋อประดุจ กระแสน้าเกรี้ยวกราดสอง
สาย ไหลบ่าไปยังแม่น้าอาณาจักรอย่างรวดเร็ว
สามชั่วยามให้หลัง พวกมันก็เผชิญพบกองพันเทียนหวน

กงเหยี่ยเสี่ยวหรงรู ปลักษณ์ธรรมดาสามัญยิ่ง ยืนอยู่ในกลุ่มคน ยาก


จะค้นหามันพบได้ ยอดแม่ทัพอายุเยาว์แห่งเทียนหวนผู้นี้สวมใส่ชุดยาวสี
ฟ้าอ่อนที่ไม่มีใดโดดเด่นสะดุดตา ปราศจากสภาวะสูงสง่าดุจเทพเซียน ไม่
มีรังสีฆ่าฟันแหลมคม มันเหมือนคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา ไม่เหมือน
แม้แต่ผู้บาเพ็ญเพียรด้วยซ้า
อย่างไรก็ต าม เห็นบรรดาแม่ทัพนายกองที่ท้ังร่างส่องประกายด้ ว ย
สมบัติวิเศษห้อมล้อมอยู่รอบกายมัน เทียบกับชุดยาวธรรมดาสามัญของ
มันแล้ว ช่างดูย้อนแย้งเป็นพิเศษ
แต่ อ ย่ า ได้ ลื ม เลื อ นว่ า เป็ น บุ รุ ษ หนุ่ ม ที่ ดู ธ รรมดาสามั ญ ผู้ นี้เ อง ที่ ยึ ด
ครองอาณาจักรศิลาดา ทั้งยังเข่นฆ่าสองยอดกองทัพปิศาจแห่งตระกูลซิง
หลัวจนสิ้นซาก
หากว่ า กั น ในด้ า นของความหมดจดงดงาม ฝี มื อ การท าศึ ก ของกง
เหยี่ยเสี่ยวหรงยังหมดจดงดงามกว่าเจียงเจ๋อผู้ยึดครองอาณาจักรขุน เขา
ยะเยือกเสียอีก!
“ฮะ มีกองทัพซิวเจ่ออยู่ที่นี่ด้วย?” กงเหยี่ยเสี่ยวหรงแปลกใจเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่เพียงมันเท่านั้น บรรดาแม่ทัพบัญชาการศึกรอบกายมันล้วน
มีสีหน้าตื่นตะลึง แต่สีหน้าที่รุนแรงยิ่งกว่าคือความขุ่นเคืองใจ ในความเห็น
ของพวกมัน อาณาจักรเรือนกล้วยไม้ไม่ต่างอันใดจากลูกท้อที่สุกงอม พวก
มันเฝ้ารอเวลาเก็บเกี่ยวมาเป็นเวลานาน แต่บัดนี้จู่ ๆ มีคนมาแย่งชิงเอาไป
ต่อหน้า อารมณ์ของพวกมันย่อมเป็นที่คาดคานวณได้
“ส่งคนไปถามดูว่าพวกมันมาจากที่ใด” กงเหยี่ยเสี่ยวหรงออกค าสั่ง
อย่างสนอกสนใจ
มันสามารถเห็นได้ว่าปิศาจตระกูลซิงหลัวคล้ายยอมจานนต่อกองทัพ
ซิ ว เจ่ อ ขบวนนี้ แ ล้ ว หรื อ ว่ า มี ก องทั พ อื่ นเข้ า ยึ ด อาณาจั ก รปิ ศ าจด้ ว ย? นี่
เหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง ควรทราบว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ มีเพียง
สี่ ม หาส านั ก ที่ ท าศึ ก ประสบชั ย ประสบความส าเร็ จ ในการยึ ด ครอง
อาณาจักรอสูรปิศาจ แต่แล้วคราครั้งนี้มันเพียงมาถึงครึ่งทาง กลับพบพาน
กองทัพซิวเจ่อซึ่งไม่ทราบที่มา มันไหนเลยจะไม่บังเกิดอารมณ์สนอกสนใจ
ได้?
เซี ย นนั ก รบผู้ ห นึ่ ง ทะยานร่ า งออกจากขบวนทั พ ของกองพั นเทียน
หวน
เซียนนักรบผู้นี้ต้ังแต่ศีรษะจรดเท้าทอประกายแวววามด้วยประกาย
แสงทุกชนิด สามารถเห็นได้ว่าชุดอาวุธเวทที่มันสวมใส่ล้วนเป็นระดับเลิศ
ล้ า เป็ น พิ เ ศษ เที ย นหวนมีฝี มือ ทางวิ ช ายัน ต์ วิ ช าค่ า ยกลและวิ ช าหลอม
สร้าง ในด้านของอาวุธเวท พวกมันนับเป็นอันดับหนึ่งแห่งสี่ดินแดน
ภายใต้แสงเรืองรองของสมบัติ วิเ ศษทั่ว ร่ าง เซียนนักรบผู้นั้นคล้ า ย
รับประทานดีห มีหัว ใจเสือมา เผชิญหน้ากับกองทั พสองกองทัพ หาได้ มี
ร่องรอยประหม่ากลัวไม่ เพียงเชิดหน้า เหลีอบตามอง พลางกล่าวอย่าง
เย็นชา “ผู้ที่สามารถตัดสินใจ ให้ออกมาตอบคาถาม!”
สุ้มเสียงไม่แยแสของอีกฝ่าย ทาให้ผู้คนรอบกายแม่นางน้อยบันดาล
โทสะทันที คนผู้นี้ท้งั ยโสโอหัง ทั้งหยาบกระด้าง คล้ายไม่เห็นหัวผู้ใด
ใบหน้าประหม่าอายเหมือนเด็กชายข้างบ้านของกงซุนชาจุดรอยยิ้ม
จาง ๆ ดวงตาอบอุ่นอ่อนโยนดุจแสงตะวันสาดประกายฆ่าฟันและวิกลจริต
วูบ “เซี่ยซาน เอาหัวของมันมาให้ข้า!”
เซี่ยซานคันไม้คันมื ออยู่ แล้ว ที่รอคอยคือคานี้ เอง พลันเปลี่ยนเป็ น
ลาแสงกระบี่สายหนึ่ง สาดพุ่งเข้าหาคนผู้นั้นอย่างดุดัน!
มันรวดเร็วยิ่ง ชั่วพริบตาดุจประกายไฟ แสงกระบี่สีทองจู่ ๆ ปรากฏ
ขึ้นตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน!
เซียนนักรบผู้นั้นเพียงรู้สึกว่ามีจุดสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้ามัน อย่ าง
ฉับพลันทันใด สาดส่องจนมันตาพร่า ชั่วพริบตานั้ น เจตจานงกระบี่เย็น
เยียบพลันสะกดตรึง บนร่ างมัน มันสีห น้าแปรเปลี่ยนทัน ควัน ร้องตวาด
เสียงดังลั่น “เจ้ากล้า... ...”
ท่ามกลางความแตกตื่นลนลาน ชุดเกราะปราณบนร่างเซียนนักรบผู้
นั้นทอประกายวาบ อักขระยันต์โปร่งใสมากมายเหลือคณานับหมุน คว้ าง
รอบกาย ปกป้องคุ้มครองมันไว้ภายใน
ลาแสงสีทองหวดฟาดใส่เกราะอักขระอย่างหนักหน่วง!
ปัง!
เสี ย งปะทะดั ง สดใส เซี ย นนั ก รบแห่ ง เที ย นหวนสี ห น้ า แปรเปลี่ ย น
เล็กน้อย เกราะปราณบนร่างมันถึงกับแตกสลายภายใต้กระบี่เดียว! แต่สิ่ง
ที่ทาให้มันเบาใจลงบ้าง ก็คือกระบวนท่าของอีกฝ่ายยังคงถูกหยุดเอาไว้ได้
เช่นกัน!
ทว่ายังไม่ทันที่มันจะได้นึกยินดี พลันปรากฏลาแสงสีทองสายเล็ก ๆ
สาดพุ่งออกมาจากกลุ่มแสงสีทอง วาบผ่านลาคอของมันอย่างแม่นยา!
ราวกับมีดตัดเต้าหู้ก็มิปาน!
ศีรษะกระเด็นขึ้นฟ้า โลหิตฉีดพ่นเป็นลายาว!
ล าแสงสีทองเล็ก ๆ เพียงวาบขึ้น แล้ วหายวั บ ไป พร้อมกับล าแสงสี
ทองที่ใหญ่โตกว่า พวกมันหวนกลับสู่มือเซี่ยซานในบัดดล
ทุกผู้คนในที่สุดค่อยมีโอกาสได้เห็นกระบี่บินในมือของเซี่ยซานชัดตา
นั่นเป็นกระบี่บินสีทองคู่หนึ่ง หนึ่งกระบี่ยาวหนึ่งกระบี่สั้น
กระบี่คู่เงามายา!
บรรดาเซี ย นนั ก รบแห่ ง เที ย นหวนแวบแรกตกตะลึ ง พรึ ง เพริ ด แต่
หลังจากนั้นก็กลายเป็นพิโรธโกรธกริ้ว กระบวนทัพเดือดพล่านในบัดดล
หลายคนแทบโถมออกมาด้วยโทสะ
แม่ น างน้ อ ยยิ้ ม กว้ า งกว่ า เดิ ม สุ้ ม เสี ย งแหลมคมดุ จ คมดาบ “ตั้ ง
กระบวนทัพ!”
ค่ายจูเชวี่ยพลันแปรขบวนทัพโดยไร้เสียง บรรดาเซียนนักรบที่สอง
ปีกข้างถดถอยกลับลงมาหลายก้าว ทั้งกระบวนทัพเปลี่ยนแปลงไปในทันที
เจตนาฆ่าฟันแรงกล้าและแหลมคมปะทุขึ้นอย่างเงียบเชียบ ประดุจสัตว์
ร้ า ยงุ้ ม ร่ า งไปด้ า นหน้ า เล็ ก น้ อ ย เตรี ย มพร้ อ มที่ จ ะกระโจนเข้ า ขย้ า ด้ ว ย
ความเร็วดุจสายฟ้าฟาด!
กองทัพเทียนหวนที่เดือดพล่านเงียบกริบลงทันที พวกมันเป็นกองทัพ
ชั้นยอดที่กราศึกอย่างโชกโชน มีความรู้สึกเฉียบไวเป็นที่สุดต่อเจตนาฆ่า
ฟัน พวกมันพลันตระหนักว่าเจตนาฆ่าฟันของกองทัพฝ่ายตรงข้ามสะกด
ตรึงไว้บนร่างพวกมันแล้ว!
หากพวกมันยังคงพลุ่งพล่านหุนหันเช่นนี้ กระบวนทัพของพวกมันจะ
เผยช่องโหว่ แล้วฝ่ายตรงข้ามจะจู่โจมทันที!
บรรดาเซียนนักรบที่พลุ่งพล่าน พลันสงบใจลงในบัดดล แต่ละคนเริ่ม
ตระเตรียมทาศึกสัประยุทธ์
กงเหยี่ ย เสี่ ย วหรงสี ห น้า ด าทะมึ น หยี ต าแคบลง มี เ พี ย งในตอนนี้ที่
ท่ ว งท่ า สภาวะของมั น แปรเปลี่ ย นไป กลายเป็ น รั ศ มี ป ระกายที่ อ าภรณ์
ธรรมดาสามัญไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้ได้อีก
พลังข่มขู่คุกคามอย่างแรงกล้า บันดาลให้กงเหยี่ยเสี่ยวหรงรู้สึกกดดัน
ยอดฝีมือเพียงลงมือ สภาวะของยอดฝีมือย่อมสามารถมองเห็นได้ชัด
ตา ฝ่ายตรงข้ามเพียงแปรกระบวนทัพเล็กน้อยเท่านั้น กงเหยี่ยเสี่ยวหรง
พลันตระหนักว่าคราครั้งนี้เผชิญศัตรูเข้มแข็งเข้าแล้ว
อย่ า งไรก็ ต าม สิ่ ง ที่ มั น ประหลาดใจยิ่ งกว่ า กลั บ เป็ น ท่ า ที แ ข็ ง กร้าว
เหี้ยมเกรียมของฝ่ายตรงข้าม!
แม้เผชิญหน้ากับกองทัพจากเทียนหวน กระบวนการทั้งหมดกลับไม่มี
ชะงักรั้งรอแม้แต่น้อย เต็มไปด้วยความหมดจดและคมชัด หมดจดเสียจน
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเริ่มสูดได้กลิ่นอันตราย
พวกมันเป็นใครกันแน่?
บทที่ 587 หนามยอกต้องเจอหนามบ่ง

“ผู้น้องกงเหยี่ยเสี่ยวหรงแห่งเทียนหวน พี่ท่านสบาย” กงเหยี่ยเสี่ยว


หรงแย้มยิ้มพลางประสานมือคารวะไปทางกงซุนชา
บรรดาแม่ทัพนายกองใต้ร่มธงของมันล้วนตื่นตระหนก พวกมันนึกไม่
นึกว่าต้าเหรินจะเริ่ มต้น ด้ วยการอ่ อนข้อ ให้ แ ก่อี กฝ่ าย ศัต รู เข่นฆ่า เซี ย น
นักรบของพวกมันต่อหน้าต่อตา โดยไม่ถามไถ่เหตุผลแม้สักครึ่งคา แต่ต้า
เหรินกลับชิงอ่อนข้อก่อน?
หลายคนมีสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ
พวกมันคือเทียนหวน! เทียนหวนเคยต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้
ตั้ ง แต่ เ มื่ อใดกั น ? ถู ก แล้ ว ! นี่ เ ป็ น การเสื่ อมเสี ย ศั ก ดิ์ ศ รี ! แทบทุ ก คน
ตระเตรียมต่อสู้ ปรารถนาโถมออกไปเข่นฆ่าศัตรูให้สิ้นซาก
ไม่มีพวกมันคนใดคาดหวังว่าต้าเหรินจะยอมอ่อนข้อ!
หากมิใช่ว่าอานาจบารมีของกงเหยี่ยเสี่ยวหรงหนักแน่นมั่นคงยิ่ง เกรง
ว่าแม่ทัพนายกองที่พยศดุร้ายเหล่านี้ อาจเริ่มกระด้างกระเดื่องต่อมันแล้ว
“ผู้น้องกงซุนชา” แม่นางน้อยยังคงแย้มยิ้ มสว่ างไสว แต่ในสายตา
ของบรรดาแม่ทัพฝ่ายเทียนหวนช่างเป็นรอยยิ้มที่ขัดตาเสียจริง ๆ
กงซุนชา?
ไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน!
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงขบคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ มันแน่ใจว่านาม
นี้มันไม่เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อนจริง ๆ มันยังสังเกตว่าอีกฝ่ายเพียงแจ้ง
นาม แต่ไม่ยอมกล่าวถึงที่มา นี่เป็นเรื่องที่จะต้องครุ่นคิดตรึกตรองให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้น กองพันเช่นนี้ไหนเลยไร้ช่ อ
ื เสียงเรียงนามได้!
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงดวงตาทอประกายวูบ แฝงไว้ด้วยความหมายบาง
ประการ ควรทราบว่าคิดเพาะสร้างกองพันที่เข้มแข็งแกร่งกร้าวทัพหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องง่าย กงเหยี่ยเสี่ยวหรงผู้เคยผ่านกระบวนการเพาะสร้างกองทัพ
มาด้วยตัวเอง ย่อมทราบกระจ่างว่ายากเย็นแสนเข็ญเพียงใด
หรือว่ามีขุมกาลังเร้นลับ ลอบมุ่งเป้ามายังต าแหน่งของสี่มหาสานัก
จากเงามืด?
นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจมัน แต่ความคิดพอบังเกิด มันเองยัง
อดหัวร่อในใจไม่ได้ ความคิดนี้เหลวไหลเกินไปแล้ว
“สมดังคาที่ว่าวีรบุรุษก่อเกิดแต่วัยเยาว์ ! พี่กงซุนยังอายุเยาว์ถึงเพียง
นี้ แต่กลับเป็นแม่ทัพบัญชาการกองพันอันยอดเยี่ยมทัพหนึ่ง ตอนที่เสี่ยว
หรงยังอายุเท่านี้ เกรงว่ายังวิ่งวุ่นวายไปมาอยู่เลย” กงเหยี่ยเสี่ยวหรงกล่าว
ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่แล้วสุ้มเสียงพลันเคร่งเครียดเย็นชาลง “ทว่า
ผู้น้องอดประหลาดใจไม่ได้ พี่กงซุนไฉนร่วมขบวนมากับเผ่าปิศาจ?”
กงซุ น ชาแย้ ม ยิ้ ม เบิ ก บานปานบุ ป ผา สุ้ ม เสี ย งสุ ภ าพอ่ อ นโยน ทว่ า
วาจากลับแหลมคมนัก “ร่วมขบวนมากับเผ่าปิศาจ? ที่น่าประหลาดใจกลับ
เป็นวาจาของพี่กงเหยี่ยต่ างหาก! ส านักเราเข้ายึด ครองอาณาจัก รเรื อ น
กล้ ว ยไม้ ต้ั ง แต่ แ รก ตระกู ล ซิ ง หลั ว เห็ น ว่ า ส านั ก เรามี พ ฤติ ก ารณ์ ดี ง าม
บังเกิดความนิยมเลื่อมใส ยินยอมเข้าร่วมกับสานักเรา เปลี่ยนจากความชั่ว
ร้ายสู่วิถีทางอันเที่ยงธรรม นี่มิใช่วีรกรรมที่ผู้คนรุ่นเราไล่ติดตามแสวงหา
หรอกหรือ?”
จากนั้นสุ้มเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเย็นชาลงเช่นกัน “แต่หลังจาก
ส านั ก เรายึ ด ครองอาณาจั ก รเรื อ นกล้ ว ยไม้ ไ ว้ แ ล้ ว กองพั น ของเจ้ า กลั บ
ยั ง คงส่ ง ทั พ ใหญ่ เ ข้ า มา มิ ท ราบมี จิ ต เจตนาใด? เที ย นหวนใช่ ไ ม่ ส นใจ
เหตุผลหรือไม่? พวกเจ้าคิดข่มเหงรังแกสานักเล็ก ๆ เช่นพวกเราหรือ?”
แม่นางน้อยกล่าวไปก็ยังคงแย้มยิม
้ ไป บางครั้งเต็มไปด้วยความสุภาพ
ถ่ อ มตน แล้ ว จากนั้ น สุ้ ม เสี ย งเปลี่ ย นเป็ น เหี้ ย มเกรี ย ม ทั้ ง หมดทั้ ง มวลที่
เอื้อนเอ่ยล้วนแล้วแต่มารยาสาไถย แต่มันหน้าไม่เปลี่ยนสี ลมหายใจไม่ผิด
จังหวะ สงบเยือกเย็นยิ่ง ทาเอาอาซาเก๋อที่ด้านข้างถึงกับเย็นเยียบจับใจ
ยึดครองอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ ต้ังแต่แรก? ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เพียงกล่าว
วาจาไม่กี่คา แม่นางน้อยก็กาหนดต าแหน่งแห่งที่เป็นมั่นเหมาะ จริงเท็จ
ผสมปนเป อีกฝ่ายยากที่จะจาแนกแยกแยะได้
อาซาเก๋อตกลงใจว่าชั่ วชี วิต นี้ไม่ข อเป็นศัต รู กับ แม่น างน้อยเป็ น อั น
ขาด
หากมันต้องมีศัต รู เช่นนี้ ต่อให้ต กตายอย่างเลอะเลือนงมงาย ยังไม่
ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงถึงกับจนถ้อยคา
เพียงแค่ชักช้าไปก้าวเดียว ทาให้การตัดสินใจของมันกลายเป็นความ
ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่แค่มันผู้เดียว แม้แต่บรรดาแม่ทัพนายกอง
และไพร่พลทั้งหมดของมันยังเข้าใจว่าแม่นางน้อยยึดครองอาณาจักรเรือน
กล้วยไม้ไปแล้วจริง ๆ
แต่ ค นเหล่ า นี้ ก็ ห าได้ แ ยแสสนใจไม่ ผู้ อ่ ื นมาถึ ง ก่ อ นแล้ ว จะเป็ น ไร?
พวกมันก็แค่ช่วงชิงมาก็พอ!
พวกมั น ปรารถนาจะบุ กทะลวงเข้า ไปเข่นฆ่ า ในทั นที ฝ่ า ยตรงข้าม
อาจไม่อ่อนด้อย แต่พวกมันก็มีความมั่นใจอย่างเปี่ ยมล้น ไม่เห็นฝ่ายศัตรู
อยู่ในสายตา
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงจับจ้องมองดูอีกฝ่าย มันจึงไม่เชื่อวาจาผีสางของกง
ซุนชา แต่จนใจที่เสาะหาไม่พบช่องโหว่ในเรื่องราวที่บอกออกมา ซึ่งความ
จริงปัญหาเรื่องการปฏิบัติต่อเผ่าปิศาจ ฝ่ายซิวเจ่อเองก็แตกแยกออกเป็น
สองฝักสองฝ่ายมาโดยตลอด ฝ่ายหนึ่งต้องการเข่นฆ่าสังหารให้สิ้นซาก ไม่
ปล่อยให้อสูรปิศาจมีชีวิตรอดไปได้แม้แต่คนเดียว ส่วนอีกฟากหนึ่งยินยอม
ให้ปิศาจเข้าสวามิภักดิ์ สนับสนุนแนวทางปฏิบัติด้วยดี
ในภพซิวเจ่อ ทั้งสองแนวทางต่างมีผู้สนับสนุนพอ ๆ กัน กงเหยี่ยเสี่ยว
หรงไม่อาจเลือกผิดพลาดได้
สิ่งที่มันจ าต้องขบคิดพิจารณา ย่อมมีมากหลายกว่าเหล่าไพร่พลใต้
บังคับบัญชาของมัน
สงครามครั้งนี้อาจต้องรบรากันต่อไปอีกนาน อาจบางทีกลายเป็นศึก
ยืดเยื้อคาราคาซังรอบด้าน เทียนหวนเป็นหนึ่งในสี่มหาอานาจใหญ่แห่ง
ภพซิวเจ่อ จาต้องระวังภาพลักษณ์และชื่อเสียงอันดีงาม หากเมื่อใดที่พวก
มันพบพานคนอ่อนแอกว่าก็เข้าไปทาร้ายแย่งชิง ไหนเลยจะมีผู้ใดอยาก
เป็นพันธมิตรกับพวกมัน?
มันหาได้ส นใจอาณาจัก รเรือนกล้วยไม้ ไม่ อาณาจักรเรือนกล้ ว ยไม้
ชั ย ภู มิ ไ ม่ เ หมาะสม ยากระวั ง ป้ อ งกั น แต่ ง่ า ยต่ อ การบุ ก จู่ โ จม ในแง่ ข อง
คุ ณ ค่ า ความหมาย อาณาจั ก รแห่ ง นี้ ห าได้ มี ร าคาค่ า งวดเที ย บเท่ ากั บ
อาณาจักรศิลาดาไม่
เพียงแต่... ...
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ
ฝ่ายตรงข้ามต้องมีคาอธิบายต่อการฆ่าคนของมัน ไม่มีผู้ใดฆ่าคนของ
เทียนหวนโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนได้!
“อย่างไรก็ตาม คนของผู้น้องถูกฆ่าตายไปคนหนึ่ง นี่ยังคงเป็นความ
จริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้” กงเหยี่ยเสี่ยวหรงกล่าวเน้นเสียงช้า ๆ
“ในเรื่องนี้ผู้น้องต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง ทางเรายินดีจ่ายค่าชดเชย
อย่างเต็มที่ เชิญพี่กงเหยี่ยว่าราคามาเถอะ” กงซุนชากล่าวด้วยสีหน้าไร้
เดียงสา
เหล่าไพร่พลของกงเหยี่ยเสี่ยวหรงเดือดดาลจนแทบกระอัก ถลึงตา
แดงฉานมองดูมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไม่ จ าเป็ น ต้ อ งจ่ า ยค่ า ชดเชย ดาบกระบี่ ไ ร้ นั ย น์ ต า ซิ ว เจ่ อ ที่ ม ายั ง
สนามรบต้องทาใจรับรู้ว่าพวกมันสามารถตกตายได้ทุกเมื่อ เราผู้พี่มีความ
ภาคภูมิใจมานานปี วันนี้ได้เห็นพี่กงซุน อดคันไม้คันมือขึ้นมาไม่ได้ พี่กงซุน
โปรดชี้แนะเหล่าพี่น้องของข้าสักครา” กล่าวจบคา ก็ไม่รอให้แม่นางน้อย
ได้เอ่ยปาก มันหันไปทางหนึ่ง ร้องสั่งว่า “ไฉลี่ นาพี่น้องห้าสิบคนไปขอคา
ชี้แนะจากกงซุนต้าเหริน”
“ขอรับ!” บุรุษหน้าดามะเมื่อมก้าวออกมาจากแถวทัพ ประสานมือ
รับคาสั่ง
กงซุนชาก็ไม่สะทกสะท้าน ยังคงแย้มยิ้มดุจเดิม “พี่กงเหยี่ยในเมื่อมี
อารมณ์สนุกสนาน เราผู้น้องย่อมต้องน้อมสนอง เอ้อเต๋อ นาหน่วยของเจ้า
ไปเป็นเพื่อนเล่นแก่สหายจากเทียนหวนสักครา”
เอ้อเต๋อมีสีหน้าลิงโลดเร้าใจ พุ่งนาออกมา กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะ
ไม่ทาให้ต้าเหรินผิดหวัง!”
“ไม่ต้องยึดถือเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนั้น” แม่นางน้อยยิ้มให้กาลังใจ
แต่เอ้อเต๋อสีห น้ามุ่งมั่นแน่วแน่ ในเวลาส าคัญเช่นนี้ มันได้รับความ
ไว้วางใจจากต้าเหรินให้ออกศึก จิต เจตนาที่จ ะส่งเสริมมันของต้าเหรินก็
เป็นทีเ่ ห็นได้ชัดตา
ไม่ว่าจะอย่างไร มันต้องชนะให้จงได้!
มันจ้องเขม็งไปยังศัตรูด้วยสายตากระหายเลือด
ไฉลี่ก็ถลึงตามองกลับมาที่เอ้อเต๋ออย่างดุดัน
เอ้อเต๋อพลันแสยะยิ้มกว้าง อวดคมเขี้ยวเงาวับ ประดุจสัตว์ร้ายจ้อง
มองเหยื่อของมัน!

ลานประลองเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน
ข่าวการท้าประลองพ่วงด้วยการเดิมพันระหว่างจั่วม่อกับเหมีย วจุน
แพร่สะพัดไปทั่วนครมหาสันติดุจ ไฟลามทุ่ง ผู้คนนับไม่ถ้วนไหลบ่า มายัง
สนามประลองไม่ขาดสาย
สนามประลองในนครมหาสันติมีการจัดตั้งอาคมหวงห้า มด้ ว ยฝี มื อ
ของสองจอมปิศาจด้านไสว้ คู่ประลองที่อยู่ต่ากว่าด่านไสว้ต่ อให้ต่อสู้กัน
รุ น แรงเพี ย งใด ผลสะท้ อ นที่ เ กิ ด ขึ้ นจะไม่ มี ท างทะลุผ่ า นอาคมหวงห้าม
ออกมาได้
จอมปิ ศ าจด่ า นเจีย งมีพ ลัง พอที่ จ ะพลิก ขุนเขาผันสมุท ร เมื่ อ ครั้ ง ที่
สองหยวนอิงประมือกันในเมืองซวีหลิง เมื่องซวีหลืงทั้งเมืองล้วนถูกทาลาย
สิ้น ครึ่งเกาะถล่มจมหายไป หากปล่อยให้จอมปิศาจด่านเจียงเหล่านี้ต่อสู้
กันตามอาเภอใจ เกรงว่านครมหาสันติคงกลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียนานแล้ว
เทียบกับการประลองของจั่วม่อกับผังเฉิน ศึกคราวนี้ยังดึงดูดความ
สนใจของผู้คนมากกว่า ฝ่ายหนึ่งคือยอดยุทธ์อายุเยาว์ที่ก่อให้เกิดหมู่ด าว
ประทานพร อีกฝ่ายหนึ่งเป็นสุดยอดฝีมือจากทาเนียบปิศาจมหาสันติ การ
ประลองระหว่างคนทั้งสองย่อมต้องดึงดูดสายตาผู้คนทุกระดับชั้น
ทาเนียบปิศาจมหาสันติหมายถึงสุดยอดฝีมือยี่สิบอันดับแรกแห่งนคร
มหาสันติ ผู้ที่สามารถเบียดเสียดเข้าสู่ทาเนียบได้ ย่อมต้องมีพลังฝีมือร้าย
กาจอย่างไร้ข้อกังขา แต่เซี่ยวม่อเกอก็เป็นยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้ก่อให้เกิด
ปรากฏการณ์หมู่ดาวประทานพรซึ่งได้ประจักษ์กันทั่วทั้งเมือง
การประลองเช่นนี้จึงจะน่าดูชมถึงที่สุด ผู้คนพอคิดถึงเรื่องนี้ อดเลือด
ลมพลุ่งพล่านขึ้นมาไม่ได้
การเดิมพันระหว่างเหมียวจุนกับ เซี่ยวม่อเกอยิ่งเพิ่มสีสันให้แ ก่ ก าร
ประลองคู่ ส าคั ญ นี้ แบบฉบั บ ที่ ดึ ง ดู ด ความสนใจและความอหั งการของ
เซี่ยวม่อเกอ คล้ายไม่ใช่สงิ่ ที่บุรุษเยาว์วัยเช่นมันจะมีได้!
หลายคนรู้สึกประหลาดใจที่ เซี่ ยวม่ อเกอเสาะหาเหมี ยวจุน นี่เพีย ง
เพราะเซี่ยวม่อเกอมีความเชื่อมั่นอย่างล้นเหลือ หรือว่ามันล่วงรู้เส้นสนกล
ในอันใดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้?
แต่ ค วามคิ ด ประดานี้ เป็ น เพี ย งของประดั บ ในการประลองครั้ ง นี้
เท่านั้น สายตาทุกคู่เฝ้าจับจ้องไปยังสองคนในลานประลองโดยไม่คลาด
สายตา

เหมียวจุนไม่ขยับเคลื่อนไหว ท่วงท่าสภาวะหนักแน่นมั่นคงดุจขุนเขา
มหึมา มันเพ่งมองจั่วม่อตาเขม็ง ในใจหาได้สงบเยือกเย็นเหมือนภายนอก
ไม่ นับตั้งแต่ได้ยินนาม ’แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์’ จากเซี่ยวม่อเกอ
มันก็ไม่สามารถสงบใจได้อีก
มันไม่เคยคาดฝันว่าจะได้ยินถ้อยคาเหล่านี้จ ากปากผู้อ่ ืน อย่าว่าแต่
บุรุษหนุ่มที่ยังเยาว์วัยยิ่ง
แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์... ...
อาศั ย เพี ย งประโยคนี้ ไม่ ว่ า จะอย่ า งไรมั น ก็ ต้ อ งรั บ ค าท้ า สิ่ ง ที่ มั น
กระหายใคร่รู้ยิ่งกว่า คือเซี่ยวม่อเกอได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด และล่วงรู้ได้
อย่างไรว่ามันต้องการของสิ่งนี้?
มันพบว่าไม่อาจหยัง่ คานวณบุรุษหนุ่มที่เบื้องหน้านี้ได้
จั่วม่อกลับไม่ครุ่นคิดมากความ ภายในใจมันมีเพียงความปรารถนา
ต่อชัยชนะอย่างแรงกล้า มันไม่สนใจแก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์อันใด
นั่นเป็นเพียงเหยื่อล่อที่เว่ยโยนออกมาเท่านั้น มันอาจนิยมชมชื่นในความ
รอบรู้ของเหมียวจุน แต่ไม่ได้คิดจะให้อีกฝ่ายมาสวามิภักดิ์ต่อมันจริง ๆ
ในใจมันมีเพียงความคิดประการเดียว ชัยชนะ!
มีเพียงเอาชนะเหมียวจุน จึงสามารถดึงดูดใจตระกูลใหญ่เหล่านั้นให้
หันมาหามันได้!
พลังสภาวะของจั่วม่อเพิ่มพูนขึ้นไม่ห ยุดยั้ ง สรรพเสียงวุ่นวายถอย
ห่างออกไปจากตัวมันอย่างรวดเร็ว ในดวงตาลุกโชนด้วยเพลิงไฟแห่ง จิต
วิญญาณการต่อสู้
นับตั้งแต่ปรากฏการณ์หมู่ดาวประทานพร นี่เป็นครั้งแรกที่มัน โคจร
สามพลังซึ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์อย่างสุดกาลัง
พลังอันไร้ที่สิ้นสุดพลุ่งขึ้นจากภายในร่าง ความรู้สึกสุขสบายอย่างที่
ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทาให้มันสุขสาราญใจจนแทบกู่คารามให้ดังสนั่นไปถึง
ชั้นฟ้า กล้ามเนื้อทุกมัดและเส้นเอ็นทุกเส้นคึกคักเข้มแข็งสุดเปรียบปาน!
คราวนี้ มั น ไม่ ค ลี่ ผ้ า พั น มื อ ที่ มื อ ขวา หมั ด คลื่ นสวรรค์ ก ระจกฟ้ า แม้
เพียงพอรับมือกับผังเฉิน แต่เกรงว่าจะไม่พอมือเหมียวจุน!
กล้ า มเนื้ อ ทุ ก มัด ในร่ า งกายมั นเขม็ งตึง ดุ จ สายธนู แผนผั ง ปิ ศ าจรู ป
ดวงอาทิตย์ที่กลางอกเปล่งแสงเจิดจ้าอย่างฉับพลัน
เห็นแผนผังปิศาจสีทองดุจดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ถูกปลุกให้ต่ น
ื ขึ้นมา แผ่ซ่าน
กระจายไปทั่วผิวร่างของจั่วม่ออย่างรวดเร็ว
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา!
เหมี ย วจุ น สี ห น้ า แปรเปลี่ ย นเล็ ก น้ อ ย ร้ อ งอุ ท านออกมา “อุ ป กรณ์
สวรรค์สิบอีกา!”
อาคมหวงห้ามในลานประลองแม้ปิดกั้นพลังทาลาย แต่ไม่ได้ปิดกั้น
เสียง ประโยค ‘อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา’ ของเหมียวจุนดังสะท้อนสะท้านไป
ทั่วสนามประลองในพริบตาเดียว
ที่นั่งผู้ชมกลายเป็นเงียบกริบในบัดดล คล้ายผู้คนพากันหยุดหายใจ
ไปพร้อมกัน จากนั้นสรรพเสียงอื้ออึงพลันระเบิดขึ้นจนฟังไม่ได้ศัพท์
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา!
เหล่าผู้ที่เดินทางมาฝึกฝีมือในเมืองมหาสันติ จะมีผู้ใดไม่รู้จักอุปกรณ์
สวรรค์สิบอีกา?
สังขารปิศาจอันดับสามในบรรดาสังขารปิศาจด่านเจียงทั้งมวล!
สั ง ขารปิ ศ าจอั น ดั บ สามแห่ ง ด่ า นเจี ย ง แม้ ว่ า จั่ ว ม่ อ จะไม่ ล่ ว งรู้
ความส าคั ญ และน้ า หนั ก ของมั น อย่ า งถ่ อ งแท้ แต่ ส าหรั บ ปิ ศ าจตั ว จริ ง
เหล่านี้ นี่ไม่ต่างจากหวดฟาดกลางแสกหน้าพวกมันอย่างรุนแรง!
ลองนึกถึงเยี่ยหลิง เมื่อพบว่าจั่วม่อสาเร็จสังขารปิศาจมหาทิวา ไฉน
จึงฝังใจหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปาว่าจั่วม่อสามารถขึ้นเป็นราชัน? นั่นเป็น
เพราะในหมู่ปิศาจมีตานานเล่าขานที่ไม่เคยจางหายไปจากใจผู้คน
มีเพียงสายเลือดสูงศักดิ์ จึงสามารถฝึกปรือสังขารปิศาจอันสูงศักดิ์!
ถ้ อ ยค าเหล่ า นี้ แ ม้ ไ ม่ เ คยมี ผู้ ใ ดพิ สู จ น์ ยื น ยั น ได้ แต่ ใ นหมู่ ปิ ศ าจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปิศาจชั้นต่า นี่คือสิ่งที่พวกมันเชื่อมั่นศรัทธาอย่างหมด
ใจ สังขารปิศาจมหาทิวาซึ่ง รั้งต าแหน่งสังขารปิศ าจอันดั บสองแห่ ง ด่ า น
เจี้ยว ในสายตาของเยี่ยหลิง ย่อมพิสูจน์ยืนยันสายเลือดสูงศักดิ์ของจั่วม่อ
อย่างไม่มีข้อกังขา
และอุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกา ซึ่ง รั้งล าดับสามในหมู่สังขารปิศาจด่า น
เจี ย ง บั น ดาลให้ ห ลายคนตากระจ่ า งวาบ เหล่ า ยอดยุ ท ธ์ แ ม้ เ หยี ยดหยัน
เรื่องสายเลือดสูงศักดิ์ผีสางอันใด แต่ยังคงอดคาดหวังมากกว่าเดิมไม่ได้
สังขารปิศาจอันทรงพลังถึงเพียงนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นเวลานานมาก
แล้ว ทุกผู้คนเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ สังขารปิศาจอันดับสามแห่ง
ด่านเจียงจะมีพลังร้ายกาจปานใด?
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกามีช่ ือเสียงกระเดื่องดังทุกยุคสมัย บรรดายอด
คนในอดีตผู้สาเร็จสังขารปิศาจอุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกา ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้า
ผู้ครองดินแดนแถบหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องในตานานเท่านั้น ถึงตอนนี้
ไม่ มี ใ ครเคยได้ ยิ น ว่ า มี ค นส าเร็ จ อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิ บ อี ก าใน แดนปิ ศ าจ
ปัจจุบัน
ทะลวงกาแพงเสียง หมู่ดาวประทานพร อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา ทันใด
นั้นผู้คนพลันค้นพบว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ ยังโดดเด่นสะดุดตาและเปล่งประกาย
ยิ่งกว่าที่พวกมันคิดเสียอีก
จั่วม่อรู้สึกพลังทั้งสามคล้ายถือกาเนิดขึ้นใหม่ภายในกายมัน พลังแต่
ละชนิ ด ประดุ จ ชิ้ น แม่ เ หล็ ก ที่ ท้ั ง ดึ ง ดู ด กั น และผลั ก ดั น กั น ก่ อ เกิ ด สภาพ
สมดุลอันเลิศพิสดารประการหนึ่ง
เมื่ออุปกรณ์สวรรค์สิบอี กาของมันถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ออม
รั้ง พลังปราณและพลังจิตสานึกของมัน ดูคล้ายกลับกลายเป็นเงาของพลัง
สังขาร แทรกซึมเข้าไปในร่างกายอย่างไม่หยุดยัง้
เป็นความรู้สึกอันแปลกพิสดารยิ่ง!
ทันใดนั้นจั่วม่อใบหน้าทอแววแปลกประหลาด
บทที่ 588 ท่าสังหารฟ้าครามไร้ตัวตน

อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา!
หลายคนดวงตาเป็ น ประกาย โอกาสที่ จ ะได้ ช มดู สั ง ขารปิ ศ าจใน
ตานานในระยะใกล้เช่นนี้มีไม่มากนัก สังขารปิศาจแม้มีมากมายสุดคนานับ
แต่สังขารปิศาจที่จัดอยู่สามลาดับแรกของแต่ละด่าน ก็ยากยิ่งที่จะได้พบ
พาน โดยทั่วไปหลายร้อยปียังแทบไม่มีโอกาสได้พบเห็นสักครั้ง
ในที่นั่งผู้ชม หลายคนรีบส่งข้อความเร่งด่วน ข่าวสารที่สาคัญถึงเพียง
นี้รอจนถึงวันนี้พวกมันเพิ่งจะค้น พบ เกรงว่าเมื่อพวกมัน กลับ ไปจะต้ อ ง
อธิบายความผิดพลาดนี้อย่างแน่นอน
“มันเพิง่ จะสาเร็จสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาได้ไม่นาน” บุรุษ
ชุดดาที่อยู่ในมุมมืดกล่าวเสียงต่า
“มิผิด แต่จะอย่างไรอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาก็หาได้ยากยิ่ง หลายร้อยปี
แล้วที่ไม่ได้ปรากฏขึ้น!” สุ้มเสียงเลื่อนลอย คล้ายมีคล้ายไม่มี ตอบโต้มา
จากเงาดา
น่าแปลกที่บรรดาปิศาจที่อยู่รอบข้าง กลับไม่ได้สังเกตเห็นการคงอยู่
ของบุคคลลึกลับทั้งสองซึ่งอยู่ด้านข้างพวกมันนี่เอง ปิศาจผู้หนึ่งกาลังคุย
ฟุ้งพลางวาดไม้วาดมือเฉียดผ่านพวกมันสองสามรอบ แต่กลับไม่ได้ค้นพบ
สองสุดยอดฝีมือที่อยู่ติดกับมันแม้แต่น้อย
“ชีเตียวอวี่ก็มาดูเช่นกัน” คนชุดดากล่าวปนหัวร่อเบา ๆ “คนอื่น ๆ ก็
มากั น พร้ อ มหน้ า ที เ ดี ย ว นานมากแล้ ว ที่ พ วกเราไม่ ไ ด้ ม ากั น พร้ อ มหน้ า
เช่นนี้”
“หากมันพบเห็นเจ้า ทีนี้คงไม่มีผู้ใดได้ชมดูการประลองอย่างสบายใจ
แล้ว” ในเงามืด สุ้มเสียงเลื่อนลอยนั้นแฝงเค้ากระเซ้าเย้าแหย่
“ฮะ!” บุรุษชุดดาคล้ายจู่ ๆ ก็ค้นพบบางสิ่ง สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง
“มีเรื่องอันใด?” เงามืดถาม
“มองไปทางนั้ น สตรี ง ดงามในอาภรณ์ สี ด านางนั้ น นางไม่ ร วบรั ด
ธรรมดา” บุรุษชุดดาบุ้ยปากไปทางหนึ่ง “หนึ่งงดงาม หนึ่งอัปลักษณ์ เป็น
การผสมผสานที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ!”
“อืมม์?” เงาดางงงันวูบ “ถูกของเจ้า นางไม่ธรรมดา! แต่สตรีอีกนางก็
ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่บ้าง”
บุรุษชุดดาดวงตาคล้ายค่อย ๆ ชิมรสอย่างระมัดระวัง ใบหน้าทอแวว
ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม “พลังอันแปลกประหลาดนัก!”
เงาดาพลันโพล่งออกมาอย่างกะทันหัน “ข้านึกออกแล้ว สตรีสองนาง
นี้อยู่กับเซี่ยวม่อเกอ บางทีชาติกาเนิดของเซี่ยวม่ อเกอก็อาจจะไม่รวบรัด
ธรรมดาด้วยเช่นกัน”
บุ รุ ษ ชุ ด ด าหั ว ร่ อ เบา ๆ “เอาเถอะ เอาเถอะ มาดู ก ารประลองให้
ส าราญใจกั น ดี ก ว่ า เรื่ อ งพวกนี้ ไ ม่ ถึ งรอบให้พ วกเราต้อ งปวดเศี ยรเวียน
เกล้า!”
“ถูกของเจ้า”
เปี๋ ยหานอยู่บนที่นั่งผู้ชมด้วย ฟู่ฟงยืนอยู่ข้างกายมัน หากทว่าสีห น้า
ของฟู่ฟงเต็มไปด้วยความพิโรธเดือดดาล
“เตี้ยนเซี่ย ต้าเตี้ยนเซี่ย (องค์ชายใหญ่) บอกว่ามันไม่มีทางช่วยเหลือ
ได้” ฟู่ฟงไม่กล้ามองดูสีหน้าของเปี๋ ยหาน ความผูกพันที่เตี้ยนเซี่ยของมันมี
ต่อกองพันบาปเคราะห์ มันเป็นคนเดียวที่ทราบว่าลึกล้าเพียงใด ฟู่ฟงไม่ได้
คาดฝันว่าต้าเตี้ยนเซี่ยจะเหี้ยมเกรียมถึงเพียงนี้ กระทั่งเตี้ยนเซี่ยของมันให้
คาสัญญาว่าจะออกจากตระกูล ต้าเตี้ยนเซี่ยยังไม่แยแสสนใจ
มันหวาดวิตกเป็นอย่างยิ่ง ว่าเตี้ยนเซี่ยของมันจะไม่อาจทนรับข่าวอัน
โหดร้ายนี้ได้
มันเฝ้ารอปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าวนี้อย่างเงียบ ๆ เงียบกริบเหมือน
คนตาย
ชั่วอึดใจให้ห ลัง เปี๋ ยหานค่อยเอ่ยปากเสียงเย็นชา “อา เช่นนั้นเราก็
คิดหาหนทางอื่นเถอะ”
สุ้มเสียงของเตี้ยนเซี่ยยังคงสงบราบเรียบเฉกเช่นปกติ แต่ฟู่ฟงไหน
เลยไม่ทราบว่าเรื่อ งนี้โหดร้ ายต่อเตี้ ยนเซี่ยของมันถึงเพีย งไหน! มันรู้สึก
เศร้าเสียใจเกินจะทน หากนายหญิงยังมีชีวิตอยู่ ใครหน้าไหนจะกล้าดูหมิ่น
เหยียดหยามเตี้ยนเซี่ยของมันถึงเพียงนี้!
นายเหนือหัวเผชิญความอัปยศ บ่าวเฒ่าก็สมควรตายด้วยความจงรัก
นึกถึงความอัปยศและความเจ็บปวดที่เตี้ยนเซี่ยของมันได้รั บ ฟู่ฟงหัวใจ
เหมือนถูกมีดกรีดซ้า ๆ
เปี๋ ยหานพลันกล่าวว่า “ท่านอาฟู่ อย่าได้กังวลใจไปแล้ว เพียงปัญหา
เล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้ มาดูการประลองกันก่อนดีกว่า”
สุ้ ม เสี ย งปลอบโยนนี้ ยั ง เต็ม ไปด้ ว ยความไม่ แ ยแสเช่ น เคย แต่ ฟู่ ฟ ง
สามารถจับเค้าวิตกกังวลในน้าเสียงของเตี้ยนเซี่ยได้ ในใจมันยิ่งตื้อตันมาก
กว่าเดิม แต่มันไม่กล่าววาจามากความ เพียงลอบตั้งใจว่าจะต้องหาหนทาง
ช่วยเหลือให้ความปรารถนาของเตี้ยนเซี่ยเป็นจริงให้จงได้
ฟู่ฟงขณะที่ครุ่นคิดเช่นนี้ สายตาก็มองลงไปยังลานประลองโดยไม่ได้
ตั้งใจ
ทันใดนั้นมันชะงักกึก
ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันรู้สึกคล้ายรู้จักบุรุษหนุ่มในลานประลองผู้
นั้น
แต่เมื่อเพ่งมองใบหน้านั้นอย่างถี่ถ้วน มันกลับพบว่านี่เป็นใบหน้าที่
แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง มันไม่เคยพบเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน
แต่ความรู้สึกคุ้นเคยกลับยิ่งมายิ่งรุนแรง ไม่อาจลบเลือนออกไปได้!
น่ า แปลกเสี ย จริ ง มั น ไฉนรู้ สึ ก คุ้ น เคยกั บ ตั ว ประหลาดเช่ น เซี่ ย วม่อ
เกอ?
ฟู่ฟงสับสนงุนงงยิ่ง

พลังปราณและพลังจิต ส านึกแทรกลึกเข้าไปในร่างกายของจั่วม่ออ
ย่างต่อเนื่อง คลื่นความเย็นคล้ายก่อตัวขึ้นภายในร่างมัน แต่กระนั้นเปลว
ไฟสุดอหังการแห่งสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาก็ทาให้ มันรู้สึก ราว
กับว่ามีคลื่นเปลวไฟแผ่ซ่านเป็นชั้น ๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง
แต่ มั น ยั ง ไม่ มี เ วลาจะมั ว มาศึ ก ษาการเปลี่ ย นแปลงภายในร่ า งกาย
เพียงจ้องมองเหมียวจุนอย่างใจจดใจจ่อ
ไม่มีช่องว่างรอยโหว่!
เหมียวจุนคล้ายร่างตระหง่านดุจขุนเขามหึมา บันดาลให้จ่ว
ั ม่อบังเกิด
ความรู้สึกว่าไม่ทราบจะจู่โจมที่ใด!
พลังสภาวะอันร้ายกาจ!
จั่วม่อสะท้านใจ แต่น่าแปลกที่จิตวิญญาณการต่อสู้ไม่เพียงไม่ล ดลง
กลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง!
สองตามั น ปรากฏชั้ น แสงสี ท องจาง ๆ แผนผั ง ปิ ศ าจอั น ละเอี ย ด
ซับซ้อนลอยขึ้นที่นัยน์ต า แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิต ย์ที่กลางอกราวกั บ
ดวงตะวันแผดกล้า ร้อนแรงจนแม้แต่จ่ว
ั ม่อยังรู้สึกร้อนลวกเจ็บปวด
เมล็ดผลึกสุริยันภายในร่างมันมีชีวิตชีวาผิดธรรมดา คลื่นความร้อน
ดุจ ธารหินหลอมเหลวไหลบ่าออกมาจากเมล็ดผลึกสุริยัน โคจรไปทั่วร่าง
รอบหนึ่ง ก่อนจะถาโถมเข้าสู่แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิต ย์ที่กลางอกของ
มัน
อาการเจ็ บ ปวดแส บร้ อ นยิ่ ง มายิ่ ง รุ น แรง แต่ ใ นเวลาเดี ย วกั น
ความรู้สึกเย็นสบายในส่วนลึกของร่างกาย ก็ยิ่งนานยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ!
เป็นความรู้สึกที่ย้อนแย้งสุดเปรียบปาน
สี ท องในลู ก นั ย น์ ต ามั น ยิ่ ง มายิ่ ง หนาแน่ น เข้ ม ข้ น พลั ง สภาวะพุ่ ง
ทะยานขึ้นอีกครั้ง!
เหมี ย วจุ น ผู้ ที่ ต ล อดเ วลาส งบ นิ่ ง มั่ น คง ดุ จ ขุ น เขา พลั น สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เซี่ยวม่อเกอประดุจลูกไฟที่โหมไหม้อย่างร้อนแรง ยิ่ง
นานยิ่งดุร้าย ยิ่งโหมไหม้มากเท่าใดก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น!
เหมียวจุนตัดสินใจชิงลงมือทันที!
คา ‘แก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์’ วาบผ่านในใจมัน เจตนาฆ่าฟัน
ในดวงตาเข้มข้นขึ้นในบัดดล
สีฟ้าครามอันแปลกพิส ดารแพร่ก ระจายไปทั่ วร่ างมัน ในชั่ วพริ บ ตา
เดิมตั้งตระหง่านไม่หวั่นไหวเฉกเช่นขุนเขา แต่ยามนี้เหมียวจุนเปลี่ยนเป็น
สายลมกระโชกอย่างฉับพลัน สายลมไร้ตัวตนที่ไม่อาจจับต้องได้!
สังขารปิศาจสายลมฟ้าคราม!
ร่างของมันพลันหายวับไปในอากาศธาตุ!
จั่วม่อม่านตาหดแคบลงดุจปลายเข็ม หายไปแล้ว! เหมียวจุนหายตัว
ไปอย่ า งสิ้ น เชิ ง ! หายไปจากสั ม ผั ส รั บ รู้ ทุ ก ด้ า นของมั น ! ราวกั บ ไม่ เ คยมี
ตัวตนอยู่เลย!

“เหมียวจุนช่างดุดันอามหิตแท้ ๆ เพียงแค่กระบวนท่าแรกก็เป็น ‘ท่า


สังหารฟ้าครามไร้ตัวตน!’” บุรุษที่มีรูปโฉมคลับคล้ายหลันเทียนหลงอยู่
เจ็ดแปดส่วนกล่าวอย่างยิ้มแย้ม คนผู้นี้ไม่กายาล่าสันเท่าหลันเทียนหลง
แต่คนทั้งสองมีรูปโฉมคล้ายคลึงกันมากเกินไป ช่วยให้ผู้คนจดจามันออก
อย่างง่ายดาย คนผู้นี้ยังจะเป็นใครไปได้ นอกเสียจากพี่น้องของหลันเทียน
หลง นามว่าหลันหยง
หลั น หยงทอดถอนชมเชย “คงต้ อ งบอกว่ า ‘ท่ า สั ง หารฟ้ า ครามไร้
ตัวตน’ ของเหมียวจุนช่างเลิศพิสดารโดยแท้ ข้าไม่อาจเข้าใจว่ามันบรรลุ
กระบวนท่ า เช่ น นี้ ไ ด้ อ ย่ า งไร สั ง ขารปิ ศ าจสายลมฟ้ า ครามไม่ ใ ช่ สั ง ขาร
ปิศาจที่ร้ายกาจอันใด อาจเป็นสังขารปิศาจที่ย่าแย่ที่สุดในบรรดายี่สิบสุด
ยอดฝีมือทาเนียบปิศาจมหาสันติด้วยซ้า!”
หลันเทียนหลงไม่ละสายตาแม้แต่แวบเดียว บนใบหน้ามีร่องรอยตื่น
ตะลึงอยู่บ้าง มันไม่คาดฝันว่าการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่เหมียวจุนถึงกับ
ใช้สุดยอดกระบวนท่าสังหารของมันออกมา!
‘ท่าสังหารฟ้าครามไร้ตัวตน’ เป็นกระบวนท่าที่หนุนส่งให้เหมียวจุนมี
ชื่ อ เสี ย ง มั น สามารถหายตั ว ไปอย่ า งสมบู ร ณ์ ศั ต รู ก ระทั่ ง ทอดร่ า งเป็ น
ซากศพ ยังไม่ทราบว่าตัวเองตายอย่างไร
ยอดยุทธ์ที่เอาชีวิตมาทิ้งภายใต้กระบวนท่านี้แทบนับจ านวนไม่ถ้ วน
เหมียวจุนที่ก้าวเข้ าสู่ท าเนีย บปิ ศ าจมหาสันติ ล้วนพึ่งพา ‘ท่าสังหารฟ้ า
ครามไร้ตัวตน’ นี้เอง
จนกระทั่งถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีใครทาลายกระบวนท่านี้ได้
ดั ง นั้ น ทุ ก ผู้ ค นเมื่ อพบว่ า เหมี ย วจุ น ถึ ง กั บ ใช้ ก ระบวนท่ า นี้ อ อกมา
ตั้งแต่แรกเริ่ม ล้วนพากันตกตะลึงพรึงเพริด
หลั น เที ย นหลงพอฟั ง ยั ง ต้ อ งผงกศี ร ษะเห็ น พ้ อ ง ชมเชยสุ ด ยอด
กระบวนท่าสังหารของเหมียวจุนไม่ขาดปาก “นี่เป็นความจริง แม้แต่ข้ายัง
ไม่ทราบจะหาวิธีเอาชนะกระบวนท่านี้ได้อย่างไร”
“นี่เป็นหนึ่งกระบวนท่าสยบทั่วหล้าอย่างแท้จริง!” หลันหยงสั่นศีรษะ
อย่างยิ้มแย้ม “นี่ยังเป็นสิ่งที่ทาให้การประลองของเหมียวจุนไม่ค่อ ยน่ าดู
นัก หากมันใช้กระบวนท่านี้ออกมาก็แทบไม่จาเป็นต้องชมดูต่อแล้ว”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุ ปไป บางทีวันนี้เจ้าจะได้เห็นเรื่องราวที่เหนือความ
คาดหมาย” หลันเทียนหลงเอ่ยขัดอย่างกะทันหัน มันยังคงจดจาสังหรณ์
อันตรายที่มันสัมผัสได้หน้าประตูเมืองในวันนั้น
หลันหยงตะลึงลานอยู่บ้าง ต้องหันมาเพ่งพินิจพี่น้องของมันอยู่ เป็น
ครู่ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะประเมินเซี่ยวม่อเกอไว้สูงยิ่ง!”
“เราจะได้เห็นในไม่ช้า!” หลันเทียนหลงสัน
่ ศีรษะพลางกล่าว
หลั น หยงพอฟั ง ได้ แ ต่ หั น ไปมองจั่ ว ม่ อ ที่ ยื น อยู่ ก ลางประลองตาม
ลาพังผู้เดียวอย่างกระหายใคร่รู้

เขิงเหลียนเอ๋อร์จับจ้องมองดูจ่ว
ั ม่อบนสนามประลอง แม้ว่าจะมีม่าน
พลังอาคมหวงห้ามขวางกั้นเอาไว้ นางก็ยังคงรักษาระยะห่างจากจั่ว ม่ออ
ย่างระมัดระวัง การเหนี่ยวนาพลังระหว่างพวกมันยังคงอยู่
นางยังไม่อาจเข้าใจได้ ว่าจั่วม่อสามารถก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพร
ในวันนั้นได้อย่างไร
ในแง่ข องความเข้ากันได้ นางมีโอกาสก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพร
สูงกว่าจั่วม่อมาก จั่วม่อฝึกปรือพลังเทพสุริยัน สังขารปิศาจของมันยังเป็น
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา สังกัดสุดหยางสุดแกร่งกร้าว ซึ่งความจริง การที่มัน
จะก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพรนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย!
แต่ความจริงที่เกิดขึ้น กลับแตกต่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่นางคาดการณ์
อย่างสิ้นเชิง
แรกเริ่มเดิมทีนางเข้าใจว่านางล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับจั่วม่อ แต่
กลับพบว่าจั่วม่อเป็นกลุ่มก้อนของความลึกลับที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอก
อากุ่ยยืนนิ่งเงียบงันอยู่ข้างเขิงเหลียนเอ๋อร์ สีหน้าของนางยังคงแข็ง
ทื่อเหมือนท่อนไม้ ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพรอบข้าง ดวงตาว่างเปล่า
ของนางเพียงจ้องมองจั่วม่อแต่ผู้เดียว
เขิงเหลียนเอ๋อร์เหลือบมองอากุ่ย ทันใดนั้นหวนนึกถึงเศษเสี้ยวความ
ทรงจาที่สะท้านขวัญวิญญาณผู้คนในใจจั่วม่อ ดวงตาของนางยิ่งกลายเป็น
ลึกล้าสุดหยั่งถึง
“เฮ้ คุณหนู เจ้าเรียกว่าอะไร?” นายน้อยผู้หนึ่งเร่เข้ามา
เขิงเหลียนเอ๋อร์มีวงหน้างดงามปราศจากตาหนิและดวงตาที่สามารถ
สะกดผู้คนจนลุ่มหลงตายคู่หนึ่ง นางประหนึ่งกล้วยไม้กลางหุบ เขา โดด
เด่นและเดียวดาย สาหรับนายน้อยเหล่านี้ นางมีแรงดึงดูดใจหาใดเปรียบ!
บรรดานายน้อยตระกูลต่าง ๆ เริ่มเร่เข้ามารวมกัน
เขิงเหลียนเอ๋อร์ทาท่าราวกับว่าไม่ได้ยินวาจาพวกมัน ดวงตาของนาง
เพียงจับจ้องจั่วม่อบนลานประลองโดยไม่คลาดคลา
“ยังจะชมดูไปไย บนนั้นไม่มีอะไรให้ดูแล้ว เหมียวจุนพอใช้กระบวน
ท่าสังหารฟ้าครามไร้ตัวตนออกมา เซี่ยวม่อเกอก็ชะตาขาดอย่างแน่นอน!
น่าเบื่อหน่ายเสียจริง ผ่านมาตั้งหลายปี เหมียวจุนก็ยังคงมีแต่กระบวนท่า
นี้ ข้าหลงเข้าใจว่ามันจะมีอะไรใหม่ๆ ให้ชมดูบ้าง เสี่ยวเหยียมาเสียเที่ ยว
เปล่าจริงๆ” นายน้อยผู้ห นึ่งบ่นพึมพา จากนั้นสีห น้าคึกคักกระตือรือร้น
ขึ้นมาทันที “แต่ยามนี้ต้องขอบคุณมันจริง ๆ ที่ทาให้ข้ามีโอกาสได้พบกับ
คุณหนูเจ้า!”
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ไ ม่ แ ยแสสนใจมั น คล้ า ยว่ า ไม่ มี สิ่ ง ใดจะมาดึ ง ดู ด
สายตานางไปจากจั่วม่อบนลานประลองได้ นางสามารถรับรู้สถานการณ์
อันยากลาบากของจั่วม่อได้อย่างชัดเจน!

ลานประลองอั น กว้ า งใหญ่ ก ลั บ ว่ า งเปล่ า อย่ า งสิ้ น เชิ ง มี เ พี ย งมั น ผู้


เดียวที่ยืนอยู่บนลานประลอง!
เหมียวจุนหายตัวไปในอากาศธาตุอย่างสมบูรณ์ ต่อหน้าต่อตามันเลย
ทีเดียว
จั่วม่อใช้ฝีมือทั้งหมดที่มี แต่ยังคงไม่อาจหาตัวอีกฝ่ายพบ อย่างไรก็
ตาม สังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้าบันดาลให้มันหนังศีรษะชาซ่าน คล้าย
กับว่ามีสายโซ่ที่มองไม่เห็นคล้องอยู่รอบคอของมัน หากอีกฝ่ายต้องการ ก็
สามารถดึงรั้งห่วงโซ่รัดคอมันได้ทุกเมื่อ!
ผู้อ่ ืนจะต้องยังอยู่บนลานประลองไม่ผิดแน่!
จั่วม่อมือขวาสะบัดวูบ ล าแสงของศาสตร์อสูรน้อยสาดพุ่งออกจาก
มือไม่ขาดสาย จู่โจมผ่านสนามประลองทั้งหมดในชั่วพริบตา
แต่ลาแสงทั้งหมดไม่กระทบถูกสิง่ ใดแม้แต่น้อย
บนที่ นั่ ง ผู้ ช มบั ง เกิ ด เสี ย งฮื อ ฮาขึ้ น อี ก ค ารบ เสี ย งวิ พ ากษ์ วิ จ ารณ์
กลายเป็ น ร้ อ นแรงขึ้ น กว่ า เดิ ม ศาสตร์ อ สู ร น้ อ ยของจั่ ว ม่ อ แม้ เ ป็ น เพี ย ง
ศาสตร์อสูรน้อยเท่านั้น แต่ยังคงทาให้คนจานวนมากอัศจรรย์ใจไม่เบา
วิถีบาเพ็ญเพ็ญเพียรของอสูรปิศาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปิศาจที่
ล่วงรู้วิชาศาสตร์อสูรมีน้อยเสียยิง่ กว่าน้อย
ที่แท้เซี่ยวม่อเกอล่วงรู้วิชาศาสตร์อสูรด้วย!
ศาสตร์อสูรน้อยของจั่วม่อทาให้ผู้คนมากมายยืนตะลึงงันอยู่กับที่
เสี ย งสนทนาเอะอะอึ ก ทึ ก ที่ ดั ง ขึ้ น กว่ า เดิ ม บนที่ นั่ ง ผู้ ช ม ไม่ ส่ ง ผล
กระทบต่อจั่วม่อแม้แต่น้อย เส้นประสาทของมันเครียดเขม็ง ลอบตื่นตัว
อย่างเต็มที่ ขณะที่สัมผัสค้นหาทั่วทุกตารางนิ้วบนลานประลอง
ลางสังหรณ์อันตรายยิ่งมายิ่งหนาหนัก ประหนึ่งว่าห่วงโซ่รอบคอมัน
ถูกรัดแน่นเข้ามาเรื่อยๆ
จั่วม่อเหงื่อเย็นหยดลงจากปลายจมูก เย็นเฉียบไปถึงไขสันหลัง
บทที่ 589 เพลิงอหังการแห่งแกนฟ้าลาดับแรก7

จั่วม่อเบิกตากว้าง กวาดมองทั่วลานประลองอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่ามัน


จะใช้วิธีการใด ก็ไม่อาจค้นพบร่ างของเหมีย วจุน แม้แต่ เงา ทว่าสังหรณ์
อันตรายกลับยิ่งแรงกล้าขึ้นทุกขณะ
จั่วม่อเหงื่อเย็นไหลท่วมแผ่นหลัง มันคาดไม่ถึงว่ากระบวนท่าจู่โจม
ของเหมียวจุน จะแปลกประหลาดเหนือสามัญสานึกเช่นนี้!
ความแข็งแกร่งของสุดยอดฝีมือในทาเนียบปิศาจมหาสันติ รอถึงยาม
นี้มันค่อยได้รับรู้อย่างซาบซึ้งไปถึงทรวง!
เหมียวจุนผู้รั้งลาดับสุดท้ายยังร้ายกาจถึงปานนี้ เช่นนั้นอีกสิบเก้าคน
ที่แข็งแกร่งกว่าเหมียวจุนก็แทบไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว! มันประเมินเหล่าจอม
ยุทธ์ผู้กล้าในโลกต่าเกินไป การที่ระยะหลังมานี้พลังฝีมือของมันรุ ดหน้า
อย่างต่อเนื่องเป็นเหตุให้มันประเมินตัวเองสูงส่งเกินไป จั่วม่อดวงตาทอ
แววสานึกเสียใจอยู่บ้าง
แต่ทันใดนั้น ภาพความทรงจ าอันห่างไกลปรากฏขึ้นดุจสายน้าหลั่ง
ริน ไหลรี่อยู่เบื้องหน้าสายตา ภาพเหล่านั้นท่วมท้นไปด้วยความสดใสและ
อบอุ่น รอยยิ้มไร้เดียงสาที่แฝงเค้าขลาดอายของเสี่ยวกั่ว เงาร่างอันองอาจ

7
หมายถึง 甲 อักษรตัวแรกในสิบอักษรราศีบน (ภาคสวรรค์) ในแผนภูมิสวรรค์ ใช้ในการคานวณปีนก
ั ษัตรของ
จีนโบราณ
หาญกล้าของศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง ทุกประการล้วนแล้วแต่กระจ่างชั ดอยู่
ในใจมัน
ไม่ทราบเพราะเหตุใด ความหวาดกลัวที่ยึดครองร่างกายพลันลดน้อย
ถอยลงอย่างรวดเร็ว
ความเหี้ยมหาญกลับคืนสู่ ร่าง ดวงตากลายเป็นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อีก
คารบ ใบหน้าที่อาบท่วมไปด้วยเหงื่อ เปล่งประกายด้วยจิต วิญญาณการ
ต่อสู้อันกร้าวแกร่ง!
ราวกั บ แสงตะวั น สาดส่ อ งทะลุ ผ่ า นชั้ น เมฆด า จั่ ว ม่ อ พลั น แย้ ม ยิ้ ม
อย่างเฉิดฉัน
“ฮะ?” บุรุษชุดดาบนที่นั่งผู้ชมประหลาดใจเล็กน้อย มันเพิ่งจะเห็นว่า
สีหน้าและพลังสภาวะของเซี่ยวม่อเกอเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน คน
ผู้นี้...ไฉนจู่ ๆ ก็ยม
ิ้ ออกมา?
หรือว่ามันพบวิธีรับมือเหมียวจุนแล้ว?
“เจ้าสามารถคาดเดาได้หรือไม่ว่ามันจะใช้วิธีการใด?” เงาดาถามทัน
ควัน
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า!” บุรุษชุดดาสั่นศีรษะ “ข้าไม่เคยประมือกับ
เหมี ย วจุ น ทั้ ง ยั ง ไม่ ท ราบว่ า จะท าลายท่ า สั ง หารฟ้ า ครามไร้ ตั ว ตนได้
อย่างไร”
“เช่นนั้นหากเป็นเจ้าจะทาอย่างไร?” เงาถามถามอีก
“สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว ลดโอกาสที่จ ะถูกโจมตี จากนั้นรอตอบโต้ใน
จังหวะที่เหมียวจุนลงมือจู่โจม” บุรุษชุดดากล่าวโดยไม่ลังเล
คนทั้งสองไม่เอ่ยคาใดอีก พลันมุ่งความสนใจกลับไปยังลานประลอง
เนื่องเพราะเซี่ยวม่อเกอ ...เคลื่อนไหวแล้ว!
จั่ ว ม่ อ ก้ า วถอยหลัง ช้ า ๆ ที ล ะก้ า ว ๆ จนกระทั่ ง ไปหยุ ด ยั้ ง ลงที่ ชาย
ขอบลานประลอง หากมันก้าวถอยหลังอีกก้าวเดียว จะตกจากเวทีประลอง
และพ่ายแพ้ไปในทันที
แน่นอนว่ามันย่อมไม่ก้าวถอยไปอีก หันเผชิญหน้ากับเวทีประลองอัน
ว่างเปล่าตรง ๆ ร่างงองุ้มดุจพยัคฆ์ร้ายที่กาลังจะเผ่นโผน หมัดขวาที่พัน
ผ้าไว้อย่างมิดชิดรั้งกลับมาข้างเอว ทั้งร่างโน้มไปข้างหน้า
ท่วงท่าสภาวะเช่นนี้ เพียงมองปราดเดียวก็ทราบว่าตระเตรียมจู่โจม
อย่างสุดกาลัง บันดาลให้ผู้คนบนที่นั่งผู้ชมแทบลืมหายใจ หรือว่าเซี่ยวม่อ
เกอคิดลงมือจู่โจม?
แล้วมัน...จะจู่โจมไปที่ใดกันเล่า?
จั่วม่อดวงตาถลึงกว้าง เจิดจรัสดุจกองไฟสีทองสองดวง จ้องเขม็งไป
ยังเวทีประลองที่ปราศจากเงาร่างผู้ใด จิตวิญญาณการต่อสู้และจิตสังหาร
อันแข็งกร้าวทะลักล้น แผดเผาร่างกายของมันจนร้อนระอุ
จิตใจมันกลับสงบเยือกเย็นผิดธรรมดา
เหมี ย วจุ น ไม่ ว่ า จะเล่ น ลวดลายใด จะอย่ า งไรยั ง คงต้ อ งอยู่ บ นเวที
ประลองไม่ผิดแน่!
ในเมื่อข้าไม่มีปัญญาหาเจ้าพบ เช่นนั้นข้าจะโจมตีไปจนกว่าจะถูกตัว
เจ้า!
เปลวเพลิ ง ในดวงตาจั่ ว ม่ อ ปะทุ ขึ้ น อย่ า งฉั บ พลั น เจตนาฆ่ า ฟั น อั น
เกรี้ ย วกราดสาดประกายวาบ ดุ จ ประกายดาบตั ด ผ่ า นนภา บั ง เกิ ด เป็ น
ประกายเย็นเยียบสายหนึ่ง เสียงตวาดเย็นเยือกชวนสะท้านใจดังกึกก้องไป
ทั่วลานประลอง “ฆ่า!”
แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิต ย์ที่กลางอกพวยพุ่งกระแสพลังร้อนระอุ
ออกมาอย่างฉับพลัน!
พร้อมกันนั้น หมัดขวาที่ต้ังท่าอยู่ข้างเอว พลันหมุนคว้างเร็วรี่ ต่อย
ออกไปอย่างสุดกาลัง ดุจลูกธนูหลุดจากแล่ง!
แทบจะในเวลาเดียวกัน กระแสพลังร้อนระอุที่ถาโถมมาจากแผนผัง
ปิศาจดวงอาทิตย์ตรงกลางอก แล่นวาบไปยังหมัดขวาปานสายฟ้าฟาด!
ตูม!
อาจบางทีหมัดของมันทะลวงอากาศเร็วเกินไป เผชิญแรงเสียดทาน
จากอากาศรุ นแรงเกินไป หรืออาจเป็นเพราะกระแสเปลวไฟที่พวยพุ่งเข้า
หาหมัดของมัน แต่ผ้ายาวที่พันรอบหมัดเริ่มลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราด เปลว
ไฟสีทองอันบ้าคลั่งลุกลามด้วยความเร็วสูง พลุ่งพล่านทะลักทลายอย่าง
รวดเร็ว แขนข้างขวาของจั่วม่อคล้ายห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีทองเต้นเร่าเป็น
ชั้นๆ ประกายไฟแตกปะทุ แลบลั่นอย่างดุเดือด!
ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!
เสียงเพลิงคารามสะท้านสะเทือนและลุ่มลึก คล้ายกังวานมาจากโล
กันตนรกที่ใต้พ้ น
ื โลก
หมั ด ขวาที่ ห มุ น คว้ า งอย่า งเร่ ง ร้ อน พกพาเปลวเพลิง สีท องเต้น เร่า
อย่างป่าเถื่อน ต่อยใส่เวทีประลองอันว่างเปล่าอย่างสุดแรงเกิด!
อุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกา การแปลงร่างกระบวนท่าแรกในสิบแปลง...
หมัดเพลิงแกนฟ้าลาดับที่หนึ่ง!
บนที่นั่งผู้ชม ทุกผู้คนดวงตาเบิกกว้างอย่างฉับพลัน หมัดนั้นเจิดจ้า
เสียจนพวกมันไม่อาจมองดูตรง ๆ ไม่ต่างจากดาวตกสาดพุ่งลงจากฟากฟ้า
ลากแสงประกายยาวเหยียดพาดผ่านนภา!
ตูม!
ดวงแสงสีทองกระแทกใส่ใจกลางเวทีประลองอย่างหักโหม แล้วพลัน
แตกระเบิ ด ดั ง สนั่ น หวั่ น ไหว ประกายแสงสี ท องเจิ ด จรั ส กลื น กิ น ลาน
ประลองอันกว้างใหญ่ในชั่วพริบตา!
ผู้คนบนที่นั่งผู้ชมรู้สึกพื้นปฐพีที่ใต้ฝ่าเท้า ไหวสะเทือนอย่า งรุ น แรง
แทบไม่ อ าจยื ด หยั ด มั่ น ที่ นั่ ง ผู้ ช มเอะอะอึ ก ทึ ก ไปด้ ว ยร้ อ งอุ ท านอย่ า ง
แตกตื่น แต่ในไม่ช้าสุ้มเสียงเหล่านี้ก็เงียบหายเป็นปลิดทิ้ง พวกมันเหม่อ
มองเวทีประลองอย่างไม่เชื่อสายตา
ฝุ่นควันที่ครอบคลุมทั่วเวทีประลองบัดนี้ค่อย ๆ กระจัดกระจายไป
เศษหินร่วงกราวลงบนพื้น และที่ใจกลางเวทีประลอง เห็นร่างหนึ่งปรากฏ
ขึ้นในสภาพทุลักทุเล
เหมียวจุน!
เศษหินยังโปรยปรายลงมาไม่ห ยุ ดยั้ง รอจนเศษหินก้อนสุดท้ายตก
กระทบพื้น ฝุ่นควันสลายไปหมดสิ้น ผู้คนค่อยค้นพบอย่างตื่นตะลึง เวที
ประลองอั น ราบเรี ยบภู มิ ฐ านหายไปอย่า งสิ้นเชิ ง แทนที่ ด้ ว ยกองหินสุม
ซ้อนเป็นชั้น ๆ แต่ละก้อนหนาถึงหนึ่งจั้ง!
เหมียวจุนเบิกตากว้าง มองดูจ่ัวม่อที่ยังค้างอยู่ในท่วงท่าต่อยหมัด สี
หน้าทอแววเหลือเชื่ อ ใบหน้าบัดเดี๋ยวขาวซีดบัดเดี๋ยวเขียวคล้า ท่าสังหาร
ฟ้าครามไร้ตัวตนอันเป็นความภาคภูมิ ใจของมัน... ถึงกับถูกบุรุษหนุ่ ม ผู้
หนึ่งทาลายลงอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้!
เป็นไปได้อย่างไร?
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

“หมัดอันเกรี้ยวกราดอหังการนัก!” หลันหยงดวงตาทอแววตื่นตะลึง
พึมพากับตัวเองแทบเป็นเสียงกระซิบ
หลันเทียนหลงไม่เอ่ยปาก เพียงจ้องเขม็งไปยังเวทีประลอง สีหน้าตื่น
ตระหนกอย่างปิดไม่มิด
“มั น ถึ ง กั บ ใช้ วิ ธี ก ารอั น ทื่ อด้ า นเช่ น นี้ ท าลายท่ า สั ง หารฟ้ า ครามไร้
ตั ว ตนของเหมี ย วจุ น ได้ จ ริ ง ๆ!” หลั น หยงกล่ า วพลางสั่ น ศี ร ษะอย่ า ง
อัศจรรย์ใจ ทางหนึ่งทอดถอนชมเชย อีกทางหนึ่งยังคงไม่อยากจะเชื่อ “นี่
มัน...จริง ๆ แล้ว... จริง ๆ แล้ว...”
หลั น หยงหุ บ ปากลง กล่ า วอยู่ ค รึ่ ง ค่ อ นวั น ยั ง ไม่ ท ราบจะบรรยาย
ความรู้สึกของมันอย่างไร
“เจ้าต้านรับหมัดนี้ได้หรือไม่ ?” หลันเทียนหลงหันมาถามญาติผู้น้อง
อย่างฉับพลัน
หลั น หยงสี ห น้ า แปรเปลี่ ย นเล็ ก น้ อ ย มั น หลับ ตาลง จากนั้ น ใบหน้า
ปรากฏสีแดงเรื่อจาง ๆ ชั่วอึดใจให้หลังค่อยลืมตาขึ้น สั่นศีรษะพลางกล่าว
อย่างอับจน “ข้าไม่มีปัญญาต้านรับได้!”
“อุปกรณ์สวรรค์สิบอีการ้ายกาจถึงเพียงนี้ ?” หลันเทียนหลงเพ่งมอง
เซี่ยวม่อเกอบนลานประลอง กระซิบราพึงกับตัวเอง

“อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาไฉนร้ายกาจถึงเพียงนี้ ?” บุรุษชุดดาจ้องมอง
เซี่ยวม่อเกอบนลานประลองดุจพบพานผีสาง
“อุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกาไม่ได้ทรงพลานุภาพเช่นนี้!” เงาดาตอบทัน
ควัน สุ้มเสียงของมันไม่ได้เฉื่อยชาอีกต่อไป “มันใช้ฝีมืออื่นด้วย! ร่างกาย
ของมันแข็งแกร่งทรงพลังยิ่ง นี่สมควรเป็นผลพวงจากหมู่ดาวประทานพร
ผนวกกับวิธีการควบคุมพลังอันเลิศพิสดารที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนของมัน
หมัดนี้ก้าวล้าจากอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาดั้งเดิมไปแล้ว”
“แต่นี่มันดุดันอหังการเกินไป” บุรุษชุดดาพบว่ายากจะยอมรับได้อยู่
บ้าง “กระทั่งข้าเอง ยังไม่สามารถรับประกันว่าจะต้านรับหมัดนี้ได้”
“แต่เจ้าสามารถเชือดมันทิ้งได้ก่อนที่มันจะมีโอกาสได้ต่อยหมัด” เงา
ดากล่าว
“นั่นก็ไม่ผิด” บุรุษชุดดาไม่แสร้งถ่อมตน ด้วยว่ามันยังคงอัศจรรย์ใจ
ไม่ ค ลาย “แต่ เ จ้ า อย่ า ลื ม ว่ า มั น อายุ เ ท่ า ใด? ในตอนที่ อ ายุ เ ท่ า มั น ผู้ ใ ดมี
ความสามารถเท่ากับมันบ้าง?”
“แต่ ฟ้ า ริ ษ ยาอั จ ฉริ ย ะ อาจบางที นี่ ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ งดี ส าหรั บ มั น ” เงาด า
กล่าวอย่างเฉื่อยชา
บุรุษชุดดานิง่ งัน “เจ้าคิดลงมือกับมัน? ข้าจึงไม่เชื่อ!”
“ข้าย่อมไม่ แต่มีคนต้องการลงมือ” เงาดาจับตามองไปยังที่ห่างไกล
ด้านหนึ่ง
คนชุดดามองตามสายตาของเงาดา ดวงตาเคร่งเครียดเย็นชาลง

ที่นั่งผู้ชมเงียบกริบดุจร้างไร้ผู้คน ทุกผู้คนนิง่ ขึงตะลึงลานด้วยหมัดอัน


สะท้านฟ้าสะเทือนดินหมัดนี้
อย่าได้เห็นว่าพื้นสนามประลองไม่ มีใดโดดเด่นสะดุดตา อันที่จริงทา
มาจากศิ ล าที่ ดี ที่ สุ ด แข็ ง แกร่ ง ทนทานยิ่ ง และเพื่ อท าให้ มั น แข็ ง แกร่ ง
ทนทานถึงที่สุด จึงมีการจัดตั้งอาคมหวงห้ามมากหลายลงไปด้วย แม้ว่า
เมื่อรองรับการประลองของผู้คนมานานปี พื้นผิวสนามประลองอาจเป็น
หลุมเป็นบ่ออยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วนับว่ายังอยู่ในสภาพดีและราบเรียบ
ยิ่ง
หมัดของเซี่ยวม่อเกอ กลับกระแทกทาลายพื้นเวทีประลองทั้งหมดใน
หมัดเดียว!
เป็นที่เห็นได้ว่าหมัดนี้ทรงพลังอานาจถึงเพียงไหน!
แม้แต่ภูเขาหากขวางหน้ามัน เกรงว่ายังไม่เหลือซาก!
ผู้คนใช้สายตาตะลึงลาน เหม่อมองบุรุษหนุ่มกลางลานประลองที่ดูไม่
คล้ายยอดฝีมือ ภาพที่เกิดขึ้นทาให้ ทุก ใบหน้ าเผื อดสี สนามประลองอั น
ใหญ่โตเงียบกริบดุจป่าช้า
เมื่ อ พวกมั น เห็ น เหมี ย วจุ น ใช้ ก ระบวนท่ า สั ง หารฟ้ า ครามไร้ ตั ว ตน
ล้ ว นพากั น เข้ า ใจว่ า ชมดู ก ารประลองต่ อ ไปก็ ไ ม่ มี ค วามหมาย ผู้ ใ ด จะ
คาดคิ ด ว่ า สถานการณ์ จ ะเปลี่ ย นพลิ ก กลั บ ตาลปั ต ร เหตุ เ ปลี่ ย นแปลง
เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป จนผู้คนตามไม่ทัน
เพียงชั่วพริบตาเดียว ผู้ที่ตกเป็นรองกลับกลายเป็นเหมียวจุน!

เหมียวจุนสีหน้าซับซ้อนยิ่ง สายตาที่จ้องมองจั่วม่อแปรเปลี่ยนไปจาก
เดิม
มันมิใช่ว่าไม่เคยคิด ว่าท่าสังหารฟ้าครามไร้ตัวตนวันหนึ่งจะต้องถูก
ทาลายลง แต่มันร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าผู้ที่ทาลายได้จะเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
ทั้งยังด้วยวิธีการอันดุร้ายป่าเถื่อนถึงเพียงนี้!
แต่ เ มื่ อ มั น เกิ ด ขึ้ น จริ ง ๆ เหมี ย วจุ น อดไม่ ไ ด้ ต้ อ งชื่ น ชมความคิ ดอัน
แยบคายของฝ่ายตรงข้าม
ต่อหน้าพลังอหังการสุดเปรียบปานนี้ ไม่ว่าวิชาปกปิดซ่อนเร้นอัน ใด
ล้วนไร้คุณค่าความหมาย ไม่ต่างจากกับดักที่ทาจากกระดาษบาง ๆ ต่อให้
เคล็ดวิชาลึกซึ้งละเอียดอ่อนเพียงใดก็ไร้ประโชน์ แม้ว่าท่าสังหารฟ้าคราม
ไร้ตัวตนของมันจะบรรลุถึงชายขอบของพลังเขตแดนแล้วก็ตาม!
เหมียวจุนบนใบหน้าเผยรอยยิ้มจนปัญญา อาจบางทีต่อให้ท่าสังหาร
ฟ้าครามไร้ตัวตนของมันบรรลุถึงเขตแดนอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าพลังอัน
เกรี้ยวกราดน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เกรงว่ายังไม่อาจหลบหลีกรอดพ้นจาก
อันตรายได้ อย่าว่ าแต่ท่าสังหารฟ้าครามไร้ตัวตนที่ยังเพียงสัมผัสถึงชาย
ขอบของเขตแดนเท่านั้น
แข็งแกร่งยิ่ง!
แข็งแกร่งจนแทบจะเหนือล้ากว่าขอบเขตของด่านเจียง!
เหมียวจุนยังสามารถเห็นได้ชัดตา ว่าเซี่ยวม่อเกอก็มิใช่ว่าจะปลอด
โปร่งสะดวกดาย หมัดนี้สร้างภาระอันใหญ่หลวงให้แก่มันด้วยเช่นกัน เห็น
ได้จากร่างที่สั่นระริกเล็กน้อยและอาการหอบหายใจของเซี่ยวม่อเกอ
แต่รอจนมันประสานสบตากับเซี่ยวม่อเกอ ต้องตะลึงงันวูบ
พลังงานสีทองในดวงตาทั้งคู่ของเซี่ยวม่อเกอหม่นแสงลงไม่น้อย แต่
สิ่งที่ทาให้เหมียวจุนตะลึงลาน เป็นจิตวิญญาณการต่อสู้อันร้อนระอุ ที่ไม่
เพี ย งไม่ ล ดต่ า ลงแม้ แ ต่ น้ อ ย กลั บ ยิ่ ง ลุ ก ฮื อ โหม เกรี้ ย วกราดร้ อ นระอุ
กว่าเดิมหลายเท่าตัว!
ภายใต้ เ สี ย งค ารามคล้า ยหอบหายใจ จิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ อันร้อน
ระอุยิ่งโดดเด่นสะดุดตา จนผู้คนไม่อาจละสายตาได้ แม้ว่าเซี่ยวม่อเกอดู
คล้ายเหน็ดเหนื่อยเกือบสิ้นเรี่ยวแรง แต่กลิ่นอายสุดอันตรายกลับไม่ได้ลด
ความกล้าแข็งลงแม้แต่น้อย
ไม่มีผู้ใดคิดว่ามันสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไ ปแล้ ว ทุกผู้คน
บังเกิดความรู้สึกว่าการต่อสู้เพิง่ จะเปิดฉากขึ้นเท่านัน

เหมียวจุนยืดตัวยืนตรง มองดูจ่ว
ั ม่ออย่างเงียบงัน
“ข้ายอมแพ้”
ชัว
่ อึดใจหนึ่ง เหมียวจุนก็เอ่ยปากอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้ท่ว
ั สนาม
ประลองจมอยู่ในความเงียบสงัด
แต่ ห ลั ง จากเงี ยบงั นไปเพีย งชั่ ว อึด ใจ คลื่ นเสี ย งกึ ก ก้อ งอื้อ อึ งคล้าย
ระเบิดขึ้นจากทุกซอกมุมของสนามประลอง
เป็นไปได้อย่างไร?
นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
คราวนี้ ก ระทั่ ง จั่ ว ม่ อเองยั งตะลึง งัน มั น ค่ อ ยๆ ลุ ก ขึ้ น ยื น เหม่ อ มอง
เหมียวจุนอย่างซึมเซา
เหมียวจุนจับตามองสีห น้าของจั่วม่ออย่างสนอกสนใจ ราวกับคนที่
เพิ่งเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ใช่มัน มันเห็นได้ชัดว่าออกจะอิ่มอก
อิ่มใจกับถ้อยคาของตนเสียด้วยซ้า
“อย่าคิดเล่นลูกไม้กับข้าเสียให้ยาก!”
วาจาดุร้ายของจั่วม่อ ทาเอาสีห น้าอิ่มอกอิ่มใจของเหมียวจุนถึง กั บ
แข็งค้าง
“เจ้าไม่เชื่อข้า?” เหมียวจุนมองจั่วม่อด้วยสายตาแปลกประหลาด
“ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว” จั่วม่อเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย จากนั้นยืดตัวตรง
แล้วร้องลั่นอย่างกะทันหัน “โอย เจ็บปวดยิ่ง”
กระบวนท่าเมื่อครู่ไม่ใช่ห มั ดเพลิง แกนฟ้าล าดับ ที่ห นึ่งในแบบฉบั บ
ดั้งเดิม แต่มันใช้พลังทั้งหมดที่มี รวมถึงพลังเทพสายหนึ่งผสานรวมเข้าไป
ด้วย สร้างพลังอานาจอันน่าแตกตื่นสะท้านโลก
แต่หมัดนี้ยังทาให้ร่างกายของมันต้องแบกรับภาระหนักหน่วงรุ นแรง
ยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้มาก ยามนี้ในร่างไม่มีส่วนใดที่ไม่เจ็บปวดรวดร้าว
อย่างไรก็ตาม... ...มันชนะแล้ว!
แม้ ว่ า การที่ เ หมี ย วจุ น ยอมรั บ ความพ่ า ยแพ้ ง่ า ยๆ จะท าให้ มั น
ประหลาดใจยิ่ง แต่มันเมื่อได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ ก็พึงพอใจมากแล้ว มัน
จึงไม่สนใจว่าเหมียวจุนจะคิดอะไร
แต่แล้วในเวลานี้เอง เหตุแปรเปลี่ยนพลันอุบัติขึ้น!
บทที่ 590 เฝ้ารอ

เห็นล าแสงสีเขียวสายหนึ่งสาดพุ่งออกจากที่นั่งผู้ชม โถมดิ่งเข้าหา


จั่วม่ออย่างหักโหม!
ในเวลาเดียวกัน อาคมหวงห้ามบนเวทีประลองก็ถูกยกเลิกไปพร้อม
กัน ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางล าแสงสีเขียวสายนั้นอีก แสดงว่าด้านจังหวะเวลา
ผ่านการคานวณเป็นมั่นเหมาะถึงที่สุด แต่แล้วชั่วพริบตาที่ล าแสงสีเขี ยว
พุ่งทะลวงถึงตรงหน้าจั่วม่อ เงาร่างสีดาสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉั บพลัน
ปิดสกัดลาแสงสีเขียวอย่างทันท่วงที
แขนเสื้อดาอ่อนพลิ้วราวกับลิ้นงูฉกวาบโดยไร้ที่มาที่ไป จู่โจมทาลาย
ลาแสงสีเขียวอย่างซึ่งหน้า
เป็นเขิงเหลียนเอ๋อร์!
ใบหน้างามปานหยาดฟ้ามาดินเปล่งประกายฆ่าฟันจาง ๆ ดวงตาดา
สนิทดุจนิลทอแววพิสดาร
ปัง!
ล าแสงสี เ ขี ย วแตกระเบิ ด ในบั ด ดล แขนเสื้ อ สะบั ด พลิ้ ว ขยายใหญ่
อย่างฉับพลัน หยุดยั้งสะเก็ดลาแสงสีเขียวที่แตกระเบิดเอาไว้ด้วยท่ วงท่า
ปลอดโปร่ง
จากนั้ น แขนเสื้อ หดตัว ลงดั ง เดิ ม เขิ ง เหลี ย นเอ๋อ ร์ ก วาดตามองที่นั่ง
ผู้ ช มอย่ า งรวดเร็ ว สายตาลึ กล้ าดุ จ บ่ อน้ า โบราณ บั น ดาลให้ ผู้ ค นบั ง เกิด
ความเย็นเยียบจับใจ
เหตุ ล อบสั ง หารอั น อุ ก อาจนี้ เ กิ ด ขึ้ น โดยไม่ มี เ ค้ า ลางล่ ว งหน้ า เขิ ง
เหลียนเอ๋อร์ท่าร่างรวดเร็วดุจสายฟ้า หลายคนยังไม่ทันตระหนักด้วยซ้าว่า
เกิ ด เรื่ อ งอั น ใดขึ้ น อย่ า งไรก็ ต าม โฉมสะคราญที่ ง ามพิล าสล้ า ถึง เพียงนี้
ถึ ง กั บ สะกดผู้ ค นจนตะลึ ง งั น มี ไ ม่ กี่ ค นที่ ทั น เห็ น ฉากที่ น างใช้ แ ขนเสื้ อ
หยุ ด ยั้ ง การโจมตีข องล าแสงสีเ ขีย วอย่ า งง่า ยดาย คนเหล่ า นั้ น อดสีห น้า
ปั่ นป่วนไม่ได้
สตรีนางนี้พลังฝีมือร้ายกาจยิ่ง!
เขิงเหลียนเอ๋อร์กวาดตาค้นหาอยู่ชั่วอึดใจ แต่ไม่พบพานผู้ลงมือ นาง
ไม่กล่าวคาใด คว้าตัวจั่วม่อกับอากุ่ย กระโดดขึ้นลงไม่กี่คราก็หายลับไป
ไม่มีผู้ใดกล้าติดตามพวกนางไป

อาณาจักรศิลาดา เรือนบัญชาการแห่งกองทัพเทียนหวน
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงสีหน้ามืดทะมึน ไฉลี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าอับอาย
คล้ายต้องการมองหารอยแยกบนพื้นดินมุดศีรษะลงไปหลบซ่อน
ไฉลี่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
บรรดาแม่ทัพนายกองรอบข้างพวกมันแทบไม่กล้าหายใจแรง
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงสูดลมหายใจลึก มันแม้อัดแน่นด้วยโทสะ แต่ไม่ได้
เกรี้ยวกราดระบายอารมณ์ เนื่องเพราะมันทราบว่าความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น
ไม่อาจตาหนิไฉลี่ได้ มันได้เห็นการประลองพิชัยยุทธ์ต้ังแต่ต้นจนจบ ฝ่าย
ตรงข้ า มแม้ เ ข้ ม แข็ ง แกร่ ง กร้ า ว แต่ ฝ่ า ยพวกมั น ก็ ห าได้ อ่ อ นด้ อ ยกว่ า ไม่
เหตุผ ลที่ไฉลี่พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากกลยุทธ์การ
ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม
กลยุทธ์การต่อสู้อันแปลกพิสดารยิ่ง
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเมื่อหวนคิดถึงเรื่องนี้ ยังอดข้องใจอยู่บ้างไม่ได้ นั่น
เป็นกลยุทธ์สงครามที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน สามารถดึงพลังของเหล่า
ปิศาจในกองทัพออกมาใช้ได้ถึงขีดสุด
กองพันซิวเจ่อที่ใช้กลยุทธ์อันมีปิศาจเป็นแกนหลัก เรื่องเช่นนี้มันไม่
เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน!
แต่กลยุทธ์สงครามนี้ก็ทรงอานุภาพยิ่ง ไฉลี่แสดงฝีมือได้ดี แต่กลับถูก
ท่าบุกทะลวงไร้ผู้ต้านของฝ่ายตรงข้ามตัดแบ่งเป็นหลายส่วนอย่างรวดเร็ว
ต่อให้เป็นตัวมันเอง หากเผชิญกับกลยุทธ์ส งครามอันพิส ดารนี้เป็น
ครั้งแรก ก็ไม่มีความเชื่อมั่นเอาชัยเช่นกัน
“ตรึกตรองให้ดี พ่ายแพ้ต่อกองกาลังไร้ช่ ือเสียงเรียงนาม พวกเจ้ายัง
มีหน้าหลงเหลืออยู่อีกรึ” กงเหยี่ยเสี่ยวหรงกล่าวเสียงเย็นเยียบ
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาหน้าแดงฉานด้วยความอับอาย
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเหลือบมองพวกมัน “ไปได้แล้ว ให้ความสาคัญ กับ
การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม”
เหล่าแม่ทัพนายกองใต้ร่มธงของมันรี บคารวะจากไป ราวกับ ได้ รั บ
การละเว้นจากโทษประหาร
รอจนไม่ มี ใ ครหลงเหลื อ อยู่ ภ ายในห้ อ ง กงเหยี่ ย เสี่ ย วหรงสี ห น้ า
เปลี่ยนเป็นมืดมน
คราครัง้ นี้เสียท่าอย่างแท้จริง!
ตอนที่ ก งซุ น ชาบอกว่ า พวกมั น เพิ่ ง จะยึ ด ครองอาณาจั ก รเรื อ น
กล้วยไม้ กงเหยี่ยเสี่ยวหรงไม่ได้กังขาเลยแม้แต่น้อย แต่ยามนี้มีเวลาขบคิด
ใคร่ครวญ มันกลับรู้สึกว่าเรื่อ งราวไม่ ได้ เป็น ไปตามที่ กงซุน ชากล่า วอ้ า ง
พิ ชั ย ยุ ท ธ์ ข องฝ่า ยตรงข้า มเห็น ได้ ชั ด ว่ า ผ่ า นการฝึ กฝนมาชั่ ว ระยะเวลา
หนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ปิศาจเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพมา
สักระยะหนึ่งแล้ว หาได้เพิ่งสวามิภักดิ์เช่นที่กล่าวอ้างไม่
เผ่าปิศาจไฉนเข้าร่วมกองทัพซิวเจ่อ?
สิ่งที่น่าประหลาดที่สุด คือพิชัยยุทธ์ของกองทัพนี้ออกแบบมาโดยมี
ปิศาจเป็นแกนหลัก
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงสับสนงุนงงเป็นที่สุด ขุมกาลังนี้ที่แท้เป็นซิวเจ่อหรือ
เป็นเผ่าปิศาจกันแน่?
ผู้ใดจะปกครองอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ กงเหยี่ยเสี่ยวหรงหาได้แยแส
สนใจไม่ สถานที่แห่งนั้นง่ายที่จะบุกโจมตี แต่ไม่สามารถป้องกันได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ สาหรับเทียนหวนในตอนนี้ นับว่าไม่มีคุณค่าอันใด
อย่างไรก็ตาม กงเหยี่ยเสี่ยวหรงผู้นี้เคยพ่ายแพ้ต้งั แต่เมื่อใด?
คิดถึงเรื่องนี้ มันแย้มยิ้มอย่างกะทันหัน
ช่างสนุกสนานน่าสนใจนัก!
การยึดครองอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ไ ด้ส าเร็จ ตามความคาดหมาย
เป็นแรงสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ต่อแผนการของกงซุนชา สิ่งที่ทาให้มันปลาบ
ปลื้ มยิ น ดี ก ว่ า เดิ ม ก็ คื อ อาณาจั ก รเรื อ นกล้ ว ยไม้ อ ยู่ ที่ จุ ด ตั ด ชายแดน
ระหว่างดินแดนร้อยเถื่อนกับดินแดนแห่งความมืดพอดี จากที่แห่งนี้ไปยัง
ดินแดนแห่งความมืดนับว่าสะดวกดายยิ่ง
ดูจ ากแผนที่อาณาจักรที่มันเพิ่งได้รับมา เส้นทางไปยังดินแดนแห่ ง
ความมืดของจั่วม่อจะต้องผ่านอาณาจักรเรือนกล้วยไม้
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยามนี้กงซุนชากับพวกเพียงแค่ต้องเฝ้ารักษา
อาณาจักรเรือนกล้วยไม้ และเฝ้ารอจั่วม่ออยู่ที่นี่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อาณาจักรเรือนกล้วยไม้ไม่อาจเสริมสร้างแนวป้องกันที่
เข้มแข็งได้ กงซุนชาก็เฉียบขาดยิ่ง เพียงโบกมือคราเดียว มันก็ตัดสินใจละ
ทิง้ พื้นที่อ่ น
ื ๆ ทั้งหมด เพียงตั้งแนวป้องกันรอบรอยแยกแห่งความโกลาหล
เท่านั้น
มันผนึกกาลังทั้งหมดที่มี ตั้งค่ายล้อมรอบรอยแยกแห่งความโกลาหล
ไม่ว่าผู้ใดหากต้องการยึดครองรอยแยกแห่งความโกลาหลแห่งนี้ จะต้อง
จ่ า ยค่ า ตอบแทนอย่ า งใหญ่ ห ลวง ค่ า ยจิ น วู รี บ ข้ า มตามมาอย่ า งเร่ ง ด่ วน
พวกมั น พอมาถึ ง แนวรั บ ของพวกมั น ก็ จ ะถู ก สร้ า งเป็ นป้ อ มปราการอัน
กร้าวแกร่งสุดเปรียบปานแล้ว
ผู้คนของตระกูลซิงหลัวล้วนถูกส่งไปยังอาณาจักรยุ้งฉางกลางเป็นที่
เรียบร้อย ส่วนกองพันของอาซาเก๋อตั้งมั่นอยู่รอบนอกของค่ายจูเชวี่ย ทา
หน้าที่เป็นกาแพงเลือดเนื้อและโล่มีชีวิต คอยปกป้องคุ้มครองค่ายจูเ ชวี่ย
ก่อนชั้นหนึ่ง เรื่องนี้แม่นางน้อยไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจต่อพวกมัน
อาซาเก๋อก็ทราบดีว่ าหน้า ที่นี้ยากล าบาก แต่มันเป็นบุคคลอัน ชาญ
ฉลาด นั บ ตั้ ง แต่ ที่ มั นตัด สิ นใจสวามิ ภัก ดิ์ ต่ ออี ก ฝ่า ย หากมั น ไม่ รี บ หลอม
กลืนเข้ากับกลุ่มนี้และช่วงชิงความไว้วางใจ เกรงว่าตระกูลซิงหลัวของมัน
ยากที่จะมีวันคืนที่ดีในอนาคต
ดังนั้นมันยินดีเป็นกาแพงเลือดเนื้อโดยไม่รีรอลังเล
สายสื บ ของเที ย นหวนมั ก ปรากฏตั ว ใกล้ ๆ แม่ น้ า อาณาจั ก รอยู่
บ่อยครั้ง แต่แม่นางน้อยเมินเฉยต่อพวกมันอย่างสิ้นเชิง ปล่อยให้พวกมัน
สืบเสาะได้อย่างเต็มที่ ความคิดของมันแน่วแน่ชัดเจน ในสถานการณ์เช่นนี้
สิ่ ง ที่ มี ค่ า มากที่ สุ ด ในอาณาจั ก รเรื อ นกล้ ว ยไม้ คื อ รอยแยกแห่ ง ความ
โกลาหล สถานที่อ่ ืน ๆ แม้ถูกรุ กรานหรือยึดครองไป มันจะไม่ขมวดคิ้วนิ่ว
หน้าแม้แต่น้อย
เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานนัก จานวนสายสืบก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จน
แทบจะหมดสิ้นไป
กงซุนชาพลันตระหนักว่า กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเริ่มดาเนินแผนการใหม่ ๆ
แล้ว

มู่ซีเดินตรวจตรารอบค่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สีหน้าสงบเยือก
เย็นของนาง มีผลต่อสภาพจิต ใจของบรรดาอสู รนั ก รบใต้ ร่ม ธงของนาง
อย่ า งใหญ่ ห ลวง แม้ ว่ า กองทั พ พั น ธมิ ต รอสูร ปิ ศ าจของพวกมันจะถูกกง
เหยี่ยเสี่ยวหรงโจมตีจ นแทบพินาศสิ้น แต่ข วั ญกาลังใจของพวกมันไม่ได้
ตกต่าลงเลย
ในหมู่ ก องทั พ พั น ธมิ ต รอสู ร ปิ ศ าจทั้ ง หมด กองพั น มู่ ซี เ ป็ น กองพั น
เดียวที่เหลือรอดมาได้
แรกเริ่มเดิมที นางเป็นผู้นาของกองทัพพันธมิตรอสูรปิศาจ แต่ด้วย
ความที่นางยังเยาว์วัยเกินไป จึงถูกปี้ ซานกับแม่ทัพคนอื่น ๆ ต่อต้านอย่าง
รุ น แรง มู่ ซี ใ นฐานะอสู ร ย่ อ มไม่ ยิ น ดี เ ป็ น ผู้ น าของกองทั พ พั น ธมิ ต รซึ่ ง
ประกอบด้วยเผ่าปิศาจเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
เหล่ า พั น ธมิ ต รเลื อ กปี้ ซานเป็ น แม่ ทั พ ใหญ่ ผู้ บั ญ ชาการกองก าลั ง
พันธมิตร ตระเตรียมทาศึกกับเทียนหวนแทนที่มู่ซี มู่ซีมองเล่ห์อุบายของ
เทียนหวนออกอย่างถ่องแท้ แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีปัญญาเกลี้ยกล่อมปี้
ซานกับคนอื่นๆ ไม่สามารถชักจูงให้พวกมันเปลี่ยนแผนได้
เมื่อเห็นว่าไม่อาจหยุดยั้งสถานการณ์ได้ มู่ซีจึงได้แต่หาข้ออ้างชะลอ
การเดิ น ทั พ ไว้ ส องสามวั น ดั ง นั้ น พวกนางไม่ ไ ด้ ต กสู่ กั บ ดั ก ซุ่ ม โจมตีข อง
เ ที ย น ห ว น ก ล า ย เ ป็ น ป ล า ที่ ส า ม า ร ถ เ ล็ ด ล อ ด จ า ก ร่ า ง แ ห ม า ไ ด้
ความสามารถในการหยั่ ง ค านวณข้ า ศึ ก ปานเทพยดาของมู่ ซี ท าให้ น าง
ได้รับความเชื่อมั่นศรัทธาจากบรรดาไพร่พลใต้ร่มธง ทุกคนยินดีติดตาม
นางอย่างถวายหัว
มู่ซีคาดคานวณจากการเคลื่อนไหวของกองทัพเทียนหวน สรุ ปได้ว่า
อีกฝ่ายไม่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของกองพันมู่ซี
ดังนั้นนางนากองทัพของนางหลบซ่อนอยู่ในบริเวณแม่น้าอาณาจักร
ของอาณาจักรบ่อน้ากากบาท ซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรศิลาดา
เฝ้าลับดาบรอคอยอย่างเงียบงัน
นางประเมินว่าเป้าหมายการโจมตีแรกของกงเหยี่ยเสี่ยวหรง สมควร
เป็ น อาณาจั ก รรุ่ ง อรุ ณ ไม่ ใ ช่ อ าณาจั ก รบ่ อ น้ า กากบาท นางประดุ จ
นายพรานผู้ทรหดอดทน เฝ้ารอคอยโอกาสที่จ ะช่วงชิงอาณาจักรศิล าดา
กลั บ คื น มา เพื่ อที่ จ ะได้ อ าศั ย รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลในที่ นั้ น หวน
กลับคืนสู่ดินแดนบ้านเกิด!
ทันใดนั้นเอง สายสืบของนางรายงานกลับมาด้วยสีหน้าลิงโลด “ต้าเห
ริน กองพันเทียนหวนเคลื่อนทัพแล้ว เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ พวกมัน
ไปโจมตีอาณาจักรรุ่งอรุณ!”
มู่ซีดวงตาเป็นประกาย ออกคาสัง่ เสียงลึก “จัดทัพ!”
โอกาสอันดีงามมาถึงแล้ว!

การลอบสังหารกลางสาธารณะชนและฝีมืออันงดงามของเขิงเหลียน
เอ๋อร์ ช่วยเพิ่มสีสันประกายอันน่าดูชมให้แก่การประลองของเซี่ยวม่อเกอ
กับเหมียวจุนอีกชั้นหนึ่ง ศึกเซี่ยว-เหมียว เป็นหัวข้อสนทนาอันร้อนแรงที่
ผู้คนสนทนากันโดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย
การประลองรอบนี้เต็มไปด้วยความอัศจรรย์พันลึก
หมั ด อหั ง การไร้ พ่ า ยของเซี่ ย วม่อ เกอบั น ดาลให้ผู้ ค นตื่น ตะลึง การ
ยอมแพ้ของเหมียวจุนคือสิง่ ที่ทุกผู้คนไม่อาจเข้าใจได้ ลาแสงสีเขียวแปลก
ประหลาดที่หมายคร่าชีวิตเซี่ยวม่อเกอ มิหนาซ้ายังมีเขิงเหลียนเอ๋อร์ผู้เลิศ
พิสดาร นาพาคาถามมากมายมาให้แก่ผู้คน
ไฉนมีคนคิดลอบสังหารเซี่ยวม่อเกอ?
โฉมสะคราญข้างกายเซี่ยวม่อเกอมีความเป็นมาอย่างไร? พลังฝีมือ
ของนางที่แท้ร้ายกาจถึงระดับใด?
ผู้ที่ใส่ใจสังเกตเสียหน่อย จะพบว่ามีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ข้างกายเซี่ยว
ม่อเกอด้วยเช่นกัน เพียงแต่นางอัปลักษณ์ยิ่ง ที่น่าแปลกก็คือเซี่ยวม่อกลับ
ปฏิบัติต่อสตรีนางนี้ดีกว่าโฉมสะคราญมาก
ทั้งหลายทั้งมวลนี้ ย่อมตกเป็นข้อสนทนาอย่างออกรสออกชาติ
จั่วม่อไม่ประหลาดใจที่เขิงเหลียนเอ๋อร์ย่ ืนมือเข้าช่วยชีวิตมัน ลาพัง
แค่การบาเพ็ญคู่ข องพวกมัน เขิงเหลียนเอ๋อร์ก็ต้องคุ้มครองมันเท่า ชี วิ ต
ตัวเองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันขุ่นเคืองใจยิ่งคือเขิงเหลียนเอ๋อร์กลับ
พาอากุ่ยไปที่สนามประลองด้วย ทาให้นางตกอยู่ในอันตราย
ทว่าเขิงเหลียนเอ๋อร์เมินเฉยต่อโทสะของมันอย่างสิ้นเชิง เพียงนั่งจิบ
ชาอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
ทันใดนั้นซู่หลงเข้ามารายงาน “ต้าเหริน เหมียวจุนมาแล้ว”
จั่วม่อพอฟัง ต้องประหลาดใจอยู่บ้าง เจ้าผู้นี้มาจริง ๆ?
กล่าวตามความสัตย์ เมื่อเหมียวจุนประกาศยอมแพ้ ผู้ที่ตกใจที่สุดคือ
ตัวจั่วม่อเอง เนื่องเพราะมันเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะพ่ายแพ้จ ริง ๆ ใน
ยามนั้ น มั นแทบหมดสิ้นเรี่ ยวแรง และแม้ ว่ า ท่ า สั งหารฟ้ า ครามไร้ตัวตน
ของเหมียวจุนจะถูกทาลาย แต่แน่นอนว่าต้องยังมีฝีมืออีกมากมายที่พอจะ
เชือดมันทิ้งได้เป็นสิบรอบ
สถานการณ์ เ ช่ น นั้ น เหมี ย วจุ น ยั ง คงเป็ น ต่ อ อย่ า งเต็ ม ที่ แต่ มั น กลั บ
ยินยอมรับความพ่ายแพ้หน้าตาเฉย
เหมียวจุนพอเข้ามาในห้ อง พลันประสานมือคารวะต่อจั่ วม่ อ อย่ า ง
เป็นทางการ “ต้าเหริน!”
จั่วม่อรู้สึกอึด อัด ใจขึ้ นมาทัน ที แต่ห ากมันไม่ฉ วยโอกาส มันก็ไ ม่ ใ ช่
เสี่ยวม่อเกอแล้ว จึงลองถามหยั่งเชิง “เจ้าตัดสินใจเข้าร่วมกับข้าจริง ๆ?”
“ใช่แล้ว! ต้าเหริน!” เหมียวจุนสีหน้าสงบเยือกเย็น ไม่มีร่องรอยโป้ปด
มดเท็จให้เห็นแม้แต่น้อย
จั่วม่อขบคิดวูบหนึ่ง แล้วกล่าว “ข้าบอกต่อเจ้าตามตรง ข้าไม่มีแก่น
แท้มรกตเขียวแดนสวรรค์”
“ผู้ น้ อ ยคาดเดาออกแต่ แ รก” เหมี ย วจุ น สี ห น้ า ยั ง คงสงบราบเรี ยบ
“แต่ไม่ว่าต้าเหรินจะมีแก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่อง
ส าคั ญ อั น ใด ผู้ น้ อ ยเมื่ อยิ น ยอมเดิ ม พั น และพ่ า ยแพ้ จ ริ ง ก็ ยิ น ดี ท าตาม
ข้อตกลงอย่างไม่บิดพลิ้ว”
สีหน้าของมันสัตย์ซ่ อ
ื จริงจัง ราวกับว่ากาลังกล่าวถึงเรื่องราวอันเรียบ
ง่ายรวบรัดประการหนึ่งเท่านั้น
แต่จ่ัวม่อยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ทว่าสีห น้าของ
ผู้อ่ ืนก็จริงใจถึงเพียงนั้น มันไม่ว่าจะครุ่นคิดอย่างไร ก็ไม่อาจนึกหาเหตุผล
ที่อีกฝ่ายยินยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีได้ ดังนั้นตัดสินใจเลิกคิด “เจ้าหาห้อง
ว่างสักห้อง ทาตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
“ทราบแล้ว ต้าเหริน!” เหมียวจุนพยักหน้ารับ
เจ้าผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ? จั่วม่อลูบคาง มองตามร่างของ
เหมียวจุนที่ลับหายเข้าไปด้านใน อดสับสนงุนงงไม่ได้
คนที่แข็งแกร่งกว่า ยินดีเป็นบริวารของคนที่ฝีมือด้อยกว่า เรื่องเช่นนี้
มีอยู่จริง ๆ รึ? จั่วม่อจึงไม่เชื่อ
แต่หากจะบอกว่าผู้อ่ น
ื มีเป้าหมายเร้นลับที่คาดไม่ถึง จั่วม่อก็แน่ใจว่า
มันไม่มีคุณค่าความหมายพอให้คนเช่นนี้ลดตัวลงมาเพ่งเล็งมัน
เอาเถอะ ปล่อยเลยตามเลยไปก่อนแล้วกัน จะอย่างไรคนเท้าเปล่า
ย่อมไม่เกรงกลัวที่จะสวมใส่รองเท้าอยู่แล้ว!
จั่วม่อปลอบใจตัวเอง
ซู่หลงรีบรายงานข่าวสารที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรื่ อ งแรกคื อ จั่ ว ม่ อ เข้ า แทนที่ เ หมี ย วจุ น รั้ ง ล าดั บ ที่ ยี่ สิ บ ในท าเนี ย บ
ปิศาจมหาสันติสมดังความตั้งใจ มันอาจนับเป็นอัจฉริยะอายุน้อยที่สุดใน
ประวัติศาสตร์ของทาเนียบปิศาจมหาสันติ
อีกข่าวหนึ่งก็คือ เหล่ากงจู่แห่งสามตระกูลใหญ่กาลังจะมาชุมนุมกัน
ภายในไม่เกินครึ่งเดือน จะเดินทางมาถึงนครมหาสันติ!
เสียกงจู่อยู่ในหมู่พวกนางทั้งสามเอง!
ข่าวนี้ทาให้นครมหาสันติอึกทึกคึกคักจนแทบระเบิด!
บทที่ 591 สหายเก่า

“โอ้ โอ โอ โอ้ ! อลั ง การเหลื อ เกิ น ! สมกั บ ที่ เ ป็ น นครมหาสั น ติ ใ น


ตานาน!” ผู้กล่าววาจามีเรือนผมสีส้มสดใสเหมือนเปลวเพลิงลุกโหม โดด
เด่นสะดุดตายิ่ง มันเดินเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจไปตลอด
ทาง ทั้งยังคุยจ้อไม่หยุดปาก
ส่วนสหายข้างกายมัน ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดาอันเลื่อน
ลอย คล้ายเอาแน่นอนไม่ได้
“เหล่าเฮย! (เจ้าดา) ทีนี้ความปรารถนาของเจ้าก็บรรลุแล้ว! แต่ว่ากัน
ตามความสั ต ย์ ข้ า ไม่ เ ข้ า ใจจริ งๆ ว่ า เจ้ า ไฉนเลื่อมใสซื อจื่อ หมิงผู้นี้นัก!”
อสูรผมสีส้มเบ้ปาก แต่จากนั้นก็ยืดอก ตบอกแรงๆ สามทีซ้อน กล่าวอย่าง
สัตย์ซ่ อ
ื เที่ยงธรรมว่า “อย่างไรก็ตาม พี่น้องต้องมีคุณธรรมน้ามิตร เจ้าเมื่ อ
อยากมาเยือนเมืองนี้ ข้าย่อมต้องมาเป็นเพื่อน!”
อสูรควันดาดูเหมือนไม่ไ ด้รั บฟั งวาจาเพ้อเจ้ อของอสู รผมส้ม แม้ สั ก
ครึ่งคา มันเอาแต่เหม่อมองนครมหาสันติอันกว้างใหญ่ตระหง่านเงื้อม สี
หน้าคลั่งไคล้ศรัทธา
“เหล่าเฮย เจ้าดูท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว! ในฐานะอสูรต้องมีจุดยืนของอสูร
เจ้าจะหลงใหลได้ปลื้มพวกปิศาจไม่ได้ นี่จ ะทาให้เจ้าดูรสนิยมต่า เข้าใจ
หรือไม่” อสูรผมสีส้มกระตุ้นเตือนสหายด้วยสีหน้าจริงจัง
อสูรผมสีส้มไม่เคยกล่าววาจาเบา ๆ อยู่แล้ว ผู้คนผ่านไปผ่านมาล้วน
ได้ยินวาจาของมันชัดเจน พากันหันมามองด้วยสีหน้าประหลาดพิกล แต่
มันเองกลับคล้ายไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
อสูรควันดาค่อยได้สติ ทราบว่าดูท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว มันรีบหันเหหัว
เรื่องอย่างเร่งด่วน “ไป ไป เข้าไปชมดูในเมืองกันเถอะ”
ความสนใจของอสูร หัว ส้ม ถูก ดึ งดู ด ไปทางอื่ นทั นที หลายสิ่ ง แปลก
ใหม่บนท้องถนนเรียกเสียงร้องอุทานจากมันไม่ขาดปาก
อสูรควันดาก็ไม่อาจสะกดความลิงโลดยินดีของมันได้ ซือจื่อหมิงมิใช่
แค่เพียงเป็นตานานในหมู่ปิศาจ น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ว่ายอดคนท่านนี้เคย
เดินทางแสวงหาวิถีไปทั่วภพอสูรอีกด้วย กระทั่งภพซิวเจ่ออันสุดแสนจะ
อันตราย ท่านก็เคยสัญจรอยู่เป็นนานสองนาน มีอยู่ครั้งหนึ่งอสูรควั นดา
บั ง เอิ ญ ได้ รั บ บั น ทึ ก เคล็ ด วิ ช าซึ่ ง ผู้ ติ ด ตามของซื อ จื่ อหมิ ง ผู้ ห นึ่ ง ทิ้ ง ไว้
เบื้องหลัง
มั น กั บ อสู ร ผมส้ ม ผู้ เ ป็ น สหายรั ก ต่ า งฝึ ก ฝี มื อ ตามเคล็ ด วิ ช าในม้ ว น
บันทึกนี้เอง แต่พวกมันกลับส าเร็จ วิชาศาสตร์อสูรที่ผิดแผกแตกต่างกั น
อย่างสิ้นเชิง
อสูรผมส้มเป็นบุคคลอันเฉื่อยชาผู้ หนึ่ง มันหลังจากฝึกฝีมือสาเร็จก็
หลงลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้ น มันกระทั่งไม่ รู้ ด้ว ยซ้ า ว่ าซื อจื่อ หมิง เป็น ใคร แต่
อสูรควันดากลับจิตใจละเอียดอ่อนยิ่ง มันสนอกสนใจบันทึกเคล็ดวิชาม้วน
นั้นมาก เฝ้าสืบเสาะค้นหาเบาะแสมาโดยตลอด ในที่สุดก็ค้นพบต านาน
ซือจื่อหมิงเข้าอย่างจัง
จากนั้นมันก็เริ่มสืบค้นเรื่องราวความเป็นมาของซือจื่อหมิง
โชคดีที่ระหว่างอสูรปิศาจผูกพันแนบชิด ไปมาหาสู่กันไม่เคยขาด อีก
ทั้ ง ยุ ค สมั ย ของซื อ จื่อ หมิ งเป็ น ประวั ติศ าสตร์ ที่ เ พิ่ ง จะผ่า นมาไม่ นานนัก
ดังนั้นอสูรควันดาจึงได้ล่วงรู้เรื่องราวของนครมหาสันติและหลักศิลาทักษะ
ปิศาจ
ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมัน ก็คือการหาโอกาสมาเยือน
นครมหาสันติเพื่อคารวะผู้อาวุโสซือจื่อหมิงสักครา ทั้งยังคิดร่าเรียนวิชา
บนหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจด้ ว ย ภายในม้ ว นบั น ทึ ก นั้ น บอกกล่ า วไว้ อ ย่ า ง
ชัดเจน ว่าปรมาจารย์ซือจื่อหมิงเคยสัตย์สาบานจะถ่ายทอดเคล็ดวิ ชาทุก
อย่างที่คิดค้นได้ให้แก่คนทั่วไป
อสู ร ควั น ด าพอล่ ว งรู้ เ รื่ อ งราวเกี่ ย วกั บ นครมหาสั น ติ แ ละหลั ก ศิ ล า
ทักษะปิศาจ มันก็เริ่มให้ความสนใจ ตั้งความหวังว่าสักวันจะต้องไปเยือน
ให้จงได้
เมื่ อ ไม่ น านมานี้ สถานการณ์ ข องโลกเริ่ ม สั บ สนอลหม่ า น ต าหนั ก
ศาสตร์อสูรต้องหยุดการเรียนการสอน สิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่ ง ไป
กว่านั้น คือมีรอยแยกแห่งความโกลาหลแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้เคียงกับ
พวกมัน เป็นรอยแยกที่เชื่อมมาถึงภพปิศาจ อาศัยความสัมพันธ์ฉันท์มิตร
ระหว่ า งอสู ร ปิ ศ าจ รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลสายนี้ ก ลั บ กลายเป็ น
เส้นทางสัญจรสาคัญ ช่วยให้อสูรปิศาจไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนั้นอสูร
ควันดาฉุดลากอสูรผมส้มมากับมัน พากันเดินทางมายังนครมหาสันติสม
ดังความตั้งใจ
“กงจู่ท้ังสามกาลังจะมาถึง! ท่านย่ามันเถอะ น่ากลัวแทบตายแล้ ว !
ช่างครึกครื้นสนุกสนานนัก! ข้าละสงสัยจริง ๆ ว่าจะมีบุคคลอันร้ายกาจมา
รวมตัวกันสักกี่มากน้อย!”
“มิ ผิ ด นานแล้ ว ที่ น ครมหาสั น ติ ไ ม่ ไ ด้ ค รึ ก ครื้ นถึ ง เพี ย งนี้ ดู พ่ อ ค้ า
เหล่านั้นเถอะ แทบจะฉีกยิ้มกว้างถึงใบหูแล้ว พวกมันพากันกว้านซื้อสินค้า
อย่างบ้าคลั่ง!”
“โฉมสะคราญล่มเมือง ชุมนุมยอดยุทธ์ผู้กล้า เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้
หากผู้ใดพลาดชม จะต้องสานึกเสียใจไปชั่วชีวิต!”
“ฮ่ า ฮ่ า ยั ง มี เ ซี่ ย วม่ อ เกอที่ ช มชอบก่ อ เรื่ อ ง! รั บ รองได้ ว่ า ต้ อ งไม่ ใ ช่
เหตุการณ์อันสงบราบเรียบอย่างแน่นอน!”
“ใช่ใช่! เซี่ยวม่อเกอนับตั้งแต่มาถึง ยังไม่เคยไม่ก่อเรื่อง เมื่อมีมันอยู่
ที่นี่ นครมหาสันติก็ไม่น่าเบื่อแล้ว... ...”
อสูรผมสีส้มผู้กาลังเหลียวมองรอบข้างอย่างกระตือรือร้น พอได้ยิน
นามคุ้นหูพลันชะงักกึก พุ่งเข้าไปร่วมมุงกับกลุ่มคนที่กาลังสนทนาอย่าง
ออกรสเหล่านั้น แล้วโพล่งถามอย่างกะทันหัน “เซี่ยวม่อเกออยู่ในนครมหา
สันติด้วยรึ?”
คนกลุ่มนั้นหยุดมองมัน “ถูกต้อง มันอยู่ในนครมหาสันติมาระยะหนึ่ง
แล้ว!”
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่ง! เซี่ยวม่อเกอยังมาร่วมวงกับข้าด้วย!”
อสูรผมสีส้มตาเป็นประกาย เรือนผมสีสันสดใสบนศีรษะมัน ยิ่งเรืองรอง
กว่าเดิม ราวกับว่ากาลังจะลุกเป็นไฟขึ้นมาจริง ๆ
คนสัญจรกลุ่มนั้นบังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “เจ้ารู้จักเซี่ยวม่อเกอ
หรือไร?”
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน!” อสูรผมส้มตบอกแรง ๆ พลางกล่าวเสียงดัง
ฟังชัดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
อสูรควันดาถอนใจเฮือก แอบกระซิบบ่นเบา ๆ “หากผู้อ่ ืนยังจดจาเจ้า
ได้ก็แปลกไปแล้ว”
มิ ค าดว่ า อสู ร ผมส้ม กลับ หูดี ยิ่ง มั น หั น มาโบกมือ อย่ า งหยามเหยียด
“นั่นเป็นไปไม่ได้ เซี่ยวม่อเกอเป็นพี่น้องที่ดี มีคุณธรรมน้ามิตร!”
อสูรควันดาเหลือกตามองบน พึมพาว่า “คนโง่”
ในไม่ช้าอสูรผมสีส้มก็ส อบถามที่อยู่ข องเซี่ยวม่อเกอมาได้ เซี่ยวม่อ
เกอเมื่อโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนก็สนทนาถึงทุกเรื่องราวเกี่ยวกับมัน ดังนั้น
ข้ อ มู ล ทั่ ว ไปของมั น เป็ นที่ ล่ ว งรู้ กั น ไปทั่ ว คิ ด เสาะหาสถานที่ ที่ มั น พานัก
ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
อสูรควันดาไม่อยากถูกปิ ดประตูใส่หน้าให้ต้องอับอาย แต่จนใจที่มัน
ไม่มีปัญญาเกลี้ยกล่อมอสูรผมสีส้ม ได้แต่ตามติดด้านหลังอสูรผมสีส้มด้วย
สีหน้าละห้อยหดหู่
อสูรผมสีส้มมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่อย่างรวดเร็ว
องครักษ์หน้าประตูจับตามองคนทั้งสอง หนึ่งในนั้นก้าวออกมาขวาง
หน้า “ท่านทั้งสองมิทราบว่ามีกิจธุระใด?”
“เรามาหาเซี่ยวม่อเกอ!” อสูรผมส้มกล่าวเสียงดังฟังชัด “ไปบอกมัน
ว่าพี่น้องของมันมาหา!”
“พี่น้องของต้าเหริน?” องครักษ์หน้าประตูพอฟังต้องตื่นตะลึงอยู่บ้าง
มันเหลือบมองคนทั้งสองแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าว “กรุณารอสักครู่”
กล่าวจบคา มันก็รีบเข้าไปรายงาน
“พี่น้องของข้า ?” จั่วม่องุนงงยิ่ง แต่พอฟังองครักษ์ ผู้นั้นบรรยายรู ป
โฉมของผู้ ม า มั น พลั น จดจ าได้ ทั น ที ใบหน้ า เผยรอยยิ้ ม น้ อ ย ๆ มั น มี
ความรู้สึกที่ดีต่ออสูรผมสีส้มผู้ชมชอบกล่าวถึงคุณธรรมน้ามิต ร ชมชอบ
การต่ อ สู้ ชมชอบเป็ น จุ ด ศู น ย์ก ลางของความสนใจ และหลงตั ว เองเป็น
อย่างยิง่ ผู้นั้น
หน้าประตู
“สหายผมสีส้มผู้มี คุ ณ ธรรมน้า มิ ต รอันยากจะหาผู้ ใดเที ยบเทียม!”
จั่วม่อร้องทักทายพลางยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว
อสู ร ผมส้ ม ชมชอบฟั ง ผู้ ค นสรรเสริ ญ คุ ณ ธรรมน้ า มิ ต รของมั น มาก
ที่สุด พอได้ยินคาทักทายประโยคนี้ ใบหน้าก็เบิกบานเป็นดอกทานตะวัน
เรื อ นผมสี ส้ ม ราวกั บ เปลวไฟเจิ ด จ้ า แต่ มั น พยายามปั้ นสี ห น้ า เคร่ ง ขรึ ม
จริงจัง กล่าวว่า “อสูรอันประเสริฐต้องมีคุณธรรมน้ามิตร! เจ้าก็ประเสริฐ
ยิ่ง เจ้ามีคุณธรรมน้ามิตรไม่แพ้ข้า!”
อสูรควันดาที่ด้านข้างลอบพินิจดูเซี่ยวม่อเกออย่างอยากรู้อยากเห็น
เซี่ยวม่อเกอในโลกจริง แตกต่ างจากในคุกสิ บนิ้ วอย่ างสิ้น เชิง กอรปด้ ว ย
ท่วงท่าสภาวะอันยิ่งใหญ่มากกว่า แฝงความแหลมคมมากกว่า ยิ่งไปกว่า
นั้น มองดูองครักษ์รอบกายที่ติดตามไม่ห่าง เห็นได้ว่าได้รับการคุ้มกันอย่าง
แน่นหนา
มันในที่สุดก็เข้าใจ ว่าไฉนไม่มีใครสามารถเสาะพบตัวตนของเซี่ยวม่อ
เกอ กระทั่งหลังจากเซี่ยวม่อเกอถล่มแม่ทัพอวี้เหิงกลางศึกหมากรุ ก ความ
เป็นมาของเซี่ยวม่อเกอก็ยังคงลี้ลับดุจเดิม
ที่แท้เซี่ยวม่อเกออยู่ในภพปิศาจ!
จั่วม่อหันไปประสานมือทักทายอสูรควันดา มันก็จดจาสหายรั กของ
อสูรผมส้มผู้นี้ได้เช่นกัน
สองอสูรติดตามจั่วม่อเข้าสู่ลานด้านใน อสูรควันดาพอเห็นการคุ้มกัน
ภายในที่แน่นหนาดุจปราการเหล็ก ต้องใจเต้นระทึกขึ้นมา ส่วนอสูรผมสี
ส้มผู้ไม่อินังขังขอบหาได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อยไม่ มันกาลังคุยโขมง
อย่างตื่นเต้น ถึงการต่อสู้อันรุ่งโรจน์นับตั้งแต่ที่พบเจอเซี่ยวม่อเกอในครั้ง
นั้น
หนานเยว่ คังเจ๋อและบรรดาอสูรพอทราบข่าวก็รีบรุ ดมาสมทบ พวก
มันพบหน้าคนคุ้นเคยในดินแดนห่างไกล บรรยากาศกลายเป็นสนิทสนม
กลมเกลียวยิ่ง
อสูรควันดาไม่ค่อยกล่าววาจา มันชมชอบสังเกตสังกาจากด้านข้าง
มากกว่า หากข่าวที่ว่าเซี่ยวม่อเกออยู่ในภพปิศาจแพร่กลับไปยังภพอสูร
เกรงว่าจะเป็นเหตุให้เกิดความปั่ นป่วนใหญ่โตแล้ว
คนผู้นี้ยังเยาว์วัยกว่าที่มันคิด แต่กลับเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับ
ทองที่อาจสั่นคลอนใต้ห ล้า กระบวนทัพเกล็ดหิมะที่มันใช้ปราบพิชิ ต แม่
ทัพใหญ่อวี้เหิงในศึกครั้งนั้น ทาให้ผู้คนหันมาสนใจศึกษาพิชัยยุทธ์โบราณ
อีกครัง้ ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างวงกว้าง
ผู้ ที่ มี ฉ ากหลั ง ใหญ่ โ ตเคยแย้ ม พรายว่ า เหล่ า คนบุ ญ หนั ก ศั ก ดิ์ ใ หญ่
ตั้งใจให้เซี่ยวม่อเกอรับต าแหน่งแม่ทัพบัญ ชาการกองพล อย่างไรก็ต าม
พวกมันกลับตามหาเซี่ยวม่อเกอไม่พบ เรื่องนี้จึงไม่เคยได้ข้อยุติ
หากเซี่ ย วม่ อ เกอรั บ ต าแหน่ ง แม่ ทั พ บั ญ ชาการกองพล มั น จะ
กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ภพอสูรทันที!
อสูรควันดาลอบสั่นศีรษะ มันจะต้องเร่งฝึกปรือให้หนักขึ้นอีก!
มั น จู่ ๆ นึ ก อิ จ ฉาเลื่ อมใสเจ้ า หัว ส้ม จอมหน้ า มึน ผู้ห ลอมรวมเข้ากับ
กลุ่มอย่างง่ายดายอยู่บ้าง
เจ้าผู้นี้ช่างไร้เทียมทานโดยแท้!

เหลียงเวยปาดเช็ดใบหน้า ใบหน้าของมันแทบจะชาด้าน จากนั้นหัน


มองไปรอบ ๆ เห็นเหล่าไพร่พลของมันล้วนมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย การลอบ
เดิ น ทางที่ ต้ อ งปกปิ ด ซ่ อ นเร้ น เป็ น เวลานานกว่ า หนึ่ ง เดื อ น นั บ เป็ น บท
ทดสอบอันยากลาบากสาหรับกองทัพ
อย่างไรก็ตาม พวกมันอยู่ไม่ไกลจากความสาเร็จแล้ว
“หมอกโลหิตเริ่มเบาบางลงแล้ว” เหลียงเวยยื่นมือชี้ไปข้างหน้า สุ้ม
เสียงแหบห้าวของมัน เต็ม ไปด้ วยความตื่น เต้น กระหายที่ย ากจะบ่ ง บอก
บรรยายชนิดหนึ่ง
เหล่าอสูรนักรบที่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยพลันดวงตาเป็นประกาย ทุก
คนล้ ว นทราบว่ า นี่ มี ค วามหมายว่ า อย่ า งไร หมอกโลหิ ต เมื่ อ เบาบางลง
หมายความว่าพวกมันอยู่ใกล้กับภพซิวเจ่อแล้ว
นับตั้งแต่เกิดมหาพิบัติฟ้าสลาย รอยแยกแห่งความโกลาหลผุดขึ้นทุก
แห่ ง หน เป็ น เหตุ ใ ห้ ม หานครนภาโลหิ ต สู ญ เสี ย คุ ณ ค่ า ความหมาย แต่
สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายไม่สิ้นสุดของมหานครที่สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อ
แห่งนี้ ยังคงเป็นปราการตามธรรมชาติไปตลอดกาล
ไม่ว่าจะซิวเจ่อหรืออสูรปิศาจ พวกมันพากันถอนกาลังออกจากมหา
นครนภาโลหิต กลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน พื้นที่ด้านในดินแดนของแต่ละ
ฝ่ายกลับกลายเป็นสมรภูมิหลักของการต่อสู้
สมรภูมิกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งครั้งหนึ่งเคยดุเดือดไปด้วยศึกน้อยใหญ่
อันตระการตา กลับกลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า ควันไฟมอดดับลง
แนวป้ อ งกั น ที่ ทุ่ ม เทสร้ า งขึ้ นด้ ว ยหยาดเหงื่ อแรงงานมหา ศ าล
กลายเป็ น ร้ า งไร้ ผู้ ค น สถานที่ แ ห่ ง นี้ สู ญ เสี ย คุ ณ ค่ า ความหมายไปอย่ า ง
สิน
้ เชิง
เหลียงเวยเลียริมฝีปากแห้งผาก ดวงตาแหลมคมดุจ สุนัข ป่า ตลอด
ทางพวกมันไม่พบผู้คนแม้แต่คนเดียว แต่พวกมันยังคงเคลื่อนขบวนทัพ
ภายใต้การปกปิดอย่างระมัดระวัง เพื่อป้ องกันไม่ให้ไปกระทบถูกค่า ยกล
และยันต์เตือนภัยของอีกฝ่าย
คุณค่าเชิงกลยุทธ์ของรอยแยกแห่งความโกลาหลเหนือล้ายิ่งกว่ามหา
นครนภาโลหิ ต แต่ ก ารต่ อ สู้ ช่ ว งชิ ง รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลก็ ดุ เ ดื อ ด
รุ นแรงและตรงไปตรงมายิ่งกว่า ทั้งสองฝ่ายล้วนทุ่มเทกาลังพลมายังจุด
ยุทธศาสตร์นี้เป็นจานวนมาก เมื่อสายตาของผู้คนพากันหันเหไปยังรอย
แยกแห่งความโกลาหล เหลียงเวยผู้กลอกกลิ้งก็มุ่งเป้าไปยังมหานครนภา
โลหิตที่ร้างไร้ผู้คนแทน
หากพวกมันสามารถลอบเร้นผ่านมหานครนภาโลหิต เข้าสู่ภพซิวเจ่อ
ได้ ส าเร็ จ ก็ จ ะเหมื อ นมั ง กรกลั บ สู่ ท ะเล สามารถอาละวาดได้ ต ามใจ
ปรารถนา ยิ่งไปกว่านั้นหากโชคดี ยึดครองรอยแยกแห่งความโกลาหลที่
นาไปสู่ภพอสูรได้สาเร็จ จากนั้นกองทัพโดดเดี่ยวที่ไม่ต่างจากตายไปแล้ว
ของพวกมันจะฟื้นคืนชีพอย่างแท้จริง!
หลายคนคัดค้านแผนการอันบ้าระห่าที่เสี่ยงอันตรายสุดขีดนี้ แต่เหลี
ยงเวยยังคงยืนยันที่จะใช้แผนการนี้!
พวกมันอยู่ใกล้กับจุดหมายปลายทางของพวกมันแล้ว!
เหลี ย งเวยออกค าสั่ ง ให้ ห ยุ ด พั ก มั น สู ด ได้ ก ลิ่ น อายของซิ ว เจ่ อ แล้ ว
กลิน
่ อายที่ทาให้เลือดในกายเริม
่ เดือดพล่านขึ้นมา
หลังจากที่กองทัพฟื้ นฟูค วามสามารถในการต่อสู้อ ย่า งเต็ม ที่ ก็เริ่ ม
เคลื่ อนพลอี ก ครั้ ง พวกมั น เดิ น ทางต่ อ ไปอี ก หลายวั น จนกระทั่ ง หมอก
โลหิตจางหายไป
เห็นเมืองซิวเจ่อแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
เหลียงเวยหยีตาลง ชูมือขึ้นสูง ใบหน้าเต็มไปด้วยประกายฆ่าฟัน
“ฆ่า!”

เหวยเสิ้งมุ่งหน้าไปอย่างแช่มช้า บนพื้นเบื้องหลังมัน เต็มไปด้วยกอง


ซากศพกระจัดกระจายทุกแห่งหน
มันจดจาไม่ได้แล้วว่าพบพานกองโจรมามากมายเท่าใด แต่หากเผชิญ
พบเข้า เหวยเสิ้งก็ไม่เคยปล่อยให้พ วกมันหลุ ดรอดไปได้ กระบี่ดาในมื อ
ของมันดูเหมือนจะดื่มเลือดสดใหม่จนเต็มอิ่ม ยามนี้เรืองแสงเป็นประกาย
สีแดงเข้ม
เหวยเสิ้งดวงตามุ่งมั่นกระจ่างชัด ร่างตั้งตรงดุจกระบี่ สีหน้าแม้เหน็ด
เหนื่อยอ่อนล้า แต่ไม่อาจส่งผลกระทบต่อใจกระบี่อันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของ
มันได้
มันสั่นศีรษะ ฝีมือของโจรเหล่านี้ไม่อาจช่วยให้มันขัดเกลาฝีมือได้อีก
มันต้องการคู่มือที่เข้มแข็ง เฝ้าคาดหวังว่าศัตรู อันร้ายกาจจะปรากฏขึ้นใน
อีกไม่ช้า กระบี่ดาในมือของมัน คล้ายล่ วงรู้ สิ่ง ที่มันคิ ด เปล่งเสียงคาราม
สดใสกระหึ่มออกมา
สุ้มเสียงกังวานไปทั่วบริเวณ!
เหวยเสิ้งลูบไล้กระบี่ดาอย่างเบามือ พลังของกระบี่ดากล้าแข็งขึ้นทุก
ขณะ ยิ่งมายิ่งแกร่งกร้าวดุดัน เจตนาฆ่าฟันภายในกระบี่คล้ายสัตว์ร้ายสุด
หฤโหด ค่อย ๆ ฟื้ นตื่นจากนิทราอันยาวนาน
กระบี่อันดุร้ายสุดเปรียบปาน เริ่มเผยประกายคมกล้าชั้นแรกของมัน!
เหวยเสิ้งเทียบดูแผนที่อาณาจักรที่ค้นได้จ ากซากศพของโจรผู้ห นึ่ง
เงยหน้าขึ้นมองสารวจทิศทาง แล้วมุ่งตรงดิ่งไปอย่างไม่รีรอ!
เงาร่างโดดเดี่ยวพกพากระบี่หนึ่งเล่ม มุ่งลึกเข้าไปในภพปิศาจ ยามนี้
ยั ง ไม่ มี ผู้ ใ ดล่ ว งรู้ ว่ า หนึ่ ง คนหนึ่ ง กระบี่ คู่ นี้ จะก่ อ กวนเป็ น มรสุ ม โลหิ ต ที่
สะท้านไปทั่วภพปิศาจ!
บทที่ 592 ยื่นมือช่วยเหลือ

ภายใต้ม่านรัตติกาล เขิงเหลียงเอ๋อร์ดุจเงาพรายสายหนึ่ง ยืนนิ่งเงียบ


งันอยู่เบื้องหน้าหลักศิลาทักษะปิศาจ
หมู่ดาวเบื้องบนกว้างไพศาลดุจผืนทะเล
นางสามารถสัมผัส ได้ถึงร่องรอยของพลังดวงดาวที่ยังหลงเหลืออยู่
รอบบริเวณหลักศิลาทักษะปิศาจ นี่ย่อมเป็นหลักศิลาทักษะปิศาจที่จ่ัวม่อ
ก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพร ดวงตาคู่งามกวาดมองไปทั่วหลักศิล าอย่ าง
รวดเร็ว นางเฝ้าแต่อ่านเคล็ดความบนหลักศิล าซ้าแล้วซ้าเล่า แต่ไม่อาจ
ค้นพบเงื่อนงาว่าจั่วม่อไฉนสามารถก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพรได้
ทันใดนัน
้ เขิงเหลียนเอ๋อร์หมุนตัวกลับไป
เห็นบุรุษชุดขาวราวหิมะปรากฏกายขึ้นด้านหลังนางโดยไร้สุ้มเสียง
คนผู้นี้ยังจะเป็นใครไปได้ นอกเสียจากชีเตียวอวี่
ชีเตียวอวี่ดวงตาวาบประกายด้วยเจตนาฆ่าฟัน หยดน้าที่หมุนวนรอบ
กายของมันจู่ ๆ ก็เปล่งเสียงประหลาดที่ผิดแผกไปจากเดิม
เ ขิ ง เ ห ลี ย นเ อ๋ อ ร์ บั งเ กิ ด คว า ม รู้ สึ ก ว่ า ภ า พใ น สา ยตา นางพลั น
แปรเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน ดวงตาดาขลับดุจนิลเปล่งประกายเจิดจ้าอย่าง
ฉับพลัน เป็นประกายสงบลึกเหมือนความลึกล้าของรัตติกาล แขนเสื้อยาว
สี ด าสะบั ด พลิ้ ว ลิ่ ว ล่ อ ง แผ่ ซ่ า นระลอกคลื่ นไร้ รู ป ลั ก ษณ์ อั น พิ ส ดารล้ า
ออกมา
เหล่ า หยดน้ า ที่ โ คจรรอบกายชี เ ตี ย วอวี่ สุ้ ม เสี ย งชะงั ก ขาดหายใน
บัดดล
“สมกั บ ที่ เ ป็ น พลั ง เทพ” ชี เ ตี ย วอวี่ เ อ่ ย ปากด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งเย็ น เยี ย บ
ดวงตาทอประกายประหลาดที่ยากจะเข้าใจ
เขิงเหลียนเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นน่ าลุ่มหลงอย่ างรวดเร็ ว นาง
หอบหายใจเบา ๆ วงหน้าสวยสะคราญยิ่งเปี่ ยมเสน่ห์ดึงดูดใจกว่าเดิม “ชี
เตียวอวี่ ที่แท้จุดมุ่งหมายของเจ้าก็คือพลังเทพ”
“ถูกต้อง” ชีเตียวอวี่ดวงตาสาดประกายดุจสายฟ้า ชุดยาวสีขาวโบก
สะบั ด โดยปราศจากลม บนใบหน้ า เฉยชาของมั น ปรากฏร่ อ งรอยความ
ปรารถนาที่หาได้ยากยิ่ง “ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ข้ามาที่นี่ ข้าก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่
ซือจื่อหมิงต้องการจะบอกก็คือพลังเทพ”
“อย่ า งไรก็ ต าม มั น กลั บ ไม่ ไ ด้ ร ะบุ ถึ ง เคล็ ด ความส่ ว นที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด
เอาไว้” ชีเตียวอวี่กล่าวเสียงเย็นเยือก “ข้า เที่ยวค้นหาไปทั่ว แต่ไม่เคยพบ
เบาะแสใด ๆ นึกไม่ถึงว่ากลับมาครั้งนี้จะพบพานผู้ที่ฝึกปรือพลังเทพ... ทั้ง
ยังมีถึงสามคน!”
เขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตายิ่งเย้ายวนใจมากกว่าเดิม ริมฝีปากสีแดงสด
ยกยิ้มจาง ๆ สุ้มเสียงอบอุ่นอ่อนโยนชาแรกลึกไปถึงหัวใจผู้คน “ช่างเป็น
บุรุษที่มีความตั้งใจโดยแท้”
เช้ง!
สุ้มเสียงดุจกระบี่คารามกระหึ่ม!
เห็นคลื่นจันทร์เสี้ยวพวยพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน พอดีปิดสกัดแขน
เสื้อวารีซึ่งไม่ทราบว่าจู่โจมเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดอย่างแม่นยา
แขนเสื้อวารีอันนุ่มนวลสัน
่ เบา ๆ กระเพื่อมเป็นระลอกดุจผืนน้า ส่วน
คลื่นจันทร์เสี้ยวแตกสลายไป คนทั้งสองที่เพิ่งจะปะทะกันอีกหนึ่งกระบวน
ท่า กลับมีสีหน้าท่าทีปลอดโปร่งดุจไม่เคยมีผู้ใดลงมือมาก่อน
“หากเรื่ อ งนี้ แ พร่ อ อกไป ไม่ ท ราบมี ผู้ ค นมากมายเท่ า ใดที่ จ ะสนใจ
พวกเจ้า? ตระกูลเหล่านี้เฝ้าระวังที่แห่งนี้มานานปี หรือมิใช่เพื่อเฝ้ารอผู้ที่
สามารถบรรลุพลังเทพ?” ชีเตียวอวี่สุ้มเสียงเฉยชา ราวกับว่ากาลังกล่าวถึง
เรื่องธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวมัน
“มิ ผิ ด ” เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อร์ โ ต้ ต อบด้ ว ยสุ้ม เสีย งนุ่ มนวลแฝงแววเกียจ
คร้าน สะกิดให้ผู้คนรู้สึกคันหัวใจยากจะเกา “แต่นั่นมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับชี
เตียวอวี่เจ้า? หากเป็นเช่นนัน
้ จริง งานเลี้ยงนี้ไหนเลยจะมีส่วนของเด็กน้อย
หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเจ้า?”
ชีเตียวอวี่สายตากลับกลายเป็นเย็นเยียบในทันใด เจตนาฆ่าฟันทะลัก
ล้ น ออกมา “แต่ วั น นี้ ใ นเมื่ อ เจ้ า เสนอหน้ า มาเอง ข้ า ก็ ข อน้ อ มรั บ ไว้ ด้ ว ย
ความยินดี”
เขิงเหลียนเอ๋อร์ แย้ มยิ้ม อย่ า งเย้า ยวนใจ “เช่นนั้นต้องดูว่ าฝีมื อ เจ้ า
เข้มแข็งพอหรือไม่! ข้าชมชอบบุรุษอันเข้มแข็ง!”
สุ้มเสียงแว่วหวานกังวานอยู่ กลางอากาศ หางเสียงยังไม่ทันจะจาง
หาย เขิงเหลียนเอ๋อร์ท่ัวร่างทอประกายด้วยแสงจันทราเป็นชั้น ๆ จากนั้น
ร่างของนางเลือนรางลงอย่างรวดเร็ว ด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วย
ตาเปล่า ต่อหน้าต่อตาชีเตียวอวี่
เขิงเหลียนเอ๋อร์ซึ่งแทบกลายเป็นโปร่งใสขยิบตาให้ชีเตียวอวี่
“ข้ามาแล้ว!”
สุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนสะท้อนก้องกลางอากาศเวิ้งว้าง
เขิงเหลียนเอ๋อร์ตรงหน้าชีเตียวอวี่ค่อย ๆ เลือนหายไป
ชีเตียวอวี่ดวงตาทอประกายวูบ เต็มไปด้วยร่องรอยขบคิดตรึกตรอง

จั่ ว ม่ อ ไม่ ล่ ว งรู้ ว่ า ในคื น นี้ มี เ รื่ อ งราวเกิ ด ขึ้ น ทางด้ า นของเขิ ง เหลี ย น
เอ๋อร์ แต่ต่อให้มันทราบ มันก็ไม่คิดสนใจ ผู้อ่ ืนไม่ใช่ลูกน้องของมัน นางจะ
ทาอะไรย่อมไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมัน
เมื่อได้รู้ว่าเสียกงจู่จะมาถึงนครมหาสันติในเร็ววัน คววามกลัดกลุ้มรุ่ม
ร้อนของจั่วม่อค่อยคลายลงไปบ้าง ทุก ๆ วัน มันหากไม่อยู่เป็นเพื่อนอากุ่ย
ก็จะจมลงไปในการฝึกฝีมือ อสูรผมส้ม อสูรควันดาและอาเหวินใช้เวลาทั้ง
วั น อยู่ ที่ ห ลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจ กล่ า วไปก็ น่ า ประหลาด อสู ร ผมสี ส้ ม ผู้ ไม่
อินังขังขอบกับสิ่งใดกลับเปี่ ยมล้นด้วยพรสวรรค์เชิงยุทธ์ อีกทั้งมันยังสน
อกสนใจหลักศิลาทักษะปิศาจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเคล็ดความส่วนใหญ่บน
หลักศิลาจะมุ่งเน้นไปทางทักษะปิศาจก็ตาม นี่ทาให้อสูรควันดาค่อยคลาย
ความกังวลลงไม่น้อย
หากเจ้าผู้นี้เกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา มันเองก็คงไม่มีเวลาได้สุขสบายแล้ว
จากนัน
้ คนอื่น ๆ ก็จะไม่เป็นอันได้ทาอะไรไปด้วย
กล่าวได้ว่าเคล็ดความบนหลักศิลาทักษะปิศาจทั้งลึกล้าและไพศาล
ซื อ จื่ อหมิ ง สมกั บ ที่ เ ป็ น ยอดอั จ ฉริ ย ะในต านาน กระทั่ ง หั ว ข้ อ ที่ ธ รรมดา
สามัญที่สุด ยังบ่งบอกบรรยายออกมาอย่างลึกล้าถี่ถ้วน ทุกครั้งที่ศึกษาดู
จั่วม่อมักรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเสมอ
สังขารร่างกายของจั่วม่อซึ่งถูกขัดเกลาด้วยหมู่ดาวประทานพร ทรง
พลังอานาจเหนือธรรมดา หลายวิธีการอันละเอียดลึกซึ้งซึ่งจารึกไว้ในหลัก
ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจ เมื่ อส าแดงผ่ า นมื อ ของมั น ยิ่ ง เผยพลั ง อ านาจอั น น่ า
แตกตื่นสะท้านใจ จั่วม่อบรรลุความเข้าใจมากมายในหมั ดเพลิง แกนฟ้ า
ล าดั บ ที่ ห นึ่ ง นั บ จากนั้ น เมล็ ด ผลึ ก สุ ริ ยั น ก็ ก ลายเป็ น มี ชี วิ ต ชี ว าผิ ด ปกติ
ปลดปล่ อ ยแก่ น สารดวงอาทิ ต ย์ อั น ร้ อ นระอุ อ อกมาและส่ ง ผ่ า นไปยั ง
แผนผังปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาของจั่วม่ออย่างไม่หยุดยั้ง
เมล็ดผลึกสุริยันหิวกระหายพลังเทพของจั่วม่อเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใดก็
ตามที่จ่ัวม่อดึงพลังเทพออกมาจากวังวนในมือขวา พลังเทพส่วนหนึ่งจะ
ถูกเมล็ดผลึกสุริยันดูดกลืนลงไป ของวิเศษนี้ยิ่งกลืนกินพลังเทพลงไปมาก
เท่าใด ก็ยิ่งหมุนเร็วรี่ขึ้นเท่านั้น
วันนี้ก็เหมือนเช่นปกติ ส่วนหนึ่งของพลังเทพถูกเมล็ดผลึกสุริยันกลืน
กินลงไป แต่แล้วทันใดนั้นเอง จั่วม่อรู้สึกบางอย่างพลุ่งขึ้นมาในร่าง!
พื้ น ผิ ว ของเมล็ด ผลึก สุริ ยั นทั นใดนั้ นปะทุ ด้ ว ยเปลวไฟ ประกายไฟ
เปลี่ยนเป็นเปลวไฟร้อนแรง ไหลบ่าไปตามเส้นชีพจรสีทองของอุปกรณ์
สวรรค์ สิ บ อี ก า จากนั้ น ถาโถมเข้ า ไปยั ง แผนผั ง ปิ ศ าจรู ป ดวงอาทิ ต ย์บน
แผ่นหลังของจั่วม่ออย่างฉับพลัน!
ตูม!
จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง สมองขาวว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง
กระแสพลังนี้ประดุจหมื่นม้าควบตะบึงพร้อมกัน พวกมันทะลักทลาย
ไปตามเส้นสีทองของแผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิต ย์ อาละวาดอย่างกราด
เกรี้ยว
ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งเปล่งแสงเจิดจรัส!
กระแสพลังยังไม่สิ้นสุดกาลังแรง โคจรตามรอยเส้นสีทอง ไหลรี่ออก
จากดวงอาทิตย์ดวงนั้น รุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จากนั้นดวงอาทิตย์เปล่งแสงจ้าขึ้นอีกหนึ่งดวง!
ภายในชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว กระทั่ ง ดวงอาทิ ต ย์ ด วงที่ ส ามซึ่ ง เป็ น ดวง
สุดท้ายบนแผ่นหลัง ยังถูกกระแสพลังร้อนแรงขุมนี้จุดประกาย สาดแสง
เจิดจรัสออกมา!
ชั่วอึดใจใหญ่ จั่วม่อในที่สุดฟื้นตื่นจากสภาพเลอะเลือนมึนงง มันรู้สึก
ว่ามีบางสิ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของมันด้วย แต่มันไม่อาจบอกได้ว่าเป็น
อะไร
มันตรวจดูอย่างระมัดระวัง เมล็ดผลึกสุริยันที่อยู่ในแผนผังปิศาจตรง
กลางอกมีขนาดเล็กลงกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย แต่สีสันเข้มจัดกว่าเดิม ขณะที่
หมุ น รอบตั ว เอง บางครั้ ง ปรากฏเปลวไฟแลบลั่ น อย่ า งดุ ร้ า ย ดู ท รงพลั ง
อานาจอย่างล้นเหลือ
หรือว่า...พัฒนารุดหน้า?
เหมือนจะเป็นเช่นนัน
้ แต่ว่า... ...
จั่วม่อทดลองบังคับพลัง สังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาคล้ายไม่
มีความเปลี่ยนแปลงใด การแปลงร่างลาดับที่สองยังไม่ได้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อก็ไม่รีบไม่ร้อน มันทราบดีว่าสาหรับด่านเจียง สิ่ง
ที่สาคัญไม่ใช่การรุ ดหน้าของสังขารปิศาจ แต่เป็นความเข้าใจในพลัง ‘เขต
แดน!’
‘เขตแดน’ จึงเป็ นพลังอานาจอันร้ายกาจที่สุดเท่าที่จ อมปิศาจด่ า น
เจียงจะบรรลุได้
มั น หวนนึ ก ถึง โจรหั ว โล้นติ้ง เจิน แห่ง วั ด เสวี ยนคง เขตแดนตะเกียง
เพลิงพุทธะ ทรงพลังอานาจอย่างน่าอัศจรรย์ จั่วม่อบังเกิดความคาดหวัง
อย่ า งเต็ ม เปี่ ยมต่อ เขตแดนอุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิบ อี ก า ซึ่ ง เป็ น พลั ง เขตแดน
เฉพาะของสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา!
การรุ ดหน้าของสังขารปิศาจเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น มือขวา
ของมันสามารถมอบพลังเทพอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ขอเพียงมีเวลามากพอ
สังขารปิศาจของมันย่อมพัฒนาได้ถึงขีดสุด แต่ทว่าเขตแดนเป็นเรื่องราวที่
แตกต่างกัน มันไม่รู้จะเริ่มจับต้นชนปลายจากที่ใด
แต่มันก็ทราบว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจฝืนบังคับได้ เช่นเดียวกับการบรรลุ
เจตจานงกระบี่เมื่อครั้งกระโน้น เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยโชควาสนาและการรู้
แจ้ง
จั่ ว ม่ อ แม้ ไ ม่ มี ปั ญ ญาก าหนดโชควาสนา แต่ มั น สามารถฝึ ก ปรื อ
พื้นฐานของมันให้หนักแน่นมั่นคงได้ตลอดเวลา มันหวังว่ารากฐานของมัน
จะลึกล้ายิ่งขึ้น และหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผ ลที่มันคร่าเคร่ง
ศึกษาเคล็ดความบนหลักศิลาทักษะปิศาจมหาสันติโดยไม่ว่างเว้น
แต่การฝึกฝีมือของมัน กลับยังคงต้องถูกขัดจังหวะอีกครัง้
เนื่องเพราะซู่หลงกลับมาจากการไปดูอาเหวิน ทั้งยังนาคนผู้หนึ่งมา
ด้วย

ซู่หลงพอเห็นจั่วม่อก็รีบคารวะ “ต้าเหริน!”
เห็ น ปิ ศ าจผู้ ห นึ่ ง กองอยู่ แ ทบเท้ า มั น คนผู้ นี้ ใ บหน้ า ด ามะเมื่ อ ม ลม
หายใจรวยริน เห็นเช่นนี้จ่ว
ั ม่อรีบคุกเข่าลงตรวจดูอาการของมันทันที
“ต้าเหริน ข้าพบคนผู้นี้ระหว่างที่ข้าไปตามหาพวกอาเหวิน คนผู้นี้ล้ม
อยู่ใกล้ ๆ หลักศิล าทักษะปิศาจ ข้าเห็นว่าสภาพของมันไม่ถูกต้อง ดังนั้น
พามั น กลั บ มาด้ ว ย” ซู่ ห ลงรี บ อธิ บ าย อาจบางที ค วามทุ ก ข์ ย ากในอดี ต
ส่งผลให้มันเป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์เช่นนี้เอง
“อืมม์!” จั่วม่ออุทานอย่างแปลกใจ มันถลกแขนเสื้อปิศาจผู้นั้นขึ้น สิ่ง
ที่ปรากฏอยู่บนแขนเป็นแผนผังปิศาจสีทองซ้อนกันเป็นชั้น ๆ จนแน่นขนัด
ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่แผนผังปิศาจแต่เป็นแผนผังอาคมยันต์!
นี่คืออาคมหวงห้าม!
จั่วม่อหางตากระตุก มันรีบตรวจดูร่างกายส่วนอื่นของปิศาจตนนี้ จริง
ดังคาด ทั่วทั้งร่างล้วนปกคลุมไปด้วยอาคมหวงห้าม!
เมื่อจั่วม่อถอดเสื้อของปิศาจตนนั้นออก ลวดลายอาคมหวงห้ามอัน
แน่ น ขนั ด จนแทบไม่ มี ที่ ว่ า ง บั น ดาลให้ ทุ ก คนในห้ อ งสู ด ลมหายใจอย่าง
หนาวเหน็บ
เหมียวจุนดาลเดือดยิ่ง ตวาดอย่างขุ่นแค้น “นี่เป็นฝีมือผู้ใด? พวกมัน
สมควรตาย!”
“นี่ คืออาคมหวงห้ามจากวัดเสวียนคง” ในทะเลแห่งจิต สานึก ผูเยา
ผุดขึ้นราวกับเงาภูตผี อธิบายด้วยสุ้มเสียงเย็นยะเยือก “วัดเสวียนคงมีกอง
พันที่โด่งดังยิ่ง ทั พหนึ่ง เรีย กว่ า กองพั นบาปเคราะห์ ไพร่พลของกองทั พ
มหาประลัยนี้ล้วนเป็นอสูรปิศาจที่ถูกคร่ากุม พวกมันฝังอาคมหวงห้ามนับ
ไม่ถ้วนลงในร่างของเชลยเหล่านี้ ดึงเอาวิญญาณส่วนหนึ่งของคนเหล่ านี้
ออกมา หลอมสร้างพวกมันเป็นหุ่นเชิดที่รู้จักแต่เข่นฆ่าสังหาร”
ซี๊ด จั่วม่อพอฟังถ้อยคาของผูเยา ไม่ทราบเพราะเหตุใด มันรู้สึกหนัง
ศีรษะชาซ่าน
ช่างเป็นวิธีการอันโหดเหี้ยมอามหิตนัก
เห็นสายตาทุกคู่ พากันมองมาที่มันเป็นตาเดียว จั่วม่อทวนคาของผู
เยาให้ พ วกมั น ฟั ง ทุ ก ผู้ ค นที่ ไ ด้ ฟั ง ล้ ว นหน้ า เปลี่ ย นสี เหมี ย วจุ น ในฐานะ
ปิศาจผู้ห นึ่ง แม้จะสงบเยือกเย็นปานใด เวลานี้ใบหน้ายังท่วมท้นไปด้วย
รั ง สี ฆ่ า ฟั น ก่ น ด่ า ไม่ ห ยุ ด ปาก “อุ บ าทว์ บั ด ซบ! เหล่ า ตั ว บั ด ซบที่ ส มควร
ตาย!”
“สภาพเช่ นนี้เกิดจากผลสะท้อนกลับของอาคมหวงห้าม” ผูเยาตื่น
ตระหนกเล็กน้อย “คาดว่ามันออกห่างจากวัดเสวียนคงนานเกินไป อาคม
หวงห้ามที่ฝังลงในร่างกายประกอบด้วยลวดลายอาคมหลายต่อหลายชั้น
ลี้ลับซับซ้อนสุดหยั่งถึง ยากที่จะแก้ไขทาลาย มีหลายแห่งที่ท้ังยุ่งยากและ
อันตราย ผลสะท้อนกลับส่วนใหญ่เกิดจากจุดนี้เอง หากพวกมันไม่ได้รับ
โอสถปราณพิเศษเฉพาะตามเวลาที่กาหนด ผลสะท้อนกลับจะเกิดขึ้น นี่
เป็นหนึ่งในวิธีการที่วัดเสวียนคงใช้ เพื่อให้กองพันบาปเคราะห์อยู่ภายใต้
การควบคุมของพวกมันไปตลอดกาล”
“เหล่าโจรหัวโล้นวัดเสวียนคงที่น่าตาย! อย่างที่คาดไว้ไม่ผิด พวกมัน
ชั่วร้ายยิ่ง!” จั่วม่อร่าร้องอย่างเคียดแค้นชิงชัง มันมีความแค้นที่ไม่ยอมอยู่
ร่วมฟ้าเดียวกันกับวัดเสวียนคง
พิ จ ารณาดู อ าคมหวงห้ า มบนร่ า งกายของปิ ศ าจเคราะห์ ร้ า ยอย่ า ง
ใกล้ ชิ ด จั่ ว ม่ อ สามารถมองเห็ น หลายสิ่ ง หลายอย่ า ง ฝี มื อ วิ ช ายั น ต์ แ ละ
แผนผังปิศาจของมันในยามนี้ลึกล้ายิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเรียนรู้
ศาสตร์ แ ห่ ง การปลุ ก แผนผั ง ปิ ศ าจ ความรู้ ค วามเข้ า ใจของมั น ยิ่ ง ลึ ก ล้ า
กว่าเดิมมาก
“หรือบางทีข้าอาจลองช่วยเหลือมันดู?” จั่วม่อบ่นพึมพากับตัวเอง
แต่ เ หมี ย วจุ น พอได้ ยิ น พลั น ดวงตาเป็ น ประกาย กล่ า วอย่ า ง
เคร่งเครียด “ต้าเหรินกรุ ณาช่วยชีวิต มันด้วย! คนผู้นี้แน่นอนว่าต้องเป็น
วีรบุรุษอาวุโสของพวกเราเผ่าปิศาจ มันต้องมาถูกวัดเสวียนคงหยามอัปยศ
ถึงเพียงนี้ กระทั่งตายยังไม่อาจหลุดรอดไปได้ ผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างเราท่าน
ไหนเลยสามารถนั่งนิ่งดูดายได้?”
วาจาพอกล่าวออกจากปาก จั่วม่อพลันสานึกเสียใจขึ้นมาทันที เรื่อง
นี้กล่าวออกมาง่ายดาย แต่ยากที่จะทาสาเร็จได้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงม๋อเป้ย
จานวนมหาศาลที่จะต้องใช้ ล าพังเวลาและแรงกายแรงใจอีกมากมายที่
ต้องหมดเปลืองไปกับเรื่องนี้ ก็นับเป็นการค้าที่ขาดทุนย่อยยับโดยแท้
เมื่อเห็นความโกรธแค้นอย่างจริงใจของเหมียวจุน กระทั่งเถาซิงยังอด
รนทนไม่ ไ ด้ สอดปากมาจากด้ า นข้ า งด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งขุ่ น แค้ น “กล่ า วได้ ดี !
บรรพชนของพวกเราต้องถูกหยามย่ายีถึงเพียงนี้ มันช่าง... ...มันช่าง... ...”
เถาซิงโกรธจนพูดไม่ออก ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นกล่าวอย่างใจป้า “ต้า
เหริน ท่านหากต้องการสิ่งใดให้บ อกมา ข้าเถาซิง แม้ไม่มีความสามารถ
ใหญ่ โ ตอั น ใด แต่ ไ ม่ เ คยขาดแคลนม๋ อ เป้ ย ! อี ก ไม่ กี่ วั น คนที่ ข้ า สั่ ง การให้
นาส่งตัวอ่อนปิศาจมาให้จะมาถึงนครมหาสันติ นอกเหนือจากส่วนที่จ ะ
ชดใช้ห นี้ สิน ให้แก่ต้าเหริน ข้าจะขายส่วนที่เหลือทั้งหมด! ต้าเหรินกรุ ณา
เถอะ ไม่ ว่ า จะอย่ า งไร ก็ ต้ อ ง ช่ วย ชี วิ ต คนผู้ นี้ ให้ ไ ด้ ! ไม่ ว่ า ต้ อ งจ่ า ย
ค่าตอบแทนเท่าใด ผู้น้อยก็ยินดี!”
ซึ่งความจริงจั่วม่อยังคงมุ่งเน้นอยู่กับเสียกงจู่ ต้องการเพิ่มพูนพลัง
ฝี มื อ มากกว่ า สิ่ ง ใด มั น ไม่ ต้ อ งการแบ่ ง แยกความสนใจ แต่ พ วกมั น เมื่ อ
กล่าวถึงเพียงนี้ อีกทั้งมันเองก็รู้สึกสมเพชเวทนาปิศาจตนนี้เป็นอย่างยิ่ง
มิห นาซ้าเรื่องนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อวัดเสวียนคงด้วย สุดท้ายมันพยัก
หน้ารับอย่างหนักแน่น “ตกลง!”
บทที่ 593 อาคมหวงห้ามของกองพันบาปเคราะห์

เปี๋ ยหานใบหน้าขาวเผือด
สมาชิกกองพันบาปเคราะห์ผู้หนึ่งหายตัวไป พวกมันกระทั่งพยายาม
ตามหาตลอดทั้งคืนยังหาไม่พบ แสงตะวันสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้า
มาภายในห้อง ตกกระทบร่างมันอย่างเงียบงัน แต่มันหาได้รู้สึกถึงกระแส
อบอุ่นอันใดไม่ ภายใต้แสงตะวันเรืองรอง เงาร่างเดี ยวดายนั้นดูโดดเดี่ ยว
อ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่มันหวาดวิตกมากที่สุด ในที่สุดก็บังเกิดขึ้นจนได้!
เวลาที่ผลสะท้อนกลับของอาคมหวงห้ามจะทางานได้มาถึงแล้ว และ
ทันทีที่มันมาเยือน กองพันบาปเคราะห์จะสูญเสียการควบคุมอย่างสิน
้ เชิง
มีแต่ห นทางตายสถานเดีย ว... ร่างแตกระเบิ ดตายอย่ างน่ า อนาถ! เนื่อง
เพราะคอยพะวงกับเรื่องนี้ เปี๋ ยหานไม่กล้าใช้กองพันบาปเคราะห์ให้ล งมือ
เพราะอาจเป็ น เหตุ ใ ห้ ผ ลสะท้ อ นกลั บ ของอาคมหวงห้ า มเกิ ด ขึ้ น เร็ ว
กว่าเดิม
แสงตะวันแม้อ่อนโยนปานใด ก็ไม่อาจปลอบประโลมหัว ใจอั น โศก
สลดของมันได้
บิดากับพี่ใหญ่ข องมันจะมี ท่าทีต่อมันอย่างไร มันไม่เคยแยแสสนใจ
มันยังไม่ใส่ใจการปฏิบัติอย่างเย็นชาที่มันได้รับ มันไม่เคยใส่ใจเรื่องอื่นใด
ทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่มันกังวลสนใจคือกองพัน บาปเคราะห์ กลุ่มหุ่นเชิดอสู ร
ปิศาจที่เป็นดั่งสหายสนิทของมันมานานกว่าสิบเจ็ดปี
ชั่วชีวิต นี้มันมีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือนากองพันบาป
เคราะห์ที่ไร้วิญญาณ เข่นฆ่าเปิดทางกลับไปทาลายล้างวัดเสวียนคง!
น่าเสียดายที่มันคงไม่มีปัญญากระทาได้!
มันกามือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดโดยไม่รู้ตัว ก้มศีรษะซุกหน้าลงกับท่อน
แขนที่วางพาดอยู่บนเข่า
มันแม้เป็นเผ่าปิศาจ แต่ไม่เคยล่วงรู้พิชัยยุทธ์และวิธีการต่อสู้ในแบบ
ปิศาจเลย สิ่งที่มันเรียนรู้ สิ่งที่ถูกสอนสั่งมาตลอดสิบเจ็ดปีคือพิชัยยุทธ์ใน
แบบฉบับของซิวเจ่อ มันทราบว่าตัวมันเองก็ไม่ได้แตกต่างอันใดจากกอง
พันบาปเคราะห์ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีตัวตนอยู่ในโลก แม้ว่าอาคมหวงห้าม
ในกายมันจะถูกลบล้างไปแล้วก็ตาม
พวกมันล้วนเป็นตัวประหลาด ตัวประหลาดที่ไม่ส มควรคงอยู่ อาจ
บางทีจุดจบที่ดีที่สุดส าหรับพวกมัน ก็คือร่างสลายเป็นฝุ่นธุลีภายใต้แสง
ตะวันอันอบอุ่น อย่าได้หลงเหลือแม้แต่เศษฝุ่นสักส่วนเสี้ยว
ทว่ามันจึงไม่แยแสสนใจ
สิ่ ง เดี ย วที่ ค งอยู่ ใ นใจมั น ความใฝ่ ฝั น ที่ ป รากฏขึ้น นับ ครั้ ง ไม่ ถ้วนใน
สายตามัน เป็นภาพที่มันนากองพันบาปเคราะห์เข่นฆ่าไปยังวัดเสวียนคง
เผาผลาญมหาวิหารอันน่าชังแห่งนั้นให้กลายเป็นทะเลเพลิง!
แต่มันคงไม่มีโอกาสได้กระทาเช่นนั้นแล้ว... ...
มันผู้ล่วงรู้แต่วิธีต่อสู้แบบซิวเจ่อ บัดนี้ต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชใน
ภพปิ ศ าจอั น เป็ น บ้ า นเกิ ด ของตน หากมิ ใ ช่ ว่ า มั น ยั ง มี ฟู่ ฟ ง อาจบางที
สถานการณ์ของมันคงเลวร้ายยิง่ กว่านี้อีก
มันไม่เคยเกลียดชังตัวเองมากเท่านี้มาก่อน เกลียดชังในความใช้การ
ไม่ได้ของมัน!
ไม่ ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ จะต้องมีหนทาง!
มั น เงยหน้ า ขึ้ น อย่ า งฉั บ พลั น ดวงตาสาดประกายเหี้ ย มเกรี ย มสุ ด
เปรียบปาน ประดุจสัตว์ร้ายที่ถูกไล่ต้อนจนตรอกตัวหนึ่ง
ในเวลานี้เอง ฟู่ฟงผลุนผลันเข้ามาอย่างลนลาน
“เตี้ยนเซี่ย! เตี้ยนเซี่ย! บ่าวหาพบแล้ว! เป็นเซี่ยวม่อเกอ! วันนี้ลูกสมุน
ของเซี่ ย วม่ อ เกอพาตั ว คนของเราไปจากหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจ! มี ค น
มากมายที่เห็นกับตา!”
เซี่ยวม่อเกอ?
ประกายตาเกรี้ยวกราดของเปี๋ ยหานค่อยอ่อนลง มันผุดลุกขึ้นทันควัน
“ไป! พวกเราไปหาเซี่ยวม่อเกอเดี๋ยวนี้!”
น่าแปลกที่ฟู่ฟงกลับอึกอักลังเล
“มีปัญหาใด?” เปี๋ ยหานถามอย่างสงสัยใจ
“เตี้ ย นเซี่ ย เรื่ องนี้ จ ะกล่ า วไปก็ น่ า ประหลาด แต่ เ ซี่ ย วม่ อ เกอผู้ นี้
คลับคล้ายกับคนผู้หนึ่งที่บ่าวเคยพบเจอในโลกซิวเจ่อเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่า
รู ปร่างหน้าตาของมันจะผิดแผกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่พฤติการณ์และ
นิสัยใจคอกลับคล้ายคลึงกันยิง่ ” ฟู่ฟงอธิบาย
“อา?” เปี๋ ยหานประหลาดใจเล็กน้อย
“คนผู้นี้เรียกว่าจั่วม่อ เป็นศิษย์ของสานักกระบี่สุญตา สานักเล็ก ๆ ใน
อาณาจักรเล็ก ๆ แห่งหนึ่งภายใต้อิทธิพลของคุนหลุน มันมีฝีมือทางค่าย
กลอันเลิศล้า บ่าวพบเห็นมันครั้งแรกในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่
จากนั้นเคยคบค้าสมาคมกับมันอีกหนที่ห มู่เกาะแมกไม้รกร้าง มันผู้นี้ทิ้ง
ความประทับใจให้แก่ข้าน้อยอย่างลึกล้า เตี้ยนเซี่ยคงจดจาได้กระมัง วันที่
เซี่ยวม่อเกอขวางทางหลันเทียนหลงที่ห น้าประตูเมืองเพื่อชิงตัวทาสซิ ว
เจ่ อ ผู้ ห นึ่ ง เตี้ ย นเซี่ ย ยั ง บอกว่ า มั นอาจจะเป็ นซิ ว เจ่อ เรื่ อ งนี้ . .. ...” ฟู่ ฟง
กล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
เปี๋ ยหานดวงตาสาดประกายเจิดจ้า พึมพาซ้าไปซ้ามา “จั่วม่อ จั่วม่อ
เซี่ยวม่อเกอ เซี่ยวม่อเกอ... ...เสี่ยวม่อเกอ!8”
ฟู่ฟงงงงันวูบ จากนั้นดวงตากระจ่ า งจ้ าเช่น กัน ร้องอุทานอย่ า งตื่ น
ตะลึง “เป็นมัน! เป็นมันจริง ๆ?”
“เราจะได้รู้เมื่อไปพบมัน”
เปี๋ ยหานกล่าวพลางเดินออกจากห้องอย่างไม่รีรอ

จั่ ว ม่ อ แม้ ค าดเดาว่ า เหมี ย วจุ น สมควรเป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ที่ มี


ฝีมือผู้หนึ่ง แต่รอจนเหมียวจุนส าแดงฝีมือในฐานะแม่ทัพของมันออกมา

8
เซี่ยวม่อเกอ – หัวร่อหาหอกอันใด เสีย
่ วม่อเกอ – ลูกพี่เสี่ยวม่อ เป็นคนละคากัน
ยังขู่ข วัญทุกผู้คนจนตะลึ งลาน มันถึงกับเป็นแม่ ทัพ บั ญชาการศึ ก ระดั บ
ทอง!
แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ระดั บ ทอง ซึ่ ง ไม่ มี ผู้ ใ ดในนครมหาสั น ติ เ คย
ระแคะระคายมาก่อน
ในการประลองพิชัยยุทธ์กับเยี่ยหลิง เพียงปะทะกันไม่กี่รอบเยี่ยหลิง
ก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ซู่หลงยิ่งไม่ใช่คู่มือของมัน แต่เหมียวจุนยังชื่นชม
ไม่ขาดปาก ในความเห็นของมัน ซู่หลงแม้ในด้านความยืดหยุ่นและความ
เปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์ข าดพร่องไปบ้าง แต่ห นักแน่นมั่ นคง มีระเบียบ
วิ นั ย เข้ ม งวด คาดว่ า หลั ง จากมี ป ระสบการณ์ ม ากกว่ า นี้ อาจสามารถ
กลายเป็นยอดแม่ทัพผู้หนึ่ง
แต่จะอย่างไร ในยามนี้พวกมันมีกาลังพลเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ไม่
มีที่ให้แม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองได้แสดงฝีมือมากนัก
เหมี ย วจุ น หลอมกลืน เข้า กั บ ต าแหน่ง แห่งที่ ใ นกลุ่ม ของจั่ ว ม่อ อย่าง
รวดเร็ว ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสั่งสอนซู่หลง มันเป็นแม่ทัพปิศาจของ
แท้แน่นอน แม้ไม่ได้มีฝีมือเลิศล้าเท่าแม่นางน้อยกงซุน แต่พ้ น
ื ฐานของมัน
มั่นคงหนักแน่น เหมาะสมที่จ ะสั่งสอนซู่ห ลงซึ่งถือกาเนิดจากวิถีนอกรี ต
พอดี
หลังจากร่าเรียนอยู่ไม่กี่ประเด็น ซู่หลงได้รับประโยชน์นับเอนกอนันต์
ในเวลานี้ อสูรผมส้มกับอสูรควันดาพอดีกลับมาจากหลักศิล าทั กษะ
ปิศาจมหาสันติ อสูรผมส้มจับตาดูค่ายเว่ยฝึกฝนกระบวนทัพ พลันบังเกิด
ความสนใจขึ้นมาทันที เร่เข้ามาร่วมวงโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ
หลังจากเฝ้ามองอยู่พักใหญ่ อสูรผมส้มสับสนงุนงงยิ่ง อดถามไม่ได้ว่า
“เหล่าเหมียว ที่แท้ผู้ใดร้ายกาจกว่ากัน เจ้าหรือเซี่ยวม่อเกอ?”
เหมียวจุนเพิ่งเคยได้ยินคนเรียกหามัน ‘เหล่าเหมียว’ อย่างสนิทสนม
เช่นนี้เป็นครั้งแรก อดเหลือบมองไม่ได้ ในใจลอบครุ่นคิด เจ้าผู้นี้ช่างตีสนิท
กับคนง่ายเสียจริง แต่ปากกล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นต้าเหรินร้ายกาจ
กว่า”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” อสูรผมส้มพยักหน้า “เซี่ยวม่อเกอกระทั่ง แม่ ทัพ
ใหญ่อวี้เหิงยังเคยถล่มจนราบคาบมาแล้ว แม้แต่ข้ายังต้องยอมรับว่ามัน
เป็นยอดอัจฉริยะในระดับเดียวกันกับข้า”
อสูรควันดาที่ด้านข้างเหลือกตามองบน อดสอดปากไม่ไ ด้ “มันเป็น
ยอดอัจฉริยะยิ่งกว่าเจ้า!”
อสูรผมส้มหมุนตัวกลับไป กล่าวกับอสูรควันด าด้ วยสุ้ม เสียงจริ ง จั ง
“เรื่องนี้ข้าไม่ยอมรับ”
แม่ ทั พ ใหญ่ อ วี้ เ หิ ง ? เหมี ย วจุ น ไม่ เ คยได้ ยิ น ชื่ อนี้ ม าก่ อ น แต่ ผู้ ที่
สามารถรั บ ต าแหน่ ง ผู้ บั ญ ชาการกองพลย่ อ มต้ อ งมี ฝี มื อ อยู่ ห ลายท่ า
เหมียวจุนแม้มีความเชื่อมั่นในฝีมือของตนเป็นอย่างยิ่ง แต่หากคู่ต่อสู้เป็น
แม่ทัพใหญ่บัญชาการกองพล มันก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะได้ชัยแล้ว
มันสนอกสนใจขึ้นมาทันที “โอ้ เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เล่าให้
ฟังสักหน่อยได้หรือไม่”
อสูรผมส้มสบใจยิ่ง กลายเป็นคึกคักกระตือรือร้น รีบอวดโอ่ผลงานอัน
รุ่งโรจน์ในคุกสิบนิ้ วของเซี่ย วม่อ เกอทุกขั้นตอน ราวกับกาลัง คุย โวเรื่ อ ง
ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม มันเป็นมือสมัครเล่นที่ไม่ได้ล่วงรู้เรื่องพิชัยยุทธ์
แม้แต่คาเดียว พอเล่าถึงกลศึกและการปะทะกันในหมากรุ กสงคราม มันก็
เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดมากมาย ร้อ นถึงอสูรควันดาสหายรัก ในที่สุดก็อด
รนทนไม่ได้ต้องคอยแก้ไขให้ถูกต้องเป็นระยะ
เหมียวจุนยิ่งรับฟังยิ่งตื่นตะลึง ทั้งยังงุนงงสงสัยมากกว่าเดิม
อสูรผมส้มกับอสูรควันดาเห็นได้ชัดว่าไม่ได้โป้ปดมดเท็จ สีหน้าพวก
มันเคร่งขรึมจริงจัง เรื่องราวก็ละเอียดลออยิ่ง เหมียวจุนไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว
เหมียวจุนล่วงรู้เกี่ยวกับคุกสิบนิว
้ ของชาวอสูรอยู่บ้าง เมื่อสามารถเอา
ชัยแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองพลประจาการในสงครามหมากรุ ก จะต้อง
แข็งแกร่งถึงเพียงไหน?
แน่ น อนว่ า ต้ อ งเป็ น ความแข็ ง แกร่ ง ของแม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ระดั บ
ทอง!
แต่ทว่า... ...
มันเคยรับทราบฝีมือทักษะปิศ าจของต้า เหรินด้ วยตัว เอง หากบอก
ว่าต้าเหรินเป็นอสูรผู้หนึ่ง ต่อให้ตีมันจนตายมันก็ไม่ยินยอมเชื่อ อสูรที่ไหน
จะฝึกปรืออุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกาส าเร็จ ? แต่มันพลันนึกขึ้นได้ว่าต้าเหริน
เมื่อตอนที่ประลองกับมันก็เคยใช้ศาสตร์อสูรน้อยออกมา
เหมียวจุนผู้น่าสงสาร ยิ่งขบคิดก็ยิ่งหัวหมุนงุนงงไปหมด

จั่ ว ม่ อ ตรวจดู อ าคมหวงห้ า มบนร่ า งของปิ ศ าจกองพั น บาปเคราะห์


อย่างระมัดระวัง
“กองพั น บาปเคราะห์ เป็ น กองทั พ ที่ มี ตั ว ตนมาอย่ า งยาวนาน
เพียบพร้อมด้วยชุดอาคมหวงห้ามที่ส มบูรณ์และเคล็ดลับในการควบคุม
พวกมัน แม่ทัพบัญชาการกองพันบาปเคราะห์แต่ละรุ่นล้วนฝีมือร้ายกาจ
ยิ่ง เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก” ผูเยาตักเตือนจั่วม่ออย่างที่ยากจะพบพาน
จั่วม่อรับคาดังอืมม์ จากนั้นฝังตัวเองลงไปในการศึกษาอาคมหวงห้าม
ที่เชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อน
อาคมหวงห้ า มถู ก สร้ า งขึ้ น ด้ ว ยวิ ธี ก ารอั น แยบคาย จั่ ว ม่ อ ยั ง พบว่ า
อาคมหวงห้ามบางส่วนทาการลอกเลียนแบบฉบับของแผนผังปิศาจด้วย
อย่างไรก็ตาม ฝีมือลอกเลียนนี้ในสายตาของจั่วม่อ เรียกได้ว่าฝีมือต่าต้อย
และหยาบกระด้างยิ่ง
ซึ่ ง ความจริ ง มิ ใ ช่ ว่ า อาคมหวงห้ า มทั้ ง หมดของปิ ศ าจกองพั น บาป
เคราะห์จะเป็นอันตราย กล่าวไปกลับตรงกันข้าม อาคมหวงห้ามส่วนใหญ่
ล้ ว นช่ ว ยหนุ น เสริ ม เพิ่ ม พลั ง ต่ อ สู้ ใ ห้ แ ก่ พ วกมั น หลากหลายวิ ธี ก ารอั น
แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ช่วยเปิดหูเปิดตาขยายโลกทัศน์ให้แก่จ่ั ว ม่ออ
ย่างมหาศาล
สามารถเห็นได้ว่า วัดเสวียนคงเริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์วิ ชา
สลักค่ายกลลงบนร่างมานานปีแล้ว มีหลากหลายวิธีที่สมบูรณ์พร้อมและมี
เอกลักษณ์เฉพาะตัว
จั่วม่อยิ่งศึกษาลึกลงไปเท่าใด ก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีมากเท่านั้น ยามนี้มัน
สามารถลอกเลียนวิธีการลับเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่แล้ว
มั น ถึ ง กั บ คิ ด ค้ น ได้ ห ลายวิ ธี ก าร ที่ จ ะสามารถช่ ว ยให้ ผ ลลั พ ธ์ ข อง
แผนผังปิศาจซึ่งเคยมอบให้แก่ค่ายจินวู ยิ่งสมบูรณ์แบบกว่าเดิมได้ ลาพัง
ประโยชน์เหล่านี้ก็มีค่านับพันตาลึงทอง
อย่างช้า ๆ เบื้องหน้าตัวประหลาดผู้เชี่ยวชาญทั้งค่ายกลและแผนผัง
ปิศาจเช่นจั่วม่อ อาคมหวงห้ามอันเป็นความลับสุดยอดที่วัดเสวียนคงเฝ้า
สั่งสมมานานนับพันปี ค่อย ๆ ถูกลอกเปลือกออกทีละชั้น เผยตัวออกมาที
ละน้อย
แต่รอจนแกนกลางของอาคมหวงห้ามปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาของ
มัน จั่วม่อต้องสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ
อาคมหวงห้ามชุดที่อยู่ในสุด ถึงกับเชื่อมต่อกับดวงวิญญาณโดยตรง!
วิธีการอันอัศจรรย์พันลึก!
จั่วม่อแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดวงวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน การ
เชื่อมโยงอาคมหวงห้ามเข้ากับดวงวิญญาณ ต้องเป็นความลาบากยากเข็ญ
ถึงเพียงไหน เพียงขบคิดดูก็ทาเอามันตะลึงพรึงเพริดอยู่เป็นนานสองนาน
แต่ในไม่ช้ามันก็ได้สติ ดวงตาสดใสกระจ่างแจ้ง มันเริ่มพินิจพิเคราะห์
อาคมหวงห้ามชุดสุดท้ายอย่างระมัดระวัง
เนิ่นนานหลังจากนั้น ค่อยสั่นศีรษะอย่างผิดหวัง ผุดลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
อาคมหวงห้ามชุดสุดท้ายไม่อาจแก้ไขได้ มันไม่มีห นทางใด กองพัน
บาปเคราะห์ที่ต้ องมี ดวงวิญ ญาณไม่ส มบู ร ณ์ ล้วนสืบเนื่องมาจากอาคม
หวงห้ามมหาประลัยชุดนี้เอง
โชคยั ง ดี ที่ แ ม้ ว่ า อาคมหวงห้ า มชุ ด นี้ ไ ม่ ส ามารถแก้ ไ ข แต่ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น
อาคมหวงห้ามที่จะก่อให้เกิดอันตรายจากผลสะท้อนกลับ
หลั ง จากตรวจสอบอาคมหวงห้า มเหล่า นี้อ ย่า งถี่ถ้ว นรอบคอบแล้ว
จั่วม่อไม่เพียงแต่ข จัดอาคมหวงห้ามที่ก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับเหล่านั้น
ทั้งยังใช้วิธีการที่อุกอาจยิ่งกว่า...
...มันจะใช้อาคมหวงห้ามดั้งเดิมเป็นรากฐาน เพื่อสลักแผนผังปิศาจ
อันสมบูรณ์พร้อมขึ้นมาใหม่!

“ฟังว่านครมหาสันติปรากฏยอดอัจฉริยะผู้หนึ่ง มันไม่เพียงก่อให้เกิด
หมู่ดาวประทานพร ยังเบียดเสียดเข้าสู่ทาเนียบปิศาจมหาสันติด้วยอายุที่
อ่ อ นเยาว์ ยิ่ ง นานแล้ ว ที่ ไ ม่ มี บุ ค คลอั น เด่ น ล้ า เช่ น นี้ ป รากฏขึ้ น ” ซิ่ น กงจู่
เปรยด้วยรอยยิม

ซิ่นกงจู่ (องค์หญิงเลื่อมใสศรัทธา) นั่งตัวตรงอย่างสูงสง่า ช่วงคอเรียว
ระหงชวนให้ ผู้ ค นนึ ก ไปหงส์ โ ดยไม่ รู้ ตั ว ซึ่ ง ความจริ ง องค์ ห ญิ ง นางนี้ ก็ มี
สายเลือดสูงศักดิ์ของตระกูลหงส์ฟ้าทะเลสาบจันทราอย่างเต็มเปี่ ยม เรือน
ร่างของนางสูงโปร่งสะโอดสะอง ใบหน้างามล้าสะดุดตา
หว่ า นกงจู่ (องค์ ห ญิ ง สง่ า งาม,ละมุ น ละไม) นั่ ง ฟั ง เงี ย บ ๆ ใบหน้ า
ละมุนละไมดุจตุ๊กตากระเบื้องเคลือบประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ในบรรดา
สามกงจู่ นางเยาว์วัยที่สุด นิสัยใจคอเงียบขรึมและเอียงอาย
เสียกงจู่ (องค์หญิงแสงอรุณ) รับคาอย่างยิ้มแย้ม “ใช่แล้ว มันเรียกว่า
เซี่ยวม่อเกอ ผู้คนพร่าราพันชื่อของมันใส่หูข้าทุกวัน กล่าวจนข้าเพียงได้
ยินชื่อมันก็คิดทุบตีมันสักครา เพียงไม่ทราบว่ามันแข็งแกร่งสักปานใด”
เสี ย กงจู่ ผิ ว พรรณขาวเนี ย นละเอีย ดอ่ อ น ริ ม ฝี ป ากนุ่ ม ละมุ น น่าลุ่ม
หลงตาย ดวงตาของนางเป็ น สี ช มพู ร ะเรื่ อ ทรงเสน่ ห์ ด่ั ง แสงรุ่ ง อรุ ณ ใน
บรรดาองค์ ห ญิ ง ทั้ ง สาม นั บ นางงดงามโดดเด่ น ที่ สุ ด อย่ า งไร้ ข้ อ กั ง ขา
ท่วงท่ายกมือวางเท้าล้วนแล้วแต่เย้ายวนใจ
“ตอนนี้ข้าก็ส งสัยใคร่รู้เช่นกัน!” บุรุษหนุ่มหล่อเหลาผู้ห นึ่งปรบมื อ
พลางแย้มยิ้ม “นานมากแล้วที่ไม่มียอดฝีมืออันโดดเด่นปรากฏขึ้นที่นคร
มหาสันติ ที่ผ่านมามีเพียงชีเตียวอวี่ซึ่งพอจะเรียกได้ว่ายอดฝีมือ ส่วนคน
อื่น ๆ หากมิใช่ไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานของเราก็อายุมากเกินไป ไม่มีหวังจะ
เข้าสู่ด่านไสว้อีก”
บุรุษหนุ่มผู้นี้กล่าวอย่างเขื่องโขโอหัง แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่ามันเย่อ หยิ่ ง
ลาพอง เนื่องเพราะมันมีคุณสมบัติที่จะกล่าวเช่นนี้
เสิ่นอวี้ (แสงแวววาวแซ่เสิ่น) เป็นยอดฝีมืออันเด่นล้าที่สุดในหมู่คนรุ่น
หลังของตระกูลเสิ่น ว่ากันว่ามันบรรลุถึงด่านเจียงตั้งแต่อายุสิบหกปี เป็น
สมาชิกตระกูลเสิ่นที่มีหวังจะบรรลุด่านไสว้มากที่สุดในรุ่นนี้
หลายปีมานี้มันสัญจรไปทั่ว เที่ยวท้าทายยอดยุทธ์ที่มีช่ อ
ื เสียงทุกแว่น
แคว้น ไม่เคยปราชัยมาก่อน
เพียงแต่ครั้งหนึ่งมันบังเอิญพบพานเสียกงจู่ ลุ่มหลงเสน่ห์นางจนถอน
ตัวไม่ขึ้น ถึงกับปวารณาตนเป็นผู้พิทักษ์ นางโดยไม่ต้องร้องขอ มักยืนอยู่
ข้างกายนางโดยไม่บ่นว่าตาหนิ
แต่มันเมื่อได้ยินเสียกงจู่กล่าวถึงเซี่ยวม่อเกอ ต้องขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ทันที ลอบตกลงใจว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องลงมือสั่งสอนเซี่ยวม่อเกอสั กครา
ให้เสียกงจู่ได้ประจักษ์ชัดว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
จั่วม่อผู้น่าสงสาร ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่ามีคนขี้อิจฉาผู้หนึ่งกาหนดเป้ามาที่
มันเสียแล้ว
บทที่ 594 เล่ห์อุบายเผชิญกับไร้ปราณี

“ศิษย์น้องเฉิง!” กงซุนชาเดินเข้าไปสวมกอดฉุนอวี๋เฉิงแรง ๆ ฉุนอวี๋


เฉิงผู้มักจะหมกตัวอยู่กับกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณของมัน ไม่เคยโผล่
หัวออกมาเลย กระทั่งกงซุนชาเองยังไม่ได้เห็นหน้ามันมานานแล้ว
พวกมั น ทั้ ง สองติ ด ตามจั่ ว ม่ อ ออกมาจากหมู่ เ กาะแมกไม้ ร กร้ า ง
นับตั้งแต่อาณาจักขุนเขาน้อยจนถึงอาณาจักรทะเลเมฆ ร่วมทุกข์ร่วมสุข
เอาชีวิต รอดมาด้วยกันตลอดเส้นทางอันยาวไกล ความสัมพันธ์ข องพวก
มันสนิทสนมกลมเกลียวยิ่งกว่าพี่น้องร่วมอุทรเสียอีก
เมื่อฉุนอวี๋เฉิงส่งนกกระเรียนกระดาษบอกว่าต้องการมายังภพปิศาจ
กงซุ น ชาอดประหลาดใจอยู่ บ้ า งไม่ ไ ด้ ศิ ษ ย์ น้ อ งผู้ นี้ ใ ห้ เ หตุ ผ ลว่ า การ
เพาะเลี้ยงสัตว์ปราณของมันกระทาในภพปิศาจจึงดีที่สุด กงซุนชาล่วงรู้ถึง
ความบ้ า คลั่ ง ในการเพาะเลี้ ย งสั ต ว์ ป ราณของศิ ษ ย์ น้ อ งเฉิ ง ดี หาได้
ประหลาดใจไม่ ซึ่ ง ความจริ ง อาณาจั ก รป่ า เถื่ อนน้ อ ยก็ เ ป็ น สถานที่ ที่
ค่อนข้างเหมาะสม เนื่องเพราะปากทางฟากหนึ่งอยู่ในอาณาจักรทะเลเมฆ
และทั้งอาณาจักรแทบจะอยู่ในมือของสือตงอย่างสมบูรณ์แล้ว อย่างไรก็
ความ เมื่อพิจารณาถึงด้านความปลอดภัย กงซุนชารู้สึกว่านาศิษย์น้องเฉิง
มาอยู่ ข้างกายมันจึงจะวางใจได้มากที่สุด ดังนั้นมันเรียกให้ศิษย์น้องเฉิ ง
มายังอาณาจักรเรือนกล้วยไม้แทน
ค่ายทัพในยามนี้สร้างป้อมปราการค่ายกลยันต์เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แล้ว
มี ค่ า ยจู เ ชวี่ ย เฝ้ า ระวั ง อยู่ ต ลอดเวลา อี ก ทั้ ง ยั ง มี ตั ว มั น เองอยู่ ด้ ว ย ต่ อ ให้
เทียนหวนบุกมาโจมตี กงซุนชาก็หาได้หวาดเกรงไม่
ฉุนอวี๋เฉิงกวาดตามองรอบ ๆ อย่างสนอกสนใจ “ที่นี่คืออาณาจั ก ร
ปิศาจ?”
“ถูกต้อง ที่นี่เรียกว่าอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ อาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียง
เรียกว่าอาณาจักรศิลาดา ถูกเทียนหวนยึดครองเอาไว้ แต่เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับ
เรื่องของพวกมัน ส่วนพวกมันก็ไม่มารังควานหาเรื่องเรา” กงซุนชาแนะนา
สถานการณ์โดยคร่าว ๆ
ซิวเจ่อที่พบเจอระหว่างทางพากันน้อมกายคารวะพวกมันแต่ไกล
“เช่นนั้นเจ้ามีพาหนะปิศาจหรือไม่?” ฉุนอวี๋เฉิงกวาดตามองจนถ้วน
ทั่ว จากนัน
้ หันกลับมาถามประเด็นหลัก
กงซุนชาเดิม ที คิด ชวนมัน ราลึ กความหลังอั นน่ าจดจา พอฟังต้องตี
หน้าสลดหดหู่อย่างอับจนปัญญา อย่างไรก็ตาม มันทราบดีว่าศิษย์น้องเฉิง
ก็เป็นเช่นนี้เอง จึงจัดเตรียมเอาไว้ พร้ อมสรรพ เรียกหาอาซาเก๋อ เข้ า มา
ทันที
อาซาเก๋อเป็น ปิ ศาจที่ถื อก าเนิ ดขึ้ นที่ นี่ คุ้นเคยกับพาหนะปิ ศ าจทุ ก
ชนิดเป็นอย่างดี สามารถรับหน้าที่เป็นคนนาทางที่เข้าทีมาก
ตระกู ล ซิ ง หลั ว มี พ าหนะปิ ศ าจที่ พ วกมั น เลี้ ย งไว้ พอได้ ยิ น แม่ น าง
น้อยต้าเหรินเรียกหาฉุนอวี๋เฉิงเป็นศิษย์น้อง อาซาเก๋อก็ต ระหนักถึงศักดิ์
ฐานะของบุรุษหนุ่มที่ดูเรียบง่ายซึมเซาผู้นี้ทันที ไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่
น้อย
มันนาพาฉุนอวี๋เฉิงชมดูพาหนะปิศาจทุกชนิดที่ผู้คนในกองทัพของ
มันมีไว้ใช้งาน พลางอธิบายรายละเอียดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ฉุนอวี๋เฉิงพอเห็นพาหนะปิศาจ ก็ไม่อาจละสายตากลับมาได้อีก คราว
นี้กระทั่งแม่น างน้อ ยมัน ยัง ไม่ เหลื อ บมองแม้สัก แวบ แม่นางน้อยก็ ล่ ว งรู้
นิสัยใจคอของศิษย์น้องผู้นี้ดี หาได้มีโทสะไม่ หลังจากสั่งการอาซาเก๋อสอง
สามคา แม่นางน้อยก็เตรียมหันกลับไปทางานของตัวเอง
ทันใดนั้นเอง สายสืบผู้หนึ่งทะยานร่างเข้ามาอย่างรีบร้อน
แม่นางน้อยชะงักกึก เห็นสีห น้าของสายสืบผู้นั้น มันก็ทราบทันทีว่า
เกิดเรื่องขึ้นแล้ว
“ต้าเหริน! อาณาจักรศิลาดาถูกกองทัพอสูรบุกโจมตี!”
อาณาจักรศิลาดาถูกกองทัพอสูรบุกโจมตี!
แม่นางน้อยยิ้มกว้างทันที เมื่อไม่กี่วันก่อน กองทัพเทียนหวนเพิ่ งจะ
ยกออกจากอาณาจักรศิลาดาอย่างเอิกเกริก เพื่อบุกยึดสถานที่อ่ ืน คราวนี้
รังเก่าพวกมันถูกคนเล่นงานเข้าให้แล้ว
มันสามารถนึกภาพออกเลยทีเดียว กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเมื่อทราบเรื่องที่
เกิดขึ้น สีหน้าจะต้องน่าดูชมไม่น้อย!
แม่ น างน้ อ ยชั ก เริ่ ม รู้ สึ ก สนใจกองทั พ อสู ร ที่ ผุ ด ขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น
ขบวนนี้ อ ยู่ บ้ า ง ที่ นี่ คื อ ดิ น แดนปิ ศ าจ การที่ ก องทั พ อสู ร ปรากฏขึ้ น ย่ อ ม
ไม่ใช่เรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้น กองพันอสูรทัพนี้ปรากฏขึ้นอย่างเหมาะเจาะ
พอดีเกินไป ไม่ว่ามองจากมุมใด นี่เป็นการบุกโจมตีที่คาดคานวณแผนการ
เป็นมั่นเหมาะ ลอบจู่โจมสาเร็จอย่างงดงาม
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงประมาทเกินไปจริง ๆ!
ฉุนอวี๋เฉิงกระทั่งใบหน้ายังไม่เงยขึ้นมอง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่ อ
ข่าวคราวอันใด
อาซาเก๋อตื่นตระหนกสุดระงับ มันจู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องราวบางประการ
รีบกล่าวว่า “ต้าเหริน! ผู้น้อยอาจจะล่วงรู้ว่ากองทัพอสูรขบวนนี้เป็นผู้ใด”
“เจ้ารู้รึ?” กงซุนชาประหลาดใจอยู่บ้าง
“ต้ า เหริ น ! รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลในอาณาจั ก รศิ ล าด าเชื่ อ ม
ต่อไปถึงภพอสูร อีกฟากหนึ่งนั้นเป็นอาณาเขตของตระกูลไม้วังทะเลสาบ
คราครั้งนี้ตระกูลซิงหลัวเราร่วมกับตระกูลอื่น ๆ จัดตั้งกองกาลังพันธมิตร
เพื่อต่อกรกับกงเหยี่ยเสี่ยวหรง ในบรรดาตระกูลที่เราติดต่อด้วย เราได้ส่ง
เทียบเชิญไปยังตระกูลไม้วังทะเลสาบด้วย พวกมันส่งเด็กหญิงนางหนึ่งมา
นางเรียกว่ามู่ซี หากกองทัพนั้นเป็นกองทัพอสูร ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
ก็คือกองทัพของมู่ซี! ที่แท้พวกนางยังไม่ตายหรอกหรือ ?” อาซาเก๋อสีหน้า
ทอแววเหลือเชื่อ
“ตระกูลไม้วังทะเลสาบ?” กงซุนชาพึมพา จากนั้นโยนเรื่องนี้ไปทาง
หนึ่ง
ทันใดนั้นเอง สายสืบอีกคนหนึ่งเร่งเหินทะยานเข้ามา มันยังไม่ทันจะ
ลงสู่พ้ ืน สุ้มเสียงเร่งร้อนก็นามาก่อน “ต้าเหริน เทียนหวนเผชิญการโจมตี
อย่างรุ นแรง แทบต้านไม่ไหวแล้ว พวกมันส่งคนมาขอความช่วยเหลือ แต่
เราหยุดพวกมันไว้! พวกมันร้องขอพบต้าเหริน ! พวกมันบอกว่าหลังจากนี้
จะให้การตอบแทนพวกเราอย่างจุใจ!”
กงซุ น ชางงงั น วู บ จากนั้ น รู้ สึ ก ว่ า น่ า หั ว ร่ อ อยู่ บ้ า ง “มาขอความ
ช่วยเหลือจากเราหรือ? พวกมันแตกตื่นลนลานจริง ๆ!”
เห็นสายสืบยังรอคอยคาสั่งของมัน กงซุนชาโบกมือ “ไปบอกพวกมัน
ว่าข้าไม่อยู่”
อาซาเก๋อที่ด้านข้างลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ตระกูลซิงหลัว
พวกมันผูกพันความแค้นกับเทียนหวนอย่างลึกล้า ในใจมันย่อมไม่ยินดีที่
จะให้การช่วยเหลืออีกฝ่าย
กงซุ น ชาร าพึ ง เบา ๆ กั บ ตั ว เอง “เที ย นหวนรึ ? เฮอะ ข้ า ยิ น ดี ใ ห้
อาณาจักรศิลาดาอยู่ในมือทัพอสูรมากกว่า!”
ผ่านไปอีกพักใหญ่ สายสืบอีกคนหนึ่งมารายงานเป็นคารบสาม
“ต้าเหริน! เทียนหวนแตกพ่ายแล้ว สูญเสียอาณาจักรศิล าดาให้ แ ก่
ทัพอสูร! กองทัพที่หลงเหลือของพวกมันมุ่งหน้ามาหาเรา!”
อาซาเก๋อแทบเผ่นผึงขึ้น “พวกมันตั้งใจล่อกองทัพอสูรมาที่นี่!”
กงซุ น ชาแย้ ม ยิ้ ม เย็ น ชา “ไม่ ต้ อ งไปสนใจพวกมั น แต่ ก ารได้ ช มดู
กองทั พ อสู ร ขบวนนี้ กั บ ตา นั บ เป็ น เรื่ อ งดี ส าหรั บ เรา เที ย นหวนพ่ า ยศึ ก
รวดเร็วยิ่ง กองทัพอสูรทัพนี้ไม่รวบรัดธรรมดา!”
หลายชั่ ว ยามให้ ห ลั ง เห็ น กองทั พ ที่ แ ตกตื่ นลนลานปรากฏขึ้ น บน
ท้ อ งฟ้ า เบื้ อ งหลั ง พวกมั นเป็ นกระบวนทั พ ที่ เ ป็ นระเบี ยบเรี ย บร้ อยของ
กองทัพอสูร พวกมันดูปลอดโปร่ ง เฉื่อ ยชา สลับเปลี่ยนต าแหน่ งออกมา
โจมตี และล่าถอยกลับเข้าขบวนอย่างไม่รีบไม่ร้อน คล้ายกาลังไล่ต้อนแพะ
แกะฝูงหนึ่ง
“ยอดฝีมือ!” แม่นางน้อยหยีต าลง กองทัพอสูรรุ กไล่ด้วยจังหวะจะ
โคนอันสมบูรณ์พร้อม รักษาแรงกดดันต่อกองพันเทียนหวนอยู่ ตลอดเวลา
บีบบังคับให้ศัตรู หลบหนีไปพลางเฝ้าระวังไปพลาง จนประสาทตึงเครียด
เขม็ง สามารถล่มสลายได้ทุกเมื่อ
อาซาเก๋อเผยสีหน้ า ปลาบปลื้ม ประโลมใจ มันสามารถเห็นฝี มื อ อั น
เข้มแข็งของมู่ซีได้อย่างชัดเจน แทบอดใจรอให้กองพันเทียนหวนถูกฆ่าทิ้ง
ทั้งกองทัพไม่ไหว
กองพั น เที ย นหวนพอเห็ น ขบวนค่ า ยกลบนป้ อ มปราการ พวกมั น
คล้ายคนจมน้าที่พบเห็นฟางช่วยชี วิต เส้นสุดท้ าย เร่งทะยานตรงเข้ า มา
อย่างไม่คิดชีวิต
แต่พวกมันยังไม่ทันจะบินเข้ามาใกล้ บนพื้นดินด้านใต้ฝ่าเท้าพวกมัน
ค่ายกลขบวนมหึมาพลันเริ่มเปล่งแสงออกมา
ค่ายกลใหญ่นับร้อย ๆ ขบวนเจิดจรัสขึ้นอย่างพร้อมเพรียง สาดส่อง
ทั่วหุบเขาสว่างไสวไม่ต่างจากเวลากลางวัน มองจากเบื้องบนฟากฟ้า ค่าย
กลใหญ่ ห ลายร้ อ ยขบวนนี้ ยึ ด ถื อ รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลเป็ น จุ ด
ศูนย์กลาง กระจายตัวออกเป็นรู ปพัด แผ่กว้างหลายสิบลี้ เรียงซ้อนเป็น
ชั้นๆ ถึงเจ็ดชั้น ก่อเกิดเป็นแนวป้องกันสุดแกร่งกร้าวเจ็ดชั้นซ้อน!
กองทัพอสูรพอเห็นแนวป้องกันอันกล้าแข็งถึงเพียงนี้ พลันหยุดทัพ
ลงทันควัน การบุกจู่โจมแนวป้องกันเช่นนี้อย่างซึ่งหน้า ไม่ต่างอันใดจาก
คิดฆ่าตัวตาย
เหล่าเซียนนักรบแห่งเทียนหวนสีหน้าทั้งตื่นตะลึง ทั้งพรั่นพรึง ผสม
ปนเปจนแยกไม่ออก นั บตั้งแต่พวกมันมาที่นี่ครั้งสุดท้าย ยังไม่ได้ผ่านไป
นานเท่าใดเลย แต่อีกฝ่ายกลับสร้างปราการค่ายกลอันน่าสะพรึงกลัวเสร็จ
สิ้นสมบูรณ์อย่างเงียบเชียบ!
ขบวนค่ายกลป้องกันใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนี้ ทั้งกาลังคน วัตถุดิบ
และทรัพยากรที่ต้องหมดเปลืองจะต้องเป็นจานวนที่น่าขนพองสยองเกล้า
ยิ่ง!
กงซุนชาผู้นี้ที่แท้สังกัดขุมกาลังใด?
ทัพแตกพ่ายของกองพั นเทียนหวนหันมองหน้ า กันเลิ่ กลั่ก พวกมั น
ล้วนพบเห็นเค้าความตื่นตระหนกสุดระงับในดวงตาอีกฝ่าย
“ทาอย่างไรดี?” นายทัพผู้หนึ่งถามอย่างไม่แน่ใจ
“บุกเข้าไปก่อนค่อยเจรจา! หรือพวกมันยังจะกล้าเข่นฆ่าพวกเราจริง
ๆ?” อีกคนเค้นเสียงตอบลอดไรฟันออกมา
“หากพวกมันล่วงเกินเทียนหวน รับรองว่าต่อไปในภายหน้าพวกมัน
จะไม่มีวันคืนที่ดี! พวกมันต้องไม่กล้าโจมตีเราแน่! บุกเข้าไปเลย!” อีกคน
เห็นพ้องด้วย
พวกมันได้ความเห็นเป็นเอกฉันท์อย่างรวดเร็ว หันไปสั่งการให้ทุกคน
บุ ก ผ่ า นเข้ า ไปในขบวนค่ า ยกล เหล่ า เซี ย นนั ก รบทั่ ว ไปย่ อ มไม่ ข บคิ ด
มากมายถึงเพียงนั้น พวกมันพอเห็นขบวนค่ายกล สีหน้าแตกตื่นลนลานก็
เปลี่ยนเป็นยินดีในทันที ขบวนค่ายกลป้องกันเหล่านี้ให้ความรู้สึกปลอดภัย
แก่พวกมันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลายคนในใจยังครุ่นคิด สานักที่สามารถสร้างขบวนค่ายกลอันทรง
พลังเยี่ยงนี้ได้ กองทัพอสูรไหนเลยจะเป็นคู่มือของพวกมัน?
”อย่าได้โจมตี! อย่าได้โจมตี!”
“ท่ า นที่ นั บ ถื อ หากท่ า นยื่ น มื อ เข้ า ช่ ว ยเหลื อ เที ย นหวนเราจะต้ อง
ตอบแทนให้อย่างจุใจ... ...”
มองดูทัพแตกพ่ายของเทียนหวนบุกเข้ามาหาพวกตนอย่างยุ่งเหยิ ง
วุ่นวาย กงซุนชาดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบ คมกล้าดุจคมดาบ กล่าว
ด้วยสุ้มเสียงเฉื่อยชา “ผู้ที่ล่วงล้าเข้ามาในแนวป้องกัน ฆ่าให้หมดสิ้น!”
แทบจะพร้อมเพรียงกับวาจาของมัน ขบวนค่ายกลป้องกันที่ด้านหน้า
สุดสาดแสงเจิดจ้าอย่างฉับพลัน!
บรรดาแม่ทัพกองพันเทียนหวนล้วนหน้าเผือดสี “ถอยเร็ว!”
เสียงตะโกนอย่ างขวั ญหนี ดีฝ่ อของพวกมั น ถูกเสียงคารามของห่ า
พิรุณลาแสงกลบกลืนลงไปสิ้น
ห่าฝนล าแสงอันเจิดจ้าบาดตา ประหนึ่งฝูงตั๊กแตนโถมทะยานจาก
พื้นขึ้นสู่ท้องนภา ปิดฟ้าคลุมดินจนหม่นสีสัน!
เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง!
เหล่าเซียนนักรบที่โถมเข้าไปในขบวนค่ายกลป้องกัน รู้สึกเบื้องหน้า
สายตาเปลี่ยนเป็นสีขาวพร่างอย่าสมบูรณ์ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงพลุ่ง
ขึ้นในร่าง จากนัน
้ สูญสิน
้ ความรู้สึกรับรู้ท้งั มวลในชัว
่ พริบตาเดียว
กระทั่งร่างแหลกสลายเป็นผุยผง สีห น้าพวกมันยังเต็มไปด้วยความ
ไม่อยากจะเชื่อ
อีกฝ่ายกล้าลงมือจริง ๆ... ...
พวกข้าคือเทียนหวน... ...
แม่ทัพที่ออกคาสั่งเบิ่งตาจนแทบฉี กขาด มองดูท้องฟ้าที่กลายเป็ น
ว่างเปล่าไปทั้งแถบอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาแดงฉานด้วยสายเลือด
แม่ ทั พ เที ย นหวนร้ อ งค ารามอย่ า งเคี ย ดแค้ น “คนแซ่ ก งซุ น ! เจ้ า
โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! เทียนหวนจะไม่ละเว้นเจ้า… ...”
กงซุนชาในป้อมปราการแย้มยิม
้ เล็กน้อย แค่นเสียงว่า “คนโง่!”
ค่ า ยกลที่ ด้ า นหน้ า สุ ด สว่ า งไสวขึ้ น อี ก ค ารบ กระแสพลั ง ปราณ
มหาศาลสั่ น กระเพื่ อมอย่ า งรุ น แรง บั น ดาลให้ ผู้ ค นใจเต้ น รั ว จนแทบ
กระดอนออกมาจากอก
แม่ทัพเทียนหวนเห็นเช่นนี้ ต้องขบกรามแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความ
เคียดแค้นชิงชัง ตัดสินใจนากองทัพที่ยังหลงเหลือหลบหนีไปทางหนึ่ง
“ประเสริ ฐ ยิ่ ง คราวนี้ เ ราก็ ล่ ว งเกิ น เที ย นหวนด้ ว ย” ฉุ น อวี๋ เ ฉิ ง ผู้ ถูก
ขัดจังหวะ เงยหน้ามองมาพลางกล่าว
“เจ้าควรจะเคยชินได้แล้ว” กงซุนชากล่าวอย่างเฉื่อยชา
ก่อนหน้านี้พวกมันก็ขัดแย้งกับกงเหยี่ยเสี่ยวหรงมาแล้วรอบหนึ่ง หาก
ผู้ใดสร้างหนี้แค้นให้กับสานักใหญ่เช่นเทียนหวน เช่นนั้นก็รอคอยที่จะถูก
ทาลายล้างได้เลย เว้นเสียแต่ว่าในสายตาของเทียนหวน ท่านเข้มแข็งพอ
ๆ กันกับพวกมัน ยกตัวอย่างเช่นหากอี กฝ่า ยเป็นสามส านัก ใหญ่ ที่ เ หลื อ
เทียนหวนก็จะยินยอมสะกดกลั้น
แต่กงซุนชาเข้าใจกระจ่างว่าเทียนหวนไม่เคยเห็นพวกมันเป็นคู่ต่อสู้
ที่ เ ท่ า เที ย ม หากพวกมั น รอจนกงเหยี่ ย เสี่ ย วหรงกวาดพื้ นที่ แ ถบนี้ จ น
สะอาดสะอ้าน จากนั้นอีกฝ่ายก็จะหาโอกาสเหมาะ ๆ ออกแรงกวาดพวก
มันทิ้งไปด้วยเช่นกัน
ผู้ใดสามารถทนให้ผู้อ่ น
ื นอนกรนอยู่บนเตียงของตัวเองได้?
เมื่อจะอย่างไรก็ต้องเป็นเช่นนั้น มิสู้ชิงฉีกหน้าเล่นงานพวกมันก่อน
สักเล็กน้อยย่อมประเสริฐกว่า แม่นางน้อยยังบังเกิดความคาดหวังต่อกง
เหยี่ยเสี่ยวหรงเป็นอย่างยิ่ง คิดชมดูว่าปฏิกิริยาต่อไปของอีกฝ่ายจะเป็น
อย่างไร
เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ มันก็เบิกบานใจมากแล้ว!

มู่ซีย่อมเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ นางอดเผยสีหน้าตื่นตะลึง
อยู่บ้างไม่ได้ จากนั้นเริ่มขบคิดตรึกตรองอย่างจริงจัง
กองทัพนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเทียนหวน อาจบาง
ที พ วกมั น เป็ น ศั ต รู กั น เสี ย ด้ ว ยซ้ า กองพั น เที ย นหวนล่ อ ลวงพวกนางให้
ติดตามมาที่นี่ จิตเจตนาชั่วร้ายย่อมเป็นที่ทราบได้ อย่างไรก็ตาม พวกมัน
เห็นได้ว่าประเมินผู้นาของอีกฝ่ายผิดพลาดไปไกลโข คงคาดคิดไม่ถึงว่ า
ฝ่ายตรงข้ามจะเหี้ยมเกรียมถึงเพียงนี้ กระทั่งมู่ซีเองพอเห็นขบวนค่ายกล
เบื้องล่างปลดปล่อยการโจมตีอันทรงพลังออกมา ยังอดตะลึงลานไม่ได้
ในใจนาง ระดับความเป็นอันตรายของกองกาลังนี้พุ่งทะยานขึ้นทันที
ผู้คนหากมีสุนัขป่าดุร้ายเป็นเพื่อนบ้าน ย่อมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
นางเพ่งพินิจพิจารณาขบวนค่ายกลของอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขบวน
ค่ายกลแทบจะสมบูรณ์พร้อม ไม่มีจุดบอดแม้แต่น้อย หากคิดโจมตีขบวน
ค่ า ยกลเช่ น นี้ นางต้ อ งมี ก าลั ง คนอย่ า งน้ อ ยแปดพั น ทั้ ง ยั ง จะต้ อ งจ่ า ย
ค่าตอบแทนอย่างหนักหนาสาหัส
นางจัดหน่วยทัพเล็ก ๆ ติดตามไล่ล่ากองทัพแตกพ่ายของเทียนหวน
ที่หลบหนีไป กองทัพแตกพ่ายขวัญกาลังใจตกต่าถึงขีดสุด ขอเพียงยังคง
ไล่ล่าสังหารพวกมันอย่างไม่เลิกรา พวกมันจะแตกพ่ายล่มสลายไปเอง
เรื่องสาคัญที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่การทาลายเศษซากที่ยังหลงเหลือของ
กองทั พ ข้ า ศึ ก แต่ เ ป็ น การยึ ด ครองอาณาจั ก รศิ ล าด า เดิ ม ที มู่ ซี ต้ั ง ใจว่ า
หลังจากยึดอาณาจักรศิล าดาได้จ ะอาศัยรอยแยกแห่งความโกลาหลหวน
กลับไปยังภพอสูร แต่นางเมื่อพบเห็นความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายเมื่อครู่
นางก็เปลี่ยนใจทันที ตกลงใจเฝ้ารักษาอาณาจักรศิลาดาแทน
คราวนี้ ก องทั พ ที่ อ ยู่เ บื้ อ งหน้า จะกลายเป็ นศั ต รู กั บ เทีย นหวนอย่าง
เปิดเผย กล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ พวกมันจะอยู่ในฐานะศัต รู ของเทียนหวน
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงแน่นอนว่าต้องคอยหวาดระแวงพวกมัน จะไม่กล้าเปิด
ฉากช่วงชิงอาณาจักรศิลาดาอย่างเต็มกาลังอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่นางจะเฝ้ารักษาอาณาจักรศิลาดาเอาไว้ได้ก็มี
สูงมาก
หลังจากขบคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน นางก็ตัดสินใจเด็ดขาด นางต้อง
รีบกลับไปยังอาณาจักรศิลาดาในบัดดล อีกทั้งนางยังต้องการทัพหนุนจาก
ตระกูลของนาง กงเหยี่ยเสี่ยวหรงแน่นอนว่าจะต้องล่วงรู้เรื่องนี้ในไม่ช้า ทั้ง
ยังจะรีบกลับมาโดยเร็ว
เวลากระชั้นยิ่ง
บทที่ 595 ยอดนักเจรจา

ปู้เกิ้นกล่าวกับคนในมุมมืด “เจ้าทาไม่สาเร็จ”
“สตรีข้างกายมันร้ายกาจยิ่ง” สุ้มเสียงเก่าแก่โบราณแว่วออกมาจาก
ความมืดในมุมห้อง ผู้พูดหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ข้าจะไม่
ลงมือเป็นครั้งที่ส อง สตรีส องนางข้างกายมันล้วนมีพลังฝีมือร้ายกาจสุด
หยั่งถึงทั้งคู่!”
ปู้เกิ้นคล้ายไม่ประหลาดใจ เพียงกล่าวว่า “เจ้ากลัวแล้ว”
ไม่มีคาตอบจากในมุมมืด ผ่านไปหลายอึดใจ สุ้มเสียงแก่ชรานั้นค่อย
ยอมรับ “มิผิด ข้ากลัวจริง ๆ”
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเจ้าไฉนไม่มีปัญญาแก้แค้นสาเร็จ?” ปู้เกิน
้ เลิกคิ้ว
สูงชัน สีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “เนื่อ งเพราะเจ้าห่วงพะวงไปเสียทุกสิ่ง ไม่
มีความกล้าที่จะต่อสู้เสี่ยงชีวิต”
เจตนาฆ่าฟันอันเย็นเยียบมืดมนพลันบีบรัดใส่ปู้เกิ้นอย่างดุดัน ปู้เกิ้น
ถู ก พลั ง ฆ่ า ฟั น ท าร้ า ยจนหน้ า เผื อ ดสี แต่ มั น ไม่ ย อมล่ า ถอยแม้ แ ต่ น้ อ ย
รอยยิ้มเยาะเย้ยยิ่งเข้มข้นกว่าเดิม “เช่นเดียวกันกับตอนนี้ เจ้าไม่กล้าฆ่า
ข้า เพราะเจ้ากลัวกองพันของข้า! เจ้ากลัวว่ากองพันของข้าจะทาลายล้าง
ครอบครัวของเจ้าทั้งหมด!”
“เจ้ามันอ่อนแอ เจ้าไม่อาจละวางความแค้นได้ แต่เจ้าก็ยังคงกลัวตาย
ด้วย เจ้าหวังจะบุกผ่านไปยังด่านไสว้ เพราะหากเจ้าไม่อาจเข้าสู่ด่านไสว้
เจ้าก็เป็นได้แค่ หนอนแมลงที่คืบคลานอยู่ในความมืด พยายามกระเสือก
กระสนเอาชีวิตรอด ด่านไสว้ ? หยุดเพ้อฝันเสียที! มีจอมปิศาจด่านไสว้ตน
ใดที่จิตใจอ่อนแอเยี่ยงเจ้า ?” วาจาเย็นชาของปู้เกิ้นประดุจค้อนเหล็กหวด
ฟาดลงบนแผ่นน้าแข็ง ทาลายปราการป้องกันทางจิตใจอันเปราะบางของ
ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปราณี
ชั่วอึดใจต่อมา เจตนาฆ่าฟันก็สลายหายไปโดยปราศจากร่องรอย เงา
ร่ า งที่ ดู เ หน็ ด เหนื่ อ ยก้ า วเดิ น ออกมาจากเงามื ด สุ้ ม เสี ย งแก่ ช ราแฝงเค้ า
เหนื่อยล้าอย่างลึกล้า “เจ้ากล่าวไม่ผิด ข้าไม่มีวันบรรลุถึงด่านไสว้ได้”
“ข้าสามารถช่วยเจ้าล้างแค้น” ปู้เกิ้นกล่าวอย่างกะทันหัน
อีกฝ่ายนิ่งเงียบงันไปนาน
“แต่ ใ นทางกลั บ กั น ข้ า ต้ อ งการชี วิ ต ของเจ้า ” ปู้ เ กิ้ น พลั น ผุดลุกขึ้น
ก้าวเดินออกไปโดยไม่เหลียวมองแม้สักแวบ “เมื่อเจ้าคิดตกแล้ว ค่อยมา
หาข้าเถอะ”
ก่ อ นที่ ปู้ เ กิ้ น จะออกไปพ้ น ประตู สุ้ ม เสี ย งแหบแห้ ง ดั ง ขึ้ น เบื้ อ งหลัง
“เจ้าจะช่วยแก้แค้นแทนข้าได้อย่างไร?”
ปู้เกิ้นชะงักเท้า ไม่หันหน้ากลับมา เพียงกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าลืม
เลือนกองพันเกิ้นของข้าแล้ว? กองพันที่จัดอยู่ในร้อยสุดยอดแห่งดิน แดน
ร้อยเถื่อน ไหนเลยจะไม่มีปัญญาช่วยเจ้าล้างแค้น?”
“เจ้าต้องการให้ข้าทาอะไร?” สุ้มเสียงยังคงดังมาจากด้านหลัง
“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ฆ่าเซี่ยวม่อเกอ”
“เมื่อใดจึงเป็นเวลาที่เหมาะสม?”
“เจ้าจะรู้เมื่อถึงเวลา”
กล่ า วจบค า ปู้ เ กิ้ น ก็ เ ปิ ด ประตูเ ดิ นลับ หายไปโดยไม่ หัน กลับ มามอง
แม้แต่แวบเดียว

“ปู้เกิ้นเคลื่อนพลออกจากเมืองไปแล้ว?” หลันเทียนหลงประหลาดใจ
อยู่บ้าง
หลันหยงยักไหล่ “อาจบางทีมันรู้สึกว่าไม่มีความหวังแล้ว ไม่ว่ากอง
พันของมันจะร้ายกาจสักปานใด อยู่ในนครมหาสันติก็ไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ
ได้ ครั้นจะพึ่งพาพลังฝีมือส่วนตัว มันก็ไม่อาจหาผู้ใดมาเป็นคู่มือของเซี่ยว
ม่อเกอ”
“นี่ ดู ไ ม่ เ หมื อ นนิ สั ย ใจคอของปู้ เ กิ้ น ” หลั น เที ย นหลงแย้ ง พลางสั่ น
ศีรษะ
“แต่ มั น ไปแล้ ว จริ ง ๆ ถึ ง ขั้ น น ากองพั น ทั้ ง หมดไปด้ ว ย” หลั น หยง
กล่าวอย่างไม่เห็นสาคัญ “ไม่เช่นนั้นมันยังจะทาอะไรได้?
“เอาเถอะ ไม่ต้องสนใจมันแล้ว” หลันเทียนหลงเมื่อขบคิดไม่เข้าใจ ก็
เลิกวุ่นวายเปลืองสมองทันที เปลี่ยนเป็นหันไปมองหน้าหลันหยงอย่างยิ้ม
แย้ม “เจ้ามิใช่ชมชอบซิ่นกงจู่รึ? ว่าอย่างไร? คงเฝ้ากระวนกระวายจนนอน
ไม่หลับแล้วกระมัง?”
หลันหยงสีหน้าแดงซ่านวูบหนึ่ง แต่แล้วมันสงบใจลงอย่างรวดเร็ว สั่น
ศีรษะด้วยสีหน้าละห้อย “ข้าไม่อาจดึงดูดใจนาง”
หลันเทียนหลงนิ่งเงียบงันไป มันทราบว่าพี่น้องของมัน กล่า วไม่ ผิ ด
ตระกูลหลันแม้มีอานาจอิทธิพลอยู่บ้าง อีกทั้งสองพี่น้องก็เป็นบุรุษหนุ่มอัน
เด่นล้า แต่ต่อหน้าทะเลผู้สมัครเป็นคู่ครองของสามกงจู่ พวกมันไม่นับเป็น
อะไรได้
มันตบไหล่พี่น้องของมันหนัก ปลอบโยนว่า “โอกาสอันดีอาจเกิดขึ้น
ได้ทุกเมื่อ รูปโฉมของเจ้าน่าดูกว่าข้า เจ้าอาจสามารถชนะใจนางจริง ๆ!”
สองพี่น้องสบตากันวูบ จากนั้นหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว
สักครู่ให้หลัง สองพี่น้องค่อยหยุดหัวร่ออย่างยากเย็น หลันหยงเอ่ย
ปากอย่างยิ้มแย้ม “ฮ่า จะว่าไปคราวนี้รับรองว่าพวกมันไม่ได้อยู่สุขสบาย
กันแน่ ๆ เพราะข้ารู้สึกว่าเซี่ยวม่อเกอมุ่งเป้าไปยังสามกงจู่”
หลั น เที ย นหลงงงงั นวู บ นิ่ ง ขบคิ ด ชั่ ว ครู่ จากนั้ น กล่ า ว “เจ้ า พอเอ่ย
เช่นนี้ ข้าค่อยบังเกิดความรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก มันพอปรากฏตัว
ออกมาก็ล้วนแล้วแต่กระทาเรื่องโอ่อ่ามากสีสัน ทั้งยังทะยานขึ้นรวดเร็วยิ่ง
ที่แท้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ข้ายิ่งคิดทบทวนยิ่งรู้สึกว่าเข้าเค้า”
“ไม่ รู้ ว่ า มั น พึ ง ใจกงจู่ ท่ า นใด ฮ่ า ข้ า ละอยากรู้ นั ก ว่ า ผู้ ใ ดจะเป็ น คน
เคราะห์ร้ายรายนั้น!” หลันหยงมีสีหน้ายินดีในคราวเคราะห์ข องผู้อ่ ืนอยู่
บ้ า ง “เซี่ ย วม่ อ เกอไม่ ใ ช่ ค นที่ ก ระท าการตามสามั ญ ส านึ ก กงจู่ ที่ เ ป็ น
เป้าหมายของมันอาจต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว! ฮ่าฮ่า!”
หลันเทียนหลงพอฟัง อดหัวร่อไม่ได้
การเคลื่อนพลจากไปของปู้เกิ้นไม่ได้ก่อให้เกิดระลอกอันใดมากนัก
ทุกผู้คนเข้าใจว่าปู้เกินไม่มีวิธีจัดการกับเซี่ยวม่อเกอ แทนที่จะยังดิ้นรนไม่
เลิกรา มิสู้รักษาหน้าและจากไปเงียบๆ จะดีกว่า
ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น วั น ที่ ส ามกงจู่ จ ะมาถึง ก็ ก ระชั้ นเข้า มาทุ ก ขณะ ทั่ ว ทั้ ง
นครมหาสันติเหมือนเตาไฟที่เติมเชื้อเพลิงเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ผู้คนยิ่งมา
ยิ่งคึกคักกระตือรือร้น หัวข้อสนทนาล้วนแล้วแต่ไม่พ้นเรื่องราวเกี่ยวกั บ
สามกงจู่โฉมงาม

เปี๋ ยหานกั บ ฟู่ ฟ งนั่ ง รออย่ า งเงี ย บงั น เถาซิ ง กั บ ซู่ ห ลงอยู่ เ ป็ น เพื่ อน
พวกมัน
สองนายบ่าวคู่นี้มาเสาะหาจั่วม่อ ซู่หลงเป็นผู้ให้การต้อนรับพวกมัน
แทน โดยไม่รบกวนจั่วม่อ เปี๋ ยหานพอฟังจากซู่หลงว่าจั่วม่อกาลังหาทาง
ช่วยชีวิตปิศาจกองพันบาปเคราะห์ จึงนั่งลงรอคอยเงียบ ๆ
มันมีความอดทนมากพอ
ทันใดนั้นประตูห้องเปิดกว้าง จั่วม่อเดินออกมา
“จั่วม่อ!” ฟู่ฟงร้องทักทายอย่างฉับพลัน
จั่วม่อสังเกตเห็นอาคันตุกะแปลกหน้ามารออยู่ที่ห น้ าประตูแ ต่ แ รก
มั น พอเดิ น ออกมาพลั น ได้ ยิ น เสี ย งเรี ย กชื่ อ นี้ เห็ น ได้ ชั ด ว่ า ตกตะลึ ง พรึ ง
เพริด แต่เมื่อเห็นหน้าฟู่ฟง ต้องประหลาดใจยิ่ง “ฟู่ฟง!”
คนทั้งสองเคยพบพานกันหลายครั้ง ทั้งยังเคยทาการค้าที่ดีรายหนึ่ง
ต่างบังเกิดความประทับใจในตัวอีกฝ่ายอย่างลึกล้า
“มันเป็นอย่างไรบ้าง?” เปี๋ ยหานโพล่งถามอย่างกะทันหัน
จั่ ว ม่ อ เหลื อ บมองเปี๋ ยหาน มั น ไม่ รู้ จั ก คนผู้ นี้ ดั ง นั้ น หั น กลั บ ไปมอง
ฟู่ฟงเป็นเชิงถาม
ฟู่ฟงเมื่อยืนยันแล้วว่าเซี่ยวม่อเกอคือจั่วม่อจริง ๆ มันค่อยรู้สึกตื่นเต้น
ยินดี ทั้งยังรู้สึกสนิทสนมอยู่ บ้า ง พอเห็นจั่วม่อใช้ส ายตามองมาเป็ น เชิ ง
ถามไถ่ มันก็รีบแนะนาอย่างไม่รีรอ “นี่คือเปี๋ ยหานเตี้ยนเซี่ย สมาชิกกอง
พันบาปเคราะห์ที่พลัดหลงมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเตี้ยนเซี่ย”
จากนั้นมันเล่าความแต่หนหลังอย่างไม่ปิดบัง
จั่วม่อในที่สุดก็ล่วงรู้เรื่องราวโดยกระจ่าง ยิ่งรู้สึกชัดเจนว่าวัดเสวียน
คงฉากหน้าเปี่ ยมด้วยเมตตาธรรม แต่กลับชั่วร้ายไปกระดูก ด า ต้องร้อง
โพล่งออกมาอย่างชิงชังรั งเกียจ “ข้าว่าแล้ว! เหล่าโจรหัวโล้นวัดเสวียนคง
สมควรตายร้อยครัง้ พันครัง้ !”
รอจนมั น ได้ ยิ น ว่ า เปี๋ ยหานลอบหลบหนี ก ลั บ มายั ง ภพปิ ศ าจ ใน
ระหว่ า งที่ ถู ก ส่ ง ไปโจมตี อ าณาจั ก รทะเลเมฆ จั่ ว ม่ อ อดแหงนหน้ า หั ว ร่ อ
อย่างสาแก่ใจไม่ได้
ฟู่ฟงงุนงงสงสัยอยู่บ้าง รีบถามว่าเป็นเรื่องราวใด แต่จ่ว
ั ม่อโบกมือตัด
บทไปก่อน ยังไม่ยอมบ่งบอกว่ามันเป็นเจี้ยจู่แห่งอาณาจักรทะเลเมฆ
ฟู่ฟงแม้ไม่ได้รับการไขข้อสงสัย แต่ลอบคลายใจลง ดูเหมือนว่าจั่วม่อ
กับวัดเสวียนคงมีข้อบาดหมางกัน มีคากล่าวที่พูดกันอย่างกว้างขวางว่ า
ศั ต รู ข องศั ต รู ถื อ เป็ น มิ ต ร ผนวกกั บ ความสั ม พั น ธ์ ใ นอดี ต พวกมั น รู้ สึ ก
ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างบอกไม่ถูก
“มันเป็นอย่างไรบ้าง?” เปี๋ ยหานห่วงกังวลอยู่กับปิศาจกองพันบาป
เคราะห์ผู้นั้น อดถามซ้าไม่ได้
จั่วม่อแปลกใจเล็กน้อย สมาชิกกองพันบาปเคราะห์ล้วนดวงวิญญาณ
ไม่ส มบูรณ์ ไม่ต่างจากหุ่นปิศาจตัวหนึ่ง ภายใต้เงื้อมมือของวัดเสวียนคง
พวกมันเป็นเพียงเครื่องมือฆ่าคน แต่เปี๋ ยหานผู้นี้กลับเฝ้ากังวลสนใจกับ
สมาชิกกองพันบาปเคราะห์ที่ดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ สร้างความรู้สึกที่ดี
ให้แก่จ่ว
ั ม่อไม่น้อย
มันตอบอย่างยิ้มแย้ม “ลองเข้ามาดูแล้วเจ้าจะรู้เอง”

กล่างพลางเดินนาเข้าไปในห้องก่อน เปี๋ ยหานกับฟู่ฟงรีบตามเข้า ไป


อย่างกระชั้นชิด
พวกมันพอเห็นปิศาจกองพันบาปเคราะห์ยืนนิง่ เงียบประหนึ่งหุ่นเชิด
เปี๋ ยหานดวงตาทอประกายวูบ ตัวมันเองคล้ายไม่ขยับเคลื่อนไหว แต่ปิศาจ
กองพันบาปเคราะห์ร่างหายวับไป จากนั้นปรากฏขึ้นด้านหลังเปี๋ ยหานดุจ
เงาภูตพรายสายหนึ่ง
เปี๋ ยหานดวงตายิ่งสว่างเจิดจ้า สีหน้าตะลึงลานสุดระงับ “เจ้าลบล้าง
อาคมหวงห้าม?”
จั่วม่อยืดอกอย่างภาคภูมิ ใจยิ่ ง “อาคมหวงห้า มที่ มีปั ญหาย่อ มต้ อ ง
ลบทิ้ง ข้ายังแก้ไขอาคมหวงห้ามทั้งหมดจนสมบูร ณ์ เปลี่ยนพวกมันเป็น
แผนผังปิศาจชนิดใหม่ พลังของคนของเจ้าสมควรเพิ่มขึ้นอย่างน้อ ยสอง
เท่า! ว่าอย่างไร ข้าร้ายกาจหรือไม่!”
เปี๋ ยหานสีหน้ าทอแววเหลือ เชื่ อ พลั น เพ่ ง จิต วู บ เห็ น ปิ ศ าจกองพัน
บาปเคราะห์เ ริ่ม เคลื่อนร่ างเป็น วงกลมรอบกายพวกมั น ยิ่งมายิ่งเร็ ว ขึ้ น
เรื่อย ๆ รอจนเงาร่างของมันเร็วมากเสียจนเลือนรางเหมือนเงาผี ระดับ
ความเร็วก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง!
ทั่ ว ทั้ ง ห้ อ งถู ก สายลมกระโชกกวาดซั ด หลายคนซวนเซไปมาใน
กระแสลมอันเกรี้ยวกราด ในขณะที่จ่ัวม่อกับอีกสองสามคนร่างตรึงแน่น
มั่นคงราวกับตะปูตอกติดพื้น
ทันใดนั้น สมาชิกกองพันบาปเคราะห์หยุดยั้งลงอย่างกะทันหัน!
ระหว่ า งเคลื่ อนไหวอย่ า งรุ น แรงสุ ด ขี ด กั บ สงบนิ่ ง สุ ด ขั้ ว แทบไม่ มี
ช่องว่างรอยต่อ ชวนอึดอัดขัดข้องเสียจนผู้คนแทบกระอักโลหิตออกมา
เปี๋ ยหานดวงตายิ่งสว่างสดใสกว่าเดิม วาจาของจั่วม่อไม่ได้กล่าวเกิน
เลยแม้แต่น้อย พลังของสมาชิกกองพันบาปเคราะห์เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า
สองเท่ า ! หากไพร่ พ ลกองพั น บาปเคราะห์ ท้ั ง กองทั พ สามารถยกระดั บ
เช่นเดียวกันนี้ กองพันบาปเคราะห์จะกลายเป็นฝันร้ายของศัตรู ทุกรู ปทุก
นามแล้ว!

เปี๋ ยหานพลัน ประสานมื อ ค้อ มค านั บ จั่ว ม่ อ อย่ า งเต็ม พิธี ก าร “ข้ า มี
เรื่องจะขอร้อง!”
จั่ ว ม่ อ งงงั น วู บ รี บ ประคองเปี๋ ยหานขึ้ น มา “เกรงอกเกรงใจอั น ใด
เพียงแค่พูดมาเท่านั้น”
“ข้าขอร้องท่านที่นับถื อ กรุ ณาช่วยลบล้ างอาคมหวงห้ ามและสลั ก
แผนผังปิศาจใหม่ให้แก่พี่น้องกองพันบาปเคราะห์ของข้าด้วย”
“พี่น้องของเจ้ามีจานวนเท่าใด?” จั่วม่อถามอย่างสงสัยใจ
“สองพันหกร้อยยี่สิบสามคน!”เปี๋ ยหานตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
จั่วม่อศีรษะพองโต หน้ามืดวิงเวียนขึ้นมาทันที รีบโบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่ มี ท าง ไม่ มี ท าง! เจ้ า คิ ด จะฆ่ า ข้ า หรื อ ไร นี่ มี แ ต่ จ ะเหน็ ด เหนื่ อ ยตาย
เท่านั้น!”
“ท่ า นที่ นั บ ถื อ กรุ ณ าเถอะ ไม่ ว่ า มี เ งื่ อนไขใด ข้ า ยิ น ดี รั บ เงื่ อนไขทุก
ประการ!” เปี๋ ยหานกล่าวอย่างไม่ลังเล
ฟู่ฟงพอได้ยินประโยคนี้ต้องใจหายวาบ คราวนี้ย่าแย่แล้ว! มันคบหา
สมาคมกับจั่วม่อมานาน ทราบว่าเมื่อครั้งกระโน้น เจ้าผู้นี้เคยถูกขนานนาม
ว่าผีดิบจอมลอกคราบที่ผู้คนล้วนหวาดสะพรึง มันไม่ว่าผ่านไปยังที่ใด ไม่
ขุ ด ดิ น ลึ ก สามฉื่ อ ไม่ ย อมเลิ ก รา! เตี้ ย นเซี่ ย ท่ า นเปิ ด โอกาสใส่ พ านถวาย
ให้แก่มันอย่างดิบดีถึงเพียงนี้ เจ้าตัวร้ายนี้มีหรือจะละเว้นท่าน?
จริงดังคาด จั่วม่อผู้ที่เมื่อครู่เพิ่งจะปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย เริ่ม
ลูบคางอย่างครุ่นคิด “อะแฮ่มแฮ่ม ต้องเข้าใจว่ามิตรภาพกับ ธุรกิจการค้า
สมควรแยกออกจากกั น ดู จ ากพลั ง งานมากมายที่ ใ ช้ ไ ปในคราวนี้ งาน
แก้ ไ ขอาคมหวงห้ า มที่ ส ลั บ ซั บ ซ้ อ นเช่ น นี้ กิ น แรงกายแรงใจมหาศาล
มิ ห น าซ้ า การใช้ แ ผนผั ง ปิ ศ าจแนวทางใหม่ ข องข้ า ไม่ เ พี ย งแต่ ล บล้ า ง
จุดอ่อนทั้งหมดให้แ ก่ก องพัน บาปเคราะห์ ยังยกระดับพลังขึ้นไม่ อี ก ขั้ น !
เรื่องนี้ล าบากยากเข็ญถึงเพียงไหน พี่เปี๋ ยท่านสมควรทราบกระจ่างกว่ า
ผู้ใด เจ้าเมื่อเป็นมืออาชีพ ก็สมควรเข้าใจความยากลาบากทั้งหมดของงาน
นี้ดี!”
เปี๋ ยหานผู้น่าสงสาร ไหนเลยจะเคยพบพานจอมมารร้ายที่ปอกลอก
ผู้คนโดยไม่กะพริบตาเช่นนี้มาก่อน ถึงกับอับจนถ้อยคาไปในทันที กระทั่ง
ฟู่ ฟ งที่ เ จนจั ด และคร่ า โลกยั ง หั ว ใจเต้ น ไม่ เ ป็ น ส่ า แต่ มั น ก็ จ นปั ญ ญาจะ
คัดค้าน เนื่องเพราะสิทธิ์ในการกาหนดอยู่ในมือผู้อ่ ืนอย่างเต็มที่ มันได้แต่
ภาวนาว่าอีกฝ่ายจะไม่เรียกร้องราคาหนักเกินไป
จั่วม่อพล่ามน้าไหลไฟดับ ควบคุมสถานการณ์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“กองพั น บาปเคราะห์ ท้ั ง กองทั พ เกื อ บสามพั น คน! ข้ า ต้ อ งเปลื อ งแรง
มากมายมหาศาลปานใด ลองคิ ด ดู ! เรื่ อ งนี้ มี แ ต่ ข้ า คนเดี ย วที่ ก ระท าได้
หมายความว่าข้าต้องทาทั้งหมดด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ข้าเป็นใคร?
เซี่ยวม่อเกอผู้ยิ่งใหญ่อย่างไรเล่า! จอมปิศาจด่านเจียง แม่ทัพบัญชาการ
ศึกระดับทอง ยอดอัจฉริยะผู้ก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพร สุดยอดฝีมือผู้
รั้ ง อั น ดั บ ที่ ยี่ สิ บ ในท าเนี ย บปิ ศ าจมหาสั น ติ ! พี่ เ ปี๋ ย เจ้ า ลองบอกมา
ค่าธรรมเนียมของข้ายังจะราคาถูกได้หรือ?”
เถาซิงฟังถึงตรงนี้ถึงกับอ้าปากค้างไปแล้ว
เปี๋ ยหานยิ่ ง ฟั ง ยิ่ ง สู ญ เสี ย ความมั่ น ใจ มั น คิ ด ว่ า วาจาของจั่ ว ม่ อ
สมเหตุส มผลยิ่ง ได้แต่กลืนน้าลายอย่างฝืดคอ “ไม่ได้ ไม่ได้! เจ้าสมควร
เรียกร้องราคาที่เหมาะสม!”
“ประเสริ ฐ ! ข้ า คิ ด อยู่ แ ล้ ว ว่ า เจ้ า เป็ น คนรู้ ห ลั ก เหตุ ผ ล มี ภู มิ ปั ญ ญา
พอที่จะเข้าใจเรื่องนี้!” การให้ความร่วมมือของเปี๋ ยหาน ทาให้จ่ว
ั ม่อพออก
พอใจยิง่ มันหยุดชะงักไปชัว
่ วูบ จากนัน
้ ถามว่า “เจ้ามีม๋อเป้ยหรือไม่?”
เปี๋ ยหานสั่นศีรษะ ตอบตามความสัตย์จริง “มีไม่มากนัก”
จั่วม่อสีหน้าผิดหวังอยู่บ้าง ถามต่อไปว่า “เช่นนั้นเจ้ามีสมบัติวิเศษที่
หายากหรือไม่?”
เปี๋ ยหานยังคงสั่นศีรษะ “ไม่มี!”
จั่วม่อตีหน้าผิดหวังสุดระงับ ทอดถอนใจพลางกล่าว “ดูเอาเถอะ ม๋อ
เป้ยเจ้าก็ไม่มี สมบัติล้าค่าเจ้าก็มี เช่นนั้นเจ้าได้แต่ขายตัวเองแล้ว ซึ่งความ
จริงต่อให้เจ้าขายตัวตลอดชีวิตก็ยังได้ราคาไม่เท่าไร แต่เอาเถอะ ข้ากับพี่ฟู่
เป็ น สหายเก่ า กั น ดั ง นั้ น ข้ า จะลดราคาให้ แ ก่ เ จ้ า มิ ห น าซ้ า ข้ า ยั ง ชื่ นชม
พฤติการณ์มากคุณธรรมน้าใจของพี่เปี๋ ย จะให้ส่วนลดเพิม
่ อีกหน่อยก็แล้ว
กัน ดังนั้นสหายเอ๋ย ข้าจะให้ราคามิตรภาพที่ดีที่สุดแก่เจ้า!”
ทุกผู้คนกลืนน้าลายอย่าฝืดคอ มองดูจ่ว
ั ม่อเป็นตาเดียว แทบอดใจรอ
ฟังราคาที่มันจะเรียกไม่ไหวแล้ว
บทที่ 596 หอสมบัติมหาสันติ

จั่วม่อกระแอมไอเบา ๆ “ฟังว่าเผ่าปิศาจมีอายุขัยยืนยาว... ...”


ได้ ยิ น ค าเปรยนี้ ฟู่ ฟ งตื่ นตระหนกทั นที “เสี่ ย วม่ อ เกอ เจ้ า ท าเช่ นนี้
ไม่ได้! เตี้ยนเซี่ย... ...”
“หนึ่งร้อยปี!” จั่วม่อขัดจังหวะฟู่ฟง
“ตกลงหรื อ ไม่ ก็ ไ ปซะ ไม่ มี ข้ อ เสนอที่ ส องอี ก ! ส าหรั บ วั ด เสวี ย นคง
เฮอะ ๆ เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องถล่มโจรหัวโล้นเหล่านี้ให้ราบ
คาบอยู่แล้ว! รับรองว่าจะไม่ขัดขวางการแก้แค้นของเจ้าอย่างแน่นอน”
ราคาที่จ่ัวม่อเรียกร้องขู่ขวัญทุกผู้คนจนขวัญหนีดีฝ่อ เถาซิงยังหน้า
ซีดเผือด อย่าว่าแต่ฟู่ฟง มันหวาดผวาจนใบหน้าขาวซีดเหมือนซากศพไป
แล้ว
เปี๋ ยหานนิ่งเงียบงันไปนาน
จั่ ว ม่ อ ยกมื อ ขึ้ น ท าท่ า นั บ นิ้ ว “เพี ย งแค่ ห นึ่ ง ร้ อ ยปี เ ท่ า นั้ น เจ้ า หาได้
ขาดทุนอันใดไม่ ลองนึกดู เจ้าเป็นเผ่าปิศาจ มีอายุขัยยาวนานยิ่ง หนึ่งร้อย
ปีก็แค่ชั่วลัดนิ้วมือเดียว เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในชีวิตเจ้าเท่านั้น! นี่ไม่
คุ้มค่าหรือ? ลองคิดดู กองพันบาปเคราะห์ข องเจ้า นอกเหนือจากสิ่ง ที่ข้า
กล่าวไปแล้ว ข้ายังต้องรับผิด ชอบบริ การหลั งการขายให้ แ ก่พ วกเจ้ า อี ก
ไหนจะอาวุ ธ ยุ ท โธปกรณ์ ไหนจะอาหารและที่ พั ก พิ ง ของพวกมั น นี่ ใ ช่
ค่าใช้จ่ายน้อย ๆ เสียเมื่อไร เจ้าลองคิดทบทวนดูอีกที ลาพังเจ้าเองตอนนี้
สามารถบุกเข่นฆ่าไปจนถึงวัดเสวียนคงได้จริง ๆ รึ? อย่าว่าแต่กองพันบาป
เคราะห์กองทัพเดียว ต่อให้เจ้ามีกองพันบาปเคราะห์สิบกองทัพ ยังไม่อาจ
ไปไกลเท่าใดเลย พวกมันคือหนึ่งในสี่มหาอานาจ! กระทั่งเส้นผมของพวก
มันเส้นหนึ่งยังหนากว่าตัวเจ้าอีก! ความคิดของเจ้าเพ้อฝันยิ่ง!”
เปี๋ ยหานไม่ปริปากโต้แย้ง มันทราบกระจ่างว่าวาจาของจั่วม่อ ไม่ มีที่
ใดผิดพลาด ไม่ว่ามันจะเก่งกาจสักเท่าใด อาศัยกองพันบาปเคราะห์เพียง
ทัพเดียวย่อมไม่มีวันทาลายล้างวัดเสวียนคงได้ พวกมันกระทั่งแตะต้องวัด
เสวียนคงยังทาไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามมีกองทัพมากพอที่จ ะค่อย ๆ บั่นทอน
กาลังของมัน มิหนาซ้ายังมีค่ายกลป้องกันอยู่ท่ว
ั ทุกหนแห่ง
“หากเจ้าไม่สนใจเรื่องการแก้แค้น เพียงแค่มองหาที่ต ายที่เหมาะ ๆ
ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่หากเป็นข้ามีความแค้นลึกล้าดุจห้วงสมุท รต่อ
วัดเสวียนคงเช่นนี้ หากไม่ก่อกวนพวกมันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็ แปลก
ไปแล้ว ข้าต้องการให้พวกมันพอได้ยินชื่ อเสี่ยวม่อเกอ ก็ต้องร่าไห้น้าตา
ไหลอาบหน้า จากนั้นถล่มวัดเสวียนคงให้ราบเป็นหน้ากลอง เผามันให้วาย
วอด โอ้ ฟังดูเข้าทีไม่น้อย!”
เปี๋ ยหานสีหน้าแปรเปลี่ยน กาหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
“พี่น้อง นั่นจึงเป็นการแก้แค้นอันชวนสาราญใจ! สิ่งที่เจ้าปรารถนา
นั่นเรียกว่ามองหาที่ตายของเจ้าเอง เจ้ากาลังมอบความได้เปรียบให้แก่วัด
เสวียนคง ช่วยให้พวกมันหมดห่วงไปเรื่องหนึ่งโดยง่ายดาย! นั่นไม่ใช่วิธีแก้
แค้นที่ถูกต้อง เราต้องพิจารณาวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม ขั้นแรก
เราต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพวกเราก่อน พร้อมกันนั้นก็บั่นทอน
กาลังของอีกฝ่ายไปด้วย ต่อให้ยังไม่สามารถทาลายล้างพวกมัน อย่างน้อย
พวกเราควรทาตัวเหมือนก้างปลาที่ติดอยู่ในลาคอของพวกมัน ให้พวกมัน
อึดอัดขัดข้อง อย่าปล่อยให้พวกมันได้อยู่สุขสบาย!”
จั่วม่อสุ้มเสียงเปลี่ยนเป็นขึงขัง
“เจ้าอาจเป็นแม่ทัพฝีมือดี แต่เรื่องเช่นนี้เจ้าทาไม่ได้ แน่ ทว่าข้าท า
ได้!”
จั่วม่อตบอกเสียงดังสนั่น กล่าวด้วยสีห น้าเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าก็คือ
เจี้ยจู่แห่งอาณาจักรทะเลเมฆ ทีนี้เจ้าคงรู้แล้ว กระมังว่าระหว่างข้ากับพวก
มันเป็นเรื่องราวใด ข้ามีกองทัพมากมาย มีค่ายหลอมสร้างฝีมือเยี่ยม ข้ายัง
มีท้งั ซิวเจ่อ อสูรและปิศาจอยู่ใต้ร่มธง หากเจ้ารับปากติดตามข้าหนึ่งร้อยปี
เราจะเสริมสร้างกาลังและความแข็งแกร่งของเรา ยังจะกลัวไม่ได้เหยี ยบ
ย่าวัดเสวียนคงดุจเหยียบย่าหนอนแมลงอีกหรือ?”
“พี่ น้ อ ง!” จั่ ว ม่ อ เร้ า อารมณ์ อ ย่ า งต่ อ เนื่ อง “แค่ ห นึ่ ง ร้ อ ยปี เ ท่ า นั้ น
เพียงส่วนเล็ก ๆ ในชีวิตเจ้า เทียบกับความแค้นลึกล้าดุจห้วงสมุทรของเจ้า
ยังไม่คุ้มค่าอีกหรือไร? การค้าที่ได้เปรียบถึงเพียงนี้เจ้าจะยังหาได้จากที่ใด
อีกเล่า!”
“ประเสริ ฐ ! ข้ า ตกลง!” เปี๋ ยหานเงยหน้ า โพล่ ง ขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น
ใบหน้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน “เจ้ากล่าวไม่ผิด ข้าต้ องการให้พวกมันกิน
ไม่ได้นอนไม่หลับ! เรามีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน พวกมันก็ต้องยากจะข่มตานอน
อีกหนึ่งวัน!”
ฟู่ฟงอ้าปากค้าง เหม่อมองเตี้ยนเซี่ยของมันอย่างโง่งม มันไม่คาดฝัน
ว่าเตี้ยนเซี่ยจะตอบตกลงในลักษณะนี้ มันถึงกับคิดร่าไห้แต่ไร้น้าตา ...คน
ประเภทใดกันทาการค้าไม่ต่อรองราคา?
“ประเสริฐ!” จั่วม่อปรบมือ กล่าวยกย่องชมเชยเปี๋ ยหานไม่ขาดปาก
“บุรุษที่แท้จริงต้องเด็ดขาดเช่นนี้เอง!”
เถาซิงหน้าซีดเผือด ข้อตกลงทางการค้าที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตามันนี้
ขู่ขวัญมันจดหวาดกลัวแทบตาย หนึ่งร้อยปี! เพียงกล่าววาจาไม่กี่คาก็ต ก
ลงเป็นทาสหนึ่งร้อยปี!
บั ด นี้ ม านึ ก ดู ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจที่ มั น ต้ อ งจ่ า ยในวั น นั้ น นั บ เป็ น ราคาที่
ย่อมเยามากจริง ๆ! มันมองเปี๋ ยหานด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
เด็ ก อั น น่ า สงสาร เจ้ า ช่ า งน่ า เวทนาเหลื อ เกิ น ที่ ต้ อ งมาร้ อ งขอความ
ช่วยเหลือจากจอมมารร้ายตนนี้
จั่วม่อพลันหันไปหาเถาซิง “เหล่าเถา เรื่องวัตถุดิบ... ...”
เถาซิงผู้กาลังตกอยู่ในสภาวะขวัญหนีดีฝ่อแทบสะดุ้งโหยง “อา อา
อา อ๊า! วัตถุดิบ... ... ใช่ วัตถุดิบ โอ้ โอ้ โอ้ วัตถุดิบ... ... ไม่มีปัญหา! ข้าจะ
จัดเตรียมให้ทุกอย่าง ใช้ได้ตามสบายเลย!”
จั่วม่อยินดียิ่ง ตบไหล่เถาซิงอย่างเป็นกันเอง “เหล่าเถา ข้าล่วงรู้อยู่
แล้วว่าเจ้าเป็นคนที่เข้าใจข้าที่สุด!”
เถาซิงใบหน้าเกือบแข็งทื่อ ผงกศีรษะรัว ๆ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทาอยู่
แล้ว!”
มันหวาดกลัวแทบตายแล้ว... ...
น่ากลัวจริง ๆ

ในทะเลแห่งจิตสานึก
“หนึ่งร้อยปีน้อยเกินไปแล้ว!” ผูเยาไม่พอใจนัก
“เจ้ า สมควรท าสั ญ ญาชั่ ว ชี วิ ต รั บ รองว่ า มั น ยั ง คงตอบตกลง” เว่ ย
กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “หากเจ้าช่วยมันแก้แค้น”
จั่ ว ม่ อ เหลื อ กตา “ข้ า เซี่ ย วม่ อ เกอ เมื่ อท าการค้ า ยั ง คงมี ศี ล ธรรม
ประจาใจ”
ทันใดนั้นสุ้มเสียงของมันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าต้องใช้พลัง
เทพ”
ผูเยากับเว่ยชะงักกึกพร้อมกัน
จั่วม่อใบหน้าเครียดขรึม “อาคมหวงห้ามชั้นสุดท้ายซึ่งเชื่อมต่ อ กั บ
ดวงวิญญาณของปิศาจกองพันบาปเคราะห์ สร้างขึ้นด้วยพลังเทพ”
“พลังเทพ?” ผูเยากับเว่ยสีหน้ากลายเป็นหนักอึ้ง
“วัดเสวียนคงก็บรรลุพลังเทพด้วยหรือ?” เว่ยประหลาดใจอยู่บ้าง
“ข้ า ไม่ รู้ สมควรเป็ น พลั ง เทพที่ ยั ง พั ฒ นาไม่ ส าเร็ จ ” จั่ ว ม่ อ ครุ่ น คิ ด
จากนั้นกล่าวว่า “แต่มันเป็นพลังเทพชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน ข้าก็อธิบาย
ไม่ถูก พลังปราณที่ข้าใช้ถูกกลื นกินไปจนหมด เนื่องเพราะไม่มีทางเลือก
อื่น ข้าถูกบีบบังคับให้ต้องใช้พลังเทพ จึงสามารถสร้างแผนผังปิศาจจน
เสร็จสมบูรณ์ได้”
ผูเยาสีหน้ากลับเป็นปกติ มันแย้มยิ้มเย็นชา “วัดเสวียนคงไม่ใช่ตัวโง่
งม พวกมั น ไหนเลยจะไม่ ท ะยานอยาก ไขว่ ค ว้ า หาพลั ง เทพมาอยู่ ใ น
ครอบครอง? ทั้งยังอาจไม่ใช่แค่พวกมัน ส านักอื่น ๆ ก็เกรงว่าลอบศึกษา
พลังเทพในทางลับด้วยกันทั้งหมด”
จั่ ว ม่ อ ฉุ ก ใจคิ ด “ที่ แ ท้ ค วามจริ ง เบื้ อ งหลั ง เหตุ ก ารณ์ ที่ สี่ ส านั ก ใหญ่
ติดตามไล่ล่าผู้สืบเชื้อสายของชนเผ่า โบราณ หรือว่าทาไปเพื่อพลั ง เทพ
นี่เอง?”
“ชัดเจนแจ่มแจ้ง!” ผูเยายังคงยิ้มเย็นเยือก “พวกมันล้วนไม่ใช่ตัวดี
อยู่แล้ว”
“ระมัดระวังไว้ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ ว่ าเจ้ าฝึ กปรือพลั งเทพ” เว่ยเตือ น
อย่างเคร่งเครียด
“อา ไม่ต้องห่วง คิดจะควบคุมบังคับใช้พลังเทพเหล่านี้ สาหรับข้ายัง
ไม่ใช่เรื่องง่าย” จั่วม่อกล่าวอย่างจนปัญญา จากนั้นเปลี่ยนเป็นหัวร่อฮี่ฮี่
เบิกบานใจขึ้นมาทันตาเห็น “อย่างไรก็ตาม การสร้างแผนผังปิศาจขึ้นจาก
เศษซากอาคมหวงห้ามของกองพันบาปเคราะห์เป็นประโยน์ต่อพลังเทพ
ของข้ามาก โดยเฉพาะอาคมหวงห้า มเหล่านี้ มีห ลายจุ ดที่ข้าต้ องใช้ พ ลั ง
เทพเข้าจัดการ ครั้งนี้ข้าสามารถทากาไรได้ พร้อมกับฝึกปรือพลังเทพไป
ด้วย ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ! ฮ่าฮ่า!”
“อ้อ ดูเหมือนว่าเจ้าจะแค่ข าดทุนน้อยลงนิดหน่อย” เว่ยคล้ายยั งไม่
ค่อยพอใจนักที่จ่ว
ั ม่อไม่ทาสัญญาตลอดชีวิต
“ดีกว่าไม่มีอะไรเลย” ผูเยากล่าวอย่างเกียจคร้าน
... ...
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ อ ารมณ์ ไ ม่ สู้ดี นั ก หลายวั น มาแล้ ว ที่ จ่ั ว ม่ อ ไม่ ไ ด้ ฝึก
ฝีมือ มันกาลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกองพันบาปเคราะห์ หากจั่วม่อไม่ฝึกฝีมือ
นางก็ไม่อาจใช้วิธีบาเพ็ญคู่ นางพบว่าพลังเทพในกายนางรุ ดหน้าเพิ่มพูน
เชื่องช้ากว่าเดิมมาก
อาจารย์ของนางเคยบอกว่าเคล็ดวิชาฝึกปรือพลังเทพที่นางใช้นั้นยัง
ไม่ส มบูรณ์ ดี มีหลายส่วนขาดหายไป แม้ว่าเหล่า คนรุ่น ก่อ น ๆ จะทุ่ม เท
แรงกายแรงใจมากมาย พยายามซ่อมสร้างให้สมบูรณ์ แต่ยังคงไม่บรรลุถึง
ผลลัพธ์ที่พวกมันคาดหวัง
เชื้อสายทางอาจารย์ของนางแทบไม่เคยมีผู้ใดฝึกปรือพลังเทพสาเร็จ
ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ปู่ของนาง ท่านไม่เคยสัมผัสถึงพลังเทพเลย
เคล็ดวิชาพลังเทพอันลึกซึ้งเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ซึ่งไม่อาจบ่ง
บอกบรรยายผ่านถ้อยคาเพียงอย่างเดียว
ในที่สุดนางก็ฝึกปรือพลังเทพสาเร็จ ทั้งยังพบผู้ที่จะร่วมบาเพ็ญคู่ไป
กับนางพร้อมกัน โชควาสนาของนางดีงามกว่าอาจารย์ข องนางหลายต่อ
หลายเท่า
ทว่าสิ่งที่ทาให้นางรู้สึกจนปัญญาก็คือ ระยะนี้จ่ว
ั ม่อกลับไม่ได้ฝึกฝีมือ
เลย!
หากจั่วม่อไม่ฝึกฝีมือ นางก็ไม่อาจใช้วิธีบาเพ็ญคู่ได้ พลังเทพของนาง
เติบโตอย่างเชื่องช้าผิดปกติ นางพยายามลอกเลียนจั่วม่อ ด้วยการไปอ่าน
ดู เ คล็ ด ความบนหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจ แต่ น างพบว่ า ในไม่ ช้ า นางก็ ไ ม่
สามารถอ่ า นต่ อ ไปได้ อี ก เคล็ ด ความบนหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจเรี ย บง่ าย
เกินไป เป้าหมายสูงสุดของหลักศิลาทักษะปิศาจอาจจะเป็นพลังเทพ แต่
กลั บ มี เ คล็ ด ความส าคั ญ หลายส่ ว นคลุ ม เครื อ เป็ น อย่ า งยิ่ ง ไม่ มี สิ่ ง ใด
บรรยายถึงพลังเทพ
หลังจากอ่านดูรอบหนึ่ง นางก็โยนทิ้งไปด้านข้าง
ในเวลานั้นเองที่นางได้ประมือกับชีเตียวอวี่ช่วงสั้น ๆ แต่พลังอันกล้า
แข็งของผู้อ่ ืน ทาให้นางหวาดวิตกอย่างรุนแรง พลังเทพของนางยังคงอ่อน
ด้ อ ยเกิ น ไป และชี เ ตี ย วอวี่ ไ ด้ ค้ น พบมั น แล้ว นี่ เ ป็ น เรื่ อ งที่ อั น ตรายอย่าง
แท้จริง
หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป นางอาจต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปชั่วชีวิต
หลายวันมานี้นางไม่ได้ออกไปข้างนอกที่พัก ได้แต่อยู่กับหอห้องอย่ าง
เรียบ ๆ ร้อย ๆ คฤหาสน์แห่งนี้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา กระทั่งชีเตียวอวี่
ยังไม่กล้าล่วงล้าเข้ามาโดยไม่ระวัง
แต่จ่ว
ั ม่อที่น่าชังถึงกับไม่ได้ฝึกปรือพลังเทพ!
นึกถึงเรื่องนี้ นางขุ่นแค้นเสียจนแทบขว้างถ้วยชาใบโปรดทิ้ง
มันไฉนไม่มุ่งเน้นภาระหน้าที่ที่แท้จริงของตน!
นางตัดสินใจคิดหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“ระยะนี้ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมนับว่าสับสนอลหม่าน
จริง ๆ” ซิ่นกงจู่หน้านิ่วคิ้วขมวด “กองโจรยังคงปรากฏขึ้นตลอดทาง ฟังว่า
มีกองโจรมารวมตัวกันเพื่อมุ่งเป้ามายังพวกเรามากขึ้นอีก”
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งแย้มยิ้มพลางกล่าว “กงจู่อย่าได้ห่วงกังวลไป มีพวก
เราอยู่ด้วย ไม่ว่าพวกมันจะขนกันมามากมายเท่าใด ก็ยังคงไม่พอมือพวก
เรา”
ซิ่นกงจู่ไม่ชมชอบสุ้มเสียงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย “บางที
ในกลุ่มโจรอาจมียอดฝีมือ”
บรรดาบุรุษหนุ่มหากไม่สั่นศีรษะ ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย พวกมันส่วนใหญ่
เป็นยอดฝีมือในหมู่พี่น้องร่วมตระกูลของพวกมัน ย่อมไม่เห็นพวกโจรอยู่
ในสายตา
เสียกงจู่เผยอยิ้มจาง ๆ “เจี่ยเจียไม่ต้องกังวล อีกสองสามวันพวกเราก็
จะบรรลุถึงนครมหาสันติแล้ว ถึงตอนนั้นย่อมสบายใจได้”
ซิ่นกงจู่สีหน้าเบาใจลงเล็กน้อย “ถูกของเม่ยเม่ย”
ไม่ มี ก องทั พ ใดกล้ า มาลงมื อ ในนครมหาสั น ติ เรื่ องนี้ ก็ ร วมถึ ง พวก
กองโจรด้วย ไม่เคยมีกองโจรใดกล้ามาอาละวาดในนครมหาสันติ
“พวกเจ้ามีผู้ใดเคยได้ยินเรื่องหอสมบัติมหาสันติบ้างหรือไม่ ?” บุรุษ
หนุ่มผู้หนึ่งจู่ ๆ ก็ถามขึ้น
“หอสมบั ติ ม หาสั น ติ ? นั่ น เป็ น เรื่ อ งราวใดกั น ?” บุ รุ ษ หนุ่ ม คนอื่ น ๆ
เดิมทีเดินทางจนเบื่อหน่ายอยู่บ้าง พอฟังก็รีบรุมล้อมเข้ามาทันที
บุรุษหนุ่มที่เปิดหัวข้อสนทนามีสีห น้ าภาคภูมิ ใจ “ข่าวนี้เพิ่งจะแพร่
ออกมาไม่นาน ว่ากันว่าซือจือหมิงสั่งสมสมบัติล้าค่ามากมายนับ ไม่ ถ้ ว น
เอาไว้ ดังนั้นมันสร้างหอสมบัติมหาสันติเพื่อเป็นที่เก็บซ่อนสมบัติเหล่านั้น
ในช่วงสามปีแรกที่นครมหาสันติก่อสร้างแล้วเสร็จ หอสมบัติมหาสันตินี้
ยังคงอยู่ ถูกอ้างถึงในบันทึกมากมาย แต่หลังจากนั้น ไม่ทราบเพราะเหตุใด
หอสมบัติมหาสันติจู่ ๆ ก็หายสาบสูญไป ซือจื่อหมิงก็ไม่เคยกล่าวถึงมันอีก
เลย ราวกับว่าหอสมบัติมหาสันติไม่เคยมีอยู่จริงมาก่อน”
ทั้งหมดกระตือรือร้นสนใจขึ้นมาทันที อดซักถามไม่ได้ “แล้วจากนั้น
เล่า?”
“เมื่ อ ไม่ น านมานี้ มี ข่ า วแพร่ อ อกมา ว่ า หอสมบั ติ ม หาสั น ติก าลังจะ
ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พวกเราไปคราวนี้ต้องคอยจับตาดูให้ดี!”
“เลิกเชื่อข่าวลือเหลวไหลเถอะน่า! หอสมบัติมหาสันติอันใด ข้าเคย
ไปยั ง นครมหาสั น ติ ห ลายครั้ ง หลายหน ไม่ เ คยได้ ยิ น เรื่ อ งหอสมบั ติ มหา
สันติแม้แต่น้อย!”
“ครั้งนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น! ข้าเคยเห็นบันทึกที่เกี่ยวข้องกับหอสมบัติ
มหาสันติจริงๆ หากจาไม่ผิดพลาดดูเหมือนจะอยู่ในบันทึกท่องมหาสันติ”
“อา ข้าก็เคยอ่านบันทึกฉบับนี้!”
“เช่นนั้นก็มีหอสมบัติมหาสันติอยู่จริง ๆ? เราต้องลองเสาะหาดู! หาก
ค้ น พบจริ งๆ สมบั ติ ข องซื อ จื่ อหมิ ง ผู้ นั้ น คราครั้ ง นี้ พ วกเราคงได้ ก าไร
มหาศาลแล้ว!”
“เพ้อฝัน!”
“หอสมบั ติ ม หาสั นติ ?” ซิ่ น กงจู่ ค ล้ า ยขบคิ ด เรื่ อ งบางสิ่ ง ดวงตาทอ
ประกายเลือนรางที่แทบไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
บทที่ 597 ลมหายใจพลังเทพ

ในขณะที่ ผู้ ค นก าลั ง เฝ้ า รอให้ ส ามกงจู่ เ ดิ น ทางมาถึ ง นครมหาสั นติ


จั่วม่อก็กาลังวุ่นวายจนหัวหมุนอยู่กับการสลักแผนผังปิศาจใหม่ให้แก่กอง
พันบาปเคราะห์ การที่ต้องช่วยเหลือไพร่พลกองพันบาปเคราะห์เกือบสาม
พันตนในคราวเดียว แทบจะไม่ต่างอันใดจากมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่มองไม่
เห็นจุดสิ้นสุด! สลักแผนผังปิศาจแบบเดียวกันซ้าแล้วซ้าเล่า จากนั้นปลุก
แผนผังปิศาจให้ต่ ืนขึ้นมา หลังจากกระทาซ้าซากผ่านไปหลายร้อยคน มัน
แม้จะหลับตาก็ยังทาได้อย่างไม่ผิดพลาด และหลังจากผ่านไปมากกว่าห้า
ร้อยคน มันรู้สึกแทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด!
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้ามั นก็ค้นพบเคล็ดลับอันอัศจรรย์พันลึก มันจู่ๆ
ก็ฉุกคิดถึงตอนที่ใช้หมัดเพลิงแกนฟ้าลาดับที่ห นึ่ง พลังสังขารปิศาจของ
มันลุกโชติช่วง พร้อมกันนั้นพลังปราณและพลังจิตสานึกก็ซึมาบเข้าไปใน
เลือดเนื้อร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง
มันพบว่าเมื่อรักษาสภาวะนี้เอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง พลังเทพของมันจะชา
แรกเข้ า ไปในศี ร ษะของมั นอย่า งเงี ย บ ๆ ช่ ว ยให้ มั น บรรลุ ถึ ง สภาวะเลิศ
พิ ส ดารชนิ ด หนึ่ ง จิ ต ใจกระจ่ า งแจ้ ง โดยไม่ เ จื อ ปนอารมณ์ ค วามรู้ สึ ก ใด
อารมณ์ความร็สึก คล้า ยแยกออกจากร่า งกาย พร้อมกันนั้นร่างกายและ
จิตสานึกของมันก็บรรลุถึงระดับฝีมือควบคุมอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง
ในสภาวะนี้ ทุกการเคลื่อนไหวของจั่วม่อล้วนถูกต้องแม่นยาและไร้
ข้อต าหนิ กระทั่งพลังเทพที่ปกติไม่ค่อยเชื่อฟัง ยังสามารถควบคุมบังคับ
อย่างสะดวกดาย กระทาขัน
้ ตอนอันยากยิง่ ด้วยท่วงท่าอันปลอดโปร่ง
ในสภาวะนี้ จั่วม่อประดุจ เครื่องจักรปิศาจอันสมบูรณ์พร้อมตัวหนึ่ง
ประสิทธิภาพการทางานสูงล้ากว่ายามปกติมิรู้ว่าเท่าไร
สมาชิกกองพันบาปเคราะห์คนแล้วคนเล่าผ่านมือมันไปอย่างไม่ขาด
สาย เสร็ จ สิ้ น สมบู ร ณ์ ค นหนึ่ ง ก็ ส่ ง ออกจากห้ อ งคนหนึ่ ง ระดั บ ความเร็ ว
แทนที่จะเชื่องช้าลงกลับยิง่ มายิง่ รวดเร็วขึ้นเป็นลาดับ ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่นอก
ห้ อ งล้ ว นถู ก ความเร็ ว นี้ ขู่ ข วั ญ จนตะลึ ง พรึ ง เพริ ด พวกมั น คล้ า ยบั ง เกิ ด
ความรู้สึกว่า จั่วม่อสามารถเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดอย่างปลอดโปร่ง
ง่ายดายดุจดื่มน้าก็มิปาน
เพียงชัว
่ ระยะเวลาสัน
้ ๆ แค่สิบวัน จั่วม่อก็ปรับปรุงแก้ไขกองพันบาป
เคราะห์เกือบสามพันคนแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์!
สมาชิ ก กองพั น บาปเคราะห์ ร่ว มสามพั นคน! ถู ก มั น ส่ ง ออกมานอก
ห้องจนหมดสิ้นแล้ว!
จั่วม่อเมื่อหลุดออกจากสภาวะสุดมหัศจรรย์นี้ ความเหน็ดเหนื่อยอ่อน
ล้าก็จู่โจมเข้ามาดุจคลื่นน้าซัดโหม กลืนกินมัน ลงไปในชั่วพริบตา มันรู้สึก
เบื้องหน้าสายตามืดทะมื่น สติสัมปชัญญะดับวูบ ล้มคว่าฟาดพื้นเสี ยงดัง
สนั่น
ซู่ห ลงกับคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงดังโครมครามจากด้า นในห้อ ง พากั น
แตกตื่นลนลาน บุกเข้าห้องในทันที พวกมันพอเห็นจั่วม่อล้มคว่าแน่นิ่งอยู่
บนพื้น อารามตกใจจะรีบเข้าไปตรวจดู แต่แล้วเขิงเหลียนเอ๋อร์จู่ ๆ ปรากฏ
กายขึ้นเหมือนเงาพราย บอกเตือนด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลว่า “อย่าเพิ่งแตะ
ต้องมันจะดีกว่า!”
เห็ น สายตาไม่ เ ชื่ อ ถื อของซู่ ห ลงกั บ คนอื่น ๆ นางก็ ไ ม่ อ ธิ บ าย เพี ย ง
กล่าวว่า “รอสักครู่ พวกเจ้าจะเห็นเอง”
เป็นไปตามคานาง วาจานางยังไม่ทันจะขาดหางเสียงดี เห็นบนร่าง
จั่วม่อพลันปรากฏประกายสีทองจาง ๆ ชั้นแสงสีทองนี้เบาบางยิ่ง หากมิใช่
ว่าภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว ชั้นแสงสีทองอันแปลกประหลาดนี้อาจยาก
ยิ่งที่จะสังเกตเห็น
ประกายแสงอ่อน ๆ บัดเดี๋ยวสว่างขึ้น บัดเดี๋ยวหม่นมัวลง ราวกับว่า
กาลังหายใจเป็นจังหวะ
ซู่ ห ลงกั บ พวกเคลื่ อนถอยออกมาอย่ า งเงี ย บเชี ย บและระมั ด ระวั ง
เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนจั่วม่อเข้า หลังจากเขิงเหลียนเอ๋อร์ขวางรั้งพวก
มันเอาไว้ ถึงตอนนี้แม้แต่คนโง่เง่าที่สุดยังเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่อง
ร้าย
เขิงเหลียนเอ๋อร์ทอดตามองจั่วม่อ ใบหน้าทอแววซับซ้อนวูบ
นางไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ บุรุษที่ดูคล้ายโง่เขลาเบาปัญญาและไม่ได้
สืบทอดมรดกเคล็ด วิ ช าที่ส มบู รณ์ เ ช่นนาง ไฉนกลับประสบความส าเร็ จ
และรุดหน้าก้าวไกลรวดเร็วกว่านางมาก?
พลั ง เทพ สองค านี้ ทั บ ถมไว้ ด้ ว ยด้ ว ยโครงกระดู ก เป็ น ภู เ ขาเลากา
อัจ ฉริยะที่ ต้องทอดร่างเป็นซากศพภายใต้อาถรรพ์ของสองคานี้โดยที่ไม่
เคยได้ร้บสิง่ ใด ไม่ทราบว่ามีจานวนมากมายเท่าใด?
กระทั่ ง ยอดอั จ ฉริ ย ะอั น เด่ น ล้ า เช่ น ชี เ ตี ย วอวี่ ยั ง ติ ด ค้ า งอยู่ ที่ น อก
ประตู ไม่สามารถล่วงล้าเข้าสู่ขอบเขตนี้ได้
ทว่าจั่วม่อผู้นี้กลับบรรลุถึงระดับชั้น ‘ลมหายใจพลังเทพ’ อย่างเลอะ
เลือนงมงาย!
จั่วม่ออาจไม่ทราบว่า ‘ลมหายใจพลังเทพ’ เป็นเรื่องราวใด แต่เขิง
เหลียนเอ๋อร์ผู้มีมรดกเคล็ดวิชาที่ส มบูรณ์มากกว่ากลับล่วงรู้ดี ‘ลมหายใจ
พลังเทพ’ ก็คือสัญญาณที่ บ่ งบอกว่ าพลั งเทพบั ง เกิ ด การรุ ดหน้ าฝ่ า ด่ า น
เป็นครั้งแรก
ตลอดสายตระกูลอันยาวนานของอาจารย์นาง มีบรรพบุรุษเพียงสอง
ท่านเท่านั้นที่บรรลุถึง ‘ลมหายใจพลังเทพ’ และนี่คือสาเหตุที่มรดกความรู้
ที่นางได้รับมีความสมบูรณ์ถึงขั้นนี้
ปัญหาความลี้ลับของหมู่ดาวประทานพรก่อนหน้านี้ นางยังไม่ทันจะ
แก้ไขได้กระจ่าง บัดนี้มันกลับบรรลุลมหายใจพลังเทพก่อนนางอีก
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ อ ดท้ อ แท้ ห ดหู่ อ ยู่ บ้ า งไม่ ไ ด้ บางที บุ รุ ษ หนุ่ ม ที่ ดู
ภายนอกไม่ มี อั น ใดโดดเด่ นผู้นี้ ภายในกลั บ เป็ น ตัว ประหลาดอัจ ฉริยะผู้
หนึ่ง!
หากนางมีโอกาสได้ต รวจดูร่างกายของมันอีกครั้งก็คงจะดีมาก เชิง
เหลียนเอ๋อร์ลอบทอดถอนใจ สถานการณ์เช่นครั้งก่อนเป็นโอกาสทองใน
รอบพันปี คงจะไม่มีทางปรากฏขึ้นอีกแล้ว
ไม่ มี ผู้ ใ ดสั ง เกตเห็ น เมื่ อชั้ น แสงสี ท องบนร่ า งจั่ ว ม่ อ กระพริ บ เป็ น
จังหวะดุจกาลังหายใจ แสงประกายในดวงตาของอากุ่ยก็คล้ายจะตอบรับ
ไปด้วย บัดเดี๋ยวสว่างเรือง บัดเดี๋ยวสลัวราง เป็นจังหวะจะโคนเดียวกันไม่มี
ผิดเพี้ยน
ทันใดนั้นเอง เบื้องนอกบังเกิดเสียงร้องเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์
โสตประสาทของเขิงเหลียนเอ๋อร์คมชัดเหนือผู้คนทั่วไป นางพอผนึก
พลั ง รั บ ฟั ง สุ้ ม เสี ย งด้ า นนอกก็ ผ่า นเข้า มาในโสตประสาทของนางอย่าง
ชัดเจน
“ดูนน
ั่ !
“นั่นมันอะไรกัน?
“สวรรค์! ตรงนั้นมันป่าศิลาทักษะปิศาจ!”
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ม่ า นตาหดแคบลงทั น ควั น ร่ า งหายวั บ ไป จากนั้ น
ปรากฏกายขึ้นบนท้อ งฟ้ า เมื่อนางเหินทะยานสู งขึ้นไป แล้วมองตรงไป
ทางป่าศิลาทักษะปิศาจ พลันตกตะลึงพรึงเพริด ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นเอง
ภายใต้ม่านรัต ติกาลอันลี้ลับ บรรดาหลักศิ ล าที่พุ่งตระหง่านทะยาน
ฟ้ า ดู ค ล้ า ยเก่ า แก่ โ บราณกว่ า เดิ ม ประหนึ่ ง รู ป สลั ก หิ น ที่ ยื น เฝ้ า ระวั ง ใน
ความมืดมน เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับป่าอันแน่นขนัดผืนหนึ่ง
แต่ในเวลานี้ ป่าศิล าสีดากาลังปลดปล่อยรังสีอ่อนจางประดุจทะเล
แห่งแสงผืนหนึ่ง
เป็นทะเลแห่งแสงที่บัดเดี๋ยวสว่างวาบ บัดเดี๋ยวมืดมัว ดุจกาลังหายใจ
ปิศาจมากมายเหินทะยานตรงไปยังป่าศิลา ล้วนลิงโลดแทบคลุ้มคลั่ง
ทุกใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ตื่นตะลึงและหวาดกลัวอยู่บ้าง เป็นเวลา
หลายปี แ ล้ ว นครมหาสั น ติ ไ ม่ เ คยบั ง เกิ ด เหตุ ก ารณ์ อั น แปลกประหลาด
เช่นนี้มาก่อน
เขิงเหลียนเอ๋อร์ดุจถูกสายฟ้าฟาดใส่ร่างอย่างฉับพลัน นางหันขวับไป
ยังห้องด้านล่าง...
...ภายในห้องที่นางเพิ่งจากมา จังหวะการหายใจของชั้นแสงประกาย
บนร่างจั่วม่อ เป็นจังหวะการหายใจเดียวกับกันป่าศิลาไม่มีผิดเพี้ยน!

“ในที่สุดพวกเราก็มาถึงนครมหาสันติเสียที” เสียกงจู่กล่าวพลางบิด
กายอย่างเกียจคร้าน ผ้าไหมชั้นเลิศอันเบาบางแทบไม่อาจปิดบังเรือนร่าง
งามพิลาสที่เย้ายวนใจของนางได้ อวดส่วนโค้งส่วนเว้าอันโดดเด่นสะดุดตา
ใบหน้าทอแววเกียจคร้านที่แฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์ สามารถทาให้บุรุษทุกรู ป
ทุกนามต้องกลืนน้าลายโดยไม่รู้ตัว
ซิ่นกงจู่แย้มยิ้มเล็กน้อย นางเคยชินกับภาพเบื้องหน้านี้แล้ว บางครั้ง
กระทั่งนางที่เป็นสตรีด้วยกันยังอดชื่นชมเสน่ห์ดึงดูดใจของเสียกงจู่ไ ม่ไ ด้
ต้ อ งกล่ า วปนหัว ร่ อ ว่ า “มิ ผิ ด เราเดิ น ทางมานานแล้ ว ยามนี้ ข้ า ต้ องการ
เพียงสถานที่อันสะดวกสบายให้พักผ่อนดี ๆ สักครา สัตว์ร้ายควันเมฆนี้แม้
ดียิ่ง แต่ด้านความสุขสบายนับว่าไม่เพียงพอจริง ๆ”
สัตว์ร้ายควันเมฆร่างใหญ่โตและโปรงเบา ร่างของมันคลับคล้ายเมฆ
หมอก ส่วนท้องก่อกาเนิดโลกเฉพาะของตัวเอง สามารถรองรับผู้คนนับ
พัน สัตว์ปิศาจชนิดนี้นิสัยใจคออ่อนโยน มันแม้บินรวดเร็วมาก แต่ก็มั่นคง
เป็นอย่างยิ่งเช่นกัน เนื่องเพราะเหตุนี้เอง มักกลายเป็นพาหนะของเหล่า
ตระกูลสูงศักดิ์
เหล่านายน้อยตระกูลใหญ่ที่นั่งเรียงรายพร้อมหน้าพากันผงกศีรษะ
เห็นด้วย หากมิใช่ว่าสามกงจู่อยู่ที่นี่ พวกมันไม่มี ผู้ใดคิดอยากอยู่ข้างในนี้
นาน ๆ
ทันใดนั้นเอง ทุกผู้คนพลันรู้สึกร่างกายเริ่มหนั กขึ้น คนผู้ห นึ่งกล้า ว
ด้วยรอยยิม
้ “ถึงแล้ว มันเริม
่ มุ่งหน้าลงต่าแล้ว”
ในเวลานี้ เ อง ใครบางคนพลั นร้ อ งตะโกนอย่ า งตื่นตระหนก “ดู นั่น
เร็ว! พวกเจ้าทุกคน ดูตรงนั้น!”
ทุกคนได้ยินเสียงร้ องนี้อย่างชัดเจน ภายใต้ความแปลกใจ แต่ละคน
ลุกขึ้น ทะยานร่างขึ้นด้านบน
รอจนสายตาของพวกมันมองลงไปยังนครมหาสันติ ภายตรงหน้าทา
ให้ทุกคนตะลึงลานอย่างพร้อมเพรียง
เห็นป่าศิลาทักษะปิศาจซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดใน
นครมหาสันติ ปกคลุมไปด้วยแสงสว่างสีขาว กระพริบวูบวาบเป็นจังหวะ
ราวกับสัตว์ร้ายมหายักษ์ตัวหนึ่งกาลังหายใจ
... ...
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงนาทัพเข้าช่วยเหลือกองพันเทียนหวนที่เหลือรอด
มาจากอาณาจั ก รศิ ล าด า มั น เมื่ อ หั น ไปเห็ น กองทั พ อสู ร ที่ ไ ล่ ติ ด ตามมา
หลบหนี ห ายไปก็ ไ ม่ ไ ด้ สั่ ง ให้ ไ ล่ ติ ด ตาม เนื่ องเพราะมั น ต้ อ งการทราบ
เสียก่อนว่ารายละเอียดของเรื่องราวเป็นอย่างไร
ขณะที่รับฟังแม่ทัพนายกองที่เหลือรอดบรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ใบหน้าของมันยิ่งมายิ่งเขียวคล้า เมื่อฟังว่ากงซุ นชาโจมตีสังหารพวกมัน
อย่างไม่ลังเล เจตนาฆ่าฟันอันเข้มข้นก็ปะทุขึ้นในดวงตา เป็นประกายเจิด
จ้าดุจสายฟ้าอันเกรี้ยวกราด
มันตกลงใจแจ้งให้สานักเร่งสืบเสาะความเป็นมาที่แท้จริงของกงซุน
ชา ยามนี้ ม าหวนคิ ด ทบทวนดู กงซุ น ชาคล้ า ยไม่ ไ ด้ ห วั่ น เกรงเที ย นหวน
แม้แต่น้อย ท่าทีของอีกฝ่ายแม้ไม่อาจบอกได้ว่ามีไมตรี แต่ก็ไม่ถึงกับเคียด
แค้นชิงชัง เมื่อขบคิดจนถี่ถ้วน กงเหยี่ยเสี่ยวหรงก็ได้ข้อสรุ ป ท่าทีของกง
ซุนชาสามารถเรียกได้ว่าเป็นความไม่หวาดกลัว
เห็ น ได้ ชั ด ว่ า กงซุ น ชาเชื่ อ มั่ น ในพลั ง อ านาจของตนอย่ า งเปี่ ยมล้ น
กระทั่งเผชิญหน้ากับเทียนหวน พวกมันยังไม่กลัวเกรง
นี่ไม่ใช่ท่าทีที่คนทั่วไปจะมีได้ ต้องเป็นขุมกาลังที่ยิ่งใหญ่ไม่ด้วยกว่า
เทียนหวนเท่านั้น!
ซึ่งความจริงกงเหยี่ยเสี่ยวหรงพอทราบข่าวว่าปรากฏกองทัพอสูรเข้า
จู่โจมอาณาจักรศิลาดา มันก็ทราบว่ามันกระทาผิดพลาดร้ายแรง กองทัพ
อสูรขบวนนี้ซุ่มซ่อนอยู่ด้ านข้างของพวกมันตลอดเวลาโดยที่พวกมั น ไม่
ระแคะระคาย เฝ้ารอโอกาสอันดีงามที่สุดเพื่อลอบโจมตี ฝีมือของผู้นาทัพ
ย่อมไม่อาจดูแคลนได้
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงกอบกู้ก องพัน แตกพ่ ายที่ยั งรอดชี วิต แต่มันไม่ ไ ด้
ตรงไปยังอาณาจักรศิลาดาในทันที เพียงออกคาสั่งให้ถอยกลับไปยังที่มั่น
ก่อนหน้านี้
บรรดาแม่ทัพใต้ร่มธงหน้าเปลี่ยนสี พากันซักถามว่าพวกมันไฉนไม่
โจมตีช่วงชิงอาณาจักรศิลาดากลับคืนมา? กงเหยี่ยเสี่ยวหรงสั่งให้พวกมัน
อย่าได้ซักถาม มันก็ไม่อธิบาย กลับสั่งการให้ล่าถอยด้วยความเร็วสูงสุด
ปฏิกิริยาตอบโต้ของกงซุนชาทาให้มันเข้าใจท่าทีของอีกฝ่ายทันที
ในช่วงจังหวะสาคัญในระหว่างที่พวกมันบุกโจมตีกองทัพอสูร รับรอง
ว่ากงซุนชาจะไม่ยอมพลาดโอกาสอันดีงามที่จะลอบโจมตีกระหนาบหลัง
พวกมันแน่
คนผู้นี้เป็นซิวเจ่อจริง ๆ หรือ?
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงสะบัดศีรษะแรง ๆ สลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้ง
ไปจากใจ ดวงตากลับคืนสู่ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว พวกเขาหลงเหลือเพียง
หนทางเดียวเท่านั้น!

กองทัพอสูรขบวนหนึ่งจู่ ๆ ก็ส าดพุ่งออกมาจากมหานครนภาโลหิต


บุกเข่นฆ่าเข้าสู่สวรรค์สี่ดินแดนอย่างคลุ้มคลั่ง
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงยี่สิบวัน กองทัพอสูรที่ดูคล้ายจะไร้พ่าย
ขบวนนี้ก็บุกทะลวงข้ามหกอาณาจักร ยังไม่ทันที่กองทัพใดจะทันได้ต อบ
โต้ พวกมันพลันปรากฏตัวในอาณาจั กรหมื่ นชะตาแห่ง ดินแดนซี เ ซวี ย น
อย่างกะทันหัน
รอยแยกแห่ ง ความโกลาหลในอาณาจั ก รหมื่ นชะตาเชื่ อมต่ อ กั บ
ดินแดนอสูร ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ห้าหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อช่วงคุม
สิทธิ์การควบคุมรอยแยกแห่งความโกลาหล
ในช่วงคับขันอันตรายที่สุด กองพันเหลียงเวยจู่ ๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
กองทัพซิวเจ่ออย่างกะทันหันดุจเงาผี เข่นฆ่ากระหนาบหลังอย่างเกรี้ยว
กราดดุดัน ช่วงชิงรอยแยกแห่งความโกลาหลมาได้อย่างง่ายดาย!
อาณาจักรหมื่นชะตาตกอยู่ในมือฝ่ายอสูรในบัดดล!
จากนั้นเหลียงเวยช่วยพันธมิตรฝ่ายอสูรของมันจัดตั้งแนวป้องกันอัน
มั่นคง แล้วยกทัพบุกลึกเข้าไปในดินแดนของซิวเจ่อตามล าพัง ก่อนที่ซิว
เจ่อจะทันได้ต้ังตัว มันก็บุกพิชิตไปอีกสี่อาณาจักรโดยไม่มีผู้ใดต้านติด มัน
เข่ น ฆ่ า สั ง หารทุ ก ชี วิ ต ไปตลอดทาง ไม่ เ ว้ น แม้ แ ต่ สั ต ว์ เ ลี้ย ง ฝี มื อ อ ามหิต
เหี้ยมเกรียมขู่ขวัญทุกผู้คนจนขวัญหนีดีฝ่อ! ซิวเจ่อในบริเวณใกล้เคียงพา
กั น หลบหนี อ ย่ า งแตกตื่ นลนลาน ภายในช่ ว งไม่ กี่ วั น สี่ อ าณาจั ก รที่ เ คย
คึกคักรุ่งเรือง บัดนี้กลับกลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่ร้างไร้ผู้คน
ความคลุ้มคลั่งของเหลียงเวยสะท้านไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว!

และในวันเดียวกัน
แม่ ทั พ หญิ ง มู่ ซี แ ห่ ง ตระกู ล ไม้ วั ง ทะเล ส าบ ทั น ใดนั้ น บุ ก จู่ โ จม
อาณาจักรศิลาดาแตกพ่าย ยึดครองเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นางยัง
ประสบความส าเร็ จ ในการตั ด ทางล่ า ถอยระหว่ า งกงเหยี่ ย เสี่ ย วหรงกั บ
เทียนหวน นี่หมายความว่ายามนี้กงเหยี่ยเสี่ยวหรงถูกโดดเดี่ยวอยู่ในภพ
ปิศาจ ตกอยู่ในสถานกาณณ์สุ่มเสี่ยงอันตรายยิง่ !
ในช่ ว งระยะเวลาหนึ่ ง วั น อั น กระชั้ น สั้ น สายลมก็ เ ปลี่ ย นทิ ศ อย่ า ง
กะทันหัน!
ในการรบช่วงแรก ฝ่ายอสูรตกเป็นรองทุกด้าน แต่เหตุเปลี่ยนแปลง
เหล่ า นี้ บั ง เกิ ด ขึ้ น โดยไม่ มี เ ค้ า ลางล่ ว งหน้ า เที ย นหวนกั บ ซี เ ซวี ย นล้ ว น
ประสบความสูญเสียอย่างหนัก
ซีเซวียนสูญเสียสี่อาณาจักร แต่ไม่ได้กระทบถึงขุมกาลังหลักของพวก
มัน เทียบกันแล้วฝ่ายเทียนหวนกลับต้องร้อนรุ่มดุจ เพลิงผลาญ หากต้อง
สู ญ เสี ย กงเหยี่ ย เสี่ ย วหรง ส าหรั บ พวกมั น จะเป็ น การสู ญ เสี ย ใหญ่ ห ลวง
อย่างที่ไม่อาจหาสิง่ ใดมาทดแทนได้
ในการตอบโต้ เทียนหวนพลันกดดันแนวรบหลายด้านอย่างไม่ปราณี
ปราศัย
เมื่ อ มหายั ก ษ์ ใ หญ่ อ ย่ า งเที ย นหวนตอบโต้ เ ต็ ม ก าลั ง พลั ง อ านาจที่
สาแดงออกมาก็น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหกวัน พวกมัน
ปราบพิชิต หกอาณาจักร เปิดทางผ่านระหว่างเทียนหวนกับภพปิศาจขึ้น
รวดเดียวถึงหกสาย แต่ทางผ่านทั้งหกสายล้ วนแล้ว แต่ยัง คงอยู่ห่ างไกล
จากกงเหยี่ยเสี่ยวหรง
ฝ่ายซีเซวียนที่สูญเสียสี่อ าณาจัก รก็บั นดาลโทสะอย่า งรุ น แรง ทาง
หนึ่งส่งแม่ทัพเลื่องชื่อออกมาตามล่ากองพันเหลียงเวย อีกทางหนึ่งก็เร่งส่ง
เสบียงบารุงและทัพหนุนไปยังกู่เหลียงเตา
กู่เหลียงเตาผู้กาลังขยับขยายดินแดนก็ไม่ทาให้ซีเซวียนผิดหวัง มัน
พลันโอบล้อมบดขยี้ทัพปิศาจที่โรมรันกันมาระยะหนึ่ง จากนั้นซุ่มโจมตี
ทัพปิศาจที่ยกตามมาช่วยเหลือจนแตกพ่ายยับเยิน
ภายในศึกเดียว อุปสรรคที่ขวางกั้นเส้นทางรุ ดหน้าของกู่เหลียงเตาก็
หายวับไป
กองพันกู่เหลียงเตาทะยานไปเบื้องหน้าดุจ มีดผ่าผลแตง ยึดครองสี่
อาณาจักรปิศาจในรวดเดียว!
สถานการณ์สงครามจู่ ๆ ไต่ขึ้นถึงจุดสุดยอดโดยไม่มีผู้ใดได้ต้งั ตัว!
บทที่ 598 คาสั่งด่วนที่สุด

จั่วม่อเมื่อฟื้ นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอก


ไม่ถูก ความเหนื่อยล้าทั้งหมดอันตรธานหายไปสิ้น
“ต้าเหริน!” ซู่หลงผู้คอยเฝ้าอยู่ข้างกาย รีบคารวะทักทายด้วยสีหน้า
ยินดี
จั่วม่อยิ้มละไม แต่พอสายตาหันไปพบอากุ่ยที่ด้านข้าง อดประหลาด
ใจไม่ได้ มันคว้ามืออากุ่ย คิ้วขมวดทันควัน พลังเทพภายในร่างของอากุ่ย
กลับเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า!
เกิดอะไรขึ้น?
สาหรับผู้อ่ ืน พลังเทพเพิ่มพูนขึ้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่สาหรับอากุ่ย รัง
แต่จ ะยิ่งสะกดควบคุมดวงวิญญาณของนางแน่นหนากว่าเดิม! บัดซบ! ที่
แท้เกิดอะไรขึ้น กันแน่ ? จั่วม่อสีห น้ากลายเป็นขัดตา มันต้องการให้ พ ลั ง
เทพของอากุ่ยสลายไปอย่างสมบูรณ์เสียมากกว่า เพื่อที่จ ะได้ปลดปล่อย
ดวงวิญญาณของนางให้เป็นอิสระ ความเย็นเยียบและว่างเปล่าของการถูก
สะกดวิญญาณ ทั้งยังสูญสิน
้ อายตนะทั้งหกอย่างสมบูรณ์ เป็นการลงทัณฑ์
ทรมานที่โหดร้ายที่สุดในโลก!
“เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอันใด?” จั่วม่อถามเสียงแหบลึก
ซู่หลงกาลังอ้าปากจะบอกเล่า แต่แล้วสุ้มเสียงราบเรียบทว่านุ่มนวล
พลันสอดคาขึ้นจากทางด้านหลังของมัน “ลมหายใจพลังเทพ”
ผู้กล่าวย่อมเป็นเขิงเหลียนเอ๋อร์ จั่วม่องงงันวูบ “ลมหายใจพลังเทพ?
นั่นเป็นเรื่องราวใด?”
“ร่างกายของทุกผู้คนประดุจน้าถ้วยหนึ่ง พลังเทพก็คือเกลือที่ละลาย
อยู่ในน้า รอจนฝึกปรือพลังเทพได้ถึงระดับชั้นหนึ่ง ร่างกายของเจ้าและ
พลังเทพจะเข้าสู่สภาพสมดุล จากนั้นพลังเทพจะหายใจด้วยตัวเอง นั่นคือ
ลมหายใจพลังเทพจะบังเกิ ดขึ้น หมายความว่าศักยภาพทางร่างกายของ
เจ้ า ถู ก ปลดปล่ อ ยออกมา หลุ ด ออกจากขี ด จ ากั ด ดั้ ง เดิ ม เมื่ อ คื น เป็ น เจ้า
ประสบความสาเร็จในการหายใจด้วยพลังเทพนี้เอง”
จั่วม่อสับสนงุนงง แต่มันทราบว่าเขิง เหลียนเอ๋อ ร์ล่ว งรู้พ้ ืน ฐานการ
ฝึกปรือพลังเทพมากกว่ามัน หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ มันค่อยสั่นศีรษะ
พลางกล่าว “ข้ารู้สึกว่าพลังฟื้ นคืนมาอย่างสมบูรณ์ แต่หาได้ค้นพบความ
เปลี่ยนแปลงอันใดในร่างกายอย่างที่เจ้าว่าไม่”
“เจ้าเพิ่งจะถอดกลอนประตูเท่านั้น ยังต้องใช้เรี่ยวแรงผลักประตูให้
เปิดออก” เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวเสียงสงบราบเรียบ
“แล้วสิ่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับพลังเทพภายในร่างอากุ่ย?” จั่วม่อ
ถามอย่างกังขา
เขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตาทอประกายประหลาดวูบหนึ่ง นางชายตามอง
จั่วม่อ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ แต่เข้าใจว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวพัน
กับการที่เจ้าบรรลุถึงลมหายใจพลังเทพเมื่อค่าคืนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”
จั่วม่อหัวคิ้วขมวดมุ่น ทันใดนั้นมือของมันถูกเกาะกุมเอาไว้แน่น เป็น
อากุ่ยที่จับมือของมันนั่น เอง จั่วม่องงงันวูบ จากนั้นสีห น้าทอแววปลาบ
ปลื้มประโลมใจ นานมากแล้วที่อากุ่ยไม่ได้มีการตอบสนองเช่นนี้ นับตั้งแต่
ที่นางใช้พลังเทพต่อสู้กับสตรีหมอกที่นอกหมู่บ้านหมอกในคราวนั้นทีเดียว
มันเพ่งพิศดู อากุ่ยยังคงมีสีห น้าแข็งทื่อดุจ เดิม แต่มือข้างนั้นเกาะกุมมือ
ของมันเอาไว้แน่น
จั่วม่ออารมณ์ช่ น
ื มื่นขึ้นมาทันตาเห็น
“ต้ า เหริ น เมื่ อค่ า คื น ที่ ผ่ า นมี เ หตุ ก ารณ์ แ ปลก ๆ เกิ ด ขึ้ น ที่ ป่ า ศิ ล า
ทักษะปิศาจ อีกเรื่องหนึ่ง สามกงจู่เดินทางมาถึงนครมหาสันติเรียบร้อย
แล้ว” ซู่หลงรายงาน
จั่วม่อถูกข่าวการมาถึงของสามกงจู่ดึงดูดความสนใจไปหมดสิ้น ข่าว
เกี่ยวกับป่าศิล าทักษะปิศาจผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูข วาโดยอัตโนมัติ มันรีบ
ถามว่า “พวกนางมาถึง แล้ ว ? ประเสริฐ เจ้าอย่าลืมไปสืบหาว่า พวกนาง
พานักอยู่ทใี่ ด”
ซู่หลงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคงรับคาโดยไม่เกี่ยงงอน ลอบจดจา
ภารกิจเอาไว้ในใจ
จากนั้นจั่วม่อถามว่า “เยี่ยหลิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตัวอ่อนปิศาจของเถาซิงในที่สุดก็ใช้ผู้คนส่งมาถึง เฉิงจู่ผู้เฒ่ากลัว ว่า
จะชาระหนี้ให้แก่จ่ัวม่อล่าช้า การค้าขายระหว่างจั่วม่อกับเปี๋ ยหานขู่ข วัญ
มั น แทบตาย ผล ก็ คื อ จั่ วม่ อ ถู ก วางไว้ ใ นรายชื่ อผู้ ค นที่ มั น ยิ น ดี จ่ า ย
ค่าตอบแทนทุกอย่างเพื่อแลกกับความสงบสุขทางใจ
ซู่หลงมีสีหน้ายินดีเป็นคารบสอง “กระบวนการหลอมรวมกับตัวอ่อน
ปิศาจเป็นไปอย่างราบรื่น มันกาลังฝึกปรือ ข้าสมควรเรียกมันมาหรือไม่?”
“ยังไม่ต้องรบกวนมัน ข้าเพียงถามดูเท่านั้น” จั่วม่อหันเหไปอีกเรื่อง
“แล้วอาเหวินอยู่ที่ใด?”
“อาเหวิน อสูรผมส้มและอสูรควันดา รวมถึงพวกหนานเยว่ พากันยัง
ไปป่าศิลาทักษะปิศาจ” ซู่หลงแจกแจง “เปี๋ ยหานปิดด่านฝึกตน มันนากอง
พันบาปเคราะห์ฝึกฝีมือร่วมกัน”
จั่วม่อผงกศีรษะรับรู้ เมื่อครั้งที่มันศึกษาอาคมหวงห้ามของกองพัน
บาปเคราะห์ มันค้นพบว่ากองพันบาปเคราะห์สามารถฝึกฝีมือได้ อย่างไร
ก็ตาม วิธีฝึกฝีมือของพวกมันแปลกประหลาดยิง่ นั่นคือฝึกฝีมือร่วมกันกับ
แม่ ทั พ ผู้ บั ญ ชาการของพวกมั น หลั ง จากที่ จ่ั ว ม่ อ สลั กแผนผั งปิ ศ าจใหม่
ให้แก่พวกมัน เปี๋ ยหานจาเป็นต้องปรับตัวเข้ากับพลังใหม่ของทั้งกองพัน
ส าหรั บ แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ผู้ ห นึ่ ง ความเปลี่ ย นแปลงเพี ย งเล็ ก น้ อ ยใน
กองทัพของตนอาจเป็นห่วงโซ่ข้อสาคัญต่อชัยชนะ
“แล้ ว เจ้ า เล่ า หลอมรวมกั บ ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจเรี ย บร้ อ ยแล้ ว หรื อ ไม่ ?”
จั่วม่อถาม
ในบรรดาตัวอ่อนปิศาจจากเถาซิง ตัวอ่อนปิศาจทิวาวารมอบให้แก่ซู่
หลง และตัวอ่อนปิศาจเงาปรโลกมอบให้แก่อาเหวิน
ส่วนคนอื่น ๆ ความสามารถไม่ดีพอ ใช้ตัวอ่อนปิศาจไปก็ไม่บังเกิดผล
อันใดมากนัก
“ข้ามัวแต่เฝ้าระวังต้าเหริน และอาเหวินหลายวันมานี้ก็ไปที่หลักศิลา
ทักษะปิศาจ เราทั้งสองยังไม่มีเวลาจะหลอมรวมกับตัวอ่อนปิศาจ” ซู่หลง
มีท่าทีละอายใจเล็กน้อย
จั่วม่ออดตื้นตันใจไม่ ได้ กล่าวว่า “มอบเรื่องการดู แลให้แ ก่ผู้ อ่ ื นสั ก
สองสามวันก่อน เจ้ามุ่งเน้นไปที่การหลอมกลืนกับตัวอ่อนปิศาจ สาหรับอา
เหวิน ยังไม่ต้องรบกวนมันก็ได้” ถึงแม้ว่าการหลอมรวมกับตัวอ่อนปิศ าจ
สามารถช่วยยกระดับพลังฝีมือในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่อาเหวินยามนี้
กาลังลุ่มหลงงมงายอยู่กับหลักศิลาทักษะปิศาจ ผนวกกับสภาวะรู้แจ้งของ
มัน มันสมควรได้รับประโยชน์มากมายจากทางด้านนั้นมากกว่า
เคล็ดความบนหลักศิลาลึกซึ้งไพศาล ผู้ที่เริ่มร่าเรียนวิชาเหล่านั้นจะ
เป็ น ประโยชน์ ไ ปชั่ ว ชี วิ ต ในทางตรงกั น ข้ า ม การหลอมรวมกั บ ตั ว อ่ อ น
ปิศาจแม้ช่วยเพิ่มพูนพลังฝีมือในช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ผลประโยชน์ใน
ระยะยาว นับว่าไม่อาจเทียบได้กับการศึกษาเคล็ดความบนหลักศิลาทักษะ
ปิศาจ
แต่จ่ัวม่อประหลาดใจอยู่บ้างที่พวกหนานเยว่ก็ไปยังหลักศิล าทั กษะ
ปิ ศ าจด้ ว ย แต่ มั น ตั ด สิ น ใจไม่ เ ข้ า ไปยุ่ ง เกี่ ย ว เมื่ อหยุ ด คิ ด ทบทวนดู มั น
ตระหนักว่าผูเยาแม้ดูเหมือนเข้มงวดกวดขันกับอสูรน้อย ๆ เหล่านี้ แต่ก็
เอาใจใส่เป็นอย่างดีเช่นกัน เจ้าอสูรเฒ่าไม่รู้จักตายต้องไม่ปล่อยให้พวกมัน
เดินผิดทางอย่างแน่นอน
หากมิใช่ว่าเด็กน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นอสูร เกรงว่าจั่วม่อคงไม่อาจรักษา
ตัวอ่อนปิศาจที่เหลือให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมารของผูเยาไปได้
เวลานี้เสียกงจู่ ในที่สุ ด ก็ม าถึ งนครมหาสั นติ มันยังมีกาลังคนคั บ คั่ ง
จั่วม่อบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น!
มั น ตกลงใจว่ า ค่า คื น นี้จะลองไปเที่ ย วชมดู สักครา หากมั น สามารถ
ช่วยเหลือเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งออกมาได้ตรง ๆ นั่นจึงประเสริฐสุด

เหมียวจุนเปลี่ยนเป้าหมายไปยังถังเฟย
หากไม่มีแก่นแท้มรกตเขียวแดนสวรรค์ โอกาสที่มันจะทะลวงผ่านไป
ยังอีกระดับชั้นหนึ่งก็มีไม่มากนัก แม้ว่าท่าสังหารฟ้าครามไร้ตัวตนจะช่วย
ให้ มั น สั ม ผั ส ถึ ง ประตู ข องความเข้ า ใจในพลั ง เขตแดน แต่ ท่ า สั ง หารฟ้ า
ครามตัวตนก็ติดค้างอยู่ที่จุดนี้มาหลายปีดีดัก หลายปีมานี้ไม่ได้ก้าวหน้า
ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
คราครั้งนี้พ่ายแพ้ต่ อจั่ว ม่อ ในใจมันคล้ายบางสิ่ง บางอย่า งถู ก ปลด
เปลื้อง กลายเป็นปลอดโปร่งโล่งสบาย วันคืนของมันกลายเป็นเรียบง่าย
และไม่มีอะไรจะทา ในหมู่ผู้คนทั้งหมดในคฤหาสน์แห่งนี้ มันเป็นคนที่ผ่อน
คลายและสุขกายสบายใจที่สุด
มั น เมื่ อ หมดความทะเยอทะยานต่ อ การฝึ ก ฝี มื อ ความรั ก ชอบอั น
ยิ่ ง ใหญ่ ใ นด้ า นอื่ น ๆ ก็ เ ปิ ด เผยออกมา หลั ง จากสั่ ง สอนซู่ ห ลงเสร็ จ สิ้ น
เหมียวจุนก็เสาะพบเป้าหมายใหม่อย่างรวดเร็ว นั่นคือแม่นางถังเฟย
ในสายตามัน แม่นางน้อยที่รัดผมหางม้าผู้นี้เป็นหยกชิ้นงามที่ยังไม่ได้
เจียระไน ถังเฟยเมื่อล่วงรู้ว่าเหมียวจุนเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง
นางก็ ปิ ติ ยิ น ดี ยิ่ ง รี บ เรี ย นถามขอค าชี้ แ นะ ฝ่ า ยหนึ่ ง อยากสั่ ง สอนเป็ น
ทุ น เดิ ม อี ก ฝ่ า ยก็ ป รารถนาจะร่ า เรี ย น ลานกว้ า งในคฤหาสถ์ ก็ ก ลั บ
กลายเป็นยุ่งวุ่นวายในทันที
หน่ ว ยองครั ก ษ์ ด าวสวรรค์ กั บ ค่ า ยเว่ ย มั ก จะถู ก เหมี ย วจุ น ควบคุ ม
ขับเคลื่อนกองทัพ ใช้เป็นตัวสาธิตสาหรับสั่งสอนถังเฟยอยู่เสมอ สาหรับ
ค่ายเว่ย ไม่มีปัญหาใด ด้วยระเบียบวินัยอันเข้มงวด รวมทั้งความมุมานะ
บากบั่นที่ฝังลึกจนเป็นนิสัยของพวกมัน ไม่เพียงช่วยให้พวกมันสามารถ
ทนรับการฝึกฝนหฤโหดได้อย่างสบายเท่านั้น พวกมันยังเฝ้าเรียนรู้อย่าง
กระตือรือร้นสนใจอีกด้วย ในทางกลับกัน หน่วยองครักษ์ ดาวสวรรค์ ข อง
โซ่วผิงสภาพย่าแย่กว่ามาก คนเหล่านี้ปกติอยู่ดีกินดี ไหนเลยจะทนรับการ
ฝึกอบรมอันหนักหน่วงเช่นนี้ได้ พวกมันเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส จนแทบ
รู้สึกว่ากระดูกจะหลุดเป็นชิ้น ๆ
หลายคนแล่นไปโอดครวญกับโซ่วผิง โซ่วผิงได้แต่บากหน้าไปขอให้
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ช่ ว ยเหลื อ แต่ เ ขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ เ พี ย งกล่ า วเสี ย งอ่ อ นเบา
“ผู้อ่ ืนสามารถทนได้ แต่พวกเจ้าทานทนไม่ไหวแล้ว ? ช่างขบคิดไม่เข้ าใจ
จริง ๆ ว่าบิดาข้าจะชุบเลี้ยงหน่วยองครักษ์ดาวสวรรค์เอาไว้ทาอะไร?”
โซ่วผิงหน้าแดงฉานปานตับสุกร นึกอยากหารอยแตกบนพื้นมุดศีรษะ
ลงไปซ่อน มันเป็นหนึ่งในคนสนิทที่เขิงอี้ไว้วางใจ ไหนเลยจะเคยถูกตาหนิ
อย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ? ที่ส าคัญทุกคาที่คุณหนู กล่าวล้ วนเป็น ความจริ ง ที่
เถียงไม่ได้ ทาเอามันกล่าวไม่ออกแม้แต่ครึ่งคา ได้แต่หมุนตัวกลับออกไป
เงียบๆ รอจนกลับไปถึงค่าย มันก็กระชากตัวเหล่าคนที่โอดครวญออกมาดุ
ด่ า ทุ บ ตี จ นหนาใจ จากนั้ น บรรดาองครั ก ษ์ ด าวสวรรค์ ล้ว นหุบ ปากเงียบ
กริบดุจคนใบ้อมบอระเพ็ด
โซ่วผิงยามนี้ไม่ต่างจากราชสีห์คลั่งทลายหลุดออกมาจากกรง มันนา
กองก าลั ง ของตนฝึก ฝีมื ออย่า งบ้ า คลั่ง ด้ ว ยตัว เอง ทุ ก สิ่ ง ที่ ค่ า ยเว่ ยทาได้
พวกมันก็ต้องทาได้เช่นกัน!
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ กองพันถังเฟยไม่ยินดีถูกทิ้งล้าหลัง พากัน
คร่าเคร่งฝึกฝีมือไปด้วย
เรื่องนี้ไม่ได้ทาให้เหมียวจุนรู้สึกรู้สาอันใด มันไม่คิดว่าหน่วยองครักษ์
ดาวสวรรค์เป็นกองกาลังของจั่วม่อตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนค่ายเว่ยก็มีผู้คนไม่
มากนัก อีกทั้งแบบฉบับการต่อสู้ของพวกมันได้หล่อหลอมเป็นรู ปเป็นร่าง
แล้ ว ซู่ ห ลงเหมาะที่ จ ะน าทั พ ค่ า ยเว่ ย มากกว่ า มั น ส าหรั บ กองพั น บาป
เคราะห์ นี่เป็นกองพันของเปี๋ ยหานแต่เพียงผู้เดียว ยอดแม่ทัพที่วัดเสวียน
คงยังยอมรับ ย่อมมีคุณสมบัติที่จะนาทัพกองพันบาปเคราะห์อันเลื่องชื่อ
และด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย ภายใต้การบัญชาการของเปี๋ ยหาน กอง
พันบาปเคราะห์มีแต่จะเข้มแข็งกว่าปล่อยให้เหมียวจุนบัญชาการ ในหมู่
กองกาลังทั้งหมด กองพันถังเฟยนับว่าอ่อนด้อยที่สุด แม้ว่าถังเฟยยินดียก
กองกาลังของนางให้เหมียวจุนฝึกอบรม เหมียวจุนก็ไม่ยินยอม
กองพั น นี้ มี แ ต่ ต้ อ งให้ถั ง เฟยฝึ ก อบรมด้ ว ยตั ว เอง จึ ง จะช่ ว ยให้ น าง
ตระหนักถึงแนวคิดที่เหมาะสมต่อนางเองได้
“เหล่าซือ พวกมันพากันบอกว่าเซี่ยวม่อเกอเป็นแม่ทัพบัญชาการศึก
ระดั บ ทอง ใช่ เ ป็ น เรื่ อ งจริ ง หรื อ ไม่ ?” ถั ง เฟยท าตาโต เต็ ม ไปด้ ว ยความ
อยากรู้อยากเห็น
เหมียวจุนขบคิดชั่วครู่ จากนั้นสั่นศีรษะด้วยสีหน้าจนปัญญา “จนถึง
ตอนนี้ ต้ า เหริ น เป็ น คนเดี ย วที่ ข้ า ไม่ มี ปั ญ ญามองออกได้ อ ย่ า งถ่ อ งแท้
สาหรับมัน ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าก็คงไม่ประหลาดใจอีกแล้ว”
มันมองดูสีหน้ากังขาของถังเฟย พลันกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าทราบ
ว่าเจ้ามีอคติต่อต้าเหริน แต่อันที่จริงมันเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง ลองมองดูผู้คน
ในคฤหาสน์ แ ห่ ง นี้ โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง คนของมั น พวกมั น ล้ ว นเชื่ อมั่ น
ศรัทธาอย่างหมดใจ จงรักภักดีเป็นที่สุด! ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่เคยสังเกตเห็น
หรือว่ากองทัพของมันมีข้อแตกต่างจากกองทัพอื่น?”
“ข้อแตกต่าง?” ถังเฟยงงงันวูบ นิ่งครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
“กองทัพของมันมีอุปนิสัยเฉพาะตัวที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือพวก
มันมุมานะบากบั่นอย่างแรงกล้า มักจะไล่ล่าไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งอยู่
ตลอดเวลา” เหมียวจุนสีหน้ากลับเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “เจ้าเองก็เป็นแม่
ทัพบัญชาการศึก สมควรทราบกระจ่างว่ าคิดสร้างกองทัพเช่นนี้ เป็นเรื่อง
ยากเย็ น แสนเข็ ญ ถึ ง เพี ย งไหน ทั้ ง ยั ง สมควรทราบว่ า กองทั พ เช่ น นี้ น่ า
ประหวั่นพรั่นพรึงปานใด!”
ถังเฟยไตร่ตรองวาจาของเหมียวจุนทุกคา
“เจ้าไม่อาจมองผู้คนแต่ เพี ยงภายนอก” เหมียวจุนกล่าววาจาแฝง
ความนัย

“ฮ่าฮ่า! เจ้าได้ยินมาหรือไม่? ต่อหน้าขบวนค่ายกลของพวกเรา แม้แต่


เทียนหวนยังถูกถล่มจนวิ่งแจ้น เทียนหวนแล้วเป็นไร? คิดประชันขันแข่ง
กั บ ค่ า ยจิ น วู เ ราในเรื่ อ งค่ า ยกลหรื อ ? พวกมั น ใช่ ร าคาญในการมี ชี วิ ต สืบ
ต่อไปแล้วกระมัง!”
“ชิ แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ดีอกดีใจแล้ว? ช่างใช้การไม่ได้จริง ๆ!
น่าเสียดายที่กองทัพอสูรไม่ยอมบุกเข้ามาด้วย ข้าอยากชมดูว่าค่ายกลที่ข้า
ตั้งจะมีพลังสักเท่าใด”
“ระยะนี้ข้าไม่เคยรู้สึกสบายอกสบายใจเท่านี้มาก่อนเลยจริง ๆ! ไม่รู้
ว่าตอนนี้ต้าเหรินกาลังทาอะไรอยู่?”
เมื่ อ ไม่ น านมานี้ จ านวนปิ ศ าจที่ เ ข้ า รั บ การสลั ก แผนผั ง ค่ อ ย ๆ ลด
น้อยลงเรื่อย ๆ นอกจากเรื่องว่าจาต้องมีส ายเลือดที่เข้ากันได้และระดั บ
ความเข้มข้นของสายเลือดที่สูงพอแล้ว ยังติดปัญหาเรื่องความจงรักภักดี
อี ก ด้ ว ย สื อ ตงเพิ่ ง จะยึ ด ครองอาณาจั ก รป่ า เถื่ อนน้ อ ยได้ ไ ม่ น าน การ
ปกครองของมันยังไม่มน
ั่ คงนัก
“ต้าเหรินแข็งแกร่งมาก ต้องไม่มีปัญหาอันใดอยู่แล้ว! ซู่หลงกับพวกก็
เข้าถึงตัวต้าเหรินแล้ว พวกมันย่อมไม่ปล่อยให้ต้าเหรินเป็นอันตราย อย่า
ห่วงไปเลย”
“อา ข้าหวังจริง ๆ ว่าต้าเหรินจะกลับมาเร็ว ๆ”
“ข้าก็เช่นกัน... ....”
ทันใดนั้นเอง ปรมาจารย์จี๋เหว่ยกั บซุน เป่ าปรากฏตัวต่อหน้ า ทุ ก คน
พวกมันหยุดสนทนากันทันที บางคนดวงตาเริ่มเป็นประกาย
ครั้งสุดท้ายที่ส องปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทั้ง
สองก็ได้นาพวกมันเข้าสู่การศึกษาแผนผังปิศาจอย่างเอาเป็นเอาตาย ดุจ
ดั่งทาศึกสงครามก็มิปาน แม้ว่าจะยากลาบากผิดธรรมดาก็ตาม แต่ทุกครั้ง
ที่นึกย้อนกลับไป พวกมันยังรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจไม่คลาย
และยังเป็นครั้งเดียวกัน ที่ช่วยให้พวกมันในที่สุดก็ได้ตระหนักถึงพลัง
อานาจที่พวกมันถือครอง!
เนื่องจากปิศาจที่ต้องเข้ารับการสลักแผนผังปิศาจได้ลดน้อยลง การ
ผ่อนคลายหลังจากตึงเครียดมานาน กลับทาให้พวกมันกระวนกระวายใจ
หลายคนถึงกับรู้สึกห่อเหี่ยวและเกียจคร้านไปเลย
ดังนั้นเมื่อสองปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีห น้าท่าทีเช่นนี้อีกครั้ง
ความตื่นเต้นเร้าใจของพวกมันพลันถูกปลุกให้ต่ น
ื ขึ้นมา ทุกผู้คนสงบปาก
สงบคาลงทันที มองไปยังสองปรมาจารย์เป็นตาเดียว
จี๋ เ ห ว่ ย สี ห น้ า เ ค รี ย ด ข มึ ง ไ ม่ อ้ อ ม ค้ อ ม ม า ก ค ว า ม ก ล่ า วอ ย่ า ง
ตรงไปตรงมาว่า “คราวนี้เราได้รับคาสัง่ ด่วนที่สุดจากกงซุนต้าเหริน!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอื้ออึงในบัดดล ผู้คนสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันตา
หรือว่าสถานการณ์สงครามเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก?
ซุนเป่าไม่ห้ามปรามเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ที่ด้านล่าง เพียงกล่าวเสียง
แหบลึก “จดจาไว้ นี่คือคาสั่งเร่งด่วนที่สุด!”
ฝูงชนค่ายจินวูเงียบสงบลงทันควัน สีห น้าหนักอึ้งเคร่งขรึม มีเพียง
กรณีเดียวเท่านั้นที่คาสั่งเร่งด่วนที่สุดจะถูกส่งออกมา นั่นคือสถานการณ์
คับขันอันตรายสุดขีด!
ทุกผู้คนล้วนตระหนักแล้ว ว่าต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น!
ในห้องโถงใหญ่ค่ายจินวู เสียงแหบลึกทว่าเด็ดเดี่ยวของซุนเป่าก้อง
กังวานไปทั่ว
“เราจะต้องคิดหาวิธีการทุกอย่าง เพื่อช่วยให้ค่ายเว่ยเพิ่มพลั ง การ
ต่อสู้ข องพวกมันในระยะเวลาอันสั้นที่สุด! ทุกวิถีทางเท่าที่จ ะคิดออกมา
ได้!”
ปรมาจารย์ซุนเป่าไล่สายตามองไปรอบ ๆ สบสายตาทุกคู่ที่มองตรง
มา
“นี่ไม่ใช่คาขอ แต่เป็นคาสั่งทหาร!”
บทที่ 599 อาคันตุกะยามวิกาล

กงซุนชาเพ่งตามองแผนที่อาณาจักร ดวงตาสาดประกายเคร่งเครียด
เย็ น ชา แต่ ล ะคนก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ ถ ลึ ง ตามองแผนที่ อ าณาจั ก รด้ ว ยสี ห น้ า
ถมึงทึงเช่นเดียวกัน
“เราไม่มีกองทัพมากพอ” เว่ยหยานกล่าวหนัก ๆ “ดูจ ากความเร็ ว
ของกู่เหลียงเตาในยามนี้ มันจะต้องตัดผ่านเส้นทางของเราก่อน เส้นทาง
ไปสู่ต้าเหรินของเราจะถูกมันตัดขาดในไม่ช้า!”
ทุกผู้คนนิ่งเงียบงัน สิ่งที่เว่ยหยานกล่าวออกมาเป็นสิ่งที่พวกมันหวาด
วิตกมากที่สุด
อาณาจักรเรือนกล้วยไม้ต้ังอยู่ที่ชายแดนของดินแดนร้อยเถื่อนและ
ดินแดนแห่งความมื ด หากว่ากันตามหลักการ นับเป็นจุดนัดพบที่ ดี ที่ สุ ด
จั่วม่อสามารถมาถึงอาณาจักรเรือนกล้วยไม้เพื่อสมทบกับทุกคนเสียก่อน
จากนั้นค่อยมุ่งตรงไปยังดินแดนแห่งความมืด
ทว่ า ไม่ มี ผู้ ใ ดคาดคิ ด ว่ า กู่ เ หลี ย งเตาจู่ ๆ ผุ ด ขึ้ น จากที่ ใ ดไม่ ท ราบ
บั ง เอิ ญ ปรากฏตั ว ในเส้ น ทางที่ จ่ั ว ม่ อ จะต้ อ งผ่ า นเพื่ อมาหาพวกมั น ที่
อาณาจั ก รเรื อ นกล้ ว ยไม้ เมื่ อ ไม่ กี่ วั น มานี้ ซี เ ซวี ย นทุ่ ม เทแรงกายแรงใจ
มหาศาล บุกขยายดินแดนอย่างบ้าคลั่ง เป็นเหตุให้เส้นทางสายนี้มีโอกาส
สูงมากที่จะถูกขุนพลพยัคฆ์แห่งซีเซวียนผู้นี้ชิงตัดขาดไปเสียก่อน
แต่ในมือของแม่นางน้อยไม่มีกองทัพมากพอให้มันใช้สอย อาณาจักร
เรือนกล้วยไม้ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย เมื่อมีกองทัพอสูรเป็นสหายบ้านใกล้
เรือนเคียง มันจาต้องมีก องพันอันเข้มแข็งเฝ้ารักษาที่นี่ หากพวกมันต้อง
สูญเสียรอยแยกแห่งความโกลาหลสายนี้ ทุกผู้คนเข้าใจดีว่าหมายความว่า
อย่างไร
“ข้าส่งคาสั่งเร่งด่วนที่สุดให้แก่ค่ายจินวูเรียบร้อยแล้ว แต่เกรงว่าใน
ระยะสั้นยังไม่อาจยกระดับค่ายเว่ยให้แข็งแกร่งได้ทันสถานการณ์นัก” กง
ซุนชากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ในกรณีที่จาเป็นจริง ๆ เราจะวางค่าย
เสวียนอู่ของม้าฝานเฝ้ารักษาที่นี่ ค่ายจูเชวี่ยจะรับหน้าที่บุกไปข้างหน้า”
บรรยากาศภายในห้ อ งหนั ก อึ้ ง กดดั น แผนการของกงซุ น ชานั บ ว่ า
เสี่ยงอันตรายเป็นที่สุด ค่ายเสวียนอู่ของม้าฝานแม้แข็งแกร่ง แต่ไม่มี ผู้ใด
กล้ารับประกันว่าพวกมันจะสามารถเฝ้ารักษารอยแยกแห่งความโกลาหล
เอาไว้ได้หรือไม่
กองทั พ อสู ร ที่ อ ยู่ ใ กล้ เ คี ย งในอาณาจั ก รศิ ล าด านั้ น แข็ง แกร่ ง ยิ่ ง กง
เหยี่ ย เสี่ ย วหรงแม้ ห ายหน้ า ไป แต่ ห ากมี โ อกาสเหมาะสม มั น จะต้ อ ง
กระโจนออกมาแว้งกัดอย่างแน่นอน
หากมิใช่แม่นางน้อยยืนเฝ้ารักษาที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ในสถานการณ์
สุ่มเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ กระทั่งค่ายจูเชวี่ย ยังไม่มีผู้ใดกล้ารับรองเป็นมั่น
เหมาะว่าจะสามารถรักษารอยแยกแห่งความโกลาหลเอาไว้ได้
แต่ต่อให้ค่ายเสวียนอู่สามารถค้ายันสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ค่ายจูเชวี่ ย
เองก็ยากจะเปิดทางรุดหน้าไปได้
การปรากฏตัวของกู่เหลียงเตา ทาลายแผนการทั้งหมดของแม่ น าง
น้อยอย่างสิ้นเชิง
หากเส้ น ทางสายนี้ ถู ก ตั ด ขาด พวกมั น เฝ้ า รั ก ษาอาณาจั ก รเรื อ น
กล้วยไม้เอาไว้ก็ไม่มีคุณค่าความหมายใด พวกมันจะต้องเดินทัพระยะไกล
เพื่อให้สามารถไปสมทบกับจั่วม่อได้ เว่ยหยานกับพวกได้คานวณเส้นทาง
สายใหม่เอาไว้แล้ว หากเส้นทางปัจ จุบันของพวกมันถูกตัดขาด จุดที่ใกล้
ที่สุดที่พวกมันจะสามารถไปสมทบกับจั่วม่อได้ คือจะต้องเดินทัพข้ามผ่าน
หกสิบสองอาณาจักร!
อาศั ย หนึ่ ง กองทั พ บุ ก ผ่า นหกสิ บ สองอาณาจั ก ร! ล าพั ง จ านวนการ
ต่อสู้ที่พวกมันต้องพบพาน ก็มากพอให้ผู้คนหนังศีรษะชาซ่าน
ในทางกลับกัน การทาศึกช่วงชิงเส้นทางกับกู่เหลียงเตายังดูส มจริง
มากกว่า กงซุนชาเมื่อไม่กลัว เกรงกงเหยี่ยเสี่ย วหรงกั บเทียนหวน ก็ไม่มี
เหตุผลใดที่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อขุนพลพยัคฆ์แห่งซีเซวียนผู้นี้
แต่ที่ยุ่งยากที่สุดคือในมือมันไม่มีกาลังพลมากพอ เมื่อไม่มีกาลังพล
มันก็ไม่มีปัญญาทาอะไรได้ ยามนี้ทุกอาณาจักรล้วนแล้วแต่ต้องการกาลัง
พลยืนเฝ้ารักษา
เทียบกับบรรดาสานักใหญ่มหาอานาจเหล่านั้นแล้ว รากฐานของพวก
มันยังคงตื้นเขินเกินไปมาก
แม่นางน้อยยืนนิ่งเงียบงันอยู่เป็นนาน

ราตรีคล้อยดึก เงาร่างสามสายเหินร่อนลงมา วาบผ่านอากาศดุจเงาผี


จั่วม่อกับอากุ่ยอยู่ติดกัน เขิงเหลียนเอ๋อร์ล้าหลังทั้งคู่ครึ่งก้าว จั่วม่อ
เดิ ม ที ไ ม่ อ ยากให้ อ ากุ่ ย ติ ด ตามมาด้ ว ย แต่ อ ากุ่ ย ผู้ มี พ ลั ง เทพรุ ด หน้ า ดู
เหมือนว่าในยามนี้จะมีความคิดของตนเอง นางนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แต่ไม่
ว่าจะอย่างไรก็ต้องติดตามจั่วม่อทุกฝีก้าว ไม่ว่าจั่วม่อจะเกลี้ยกล่อมนาง
อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ส่วนเขิงเหลียนเอ๋อร์ติดตามพวกมันมาเอง จั่วม่อแม้
งุนงงอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ห้ามปรามนาง นางนับเป็นผู้ช่วยชั้นยอด นางในเมื่อ
ต้องการติดตามมาด้วย จั่วม่อย่อมไม่ขัดข้อง
เงาร่างของเขิงเหลียนเอ๋อร์ในม่านรัตติกาล ประดุจควันบางเบาสาย
หนึ่ง ท่าร่างของนางสูงสง่างดงาม กล่าวไปคล้ายแฝงเค้าประหลาดลี้ลับอยู่
บ้าง
อากุ่ ย เหมื อ นหุ่น เชิ ด ที่ ไ ร้ ประกายชี วิ ต ชี ว าอย่า งสมบู ร ณ์ นางไร้ สุ้ม
เสียงโดยสิ้นเชิง สองเท้าเปล่าของนางคล้ายย่าไปตามจังหวะจะโคนปกติ
ธรรมดา แต่ไม่มีการสั่นไหวของอากาศ ไม่มีสุ้มเสียงสาเนียงใด ไม่ปรากฏ
ระลอกอันใดแม้แต่น้อย
จั่วม่อเคลื่อนไหวดุจแมวป่าตัวหนึ่ง ปลอดโปร่ง ปราดเปรียวและชานิ
ชานาญ ท่าร่างสมดุลกลมกลืน ราวกับเลื่อนผ่านอากาศไปเสียเฉย ๆ
ทั้งสามล้วนสวมหน้ากากคนละใบ หน้ากากเหล่านี้จ่ัวม่อเพิ่งหลอม
สร้างขึ้น ไม่มีประโยชน์ใช้ส อยอื่นใด นอกจากป้องกันไม่ให้ผู้คนพบเห็ น
โฉมหน้ า ที่ แ ท้ จ ริ ง ของพวกมั น ทั้ ง สามยั ง ปรั บ เปลี่ ย นรู ป ร่ า งลั ก ษณะให้
แตกต่างไปจากเดิมอย่างไม่เหลือเค้า หากหน้ากากของพวกมันไม่หลุดลง
มา จะไม่มีผู้ใดคิดได้ว่าเป็นพวกมัน
มองไปยังพระตาหนักอันโอ่อ่าตระการที่เบื้องหน้าพวกมัน จั่วม่อดวง
ตาสาดประกายเจิดจ้า
เสี่ยวกั่ว! หลี่อิงฟ่ง!
ข้ามาแล้ว!

“หอสมบัติมหาสันติ... ...” ซิ่นกงจู่ทอดถอนใจเบา ๆ นางคล้ายราพึง


ราพันกับตัวเอง ดวงตาคู่งามที่ทาให้บุรุษนับไม่ถ้วนลุ่มหลงงมงาย ยามนี้
เผยแววเลื่อนลอย งุนงงและอับจนหนทาง พร่ากระซิบเสียงเบาต่า “หรือ
ว่านี่จะเป็นชะตากรรม?”
นางหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์อันน่าตระหนกเมื่อค่าคืนก่อน ในช่วง
เวลานั้ น ป่ า ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจทั้ ง ผื น คล้ า ยก าลั ง หายใจ นางแทบร่ า ไห้
ออกมา
ในมุมห้องด้านหนึ่ง นักรบที่ห่อหุ้มด้วยชุดเกราะหนาหนักยืนกุมดาบ
ขนาดเท่าบานประตูเล่มหนึ่ง ชุดเกราะบนร่างมันทั่วร่างไม่มีช่องว่างแม้แต่
น้ อ ย กระทั่ ง ใบหน้ า ยั ง ปิ ด คลุ ม อย่ า งแน่ น หนา ไม่ มี ผู้ ใ ดเห็ น โฉมหน้ า ที่
แท้จริงของมัน
ทุกผู้คนล้วนทราบว่าซิ่นกงจู่มีองครักษ์ เกราะหนักผู้หนึ่งอยู่ข้า งกาย
ตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นมันลงมือ มันไม่เคยเอ่ยปาก เพียงถือ
ดาบยื น นิ่ ง เงี ย บงั น อยู่ เ บื้ องหลั ง ซิ่ น กงจู่ ราวกั บ มองไม่ เ ห็ น เหล่ า คนที่
ติดตามพัวพันนางอยู่ในสายตา
ซิ่นกงจู่ยกมือลูบไล้สร้อยคอที่นางไม่เคยปล่อยให้ห่างกาย ทอดถอน
ใจเบา ๆ สีหน้าอ้างว้างเดียวดายยิ่ง นางขดตัวประหนึ่งลูกแมวที่หวาดกลัว
ความหนาวเหน็บ
ซิ่นกงจู่ในเวลานี้ ไม่ห ลงเหลือเค้าความเชื่อมั่ นสง่ างามที่น างเคยมี
ยามอยู่ต่อหน้าผู้คน
ทั น ใดนั้ น เอง องครั ก ษ์ ชุ ด เกราะที่ ป ระดุ จ รู ป สลั ก หิ น ร่ า งสาดพุ่ ง
ออกมาอย่ า งฉั บ พลั น เต็ ม ไปด้ ว ยคล่ อ งแคล่ ว ว่ อ งไวเหนื อ ธรรมดา ไม่ มี
วี่แววเชื่องช้าเทอะทะแม้แต่น้อย.
มันพลันปรากฏกายข้างประตู
ซิ่นกงจู่ดวงตาเบิกกว้าง เหม่อมององครักษ์เกราะหนักอย่างตื่นตะลึง
นางเพิ่งเคยเห็นมันมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เกิดเรื่องอันใด?

“กงจู่ รีบเข้านอนแต่เนิ่น ๆ เถอะ” จูเข่อผู้มีผมเผ้าคิ้วเคราขาวโพลน


ทอดตามองหว่านกงจู่อย่างรักเวทนา ราวกับว่านางเป็นหลานสาวของมัน
เอง ซึ่ ง ความจริ ง มั น เฝ้ า ดู แ ลองค์ ห ญิ ง น้ อ ยนางนี้ ต้ั งแต่ ยั ง แบเ บ าะ
จนกระทั่งเติบใหญ่ นางแทบไม่ต่างอันใดจากหลานสาวของมันเองจริง ๆ
“ท่านปู่จู หอสมบัติมหาสันติมีอยู่จริงหรือคะ?” หว่านกงจู่ทาตาโต สี
หน้าอยากรู้อยากเห็น
จูเข่ออดแย้มยิ้มไม่ได้ ใบหน้ายับย่นแย้มยิ้มจนยับย่นยิ่งกว่าเดิม “กงจู่
ชมชอบหอสมบัติรึ?”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! มันดูส นุกสนานน่าสนใจยิ่ง ปรมาจารย์ซือจื่อหมิง
เป็ น บุ ค คลอั น ร้ า ยกาจ ต้ อ งเก็ บ สะสมทรั พ ย์ ส มบั ติ ม ากมายเอาไว้ แ น่ ”
หว่านกงจู่ดวงตาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันระคนมุ่งมาดปรารถนา
“ฮ่าฮ่า!” จูเข่ออดหัวร่อดัง ๆ ไม่ได้ มันยกมือลูบศีรษะของหว่านกงจู่
อย่างรักถนอม พลางกล่าวว่า “หากกงจู่อยากได้ บ่าวเฒ่าจะลองไปสืบหา
สักครา ดูว่าเมื่อใดจะถึงเวลาที่มันปรากฏขึ้น”
“เป็นความจริง? ท่านปู่จูอย่าหลอกลวงข้า!” หว่านกงจู่อุทานอย่างปิ
ติยินดี “เช่นนั้นก็ประเสริฐ! หอสมบัติมหาสันติ เพียงแค่คิดถึงมันก็ชวนให้
ผู้คนตื่นเต้นแล้ว! น่าสนใจกว่างานเลี้ยงกับคนเหล่านั้นมาก!”
“หลายวันมานี้ลาบากกงจู่มากแล้ว!” จูเข่อกล่าวอย่างห่วงใย
หว่ า นกงจู่ สั่ น ศี ร ษะระรั ว “สามารถช่ ว ยเหลื อ ท่ า นพ่ อ อี ก แรงหนึ่ ง
เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่ถือว่ายากลาบากอันใด!”
“กงจู่เติบใหญ่แล้ว!” จูเข่อชื่นชม ทันใดนั้นเอง มือของมันชะงักงันวูบ
หนึ่งแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นมันกล่าวอย่างอ่อนโยน “กงจู่ นอนเสียเถอะ
เวลาไม่เช้าแล้ว”
ความง่วงงุนที่ยากจะบ่งบอกบรรยายแผ่ซ่านไปทั่ว หว่านกงจู่เปลือก
ตาหนักอึ้ง นางหาวพลางกล่าว “ท่านปู่จู ... ...ข้าจะนอนแล้ว... ...”
วาจายังกล่าวไม่จ บค า นางก็ห ลับใหลไปทันตา จูเข่อดึงผ้าห่มคลุ ม
กายให้แก่นางอย่างเบามือ รอจนมันหันกายกลับมาอย่างช้า ๆ ดวงตาพลัน
สาดประกายอามหิตวูบหนึ่ง
“สื บ ทราบเรื่ อ งสิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ หลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจแล้ว หรื อ ไม่ ?”
เสียกงจู่ยามนี้ไม่มีรอยยิ้มพริ้มพรายบนใบหน้ าเหมื อนเช่นยามปกติ สุ้ ม
เสียงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“เรียนกงจู่ ยังไม่ทราบขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาสุ้มเสียงสั่นระริก
“เหล่าสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้!” เสียกงจู่ใบหน้าเย็นเยียบ “ตระกูลส่ง
เจ้ า มาประจ าการอยู่ที่ นี่ห ลายปี เ พื่ อสิ่ง ใดกั น ? ล าพั ง เรื่ อ งเล็ ก น้อ ยเพียง
เท่ า นี้ ยั ง ไม่ มี ปั ญ ญาสื บ เสาะ? มิ ห น าซ้ า ยั ง มี เ รื่ องหอสมบั ติ ม หาสั น ติ !
เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ เจ้ากลับไม่เคยได้ยินเลย!”
ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาแทบไม่ ก ล้า หายใจแรง ทุ ก ผู้ ค นล้ ว นทราบดี ว่ าใน
เวลาเช่นนี้ หากพวกมันโต้แย้งกงจู่ พวกมันจะมีจุดจบน่าอนาถยิ่ง!
“แล้วข่าวลือเรื่องหอสมบัติมหาสันติ มีเบาะแสใดบ้างหรือไม่ ?” เสีย
กงจู่ยังคงถามต่อ “ผ่านมาตั้งนานหลายปีดีดักไม่มีผู้ใดเคยระแคะระคาย
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งโลกล้วนล่วงรู้! เห็นได้ชัดว่ามีเลศนัย!”
“บริวารใช้การไม่ได้... ...”
เพี๊ ย ะ โถก ายานพุ่ ง ลิ่ ว กระแทกใส่ ใ บหน้ า ปิ ศ าจที่ ก าลั ง กล่ า ววาจา
อย่างถนัดถนี่ โลหิตไหลปรี่ลงมาทันควัน ปิศาจตนนี้ไม่กล้าหลบเลี่ยง ทั้งไม่
กล้าขยับ ปล่อยให้เลือดไหลอาบใบหน้า หยดลงกระทบพื้น
“เศษสวะ! ล้ ว นเป็ น เศษสวะ!” เสี ย กงจู่ ห อบหายใจอย่ า งขุ่ น แค้ น
ทรวงอกอิ่มแทบจะทะลักออกมาจากอกเสื้อ แต่ไม่มีใครกล้าเหลือบมอง
แม้แต่แวบเดียว
ชั่วอึดใจใหญ่ โทสะของเสียกงจู่ค่อยสงบลง นางเอ่ยปากอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นเซี่ยวม่อเกอเล่า? หากเจ้ายังคงไม่มีสิ่งใดจะบอกกับข้าอีก เช่นนั้น
ก็เชือดคอตายเสียตรงนี้ให้สน
ิ้ เรื่องสิน
้ ราวเถอะ”
ปิศาจตนนี้รีบรายงานเร็วปรื๋อ “เรื่องของเซี่ยวม่อเกอ บริวารได้ ท า
การสืบสวนอย่างละเอียดแล้ว! มันปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกที่อาณาจัก รเศษ
หิน หนึ่งในสตรีข้างกายมันเป็นธิดาของเจี้ยจู่เขิงอี้แห่งอาณาจักรเศษหิน
เขิงอี้ผู้นี้เป็นปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาว ฝึกปรือสังขารปิศาจอสรพิษเขี้ยวขาว
มันปฏิเสธคาเชิญชวนของอวี่ไสว้ ทั้งยังสังหารยอดฝีมือในสังกั ดของอวี่
ไสว้ผู้ห นึ่ง ส่วนบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเซี่ยวม่อเกอคือค่ายองครักษ์
คนฆ่าสัตว์ พวกมันมาจากที่ห่างไกลมาก จนถึงบัดนี้ร่องรอยการปรากฏตัว
ของพวกมันเท่าที่เราตามรอยได้ สืบย้อนไปถึงอาณาจักรป่าเถื่อนน้อย ซึ่ง
ในยามนี้ต กอยู่ในมือของผู้ที่เรียกว่าสือตง คนผู้ นี้พลังฝีมือไม่เข้มแข็งนัก
แต่เป็นแม่ทัพบัญชาการศึกที่พอมีฝีมืออยู่บ้าง”
เสียกงจู่เผยสีหน้าสนอกสนใจอยู่บ้าง ผลการสืบสวนของบริวารของ
นางคล้ายละเอียดลออยิ่ง แต่ดูเหมือนมีรายละเอียดแปลก ๆ ไม่น้อย นาง
เข้ า ใจบริ ว ารเหล่ า นี้ ดี พวกมั น แม้ ใ ช้ ก ารไม่ ไ ด้ แต่ ห ากมิ ใ ช่ ว่ า พวกมั น
ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้แล้ว ต้องไม่กล้ากล่าวออกจากปากแน่
“เกี่ ย วกั บ เซี่ ย วม่ อ เกอผู้ นี้ เจ้ า มี ค วามเห็ น อั น ใด?” นางถามอย่ า ง
กะทันหัน
ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชางงงัน วู บ มั น ลั ง เลเล็ก น้ อย จากนั้ น กั ด ฟั นกล่าวว่า
“ในความเห็นของบริวาร เซี่ยวม่อเกอเป็นยอดอัจฉริยะที่เ ด่นล้าที่สุดเท่าที่
บริ ว ารเคยเห็ น ในรอบหลายปี ม านี้ ! มั น สามารถจั ด อยู่ ร ะดั บ เดี ย วกั บ ชี
เตียวอวี่!”
“จัดอยู่ระดับเดียวกับชีเตียวอวี่... ...” เสียกงจู่มีสีหน้าขบขัน จากนั้น
โบกมือ กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เช็ดเลือด แล้วออกไปได้!”
“ขอรับ!” ปิศาจผู้นั้นคล้ายได้รับการละเว้นโทษประหาร รีบล่าถอย
ไปอย่างลนลาน
“ท่านคิดอย่างไร?” เสียกงจู่โพล่งถามอย่างไม่มีที่มาที่ไป บุคคลที่นาง
ถามกลับเป็นหญิงรับใช้สูงวัยที่ข้างกายนาง หญิงรับใช้นางนี้อายุราวสี่สิบ
ปี รูปโฉมธรรมดาสามัญ ไม่มีกลิ่นอายสะดุดตาอันใด
หญิงรับใช้วัยกลางคนกล่าวว่า “หอสมบัติมหาสันติเป็นเรื่องจริง”
“ข้ารู้!” เสียกงจู่เลิกคิ้วเรียวงาม “แล้วจากนั้นเล่า?”
ในเวลานี้เอง หญิงรับใช้วัยกลางคนสีหน้าแปรแปลี่ยนวูบหนึ่ง เหลียว
มองไปทางหน้าต่าง
และในเวลาเดียวกัน สุ้มเสียงแจ่มชัดแกร่งกร้าวสะท้อนก้องมาจากที่
ห่างไกล “เป็นมุสิกหดหัวจากที่ใด กลับกล้าบุกรุกพระตาหนักของกงจู่ยาม
วิกาล? รีบไสหัวออกมาร้องขอความเมตตาจากกงจู่! อย่าให้มือของเราผู้
เป็นนายน้อยต้องแปดเปื้อนแล้ว!”
บทที่ 600 สัญชาตญาณของอิสตรี

จั่วม่อนึกไม่ถึงว่ามันยังไม่ทันจะเริ่มลงมือด้วยซ้า กลับถูกคนค้นพบ
เข้าเสียแล้ว
มันชี้ไปที่อากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์เป็นเชิงบอกใบ้ ห้ามมิให้พวกนาง
เคลื่อนไหว จากนั้นมันก้าวออกไปช้า ๆ มันจึงไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามค้นพบ
อากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์ด้วย กล่าวตามความสัตย์ กระทั่งมันเองหากมิใช่
ล่วงรู้ว่าพวกนางอยู่ที่นี่ ต่อให้พวกนางยืนอยู่ข้าง ๆ มัน มันยังไม่อาจตรวจ
พบกลิ่นอายของพวกนางได้แม้แต่น้อย
จริงดังคาด จั่วม่อชนะพนัน ซึ่งความจริงมีเพียงมันผู้เดียวที่ถูกค้นพบ
เทียบกับอีกสองนางแล้ว มันยังอ่อนด้อยจริง ๆ!
จั่วม่อรู้สึกอับอายขายหน้าอยู่บ้าง มันมีฝีมือในการดวลเดี่ยวและศึก
สงครามขนาดใหญ่ แต่ ดู เ หมื อ นในด้ า นลอบจู่ โ จมจะไม่ ช่ า ชองช านาญ
เท่าใด
ในเมื่อมันไม่อาจลอบเข้าไป เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนแผนการเป็นบุกเข้า
ไปตรง ๆ ใช้ตัวเองเป็นเครื่องทดสอบขุมกาลังของฝ่ายตรงข้ามเสียเลย
ในความเห็นของจั่วม่อ เสียกงจู่นับเป็นศัตรู ของมัน เป็นการดีที่จะได้
ทาความเข้าใจกับขุมกาลังที่แท้จริงของศัตรู
“เจ้าเป็นใคร? ขวางทางข้าด้วยเหตุใด?” สุ้มเสียงแหบพร่าผิดปกติ
ของจั่วม่อ ดังลอดออกมาจากหน้ากาก
“เป็นมุสิกหดหัวตัวหนึ่งอย่างที่คาดเอาไว้ทีเดียว!” เสิ่นอวี้แค่นเสียง
เหยียดหยาม มันยืนตระหง่านอยู่บนหลังคา รู ปโฉมหล่อเหลาประดุจหยก
ดุจดั่งเทพเซียนทอดตามองลงมายังโลกหล้า
เที ย บกั น แล้ ว จั่ ว ม่ อ ที่ เ ปลี่ ย นแปลงรู ป โฉมร่ า งกายดู ทุ เ รศนั ย น์ ต า
เหลือทน มันยังสวมหน้ากากที่อัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง สุ้มเสียงก็ระคายหู
สุดทานทน
“ข้าชื่นชมเสียกงจู่ แม้ยามวิกาลยังอุตส่าห์เดินทางมาชมโฉมนางสัก
ครา เจ้าเป็นตัวอะไร? ไฉนขวางทางข้า?” จั่วม่อกล่าวราวกับว่ามันยืนอยู่
ข้างความถูกต้องเที่ยงธรรม แต่เมื่อกล่าวออกมาจากสารรู ปน่าทุเรศของ
มัน กลับดูคล้ายคนวิปลาสสุดขั้วผู้หนึ่ง
“สารรู ปเยี่ยงเจ้า ถึง กับบังอาจขอพบหน้าเสียกงจู่เชียวรึ!” หากมัน
กล่าวถึงกงจู่อีกสองนางยังพอทาเนา แต่เสิ่นอวี้เมื่อได้ยินว่าคนผู้นี้มุ่ งเป้า
มายังเสียกงจู่ ซึ่งเป็นสตรีที่มันหลงรัก ต้องเขม้นมองตัวประหลาดหน้ามุสิก
อย่างอึดอัดขัดข้องสุดบรรยาย อดแค่นเสียงเหยียดหยามดูแคลนไม่ได้
“ข้าแม้ห น้าตาอัปลักษณ์มาก แต่ข้าก็อบอุ่นอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง!”
จั่วม่อกล่าวอย่างสัตย์ซ่ ือเที่ยงธรรม จากนั้นสุ้มเสียงเปลี่ยนเป็นประหลาด
พิกล “แล้วเจ้าเป็นใคร! พบไม่พบ เสียกงจู่ย่อมมีข้อตัดสินใจของตัวเอง
เจ้ามาขัดขวางข้าหมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าเกรงกลัวว่าเสียกงจู่พอ
พบหน้าข้าจะบังเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อข้า ? ไฮ้ พี่น้อง เราต้องแข่งขันกันอย่าง
เป็นธรรม... ...”
เสียงหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นทันที มีบางคนถึงกับบีบเสียงเล็กเสียง
น้อย ร้องมาว่า “พี่เสิ่น ที่มันกล่าวมาก็ไม่ผิด!”
ตระกูล เสิ่นแม้ทรงพลังอานาจ แต่นายน้อยเหล่านี้ ผู้ใดไม่มีฉากหลัง
อันยิ่งใหญ่? บางคนยังเป็นคู่แข่งกับเสิ่นอวี้โดยตรง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดมีพลัง
ฝีมือสูงส่งเท่ามัน ดังนั้นเสิ่นอวี้สะกดข่มทุกผู้คนเอาไว้อย่างราบคาบ ยามนี้
เมื่อมีโอกาสถมหินลงบ่อ โดยที่เสิ่นอวี้ไม่อาจตอบโต้ได้ถ นัดนัก พวกมัน
ย่อมต้องฉวยโอกาสเป็นการใหญ่
“อะแฮ่มแฮ่ม พี่น้องอันประเสริฐผู้นี้ หัวใจอันเที่ยงแท้ของเจ้าเป็นที่
รั บ รู้ กั น ไปทั่ ว เจ้ า ในเมื่ อยอมเสี่ ย งภั ย อย่ า งใหญ่ ห ลวง ปี น ก าแพงพระ
ต าหนั ก ในเวลาดึ ก ดื่ นค่ อ นคื น เยี่ ย งนี้ ! พวกเราก็ ส มควรให้ โ อกาสมั น สั ก
ครา!”
บางคนร้องชมเชยเสียงดังฟังชัด “ถูกต้อง ถูกต้อง! มันแม้อัปลักษณ์
แต่อบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง! ยิ่งอัปลักษณ์มาก! ก็ยิ่งอบอุ่นอ่อนโยนมาก!”
ผู้คนพากันหัวร่อเยาะเย้ยไม่ขาดปาก จั่วม่อแสร้งคานับโดยรอบเที่ยว
หนึ่ง กล่าวเสียงดังกังวาน “ท่านทั้งหลายล้วนเป็นวิญญูชนที่มีน้าใจนัก!”
เสิ่นอวี้ถูกกลุ้มรุมถากถางแดกดันจนหน้าเขียวคล้า
จั่วม่อปากแม้กล่าวเสแสร้งเป็นเพื่อนเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ แต่ใน
ใจลอบประเมินสภาพรอบข้างอย่างรอบคอบถี่ถ้วน มันค้นพบกลิ่นอายที่
แทบจะสั ม ผั ส ไม่ ไ ด้ อ ยู่ ห ลายขุ ม ต้ อ งลอบตื่ นตั ว ขึ้ น มา บั ง เกิ ด สั ง หรณ์
อันตรายอย่างแรงกล้า
จริ ง ดั ง ที่ ค าด องครั ก ษ์ ข้ า งกายสามกงจู่ มี พ ลั ง ฝี มื อ ร้ า ยกาจเหนื อ
ธรรมดา!
จั่วม่อทราบว่ า แผนการของมั นในคืนนี้ล้ มเหลวไม่เ ป็น ท่ า สามกงจู่
ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ยังเหนือกว่าที่มันคาดคิดเอาไว้มาก และสิ่ง
ที่ทาให้มันยิ่งสลดหดหู่กว่าเดิม คือสามกงจู่กลับพานักอยู่ในพระต าหนัก
แห่งเดียวกัน มันเห็นได้ชัดว่าตอแยยอดฝีมือหลายคนอย่างพร้อมหน้า
เสิ่นอวี้แม้ถูกกลุ้มรุมเสียดสีเย้ยหยัน แต่มันไม่ใช่คนโง่เขลา ทราบดีว่า
หากโต้แย้งด้วยวาจา ระหว่างมันคนเดียวกับอีกฝ่ายนับร้อย มันย่อมไม่มี
ทางได้ชัย สีหน้าจึงกลับคืนสู่ความสงบ ดวงตาสาดประกายฆ่าฟันวูบ มัน
กล่ า วเสี ย งเย็ น ยะเยื อ ก “กงจู่ มี ศั ก ดิ์ ฐ านะสู ง ส่ ง ไม่ อ าจปล่ อ ยให้ มี สิ่ ง ใด
กวนใจนางได้ พี่ท่านในเมื่อมีเจตนาจะเสนอหน้าแนะนาตัว เช่นนั้นก็ให้ผู้
น้องลองทดสอบดูสักคราเถอะ!”
วาจายั ง ไม่ ทั น จะกล่า วจบ มั น ก็ โ ถมเข้ า หาจั่ว ม่ อ ด้ ว ยสภาวะเกรี้ยว
กราดหมายชีวิต!
“อย่าได้ส่งเสียงดังเอะอะไป กงจู่บรรทมแล้ว” สุ้มเสียงแหบแห้งชรา
ภาพดังเบา ๆ ในโสตประสาทของทุกผู้คน
เสิ่นอวี้ที่กลางอากาศพลังสภาวะถดถอยลงทันควัน
ใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากของจั่วม่อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สุ้มเสียงนี้ไม่
ดังกังวาน แต่กลับผุดขึ้นอย่างกะทันหัน ถึงกับนุ่มนวลอ่อนโยนประหนึ่ง
กระซิบอยู่ข้างหูก็มิปาน ทาเอาจั่วม่อถึงกับหัวใจเย็นเฉียบ
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เริ่มแรกมันก็สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายเลือนราง
หลายสายพุ่งเป้ามายังมัน ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ข องยอดฝีมืออันสูงล้าหลาย
คนตั้งแต่ต้น ดังนัน
้ มันแม้ต่ น
ื ตระหนกแต่ไม่ลนลาน
ส าหรั บ เสิ่ น อวี้ ที่ บุ ก จู่ โ จมเข้ า หามั น ในสายตาของจั่ ว ม่ อ คนผู้ นี้
ภายนอกอาจดูแกร่งกร้าวดุดัน แต่ภายในอ่อนยวบเหลวเละ!
ตัวโง่งมที่กระทั่งระหว่างต่อสู้กับผู้คนยังถูกถ้อยคาไม่กี่คาขู่ขวัญจน
ขลาดกลัว หากนี่เป็นการต่อสู้เดินพั นชีวิต คนผู้นี้คงทอดร่างเป็นซากศพ
ไปแล้ว!
จั่ ว ม่ อ ไม่ มี เ วลาให้ ข บคิ ด ใคร่ ค รวญสิ่ ง ใดอี ก เนื่ องเพราะกลิ่ น อาย
เหล่านั้นจับนิ่งอยู่ที่ตัวมันตลอดเวลา
ค่าคืนนี้ อีกฝ่ายดูท่าไม่อนุญาตให้มันจากไปโดยง่ายดาย
การต่อสู้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นเมื่อมันพบว่าเสิ่นอวี้ลดพลังสภาวะลงเพียงเพราะวาจาไร้แก่น
สารนั้น อดไม่ได้ต้องแย้มยิ้มเย็นชาอยู่หลังหน้ากาก!
แต่ในไม่ช้า จั่วม่อรอยยิ้มพลันแข็งค้าง แย้มยิ้มไม่ออกอีกต่อไป เนื่อง
เพราะ... มันไม่รู้ว่าจะใช้กระบวนท่าอันใดออกไป!
ซึ่ ง ความจริ ง ทั้ ง หมั ด คลื่ นสวรรค์ ก ระจกฟ้ า และหมั ด เพลิ ง แกนฟ้ า
ลาดับที่หนึ่ง ล้วนเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์เบื้องหน้า รับรองว่า
ต้ อ งต่ อ ยจนอี ก ฝ่ า ยใบหน้ า เปลี่ ย นสี ! แต่ ห ากมั น ใช้ ก ระบวนท่ า เหล่ า นี้
เท่ากับป่าวประกาศไปทั่วนครมหาสันติว่าเซี่ยวม่อเกอมาแล้ว
หรือว่ามันควรใช้ศาสตร์อสูร ? มันสามารถใช้ศาสตร์บาบวงแดนร้ าง
กาลสมัยอันเป็นศาสตร์อสู รขั้ นสุ ดยอดของมัน แต่มันจดจ าได้ ว่ า ในการ
ต่อสู้กับเหมียวจุน มันเคยใช้ศาสตร์อสูรน้อยออกมาครั้งหนึ่ง จั่วม่อพลัน
ส านึกเสียใจอย่างสุ ด ซึ้ง! มีปิศาจไม่มากนัก ที่ส ามารถใช้ ศ าสตร์ อสูร มัน
ยังคงไม่พ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัย
พลังปราณ... ...หรือจะให้มันใช้เคล็ดกระบี่เพลิงธารา?
พลังเทพ... ...มันไม่ใช่อากุ่ยหรือเขิงเหลียนเอ๋อร์!
จั่วม่อค้นพบด้วยความเดือดดาลและหดหู่ใจ มันถึงกับไม่มีกระบวน
ท่าใดที่จะใช้ต่อสู้กับผู้คน
อย่างที่คิดเลยเชียว มันไม่เหมาะกับการย่องเบายามค่าคืน ช่างอ่อน
ด้อยไร้ประสบการณ์เสียจริง ๆ!
โดยไม่ ต้ อ งว่ า กล่ า วเป็ น ค าที่ ส อง จั่ ว ม่ อ หมุ น ตั ว เผ่ น หนี ไ ม่ คิ ด ชี วิ ต
ในทันที ยามนี้ไม่รีบหนียังจะรอถึงเมื่อใด?
“คิ ด หนี รึ ?” เสิ่ น อวี้ ยิ้ ม เย็ น ยามที่ ผู้ อ่ ื นถากถางมั น มั น สู้ ส ะกดกลั้น
โทสะไว้จนจะอัดอกตายอยู่แล้ว บัดนี้พบว่าอีกฝ่ายถึงกับไม่กล้าต่อสู้ พาน
หลบหนีเอาดื้อๆ โทสะของมันก็แทบพลุ่งพล่านทะยานฟ้าแล้ว
มันเร่งทะยานออกไปในบัดดล พลังสภาวะล้อมตรึงแนบแน่นอยู่ บน
ร่างของจั่วม่อ
จั่วม่อกล่าวพลางหัวร่อเสียงระคายหู “เสียกงจู่ วันนี้เราคุณชายเพียง
มีธุระด่วน หาได้เลิกล้มความตั้งใจไม่!”
สุ้มเสียงยังไม่ทันจะขาดหาย ร่างของมันก็ทะลวงหลุดออกจากพลัง
สภาวะของเสิ่นอวี้ในบัดดล ในเวลาเดียวกันเหล่ากลิ่นอายจาง ๆ ที่หลบ
ซ่อนอยู่แต่แรก พลันเร่งเร้าพลังสภาวะขึ้นในชั่วพริบตา อากาศรอบข้าง
ผนึกแข็งตัว กล้าแข็งปานกาแพงเหล็ก!
จั่วม่อเตรียมการอยู่แต่แรก ทันใดนั้นเร่งเร้าพลังทั่วร่าง ผนึกรวมรั้ง
ด้วยเศษเสี้ย วพลั งเทพสายหนึ่ ง ดวงตาสาดประกายสี ท องวู บ คนคล้า ย
ค้ อ นเหล็ ก ทลายน้ า แข็ ง หวดฟาดใส่ ม่ า นพลั ง แข็ ง กล้ า ดุ จ เหล็ ก ที่ ก ลาง
อากาศเบื้องหน้าอย่างหักโหม!
ปัง!
เสียงระเบิดดังเสียดหู!
กาแพงอากาศรอบกายจั่วม่อแตกระเบิดในคราวเดียว ท่ามกลางเมฆ
หมอกหนาทึบ คล้ายเห็นร่างหนึ่งวาบผ่านไป
เสิ่นอวี้สีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย หมัดขวาต่อยใส่อากาศว่างเปล่า
ม่านหมอกสลายหายไป ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือแม้แต่เงา

เมื่ อกลั บ ไปยั ง เคหะสถาน จั่ ว ม่ อ อารมณ์ ไ ม่ สู้ ดี นั ก โดยเฉพาะเมื่ อ


สังเกตเห็นร่องรอยสนุกสนานอย่างไม่ปิดบังในดวงตาของเขิงเหลียนเอ๋อร์
มันยิ่งรู้สึกย่าแย่กว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวม่อเกอหาใช่คนที่จะยอมพ่ายแพ้ด้วยความเพลี่ยง
พล้าเพียงเล็กน้อยเท่านี้ไม่ หนแรกเป็นการทดลอง ครั้งที่สองจึงจะคุ้นเคย
มันทบทวนสิง่ ที่เพิ่งค้นพบ ฝีมือซ่อนเร้นร่องรอยของมันไม่ดีพอ ในบรรดา
พวกมันทั้งสาม มีเพียงมันคนเดียวที่ถูกค้นพบ นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน
มิ ห น าซ้ า มั น ยั ง ขาดแคลนวิ ช าฝี มื อ ที่ จ ะใช้ ใ นยามปลอมตั ว อี ก ด้ ว ย มิ
เช่นนัน
้ เจ้าหนุ่มหน้าหยกผู้นน
ั้ เกรงว่าต้องศีรษะแตกระเบิดเป็นบุปผาบาน
สะพรั่งไปแล้ว
แต่ จ ะอย่ า งไร วั น นี้ มั น ยั ง คงได้ รั บ ข่ า วสารส าคั ญ ไม่ น้ อ ย ยามนี้ มั น
มั่ น ใจว่ า กงจู่ทุ ก นางล้ว นมี ยอดฝีมื ออั นกล้า แข็ง อยู่ ข้า งกาย นี่ ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อง
เหนือความคาดหมาย แต่สร้างความยากลาบากให้แก่พวกมัน
ยอดฝีมือชั้นสูงมักยินดีเป็นองครักษ์ส่วนตัวให้แก่ตระกูลสูงศักดิ์ ไม่
ชมชอบเข้าร่วมกองทัพ
ซึ่ ง ความจริ ง ในกองทั พ มี ย อดฝี มือ ที่ บ รรลุด่ า นเจี ยงไม่ มากนั ก ผู้ ที่
สามารถบรรลุด่านเจียง คนผู้นั้นต้องมีความลุ่มหลงงมงายต่อการฝึกฝีมือ
ในระดับที่เหนือล้ากว่าคนทั่วไปมาก คนเหล่านี้มักไม่ชอบชมระเบียบวินัย
ที่ เ ข้ ม งวด ส่ ว นในบรรดายอดฝี มื อ ของกองทั พ ยอดฝี มื อ ด่ า นเจี ย งของ
กองทัพส่วนมากจะเป็นตัวแม่ทัพบัญชาการศึกเอง พวกมันแม้บรรลุ ด่าน
เจียง แต่จ ะมีฝีมือในกระบวนทัพเสียมากกว่า พลังฝีมือส่วนบุคคลมักไม่
กล้าแข็งเท่าใด
เช่นเดียวกันกับซิวเจ่อและอสูร
เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือในศึกสงคราม ยอดฝีมือด่านเจียงมี อัตรา
การตายสูงมาก ในการปะทะหักหาญระหว่างกองทัพ ปิศาจด่านเจียงหรือ
ชนชั้นหยวนอิงมักจะตกเป็นเป้าหมายพิฆาตเข่นฆ่าให้อาสัญเป็น อั น ดั บ
แรก
อย่างไรก็ตาม คิดเพาะสร้างชนชั้นหยวนอิงผู้หนึ่งนับเป็นเรื่องลาบาก
ยากเย็นแสนเข็ญ เทียบกันแล้ว เพาะสร้างกองทัพขบวนหนึ่งยังมีค่าใช้จ่าย
ที่ย่อมเยากว่าเสียอีก นอกเหนือจากศึกสาคัญที่ตัดสินความเป็นความตาย
แล้ว ไม่มีสานักใดยินยอมเสี่ยงอันตราย ส่งชนชั้นหยวนอิงเข้าร่วมศึก
ส าหรั บ ชนชั้ น จอมปิ ศ าจด่ า นไส ว้ ห รื อ จ้ า วปิ ศ าจด่ า นหวั ง ก็ ไ ม่
จาเป็นต้องเอ่ยถึงแล้ว
ดังนั้นบางครั้งเมื่อต้องเผชิญกับยอดฝีมือเช่นนี้ ยังน่าปวดเศียรเวียน
เกล้าเสียยิง่ กว่าต่อกรกับกองทัพอันกล้าแข็งขบวนหนึ่งเสียอีก
จั่วม่อบัดนี้ก็ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง
ยอดฝีมือชั้นสูงเหล่านี้ปิดโอกาสลอบเข้าไปสืบเสาะของมันจนหมด
สิ้น เทียบกันแล้วแผนการของผูเยากับเว่ยยังดูเป็นไปได้มากกว่า
เป็นที่พึงตาต้องใจของกงจู่ พาตัวเข้าสนิทชิดเชื้อกับกงจู่ ปล่อยให้กง
จู่เกลี้ยกล่อมมันเข้าร่วม จากนั้นค่อยยื่นเงื่อนไขของมัน
ชื่อเสียงของมันกระเดื่องดังไปทั่วนครมหาสันติ แต่มันยังสงสัยว่าเสีย
กงจู่จะพึงตาต้องใจมันหรือไม่?
วิธีการของผูเยาแม้ดีงาม แต่อานาจในการกาหนดทั้งหมดกลับตกอยู่
ในมือของเสียกงจู่ นี่ทาให้จ่ว
ั ม่ออึดอัดขัดใจยิ่ง
บางทีมันอาจเป็นฝ่ายรุกให้มากกว่านี้จะดีกว่าหรือไม่?
จั่วม่อตาเป็นประกายเรืองรอง!
“คนเมื่ อ ครู่ เ ป็ น อย่ า งไร?” เสี ย กงจู่ สั ง เกตเห็ น สี ห น้ า หญิ ง รั บ ใช้ วั ย
กลางคน อดเอ่ยถามไม่ได้
“ฝีมือกล้าแข็งยิง่ !” หญิงรับใช้วัยกลางคนกล่าวตรง ๆ “บางทีมันอาจ
จงใจเปลี่ยนแปลงรู ปโฉมให้ตัวเองดูอัปลักษณ์ พลังฝีมือของมันกล้าแข็ง
กว่าคนทั่วไป ข้าไม่อาจค้นพบสิ่งใดได้”
“กล้าแข็งกว่าคนทั่วไป?” เสียกงจู่มีสีหน้าสนอกสนใจ “กล้าแข็งกว่า
เท่าใด?”
“เราใช้พลังสภาวะของพวกเราสะกดตรึงมั นเอาไว้ แต่มันยังคงหลุด
รอดลอยนวลจากไปได้ อ ย่ า งสะดวกดาย” หญิ ง รั บ ใช้ วั ย กลางคนกล่ า ว
อย่างเย็นชา
“เช่นนั้นก็กล้าแข็งกว่าคนทั่วไปมากจริง ๆ” เสียกงจู่มีสีหน้าครุ่นคิด
แล้วถามอย่างกะทันหัน “หรือว่ามันมาที่นี่เพราะหอสมบัติมหาสันติ?”
“ยากจะบอกได้” หญิงรับใช้วัยกลางคนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ครา
ครั้งนี้เรื่องนี้อึกทึกครึกโครมไปทั่ว ข่าวคราวจู่ ๆ ก็แพร่สะพัดออกไป เป็นที่
แน่นอนว่าใครบางคนจงใจโหมกระพืออยู่ในเงามืด”
“หรือว่ามีคนอื่นล่วงรู้ความลับของหอสมบัติมหาสันติเช่นกัน ?” เสีย
กงจู่เพ่งตาคู่งามมองดูหญิงรับใช้วัยกลางคน
“เป็ น ไปไม่ ไ ด้ ! ” หญิ ง รั บ ใช้ วั ย กลางคนกล่ า วด้ ว ยรอยยิ้ ม เย็ น เยี ย บ
“ข้าใช้เวลานานหลายปีพากเพียรปกปิดความลับนี้”
“ซือจื่อหมิงมีลูกหลานหรือไม่?” เสียกงจู่ถามเสียงขรึมเครียด
“ไม่มี” หญิงรับใช้วัยกลางคนสั่นศีรษะอย่างมั่นอกมั่นใจ “มารดาข้า
ปรนนิบัติรับใช้มันชั่วชีวิต ยังไม่เคยเห็นว่ามันมีสตรีอ่ น
ื ใด”
“ช่างเป็นผู้เฒ่าที่มีจิต ใจบริสุทธิ์นัก!” เสียกงจู่หัวร่ออย่างหยาดเยิ้ม
“ข้าได้แต่หวังว่าผู้คนของนครมหาสันติจะไม่คร่าครึเช่นซือจื่อหมิง”
“แล้ ว เจ้ า ไม่ ส นใจเซี่ ย วม่ อ เกอบ้ า งรึ ?” หญิ ง รั บ ใช้ วั ย กลางคนถาม
อย่างสงสัยใจอยู่บ้าง
“มั น ปรากฏตั ว ขึ้ น อย่ า งพอเหมาะพอดี เ กิ นไป” เสี ย กงจู่ ก ล่ า วด้วย
รอยยิ้มพริ้มพราย “ท่านไม่รู้สึกรึ ว่ามันคล้ายเฝ้ารอคอยพวกเราอยู่? แม้
ข้าจะไม่ล่วงรู้ว่ามันมุ่งเป้ามายังผู้ใดในหมู่พวกเราทั้งสาม แต่สัญชาตญาณ
ของข้าร้องเตือนข้าเช่นนี้!”

You might also like